เรื่องสั้น : รักเร่ (จีนพีเรียด) บทส่งท้าย [01/07/62] จบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น : รักเร่ (จีนพีเรียด) บทส่งท้าย [01/07/62] จบ  (อ่าน 8945 ครั้ง)

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




ผลงานในเล้าเป็ด
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2020 17:35:20 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: รักเร่ (นิยายจีน) บทนำ [01/06/62]
«ตอบ #1 เมื่อ01-06-2019 16:22:01 »


ดอกรักเร่ หมายถึง ความไม่แน่นอน ความไม่ซื่อสัตย์ ความไม่มั่นคง และการไขว่คว้าหาความรักที่ไม่มีวันมาถึง

แต่สำหรับโจวจิ่นเลี่ยน...ดอกรักเร่ หมายถึง ความสูงศักดิ์ สง่างาม และตลอดกาล

ไม่ว่าความหมายของดอกรักเร่จะดีหรือไม่…เขาก็มิมีวันเปลี่ยนสายตาไปมองดอกไม้ชนิดอื่น



บทนำ


ในยุคสมัยของต้าหมิงซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิหย่งเล่อ มีเรื่องเล่าลือยามจิบน้ำชาอยู่มากมาย และหนึ่งในเรื่องเล่าที่โจษจันไปทั่วทั้งแผ่นดิน เห็นจะไม่พ้นเรื่องของ ‘จอมโจรหน้ากากทอง’

ว่ากันว่าจอมโจรหน้ากากทองเป็นยอดฝีมือในใต้หล้า มักจะออกปล้นชิงเงินทองจากมหาเศรษฐีและขุนนางน้อยใหญ่ทุกวันพระจันทร์เต็มดวง ทุกครั้งที่ปรากฎตัวจะสวมหน้ากากทองคำบริสุทธิ์รูปนกอินทรี ในมือถือกระบี่เรียวยาวสีเงิน
กระบี่นั้น เมื่อมองภายนอกแล้วมิได้ต่างจากกระบี่เนื้อดีทั่วไป แต่เมื่อคมกระบี่ได้ปะทะกับเหล็กกล้าจากคมดาบของผู้อื่น จะเริ่มต้นขับขานเสียงไพเราะดั่งนกน้อยหลายสิบตัวที่ประสานเสียงพร้อมเพรียงกัน กระบี่ในมือของจอมโจรผู้นั้นจึงได้รับการขนานนามว่า ‘ปักษาจันทร์’

จอมโจรหน้ากากทอง ออกปล้นชิงเงินทองมากมาย เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่คนยากไร้ ส่วนผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายเห็นจะมีแต่เศรษฐีขี้ตระหนี่ และขุนนางโกงกิน ดังนั้นราชสำนักจึงทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้าง ปล่อยให้จอมโจรหน้ากากทอง ลอยนวลไปได้ถึงสองปี

เหตุการณ์นั้นเหมือนจะดี ถ้าหากเจ้าโจรโง่เง่านั้น มิได้บังอาจลักลอบเข้ามาปล้นท้องพระคลังของจักรพรรดิหย่งเล่อในค่ำคืนหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิพระองค์นี้ เป็นพวกเกียจคร้าน ผลักภาระราชกิจบ้านเมืองทั้งหมดให้ขุนนางในราชสำนัก จึงทำให้บ้านเมื่อโกลาหลวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ การกระทำของจอมโจรหน้ากากทองมิต่างกับการตบหน้าจักรพรรดิหย่งเล่อและด่าทอเป็นนัยๆว่า…

‘เจ้าเองก็กำลังโกงกินเงินภาษีของราษฎรเช่นกัน’

เหตุการณ์นั้นทำให้จักรพรรดิบนบังลังก์มังกร โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ทางราชสำนักได้ปิดประกาศไปทั่วแผ่นดิน หากใครสามารถลากตัวโจรชั่วไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง มาคุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดิได้ จะพระราชทานทองคำหนึ่งพันตำลึง ดังนั้นจอมยุทธ์ในใต้หล้าจึงต่างพากันออกตามหาจอมโจรหน้ากากทองอย่างสุดความสามารถ บ้างเคยปะมือกับกระบี่ปักษาจันทร์ หากไม่ตายก็เจ็บหนัก แต่สองเดือนผ่านไปยังไร้วี่แววว่าโจรถ่อยจะมีโอกาสมาคุกเข่าหน้าเบื้องพระบาท

ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่จักรพรรดิหย่งเล่อกำลังร้อนรุ่มพระทัยเพราะความโกรธแค้น ได้เรียกขันทีคนสนิทมาปรึกษาหารือ

“ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ ไม่มีจอมยุทธ์ผู้มีความสามารถเลยหรือไรกัน”

จักรพรรดิหย่งเล่อทรงทอดถอนพระทัย พระองค์ทรงอยากลากตัวโจรชั่วมาแล่เนื้อเถือหนัง ฟังเสียงของมันร้องโอดครวญก่อนจะค่อยๆสิ้นใจ หากแต่ความคิดนั้น แลดูจะห่างไกลออกไปทุกที เมื่อจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายต่างฝีมือเป็นรองเจ้าโจรนั่น

“ทูลฝ่าบาท”

ขันทีคนสนิทโค้งตัวลงแล้วประสานมือทั้งสองข้างไว้เบื้องหน้า

“เกรงว่าพระองค์มิต้องไปตามหาจอมยุทธ์ในใต้หล้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งเล่อรู้สึกสนพระทัย รีบตรัสถามขันทีด้วยความหวัง

“ว่ามาซิ จางกงกง”

“กระหม่อมได้ยินมาว่าที่กองปราบฝ่ายเหนือขององครักษ์เสื้อแพร มีนายกองร้อยคนหนึ่ง นามว่า โจวจิ่นเลี่ยน”

ผู้แซ่จางเอ่ยด้วยท่าทางนอบน้อม น้ำเสียงที่กล่าวทั้งหนักแน่นและนอบน้อมอยู่ในที ต่างจากเสียงแหลมเล็กของขันทีคนอื่นอยู่หลายส่วน

“เมื่อสองปีก่อนนายกองโจว เดินทางมาสมัครทหารที่เมืองหลวง เขาไม่มีครอบครัว ไม่มีใครรู้พื้นเพ รู้เพียงว่ามาจากหุบเขาเซียนไร้ชื่อสำนักหนึ่ง แต่ความสามารถของเขากลับเป็นที่ประจักษ์อย่างรวดเร็ว ภายในสองปีก็ก้าวหน้าถึงขั้นรับตำแหน่งนายกองร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“วิทยายุทธของเขาล้ำเลิศมากหรือ”

จักรพรรดิหย่งเล่อเลิกพระขนงอย่างสงสัยใคร่รู้ ฝ่ามือเรียวยาวดั่งหยกเนื้อดีกำลังลูบไล้ปลายพระหนุเกลี้ยงเกลาช้าๆ

“กระหม่อมให้คนไปสืบได้ความว่า เขาเป็นมือกระบี่ที่ดีที่สุดในกองปราบฝ่ายเหนือในตอนนี้ และอีกเหตุผลหนึ่งที่กระหม่อมคาดหวังว่าเขาจะสามารถเอาชนะจอมโจรหน้ากากทองได้เป็นเพราะว่าเขา เป็นเจ้าของกระบี่ ‘ปักษาตะวัน’ พ่ะย่ะค่ะ”

“ปักษาตะวัน? เหตุใดข้าจึงมิเคยได้ยินชื่อกระบี่นั่นมาก่อน”

“ทูลฝ่าบาท ปักษาจันทร์และปักษาตะวัน เดิมทีผู้เป็นเจ้าของคือยอดฝีมือสองพี่น้องในยุทธภพ ทั้งสองท่านนั้น คนพี่มีพลังสายหยางเป็นมือกระบี่ที่ดีที่สุด ส่วนคนน้องมีพลังสายหยิน มีวิชาการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ได้รับการขนานนามว่า ‘หมอเทวดา’ ต่อมาสองพี่น้องได้ออกเดินทางรักษาชาวบ้านทั่วทั้งแผ่นดินโดยไม่เก็บค่ารักษาเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ต่อมาได้หายตัวไปมิปรากฎอีกเลย ทำให้กระบี่สองเล่มนั้นหายสาบสูญ รวมถึงนามที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา”

จักรพรรดิหย่งเล่อพึ่งพอใจในข้อมูลที่ได้รับ จางกงกงนับว่าเป็นขันทีที่รู้พระทัยของพระองค์เป็นที่สุด

“แล้วนายกองผู้นั้น เหตุใดจึงได้ครอบครองปักษาตะวันกันเล่า นี่คงไม่ได้หมายความว่าเขาเกี่ยวข้องกับโจรชั่วนั่นหรอกนะ”

จักรพรรดิหย่งเล่อตรัสถาม อดเคลือบแคลงพระทัยมิได้

“เคยมีคนถามนายกองโจวถึงที่มาของกระบี่ และได้รับคำตอบว่ากระบี่นั้นถูกทอดทิ้งไว้ที่อารามร้างแห่งหนึ่งในเมืองฟางหรู เขาเห็นว่าเป็นกระบี่ดีจึงหยิบมาด้วย ต่อมามีคนไม่เชื่อถือ ขอสัมผัสกระบี่นั้น ปรากฎว่าคนทั้งกองปราบ มิว่าใครก็ไม่สามารถยกกระบี่เล่มนั้นได้ ทุกคนต่างบอกว่าหนักราวหมื่นชั่งพ่ะย่ะค่ะ

นายกองร้อยในตอนนั้น ซึ่งก็คือหัวหน้าของโจวจิ่นเลี่ยน ได้ให้คนไปสืบที่อารามร้างในเมืองฟางหรู และได้คำตอบจากชาวบ้านในเมืองว่า มีชาวยุทธ์มากมายแวะเวียนมาตามหากระบี่นั้นจริง แต่ไม่มีใครสามารถยกมันได้เลย มันมีน้ำหนักมากเกินไปทั้งที่ตัวกระบี่เพียวบางเหลือเกิน

ก่อนหน้านั้น ในอารามร้างมีกระบี่สองเล่ม เห็นชัดว่าเล่มหนึ่งถูกเจ้าโจรนั่นนำติดตัวไปด้วย ต่อมาภายหลัง อีกเล่มหนึ่งก็ถูกนายกองโจวนำ ออกมา ดังนั้นผู้ที่สามารถยกกระบี่วิเศษนี้ได้ ย่อมมีความสามารถใกล้เคียงกัน เหมาะจะปะมือกันที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

ถ้อยความที่ละเอียดชัดเจนและมีเหตุมีผลนั้น ทำให้จักรพรรดิหย่งเล่อผู้ไว้วางใจในตัวของขันที เชื่อถือในทันใด

“นายกองคนนั้น…ข้าสามารถไว้วางใจได้จริงหรือ”

“ทูลฝ่าบาท ตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพร ก็ปฎิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด มีผลงาน ไร้ความผิด จงรักภักดี และซื่อสัตย์เหนือใครพ่ะย่ะค่ะ”

“หากจางกงกงเชื่อมั่นในตัวคนผู้นั้น ข้าก็มิมีเรื่องให้ระแวงสงสัยแล้ว พรุ่งนี้จงรีบนำคำสั่งลับของข้าไปมอบแก่เขา ให้เร่งเดินทางออกตามล่าตัวเจ้าโจรชั่วมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด”

จักรพรรดิหย่งเล่อมีสีพระพักตร์ที่แจ่มใสขณะรับสั่ง ในพระทัยอดที่จะวาดฝันภาพของโจรชั่วที่กำลังอ้อนวอนของความเมตตาจากพระองค์มิได้

“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

จางกงกงกประสานมือรับคำสั่งอย่างนอบน้อมก่อนจะล่าถอยออกไปจากห้องส่วนพระองค์




หากจอมโจรหน้ากากทองเปรียบเหมือนแสงจันทร์ที่ไร้ตัวตน ยากจะสัมผัส หากแต่ยั่วยวนให้ผู้คนหลงใหลแล้ว

นายกองร้อยองค์รักษ์เสื้อแพรก็เปรียบเหมือนแสงอาทิตย์ร้อนแรง เก่งกล้า ผู้อยู่ใต้ความถูกต้อง ยุติธรรมเสมอมา

ระหว่างหน้าที่…กับหัวใจ สิ่งใดจะมีชัยเหนือท่าน!


 :o8: :mew1:


TBC.

ผลงานเรื่องที่จบเเล้วในเล้าเป็ด https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67383.0

ผลงานทั้งหมดของนักเขียนค่ะ http://www.tunwalai.com/profile/1374722/pedkrabkrab
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-06-2019 00:57:12 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: รักเร่ (นิยายจีน) บทนำ [01/06/62]
«ตอบ #2 เมื่อ01-06-2019 19:45:58 »

อาา โจร กา มือปราบ สงสัย จะได้กันเอง ชอบ ติดตามจ้า ขอบคุณๆ^^

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: รักเร่ (นิยายจีน) บทนำ [01/06/62]
«ตอบ #3 เมื่อ07-06-2019 01:43:48 »

บทที่ 1

อาชาพ่วงพีหลายสิบตัวพุ่งทะยานผ่านสายลมเย็นฉ่ำในดินแดนทางเขตใต้ ทุกย่างก้าวทั้งงดงามและองอาจสมฐานะองครักษ์เสื้อแพร

ณ ดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้ เป็นเส้นทางทอดยาวนับพันลี้ มีป่าไม้และลำธารโอบล้อมภูเขาสูงชัน บนภูเขาต่างเต็มไปด้วยสมุนไพรและพืชมีพิษหายาก นับเป็นขุมทรัพย์อย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ต่างๆ จึงทำให้ที่แห่งนี้เต็มไปสัตว์ป่าและสัตว์อสูรมากมายเช่นกัน

การเดินทางขององครักษ์เสื้อแพรในยามนี้ ก็เพื่อตามจับ ‘จอมโจรหน้ากากทอง’ ผู้ที่บังอาจหมิ่นพระเกียรติจักรพรรดิด้วยการเข้าปล้นท้องพระคลัง แต่พูดไปแล้วก็น่าอาย เพราะวังหลวงที่มีกำลังรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุด ยังปล่อยให้โจรชั่วคนหนึ่งลักลอบเข้าออกได้ราวกับภูติผี หากโจรผู้นั้นต้องการเอาชีวิตของจักรพรรดิหย่งเล่อแล้ว เห็นจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย

‘โจวจิ่นเลี่ยน’ หรี่ตามองอาชาสีน้ำตาลที่ห้อตะบึงอยู่เบื้องหน้าของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร ความจริงแล้ว ต่อให้คนผู้นั้นคิดจะหลบหนีก็ยังนับว่าเป็นเรื่องยาก เมื่อบนไหล่ซ้ายของเขามีลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่พร้อมกับโลหิตสีแดงสดที่กำลังไหลทะลักอาบอาภรณ์สีขาว

ธนูดอกนั้นถูกยิงจากผู้ใต้บัญชาของนายกองโจว ซึ่งเป็นมือธนูที่ดีที่สุดในกองปราบ แม้ยิงมิถูกจุดสำคัญแต่กลับทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสเพราะพิษร้ายที่เป็นตำรับลับของคุกหลวง พิษนั้นจะถูกนำมาใช้สำหรับการออกล่านักโทษคดีร้ายแรง เห็นชัดว่าสำหรับจักรพรรดิหย่งเล่อ ‘จอมโจรหน้ากากทอง’ นับว่าเป็นผู้ร้ายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลากตัวมารับผิดให้จงได้

“หยุด!”

คำสั่งที่ถูกตวาดออกมากะทันหัน ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพร ออกแรงดึงสายบังเหียนทันที อาชายกขาหน้าแล้วร้องเสียงสูงก่อนจะหยุดลงพร้อมกับที่หมอกควันปริศนาระเบิดออกมาจากความว่างเปล่า

เหล่าองครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนยกมือปิดปากและจมูกตามสัญชาตญาณ บางคนไอแค่กๆหลายหน ต่างจากโจวจิ่นเลี่ยนที่ลองสูดดมควันนั้นเข้าไปครู่หนึ่งก่อนจะยกแขนเสื้อปิดจมูก แล้วทำมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนล่าถอย

‘รักเร่หมื่นราตรี’ เป็นพิษชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอม หากสูดดมเข้าไปจะทำให้แสบตา วินเวียนศีรษะและเกิดภาพหลอน แต่พิษดังกล่าวมิได้ร้ายแรง หากรับเข้าไปไม่มาก ใช้เวลาไม่กี่ชั่วยามพิษก็จะถูกขับออกจากร่างกายพร้อมกับหยดเหงื่อ แต่หากรับเข้าไปมาก อาจใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันในการรอให้ร่างกายขับพิษ

หากโจวจิ่นเลี่ยนมิได้สังเกตเห็นการสะบัดข้อมือโปรยผงขาวของจอมโจรหน้ากากทองในชั่วพริบตา เกรงว่าองครักษ์เสื้อแพรรวมถึงตัวเขาเองก็อาจจะกำลังล่องลอยไร้สติก็เป็นได้ พิษนับว่าไม่ได้อันตรายถึงชีวิตก็จริง แต่หากไร้สติในป่าลึกยามนี้ เกรงว่าจะตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าเอาได้

ลูกเล่นเล็กๆแสนคุ้นตาอย่าง ‘รักเร่หมื่นราตรี’ ทำให้โจวจิ่นเลี่ยนหวนคิดถึงคนผู้หนึ่ง แม้มิได้พบหน้ามานานเกือบสามปี แต่ไม่มีวันใดที่เขาจะสามารถลบภาพงดงามของคนผู้นั้นออกจากใจได้เลย…

“พี่ใหญ่ นี่คือพิษอะไรกัน ข้าเผลอสูดดมเข้าไปแล้ว ทั้งยับแสบตาจนลืมไม่ขึ้น”

ผู้ใต้บัญชานายหนึ่งเอ่ยถามนายกองโจวด้วยความตระหนก เขาย่อมภาคภูมิใจในตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่มิได้หมายความว่าเขาอยากพลีกายรับใช้แผ่นดินเสียเมื่อไหร่

“มิเป็นอันตรายถึงชีวิตหรอก”

โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าบุคลิกหนักแน่นมั่นคงของคนเป็นผู้นำ ย่อมทำให้ผู้ใต้บัญชาวางใจและเชื่อถือได้ง่ายๆ

“ไอ้คนเจ้าเล่ห์นั่น บาดเจ็บหนักขนาดนั้นแท้ๆ ยังจะคิดหนีสุดชีวิตอีก” ผู้ใต้บัญชาคนสนิทที่เปรียบดั่งแขนขวาของนายกองโจวเอ่ยด้วยความคับข้องใจ พวกเขาไล่ตามจอมโจรหน้ากากทองมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว บัดนี้เกือบจะตะครุบตัวเจ้านั่นไว้ได้ แต่มันกลับใช้เล่ห์กลโกงจนหลุดรอดไปได้อีกครั้ง นับว่าปั่นประสาทเหล่าองครักษ์เสื้อแพรได้ดีแท้

“เขาไปไหนได้ไม่ไกลหรอก”

โจวจิ่นเลี่ยนทอดสายตามองหมอกควันสีขาว ที่ค่อยๆสลายตัวอย่างเชื่องช้า ท่าทางใจเย็นและผ่อนคลาย คล้ายกับผู้ที่ออกทัศนาจร มิใช่ผู้ที่กำลังปฎิบัติหน้าที่อยู่เลย

นายกองผู้นี้นับเป็นชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาวสะอาด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด บุคลิกสง่ามั่นคง ดวงหน้าสุขุมมักแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มสุภาพนุ่มนวล นัยน์ตาสีดำกระจ่างใสรับกับเส้นผมสีดำเงางามราวกับหยดหมึก แฝงความดีและซื่อตรง ทำให้ผู้พบเห็นไว้วางใจอยู่หลายส่วน

ลักษณะเช่นนี้ หากจะบอกว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชนก็มินับว่าผิด ทว่ารูปร่างที่กำยำและวิทยายุทธที่เป็นเลิศ ทำให้ผู้คนประจักษ์แล้วว่า นายกองโจวแห่งกองปราบฝ่ายเหนือ มิใช่ผู้ที่ใครจะสามารถดูเเคลนได้

“ใครที่ไม่มีอาการแสบตา สติแจ่มใส ก้าวออกมาข้างหน้า”

คำสั่งนั้น เรียกให้องครักษ์เสื้อแพรที่สูดดมควันพิษเขาไปไม่มาก ก้าวเท้าออกมายืนเรียงแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบ
โจวจิ่นเลี่ยนกวาดสายตามองเหล่าพี่น้องที่เหลืออีกประมาณสี่ห้าคนที่ล้มลุกคุกคานอยู่บนพื้น บางคนหมดสติไปแล้ว และบางคนกำลังเริ่มพูดจาเพ้อเจ้อราวกับอยู่ในโลกอีกใบ

“อาฮุ่ย เจ้าอยู่ที่นี่ ตั้งที่พักแล้วดูแลพวกเขาให้ดี”

คนแซ่ฮุ่ย หรือผู้ใต้บัญชาคนสนิทที่เปรียบดั่งแขนซ้ายของนาย   กองโจว ก้าวเท้าออกมาจากแถว แล้วประสานมือรับบัญชา

“ส่วนพวกเจ้าที่เหลือแยกย้ายกันออกตามหาเจ้าโจรนั่นทางทิศตะวันตก ข้าของย้ำอีกครั้งว่าให้จับเป็น ห้ามทำร้ายเขาเด็ดขาด หากตะวันตกดินยังไร้วี่แววให้กลับมาเจอกันที่นี่”

เหล่าองครักษ์เสื้อแพรประสานมือรับบัญชา ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้า แล้วพากันออกค้นหาจอมโจรหน้ากากทอง
โจวจิ่นเลี่ยนยืนมองผู้ใต้บัญชาควบม้าห่างออกไป จนกระทั่งลับสายตา จึงกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าคู่ใจ แล้วมุ่งหน้าไปในทิศทางที่คุ้นเคย

ชายหนุ่มจำได้ว่าสมัยที่ตนเองยังอยู่ที่หุบเขาเซียน ท่านอาจารย์และอาจารย์อา เคยพาศิษย์ในสำนักออกท่องดินแดนในแถบนี้เพื่อศึกษาสมุนไพรและพืชมีพิษ

ในทิศตะวันออกไม่ไกลจากที่แห่งนี้ มีทุ่งดอกรักเร่หลากสีสันออกดอกบานสะพรั่งตลอดทั้งปี ซึ่งเขาจำได้ดีว่า สถานที่แห่งนั้นเป็นที่โปรดปรานของใครบางคนมากเพียงใด…

โจวจิ่นเลี่ยนใช้เวลาไม่นานก็สามารถค้นพบทุ่งดอกรักเร่ในความทรงจำได้สำเร็จ ห่างออกไปหนึ่งลี้ เขามองเห็นอาชาสีน้ำตาลตัวหนึ่ง กำลังก้าวเท้าเชื่องช้าอยู่ท่ามกลางบุปผาสีสันสดใส โดยมีคนผู้หนึ่งฟุบใบหน้าลงบนหลังของมัน โจวจิ่นเลี่ยนขยับยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะชักกระบี่สีเงินออกจากฝักแล้วดีดตัวทะยานไปขวางทางอาชาสีน้ำตาลตัวนั้น

บุคคลที่กำลังหลับตาอย่างอ่อนล้ายันตัวขึ้นนั่งบนหลังอาชาในทันที มือขาวซีดชักกระบี่ออกจากฝักด้วยความระแวดระวัง เมื่อเขาเห็นว่าผู้บุกรุกคือองครักษ์เสื้อแพรจากวังหลวงก็ไม่รอช้า พุ่งตัวเข้าใส่อีกฝ่ายในทันที

โจวจิ่นเลี่ยนทะยานออกไปต้อนรับเพลงกระบี่ของจอมโจรหน้ากากทอง เมื่อกระบี่สีเงินของทั้งคู่ปะทะกัน บังเกิดเสียงขับขานไพเราะใสกังวาน ต่างจากไอสังหารดุเดือดที่แพร่ออกมาจากร่างบอบบางที่กำลังบาดเจ็บ

ชายหนุ่มไม่ได้เดินกำลังภายใน เพียงแค่ใช้ลมปราณสามส่วนในการรับมือ ถึงแม้เขาจะอ่อนข้อให้เช่นนี้ แต่อีกฝ่ายกลับมิได้ออมแรงเลยแม้แต่น้อย ทุกกระบวนท่าทั้งดุดันและงดงาม แฝงด้วยความปรารถนาที่จะเอาชีวิตเข้าแลก
 
“เจ้าคิดจะเอาชีวิตข้าหรือ อาเหริน”

โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี นัยน์ตาสีดำขลับจับจ้องใบหน้าที่ถูกปิดบังด้วยหน้ากากอยู่ครึ่งหนึ่ง ดวงตาหงส์ที่คุ้นเคยฉายแววหยิ่งยโสและเย็นชา คนผู้นั้นเค้นเสียงหึคำหนึ่ง มิได้คิดปิดบังตัวตนอีกต่อไป เมื่อมือเรียวยาวเอื้อมมาปลดหน้ากากแล้วโยนทิ้งลงบนทุ่งหญ้าด้วยสีหน้าที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด

“ไม่ได้พบกันนาน…เจ้าดูโตขึ้นมาก”

‘จ้าวมี่เหริน’ หรือ ‘อาเหริน’ คือศิษย์น้องร่วมสำนักของเขา ซึ่งถูกอาจารย์อาพาเข้ามาในหุบเขาเซียนตั้งแต่อายุแปดขวบ เขาจำได้ดีว่ายามนั้น อาเหรินยังเป็นเพียงเด็กน้อยตัวผอมบางที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแต่โรคภัยไข้เจ็บนับไม่ถ้วน อีกฝ่ายมีอายุน้อยกว่าโจวจิ่นเลี่ยนห้าปี เมื่ออาเหรินอายุครบสิบห้า ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่อยลอย มีเพียงจดหมายกราบลาอาจารย์ที่ถูกทิ้งไว้เท่านั้น ทำให้ทราบว่ามิได้ถูกลักเอาตัวไป และนับตั้งแต่วันนั้น ได้ผ่านมาเกือบสามปีแล้วที่เขามิได้มีโอกาสมองใบหน้างดงามของคนผู้นี้ใกล้ๆ

จ้าวมี่เหริน เป็นบุรุษที่มีเครื่องหน้าหมดจด ไม่ว่าจะเพ่งพินิจส่วนใด ล้วนงดงามเกินกว่าจะหาตำหนิได้ หากจะบอกว่างดงามกว่าอิสตรีก็มินับว่าผิด แต่ถ้าหากจะบอกว่าหล่อเหลาดึงดูดสายตาของสตรีก็นับว่าได้ เพียงแต่ดวงตาหงส์ที่มักเย็นชาอยู่เสมอ และใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มทำให้คนผู้นี้มิน่าเข้าหา ราวกับจอมมารที่เป็นเพียงภาพลวงตา มิอาจแตะต้องได้ หากแต่มีเสน่ห์เกินกว่าจะละสายตา

“ศิษย์พี่ใหญ่เองก็ดูสง่างามและองอาจกว่าที่ข้าเคยจำได้”

โจวจิ่นเลี่ยนเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินถ้อยคำทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจริงใจ ราวกับน้องชายที่พลัดพลาดจากพี่ชายมานานหลายปี ทั้งเฝ้าห่วงหาและคิดถึง

“เจ้ากำลังจะตายด้วยพิษร้าย”

โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า มิได้ขยับเข้าไปประคองร่างบอบบางเพราะความระแวดระวัง หากเขามิได้เติบโตมาพร้อมกับอาเหริน คงไม่รู้หรอกว่า ‘ดอกไม้งามสารพัดพิษ’ เป็นอย่างไร

“เกรงว่านั่นจะทำให้งานของท่านง่ายขึ้น”

จ้าวมี่เหรินเอ่ย แล้วกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ร่างกายที่ฝืนทนมาหลายชั่วยามกำลังอ่อนแอจนถึงขีดสุด กระบี่หลุดออกจากฝ่ามืองาม แต่ก่อนที่ร่างจะทิ้งตัวลงสู่พื้นหญ้า ก็มีอ้อมแขนของคนผู้หนึ่งเข้ามารับไว้อย่างนุ่มนวล
เป็นดั่งคาด!

ศิษย์พี่ใหญ่มิได้เปลี่ยนไปเลย…

“อย่าส่งน้องเล็กให้ทางการ”

คำอ้อนวอนสุดท้ายก่อนที่เปลือกตาบางจะปิดสนิทพร้อมกับสติที่ค่อยๆเลือนหายไป
โจวจิ่นเลี่ยนก้มมองคนให้อ้อมแขนแล้วเค้นยิ้มหยัน ทั้งที่รู้ว่าคนๆนี้เจ้าเล่ห์และร้ายกาจ  มิได้ใสซื่ออ่อนแออย่างฉากหน้าที่เห็น แต่เขาก็อดใจอ่อนมิได้เสียที



TBC.

เเฟนเพจนักเขียน https://www.facebook.com/PKrabKrab

 :mew1:




ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
Re: รักเร่ (นิยายจีน) บทที่ 1 [07/06/62]
«ตอบ #4 เมื่อ08-06-2019 06:52:37 »

 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

บทที่ 2


‘จ้าวมี่เหริน’ รู้สึกตัวตื่น เขาไม่ได้ปรือตาขึ้นมองสถานที่ในเวลานี้ เพียงแต่ใช้ประสาทสัมผัสในการคาดเดาสถานการณ์ของตนเอง
หูได้ยินเสียงของสายน้ำที่ตกจากที่สูงกระทบโขดหิน จมูกได้กลิ่นอับชื้นและกลิ่นของพืชน้ำบางชนิด มือเท้าของเขาเป็นอิสระ แผ่นหลังนอนราบอยู่บนผ้าผืนหนึ่ง หากแต่ความแข็งกระด้างของพื้นผิวที่สัมผัสได้ทำให้เขาสงสัยว่าตนเองอาจจะอยู่ในถ้ำน้ำตกแห่งหนึ่ง

ข้อมือข้างหนึ่งของจ้าวมี่เหริน สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วอบอุ่นพร้อมกับกระแสพลังบางอย่างที่กำลังถ่ายทอดเข้ามาสู่ร่างกาย…เห็นทีว่าเขาจะยังมิได้ถูกส่งตัวไปรับโทษ

จ้าวมี่เหรินเป็นเพียงคนที่ใกล้จะตาย ดังนั้นจึงมิอาจปฎิเสธความอุ่นซ่านที่ช่วยฟื้นคืนกำลังให้แก่เขา ชายหนุ่มตั้งสมาธิ เดินลมปราณเพื่อดูดปราณพลังหยางของอีกฝ่ายด้วยความหิวโหย เดิมทีกำลังภายในของเขาคือพลังหยินบริสุทธิ์ แต่เมื่อได้รับการถ่ายทอดพลังหยางบริสุทธิ์ที่แข็งแกร่ง ก็ราวกับพลังของแม่เหล็กที่ดึงดูดกัน

‘โจวจิ่นเลี่ยน’ ปรือตาขึ้นมองปลายนิ้วของตนเอง ที่กำลังสว่างเรืองรองด้วยแสงสีทอง ครู่ต่อมาพลังหยางในร่างกายก็ลุกโชนจนถึงขีดสุด แล้วเริ่มพรั่งพรูเข้าสู่ร่างกายของจ้าวมี่เหริน ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่มิอาจหยุดหยั่ง

“ข้าจำได้ว่าซือจุน มิเคยสอนให้เจ้าเป็นคนละโมบโลภมาก”

โจวจิ่นเลี่ยนเปรยขึ้น เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายฟื้นคืนสติแล้ว แต่ยังแสร้งหลับตานอนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม

“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงแต่เห็นว่าท่านมีน้ำใจช่วยเหลือ ไยจะกล้าปฎิเสธความหวังดีนั้นได้”

จ้าวมี่เหรินลืมตาขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวล แต่ยังสูบพลังหยางของผู้อื่นต่อไปอย่างไร้ยางอาย

“เจ้ารู้หรือไม่ว่า…ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยไร้ค่าตอบแทน”

โจวจิ่นเลี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้วี่แววของความสำนึกผิด เขารู้ว่าพิษร้ายได้ถูกขับออกจากร่างกายของจ้าวที่เหรินทั้งหมดแล้ว เพียงแต่กำลังยังมิได้กลับมาเป็นปกติ

“ฟังดูเหมือน ข้ากำลังถูกพี่ใหญ่ทวงบุญคุณกระมัง”

จ้าวมี่เหรินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มงดงาม ซึ่งกำลังซ่อนโฉมหน้าร้ายกาจที่แท้จริงเอาไว้อย่างมิดชิด

“ข้ามิใช่คนใจดี”

แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่โจวจิ่นเลี่ยนกลับมิได้ดึงปลายนิ้วออกจากการสัมผัสข้อมือของอีกฝ่าย ราวกับยินดีที่จะการมอบพลังหยางของตนเองให้ผู้อื่น

“พี่ใหญ่ในความทรงจำของข้านั้นใจดียิ่ง”

ถ้อยคำประจบประแจงช่างขัดแย้งกับนัยน์ตาหงส์ที่ฉายแววเย่อหยิ่งยิ่งนัก โจวจิ่นเลี่ยนย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ากำลังถูกศิษย์น้องผู้นี้ปั่นหัว เขาโน้มร่างกายเข้าไปทาบทับร่างบอบบางที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นถ้ำ ชุดตัวนอกของอีกฝ่ายถูกเขาถอดออกเพื่อตรวจดูบาดแผลบริเวณไหล่ บัดนี้จึงเหลือเพียงชุดสีขาวตัวในเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ข้าล้วนดีกับเจ้า ขอทวงคืนทั้งหมดในวันนี้”

เสียงกระซิบนั้น ดังขึ้นมิห่างจากริมฝีปากของจ้าวมี่เหริน นัยน์ตาสีดำขลับที่มองมาที่เขาก็มิได้ฉายแววหยอกล้อเช่นในวันวาน
 
“เห็นแก่ที่พวกเราเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ข้าจะปฎิเสธได้อย่างไร”

ชายหนุ่มไม่ได้หลบเลี่ยงความใกล้ชิด เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจึงปล่อยให้ฝ่ามืออุ่นร้อนของศิษย์พี่ลูบไล้ไปตามแผ่นอกและหัวไหล่ มิว่าอย่างไร ร่างกายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เมื่อเขาตายไป ย่อมมิอาจนำไปได้

“อาเหริน เจ้าช่างเข้าใจอะไรง่ายนัก”

แน่นอนว่าข้าย่อมเข้าใจ…เวลานี้มิอาจสู้ท่านได้ หากไม่ได้พลัง  หยางของท่านช่วยฟื้นกำลัง เกรงว่าข้าจะไปไหนก็คงมิรอด!
จ้าวมี่เหรินหลับตาลงช้าๆ ยอมรับริมฝีปากที่กดจูบลงมาบนลำคออย่างหิวกระหาย เสื้อผ้าบนกายถูกดึงรั้งอย่างรวดเร็ว จนเวลานี้เหลือเพียงร่างกายขาวที่กำลังเปลือยเปล่า

จ้าวมี่เหรินเกลียดความใกล้ชิดแนบสนิทกับผู้อื่นมาตั้งแต่จำความได้ ร่างกายนี้จึงมิเคยร่วมเรียงเคยหมอนกับใคร ความต้องการทางเพศที่ควรได้รับการปลดปล่อย ราวกับได้ตายด้านไปนานแล้ว

โจวจิ่นเลี่ยนเลื่อนตัวลงต่ำแล้วใช้ปลายลิ้นหยอกเย้ายอดอกข้างหนึ่งของจ้าวมี่เหรินจนมีสภาพแข็งชัน ก่อนจะเลื่อนไปดูดกลืนอีกข้างหนึ่งจนมีสภาพไม่ต่างกัน ปลายลิ้นร้อนผ่าวยังคงซุกไซ้ปัดป่ายไปทั่วแผ่นอกขาวเนียนอย่างกระหายอยาก ไม่ว่านี่จะเป็นความรักหรือความหลงใหล โจวจิ่นเลี่ยนรู้เพียงว่าท้องน้อยของเขาหดเกร็ง และแก่นกายกำลังขยายตัวใหญ่อย่างยากจะอธิบาย
จ้าวมี่เหรินหลับตาลงช้าๆ เมื่อรู้สึกว่ามีท่อนลำร้อนผ่าวกำลังดุนดันอยู่เบื้องล่างของตน ยังดีที่เขาไม่สนใจเรื่องการแนบชิดอิงแอบผู้อื่น ถือเสียว่าเรื่องที่ทำอยู่นี้ เป็นเพียงยารักษาเท่านั้น

โจวจิ่นเลี่ยนใช้มือกุมท่อนลำอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น ถูไถหยอกเย้าไม่ช้าไม่เร็ว ลูบคลำไปทั่วทุกแห่งจนท่อนลำนี้ขยายตัวตื่นในที่สุด เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจที่กำลังหอบหนักขึ้นเรื่อยๆของอีกฝ่าย จึงเจตนานวดคลึงส่วนหน้าให้หนักหน่วงและเพิ่มจังหวะให้รัวเร็วจนจ้าวมี่เหรินถึงกับครางเสียงต่ำอย่างห้ามมิอยู่

เห็นได้ชัดว่ายามนี้สิ่งที่อยู่ในมือของนายกองโจว ต้องการการปลดปล่อยเสียแล้ว หากแต่เมื่อเขาเหลือบตามองใบหน้าของผู้อื่น กลับเห็นว่าเรียบเฉยติดจะเย็นชาอยู่หลายส่วน เขาขยับยิ้มที่มุมปาก เห็นชัดว่าศิษย์น้องผู้นี้ทั้งดื้อด้านและน่าสนใจเสมอ
ราวกับแสงจันทราที่งดงามและลึกลับ มิอาจหยั่งถึงจิตใจได้เลย บางคราวดึงดูดให้เขาเข้าหาอย่างเย้ายวน แต่บางคราวกลับเงียบสงัดวังเวงยิ่งนัก เขามิรู้แล้วว่าหลงใหลอยากสัมผัสร่างกายของผู้อื่น หรือหลงรักไปแล้วกันแน่…

คิดมาถึงตรงนี้ ความอยากเอาชนะก็ทำให้โจวจิ่นเลี่ยน เลื่อนตัวต่ำลงมาจนใบหน้าเสมอกับท่อนลำของผู้อื่น ฝ่ามือลูบคล้ำเนินเนื้อที่ก้นของจ้าวมี่เหรินเบาๆ ก่อนจะอ้าปากรับเอาสิ่งร้อนผ่าวเข้าไปในปาก รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังสั่นระริกแต่กลับไร้เสียงครวญคราง

โจวจิ่นเลี่ยนจับขาเรียวยาวให้แยกออกจนกว้าง ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะสัมผัสร่องหลืบเร้นลับของผู้อื่น เขาเดินลมปราณแล้วแทรกนิ้วยาวทั้งสองเข้าไปในตัวของจ้าวมี่เหรินที่กำลังเปิดกว้างที่ละน้อย

จ้าวมี่เหรินขมวดคิ้วเมื่อนิ้วมือแข็งแรงกำลังดันเข้ามาในกายจนสุด ช่องทางด้านหลังรู้สึกเจ็บและคันแปลกๆ ทั้งอยากดูดกลืนสิ่งที่ใหญ่โตมากขึ้นโดยมิรู้ตัว เขาครางเสียงเบาอย่างสุขสม แยกขาออกกว้างกว่าเดิม เพื่อให้นิ้วแข็งๆเคลื่อนไหวเข้าออกได้สะดวก เสียดสีซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระทั่งความวูบวาบแล่นมารวมกันที่ปลายยอด

จ้าวมี่เหรินเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของโจวจิ่นเลี่ยน อีกฝ่ายขยับยิ้มหยอกล้อเขาครู่หนึ่งก่อนจะยืดตัวขึ้น เพื่อให้ท่อนลำของตนแตะสัมผัสกับช่องทางของเขา แล้วครู่ต่อมา บางอย่างที่มีขนาดใหญ่โตกว่านิ้วหลายเท่าก็กดสอดเข้ามาช้าๆ

“อ๊า…”

จ้าวมี่เหรินครางในลำคอ ในความเจ็บปวดกลับมีความสุขบางอย่างเจือปนอยู่ รสชาติของการดูดกลืนท่อนลำร้อนๆนั่นน่าแปลก บอกไม่ถูกว่าเกลียดชังหรือรอคอยกันแน่ จ้าวมี่เหรินนอนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายที่ทาบทับอยู่ด้านบน เอนกายเข้ามาแนบชิดจนแผ่นอกของพวกเขาไร้ที่ว่างให้สายลมรอดผ่าน

รอไม่นาน แก่นกายใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาจนสุดปลายทางแล้วเริ่มต้นขยับอย่างอ่อนโยนทั้งยังเอาใจใส่ จ้าวมี่เหรินมิได้ปฎิเสธการกระทำของผู้อื่น ทั้งยังมิได้ตอบรับหรือให้ความร่วมมือ ซึ่งนั่นทำให้ใครบางคนรู้สึกมีอารมณ์คุกรุ่น

“อึก!”

จ้าวมี่เหรินกัดฟันแน่นเมื่อศิษย์พี่ใหญ่กระแทกเอวอย่างรุนแรงให้แก่นกายเข้ามาลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่เกรงใจอยู่ในผนังช่องทวาร

“ข้าจดจำผู้ที่ทำดีต่อข้าไม่ได้ แต่จดจำผู้ที่ทำร้ายข้าได้ขึ้นใจ”

โจวจิ่นเลี่ยนเงยใบหน้าขึ้นมามองคนพูด ก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อแผ่วเบา

“เสียดายที่ข้าไม่ได้ทำร้ายเจ้าให้เร็วหน่อย มิเช่นนั้นคงได้หัวใจอันด้านชานั้นมานานแล้ว”

จ้าวมี่เหรินถูกอีกฝ่ายดึงแขนทั้งสองข้างมาคล้องลำคอของตน ส่วนขายาวก็ถูกยกขึ้นพาดสะโพกแกร่งอย่างจาบจ้วงแล้วเคลื่อนไหวตามใจปรารถนา ผนังภายในแม้จะอ่อนนุ่ม ทว่าคับแน่นยิ่งนัก

จ้าวมี่เหรินรู้สึกกระตุกเกร็งเพราะความเจ็บจึงจิกปลายนิ้วลงบนลำคอผู้อื่นเต็มแรง สัมผัสได้ถึงกลิ่นคราวเลือดที่ค่อยๆหลั่งออกมา แต่มิได้ออมแรงหรือรู้สึกผิดเลย

โจวจิ่นเลี่ยนหอบกระชั้น รู้สึกเจ็บปวดที่ลำคอแต่มิได้ห้ามปรามอีกฝ่าย เขาดึงดันเข้าไปในตัวผู้อื่นอย่างหิวกระหาย มิคาดคิดเลยว่าร่างกายที่เขาแสนปรารถนาซึ่งทำให้เขารู้จักความใคร่เป็นครั้งแรก วันหนึ่งจะมีโอกาสได้ลิ้มลอง เมื่อได้ลองแล้วย่อมต้องกระทำให้ถึงอกถึงใจแน่นอน เขาพยายามสอดใส่ลึกขึ้น จนรู้สึกว่าพวงหยกของตนกระแทกก้นงามจนมิอาจเข้าไปได้อีก จึงยกมือกุมบั้นท้ายขาวไว้แล้วบีบขย้ำ

จ้าวมี่เหรินขมวดคิ้ว มิชอบความรู้สึกวูบวาบนี้เลย หากแต่ร่างกายไม่สามารถปฎิเสธความใคร่นั้นได้ จึงได้แต่ยอมเพลิดเพลินไปกับความหฤหรรษ์แปลกใหม่ จนกระทั่งน้ำสีขาวแห่งกามอารมณ์ได้พุ่งออกมาเปรอะเปื้อนหน้าท้องแข็งแกร่งของโจวจิ่นเลี่ยน
นายกองโจวเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายเร็วยิ่งขึ้น เขาหลงใหลในช่องทางอ่อนนุ่มของคนผู้นี้มากเสียจนไม่อยากถอดถอน อยากจะแช่อยู่ในความอุ่นร้อนนานๆ โจวจิ่นเลี่ยนเคยเสพสมกับบุรุษและสตรีมากมาย แต่ไม่เคยมีใครที่ทำให้เขามัวเมาจนอยากสัมผัสอีกเป็นครั้งที่สอง

โจวจิ่นเลี่ยนถอนแก่นกายจากช่องทางสีแดงกะทันหัน จับคนใต้ร่างพลิกคว่ำ มือช้อนสะโพกงามให้ยกขึ้นด้วยท่วงทางน่าอาย ก่อนจะกดแก่นกายสอดใส่เข้าไปจนสุดในคราเดียว เขาได้ยินเสียงครางในลำคอของอีกฝ่าย แต่ฟังมิออกมาสุขสมหรือเจ็บปวด เขากอบกุมสะโพกนั้นด้วยมือสองข้างแล้วเริ่มควบขับจากด้านหลังของศิษย์น้อง
จ้าวมี่เหรินหอบหายใจ ยันมือสองข้างไว้บนผ้าเนื้อหยาบที่ปูรองพื้นถ้ำ เขากำลังอยู่ในท่าคานเข่า แอ่นก้นให้คนเบื้องหลังสอดใส่กระแทกกระทั้นไม่หยุด

“ช่างรัดแน่นยิ่งนัก”

จ้าวมี่เหรินกัดฟันแน่นเมื่อรู้สึกว่าแก่นกายของตนกำลังแข็งตัวขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงแรงรัดและตอดรัวในร่างกายของตน แรงที่กระหน่ำใส่ช่องทวารถี่รัวขึ้นทุกขณะ ร่างของเขาส่ายไหวอย่างรุนแรง กระทั่งหูยังได้ยินเสียงของเนื้อกระทบเนื้อฟังดูหยาบโลนอย่างที่สุด กระทั่งเขาปลดปล่อยของเหลวออกมาเป็นครั้งที่สอง อีกฝ่ายจึงได้ปลดปล่อยน้ำอุ่นร้อนเข้ามาภายในช่องทางของเขาเป็นครั้งแรก จากนั้นแก่นกายใหญ่จึงค่อยๆถอนตัวออกไป นำพาของเหลวสีขุ่นให้ไหลออกมาอาบซอกขาไม่น้อย
โจวจิ่นเลี่ยนจ้องมองบั้นท้ายงามที่มีน้ำกามเปรอะเปื้อน ช่องทางสีแดงสดงดงามตัดกับผิวขาวราวหิมะทำให้แลดูเหมือนดอกเบญจมาศที่กำลังผลิบาน

“ท่านอิ่มหนำหรือยังเล่า” คำถามที่แฝงความประชดประชันทำให้โจวจิ่นเลี่ยนรู้สึกว่าศิษย์น้องในยามนี้น่าย่ำยีและน่ากลั่นแกล้งยิ่งนัก

“หากบอกว่ายัง จะให้ข้าเข้าไปในตัวเจ้าอีกครั้งได้หรือไม่” คำถามแหบพร่าพร้อมริมฝีปากที่กดจูบตามกระดูกสันหลัง ต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงบั้นท้ายทำให้จ้าวมี่เหรินสะดุดลมหายใจของตนเอง ช่องทางเบื้องล่างหดเกร็งเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เบารดตรงนั้น ทั้งยังขมิบรัว

ยอมรับว่าความเจ็บปวดชิงชังในตอนที่ถูกตักตวงความสุขจากร่างกาย ทำให้ตนเองโมโหและแค้นเคือง แต่มิรู้ทำไมบางอย่างที่ทิ้งตัวไว้ในใจ กลับแฝงไปด้วยความซ่านอยากและกระหายจะสัมผัสสิ่งนั้นอีกครั้ง

“ข้าจะปฎิเสธพี่ใหญ่ได้อย่างไร”

มิใช่ปฎิเสธไม่ได้…เพียงแต่การกระทำนั้นมิได้โหดร้ายอย่างที่เคยคิดต่างหาก!




TBC. ขอบคุณที่ติดตามค่ะ







ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
พี่ใหญ่จะโดน ม่ะนี่ ไม่ส่งตัวไห้ทางการ เกรงว่าเรื่อง คง ยุ่งไม่น้อย ขอบคุณที่มาต่อจ้า ^^

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
โจวจิ่นเลี่ยนมีใจให้จ้าวมี่เหรินสินะ แล้วแบบนี้จะทำยังไงต่อไป
 
:pig4:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
บทที่ 3 (50%)


‘โจวจิ่นเลี่ยน’ เป็นเด็กกำพร้า ตั้งแต่จำความได้ เขาก็อาศัยใต้ท้องฟ้าบนผืนดินเป็นบ้านของตัวเอง เขาไม่มีความทรงจำในเรื่องของครอบครัว ไม่ทราบว่าบิดามารดาเป็นใคร ใช้ชีวิตเร่ร่อนไปเรื่อยๆ

บุคคลแรกที่โจวจิ่นเลี่ยนรู้จัก และยอมรับเขาเป็นคนในครอบครัวคือ หญิงแซ่โจวผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นหญิงรับใช้ในบ้านของเศรษฐี แม้ท่านเศรษฐีเจ้าบ้าน จะมิได้เอ็นดูเด็กกำพร้าเช่นเขา แต่ก็มิได้ไสส่งให้ออกไประหกระเหเร่ร่อน ทั้งยังเมตตาให้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องว่างเล็กๆในเรือนสาวใช้

โจวจิ่นเลี่ยน มีแม่บุญธรรมเป็นสาวใช้แซ่โจว และลุงป้าน้าอาที่เป็นคนสวนคนครัวที่ช่วยกันเอ็นดูสั่งสอน ทำให้เขาเติบโตมาโดยมีจิตใจดีงาม มิได้ถูกความโหดร้ายของโลกใบนี้กัดกินจิตวิญญาณ เขาได้มีโอกาสเป็นเพื่อนเรียนหนังสือของคุณชายรองในบ้านเศรษฐี และทำงานแบกหามทั่วไปอย่างขยันขันแข็ง ชีวิตนับว่าไม่ได้เลวร้ายเท่าไรนัก

กระทั่งวันหนึ่งที่บ้านของเศรษฐีท่านนี้เกิดวิกฤต ทรัพย์สมบัตินั้นหมดไปกับการทำการค้าที่ไร้กำไรตอบแทน ท่านเศรษฐีจึงได้ไล่สาวใช้ทั้งหมดออกจากบ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้แซ่โจวสองแม่ลูกไร้ที่พึ่งพิง ออกเร่ร่อนทำงานรับจ้างไปทั่ว ชีวิตนับว่าอัตคัดขัดสนยิ่ง

ในช่วงที่โจวจิ่นเลี่ยนอายุได้เจ็ดปี แม่โจวของเขาที่ป่วยหนักเพราะขาดสารอาหาร ทั้งยารักษามาเป็นเวลานานปี ได้สิ้นใจลงที่กระท่อมเล็กๆหลังตัวเมืองแห่งหนึ่ง ยามนั้นเด็กน้อยทั้งโศกเศร้าและหิวโหย ได้แต่เดินขอทานไปทั่วตลาดในตัวเมือง

ยามนั้นโจวจิ่นเลี่ยน กำลังเดินอยู่ด้านหลังของชายผู้หนึ่งที่สวมชุดนักพรตสีขาว แล้วบังเอิญเห็นว่าถุงเงินเก่าๆใบหนึ่งได้ล่วงออกมาจากตัวของคนผู้นั้น โจวจิ่นเลี่ยนรีบสาวเท้าเข้าไปเก็บอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา เหลือบตามองแผ่นหลังตั้งสง่าของนักพรตที่เริ่มห่างออกไป อย่างคนที่มิทันรู้ตัว

ในคราแรก โจวจิ่นเลี่ยนคิดเพียงแต่จะนำเงินไปซื้ออาหารดีๆกินสักมื้อ แต่เมื่อเปิดถุงเงินดู เขากลับตกตะลึงเมื่อพบว่าในนั้นมีเหรียญทองอยู่หลายร้อยตำลึง คาดว่าจะทำให้ท้องของเขาอิ่มหนำไปอีกหลายเดือน

แต่ในขณะเดียวกัน จิตสำนึก ความผิดชอบชั่วดีที่ถูกสั่งสอนมา ทำให้โจวจิ่นเลี่ยนคิดว่า เงินในถุงนั้น อาจเป็นเงินทั้งหมดของนักพรตก็เป็นได้ หากเขานำมันไป แล้วนักพรตท่านนั้นเล่า จะมิต้องกลายเป็นคนขอทานเช่นเขาแบบนั้นหรือ เมื่อคิดได้ดังนั้น   โจวจิ่นเลี่ยงจึงรีบใช้เท้าเล็กๆวิ่งตามนักพรตผู้นั้นไปเพื่อคืนถุงเงิน

นักพรตผู้นั้นมิทราบว่าอายุอานามเท่าใด ใบหน้าอ่อนวัยดูสุขุม แต่แววตากลับลุ่มลึก คล้ายบุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเนิ่นนาน
นักพรตท่านนั้นมีนามว่า ‘จ้าวหนิงเหอ’ คำว่า ‘หนิงเหอ’ นั้น เขียนด้วยตัวอักษรที่แปลว่า ‘สายน้ำที่เงียบสงบ’ ช่างเป็นชื่อที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของคนผู้นั้นได้ดีเหลือเกิน

นักพรตหนิงเหอถามเด็กน้อยว่าชื่ออะไร ในยามนั้นโจวจิ่นเลี่ยนถูกแม่บุญธรรมเรียกเพียงว่า ‘อาโจว’ เพราะนางมิได้เล่าเรียนหนังสือ ไม่มีความคิดที่จะตั้งชื่อดีๆให้แก่เขา และเขาก็มิได้ต้องการชื่อที่ดี เป็นเพียงอาโจวที่มีลุงป้าน้าอาคนละสายเลือดเอ็นดูก็เพียงพอแล้ว

นักพรตท่านนั้นใช้สายตาที่แฝงความปราณีหลายส่วนมองเด็กน้อยอาโจว ก่อนจะถามประวัติความเป็นมา นักพรตนิ่งฟังเรื่องราวของเด็กน้อยด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยชักชวนให้ไปอยู่กับตน  เด็กน้อยดีใจอย่างยิ่ง เขามิชอบการใช้ชีวิตเพียงลำพังบนโลกกว้าง จึงรีบพยักหน้าตอบตกลงด้วยความดีใจ

หลังจากที่เด็กน้อยอาโจวได้ติดตามนักพรตหนิงเหอกลับไปที่หุบเขาเซียน ก็กราบขอฝากตัวเป็นศิษย์และได้รับชื่อที่ดีว่า ‘จิ่นเลี่ยน’ ซึ่งมีความหมายว่า 'ทักษะอันหนักแน่น' ท่านอาจารย์หนิงเหอบอกกับเขาว่า จากนี้ไปจงใช้ชีวิตที่หนักแน่น และเป็นที่พึ่งของผู้อื่นในยามเดือดร้อน

กล่าวถึงหุบเขาเซียน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสำนักฝึกยุทธ์ไร้ชื่อเสียง แห่งหนึ่ง ที่นี่มีอาจารย์สองท่านและลูกศิษย์ชายทั้งหมดรวมแล้วไม่เกินห้าสิบคน ซึ่งลูกศิษย์ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ไร้ญาติ ขาดมิตร ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ออกจากหุบเขาไปซื้อผ้าแพรในตัวเมือง ก็มักจะเก็บเด็กขอทานที่จิตใจไม่เลวกลับมาด้วยทุกครั้ง

โจวจิ่นเลี่ยนในตอนนั้นนับว่ามีอายุน้อยที่สุดในบรรดาศิษย์แห่งหุบเขาเซียน เขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งยังเฉลียดฉลาด มีความสามารถ และเข้ากับผู้อื่นได้โดยง่าย ไม่นานก็สามารถปรับตัวให้คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในป่าในเขาได้แล้ว

ในหุบเขาเซียน มีสำนักฝึกยุทธ์สองแห่ง แม้จะบอกว่ามีสองแห่ง แต่ความจริงแล้ว สถานที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน สำนักของท่านอาจารย์  หนิงเหอฝึกสอนเพลงกระบี่ กำลังภายใน และตำราพิชัยยุทธ์ ส่วนอีกสำนักซึ่งเป็นของอาจารย์อา ซึ่งมีนามว่า ‘หลิ่งเผิง’ เป็นชื่อที่มีความหมายว่า ‘สายลมเพื่อนรัก’ ฝึกสอนเพลงกระบี่ กำลังภายในและสมุนไพรต่างๆ

แม้ว่าศิษย์ในสำนักของท่านอาจารย์หนิงเหอ จะมิได้เชี่ยวชาญสมุนไพรมากเท่ากับศิษย์ในสำนักของอาจารย์อา แต่โจวจิ่นเลี่ยนเองก็พอมีความรู้จากการช่วยดูแลแปลงสมุนไพรในหุบเขาอยู่บ้าง

อาจารย์ทั้งสองท่านของโจวจิ่นเลี่ยน เป็นลูกศิษย์ของมือกระบี่ในตำนานอย่าง ‘ปักษาจันทร์’ และ ‘ปักษาตะวัน’ เมื่อศิษย์ในหุบเขาเซียนเติบใหญ่แล้วต้องการออกไปท่องโลกกว้าง ก็สามารถกราบลาอาจารย์ได้ทันที แต่ส่วนใหญ่แล้ว เหล่าศิษย์พี่ของโจวจิ่นเลี่ยนที่จากไปมักจะไม่หวนกลับมาอีก นั่นทำให้เขานึกสงสัยว่า ชีวิตในเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวายและเห็นแก่ตัว มีอะไรน่าดึงดูดกันเล่า?



 :katai4:


TBC.
รักเร่เป็นเรื่องสั้นที่ถูกสนพ.ดารินขอให้เขียนขึ้นมา จึงมีทั้งหมดแค่ 4 ตอนนะคะ (ไม่รวมบทนำและบทส่งท้าย) พล็อตเรื่องสั้นๆ เน้นความสัมพันธ์ของตัวละคร ระหว่างโจวจิ่นเลี่ยนและจ้าวมี่เหรินค่ะ
บวกกับตอนนั้นอยากเขียน NC แนวพีเรียดสนองนี๊ดตัวเองด้วย (5555)
ยังไงก็ขอฝากผลงานเรื่องอื่นๆด้วยนะคะ หวังว่าผู้อ่านจะชอบกัน ขอบคุณค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2019 23:35:04 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
รอตอนต่อไป ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รักเร่ (นิยายจีน) บทที่ 3 (50%) [16/06/62]
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-06-2019 20:55:10 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
Re: รักเร่ (นิยายจีน) บทที่ 3 (50%) [16/06/62]
«ตอบ #10 เมื่อ17-06-2019 10:12:45 »

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

บทที่ 3 (100%)


หกปีต่อมา

โจวจิ่นเลี่ยนในยามนั้น ได้เติบใหญ่และกลายเป็นศิษย์พี่แห่งหุบเขาเซียน จำได้ว่าวันนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน อากาศอบอ้าว แต่กลับมิได้ทำให้ใบหน้าหล่อเหลา คลายความแจ่มใสได้เลย ในช่วงนี้จะมีดอกไม้ผลิบาน ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี แถมน้ำในลำธารยังเย็นชื่นใจยิ่ง เขาและศิษย์น้องมักจะแอบพากันไปเที่ยวเล่นและจับปลากลับมาทำอาหารอยู่บ่อยๆ

“จิ่นเลี่ยน นับตั้งแต่วันนี้ไป เขาคือศิษย์น้องเล็กของเจ้า”

ท่านอาจารย์เอ่ยกับโจวจิ่นเลี่ยนในค่ำวันนั้น หลังจากที่เขาและศิษย์น้องกลับมาจากการหาปลาแล้ว

โจวจิ่นเลี่ยนก้มมองเด็กน้อยที่ตัวสูงแค่ช่วงเอวของท่านอาจารย์ เด็กน้อยแต่งตัวซอมซ่อ  ใบหน้าและร่างกายเปรอะเปื้อนคราบดินสีดำทำให้มองเห็นเพียงนัยน์ตาหงส์แสนสวยเท่านั้น เจ้าตัวมีท่าทางหวาดกลัวอยู่หลายส่วน พยายามยืนหลบอยู่เบื้องหลังของท่านอาจารย์ ราวกับลูกนกที่ต้องการการปกป้อง

“ข้ามีนามว่าโจวจิ่นเลี่ยน ตอนนี้เป็นศิษย์อาวุโสของท่านอาจารย์ หนิงเหอ เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่เถิด”

โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยกับศิษย์น้องเล็ก หลังจากที่ท่านอาจารย์ยกหน้าที่ดูแลเด็กใหม่ให้แก่เขา โจวจิ่นเลี่ยนยืนรอคำตอบรับอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านอกจากอาการจ้องมองเขาอย่างหวาดระแวง อีกฝ่ายก็มิได้เปิดปากกล่าวสิ่งใดเลย

“แล้วเจ้ามีนามว่าอะไรเล่า”

“…”

“พูดไม่ได้หรือ”

โจวจิ่นเลี่ยนลองหยั่งเชิง แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาหงส์คู่นั้นฉายแววไม่สบอารมณ์จึงขยับยิ้มอ่อนโยน

“หากเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำ”

โจวจิ่นเลี่ยนยื่นมือข้างหนึ่งให้อีกฝ่าย เจ้าเด็กน้อยก้มมองมือนั้นครู่หนึ่ง แต่มิยอมวางมือของตนลงไป โจวจิ่นเลี่ยนแสนลำบากใจ แต่เขามีประสบการณ์ดูแลเด็กเล็กๆเช่นศิษย์น้องเล็กผู้นี้มามาก เข้าใจจิตใจของเด็กที่กำลังหวาดระแวงอยู่หลายส่วน จึงตัดสินใจเดินนำทางโดยมิได้หันกลับไปมองเจ้าตัวเล็กอีก แต่หูของเขากลับไปยินเสียงฝีเท้าน้อยๆที่กำลังก้าวเท้าตามมา
 
โจวจิ่นเลี่ยนหายเข้าไปในเรือนไม้ไผ่ ซึ่งเป็นที่พักส่วนตัวของตนเอง หยิบเสื้อผ้าสะอาดและหวีไม้ออกมาด้วย ก่อนจะพยักหน้าให้เด็กน้อยที่ยืนรออยู่เงียบๆ ให้ก้าวเท้าตามเขาไปที่ลำธารหลังหุบเขา

โจวจิ่นเลี่ยนพยายามจับเจ้าตัวน้อยแก้ผ้า แต่ศิษย์น้องเล็กของเขา แสนจะขี้อาย พยายามขืนตัวให้หลุดจากการเกาะกุมไม่หยุด โจวจิ่นเลี่ยนได้แต่ถอนหายใจเบาๆกับความดื้อรั้น แล้วชี้นิ้วไปที่ลำธารตื้นๆ เพื่อให้เจ้าตัวน้อยลงไปทำความสะอาดร่างกาย
โจวจิ่นเลี่ยนนั่งรอศิษย์น้องเล็กชำระร่างกายอยู่บนก้อนหินริมลำธารเงียบๆ แม้ท้องฟ้าจะมืดสนิทแล้ว แต่แสงจากจันทราที่สว่างไสวกลับทำให้เขามองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดเจนยิ่ง อีกทั้งผู้ฝึกลมปราณก็สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดีกว่าคนปกติ
โจวจิ่นเลี่ยนสามารถมองเห็นใบหน้าและผิวที่ขาวสะอาดของเจ้าเด็กน้อยได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายมีใบหน้าที่งดงามเย้ายวนถึงเพียงนี้ คาดเดาได้มิยากเลยว่า ภายภาคหน้าเมื่อเจ้าตัวน้อยเติบใหญ่ย่อมมีใบหน้าที่น่ามองกว่านี้เป็นแน่ ริมฝีปากสีแดงสดบางเฉียบกับจมูกที่รั้นขึ้นเล็กน้อย ทำให้ศิษย์น้องเล็ก ดูดื้อดึงและน่ารักน่าหยิก เส้นผมสีดำที่แผ่สยายอยู่เบื้องหลังนั้นสวยสง่า แต่แฝงไปด้วยความเย็นชาเกินกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน

ศิษย์น้องเล็กใช้เวลาในการล้างตัวไม่นาน ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นจากน้ำมายืนอยู่เบื้องหน้าของโจวจิ่นเลี่ยน พร้อมกับยื่นมือเล็กๆข้างหนึ่งออกมาเป็นการขอเสื้อผ้าสะอาด

“สกปรกยิ่ง”

โจวจิ่นเลี่ยนแกล้งวิจารณ์เมื่อเห็นการอาบน้ำที่รวดเร็ว ทั้งที่เจ้าตัวมอมแมมเสียขนาดนั้นแล้ว คราบไคลยังมิทันหลุดออกจากร่างกายเลย

“ให้ข้าช่วยเจ้าเถิด”

โจวจิ่นเลี่ยนหยิบผ้าเล็กๆผืนหนึ่งขึ้นมา หมายจะช่วยขัดถูร่างกายให้ศิษย์น้องเล็ก แต่เจ้าตัวกลับก้าวเท้าถอยหลัง เป็นการหลบหนีจากมือของเขา โจวจิ่นเลี่ยนแสนแปลกใจ เดาไม่ถูกเลยว่าเจ้าตัวน้อยพบเจอเรื่องราวใดมาบ้าง
จากการเลี้ยงดูศิษย์น้องที่เข้ามาใหม่เกือบทุกคน นอกจากการหวาดกลัวในครั้งแรกที่พบกันแล้ว ก็สามารถปรับตัวและเข้ากับโจวจิ่นเลี่ยนได้เป็นอย่างดี

“ไม่อยากตัวหอมหรอกหรือ” โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยถามเสียงนุ่ม มิได้พยายามแตะต้องร่างของอีกฝ่าย
ศิษย์น้องเล็กมีท่าทางลังเลเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยหลุบมองร่างกายของตัวเองช้าๆ ราวกับต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่า ตนเองนั้นสกปรกจริงดังคำกล่าวหา ก่อนจะพยักหน้าส่งๆเป็นการอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาปรนนิบัติ

โจวจิ่นเลี่ยนขยับยิ้มขันเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กเดินลงไปนั่งจุ้มปุ๊กในลำธารตื้นๆ ที่ยามนั่งลงบนพื้นหินแล้วน้ำยังสูงเพียงอกเท่านั้น เขาถลกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นมาเหนือข้อศอก ก่อนจะก้าวเท้าตามไปขัดถูร่างกายให้ศิษย์น้องเล็ก เขาใช้แรงเพียงแผ่วเบาเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับสะดุ้งเฮือก

“เจ็บหรือ?”

โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยถาม ขณะเพ่งมองผิวกายขาวให้ดีๆจึงพบว่า บนร่างกายเกือบจะทุกส่วนของศิษย์น้องเล็ก มีรอยฟกช้ำเป็นย่อมๆ บางรอยเป็นสีม่วงคล้ำและบางรอยเป็นสีเขียวจาง

“ศิษย์น้อง ไยตัวเจ้าจึงเต็มไปด้วยบาดแผลเช่นนี้เล่า”

โจวจิ่นเลี่ยนเอื้อมมือไปเชยปลายคางของเจ้าตัวเล็กให้เงยหน้าสบตากับเขา นอกจากแววดื้อรั้น ยังมีแววหวาดกลัวเจือปนอยู่ เขาถอนหายใจเบาๆด้วยความปวดใจ…ใครกันช่างใจคอโหดเหี้ยม ถึงขั้นลงมือกับเด็กน้อยน่ารักได้ถึงเพียงนี้

“ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”

ริมฝีปากเล็กสีแดงสด เม้มเข้าหากันทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น แววตาฉายแววไม่เชื่อถือออกมาชัดเจนเสียจนคนพูดต้องหัวเราะเบาๆ เอ่ยถามพร้อมกับเลิกคิ้ว

“ไม่เชื่อข้าหรือ?” ใบหน้าขาวเนียนดั่งหยกมันแพะเงยขึ้นมองเขาโดยมิได้กล่าววาจาใด

“ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า”

โจวจิ่นเลี่ยนยื่นนิ้วก้อยออกไปเบื้องหน้า อีกฝ่ายก้มมองด้วยความงุนงง ท่าทางนั้นทำให้เขารู้สึกเอ็นดูเหลือเกิน

“ยื่นนิ้วก้อยให้ข้าสิน้องเล็ก ข้าเกี่ยวก้อยทำสัญญากับเจ้า ย่อมต้องรักษาสัญญาตลอดไป ไม่ใช่แค่ไม่ทำร้ายเจ้า แต่ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีอีกด้วย”

มือน้อยยื่นนิ้วก้อยของตนเองออกไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของคนตัวใหญ่กว่าช้าๆ ราวกับเชื่อถือและไม่เชื่อถืออยู่ในเวลาเดียวกัน
โจวจิ่นเลี่ยนดึงศิษย์น้องเล็กที่ร่างกายเบาหวิวอย่างเด็กขาดสารอาหารขึ้นมาวางบนตัก ความสงสารบังเกิดขึ้นในใจขณะประคองกอดอีกฝ่ายไว้แนบอก พร้อมกับสัญญากับตนเองว่า เขาจะดูแลเด็กน้อยคนนี้ตลอดไป…




“บอกข้าสิ นี่เป็นครั้งแรกของเจ้า ใช่หรือไม่?”

โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยถามหลังจากที่ไฟราคะได้มอดไหม้ลงแล้ว ร่างเปลือยเปล่าของคนสองคนยังเกาะเกี่ยวกันแนบแน่น โดยมีสิ่งใหญ่โตของเขาสอดประสานอยู่ในร่างของผู้เป็นศิษย์น้อง

“ถ้าใช่เล่า?”

จ้าวมี่เหรินหอบหายใจแรง ขณะผงกศีรษะขึ้นไปมองดวงหน้าของคนถาม นัยน์ตาหงส์สีดำสนิทมิได้ฉายให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกในส่วนลึกของคนถามเลย

“ข้าย่อมดีใจที่เป็นบุรุษคนแรกของอาเหริน” น้ำเสียงนั้นแฝงแววหยอกเย้าอยู่หลายส่วน

“ข้ามิเคยคิดว่าท่านจะหลงระเริงในกาม”

โจวจิ่นเลี่ยนหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินประโยคต่อว่าของศิษย์น้อง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบไล้ปลายคางอย่างครุ่นคิด…เขาน่ะหรือที่หลงระเริงในกาม? เกรงว่าจะเป็นความจริงตั้งแต่ได้สัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายเสียแล้ว มิรู้ว่าทำไมความยับยั้งที่เคยมีจึงได้ทลายไปเสียหมด

“แล้วเจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าหลงใหลหรือ?”

จ้าวมี่เหรินพริ้มตาหลับไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าคำถามเช่นนั้นช่างยากเย็นเกินกว่าที่สติปัญญาของตนจะทำความเข้าใจได้ หากแต่ความทรงจำบางอย่างในวัยเด็ก ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาเซียนกลับทำให้จิตใต้สำนึกสั่นไหว เผลอยื่นริมฝีปากเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งคิด

“เจ้าคิดจะทำอะไร”

เป็นโจวจิ่นเลี่ยนที่เบือนหน้าหนีจากริมฝีปากนั้น

“สำหรับท่านแล้ว ข้าสำคัญหรือไม่” จ้าวมี่เหรินกระซิบถาม

“อาเหริน ย่อมสำคัญสำหรับข้า”

ฝ่ามือเรียวยาวเอื้อมไปรั้งปลายคางของศิษย์พี่ให้หันมาสบตากับตนเอง

“ท่านอยู่เพื่อข้าเพียงคนเดียว ได้หรือไม่”

โจวจิ่นเลี่ยวหลุบตาลงต่ำเมื่อได้ยินคำถามนั้น ศิษย์น้องรู้ดีแก่ใจว่าเขามิอาจต้านทานเสน่ห์ของตนได้ ไยต้องพยายามล่อลวงกันถึงเพียงนี้

“รอให้เจ้าหายดีก่อนเถิด ข้าจำเป็นต้องส่งเจ้าให้ทางการ”

จ้าวมี่เหรินขยับยิ้มหยัน เขารู้ดีว่าศิษย์พี่เป็นคนซื่อตรง คนซื่อตรงที่จะมิทำสิ่งใดที่ขัดต่อกฎหมายและคำสอนของอาจารย์ นั่นคือสิ่งที่เขาหลงใหลและชิงชังในเวลาเดียวกัน

“ข้ารู้ว่าทำผิด” จ้าวมี่เหรินเปรยช้าๆ


“ซือจุนมิเคยสอนให้ศิษย์ในสำนักมีนิสัยลักขโมย”

“ข้าเคยขโมยของจากท่าน” นี่มิใช่ครั้งแรกที่ข้าลักขโมยเสียหน่อย

“ข้ารู้…ทุกสิ่งที่อาเหรินต้องการจากข้า ไยต้องลักขโมย เพียงบอกมาคำเดียว”

จ้าวมี่เหรินย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในวันวาน เขามิได้ลักขโมยตำรายุทธ์จากศิษย์พี่เพราะต้องการเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งเสียเมื่อไร เขาลักขโมยก็เพื่อให้อีกฝ่ายโกรธเคืองเท่านั้นเอง มันคงดีกว่าที่ศิษย์พี่จะเลิกใช้สายตารักใคร่อย่างลึกล้ำทอดมองดูเขา เพราะเขามิอยากเผลอตัวเผลอใจให้รักใคร

ความรักมิใช่ยาพิษ…แต่จะออกฤทธิ์เมื่อสิ้นรัก

ไยเขาต้องแสวงหาความรู้สึกที่สิ้นเปลืองอย่างเช่นความรักนั่นด้วย เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของเขาเอง ศิษย์พี่ย่อมเป็นความอ่อนแอที่จะเกิดขึ้นแก่เขาในภายภาคหน้า

“ข้ามีเส้นทางของข้า”

“ข้ามิได้อยู่บนเส้นทางเดียวกับเจ้า”

โจวจิ่นเลี่ยนทราบดีว่าศิษย์น้องของเขามิยอมละทิ้งการออกท่องโลกกว้างและปล้นชิงทรัพย์สินจากเศรษฐีขี้ตระหนี่และขุนนางโกงกินเป็นอันขาด ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่ขัดต่ออุดมการณ์ของตน

“นั่นหมายความว่า ข้ามิได้สำคัญจริง”

ในสายตาของโจวจิ่นเลี่ยน…ศิษย์น้องของเขาผู้นี้ชิงชังโลกกว้าง

แต่ในสายตาของจ้าวมี่เหริน…ศิษย์พี่ของตน ช่างโง่เขลาและมองโลกในแง่ดีเกินไป

“ไยกล่าวเช่นนั้นเล่า”

“หากข้าสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จงละทิ้งเส้นทางของท่านเพื่อข้าได้หรือไม่”

จ้าวมี่เหรินย่อมไม่สนหากคนทั้งโลกหันหลังให้เขา เพราะเขาทราบดีว่า ‘บางสิ่ง’ ต่อให้ต้องการมากเพียงใด ก็ใช่ว่าจะสามารถครอบครองได้

“แล้วเจ้าล่ะ ละทิ้งเส้นทางของเจ้าเพื่อข้าได้หรือไม่”

“ไม่มีวัน”



TBC... ตอนต่อไปจะเล่าเรื่องราวของมี่เหรินให้ฟังนะคะ ว่าเป็นใคร เติบโตมาอย่างไร

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ






ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ขอบคุณที่มาอัฟ ให้ได้อ่าานกัน รอตอนหน้า จร้า ^^

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

บทที่ 4


ตระกูล ‘ซง’ เป็นคหบดีที่มีหน้ามีตาในอำเภอเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทำการค้ามารุ่นสู่รุ่นจนมั่งคั่งร่ำรวย ทั้งยังเป็นเจ้าของที่นาและกิจการต่างๆมากมาย นับว่าเป็นตระกูลที่ทำให้ใครหลายคนอิจฉา โดยเฉพาะฮูหยินซงที่แต่งเข้าตระกูลมาอย่างภาคภูมิ แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ฮูหยิงซงต้องทนทุกข์มากเพียงใด

กล่าวถึงประมุขซงคนปัจจุบันนั้น แม้จะมิใช่คนดีมีเมตตาหรือใจกว้างดั่งมหาสมุทร แต่ก็นับว่าเป็นคนที่เคารพกฎหมายและทำการค้าอย่างสุจริต หน้าตา ฐานะหรือก็นับว่าดี เลี้ยงดูบ่าวไพร่อย่างเหมาะสม แต่เสียอย่างเดียวที่เป็นคนเจ้าสำราญและมักมากในกาม

แม้จะมีฮูหยินใหญ่ ฮูหยิงรอง อนุภรรยา และบ่าวบำเรอมากมาย ประมุขซงก็ยังแอบลักลอบได้เสียกับขี้ข้าในเรือน เท่านั้นมิพอ ยังนิยมชมชอบการไปหาความสุขที่หอนางโลมเป็นชีวิตจิตใจ ฮูหยินใหญ่แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะอย่างน้อยนางก็เป็นเพียงคนเดียวที่ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรธิดาทั้งหมดสามคน ส่วนบรรดาเมียเล็กเมียน้อยของสามี นางย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีโอกาสให้กำเนิดมารหัวขน แต่ใครจะรู้ล่ะว่าวันหนึ่งสามีจะพาหญิงนางโลมหน้าตางดงามหมดจดกลับบ้านในสภาพท้องโต
หญิงนางโลมผู้นั้นมีนามว่า ‘เหลียงซูมี่’ เป็นดอกไม้งามอันดับหนึ่งแห่งหอเฝิ่นลู่ที่มีชื่อเสียงในเมือง ข่าวฉาวโฉ่แบบนี้แหละที่มักเป็นเรื่องเล่าสนุกปากยามจิบน้ำชา ไม่นานหัวข้อข่าวการรับเหลียงซูมี่เป็นอนุภรรยาในตระกูลซงก็ถูกกล่าวถึงไปอีกนานหลายเดือน ฮูหยินใหญ่แสนอับอาย ไม่กล้าก้าวเท้าออกจากเรือนด้วยซ้ำ และนั่นทำให้นางตระหนักได้ถึงความหลงใหลของสามีในตัวนังแพศยาคนนั้น 

หกเดือนต่อมา เหลียงซูมี่ได้ให้กำเนิดคุณชายเล็กแห่งตระกูลซง แต่เพราะนางเป็นหญิงไร้การศึกษา ฮูหยินใหญ่จึงใช้โอกาสนี้ ออกปากขอเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนเด็กน้อย ซึ่งประมุขซงในเวลานั้นที่รู้สึกผิดต่อฮูหยินใหญ่บ้างไม่มากก็น้อย จึงได้มอบอำนาจในการดูแลจัดการลูกชายคนนี้แก่นาง

เด็กน้อยผิวขาวหน้าตาน่ารักได้รับการตั้งชื่อว่า ‘มี่หมิง’ ที่พร้องเสียงกับคำที่มีหมายความว่า ‘ช่วงชีวิตที่ลึกลับ’ นับว่าเป็นชื่อที่ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย

‘มี่หมิง’ เติบโตมาในดงของสตรีอสรพิษ ที่แก่งแย่งชิงความโปรดปรานของผู้เป็นสามี เด็กน้อยใช้ชีวิตในฐานะของบุตรตระกูลซงอย่างสมศักดิ์ศรีจนมีอายุได้เจ็ดปี กระทั่งวันหนึ่งที่ ‘เหลียงซูมี่’ ถูกฮูหยินใหญ่ใส่ร้ายและสร้างหลักฐานปลอมว่านางคบชู้กับคนสวน ทำให้นางถูกประมุขซงไล่ออกจากตระกูล ระเหเร่ร่อนไปที่ใดไม่ปรากฏ

ชีวิตนับแต่นั้นของมี่เมิงก็ราวกับตกนรกทั้งเป็น เขาถูกกลั่นแกล้งอย่างออกนอกหน้าจากผู้หญิงใจยักษ์ ทั้งหาเรื่องลงโทษสั่งสอนโดยการให้อดอาหาร ทุบตีสารพัดจนมีสภาพสะบักสะบอม แต่ผู้เป็นบิดาหาได้สนใจไม่ ด้วยเพราะเด็กน้อยได้ใบหน้าที่ถอดแบบมาจากมารดายิ่งนัก ยิ่งมองก็ยิ่งแค้นใจ จึงปล่อยให้บรรดาคนของฮูหยินใหญ่ทำตามอำเภอใจ เพียงแค่ไม่ตายก็นับว่าปราณีแล้ว
ซงมี่เมิงเกลียดทุกคนในชีวิตของเขา!

เกลียดมารดาที่ทอดทิ้งเขาไป เกลียดมารดาที่ใช้มารยาสารพัดในการแย่งชิงความโปรดปรานจากสามีของผู้อื่น
เกลียดบิดาที่ไม่เคยปกป้องดูแลเขาเลย

เกลียดพี่น้องที่กลั่นแกล้งเขาสารพัด

เกลียดแม่ใหญ่ที่แกล้งทำดีกับเขามาโดยตลอด กระทั่งวันหนึ่งจึงแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาให้เขาได้รับรู้ว่า นางไม่เคยเห็นเขาเป็นคนในตระกูลเลย

ในช่วงงานเทศกาลกราบไหว้บรรพบุรุษของตระกูลซง มี่เมิงตัดสินใจใช้ความวุ่นวายในการตระเตรียมงาน แอบหนีออกจากบ้าน เร่ร่อนไปตามเมืองต่างๆ ค่ำไหน นอนนั่น ทั้งถูกรังแกจากขอทานเจ้าถิ่นและพวกพ่อค้าทาส ในแต่ละวัน เด็กน้อยต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงมานานกว่าสองเดือน กระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบนักพรตประหลาด ที่ยื่นมือให้เขาแล้วถามว่า…ต้องการไปอยู่ในหุบเขาเซียนกับข้าหรือไม่?

ในยามนั้นเด็กน้อยทั้งหิวโซ และร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แม้อยากจะวิ่งหนีต่อไปเรื่อยๆก็ทำไม่ไหวเสียแล้ว จึงได้แต่พยักหน้าอย่างขลาดกลัวแล้วเดินตามนักพรตท่านนั้นไป

ต่อมามี่เมิงได้กราบเป็นศิษย์นักพรตท่านนั้น…ใช่แล้ว คนผู้นั้นคือจ้าวหนิงเหอหรืออาจารย์ของโจวจิ่นเลี่ยนนั่นเอง
มี่เมิงได้พบกับโจวจิ่นเจี่ยนผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางไปถึงหุบเขาเซียน สถานที่แห่งนั้นเมื่อเทียบกับคฤหาสน์ตระกูลซงแล้ว ไม่นับว่าสบาย แต่ย่อมดีกว่าการกินนอนข้างถนนแน่นอน มี่เมิงใช้เวลาในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงสัปดาห์ที่หนึ่ง เขาไม่ยอมเข้าใกล้ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆเลย นอกจากโจวจิ่นเลี่ยนและท่านอาจารย์ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมอ้าปากพูดสักคำ

ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนที่แปลกประหลาดนัก มี่เมิงไม่รู้ว่าเพราะอะไรศิษย์พี่ใหญ่จึงได้ใจดีกับเขาเป็นพิเศษ ทั้งที่เขาก็มิเคยทำดีกับอีกฝ่ายเลย ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มี่เมิงมิเคยลืม ทั้งช่วยฝึกสอนกำลังภายใน เป็นคู่ซ้อมเพลงกระบี่ ปักชุนเสื้อผ้าที่ขาด หากมีอาหารดีๆก็มักจะเก็บไว้ให้เขากินก่อน แม้กระทั่งช่วงภัยแล้งที่ปลูกไม่ได้แม้แต่ข้าว มี่เมิงทนกินมันเทศเสียจนไม่สามารถกลืนลงคอได้อีกแล้ว พี่ใหญ่ก็จูงมือเขาเข้าไปในป่า เดินอยู่หลายชั่วยาม ก็สามารถจับกระต่ายป่าตัวหนึ่งมาย่างไฟปรุงรสด้วยเครื่องเทศให้เขากินได้ 

หลังจากนั้นไม่นานมี่เมิงได้เริ่มเปิดปากพูดคุยกับคนอื่นๆ ท่านอาจารย์หนิงเหอเมื่อทราบว่าเขามีชื่อที่ไม่เป็นมงคลว่า ‘มี่เมิง’ จึงได้ตั้งชื่อให้เขาเสียใหม่ว่า ‘มี่เหริน’ ใช้อักษรคำว่า ‘มี่’ เหมือนเดิม ส่วนคำว่า ‘เหริน’ มีความหมายว่า ‘ความเมตตา’ ดังนั้นชื่อของเขาจึงมีความหมายที่ดีว่า ‘ความลับ ความเมตตา’

มี่เหรินดีใจมากที่ตอนนี้ตนเองมีชื่อที่ดี เช่นเดียวกับศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก จึงถือโอกาสนี้ เปลี่ยนมาใช้แซ่เดียวกับท่านอาจารย์ ซึ่งท่านอาจารย์ก็ใจดียอมให้เขาใช้แซ่จ้าว เช่นเดียวกับศิษย์ในสำนักอีกหลายคน

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่มี ‘มี่เมิง’ ที่อ่อนแอไร้สามารถอีกแล้ว จะมีก็แต่ ‘จ้าวมี่เหริน’ ที่แข็งแกร่ง เขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแก และจะไม่ยอมให้ผู้ใดมีอิทธิพลเหนือชีวิตของเขา สำหรับเขาแล้ว ความรักความปรารถนาดี เป็นเพียงความรู้สึกที่น่าชัง เกิดขึ้นและหายไปอย่างไร้เหตุผล เช่นเดียวกับความรู้สึกของท่านพ่อที่มอบให้แก่ผู้หญิงหลายต่อหลายคนอย่างละโมภ
จ้าวมี่เหรินเฝ้ามองศิษย์พี่คนแล้วคนเล่า กราบลาท่านอาจารย์แล้วก้าวเท้าออกจากหุบเขาเซียนไปโดยไม่ได้หวนกลับมาอีก เขาเองก็มีเป้าหมายใหญ่ในชีวิตเช่นกัน เขาปรารถนาจะออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง ปรารถนาจะปล้นชิงทรัพย์สินเงินทองจากคนที่เขาต้องการ เพื่อความสะใจและสนองความต้องการส่วนตน หากเขาไม่มีเป้าหมายนี้อยู่ในใจ การใช้ชีวิตต่อไปดูจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง มันเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่งที่เขาใช้กลบฝังจิตใจบิดเบี้ยวของตนเอง

ตั้งแต่ที่จ้าวมี่เหรินมีเป้าหมายในการก้าวเท้าออกไปจากหุบเขาเซียน เขาก็เริ่มวางความสัมพันธ์กับผู้คนไว้อย่างเท่าเทียม ผู้คนต่างคิดเอาเองเพียงฝ่ายเดียวว่าสนิทสนมกับจ้าวมี่เหรินผู้สุภาพและงดงาม เพียงแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาคบหาผู้คนไว้ใช้สอยเท่านั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับว่าในเวลานั้นเขาต้องการอะไร ไม่มีใครสลักสำคัญพอจะให้เขาอยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับอีกฝ่าย

หรือบางที…ในส่วนลึกของจิตใจนั้น ไม่เคยศรัทธาในความรักความเชื่อใจเลยต่างหาก

สำหรับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว คนผู้นี้เป็นแหล่งประโยชน์ชั้นเลิศ เพียงแต่ความหวั่นไหวบางอย่าง ทำให้เขามิกล้าฉกฉวยผลประโยชน์ได้อย่างสบายใจ จึงค่อยๆก้าวเท้าออกห่างจากอีกฝ่ายทีละเล็กทีละน้อย กระทั่งเจ็ดปีต่อมา เขาก็ห่างเหินจากอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์ การสนทนาระหว่างทั้งคู่ก็มีเพียงประโยคทักทายสั้นๆตามมารยาทเท่านั้นเอง

จ้าวมี่เหรินสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายในการเป็นจ้าวกระบี่ จ้าวแห่งพิษ และจ้าวแห่งกำลังสายหยิน เขาเคยแสร้งมีใจให้ศิษย์พี่ผู้หนึ่งในสำนักเพื่อหลอกล่อ ขอวิชากระบี่ลับที่ฝ่ายนั้นคิดค้นขึ้นมา ใช้ประกอบกับวิชาที่ท่านอาจารย์สั่งสอนทำให้เขาเป็นมือกระบี่ที่ดีที่สุดในบรรดาศิษย์แห่งหุบเขาเซียน

ไม่ว่าศิษย์พี่หรือศิษย์น้องในสำนัก หากจ้าวมี่เหรินปรารถนาให้ลุ่มหลง ปรารถนาจะใช้ประโยชน์ ฝ่ายนั้นย่อมมิอาจปฎิเสธเสน่ห์อันร้ายกาจของเขาได้ ไม่ว่าจะลุ่มหลงในใบหน้า หรือลุ่มหลงเพราะยาเสน่ห์ก็เป็นอีกเรื่อง

ใช่แล้ว…จ้าวมี่เหรินเป็นจ้าวแห่งยาพิษ จึงมิแปลกที่เขาจะรู้จักตำรับยามากมายพอจะใช้เสริมสร้างความลุ่มหลงให้ตนเองได้ง่ายๆ จ้าวมี่เหรินมิรู้สึกผิดแม้แต่น้อย

ผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ส่วนผู้ที่โง่เขลาย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ฉลาด นั่นเป็นสัจจะธรรมหนึ่งของโลก
ในค่ำวันหนึ่ง ขณะที่จ้าวมี่เหรินมีอายุครบ 15 ปี เขาตัดสินใจกราบลาท่านอาจารย์ แล้วเร้นกายหายไปจากหุบเขาเซียน โดยไม่แม้แต่จะร่ำลาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก

นับตั้งแต่วันนั้น จ้าวมี่เหรินได้กลายเป็น ‘จอมโจรหน้ากากทอง’ ผู้ปล้นชิงทรัพย์สินเงินทองเพื่อความสะใจ ชมชอบการเห็นบุคคลที่อยู่เหนือผู้อื่นพังทลายในชั่วข้ามคืน คอยหัวเราะเยาะเย้ยเศรษฐีใหญ่ที่แสร้งใช้ชีวิตหรูหราเช่นเดิม ทั้งที่เงินทองนั้นสาบสูญไปเกือบทั้งหมดแล้ว





“อาเหริน”

เสียงของศิษย์พี่ใหญ่ที่ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ได้ปลุกให้จ้าวมี่เหรินตื่นจากภวังค์ เขาหลุบตามองถ้วยไม้ไผ่ในมือที่บรรจุของเหลวสีดำ ในนั้นคือยาถอนพิษตำรับลับจากคุกหลวง ศิษย์พี่ใหญ่ใช้สมุนไพรแห้งที่เก็บไว้ในกระเป๋าหนังสัตว์บนอานม้า นำมาปรุงยาให้เขาดื่ม นับตั้งแต่วันที่เขามีสัมพันธ์สวาทกับอีกฝ่ายก็ผ่านมาถึงสามวันแล้ว และกำลังภายในที่ถดถอยก็กลับมาจนเกือบสมบูรณ์แล้วเช่นกัน ยามนี้เห็นสมควรที่จะต้องจากลา

จ้าวมี่เหรินยกถ้วยยาในมือขึ้นดื่มจนหมด แล้วส่งคืนให้อีกฝ่ายที่รับมาตรวจสอบเช่นทุกครั้งว่าเขาดื่มจนหมดแล้วจริงๆ
“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแล้ว”

โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยขึ้น หลังจากที่ยื่นปลายนิ้วไปสัมผัสข้อมือของผู้เป็นศิษย์น้องเล็กและแน่ใจว่าอีกฝ่ายแข็งแรงมากพอสำหรับออกเดินทางไกล

“ข้าหนาว”

ริมฝีปากซีดเซียวพร้อมกับอาการตัวสั่นเบาๆ ทำให้โจวจิ่นเลี่ยนหัวใจอ่อนยอบ ประคองศิษย์น้องเข้ามาในอ้อมกอดพลางลูบศีรษะเล็กทุยเบาๆอย่างเคยชิน

เพราะความประมาทชั่วขณะ บวกกับที่เขาเห็นว่าศิษย์น้องเล็ก ทำตัวว่าง่ายมาตลอดหลายวัน จึงได้คลายความระมัดระวัง และถูกอีกฝ่ายใช้กำลังภายในกระชากร่างของเขาเข้าหาตัว พร้อมกับใช้ริมฝีปากเย็นๆประกบลงมาอย่างรุนแรง ลิ้นอ่อนนุ่มที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของเขาโดยไม่ให้ตั้งตัว

โจวจิ่นเลี่ยนตัวแข็งทื่อ ตะลึงกับรสสัมผัสหวานล้ำ ก่อนจะทันรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างถูกส่งเข้ามาในโพรงปากก่อนจะไหลลงคอไปอย่างง่ายดาย โจวจิ่นเลี่ยนไอแคกๆอยู่หลายหน หลังจากที่ถูกปล่อยให้ริมฝีปากเป็นอิสระ

“เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” เขาถามด้วยความโมโหต่างจากท่าทีสุขุมอย่างในยามปกติ

“อย่ากังวล เป็นเพียงยานอนหลับเท่านั้น”

จ้าวมี่เหรินเคยได้รับฉายาว่า ‘ดอกไม้สารพัดพิษ’ สมัยที่ยังอยู่ในหุบเขาเซียน เพราะเจ้าตัวนิยมชมชอบการเก็บอาวุธลับมีพิษไว้แทบทุกส่วนของร่างกาย ทั้งเข็มดอกท้อในเส้นผม ผงรักเร่หมื่นราตรีในแขนเสื้อ ยานอนหลับฤทธิ์รุนแรงบริเวณฟัน และอื่นๆที่ผู้อื่นใดก็คาดไม่ถึง

โจวจิ่นเลี่ยนรู้ดีในความสามารถนี้ แม้ในตอนร่วมรักกับผู้เป็นศิษย์น้อง เขาก็ระมัดระวังตัวเสมอ เพียงแต่เมื่อครู่ไม่คาดว่าจะถูกอีกฝ่ายจู่โจมกะทันหัน

ร่างของโจวจิ่นเลี่ยนไร้เรี่ยวแรง เขาถูกอีกฝ่ายประคองให้นอนบนพื้นถ้ำอย่างนุ่มนวม ใช้ผ้าผืนหนึ่งห่อหุ้มร่างกายให้อบอุ่นในยามค่ำคืน

“ข้ามันคนใจแคบนัก ข้าไม่ต้องการท่านที่รักษาผลประโยชน์ให้แก่ผู้คนในใต้หล้า”

จ้าวมี่เหรินกระซิบแผ่วเบา ฝ่ามือเรียวยาวลูบศีรษะผู้เป็นศิษย์พี่อย่างอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ ราวกับว่าในวินาทีนี้ เป็นเพียงวินาทีเดียวในชีวิตของเขา ที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงให้ใครบางคนได้รับรู้

“แต่ข้าต้องการท่าน คนที่พร้อมจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียว”

แสงตะวันสีส้มในยามเย็นสาดส่องเข้ามาทางปากถ้ำ อาบไล้ผิวขาวของจ้าวมี่เหริน ทำให้มองดูราวกับเทพเซียนที่กำลังเปล่งแสงสว่างก็มิปาน

“อา…เหริน” โจวจิ่นเลี่ยนที่กำลังถูกฉุดรั้งเข้าสู่ห้วงนิทรา พยายามเปร่งเสียงในลำคออย่างยากลำบาก

“ข้าให้เวลาท่านเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น…”

จ้าวมี่เหรินจุมพิตบนหน้าผากของผู้เป็นศิษย์…

ข้ามิต้องการมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ยิ่งมิต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้ใด และย่อมมิต้องการมีความรู้สึกเกินจำเป็นอย่างเช่นคำว่า ‘รัก’ หากท่านปฎิเสธข้าในครั้งนี้ ข้าย่อมไม่มีโอกาสให้ผู้ใดอีกเป็นครั้งที่สอง

“หาไม่แล้ว…ข้าจะไม่รอท่านอีก”




TBC.

จริงๆเนื้อเรื่องทั้งหมดจบเท่านี้ เเต่...เเต่ ยังมีบทส่งท้าย 555
ไม่รู้นักอ่านเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อหรือเปล่า รู้สึกเขียนยากจังเลย
มี่เหรินมีความหวั่นไหว หรือชอบพอศิษย์พี่ตั้งเเต่สมัยที่อยู่ในหุบเขาเซียนเเล้ว
เเต่ด้วยความยึดมั่นในใจ คิดว่าความรักเนี่ยไม่จำเป็น
มนุษย์ทุกคนก็เเย่เหมือนกันหมด ฉันอยู่ของฉันคนเดียวได้ ฉันไม่ต้องการยึดติดกับใคร
อีกอย่างเเนวทางการใช้ชีวิตของสองคนนี้ต่างกันมาก อาโจวยอมรับการใช้ชีวิตอินดี้
ออกปล้นคนอื่น อยู่ในป่าในเขาไปเรื่อยๆเเบบนี้ไม่ได้ เเต่อาเหรินก็โรคจิตหน่อยๆ
ฉันชอบอยู่ในป่า ฉันชอบปล้น จะทำไม
เเต่ตอนที่ได้เสียกับศิษย์พี่เเล้ว เริ่มลังเลว่าจะจากกันทั้งอย่างนี้ดีเหรอ
ถ้าจากกันครั้งนี้ อาจไม่มีทางได้เจอกันอีก เลยออกปากชวนผู้ชายอ้อมๆนั่นเเหละค่ะว่า
จะไปอยู่กินกับฉันมั้ย ฉันรอเธอหนึ่งเดือนนะ ถ้าไม่มา ฉันจะครองโสดจนตาย
อารมณ์ประมาณนี้ เเต่เราไม่อยากใช้ถ้อยคำบรรยายที่มันชัดเจนเกินไป
ด้วยความที่เป็นเรื่องสั้น เลยอยากให้จินตนาการกันเต็มที่ หวังว่านักอ่านจะไม่เบื่อ 'รักเร่' นะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

 :pig4:




ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
 :L2: :L2:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
อาชาสีดำเหยียบย่างผ่านทุ่งดอกรักเร่ในเวลาบ่ายแก่ๆ แสงตะวันแรงกล้าอาบไล้ใบหน้าของโจวจิ่นเลี่ยน ทำให้เกิดหยดเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมาตามหน้าผากและไลผม กะนั้นก็มิทำให้ความหล่อเหลาคมคายลดลงเลย

นับตั้งแต่ที่อาเหรินจากเขาไป ก็เป็นเวลากว่าสิบวันแล้ว เขาตัดสินใจละทิ้งหน้าที่และตัวตนทั้งหมดเพื่อออกตามหาคนสำคัญกลับคืนมา ในเวลาสามปีที่อาเหรินหายตัวไปจากหุบเขาเซียน ไม่มีวันใดเลยที่จิตใจของเขาสงบ แม้มิได้ออกตามหา แต่บางส่วนในจิตใจกับคาดหวังการพบหน้าอีกฝ่ายเพียงสักครั้งก่อนตาย

โจวจิ่นเลี่ยนสูบลมหายใจลึก กลิ่นหอมของดอกไม้และผืนป่าเขียวขจีทำให้จิตใจสงบ ในสมองแว่วยินเสียงคำสัญญาของตนเองครั้นในอดีต บางที…เขาคงมิได้เกิดมาเพื่อทำสิ่งถูกต้อง คงไม่ได้เกิดมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คงไม่สามารถใช้ชีวิตที่หนักแน่น และเป็นที่พึ่งของผู้อื่นในยามเดือดร้อนได้อย่างเช่นที่อาจารย์คาดหวัง

บางที…ชีวิตของเขาก็มิได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการทำตามคำสัญญาในวัยเยาว์

“ยื่นนิ้วก้อยให้ข้าสิน้องเล็ก ข้าเกี่ยวก้อยทำสัญญากับเจ้า ย่อมต้องรักษาสัญญาตลอดไป ไม่ใช่แค่ไม่ทำร้ายเจ้า แต่ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีอีกด้วย”

โจวจิ่นเลี่ยนควบม้าให้พุ่งทะยานผ่านทุ่งดอกรักเร่ จุดหมายปลายทางคือทุ่งดอกรักเร่แห่งต่อไป รอยยิ้มบางปรากฏบนดวงหน้าหล่อเหลา หากอาเหรินต้องการให้เขาพบ เขาย่อมหาตัวอีกฝ่ายพบได้ในไม่ช้านี้…

ดอกรักเร่ หมายถึง ความไม่แน่นอน ความไม่ซื่อสัตย์ ความไม่มั่นคง และการไขว่คว้าหาความรักที่ไม่มีวันมาถึง

แต่สำหรับโจวจิ่นเลี่ยน...ดอกรักเร่ หมายถึง ความสูงศักดิ์

สง่างาม และตลอดกาล

ไม่ว่าความหมายของดอกรักเร่จะดีหรือไม่…เขาก็มิมีวันเปลี่ยนสายตาไปมองดอกไม้ชนิดอื่น

…..

ข่าวการหายตัวไปของนายกองโจว แห่งกองปราบฝ่ายเหนือ ทำให้ราชสำนักปั่นป่วน  มิคาดว่าผู้มือฝีมือดีถึงเพียงนี้ จะสิ้นชีพใต้คมกระบี่ของจอมโจรหน้ากากทอง แต่ถึงอย่างไรนายกองคนใหม่ย่อมได้รับการแต่งตั้งและรับหน้าที่ออกตามจับจอมโจรผู้นั้นต่อไป

ในครานี้ โจมโจรหน้ากากทองได้ออกปล้นอีกครั้งพร้อมกับศิษย์คนสำคัญที่สวมหน้ากากสีเงิน การทำงานร่วมกันนับว่าแปลกตายิ่งนัก คนทั้งสองไม่ฆ่าหรือทำร้ายผู้คน การออกปล้นเว้นระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งไปมาราวภูตผี นายกองคนแล้วคนเล่าล้วนคว้าน้ำเหลว ทำให้ราชสำนักเสียหน้ายิ่งนัก การเสียหน้าหลายต่อหลายครั้งทำให้ราชสำนักยอมวางมือไปเองด้วยความเจ็บใจ

ซึ่งทั้งหมดนี้ คือเรื่องเล่าลืมยามจิบน้ำชาของชาวต้าหมิงที่ค่อยๆเลือนหายไปตามยุคตามสมัย เมื่อมีเรื่องน่าสนใจมากกว่าเข้ามาแทนที่




END


 :L2:


ในอีบุ๊คมีตอนพิเศษ 2 ตอนที่ไม่ได้ลงเว็บนะคะ เป็นฉาก NC รักๆใคร่ๆของคู่ผัวเมีย
เรื่องนี้เค้าไม่ได้บอกรักกันนะ 555 ใช้การเเสดงออกทางกายล้วนๆเลย เนื้อเเนบเนื้อก็เข้าใจอยู่ >//<
ขอบคุณที่ติดตามเรื่องสั้นเรื่องนี้ หวังว่าจะได้เจอกันใหม่ในนิยายเรื่อง เเอคโนเซีย 2 ค่ะ
สวัสดีค่ะ ^^

ติดต่อนักเขียน >> https://www.facebook.com/PKrabKrab

สั่งซื้อ e-book ราคา 59 บาท >> https://www.mebmarket.com/ebook-100404-Dahlia-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88

เว็บไซต์ http://darin-novel.lnwshop.com/

ฝากอุดหนุนหน่อยนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2019 22:59:40 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ดีมากเลย แง ชอบแบบนี้!!!!! อยากอ่านตอนพิเศษซื้อได้ที่ไหนนนนนนนน  :katai1:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ดีมากเลย แง ชอบแบบนี้!!!!! อยากอ่านตอนพิเศษซื้อได้ที่ไหนนนนนนนน  :katai1:
E-Book ลงใน meb ประมาณสิ้นเดือนสิงหาคมค่ะ ราคา 60 บาท (โดยประมาณนะ)
ส่วนหนังสือที่คุยกับสนพ.ล่าสุดคือออกต้นปีหน้าเลยค่ะ
(มีการเปลี่ยนกำหนดการ เพราะสนพเเจ้งข่าวว่ามีปัญหาด้านงบประมาณ ตอนนี้ปิดตัวชั่วคราวอยู่ค่ะ)
ขอบคุณนะคะที่ติดตามผลงาน  :pig4: :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :hao7:สนุกมากเลยค่าา เขินด้วย :mew4:

ออฟไลน์ Fufufeel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบมากเลยค่ะ สนุกมาก :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
สนุกกมากกก โอววนึกว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันซะแล้วพี่ใหญ่ผู้เที่ยงธรรมกับน้องเล็กจอมโจร ดีใจที่สุดท้ายก็ตามหาหัวใจตัวเองทัน nc ดี  :katai2-1: :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด