Nightmare Kiss ตอนใครอยู่ในห้อง? P.3 บทส่งท้าย [04/09/61] จบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare Kiss ตอนใครอยู่ในห้อง? P.3 บทส่งท้าย [04/09/61] จบ  (อ่าน 19200 ครั้ง)

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0







Nightmare Kiss
 
ตอน ใครอยู่ในห้อง?




นิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียน
ไม่เกี่ยวข้องกับ ชื่อ บุคคล สถานที่จริงใด ๆ ทั้งสิ้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยนะคะ



บทนำ


เมื่อคุณฝังตัวเองไว้กับอดีต นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังตายลงทีละน้อย…

ชนกันต์กำลังจะตาย...
สิ่งที่ตระหนัก ทำให้สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำงาน มือเล็กพยายามดึงรั้งเชือกเส้นใหญ่ที่กำลังรัดคอ ขาสองข้างปัดป่ายอยู่ในอากาศอย่างไร้ผล พยายามอ้าปากหวังกอบโกยออกซิเจนเข้าปอด สมองของเขาใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะ ชนกันต์ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไร รู้เพียงเเต่ว่า ตอนนี้เขาต้องการออกซิเจนสำหรับหายใจ
ความทรมานที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่วินาที ยาวนานราวกับหลายชั่วโมงในความคิดของเขา มือเเละเท้าเริ่มไร้เรี่ยวเเรงจากการดิ้นรน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพร่ามัว เขามองภาพเบื้องหน้าไม่เห็นขณะปิดเปลือกตาลงช้าๆปล่อยให้สติดับวูบเเละหวังว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาพบความเจ็บปวดอีก


ผลงานในเล้าเป็ด
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2020 17:34:21 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Nightmare Kiss ตอน ใครอยู่ในห้อง?
«ตอบ #1 เมื่อ02-06-2018 00:18:04 »



ตอนที่ 1


ตึก ตึก ตึก
พรึ่บ!
ชนกันต์ชะงักฝีเท้าเมื่อไฟทางเดินของอพาร์ทเม้นท์บนชั้นเจ็ดดับลงพร้อมกันทุกดวง ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด แขนของเขาถูกผู้ร่วมทางคว้าไปกอดไว้แน่น ชายหนุ่มขมวดคิ้วในความมืดเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากร่างของอีกฝ่าย
สงสัยจะกลัวความมืด…
ชนกันต์คิด ขณะที่ใช้มืออีกข้างตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆเป็นการปลอบประโลม และห้าวินาทีต่อมาไฟทางเดินทุกดวงก็กลับมาสว่างไสวเหมือนเดิม ราวกับไม่เคยผิดปกติมาก่อน เขาเงยหน้ามองสภาพอพาร์ทเม้นท์อย่างพิจารณา…ผนังถูกทาด้วยสีเทาใหม่เอี่ยมดูเข้ากันดีกับพื้นกระเบื้องสีดำเงา
อพาร์ทเม้นท์ร่มฤดี เป็นอพาร์ทเม้นท์หรูเปิดใหม่ได้หนึ่งปี มีทั้งหมดเจ็ดชั้น และมีลิฟต์อำนวยความสะดวก แถมยังอยู่ในตัวเมืองทำให้มีผู้คนเข้ามาพักจนเต็มทุกห้อง จะเหลือก็แต่ห้องบนชั้นเจ็ดที่เงียบเหงาผิดปกติ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าจะให้คนมาเปลี่ยนหลอดไฟทางเดินให้ใหม่นะ”
ป้าปราณี หรือป้าณี เจ้าของอพาร์ทเม้นท์วัยห้าสิบปีเอ่ยเสียงสั่น ดวงตาฉายแววหวาดกลัว… ถึงจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ เพราะเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้เคยเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเหล่าลูกค้าที่ขวัญอ่อนต่างหนีกระเจิดกระเจิง ไม่มีใครพักอยู่บนชั้นเจ็ดได้ครบหนึ่งเดือนเสียที เว้นแต่ห้อง 710 ตรงสุดทางเดินนั่นแหละที่อยู่มาได้เกือบหนึ่งปีแล้ว แต่กลับสุขสบายดี จะเรียกว่าคนดีผีคุ้มก็ได้ล่ะมั้ง
“มีห้องไหนว่างบ้างครับ”
ชนกันต์ถาม ในแต่ล่ะชั้นจะมีห้องพักจำนวนสิบห้อง แต่ถ้าสังเกตจากฝุ่นที่เกาะลูกบิดประตูหนากว่าห้องพักชั้นหนึ่งที่เขาเห็น เขาแน่ใจว่าไม่มีคนอาศัยอยู่เลย
“ว่างทุกห้อง ยกเว้นห้องนั้นจ้ะ”
ป้าณีกลับมายิ้มแย้มแล้วตอบด้วยเสียงกระตือรือร้น พลางชี้นิ้วไปยังห้องริมสุดทางเดิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงความแปลกใจของลูกค้า จึงรีบพรีเซนต์และลดแลกแจกแถมเป็นการใหญ่
“เอ่อ ชั้นเจ็ดแดดส่องไม่ถึงระเบียง เพราะเงาจากคอนโดอีกฝั่งมันบัง ตากผ้าแล้วไม่แห้ง คนเลยไม่ค่อยอยู่ แต่ถ้าเราจะเข้ามาอยู่ ป้าลดให้เดือนละสองร้อยเลยอ่ะ”
“ขอเข้าไปดูในห้องได้มั้ยครับ”
ชายหนุ่มถาม สภาพอพาร์ทเม้นท์ภายนอกใหม่และสะอาด แต่น่าแปลกที่ไฟทางเดินกลับดับลงพร้อมกันทั้งหมด บางทีอาจจะใช้วัสดุที่ไม่มีคุณภาพในการก่อสร้างก็ได้ เขาจึงอยากตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า สภาพภายในห้องแข็งแรงและอยู่ในสภาพดีทุกอย่าง
“ได้เลยจ้า”
ป้าณีหยิบกุญแจพวงใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้ววิ่งไปไขกุญแจห้อง 709 ซึ่งอยู่ติดกับห้องที่มีคนอาศัย เพราะมันน่าจะปลอดภัยกับคนที่กลัวเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างหล่อนมากกว่า
ประตูไม้สีน้ำตาลบานหนาถูกผลักให้เปิดออก ชนกันต์เปิดไฟที่อยู่บนผนังใกล้กับประตู เมื่อไฟส่องสว่างก็พบกันห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบครัน ทั้งทีวี ตู้เย็น โต๊ะ เก้าอี้ และโซฟาหนังสีดำที่ถูกตั้งอยู่กลางห้อง ในห้องพักถูกทาด้วยสีขาวสะอาดตา มีโซนครัวเล็กๆ และห้องนอนที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ เหมาะสำหรับอยู่คนเดียว หรืออยู่กับแฟน โดยรวมแล้วเขาพอใจมาก ทั้งราคาและข้าวของที่ใหม่เอี่ยมราวกับไม่เคยมีคนใช้มาก่อนทำให้เขาตกลงใจเช่า
ชายหนุ่มไม่กลัวเรื่องผีสางหรือหลงเชื่อข่าวลือแปลกๆว่าชั้นเจ็ดมีผีบ้างล่ะ เจ้าที่แรงบ้างล่ะ แต่เขากลับคิดว่ามันสงบเหมาะกับคนเรียบง่ายอย่างเขามากที่สุด



‘ฆาตกรโหดฆ่าต่อเนื่อง ใช้เชือกรัดคอนายแพทย์เอ (นามสมมติ) ศัลยแพทย์ระบบประสาทของโรงพยาบาลชื่อดังจังหวัดเชียงใหม่ พยานผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่า หมอเอ ออกเวรเวลาตีสอง (ตามเวลาท้องถิ่น) ในคืนวันที่ 14 ก.ค. ขณะที่ผู้เคราะห์ร้ายกำลังเดินอยู่ในลานจอดรถก็โดนคนร้ายที่เข้ามาจากด้านหลังใช้เชือกรัดคอและเสียชีวิตในเวลาต่อมา พยานพยายามไล่ตามคนร้าย แต่กลับหลบหนีไปได้
ตำรวจสืบสวนแล้วพบว่าคนร้ายเป็นรายเดียวกับฆาตกรต่อเนื่องที่เคยก่อเหตุเมื่อห้าปีก่อน โดยใช้เชือกรัดคอนายแพทย์ของโรงพยาบาลดังกล่าว เสียชีวิตแล้วสามราย ได้หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปนานกว่าห้าปี คาดว่าเหตุจูงใจมาจากความแค้นที่มีต่อโรงพยาบาล…’
“เฮ้อ”
ชนกันต์ใช้รีโมตกดปิดทีวี แม้จะมีการเซนเซอร์ภาพของผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่เขาทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว เจ้าฆาตกรคนนั้นต้องเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ ไม่มีคนสติดีที่ไหนลงมือฆ่าหมอที่ทำหน้าที่ช่วยชีวิตมนุษย์ได้อย่างน่าอนาถแบบนี้หรอก
ชายหนุ่มพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในข่าว แล้วคิดถึงความเป็นไปได้…คนร้ายฆ่าหมอมาแล้วสามราย รายล่าสุดเป็นรายที่สี่ ที่แปลกคือหมอทุกคนเป็นผู้ชาย ซึ่งคนร้ายก็น่าจะเป็นผู้ชายด้วย ผู้หญิงไม่น่าจะมีแรงฆ่ารัดคอให้ตายคาที่ในเวลาสั้นๆ แล้วทำไมต้องเป็นหมอที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเซนต์โทมัสด้วยล่ะ หมอพวกนั้นเคยผ่าตัดคนในครอบครัวคนร้ายแล้วเสียชีวิตหรือไง เอ่อ แต่เมื่อวานที่อ่านข่าวย้อนหลังในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับฆาตกรชื่อดังคนนี้ หมอทุกคนทำงานอยู่ในแผนกที่ต่างกัน แล้วมันเชื่อมโยงกันตรงไหนนะ
โอ๊ย ปวดหัว…
ชายหนุ่มยกมือขยี้ผมแรงๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีกว่า ประชาชนตาดำๆอย่างเขาจะเอากำลังที่ไหนไปช่วยจับคนร้าย แต่น่ากลัวว่าโรงพยาบาลเซนต์โทมัสจะอยู่ไม่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ร่มฤดีน่ะสิ
โชคดีที่ไม่ได้เป็นหมอ…
ชนกันต์คิดแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียง       สมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาแผดเสียงดังลั่น
Trrrrrrrrrr
ชายหนุ่มหยิบสมาร์ทโฟทมาถือไว้ในมือ เมื่อเห็นหน้าจอแสดงว่า สายเรียกเข้าคือแม่ เขาก็รีบกดรับทันที
“รับให้มันเร็วๆหน่อยได้มั้ย”
ปลายสายบ่นด้วยประโยคเดิมๆที่ฟังจนชินเสียแล้ว ไม่ว่าชนกันต์จะทำอะไร ก็มักจะผิดเสมอในสายตาของคนเป็นแม่ แต่พี่ชายของเขา ถึงไม่ยอมรับสาย แม่ก็จะแก้ตัวแทนเสมอว่าพี่ทำงานหนัก
“ผมรับเร็วแล้วนะครับ”
“เถียงตลอดเลยนะไอ้ลูกคนนี้”
“…”
“ที่อยู่ใหม่เป็นยังไงบ้าง”
“ดีครับ สงบดี แล้วก็สะอาดด้วย”
“จะไปเปลืองเงินเปลืองทองเช่าอพาร์ทเม้นท์ทำไม ในเมื่อบ้านเราก็ใหญ่โต อยู่แล้วสุขสบายกว่าตั้งเยอะ เพิ่งจะทำงานได้ยังไม่ถึงเดือน ก็ปีกกล้าขาแข็งซะแล้วนะ สู้พี่แกไม่ได้เลยสักนิด เจ้าทีน่ะนะ…”
ชนกันต์ทนฟังเสียงบ่นของผู้ให้กำเนิดนานหลายนาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป นี่เป็นเหตุผลสำคัญในการย้ายออกมาจากบ้านที่เขาใช้ซุกหัวนอนถึงยี่สิบสองปี
พ่อของเขาเป็นจิตกรชื่อดัง ขายผลงานได้เพราะนามสกุลผู้ดีเก่าเท่านั้น ส่วนแม่เป็นทนายความที่เก่งและได้รับการยอมรับให้ว่าความและรับปรึกษากฏหมายให้บริษัทชื่อดังในประเทศ
ส่วนพี่ชายคนเก่งของเขา คือ ชลนที สถาปนิกหนุ่มอัฉริยะ ที่อายุมากกว่าเขาสามปี ได้รับการถ่ายทอดยีนส์เด่นด้านหน้าตาจากพ่อ และรับสมองอันชาญฉลาดจากแม่ ทำให้ก้าวหน้าในการทำงานอย่างรวดเร็ว แถมยังมีนิสัยที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย จึงทำให้เป็นที่รักของทุกคนรวมถึงพ่อกับแม่ด้วย
ส่วนชนกันต์ คือ แหล่งรวมของยีนส์ด้อย นอกจากจะหน้าตางั้นๆไม่ถึงกับ     ขี้เหร่แล้วเขายังมีมันสมองระดับปานกลางถึงแย่มากอีกด้วย เขาเรียนจบในคณะบริหารธุรกิจ สาขาการบัญชีด้วยเกรดเฉลี่ยที่พอรับได้ และเข้าทำงานเป็นพนักงานต๊อกต๋อยกินเงินเดือนขั้นต่ำ
ชนกันต์ถูกเปรียบเทียบกับชลนทีมาทั้งชีวิต เขาเกลียดที่สวรรค์ไม่เคยยุติธรรม อย่างน้อยก็ควรให้เขามีดีกว่าพี่ทีสักอย่างสองอย่างสิ ไม่ใช่ให้เขาถูกเหยียบอยู่ใต้ฝาเท้าของพี่ชายแสนดีตลอดชีวิต
เมื่อเรียนจบระดับปริญญาตรี ความอดทนทั้งหมดก็พังลง เขาอ้างกับครอบครัวว่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ใกล้ที่ทำงานมากกว่าซึ่งเป็นเรื่องจริง และย้ายออกมาอยู่ลำพัง เขาไม่ใช่คนน่าสนใจ แน่นอนว่ามีเพื่อนน้อยมาก หรือบางทีที่เขานับคนอื่นๆเป็นเพื่อน แต่สำหรับคนอื่นๆอาจจะไม่ได้นับเขาเป็นเพื่อนก็ได้ ดูจากที่เพื่อนร่วมสาขาบัญชีคนหนึ่งแต่งงานหลังจากเรียนจบยังไม่ส่งการ์ดเชิญมาให้เขาด้วยซ้ำ เฮ้อ คิดแล้วมันน่าน้อยใจ คงมีแต่ตัวเขาเองนี่แหละที่ต้องให้ความรักกับตัวเอง



ชนกันต์ก้าวเท้าออกจากลิฟต์ในเวลาห้าทุ่ม เขาออกไปซื้อขนมปังและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากเซเว่นตรงข้ามอพาร์ทเม้นท์เพราะท้องที่ร้องประท้วงและเขาก็นอนไม่หลับเพราะแปลกที่ อีกอย่างข่าวเมื่อหัวค่ำทำให้เขากังวลว่าฆาตกรฆ่าต่อเนื่องอาจจะกำลังหลบซ่อนตัวอยู่แถวๆนี้ก็ได้
นายไม่ใช่หมอ…
ชายหนุ่มย้ำเตือนกับตัวเองเป็นรอบที่หนึ่งร้อยของวัน แล้วถ้ามันเกิดอยากฆ่านักบัญชีดูบ้างล่ะ ความคิดที่ทำให้ยกกำปั้นเขกหัวตัวเองไปหนึ่งที อย่าเพ้อเจ้อน่า…
หมอ…
ชนกันต์ชะงักปลายเท้าเมื่อพบว่ามีร่างสูงกำลังยืนพิงผนังอยู่ตรงข้ามห้อง 710 อีกฝ่ายไม่ได้สนใจการมาของเขา อย่าว่าแต่อีกฝ่ายเลย ทั้งที่เป็นทางเดินตรงๆและโล่งมากแท้ๆ แต่เขากลับไม่สังเกตเห็นตั้งแต่คราวแรกที่ก้าวออกจากลิฟต์ว่ามีคุณหมอคนหนึ่งยืนอยู่ อีกฝ่ายอาจจะกำลังรอคอยเจ้าของห้องข้างๆเขาหรือเปล่านะ ส่วนเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มทราบทันทีว่าอีกฝ่ายประกอบอาชีพหมอก็คือเสื้อกาวน์สีขาวที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน เนคไทสีน้ำเงินเข้มถูกคลายออกลวมๆ
“สวัสดีครับ”
ชนกันต์เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสุภาพ เขารอคอยเงียบๆเกือบหนึ่งนาทีกว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังพูดด้วย จึงค่อยๆหันหน้ามาสบตาเขา
ชนกันต์รู้สึกว่าลมหายใจขาดห้วงในวินาทีแรกที่สบตากัน…คุณหมอดูดีอย่างเหลือเชื่อ ใบหน้าเรียบเฉยหล่อเหลา ผิวขาวราวกับจะเปล่งแสง นัยน์ตาสีดำสนิทราวกับสีของรัตติกาล น่ามองเสียจนไม่อาจถอนสายตาไปได้
“ครับ”
เสียงนุ่มที่ตอบรับไพเราะเสียจนชนกันต์คิดว่าคุณหมอเป็นนักร้องเสียงคุณภาพ ขนาดเสียงพูดยังสุดยอดขนาดนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าเสียงร้องเพลงจะจับใจขนาดไหน
“มารอใครเหรอครับ”
ชนกันต์เอ่ยถาม ตอนแรกเขาเพียงแต่ต้องการมาทักทาย เพื่อหวังทำความรู้จักในฐานะเพื่อนรวมอพาร์ทเม้นท์เท่านั้น แต่เสน่ห์บางอย่างในตัวคุณหมอ กำลังดึงดูดเขาอย่างรุนแรง
“เปล่า ผมไม่ได้รอ”
คุณหมอส่ายหน้าช้าๆ ใบหน้าหล่อเหลาดูเศร้าสร้อยเสียจนคนมองอยากเข้าไปปลอบประโลมแล้วถามว่ามีอะไรให้เขาช่วยหรือไม่
“เอ่อ ผมชื่อชนกันต์” ชายหนุ่มแนะนำตัวอย่างกระตือรือร้น
“ยินดีที่รู้จักครับ”
ชนกันต์รู้สึกผิดหวังเล็กๆที่อีกฝ่ายไม่ได้แนะนำตัวให้เขารู้จัก แต่นาทีต่อมากลับยิ้มกว้าง เมื่อมือขาวยื่นมาตรงหน้า และแน่นอนว่าเขาไม่คิดจะปฎิเสธไมตรีนี้ จึงยื่นมือไปเขย่าเบาๆ มือของคุณหมอนุ่มมากๆแถมผิวยังเนียนละเอียดเสียจนเขาไม่อยากปล่อย
“ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ห้องข้างๆวันนี้เองครับ”
ชนกันต์ตอบ หลังจากปล่อยมือคุณหมอ มือของเขาก็ดูเกะกะขึ้นมาทันทีเมื่อเริ่มประหม่า จึงได้แต่ใช้มือกำถุงพลาสติกจากเซเว่นไว้แน่น รีบก้มหน้างุดเมื่อเห็นว่าคุณหมอกำลังมองเขาอยู่ สายตาของอีกฝ่ายนิ่งเสียจนเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่มันทำให้แก้มของเขาร้อนผ่าวได้ไม่น้อยเลย
“ผมอยู่ห้องนี้มานานแล้วครับ” คุณหมอขยับปากตอบในนาทีต่อมา
“อ๋อ ดีจังครับที่ได้พบคุณเสียที” ชนกันต์ตอบ ที่แท้คุณหมอก็เป็นเพื่อนข้างห้องเขานั่นเอง
“ขอตัวก่อนนะครับ”
คุณหมอกล่าวอย่างสุภาพ เอื้อมมือไปผลักประตูห้อง 710 ออกแล้วงับประตูปิดแผ่วเบาเสียจนไม่ได้ยินเสียง
   


โปรดติดตามตอนต่อไป

 :katai4:


ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Nightmare Kiss ตอน ใครอยู่ในห้อง?
«ตอบ #2 เมื่อ02-06-2018 00:25:27 »

ตอนที่ 2


“ทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบบาทครับ”
ชนกันต์ยื่นแบงค์ร้อยกับแบงค์ยี่สิบให้ลูกชายเจ้าของร้านโจ๊ก เขาแน่ใจว่าโจ๊กร้านนี้ต้องเลิศรสมากแน่ๆ ดูจากจำนวนของลูกค้าที่นั่งอยู่เต็มร้าน และเถ้าแก่ที่กำลังง่วนอยู่กับจานชามหลายสิบใบตรงหน้า ชนกันต์กวาดสายตาสำรวจตัวร้านที่เป็นตึกสูงสามชั้นเก่าแก่ ร้านนี้เปิดมานานกว่าสิบปีและมีชื่อเสียงในหมู่ผู้อาศัยในย่านนี้
วันนี้ชนกันต์ตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้า กว่าจะเข้างานก็เป็นเวลาเก้าโมงตรง ที่สำคัญ บริษัทที่เขาทำงานก็อยู่ใกล้ๆนี่เอง ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสิบห้านาที เขาจึงสามารถเดินลอยชายสำรวจร้านอาหารที่เปิดในช่วงเช้าได้โดยไม่ต้องรีบร้อน
“สวัสดีครับป้าณี”
ชนกันต์ยื่นหน้าผ่านหน้าต่างห้องผู้ดูแลเข้าไปทักทายคนแก่ที่กำลังนั่งดูข่าวการเลือกตั้งในทีวี
“ผมซื้อโจ๊กมาฝาก”
“โธ่คุณกันต์ ไม่น่าต้องลำบากเลยนะคะ”
ป้าณีเอ่ยอย่างเกรงใจ ต่างจากใบหน้าที่แสดงความยินดี มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเอื้อมไปรับถุงโจ๊กร้อนๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่มักมีความเห็นอกเห็นใจน้อยลง มีไม่กี่คนหรอกที่จะมีน้ำใจแวะมาทักทายหรือซื้อขนมมาฝากป้าแก่ๆที่อาศัยอยู่คนเดียว เพราะลูกหลานต่างมีครอบครัวเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว ส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้ามาพักอาศัยจะต่างคนต่างอยู่เสียมากกว่า นานๆถึงจะเดินเข้ามาพูดคุยกับป้าณีเฉพาะตอนที่อพาร์ทเม้นท์มีปัญหา เช่น หลอดไฟขาด หรือเครื่องปรับอากาศเสีย
“ไม่ลำบากหรอกครับ ผมไปสำรวจของกินอร่อยๆมา”
“โจ๊กร้านเถ้าแก่โชคหรือเปล่าคะ”
“ครับ”
“ป้าชอบ ร้านนี้อร่อยมากๆ” ป้าณีพูดพลางยกนิ้วโป้งเป็นการยืนยันว่าร้านนี้เด็ดจริงๆ
“แล้วมีอย่างอื่นแนะนำอีกมั้ยครับ”
“ปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้ร้านเจ๊พิศก็อร่อยนะ พรุ่งนี้คุณลองทานสิคะ”
“ครับ”
ชนกันต์ตอบรับในลำคอ มือเผลอกำชายเสื้อของตัวเองเหมือนทุกครั้งที่เกิดความประหม่า นอกจากเขาจะตั้งใจซื้อโจ๊กมาฝากคนสูงอายุแล้ว ชายหนุ่มยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่งแอบแฝง เขาอยากรู้จักชื่อของคุณหมอที่พบกันเมื่อคืน และคนที่ตอบคำถามได้ดีที่สุดก็คือเจ้าของอพาร์ทเม้นท์นั่นเอง
…แค่อยากรู้จักชื่อของคุณหมอ ในฐานะคนห้องใกล้เรือนเคียงเท่านั้น…
ชนกันต์หาข้ออ้างให้ตัวเอง แม้ลึกๆแล้วเขาจะรู้ดีว่า ตัวเองไม่ใช่คนอัชฌาสัยดีหรือชอบเข้าหาคนอื่นเลย
“เอ่อ ป้าณี คุณหมอที่อยู่ห้องข้างๆผม…เขาชื่ออะไรเหรอครับ”
ชนกันต์กลั้นหายใจแล้วเอ่ยถามออกไป มันจะดูแปลกๆมั้ยนะที่เขามาถามชื่อคนข้างห้องกับเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ แทนที่จะไปถามกับเจ้าตัว
“อ๋อ คุณหมอเทวินทร์ ได้เจอกันแล้วหรือคะ”
“เจอเมื่อคืนครับ” ชายหนุ่มแอบระบายลมหายใจ เมื่อคนแก่ไม่ได้ติดใจสงสัยนอกจากตอบคำถามโดยดี

ชนกันต์ก้าวเท้าออกจากลิฟต์ เมื่อลิฟต์เคลื่อนที่มาถึงชั้นที่ 7 หลอดไฟตรงทางเดินกะพริบติดๆดับๆเหมือนปกติ ก่อนจะกลับมาสว่างเหมือนเดิม ชายหนุ่มไม่ใช่คนขวัญอ่อน หรือเชื่อในเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ เขาเริ่มชินกับความไม่ปกติของหลอดไฟบนชั้นเจ็ดเสียแล้ว และคิดว่ามันคือเหตุผลหนึ่งที่สร้างข่าวลือแปลกๆให้กับ อพาร์ทเม้นท์
ชนกันต์เดินไปกดปิดสวิตช์ไฟตรงทางเดินเพราะแสงสว่างในยามเช้าตรู่ที่ส่องสว่างเข้ามาทางระเบียงริมสุดทั้งซ้ายและขวา ทำให้ทางเดินมีแสงสว่างมากเพียงพอแล้ว ชายหนุ่มไม่อาจบังคับสายตาของตัวเองไม่ให้มองประตูห้องพัก 710 เขายอมรับว่าตัวเองกำลังเข้าข่ายโรคจิตที่กำลังทำตัวลับๆล่อๆ แล้วก้มมองถุงโจ๊กในมือ
ชนกันต์ตั้งใจซื้อโจ๊กมาฝากคุณหมอเทวินทร์ เพียงแต่เขาไม่อยากรบกวนคุณหมอโดยการเคาะประตูห้อง คุณหมออาจจะยังไม่ตื่นก็ได้ หรืออาจจะกำลังอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน หรือคุณหมอกำลังทานอาหาร แล้วถ้าคุณหมอทานมื้อเช้าแล้วล่ะ…
กึก
ความคิดของชนกันต์หยุดลง แล้วถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เขาไม่รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่เรียกว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบหรือเปล่า ในเมื่อเขาไม่เคยมีแฟน แถมยังอ่อนประสบการณ์ด้านความรักมากเสียด้วยสิ
ชนกันต์ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เปิดลิ้นชักคุ้ยหากระดาษโน้ตสีฟ้าอ่อน สีโปรดของเขา แล้วใช้ปากกาหมึกซึมสีดำเขียนข้อความสั้นๆลงไป
“อย่าลืมทานมื้อเช้านะครับ”
ชนกันต์ขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะขยำกระดาษสีฟ้าแล้วโยนลงถังขยะเพราะข้อความมันฟังดูเสล่อมากสำหรับคนที่พบกันเพียงครั้งเดียว เขาลงมือเขียนข้อความลงบนกระดาษอีกหลายแผ่นและทุกแผ่นล้วนมีจุดจบอยู่ในถังขยะไม่ต่างจากแผ่นอื่นๆ
ให้ตายสิ เขียนข้อความแค่หนึ่งประโยค ทำไมมันยากกว่าการเขียนรายงานสมัยเรียนมหาลัยอีกนะ
ชนกันต์ใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะได้ข้อความดีๆและน่าคบหา เป็นเวลาเดียวกับที่คนข้างห้องทำเสียงกุกกักบางอย่าง บอกให้รู้ว่าคุณหมอตื่นนอนแล้ว เขามีเวลาไม่มาก
ชายหนุ่มคว้าถุงโจ๊ก เปิดประตูแล้ววิ่งไปหยุดหน้าห้อง 710 เขาบรรจงห้อยถุงโจ๊กไว้บนลูกบิดประตู พร้อมกับกระดาษโน้ตสีฟ้าอ่อนที่ถูกติดไว้บนบานประตู
“ยินดีที่รู้จักครับคุณหมอเทวินทร์-ชนกันต์”



ชนกันต์เลิกงานเวลาสี่โมงเย็น เขาแวะซื้ออาหารและกลับมาถึงอพาร์ทเม้นในเวลาสี่โมงสี่สิบนาที ชายหนุ่มเผลอเหลือบมองประตูห้อง 710 ความมืดจากช่องเล็กๆใต้บานประตูบ่งบอกว่าเจ้าของห้องยังไม่กลับจากที่ทำงาน
ชนกันต์ใช้ชีวิตเรียบง่ายและเงียบเหงา หลังจากเลิกงาน เขาจะตรงกลับ อพาร์ทเม้นท์ กินมื้อค่ำ ดูข่าว เดินไปเดินมา หาหนังสือที่น่าสนใจอ่านสักเรื่อง แต่วันนี้เขาเพิ่มกิจวัตรประจำวันของตัวเองขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างโดยการเลียนแบบพวกโรคจิตถ้ำมอง มีหลายครั้งที่เขาเดินไปส่องตาแมวเพื่อมองทางเดิน และพยายามแนบหูลงบนกำแพงห้องด้านที่ติดกันเพื่อเช็คว่าคุณหมอกลับมาหรือยัง
19.00 น.
เสียงไขประตูและเสียงบานประตูที่ถูกปิดลงเบาๆ ทำให้ชนกันต์หูผึ่ง เขาละความสนใจจากข่าวบันเทิงในทีวีแล้วกระโดดลงจากโซฟา วิ่งพรวดพราดไปกระชากประตูให้เปิดออก แต่น้ำหนักของบานประตูที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติทำให้เขาชะงัก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหันกลับมาสำรวจประตูด้วยความสงสัย ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อพบสาเหตุที่ทำให้ประตูห้องของเขาหนักขึ้น นั่นก็คือแอปเปิ้ลเกือบสิบลูกในถุงพลาสติกถูกห้อยอยู่บนลูกบิดประตู มีกระดาษโน้ตสีฟ้าอ่อนถูกเขียนด้วยปากกาหมึกซึมสีดำถูกแปะอยู่บนบานประตูไม่ต่างจากที่เขาทำเมื่อเช้า
“ขอบคุณสำหรับมื้อเช้าครับ-เทวินทร์”
23.00 น.
ชนกันต์ย่ำเท้าไปมาตรงหน้าประตูห้องเป็นรอบที่หนึ่งร้อย แล้วใช้สายตามองลอดตาแมวออกไปที่ระเบียงทางเดินเป็นรอบที่หนึ่งพัน โอเค มันอาจจะฟังดูเกินจริงไปสักหน่อย แต่สิ่งหนึ่งที่เขาต้องยอมรับอย่างจำใจ คือ…เขาอาการหนักมากจริงๆ
“คุณหมอ”
ชนกันต์พึมพำเมื่อเห็นร่างสูงขาวของคุณหมอเทวินทร์ อีกฝ่ายยืนกอดอกพิงกำแพงเงียบๆ ท่าทางเหมือนกำลังรอใครสักคนไม่ต่างจากการพบกันครั้งแรก ชายหนุ่มยิ้มกว้างแล้วรีบคว้าประตูให้เปิดออกทันที
“สวัสดีครับ”
ชนกันต์เอ่ยทักแล้วแสร้งทำหน้าแปลกใจที่เห็นคุณหมอข้างห้อง อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากระบายรอยยิ้มบางเป็นการทักทาย
“เพิ่งเลิกงานหรือครับ”
ชายหนุ่มถาม ยกมือเกาหัวแก้เก้อ น่าอายชะมัดที่เพิ่งคิดได้ว่าตนเองเปิดประตูห้องแทบจะทันทีที่เห็นคุณหมอ แล้วแบบนี้ยังจะอาจหาญทำเป็นบังเอิญว่ากำลังจะออกไปข้างนอกจึงเปิดประตูมาพบเพื่อนข้างห้องพอดิบพอดีอีกหรือ ช่างไม่แนบเนียบเสียเลยชนกันต์
“ครับ” คุณหมอตอบรับสั้นๆ ไม่ได้มีท่าทางแปลกใจ หรือรู้เท่าทันแผนการโรคจิตของเขาเลย
“เอ่อ ทำอะไรอยู่เหรอครับ”
ชนกันต์ถาม เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองกลายร่างเป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นตั้งแต่เมื่อไร แต่ถ้าให้สอดรู้เรื่องของคุณหมอเทวินทร์ล่ะก็ เขาจะยอมรับตัวตนใหม่ก็ได้
“เปล่าครับ”
ชนกันต์ยิ้มจืดชืดขณะที่ปล่อยให้ตัวเองยืนมองหน้าคุณหมอเงียบๆ อีกฝ่ายเพียงแค่ขยับตัวให้หลังพิงกำแพงแล้วสบตาเขาตอบ เมื่อไม่มีบทสนทนา ความอึดอัดก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาช้าๆ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรพูดอะไร หรือควรจะเอ่ยขอตัวกลับเข้าไปในห้องมั้ย เพราะอย่างไรเสีย ดูท่าว่าคุณหมอจะไม่ได้สนใจในตัวเขาเลย ว่าเขาจะออกไปข้างนอกจริงๆ หรือว่ามาดักรอใครบางคน
แต่จนแล้วจนรอด ชนกันต์กลับขยับเข้าไปยืนพิงกำแพงข้างคุณหมอแทนที่จะกลับเข้าไปในห้อง เขายอมรับว่าแปลกใจมากที่มาเจอคุณหมอยืนเงียบๆอยู่ตรงนี้ ในเวลานี้ถึงสองวัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปรอบๆเพื่อหาที่มาของการรอคอย แต่นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว บนชั้นเจ็ดที่เงียบสงบก็ไม่มีใครเลย…
“ถ้าคุณหมอไม่มีธุระล่ะก็…เข้ามา…เข้ามานั่งเล่นในห้องผมมั้ยครับ”
ชนกันต์กลั้นหายใจแล้วถามออกไปแบบกล้าๆกลัวๆ ส่วนเหตุผลก็คือ
หนึ่ง…เขาไม่ใช่ผู้หญิง การชวนผู้ชายเข้าห้องสองต่อสองจึงไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด
สอง…เขาเมื่อย และไม่รู้ว่าคุณหมอจะยืนตรงนี้อีกนานแค่ไหน
สาม…เขากลัวคุณหมอโดนยุงกัด (แต่จากที่แอบเหล่มองหลายครั้ง คงจะมีแต่เขาคนเดียวที่โดนยุงกัด)
และสี่…เขาอยากคุยกับคุณหมอด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองมากกว่านี้
เห็นมั้ยล่ะว่าชนกันต์เป็นคนมีเหตุผลพอสมควรเลย
“ผมเข้าไปในห้องของคุณได้เหรอครับ”
คุณหมอเทวินทร์ถาม เลิกคิ้วน้อยๆราวกับไม่เชื่อถือในคำเชิญชวนของเขา ชายหนุ่มจึงรีบตอบแล้วพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของตัวเอง
“ได้สิครับ”
ชนกันต์เดินนำไปเปิดประตูห้องแล้วผายมือเข้าไปด้านในเป็นการเชื้อเชิญตามมารยาท คุณหมอเทวินทร์ก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยเป็นการขออนุญาตก่อนจะถอดรองเท้าและก้าวเข้ามาในห้อง
“คุณหมอชอบทานโจ๊กมั้ยครับ” ชนกันต์เริ่มบทสนทนาอีกครั้งเมื่อคุณหมอนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีจอแบน
“ผมทานได้หมดล่ะ”
เฮ้อ ยังดีที่คุณหมอไม่ตอบด้วยประโยคประมาณว่า…เปล่าครับ…หรือ…ครับ
“คุณหมอชอบสีฟ้าเหรอครับ คือผมเห็นคุณหมอใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า เอ่อ คือ ผมคงจะพูดมากไปสินะ”
ชนกันต์เอ่ยถามก่อนจะทันห้ามปากของตัวเองได้ทัน ให้ตายสิ ทำไมเวลาอยู่กับอีกฝ่ายเขาถึงได้ชอบพูดทุกอย่างตามที่ใจคิดนะ แม้จะสงสัยที่อีกฝ่ายใส่ชุดเหมือนเดิม แต่ใครจะบ้าใส่ชุดเมื่อวานโดยไม่ซักกันล่ะ แล้วตัวคุณหมอก็ไม่ได้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เสียหน่อย น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายชอบสีฟ้าจึงซื้อเสื้อสีฟ้าไว้หลายตัวแน่ๆ แต่ก็น่าจะถอดเสื้อกาวน์ออกก่อนนะ เพราะมันหมายถึงคุณหมอกำลังอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังเวลาเลิกงาน
“ไม่หรอก ผมกำลังเหงา โชคดีที่มีคุณมาคุยเป็นเพื่อน”
“คุณหมออยู่คนเดียวเหรอ” ชนกันต์ยิ้มกว้างแล้วปัดความสงสัยที่ไร้สาระออกไปจากสมอง
“ใช่ครับ”
“ชอบดูหนังมั้ยครับ ผมมีเรื่องหนึ่งแนะนำ เผื่อคุณหมอจะอยากดู…”
“เอาสิ”
เมื่อได้ยินคำตอบรับง่ายๆ ชนกันต์ก็รีบลุกจากโซฟาไปรื้อค้นแผ่นดีวีดีที่ชอบซื้อสะสมไว้ตามนิสัยชอบสินค้าถูกลิขสิทธิ์ แล้วเลือกภาพยนตร์ไซไฟชื่อดังของปีนี้มาเปิด
“คุณหมอทำงานที่ไหนเหรอครับ”
“โรงพยาบาลเซนต์โทมัส”
ชนกันต์เลิกคิ้ว…ไม่แปลก เพราะโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอยู่ไม่ไกลจาก อพาร์ทเม้นท์เลย เพียงแต่ข่าวดังในทีวีที่ติดตามอยู่ทุกวันทำให้เขารู้สึกใจไม่ดีและเริ่มกังวลแทนคนที่นั่งเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ เอ่อ ขอเปลี่ยนคำนิยามจากสบายๆเป็นเฉยเมยต่อทุกสิ่งในโลกจะดีกว่า
“ผมได้ข่าวว่ามีฆาตกรต่อเนื่องจ้องจะเล่นงานหมอในโรงพยาบาลนี้ คุณหมอระวังตัวด้วยนะครับ”
“ครับ ผมจะระวัง”
หมอเทวินทร์ตอบ แต่ถ้าชนกันต์ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป เขาแน่ใจว่าเห็นคุณหมอกำลังอมยิ้มอารมณ์ดีต่างจากปกติ และมันทำให้เขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“แล้วคุณหมอเป็นหมออะไรเหรอครับ”
“ผมเป็นหมอห้องฉุกเฉิน แล้วคุณกันต์ล่ะครับ ทำงานที่ไหน”
“ผมเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัท X ครับ”
ประโยคถามตอบ เพื่อทำความรู้จักกันและกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งชายหนุ่มทั้งคู่หลงลืมภาพยนตร์ไซไฟที่กำลังฉายอยู่บนจอทีวี



ชนกันต์ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนในตอนที่แสงแดดลอดผ่านรอยแยกของม่านเข้ามากระทบเปลือกตา ชายหนุ่มยันตัวขึ้นนั่งด้วยความงุนงง เขายังใส่ชุดเมื่อวาน ให้ตายสิ แสดงว่าไม่ได้อาบน้ำ เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรนะ
ชนกันต์คิดไม่ออก จำได้แค่ว่าการคุยกับคุณหมอเทวินทร์เพลิดเพลินกว่าที่คิด เขาคุยกับคุณหมอจนกระทั่งภาพยนตร์จบจึงกดเล่นซ้ำอีกรอบ เพราะต่างคนต่างไม่มีใครดูรู้เรื่องเลย แต่รอบที่สองก็เหมือนเดิม พวกเขาไม่ได้ตั้งใจดูมันสักเท่าไรนอกจากพูดคุยกันเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปในอนาคต
ชนกันต์ต้องการคำตอบว่าตนเองมานอนอยู่บนเตียงได้อย่างไร ?
คุณหมอเป็นคนอุ้มเขามานอนหรือ ?
แต่เขาเป็นคนตื่นง่ายนะ ไม่มีทางที่ถูกอุ้มแล้วจะไม่รู้สึกตัว
แล้วคุณหมอกลับไปเมื่อไรล่ะ ?
ชนกันต์เหลือบไปมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงที่แสดงเวลาแปดโมงตรงด้วยความแตกตื่น ถ้ายังนั่งมึนอยู่บนเตียงต่อไปต้องสายแน่ๆ จึงตัดสินใจสะบัดผ้าห่มทิ้งแล้ววิ่งเข้าไปทำความสะอาดร่างกายในห้องน้ำ
เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย ชนกันต์เปิดกระเป๋าทำงานเพื่อตรวจสอบว่าไม่ได้ลืมของจำเป็น แน่นอนว่าไม่ เพราะเมื่อวานเข้าไม่ได้เอาอะไรออกมาจากกระเป๋าเลย
ชายหนุ่มมีนิสัยย้ำคิดย้ำทำ จึงชอบตรวจสอบสิ่งของรอบตัวซ้ำๆจนกลายเป็นความเคยชิน ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องของเขาอยู่ในสภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือลืมปิดทีวีนั่นเอง โธ่ คุณหมอ อุตส่าห์ล็อกประตูให้ แต่ทำไมไม่ยอมปิดทีวีให้เขาล่ะ
ชนกันต์ปิดทีวี และคิดว่าจะแวะซื้อขนมปังจากเซเว่นไปกินที่ทำงาน แต่ความคิดทั้งหมดก็หยุดลงเมื่อเขาเปิดประตูห้องมาเจอกับถุงใส่ปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ห้อยอยู่ที่ลูกบิดประตู พร้อมกระดาษโน้ตสีฟ้าและข้อความสั้นๆ
“น้ำเต้าหู้ร้านเจ๊พิศอร่อยมากครับ หวังว่าคุณกันต์จะชอบ-เทวินทร์”
น่ารัก…
ชนกันต์คิดแล้วยิ้มกว้าง คุณหมอเทวินทร์เป็นคนที่ทำให้เขาแปลกใจได้เสมอ บางครั้งคุณหมอดูเป็นคนเฉยเมย เงียบเหงาและเข้าถึงยาก แต่บางครั้งกลับกลายเป็นคนละมุมละไมได้มากกว่าที่คิด




โปรดติดตามตอนต่อไป :กอด1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2018 15:44:05 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Nightmare Kiss ตอน ใครอยู่ในห้อง?
«ตอบ #3 เมื่อ02-06-2018 00:47:20 »

ตอนที่ 3


“เอาเหมือนเดิมมั้ย”
“ครับ” ชนกันต์ยิ้มรับ เมื่อได้ยินน้ำเสียงร่าเริงจาก ‘พี่เล็ก’
คนถามคือ ลูกชายเถ้าแก่โชค อีกฝ่ายมักจะถามเขาด้วยประโยคเดิมๆแบบนี้ทุกครั้ง แน่นอนว่าพี่เล็กถามคำถามนี้จนกลายเป็นความเคยชินเสียแล้ว เช่นเดียวกับเขาที่เคยชินกับการตื่นนอนแต่เช้ามาซื้อโจ๊กหมูใส่ตับใส่ไข่แบบพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร และอีกเหตุผลหนึ่งคือ…ชนกันต์มาซื้อโจ๊กไปฝากคุณหมอเทวินทร์
“วันนี้ผมตื่นสาย นึกว่าโจ๊กพี่หมดแล้วซะอีก”
“ยังๆ มานั่งรอเลย อีกคิวเดียวเดี๋ยวได้กิน” พี่เล็กใช้กระบวยตักน้ำซุปโบกไล่ชนกันต์
ชายหนุ่มเดินเข้ามาในร้าน เลือกนั่งบนโต๊ะที่ใกล้พัดลมมากที่สุด เช้าวันเสาร์ในเวลาแปดโมงตรงร้อนด้วยไอแดด แค่ชนกันต์เดินจากอพาร์ทเม้นท์มาร้านโจ๊กก็เสียเหงื่อไปไม่น้อยแล้ว
“มาแล้วววววว”
รอไม่นาน เสียงลากยาวของพี่เล็กก็ดังขึ้นพร้อมกับโจ๊กหมูตับไข่สองถ้วยถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนเจ้าตัวจะทรุดนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ทำไมมันเยอะขนาดนี้อ่ะ เดี๋ยวก็โดนเถ้าแก่ดุหรอก”
ชนกันต์ยู่ปากเมื่อเห็นโจ๊กที่ลดแลกแจกแถม ทั้งหมูที่เยอะเป็นพิเศษ ทั้งที่ปกติก็ตักให้เยอะอยู่แล้ว ไหนจะตับที่เหมือนกับว่าใกล้จะหมด เลยเทใส่ถ้วยเขาให้สิ้นเรื่องไป รวมถึงไข่อีกสองฟอง
“มันจะหมดแล้ว ขี้เกียจขาย”
คำตอบที่สมกับเป็นพี่เล็กทำให้ชนกันต์หลุดเสียงหัวเราะ และยิ่งหัวเราะดังขึ้นไปอีก เมื่อเจ้าของร้านหูดีที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ข้างบ้านเดินมาโบกหัวลูกชายเต็มแรง
ผัวะ!
“โอ๊ย! เตี่ย เจ็บนะ”
“โจ๊กยังไม่หมด ลื้อจะรีบสั่งให้เด็กเก็บร้านทำไมฮะอาเล็ก”
“โธ่เตี่ย เหลือพอขายอีกแค่สองสามถุง เตี่ยก็กินเองซะสิจะได้หมดๆ”
ชนกันต์จำไม่ได้ว่า ตนเองสนิทกับพี่เล็กตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกที พี่เล็กก็ชอบมานั่งกินโจ๊กกับเขาซะแล้ว แถมยังบ่นได้ทุกวันว่าโคตรเบื่อ
พี่เล็กเป็นคนผิวขาว หน้าตาดีตามสมัยนิยม จึงดึงดูดสาวๆได้ไม่ยาก เสียก็แต่เจ้าตัวเป็นคนชอบกวนประสาทและปากหาเรื่อง ทำให้ยังโสดมาจนถึงทุกวันนี้ แถมวันๆไม่ค่อยได้ออกไปไหนไกลบ้าน นอกจากออกไปจ่ายตลาดกับวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้ๆ
“นิสัยขี้เกียจแบบนี้ติดมาจากใคร อั๊วไม่เคยสอนให้ลูกขี้เกียจ จะมากหรือน้อยก็ต้องขาย”
“เอ่อ…ผม”
ชนกันต์ที่เกิดละอายใจกะทันหัน วางช้อนแล้วเตรียมยกมือขอขมาเจ้าของร้านที่ตนเองมากินโจ๊กเกินราคาได้ทุกวัน
“เฮียไม่ได้ว่าอากันต์นะ กินซะๆ อย่าเกรงใจ”
“อ้าว แล้วทำไมทีเรื่องนี้เตี่ยไม่ด่าล่ะ” พี่เล็กแย้งด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“เพราะอั๊วเอ็นดูอีไง ที่อุตส่าห์มาคบหาคนแบบลื้อเป็นเพื่อน”
 “ฮูว พูดซะสำนึกได้เลย”
Trrrrrrrrrr
เสียงสมาร์ทโฟนที่ดังขัดจังหวะ ทำให้เถ้าแก่โชคชะงักมือที่กำลังจะโบกหัวเจ้าลูกชาย มาหยิบอุปกรณ์สื่อสารตกรุ่นจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นชื่อของปลายสายที่แสดงอยู่บนหน้าจอ
“โอ๊ะ อาใหญ่โทรมา…อาใหญ่ ลื้อถึงไหนแล้ว”
เถ้าแก่โชครีบกดรับโทรศัพท์แล้ววิ่งไปหามุมสงบคุยด้านหลังร้าน แต่เพราะท่าทางดีอกดีใจจนออกนอกหน้า ทำให้คนขี้อิจฉาบางคนเริ่มขมวดคิ้วยุ่ง
“แค่พี่ใหญ่บอกจะกลับบ้าน เตี่ยก็หน้าบานแล้ว ส่วนพี่ก็เป็นหมาหัวเน่าเหมือนเดิม”
“พี่ชายพี่เล็กเหรอครับ”
ชนกันต์ถามเพื่อความแน่ใจ เขารู้แค่ว่าพี่เล็กอาศัยอยู่กับพ่อสองคน ส่วนแม่เสียไปหลายปีแล้ว
“ใช่ ไปทำงานเป็นช่างภาพที่กรุงเทพหลายปีแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจมันไม่ค่อยดี คนเก่งๆก็เยอะแยะ พอตกงานก็เลยต้องยอมกลับมาบ้านเนี่ยแหละ”
“พี่เล็กจะได้มีคนช่วยขายโจ๊กไงครับ”
“อืม”
ชนกันต์ชี้ให้เห็นข้อดี แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยินดียินร้ายกับการที่พี่ชายกลับมาบ้านเลย
“พี่เล็ก โจ๊กที่เหลือผมเหมาล่ะกัน”
“เออ พี่ก็ว่าจะถามตั้งนานแล้ว”
พี่เล็กเงยหน้าจากถ้วยโจ๊กมามองหน้าชนกันต์ตาเป้ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“บอกมาซะดีๆ ว่าซื้อโจ๊กสองถุงเกือบทุกวันไปแจกสาวที่ไหน”
“สาวที่ไหน ไม่มีอ่ะ” ชนกันต์ส่ายหัวปฎิเสธ เขาไม่เคยซื้อโจ๊กไปฝากสาวเลย ถ้าฝากหนุ่มก็ว่าไปอย่าง
“หรือหนุ่ม?”
ลูกชายร้านโจ๊กแซวขำๆ แต่ไอ้อาการชะงักค้างพร้อมตาโตๆที่มองเขาด้วยความตกใจนั่นมันอะไรกัน 
“พี่แค่แซวเล่น เอ๊ะ หรือว่าจริง”
ชนกันต์ไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้าก้มตากวาดโจ๊กเข้าปาก ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดหัวเราะของอีกฝ่าย เขารู้ว่าพี่เล็กมันชอบกวนประสาท แต่ไม่คิดว่าจะมีนิสัยขี้แกล้งแบบนี้ด้วย
“เอ้า หน้าแดงขนาดนี้แล้ว พี่ไม่รู้เลยว่ะว่าแอบไปปิ๊งหนุ่มที่อพาร์ทเม้นท์”
“พูดมาก”
ชนกันต์บ่นงึมงำ เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ ใบหน้าของตนเองเป็นอย่างไร จะแดงจริงอย่างที่อีกฝ่ายบอกหรือเปล่า แต่เมื่อคิดไปถึงดวงหน้าหล่อเหลาของคนที่เขาซื้อโจ๊กไปฝากมันก็อดรู้สึกวูบวาบไม่ได้ แถมหัวใจบ้าก็ช่วยยืนยันด้วยการเต้นกระหน่ำจนออกนอกหน้าซะอย่างนั้น
“เราเป็นคนที่มองออกง่ายจริงๆ…แล้วคนๆนั้นเป็นใครอ่ะ บอกหน่อยดิ เผื่อพี่รู้จัก ที่ถามก็เพราะเป็นห่วง กลัวจะโดนหลอก”
ดูเหมือนที่เล็กจะหมดความสนใจในอาหารเช้าแล้ว เพราะเจ้าตัวเล่นวางช้อน แล้วเอามือสองข้างเท้าคางมองเขา
“เป็นห่วงหรืออยากรู้อยากเห็นกันแน่” ชนกันต์เบ้ปาก แล้วอดค่อนขอดอีกฝ่ายไม่ได้
“ด่าว่าเสือกง่ายกว่ามั้ย”
พี่เล็กถลึงตามองเขา แล้วชนกันต์ก็ไม่ชอบขัดศรัทธาใครเสียด้วย จึงรีบเอ่ยชื่นชมด้วยคำสั้นๆได้ใจความ
“เสือก!”
“หยาบคาย เดี๋ยวตีปากแตก”
ชนกันต์หลุดยิ้ม เมื่อพี่เล็กว่าเขาด้วยสีหน้าที่โคตรหาเรื่อง เจ้าตัวยกมือขวาขึ้นมาประกอบคำพูด เหมือนผู้ใหญ่กำลังขู่เด็กๆว่าจะต้องโดนตี แต่มันน่ากลัวซะที่ไหน   
ชนกันต์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ…ก็บอกให้ด่าว่าเสือก เขาก็แค่ด่าตรงๆตามที่พี่เล็กต้องการเท่านั้นเอง จะมาว่าเขาไม่ได้นะ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้อายุมากมายแต่เริ่มอารมณ์แปรปรวนเหมือนคนวัยทองแล้ว
“ผมน่าจะชอบคนข้างห้องอ่ะ”
“ทำไมใช้คำว่าน่าจะล่ะวะ” พี่เล็กทำหน้าสนอกสนใจทันทีที่เขาเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง
“เขาเป็นผู้ชายไงพี่ แล้วผมก็ไม่อยากเป็นเกย์ด้วย”
ชนกันต์ตอบ เขาไม่เคยกังขาในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อหมอเทวินทร์เลย เพียงแต่จิตใต้สำนึกลึกๆมันอดประท้วงไม่ได้ มีหลายครั้งที่เขาพยายามยกเหตุผลต่างๆมาบอกตัวเองว่า มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติที่ผู้ชายจะรักจะชอบกัน อีกอย่างเขาก็เชื่อมั่นในตัวเองมาตลอดว่าชอบผู้หญิง แล้วอยู่ๆวันหนึ่งก็เกิดอยากจะชอบผู้ชายขึ้นมา อย่าว่าแต่ครอบครัวของเขาที่รับไม่ได้ ตัวเขาเอง ยังไม่อยากจะยอมรับเลย
ทุกวันนี้ ชนกันต์กับหมอเทวินทร์ไม่ได้มีสัมพันธ์คืบหน้าไปกว่าเพื่อนข้างห้อง คุณหมอรักษาระยะห่างได้ดี และเขาก็พอใจกับระยะห่างนั้น เขาแค่อยากนำโจ๊กไปห้อยที่หน้าประตูห้องคุณหมอทุกเช้า และรอเก็บกระดาษโน้ตสีฟ้าจากคุณหมอ ที่จะถูกแปะไว้บนประตูทุกวันใส่ลิ้นชัก บางวันพวกเขาอาจจะนั่งคุยกันบนโซฟาเล็กๆหน้าทีวีในห้องของเขา พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิต มันอาจจะดูน่าเบื่อ และเขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่าคุณหมอจะเบื่อหรือเปล่า แต่สำหรับเขา เขาชอบที่เป็นอยู่ในตอนนี้มากที่สุดเลย
“คนมันจะรักจะชอบห้ามได้ที่ไหน แล้วคำว่าเกย์ก็เป็นแค่คำจำกัดความที่ใช้เรียกผู้ชายที่ชอบผู้ชาย ไม่ได้แปลว่าผิดปกติหรือไม่ดีตรงไหน”
พี่เล็กอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง และรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ก็ช่วยยืนยันได้ดีว่ามันไม่น่ารังเกียจเลย
“อืม ผมแค่รู้สึกแปลกๆ”
ชนกันต์แย้งเบาๆ ถ้าถามว่าแปลกตรงไหน เขาก็ไม่แน่ใจ แค่คิดว่ามันแปลกถ้าวันหนึ่งเขาอยากจะควงคุณหมอออกไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสอง
“ถ้ากลัวแปลกก็เลิกชอบซะสิ”
“เลิกไม่ได้อ่ะ”
ชนกันต์ตอบทันควัน ถ้าการเลิกชอบใครสักคนมันง่ายเหมือนการโยนของเก่าทิ้งถังขยะเขาคงทำไปนานแล้ว
“เห็นม่ะ ระหว่างเป็นเกย์ กับได้คบกันคนๆนั้นจะเลือกอะไร”
“คบเลยเหรอ”
ชนกันต์ร้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง เขาไม่เคยคิดไปถึงขั้นนั้นเลยสักครั้ง…เขากับคุณหมอเทวินทร์คบกันเป็นแฟน ไปกินข้าว ดูหนัง เดินจับมือเหมือนคู่รักทั่วไปงั้นเหรอ?
ไม่มีทาง!
“ผมคิดว่าเขาไม่ได้ชอบผู้ชาย”
“เราเอาโจ๊กไปฝากเขามาสองอาทิตย์แล้ว เขาว่าไรปะ”
ชนกันต์เลิกคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ มันไปเกี่ยวอะไรกับโจ๊กที่นำไปฝากคุณหมอทุกวัน
“ไม่นะ ก็คุยปกติดี”
“นั้นไง!!” พี่เล็กใช้มือตบโต๊ะรัวๆ แล้วเอ่ยต่อด้วยความมั่นใจ “แสดงว่าเขาไม่รังเกียจ มีแนวโน้มเป็นไปได้”
“พี่มั่นใจได้ไงอ่ะ”
ชนกันต์ถาม คุณหมอเป็นคนดี เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่รังเกียจความรู้สึกของเขา เพียงแต่การตอบรับมันเป็นอีกเรื่อง
“โว๊ะ เราอ่ะมันซื่อ”
ชนกันต์ขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายกลอกตามองบน แล้วใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากเขาแรงๆ บอกเลยว่าแรงควายมาก ถ้าเขาทรงตัวไม่ดีอีกนิด มีหวังหงายหลังลงไปนอนบนพื้นแล้ว 
“เอาข้าวเอาน้ำไปฝากเขาทุกเช้าขนาดนั้น ถ้าเขาไม่รู้ว่าเราคิดอะไร คนๆนั้นก็โง่เต็มทีแล้วโว้ย”
“พี่ว่าเขารู้เหรอ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง หัวใจเจ้ากรรมเริ่มเต้นโครมๆ รู้สึกว่าดวงหน้ามันร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ
“ต้องรู้ดิวะ ถ้าเขาไม่มีใจคงปฎิเสธหรือตีตัวออกห่างไปนานแล้ว แล้วเขาได้ทำอย่างนั้นมั้ยล่ะ”
ไม่…
เพียงแต่ความคลุมเครือของคุณหมอ ทำให้เขาไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง จึงเลือกที่จะเมินเฉยต่อคำถามที่ถูกพี่เล็กจุดขึ้นมา
“ว่าจะถามนานแล้วก็ลืม เห็นว่าที่อพาร์ทเม้นท์มีคนเช่าเต็มตลอด แล้วเรามาที่หลังนี่อยู่ชั้นไร คงจะไม่ได้…”
พี่เล็กเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาต่างก้มหน้าก้มตากินโจ๊กในถ้วยของตัวเองจนหมด
“ชั้นเจ็ด”
“จริงดิ”
“ทำไมอ่ะ”
“ไม่กลัวหรือไงเล่า”
ชนกันต์กะพริบตาปริบ ก่อนที่ความเข้าใจจะแล่นสู่สมอง เมื่อเห็นว่าผู้ชายตัวโตๆ แต่ขวัญอ่อนตรงหน้า กำลังยกแขนขึ้นมากอดตัวเองแน่น อย่างกับว่าจะมีผีสางโผล่ออกมาหลอกตอนกลางวันแสกๆ
“อ่อออออ เรื่องผีอ่ะนะ” ชนกันต์แกล้งลากเสียงยาวกวนประสาท ให้อีกคนแยกเขี้ยวใส่
“ไม่นี่ ผมก็ไม่เห็นว่าชั้นเจ็ดจะมีอะไรผิดปกติเลย ก็แค่ไฟทางเดินมันเสีย ชอบติดๆดับๆเท่านั้นเอง”
“ไม่รู้อะไรซะแล้ว ขยับมานี่จะเล่าอะไรให้ฟัง”
“เล่ามาๆ”
ลูกชายเจ้าของร้านโจ๊กที่แปลงร่างเป็นกูรูเรื่องสิ่งลี้ลับกวักมือยิกๆ เรียกให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของชนกันต์ทำงาน จึงรีบยื่นหน้าเข้าไปเกือบชิดอีกฝ่าย ก่อนจะโดนยันกลับมาเต็มๆ
 “ชิดไปล่ะ”
“ก็บอกเองให้ขยับมาเองนี่”
พี่เล็กหันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่มีลูกค้าในร้านแล้ว จึงเริ่มต้นเล่าด้วยเสียงที่หรี่ลงให้เบา
“เมื่อก่อน สมัยที่ยังไม่มีอพาร์ทเม้นท์ร่มฤดี ที่ตรงนี้คืออพาร์ทเม้นท์เจเจ เปิดมานานหลายปีแล้ว กิจการดีมาก แต่เมื่อสองปีก่อนมีคนที่อาศัยอยู่บนชั้นเจ็ดถูกฆ่าตาย ลือกันว่าวิญญาณเฮี้ยนมาก ไม่ยอมไปผุดไปเกิด คนอื่นๆเลยพากันย้ายออก อีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะกลัวฆาตกรด้วยแหละ เพราะตำรวจยังตามจับไม่ได้เลย แล้ว…”
“แล้วไงต่อ อย่าเพิ่งกินดิ”
ชนกันต์ว่า แล้วแย่งแก้วน้ำออกมาจากมือคนท่ามาก น่าหมั่นไส้โว้ย ทำไมต้องเกิดอยากจิบน้ำตอนนี้ด้วยเล่า พี่เล็กแย้มรอยยิ้มวางภูมิ แต่ก็ยอมเปิดปากเล่าต่อ
“แล้วเมื่อปีก่อน พอข่าวลือเริ่มซาลง ป้าณีแกก็มาซื้ออพาร์ทเม้นท์ที่ถูกเจ้าของคนเก่าปล่อยทิ้งร้าง แล้วปรับปรุงใหม่จนดูดีอย่างทุกวันนี้ ส่วนคนที่มาเช่าก็เป็นพวกคนต่างถิ่นทั้งนั้นเลยไม่รู้เรื่องข่าวนี้ แล้วคนแถวนี้ก็ไม่อยากพูดถึงแล้ว”
“พี่จะบอกว่า คนที่เคยตายบนชั้นเจ็ดเป็นผีสิงอยู่ที่นี่เหรอ” ชนกันต์สรุป
“ไม่รู้เว้ย เออ อีกเรื่องก็คือ ศาลพระภูมิหน้าอพาร์ทเม้นท์เราอ่ะ มันตั้งผิดทิศ เตี่ยพี่เคยบอกป้าณีไปหลายครั้งแล้ว แต่แกไม่ยอมทำพิธีตั้งใหม่ซะที”
“ศาลพระภูมิตั้งผิดยังไง”
“คนโบราณเชื่อกันว่าห้ามตั้งศาลพระภูมิทางทิศใต้ เพราะพระภูมิเจ้าที่จะไม่มีอำนาจปกป้องบ้านเรือน ทำให้สัมภเวสีเร่ร่อนออกมาอาละวาดในวันพระได้ แล้วคนที่ดวงตกจริงๆก็จะอยู่ไม่เป็นสุข มีแต่ความเดือดร้อน”
“แปลว่าผมมีบุญงั้นสิ”
ชนกันต์เอ่ยเย้า แล้วพยักหน้างึกๆ เขาไม่ใช่คนสายบุญ เรื่องเข้าวัด ฟังเทศน์ แทบไม่เคยทำ ยิ่งเป็นเรื่องความเชื่อโบราณด้านศาสนา ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน
ชนกันต์เชื่อว่าเรื่องวิญญาณเป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เขาไม่ได้ยึดถือถึงการมีอยู่ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่เช่นกัน ในเมื่อเขายังใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปหวาดกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น
“ตลกไปเถอะ เจอผีสักวันจะร้องไม่ออก”



ชนกันต์ก้าวเท้าไปบนแผ่นหินเล็กๆ ที่ถูกวางทิ้งระยะห่างพอเหมาะบนสนามหญ้าหน้าอพาร์ทเม้นท์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบไปมองศาลพระภูมิสีขาวที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เขาไม่เคยยกมือไหว้ หรือให้ความสนใจมาก่อน เพียงแต่ความอยากรู้อยากเห็นที่ตกค้างมาจากเรื่องเล่าของพี่เล็ก ทำให้เขาก้าวเหยียบสนามหญ้าเข้าไปยืนมองใกล้ๆ ด้านในศาลพระภูมิมีตุ๊กตาช้างและม้า ตุ๊กตาชายหญิง และตุ๊กตานางรำ ทุกตัวทำจากเซรามิคลงสีสดใส
ชนกันต์ไม่เคยสังเกตใบหน้าของตุ๊กตาในศาลพระภูมิแห่งอื่นมาก่อน มันคงเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป เพียงแต่ใบหน้าที่ลงสีขาวของตุ๊กตานางรำมันให้ความรู้สึกซีดเซียว และดวงตาสีดำที่เปิดค้างไว้ ชวนให้ขนอ่อนหลังคอของเขาลุกชัน มันดูแข็งกระด้างและน่ากลัว
กลิ่นธูปที่ลอยมาพร้อมลมหอบใหญ่พัดกระโชกใส่ชนกันต์ จนเขาต้องปิดตาหนีฝุ่นละออง เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ แต่เขากลับตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะกระถางธูปหน้าศาลพระภูมิที่มอดดับไปนานแล้วไม่ควรส่งกลิ่นอะไรได้อีก แต่เขาควรคิดอีกแง่หนึ่งว่า บ้านเรือนข้างๆอาจจะจุดธูปไหว้พระก็ได้
ชนกันต์ส่ายหน้าเบาๆ พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้หลุดจากสมอง ก่อนจะรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกจับตามองมาจากด้านบน เขาเงยหน้า กวาดสายตามองระเบียงห้องแต่ล่ะชั้นช้าๆ นอกจากเสื้อผ้าที่ถูกเจ้าของห้องบางคนตากไว้ กำลังสะบัดเบาๆเพราะแรงลม เขาก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดอีก
สายตาของชายหนุ่มเลื่อนไปหยุดที่ระเบียงห้องสุดท้าย ทางฝั่งซ้ายมือบนชั้นเจ็ด…ห้องของหมอเทวินท์
คุณหมอไม่ได้ตากผ้า จึงไม่ยากที่จะมองเห็นผ้าม่านสีเทาหลังกระจกใส แต่สิ่งที่ทำให้ชนกันต์ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่คือ…ใบหน้าของคนที่แนบอยู่หลังม่าน…ชนกันต์ไม่กล้าคิดอะไรนอกเหนือจากว่าใบหน้านั้นคือหมอเทวินท์ และความสงสัยของเขาคงได้รับคำตอบ หากเขามีความกล้ากว่านี้อีกสักนิดที่จะทนมองผ้าม่านค่อยๆเลื่อนเปิดออก แต่สิ่งที่เขาทำ คือวิ่งเข้าไปในอาคารสีขาวและพยายามลืมเรื่องทั้งหมด




โปรดติดตามตอนต่อไป :pig4:



ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


ตอนที่ 4

ทีวีในห้องนั่งเล่น กำลังแสดงภาพของกลุ่มนักข่าวที่กรูกันเข้าไปสัมภาษณ์นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เกี่ยวกับการสืบหาตัวฆาตกรต่อเนื่องที่กำลังเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ แต่นอกจากการให้คำตอบสั้นๆว่าเป็นความลับทางราชการ นายตำรวจก็  ปฎิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ
“เฮ้อ แล้วเมื่อไรจะจับได้สักที”
ชนกันต์บ่นงึมงำด้วยความเบื่อหน่าย คว้ารีโมททีวีมากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดที่ละครรักหลังข่าว ที่มีผู้หญิงสองคนตบตีกัน ให้ตายสิ น่าเบื่อพอกันเลย ชนกันต์เลือกที่จะเปิดทีวีทิ้งไว้เพื่อไม่ให้ห้องพักเงียบจนเกินไปแล้วเดินเข้าไปในครัว
ชายหนุ่มหากิจกรรมยามว่างในคืนวันเสาร์ให้ตัวเองด้วยการหัดทำซุปไก่เห็ดหอม เขาไม่ใช่คนชอบทำอาหาร และไม่มีโอกาสเข้าครัวบ่อยนัก เพียงแต่อยู่ๆก็คิดถึงอาหารจานโปรดสมัยเด็ก ที่ชอบอ้อนให้คุณย่าทำให้กินบ่อยๆ แต่หลังจากคุณย่าเสียชีวิตไปแล้ว เขาก็หาร้านอาหารที่ทำซุปไก่เห็ดหอมถูกปากไม่ได้เลย
ชนกันต์พยายามหั่นเห็ดหอมและผักชีอย่างเก้ๆกังๆ พลางก้มมองวิธีการทำจากในสมาร์ทโฟน เมื่อปรุงรสและใส่ทุกอย่างลงในหม้อแล้ว เขาก็คิดว่าจะกลับไปดูทีวีและปล่อยทิ้งไว้สักหนึ่งชั่วโมงให้เนื้อไก่เปื่อยนิ่ม
“เฮ้ย!!”
ชนกันต์หมุนตัวกลับมาก่อนจะร้องลั่นด้วยความตกใจ เท้าก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นร่างผู้บุกรุกยืนนิ่งอยู่กลางห้องของตัวเอง แต่เมื่อกะพริบตามองให้ดีๆแล้ว จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าผู้บุกรุกคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เคยบุกรุกห้องเขามานับครั้งไม่ถ้วน
“ให้ตายสิหมอ! ทำไมเข้ามาเงียบๆแบบนี้ล่ะครับ ถ้าผมหัวใจวายตายจะทำยังไง”
ชนกันต์โวยวายด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง เขาไม่ใช่คนขวัญอ่อน แต่ไอ้การที่มีคนเดินเข้าห้องของเขาโดยไม่เคาะประตู หรืออาจจะเคาะแต่เขาไม่ได้ยิน เลยถือวิสาสะเดินเข้ามาเงียบๆแบบนี้ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นล่ะ
“ขอโทษครับ”
หมอเทวินทร์ตอบด้วยรอยยิ้มบาง ไม่ได้มีวี่แววสำนึกเลย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่ชนกันต์จะรีบยกโทษให้ เพราะรอยยิ้มที่นานๆจะได้เห็นมันชวนให้หัวใจดวงน้อยของคนมองเต้นผิดจังหวะ
“เพิ่งเลิกงานเหรอครับ”
“ครับ”
“ทานอะไรมาหรือยัง ผมกำลังหัดทำซุปไก่เห็ดหอม หมอทานด้วยกันนะครับ”
ชนกันต์เอ่ยชวน เพราะดูจากการแต่งตัวเต็มยศด้วยเสื้อกาวน์สีขาวทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน เขาเดาว่าคุณหมอคงเพิ่งออกเวรในวันหยุดแน่ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่หิว” หมอเทวินทร์ปฎิเสธอย่างสุภาพ แล้วทรุดนั่งบนโซฟาตัวยาว
“ไม่หิวหรือไม่ไว้ใจผมกันแน่ กลัวไม่อร่อยล่ะสิ”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น คุณกันต์ทำอะไรก็อร่อยครับ”
ชนกันต์ชะงักค้าง เขาสาบานว่าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง แต่คำพูดโอ้โลมของหมอเทวินทร์ที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก กับรอยยิ้มหวานๆที่ส่งมา ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายพยายามล่อหลอกให้เขาใจแตกอยู่แน่ๆ
“อย่าทำแบบนี้กับผมสิครับหมอ”
ชายหนุ่มเลี่ยงการสบนัยน์ตาสีดำสนิทด้วยการแหล่ไปมองสิ่งของรอบๆห้อง ราวกับเจ้าตัวไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วให้ตายสิ เขาเริ่มจะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่เอาแต่ยิ้มเขินไม่ได้แล้ว
“หืม”
“อ่อยผมอยู่หรือเปล่า”
ชนกันต์เอ่ยถามตรงๆ เขาหมดความอดทนกับความน่ารักของหมอเทวินทร์แล้ว ถ้าอีกฝ่ายต้องการสานต่อความสัมพันธ์จริงๆ ก็ควรพูดออกมาให้เขารู้ หรือถ้าอีกฝ่ายเพียงแค่เป็นคนอัธยาศัยดี ชอบมาพูดคุยกับคนข้างห้อง เขาจะได้ระวังตัวระวังใจให้มากกว่านี้
“เปล่าครับ ไม่ได้คิดจะทำให้คุณ…หวั่นไหวเลย”
หมอเทวินทร์หลุบตามองพื้นครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากตอบอย่างระมัดระวัง         ชนกันต์พยักหน้างึกๆอย่างจำยอม เขาว่าแล้วว่าพี่เล็กมโนไปเอง หมอไม่มีทางชอบผู้ชายหรอกน่า…
“แต่ถ้าได้ก็ดี”
“ไม่คิดว่าหมอจะพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วย”
ชนกันต์ว่าเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของคุณหมอ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างมองคนที่กำลังหัวเราะเบาๆด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไอ้หมอบ้าไม่รู้หรอกว่าหัวใจดวงน้อยของเขาห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว และเร็วพอๆกันเมื่อมันถูกอัดลมให้พองโตอีกครั้ง
 “ผมพูดได้มากกว่านี้อีก กันต์อยากฟังอีกเหรอครับ”
เกือบหนึ่งนาทีเต็มๆ ที่ชนกันต์จนคำพูด ได้แต่ยืนเก้ออยู่กลางห้องนั่งเล่น  ชายหนุ่มไม่อยากรู้หรอกว่า คำว่า ‘มากกว่านี้’ ของหมอเทวินทร์หมายความว่าอย่างไร และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้จริงจังกับคำถาม คุณหมอเริ่มทำตัวตามสบายเหมือนอยู่ในห้องของตัวเองโดยการคว้ารีโมทโทรทัศน์มากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ



ไอ้หมอบ้า!
ชนกันต์สบถในใจ แล้ววักน้ำขึ้นมาล้างหน้าหลายต่อหลายครั้งจนเสื้อเปียกชุ่ม ความเย็นจากสายน้ำช่วยทำให้จิตใจที่สับสนสงบลงได้ ชายหนุ่มเงยหน้ามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกห้องน้ำ แล้วสูดหายใจลึก เขาไม่แน่ใจเลยว่าวันนี้จะสามารถคุยกับหมอเทวินทร์แบบปกติได้ 
สู้เว้ย!
ชนกันต์ยกกำปั้นสองข้างเป็นการให้กำลังใจตัวเอง เขาไม่ได้ไปรบ แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับไปรบนั่นล่ะ เมื่ออีกฝ่ายคือคุณหมอหน้าตาดีมากคนนั้น
ขณะที่กำลังหมุนตัวไปจับลูกบิดประตู เสียงกดชักโครกก็ทำให้ขาสองข้างชะงัก มันคงไม่แปลกอะไรที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากอีกด้าน เพราะผนังห้องน้ำติดกับห้องน้ำห้อง 710 และไม่ว่าเสียงอะไรก็ตาม มันไม่ควรดังขึ้นในตอนที่หมอเทวินทร์กำลังนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นของเขา!
ชนกันต์รู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่ได้ยินเสียงจากห้อง 710 เขาไม่รู้ว่ามันแปลกอย่างไร อาจจะเป็นเพียงความสงสัยของคนโง่ๆ ที่ชวนหมอเข้ามาในห้องของตัวเองได้ทุกคืน แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยชวนเขาเข้าไปในห้องเลย ชนกันต์คิดว่ามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในห้องนั้น และมันเชิญชวนให้เขาอยากค้นพบเหลือเกิน หรือบางที…เขาแค่อยากยืนยันกับตัวเองว่าในห้องของหมอเทวินทร์ ไม่ได้มีอะไร…ผิดปกติ!
“หมอครับ มีใครอยู่ในห้องหมอหรือเปล่า”
ชนกันต์พรวดพราดออกมาจากห้องน้ำแล้วเอ่ยถามเจ้าของห้องตรงๆ อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขาแล้วเลิกคิ้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังกับคิ้วที่ขมวดยุ่ง คุณหมอก็เอ่ยปากตอบเรียบๆ
“ไม่ครับ ผมอยู่คนเดียว”
“แต่ผมได้ยินเสียงกดชักโครกจากห้องหมอนะครับ”
“คุณแค่คิดไปเอง” หมอเทวินทร์ขยับยิ้ม ก่อนจะหันไปสนใจภาพยนตร์ชื่อดังที่ถูกนำมาฉายซ้ำในทีวี
“หมอครับ”
ชนกันต์เรียก เขารู้สึกโมโหขึ้นมาดื้อๆ ทำไมหมอทำเหมือนกับสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งที่คนเป็นเจ้าของห้องควรจะเดือดร้อนกับการมีใครไม่รู้มาอยู่ในห้องของตัวเองไม่ใช่หรือ
“มาทานข้าวเถอะครับ”
“ผมขอเข้าไปดูในห้องหมอได้มั้ย ถ้าเผื่อว่ามีขโมย…”
“นี่มันชั้นเจ็ดนะกันต์” หมอเทวินทร์ตัดบทก่อนจะลุกจากโซฟาเพื่อเผชิญหน้ากับเขา
“ทำไมผมเข้าไปในห้องหมอไม่ได้ ทั้งที่หมอเข้ามาห้องผมเกือบทุกวัน มันมีอะไรที่ผมเห็นไม่ได้ครับ”
ชนกันต์ถาม ในเมื่อหมอไม่มีคำตอบ เขาก็จะใช้ความเงียบกดดันให้พูด นัยน์ตาสีน้ำตาลมองเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายเงียบๆ เขาบอกไม่ได้ว่าหมอเทวินทร์กำลังคิดอะไร หรือรู้สึกอย่างไร นัยน์ตาสีดำยังคงดำมืดและลึกยิ่งกว่าเหวใดๆ และสุดท้าย คนที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพราะทนต่อความเงียบไม่ไหวกลับกลายเป็นเขา       ชนกันต์ถอนหายใจเฮือก ได้หมอ! ในเมื่อไม่พูด เขาก็ไม่ต้องการคำตอบ แต่เขาจะค้นหาคำตอบเอง!
ชนกันต์ผลักหมอเทวินทร์ให้พ้นทาง แล้วก้าวเท้าตรงไปยังประตู แต่ก่อนที่มือจะสัมผัสกับลูกบิด แขนข้างหนึ่งของเขาก็ถูกกระชากเข้าหาตัวอีกฝ่าย เขาหลับตาแน่น คิดว่าต้องโดนคุณหมอชกหน้าแน่ๆเลย แต่สัมผัสรุนแรงที่ได้รับกลับทำให้เขาเจ็บจี๊ดบริเวณริมฝีปาก
ชนกันต์ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของคุณหมอ จูบร้อนที่ประกบลงมาบนริมฝีปากทำให้เขาตื่นตระหนก แต่เพียงครู่เดียว สัมผัสที่ได้รับก็ค่อยๆทวีความอ่อนหวาน นุ่นนวลราวปุยเมฆที่จับต้องไม่ได้ มันปลอบโยนให้เขายืนนิ่งๆให้อีกฝ่ายรุกราน
ชนกันต์ไม่รู้ว่านานเท่าไรที่หมอเทวินทร์จูบเขา และเขาเผลอจูบโต้ตอบไปอย่างไม่ประสา แต่เมื่ออีกฝ่ายคลายอ้อมกอดออกแล้วละสัมผัสจากริมฝีปาก เขากลับรู้สึกอ่อนแรง ได้แต่ใช้มือสองข้างขยุมเสื้อคุณหมอไว้เพื่อพยุงร่างกาย
“หมอ” ชนกันต์หายใจหอบ ริมฝีปากสั่นน้อยๆขณะอ้าปากเรียกคนตัวสูงที่กำลังก้มมองเขาเงียบๆ
“ทะ ทำไม ทำไม…จูบ”
“ผมจูบเพราะอยากจูบ หรือคุณรังเกียจ”
“เปล่า” ชนกันต์พึมพำ เผลอเม้มปากแน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบต่ำ เขาไม่คิดว่าหมอเทวินทร์จะกล้าล้ำเส้นความสัมผัสฉันท์คนข้างห้อง เข้ามาใกล้ชิดมากขนาดนี้ ยิ่งคิดถึงสัมผัสเมื่อครู่ ยิ่งรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า เขาจูบไม่เป็น เรียกว่าไม่เคยจูบจะง่ายกว่า แต่หมอบ้าก็รุกเอารุกเอาขนาดนั้น แล้วเขาจะเอาอะไรไปโต้ตอบ นอกจากทำตัวเงอะงะให้ขายหน้า
“งั้นแสดงว่าคุณชอบ”
ชนกันต์ชะงัก ความคิดที่ว่า…ต่อไป จะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไร หยุดลงทันที เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะขำขันอ้อนมืออ้อนเท้าของคุณหมอ
“อย่าโมเม ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าชอบ”
“แต่ผมรู้ใจคุณ…ว่าคุณชอบ”
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูทำให้ชนกันต์รู้สึกเคลิ้มฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น เขาพยักหน้าช้าๆ แต่ก่อนที่สติสุดท้ายจะดับวูบไป เขายอมรับกับตัวเองแล้วว่า ‘ชอบ’






---50%---



ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
หมอเป็นผีเร้อะ?!?! หรือเป็นฆาตรกร
น่ากลัวมาก​ อ่านละหลอน​  :sad4:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


(ต่อ)


ตอนที่ 4


“ทานยาให้ครบตามที่หมอบอกนะครับ ถ้าได้ยินเสียงในหูอีกเมื่อไร ให้รีบมาหาหมอทันที”
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
นายแพทย์เทวินทร์ อัครเดช เอ่ยกำชับคนไข้วัยกลางคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วก้าวออกไปจากห้องตรวจ จิตแพทย์หนุ่มใช้ปากกาเขียนลายมือหวัดๆลงในแฟ้มสีเหลืองอ่อนที่มีตราประทับของโรงพยาบาลอยู่ด้านหน้า ขยับตัวเอนหลังพิงเก้าอี้หนังตัวใหญ่ แล้วพิมพ์ข้อมูลสั่งยาลงในคอมพิวเตอร์ เพื่อส่งต่อคำสั่งไปถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายจ่ายยา เหลือบตามองตารางนัดหมาย และพบว่าคนไข้เมื่อครู่เป็นคนสุดท้ายสำหรับวันนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
บานประตูถูกเปิดออก พร้อมพยาบาลสาวผมสั้นที่ก้าวเข้ามาวางแฟ้มประวัติคนไข้ลงบนโต๊ะทำงาน
“หมอกายขา ผู้หมวดกรวิวัฒน์มาขอพบค่ะ”
เทวินทร์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เมื่อสัปดาห์ก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยเสียจนเขาคิดว่า โรงพยาบาลแห่งนี้ ได้กลายเป็นสถานีตำรวจเสียแล้ว แต่หลังจากการสอบประวัติ พยานที่อยู่ รวมถึงตรวจเลือดหมอและเจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงพยาบาล พวกตำรวจก็ไม่ได้มารบกวนการทำงานของพวกเขาอีกเลย แพทย์หนุ่มถอนหายใจ อย่างไรเสียการปฏิเสธผู้หมวดคนสำคัญที่กำลังทำคดีนี้อยู่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
“ครับ”
นายแพทย์หนุ่มคลี่ยิ้มเป็นเชิงอนุญาต พยาบาลสาวผมสั้นจึงกลับออกไป และไม่นานนัก ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมร่างสูงของนายตำรวจวัยสามสิบที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
“มาทำไม”
ร้อยตำรวจโทกรวิวัฒน์หน้าบึ้งตึง เมื่อได้ยินถ้อยคำทักทายจากหมอหนุ่มตรงหน้า อีกฝ่ายเป็นผู้ชายผิวขาว บุคลิกสุภาพอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลา แว่นสายตากรอบสี่เหลี่ยมที่ประดับอยู่บนสันจมูก ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือ น้ำเสียงที่ใช้พูดก็สงบนุ่ม สบายหู เสียก็แต่ประโยคที่ใช้ มันชวนหาเรื่องจนเขาอยากกระโดดถีบขาคู่ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“นี่คือคำทักทายพี่ชายของนายเหรอวะ”
ผู้หมวดกรเบ้ปาก มือใหญ่เลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานคุณหมอออก แล้วเชิญตัวเองให้นั่งเป็นที่เรียบร้อย
“ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน” หมอเทวินทร์เอ่ยถาม
ผู้หมวดกร หรือพี่กร เป็นลูกชายของป้า ในวัยเด็กพวกเขามักจะเล่นสนุกด้วยกันบ่อยๆ แต่เมื่อเรียนในระดับมหาวิทยาลัย และเริ่มต้นทำงาน ทำให้พวกเขาไม่มีเวลามาพบปะกันซะเท่าไร
“เกรงว่าถ้ากระผมโทรมาขอนัดในฐานะญาติ จะไม่ได้พบคุณหมอที่งานล้นมือน่ะสิครับ”
“เลยขอนัดผ่านผอ.งั้นสิ”
“ถูก”
“เรื่องคดี?” เทวินทร์ลองหยั่งเชิง
“มีอะไรที่นายไม่รู้บ้าง”
“สีหน้าของนายมันฟ้อง”
“ฉันไม่ชอบหมอโรคจิตก็ตรงนี้แหละ”
คำตอบเรียบๆพร้อมรอยยิ้มมุมปากของจิตแพทย์หนุ่ม ทำให้ผู้หมวดกรวิวัฒน์กลอกตามองเพดาน…เขาไม่ชินเสียที ทั้งที่รู้ดีว่า ไอ้นิสัยชอบอ่านความคิดคนอื่นผ่านสีหน้าและแววตา ไอ้บ้ากายทำมานานแล้ว และยิ่งเดี๋ยวนี้ เจ้าตัวเป็นจิตแพทย์ชื่อดัง ยิ่งทำให้สายตาในการอ่านความคิดของคนอื่นเฉียบคมกว่าเดิมหลายเท่าตัว
 “คืองี้นะ…” หมวดกรเริ่มด้วยสีหน้าจริงจัง ขยับเก้าอี้ แล้วโน้มตัวข้ามโต๊ะไปพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดัง
“นายก็รู้นะว่าฉันกำลังรับผิดชอบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่สำคัญมากๆ แต่ผ่านมาห้าปีแล้วฉันยังปิดคดีไม่ได้ ตอนนี้พวกผู้ใหญ่ระดับสูงก็เริ่มไม่ปลื้มเพราะล่าสุดมีคนตายเพิ่มอีกคน เลยยื่นคำขาดมาว่า ถ้าปีนี้ฉันจับคนร้ายไม่ได้ล่ะก็ ฉันจะโดนย้าย ไม่ได้เลื่อนยศ เลวร้ายที่สุดอาจจะโดนบีบให้ออก…นายก็รู้ว่าฉันต้องเลี้ยงแม่ พ่อฉันก็ป่วยตายไปนานแล้ว ฉันน่าสงสารมากเลยนะ ชีวิตฉันไม่มีคนให้พึ่งพาอีกแล้วนอกจากนาย…”
เทวินทร์มองนายตำรวจตัวโตเล่าเรื่องเศร้าพลางทำตาปริบๆแล้วถอนหายใจ มันไม่ใช่ภาพที่น่ามองนักหรอก
“นายปิดคดีไม่ได้เป็นเพราะความกระจอกของตัวเอง”
“ให้ตายสิ นายนี่ไม่น่ารักซะเลย”
“เลิกพูดจาอ้อมโลกแล้วเข้าประเด็นสักที ใกล้ถึงเวลาเลิกงานของฉันแล้ว”
เทวินทร์เอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือ ที่กำลังบอกเวลาบ่ายสามโมงสี่สิบห้านาที
“ทำไม จะรีบไปหาสาวที่ไหนเหรอ”
หมวดกรเอ่ยเหย้า เจ้ากายเป็นคนบ้างานขึ้นสมอง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยสนใจเรื่องความรัก แต่อยู่ๆก็เกิดอยากจะรีบกลับที่พัก ไม่แน่ว่าอาจจะนัดสาวไว้ เขาล่ะอยากเห็นจริงๆว่าผู้หญิงแบบไหนกันนะ ที่จะทำให้คนแบบมันหลงใหลได้
“คือ…นายเป็นจิตแพทย์ที่เก่งมาก แถมยังมีชื่อเสียงในโรงพยาบาล”
เมื่อดูท่าแล้วว่าจิตแพทย์หนุ่มจะไม่ให้คำตอบที่ต้องการ หมวดกรจึงขยับตัว แล้วเริ่มพูดเข้าประเด็นของเรื่องที่ทำให้เขาต้องขับรถหลายกิโลเมตรเพื่อมาโรงพยาบาลแห่งนี้
“ฉันอยากขอให้นายมาช่วยวิเคราะห์จิตวิทยาอาชญากรรมของคดีนี้…”
“ไม่ทำ”
“เฮ้ย อย่าใจดำดิ ฉันกับตำรวจในกองสืบสวนจนปัญญาแล้วจริงๆนะเว้ย ถึงได้ถ่อมาหานายถึงที่นี่ แล้วจะปฏิเสธฉันง่ายๆแบบนี้เหรอ” หมวดกรโวยวายเมื่อได้ยินคำพูดตัดบทที่โคตรไร้เยื่อใย
“ฉันเป็นแพทย์ในภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรม ทำไมนายไม่ขอให้แพทย์เฉพาะทางเก่งๆที่มีประสบการณ์มาช่วยล่ะ”
“เพราะฉันไม่ไว้ใจคนนอก มีแค่นายคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันจะยอมเปิดแฟ้มคดีให้ดู ขอร้องเถอะนะ นายจะปล่อยให้เพื่อนร่วมงานถูกฆ่าตายไปเฉยๆหรือไง แล้วถ้ามีคนตายอีก มันจะเป็นความผิดของนายที่ช่วยฉันได้ แต่ว่าไม่ช่วย…”
“ฉันขอดูแฟ้มคดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เทวินทร์ตัดบทเพราะทนฟังเสียงคร่ำครวญของญาติผู้พี่ไม่ไหว กรจัดอยู่ในประเภทตัววุ่นวาย คุยด้วยแล้วปวดหัว แม้อีกฝ่ายจะอายุมากขึ้น หรือเป็นถึงผู้หมวด แต่ก็ไม่ได้ลดนิสัยบ้าบอลงเลย
“ต้องแบบนี้สิน้องรัก” หมวดกรยิ้มกว้าง แล้วรีบยื่นแฟ้มสีดำขนาดใหญ่ให้อีกฝ่ายที่รับไปเปิดอ่านช้าๆ
“คนร้ายลงมือฆ่ารัดคอมาแล้วสี่ศพ ทุกครั้งใส่ถุงมือในการก่อเหตุทำให้ไม่เหลือหลักฐาน หรือพยานให้สาวถึงตัวได้เลย แต่คดีล่าสุดพบเศษถุงมือไวนิล เลือดและเศษผิวหนังของคนร้ายในซอกเล็บของศพ”
เทวินทร์อ่านรายละเอียดจากแฟ้มคดี ขณะที่สมองค่อยๆไตร่ตรอง เรียบเรียง และทำความเข้าใจ ก่อนจะเงยหน้ามองคนเป็นญาติ
“แปลว่า ระหว่างที่ถูกรัดคอ หมอฌายินดิ้นรนแล้วใช้เล็บจิกเข้าไปบนมือคนร้ายจนถุงมือขาด…ตำรวจส่งหลักฐานไปตรวจแล้ว ตอนนี้นายรู้ทั้งดีเอ็นเอและกรุ๊ปเลือด แล้วทำไมยังหาตัวคนร้ายไม่ได้อีก”
“เพราะว่าคนร้ายมันไม่เคยถูกจับหรือมีประวัติไงเล่า ฉันตรวจเลือดผู้ต้องสงสัย ทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รวมถึงยามในโรงพยาบาลนี้ทุกคน แต่ดีเอ็นเอไม่ตรงกับใครเลย ฉันจนปัญญาแล้วนะเว้ย อยากจะบ้าตาย”
แน่นอน…เทวินทร์ก็อยากบ้าตายเหมือนกัน



---100%---



TBC.




ออฟไลน์ pakorn2013

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ติดตาม

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
แป่วววว หมอไม่ใช่ผี 555555555

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 5


ชนกันต์ก้าวเท้าช้าๆไปตามทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องขัดเงา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองผนังอาคารสีขาวของโรงพยาบาลเซนต์โทมัส ที่นี่ไม่ได้ต่างจากแผนกอื่นๆเลย เพียงแต่ความเงียบและโล่งไร้ผู้คนของแผนกจิตเวชในยามเช้าตรู่ทำให้เขานึกกลัว มือเล็กกำใบนัดของโรงพยาบาลแน่นจนมันกลายเป็นกระดาษก้อนกลม ก่อนจะนึกสาปแช่งหมอสิงหาที่โยนเขามาที่นี่
ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน ชนกันต์มาพบแพทย์เพราะอาการหมดสติ มันไม่ได้รุนแรง แต่เขาคิดว่าควรมาตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด หมอสิงหาจากแผนกผู้ป่วยนอก จับเขาตรวจร่างกาย เอกซเรย์ (X-Ray) และสแกนสมอง แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติเลย
หมอวินิจฉัยว่าร่างกายของเขาแข็งแรง ไม่มีโรคแทรกซ้อน และอาการดังกล่าวเกิดจากจิตใจ หรือเรียกง่ายๆว่าเขาส่ออาการทางจิต จึงควรรับการรักษาโดยตรงจากแผนกจิตเวช มันบ้าบอสิ้นดี ชนกันต์ย่อมรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้บ้า ในตอนแรกเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องมาเหยียบที่นี่ เพียงแต่ไอ้อาการหมดสติแล้วตื่นมาพร้อมความรู้สึกหลงๆลืมๆ ทำให้เขาหงุดหงิด จึงตัดสินใจมารับการรักษา เอาวะ ลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย
“ผมมีนัดกับหมอวันนี้ครับ”
ชนกันต์เดินเข้าไปแจ้งนางพยาบาลประจำเคาน์เตอร์ติดต่อสอบถาม พร้อมกับส่งใบนัดหมายที่ยับยู่ยี่ให้ เธอยื่นมือมารับกระดาษสีขาวไปอ่านก่อนจะส่งยิ้มละไมให้เขา แต่มันไม่ชวนให้รู้สึกดีหรอก เมื่อคิดว่าเธอกำลังเห็นเขาเป็นคนไข้โรคจิตคนหนึ่ง
“คุณหมอเข้างานตอนแปดโมงเช้า นั่งรอก่อนนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ชนกันต์ทิ้งตัวลงบนม้านั่งหน้าห้องตรวจ ยกมือสองข้างลูบใบหน้าด้วยความอ่อนเพลีย วันนี้เขาตื่นเช้าเกินไป ชายหนุ่มรีบอาบน้ำ แต่งตัว แล้วโบกรถแท็กซี่มาโรงพยาบาล ด้วยเกรงว่าคิวตรวจจะยาว เขาอยากรีบตรวจ และรีบกลับให้เร็วที่สุด เพราะการอยู่ท่ามกลางคนไข้โรคจิตนานๆ อาจจะทำให้เขาอาการกำเริบก็ได้



“คุณชนกันต์”
แรงเขย่าบริเวณไหล่ทำให้ชนกันต์รู้สึกหงุดหงิด ฝืนขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งให้เปิดออก ก่อนจะพบกับพยาบาลสาวผมสั้นกำลังส่งยิ้มมาให้
“คุณหมอมาแล้ว เชิญเข้าห้องตรวจสี่ค่ะ”
“อา ครับ”
ชนกันต์เดินตามพยาบาลสาวไปที่ห้องตรวจสี่ ที่อยู่เยื้องกับเคาน์เตอร์ติดต่อสอบถามไปทางซ้าย นางพยาบาลเลื่อนประตูสีขาวให้เปิดออกก่อนจะปิดลงเบาๆเมื่อชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าไปด้านใน…
ชนกันต์สังเกตเห็นว่าห้องตรวจสีครีมมีขนาดค่อนข้างกว้าง มุมหนึ่งของห้องมีเตียงคนไข้ ส่วนอีกมุมหนึ่ง มีโต๊ะกระจกเล็กๆถูกตั้งอยู่หน้าโซฟาสีเบจ นอกเหนือจากโต๊ะทำงานกับเก้าอี้ และตู้เก็บเอกสารขนาดย่อม ก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นอีกเลย
ในห้องตรวจไม่ได้แตกต่างจากที่เขาเคยเห็นมากนัก เพียงแต่กระถางต้นกระบองเพชรหลายสายพันธุ์ที่ถูกวางอยู่บนพื้นติดผนังด้านหนึ่ง ทำให้บรรยากาศให้ห้องดูอบอุ่นและเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
“สวัสดีครับคุณชนกันต์”
เสียงเอ่ยทัก เรียกให้ชนกันต์เลื่อนสายตาไปมองคุณหมอเจ้าของห้อง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อสังเกตเห็นป้ายชื่อบนเสื้อกาวน์สีขาว
นพ.เทวินทร์ อัครเดช
ให้ตายสิ! ชื่อ ‘เทวินทร์’ มันโหลขนาดนั้นเลยหรือวะ
“คุณ…หมอเทวินทร์”
ชนกันต์อ้าปากพะงาบๆ มองจิตแพทย์หนุ่มที่ชื่อเหมือนกับคุณหมอข้างห้องของเขา แม้อีกฝ่ายจะมีชื่อเหมือนกัน แถมหน้าตายังหล่อเหลาเอาการไม่เเพ้กัน แต่บุคลิกท่าทางเรียกว่าสวนทางกันอย่างชัดเจน
หมอเทวินทร์ ‘คนนี้’ ดูสุขุมนุ่มนวล แต่ทว่าก็ดูมั่นคง มองแล้วให้ความรู้สึกเชื่อใจและสามารถพึ่งพาอาศัยได้ ต่างจากหมอเทวินทร์ข้างห้อง…เจ้าตัวชัดเจนในเรื่องของความลึกลับ น่าค้นหา แต่ในขณะเดียวกันก็ชวนให้หวาดระแวง
“เชิญนั่งครับ”
 น้ำเสียงสุภาพชวนฟัง เรียกให้ชนกันต์ที่กำลังยืนเอ๋ออยู่กลางห้องตรวจได้สติ เขาสะบัดหัวเบาๆ แล้วรีบเดินไปเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคุณหมอมานั่ง
“คุณถูกส่งตัวมาจากแผนกผู้ป่วยนอก ในแฟ้มประวัติแจ้งว่าคุณสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว แต่มีอาการหมดสติในบางครั้ง”
“อา ครับ”
ชนกันต์ไม่แน่ใจว่าหมอเทวินทร์อายุเท่าไร แต่พอได้มองใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าหล่อและเด็กมาก อีกฝ่ายเป็นผู้ชายผิวขาว สวมแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมที่รับกันดีกับจมูกโด่ง ผมสั้นสีดำถูกแสกข้าง ปกหน้าผากบางส่วน ทำให้ดูเหมือนเน็ตไอดอลมากกว่าจิตแพทย์ แต่จะว่าไปการที่มีหมอหน้าตาแบบนี้ ก็ช่วยให้คนไข้รู้สึกสดชื่นได้เหมือนกันนะ
“เริ่มมีอาการแบบนี้มานานเท่าไรแล้วครับ”
“ประมาณหนึ่งเดือนครับ”
ชนกันต์ตอบ เขาจำได้ดี เพราะอาการหมดสติของเขาเกิดขึ้นตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ร่มฤดี
“หมดสติครั้งล่าสุดเมื่อไร จำได้มั้ยครับ”
“ในห้องของตัวเอง เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”
“ตอนนั้นคุณกำลังทำอะไรอยู่”
ชนกันต์ชะงัก คำถามของหมอเทวินทร์ไม่ได้แปลก เพียงแต่เมื่อเขาคิดถึงครั้งล่าสุดที่ตนเองหมดสติมันทำให้หน้าร้อนผ่าว จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะหมอเทวินทร์อีกคนจูบเขาแบบไม่ทันตั้งตัว
“เอ่อ…ก็แค่คุยกับเพื่อน” ชนกันต์ตอบ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด
“คุณกำลังคุยกับเพื่อน แล้วจู่ๆก็หมดสติไปเลยหรือครับ”
จิตแพทย์หนุ่มถามด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามปกติ เพียงแต่ประกายตาสีนิลคมกริบที่มองผ่านแว่นสายตา มันทำให้ชนกันต์ระแวง กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับโกหกได้
“ผมไม่แน่ใจ”
ชนกันต์ตอบความจริง เขาไม่แน่ใจจริงๆนะว่า ตัวเองหมดสติแบบที่เคยเป็น หรือฟินมากเกินไปกันแน่ แต่มันช่วยไม่ได้นี่ ที่จูบแรกของเขาจะรสชาติดีขนาดนั้น
“แล้วอาการหมดสติแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหนครับ”
“ตอนแรกไม่บ่อย แต่ตอนนี้เริ่มจะบ่อยแล้วครับ”
“ประมาณกี่ครั้ง จำได้มั้ย”
ชนกันต์ส่ายหน้า
“ผมจำไม่ได้ อาจจะสิบครั้ง”
“เล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ ว่าแต่ล่ะครั้งก่อนหมดสติ คุณกำลังทำอะไรบ้าง”
ชนกันต์ขมวดคิ้ว พยายามเค้นสมองเพื่อหาคำตอบ ในแต่ล่ะวันเขาไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากกิจกรรมที่จำเจ อย่างตื่นนอนแต่เช้า…ไปซื้อโจ๊กร้านเถ้าแก่โชค… ไปทำงาน…แวะซื้ออาหารเย็น…แล้วก็กลับมาที่ห้องพัก
“ไม่ต้องกังวลครับ เล่าเท่าที่คุณจำได้”
น้ำเสียงปลอบประโลม พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ส่งมา ทำให้ชนกันต์รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยการมาหาจิตแพทย์ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด
“ผมแค่อยู่ในห้องของตัวเอง”
ชนกันต์จำได้ว่าเขามักจะหมดสติในห้องของตัวเอง แล้วตื่นขึ้นมาอยู่บนเตียงนอนทุกครั้ง ที่แย่คือ ส่วนใหญ่เขามักจะยังไม่ได้อาบน้ำ
“แปลว่าอาการหมดสติที่เกิดขึ้นทุกครั้ง คุณอยู่ในห้องของตัวเองใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ”
ชนกันต์พยักหน้า นอกจากดูทีวี อ่านหนังสือสักเล่ม หรือคุยกับหมอเทวินทร์ข้างห้องในบางวัน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
“ตอนนี้คุณพักอยู่กับใคร”
“ผมอยู่อพาร์ทเม้นท์คนเดียว”
“แล้วนอนหลับสนิทมั้ย”
“ครับ”
เทวินทร์ขยับตัวอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ มือเอื้อมไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อหยิบรอร์ชาค (Rorschach test) และภาพที่ใช้ทดสอบจิตใจออกมาทั้งหมดสามภาพ ก่อนจะคว่ำไว้บนโต๊ะ
“ผมอยากให้คุณดูภาพ แล้วบอกผมว่าคุณเห็น หรือรู้สึกอย่างไร”
ชนกันต์เลิกคิ้วเมื่อเห็นภาพที่หมอเทวินทร์เปิดให้ดู ในกระดาษสีขาวถูกแต่งเติมด้วยสีน้ำสีดำ มันดูเลอะเทอะเกินกว่าจะเป็นรูปอะไรสักอย่าง แต่ก็บอกได้ไม่ยากไม่ใช่หรือ…ว่ามันคือรูปผีเสื้อกางปีก
“แบทแมน”
ชนกันต์ตอบเรียบๆ โอเค เขายอมรับว่าตั้งใจกวนประสาทจิตแพทย์ แต่มันช่วยไม่ได้นี่ ทำไมหมอจะต้องถามในสิ่งที่มันเห็นชัดอยู่แล้วด้วยล่ะ
หมอเทวินทร์ไม่ได้มีปฎิกิริยาอะไรนอกจากเงียบ อีกฝ่ายคว่ำภาพลงแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“ถ้าผมตอบแบบนี้ แสดงว่าผมบ้าใช่มั้ยครับ”
“จิตแพทย์ไม่ได้มีไว้สำหรับคนบ้าเท่านั้น ในสังคมปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเครียดเพิ่มมากขึ้น พวกเขาแค่ป่วยทางจิตใจ รักษาหายได้ แต่การใช้ยาไม่ใช่ทุกอย่าง…ผมอยากช่วยคุณนะครับ แต่คุณกันต์ต้องให้ความร่วมมือกับผม ตกลงมั้ย”
หมอเทวินทร์อธิบาย นัยน์ตาสีนิลหลังกรอบแว่นกำลังเชิญชวนแกมขอร้อง เขาไม่รู้ว่าคิดไปเอง หรือจิตแพทย์ทุกคนเป็นแบบนี้ แต่มันคือเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้รู้สึกคล้อยตามได้ง่ายๆ
“ผีเสื้อ” หมอเทวินทร์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเมื่อได้รับคำตอบจากเขา
ชนกันต์คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่ารักมากคนหนึ่ง และทุกครั้งที่มองจิตแพทย์ เขามักจะเห็นใบหน้าของคุณหมออีกคนซ้อนทับขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะชื่อที่เหมือนกันนั่นแหละ ทำให้เขาสับสนได้ง่ายๆเลย
“คุณมีชื่อเล่นมั้ยครับ”
ชนกันต์หลุดปากถามออกไปก่อนจะทันได้คิดให้ดีๆเสียก่อน ให้ตายเถอะ มีคนไข้ที่ไหนเอ่ยปากถามชื่อเล่นของหมอที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกบ้าง
“เอ่อ…คุณชื่อเหมือนหมอคนหนึ่งที่ผมรู้จัก ถึงหน้าจะไม่เหมือนกันก็เถอะ ผม--”
ชนกันต์รีบอธิบาย แต่หมอเทวินทร์ไม่ได้แสดงความแปลกใจเลยนอกจากให้คำตอบที่เขาต้องการ
“ผมชื่อกายครับ เรียกหมอกายก็ได้”
“ครับ”
ชนกันต์รับคำด้วยรอยยิ้ม เขามองภาพที่สองที่หมอกายเปิดให้ดู…บนกระดาษสีขาวถูกสเก็ตช์ด้วยดินสอสีน้ำตาลตลอดทั้งภาพ ฝีมือจิตรกรดีกว่าภาพแรก เพราะลงรายละเอียดไว้ค่อนข้างเยอะ เขามองเห็นหญิงสาวผมยาวใส่หมวกแบบผู้ดีอังกฤษ เธอกำลังยืนหันข้าง ทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่เขาคิดว่าเธอสวยมากเลยล่ะ
“ผู้หญิงในภาพรู้สึกอย่างไรครับ”
“เธอยิ้ม”
หมอกายไม่ได้แสดงความเห็นนอกจากส่งยิ้มมุมปากให้เขา อีกฝ่ายคว่ำภาพหญิงสาวลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบภาพสุดท้ายขึ้นมาเปิดให้ดู
“กังหันในภาพหมุนหรือเปล่า”
ชนกันต์เอียงคอมองภาพกังหันสีแดงบนพื้นหลังสีม่วง ตอนแรกเขาคิดว่ามันคือภาพนิ่งธรรมดาที่ไม่ควรขยับเขยื้อน แต่พอได้ยินคำถามของหมอกาย เขาจึงตั้งใจมองดีๆและเห็นว่ากังหันกำลังหมุน แถมหมุนเร็วซะด้วย
“หมุนครับ”
“หมุนเร็วแค่ไหนครับ ช่วยทำมือให้ผมดูหน่อย”
กายมองนิ้วชี้ของคนไข้ที่กำลังหมุนด้วยความเร็วที่เจ้าตัวเห็น แล้วพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เขาหยิบปากกาขึ้นมาจดบันทึกลงในแฟ้มประวัติสีเหลืองอ่อน ก่อนจะเหลือบมองปฏิทินตั้งโต๊ะ
“อีกสองอาทิตย์เรามาเจอกันอีกครั้งนะครับ คุณสะดวกวันไหน”
“วันเสาร์ครับ”
“เรียบร้อยครับ อย่าลืมรับใบนัดก่อนกลับนะ”
“ผมต้องกินยาอะไรหรือเปล่าครับ”
ชนกันต์ถาม เขาไม่รู้เลยว่าคำตอบของเขาเมื่อมองภาพทั้งสามมันบอกอะไรหมอกายไปบ้าง แต่เขาไม่คิดว่ามันคือคำตอบที่ประหลาดนักหรอกนะ
“ไม่ครับ”
ชนกันต์ยอมรับว่าแปลกใจ ถ้าเขาไม่ต้องรับยา ก็แปลว่าเขา ‘ไม่ได้บ้า’ แล้วทำไมต้องมาพบหมออีกล่ะ…เอาเป็นว่าชนกันต์ไม่เข้าใจความคิดหมอกายเลยสักนิด แต่เขาจะมาก็ได้ เพราะการที่มีใครสักคนใช้เวลาสั้นๆให้ความสนใจเขา มันชวนให้รู้สึกดีมากเลยล่ะ
…ชนกันต์ยอมรับว่าอยากเรียกร้องความสนใจจากใครสักคน แต่ติดปัญหาใหญ่ที่ว่าเขาไม่กล้าทำมันกับใครเลย…
“ขอบคุณครับ”
“คุณกันต์”
ชนกันต์ลุกจากเก้าอี้แล้วก้าวเท้าไปที่ประตู แต่เสียงเรียกจากคุณหมอทำให้ต้องชะงักแล้วหันกลับไปมองงงๆ อีกฝ่ายกำลังยิ้มให้เขาแล้วพูดอย่างอ่อนโยน มันเป็นประโยคสั้นๆที่ทำให้หัวสมองล่องลอยไปครู่หนึ่ง…ไม่ได้มีความหมายอะไรมาก แต่สำหรับเขา…หมอกายเป็นคนแรกที่พูดมันออกมา
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
ชนกันต์คิดว่า ‘จิตแพทย์’ ของโรงพยาบาลเซนต์โทมัสดีที่สุดเลย…



ร่างสูงของจิตแพทย์หนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความวิตก นอกจากอาการหมดสติเป็นบางครั้ง ชนกันต์ก็ไม่ได้แสดงอาการของโรคแทรกซ้อนอื่นๆให้เห็น เขาพยายามค้นหาความเศร้า ความรุนแรง หรือความหวาดกลัว…แต่กลับไม่พบ
รอร์ชาค เป็นภาพที่ช่วยทดสอบจิตใจ ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อภาพไปคนละทิศทาง ขึ้นอยู่กับความคิด จิตใต้สำนึก และประสบการณ์ที่ผ่านมา
ชนกันต์ไม่ใช่คนที่ซับซ้อน ออกจะมองโลกในแง่ดีเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ภาพกังหันที่เจ้าตัวเห็น…เป็นภาพนิ่ง มีแค่เด็กๆเท่านั้น ที่ดูภาพนี้แล้วมักจะเห็นเป็นภาพนิ่งธรรมดา ผู้ที่มีความเครียดดูภาพแล้วกังหันจะหมุน และถ้าหมุนเร็วในระดับที่ชนกันต์เห็น ยิ่งบ่งบอกว่าอีกฝ่ายมีความกดดันจากครอบครัวและสังคมมาก อนาคตอาจพัฒนาไปสู่โรคเครียด หรือโรคซึมเศร้า เพียงแต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาการหมดสติ…
ภาพหญิงสาวที่ชนกันต์มองว่ายิ้ม เป็นภาพลวงตาที่มองว่าโกรธเกรี้ยวก็ได้ เจ้าตัวไม่ได้อธิบายภาพที่เห็นเลยสักภาพ ให้เพียงคำตอบสั้นๆที่ตรงไปตรงมา แต่บางอย่างในตัวชนกันต์มันสะท้อนความต้องการที่เร้นลับอยู่ในใจลึกๆออกมา
ความต้องการที่จะได้รับความใส่ใจ…
กายคว้าหูโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานมากดต่อสายภายใน รอไม่นานก็ได้ยินเสียงใสทักทายอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะ แผนกผู้ป่วยนอกค่ะ”
“หมอสิงหาอยู่มั้ยครับ”
“อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าใครต้องการเรียนสายด้วยคะ”
“หมอเทวินทร์ครับ”
“สักครู่นะคะ”
สายโทรศัพท์จากกายถูกโอนเข้าไปในห้องทำงานของสิงหา ก่อนที่เจ้าตัวจะกดรับ ด้วยน้ำเสียงรื่นเริงเหมือนปกติ
“ไง”
“ฉันอยากถามเรื่องคนไข้ที่นายส่งมาให้” กายเอ่ยเข้าประเด็นหลักที่ทำให้ต้องโทรหาเพื่อนสนิทในเวลางาน
“คุณชนกันต์น่ะเหรอ”
“ใช่ นายแน่ใจเหรอว่าคุณชนกันต์ไม่ได้ป่วยตรงไหน”
“ฉันแน่ใจไงว่าป่วยทางจิต”
เสียงที่สวนขึ้นมาทำให้กายขมวดคิ้ว
“แต่ฉันไม่คิดว่าเขาป่วยทางจิต”
“ทำไมวะ”
“จากการประเมินเบื้องต้น คุณกันต์ไม่ได้เป็นโรคเครียด หรือโรคซึมเศร้า เขามีอารมณ์ไม่พอใจ โกรธ มีความสุขในระดับของคนปกติ อาจจะมีความเครียด และความกดดันทางครอบครัวมาก แต่ก็ไม่ได้มากพอจะทำให้เป็นจิตเภท หรือสองบุคลิก”
“นายกำลังจะบอกว่า วินิจฉัยไม่ได้ว่าคุณชนกันต์เป็นอะไร?”
น้ำเสียงที่สูงเกินเหตุ ทำให้กายรู้ว่ากำลังโดนเจ้าเพื่อนสนิทกวนประสาท และมันช่วยไม่ได้จริงๆที่เขาจะหาเรื่องลบคมอีกฝ่ายเหมือนกัน 
“อาการหมดสติอาจจะมาจากโรคหลอดเลือดสมองก็ได้”
“ฉันสแกนสมองคุณชนกันต์แล้วเว้ย ปกติทุกอย่าง ไม่ได้เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ไม่มีเนื้องอก ไม่มีโรคหัวใจ”
อดีตคุณหมอเจ้าของไข้รีบสาธยาย ให้ตายสิ ไม่ว่าจะสมัยเรียน หรือสมัยทำงาน ไอ้บ้ากายก็เป็นคนที่กวนประสาทได้หน้าตายที่สุด
“แล้วภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ?”
“ตรวจแล้วเว้ย”
“ฉันอยากดูผลสแกนสมอง… อันที่จริง ถ้ามีผลตรวจอะไรที่นายยังไม่ได้ให้ฉันดู ก็ส่งมาให้หมดเลย”
ประโยคที่บังคับเอาดื้อๆจากจิตแพทย์ ทำเอาแพทย์อายุรกรรมอยากเค้นคอถามว่าไม่ได้เชื่อใจกูเลยใช่มั้ย
“ไอ้บ้านี่ คิดว่าฉันทำงานลวกๆหรือไง ฉันตรวจคนไข้สุดความสามารถทุกคนเว้ย”
“อย่าดราม่าน่า”
กายหัวเราะเบาๆ กับอาการงอแงเป็นสาวน้อยของเพื่อน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อมือสิงหา เพียงแต่เขาอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับวินิจฉัยอาการของชนกันต์
“เดี๋ยวให้พยาบาลเอาไปให้”
ถึงประโยคต่อมาจะเป็นการบ่นยาวเหยียด แต่ก็ลงท้ายด้วยการตกลงทุกครั้งนั่นล่ะ
“ขอบใจ”






TBC.


pakorn2013 : ขอบคุณนะคะ
BABYBB : ต้องรอติดตามนะคะ ว่าผี หรือคน หรือภาพหลอน หรือฆาตกร *0* เนื้อเรื่องค่อนข้างซับซ้อนอยู่เหมือนกัน 5555



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2018 13:28:23 โดย Willhammin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
หรือชนกันต์จะเป็นฆาตรกร
อะ... คิดไปเรื่อยเปื่อย 55555555

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

ตอนที่ 6

ชนกันต์ชะเง้อคอมองผ่านคนกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังรอคิวซื้อโจ๊กร้านเถ้าแก่โชค เขาไม่ได้แวะมาที่นี่เกือบหนึ่งสัปดาห์ เพราะช่วงนั้นเขาตื่นสาย แล้วหมอเทวินทร์ก็ขยันนำอาหารมาแขวนไว้หน้าห้องทุกวัน ทำให้เขาไม่เคยพลาดมื้อเช้าก่อนไปทำงานเลย
“โจ๊กหมูตับไข่หนึ่งชามครับ”
ชนกันต์เอ่ยปากสั่งเมื่อถึงคิวของตัวเอง พี่เล็กที่กำลังวุ่นวายอยู่กับชามหลายใบ เงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ส่งสายตาค้อนขวับ มันคงดูน่ารักดีนะ ถ้าพี่เล็กไม่ใช่ผู้ชายตัวโตแบบนี้
“หายไปนานเลยนะกันต์ เบื่อโจ๊กร้านพี่แล้วเหรอ”
น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าแบบไม่จริงจัง ทำให้ชนกันต์หัวเราะเบาๆ มันอดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่คนตรงหน้าให้หัวเสีย
“นิดนึงครับ”
“ไม่ให้กินแล้ว กลับไปไป๊”
เสียงสูงพร้อมกระบวยตักน้ำซุปที่โบกไล่ ทำให้ชนกันต์รีบวิ่งอ้อมโต๊ะที่ใช้วางวัตถุดิบเข้าไปกอดแขนพี่เล็ก แล้วเขย่าพร้อมหยอกด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
“หัวยังไม่ทันล้านเลย ทำไมขี้ใจน้อย”
“ข้าวต้มปลาหนึ่งถุงค่ะ”
ยังไม่ทันที่ลูกชายเจ้าของร้านโจ๊กจะได้โบกหัวเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ด้วยข้อหาน่าหมั่นไส้ ก็พอดีกับที่ลูกค้ารายล่าสุดเดินเข้ามาสั่งข้าวต้มพอดี
“สักครู่นะครับ”
เล็กรีบหันไปยิ้มรับลูกค้าตามมารยาท ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกพี่ชาย ที่เพิ่งกลับบ้านมาช่วยขายโจ๊กเมื่อสัปดาห์ก่อน
“เฮียใหญ่เร็วๆหน่อยดิ ลูกค้ารอข้าวต้ม”
รอไม่นาน เฮียใหญ่ก็เดินออกมาจากในครัวพร้อมหม้อข้าวต้มควันฉุย เล็กไม่รอช้า ใช้กระบวยตักข้าวต้มใส่ถุงที่มีปลาดอลลี่ลวกอยู่ก่อนแล้ว ตามด้วยขึ้นฉ่ายสดและพริกไทยบ่น
“พี่ทำให้คนอื่นก่อนก็ได้ ผมไม่หิวเท่าไร”
ชนกันต์ว่า ขณะรับถุงข้าวต้มร้อนๆจากพี่เล็กมาผูกหนังยาง ก่อนจะนำมาใส่ถุงพลาสติกแล้วส่งให้ลูกค้า
“เออ ก็ว่าจะทำงั้นแหละ”
เล็กยักไหล่ด้วยท่าทางกวนประสาท เขาง่วนอยู่กับชามหลายสิบใบตรงหน้า ก่อนจะส่งต่อให้ลูกจ้างประจำร้านนำไปเสิร์ฟ
“งั้นขอหมูเยอะๆด้วย”
ชนกันต์สำทับ แล้วเดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้กลมที่โต๊ะใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะ เมื่อได้ยินพี่เล็กตะโกนไล่หลังมา
“ก็เยอะตลอดล่ะโว้ย”
รอประมาณสิบห้านาที กระทั่งลูกค้าเริ่มทยอยออกจากร้าน เสียงสดใสของพี่เล็กก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมโจ๊กขนาดพิเศษสองชามและน้ำสองแก้ว ถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนเจ้าตัวจะทรุดนั่งบนเก้าอี้กลมฝั่งตรงข้าม
“มาแล้ว”
ชนกันต์เอ่ยขอบคุณ เขาไม่รอช้า เทพริกปนลงในชามของตัวเองเล็กน้อย ตามประสาคนชอบอาหารรสจัดก่อนจะคนให้เข้ากัน
“เฮีย ตักโจ๊กมาแดกด้วยกัน”
เสียงตะโกนของพี่เล็ก เรียกให้ชนกันต์เงยหน้าจากชามโจ๊ก แล้วมองตามสายตาของอีกฝ่าย ไปยังร่างสูงของผู้ชายที่กำลังเก็บถ้วยชามของลูกค้าใส่กะละมัง
“ยังไม่หิว”
ชนกันต์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชาตอบกลับมา อีกฝ่ายเป็นคนผิวขาว แต่คล้ำแดดตามประสาคนเคยทำงานกลางแจ้ง ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายพี่เล็กหลายส่วนก็จริง แต่ติดจะเฉยชาในที ทำให้ไม่น่าเข้าหาเลย
“พี่ใหญ่เหรอครับ” ชนกันต์ถาม เขาจำได้ว่าพี่เล็กเคยพูดถึงพี่ชาย ที่ไปทำงานกรุงเทพ
“เออ” พี่เล็กรับคำอย่างไม่ใส่ใจ แล้วตักโจ๊กที่เป่าให้อุ่นแล้วใส่ปาก
“ว่าแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นหัวเลยนะ ไม่อยากกินโจ๊ก แต่ก็แวะมาหาหน่อยดิ…คิดถึง”
“มากมั้ย”
ชนกันต์ถามยิ้มๆ เรียกให้อีกฝ่ายวางช้อน แล้วใช้มือสองข้างเท้าคาง พร้อมส่งสายตาออดอ้อน
“มากมากกกกกเลยกันต์”
“ผมไม่ค่อยสบาย”
ชนกันต์คนโจ๊กในชามช้าๆ เขาไม่อยากออกไปไหน หรือคุยกับใครเลย เพราะอาการหมดสติทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลีย
“เป็นอะไรวะ”
เล็กเลิกคิ้ว แล้วใช้สายตาสำรวจอีกฝ่ายขึ้นๆลงๆอย่างละเอียด นอกจากอาการเดินเอื่อยๆ เหมือนคนหมดแรง เขาก็ไม่เห็นว่าคนเด็กกว่าจะเป็นอะไรเลย
“เป็นโรคจิต”
ชนกันต์ตอบกวนๆ ตอนนี้เขากลายมาเป็นคนไข้แผนกจิตเวชเรียบร้อยแล้ว แถมเปลี่ยนจากหมอสิงหาเจ้าของไข้ มาเป็นหมอกาย แล้วแบบนี้จะไม่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยโรคจิตได้อย่างไรกัน
“หึ โรคจิตแบบไหน แบบที่ชอบแอบถ่ายใต้กระโปรงผู้หญิงเปล่า”
“เปล่า”
ตวัดสายตามองพี่เล็กเคืองๆ มันน่าเตะให้คว่ำจริงๆเลยว่ะ เขาไม่ใช่คนหื่นกามซะหน่อย ไอ้เรื่องจะไปเอาเปรียบผู้หญิงแบบนั้น ชนกันต์ไม่ทำหรอก   
“แค่แอบติดกล้องไว้ในห้องน้ำเอ๊ง”
“เดี๋ยวนี้กวนนะเราอ่ะ”
พี่เล็กหัวเราะ แล้วยื่นมือมาโยกหัวชนกันต์ จะว่าไป ไอ้นิสัยกวนประสาทคนอื่นแบบนี้ เขาไม่เคยมีมาก่อน คงติดมาจากอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“เอาดีๆ สรุปว่าเป็นอะไร”
พี่เล็กถามด้วยสีหน้าจริงจัง ชนกันต์จึงยอมสงบศึกแล้วอธิบายอาการของตัวเองให้ฟังคร่าวๆ
“ผมหน้ามืดบ่อย”
“แล้วไปหาหมอหรือยัง”
“ไปมาแล้วครับ เดี๋ยวก็หาย”
“เออ งั้นก็ดีแล้ว”
ไม่มีบทสนทนาอีก กระทั่งพวกเขาทานมื้อเช้าเรียบร้อย พี่เล็กก็เงยหน้ามายิ้มแฉ่ง แล้วเอ่ยแซวเหมือนปกติ
“เอาโจ๊กไปฝากหนุ่มมั้ย”
“ไม่ล่ะครับ ผมว่าหมอเทวินทร์ไปทำงานแล้ว”
ชนกันต์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ ขณะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม พี่เล็กพยักหน้างึกๆว่าเข้าใจ แล้วเริ่มร่ายยาวตามประสาคนพูดมาก แล้วคนพูดน้อยอย่างเขาก็ได้แต่ฟัง แล้วเออออตาม
“อ่อ ใช่ พี่เห็นรถเขาผ่านหน้าร้านไปตั้งแต่เช้าแล้ว เป็นหมอที่ขยันมาก เข้างานก่อนเวลาตลอด เมื่อก่อนก็มากินโจ๊กร้านพี่เกือบทุกวันนะ แต่เพราะเราแน่เลย หอบโจ๊กไปฝากเขาเกือบทุกวัน เจ้าตัวเลยไม่ยอมแวะม--า เชี่ยย!”
กำลังฟังเพลินๆ ชนกันต์ก็ต้องสะดุ้งจนเกือบสำลักน้ำ เมื่อพี่เล็กบ้ามันสบถเสียงดังด้วยหน้าตาตื่น
“ไรอ่ะ”
ชนกันต์ถาม ยิ้มแหยเมื่อเหลือบตามองไปรอบๆร้าน แล้วสบตาเข้ากับลูกค้าบางคน รู้สึกเก้อแทนคนสบถจึงก้มหัวเป็นเชิงขออภัยในความหยาบคาย แล้วหันมาเขม็งมองลูกชายเจ้าของร้านว่ามีปัญหาอะไรวะ
“คนข้างห้องที่เราบอกว่าชอบคือหมอเทวินทร์?”
เสียงสูงที่เอ่ยถาม กับสีหน้าที่บอกว่าช็อกสนิททำให้ชนกันต์เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เขาไม่เคยบอกใครเลยว่าชอบหมอเทวินทร์ รวมถึงพี่เล็กด้วย ยกมือเกาหัวเขินๆ รู้สึกมือไม้มันเกะกะยังไงชอบกล แต่ก็ยอมรับเบาๆ
ใช่ๆ เขาชอบ ชอบมากเลยล่ะ หมอข้างห้องอ่ะ
“อื้ม”
“วู้ววว ร้ายนะเราอ่ะ หมอหล่อซะด้วย”
พี่เล็กว่า แล้วยื่นมือมาหยิกแก้มเขาแรงๆจนชนกันต์หน้าบึ้ง เขาไม่ได้ชอบเพราะหมอหล่อซะหน่อย ชอบเพราะชอบต่างหากล่ะ
“พี่รู้จักเหรอ”
“รู้จัก อาม่าพี่เคยไปรักษากับเขา”

ชนกันต์ก้าวเท้าออกจากลิฟต์ เป็นเวลาเดียวกับที่สมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงสั่น บ่งบอกว่ามีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดว่านอกจากครอบครัวและที่ทำงาน เขาก็ไม่เคยให้เบอร์ใครเลย แล้วคนที่โทรมาก็คงจะเป็น…
‘แม่’
ชนกันต์ล้วงมือไปหยิบอุปกรณ์สื่อสาร นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบมองหน้าจอ กำลังแสดงชื่อของปลายสายที่ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเลย
“ครับแม่”
“ทำไมไม่โทรหาฉันบ้าง เงียบหายไปเป็นอาทิตย์แบบนี้ เป็นตายร้ายดียังไงฉันจะรู้มั้ยกันต์!!”
ปลายสายตะโกนถามอย่างหัวเสีย มันคงดังมาก เพราะเขาได้ยินเสียงบ่นของพ่อลอดเข้ามาในโทรศัพท์
“ผมไม่ค่อยสบายครับ”
ชนกันต์ถอนหายใจเบาๆ เขาแค่อยากให้แม่โทรหาบ้าง…โทรมาถามด้วยความห่วงใย ไม่ใช่บ่นๆ แล้วก็บ่นแบบนี้
“เป็นอะไร…ไปหาหมอหรือยัง” น้ำเสียงต่อมาอ่อนลงเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้เขายิ้มออก
“ไปแล้วครับ แต่หมอยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าผมเป็นอะไร”
ชนกันต์ตอบ ขายาวก้าวไปตามทางเดินชั้นเจ็ด ก่อนจะหยุดลงที่ห้องหมายเลข 709 เขาหยิบกุญแจจากกระเป๋ากางเกงมาไขประตูแล้วผลักให้เปิดออก
“โรงพยาบาลอะไร”
กลิ่นธูปที่ลอยเข้าจมูกทำให้ขาสองข้างชะงัก นัยน์ตากวาดมองไปรอบๆเพื่อหาที่มา…หมอเทวินทร์ไปทำงานแล้ว…ห้องเขาไม่ได้จุดธูปแน่ๆ และที่สำคัญไม่มีใครพักอยู่บนชั้นเจ็ดอีกแล้ว
“ฉันถามว่าโรงพยาบาลอะไร”
เสียงปลายสายที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้ชนกันต์สะดุ้ง เจ้าตัวยกมือขยี้ปลายจมูก  แล้วเลือกที่จะก้าวเข้าไปในห้องพร้อมปิดประตู
“เซนต์โทมัสครับ”
“เปลี่ยนโรงพยาบาลซะ”
ชนกันต์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำสั่งเฉียบขาดเหมือนเดิม ไม่ว่าอะไรก็ต้องเป็นไปตามใจของแม่ คำสั่งของแม่ถูกและดีทุกอย่าง
“แต่ผมชอบที่นี่ แล้วผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากด้วย”
ชายหนุ่มแน่ใจว่า โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอย่างเซนต์โทมัส มีบุคลากรที่มีความสามารถ ถ้าที่นี่ยังวินิจฉัยไม่ได้ ที่อื่นก็คงไม่ต่างกัน อีกอย่างจิตแพทย์เจ้าของไข้ของเขาคนนี้ก็ดี ถ้าเปลี่ยนโรงพยาบาลไม่รู้จะเจอหมอที่คุยกันรู้เรื่องหรือเปล่า
“แกนี่โตแต่ตัวจริงๆ ทำเป็นเก่ง ออกไปอยู่คนเดียว แต่ดูแลตัวเองไม่ได้”
“ผมดูแลตัวเองได้นะครับ” ชนกันต์ว่า มันช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด เมื่อแม่ที่เสพติดความเพอร์เฟคกำลังจะเทศนาเขาอีกแล้ว
“เฮ้อ ทำไมลูกคนเล็กของฉันถึงเป็นแบบนี้นะ ทั้งอ่อนแอ ไม่มีเพื่อน ไม่เก่ง ไม่เอาดีใส่ตัวสักเรื่องเลย”
“ไม่มีใครเก่งหรือฉลาดเหมือนพี่ทีทุกคนหรอกครับ”
ถึงจะเก่งสู้พี่ทีไม่ได้สักเรื่อง…แต่เขาก็อยากให้แม่ชื่นชมและยอมรับในตัวเขาบ้าง เพราะรู้อยู่แล้วล่ะว่า คนอื่นคงมองเขาเป็นคนเงอะงะที่ไม่มีความสามารถอะไร ไม่ว่าเรื่องงานหรือเรื่องเรียนก็ไม่ได้หวังให้ใครมาชื่นชม
“แกก็หัดฉลาดสักเรื่องสองเรื่องบ้างซิ ชอบทำให้ฉันขายหน้าชาวบ้านอยู่เรื่อยเลย”
แม่ถอนหายใจ ก่อนจะเงียบไปนานเกือบนาที จนเขาคิดว่าแม่คงโยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้วเพราะอารมณ์เสีย
“แล้วงานวันเกิดพ่อแกอาทิตย์หน้าจะมามั้ย ถ้ามาก็ทำตัวให้ดีๆด้วยล่ะ”
ชนกันต์อยากถามออกไปจริงๆเลยว่า ทำตัว ‘ดีๆ’ ของแม่เป็นแบบไหน แค่มีมารยาท รู้จักกาลเทศะ หรือต้องมีดีสักอย่างมาให้อวดชาวบ้านในงาน แน่นอนว่าเขาไม่กล้าถาม ไม่อยากโดนด่าจนหูชาหรอกนะ
วันเกิดของคนในครอบครัวจะถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีตระกูลดังฝ่ายพ่อ ริมสระว่ายน้ำที่บ้านจะถูกใช้เป็นสถานที่จัดงาน เสียเงินแพงๆจ้างวงดนตรีคลาสสิค กับอาหารหน้าตาดี แต่รสชาติไม่ได้เรื่อง ส่วนแขกในงานก็มักจะเป็นพวกนักธุรกิจที่ทำงานด้านกฎหมายกับแม่ หรือไม่ก็คุณหญิง คุณนายที่รู้จักพ่อ ทุกคนใส่สูทผูกไทหรือไม่ก็ชุดราตรีลากยาวเกินความจำเป็น มีหลายคนที่เขาไม่รู้จัก แล้วก็ไม่อยากรู้จัก… ไม่เข้าใจเลยว่า คนพวกนั้นมาร่วมงานทำไม
ปีที่แล้ว ชนกันต์ไม่ได้ไปงานวันเกิดของพี่ที เพราะเกิดอาการหมั่นไส้และอิจฉาตาร้อน อีกอย่างวันเกิดของเขาก็ไม่ได้ถูกจัดหรูหราแบบนั้นมาตั้งแต่มอปลายแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่ต้องการ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะ พ่อกับแม่เห็นว่าเขาไม่มีอะไรน่าอวด จัดงานเชิญแขกยิ่งใหญ่ไปก็น่าอายซะเปล่าๆ
“ผมไม่ไปหรอกครับ”
“ฉันเบื่อแกจริงๆเลย”
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบที่ต้องการ อารมณ์หงุดหงิดของแม่ก็พลอยกำเริบแล้วกดตัดสายไป จริงๆเขาควรจะชินได้แล้ว เพราะไม่ว่าจะพูดอะไร มันก็น่าเบื่อและน่าหงุดหงิดทั้งนั้น
ชนกันต์โยนสมาร์ทโฟนไว้บนโซฟา เขาไม่อยากทำอะไรแล้วนอกจากนอนหลับ  และหวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง อารมณ์ขุ่นมัวในใจจะหายไป
ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนทิ้งไว้ แล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ขดตัวเข้าหากันก่อนจะหลับตา ความมืดและแอร์เย็นๆที่เปิดทิ้งไว้ก่อนไปหาพี่เล็กเย็นจัด ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่าง แต่ก็ยังรู้สึกหนาวมากอยู่ดี ไม่รู้ทำไม ไม่มีแรงแม้แต่จะเดินไปหยิบรีโมตแอร์มาปรับอุณหภูมิด้วยซ้ำ
ชนกันต์พลิกตัวอยู่บนที่นอนนานหลายนาที หูได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว แผ่วเบา… เขารู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องของเขา แต่ไม่รู้ทำไม นอกจากไม่กลัวแล้ว เขายังคิดว่าอีกฝ่ายคือคนที่เขากำลังคิดถึง
“หมอเทวินทร์เหรอครับ”
ผ้าม่านในห้องนอนที่ปิดสนิททำให้รอบด้านมีแต่ความมืด ชนกันต์มองไม่เห็นใบหน้าของร่างสูงที่ก้าวมาหยุดยืนข้างเตียง แต่น้ำเสียงห่วงใยที่ดังขึ้นเบาๆ กลับทำให้เขายิ้มกว้าง
“ร้องไห้ทำไม”
“ผมเปล่า”
“โกหก”
ชนกันต์ยกมือแตะใบหน้าของตัวเอง ความเปียกชื้นบนแก้มทำให้เขารู้ว่าตัวเองร้องไห้ น่าแปลกชะมัด ที่เขาไม่รู้สึกตัวเลย
“ผมเป็นคนน่าเบื่อมากเลยหรือ”
“ทำไมคิดแบบนั้น”
ชนกันต์เงยหน้ามองร่างสูง หมอเทวินทร์ไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่เลือกที่จะย้อนถามให้เขาขมวดคิ้วยุ่ง
“ผมทำให้คนอื่นรำคาญ”
หมอเทวินทร์ไม่ได้แสดงความเห็น อีกฝ่ายทรุดนั่งบนเตียง ดึงผ้าห่มของเขามาคลุมร่างตัวเอง แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ
“อยู่กับผมนะ”
ชนกันต์กระซิบ เขาได้รับคำตอบเป็นอ้อมแขนที่ตวัดขึ้นโอบกอดร่างเขาแน่น ความเงียบดำเนินไปนานหลายนาที ก่อนที่เขาจะจมสู่ห้วงนิทรา
   



TBC.  :L2:



ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
กลิ่นธูปมา โผล่มาในห้องคนอื่นก็ได้ เดาอะไรไม่ได้เลย ฮือออออ 55555 :laugh: แต่ที่รู้ๆคือ ชอบน้องใช่มั้ยหมออออ อิอิ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
หมอเลี้ยง​ผี​ใช่มั้ยคะ​รึหมอเป็นฆาตกรแลเวผีที่ถูกหมอฆ่ามาคอยเฝ้าดูหมอ​รึหมอแอบเลี้ยงผีซะเอง

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0



ตอนที่ 7


ล่วงเข้าวันที่หกแล้ว ที่‘กาย’ต้องใช้เวลาหลังเลิกงานอ่านแฟ้มคดีอาชญากรรมในพักส่วนตัว ปากกาในมือขีดเขียนข้อสันนิษฐานใส่สมุดบันทึกเล่มเล็กมานานเกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่ความสงบสุขจะถูกทำลายลงเพราะเสียงหมาหอนที่ฟังแล้วโหยหวนกว่าทุกคืน
โบร๊วว วู๊ววววววว!!!!!!
“กาย”
เสียงเรียกจากหมวดกรวิวัฒน์ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับร่างสูงที่ขยับเข้ามาเสียชิดจนเขาเกือบตกโซฟา นัยน์ตาสีนิลหลังกรอบแว่นตวัดไปมอง เห็นใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องซีดเซียวแถมเหงื่อตก กำลังกวาดตามองไปรอบๆห้อง ให้ตายสิ ตำรวจบ้าอะไรกลัวเสียงหมาหอน คิดอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้มคดีในมือเช่นเดิม
“ไอ้กาย”
เสียงเรียกครั้งต่อมาดังกว่าเดิม พร้อมแรงเขย่าที่หัวไหล่ เรียกให้คนที่กำลังสนใจรายละเอียดคดีฆ่าต่อเนื่องสมาธิแตกกระเจิง แล้วหันมาถามเสียงห้วน
“มีอะไร”
โบร๊วว วู๊ววววววว!!!!!!
“ได้กลิ่นมั้ย”
กายลองสูดลมหายใจลึก แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เพราะเขาไม่ได้กลิ่นอะไรที่ผิดปกติในห้องพักของตัวเองเลย
“ไม่”
“กลิ่นธูป”
ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าหวาดๆ เขารู้ดีว่าห้องในอพาร์ทเม้นท์ของไอ้กาย ไม่มีพระพุทธรูป เรื่องที่อีกฝ่ายจะมาจุดธูปไว้พระน่ะ ลืมไปได้เลย เพราะไอ้หมอนี่ไม่เคยทำ
กรวิวัฒน์ใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่ระเบียงห้องที่ถูกเปิดม่านทิ้งไว้ ทำให้มองเห็นสีดำของท้องฟ้ายามค่ำคืน สายลมที่พัดยอดไม้ให้ไหวเอน ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย ตรงกันข้าม บรรยากาศตอนนี้มันชวนให้ขนลุกขนพอง
ถึงจะเป็นตำรวจที่ต้องเห็นศพมานักต่อนัก แต่มันก็คนละเรื่องกับสิ่งเหนือธรรมชาตินะครับ เขาไม่อยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้ เรียกว่าไม่อยากข้องเกี่ยวเลยจะดีกว่า
“วันนี้วันพระ ห้องข้างๆคงจุดธูป” กายเอ่ยเสียงเรียบ แต่เมื่อไม่ได้รับเสียงตอบกลับจึงหันไปถาม
“แปลกหรือไง”
“เอ่อ ไม่แปลก ก็แค่รู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศมันไม่ค่อยดี”
กายจับตามองลูกพี่ลูกน้องของตนเองกำลังขยับตัวอึดอัด ก่อนจะหยิบเอกสารการฆาตกรรมมาอ่าน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางตื่นกลัว เขาก็วางสมุดกับปากกาในมือไว้บนโต๊ะ ขาก้าวไปเปิดประตูกระจกตรงระเบียง
สายลมเย็นฉ่ำยามค่ำคืนพัดปะทะใบหน้าช่วยคลายความล้าได้บ้าง สายตาเหลือบไปมองห้องข้างๆที่ปิดไฟและเงียบสงบราวกับเจ้าของห้องไม่อยู่…
กายไม่ได้กลิ่นธูปหรืออะไรก็ตามที่กรวิวัฒน์บอกว่าแปลก อีกอย่าง เขาไม่คิดว่าการที่ห้องข้างๆจุดธูปมันจะส่งกลิ่นมาถึงห้องเขาได้หรอกนะ เพราะเขาไม่ได้เปิดประตูระเบียงทิ้งไว้เสียหน่อย และห้องข้างๆเองก็เหมือนกัน
จิตแพทย์หนุ่มไม่ได้ใส่ใจกับเสียงหมาหอน หรือเรไรที่ส่งเสียงในเวลากลางคืน เขาเดินกลับไปนั่งบนโซฟา แล้วเลื่อนแฟ้มอาชญากรรมหน้าที่เปิดค้างไว้ไปให้กรวิวัฒน์
“ทีมของนายสันนิษฐานว่าคนร้ายเป็นเพศชาย สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร…เพราะอะไร?”
กรวิวัฒน์ละสายตาจากเอกสารในมือ ก่อนจะยื่นหน้ามามองข้อสันนิษฐานที่เขาสงสัย พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้วเริ่มอธิบาย
“หมอทั้งสี่คนที่เสียชีวิตเป็นผู้ชายที่มีส่วนสูงเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร และบาดแผลที่เกิดจากรอยเชือกบอกได้ว่าคนร้ายจะต้องสูงกว่าแน่นอน อีกอย่างการลงมือรัดคอกระทำอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้เหยื่อเสียชีวิตทันที จึงคาดว่าคนร้ายเป็นผู้ชายที่แข็งแรง…นายพอจะจำกัดผู้ต้องสงสัยจากบุคคลิกการฆาตกรรมได้บ้างมั้ย”
กายขมวดคิ้วด้วยสีหน้าคิดหนัก เขาเปิดสมุดบันทึกที่ตนเองใช้จดข้อสันนิษฐานของตำรวจ แล้วอ่านออกเสียงให้กรวิวัฒน์ได้ฟังพร้อมกัน
“คนร้ายเลือกวิธีฆ่ารัดคอ แทนการใช้อาวุธมีคม คงเป็นเพราะการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลที่อาจมีคนมาพบเห็นได้ง่าย การรัดคอเป็นวิธีที่สะดวก ไม่ทิ้งรอยเลือด และสามารถหลบหนีได้สะดวกโดยไม่เป็นจุดสนใจ…คนร้ายเป็นคนที่มีความมั่นใจ รอบคอบ และมีระเบียบในการลงมือ”
ประโยคสุดท้ายเป็นความเห็นจากกายที่กำลังพยายามทำความเข้าใจ จิตใจของฆาตกรต่อเนื่อง
“นายหมายความว่าไง”
“ปกติแล้ว คนที่ทำความผิดมักจะกลัวการถูกลงโทษ ต้องพยายามซ่อนอาวุธหรือศพ แต่คนร้ายกลับทิ้งเชือกและศพไว้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นที่ที่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ เพราะเขามั่นใจว่าตำรวจไม่มีทางสาวมาถึงตัวเอง แปลว่าก่อนลงมือคนร้ายต้องแอบตามดูพฤติกรรมของเหยื่อและวางแผนมาเป็นอย่างดี เขาคุ้นเคยกับเส้นทางแถวนี้ ทุกครั้งจึงใช้เวลาไม่นานในการก่อเหตุและหลบหนี อีกอย่างเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในการทำให้เหยื่อเสียชีวิต นายรู้มั้ยว่าทำไม”
กายวิเคราะห์เหตุการณ์ตามข้อมูลและหลักฐานของทางตำรวจ ก่อนจะเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตนที่ทำหน้าขยาดเมื่อคิดถึงฆาตกรในคดีฆ่าต่อเนื่อง
“เพราะมันเลือดเย็นแล้วก็โรคจิตไงล่ะ”
กายส่ายหน้า แล้วแก้ไขคำพูดของกรวิวัฒน์ใหม่
“เพราะคนร้ายมีความต้องการให้เหยื่อตาย”
“เออ เรื่องนั้นฉันรู้น่า”
ผู้หมวดทำหน้ายุ่ง ถ้าเจ้าฆาตกรโรคจิตนั่น ไม่อยากให้เหยื่อตาย ก็คงไม่ฆ่าหรอก ไม่เห็นต้องย้ำเลยโว้ย
“คนร้ายไม่ได้เลือกเหยื่อจากการสุ่มว่าต้องเป็นนายแพทย์ของโรงบาลเซนต์โทมัสเท่านั้น แต่คนร้ายเลือกเหยื่อที่มีความแค้น”
     
           
“นายจะบอกว่ามันคือการแก้แค้นงั้นหรือ แต่หมอสี่คนที่ตายไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยนะ คนที่มีแนวโน้มเป็นฆาตกรในคดีแรกก็ไม่มีเหตุจูงในคดีที่สองสามสี่ อีกอย่างเหยื่อก็เป็นหมอในแผนกที่ต่างกัน”
กรวิวัฒน์แย้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ถ้าเกิดฆาตกรเลือกเหยื่อจากความแค้นจริงๆเขาก็เริ่มจะจนปัญญาแล้ว เขารู้สึกมืดแปดด้าน มองไปทางไหนก็ไม่เจอคำตอบ หลักฐานที่รวบรวมได้เหมือนเศษจิ๊กซอที่กระจัดกระจาย รอคอยให้เขานำมาประกอบเป็นรูปร่าง เพียงแต่เขายังหารูปต้นแบบของมันไม่เจอ
“นายจะมีความลังเลหากคนที่นายกำลังจะฆ่า ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับนาย แต่นายจะฆ่าอย่างไม่ลังเล หากคนๆนั้น เป็นคนที่นายเกลียด”
กายใช้เวลาคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถึงความเห็นของตนเอง
“โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้ นายอย่าเอามาสนใจเลย ฆาตกรก็คือฆาตกร นายจะไปรู้ใจมันได้ยังไง” กรวิวัฒน์ว่า แล้วทิ้งตัวพิงผนักโซฟา หลับตาแล้วยกมือก่ายหน้าผาก
ฆาตกรที่ฆ่าหมอต่อเนื่องมาสี่ศพ ไม่ต้องเป็นจิตแพทย์ก็รู้ว่ามันโรคจิต แล้วคนโรคจิตย่อมไม่ได้คิดอะไรเหมือนคนปกติ แล้วไอ้กายจะเอาตรรกะคนปกติมาใช้ได้ไงวะ
“ฆาตกรก็เป็นคน มีความคิด มีความรู้สึก จิตใจอาจจะบิดเบี้ยวไปบ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วย่อมมีความรู้สึก ถ้านายต้องการจับเขาให้ได้ล่ะก็ นายต้องพยายามเข้าใจความคิดของเขาซะก่อน”
“เออๆ ฉันจะพยายามเข้าใจนะว่า ทำไมคนถึงอยากฆ่าคนด้วยกัน”
“นายคิดว่าทำไมฆาตกรเลือกโรงพยาบาลเซนต์โทมัสล่ะ”
กรวิวัฒน์เอาแขนที่ก่ายหน้าผากลง แล้วหันไปมองคนที่จู่ๆก็เอ่ยปากถาม เขาเหลือบตามองเพดานด้วยความครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“อยากทำลายชื่อเสียงของโรงพยาบาล หรืออาจจะเกลียดหมอที่นี่มากๆล่ะมั้ง”
“เพราะอะไรนายถึงเกลียดหมอ”
คำถามต่อมาทำให้ผู้หมวดหนุ่มตีหน้ายุ่ง ยกมือลูบคางตัวเองอย่างคนกำลังใช้ความคิด
“อาจจะเคยแย่งแฟนฉันมั้ง หรืออาจจะเคยทำให้คนในครอบครัวฉันตาย…”
แรกเริ่มทางกองตำรวจสันนิษฐานว่าคนร้ายมีความแค้นต่อโรงพยาบาลเพราะหมอกวี (เหยื่อรายที่หนึ่ง) ผ่าตัดผิดพลาดทำให้คนในครอบครัวของคนร้ายเสียชีวิต และกลายเป็นความฝังใจ จึงเลือกที่จะทำการฆาตกรรมต่อเนื่องเพื่อระบายความโกรธแค้น โดยเลือกเหยื่อตามความพอใจหรือเหยื่อที่ไม่ทันระวังตัว และมันทำให้กรมตำรวจถึงกับปั่นป่วน เพราะไม่รู้ว่าเหยื่อรายต่อไปคือใคร แล้วมันจะจบลงเมื่อไร
อีกกรณีที่กรวิวัฒน์ลองสันนิษฐานไว้ก็คือ ความขัดแย้งของหมอในโรงพยาบาล เพราะหมอกวีก็สร้างศัตรูไว้ไม่น้อยเลย แต่เมื่อเขาเริ่มสืบหาตัวคนร้ายจากเพื่อนร่วมงานของหมอกวี ก็เกิดเหตุฆาตกรรมคดีที่สองสามและสี่ตามมา โดยที่เขาไม่สามารถระบุตัวคนร้ายที่มีความแค้นต่อหมอทั้งสี่คนได้เลย
“นายเคยบอกเองนี่ว่าตรวจเลือดทุกคนในโรงพยาบาลแล้วไม่พบตัวคนร้าย งั้นก็อาจจะเป็นญาติผู้ป่วยก็ได้นี่ จริงมั้ย”
กรวิวัฒน์หันขวับไปมองหน้าคนพูด ทางตำรวจขอทำการตรวจเลือดหมอ พยาบาล และบุคลากรทุกคนในโรงพยาบาลเซนต์โทมัส โดยใช้ทีมทดสอบของตำรวจเอง เพื่อหา DNA ที่ตรงกับฆาตกร ซึ่งก็คว้าน้ำเหลว ไม่มีฆาตกรอยู่ในหมู่พวกเขาเลย และใช่ ความคิดของเจ้ากาย เขาเองก็เคยคิดอยู่เหมือนกัน เหตุผลนี้มีความเป็นไปได้ เพียงแต่ญาติคนไข้คนไหนล่ะ
ยิ่งพยายามควานหาตัวคนร้าย ก็ยิ่งเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร….
“ให้ตายสิ คนเข้าออกโรงพยาบาลในช่วงห้าปีนี้ มีเป็นพันเป็นหมื่น แล้วฉันจะจำกัดตัวคนร้ายได้ยังไง”
“ไม่น่ายาก”
คำพูดเรียบๆของจิตแพทย์หนุ่มทำให้กรวิวัฒน์ถลึงตา ไอ้เจ้าบ้า ถ้ามันไม่น่ายาก เขากับทีมสืบสวนคงจะหาตัวคนร้ายเจอตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยให้มันฆ่ามาถึงสี่ศพหรอกโว้ย
“คนที่มีความแค้น มักจะระบายความโกรธกับสิ่งที่ทำให้เขาเกิดความแค้นเป็นอันดับแรก อย่างเหยื่อรายที่หนึ่ง หมอกวีแผนกศัลยแพทย์ทั่วไป”
กายอธิบาย มือเรียวยาวเริ่มควานหารูปในที่เกิดเหตุ และพบว่ามันถูกฝังอยู่ใต้กองแฟ้มคดีเพราะลูกพี่ลูกน้องของเขาบอกว่ามันไม่เจริญสายตา
“นายเห็นความต่างจากคดีอื่นมั้ย”
กายถาม แล้วขยับยิ้มมุมปากเมื่อเขาพบชิ้นส่วนสำคัญของคดี หลังจากมองข้ามไปข้ามมาถึงหกวัน
กรวิวัฒน์รับรูปถ่ายสี่ใบจากลูกพี่ลูกน้องมากวาดตามอง รูปแต่ล่ะใบเป็นภาพศพที่ถูกพบในที่เกิดเหตุทั้งสี่คดี มันไม่ค่อยน่ามองเท่าไร โดยเฉพาะศพของหมอกวีที่ถูกทารุณกรรมก่อนรัดคอให้ขาดอากาศหายใจ
“ฆาตกรทำร้ายร่างกายเขาก่อนจะใช้เชือกรัดคอให้ตายช้าๆ แต่วิธีการจับเชือกไม่ได้ต่างจากอีกสามคดี ตอนแรกฉันก็เกือบจะคิดว่าเป็นคนร้ายคนละคนแล้ว”
“มันคือการระบายอารมณ์โกรธ…หมอกวีอยู่แผนกศัลยแพทย์ทั่วไป ไม่ใช่คนดีมีความสามารถเท่าไร นายคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงแย่ๆของเขามาบ้าง”
นายตำรวจหนุ่มพยักหน้ารับ ตอนที่เขาเข้ามาสืบคดีที่เซนต์โทมัส พยาบาลหลายคน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หมอกวีเป็นศัลยแพทย์ที่ไร้ความสามารถ ชอบเข้าห้องผ่าตัดกับหมอเก่งๆเอาหน้า สร้างผลงาน บางครั้งทำให้การผ่าตัดผิดพลาด แต่ไม่เคยมีใครเอาเรื่องเขาได้ เพราะพ่อของเขาคือหุ้นส่วนใหญ่ในโรงพยาบาล
“เคยมีคนไข้ที่เสียชีวิตเพราะหมอกวี ถ้าฉันเป็นคนในครอบครัวคงจะแค้นเหมือนกัน”
กรวิวัฒน์ขมวดคิ้ว เมื่อใบหน้าที่มักประดับรอยยิ้มมุมปากของเจ้ากายเรียบตึง นัยน์ตาสีนิลที่เคยอ่อนโยนฉายความรู้สึกเกลียดชัง แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เขาก็พอจะจับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้…
‘หมอนี่คงเป็นหนึ่งในคนที่เกลียดหมอกวี’
“ทำไมนายไม่เริ่มสืบจากตรงนี้ล่ะ
“ฉันต้องสืบจากคนไข้ที่เสียชีวิตเพราะหมอกวีย้อนหลังไปกี่ปีกันวะ คือมันไม่น้อยเลย นายพอจะมีวิธีจำกัดวงให้แคบกว่านี้มั้ย”
กรวิวัฒน์เลิกสนใจความคิดของลูกพี่ลูกน้อง แล้วหยิบแฟ้มประวัติหมอกวีมาอ่านรายละเอียดอีกครั้ง
“คดีฆาตกรรมที่สอง…หมอชรัญเป็นรุ่นพี่ฉันเอง อยู่แผนกจิตเวช”
กายเอ่ยช้าๆ ขณะที่สมองกำลังไตร่ตรองคำพูดของตนเอง
“ฉันคิดว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตจะต้องมีปัญหาด้านสุขภาพจิตและเคยรับการรักษากับหมอชรัญ อีกอย่างหมอจิณณ์ กับหมอฌายินอาจจะเข้าห้องผ่าตัดร่วมกับหมอกวีในวันนั้นก็ได้”
กรวิวัฒน์ขยับยิ้มกว้าง เขารู้สึกถึงแสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากปลายสุดของอุโมงค์ ชิ้นส่วนจิ๊กซอที่คิดว่าไร้ประโยชน์กำลังใบ้ให้เขาหาตัวคนร้าย
กรณีที่เจ้ากายว่ามาคงมีไม่กี่คน ถ้าหารายชื่อผู้ป่วยคนดังกล่าวเจอ แล้วค่อยตามสืบคนในครอบครัวที่คาดว่าจะเป็นคนร้าย คงจะปิดคดีได้ไม่ยาก
“หมอฌายิน เป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทใช่มั้ยวะ”
นายตำรวจหนุ่มใช้มือควานหาเอกสารที่ระบุ รายละเอียดส่วนตัวของผู้เคราะห์ร้ายทั้งสี่คน แล้วเงยหน้ามาถามอีกคนที่พยักหน้ายืนยันความคิดของเขา
“ผู้ป่วยคนนั้นอาจจะป่วยทางจิต และมีโรคทางสมองที่ต้องผ่าตัด ถ้าฉันเริ่มหาจากประวัติการผ่าตัดผู้ป่วยที่มีหมอสี่คนนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะเลย”




TBC. :mew1:

BABYBB : ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ ต้องรอติดตามนะว่าหมอคนไหนเป็นพระเอก ระหว่างหมอเทวินทร์ข้างห้อง
กับหมอเทวินทร์จิตเเพทย์

naruxiah : เดาได้ใกล้เคียงค่ะ  *0* เรื่องนี้มีวิญญาณอาฆาตเเน่นอน 555




ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ในที่สุดก็มาแล้ว o13

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ตอนนี้​นี่มาให้ชวนติดตามยิ่งขึ้นไปอีก​ลุ้นค่ะ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

ตอนที่ 8


แสงสีส้มยามเย็นจากดวงตะวัน ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดม่านทิ้งไว้ อาบไล้สรรพสิ่งให้เป็นสีทอง รวมถึงเสี้ยวหน้าด้านข้างของจิตแพทย์หนุ่ม เจ้าตัวก้มหน้าอ่านแฟ้มประวัติบนโต๊ะเงียบๆครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนไข้เคสพิเศษด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์
“สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็ดีครับ ผมไม่ได้หน้ามืดแล้ว”
ชนกันต์ตอบ เขากลับมานั่งเผชิญหน้ากับหมอกายในห้องตรวจสีครีมอีกครั้ง จิตแพทย์ของเขา ไม่ได้เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่พบกัน เจ้าตัวยังเปร่งประกายความสดใสจนทำให้เขาได้รับอิทธิพลความผ่อนคลายมาด้วย
“อีกสิบนาทีผมจะเลิกงานแล้ว ไปดื่มกาแฟกันมั้ยครับ”
หมอกายก้มมองนาฬิกาข้อมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมาถามยิ้มๆ
“ก็ได้ครับ”
ชนกันต์พยักหน้ารับ เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเอ่ยชวนด้วยเหตุผลอะไร แต่เขาไม่อยากเรื่องมากเพราะตัวเองเป็นฝ่ายลืมนัด มัวแต่นั่งๆนอนๆอ่านนิยาย กว่าจะนึกออกก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว อันที่จริง ถ้าหมอกายเหนื่อย จะกลับบ้านไปพักผ่อนแล้วให้เขามาใหม่วันหลังยังได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำ
“เชิญครับ”
หมอกายถอดเสื้อกาวน์และแว่นสายตาทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วผายมือไปทางประตูเพื่อเชื้อเชิญให้ชนกันต์เดินออกไปพร้อมกัน ระหว่างทาง เขาแอบเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของจิตแพทย์หนุ่มหลายครั้ง เป็นเพราะภาพลักษณ์ของหมอกายที่ไม่ได้สวมแว่นดูแปลกตาไม่น้อย จะว่าอย่างไรดี…ดูอ่อนเยาว์ เหมือนวัยรุ่นทั่วไปมากกว่าหมอล่ะมั้ง
“หมออายุเท่าไรครับ”
ชนกันต์หลุดปากถามออกไป ถึงจะอยากเรียกคืนคำพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคุณหมอหันมาสบตาเขาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ลองเดาดูสิครับ”
ชนกันต์กวาดสายตามองใบหน้าหมอกายช้าๆ เขาจำเป็นต้องเงยหน้า เพราะอีกฝ่ายสูงกว่าประมาณสิบเซนติเมตร ก่อนจะให้ข้อสรุปกับตัวเองว่าหมอคงจะแก่กว่าเขาสักห้าปี
“ยี่สิบเจ็ด”
หมอกายหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินคำตอบ มันเป็นตัวเลขที่น้อยเกินไปหรือ หมอถึงได้ยิ้มหน้าบานซะขนาดนั้น
“ผมแก่กว่านั้นครับ”
แม้จะสงสัยในเรื่องอายุของจิตแพทย์หนุ่ม แต่ชนกันต์ก็ไม่ได้เซ้าซี้ให้เสียมารยาท เขาเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ จนกระทั่งมาหยุดที่คอฟฟี่ช็อปเล็กๆในโรงพยาบาล 
“ไอซ์คาปูชิโน่หนึ่งครับ”
หมอกายสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ ก่อนจะหันมาถามเขาตามมารยาท
“คุณอยากดื่มอะไรครับ”
“ผมไม่ได้หิวน้ำ”
ชนกันต์ปฏิเสธ กะพริบตาปริบๆมองพนักงานคนสวยที่กำลังมองหมอกายตาค้างด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน ส่วนหมอที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร กลับเงยหน้ามองเมนูที่ติดอยู่บนผนัง ชายหนุ่มรีบก้มหน้าเพื่อซ่อนรอยยิ้ม รู้ว่าเสียมารยาท แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เขาไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมหญิงสาวออกอาการแบบนั้น เพราะหมอกายหล่อมาก ขนาดในสายตาเขาที่เป็นผู้ชายด้วยกัน ยังคิดว่าหมอหล่อมากเลย
ชนกันต์ทรุดนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งขณะรอเครื่องดื่มของคุณหมอ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองผ่านกระจกออกไปเห็นลานด้านข้างของโรงพยาบาลที่ค่อนข้างพลุกพล่าน เพราะเป็นเวลาเลิกงาน จึงมีบุคลากรหลายคนเริ่มทยอยกันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
“ของคุณกันต์ครับ”
ชนกันต์เงยหน้ามองหมอกายที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมยื่นแก้วชาเขียวเย็นมาให้
“ผมไม่ชอบชาเขียว”
ชายหนุ่มเอ่ยปากบอกตรงๆ มันอาจจะเป็นการเสียมารยาทที่ไม่รับเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ซื้อให้ แต่เขาไม่ชอบกลิ่นของชาเขียวจริงๆนี่ มันทำให้รู้สึกเหมือนกำลังกินหญ้า
“งั้นคาปูชิโน่มั้ย”
หมอกายถาม แล้วยื่นแก้วกาแฟที่อยู่ในมืออีกข้างให้เขาแทน
ชนกันต์เผลอกัดริมฝีปากเมื่อต้องเผชิญความรู้สึกอึดอัด เขาคิดว่าหมอกายคงต้องการคาเฟอีนเข้มข้นจากกาแฟ แล้วเขาเองที่ไม่ยอมสั่งเครื่องดื่มตั้งแต่แรก จะกล้าไปแย่งคาปูชิโน่ของหมอได้อย่างไรล่ะ ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้โกรธ แต่เขาก็รู้จักความเกรงใจนะ
“ชาเขียวก็ได้ครับ”
จิตแพทย์หนุ่มขยับยิ้มเมื่อคนเด็กกว่ายื่นมือมารับแก้วชาเขียวไปดูด คิ้วเรียวที่เริ่มขมวดยุ่งเหมือนกำลังกลืนขี้เถ้าทำให้เขานึกเอ็นดู ชนกันต์เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนรอบข้าง ไม่แปลกใจเลยถ้าอีกฝ่ายจะเป็นพวกคิดมากด้วย
“คุณกันต์มีเรื่องอะไร อยากเล่าให้ผมฟังมั้ย”
“เรื่องประเภทไหนครับ”
ชนกันต์หันไปถามคนที่เดินอยู่ข้างๆ หมอกายไม่ได้บอกว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหน และเขาก็ไม่ได้อยากรู้
“ทุกเรื่องที่คุณต้องการ ผมจะรับฟัง”
น้ำเสียงหนักแน่นของหมอกายทำให้ชนกันต์ชะงัก  รู้สึกเก้อเขินแปลกๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายทำตามหน้าที่ของจิตแพทย์ที่ดี แต่ไม่เคยมีใครรับฟังความต้องการของเขามานานมากแล้ว
“ไม่มี”
ชนกันต์พึมพำ เขาฝืนดูดชาเขียวไปเงียบๆเพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไร หรือทำอะไร กระทั่งหมอกายพาเขาเดินออกจากประตูมาสู่สวนกว้างหลังโรงพยาบาล
จิตแพทย์หนุ่มเดินไปทรุดนั่งบนม้าหินอ่อนสีขาว แล้วตบที่นั่งข้างๆ เป็นเชิงให้นั่ง และชนกันต์ที่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงยอมเดินไปนั่งข้างอีกฝ่าย นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองต้นไม้และดอกไม้หลากสีด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย สวนของที่นี่สวยงามมาก ดูจากความสะอาด และความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้าก็พอจะรู้แล้วว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
“มีเรื่องไม่สบายใจเหรอครับ”
หมอกายเอ่ยทำลายความเงียบ ตอนแรกชนกันต์คิดว่าจะปฎิเสธ แต่คิดอีกที ถ้าลองจิตแพทย์คนเก่งถามแบบนี้แล้ว เขาคงแสดงอาการอะไรบางอย่างออกไปให้อีกฝ่ายรู้ล่ะมั้ง
“ครับ”
“บอกผมได้มั้ย”
ชนกันต์สั่นศีรษะ เรื่องเดียวที่ไม่สบายใจ คือเรื่องเดียวที่ไม่ต้องการให้คนนอกรับรู้ เขาไม่ต้องการความเห็นใจจากหมอกาย เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายช่วยอะไรไม่ได้
“ไม่ครับ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ผมอยากให้จิตแพทย์รู้”
“คุณอาจจะคิดว่าเราต้องมีระยะห่างระหว่างกัน เพราะผมเป็นหมอและคุณเป็นคนไข้”
กายเอ่ย ก่อนจะหยุดคิดครู่หนึ่ง แม้ชนกันต์จะเป็นผู้ป่วยที่ตัดสินใจมารับการรักษาด้วยตัวเองโดยไม่มีใครบังคับ แต่ส่วนหนึ่งของจิตใจ ยังมีความระแวง ซึ่งเป็นกลไกป้องกันตัวเองจากสิ่งที่ไม่ไว้วางใจ และมันทำให้เขาเข้าถึงอีกฝ่ายยากมากขึ้น
 “ทำไมเราไม่เป็นเพื่อนกันล่ะครับ ถ้าคุณเล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้เพื่อนฟัง คงได้ใช่มั้ย”
ชนกันต์ไม่ตอบ เขายกแก้วชาเขียวมาดูด แล้วทอดมองภูเขาที่อยู่สุดสายตาราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ระหว่างพวกเขาไม่มีบทสนทนาใดๆอีกเลย กระทั่งรู้สึกตัวว่าตกเป็นเป้านิ่งของหมอกาย จึงหันไปมองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายไม่ได้หลบตา แต่กลับจ้องมองเขาตรงๆ
“มีอะไรครับคุณหมอ”
“มีแฟนหรือยังครับ”
ชนกันต์ชะงัก รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อได้ยินคำถามตรงๆของหมอกาย ถึงเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องถูกใครจีบมาก่อน แต่ก็พอจะรู้นะว่า ประโยคนั้นควรใช้ถามคนที่ ‘สนใจ’ มากกว่านำมาใช้ถามคนไข้
“หรือว่ามีคนที่ชอบแล้วครับ”
เมื่อเห็นว่าชนกันต์ไม่ตอบ หมอกายก็รุกหนักขึ้นจนเขาถึงกับไปไม่เป็น และเริ่มจะปั้นหน้าลำบากขึ้นทุกทีเมื่อเผลอไปสบตาอีกฝ่าย
หมอกายส่งยิ้มให้อย่างสุภาพเช่นเดิม เพียงแต่ประกายร้อนแรงที่ไม่เคยเห็นในดวงตาสีนิลกำลังทำให้หัวใจดวงน้อยๆของชนกันต์สั่นไหว
“มันเกี่ยวกับการรักษาผมมั้ย ที่ถามอ่ะ” ชนกันต์ว่า แล้วหลุบตามองพื้น รู้สึกว่าไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เกี่ยวครับ”
คำตอบตีมึนเรียกให้ชนกันต์เงยหน้าขึ้นมามอง ถึงมันจะเป็นคำพูดเรียบๆไม่ใส่อารมณ์ แต่เขารู้สึกว่าประกายขบขันจากรอยยิ้มของหมอกายมันดูกวนประสาทชะมัด
“ผมยังไม่มีแฟน”
ชนกันต์ตัดสินใจตอบคำถามให้จบๆ เพราะคิดว่าหมอกายคงจะเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น แต่เขาคิดผิด เพราะนอกจากจะไม่ได้เปลี่ยนเรื่องแล้ว คำถามต่อมายังทำให้คนฟังหน้าแดงก่ำ
“ปกติแล้ว ถ้าคุณกันต์เจอคนที่ชอบจะทำยังไงครับ จีบเลยมั้ย”
บ้าเอ๊ย หน้าอย่างเขาจะกล้าไปจีบใครก่อนเล่า!
“นี่หมอ”
ชนกันต์กดเสียงต่ำ ด้วยใบหน้าบึ้งตึง บอกให้รู้ไม่พอใจมากๆ แล้วถ้าหมอยังยืนยันจะถามเรื่องบ้าๆกับเขา เขาก็พร้อมจะลุกขึ้นมาเตะอีกฝ่ายให้ร่วงเก้าอี้เหมือนกัน
“ว่าไงครับ”
“ผมไม่รู้แล้วว่าวันนี้มาทำอะไรที่โรงพยาบาลกันแน่”
มานั่งโง่ๆให้คุณแกล้งหรือไง
“มาคลายเครียด” หมอกายตอบยิ้มๆ
“ไม่เห็นว่าคุณจะทำให้ผมคลายเครียดตรงไหน”
“แย่จัง ผมคิดว่าถ้าคุณอยู่กับผมแล้วจะมีความสุข”
ประโยคเข้าข้างตัวเองของหมอกายทำให้เกิดเดธแอร์กะทันหัน ชนกันต์รู้สึกหายใจลำบาก อันที่จริงเขาไม่รู้เลยว่าหมอต้องการอะไรจากคำถาม อยากแกล้งเขา?หรืออยากรักษาจริงๆ? เขาเกือบจะเชื่อแล้วว่ามันอาจจะเป็นวิธีรักษาฉบับหมอกาย แต่ไอ้รอยยิ้มกับแววตาที่ดูสนุกสนานทำให้เขาไม่แน่ใจ ส่วนจะให้คิดแบบคนหลงตัวเองว่าหมอกำลังจีบก็ดูจะมั่นหน้ามั่นโหนกจนเกินไป เขาไม่ใช่คนหล่อ อีกอย่างเขาไม่ใช่ผู้หญิง คนหน้าตาดีระดับหมอกายน่ะ หาได้ดีกว่าเขาเยอะ
“ผมมีเรื่องจะถาม”
“ได้ทุกเรื่องครับ”
ชนกันต์แอบยู่ปาก เขาคิดว่าลึกๆแล้ว หมอกายไม่ใช่คนสุภาพอ่อนโยนอย่างที่แสดงออก ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่า อีกฝ่ายเป็นคนขี้เล่นแล้วก็กวนประสาทหน้าตายมาก
“หมอแต่งงานหรือยัง”
ชนกันต์ถาม เอาดิ หมอยังถามเรื่องส่วนตัวของเขาได้ เขาเองก็จะถามหมอเหมือนกัน
“ยังครับ แฟนก็ยังไม่มี”
ชนกันต์จ้องหมอกายตาไม่กะพริบเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกเกือบแตะกัน เขาได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแบบผู้ชาย และกำลังตัวแข็งทื่อเหมือนโดนสาป ชนกันต์ไม่กล้าขยับ เพราะกลัวจะทำให้จมูกไปโดนอีกฝ่าย ส่วนจะขยับปากบอกให้หมอถอยไปห่างๆก็กลัวว่าปากของเขานี่แหละจะไปโดนหมอ
“ถามเรื่องที่คุณอยากรู้จริงๆดีกว่าครับ”
กายขยับยิ้ม แล้วยอมถอยออกมา เขาเห็นคนเด็กกว่าถอนหายใจเบาๆโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าขาวใสกำลังแดงก่ำ ริมฝีปากขยับบ่นงึมงำ ไม่ได้ยินก็รู้ว่ากำลังโดนด่า แต่ไม่เป็นไร ก็คนไข้คนนี้…ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู
“ตอนที่ผมไม่สบายใจ กับตอนที่เครียดมากๆ ผมจะอยากนอน รู้สึกง่วง…หมอว่ามันผิดปกติมั้ยครับ”
ชนกันต์ถาม มันเป็นเรื่องเล็กๆที่เกิดกับเขามานานจนกลายเป็นนิสัย โดยเฉพาะตอนที่ทะเลาะกับแม่ หรือน้อยใจแม่ที่ชื่นชมแต่พี่ที ชนกันต์จะไม่แสดงความโกรธ ความไม่พอใจ เขาเลือกจะเก็บงำไว้กับตัว กดความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในส่วนลึกแล้วหลับตา พาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้วงฝัน
“ไม่ได้ผิดปกติครับ แต่ละคนมีวิธีหลีกเลี่ยงความรู้สึกเจ็บปวดต่างกัน บางคนอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องไปหาเพื่อน บางคนดื่มแอลกอฮอล์ อย่างกรณีคุณคือการนอนหลับ เพื่อหนีจากความรู้สึกที่ไม่ต้องการ แต่บางคนที่อาการหนักมากจะชัตดาวน์ตัวเองด้วยการกรีดร้อง หมดสติ หรือความจำเสื่อมชั่วคราว”
“งั้นอาการหมดสติของผม มาจากความเครียดมากๆใช่มั้ยครับ”
“ครั้งก่อน คุณกันต์บอกผมเองนี่ว่า ตอนที่หมดสติคุณแค่คุยกับเพื่อนอยู่ในห้อง ตอนนั้นคุณได้รับความกดดันจากอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ”
ชนกันต์ส่ายหน้า เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัว ด้านความรู้สึกถือว่าติดลบ ในตอนเด็กๆ เขากลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคขาดความอบอุ่น หรือโรคเรียกร้องความสนใจ จึงพยายามเข้มแข็งและอยู่คนเดียวให้ได้
“งั้นอาการหมดสติของคุณก็ไม่ได้เกี่ยวกับความเครียด”
“แล้วคนที่เครียดมากถึงขั้นหมดสติ เขาต้องเจอปัญหาระดับไหนครับ”
ชนกันต์เงยหน้ามองหมอกาย อีกฝ่ายขยับยิ้มอ่อนโยนให้เขา แล้วเริ่มอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพได้ชัดเจน
“ผมบอกไม่ได้ครับ เพราะแต่ละคนมีกลไลการป้องกันตัวจากความเจ็บปวดต่างกัน บางคนรับความกดดันได้มาก แต่บางคนรับความกดดันได้น้อย เหมือนกับวัสดุชนิดหนึ่ง ถ้าคุณทุบมันทุกวัน จนวันหนึ่งวัสดุมีความล้าจะเกิดการแตกหัก มันก็ไม่ได้ต่างจากหัวใจของมนุษย์หรอกครับ”
“หมอคิดว่าผมเป็นอะไรเหรอครับ”
“ขอโทษครับ แต่ตอนนี้ผมยังให้คำตอบคุณไม่ได้”
ประโยคขอโทษจากหมอกายไม่ได้กล่าวขึ้นตามมารยาท แต่สีหน้าของหมอแสดงความรู้สึกผิดจริงๆ ชนกันต์ขยับยิ้ม เขาเข้าใจดีว่าหมอไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะหยั่งรู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่ที่ถามเป็นเพราะเขาอยากเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับอาการของตัวเอง
“ผมอาการหนักมากหรือเปล่า ขนาดหมอยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร”
“อย่ากังวลครับ ร่างกายของคุณแข็งแรง”
ชนกันต์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ถือว่าเป็นเรื่องดีนะ ที่เขาเป็นคนสุขภาพแข็งแรง
“เหลือแต่จิตใจ…ที่ต้องได้รับการดูแล”
ประโยคต่อมาทำให้ชนกันต์ชะงัก นัยน์ตาสีน้ำตาลมองเข้าไปในดวงตาของหมอกาย พยายามค้นหาความหมายแฝงที่ซ่อนอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับพูดเรื่องทั่วไป ชนกันต์จึงสรุปกับตัวเองว่า…
นายคิดมากเกินไป หมอกายพูดถูกแล้ว เพราะอีกฝ่ายน่ะ เป็นจิตแพทย์ที่ทำหน้าที่รักษาจิตใจจริงๆ แต่แม่งเอ๊ย หัวใจบ้าเสือกเต้นรัวทำซาก!



Trrrrrrrrr
Trrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“คุณกันต์”
“…”
“ไม่รับเหรอครับ”
“รับครับๆ”
ชนกันต์สะดุ้ง แล้วรีบพยักหน้า เขาสติหลุดไปช่วงหนึ่งจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนของตัวเอง ถ้าหมอกายไม่พูดเสียงดังกรอกหูเขา เขาก็ยังนั่งเอ๋อต่อไป มือควานหาอุปกรณ์สื่อสารที่ถูกใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วกดรับสายโดยไม่ได้ดูหน้าจอด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
“ฮัลโหล”
“กันต์ พี่เองนะ”
เสียงคุ้นหูที่ตอบกลับมาทำให้ชนกันต์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าอีกฝ่ายโทรมาทำไม แต่เขาเลือกที่จะเมินสายของฝ่ายนั้นมาตั้งแต่เช้าแล้ว
“มีอะไร”
“งานเลี้ยงวันเกิดพ่อเริ่มหนึ่งทุ่มนะ นายจะมากี่โมง”
“บอกแม่ไปแล้วว่าไม่ไป”
ชนกันต์ตอบห้วนๆ สิ่งหนึ่งที่เขาเกลียดรองลงมาจากการโดนเปรียบเทียบก็คือ ‘ชลนที’
ถ้าพี่ทีจะดีกับเขาให้น้อยกว่านี้ ทำตัวฉลาดให้น้อยกว่านี้ อัธยาสัยดีให้น้อยกว่านี้ เขาคงจะไม่รู้สึกแย่เลยที่จะเกลียดอีกฝ่ายอย่างหมดใจ
“มาเถอะ แม่ทำกับข้าวไว้ให้”
น้ำเสียงที่ใช้พูดกับเขาเคยอ่อนโยนอย่างไร วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม พี่ทีจะปลอบโยนเขา พยายามเข้าอกเข้าใจทุกครั้งที่เขาโดนแม่ดุด่า แต่ก็นั่นล่ะ เรื่องที่โดนด่าก็คือเรื่องที่เขาเป็นได้ไม่เท่าพี่ที
“แม่สั่งมาต่างหาก”
ชนกันต์แย้ง เขาชอบอาหารที่แม่เคยทำให้กินตอนยังเป็นเด็ก แต่ช่วงหลังที่แม่จริงจังกับการทำงานมากๆ แม่ก็เลิกทำอาหารเพราะเสียเวลา แล้วจ้างแม่ครัวส่วนตัวมาที่บ้านแทน และยิ่งวันนี้เป็นงานวันเกิดของพ่อ แม่น่าจะสั่งอาหารมาจากภัตตาคารซะมากกว่า
“ถ้าไม่เชื่อก็กลับมาดูเอง แม่ทำกับข้าวไว้ให้นาย พ่อก็บ่นถึงเหมือนกัน”
“แค่นี้นะ” ชนกันต์กดตัดสายไปดื้อๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเสียงพี่ทีลอดมาจากลำโพงให้ได้คิดหนัก
“พี่จะรอ”

ถ้าเขาไม่โผล่หัวไปงานวันเกิดพ่อ พี่ทีจะรอจริงๆหรือเปล่า…
ถ้ารอนานแล้วไม่เห็นเขา พี่ทีคงจะเลิกรอไปเอง…
ส่วนพ่อกับแม่คงไม่ได้รอเขาใช่มั้ย…
ถ้าเขาไปงานวันเกิด แล้วปรากฏว่าไม่มีใครรอเขาจริงๆล่ะ…
ถ้าพี่ทีโกหกให้เขารู้สึกดีล่ะ…

ชนกันต์นั่งตบตีกับความคิดของตัวเองอยู่หลายนาที กว่าจะรู้สึกตัวว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ หมอกายไม่ได้ลุกไปไหน แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำหลังจากที่เขาวางสายของพี่ที
“หมอเลิกงานแล้วนี่ครับ”
ชนกันต์ก้มมองเวลาบนหน้าจอสมาร์ทโฟนแล้วเอ่ยถาม ตอนนี้เป็นเวลา 16.20 น. แล้ว และจิตแพทย์จะเลิกงานเวลาสี่โมงเย็น ต่างจากหมอแผนกอื่นๆที่จำเป็นต้องเข้าเวร
“คุณอยากกลับแล้วเหรอครับ”
หมอกายหันมาถาม ชนกันต์ส่ายหน้า เขายังไม่อยากขยับตัวจากเก้าอี้ เพราะไม่รู้ว่า เมื่อลุกขึ้นยืนแล้วเขาจะไปที่ไหน กลับห้องพัก? หรือกลับบ้าน?
“หมอไม่รีบกลับบ้านเหรอครับ”
“ผมมันตัวคนเดียว จะกลับหรือไม่กลับก็เหมือนกันนั่นแหละครับ”
ชนกันต์หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของจิตแพทย์หนุ่มที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม หมอกายไม่ได้บังคับให้เล่าเรื่องที่ไม่สบายใจ ทั้งที่ตอนนี้บนใบหน้าของเขาคงฟ้องอย่างชัดเจนว่ากำลังมีเรื่องให้คิดหนัก
“วันนี้วันเกิดพ่อ”
ชนกันต์เริ่ม ตอนนี้ความคิดของเขาสับสน เขาไม่อยากได้ความเห็นจากคุณหมอคนเก่งจริงๆหรอก เขาแค่อยากได้คนรับฟัง
“แต่ผมไม่อยากกลับบ้าน”
“ทำไมครับ” หมอกายถามเรียบๆ
“ที่บ้านจะจัดงานวันเกิดแบบยิ่งใหญ่ทุกปี แล้วก็เชิญแขกไฮโซมาร่วมงานเยอะๆ”
“แล้วคุณไม่ชอบ?”
“ก็ประมาณนั้น”
ชนกันต์ยอมรับ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วอธิบายเพิ่มเติมถึงปัญหาเล็กๆในชีวิตของเขา ที่สร้างรอยร้าวในหัวใจมานาน
“ที่จริง ผมเป็นคนไม่ได้เรื่อง ทำให้พ่อแม่ขายหน้าบ่อยๆ ผมเลยไม่อยากเสนอหน้าไปงาน”
“แต่ลึกๆแล้ว คุณแคร์คุณพ่อ แล้วคุณก็อยากไปหาท่านใช่มั้ยครับ”
ชนกันต์ชะงัก เขาไม่รู้ว่าหมอกายคาดเดาจากอะไรว่าเขาแคร์พ่อ หรือหมอกายอาจจะเดาไปเรื่อยๆก็ได้ แต่ชนกันต์เลือกที่จะปฎิเสธ
“เปล่า”
“ถ้าไม่แคร์แล้วทำไมต้องขมวดคิ้วแบบนี้ครับ เดี๋ยวแก่เร็วนะ”
หมอกายยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน แล้วใช้นิ้วเรียวยาวแตะเบาๆบนหว่างคิ้ว เพียงแค่สัมผัสจากปลายนิ้วอุ่นๆครู่เดียวแล้วผละออกอย่างมีมารยาท กลับทำให้หัวใจเขาอุ่นวาบ แล้วเผลอขยับยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
“ไปงานเถอะนะครับ ผมรู้ว่าคุณไม่สบายใจที่พูดว่าจะไม่ไป”
“แต่ถ้าผมไป ผมก็ไม่สบายใจเหมือนกัน”
ชนกันต์ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น เขาไม่อยากเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้ครอบครัวอับอายเวลาโดนเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น ถึงจะเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยๆ แต่เขาไม่อยากรับรู้อีกแม้แต่ครั้งเดียว
“ถ้าไม่รังเกียจ ขอผมไปเป็นเพื่อนคุณกันต์ได้มั้ยครับ”
ชนกันต์ยอมรับข้อเสนอของหมอกายด้วยความเต็มใจ และนึกขอบคุณที่วันนี้หมออยู่เป็นเพื่อนเขา เพราะลึกๆแล้ว ชนกันต์รู้ดีว่าตนเองอยากกลับบ้าน เพียงแต่ไม่มีความกล้าที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ที่อาจทำให้เขาเจ็บปวดอีกครั้ง
“ก็ได้ครับ”





TBC.  :o8:




ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
นว้องงงงงงงงง อย่าดูถูกตัวเองงงงง น้องน่ารักขนาดนี้ พี่หมอยังชอบเลยยยย :hao5:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
หมอกายผีกันต์​อาจจะ​ชอบเพราะ​รูปลักษณ์ภายนอก​แต่หมอ​กาย​จิต​กันต์​อาจจะ​ชอบที่​ความ​อ่อนโยน​ ความ​ใส่ใจ​แต่จุดนี้ยังไว้ใจใครไม่ได้เลยระแวงค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ U_Ton

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
รอค่ะ ...ไม่กล้าเดาอะไร ใจเรากำลังโลเล หมอวินทั้งสองคนดีงามทั้งคู่
แต่ไม่รู้ใครปี๋ใครฆาตกร หรือใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป...  :impress3:
ปวดใจเพราะชอบทั้งสองหมอ คนนึงลึกลับน่าจับตามอง อีกคนก็จิต(ใจ)ดี
เหมาะกับสภาพจิต(ใจ)หนูกันต์ เลือไม่ได้ รอคนเขียนมาเลือกให้แล้วกัน  :mew1:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 9

รถเบนซ์สีดำแล่นมาจอดที่ริมรั้วบ้านหลังหนึ่ง สองข้างทางบนถนนสายเล็กๆในหมู่บ้านจัดสรรราคาแพง มีรถหรูหลายสิบคันจอดเรียงรายเป็นระเบียบ เสียงดนตรีคลาสสิคที่แว่วออกมาให้ได้ยินจากบ้านหลังนั้น บ่งบอกถึงงานเลี้ยงรื่นเริงที่กำลังดำเนินอยู่
กายเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเบาะข้างคนขับ อีกฝ่ายไม่ยอมขยับตัวลงจากรถทั้งที่เขาดับเครื่องยนต์แล้ว ไหล่บางเกร็งจนตัวสั่นไหวอย่างน่าสงสาร
“คุณกันต์”
เสียงเรียกทำให้ชนกันต์เงยหน้ามองจิตแพทย์หนุ่ม ก่อนจะหันไปมองผู้คนมากมายภายในรั้วบ้าน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสูททางการหรือไม่ก็ชุดราตรี ต่างจากเขาที่สวมเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยืนพอดีตัว ส่วนหมอกายดีกว่าเขานิดหน่อยตรงที่เจ้าตัวใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแขนยาวและเนกไนสีดำกับกางเกงสแล็คเข้ารูป
“เข้าไปกันเถอะครับ”
หมอกายเอ่ยชวน ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวลงจากรถ ชนกันต์ถอนหายใจ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่าควรเข้าไปหรือเปล่า ทั้งที่บ้านหลังใหญ่ตรงหน้าคือบ้านของเข้าแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไม เขารู้สึกอึดอัดเหลือเกินที่คิดว่าจะต้องเดินเข้าไปในนั้น

ประตูฝั่งของชนกันต์ถูกหมอกายเปิดออก หมอโน้มตัวเข้ามาปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วดึงข้อมือเขาให้ลงจากรถ
“หมอครับ ผม…”
“ฟังผม”
ชนกันต์ตัวแข็งทื่อ เมื่อหมอกายใช้สองมือประคองใบหน้าเขาไว้ แล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้นไปสบตา ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ดวงหน้าร้อนผ่าว และยิ่งได้ฟังคำพูดสั้นๆได้ใจความจากจิตแพทย์คนเก่ง เขายิ่งรู้สึกว่าการมองดวงตาสีนิลที่ไม่มีกรอบแว่นมาขวางกั้น มันทำได้ยากกว่าปกติเหลือเกิน
“ไม่ต้องกลัว ผมจะอยู่กับคุณ”
ชนกันต์พยักหน้า ไม่รู้ทำไมเขาจึงเชื่อมั่นในคำพูดของหมอกายอย่างง่ายดาย เขารู้เพียงว่า…หมอจะไม่ปล่อยให้เขาอยู่กับความกลัวของตัวเอง
งานวันเกิดของพ่อ ถูกจัดขึ้นในสวนริมสระว่ายน้ำเหมือนทุกปี เวทีเล็กๆด้านหนึ่งมีวงควอเต็ตกำลังบรรเลงเพลงคลาสสิค ส่วนอีกด้านหนึ่งมีโต๊ะอาหารแบบ    บุฟเฟ่ต์ให้บริการตัวเอง ชนกันต์ไม่แน่ใจว่าอาหารหน้าตาดีในงานคืออะไร เขาไม่สนใจ แล้วก็ไม่อยากกินด้วย
นัยน์ตาสีน้ำตาลเริ่มมองหาพ่อแม่กับพี่ที แต่เพราะในงานมีแขกเหรื่อมากมาย ทำให้เขาใช้เวลานานกว่าจะพบว่า แม่ของเขากำลังยืนคุยกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง อายุคงรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่แม่ของเขาก็ยังสวยสะดุดตากว่าคนอื่นเสมอ
วันนี้แม่ใส่ชุดสีเขียวมรกตปักเลื่อมวิบวับ เครื่องเพชรที่ประดับอยู่บนลำคอของแม่ และของผู้หญิงในงานถูกแสงไฟส่องกระทบทำให้เขาตาพร่า ถ้าชนกันต์ต้องเห็นแบบนี้ทุกวัน เขาอาจจะต้องตาบอดเพราะแสงเพชรเข้าตาก็ได้
“แม่ครับ”
เสียงเรียกของชนกันต์ทำให้แม่หันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็เอ่ยขอตัวกับเพื่อนๆไฮโซแล้วรีบเดินเข้ามาหา
“กันต์ มาตั้งแต่เมื่อไร”
แม่ถาม มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าลูบผมของชนกันต์หลายต่อหลายครั้ง ขณะที่สายตาก็กวาดสำรวจราวกับต้องการให้แน่ใจว่าเขาปกติดีทุกอย่าง
“เพิ่งมาครับ”
ชนกันต์ตอบ รู้สึกโล่งใจที่การมาของเขาไม่ได้ทำให้แม่หงุดหงิด แม่ไม่ได้ตรงเข้ามากอดหรือจูบเขา แบบที่แม่ของคนอื่นจะทำเมื่อลูกกลับมาบ้าน ชนกันต์ไม่ได้คาดหวัง เพราะแม่ไม่เคยทำ เว้นก็แต่ตอนที่แม่รู้สึกชื่นชมมากๆ แน่นอนว่าพี่ทีมักจะได้รับรางวัลเป็นกอดของแม่เสมอ
“แล้วนั่นพาใครมาด้วย”
ชนกันต์หันไปมองหมอกายที่ยืนอยู่ข้างหลัง ตอนแรกตั้งใจจะแนะนำไปตามความจริงว่าเป็นจิตแพทย์เจ้าของไข้ แต่คิดอีกที เขาไม่อยากให้แม่มานั่งสอบสวนว่าเขาเป็นอะไร ทำไมต้องพบจิตแพทย์ และที่ไม่อยากให้เกิดที่สุดคือแม่จะต้องสอบสวนหมอกายด้วยแน่ๆ
“เพื่อนผมครับ…นี่แม่ผม คุณหญิงอรดี”
“สวัสดีครับ ผมชื่อกาย” หมอกายก้าวมายืนข้างๆชนกันต์ แล้วยกมือไหว้แม่ด้วยท่าทางสุภาพ
“สวัสดีจ่ะ”
คุณหญิงอรดียกมือรับไหว้เพื่อนลูกชายตามมารยาท ขณะใช้สายตาสำรวจคนเด็กกว่าอย่างรวดเร็ว…
ชนกันต์เป็นเด็กเก็บตัว และไม่เคยมีเพื่อนสนิทมาก่อน เรื่องที่จะให้พาเพื่อนมาบ้านจึงเป็นภาพที่หาดูได้ยาก อีกอย่างบุคลิกสุขุมนุ่มลึกของอีกฝ่าย ก็ไม่ได้เหมาะกับการเป็นเพื่อนเจ้าลูกไม่เอาไหนเลย ส่วนเรื่องอายุ… ไม่ต้องถามก็รู้ว่ามากกว่าลูกชายของเธออยู่หลายปี
“แม่เพิ่งรู้ว่ากันต์มีเพื่อนด้วย…มาคุยกันหน่อยสิคะ”
กายเหลือบมองชนกันต์ที่เริ่มทำหน้าตาตื่น เมื่อประโยคสุดท้าย แม่ของเจ้าตัวเรียกให้เขาเข้าไปคุย  เธอเดินห่างออกไปหลายก้าว เป็นการแสดงเจตนาชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ลูกชายได้ยิน
“ทำงานอะไร”
เสียงหวานที่เปี่ยมอำนาจเอ่ยถาม แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่มันเจือแววไม่พอใจบางอย่าง นั่นทำให้กายรู้สึกอึดอัด เขาไม่แน่ใจว่าแม่ของชนกันต์ยึดถือการคบเพื่อนที่ฐานะเท่าเทียมกันหรือเปล่า แต่เขาก็เลือกที่จะตอบไปตามความจริง
“ผมเป็นหมอครับ”
กายก้มหน้ามาสบตาเธอ และพบว่าดวงตาสีน้ำตาลสวยของชนกันต์ถอดแบบมาจากคนเป็นแม่ไม่มีผิด
“อืม”
คุณหญิงอรดีแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยลูกชายของเธอก็เลือกคบเพื่อนดีๆ มีการศึกษา แถมอีกฝ่ายก็ดูเป็นผู้ใหญ่เก็บอารมณ์เป็น และสุภาพมากๆ คงจะฝากฝังให้ช่วยดูแลได้บ้าง
“เจ้ากันต์เป็นคนพูดไม่เก่ง ชอบเก็บตัว แถมยังไม่ทันคน แม่หวังว่ากายจะช่วยดูแลเพื่อนนะคะ”
กายชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของคุณหญิงอรดี โดยเฉพาะคำเรียกแทนตัวเองว่า ‘แม่’
อีกฝ่ายดูเป็นคนจริงจัง ชอบวางอำนาจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชนกันต์ดูจะกลัวแม่ ผู้หญิงคนนี้ชอบแสดงออกด้วยมาดนางพญาผู้แข็งแกร่ง ทำให้ความรู้สึกรักและห่วงใยลูกชายถูกปกปิดเสียสนิท น่าเสียใจ ที่ดูท่าว่าชนกันต์จะไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้
“ครับ ผมจะดูแลอย่างดี”
คุณหญิงอรดีพยักหน้าด้วยความพอใจเมื่อได้ยินคำตอบ อีกฝ่ายพูดเสียงโทนเดียวก็จริง แต่บางอย่างในแววตาแสดงความหนักแน่น ทำให้เธอรู้สึกเชื่อมั่นว่าเขาไม่ได้ตอบส่งๆ
“เจ้ากันต์คงไม่ใช่เพื่อนที่ทำให้ลูกสนุกตอนที่อยู่ด้วยสักเท่าไร แต่ก็อย่าทิ้งเพื่อนะ กันต์ไม่มีใคร”
กายขยับยิ้มอย่างสุภาพ ถึงเขาจะได้พูดคุยกับชนกันต์ไม่กี่ครั้ง แต่เขาเห็นด้วยว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนที่ชอบทำเรื่องสนุกสนาน งานอดิเรกคงจะเป็นดูหนังหรืออ่านหนังสือเสียมากกว่า
“ผมเข้าใจครับ”



ชนกันต์พาหมอกายเดินลัดเลาะสนามหญ้าเข้ามาในบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากสังคมไฮโซ ก่อนหน้านั้น แม่คุยกับหมอกายไม่กี่นาทีก็ขอตัวกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ส่วนเขาที่ได้แต่ยืนจิตตกก็พยายามลอบสังเกตสีหน้าหมอกายว่ารู้สึกอย่างไร แต่นอกจากรอยยิ้มมุมปากอันเป็นเอกลักษณ์ หมอก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอื่นให้เขาเห็นเลย และมันยิ่งทำให้เขากังวลมากกว่าเดิมจนต้องเอ่ยปากถาม
“แม่คุยอะไรกับหมอเหรอครับ…คงไม่ได้พูดอะไรให้ลำบากใจใช่มั้ย”
“ไม่ครับ แค่ฝากให้ผมดูแลคุณ”
ชนกันต์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบยิ้มๆ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่ม เสียงเรียกคุ้นหูก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“เจ้ากันต์”
“พ่อ”
ชนกันต์อ้าแขนรับแทบไม่ทันเมื่อคนเป็นพ่อดึงเขาเข้าไปกอดแน่น ตบหลังแปะๆอยู่หลายทีจึงผละออก
“นึกว่าแกลืมทางกลับบ้านไปแล้ว”
“เกือบลืมแล้วเหมือนกันครับ”
ชนกันต์แนะนำให้หมอกายรู้จักกับพ่อ ทั้งสองคนพูดคุยกันไม่กี่ประโยคก่อนที่พ่อจะขอตัวกลับเข้าไปต้อนรับแขกในงาน พ่อของเขามีนิสัยตรงข้ามกับแม่อย่างสิ้นเชิง พ่อไม่ขี้บ่น ไม่ถามเซ้าซี้ แต่ถ้ามีเรื่องที่ต้องบ่นหรือสั่งสอน แม่จะเป็นคนทำเอง ส่วนพ่อจะนั่งฟังเฉยๆซะมากกว่า เพราะที่บ้านของเขาปกครองในระบบเผด็จการโดยมีแม่เป็นประมุข พ่อไม่คิดจะมีปากเสียงอยู่แล้ว
“หมอดื่มอะไรดีครับ ไวน์มั้ย”
“ก็ดีครับ”
“รอตรงนี้นะ ถ้าอยากดูทีวีเปิดได้เลยครับ”
ชนกันต์เชิญให้หมอกายเข้ามานั่งในห้องรับแขก จัดการเปิดแอร์แล้วยื่นรีโมตทีวีให้ ก่อนจะขอตัวไปหาเครื่องดื่มมาต้อนรับ เขาไม่รู้ว่าหมอชอบดื่มแอลกอฮอล์หรือเปล่า แต่พี่ทีเคยบอกว่าดื่มไวน์นิดหน่อยไม่ทำให้เมา อีกทั้งไวน์ยังเป็นเครื่องดื่มราคาแพงที่ควรค่าแก่การใช้ต้อนรับแขกพิเศษ…ชนกันต์ไม่ค่อยเข้าใจ พี่ทีว่างั้น เขาก็ว่างั้น
ชนกันต์เลือกแก้วเครื่องดื่มทรงสวยจากโต๊ะบุฟเพ่ต์อยู่นานหลายนาที เขาไม่รู้ว่าเครื่องดื่มสีม่วงอมแดงในแก้วแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกแก้วใบที่ใหญ่ที่สุด
ตุ้บ!
ระหว่างที่ชนกันต์กำลังตั้งอกตั้งใจประคองแก้วไวน์ในมือจนไม่ได้มองทาง ไหล่ของเขาก็ถูกกระแทกอย่างแรงจนเซถอยหลัง แต่เมื่อทรงตัวได้ก็พบว่าไวน์ในแก้วทะลักออกมาเปรอะเปื้อนเสื้อยืดของเขาแล้ว
“ขอโทษจริงๆครับ ผมไม่ทันระวัง”
ชนกันต์เงยหน้ามองเจ้าของเสียง ในมืออีกฝ่ายถือสมาร์ทโฟนไว้แนบหู เจ้าตัวพึมพำขอโทษคนในสายแล้วกดวางทันที
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ได้มองทางเหมือนกัน”
ชนกันต์รู้สึกนอยซ์ เขาไม่ได้มองทางจริงๆนั่นล่ะ เอาแต่มองไวน์ในแก้ว ส่วนอีกฝ่ายก็เอาแต่คุยโทรศัพท์จนไม่มองทาง ถือว่าผิดทั้งคู่ แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรเปื้อนไวน์เหมือนๆเขาสิ
“คุณ…น้องเจ้าชลนทีหรือเปล่า”
“อ่า…ครับ ผมชื่อกันต์” ชนกันต์พยักหน้า
“พี่ชื่อครามนะ เป็นเพื่อนร่วมงานไอ้ที”
“สวัสดีครับ”
ชนกันต์ผงกศีรษะทักทายเพื่อนของพี่ชาย พี่ครามเป็นผู้ชายตัวสูงในชุดสูทหรู ใบหน้าสะอาดสะอ้านดูเป็นคนเจ้าสำอาง ดวงตาสีดำวิบวับเป็นประกายเจ้าเล่ห์ แถมที่ตัวยังมีกลิ่นหอมเข้าขั้นฉุนของน้ำหอมแบรนด์ดัง จัดเป็นคนในประเภทที่     ชนกันต์โคตรเกลียดเลย
“หน้าตาคุณกันต์เหมือนมันมากเลย”
ชนกันต์ขยับยิ้มตามมารยาท เขาแน่ใจว่าหน้าตาคล้ายพี่ทีนิดหน่อย แต่พี่ทีหล่อกว่ามาก พี่ครามไม่น่าใช้คำว่าหน้าตาเหมือนกันได้เลย
“ไอ้ทีไม่ค่อยพูดถึงน้องชายตัวเองเท่าไร ไม่ทราบว่าตอนนี้ทำงานอะไรเหรอครับ หรือว่ายังเรียนไม่จบ”
“ผมเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัทX”
“อ๋อ แย่จัง บริษัทเล็กๆแบบนั้น คงได้เงินเดือนไม่เท่าไร”
ชนกันต์เริ่มรู้สึกแย่กับคนๆนี้มากขึ้นทุกขณะ ทั้งที่อีกฝ่ายมีสีหน้าสลดแต่รอยยิ้มเหยียดที่ขยับบนริมฝีปากทำให้เขานึกอยากเดินหนี แม้จะไม่ค่อยทันคน แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไร เพราะพี่ครามไม่ใช่คนแรกที่พูดทำนองนี้กับเขา
“ทำไมไม่ลองให้คุณพ่อคุณแม่ฝากงานดีๆให้ล่ะครับ”
“ไม่ล่ะครับ ผมพอใจกับงานในบริษัทเล็กๆ”
ชนกันต์ตอบเสียงห้วน ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทกับคนแบบนี้ ถ้าจะดูถูกเหยียดหยามคนอื่น สู้พูดออกมาตรงๆ ยังน่ารังเกียจน้อยกว่าพูดจาอ้อมโลกด้วยสีหน้าเห็นใจ
“งั้นเหรอครับ”
พี่ครามยิ้ม ดวงตาที่ทอดมองเขาราวกับมองสิ่งที่ต่ำต้อยน่าสมเพส
“ผมเห็นว่าครอบครัวคุณประสบความสำเร็จกันทุกคน ผมรู้สึกอิจฉามากเลยครับ หวังว่าตัวเองจะเก่งได้เท่าพี่ชายของคุณ ไอ้ทีเป็นสถาปนิกที่เจ๋งมาก คุณแม่คุณก็เป็นทนายที่หลักแหลม ส่วนคุณพ่อคุณก็เป็นศิลปินที่มีผลงานโดดเด่น ช่างเป็นครอบครัวที่เพอร์เฟคมากเลยนะ”
ชนกันต์กำหมัดแน่น เมื่อแปลประโยคที่ฟังผ่านๆเหมือนเยินยอได้ว่า…
‘ผมเคยคิดว่าครอบครัวคุณน่าอิจฉาเพราะประสบความสำเร็จกันทุกคน แต่เพิ่งรู้ว่าจริงๆไม่ได้เพอร์เฟคเลย เพราะลูกชายคนเล็กเป็นแค่พนักงานบัญชี’
“คุณกันต์”
ชนกันต์หันไปตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นหมอกาย คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายปมออก เขาไม่รู้ว่าหมอมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร อาจเป็นเพราะโกรธจนหน้ามืดเลยไม่ได้ใส่ใจจะมองสิ่งรอบข้าง
“ผมเห็นว่าคุณหายไปนาน เลยมาตาม”
หมอกายก้าวมายืนเคียงข้างแล้วอธิบาย นัยน์ตาสีนิลทอดมองพี่ครามนิ่งๆ แต่ชนกันต์คิดว่ามันดูเย็นชาต่างจากปกติหลายเท่าตัว ส่วนพี่ครามก็มองกลับมาท่าทางเอาเรื่อง เขาเริ่มกังวลนิดๆแล้วว่าพี่ครามจะหาเรื่องหมอกายหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยขอตัวโดยไม่ได้ทักทายหรือแสดงออกว่าอยากทำความรู้จักกับหมอเลย
“ขอตัวนะครับ ขอให้ทำงานที่บริษัทXนานๆ”
ชนกันต์เผลอกัดริมฝีปากแน่น เพราะก่อนจะเดินจากไป พี่ครามยังอุตส่าต์หันมาเย้ยหยันให้เขาเจ็บปวดเล่นๆ
“คุณกันต์”
เสียงเรียกและฝ่ามือที่แตะต้นแขน เรียกให้ชนกันต์เงยหน้าไปมองจิตแพทย์หนุ่มที่มีสีหน้ากังวล
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว อยากดื่มน้ำเปล่า ไม่ทราบว่าห้องครัวไปทางไหนครับ”
ชนกันต์พยายามสูดหายใจเข้าแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เขาอยากอาละวาด อยากทำลายข้าวของ แต่เพราะสถานการณ์ไม่เป็นใจ เขาจึงใช้นิ้วชี้ไปทิศทางที่เป็นห้องครัว
ชนกันต์เหมือนคนสติหลุด เขาเดินตามแรงดึงที่ข้อมือมาหยุดหน้าอ่างล้างจาน หมอกายไม่ได้พูดอะไร นอกจากดึงแก้วไวน์ที่เลอะเทอะในมือไปวางบนโต๊ะ เปิดน้ำแล้วดึงมือสองข้างของเขาไปล้างจนสะอาด ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยเปื้อนบนเสื้อยืดของเขา
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มไม่ได้เข้ามาเหยียบในห้องครัวเกือบสามเดือนแล้ว หลายอย่างดูแปลกตาไปหมด แต่ยังคงสะอาดสะอ้านเหมือนเดิม คิ้วเรียวขมวดเมื่อเห็นหม้อสามใบที่ตั้งไว้บนเตา มือขาวเอื้อมไปเปิดดูของด้านใน หม้อแรกเป็นต้มฟักไก่ หม้อที่สองเป็นแกงหน่อไม้สด และหม้อสุดท้ายเป็นต้มยำปลาทับทิมน้ำใส แม้จะไม่ได้เห็นมานาน แต่สีและกลิ่นของอาหารทุกอย่างก็บ่งบอกได้ดีว่าแม่เป็นคนทำทั้งหมด
ชนกันต์ยกมือขยี้จมูกเบาๆ รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว ทุกอย่างเป็นของโปรดของเขาทั้งหมด ของโปรดที่เขามักจะบ่นให้แม่ฟังบ่อยๆว่าอยากกิน แต่แม่กลับให้แม่ครัวเป็นคนทำให้ รอยยิ้มบางขยับบนริมฝีปาก เขาดีใจที่วันนี้เลือกจะกลับบ้าน เพราะแม่คงรอให้เขามากินของโปรด ทั้งที่เขาบอกไว้ว่าจะไม่มา…
“ทานข้าวด้วยกันนะครับ”
“ครับ”
“หมอมาตั้งแต่เมื่อไร” ชนกันต์ถามขณะตักข้าวใส่จาน
“สักพัก”
คำตอบสั้นๆทำให้ชายหนุ่มเหลือบไปมองหน้าจิตแพทย์คนเก่ง หมอรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เขาอยากรู้ว่าหมอได้ยินเรื่องที่เขากับพี่ครามคุยกันหรือเปล่า จริงๆมันค่อนข้างน่าสมเพช ถ้าหมอจะมาช้ากว่านั้นมันคงจะดี…
“ได้ยินมั้ย”
“ตั้งแต่ต้น”
ชนกันต์ถอนหายใจ แล้วหันไปตักกับข้าวใส่ถ้วย นึกด่าหมอกายในใจ ถึงอีกฝ่ายจะได้ยิน แต่บอกว่าไม่ได้ยินก็ได้นี่
“นี่เป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่อยากมางานนี้ ผมไม่อยากให้ครอบครัวอับอาย ผมเหมือนรอยด่างบนผ้าสีขาว มีแค่ผมคนเดียวในบ้านที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง”
หมอกายกอดอก พิงร่างกายเข้ากับเคาน์เตอร์ครัว ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองเขาด้วยความจริงจัง
“ในสังคมมีคนหลายประเภทครับ บางคนชอบสวมหัวโขนเพราะมันสวย การจะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องมีหัวโขนที่สวยงามกว่าคนอื่น ถึงคุณจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต มีเงินมากมาย ถ้าคุณไม่พอ…มันก็เรียกว่าจน แต่ถ้าคุณกันต์พอใจกับอาชีพและเงินเดือนที่หามาได้อย่างสุจริต ไม่ได้ขอใครกิน  มีเงินเก็บสำหรับให้ความสุขกับตัวเองเป็นบางครั้ง ไม่ได้มีหนี้สินเพราะความโลภ…ผมคิดว่านั่นเรียกว่าการประสบความสำเร็จในชีวิต”
ชนกันต์ชะงักมือที่ถือกระบวย นัยน์ตาสีน้ำตาลเลื่อนไปสบตาหมอกาย เขาไม่เคยคิดในแง่เดียวกับหมอมาก่อนเลย การดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตทำให้คนมักลืมตัว ชอบแสดงอำนาจ คิดว่าตัวเองดีเลิศกว่าคนอื่น ใช้ความประสบความสำเร็จตรงนี้เข้าโอ้อวดกัน เหมือนกับคนในงานวันเกิดหลายๆคนของพ่อ ส่วนเขาที่ทำงานธรรมดาๆ มีเงินเดือนพอกินพอใช้ ไม่ได้แบมือขอเงินจากพ่อแม่ ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องอับอายคนอื่นเลย
“คุณไม่จำเป็นคนอับอาย ใครอยากจะสวมหัวโขนที่สวยแต่หนักก็ช่าง ถ้าคุณมีความสุขกับหัวของคุณก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมคุณต้องแคร์”
ชนกันต์หลุดขำเบาๆเมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยระหว่างหัวโขนกับหัวของเขา หมอกายยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่กวนประสาทอยู่ในที แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ชนกันต์รู้สึกชอบมันมาก
“หัวของผม…ดีแล้วเหรอครับ”
ชนกันต์ถามยิ้มๆ หมอกายพยักหน้า พร้อมฝ่ามือหนาที่วางแปะลงบนหัวของเขาแล้วโยกเบาๆ
“หัวคุณกันต์น่ารักจะตาย”
ชนกันต์คิดว่าเดี๋ยวนี้ หมอเจ้าของไข้ชักจะทำตัวสนิทสนมเหมือนเพื่อนเข้าไปทุกทีแล้ว แต่ช่างเถอะ มีเพื่อนอย่างหมอกายคงทำให้เขายิ้มบ่อยขึ้น





TBC.  o18





ออฟไลน์ rp.ppch

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
หรือชนกันต์จะเป็นฆาตรกร
อะ... คิดไปเรื่อยเปื่อย 55555555


นี่ไง เริ่มคิดเหมือนคนนี้แล้ว ฮือ :z3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ต้องตามมมม

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 10

“กันนนนนต์!!”
เสียงตะโกนคุ้นหู ทำให้เจ้าของชื่อชะงักเท้าแล้วหันไปตามเสียงเรียก เห็นพี่ชายเพียงคนเดียววิ่งหน้าตั้งมายืนหอบแฮกๆอยู่ตรงหน้า
“จะกลับแล้วเหรอ”
พี่ทีเอ่ยถาม ใบหน้าหล่อเหลาตามสมัยนิยมประดับรอยยิ้มเป็นมิตร ชนกันต์ไม่ได้เจอพี่ชายมาเกือบครึ่งปีแล้ว อีกฝ่ายดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะผมที่ถูกย้อมด้วยสีน้ำตาลอ่อน แต่ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน พี่ทีก็ยังหล่อเสมอ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวอยู่ในชุดสูทหรูสีน้ำเงินเข้มดูภูมิฐานอย่างในตอนนี้
“ใช่ งานเลิกแล้วนี่”
ชนกันต์ตอบ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างทยอยกันกลับไปเกือบหมดแล้ว เขาเองก็ควรรีบกลับเหมือนกันเพราะเกรงใจคนที่ขับรถมาให้ แม้หมอกายจะออกปากว่าตามสบายก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จิตแพทย์ที่เจอกันแค่สองครั้งจะต้องขับรถจากในตัวเมืองเชียงใหม่พาเขากลับมาบ้านที่สุเทพ…ทั้งที่เขาจะเรียกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง ไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องทำแบบนี้ บางครั้งเขาก็ไม่แน่ใจจริงๆนั่นล่ะว่า หมอกายเป็นคนดีมากหรือว่างมากกันแน่
“ยังไม่ได้คุยกันเลย” พี่ทีว่าด้วยใบหน้ายุ่งๆแบบทุกครั้งที่เจ้าตัวไม่พอใจ
“แล้วนายมัวไปไหนมาล่ะ”
ชนกันต์เลิกคิ้ว ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามานั่งแช่อยู่ในบ้านเกือบสองชั่วโมง เขาก็ยังไม่เห็นเลยว่าพี่ชายคนนี้มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทั้งที่ตอนแรกกะแดะทำเป็นอยากเจอเขามากแท้ๆ
“ก็แม่น่ะสิ บังคับให้พี่ไปสานสัมพันธ์กับลูกเพื่อน”
คำตอบพร้อมใบหน้าบึ้งตึงทำให้ชนกันต์ขยับยิ้มกว้างด้วยความสะใจ อา…เข้าใจล่ะ
“โดนจับคู่ว่างั้น”
“เออดิ บอกว่าพี่อายุเยอะแล้ว ยังหาแฟนไม่ได้สักทีเลยเป็นห่วง กลัวจะขึ้นคาน แต่พี่แค่ยี่สิบห้าเองนะเว้ย”
ชนกันต์นึกดีใจที่ตนเองไม่มีอะไรดีในสายตาคนเป็นแม่ อย่างน้อยคุณหญิงอรดีก็ไม่กล้าจับคู่เขากับลูกเพื่อนผู้ไฮโซแน่ๆ และถ้าพี่ทีคิดจะหาแฟนเอง เกรงว่าต้องหาผู้หญิงที่ใกล้เคียงกับคำว่าเพอร์เฟค ไม่งั้นคงไม่พ้นโดนคลุมถุงชน
ชลนทีเพิ่งสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูรั้วบ้าน จากการแต่งกายที่ไม่ได้หรูหราเหมือนแขกของพ่อแม่ บวกกับหน้าตาที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาเดาว่าเป็นเพื่อนของน้องชาย
“นั่นเพื่อนนายใช่มั้ย แม่บอกว่าเป็นหมอ…สวัสดีครับ ผมชื่อทีเป็นพี่ชายเจ้ากันต์”
“สวัสดีครับ ผมชื่อกาย”
ชลนทียื่นมือไปเขย่ามือเพื่อนน้องชายตามมารยาท นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายความประหลาดใจเมื่อได้มองอีกฝ่ายใกล้ๆ ถ้าให้ประเมินอายุจากหน้าตา เขาคิดว่ายาก แต่ที่แน่ๆอีกฝ่ายน่าจะอายุมากกว่าเขา นั่นหมายถึงไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ไม่ใช่เพื่อนชนกันต์
“วันนี้คุณต้องกลับคนเดียวแล้วล่ะ เพราะเจ้ากันต์จะนอนที่บ้าน แล้วบ้านคุณอยู่ไหน ไกลหรือเปล่า หรือจะนอนที่นี่”
“ผมเช่าห้องพักอยู่ในเมือง ไม่ไกลจากที่นี่หรอกครับ”
“อ่อ งั้นก็กลับดีๆล่ะ”
“เดี๋ยวๆ ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะนอนบ้าน” ชนกันต์รีบขัดเมื่อได้ยินบทสนทนาแสนโมเมของพี่ชาย
“นอนเถอะ คืนนี้พี่จะไปนอนด้วย มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังเยอะแยะ”
ชนกันต์ขมวดคิ้ว เขาจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ รบกวนหมอกายให้ขับรถมาส่งที่บ้าน แล้วปล่อยให้หมอขับรถกลับดึกๆคนเดียวเนี่ยนะ ไม่เอาดีกว่า คิดแล้วก็ตั้งใจจะขยับปากปฎิเสธ แต่พี่ทีกลับขัดขึ้นเสียก่อน ทั้งที่ปกติแล้วพี่ชายของเขาไม่ใช่พวกเผด็จการ
“ช่วยทำตัวเป็นน้องชายน้อยๆที่น่ารักสักวันจะตายมั้ย”
ชนกันต์กรอกตามองท้องฟ้ายามราตรี พี่ทีมันเป็นบ้าอะไร อยู่ๆก็เกิดมีเรื่องอยากเล่า ทั้งที่ปกติมันไม่เคยเล่าอะไรให้เขาฟังหรอก ชายหนุ่มถอนหายใจ เหลือบมองหมอกาย เห็นอีกฝ่ายขยับยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้อยู่ต่อ เฮ้อ หมอกายก็อีกคน จะแสนดีไปไหนวะ แต่ละคน เข้าใจยากจริงๆ
“เออ” ชนกันต์ตอบรับ ทำให้พี่ทียิ้มหน้าบานแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวเขาเบาๆ
“จะออกไปส่งเพื่อนนะ”
ชนกันต์เดินไปส่งหมอกายที่รถ ระหว่างทางก็แอบสังเกตสีหน้าของหมอ เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธเลยที่โดนเท แต่อย่างน้อยเขาก็ควรพูดอะไรบ้าง เพื่อความสบายใจของตัวเอง
“ผมขอโทษนะครับหมอ”
“เรื่องอะไรครับ” หมอกายหันมาเลิกคิ้ว
“คุณอุตส่าห์ขับรถมาส่งผมถึงบ้าน แล้วผมยังทิ้งให้คุณขับรถกลับคนเดียวอีก”
“ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่าวันนี้ผมมาทำการรักษานอกสถานที่”
“ไม่เห็นคุณจะรักษาผมตรงไหนเลย”
ชนกันต์แย้ง เอาเป็นว่าร่างกายของเขาแข็งแรงดี ไม่ได้มีอาการแปลกๆ แต่ยังไงก็เถอะ เขาไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะทำเหมือนครั้งแรกที่เขาถูกทดสอบด้วยรูปภาพเลย
“อืม…ผมกำลังแอบเก็บข้อมูลส่วนตัวของคุณอยู่ครับ เพราะผมถามอะไรไป คุณก็เลี่ยงที่จะตอบ”
คำพูดตรงๆของหมอกายทำให้ชนกันต์รู้สึกผิด…ก็หมอถามแต่เรื่องส่วนตัวที่เขาไม่อยากตอบนี่
“ขอโทษนะครับ ที่ทำให้งานคุณยาก”
ชนกันต์เอ่ยตามมารยาท แต่ถ้าหมอคิดว่าเขาจะเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวให้ฟังละก็…คิดผิดแล้ว เพราะยังไงเขาก็จะไม่เล่า
“ไม่เป็นไรครับ ผมเจอเคสที่ตรงตามตำรามาทั้งชีวิตแล้ว ได้เจอเคสยากๆอย่างคุณกันต์ รู้สึกว่ามันท้าทายดี” หมอกายเอ่ยยิ้มๆ
“งั้นก็ยินดีด้วยครับที่คุณเจอเคสนี้”
หมอกายเปิดประตูรถ มุดหายเข้าไปในนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกระดาษสีครีมแผ่นเล็กๆที่ถูกยื่นให้ชนกันต์
“ถ้ามีปัญหาอะไร โทรมาปรึกษาผมได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงนะครับ แต่ถึงไม่ใช่เรื่องอาการป่วยก็โทรมาได้”
ชนกันต์รับนามบัตรสีครีมที่ทำจากกระดาษเนื้อดีมาอ่าน บนกระดาษระบุชื่อ ตำแหน่ง ความเชี่ยวชาญ เบอร์โทรที่ทำงาน และสิ่งที่ทำให้เขาขยับยิ้มก็คือเบอร์โทรส่วนตัวของจิตแพทย์คนเก่ง…ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขาคิดว่าหมอการเป็นคนที่โคตรขี้อ่อยเลยว่ะ
“หืม เพิ่งรู้ว่าหมอที่เซนต์โทมัสทำงานแข่งกับเซเว่น”
ชนกันต์เอ่ยแซว เขาสบตาหมอกายเงียบๆ อีกฝ่ายไม่ได้มีความคิดจะหลบสายตา แต่จ้องกลับมาตรงๆอย่างเปิดเผย ชายหนุ่มไม่เคยตั้งใจมองหรือตั้งใจค้นหาความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างจริงๆจังๆเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้เขาพบว่า…นัยน์ตาสีนิลของหมอกายช่างสวยงานและเย้ายวนเหลือเกิน
“เฉพาะเคสของคุณกันต์เท่านั้นแหละครับ”
ชนกันต์ถอนหายใจใส่อีกฝ่ายที่หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
จะคิดซะว่า…เคสของเขามันยากและยังหาข้อสรุปไม่ได้ละกัน
“ขับรถดีๆนะครับ”
ชนกันต์บอกลา หมอกายเข้าไปนั่งประจำบนเบาะคนขับ ก่อนที่รถเบนซ์สีดำจะเคลื่อนตัวออกไปสู่ถนนยามค่ำคืน 

นพ.เทวินทร์ อัครเดช
ความเชี่ยวชาญ : จิตเวชศาสตร์ทั่วไป
ตำแหน่ง : อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์โทมัส
055-xxxxxx ต่อ 03 / 086-9334xxx

ชนกันต์ทอดมองตัวอักษรบนกระดาษสีครีมในมือเงียบๆ ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ลงบนชื่อเจ้าของนามบัตรอย่างเผลอไผล
‘เทวินทร์’ แปลว่า ผู้เป็นใหญ่เหนือเทวดา เป็นชื่อที่ดี ยิ่งใหญ่ และเขาก็ชอบ…
ชนกันต์ขยับยิ้มบางเมื่อคิดถึงคุณหมออีกคนที่ใช้ชื่อเดียวกัน…ทำไมหมอเทวินทร์ที่อาศัยอยู่ข้างห้องไม่ให้เบอร์เขาบ้างนะ อาจเป็นเพราะพวกเขาเจอกันบ่อยเกินกว่าจะต้องโทรศัพท์หากันก็ได้ล่ะมั้ง
แต่ตอนนี้ชนกันต์กลับนึกเสียดายที่ไม่เคยขอเบอร์หมอ เขาอยากรู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังทำอะไร จะมาเคาะห้องเขาเหมือนเดิมมั้ย แล้วถ้ารู้ว่าเขาไม่อยู่จะคิดถึงหรือเปล่า จะห่วงมั้ย หรือว่าจะซื้ออาหารมาห้อยไว้ที่ประตูเหมือนเดิม ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเสียดายแย่ เพราะมันอาจจะเสียก่อนที่เขาจะได้กลับไปที่อพาร์ทเม้นท์
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ยัดนามบัตรใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่ชายตัวดีกำลังยืนกอดอกทำหน้าครุ่นคิดอยู่ข้างประตูรั้ว
“มายืนทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่เข้าบ้าน”
“มาแอบฟังนายคุยกับเพื่อนน่ะสิ”
“ไม่มีมารยาท”
ชนกันต์สวนทันควันเมื่อได้ยินคำตอบแบบตรงไปตรงมาจากพี่ชาย แล้วมันเรื่องอะไร ที่ไอ้พี่ทีจะต้องมาสนใจว่าเขาคุยอะไรกับหมอกายด้วยล่ะวะ
“คนเมื่อกี๊อ่ะ เพื่อนจริงๆเหรอ” พี่ทีปราดเข้ามาเกือบชิด แล้วยื่นหน้ามาถามเสียงจริงจัง
“ทำไม”
“ถาม ก็ตอบ อย่าให้ต้องสืบเอง ไม่รู้หรือไงว่ามีพี่ขี้เสือก”
ชนกันต์ขมวดคิ้วยุ่ง เพิ่งรู้วันนี้เองว่าชลนทีขี้เสือก แต่เรื่องหมอกายเป็นอะไรกับเขาไม่ได้เป็นความลับถึงขั้นเปิดเผยไม่ได้ อีกอย่าง ถ้าชลนทีมาแอบฟังจริงๆ คงได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันแล้ว จะสืบต่อก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่มีทั้งเงินและอิทธิพล เพราะงั้น ชนกันต์จึงควรอ้าปากตอบความจริงไปให้จบๆ
“ไม่ใช่เพื่อนหรอก เป็นหมอเจ้าของไข้”
“นายป่วย?”
ชนกันต์พยักหน้า แล้วเล่าถึงอาการป่วยของตนเองให้พี่ชายฟังทั้งหมด ก่อนจะกำชับว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพ่อและแม่ เพราะเขาไม่อยากเสี่ยงถูกคุณหญิงอรดีสั่งให้ลาออกจากงานแล้วลากตัวกลับบ้าน ถ้าหนักสุด อาจจะถูกจับขังไว้ในห้อง แล้วหาหมอเก่งๆระดับประเทศมารักษาให้หายเร็วๆ
“ไม่ต้องบอกพ่อกับแม่นะ ฉันหาหมอแล้วไม่ต้องห่วง”
“ไม่ได้ห่วง แต่แปลกใจ”
“เรื่องอะไร”
ชนกันต์กรอกตามองฟ้า เบื่อความท่ามากของพี่ชาย แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้ห่วง แต่สายตาที่กวาดมองเขาขึ้นๆลงๆครู่หนึ่งก็บอกชัดเจนว่าห่วงมาก
“จิตแพทย์ของนายใจดีนะว่ามั้ย”
“อืม ก็จริง” ชนกันต์เห็นด้วยว่าหมอกายเป็นคนใจดี
“ขับรถจากในเมืองมาส่งนายถึงบ้าน มันไม่เกินหน้าที่ไปหน่อยเหรอ”
เกินหน้าที่ ? มันไม่ใช่หน้าที่ของจิตแพทย์เจ้าของไข้เลยต่างหากล่ะ
“แล้วมันไม่ดีตรงไหน”
ชนกันต์ถาม ในเมื่อเขาไม่มีตังค์ผ่อนรถสักคันมาขับ แล้วบังเอิญเจอคนดีมีน้ำใจอาสามาส่ง…มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ
ชลนทีถอนหายใจแล้วยกมือตบหน้าผากคนเป็นน้องชายแปะๆ…ซื่อก็ส่วนซื่อ โง่ก็ส่วนโง่ แต่น้องของเขาน่าจะมีทั้งสองอย่างเท่าๆกัน มันช่างไม่ทันคนจริงโว้ย แล้วแบบนี้จะอยู่รอดในสังคมคนทำงานได้ยังไง
“เออ น้องกูโง่จริงด้วย”
“ไอ้พี่ที!” ชนกันต์ผงะถอยหลังเพราะแรงตีบนหน้าผาก ไม่ได้เจ็บมาก แต่มันคันๆ บวกกับปากหมาๆของอีกฝ่ายทำให้เขานึกอยากตีคืนสักสองสามที
“มีใครทำดีไม่หวังผลตอบแทนบ้าง เขาอยากได้อะไรถึงได้เข้ามาตีสนิทกับนายล่ะ”
“เขาอยากรู้จักฉัน เพราะมันเป็นประโยชน์กับการรักษา”
ชนกันต์แย้ง เมื่อคิดว่าคนบ้าผลประโยชน์อย่างพี่ทีไม่เข้าใจหรอก บางครั้งการมีน้ำใจให้กับคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องการสิ่งตอบแทน
“ถ้าหมอนั่นทุ่มเทกับคนไข้ทุกคนแบบนาย แม่งไม่เหนื่อยแย่เหรอ”
“ก็ฉันเป็นเคสพิเศษไง”
“หมอคนนั้นแต่งงานหรือยัง”
ชนกันต์กะพริบตาปริบๆเมื่อพี่ชายเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ไม่เข้าใจว่าเรื่องที่หมอกายแต่งงานหรือยังมันจะสำคัญตรงไหน
“ยัง”
“รู้ได้ไง”
ชลนทีถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ชักไม่ดีแล้ว ไอ้เขาน่ะอยากรู้ แต่แค่ถามส่งๆไม่คิดว่าน้องชายจะตอบได้ มันไปหาจิตแพทย์แต่ละครั้งนี่คุยอะไรกันบ้างวะเนี่ย รักษากันไปถึงไหนถึงได้รู้เรื่องแต่งงาน
“เคยถาม”
“นายถามเนี่ยนะ”
ชลนทีรู้จักนิสัยของน้องชายเป็นอย่างดี เจ้ากันต์ไม่ใช่คนที่จะเอ่ยปากถามเรื่องส่วนตัวกับคนที่ไม่สนิท
“ทำไมล่ะ”
“แล้วนายได้ถามด้วยมั้ยว่าเขาชอบผู้ชายหรือผู้หญิง”
ชนกันต์ชะงัก เอียงคอน้อยๆ แต่เมื่อสมองเข้าใจคำถามของพี่ชายก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา ยิ่งเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วชี้หน้าเขาเป็นการบอกให้เงียบ ก็ยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม
“พี่คิดว่าหมอเป็นเกย์”
“เออซิ มันจะจีบนาย หรือไม่ก็จะหลอกฟันนายไงล่ะ”
ชนกันต์ส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำพูดไม่เข้าหู ขายาวก้าวผ่านพี่ชายไปซะเฉยๆ ยกมือขึ้นสองข้างโบกๆในอากาศให้คนข้างหลังเข้าใจว่า เขาไม่อยากฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพล่าม ชนกันต์ไม่รู้หรอกว่าหมอกายชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วก็ไม่ได้สนใจด้วย เพราะยังไงหมอก็ไม่ได้ชอบเขาอยู่แล้ว แต่ไอ้เรื่องอ่อยเรี่ยราดตามประสาคนหล่อคงมีบ้างเป็นธรรมดา



ชนกันต์กลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ในช่วงเย็นวันอาทิตย์ด้วยรถที่พี่ทีขับมาส่ง เท้าก้าวเหยียบแผ่นหินที่ปูบนสนามหญ้า ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นร่างท้วมคุ้นเคยของป้าณีกำลังจุดธูปห้าดอก ชายหนุ่มหยุดยืนเงียบๆไม่ไกล ตั้งใจจะรอให้อีกฝ่ายไหวศาลพระภูมิเรียบร้อยเสียก่อนค่อยเอ่ยทักทาย
รอไม่นานป้าณีก็ปักธูปลงในกระถาง แล้วเงยหน้าขึ้นมองระเบียง ด้วยความสงสัย ชนกันต์จึงเงยหน้ามองตามสายตาของป้าณี กวาดมองระเบียงทุกชั้น แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
“ป้าณี”
“ว้าย!!”
ชนกันต์เรียก เขาแน่ใจว่าไม่ได้เสียงดัง แต่ร่างของอีกฝ่ายกลับสะดุ้งเฮือก แล้วหันขวับมามองเขาตาโต
“คุณกันต์ ทำไมมาเงียบๆแบบนี้ละคะ คนแก่หัวใจจะวาย” ป้าณียกมือทาบอกแล้วถอนหายใจเบาๆ
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ”
ชนกันต์ถาม เขาไม่ได้หมายถึงเรื่องที่ป้าณีไหว้ศาลพระภูมิ แต่หมายถึงเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังมองหาอะไรตามระเบียงอพาร์ทเม้นท์
“ห้องคุณกันต์ปกติดีมั้ยคะ” ป้าณีไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เอ่ยถามไปอีกเรื่อง
“ดีครับ ไม่ได้มีอะไรเสีย”
“อ๋อ ดีแล้วล่ะค่ะ ถ้ามีอะไรก็บอกป้าตรงๆได้เลยนะ”
ดวงหน้าซีดเซียวที่ฉายความกังวลของคนสูงวัยทำให้ชนกันต์ขมวดคิ้ว เขารับรู้ได้ถึงความกลัวอะไรบางอย่างบนชั้นเจ็ด แต่ก็นั่นล่ะ ไม่ได้มีแค่ป้าณีคนเดียวที่กลัว คนแถวนี้ก็กลัวเหมือนกัน
“แล้วคุณกันต์เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นบ้างหรือเปล่าคะ”
“หมายถึงผีเหรอครับ”
คำถามตรงๆของชนกันต์ทำให้คนแก่สะดุ้ง เหลือบมองบนระเบียงอีกครั้งแล้วหลุบตามองพื้นทันที
“ว้าย ไม่เอาไม่พูดเรื่องผีเรื่องสาง” คนแก่เอ็ด ยกมือโบกไปมาในอากาศ
“ผมรู้มาว่ามีคนตายบนชั้นเจ็ด หมายถึงก่อนที่จะเป็นอพาร์ทเม้นท์ร่มฤดี”
ชนกันต์เปรยขึ้น ไม่ได้ตั้งใจจะให้คนแก่หวาดกลัว เขาเพียงแค่อยากบอกว่าเขารู้ และไม่ได้สนใจข่าวเรื่องการตายเลย อีกอย่างเขาก็อยู่ได้ สบายมากด้วย
“ป้าขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอก ป้ากลัวเจ๊ง”
ป้าณีเอ่ยเสียงสั่น ดวงตาสีดำมีน้ำใสเอ่อคลอ โชคยังดีที่ชั้นหนึ่งถึงชั้นหกปกติสุข คนถึงได้เช่าเต็มทุกห้อง เว้นชั้นเจ็ดไว้ก็ไม่ได้ทำให้การเงินมีปัญหาสักเท่าไร แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ปกติสุขเร็วๆ ไม่ว่าจะนิมนต์พระมาทำบุญกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความผิดปกติเล็กๆน้อยๆ ที่หลายคนบอกว่าเห็นก็ยังไม่หายไปเสียที บนชั้นเจ็ดมีคนเข้ามาเช่าแล้วก็ออกบ่อยจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่ไหนๆก็ต้องเคยมีคนตายทั้งนั้น”
ชนกันต์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม สิ่งที่เขาพูดกำลังรวมถึงคนในสมัยก่อนที่เขาจะเกิดหลายสิบหลายร้อยปี
“คุณพูดเหมือนหมอเทวินทร์เลย”
ป้าณีขยับยิ้มบาง เมื่อคิดว่าครั้งหนึ่ง…เธอถามหมอเทวินทร์ว่าห้องที่พักปกติดีหรือไม่ หมอก็บอกว่าปกติ และบอกอีกว่าที่ไหนๆก็เคยมีคนตาย ถ้าไม่ไปลบหลู่เขา เขาก็ไม่ทำอะไรเรา ต่างคนต่างอยู่กันไป
ชนกันต์เงยหน้ามองระเบียงห้องหมอเทวินทร์ เห็นผ้าม่านที่ถูกรูดปิดไม่สนิท ทำให้เห็นว่าในห้องของอีกฝ่ายไม่ได้เปิดไฟ
“เอ่อ วันนี้ป้าเห็นหมอเทวินทร์มั้ยครับ”
“อืม เห็นออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่ายแล้วยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
ชนกันต์ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ขณะเอ่ยปากขอตัวตามมารยาท ระหว่างที่ขาสองก้าววิ่งไปหยุดยืนหน้าลิฟต์ สมองของเขาก็เริ่มครุ่นคิดแผนการบุกรุกห้องของเพื่อนข้างห้อง ชนกันต์รู้ว่ามันผิดกฎหมายและเป็นสิ่งเลวร้ายมากหากถูกหมอเทวินทร์จับได้ แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ก็อีกฝ่ายอยากทำตัวมีลับลมคมใน จะให้คบหากันแบบบริสุทธิ์ใจได้อย่างไร ถ้าอีกฝ่ายไม่ยินยอมให้เข้าไปในห้อง มันมีอะไร หรือใครที่เห็นไม่ได้หรือ… วันนี้เขาจะต้องรู้ให้ได้เลย



TBC.   :3123:

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ ตัวละครในเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นสีเทาถึงดำมาก 555
บางคนโกหกเพื่อตัวเอง บางคนฆ่าเพื่อยึดหลักความถูกต้อง ทั้งที่จริงเเล้วไม่มีสิทธิตัดสินใคร
เเละบางคนฆ่าเพราะคิดว่าชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต เป็นอาการจิตๆของคนที่ทำใจไม่ได้เมื่อได้รับการสูญเสียของคนในครอบครัว
เราตั้งใจเขียนพระเอก นายเอกที่เป็นมนุษย์ปกติ มีความโลภ โกรธ หลง อยากได้ อยากมี
เพราะงั้นจะไม่เจอคนเเสนดีในเรื่องนี้นะคะ 5555
น่าจะมีประมาณสองฉาก ที่เอาอดีตมาเล่า เเต่เราจะไม่บอกผู้อ่านตรงๆว่ามันคืนอดีต คือเราอยากลองเล่าเรื่องเหมือนภาพยนตร์
หักมุมของต่างประเทศบ้าง เเบบหลอกให้คนอ่านเข้าใจผิด น่าจะทำให้ตื่นเต้นดี หวังว่าจะชอบ
ปกติไม่เคยเขียนนิยายสืบสวนเลย อาจจะมีบางอย่างผิดพลาด หรือไม่สนุก เเต่ก็ตั้งใจเขียนที่สุดค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2018 21:06:12 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


ตอนที่ 11


ชนกันต์ยืนเท้าแขนกับราวระเบียง เหลือบมองซ้ายมองขวาอย่างประเมินการณ์ เขาสังเกตหลายครั้งแล้วว่าระเบียงแต่ละห้องห่างกันประมาณหนึ่งก้าว และความสูงของราวระเบียงก็อยู่ประมาณเอว ถ้าคิดจะปีนจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ข้อเสียคือระเบียงห้องของเขากับหมอเทวินทร์หันหน้าเขาหาถนนสายเล็กๆ ซึ่งฝั่งตรงข้ามมีตึกหลายหลังที่มีพ่อค้าแม่ค้าอาศัยเปิดกิจการต่างๆ ถ้าจะปีนก็ต้องเลือกจังหวะที่ไม่มีคนเห็น

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ผู้คนเริ่มทยอยกันกลับที่พักของตัวเอง ทำให้ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่ควรจะปีนไปห้องหมอเทวินทร์

แต่สองเรื่องที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นกังวลตอนนี้ก็คือ หมอจะล็อกประตูกระจกหรือเปล่า โดยปกติแล้วชนกันต์ไม่ล็อก เพราะที่นี่คือชั้นเจ็ด และบนชั้นเจ็ดก็มีแค่เขากับหมอ ถ้าสมมุติว่าโดนปล้นก็ให้สงสัยคนข้างห้องได้เลย ส่วนเรื่องที่สองคือ ถ้าหมอเทวินทร์ไม่ได้ล็อกประตูแล้วเขาบังเอิญเข้าไปได้จริงๆ ตอนที่กลับ เขาจะกลับทันมั้ย เขาแน่ใจว่าเวลานี้หมอใกล้จะกลับมาแล้ว

เพราะความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่า ชนกันต์จึงตัดสินใจจับราวระเบียงแล้วก้าวออกไปด้านนอก ขาก้าวไปเหยียบระเบียงฝั่งของห้องหมอเทวินทร์ พยายามไม่มองลงไปด้านล่าง ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพลาดตกลงไปจริงๆ คงเละแถมศพไม่สวย

ชนกันต์พาร่างสูงโปร่งของตัวเองมาเหยียบระเบียงห้อง 710 ได้อย่างปลอดภัย หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำด้วยความลุ้นระทึกขณะที่ยื่นมือไปเลื่อนประตูกระจก

ครืนนน

ประตูกระจกที่ติดจะฝืดเลื่อนเปิดออกอย่างง่ายดายเพราะเจ้าของห้องไม่ได้ลงกลอน นึกดีใจที่หมอเทวินทร์มีนิสัยประมาทเล็กๆ ไม่ต่างจากกัน

ชนกันต์รีบก้าวเข้าไปในห้อง แล้วเลื่อนประตูกระจกให้ปิดไว้ตามเดิม ความมืดภายในทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ เป็นเงาสีดำ เขาไม่กล้าเสี่ยงเปิดไฟ จึงเลือกที่จะหยิบสมาร์ทโฟนจากกระเป๋ากางเกงมาเปิดแฟลช ลำแสงที่พุ่งออกมาทำให้มองเห็นสภาพห้องชัดเจนขึ้น ขายาวก้าวไปทางห้องนอนทันที ก่อนจะแนบหูลงที่บานประตู ยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะได้ข้อสรุปว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในห้อง

ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะเริ่มกวาดสายตาสำรวจห้อง 710 ชนกันต์เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ ทั้งโซนนั่งเล่นและโซนครัว คิ้วเรียวขมวดยุ่งเมื่อพบว่าภายในห้องของหมอเทวินทร์ไม่มีอะไรผิดปกติเลย การจัดห้องเหมือนกับห้องของเขาทุกอย่าง จะต่างกันก็เรื่องของความสะอาดและเป็นระเบียบ

“ไม่เห็นมีอะไรเลยวะ”

ชนกันต์งึมงำกับตัวเอง ตั้งใจว่าจะปีนกลับห้องไปตั้งหลักก่อน เพราะความปกติของห้อง 710 ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขามาก่อน สิ่งที่เขาคาดว่าจะได้พบคืออะไรก็ได้ ที่จะแสดงว่าหมอเทวินทร์ไม่ได้อยู่คนเดียว…

ตึง ตึง ตึง

เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นที่ดังขึ้นทำให้ชนกันต์สะดุ้ง ดวงหน้าอ่อนใสเริ่มแตกตื่นเมื่อได้ยินเสียงพวงกุญแจกระทบกันจนเกิดเสียงดังกุ๊งกิ๊ง

หมอเทวินทร์กลับมาแล้ว!

เป็นครั้งแรกที่ชนกันต์ไม่คิดอยากเจอหน้าเจ้าของห้อง ตั้งใจจะวิ่งออกไปทางระเบียง แต่คิดอีกทีเขาคงปีนกลับไม่ทันแน่ จึงเปลี่ยนทิศทางไปดึงประตูห้องนอนให้เปิดออก เขาปิดประตูลงพอดีกับที่ประตูหน้าห้องถูกผลักให้เปิด

หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว ถ้าหมอเทวินทร์จับได้ต้องโกรธมากแน่ๆ หรือหนักสุดอาจจะโดนแจ้งข้อหาบุกรุก ชนกันต์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตากวาดมองรอบๆ เพื่อหาที่ซ่อน

ตอนแรกคิดว่าจะเข้าไปซ่อนตัวในห้องน้ำ แต่ไม่ดีกว่า มันเสี่ยงเกินไป เพราะยังไงหมอก็น่าจะต้องใช้ห้องน้ำ หรือซ่อนใต้เตียง…ชนกันต์ก้มมองใต้เตียง ก่อนจะสบถเบาๆ ลืมไปเลยว่าเตียงห้องหมอก็เหมือนเตียงห้องเขา มันไม่มีที่ว่างพอให้คนเข้าไปซ่อนตัวได้เลย

พรึบ!

แสงสว่างจากด้านนอกส่องผ่านเข้ามาทางช่องว่างเล็กๆ ใต้ประตู เสียงฝีเท้าแผ่วเบาจากรองเท้าสลิปเปอร์ที่ใกล้เข้ามาทำให้ชนกันต์เริ่มลนลาน หันซ้ายหันขวา ก่อนจะตัดสินใจเปิดตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ ภายในมีเสื้อผ้าไม่มาก ทั้งหมดเป็นเสื้อเชิ้ตสีสุภาพกับกางเกงสแล็ก เหลือที่พอให้เขาเข้าไปซ่อนตัว ชายหนุ่มปิดแฟลชแล้วยัดสมาร์ทโฟนใส่ลงในกระเป๋ากางเกง ปีนเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ปิดประตูลงเบาๆ แล้วขดตัวเงียบ

ตอนนี้ในสมองของชนกันต์ไม่มีแผนการอะไรเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะออกไปจากตู้เสื้อผ้าได้อย่างไร ไม่รู้ว่าต้องอยู่ในนี้อีกนานแค่ไหน อาจจะตลอดทั้งคืนก็ได้ถ้าหมอเทวินทร์ไม่เปิดตู้เสื้อผ้าซะก่อนนะ

แอ๊ด….

ชนกันต์กอดเข่าตัวสั่นระริก เหงื่อเย็นชื้นซึมมาตามขมับเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน สวิตช์ไฟถูกกดเปิดในเวลาต่อมา ทำให้เขามองเห็นเตียงนอนที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้าผ่านรอยแยกเล็กๆ ชนกันต์พยายามผ่อนลมหายใจช้าๆ รู้สึกว่าความร้อนอบอ้าวในตู้เสื้อผ้าบรรเทาลงบ้างเพราะเครื่องปรับอากาศที่เริ่มทำความเย็น

“สวัสดีครับ”

ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงนุ่มคุ้นหู เกือบจะยกมือยอมแพ้แล้วเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกไปยอมรับผิด ถ้าไม่ใช่เพราะประโยคต่อมาที่ได้ยินทำให้เขาเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์

“แต่อาการเครียดของคุณดีขึ้นมากแล้วนะครับ ไม่จำเป็นต้องกินยาหรือมาหาหมอแล้ว”

ชนกันต์ได้ยินเสียงพูดคุยไม่ชัดเพราะฟังผ่านตู้เสื้อผ้า แต่บางอย่างในน้ำเสียงทำให้เขาแปลกใจ

หมอเทวินทร์เสียงแบบนี้เหรอ…

“ผมมีนัดกับคนไข้รายอื่น…ผมรู้ว่าคุณหายป่วยแล้ว”

เสียงที่ติดจะห้วนทำให้ชนกันต์รับรู้ถึงกระแสอารมณ์หงุดหงิด ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดยืนหันหลังให้ตู้เสื้อผ้าพอดิบพอดี แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินชื้นเหงื่อ มือข้างหนึ่งถือสมาร์ทโฟนแนบกับหู ส่วนอีกข้างกำลังพยายามแกะเนกไท ก่อนจะโยนมันทิ้งลงบนเตียง

“นี่คุณนิดา ถึงคุณจะมีเงินจ่ายค่ารักษา แต่ผมเป็นหมอไม่ใช่โฮส์ต ถ้าคุณต้องการผู้ชายสักคน กรุณาไปที่อื่นที่ไม่ใช่โรงพยาบาล”

น้ำเสียงเฉียบขาดทำให้ชนกันต์กลืนน้ำลายเอือก ไม่อยากนึกเลยว่าปลายสายที่โทรมาอ่อยจะมีสีหน้าอย่างไร เมื่อโดนคุณหมอตอกกลับด้วยคำพูดรุนแรงแบบนี้ ร่างสูงกดตัดสายแล้วปาสมาร์ทโฟนทิ้งบนเตียงอย่างไม่ใยดี อารมณ์ฉุนเฉียวที่ ชนกันต์ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ใจสั่น ก็ไม่เคยคิดหรอกนะว่าหมอเทวินทร์เป็นคนใจดี แต่ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะมีมุมแบบนี้ด้วย

ชนกันต์พยายามหายใจให้เบาที่สุด มองร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับต้องการสะกดอารมณ์ เขาได้แต่ภาวนาให้หมอเทวินทร์รีบๆ ไปอาบน้ำ จะได้อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายอยู่ในห้องน้ำหนีกลับห้องของตัวเอง และดูเหมือนว่าคำขอของเขาจะเป็นจริง เมื่ออีกฝ่ายเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแล้วทิ้งลงบนพื้น เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนออกกำลังกาย

นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเจ้าของห้องจะมายืนแก้ผ้าต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ถ้าหมอเทวินทร์จับได้เขาคงไม่รอดไปง่ายๆ แน่ ไหนจะข้อหาบุกรุก และตอนนี้ยังโดนยัดเยียดข้อหาถ้ำมองโดยไม่เจตนาอีก

เชี่ย!

ชนกันต์รีบยกมือตะครุบปากไม่ให้พ่นคำหยาบเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมา เขาไม่รู้ว่าควรตกใจเรื่องอะไรมากกว่ากัน ระหว่างร่างสูงตรงหน้ากำลังปลดเข็มขัดแล้วรูดซิปกางเกง กับร่างสูงตรงหน้า ไม่ใช่คนที่คิดไว้ แต่คือ…

หมอกาย!

ไม่ว่าชนกันต์จะมองจากมุมไหน ใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับหมอเทวินทร์อีกคน ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคนตรงหน้าคือหมอเทวินทร์ อัครเดช จิตแพทย์หนุ่มจากโรงพยาบาลเซนต์โทมัส

หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงมากเสียจนเขากลัวว่าหมอกายจะได้ยิน ใบหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าอ่อนโยนอย่างที่เคยเห็น มันติดจะหงุดหงิดและอ่อนล้า

ชนกันต์ไม่ได้ตั้งใจลวนลามหมอ แต่สายตาไม่รักดีมันกวาดมองตั้งแต่แผ่นอกแข็งแรง ต่ำลงมาถึงหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบ อีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่รูปร่างเซ็กซี่มาก โดยเฉพาะเมื่อกางเกงที่ใส่ถูกปลดซิปลงมาคาอยู่ที่สะโพกเผยให้เห็นขอบกางเกงชั้นในสีดำยี่ห้อ Calvin Klein

ตึง ตึง ตึง

ร่างกายของชนกันต์เครียดเกร็ง พยายามเบียดเข้าไปชิดผนังตู้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าใกล้…อย่าเปิดนะ

หมอกายก้มลงเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบผ้าขนหนูสีขาวออกมาพาดไหล่ ทุกอย่างเกือบจะผ่านไปด้วยดีเพราะหมอกำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะชนกันต์ที่กำลังโล่งใจเผลอเอนตัวไปด้านหลัง และ…

โป๊ก!

ศีรษะกระแทกผนังตู้เต็มแรงจนเกิดเสียงดัง เจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่กลับร้องไม่ออก เมื่อร่างสูงก้าวมาหยุดหน้าตู้เสื้อผ้า และครั้งนี้ ชีวิตของชนกันต์ก็ได้จบลงพร้อมกับที่ประตูถูกเปิดออก…

“คุณกันต์”

“หมอ”

ชนกันต์ค่อยๆ เงยหน้ามองร่างสูง แล้วขยับยิ้มหวาน แต่เพราะความหวาดกลัวทำให้ดวงหน้าอ่อนใส ดูเหมือนคนที่พร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ

“คุณเข้ามาได้ยังไง”

หมอกายถาม ใบหน้าหล่อเหลาที่แสดงความแปลกใจมากกว่าเกรี้ยวกราดทำให้คนมีความผิดติดตัวรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“ปีนระเบียงเข้ามา”

เกิดความเงียบขึ้นหลังจบคำตอบของชนกันต์ หมอกายมองเขานิ่งๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย

ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดที่ยังขดตัวอยู่ท่ามกลางเสื้อผ้า จึงเลือกที่จะคลานออกมาจากตู้ แล้วนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่แทบเท้าอีกฝ่าย เขาไม่รู้เลยว่าหมอกายกำลังคิดอะไร หรือรู้สึกอย่างไรที่เปิดตู้เสื้อผ้าออกมา แล้วพบคนไข้รายหนึ่งซ่อนตัวอยู่ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าหมอจะต่อว่าเขาแรงๆ หรือโทรแจ้งตำรวจ เขาคงไม่รู้สึกกดดันและรู้สึกผิดมากแบบนี้

“แล้วเข้ามาทำไมครับ”

ชนกันต์เงยหน้ามองคนถาม หมอกายยกมือกอดอก นัยน์ตาสีนิลที่เคยอ่อนโยนกำลังทอดมองเขาอย่างตำหนิ เพิ่งรู้วันนี้แหละว่า การใช้สายตาเชือดเฉียน มันเจ็บกว่าใช้คำพูดเป็นอย่างไร

“แล้วคุณล่ะ เข้ามาทำอะไรที่นี่”

ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถาม ตอนนี้ในสมองของเขากำลังทำงานอย่างหนัก เขาไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้ว่า ทำไมหมอกายจึงปรากฎตัวขึ้นในห้อง 710 แถมยังเดินไปเดินมาราวกับเป็นห้องของตัวเอง…

“รู้จักหมอเทวินทร์เจ้าของห้องเหรอครับ”

“อะไรนะ!”

คราวนี้แหละ เกรี้ยดกราดของจริง…

ชนกันต์สะดุ้ง แน่นอนว่าหมอกายไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขา เพราะเขาเป็นคนไข้ไงล่ะ แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็สมควรอยู่หรอก ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองถามอะไรผิด แต่อีกฝ่ายดูจะหัวเสีย และเริ่มมองเขาแปลกๆ มือแกร่งกระชากไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้ลุกขึ้นยืนทำให้สายตาประสานกันพอดี

“ที่นี่คือห้องของผม” หมอกายเอ่ยเสียงเฉียบขาด

“คุณโกหก”

ชนกันต์แย้ง แม้จะกลัว แต่เขาขอสู้ตาย เขาไม่เชื่อว่าหมอกายอยู่ที่นี่ เห็นชัดๆ ว่าห้อง 710 เป็นของหมอเทวินทร์อีกคน

“ผมอยู่ห้องข้างๆ มาสองเดือนแล้ว ผมไม่เคยเห็นคุณสักครั้ง คุณจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“แต่ผมเห็นคุณเกือบทุกวันเลยนะ”

ประโยคที่สวนขึ้นทันควันทำให้ชนกันต์ชะงัก เขาไม่รู้ว่าควรเชื่ออะไร ในเมื่อสีหน้าของหมอกายไม่ได้เหมือนคนโกหกเลย

“เอาเป็นว่าเราไปนั่งคุยกันข้างนอกดีมั้ยครับ”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หมอกายก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ชนกันต์หน้าแดงก่ำ เมื่อสังเกตเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างมีผ้าขนหนูสีขาวพันไว้รอบเอว เขารีบพยักหน้าแล้วเชิญตัวเองออกไปจากห้องนอนทันที







“ดื่มน้ำก่อนสิครับ”

หมอกายทรุดนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม พร้อมกับแก้วน้ำเย็นที่ถูกวางลงบนโต๊ะกระจก ชนกันต์กล่าวขอบคุณ แล้วเอื้อมมือไปหยิบมาดื่มดับความกระหาย

“สรุปว่า คุณปีนระเบียงเข้ามาในห้องผมทำไมครับ”

“ก็ผมสงสัยว่า…”

ชนกันต์ขมวดคิ้ว เมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องลงทุนปีนระเบียงห้องของคนอื่น เพราะเขาสงสัยว่าหมอเทวินท์ซ่อนใคร หรืออะไรเอาไว้ในห้อง ทำไมหมอไม่เคยเชิญเขามาที่นี่ ทั้งที่เราสองคนจะเรียกว่ากำลังคบหาดูใจกันอยู่ก็ย่อมได้

“สงสัยว่าอะไรครับ”

กายถาม เมื่อเห็นว่าชนกันต์เงียบไปเฉยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมายังเขากำลังฉายแววสับสน เขาไม่คิดว่าชนกันต์จะเข้ามาขโมยของ ฐานะทางบ้านของอีกฝ่ายดีเกินกว่าจะมาอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ด้วยซ้ำ

“หมออีกคนไปไหน”

จิตแพทย์หนุ่มเลิกคิ้ว ตอนแรกเขาคิดว่าชนกันต์ตั้งใจกวนประสาท ถึงได้ถามว่าเขารู้จักหมอเทวินทร์เจ้าของห้องมั้ย แต่จากสีหน้าที่จริงจังของเจ้าตัว ทำให้เขาคิดว่าชนกันต์น่าจะหมายถึง ใครอีกคนที่ชื่อว่าเทวินทร์…

“หมายถึงใครครับ”

“หมอผู้ชายอีกคนที่อยู่กับคุณไง ตอนแรกผมคิดว่าเขาชื่อเทวินทร์ซะอีก”

ชนกันต์หวังว่าหมอเทวินทร์กับหมอกายจะเป็นเพื่อนสนิทที่อาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน และหมอเทวินทร์ไม่ต้องการให้เขาเข้ามาในห้อง 710 เพราะเกรงใจรูมเมท

“ผมอยู่ที่นี่คนเดียว อยู่ที่นี่มาหนึ่งปีแล้วครับ”

คำตอบที่ได้รับทำให้ชนกันต์กลัว…เป็นความกลัวที่เกิดจากความไม่รู้ เขาไม่เชื่อหมอกาย และจะไม่เชื่อหมอเทวินทร์เช่นกัน เขาต้องการความจริง…ความจริงที่สามารถพิสูจน์เรื่องทุกอย่างได้

“มากับผม”

ชนกันต์ผุดลุกจากโซฟา แล้วเดินไปดึงมือของหมอกายให้เดินตามเขาออกไปจากห้อง อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืน เพียงแต่เอ่ยปากถามเมื่อทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าลิฟต์

“จะพาผมไปไหนครับ”

“ไปหาคนที่ยืนยันได้ว่าคุณอยู่ที่นี่”

ชายหนุ่มตอบ เขาลากหมอกายเข้าไปในลิฟต์แล้วกดชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศและห้องพักของป้าณี

“ตอนนี้สองทุ่มแล้วนะครับ ผมว่าเราค่อยมาตอนเช้าดีมั้ย”

ชนกันต์เหลือบมองหมอกายที่หยิบสมาร์ทโฟนจากกระเป๋ากางเกงมากดดูเวลา

“ไม่ครับ”

ชนกันต์รู้ว่ามันเสียมารยาทที่จะไปรบกวนเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ในเวลานี้ แต่เขาคงนอนไม่หลับและประสาทกินก่อนจะถึงพรุ่งนี้เช้าแน่ๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ชายหนุ่มเคาะประตูห้องพักของป้าณี รอไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมร่างท้วมของคนสูงวัยที่โผล่ออกมาให้เห็น

“อ้าว คุณกันต์ มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าแอร์เสีย”

ชนกันต์ส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่หมอกาย

“ป้ารู้จักเขามั้ยครับ”

เจ้าของอพาร์ทเม้นท์มองผู้มาเยือนด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มสองคนที่อาศัยอยู่บนชั้นเจ็ดกำลังยืนจับมือกันแน่น คนหนึ่งมีสีหน้าร้อนรนแปลกๆ ส่วนอีกคนยืนนิ่งไม่แสดงอารมณ์

“หมอเทวินทร์ไงคะ”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเมื่อได้รับคำตอบจากคนสูงวัย ชนกันต์หวนคิดไปถึงครั้งแรกที่พบกับหมอ…คนๆ นั้นไม่เคยบอกด้วยซ้ำว่าชื่อ ‘เทวินทร์’ แต่เป็นเขาเองที่อยากรู้จักอีกฝ่ายจนถึงกับต้องมาถามเอากับป้าณี ส่วนคนที่ป้าณีพูดถึงมาโดยตลอดก็เป็นหมอกายมาตั้งแต่ต้น

“เขาคือหมอเทวินทร์จริงๆ เหรอครับ”

ชนกันต์ถามย้ำอีกครั้ง รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาดื้อๆ เขาไม่รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร หายไปไหน ทำไมสิ่งที่เขาเคยคิดว่าจริง…จึงกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิด

“ถามอะไรอย่างนั้น นี่หมอเทวินทร์ที่อยู่ห้องข้างๆ คุณกันต์ไงคะ ป้ายังเห็นคุณซื้อโจ๊กไปห้อยหน้าประตูหมอบ่อยๆ เลย”

“ป้าเห็นได้ไงครับ”

ใช่ เขาซื้อโจ๊กไปห้อยไว้หน้าประตูห้องของหมอกาย แล้วคนที่นำอาหารเช้ามาห้อยไว้ที่ประตูห้องของเขาล่ะ เป็นใคร?

“กล้องวงจรปิดค่ะ เอ่อ ป้าไม่ได้จะสอดรู้สอดเห็นนะ แต่ป้าแค่ตรวจดูตามปกติ”

“ผมขอดูเทปวงจรปิดได้มั้ยครับ”

ชนกันต์เกือบลืมไปแล้วว่าตรงทางเดินทุกชั้นติดกล้องวงจรปิดสองตัว ที่เปิดทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มันต้องถ่ายติดบุคคลนิรนามเอาไว้ได้แน่ๆ เขาจะได้ถามทั้งสองคนให้รู้เรื่องไปเลยว่ามีใครรู้จักมั้ย

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

“ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งบนชั้นเจ็ด เห็นมาตลอดสองเดือนว่าเขาเดินเข้าไปในห้องหมอเทวินทร์”

ชนกันต์อธิบาย เขาแน่ใจว่าเห็นเต็มสองตาเลยว่าหมอคนนั้นเดินเข้าไปในห้อง 710 จริงๆ แต่ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือ เขากลับไม่เคยเห็นไอ้เจ้าของห้องตัวจริงอย่างหมอกายเลย

“ขะ ขโมยขึ้นห้องหมอเหรอคะ ตายแล้ว แจ้งตำรวจ…”

ป้าณีร้องด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันวิ่งหาโทรศัพท์มาโทรแจ้งตำรวจ ผู้เสียหายที่ยืนเงียบมานานก็เอ่ยปากห้ามขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ต้องครับ ห้องผมไม่ได้มีอะไรหาย…แต่รบกวนขอดูเทปวงจรปิดได้มั้ยครับป้าณี”

ชนกันต์เหลือบมองหมอกายที่ขยับยิ้มการค้าให้ป้าณี เสียงนุ่มที่เอ่ยขอกับหน้าตาหล่อๆ ที่กำลังออดอ้อน ทำให้คนสูงวัยรีบพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

“ได้ทุกอย่างเลยค่ะคุณหมอ”

ชนกันต์กลอกตามองเพดานสีขาว เขารู้ว่าหมอกายอ้อนป้าณีเพื่อเขา แต่มันอดหมั่นไส้ไม่ได้เลยจริงๆ ไม่คิดว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่และสุขุมจะมีมุมเด็กๆ ที่น่ารัก น่าหยิกแบบนี้

ป้าณีเดินกลับเข้าไปในห้อง หยุดยืนมองผนังกว้างที่มีลูกกุญแจมากมายห้อยอยู่ แล้วเลือกหยิบกุญแจมาหนึ่งดอก

“มาทางนี้เลยค่ะ”

ป้าณีปิดประตูห้องพัก แล้วเดินไปไขกุญแจห้องกระจกติดฟิล์มสีดำที่อยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ ก่อนจะหันมาเชื้อเชิญให้สองหนุ่มก้าวเข้าไปด้านใน

ในออฟฟิศถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่มีโต๊ะทำงานสำหรับใช้เซ็นสัญญาเช่า และโซฟารับแขก อีกส่วนมีคอมพิวเตอร์จอแบนขนาดสิบแปดนิ้วติดอยู่บนผนังห้อง ภาพในจอถูกแบ่งเป็นสี่เฟรมกำลังแสดงภาพทางเดินของแต่ละชั้น

“นั่งตามสบายเลยนะคะ”

เจ้าของอพาร์ทเม้นท์เอ่ย ก่อนจะทรุดนั่งบนเก้าอี้ เปิดโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ กดเปิดโปรแกรมอะไรบางอย่าง แล้วเรียกภาพจากกล้องวงจรปิดชั้นเจ็ดให้แสดงบนจอใหญ่ทั้งสี่จอ

“ทั้งหมดคือภาพบนชั้นเจ็ดค่ะ”

ชนกันต์และหมอกายลากเก้าอี้หัวโล้นที่มีล้อเลื่อนมานั่งข้างๆ ป้าณี ชายหนุ่มเงยหน้ามองภาพในจอคอมพิวเตอร์ติดผนัง มีสองจอที่แสดงภาพจากกล้องตัวที่หนึ่ง และอีกสองจอแสดงภาพจากกล้องตัวที่สอง ตอนนี้ภาพทางเดินบนชั้นเจ็ดเงียบสงบและไม่มีความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเลย ป้าณีจึงเรียกภาพเมื่อสัปดาห์ที่แล้วขึ้นมาแสดง

กล้องทั้งสองตัวกำลังจับภาพของชนกันต์ในสองมุม เขาเดินไปหยุดยืนที่หน้าห้อง 710 แล้วห้อยถุงโจ๊กร้านเถ้าแก่โชคไว้ที่ลูกบิดประตูเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง และประมาณสิบนาทีต่อมา ประตูห้อง 710 ก็ถูกเปิดออก หมอกายชะโงกหน้าออกมามองลูกบิดประตูห้องของตัวเอง มือคว้าถุงโจ๊กแล้วประตูห้องก็ถูกปิดลงอีกครั้ง

ชนกันต์แอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหมอกาย เขาเพิ่งรู้ว่าโจ๊กที่ตั้งใจส่งให้หมอนิรนามคนหนึ่ง ถูกส่งให้หมอกายมาตลอดสองเดือน แล้วดูเหมือนว่าหมอกายจะรู้จักเขาอยู่ก่อนแล้ว และเข้าใจว่าเขามีน้ำใจซื้อมื้อเช้ามาฝากทุกวัน

หลังจากที่ชนกันต์และหมอกายออกไปทำงาน บนทางเดินชั้นเจ็ดก็ว่างเปล่า นอกจากแม่บ้านที่รีบร้อนกวาดถูทางเดิน ก็ไม่มีใครขึ้นมาบนชั้นเจ็ดอีกเลย ป้าณีเลื่อนภาพในกล้องวงจรปิดให้เร็วขึ้น และหยุดลงในเย็นวันเดียวกัน

ภาพที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ติดผนังคือหมอกาย ในมือสองข้างมีถุงพลาสติกใส่อาหาร ผลไม้และแฟ้มงานมากมาย เจ้าตัวหยุดยืนที่หน้าห้อง 709 แล้วห้อยถุงผลไม้ลงบนลูกบิดประตูก่อนจะหายเข้าไปในห้องของตัวเอง

ชนกันต์รู้สึกหน้าร้อนผ่าวเมื่อป้าณีเลื่อนภาพต่อไปเรื่อยๆ ในเทปวงจรปิดไม่ได้มีสิ่งผิดปกติเลยนอกจากเขาและหมอกายที่สลับกันซื้อของมาฝากอีกฝ่าย พวกเขาดูสนิมสนมและเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เพียงแต่ในสายตาคนนอกอย่างป้าณีคงรู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่พิเศษ

“ช่วยย้อนไปวันแรกที่ผมย้ายเข้ามาได้มั้ยครับ”

ชนกันต์เอ่ยขอเมื่อจำได้ว่าเขาพบ ‘หมอนิรนาม’ ที่หน้าห้องของหมอกายในวันแรกที่ย้ายเข้ามา

“วันนี้แหละค่ะ”

ชนกันต์มองภาพตนเองในจอคอมพิวเตอร์กำลังขนข้าวของที่มีไม่มากเข้าไปในห้อง 709 หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ออกจากห้องเลย เพราะมัวแต่จัดของเข้าที่ให้เรียบร้อยและเผลอหลับไป เขาเห็นตัวเองเดินออกมาจากห้องอีกครั้งช่วงห้าทุ่มเพื่อไปซื้ออาหารสำเร็จรูปที่เซเว่นหน้าอพาร์ทเม้นท์

หัวใจของชนกันต์เต้นรัวเมื่อมองตัวเองก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์ เขาจำได้ว่าหมอนิรนามยืนอยู่หน้าห้องของหมอกาย เพียงแต่ภาพในกล้องวงจรปิดไม่มีใครอื่นเลยนอกจากเขา…ร่างสูงของเขาหยุดยืนพูดคุยคนเดียว ยื่นมือไปในอากาศแล้วเขย่าราวกับกำลังจับมือกับใครบางคนที่มองไม่เห็น เขาหันไปมองประตูห้อง 710 ที่ปิดสนิทครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง…

ชนกันต์เหลือบมองหมอกายที่กำลังจับตามองเขาอยู่นิ่งๆ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรนอกจากหันไปเอ่ยปากขอบคุณและขอโทษป้าณีที่รบกวน ก่อนจะลากเขาออกมาจากออฟฟิศ ชายหนุ่มแทบไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไร เขาก้าวเท้าไปตามแรงดึงที่ข้อมือ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปในอากาศ แล้วพยายามทำใจยอมรับความจริงว่าเขา…เป็นบ้าไปแล้ว





TBC.




ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เจอของดีเข้าให้ละสิ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ตายแล้วคุณ​ผีอยากได้ชนกันต์​ไปอยู่ด้วยมั้ยเนี่ย​ หมอกายจิตแพทย์​คะฝากดูแแลด้วยนะคะ​ ถ้าเป็นไปได้อยู่รวมกันสองคนก่อนชั่วคราวแล้วจุดธูปมาถามเลยค่ะ​ เป็นใคร​ ต้องการอะไร​ แอบลักหลับบ้างรึป่าว

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อ่าาาา ความแตกแล้วคุณผี จบไป2ประเด็น คือเรื่องที่ข้องใจว่าทำไมมีหมอเทวินทร์2คน กะ คุณผีเป็นผีจริงๆด้วยยยย 5555555555

ออฟไลน์ MiaHiaKris

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอค่ะ น่าติดตามมากๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด