Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5  (อ่าน 31684 ครั้ง)

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
«ตอบ #90 เมื่อ20-01-2020 16:56:51 »

บทที่ 29 คนสำคัญ


โรงงานผลิตจาระบีของยูเนียนในบ่ายวันศุกร์ยังครึกครื้นไปด้วยพนักงานจำนวนมากที่เดินสวนทางกันไปมา เพื่อปฎิบัติหน้าที่ของตัวเองตามที่ได้รับมอบหมาย วิศวกรส่วนใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบการผลิตในส่วนของโรงงานต่างมีออฟฟิศติดแอร์ที่แทบไม่มีโอกาสได้ใช้งาน ต่างจากผมที่ถือว่าโชคดีที่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ซึ่งจะเข้ามาตรวจตราสินค้าสัปดาห์ละหนึ่งครั้งเท่านั้น โดยผลัดเปลี่ยนเวรกับเพื่อนร่วมแผนกคนอื่นๆ แต่ที่โชคร้ายคงเป็นเรื่องของระยะทางที่ผมจำเป็นต้องนั่งรถบัสจากกรุงเทพมาที่ระยองซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตจาระบี โดยการเดินทางแต่ละครั้งสามารถเบิกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ แต่วันนี้ผมกลับไม่แน่ใจว่าสามารถไปเบิกเงินค่าเดินทางได้หรือไม่ ในเมื่อวันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่ต้องเข้ามาที่โรงงาน อีกอย่าง สิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้จะเรียกว่าเป็นการทำงานก็ไม่น่าใช่ มันออกจะนอกเหนือหน้าที่ด้วยซ้ำ
“ตอนนี้ที่โรงงานของเราผลิตจาระบีทั้งหมด 4 ประเภทครับ นี่คือจาระบีแคลเซียม (Calcium Grease) มีความไวต่ออุณหภูมิในจุดที่จะทำให้เกิดการระเหยได้” ผมอธิบายให้ท่านประธานที่มีสีหน้าสนใจใคร่รู้ฟัง ในมือของเขากำลังถือไอแพดและ Apple Pencil เพื่อจดบันทึกสิ่งที่เขาต้องการ ส่วนผมที่เกรงว่าท่านประธานที่กำลังติวเข้มแบบตัวต่อตัวจะไม่เห็นภาพ จึงให้กรรมกรคนหนึ่งช่วยตักตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใส่ในขวดมาให้ท่านประธานดูทั้งหมดสี่ขวด
ท่านประธานบอกผมว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาที่โรงงาน เพราะก่อนหน้านี้ที่เขาเทคโอเวอร์ยูเนียน เขายุ่งอยู่กับการจัดการหุ้นของบริษัทที่ทิ้งดิ่งจนทำให้ยอดขายของจาระบีชะงักไปชั่วคราว ผมเดาว่าตอนนี้เขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อจะทำให้ยูเนียนกลับมามั่นคงในทุกๆด้าน
ยูเนียนทำธุรกิจอยู่ทั้งหมด 3 แบบ
1. Upstream = ธุรกิจแบบต้นน้ำ = ประเภทแท่นขุดเจาะน้ำมัน
2. Midstream = ธุรกิจแบบกลางน้ำ = ประเภทหอกลั่นน้ำมันและโรงงานกลั่นแยก
3. Downstream = ธุรกิจแบบปลายน้ำ = ประเภทโรงงานผลิตโปรดัคเกี่ยวกับน้ำมันส่งถึงมือผู้ใช้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (จาระบีอยู่ในส่วนนี้ซึ่งเป็นส่วนที่ท่านประธานยังไม่ได้เข้าไปศึกษาดูแลอย่างจริงจัง)
ผมขอนินทาผู้บริหารในใจเลยนะครับ ได้ข่าวเม้าส์ (สายข่าว=อีพี่เขียว) เล่าให้ฟังว่าตำแหน่งรองประธานของยูเนียนมีทั้งหมด 3 ตำแหน่ง ดูแลในส่วนของธุรกิจ 3 แบบ แต่ท่านประธานใหญ่คนปัจจุบัน (พอร์ช) ต้องการถอดถอน ถ้าภาษาชาวบ้านคือต้องการไล่รองประธาน (ธุรกิจแบบปลายน้ำ) ออกไปแล้วให้คนในครอบครัวหรือคนสนิทนั่งตำแหน่งนี้แทน
แต่ช่วยไม่ได้ที่หนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของเขา ทำให้ยังสามารถรั้งตำแหน่งของรองประธานเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นและคงยากที่จะไล่ออก ส่วนผมยังไม่มีบุญวาสนาจะได้เจอท่านรองคนนั้น แต่ผมคิดว่าเขาต้องเจ๋งมากแน่ๆ คนที่กล้าต่อกรกับท่านประธานมีแค่คนเก่งกับคนหน้าด้านเท่านั้นแหละครับ (?) เชื่อผมสิ
“ส่วนนั่นคือจาระบีโซเดียม (Sodium Grease) ใช้ในงานที่มีอุณหภูมิสูง สามารถละลายน้ำได้ง่าย เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความทนทานและต้องการคุณสมบัติในการซีล”
ผมอธิบายพร้อมกับหยิบขวดบรรจุตัวอย่างของจาระบีมาส่งให้ท่านประธาน
“ต่อมาคือจาระบีอะลูมินัม (Aluminum Grease) มีความหนืดสูง เนื้อสารจะมีความเหนียวมาก มีความต้านทานน้ำสูง ยึดติดได้ดี ยับยั้งสนิมได้ แต่จาระบีประเภทนี้จะมีอายุการใช้งานที่สั้น และสุดท้ายคือจาระบีลิเธียม (Lithium Grease) มีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือแบบผิวเนยและแบบคอมเพล็กซ์ แต่ที่โรงงานของเราจะผลิตแค่แบบผิวเนยเพราะนิยมใช้กันมากที่สุด สามารถใช้งานในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงสุดถึง 135 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในอุณหภูมิต่ำได้ถึงระดับ -35 องศาเซลเซียสด้วยครับ…”
ยูเนียนผลิตจาระบีทั้งแบบค้าปลีกและแบบค้าส่ง ทำให้มีลูกค้าเป็นจำนวนมาก รายได้ต่อปีประมาณ 200 ล้านบาท ยังไม่รวมรายได้จากน้ำมันอีกนะครับ
“เหนื่อยแล้วเหรอ”
คนที่เดินอยู่ข้างๆเอ่ยถามราวกับเจ้านายที่มีน้ำใจต่อลูกน้อง คือผมก็ไม่อยากจะบ่นหรอก แต่ว่าวันนี้ท่านประธานใช้งานผมเกินค่าจ้างแล้วนะ ผมเดินจนขาลากตั้งแต่เช้าเพื่อพาเขาทัวร์โรงงานตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน ทั้งแนะนำและพาชมทุกการทำงานของเครื่องจักร เขาถามผมทุกเรื่องตั้งแต่การผลิต การตรวจสอบคุณภาพ การซ่อมบำรุงเครื่องจักร จนถึงการส่งออกต่างประเทศ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ส่วนที่ผมจะต้องไปรับรู้เลยนะ เขาทำให้ผมต้องขุดความรู้เก่าๆสมัยเรียนออกมาตอบคำถามร้อยแปด
ให้ตายสิ เหนื่อยสมองชะมัดเลย
ผมได้พักกินมื้อกลางวันง่ายๆที่โรงอาหารของโรงงานร่วมกับท่านประธาน เพราะเขาอยากรู้ว่าพนักงานกินอาหารแบบไหน ซึ่งที่โรงอาหารของยูเนียน แค่จ่ายค่าอาหาร 20 บาทก็สามารถกินอาหารดีๆได้ไม่อั้น ทั้งเนื้อ ผักและไข่ (กินไม่หมดปรับนะครับ) เอาเป็นว่ารสชาติ ราคา และความสะอาดทำให้ท่านประธานพอใจ ลองคิดดูนะว่าถ้าเขาไม่พอใจขึ้นมา พวกพ่อค้าแม่ค้าคงต้องโดนไล่ออกตั้งแต่ร้านแรกจนถึงร้านสุดท้ายแน่ๆเลย
“ใช่ครับ”
ผมตอบอย่างจริงใจสุดๆ ผมได้พักกินมื้อกลางวันแค่สามสิบนาที ยังไม่ทันได้นั่งพักให้หายปวดขา ท่านประธานก็ลากผมมาดูผลิตภัณฑ์ต่อ ลากยาวมาจนถึงสี่โมงเย็น ขอเถอะ ผมเหนื่อยจนจะเดินไม่ไหวแล้ว ปล่อยผมกลับบ้านสักที วินอยากนอน!!!
“งั้นวันนี้พอแค่นี้ละกัน”
ประโยคต่อมาเป็นดั่งเสียงสวรรค์ที่ทำให้ผมขยับยิ้มกว้าง และผมจะซาบซึ้งใจกว่านี้มาก ถ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมต้องมาทำหน้าที่พาท่านประธานทัวร์โรงงาน
“ขอบคุณครับ”
“กลับเลยมั้ย” ท่านประธานเอ่ยถาม ซึ่งผมรีบพยักหน้ารับทันที เสียมารยาทหรือเปล่าไม่รู้…รู้แค่ว่าวินจริงใจครับ อยากกลับก็บอกว่าอยากกลับ
“ครับ”
“กลับยังไง”
“รถบัสครับ”
ผมตอบระหว่างที่พวกเราก้าวเท้าออกมาจากโรงงาน ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่กำลังมืดครึ้ม บนนั้นมีกลุ่มเมฆก้อนใหญ่ลอยเอื่อยๆ เดาว่าอีกไม่นานจะต้องมีฝนเทลงมาแน่ๆ ทางที่ดีผมควรรีบไปขึ้นรถบัสให้เร็วที่สุดถ้าไม่อยากเปียกแฉะ
“ผมไปส่งที่ท่ารถ”
ถ้อยคำอาสาจากเจ้านายใจดีทำให้ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยถ้าฝนตกลงมาตอนนี้ผมก็ไม่ต้องเปียก
“ขอบคุณครับ”
ท่านประธานใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีในการขับรถมาส่งผมที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร ตอนนี้เขาไม่ได้ขับปอร์เช่สีแดงเหมือนสมัยเรียนแล้ว แต่เปลี่ยนมาขับจากัวร์สีดำ ซึ่งนับเป็นบุญตูดของผมแล้วครับที่ได้ทัสรถหรูราคาหลายสิบล้านถึงสองคัน
“ไปกรุงเทพครับ มีรอบไหนบ้างครับป้า”
ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสแล้วชะโงกหน้าไปถามหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“รอบสุดท้ายเพิ่งออกไปเมื่อกี๊นี้เองจ้ะหนู”
ไปแล้ว! ให้ตายสิ ทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้อีกสักสิบนาทีนะ
ผมได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ แล้วพาลโทษไปถึงคนที่ขับรถมาส่ง ทั้งปล่อยช้าแถมยังขับรถช้าอีกต่างหากทำให้ผมพลาดรถบัสรอบสุดท้าย แล้วทีนี้จะกลับกรุงเทพยังไงล่ะเนี่ย ผมไม่อยากเสียเวลาหาโรงแรมพักสักหนึ่งคืนหรอกนะ แม้พรุ่งนี้จะเป็นวันหยุด แต่ผมมีงานอื่นที่อยากรีบกลับไปเคลียร์ให้เสร็จๆ
“มีรถอย่างอื่นไปกรุงเทพมั้ยครับป้า” ผมถาม
“แท็กซี่ไงหนู”
ข้อเสนอนั้นถูกผมปัดตกไปอย่างรวดเร็ว เรื่องอะไรล่ะ ถ้าเกิดผมเบิกค่ารถไม่ได้ขึ้นมาผมไม่เสียเงินหลายพันไปฟรีๆเหรอ แล้วไอ้ท่านประธานก็ใจดำเหลือเกิน ไหนๆก็รับผมขึ้นรถมาด้วยแล้ว จะให้ผมติดรถกลับกรุงเทพด้วยกันก็ไม่ได้
“ที่ราคาถูกกว่าแท็กซี่อ่ะมีมั้ยครับ”
“ขึ้นรถตู้มั้ย”
อา…ข้อเสนอนี้นับว่าน่าสนใจ ราคาคงแพงกว่ารถบัสไม่กี่บาท แต่ประเด็นคือผมไม่เคยนั่งรถตู้ด้วยสิ ต้องไปขึ้นที่ไหนล่ะ
“ไปครับไป”
“แต่หนูต้องไปรอรถที่ xxx นะ เดี๋ยวป้าให้เบอร์ติดต่อไปก็ได้ รถตู้สายนี้มันอยากได้ลูกค้าจนตัวสั่น โทรปุ๊บวนรถกลับมารับปั๊บเลยจ้า มันไม่ค่อยมีคนขึ้นหรอก”
อะ อ้าว หมายความว่าไงอ่ะที่บอกว่าไม่ค่อยมีคนขึ้น รถตู้สายนี้มันทำไมครับ ขับซิ่งดิ่งนรกหรือค่ารถแพงมากๆ แต่ผมไม่มีเวลาให้ได้สนใจมากเมื่อป้าคนขายตั๋วเขียนเบอร์ติดต่อของรถตู้ใส่ในกระดาษแผ่นเล็กๆแล้วยื่นมาให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ผมก้าวเท้าไปตามทางเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปยัง xxx ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ขณะที่มือหนึ่งถือไอโฟนและอีกมือถือกระดาษแผ่นเล็กๆ พยายามกดโทรหารถตู้หลายต่อหลายรอบ แต่ไม่เห็นอีกฝ่ายจะรับสายเหมือนคำอวดอ้างของคุณป้าที่บอกว่าโทรปุ๊บวนรถกลับมารับปั๊บเลยสักนิด
ซ่า…
ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาจนนึกว่าฟ้ารั่ว ต้องรีบเก็บไอโฟนซุกลงในกระเป๋าเป้ส่วนที่ลึกที่สุด หวังว่ามันจะไม่เจ๊งนะครับ ผมยังไม่มีเงินซื้อใหม่ซะด้วยสิ
ระหว่างที่ผมกำลังมองหาที่หลบฝนชั่วคราวก็มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดข้างทางเท้าไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าเจ้าของรถเป็นใครเพราะสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาทำให้ลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่นาทีต่อมาเสียงคุ้นหูที่เอ่ยเรียกชื่อก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายคือท่านประธานนั่นเอง ผมนึกว่าเขาขับรถไปถึงไหนต่อไหนแล้วซะอีก
“คุณปัฐวี”
“บอส”
ผมเดินไปยืนข้างหน้าต่างที่ถูกเลื่อนกระจกลงมาทำให้มองเห็นคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“มายืนทำอะไรตรงนี้”
“รอรถตู้น่ะครับ รถบัสมันไปหมดแล้ว”
ผมอธิบาย ส่วนในใจได้แต่ภาวนาว่าได้โปรดรับผมขึ้นรถไปด้วยเถอะครับ ผมหมดทางจะกลับกรุงเทพแล้ว
“ไปด้วยกันมั้ย”
นาทีต่อมา เมื่อท่านประธานเอ่ยปากชวนผมก็ไม่เล่นตัวให้เสียเวลารีบเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งจุมปุ๊กอยู่บนเบาะข้างคนขับ
“ขอรบกวนด้วยนะครับ”
ผมเอ่ยอย่างเกรงใจเพราะรู้ตัวว่าเสื้อผ้าที่เปียกปอน ทำให้เบาะรถราคาแพงเปียกน้ำเป็นดวงๆ และวันต่อมาอาจจะทำให้ในรถเหม็นอับด้วยก็ได้
“ผมต้องแวะทำธุระที่ชลบุรีก่อน คุณรอได้มั้ย”
ท่านประธานเอ่ยถามระหว่างที่รถทะยานไปสู่ถนนใหญ่ที่ค่อนข้างโล่ง ผมหยุดคิดไปครู่หนึ่ง กว่าจะถึงชลบุรีคงจะค่ำแล้ว ถ้าให้หารถเข้ากรุงเทพเองคงจะเป็นเรื่องยาก งั้นผมขอตามท่านประธานไปทำธุระด้วยเลยละกัน อาจจะกลับถึงกรุงเทพช้าไปหน่อยแต่รถส่วนตัวก็นั่งสบายกว่ารถบัส แถมขอให้จอดแวะเข้าห้องน้ำได้ด้วย
“ได้ครับ ผมขอกลับพร้อมบอสนะครับ”
ท่านประธานเพียงแค่พยักหน้าเนิบๆ และระหว่างเราก็ไม่มีบทสนทนาอีกเลย ความเงียบทำให้ผมอึดอัดแต่ก็ไม่กล้าพอจะอ้าปากบอกให้เจ้าของรถเปิดเพลง สายตาของผมเอาแต่แอบเหลือบมองไปทางเขาอยู่บ่อยๆ ท่านประธานใช้มือซ้ายประคองพวงมาลัย ส่วนมือขวาเท้าอยู่กับศีรษะ ท่าทางของเขาเหมือนคนที่กำลังคิดหนักในเรื่องอะไรสักอย่าง แต่ระดับนี้แล้วคงไม่พ้นเรื่องงาน ผลกำไล ขาดทุน หรือหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ
ผมหลับตาแล้วเอนหลังพิงเบาะ ขยับตัวหามุมสบายที่สุดแล้วผ่อนคลายร่างกายที่เมื่อยล้ามาทั้งวัน อีกนานกว่าจะถึงชลบุรีผมคงจะสามารถหลับได้สักตื่น แต่ความหนาวเย็นทำให้ผมรู้สึกไม่สบาย ร่างกายสั่นงึกๆเกินกว่าจะหลับลง แขนสองข้างพยายามโอบกอดตัวเองเพื่อให้ความอบอุ่น แล้วนาทีต่อมาผมก็รู้สึกว่าแอร์ที่เป่ากระทบร่างกายของผมเบาลง พร้อมกับเสื้อสูทราคาแพงที่ถูกถอดออกมาคลุมบนร่างให้ผมอย่างแผ่วเบา
ผมขมวดคิ้ว…ไม่ชอบเลย ไม่ชอบที่เขาใส่ใจพนักงานแบบนี้
ความห่วงใยควรมีให้ ‘คนสำคัญ’ เท่านั้นสิ!



TBC. เหลืออีก 1 ตอน จะจบเเล้วนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :L2:



ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
«ตอบ #91 เมื่อ20-01-2020 18:57:13 »

จำวินได้ใช่ไหมพอร์ช แกถึงรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนั้น แล้ววนรถมารับได้อะ พูดออกมากนะ

ฉันรู้ฉันดูออก

ผู้เขียนจ้า มาต่อไวๆนะ คนอ่านจะทนไม่ไหวแล้ว

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
«ตอบ #92 เมื่อ20-01-2020 19:24:51 »

จำได้ใช่ไหมสัญญาที่ทะเล รอติดตามตอนต่อไแนะคะ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
«ตอบ #93 เมื่อ20-01-2020 20:29:20 »

อีกตอนเดียวจบ ....ไวไป

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
«ตอบ #94 เมื่อ20-01-2020 22:02:58 »

อะไรคืออีกตอนเดียวจบอ่ะ แงๆๆ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #95 เมื่อ24-01-2020 21:44:23 »

บทที่ 30 ส่งท้าย


ผมถูกท่านประธานปลุกให้ตื่นในตอนที่รถจากัวร์แล่นเข้ามาจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถชั้น VIP ของโรงแรมแห่งหนึ่ง ท่านประธานก้าวเท้าลงจากรถ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูท้ายรถเพื่อหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่งติดมือมาด้วย ส่วนผมที่กำลังงัวเงียรีบลงจากรถแล้วเดินตามอีกฝ่ายต้อยๆเข้าไปด้านในของโรงแรม
ท่านประธานเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อพูดคุยบางอย่างกับพนักงานต้อนรับ ส่วนผมที่ไม่ได้ใส่ใจจะฟังว่าเขากำลังพูดอะไรก็กวาดสายตามองไปรอบๆจึงเพิ่งสังเกตเห็นป้ายชื่อของโรงแรมที่ทำจากไม้แกะสลักงดงาม มันถูกติดอยู่บนผนังด้านหนึ่งซึ่งเขียนว่า ‘Scala Hotel’
อา…งั้นนี่ก็คือโรงแรมของท่านประธานสินะ หนึ่งในธุรกิจหลายร้อยล้านของเขา วันนี้ผมมีบุญได้มาเหยียบแล้ว และเป็นไปได้สูงเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้บริการห้องพักแบบฟรีๆด้วยอ่ะ
ผมยังไม่ทันได้สำรวจความหรูหราของโรงแรมแห่งนี้จนละเอียดถี่ถ้วนก็ได้ยินเสียงร้องเรียก ‘ท่านประธาน’ ดังมาแต่ไกล ก่อนจะปรากฏร่างท้วมของชายวัยกลางคนที่มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากกว้างๆ สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นว่าท่านประธานกำลังยืนรอเขาอยู่
“คุณปัฐวี”
ท่านประธานหันมาเรียกหาผม แล้วหลังจากนั้นก็มีพนักงานชายเข้ามาช่วยถือกระเป๋าของพวกเรา ก่อนจะนำทางไปยังห้องพักที่ดีที่สุด
ในห้องพักหรูหราสมคำร่ำลือ ผมเคยค้นหาราคาห้องพักของสกาล่าในอินเตอร์เน็ทและพบว่าห้องพักของที่นี่มีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นต้นๆไปจนถึงสองแสนบาท และห้องนี้อาจจะคืนละหนึ่งแสนบาทก็เป็นได้ มันเป็นห้องที่กว้างพอๆกับเพนท์เฮ้าส์ มีสองห้องนอน ด้านในตกแต่งแบบไทยๆ ส่วนใหญ่ใช้เครื่องไม้และผ้าไหมในการตกแต่ง เล่นสีทองสลับสีแดงเลือดนก ทำให้ดูหรูหราราวกับราชวังของเจ้าหญิงเจ้าชายในสมัยโบราณ
“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
ผมสะดุ้ง เกือบลืมไปแล้วว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องเดียวกับผม ท่านประธานวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งก่อนจะหยิบเสื้อยืดกับกางเกงนอนขายาวมาส่งให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ผมเอ่ยอย่างเกรงใจ หลุบตามองเสื้อผ้าในมือ นี่ผมต้องรบกวนเสื้อผ้าของเขาแล้วเหรอ มันออกจะเกินไปหรือเปล่านะ แต่จะให้ปฎิเสธเพราะคำว่าเกรงใจก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในเมื่อเสื้อผ้าของผมที่ใส่อยู่ตอนนี้ยังชื้นไปด้วยน้ำฝน ถ้าไม่ใส่เสื้อผ้าของท่านประธานแล้วถอดชุดนี้ออกมาตากให้แห้ง ผมก็ไม่มีอะไรให้ใส่แล้วจริงๆ
…ไหนๆก็รบกวนมาขนาดนี้แล้ว เอาอีกสักเรื่องคงไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงซะ วันนี้ท่านประธานก็ใช้ผมอย่างคุ้มค่าแล้ว…
ผมปลอบใจตัวเองก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่ง ด้านในมีเตียงไม้สี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนยกพื้นกลางห้อง มีม่านสีขาวบางๆล้อมรอบเตียง ผ้าปูเตียงและผ้านวมทำมาจากผ้าทอราคาแพง ตรงผนังห้องด้านหนึ่งติดกระจกใส สามารถมองออกไปเห็นชายหาดสีขาวที่มีเกลียวคลื่นสีดำสาดกระทบชายฝั่งได้ และผมเพิ่งสังเกตอย่างจริงจังว่าโรงแรมแห่งนี้ได้หันหน้าเข้าหาหาดบางแสน สถานที่ที่ผมเคยอยากมานั่งมองพระอาทิตย์ตกดินมากที่สุด เพียงแต่ยามนี้พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว
ผมหยิบผ้าเช็ดตัวที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้เข้าไปในห้องน้ำ แล้วถือโอกาสทดลองใช้อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่นอนแช่ตัวอย่างเป็นสุข กว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็กินเวลามากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ท้องของผมเริ่มร้องโครกครากหาอาหาร กำลังคิดว่าจะออกไปหาท่านประธานแล้วชวนเขาให้ไปหามื้อเย็นกินด้วยกัน
แต่เมื่อเปิดประตูห้องนอนออกมา กลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดก็ลอยมากระทบโพรงจมูกแทบจะทันที สายตารีบกวาดมองไปรอบๆห้อง จึงเห็นว่าบนโต๊ะไม้สักหน้าระเบียงเต็มไปด้วยถ้วยชามเบญจรงค์ที่บรรจุอาหารหน้าตาหน้ากินไว้เต็มไปหมด ส่วนใครอีกคนกำลังถือเชิงแก้วไวน์แดงไว้ในมือ ทิ้งตัวยืนพิงขอบประตูกระจก แล้วทอดสายตามองออกไปบนท้องฟ้าอย่างไรจุดหมาย
“รอผมหรือเปล่าครับ”
ผมเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิด ไม่เห็นรู้เลยว่าท่านประธานสั่งมื้อเย็นมาให้แล้ว แถมยังไม่ยอมแตะต้องอาหารเพราะรอผมอาบน้ำ แบบนี้ผมก็กลายเป็นคนที่โคตรจะไร้มารยาทเลยนะสิ กินของเขา ใช้ของเขา แล้วยังให้เขามารออีก
“ขอโทษนะครับ”
ท่านประธานที่ยังอยู่ในชุดเดิมหันมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะผายมือไปทางเก้าอี้
“นั่งสิ”
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับเก้าอี้ของท่านประธาน แล้วเริ่มลงมือกินอาหารเงียบๆ ทุกอย่างบนโต๊ะรสชาติดีที่สุดเท่าที่ผมเคยลิ้มลอง เพียงแต่ผมรู้สึกฝืดคอจนแทบกลืนอาหารไม่ลงเพราะอาหารทุกอย่างบนโต๊ะ คือของโปรดของผมทั้งหมด…
ทั้งที่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายจำผมได้ แต่ลึกๆแล้วผมก็หวังว่าเขาจะคิดถึงผมบ้าง…สักนิดก็ยังดี
“ไม่อร่อยเหรอ” ท่านประธานเอ่ยถาม ทำให้ผมซึ่งกำลังเคี้ยวข้าวเอื่อยๆเกือบจะสำลัก
“อร่อยมากครับ”
ผมกลืนอาหารลงคอก่อนจะรีบตอบ แล้วระหว่างพวกเราก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ผมเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าของเขาเรียบเฉยติดจะเย็นชา เขาไม่ได้แตะต้องอาหารเลย เอาแต่ดื่มไวน์ไปเกือบครึ่งขวดแล้ว ผมอยากถามเขาว่าไม่หิวเหรอ ทำไมไม่กินข้าว ทำไมดื่มแต่ของพวกนี้ แต่ผมก็ไม่กล้า…ลูกน้องตัวเล็กๆอย่างผม จะมีสิทธิ์อะไรไปถามคนเป็นเจ้านายแบบนั้น
“ชอบงานที่ทำอยู่มั้ย”
“ชอบครับ”
ผมหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบ งานที่ยูเนียนค่อนข้างมีแบบแผน ไม่ได้ยากเกินความสามารถของผม ส่วนเพื่อนร่วมงานไม่นับว่าดีที่สุด แต่ทุกที่ย่อมมีคนที่ขัดแย้งกับเราบ้าง นั่นทำให้ผมมองข้ามไปได้ ส่วนเงินเดือนถือว่าดีมากสำหรับเด็กเข้าใหม่อย่างผม โดยรวมแล้วผมชอบยูเนียน
“มีอะไรที่อยากให้บริษัทปรับปรุงหรือเปล่า”
ท่านประธานเอ่ยถามด้วยประโยคทั่วไป อย่างที่เจ้านายคนหนึ่งต้องการจะรับฟังความเห็นของผู้ใต้บัญชา เพราะเขาอาจมองเห็นในมุมที่สูงเกินกว่าจะเข้าใจในมุมที่ต่ำ
“ตอนนี้ยังครับ”
ผมเพิ่งทำงานที่ยูเนียนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ยังเห็นระบบการทำงานได้ไม่ครบทุกด้าน ดังนั้นผมยังไม่มีอะไรให้ complain
“แล้วมีอะไรอยากถามผมมั้ย”
ประโยคถัดมาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบนัยน์ตาสีดำของท่านประธาน หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่มันเป็นแค่ประโยคปลายเปิดที่เขาสามารถหมายถึงอะไรก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไม บางอย่างในสายตาของเขากำลังทำให้ผมคิดถึงเรื่องต่างๆระหว่างพวกเรา
“บอส…”
ผมเอ่ยอย่างลังเล มือขวาเผลอกำช้อนไว้แน่น
“แต่งงานหรือยังครับ”
เมื่อหลุดปากถามออกไปแล้ว ผมก็อยากจะยกมือขึ้นมาตบปากตัวเองแรงๆสักที เป็นบ้าอะไรไปถามเขาแบบนั้นนะ เขาจะแต่งหรือไม่แต่งเกี่ยวอะไรกับมึง!
“ยังครับ”
คำตอบที่ได้รับทำให้ผมชะงัก เงยหน้าขึ้นไปมองดวงหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉย ไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบคำถามง่ายๆแบบนี้ แถมดูเหมือนจะไม่ติดใจสงสัยอะไรเลยด้วย
“แล้วมีคนรักหรือยังครับ”
ผมรุกถามเขามากขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจในการละลาบละล้วงของผม ถ้าเขายังไม่ได้แต่งงาน แล้วตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาได้คบหาดูใจกับใครบ้างหรือเปล่า หรือเขาอาจจะกลับไปชอบผู้หญิงเหมือนเดิมมั้ยนะ
“เคยมีครับ”
ผมหลุบตาลง รู้สึกผิดหวังชะมัดเลย ตั้งแต่เลิกกับเขามาห้าปี ผมไม่เคยเริ่มต้นใหม่กับใครได้เลย ต่างจากเขาที่เริ่มต้นกับคนใหม่แล้วจบกับคนใหม่ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่…ประโยคต่อมากลับทำให้หัวใจของผมสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ คลื่นลูกหนึ่งก่อตัวปั่นป่วนอยู่ในร่างกายของผม ทั้งแฝงความเศร้าและแฝงความโหยหา…
“แต่เขาทิ้งผมไป…ห้าปีแล้ว”
เขา…หมายถึงผม!
ผมอ้าปาก อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก สายตาของท่านประธานที่ทอดมองมาที่ผมอย่างเงียบสงบ ทำให้ผมคาดเดาไม่ได้เลยว่าเขารู้หรือไม่ว่าผมเป็นใคร และต่อให้เขารู้ นั่นก็แค่หมายความว่าเขากำลังแกล้งทำเฉยเมยต่ออดีตคนรักอย่างผมเท่านั้นเอง
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน เชิญตามสบาย”
ท่านประธานเอ่ย ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วหมุนตัวจากไปทันที แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวทำให้ผมอยากเอื้อมมือไปสัมผัสแล้วโอบกอดเขาไว้แน่นๆ
แต่นั่น…เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงในความคิดของผมเท่านั้น
หลังจากที่ท่านประธานหายเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนอนของผม เขาก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ผมทานอาหารอิ่มแล้ว แต่ไม่ได้ลุกไปไหน ผมแค่คิดว่าบางที เมื่อเขาหิว แล้วอาจจะออกมากินอะไรสักหน่อยก็ได้
เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม จมอยู่ในความคิดของตัวเอง มือหนึ่งกำลังเขย่าขวดไวน์แดงเบาๆแล้วยกขึ้นกระดกใส่ปาก ปล่อยให้รสชาติอ่อนนุ่มไหลลงคอ ก่อนจะเผลอขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ เมื่อคิดว่าต่อให้ดื่มหมดขวด ของแบบนี้ก็ไม่มีทางทำให้ผมเมาได้เลย


ผมรู้สึกง่วงนอนหลังจากที่ไวน์แดงถูกผมกำจัดลงไปในกระเพาะจนหมดขวด ขาสองข้างก้าวไปข้างหน้า มือเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตูห้องนอนให้เปิดออกก่อนจะปิดมันลงอย่างแผ่วเบา ความมืดและความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้ผมตัวสั่นเล็กน้อย สายตาค่อยๆคุ้นชินกับความมืด จึงทำให้พอจะมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้กลางห้อง
แน่ล่ะ นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม ดังนั้นคนที่นอนหลับสนิทราวกับเจ้าชายนิทราจะเป็นใครได้นอกจากท่านประธาน
ผมไม่ได้เมา…ผมแน่ใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผมจึงกล้าบุกรุกห้องนอนของคนอื่นในยามวิกาลแบบนี้ ผมแค่อยากเข้ามา…นั่นเป็นความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในสมอง
ผมก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบเข้าไปใกล้ร่างของท่านประธาน ทรุดตัวนั่งบนขอบเตียง แล้วก้มหน้ามองดูดวงหน้าคุ้นเคยที่กำลังหลับสนิท  ผมคิดถึงเขามากเหลือเกิน…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมทำได้แค่นั่งมองใบหน้ายามหลับของเขาเงียบๆ มีหลายครั้งที่คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าที่ห่วงหา แต่ความรู้สึกผิดที่กดเก็บอยู่ลึกๆทำให้ผมไม่กล้าแตะต้องเขา
แต่ยิ่งมอง…ผมก็ยิ่งคิดถึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่ทำให้ผมกล้าบ้าบิ่น หรือเป็นเพราะความต้องการของผมอยู่แล้วจึงได้โน้มใบหน้าลงไปประทับจุมพิตแผ่วเบาลงบนริมฝีปากอุ่นๆ ตั้งใจว่าจะผละออกทันทีแต่กลับต้องชะงักเมื่อมือของคนที่ควรจะหลับ กลับยกขึ้นมาดันท้ายทอยของผมให้แนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง
เรียวลิ้นที่คุ้นเคยของเขากำลังขยับช้าๆเพื่อสอดแทรกเข้ามาให้โพรงปากของผมที่เปิดอ้ารับด้วยความเต็มใจ ผมถูกดึงให้ล้มตัวลงมาทาบทับร่างข้างใต้ก่อนจะถูกอีกฝ่ายพลิกกลับมาคร่อมทับร่างของผมเอาไว้
ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำท่ามกลางความมืดมิด ระหว่างพวกเราไม่มีคำพูดใดเลย ผมไม่อยากสนใจแล้วว่าเขากำลังคิดถึงใคร จูบผมเพราะอะไร แต่ผมสนใจเพียงแค่ว่าผมจูบเขาเพราะผม ‘รัก’ เขามากเหลือเกิน


สายลมแรงที่พัดกระทบใบหน้า ทำให้ผมหรี่ตาลง มองภาพสวยงามเบื้องหน้าด้วยจิตใจที่ล่องลอย ท้องทะเลสีครามอมเขียวก่อเกิดเกลียวคลื่นลูกเล็กๆสาดกระทบเท้าเปลือยเปล่าของผมที่เหยียบย่ำอยู่บนหาดทรายสีขาว แสงแดดอ่อนๆในยามที่ดวงอาทิตย์ยังแอบอยู่หลังกลุ่มเมฆทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย…เมื่อคืนหลังจากที่ผมเผลอตัวเผลอใจจูบกับท่านประธานอย่างดูดดื่มเหมือนที่เราเคยทำนับครั้งไม่ถ้วน ในสมัยอดีต เขาก็โอบกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งคืน ผมหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิราอย่างเป็นสุขอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน และเช้าวันนี้เมื่อผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เดินใจลอยมาจนถึงชายหาดบางแสนแล้ว ปล่อยให้ใครอีกคนนอนจมอยู่ในห้วงนิทราเพียงลำพัง
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา ทำให้ผมละสายตาจากท้องทะเลไปมองร่างสูงในชุดลำลองสบายๆเช่นเดียวกับผม ท่านประธานเดินมายืนเคียงข้างแล้วหันไปทอดมองท้องทะเล และระหว่างเราก็มีเพียงความเงียบเช่นเดิม แต่ความเงียบในครั้งนี้กลับทำให้ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรพวกเราจะเปิดปากคุยกันถึงเรื่องในอดีตเสียที
ผมหมุนตัวกลับไปทางโรงแรม อย่าให้ผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทุกอย่างออกมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ใช่หลังจากที่ผมเพิ่งได้จูบกับเขาหลังจากที่เวลาผ่านมาถึงห้าปี
“วิน”
“…”
ขาทั้งสองข้างชะงักเมื่อชื่อเล่นของผมหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย หัวใจของผมเต้นกระหน่ำด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะค่อยๆหันกลับไปมองแผ่นหลังของคนที่ยืนหันหน้าไปมองท้องทะเล
“ไหนบอกว่าจะไม่ไปจากกูแล้วไง”
ประโยคทวงถามพร้อมกับนัยน์ตาสีดำที่หันมามองผมอย่างอ่อนโยน ทำให้กระบอกตาของผมร้อนผ่าวก่อนจะค่อยๆปล่อยน้ำใสให้ไหลรินอาบแก้มช้าๆ
…เมื่อถึงตอนนั้นถ้ามึงยังต้องการกู กูจะไม่ไปจากมึงอีก…
ผมจำได้ดี นั่นคือประโยคหนึ่งที่ผมเขียนลงในจดหมายก่อนที่พอร์ชจะไปเรียนต่อที่อเมริกา…เมื่อถึงวันที่เขาประสบความสำเร็จ วันที่เขาเข้มแข็งและผ่านความยากลำบากมาด้วยตัวเอง ผมคิดว่าวันนั้นเขาคงจะไม่ต้องการผมอีกแล้ว
“มึงจำกูได้เหรอ” ผมถามขณะใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า
“ไม่เคยลืม”
“ขอโทษ”
ผมพึมพำแล้วก้มหน้ามองพื้นทราย ขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี ผมอยากกอดเขา…ได้มั้ยนะ
“กูไม่เคยโกรธมึงได้เลย”
ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย รู้สึกใจบางอย่างบอกไม่ถูก ผมรักรอยยิ้มของเขา รักสายตาของเขา และรักทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเขา
“เริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ย”
ช่างมันเถอะ…ศักดิ์ศรีไม่มีความหมายสำหรับผมอีกแล้วหากไม่มี ‘พอร์ช’ ขอแค่ได้เขาคืนมาต่อให้ต้องคุกเข่าง้องอน ผมก็จะ ‘ทำ’
“ได้เสมอ”
คำตอบรับสั้นๆได้ใจความทำให้ผมวิ่งเข้าไปกอดพอร์ชทันที ขณะที่อ้อมแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายก็ตวัดรัดร่างของผมไว้ ผมซุกหน้าลงบนไหล่ของเขาแล้วร้องไห้โฮอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน พวกเรากอดกันแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปล่อยให้ความทรงจำในอดีตหวนคืนมาสู่พวกเราอย่างช้าๆ
“กูคิดถึงมึง” ผมพึมพำด้วยเสียงสะอื้นอยู่ข้างใบหูของพอร์ช
“ไม่อนุญาตให้ทิ้งกูไปไหนแล้วนะ”
พอร์ชเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ขณะที่ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมเบาๆ ผมถูใบหน้ากับแผ่นอกของเขาแล้วรับคำในลำคอ
“อืม”
“อย่าร้อง”
พอร์ชต้องใช้เวลาปลอบโยนผมหลายสิบนาที กว่าผมจะหยุดน้ำตาของตัวเองไว้ได้แล้วผละออกจากอ้อมกอดของเขา
“มึงไม่สบาย หายหรือยัง หรือว่าตอนนี้มองเห็นหน้ากูแล้วใช่มั้ย”
ผมถามด้วยความสนใจ แล้วเอียงคอมองดวงหน้าของพอร์ช แต่เขากลับขยับยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้า
“เปล่า มองไม่เห็น”
แม่ของพอร์ชเคยบอกว่าโอกาสที่เขาจะหายเป็นปกติมีเพียง 1% เท่านั้น ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่เขายังมีอาการของโรค Prosopagnosia เหมือนเดิม
“ที่ผ่านมาลำบากหรือเปล่า”
“ไม่เท่าไหร่”
ผมยิ้มกว้าง ต่อให้ผมไม่เชื่อว่าเขาผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้อย่างง่ายดาย แต่ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาที่สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างคนปกติทั่วไป
“จริงๆแล้วกูหล่อมากเลยนะ”
ผมว่าแล้วดึงมือข้างหนึ่งของพอร์ชมาวางบนใบหน้า ผมอยากให้เขาจดจำผมเอาไว้ ไม่ใช่ด้วยสายตา แต่เป็นการสัมผัสที่จะประทับลงในสมอง
“ขี้โม้”
แม้ว่าพอร์ชจะมีสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่ฝ่ามือใหญ่กลับค่อยๆไล้สัมผัสดวงหน้าของผมไปทีละส่วน ตั้งแต่หน้าผาก ข้างแก้ม เปลือกตา จมูกและริมฝีปาก
พวกเราเดินจูงมือกันเลียบหาดบางแสน พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่าได้ทำอะไรไปบ้าง ก่อนจะหยุดนั่งพักบนหาดทรายที่ชื้นน้ำทะเล
“จำได้มั้ยว่ากูเคยสัญญาว่าจะนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินกับมึง” พอร์ชถาม ซึ่งนั่นทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจที่เขายังจดจำคำขอไร้สาระของผมได้
“ยังจำได้เหรอ”
“เย็นนี้พวกเรามานั่งดูด้วยกันนะ”
“ได้เหรอ”
ผมถามด้วยความลังเล เมื่อความทรงจำเรื่องแม่ของพอร์ชย้อนกลับมาในสมองของผมอีกครั้ง
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“แม่ของมึง เอ่อ…” ยอมรับได้แล้วหรือว่ามึงชอบผู้ชาย
“อย่ากังวล” พอร์ชเอื้อมมือมาวางบนไหล่ของผมแล้วบีบเบาๆ
“แม่ของมึงรับได้แล้วใช่มั้ย”
“ไม่รู้”
อ้าว ไอ้ส้นตีน…ผมทำหน้ายุ่งใส่เขา ผมไม่อยากถูกจับแหกอกอีกแล้วนะ
“เดี๋ยวก็ยอมรับได้สักวันนั่นแหละ”
พอร์ชเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ราวกับว่าความคิดของคุณแม่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญต่อชีวิตของเขา
“งั้นเหรอ”
“วิน”
“หื้ม”
“กูรักมึงนะ”
ผมส่งยิ้มให้พอร์ช…ต่อให้มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้น ผมก็จะขอยืนเคียงข้างเขาอย่างที่คนรักกันควรจะทำ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสดีๆเป็นครั้งที่สอง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับผมแล้ว ผมจะรักษาและใช้ความผิดพลาด ความขลาดเขลาในอดีตมาเป็นบทเรียนแสนเจ็บแสบเพื่อประคับประคองกันและกันตลอดไป
ขอบคุณสำหรับโอกาสและพรหมลิขิตที่ทำให้พวกเราได้พบกันอีกครั้ง และผมไม่มีทางปล่อยพอร์ชไปอีกแล้ว
“กูก็รักมึง”


-End-

:กอด1:




คุยกับนักเขียน
สวัสดีค่ะ เป็ดก๊าบก๊าบนะคะ ขอกราบสวัสดีทุกท่านและยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งจินตนาการของเรา ก่อนอื่นเลยอยากเล่าถึงแรงบันดาลใจในนิยายเรื่อง ‘แอคโนเซีย’ ค่ะ เริ่มจากที่เราท่อง Google ไปเรื่อยๆและไปพบกับบทความเรื่อง ‘โรคแปลกๆที่มีอยู่จริง’ จึงนำมาเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องนี้ บวกกับช่วงที่เด็กวิศวะเปื้อนฝุ่นเพิ่งจบ มีเสียงเรียกร้องจากแฟนนิยายหลายท่านว่า อ่านจบแล้วรู้สึกสงสารพี่วิน ทำไมพี่เป็นพญานกที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ หาคู่ให้พี่แกหน่อยได้มั้ย เราจึงตัดสินใจจับนางวินมาเป็นนายเอกและหาพระเอกที่เหมาะสมให้ค่ะ ซึ่งก็คือพี่พอร์ชนั่นเอง 
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณนักอ่านที่ช่วยสนับสนุนนิยายเรื่องนี้นะคะ ทั้งแฟนนิยายเก่าๆที่เคยติดตามผลงานมาหลายเรื่องแล้ว แล้วก็ยินดีต้อนรับแฟนนิยายท่านใหม่ๆด้วย  ยังไงก็หวังว่าจะได้เจอทุกคนที่นิยายเรื่องถัดไปของเรา ส่วนใครที่ไม่ชอบรอการอัพนิยายทีละตอน เราก็ขอฝากนิยายเก่าๆที่อัพจบแล้วไว้ให้อ่านแทนด้วย
หากนิยายเรื่องนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ทั้งด้านการใช้ภาษา หรือบางส่วนที่ขัดต่อความเป็นจริงไปบ้าง ต้องกราบขออภัย ณ ที่นี้

ด้วยรัก
เป็ดก๊าบก๊าบ


[ขายของจ้า] หนังสือ Agnosia - (แอคโนเซีย)

- ราคา 330 บาท (ส่งฟรีพัสดุธรรมดา)
- หนังสือจำนวน 360+ หน้า
- ที่คั่นหนังสือ 1 อัน/โปสการ์ด 1 ใบ (ในเล่ม)

- ตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงเว็บไซต์ จำนวน 3 ตอน
ตอนพิเศษ 1 เรื่องเล่าของพอร์ช (เป็นพาร์ทของพอร์ช ที่เล่าความรู้สึกของการป่วยเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้)
ตอนพิเศษ 2 ในห้องทำงานที่เร่าร้อน (NC กรุบกริบในที่ทำงาน)
ตอนพิเศษ 3 คนขี้หึง (ช่วยกันเลี้ยงหลานชายของวิน)

- สั่งซื้อผ่านสนพ. >> http://darin-novel.lnwshop.com/
- สั่งซื้ออีบุ๊ค >> https://www.mebmarket.com/ebook-96119-Agnosia
- แฟนเพจนักเขียน >> https://www.facebook.com/PKrabKrab





ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #97 เมื่อ24-01-2020 22:01:02 »

จบแล้ว อยากอ่านต่อ อยากรุ้ว่าทำไมถึงจำได่ ห้าปีผ่านมาเกิดไรขึ้นบ้าง เสียดาย แต่จบแฮปปี้โอเคยุ่
 :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #98 เมื่อ24-01-2020 22:26:01 »

 :L2: :3123: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #99 เมื่อ24-01-2020 23:54:05 »

Happy ดีแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
« ตอบ #99 เมื่อ: 24-01-2020 23:54:05 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #100 เมื่อ25-01-2020 07:14:34 »

อ่านแล้วสุขใจ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ o13

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #101 เมื่อ25-01-2020 23:13:13 »

 :katai2-1: :mew1:

ออฟไลน์ BitterCucumber

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #102 เมื่อ26-01-2020 20:31:17 »

โหยยยย เขียนดีมากเลยอ่ะ นี่ร้องไห้ :sad4: :sad4: :sad4: เสียดายอยากอ่านแบบเรียลไทม์ เพิ่งเจอนิยายเรื่องนี้เมื่อวานเอง

ตอนแรกที่อ่านอินโทรกับบท1 ก็นึกว่า อ่อ เป็นนิยายแนวแฟนเก่ารักใสๆวัยทำงาน อ่านไปอ่านมาก็แบบ เอ๊ะ ทำไมยังไม่วาร์ปไปพาร์ทปัจจุบันซักทีวะ? ละคือสมัยคบกันก็ผ่านเรื่องราวอะไรมากันเยอะอ่ะ ละก็งงๆอยู่ว่าทำไมวินถึงเอะใจว่าห้องนอนพอร์ชไม่มีรูปใครเลยแม้แต่ครอบครัวหรือเพื่อน เราก็คิดว่ามันปกตินะเพราะห้องนอนเราก็ไม่มีเหมือนกัน ละพอมาหักมุมตอนบอกว่าพอร์ชป่วย ก็คือตกใจและหน่วงโคตรรรรรร พอย้อนนึกไปถึงตอนแรกๆที่สองคนนี้ทำความรู้จักกันก็เข้าใจว่าทำไมพอร์ชแสดงออกแบบนั้น ไม่แยแสคนอื่น เพราะในสายตาเค้าคนอื่นก็คือคนอื่นจริงๆไง! แบบหน้ากุก็จำไม่ได้ทำไมต้องมาเปลืองสมองจำรายละเอียดของคนที่ไม่สำคัญกับกูด้วย ละที่ไม่ลงรูปแฟน หรือไม่ถ่ายรูปวินเลยก็เพราะจำหน้าไม่ได้เลยไม่มีประโยชน์ที่จะถ่ายไว้ใช้มั้ย :hao5: ณ ตอนนั้น น้ำตาซึม สงสารมากเลยอ่ะ คือเรานึกไม่ออกเลยเว่ยว่าการรักใครซักคนที่จำหน้าเค้าไม่ได้เนี่ยมันจะต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยขนาดไหน เข้าใจเลยทำไมหึงง่าย ทำไมไม่ชอบคนโกหก เพราะจำสีหน้าของแฟนไม่ได้ไง มันจะ insecure ขนาดไหนอ่ะอ่ะ โฮ ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ชีวิตรักมันลำบากเลยใช่มั้ยพอร์ช :hao5: ไหนจะช่วงเวลาห้าปีที่จากกันอีก น่าจะหนักหนาพอดูที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์และโรคที่เป็นอยู่คนเดียว อุตส่าห์ได้เจอคนที่เชื่อแน่ๆว่ารักแล้วอ่ะ กลับต้องมาแยกกัน โคตรหน่วง ฮืออออออออ ละฉากกินข้าวหลังจากกลับมาเจอกันก็คือน้ำตาร่วงเลยจ้าแม่ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: โอ้ย เศร้า ขอบคุณพอร์ชที่เข้มแข็ง และขอบคุณวินที่ยังรักพอร์ชเหมือนเดิม ฮืออออ สนุกมากเลยเรื่องนี้ พีคตอนจบ อยากอ่านตอนพิเศษของพอร์ชเลย :monkeysad: :monkeysad: ขอบคุณนักเขียนด้วยค่ะที่เขียนให้เห็นแง่มุมนี้ :กอด1: :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 21:00:22 โดย BitterCucumber »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #103 เมื่อ27-01-2020 23:02:39 »

โหยยยย เขียนดีมากเลยอ่ะ นี่ร้องไห้ :sad4: :sad4: :sad4: เสียดายอยากอ่านแบบเรียลไทม์ เพิ่งเจอนิยายเรื่องนี้เมื่อวานเอง

ตอนแรกที่อ่านอินโทรกับบท1 ก็นึกว่า อ่อ เป็นนิยายแนวแฟนเก่ารักใสๆวัยทำงาน อ่านไปอ่านมาก็แบบ เอ๊ะ ทำไมยังไม่วาร์ปไปพาร์ทปัจจุบันซักทีวะ? ละคือสมัยคบกันก็ผ่านเรื่องราวอะไรมากันเยอะอ่ะ ละก็งงๆอยู่ว่าทำไมวินถึงเอะใจว่าห้องนอนพอร์ชไม่มีรูปใครเลยแม้แต่ครอบครัวหรือเพื่อน เราก็คิดว่ามันปกตินะเพราะห้องนอนเราก็ไม่มีเหมือนกัน ละพอมาหักมุมตอนบอกว่าพอร์ชป่วย ก็คือตกใจและหน่วงโคตรรรรรร พอย้อนนึกไปถึงตอนแรกๆที่สองคนนี้ทำความรู้จักกันก็เข้าใจว่าทำไมพอร์ชแสดงออกแบบนั้น ไม่แยแสคนอื่น เพราะในสายตาเค้าคนอื่นก็คือคนอื่นจริงๆไง! แบบหน้ากุก็จำไม่ได้ทำไมต้องมาเปลืองสมองจำรายละเอียดของคนที่ไม่สำคัญกับกูด้วย ละที่ไม่ลงรูปแฟน หรือไม่ถ่ายรูปวินเลยก็เพราะจำหน้าไม่ได้เลยไม่มีประโยชน์ที่จะถ่ายไว้ใช้มั้ย :hao5: ณ ตอนนั้น น้ำตาซึม สงสารมากเลยอ่ะ คือเรานึกไม่ออกเลยเว่ยว่าการรักใครซักคนที่จำหน้าเค้าไม่ได้เนี่ยมันจะต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยขนาดไหน เข้าใจเลยทำไมหึงง่าย ทำไมไม่ชอบคนโกหก เพราะจำสีหน้าของแฟนไม่ได้ไง มันจะ insecure ขนาดไหนอ่ะอ่ะ โฮ ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ชีวิตรักมันลำบากเลยใช่มั้ยพอร์ช :hao5: ไหนจะช่วงเวลาห้าปีที่จากกันอีก น่าจะหนักหนาพอดูที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์และโรคที่เป็นอยู่คนเดียว อุตส่าห์ได้เจอคนที่เชื่อแน่ๆว่ารักแล้วอ่ะ กลับต้องมาแยกกัน โคตรหน่วง ฮืออออออออ ละฉากกินข้าวหลังจากกลับมาเจอกันก็คือน้ำตาร่วงเลยจ้าแม่ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: โอ้ย เศร้า ขอบคุณพอร์ชที่เข้มแข็ง และขอบคุณวินที่ยังรักพอร์ชเหมือนเดิม ฮืออออ สนุกมากเลยเรื่องนี้ พีคตอนจบ อยากอ่านตอนพิเศษของพอร์ชเลย :monkeysad: :monkeysad: ขอบคุณนักเขียนด้วยค่ะที่เขียนให้เห็นแง่มุมนี้ :กอด1: :L2:

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ :กอด1:

นานๆทีจะได้รับคอมเม้นยาวๆบ้าง ดีใจมากเลย การได้ฟังความเห็นเเละความรู้สึกของนักอ่าน

เป็นข้อมูลในการใช้พัฒนาตัวเองที่ดีมาก เเล้วเจอกันใหม่ในผลงานเรื่องอื่นบ้างน้า  :3123:


ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #104 เมื่อ27-01-2020 23:03:23 »

อ่านแล้วสุขใจ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ o13

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #105 เมื่อ28-01-2020 00:05:14 »

สนุกมากเลยค่ะ
เนื้อเรื่องสนุกน่ารักดี
ตอนท้ายแอบน้ำตาซึม
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #106 เมื่อ28-01-2020 00:18:19 »

สนุกมากเลยค่ะ
เนื้อเรื่องสนุกน่ารักดี
ตอนท้ายแอบน้ำตาซึม
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ


:pig4: :pig4: ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
 

ออฟไลน์ lampai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #107 เมื่อ28-01-2020 03:23:21 »

 :ling1: สนุกคะ
เป็นกำลังใ9ให้นะคะ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #108 เมื่อ28-01-2020 03:39:41 »

:ling1: สนุกคะ
เป็นกำลังใ9ให้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #109 เมื่อ28-01-2020 21:56:36 »

สนุกดีค่ะ
ความรักใสๆ เหมือนจะไม่เครียด
ปูเรื่องความเป็นมาเยอะมาก
จนมาจบที่ตอนทำงาน
ไปลองอ่านที่ภาค 2 แล้ว
แซ่บมาก ทั้งคู่หลักคู่รอง
แต่คู่รองโดดเด่นมาก อยากอ่านต่อเลย
ส่วนคู่หลักเป็นแนวสืบสวน ชิงอำนาจ
น่าสนุกมาก อยากอ่านต่อเร็วๆแล้วค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
« ตอบ #109 เมื่อ: 28-01-2020 21:56:36 »





ออฟไลน์ ss.suttida

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #110 เมื่อ30-01-2020 21:38:04 »

คือเลิศคือดือย์​  วงวารฉัตรกับโรคนี้​  ค่อนข้างงงกับการสลับปัจจุบันอดีต​

ออฟไลน์ tangtey59

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #111 เมื่อ02-02-2020 22:52:58 »

เรื่องนี้คือดีงาค่ะ

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #112 เมื่อ04-02-2020 23:32:48 »

สนุกมากเลยค่ะ  ฮามากช่วงตอนแรกๆก่อนเข้าดราม่า  :pig4:

ออฟไลน์ Geawgard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #113 เมื่อ06-02-2020 21:06:25 »

สนุกมากเลยค่ะ ช่วงเเรกเหมือนโดนหลอกให้ตายใจก่อนจะเจอมาม่าชามใหญ่เลยยย สงสารพี่พอร์ช :hao5:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #114 เมื่อ12-03-2020 18:47:51 »

ขอบคุณมากจ้า ฮือออ

ออฟไลน์ phai

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 406
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #115 เมื่อ14-03-2020 22:12:02 »

❤️

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
«ตอบ #116 เมื่อ17-03-2020 15:27:08 »

 :hao5:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
นิยายภาคต่อจาก เเอคโนเซียค่ะ ซึ่งในภาคนี้จะเป็นวัยทำงาน



หมวดหมู่ : โรเเมนติก & NC 18+



'วิน' วิศวกรหนุ่มหน้าตาดี มีความลับที่บอกใครไม่ได้อยู่สองเรื่อง

เรื่องเเรกคือ 'เเฟนหนุ่ม' ของเขารับตำเเหน่งท่านประธานบริหารในบริษัทที่เขาทำงานอยู่

เเละเรื่องที่สองคือ เเฟนหนุ่มของเขาป่วยเป็นโรค Prosopagnosia หรือโรคหลงลืมใบหน้า

หลังจากฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาด้วยกัน ตั้งเเต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

ชีวิตรักของเขาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หวังไว้ เมื่อศัตรูความรักว่าร้ายกาจเเล้ว เเต่ศัตรูธุรกิจกลับยิ่งร้ายกว่า

การปกป้องผลประโยชน์ของ 'พอร์ช' เป็นเรื่องที่คนรักเเสนดีอย่างเขาต้องทำให้ได้

เพราะเขาถือคติที่ว่า #เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผลประโยชน์ของผัวให้ใคร

โปรดติดตามเเละเป็นกำลังใจให้วินด้วยนะครับ


ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
บทที่ 1 พนักงานที่ดีต้องรู้จักเอาใจเจ้านาย



ติ๊ด!
เครื่องสแกนลายนิ้วมือส่งเสียงร้อง พร้อมกับปรากฏไฟกระพริบสีเขียว ซึ่งแปลว่าการเช็คชื่อเข้าทำงานในเช้าวันนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ผมผลักประตูกระจกเข้าไปในส่วนใน ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับพนักงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เอ่ยปากทักทายและส่งยิ้มให้เพื่อนรวมงานต่างแผนกที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนกำลังถือแก้วกาแฟ บางคนกำลังรีบปั่นงานที่จำเป็นต้องนำเสนอในที่ประชุมเร็วๆ นี้ และบางคนกำลังนั่งทาเล็บ บนไหล่ข้างหนึ่งหนีบสมาร์ทโฟนไว้กับหูเพื่อซุบซิบนินทาเรื่องของคนอื่น
ภาพความวุ่นวายเล็กๆ ก่อนเวลาเริ่มงาน ได้กลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว หลังจากที่ผมทำงานในยูเนียนมาเกือบครึ่งปี หากคุณไม่รู้จักบริษัทชื่อดังด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ผมก็จะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ถือเป็นการโอ้อวดไปในตัวว่าผมน่ะเก่งแค่ไหน ที่สามารถก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่มีอิทธิพลแห่งนี้ได้
ยูเนียนทำธุรกิจอยู่ทั้งหมด 3 แบบ
Upstream = ธุรกิจแบบต้นน้ำ = ประเภทแท่นขุดเจาะน้ำมัน
Midstream = ธุรกิจแบบกลางน้ำ = ประเภทหอกลั่นน้ำมันและโรงงานกลั่นแยก
Downstream = ธุรกิจแบบปลายน้ำ = ประเภทโรงงานผลิตโปรดัคเกี่ยวกับน้ำมันส่งถึงมือผู้ใช้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งงานของผมอยู่ในส่วนนี้แหละครับ
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณปัฐวี”
เสียงนอบน้อมของสาวสวยคนหนึ่งเอ่ยทักทาย เธอขยับยิ้มโปรยเสน่ห์ระหว่างเดินสวนกับผม ซึ่งต่อให้ผมจะไม่ชอบผู้หญิง แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ ให้ตายสิ คนมันฮอตก็แบบนี้แหละ โฮะๆ ๆ ๆ
“สวัสดีครับ”
ผมตอบกลับ พยายามรักษาภาพลักษณ์พูดน้อยแต่ดูดีต่อไป ขยับรอยยิ้มที่มุมปากแบบมีมาดเพราะคิดว่ามันกระชากใจคนมองทุกเพศทุกวัย
หล่อกว่าพี่วินไม่มีแล้วน้อง 555555
(เสยผมเล็กน้อย)
“น้องวินขยันจังเลยนะคะ รีบมาทำงานแต่เช้าเลย”
รุ่นพี่ที่อายุราวๆ คุณแม่ของผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบประแจง อา นึกออกแล้ว เธอคือหัวหน้าแผนกดูแลลูกค้านั่นเอง
“แต่ก็ยังมาช้ากว่าพี่อรนะครับ”
ผมพยักหน้าให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นอีกเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมีความสุขและแล้วนิทานเรื่องนี้ก็จบ…บริบูรณ์
“ไอ้วิน!!”
เพล้ง!
ภาพต่างๆ ในสมองของผม เกิดรอยร้าวอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อใครคนหนึ่งเดินมายืนถลึงตามอง แล้วตะโกนใส่หน้าผมเสียงดัง
ห่าเอ๊ย น้ำลายมึงอ่ะ
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น ถ้ามีเวลายืนมองอนาคตของตัวเอง ก็ควรจะรู้นะว่ามันมืดมนแค่ไหน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าคนอย่างนายมีดีอะไร ยูเนียนถึงต้องเก็บไว้!”
ไอ้เชี่ยเอ๊ย!
ผมทำได้แค่สบถหยาบคายอยู่ในใจ แล้วหลุบตามองปลายรองเท้าหนังที่ขัดจนขึ้นเงา นาทีนี้ถึงกับเถียงไม่ออกเลยครับท่าน ก็เพราะไอ้คนที่กำลังยืนด่าปาวๆ อยู่ตรงนี้คือ ‘พี่ปราบ’ หรือหัวหน้าแผนก Grease Production ผู้ขยันขันแข็งนั่นเอง
“ไร้ประโยชน์!”
ฮือออออออ ใจบาง! ปากร้ายอะไรอย่างนี้นะ
โอเค ผมยอมรับว่าผมมโน ภาพที่คุณเห็นผมเดินเฉิดฉายเมื่อครู่นี่น่ะ มันเกิดขึ้นแค่ในจินตนาการเท่านั้น ส่วนความจริงน่ะเหรอ อย่างที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้เลยครับ แม่ง อยากลาออกวันละหลายสิบรอบจังเลยโว้ยยยย
เหตุผลที่ผมอดทนทำงานที่ยูเนียนมาเกือบครึ่งปี มีเหตุผลเดียวกับที่ได้เข้ามาทำงานในสถานที่แห่งนี้ สั้นๆ ง่ายๆ เลย ผมเป็นเด็กเส้น! แถมเส้นใหญ่ซะด้วย เพราะสามีของผมคือท่านประธานบริหารบริษัทยูเนียน
อะไร? ไม่เอาสิ อย่ามองแบบนั้น คราวนี้ไม่ได้มโนนะครับ ผมเป็นเมียท่านประธานจริงแท้แน่นอน แม้จะเป็นแบบหลบๆ ซ่อนๆ ก็ตาม
พวกเราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เอาเป็นว่าเส้นทางความรักของผมทั้งสวยงามและโรยไปด้วยหนามกุหลาบ กรุบกริบ ซี๊ดๆ เป็นบางครั้ง
ดังนั้นผมทำใจแยกจากเขาไม่ได้เลย ผมจะรู้สึกอุ่นใจที่ได้มาทำงานพร้อมกับเขา อาจจะกลับไม่พร้อมกันบ้าง แต่ก็ได้อยู่ในสถานที่ทำงานเดียวกัน ได้พักที่เดียวกัน ยอมรับครับว่าผมติดคนรักและหลงมัวเมาจนแทบโงหัวไม่ขึ้น เอาเป็นว่าเขาคือแรงใจในการทำงานของผม ถ้าไม่มีเขาจะไม่มีผมที่ยืนโง่ๆ อยู่ตรงนี้ ก่อนอื่นเลยผมต้องขอแจกแจงรายละเอียดให้ทุกๆ ท่านรับทราบซะก่อนว่า เหตุใดบรรดาเพื่อนร่วมงาน ทั้งในแผนกและต่างแผนกไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าผม แม้จะไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์แบบเด็กๆ แต่เรื่องนินทารับหลังนี่มีแน่นอน
เรื่องที่ 1 ผมได้เข้ามาทำงานในยูเนียนแบบง่ายๆ เลย ทั้งที่เกรดเฉลี่ยนับว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ผิดมาตรฐานของบริษัท (บอกแล้วไงว่าเส้นใหญ่)
เรื่องที่ 2 ผมไม่ได้ทดลองงานสามเดือนเหมือนพนักงานคนอื่น แต่ได้ตำแหน่งจริงทันทีที่ก้าวเข้ามาทำงานเป็นวิศวกร (ท่านประธานเอ็นดูผมมากมาย)
เรื่องที่ 3 ผมได้เงินเดือนเท่ากับพนักงานระดับอาวุโสหรือที่เรียกว่า ‘หัวหน้าแผนก’ ทั้งที่ผมมีอายุงานแค่ห้าเดือนเท่านั้น (ถ้านับรวมกับเงินเดือนตำแหน่งภรรยาของผู้บริหารคุณอาจตกใจมากกว่านี้)
เรื่องที่ 4 ท่านประธานชอบเรียกหาผม แทนที่จะเรียกหัวหน้าแผนกไปสอบถามความคลืบหน้าในงานด้านจาระบี (เรื่องนี้ไม่ควรเป็นความผิดของผมนะ แต่ทุกคนต่างนินทากับว่าผมประจบสอพลอ แถมยังปีนขึ้นเตียงท่านประธานเป็นที่เรียบร้อย แต่เรื่องขึ้นเตียงนี่ไม่ได้เถียงนะ ขึ้นกันมาหลายปีแล้ว แต่เรื่องประจบประแจงมันไม่ใช่อ่ะครับ)
เรื่องที่ 5 แม้ผมจะไม่เคยทำงานผิดพลาด และนับว่าเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ทำงานได้รอบคอบมากที่สุด แต่ผมมักถูกต่อว่าเรื่องที่ไม่มีผลงานใหม่ๆ การเข้ามานั่งเสนอหน้าในกลุ่มคนฉลาด ก็เหมือนกับกาที่อยู่ในฝูงหงส์ ต่อให้ทำตัวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่มักโดนเพ่งเล็งเพราะสีที่เด่นสะดุดตา (บางที ผมอาจจะไม่มีประโยชน์ต่อยูเนียนจริงๆ ก็ได้?)
“ยังไม่รีบไปทำงานอีก”
“ครับ”
ผมรับคำแล้วรีบแทรกตัวผ่านประตูกระจกที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เข้าไปนั่งจุ๊มปุ๊กที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เหลือบตามองรอบๆ แผนกที่มีพนักงานทั้งหมดห้าคน ก่อนจะก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ…เหลือเวลาอีกตั้งสิบนาที ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเพื่อนร่วมแผนกของผมถึงได้รีบก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้นะ ถ้าผมไม่รีบหางานอะไรสักอย่างมาทำเดี๋ยวต้องโดนไอ้หัวหน้าเดินมาด่าอีกยกแน่ๆ เลย


“ยิ้มหน่อยสิวะ ทำหน้าบูดเป็นตูดลิงไปได้”
ไอ้พี่กรีนคว้าไหล่ของผมไปกอด แล้วยื่นนิ้วชี้ข้างหนึ่งมาจิ้มแก้มผม หมอนี่เป็นเพื่อนร่วมแผนกและเป็นพี่รหัสของผม นับว่าเป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวที่ทำให้ผมสบายใจและสามารถพูดคุยได้เกือบทุกเรื่อง
“จะให้ยิ้มออกได้ไงเล่า พี่ไม่เห็นเหรอว่าหัวหน้าตั้งใจโยนงานนี้มาให้ผมชัดเลยๆ” ผมบ่นกระปอดกระแปดระหว่างก้าวเท้าไปตามโถงทางเดินที่คลาคล่ำไปด้วยพนักงานที่กำลังเดินทางไปที่โรงอาหารในช่วงพักกลางวัน
“แต่มันได้โอทีนะเว้ย ใช่ว่าบริษัทใช้งานมึงฟรีๆ ซะที่ไหน”
ใช่ครับ มันเป็นงานง่ายๆ ที่ใครจะไปทำก็ได้ทั้งนั้น แค่ผลัดเวรกันโผล่หัวไปตรวจเช็คสินค้าก่อนส่งให้ลูกค้าเท่านั้นเอง เงินก็ดี แถมไปนั่งๆ นอนๆ ใช้งานลูกน้องที่โรงงานผลิตก็ได้ เพียงแต่เพื่อนร่วมแผนกของผม รวมทั้งผมด้วยที่ไม่อยากไป เพราะเจ้าโรงงานที่ว่านี้ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง จะบอกว่าใกล้กับกรุงเทพก็ไม่เชิง อีกอย่างนะ ใครๆ ก็อยากพักผ่อนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์กันถูกมั้ย และถ้ามีงานเร่งก็ต้องกอบโกยงานไปปั่นกันที่บ้านอีก เวลาเสาร์อาทิตย์ที่ควรได้นอนกกสามีจะเหลือสักเท่าไรกันฮะ ถามหน่อย!
“แต่พรุ่งนี้มันวันหยุดอ่ะพี่ มีเงินแค่ไหนก็ซื้อวันหยุดไม่ได้”
“ยังไม่ได้แต่งงานซะหน่อย จะบ่นไปทำไมฮึ รีบเก็บเงินเก็บทองไว้ตั้งแต่ตอนนี้แหละดีแล้ว แก่ไปก็ทำงานหนักๆ ไม่ไหวแล้ว”
เฮ้อ นั่นสินะ ชีวิตพนักงานกินเงินเดือน หาเช้ากินค่ำ ไม่มีทางรวยขึ้นมาได้เลย ต่อให้ทำโอทีได้สองพันบาท แต่บริษัทกลับทำกำไรได้สองล้านบาท ความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหนฟะ! ไหนจะค่าอาหาร ค่ารถ ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ไหนจะต้องเก็บเงินแต่งเมีย เอ่อ ไม่ดิ ผมไม่แต่งเมีย แค่ส่งเสียให้พ่อกับแม่สุขสบายก็พอแล้ว อีกอย่างเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์กับสามีแบบลับๆ แล้ว ดังนั้นจึงประหยัดค่าเลี้ยงดูตัวเองไปเยอะเลย แถมยังได้เงินประจำตำแหน่งภรรยาอีก นับว่าไม่เสียหายเท่าไรครับ
“ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ก็มีแฟนให้ต้องเอาอกเอาใจนะพี่”
ผมแย้ง แน่นอนว่าการเอาอกเอาใจแฟนเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ เพราะแฟนของผมขี้หึง แล้วก็เอาใจยากมาก ย้ำว่ายากมาก แถมเป็นพวกมีความต้องการทางเพศสูง จะปล่อยให้อดอยากไม่ได้เด็ดขาด เผื่อหมอนั่นไปติดสัดที่อื่นผมจะแย่เอาได้ ไม่อยากใช้สามีร่วมกันคนอื่นนะครับ ของใคร ใครก็หวง ยิ่งคนนี้ ผมไม่ได้ได้มาง่ายๆ เลย
“อย่ามาโกหก วันๆ เอาแต่ทำงาน มึงจะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน กูไม่เห็นเคยเห็นเลยล่ะ เฟสบุ๊คก็อย่างกับป่าช้า”
ไม่แปลกที่ไอ้พี่กรีนจะไม่รู้ว่าผมมีแฟน ที่จริงก็ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นแหละครับแม้แต่ครอบครัวของผม อย่างที่บอกว่าแฟนของผมเป็นเจ้าของธุรกิจร้อยล้าน และเป็นท่านประธานบริหารคนปัจจุบันของยูเนียน มันคงจะดูไม่ดีไม่งามที่หมอนั่นมาคว้าผมไปเป็นแฟน ผมว่าคบกันแบบนี้ก็สบายใจดี ไม่เห็นต้องประกาศบอกคนทั้งโลกเลย
“แฟนหน้าตาดีไง ไม่อยากจะอวด เดี๋ยวคนในเฟสอิจฉา”
ผมยักคิ้วกวนๆ ขณะรอให้พนักงานคนอื่นใช้ลิฟท์สำหรับลงไปรับประทานมื้อกลางวันที่โรงอาหารของบริษัท
“จ้าๆ โรคมโนของมึงนี่ลดๆ ลงหน่อยนะ”
ติ๊ด!
เสียงประตูลิฟท์ที่เปิดออก ทำให้ผมกับไอ้พี่เขียวรีบก้าวเท้าเข้าไปเบียดเสียดผู้คนภายใน ผมสังเกตเห็นใครบางคนที่ยืนกอดอกนิ่งๆ อยู่ด้านในสุด จึงพยายามดันร่างของตัวเองเข้าไปด้านในจนไหล่กระทบกับคนๆ นั้น ก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบไล้ก้นแน่นๆ ที่อยู่ภายใต้กางเกงสแล็กสีดำราคาแพงอย่างย่ามใจ
หมอนั่นเหลือบสายตามามองผมพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม ริมฝีปากเรียวบางเม้มแน่นบ่งบอกว่าไม่พอใจ แต่ต่อให้เขาจะทำหน้าบึ้งตึงกว่านี้ หรือแสดงความเกรี้ยวกราดใส่ผมมากกว่านี้ ผมก็ยังมองว่าเขาน่าปู้ยี่ปู้ยําอยู่ดีนั่นเหละ ก็คนมันหล่อน่ะครับ ใบหน้าคมคายดั่งรูปสลัก โดยเฉพาะตอนที่ทำหน้าตายยิ่งดูดีสุดๆ แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่หมอนี่ทำหน้าเร่าร้อนมากกว่า ฮ่าๆ เอาล่ะ เขาคือสามีของผมเองล่ะครับ ก็ลองให้ผมลูบก้นผู้ชายที่ไม่ใช่คนรักดูสิ ถ้าไม่โดนถีบติดกำแพงลิฟท์ ก็อาจจะโดนแจ้งจับข้อหากระทําชําเราไปแล้วล่ะ
หมอนี่ชื่อว่า ‘พอร์ช’ หรือ ‘ฉัตรชนก ชัชธีรชานนท์’ ประธานบริหารแห่งบริษัทยูเนียนประเทศไทย สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
พอร์ชเหลือบสายตาลงมามองบัตรพนักงานที่คล้องอยู่บนลำคอของผมก่อนจะหันกลับไปมองด้านหน้าราวกับว่า พวกเราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แบบนี้แหละครับ ความสัมพันธ์หลบๆ ซ่อนๆ ของพวกเรา แต่หนึ่งวินาทีต่อมา ก้นของผมกลับถูกฝ่ามือใหญ่ตะปบลงมาพร้อมบีบขยำอย่างรุนแรง ฮ่าๆ ไม่แปลกหรอกครับที่พวกเราจะทักทายกันแบบนี้ คนประเภทเดียวกันมักอยู่ด้วยกันได้ ความกวนตีนและความหื่นก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันจนเกินไป


ผมก้าวเท้าเข้าไปในลิฟท์ที่ว่างเปล่าแล้วกดเลือกชั้นที่สิบสี่ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที กล่องโลหะสี่เหลี่ยมก็นำผมขึ้นมาถึงจุดหมายปลายทาง บนชั้นนี้ค่อนข้างมืดสลัวเพราะไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงแสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาให้พอมองเห็นทางเดินแคบๆ ทั้งสองฝั่งเป็นห้องประชุมขนาดเล็กที่ใช้ประชุมระดับแผนกเท่านั้น ส่วนห้องที่อยู่ตรงสุดทางเดิน หรือห้อง UN1469 และUN1470 เป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ที่มีความหรูหราที่สุด ใช้สำหรับการประชุมคณะผู้บริหารหรือการประชุมครั้งใหญ่ของบริษัทเท่านั้น
ผมหยุดปลายเท้าที่หน้าห้อง UN1469 ใช้หลังมือเคาะประตูกระจกที่ถูกปิดด้วยม่านบังตา ไม่รอให้มีการตอบรับจากบุคคลในห้องก็ถือวิสาสะผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน กวาดสายตามองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง จึงเห็นว่านอกจากร่างสูงในชุดสูทราคาแพงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานตรงหัวโต๊ะ ในห้องนี้ก็ไม่มีใครอีกแล้ว
“มานี่สิ” พอร์ชเอ่ยเรียกแล้วตบมือลงบนหน้าตักของตัวเอง
“คิดถึงกูล่ะสิ”
ผมขยับยิ้มหยอกเย้า ใช้นิ้วหมุนตัวล็อกของประตูกระจกแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนรัก อีกฝ่ายรั้งเอวของผมไว้แล้วดึงเข้าหาตัว ซึ่งผมก็ยอมขยับขึ้นไปนั่งคร่อมตักของเขาอย่างง่ายดาย ฝ่ามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของพอร์ชให้เงยขึ้นรับจูบของผม กลีบปากหวานล้ำของเขาถูกผมละเลียดกินอย่างเชื่องช้า ขบกัดหยอกล้อในบางครั้งและดูดเลียช้าๆ อย่างกระหาย ก่อนจะสอดแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายเพื่อไล่ล่าลิ้นของเขา พอร์ชยอมเป็นเด็กดีให้ผมปล้นจูบได้ไม่นานก็ขยับตัวแล้วดันใบหน้าของผมให้ออกห่าง
“เป็นอะไร”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม พร้อมกับปลายนิ้วมือที่ลูบไล้ข้างแก้มของผมอย่างอ่อนโยน พอร์ชเป็นคนที่ความรู้สึกเร็วเสมอ โดยเฉพาะอารมณ์ความรู้สึกของผมที่ไม่สามารถหลอกลวงอีกฝ่ายได้เลย ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วอ้าปากบ่นเพื่อนร่วมงาน รวมถึงหัวหน้าแผนกที่ชอบหาเรื่องด่าผม
“ไล่ออกให้หมดเลยดีมั้ย”
พอร์ชเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม ผมเดาไม่ถูกว่าหมอนี่หมายความตามที่พูดจริงๆ หรือคิดจะกวนประสาทผมกันแน่
“หรือให้ไล่มึงออกแค่คนเดียวดีล่ะ”
ผมหน้าบึ้ง
“กูนั่งกินนอนกินให้มึงเลี้ยงเฉยๆ ได้มั้ยล่ะ”
“ได้” พอร์ชตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มึงจะเลี้ยงพ่อกับแม่ของกูด้วยหรือเปล่า”
“ได้”
ผมลังเลครู่หนึ่งก่อนจะรีบส่ายหน้า ไม่ๆ ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
“ไม่เอา”
“ทำไม” พอร์ชเลิกคิ้ว มือใหญ่เอื้อมมาเชยปลายคางของผมให้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา
“ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ กูจะเหลืออะไรไว้ให้ครอบครัวได้ภูมิใจบ้างล่ะ ถ้าแค่ตัวเองยังต้องให้คนอื่นมาเลี้ยง” เรื่องที่ผมเป็นเกย์ทำให้พ่อกับแม่เสียใจมากพอแล้ว พ่อไม่พูดกับผมมาเกือบสี่ปี แต่ในตอนนี้พวกเขายอมรับตัวตนของผมได้แล้วและภาคภูมิใจในฐานะการงานที่ผมสร้างขึ้นมา ผมจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเด็ดขาด
“อยากไปทำงานที่อื่นมั้ย”
ผมส่ายหน้า
“ที่ไหนก็ต้องเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ นี่มันสังคมของคนทำงาน แก่งแย่งชิงดีปากอย่าง ใจอย่าง ต่อหน้าพูดดีลับหลังนินทา”
“คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว”
ผมพยักหน้า พอร์ชไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาปลอบโยนหรือประคับประคองชีวิตของผมทุกย่างก้าว เขาปล่อยให้ผมเดินในทางที่ผมต้องการ แต่จะเฝ้ามองผมอยู่เสมอ
“อย่าเก็บมาใส่ใจเลย มึงจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ชีวิตเป็นของมึง เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว”
ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเริ่มขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ อีกสิบห้านาทีผมต้องเข้างานแล้ว แต่ไหนๆ ตอนนี้ก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับอีกฝ่าย ผมควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าสิ ทั้งที่พวกเราอยู่เพนท์เฮ้าส์เดียวกัน แต่พอร์ชกลับยกงานไปทำที่ห้อง แค่จะหาเวลาคุยกับเขายังไม่มีเลย
“งั้นกูเอาใจเจ้านายแล้วขอวันหยุดพักร้อนเพิ่มได้มั้ยล่ะ”
ผมถามแล้วลากฝ่ามือจากแผ่นอกต่ำลงมาบริเวณซิปกางเกง ถ้าให้ทำถึงขั้นสุดท้ายคงไม่ทันเวลาแน่ๆ งั้นเอาแค่เบาๆ ก่อนแล้วกันนะ พอร์ชเลิกคิ้วมองผมก่อนจะเอนหลังพิงผนักเก้าอี้ หลับตาแล้วเอ่ยตอบอย่างผ่อนคลาย
“ตามใจมึงสิ”
เป็นเจ้านายที่สบายจริงๆ เลย



TBC.  :mew1:


ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ภาคนี้น่าจะเข้มข้น รอค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด