พิมพ์หน้านี้ - Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Willhammin ที่ 30-07-2019 15:35:50

หัวข้อ: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 30-07-2019 15:35:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



Agnosia
#ภาวะเสียการระลึกรู้

เเฟนเพจของนักเขียน (https://www.facebook.com/PKrabKrab)

ผลงานในเล้าเป็ด
รักเร่ (เเนวจีนโบราณ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70430.msg3978842#lastPost)
ใครอยู่ในห้อง? (โรเเมนติก/สืบสวน) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67383.0)
เเอคโนเซีย (โรเเมนติก/ดราม่าเล็กน้อย) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70728.0)
ผลงานทั้งหมด (https://www.facebook.com/notes/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9A-boys-love/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9A/1280233968753620/)

:กอด1:

ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 30-07-2019 15:36:41
บทนำ


I love you not because of who you are,

but because of who I am when I am with you.

ฉันรักเธอไม่ใช่เพราะสิ่งที่เธอเป็น

แต่รักเพราะสิ่งที่ฉันเป็น เวลาที่ได้อยู่กับเธอ. 

 

          คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ย?

          สำหรับผม…ผมไม่เชื่อ

          ผมเคยคาดหวังว่าวันหนึ่ง ผมจะได้พบกับ ‘เนื้อคู่’ พบกับใครบางคนที่ทำให้ผมเป็นตัวของตัวเองเมื่อได้อยู่กับเขา เขาไม่จำเป็นต้องรวย ไม่จำเป็นต้องหล่อ และไม่จำเป็นต้องดีกว่าใครๆ ผมต้องการแค่คนที่ผมรักและรักผมโดยไม่มีเงื่อนไข

          โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ การที่ได้พบใครบางคนโดยบังเอิญนับเป็นความอัศจรรย์

          ผมได้พบกับ ‘พอร์ช’ เขาสอนให้ผมรู้จัก ‘ความรัก’ ผมคิดว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปจนแก่เฒ่า ผมหวังอย่างนั้น

          แต่พรหมลิขิตคือใครล่ะ?

          ถ้าเขามีอยู่จริง…เขาลิขิตให้เรารักกัน แต่ทำไมไม่ลิขิตให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไปโดยไม่มีอุปสรรค

          เพราะในโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคน มีหลายครั้งที่เราตัดสินความถูกต้องหรือความผิดจากความคิดของคนอื่น ผมเลือกเหตุผลมากกว่าความรู้สึก พรหมลิขิตไม่ได้ช่วยให้ผมอยู่กับเขาตลอดไป มีแต่ผมที่เป็นคนลิขิต และผมได้ลิขิตให้ความสัมพันธ์ของเรายุติลง

          ผมเคยคิดว่า ผมสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีเขา…

          แต่ผมเพิ่งเข้าใจ…แม้จะมีคนรอบตัวมากมาย ทั้งเพื่อนและครอบครัวแต่ผมกลับรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน ผมเผลอนับทุกๆก้าวที่เดินจากเขามา ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองอ่อนแอ แต่ในตอนนี้ผมอยากให้เขารู้ว่า…ทุกเศษเสี้ยวหัวใจของผมกำลังคิดถึงเขาที่สุด

          จังหวะที่คุณได้พบกับคนที่คุณรักและรักคุณ นับเป็นจังหวะที่วิเศษมาก ผมทำพลาดที่คิดว่าวันหนึ่งจะได้พบความรักใหม่ๆที่ดีอีกสักครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงห้าปี ผมจึงได้รู้ว่ามันอาจไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในชีวิต

          คุณอย่าทำผิดพลาดเหมือนกับผม…อย่าปล่อยคนที่รักคุณไป ไม่ว่าจะพบอุปสรรคใดก็ตาม




 
หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 30-07-2019 15:52:07

บทที่ 1 โอกาสครั้งที่สอง



บริษัทยูเนียนประเทศไทย สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เปิดรับสมัครวิศวกร 1 อัตรา (แผนก Grease Production)

คุณสมบัติ

1. เพศชาย

2. เกิดปี พ.ศ. 25xx

3. จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ

4. ส่วนสูงอยู่ระหว่าง 175-180 ซม.

สถานที่ปฎิบัติงาน

กรุงเทพมหานคร

เงินเดือน

30,000-50,000 บาท

รายละเอียดงาน

1. ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง

2. ตรวจสอบความเรียบร้อยของการบำรุงรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์ในแผนก

3. ร่วมกับผู้บังคับบัญชาในการวิเคราะห์ปัญหาต่างๆในการทำงาน

4. ควบคุมงบประมาณการซ่อมบำรุง

5. ตรวจสอบและอนุมัติการเบิกวัสดุอุปกรณ์ในแผนก

6. วางแผนการผลิต

 

พี่กรีน

LINE AUDIO…

            ผมละความสนใจจากเอกสารบนหน้าจอคอมพิวเตอร์มามองไอโฟนตกรุ่นที่กำลังส่งเสียงร้อง และพบว่าบุคคลที่โทรเข้ามาคือพี่รหัสของผมที่จบการศึกษามาจากคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกัน

            ผมเลื่อนปลายนิ้วแตะหน้าจอเพื่อกดรับสายก่อนจะยกไอโฟนมาแนบหู ไม่ต้องมีญาณทิพย์ผมก็รู้ว่าสาเหตุที่ไอ้พี่กรีนโทรมาต้องเป็นเรื่องของประกาศรับสมัครงานที่เจ้าตัวส่งมาให้ทางอีเมลแน่ๆ

            “ไงพี่เขียว”

            ไอ้พี่กรีน หรือชื่อในวงการว่า ‘ไอ้เขียว’ ‘น้องเขียว’ ‘อีเขียว’ ‘พี่เขียว’ และอื่นๆอีกมากมาย ฉายาพวกนี้ล้วนแต่ได้มาจากเพื่อนพี่น้องที่เคารพรักขนานนามให้ และไม่ใช่เพราะพี่มันผิวดำคล้ำเข้าขั้นเขียว แต่เป็นเพราะอีพี่ชอบย้อมผมสีเขียวแบบไม่ไว้หน้าอาจารย์ในคณะกับสโลแกนประจำใจว่า

            ‘ผมสีเขียวไม่มีผลต่อคะแนนสอบ’                 

            ครับ ตามนั้นเลย ตามแต่ความพอใจของพี่ท่านเลย

            ถ้าไม่ใช่เพราะพี่กรีนเป็นคนจันที่เกรดดีมาก อาจารย์คงไม่ปล่อยให้มันโดดเด่นเป็นสง่าพร้อมกับหัวเขียวๆมาถึงสี่ปี แต่ล่าสุดที่ผมได้เจอ พี่มันย้อมผมสีดำทำให้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย ก็ลองอีพี่เอาสโลแกน ‘ผมสีเขียวไม่มีผลต่อการทำงาน’ ไปใช้ในบริษัท ผมว่าคงถูกเตะโด่งออกไปตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะครับ

            “อ่านรายละเอียดงานที่กูส่งให้หรือยัง”

            “กำลังอ่านอยู่พี่”

            ผมชื่อ ‘วิน’ ภาษาอังกฤษสะกดว่า W-I-N แม่บอกว่าย่อมาจาก WINNER ที่แปลว่า ‘ผู้ชนะ’ ซึ่งในชีวิตจริงกูแม่งไม่เคยชนะเชี่ยไรเลยครับ

            เริ่มจากคนที่ผมชอบ ไม่ดิ เรียกว่ารักเลยดีกว่า มันไม่เคยรู้เลยว่าผมแอบรักมันมากกกกมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว ที่เจ็บสุดคือมันเสือกคบกับเพื่อนสนิทกูเฉยเลย ต่อมาผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแถมรักกันปานจะแดกหัวกลับต้องเลิกราเพราะคุณแม่ขอร้อง

            ยังครับ ยังไม่หมด ชีวิตน้องวินกำลังบัดซบถึงขีดสุดก็ตอนนี้แหละ ขณะนี้เลยครับ

            ผมทำงานเป็นวิศวกรที่บริษัท X มา 5 ปีแล้ว ทำตั้งแต่เป็นเด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ เงินเดือนสตาร์ทที่ 16,000 บาท สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่ต้องหาห้องเช่าซุกหัวนอนในกรุงเทพกับเงิน 16,000 บาท นี่กูพอใช้แต่ไม่พอเลี้ยงครอบครัวเลยครับ โชคดีที่บ้านผมมีธุรกิจขายยาเล็กๆ ยาสามัญประจำบ้านนะครับ ไม่ขายยาไอซ์  ยาอี ยาบ้า พ่อแม่และยายของผมจึงมีเงินกินเงินใช้ไม่ลำบาก

            ที่ชีวิตผมมันแย่และตกต่ำเพราะเจอหัวหน้างานเชี่ยๆที่ชอบขโมยผลงานของลูกน้องเอาดีเข้าตัวเอาเรื่องชั่วๆมาโยนให้วินตลอดเลยครับ เพื่อนร่วมงานเก่งๆต่างก็พากันย้ายงานไปอยู่บริษัทดีๆเลิศๆ มีแต่คนเกรดน้อยอย่างผมที่ยังหางานใหม่ไม่ได้ ต้องทนทำงานเงินเดือน 18,000 บาท ทั้งที่อยู่คู่บริษัทมานานถึง 5 ปี ตอบแทนกูด้วยการขึ้นเงินเดือน 2,000 บาทเนี่ยนะ พ่อมึงตายเหรอฮะ

            “แล้วเป็นไง สนใจเปล่า”

            “ไอ้สนมันก็สนอยู่นะ โดยเฉพาะเงินเดือนแม่งดีชิบหาย”

            เงินเดือนสตาร์ทที่ 30,000 บาท มีที่ไหน วินเพิ่งเคยเห็นครับแม่ แถมไม่เอาประสบการณ์การทำงานหรือกำหนดเกรดขั้นต่ำ หรือบางบริษัทหนักหน่อยก็จะระบุ มหาวิทยาลัยชื่อดังที่ต้องการ มหาวิทยาลัยโนเนมมึงหมดสิทธิ์นะครับ

            “แล้วมึงจะมัวลังเลทำส้นตีนอะไรวะ รีบๆส่งใบสมัครมาได้แล้ว”

            ไอ้พี่เขียวส่งเสียงเร่ง พี่มันทำงานที่ยูเนียนมาได้สองปีแล้ว ยูเนียนเป็นบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศไทยที่ทำการบุกเบิกการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 25xx

            “คุณสมบัติง่ายๆ แถมเงินเดือนระดับนี้มึงคิดว่าจะหาได้จากที่ไหนอีก นี่กูบอกเลยนะว่าคนมาสมัครเป็นร้อย แต่ตกสัมภาษณ์หมดเลย ตอนนี้ตำแหน่งเลยยังว่าง”

            กูก็อาจเป็นหนึ่งในคนที่ตกสัมภาษณ์ไงพี่!

            ยูเนียนเป็นบริษัทที่วิศวกรทุกคนใฝ่ฝันจะได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาทำงานได้ ต่อมาเกิดวิกฤติภายในบริษัททำให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเรียกง่ายๆว่าเปลี่ยนเจ้าของกิจการนั่นเอง ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการฟื้นฟูความมั่นคงกลับมาอีกครั้ง

            “ก็มันแปลกอะ พี่ไม่รู้สึกเหรอ” เหตุผลที่ทำให้ผมลังเลก็เป็นเพราะคุณสมบัติการรับสมัครงานนั่นแหละโว้ย

            “ทำไมต้องระบุคนที่เกิดปี 25xx เท่านั้น ถ้าต้องการคนอายุน้อยก็ระบุว่า 20-30 ปีแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ เรื่องส่วนสูงก็อีก กูไปสมัครเป็นวิศวกรนะไม่ใช่สจ๊วต จะเอาส่วนสูงไปทำเชี่ยอะไรฮะ”

            “เออมันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ แต่คุณสมบัติพวกนี้บอสเป็นคนกำหนดมาเองเว้ย ฝ่ายรับสมัครงานก็พูดไรไม่ได้มาก”

            “พี่หมายถึง CEO คนใหม่ที่เข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทอะเหรอ”

            ผมได้ข่าวว่าบริษัทที่เทคโอเวอร์ยูเนียน เป็นญาติกับเจ้าของคนเก่านั่นแหละ เรียกว่าศึกสายเลือดก็คงได้ เรื่องเงินๆทองๆยิ่งไม่เข้าใครออกใครอยู่ด้วย

            “เออ กูเคยเจอสองครั้ง แม่งเป็นคนที่แปลกมาก ตอนกูเห็นคุณสมบัติรับสมัครงาน กูเลยเฉยๆ”

            อ้าว ตายห่า

            “แปลกไงวะ แล้วพี่ก็จะชวนผมไปทำงานกับเจ้านายแปลกๆเนี่ยนะ”

            อยู่บริษัท X กูเจอเจ้าของกิจการโง่ ชอบลูกน้องประจบประแจง แล้วถ้ากูย้ายไปเจอเจ้านายแปลกๆ บ้าๆ บอๆ อีก จะไม่เป็นการหนีเสือปะจระเข้หรือไงวะ

            วินต้องการชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นครับแม่ เข้าใจมั้ย ไม่ใช่ตกต่ำลงทุกวันแบบเน้!

            “แค่แปลก แต่กูไม่ได้บอกว่าบอสไม่ดีนี่หว่า”

            “แล้วแปลกยังไงของพี่วะ”

            พี่เขียวเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับกำลังคิดคำจำกัดความของเจ้านายคนใหม่

            “บอสแม่งตาแข็งมากเลยมึง”

            ผมเผลอเลิกคิ้ว ตาแข็งเนี่ยนะ?

            “ตาแข็งแบบไหน แบบแดกกาแฟแล้วไม่ได้นอนงี้เหรอ”

            “ไม่เว้ย ตอนแรกกูคิดว่าบอสตาบอด”

            ผมว่าคนตาบอดไม่น่าเข้ามาบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ให้กลับมามั่นคงได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนนะ

            “เค้าถือไม้เท้าแล้วใส่แว่นดำเหรอ” ผมถาม

            “ไม่ เค้ามองอะไรแบบไม่โฟกัส”

            พี่กรีนมันหมายถึง บอสเป็นคนที่ชอบมองไปเรื่อยๆใช่มั้ย?

            “แค่นี้พี่ก็บอกว่าเค้าแปลกแล้วเหรอวะ”

            เท่าที่รู้จักกันมา กูว่าพี่มึงแปลกกว่าอีก

            “มีอีก บอสเค้าดูเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง แบบหล่อเหี้ยๆแต่น่ากลัวมาก”

            ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

            “มันคือออร่าของคนระดับผู้บริหารต่างหาก”

            “เออ เอาไว้มึงมาเห็นเองดีกว่า กูอธิบายไม่ถูกแต่เขาก็ดีกับพนักงาน ทั้งเก่าทั้งใหม่นะ ถ้ามึงตั้งใจทำงานรับรองว่าไม่มีปัญหาไรหรอก มาเถอะเชื่อกู”

            “เออ ไว้จะส่งใบสมัครออนไลน์ไปก่อนละกัน”

            “โอเค ขอให้มึงโชคดีได้งานนี้นะเว้ย”

            ผมตัดสินใจว่าจะส่งใบสมัครไปที่ยูเนียนถ้าผ่านก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าไม่ผ่านก็แค่หางานใหม่ ไหนๆชีวิตมันก็เฮงซวยอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้แล้วแหละ

            “ขอบคุณครับพี่”

 

 

สัปดาห์ต่อมา ผมได้รับจดหมายเชิญทางอีเมลให้ไปสัมภาษณ์งานที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทยูเนียน ผมโคตรตื่นเต้นเลย วันนี้ผมตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้ามาท่องสคริปท์ที่เตรียมไว้ เป็นพวกคำถามยากๆที่บริษัทยักษ์ใหญ่ชอบใช้ แล้วก็ซ้อมแนะนำตัวเองที่หน้ากระจกอีกเป็นสิบรอบ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ไอ้ภาษาอินเตอร์นี่ผมให้ไอ้พี่เขียวช่วยเขียนโพยให้ เพราะถ้าผมเขียนเองอาจจะแสดงความกากของบุคคลผู้อนุรักษ์และอยากสืบสานการใช้ภาษาไทย

ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้า ผมกำลังยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกเป็นรอบที่ร้อยเพื่อพยายามมองหารอยยับบนชุดสูทที่ดูเป็นทางการที่สุดของผม

ส่องซ้าย…อ๊ากกกก หล่อเหลา!!

ส่องขวา…อ๊ากกกก แลดูเป็นคนฉลาดมากกกก!!

มองรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องให้ใครมาชม ผมก็ชมตัวเองได้ ผมเชื่อว่าการทำให้กรรมการที่มาสอบสัมภาษณ์ประทับใจตั้งแต่แรกพบสบตาเป็นเรื่องสำคัญ แล้วผมก็คาดหวังกับงานนี้ไว้มาก

สาบานเลยนะว่าวันที่เข้าประชุมงานที่บริษัท X ผมยังไม่เคยรีดเสื้อด้วยซ้ำ คิดดูว่าผมทุ่มเทให้ยูเนียนมากแค่ไหน

วันนี้เป็นวันดี ผมเลือกที่จะโบกแท็กซี่ไปยูเนียนแทนการขึ้นรถไฟฟ้า ไม่ใช่ไรหรอก วินกลัวสูทยับครับ ผมอุตส่าห์ตั้งใจรีดอยู่เป็นชั่วโมง ผมจะดูหม่นหมองเพราะคราบเหงื่อไม่ด้ายยยย

ผมต้องเด่นที่สุดในบรรดาผู้สมัคร!!

ผมลงจากแท็กซี่ในเวลา 08.40 น. ผมมาก่อนเวลานัด 20 นาทีตามที่คาดไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมเป็นมืออาชีพ ผมมีความรับผิดชอบ ผมตรงต่อเวลา บลาๆๆๆๆ อา…พอก่อน

“สวัสดีครับ”

ผมเดินตรงเข้าไปทักทายประชาสัมพันธ์สาวคนสวยที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์สีดำสุดหรู ตอนที่เดินเข้ามาด้านในสำนักงาน ผมสังเกตเห็นว่าอาคารทั้งหลังถูกตกแต่งแบบร่วมสมัยโดยคุมโทนดำเทา ซึ่งการตกแต่งและการเล่นสีไม่ได้ทำให้ดูมืดมนเลยแต่กลับดูคลาสสิคไปอีก ไม่ต้องเห็นหน้าเจ้าของกิจการก็รู้ว่าต้องรวยและมีระดับแค่ไหน

เฮ้อออออ ขอไว้อาลัยให้ตัวเองสิบวิ ทำไมพระเจ้าไม่ยุติธรรม ทำไมไม่ให้มนุษย์ทุกคนเกิดมามีเงินเท่ากันล่ะครับท่าน

“ผมมาตามนัดสัมภาษณ์งานครับ แผนก Grease Production” ผมเอ่ยพร้อมกับยื่นเอกสารการนัดสัมภาษณ์งานให้คุณประชาสัมพันธ์

“สักครู่นะคะ”

เธอเหลือบตามามองเอกสารของผมครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเช็คข้อมูลจากคอมพิวเตอร์

“ชั้น 14 ห้อง U1409 ค่ะ” เธอยื่นคีย์การ์ดสำหรับกดลิฟท์ให้ผมก่อนจะยกมือไหว้งามๆตามมารยาท

“ขอบคุณครับ”

 

 

ผมรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าชั้นที่ 14 เป็นส่วนของแผนกบุคคล ไม่ใช่ส่วนของห้องประชุม หรือห้องว่างขนาดใหญ่ที่มักจะใช้ในการสัมภาษณ์งาน แล้วนอกจากผมก็ไม่มีผู้สมัครคนอื่นอีกเลย…ไม่มีคนยื่นใบสมัครแล้วจริงดิ งั้นผมก็มีโอกาสมากขึ้นใช่มั้ยวะ

“คุณปัฐวี เชิญค่ะ”

หลังจากที่ผมถูกขอให้นั่งรอประมาณสิบห้านาที ก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินมาเชิญให้ผมเข้าไปในห้อง U1409 เธอเคาะประตูเบาๆสามครั้งก่อนจะขอตัวกลับไปทำงาน

ผมผลักประตูกระจกที่ติดม่านบังตาให้เปิดออกแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้อง กวาดสายตามองผ่านๆอย่างรวดเร็วและพบว่าภายในถูกตกแต่งเรียบง่ายด้วยข้าวของน้อยชิ้น ส่วนคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานกลางห้องคือผู้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวทันสมัยแต่ดูเป็นทางการ

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เธอแล้วกล่าวอย่างสุภาพ

“เชิญนั่งค่ะ”

เธอยกมือขึ้นมารับไหว้ผมแล้วผายมือมาทางเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน

“ขอบคุณครับ”

ผมเหลือบมองป้ายหินอ่อนสีดำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ระบุว่าเธอชื่อ อชิรญา จันทร์งาม Personal Manager ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล

“พี่ชื่อเอ้ค่ะ ยินดีที่ได้พบ”

“ผมชื่อปัฐวีครับ เรียกผมว่าวินก็ได้”

ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับทางท่าสบายๆของกรรมการสัมภาษณ์งาน

“ค่ะน้องวิน พี่ว่าเรามาคุยแบบกันเองดีกว่าเนอะ วันนี้มีอะไรมาให้พี่ดูบ้างคะ”

ผมรู้สึกว่าบริษัทนี้มันแปลก…แปลกทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องเลยก็ว่าได้ บรรยากาศทุกอย่างไม่เหมือนกับที่ผมเคยพบตอนสัมภาษณ์งานกับบริษัทอื่นๆเลย

ไม่ทางการ…ไม่มีความกดดัน…ไม่มีการแข่งขัน…แล้วก็ดูไม่ได้ใส่ใจผู้สมัครเท่าที่ควร เหมือนกับมาเปิดรับสมัครแบบพอเป็นพิธีน่ะครับ โดยเฉพาะสายตาของพี่เอ้ที่มองลอดแว่นสายตากรอบสีแดงมาที่ผม มันดูเหมือนเจ๊แกกำลังประเมินสินค้าตัวอย่างชนิดหนึ่ง แล้วนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีกรรมการคนอื่นเลย คืออย่างน้อยหัวหน้าแผนก Grease Production น่าจะโผล่มาเลือกลูกน้องสักหน่อยนะครับ

พี่เอ้ให้ผมแนะนำตัวเองคร่าวๆ ว่าเรียนจบจากที่ไหน มีผลงานอะไรมานำเสนอตัวเอง ซึ่งการพรีเซนต์ของผมใช้เวลาประมาณสิบนาที ซึ่งในสิบนาทีนี้เธอไม่ได้สนใจจะฟังเลย

ทำไมผมแน่ใจใช่ปะ?

ก็พี่ท่านเล่นไอโฟนตลอดเวลาเลยนี่ครับ สายตามองจอ นิ้วกดพิมพ์ยิกๆ เอกสารการสมัครของผมที่วางอยู่ตรงหน้าเธอก็ไม่ได้แลเลยแม้แต่น้อย

เมื่อผมพูดจบ ผมก็เริ่มทำใจแล้วว่าคงไม่ผ่านการสัมภาษณ์แน่ๆ ไหนจะเกรดอันน้อยนิด จบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดอันไกลโพ้น แล้วผลงานที่มีก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าคนอื่นเลย

“จบแล้วเหรอคะ”

พี่เอ้เงยหน้าขึ้นมามองผมเมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ คือกูพูดจบไปตั้งแต่สองนาทีที่แล้ว เจ๊เพิ่งรู้สึกตัวเหรอฮะ ให้ตายสิ ถ้าประวัติของผมมันไม่น่าสนใจขนาดนั้น พวกคุณจะเรียกผมมาสัมภาษณ์งานทำไมครับ ปล่อยกูไปตามยถากรรมเลยสิ

“จบแล้วครับ”

ผมพยายามควบคุมอารมณ์ให้คงที่แล้วตอบอย่างสงบ

“รอสักครู่นะคะ”

ผมไม่รู้ว่าคุณพี่เอ้ต้องการให้ผมรออะไร ถ้าพี่ไม่ว่างทำไมไม่บอกให้ผมกลับไปก่อนแล้วค่อยติดต่อกลับไปใหม่ในกรณีที่ตกลงจ้างงานล่ะโว้ย คนที่นี่เขาทำงานกันยังไงฮะ

ผมนั่งสงบปากสงบคำรอบนเก้าอี้ตัวเดิม ทั้งที่ในสมองตอนนี้กำลังคิดถึงเมนูอาหาร หิวชิบหายเลย เมื่อเช้ากินแค่ขนมปังรองท้องมาเท่านั้น แล้วนี่จะให้กูนั่งรออย่างไร้จุดหมายไปอีกนานแค่ไหนวะ

ผมแอบเหลือบมองพี่เอ้ เธอหยุดเล่นไอโฟนแล้วกลับไปทำงาน ส่วนเอกสารการสมัครของผมก็นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิมและไม่ถูกแตะต้อง ในตอนที่ผมกำลังตัดสินใจว่าจะขอตัวกลับแบบไม่ต้องไว้หน้าบริษัท ก็พอดีกับที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

บานประตูกระจกถูกผลักเข้ามาโดยผู้ชายวัยสามสิบต้นๆในชุดสูทราคาแพง เขามีผิวขาวสะอาดอย่างคนที่มักจะทำงานในร่ม ดวงหน้าหล่อเหลาสุภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็มีบุคลิกท่าทางที่น่าเกรงขาม

“เชิญค่ะคุณภีม”

เมื่อพี่เอ้เงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้ชายที่เข้ามาใหม่ เธอก็รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเข้าไปเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเขาต้องมีตำแหน่งที่ใหญ่พอสมควร ไม่อย่างนั้นผู้จัดการฝ่ายวัยกลางคน คงจะไม่แสดงท่าทางนอบน้อมต่อคนอายุน้อยกว่าแบบนี้หรอกครับ

“ผู้สมัครคนล่าสุดค่ะ เป็นไงคะ?”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินประโยคที่พี่เอ้เอ่ยกับผู้ชายนั้น ให้ตายสิ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ได้แต่รีบผลุดลุกจากเก้าอี้แล้วยกมือไหว้เขาตามมารยาท ผู้ชายคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“ดีครับ ดีมากเลย”

ผมเผลอขมวดคิ้ว ทำไมวันนี้มีแต่คนมองหน้าวินแปลกๆครับแม่ ยัยพี่เอ้ก็คนหนึ่งแล้วนะ แล้วไอ้หมอนี่มันเป็นใคร ทำไมจ้องหน้าผมแบบ เอ่อ เหมือนเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน แล้วก็กูตามหามึงอยู่นะรู้มั้ย ประมาณนี้เลยครับ แต่ผมสาบานว่าไม่เคยรู้จักเจ้าคนนี้ แล้วผมก็ไม่เคยประสบอุบัติเหตุทำให้สมองเสื่อม รับรองว่าสมองยังใช้การได้ดีและแน่ใจมากว่าเราไม่รู้จักกัน

“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ เชิญตามสบาย” พี่เอ้กล่าวแล้วรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

เฮ้ย! เดี๋ยวดิเจ๊ สรุปจะทิ้งกูไว้กับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ ขณะที่ผมกำลังกังวลว่าควรจะวางตัวกับคนๆนี้อย่างไรดี หรือควรจะพูดอะไร…เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวเองซะก่อน

“ผมขอแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อภุมราเป็นเลขาของท่านประธาน”

“ผมชื่อปัฐวีครับ”

“ยินดีที่ได้พบครับ”

คุณภุมรายื่นมือมาให้ผม ซึ่งผมก็รีบยื่นมือไปเขย่าอย่างนอบน้อม ห่าเอ๊ย! จะไม่ให้นอบน้อมได้ยังไงล่ะ เขาเป็นถึงเลขาของท่านประธานเชียวนะโว้ย ประธานที่แปลว่าเจ้าของบริษัทอ่ะครับ

คุณภุมราเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของพี่เอ้ แล้วผายมือมาที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ผมเคยนั่ง ซึ่งผมก็รีบนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเขามีแฟ้มเอกสารสีดำ เขาวางมันลงบนโต๊ะก่อนจะหมุนมาไว้เบื้องหน้าผม

“นี่คือสัญญาการจ้างงานของคุณ กรุณาอ่านรายละเอียดให้ครบทุกข้อนะครับ ถ้าคุณพอใจกับข้อเสนอของเรา สามารถเซ็นสัญญากันวันนี้ได้เลย”

สัญญาจ้างงาน!! เฮียแกบอกว่าสัญญาจ้างงาน!!

แม่ครับ วินฟังไม่ผิดใช่มั้ย…

นี่แปลว่าบริษัทแม่งเลือกมาก เลือกจนไม่มีใครกล้ามาสมัครงาน แล้วพอผมมากลับได้เฉยเลย แบบนี้เหรอ โห้ ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรมานะ เดี๋ยวชาตินี้ผมต้องทำบุญเพิ่มแล้วครับ

ผมที่แทบจะเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เอื้อมมือไปคว้าแฟ้มสีดำมาเปิดอ่านเอกสารที่อยู่ภายใน และแม่งทำให้กูช็อคตาตั้งมากกว่าเดิมอีก

 “ผมไม่ต้องทดลองงานก่อนเหรอครับ ในสัญญานี้ให้ผมเป็น…เป็นพนักงานประจำเลย”

ผมเบิกตาโต เงยหน้าขึ้นไปถามคุณภุมราที่พยักหน้าช้าๆด้วยรอยยิ้มมิตรภาพ

“ถูกต้องครับ”

ผมเผลออ้าปากหวอเมื่อเห็นสวัสดิการแสนจะเพียบพร้อมของพนักงานประจำ ทั้งประกันสังคม ชุดยูนิฟอร์ม ค่าล่วงเวลา(OT) โบนัสประจำปี ค่าเดินทางและค่าที่พักสำหรับงานที่จำเป็นต้องออกนอกสถานที่ ค่ารักษาพยาบาลรายปี และวันหยุดพักร้อน

ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนแต่ดีกว่าบริษัท X ของผมโคตรๆเลยครับ นอกจากค่าประกันสังคม วันหยุดพักร้อน กับค่า OT อันน้อยนิด ผมก็ไม่ได้รับอะไรที่สมควรจะได้อีกแล้ว ไม่ต้องใช้สมองผมก็รู้ว่าต้องรีบเซ็นสัญญาเดี๋ยวนี้เลย ใครไม่เอาก็โง่เต็มทีแล้ว เงินเดือนก็ดี โบนัสประจำปีก็เลิศ

ให้ตายสิ ชีวิตของวินกำลังขาขึ้นแล้วครับแม่

“คือจะไม่สัมภาษณ์งานผมก่อนสักนิดนึงเหรอครับ จะรับผมจริงๆเหรอ”

ผมถามย้ำอีกครั้ง คือไม่ได้ล้อเล่นแน่นะ เดี๋ยวเซ็นสัญญาไปแล้วจะมาบอกว่ารับผิดคนเพราะชื่อเหมือนกันอะไรเถือกนั้นไม่ได้นะเฮีย

“คุณอยากถูกสัมภาษณ์งานหรือครับ”

คุณภุมราเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความประหลาดใจ คือไม่เว้ย ไม่มีใครชอบการถูกสัมภาษณ์งานหรอก กดดันจะตาย แต่ไหนๆจะรับกันแล้วก็ควรสัมภาษณ์งานบ้างเล็กๆน้อยๆปะล่ะ

“ก็ควรทำไม่ใช่เหรอครับ”

ไอ้คุณภุมราหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นว่าผมเผลอไปถลึงตาใส่เขา

“อา ผมก็ไม่เคยสัมภาษณ์งานใครมาก่อนด้วย งั้นเอาเป็นว่า…”

เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ แล้วกรอกตามองเพดาน ผมเชื่อแล้วว่าหมอนี่ไม่เคยสัมภาษณ์งานใครจริงๆ ดูจากตำแหน่งเลขาของเขา ผมว่าคงจะทำเป็นแต่การดูแลงานให้เจ้านายแน่ๆเลย…คือถ้ามันลำบากมากนัก เฮียก็เรียกเจ๊เอ้กลับมาสัมภาษณ์ผมแทนดีมั้ยล่ะครับ?

“คุณมีเป้าหมายอะไรในชีวิตครับ”

นับว่าหมอนี่เริ่มต้นได้ไม่เลว เพราะมันเป็นคำถามทั่วไปที่บริษัทส่วนใหญ่มักจะใช้สัมภาษณ์พนักงาน ดีครับ หัดไว้นะ เผื่ออนาคตจะได้ใช้อีก

“ผมอยากประสบความสำเร็จในการทำงานครับ”

ผมตอบตามสคริปท์ที่เตรียมมาแบบเป๊ะๆเลย เป็นไงล่า ดูเป็นคนหนุ่มที่มีไฟในการทำงานใช่มั้ยครับ แต่ถ้าให้ตอบความจริงจากใจ วินขอสั้นๆง่ายๆได้ใจความเลยนะ…อยากรวยครับ

“แล้วอย่างไรจึงเรียกว่าประสบความสำเร็จในการทำงานครับ”

มีการยิงคำถามต่อเนื่องด้วยครับ เริ่มรู้งานแล้วนะเฮีย

“มีความสุขกับงานที่ทำ ก้าวหน้าในงานที่ทำ แล้วก็บรรลุจุดมุ่งหมายที่บริษัทต้องการให้ผมทำ”

คุณภุมราขยับยิ้มมุมปาก แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาดูพอใจ แต่ในขณะเดียวกันผมคิดว่าเขากำลังสนุก

“ผมไม่มีอะไรจะถามแล้วครับ เชิญคุณวินเซ็นเอกสารตรงนี้”

ผมก้มมองสัญญาจ้างงานอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าชีวิตของผมต้องก้าวต่อไปในเส้นทางที่ดีกว่า ผมหยิบปากกาสีน้ำเงินขึ้นมาเซ็นชื่อโดยไม่รู้เลยว่า…พรหมลิขิตได้ให้โอกาสผมเป็นครั้งที่สองแล้ว




โปรดติดตามตอนต่อไป...

:bye2:



หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 30-07-2019 19:50:52
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-07-2019 23:30:58
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 31-07-2019 02:53:35
 :z13:
หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 31-07-2019 14:20:00
 o18 ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ เจอกันวันเสาร์น้า
หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 31-07-2019 18:33:37
 :katai5: :katai5: รอออค่ะ
หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 03/08/2562 [บทที่2]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 03-08-2019 11:35:06
บทที่ 2 ตามหารักเเท้

 

5 ปีที่แล้ว

“เฮ้ย เบาๆหน่อยครับพี่วิน มึงจะรีบเมาแต่หัววันเลยเหรอ”

ผมชะงักมือที่กำลังกรอกวอดก้าแก้วที่สามเข้าปาก เมื่อได้ยินเสียงปรามของเพื่อนสนิท

ไอ้หมอนี่ชื่อ ‘ธาม’ ปัจจุบันเรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ชั้นปี 4 มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม ส่วนผมที่เสียเวลาเปล่าๆไปถึงสองปีที่คณะเภสัชศาสตร์ ได้ตัดสินใจซิ่วมาเรียนวิศวกรรมอุตสาหการ ปัจจุบันอยู่ชั้นปี 2 ครับ

“โดนเด็กเทมาอีกแล้ว?”

เพื่อนสนิทอีกคนของผมเอ่ยถามเรียบๆ

มันชื่อ ‘ไวท์’ เรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ชั้นปี 4 คบกับผมมาตั้งแต่มอหนึ่งเช่นเดียวกับไอ้ธาม

ไอ้ไวท์เป็นบุคคลที่พระเจ้าโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมันจะเบ้าหน้าดีมาแต่กำเนิด มันยังรูปร่างดีและรวยมากอีกต่างหาก แต่เรื่องที่ผมอิจฉาที่สุดไม่ใช่หนังหน้านะครับ แต่เป็นเมียของมันต่างหาก

เจ้าเด็กนั่นชื่อ ‘พายุ’ เรียนวิศวกรรมเคมีชั้นปี 2 เป็นคนน่ารักที่กวนส้นตีนมาก

อา…ยอมรับแหละว่าแอบชอบเมียมันมาเกือบ 2 ปี แต่เพราะความกากส่วนบุคคลทำให้ผมโดนไอ้เชี่ยนี่คาบไปแดกอย่างเอร็ดอร่อย

“ทำไมทำหน้างั้น…แสดงว่าไอ้ไวท์เดาถูกอ่ะดิ”

ไอ้ธามหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นหน้าตาบูดบึ้งของผม…เออ เอาเป็นว่าไอ้ไวท์เดาถูกส่วนหนึ่งก็ได้ครับ

วันนี้เป็นอีกวันที่ผมเปลี่ยวใจ ทนเงียบเหงาอยู่ที่หอคนเดียวไม่ได้ ผมโทรชวนพวกมันสองตัวมาดื่มเป็นเพื่อนที่ Eros ซึ่งเป็นผับประจำ ปกติผมมักจะมานั่งอ่อยเหยื่อน่ารักๆที่นี่

ตั้งแต่เจ้าพวกนี้มีแฟน ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ลึกๆแล้วผมกำลังเหงา ผมต้องการความรักที่จริงจังมากกว่าความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน ผมพร้อมแล้วที่จะหยุดอยู่ที่ใครสักคน ผมพร้อมที่จะปรับตัวเข้าหาเขา ขอแค่ใครสักคนที่รักผมที่ตัวตนของผมจริงๆ

ชีวิตรักมันบัดซบเพราะผู้ชายรอบๆตัวผม เป็นพวกรักสนุกไม่ผูกพัน ตอนแรกผมก็เป็นคนประเภทนี้แหละครับ และคนประเภทเดียวกัน มักจะดึงดูดกัน แต่ตอนนี้ผมละเลิกกิ๊กเล็กกิ๊กน้อยไปหมดแล้ว คุยกับใครก็คุยทีละคนด้วยความจริงใจแต่ทำไมผมไม่ได้รับความจริงใจกลับมาบ้าง ผมต้องทำอย่างไรจึงจะดึงดูดคนดีๆสักคนเข้ามาในชีวิต

เมื่อก่อนผมตั้งสเปกแฟนตัวจริงไว้มากมาย คนๆนั้นจะต้องหล่อ น่ารัก สูง ขาว เร้าใจ แต่ตอนนี้สเปกของผมลดลงมาเหลือแค่เพศชายเท่านั้นครับ สั้นๆได้ใจความ วินชอบผู้ชายครับแม่ 

“มึงอาภัพรักปะเนี่ย หน้าตาก็ดีเสือกหาเมียไม่ได้ กูบอกแล้วว่าถ้ามันลำบากนักก็ลองหาผัวดูเผื่อจะรุ่ง”

อ๋อ อย่างมึงใช่มั้ย ถูกผู้หญิงหักอกแค่ครั้งเดียวถึงกับเซมาซบอกผู้ชาย แถมผู้ชายที่มันซบยังเป็นอริตั้งแต่สมัยมัธยม ตีกันแทบตาย สุดท้ายได้เสียเป็นผัวเมียเฉยเลย แต่ก็ยินดีด้วยนะที่มึงเปลี่ยนใจมาเข้าวงการสีม่วงกับพวกกู

“กูลองแล้ว”

“…”

“ฮะ?”

 ทุกคนถึงกับหันมาเบิกตากว้างมองผม

“กูลองเปิดใจคุยกับทุกคนแบบไม่สนว่ารุกหรือรับ กูพยายามโฟกัสที่นิสัยอย่างเดียวเลย แต่แม่งก็ไปไม่รอด”

ไอ้ธามที่กำลังช็อคแบบรุนแรงกลืนน้ำลาย ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามากระซิบถามผมเสียงเบา

“แล้วไอ้คนล่าสุดที่ทิ้งมึงไปนี่ เอ่อ ผัวมึงเหรอ”

“ผัวกูที่ไหนล่ะ ยังไม่ได้ล่อกันเลย

ผมปฎิเสธ รุ่นพี่คนล่าสุดที่ผมคุยๆอยู่ชื่อ ‘ณะ’ จะเรียกว่าพี่ก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะเขาอายุเท่ากับผม แต่ที่ผมเรียกพี่เป็นเพราะเขาเรียนอยู่ชั้นปี 4 (คณะบริหารธุรกิจ) เขาเป็นคนสุภาพ หน้าตาดี บุคลิกดี และดูเป็นผู้ใหญ่ เขาเป็นฝ่ายเข้ามาทักและขอไลน์ผม ผมยอมรับว่าให้ไลน์ไปง่ายๆเพราะผมอยากมีแฟน

“แล้วกูก็เป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนด้วย”

“อ้าว ทำไมอีกล่ะ”

ผมถอนหายใจด้วยความปลงตก ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบไอโฟนออกมา เปิดแอปพลิเคชันไลน์แล้วยื่นบทสนทนาล่าสุดที่คุยกับพี่ณะให้ไอ้     ธามอ่าน

“มึงดูดิ แม่งก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นที่เข้าหากูหรอก”

Na : วินครับ เราคุยกันมาเกือบเดือนแล้วนะ คิดยังไงกับพี่เหรอ มีโอกาสเป็นมากกว่าพี่น้องหรือเปล่า?

TheWinner : ก็ได้นะ ผมอยู่กับพี่แล้วสบายใจ

Na : พี่ก็ชอบเวลาอยู่กับวิน

Na : แล้วเมื่อไรเราจะได้เสียเป็นผัวเมียกันสักทีครับ

จอดเลยครับ!

ผมชะงักเพราะประโยคต่อมาของพี่ณะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะถามพี่เขาว่าอยากรุกหรือรับ แต่ตอนนี้ผมอยากศึกษานิสัยใจคอโดยไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่คุยกันไม่ถึงเดือนก็ขอเป็นผัวเป็นเมีย แล้วมันจะต่างอะไรกับตอนที่ผมทำตัวรักสนุกไม่ผูกพันธ์ล่ะ เซ็กส์มันพัฒนาเป็นความรักได้จริงๆเหรอ?

“เพื่อนไวท์ ช่วยกูหน่อยได้มั้ย”

ผมเอนศีรษะไปซบไหล่เพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งดื่มอยู่เงียบๆ โดยไม่ได้แสดงความเห็นอะไรมาสักพักแล้ว

“เรื่อง?”

มันเอ่ยถามสั้นๆแต่ได้ใจความเหมือนเดิม

“ยกเมียมึงให้กูได้เปล่า คนนี้กูรักเลย”

รักจริงๆครับ หวังแต่งเลย…

อีกอย่างครอบครัวของผมก็รับรู้อยู่แล้วว่าผมชอบผู้ชาย พ่อแม่และยายทำใจกันมาหลายปีแล้วว่าจะไม่ได้อุ้มหลาน แต่ครอบครัวก็คือครอบครัว ต่อให้ตอนแรกพวกท่านโกรธหรือไม่พอใจอย่างไรก็ตัดกันไม่ขาด

“ดูท่าเพื่อนวินจะไม่อยากแดกเหล้าแล้ว แดกตีนกูเป็นไง”

“ล้อเล่นน่า”

ผมเบะปากใส่ไอ้คนขี้หวง มือเอื้อมไปคว้าแก้ววอดก้ามาจิบช้าๆ สายตากวาดมองเหล่าผีเสื้อราตรีรอบตัวที่กำลังโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเพลง

เฮ้อ แม้จะมีคนรอบตัวมากมาย แต่ผมกลับรู้สึกเหงาเหลือเกิน…ทำไงดีวะ     วินอยากมีแฟน!!

“ตอนนี้กูไม่สนสถานะผัวแล้ว ขอแค่ใครก็ได้ที่รักกูจริง ๆ ยอมรับตัวตนของกู แล้วกูก็มีความสุขตอนที่อยู่กับเขา…แค่นั้นก็พอใจแล้ว พวกมึงว่ากูขอมากไปเหรอ”

ผมบ่นงึมงำ ไม่รู้เป็นห่าอะไร อยู่ๆใจมันก็บางแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาดื้อๆ ผมพยายามยกมือปาดออกลวกๆแต่ไอ้ธามมันหันมาเห็นซะก่อน

“เวร เชี่ยวินร้องไห้”

เพื่อนสนิททั้งสองคนถึงกับเงียบ ผมรู้ว่าพวกมันทำตัวไม่ถูก เพราะผมไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นมาก่อน…ผมท้อครับ ยิ่งผมพยายามไล่ตามความรักมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกว่าความรักกำลังวิ่งหนีแล้วทิ้งระยะห่างออกไปมากเท่านั้น ผมคุยกับคนมากมายและมันจบลงด้วยการกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

จุดที่ผมไม่เหลือใคร…เหมือนที่ผ่านมา

 

 

ผมพลิกตัวหนีแสงสว่างที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้า เปลือกตาสองข้างหนักเกินกว่าจะปรือขึ้น ให้ตายสิ ปวดหัวชะมัดเลย แล้วที่นี่มันที่ไหนวะ?

ผมกำลังแฮงก์เพราะเมื่อคืนดื่มหนักเกินไปเริ่มใช้มือควานเปะปะไปทั่วเตียงนอนจนกระทั่งพบ ‘ริชาร์ด ปาร์คเกอร์’ อา นี่มันห้องนอนของผมนี่หว่า แต่ผมจำไม่ได้เลยว่ากลับมาจากผับได้อย่างไร คงจะเป็นเพื่อนซี้สองตัวที่กรุณาแบกผมกลับมาส่งที่หอ เอาเป็นว่าจะไลน์ไปขอบคุณทีหลังแล้วกัน

วันนี้เป็นวันเสาร์ ส่วนเวลา…ผมไม่แน่ใจว่าสายหรือบ่าย แล้วก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลืมตาตื่นจึงเอื้อมมือไปดึงริชาร์ดเพื่อนคู่ใจมากอดไว้แน่น

ผมขอแนะนำเจ้าริชาร์ดก่อนนะครับ มันไม่ใช่ผัว ไม่ใช่เมีย แล้วก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงแสนรักอะไรแบบนั้น แต่ริชาร์ดคือตุ๊กตาหนอนชาเขียวเน่าๆที่ผมติดมากในสมัยเด็ก ไม่สิ สมัยนี้ก็ยังติด ผมจะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้กอดมันไว้ และหนอนชาเขียวตัวไหนๆก็สู้ตัวนี้ไม่ได้ เพราะเรื่องระหว่างเรามันคือความผูกพันของลูกผู้ชายที่มีมานานกว่าสิบปี…ใช่ อย่างน้อยตอนที่เหงาใจ ผมก็ยังมีมันเป็นเพื่อน

ครืนนนนน…

ผมรู้สึกว่าไอโฟนในกระเป๋ากางเกงกำลังสั่นเป็นจังหวะสั้นๆ อาจจะเป็นการแจ้งเตือนอะไรสักอย่าง ถึงว่าล่ะ เมื่อคืนผมฝันว่ามีอะไรมาเสือดสีที่ต้นขาบ่อยๆจนนกเขาเกือบขัน…

แม่งเอ๊ย!

ไหนๆเพื่อนรักก็อุตส่าห์พาผมมาส่งถึงเตียงนอนแล้ว พวกมึงๆจะหยิบไอโฟน  ออกจากกระเป๋ากางเกงให้กูนอนสบายๆหน่อยก็ไม่ได้นะ ผมคิดอย่างหงุดหงิดก่อนจะล้วงมือไปหยิบไอโฟนจากกระเป๋ากางเกงมาดูด้วยความจำใจ

หื้ม? ทำไมวันนี้มีแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คกับไลน์มากผิดปกติวะ

ผมเหลือบมองเวลาบนหน้าจอไอโฟน พบว่าเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า นับว่าตื่นเร็วแล้วครับ ผมสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อกแล้วเลือกที่จะกดเข้าไปในแอปพลิเคชันเฟสบุ๊คก่อนเป็นอันดับแรก

 

ธาม กฤตนันท์ อยู่กับ Win Pattawee และ Suteekan  Benjakul

11 ชม.

เพื่อนผมอยากมีแฟนครับ ชื่อวิน ปี 2 วิศวะอุตสาหการ ชอบผู้ชาย ไม่มีสเปก ไม่เรื่องมาก ขอคนจริงใจ รักจริงหวังแต่ง หวังฟันไปไกลๆนะครับถ้าไม่อยากมีเรื่องกับกู สนใจแอดไลน์ id : winnerPA

 

ห่าไรเนี่ย!

ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความที่ไอ้ธามโพสต์ลงในเฟสบุ๊ค พร้อมกับภาพเซลฟีของพวกเราในผับ Eros  ไอ้ธามยังดูหล่อเหลาสไตล์เกาหลีเหมือนเดิมแม้ว่ามันจะตาเยิ้มมากก็ตาม แต่ผมไม่เห็นจำได้เลยวะว่าไปถ่ายรูปนี้ตอนไหน คือที่แน่ๆกูทำหน้าแป้นแล้นมาก

ผมกดอ่านความคิดเห็นใต้ภาพ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของไอ้ธามกับไอ้ไวท์ที่เข้ามาแซวว่ามันขายเพื่อน แล้วก็ชมว่าผมหล่อไปต่างๆนาๆ ต้องหาแฟนได้ในเร็วๆนี้แน่

เฮ้อ แฟนน่ะหาง่าย แต่แฟนดีๆมีคุณภาพต่างหากล่ะครับที่หายาก

ผมกดออกจากเฟสบุ๊คแล้วเข้าไปที่แอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งมีข้อความจากคนที่ไม่ใช่เพื่อนส่งเข้ามาพอสมควร ผมไม่แปลกใจเลยว่าคนพวกนี้มาจากไหน

ข้อความที่ 1 : ชื่อวินเหรอ อยากรู้จักครับ

ผมพยายามซูมดูภาพโปรไฟล์ของหมายเลขหนึ่ง…นับว่าหล่อครับ หน้าขาว ปากแดง เจ้าสำอางระดับหนึ่ง แต่แววตาที่มองกล้องมันวิบวับแปลกๆ ผมว่าหน้าแบบนี้แม่งต้องเจ้าชู้แน่เลย ขอผ่านครับ

ข้อความที่ 2 : แบบไหนครับ รุกหรือรับ

สำหรับหมายเลขสอง ผมไม่จำเป็นต้องซูมดูหนังหน้า ผมก็เลือกที่จะตัดทิ้งทันที แม่งโคตรเกลียดคำถามนี้เลย ชีวิตพี่วินไม่ได้เจอคำถามนี้เป็นครั้งแรกนะ แต่เจอมาทั้งชีวิต ถ้ากูขอซื้อทิ้ง มึงจะขายกี่บาทฮะ

ข้อความที่ 3 : หล่อจังครับ นัดเอากันมั้ย ลีลาดีเดี๋ยวสานต่อ ถ้าไม่แซ่บถือว่าวินวินกันทั้งคู่

จ้ะ! วินวินพ่อมึงสิ

เจ้าของข้อความที่สามเป็นกอริลลาผิวเข้ม ตัดผมสั้นดูสะอาดสะอ้าน แต่องศาที่หันให้กล้องกับดวงตาที่หรี่ลงอย่างเซ็กซี่ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่านางคือตุ๊ดแอ๊บเกย์ แล้วปากที่เผยอออกเล็กน้อยของเจ๊แม่งน่ากลัวมาก เหมือนพร้อมจะเข้ามาจกตับผมอ่ะ ถ้าผมอยากเอาใครสนุกๆผมล่าเหยื่อได้ดีกว่านี้เยอะเลย ไอ้ห่า มาบอกกูวินวิน มึงต่างหาที่วิน มีแต่กูอ่ะที่ขาดทุน

ผมเลื่อนข้อความต่อมาด้วยความห่อเหี่ยวใจ กำลังลังเลเลยว่าจะโทรไปขอบใจหรือโทรไปด่าไอ้ธามดีกว่ากัน ไอ้เรื่องซึ้งใจมันก็มีบ้างนิดนึงนะ แต่ข้อความส่วนใหญ่ที่ผมได้รับ แม่งมีแต่พวกชวนเล่นว่าว แต่เรื่องแบบนี้จะไปโทษไอ้ธามก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะชื่อเสียๆที่ผมสะสมไว้ตั้งแต่ปีหนึ่งมันก็ใช่ย่อยอ่ะครับ ทุกคนจะมองว่าผมเป็นพวกรักสนุกไม่ผูกพันก็คงไม่แปลก

ผมกดอ่านข้อความสุดท้ายด้วยความปลงตก…มันถูกส่งมาจากบุคคลที่ใช้รูปโปรไฟล์เป็นรถปอร์เช่สีแดงสดที่ผมโคตรอยากได้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นรถของเจ้าตัวหรือก็อปปี้ภาพมาจากอินเทอร์เน็ต แต่อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าข้อความสั้นๆที่ทำให้ผมใจกะเทยไปหนึ่งวิ

Porshe : อยากมีแฟนที่คบกันไปนานๆ

แล้วคนใจง่ายอย่างไอ้วินจะไปไหนรอด!

TheWinner : ลองคุยกันมั้ยครับ







 วิชาแคลคูลัส 3 เปิดสอนในห้องสโลปขนาดใหญ่ที่มีนิสิตกว่าร้อยชีวิตเรียนรวมกันจากหลายคณะ นับเป็นวิชาหนึ่งที่ผมโคตรชอบเป็นพิเศษเลย อย่างแรกคือแอร์ในห้องเย็นฉ่ำมาก บวกกับเก้าอี้นวมที่แสนสบายเหมาะแก่การพักสายตายามบ่ายสุดๆ อย่างที่สองคือเสียงบรรยายยานคางของเจ๊สมพรทำให้ผมไปเฝ้าพระอินทร์ได้เร็วขึ้น

ครอกกก

ตุ้บ!

เฮือก!

ในตอนที่ผมเริ่มสัปหงกอยู่บนเก้าอี้นวมแถวสุดท้าย ผมกลับต้องสะดุ้งตื่นเต็มตาเพราะวัตถุบางอย่างถูกโยนมาไว้บนตักของผม พร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่ทิ้งตัวลงมานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ

ไอ้สิ่งที่อยู่บนตักคือกระเป๋าเป้ของผมเองครับ ผมมักจะวางมันไว้บนเก้าอี้ว่างทางขวา เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแม่งไม่มีใครมานั่งข้างกูเลยไง

ส่วนทางซ้ายของผม คือเพื่อนสนิทร่วมสาขาที่มีนามว่า ‘พิสุทธิ์’ มันเป็นเด็กเรียนสมองดี ใส่แว่นตาอันใหญ่ แต่อย่าให้ท่าทางหงิมๆของมันหลอกเอานะครับ ไอ้นี่มันหื่นตัวพ่อเลย ไม่งั้นคบกับคนอย่างผมไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าไอ้แว่นมันจะไม่สนใจผมในขณะที่มันกำลังเรียน ส่วนผมกำลังหันไปสนใจมนุษย์แปลกหน้าที่เข้ามานั่งกอดอกทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ

เอ่อ ที่จริงจะเรียกว่าแปลกหน้ามันก็ไม่เชิงอ่ะครับ เพราะผมรู้จักเขาแล้วก็คุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดีเลย  หมอนี่ชื่อ ‘ฉัตร’ หรือ ‘ฉัตรชนก’ เป็นเน็ทไอดอลประจำมหาลัย เรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจชั้นปีที่ 4

ฉัตรเป็นผู้ชายที่จัดว่าหล่อมากถึงมากที่สุด ผิวขาว ใบหน้าคมได้รูป ดวงตาสีเทาเข้มช่วยขับให้เขาดูหล่อแบบร้ายๆ แต่มันก็เร้าใจผู้หญิงใช่มั้ยละ อีกอย่างไอ้หมอนี่ชอบแก้ผ้าอ่อยสาว ทำให้มีรูปถ่ายหลุดไปลงเพจ Saxy boys อยู่บ่อยๆ

โอเคผมโม้เพลินไปนิดนึงก็ได้เขาไม่ได้แก้ผ้าอ่อยสาวหรอกครับแต่เขาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาลัยแล้วกางเกงว่ายน้ำของผู้ชาย…คงไม่ต้องให้ผมบรรยายหรอกใช่มั้ยว่ามันเน้นสัดส่วนขนาดไหนใส่ก็เหมือนไม่ได้ใส่อ่ะครับ แล้วแม่งรูปร่างโคตรเซ็กซี่ มีกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยแบบพอดีๆ ขนาดผมยังเผลอเซฟรูปของฉัตรไว้ในไอโฟน ผมจะยอมรับแบบหน้าด้านๆเลยนะว่าเก็บไว้สำเร็จความใคร่กับตัวเองอ่ะ

ฉัตรแม่งเป็นคนที่ฟีโรโมนโคตรแรง แค่ทำหน้าหยิ่งๆร้ายๆผมก็ใจสั่นแล้ว และนี่มานั่งทำส้นตีนอะไรข้างๆกูครับ ไม่กลัวโดนปล้ำเหรอฮะ

“อาร์ค อย่า…”

เสียงง้องแง้งของผู้หญิงที่นั่งอยู่แถวหน้าเอ่ยปรามผู้ชายที่นั่งติดกันเบาๆ อา ไอ้คู่นี้อีกแหละ ผมโคตรเซ็งเลย

“คิดถึงนะ…”

มา! ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมจะเม้าส์เรื่องชาวบ้านให้ฟัง ไอ้คู่นี้มักจะนั่งแถวหน้าตรงกับเก้าอี้ของผมเป็นประจำ ปกติผมไม่ใส่ใจจะจำหน้าใครหรอกครับเพราะไม่ใช่เพื่อนร่วมคณะแต่เป็นเพราะไอ้อาร์คเนี่ยมันชอบมานั่งจับนั่งล้วงยัยผู้หญิงผมทองทุกคาบเลย คือมึงไม่มีที่จะทำกันเหรอ โรงแรม หอพัก หรือห้องน้ำอะไรพวกเนี๊ย

ด้วยความที่แถวหลังสุดไม่ค่อยมีคนนั่ง หรือถ้ามีคนนั่งก็นั่งหลับกันหมด คือกูก็จะหลับนะ แต่เผอิญว่าตอนนี้ตื่นแล้ว เลยตื่นมาเห็นและมาได้ยินเรื่องที่โคตรระคายหู

“ลิซ่า คืนนี้ไปหาที่ห้องได้มั้ยครับ นะ…”

ไอ้อาร์คมันเริ่มอ้อนแล้วครับ คือผู้ชายมองผู้ชายด้วยกันออก แล้วผมก็มั่นใจมากเลยว่าไอ้หมอนี่คิดจะหลอกฟันเธอ แต่ดูท่าทางผู้หญิงก็เต็มใจให้ฟันแหละ

“ไม่ได้ บอกแล้วไงว่าแฟนจะมาหา…”

นั่งไงล่ะ!

ผู้หญิงดีๆที่ไหนเขาทำกัน มีแฟนอยู่แล้วทั้งคน แต่มานั่งให้ผู้ชายคนอื่นลูบขาอ่อนเนี่ยนะ คิดแล้วก็สงสารแฟนนางเหลือเกินครับ ไม่รู้ป่านนี้เขางอกไปกี่เขาแล้ว

“เมื่อไรจะเลิกกันอ่ะ ให้อาร์ครอ อาร์คก็รอ แต่ตอนนี้จะทนไม่ไหวแล้วนะ...”

ผมกรอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย เฮ้ย ทำไมกูต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ด้วยวะ

เหลือบซ้าย…ไอ้แว่นยังตั้งหน้าตั้งตาดิฟ sin ดิฟ cos ต่อไปอย่างใจเย็น

เหลือบขวา…ไอ้หล่อยังนั่งกอดอกทำหน้าตายเหมือนเดิม

ผมจำได้ว่าฉัตรไม่มีเรียนแคลคูลัส 3 นะครับแล้วทำไมวันนี้ถึงโผล่หัวมาที่นี่ได้ หรือว่ามาเหล่สาว…ผมพยายามสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ไม่ว่ะ ฉัตรแม่งมองตรงอย่างเดียว ถ้าจะมาจีบสาว สาวคนนั้นคงเป็นเจ๊สมพรแล้วล่ะ

“วันนี้พอแค่นี้ค่ะ กลับไปทบทวนบทที่สี่ด้วย”

เจ๊สมพรเอ่ยเมื่อถึงเวลาบ่ายสามตรงเจ๊แกปิดโปรเจคเตอร์เก็บกระเป๋าแล้วก้าวออกไปจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เร็วพอๆกับนิสิตอีกหลายชีวิตที่รีบพุ่งออกไปติดๆ

“ให้ไปส่งมั้ยครับ”

ไอ้อาร์คเอ่ยถามสาวสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไม่ต้อง ลิซ่าจะให้แฟนมารับ”

ผมพยายามไม่สนใจบทสนทนาที่ลอยเข้าหูแล้วเริ่มเก็บสมุดและหนังสือเรียนใส่ลงในกระเป๋าเป้ ยังไม่ทันจะได้หันไปขอยืมเลคเชอร์ของไอ้แว่นก็ต้องชะงักปากเพราะเสียงเย็นชาที่ติดจะกวนประสาท

เสียงนั้นไม่ได้ดังและไม่ได้เบา แต่ประโยคที่เจ้าตัวใช้ต่างหากที่ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบ พร้อมกับความสนใจของทุกคนที่พุ่งมาที่ตัวคนพูด

“ยังกล้าโทรให้แฟนมารับอีกเหรอ นี่เราไม่รู้เลยนะว่ากำลังคบกับผู้หญิงหรือคบกับแรด”

ถ้าผมเบิกตากว้างมองฉัตรด้วยความตกใจแล้ว ผมว่าคนที่ตกใจมากกว่าก็คือยัยลิซ่า ผมคิดว่าเธอช็อคไปแล้วล่ะ ก็จะไม่ให้ช็อคยังไงไหวในเมื่อไอ้โง่ที่โดนแฟนสวมเขามันเสือกนั่งฟังตัวเองอี๊อ๋อกับผู้ชายแบบโคตรใจเย็นเลยอ่ะ

ผมอยากคุกเข่าคารวะให้ฉัตรซะตรงนี้เลย คนบ้าอะไรโคตรเท่โคตรคูล คือถ้าเป็นผมนะ ทั้งแฟนทั้งชู้ได้ล่วงจากเก้าอี้ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาในห้องแล้ว ไม่ปล่อยให้มันล้วงๆคลำๆกันมาเป็นชั่วโมงแบบนี้หรอก

แต่เอ่อ…จะว่าไป คนที่ดูนิ่งๆมักจะโมโหร้ายนะครับ!

 

 
TBC.

ใครสนใจคู่พี่ไวท์กับน้องพายุ สามารถติดตามอ่านได้ที่นี่ (https://www.mebmarket.com/ebook-61306-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99-2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%9A&page_no=1)
หนังสือออกกับค่ายดารินนะคะ เเต่ตอนนี้หมดสต็อก จะรีปริ้นประมาณสิ้นปีค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 07/08/2562 [บทที่3]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 07-08-2019 12:54:56
บทที่ 3 จับชู้กลางห้องเรียน

“ฉัตร!”

ลิซ่าร้องด้วยความตกใจ ใบหน้าสวยหวานของเธอซีดขาวไม่ต่างจากคนเห็นผี แต่ผมว่านาทีนี้ ต่อให้เป็นผีก็น่ากลัวน้อยกว่าฉัตรล่ะครับ ฉัตรลุกจากเก้าอี้แล้วสาวเท้าอย่างใจเย็นไปหยุดยืนตรงหน้าของลิซ่า ส่วนผมที่กำลังลุ้นระทึกกับเหตุการณ์จับชู้กลางห้องเรียนก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่เงียบๆ คือจะว่าผมเสือกไม่ได้นะครับ เพราะคนอื่นๆในห้องต่างก็พุ่งความสนใจมาที่ฉัตรเหมือนกัน บางคนที่เสือกมากหน่อยถึงกับหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาบันทึกวิดีโอเลยแหละ

“เป็นอะไร ตกใจเหรอที่รัก”

ฉัตรเอ่ยถามพร้อมกับมือที่เอื้อมไปลูบแก้มแฟนสาวอย่างอ่อนโยน จริงๆแล้วมันควรจะดูเหมือนการกระทำที่แสดงความรักใคร่นะครับ แต่เพราะรอยยิ้มมุมปากของฉัตรนั่นแหละที่ทำให้ใบหน้าหล่อๆดูร้ายกาจราวกับปีศาจ แค่ผมเห็นผมยังเสียวสันหลังเลยอ่ะ

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ลิซ่าอธิบายได้”

ลิซ่าเหลือบมองนิสิตที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้องเรียนด้วยความอับอายและดูเหมือนว่าเธอใกล้จะร้องไห้เข้าไปทุกทีแล้ว

“เธออยากอธิบายหรืออยากตอแหล เอาให้แน่”

ฉัตรถามเรียบๆแต่แม่งเป็นประโยคที่โคตรไร้ความปราณีเลย ถ้าเป็นผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหนเหมือนกันครับ

“ฉัตร เบาๆหน่อยค่ะ”

ลิซ่าครางในลำคอ ผมคิดว่ามือสองข้างของเธอกำลังสั่นระริก ไม่แน่ใจว่าเธอกลัวหรือว่าอายแต่ผมเดาว่าทั้งสองอย่าง

“เราไปคุยกันที่อื่นดีมั้ยคะ”

“อายเหรอ? แล้วทีตอนคบผู้ชายสองคนพร้อมกันทำไมไม่อาย”

โฮ้วววววววว!!

แรงชิบหาย ขนาดไม่ได้ด่ากู กูยังอาย แม่งไม่คิดเลยว่าคนหล่อจะปากร้ายขนาดนี้ รับรองเลยว่าชาตินี้ทั้งชาติ วินจะไม่เป็นศัตรูกับพี่แน่นอนครับ

“ไอ้ฉัตร มันจะมากเกินไปแล้วนะเว้ย!”

ไอ้อาร์คผลุดลุกจากเก้าอี้แล้วตรงเข้าไปผลักไหล่ของฉัตรจนเซถอยหลัง สีหน้าของฉัตรในตอนนี้ทั้งดุดันทั้งเกรี้ยวกราด แต่มันก็ไม่ได้ต่างไปจากสีหน้าของไอ้อาร์คหรอกครับ ถ้าไฟฟ้ามันแลบออกมาจากดวงตาได้เหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น ผมว่ามันกำลังแลบออกมาจากดวงตาของทั้งคู่แล้วล่ะ

“ไหนๆมึงก็รู้แล้ว แล้วมึงก็คงรับไม่ได้ที่โดนแฟนสวมเขา งั้นก็รีบเลิกกันซะสิ สวยๆแบบนี้ ถ้ามึงไม่เอาก็ยกให้กู”

ไอ้อาร์คแสยะยิ้มมุมปาก เห็นแล้วผมชักคันมือคันเท้าแปลกๆครับ สีหน้ามันกวนส้นตีนใช่ได้เลย

“ไม่นะ ลิซ่าไม่เลิก ฉัตร…อภัยให้ลิซ่าด้วย”

ลิซ่าที่ได้ยินคำว่าเลิกถึงกับสติแตก เธอร้องโวยวายแล้วถลาเข้าไปกอดแขนของฉัตรเอาไว้แน่น

ให้ตายสิ ผู้หญิงคนนี้มันยังไงวะ มีแฟนอยู่แล้วทั้งคน แต่กลับไปให้ความหวังผู้ชายอีกคน แล้วพอถูกแฟนจับได้ก็ทำท่าเหมือนรักแฟนปานจะขาดใจ คือถ้ามึงรักเขาจริง มึงจะกล้าทำเรื่องน่าอายกับไอ้อาร์คในห้องเรียนเหรอวะ คือตอนนี้วินแม่งอินกับหนังสดสุดๆไปเลยครับ

“ลิซ่า ทำไมพูดแบบนี้วะ ไหนบอกจะเลิกกับมันไง”

ไอ้อาร์คหันไปตะคอกใส่ลิซ่าด้วยความหัวเสีย ผมแอบได้ยินสาวๆในห้องซุบซิบกันว่าจะมีการวางมวยในเร็วๆนี้หรือเปล่า แต่ผมขอให้อย่าเกิดเรื่องอะไรเลยครับ ผู้หญิงเลวๆแบบนี้ไม่น่าต้องแย่งชิงกันนะ

“ไม่เลิก ลิซ่าเลือกฉัตร”

ลิซ่าร้องกรี๊ดเมื่อไอ้อาร์คพยายามเข้ามากระชากตัวเธอ

“ลิซ่ารักฉัตรจริงๆนะคะ ฉัตร!”

“ปล่อย!”

ฉัตรที่หมดความอดทนกับเกมฉุดกระชากกันเป็นทอดๆ ดึงมือของลิซ่าออกจากแขนของตัวเอง แล้วผลักร่างบอบบางไปหาไอ้อาร์คที่เกือบรับไว้ไม่ทัน คือถ้ารับไม่ทันจริงๆ ผมว่าฉากเมื่อกี๊มีคนหน้าทิ่มพื้นนะครับ แต่เอาเถอะ ดูเหมือนฉัตรจะไม่แคร์ลิซ่าเลย

“ผู้หญิงสวยๆแต่รักใครไม่เป็นแบบนี้…ถ้ามึงอยากได้ ก็เอาไป”

 ฉัตรเอ่ยเรียบๆ มันเป็นประโยคบอกเลิกที่ไม่ได้ใช่คำว่าเลิก แต่ความไร้เยื่อใยกับสายตาที่เย็นชาก็ทำเอาคนฟังน้ำตาไหลนองหน้า

“ฉัตร!!! อย่าทิ้งลิซ่า ไม่เลิกนะ ฉัตร ฮือออออออ”

ฉัตรคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองมาสะพายไหล่แล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้สนใจคร่ำครวญของอดีตแฟนสาวเลย

เรื่องในวันนี้สอนให้รู้ว่า…อย่าแคร์คนที่ไม่ได้รักเราจริง

และคนหล่อ รวย เซ็กซี่ขยี้ตับไตอย่างฉัตรก๊อกหักเป็นเหมือนกันนะครับ

ผมจำไม่ได้ว่าเจอฉัตรครั้งแรกที่ไหน อาจจะเป็นสักแห่งในมหาลัย แต่ผมจำได้แม่นเลยครับว่าคุยกับเขาครั้งแรกเมื่อไร เหตุการณ์ในวันนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของผมเสมอ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าตัวจริงของผู้ชายชื่อฉัตรชนก….โคตรเชี่ยเลย

วันนั้นเป็นวันเปิดเทอมวันแรก ผมกำลังนั่งสูดดมผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างมีความสุข…

ฟอดดดดดดดดด

ฮ้า หอมสดชื่นมากเลยอ่า

ผมยอมรับว่าทำตัวแบบมหาโจรโดยการฉกผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มาจากมือของคนน่ารักแบบดื้อๆ แถมยังเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าตัวใช้เช็ดเหงื่อแล้วด้วย

ใช่แล้วครับ คนๆนั้นก็คือ ‘พายุ’ หมอนั่นเป็นเมียของไอ้ไวท์ แต่การที่ผมชอบเข้าไปแกล้งพายุบ่อยๆไม่ได้หมายความว่าผมมีเจตนาจะแย่งของของเพื่อนนะครับ

วินไม่ใช่คนแบบนั้น จริงจริ๊ง

ผมยอมรับความพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี และการฉกผ้าเช็ดหน้าของพายุมาแบบหน้าด้านๆก็เป็นแค่ความสุขเล็กน้อยที่อยากจะเก็บของของคนที่แอบรักไว้เป็นที่ระลึกก็เท่านั้น

ฮือออ เรื่องแม่งเศร้า กูมันพญานกผู้ยิ่งใหญ่จริงๆเลย ทำได้แค่ดมกลิ่นเหงื่อของพายุ แม้แต่คำว่ารักกูยังไม่กล้าพูดสักคำ ทำไมการเป็นคนดีแม่งยากงี้วะ แต่จะให้พี่วินเป็นคนเลวโดยการแย่งเมียเพื่อนก็ดูท่าว่าจะกระทำไม่ลง…

ไม่ใช่ว่าเป็นคนมีจิตสำนึกนะครับ แต่ผมรู้ตัวดีว่าพายุแม่งรักไอ้ไวท์มากขนาดไหน ก็ขนาดที่ไม่มีที่ให้คนนอกอย่างผมเข้าไปแทรกไงครับ

ผมทำใจแล้วล่ะ ช่วงนี้อารมณ์มันก็จะเหมือนคนเป็นไบโพล่าหน่อยๆ แต่เอาเป็นว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้จะเป็นของที่ระลึกชิ้นแรกและชิ้นสุดท้าย ผมจะเก็บมันไว้อย่างที่ดีสุด อีกอย่างผมจะไม่ซักแน่นอน เดี๋ยวกลิ่นหอมๆมันจะหาย ต้องเก็บไว้สูดดมปีละครั้งสองครั้งให้ชื่นใจ

ฟิ้วววววว

อะ อ้าว เฮ้ยยย

ไอ้ลมบ้าที่พัดมาแบบไม่ดูกาลเทศะ พัดเอาผ้าเช็ดหน้าที่ผมประคองอย่างนุ่มนวลไว้บนฝ่ามือให้ลอยละลิ่วไปจากมือของผม

ไม่นะ ผมอุตส่าห์เสียแรงวิ่งหนีลูกเตะของพายุกว่าจะได้ผ้าเช็ดผ้าหอมๆมาไว้ในมือ แล้วจู่ๆจะถูกลมขโมยไปไม่ได้ เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะโว้ยยยย

ผมพยายามวิ่งไล่ผ้าเช็ดหน้าที่ลอยไปลอยมาในอากาศ ลมหอบใหญ่ที่พัดเข้ามาอีกครั้งทำให้ยอดไม้สูงถึงกับไหวเอนไปมา และพัดให้ผ้าเช็ดหน้าของผมลอยไปไกลกว่าที่คิด ผมวิ่งตามผ้าเช็ดหน้าไปเรื่อยๆและเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งในชุดนิสิตผิดระเบียบ เอ่อ ก็ผิดพอๆกับกูเนี่ย ยืนก้มหน้าเล่นไอโฟนอยู่ใต้ต้นไม้ คือมึงจะรอใครอยู่ก็ช่าง แต่จงเงยหน้าขึ้นมาสนใจกูเดี๋ยวนี้เลยนะ

“เฮ้! นาย นายคนนั้นน่ะ เก็บผ้าเช็ดหน้าให้หน่อยครับ”

ผมตะโกนบอกให้ผู้ชายคนนั้นเก็บผ้าเช็ดหน้าที่กำลังจะตกสู่พื้นเพราะลมที่เริ่มสงบลงแล้ว คือผมไม่อยากให้มันเปื้อนอ่ะ บอกแล้วไงว่าพี่วินจะไม่ซัก

ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองผม อาโห้ โคตรพ่อโคตรแม่หล่อมาก!!!

ผมโดนออร่าความฮอตสาดใส่เต็มๆจนตาเกือบบอด ซึ่งมันทำให้ผมละความสนใจจากผ้าเช็ดหน้ามามองเทวดาตกสวรรค์ มันเป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาทีก่อนจะเกิดเหตุการณ์บัดซบ เมื่อไอ้คุณเทวดามันแสดงความเป็นผู้ดีด้วยการเอาเท้ากระทืบผ้าเช็ดที่กำลังจะตกพื้นของผมแทนการใช้มือคว้าไว้กลางอากาศ

ม้ายยยยยยย!!! ผ้าเช็ดหน้าของผม

ผมยอมรับว่าช็อคหนักมาก ได้แต่ยืนอ้าปากค้างมองผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของไอ้คนเลว หมอนั่นมันก้มลงไปเก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วเดินมายื่นให้ผม ส่วนผมก็ได้แต่เอื้อมมือที่สั่นระริกออกไปรับมันคืนมาด้วยความปวดใจ

“ยี่ห้อรองเท้าคุณมึงประทับเต็มผ้าเช็ดหน้าของกูเลยอ่ะ”

ผมกางผ้าเช็ดหน้าลายสก๊อตสีครีมให้อีกฝ่ายดู แต่แทนที่หมอนั่นจะสำนึกผิด เขากลับยักไหล่แล้วเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้าเฉยชา…คือมึ๊ง มึงทำผ้าเช็ดหน้าของกูเปื้อนขนาดนี้ จะช่วยแสดงความเสียใจนิดนึงได้มั้ยวะ นี่กูยังไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายหรือด่ามึงสักคำเลยนะ

“ขอโทษครับ พอดีมือไม่ว่าง”

ไอ้หล่อชูไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดให้ผมดู สาบานสิว่ามึงไม่ได้อวดโทรศัพท์กูอ่ะ ราคารุ่นนี้มันแบบว่า…ถ้าผมมีเงินอยู่ในมือก้อนหนึ่ง ผมยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยครับว่าจะซื้อไอโฟนหรือซื้อรถมอเตอร์ไซค์

“นี่กูของถามหน่อย มึงจำเป็นต้องถือโทรศัพท์สองมือเลยเหรอฮะ”

“ใช่ มันแพง เดี๋ยวหล่น”

โว๊ะ! แล้วแต่คุณมึงเลยครับ ถ้ามึงไม่มีปัญญาถือไอโฟนมือเดียว มึงก็เชิญถือสองมือต่อไปเถอะ กูจะไม่ยุ่ง

“ถ้ามึงจะเอาตีนเก็บผ้าเช็ดหน้าของคนอื่นแบบนี้ คราวหน้ามึงปล่อยให้มันตกพื้นไปเถอะ”

ผมแน่ใจว่าถ้าผ้าเช็ดหน้าของผมตกพื้นมันต้องสะอาดกว่าให้ไอ้หล่อเก็บให้แน่นอน

“เป็นคนขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเองแท้ๆ แล้วกูจะไปรู้เหรอว่ามึงไม่ต้องการให้ใช้ตีนเก็บ”

ไอ้หมอนี่เป็นคนหล่อที่เดาอารมณ์ยากมาก ทั้งคำพูดคำจาก็ออกแนวโมโนโทน สีหน้าเรียบเฉย แล้วสายตายังว่างเปล่าอีก นี่ผมกำลังคุยอยู่กับมนุษย์หรือหุ่นยนต์กันแน่วะ

“มึงมีสมองไว้คั่นหูหรือไง คิดไม่เป็นเหรอว่าไม่ควรใช้ตีนที่สวมรองเท้าเก็บผ้าเช็ดหน้าของคนอื่นอ่ะ”

ผมว่าด้วยความโมโห อีกฝ่ายเพียงแค่เลิกคิ้วก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระเป๋าเงินออกมา

“ให้เงินกูทำไม” ผมถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อถูกยัดแบงค์ห้าร้อยใส่ในมือแบบงงๆ เดี๋ยวนะ มึงมีสมองไว้คั่นหูจริงดิ ด่าแค่นี้ถึงกับให้เงินกูเลยเหรอ ถ้าจะบอกว่าให้เป็นค่าเสียหายที่ทำผ้าเช็ดหน้าเปื้อนมันก็ออกจะเกินไปหน่อยปะ

“เอาไปซื้อผ้าเช็ดหน้าใหม่ซะ กูเข้าใจว่ามึงคงไม่มีปัญญาซื้อ VIGANO บ่อยๆ”

อะ อะไรคือ VIGANO วะ?

หรือจะเป็นชื่อแบรนด์ของผ้าเช็ดหน้า ให้ตายสิ ผมรู้นะว่าครอบครัวของพายุรวยมาก แต่มันใช้ผ้าเช็ดหน้าราคากี่บาทกันแน่วะ เอ…หรือว่าที่มันไล่เตะผมจะเป็นเพราะว่าผมขโมยผ้าเช็ดหน้าราคาห้าร้อยบาท!

“กูไม่อยากได้เงินของมึง แล้วกูก็ไม่อยากได้ผืนใหม่ด้วย กูจะเอาผืนนี้!”

ผมที่เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองกำลังโดนดูถูกร้องลั่นด้วยความหัวเสียแล้วรีบยัดแบงค์ห้าร้อยใส่มือของอีกฝ่าย ห่าเอ๊ย กูแค่ตกใจกับราคาของผ้าเช็ดหน้าแป๊บเดียว ไม่ได้หมายความว่ากูอยากได้เงินของมึงนะโว้ย

“ก็เอาไปซักซะสิ ซักเสร็จก็ไม่สกปรกแล้ว เรื่องแค่นี้จะเรื่องมากทำไม”

นี่มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกในนิยายที่ชอบเอาเงินฟาดหัวคนอื่นหรือไงครับ เกิดมาหล่อเสียเปล่าจริงๆ นิสัยอย่างเหี้ย

“ไปนอนให้หนอนแดกซะมึงอ่ะ”

ผมสาปส่งให้ไอ้หล่อไปตายก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินจากมา ขืนอยู่เถียงกับหมอนี่ต่อ ผมต้องได้ต่อยปากคนแน่ๆเลยครับ ไม่เอา ใจเย็นๆ ตรงนี้มันหน้าคณะวิทยาศาสตร์ ผมจะทำตัวสถุนไม่ได้ เดี๋ยวอาจารย์มาเห็นแล้วเรื่องถึงผู้ปกครองจะแย่เอา แค่เรื่องที่พ่อแม่จับได้ว่าเป็นเกย์ก็แย่มากพอแล้ว ผมยังไม่อยากเพิ่มคดีความให้ตัวเอง

“เดี๋ยว!” ผมชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของไอ้หล่อ

“อะไร?” ผมหันไปตะโกนถามไอ้หล่อด้วยท่าทางหาเรื่อง ก็เอาซี๊ ถ้ามึงเริ่มก่อน กูสู้นะเว้ย

“ชื่ออะไร” ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถามเรียบๆกับใบหน้าที่เหมือนกล้ามเนื้อตาย

“ทำไม มึงจะยกพวกมาตีกูที่คณะเหรอ”

ถึงเขาจะไม่แสดงอารมณ์โกรธออกมาโต้งๆเหมือนผม แต่ผมมั่นใจว่าเขาต้องคันมือคันตีนอยากกระทืบผมบ้างแหละ แต่ระดับพี่วินแล้ว แค่นี้เบๆ กลัวที่ไหนกันล่ะ

“กลัวหรือไง”

ไอ้หล่อขยับยิ้มมุมปากบวกกับบุคลิกหยิ่งๆที่ทำให้เจ้าตัวดูร้ายกาจไม่ต่างจากซาตาน แต่ในขณะเดียวกันก็โคตรน่าจับทำเมียเลยวะ หล่อแบดมากเล้ยยย งานนี้ต้องมีอ่อยครับ ส่วนจะได้ใจหรือได้ตีนค่อยว่ากันอีกที

“ชื่อวินอยู่ปี 2 วิศวะอุตสาหการ ชื่อกูไม่โหลนะ มีคนเดียวในสาขา หาไม่ยากหรอก”

ผมตะโกนบอกพร้อมกับโบกมือลาอีกฝ่ายกวนๆ

“มาเร็วๆล่ะ เดี๋ยวกูจะลืมมึงซะก่อน”

ผมโกหกครับ ผมลืมหน้าแบบนี้ไม่ลงหรอก เพราะหลังจากวันนั้นผมก็พยายามขุดหาหน้าของหมอนี่จากเพจผู้ชายหล่อในมหาลัย ก่อนจะพบว่าเขาชื่อ ‘ฉัตร’ เป็นบุคคลแห่งชาติที่สาวๆอยากได้เป็นผัว โซฮอตไปอีก


 

TBC.


หัวข้อ: Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 13/08/2562 [บทที่4]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 13-08-2019 16:59:28

บทที่ 4 จีบผ่านไลน์


ผมกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงนุ่มในหอพักพลางไถไทม์ไลน์เฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ ผมไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าเรื่องของฉัตรที่เกิดขึ้นในห้องเรียนแคลคูลัสกำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกโซเชียว ทั้งคลิปทั้งภาพถูกโพสต์ลงในเพจ Saxy boys และมีการแชร์กันอย่างรวดเร็ว มีการแสดงความเห็นมากมายจากนิสิตในมหาลัย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่โจมตีไปที่ตัวของลิซ่าโดยตรง

เฮ้อ จะว่าไปผมเริ่มสงสารลิซ่าแล้วนะครับ เธอจะนอกใจฉัตรหรือเปล่า มันไม่ได้เกี่ยวกับคนนอกเลย แล้วคนพวกนี้ถือสิทธิ์อะไรมาด่าคนอื่นเสียๆหายๆ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเสียหน่อย

ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นต์ไปเรื่อยๆเพราะนอนไม่หลับ และหลายๆความเห็นทำให้ผมรู้ว่าฉัตรถูกแฟนสาวนอกใจมาสามครั้งแล้ว ทั้งที่เจ้าตัวก็มีข่าวว่าเป็นคน แบดบอย แต่แบดบอยบ้านไหนจะถูกแฟนสวมเขาถึงสามครั้งล่ะวะ บางที…ผมควรมองเขาซะใหม่

ติ่งติ้ง!

เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นพร้อมกับข้อความตัวอย่างที่ปรากฏบนหน้าจอ ไอโฟนครู่หนึ่งก่อนจะหายไป ผมทันเห็นว่าข้อความนั้นถูกส่งมาจาก Porshe คนที่ใช้รถปอร์เช่สีแดงสดเป็นรูปโปรไฟล์ ผมจำได้ว่าส่งข้อความอ่อยหมอนี่ไปตั้งแต่เช้าวันเสาร์ แล้วกว่าเจ้าตัวจะตอบกลับข้อความของผมก็เป็นคืนวันจันทร์ ผมคิดว่าเขาจะเปลี่ยนใจเทผมแล้วซะอีก…สรุปมึงอยากสานต่อจริงๆนะปอร์เช่

Porshe : อยากมีแฟนที่คบกันไปนานๆ

TheWinner : ลองคุยกันมั้ยครับ

Porshe : เอาสิ

TheWinner : นายชื่ออะไร อายุเท่าไร?

Porshe : พอร์ช

Porshe : 22

TheWinner : ชื่อวิน อายุ 22 เหมือนกัน

Porshe : ซิ่วมาเหรอ

TheWinner : รู้ได้ไง

Porshe : เห็นในเฟสไอ้ไวท์ บอกว่าอยู่ปี 2 วิศวะอุตสา ก็น่าจะอายุสัก 20

ผมเลิกคิ้วเมื่อพอร์ชให้ความสนใจกับประวัติส่วนตัวของผมที่ถูกไอ้ธามโพสต์ลงในเฟสบุ๊ค ผมเดาว่าเขาคงรู้จักกับไอ้ไวท์ หรือไม่ก็แค่บังเอิญเป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊คเท่านั้น เพราะบางครั้งเรารับแอดใครมาบ้างก็ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ

TheWinner : อืม ซิ่วมาจากเภสัช

Porshe : ทำไมซิ่ว

TheWinner : ทำไมถาม

ผมไม่ได้กวนนะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมเขาสนใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆของผม เพราะปกติแล้วไม่มีใครเคยถามผมแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่คนที่คุยกับผมจะถามถึงสเปคผู้ชายหรืองานอดิเรกมากกว่า

Porshe : แค่อยากรู้จัก ไม่ได้เหรอ?

TheWinner : กูหล่ออ่ะดิ

ผมขยับยิ้มมุมปาก ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่แสดงความมั่นหน้าสุดๆออกไป ผมใช้รูปโปรไฟล์ในไลน์เป็นรูปถ่ายครึ่งตัวของผม ซึ่งไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็โคตรหล่อเลยครับ แต่การที่พอร์ชเลือกจะแอดไลน์ของผม ก็เป็นเพราะเขาพอใจกับหน้าตาของผมตั้งแต่ในเฟสบุ๊คแล้ว

คือการที่เราจะมองคนอื่นที่หน้าตาหรือรูปลักษณ์ภายนอกก่อนจะตัดสินใจเข้าไปทำความรู้จักก็ไม่ใช่ความผิดอะไรใช่มั้ยล่ะ เพราะบางครั้งแค่รูปลักษณ์ภายนอกของใครบางคน ยังทำให้เราเลือกที่จะไม่เข้าไปทำความรู้จักเลย

Porshe : ไม่เคยมองคนที่หน้าตาอยู่แล้ว

ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาจากพอร์ช ไอ้คนโกหก ต่อให้มึงอมวัดมาพูดกูก็ไม่เชื่อ ทั้งรูปหล่อ งานดีอย่างกู ถ้ามึงไม่สนจะแอดเพื่อนมาทำไมฮะ

Porshe : ไม่ชอบให้พูดคำหยาบ กูเป็นพี่มึงนะ

TheWinner : แต่กูอายุเท่ามึง

Porshe : กูอยู่ปี 4

Porshe : มึงเกิดเมื่อไร

TheWinner : 6 ธันวา

Porshe : กูเกิด 5 กันยา กูเป็นพี่มึง เรียกกูพี่พอร์ช

ผมแบะปากใส่ไอโฟนทันทีเมื่อเห็นข้อความที่ตอบกลับมา…ที่มึงถามวันเกิดของกูเพราะจะเอามาเปรียบเทียบว่าใครแก่กว่ากันเนี่ยนะ แค่สามสี่เดือนมึงก็เอาเหรอพอร์ช

TheWinner : ตอแหล แค่สามเดือน มึงกะแดะให้กูเรียกพี่เลย?

Porshe : ใช่ กูเป็นคนกะแดะ

ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ผมคิดว่าหมอนี่ต้องเป็นคนกวนตีนหรือไม่ก็ต้องขี้เล่นมากแน่ๆเลย เอาเถอะ เห็นแก่ความพยายามของมึง กูจะเรียกว่าพี่ก็ได้

TheWinner : ก็ได้

TheWinner : พี่พอร์ช ;P

Porshe : แล้วทำไมซิ่วจากเภสัช

TheWinner : ไม่ชอบ

Porshe : แล้วทำไมสอบเข้าเภสัช

TheWinner : เรื่องมันยาว

Porshe : กูมีเวลาอ่าน

สรุปว่าอยากรู้จริงดิ?

ผมคิดว่าเขาถามไปอย่างนั้นเพราะต้องการหาเรื่องชวนคุย

TheWinner : พ่อกูเป็นเภสัช ที่บ้านมีร้านขายยา พ่อก็แค่อยากให้กูดูแลกิจการต่อเพราะกูเป็นลูกคนเดียว

TheWinner : ตอนแรกกูก็ยอมเรียนเพราะที่บ้านจับได้ว่ากูเป็นเกย์ กูทำให้ครอบครัวผิดหวัง กูอยากชดเชยอะไรก็ได้ให้เขาดีใจ แต่พอกูเรียนเภสัช กูทนเรียนมาเกือบสองปี แต่แม่งไม่ใช่ตัวกูเลย กูไม่มีความสุข ไม่อยากไปเรียน ไม่อยากอ่านหนังสือ แล้วพอคิดถึงตอนทำงานว่ากูต้องเฝ้าร้านขายยาทุกวัน กูก็อยากจะบ้าแล้ว แล้วกูก็ซิ่วโดยที่ไม่ได้บอกพ่อ ทะเลาะกันบ้านแทบแตก แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว

ผมไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟังเลยแม้แต่ไอ้ธามหรือไอ้ไวท์ พอร์ชเป็นคนแรกที่พยายามเข้าหาผมในแบบที่แตกต่างไปจากคนอื่น ซึ่งวิธีการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวแบบช้าๆเป็นวิธีที่ฉลาดมากและผมยอมรับว่าเริ่มหวั่นไหวแล้วจริงๆ

Porshe : เรื่องก็ไม่ยาวเท่าไรนี่

ผมขยับยิ้มเมื่อพบว่าพอร์ชไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจของผมว่าถูกหรือผิด เขาแค่รับฟังเท่านั้น ซึ่งผมโคตรชอบคนแบบนี้เลย คนที่ไม่พูดมากหรือจะเรียกว่าพูดในเรื่องที่ควรพูด

TheWinner : แล้วมึงอ่ะพี่พอร์ช เรียนคณะอะไร

ผมถาม ผมเริ่มอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นแล้ว บางทีพวกเราอาจจะเข้ากันได้ดีกว่าที่ผมคิดก็ได้

Porshe : บริหารธุรกิจ

TheWinner : เรียนเพราะชอบ หรือเพราะใครบอกให้เรียน

Porshe : ไม่มีใครบอกให้เรียน

Porshe : กูแค่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ควรเรียน กูก็เลยเรียน

TheWinner : ไม่เข้าใจ

Porshe : บ้านมึงมีร้านขายยา พ่อมึงเลยอยากให้มึงเรียนเภสัช ที่บ้านกูก็เหมือนกัน พ่อกูมีธุรกิจส่วนตัว ซึ่งกูคิดว่าต้องกลับไปดูแล เพราะถ้ากูไม่เอา คนอื่นก็ต้องเอาสิ่งที่พ่อกูสร้างขึ้นมาอยู่ดี กูแค่ไม่อยากให้คนอื่นได้มันไป

อ๋อ บ้านมึงมีธุรกิจ มึงก็เลยเรียนบริหารธุรกิจเตรียมไว้เพื่อรับมรดกงั้นสิ

TheWinner : กูชอบความคิดของมึง…งกดีว่ะ

Porshe : กูไม่ได้งก กูแค่รักษาผลประโยชน์ของครอบครัวก็เท่านั้น

ดีครับดี ใครได้เป็นผัวเป็นเมียสบายไปทั้งชาติเลย

TheWinner : แล้วมึงมีพี่น้องปะ

Porshe : มีน้องสาวหนึ่งคน ตอนนี้อยู่มอห้า

ผมเดาว่าพอร์ชคงไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาจะเลือกเรียนต่อในคณะอะไร แต่การที่เขาเลือกบริหารธุรกิจมันก็ชัดเจนแล้วว่าเขายินดีจะสานต่อกิจการของครอบครัวแทนน้องสาว แม่งเป็นพี่ชายที่น่ารักมากอ่ะ

ผมพยายามจินตนาการหน้าตาของเขาจากลักษณะนิสัย แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็คงห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่ดี ทางที่ดีผมขอรูปของเขาเลยน่าจะง่ายกว่า

TheWinner : กูอยากเห็นหน้ามึง ขอดูรูปหน่อยได้ปะหรือจะแอดเฟสมาก็ได้

Porshe : คุยกับกูสักสองเดือนดิ แล้วกูจะให้เจอตัวจริง

สองเดือน?

ไม่ใช่เวลาน้อยๆเลยนะครับ ปกติผมจะใช้เวลาคุยแค่หนึ่งอาทิตย์ ถ้าถูกใจก็จะนัดกันไปเดทเพื่อศึกษานิสัยใจคอ เพราะถ้าใช้เวลานานกว่านั้น มันจะเริ่มสร้างความผูกพันต่อเราทั้งคู่ แล้วถ้าการพบตัวจริงของกันและกันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ก็อาจจะทำให้เสียเวลาและเสียความรู้สึก

ผมไม่เชื่อเรื่องความรักที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ เพราะผมจะรู้จักเขาแค่ด้านที่เขาอยากให้เห็น ซึ่งผมอยากจะเห็นทุกด้านของพอร์ชมากกว่า

TheWinner : ใครอยากเจอตัวจริง กูแค่อยากดูรูปต่างหาก

Porshe : ถ้ากูไม่หล่อ มึงจะคุยกับกูต่อปะ

TheWinner : ไม่แน่

ผมยอมรับว่าผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ถ้าพอร์ชขี้เหร่มากๆผมจะชอบหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

Porshe : ไม่ให้ดู

ให้ตายสิ หมอนี่อัปลักษณ์จริงๆหรือเปล่าวะ!

TheWinner : ไม่แฟร์เลย มึงเห็นหน้ากู แต่กูยังไม่เคยเห็นหน้ามึงเลยนะ

Porshe : ผิดแล้ว มึงต่างหากที่เห็นหน้ากู มีแต่กูที่ไม่มีทางเห็นหน้ามึง

อะไรนะ? ถ้าพิมพ์ผิด มึงรีบพิมพ์ใหม่ได้นะเว้ย คือรูปกูโชว์เด่นหราขนาดนี้ มึงจะไม่เคยเห็นหน้ากูได้ไง ถึงมึงไม่ตั้งใจมอง มึงก็ต้องเห็นตอนแชทกับกูนะครับ เว้นแต่มึงจะสามารถหลับตาพิมพ์ข้อความได้นั่นก็เป็นอีกเรื่อง

TheWinner : ไม่เข้าใจ

Porshe : กูตั้งใจพิมพ์ให้มึงไม่เข้าใจเองแหละ

ขอบคุณ!

TheWinner : มีคนเคยบอกมั้ย ว่ามึงกวนตีนมาก

Porshe : แล้วมึงชอบมั้ยล่ะ คนกวนตีนอย่างกู

เพียงแค่ข้อความสั้นๆจากใครก็ไม่รู้กลับทำให้หัวใจไม่รักดีของผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ แล้วบังเอิญว่าผมเป็นคนตรงๆอ่ะครับ ชอบก็บอกว่าชอบ อย่าเสียเวลาเล่นแง่กันเลย เอาเวลามาดูแลกันดีกว่า

TheWinner : ชอบ

ผมยอมรับตรงๆว่าขนาดไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย ผมก็เริ่มชอบพอร์ชเข้าแล้วสิ แย่ชะมัด ผมควรจะยุติการสนทนากับเขา เพราะอีกฝ่ายเจตนาไม่เปิดเผยตัวตนจริงๆกับผม แต่ไม่รู้ทำไม ผมอยากเสี่ยง ผมรู้สึกว่ามันใช่ บางที…หน้าตาของพอร์ชอาจไม่มีผลต่อความรู้สึกของผมก็ได้

TheWinner : แต่ก่อนที่กูจะชอบมึงไปมากกว่านี้ กูอยากถามมึงก่อนว่ามึงคิดจะคุยกับกูแค่ไหนวะ

Porshe : มึงกังวลว่ากูจะคุยกับคนอื่นอีกเหรอ

นับว่าฉลาดมากครับ ผมหมายความแบบนั้นแหละ เพราะคนคุยก็คือคนที่พิเศษมากกว่าเพื่อน แต่น้อยกว่าแฟน พอร์ชมีสิทธิ์จะคุยกับใครอีกกี่คนก็ได้ เพียงแต่ผมไม่อยากเป็นหนึ่งในคนคุยของเขา

TheWinner : ใช่

Porshe : เป็นคนขี้หึงใช่ปะ

TheWinner : เรื่องของกู

ผมไม่ได้ขี้หึงนะครับ ผมกำลังให้เกียรติคนที่ผมกำลังคุย และอยากให้อีกฝ่ายทำเหมือนกันกับผม

Porshe : กูคุยทีละคน แล้วถ้ากูจะชอบใคร กูก็ชอบทีละคนเหมือนกัน

TheWinner : โอเค กูจะคุยกับมึงแค่คนเดียวเหมือนกัน ถ้าวันไหนที่มึงรู้สึกว่ากูไม่ใช่ ก็บอกกูมาตรงๆได้เลย แค่อย่าหายไปเฉยๆ กูไม่อยากคิดอะไรไปเองทั้งนั้น

Porshe : ตกลงตามนั้น

ผมเลือกที่จะเสี่ยงและเชื่อใจคนที่ผมไม่รู้จัก ผมหวังว่าความรักในครั้งนี้คงจะไม่โหดร้ายจนเกินไป…ผมแค่อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยความสุขเหมือนกับไอ้ไวท์และพายุ

 



“วันนี้แดกข้าวที่ไหนดีวะ”

ไอ้แว่นเอ่ยถามระหว่างที่พวกเราเดินลงบันไดมาจากอาคารเรียนรวมวิศวะ ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงสิบนาทีแล้ว แน่นอนว่าโรงอาหารในคณะต้องแออัดไปด้วยชาวเกียร์ที่เน้นอาหารปริมาณมากและราคาถูก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงผมกับไอ้แว่นด้วยแหละครับ จริงๆแล้วผมก็อยากพุ่งตรงไปที่นั่นซะเดี๋ยวนี้เลย ติดที่ว่าวันนี้เจ๊แมว อาจารย์ประจำวิชาเศรษฐศาสตรวิศวกรรม (Engineering Economics) ปล่อยพวกเราช้าไปสิบนาที ซึ่งสิบนาทีนี้มันเป็นเวลาแห่งการแย่งชิงที่นั่งในโรงอาหารที่มีอยู่น้อยนิด ต่อให้ติดปีกไปตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้ว

“กินที่คณะแพทย์มั้ย อร่อยดี”

ผมเคยไปกินมื้อเที่ยงกับไอ้ไวท์และไอ้ธามที่คณะแพทย์ ต้องยอมรับล่ะครับว่าอาหารที่นั่นอร่อยที่สุดในมหาลัยแล้ว แถมยังสะอาดถูกหลักอนามัยอีกด้วย เสียแต่ว่ามันไกลจากคณะวิศวะโคตรๆเลย

“น้อย! แดกสองจานยังไม่อิ่มเลย”

ไอ้แว่นแย้ง ซึ่งผมเห็นด้วยว่ามันน้อยจริงๆครับ แต่ข้อดีคือมึงไม่ต้องรอคิวนานๆนะเว้ย เพราะนอกจากเด็กหมอแล้ว คณะอื่นก็ไม่เห็นจะกล้าเสนอหน้าไปกินเลย

“เรื่องเยอะนะมึง แล้วอยากแดกที่ไหนล่ะครับ”

“คณะบริหารมั้ย”

“จะไปแดกข้าวหรือจะไปส่องใคร”

สาบานสิว่ามึงอยากไปกินข้าวเฉยๆ

ไอ้แว่นมันทำตัวเป็นหมาวัดไม่เจียมกะลาหัวด้วยการแอบชอบเดือนคณะบริหารปีล่าสุด เจ้าเด็กนั่นชื่อ ‘ติวเตอร์’ เป็นผู้ชายร่างผอมสูง ผิวขาวออร่าเหมือนแช่นมวัวมาทั้งชีวิต หน้าตาหล่อใสสไตล์เกาหลี และที่แน่นอนคือมันเป็นเกย์รับชัวร์ๆ ผมประเมินจากท่าทางการเดิน การพูด และการเหล่มองผู้ชาย แต่ประเด็นคือมนุษย์ที่หน้าตาดีระดับเดือนคณะจะมาสนใจ มนุษย์แว่นหน้าตาบ้านๆแบบไอ้พิสุทธิ์เหรอครับ ผมไม่เชื่ออ่ะ

“รู้ทัน” ไอ้แว่นยักไหล่

“ปะเร็วมึง”

ผมถูกไอ้แว่นคว้าแขนไว้แล้วลากให้เดินไปทางคณะบริหารโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ปฏิเสธ แต่เอาเถอะ กระเพาะอาหารของผมมันเรียกร้องมื้อเที่ยงแล้วครับ นาทีให้กินที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น

พวกเราใช้เวลาประมาณสิบนาทีในการเดินมาที่โรงอาหารของคณะบริหารธุรกิจ โชคดีที่มีโต๊ะว่างมุมหนึ่งสำหรับผมกับไอ้แว่น พวกเราวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะเป็นการจอง ก่อนจะแยกย้ายกันไปซื้ออาหาร ผมสั่งข้าวราดแกงแบบง่ายๆเพราะไม่ต้องการรอนาน และกลับมายัดอาหารทั้งหมดลงกระเพราะภายในไม่กี่นาที

“แว่น เอาการบ้านเซฟตี้มาลอกหน่อยดิ๊”

ผมเอ่ยกับเพื่อนสนิทเมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ไอ้แว่นมันเงยหน้าจากชามราดหน้ามามองผมด้วยแววตาสั่นระริก ไอ้ห่า! เป็นไรของมึงอีกเนี่ย

“ทำไมใครๆต้องเรียกกูว่าแว่นด้วยวะ กูมีชื่อนะ กูชื่อพิสุทธิ์ที่แปลว่าใสสะอาด เข้าใจมั้ย”

ดราม่าซะงั้น…ก็ชื่อพิสุทธิ์มันเรียกยาก แถมมีตั้งสองพยางค์ เรียกว่าแว่นมันง่ายกว่านี่ครับ

“แม่กูอยากให้กูเป็นคนจิตใจใสสะอาดดีงาม แล้วกูก็ดีงามทั้งข้างในข้างนอก มึงยังจะมาเรียกกูว่าแว่นอีกเหรอ”

ผมแทบเอามือกุมขมับ ผมบอกไปหรือยังว่าไอ้แว่นมันเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหว อย่างเรื่องที่ควรดราม่าแม่งก็ไม่ยอมดราม่า แต่เรื่องที่ไม่ควรดราม่ามันกลับจัดเต็ม คือกูเรียกมึงว่าแว่นมาเกือบสองปีแล้วนะโว้ย เป็นบ้าอะไรเพิ่งมาเศร้าใจตอนนี้ล่ะเพื่อน

“กูขอโทษครับคุณพิสุทธิ์”

ผมลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้ฝั่งเดียวกับไอ้แว่น โอบไหล่มันไว้แล้วดันศีรษะของมันให้เอนมาซบไหล่ของผม คือต้องปลอบโยนกันฉันท์ผัวเมียเลยทีเดียว นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ไอ้แว่นไม่มีใครคบ แรกๆที่ผมยอมคบกับมันก็เป็นเพราะว่ามันเรียนเก่ง แต่พอรู้จักกันไปนานๆผมจึงรู้ว่ามันมีนิสัยหลายอย่างที่ผมชอบและเราก็เข้ากันได้ดี อย่างเช่น มันเป็นพวกชายรักชาย มันสายหื่นเหมือนกับผม เที่ยวเป็นบางครั้ง มีน้ำใจกับเพื่อน ชอบติวให้ ส่งการบ้านให้ แล้วก็ไม่จู้จี้ ไม่พูดมาก แต่น่ารำคาญเป็นพักๆอย่างเช่นตอนนี้แหละ

“กรุณาเอาการบ้านเซฟตี้มาให้วินลอกหน่อยครับ นะครับ”

ผมพยายามออดอ้อนเพราะอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงพวกเราจะต้องเข้าเรียนวิชา Safety Engineering แล้ว แต่ผมยังไม่ได้จรดปลายปากกาลงในสมุดเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว คือมึงต้องดราม่าให้เป็นเวล่ำเวลานะเพื่อนแว่น

แล้วสุดท้ายไอ้แว่นที่เป็นพวกงอนแบบไม่จริงจังก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดการบ้านของตัวเองมาส่งให้ผม ในระหว่างที่ผมกำลังลอกการบ้าน ไอ้แว่นก็เอาแต่ชะเง้อคอมองไปทั่วโรงอาหาร แต่ไม่มีวี่แววของน้องติวเตอร์เลย

คือมึงไม่เห็นต้องพยายามมองหาขนาดนั้นก็ได้ปะ แค่สังเกตอาการของคนรอบข้างก็รู้แล้ว อย่างเช่นว่า…

กรี๊ดดดดดดด!!

อ๊ายยยยยยย!!

แบบนี้แหละครับ!

เสียงร้องของผู้หญิงในโรงอาหารทำให้ผมกับไอ้แว่นหันควับไปมองและพบว่าตัวการที่ทำให้สาวๆคลุ้มคลั่งมาจากหนุ่มฮอตสุดเซ็กซี่อย่าง ‘ฉัตร’ ไอ้แว่นถอนหายใจด้วยความปลงตกทันทีที่ไม่พบน้องติวเตอร์ของมัน ก่อนจะหันไปกินราดหน้าด้วยความหมดอาลัยตายอยาก

“พี่ฉัตร แนนนี่ทำคัพเค้กมาให้ค่ะ”

อีหรอบนี้อีกแล้ว!

ผมไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นสาวๆในมหาลัยต่างมีความหวังตั้งแต่ที่ฉัตรเลิกกับลิซ่า ซึ่งน้องแนนนี่คนสวยที่ยืนอยู่ตรงหน้าของฉัตรก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอยืนก้มหน้าด้วยท่าทางเขินอาย ในมือมีกล่องขนมสีฟ้าอ่อนผูกริบบิ้นสีชมพู

ให้ตายเถอะ ผมเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ทำไมคนหน้าตาดีอย่างผมถึงไม่เคยได้รับขนมพร้อมการสารภาพรักแบบน่ารักๆบ้างนะ

“ขอบใจ”

ฉัตรเอ่ยเรียบๆด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์เหมือนเดิม แต่กลับเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ รอบตัวได้เป็นอย่างดี ห่าเอ๊ย กูนึกว่าโรงอาหารไฟไหม้ แค่เขาบอกว่าขอบใจ คนก็กรี๊ดแล้วอ่ะครับ แถมยังไม่ได้ขอบใจพวกที่กรี๊ดด้วยนะ แล้วถ้าเขาบอกรักคนฟังไม่ช็อกตายไปเลยเหรอ

“แต่เอากลับไปเถอะ ไม่กิน”

กริบ!

เสียงกรี๊ดหยุดลงกะทันหันทำให้โรงอาหารตกอยู่ในความเงียบชนิดที่ว่าถ้าท้องใครร้องก็จะได้ยินกันทั่วถึง

น้องแนนนี่ที่น่าสงสารเงยหน้าขึ้นมามองฉัตรแบบอึ้งๆ เป็นกู กูก็อึ้งครับ แต่ตอนนี้ผมไม่แปลกใจอะไรแล้ว เพราะผู้ชายที่ชื่อฉัตรมันทำอะไรที่เหนือความคาดหมายได้หลายอย่าง ขนาดใช้ตีนเก็บผ้าเช็ดหน้ายังทำมาแล้วเลย

“ทะ ทำไมล่ะคะ หรือว่าพี่ฉัตรไม่ชอบของหวาน”

ฉัตรนิ่งไปครู่หนึ่ง ผมเห็นว่าเขาหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนสนิทสองคน แล้วคนพวกนั้นก็เดินออกไปจากโรงอาหาร ผมเดาว่าฉัตรคงบอกให้เพื่อนกลับไปก่อน

“เปล่า”

ฉัตรหันมาตอบแนนนี่ ผมคิดว่าเขาพยายามลดเสียงลงมาให้เบาที่สุด แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นของประชากรรอบข้าง ทุกคนจึงพร้อมใจกันปิดปากเงียบทำให้ได้ยินเสียงของฉัตรชัดทุกถ้อยคำ ผมเผลอกุมมือของตัวเองไว้แน่นด้วยความลุ้นระทึก ผมรู้ว่าไอ้บ้าฉัตรมันปากหมา ได้แต่หวังว่าเจ้าตัวจะไม่พ่นประโยคทำร้ายจิตใจของผู้หญิงออกมานะครับ เพราะดูจากสีหน้าของน้องแนนนี่แล้ว ผมคิดว่าเธอใกล้จะร้องไห้แล้วแหละ

“แต่ไม่ชอบเธออ่ะ ขอตัวนะ”

ไอ้คนใจร้าย!

ผมอยากเอาศีรษะปักโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ทำไมผมต้องเข้ามารับรู้ความเชี่ยของผู้ชายที่ชื่อฉัตรชนกอีกแล้ววะ

หลังจากที่ฉัตรเดินออกไปจากโรงอาหาร น้องแนนนี่ก็ร้องไห้โฮทันที เดือดร้อนถึงเพื่อนๆต้องเข้ามาลากเธอที่กำลังช็อกอย่างรุนแรงออกไปสงบสติอารมณ์ แล้วเสียงฮือฮารอบด้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงกรีดร้องของสาวๆที่รู้สึกยินดีกับสถานะโสดต่อไปของฉัตร

แหม ลองให้ฉัตรมาปฏิเสธพวกคุณ คุณแบบน้องแนนนี่มั้ยละ ยังจะกรี๊ดกันอยู่มั้ย กูอยากรู้!

 






TBC.  :mew3:



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/08/2562 [บทที่4]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-08-2019 18:32:37
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/08/2562 [บทที่4]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 17-08-2019 10:34:36
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 21/08/2562 [บทที่5]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 21-08-2019 16:37:08
บทที่ 5 สมุดของฉัตร


 

“เลิกทำคอยืดคอยาวได้แล้วมึง น้องติวเตอร์อาจจะออกไปกินข้าวข้างนอกมอบ้างก็ได้ ใครจะกินที่คณะตัวเองทุกวัน”

อ้าว คกตกเลยเพื่อนกู

ไอ้แว่นหยิบขวดน้ำเก๊กฮวยมาดูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ หลังจากที่ผมลอกการบ้านเสร็จเรียบร้อย ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าของผมมันยืนยันว่าจะนั่งรอน้องติวเตอร์ต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงห้าสิบ แล้วจะติดเกียร์หมาวิ่งเข้าห้องเรียนเซฟตี้ก่อนเวลาบ่ายโมงตรง ซึ่งทำไมผมจะต้องรอวิ่งเป็นเพื่อนมันน่ะเหรอ เพราะผมลอกการบ้านมันอ่ะครับ

ผมเป็นคนรู้บุญคุณคนนะ เพื่อนสุขเราสุข เพื่อนเศร้าเราเศร้าตามมารยาทแล้วค่อยหาโอกาสชวนมันไปแดกเหล้า ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ด้วยครับ

“หลังสอบมิดเทอมกูจะไปออกค่ายที่สุราษฎร์ธานี มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

ไอ้แว่นเอ่ยชวน มันอยู่ชมรมจิตอาสาของมหาลัย ไม่ใช่ว่ามันเป็นคนดี หรือใจบุญสุนทานนะครับ สาเหตุที่มันกะแดะเข้าชมรมเป็นเพราะน้องติวเตอร์ล้วนๆเลย แต่ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว ผมยังไม่เห็นว่าน้องติวเตอร์จะจำชื่อมันได้เลย

“ไปซะไกลเลยนะมึง”

มหาวิทยาลัยที่พวกเราศึกษาอยู่ตอนนี้ เป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาลในเขตภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งนับว่าห่างไกลจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีมากทีเดียว ผมล่ะสงสัยจริงๆว่าชมรมรวยมากหรือไงวะ จังหวัดใกล้ๆมีไม่ยอมไป เสือกจะไปภาคใต้

“แล้วไปออกค่ายต้องทำไรบ้างอ่ะ”

ผมถาม คิดซะว่าไปพักผ่อนหลังสอบเสร็จแล้วกัน ผมเองก็กำลังเบื่อๆบวกกับไม่ได้ออกต่างจังหวัดมานานมากแล้ว ผมเป็นคนในพื้นที่ อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กจนโต ตอนแรกก็คิดว่าจะสอบเข้ามหาลัยในเมืองหลวงเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เป็นเพราะไอ้ไวท์กับไอ้ธามนั่นแหละ เสือกสอบเข้าที่นี่ ผมที่เป็นคนติดเพื่อนมากจึงสอบเข้าตาม แต่เอาเถอะ ครอบครัวผมพอใจที่ผมเรียนมหาลัยใกล้บ้านผมก็โอเคแล้วครับ

“ไม่มากหรอก แค่ซ่อมห้องเรียนให้โรงเรียนในเขตทุรกันดาร”

ขีดเส้นใต้คำว่า ทุรกัรดาร ผมว่า…ผมเปลี่ยนใจไม่ไปล่ะ แม่งไม่ใช่การพักผ่อนแน่ๆแบบนี้

“ไม่ไป กูไม่ถนัดเรื่องใช้แรงงาน”

ผมปฏิเสธทันที พอดีว่าพี่วินไม่ใช่คนดีแล้วก็ไม่ใช่คนโลกสวยนะครับ เรื่องลำบากพี่ไม่ทำ

“มึงจะปล่อยให้กูเข้าป่าเข้าดงคนเดียวเลยเหรอวะ”

ไอ้แว่นโอดครวญ มันเองก็ไม่ใช่พวกที่ชอบใช้แรงงานเหมือนกัน หมอนี่เป็นผู้ชายร่างสูงผอม ไม่ได้บอบบาง แต่ก็ไม่ใช่พวกกล้ามล่ำ มีงานอดิเรกคือการอ่านหนังสือ เล่นเกม แล้วก็อ่านหนังสือซ้ำไปซ้ำมา อารมณ์เหมือนพวกเด็กเนิร์ด

“มึงก็ไม่ต้องไปดิ”

“ต้องไป” ผมเชื่อแล้วว่าความรักมีพลังมหาศาล ขนาดทำให้หนอนหนังสืออย่างไอ้แว่นยอมออกจากกระดองไปเข้าสังคมกับคนอื่น

“อยู่มอสบายๆไม่ชอบ”

“การช่วยเหลือคนอื่นมันได้บุญนะ แล้วผลบุญที่มึงทำในครั้งนี้จะส่งผลให้มึงเจอความรักดีๆ ผู้ชายดีๆ หล่อๆ รวยๆ เซ็กซี่ น่ารัก…”

“หยุด!”

ผมเริ่มลังเลแล้วสิ จะว่าไปสิ่งที่ไอ้แว่นพูดมาก็มีเหตุผลนะครับ แม่ผมมักจะพูดเสมอว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าผมเริ่มสะสมบุญตั้งแต่ตอนนี้ มันจะส่งผลให้ผมพบเจอคนดีๆจริงหรือเปล่า

“อืม…กูก็ไม่ได้ทำบุญมานานแล้วนะ”

“ใช่ มึงทำบาปมาเยอะมาก ต้องหัดทำบุญซะบ้าง ตายไปจะได้ไม่ตกนรก”

กูไม่เคยเตะหมาหน้ามหาลัยนะครับ จะบอกว่ากูทำบาปได้ไง ไม่มี๊!

“แต่เอ๊ะ! ออกค่ายมันต้องใช้เงินเยอะ แล้วช่วงนี้กูก็ช็อตเพราะแดกเหล้าบ่อย”

เป็นความจริงครับ ผมแดกเหล้ากับไอ้ไวท์เกือบทุกอาทิตย์ คนรวยอย่างไวท์ไม่มีปัญหาหรอก แต่คนฐานะปานกลางอย่างผมเริ่มจะต้องพึ่งพาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกเย็นแล้วแหละ

“มึงก็ถือโอกาสนี้งดเหล้า แล้วปล่อยให้ตับได้พักผ่อนบ้าง”

อื้ม เป็นความคิดที่ดีครับ

“แอลกอฮอล์ทำให้กูตายเร็ว กูต้องอยู่ตามหาเนื้อคู่”

แต่ผมชอบดื่มอ่ะ

“ใช่ๆ มึงต้องตามหารักแท้”

ไอ้แว่นพยายามโน้มน้าวอย่างสุดความสามารถ

“แต่เอ๊ะ! กูต้องไปตากแดดตากลมถึงภาคใต้เลยนะ กูควรจะไปจริงเหรอ หรือว่าไม่ปะ--”

“โว้ย! ไอ้ห่านี่ เอ๊ะ เอ๊ะ อยู่นั่นเหละ”

ผมสะดุ้งเมื่อไอ้แว่นที่หมดความอดทนยกมือขึ้นมาโบกหัวผมซะเกือบทิ่มโต๊ะ ห่าเอ๊ย สมองกูยิ่งมีมวลสารน้อยๆอยู่ โดนตบขนาดนี้ความรู้กระเด็นหมดแล้วมั้งเนี่ย ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยกเท้าขึ้นมาประทับหน้าคุณพิสุทธิ์ เจ้าตัวดีก็เริ่มร่ายโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมแบบสุดๆ จนผมแอบสงสัยว่ามันเคยรับจ๊อบทำงานที่เซเว่นหรือเปล่า ดูโปรกับการขายมากครับ

“เอางี้ กูจ่ายค่าไปค่ายให้มึงเอง มึงแค่ไปกับกู ตกลงมั้ย เดี๋ยวกูติวข้อสอบมิดเทอมให้ทุกวิชาเลยด้วย”

ติวฟรีทุกวิชา…โปรดีแบบนี้จะหาที่ไหนได้อีกวะ ผมเริ่มสนใจมากๆแล้วครับ

“ลดแลกแจกแถมสุดๆแล้วนะมึง สนเปล่า”

ไอ้แว่นที่จับสังเกตสีหน้าของผมได้ว่ากำลังสนใจขยับยิ้มอย่างคนเป็นต่อ มันกอดอกทำหน้าเชิดใส่ ประมาณว่ากูไม่แคร์นะถ้ามึงปฏิเสธ

“มึงต้องรีบตกลงแล้วเพื่อนวิน เพราะถ้าช้าโปรนี้จะถูกยกเลิก”

ผมเบะปากใส่มันด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตกลง

“ไปก็ไปสิ”





ตอนที่ผมกลับมาถึงหอพักเป็นเวลาหกโมงเย็น ผมสะบัดรองเท้าและถุงเท้าทิ้งไว้ข้างเตียง ก่อนจะรีบเปิดกระเป๋าเป้แล้วควานหาเลกเชอร์วิชาเซฟตี้ที่ยืมมาจาก   ไอ้แว่น ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนขยันนะครับ แต่เป็นเพราะว่าผมมีนัดกับพี่พอร์ช เขาจะทักไลน์มาตอนหนึ่งทุ่มตรงของทุกวัน ช่วงแรกเราคุยกันประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่ช่วงหลังเราเริ่มคุยกันนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ช่วงนี้ผมเลยต้องรีบทำการบ้านและจดเลกเชอร์ให้เสร็จตั้งแต่กลับมาถึงหอเพราะอยากมีเวลาไว้คุยกับผู้ชายนานๆ

ผมกับพอร์ชคุยไลน์กันทุกวันมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว ผมคิดว่าผมกำลังติดเขาในระดับที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ แต่ทำอะไรไม่ได้แล้วอ่ะ พอร์ชแม่งเป็นคนที่ยิ่งคุยยิ่งหลง ยิ่งรู้จักยิ่งใช่ ผมโคตรอยากได้คนนี้เลย

“อ้าว สมุดใครวะ” ผมพึมพำเมื่อพบสมุดปกหนังสีดำในมือ แน่นอนว่าไม่ใช่ของผม เพราะผมไม่นิยมใช้สมุดราคาแพงแบบนี้…หรือว่าของไอ้แว่น? ผมเปิดสมุดในมือก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ อย่างแรกคือลายมือหวัดๆที่ไม่คุ้นตา สองคือเนื้อหาที่ถูกจดไว้ในสมุดแม่งคือวิชาเชี่ยไรวะ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มีแต่ตัวเลขเต็มไปหมด

ผมพลิกสมุดกลับไปกลับมาหลายรอบ จากที่อ่านคราวๆผมเดาว่าเป็นโปรเจคจบการศึกษาของใครสักคนที่ไม่ได้เรียนวิศวะ แต่แม่ง!สมุดมาอยู่ที่ผมได้ไง คิดยังไงก็คิดไม่ออก และในตอนที่ผมกำลังมึนตึ้บ ผมก็เหลือบไปเห็นข้อความสั้นๆบนปกด้านใน



ฉัตรชนก ชัชธีรชานนท์

สำคัญกรุณาส่งคืน 090-527-xxxx



อ้าว เฮ้ย! ทำไมสมุดของฉัตรมาอยู่ในกระเป๋าของผมได้วะ?

งงหนักกว่าเดิมอีกกู…

ผมพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งวันนี้ผมได้เจอกับฉัตรที่โรงอาหารแค่ครั้งเดียวเองนะ แล้วก็ไม่ได้นั่งใกล้ๆกันด้วย อื้ม…หรือว่าสมุดมันวางอยู่บนโต๊ะตั้งแต่แรกแล้ววะ ผมเองก็ไม่แน่ใจเพราะตอนที่ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนผมรีบยัดทุกอย่างบนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋า แล้วตอนที่วางกระเป๋าจองไว้บนโต๊ะ ผมก็หยิบสมุดกับหนังสือหลายเล่มออกมาเตรียมไว้ลอกการบ้านด้วย

ผมยอมรับว่าเป็นพวกไม่ละเอียดรอบคอบ ดังนั้น ผมจำไม่ได้เลยว่าสมุดเล่มนี้วางอยู่บนโต๊ะตั้งแต่แรกหรือเปล่า แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ที่ผมต้องถามตัวเองคือ ในเมื่อรู้ตัวเจ้าของสมุดแล้ว ผมควรส่งสมุดคืนหรือเปล่า เห็นเขียนว่า ‘สำคัญกรุณาส่งคือ’ แต่ถ้าสำคัญจริง ทำไมมึงทิ้งเรี่ยราดแบบนี้ล่ะฉัตรชนก!

ตอนแรกผมคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาสมุดไปทิ้งไว้บนโต๊ะในโรงอาหารเหมือนเดิม ถ้ามีคนใจดีเก็บได้คงโทรหาฉัตรเองนั่นแหละ เพราะใครๆก็อยากได้เบอร์ของฉัตรชนก แต่ถ้าเจอคนใจร้าย ผมว่าเขาคงเอาไปชั่งกิโลขาย ยิ่งผมคิดถึงตอนที่ถูกฉัตรเก็บผ้าเช็ดหน้าด้วยตีนแล้ว ผมก็ยิ่งอยากแช่งให้เจอคนใจร้าย แต่แม่ง ผมเนี่ยแหละครับที่เสือกเป็นคนใจดี

โอเค ผมโกหก ปกติแล้วผมจะทำแบบที่บอกไว้ข้างต้นแหละครับ แต่ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ผมคว้าไอโฟนมากดหมายเลขโทรศัพท์ที่เขียนไว้บนสมุด

ห่าเอ๊ย ช่วยไม่ได้ที่ฉัตรเสือกหล่อเชี่ยๆ วินผู้แพ้คนหล่อถึงได้ยอมเสียตังค์ค่าโทรและสละเวลาไปคืนสมุดให้เลยนะเว้ย

“ฮัลโหล”

ผมรอไม่นานก็ได้ยินเสียงโมโนโทนดังมาจากปลายสาย ไม่ต้องถามหรอกว่าฉัตรชนกใช่มั้ยครับ? ผมก็แน่ใจว่าไอ้เสียงไร้อารมณ์แบบนี้มีแค่เขาคนเดียวเนี่ยเหละ

“สวัสดีครับ”

ผมลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยประโยคที่เบสิคสุดๆออกไป คือผมไม่รู้ว่าฉัตรจำผมได้หรือเปล่า และต่อให้จำหน้าได้ ก็ไม่แน่ว่าเขาจะจำชื่อของผมได้ เคยคุยกันก็แค่ครั้งเดียว แถมไม่เคยเรียนด้วยกันอีกต่างหาก

“ใครพูดครับ”

“ผมเก็บสมุดของคุณได้ มันเขียนว่าสำคัญให้ส่งคืน” ผมเลือกที่จะใช้ประโยคสุภาพและเป็นทางการกับเขาไว้ก่อน

“อ๋อ กำลังหาอยู่เลย คุณสะดวกให้ผมไปเอาเมื่อไร”

ฉัตรครางในลำคอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมีอารมณ์ร่วมขึ้นมาอีกนิดนึง ผมเดาว่าเขากำลังตามหาสมุดอย่างที่บอกจริงๆ แต่ถ้าหวังจะได้ยินน้ำเสียงร้อนรนหรือคำขอบคุณอย่างซึ้งใจจากคนๆนี้…ผมบอกเลยว่ายาก!

“พรุ่งนี้ก็ได้ รีบใช้หรือเปล่า”

ผมถาม เผื่อเขาต้องรีบปั่นโปรเจคส่งให้อาจารย์ตรวจ แหม ผมนี่เป็นคนดีไปอีกนะ

“ไม่รีบ เอาเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ครับ”

“ที่ไหน? นัดมาเลย” ผมถาม

“เจอกันที่สบายตอนห้าโมงเย็น”

“โอเค”

ผมรับคำสั้นๆ เด็กในมหาลัยเกือบทุกคนรู้จักร้าน ‘สบาย’ ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านยอดฮิตที่นิสิตต้องลองแวะสักครั้งก่อนจบการศึกษา ตั้งอยู่ไม่ไกลจากรั้วมหาลัย ตอนแรกที่ผมเรียนเภสัชร้านสบายยังขายแค่เค้กกับเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ตอนนี้มีเมนูอาหารและไอศกรีมเพิ่มเข้ามา ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะมาชิมอาหารอยู่เป็นระยะ ผมยอมรับว่าอาหารและเครื่องดื่มรสชาติดีเกือบทุกเมนู แต่เหตุผลที่ผมไม่ได้ย่างเท้าเข้าไปในร้านสบายมานานมากแล้ว ก็เป็นเพราะราคาที่แพงมากถึงมากที่สุด

อย่างเช่นว่าไอศกรีมโฮมเมดก้อนละ 49 บาทขาดตัว เครื่องดื่มแก้วละ 40-60 บาท ไม่ต้องพูดถึงเค้กกับข้าวนะครับ แพงชิบหายเลย เข้าร้านครั้งนึงเสียเงินต่ำๆก็หลักร้อยแล้วอ่ะ แล้วช่วงนี้ผมยิ่งจนๆอยู่ ผมสัญญากับตัวเองไว้เลยว่าจะเดินเข้าไปในร้านสบายเพื่อคืนสมุดให้ฉัตรอย่างเดียวเท่านั้น เจ้าของร้านจะว่ากูไร้มารยาทไม่ได้นะ กูจะรีบกลับทันทีเลย

“แล้วเจอกัน”

ฉัตรเอ่ยสั้นๆก่อนจะกดตัดสายทันที ให้ตายสิ เห็นมั้ยว่าหมอนี่เย็นชาแค่ไหน ไม่มีการถามต่อเลยว่าคุณเจอสมุดของผมที่ไหน ชื่ออะไร แล้วรู้จักร้านสบายหรือเปล่า ช่างเป็นบุคคลที่ทำตัวเป็นสูญกลางของจักรวาลได้แบบน่าถีบ แต่ไม่ยักจะมีคนเกลียดขี้หน้าลง คนหน้าตาดีมันก็มีชัยในสังคมไปกว่าครึ่งแบบนี้แหละครับ





ติ่งติ้ง!

เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ดังขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรง ผมวางปากกาที่กำลังจดเลกเชอร์วิชาเซฟตี้ไว้บนโต๊ะแล้วคว้าไอโฟนเครื่องเก่ามาปลดล็อคทันที นาทีนี้การบ้านเสร็จหรือเปล่าผมไม่สน สนแค่ว่าต้องคุยกับพี่พอร์ชเดี๋ยวนี้เลย

Porshe : ทำอะไรอยู่?

ให้ตายดิ ผมไม่ได้มีโมเมนต์ที่ทำให้หัวใจเต้นแรงเพียงแค่เห็นข้อความสั้นๆมานานมากแล้วนะ แม่งทำตัวเหมือนเด็กน้อยหัดมีความรักเลยกู ถ้าใครรู้เข้าต้องหัวเราะเยาะเสือวินแน่ๆ

TheWinner : เพิ่งจดเลกเชอร์เสร็จ มึงล่ะ?

จริงๆไม่เสร็จหรอก แต่ต้องรีบเสร็จเพราะมึงทักมาอ่ะครับ แต่กูไม่บอกมึงหรอกนะ เดี๋ยวมึงได้ใจ

Porshe : กำลังคิดถึงมึงอยู่

ห่าเอ๊ย! อีพี่พอร์ช ถ้ามึงจะตอบแบบนี้ก็ฆ่ากูเลยเถอะ แค่นี้กูก็หลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว

TheWinner : กูก็คุยกับมึงอยู่ทุกวัน

นี่คือข้อดีของการคุยกันผ่านตัวหนังสือ เพราะอีกฝ่ายไม่มีทางรู้เลยว่าผมวิ่งไปกระโดดใส่เตียง แล้วนอนกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความเขิน นี่กูกลั้นเสียงกรี๊ดแบบสุดๆอยู่นะเว้ย

Porshe : วันนี้กูเห็นมึงที่โรงอาหารคณะกู

อ๋อ ใช่แล้ว กูไปแดกข้าวที่คณะบริหารมา

TheWinner : รู้ได้ไงว่าเป็นกู ไหนมึงบอกว่าจำหน้ากูไม่ได้

ตั้งแต่วันที่พอร์ชบอกว่าเขามองไม่เห็นหน้าผม ผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในไลน์เป็นรูปของริชาร์ดปาร์คเกอร์แทน ไหนๆมึงก็มองไม่เห็นแล้ว คงจำไม่ได้สินะว่ากูหล่อแค่ไหน

Porshe : กูจำกระเป๋าของมึงได้

ตอแหล! มึงเคยเห็นกระเป๋าของกูตอนไหนไม่ทราบ

TheWinner : ทำไมไม่เข้ามาทักล่ะ

Porshe : มึงแอบนอกใจกู

ฮะ! ผมถึงกับหน้าเหวอเมื่อเห็นข้อกล่าวหาจากพี่พอร์ช ถึงผมจะเจ้าชู้แต่สาบานเลยว่าตั้งแต่คุยกับเขา ผมก็ไม่เคยคุยกับคนอื่นเลย

TheWinner : กูไปทำแบบนั้นตอนไหน

Porshe : มึงกอดผู้ชายคนอื่นในโรงอาหาร

ผมเนี่ยนะ กอดผู้ชายในโรงอาหาร?

Porshe : ถึงกูจะไม่ใช่แฟนมึง แต่คิดบ้างมั้ยว่ากูไม่ชอบที่มึงใกล้ชิดกับคนอื่นแบบนี้

ครับๆ กูทราบแล้วครับว่ามึงหึง นับว่าดีแล้วที่มึงรู้สึกแบบนี้ แต่พี่พอร์ชครับ นอกจากไปแดกข้าวกับไอ้แว่น มีปลอบโยนกันเล็กน้อยตอนที่ไอ้แว่นมันงอน กูก็ไม่ได้สัมผัสผู้ชายคนอื่นเลยครับ ขนาดตอนที่จ่ายเงินค่าข้าว กูยังเลือกจ่ายกับป้าแก่ๆเลย ถูกมือกันแค่สองวิเอง แล้วนี่มึงกำลังหึงส้นตีนอะไรอยู่ไม่ทราบ

TheWinner : มึงหมายถึงคนที่กูไปกินข้าวด้วยเหรอวะ

Porshe : แล้วมึงมีคนอื่นอีกเหรอ

โห ไรว้า…แต่ผมนึกออกแล้ว เดาว่าพอร์ชน่าจะมาเห็นฉากที่ผมโอบไอ้แว่นแล้วให้มันซบไหล่นั่นแหละครับ จะว่าไปก็แลดูมีซัมติงจริงๆว่ะ กูไม่โทษมึงแล้วพอร์ช

TheWinner : เดี๋ยวๆ นั่นเพื่อนกู แล้วกูก็กอดกันแบบมิตรภาพไม่ได้พิศวาสเลย

Porshe : แล้วทำไมต้องกอด

TheWinner : เพื่อนกูมันงอน กูก็เลยกอดมันเป็นการปลอบโยนเข้าใจมั้ย

Porshe : ไม่เข้าใจ ไม่เคยปลอบเพื่อนแบบนี้

เพื่อนคนอื่นกูก็ไม่กอดแบบนี้หรอก แต่นี่ไอ้แว่นไง มันคือบุคคลดราม่าแห่งปี  กูจึงจำเป็นมากๆที่ต้องกอดมันนะครับ

TheWinner : นั่นเพื่อนจริงๆ ตอนนี้กูชอบมึงคนเดียวนะพี่พอร์ช

ผมพยายามอธิบาย คิดว่าถ้าหมอนี่พูดไม่รู้เรื่องผมจะโทรไปอ้อนให้สิ้นเรื่องสิ้นราวซะเลย กูชอบมึงมากขนาดนี้ จะมีปัญญาไปสนใจผู้ชายหน้าไหนอีกครับ

Porshe : กูเชื่อมึง

อ้าว เชื่อคนง่ายไปอีก อย่างนี้กูก็อดออดอ้อนมึงเลยสิพอร์ช

Porshe : กูไม่มีสเปค กูแค่อยากได้คนที่รักและซื่อสัตย์กับกู

TheWinner : แปลว่ามึงโดนแฟนนอกใจบ่อยอ่ะดิ

Porshe : อืม พอให้คำว่าเชื่อใจไปทีไร กูโดนสวมเขาทุกที มึงว่ากูโง่มั้ย

TheWinner : ไม่หรอก คำว่าเชื่อใจให้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้ามีชู้แล้วจับไม่ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าจับได้ก็เลิกทันที

ผมซีเรียสเรื่องการนอกใจมากที่สุดครับ ถ้าอยากคบเล่นๆสนุกๆก็ให้บอกกันตั้งแต่แรก แต่ถ้าคิดจะจริงจังแล้วสุดท้ายกลับนอกใจ สำหรับผมไม่มีคำว่าให้อภัย

Porshe : แล้วมึงเคยมีชู้มั้ย

TheWinner : ถ้ากูเคยมี กูจะบอกมึงเหรอ

Porshe : เอาเป็นว่ากูจะเชื่อที่มึงบอกละกัน

TheWinner : ไม่เคย

ผมพิมพ์ตอบข้อความของพอร์ชก่อนจะชะงัก จู่ๆผมก็รู้สึกกังวลเมื่อคิดว่าเขาอาจจะมองว่าผมเป็นคนดี เชื่อใจได้ แล้วก็น่าคบหา ทั้งที่จริงแล้วผมไม่ได้ดีแบบนั้น

ตั้งแต่คุยกันมาผมพอจะวิเคราะห์ลักษณะนิสัยคร่าวๆของพอร์ชได้ว่า เขาเป็นคนตรงๆ ชัดเจน คบใครก็คบทีละคน รักทีละคน แต่ที่ทำให้ผมปวดหัวอยู่บ่อยๆคือความปากร้าย กวนตีน แล้วก็ความคิดติสท์แตก อย่างเช่นเขาคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกต้องและดีที่สุดแล้ว เขาก็จะทำสิ่งนั้นต่อไป โดยที่โนสนโนแคร์ความเห็นจากทุกคน

TheWinner : ที่จริงแล้วกูเคยมีแฟนแค่หนึ่งคน ที่เหลือก็เป็นพวกคนคุย หรือไม่ก็พวกที่เอากันแก้เหงาเฉยๆอ่ะ

ผมสารภาพตรงๆ ถ้าเขารับอดีตของผมไม่ได้ เราก็จบกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าให้เขาคบกับผม แล้วรู้ว่าผมไม่ได้ดี ไม่ได้สะอาดอย่างที่เข้าใจ

TheWinner : ทำไมเงียบ ตกใจเหรอที่กูเป็นคนแบบนี้

หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะขณะพิมพ์ประโยคคำถาม ผมรู้สึกกลัวอดีตของตัวเอง กลัวว่ามันจะทำให้ผมเริ่มต้นใหม่กับใครไม่ได้อีก

Porshe : เปล่า

จริงๆแล้วผมคาดหวังในคำตอบของเขามาก ผมอยากให้เขาบอกกับผมว่าไม่เป็นไร พวกเราจะเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน

Porshe : เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่ามึงเป็นพวกรักสนุกไม่ผูกพัน

TheWinner : แล้วทำไมยังแอดไลน์มา

Porshe : มันคืออดีตไม่ใช่เหรอ หรือว่าปัจจุบันมึงยังทำตัวแบบนั้นอยู่?

TheWinner : ไม่ทำอีกแล้ว

ผมสัญญาว่าถ้าพอร์ชเลือกผม ผมจะหยุดที่เขา

Porshe : กูไม่แคร์หรอกว่ามึงจะผ่านอะไรมา

ผมรู้สึกว่ากระบอกตากำลังร้อนผ่าว พอร์ชแม่งทำผมใจกะเทยอีกแล้วอ่ะ

TheWinner : เพราะมึงดีแบบนี้ไงพี่พอร์ช เลยโดนสวมเขา

Porshe : งั้นมึงก็รักษากูไว้ดีๆสิ

ผมเงยหน้ามองเพดานสีขาว หวังว่าน้ำตาจะไม่ไหลออกมาให้ขายหน้าตัวเอง ผมดีใจโคตรๆเลย รู้สึกดีมากๆที่ได้บอกเล่าอดีตของตัวเองให้พอร์ชรับรู้ เมื่อได้บอกความจริงไปแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าเขาจะได้ยินเรื่องไม่ดีของผมมาจากคนอื่น เพราะเขารับได้ที่ผมเป็นผม

TheWinner : แน่นอน มึงต้องเป็นของกูแล้วแหละ

นาทีนี้ผมไม่แคร์เรื่องหน้าตาของเขาอีกต่อไปแล้ว ต่อให้เขาไม่หล่อ ไม่รวย ผมก็ปล่อยเขาไปให้คนอื่นไม่ได้





หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 28/08/2562 [บทที่6]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 28-08-2019 15:47:48
บทที่ 6 คนขวางโลก

 

ผมมาถึงร้านสบายเวลา 17.10 น. ที่จริงแล้วผมตั้งใจมาช้ากว่าเวลานัดเพราะไม่ต้องการเข้าไปนั่งรอฉัตรด้านใน คิดดูนะครับ ถ้าผมเข้าไปใช้โต๊ะใช้แอร์ในร้านสบายแล้วไม่สั่งอะไรเลย เจ้าของร้านจะถีบผมออกมาหรือเปล่า คือผมก็ไม่อยากทดลองด้วยไง เกรงว่าจะได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์มหาลัย อย่างน้อยก็ต้องสั่งเครื่องดื่มสักแก้วใช่มั้ยล่ะ แล้วเงินค่าข้าวมื้อเย็นของผมก็จะหายไปทันที ผมว่าเก็บเงินไว้กินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวดีกว่า แม่งไม่ใช่เรื่องอะไรของผมเลยที่ต้องมาเสียเงินในเรื่องแบบนี้

ผมผลักประตูกระจกเข้าไปในร้านสบาย กวาดสายตามองผ่านๆหนึ่งรอบก็สามารถสังเกตเห็นฉัตรได้ไม่ยาก แน่นอนว่าเป็นเพราะหน้าตาที่โดดเด่นเป็นสง่าทำให้ผมมองข้ามไปไม่ได้เลย ฉัตรนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมร้าน มีกาแฟเย็นที่ยังเต็มแก้วอยู่เหมือนเดิมวางอยู่บนโต๊ะ ขอเดาว่าผมคงไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานเกินไป

ผมเดินตรงเข้าไปหาฉัตรแล้ววางสมุดปกหนังสีดำลงบนโต๊ะ เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรผมก็ชิงตัดบทซะก่อน

“ไปล่ะ”

“เดี๋ยว!”

ผมหมุนตัวแล้วเตรียมพุ่งไปที่ประตู แต่กลับต้องเบรคกะทันหันจนหน้าเกือบทิ่มเพราะเสียงเรียกของฉัตร…อย่านะเว้ย อย่าชวนกูเสียเงินนะ กูจะไปกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว

“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”

โอเค งั้นกูนั่ง! ทำตัวแบบนี้ค่อยน่าคบหา

สาบานว่าผมไม่ใช่คนใจง่าย แค่เป็นคนเห็นแก่ของฟรีเท่านั้นเอง มันช่วยไม่ได้จริงๆที่พ่อกับแม่ไม่มีค่าขนมพิเศษให้ผม ผมได้รับเงินเป็นรายเดือน ถ้าใช้หมดก็คือหมด เงินไม่พอก็อดข้าวอดขนมไปตามยถากรรม ไม่ใช่ว่าครอบครัวของผมขัดสนนะครับ แต่เป็นเพราะว่าพ่อต้องการสั่งสอนเรื่องการใช้จ่ายอย่างประหยัด ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจำหรอก อดข้าวทุกสิ้นเดือนเป็นประจำและช่วงนี้ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้วด้วย ผมก็ใกล้สิ้นใจเหมือนกัน

“ขอเมนูด้วยครับ”

ผมหันไปบอกพนักงานสาวที่รีบเดินไปหยิบเมนูแล้วเข้ามารับออเดอร์…มึงบอกจะเลี้ยงเองน้าฉัตรเพราะงั้นกูไม่เกรงใจละ

“อยากกินอะไรสั่งเลย”

ฉัตรเอ่ยกับผมเรียบๆ จากสีหน้าของหมอนี่ ผมเดาไม่ได้เลยว่าเขาจำผมได้หรือว่าไม่ได้ โคตรไร้ความรู้สึกเลยอ่ะ แต่ช่างมันเถอะนาทีนี้สนใจของฟรีดีกว่า

“เอาข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มไส้อั่วหนึ่งที่ครับ”

ผมสั่งอาหารแล้วส่งเมนูให้ฉัตร แต่เขากลับส่ายหน้าแล้วหันไปสั่งอาหารกับพนักงานทันที

แหม ท่าจะมาบ่อยล่ะซิ แล้วดูเมนูอาหารของคุณชายเขานะ คนละสไตล์กับผมเลย

“ข้าวผัดอเมริกัน”

“เอาน้ำอะไร”

ฉัตรถาม นี่เขาใจดีขนาดเลี้ยงน้ำผมด้วยเหรอ ดีครับดี วินไม่เกรงใจอยู่แล้ว

“ชาเขียวไม่ปั่นครับ” ชาเขียวร้านสบายรสชาติดีจริงๆ ถ้าใครมีโอกาสขับรถผ่านมาแถวมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน เชิญแวะเข้ามาชิมได้ ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ แค่อยากแนะนำอ่ะ

“ขออนุญาตทวนรายการอาหารค่ะ มีข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มไส้อั่ว ข้าวผัดอเมริกันและชาเขียวเย็นนะคะ”

พนักงานสาวทวนรายการอาหารตามหน้าที่ แต่สายตาเจ๊อ่ะ เอาแต่เหลือบไปมองหน้าฉัตร คือหันมามองหน้าผมบ้างก็ได้ มั่นใจว่าหล่อเหมือนกันครับ

“ครับ” ฉัตรรับคำส่งๆโดยที่ไม่ได้เหลือบแลพนักงานสาวเลย หลังจากที่เธอเดินจากไปเขาก็หันมาคุยกับผม

“รู้จักกูเหรอ”

“ทำไมคิดงั้น” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ตอนที่เข้ามาในร้าน มึงเดินตรงมาหากูเลย”

อ้าวเหรอ กูเห็นมึงนั่งก้มหน้าเล่นไอโฟนก็คิดว่าไม่เห็นซะอีก

“มีใครไม่รู้จักคนดังของมหาลัยอย่างมึงบ้างล่ะ”

ผมให้คำตอบเป็นคำถาม เดาว่าฉัตรคงจำเรื่องที่เราคุยกันครั้งแรกไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละมันไม่ได้น่าจดจำอะไรเลย หลังจากที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟผมก็ไม่รอให้ใครมาเรียนเชิญ รีบคว้าช้อนแล้วยัดอาหารใส่ปากอย่างรวดเร็ว โคตรหิวเลย แถมอร่อยขนาดนี้ วินเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยครับแม่

“หิวเหรอ”

“อืม”

ผมครางในลำคอเพราะข้าวที่อัดแน่นอยู่ในปาก ผมกลืนอาหารลงคอเป็นคำสุดท้ายก่อนจะคว้าชาเขียวเย็นมาดูด รู้สึกถึงความโชคดีขึ้นมาเลย เป็นเพราะสมุดของฉัตรแท้ๆทำให้ผมประหยัดค่าอาหารไปอีกหนึ่งมื้อ

“ชอบกินอาหารเหนือ?”

ฉัตรถาม เขาวางช้อนกับส้อมทั้งที่ยังกินอาหารไม่หมดจาน ไม่รู้ว่าหมอนี่กินน้อยหรือว่าอาหารไม่ถูกปาก ตัวก็ออกจะใหญ่โต แต่กินเท่าแมวดม เห็นแล้วเสียดายชะมัดเลย

“เปล่า ชอบอาหารที่มันไม่เลี่ยน”

ในตอนที่พวกเราเดินออกมาจากร้านสบายเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ถนนแถวนี้กำลังคึกคักไปด้วยนิสิตที่ออกจากหอพักมาหามื้อเย็นกินกับเพื่อนๆ ต่างจากผมที่ชอบกินมื้อเย็นคนเดียว

อย่างแรกเลย ผมสามารถเลือกอาหารที่อยากกินได้โดยไม่ต้องถามความเห็นจากคนอื่น อย่างที่สอง สำคัญมาก ผมชอบกินมื้อเย็นหลายอย่างและกินช้าๆพลางดูยูทูปหรือดูหนังออนไลน์ไปด้วย ซึ่งกว่าจะกินข้าว กินขนม กินผลไม้เสร็จก็ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงกว่า ถ้าผมกินข้าวเย็นกับคนอื่นมีแต่โดนด่ากับด่าเท่านั้นแหละครับ

อย่างตอนที่กินข้าวกับฉัตร ผมรีบกินโดยที่ไม่พูดไม่จาเลย สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะว่าผมไม่อยากใช้เวลาอยู่กับคนที่ไม่สนิทนานๆ มันจะดีกว่าถ้าผมรีบกินแล้วรีบกลับไปนอนตีพุงที่หอ

“จะไปไหนต่อ”

“กลับหอ”

ผมตอบขณะมองหามอเตอร์ไซค์รับจ้าง จริงๆแล้ว จากตรงนี้ผมสามารถเดินกลับหอได้โดยใช้เวลาแค่สิบถึงสิบห้านาทีเท่านั้น แต่ตอนนี้ผมอิ่มและเริ่มขี้เกียจแล้วครับ

“กลับยังไง” ฉัตรถาม ไม่รู้ว่าหมอนี่จะถามไปทำไม จะไปส่งกูหรือไงครับ

“วินมอไซค์”

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ดี” ผมขยับยิ้ม ไหนๆมึงก็เลี้ยงข้าวกูแล้ว จะเพิ่มบริการขับรถไปส่งแค่ห้าหรือสิบนาทีไม่ใช่เรื่องใหญ่ มึงควรทำแบบนี้ ถูกแล้วครับ กูจะมองมึงในแง่ดีขึ้นมาอีกสักสิบเปอร์เซ็นนะ

“ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร”

เออ เรื่องของมึงเลยครับ

ผมเดินตามฉัตรไปที่ลานจอดรถยนต์ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นรถที่หมอนี่ขับมา ผมพอจะได้ยินมาบ้างนะว่าครอบครัวของเขารวยมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าเอาปอร์เช่พานาเมร่าสีแดงปี 2016 มาขับในมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด คือคนแถวนี้เขาไม่ทำตัวไฮโซขนาดขับรถเก๋งสี่ประตูราคาเหยียบยี่สิบล้านกันนะฉัตร มึงควรขายรถคันนี้แล้วไปซื้อฮอนด้าซีวิกอ่ะเข้าใจปะ

“มีอะไร”

ฉัตรถามเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของผม ห่าเอ๊ย มึงรู้มั้ยว่ากูไม่เคยเห็นปอร์เช่ใกล้ๆขนาดนี้มาก่อน แล้วอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า กูก็กำลังจะได้เข้าไปนั่งในรถหรูของมึงเลยนะ ให้เวลากูตื่นเต้นแป๊บนึงดิวะ

“รถสวย”

ผมตอบขณะพยายามเก็บอาการอยากลงไปดิ้นกับพื้น แต่ไหนๆก็ได้เห็นปอร์เช่พานาเมร่าจอดอยู่ตรงหน้าแล้ว โอกาสแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะงั้นกูขอสำรวจด้านนอกตัวรถหน่อยละกัน

ผมเดินวนไปวนมารอบตัวรถ เอ…จะว่าไปก็คุ้นๆเหมือนกันนะ ผมว่ารถคันนี้เหมือนรถที่ไอ้พี่พอร์ชใช้เป็นรูปโปรไฟล์เลยอ่ะ รุ่นเดียวกันชัดๆเลย

“ของมึงเหรอ”

ผมถาม มันคงเป็นความบังเอิญเกินไปที่คนสองคนซึ่งเรียนคณะและชั้นปีเดียวกัน แล้วยังจะใช้รถนอกเหมือนกันอีก เชื่อผมดิว่า รถรุ่นนี้มีแค่ฉัตรคนเดียวที่กล้าขับมาเรียน มันไม่น่าซ้ำกับรถของชาวบ้านแล้วอ่ะครับ ส่วนรูปโปรไฟล์ของไอ้พี่พอร์ชก็เป็นไปได้ว่าก็อปภาพมาจากอินเทอร์เน็ตเพราะเห็นว่าสวย อืม เป็นไปได้ๆ

“เปล่า ยืมคนอื่นมา”

จริงดิ ใครมันใจดีให้ยืมวะ กูจะไปขอเช่ามาขับโชว์ผู้ชายหนึ่งวัน

“หออยู่ไหน”

ฉัตรถามเมื่อผมเปิดประตูเข้ามานั่งบนเบาะข้างคนขับ ตัวเกร็งเลยกู กลัวว่าจะทำรถของเขาเปื้อน ผมไม่มีปัญญาชดใช้ใดๆทั้งสิ้น ให้ตายสิ เพิ่งรู้ว่าการนั่งรถปอร์เช่ทำให้หายใจไม่สะดวกแบบนี้ อ๊ากก กูจะตายก่อนถึงหอมั้ยนะ

“ซอยประตูห้า”

“อยู่กับใคร”

ผมหันไปมองหน้าฉัตรเมื่อได้ยินคำถาม เอ่อ ไม่ได้ฟังผิดใช่ปะ เขาถามผมว่าอยู่กับใคร?

“ฮะ”

ไม่ได้หูตึงนะเว้ย แค่ไม่แน่ใจในคำถาม

“ถามว่าอยู่หอกับใคร”

อ๋อ กูฟังถูกแล้ว แต่มึงอ่ะเป็นใคร สนิทกับกูเหรอ

“คนเดียว”

ฉัตรใช้เวลาเพียงห้านาทีในการขับรถมาส่งผมที่หอพักชายล้วน ที่ผมตัดสินใจอยู่ที่นี่เป็นเพราะว่าผมรำคาญเสียงของผู้หญิงบางคนที่ชอบดูซีรีย์ตอนกลางคืนแล้วส่งเสียงกรี๊ดๆแบบไม่เกรงใจเลยว่ากูไม่ดูเรื่องเดียวกับมึง อีกอย่างห้องข้างๆไม่สามารถพาเมียมาเอาที่หอได้ ที่นี่คือเขตปลอดผู้หญิง ผมไม่ต้องทนฟังเสียงครางอื้อๆอ้าๆของใครทั้งนั้น สบายหูดีเหลือกัน อาจจะมีนานๆครั้งที่คนในหอพักชวนเพื่อนมาเชียร์บอล แต่ไม่บ่อยนักหรอกผมเลยทนได้

“ไปจอดข้างในเลยจะได้กลับรถด้วย”

หอพักของผมมีตึกสองหลัง คือตึกหน้าและตึกหลัง ผมพักอยู่ด้านหลังเพราะสงบกว่าด้านหน้าที่ติดถนน

“วิน”

ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถ

หา! หมอนี่จำผมได้ เขาเรียกชื่อผมด้วยว่ะ

“ขอบใจ”

เฮ้ย! คนอย่างฉัตรชนกเนี่ยนะขอบใจผม ไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย ไอ้คุณชายหัวสูงตัวร้ายขอบใจคนอื่นเป็นด้วยอ่ะ ฮืออออ ปลื้มปริ่ม โลกใกล้แตกหรือยังครับ

“มึงจำกูได้เหรอ”

ผมถามด้วยความแปลกใจ หลังจากวันที่ฉัตรถามชื่อของผม เขาก็ไม่ได้แวะมาหาที่คณะหรือยกพวกมากระทืบ จนผมคิดว่าเขาอาจจะลืมไปแล้ว

“กูไม่ได้สมองเสื่อม ทำไมจะจำมึงไม่ได้”

ไอ้ห่า! ชื่นชมได้ไม่ถึงสองวิเป็นต้องกวนตีนกูนะ

“เรื่องผ้าเช็ดหน้าของมึงอ่ะ คราวหน้าจะพาไปซื้อใหม่”

โฮ้ กูควรซาบซึ้งมั้ย!

หลังจากวันที่ฉัตรทำผ้าเช็ดหน้าของพายุเปื้อนรอยตีน ผมก็ต้องนำมันกลับไปซักอย่างจำใจ แล้วกลิ่นหอมๆของคนน่ารักที่ผมเฝ้าถนอมก็หายวับไปเลย แล้วการที่มึงอยากรับผิดชอบด้วยการซื้อผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ที่ไม่มีกลิ่นของพายุให้กู ก็อย่าลำบากเลยครับ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

“ไม่ต้อง กูไม่อยากได้ผืนใหม่”

“ทำไม”

ฉัตรถามเสียงแข็ง ผมว่าคุณชายเขาเอาแต่ใจระดับหนึ่งเลยครับ แต่ผมไม่แคร์อ่ะ เรื่องของกูมั้ย กูบอกว่าไม่อยากได้ไง

“แล้วมึงล่ะ ทำไมอยากซื้อให้กูใหม่”

ผมย้อนถาม สาบานว่ามึงรู้สึกผิดจริงๆ?

“กูทำมันเปื้อน”

“มึงเพิ่งคิดได้เหรอ”

“เปล่า”

ดีครับดี คำตอบสมเป็นคุณฉัตรชนกคนคูล

“ถ้าเป็นคนอื่นกูไม่พาไปซื้อหรอก”

กูเชื่อครับ งั้นกูต้องดีใจถูกมั้ย

“แต่ถ้าเป็นมึงกูอยากซื้อให้ใหม่”

“มึงเลี้ยงข้าวกูแล้ว ถือว่าหายกัน เรื่องนั้นกูไม่ได้คิดมาก แต่คราวหน้าจะทำอะไรก็คิดถึงใจของคนอื่นบ้าง”

ผมปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเปิดประตูรถ แต่ยังไม่ทันก้าวขาลงไปผมก็ต้องชะงักเพราะแขนที่ถูกดึงไว้จากใครอีกคน

“แล้วทำไมกูต้องคิดถึงใจคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตกูด้วยล่ะ”

“โว้ย มันก็เป็นแค่มารยาทพื้นฐานของคนในสังคมอ่ะ มึงแคร์คนรอบข้างบ้างจะทำให้ตายเร็วหรือไง”

ผมขมวดคิ้วแล้วตะโกนใส่หน้าของคุณชาย หมอนั่นทำหน้าอึ้งไปเลย แต่เรื่องของมึงเลยครับ เจอกันคราวหน้าไม่ต้องเข้ามาทักนะ กูเกลียดขี้หน้า นอกจากหล่อแล้วไม่มีเชี่ยไรดีเลยนะ ผมก้าวลงจากรถแล้วกระแทกประตูปิดตามหลัง ขออย่าให้เจอหมอนี่อีกเลย วินเซ็ง!


 


 
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 28/08/2562 [บทที่6]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 29-08-2019 11:49:10
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 02-09-2019 17:25:49

บทที่ 7 ของใครใหญ่

สัปดาห์แห่งการสอบมิดเทอมทำให้ผมจำเป็นต้องห่างจากพอร์ชอย่างช่วยไม่ได้ ที่มหาวิทยาลัยของผมจะหยุดทำการเรียนการสอนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนการสอบเพื่อให้นิสิตได้อ่านหนังสือ

พอร์ชบอกกับผมว่าเขาจำเป็นต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพราะอยากให้เกรดในปีสุดท้ายออกมาดีที่สุด เขาดูเป็นพวกเรื่อยๆเฉื่อยๆในความคิดของผม แต่จะว่าไปแล้ว ผมคิดว่าเขาจริงจังในเรื่องเรียนและมีความรับผิดชอบในเรื่องเรียนมากกว่าผมหลายเท่าเลย

ช่วงแรกๆพอร์ชยังส่งข้อความมาหาผมทุกวัน เป็นข้อความสั้นๆในเชิงให้กำลังใจหรือบ่นว่าคิดถึงซึ่งมันทำให้ผมยิ้มเหมือนคนบ้าได้ทั้งวัน แต่พอเข้าช่วงสัปดาห์สอบพอร์ชก็เงียบหายไป ผมส่งข้อความไปหาเขาก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง บางครั้งก็อ่านแล้วไม่ตอบ ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงจะเครียดหรือกำลังยุ่งกับการติวหนังสือกับเพื่อน จนกระทั่งสอบเสร็จก็ยังไร้วี่แววว่าเขาจะกลับมาคุยกับผมเหมือนเดิม นั่นทำให้ผมเข้าสู่สภาวะโดดเดี่ยวอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้พอร์ชจะทำให้ผมสาหัสกว่าคนอื่นๆ

“โดนเทมาอีกแล้ว?”

ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินประโยคส้นตีนที่ดังมาจากไอ้ไวท์ รู้สึกมั้ยครับว่าประโยคแบบนี้มันคุ้นๆ เช่นเดียวกับเหตุการณ์คุ้นๆที่ผมได้กลับมานั่งอยู่ในผับ Eros แล้วกรอกวอดก้าลงคอเป็นการย้อมใจ

“มึงเห็นกูเป็นพญานกเหรอเพื่อนไวท์ แค่กูชวนมาดื่ม ทำไมต้องคิดว่ากูโดนเทด้วยวะ”

ผมชวนไอ้ไวท์กับไอ้ธามมาเที่ยวผับหลังจากที่ไม่ได้ก้าวเท้ามาแรดที่นี่ถึงหนึ่งเดือน พอร์ชช่วยให้ผมประหยัดเงินค่าเหล้า แถมยังทำให้ตับของผมได้พักผ่อน ตอนที่คุยกับเขาผมไม่เคยต้องการแอลกอฮอล์หรือแสงสีเสียงเลย แต่จู่ๆเมื่อเขาหายไปผมก็ได้แต่พาตัวเองกลับมาใช้ชีวิตที่จุดเดิมอีกครั้ง

“หรือไม่จริง?”

ไอ้ไวท์ถามเรียบๆ ผมเคยบอกมั้ยว่าไอ้ห่านี่มันเป็นพวกวิเคราะห์ลักษณะนิสัยและความคิดของคนรอบข้างได้ทะลุปรุโปร่งจนน่าขนลุก แค่ผมทำหน้าเป็นหมาถูกทิ้งมันก็สามารถบอกได้แล้วว่าผมถูกใครทิ้ง

“จริง”

ผมยอมรับ อย่าโกหกคนอย่างไอ้ไวท์เลยครับเสียเวลาเปล่า

“พวกมึงมีใครรู้จักคนชื่อพอร์ชมั้ยวะ”

ไอ้ห่าพอร์ชก็อีกคน ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าถ้ารู้สึกไม่โอเคกับผมเมื่อไรก็ขอให้บอกกันตรงๆ หายไปเฉยๆแบบนี้ผมคิดมากนะเว้ย อยากจะตามไปเค้นคอถามที่คณะก็ติดว่าไม่เคยเห็นหน้า ผมทั้งโมโห ทั้งเป็นห่วง กังวลว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุกับเขา เพราะลึกๆแล้วผมยังเชื่อว่าพอร์ชเป็นคนชัดเจน

“ไม่”

ไอ้ไวท์ตอบสั้นๆ

“แล้วมึงอ่ะ”

ผมยื่นมือไปสะกิดแขนไอ้ธามที่เอาแต่หันไปส่องหญิงโต๊ะข้างๆ ห่ารากจริงวะ มีผัวแล้วไม่เจียมเลยนะมึง

“รู้จักพอร์ชมั้ย”

“กูไม่เคยมีเพื่อนชื่อพอร์ช”

ไอ้ธามตอบส่งๆ ทั้งที่ไม่ยอมละสายตาจากสาวสวยในชุดแหวกอกลายเสื้อดาว คือมึงช่วยเก็บอาการหน่อยได้มั้ยเพื่อน น้ำลายมึงจะย้อยมาถึงพื้นแล้วครับ สภาพดูอดอยากปากแห้งมาก สงสัยว่าผัวจะเลี้ยงไม่ดี

“ไม่ต้องเป็นเพื่อนก็ได้ แค่คนรู้จักละ มีมั้ย”

“ไม่”

“คิดดีๆหน่อยดิวะ”

โอ๊ย!!!

ไอ้ธามร้องเสียงหลงเมื่อผมเอื้อมมือไปกระชากศีรษะของไอ้เพื่อนรักให้หันมาหา ต้องให้กูใช้ความรุนแรงตลอด

“ไอ้เชี่ยนี่! ก็กูบอกอยู่ว่าไม่รู้จักคนชื่อพอร์ช”

ไอ้ธามโวยวายแล้วยกมือลูบศีรษะของตัวเองปรอยๆ ไม่ต้องมาทำตาขวางใส่เลย กูจะฟ้องไอ้ทีนว่ามึงมันแรด

“พอร์ชแอดไลน์กูมา ไลน์ที่มึงสะเออะเอาไปแจกในเฟสแล้วก็แท็กกูกับไอ้ไวท์อ่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อนมึงแล้วจะเพื่อนใครได้อีกวะ”

ถ้าไอ้ไวท์มันบอกว่าไม่รู้จัก ก็คือไม่รู้จักจริงๆครับ แต่ไอ้ธามนี่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะสมองมันน้อย ชื่อเพื่อนในสาขามันจำได้ทุกคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วจะให้มันจำชื่อเพื่อนในเฟสได้ยังไง

“มึงก็ถามไอ้ไวท์มันบ้างสิ ถามแต่กูอยู่ได้…เพื่อนมึงเปล่าไวท์”

ไอ้ธามหันไปถามไอ้ไวท์ คือมึงไม่ได้ฟังที่มันตอบว่า ‘ไม่’ ก่อนหน้านี้เลยใช่มั้ยฮะ คือกูก็เหนื่อยใจแทนมึงจริงๆนะไวท์ มึงเรียนกับมัน เจอหน้ามันทุกวันมึงรู้สึกยังไงบ้างวะ

“อยู่คณะอะไร เผื่อเป็นเพื่อนของเพื่อน”

ไอ้ไวท์ไม่ได้สนใจไอ้ธาม แต่หันมาย้อนถามผม

“บริหารปีสี่”

เท่าที่ผมรู้มีแค่นี้จริงๆ ตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่เราคุยกันทุกวัน ไม่ได้ทำให้ผมรู้จักพอร์ชดีขึ้นเลย

“กูไม่แน่ใจ แต่มีเพื่อนอยู่บริหารปีสี่ แล้วจะถามให้ละกัน”

“เออ ขอบใจ”

ผมถอนหายใจด้วยความปลงตก พอร์ชเหมือนสายลมสำหรับผม อยู่รอบๆตัวตลอดเวลาแต่จับต้องไม่ได้…บางครั้งเขาทำให้ผมเย็นสบาย แต่บางครั้งกลับทำให้ผมเหน็บหนาว

“ชอบมากเลยเหรอ”

ไอ้ไวท์ถาม ผมรู้ว่ามันหมายถึงพอร์ช

“รู้ได้ไงว่ากูชอบมาก” ผมย้อนถาม ขนาดผมยังไม่แน่ใจเลยว่าชอบพอร์ชมากแค่ไหน รู้แค่ว่า…ชอบมากกว่าหลายคนที่ผ่านมา

“ถ้าไม่ชอบมึงคงไม่พยายามตามหาแบบนี้ แค่หาคนใหม่ ไม่ง่ายกว่าเหรอ”

นั่นสิ แค่หาคนใหม่คงง่ายกว่าการตามหาคนที่ไม่เคยเห็นหน้า…เพียงแต่คนที่ไม่เคยเห็นหน้ามันเสือกเสน่ห์แรงทะลุจอไอโฟน ไม่รู้ว่าพอร์ชเล่นของอะไรใส่ผม แต่ผมติดใจแบบบอกไม่ถูก

“นั่นไอ้เฟย์ปะ ไอ้เฟย์!”

เสียงตะโกนของไอ้ธามทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ผมกับไอ้ไวท์หันไปมองตามสายตาของมันก็เห็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางงงๆ ผมเดาว่าหมอนั่นชื่อเฟย์

“อยู่นี่ มองไปไหนของมันเนี่ย” ไอ้ธามพยายามโบกมือเรียกร้องความสนใจ แต่หมอนั่นก็ไม่ยอมหันมาทางนี้เลย

 “เชี่ยเฟย์!”

ไอ้ธามตะโกนเรียกโดยเติมคำนำหน้าชื่อแสนสุภาพเข้าไปทำให้เจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้งแล้วหันขวับมาทางโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่

“ไงพวกมึง”

เฟย์เอ่ยทักทาย แล้วถือวิสาสะเดินมานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับผม ทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ หมอนี่เป็นคนที่หล่อมากแต่ไม่คุ้นหน้าเลย ผมแน่ใจว่าไม่เคยเห็นรูปของเขาในเพจ Cute Boy หรือ Sexy Boy

เฟย์เป็นผู้ชายผิวขาว ผมสีดำ บุคลิกและน้ำเสียงดูเป็นพวกมึนๆหรือไม่ก็เรื่อยเฉื่อย ไม่มีพิษมีภัยต่อโลก ตรงจุดนี้คงทำให้หน้าตาหล่อๆของเขาดึงดูดเพศตรงข้ามได้ไม่มากพอ มันเป็นความราบเรียบที่ชวนให้สบายใจ พอได้มองนานๆแล้วผมคิดว่าหน้าตาของหมอนี่ให้ความรู้สึกว่าไม่น่าเบื่อดีนะครับ เหมือนได้มองนกมองต้นไม้ มองเพลินๆสบายๆแบบนั้นอ่ะ

“ต้องให้กูสุภาพถึงจะหันมาได้เหรอฮะ”

ไอ้ธามเอ่ยถามกวนๆ เฟย์เพียงแค่หัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ ซึ่งท่าทางแบบนั้นมันดูกวนตีนไม่ใช่น้อยเลยครับ

“หวัดดี” เฟย์หันมาทักผมด้วยหน้าตามึนๆของเขาหรือว่าหมอนี่เมาแล้ววะ

“ดี” ผมทักตอบเรียบๆ

“นี่ใคร”

เฟย์หันไปถามไอ้ธามโดยชี้นิ้วมาที่ผม คือมึงถามกูก็ได้นะ กูพูดได้ครับ

“เพื่อนสมัยมัธยม ชื่อวิน” ไอ้ธามแนะนำผมให้เพื่อนของมันรู้จัก

“เฟย์”

เฟย์หันมาพูดกับผมสั้นๆ จะเรียกว่าประโยคแนะนำตัวเองยังไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าหมอนี่เป็นพวกขี้เกียจพูดหรือพูดน้อยกันแน่

“มึงมาทำไรวะ”

ไอ้ธามเอ่ยถามเฟย์

“กินนม”

“กวนตีน”

“รู้แล้วยังจะถาม”

เฟย์ยักไหล่ด้วยท่าทางมึนๆ คือผมไม่เคยเห็นใครกวนตีนคนอื่นได้น่ารักแบบหมอนี่มาก่อนเลย อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่นุ่มหูกับใบหน้าที่ดูไร้พิษสงนั่นล่ะมั้ง

“มากับใคร”

ไอ้ไวท์ถาม สรุปว่าเฟย์เป็นเพื่อนของมึงด้วยสินะ กูเห็นนั่งเงียบมานานก็คิดว่าไม่รู้จักกัน

“ไอ้ฉัตร”

ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบแก้ววอดก้า เฟย์คงไม่ได้หมายถึง ‘ฉัตรชนก’ ใช่มั้ย? ผมหวังว่าโลกมันคงไม่เล็กจนเกินไปนะ จากครั้งล่าสุดที่ผมได้คุยกับฉัตรและเหตุการณ์ที่น่าประทับใจก่อนหน้านั้น ทำให้ผมโคตรไม่อยากเจอหน้าเขาเลย ฉัตรแม่งเป็นคนที่คุยด้วยแล้วชวนให้ความดันขึ้นอ่ะครับ อารมณ์โมโหมันพลุ่งพล่านได้ดีเหลือเกิน

“มันนั่งไหน” ไอ้ไวท์ถาม

“ตรงนั้น”

เฟย์ชี้นิ้วไปทางบาร์เทนเดอร์ ผมเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำกำลังนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้ทรงสูง

ห่าเอ๊ย!

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจำแผ่นหลังของเขาได้ ลักษณะแบบนี้ต้องเป็นไอ้คุณฉัตรชนกไม่ผิดแน่ ม้ายยยยย มึงมาทำอะไรที่นี่ กูมาผับนี้เป็นปีๆแล้วไม่เคยเห็นหัวมึงมาก่อนนนนน!

“มานานแล้วเหรอ”

ไอ้ธามเอ่ยถาม แล้วมึงจะสนใจไปทำไมครับเพื่อน ใครจะมานานหรือไม่นานก็เรื่องของเค้าสิ มึงอย่าได้คิดจะชวนไอ้คุณชายมานั่งร่วมโต๊ะเด็ดขาด กูไม่มีอารมณ์ตบตีกับใคร

“เพิ่งมา”

“ไปชวนไอ้ฉัตรมานั่งด้วยกัน”

เชี่ย!

ผมได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ เชื่อแล้วครับว่าผมมันดวงซวย เข้าคติที่ว่าเกลียดอย่างไรได้อย่างนั้น เจริญจริงๆชีวิตกู อุตส่าห์ไม่ได้ออกมาเที่ยวตั้งนาน แต่พอมาเที่ยววันแรกในรอบหนึ่งเดือนเสือกเจอไอ้คุณชายซะงั้น

เฟย์ลุกจากโซฟาเพื่อไปตามฉัตรชนกมานั่งด้วยกัน เขาหายไปประมาณสองนาทีก่อนจะกลับมาพร้อมกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

“ไงมึง”

ฉัตรกวาดสายตามองพวกเราสามคนก่อนจะเอ่ยทักเรียบๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาที่เขามองผมเมื่อครู่มันดูเย็นชาเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ให้ตายสิ นี่มึงโกรธที่วันก่อนๆกูปิดประตูรถปอร์เช่แรงใช่มั้ยฮะ

“ไง”

ไอ้ธามทักตอบ แล้วขยับให้ฉัตรนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนเฟย์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับผม

“ไม่ได้เจอกันนาน มึงอ้วนขึ้นนะไวท์”

ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของฉัตร…ไอ้ไวท์มันอ้วนขึ้นเหรอวะ ผมไม่ทันสังเกต… ผมหันไปมองหน้าคนพูด คาดว่าฉัตรอาจจะล้อเล่น แต่ดูจากสีหน้าเฉยๆแล้ว ผมว่าฉัตรหมายความตามนั้น แต่ที่น่าแปลกคือประโยคคำพูดบ่งบอกว่าพูดกับไอ้ไวท์แท้ๆ แต่เสือกหันมามองหน้าไอ้ธามเฉยเลย ผมว่าหมอนี่เมาแล้วแหละ

“กูไม่ใช่ไอ้ไวท์ แล้วก็ไม่ได้อ้วนขึ้นด้วยโว้ย!” ไอ้ธามว่าเคืองๆ

จริงๆแล้วรูปร่างและส่วนสูงของไอ้ธามกับไอ้ไวท์ใกล้เคียงกันครับ จะต่างกันก็ตรงที่ไอ้ไวท์ชอบออกกำลังกายแต่ไอ้ธามไม่ชอบจึงทำให้กล้ามเนื้อของมันดูนุ่มนิ่ม ถ้าไอ้ธามโดนทักว่าอ้วนมันจะเคืองมากเพราะมันถือว่าน้ำหนักเท่าไอ้ไวท์ ซึ่งต่อให้น้ำหนักเท่ากันยังไงมึงก็ดูตันอยู่ดีอ่ะเพื่อน กูไม่อยากบอกความจริงข้อนี้เลย

“ไอ้ธามเหรอ”

คือมึงยังต้องถามอีกเหรอฉัตร ในผับไม่ได้มืดขนาดนั้นปะ

“มึงเมาแล้วเหรอฉัตร มึงแยกกูกับไอ้ไวท์ไม่ออกเหรอถามจริง ถ้ากูหล่อเท่ามันกูจะไม่ว่าเลย”

ไอ้ธามว่า กูรู้ว่ามึงขมขื่น ใครเป็นเพื่อนกับไอ้ไวท์ต้องราศีหม่นหมองทั้งนั้นแหละ ยิ่งพอมีคุณฉัตรชนกเข้ามานั่งรวมโต๊ะด้วยอีกคนยิ่งทำให้ผมไอ้ธามและเฟย์ดูจืดจางไม่ต่างจากอากาศ

เฮ้อ วินเศร้ามากเลยแม่ คือความหล่อของเพื่อนมันทำร้ายเราได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ

“เออ กูมึนนิดหน่อย”

ฉัตรตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆตามปกติ เพียงแต่ลดความเย็นชาลงมาเล็กน้อยถึงปานกลาง คือผมใช้การคาดเดาล้วนๆเลยนะ เพราะถ้าให้ดูจากใบหน้าที่กล้ามเนื้อตายด้านแล้ว มันไม่สามารถบอกได้เลยครับว่าเขาโกรธ ไม่โกรธ อารมณ์ดี หรือว่าหงุดหงิด

“ได้ข่าวว่ามีผัวแล้ว”

“แค่กๆ”

คำถามตรงๆของฉัตรทำให้ไอ้ธามสำลักเหล้าจนหน้าแดง ดีนะที่ผมแค่จิบวอดก้า ไม่งั้นได้สำลักไม่ต่างกัน ห่าฉัตรนี่ก็พูดจาตรงชิบหายเลย มึงไว้หน้าเพื่อนกูบ้างก็ได้ หรือจะเปลี่ยนคำถามเป็น ‘ได้ข่าวว่ามึงมีแฟนแล้ว’ หรือ ‘ได้ข่าวว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย’ น่าจะดีกว่ามั้ยฮะ

“ข่าวมึงผิดแล้ว ผัวที่ไหนนั่นเมียกูเถอะ”

ไอ้คนท่ามากรีบปฎิเสธ โถ่ พี่ธามคนแมน ตอนนี้มึงอาจโกหกได้ แต่ถ้าใครได้เห็นหน้าไอ้ทีน ต่อให้มึงไม่บอก กูก็รู้ว่าใครอยู่ข้างล่างใครอยู่ข้างบน

“เออ มึงเรียนบริหารปีสี่ใช่เปล่านะ” ไอ้ธามรีบเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“ใช่” เฟย์ตอบรับ

“รู้จักพอร์ชมั้ย” ผมหันไปมองหน้าไอ้ธาม…ทำดีมากเพื่อน กูคิดว่ามึงจะไม่สนใจกูแล้วซะอีก ซาบซึ้งมากเลย

“พอร์ชไหน”

“พอร์ชที่เรียนบริหารปีสี่” ไอ้ไวท์เสริม

“รู้จัก ทำไมอ่ะ”

คำตอบของเฟย์ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง รู้สึกว่าความหวังที่จะได้พบกับพอร์ชคงไม่ยากอย่างที่คิด

“เพื่อนกูมันชอบ” ไอ้ธามว่าแล้วพยักพเยิดมาทางผม ไอ้ห่านี่ ไม่ต้องประจานกูทุกเรื่องก็ได้นะ

“สนใจ โปรดใช้คำว่าสนใจ”

ผมรีบแย้งเรียกให้ฉัตรหันหน้ามามองผม ดวงตาสีดำสนิทของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังประเมินบางอย่าง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาไม่หันมาแลผมเลยด้วยซ้ำ

“กูอยากเจอพอร์ช” ผมแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน ส่วนเฟย์ก้มหน้าแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง

“จะบอกให้ว่าวินอยากเจอ”

ผมเผลอขมวดคิ้ว นั่นไม่ใช่คำตอบแบบที่ผมอยากได้เลย แต่จะบอกให้เขานัดพอร์ชออกมาเจอผม มันก็จะเกินไปหน่อย อีกอย่างผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเฟย์กับพอร์ชสนิทกันแค่ไหนจึงได้แต่จำใจยอมรับว่าอาจจะไม่ได้เจอเขาในเร็วๆนี้

“จะไปไหน”

ผมที่เพิ่งขยับตัวลุกจากโซฟาถึงกับชะงักเมื่อฉัตรเอ่ยถาม ทุกคนหันไปมองเขางงๆ รวมถึงผมด้วย คือใครจะลุกไปไหนต้องรายงานเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยเหรอวะ

“ไปฉี่ จะไปมั้ยละ”

“ไป”

เออ…ไปก็ไป ผมเดินไปทางห้องน้ำชายที่อยู่ด้านหลังผับโดยไม่ได้สนใจคนที่เดินตามมาติดๆ ทำไมไอ้คุณชายทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ไม่ชอบไปเข้าห้องน้ำคนเดียวเลยวะ ไม่มีเพื่อนไปด้วยแล้วฉี่ไม่ออกเหรอ

ผมผลักประตูเข้ามาในห้องน้ำชาย ด้านในไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา ผมเดินไปยืนหน้าโถปัสสาวะ ปลดซิปกางเกงยีนส์แล้วเริ่มทำธุระส่วนตัว

“มองหน้ากูเพื่อ? ไปฉี่ดิ” ผมหันไปถามฉัตรเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนกอดอกพิงอ่างล้างมือเงียบๆ

“วิน”

“ว่า?”

“ชอบพอร์ชเหรอ”

“ยุ่ง”

ผมสวนกลับทันที จริงๆผมก็คิดนะว่าหมอนี่อาจจะรู้จักพอร์ช หรืออาจจะเป็นเพื่อนกันเลยก็ได้ 

“มึงไม่ชอบกูเหรอ”

“ใช่” ถามตรง ผมก็ตอบตรงครับ

“ทำไม”

“ทำไมอะไร” ผมถามขณะรูดซิปกางเกงให้เรียบร้อยแล้วเดินไปล้างมือ สรุปว่ามึงไม่ได้ปวดฉี่ แต่ตามมาซักไซ้กูสินะ

“ทำไมไม่ชอบกู”

“แล้วทุกคนในโลกนี้จำเป็นต้องชอบมึงหมดเลยเหรอ”

“เปล่า แต่ทำไมมึงไม่ชอบกู”

ทำไมเหรอ?

อืม…ผมเริ่มคิดหนักกับคำถามของฉัตร ผมไม่ได้เกลียดขี้หน้าขนาดว่าคุยกันไม่ได้ แต่จะให้ชอบแล้วคบหาเป็นเพื่อนเที่ยวเพื่อนดื่มมันก็ไม่ใช่อ่ะ เขาเป็นคนแบบที่ต่างกับผมทั้งด้านความคิดและนิสัย เรียกว่าต่างเกินไป เคมีเข้ากันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ต้องมีเหตุผลทุกเรื่องเลยเหรอ”

กูแค่ไม่ชอบไง กูต้องอธิบายให้มึงฟังด้วยเหรอครับ

“มึงชอบผู้ชายใช่มั้ย”

“ใช่” ผมพยักหน้า

“กูหล่อมั้ย” ฉัตรถามนิ่งๆตามวิธีการพูดของเขา แต่ผมรู้สึกได้ถึงความซีเรียสทางสายตาที่มองผมผ่านกระจก

“มาก” ผมยอมรับความจริงในข้อนี้ ของสวยๆงามๆใครก็ชอบ ผมก็เหมือนกัน

“มึงรู้มั้ยว่ากูเรียนเก่งมาก”

“เพิ่งรู้นี่แหละ” แต่ที่ไม่รู้คือมึงบอกกูทำไม อยากอวดว่างั้น?

“กูรวย”

“กูรู้แล้ว”

“งานดีขนาดนี้ไม่มีเหตุผลให้มึงไม่ชอบเลยนะ”

เกี่ยวอะไรวะ?

“ที่พูดมาทั้งหมดมีแต่ข้อดี แล้วข้อเสียอ่ะ ทำไมมึงไม่พรีเซ้นต์ให้กูฟังบ้าง”

คือมึงจะให้กูชอบเพราะหล่อ รวย เรียนเก่งไม่ได้นะเว้ย

“ทุกคนมีข้อเสีย”

“พอดีว่าข้อเสียในตัวมึงเป็นสิ่งที่กูไม่ชอบไง”

“เช่นอะไร”

“หน้ามึงหยิ่ง” ไม่ใช่หยิ่งธรรมดานะ หยิ่งและยโสมากๆ

“หน้ากูเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด”

กูแน่ใจว่าถ้ามึงยิ้ม มันจะดูดีกว่านี้มาก

“มึงกวนตีน”

“กวนตีนคือลักษณะนิสัยส่วนบุคคล ไม่ใช่ข้อเสีย”

“มึงพูดจาไม่รักษาน้ำใจคนอื่น ทำอะไรคิดถึงแต่ตัวเอง คิดแต่ว่ากูใหญ่”

“ก็กูใหญ่จริงๆอ่ะ”

ผมชะงัก เดี๋ยวนะ เรื่องความใหญ่ที่ฉัตรพูดถึงเป็นเรื่องเดียวกับผมเปล่าวะ

“อะไรใหญ่”

“แล้วมึงคิดว่าอะไรใหญ่”

ฉัตรย้อนถามแล้วแสยะยิ้มมุมปาก แบบนี้ไม่นับว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูดีนะครับ แต่จัดเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาดูชั่วร้ายกว่าปกติหลายเท่าอ่ะ

“หมายถึงนิสัย ชอบคิดว่าตัวเองเป็นสูญกลางของโลก” ผมอธิบาย

“อ๋อออ ก็นึกว่า…”

คงไม่ใช่ไอ้นั่นนะ…

“คว-”

“หยุด” ผมยกมือห้ามไม่ให้ฉัตรพูดจนจบประโยค ห่าเอ๊ย นี่กูคิดว่ามึงกวนตีน แต่ไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนจันด้วยนะฉัตร กูพูดถึงข้อเสียของมึงอยู่ ไม่ใช่ให้มึงมาพูดถึงความใหญ่ของตัวเอง

“มึงไม่ต้องอวด กูก็มี ของกูใหญ่มาก”

มึงจะอวดกูไม่ได้นะ กูไม่ยอมรับเด็ดขาด

“ไม่เชื่อ”

มึงต้องเชื่อ!

“เรื่องนี้ไม่โกหก” ผมสาบานว่าน้องชายของผมสุดยอดมากๆ ใครไม่เชื่อถือว่าดูถูก

“ขอดูหน่อย” ฉัตรเอ่ยขอดื้อๆแถมยังขยับเข้ามาประชิดแบบไม่รอให้ตั้งตัว เดี๋ยวๆ เรื่องแค่นี้มึงถึงกับต้องพิสูจน์เลยเหรอวะ คือมึงยังอวดว่าของมึงใหญ่ กูจะอวดของกูบ้างไม่ได้เลย

“เรื่องอะไรละ”

“งั้นจับก็ได้”

ไม่เอา!

“ว๊ากกกก!!! อย่านะเว้ย เชี่ย มึงมันคนเลว”

ผมแหกปากลั่น ไม่ทันแล้วครับ ไอ้คุณชายมือไวตะปบมือลงมาบนเป้ากางเกงของผมเต็มๆ แถมยังขย่ำแบบไม่เกรงใจ คือจับขนาดนี้ของกูไม่ตั้ง แต่ของกูหดเลยครับ มึงแค้นกูเหรอฉัตร มึงจะเอาให้กูสูญพันธ์เลยเหรอ ม้ายยยยยย


 


:katai4:


หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-09-2019 19:13:44
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 04-09-2019 23:06:25
:pig4:
 o13

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 05-09-2019 12:05:00
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 06-09-2019 01:03:42
 :3123: :pig4: :pig4:
:katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 06/09/2562 [บทที่8]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 06-09-2019 16:42:29

บทที่ 8 ง้อ


Porshe : วิน

Porshe : ขอโทษ

Porshe : โกรธกูหรือเปล่า

ผมอ่านข้อความไลน์ที่ถูกส่งมาจากพอร์ชซ้ำไปซ้ำมา ถ้าถามว่าโกรธมั้ย ผมตอบเลยว่าโกรธมาก แต่ก็ดีใจมากเช่นกันที่ได้เห็นข้อความจากเขาอีกครั้ง ตอนแรกผมตั้งใจจะเล่นตัวด้วยการกดอ่านข้อความแล้วตอบกลับในวันพรุ่งนี้ ผมแค่อยากให้เขากระวนกระวายใจ อยากให้เขาง้อผม อ้อนวอนผม ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าไปติดนิสัยเรียกร้องความสนใจมาจากใคร แล้วก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าหัวใจไม่รักดีของผมเป็นห่าอะไร ถึงได้ระริกระรี้อยากตอบข้อความของพอร์ชจนตัวสั่น พอสั่นมากๆเข้าก็ต้องพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

TheWinner : โกรธ

ผมตอบกลับไปสั้นๆแบบคนท่ามาก

Porshe : อย่าโกรธเลยนะ กูง้อใครไม่เป็น

ฟวย!

กูพอจะเดาได้ว่ามึงง้อใครไม่เป็น แต่มึงกรุณาหัดง้อกูเป็นคนแรกได้มั้ยวะ

TheWinner : มึงหายไปไหนมา รู้มั้ยว่ากูเป็นห่วง กูคิดมาก คิดว่ามึงจะเทกูแล้วด้วยซ้ำ

 Porshe : ใครจะเทมึงลง

TheWinner : ขนาดว่าเทไม่ลง มึงยังไม่ตอบไลน์กูเป็นอาทิตย์

พอร์ชขาดการติดต่อกับผมตั้งแต่สัปดาห์สอบและหลังจากสอบเสร็จประมาณสามวัน จริงๆผมแอบสงสัยว่าเฟย์เป็นคนบอกพอร์ชหรือเปล่าว่าผมอยากเจอเขา เพราะวันต่อมาเขาก็ไลน์มาหาผมทันที

Porshe : กูอ่านหนังสือสอบ พอสอบเสร็จก็ต้องรีบกลับบ้าน มีธุระสำคัญจริงๆ

ข้ออ้าง!

TheWinner : บ้านมึงอยู่ไหน

Porshe : กรุงเทพ

ผมเลิกคิ้ว เพิ่งรู้จริงๆว่าพอร์ชเป็นเด็กเมืองหลวง ตั้งแต่คุยกันมาผมไม่เคยถามเรื่องครอบครัวของเขาเลย

TheWinner : แล้วอินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึงบ้านมึงเหรอ มึงไลน์มาบอกกูไม่ได้เลยใช่มั้ยหรือกูไม่สำคัญพอ

ผมยอมรับว่าเฟลมาก ต่อให้เขาไม่ว่าง มีธุระ หรือป่วยเข้าโรงพยาบาลก็น่าจะไลน์มาบอกผมบ้าง ไม่ใช่หายไปเฉยๆแบบนี้ ความเงียบมันแปลได้ไม่กี่ความหมายและหนึ่งในนั้นคือคำว่า ‘ไม่สำคัญ’

ครืนนนนนน

ผมที่กำลังใจลอยถึงกับสะดุ้งเมื่อไอโฟนในมือสั่นเป็นจังหวะพร้อมกับหน้าจอที่แสดงสายเรียกเข้าจากพอร์ช

Porshe

LINE AUDIO…

หัวใจของผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ…นี่เป็นครั้งแรกที่พอร์ชโทรหาผม!

เอาไงดีวะ รับหรือไม่รับ?

ใจหนึ่งผมก็อยากได้ยินเสียงของเขา แต่อีกใจหนึ่งผมก็รู้สึกเขินชิบหายเลย ขนาดว่าไม่เคยเห็นหน้านะเว้ย ถ้าเจอตัวจริงผมจะช็อคตายหรือเปล่าก็ไม่รู้

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะกดรับสายแล้วยกไอโฟนแนบกับหู ยังไม่ทันได้พูดอะไร ผมก็ได้ยินเสียงที่ค่อนข้างซีเรียสดังมาจากปลายสายซะก่อน

“อย่าพูดว่าตัวเองไม่สำคัญอีก มึงเป็นคนพิเศษสำหรับกู”

เสียงหล่อว่ะ!

นั่นคือความรู้สึกแรกที่ผมได้ยินเสียงของพอร์ช มันทุ้มกังวานและมีความพร่าในน้ำเสียง ถ้าเสียงน่าฟังขนาดนี้ ผมว่าหน้าตาของเขาไม่น่าอัปลักษณ์นะ ยิ่งใช้เสียงหล่อๆพูดประโยคแบบนั้นอีก คือกูใจกะเทยไปหนึ่งวิเลยครับ

ผมกระแอมให้คอโล่ง คือเสียงของมึงทำเอากูคอแห้งเหมือนครางมาทั้งคืน ทำไมเซ็กซี่ได้ขนาดนี้ว้า กูเสียวมากเลยพี่พอร์ช

“แล้วทำไมรีบกลับบ้าน ยังไม่ปิดเทอมเลย”

ผมพยายามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุด

“ไปทำบุญร้อยวันให้พ่อ”

ผมชะงัก นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ยอมบอกผม ผมเองก็เพิ่งรู้จักเขา ไม่นาน ส่วนเรื่องที่พ่อของเขาเสียชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมารายงานใครก็ไม่รู้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที ผมไม่น่างี่เง่าใส่พอร์ชเลย เขาคงมีเรื่องทุกข์ใจมากพออยู่แล้ว

“ขอโทษ”

ผมพึมพำ พอร์ชไม่ใช่คนที่แสดงความรู้สึกเก่ง รวมถึงอารมณ์ทางน้ำเสียงที่จับไม่ค่อยได้ แต่ผมคิดว่าเขาคงมีเรื่องกังวลหลายอย่างในช่วงที่เงียบหายไป ถ้าเป็นผม ผมก็คงอยากอยู่คนเดียวสักพักเหมือนกัน

“ไม่ได้ตั้งใจจะงี่เง่าใส่มึง”

“ไม่เป็นไร”

ผมพยายามเงี่ยหูฟังเสียงของปลายสาย ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงของพอร์ชไม่ค่อยชัดเจน ถ้าไมค์ของฝ่ายนั้นไม่ดี ก็ลำโพงมีปัญหา ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบังลำโพงในตอนที่เขาพูด เสียงถึงได้ออกมาไม่ชัดเจนแบบนี้

“พี่พอร์ช”

“หื้ม”

งื้อออ ทำไมกูเขินคำว่า ‘หื้ม’

“วันศุกร์นี้กูจะไปออกค่ายที่สุราษฎร์ธานี คงไม่ว่างคุยกับมึงนะ”

ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง อยากให้เขารู้ว่าผมไม่ได้โกรธเขาแล้ว

“ไปกับใคร”

“กับเพื่อน”

“อยู่ชมรมจิตอาสาเหรอ”

“เปล่าอ่ะ เพื่อนอยู่ มันให้ไปเป็นเพื่อน”

ผมเหลือบตาไปมองไอ้แว่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือโดยไม่ได้สนใจผมเลย นี่กูเกือบลืมไปแล้วนะว่ามึงนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย

ตอนนี้ผมกับไอ้แว่นกำลังนั่งอยู่ที่ลานโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย ผมมายืมหนังสือเป็นเพื่อนไอ้แว่นซึ่งถือโอกาสนั่งอ่านหนังสือแถวนี้เพราะนอกจากบรรยากาศดีแล้วยังสามารถกินน้ำและขนมได้ ต่างจากในหอสมุดที่ห้ามนำอาหารเข้าไปรับประทาน ทำให้ที่ตรงนี้เป็นโซนอ่านหนังสือยอดฮิต ติดอันดับต้นๆของมหาลัยเลยก็ว่าได้

“ประกาศจากสำนักหอสมุด เจ้าหน้าที่ อาจารย์ หรือนิสิตท่านใดที่เป็นเจ้าของรถโตโยต้ายาริสสีน้ำเงิน ป้ายทะเบียน จฉ2019…”

ผมหยุดพูดเมื่อได้ยินเสียงประกาศตามสายจากประชาสัมพันธ์สาวในหอสมุด ตอนแรกผมไม่ได้ใส่ใจจะฟังเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเสียงนั้นดังมาจากปลายสายของพอร์ชเช่นกัน

“พี่พอร์ช มึงอยู่ไหนอ่ะ” ผมถาม

ลำโพงที่ต่อจากหอสมุดกระจายเสียงแค่บริเวณรอบๆเท่านั้น แปลว่าพอร์ชต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวๆนี้

“กรุณามาเลื่อนรถของท่านออกจากเขตก่อสร้างเดี๋ยวนี้ค่ะ มิเช่นนั้นหากเกิดอุบัติเหตุทางมหาลัยจะไม่รับผิดชอบต่อการเสียหายใดๆทั้งสิ้น ประกาศอีกครั้งค่ะ จากสำนักหอสมุด…”

ผมหันไปมองเขตก่อสร้างที่ไม่ไกลจากหอสมุด ที่นั่นกำลังก่อสร้างอาคารจอดรถแบบห้าชั้นเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอยในมหาลัยที่อาจมีการขยายตึกเรียนต่อไปในอนาคต

ผมลุกพรวดจากม้าหินอ่อน ไอ้แว่นเงยหน้าขึ้นมามองผมงงๆ แต่ไม่ได้ถามอะไร ซึ่งผมก็ไม่อยู่รอให้มันถาม ผมออกวิ่งเต็มกำลังไปที่เขตก่อสร้าง พยายามมองหาผู้ชายที่กำลังคุยโทรศัพท์ ห่าเอ๊ย มีแต่คนยกโทรศัพท์มาแนบหูเต็มไปหมดเลย มองไปทางไหนก็เล่นโทรศัพท์ ผมพยายามฟังเสียงของประชาสัมพันธ์ที่ดังขึ้นทุกที คิดว่ากำลังเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นแล้ว แต่ทุกอย่างกลับต้องชะงักลงเมื่อพอร์ชกดตัดสายไปดื้อๆ

Porshe : คิดว่าจะจับกูได้เหรอ เร็วไปสิบชาตินะหนู

ไอ้บ้าพอร์ช! ผมสบถทันทีเมื่อเห็นข้อความที่ถูกส่งมาจากพอร์ช แบบนี้ก็ได้เหรอวะ มึงจำเป็นต้องหนีกูขนาดนี้เลยเหรอ

TheWinner : เชี่ย

ผมคิดคำด่าความจันของพี่พอร์ชได้เท่านี้จริงๆครับ

Porshe : ทำไมเป็นคนหยาบคายแบบนี้

TheWinner : เออ ยอมรับ

หงุดหงิดโว้ย!

เกือบจะจับตัวหมอนี่ได้แล้วอ่ะเมื่อครู่ผมได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์จากปลายสายชัดมากๆแล้วด้วย ต้องอยู่แถวนี้ดิ

Porshe : ระวังปากแตก

ผมพยายามมองไปรอบๆ แต่แม่งไม่รู้เลยว่าคนไหน เป็นไปได้หมดเลยอ่ะ

TheWinner : ทำไม? ถ้าเจอกันแล้วกูด่าเชี่ย มึงจะตีกูเหรอ

Porshe : ใช่ กูจะตีมึง

ไอ้คนกะแดะเอ๊ย มึงสุภาพตายห่า

Porshe : ตีด้วยปากกูนะ

ฮะ!

ตีด้วยปาก?

ผมขยับยิ้มขำๆ คิดว่ากูจะเขินเหรอ ไม่อ่ะ ถ้ามึงเล่นมุกนี้กูไม่ฟินนะ แต่กูอยากเลย อยากโดนตีด้วยปาก…

TheWinner : อยากโดนตีเดี๋ยวนี้เลย

TheWinner : เชี่ย

TheWinner : เชี่ย

TheWinner : เชี่ย

Porshe : ฝากไว้ก่อนนะวิน

รีบๆมาเอาคืนนะพี่พอร์ช กูอยากโดนมึงจูบจะแย่แล้ว!





วันศุกร์ เวลา 00.25 น.

ณ ลานกิจกรรมส่วนกลางของมหาวิทยาลัย N

“มึงช่วยเก็บอาการนิดนึงได้เปล่าวะ”

ผมสะกิดไหล่ของไอ้แว่นเป็นการเตือนให้มันหยุดส่งสายตาหื่นกระหายใส่น้องติวเตอร์ โชคดีแค่ไหนแล้วที่น้องเดือนบริหารเอาแต่คุยกับเพื่อนจึงไม่ทันสังเกตเห็นไอ้แว่น ไม่งั้นผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน แค่เห็นอาการอดอยากปากแห้งของเพื่อนสนิทผมก็อายแล้วครับ สายตาแม่งเหมือนโจรป่าที่พร้อมจะเข้าไปพรากพรหมจรรย์ของเด็กหนุ่มเลยอ่ะ

“วันนี้แหละ กูจะต้องคุยกับน้องเตอร์ให้ได้ น้องเค้าจะต้องจดจำชื่อของพิสุทธิ์ไปตลอดชีวิต”

ผมเหลือบตาไปมองไอ้แว่นด้วยความปลงตก นี่กูคิดถูกหรือคิดผิดวะที่ตัดสินใจมาออกค่ายกับมึง วันนี้เป็นวันออกเดินทางไปสุราษฎร์ธานี ประธานค่ายและคณะกรรมการนัดหมายสมาชิกทุกคนให้มาลงทะเบียนที่ลานกิจกรรมส่วนกลางของมหาวิทยาลัยตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่รถบัสจะออกเดินทาง และในตอนนี้ก็เริ่มมีนิสิตทยอยกันมาเกือบครบแล้ว ทางชมรมเช่ารถบัสคันเล็กจากทางมหาลัยมาสองคันซึ่งนั่งได้ประมาณ 30 ที่นั่ง รวมสองคันก็เป็น 60 ที่นั่ง ถือว่าจำนวนคนน้อยมากสำหรับทิปนี้

“มึงก็พูดแบบนี้มาตั้งแต่เปิดเทอม กูไม่เห็นว่ามึงจะกล้าทักน้องเค้า”

นอกจากนั่งน้ำลายไหลแล้ว กูยังไม่เห็นว่ามึงจะกล้าทำอะไรไปมากกว่านี้เลย

“วันนี้กูเอาจริง”

ไอ้แว่นหันมาบอกผมด้วยความท่าทางมั่นอกมั่นใจ

“เอาจริงก็เริ่มสักทีดิ เสียเวลามองมากี่เดือนแล้ว ถ้ามึงไม่กล้าจีบแล้วเมื่อไรมึงจะได้แดก”

ผมว่า เพราะต่อให้น้องติวเตอร์จะเป็นดอกฟ้าแล้วไอ้แว่นเป็นหมาวัด ผมก็ต้องให้กำลังใจเพื่อนครับ ผมถือคติที่ว่า ‘ไม่กล้า ก็ไม่มีวันก้าวหน้า’ ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีดอกฟ้าอาจจะอยากโน้มตัวลงมาให้หมาวัดเด็ดดมก็ได้

“กูอยากแดกน้อง”

ไอ้แว่นทำหน้าฟิน

“กูรู้”

“ขาว”

“น่าจะอร่อย”

ผมเสริม ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนชอบ ผมก็อยากจะเข้าไปล่อลวงอยู่เหมือนกัน ทั้งขาวทั้งน่ารัก แถมไร้เดียงสาสุดๆ

“ก้นน้องต้องนุ่มมือมากแน่ๆเลยมึง”

ผมมองบนเมื่อไอ้แว่นเริ่มพาบทสนทนาลงไปใต้เข็มขัด คือก่อนที่มึงจะได้จับก้นน้องเขา มึงเริ่มจีบเขาก่อนเถอะเพื่อน

“วิน มึงอวยพรกูหน่อยดิ กูจะเริ่มเดี๋ยวนี้เลย”

ไอ้แว่นหันมามองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ห่าเอ๊ย มึงเห็นกูเป็นพระพุทธรูปเหรอฮะ คือจะให้คนนกแห่งชาติอย่างกูอวยพรมึงเนี่ยนะ

“เออ โชคดีนะเพื่อน”

อย่านกเหมือนกูเลย สาธุ

ไอ้แว่นหันมาตบไหล่ผมป้าบๆเป็นการแสดงความขอบใจ มันยกมือเสยผมลวกๆก่อนจะก้าวเท้าอย่างมาดมั่นเข้าไปหาเป้าหมาย สู้ๆนะเพื่อน ผมพยายามเอาใจช่วยไอ้แว่น อีกไม่กี่ก้าวเท่านั้น ใกล้แล้วมึง จะแล้ว…จะถึงตัวน้องเตอร์ของมึงแล้ว

ผมเกือบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเพื่อนของผมมีความกล้าในการทักทายรักแรกพบของมัน ถ้าไม่ใช่ว่ามีมารหัวขนมาผจญเสียก่อน ทายสิใครเอ่ย!

“พี่ฉัตร”

ชิบหาย! ช่วงนี้กูดวงตกใช่มั้ย เป็นเชี่ยอะไรต้องมาเจอไอ้คุณชายอีกแล้ววะ เมื่อวานมันแกล้งบีบจู๋ผมไม่พอ วันนี้ยังตามมาหลอกหลอนผมถึงที่นี่อีกเหรอ

“มาได้ยังไงครับ”

น้องติวเตอร์วิ่งเข้าไปหาฉัตรทันทีที่เห็น ผมไม่ได้สังเกตว่าหมอนี่เดินมาจากทางไหน แต่ในมือของเขามีกระเป๋าเดินป่ามาด้วยหนึ่งใบ สาบานดิว่ามึงจะไปออกค่ายอาสา เพราะไม่ว่าผมจะพยายามคิดแบบคนโลกสวยแค่ไหน คนอย่างฉัตรชนกก็ไม่ใช่พวกที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นแน่ๆอ่ะ

“ขับรถมา” ฉัตรตอบเรียบๆตามปกติ

ผมได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆและสาวสองหลายคน พร้อมกับเสียงซุบซิบเกี่ยวกับฉัตรชนกที่ดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน

ผมเหลือบไปมองไอ้แว่นที่มีสีหน้าช็อคหนักก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เสียใจด้วยนะเพื่อน ถ้าลองเป็นไอ้คุณชายมาเดินเฉิดฉายแถวนี้ มึงมีแต่ดับกับดับเลยครับ ขนาดผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉัตรกับน้องติวเตอร์เป็นอย่างไร แต่มองด้วยตาเปล่ายังรู้เลยว่าน้องเขาชอบไอ้คุณชายไม่น้อย ถ้าเพื่อนผมมันสู้ก็ถือว่าใจกล้ามากพออ่ะ

“ไม่เห็นบอกเตอร์เลยว่าจะมาด้วย”

น้องเตอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“เพิ่งตัดสินใจว่าอยากมา”

ส่วนคุณชายท่านก็ตอบด้วยน้ำเสียงโมโนโทนแบบติดจะเย็นชาเหมือนเดิม คือแม่งไม่เหมือนกับไอ้คนจันที่ชอบกวนตีนผมเลยอ่ะครับ บางครั้งผมก็สงสัยนะว่าตัวจริงของหมอนี่เป็นคนยังไงกันแน่

“เอ๋…จู่ๆก็อยากมา เป็นเพราะใครบางคนแถวนี้หรือเปล่าเอ่ย มาเฝ้าใครเหรอค๊าพี่ฉัตร”

ตุ๊ดหุ่นหมีนางหนึ่งเอ่ยถาม ไอ้แว่นเคยบอกผมว่าเขาชื่อ ‘ปิง’ อยู่ปีสามคณะบริหารธุรกิจ เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของชมรม

“แล้วแต่จะคิดสิ”

ฉัตรตอบเรียบๆ แต่กลับเรียกเสียงกรี๊ดและเสียงฮือฮาแบบจับประเด็นไม่ได้ในทันที เดี๋ยวๆ นี่ผมตกข่าวอะไรไปหรือเปล่าวะ ปกติผมจะตามส่องเพจเกี่ยวกับผู้ชายหล่อๆในมหาลัยทุกวันหลังมื้ออาหาร คือตั้งแต่คุยกับพอร์ชผมก็ลืมเรื่องส่องผู้ชายไปเลย ทำให้พลาดข่าวเม้าส์ในมหาลัยรวมถึงข่าวของฉัตรชนกด้วย

“พี่ฉัตรชอบติวเตอร์เหรอแก” ผมแอบเงี่ยหูฟังเมื่อเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลเปิดประเด็นขึ้นมา…ไม่ได้ตั้งใจเสือกนะ แค่สงสัยใคร่รู้เท่านั้นเอ๊ง!

“ไม่รู้ เห็นกูเป็นร่างทรงเหรอ”

“สรุปพี่เค้าเป็นไบจริงดิ”

อ้าวเหรอ กูก็เพิ่งรู้นะเนี่ย คือหน้าอย่างหมอนี่เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

“ไม่น้า โปรดเหลือผู้ชายหล่อๆขาวๆไว้ให้ชะนีบ้างเถอะ สาธุ”

“พี่ฉัตรเค้าเป็นแค่ปู่รหัสของอีติวเตอร์จ้ะ มึงอย่าได้มโนไปไกล”

อ๋อ อย่างนี้เอง จริงๆผมก็ไม่เคยได้ยินว่าฉัตรสนใจผู้ชายนะครับ เห็นเปลี่ยนแฟนบ่อยแต่แฟนทุกคนก็เป็นผู้หญิง

“สาวๆ เลิกเม้าส์แล้วยกกระเป๋าไปเก็บไว้ที่รถได้แล้วจ้า”

“ค่า พี่จิว”

เสียงที่ขัดขึ้นมาทำให้สาวๆสี่คนที่จับกลุ่มคุยกันในตอนแรกต่างแยกย้ายกันนำกระเป๋าไปใส่ไว้ใต้ท้องรถ ผมจำได้ว่าพี่จิวที่กำลังเดินไล่ให้เด็กในชมรมนำกระเป๋าไปเก็บคือประธาน อยู่ชั้นปีที่สี่คณะบริหารธุรกิจ อันที่จริงชมรมนี้ก่อตั้งมาจากคณะบริหารธุรกิจเนี่ยแหละ จึงไม่แปลกที่คณะกรรมการส่วนใหญ่จะเป็นเด็กในคณะที่ส่งต่องานจากรุ่นสู่รุ่น รวมถึงสมาชิกที่เป็นเด็กในคณะเกือบแปดสิบเปอร์เซ็น

“รวมตัวค่ะทุกคน เข้ามาล้อมวงทางนี้เร็ว ใกล้เวลาออกเดินทางแล้วนะ เพื่อนใครไปเข้าห้องน้ำรีบๆตามมาเข้าแถวด่วนเลย ใครสาย ใครยังไม่มาจะทิ้งแล้วค่ะ”

รุ่นพี่คณะกรรมการช่วยกันปรบมือเรียกร้องความสนใจให้สมาชิกทุกคนมาเข้าแถวเพื่อเช็กชื่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นรถบัส ไอ้แว่นเดินคอตกมายืนข้างผมเงียบๆ บางครั้งมันก็แอบหันไปมองน้องติวเตอร์ที่ยืนเกาะติดไอ้คุณชายเหมือนเงาตามตัว เฮ้อ เสียใจด้วยเพื่อนแว่น แต่งานนี้ถ้าจะยาก อุปสรรคที่ใหญ่กว่าความกล้าของมึงก็คือฉัตรชนกเนี่ยแหละ

“เราจะแวะพักกินอาหารที่ปั๊มน้ำมันสี่จุด เดี๋ยวพี่จะชี้แจงอีกครั้งบนรถ พี่ขอความกรุณาทุกคนนะคะ ขึ้นรถคันไหนให้ขึ้นคันเดิม นั่งตรงไหนก็ตรงนั้นจนกว่าจะถึงที่หมาย พี่ไม่อยากลืมใครไว้ที่ปั๊มน้ำมัน เข้าใจชัดเจนนะคะ เดี๋ยวจะปล่อยให้ไปจับจองที่นั่งตามใจชอบแล้ว คนที่นั่งคู่กันก็ช่วยๆดูเพื่อนด้วยนะ เพื่อนหายให้เรียกพวกพี่ได้ทันทีเลย”

ไอ้แว่นบอกผมว่าจะไปเข้าห้องน้ำก่อนที่รถจะออก ให้ผมไปจองที่นั่งก่อนเลย ซึ่งผมเลือกเบาะเกือบหลังสุดของรถบัสคันที่สองที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว

รุ่นพี่คณะกรรมการต่างวุ่นวายกับการจดจำน้องๆในรถแต่ละคันและเช็กข้าวของสัมภาระ ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที ซึ่งทำให้ผมที่นั่งอยู่เฉยๆเริ่มเคลิ้ม และในตอนที่ผมกำลังจะหลับก็รู้สึกว่ามีมือนุ่มๆของใครบางคนมาสัมผัสที่ข้างแก้ม ตอนแรกคิดว่าเป็นไอ้แว่น แต่น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อของผมมันไม่ใช่!

“วิน”

ผมสะดุ้งแล้วลืมตาตื่น จึงเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือฉัตรชนก

“มีไร”

ผมเอ่ยถามห้วนๆ ก่อนจะรีบร้องห้ามเมื่อไอ้คุณชายทรุดตัวลงมานั่งบนเบาะข้างๆผมโดยไม่ได้ขออนุญาต

“มึงนั่งตรงนี้ไม่ได้ เพื่อนกูนั่งแล้ว”

“มึงโดนเพื่อนเทแล้ววิน”

ฉัตรบอกกับผมแต่ไม่ยอมลุกจากที่นั่ง หมายความว่าไงวะ ไอ้แว่นเทผมไปไหนอ่ะ

“เพื่อนมึงขอแลกที่นั่งกับกู ตรงนั้น”

ผมชะโงกหน้าไปมองตามนิ้วที่ฉัตรชี้ไปทางด้านหน้าตัวรถ และเห็นว่าไอ้แว่นกำลังนั่งอยู่บนเบาะข้างๆกับน้องติวเตอร์ ร้ายใช่ย่อยนะไอ้แว่น เดี๋ยวนี้แม่งเป็นงาน ไม่ต้องให้เพื่อนสอนแล้วสินะ

“ขอนั่งด้วยนะ”

ผมเหลือบมองหน้าฉัตร แสดงว่าหมอนี่ไม่ได้ชอบน้องติวเตอร์จริงๆสินะ เห็นแก่ที่มึงช่วยสนับสนุนให้เพื่อนกูได้นั่งข้างนางฟ้าของมัน กูจะไม่ขับไล่ไสส่งมึงก็ได้

“นั่งไปดิ ไม่ใช่รถกู”

ผมว่ากวนๆ คือยังไม่ลืมนะเว้ยว่าเมื่อวานมึงทำอะไรไว้อ่ะ

“ยังโกรธกูอยู่อีกเหรอ” ฉัตรถาม

น้ำเสียงของเขายังราบเรียบเหมือนเดิม แต่ผมรู้สึกได้ถึงความใส่ใจต่างจากตอนที่เขาพูดกับคนอื่น มันจะห้วน สั้น แล้วก็เย็นชากว่านี้มาก

“เป็นมึงไม่โกรธหรือไง จู่ๆก็โดนบีบไข่เนี่ย ถ้ากูสืบพันธุ์ไม่ได้ใครจะรับผิดชอบ”

ผลิตทายาทไม่ได้ผมไม่ว่า แต่ผลิตน้ำที่อุดมไปด้วยลูกๆไม่ได้นี่ผมไม่ยอมนะเว้ย ยังไงผมก็เป็นผู้ชาย คือมันจำเป็นต้องใช้อ่ะครับ

“ให้จับคืนเลยอ่ะ”

ผมกำลังจะอ้าปากสบถคำหยาบใส่ฉัตรชนก นี่มึงคิดจะกวนตีนกูใช่มั้ยฮะ คิดว่ากูอยากจับของมึงมากเลยเหรอ…แต่คำพูดพวกนั้นถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีที่ฉัตรคว้ามือของผมไปวางบนเป้ากางเกงของตัวเอง และต่อให้ผมไม่ได้ออกแรงบีบคลึงก็พอจะรู้ได้ว่า เจ้าสิ่งที่นอนสงบนิ่งอยู่ในมือนั้นยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน

เชี่ย! ใหญ่กว่าของกูจริงๆด้วยอ่ะ

 

 
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 06/09/2562 [บทที่8]
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 06-09-2019 21:16:35
ฮัลโหลพ่อฉัตร เห็นเงียบๆนี่อ้อยเก่งใช่ย่อยนะพ่อ

อยากอ่านต่อแล้วอะครับ มาต่อไว้นะครับนักเขียน รอนะรอ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 06/09/2562 [บทที่8]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 06-09-2019 22:02:28
ฮัลโหลพ่อฉัตร เห็นเงียบๆนี่อ้อยเก่งใช่ย่อยนะพ่อ

อยากอ่านต่อแล้วอะครับ มาต่อไว้นะครับนักเขียน รอนะรอ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/09/2562 [บทที่9]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 10-09-2019 15:56:26




บทที่ 9 เด็กขี้มโน


เวลา 06.10 น.

“วิน”

“งื้อออ”

ผมครางประท้วงในลำคอด้วยความขัดใจเมื่อได้ยินเสียงรบกวนดังขึ้นข้างๆ ใบหู ใครมันบังอาจมาส่งเสียงเรียกพี่วินตอนนอนวะ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลย ผมสะบัดมือปัดๆตรงใบหูไล่เจ้าสิ่งน่ารำคาญ

แจ้บๆๆ ครอกกกกกกกก

เสียงนั้นหายไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาอีกครั้งด้วยระดับความดังที่เพิ่มขึ้น

“ตื่นเร็ว!”

“เชี่ย!”

ผมสะดุ้งตื่น แล้วกวาดตามองไปรอบๆด้วยความมึนงง กูอยู่ที่ไหนวะ เหมือนจะเป็นบนรถบัสสักคันอ่ะ

“พักกินข้าวหนึ่งชั่วโมง ไปเร็ว” ผมหันไปมองหน้าฉัตรชนก อ๋อ นี่ผมมาออกค่ายอาสานี่หว่า นึกว่าหลับฝันไปซะอีก ผมกวาดสายตาไปรอบๆจึงเห็นว่าบนรถบัสว่างเปล่า นอกจากผมกับฉัตรก็ไม่มีคนอื่นอีกเลย ทุกคนน่าจะลงไปยืดเส้นยืดสายหรือรับประทานมื้อเช้ากันแล้ว

“กูไม่หิวอ่ะ ไม่อยากกิน”

ผมปฎิเสธ ผมอยากนอนมากกว่า อีกอย่างผมไม่ชอบกินมื้อเช้า ยังไงกระเพาะอาหารก็ไม่เรียกร้องแน่ๆ

“ไม่ได้ กว่าจะพักกินข้าวเที่ยงก็เป็นตอนที่ถึงประจวบเลยนะ”

ฉัตรหมายถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์น่ะครับ

“รู้แล้ว”

ผมฟังรุ่นพี่ชี้แจงนะครับ รถบัสจะแวะพักสี่จุดก่อนจะถึงที่หมายคือจังหวัด      สุราษฎร์ธานี

“ลุกเดี๋ยวนี้”

ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเมื่อฉัตรพยายามดึงแขนของผมให้ลุกจากเก้าอี้ จริงๆผมคิดว่าฉัตรไม่น่าใช่คนพูดมากนะ แล้วก็ไม่น่าจะเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น คือกูบอกว่าไม่กินก็คือไม่กินโว้ย กระเพาะอาหารของกูเชื่อมต่อกับของมึงหรือไงล่ะ สาส

“ทำไมขี้บ่นจังวะ”

ผมสะบัดแขนออกจากมือของอีกฝ่าย คนยิ่งง่วงๆอยู่ด้วย แล้วเวลาที่ผมง่วงผมจะหงุดหงิดง่ายมากเลย

“แล้วทำไมต้องทำตัวให้บ่น มึงโง่เหรอวิน ไม่กินตอนนี้เดี๋ยวก็หิวตอนสายๆ”

ไอ้ห่า นี่มึงเป็นพ่อกูหรือไง อยู่ๆมาด่ากูเนี่ย

“กูเกลียดมึง”

ผมสบถหยาบคายอีกสองสามคำก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วก้าวเท้าลงจากรถบัส ขืนนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไปมีหวังไม่ได้นอนแล้วอาจมีเรื่องต่อยปากใครบางคนก็ได้ แต่ไหนๆก็ตื่นแล้ว ผมว่าจะแวะไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วค่อยออกมาหาอะไรกินรองท้อง

“ไหนเล่ามาซิ สรุปว่าแกกับพี่ฉัตรนี่ยังไง”

ผมเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำในตอนที่ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านนอกห้องน้ำชายพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา

“เบาๆสิ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”

อ้าว กูได้ยินแล้วอ่ะ

ผมจำได้ว่าอีกเสียงหนึ่งเป็นของน้องติวเตอร์ คาดว่าทั้งสองคนน่าจะเดินมาเข้าห้องน้ำแน่ๆผมจึงพาตัวเองหลบฉากเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง เอ่อ เดี๋ยวนะ ทำไมกูต้องหลบด้วยวะ ทำเหมือนพวกโรคจิตชอบแอบฟังชาวบ้านคุยกันไปได้ ในตอนที่ผมคิดได้และกำลังจะเปิดประตูออกไปจากห้องน้ำก็พอดีกับที่ทั้งสองคนเริ่มเม้าส์กันอย่างออกรส

“ก็ไม่มีอะไรนะ แค่พี่น้องกัน”

“แหม พี่น้อง กล้าพูดนะยะ ยอมรับมาเถอะว่าแกชอบพี่ฉัตร”

ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงที่ค่อนไปทางกะแดะของผู้ชายคนหนึ่ง เดาว่าเป็นเพื่อนกะเทยกลุ่มเดียวกับน้องติวเตอร์

“ก็รู้สึกดีนั่นแหละ แต่ใครบ้างจะไม่ชอบพี่เค้าอ่ะ”

กูนี่ไงที่ไม่ชอบ!

ผมแอบถอนหายใจเบาๆแล้วยืนหันหลังพิงประตู ผมว่าไม่ควรเสนอหน้าออกไปตอนนี้นะ รอให้สองคนนั้นออกไปก่อนละกัน

“แล้วทำไมแกไปนั่งกับพี่แว่นคนนั้นได้วะ ตอนแรกเห็นบอกว่าจะนั่งกับพี่ฉัตร”

“พี่พิสุทธิ์เค้ามาขอแลกที่”

ทำไมฟังไปฟังมา ผมเริ่มไม่ชอบน้ำเสียงของน้องติวเตอร์แล้ววะ ตอนแรกที่ได้ยินก็คิดว่าน้องเป็นคนนุ่มนิ่มน่ารักดี แต่ไปๆมาๆ ผมว่ามันเริ่มฟังดูตอแหลอ่ะครับ แบบน้ำเสียงโคตรไม่เป็นธรรมชาติเลย จะแอ๊บอะไรขนาดนั้น

“ขอแลก? แล้วพี่ฉัตรก็ให้แลกงี้เหรอ”

“อื้ม”

“ไอ้พี่แว่นอ่ะชอบแกแน่ๆ ฉันไม่สงสัย แต่พี่ฉัตรนี่ยังไงฮะ”

นั่นดิ ยังไงวะ ทำไมพวกมึงต้องมายืนคุยกันในห้องน้ำด้วย ไม่มีที่ดีๆกว่านี้แล้วหรือไง

“พี่เค้าไม่เคยคบกับผู้ชาย ก็ให้เวลาเค้าหน่อยละกัน”

ให้เวลาเค้าหน่อยละกัน? ทำไมประโยคนี้มันฟังดูเหมือนคนที่เข้าข้างตัวเองว่าเค้าชอบมึงเลยอ่ะ

“แกนี่มันเด็กน้อยสัสๆเลย ถ้าพี่ฉัตรไม่รุก แกก็รุกสิวะ”

“บ้า น่าเกลียด”

น้องติวเตอร์ว่าด้วยเสียงที่เหมือนจะเขินๆ บางครั้งมันก็น่ารักดีนะ แต่บางครั้งแม่งก็เยอะไปอ่ะ มึงไม่ใช่เด็กสามขวบนะเว้ย

“ไม่น่าเกลียด แกเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง อ่อยได้ไม่เสียหาย”

สอนเพื่อนดีแล้วหนู ถ้าอยากได้มึงต้องอ่อยนะ ยืนมโนต่อไปก็ไม่ได้ช่วยให้ฉัตรชนกชอบมึงหรอก

“ไม่เอา รอให้พี่ฉัตรรู้ใจตัวเองก่อนดีกว่า เราไม่อยากเร่งรัดพี่เค้า”

“แต่แกเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ฉัตรโทรหาแกทุกคืน แถมบอกฝันดีอีกนะ”

เหรออออ คนอย่างฉัตรชนกเนี่ยนะโทรไปบอกฝันดีทุกคืน มึงมโนไปเองเปล่า ทำไมกูไม่เชื่อเลย

“แค่คุยเรื่องทั่วไปเอง”

“เค้าจีบแกแน่ๆอ่ะ”

“จริงๆเราก็แอบคิดแบบนั้นนะ แต่พี่ฉัตรเค้าเป็นคนปากแข็งอ่ะ ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

ผมกรอกตามองบน นี่กูมายืนฟังเรื่องอะไรกันแน่วะ เรื่องเม้าส์ทั่วไปหรือเรื่องมโนของเด็กคนหนึ่ง คือมึงต้องแยกแยะความจริงกับความฝันหน่อยนะหนู

“ฉันว่าคนอย่างพี่ฉัตรไม่น่าชอบออกค่ายอาสานะ ตามมาด้วยระดับนี้แล้ว ฉันว่ามาเฝ้าแกชัวร์”

“อื้ม”

ติวเตอร์ครางรับในลำคอ คือผมเห็นด้วยนะว่าคนอย่างฉัตรชนกไม่น่ามาออกค่ายอาสา แต่จะบอกว่ามาเฝ้าน้องติวเตอร์มันก็ดูไม่ใช่อ่ะครับ ฉัตรไม่ได้แลน้องมันเลย ถ้าบอกว่าตามมากวนตีนผมอันนี้เชื่อนะครับ ดูฉัตรเป็นคนแบบนั้นแหละ เลวร้ายมาก!

หลังจากที่ผมแน่ใจว่าทั้งสองคนเดินออกไปจากห้องน้ำ ผมก็เปิดประตูออกมา รู้สึกจะเริ่มเห็นอนาคตของไอ้แว่นในช่วงสองสามวันนี้แล้ว เตรียมเช็ดน้ำตาได้เลยเพื่อน น้องติวเตอร์ไม่มีใจให้มึงหรอก ดูจากอาการที่มโนอย่างหนักเมื่อครู่แล้ว ผมว่าน้องชอบฉัตรแบบโคตรๆอ่ะ

“มายืนทำหน้าบานทำไมตรงนี้วะ”

ผมเอ่ยทักเมื่อเห็นไอ้เพื่อนแว่นยืนอมยิ้มอยู่ที่สนามหญ้าเล็กๆหน้าห้องน้ำ แหม อารมณ์ดีเชียวนะมึง

“รอมึงแหละ ไปกินข้าวกัน”

ไอ้แว่นหันมาชวนผม พวกเราเลือกซื้อข้าวราดแกงแบบง่ายๆในโรงอาหารของปั๊มน้ำมันเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ ซึ่งมีคนอีกส่วนหนึ่งเลือกจะซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ด

“กูเห็นมึงนั่งกับน้องติวเตอร์ เป็นไงบ้างวะ”

ผมถามในตอนที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว พร้อมกับวางข้าวราดแกงเพิ่มน่องไก่ทอดลงบนโต๊ะ

“น้องน่ารักว่ะ ดีต่อใจกูม๊าก!!”

ไอ้แว่นทำหน้าฟินสุดๆ ผมไม่เคยเห็นมันยิ้มกว้างแล้วทำตาเป็นประกายแบบนี้มาก่อนเลย จริงๆก็ไม่อยากทำลายความสุขของมันนะครับ แต่ผมไม่อยากให้เพื่อนคาดหวังอะไรลมๆแล้งๆ

“กูว่าน้องมันชอบฉัตร”

ผมบอกไอ้แว่นตรงๆ

“มึงเอาอะไรมาพูด”

ไอ้แว่นรีบแย้งด้วยสีหน้าที่แสดงความไม่เชื่อถือคำพูดของผม หน็อยยย ถ้าน้องอ่อยฉัตรให้มึงเห็นอย่างมาร้องไห้แล้วกอดกูนะ กูจะถีบซ้ำเลยแหละ

“ก็เอานั่นไงมาพูด”

ผมเหลือบไปเห็นฉัตรที่ยืนอยู่ไม่ไกลทางด้านหลังของไอ้แว่น ซึ่งข้างๆมีน้องติวเตอร์กำลังยืนเกาะแขนของเขาไว้แน่นเหมือนเด็กน้อยกลัวหลงทาง นี่ขนาดว่ารุกไม่เป็นนะเว้ย ไอ้แว่นหันไปมองตามสายตาของผมแวบหนึ่งก่อนจะรีบแก้ตัวแทนน้องอย่างรวดเร็ว

“น้องเค้าเป็นคนเฟรนลี่”

ผมตักข้าวใส่ปากเป็นการยุติบทสนทนา มึงแม่งก็มโนไม่ต่างจากน้องอ่ะ คือผมก็เห็นด้วยว่าน้องติวเตอร์เป็นคนเฟรนลี่ แต่มึงช่วยดูสายตาของน้องเค้าด้วย มันวิบวับใส่ฉัตรแค่คนเดียวนะเว้ย

“เตอร์ มานั่งกับพี่มั้ย” ไอ้แว่นหันไปตะโกนถามน้องติวเตอร์ ถึงแม้หน้าตาของมันจะยิ้มแย้มเหมือนเดิม แต่ผมรู้สึกได้ว่ามันเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่านแล้วครับ

“ได้ครับ”

โชคดีที่น้องติวเตอร์ตอบรับคำชวนของไอ้แว่นทันที ทำให้รอยยิ้มของมันขยับกว้างขึ้น สาบานดิว่าไอ้น้องเตอร์ไม่ได้ชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่ว คือมันจำเป็นมั้ยที่ต้องส่งยิ้มหวานให้เพื่อนกูขนาดนี้ คือมึงชอบเขาหรือก็เปล่า

“พี่ฉัตรไปนั่งด้วยกันนะ”

นั่นไง หุบยิ้มอย่างเร็วเลยนะไอ้แว่น

“อืม”

ฉัตรพยักหน้ารับแล้วเดินตามแรงดึงที่แขน คือเดินมาอีกแค่สี่ห้าก้าวถึงกับต้องจูงกันเลยเหรอวะ ฉัตรทรุดนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวข้างผม ส่วนติวเตอร์วางกระเป๋าสะพายไหล่ใบเล็กลงบนที่ว่างข้างไอ้แว่น

อ้าว ยิ้มกว้างอีกแหละ นี่เพื่อนกูเป็นบ้าหรือไง เมื่อสองนาทีก่อนยิ้มกว้าง นาทีต่อมาหน้าเหี่ยวไม่สบอารมณ์ อีกหนึ่งนาทียิ้มกว้างอีกแล้ว

“พี่ฉัตรอยากทานอะไรครับ เดี๋ยวเตอร์ไปซื้อให้”

ติวเตอร์ถามฉัตรด้วยเสียงหวานเชื่อม ส่วนไอ้แว่นก็เริ่มมีอารมณ์แปรปรวนเหมือนหญิงท้องแก่ คือมึงช่วยเก็บอาการทางสีหน้าบ้างได้มั้ย มันชัดเจนเกินไปนะเว้ยว่ามึงชอบใจหรือไม่ชอบใจอ่ะ

“ไปด้วยกัน”

“ก็ได้ครับ”

ติวเตอร์ยิ้มเขินๆเมื่อเห็นว่าฉัตรเดินไปซื้ออาหารกับตัวเอง ทั้งสองคนหายไปประมาณห้านาทีก่อนที่น้องติวเตอร์จะวิ่งกลับมาที่โต๊ะพร้อมด้วยขวดน้ำดื่มสี่ขวด

“เตอร์ซื้อน้ำมาให้ครับ นี่ของพี่พิสุทธิ์ นี่ของพี่ครับ”

ติวเตอร์ส่งน้ำดื่มให้ผมกับไอ้แว่นคนละขวด ซึ่งพวกเราก็รีบเอ่ยขอบคุณตามมารยาท

“เอ่อ จริงๆพี่ฉัตรเป็นคนจ่ายอ่ะ”

ติวเตอร์อธิบายด้วยรอยยิ้มในตอนที่ฉัตรเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับข้าวสองจานในมือ ฉัตรนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวข้างผมส่วนติวเตอร์นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา พวกเรารับประทานอาหารกันเงียบๆจนกระทั่งติวเตอร์เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนากับผม

“พี่ชื่อวินใช่มั้ยครับ”

“อืม”

ผมเหลือบตามองอีกฝ่ายก่อนจะครางรับในลำคอ กูกำลังแดกข้าว อย่าชวนคุยดิวะ

“ติวเตอร์นะครับ”

หมอนั่นแนะนำตัวเองแล้วส่งยิ้มให้ผม แล้วผมมันก็คนดีมีมารยาทด้วยอ่ะครับ ต่อให้ไม่อยากคุยก็ต้องตอบรับ ซึ่งผมเลือกที่จะประหยัดคำพูดให้มากที่สุด หวังว่ามึงจะรู้ตัวนะว่ากูไม่อยากคุย

“ครับ”

“ทำไมไม่กินแครอท”

ผมหันไปมองฉัตรชนกที่นั่งอยู่ข้างๆ เขากินข้าวหมดจานแล้วและกำลังใช้สายตามองมายังซากแครอทที่ถูกผมเขี่ยไปไว้บนขอบจาน มึงก็อีกคน มาสนใจอะไรกับเรื่องของกูนักหนาฮะ

“ไม่ชอบ”

ผมตอบสั้นๆ ขณะพยายามใช้ช้อนกับส้อมเลาะเนื้อไก่จากกระดูก แต่ไก่นี่ก็โคตรเหนียวเลยว่ะ ไม่รู้ว่าแม่ค้าทอดไก่ทิ้งไว้นานกี่ชาติแล้ว ใช้ส้อมกินก็ลำบากแต่จะให้ใช้มือมันก็เปื้อนอ่ะครับ แล้วผมก็ขี้เกียจไปล้าง ในตอนที่ผมกำลังหงุดหงิดกับน่องไก่และคิดว่าจะเลิกกิน ฉัตรก็เอื้อมมือมาคว้าช้อนกับส้อมไปจากมือของผมก่อนจะแย่งจานข้าวไปไว้ตรงหน้าตัวเอง

เดี๋ยวๆ นี่มึงหิวขนาดต้องมาแย่งไก่กูเลยเหรอฉัตรชนก แม้ผมจะใช้สายตาด่าเขา แต่เขาก็ไม่สนใจเอาแต่ตั้งใจใช้ช้อนกับส้อมเลาะเนื้อไก่ออกจากกระดูก

“กินซะ”

ฉัตรตักเนื้อไก่ใส่ช้อนก่อนจะส่งมาจ่อที่ปากของผม อะ อ้าว จะป้อนกูเลยเหรอ ผมอ้าปากรับแบบงงๆ หมอนั่นไม่ได้พูดอะไรแต่ป้อนไก่ผมเป็นคำที่สองและสามจนหมด

“พี่สองคนสนิทกันเหรอครับ”

ติวเตอร์ที่จ้องผมตาไม่กะพริบเอ่ยถาม

“มั้ง”

ถ้าผมตอบว่าไม่สนิทมันก็จะดูขัดๆกับการกระทำของฉัตรเมื่อครู่ แต่จะให้ผมตอบว่าสนิทมันก็จะเป็นการโกหกเกินไปเพราะผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย

“ไปรู้จักกันได้ยังไงเหรอครับ”

นี่ก็สอใส่เกือกไม่เลิก

“ที่มอนี่แหละ เป็นเพื่อนของเพื่อน”

ผมตอบ หมายถึงฉัตรเป็นเพื่อนของไอ้ไวท์และไอ้ธามซึ่งเป็นเพื่อนของผม

“จริงๆพี่ฉัตรเป็นคนเข้าหายากมากเลยนะครับ ตอนแรกที่เจอกันเตอร์ยังแอบกลัวๆเลย”

ยากสิ ปากแบบนี้จะเข้ากับใครได้ง่ายๆบ้าง นี่มึงมีชีวิตรอดมาได้ถึง 22 ปีโดยไม่โดนกระทืบตายก็โคตรบุญหัวแล้วนะฉัตร

“พี่วินไม่ได้อยู่ชมรมจิตอาสาใช่มั้ยครับ”

ผมรู้สึกว่าน้องเตอร์ของไอ้แว่นพูดมากอ่ะครับ ถามนั่นนี่เหมือนพวกเราสนิทกันงั้นแหละ

“อืม มาเป็นเพื่อนไอ้พิสุทธิ์”

“อ๋อ ถ้าติดใจคราวหน้าแวะมาชมรมบ่อยๆได้นะครับ พี่พิสุทธิ์จะได้ไม่เหงาด้วย เห็นพี่มาชมรมก็นั่งเงียบตลอดเลย”

ประโยคสุดท้ายติวเตอร์หันไปพูดกับไอ้แว่นที่เอาแต่แอบมองใบหน้าด้านข้างของน้องเหมือนพวกโรคจิต

“ทำไมเตอร์เลือกมาเข้าชมรมจิตอาสาล่ะครับ”

จู่ๆไอ้แว่นก็เอ่ยถามติวเตอร์หลังจากที่นั่งเงียบมาเกือบสิบนาที แถมน้ำเสียงที่ใช้ยังนุ่มละมุนผิดปกติ คือถ้าน้องมันถามกลับว่า ‘แล้วพี่ละครับทำไมมาเข้าชมรม’ มึงจะสารภาพกับน้องมั้ยว่ามาส่องมันอ่ะ

“เตอร์ชอบช่วยเหลือคนอื่นครับ ต่อให้เป็นการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร แต่เตอร์ทำแล้วมีความสุขเตอร์ก็อยากทำ อีกอย่างสำหรับคนได้รับ เค้าอาจจะรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่และมีค่าสำหรับเขามากก็ได้ อย่างเงินสิบบาทสำหรับเรา เราคิดว่ามันไม่มีค่า มันเล็กน้อย แต่สำหรับบางคน มันอาจจะเป็นสิบบาทสุดท้ายในมือก็ได้ครับ”

ตอบดีครับ ดีมากเลย ผมเกือบจะปรบมือแสดงความชื่นชมให้กับสุนทรพจน์อันลึกล้ำของน้อง ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมติวเตอร์ได้เป็นเดือนคณะบริหารแถมยังเข้ารอบสามคนสุดท้ายในรอบการประกวดเดือนมหาลัย ก็ดูมันตอบคำถามสิน่ะ นึกว่านางงามจักรวาล เลิศหรูและดูดี

“เตอร์เป็นคนดีมากเลยครับ พี่ไม่เคยมองในมุมนั้นมาก่อนเลย ขอบคุณนะที่เป็นแสงสว่างให้พี่”

มึงนี่ก็อีกคน เกินไปเปล่าวะ ถ้าจะชื่นชมด้วยสายตาหวานเชื่อมขนาดนี้ มึงก็คุกเข่าขอแต่งงานเลยเถอะ

นี่ผมกับฉัตรชนกมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ!


 
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/09/2562 [บทที่9]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-09-2019 00:22:15
 :katai2-1:
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/09/2562 [บทที่9]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 16-09-2019 18:23:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/09/2562 [บทที่9]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-09-2019 22:37:03
5555555
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 16/09/2562 [บทที่10]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 16-09-2019 23:12:35


บทที่ 10 หวั่นไหว
 

รถบัสเดินทางมาถึงโรงเรียนจงสวัสดิ์ซึ่งเป็นโรงเรียนเล็กๆในเขตทุรกันดารของจังหวัดสุราษฎร์ธานีในเวลาเกือบสองทุ่ม ถือว่าเลยเวลานัดหมายกับทางคณะครูของโรงเรียนมาถึงสามชั่วโมงเพราะคนขับรถหลงทาง ตั้งแต่รถบัสออกจากถนนสายหลักมาก็พบกับถนนลูกรัง สองข้างทางเป็นป่าหนาทึบ มีทางแยกมากมายทำให้ง่ายต่อการหลงทาง พวกเราเสียเวลาเลี้ยวรถวนไปวนมาอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะเจอทางเข้าหมู่บ้าน

โรงเรียนจงสวัสดิ์เป็นโรงเรียนชั้นประถมศึกษาประจำหมู่บ้านเคียนสาง ชาวบ้านในระแวกทำอาชีพเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น หมู ไก่และแพะ อีกส่วนทำเกษตรกรรม เช่น เงาะ มะพร้าว กาแฟ และปาล์ม

ผมไม่แน่ใจว่าโรงเรียนจงสวัสดิ์มีนักเรียนเท่าไร แต่ดูจากที่โรงเรียนมีสิ่งก่อสร้างเก่าๆเพียงหนึ่งหลังสำหรับรองรับนักเรียน ผมคิดว่าเด็กๆคงไม่เยอะ อีกอย่างหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตแต่บรรยากาศกลับดีมาก อากาศบริสุทธิ์ มีต้นไม้เขียวขจีซึ่งความสวยงามในความเงียบสงบแบบนี้คงหาไม่ได้ในเมืองที่เจริญแล้ว ผมคิดว่าการมาออกค่ายในครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด อย่างน้อยผมก็ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ และการใช้ชีวิตของคนอีกกลุ่มที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

รุ่นพี่คณะกรรมการต้อนพวกเราลงมาจากรถบัสแล้วให้ยืนรวมกลุ่มกันที่บริเวณหน้าโรงเรียน แถวนี้มืดมากเพราะแทบไม่มีเสาไฟฟ้าเลย ผมลองหยิบไอโฟน ออกมาเปิด 4G ปรากฏว่ามีสัญญาณแต่อ่อนมาก ผมอาจต้องเดินหาทำเลดีๆในการโทรออก

พวกเรายืนรอเงียบๆประมาณสิบห้านาทีก็มีชายวัยกลางคนในชุดเสื้อยืดกางเกงขาก๊วยกับผู้หญิงวัยเดียวกันวิ่งมาทางพวกเรา ผมเห็นพี่จิวประธานค่ายรีบเดินเข้าไปทักทายก่อนจะแนะนำให้พวกเรารู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือครูสุพจน์ซึ่งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนส่วนผู้หญิงคือภรรยา

เป็นเพราะพวกเรามาถึงที่หมายค่ำมากแล้ว จึงต้องข้ามขั้นตอนการกล่าวต้อนรับบลาๆที่เสียเวลาออกไป พวกเราถูกเชิญให้เข้าที่พัก จริงๆก็คือห้องเรียนสามห้องในโรงเรียนนั่นแหละ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมพวกเราจึงสามารถใช้พื้นที่ส่วนนี้ได้

ตอนที่เข้าไปด้านในแล้ว ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรุ่นพี่เลือกโรงเรียนแห่งนี้ เพราะมันเก่าโทรมมาก ทั้งหลังคาสังกะสีที่ผุเป็นรูจนมองเห็นดาวบนท้องฟ้า ฝาผนังสีหลุดลอกบางส่วน และบางห้องที่ไม่ได้ทางสี ยังเห็นเป็นกำแพงอิฐอยู่เลย บางห้องเรียนมีโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าๆที่ต้องได้รับการซ่อมแซม และบางห้องก็ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ เด็กๆต้องนั่งเรียนกับพื้น

ผมเคยได้ยินว่าคนจนมักจะรวยน้ำใจ ไม่ผิดดังคำกล่าวนั้นเลยครับ แม้พวกเราจะมารบกวนกลางดึกแถมยังมีนิสิตบางคนหลุดปากบ่นว่าหิวมาก แต่ภรรยาของครูใหญ่ก็ไม่ได้โกรธเคืองกลับเรียกชาวบ้านบางส่วนที่ยังไม่นอนให้มาช่วยกันทำมื้อค่ำง่ายๆให้พวกเรา ซึ่งก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พวกเราขนมาบริจาคโรงเรียนหลายร้อยกล่อง ใส่ผักใส่หมูปรุงรสสักหน่อยก็รสชาติเยี่ยมแล้ว

ตอนแรกผมคิดว่าฉัตรชนกจะกินไม่ได้ ก็รายนั้นอ่ะคุณชายซะเต็มขั้น ขับรถปอร์เช่ (ที่ไม่รู้ว่ายืมใครมา) แถมแบรนด์เนมตั้งแต่ปลายตีนจรดศีรษะ กับไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่เจ้าตัวหวงเชี่ยๆ เอาเป็นว่าผมรู้สึกดีที่ในค่ายนี้ไม่มีคนทำตัวเรื่องมาก ก็มาออกค่ายอาสาอ่ะ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าอาสา ต้องลำบากแน่นอน

อีกเรื่องนะ น้องติวเตอร์ทำให้ผมประหลาดใจมาก น้องกินง่ายอยู่ง่ายกว่าที่คิด คือบุคลิกของเจ้าตัวดูเป็นคนสำอาง ไม่น่าชอบงานลุยๆหรืองานอาสา แต่น้องก็ช่วยเหลือล้างจาน เช็ดโต๊ะ เช็ดพื้นเหมือนๆกับคนอื่น รวมถึงไม่ปริปากบ่นเรื่องที่นอน

“พิสุทธิ์มานี่เร็วมึง มานอนตรงนี้”

ผมใช้กระเป๋าเดินป่าวางจองอาณาเขตของตัวเอง แล้วหันไปกวักมือเรียกไอ้เพื่อนแว่นที่เดินได้ต้วมเตี้ยมยิ่งกว่าเต่าล้านปี

“มึงจะรีบไปไหนวะ ผ้าห่มกับหมอนก็เยอะแยะ กลัวใครแย่งไปหรือไง”

มึงนี่ช่างไม่รู้อะไรซะเล้ยยย ถ้าต้องนอนรวมกับคนเยอะแยะแบบนี้ การได้นอนติดผนังเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว เพราะมึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนคนที่นอนข้างๆเอาตีนก่ายหน้า ผมเลือกนอนติดผนังด้านหนึ่งและที่เรียกไอ้แว่นมานอนข้างๆไม่ใช่เพราะพิศวาสนะครับ แต่เพราะผมรู้ว่ามันไม่ใช่คนนอนดิ้นแล้วก็ไม่นอนกรน

ส่วนเรื่องผ้าห่มกับหมอนที่ไอ้แว่นพูดถึง คือของที่ทางชาวบ้านในหมู่บ้านเตรียมไว้ให้พวกเราหยิบยืม มีจำนวนจำกัดก็จริงแต่ก็พอใช้ คือผมหมายถึงถ้าใครคิดจะหยิบผ้าห่มมาปูหลายๆชั้นไว้สำหรับนอนมันก็ใจหมาเกินคนแล้วครับ ถ้าหยิบไปสองผืนก็จะพอเผื่อแผ่ให้ทุกคน และทุกคนในห้องนี้ก็ดูมีจิตสำนึกดีครับ หยิบหมอนคนละใบ ผ้าห่มบางๆคนละสองผืน

หลังจากทยอยกันไปอาบน้ำเย็นๆในห้องอาบน้ำรวมแล้ว ผมก็กลับมาจัดที่นอนของตัวเอง ตอนแรกผมตั้งใจจะนอนกับพื้นแล้วใช้ผ้าห่มสองผืนห่มร่างกายเพราะไม่ใช่คนที่ชอบนอนที่นิ่มๆอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะพื้นห้องเย็นเกินไป อีกอย่างอากาศในตอนกลางคืนก็หนาวมากด้วย ผมจึงต้องสละผ้าห่มหนึ่งผืนมาปูพื้นและใช้อีกผืนห่มร่างกายซึ่งคนอื่นๆก็ทำแบบเดียวกับผมนั่นแหละ

“พี่ฉัตรนอนตรงนี้สิครับ เตอร์อยากนอนข้างพี่”

ผมเหลือบไปมองที่มาของเสียงและเห็นว่าติวเตอร์ที่จับจองพื้นที่ชิดผนังอีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับผมกำลังพยายามลากกระเป๋าของฉัตรให้มาปูที่นอนข้างๆตนเอง แล้วเขี่ยเพื่อนกะเทยนางหนึ่งออกไปนอนอีกฝั่งของห้อง

แหม ท่าทางเชี่ยวขนาดนี้ กูไม่น่าหลงไปมองว่าน้องมันไร้เดียงสาเล้ย ยังไงก็ขอให้คืนนี้ของมึงผ่านไปด้วยดีนะฉัตร

ผมหันกลับมามองไอ้แว่นที่นั่งหน้าบูดบึ้งอยู่บนพื้นข้างๆ ช่วยไม่ได้ว่ะเพื่อน ดูซะให้เต็มตาแล้วก็รีบๆตัดใจซะที

หลังจากที่ทุกคนอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่คณะกรรมการก็เดินตรวจตราความเรียบร้อยของรุ่นน้องและสั่งให้ปิดไฟซึ่งเป็นเวลาสี่ทุ่มตรงพอดี ตอนแรกผมต้องพยายามข่มตาให้หลับเพราะที่นอนไม่ค่อยสบายและโคตรหนาว แต่ความเมื่อยล้าจากการนั่งรถมานานก็ทำให้ผมค่อยๆเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทราก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อมีอะไรบางอย่างเบียดเข้ามาใกล้ร่างของผม

เฮ้ย!

ผมแหกปากลั่นได้แค่ในลำคอเพราะโดนมือปริศนาปิดปากเอาไว้ ใครแม่งเล่นแบบนี้!

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีสาง แต่ก็ไม่เคยหลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย ฉะนั้นอย่ามีใครหรืออะไรที่ไม่ควรเห็นมาอยู่กับผมเลยนะ ฮือออ แม่คร้าบ บอกผมทีว่าไอ้แว่นอำเล่น นั่นมือไอ้แว่นใช่มั้ยครับแม่

“วิน”

ผมที่กำลังตัวสั่นงันงกแบบหมดมาดชะงักเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งกระซิบชิดใบหู

“กลัวเหรอ”

อีห่าฉัตร!

ผมหยุดตัวสั่นทันทีเมื่อค้นพบว่าเจ้าของมือที่บังอาจมาปิดปากของผมคือใคร

“ทำไมมึงมานอนตรงนี้” ผมถามเบาๆด้วยเสียงขุ่นมัวหลังจากที่ดึงมือของฉัตรชนกออกจากปากได้สำเร็จ

“อยากนอน”

หมอนั่นตอบกวนๆตามสไตล์

“ไม่ได้ ขยับออกไป”

ผมพยายามเบียดร่างควายๆของไอ้คุณชายไปทางขวาแต่กลับโดนอีกฝ่ายเบียดกลับจนหน้าเกือบกระแทกผนังด้านซ้าย

โห่ เรื่องแค่นี้มึงก็ต้องเอาชนะกูให้ได้เลยเหรอฉัตร คือกูเคยเหยียบหัวมึงตอนหลับเหรอถามจริง

“ทำไม”

ฉัตรกระซิบถาม เขาอยู่ใกล้ผมมากเสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดใบหูให้สยิวเล่นๆ

“สนิทกันเหรอมานอนซะชิดขนาดนี้”

ผมหันหน้าไปถามคนที่จู่ๆก็มานอนซ้อนด้านหลัง ผมรู้สึกว่าแผ่นอกของฉัตรแนบสนิทกับแผ่นหลังของผมจนดูเหมือนว่าเขาเกือบจะกอดผมอยู่แล้ว

“เดี๋ยวก็สนิท”

ฉัตรพยายามขยับตัวขึ้นมานอนบนผ้าห่มที่ผมใช้ปูพื้น แล้วใช้ผ้าห่มสองผืนของตัวเองห่มร่างเอาไว้

“ไม่เอา”

เรื่องอะไรมาแย่งที่นอนกูหน้าด้านๆวะ

“ยังไม่ได้ชวนเอาเลย ทะลึ่ง”

วอทเดอะฟัค! ใครวะที่ทะลึ่ง

ผมอ้าปากหวอเมื่อได้ยินประโยคกวนส้นตีนของคนหน้าตาย มึงแม่งกล้าใช้น้ำเสียงโมโนโทนมาเล่นมุกกามๆได้ยังง้าย ช่างกล้านะ กูไม่ใช่เพื่อนเล่นนะเว้ย

“กลับไปนอนที่มึงเด้”

ผมไล่เขาตรงๆ แม่สอนว่าให้รักษาน้ำใจคนที่ควรรักษาน้ำใจ เพราะบางครั้งน้ำใจของเราจะทำให้เราถูกเอาเปรียบ และมารยาททางสังคมก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน ผมเชื่อแม่นะครับ

“ไม่” ฉัตรปฎิเสธเสียงแข็ง ผมว่าหมอนี่ดื้อด้านและไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ถ้าเขาจะนอนก็ต้องนอนให้ได้ แม่งก็เป็นแค่ลูกคนรวยเอาแต่ใจนั่นแหละครับ

“ทำไม”

“มันไม่ปลอดภัย มึงรู้มั้ย กว่าเตอร์มันจะหลับกูต้องโดนทำอะไรบ้าง”

ฮะ!

ผมเกือบหลุดขำออกไปเมื่อได้ฟังเหตุผลอันมีน้ำหนักของฉัตร โอ๊ยยยย ฮา อยากหัวเราะให้ดังๆ เสียดายที่ตอนนี้มืดสนิททำให้มองไม่เห็นสีหน้าของไอ้คุณชาย แต่จากน้ำเสียงที่เจืออารมณ์เสียจางๆผมขอมโนว่าหมอนี่กำลังทำหน้าผวาอยู่ละกัน

“พอเดาได้”

ผมที่สงบสติอารมณ์ขำขันได้แล้วเอ่ยเบาๆ ผมไม่แน่ใจว่าฉัตรโดนไประดับไหน แต่ถ้าเบๆหน่อยติวเตอร์ก็คงแอบสี แอบลูบ แอบคลำ แต่ส่วนไหนบ้างผมก็ไม่อยากจะจิ้น และที่ผมเดาได้ก็เป็นเพราะตอนมอปลายช่วงที่กำลังอดอยากปากแห้งผมเคยใช้มุกนอนข้างๆสีเพื่อนตอนไปค่ายลูกเสือเหมือนกันแหละครับ ก็คนอยากเอาแต่เอาไม่ได้ก็ต้องใช้มุกหาเศษหาเลยแบบนี้อ่ะ

“ถือว่าสงสารกูเถอะ ขอนอนด้วยนะ”

ผมพลิกตัวกลับไปเผชิญหน้ากับฉัตรชนก หมอนั่นกำลังมองมาที่ผมตาปริบๆและถึงแม้จะอยู่ในความมืดแต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ออดอ้อนของเขาได้ชัดเจน

“นะ วิน”

เชี่ยเอ๊ย!

ผมแม่งไม่เคยเห็นฉัตรชนกอ้อนใครมาก่อนไง คนบ้าอะไรทำไมทำตัวน่ารักได้กร๊าวใจสุดๆเลยวะ ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับว่าภาพของเขาทำให้หัวใจไม่รักดีของผมเต้นกระหน่ำจนเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน

“เออ นอนเงียบๆนะมึง ถ้าดิ้นกูถีบ”

ผมเก๊กขรึมไปงั้น ทั้งที่จริงๆแล้วเขินชิบหาย เขินบ้าบออะไรไม่รู้ แค่รู้ว่าชอบฉัตรในโมเม้นต์แบบนี้มากๆเลย

“โอเคครับ”

ผมพลิกตัวนอนหันหลังให้ฉัตรชนกเหมือนเดิมก่อนจะเผลอเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว ในตอนกลางดึกผมรู้สึกตัวตื่นเป็นบางครั้งเพราะความหนาวเย็นที่ทำให้เริ่มสั่น และผมทำได้แค่พยายามขดร่างกายเข้าหาบางอย่างที่อบอุ่นตามสัญชาตญาณและหลับไปอีกครั้งเพราะความอ่อนเพลีย

 



“สวัสดีค่ะ สวัสดีนิสิตชาว N ทุกคน ยินดีต้อนรับสู่ค่ายอาสาของเรา พี่ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ พี่ชื่อจิว บริหารปีสี่ค่ะ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งประธานค่ายคนปัจจุบัน”

หลังจากที่พี่จิวกล่าวจบ ทุกคนก็พร้อมใจกันปรบมือแปะๆตามมารยาท ผมถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า มีเวลาอาบน้ำแต่งตัวและกินข้าวหนึ่งชั่วโมงก่อนที่กรรมการค่ายจะเรียกรวมตัวที่ลานกว้างข้างโรงเรียนเพื่อแจกแจงงานที่ต้องทำในวันนี้

“พี่ชื่อปิงนะคะ แต่ถ้าเรียกปิงลี่จะขอบคุณมาก” พี่ตุ๊ดหุ่นหมีก้าวเข้ามายืนข้างๆพี่จิวก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองเสียงอ่อนเสียงหวาน

“พี่เป็นประชาสัมพันธ์นะ อันที่จริงรับหน้าที่เกี่ยวกับการพูดทุกอย่างอ่ะค่ะ คือเรื่องพูดพี่ชอบ จริงๆเป็นคนพูดมาก เพื่อนเลยชอบให้มาพูด แล้ว…”

ผมที่กำลังง่วงๆ ถึงกับปวดหัวจี๊ดเมื่อได้ยินคำพูดวกไปวนมาของเจ๊แกอ่ะครับ ไม่แน่ใจว่าต้องทนฟังนางพล่ามไปอีกนานแค่ไหน ผมขอหลับรอเลยได้หรือเปล่า               ยิ่งฟังยิ่งรำคาญ แม่งยังหาประเด็นสำคัญไม่เจอเลย ผมว่าชมรมควรเปลี่ยนประชาสัมพันธ์ได้แล้วนะ

“เข้าเรื่องสักทีอีปิง เวลาเป็นของมีค่า กูมาออกค่ายอาสาซ่อมโรงเรียนไม่ได้มาฟังมึงพล่ามนอกเรื่อง”

ในที่สุดก็มีรุ่นพี่ปีสี่คนหนึ่งทนไม่ไหวจนต้องตะโกนด่าออกมา กราบขอบคุณครับพี่ พี่พูดได้ตรงใจผมมากเลย

รุ่นพี่คนนี้ชื่อไก่ครับ อยู่คณะเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ชายลุคห่ามๆ ไว้ผมยาวปะบ่า ท่าทางเหมือนโจรแถมชอบพูดจาห้วนๆ ผมไม่ค่อยกล้าคุยด้วย กลัวโดนต่อยอ่ะครับ คือหน้าพี่แกไม่ค่อยรับแขก

“แหม ไก่ขา ขอปิงลี่พูดหน่อยไม่ได้เหรอ เมื่อคืนรีบนอนอ่ะ เหงาปาก”

พี่ปิงลี่เอ่ยด้วยท่าทางกระเง้ากระงอด แต่เมื่อสังเกตเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของชาวค่ายก็รีบยกมือยอมแพ้ทันที

“โอเคๆ ปิงเข้าเรื่องก็ได้ค่ะ งานที่พวกเราต้องทำให้เสร็จภายในสามวันมีดังนี้ งานที่หนึ่งคือซ่อมหลังคาโรงเรียน งานนี้ค่อนข้างอันตรายแต่ปิงเลือกคนไว้แล้ว งานที่สองสำหรับสาวๆค่ะ ช่วยกันทาสีห้องเรียนทุกห้อง ทั้งด้านในด้านนอกจัดไปให้หมด เสร็จแล้วจัดห้องตกแต่งห้องเรียนใหม่ให้ด้วยนะคะลูกขา ส่วนผู้ชายที่เหลือไปซ่อมโต๊ะเก้าอี้ แล้วก็ทำโต๊ะเก้าอี้เพิ่มไว้ให้น้องๆด้วยค่ะ แล้วก็ผู้ชายท่านใดที่คิดว่าทำงานไม้ไม่เป็นให้ไปช่วยสาวๆทาสี จบแล้วค่ะ จิวอยากเพิ่มเติมอะไรมั้ย”

พี่ปิงลี่หันไปถามเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่จิวพยักหน้าก่อนจะเอ่ยเพิ่มเติม

“พี่ไม่อยากให้ผู้ชายคิดถึงเรื่องศักดิ์ศรีให้มากมายนะ ถ้าทำโต๊ะเลื่อยไม้ไม่เป็นให้มาช่วยทาสี เรามาออกค่ายด้วยกัน ได้ช่วยเหลือน้องๆเหมือนกัน ฉะนั้นเราได้บุญเท่ากันทุกคนค่ะ พี่ไม่อยากให้หนุ่มๆบางคนฝืนทำในสิ่งที่ทำไม่เป็นเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ เข้าใจตามนี้นะคะ”

ทุกคนส่งเสียงตอบรับว่าเข้าใจก่อนจะเดินไปลงชื่อว่าต้องการทำงานอะไร ผมรู้สึกดีมากเมื่อได้ฟังคำพูดของพี่จิว และคิดว่าจะไปช่วยผู้หญิงทาสี แต่ตอนที่ไปถึงโต๊ะลงชื่อ ก็เห็นว่าคนส่วนใหญ่ลงชื่อขอทาสี คือผมรู้ว่าทาสีมันง่ายกว่าทำโต๊ะทำเก้าอี้ ไม่ต้องมีทักษะมากก็สามารถทำได้ อีกอย่างเด็กวัยมหาลัยจะไปเอาประสบการณ์เรื่องงานไม้มาจากที่ไหน

ผมหันไปมองหน้าไอ้แว่นเงียบๆเป็นเชิงถามว่ามึงจะเอาไง?

ถ้าลงชื่อว่าทาสี ก็จะมีพี่ไก่แค่คนเดียวที่ทำโต๊ะ มันจะไม่เกินไปเหรอวะ คือเรามาเพื่อช่วยเหลือไง ควรช่วยทุกๆด้านดิ

“เอาไงดีหนุ่มๆ จะทาสีหรือทำโต๊ะจ้ะ”

พี่สา รุ่นพี่ปีสามคณะบริหารธุรกิจเอ่ยถามยิ้มๆ เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะลงทะเบียน

“ทำโต๊ะกันมั้ยมึง”

ไอ้แว่นหันมาถามผม คือมึงทำเป็นเหรอฮะ ในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยจับเลื่อย ตอกตะปูเลยนะ แล้วไอ้ผอมแห้งแรงน้อยอย่างไอ้แว่นที่จับเป็นแต่ตำราเรียนจะเอาแรงจากไหนมาทำโต๊ะวะถามจริง

“ไปช่วยพี่ไก่ทำโต๊ะมั้ย มีคุณลุงสอนให้นะ”

พี่สาพยายามโน้มน้าวก่อนจะชี้นิ้วไปที่คุณลุงสองคนที่กำลังเลื่อยไม้ โดยมีพี่ไก่ยืนทำความเข้าใจอยู่ข้างๆ คือยากมากเปล่าวะ

“เรื่องแบบนี้มันเรียนรู้กันได้”

แหม ทำน้ำเสียงขอร้องขนาดนี้เพราะกลัวงานไม่เสร็จ ไม่มีคนทำก็บอกมาเถอะพี่ เฮ้อ ผมก็เห็นใจพี่สานะที่สมาชิกเกือบห้าสิบคนไปรุมกันทาสีโรงเรียนอ่ะ แล้วจะให้กรรมการค่ายไปทำโต๊ะมันจะไหวหรือ

“โอเคครับ พวกผมทำโต๊ะก็ได้”

ผมรับปาก เอาน่าตามที่พี่สาบอกนั่นแหละ ของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้ ผมไม่เคยจับค้อน ไม่เคยเชื่อมเหล็ก ไม่เคยใช้เครื่องกลึงยังผ่านมันมาได้ในคณะวิศวะ แล้วแค่เลื่อยไม้ทำโต๊ะทำเก้าอี้จะไปยากอะไร๊! ใช่มั้ยทุกคนนน

ผมกับไอ้แว่นเข้าไปเรียนรู้งานไม้กับคุณลุงทั้งสองคน พี่ไก่เรียนรู้งานได้เร็วมากและงานไม้ที่พี่แกทำออกมาก็จัดว่าดีทีเดียว ส่วนคนกากๆอย่างผมกับไอ้แว่นมีหน้าที่ตอกตะปูประกอบโต๊ะเก้าอี้ รวมถึงซ่อมแซมโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ

หลังจากทำงานติดต่อกันมาเกือบสองชั่วโมง คุณลุงทั้งสองคนก็ขอตัวไปตัดไม้มาเพิ่ม ทิ้งให้ผมไอ้แว่นและพี่ไก่ทำงานด้วยกันเงียบๆ ถึงแม้พวกผมจะได้ทำงานใต้ร่มไม้ใหญ่ แต่ไอแดดบริเวณรอบๆ ก็ทำให้ผมเหงื่อไหลท่วมตัว รู้สึกคอแห้งแถมหน้ามืด แต่จะให้ทิ้งแรงงานที่มีอยู่น้อยนิดไว้ด้วยกันสองคนแล้วโดดไปพัก ผมก็ทำไม่ลง ไม่ได้ใจหมาขนาดนั้นอ่ะครับ ผมเข้าใจว่าเราต้องเร่งมือทำงานให้เสร็จภายในสามวัน จึงไม่ได้ปริปากบ่น ถือว่าได้ความรู้ในการทำโต๊ะ เผื่ออนาคตตกงาน พ่อไม่ยกร้านขายยาให้ ผมจะได้มีอาชีพเสริม

ระหว่างที่กำลังตั้งใจตอกขาเก้าอี้โป้กๆ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินเข้ามาใกล้ แต่ผมไม่ได้สนใจ คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่กรรมการค่ายสักคนที่มาตรวจงาน หรือแวะเข้ามาช่วยงานเล็กๆน้อยๆจนกระทั่งได้ยินเสียงโมโนโทนคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อ

“วิน”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองฉัตรชนก ตอนแรกผมคิดว่าเขาไปช่วยคนอื่นๆทาสี แต่ดูจากสภาพที่ เอ่อ แบบ…เหมือนลูกหมาตกน้ำ ทั้งเปื้อนทั้งเปียก ผมว่าไม่น่าใช่ทาสีแล้ว ถ้าบอกว่าเดินตกทะเลมาผมก็เชื่อ

“เอาน้ำมาให้”

ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเขามีขวดน้ำแช่เย็นสามขวด เขาวางขวดน้ำสองขวดไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง ถึงไม่ได้บอกว่าเอามาให้ใคร แต่พี่ไก่กับไอ้แว่นก็คว้ามาดื่มแบบไม่ต้องขอ อ้าว แล้วของกูอ่ะ ในมือนี่คือมึงถือว่าแดกเองหรืออะไรวะฉัตร

“หิวน้ำ”

ผมว่าแล้วขมวดคิ้วใส่เขา ถ้ามึงไม่ให้น้ำขวดนั้นกับกู กูจะโวยแล้วนะ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน หยิบมาสี่ขวดไม่ได้หรือไง

ฉัตรย่อตัวลงมานั่งตรงหน้าแล้วเปิดฝาขวดน้ำก่อนจะยื่นมาจ่อที่ปากของผม…มึงให้กูจริงดิ? ผมมองเขาด้วยความลังเลครู่หนึ่ง หวังว่าหมอนี่จะไม่ทำผมสำลักน้ำตายนะ

ผมแตะปากลงบนขวดน้ำซึ่งฉัตรก็อำนวยความสะดวกให้ผมโดยการกระดกขวดให้น้ำไหลผ่านลำคอของผมอย่างช้าๆ

“อยากช่วย มีอะไรให้ทำ” ฉัตรถาม ผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้คุณชายจะอยากช่วยงานพวกนี้ แต่ไหนๆหมอนี่ก็แสดงน้ำใจออกมาขนาดนี้แล้ว ผมก็ต้องรีบๆรับไว้ ไม่งั้นเกิดเขาเปลี่ยนใจขึ้นมา พวกผมสามคนก็เหนื่อยแย่เลยดิ 

“ตอกตะปูให้หน่อย”

ผมจับไม้ส่วนที่เป็นขาเก้าอี้ไว้แล้วบอกตำแหน่งที่ควรตอกตะปูลงมา ซึ่งฉัตรก็ทำตามที่ผมขอโดยไม่ได้บ่น

“มึงไปทำอะไรมาน่ะ ทำไมตัวเปียก” ผมถามระหว่างที่ทำงาน

“ไปซ่อมท่อในห้องน้ำโรงเรียน”

จริงๆคำตอบของฉัตรค่อนข้างเหนือความคาดหมาย คือผมไม่คิดว่าเขาจะยอมทำอะไรที่สกปรก

ผมแอบเหลือบตาไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา คือหมอนี่เป็นคนที่หน้าตาดีและมีแรงดึงดูดทางเพศสูงมาก ยิ่งเปียกยิ่งดูดี ภาพที่เขาตั้งใจตอกตะปูด้วยใบหน้าไร้อารมณ์กลับทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเร้าใจแปลกๆอ่ะ

โอ๊ยแม่ง ผมคิดบ้าอะไรของผมวะ คิดถึงพอร์ชไว้ดิวิน พี่พอร์ชของผม ผมจะไม่มองคนอื่น ไม่นอกใจ พอร์ช พอร์ช พอร์ชชชชช

“พี่ฉัตรครับ!”

ระหว่างที่ผมกำลังสะกดจิตตัวเองอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคนที่ทำให้ผมตกใจจนเกือบเอามือเข้าไปรับค้อนของฉัตร

ห่าเอ๊ย!

ผมหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมๆกับฉัตรและเห็นว่าคนที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาคือติวเตอร์ หมอนั่นล้มตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆฉัตรแล้วถามตาใส

“มาอยู่นี่เอง ให้เตอร์ช่วยนะครับ”

“พี่อยากได้ผู้ช่วยอยู่พอดีเลยครับ” ไอ้แว่นรีบแทรกขึ้นมาก่อนที่ฉัตรจะทันได้ตอบอะไร

“ได้เลยครับ”

นี่ก็ตอบรับอย่างไว สรุปมาอ่อยใครเอาให้แน่


 

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 16/09/2562 [บทที่10]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 21-09-2019 20:09:35
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 16/09/2562 [บทที่10]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-09-2019 22:10:05
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 24/09/2562 [บทที่11]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 24-09-2019 04:41:47

บทที่ 11 รู้หน้าไม่รู้ใจ


ผมครางในลำคอเบาๆเมื่อเหงื่อที่ไหลท่วมหน้าผาก ไหลเข้ามาในดวงตาข้างหนึ่ง ฮืออออ แสบมากเลยอ่ะ ผมวางมือจากงานที่ทำแล้วใช้หลังมือขยี้ตา ซึ่งเป็นความคิดที่โคตรผิดเพราะมีแต่จะยิ่งทำให้ดวงตาของผมแดงก่ำ

“โง่”

ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำด่าลอยๆจากฉัตรชนก เขาวางค้อนในมือแล้วพยายามดึงมือของผมออกจากดวงตา

“ยุ่ง”

“เป็นอะไรเปล่ามึง” ไอ้แว่นหันมาถามเมื่อเห็นว่าผมยกมือข้างหนึ่งปิดตา

“ไม่ แค่แสบตา”

ผมเอ่ย รู้สึกว่ามือที่สกปรกของผมจะทำให้อาการเคืองตารุนแรงกว่าเดิม กำลังคิดว่าจะพักล้างหน้าล้างตาก็พอดีกับที่ฉัตรหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาใช้มืออีกข้างจับปลายคางของผมไว้แล้วบังคับให้หันหน้าไปหาเขา

“ปล่อยดิ” ผมพยายามสะบัดปลายคางให้หลุดจากมือของฉัตร แต่หมอนั่นไม่ปล่อย เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อไปตามกรอบหน้าของผมจนสะอาด แต่แม่งไม่ได้มีความอ่อนโยนกับกูเล้ย เรียกว่าบังคับเช็ดหน้ามากกว่า

“อยู่เฉยๆ”

ฉัตรเอ่ยเรียบๆแต่น้ำเสียงแม่งฟังแล้วเหมือนโดนข่มขู่ ทำให้ผมยอมอยู่เฉยตามที่ถูกสั่ง คือผมไม่อยากถูกมือใหญ่ของเขาบีบคางแตกนะครับ แรงของหมอนี่ก็ไม่ใช่น้อยๆเลย

ฉัตรจับผมให้เงยหน้าขึ้นแล้วใช้น้ำดื่มสะอาดจากขวดล้างตาให้ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับอีกครั้ง ผมรู้สึกดีขึ้นมาก พยายามกะพริบตาถี่ๆก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น 

สิ่งแรกที่ผมเห็นคือสายตาของฉัตรที่มองมาที่ผม อันที่จริง ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าดวงตาของเขาเป็นสีดำสนิทและค่อนข้างเย็นชา หรือจะเรียกว่าไร้ความรู้สึกเลยก็ได้

แต่ในตอนนี้ ตอนที่เขามองมาที่ผม ผมไม่รู้สึกว่าดวงตาของฉัตรเย็นชาเลย มันอ่อนโยนกว่าที่ผมเคยเห็นมาด้วยซ้ำ และช่วยไม่ได้จริงๆที่หัวใจของผมจะเริ่มหวั่นไหวไปกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆในครั้งนี้

โอ๊ย!!

เสียงร้องของติวเตอร์ทำให้ทุกคนชะงักแล้วหันไปมองเจ้าตัวเป็นตาเดียว ผมเห็นว่าเด็กนั่นกำลังเอามือกุมนิ้วชี้ที่มีเลือดสีแดงสดไหลท่วม

เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ เมื่อครู่ยังดีๆอยู่เลย

“พี่ฉัตรครับ เตอร์เลือดออก”

ติวเตอร์ลุกจากพื้นแล้ววิ่งมาทิ้งตัวลงข้างๆฉัตรก่อนจะซุกตัวเข้าหาเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น

“ไหน ให้พี่ดูซิเตอร์”

ไอ้แว่นมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันทิ้งท่อนไม้ในมือแล้ววิ่งเข้ามากุมมือของติวเตอร์ก่อนจะพยายามโอ๋ให้น้องหยุดร้องไห้

ผมเหลือบไปมองอุปกรณ์ที่เตอร์เคยจับก่อนจะเกิดเหตุ และเห็นว่ามีตะปูที่เปื้อนเลือดอยู่บนพื้นกับค้อนที่วางอยู่ข้างๆ ผมว่าหมอนี่คงเผลอใช้ตะปูตอกนิ้วของตัวเองแน่ๆเลย

“เจ็บมากเลยครับ”

ติวเตอร์หันไปเรียกร้องความสนใจจากไอ้แว่น เมื่อเห็นว่าฉัตรไม่ได้ให้ความสนใจกับตนเอง

“รีบไปห้องพยาบาลดิโว้ย มานั่งร้องไห้โหยหวนทำไม”

ไอ้พี่ไก่คนห่ามตะโกนขึ้นมาเพราะทนฟังเสียงร้องไห้โยเยไม่ไหว ซึ่งทำให้ทั้งติวเตอร์และไอ้แว่นสะดุ้งไปตามๆกัน

“ไปเร็วเตอร์ ลุกไหวมั้ยครับ”

ไอ้แว่นรีบประคองติวเตอร์ให้ลุกจากพื้น แต่ดูเหมือนว่าคนเจ็บจะไม่ให้ความร่วมมือเลย หมอนั่นพยายามทิ้งตัวมาพิงฉัตรชนก ซึ่งคนเย็นชาก็คือคนเย็นชาอ่ะครับ ผมไม่เห็นว่าฉัตรจะขยับเข้าไปช่วยเหลือเลย จะว่าไปบางครั้งฉัตรก็ทำตัวได้ใจร้ายใจดำเหมือนกันนะ

“มะ…”

ติวเตอร์กำลังจะอ้าปากร้องว่าไม่ไหว แต่กลับถูกพี่ไก่เอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน

“จะไม่ไหวได้ไง แค่โดนตะปูตอกนิ้ว ไม่ได้ขาพิการ”

“ฮืออออ เตอร์กลัวอ่ะ ขาสั่นเดินไม่ไหวแล้ว”

ติวเตอร์แหกปากร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม โชคดีที่แถวนี้ไกลจากลานกว้างหน้าโรงเรียนพอสมควร ไม่งั้นคนอื่นๆในค่ายคงตกอกตกใจกันหมดแล้ว คือหมอนี่โวยวายอย่างกับควายโดนเชือดอ่ะครับ ถ้ามันเจ็บขนาดนั้นทำไมไม่รีบวิ่งไปทำแผลห้ามเลือดล่ะ

“มาครับ พี่จะประคองเตอร์ไปนะ”

ไอ้แว่นพยายามปลอบโยนแต่ติวเตอร์ก็เอาแต่ส่ายหน้าปฎิเสธ

“เตอร์ไม่ไหวจริงๆนะ”

ติวเตอร์อ้อนวอน โชคดีที่หมอนี่เกิดมาหน้าตาน่ารัก คือคนน่ารักทำอะไรก็น่ารักครับ ถึงผมจะรำคาญแต่ก็อดสงสารไม่ได้ ตัวก็เล็กบอบบางแล้วเสร่อมาทำงานหนักๆทำไม วินไม่เข้าใจ

“พี่ฉัตร--”

“เงียบสักที”

ฉัตรตัดบทก่อนจะกระชากแขนของติวเตอร์ให้ลุกจากพื้นแล้วลากไปตามทางเดิน โดยที่ติวเตอร์ไม่ได้ปริปากร้องอีกเลย

ไหนว่าเดินไม่ไหวไงวะ?

 

 

“น้องเตอร์น่าสงสารมากเลยแก อุตสาห์มีน้ำใจไปช่วยทำโต๊ะทำเก้าอี้แต่กลับถูกตะปูตอกนิ้ว เลือดอาบมือเลยอ่ะ”

เสียงซุบซิบที่ลอยมาเข้าหู เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองต้นเสียง จึงเห็นว่าคนพูดคือพี่ปิงลี่ที่กำลังนั่งคนแกงในหม้อใบใหญ่ ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆคือพี่ปิ่น รุ่นพี่ปีสี่จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

“จริงดิ แล้วน้องมันเป็นไงบ้างวะ” พี่ปิ่นถามขณะหันกะหล่ำปลีใส่ลงในตะกร้าเพื่อเตรียมไว้สำหรับทำผัดผักรวม

ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น ผมและรุ่นพี่ส่วนหนึ่งรับหน้าที่ทำอาหารมื้อเย็นสำหรับทุกคนในค่าย ในมื้อเช้าและมื้อกลางวันจะมีคุณครูและชาวบ้านอาสามาเตรียมอาหารให้พวกเรา แต่มื้อเย็นพวกเราต้องช่วยเหลือตัวเองโดยมีวัตถุดิบจากลุงๆป้าๆที่ใจดีบริจาคให้ ถึงรสชาติอาหารที่พวกเราทำกันเองอาจจะไม่อร่อยเท่าไร แต่ก็ถือว่าไม่อดอยาก

“ครูใหญ่พาไปโรงพยาบาลใกล้ๆนี้แล้ว น่าจะกลับมาแล้วนะ” พี่ปิงตอบ

“อ้าว แล้วตอนนี้อยู่ไหน”

“ห้องพยาบาลในโรงเรียนมั้ง”

ในโรงเรียนจงสวัสดิ์มีห้องพยาบาลเล็กๆหนึ่งห้องที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับให้นักเรียนที่ป่วย รวมถึงชาวบ้านที่ป่วยเข้ามาใช้บริการ โดยมีหมออาสาจากกรุงเทพประจำอยู่ที่หมู่บ้านหนึ่งคน แต่อุปกรณ์ที่ไม่ได้ครบครันทำให้คุณครูใหญ่ต้องรีบพาติวเตอร์ไปโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล

“แล้วมีใครเอาข้าวไปให้น้องมันหรือยังเนี่ย เดี๋ยวเจ้าพวกนี้ก็แดกกันหมดหรอก”

พี่ปิ่นถาม ซึ่งผมคิดว่ากับข้าวอาจจะหมดก่อนข้าวก็ได้ เพราะขนาดยังทำอาหารไม่ครบทุกเมนู ก็มักจะมีเด็กค่ายบางคนแวบมาขโมยอาหารนิดๆหน่อยๆใส่ปากก่อนจะแอบออกไปจากห้องครัว ถ้าคนหรือสองคนมันคงไม่หมด แต่เพราะการทำงานอย่างหนักมาทั้งวันทำให้หลายคนหิวโซและพร้อมจะขโมยของกินได้ทุกเมื่อบางครั้งก็ถูกพี่ปิงลี่ตะโกนด่า ตะโกนไล่ หนักสุดถ้าหัวขโมยเป็นผู้ชายก็จะโดนพี่ปิงลี่ลวนลามก่อนปล่อยตัว

“เออจริงด้วย หล่อนตักข้าวไปให้น้องทีซิ๊”

พี่ปิงลี่หันไปบอกพี่ปิ่น ซึ่งถูกถลึงตาใส่ทันที

“แกเห็นมั้ยฉันทำอะไรอยู่”

พี่ปิ่นยกมีดในมือประกอบคำพูด ซึ่งพี่ปิงลี่ก็เพียงแค่ยักไหล่

“ฉันก็ไม่ว่างเหมือนกัน ต้องดูเด็ก”

“แหม ดูเด็ก งานใหญ่มากเลยนะคะ”

ดูเด็กในที่นี้ก็คือการดูเด็กจริงๆแหละครับ ดูไม่ให้เด็กมาขโมยอาหาร แล้วก็ดูเด็กผู้ชายที่เดินถอดเสื้อเพราะอากาศร้อน

“น้อองงงงง น้องอ่ะ!”

ผมหันหน้าไปมองทางต้นเสียงอีกครั้งก็เห็นว่าพี่ปิงลี่กำลังกวักมือ เอ่อ เรียกผมเหรอ?

“น้องแหละ สุดหล่อมานี่”

ผมชี้นิ้วมาที่อกของตัวเองเป็นการถามย้ำว่าเรียกผมใช่มั้ย ซึ่งพี่ปิงลี่ก็พยักหน้า ผมจึงวางมีดที่ใช้หันเห็ดฟางไว้บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

“รู้จักห้องพยาบาลมั้ย”

“รู้ครับ” ผมพยักหน้าช้าๆ

“เดี๋ยวช่วยตักข้าวไปให้คนที่นอนอยู่ในห้องพยาบาลหน่อยนะ พี่ขอรบกวนหน่อย”

“ได้ครับ”

ผมตอบรับ แล้วเดินไปหยิบจานมาตักข้าวและกับข้าวดีๆไว้ให้ติวเตอร์ ถึงผมจะหมั่นไส้และลำไยความเรื่องเยอะของเด็กนั่น แต่ผมก็ต้องยอมรับนะว่าติวเตอร์เป็นคนที่มีน้ำใจระดับหนึ่งเลย คนส่วนใหญ่ในค่ายต่างก็ชื่นชมและเอ็นดูเขา

“อร๊ายยยย!! หล่อแล้วยังใจดี ชื่อไรอ่า”

ผมสะดุ้งจนเกือบเทข้าวในจานทิ้ง ห่ารากเอ๊ย จู่ๆไอ้พี่ปิงก็มายืนซะชิดแผ่นหลังของผมแล้วตะโกนด้วยเสียงแรดๆกรอกหู ทำเอาหูผมอื้อไปเลยครับ

“วินครับ”

ผมตอบเรียบๆ พยายามไม่อารมณ์เสีย ผมไม่ได้รังเกียจกะเทยนะครับ แต่ผมไม่ชอบถูกกะเทยลวนลามอ่ะ มันน่ากลัว

“กรี๊ดดดดด ชื่อเท่ไปอีก เรียนคณะไรเหรอ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”

“น้อง!!!! รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน”

เมื่อได้รับคำชี้แนะจากพี่ปิ่นผมก็พร้อมปฎบัติตาม รีบคว้าน้ำดื่มหนึ่งขวดกับจานอาหารแล้ววิ่งออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ยินเสียงแหลมๆของพี่ปิงลี่ที่ดังมาเข้าหู

“อร๊ายยยย อีปิ่น ทำไมแกต้องทำลายความหวังของเพื่อนด้วยฮะ เผื่อน้องเค้าชอบฉันล่ะ”

ไม่ชอบครับพี่ ไม่ชอบเด็ดขาดเลย!

 

 

“เออ!! กูบอกว่าตะปูตอกนิ้ว ได้ยินมั้ยเนี่ย!!” ผมชะงักมือที่กำลังจะเคาะประตูห้องพยาบาลเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของติวเตอร์

เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผมเดาได้ว่าติวเตอร์กำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจก็คือน้ำเสียงที่เขาใช้ ปกติเด็กนี่เป็นคนพูดจานุ่มหู แม้จะพูดกับเพื่อนร่วมค่ายเขาก็พูดจาไพเราะมาก น้อยครั้งที่ผมจะได้ยินคำหยาบ แต่ตอนนี้ที่เขากำลังคุยกับใครบางคนอยู่ น้ำเสียงของเขามันค่อนข้างเหวี่ยงๆวีนๆเหมือนเด็กเอาแต่ใจ แต่ใจความในเรื่องที่คุยต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึก…เกลียด!

“บ้านนอกก็แบบนี้แหละ สัญญาณไม่ดี”

“…”

“อะไรนะ! นี่มึงคิดว่ากูโง่ขนาดโดนตะปูตอกนิ้วหรือไง กูแกล้งทำต่างหาก”

“…”

“คุ้มหรือเปล่าไม่รู้ แต่กูก็ดูเป็นคนดีปะล่ะ”

“…”

“อีกเดี๋ยวพี่ฉัตรก็ใจอ่อน ไม่งั้นไม่ตามกูมาถึงที่นี่หรอก”

“…”

“ใครมโน ตบปากเดี๋ยวนี้ ถ้าพี่ฉัตรไม่มาหากู เขาจะมาหาใคร ในค่ายก็มีกูคนเดียวเนี่ยแหละที่น่ารักที่สุด”

“…”

“แค่นี้นะอีดอก คุยกับมึงแล้วอารมณ์เสีย ไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติมอีกอีเพื่อนบ้า!!”

ผมยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูเกือบสิบนาทีหลังจากที่ติวเตอร์วางสายจากเพื่อน ผมแม่งไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอนี่แกล้งทำ ผมพอจะรู้ว่าเขาชอบฉัตรเอามากๆ แต่มันจำเป็นต้องลงทุนสร้างภาพกันขนาดนี้เลยเหรอ มันไม่เหนื่อยหรือไง ต้องแกล้งทำตัวว่าดี ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ไม่ได้ออกมาจากใจจริงๆ เพื่อแลกกับการที่คนรอบข้างมองว่าดี…คนแบบนี้ก็มีนะครับ

รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูห้องพยาบาลเบาๆหลังจากที่ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติได้แล้ว แม่งรู้สึกว่าอยากเทข้าวให้หมาแดกเลยอ่ะ คนแบบนี้น่าจะปล่อยให้หาข้าวกินเอง

“เข้ามาเลยครับ ประตูไม่ได้ล็อค”

ผมแอบเบะปากใส่ประตูด้วยความหมั่นไส้ เมื่อสิบนาทีก่อนยังเหวี่ยงใส่เพื่อนอยู่เลย ทีตอนนี้นะ เสียงอ่อนเสียงหวานเลยครับ ตอแหลเป็นที่หนึ่งจริงๆ

“พี่ปิงให้เอาข้าวมาให้”

ผมเอ่ยกับติวเตอร์ขณะเปิดประตูเข้าไปในห้องพยาบาล หมอนั่นกำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนุ่มด้วยความสบาย มีทั้งผ้าห่มผืนหนาและพัดลมให้ความเย็น

สาบานสิว่ามึงเจ็บนิ้ว ทำอย่างกับว่าเจ็บขาปางตาย!

“ขอบคุณนะครับ”

ติวเตอร์เอ่ยขอบคุณผมด้วยรอยยิ้มหวาน ถ้าเมื่อสิบนาทีก่อนผมไม่ได้ยินบทสนทนาของเขากับเพื่อน ผมคงรู้สึกดีกว่านี้ แต่ตอนนี้คำขอบคุณของเขาไม่มีความหมายสำหรับผมเลย ผมวางจานอาหารกับขวดน้ำดื่มไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะเดินออกไปจากห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว

คราวหน้ากูไม่ยกข้าวมาให้มึงแล้ว ไอ้เด็กเปรต!

 

 

“มึง กูหนาวว่ะ รีบไปอาบน้ำกัน”

ผมที่กำลังนอนแผ่อยู่บนพื้นในห้องพักรวมเหลือบตาไปมองไอ้แว่นที่นั่งเอาผ้าเช็ดตัวห่อร่างกายไว้ ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆ เด็กค่ายเริ่มทยอยกันไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำรวมทั้งแต่หกโมงเย็นแล้ว ส่วนผมที่ไม่ชอบอาบน้ำร่วมกับคนเยอะๆจึงแก้ปัญหาด้วยการรอให้คนอื่นอาบน้ำให้เสร็จก่อน

“เออ”

ผมตอบรับเมื่อเห็นว่าคนอื่นๆในห้องพักต่างก็อาบน้ำกันหมดแล้ว

เอ…คนที่ผมยังไม่เห็นหัวตั้งแต่เมื่อเย็นก็คือฉัตรกับติวเตอร์ แต่ผมว่ารายนี้อาจจะหาข้ออ้างนอนคนเดียวสบายๆในห้องพยาบาลก็ได้

ผมกับไอ้แว่นหยิบผ้าเช็ดตัวและชุดนอน ก่อนจะหิ้วตะเกียงน้ำมันใบเล็กแล้วเดินไปตามทางเดินมืดๆหลังโรงเรียน อากาศยามค่ำค่อนข้างหนาวและมีลมพัดแรงมาก ผมเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ผิดมากที่ยอมมาอาบน้ำตอนสองทุ่มอ่ะครับ

ผมกับไอ้แว่นใช้เวลาในการเดินมาที่ห้องอาบน้ำรวมประมาณห้านาที ในตอนที่ผมกำลังจะผลักประตูสังกะสีเข้าไปในห้องอาบน้ำก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงครางกระเซ้าของติวเตอร์ดังลอดออกมาให้ได้ยิน

“พะ…พี่ฉัตรรรร… ครับ…เตอร์…อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊า!!!”

วอท เดอะ ฟัค!

ผมหันไปมองไอ้แว่นหน้าตาตื่นแล้วขยับปากเป็นคำว่า ‘เค้าทำอะไรกันวะ’ คือผมไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย เสียงหอบหายใจกับ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า ขนาดนี้แล้ว ให้ผมคิดไปในทางที่ดีไม่ได้จริงๆนะ

สรุปว่าฉัตรเป็นไบจริงดิ หมอนั่นตามติวเตอร์มาออกค่ายจริงๆเหรอ นี่เป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้ผมช็อคมากเลยนะครับ

ม้ายยยยยยย!

ไอ้แว่นทำท่าแหกปากแบบไม่มีเสียง มันผลักผมไปให้พ้นทางก่อนจะแงมประตูให้เปิดออกอย่างแผ่วเบา โชคดีที่เสียงลมพัดกระแทกประตูสังกะสีกับเสียงยอดไม้ไหวเอนทำให้คนภายในไม่รู้ตัวเลยว่ามีโรคจิตสองคนกำลังถ้ำมอง

ภาพที่เห็นในห้องอาบน้ำไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของผมเท่าไร แต่มันก็ยังทำให้ผมช็อคซ้ำซ้อนอยู่ดี อย่างแรกคือ ฉัตรกับติวเตอร์ไม่ได้กำลังร่วมรักกันอย่างที่ผมมโน แต่อย่างที่สองที่ทำให้ผมช็อคหนักก็คือ ติวเตอร์กำลังช่วยตัวเองให้ฉัตรดู

ผมรู้ว่าหมอนี่ชอบฉัตรมาก แถมยังตอแหลเป็นเลิศแต่ผมไม่ทันคิดว่าหมอนี่จะแรดครบสูตร ถ้ายั่วยวนได้ขนาดนี้ พี่วินที่ผ่านชายมามากมายบอกได้เลยว่าน้องเตอร์ไม่ได้ไร้เดียงสาและซิงอย่างที่ชอบแสดงให้คนอื่นเข้าใจ จากลีลาการช่วยตัวเองทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างในตอนนี้ ผมบอกเลยว่าอย่างต่ำก็เป็นรับให้คนอื่นมาครึ่งชีวิตอ่ะครับ

ผมเหลือบไปมองหน้าไอ้แว่น มันยืนกัดปากตัวเองและกำมือแน่น ผมเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดีครับ

คนที่เรารัก ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด มันต้องเจ็บปวดเป็นธรรมดา แต่มันก็ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ถือซะว่าความเจ็บปวดในครั้งนี้แลกมากับการที่ได้เปิดตาให้ตัวเอง

ผมกำลังจะลากไอ้แว่นไปสงบสติอารมณ์ให้ไกลจากที่นี่ ก็พอดีกับที่ประตูห้องอาบน้ำถูกผลักพรวดมาจากด้านในทำให้ผมกับไอ้แว่นหงายหลังล้มไปกองกับพื้น

“โอ๊ย!!!”

ผมแหกปากร้องลั่น ตอนล้มไม่ได้เจ็บครับ แต่เจ็บหนักตรงที่ไอ้แว่นล้มมาทับผมอ่ะดิ ซวยไปอีกนะกู

“ใครอ่ะ!!”

ผมได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากในห้องอาบน้ำ รวมถึงเสียงเคลื่อนไหว ผมเดาว่าติวเตอร์คงกำลังรีบแต่งตัวเพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่กับฉัตรสองต่อสองอีกแล้ว

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนเปิดประตู และเห็นว่าฉัตรชนกกำลังเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงขาสั้นมากกกกก กล้ามขาน่าฟัดโคตรๆเลย ผมสีดำและร่างกายของเขายังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ผิวขาวออร่ากับรูปร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทำให้ผมตาค้าง

แจ๊บๆๆๆ

เมื่อเย็นก็คิดว่ากินข้าวอิ่มแล้วนะ แต่ตอนนี้เริ่มหิวอ่ะครับ

ผมไม่เคยเห็นฉัตรโป๊ในระยะประชิดแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อก่อนได้เห็นใกล้สุดก็สนามแข่งว่ายน้ำอ่ะครับ ก่อนหน้านี้เขายืนหันหลังด้วย ผมเลยไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่อารมณ์ในตอนนี้มันเย็นชามาก เขาปรายตามองผมกับไอ้แว่นนิ่งๆ ผมเห็นว่าไอ้แว่นแอบกลืนน้ำลาย ทำไม มึงกลัวอ่ะดิ ผมก็กลัวครับ กลัวโดนด่าอ่ะ แต่ฉัตรก็แค่เดินผ่านพวกเราไปเฉยๆโดยไม่ได้พูดอะไรเลย









หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 24/09/2562 [บทที่11]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-09-2019 13:53:45
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 30/09/2562 [บทที่12]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 30-09-2019 15:39:22

บทที่ 12 คนโกหก

 

เปลือกตาค่อยๆขยับเปิดออกเมื่อแสงแดดยามเช้าลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ผิวหน้า ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าโดนโอบกอดในตอนที่พยายามจะลุกขึ้นนั่ง เมื่อหันไปมองต้นเหตุก็ต้องขมวดคิ้วเพราะฉัตรชนกแม่งแอบมานอนแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้แว่นอีกแล้ว แถมยังกอดผมไว้แน่นอีกต่างหาก

เมื่อคืนผมหลับสนิทเพราะรู้สึกว่าร่างกายได้รับความอบอุ่นกว่าทุกคืน จริงๆแล้วเป็นเพราะผ้าห่มของผมสองผืนที่ห่มหุ้มร่างกายเอาไว้และอีกสองผืนที่เป็นของฉัตร ผมไม่แน่ใจว่าหมอนั่นห่มผ้าให้ผมหรือผมฉกชิงมาเอง แต่เดาว่าน่าจะเป็นตัวผมเองมากกว่า เอาเป็นว่าความรู้สึกผิดเล็กๆในตอนนี้ทำให้ผมไม่ยกเท้ายันฉัตรออกไป แต่ค่อยๆแกะมือของหมอนั่นออกจากเอวก่อนจะห่มผ้าทั้งสี่ผืนให้กับเขา

วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ ขณะที่เด็กค่ายคนอื่นๆยังนอนอุตุอยู่ในห้องพักรวม แต่ภรรยาของครูใหญ่และชาวบ้านอาสาส่วนหนึ่งตื่นนอนมาเตรียมมื้อเช้าไว้ให้พวกเราแล้ว ซึ่งหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จผมก็ถือโอกาสกินมื้อเช้าก่อนคนอื่น วันนี้เป็นขนมปังก้อนกลมที่ยัดไส้เนื้อหมูกับผัก บางอันเป็นเนื้อไก่กับผักทำแจกคนละสองอัน และก็มีโกโก้ร้อนให้เติมแบบไม่อั้น ผมหยิบขนมปังไส้เนื้อหมูกับเนื้อไก่มาอย่างละหนึ่งก้อนแล้วเอามานั่งกินบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้เงียบๆคนเดียว

ผมพยายามไลน์หาพี่พอร์ชเป็นครั้งที่สิบในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาขาดการติดต่อกันผมอีกแล้ว และครั้งนี้เขาไม่ได้กดอ่านข้อความของผมเลยด้วยซ้ำ ซึ่งจริงๆแล้วอาทิตย์หน้าจะเป็นวันครบรอบสองเดือนที่พวกเราคุยกันและเขาต้องไปออกเดตกับผม ถ้าเจอตัวเมื่อไรนะ ผมจะตบกบาลเขาสักทีสองที คนบ้าอะไรไม่ชอบตอบไลน์แต่เสือกไม่ให้เบอร์โทร

“วิน”

ผมเงยหน้าไปตามเสียงเรียกและเห็นว่าเป็นฉัตรชนก เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ในมือกำลังถือขนมปังและแก้วน้ำของตัวเอง เขายืนห่างจากที่ผมนั่งพอสมควรเลย

“มีไร”

ผมตะโกนถาม คือมึงเดินเข้ามาใกล้ๆไม่ได้หรือไงวะ

“ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียว”

เขาถามขณะที่เดินมาทรุดนั่งบนพื้นหญ้าข้างๆผม

“อยากนั่ง”

ผมไม่ได้กวนนะ แต่ผมอยากนั่งตรงนี้แล้วจะทำไมล่ะ ผมพยายามรัวสติ๊กเกอร์ใส่พี่พอร์ช แล้วจู่ๆไอ้คนข้างตัวก็ชะโงกหน้าเข้ามามองทำให้ผมรีบคว่ำหน้าจอไอโฟนแทบไม่ทัน

“อะไร”

ยังไม่ทันที่ฉัตรจะได้ตอบว่าเขามองอะไร ผมก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความหัวเสียดังมาจากด้านข้างโรงเรียนซึ่งไม่ไกลจากที่ผมนั่งอยู่ แต่ตรงนั้นค่อนข้างเป็นมุมอับทำให้ผมมองหน้ากลุ่มคนที่ยืนกันอยู่สามคนไม่ถนัด แต่ถ้าเดาจากเสียงผมคิดว่าเป็นพี่จิว

“อะไรนะ! ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ แล้วก่อนหน้านี้ที่กูบอกให้คำนวณให้ดีว่าใช้สีกี่กระป๋อง พวกมึงไม่ได้ทำกันเหรอฮะ”

“ใจเย็นนะจิว” เสียงแรดๆแบบนี้ผมเดาว่าเป็นของพี่ปิงลี่ครับ

“พวกหนูคำนวณแล้วจริงๆนะ แต่ไม่ใช่เด็กวิศวะอ่ะพี่ มันก็คลาดเคลื่อนกันบ้างดิ อีกอย่างพวกหนูก็ไม่รู้ด้วยว่าสีหนึ่งกระป๋องมันทาได้กี่ตารางเมตร”

อันนี้ผมคิดว่าเป็นเสียงของพี่สาครับ ผมกับฉัตรหันมามองหน้ากันแวบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับพร้อมใจแอบฟังคนอื่นคุยกัน เอ่อ ไม่ดิ พวกผมไม่ได้แอบแต่ได้ยินเองต่างหาก

“โอ๊ยยย เจริญจริงๆ ถ้าคำนวณไม่เป็นแล้วทำไมไม่ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เป็น มอเราไม่มีเด็กวิศวะ เด็กถาปัตย์เลยหรือไง”

“กูขอโทษนะมึง”

พี่ปิงลี่เอ่ยเพื่อพยายามจะให้พี่ปิงสงบสติอารมณ์

“สีมันขาดไปเยอะเลยนะ เหลืออีกตั้งสองห้องจะให้ปล่อยทิ้งไว้แบบนี้เหรอ พวกเรามาออกค่ายอาสานะ มาช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่มาช่วยแบบครึ่งๆกลางๆมันจะมีประโยชน์อะไร”

“อีไก่มันไปถามทางไปร้านขายสีกับครูใหญ่แล้ว คิดว่าจะขอยืมรถครูด้วย มึง อย่าเพิ่งสติแตกนะ ใจเย็นก๊อนนนน”

จากบทสนทนาของรุ่นพี่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าสีที่พวกเราอุตส่าห์ขนมาจากมหาลัยมันไม่พอสำหรับทาห้องเรียนและผนังด้านนอกของโรงเรียน แต่จะให้หาซื้อเอาจากแถวนี้ก็ไม่มี อย่างที่ผมเคยอธิบายไปแหละว่าชาวบ้านบริเวณนี้ปลูกผักเลี้ยงสัตว์กันเท่านั้น

“มาแล้ว อีไก่มาแล้ว”

พี่ปิงลี่ตะโกนเมื่อเห็นพี่ไก่วิ่งหน้าตั้งเข้ามารวมกลุ่มกับทุกคน

“เป็นไงๆ” พี่สารีบถามด้วยความหวัง

“มีมั้ย ร้านขายสีใกล้ๆเนี๊ย”

พี่จิวเร่งขณะที่พี่ไก่ยืนหอบหายใจ คือผมแอบลุ้นตามไปด้วยเลย ผมเองก็อยากให้โรงเรียนออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขนาดงานไม้ช่วยกันทำไม่กี่คนยังเกือบเสร็จแล้ว แต่จะปล่อยให้ห้องเรียนที่จัดใหม่เรียบร้อยไม่ได้ทาสีมันก็สวยแบบไม่เสร็จดิครับ ผมอุตส่าห์ลงทุนมาลำบากขนาดนี้แล้วอ่ะ มันต้องดีที่สุดดิโว้ย

“มี”

พี่ไก่พยักหน้า ผมเกือบจะร้องเย้ออกมาแล้วถ้าไม่ใช่ว่าอีพี่ยกมือห้ามไว้ก่อน

“อย่างเพิ่งดีใจ”

“อ้าว ทำไมอ่ะ”

พี่ปิงลี่ถาม เออ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ทำไมอ่ะครับ

“มีร้านขายสีที่ใกล้ที่สุดคือปากทางเข้าหมู่บ้าน ขับรถไปกลับก็ประมาณห้าสิบนาทีถ้าไม่หลงทางนะ และนี่ครูใหญ่เขียนแผนที่มาให้กับนี่ก็กุญแจรถ”

ผมลุกจากพื้นไปชะโงกดูรุ่นพี่ที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกัน พี่ไก่กำลังถือกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งไว้ในมือขวาและถือกุญแจรถยนต์ไว้ในมือซ้าย ดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ ก็แค่รีบไปซื้อซะตอนนี้ เสร็จแล้วก็ช่วยกันเร่งมือทาสีอีกหน่อยก็เสร็จหมดแล้ว

“เออ แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนวะ แผนที่ก็มี รถก็มี เงินก็มี เบิกอีจิวได้เลยนะ”

พี่ปิงลี่ถาม

“ปัญหามันอยู่ตรงรถเนี่ยเหละ เป็นรุ่นโบราณมากๆ กูขับไม่เป็น” พี่ไก่เฉลยถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวกลุ้มใจ

“มันไม่เหมือนรถรุ่นปัจจุบันเหรอวะ” พี่ปิงถาม

“กูขับรถที่ใช้เกียร์ธรรมดาไม่เป็น กูเป็นแต่ออโต้”

“เชี่ย” พี่จิวถึงกับสบถเมื่อเจอกับรถเจ้าปัญหา

“มีใครขับเป็นอีกปะพี่” พี่สาถาม

“ขนาดอีไก่ยังขับไม่เป็น แล้วพวกกูจะขับเป็นมั้ยฮะ”

พี่ปิงลี่ยกมือกุมขมับแล้วหันไปมองหน้าพี่จิว

“อีจิว”

“กูขับรถยนต์ไม่เป็นโว้ย”

“พี่ครับ”

เสียงที่แทรกขึ้นมากะทันหันเป็นของ…ผมเองแหละ ผมเดินเข้าไปหารุ่นพี่ช้าๆ หวังว่าจะไม่โดนด่าที่เข้ามาขัดจังหวะนะ คือผมเจตนาดี หวังช่วยเหลือจริงๆครับ

“อุ๊ย! พวกพี่คุยเสียงดังไปเหรอ ขอโทษนะคะ” พี่ปิงลี่ใช้มือแตะบนริมฝีปากของตัวเองเบาๆ แล้วขยิบตาให้ผม แม่งน่ากลัวสัส

“พาผมไปดูรถหน่อยได้มั้ย เผื่อขับเป็น”

“เคยขับเกียร์ธรรมดาเหรอ” พี่ไก่ถาม

“เคยครับ”

ผมพยักหน้า ที่บ้านของผมฐานะพอมีพอกิน ไม่ได้ขัดสน แต่ติดตรงที่ท่านพ่อของผมเป็นคนประหยัดและชอบความคลาสสิก จึงยังอนุรักษ์รถเก่าแก่ไว้ใช้ที่บ้าน ซึ่งก็คืออีแก่ที่ผมใช้หัดขับรถนั่นเอง รับรองว่าผมโปรกว่าการขับรถแบบเกียร์ออโต้อีกครับ

หลังจากที่ผมได้เห็นรถยนต์ในยุค 90 คันงามซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่พ่อของผมเคยใช้ ผมก็ตัดสินใจอาสาไปซื้อสีให้รุ่นพี่ แหม คนดีไปอีก คือจริงๆแล้วผมอยากขับอ่ะ ถึงจะเก่าแต่มันก็ยังเก๋าอยู่นะครับ

“ไปด้วย”

ผมหันขวับไปมองหน้าคนพูด อ้าวเฮ้ย ฉัตรชนกมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ ผมคิดว่าเขายังนั่งกินมื้อเช้าอยู่ใต้ต้นไม้ซะอีก สรุปคือมึงเดินตามกูมาเหรอ

“มึงจะไปกับน้องเค้าเหรอ” พี่จิวถามด้วยความแปลกใจ

“อืม จะปล่อยให้ไปคนเดียวได้ไง”

ทำไมจะไม่ได้! กูโตเท่ามึงแล้วนะเว้ย ไม่ใช่เด็กสามขวบ

“เออ ถูกของมึง”

พี่จิวเห็นด้วยซะงั้น ถึงผมจะแอ๊บเด็กโดยการเรียกทุกคนว่า ‘พี่’ แต่จริงๆแล้วกูอายุเท่าพวกมึงเลยนะ แต่ที่เรียกพี่นี่คือให้เกียรติในฐานะที่เรียนระดับชั้นสูงกว่าเท่านั้นแหละ

“เอาตังไป ซื้อสีขาวมาสิบกระป๋องเลยนะ เหลือก็ยังดีกว่าขาด”

พี่จิวยื่นซองสีขาวให้ฉัตรที่พยักหน้ารับ

“ขับรถดีๆนะ ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอด…ฉัตรมีเบอร์กูใช่มั้ย”

ประโยคแรกพี่จิวบอกกับผมส่วนอีกประโยคหันไปถามฉัตรชนกที่ตอบรับเบาๆในลำคอ ขนาดกับเพื่อนฝูงหมอนี่ก็ยังทำหน้าตายได้เหมือนเดิมเลยวะ

 

 

ผมเหยียบเบรกให้รถยนต์ปี 90 หยุดอยู่กับที่เมื่อมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง ให้ตายสิ ตอนขับออกจากหมู่บ้านไปซื้อสีผมใช้เวลาแค่สามสิบนาทีเท่านั้น แต่ตอนที่พยายามจะขับรถกลับหมู่บ้านผมใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการขับวนไปวนมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

“ยอมรับมาเถอะว่ามึงหลงทาง”

ฉัตรชนกที่นั่งเงียบมาตลอดทางเปิดปากถาม แต่จะให้ผมยอมรับตรงๆว่า ‘หลง’ มันก็ออกจะเสียหน้าไปหน่อยนะ เพราะขาไปนี่โม้ไว้เยอะเลยว่าแม่นเรื่องทิศทางแต่ขากลับแม่งมั่วสิ้นดี

“เออ กูสับสนนิดหน่อย”

ผมเอ่ย พยายามเค้นสมองว่าครั้งนี้ควรจะเลี้ยวไปทางซ้ายหรือว่าขวา เพราะต้นไม้ทั้งสองฝั่งก็ดูเหมือนกันไปหมด เอ่อ เอาเป็นขวาละกัน

“แล้วมึงอ่ะ รู้ทางกลับโรงเรียนหรือไง”

ผมย้อนถามเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกโง่งมอยู่คนเดียว คือมึงต้องยอมรับว่าโง่เป็นเพื่อนกูนะฉัตร กูจะได้สบายใจ

“ไม่รู้”

ผมขยับยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น เห็นมั้ย! เขาเองก็ไม่รู้ทิศทางเหมือนกัน

“แต่คิดว่าเลี้ยวซ้าย”

“ไหนบอกไม่รู้ทางกลับไง”

ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ อย่ามาเดามั่วๆดิวะ กูคิดว่าต้องเลี้ยวขวาแน่นอน

“เพราะมึงเคยเลี้ยวขวาไปแล้ว”

จริงดิ! ไม่เห็นรู้ตัวเลย

ผมขมวดคิ้วน้อยๆ เหลือบตาไปมองฉัตรชนกที่มีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม เออ คือเรากำลังหลงทางอยู่นะ มึงช่วยทำหน้าร้อนรนหน่อยได้เปล่า

“เออ ซ้ายก็ซ้าย”

จริงๆผมก็ไม่ค่อยเชื่อตัวเองเท่าไรนะ เอาเป็นว่าผมจะลองเชื่อหมอนี่ดู เพราะถ้าผมไปผิดทาง ผมจะได้โยนให้เป็นความผิดของเขาได้ อืม ดี ผมนี่ฉลาดจริงๆเลย

“จอดทำไม”

ฉัตรถามเมื่อรถหยุดอยู่กับที่หลังจากที่ผมเลี้ยวมาทางซ้ายได้ประมาณหนึ่งกิโลเมตร

“เปล่า”

ผมไม่ได้จอดจริงๆนะ รถมันดับเอง เอ่อ หรือว่าจะเสีย ผมก็พอจะซ่อมเป็นถ้ามีเครื่องมือ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตัดสินใจลงไปเปิดกระโปรงหน้ารถ สายตาก็เหลือบไปเห็นมาตรวัดน้ำมันพอดี นั่นไง สาเหตุที่รถดับ

“มึง น้ำมันหมดอ่ะ”

ผมหันไปบอกกับฉัตรชนกด้วยรอยยิ้มแหย จริงๆตอนขากลับเข้ามาในหมู่บ้านผมก็ขับผ่านปั๊มน้ำมันเล็กๆนะครับ แต่เป็นผมเองนี่แหละที่ไม่ได้มองเข็มบนมาตรวัดน้ำมันจึงไม่รู้ว่าน้ำมันกำลังจะหมด

“ฉัตร น้ำมันหมด” ผมย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ได้ยินแล้ว”

ฉัตรตอบ เขาหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดประตูลงไปจากรถ ผมรู้สึกว่าเขาอารมณ์เสียหน่อยๆจึงไม่กล้าตามลงไป

ผมมองฉัตรผ่านกระจกหน้ารถ เห็นเขาเดินไปเดินมา คาดว่าคงพยายามหาสัญญาณ ผมหยิบไอโฟนตกรุ่นของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเห็นว่าสัญญาณอ่อนมาก อาจจะโทรติด แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ยินเสียงของคู่สนทนาชัดเจนหรือเปล่า ส่วนถ้าไลน์คุยกันก็น่าจะได้อยู่ แต่ผมไม่มีไลน์รุ่นพี่ในค่ายอาสาเลยอ่ะ ลองไลน์ไปหาไอ้แว่นละกัน

“จิวบอกว่าไม่มีรถออกมารับพวกเรา ให้รอรถขนเงาะของชาวบ้านที่จะกลับเข้ามาตอนบ่าย”

ฉัตรบอกกับผมเมื่อเขากลับเข้ามานั่งในรถ ผมจึงล้มเลิกความพยายามในการไลน์หาไอ้แว่นที่ไม่ยอมอ่านข้อความของผมเลย

“ตอนบ่าย!”

ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นเวลาบนหน้าจอไอโฟน

“คือเราต้องนั่งรอในรถเฉยๆ อีกสามชั่วโมงเลยนะ”

“แล้วทำไงได้ล่ะ”

ฉัตรเลื่อนกระจกหน้าต่างลงมาเล็กน้อยเพื่อให้มีอากาศหายใจ ก่อนจะปรับเบาะที่นั่งให้เอนไปด้านหลังแล้วล้มตัวลงนอน

 

 

1 ชั่วโมงผ่านไป

ผมนั่งมองสายฝนที่โปรยปรายผ่านกระจกใสด้วยความเบื่อหน่าย เหลือบตาไปมองฉัตรชนกก็เห็นว่าหมอนั่นกำลังหลับสบาย ไม่ทุกข์ไม่ร้อนราวกับได้ออกมาพักผ่อน ซึ่งผมก็ไม่รู้จะกังวลไปทำไมในเมื่อตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจาก…รอ

ผมหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วตัดสินใจไลน์ไปหาพี่พอร์ชอีกครั้ง ให้ตายสิ หมอนี่คิดจะอ่านไลน์บ้างมั้ยนะ

TheWinner : พี่พอร์ช มึงตายหรือยัง ทำไมไม่อ่านไลน์กู?

ครืนนน…

ผมเหลือบไปมองไอโฟนของฉัตรที่วางอยู่ในช่องเก็บของใกล้ๆกับเกียร์รถยนต์ มันกำลังสั่นและมีแสงสว่างวาบขึ้นมาบนหน้าจอครู่หนึ่งก่อนจะหายไป ผมทันเห็นว่าข้อความไลน์ของหมอนั่นเข้าพอดี

TheWinner : (สติ๊กเกอร์)

ครืนนน…

ผมขมวดคิ้วเมื่อข้อความไลน์ของฉัตรถูกส่งมาแบบพอดิบพอดีกับที่ผมส่งสติ๊กเกอร์ไปหาพอร์ช หวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดนะ…!

TheWinner : (สติ๊กเกอร์)

ครืนนน…

ผมลองส่งสติ๊กเกอร์ไปหาพอร์ชอีกครั้ง และไอโฟนของฉัตรก็สั่นเบาๆก่อนจะปรากฎแสงสว่างบนหน้าจอและดับไปอย่างรวดเร็ว

ให้ตายเถอะ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ

ความสงสัยและความบังเอิญอาจทำให้ผมเป็นบ้าเร็วๆนี้ก็ได้ ผมจึงขอเสียมารยาทด้วยการหยิบไอโฟนขอฉัตรมากดปุ่ม Power จอไอโฟนสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งโชคดีแค่ไหนแล้วที่การแจ้งเตือนยังอยู่ และเพราะว่ามันยังอยู่นั่นแหละผมจึงเห็นข้อความตัวอย่างและชื่อผู้ส่งบนหน้าจอของเขา

ฉัตรคือคนๆเดียวกับพอร์ช!

เขาโกหกผมมาตลอด…

 
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 30/09/2562 [บทที่12]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 30-09-2019 19:55:37
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 30/09/2562 [บทที่12]
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 30-09-2019 22:39:29
เอาแล้วไง
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 03/10/2562 [บทที่13]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 03-10-2019 16:33:24
บทที่ 13 คำสารภาพ

 
“ขอโทษ”

ผมตวัดสายตากลับไปมองหน้าเจ้าของไอโฟนที่บัดนี้กำลังใช้ดวงตาสีดำสนิทมองมาที่ผมเงียบๆ ผมไม่รู้ว่าฉัตรตื่นตั้งแต่เมื่อไร แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่เขาหลอกลวงผม

“มึง…โกหกกันนี่”

ผมเอ่ยช้าๆด้วยความยากลำบาก ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันหนักหน่วงไปหมด ผมรู้สึกท้อแท้ ราวกับว่าความรัก ‘เกลียดชัง’ ผมมากเหลือเกิน

“ทำไมไม่บอกกูว่ามึงคือพอร์ช มึงทำแบบนี้ทำไมวะ สนุกเหรอ มึงเห็นกูโง่แล้วมึงสนุกใช่มั้ย!!”

ผมตะโกนใส่เขา ความรู้สึกผิดหวังทำให้ผมโมโห ตอนที่หมอนี่เหยียบผ้าเช็ดหน้าของผม ผมยังไม่รู้สึกโกรธเท่ากับตอนนี้เลย

ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำของฉัตร ผมเห็นความเสียใจในดวงตาคู่นั้น ซึ่งมันเชี่ยมากที่ผมกำลังรู้สึกหวั่นไหวทั้งที่เขาเป็นคนหลอกลวง และผมพบว่าผมไม่สามารถทนมองใบหน้าของเขาได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว

“เดี๋ยว วิน!!”

ฉัตรตะโกนเรียกผมในตอนที่ผมเปิดประตูแล้วก้าวเท้าลงจากรถ เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาร่างกายของผมก็เปียกโชกไปด้วยสายฝน แต่ผมไม่สนใจกลับปล่อยให้เท้าสองข้างก้าวไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ผมรู้เพียงแค่ต้องไปจากที่นี่ ไปให้ไกลจากเขา

“มึงจะไปไหน”

ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าฉัตรวิ่งตามผมออกมา เขาคว้าข้อมือของผมแล้วดึงให้หันกลับไปเผชิญหน้า

“ไปให้ไกลจากมึง”

น้ำเสียงของผมเริ่มสั่นเครือ แต่ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีอะไรต้องเสียใจ มันไม่ใช่ความรักมาตั้งแต่แรกแล้ว อันที่จริงผมไม่รู้จักพอร์ชและไม่รู้จักฉัตร เขาเป็นเพียงคนที่ผมคิดไปเองว่ารู้จักเท่านั้น ผมเสี่ยงที่จะมอบหัวใจให้เขา นั่นแปลว่าผมต้องยินยอมรับผลที่จะตามมาให้ได้ และผมคิดว่า…ตอนนี้ผมได้รับผลจากความใจเร็วของตัวเองแล้วล่ะ

“คุยกันก่อนได้มั้ย”

ผลัวะ!

ปฎิกิริยาของผมตอบแทนคำพูดด้วยการเหวี่ยงหมัดใส่หน้าของฉัตรเต็มแรง ใบหน้าของเขาสะบัดไปตามแรงชกของผม

“ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ อย่ามายุ่งกับกูอีก!”

“วิน อย่าใช้อารมณ์ กลับไปคุยกันในรถ” ฉัตรเอ่ยกับผมอย่างใจเย็น เขาต้องใช้เสียงที่ดังขึ้นเพื่อแข่งกับเสียงฝนที่กระหน่ำลงมา อันที่จริงผมค่อนข้างแปลกใจที่เขาไม่ได้ต่อยผมคืนหรือตะคอกใส่ผมที่บังอาจไปต่อยหน้าเขา ซึ่งผมยอมรับว่าใส่ไปเต็มแรงเลยล่ะ ดูจากรอยช้ำสีแดงบนแก้มเขาตอนนี้ได้เลย

“มึงก็พูดได้สิว่าอย่าใช้อารมณ์ ก็มึงไม่ได้ถูกหลอกนี่”

ผมหมุนตัวไปในทิศทางใดไม่รู้ สายฝนทำให้ผมลืมตาเกือบไม่ขึ้น ซึ่งการเดินมั่วๆทำให้ผมเผลอไปเหยียบดินโคลนและลื่นตกถนนในทันที

โครม!!

โอ๊ยยยยยยยยยย!!

ผมนอนแผ่อยู่บนพื้น เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน ให้ตายสิ อะไรจะโชคดีขนาดนี้วะ ผมเหลือบมองขึ้นไปบนถนน มันไม่ได้สูงหรือชันมาก ผมสามารถปีนกลับขึ้นไปได้สบายๆเลย แต่ตอนที่ผมลองขยับข้อเท้าผมพบว่าเรื่องซวยๆอีกเรื่องก็คือข้อเท้าข้างขวาของผมมันแพลงเสียแล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยชะมัด จึงทิ้งตัวลงนอนบนพื้น แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าเงียบๆ ปล่อยให้สายฝนชะล้างคราบโคลนออกไปจากร่างกาย

“ลุกเดี๋ยวนี้”

ฉัตรที่กระโดดตามลงมาด้านล่างตะคอกใส่ผม ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าเขากำลังหัวเสีย ซึ่งมันทำให้ผมโคตรโมโหเลย ผมต่างหากที่ต้องหัวเสียใส่เขา ไม่ใช่ให้เขามาตะคอกใส่ผม

“มึงแม่งแคร์ใครไม่เป็นหรอก”

ผมตะโกน คิดว่าฉัตรคงจะทิ้งให้ผมนอนเน่าตายอยู่ที่นี่แหละ แต่เขากลับพยายามประคองผมให้ลุกขึ้นจากพื้น

“แต่กูแคร์มึงนะวิน”

ผมหันไปสบตากับเขา ทำไมหมอนี่ต้องพูดประโยคบ้าๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้ด้วยวะ ผมฟังแล้วใจร้าวไปหมดเลย อยากจะโกรธก็รู้สึกว่าโกรธได้ไม่สุด ไม่ต้องคิดถึงคำว่าเกลียดเลย เพราะผมคงรู้สึกแบบนั้นกับเขาไม่ได้แน่ๆ

“แคร์กูแล้วโกหกกูทำไม”

กูอยากได้คำอธิบาย อะไรก็ได้ที่จะทำให้กูรู้สึกดี…ที่ทำให้กูไม่ได้ดูโง่เง่าในสายตาของมึง

“กูไม่ได้โกหกอะไร”

คำตอบของฉัตรทำให้ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดขณะที่เขาพยายามดันร่างของผมขึ้นไปบนถนน

“มึงโกหกว่าชื่อพอร์ช”

หลังจากที่ผมตะเกียกตะกายกลับมายืนขากะเผลกบนถนนได้แล้ว ผมก็ระบุข้อหาแรกที่เขาทำไว้กับผม ต่อให้เขาโกหกแค่ชื่อ ผมก็นับว่าเป็นคำโกหกอยู่ดีนั่นแหละ

“กูชื่อพอร์ชจริงๆ ไม่ได้โกหก”

“ใครๆ ก็รู้ว่ามึงชื่อฉัตร”

ผมเถียง หมอนี่เป็นคนดังในเพจ Sexy Boy ที่ผมตามส่องมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ไม่มีทางที่ผมจะจำชื่อของเขาผิดเด็ดขาด

“กูชื่อจริงว่าฉัตรชนก เพื่อนมันก็แค่เรียกกูย่อๆว่าฉัตรแทนการเรียกชื่อเล่น ส่วนคนอื่นที่ได้ยินก็เรียกกูตามนั้น มึงก็เหมือนกัน เคยถามกูสักคำมั้ยว่ากูชื่อเล่นว่าอะไร”

เออว่ะ!!

ผมถึงกับเถียงไม่ออก คือผมไม่เคยถามฉัตรจริงๆนั่นแหละว่าชื่ออะไร ซึ่งมันก็ถูกอย่างที่เขาอธิบายมานะ อย่างไอ้แว่นมันชื่อจริงว่าพิสุทธิ์ ชื่อเล่นก็พิสุทธิ์ แต่เพราะเพื่อนร่วมสาขาต่างก็พากันเรียกมันว่าไอ้แว่นจนทุกคนในคณะคิดไปแล้วว่ามันชื่อเล่นว่าแว่น

ระหว่างที่ผมกำลังยืนมึนกับคำตอบ ฉัตรก็หันหลังแล้วย่อตัวลงตรงหน้าของผมก่อนจะจัดการบังคับผมให้ขึ้นไปอยู่บนหลังของเขา โดยที่ผมยังไม่ทันได้อ้าปากปฏิเสธ…บริการดีชะมัด เริ่มจะใจอ่อนซะแล้วดิ

“แล้วเรื่องรถปอร์เช่ล่ะ มึงโกหกว่ายืมคนอื่นมาทำไม”

ผมถามเมื่อพวกเรากลับเข้ามานั่งในรถแล้ว รู้สึกผิดชะมัดที่ทำให้เบาะรถของครูใหญ่เปื้อนโคลน ผมสัญญาว่าถ้ากลับไปได้จะรีบทำความสะอาดให้ทั้งด้านในและด้านนอกเลยครับ

“ไม่ได้โกหก นั่นรถของแม่กู กูแค่ยืมมาใช้จนกว่าจะเรียนจบ”

ถุ้ย! งั้นทุกอย่างของมึงก็ยืมแม่มาหมดแล้วแหละ

ก็มึงยังไม่ได้ทำงานหาเงินใช้เองนี่โว้ย!!

“มึงแอดไลน์กูมาทำไม มึงตั้งใจมาหลอกกูใช่มั้ย”

ผมถาม เรื่องนี้ต่างหากที่ทำให้ผมโกรธมากที่สุด แค่เรื่องชื่อกับเรื่องรถผมอภัยให้ก็ได้

“กูชอบมึง นั่นคือความจริง”

ผมชะงัก ถึงกับเผลออ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำตอบตรงๆจากฉัตร น้ำเสียงของเขาจริงจัง เช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นเลย

“มึงไม่ได้ชอบผู้ชาย”

ผมหลุบตามองมือที่วางอยู่บนตักของตัวเอง การมองดวงหน้าหล่อๆของหมอนั่นทำให้หัวใจของผมเต้นแรงอย่าบ้าคลั่ง ผมรู้ว่าพอร์ชชอบผม แต่การที่ฉัตรชอบผมมันเป็นความคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสมองมาก่อน จะว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ เพียงแต่ผม…ไม่มั่นใจเท่านั้นเอง

“ทำไมคิดแบบนั้น”

ฉัตรย้อนถาม ผมเหลือบตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้ามองมือของตัวเองแทบไม่ทัน ให้ตายสิ ผมรู้สึกว่าตนเองกำลังพ่ายแพ้ให้กับดวงตาที่ร้อนแรงของเขา คือฉัตรแม่งไม่เคยมองผมแบบนี้มาก่อนไง แถมจ้องกันขนาดนี้กินกูเลยมั้ยล่ะ ห่านี่!

“เพราะกูชอบผู้ชายไง สัญชาตญาณมันฟ้อง”

ผมตอบไม่เต็มเสียงเท่าไร แต่ผมมั่นใจว่าผีย่อมเห็นผี เกย์ย่อมเห็นเกย์ แต่ฉัตรแม่งดูจากมุมไหนก็ไม่ใช่ เกย์รุก เกย์รับ เกย์โบทเลยอ่ะ

“ผู้หญิงทุกคนที่เคยคบกับกู รักกูแค่หน้าตากับฐานะเท่านั้น ตอนที่กูเห็นข้อความที่ไอ้ธามโพสต์ในเฟส กูเพิ่งจับได้ว่าแฟนมีชู้ กูยอมรับว่าตอนที่แอดไปหามึง กูกำลังสิ้นหวัง”

ผมเงยหน้ามองฉัตร อา…ผมจำได้แล้ว วันที่ฉัตรมานั่งเรียนวิชาแคลคูลัส 3 กับผมและเกิดเหตุการณ์จับชู้กลางห้องเรียนนั่นเอง

“มึงรักลิซ่ามากเลยเหรอ”

“เปล่า ก็แค่ชอบ…แต่กูผิดหวังมากกว่า”

ฉัตรส่ายหน้าช้าๆก่อนจะปฏิเสธ

“กูผิดหวังในตัวเอง นี่กูโง่ขนาดว่าผู้หญิงห้าคนที่เลือกมาเป็นแฟนจบลงด้วยการนอกใจกูทุกคน ต่อให้รักกูแค่เปลือกแต่คำว่าซื่อสัตย์กูยังไม่เคยได้รับจากแฟนคนไหนเลย…กูคิดว่ามึงแตกต่างจากคนอื่นนะวิน”

กูก็คิดว่ามึงแตกต่างจากคนอื่นเหมือนกัน…แต่!

“แล้วเรื่องของติวเตอร์ล่ะ มึงจะอธิบายว่าไง”

ผมฉุกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องอาบน้ำเมื่อคืนนี้ ถ้าหมอนี่บอกว่าชอบผม เขาจะแอบมีซัมติงกับคนอื่นไม่ได้ ผมไม่ยอมนะเว้ย

“ไม่มีคำอธิบายเพราะไม่ได้ชอบ”

ฉัตรตอบสั้นๆแบบได้ใจความ แต่ที่กูเห็นคือมึงไปอาบน้ำกับเด็กนั่นสองต่อสอง คือมึงก็รู้ว่าติวเตอร์ชอบมึงแล้วมึงจะเปิดโอกาสให้มันทำไม อยากโดนปล้ำหรือไงฮะ

“ไม่ได้ชอบแล้วยืนเฉยให้อีน้องเตอร์มันช่วยตัวเองให้ดูทำไมฮะ”

ฉัตรเงียบไปครู่หนึ่ง ผมรู้สึกว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างซึ่งผมอยากมีความสามารถในการอ่านใจคนซะเดี๋ยวนี้เลย ผมอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรกันแน่

“มึงหึงเหรอวิน”

ฉัตรเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แม่งขี้ตู่จริงๆเลยว่ะ

“กูไม่ได้หึง กูถาม!!”

ผมชะงักเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังตะคอกใส่ฉัตร บ้าจริงเลย ทำไมเรื่องแค่นี้ผมจะต้องเสียงดังด้วยวะ ผมค่อยๆระบายลมหายใจแล้วหันหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง หมอนั่นอาจจะคิดว่าผมงี่เง่าก็ได้ที่จู่ๆก็เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของเขา

“กูอยากดูที่ไหน แค่ไม่ทันตั้งตัวต่างหาก กูก็รีบออกมาจากห้องน้ำแล้วไง”

น้ำเสียงของฉัตรอ่อนลงเล็กน้อย ที่จริงแล้วหมอนี่เป็นคนที่ชอบพูดจาแบบสั้นๆห้วนๆ อารมณ์เหมือนลูกคนรวยที่เอาแต่ใจตัวเองนั่นแหละ

“ไม่เชื่อกูเหรอ”

ฉัตรถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้หันไปมองหน้าของเขา ให้ตายสิ ทำไมแทนที่ผมจะโกรธหรือโมโห ผมกลับยอมรับในเหตุผลและหลงเชื่อคำพูดของเขาทุกคำอย่างง่ายดาย เมื่อก่อนผมไม่ใช่คนแบบนี้นะ ผมหัวรั้นแล้วก็เชื่อในความคิดของตัวเองมาก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ากำลังโดนฉัตรชนกล้างสมองอ่ะครับ

“เชื่อ กูเชื่อคนง่ายไม่รู้เหรอ”

ผมพึมพำเบาๆ ทำไมเสือวินถึงกากได้ขนาดนี้วะ ผมกำลังจะโดนตัดเล็บ ถอนเขี้ยวใช่มั้ยเนี่ย

“มึงเสียใจมากหรือเปล่าที่กูคือพอร์ช”

ผมหันไปมองหน้าคนถาม ผมรู้ว่าฉัตรกับพอร์ชคือคนๆเดียวกัน ไม่มีทางที่ผมจะเลือกชอบแค่หนึ่งคนและเกลียดอีกหนึ่งคนได้ เพียงแต่ ‘พอร์ช’ เป็นด้านที่ผมชอบมากๆ เขาเป็นคนในแบบที่ผมต้องการ เป็นผู้ใหญ่กว่า พึ่งพาได้ มีเหตุผล แล้วก็อบอุ่นมากๆ ส่วน ‘ฉัตร’ เขาเป็นด้านที่ผมไม่ชอบ ทั้งความหยิ่ง กวนประสาท เอาแต่ใจตัวเอง และไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น

แต่ในตัวของมนุษย์ทุกคนก็มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดี เขามีมุมที่ผมชอบและไม่ชอบอยู่ในตัวเอง เช่นเดียวกับที่ผมอาจจะมีมุมที่เขาไม่ชอบเหมือนกัน เพียงแต่เขายอมรับมันได้และไม่ได้พูดมันออกมา…

บางครั้งเราตัดสินคนอื่นจากภายนอก จากมุมแค่มุมเดียวที่เรามองเห็น เช่นเดียวกับที่ผมจะไม่เข้าไปทำความรู้จักกับฉัตรชนก ถ้าผมไม่ได้บังเอิญมีโอกาสทำความรู้จักกับพอร์ช ผมแค่รู้จักตัวตนจริงๆของเขาไม่ดีพอแต่ผม…อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้

“กูไม่ชอบที่ถูกหลอก ถ้ามึงแค่บอกกูตั้งแต่แรกว่ามึงเป็นใครกูจะไม่โกรธมึงเลย”

“กูแค่อยากมีใครสักคนที่จริงใจกับกู ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงมึงเลย ขอโอกาสให้กูได้แก้ตัวนะ กูรู้ว่าเราเริ่มต้นกันไม่ดี แต่กูอยากให้เราเริ่มต้นกันใหม่…ได้มั้ย”

ผมเผลอขยับรอยยิ้มที่มุมปาก ทุกคนผิดพลาดได้…ผมก็เช่นกัน

“กูชอบพอร์ชไปแล้ว…มึงต้องรับผิดชอบ”

ฉัตรขยับยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่โคตรหล่อเลยครับ อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่ารอยยิ้มของเขาออกมาจากใจ ปกติแล้วหมอนี่เก่งแต่แสยะยิ้มอ่ะ ผมเกือบจะคิดว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาตายหรือไม่ก็ฉีดโบท็อกมากจนหน้าตึง

“อาทิตย์หน้าเรามีนัดเดทกัน”

“ที่ไหนดีล่ะ” ผมถาม ไหนๆ Sexy Boy ก็อุตส่าห์ชวนผมเดทแล้วจะเล่นตัวไปทำไม เดี๋ยวอด!

“แล้วแต่มึงเลย”

เอาเป็นว่าหลังจากที่พวกเรากลับจากค่ายอาสาผมจะเริ่มคิดแพลนออกเดท อย่างจริงๆจังๆนะครับ

“หนาว”

ผมบ่นพึมพำเพราะเสื้อผ้าที่เปียกแฉะกับสายฝนที่ยังกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายทำให้ผมตัวสั่น

“เป็นเพราะความโง่และความอารมณ์ร้อนของมึงเองนะ”

ฉัตรว่าแล้วโยนเสื้อคลุมสีดำของตนเองมาให้ผม เดาว่าก่อนที่จะลงไปตามผมเขาคงจะถอดมันไว้ในรถเพราะเสื้อตัวนี้ไม่เปียก แต่ให้ตายเถอะ คนที่เพิ่งจะสารภาพความในใจว่าชอบผมทำไมด่าผมว่าโง่วะ มันใช้ได้ที่ไหนเนี่ย

“สาบานว่ามึงชอบกูจริงนะ”

ผมอดประชดไม่ได้ แต่ก็ยอมหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นมาสวมทับเสื้อผ้าที่เปียกชื้น

“กูชอบมึงจริงๆ”

อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!

ผมอยากจะกรีดร้อง รู้สึกใจกะเทยไปสิบวิ คือมึงไม่ต้องตอบคำถามในเชิงประชดของกูก็ด้ายยยยยยนะ กูไม่ได้อยากรู้คำตอบจริงๆหรอก ห่า!!!

“กูไม่โกรธมึงแล้ว!”

ผมตะโกนขณะที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากฉัตรชนก แต่ผมไม่กล้าหันหน้าไปมองอ่ะครับ ผมเขิน!

ผมไม่อยากเสียเวลาให้ฉัตรต้องมาง้อ แค่เขาไม่ปิดบังผมอีกก็พอ ผมอยากเอาเวลาต่อจากนี้มาเรียนรู้และดูแลกันและกันมากกว่า ผมเสียเวลาให้กับความผิดหวังมานานพอแล้ว และผมไม่อยากเสียเวลาไปโดยปล่าวประโยชน์อีกแม้แต่วินาทีเดียว

แหมะ! โคตรหล่อ โคตรคูลเลยว่ะกู

วินคนจริงครับ ผู้ใหญ่ต้องคุยกันด้วยเหตุผล…แม้ผมจะต่อยเขาไปแล้วก็ตาม


:mew1:

ติดตามข่าวสารได้ที่  https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/

เเฟนเพจของนักเขียน https://www.facebook.com/PKrabKrab/

รายชื่อผลงานทั้งหมดของนักเขียน https://www.facebook.com/notes/เป็ดก๊าบก๊าบ-boys-love/ผลงานของเป็ดก๊าบก๊าบ/1280233968753620/
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 03/10/2562 [บทที่13]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 04-10-2019 09:14:22
 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/10/2562 [บทที่14]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 07-10-2019 23:07:32
บทที่ 14 จูบ


      ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วนับจากวันที่กลับจากค่ายอาสา ผมกับพอร์ชกลับมาติดต่อกันทางไลน์เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโทรคุยกันทุกวัน ช่วงนี้ผมรู้สึกผิดเล็กน้อยถึงปานกลางเพราะตัวเองกำลังมีความสุขและหน้าบานแบบสุดๆ ต่างจากเพื่อนสนิทของผมที่ทำหน้าเป็นหมาหงอยได้ทุกวัน ผมรู้ว่ามันผิดหวังจากน้องติวเตอร์แต่ผมก็ไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาปลอบโยนจิตใจอันบอบบางของมันแล้ว

ผมส่องกระจกเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้มาสะพายไหล่แล้วก้าวเท้าออกจากหอพัก วันนี้ผมมีนัดเดทกับ พอร์ชซึ่งเขาสัญญาว่าจะขับรถมารับผมตอนแปดโมงเช้า

Trrrrrrrrrrrrrr

ผมหยิบไอโฟนที่กำลังส่งเสียงร้องออกมาจากกระเป๋ากางเกง หน้าจอกำลังสว่างวาบพร้อมกับแสดงชื่อของพอร์ช

“ว่า?” ผมกดรับสายขณะก้าวขาลงบันไดของหอพัก

“มาถึงแล้ว เสร็จยัง”

ผมได้ยินเสียงงัวเงียของพอร์ช

ให้ตายสิ แปดโมงนี่ไม่เรียกว่าเช้าแล้วนะ หมอนี่ตื่นแน่หรือเปล่าเนี่ย

“กำลังลงไป”

ผมตอบสั้นๆแล้วกดตัดสาย เมื่อก้าวเท้าออกมาจากหอพักผมก็สังเกตเห็นปอร์เช่สีแดงสดได้ไม่ยาก มันจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามท่ามกลางรถญี่ปุ่นสีเรียบๆอย่างที่คนทั่วไปนิยมซื้อกัน

ผมเดินข้ามถนนมาที่รถนอกคันงาม เปิดประตูรถแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งด้านใน ถึงจะมีโอกาสได้นั่งปอร์เช่เป็นครั้งที่สองแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมหายเกร็งเลย ตะคริวจะกินก้นหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ทำไมมึงต้องนัดกูมาเช้าขนาดนี้ด้วย ไม่มีห้างไหนเปิดหรอกนะ”

พอร์ชถามแล้วอ้าปากหาว ผมสังเกตเห็นว่าผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แม่งหมดมาดคุณชายไปเลยแฮะ แต่คนหล่อก็คือคนหล่ออ่ะครับ เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้เขาดูน่าเกียจเลย

“ไม่ได้จะชวนไปห้างซะหน่อย” ผมตอบ

“หืม”

พอร์ชเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ อันที่จริงผมไม่ได้บอกเขาหรอกครับว่าจะพาไปเดทที่ไหน แล้วเขาก็บอกเองว่าตามใจผม คือถ้าผมจะหลอกไปฆ่าหมอนี่ก็คงไม่สงสัยแล้วยอมตามมาแบบง่ายๆอ่ะ

“ไหนมึงบอกว่าชอบเดทแบบดูหนังแล้วก็กินข้าวด้วยกันไง”

ใช่ ผมเคยบอกตอนเราคุยกันในไลน์ แต่นั่นผมหมายถึงตอนออกเดทกับคนอื่นไง

“กับคนอื่นน่ะใช่ แต่สำหรับมึงน่ะไม่”

“สองมาตรฐาน”

พอร์ชว่าแล้วขมวดคิ้ว ผมคิดว่าเขากำลังไม่พอใจที่ผมไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกันกับทุกคน แต่เขาควรจะดีใจสิ นี่ผมจัดทริปเดทแบบพิเศษๆให้เขาคนเดียวเลยนะ ยังจะทำหน้ายุ่งอีก โง่จริง!

“บอกให้เอาชุดมาเปลี่ยนด้วย มึงเอามาหรือเปล่า” ผมถาม

“เอามาแล้วคร้าบ”

“งั้นก็ไปดิ ออกรถ”

“ไปไหนล่ะ จุดหมายคือ?”

พอร์ชหันมาถามผม คือมึงไม่รอถามชาติหน้าเลยล่ะ

“วัดใหญ่”

“ไม่เคยไป” 

“พูดจริง?”

ผมหันไปมองหน้าพอร์ชด้วยความเหลือเชื่อ นอกจากห้างสรรพสินค้าในตัวจังหวัดแล้ว หมอนี่เคยไปที่ไหนอีกบ้างนะ

“จริง”

“วัดใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับของที่นี่เลยนะ มึงเรียนมอ N มาสี่ปี แต่ไม่เคยไปวัดใหญ่เลยเนี่ยนะ”

“สายบุญ กูไม่ค่อย”

โอเค ผมเชื่อครับ หน้าตาและลักษณะนิสัยของหมอนี่ก็บ่งบอกชัดอยู่ว่าไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องบาปบุญหรือชีวิตหลังความตาย

“ไปไหว้พระกัน วัดนี้สวยมากกูรับรอง”

เอาเป็นว่าถ้าพอร์ชไม่ใช่สายบุญ ผมจะถือซะว่าพาเขาไปชมสถาปัตยกรรมที่สวยงามแห่งหนึ่งในจังหวัดแล้วกัน

พวกเราใช้เวลาเดินทางจากหอพักแถวมหาวิทยาลัยมาที่วัดใหญ่ประมาณยี่สิบนาที ในตอนที่ไปถึงวัดค่อนข้างเงียบและมีผู้คนไม่มากนัก ผมพาพอร์ชไปกราบไหว้ขอพรพระพุทธชินราชที่ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวง ด้านในมีการตกแต่งไว้อย่างวิจิตรงดงาม ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะมากราบไหว้และบันทึกภาพเก็บไว้ พอร์ชก็เหมือนกัน ผมเห็นหมอนี่ยกไอโฟนขึ้นมาถ่ายภาพพระพุทธชินราชและอัพลงเฟสบุ๊ค แต่ผมไม่ถ่ายหรอกครับ ผมเป็นคนในพื้นที่แล้วก็แวะมาที่นี่บ่อยเกินกว่าจะอยากถ่ายรูปเก็บไว้ดูเอง

หลังจากไหว้พระเรียบร้อย ผมก็ชวนพอร์ชไปกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นร้านขึ้นชื่อแห่งหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาชิมบ่อยๆ และหลังจากนั้นพวกเราก็เดินกลับมาที่รถเพื่อเดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

“วิน”

“หืม” ผมครางรับในลำคอขณะดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอว

“มีอะไรติดหน้าผากมึงอ่ะ” พอร์ชตอบเรียบๆแล้วชี้มาที่หน้าผากของผม

“ออกยัง” ผมเอ่ยถามขณะยกหลังมือขึ้นมาถูหน้าผาก

“ยัง”

“มันคืออะไรอ่ะ”

ผมไปทำอะไรมาวะ ไม่เห็นจำได้เลย

“ทองคำเปลว”

อ๋อ…หลังจากไหว้พระแล้วผมก็นำทองคำเปลวที่ได้มาพร้อมกับธูปและเทียนไปปิดทองบนพระพุทธองค์ เศษทองคงจะติดมาตอนนั้น แต่เอ…ผมพยายามเอามือถูหน้าผากตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ทำไมเศษทองที่ติดบนหน้าผากไม่เห็นจะหลุดติดหลังมือเลยวะ มันตรงไหนกันแน่เนี่ย

“วิน ขยับมานี่”

ผมเสยผมไปด้านหลังแล้วโน้มในหน้าไปใกล้ๆพอร์ช

“นี่ไง ตรงนี้”

ฮะ!

ผมเกือบจะเอ่ยปากขอบคุณอยู่แล้วถ้าสิ่งที่พอร์ชหยิบขึ้นมาเป็นกระดาษทิชชู่

“เชี่ยพอร์ช!!! เล่นอะไรเนี่ย”

ผมโวยวายเมื่อไอ้บ้านั่นเอาทองคำเปลวมาติดบนหน้าผากของผม ห่าเอ๊ย มันไม่ได้มีอะไรเปื้อนหน้าผากของผมตั้งแต่แรกแล้วอ่ะ แต่เปื้อนเพราะเขาเลย ไม่มีอะไรจะทำหรือไงวะ เล่นเป็นเด็กๆไปได้

“อย่าทำหน้าบึ้งดิ มึงน่ารักจะตาย”

พอร์ชยิ้มขำเมื่อเห็นผมพยายามเอาแขนเสื้อเช็ดทองคำเปลวออกจากหน้าผาก แหม พอแกล้งกูได้นี่กูน่ารักขึ้นมาเลยนะมึง

 

 

พวกเรามาถึงอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าตอนบ่ายหนึ่งเพราะเสียเวลาแวะกินอาหารเที่ยงกันที่ปั๊มน้ำมัน วันนี้เป็นวันเสาร์และไม่ใช่ช่วงเทศกาลนักท่องเที่ยวจึงไม่มาก ทำให้บริเวณรอบๆค่อนข้างสงบ ผมกับพอร์ชจึงเลือกที่จะกางเต็นท์นอนด้วยกันหนึ่งคืนแทนการนอนในบ้านพัก

ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงช่วงเย็น ผมกับพอร์ชใช้เวลาด้วยกันสองคนในการเดินถ่ายภาพสวยๆของจุดชมวิว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพอร์ชที่แอบถ่ายผมตอนเบ้าหน้าไม่พร้อมซะมากกว่า แต่เอาเป็นว่าผมจะเก็บไว้ดูพื้นหลังสวยๆของธรรมชาติก็แล้วกัน โชคดีที่ช่วงนี้ต้นไม้และดอกไม้กำลังผลิดอกออกผล แต่งแต้มสีสันให้ป่าเขาแถวนี้ดู     โรแมนติกแบบสุดๆ นี่แหละเดทในฝันของผมเลย

เมื่อถึงช่วงค่ำหลังจากแวะรับประทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารขึ้นชื่อของที่นี่แล้ว ผมกับพอร์ชก็ช่วยกันกางเต้นท์ที่จุดสำหรับพักผ่อนซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พวกเราก่อกองไฟเล็กๆเพื่อความฟิน อีกอย่างผมหวังว่ามันจะช่วยไล่ยุงกับแมลงได้บ้าง

ระหว่างที่พอร์ชไปอาบน้ำ ผมหยิบไอโฟนออกมาไถไทม์ไลน์บนเฟสบุ๊คเล่นเป็นการฆ่าเวลา และเห็นว่ามีคำขอเป็นเพื่อนจากพอร์ช ไม่รู้ว่าหมอนี่แอดมาตั้งแต่เมื่อไรเพราะช่วงนี้ผมติดคุยกับเขาทางไลน์และไม่ได้เข้าเฟสมานานมากแล้ว

ผมกดรับพอร์ชเป็นเพื่อนแล้วเข้าไปส่องเฟสบุ๊คของเขา หมอนี่เป็นพวกบ้าถ่ายรูปจริงๆด้วย แต่ส่วนใหญ่รูปที่อัพลงเฟสจะเป็นวิวสวยๆมากกว่ารูปของตัวเอง ถ้าเป็นรูปของคนก็จะถ่ายในมุมอาร์ตๆ ผมเดาว่านายแบบและนางแบบในหลายรูปน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของเขา ที่ผมรู้เพราะแอบส่องคอมเม้นต์และเฟสบุ๊คของทุกคนที่เข้ามาเม้นต์เลยแหละ คือผมก็ต้องเช็คประวัติของคนที่คุยด้วยบ้างนะครับ จะได้รู้ว่าผมมีคู่แข่งหรือเขาแอบคุยกับคนอื่นอีกหรือเปล่า อีกอย่างในเฟสของพอร์ชไม่มีรูปถ่ายของแฟนเก่าเลย ไม่ว่าจะแฟนคนก่อนหน้านี้หรือลิซ่า เดาว่าเขาคงลบรูปของพวกเธอออกไปตั้งแต่เลิกกัน

ภาพและสเตตัสในเฟสบุ๊คของพอร์ชถูกตั้งเป็นสาธารณะทั้งหมดทำให้มีผู้ติดตามและบรรดาเมียๆในมโนเข้ามาคอมเม้นต์และกดไลท์กดเลิฟกันมากมาย คือผู้ติดตามเฟสของหมอนี่มีเหยียบหมื่นคน นี่นิสิตหรือเน็ทไอดอลวะเนี่ย

 

Chatchanok Chachteerachanon ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร–เมื่อ 13 ชั่วโมงที่แล้ว

รูปแรกที่พอร์ชอัพลงเฟสบุ๊คในวันนี้คือรูปของพระพุทธชินราชที่ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวง ไม่มีแคปชั่นหรือข้อความใดๆเลย แต่คอมเม้นต์กับยอดไลท์ก็พุ่งทะลุพัน

 

Chitchanu Bossisis : ฉัตร นี่มึงเข้าวัดได้ด้วยเหรอวะ @Fon Sunisa

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : หวายยย ตายแล้ว เพื่อนกูเข้าวัดค่าทุกคน อีคนบาปเข้าวัดได้ค่า

Fon Sunisa : ใครพามันไปวะ ถ้าบอกว่าไอ้พอร์ชไปเองกูไม่เชื่ออ่ะ

Chitchanu Bossisis : มึงอยู่ไหน ไปกับไอ้ฉัตรเหรอ @Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : อยู่หอ นอน

 

ผมนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวเมื่อเห็นคอมเม้นต์ของเพื่อนๆเขา ให้ตายสิ ผมเชื่อแล้วว่าพอร์ชไม่เคยย่างเท้าเข้าวัด ขนาดเพื่อนๆยังแปลกใจอ่ะ

 

Chatchanok Chatchteerachanon ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า – เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว

รูปที่สองเป็นภาพที่ผมถ่ายให้พอร์ชบนลานหินปุ่ม ซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสีเขียวกับท้องฟ้าที่มีแสงสีส้มตอนตะวันใกล้จะตกดิน เขาไม่ได้หันมามองกล้องแต่กำลังมองออกไปทางหน้าผา ซึ่งแสงสว่างยามเย็นที่อาบไล้เสี้ยวหน้าด้านข้างทำให้เขาดูลึกลับและน่าหลงใหลมาก รูปนี้มียอดไลท์สูงที่สุด ซึ่งผมไม่แปลกใจเลย ไม่ใช่ว่าผมมีความสามารถด้านการถ่ายรูปนะครับ อันนี้ต้องขอบคุณกล้องไอโฟนกับเบ้าหน้าของเขาล้วนๆอ่ะ ผมแค่กดถ่ายส่งๆเท่านั้นเอง

 

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : มึงไปกับใครเนี่ย ตอบกูมา ทำไมไม่ชวนกูไปด้วย @Fon Sunisa @Chitchanu Bossisis @Faye NoFWantA

Chitchanu Bossisis : เชี่ยเฟย์ ฉัตรมันไปกับใครวะ กูรู้นะว่ามึงรู้ @Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : ไปเดทกับเด็กมัน

Fon Sunisa : เอาอีกแล้ว คราวนี้ใครอ่ะ ทำไมกูตกข่าว

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : น้องแจงใช่มั้ย อีเฟย์ตอบ @Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : ถามมันเองป่ะ กูขี้เกียจเสือก

@ Chatchanok Chatchteerachanon

 

ไม่มีคำตอบจากพอร์ชซึ่งผมเดาว่าหมอนี่ไม่ได้อ่านคอมเม้นต์เลยนอกจากอัพรูปลงเฟสบุ๊ค และคำตอบของเฟย์ ไอ้คนหน้ามึนที่ผมเคยเจอในผับก็ทำให้บรรดาสาวกคนรักฉัตรชนกกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งใต้คอมเม้นต์

 

คอมเม้นต์ 1 : กรี๊ดดดดดดดด ไม่จริ๊งงงงงงง อุตส่าห์ดีใจที่พี่ฉัตรเลิกกับแฟน แล้วทำไมพี่รีบมีกิ๊กใหม่เร็วอย่างนี้

#น้ำตาเช็ดหัวเข่ารอบที่ห้าล้าน #คนรักฉัตรชนก #คนห่ามของน้อง

คอมเม้นต์ 2 : ใครรร คราวนี้มันเป็นครายยย พี่ฉัตรของน้องไปเดทกับใคร

คอมเม้นต์ 3 : ขอให้เธอไปดี ขอให้มีความสุข ขอให้เธอหมดทุกข์เสียที ขอให้รักยืนยาวให้เธอกับเขาโชคดี อย่าได้มีใครอีกเลยต้องเจ็บช้ำ ฮือออออ

#ยินดีด้วย #พี่ฉัตรมีความสุข เราก็มีความสุข #ทีมพี่ฉัตรชนกคนหล่อ

คอมเม้นต์ 4 : ไม่น้า ใครก็ได้แต่ไม่เอายัยแจง #สามีของน้อง

คอมเม้นต์ 5 : โอ๊ยยยยย กลัวใจจริงๆ กลัวพวกม้ามืดที่สุดแล้วอ่ะ สังเกตมั้ยเฮียฉัตรมีข่าวกับใครคนนั้นไม่ใช่ตลอดอ่ะ อย่างตอนมีข่าวกับยัยปีใหม่ปรากฎว่าเฮียคบลิซ่า คราวนี้มีข่าวกับยัยแจง ถ้าออกมาว่าคบกับติวเตอร์นะ กูจะกรีดร้องงงงง

#ฉัตรติวเตอร์ #ถ้าฉันไม่ได้ชะนีคนใดในโลกก็ต้องไม่ได้ #รณรงค์ให้อนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกัน #รักฉัตรนะ

คอมเม้นต์ 6 : คราวนี้เฮียฉัตรจะคบกับใครก็ช่าง แต่ถ้ามันผู้นั้นนอกใจเฮีย ลี่จะไปตบ ตบ ตบให้ลืมทางกลับบ้านเลยคอยดู

#ถ้าใครไม่รักเฮีย อยากให้รู้ว่าลี่อยู่ตรงนี้ #ทีมเฮียฉัตร

 

ให้ตายสิ! ความคิดของผู้หญิงแต่ละคน น่ากลัวชะมัดเลย

ผมถอนหายใจด้วยความปลงตก การออกเดทกับคนของสังคมไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะครับ เพราะเรื่องส่วนตัวที่มันควรส่วนตัวจะกลายเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามอง ถ้าก้าวผิดหนึ่งก้าวคงโดนเหยียบซ้ำเอาง่ายๆ ซึ่งผมไม่อยากเป็นคนที่ทุกคนจับตามองเลย

 

ผมนอนมองเพดานเต้นท์เงียบๆมาเกือบสิบนาทีแล้ว ตอนแรกผมคิดว่าการมานอนค้างอ้างแรมกับพอร์ชสองต่อสอง คงไม่ต่างกับการมาเที่ยวกับเพื่อนอย่างไอ้ไวท์หรือไอ้ธาม แต่พอเอาเข้าจริงผมกลับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ จะให้ชวนคุยก็ไม่รู้ว่าควรพูดถึงเรื่องอะไร ยิ่งดึกก็ยิ่งเงียบ ยิ่งเงียบหัวใจของผมก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นทุกที

“วิน” พอร์ชเอ่ยทำลายความเงียบ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ผมคิดว่าเขาเองก็ค่อนข้างทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“หืม” ผมครางรับในลำคอ

“ผ้าเช็ดหน้าของมึงที่กูเคยเหยียบ…”

พอร์ชเริ่มก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง ซึ่งผมสัมผัสได้ถึงความลังเลในคำถาม

“ใครให้มา”

“ทำไมคิดว่ามีคนให้กูมา” ผมถามแล้วเหลือบตาไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ

“เพราะมึงไม่น่าจะชอบใช้ผ้าเช็ดหน้าแบรนด์เนม”

พอร์ชวิเคราะห์ ซึ่งที่จริงแล้วกูไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเลยแหละ

“ไม่มีใครให้ กูขโมยมาต่างหาก”

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมยอมสารภาพเรื่องพวกนี้ให้เขาฟัง อาจเป็นเพราะว่าผมเริ่มเปิดใจให้เขาแล้วก็ได้

“จากใคร?”

พอร์ชเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงแล้วหันหน้ามามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ

“ชื่อพายุ เป็นคนที่กูแอบชอบมานานแล้ว”

ผมบอกเขาตรงๆ การที่เราคุยกัน มันควรเป็นการคุยกันได้ทุกเรื่องโดยที่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ

“อย่าบอกนะว่าแฟนไอ้ไวท์” พอร์ชถาม ผมเห็นว่าคิ้วของเขาเริ่มขมวดเป็นปม

“รู้จักเหรอ”

“แฟนเพื่อนก็ไม่เว้น”

“กูชอบพายุมาก่อนที่มันจะเป็นแฟนไอ้ไวท์อีก”

“นั่นแปลว่ามึงกาก”

“เออ”

ผมตอบรับส่งๆ เรื่องนี้ผมยอมรับ ทั้งที่ชื่อวินเนอร์ซึ่งมีความหมายว่าผู้ชนะ แต่ผมกลับมีนิสัยชอบยอมแพ้ให้กับเรื่องของความรักเอาง่ายๆ คือสู้ได้ทุกเรื่องยกเว้นหัวใจของคนนี่แหละที่ผมหวาดกลัวเป็นพิเศษ แม้กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังกลัวใจของพอร์ชเลย

…บางครั้งหัวใจของมนุษย์สามารถแข็งแรงได้ดังหินผา บางครั้งสามารถบอบบางได้ดังปุยนุ่น และบางครั้งก็หวั่นไหวได้เช่นสายลม ที่นึกจะเปลี่ยนทิศทางเมื่อไรไม่มีใครบอกได้เลย…

“แล้วตอนนี้ยังชอบอยู่มั้ย”

“ก็รู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นหน้า แต่ไม่อยากได้มาเป็นของตัวเอง ไม่ได้เจ็บปวดแล้วด้วย”

“ดี”

พอร์ชขยับยิ้มมุมปาก ผมรู้สึกว่าเขาดูจะพอใจในคำตอบของผม แน่นอนว่าเขามีส่วนช่วยให้ความรู้สึกยึดติดที่ผมมีต่อตัวของพายุลดน้อยลงไปมาก

“ต่อไปมึงชอบได้แค่กู”

ผมหัวเราะเบาๆ คิดว่านั่นดูเหมือนคำสั่งมากกว่าคำขอความรักนะครับ

“มึงคิดดีแล้วเหรอ”

“เรื่องอะไร” พอร์ชถาม

“เรื่องกู”

“กูคิดดีแล้ว”

“มึงอาจจะรู้สึกว่าอยู่กับกูแล้วสบายใจ แต่มันไม่ได้หมายความว่ามึงจะคบกับผู้ชายได้นะ”

ผมพยายามชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญ คือเกย์ไม่ใช่โรคติดต่อนะครับ มันแพร่ให้กันไม่ได้ ไม่ใช่ว่านึกจะเป็นก็เป็นได้เลย ของแบบนี้ต้องใจรักเท่านั้นอ่ะ

“ไหนมึงลองบอกกูมาซิ ถ้ากูคบกับผู้ชายจะมีอะไรที่ต่างไปจากตอนที่กูคบกับผู้หญิง”

ผมกรอกตามองเพดานเต้นท์ พยายามคิดหาคำตอบมาอธิบายให้มือใหม่อยากเป็นเกย์ได้เข้าใจ

“นั่นขึ้นอยู่กับว่ามึงอยากคบเลเวลไหน”

“แล้วมีเลเวลไหนบ้างล่ะ” พอร์ชถาม

“เลเวลหนึ่ง แบบใสๆอ่ะ คบกันแบบเป็นกำลังใจให้กันและกัน ทำมากสุดก็แค่กอดหรือจูบ ส่วนเลเวลสอง เป็นแบบกลางๆ ก็ทำมากกว่าจูบแต่ไม่ถึงขั้นมีอะไรกัน ส่วนเลเวลสามเป็นแบบกามๆ ก็อยู่กินแบบผัวเมียเลย…แล้วปกติตอนที่มึงมีแฟนมึงคบเลเวลไหนล่ะ” ผมอธิบายก่อนจะย้อนถามเรื่องความสัมพันธ์ของพอร์ชกับแฟนสาวที่ผ่านมา ถ้าเขาคิดจะคบกับผมแค่เลเวลหนึ่งหรือสองผมว่าไม่น่ายาก ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้า…!!

“กูไม่ใช่คนใสๆนะวิน”

กูว่าแล้ว…

“กูว่าเลเวลสาม”

“อืม” พอร์ชพยักหน้าเป็นการยืนยัน

“แล้วมึงเคยคิดมั้ยว่าอยากมีอะไรกับผู้ชาย” ผมถาม

“ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย”

พอร์ชพึมพำ ซึ่งผมสังเกตเห็นว่าเขาเริ่มลังเลเมื่อผมถามถึงเรื่องเซ็กส์ ผมว่าหมอนี่ไม่ตั้งกับผมแหงมๆ

“ถ้าคบกันจริงๆจังๆเดี๋ยวก็มีอารมณ์ไปเองแหละ”

“แล้วถ้ามึงไม่มีอ่ะ”

ผมย้อนถาม นี่แหละคือเรื่องที่ผมกังวล ถ้าคบกันไปนานๆสักวันหนึ่งมันก็ต้องทำ แล้วถ้าพอร์ชทำไม่ได้มันก็อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของเราก็ได้

“ถ้ามึงปล่อยให้กูรักมึง แล้วจู่ๆมาบอกว่ากูไม่ใช่กูตบเลยนะ”

“คิดมาก” พอร์ชหัวเราะในลำคอแล้วใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของผม

“มึงก็พูดง่ายอ่ะ เชี่ยมาก”

ผมเบะปากใส่เขา ห่ารากจริงๆ ตัวเองยังไม่แน่ใจในตัวเองแล้วเสือกมาบอกว่าชอบผม ถ้าชอบผมก็ต้องชอบที่ผมเป็นผู้ชาย มีงูเหมือนกันด้วยดิ ผมไม่คิดจะเฉาะออกนะเว้ย

“ทำไมชอบพูดคำหยาบ” พอร์ชขมวดคิ้วขณะมองมาที่ผม

“แล้วจะทำไมล่ะ”

พอร์ชไม่ได้ตอบว่าทำไมแต่เขากลับโน้มใบหน้าเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว และด้วยความที่ผมไม่ทันตั้งตัวจึงถูกเขาประกบปากจูบอย่างง่ายดาย พอร์ชแช่ริมฝีปากไว้นิ่งๆครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ขัดขืนเขาก็ค่อยๆขบเม้มกลีบปากของผมช้าๆสลับกันทั้งบนและล่าง ก่อนจะเพิ่มจังหวะให้หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

หัวใจของผมเต้นกระหน่ำจนแทบทะลุออกมาจากอก ลมหายใจเริ่มขาดห้วง ผมไม่เคยรู้สึกสั่นสะท้านและทำตัวไม่ถูกแบบนี้มาก่อน ทำได้เพียงแค่เปิดปากให้พอร์ชเป็นฝ่ายรุกรานตามใจชอบ

ในตอนที่เขาสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากของผม ผมเผลอสะดุดลมหายใจของตัวเอง ร่างกายร้อนผ่าวไปหมดราวกับอยู่ในกองไฟ รสจูบของเขากำลังมอมเมาผม ลิ้นของเขาขยับเนิบช้าทว่าเร่าร้อน ผมไม่รู้ว่าถูกเขาจูบมานานแค่ไหนจนกระทั่งเขาค่อยๆถอนลิ้นออกไปจากปากของผม

“ดีมั้ย”

ผมถาม สำหรับผมมันดีมาก แต่สำหรับเขาผมไม่รู้เลย ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำที่กำลังมองมาที่ผม ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบาๆ

“มึงหัวเราะทำไม”

ผมขมวดคิ้วยุ่ง ห่านี่ ทำลายบรรยากาศอีกแหละ เซ็ง

“ดีสิ ทำไมมึงคิดว่าไม่ดีล่ะ หรือมึงจูบไม่เก่ง”

ผมรู้ว่าเขาแค่หยอกผมเล่น แต่ผมแม่งเพิ่งคิดได้ไงว่าเมื่อครู่ตอนที่ผมถูกเขาจูบ ผมแข็งเป็นหินไปเลย ลืมแม้กระทั่งวิธีโต้ตอบด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้พอร์ชต้องคิดว่าผมกากแน่ๆเลย คิดว่าผมไร้น้ำยา แค่จูบก็ทำไม่เป็นอ่ะดิ เสียหายมาก ร้ายแรงสุดๆ

“ใครจูบไม่เป็น นี่กูเสือวินนะครับ ล่ามาเป็นสิบๆรายแล้ว”

ผมว่าก่อนจะเป็นฝ่ายโถมตัวไปทับพอร์ชแล้วประกบปากจูบเขาอย่างดูดดื่ม พอร์ชชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับริมฝีปากจูบผมตอบอย่างหนักหน่วง ยิ่งผมแสดงท่าทางไม่ยอมแพ้ พอร์ชก็ยิ่มจูบผมแรงขึ้น ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นของพวกเรากำลังสัมผัสซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนน้ำใสภายในโพรงปาก รสจูบของพอร์ชทำให้อารมณ์ความกระสันอยากของผมถูกจุดขึ้นมาง่ายๆโดยที่เขาไม่ได้สัมผัสร่างกายของผมด้วยซ้ำ และผมอาจจะหยุดความต้องการนั้นไว้ไม่อยู่จึงต้องยอมแพ้ด้วยการถอนจูบอย่างเสียไม่ได้

“ต่อไปนี้มึงต้องหยุดล่าได้แล้ว”

พอร์ชเอ่ยกับผม ให้ตายสิ ริมฝีปากของเขานิ่มชะมัดเลย ลิ้นก็อุ่นแถมเป็นงานอีกต่างหาก

“ทำให้กูอยากหยุดที่มึงสิ”

ผมท้าทายเขา

ยอมเป็นเกย์ซะดีๆแล้วกูจะปราณีมึงนะพอร์ช


TBC.

ใครสนใจคู่พี่ไวท์พายุสามารถติดตามได้ ที่นี่ (https://www.mebmarket.com/ebook-61306-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99-2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%9A&page_no=1)จ้า มีพี่วินเป็นตัวร้าย^^
ส่วนฉบับหนังสือจะเปิดพรีออเดอร์โดยค่ายดาริน (http://darin-novel.lnwshop.com/)สิ้นเดือนนี้น้า




หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/10/2562 [บทที่14]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-10-2019 12:16:15
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/10/2562 [บทที่15]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 12-10-2019 00:10:05

บทที่ 15 กีฬาสัมพันธ์


“วิน!”

ผมที่กำลังวอร์มร่างกายให้พร้อมสำหรับการซ้อมแข่งขันว่ายน้ำ หันไปตามเสียงเรียก และพบว่าอีกฝ่ายคือไอ้ไวท์ หมอนั่นอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวซึ่งไม่ต่างจากผม

ตัวแทนนักกีฬาว่ายน้ำ (ประเภทชาย) จะถูกส่งมาจากทุกคณะอย่างละหนึ่งคน เพื่อซ้อมแข่งขันว่ายน้ำที่สระส่วนกลางของมหาวิทยาลัย สำหรับงาน ‘กีฬาสัมพันธ์’ ซึ่งถูกจัดขึ้นทุกปีเพื่อสร้างความสามัคคีระหว่างคณะและรณรงค์ในนิสิตหันมาใช้เวลาว่างในการออกกำลังกาย

แม้วันนี้จะเป็นรอบซ้อมแต่ทั่วทั้งอัฒจันทร์ที่โอบล้อมสระว่ายน้ำก็เต็มไปด้วยกองเชียร์จากหลากหลายคณะ โดยเฉพาะสาวๆที่พากันมาดูผู้ชายโป๊ คือผมไม่ได้คิดไปเองนะ แต่ละนางเตรียมทั้งกล้องถ่ายรูป และกล้องส่องทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ไม่คิดบ้างหรือไงว่าผู้ชายก็อายเป็น ถึงผมจะรู้ว่าเป้าหมายที่สาวๆพากันแห่มาก็ส่องคือไอ้ไวท์หรือไม่ก็พวกคนดังคนหล่อ แต่ผมก็ไม่อยากให้รูปของตัวเองติดกล้องใครไปเหมือนกันอ่ะ

“มึงลงแข่งด้วยเหรอวะ”

ไอ้ไวท์เดินมาหยุดยืนตรงหน้าผมแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ อันที่จริงวันนี้เป็นการซ้อมวันที่สามแล้วครับ ซึ่งสองวันแรกตัวแทนของคณะวิศวะไม่ใช่ผมแต่เป็นเด็กปีสองคนหนึ่งที่ชื่อว่า ‘พี’

“เออ”

ผมพยักหน้ารับ ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนว่ายน้ำเก่งระดับนักกีฬามหาลัยอย่างไอ้พี หรือไอ้ไวท์ แต่แม่งช่วยไม่ได้ไงที่ประธานสโมสรนิสิตคณะวิศวะเสือกบังคับกึ่งขู่เข็ญให้ผมมาลงแข่งแทนนักกีฬาตัวจริงเพราะหาคนอื่นไม่ได้แล้ว

“แล้วไอ้พีล่ะ”

“มันเมาแล้วตกบันได”

ผมตอบด้วยความไม่สบอารมณ์ ถ้าให้ไอ้พีลงแข่งในครั้งนี้ โอกาสที่คณะวิศวะจะชนะและกลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้งก็ยังมีอยู่ แต่จู่ๆมีการเปลี่ยนตัวนักกีฬาโดยการให้ผม ซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาว่ายน้ำของคณะเภสัชสมัยอยู่ปีหนึ่งมาลงแข่งแทน คือนอกจากผมจะว่ายน้ำเล่นบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่เคยลงแข่งมาเกือบสามปีแล้วนะ

ให้ตายเหอะ! ไม่รู้รุ่นพี่แม่งคิดเชี่ยไรอยู่ ไม่มีคนอื่นในคณะที่ว่ายน้ำเก่งๆแล้วหรือไงวะ คนเยอะซะเปล่า

“แล้วมันเป็นไงบ้างล่ะ”

ไอ้ไวท์ถามตามประสาเพื่อนร่วมทีมที่เคยไปแข่งขันว่ายน้ำกับมหาลัยอื่นด้วยกัน

“ขาหัก ยังไงก็หายไม่ทัน กูเลยต้องลงแข่งแทน”

ในงานกีฬาสัมพันธ์มีเงินรางวัลตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท เรียกได้ว่าเป็นการกระตุ้นให้อาจารย์และนิสิตจริงจังกับการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ซึ่งเงินรางวัลที่มหาลัยมอบให้แต่ละคณะจะถูกนำไปจัดสรรงบประมาณสำหรับบำรุงห้องเรียนและอุปกรณ์ภายในคณะ ซึ่งขอบอกเลยว่าคณะวิศวะของผมแม่งโคตรยากจนเลยครับด้วยความที่คณะเรามีหลายสาขาและแต่ละสาขาจำเป็นต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมากในการจัดซื้ออุปกรณ์ เครื่องจักร และบำรุงรักษาช็อป

ซึ่งนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนที่ไม่เอากิจกรรมมานานแล้วอย่างผม ยอมสละเวลาในการนอนมาซ้อมว่ายน้ำ คือยังไงก็ตาม ผมยังหวังจะได้ที่สามในการแข่งอยู่นะครับ เพราะถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิด ที่หนึ่งและที่สองต้องเป็นของไอ้พี่พอร์ชหรือไม่ก็ไอ้ไวท์แน่นอน เหตุผลก็คือสองคนนี้คือนักกีฬาตัวจริงของมหาลัย ส่วนคนอื่นๆที่ลงแข่งก็เหมือนกับผมนี่แหละครับ แค่พวกที่ว่ายน้ำได้แต่ไม่ได้ว่ายบ่อยๆ แล้วความยุติธรรมแม่งอยู่ที่ไหนวะ มหาลัยควรจะออกกฎระเบียบนะว่า นักกีฬาตัวจริงของมหาลัยห้ามลงแข่ง แล้วแบบนี้พวกผมก็เสียเปรียบอ่ะดิ จะเอาอะไรไปสู้กับพวกที่ซ้อมบ่อยๆเนี่ยถามจริง

“คณะวิศวะมีแววจะชนะแล้วสิ” ไอ้ไวท์เอ่ยยิ้มๆ

“ตรงไหนวะ” ผมถาม

“มีมึงอยู่ทั้งคน กูจะไปชนะได้ไง ขอแค่เหรียญทองแดง กูก็พอใจแล้ว”

“ไอ้ฉัตรมันแข่งด้วย”

ไอ้ไวท์เปรยขึ้นมาเรียบๆ ซึ่งคำพูดของมันกำลังทำผมงงหนัก คือมึงกำลังจะสื่ออะไรวะ แม้ผมจะเป็นเพื่อนกับมันมานานแต่บางครั้งผมก็ตามความคิดของมันไม่ทันอ่ะครับ

“รู้แล้ว”

“มันเก่งมากเลยนะ”

“เก่งกว่ามึงอีกเหรอ”

ผมถาม คือไอ้ไวท์เก่งระดับไหนผมรู้ดี แต่สำหรับพอร์ชผมไม่รู้ แล้วก็ไม่เคยเห็นสองคนนี้แข่งกันด้วย

“อืม อยากเห็นมันแพ้”

ไอ้ไวท์ขยับยิ้มร้ายกาจ ต้องบอกก่อนนะว่าเพื่อนของผมคนนี้หน้าตาหล่อเหลาแบบคนสุภาพ ซึ่งอย่าให้บุคลิกนุ่มนวลของมันหลอกคุณได้เด็ดขาด เพราะจริงๆแล้วหมอนี่มันร้ายลึก แถมเจ้าแผนการอีกต่างหาก

“มึงก็ขยันซ้อมเข้าสิ”

ผมเอ่ยแบบหวาดๆ เริ่มไม่ค่อยไว้ใจไอ้ไวท์แล้วอ่ะครับ จะหางานอะไรให้กูอีกหรือเปล่า ตอบ!

“กูยอมแพ้มึงดีมั้ย แต่มึงต้องชนะไอ้ฉัตรให้ได้”

ไอ้ไวท์ถามยิ้มๆ ซึ่งประกายบางอย่างในดวงตาสีดำลึกลับทำผมกลัวอ่ะครับ คือมึงอยากชนะแต่ไม่ยอมชนะเองหมายความว่าไงวะ

“ทำไมต้องเป็นกูล่ะ”

“ได้ข่าวว่าคบกัน” ไอ้ไวท์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ยังไม่ได้คบแค่ไปเดท”

“เออ กูน่าจะรู้ว่าไม่ควรเชื่อข่าวจากไอ้ธาม”

ไอ้ไวท์บ่นพึมพำ ถูกของมันครับ การที่คุณจะรับข่าวสารจากเพื่อนธามต้องกลั่นกรองให้ดีเสียก่อน เพราะมันมักจะมีเรื่องจริงผสมอยู่กับเรื่องที่ถูกใส่สีตีไข่ เช่นเรื่องของผมเป็นต้น

“ถ้ามึงชนะไอ้ฉัตรได้ วิศวะเป็นแชมป์ว่ายน้ำของปีนี้เลยนะ”

“แล้วทำไงจะชนะ”

ผมถาม ไม่ใช่ว่าไม่อยากชนะไอ้พี่พอร์ช เพียงแต่มันไม่ง่ายน่ะสิ ไอ้ไวท์กวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“ขอไอ้ฉัตรสิ บอกมันว่ามึงอยากชนะ”

“แค่เนี๊ย?”

ผมถามเสียงสูง ง่ายไปปะมึง ใครๆก็อยากให้คณะของตัวเองชนะทั้งนั้นแหละ เรื่องอะไรจะมายอมอ่อนข้อให้คนอื่น แม่งเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายหมดว่ะ

“ถ้ากูขอแล้วกูจะได้เลยใช่มั้ย”

ผมประชด ซึ่งอีกฝ่ายกลับขยับยิ้มกวนๆให้ผม

“ใช่ ถ้ามึงขอ มึงจะได้”

“แล้วมึงไม่อยากให้คณะแพทย์ชนะหรือไง”

“คณะแพทย์คว้าเหรียญทองมาสี่รายการแล้ว กูสงสารคณะมึงมากกว่า น่าจะได้สักเหรียญทองนะ”

ผมได้ข่าวมาว่าคณะแพทย์คว้าเหรียญทองในการแข่งขันบาสเกตบอล (ประเภทชาย) แบดมินตัน (ประเภทคู่,หญิง) และกรีฑา (ประเภททีมและประเภท 800 เมตร) แล้วลองคิดดูนะว่าปีนี้คณะแพทย์จะได้รับเงินสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยกี่บาท ยังไม่นับรวมว่าคณะแพทย์ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลเพราะโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยถือเป็นส่วนหนึ่งของคณะแพทย์ ซึ่งถือว่าเป็นคณะที่มีเงินหมุนเวียนดีที่สุดแล้วอ่ะ แล้วนี่พวกมึงยังจะหน้าด้านหน้าทน แย่งเงินจากกีฬาสัมพันธ์ไปอีกเหรอวะ แย่ๆ แบ่งให้คณะอื่นหน่อยก็ไม่ได้ วินเซ็งครับ

ผมส่ายหน้าด้วยความปลงตกก่อนจะเหลือบไปมองบนอัฒจันทร์ และเห็นว่าพายุคนน่ารักกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว

“สงสารคณะกู หรือสงสารเมีย”

ผมย้อนถามไอ้ไวท์ ที่เริ่มทำหน้าไม่ถูก แหม ทำมาเป็นสงสารคณะกู อยากให้วิศวะได้เหรียญทองบ้างเพราะเมียจะได้หน้าบานก็บอกมาเถอะ

“แล้วฉัตรมันหายไปไหน ทำไมไม่มาซ้อม”

พอถูกจับได้มีเปลี่ยนเรื่องเลยว่ะ

“มันบอกว่ามีคุยโปรเจคกับอาจารย์ที่ปรึกษา” ผมตอบ

“บอกมันหรือยังว่าลงแข่ง”

“บอกแล้ว” ผมไลน์ไปบอกพอร์ชตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ซึ่งหมอนั่นก็อ่านแล้วแต่ไม่ได้ตอบ





เวลา 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลานัดหมาย นักกีฬาว่ายน้ำที่วอร์มร่างกายพร้อมแล้วก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นสำหรับเตรียมปล่อยตัวนักกีฬา เมื่อได้ยินสัญญาณจากกรรมการทุกคนก็กระโดดลงสระว่ายน้ำขนาด 50 เมตร โดยนักกีฬาทุกคนต้องว่ายในท่าฟรีสไตล์เมื่อกลับตัวจากขอบสระอีกฝั่งหนึ่งแล้ว นักกีฬาสามารถเลือกว่ายกลับมาอีก 50 เมตรด้วยท่าใดก็ได้ที่ตนเองถนัด (ท่าผีเสื้อ ท่ากรรเชียง และท่ากบเท่านั้น ห้ามใช้ท่าฟรีสไตล์) คือผมจะบอกว่าผมแม่งถนัดอยู่ท่าเดียวไง ซึ่งก็คือฟรีสไตล์ ในตอนที่ว่ายน้ำไปกลับตัวที่ขอบสระอีกฝั่งผมทำเวลาได้ดี แต่ในตอนที่ว่าย กลับมาด้วยท่ากรรเชียงผมเข้าแตะขอบสระเป็นคนที่หก ซึ่งถือว่าแย่มาก

ห่าเอ๊ย ใครเป็นคนคิดกติกาวะเนี่ย คิดบ้างมั้ยว่าบางคนมันว่ายน้ำได้ท่าเดียว ไม่ได้เป็นนักกีฬามหาลัยกันทุกคนนะเว้ย แค่นักกีฬาจำเป็นอ่ะรู้จักเปล่า

“เชี่ยวิน”

ผมที่กำลังยืนหอบหายใจอยู่ริมสระว่ายน้ำหันไปตามเสียงเรียกและเห็นว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนสนิทของผมสมัยที่ยังเรียนอยู่คณะเภสัช หมอนั่นมาเป็นตัวแทนนักกีฬาว่ายน้ำของคณะเภสัชอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ว่าไง เชี่ยแม็ค”

เจ้าตัวขยับยิ้มเมื่อผมเรียกชื่อของมันด้วยการเติมคำนำหน้าเช่นกัน ช่วยไม่ได้อ่ะ ก็มันอยากเติมเชี่ยให้ผมก่อนทำไมล่ะ ผมก็ต้องเติมให้มันสิ เพื่อความเท่าเทียมอ่ะครับ

“ไม่เห็นหัวนานเลยนะ ได้เพื่อนใหม่แล้วลืมเพื่อนเก่าเหรอวะ”

ไอ้แม็คหยอกผมด้วยรอยยิ้มกวนตีนที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ตอนนี้นักกีฬากำลังผลัดกันซ้อมว่ายน้ำโดยจับเวลากันเอง ซึ่งตอนนี้ผมขอพักก่อน ไม่ได้ว่ายน้ำมานานแล้วเหนื่อยเป็นบ้าเลยครับ

“โทษๆ มึงมันไม่สำคัญด้วยไง”

ผมว่า จริงๆแล้วเมื่อก่อนผมกับไอ้แม็คสนิทกันมาก คือตั้งแต่ย้ายมาเรียนคณะวิศวะผมก็ลืมมันไปเลย แล้วมันก็ดูเหมือนจะลืมผมเช่นกัน เพราะมันไม่ได้มีการติดต่อมาเลย มากสุดก็แค่กดไลท์รูปหรือสเตตัสในเฟสบุ๊คของผมก็เท่านั้น

“น้อยใจ”

ผมส่ายหน้าด้วยความหมั่นไส้เมื่อจู่ๆไอ้เพื่อนแม็คก็ออกอาการตอแหล โดยการทำหน้าแอ๊บแบ๊วใส่ผมซะงั้น แล้วไอ้ผมมันก็คนมือไวตีนไวด้วยสิครับ จึงเผลอยกขาขึ้นมาหวังจะเตะอีกฝ่ายให้ตกลงไปในสระ แต่พื้นกระเบื้องที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำทำให้ผมเสียหลักและลื่นตกลงไปในสระว่ายน้ำแทน ซึ่งโชคดีที่มือของผมทันคว้าแขนไอ้เพื่อนเวรให้ตกลงมาพร้อมกันได้ นับว่าไม่ขาดทุนแล้วครับ

พรืดดดดดด

ตูมมมมมมมม!!!!!

กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!

อ๊ายยยยยยยยยยยยย!!!

สาวๆเขากรี๊ดอะไรกันครับ ไม่เคยเห็นคนหล่อตกน้ำเหรอถามจริง!

 

 

ผมได้รับคำตอบว่าสาวๆบนอัฒจันทร์กรีดร้องกันเรื่องอะไร ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตอนที่ผมกลับมานั่งกินข้าวกล่องตรงหน้าโน๊ตบุ๊คในหอพักแล้ว ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคือเพจ Sexy Boy ที่ผมไม่ได้เข้าไปเสพรูปผู้ชายมานานมากแล้ว เอ่อ จริงๆผมแค่เข้ามาส่องว่าจะมีรูปของผมหลุดติดมาบ้างหรือเปล่า และถ้ามีผมหวังว่าจะไม่ถูกเผาแบบวอดวายนะครับ

คืออย่างที่รู้ๆกันว่าในสังคมตอนนี้จะมีคนบางคนที่ชีวิตมันว่างมากเกินไป นอกจากจะชอบเสพเรื่องของชาวบ้านไม่พอยังหาเรื่องเผาได้แบบ…เจ้าตัวอาจจะสงสัยว่ากูเคยไปเผาบ้านมึงหรือเปล่าทำนองนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมจะระแวงมากเวลาที่ต้องยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คน คือผมไม่อยากมีตัวตนอยู่ในสายตาของชาวบ้านไง แม่ง ทำไรนิดหน่อยก็โดนด่าแล้ว ขนาดพายุที่ไม่ได้ทำอะไรแค่เป็นแฟนของไอ้ไวท์ยังโดนลากไปด่าได้อ่ะคิดดู

 

เค้าเล่นอะไรกันไม่รู้แต่หนูฟิน

#พี่แม็คเภสัชปี4

#กราบขออภัยพี่คนหล่อในภาพด้วยนะคะ น้องไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร

#ใครรู้จักคนในภาพอินบ๊อกซ์มาบอกเราได้น้า

ข้อความทั้งหมดถูกโพสต์ลงแฟนเพจ Sexy Boy เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ซึ่งในภาพก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย กูเองเนี่ยแหละ

ภาพของผมกับไอ้แม็คถูกโพสต์เป็นอัลบั้ม มีภาพที่ไอ้แม็คทำหน้าส้นตีนใส่ผม ซึ่งพอถ่ายภาพออกมาแล้วเสือกดูดี เหมือนกำลังทำหน้าอ้อนแฟนไปอีก คนหน้าตาดีทำอะไรก็ดีจริงๆครับ ส่วนภาพต่อมากล้องซูมมาที่ใบหน้าของผมพอดี ผมกำลังทำหน้าแปลกๆเหมือนคนอึไม่ออกอ่ะครับ แล้วก็มีภาพที่ผมเตะไอ้แม็ค ภาพที่พวกเราตกลงไปในสระว่ายน้ำพร้อมกัน และภาพสุดท้ายที่เชี่ยสุดเพราะมุมกล้องของคนถ่ายก็คือภาพที่ไอ้แม็คดึงผมขึ้นมาจากสระว่ายน้ำ มันดูเป็นโมเม้นต์หวานเชื่อมแปลกๆ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรด้วยซ้ำ

จากตอนแรกที่ผมคิดว่าอาจจะมีกระแสคอมเม้นต์ไปในทางลบ กลับกลายเป็นว่ามีเรือผีโผ่ลมาซะงั้น ให้ตายเถอะ อารมณ์ของการมีแฟนคลับมันเป็นแบบนี้เองเหรอวะ

 

คอมเม้นต์ 1 : พี่คนนั้นใครไม่รู้แต่โคตรน่ารักเลยอ่ะ แค่สายตาที่มองกันมันก็ชัดเจนแล้วว่ามีอะไรๆ

#ไม่ต้องพูดมากน้องเจ็บคอ #ทีมพี่แม็ค #พี่คนหล่อคือใคร

คอมเม้นต์ 2 : หล่อจัง หุ่นเคะมาก นี่มันเคะในฝันชัดๆเลย แอดมินนนนน ทำม้ายยยย ทำไมเพิ่งมีรูปพี่คนหล่ออ่ะ น้องอยู่มอ N มาหนึ่งปีแล้วทำไมเพิ่งเห็น

#พี่คนหล่อคือใคร #พี่แม็ค #น้องอยากพายเรือคู่นี้

คอมเม้นต์ 3 : งานดีสุดๆ พรุ่งนี้ฉันต้องไปส่องผู้บ้างแล้ว

#ขอให้ชาวสีม่วงจงเจริญ #พี่คนหล่อคือใคร #SexyBoyมอN

Trrrrrrrrrrrrrrrr

ผมที่กำลังนั่งส่องคอมเม้นต์เพลินๆถึงกับสะดุ้งเมื่อไอโฟนของผมแผดเสียงร้อง ผมเหลือบตาไปมองไอโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัว หน้าจอกำลังสว่างพร้อมกับแสดงว่ามีสายเรียกเข้าจากพอร์ช

“ว่าไง”

ผมกดรับสายแล้วยกไอโฟนมาแนบกับใบหู

“กูไม่ไปซ้อมว่ายน้ำแค่วันเดียว มึงถึงกับไปนัวเนียผู้ชายคนอื่นแล้วเหรอวะ!”

ผมรีบยกไอโฟนออกห่างจากใบหูแทบไม่ทัน ห่าเอ๊ย ตะโกนมาได้ไอ้บ้าพอร์ช

“กูเนี่ยนะไปนัวเนียผู้ชาย?”

ผมถามด้วยความงุงงง ก่อนที่ความเข้าใจจะแล่นเข้ามาในสมองเมื่อสายตาเหลือบกลับไปมองรูปภาพในแฟนเพจ Sexy Boy

อา…แอดมิน มึงหางานให้กูนะรู้ยัง

“มึงแอบคุยกับไอ้แม็คเหรอ สารภาพมาเดี๋ยวนี้เลย”

พอร์ชถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างซีเรียส ให้ตายเถอะ ผมว่าหมอนี่ขี้หึงสุดๆไปเลยอ่ะ แต่นับว่าเป็นโชคดีตรงที่หมอนี่เป็นคนตรงๆ อยากรู้อะไรก็ถามตรงๆ ด่ากันตรงๆ ผมไม่จำเป็นต้องไปมโนต่อเองว่าเขาโกรธเรื่องอะไร หรือกำลังไม่พอใจเรื่องอะไร

“ทำไมมึงขี้หึงจังวะ”

ผมบ่นพึมพำ ตั้งแต่เกิดมาวินไม่เคยโดนหึงมาก่อนเลยครับแม่ ปกติมีแต่ผมที่ไปหึงเขา แถมเขาที่ว่าก็คือแฟนของคนอื่นด้วยอ่ะดิ

“กูถามมึงอยู่นะวิน” พอร์ชถามย้ำ ผมสัมผัสได้ถึงความอดทนที่ค่อยๆลดน้อยลงของเขา อย่างที่รู้ๆกันว่าหมอนี่ใจร้อนแล้วก็เอาแต่ใจมาก

“กูไม่ได้นัวเนีย แล้วก็ไม่ได้แอบคุยกับคนอื่นด้วย”

“รีบอธิบายมาเดี๋ยวนี้!”

“ใจเย็นครับพี่ มึงตะคอกจนกูกลัว ฉี่จะราดแล้ว ห่า!”

ผมว่าก่อนจะรีบอธิบายเรื่องของแม็คให้พอร์ชฟังอย่างรวดเร็ว คือผมไม่อยากเห็นคุณชายท่านองค์ลงเลยครับ

“คือกูกับไอ้แม็คเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยที่กูเรียนเภสัช แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันมานานมากแล้ว เพิ่งคุยกันที่สระว่ายน้ำวันนี้…แค่นั้นเอง”

“แล้วภาพที่กูเห็นในเพจ Sexy Boy มันคืออะไร”

คำถามของหมอนี่แม่งหาเรื่องกันชัดๆเลยว่ะ คือผมไม่ได้เป็นคนถ่ายรูปแล้วเอาไปโพสต์ในที่สาธารณะสักหน่อย เป็นความผิดของผมที่ไหนกัน

“มึงก็ไปถามอีคนถ่ายรูปกับคนลงรูปสิ มโนกันไปเองมั้ยล่ะ”

พอร์ชเงียบไปครู่หนึ่ง อาจจะนานกว่าหนึ่งนาทีก่อนที่เขาจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาก…อารมณ์ของเขาตอนนี้ เหมือนหน้ามือกับหลังมือเลยอ่ะครับ

“ไม่ได้คุยกันแน่นะ”

“เออ”

“มึงชอบมันหรือเปล่า”

“ไม่เคยพิศวาสเลย”

ผมตอบ ต่อให้ไอ้แม็คหล่อมากกว่านี้ผมก็ไม่แล สำหรับผม…เพื่อนกันมันไม่เกิดอารมณ์จริงๆอ่ะ

“แล้วชอบกูมั้ย”

ผมขยับยิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนของพอร์ช ถ้าบอกว่าหมอนี่เป็นไบโพล่าผมก็เชื่ออ่ะครับ

“เออ”

อันที่จริงพอร์ชเป็นคนที่ร้ายกาจ ชอบคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง พูดจาไม่รักษาน้ำใจคนอื่น แต่ไม่รู้ทำไม…ผมกลับสัมผัสได้ว่าตอนที่เขาอยู่กับผม หรือพูดกับผมเขาได้ลดความร้ายกาจของตัวเองลงมามากแล้ว แต่เรื่องความกวนตีนหน้าตายยังต้องรอดูกันต่อไป

“วิน”

“อะไร”

“ไปหาได้มั้ย ห้องกูมันเงียบ กูต้องการเพื่อนคุย”

ผมแอบหัวเราะแบบไม่มีเสียง ไอ้คนปากแข็งเอ๊ย อยากเจอกู คิดถึงกูก็สารภาพมาตรงๆเถอะ

“มันดึกแล้วจะมาทำไม”

ผมแกล้งทำเสียงห้วนใส่พอร์ช ที่จริงแล้วผมก็อยากเจอเขาเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้เจอหน้าหมอนี่แค่หนึ่งวันแต่ใจของผมมันโคตรโหยหาเลยอ่ะ ต้องการการเติมเต็มมักๆ

“แค่ทุ่มกว่า บ้านมึงเรียกดึกเหรอ”

แหม มีย้อน! ทำตัวน่ารักสักหนึ่งนาทีไม่ได้เลยนะมึง

“มาแล้วจะกลับตอนไหนล่ะ ขับรถดึกๆมันอันตราย”

ประโยคแบบนี้สำหรับผมแล้วไม่ได้เรียกว่าเป็นห่วงนะครับ แต่เรียกว่าให้ท่า!

“งั้นนอนกับมึงเลยได้มั้ยล่ะ”

ผมยิ้มกว้าง ไอ้พี่พอร์ชยอมงับเหยื่อง่ายๆแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย…แล้วผมจะปฎิเสธคำขอนั้นได้อย่างไรล่ะครับ ผมเป็นคนดีขนาดนี้แล้วอ่ะ

“ตามใจมึงสิ”


:mc4: https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/


TBC.


 
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/10/2562 [บทที่15]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 12-10-2019 11:12:23
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/10/2562 [บทที่15]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-10-2019 11:32:32
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 18/10/2562 [บทที่16]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 18-10-2019 00:11:44
บทที่ 16 เปิดโลกทัศน์



 

“พี่พอร์ช”

ผมเอ่ยเรียกคนที่กำลังเอนหลังดูทีวีอยู่บนเตียงนอนของผม หมอนั่นเหลือบสายตามามองก่อนจะยกแขนขึ้นมาโอบไหล่แล้วดึงร่างของผมให้เอนไปพิงกับร่างของเขา

“อยากได้อะไร”

พอร์ชถาม นัยน์ตาสีดำที่กำลังทอดมองมาที่ผม เป็นประกายซุกซนต่างจากในตอนปกติ…คือกูมีเรื่องจะขอก็จริง แต่มึงจำเป็นต้องรู้ทันทุกเรื่องมั้ยฮะ

“ทำไมคิดว่ากูจะขออะไรล่ะ”

“เพราะมึงกำลังอ้อนกูอยู่”

ผมยู่ปากใส่เขา ห่าพอร์ชไม่ได้ซื่อบื้อนะครับ แค่บางครั้งเขานิ่งมากเกินไปจนผมตามไม่ทัน ไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่รู้ อีกอย่างผมคิดว่าหมอนี่เป็นคนที่ใจเย็นแบบแปลกๆ อย่างเรื่องจับชู้กลางห้องเรียน ไม่เข้าใจว่าทำไมเขายอมนั่งฟังลิซ่าคุยกับชู้อยู่ได้ตั้งนานก่อนจะอาละวาด

“วันนี้กูไปซ้อมว่ายน้ำ เจอไอ้ไวท์ด้วย” ผมเกริ่น ซึ่งพอร์ชทำเพียงแค่ขานรับในลำคอเพื่อรอฟังสิ่งที่ผมต้องการจะขอจากเขา

“อืม”

“มันบอกว่ามึงเก่งมากเลยนะ”

ผมเชื่อที่ไอ้ไวท์บอกทุกอย่างเลยครับ เพราะหมอนั่นเป็นพวกมองลักษณะนิสัยของคนออก แล้วมองใครนี่มองลึกไปถึงไส้ติ่งเลย ดังนั้นผมจึงคิดว่าถ้าพอร์ชไม่ใช่พวกใจอ่อนก็เป็นพวกสายเปย์ แบบขออะไรได้ทุกอย่างอ่ะ

“แน่นอน” ไอ้พี่พอร์ชตอบรับแบบไม่อายปาก ครับพี่ วินเชื่อแล้วว่าเก่งจริงๆ

“มึงคิดว่าใครจะได้แชมป์” ผมลองหยั่งเชิง

“ต้องกูอยู่แล้ว”

นั่นไง ความมั่นหน้านี้…

“ที่สองล่ะ”

“น่าจะไอ้ไวท์”

จ้ะ! ตามนั้นก็ได้

“ที่สามล่ะ”

พอร์ชเอียงคอมองผม ก่อนจะปฎิเสธหน้าตาย

“ไม่ใช่มึงหรอก”

เชี่ยนี่! มีความเชื่อมั่นในตัวกูสูงมาก เชื่อว่ากูกากสินะ

ผมรู้สึกขัดใจชะมัดเลย แต่โมโหไม่ได้ ไม่เอา ผมกำลังจะออดอ้อนพอร์ช ดังนั้นผมจะเหวี่ยงใส่เขาไม่ได้ เดี๋ยวแผนการพังพินาศ

“แต่กูอยากได้อ่ะ” ผมเอ่ยขอดื้อๆเลย กูจะเอา ให้กูได้ปะล่ะ นี่คนชอบกันอยู่นะเว้ย ใจใจหน่อย

“จริงๆอยากได้แชมป์เลย ถ้ามึงยอมให้กูนะ” พอร์ชยกมือขึ้นมากอดอก เอนหลังพิงหมอนใบใหญ่แล้วเหลือบตามามองผมแบบกวนประสาท

“มึงเห็นว่ากูเป็นคนใจดีขนาดว่าขออะไรก็ได้เหรอ”

ไม่นะเพื่อนไวท์ มึงจะทำนายผิดพลาดไม่ได้ เชี่ยพอร์ชมึงต้องอ่อนโยนกับกูมากกว่านี้เด้

“มึงยอมให้กูสักคนไม่ได้เหรอ มึงชอบกูนะพอร์ช”

ผมถาม แล้วเอนศีรษะไปซบไหล่ของพอร์ช นาทีนี้กูน่ารักสุดๆแล้วนะมึง ถ้าน่ารักกว่านี้คือไม่ใช่กูแล้ว แต่เป็นผีบ้าเข้าสิงอ่ะ

“กูจะยอมให้แค่คนๆเดียว” พอร์ชเปรยขึ้นมาเรียบๆ ซึ่งเรียกความสนใจจากผมได้ทันที จะใครล่ะ ต้องกูดิ กู กู…

“ใคร?”

“คนที่เป็นแฟนกู”

ผมยิ้มค้าง เดี๋ยวนะ! พอร์ชกำลังหมายความว่าอยากให้ผมเป็นแฟนเขา หรือกำลังจะบอกว่าถ้ามึงไม่ใช่แฟนก็เงียบไปซะ?? งงในงง เอาวะ นาทีนี้ผมต้องมั่นหน้า อ่อยสุดตัวขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องได้กันแล้วอ่ะ

“ถ้ากูได้แชมป์ กูจะยอมเป็นแฟนมึง” ผมจับไหล่ทั้งสองข้างของพอร์ชให้หันมาเผชิญหน้าแล้วเอ่ยด้วยความจริงจัง ซึ่งทำให้หมอนั่นชะงักไปครู่หนึ่ง

เฮ้ย ไรอ่ะ อย่าเงียบไปแบบนี้ดิ วินใจคอไม่ดีนะครับ





“ไม่อ่ะ ต่อให้ไม่ได้แชมป์มึงก็ต้องเป็นแฟนกู”

คำตอบของพอร์ชทำให้ผมเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไอ้แมงกะพรุนมีพิษ! ผมถึงกับคิดคำด่าไม่ออก เพราะนึกว่าจะถูกหมอนั่นปฎิเสธซะอีก ถ้าเขาตอบว่าไม่อยากเป็นแฟนของผมก็ใจหมาเกินไปแล้วเนอะ

“มึงไม่มั่นใจในตัวเองใช่มั้ยว่าจะทำให้กูชนะได้” ผมเอ่ยยั่วซึ่งหมอนั่นก็ยอมร่วมมือกับผมแต่โดยดี นับว่าได้กำไลแล้วครับ

“โอเค กูจะทำให้มึงได้แชมป์”

“พูดแล้วนะ” ผมย้ำแล้วยื่นนิ้วก้อยให้พอร์ช เขาขมวดคิ้วมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกผมคิดว่าจะถูกด่าว่า ‘มึงทำอะไรปัญญาอ่อน’ แต่เขากลับยอมยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับนิ้วของผมแบบง่ายๆ…น่ารักชะมัดเลย

“กูยอมให้มึงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่านักกีฬาคนอื่นจะยอมให้มึง”

พอร์ชบอกกับผม ซึ่งถูกของเขาเหละครับ ใครๆก็อยากให้คณะของตัวเองชนะทั้งนั้น ยกเว้นไอ้ไวท์ไว้คนหนึ่งนะ อันนี้อยากให้คณะของเมียชนะ

“กูรู้ แต่ไอ้ไวท์ไม่ใช่ปัญญา…เชื่อกูสิ”

พอร์ชหรี่ตามองผมราวกับไม่เชื่อถือในคำพูด แต่เขาไม่ได้ถามว่าทำไม คือหมอนี่รู้อยู่แล้วอ่ะว่าผมกับไอ้ไวท์และไอ้ธามคือแก๊งเดียวกัน

“โอเค ตัดกูกับไอ้ไวท์ออกไป มึงก็ต้องเก่งกว่าอีกสิบสามคนที่เหลือ คิดว่าทำได้มั้ย”

ในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่มีทั้งหมด 16 คณะ ตัดนักกีฬาตัวแทนจากคณะแพทย์และบริหารออกไป ผมจะต้องเก่งกว่านักกีฬาจาก 13 คณะที่เหลือ ซึ่งที่จริงผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรอ่ะ เพราะผมว่ายน้ำท่าอื่นกากหมดยกเว้นท่าฟรีสไตล์

“ต้องได้สิ ในเมื่อกูมีมึงอยู่ทั้งคน” ผมหันไปประจบพอร์ช ไม่รู้แหละ ต่อให้กากยังไงพอร์ชจะต้องทำให้ผมเก่งขึ้นมาให้ได้เลย 

“งั้นวันเสาร์นี้ไปซ้อมกัน โอเคมั้ย”

“ได้ๆ” ผมรีบตอบรับก่อนที่หมอนี่จะเปลี่ยนใจ วันแข่งขันใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ผมจะต้องตั้งใจซ้อมให้หนักเลย

“พอร์ช” ผมเรียกแล้วสะกิดแขนของเขาเบาๆ

“หืม”

“ในฐานะที่มึงเป็นคนดีมีน้ำใจต่อกู กูจะมีน้ำใจต่อมึง” ผมยิ้มแฉ่ง ก่อนจะขยายความถึงความมีน้ำใจของตัวเอง “ดูหนังกันมั้ย กูมีแผ่นเยอะมากเลยนะ”

“ก็ดูอยู่เนี่ย” พอร์ชตอบก่อนจะใช้รีโมทในมือชี้ไปทางทีวี

“ละครหลังข่าวแม่งน่าเบื่อ เดี๋ยวก็ตบกันแย่งผัวอีกเชื่อกูดิ…นั่นไง!”

ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ ตัวร้ายในทีวีก็ตบกับนางเอกของเรื่องแล้วอ่ะครับ คือบทนางเอกผู้น่าสงสารไม่มีในสังคมยุคนี้แล้วใช่เปล่า เพราะนางเอกก็ใช่ย่อยเลยน้า ตบตัวร้ายซะจมูกเบี้ยวไปเลยครับ

“งั้นเปิดหนังก็ได้”

เมื่อได้รับคำตอบตกลงจากพอร์ช ผมก็กระโดดลงจากเตียงแล้วมุดเข้าไปค้นหาสมบัติที่ถูกสะสมไว้ในกล่องใต้เตียงนอน นี่ไม่ใช่แผ่นจริงครับ แผ่นผีทั้งนั้น เกรงว่าหากวันหนึ่งตำรวจบุกห้อง ผมจะโดนข้อความละเมินลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา แถมบางครั้งผมคนมีน้ำใจก็ไรท์แผ่นผีพวกนี้ไปแจกเพื่อนฝูงทั้งสาขา

ชั่วไปอีกนะกู! เด็กๆดูไว้ วินเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ห้ามลอกเรียนแบบ

“มึงชอบแนวไหน แอคชั่นหรือสยองขวัญ” พอร์ชชะโงกหน้ามาถาม ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะหนังแบบนั้นกูไม่ดูหร๊อก

“ไม่ทั้งสองอย่าง กูมีดีกว่านั้นเยอะเลย” ผมยกกล่องพลาสติกที่เก็บแผ่น DVD ไว้เกือบหนึ่งร้อยแผ่นมาวางบนเตียงตรงหน้าของพอร์ช

“เลือกที่มึงอยากดู” ผมเอ่ยอย่างคนมีน้ำใจ บอกเลยว่าของพวกนี้ผมหวงมาก ถ้าไม่ใช่พอร์ช ผมไม่ให้เลือกทุกแผ่นแบบนี้หรอกนะ

“วิน” พอร์ชเอ่ยเรียกผมด้วยสีหน้าลำบากใจ เฮ้ย มึงไม่ต้องเกรงใจนะพอร์ช กูเต็มใจให้มึงเลือกจริงๆครับ

“รู้สึกว่ามึงจะมีแต่หนังผู้ใหญ่อย่างเดียวเลยนะ” พอร์ชเหลือบตามามองผมด้วยท่าทางแปลกๆ

เอ๊า! แล้วมันแปลกตรงไหนล่ะ ผมเป็นผู้ใหญ่อายุเกิน 18 ปีแล้ว เรตนี้ดูได้ครับ

“หรือมึงไม่มี”

“ไม่มีสักแผ่น”

“ไม่เชื่ออ่ะ”

“กูโหลดฟรีมาดู” พอร์ชตอบ

“เดี๋ยวติดไวรัส” ผมกรอกตามองบน แหม มึงนี่ไม่ลงทุนเลยนะ

“เลือกเดี๋ยวนี้ กูจะสอนเพศศึกษาให้”

“เอาจริงดิ” พอร์ชถามด้วยสีหน้าหวาดๆ เฮ้ย มึงจะกลัวอะไรกับอีแค่หนังโป๊เกย์ ต่อให้มึงไม่เคยดู มึงก็ถึงเวลาต้องดูได้แล้ว

“คิดจะเป็นแฟนกูมึงต้องเป็นงาน เลือกเดี๋ยวนี้เลย!”

ผมเร่ง พอร์ชกวาดสายตามองแผ่นหนังในกล่องสมบัติครู่หนึ่ง ผมคิดว่าท่าทางของเขาดูจะคิดหนัก ก่อนจะถอนหายใจปลงๆแล้วโยนมาให้ผมเลือก

“มึงเลือกเรื่องที่ชอบมาเลย กูชอบเหมือนมึงนั่นแหละ”

หึ! ไอ้ลูกศิษย์ไม่รักดี ช่างไม่มีความกระตือรือร้นเอาซะเล้ย ไม่เหมือนผมสมัยมัธยมอ่ะ ถ้าครูเอาเรื่องแบบนี้มาสอนให้ห้องเรียนนะ ผมตั้งใจเรียนตายห่า

คนอย่างพอร์ชแม่งแย่จริงๆเนอะ!



 

“วิน”

“ฮะ” ผมที่กำลังยัดมันฝรั่งทอดกรอบใส่ปากขานรับไปแบบส่งๆ ห่าพอร์ช มึงอย่าเพิ่งเรียกกูตอนนี้ดิ มันเสียสมาธินะรู้มั้ย หนังยิ่งกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่ด้วย

“มึงชอบแบบนี้เหรอ”

ผมทำหน้าคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง อืม…ไอ้คำว่าแบบนี้มันคือแบบไหนอ่ะครับ ถ้าหมายถึงแบบที่ในทีวีกำลังฉายอยู่ตอนนี้ก็…เป็นฉากที่นายเอกของเรื่องผู้มีผิวขาวราวกับหยวกกล้วย ถูกพระเอกมัดข้อมือทั้งสองข้างติดไว้กับเตียง และมีออฟชั่นเสริมเป็นผ้าปิดตาสีดำ แม่งเร้าใจสุดๆไปเลยอ่ะ วินตื่นเต้น!

“ชอบหลายแนว แล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้น”

จะโซ่ แส้ กุญแจมือผมก็ชอบทั้งนั้นครับ จะปกติหรือเบสิกทั่วไปก็ได้อีกนั่นแหละ แต่เอาตรงๆนะ ผมชอบความเร่าร้อนดุเดือดครับ มีเซ็กส์ท่าไหนก็ได้ แต่ต้องถึงใจ ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มจะหน้ามืดแล้วเพราะไม่ได้มีเซ็กส์มายาวนานหลายเดือน แถมไม่มีอารมณ์ช่วยตัวเองมาพักใหญ่แล้วด้วย

“พอร์ช” ผมวางถุงขนมไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วหยิบน้ำดื่มมากระดกใส่ปาก

“หืม”

“มึงชอบแบบไหน”

“อะไรนะ” พอร์ชหันมามองหน้าผมแบบงงๆ โธ่ ไอ้อ่อน แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ พวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ มันก็ต้องมีคนยอมทำหน้าที่ผู้หญิงสักคนอ่ะ หรือเรียกแบบเป็นทางการหน่อยก็เป็นฝ่ายรับไงโว้ย

“ในหนังอ่ะ มึงชอบพระเอกหรือนายเอก”

“ไม่รู้สิ” พอร์ชหันกลับไปมองคนสองคนในทีวีที่กำลังสมสู่กับอย่างร้อนแรงก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธ

เฮ้อออ งานยากแหละ หรือผมจะเร่งรัดเขามากเกิดไป ผมข้ามขั้นตอนไปสินะ

“งั้นมึงอยากเป็น ‘คนทำ’ หรืออยาก ‘โดนทำ’ ล่ะ”

“กูไม่อยากโดนเอาแน่ๆอ่ะ”

พอร์ชปฎิเสธทันที ซึ่งผมคาดไว้อยู่แล้ว พอร์ชก็เหมือนไอ้ไวท์นั่นแหละครับ มันเป็นผู้ชายแมนๆที่ชอบผู้หญิงมาโดยตลอด จู่ๆให้มาเอากับผู้ชายก็เหลือเชื่อมากพอแล้ว ถ้าจะให้ข้ามขั้นไปเป็นฝ่ายรับทันทีก็ออกจะโหดร้ายไปหน่อย เอาเป็นว่าผม…ที่สะสมประสบกามมาพอสมควรจะยอมเป็นฝ่ายรับเองล่ะกัน

“เอางี้ ถ้ามึงคิดจะเป็นฝ่ายรุก มึงต้องศึกษานายเอกในทีวีไว้ ทำไงจะเสียว หรือทำไงนายเอกจะฟินอ่ะ”

“แล้วปกติมึงเป็นแบบไหน” พอร์ชหันมาถามผมซื่อๆ ถามจริงมึงคิดว่าคนอย่างกูจะชอบการเป็นรับมั้ยล่ะฮะ!

“กูรุกมาตลอด”

“มึงคงไม่คิดจะปล้ำกูใช่มั้ยวิน”

หมอนั่นมองผมด้วยสายตาจริงจัง คือถ้าผมคิดจะโผเข้าใส่พอร์ชแม้แต่นิดเดียวละก็ คิดว่าเขาคงพร้อมจะยกฝ่าเท้าขึ้นมายันผมกลับแน่ๆ

“ถ้ากูยอมให้มึงปล้ำมึงจะโอเคมั้ย” ผมถามซึ่งเขาก็รีบพยักหน้ารับทันที

“โอเค”

แหม ทีแบบนี้ล่ะเร็วเชียว มึงไม่ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัวนี่หว่า เอาจริงๆนะ ผมคิดว่าตัวเองแมนพอ แล้วก็ชอบพอร์ชมากพอที่จะเจ็บแทนเขาได้ อีกอย่างผมหวังว่ามันจะฟินเหมือนกับที่อดีตคู่ขาของผมรู้สึกนะ คือผมเชื่อใจพอร์ชได้จริงๆใช่มั้ยเนี่ย หมอนั่นจะเป็นงานแน่มั้ยนะ

“ได้ งั้นมึงศึกษาทฤษฎีให้ดี กูไม่ชอบคนกากเรื่องบนเตียง”

ผมสั่งสอนพอร์ชแบบคนท่ามาก ก่อนจะหันไปสนใจนายเอกของเรื่องที่กำลังครางกระเซ้าอยู่บนเตียง
“วิน”
งื้ออออ สะกิดกูทำไมเล่า กูกำลังตั้งใจเรียนวิชาสุขศึกษาอยู่เนี่ย
“กูไม่ชอบนักแสดงในเรื่อง”
“คนไหน”
“นายเอก”
ผมชะงักก่อนจะหันขวับไปมองคนพูด จริงดิ ผมตั้งใจเลือกหนังเรื่องนี้เพราะคิดว่านายเอกงานดี แล้วก็หน้าสวย พอร์ชน่าจะชอบมากแท้ๆ ให้ตายสิ หมอนี่รสนิยมแย่ชะมัด
“ทำไมอ่ะ ไม่ชอบเอวบางร่างน้อยเหรอ” ผมถาม
“เปล่า แค่ไม่ชอบคนนี้”
“เออ งั้นกูเลือกแบบแมนๆให้มึงก็ได้”
ผมสรุปเอาเองว่าพอร์ชชอบแบบแมนๆ คือจริงๆแล้วผมแม่งไม่เข้าใจเลยว่า ไม่ชอบแบบนี้คือยังไง? หน้าตา รูปร่าง หรือลีลาอ่ะ งงในงงนะเว้ย
ผมกระโดดลงจากเตียงไปคุ้ยหา DVD ในกล่องพลาสติกอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่แล้วเสียงในทีวีก็เงียบไปเฉยๆ เมื่อผมหันไปมองพอร์ชก็เห็นว่าเขาใช้รีโมทในมือกดปิดทีวีนั่นเอง
“ไม่ต้องหาแล้ว” พอร์ชเอ่ยขณะมองมาที่ผม ทำไมเล่า?
“อย่าบอกนะว่ามึงง่วง”
“เปล่า” พอร์ชปฎิเสธแล้วกระดิกนิ้วเรียกผม ให้ตายสิ หมอนี่คิดว่าผมเป็นหมาอ่ะครับ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้คานขึ้นไปบนเตียงแล้วไปนั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงหน้าเขา
มีอะไรก็ว่ามาเลย…
“กูไม่ชอบเรียนภาคทฤษฎี กูอยากเรียนภาคปฎิบัติมากกว่า”
พอร์ชโน้มใบหน้าเขามากระซิบข้างหู พร้อมกับใช้ฝ่ามืออุ่นร้อนข้างหนึ่งลูบไล้ต้นขาของผมที่โผล่พ้นออกมาจากกางเกงขาสั้น ผมสบตาเขาเงียบๆ ผมไม่ได้โง่นะครับ ทำไมจะไม่รู้ว่าหมอนั่นกำลังยั่วยวนผมอยู่
“กูไม่ให้มึงปฎิบัติกับกูหรอก เกิดมึงทำกูเจ็บขึ้นมาทำไงล่ะ มึงยังต้องเรียนรู้อีกมากนะพอร์ช”
ผมปฎิเสธ ผมเองก็ต้องเตรียมตัวเหมือนกันครับ การเป็นรับไม่ใช่ว่านึกจะเป็นก็เป็นได้เลย ผมคิดว่าควรจะเตรียมร่างกายให้พร้อมเป็นอันดับแรกนะ
“งั้นกูไปลองกับคนอื่นก่อนดีมั้ย ถ้าเก่งแล้วค่อยมาลองกับมึง”
พอร์ชถามผมยิ้มๆ ขณะที่ดวงตาสีดำเริ่มทอประกายเจ้าเล่ห์ ห่านี่ กล้าพูดออกมาได้ว่าจะไปลองกับคนอื่น
“อยากตายก็เอาดิ”
พอร์ชหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะใช้มือตบที่นอนเพื่อเรียกผม
“มานอน”
“จะทำอะไร” ผมถามเพราะเริ่มไม่ไว้ใจสายตาของพอร์ชซึ่งมองมาที่ผม มันชวนให้หนาวๆร้อนๆอ่ะครับ
“ให้กูช่วยมึง” พอร์ชขยับยิ้มก่อนจะเลื่อนสายตามามองที่เป้ากางเกงของผม และเมื่อผมก้มมามองตามก็เห็น ชะอุ๊ย! แข็งเป็นลำทิ่งกางเกงขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้เนอะว่าอะไร แหะๆ ไอ้ลูกชายไม่รักดี ถึงว่าล่ะรู้สึกปวดๆหน่วงๆ
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวทำเอง” ผมปฎิเสธ ที่จริงแล้วผมเป็นมนุษย์ที่หน้าด้านหน้าทนมากเลยนะ เจอกันที่ผับแค่สองสามชั่วโมงผมก็สามารถลากคนๆนั้นไปนอนโรงแรมด้วยกันได้ แต่สำหรับพอร์ช เขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น เขาไม่ใช่คู่นอน ไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์ คือผมพบว่ามันเขินๆอ่ะครับ แล้วผมจะกล้าให้เขาจับน้องชายไม่รักดีได้ไงเล่า
“ไหนๆมึงก็แข็งแล้ว มึงก็ใช้ร่างกายของตัวเองเป็นวิทยาทานให้กับกูสิ กูมันมือใหม่หันเป็นเกย์นะวิน มึงจะไม่ให้กูหัดจับงูหน่อยเหรอ”
เออ ถูกของพอร์ช…ผมเริ่มรู้สึกหวั่นไหวไปกับเหตุผลของหมอนั่น คืออาการปวดหน่วงที่ท้องน้อยเริ่มทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก อยากเออออตามเขาไปใจจะขาด
“ถ้ากูช่วยมึง…มันจะดีกว่ามึงทำเองอีกนะ”
พอร์ชโน้มน้าวผมหนักขึ้นเรื่อยๆ และทุกครั้งที่เขาพูด เขาจะขยับเข้ามาใกล้ผม จนตอนนี้ผมแทบจะเกยอยู่บนตักของเขาแล้ว
“ทำเป็นแน่นะ” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ขณะที่พอร์ชกำลังใช้ปลายจมูกโด่งๆคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มของผม
“ก็คงคล้ายๆกับตอนที่ชักให้ตัวเองเปล่าล่ะ” พอร์ชถามพร้อมกับยื่นหน้ามาจุ๊บบนแก้มของผมเบาๆ
เออ ได้ๆ พอร์ชเป็นผู้ชายมีงูเหมือนกันกับผม หมอนั่นต้องเคยเล่นงูของตัวเองอยู่แล้วเหละ
“โอเค”
“ถอดเสื้อผ้าสิ” พอร์ชเร่ง
ผมรู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนผ่าวและจะต้องแดงก่ำมากแน่ๆเลย ไม่รู้ทำไมแค่พอร์ชพูดประโยคเบสิคแบบที่คนอื่นก็เคยพูดกับผม แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาพูดมันออกมาได้อิโรติกกว่าคนอื่นเยอะเลย
ผมดึงเสื้อยืดออกทางศีรษะอย่างเชื่องช้า สายตาเอาแต่เหลือบไปมองหน้าของพอร์ช คือหมอนั่นเป็นคนหน้าตายยังไงก็ยังงั้นแหละครับ แต่สายตาที่เขาจ้องมาที่ผมตาไม่กะพริบก็เริ่มทำให้ผมหน้าบางแล้วเหมือนกัน
“มองขนาดนี้มึงคิดว่ากูอายไม่เป็นเหรอพอร์ช” ผมว่าเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงแค่ขยับยิ้มที่มุมปาก
“กูถอดเป็นเพื่อนก็ได้ เพื่อความยุติธรรม” พอร์ชเอ่ยพร้อมกับดึงเสื้อยืดออกทางศีรษะ ผมแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้เห็นรูปร่างของเขาใกล้ๆ
ผิวของพอร์ชขาวและเนียนมาก ถ้าไม่เคยเห็นเขาว่ายน้ำมาก่อนผมก็จะไม่เชื่อนะว่าหมอนี่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ผิวดี ไม่มีหมองคล้ำเลย ใช้ครีมกันแดดยี่ห้อไรอ่ะ ถามจริง
พอร์ชสบตากับผมอยู่ตลอดเวลาขณะที่เขาถอดกางเกงและกางเกงชั้นในออกจากปลายเท้าแล้วโยนส่งๆลงไปบนพื้นข้างเตียง
อึก…
ห่าเอ๊ย ทำไมหมอนี่รูปร่างดีแบบนี้ แค่เห็นร่างกายของเขาผมก็รู้สึกร้อนไปทั่วทั้งร่างแล้ว พอร์ชมีกล้ามเนื้อแข็งแรงทุกส่วน ทั้งต้นแขน ต้นขาและกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยบนหน้าท้องของเขา ผมค่อยๆเลื่อนสายตาต่ำลงมาที่บริเวณหว่างขา…โอ้     แม่จ๋า มันแบบอลังการงานสร้างมากเลยอ่ะ ถ้ามันตื่นตัวขึ้นมาจะเกรี้ยวกราดขนาดไหน  ถ้าผมต้องรับเข้าไปขนาดนี้จะตายก่อนได้ฟินเปล่าวะ…เอ่อ โชคดีนะที่ผมเป็นพวกซาดิสผสมมาโซคิสอยู่แล้ว ถ้าต้องเจ็บแต่ท้าทาย…ผมจะชอบมากเลย
ซู้ดดดดด แจ๊บๆๆ
“น้ำลายมึงไหล”
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของพอร์ชแทรกขึ้นมาขัดความคิดกามๆในสมอง ก่อนจะรีบยกมือเช็ดริมฝีปากแทบไม่ทัน แต่…อะ อ้าว
“กูโกหก แต่มึงมันแรด จ้องของกูไม่วางตาเลยนะ” พอร์ชล้อเลียนผมด้วยท่าทางกวนประสาท คือมันช่วยไม่ได้จริงๆนะโว้ย ใครเห็นขนาดของมึงเข้าไปก็ต้องมองกันทั้งนั้นแหละ แต่จะมองด้วยความอิจฉาหรือความต้องการก็เป็นอีกเรื่อง
“ก็ของมึงใหญ่อ่ะ” ผมพึมพำเบาๆด้วยความหมั่นไส้ ขณะดึงกางเกงและกางเกงชั้นในออกจากปลายเท้า รู้สึกเขินขึ้นมากะทันหัน ก็ผมใหญ่สู้ของหมอนั่นไม่ได้อ่ะ ทำไมพ่อกับแม่ไม่ให้ผมมามากกว่านี้อีกนิดนะ
“ใหญ่ได้มากกว่านี้อีก”
ไอ้คนขี้อวดเอ่ยขึ้นมาแบบนั้นก่อนจะคว้ามือข้างหนึ่งของผมไปวางหมับบนน้องชายของตัวเอง
“ช่วยปลุกมันหน่อยสิ”
เมื่อได้ยินประโยคเชิญชวนกับดวงหน้าที่แดงก่ำด้วยแรงอารมณ์ของพอร์ช ผมก็โผเข้าใส่เขาแล้วรั้งลำคอแกร่งให้โน้มใบหน้าลงมาประกบปากจูบกับผม พอร์ชบดเบียดริมฝีปากเข้าใส่ผมอย่างไม่ยอมแพ้ ขณะที่ผมก็เริ่มขยับข้อมือรูดชักดุ้นยักษ์ที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆและขยายตัวใหญ่โตมากกว่าเดิม
“อาห์”
ผมครางในลำคอเมื่อพอร์ชเอื้อมมือมาจับน้องชายของผมชักรูดในจังหวะเดียวกันกับที่ผมทำให้เขา พวกเราดูดกลืนริมฝีปากของกันและกันอย่างหิวกระหายก่อนที่พอร์ชจะเป็นฝ่ายแทรกลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากของผมที่เปิดอ้าออกด้วยความเต็มใจ
“แฮก แฮก”
เสียงหอบหายใจของพอร์ชทำให้ผมอยากสัมผัสร่างกายของเขามากขึ้น อยากสำรวจกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายทุกซอกทุกมุม…นาทีนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากความต้องการตามสัญชาตญาณเท่านั้น ผมผลักอกของพอร์ชเพื่อให้เขาปล่อยริมฝีปากของผม หมอนี่ชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความงุนงง และในตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัว ผมก็ผลักร่างของเขาให้ล้มตัวไปนอนบนเตียงก่อนจะเป็นฝ่ายขยับขึ้นไปคร่อมทับหน้าท้องแข็งแรงเอาไว้
“วิน”
พอร์ชขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมคิดว่าหมอนี่กำลังไม่พอใจ แต่ผมกลับยกปลายนิ้วชี้ไปแตะบนริมฝีปากของเขา
ชู่วว
ให้ตายสิ ผมไม่ปล้ำเขาหรอกน่า ตัวอย่างกับควายขนาดนี้
“กูจะทำให้มึงมีความสุข”
ผมเอ่ยเบาๆก่อนจะซุกใบหน้าเข้าหาลำคอขาวๆของพอร์ช กลิ่นของหมอนี่หอมเย้ายวนชะมัดเลย
แผล็บ
ผมลากปลายลิ้นผ่านแผ่นอกลงมาที่หน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม ก่อนจะใช้ฟันขบกัดเบาๆ
จุ๊บ! แผล๊บ!
“อึ้ก”
ทันทีที่ปลายลิ้นของผมเลียผ่านมาตามท้องน้อยของพอร์ช ผมก็ได้ยินเสียงกัดริมฝีปากของอีกฝ่าย จึงแกล้งลากลิ้นร้อนชื้นขึ้นลงไปตามแนวกลุ่มขนใต้สะดือหลายๆครั้ง และพบว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาเริ่มแข็งเกร็งแล้ว
“วิน อย่ายั่วกู!”
“ทำแล้วๆ”
ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของพอร์ช ผมเหลือบสายตาขึ้นไปมองใบหน้าหล่อๆที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์กระสันอยากอย่างพึงพอใจ
โชคดีชะมัดที่หมอนี่มีอารมณ์ร่วมกับผม ก็ถ้าไม่มีจริงๆผมคงไปไม่ถูกเหมือนกันอ่ะ
ผมใช้มือขยับรูดรั้งแก่นกายของพอร์ชสองสามครั้งก่อนจะอ้าปากดูดส่วนหัวแดงก่ำแรงๆจนเกิดเสียงน่าละอาย
“อาห์”           
เสียงครางในลำคอของพอร์ชทำให้ผมได้ใจ จึงตวัดลิ้นชื้นเลียส่วนหัวครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะใช้อุ้งปากร้อนครอบลงไปช้าๆ สลับกับดูดดึงเป็นจังหวะเบาๆ กลิ่นคาวๆจากน้ำสีขุ่นที่ถูกขับออกมาจากแก่นกายยักษ์ ทำให้อารมณ์ของผมพุ่งทะยานสูงขึ้นจนเกินจะฉุดรั้ง…
ผมอยากกินอีก กระหายอยากจะดูดดื่ม และอยากจะเลียแรงๆจนพอร์ชแตกคาปากของผม
“วิน…แรงๆ”
ผมเหลือบตาขึ้นไปมองพอร์ช และเห็นว่าหมอนั่นกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาร้อนแรง เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดศีรษะของผมไว้เป็นการบังคับให้ใช้ปากรับแก่นกายของเขาเข้าไปลึกขึ้นจนเกือบถึงลำคอ ผมพยายามขยับปากเข้าออกแรงๆ และเร็วขึ้นตามอารมณ์ความต้องการของพอร์ช
“วิน มึง…อาห์ แม่ง โคตรดีเลย”
เสียงของพอร์ชแหบพร่า แม่งโคตรเซ็กซี่เลยครับ
“เร็วอีก…”
ผมเร่งจังหวะปรนเปรอแก่นกายใหญ่ น้ำขาวขุ่นที่ขับเข้ามาในปากของผมมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมรู้ว่าพอร์ชกำลังจะเสร็จ ผมห่อริมฝีปากให้แน่นกว่าเดิม ดูดแรงกว่าเดิม จนกระทั่ง…
พรวด!
พอร์ชปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนเข้ามาในโพรงปากของผมเป็นจำนวนมาก ผมซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วกลืนน้ำคาวที่ติดจะมีรสขมลงไปหลายอึก แต่ก็มีบางส่วนที่กลืนไม่ทันไหลเปรอะเปื้อนมาตามปลายคาง
แฮก…แฮก…
พอร์ชหอบหายใจหนักๆก่อนจะลุกจากเตียงนอนมาประคองใบหน้าของผมไว้ในอุ้งมือ แล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบขุ่นออกจากริมฝีปากและปลายคางของผมอย่างอ่อนโยน
“ขอโทษ”
ผมขยับยิ้มบางเมื่อได้ยินประโยคขอโทษจากพอร์ช ห่านี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ผมเจตนาทำให้เขาเสร็จในปากผมเองเนี่ยแหละ เผื่อเขาติดใจ คราวหน้าจะได้ไปไหนไม่รอด
“ดุ้นมึงก็อร่อยดี” ผมเอ่ยกระเซ้า แต่กลับได้รับการตอบแทนเป็นการด่าซะอย่างนั้น
“แรด”
ให้ตายสิ หมอนี่ไม่มีน้ำใจเอาซะเล้ย…ยังไม่ทันที่ผมจะได้ร้องขอการเซอร์วิสจากพอร์ช เขาก็โผเข้ามาประกบปากจูบผมอย่างรวดเร็ว เมื่อผมตั้งตัวได้ก็เปิดปากให้เขาสอดลิ้นเข้ามาแลกเปลี่ยนรสชาติของน้ำกามในโพรงปาก ร่างของผมถูกผลักให้ล้มตัวนอนบนเตียงแทนที่ของพอร์ชก่อนที่หมอนั่นจะตามมาทาบทับ
จุ๊บ...จุ๊บ...จุ๊บ...
พอร์ชค่อยๆพรมจูบไปตามลำคอ ยอดอก หน้าท้อง ไล่ลงไปยังท้องน้อยของผม ทุกครั้งที่เขาดูดเลียผิวเนื้อ ร่างของผมจะแข็งแกร็งและเผลอจิกเล็บลงไปบนไหล่ของเขาเต็มแรง ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทุกสัดส่วน แล้วแทนที่หมอนี่จะเซอร์วิสส่วนกลางลำตัวของผม เขากลับเลี่ยงไปจูบต้นขาแทน
ฟึ่บ
พอร์ชจับขาทั้งสองข้างของผมแยกออกอย่างชำนาญชิบหาย สาบานสิว่ามึงกำลังหัดมีเซ็กส์กับผู้ชายเป็นครั้งแรก แม่งไม่ได้เงอะงะเหมือนตอนที่ผมเริ่มเรียนรู้เลยอ่ะ
“อื้ม..แฮก...”
ผมหอบหายใจเมื่อพอร์ชดันขาของผมขึ้นเล็กน้อย แล้วซุกใบหน้าเข้าหาต้นขาด้านในเพื่อ...เลีย
ผมรู้สึกเสียวซ่านเพียงแค่ปากอุ่นๆพรมจูบลงมาบนผิวเนื้ออ่อนบาง พอร์ชทั้งงับ ทั้งเลีย จนสัมผัสเปียกชื้นของลิ้นส่งตรงไปยังกึ่งกลางลำตัว
“อ๊ะ...อ้า...”
ผมครวญครางในลำคอเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาจับที่ท่อนเนื้อของผม แล้วขยับช้าๆ รูดหนังหุ้มปลายให้เปิดออก เผยส่วนสีแดงก่ำที่โผล่พ้นขึ้นมาด้วยความกระสันอยาก ให้ตายสิ! มันดีมาก ทั้งเสียว ทั้งวูบวาบ ทั้งตื่นเต้น จนผมต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ
“อ๊า...ฮ้า...พะ...พอร์ช...”
ผมครางลั่นเมื่อพอร์ชใช้ปลายลิ้นละเลงส่วนหัวของน้องชายผมแรงๆ กระหน่ำรัวๆ ตอนนี้สติของผมหายไปหมดแล้ว ทำได้แค่ใช้มือสองข้างเกาะไหล่ของพอร์ชไว้แน่น พอร์ชกำลังเลียท่อนเนื้อของผมไปตามความยาวอย่างไม่นึกรังเกียจ เล่นกับหนังหุ้มปลายในบางครั้ง
ท่ามกลางสติที่พร่าเลือน ผมเห็นว่าพอร์ชตวัดสายตาขึ้นมามองดวงหน้าของผมก่อนที่จะ...
ฟึ่บ
“ซี๊ดดดด อ้า!!!”
อมเข้าไปทั้งอัน!
“เฮือก! อ๊า!!! พอร์ช...อะ...อึ้ก...เสียว...สะ...เสียว...”
ผมเสียวมาก ครางหนักมาก ได้แต่เหลือบตามามองคนที่กำลังขยับศีรษะขึ้นลงตรงกลางหว่างขาของผม ให้ตายสิ นี่มันปากมหาเทพชัดๆเลย วินเสียวไปหมดเลย แม่จ๋า!!!
“เรียกพี่พอร์ชสิ”
พอร์ชละริมฝีปากมากระซิบบอกผมเบาๆด้วยสีหน้าที่โคตรยั่วยวน นาทีนี้พอร์ชแม่งโคตรหล่อ โคตรแบด แล้วก็โคตรชอบเลยอ่ะ ดีต่อใจวินเหลือเกิน
“อ้ะ…พี่…พอร์ช…”
ผมครางชื่อของเขา หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก ความสุขมันล้นจนเกือบทะลัก ผมได้แต่บิดร่างเร้าๆอย่างกระหายอยาก
“ดีมั้ย”
พอร์ชถาม ก่อนจะขยับปากแรงขึ้น แถมยังบังคับดันสะโพกของผมให้ลอยขึ้นจากเตียงอีกด้วย
“อ้า...มะ...ไม่ไหว...จะ…จะแตก...แตก...แล้ว...”
พอร์ชดูดหนักๆที่ส่วนหัว ขยับปากเข้าออกแรงๆ
“ฮ้า!!!!”
ผมเสียววูบวาบในท้องน้อยก่อนจะระเบิดลาวาขาวขุ่นเข้าไปปากของ            พอร์ชอย่างห้ามไม่ได้ ผนังโพรงปากที่โอบล้อมลูกชายของผมไว้อุ่นจัด พอร์ชกำลังใช้ลิ้นชื้นแฉะตวัดเลียดุ้นของผมไม่หยุด และเหนือไปกว่านั้นคือแรงดูด...แรงดูดที่เหมือนจะรีดน้ำออกจากกายของผมจนหมด
ฮืออออออ!!!
พี่พอร์ช มึงแม่ง ได้ใจมากๆเลยครับ!






TBC

https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856

:hao7: :mew1: :hao6:


หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 18/10/2562 [บทที่16]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 18-10-2019 09:03:26
 :haun4: :haun4: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 18/10/2562 [บทที่16]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 18-10-2019 09:53:26
 :z1: :jul1:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 18/10/2562 [บทที่16]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-10-2019 10:30:27
 :haun4:


 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:



 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 25/10/2562 [บทที่17]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 25-10-2019 17:55:00

บทที่ 17 การซ้อมว่ายน้ำ


ผมกำลังแหวกว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัยในเวลาเกือบหกโมงเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่นักกีฬาคนอื่นเลิกซ้อมกันแล้ว ที่นี่จึงเหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมพยายามเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นเท่าที่จะทำได้ สายตามองตรงไปข้างหน้า จึงเห็นว่าขอบสระกระเบื้องสีฟ้าอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว และผมคิดว่าในรอบนี้ทำเวลาได้ค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อเอื้อมมือไปแตะที่ขอบสระ

ซ่า

ผมโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่กำลังยืนกอดอกอยู่ริมสระ ในมือของหมอนั่นมีนาฬิกาจับเวลาอยู่ด้วย

เป็นไงล่า…กูทำได้ดีขึ้นใช่มั้ย มึงรีบชื่นชมกูหน่อยสิพี่พอร์ช

“มึงคิดว่ากำลังว่ายน้ำแข่งกับเป็ดอยู่เหรอวิน ว่ายน้ำแบบนี้เป็ดยังว่ายเร็วกว่ามึงเลย”

ผมที่กำลังรอคอยคำชื่นชมถึงกับหุบยิ้มแทบไม่ทัน ตอแหล! ผมไม่ได้ว่ายช้าขนาดนั้นซะหน่อย พอร์ชแม่งพูดเกิดไปแล้ว กล้าดียังไงเอากูไปเทียบกับเป็ด หา!

“กี่นาที” ผมถามสั้นๆเพราะกำลังหอบหายใจ เฮ้ย เหนื่อยชะมัดเลย รอกูหอบเสร็จก่อนนะมึง

“หนึ่งนาที ห้าสิบเจ็ดวินาที” พอร์ชตอบก่อนจะหันหน้าจอของนาฬิกาดิจิตอลมาให้ผมดู

“เร็วกว่าเดิมตั้งสิบวินาที”

ผมเถียงแล้วเลื่อนแว่นตาว่ายน้ำขึ้นไปคาดไว้บนหน้าผากก่อนจะใช้สายตาขวางๆจ้องใบหน้าของพอร์ช ห่านี่ มาช่วยเทรนหรือมาซ้ำเติมกันแน่วะ ด่ากูได้ทุกรอบเลยนะมึง

“ขนาดมึงว่ายท่าฟรีสไตล์ที่ถนัดทั้งไปทั้งกลับยังใช้เวลาเกือบสองนาที แล้วมึงยังคิดอีกเหรอว่าจะชนะได้”

พี่พอร์ชของกูไม่อ่อนโยนเล้ย โซแบดสุดๆ

“กูเหนื่อยแล้ว มึงมาว่ายให้ดูหน่อย”

ผมเอ่ยด้วยความท้อแท้ ขนาดจะด่าไอ้พี่พอร์ชยังไม่มีแรงอ่ะ ผมยันร่างของตัวเองให้ขึ้นไปนั่งบนขอบสระเพื่อพักเหนื่อย

วันนี้ผมได้ซ้อมว่ายน้ำพร้อมกับนักกีฬาทุกคนจากทุกคณะ พอร์ชเป็นคนแรกที่แตะขอบสระ ตามมาด้วยไอ้ไวท์และไอ้แม็คตามคาด แต่ผมไม่แน่ใจว่าสามคนนี้ใช้เวลาในการว่ายน้ำทั้งหมดกี่นาที แต่ที่น่าสนใจคืออะไรรู้มั้ย?

สามคนนี้ใช้ท่าผีเสื้อในการว่ายกลับมาอีก 50 เมตร คือผมก็เคยว่ายท่านี้นะ แม่งเหนื่อยมากเลย แล้วก็ว่ายยากมากด้วย ผมจึงคิดว่ามันจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ผมจะใช้ แต่ตอนนี้ผมเริ่มลังเลแล้วอ่ะครับ หรือผมควรเลือกใช้ท่าผีเสื้อดีล่ะ

“กูจะว่ายให้มึงดูแค่รอบเดียว”

พอร์ชเอ่ยพร้อมกับถอดชุดคลุมสีขาวมาพาดไว้บนเก้าอี้ริมสระน้ำ แม่งเอ๊ย หุ่นน่าเจี๊ยะเหลือเกินเพ่ ขนาดว่าผมเคยทัสเคยสัมผัสมาแล้วยังอยากจะเอามือไปลูบกล้ามหน้าท้องของหมอนี่อีกครั้งอ่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาวๆถึงเตรียมกล้องดีๆมาถ่ายรูป เพราะตอนที่หมอนี่แข่งว่ายน้ำมันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดไงล่ะ

ชุดดี - แน่นอนว่าโป๊มากถึงมากที่สุด ลองคิดถึงภาพของพอร์ชใส่กางเกงในแค่ตัวเดียวได้เลยครับ เน้นไปทุกสัดส่วน ใส่ก็เหมือนไม่ได้ใส่อ่ะ น่าดูมากกกก

จังหวะดี - ถ่ายรูปตอนนี้ยังสามารถอ้างได้ว่ามาเก็บรูปนักกีฬาตอนแข่งขัน ไม่มีใครครหาว่าโรคจิตแน่นอน

โมเม้นต์ดี - ผมขอยืนยันเลยว่าตอนที่พอร์ชว่ายน้ำเป็นตอนที่เขาเซ็กซี่มากที่สุด อ่อ ขอหมายเหตุไว้ด้วยว่าตอนที่พอร์ชมีอารมณ์ก็เซ็กซี่ไม่แพ้กัน

“วิน ตั้งใจดู แล้วบอกกูด้วยว่าทำไมแม้แต่ท่าฟรีสไตล์ มึงก็ว่ายได้ช้ากว่ากู”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของพอร์ชดังขัดจังหวะความคิดกามๆในสมอง

แหะๆ หวั่นไหวไปนิดนึงครับ

“ไม่ต้องดูกูก็ตอบได้”

“ตอบว่า?” พอร์ชเดินมายืนตรงหน้าผมแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

ให้ตายสิ ทำไมมึงต้องมายืนค้ำหัวกูด้วยอ่ะ ไม่ใช่ว่าถือสาอะไรหรอกนะ แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมอง มันไม่เห็นหน้าของพอร์ชไง เพราะสายตาแม่งไปโฟกัสที่ไอ้นั่นอ่ะ ที่อร่อยๆแล้วก็ตุงๆ

“มึงเก่งกว่ากูไง” ผมตอบส่งๆ

“มึงเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำจริงเหรอ”

พอร์ชว่าแบบไม่รักษาน้ำใจ หมอนี่เป็นคนปากหมาจริงๆอ่ะ ข้อนี้ผมรู้ ซึ่งโชคดีนะที่ผมเป็นพวกเข้าใจอะไรง่ายแล้วก็ไม่ใช่พวกดราม่าหรือขี้น้อยใจ ไม่งั้นคงทนนิสัยของหมอนี่ไม่ได้อ่ะ

“ว่ายช้าหรือเร็วมันขึ้นอยู่กับเทคนิค”

พอร์ชอธิบายซึ่งผมก็รีบพยักหน้ารับก่อนที่จะโดนด่าอีกรอบ ส่วนสายตาไม่รักดีก็คอยแต่จะเหล่ไปมอง…เฮ้ย เสียสมาธิอ่ะ ทำไมพอร์ชไม่มีอาการทุกข์ทรมานแบบผมบ้าง หรือผมหื่นเกินไปเหรอ?

“วิน”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนเรียกก่อนจะได้แหกปากร้องลั่นเพราะไอ้บ้าพอร์ชเสือกบีบจมูกของผมเต็มแรง

“โอ๊ย!”

“รู้นะว่ามองอะไร”

พอร์ชเอ่ยพร้อมกับยิ้มล้อเลียน

“คนอื่นก็มองเหมือนกันเถอะ”

ผมสาบานนะว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่มองของพอร์ช ในตอนที่ซ้อมแข่งขัน คนทั้งสนามก็แอบมองของเขาอยู่เงียบๆเหมือนกันแหละ

“อยากกินล่ะสิ”

พอร์ชว่าแบบคนรู้ทัน โธ่ ใครอยากกิน ไม่มีอ่ะ แค่มองเฉยๆเพราะเห็นว่ามันตุง อาจจะยัดกระดาษทิชชู่ไว้ก็ได้

“ลามก”

ผมว่าพอร์ชซึ่งก็ถูกยอกย้อนกลับมาซะหน้าเกือบหงาย

“มึงมากกว่านะ”

เออ…ยอม!

“เตรียมตัวเลย จะจับเวลาแล้ว”

ผมรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วเอื้อมไปคว้านาฬิกาจับเวลามาจากพอร์ช หมอนั่นหัวเราะเบาๆก่อนจะก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นเตรียม

“พอร์ช แว่นตา”

ผมตะโกนบอกพอร์ชเมื่อเห็นว่าหมอนั่นไม่ได้ใส่อุปกรณ์สำหรับป้องกันน้ำเข้าตา มึงนี่นะ เอาแว่นไปทิ้งไว้ไหนอีกเนี่ย ผมซึ่งเป็นคนดีมีน้ำใจกำลังจะถอดแว่นของตัวเองให้เขา แต่ก็พอดีกับที่เขากระโดดลงไปในสระว่ายน้ำเสียก่อน ผมนี่รีบจับเวลาแทบไม่ทันอ่ะ ดีจริงๆ ถ้าแสบตาก็อย่ามาบ่นนะมึง

พอร์ชใช้เวลาในการว่ายน้ำไปกลับตัวที่ขอบสระอีกฝั่งด้วยท่าฟรีสไตล์และว่ายน้ำกลับมาด้วยท่าผีเสื้อ ซึ่งทำเวลาได้ดีมากจนผมต้องมองบนด้วยความอิจฉา สาบานสิว่า ชาติที่แล้วเขาไม่ได้เกิดเป็นญาติกับปลาโลมา พริ้วเชียวนะ

“หนึ่งนาที สิบสามวินาที” ผมหันหน้าจอของนาฬิกาจับเวลาไปให้พอร์ชดูในตอนที่เขาโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ

“เริ่มจากท่าฟรีสไตล์ก่อน มึงเห็นมั้ยว่าทำไมกูทำเวลาได้ดี”

พอร์ชถามขณะยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบน้ำออกจากใบหน้า

แม่ง เซ็กซี่ไปอีก โดยเฉพาะตอนที่หมอนี่เสยผมเปียกๆไปด้านหลังนะ

โซฮอต!! มากเลยครับแม่

“ไม่เห็น กูมองไม่ทัน” ผมสารภาพ ถ้าจะว่ายน้ำเร็วกว่าจรวดขนาดนั้น มึงคิดว่าใครจะไปมองทันล่ะว่ามีเทคนิคการว่ายอย่างไร

“ตอนที่มึงว่ายท่าฟรีสไตล์ มึงดึงแขนผิด คิดว่าเป็นเพราะมึงไม่ได้ว่ายน้ำมานานมากแล้ว” พอร์ชวิเคราะห์

“ดึงแขนผิดไงวะ” ผมถามด้วยความงุนงง

“มึงดึงแขนแบบไม่มีแรง ทำให้หมุนแขนแล้วตัวไม่ไป มึงใช้แต่แรงแตะของเท้าส่งตัวไปข้างหน้า”

จริงดิ? ไม่รู้ตัวเลยอ่ะ

“มึงลงมา” พอร์ชที่ลอยตัวอยู่ในสระว่ายน้ำกระดิกนิ้วเรียกผม สาบานว่ามึงไม่ได้เห็นกูเป็นหมา

ผมพุ่งตัวลงไปในสระว่ายน้ำก่อนจะใช้มือแหวกว่ายน้ำรอบๆตัวแล้วโผล่ศีรษะขึ้นมาหายใจ พอร์ชว่ายน้ำเข้ามาหาผม เขาให้ผมใช้มือข้างหนึ่งจับขอบสระเอาไว้ และช่วยจับแขนอีกข้างหนึ่งของผมในการสาธิตการดึงแขนที่ถูกต้อง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เอา Paddle มาให้ กูเคยใช้ฝึกดึงแขน มันจะช่วยมึงได้”

พอร์ชไม่ได้หมายถึงไม้ฟายเรือนะครับ Paddle คือมือพายสำหรับว่ายน้ำ ผมเคยใช้สมัยหัดเรียนว่ายน้ำใหม่ๆ มันสามารถช่วยเพิ่มแรงต้านในการออกแรงในการดึง Stroke ได้

เฮ้อ ผมอาจจะต้องเริ่มเตรียมร่างกายใหม่ตั้งแต่ต้นเลยล่ะครับ

“พอร์ช กูอยากใช้ท่าผีเสื้อในการแข่งอ่ะ ช่วยแนะนำกูหน่อยดิ”

ผมขอคำแนะนำจากพอร์ช ถึงหมอนี่จะปากหมาแถมชอบด่าผมบ่อยๆ แต่คำแนะนำของเขาถือว่ามีประโยชน์มาก อีกอย่าง หมอนี่เป็นคนใจดีมากเหมือนกัน

“งั้นลองว่ายท่าผีเสื้อไป-กลับให้กูดูหน่อย”

ผมว่ายท่าผีเสื้อไปและกลับเป็นระยะทางรวม 100 เมตร โดยไม่ได้ใส่แรงเต็มที่เพราะตอนนี้ผมเริ่มอ่อนล้ามากแล้ว

“ตอนว่ายมึงต้องยกศอกทั้งสองข้างให้พ้นน้ำ” พอร์ชแนะนำในตอนที่ผมว่ายกลับมาแตะขอบสระ

“แล้วก็ตอนที่มึงใช้แขนดันน้ำไปข้างหลัง มึงต้องทำให้เร็วกว่านี้มันจะช่วยให้มึงว่ายได้ดีขึ้นแล้วก็เร็วขึ้น ถ้ามึงทำช้า แขนมึงจะล้าแล้วก็ยกไม่พ้นน้ำ ไปฝึกกำลังแขนทั้งสองข้างมา อาทิตย์หน้าจะแข่งแล้วมึงต้องตั้งใจให้มากกว่านี้”

“ขอบคุณนะ” ผมเอ่ยยิ้มๆ

“ไม่อยากได้คำขอบคุณ” ผมหน้าบึ้งทันที ห่านี่ นอกจากปากหมาแล้วยังชอบพูดจาไม่รักษาน้ำใจคนอื่น นี่กูเป็นใคร ดูหน้ากูด้วย กูเป็นคนพิเศษของมึงนะพี่พอร์ช มึงต้องอ่อนโยนกว่านี้หน่อยปะ?

“เลี้ยงข้าวก็ได้”

ผมเสนอแต่พอร์ชกลับส่ายหน้าแล้วชี้นิ้วมาที่ริมฝีปากของตัวเอง

“ตรงนี้” ผมขยับยิ้มมุมปาก แหม! ไม่ค่อยอ้อนเลยว่ะ คิดว่ากูตายมั้ยถ้าเจอสายตาวิบวับแบบนี้

จุ๊บ!

ผมชะโงกใบหน้าเข้าไปจุ๊บปากของพอร์ชเบาๆ แน่นอนสิ ถ้าเจอพี่พอร์ชโหมดนี้เข้าไป วินจะไปไหนไม่รอดล่ะคร้าบบบบ

 

 

ผมกลับมาถึงหอพักในเวลาสองทุ่มกว่า หลังจากที่แวะกินมื้อค่ำกับพอร์ชที่ร้านอาหารตามสั่งข้างรั้วมหาลัย กิจกรรมช่วงหัวค่ำของผมที่หอพักก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากดูหนัง ฟังเพลง ก็ส่องเฟสบุ๊คไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งช่วงวันสองวันมานี้เพจ Sexy Boy มักจะหาเรื่องหนักใจมาให้ผมอยู่บ่อยๆอย่างเช่นเรื่องในวันนี้เป็นต้น

เฉลยแล้ว!! พี่คนหล่อเป็นใคร???

วิน ปี2 วิศวะอุตสาหการ

เพื่อนนั่นเอง เพื่อนนะคะ เพื่อนค่ะ

#พี่แม็คเภสัชปี4

#แม็ควิน

#ขอบคุณพี่แม็คที่ช่วยไขข้อข้องใจ

#เรือแม็ควินกำลังแล่นอย่างสง่างาม

 

กูขอให้เรือล่ม สาธุ!

ข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ลงแฟนเพจ Sexy Boy พร้อมกับรูปที่แอดมินแคปมาจาก Messenger เป็นบทสนทนาสั้นๆที่มาจากเฟสบุ๊คส่วนตัวของแอดมินที่ทักไปคุยกับไอ้แม็ค

 

Choi Slender : กราบสวัสดีค่ะพี่แม็คขา ช้อยนะคะ เป็นแอดมิจเพจ Sexy Boy ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป น้องอยากทราบว่าคนในรูปนี้เป็นใครเหรอคะ?

(รูปของผมกับไอ้แม็คที่ถูกถ่ายด้วยกันที่สระว่ายน้ำ)

แม็ค พชรดนัย : 55555

แม็ค พชรดนัย : เพื่อนพี่เอง หล่อใช่ปะละ มันชื่อวิน เคยเรียนเภสัชด้วยกันแต่ตอนนี้มันซิ่วไปเรียนวิศวะอุตสาหการแล้ว อยู่ปี 2

Choi Slender : คือว่างานดีมากจริงๆค่ะพี่ #พี่คนหล่อคือใคร

Choi Slender : ขอบคุณนะคะคุณพี่แม็ค

แม็ค พชรดนัย : ค้าบ

 

ผมเลื่อนมาอ่านคอมเม้นต์ใต้ภาพด้วยความปวดจิต อยากแดกพาราสองเม็ดแล้วไปผูกคอตายใต้ต้นมะเขือจริงๆว่ะ ห่าแม็คก็อีกคน มึงบอกชื่อกูไปทำไมฮะ กูยิ่งไม่อยากเด่นอยากดังอยู่ด้วย เสือกหางานให้กูอีกนะมึง นี่ยังไม่นับความขี้หึงกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของคุณชายพอร์ชนะครับ เดี๋ยวเห็นข่าวในเพจก็หาเรื่องมาตะคอกใส่ผมอีก

 

คอมเม้นต์ 1 : แค่เพื่อนจริงๆค่ะซิส เพื่อนกันค่า อ๊ายยยยย ทำไมฉันฟินกับคำว่าเพื่อนพี่เองก็ไม่รู้อ่ะ แอบมีโมเม้นต์ชงกันเองด้วยค่ะ ใจหนูร้าววววไปหมดแว้วววววว #พี่คนหล่อคือใคร #ทีมเพื่อนกันมันส์ดี

คอมเม้นต์ 2 : พี่เป็นผัวเอง เอ๊ย เป็นเพื่อนค่ะเพื่อนจริงๆ น้องเชื่อตามนั้นเลยค่ะพี่แม็ค #ทีมเพื่อนกันมันส์ดี  #แม็ควิน

คอมเม้นต์ 3 : ไม่ต้องพูดมากเพื่อนกันเขากอดกันแบบนี้เองค่า

#ขอให้ชาวสีม่วงจงเจริญ #พี่คนหล่อคือใคร #แม็ควิน

 

เดี๋ยวๆ อะไรของผู้หญิงพวกนี้เนี่ย แค่ไอ้แม็คบอกว่าเป็นเพื่อน ยังมโนกันว่าเป็นผัวได้ แล้วถ้าไอ้แม็คบอกว่าเป็นผัวจะคิดว่าเป็นอะไรกันฮะ ผมแม่งไม่ค่อยเข้าใจความคิดของสาววายเอาซะเลย เฮ้อ ยอมใจในความคิดนี้

 

:hao6:

เเฟนเพจนักเขียน https://www.facebook.com/PKrabKrab/



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 25/10/2562 [บทที่17]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-10-2019 21:05:22
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/11/2562 [บทที่18]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 01-11-2019 02:46:19
บทที่ 18 คนที่ไม่คู่ควร


“วิน!!!!”

ในเช้าวันจันทร์…ผมได้รับการทักทายจากไอ้แว่นเป็นเสียงแหกปากดังลั่น มันลุกขึ้นยืนจากม้าหินอ่อน แล้วโบกมือเหยงๆเป็นการเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา

รู้แล้วโว้ย!!! กูก็กำลังเดินอยู่เนี่ย แล้วอีกอย่างนั่นก็โต๊ะประจำของพวกเรา ไม่ต้องตะโกนเรียกกูก็เดินไปหามึงอยู่แล้วครับ

“เชี่ยวิน เดินเร็วๆดิ”

ไอ้แว่นตะโกนเร่งเมื่อเห็นว่าผมยังเดินทอดน่องอยู่เหมือนเดิม อะไรกันวะ? ร้อยวันพันปีไม่เห็นไอ้เพื่อนแว่นตะโกนเรียกผมตั้งแต่เพิ่งจะก้าวขาเข้าคณะแบบในวันนี้ เอ…จะบอกว่าผมมาสายก็ไม่ใช่ จะบอกว่าให้ผมรีบมาลอกการบ้านก็ไม่น่าจะใช่อีกเหมือนกันเพราะผมแน่ใจว่าทำการบ้านเสร็จหมดแล้ว

“มีอะไร” ผมถามในตอนที่ทรุดนั่งบนม้าหินอ่อนตัวที่อยู่ตรงข้ามกับเพื่อนสนิท โชคดีนะที่ตอนนี้ค่อนข้างเช้าทำให้เด็กวิศวะที่นั่งพักผ่อนอยู่แถวนี้มีไม่มาก อาจจะได้รับสายตาขวางๆแบบไม่ค่อยพอใจบ้างแต่ถือว่าดีที่ไม่มีใครตะโกนด่า

“มึง!! มึงเห็นข่าวในเพจ Sexy Boy แล้วใช่ปะ?” ไอ้แว่นรีบเปิดประเด็นด้วยท่าทางร้อนรน

“หมายถึงข่าวของกู?” ผมถาม

“เออดิ ข่าวล่าสุดของมึงอ่ะ”

“เห็นแล้ว”

ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ ทำไมไอ้แว่นต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นด้วย ก็แค่ข่าวที่สาววายมโนกันไปเองว่าผมกับไอ้แม็คเป็นผัวเมียกันแค่นี้เนี่ยนะ คือครั้งก่อนหน้านั้นที่มีรูปของผมกับไอ้แม็คลงแฟนเพจ Sexy Boy ผมไม่เห็นไอ้แว่นจะให้ความสนใจเลย งงในงงนะครับ

“เห็นแล้ว?” ไอ้แว่นทวนเสียงสูงด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่สบายใจ “แล้วมึงจะปล่อยไปเฉยๆแบบนี้เหรอ ไม่คิดจะทำอะไรหรือแก้ข่าวหน่อยเหรอวะ”

เฮ้ยมึง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกอย่างกูเป็นผู้ชายไม่เสียหายหรอก

ผมยื่นมือไปตบไหล่ไอ้แว่นเบาๆ มึงถึงกับเดือดร้อนกับเรื่องของกูขนาดนี้เลยเหรอเพื่อน กูซึ้งใจมากอ่ะ

“ขอบใจที่เป็นห่วงนะเว้ย แต่กูไม่เป็นไร แค่เรื่องไร้สาระ เดี๋ยวคนก็ลืมกันไปเอง”

“เฮ้อ ถ้ามึงไม่คิดมากกูก็สบายใจ” ไอ้แว่นถอนหายใจเบาๆก่อนจะพยักหน้าให้ผม

“แต่ถ้ามึงคิดจะเอาเรื่องตัวการเมื่อไรขอให้บอก กูหา IP ของไอ้เชี่ยนั่นให้มึงได้ พอเรารู้ว่ามันเป็นใครก็ไปตามกระทืบมันให้สาแก่ใจไปเลย แม่ง คิดแล้วยังเคือง กล้าดียังไงมาด่าเพื่อนกูเป็นไอ้ตัว ห่ารากจริงๆ”

อะไรนะ!! ไอ้ตัว? หมายถึง อีตัวปะ? ใครด่ากูอ่ะ ใครด่ากูเป็นผู้ชายหากิน? ข่าวนี้ได้จากที่ใดมา!!

ผมเริ่มจับสังเกตได้ว่าอาการโมโหจนหน้ามืดของไอ้แว่นไม่น่าจะเป็นเพราะเรื่องที่มีสาวๆมามโนว่าผมมีผัวชื่อแม็ค…

หรือมันจะมีข่าวล่าสุดๆที่ผมยังไม่ได้อัพเดต เพราะเมื่อเช้าผมก็ยังไม่ได้เล่นเฟสบุ๊คด้วยซ้ำ

ผมรีบหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเข้าเพจ Sexy Boy ทันที เลื่อนไทม์ไลน์ขึ้นๆลงๆอยู่หลายครั้งก็ไม่เห็นข่าวอื่นเลยนอกจากข่าวที่ไอ้แม็คบอกว่าผมเป็นเพื่อนของมัน แต่เมื่อเหลือบตามาเห็นจำนวนคอมเม้นต์กับยอดแชร์ที่มากผิดปกติ ผมจึงลองกดเข้าไปอ่าน และเห็นว่าคอมเม้นต์ที่มียอดไลท์ การโต้ตอบและการแชร์มากที่สุดมาจากเฟสบุ๊คของคนๆหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก แต่เพราะว่าไม่รู้จักไงถึงได้สงสัยว่าทำไมจู่ๆต้องมาโพสต์ว่าผมเสียๆหายๆแบบนี้ด้วย

 

บุคคล ผู้รู้ความจริง : วิน วิศวะอุตสาหการปี 2 เป็นเกย์ ชอบมั่วผู้ชาย ถ้าเงินไม่พอใช้งานขายก็มา แล้วขอถามหน่อยนะ คนแบบนี้เหรอที่คู่ควรจะเอามาจิ้นกับพี่แม็คอ่ะ คือเพจ Sexy Boy เป็นแหล่งรวมไอดอลหน้าตาดีที่เป็นต้นแบบให้นิสิตในมหาลัยของเราได้ คนที่ติดตามเพจก็ไม่ได้มีแค่คนในมอ แต่ยังรวมไปถึงเด็กมออื่นด้วย อยากจะชงกันว่าคนนี้หล่อเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แถมเรียนดี มันก็เป็นเรื่องดีๆในมอของเราก็ชงกันไปเถอะครับ แต่นี่ถึงกับเอาไอ้ตัวที่มีดีแค่หน้าตามาลงเพจ ไม่ทราบว่าแอดมินคิดอะไรอยู่ครับ? ไม่รู้ว่าคนๆนี้มีชื่อเสียอย่างไร? หรือไม่คิดอะไรเลย เห็นว่าหล่อก็เอามาลงงี้เหรอ?

 

ผมถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้อ่านข้อความทั้งหมดจาก ‘บุคคล ผู้รู้ความจริง’ ซึ่งไม่จบแค่นี้นะครับ เพราะหมอนี่ยังลงภาพของผมที่เคยถ่ายในผับต่างๆไว้ใต้โพสต์ด้วย ยอมรับครับว่าผมเที่ยวจริง แต่บอกว่าผมขายบริการด้วยมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ

แต่ความเห็นส่วนหนึ่งกลับเชื่อว่าข่าวที่ผมเป็นเด็กขายนั้นเป็นเรื่องจริงเพราะรูปที่ถูกโพสต์เป็นรูปที่ผมเคยถ่ายกับคู่ขาหลายคน บางรูปแค่นั่งกอดกันในผับ เป็นรูปถ่ายเล่นๆ บางรูปจูบปากกัน บางรูปถ่ายในห้องส่วนตัวซึ่งฉากหลังเป็นเตียง เอาเป็นว่าคนที่มีรูปพวกนี้มีแค่อดีตคู่ขาของผมเท่านั้น ซึ่งคนที่เริ่มเรื่องนี้ใช้วิธีใดในการรวบรวมรูปถ่ายทั้งหมดมา…ผมก็ไม่รู้ ที่สงสัยคือทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?

ผมลองกดเข้าไปดูโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คของ ‘บุคคล ผู้รู้ความจริง’ ซึ่งไม่มีอะไรที่พอจะทำให้ผมระบุตัวคนทำได้เลย เพราะเฟสที่ใช้เป็นเฟสที่ถูกสมัครขึ้นมาใหม่ เหมือนกับว่าเขาตั้งใจมาเพื่อแฉผมโดยเฉพาะ

 

คอมเม้นต์ 1 : คือเรื่องที่มีแฟนหลายคนหรือจะไปมีอะไรกับใคร เราว่าไม่ได้ผิดนะ ขึ้นอยู่กับการสมยอมของทั้งสองฝ่ายอ่ะ มีอีกตั้งหลายคนที่ทำแบบนี้แต่แค่ไม่ถูกแฉ ส่วนเรื่องขายบริการไม่รู้ว่าจริงมั้ย แต่ถ้าจริงคือเกินไปอ่ะ รับไม่ได้ ต่ำ!

คอมเม้นต์ 2 : เอิ่ม ขายตัวด้วยเหรอ ก็นะ หน้าตาดี ลูกค้าคงเยอะ

#พี่คนหล่อคือใคร

แม็ค พชรดนัย : @บุคคล ผู้รู้ความจริง แปลกเนอะที่เพื่อนกูเอากับใครก็ไม่รู้แต่ไปหนักหัวมึง หรือว่าเพื่อนกูไปเอากับผัวมึงเหรอ? ถ้าใช่…มึงอย่าอายโพสต์หลักฐานมาดิ หรือถ้าเรื่องที่เพื่อนกูขายตัวเป็นความจริง ขอหลักฐานด้วยครับ แค่รูปที่เอามาโพสต์มันบอกได้เหรอว่าเพื่อนกูขายอ่ะ

#สติสมองจงมา #มโนให้น้อยๆหน่อยแล้วชีวิตจะเจริญก้าวหน้าขึ้น

คอมเม้นต์ 3 : ฮุ้ยย แร๊งง ตอนแรกเกือบเชื่อแหละ น้องมันสมองน้อย ดีนะพี่แม็คช่วยเตือน อีกอย่างเรื่องที่คนอื่นพูดมาอาจใส่สีตีไข่มาแล้วก็ได้นะ เราไม่ได้แอบดูอยู่ใต้เตียงเค้าเนอะ ไม่รู้หรอกว่าเค้าทำอะไรกับใครบ้าง ทางที่ดีอย่าไปเสือกเรื่องคนอื่นเค้าเลย

#แม็ควินจงเจริญ #เพื่อนต้องปกป้องเพื่อนนะคะซิส

คอมเม้นต์ 4 : แล้วคนแบบไหนที่คู่ควรจะเอามาจิ้นกับพี่แม็คอ่ะคะ บริสุทธิ์ จิตใจดี หน้าตาดี หล่อ รวย แบบนี้เหรอ เทวดาชัดๆเลย

#สติสมองจงมา #มโนให้น้อยๆหน่อยแล้วชีวิตจะเจริญก้าวหน้าขึ้น

 

“วิน มึงโอเคแน่มั้ยเนี่ย?”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถามจากไอ้แว่น มันชะโงกใบหน้าเข้ามาจ้องผมตาปริบๆ ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้ากลับไป

“ไปเรียนกันเถอะ” ผมตัดบทแล้วเก็บไอโฟนใส่ในกระเป๋ากางเกง ตอนนี้เรื่องเดียวที่ทำให้ผมกังวล ไม่ใช่การถูกคนในมหาลัยเข้าใจผิดหรือมองผมในแง่ร้าย แต่ผมกลัวว่าพอร์ชจะมองผมในแง่ร้ายต่างหาก…

ผมแค่ไม่อยากให้เขาผิดหวังในตัวของผม

 

 

ผมใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาซ้อมว่ายน้ำ จริงๆวันนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิแล้วก็ทำเวลาได้ไม่ดีเพราะกังวลแต่เรื่องของพอร์ช หมอนั่นไม่ได้โทรหาผมซึ่งถ้าเป็นวันอื่นผมจะไม่คิดมากเลย เพราะพอร์ชไม่ใช่คนที่จะโทรมาบ่อยๆอยู่แล้ว แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในเพจ Sexy Boy เมื่อเช้านั่นแหละ จะบอกว่าพอร์ชไม่เห็นก็ไม่น่าใช่ อีกอย่างหมอนี่เป็นคนขี้หึงจะไม่โทรมาถามผมหน่อยเหรอว่าเรื่องเป็นยังไง ตอนแรกผมก็ตั้งใจว่าจะโทรหาเขาหลังจากเลิกเรียน แต่เพราะความปอดแหกของผมเองนั่นแหละที่ทำให้จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้โทรหาเขาเลย

ผมยันตัวขึ้นมานั่งบนขอบสระว่ายน้ำเพื่อพักเหนื่อยแล้วก็เช็คไอโฟนว่า    พอร์ชโทรมาหรือเปล่า ในตอนนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดเลยนอกจากพุ่มไม้ที่อยู่ด้านนอกรั้วของสระว่ายน้ำกำลังไหวเอนช้าๆ…ลมอาจจะพัด ผมพยายามคิดในแง่ดี แต่ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าวันนี้ ผมว่ายน้ำแบบไม่เป็นส่วนตัวเลย ทั้งที่ตอนนี้ก็มีแค่ผมคนเดียว มันรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจับตามองตลอดเวลา ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

ในเมื่อตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่สบายใจแล้ว ผมจึงคิดว่าควรจะกลับหอ ผมลุกจากพื้น เดินไปหยิบกระเป๋าเป้ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวอาคารสีขาวเล็กๆที่ก่อสร้างขึ้นสำหรับทำเป็นห้องอาบน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ในตอนที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดและไฟสปอร์ตไลท์รอบสระว่ายน้ำก็ถูกเปิดขึ้นด้วยตัวตั้งเวลาอัตโนมัติ ผมเดินไปที่ทางออกซึ่งเป็นประตูรั้วเหล็กดัดทาด้วยสีเทา ที่นี่ไม่เคยล็อคเว้นแต่ช่วงปรับปรุงหรือช่วงปิดเทอมเท่านั้นที่มีเวลาล็อคประตูหน้าสระว่ายน้ำที่แน่นอน ผมยื่นมือไปผลักประตูเหล็กแต่กลับพบว่า…

กึก!

อะ อ้าว

ผมชะโงกหน้ามองผ่านช่องว่างของเหล็กดัดไปด้านนอกและพบว่าประตูที่ไม่เคยล็อค บัดนี้กลับคล้องแม่กุญแจตัวใหญ่เอาไว้

ได้ไงวะ!

ปกติถ้าอยู่ในช่วงปรับปรุงสระว่ายน้ำ ทางมหาลัยจะห้อยป้ายเวลาเปิดและปิดไว้ที่หน้าประตูรั้ว ซึ่งผมแน่ใจว่าตอนที่เดินเข้ามาไม่มีป้ายดังกล่าว

เอาแล้ว ทำไงดีวะ?

“ช่วยด้วยครับ!!”

ผมตะโกนเสียงดัง จำได้ว่าด้านนอกสระว่ายน้ำมีป้อมยามเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีการเปลี่ยนเวรยามเฝ้าสระว่ายน้ำไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมหวังว่าลุงยามจะได้ยินเสียงของผมนะ แต่ก็เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่ายามประจำสระว่ายน้ำมีแต่พวกยามแก่ๆที่ใกล้เกษียณ ซึ่งยามที่มีอายุงานกว่ายี่สิบปีจะถูกส่งมาที่นี่เพราะงานเฝ้าสระว่ายน้ำเป็นงานที่สบายที่สุด ไม่ต้องเดินตรวจตรา ไม่มีขโมย (เพราะมันไม่มีอะไรจะให้ขโมย)แถมยังแอบหลับแอบอู้ได้อีกด้วย

“ลุงยามครับ!!”

ผมตะโกนอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น ลองเงี่ยหูฟังว่ามีความเคลื่อนไหวจากด้านนอกบ้างหรือไม่ แต่ปรากฏว่าเงียบสนิท เฮ้ย นี่มันเพิ่งหกโมงเย็นเองนะ ลุงยามคงจะไม่แอบหลับตั้งแต่หัวค่ำหรอกใช่มั้ย

“มีใครอยู่มั้ยครับ!!”

ผมแหกปากลั่นสระว่ายน้ำจนเริ่มเจ็บคอ นี่มันไม่ตลกแล้วนะเว้ย ผมไม่อยากถูกขังอยู่ที่นี่จนถึงเช้าหรอกนะ

“ผมติดอยู่ในนี้ครับ ลุงยามครับ!!”

ให้ตายสิ! ผมไม่อยากจะคิดอะไรในแง่ร้ายเลยนะ แต่ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนเจตนาแกล้งผม เขาอยากทิ้งให้ผมนอนที่นี่ทั้งคืน

ผมคิดว่าลุงยามอาจจะไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยที่อื่น หรือไม่ก็เปิดวิทยุเสียงดังเหมือนเดิม ดังนั้นผมคิดว่าควรจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นดีกว่า  ไม่งั้นคงคอแตกตายก่อนจะได้กลับออกไปแน่ๆเลย

ผมหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรหาไอ้แว่นเป็นคนแรก มันอยู่หอติดรั้วมอน่าจะมาได้เร็วที่สุด เสียงรอสายดังอยู่นานจนตัดไปเอง ไอ้แว่นก็ไม่รับโทรศัพท์ คือจริงๆแล้วหมอนี่เป็นพวกไม่ติดสมาร์ทโฟนนั่นแหละครับ โทรไปก็ไม่ค่อยรับอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กูเดือดร้อนมึงคิดจะรับหน่อยได้มั้ยเล่า

ผมกดโทรออกซ้ำๆจนเกือบจะหมดความอดทน พยายามหายใจเข้าและออกอยู่หลายต่อหลายครั้งจนจิตใจสงบลง ก่อนจะเปิดรายชื่อของเพื่อนที่บันทึกไว้ในไอโฟนเพื่อดูว่ามีใครอีกที่พอจะช่วยผมได้

อันที่จริงชื่อของพอร์ชผุดขึ้นมาในสมองของผมเป็นคนแรก แต่ทิฐิในใจทำให้ผมเลือกที่จะเมินเฉยต่อเบอร์โทรของเขาแล้วเลือกที่จะกดโทรออกไปหาไอ้ธามเป็นคนที่สอง และก็น่าผิดหวังเหมือนเดิมเพราะไอ้หมอนี่ปิดเครื่อง

ผมกดโทรออกไปหาไอ้ไวท์เป็นรายที่สาม ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจขอให้อีกฝ่ายรับสาย เพราะถ้ามันไม่รับผมก็ไม่รู้ว่าควรจะโทรหาใครเป็นรายต่อไปแล้ว ผมถือสายรอนานมาก คิดว่าสายจะถูกตัดซะแล้วในตอนที่อีกฝ่ายกดรับแต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากส่งเสียงผมก็ตะโกนลั่นขึ้นมาซะก่อน

“ไอ้ไวท์!!! ช่วยกูด้วย”

“เกิดอะไรขึ้น มึงอยู่ไหน?” เสียงที่ตอบกลับมาของไอ้ไวท์ค่อนข้างซีเรียส ทำให้ผมน้ำตาเกือบไหล ซาบซึ้งใจเหลือเกิน…

ขอบใจมากเพื่อน กูคิดอยู่แล้วว่ามึงเป็นคนเดียวที่พึ่งพาได้ ฮืออออ

“กูถูกขังอยู่ที่สระว่ายน้ำมหาลัย มึงมาเปิดประตูให้กูหน่อย กูออกไม่ได้”

ผมรีบตอบกลับไปทันที

“ทำไมโดนขัง ปกติรั้วมันล็อคด้วยเหรอ?”

มึงอย่าเพิ่งสงสัยอะไรตอนนี้ รีบมาเร็วๆ กูเริ่มหนาวแล้วนะเว้ย

“ปกติกูไม่รู้ แต่ตอนนี้มันล็อคไง”

โครมมมม!!!!

ปัง!!!

ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็ได้ยินเสียงของบางอย่างล้มกระแทกพื้น แล้วก็เสียงที่ดูเหมือนจะเป็นการปิดประตูเสียงดังมาจากทางด้านของไอ้ไวท์

เกิดอะไรขึ้นวะ? หรือโจรขึ้นห้องไอ้ไวท์ จำได้ว่ามันอยู่คอนโดชั้น 21 เลยนะ คือโจรก็ยังจะพยายามปีนขึ้นไปปล้นอีกเหรอ

“เสียงอะไรวะ มึงเป็นไรปะเนี่ย” ผมถามด้วยความไม่สบายใจ อย่าเป็นอะไรนะมาช่วยกูก่อน เพื่อนไวท์…

“กูอ่ะไม่เป็นไร แต่เมียกูนี่แหละเป็นอะไรไม่รู้วิ่งเข้าห้องน้ำไปอาเจียนสองรอบแล้ว กูว่าจะพาไปหาหมอ”

คำตอบของไอ้ไวท์ทำให้ผมถึงกับคิ้วกระตุก อ้าว ห่านี่

“นี่มึงดูแลพายุยังไงวะ ทำไมถึงอ้วก กินอะไรไม่ดีเข้าไป ป่วยเหรอหรือไม่สบาย” ผมยิงคำถามเป็นชุด ผมไม่ได้ชอบพายุแบบเดิมอีกแล้ว แต่ความเคยชินทำให้ผมอดเป็นห่วงหมอนั่นไม่ได้

“หยุด! นี่เมียกู กูห่วงได้คนเดียว ส่วนมึง ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”

เออ ถูกของมัน กูยังเอาตัวเองไม่รอดเลยนี่หว่า

“มึงรีบพาพายุไปโรงพยาบาลเลยนะ ถ้าน้องเป็นอะไรไปกูจะถีบหน้ามึง”

“เออ เดี๋ยวโทรบอกไอ้ธามให้ไปรับมึงละกัน”

“มันปิดเครื่อง”

“แล้วไอ้ฉัตรล่ะ”

ผมชะงักไปครู่หนึ่ง

หมอนั่น…!! จะไปรู้ได้ไง จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย

“ไม่รู้ ไม่ได้โทรหา” ผมตอบส่งๆ

“ทะเลาะกันเหรอ”

ไอ้ห่านี่ เสือกให้เป็นเวลาหน่อย

“เปล่า”

ผมปฎิเสธ ผมกับพอร์ชไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าทะเลาะกันเลย เรียกว่าอยู่ในภาวะสงครามเย็นดีกว่า เขาไม่โทรหาผมและผมก็ไม่โทรหาเขา หรือต่อให้เขากำลังรอสายเรียกเขาจากผม ผมก็ไม่โทร ทำไมต้องโทรด้วยล่ะ ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิด หมอนั่นอยากรู้อะไรทำไมไม่เป็นฝ่ายโทรมาถามเองเล่า

“ให้เพื่อนมึงหรือใครก็ได้มาช่วยกูออกไปหน่อย แล้วก็ไม่ต้องบอกไอ้บ้าพอร์ชนะ” ผมเอ่ยกับไอ้ไวท์ ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งจนผมคิดว่ามันวางโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วหนีไปดูอาการพายุหรือเปล่า

“เข้าใจมั้ยเนี่ยไวท์” ผมถามย้ำซึ่งอีกฝ่ายก็รีบตอบกลับมาทันที

“เข้าใจแล้ว”

 

 

ผมเอนหลังพิงเก้าอี้พลาสติกริมสระว่ายน้ำ ลมเย็นๆในช่วงหัวค่ำทำให้ผมตัวสั่นเล็กน้อย รู้สึกอยากกลับหอไปนอนเร็วๆอ่ะ ทำไมป่านนี้เพื่อนของไอ้ไวท์ยังไม่มาอีกนะ แต่จะให้โทรกลับไปเร่งไอ้ไวท์ ต่อมความเกรงใจก็เกิดทำงานขึ้นมากะทันหัน ก็พายุแม่งป่วยอยู่ด้วยอ่ะ แล้วผัวเมียเขาก็ต้องดูแลกัน ผมก็ไม่ควรจะโทรไปขัดจังหวะอ่ะครับ

ผมยกไอโฟนขึ้นมาดูเวลา นี่มันหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว เพื่อนไอ้ไวท์หลงทางหรือไงวะ หรือเดินทางมาจากดาวอังคารทำไมป่านนี้ยังไม่ถึงโลกซะที

“วิน”

เสียงคุ้นหูที่ตะโกนเรียกชื่อของผม ทำให้ผมยิ้มกว้างทันที ใบหน้าหันขวับไปมองที่ประตูทางเข้าของสระว่ายน้ำก็เห็นว่าพอร์ชกำลังยืนอยู่ตรงนั้นในชุดนิสิต (แบบผิดระเบียบ)

“พอร์ช!!!!!” ผมร้องด้วยความดีใจก่อนจะลุกพรวดจากเก้าอี้แล้ววิ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

“มาได้ไง” ผมถาม คือตอนนี้ลืมไปแล้วว่ากำลังน้อยใจเขาอยู่

“ถ้าไอ้ไวท์ไม่โทรบอกกูว่ามึงติดอยู่ที่นี่ มึงคิดจะโทรหากูมั้ยฮะ”

พอร์ชตะคอกใส่ผม ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยบัดนี้กลับดุดันกว่าปกติ ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าเขากำลังโกรธมาก…

“ก็มึงไม่โทรหากูอ่ะ” ผมแย้งด้วยใบหน้าที่สลดลงเล็กน้อย

“แล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงติดอยู่ที่นี่ คิดว่ากูเป็นซูปเปอร์แมนเหรอ หรือคิดว่ากูหยั่งรู้ทุกอย่าง”

“มึงไม่สนใจกู”

มึงควรจะโทรหากูตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องในเพจ Sexy Boy แล้ว แต่มึงก็ไม่ทำ!

“กูไม่สนใจมึงตอนไหน” พอร์ชถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ผมคิดว่าเขากำลังข่มความเกรี้ยวกราดเอาไว้ระดับหนึ่ง

ห่าเอ๊ย อย่าทำเหมือนกูเป็นคนงี่เง่าที่คิดเองเออเองได้มั้ยวะ เห็นชัดๆว่ามึงต้องหึง แต่มึงก็ไม่หึง มันแปลว่าอะไร…ก็แปลว่าไม่สนใจหรืออยากเทกูไงล่ะ

“เป็นอะไร”

พอร์ชถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่ยืนเงียบ…กูอยากให้มึงถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเพจ Sexy Boy แล้วทำไมมึงไม่ถามล่ะ มึงต้องการให้กูพูดออกมาเองใช่มั้ย?

“กูไม่ได้ขายตัว!!!”

ผมตะโกนใส่พอร์ช

“กูไม่ได้ขายตัว ได้ยินมั้ยยยยยย!!!”

ผมตะโกนอีกครั้งแล้วตรงเข้าไปผลักอกของพอร์ชจนเซถอยหลัง เขาไม่ได้หงุดหงิดหรือตะคอกใส่ผม แต่กลับรั้งร่างของผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแล้วใช้แขนแข็งแรงทั้งสองข้างรัดร่างของผมไว้แน่น

“รู้แล้ว กูเชื่อมึง” พอร์ชกระซิบชิดใบหูของผม

“ทำไมมึงไม่ถามกู ทำไมไม่บอกให้กูอธิบาย”

ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงเริ่มสั่นเครือเมื่อได้รับความอบอุ่นจากอ้อมแขนของพอร์ช ผมสงบสติอารมณ์ได้แล้วแต่หัวใจกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาแทน

“เพราะกูรู้ว่ามึงไม่ได้ทำ” พอร์ชเอ่ยกับผมอย่างอ่อนโยน ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบศีรษะของผมเบาๆเป็นการปลอบโยน

“มึงไม่โทรหากูเพราะงอนกูใช่มั้ย คิดว่ากูเชื่อข่าวพวกนั้นเหรอ”

“อืม” ผมยอมรับแล้วยกแขนสองข้างขึ้นมาโอบกอดแผ่นหลังของพอร์ชไว้แน่น ผมไม่อยากเสียเขาไป ผมอยากกอดเขาเอาไว้นานๆ

“โง่จริงเลย กูไม่ใช่คนหูเบาซะหน่อย”

ผมขมวดคิ้ว ให้ตายสิ หมอนี่พูดจาหวานๆได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีหรอก ต้องหาเรื่องด่ากูจนได้เลยนะ

“ทำไมมาช้า ไอ้ไวท์โทรบอกมึงตอนไหนเนี่ย” ผมถามแล้วผละออกจากอ้อมกอดของพอร์ช

“หกโมงกว่าๆมั้ง” คำตอบของพอร์ชทำให้ผมหน้าบึ้ง

“แล้วมึงไปไหน ทำไมเพิ่งมา รู้มั้ยว่ากูหนาว”

“รีบมาที่สุดแล้วครับ กูไปขอกุญแจลุงยามมาเปิดประตู แต่ลุงแกไม่มี บอกไม่รู้ว่าใครมาล็อค กูเลยต้องขับรถออกไปซื้อไอ้เนี่ยมาตัดกุญแจให้มึงไง แล้วมึงคิดว่าค่ำๆแบบนี้มันหาร้านขายเครื่องมือได้ง่ายๆหรือไง”

ผมเพิ่งสังเกตว่าในมือข้างหนึ่งของพอร์ชถือกรรไกรตัดเหล็กเอาไว้ด้วย เฮ้อ ของแบบนี้ที่ช็อปวิศวะก็มี แต่นั่นแหละพอร์ชคงไม่รู้ถึงได้ออกไปหาซื้อมาจนได้

“มีคนแกล้งกู”

ผมรีบฟ้องเขา ผมแน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จู่ๆก็มีเฟสบุ๊คปริศนาถูกเปิดขึ้นมาเพื่อด่าผมในวันเดียวกับที่ผมถูกขังอยู่ที่สระว่ายน้ำ

“รู้แล้วครับ กูจะหาตัวมันให้นะ”

พอร์ชให้สัญญา เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งทาบลงบนข้างแก้มของผมเป็นการปลอบโยน

“หายังไง”

ผมถาม ผมไม่ได้ฟ้องพอร์ชเพื่อให้เขาหาตัวร้ายให้ แต่ผมฟ้องเพราะอยากฟ้องเท่านั้นเอง แค่อาการของคนที่อยากได้รับความสนใจอ่ะครับ

“ตอนเข้ามา ลุงยามบอกกูว่ามีนิสิตผู้ชายคนหนึ่งเอาขนมกับม้วนเทปที่แกอยากได้มาให้ แกเลยกินขนมแล้วก็เปิดเทปดังไปหน่อยเลยไม่ได้ยินเสียงของมึง”

เหตุผลนี้ช่าง…น่าโมโหว่ะ สบายเลยนะลุง น่าหักเงินเดือนชะมัดเล้ย

“กูจะลองเอารูปคนที่น่าสงสัยมาให้ลุงยามดูพรุ่งนี้ มึงไม่ต้องกังวล ตั้งใจซ้อมไปเถอะ แล้วก็อย่ามาซ้อมคนเดียวอีก เอาเพื่อนมาด้วย เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจแล้ว ขอบใจนะ”

ผมตอบรับแล้วชะโงกหน้าไปจุ๊บแก้มของพอร์ชเบาๆเป็นการขอบคุณ ถ้าพอร์ชหาตัวคนร้ายได้ก็ดีไป หาไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ผมจะไม่แจ้งกับทางมหาลัยเว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะเล่นแรงขึ้นกว่านี้

 

 
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/11/2562 [บทที่18]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-11-2019 09:50:57
 :o8: หายไปนาน(รึเปล่า555)
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/11/2562 [บทที่18]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-11-2019 16:31:36
 :3125: :3125:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/11/2562 [บทที่19]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 07-11-2019 10:09:23

บทที่ 19 ชัยชนะ



ในที่สุดวันแข่งขันกีฬาว่ายน้ำก็มาถึง นักกีฬาทุกคนจากทุกคณะพร้อมพี่เลี้ยงหนึ่งคนกำลังเตรียมตัวอยู่ในห้องรับรอง พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและกำลังวอร์มร่างการให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน

ผมได้รุ่นพี่ปีสี่จากสโมสรนิสิตคณะวิศวะคนหนึ่งมาทำหน้าที่ดูแล ตั้งแต่เรื่องของอาหาร น้ำดื่ม ขนม กางเกงว่ายน้ำและยานวดสำหรับแก้ปวด เอาเป็นว่าดูแลทุกอย่าง รวมถึงนวดคลายกล้ามเนื้อให้ด้วย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ประตูห้องรับรองนักกีฬาถูกเคาะแบบพอเป็นพิธีก่อนจะถูกเปิดออกโดยไม่ได้รับอนุญาต คนที่เข้ามาคืออาจารย์ผู้ชายวัยเกือบสี่สิบปีซึ่งวันนี้รับหน้าที่เป็นกรรมการสนาม

“นักกีฬาเตรียมตัวให้พร้อม อีกสิบนาทีจะเรียกตัวแล้ว ส่วนพวกพี่เลี้ยงออกไปให้หมด”

คำสั่งไล่กะทันหันทำให้พวกพี่เลี้ยงกระวีกระวาดเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ให้คำแนะนำและกำลังใจแก่นักกีฬาอีกสองสามประโยคก่อนจะพากันทยอยออกไปจากห้องรับรอง

“ไม่ต้องกดดันนะมึง แค่ทำให้เต็มที่ก็พอ ไม่ชนะก็ไม่เป็นไรแต่อย่าให้วิศวะขายหน้าก็พอ”

พี่เลี้ยงที่กำลังนวดคลายกล้ามเนื้อที่หัวไหล่ให้ผมเอ่ยอย่างจริงจัง ครับๆ ไม่ชนะแต่อย่าให้ขายหน้า เป็นคำสั่งเสียประเภทไหนกันวะ สรุปคือไม่ขายหน้าก็ต้องชนะปะ หรือไม่ขายหน้าคือการไม่เป็นที่สุดท้ายในการแข่งขันอ่ะ

“เออรู้ครับ พี่ออกไปได้แล้ว”

ผมรีบเอ่ยไล่เมื่อหันไปสบตากับอาจารย์กรรมการที่กำลังถลึงตามองมาทางพวกเรา

“เออๆ กูไปล่ะ” พี่เลี้ยงของผมรีบโกยข้าวของใส่กระเป๋า คว้าถุงขยะแล้ววิ่งโล่ออกไปจากห้องรับรอง ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถอนหายใจ ไอ้พี่เลี้ยงตัวดีก็วิ่งกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

อะ อ้าว ลืมอะไรไว้เหรอ?

“วิน” พี่เลี้ยงเรียกชื่อของผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย

“ไรพี่” ผมถาม อย่ามาดึงดราม่าแถวนี้นะ

“กูรู้ว่าโอกาสที่มึงจะชนะมีน้อย แต่ว่าวิศวะของเราต้องการเงินจริงๆนะเว้ย”

รู้น่า นี่ก็ย้ำจริงเล้ย…

การที่ผมไม่ได้ร้องขอพี่เลี้ยงระหว่างการซ้อมว่ายน้ำทำให้สโมสรนิสิตใจเสีย คิดว่าผมอาจจะแอบโดดซ้อมหรือไม่จริงจังกับการแข่งขันในครั้งนี้ แต่โชคดีนะที่ผมอยากให้ช็อปอุตสาหการเปลี่ยนเครื่องกลึงเป็นรุ่นใหม่ ไม่งั้นไม่ลงทุนซุ่มซ้อมแบบเงียบๆนะโว้ย

อีกอย่าง ถ้าผมชนะแบบเหนือความคาดหมาย มันคงเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ แต่ถ้าทุกคนคาดหวังในตัวของผมอยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้รับชัยชนะในการแข่งครั้งนี้ จะมีแต่ทำให้ทุกคนเสียใจเปล่าๆ เพราะงั้นก็ไม่มีใครจำเป็นต้องรู้หรอกว่าผมได้พยายามมากแค่ไหน เอาเป็นว่ารอดูผลการแข่งเลยแล้วกัน

“เธอน่ะ ออกไปได้แล้ว”

อาจารย์กรรมการตะโกนไล่เมื่อเห็นว่าพี่เลี้ยงของผมเป็นคนสุดท้ายที่ยังไม่ก้าวเท้าออกไปจากห้องรับรอง

“สู้ๆนะ”

พี่เลี้ยงยกกำปั้นทั้งสองข้างให้ผมด้วยแววตาที่เหมือนคนปลงตก ห่าเอ๊ย พี่อย่าหนีไปร้องไห้นะ ผมรับรองว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น

หลังจากที่พี่เลี้ยงออกไปจากห้องรับรอง ผมก็ลุกจากที่นั่งเพื่อทำการยืดคลายกล้ามเนื้อขา ผมได้ยินเสียงประกาศเปิดงานของคนใหญ่คนโตสักคนในมหาลัยแล้วก็เสียงกรี๊ดกร๊าดของนิสิตที่มาชมการแข่งขัน ฟังจากเสียงแล้วคนน่าจะมากันเยอะพอสมควรเพราะการแข่งขันว่ายน้ำเป็นรายการสุดท้ายของกีฬาสัมพันธ์ในครั้งนี้

“วิน”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของผม เป็นพอร์ชนั่นเอง เขายังดูใจเย็นแล้วก็นิ่งเฉยไม่ต่างจากปกติ คือมึงเตรียมใจมาแพ้กูขนาดที่หมดอารมณ์ร่วมกับการแข่งขันเลยเหรอวะ

“ตื่นเต้นเหรอ”

“นิดหน่อย”

ผมตอบ ซึ่งจริงๆแล้วผมโคตรตื่นเต้นเลยครับ ผมรู้ดีว่านาทีที่ก้าวเท้าสู่สนาม สายตาของทุกคนจะจับจ้องมาที่นักกีฬา รวมถึงความหวังที่จะก่อกำเนิดขึ้นในใจของเพื่อนร่วมคณะโดยที่ไม่รู้ตัว

ผมยังจำความกดดันในการแข่งขันครั้งแรกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในการแข่งขันว่ายน้ำชายประเภททีมในตอนที่ผมเป็นนักกีฬาให้กับคณะเภสัช มันเป็นความรู้สึกแย่และรู้สึกผิดเป็นเท่าตัวแม้จะไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของผมก็ตาม แต่ผมรู้ดีว่าผมทำเวลาได้น้อยที่สุดในทีม เมื่อนำเวลาของนักกีฬาทุกคนในทีมมารวมกันจึงทำให้พ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้เลย

เฮ้อ ถือว่าโชคดีนะที่ครั้งนี้เป็นการแข่งขันประเภทเดี่ยว ไม่งั้นผมต้องสติแตกแน่ๆเลย

“แค่ทำเวลาให้ดีเหมือนที่ซ้อมมา มึงต้องได้เหรียญทองอยู่แล้ว”

พอร์ชเอ่ยกับผม ในการซ้อมวันสุดท้าย พอร์ชช่วยมาเทรนให้เหมือนเดิม ซึ่งผมทำเวลาได้ดีที่สุดคือ 1.20 นาที แม้จะไม่ดีเท่ากับเวลาที่พี่พอร์ชกับไอ้ไวท์เคยทำไว้คือ 1.10-1.15 นาที แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผมชนะได้ เพราะจากสถิติที่ไอ้แม็คทำไว้คือมากกว่า 1.20 นาที ส่วนนักกีฬาจากคณะอื่นๆถ้าไม่ได้ซุ่มเงียบก็ไม่น่าที่จะทำเวลาได้ดีกว่านี้ อีกอย่างในตอนที่ซ้อมแข่งรวมผมตั้งใจทำเวลาไว้ที่ 1.40 นาทีเพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามองของนักกีฬาคนอื่น

“พอร์ช”

“หืม”

ผมเงยหน้ามองเขาเงียบๆครู่หนึ่ง ผมรู้ว่าเขาจะไม่หักหลังผม เขายอมยกชัยชนะให้ผมได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดในการแข่งขันแล้วผมหลุดจากอันดับสาม หรือมีคนอื่นที่ทำเวลาได้ดีกว่า ผมก็ไม่อยากให้พอร์ชต้องมาพ่ายแพ้ไปด้วย ผมรู้ว่าเขาเก่ง เขาสมควรได้เหรียญทองมากกว่าใคร

“ถ้ากูชนะมึงไม่ได้ มึงก็ห้ามให้คนอื่นชนะมึง เข้าใจมั้ย”

พอร์ชชะงัก เขามองเข้ามาในดวงตาของผมเงียบๆ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร การเดาใจของพอร์ชเป็นอะไรที่ยากกว่าการสอบได้เกรดเอ

“เข้าใจมั้ยพอร์ช”

ผมถามซ้ำ ต่อให้พอร์ชไม่อยากได้เงินรางวัล แต่ผมก็ไม่อยากให้นักกีฬาตัวจริงของมหาลัยอย่างเขาดูแย่ในสายตาของคนอื่น

“เข้าใจ”

พอร์ชตอบ

“สัญญากับกูมาก่อนสิ อย่าให้คนอื่นชนะมึงนอกจากกู”

ผมยื่นนิ้วก้อยให้กับพอร์ช ซึ่งหมอนั่นก็ยอมยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับนิ้วของผมอย่างว่าง่าย

“กูสัญญา”

ปรี๊ดดดดดดดดดดดด!!

สัญญาณเสียงครั้งที่หนึ่งสั่งให้นักกีฬาว่ายน้ำก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นปล่อยตัว ซึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ถูกจัดขึ้นมาสองรอบเพราะจำนวนนักกีฬาที่มากเกินไปสำหรับลู่แข่งขัน ในรอบที่หนึ่งแข่งขันทั้งหมดเก้าคน และในรอบที่สองซึ่งเป็นรอบของผมแข่งขันจำนวนเจ็ดคน โดยผู้ที่ทำเวลาได้ดีที่สุดสามอันดับแรกจากทั้งสองรอบจะได้รับเหรียญและเงินรางวัล

ทางด้านซ้ายของผมคือนักกีฬาจากคณะเกษตรศาสตร์ ส่วนทางด้านขวาคือพอร์ช นักกีฬาจากคณะบริหารธุรกิจ ผมแอบเหลือบตาภายใต้กรอบแว่นไปมองเขา แต่หมอนั่นไม่ได้สนใจผม

ห่าเอ๊ย กูตื่นเต้นจนฉี่จะราดแล้วพอร์ช!

“Take your marks”

เสียงของคณะกรรมการที่ถูกประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นคำสั่งให้นักกีฬาเตรียมท่าตั้งต้น โดยให้ปลายเท้าอย่างน้อยหนึ่งข้างอยู่ที่ปลายสุดของแท่น ส่วนตำแหน่งของแขนไม่ได้กำหนดไว้ตายตัว อันที่จริงตอนนี้เหงื่อเย็นๆเริ่มซึมมาตามขมับของผมแล้วครับ และเสียงกรีดร้องของผู้ชมทั่วทั้งสนามก็เริ่มทำให้ผมสติแตกแล้วด้วย

ใจเย็นๆนะวิน กูทำได้ กูต้องทำให้ได้…

ผมพยายามปลอบใจตัวเอง ถ้าผมสติหลุดตอนนี้ผมต้องเสียสมาธิในการแข่งขันแน่เลย ผมคิดถึงการแข่งขันในรอบที่หนึ่งเพื่อให้ตัวเองอุ่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยเวลาที่นักกีฬาทำไว้ได้ดีที่สุดก็คือไอ้แม็คจากคณะเภสัช เวลาคือ 1.27 นาที ซึ่งผมต้องทำให้ดีกว่านั้นแน่นอน

ปรี๊ดดดดดดดดดดดด!!

สัญญาณเสียงดังขึ้นอีกครั้งเป็นการสั่งปล่อยตัวนักกีฬา ผมและคนที่เหลือรีบกระโดดลงไปในน้ำแล้วแหวกว่ายในท่าฟรีสไตล์ทันที ผมพยายามพุ่งสมาธิไปที่ขอบสระอีกด้านโดนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว ผมต้องแข่งกับตัวเอง ทำเวลาให้ดีที่เหมือนที่เคยซ้อมมา

ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เพราะน้ำทำให้ผมได้ยินเสียงรอบข้างและเสียงของพิธีกรไม่ชัดเจน ผมกลับตัวใต้น้ำแล้วว่ายกลับไปด้วยท่าผีเสื้อ การซ้อมอย่างหนักทำให้ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

ในตอนที่ผมมองเห็นกระเบื้องสีฟ้าสดใสของขอบสระตรงหน้า ผมรู้สึกได้ว่าพอร์ชลดความเร็วลงกะทันหัน ผมพุ่งผ่านอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็วและแตะมือลงบนขอบสระพอดีกับที่สัญญาณเสียงดังขึ้น ผมพุ่งตัวขึ้นมาด้านบนผิวน้ำเกือบจะพร้อมๆกับพอร์ช

เสียงกรีดร้องจนฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นในตอนที่กระดานบอร์ทดิจิตอลข้างสนามแข่งขันกำลังเรียงลำดับหมายเลขประจำตัวนัของกกีฬาคู่กับเวลาในการแข่งขันโดยเรียงลำดับจากผู้ที่ทำเวลาได้ดีที่สุด

“ผลการแข่งขันว่ายน้ำชาย อันดับหนึ่งเหรียญทองเป็นของตัวแทนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทำเวลาไปได้ 1.21 นาที อันดับสองเหรียญเงินเป็นของตัวแทนจากคณะบริหารธุรกิจ ทำเวลาไปได้ 1.22 นาที และอันดับสามเหรียญทองแดงเป็นของตัวแทนจากคณะแพทยศาสตร์ ทำเวลาไปได้ 1.24 นาที”

กรี๊ดดดดดดดดดด!!!

เสียงพิธีกรประกาศชัยชนะของผมพร้อมกับเสียงกรี๊ดดังสนั่นรอบสนามทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยันตัวขึ้นจากสระน้ำแบบงงๆ ขณะถูกรุมล้อมด้วยเพื่อนนักกีฬาที่เข้ามาแสดงความยินดี แต่ผมคงชนะไม่ได้ถ้าไม่มีพอร์ช ผมพยายามมองหาคนที่เป็นกำลังใจสำคัญของผม หมอนั่นถูกฝูงชนดันออกไปอยู่ที่ด้านข้างของสนามแล้ว

“พอร์ช!!” ผมตะโกนเรียกเขา หมอนั่นหันมามองทางผม นอกจากรอยยิ้มบางๆที่มุมปากแล้ว เขาไม่ได้เดินเข้ามาแสดงความยินดีเหมือนกับคนอื่น แต่ผมอยากให้เขาแสดงความยินดีกับผมมากกว่าใคร

“กูชนะ!!”

ผมตะโกนแล้วพยายามแหวกฝูกชนรวมถึงรุ่นพี่สโมสรนิสิตคณะวิศวะที่กำลังยืนร้องไห้ เมื่อผมเดินมาถึงตัวพอร์ช หมอนั่นหรี่ตามองผมนิ่งๆ แต่ผมกลับโผเข้าไปกอดเขาที่เกือบจะอ้าแขนรับไม่ทัน ผมเพิ่งรู้ตัวตอนนี้แหละว่าผมกำลังร้องไห้โฮ ผมรู้ตัวว่าโกงคนอื่นแต่มันช่วยไม่ได้ที่ผมแอบภูมิใจในชัยชนะครั้งนี้ อย่างน้อยผมก็ชนะนักกีฬาอีกสิบสามคนอย่างแท้จริง

“มึงเป็นของกูแล้วนะ” พอร์ชกระซิบที่ข้างใบหูของผม

“หมายถึง พวกเราคบกันแล้ว?” ผมถามแล้วดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพอร์ชเพื่อมองดวงตาสีดำของเขา

“ความหมายเดียวกันแหละ” พอร์ชเอ่ยยิ้มๆ

“ขอบใจนะ”

ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากครับ ไม่เคยมีใครยอมให้ผมเท่ากับพอร์ชมาก่อน อีกอย่างคนอย่างพอร์ชไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครง่ายๆเลย ผมรู้ว่าผมสำคัญกับเขาเช่นเดียวกับที่เขาเป็นคนที่มีค่าที่สุดสำหรับผม

การแข่งขันในวันนี้ผมได้รับทั้งเหรียญทอง เสียงชื่นชม และแฟนคนสำคัญ

ขอบคุณจริงๆนะ…

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีมอบเหรียญรางวัลและถ่ายภาพร่วมกับคณะกรรมการ นักกีฬาทุกคนก็พากันแยกย้ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมมีนัดกับรุ่นพี่สโมสรนิสิตคณะวิศวะที่ตั้งใจจะพาผมไปเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นในห้าง ซึ่งผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฎิเสธ งานนี้ไม่มีคำว่าเกรงใจแล้วครับ

“วิน” ผมปิดล็อคเกอร์ในตอนที่ได้ยินเสียงของพอร์ช หมอนั่นมายืนอยู่ด้านหลังของผมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขายังอยู่ในชุดคลุมสีขาว คาดว่ายังไม่ได้อาบน้ำเพราะห้องน้ำเต็ม

“พรุ่งนี้ตอนเก้าโมงเช้าเจอกันที่หลังสนามบาส กูมีของขวัญพิเศษจะให้มึง”

ผมเลิกคิ้วเพราะไม่คาดคิดว่าพอร์ชจะเตรียมของขวัญไว้ให้ผม

“ไม่ต้องให้ก็ได้นะ ที่กูชนะได้ในวันนี้ก็เป็นเพราะมึงอ่ะ”

“ไม่รับไม่ได้ มึงดูถูกความพยายามของกูเหรอ”

ดูถูกห่าอะไรล่ะพี่พอร์ช กูแค่เกรงใจเท่านั้นเอง ว่าแต่มันคืออะไรกันล่ะ หวังว่าเขาจะไม่ซื้ออะไรแพงๆให้ผมเป็นของขวัญนะ ก็คุณชายเขาน่ะชอบแบรนด์เนมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายตีนเลย ผมไม่กล้าใช้ของแพงหรอก…กลัวพัง พังแล้วเสียดายแย่

“ของขวัญชิ้นนี้มึงพยายามหามาให้กูเหรอ?”

ผมถาม เขาจะบ้าซื้อนาฬิกาข้อมือที่ผลิตขึ้นมาเพียงแค่ 10 เรือนในโลกให้ผมหรือเปล่าวะ คืออย่าหาว่าผมหลงตัวเองเลยนะ แต่คนอย่างพอร์ชทำได้ทุกอย่างแหละ อย่าคิดจะเดาใจหมอนี่เลย

“ใช่ รับรองว่ามึงต้องชอบ”

ผมเริ่มหวั่นใจเมื่อเห็นท่าทางภาคภูมิใจในตัวเองของพอร์ช แม่งไม่แน่ใจเลยว่าผมจะชอบของขวัญจากเขา

“แล้วทำไมต้องไปเอากันที่หลังสนามบาส”

นั่นคือจุดที่น่าสงสัยที่สุด มันดูเป็นของขวัญที่มีลับลมคมในไปเปล่าวะ แค่ถือมาให้ที่หอหรือให้ที่นี่ไม่ได้เหรอ? จำเป็นต้องไปเอาที่หลังสนามบาสด้วย?

“พูดให้มันดีๆหน่อย”

“พูดอะไร” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อจู่ๆพอร์ชก็ดุผมเสียงเข้ม ไอ้ห่า เมื่อครู่กูพูดอะไรออกไปนะ มั่วแต่ฟุ้งซ่านจนลืมคำพูดของตัวเอง แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะพูดอะไรแย่ๆออกไปนะครับ

“ทำไมต้องไปรับของขวัญที่หลังสนามบาส หรือทำไมต้องนัดเจอกันที่หลังสนามบาส” พอร์ชแก้ไขคำพูดของผม

“อ๋ออออออ”

ผมแกล้งลากเสียงยาวในลำคอ ก่อนหน้านั้นผมถามว่าทำไมต้องไป ‘เอากัน’ ที่หลังสนามบาส แหม ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย

“แค่ตัดคำนิดหน่อยจะเป็นไรไป”

ผมยักคิ้วให้พอร์ช มึงติดเชื้อความลามกมาจากกูแล้วอ่ะดิ แค่นี้ทำเป็นคิดลึกไปได้ คือผมต้องพูดว่า ‘เอาของขวัญ’ แทนที่จะ ‘เอากัน’ ใช่มั้ยล่ะ แต่ถ้าพอร์ชไม่คิดถึงความหมายแฝงหรือความหมายสองแง่สามง่าม มันก็ใช้ได้เหมือนกันนั่นแหละ อีกอย่างนะคำว่า ‘เอา’ กับ ‘รับ’ มันต่างกันตรงไหนวะ? ตามความคิดของผม มันก็คือความหมายเดียวกันเลย

“มึงอย่าตัดคำมั่วๆดิ ตัดผิดนิดเดียวความหมายก็เปลี่ยนแล้ว”

ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบชิดใบหูของพอร์ช

“แล้วเปลี่ยนไปเป็นอะไรล่ะ มึงคิดอะไรชั่วๆเหรอพอร์ช”

พอร์ชสบตาผมนิ่งๆ นัยน์ตาสีดำกำลังฉายแววท้าทายเมื่อเขายื่นใบหน้าเข้ามาเกือบจะชิดกับใบหน้าของผม ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ากระทบข้างแก้มก่อนจะสะดุ้งวูบเมื่ออีกฝ่ายตวัดปลายลิ้นชื้นลงบนใบหูของผม

แผล็บ

“ไม่ได้คิดชั่ว แค่ตอนนี้คิดว่าอยากเอากับมึงที่หลังสนามบาส”

เชี่ยพอร์ช!!! ไอ้คนเลว!!!

 

 

20.00 น.

ผมกลับมานั่งหน้าบึ้งอยู่ที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คในหอพักส่วนตัว ช่วงนี้ผมต้องทำการส่องเพจ Sexy Boy ทั้งเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอนทุกวัน จนจะกลายเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำไปแล้ว บางครั้งก็สงสัยนะว่าแอดมินเพจมีปัญหาอะไรกับกูเหรอครับ เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ต้องอัพเดต เอาเป็นว่าเรื่องดีๆของผมที่เอามาให้สาธารณชนชื่นชมกันมันก็ดีนะ แต่ขออนุญาตกูหรือยังล่ะ กูไม่ได้อยากดังไงครับ

 

ไหน!!! ใครน้า!!! ที่กล้าบอกว่าแอดเพจ Sexy Boy เอาคนหล่อแต่ไม่มีคุณภาพมาขึ้นเพจ วันนี้อิชั้นขอนำเสนอคนหน้าตาดี ที่มีดีกรีเป็นถึงนักกีฬาว่ายน้ำของคณะวิศวะ แถมคว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันกีฬาสัมพันธ์มาได้อย่างงดงาม แฟนๆหลายท่านที่ได้ไปส่องการแข่งขันในวันนี้คงทราบกันแล้ว ส่วนคนที่ไม่ทราบหรือไม่ได้ไป ช้อยขออัพเดตค่ะ

พี่วิน #แม็ควินในตำนานนั่นแหละค่ะ เหรียญทองว่ายน้ำประเภทชาย ทำเวลาในการแข่งขันไปได้ 1.21 นาที ชนะนักกีฬามหาลัยอย่างพี่ฉัตรไปได้แบบฉิวเฉียดเลย (มีคลิปค่ะท่าน ต้องมาดู)

ส่วนเสียงลือเสียงเล่าอ้างใดๆที่ไม่มีหลักฐานเลิกเล่าลือกันนะคะ อยากเม้าส์ไปนอกเพจค่ะ อย่ามาสร้างความอัปมงคลที่นี่ ไม่งั้นช้อนแบน จบนะ

 

ข้อความทั้งหมดถูกโพสต์ลงในแฟนเพจ Sexy Boy โดยแอดมินคนเดิม พร้อมรูปของผมตอนรับเหรียญทองกับคลิปวิดีโอที่บันทึกการแข่งขัน

 

คอมเม้นต์ 1 : เก่งจัง #ปรบมือรัวๆค่ะ เรื่องอื่นที่เคยได้ยินมาไม่รู้นะ ไม่สนด้วยตอนนี้ขอสมัครเป็น FC พี่วินค่ะ #รู้สึกหลงรัก #โงหัวไม่ขึ้น #เคะของน้อง

คอมเม้นต์ 2 : สงสัยอ่ะ เราติดตามพี่ฉัตรมานานแล้ว ไปดูการแข่งของพี่    ฉัตรทุกครั้งเลยนะ แต่วันนี้รู้สึกว่าพี่เขาไม่เต็มที่อ่ะ คือไม่น่าแพ้แล้วก็ทำเวลาช้าลงด้วย พี่ฉัตรเคยทำได้ดีกว่านี้

คอมเม้นต์ 3 : โอ๊ยยยยยย ถ้าจะบอกว่าวันนี้พี่ฉัตรช้า ดูพี่ไวท์ด้วยค่ะ พี่ไวท์ของน้องก็ช้ากว่าปกติ คือคิดบ้างมั้ยว่านักกีฬาว่ายน้ำก็คนนะคะ อาจจะเหนื่อย นอนน้อย ซ้อมน้อย ปวดหัว ปวดขี้บ้างก็ได้ค่ะ ต้องชนะเสมอไปเหรอถามจริง!

 

เออจริง! เม้นต์นี้เข้าท่าอ่ะครับ ผมอ่านแล้วอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เรื่องที่ผมชนะการแข่งขันว่ายน้ำค่อนข้างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายก็จริง แต่มันก็ไม่ได้แปลกจนเกินไปที่พอร์ชจะทำเวลาช้ากว่าปกติไม่เกิน 10 วินาที แน่นอนว่าคนเราต้องมีป่วยบ้างหรือเหนื่อบ้าง จริงๆก็อดสงสารหมอนั่นไม่ได้นะ ทางคณะบริหารจะว่าอะไรเขาหรือเปล่า หรือโค้ชนักกีฬาจะต่อว่าเขามั้ย เฮ้อ ผมคิดว่าผมจะต้องดีกับพอร์ชให้มากๆแล้วล่ะ

1 วินาทีที่แล้ว

ช้อยขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า ‘มิตรภาพของลูกผู้ชาย’

แคปชั่นไม่ต้องมากที่เหลือให้ภาพอธิบายเป็นคำพูด

เคดิต ฉัตร บริหารธุรกิจ,วิน วิศวกรรมศาสตร์

#หล่ออย่างมีคุณภาพ  #เรือลำใหม่ไฉไลกว่าเดิม  #ฉัตรวิน

 

ดะ เดี๋ยว! อะไรอีกวะเนี่ย

ผมมองข้อความล่าสุดที่ถูกโพสต์โดยแอดมินเพจ Sexy Boy เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วพร้อมกับรูปถ่ายของผมตอนที่ผมวิ่งเข้าไปกอดพอร์ชหลังจากได้รับชัยชนะ

เออนะ ตอนที่ผมเสนอหน้าวิ่งเข้าไปหาผู้ชาย ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ดีใจแล้วก็อยากให้พอร์ชแสดงความยินดีด้วยเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมรูปที่ถูกถ่ายออกมามันถึงได้ดูยังไงๆอยู่วะ แบบว่าหน้าตาของผมมันเบิกบานมากเลยอ่ะ ส่วนสีหน้าของพอร์ชไม่ค่อยเท่าไรนะ เพราะหมอนี่หน้าตายอยู่แล้วไง แต่ระยะที่แนบชิดกันนี่เรียกว่าสุดๆเลย โหยยย เขินอ่ะ

 

คอมเม้นต์ 1 : ว๊ากกกกกกกกกกกกก ว๊ากกกกกกกกกกกกก ใครคิดเหมือนฉันคิดบ้าง ตอบ!!!! ทำไมพี่วินกล้าเข้าไปกอดพี่ฉัตร แต่ที่พีคกว่านั้นคือนั้นคือพี่ฉัตรกอดตอบว่ะแกรรร บ้าไปแล้ว นี่พี่ฉัตรนะ รู้จักเปล่า

#หล่อร้ายกาจอ่ะ #น่ากลัวกว่าผีก็พี่ฉัตรแหละแกร #ฉัตรวิน

คอมเม้นต์ 2 : โอ๊ยยยย เห็นภาพนี้แล้วจะเป็นลม เลือดสีม่วงในกายมันร้อนระอุ เดือดเลยค่ะเดือด แนบแน่นเหลือเกิน ไม่อยากลามกนะค่ะ แต่พวกเขาใส่ชุดว่ายน้ำอยู่ ฮือออ หนูฟินจัง

#กราบของโทษแม็ควิน #เรือเก่าหลบไปฉัตรวินจะแล่น #ฉัตรวิน


 

Contact  :mc4: https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/?ref=bookmarks


หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/11/2562 [บทที่19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-11-2019 16:42:30
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/11/2562 [บทที่19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 08-11-2019 18:57:06
ติดตามจ้า   :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/11/2562 [บทที่19]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-11-2019 20:36:35
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2562 [บทที่20]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 13-11-2019 18:54:00

บทที่ 20 ของขวัญพิเศษ



ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาเป็นรอบที่สิบ ห่าเอ๊ย ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสิบโมงเช้าแล้วนะ แต่ไอ้คนนัดเจอผมตอนเก้าโมงเช้ากลับหายหัวไปไหนไม่รู้ โทรไปก็ไม่รับสาย ส่งข้อความไลน์ไปก็ไม่อ่าน ถามว่าหงุดหงิดมั้ยตอบเลยว่ามาก แต่ในความหงุดหงิดกลับอดเป็นห่วงไม่ได้ พอร์ชไม่ใช่คนที่ไม่ตรงเวลา แล้วการที่เขาหายไปเฉยๆแบบนี้มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง ซึ่งผมได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุกับเขานะ

ผมไม่แน่ใจว่าควรนั่งรอพอร์ชที่หลังสนามบาสไปอีกนานแค่ไหน ให้ตายสิ เอาเป็นว่าผมจะรอถึงสิบเอ็ดโมงเช้าก็แล้วกัน ถ้าหมอนั่นไม่มาผมจะกลับหอไปนอนแล้ว

หลังสนามบาสในวันหยุดไม่มีผู้คนเลย ยิ่งอากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ด้วยแล้วคงไม่มีใครโง่มานั่งท้าแดดท้าลมร้อนๆแบบผมหรอกครับ

อย่าให้กูเจอตัวนะพอร์ช ถ้ามึงไม่มีเหตุผลที่สมควรกูจะโดดถีบมึงแน่ๆ!

ระหว่างที่ผมกำลังนั่งสาปแช่งพอร์ชในใจก็ได้ยินเสียงเครื่องยนตร์ของรถนอกที่ถูกเร่งด้วยความเร็วสูงแล่นมาทางถนนเส้นเล็กในมหาลัย เข้าสู่ลานของสนามบาสก่อนจะเหยียบเบรคกะทันหันแล้วหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าของผมราวกับจับวาง

เอี๊ยดดดด!!

เฮ้ย เดี๋ยวๆ ผมรู้แล้วครับว่านั่นคือรถสุดหรูของพอร์ช แต่มันจะไม่มั่นหน้าเกินไปเหรอที่เข้ามาจอดรถในสนามบาสแบบนี้ ต่อให้ยามไม่เห็นหรือไม่มีคนใช้สนามก็ตาม แต่มันโคตรไม่มีมารยาทเลยไง มึงลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะพอร์ช!!!

ผมลุกจากม้าหินอ่อนแล้วเดินเข้าไปในสนามบาสที่มีรถปอร์เช่สีแดงสดถูกจอดอยู่ กระจกที่ติดฟิล์มสีดำทำให้ผมมองไม่เห็นว่าคนด้านในกำลังทำอะไร ที่ผมสงสัยคือพอร์ชไม่ได้ก้าวเท้าลงจากรถทันทีทั้งที่เครื่องยนต์ถูกดับแล้วแท้ๆ

ผมยืนเกาหัวงงๆอยู่ที่ด้านหน้าตัวรถ กำลังคิดว่าควรจะเดินไปเคาะกระจกหรือเปล่า ก็พอดีกับที่ประตูฝั่งตรงข้ามกับคนขับถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของชายหนุ่มหุ่นบอบบางที่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

“ติวเตอร์!”

ผมเรียกชื่อของหมอนั่นด้วยความแปลกใจ แต่ติวเตอร์กลับหันมามองหน้าของผมด้วยความแตกตื่น เดี๋ยว ใจเย็นนะ กูยังไม่ได้ข่มขู่มึงเลยโว้ย!

“นี่มันเรื่องอะไรกันวะพอร์ช?” ผมหันไปถามตัวต้นเรื่องที่รีบเปิดประตูลงมาจากรถ

“ขอโทษที่ให้รอนาน” พอร์ชเอ่ยกับผมก่อนจะเหล่สายตาไปมองติวเตอร์ที่กำลังยืนตัวสั่นงันงก

“พอดีกูเสียเวลาไล่จับลูกแกะตอแหลอยู่อ่ะ”

“ลูกแกะ? ตอแหล?”

ผมทวนคำด้วยความงุนงงก่อนจะหันไปมองติวเตอร์ คือพอร์ชกำลังหมายความว่าเด็กนี่คือ ลูกแกะที่ตอแหล ถูกปะ? แล้วลูกแกะนี่เป็นของขวัญสำหรับผมหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจว่าต้องการเด็กนี่เป็นของขวัญนะครับ

“เตอร์ มีอะไรจะบอกกับวินเหรอครับ”

ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานของพอร์ชที่เอ่ยกับติวเตอร์ ห่านี่ คือผมไม่ได้หึงนะครับ แต่ผมขนลุกว่ะ คนอย่างพอร์ชเนี่ยนะจะใช้น้ำเสียงแบบนี้ได้แถมยังยิ้มละมุนอีกต่างหาก แม่งเหมือนฆาตกรโรคจิตเลยอ่ะ น่ากลัวสัส!

“พูดสิ”

พอร์ชเร่ง ซึ่งดูเหมือนว่าติวเตอร์จะคิดเหมือนกันกับผมเพราะแทนที่เขาจะกระดี๊กระด๊าเขากลับวิ่งมาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วยื่นมือทั้งสองข้างมาเขย่าแขนของผมรัวๆ

“ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมด้วย”

ยกโทษให้? เรื่องอะไรวะ?

“หื้ม กูไม่ได้บอกให้พูดแบบนี้นะ เอาใหม่ จะสารภาพดีๆหรือต้องให้กู…”

พอร์ชเอ่ยถามเนิบๆ น้ำเสียงของหมอนี่ยังราบเรียบใจเย็น เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้ตรงจุดที่ติวเตอร์คุกเข่าอยู่พร้อมกับล้วงไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมคิดว่าพอร์ชกำลังบันทึกวิดีโอ เพราะเขาย่อตัวลงมานั่งข้างๆติวเตอร์แล้วถือไอโฟนค้างไว้

“พูดครับ เตอร์พูดแล้วครับ”

ติวเตอร์พยักหน้ารัวๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาที่มีน้ำใสเอ่อคลอ มองไปแล้วก็น่าสงสารว่ะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือกลิ่นแปลกๆที่ออกมาจากตัวหมอนี่

ไปแดกอะไรมาวะ ถามจริง?

“พี่วิน เตอร์เป็นเจ้าของเฟส ‘บุคคลผู้รู้ความจริง’ เตอร์เป็นคนใส่ร้ายพี่ เตอร์บอกคนอื่นว่าพี่ขายตัว”

อ้าว ไอ้ห่านี่!

ผมชะงักเมื่อได้ยินคำสารภาพของติวเตอร์ หมอนี่แม่งชั่วช้าสารเลวจริงๆว่ะ ผมไปทำอะไรให้เขาเนี่ย ทำไมจู่ๆต้องมายุ่งกับผมด้วย

“แล้ววินขายตัวจริงมั้ย” พอร์ชเอ่ยถามเบาๆ ติวเตอร์หันไปมองกล้องที่ถ่ายอยู่ด้านข้างก่อนจะรีบก้มหน้าแล้วเอ่ยปฎิเสธ

“ไม่จริงครับ เตอร์แค่ไปตามหาแฟนเก่าๆของพี่วิน แล้วก็ขอซื้อรูปที่ถ่ายคู่กันมาแพงๆ”

“แล้วทำแบบนี้ไปทำไม” พอร์ชถาม

เออขอบใจ กูก็กำลังจะถามเหมือนกันว่าทำไม

“อึก…ฮืออออ”

ผมคิดว่ารอยยิ้มร้ายกาจที่มุมปากของพอร์ชมันคงหลอนประสาทได้พอสมควรเพราะติวเตอร์ถึงกับร้องไห้โฮ

“อยากร้องไห้ต่อหน้ากล้องหรืออยากให้กูเอาคลิปนั้นไป…”

“ยะอย่าครับ พูดครับ พูดแล้ว”

ติวเตอร์หยุดร้องไห้ทันทีแล้วรีบปฎิเสธด้วยสีหน้าแตกตื่น ซึ่งมันเรียกความสนใจจากผมได้มากทีเดียว คือผมสงสัยว่าพอร์ชกำลังหมายถึงคลิปอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรมันดูจะเป็นคลิปที่ติวเตอร์ไม่อยากให้ใครเห็นมากพอควรเลย

“เตอร์เกลียดพี่วินครับ ตอนที่ไปออกค่ายอาสาด้วยกันพี่วินมาแย่งความสนใจของพี่ฉัตรไปจากเตอร์”

กูเนี่ยนะ! มาแย่งความสนใจไปจากมึง ทำไมกูจำได้แค่พอร์ชไม่ได้สนใจมึงเลยล่ะ อีเด็กขี้มโน!

“เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องแกล้งกันเลยเหรอ”

พอร์ชถามเรียบๆ ซึ่งเตอร์ก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำใจ

“มีเรื่องอื่นอีกมั้ย พูดให้หมดเร็วสิ”

“ผมขังพี่วินไว้ที่สระว่ายน้ำ”

ติวเตอร์รีบสารภาพซึ่งผมก็พอจะเดาได้ พอร์ชเงยหน้าขึ้นมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะเก็บไอโฟนใส่ในกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วลุกจากพื้น

“มึงอยากให้มันทำอะไรเป็นการไถ่โทษ”

คำถามที่ส่งมากะทันหันทำให้ผมเริ่มแตกตื่น คือผมต้องให้ติวเตอร์ทำอะไรไถ่โทษด้วยเหรอ แค่ที่เด็กนี่มันคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้นก็น่าจะพอได้แล้วนะ

“เอ่อ ไถ่โทษเหรอ กูว่า…” ผมเหลือบสายตาไปมองพอร์ช เขามีสีหน้าจริงจังมาก เหมือนกับว่าถ้าผมต้องการให้ติวเตอร์ทำอะไร เขาก็พร้อมจะบังคับเด็กนี่ให้ทำในทันที แต่เมื่อผมก้มหน้ามองติวเตอร์ที่กำลังก้มหน้ามองพื้นผมก็หมดอารมณ์จะโกรธทันที มันเหมือนกับผมเป็นเด็กไม่รู้จักโต ที่โดนเด็กไร้สมองแกล้งแล้วจะต้องแกล้งคืนอ่ะครับ ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย

“คิดไม่ออกว่ะ” ผมตอบส่งๆ หวังว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงตรงนี้ ของขวัญจากพอร์ชแม่งโคตรพิเศษแล้วก็โคตรเหนือความคาดหมายเลย ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากำลังรู้สึกอย่างไร…แปลกใจ? ซาบซึ้ง? ตกใจ?

“งั้นก็กราบขอขมาวินซะ”

“เฮ้ย!”

ผมร้องเสียงหลงก่อนจะรีบดึงมือของติวเตอร์ที่ยกขึ้นมาพนมไว้บนอก อีห่าพอร์ช มึงเห็นกูเป็นศาลตายายเหรอ ที่จะหลบลู่แล้วต้องมาขอขมาอ่ะ เกินไปหน่อยแล้วนะโว้ย ผมอยากโมโหแต่ก็อยากหัวเราะให้ลั่นสนามบาสเหมือนกัน พอร์ชแม่งเด็กชะมัดเลย

“ไม่ต้องๆ พอแล้ว กลับไปได้แล้วไป” ผมรีบไล่ติวเตอร์ก่อนที่พอร์ชก็ออกอาการบ้าบออะไรขึ้นมาอีก

“ผมกลับไปได้จริงๆเหรอครับ” ติวเตอร์เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

“เออ อย่ามายุ่งกับกูแล้วก็อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีกนะ” ผมกำชับติวเตอร์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ได้ขู่นะเว้ย แต่ถ้ามึงหาเรื่องกูอีกครั้งนะ คราวนี้ไม่ต้องให้ถึงมือพอร์ช รับรองเลยว่ากูไปถีบมึงที่คณะแน่นอน

“ได้เลยครับ เตอร์ไม่กล้าทำอีกแล้วครับพี่วิน” ติวเตอร์ละล่ำละลักก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ดูจากสกิลการวิ่งแล้ว ผมว่าหมอนั่นคงจะกลัวพอร์ชแบบฝังใจไปอีกนานเลย

“ชอบมั้ย ของขวัญจากกู”

หลังจากที่ติวเตอร์หายลับสายตาไปแล้ว พอร์ชก็หันมาถามผม

“มึงไม่คิดว่าเล่นแรงไปเหรอวะ”

“กูก็จัดให้แรงเท่าที่มันทำกับมึงไง”

ผมถอนหายใจเบาๆ เชื่อเถอะว่าพอร์ชน่ะ…หล่อแต่น่ากลัวชะมัดเลย ผมคิดผิดหรือคิดถูกนะที่เสือกมาตกหลุมพรางของหมอนี่ ถ้าจู่ๆผมเบื่อเขาแล้วไปขอเลิกต้องโดนหักคออย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ทำไมเด็กนั่นกลิ่นเหม็นแปลกๆอ่ะ รู้สึกมั้ย?”

ผมถามเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ติวเตอร์คุกเข่าอยู่บนพื้น กลิ่นจากตัวของเด็กนั่นมันลอยมารบกวนโพรงจมูกของผมอย่างบอกไม่ถูก มันตุๆอ่ะ กลิ่นไม่ดี เหมือนปลาตาย

“อ๋ออออออ”

ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงครางรับในลำคอของพอร์ช รอยยิ้มของหมอนั่นโคตรไม่น่าไว้ใจเลย

“กูนัดเจอมันวันนี้ แต่มันเกิดปอดแหก คิดจะหนี กูก็เลย…”

“เลย…อะไรเล่า?” ผมเร่งเมื่อเห็นว่าพอร์ชแกล้งหยุดคำพูดไปดื้อๆ คือมึงจำเป็นต้องทำให้กูตื่นเต้นด้วยเหรอฮะ เล่าแบบปกติน่ะเป็นมั้ย

“จับหัวมันยัดชักโครก”

จะ…จับหัวมันยัดชักโครก! เลยเหรอ…

ชักโครก!

พอร์ชบอกว่าชักโครกอ่ะแม่จ๋า!!!

“จะ จริงเหรอ”

พอร์ชล้อเล่นหรือเปล่านะ ผมหวังว่าเขาจะหัวเราะแล้วบอกผมว่าติวเตอร์เดินตกท่อหรืออะไรทำนองนั้น แต่เขากลับพยักหน้าให้ผมเป็นการยืนยัน ฮืออออออ

ไอ้บ้าพอร์ช มึงเล่นแรงไปแล้ว กูกลัวววว ไม่ได้กลัวแทนติวเตอร์นะ แต่กลัวแทนตัวเองอ่ะครับ หมอนี่ยิ่งเดาใจยากๆอยู่ด้วย จะแน่ใจได้ไงว่าในอนาคตเขาจะไม่ทำอะไรบ้าๆกับผม

“เอ่อ พอร์ช ถ้าเกิดวันหนึ่งกูทำให้มึงโกรธหรือไม่พอใจ แหะๆ” ผมเกริ่นก่อนจะเริ่มหัวเราะแห้งๆ น้ำลายเฝื่อนคอไปเลยว่ะ

“มึงจะจับหัวกูยัดชักโครกหรือเปล่าอ่ะ” พอร์ชเลิกคิ้วขณะที่ทอดสายตามามองผม ราวกับว่าเขากำลังประเมินสถานการณ์บางอย่าง นี่กูลุ้นนะเว้ย ทำไมต้องคิดนานแบบนั้นด้วยอ่ะ ตอบเลยไม่ได้เหรอ พูดสิว่าไม่มีทางทำแบบนั้น…สัญญาสิว่าไม่มีทางทำร้ายกู พูดดีๆแบบนี้ไม่เป็นหรือไงอ่ะ

“ก็ขึ้นอยู่กับว่ามึงทำอะไรให้กูไม่พอใจ”

อึก!

ผมกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ลืมไปได้ยังไงนะว่าหมอนี่เป็นปีศาจ ต่อให้ผมเป็นแฟนเขา เขาก็เป็นปีศาจอยู่ดีนั่นแหละ

ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

“ล้อเล่นน่า แฟนทั้งคน กูจะทำลงได้ยังไง”

ผมเบิกตาโตเมื่อจู่ๆพอร์ชก็ระเบิดหัวเราะด้วยความขบขัน ไอ้ห่านี่ กูถีบเลยดีมั้ย…ไม่หรอก ผมไม่ได้ทำลงไปจริงๆ ไม่ใช่ว่ากลัวพอร์ชจะเจ็บ แต่ผมกลัวจะโดนสวนกลับเป็นสองเท่าต่างหาก คือจะให้ผมมีเรื่องกับใครที่ไหนก็ได้ ผมไม่กลัวนะ      วินคนแมนอยู่แล้ว แต่ถ้าให้เป็นศัตรูกับพอร์ช วินขอคุกเข่ายอมแพ้ บอกแล้วไงว่าแมน ยอมรับแมนๆเลยว่าสู้พอร์ชไม่ได้ ฮืออออ

“แน่นะ” ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

“แน่สิครับ”

พอร์ชขยับยิ้มอ่อนโยนแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่น อ้อมกอดของเขาทั้งหอมทั้งอบอุ่น ล่อลวงให้ผมไว้วางใจได้อย่างง่ายดาย

ให้ตายสิ ต่อให้ในอนาคตถูกพอร์ชจับหัวยัดชักโครกขึ้นมาจริงๆ ผมก็คงไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ โงหัวไม่ขึ้นแล้วกู เพิ่งรู้ว่าตัวเองชอบแบบฮาร์ดคอร์ก็ตอนนี้แหละ แบบน่ารักๆสเปกวินไม่มีอีกแล้วครับ มีแต่คนใจเถื่อนอย่างพอร์ชคนเดียวเลย

“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าติวเตอร์เป็นคนแกล้งกู” ผมถามในตอนที่ผละออกจากอ้อมแขนของพอร์ช

“ให้เพื่อนมึงช่วยไง คนที่ใส่แว่น”

“ไอ้พิสุทธิ์อ่ะเหรอ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“เออ เพื่อนมึงเป็นคนหาตัวเจ้าของเฟสบุ๊ค (บุคคลผู้รู้ความจริง) มาให้กู กูเลยเอารูปของติวเตอร์ไปให้ลุงยามที่เฝ้าสระว่ายน้ำดู ลุงบอกว่าคนนี้แหละที่เอาขนมมาให้วันที่มึงถูกขัง” 

พอร์ชอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมฟังคร่าวๆ ผมรู้ว่าไอ้แว่นมันเก่ง แต่เพิ่งรู้จริงๆว่าเพื่อนสนิทของผมรอบรู้ในเรื่องของคอมพิวเตอร์และการใช้อินเตอร์เน็ทด้วย นับว่าอัจฉริยะมากเลยครับ

“แต่ถ้าจะบังคับให้คนหน้าใสใจตอแหลมายอมรับความผิดของตัวเองมันคงเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวเตอร์มันก็แถว่ามีใครไม่รู้บังคับให้มันทำอีก แล้วคนอื่นๆก็จะเชื่อมัน กูเลยให้คนไปขโมยไอโฟนของเตอร์มาแฮค ดีนะที่มันชอบถ่ายคลิปตอนเอากับผู้ชายไว้ กูเลยขู่มันว่าถ้าไม่มารับสารภาพกับมึงกูจะปล่อยคลิปของมันให้คนทั้งมหาลัยดู”

นับเป็นอีกข่าวที่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้าง…ร้ายกว่าตัวเหี้ยก็พอร์ชนี่แหละครับ!





Contact

https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856

:hao5: :mc4:



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2562 [บทที่20]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-11-2019 22:59:47
 :laugh: o13 :laugh:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2562 [บทที่20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2019 00:08:23
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2562 [บทที่20]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-11-2019 08:36:16
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/11/2019 [บทที่20]
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 19-11-2019 20:43:41
ตอนพิเศษ : สกัดเดือนยั่ว (ไวท์xพายุ)


“มึงเป็นไรวะพายุ เมนส์ไม่มาเหรอ?”
ผมเหลือบมองหญิงใจกะเทยอย่างไอ้มิน มันมองมาที่ผมด้วยความสงสัย ขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังโกยข้าวโพดคั่วใส่ปากเคี้ยวกรวมๆอย่างไร้จิตสำนึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ส่วนมืออีกข้างขยับต่อโดมิโน่กับไอ้ท็อป
“กูว่าไม่ใช่หรอก ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าผัวใกล้ทิ้งแล้ว”
ผลัวะ!
“โอ๊ยยยย”
คำอวยพรของไอ้หมาแรมได้รับการตอบแทนเป็นฝ่ามือน้อยๆที่นุ่มละมุนของผม บ้าบอที่สุด อย่างพี่ไวท์น่ะเหรอจะกล้าทิ้งผม
ตั้งแต่กลับมาคบกันอีกครั้ง พี่ไวท์ออกจะแสดงชัดเจนว่าทั้งรักทั้งหลงผม มากกกกกก มากเสียจนผมนึกระอากับความน่ารักของตัวเอง รู้สึกอยากขี้เหร่ชะมัดเลย
เอาเป็นว่าสาเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิด แล้วมีสีหน้าเหมือนคนเดินเหยียบขี้หมาก็เพราะไอ้เพจ Cute Boy ประจำมหาลัยนั่นแหละ ที่บังอาจโพสต์รูปสามีของผม ถ้าแค่แอบถ่ายรูปแล้วโพสต์อวยว่าหล่อวัวตายควายล้มเหมือนที่ผ่านมา ผมไม่ว่า แต่ไอ้การโพสต์รูปสามีของผมกับคนอื่นนี่ต้องการอะไรจากสังคมวะ โดยเฉพาะแคปชั่นนี่โคตรเห้เลย

1 ชม.
หล่อ รวย เก่ง ใจดี มีใครให้มากกว่านี้มั้ยคะ แอดอยากได้ แอดอยากโดน อิจน้องโปรดมากๆพูดเลย พี่หมอไวท์จำเป็นต้องดูแลหลานรหัสดีขนาดนี้มั้ย ต้องชิดกันขนาดนี้เลยเหรอ พูด!!
ไวท์ แพทยศาสตร์ ปีสี่
โปรด แพทยศาสตร์ ปีสอง
#หมอหล่อบอกต่อด้วย #สามีแห่งชาติ #ลงเรือไวท์โปรด #เดือนจีบเดือน
ความคิดเห็น 582 รายการ แชร์ 937 ครั้ง

ภาพที่ถูกโพสต์ลงแฟนเพจเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเป็นภาพแอบถ่ายของพี่ไวท์ที่นั่งอยู่ในหอสมุดกลางกับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก แต่ตอนนี้รู้จักแล้วว่าชื่อโปรด อยู่ปีสองเป็นหลานรหัสของพี่ไวท์ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆกำลังก้มหน้ามองหนังสือ ดูไปแล้วก็เหมือนพี่เขากำลังอธิบายเรื่องที่เรียนให้หลานรหัสฟัง แต่ที่ผมไม่ชอบก็คือจำเป็นต้องนั่งชิดกันขนาดนี้เลยเหรอวะ ภาพที่ถ่ายออกมามันดูเหมือนคนเป็นแฟนนั่งติวให้กันเลยอ่ะ
“มึงดูเพจ Cute Boy ดิวะ กูเห็นแล้วแม่งหงุดหงิด”
สามสหายที่ใส่ใจเรื่องของผมเป็นพิเศษ รีบหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมากดเข้าเพจ Cute Boy
“โอ้โห้ แอดมินโพสต์แบบนี้ไม่เห็นหัวมึงเลยว่ะยุ”
ไอ้ท็อปหัวเราะกึกๆ
“เป็นการจุดชนวนคู่จิ้นคู่ใหม่ที่ทำให้แฟนตัวจริงอิจฉาตาร้อน”
ไอ้มินสำทับ
“ไม่ได้อิจฉาเว้ย ก็แค่ติวหนังสือกัน พี่ไวท์ทำให้กูมากกว่านี้อีก”

บอสไม่สึ ใครสึ : มึ๊งงงงงมาดูคู่นี้ เคมีเข้ากันแปลกๆอ้ะ กูจะไม่คิดนะจะไม่คิด โอ๊ยยยย ฟฟฟฟฟ @เฟยเฟย แฟนซึงรี
เฟยเฟย แฟนซึงรี : น่ารักอ่ะ มุมนี้แสงสวยมากกกก
ผมไล่อ่านคอมเม้นท์แล้วอยากมองบน คนที่เม้นท์ส่วนใหญ่ต่างบอกว่าภาพนี้สวยและทั้งคู่เหมาะสมกันมาก เหมาะสมกับผีสิ ผิดที่คนแอบถ่ายแม่งเสือกเลือกมุมเลือกแสงได้ดี ทำให้ความรู้สึกในภาพมันดูละมุนแปลกๆ โดยเฉพาะใบหน้าของพี่ไวท์ที่มีรอยยิ้มนิดๆตามปกติ 
ตุ้มเล้ง ตำลึง : อ๊ายยย อิจฉาน้องโปรด หนูขอลงเรือคู่นี้ค่า จะแจวจ่ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกคิดถึงคนแจว
นิกกี้ มนต์ดำ : ชะนีตายอย่างสงบ ละมุมเหลือเกินค่ะหมอไวท์ขา
แพรวพันนาราว พลอยพราวไพลิน : เดี๋ยวนะ จำได้ว่าพี่ไวท์มีแฟนแล้ว อยู่   วิศวะ?
เมย ยะลา : พี่ไวท์มีแฟนแล้ว ยังจำคลิปที่พี่ไวท์ขอเป็นแฟนวันวาเลนไทน์ได้เลย แต่ชื่อไรนะ ลืมไปแล้ว
CAT แมว : เราชอบโปรดนะ นางน่ารัก ยิ่งอยู่กับพี่ไวท์ยิ่งดูน่ารัก แถมเป็นเดือนคณะด้วย เหมาะกับเดือนมหาลัยสุดๆอ่ะ คู่จริงคู่จิ้นไรไม่รู้นะ แต่ชงคู่นี้ #ไวท์โปรด

อ้าว! พวกสร้างความร้าวฉานนี่มีเยอะจริงๆว่ะ
“ใจเย็นน่ามึง ความคิดของคนอื่นมันกันห้ามไม่ได้”
ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคดีมีสาระที่นานๆครั้งจะออกจากปากไอ้แรม
“เออใช่ ใครอยากจิ้นก็ให้เขาจิ้นไป ยังไงความจริงพี่ไวท์สุดหล่อก็เป็นของมึงอยู่ดีแหละค่ะ”
ผมพยักหน้าด้วยความพอใจ พี่ไวท์เป็นของผม!
Trrrrrrrrrrrr
สมาร์ทโฟนในมือแผดเสียงร้อง หน้าจอสว่างวาบก่อนจะปรากฎสายเรียกเข้าจากสุดที่รัก ผมกดรับสายแล้วยกสมาร์ทโฟนแนบหูทันที
“ครับพี่ไวท์”
“เลิกเรียนหรือยังครับ”
 เสียงนุ่มละมุนที่ดังมาจากปลายสายทำให้ผมขยับยิ้มกว้าง ความหงุดหงิดจากเพจ Cute Boy หายวับไปทันที นี่แหละครับที่เรียกว่า ยาดีรักษาได้ทุกโรค โดยเฉพาะโรคทางใจของพายุ ฮิ้วววววว
“เลิกแล้วครับ พี่อยู่ไหน”
ผมเหลือบไปเห็นเดอะแก๊งทำท่าอ้วกอากาศ มันช่วยไม่ได้จริงๆนะ ที่โทนเสียงของผมจะเปลี่ยนคีย์ทันทีเมื่อคนที่คุยด้วยคือพี่ไวท์ ยอมรับว่าตัวเองทำเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ทำไงได้ล่ะ ความสุขมันทะลักหัวใจ
“พี่ติวหนังสือให้รุ่นน้องอยู่หอสมุดกลาง คิดว่าอีกสักชั่วโมงก็เสร็จแล้ว พายุไปรอพี่ที่คอฟฟี่เนคก่อนนะครับ”
ผมเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อย คำตอบของพี่ไวท์ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายเลย ไม่ต้องเสียเวลาเดาก็พอจะรู้แล้วว่ารุ่นน้องที่พูดถึงคือ ‘โปรด’
“ไม่เอา ผมอยากไปหาพี่ไวท์”
ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่ไวท์ แต่ผมไม่เชื่อใจคนอื่น ผมอยากไปดูหนังหน้าหลานรหัสให้ชัดๆ อยากรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ถ้าเป็นเหลือบไรที่หาข้ออ้างบังหน้าเพื่อใกล้ชิดแฟนของผมเหมือนหลายรายที่ผ่านมา ผมจะได้รีบกำจัด แต่ถ้านายโปรดคนนั้นแค่ต้องการความรู้จากพี่ไวท์ ผมก็จะปล่อยให้ติวกันต่อไป ไม่ใช่ว่าผมใจกว้างนะ แต่ผมรู้ว่าเทวดาของผมเป็นคนดีมาก เป็นที่รักและชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ฉะนั้นผมจะไม่ขัดศรัทธาของพี่ไวท์
“เอางั้นเหรอ”
“อืม พี่อยู่ชั้นไหน ผมจะไปหา”
“ชั้นสามครับ”
“โอเค แล้วเจอกัน”
ผมวางสายแล้วรีบเก็บสมุดกับชีทเรียนที่กองอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนใส่                  กระเป๋าเป้
“จะกลับแล้วเหรอ” ไอ้ท็อปหันมาถาม
“เออ กูจะไปหาพี่ไวท์”
เดอะแก๊งโบกมือลา ผมหมุนตัวไปหน้าคณะเพื่อรอรถไฟฟ้า แต่ไม่วายยังได้ยินเสียงไอ้บ้ามินตะโกนแซวตามหลังมาให้ได้ยิน
“งานเฝ้าผัวก็มาว่ะ”
…ก็ยอมรับ


แอร์เย็นฉ่ำเกือบยี่สิบองศาพัดปะทะหน้าผมเต็มๆทันทีที่เปิดประตูหอสมุด กลาง สถานที่ขึ้นชื่อว่าเย็นที่สุดในมหาลัย บางครั้งผมสงสัยนโยบายประหยัดพลังงานโดยใช้โซล่าเซลล์ (Solar Cell) ผลิตไฟฟ้ากับการเปิดแอร์ต่ำกว่ายี่สิบห้าองศาโดยไร้ความความจำเป็น มันเป็นการช่วยลดค่าไฟให้กับมหาลัยได้จริงๆหรือ?
อา ช่างเถอะ ถึงผมจะรักโลก แต่ผมไม่ควรยุ่งกับแอร์ของส่วนกลาง
ผมก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์แล้วกดชั้นที่สาม ไม่กี่วินาทีถัดมา ลิฟต์ก็พาผมมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นหมวดของหนังสือวิทยาศาสตร์
หอสมุดในช่วงสัปดาห์ที่สองของการเปิดเทอมค่อนข้างโล่ง นิสิตที่สิงสถิตอยู่ในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่พวกหนอนหนังสือคงแก่เรียน ก็เป็นพวกนิสิตแพทย์ที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ซึ่งพี่ไวท์ของผมเป็นประเภทหลัง
ผมใช้เวลาไม่นานก็มองเห็นพี่ไวท์นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ผมนึกสาปส่งคนถ่ายภาพซึ่งกำลังเป็นประเด็นในเพจ Cute Boy เมื่อพบว่าความจริงแล้วพี่ไวท์ไม่ได้อยู่กับโปรดแค่สองคน แต่ยังมีนิสิตแพทย์อีกสองคนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพี่ไวท์…คือถ้าถ่ายภาพพี่ไวท์ติวหนังสือให้เด็กสามคน มันคงไม่น่าสนใจเท่ากับพี่ไวท์ติวหนังสือให้อดีตเดือนคณะแพทย์สินะ
“พี่ไวท์”
ผมเดินเข้าไปใกล้โต๊ะเป้าหมายแล้วส่งเสียงเรียก พี่ไวท์ของผมเงยหน้าจากหนังสือมามอง เมื่อเขาเห็นว่าเป็นผมก็ขยับยิ้มหวานส่งมาให้
“พายุ มานั่งนี่สิ”
พี่ไวท์หยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆมาวางไว้บนตัก แล้วตบมือลงบนเก้าอี้เบาๆเป็นเชิงเรียก แน่นอนว่าผมรีบพุ่งเข้าไปหาแล้วนั่งจุ้มปุ๊กทันที จริงๆอยากเอาหัวถูไถไหล่พี่ไวท์ ติดแต่ตรงนี้มีก้างขวางคอมากเกินไป เอาเป็นว่าผมจะเก็บไปทำที่คอนโดล่ะกัน
“นี่โปรด หลานรหัสพี่”
พี่ไวท์แนะนำโปรดซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง โปรดยื่นหน้าออกมามองผมแล้วยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทาย ผมคิดว่าโปรดเป็นคนหน้าตาดี ออกแนวตี๋ๆน่ารัก เจ้าตัวมีรอยยิ้มเป็นมิตร รวมถึงท่าทางซื่อๆที่ทำให้ผมลดความระแวงในตัวเขาลงครึ่งหนึ่ง 
“นี่เกิ้ลกับลาเต้รุ่นน้องพี่”
พี่ไวท์แนะนำรุ่นน้องสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
‘ลาเต้’ เป็นคนหน้าตาจืดๆเหมือนกาแฟที่ลืมใส่นมข้น เจ้าตัวขยับยิ้มให้ผมตามมารยาท ดูแล้วไร้พิษสงไม่ต่างจากโปรด ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน
‘เกิ้ล’ เป็นเกย์รับออกสาว ผมเดาว่าใช่นะ เพราะจากบุคลิกท่าทางที่ดูมีจริตเกินกว่าผู้ชายปกติ รวมถึงปากที่ทาลิปสีชมพูหวานแหววนั่นด้วย ถ้าใครสักคนจ้องจะงาบพี่ไวท์ล่ะก็…ผมว่าผมควรระวังหมอนี่มากกว่านายโปรด
“หวัดดี”
ผมทักทายตามมารยาท รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อต้องนั่งอยู่ในดงคนแปลกหน้า
“แฟนพี่ไวท์ใช่มั้ยครับ”
เกิ้ลถามยิ้มๆ
ให้ตายสิ ผมไม่ชอบรอยยิ้มของหมอนี่เลย มันดูมีลับลมคมในแปลกๆ
พี่ไวท์พยักหน้าแล้วแนะนำผมให้รุ่นน้องรู้จัก
“ชื่อพายุ”
“หล่อ”
เกิ้ลมองหน้าผมด้วยความพอใจ ซึ่งมันชวนให้ขนลุกชะมัด ถึงหมอนี่จะตาถึงชื่นชมผมว่าหล่อก็เถอะ แต่การชมผมต่อหน้าแฟนของผมมันออกจะไม่กลัวตายไปหน่อยนะ
“อะแฮ่ม”
เกิ้ลสะดุ้งเมื่อถูกลาเต้ใช้ข้อศอกกระแทกสีข้างแล้วกระแอมเป็นเชิงเตือน หมอนั่นหันไปมองหน้าพี่ไวท์ที่มีสีหน้าเรียบเฉย แต่ไอ้เรียบเฉยแบบนี้แหละที่ผมรู้ดีว่าเขาไม่พอใจ
“โทษครับ”
เกิ้ลยกมือไหว้พี่ไวท์ แล้วทำเป็นก้มหน้าก้มตามองสมุดโน้ต
“พี่ว่าเรารีบติวที่เหลือให้จบดีกว่า”
ผมเหลือบมองหน้าพี่ไวท์ เขาดูไม่สบอารมณ์ แต่ก็เริ่มต้นอธิบายเรื่องระบบประสาท พี่ไวท์ดูเคร่งขรึมและจริงจังมากในตอนที่สรุปความรู้หลายร้อยหน้ากระดาษเป็นหัวข้อสั้นๆที่ง่ายต่อการจดจำ ผมเผลอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาจนเพลิน ก่อนจะรู้สึกตัวว่าไม่ควรทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าคนอื่น
…นี่แฟนมึง มึงจะมองเมื่อไรก็ได้ อย่าทำเหมือนไม่เคยมองสิวะพายุ…
ผมเปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบชีทเรียนวิชาภาษาอังกฤษเชิงวิชาการออกมาอ่านฆ่าเวลา ความหนาวเย็นจากแอร์หลายสิบตัวในหอสมุดทำให้ผมเริ่มสั่น ยกมือลูบแขนสองข้างแล้วนึกเสียใจที่วันนี้ไม่ได้หยิบเสื้อคลุมมาจากคอนโด
“เดี๋ยวก็จบแล้วครับ รออีกหน่อยนะ”
ผมพยักหน้าโดยไม่ได้ละสายตาไปจากชีทในมือ ก่อนจะรู้สึกถึงความอบอุ่น เมื่อพี่ไวท์ถอดเสื้อคลุมสีเขียวประจำคณะแพทย์มาคลุมลงบนไหล่ของผม
“ขอบคุณครับ”
ผมพึมพำ เหลือบมองรุ่นน้องของพี่ไวท์ ทุกคนจ้องมาทางผมเป็นตาเดียว ถึงผมจะหน้าหนา แต่เล่นมองกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ผมก็เขินเป็นนะเว้ย


“วันนี้พอแค่นี้ครับ ใครมีอะไรสงสัยมั้ย”
ผมเงยหน้าจากชีทภาษาอังกฤษแล้วยิ้มกว้าง ไม่ได้หิวข้าวนะ แต่รู้สึกเครียด ไม่เคยอ่านหนังสือเงียบๆนานขนาดนี้มาก่อน ผมอยากออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกแล้ว ติดแต่เป็นคนเสนอหน้าขอมาเองเลยไม่อยากแสดงความเบื่อหน่ายให้พี่ไวท์ไม่สบายใจ
พี่ไวท์ปิดหนังสือเล่มหนาเท่าอิฐสองก้อนแล้วยัดใส่ในกระเป๋า ซึ่งทุกคนก็รีบเก็บข้าวของตาม ยกเว้นคนเดียว…
ทายซิใครเอ่ย!
“ผมสงสัยตรงนี้ครับ”
เกิ้ลยื่นสมุดบันทึกของตัวเองให้พี่ไวท์แล้วเริ่มถามคำถามด้วยภาษาต่างดาว ส่วนผมที่ไม่เข้าใจก็ไม่ได้สนใจจะฟัง แต่เริ่มเก็บชีทและปากกาไฮไลท์ใส่กระเป๋าเป้
“แล้วใยประสาทตรงนี้…”
ผมหยิบสมาร์ทโฟนมาไถเฟสบุ๊คเล่นอยู่เกือบสิบนาที แต่นายเกิ้ลก็ยังไม่หมดคำถาม
เอาน่า…เขาถามเรื่องเรียนไม่ได้ถามเรื่องไร้สาระ ผมควรใจกว้าง พยายามทำใจร่มๆ ไถ IG ต่ออีกสิบนาทีซึ่งนายเกิ้ลยังไม่หมดคำถามแล้วผมก็เริ่มหมดความอดทน…
“เกิ้ล”
นั่นไม่ใช่เสียงผม แต่ฟังดูคล้ายจะหมดความอดทนเหมือนกัน
“ตรงนั้นกูเข้าใจเดี๋ยวอธิบายให้ฟัง ตอนนี้รีบเก็บของเร็ว กูหิวข้าวแล้ว”
ผมอยากกราบขอบคุณโปรดที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ด้วยการขัดจังหวะคำถามร้อยแปด ผมไม่รู้ว่าเกิ้ลเจตนาถ่วงเวลาพี่ไวท์ หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ไวท์สอนจริงๆ เอาเป็นว่าผมขอมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน ผมคิดว่าเป็นอย่างแรก หมอนั่นอยากนั่งมองหน้าพี่ไวท์ของผมนานๆ
“เพิ่งห้าโมงเองนะ”
เกิ้ลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาแล้วเอ่ยเรียบๆ ราวกับว่าเวลาห้าโมงเย็นมันเร็วเกินไปที่จะกลับบ้าน แต่ขอโทษนะ สำหรับกูคือสี่โมงเย็นต้องออกประตูมอแล้วโว้ย
“ลุกเร็ว”
ลาเต้เร่ง แล้วรีบคว้าสมุดบันทึกของเกิ้ลมาเก็บใส่กระเป๋า
“ขอบคุณพี่ไวท์มากนะครับที่อุตส่าห์ติวให้ผมกับเพื่อน”
โปรดยกมือไหว้พี่ไวท์แล้วส่งยิ้มน่ารัก เออ ยอมรับก็ได้ว่าน่าเอ็นดู ไม่รู้ทำไมนึกอยากให้โปรดแสดงออกมาตรงๆว่าชอบพี่ไวท์ ผมจะได้เกลียดได้เต็มที่ แบบนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนขี้อิจฉาเลยอ่ะ
“ขอบคุณครับพี่ไวท์”
เกิ้ลและลาเต้ยกมือไหว้พี่ไวท์เช่นกัน
“อืม พี่กลับแล้วนะ”
ผมกับพี่ไวท์เดินจากหอสมุดกลางไปที่ลานจอดรถคณะแพทย์ที่พี่ไวท์จอดรถเอาไว้เมื่อเช้า ระยะทางไม่ไกลมากอีกอย่างตอนนี้รถไฟฟ้าของมหาลัยหยุดวิ่งหมดแล้ว ยังไงก็ต้องเดินเท้าเท่านั้น
“ทำไมพี่ไวท์ต้องติวให้โปรดด้วยล่ะครับ พี่รหัสเขาไปไหน”
ผมถาม สาบานว่าไม่ได้จับผิดพี่ไวท์ แค่อยากรู้เหตุผลเท่านั้นเอ๊ง
“น้องรหัสพี่มันเป็นพวกเรียนๆเล่นๆ อ่านหนังสือก่อนสอบหนึ่งวันก็เอาตัวรอดได้ แต่ช่วยเหลือใครไม่ได้”
พี่ไวท์อธิบาย เขาหันมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีอาจารย์ พี่เขาก็โอบไหล่ผมไว้แน่น
“เรื่องในเพจ Cute Boy…พี่ไม่อยากให้คิดมาก”
“พี่เห็นแล้วเหรอครับ”
พี่ไวท์ไม่ใช่คนที่จะใส่ใจเรื่องราวที่เป็นกระแสในโลกโซเชียว พี่ไวท์เปิดเฟสบุ๊คไว้สำหรับรับข่าวสารเรื่องเรียนกับแชร์ความรู้ทั่วไปด้านสุขภาพให้แฟนๆที่ติดตามได้อ่านเป็นความรู้ ถ้าหวังจะมาสูบรูปเซลฟี (Selfie) ต้องใช้ความอดทนเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะหนึ่งปีจะมีสักหนึ่งถึงสองรูป ส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่เพื่อนของพี่ไวท์ถ่ายแล้วแท็กมามากกว่า
“อืม”
“ครับ ผมจะไม่คิดมาก”
ผมรับปาก ถ้าพี่ไวท์ไม่ได้คิดอะไรกับโปรด ผมก็ไม่มีอะไรต้องกังวล


ผมกับพี่ไวท์เลือกอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าเป็นมื้อเย็น พวกเราสั่งเมนูง่ายๆอย่างเบ็นโตะมากินเพราะกำลังหิวจนหน้ามืด ระหว่างที่ผมกำลังจ้วงข้าวใส่ปาก สายตาที่กวาดมองไปเรื่อยๆผ่านกระจกใสของร้านก็สะดุดลงที่ผู้หญิงคนหนึ่ง
แม่ง โคตรเซ็กซี่!
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่มองตาค้าง แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็หันมามองที่เธอเป็นตาเดียว เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวจัด ผมยาวดัดลอนย้อมด้วยสีน้ำตาลทอง บวกกับการแต่งกายที่ค่อนข้างวาบหวิว ทั้งเสื้อกล้ามสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ขาสั้นอวดเรียวขา ทำให้เธอดูโดดเด่นและขยี้ใจมาก ตอนนี้เธอกำลังยืนเล่น                   สมาร์ทโฟนอยู่คนเดียวตรงริมทางเดิน ไม่ได้สนใจสายตาของผู้ชายที่มองเธออย่างหยาดเยิ้มและผู้หญิงที่มองด้วยความอิจฉา
ผมไม่ได้มองผู้หญิงมานานแล้ว หรือจะเรียกให้ถูกคือน้อยครั้งที่จะมีผู้หญิงสักคนทำให้ผมสนใจได้ แต่เรื่องมองผู้ชาย ยอมรับว่าถ้าหล่อแตะตา ผมจะมองเหลียวหลังจนคอเคล็ดเลยล่ะ
แชะ!
เสียงกดชัตเตอร์ทำให้ผมละสายตาจากคนสวยมามองพี่ไวท์ที่กำลังเก็บสมาร์ทโฟนใส่ในกระเป๋ากางเกง
“เก็บอาการหน่อย น้ำลายไหลแล้ว”
ผมรีบยกหลังมือเช็ดปากแทบไม่ทัน แต่แม่ง หลอกกันนี่ ผมไม่ได้ทำตัวกากๆแบบนั้นซะหน่อย นอกจากตอนนอนหลับก็ไม่เคยทำน้ำลายเยิ้มเลยขอบอก!
ว่าแต่เมื่อกี้ผมโดนพี่ไวท์แอบถ่ายเหรอ คงจะไม่ได้ทำหน้าตลกๆหรอกนะ
“เราหมดสิทธิ์มองผู้หญิงแล้วนะ”
ผมขยับยิ้มเมื่อเห็นคนมีเหตุผลเริ่มออกอาการหึงหวง
“งั้นแปลว่าผมมีสิทธิ์มองผู้ชายคนอื่นใช่เปล่า”
พี่ไวท์ยิ้มหวานให้ผม แต่มันชวนขนลุกแปลกๆโดยเฉพาะประโยคบอกเล่าที่ไม่ต่างจากคำขู่
“พี่ใช้มีดเก่งนะ”
“โรคจิต”
ผมได้แต่บ่นอุบอิบ แล้วรีบก้มหน้าก้มตากินข้าว ปกติพี่ไวท์เป็นคนมีเหตุผล ไม่เคยหึงแบบไร้สาระ นอกจากคำว่าห่วง ผมก็ยังไม่เคยสัมผัสคำว่าหวงจากพี่ไวท์เลย แต่การมีแฟนแบบนี้ก็ทำให้ชีวิตรักของผมสงบราบรื่นมากนะครับ
ถึงบางครั้งผมจะลองคิดเล่นๆว่า อยากลองยั่วให้คนใจเย็นหึงหน่อยจะเป็นยังไงน้า แต่คิดอีกทีคนแบบพี่ไวท์ถ้าลองได้หึงขึ้นมาเกรงว่าจะหน้ามืดจนจับผมหักคอ เพราะฉะนั้นผมจะทำตัวดีๆอยู่ในกรอบของสามีต่อไป
อีกอย่างผมเชื่อว่าพี่ไวท์…ใช้มีดเก่งจริงๆครับ


“มีอะไรจะซื้ออีกมั้ยครับ”
พี่ไวท์ถามหลังจากที่ผมเดินออกมาจากร้านหนังสือ ในมือมีหนังสือการ์ตูนโคนันเล่มใหม่ล่าสุดที่เพิ่งวางขายเมื่อไม่กี่วันก่อน จริงๆแล้วผมตั้งใจว่าจะซื้อกางเกงในตัวใหม่เพราะที่มีอยู่ขาดเกือบหมดแล้ว ไม่ได้ขาดตามระยะเวลานะ แต่ขาดเพราะพี่ไวท์นั่นแหละ มีเซ็กส์กันทีไร แทนที่จะค่อยๆถอดกางเกงในของผม กลับกระชากออกจากขาทุกครั้งเลย ถ้าไม่ขาดก็มีสภาพยับเยินเกินกว่าจะหยิบมาใส่ได้
“มี”
ผมตอบ รู้สึกกระดากใจที่จะต้องไปซื้อกางเกงในตัวใหม่กับพี่ไวท์ ถึงยังไงมันก็เป็นของใช้ส่วนตัว ผมจึงตัดสินใจว่าจะไปคนเดียว
“พี่ไปรอร้านกาแฟก่อนดิ เดี๋ยวผมตามไป”
ผมบุ้ยปากไปทางร้านกาแฟใกล้ๆ แต่พี่ไวท์กลับแย้งด้วยความแปลกใจ
“จะซื้ออะไร ไปด้วยกันก็ได้”
“ไม่เอาอ่ะ จะซื้อของใช้ส่วนตัว”
ผมปฎิเสธ แต่พี่ไวท์ดูจะไม่ชอบคำว่า ‘ส่วนตัว’ ที่ผมใช้จึงย้อนถามด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“ยังมีคำว่าส่วนตัวกับพี่อีกเหรอ”
“ผมจะซื้อกางเกงใน พี่จะไปเลือกด้วยป้ะละ”
ผมประเมินพี่ไวท์ผิดไปจริงๆ เพราะแทนที่พี่เขาจะปล่อยให้ผมไปซื้อคนเดียว กลับตอบรับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เอาสิ พี่อยากเลือกให้พายุ”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ประท้วง พี่ไวท์ก็ลากข้อมือของผมเข้าไปในร้านขายกางเกงในแบรนด์คุณภาพที่เจ้าตัวใส่ประจำ
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”
ผมพยายามขืนตัวไว้ แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อพนักงานหญิงเดินเข้ามายกมือไหว้งามๆแล้วเริ่มแนะนำกางเกงในรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว
ให้ตายสิ ทำไมร้านขายกางเกงในผู้ชายใช้พนักงานหญิงขายของวะ พายุไม่เข้าใจ คนอื่นไม่อาย แต่กูอาย กูไม่สะดวกใจจะเลือก แล้วทำไมนางต้องตามติดแนะนำสินค้าทุกย่างก้าวด้วย ใครสั่งสอนให้พนักงานทำแบบนี้ ม่ายยยยย
“ชอบสีไหน”
พี่ไวท์ถาม แล้วหยิบกางเกงในตัวอย่างมาจับเนื้อผ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ผมหน้าร้อนแทบไหม้ แอบเหลือบมองพนักงานหญิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เธอยังคงส่งยิ้มสุภาพเช่นเดิม
เอาวะ เธอคงคิดว่าพี่ชาย (?) พาน้องชาย (ตัวโตๆ) มาซื้อกางเกงใน
“ผมเลือกเองได้”
ผมว่าแล้วดึงกางเกงในตัวอย่างในมือพี่ไวท์มาจับ พลิกดูสองสามรอบคิดว่าน่าจะใส่สบาย จึงตัดสินใจว่าจะซื้อรุ่นนี้นี่แหละ ผมหยิบกางเกงในเบอร์แอลสีดำมาห้ากล่อง คิดว่าจะรีบไปจ่ายเงินแล้วออกจากร้านให้เร็วที่สุด ผมเขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้วโว้ย
“พี่ชอบตอนพายุใส่กางเกงในสีขาว”
ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคเรียบๆจากปากพี่ไวท์ ไอ้พี่บ้า กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าพนักงานได้ยังไง จิตใจทำด้วยอาร๊ายยย ตอบ! แค่มาช่วยเลือกกางเกงใน ผมก็อายบัดซบแล้ว ไม่เห็นต้องเอ่ยประโยคสองแง่สองง่ามเลยโว้ยยยย
“ผมเป็นคนใส่ เกี่ยวอะไรกับพี่ด้วย”
ผมกัดฟันถาม แต่แทนที่อีกฝ่ายจะสำนึกกลับโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบข้างหู
“พี่ชอบตอนถอด สีขาวเร้าใจกว่า”
ผมอ้าปากค้าง รู้สึกว่าในช่องท้องเสียววูบวาบเหมือนมีผีเสื้อหลายสิบตัวกำลังตีปีกพึ่บพั่บ พร้อมกับภาพที่ไม่ได้รับเชิญปรากฎขึ้นมาในสมองแบบช่วยไม่ได้…เป็นวันที่ผมใส่กางเกงในสีขาวแล้วถูกพี่ไวท์ถอดมันออกมาด้วยปาก ส่วนวันที่ผมใส่กางเกงในสีอื่นๆ พี่ไวท์จะกระชากออกอย่างรวดเร็ว 
“ฟัค”
ผมสบถด่าในความลามกของพี่ไวท์ ไม่เคยคิดเลยว่าแฟนตัวเองจะมีความคิดกามๆแบบนี้ ไอ้พี่บ้ามันหัวเราะเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าผมวางกล่องกางเกงในสีดำไว้ที่เดิม แล้วคว้ากางเกงในสีขาวมาห้ากล่อง ก่อนจะรีบเดินหนีไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน
ผมไม่ได้อยากให้พี่ไวท์ใช้ปากถอดกางเกงในให้จริงๆนะ…ผมแค่อยากเป็นแฟนที่เร้าอารมณ์เท่านั้นเอง
“สีขาวไซส์แอลห้าตัวนะคะ”
พนักงานหญิงทวนรายการสินค้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทำการรับชำระเงิน
“ตัวนี้ด้วยครับ”
พี่ไวท์ที่เดินตามมาทีหลังส่งกล่องกางเกงในสีขาวอีกรุ่นหนึ่งให้พนักงาน ผมเดาว่าเขาคงจะซื้อไปใส่เอง
“เพิ่มสีขาวไซส์แอลอีกหนึ่งนะคะ”
ผมขมวดคิ้ว งั้นตัวนี้น่าจะเป็นของผมแล้วล่ะ เพราะผมกับพี่ไวท์ใส่กางเกงในคนละไซส์กัน
“ทั้งหมดห้าพันสี่ร้อยยี่สิบห้าบาทค่ะ”
ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินราคารวมของสินค้า เดี๋ยวๆ คิดผิดคิดใหม่ได้นะเจ๊ แค่กางเกงในหกตัวทำไมราคาเหยียบครึ่งหมื่นเลยล่ะ
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปดูป้ายราคาจากชั้นที่หยิบมา พี่ไวท์ก็ทำตัวป๊ามากด้วยการยื่นบัตรวีซ่าอินฟินิทสีดำเรียบหรูให้พนักงาน ผมจำได้ว่าบัตรแบบนี้เหมือนของเฮียหมอก คงไม่ต้องบอกนะว่าการที่จะมีบัตรแบบนี้ไว้ในครอบครองต้องมีวงเงินในบัญชีเท่าไร เอาเป็นว่าค่ากางเกงในแค่ห้าพันให้พี่ไวท์จ่ายแหละดีแล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นการช็อปกางเกงในที่สิ้นเปลืองมากที่สุด ผมก็กลับมานั่งแกะกล่องกางเกงในตัวใหม่ในห้องน้ำที่คอนโด เมื่อลองใส่ก็พบความแตกต่างระหว่างกางเกงในไฮโซของพี่ไวท์กับกางเกงในตัวละร้อยของผม มันกระชับและนิ่มมากจริงๆ ผมชอบครับ แม้ว่าจะไม่ชอบราคาของมันก็ตาม เอาเป็นว่าหลังจากนี้ผมจะบอกให้พี่ไวท์ระวังและถนอมกางเกงในของผมสักหน่อย แม้ว่าคนจ่ายเงินจะเป็นพี่ไวท์ก็ตาม
ผมหยิบกล่องกางเกงในที่พี่ไวท์เป็นคนเลือกมาแกะดู ตอนแรกคิดว่าคงไม่ต่างจากที่ผมเลือกเท่าไร แต่ปรากฏว่าตอนที่ผมกางออกดูชัดๆกลับต้องตาค้างแล้วสบถด่าพี่ไวท์ยาวเหยียด
ห่าราก! ใครจะไปใส่วะ
กางเกงในปีศาจที่พี่ไวท์เลือกมาเป็นซีทรูสีขาวสำหรับผู้ชาย ที่มีลูกไม้ปิดแค่ส่วนหน้าเท่านั้น ส่วนด้านข้างและด้านหลังเป็นผ้าซีทรูไม่ปกปิดอะไรเลย…สาบานว่าผมไม่ใส่!






TBC. ตอนหน้าขอพื้นที่ให้คู่นี้อีกหนึ่งตอนเเล้วจะกลับไปอัพพอร์ชวินต่อนะคะ

ใครสนใจคู่พี่ไวท์กับน้องพายุ สามารถติดตามอ่านได้ที่นี่ (https://www.mebmarket.com/ebook-61306-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99-2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%9A&page_no=1)

https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/

ที่มา : หนังสือเรื่อง บันทึกเปื้อนฝุ่น ลิขสิทธิ์ สนพ.ดาริน

:mew1:

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 19/11/2562 [P.3] ตอนพิเศษไวท์xพายุ (1)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-11-2019 11:31:16
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 24/11/2562 [P.3] ตอนพิเศษไวท์xพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 24-11-2019 21:02:06
บรรยากาศในมหาวิทยาลัยดูครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะอยู่ในช่วงสัปดาห์วิทยาศาสตร์ หลายคณะหลายสาขาต่างร่วมกันออกบูทวิชาการเพื่อแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยมที่ทางโรงเรียนพามาเป็นหมู่คณะ เพื่อให้เด็กๆได้มีเป้าหมายว่าในอนาคตใกล้ๆนี้ อยากจะศึกษาต่อในคณะอะไร แต่ละคณะเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง ซึ่งโรงเรียนที่มาทัศนศึกษาก็มีทั้งในจังหวัดเดียวกันและจังหวัดใกล้เคียง
ผมมองเห็นเด็กตัวน้อยในชุดพละสีสดใสที่น่าจะอยู่ชั้นประถมเดินเกาะไหล่กันเป็นขบวนรถไฟโดยมีอาจารย์เดินนำหน้า
จะว่าไปเด็กรุ่นใหม่มีการแข่งขันเรื่องเรียนค่อนข้างสูงกว่ารุ่นผมเยอะเลย ขนาดชั้นประถมยังมีการแบ่งห้องเรียนแบบวิทย์คณิตและศิลป์ภาษา อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น สมัยที่ผมตัวจ้อยเท่าลูกมดยังไม่มีความฝันอะไรอยู่ในหัวเลยนอกจากเล่นกับเพื่อน
“เร่เข้ามาจ้า เร่เข้ามา ร่วมทำการทดลองกับวิศวะเคมีวันนี้รับฟรีพวงกุญแจเกียร์ทองหนึ่งอัน ทำเองกับมือเลยนะ ไม่มีขายที่ไหนแล้ว อยากได้เชิญแวะทางนี้จ้า”
ผมยกมือกุมขมับเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของไอ้บ้ามิน จำได้ว่าพวกเราถูกถีบส่งมารับหน้าที่ยืนอ่อยเด็กๆให้เข้าบูทในชุดมาสคอตหลอดทดลองสีฟ้ากับสีชมพู ในมือมีธงสาขาสีบานเย็นที่ถูกน้องปีหนึ่งทำขึ้นแบบง่ายๆโบกไปโบกมา
ความจริงพวกเราควรยืนทำตัวน่ารักเป็นอันจบงาน แต่ไอ้มินผู้ขยันขันแข็งกลับแหกปากโวยวายล่อลวงเด็กน้อยให้เข้าบูทสาขา จะว่าไปเด็กๆหลายคนไม่รู้จักวิศวะเคมีและชื่อมันก็ไม่เท่เหมือนวิศวะเครื่องกลทำให้บูทของเราแทบร้างคนเพราะถูกเมิน
“อยากได้เกียร์”
ในที่สุดความพยายามของไอ้มินก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อมีเด็กผู้หญิงสองคนที่ถูกเกียร์ทองหลอกล่อกำลังเงยหน้ามองผมกับไอ้มินอยู่ที่หน้าบูท
“หนูเพิ่งอยู่มอสองจะไปทำการทดลองของวิศวะเคมีได้ไง ทำไม่เป็นหรอก”
เด็กผู้หญิงผมเปียเอ่ยถามด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น เห็นได้ชัดว่าอยากได้เกียร์ทองมาก แต่กำลังกังวลกับการทดลองอะไรก็ตามที่ไม่รู้จัก
“มาลองดูก่อน แค่เรื่องเปลี่ยนสถานะของสาร เบๆมากขอบอก”
ไอ้มินรีบฉวยจังหวะนี้โน้มน้าวเด็กน้อยสองคน
“ถ้าวิศวะเคมีเรียนเบๆ ก็แปลว่าไม่เก่งอ่ะดิ”
เด็กผู้หญิงผมสั้นหันไปพูดกับเพื่อนของเธอที่พยักหน้างึกๆเป็นเชิงเห็นด้วย
“ไม่ใช่เว้ย อันนี้มันความรู้พื้นฐาน ไม่เฉียดไม่ใกล้ความเป็นวิศวะเคมีเลย”
ไอ้มินเถียง
“ถ้าไม่เฉียดไม่ใกล้แล้วเอามาให้เราทำทำไมอ่ะ เราอยากเรียนวิศวะ เนอะ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเรียนสาขาอะไรดี”
“นี่อีหนู ถ้าความรู้พื้นฐานแน่น มาเรียนวิศวะเคมีรับรองว่าสบาย”
“…”
“แต่ถ้าความรู้แค่นี้ไม่มีอย่าฝันจะเข้ามาเรียนในสาขาเรา บอกเลยว่าวิศวะเคมีของที่นี่คะแนนสูงเป็นอันดับหนึ่งในคณะเลยนะ”
เด็กหญิงสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ
“งั้นลองดูก็ได้”
“ดีๆ…ไอ้ทีรับเด็กน้อยไปทำการทดลองหน่อยดิวะ”
ไอ้มินปรบมือแปะๆด้วยความดีใจ แล้วหันไปตะโกนเรียกน้องปีหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลบูทมารับตัวเด็กน้อยสองคนไปทำการทดลอง
“มึงไปกินอะไรมาวะ ถึงได้คึกขนาดนี้”
ผมอดถามไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงเกินเหตุของไอ้มิน ทั้งที่ผมซึ่งอยู่ในชุดมาสคอตกำลังห่อเหี่ยวเพราะร้อนชิบหาย ไหนเลยจะมีอารมณ์ทำหน้าระรื่นแบบมัน
“เป็นปกติของคนมีความรัก”
ผมเลิกคิ้วเมื่อเพื่อนสนิทยอมรับหน้าตายว่ากำลังมีความรัก ถ้าคนบ้าแบบไอ้มินจะขายออก คนที่อยากซื้อจนตัวสั่นก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละครับ
ทายซิใครเอ่ย?
“คบกับพี่เพลิงแล้ว?”
ผมถาม ผมรู้ว่าพี่เพลิงคลั่งไอ้มินแทบบ้า ตามจีบเช้าจีบเย็น บางครั้งก็มาวอแวให้ผมช่วยเป็นพ่อสื่อ แต่เรื่องอะไรผมจะช่วยไอ้พี่เพลิงปากหมาล่ะ จีบกันเอาเองเถอะ เรื่องนี้พายุจะไม่ยุ่ง
“เปล่า เรียกว่าศึกษาดูใจกันอยู่”
ศึกษาดูใจของไอ้มินคือรับโทรศัพท์จากเขา ไปกินข้าวกับเขา ดูหนังกับเขา แบบนี่ล่ะครับ…
ไม่ได้เรียกว่าคบกันเลย
“ว่าแต่มึงเถอะ อารมณ์ไม่ดีเพราะโดนพี่ไวท์แกล้งใช่มั้ยล่ะ แต่กูว่าน่ารักออกนะ กูโคตรอิจฉาเลย”
“เรื่องอะไรวะ”
ผมหันไปมองหน้าไอ้มินที่โผล่ออกมาจากชุดมาสคอตด้วยความไม่เข้าใจ จำได้ว่าเรื่องสุดท้ายที่ไอ้พี่ไวท์แกล้งผมคือการซื้อกางเกงในปีศาจให้ ซึ่งรับรองได้ว่าผมไม่มีทางให้เรื่องนี้รั่วไหลไปถึงหูของคนอื่นเด็ดขาด
“ตีหน้าซื่อ”
กูซื่อจริงครับ ไม่ได้แกล้ง
“ถามจริง มึงมีเฟสบุ๊คไว้เพื่ออะไรคะ เอาไว้ส่องแต่เพจ Cute Boy หรือไง เฟสสามีตัวเองอ่ะ ส่องบ้างไรบ้าง”
ไม่ใช่แค่พี่ไวท์ที่ไม่สนใจโซเชียล ผมเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน นอกจากมีแอปพลิเคชันเมสเซนเจอร์ไว้คุยกับเดอะแก๊ง ผมก็โหลดแอปพลิเคชันเฟสบุ๊คติดเครื่องไว้ตามมารยาทเท่านั้น
“ขอพักเว้ย ใครก็ได้มาใส่ชุดบ้านี่ที”
ผมตะโกนบอกเด็กปีหนึ่ง ซึ่งรุ่นน้องแสนดีก็รีบเข้ามาช่วยผมกับไอ้มินถอดชุดมาสคอต แถมยังมีบริการหลังใช้งานด้วยการประเคนน้ำเย็นสดชื่นให้คนละขวด เสื้อช็อปของผมกับไอ้มินเปียกชุ่มราวกับเพิ่งไปตกน้ำมา จึงไม่รู้สึกละอายใจที่จะนั่งเฉยๆให้รุ่นน้องบริการพัดให้พวกเรา
ผมหยิบสมาร์ทโฟนจากกระเป๋ากางเกงมากดเข้าแอปพลิเคชันสีน้ำเงิน พิมพ์ชื่อเฟสบุ๊คของพี่ไวท์ในช่องค้นหา รอไม่กี่วินาทีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งยากใจ อยากยิ้มก็ยิ้มไม่ออก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่
นี่แหละมั้ง ที่ไอ้มินบอกว่าผมโดนพี่ไวท์แกล้ง หรือพี่มันเจตนาแกล้งกูจริงๆวะ ฮือออ
รูปโปรไฟล์ที่เคยเป็นรูปของพี่ไวท์ถูกเปลี่ยนเป็นรูปของผม ซึ่งมันก็น่าดีใจนะครับที่แฟนให้ความสำคัญกับผมแบบนี้ ติดแต่ว่ารูปที่พี่ไวท์ใช้คือรูปที่เขาแอบถ่ายผมวันที่ไปกินอาหารญี่ปุ่น ในภาพผมกำลังอ้าปากงับช้อน ขณะที่สายตาเหลือบมองไปด้านหนึ่งด้วยท่าทางตลกๆ ผมจำได้ว่าตอนนั้นแอบมองสาวอยู่ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำหน้าแบบนั้น แม่งจ้าดง่าว แต่ถึงจะง่าวยังไงก็มียอดไลท์ถึงหนึ่งพัน ต่างกับรูปโปรไฟล์สุดหล่อในเฟสบุ๊คของผมที่มีเพื่อนยอมกระทืบไลท์ไม่ถึงยี่สิบ

ความเห็น 1 : แฟนพี่ไวท์เหรอคะ น่ารักจัง
ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นคอมเม้นท์จากแฟนคลับคนหนึ่งของพี่ไวท์ นับว่าตาถึงมากครับ คนหน้าตาดี ต่อให้ทำตัวกากๆก็ยังหน้าตาดี
ความเห็น 2 : บ้องแบ๊วมากค่าลูกสาว
มีตรงไหนสาววะเจ๊ เอาเป็นว่าถ้าหน้าโง่ๆของผม มันน่าเอ็นดูในสายตาก็ขอบคุณมาก
ความเห็น 3 : คนนี้แฟนพี่ไวท์เหรอ ฮือออออ หนูไม่สู้ หล่อจังเลย แงงงงงง
ดีแล้วที่ไม่สู้ จะได้ไม่มีคนเจ็บตัวนะหนู
เพลิง พัทธนันท์ : กูโคตรไม่อยากเชื่อเลยว่าไอ้ไวท์จะทำแบบนี้ งานอวดแฟนก็มาว่ะ
ธาม กฤตนันท์ : ไม่ค่อยหลงน้องมันเลยนะไวท์ @ Suteekan  Benjakul

พี่เพลิงกับพี่ธามเข้ามาคอมเม้นท์แซวพี่ไวท์ไม่ต่างจากเพื่อนๆอีกหลายคน ไม่ใช่แค่พวกเขาที่แปลกใจ ผมก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะพี่ไวท์ไม่ใช่คนที่ชอบการเปล่าประกาศเรื่องส่วนตัวในโลกโซเชียล ยิ่งไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความรักออกสื่อ ขนาดในเฟสบุ๊คยังตั้งสถานะว่า ‘มีแฟนแล้ว’ โดยไม่ได้แท็กผมเลย
ช่วงก่อนหน้านี้เคยมีแฟนๆหลายคนเข้ามาขุดหาภาพของผมในเฟสบุ๊คของพี่ไวท์ แล้วก็เดากันไปต่างๆนาๆว่าคนไหนคือผม แต่เสียใจด้วยเพราะรูปคู่ของเรามีแค่ในโทรศัพท์ ส่วนรูปโปรไฟล์กากๆรูปนี้ นับเป็นรูปแรกของผมในเฟสพี่เขาเลยล่ะ

ตึ๊ง!
ธาม กฤตนันท์ : ไม่ค่อยหลงน้องมันเลยนะไวท์ @ Suteekan  Benjakul
   1 วินาที
   Suteekan  Benjakul : หลงนานแล้ว แค่ไม่ได้แสดงออก
ผมหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นข้อความที่ถูกคอมเม้นท์โดยเจ้าของเฟส รู้สึกว่ารอยยิ้มกว้างกำลังขยับบนใบหน้า พร้อมกับหัวใจที่ระเบิดตูมมมม…กลายเป็นโกโก้ครั้นช์
เขินว่ะ!


คณะแพทยศาสตร์ในช่วงบ่ายยังครึกครื้นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ต่างจากคณะวิศวะที่เริ่มเก็บบูทและทำความสะอาดสถานที่ จุดเด่นที่ทำให้คณะแพทย์เป็นที่นิยมและดึงดูดเด็กๆให้เข้ามาจับจองพื้นที่คือ ‘การผ่าอาจารย์ใหญ่’ ซึ่งมีการต่อคิวเข้าชมยาวนานหลายชั่วโมง บางคนมาต่อคิวถึงช่วงเย็นก็ยังไม่ได้เข้าชม ต้องลงชื่อไว้แล้วกลับมาดูใหม่ในวันพรุ่งนี้
ส่วนเหตุผลที่ผมโผล่มาเยือนคณะแพทย์ในเวลานี้ ไม่ใช่เพราะอยากดูการผ่าอาจารย์ใหญ่ แต่ผมอยากมาดูว่าพี่ไวท์กำลังทำอะไรอยู่เท่านั้นเอง ผมใช้เวลาไม่นานในการมองหาคนรัก เพราะเสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กมัธยมเรียกให้ผมหันไปมองบูทตอบคำถามก็เห็นพี่ไวท์และแก๊งหมอหล่อยืนทำหน้าที่แจกของรางวัล ซึ่งเป็นพวงกุญแจรูปเข็มฉีดยา ผมคิดว่าเพื่อนในคณะก็ช่างเลือกใช้งานได้ถูกคนจริงๆ เพราะแค่หนังหน้าของอีพี่ไวท์ก็ดึงดูดให้เด็กสาวอยากเข้าบูทแทบแตกแล้ว
“พายุ”
เสียงคุ้นหูจากด้านหลังเรียกให้ผมหันกลับไปมอง รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเมื่อพบว่าคนที่เข้ามาทักคือ ‘โปรด’ พวกเราเจอหน้ากันแค่หนึ่งครั้ง แล้วก็คุยกันแค่หนึ่งประโยค ซึ่งผมแน่ใจว่าเราไม่ได้สนิทสนมกันขนาดต้องเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มแบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่ผมเป็นคนมีมารยาทจึงต้องส่งยิ้มกลับไป
“มาหาพี่ไวท์เหรอ”
“อืม แต่พี่ไวท์กำลังยุ่ง”
ผมตอบ แล้วพยับเพยิบไปทางคนหล่อที่กำลังยืนชี้บอร์ดที่แปะภาพอวัยวะภายในของมนุษย์ให้เด็กสาวกลุ่มหนึ่งดู
“ปีสองใครว่างบ้างวะ ไปยกน้ำมาแจกเด็กๆหน่อยเร็ว!”
โปรดที่กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างชะงัก เขาหันกลับไปมองเจ้าของเสียงตะโกน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าตัวกำลังเดินแจกน้ำขวดขนาด 600 มิลลิลิตรให้เด็กๆมัธยมที่ยืนต่อคิวรอชมการผ่าอาจารย์ใหญ่
“ผมว่างครับ”
โปรดยกมือป้องปากแล้วตะโกนบอกรุ่นพี่ พร้อมโบกมือไปมาให้อีกฝ่ายเห็นว่าคนพูดยืนอยู่ตรงนี้ ส่วนผมที่อยู่ๆนึกหมั่นไส้คนดีอย่างนายโปรดก็กำลังกรอกตามองบน…รีบๆไสหัวไปยกน้ำของนายเถอะ
“เออ มึงอ่ะ พาเพื่อนไปยกน้ำมาสักสิบแพ็ก”
โปรดพยักหน้าแล้วหันกลับมา ผมคิดว่าเขาจะขอตัวไปทำงาน แต่เปล่า ไอ้หมอนี่กลับชวนผมไปยกน้ำ! ไปใช้แรงงานคณะแพทย์!
“ไปช่วยเรายกน้ำหน่อยดิ”
ผมยกนิ้วชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงถามซ้ำ
ให้ตายสิ เขาคิดว่าพวกเราสนิทกันเหรอ
 “ป้ะ!”
โปรดไม่ได้ตอบคำถามของผม เขายิ้มแล้วถือวิสาสะจูงมือผมให้เดินตามเข้าไปในตัวอาคาร…
ผมว่าผมไม่ชอบหมอเลยนี่อ่ะ
ระหว่างทางพวกเราเจอเด็กแพทย์กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกล่องอยู่บนพื้นหน้าบันได ซึ่งในจำนวนนั้นมีลาเต้กับเกิ้ลด้วย จะว่าไปพวกเด็กแพทย์ก็กินง่ายอยู่ง่ายเหมือนกันนะครับ
“เกิ้ล! เต้! มึงสองคนมาช่วยกูยกน้ำหน่อยดิ”
“แดกข้าวอยู่เห็นป้ะ”
เกิ้ลขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง แต่ลาเต้ที่ดูจะเป็นคนดีกว่าหมอนี่ ปิดฝากล่องข้าวแล้วลุกจากพื้นตามประสาคนมีน้ำใจ
“กูอิ่มแล้ว”
“เออ แล้วทำไมแฟนพี่ไวท์มาอยู่กับมึงได้อ่ะ”
คำถามที่ไม่เบาของเกิ้ลเรียกให้เด็กแพทย์คนอื่นๆในบริเวณนั้นหันมามองผมเป็นตาเดียว
ให้ตายสิ การที่จะเรียกผมว่า ‘พายุ’ มันยากกว่าการเรียกผมว่า ‘แฟนพี่ไวท์’ ตรงไหนวะ สั้นกว่าตั้งหนึ่งพยางค์เห็นๆ
“มาหาพี่ไวท์”
โปรดตอบเรียบๆ เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะขยายความอีกครั้งด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
“แล้วก็จะไปช่วยกูยกน้ำด้วย…มีน้ำใจกว่ามึงเยอะเลย”
สาบานว่าหมอนี่ไม่รู้จริงๆว่าผมไม่ใช่คนมีน้ำใจ?
เกิ้ลเลิกคิ้ว แล้วยิ้มแปลกๆขณะที่มองผม เขาปิดฝากล่องข้าว วางลงบนพื้นก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าพวกเรา
“งั้นกูไปด้วย”
พวกเราสี่คนเดินไปตามระเบียงทางเดินสีขาวที่ทอดยาว ตรงสุดทางเดินมีห้องเก็บของที่ไม่ได้ล็อก เป็นเพราะหลอดไฟในห้องเสีย โปรดจึงเปิดประตูห้องทิ้งไว้ปล่อยให้แสงสว่างจากด้านนอกสาดส่องเข้าไปให้พอมองเห็น ผมก้าวเท้าตามคนพวกนั้นเข้าไป ด้านในห้องกว้างกว่าที่คิด มีฝุ่นละอองค่อนข้างเยอะ บ่งบอกว่าไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน นอกจากแพ็กน้ำดื่มที่เรียงต่อกันจนสูงท่วมหัวแล้ว ในห้องยังมีตู้ไม้ใส่แฟ้มเก่าๆ โต๊ะเก้าอี้ที่ถูกซ้อนเป็นชั้นๆอย่างไร้ระเบียบ
“ต้องยกไปกี่แพ็กอ่ะ”
ลาเต้ถาม
“สิบแพ็ก”
โปรดเป็นคนตอบ
“อ้าว แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก กูจะได้เรียกพวกนั้นมาช่วยยก มีกันสี่คนจะถือไหวได้ไง ขี้เกียจเดินหลายๆรอบนะเว้ย”
ลาเต้บ่นยาวเหยียด แต่โปรดกลับหัวเราะในลำคอ เขาปรายตามองผมแล้วขยับยิ้มชั่วร้าย สาบานว่าชั่วร้ายจริงๆ ไม่ได้อคติเลย โปรดทำให้ผมขนลุกเพราะไม่คิดว่าคนที่บุคลิกใสซื่อจะมองผมเหยียดๆแบบนี้
“เรียกพวกนั้นมาด้วยก็เสียแผนดิวะ”
ผมคิดว่าคงจะมีแค่ผมกับลาเต้ที่ตามเรื่องราวไม่ทัน เพราะเกิ้ลที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องกำลังหัวเราะชอบใจ
“เดี๋ยวกูจัดให้”
“ไม่ต้องออมมือ”
“ได้เลยเพื่อนรัก”
เกิ้ลรับปาก เขาเดินมาลากแขนของโปรดให้ไปยืนใกล้ๆกับแพ็กน้ำดื่มที่เรียงต่อกันจนสูงท่วมหัว กว่าผมจะรู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรก็สายไปเสียแล้วเมื่อเกิ้ลผลักแพ็กน้ำดื่มใส่โปรด
โครม!!!
โอ๊ยยยยยยยยย
แพ็กน้ำดื่มหลายสิบแพ็กพร้อมใจกันล้มลงมาทับโปรดที่กองอยู่บนพื้น มีขวดน้ำบางขวดแตกจากการกระแทกพื้นทำให้น้ำไหลนองเต็มห้อง เขาร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บ ผมเชื่อว่าเขาเจ็บจริง เพราะแพ็กน้ำดื่มขนาดสิบสองขวดไม่ถือว่าเบาเลย
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งตรงมาทางนี้ ก่อนจะปรากฏร่างของรุ่นพี่ผู้หญิงสามคนตรงหน้าประตู พวกเธอมองเข้ามาเห็นโปรดนอนอยู่บนพื้นก็อุทานด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น!”
รุ่นพี่สองคนวิ่งเข้าไปประคองนายโปรดให้ลุกขึ้นยืน ผมเห็นว่าจมูกของเขาแดงเพราะโดนแพ็กน้ำดื่มประแทกหน้าเต็มๆ และผมไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่า…สมน้ำหน้า
“ผม ผม…”
โปรดสะอื้น ตาของเขาแดงก่ำราวกับจะร้องไห้โฮได้ทุกเมื่อ จะว่าไปถ้าผมไม่ได้เห็นกับตาว่าเขากับเกิ้ลเจตนาสร้างเรื่องเพื่อใส่ร้ายผม ผมก็อยากจะคิดว่าเขาช่างดูน่าสงสารอยู่เหมือนกัน ให้ตายเถอะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่คิดว่าหน้าซื่อๆแบบนี้จะตอแหลใช่ย่อย
“กูเล่าเอง”
เกิ้ลที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนนายเอกรีบเสนอหน้า ทุกคนหันไปมองที่เขาเป็นตาเดียว ส่วนเกิ้ลกลับมองมาที่ผมด้วยความไม่พอใจราวกับว่าผมเป็นคนร้าย ซึ่งมันทำให้รุ่นพี่ที่เข้ามาที่หลังเริ่มเข้าใจสถานการณ์แบบผิดๆแล้วมองผมอย่างรอคอย
“พายุเป็นคนผลักขวดน้ำใส่โปรดครับ”
กูว่าแล้ว…ไม่คิดเลยว่าการกลั่นแกล้งแบบในละครช่องหลายสีจะมีพวกหน้าด้านยืมเอามาใช้ในชีวิตจริงด้วยว่ะ
“ถึงนายจะไม่พอใจที่พี่ไวท์ติวให้โปรด ก็ไม่น่าแกล้งกันแรงขนาดนี้ โดนแพ็กน้ำถล่มใส่มันเจ็บมากนะรู้มั้ย ดีแค่ไหนที่โปรดหัวไม่แตก”
ผมส่งหมอนี่เข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมเลยได้มั้ย เข้าถึงบทบาทสุดๆ ถ้าเปลี่ยนจากเรียนแพทย์ไปเรียนนิเทศก็น่าจะรุ่งนะ
“ผมไม่ได้ทำอะไรเขา” ผมพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจฟังเลย
“เดี๋ยวนะ แล้วน้องคนนี้เป็นใคร มาทำอะไรที่คณะเรา”
รุ่นพี่สาวที่ดูเหมือนจะตามเรื่องราวไม่ทันเอ่ยถามด้วยท่าทางงงๆ ซึ่งเกิ้ลก็รีบอธิบาย ไม่สิ ควรเรียกว่าใส่สีตีไข่ให้ผมดูแย่มากกว่าเดิม
“เขาเป็นแฟนพี่ไวท์ครับ มาเฝ้าผัว เอ๊ย แฟน กลัวแฟนจะทิ้งเพราะตัวเองนิสัยไม่ดี”
“อ่อ คนนั้นไงที่เรียนวิศวะ แฟนพี่ไวท์อ่ะ”
รุ่นพี่ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันแล้วเริ่มซุบซิบตามประสาผู้ที่ให้ความใส่ใจเรื่องของชาวบ้าน และมันทำให้ผมรู้ว่าข่าวความสัมพันธ์ของพี่ไวท์กับโปรดรู้กันทั่วถึงทั้งคณะแพทย์
“ฉันเห็นในเพจ Cute Boy แล้ว เรื่องที่พี่ไวท์สนิทกับโปรด สงสัยจะหึงจนหน้ามืด”
“ผมไม่ได้หึงจนหน้ามืด”
ผมหันขวับไปมองคนพูดแล้วแย้งเสียงขุ่น รุ่นพี่คนนั้นยิ้มเจื่อน ทำให้ผมนึกสมเพช ถ้ากล้านินทาต่อหน้าต่อตาขนาดนี้แล้ว จะกลัวทำไมกับการที่ผมมองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจ
“เต้ นายเห็นเหตุการณ์ใช่มั้ย”
รุ่นพี่เบอร์ 1 เลือกจะหันไปถามลาเต้ที่ยืนเงียบอยู่มุมหนึ่งของห้อง ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่ามีหมอนี่ด้วย
“สรุปว่าน้องคนนี้แกล้งโปรดจริงหรือเปล่า”
รุ่นพี่เบอร์ 2 ถาม
ผมมองหน้าลาเต้เงียบๆ คาดหวังว่าคนที่ดูจะมีจิตสำนึกอย่างเขาจะช่วยแก้ต่างให้ผม ลาเต้เหลือบมองเกิ้ลกับโปรด ก่อนจะหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีแล้วพยักหน้าช้าๆ โอเค หมอนี่ไร้จิตสำนึกเหมือนกัน
“จริงครับ”
“นิสัยแย่ว่ะ” รุ่นพี่เบอร์ 3 จิกตามองผมขณะประณามในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แต่ไม่ได้เห็นกับตา
เหตุการณ์วุ่นวายดำเนินต่อไปเพราะทุกคนหาข้อสรุปไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรกับผม ส่วนโปรดยืนกรานว่าเขาต้องการคำขอโทษ แน่นอนว่าผมไม่ให้ ผมไม่มีทางขอโทษ ‘แรด’ แน่ๆ รุ่นพี่เบอร์ 1 จึงอาสาไปตามพี่ไวท์มาไกล่เกลี่ย ตอนแรกผมคิดว่าดีซะอีก ผมจะได้ฟ้องพี่ไวท์ว่าถูกใส่ร้าย แต่เมื่อพี่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สมองของผมกลับเครียดเกร็ง…ผมกลัวพี่ไวท์ไม่เชื่อ
“พี่ไวท์มาแล้ว” เกิ้ลร้องด้วยท่าทางยินดีแบบออกนอกหน้า แล้วแอบหันมายิ้มเยาะผม
“มีเรื่องอะไรครับ” พี่ไวท์ถามแล้วกวาดตามองสภาพห้องที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ
“แฟนพี่ทำร้ายน้องโปรด”
“ทำร้าย?”
พี่ไวท์เลิกคิ้ว เขาเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่ผม นัยน์ตาสีดำลึกลับที่ผมชอบที่สุดไม่บ่งบอกอารมณ์อะไรเลย
“พายุผลักแพ็กน้ำทับโปรด”
เกิ้ลรีบฟ้อง
“ผมเปล่า”
“ทุกคนเห็นกับตา นายยังกล้าปฎิเสธเหรอ”
“นายต่างหากเป็นคนทำ!”
ผมรีบอธิบาย ไม่เคยหัวร้อนแบบนี้มาก่อน ผมไม่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดกับผมยังไง ผมแคร์ว่าพี่ไวท์จะคิดยังไงมากกว่า แต่ยิ่งพูดมันก็ยิ่งเหมือนคนโกหกที่กำลังหาทางแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“ฉันจะทำเพื่อนฉันทำไมล่ะ” เกิ้ลเหยียดยิ้มมุมปาก ซึ่งมันทำให้ความอดทนของผมสิ้นสุด
“พวกมึงรวมหัวกันตอแหล!”
ผมตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล มือสองข้างกำแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือ…ใจ ทำไมคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างผม ต้องมายืนแก้ตัวให้คนอื่นฟัง ทั้งที่ไม่มีใครสนใจจะฟังจริงๆ ทุกคนตัดสินผมจากลักษณะภายนอก แน่นอนว่าหน้าตาของผมไม่ได้ใสซื่อและน่าเชื่อถือเหมือนนายโปรด
“ช่างเถอะ ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ยังไงเราก็ไม่ได้บาดเจ็บมาก”
โปรดเอ่ยทำลายความเงียบ เรียกให้สายตาทุกคู่หันไปมองเขาด้วยความเห็นใจ ผมไม่กล้ามองหน้าพี่ไวท์จึงได้แต่ก้มมองพื้น ผมคงรับไม่ได้แน่ๆถ้าพี่ไวท์สงสารโปรด แม้เศษเสี้ยวในสายตาก็ตาม
“ขอโทษพี่ไวท์ด้วยนะครับที่ทำให้ต้องวุ่นวาย พาแฟนพี่กลับไปเถอะ”
ผมเกลียดเขา เกลียดคำพูดที่เหมือนเป็นคนดีที่ถูกกระทำ ไหนๆตอนนี้ผมก็ถูกมองเป็นตัวร้ายอยู่แล้ว มันคงไม่แย่ไปกว่าเดิมถ้าผมจะถีบปากคนตอแหล ผมหมายความตามนั้น!
การตัดสินใจกะทันหันของผม อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนโดยเฉพาะนายโปรดที่ไม่ทันระวังตัวจึงถูกผมกระโดดถีบปากเต็มๆ
ผลัก!
โครมมมมม
“น้องโปรดดดดดด”
รุ่นพี่คนหนึ่งร้องกรี๊ดด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าโปรดหงายหลังลงไปกองกับพื้น ซึ่งคนตอแหลก็แหลได้เสมอต้นเสมอปลายเพราะจากที่เขาควรจะโกรธผมแล้วลุกขึ้นมาสู้ เขากลับร้องไห้โฮเหมือนเด็กตัวเล็กๆมือสองข้างกุมจมูกและปากที่มีเลือดไหลออกมา ซึ่งมันชวนให้คันมือคันตีนอยากจะลงไปซ้ำอีกรอบ
“ฮืออออออ”
“พอแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าพี่ไวท์ขยับเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร เขาปรามผมแล้วคว้าตัวผมไว้ในอ้อมแขน กันไม่ให้ผมไปทำร้ายโปรด ซึ่งผมก็ได้แต่ดิ้นขลุกขลัก กระตุกเท้าไปมาเพราะโมโหจนหน้ามืด
“ปล่อยผมนะ”
“ต่อหน้าต่อตาเลยนะ พี่ไวท์ก็เห็นแล้ว พี่ต้องจัดการให้น้องนะคะ”
รุ่นพี่เบอร์ไหนสักเบอร์ ช่างแม่งเหอะ รีบเสนอหน้ามาฟ้องด้วยท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้น ผมไม่ได้ถีบปากหล่อนสักหน่อย หรือควรจะถีบมันสักที ปากมากจริงเว้ย
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 24/11/2562 [P.3] ตอนพิเศษไวท์xพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 24-11-2019 21:04:07
“แตง”
“ขา”
“พี่วานเช็กยอดน้ำขวดที่แตก เสร็จแล้วส่งไลน์มาบอกจำนวนด้วย พรุ่งนี้พี่จะซื้อมาคืน”
พี่ไวท์กระชับอ้อมแขนที่กอดผมจากด้านหลังแน่นขึ้น ขณะเอ่ยกับรุ่นพี่ที่ชื่อว่าแตงด้วยความสงบ
“แล้วน้องโปรดล่ะคะ”
“เจ็บมากนักก็ตายไปเลยมึ-ง อื้มม!!”
ผมโพล่งสิ่งที่คิดออกไปไม่ทันจบก็ถูกฝ่ามือของพี่ไวท์ปิดปากไว้แน่น ทุกคนมองผมเหมือนตัวร้ายในละคร แต่แม่งไอ้เชี่ยโปรดมันน่าหมั่นไส้จริงๆนะครับ แค่เลือดกำเดาไหลนิดเดียวแต่ร้องห่มร้องไห้อย่างกับเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
“อยากให้พี่ทำอะไรครับ” พี่ไวท์ถามทั้งๆที่ปิดปากผมไม่ให้สบถคำด่ายาวเหยียดออกมา
“เปล่า ผม…”
ไอ้เชี่ยโปรดหลุบตามองพื้นเศร้าๆ แล้วปฏิเสธเสียงแผ่ว บรรยากาศเกือบ   ดราม่าแล้ว แต่พี่ไวท์กลับเอ่ยขัดจังหวะคำพูดที่เหลือของหมอนั่น ซึ่งคำพูดนั้นก็เป็นเหมือนการขอยุติเรื่องราวทั้งหมดโดยการบอกเป็นนัยๆว่า…คนนอกไม่เสือก!
“เปล่าก็ดีแล้ว ไว้ค่อยคุยกันเป็นการส่วนตัว”


มือของผมถูกพี่ไวท์กุมไว้แน่นขณะที่พวกเราเดินไปตามทางเดินสีขาว ผ่านเด็กแพทย์หลายต่อหลายคนที่ไวต่อข่าวสาร กำลังยืนซุบซิบนินทาแล้วมองมาที่พวกเรา ผมเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกพี่ไวท์จับยัดใส่รถสีขาวคันโปรดแล้ว
ระหว่างทางที่พี่ไวท์ขับรถกลับมาที่คอนโด เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วผมก็ไม่คิดอยากแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น พี่ไวท์กุมมือผมไว้ตลอดเวลาราวกับกลัวว่าผมจะหนี เขาจูงมือผมขึ้นลิฟต์และปล่อยมือจากผมในตอนที่เข้ามาในห้องพัก
“เราทำหรือเปล่า”
นั่นเป็นประโยคแรกที่พี่ไวท์พูดกับผม
“ถ้าผมบอกว่าไม่ได้ทำล่ะ”
ผมเหลือบมองผนังสีขาวราวกับมันน่าสนใจซะเต็มประดา มือสองข้างที่กำหมัดแน่นกำลังสั่นระริก ผมกลัวพี่ไวท์ต่อว่าผม กลัวเขาโกรธที่ผมทะเลาะกับโปรดต่อหน้าคนอื่น เขาอาจจะอายก็ได้ที่มีแฟนแบบผม…
“พี่เชื่อพายุ”
คำตอบจากพี่ไวท์ทำให้ผมหันหน้าไปสบตาเขา ผมไม่เห็นความสงสัยเคลือบแคลงในดวงตาสีดำลึบลับคู่นั้นเลย…
“แล้วถ้าผมทำจริงๆล่ะ”
ถึงผมจะไม่ได้ผลักแพ็กน้ำดื่มใส่นายโปรด แต่ผมก็เจตนากระโดดถีบปากหมอนั่นจริงๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเรื่องของผมลงเพจ Cute Boy แน่ๆ แล้วทุกคนก็จะเชื่อว่าเป็นความผิดของผม
“พี่อยากให้เราพูดความจริงกับพี่ จะทำหรือไม่ทำพี่ไม่โกรธ”
พี่ไวท์เอ่ยอย่างอ่อนโยน เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้มืออบอุ่นคู่นั้นประคองใบหน้าของผม พี่ไวท์ไม่โกรธเพราะเขาไม่แคร์ว่าผมทำหรือเปล่า แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมโมโห ผมอยากให้เขาเชื่อว่าผมไม่เคยหาเรื่องใครก่อนจริงๆ
“ผมไม่ได้ทำ”
“โอเค”
“ผมบอกว่าไม่ได้ทำ”
ผมย้ำ รู้สึกว่าน้ำเสียงกำลังสั่นเครือ
“พี่ได้ยินแล้ว”
พี่ไวท์ลูบศีรษะผมเบาๆเป็นเชิงปลอบโยนแต่ถูกผมปัดมือทิ้ง ผมชอบสายตาที่เขามองมาที่ผม มันอ่อนโยนเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่เพราะว่ามันไม่เคยเปลี่ยน ผมถึงได้คาดเดาความคิดของเขาไม่ออกว่าเขาเชื่อจริงๆหรือแค่ต้องการให้ผมสบายใจ
“พี่ไม่เชื่อผมใช่มั้ย พี่ก็แค่พูดไปงั้น”
“พายุ”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
ผมผลักพี่ไวท์ให้พ้นทาง ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องนอนแล้วล้มตัวนอนคว่ำหน้าบนเตียง ผมรู้ตัวว่ากำลังพาล มันเป็นความอัดอั้นตันใจที่แม่งทำอะไรไม่ได้เลย
ผมเกลียดไอ้เชี่ยโปรดที่ตอแหลขั้นเทพ ผมเกลียดคนที่ไม่รู้จักผมแต่ตัดสินผมจากสิ่งที่เขาไม่ได้เห็น และตอนนี้คนที่ผมเกลียดที่สุดก็คือตัวเอง ผมเริ่มจะเสียใจแล้วจริงๆที่กระโดดถีบปากไอ้หมอนั่น แม้ว่ามันจะสมควรโดนก็ตาม แต่ยิ่งผมตอบโต้ด้วยความรุนแรงเท่าไร ตัวผมเองก็ยิ่งดูแย่เท่านั้น
ความสะใจเพียงชั่วครู่แลกกลับการทำให้ความน่าเชื่อถือของตัวเองหมดลง… ถ้าผมละทิ้งนิสัยขี้โมโหแบบเด็กๆแล้วสุขุมได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ไวท์
บางที…คำพูดของผมคงมีน้ำหนักพอให้คนอื่นรับฟัง

ข่าวด่วนจ้า!!! ข่าวด่วนนนนน!!! น้องโปรด ปี 2 อดีตเดือนคณะแพทย์โดนเตะปากเจ้าค่ะ งานนี้สาหัสจริงๆ จะหมดหล่อหรือเปล่าไม่รู้ แต่หนูน่าสงสารมากค่ะลูก อยู่ดีๆก็กลายไปเป็นศัตรูหัวใจใครบางคน เอ๊ะๆ แอดต้องบอกมั้ยคะว่าใคร?
#ไวท์โปรด #ทีมโปรด #น้องโปรดลูกรัก #แฟนปัจจุบันไม่เท่าแฟนในอนาคต

มือของผมที่กำลังถือสมาร์ทโฟนสั่นระริก แม้จะเตรียมใจไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาส่องเพจ Cute Boy แล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ แอดมินเพจเจ้าเก่าโพสต์ชงไอ้เชี่ยโปรดแบบไม่ปิดบัง โดยเฉพาะแฮชแท็กที่โคตรส้นตีนใต้ภาพของหมอนั่นที่กำลังใช้ทิชชู่อุดจมูก มุมปากบวมเจ่อน้อยๆเป็นการเรียกคะแนนสงสารได้ดี
ส่วนความเห็นของคนส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามกระแสคือโจมตีคนๆหนึ่ง โดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ยิ่งผมเลื่อนอ่านคอมเม้นต์ ก็ยิ่งพบว่าถ้อยคำที่ใช้แรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ภาษาสุภาพแต่เป็นในเชิงจิกกัด แรงสุดก็คำหยาบคายอย่างกับผมไปเผาบ้านพวกเขางั้นแหละ
“อย่าร้อง”
เสียงกระซิบพร้อมอ้อมแขนที่กอดรัดผมจากด้านหลังทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่า…น้ำตากำลังไหล ผมยกหลังมือปาดน้ำตาทิ้งลวกๆแล้วหันไปมองหน้าคนที่นอนอยู่ข้างๆ
“ผมเป็นคนไม่ดี”
พี่ไวท์ดึงสมาร์ทโฟนไปจากมือของผมแล้ววางทิ้งไว้บนลิ้นชักข้างเตียง ก่อนจะดึงผมไปกอดไว้แน่น
“พี่ไม่ได้รักคนดี…แต่พี่รักพายุ”
ผมรู้ว่าตัวเองงี่เง่า เพราะวินาทีที่ได้ยินประโยคนั้นผมก็ร้องไห้โฮแล้วฝังใบหน้าเปื้อนน้ำตาไว้กับแผ่นอกของพี่ไวท์ ผมไม่รู้ว่าร้องไห้นานเท่าไร ในตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับผมก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนของพี่ไวท์ แต่ดวงตาที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักกลับลืมไม่ขึ้นจึงได้แต่นอนกอดเอวพี่เขาไว้หลวมๆเหมือนเดิม
เสียงเรียกเข้าเงียบไปแล้ว ผมได้ยินเสียงของพี่ไวท์ดังขึ้นเบาๆ…พี่เขากำลังคุยโทรศัพท์
“ครับ”
“…”
“อืม ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
ผมเผลอขมวดคิ้ว ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าคนที่โทรมาคือใคร!
“พี่รู้ว่าพายุไม่ได้ทำ”
ผมแปลกใจเมื่อพบว่าน้ำเสียงของพี่ไวท์ห่างไกลจากคำว่าอ่อนโยน ไม่สิ มันออกจะเย็นชาเลยด้วยซ้ำ
 “คนของพี่โกหกหรือเปล่าทำไมพี่จะไม่รู้…พี่ขอพูดตรงๆนะ เห็นแก่ที่เราเป็นสายรหัส…อย่ามาให้พี่เห็นหน้าอีก”
ผมขยับยิ้ม นี่แหละครับ ตัวจริงของพี่ไวท์ ฉากหน้าคือคนที่อ่อนโยนต่อสิ่งแวดล้อมแต่ลึกๆแล้วแม่งโคตรร้าย
“พี่รู้ว่าโปรดคิดยังไงกับพี่ แต่ตอนนี้เราล้ำเส้นเกินไปแล้ว”
“…”
“ลองดูสิ ไม่ใช่แค่พายุที่ชอบใช้ความรุนแรง พี่ก็ชอบเหมือนกัน ถ้าไม่อยากไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มจริงๆก็อย่ามายุ่งกับพี่และคนของพี่”
ผมอยากลุกขึ้นมาหัวเราะให้ลั่นห้องจริงๆเลย สะใจกว่ากว่าการแตะปากแรด ก็คำพูดของที่รักนี่แหละครับ ลืมไปได้ไงว่าอีพี่มันชอบใช้ความรุนแรง ถึงจะบอกว่าพี่ไวท์ไม่ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาแต่ถ้าฟิวส์ขาดขึ้นมาก็เรียกได้ว่าโมโหร้ายสุดๆ
“พี่ไม่เคยขู่ครับ”
ผมไม่รู้ว่าปลายสายกำลังทำหน้ายังไง แต่ผมว่าไม่ใช่อยู่ในอารมณ์ที่ดีแน่ๆ หลังจากที่พี่ไวท์วางสายจากหมอนั่น ผมก็ได้เวลาหวนเข้าสู่นิทราแสนสุขอีกครั้งด้วยความสบายใจ ตอนที่กำลังจะได้ไปเฝ้าพระอินทร์ ผมรู้สึกว่ามีสัมผัสอบอุ่นประทับลงบนหน้าผากแผ่วเบาและเนิ่นนาน…
เฮ้อออ รู้สึกว่าเลือกสามีไม่ผิดจริงๆครับ
แจ้บๆๆ
ครอกกกกกกกกก


เช้าวันจันทร์…เป็นวันที่ผมไม่อยากให้มาถึงมากที่สุด ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะผมมีสอบหรือขี้เกียจไปเรียน แต่เป็นเพราะว่าผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนที่มหาลัย ไม่รู้ว่าข่าวบ้าๆในเพจ Cute Boy เงียบหายไปหรือยัง เพราะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่ได้แตะโซเชียลเลย
“พายุ”
ผมหันไปมองหน้าพี่ไวท์ พี่เขาโน้มตัวเข้ามาปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผมเมื่อเห็นว่าผมนั่งนิ่งไม่ยอมลงจากรถ
“เลิกเรียนกี่โมงครับ”
“เที่ยง”
“งั้นพี่จะมารับไปส่งที่คอนโดก่อนล่ะกัน ช่วงบ่ายพี่มีติวกับเพื่อน ไม่อยากให้รอนาน”
“อืม ผมไปนะ”
ผมบอกลาพี่ไวท์ คว้ากระเป๋าเป้มาสะพายหลังแล้วก้าวลงจากรถ เดินไปไม่ถึงสามก้าวก็พบกับสายตาสอดรู้สอดเห็นให้หมดความมั่นใจจากสาววิศวะแถวนั้น โชคดีที่คณะผมมีประชากรแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นมนุษย์เพศชายที่ช้าต่อข่าวซุบซิบทำให้พอจะทนต่อสายตาของส่วนน้อยได้ แต่อีกใจหนึ่งผมก็เริ่มจะคิดจริงๆแล้วว่าอยากหันหลังกลับแล้วเดินไปเรียกแท็กซี่หน้ามหาลัย
“พายุ”
ผมได้ยินเสียงปิดประตูรถพร้อมกับเสียงเรียกจากพี่ไวท์ พี่เขาเดินมาพาดแขนไว้บนไหล่ของผมเเบบไม่แคร์สายตาใคร…
ผมลืมอะไรหรือเปล่า?
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไปส่งผมเหรอ?”
ผมถามย้ำ พี่ไวท์หมายถึงเดินเข้าไปส่งผมในคณะเลยน่ะเหรอ
“เดินดิ”
ผมเลิกคิ้วด้วยความงุนงงเมื่อถูกอีกฝ่ายเร่งให้เดิน ร้อยวันพันปีพี่ไวท์ไม่เคยเดินเข้าไปส่งผมในคณะเลย แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้นอ่ะ ผมเหลือบตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่ไวท์ด้วยหัวใจเต้นรัวราวกับมีกองศึกอยู่ในอก…คงจะไม่ใช่เพราะกลัวว่าผมจะหนีกลับคอนโดหรอกนะ เพราะถ้าใช่…อื้ม ยอมรับว่ากำลังคิดเลย
ที่นั่งประจำของเดอะแก๊งคือโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นตีนเป็ด ตอนที่ผมเดินไปถึงที่นั่น สมาชิกทุกคนก็กำลังนั่งกินมื้อเช้าแบบง่ายๆอย่างพวกแซนวิชกับขนมขบเคี้ยว ไอ้หมาท็อปเป็นคนแรกที่เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งเสียงทักทาย
“ไงมึง”
“หวัดดีค่ะพี่ไวท์”
ไอ้มินรีบดึงน่องไก่ออกจากปาก ส่งยิ้มหวานแล้วยกมือไหว้พี่ไวท์งามๆ พี่เขาทักทายเพื่อนของผมพอเป็นมารยาทก่อนจะขอตัวไปเรียน
“ยิ้มหน่อยดิวะ”
ไอ้แรมใช้ข้อศอกสะกิดแขนผมที่นั่งทำหน้าบูดบึ้ง แม้ว่าแถวนี้จะอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนของดอกตีนเป็ด แต่เพราะร่มเงาที่บดบังแสงแดดได้ดีทำให้แถวนี้มีคนจับจองพื้นที่ค่อนข้างเยอะ แล้วสายตาจากโต๊ะข้างเคียงที่คอยแต่จะเหล่มามองผมก็ทำให้อยากลุกขึ้นไปจิ้มตาให้บอด 
“ดูนี่ก่อน เผื่อยิ้มออก กูว่ามึงคงยังไม่เห็น”
ไอ้มินหยิบสมาร์ทโฟนมาเปิดแอปพลิเคชันเฟสบุ๊คแล้วยื่นมาตรงหน้าผม แต่ผมไม่มีอารมณ์จะดูหรอกครับ ไม่อยากหัวร้อนก่อนเข้าเรียน มันอาจจะดูเหมือนคนขี้ขลาดก็จริง แต่ถ้าผมอ่านแล้วมันทำให้ผมไม่สบายใจ ผมว่าผมไม่อ่านเลยจะดีกว่า
“ดูหน่อย”
ไอ้ท็อปเร่ง หยิบสมาร์ทโฟนของไอ้มินมายัดใส่มือผม ส่วนไอ้แรมก็จับหัวผมกดลงเป็นการบังคับให้ดูสิ่งที่ปรากฎบนจอสมาร์ทโฟน

ต่อให้คนอื่นไม่เชื่อ…แต่ผมเชื่อคนของผม
ผมรู้จักเขาดีที่สุด คนที่ไม่รู้จักมีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์
#ไวท์พายุ
ข้อความสั้นๆของพี่ไวท์ถูกโพสต์ลงเฟสบุ๊คโดยตั้งเป็นสาธารณะ ทำให้มีคนแชร์และเข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก บางคนก็ว่าพี่ไวท์เข้าข้างแฟน แต่ส่วนใหญ่เริ่มจะมองผมไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว

ความเห็น 1 : อูยยยยยยย เห็นแฮชแท็กพี่ไวท์แล้ว เรือผีไวท์โปรดไม่ล่มงานนี้จะล่มงานไหนคะ 5555555
ความเห็น 2 : ตายยยล้าวววว เจ้าตัวเค้าแท็กไวท์พายุเองขนาดนี้ แท็กผีหลบไปนะซิส
ความเห็น 3 : เรื่องจริงเป็นยังไงหนูไม่รู้ แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องเล่าปากต่อปากมันก็ถูกใส่สีตีไข่ทั้งนั้นแหละ ที่บอกว่าแฟนพี่ไวท์ไม่ดีงั้นงี้ หนูว่านะคะ เขาอิจฉาหรือเปล่า อยากได้แฟนหล่อรวยเก่งแบบนี้บ้างแต่หาไม่ได้อ่ะค่ะ
ความเห็น 4 : เอาจริงๆนะ ตอนแรกก็สงสารโปรด แต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าโปรดสร้างเรื่องเองหรือเปล่า แฟนพี่ไวท์จะหึงหน้ามืดขนาดไปทำร้ายโปรดเลยเหรอ เราว่าไม่นะ เขาไม่เคยออกสื่อเลย อยู่ของเขาเงียบๆไม่มีงานอวดผัว เอ๊ย แฟนด้วยซ้ำ แล้วพี่ไวท์ก็ชัดเจนขนาดนี้ว่าหลงเมีย เอ๊ย แฟน แล้วจะต้องไปตามทำร้ายคนอื่นทำไม / คห. ส่วนตัว
ความเห็น 5 : เราว่ากระแสชงไวท์โปรดมันมาจากแอดมิจเพจ Cute Boy นั่นแหละ ชงเกินหน้าเกินตา แฟนพี่เขาไม่มาเอาเรื่องก็ดีแค่ไหนแล้ว และอีแค่ติวกันก็เอามาเป็นประเด็นได้นะ อีแอดมินถูกจ้างมากี่บาทวะอยากรู้ แล้วเหตุการณ์ที่พายุต่อยตีแย่งพี่ไวท์นี่เราคิดว่าไม่สมเหตุสมผลปะ ไม่จำเป็นต้องไปต่อยแย่ง พายุก็ได้พี่ไวท์อยู่แล้ว จะต้องเหนื่อยไปต่อยอีโปรดทำไม คนมีสมองต้องหัดคิดให้ได้นะคะ
ถูกใจ 197     แชร์ 59

ความเห็นล่าสุดที่กวาดยอดถูกใจเหยียบร้อยทำให้ผมขมวดคิ้ว จะว่าไปความเห็นนี้ก็พูดได้ตรงประเด็นแล้วก็ตรงใจผมมากที่สุด แต่สำนวนการพิมพ์มันคุ้นๆนะ ส่วนเฟสบุ๊คที่ใช้คอมเม้นต์ก็เป็นเฟสที่สมัครมาใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ คงจะไม่ใช่…
ผมเหลือบมองไอ้มินที่กำลังยื่นหน้ามาอ่านคอมเม้นต์ มันเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมก่อนจะเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“กูเม้นต์เองแหละ มันคันปากอยากด่าคน”
“ขอบใจ”
ผมไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งดีหรือหัวเราะดีเพราะไอ้มินเป็นเพื่อนที่เข้าถึงความทุกข์และความสุขของสมาชิกเดอะแก๊งได้ดีที่สุด แถมชอบอาสาจัดการปัญญาต่างๆนานาให้เพื่อนราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
“ยังไม่หมดนะเว้ย”
ไอ้มินคว้าสมาร์ทโฟนไปจากมือของผม ใช้ปลายนิ้วกดๆเลื่อนๆครู่หนึ่งแล้วหันหน้าจอมาโชว์…
ไม่พบการค้นหา
“เพจเชี่ยนั่นปลิวไปแล้ว” ผมถาม
“ไม่ใช่แค่เพจนะ เฟสแอดมินก็ปลิวจ้า”
“ทำไมวะ”
หรือเพราะความปากมากของแอดมินจะสร้างศัตรูไว้เยอะ?
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะทำให้เพจชื่อดังที่มีคนกดติดตามหลักหมื่นหายวับไปในชั่วข้ามคืน แถมยังไม่มีแนวโน้มว่าจะปลดแบนเพจได้อีกต่างหาก
งานนี้คงจะลาแล้วลาลับ แต่ถึงเพจนี้จะปลิว ก็มีเพจใหม่ๆ หรือเพจคนหล่อของมหาลัยอีกมากมายให้คนได้เสพภาพผู้ชายหล่อ นั่นจึงไม่เป็นปัญหาหรือมีคดีดราม่าที่เพจปลิว แม้ว่าหลายคนจะสงสัยแต่ก็ไม่มีคำตอบในเรื่องนี้
“กูไม่รู้หรอก แต่มึงคิดว่าไงอ่ะ”
นั่นดิ B1 ถ้าให้ B2 คาดเดา
กูว่าพี่ไวท์เกรี้ยวกราด…
ไอ้มินยักคิ้วให้ผม และโดยที่ไม่ต้องสนทนาด้วยเสียง ผมได้คำตอบจากไอ้มินว่า….
กูก็คิดเหมือนมึงค่ะ B2 !


“กลับกี่โมงครับ”
ผมถามพี่ไวท์เมื่อฮอนด้าซีวิกสีขาวแล่นมาจอดในลานจอดรถชั้นใต้ดินของคอนโด
“หกโมงครับ”
“งั้นผมรอกินข้าวนะ”
“ครับ”
ผมปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วจู่ๆก็คิดถึงเรื่องของไอ้เชี่ยโปรด ผมไม่ได้คิดว่าพี่ไวท์จะกลับไปติวให้มันเป็นครั้งที่สอง แต่ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในโหมดเฝ้าระวังภัย ถ้าไม่ใช่แก๊งหมอหล่อ ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมชั้นปีผมก็ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
“มีใครไปติวบ้าง”
“มีแต่เพื่อนในสาขาครับ แล้วก็พวกไอ้ธาม”
ผมจำได้ว่าเพื่อนร่วมชั้นปีของพี่ไวท์มีทั้งหมด 42 คน เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง 29 คน ส่วนที่เอ็นดูผู้ชายด้วยกันมี 2 คน คือพี่ไวท์และไอ้พี่ธาม ซึ่งนับว่าปลอดภัยหายห่วง
แต่อีก 11 คนที่เป็นผู้หญิงผมไม่มั่นใจเลยเพราะยังไงพี่ไวท์ก็เป็นผู้ชาย                   ที่…หล่อมากกกกกกกก! จะเป็นที่หมายปองของสาวๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“มีผู้หญิงมั้ย”
“มี” คำตอบที่ได้รับทำให้ผมหงุดหงิด ผมแน่ใจว่ามือที่สามไม่สามารถแทรกกลางความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ไวท์ได้ แต่มันก็น่ารำคาญนะครับที่ต้องคอยกำจัดพวกเหลือบไรบ่อยๆ
ในตอนที่พี่ไวท์ไม่ทันตั้งตัว ผมเอื้อมมือไปกระชากเนคไทของพี่เขาให้โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะประกบปากจูบแนบแน่น หลังจากที่พี่ไวท์ตั้งตัวได้เขาก็อุ้มผมไปนั่งคร่อมตัก จูบของพวกเราทวีความเร่าร้อนดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามเบียดตัวเข้าหาแผ่นอกแข็งแรง ขณะที่มือสองข้างช่วยกันปลดเนคไทและกระดุมเสื้อนิสิตของพี่เขาอย่างรวดเร็ว
“อาห์”
พี่ไวท์ครางแผ่วในตอนที่ผมผละจากริมฝีปากมาจู่โจมลำคอขาวๆของเขา พยายามขบกัดสร้างร่องรอยความเป็นเจ้าของให้เห็นอย่างเด่นชัด…
พี่ไวท์เป็นของผม เป็นของผมแค่คนเดียว…
“อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกเสียววาบที่ยอดอก ผมผละจากลำคอของพี่ไวท์แล้วก้มมองสภาพเสื้อช็อปของตัวเองที่หลุดลุ่ยไม่ต่างจากอีกฝ่าย กระดุมเสื้อของผมถูกปลดออกทุกเม็ดแล้วถูกรั้งมาคาไว้ที่ข้อศอกทั้งสองข้าง
ให้ตายสิ
ผมลืมความมือไวของไอ้พี่ไวท์ไปเลย ขณะที่ผมดูดดุนลำคอของพี่เขาอย่างย่ามใจ พี่เขาก็กำลังใช้ปลายนิ้วขยี้ยอดอกทั้งสองข้างของผมเป็นการเอาคืน
“ดะ เดี๋ยว…”
ผมยันศีรษะของพี่ไวท์ที่ก้มต่ำเข้ามาใกล้แผ่นอก รู้แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายจะ             ทำอะไร
บางครั้งผมก็สงสัยว่าทำไมพี่เขาถึงได้ชอบดูดกินยอดอกแบนๆของผมนัก                   แต่ถ้าถามว่าผมชอบมั้ย ยอมรับว่าชอบครับ แต่ไม่ได้อยากให้พี่เขาทำตอนนี้เพราะกลัวจะฉุดอารมณ์ความต้องการของตัวเองไว้ไม่อยู่
“เราเริ่มก่อนนะครับ”
ไอ้พี่บ้ากระซิบเสียงหื่นกระหาย ผมดิ้นขลุกขลักก่อนจะสะท้านเฮือกเพราะสัมผัสเย็นชื้นจากปลายลิ้นที่แตะลงมาบนยอดอกข้างหนึ่ง
“อื้มมม อาห์ !!!”
ผมครางกระเซ้า เผลอแอ่นอกเข้าหาปากพี่ไวท์ตามความเคยชิน มือสองข้างสอดเข้าไปในกลุ่มผมหนานุ่มเพื่อรั้งให้ศีรษะของพี่เขาแนบชิดลงมา
พี่ไวท์ใช้ลิ้นเลียจนแผ่นอกผมเปียกชุ่มก่อนจะค่อยๆดูดดุนช้าๆ ทุกครั้งที่ฟันคมขูดลงมาที่หัวนมนิ่มผมจะเผลอครวญครางแทบขาดใจ
“พอ”
ผมรู้สึกว่าร่างกายกำลังละลาย ใบหน้าของผมร้อนแทบไหม้ รู้สึกโหยหาสัมผัสหยาบโลนจากลิ้นร้อนที่กำลังละเลงไปที่หัวนมอีกข้างแต่จำเป็นต้องผลักดันศีรษะของพี่ไวท์ออกไป เพราะไม่งั้นผมอาจได้มีเซ็กส์นอกสถานที่จริงๆก็ได้
ผมก้มมองแผ่นอกของตัวเองที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีชมพูเรื่อแล้วเงยหน้ามองพี่ไวท์ อีกฝ่ายกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาร้อนแรง ลิ้นที่แลบออกมาแตะริมฝีปากน้อยๆเป็นภาพที่ชวนให้ผมเกิดความกระสันยิ่งขึ้น
ผมส่งค้อนให้ไอ้พี่บ้าที่ยั่วยวนกันดื้อๆ ก่อนจะรั้งลำคอพี่เขามาขบกัดอีกครั้งจนขึ้นรอยชัดเจน
ทีนี้ล่ะ ไม่ว่าจะติดกระดุมคอเสื้อจนติดลำคอยังไง ไอ้พี่ไวท์ก็ปิดบังรอยคิส      มาร์กของผมไว้ไม่ได้หรอก
“หวง”
ผมให้เหตุผลในการจู่โจมกับพี่ไวท์ เพราะปกติผมไม่เคยสร้างรอยบนตัวพี่เขาเลย มีแต่เป็นฝ่ายถูกสร้างรอย
“พายุ”
“…”
ในตอนที่ผมติดกระดุมเสื้อช็อปเรียบร้อยแล้วกำลังจะก้าวลงจากรถ พี่ไวท์ก็เอื้อมมือมารั้งแขนผมไว้ก่อน
“หวงบ่อยๆก็ได้นะ”
“…”
“ชอบ”
ผมก็ชอบครับ เจอกันคืนนี้…!





:mew1:

End.

https://www.facebook.com/PKrabKrab/



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 24/11/2562 [P.3] ตอนพิเศษไวท์xพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-11-2019 00:26:26
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 24/11/2562 [P.3] ตอนพิเศษไวท์xพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 01-12-2019 16:16:28


บทที่ 21 เรื่องในอดีตกับคำโกหก


(ดราม่า ไม่เหมาะกับคนใจบาง นายเอกไม่ใช่คนขาวสะอาด พร้อมเเล้วปะ! กันเลยยยยยย)



วันนี้ผมได้รู้แล้วว่าพอร์ชเป็นพวกแค้นฝังลึกมากแค่ไหน ถ้าหมอนี่โมโหแล้วคิดจะเอาคืนใครสักคนล่ะก็…มันจะเป็นการเอาคืนที่หนักหน่วงหลายสิบเท่า อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้!

เรื่องของติวเตอร์ไม่ได้จบลงเมื่อวานอย่างที่ผมเข้าใจ แต่พอร์ชบอกกับผมว่ามันจะจบลงในวันนี้

เรื่องที่หนึ่ง…คลิปวิดีโอของติวเตอร์ที่กำลังสารภาพความผิดถูกคอมเม้นต์ลิงค์ลงใต้โพสต์ล่าสุดของเพจ Sexy Boys ซึ่งทำให้มีการแชร์และแสดงความคิดเห็นมากมาย ส่วนใหญ่จะโจมตีติวเตอร์เกือบทั้งหมด ยิ่งเด็กนั่นเคยสร้างภาพลักษณ์ดีๆและฐานแฟนคลับไว้มากเท่าไร ก็ยิ่งถูกโจมตีมากเท่านั้น ผมคิดว่ากระแสด่าทอค่อนข้างมากกว่าที่ผมเคยโดนหลายเท่าเพราะเด็กนั่นถึงกับทนไม่ไหวต้องปิดเฟสบุ๊คหนีเลยล่ะ

ส่วนเรื่องที่สองที่ทำให้ผมประหลาดใจคือไอ้คนตัดต่อวิดีโอและคนสมัครเฟสบุ๊คปลอมๆมาแจกลิงค์วิดีโอไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น…ไอ้แว่นเพื่อนผมเอง นี่แหละครับที่เรียกว่ารักมากก็สามารถเกลียดมากได้เช่นกัน ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าเพื่อนของผมได้ตัดใจและตัดเยื่อใยทั้งหมดจากติวเตอร์แล้วซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี

ส่วนเรื่องที่สาม…ผมไม่รู้ว่าพอร์ชกับไอ้แว่นไปสนิทกันตอนไหน แต่ตอนนี้พี่พอร์ชว่าไง น้องแว่นว่าตามนั้นทุกอย่างแถมยังเทิดทูลเชี่ยพอร์ชเป็นไอดอลไปแล้วด้วย…ดีมากเพื่อน เลือกไอดอลได้ดีจริงๆ

“สั่งได้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่เลี้ยงเอง”

ประโยคโคตรป๋าดังมาจากไอ้พี่พอร์ช

“ขอบคุณพี่พอร์ชมากเลยครับ”

ส่วนประโยคลั้นลามีความสุขดังมาจากไอ้แว่นที่กำลังนั่งเปิดเมนูอาหารญี่ปุ่นร้านดังอยู่ข้างๆผม

วันนี้พอร์ชชวนผมกับไอ้แว่นมาฉลองที่สามารถล้างมลทินให้กับผมได้ ผมรู้สึกดีเมื่อคิดว่าใครๆในมหาลัยจะเลิกมองผมด้วยความสงสัยว่าอาจจะขายตัว แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกอยากฉลองสักเท่าไรเมื่อคิดว่าใครอีกคนกำลังโดนด่าอย่างหนัก ผมไม่สบายใจเอาซะเลย เฮ้อ…

ผมหยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง เสียบสมอลทอร์คเข้ากับไอโฟนแล้วนำหูฟังมาเสียบกับหูทั้งสองข้างก่อนจะกดเปิดคลิปวิดีโอของติวเตอร์ มันถูกตัดต่อให้เหลือแค่ 30 วินาทีสั้นๆโดยตัดเสียงของผมและพอร์ชออกจากคลิปทั้งหมด ในวิดีโอจึงบอกไม่ได้ว่าติวเตอร์กำลังพูดคุยกับใคร

อีกอย่างติวเตอร์ก็ไม่กล้าพอจะบอกใครๆว่าถูกพอร์ชทำอะไรมาบ้างเพราะคลิป XXX ของเขาที่อยู่ในมือของพอร์ช จึงได้แต่ยอมรับเงียบๆแล้วก็พยายามทำตัวล่องหนในมหาลัย แต่คงจะยากหน่อยเพราะเมื่อก่อนหมอนี่ทำตัวเด่นดังไว้มาก

“ชอบมั้ยมึง”

ไอ้แว่นหันมาถามผมเมื่อผมดูคลิปวิดีโอจบแล้ว

“เออ ขอบใจพวกมึงนะที่ทำเพื่อกูขนาดนี้” ผมสบตากับไอ้แว่นที่พยักหน้าให้อย่างภูมิใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่พอร์ช หมอนั่นขยับยิ้มให้ผมเล็กน้อย

“แต่คราวหน้าถ้าเกิดเรื่องอะไรแบบนี้อีก พวกมึงต้องบอกกูก่อนนะ ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ กูไม่ได้อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้สักหน่อย”

“อย่างเครียดน่า”

พอร์ชเอ่ยพร้อมกับยื่นนิ้วเรียวยาวมาแตะที่หว่างคิ้วของผมเป็นการบังคับให้ผมเลิกขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งเสียที

“สั่งอะไรเพิ่มมั้ย พนักงานรอนานแล้ว”

พอร์ชถามหลังจากที่ดึงมือของตัวเองกลับไป ผมเหลือบไปมองพนักงานชายที่ยืนรอรับออเดอร์ แต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์จะกินอะไรให้อร่อยแล้วจึงได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ”

พวกเราใช้เวลาในการรับประทานมื้อเที่ยงประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นไอ้แว่นก็ขอแยกตัวไปร้านหนังสือเพื่อซื้อตำราที่มันคิดว่าสำคัญกับการเรียนรู้เพิ่มเติม ส่วนผมกับพอร์ชเลือกที่จะไปดูหนังสยองขวัญกันสองคน เมื่อหนังจบลงในช่วงบ่ายแก่ๆ ผมกับเขาก็ตัดสินใจว่าควรกลับหอพักได้แล้ว

“วิน”

เสียงหนึ่งดังขึ้นระหว่างที่ผมกับพอร์ชกำลังก้าวเท้าเอื่อยเฉื่อยอยู่ในลานจอดรถชั้นใต้ดิน ผมหันศีรษะมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจก่อนจะพบกับร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งในชุดเสื้อผ้าราคาแพง

วินาทีแรกที่ผมเห็นหน้าของเขา ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหมอนั่นเป็นใคร หรือว่าเราเคยเจอกันที่ไหน แต่นาทีต่อมาเมื่อเขาขยับยิ้มหยันที่มุมปากความทรงจำเก่าเก็บที่ผมพยายามปิดตายไว้เบื้องหลังก็แล่นวาบเข้ามาในสมองทันที

‘โจเซฟ’

นั่นคือชื่อของเขา…แฟนคนแรกที่ผมพยายามลืมมาโดยตลอด!

“ทำไมทำหน้างั้น หรือว่าจำกันไม่ได้แล้ว” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงยานคางขณะก้าวเท้ามาหยุดยืนเบื้องหน้าของผมกับพอร์ช เมื่อมองเขาใกล้ๆผมพบว่าทั้งรอยยิ้มร้ายกาจ สายตาหยิ่งยโสและน้ำเสียงกวนอารมณ์ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ที่จะแตกต่างไปจากเดิมคงเป็นภาพลักษณ์ภายนอก

“พี่…โจ” ผมหลุดปากพึมพำชื่อของเขาออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ผมไม่ได้เจอกับโจเซฟมาเกือบหกปีแล้ว เขาเปลี่ยนไปมากทีเดียว อย่างแรกเลยคือเขาดูแก่ขึ้น…แน่นอนสิ เพราะตอนที่พวกเราคบกันเขาเป็นแค่รุ่นพี่ชั้นมอหกเท่านั้น อย่างที่สองผมคิดว่าเขาแต่งตัวเก่งขึ้น มีเสน่ห์แล้วก็น่าดึงดูดกว่าเดิม ร่างกายของเขาสูงและกำยำ โครงหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีสันกล้าม แล้วก็ผิวเข้มขึ้นกว่าเมื่อก่อน โดยรวมแล้วโจเซฟเป็นผู้ชายที่ทำให้ผู้ชายด้วยกันอยากร้องขอความรักอย่างสุดซึ้ง แต่ภาพลักษณ์สุดเพอร์เฟคของเขาใช้ไม่ได้ผลกับผมอีกแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรความทรงจำระหว่างเราที่ไม่น่าจดจำยังทำให้ผมขยาดเขาเหมือนเดิม

“ใคร?”

พอร์ชเอ่ยถามเรียบๆ แต่จากการใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกับเขาบ่อยๆทำให้ผมเดาได้ทันทีเลยว่าหมอนี่กำลังเริ่มจะออกอาการหึงหวงเล็กๆเข้าแล้ว

“รุ่นพี่ที่โรงเรียน ชื่อโจเซฟ”

ผมตอบ แน่นอนว่าผมไม่ได้โกหกพอร์ชก็แค่บอกไม่หมดเท่านั้น อีกอย่างพวกเราคงไม่บังเอิญเจอโจเซฟอีกในเร็วๆนี้อีกครั้ง ฉะนั้นผมจะบอกว่าเขาเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

“รุ่นพี่เหรอ?”

หึ!

ใบหน้าของผมบึ้งตึงทันทีที่โจเซฟทวนประโยคพร้อมส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ อา…ผมพลาดเองแหละ ลืมไปได้ยังไงนะว่าโจเซฟมันเป็นตัวร้ายในโรงเรียน โดยเฉพาะเรื่องที่ชอบปั่นประสาทคนอื่น ไม่มีทางที่หมอนี่จะยอมสงบปากสงบคำหรอก มันคงสะใจกว่าถ้าเขาจะหาเรื่องให้ผมงานเข้าไม่ว่าด้วยวิธีใดๆก็ตาม

“งั้นนี่คงเป็นแฟนใหม่ของวินสินะ ถึงได้ไม่กล้าแนะนำให้รู้จักแฟนเก่าอย่างพี่” โจเซฟถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะเหล่สายตาไปทางพอร์ช ผมเหลือบมองไปทางเขาเช่นกัน พอร์ชยังมีสีหน้าสงบราบเรียบเช่นเดิม ก็หมอนี่มันกล้ามเนื้อใบหน้าตายทำให้ผมเดาไม่ออกว่าเขากำลังโมโหมากแค่ไหน แต่เรื่องหงุดหงิดอาจจะมีบ้าง

“ต้องการอะไร” ผมถามห้วนๆ

“แค่ทักทายเอง อย่าใจร้ายกับพี่นักสิ”

โจเซฟแสดงบทตอแหลได้ดีกว่าเดิม เมื่อเขาเริ่มทำหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างที่เขาชอบทำมาโดยตลอด

“พี่คิดถึงวินนะครับ”

“ทักเสร็จแล้วก็ไปได้แล้วมั้ง”

ผมเอ่ยไล่ตรงๆแบบไม่ไว้หน้า ไม่รู้ล่ะ โจเซฟไม่ได้มีค่าหรือมีความสำคัญอะไรกับผมอีกแล้ว ผมไม่แคร์หรอกว่าเขาจะคิดกับผมอย่างไร ผมแคร์แค่ว่าพอร์ชกำลังจะหมดความอดทนหรือยังก็เท่านั้น

“ไปก็ได้ครับ พี่ก็ไม่อยากรบกวนเวลาของวินกับแฟนของวินนักหรอก”

ถ้าไม่อยากรบกวนจริงๆมึงจะทักกูทำไมล่ะ

ไอ้ห่า!

ผมกำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อโจเซฟตัดสินใจว่าควรยุติการเล่นอะไรบ้าๆได้แล้ว แต่ผมคิดผิดเพราะในตอนที่เขากำลังจะเดินผ่านพวกเรา เขาหยุดยืนแล้วกระซิบบางอย่างข้างหูของพอร์ชก่อนจะเดินจากไป ผมไม่ได้หวังว่าเขาจะพูดอะไรดีๆออกไปหรอกนะ แต่ปฎิกิริยาต่อมาของพอร์ชรุนแรงเกินกว่าที่ผมคาดไว้

โครม!!

พอร์ชตวัดเท้าแตะเข้าที่รถปอร์เช่ลูกรักของตัวเองเต็มแรงจนสัญญาณกันขโมยแพดเสียงร้องลั่น ผมสะดุ้งเพราะเริ่มมองเห็นอารมณ์ฉุดเฉียวของเขา พอร์ชเป็นคนโมโหร้ายเรื่องนี้ผมรู้ แต่ผมคิดว่าเขาเคยเยือกเย็นกว่านี้ซะอีก พอร์ชหยิบรีโมทขึ้นมาปิดสัญญาณกันขโมยและปลดล็อครถ เขาไม่ได้ถามผมเกี่ยวกับเรื่องของโจเซฟแล้วก็ไม่ได้หันว่าตวาดใส่ผม เขาเพียงแค่เปิดประตูรถแล้วเอ่ยกับผมเรียบๆ

“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”

ผมนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในรถปอร์เช่ที่แล่นด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมไม่กล้าเปิดปากถามเรื่องที่โจเซฟพูดกับพอร์ชเพราะกลัวว่าเขาจะเสียสมาธิแล้วพาพวกเราลงไปกองเป็นผักอยู่ข้างถนน

พอร์ชลดความเร็วลงเมื่อเข้าไปในเขตถนนที่มีรถค่อนข้างมาก ผมหลับตาและแอบสวดมนต์เงียบๆเพื่อขอให้กลับถึงหอพักอย่างปลอดภัย ผมหมายถึงปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนนและปลอดภัยจากพอร์ช

ผมรู้สึกว่ารถกำลังลดความเร็วลงเรื่อยๆและจอดสนิทจึงลืมตาขึ้นมาและพบว่าผมไม่ได้อยู่ที่หอพักของตัวเองแต่เป็นลานจอดรถสักแห่งที่ผมไม่รู้จัก

“เราอยู่ที่ไหน” ผมหันไปถามพอร์ชด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ เขาคงไม่เอาผมมาฆ่ารัดคอใช่มั้ย

“คอนโดกู”

พอร์ชตอบสั้นๆโดยไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่าเขาพาผมมาที่นี่ทำไม เขาปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวเท้าลงจากรถ ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตามเขาลงไปเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง

“ทำไมพากูมาที่นี่” ผมถาม

“ไปคุยกันข้างบน”

พอร์ชตอบ เขาไม่ได้มองหน้าผมแต่ก้าวเท้าเข้าไปด้านในตัวอาคารที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวเทา ซึ่งมันให้ความรู้สึกเรียบหรูและดูดีมาก แต่ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาชื่นชมความสวยงามของที่พักหรอกนะ

“ทำไมต้องคุยกันข้างบน” ผมถามขณะพยายามก้าวเท้าให้ทันพอร์ช ผมรู้ว่าเขาอารมณ์เสีย แต่ก็น่าจะบอกชื่อเรื่องสักหน่อย คือผมรู้สึกไม่อยากขึ้นไปที่ห้องของเขาเลย ให้ตายสิ หมอนี่ยิ่งเดาใจยากๆอยู่ด้วย เขาจะใช้ความรุนแรงหรือเปล่านะ นี่ผมกำลังคิดมากเกินไปหรือเปล่า

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาในคอนโดของพอร์ช ห้องของเขาอยู่ชั้นที่ 19 มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 40 ตารางเมตร เปิดประตูเข้าไปก็พบกับเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ถัดมาเป็นโซฟาตัวยาวตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทีวีจอใหญ่ มีห้องเล็กๆที่เปิดออกไปโซนครัวกับอีกห้องที่เปิดออกไปแล้วเป็นห้องอาบน้ำ แม้ห้องพักจะเล็กแต่การตกแต่งหรูหรามาก ผมเดาว่าเขามีกำลังทรัพย์มากเกินกว่าจะซื้อคอนโดห้องเล็กๆแบบนี้ แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อมหาลัยของเราตั้งอยู่นอกตัวเมืองแถมยังอยู่ในจังหวัดเล็กๆ การจะเลือกคอนโดที่หรูหราหรือมีเนื้อที่กว้างขวางกว่านี้จึงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะถ้าหากต้องการที่พักใกล้กับรั้วมหาลัย

ผมกวาดสายตาไปรอบๆห้องของพอร์ช พลางชื่นชมในใจว่าห้องของเขาสะอาดและเป็นระเบียบมาก เขาอาจจะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดบ่อยๆก็ได้ ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มอับอายเมื่อคิดถึงสภาพห้องของตัวเองที่พอร์ชได้เห็น มันโคตรรกและสกปรกมากเลย

ระหว่างที่ผมกำลังสำรวจห้องนอนของพอร์ชโดยไม่ทันระวังตัวก็ถูกเจ้าของห้องดึงเข้าไปในอ้อมกอดแล้วประกบปากจูบอย่างดูดดื่ม ผมดิ้นขลุกขลักเพราะหายใจไม่ทันขณะที่พยายามผลักดันร่างสูงกว่าออกไป

“ดะ เดี๋ยว!” ผมพยายามหันหน้าหนีพอร์ชแล้วหอบหายใจหนักๆ ให้ตายสิ หมอนี่อยู่ในอารมณ์แบบไหนกันแน่นะ ก่อนหน้านี้ยังโมโหอยู่เลยแล้วนาทีต่อมาก็หื่นจนหน้ามืดซะงั้น

“ขอได้มั้ย” พอร์ชกระซิบถาม เขาใช้แขนยาวๆสองข้างรัดร่างของผมไว้แน่นจนแทบขยับไม่ได้

“อะไรนะ!”

ไม่ใช่ว่าผมได้ยินในสิ่งที่เขาพูดไม่ชัดเจน แต่ผมแค่ไม่แน่ใจว่าคำขอของเขาหมายถึงอะไรกันแน่

“มีเซ็กส์กันได้มั้ย”

อื้ม! ชัดเจน! แจ่มแจ้ง! และตรงประเด็นที่สุด! สาบานสิว่าพากูมาที่คอนโดเพราะอยากคุยด้วยเฉยๆอ่ะ

“วิน”

เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการพอร์ชก็กระซิบเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดต้นคอของผมบ่งบอกอารมณ์ความต้องการในร่างกายของเขาได้เป็นอย่างดี

แทนคำตอบรับผมใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของพอร์ชไว้ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ พอร์ชจูบตอบผมทันทีด้วยความรุนแรง มือทั้งสองข้างของเขาเริ่มทำหน้าที่ลูบไล้ไปทั่วร่างกายของผมอย่างหยาบโลน ผมถูกผลักดันให้ถอยหลังไปเรื่อยๆก่อนจะสะดุดหงายหลังลงไปนอนบนเตียง

พอร์ชตามมาทาบทับร่างของผมไว้แล้วมอบจูบร้อนแรงให้อีกครั้งและอีกครั้ง ผมเคลิบเคลิ้มอยู่ในห้วงกามอารมณ์จนไม่ได้สังเกตว่าพอร์ชหยิบเนคไทออกมาตอนไหน แต่เขากำลังใช้มันมัดข้อมือทั้งสองข้างของผมไว้ด้วยกันแล้วผูกไว้กับเตียง

“พอร์ช!” ผมร้องด้วยความขัดใจ ห่าเอ๊ย อย่าบอกนะว่าหมอนี่ชอบเซ็กส์โรคจิต ต้องมัดต้องล่ามก่อนถึงจะร่วมรักกันได้

“มัดกูทำไม ปล่อยนะเว้ย” ผมพยายามดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ ถึงผมจะชอบเซ็กส์รุนแรงเร่าร้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการโดนล่ามนะครับ ผมไม่ชอบเป็นฝ่ายถูกคุมเกม ผมชอบเล่นเกมไปพร้อมๆกับอีกฝ่าย

“กูมีคำถามที่อยากรู้นิดหน่อย หวังว่ามึงจะตอบตามความจริงก่อนที่เราจะมาสนุกกัน” พอร์ชยังคร่อมทับร่างของผมอยู่เช่นเดิมขณะเอ่ยถามยิ้มๆ แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาไปไม่ถึงดวงตา เขาไม่ได้ดูเหมือนคนที่อารมณ์ดีขึ้นมาเลย

“ก็ถามมาดิ ไม่เห็นต้องมัดเลย”

“โจเซฟคือแฟนคนแรกของมึงใช่มั้ย มึงเคยบอกกูว่ามีแฟนแค่คนเดียว”

ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถามของพอร์ช ค่อนข้างแปลกใจแต่ผมก็พยักหน้าเป็นการยอมรับ

“ใช่”

“คบกันนานมั้ย” พอร์ชถามด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยเหมือนกับกำลังชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ผมเดาความคิดของหมอนี่ไม่ออกแต่ก็ยอมตอบคำถามของเขา

“ไม่นาน” พอร์ชเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมจึงรีบใส่รายละเอียดให้เขา

“ประมาณสามเดือน”

ตอนนั้นผมเป็นนักเรียนชั้นมอสี่ ส่วนโจเซฟเป็นรุ่นพี่ชั้นมอหกที่กำลังจะจบการศึกษา ผมแอบมองเขาอยู่ห่างๆมานานแล้วเพราะเขาน่ะหล่อแล้วก็เป็นที่หมายปองของใครหลายคน แต่ช่วงเทอมสุดท้ายที่โจเซฟอยู่ชั้นมอหกเขาเข้ามาสานสัมพันธ์กับผม เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ผมมีความสุขมาก เขาเป็นทั้งรักแรก แฟนคนแรก จูบแรกและคนแรกที่สอนให้ผมรู้จักระบายความใคร่กับคนอื่น

“เคยมีเซ็กส์กับมันมั้ย” ผมชะงักเมื่อได้ยินคำถามของพอร์ช

“ตอบ” เขาเร่งขณะใช้ปลายนิ้วมือลูบไล้เสี้ยวหน้าด้านข้างของผมเบาๆ แต่แววตาของเขาไม่ได้มีความอ่อนโยนอยู่เลย

“เคย” ผมหลุดพึมพำออกมาเบาๆ

“ขั้นไหน”

“ทำไมถาม” ผมเม้มปาก รู้สึกลำคอแห้งผากเมื่อต้องเปิดปากเล่าเรื่องแฟนเก่าให้แฟนใหม่ฟัง แถมเรื่องที่แฟนใหม่ของผมกำลังถามก็เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ของพวกเรามาก

“แล้วถามไม่ได้เหรอ”

ไม่ใช่ว่าไม่ได้…ก็แค่ไม่อยากตอบ ใช่! ผมไม่อยากตอบแต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้ผมอ้าปากตอบคำถามของพอร์ช

“แค่ภายนอก”

“มันไม่เคยเข้าไปในตัวของมึงเหรอ?”

“พอร์ช!”

คำถามต่อมาของพอร์ชทำให้ผมร้องเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ ในสมองกำลังฉุกคิดถึงเรื่องที่โจเซฟกระซิบใส่หูของพอร์ชตอนเราอยู่ที่ลานจอดรถ ผมอยากรู้ว่าโจเซฟพูดอะไรกันแน่ ไม่มีทางที่จู่ๆพอร์ชจะถามผมแบบนี้ ในเมื่อก่อนหน้านี้ผมเคยบอกเขาไปแล้วว่าไม่เคยเป็นรับให้ใคร

“ถ้าไม่อยากตอบก็แค่บอกว่าขอเปลี่ยนคำถาม อย่าโกหกกูก็พอ มึงคงรู้นะว่ากูไม่ชอบคนโกหกมากแค่ไหน”

ผมเงียบไปเกือบหนึ่งนาที ผมรู้ว่าที่ผ่านมาแฟนของพอร์ชทุกคนโกหกและนอกใจ ดังนั้นตอนที่ผมตัดสินใจคบกับเขา ผมได้ให้สัญญากับตัวเองว่าจะจริงใจและไม่โกหกเขาในทุกๆเรื่อง

“ไม่เคย”

ผมหลุบตาลงไม่กล้าสบตากับพอร์ช ผมไม่รู้ว่าเขากำลังมีสีหน้าอย่างไรแต่ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังโน้มใบหน้าลงมาใกล้มากจนรู้สึกถึงลมหายใจที่กำลังเป่ารดใบหูของผม

“สาบานสิ” พอร์ชกระซิบข้างใบหูและมันทำให้ผมสะท้าน

“อื้ม”

ผมครางในลำคอเพราะปากของผมกำลังหนักอึ้งเกินกว่าจะตอบ แต่คำพูดต่อมาของพอร์ช ราวกับได้กลายเป็นค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ทุบลงมาบนศีรษะของผมจนมันเจ็บปวดและมึนงงไปหมด

“กูผิดหวังในตัวมึงมากเลย”

เขารู้…

 

FB - เป็ดก๊าบก๊าบ Boy's love
https://www.facebook.com/PKrabKrab

:hao5:


หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/12/2562 [P.3] บทที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 01-12-2019 21:46:47
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/12/2562 [P.3] บทที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-12-2019 23:18:41
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 01/12/2562 [P.3] บทที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 07-12-2019 13:30:06
บทที่ 22 รับได้ทุกอย่าง


เป็นเวลากว่าหนึ่งนาทีที่ผมนอนสบตากับพอร์ชเงียบๆโดยไม่มีการเคลื่อนไหว หัวใจของผมเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ ผมไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของคนตรงหน้าได้เลย เขากำลังโกรธ…ผิดหวัง…หรือว่าโมโห ผมไม่อาจรู้ได้
กระทั่งพอร์ชเอื้อมมือไปปลดเนคไทที่ผูกข้อมือของผมออก เมื่อผมเป็นอิสระก็รีบไขว่คว้าร่างสูงตรงหน้าที่กำลังขยับถอยห่างออกไป
“พอร์ช”
ผมรั้งแขนของเขาไว้เมื่อเขาขยับถอยห่างจากร่างของผม
“บอกแล้วว่าไม่ชอบคนโกหก”
พอร์ชย้ำ สายตาของเขาที่ทอดมองมาที่ผม เรียบเฉยราวกับเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งมันทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบด้วยความผิดหวัง
“ทำไมคิดว่ากูโกหกล่ะ โจเซฟพูดอะไรกับมึง”
ผมถามขณะพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหว แต่มันทำได้ยากเหลือเกินในตอนที่พอร์ชเริ่มทำตัวเย็นชาใส่ผมแบบนี้
“บอกว่ามึงร่านมากแค่ไหนตอนที่ถูกเย”
ผมชะงักทันทีเมื่อได้ยินประโยคร้ายกาจจากปากของพอร์ช
หึ!
ผมหัวเราะในลำคออย่างไร้อารมณ์ขัน ไม่แปลกใจเท่าไรที่โจเซฟพูดแบบนี้ นั่นแหละเขาเลย หมอนั่นเป็นคนเลวร้าย ไม่มีหัวใจ แล้วก็ชอบปั่นประสาทคนอื่นเสมอ
“มึงเชื่อที่มันพูดมากกว่ากูเหรอ” ผมถามขณะพยายามควบคุมความหวั่นไหวที่ก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจอย่างเงียบๆ
“เปล่า” พอร์ชปฎิเสธซึ่งมันทำให้คิ้วของผมเริ่มขมวดเข้าหากัน ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขาอย่างจริงจัง พยายามค้นหาความหมายของคำพูดจากสายตาที่มืดมนคู่นั้น
“ถ้ากูเชื่อมัน กูจะถามมึงเหรอวิน” พอร์ชย้อนถามผม
“ก็กูบอกมึงอยู่เนี่ย ว่าไม่เคยมีอะไรกับมัน” ผมสะอื้น กระบอกตาของผมร้อนผ่าว ความกลัวที่จะยอมรับในสิ่งที่พอร์ชถาม ทำให้ผมยังคงปากแข็งต่อไป ผมไม่ยอมรับซะอย่างเขาจะรู้ได้ยังไง ถ้าผมยืนยันว่าไม่เคย…เขาก็จะต้องเชื่อ!
“สายตาของมึง กำลังบอกความจริงกับกูอยู่นะวิน”
ผมส่ายหน้าขณะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ใช่…แววตาของผมมันคงกำลังสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ ต่อให้ผมปากแข็งแค่ไหน ต่อให้ผมจะพยายามโกหกอย่างไร มันก็ยากที่จะให้แววตาโกหกเช่นกัน
ผมหลุบตามองพื้นห้องอย่างเหนื่อยล้า ผมละอายเกินกว่าจะย้ำคำโกหกกับเขาอีกครั้ง แต่เมื่อพอร์ชถอนหายใจ หันหลังแล้วก้าวเท้าห่างออกไปผมก็ปล่อยโฮแล้วตะโกนลั่น
“อย่าไปนะ!!!”
ผมกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปกอดพอร์ชจากด้านหลัง ซุกหน้าลงบนเสื้อยืดของเขาแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาราวกับทำนบแตก
ยอมแล้ว ไม่โกหกอีกแล้ว อย่าไปเลยนะ ถ้ามึงทิ้งกู…กูจะอยู่ได้ยังไง
“กูเคยมีอะไรกับโจเซฟ”
สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาในค่ำคืนหนึ่งไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหนาวเย็นเลย นั่นอาจเป็นเพราะความร้อนระอุจากร่างสูงที่กำลังทาบทับร่างของผมอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้ ความมืดทำให้ผมมองสิ่งต่างๆในห้องนอนได้ไม่ชัดเจน แต่ใครสนล่ะ ในเมื่อกิจกรรมที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาเสียหน่อย ผมหลับตาแล้วปล่อยให้ร่างกายรับรู้สิ่งต่างๆแทน…เริ่มจากแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของร่างสูง และความแข็งแรงของบางอย่างที่กำลังขยับเข้าออกในร่างกายของผม มันขยับรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดเหมือนกับตอนที่มันเข้ามา…
โจเซฟเป็นแฟนของผม เราจูบกันครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่คบกันได้เพียงสามวัน มันอาจจะเร็วเกินไปหรือเปล่านะ แต่ผมยอมรับว่าผมในวัย 16 ปี กำลังอยากรู้อยากลองเลยล่ะ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา โจเซฟสอนให้ผมใช้มือช่วยตัวเอง เราช่วยกันและกันก่อนจะปลดปล่อยความสุขออกมา หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เขาเริ่มสอนให้ผมรู้จักความสุขของกามอารมณ์จากการช่วยตัวเองทางประตูหลัง บางครั้งใช้นิ้วของตัวเองและบางครั้งใช้นิ้วของโจเซฟ
หมอนั่นพยายามขอเข้ามาในตัวของผมหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมกลัว…เพื่อนของผมเคยบอกว่ามันจะเจ็บมาก นั่นทำให้ผมปฎิเสธเขามาตลอด โจเซฟเป็นแฟนที่ดี อบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ จนผมคิดว่าผมนี่ช่างโชคดีจริงๆที่มีแฟนที่แสนดีและหล่อเหลาแบบนี้ แต่ทำไมกันนะ คนแบบนี้ถึงได้หลุดมือมาถึงผมได้
อา…จริงๆแล้วผมเคยได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับโจเซฟมาเยอะทีเดียวล่ะ หลายๆคนในโรงเรียนบอกผมว่าเขาเจ้าชู้ ชอบฟันแล้วทิ้ง แล้วก็เซ็กส์จัด เรื่องเซ็กส์จัดผมไม่เถียง เขาเชี่ยวชาญมากทีเดียว แถมผมยังเริ่มติดนิสัยกามๆแบบนั้นของเขามาแล้วด้วย ส่วนฟันแล้วทิ้งผมไม่เห็นด้วย มันก็แค่ข่าวลือ คนไหนที่โดนโจเซฟฟันแล้วทิ้ง? ทำไมไม่เห็นออกมาแสดงตัว…แน่นอนว่าพวกเราในโรงเรียนชายล้วนไม่อายกับเรื่องพวกนี้หรอก
พวกเราไม่ใช่ผู้หญิง ไม่มีอะไรให้เสียหาย ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือจากคนที่ใฝ่ฝันจะมีเซ็กส์กับโจเซฟมากกว่า
สามเดือนต่อมา ผมกำลังนอนครวญครางอยู่บนเตียงของโจเซฟขณะที่เขาเข้ามาในตัวผมเป็นครั้งแรก…ผมเสียตัวในวันจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายของเขา
“ดะ เดี๋ยว โจ…” ผมหอบหายใจขณะพยายามอ้าปากเปร่งเสียงอย่างยากลำบาก
“เงียบน่า” เขาดุผมด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหงุดหงิด ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับผมแบบนั้น
“นั่นอะไร” ผมถามเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นไฟสีแดงเล็กๆที่ส่องเข้าตาของผมพบดิบพอดี ก่อนหน้านั้นผมเอาแต่หลับตาดื่มด่ำกับการเล้าโลมของโจเซฟจนไม่ได้สังเกตเห็นแสงประหลาด
“ไม่มีอะไร” โจเซฟตอบเสียงห้วนขณะหยัดสะโพกเข้าหาผมหนักๆ
“ผมเห็นไฟสีแดง”
ผมเงยหน้าไปสบตากับโจเซฟ สายตาที่เขามองมาที่ผมมันดิบเถื่อนและไร้ความอ่อนโยน เขาไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของผมเพราะเขากำลังสุขสมอยู่กับการร่วมเพศของพวกเรามากกว่า จังหวะที่เขาโถมเข้าหาตัวผมเริ่มดุดันและเอาแต่ใจมากขึ้นทุกที จนกระทั่งเสียงเล่าปากต่อปากของกลุ่มนักเรียนชายลอยเข้ามาในสมองของผมราวกับเทปที่ถูกเปิดซ้ำๆ
…พี่โจเซฟแม่งฟันเพื่อนกูแล้วทิ้ง แล้วไม่ใช่แค่นั้นนะมึง เชี่ยนั่นยังถ่ายคลิปเอาไปให้เพื่อนของมันดูด้วย ต่อให้เพื่อนกูเป็นผู้ชายก็อายเป็นนะเว้ย ถ้าโดนเอาคลิปไปปล่อยลงเน็ตจะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน!...
“ข่าวพวกนั้นไม่จริงใช่มั้ย” ผมถามเสียงสั่น ผมไม่เคยคิดจะเชื่อเลยกระทั่งเห็นไฟสีแดงเล็กๆบนโต๊ะตรงข้ามกับเตียงนอนในขณะนี้
“ออกไป” เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามของผม ผมก็ผลักร่างสูงเต็มแรงจนอีกฝ่ายผละออกไปจากร่างของผม
“ทำไมพี่ตั้งกล้องแอบถ่าย”
…พี่โจเซฟแม่งก็เอาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ไม่เอาซ้ำเป็นครั้งที่สอง เตรียมตัวโดนทิ้งได้เลย…
“อย่างี่เง่าน่าวิน” โจเซฟยกมือขยี้ผมด้วยความหัวเสีย
อะไรนะ! งี่เง่างั้นเหรอ การที่ผมถูกแฟนตัวเองแอบถ่ายคลิปตอนที่เราร่วมรักกันมันเป็นเรื่องงี่เง่าเหรอวะ
“กลับมานอนอ้าขาให้พี่เร็วคนเก่ง” โจเซฟใช้น้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่ผมชอบ พยายามล่อลวงให้ผมละความสนใจจากกล้องแอบถ่ายที่ถูกซ่อนเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือมาที่เขาเหมือนเดิม
“พี่รู้นะว่าวินชอบตอนที่พี่…”
“พนันกับเพื่อนพี่ไว้กี่บาทล่ะ” ผมสวนขึ้นมาทั้งที่เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ผมรู้สึกโง่งมและผิดหวัง ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจของผมอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ร้องไห้ ผมไม่มีทางให้ผู้ชายคนนี้เห็นน้ำตาของผมแม้แต่หยดเดียว
“ใครบอก” โจเซฟเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“จริงๆคนก็พูดกันทั้งโรงเรียน แต่ผมโง่เองที่ไม่ยอมเชื่อ”
“โอเค กูยอมรับ กูจีบมึงเพราะถูกท้าพนัน” โจเซฟยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นการยอมแพ้ เขาไม่จำเป็นต้องโกหกอีกต่อไปในเมื่อเขาได้ทุกอย่างจากผมไปหมดแล้ว…ทั้งตัวของผมและหัวใจของผม
ผมกัดฟันแน่นข่มความสั่นไหวในหัวใจก่อนจะพยายามเปล่งเสียงที่หนักแน่นออกไปเป็นประโยคสั้นๆ
“เราเลิกกัน”
“ก็ได้ ตามนั้น” โจเซฟยิ้มเหยียดก่อนจะพยักหน้ารับง่ายๆ ผมเดินผ่านร่างของเขาไปหยิบเสื้อผ้าที่กระจายอยู่เกลื่อนพื้นแล้วรีบแต่งตัวให้เร็วที่สุดซึ่งนั่นดูจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของอีกฝ่ายมากพอสมควร
“เฮ้! จะกลับจริงดิ” เขาถามผมด้วยใบหน้าที่แสดงความเหลือเชื่อ
“เราเลิกกันแล้วเผื่อพี่จะลืม” ผมย้ำและไม่ลืมที่จะเดินไปหยิบกล้องแอบถ่ายขนาดเล็กกลับไปด้วย ซึ่งโจเซฟก็ไม่ได้มีท่าทีว่าต้องการจะห้าม
“เลิกกันแล้วก็เอากันได้นะ กูไม่ถือหรอก อีกอย่างมึงก็ยังไม่เสร็จ แล้วดูท่ามึงก็ชอบมากด้วยตอนที่กูเข้าไป”
นั่นแหละคือเรื่องที่ผมตัดสินใจผิดพลาดที่สุดในชีวิต ผมรู้สึกรังเกียจและขยะเเขยงร่างกายง่ายๆของตัวเองชะมัดเลย ถ้าผมสามารถใช้น้ำทำความสะอาดร่างกายได้ ผมจะรีบทำมันอย่างรวดเร็วเลยล่ะ แต่น่าเสียดายที่สัมผัสของเขาจะติดตรึงอยู่กับผมไปจนตาย และมันก็ทำให้เกิดคำถามในใจขึ้นเป็นครั้งแรกว่า…จะมีใครรักผมและร่างกายง่ายๆที่สกปรกของผมได้หรือเปล่า?
“วิน” โจเซฟพยายามรั้งผมเมื่อผมแต่งตัวเสร็จแล้ว
“กลับไปช่วยตัวเองที่บ้านมันไม่ฟินเท่าของกูหรอกนะ”
“ไปตายซะ!”
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นเขา…


“กูขอโทษ” ผมเอ่ยกับพอร์ชด้วยความละอายใจ ผมโกหกเขา…
เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีที่พอร์ชนั่งมองหน้าผมเงียบๆ น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมพยายามสูดน้ำมูกและใช้หลังมือปาดน้ำตาออกลวกๆ ผมกลัวว่าพอร์ชจะรับไม่ได้ ผมรู้…พอร์ชเป็นคนดี เขาทำเพื่อผมมามาก เขายอมรับตัวตนของผม แต่มันจะมากเกินไปมั้ย หากผมจะขอให้เขายอมรับความผิดพลาดในอดีตของผมอีกสักเรื่อง
“แล้วทำไมต้องโกหกกูด้วยล่ะ” พอร์ชเอ่ยทำลายความเงียบ เขาขยับตัวอย่างอึดอัดบนปลายเตียง
“มึงรู้เห็นเรื่องแรดๆของกูมาเยอะแล้วนี่ ให้กูมีอะไรดีๆสักเรื่องไว้ให้มึงภูมิใจบ้างเถอะ” ผมสารภาพแบบติดตลก ซึ่งที่จริงแล้วผมไม่ได้รู้สึกว่ามันตลกเลย
“อดีตก็คืออดีต กูเป็นคนที่ชอบอยู่กับปัจจุบัน มึงไม่จำเป็นต้องโกหกกูเพื่อให้ตัวเองดูดี”
ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพอร์ช ประโยคเรียบๆของเขาเป็นดั่งสายฝนซึ่งช่วยชโลมหัวใจที่กำลังเหี่ยวเฉาให้มีชีวิตอีกครั้ง
“มึงรับได้ที่กูเป็นกูใช่มั้ย” ผมถามอย่างมีความหวัง พอร์ชของผมเป็นคนดีที่หนึ่งเลย
“ไม่” อะ อ้าว…ไหนบอกว่าชอบอยู่กับปัจจุบันไงล่ะ!
“กูจะบอกว่ามึงไม่มีเชี่ยไรดีตั้งแต่แรกแล้ววิน” ผมหน้าบึ้งทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของพอร์ช ห่านี่มันกวนตีนสิ้นดี ผมส่งสายตาขวางๆไปให้ แต่เมื่ออีกฝ่ายขยับยิ้มกวนประสาท ผมก็หลุดขำออกมาเสียงดังก่อนที่เขาจะหัวเราะไปพร้อมกับผม จะว่าไปแล้ว ความปากหมาของพอร์ชก็มีประโยชน์นะครับ อย่างน้อยในตอนที่ผมทุกข์ใจ เขาก็เปลี่ยนให้มันเป็นเรื่องขำๆได้
เสียงหัวเราะของผมจำเป็นต้องหยุดลงทันที เมื่อพอร์ชโน้มใบหน้าเข้ามาประกบจูบลงบนริมฝีปากของผม ก่อนจะค่อยๆขยับริมฝีปากเป็นจังหวะเนิบช้าแต่หนักแน่น อ่อนโยนและนุ่มนวลกว่าครั้งไหนๆ ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งประคองใบหน้าของผมไว้แผ่วเบา ราวกับกลัวว่าผมจะแตกสลาย
“พอร์ช” ผมใช้มือผลักแผ่นอกของพอร์ชเพื่อจะสบตากับเขา ผมอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในตอนนี้
“อะไร? ไม่อยากต่อเหรอ ไหนบอกว่าจะมีเซ็กส์กับกูไง”
พอร์ชถาม รอยยิ้มของเขาแฝงไปด้วยความเอ็นดูจนผมเกือบจะน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ยอมรับว่าไม่ชินกับความนุ่มนวล หนึ่งคือไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผม และสองคือพอร์ชไม่จัดอยู่ในโหมดอ่อนโยนซะเท่าไร
“ไม่รังเกียจกูเหรอ”
ผมถามแล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาเบาๆ ทำไมน้า คนแบบนี้ถึงได้ตกมาเป็นของผม เขาจะดีกับผมตลอดไปได้หรือเปล่า?
“ไร้สาระน่าวิน ทำไมต้องรังเกียจด้วย”
“ถ้าไม่รังเกียจแล้วมึงถามเรื่องพวกนั้นทำไมเล่า”
“แค่ลองใจว่ามึงจะโกหกมั้ย” พอร์ชตอบก่อนจะยักคิ้วให้ผม
“สรุปว่ามึงก็เป็นผู้ร้ายปากแข็งจริงๆด้วย”
“ขอโทษนะ ต่อไปไม่โกหกอีกแล้ว” ผมให้สัญญากับพอร์ช ที่จริงแล้วผมไม่มีเรื่องอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้แล้วครับ ถ้าทั้งหมดนี้พอร์ชรับได้ ผมก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
“เด็กโกหกต้องโดนลงโทษ” พอร์ชกระซิบชิดริมฝีปากของผมก่อนจะดึงแขนของผมจนเซถลาไปคร่อมตักของเขา แล้วผมคนแรดก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…ไม่เป็นไรหรอก แรดวันละนิดจิตแจ่มใส โดยเฉพาะการแรดกับพอร์ชแค่คนเดียว
“ได้ ลงโทษแรงๆเลยนะ”
พอร์ชขยับยิ้มก่อนจะประคองมือข้างหนึ่งของผมขึ้นมาจูบเบาๆ เขาจูบแก้มของผมทั้งสองข้าง หน้าผากและปลายจมูก ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาที่ริมฝีปาก การกระทำที่เชื่องช้าและอ่อนโยนทำให้ผมรู้สึกมีค่า ผมรู้สึกเป็นคนสำคัญได้โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยประโยคหวานๆออกมาเลย
ผมรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นของลิ้นที่ไล้เลียบนริมฝีปากก่อนจะสอดแทรกเข้ามาภายในช้าๆ ผมตวัดลิ้นเกี่ยวพันกับลิ้นของพอร์ชอย่างลึกซึ้ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างช้าๆก่อนจะทวีความเร่าร้อนมากขึ้น พอร์ชดูดดึงริมฝีปากของผมอย่างดูดดื่ม ใช้ลิ้นสัมผัสไปทั่วโพรงปากของผมอย่างถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ผมเอื้อมแขนไปคล้องคอของเขา สอดปลายนิ้วเข้าไปในเส้นผมนุ่มๆ พวกเราหอบหายใจขณะใช้ลิ้นร้อนแลกเปลี่ยนน้ำใสภายในโพรงปากจนผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ไหลมาตามคาง
“ถอดเสื้อเร็ววิน” พอร์ชถอนริมฝีปากออกเพื่อกระซิบบอกผม อารมณ์ความกระสันอยากในแววตาของเขาทำให้ผมสะท้าน รีบดึงเสื้อของตนเองออกทางศีรษะก่อนจะเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อของพอร์ชออกแล้วโยนทิ้งไว้ข้างเตียง ร่างของผมถูกผลักให้นอนลงบนเตียงอย่างรวดเร็วก่อนที่อีกฝ่ายจะโถมร่างมาทาบทับผมไว้
ผมครวญครางในลำคอเมื่อรู้สึกได้ถึงปลายลิ้นร้อนที่ลากผ่านไปตามใบหู ลำคอและแผ่นอก พอร์ชใช้ปลายลิ้นไล่ชิมร่างกายของผมอย่างช้าๆ ดูดดุนให้เกิดรอยแดงในบางครั้ง พอร์ชขยับศีรษะต่ำลงมาบริเวณยอดอกของผมที่เริ่มชูชัน ก่อนจะใช้ริมฝีปากบางครอบครองลงบนยอดอกข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถูกปลายนิ้วของเขาบดขยี้แรงๆ
“อ้า…” หน้าท้องของผมหดเกร็ง รู้สึกเสียวซ่านเหลือเกิน ความสุขสมค่อยๆกลืนกินสมองอย่างช้าๆ ผมรู้สึกเป็นสุขเหลือเกินกับการมีเซ็กส์ในครั้งนี้ มันทั้งอบอุ่นและเร่าร้อน
“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งเมื่อพอร์ชใช้ฟันขูดลงบนยอดอกข้างหนึ่งของผมก่อนจะใช้ลิ้นตวัดเลียซ้ำไปซ้ำมาจนเปียกชุ่มไปหมด ความวูบวาบที่ได้รับแล่นมาบรรจบกันที่ท้องน้อย ส่งผลให้แก่นกายของผมเริ่มแข็งเป็นลำบ่งบอกความต้องการ
พอร์ชปลดซิปกางเกงยีนของผมก่อนจะดึงมันออกจากเรียวขาพร้อมๆกับกางเกงชั้นใน การกระทำที่รวดเร็วนั้นส่งผลให้ร่างกายของผมเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์ และมันออกจะน่าอายเหมือนกันในตอนที่เขาจับขาทั้งสองข้างให้ตั้งฉาก ก่อนจะใช้ปลายลิ้นโลมเลียไปทั่วต้นขาด้านใน เสียงหอบหายใจของเขาทำให้ผมเหลือบตาขึ้นไปมองเพดานห้องอย่างอดทนอดกลั้น ผมอยากให้เขาเข้ามาซะเดี๋ยวนี้เลย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เขาสัมผัสร่างกายของผมให้ครบทุกส่วนเสียก่อน
ผมกำผ้าปูเตียงแน่นในตอนที่พอร์ชใช้ริมฝีปากไล้เลียแก่นกาย ก้นของผมเผลอแอ่นขึ้นมาเมื่อเขาอ้าปากครอบครองน้องชายของผมเข้าไปทั้งหมด ปากของเขาเริ่มขยับดูดเลียไปตามความยาวจนผมต้องอ้าปากร้องด้วยความเสียวซ่าน
“อ๊ะ อ๊ะ อ่า…พอร์ชชช!”
“วิน”
พอร์ชหยุดการกระทำทั้งหมดซึ่งทำให้ผมหอบหายใจด้วยความต้องการ เขากระซิบเรียกชื่อผมเบาๆแล้วใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วร่างเปลือยเปล่าอย่างใจเย็น
ให้ตายสิ ผมกำลังจะเสร็จแล้วแท้ๆ
“นอนคว่ำ” คำสั่งสั้นๆของพอร์ชทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความงุนงง ผมคิดว่าเราจะเล่นสนุกกันตรงกลางลำตัวของผมซะอีก? แม้จะไม่เข้าใจแต่ผมก็อยากเอาใจเขาจึงผลิกตัวนอนคว่ำ ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามือร้อนผ่าวที่กำลังบีบขย่ำก้นของผมอย่างเอาแต่ใจ พอร์ชพรมจูบไปทั่วแผ่นหลังก่อนจะกระซิบชิดใบหู
“ก้นมึงสวย”
“อาห์ เลิกชมก้นกูแล้วทำอะไรกับมันสักอย่างสิ!”
ผมอ้าปากหอบหายใจ ให้ตายเถอะ ทำไมพอร์ชถึงชักช้าแบบนี้วะ ผมจะช็อกตายเอาได้นะถ้าเขายังสำรวจร่างกายของผมต่อไปแบบนี้ ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอของพอร์ชก่อนจะตามมาด้วยเสียงสวบสาบของเนื้อผ้า ผมคิดว่าเขากำลังถอดกางเกงของตัวเอง
“ทำอะไรดีล่ะ หืม? แบบนี้ดีมั้ย?”
“อ๊า!!!!” คำถามของพอร์ชมาพร้อมกับปลายนิ้วที่กำลังดุนดันอยู่ตรงช่องทางรักที่กำลังปิดสนิท แม้นิ้วของเขาจะไม่ได้เข้ามาแต่การเสียดสีตรงนั้นก็ทำให้ผมเสียวชิบหายเลย
“ขะ เข้ามาสิ” ผมร้องขอ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจและเสียงเปิดลิ้นชัก ผมหันหน้าไปมองและเห็นว่าพอร์ชกำลังหยิบเจลกับถุงยางอนามัยออกมาจากลิ้นชักข้างเตียง หมอนี่เตรียมพร้อมไว้ขนาดนี้แล้ว คงคิดจะกินผมอยู่แล้วอ่ะดิ
“ยกก้นขึ้นหน่อยวิน” ผมทำตามที่พอร์ชบอกด้วยการแอ่นก้นขึ้นจากเตียง แม้ผมจะไม่เห็นตัวเองแต่ก็คิดว่าคงอยู่ในท่าประหลาดน่าดูเลย
“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงความเย็นของเจลที่ป้ายลงมาบนช่องทางด้านหลัง
“ถ้าเจ็บบอกกูนะ” พอร์ชกระซิบบอกก่อนจะสอดนิ้วแข็งๆเข้ามาหนึ่งนิ้ว
“อ้า!!”
ผมรู้สึกว่าร่างกายเครียดเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อสิ่งแปลกปลอมสอดเข้ามาในส่วนลับจนสุดความยาว พอร์ชหยุดขยับนิ้วเพื่อให้ผมปรับตัว ผมสูดหายใจเข้าลึกๆและพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดเพื่อให้เขาขยับเข้าออกได้สะดวก เมื่อพอร์ชเริ่มขยับนิ้วจะมีเสียงน่าละอายดังขึ้นทุกครั้งเพราะของเหลวที่เป็นตัวล่อลื่อ
ผมซุกใบหน้าแดงก่ำของตัวเองลงบนหมอน ให้ตายสิ ต่อให้เคยมีเซ็กส์กับอื่นมาหลายต่อหลายครั้ง แต่การที่ผมต้องนอนหันก้นให้พอร์ชขยายช่องทางด้านหลังก็เป็นอะไรที่ทำให้ผมโคตรเขินเลย
 “อ๊ะ!” ผมร้องเมื่อพอร์ชสอดนิ้วที่สองเข้ามาและเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ เขาสอดนิ้วเข้าไปจนสุดและดึงออกจนเกือบจะหลุด ทำแบบนี้ซ้ำๆจนกระทั่งนิ้วที่สามสอดเข้าไปได้
“อึก อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ!”
ผมอ้าปากครวญครางด้วยความกระสันอยากเมื่อพอร์ชเริ่มขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น ในตอนที่มันกระทบจุดเร้าบางอย่างในร่างกายผมก็เผลอขมิบก้นตอบรับ หัวสมองของผมขาวโพล่นไปหมด แต่กลับได้ยินเสียงฉ่ำแฉะภายในร่างกายตัวเองอย่างชัดเจน สะโพกเผลอแอ่นเข้าหานิ้วยาวและขยับตอบโต้ ผมเด้งก้นเป็นจังหวะเดียวกับที่นิ้วของพอร์ชขยับเข้าหาและมันคงเป็นภาพหยาบโลนน่าดูเลย
“มึงจะยั่วกูหรือไงฮะ”
พอร์ชถาม ผมได้ยินเสียงเขากลืนน้ำลายเบาๆ ผมคิดว่าความอยากของกามอารมณ์เข้าครอบงำจนผมสติหลุด ในตอนที่ผมเป็นฝ่ายรุกผมเคยเจอคู่นอนที่เป็นฝ่ายรับมาหลายแบบ โดยเฉพาะแบบแซ่บๆถึงใจผมเจอมาบ่อยมาก และผมคิดว่าถึงเวลาต้องยืมท่าทางพวกนั้นมายั่วยวนพอร์ชบ้างแล้ว
“แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่ายั่ว”
ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รู้ดีว่ากำลังทำตัวไร้ยางอาย แต่ไม่เป็นไรหรอกในเมื่อคนที่ได้เห็นผมในตอนนี้ก็มีแค่พอร์ชเพียงคนเดียว ผมยันศอกทั้งสองข้างลงบนเตียงให้ตัวเองอยู่ในท่าคลานสี่ขาแต่ก้นแอ่นขึ้นสูงให้เห็นช่องทางสีแดงชัดเจนขึ้น ขาของผมอ้าออกกว้างก่อนจะเริ่มขมิบรูเป็นจังหวะแล้วเด้งสะโพกไปข้างหน้าและถอยหลังราวกับกำลังถูกดุ้นยักษ์ที่มองไม่เห็นร่วมรักอยู่
“ร่าน!” พอร์ชว่าแล้วดึงนิ้วทั้งสามออกจากก้นของผมจนเกิดเสียง ผมหัวเราะในลำคอแล้วเอี้ยวตัวไปถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าท้าทาย
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
เพียะ!!
“อ๊ะ…!” ผมสะดุ้งเมื่อพอร์ชใช้ฝ่ามือตีลงบนแก้มก้นของผม มันไม่ได้เจ็บมาก แต่ก็ชวนให้แสบๆเสียวๆอยู่เหมือนกัน
“ชอบ! ถ้ามึงทำกับกูแค่คนเดียว” พอร์ชโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบข้างใบหูของผม ใบหน้าหล่อๆกำลังแดงก่ำด้วยแรงอารมณ์ซึ่งมันชวนให้ผมรู้สึกเร่าร้อนโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องสัมผัสร่างกายของผมเลย
“แค่มึงคนเดียว” ผมกระซิบตอบก่อนจะช้อนสายตาฉ่ำเยิ้มไปสบกับดวงตาสีดำสนิท
“ช่วยทำให้กูแข็งหน่อยสิ” พอร์ชร้องขอด้วยเสียงแหบพร่า พร้อมกับขยับแก่นกายเข้ามาถูไถตรงขาอ่อนด้านในของผม
“กอดกูสิ” ผมเอ่ยกับเขาอย่างยั่วยวน
“ชักให้หน่อย”
ผมขยับยิ้มขำขันเมื่ออีกฝ่ายร้องขออย่างไม่สบอารมณ์เมื่อผมปฎิเสธที่จะเอื้อมมือไปชักให้กับเขา
“กอดกูเร็วเข้า แบบนี้สนุกกว่าใช้มือชักอีกนะ”
ผมเอ่ยด้วยความตั้งใจว่าจะสอนให้พอร์ชรู้จักเซ็กส์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย เขาควรจะรู้ว่าผมทำอะไรให้เขารู้สึกดีได้บ้าง อีกฝ่ายกะพริบตามองผมอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งภาพนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าหมอนี่น่ารักชะมัดเลย
ผมเอื้อมมือไปดึงแขนของพอร์ชให้ขยับเข้ามาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง หมอนั่นไม่ได้ขัดขืน เขาค่อยๆโน้มตัวเข้ามาซ้อนผมไว้ แผ่นอกของเขาที่แนบชิดกับแผ่นหลังของผมกำลังร้อนระอุ แก่นกายใหญ่ที่เริ่มแข็งตัวแต่ยังไม่เต็มที่สัมผัสกับร่องหลืบของผมแผ่วเบา ผมขยับขาเข้ามาชิดกันเพื่อหนีบแก่นกายของพอร์ชไว้ ระหว่างกลาง ผมรู้สึกว่าเขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะผ่อนคลายความเครียดเกร็ง
ผมใช้สองมือจับหัวเตียงเอาไว้แล้วเริ่มขยับก้นเป็นจังหวะ พอร์ชครางในลำคอด้วยความพึงพอใจก่อนจะเริ่มขยับกายเข้าหาผม ให้ตายสิ หมอนี่เรียนรู้เร็วชะมัดทั้งที่ผมยังไม่ได้อ้าปากสอนสักคำ
“อ๊ะ…อ๊ะ…”
ผมร้องครางออกมาเมื่อพอร์ชเอื้อมมือข้างหนึ่งมาขยี้ยอดอก ส่วนมืออีกข้างกำลังชักรูดแก่นกายของผมไปพร้อมๆกัน ผมหอบหายใจเมื่อพอร์ชเริ่มเสียดสีรุนแรงขึ้น กระแทกกระทั้นเข้าหาจนผมเสียวไปหมด ซอกขาของผมเริ่มเปียกแฉะเพราะของเหลวที่ถูกขับออกมาจากแก่นกายของพอร์ช
“แข็งมั้ยล่ะ” ผมเอ่ยกระเซ้า
“กูจะเอามึงให้ครางไม่หยุดเลย”
ผมหัวเราะในลำคอ ไม่ต้องเอาผมก็กำลังครางไม่หยุดอยู่นี่ไง โดยเฉพาะตอนที่พอร์ชเร่งจังหวะให้หนักหน่วงมากขึ้น ความสุขสมที่กำลังท่วมท้นทำให้ท้องน้อยของผมวูบวาบและนาทีต่อมาก็ปลดปล่อยของเหลวขาวขุ่นให้ทะลักออกมาจากแก่นกายอย่างห้ามไม่อยู่




TBC.

ฝากติดตามผลงานเรื่องใหม่ด้วยนะคะ >> เเกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1714481)

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/12/2562 [P.3] บทที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-12-2019 16:22:45
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 07/12/2562 [P.3] บทที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 12-12-2019 18:31:54
บทที่ 23 ความเร่าร้อนของเราสองคน

ผมทิ้งตัวนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ปลดปล่อยออกมา เปรอะเปื้อนที่นอนสีขาว กลิ่นน้ำกามที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก และแม้ว่าเมื่อครู่จะไม่ใช่เซ็กส์เต็มรูปแบบแต่มันก็ทำให้ผมเร่าร้อนจนแทบละลาย
“วิน…กูอยากเข้าไปในตัวมึง”
เสียงทุ้มต่ำกระซิบอย่างออดอ้อนอยู่ข้างใบหูของผม และถ้าให้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ผมกำลังคิดว่าอยากให้เขาเข้ามาในตัวแล้วเหมือนกัน
ผมช้อนสายตาขึ้นไปสบกับพอร์ช เจ้าสิ่งร้อนๆที่แนบอยู่กับร่องก้นทำให้ผมรู้ว่าเขายังไม่ได้ปลดปล่อยน้ำกาม และแก่นกายยักษ์ก็กำลังอยู่ในโหมดพร้อมรบอย่างเต็มรูปแบบ
“เอากูสิ” ผมกระซิบตอบก่อนจะพลิกร่างมานอนหงายเพื่อให้ง่ายต่อการร่วมรัก พอร์ชขยับยิ้มมุมปากก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มของผมเบาๆ ผมรู้ว่าเขาพอใจกับการตอบสนองของผม พอร์ชใช้ปากแกะซองถุงยางอนามัยก่อนจะนำมันมาสวมที่แก่นกายของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาจับเรียวขาทั้งสองข้างของผมแยกออกกว้างแล้วให้พาดอยู่ใกล้ๆกับเชิงกรานของเขา
“แรงๆนะ” ผมเอ่ยกระเซ้าเรียกให้นัยน์ตาสีดำเหลือบขึ้นมาสบ
“ถ้ามึงอ่อน คราวหน้ากูจะเอามึงเอง”
“เก็บปากมึงไว้ครางเถอะที่รัก”
ผมหัวเราะในลำคออย่างสนุกสนานเมื่อได้แกล้งแหย่พอร์ช ผมรู้ว่าเขาไม่ชอบให้ท้าทายแต่มันช่วยไม่ได้จริงๆที่ผมอยากจะเห็นดวงตาวาววับด้วยความไม่สบอารมณ์ของเขา พอร์ชเป็นคนหน้าตาดีและมีเสน่ห์แบบร้ายๆ ยิ่งเขาทำหน้าตายหรือแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ่งดึงดูดให้เขาดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น
พอร์ชอาศัยจังหวะที่ผมไม่ได้ตั้งตัวแทรกแก่นกายเข้ามาในร่างกายของผมช้าๆซึ่งมันทำให้ผมสะท้านด้วยความเจ็บปวด
“อ้า!!!!”
ผมหลุดเสียงครางลั่น รู้สึกราวกับร่างกายถูกแยกออกเป็นสองส่วน ความเจ็บจากการสอดใส่ทำให้เหงื่อเย็นๆซึมชื้นออกมาตามขมับ ให้ตายสิ ใหญ่ชิบหายเลย
“ผ่อนคลายหน่อยสิ”
พอร์ชกระซิบขณะคลอเคลียริมฝีปากชิดกับริมฝีปากของผม เขาไม่ได้ขยับตัว ทำเพียงแค่แช่แก่นกายไว้นิ่งๆเท่านั้น ฝ่ามือร้อนเริ่มลูบไล้ร่างกายของผมเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ ผมค่อยๆผ่อนคลายและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จำไม่ได้แล้วว่าครั้งแรกของผมเจ็บมากแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างในค่ำคืนนั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของผมแล้ว
ผมรู้แค่เพียงว่า…ความเจ็บปวดในครั้งนี้ มันเต็มไปด้วยความละมุนและอบอุ่นเหลือเกิน
พอร์ชให้เวลากับช่องทางเล็กๆได้ขยับขยายและเคยชินกับขนาดของเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแทกสะโพกเพื่อดันดุ้นยักษ์เข้ามาในตัวของผมจนสุดในคราวเดียว ผมสะดุ้งแล้วครางแผ่วในลำคอ ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว แต่ความอึดอัดที่ได้รับก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายเลย พอร์ชเริ่มขยับกายช้าๆเป็นจังหวะเนิบนาบ หนักบ้าง เบาบ้างสลับกันไป ผมเผลอกัดริมฝีปากเมื่อรู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อย ก่อนจะปล่อยเสียงครางออกมาตามธรรมชาติ พอร์ชขยับยิ้มร้ายที่มุมปาก ดูเขาจะชอบที่ทำให้ผมครางออกมาได้
แก่นกายยักษ์เพิ่มจังหวะการเคลื่อนไหวให้หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเขาเคลื่อนไหวร่างกระแทกกระทั้นเท่าไร ก็ยิ่งกระทบจุดเร้าภายในร่างกายของผมอย่างหนักหน่วงจนผมต้องครวญครางไม่หยุด
ร่างกายส่วนที่สอดประสานถูกรุกรานร้อนผ่าวจนทำให้ผมแทบเสียสติด้วยความเสียวซ่าน ผมบิดกายไปมาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของผมตอบสนองอย่างดีจนไม่น่าเชื่อ ซึ่งลึกๆแล้วผมรู้ดีว่าผมชอบแบบไหน ไม่มีทางที่ผมจะตอบตกลงเป็นฝ่ายรับให้พอร์ชอย่างง่ายดายโดยที่ผมไม่ต้องการ
ครั้งแรกของผมกับความรักที่หลอกลวง เป็นความทรงจำร้ายกาจที่ตามติดผมมานานหลายปี ทิฐิในใจทำให้ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายรุก เป็นฝ่ายควบคุมเกมและเป็นฝ่ายกระทำผู้อื่น ผมไม่ต้องการนอนอ้าขาให้ใครหน้าไหนกระทำทั้งนั้น นั่นคือสิ่งที่ผมป้อนใส่สมองมาโดยตลอด ซึ่งในนาทีนี้…ตอนที่พอร์ชขยับเข้าออกในรูของผม ผมพบว่ามันยอดเยี่ยมมาก และปฎิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องการ
“อาห์” เสียงครางด้วยความพึงพอใจเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าหล่อๆที่กำลังแดงก่ำด้วยแรงอารมณ์
“รูมึงโคตรแน่นเลย” พอร์ชพึมพำขณะที่สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของผมเลย
“อ๊า…ฟินมั้ยล่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมดเมื่อรู้ดีว่าช่องทางรักของผมกำลังตอบสนองอย่างถี่กระชั้นมากแค่ไหน ในบางครั้งที่พอร์ชหยัดสะโพกเข้ามารุนแรงผมก็จะเผลอส่งเสียงสะอื้นออกไปเบาๆ
“กูเสียว…อาห์”
พอร์ชคราง ดวงตาทั้งสองข้างพริ้มหลับขณะดื่มดำอยู่กับการหยัดสะโพกเข้าหาผมเป็นจังหวะหนักหน่วง ผมไล่สายตามองกล้ามเนื้อหน้าอกของพอร์ชช้าๆ มันมีหยดเหงื่อเกาะพราวเต็มไปหมดซึ่งนั่นทำให้เขาดูเซ็กซี่ชะมัด สายตาของผมไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆและหยุดอยู่ที่หน้าท้องของเขาที่กำลังเกร็งจนเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน ให้ตายสิ ในตอนที่เขาขยับสะโพกเข้าหาผมมันช่างร้อนแรงและน่ามองมากเหลือเกิน
ความเร่าร้อนของพอร์ชกำลังมอมเมาผมจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและเผลอครางเรียกเขาด้วยถ้อยคำบ้าๆ
“ผัว…”
“อะไรนะ?” พอร์ชลืมตาขึ้นมามองผมทันที แววตาของเขาทั้งเจือไปด้วยความแปลกใจและความไม่แน่ใจซึ่งมันทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
“กูได้ Sexy Boys เป็นผัวอ่ะ ไม่น่าชะ เชื่อ…อ๊ะ…เลย…”
พอร์ชขยับยิ้มมุมปากแล้วขยับกาย ผมได้ยินเสียงผิวเนื้อกระทบกันฟังดูหยาบโลนมาก แต่นั่นไม่เท่ากับตอนที่เขาหยัดสะโพกเข้าหารูของผมด้วยความดุดันและลึกซึ้ง ซึ่งเสียงที่ได้ยินมันจะดังเป็นพิเศษ
“ชอบมั้ยวิน แรงพอหรือเปล่า” พอร์ชเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ซึ่งมันทำให้ผมโคตรหมั่นไส้เลย มึงเยดุขนาดนี้กูจะไม่ชอบได้ไงล่ะ อ๊า…
“พะ…พอร์ช…มีแรงแค่นี้เหรอ”
นั่นคือประโยคที่หลุดออกจากปากของผม เพราะเสือวินก็คือเสือวินอยู่วันยันค่ำ ไม่มีทางที่ผมจะยอมรับออกไปง่ายๆหรอก
“หึ!”
พอร์ชส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่สบอารมณ์ก่อนจะเคลื่อนไหวแก่นกายเข้าหาผมอย่างรุนแรงจนผมเกือบจะรับไม่ไหว ได้แต่อ้าปากส่งเสียงครวญครางด้วยความเสียวซ่าน
“อ๊ะ…อ๊ะ….อ๊ะ!!!”
“ซี๊ดดด”
พอร์ชสูดปากขณะกระแทกแก่นกายเข้าหาผมไม่หยุด
“อาห์ มึงอะ…เอาเก่งจังวะ โคตรมันส์เลย อ้า!”
ความเร่าร้อนที่พอร์ชมอบให้ทำให้ผมเผลอชื่นชมเขาด้วยความสุขสม ตอนนี้มีแต่ความเสียวซ่าน ร่างกายบิดเร้าเหมือนจะขาดใจลงใต้ร่างของเขา ทุกครั้งที่เขาผสานร่างลงมาหนักหน่วงทำให้บริเวณที่เชื่อมพวกเราไว้ด้วยกันร้อนผ่าวและชุ่มไปด้วยสารล่อลื่นจนเหมือนจะละลาย
“ครางดังๆสิวิน”
“อื้มม อ๊ะ อ้า ดะ เดี๋ยว…บะ…เบาหน่อย…” ผมเสียววูบไปทั่วท้องน้อย พยายามเอ่ยขอร้องพอร์ชด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
“หื้ม อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
พอร์ชเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มือหนาเอื้อมมารั้งเรียวขาของผมให้พาดบ่ากว้าง
“ฮืออออ บะเบาหน่อย…สะ เสียวรู…”
“ดี! มีเมียแรดก็ต้องเอาแรงๆแบบนี้แหละ จะได้ไม่กล้าไปแรดกับคนอื่น”
พอร์ชกระซิบก่อนจะขย้ำริมฝีปากลงมาจูบผมด้วยความหนักหน่วง ขณะที่สะโพกแกร่งกระแทกกระทั้นรัวเร็วจนผมได้แต่สะอื้นในลำคอ ผมเผลอใช้เล็บมือจิกลงไปบนแผ่นหลังของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ และคิดว่าอาจจะเรียกเลือดได้พอสมควร แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเบาแรงกระแทกลงเลย กลับยิ่งขยับจังหวะให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
“ยะ ยอมแล้วครับ พี่…พอร์ชทำเบาหน่อย…วินเสียวจะตายแล้ว…โอ๊ยย!”
“ไม่ปากเก่งแล้วเหรอ หื้ม”
พอร์ชย้อนถาม ห่าเอ๊ย ผมไม่น่าลองของเลย ก็รู้ๆกันอยู่ว่าหมอนี่มันโหด!
“ของมึงแม่งโคตรใหญ่ อะ…เอา ซี๊ดดดด แรงแบบนี้กูก็พังหมดสิ อ๊า!!”
ผมยกมือขึ้นมาผลักไหล่ของพอร์ชให้ถอยออกไป แต่แรงของผมในตอนนี้มันแทบไม่เหลือแล้ว จึงไม่ต่างกับการที่มดตัวเล็กๆออกแรงผลักหินก้อนใหญ่ที่ไม่มีท่าว่าจะขยับ
“รูเมียตอดเก่งขนาดนี้จะบอกให้ผัวเบาได้ยังไง อ๊า!! สุดยอดเลย…”
น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหื่นกระหายของพอร์ชทำให้ผมตัวสั่น ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายเรียกร้องให้พอร์ชเบาแรงแท้ๆแต่ประโยคหยาบโลนของเขากลับปลุกปั่นอารมณ์ของผมได้ดีเหลือเกิน แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังยกสะโพกขึ้นแล้วแอ่นร่างรับแรงกระแทกแสนเร่าร้อน ก่อนจะอ้าปากร้องสุดเสียงเมื่ออารมณ์มาถึงขีดสุด แล้วปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาเลอะหน้าท้องแกร่ง
พอร์ชถอนร่างออกจากรูเล็กๆชั่วคราวก่อนจะจับร่างของผมให้พลิกคว่ำ ยกสะโพกที่อ่อนแรงขึ้นสูงแล้วหยัดร่างเข้ามาเต็มแรงจนผมสะท้าน ผมถูกกอดจากข้างหลังและกระแทกกระทั้นเข้ามาด้วยความรุนแรง
ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่พอร์ชยังไม่ได้ปลดปล่อยออกมา ผมปล่อยให้เขาโจนจ้วงเข้าหาผมตามใจชอบ เขาไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยหรือยอมหยุดเลย กระทั่งผมหน้ามืดแล้วก็หมดสติไปทั้งๆที่เขายังกระแทกกระทั้นอยู่แบบนั้น…


ผมลืมตาตื่นเพราะรู้สึกว่ามีสัมผัสแผ่วเบาบางอย่างกำลังรบกวนผิวหน้า ตอนนี้ผมนอนคว่ำอยู่บนเตียง ใบหน้าตะแคงไปด้านหนึ่ง ในห้องมืดสนิทเช่นเดียวกับท้องฟ้าด้านนอกที่มองเห็นได้จากระเบียง ผมกะพริบตาครู่หนึ่งเมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืดจึงมองเห็นว่าสิ่งที่สัมผัสอยู่บนใบหน้าคือนิ้วมือของพอร์ช
เขานอนตะแคงแล้วหันหน้ามาทางผม ปลายนิ้วกำลังแตะสัมผัสไปตามหน้าผากของผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะไล่ลงมาตามสันจมูกและริมฝีปาก แล้วขยับไปตามแก้มและกรอบหน้า
ที่จริงแล้วผมค่อนข้างแปลกใจและงุนงงเมื่อต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะแฟนหนุ่มกำลังทำการสำรวจใบหน้าของผมราวกับเขาไม่เคยมองเห็นมันมาก่อน
“เจ็บหรือเปล่า” พอร์ชกระซิบถามเมื่อเห็นว่าผมตื่นแล้ว
“อืม นิดหน่อยอ่ะ แต่เสียวมากกว่า” ผมเอ่ยก่อนจะครางเบาๆเมื่อเริ่มขยับตัวแล้วรู้สึกปวดระบบไปทั้งร่างโดยเฉพาะในช่องทางรักที่รู้สึกแสบเป็นพิเศษ
ผมสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วสัมผัสตรงส่วนที่ใช้ในการรองรับอารมณ์ของพอร์ช ผมจำไม่ได้ว่าเขาหยุดเมื่อไร แต่ที่แน่ๆช่องทางร่วมรักของผมถูกทารุณอย่างหนักจนเป็นโพรงเล็กๆ เมื่อขยับตัวก็รู้สึกว่าเจลล่อลื่นที่ตกค้างในร่างกายกำลังไหลออกมาตามเรียวขา ให้ตายเถอะ พอร์ชเอาผมไปกี่ครั้งวะเนี่ย
“ชอบหรือเปล่า” พอร์ชถามเมื่อเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของผม
“ชอบ แล้วมึงล่ะชอบมั้ย”
ผมตอบไปตามความจริง ต่อให้เจ็บกว่านี้แต่ผมยอมรับว่าชอบมากตอนที่เขากระแทกกระทั้นเข้ามาในรูเล็กๆของผม
“ชอบสิครับ” พอร์ชตอบแล้วยื่นใบหน้าเข้ามาจุ๊บปากของผมเบาๆ
“อยากอาบน้ำ”
ผมเอ่ย รู้สึกเหนียวตัวแล้วก็อยากชำระล้างเจลและคราบน้ำคาวๆที่เปอะเปื้อนอยู่บนร่างกายออกไปให้หมด
“รอตรงนี้ เดี๋ยวกูไปเตรียมน้ำอุ่นให้แช่ตัว”
พอร์ชเอ่ยก่อนจะก้าวเท้าลงจากเตียง ซึ่งนั่นทำให้เห็นว่าเขาเองก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากผม จริงๆแล้วผมยอมรับนะว่าตัวเองเป็นพวกเซ็กส์จัด แต่ไม่คิดว่าตอนนี้จะเพิ่มความลามกเข้ามาด้วย เมื่อผมกำลังใช้สายตาสำรวจร่างกายแฟนของตัวเองอย่างถี่ถ้วน แผ่นหลังของพอร์ชกว้างและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แม้กระทั่งต้นขาก็ดูแข็งแรงและมีกล้ามชัดเจน ส่วนแก่นกายที่กำลังสงบอยู่ก็น่าดูชิบหายเลยด้วย
โอ๊ย ตาย ตาย ผมกำลังจะหน้ามืดเพราะตื่นขึ้นมาเห็นอะไรที่โซฮอตจนเกินไป ไม่อยากจะบอกแต่เมื่อช่วงบ่ายวันนี้อร่อยมากครับ พอร์ชเป็นผู้ชายที่รสชาติดีโคตรๆ เสียดายที่ผมสลบไปก่อน เอาเป็นคราวหน้าขอแก้ตัวใหม่ ยังไงก็จะไม่ยอมสลบเด็ดขาดเลย พอร์ชเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบผ้าขนหนูสีขาวออกมาพันรอบเอวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ให้ตายสิ กำลังมองเพลินๆเลยอ่ะ แค่นี้ทำเป็นหวงตัว เช้อะ!
พอร์ชใช้เวลาเตรียมน้ำอุ่นให้ผมประมาณห้านาทีก่อนจะกลับออกมาจากห้องน้ำ เขาส่งผ้าขนหนูสีขาวให้ซึ่งผมโยนทิ้งไว้บนเตียงแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในห้องน้ำทันที ห้องน้ำของเขาเป็นสีขาวสะอาด พื้นปูด้วยกระเบื้องสีดำเงาวับ มุมหนึ่งมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นที่มีควันลอยขึ้นมาเล็กน้อย ผมลองหย่อนปลายเท้าลงไปสัมผัสน้ำครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าน้ำอุ่นกำลังดีก็พาร่างกายที่อ่อนแรงลงไปนอนเหยียดยาวอย่างสบายอารมณ์
ผมเอื้อมมือไปหยิบขวดยาสระผมที่อยู่บนชั้นวางของใกล้ๆกับอ่างอาบน้ำ แต่แขนทั้งสองข้างมันเมื่อยล้าราวกับผ่านการว่ายน้ำมาราธอนมายาวนาน ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดชะมัดเลย ทำไมร่างกายถึงได้ปวกเปียกไม่ได้ดั่งใจวินเลยอ่ะแม่ วินอยากอาบน้ำ แล้ววินก็อยากสนุกกับพอร์ชอีกรอบ แต่แม่งไม่ไหวแล้วอ่ะ
“พี่พอร์ชครับ!!”
ผมแหกปากตะโกนเรียกแฟนสุดที่รักด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แล้วครู่ต่อมาผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับบานประตูห้องน้ำที่ถูกเปิดออก พอร์ชยื่นใบหน้าเข้ามามองผมแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มกว่าปกติ
“อยากได้อะไร หื้ม”
“สระผมให้หน่อยครับ” ผมร้องขอแล้วแกว่งขวดยาสระผมในมือไปมา
“หมดแรงแล้วอ่ะ ทำเองไม่ไหว”
พอร์ชขยับยิ้มและยอมก้าวเท้าเข้ามาในห้องน้ำ เขาหยิบเก้าอี้สีดำตัวเล็กๆที่เคยใช้วางกระถางต้นกวนอิมมานั่งด้านหลังของผม ก่อนจะเริ่มบริการอาบน้ำและสระผมให้เป็นอย่างดี ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างหมอนี่จะมีมุมที่อ่อนโยนและดูแลผมดีขนาดนี้
นี่แหละครับที่เรียกว่า เลือกสามีดี…มีชัยไปกว่าครึ่ง ในชีวิตของวินเพิ่งรู้จักคำว่า WIN ก็วันนี้เนี่ยแหละ!
THE WINNER.


TBC.

ขอพื้นที่เเจ้งข่าวหน่อยนะคะ

1. ตอนนี้กำลังเขียนนิยายเรื่องใหม่ > เเกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก เป็นเเนวมหาลัยใสๆขุ่นๆ 555 ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

2. นิยายทุกเรื่องของเราที่เคยออกกับค่ายดาริน กำลังเปิดพรีออเดอร์อยู่ อาจจะได้รีปริ้นเป็นรอบสุดท้ายเเล้วด้วย ใครมีงบ
หรือใครอยากสะสมฉบับหนังสือ สามารถเเวะไปส่องได้นะคะ
เพจสนพ. https://www.facebook.com/Darin-Novel-1825342907788856/
ทุกเรื่องมีลงเว็บให้อ่าน สนใจเรื่องไหนลองเสิร์ตใน google ดูได้ค่ะ ลองอ่านก่อนได้

ขอบคุณที่ติดตามเสมอมานะคะ เรื่องของพี่พอร์ชกับพี่วินก็ดำเนินมาค่อนเรื่องเเล้ว ต่อไปจะเจอกับดราม่านิดหน่อย
ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ถือว่าไม่ง่ายเลย ลากยาวถึงวัยทำงานกว่าจะได้ลงเอยกันดีๆ
เจอกันในตอนหน้านะ บายๆ

:bye2:



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/12/2562 [P.3] บทที่ 23 NC
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-12-2019 19:26:31
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/12/2562 [P.3] บทที่ 23 NC
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-12-2019 20:28:47
So Hot
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/12/2562 [P.3] บทที่ 23 NC
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-12-2019 21:45:51
 :haun4:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 12/12/2562 [P.3] บทที่ 23 NC
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 13-12-2019 03:20:23
 :katai2-1: เก่งมากพี่พอร์ช
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 22/12/2019 [P.3] บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 22-12-2019 00:07:38

บทที่ 24 Truth or Dare



Sexy Boys NU - ได้แชร์รูปภาพของ Chatchanok Chachteerachanon

กรี๊ดดดดดดดด!! อัลไร๊ นี่มันอะไร๊กันคะพี่ฉัตร กรุณามาเคลียร์กับบรรดาเมียๆ (ในมโน) ด่วนๆเลยค่า โอ๊ยยยย เขินแทนอ่ะ ยอมรับว่าอิจเบาๆ แต่เรื่องแข่งบุญวาสนามันแข่งกันไม่ได้จริงๆเนอะ คือตอนนี้อีช้อยก็ได้แต่คาดเดาไปต่างๆนานาแล้วค่ะท่าน #ใครคือเจ้าของมือผู้โชคดี และสังเกตเหมือนกันมั้ยอ่ะ มือที่พี่ฉัตรกุมไว้แลดูเหมือนมือของผู้ชายอ่ะแกรรร อ๊ายยยยย จะบ้าตาย ตอนนี้รายชื่อผู้ต้องสงสัยในหัวผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดแล้วอ่ะ แล้วลูกเพจที่น่ารักคิดว่าคนๆนั้นคือใครกันบ้างเอ่ย?

ปล.ดูแคปชั่นนางนะคะ ตั้งแต่ติ่งพี่ฉัตรมา ไม่เคยเจอประโยคไหนจะกร๊าวใจเท่านี้มาก่อน #ตัวจริงของพี่ฉัตร #ทีมฉัตรชนก #รณรงค์ให้อนุรักษ์ป่าไม้สีม่วง #ถ้าฉันไม่ได้ชะนีหน้าไหนก็ห้ามได้พี่ฉัตร #ใครคือเจ้าของมือผู้โชคดี

 

ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงหลังจากเห็นโพสต์ที่แอดมินเพจ Sexy Boys แชร์มาจากเฟสบุ๊คของพอร์ช แต่คือแคปชั่นแอดแม่งน่ากลัวว่ะ อะไรคือฉันไม่ได้ชะนีหน้าไหนก็ห้ามได้ สรุปคือถ้าเป็นผู้ชายได้พอร์ชไปคือยอมรับเหรอวะ โอ๊ย บางครั้งนะผมก็คิดว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับและซับซ้อนที่สุดในโลกเลยอ่ะ

ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะรีบใช้เม้าส์คลิกเข้าไปดูภาพเต็มทันที มันเป็นรูปมือของคนสองคนที่กุมกันไว้หลวมๆบนเตียงนอนสีขาว รูปภาพถูกแต่งให้เป็นสีขาวดำซึ่งการเลือกมุมและการใช้แสงและเงาเข้าช่วยทำให้ภาพธรรมดาๆกลายเป็นภาพที่โรแมนติกมาก แต่สิ่งที่ทำให้ภาพนั้นดูน่าสนใจและเรียกยอดไลท์ได้เป็นพันๆก็คงเป็นเพราะประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆที่ถูกพอร์ชเลือกนำมาใช้

 

Chatchanok Chachteerachanon – ได้เพิ่มรูปภาพ – เมื่อ 2 ชม.ที่แล้ว

You may hold my hand for a while, but you hold my heart forever.

(ถึงคุณจะกุมมือของผมแค่เวลาสั้นๆ แต่คุณจะกุมหัวใจของผมตลอดไป)

 

ข้อความสั้นๆที่ได้ใจความชัดเจน ทำให้ผมเผลอขยับยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว สายตากวาดมองข้อความบนเฟสบุ๊คของพอร์ชซ้ำๆราวกับต้องการให้มันซึมซับเข้าไปในสมอง ให้เป็นความทรงจำถาวรที่ไม่สามารถลบออกไปได้

เชื่อมั้ย…ขนาดอ่านหนังสือสอบไฟนอล ผมยังไม่อ่านซ้ำหลายรอบแบบนี้เลยผมเดาว่าภาพนั้นพอร์ชต้องแอบถ่ายตอนที่ผมนอนหลับหลังจากที่เรามีเซ็กส์กันแน่ๆ หมอนั่นอ่ะ ไม่ใช่พวกที่ชอบทำตัวโรแมนติกหรือพูดจาหวานๆ แค่ในหนึ่งวันไม่กวนตีนหรือหาเรื่องด่าผมก็นับว่าดีมากแล้ว

อันที่จริง ผมยอมรับนะว่านิสัยของผมก็ไม่ต่างจากพอร์ชอ่ะ ผมไม่ชอบพูดจาหวานๆกับเขาหรือทำตัวเลี่ยนๆ ดูเหมือนแนวของพวกเราจะเข้ากันได้ดีในเรื่องของความเร่าร้อนเท่านั้นแหละ

 

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : อีฉัตร!!! นี่มันอัลไร๊ก๊านนน มึงมีแฟนแล้วแต่ไม่ยอมบอกเพื่อนฝูงเหรอวะ มึงเห็นพวกกูเป็นหัวหลักหัวตอใช่มั้ย ตอบ! @Chatchanok Chachteerachanon 

Chitchanu Bossisis : ใจร่มๆนะอีแพรว กูก็อยากเสือกเหมือนกันค่า

Chitchanu Bossisis : กูรู้นะว่ามึงรู้อ่ะ ตอบพวกกูมาเดี๋ยวนี้เลยว่าผัวมึงได้เมียใหม่แล้วจริงดิ? @Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : มึงนี่ก็ขยันหางานให้กูนะ สัส เดี๋ยวครอบครัวเค้าแตกแยกกันหมด @Chitchanu Bossisis

Fon Sunisa : @Faye NoFWantA ใช่คนที่ไอ้ฉัตรมันชอบไปกกบ่อยๆปะมึง

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : อ๋อๆ คนที่ไปภูหินร่องกล้ากับมันใช่ปะ

@Faye NoFWantA

Faye NoFWantA : @Chatchanok Chachteerachanon ตอบ! อย่าให้กูต้องเสือกเรื่องของมึงไปมากกว่านี้

Chatchanok Chachteerachanon : เจอกันที่ Eros VIP6 สี่ทุ่มคืนนี้ กูเลี้ยงเอง

@Faye NoFWantA  @Fon Sunisa @Chitchanu Bossisis @สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ

สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ : เดี๋ยวๆ อีคุณฉัตร จู่ๆก็ชวนแดกเหล้าเนี่ยนะ? ไม่คิดว่าเพื่อนฝูงจะทำการบ้านอ่านหนังสือบ้างเหรอไง @Chatchanok Chachteerachanon 

Chatchanok Chachteerachanon : จะเปิดตัวแฟนใหม่ อยากเสือกมั้ย? ถ้าอยากก็มา @สะใภ้ไต้หวัน หวังค่ะ

 

บทสนทนาที่เด้งขึ้นมาใต้โพสต์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนทำให้บรรดาเมียๆในมโนของฉัตรชนกต่างพากันไว้อาลัย รวมถึงคอมเม้นต์ที่เริ่มดุเดือด ทั้งดราม่าที่พอร์ชมีแฟนใหม่แต่ไม่ยอมเปิดตัวว่าเป็นใคร และคอมเม้นต์จากสาววายที่ดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็มุ่งประเด็นมาที่ผมซึ่งเคยมีภาพกอดกับพอร์ชในงานแข่งขันว่ายน้ำ ซึ่งพอร์ชดูเหมือนจะไม่ได้สนใจกับคำถามของแฟนๆเลย ผมคิดว่าก็ดีแล้วล่ะครับ ถึงผมจะไม่ได้ปิดบังใครๆว่าเป็นแฟนกับพอร์ช แต่ก็ไม่ได้อยากเป็นข่าวบนเพจทุกวัน มันน่ารำคาญและทำให้จิตตกได้ง่ายๆเลย

At Eros 22.25 น.

“หล่ออ่ะ”

“…”

“เป็นแฟนกับอีฉัตรจริงๆเหรอคะ”

เอ่อ…

“คนที่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของคณะวิศวะอ่ะมึง ทำไมมาคบกับไอ้พอร์ชอ่ะ”

“คือ…”

“ถูกมันล่อลวงมาหรือเปล่า”

“…”

“โดนฉุดมาใช่มั้ย”

“อา…”

“ไม่คิดว่าจะเป็นผู้ชายอ่ะ”

“…”

“นั่นดิ ตอนแรกที่บอกว่าเป็นผู้ชาย กูก็คิดว่าจะแบ๊วๆหรือไม่ก็หน้าสวยไปเลยอ่ะมึง”

“…”

“เพื่อนเราเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไรวะ”

โครมมมม!!!

ผมและคนอื่นๆถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆไอ้เจ้าของงานเลี้ยงก็ถีบโครมเข้าที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งใกล้กับปลายเท้ามากที่สุด ทำให้เสียงพูดคุยของหลายคนที่ตะโกนแข่งกันหยุดลงทันที

“พวกมึงทำแฟนกูอึดอัด ถามเชี่ยอะไรนักหนาฮะ!”

พอร์ชว่าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะพาดแขนข้างหนึ่งลงมาบนไหล่ของผม ทำให้ผมที่กำลังนั่งตัวเกร็งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกับเขาเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง วันนี้พอร์ชนัดผมมาเจอกับกลุ่มเพื่อนสนิทของเขาที่เรียนอยู่คณะบริหาร ผมชวนไอ้แว่นมาด้วย คือกลัวจะทำตัวไม่ถูกเพราะพอร์ชบอกว่าเขามีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงสองคน แต่ไอ้แว่นคนทรยศเสือกบอกว่าไม่มาเพราะจะอ่านหนังสือ อีกอย่างมันไม่อยากให้แอลกอฮอล์มาทำลายตับของมัน และการนอนดึกทำให้หน้าเหี่ยวย่น

“อุ๊ย โทษนะ ผ่อนคลายหน่อย ทำตัวตามสบายเลย กูแค่ไม่ได้เม้าส์มานานอ่ะ เลยคันปากไปนิ๊สนึง”

บอสเอ่ยกับผม หลังจากที่ผมนั่งฟังเสียงโวยวายและคำถามที่กระหน่ำใส่จนตอบไม่ทันมาเกือบสิบนาที บอสเป็นผู้ชายร่างเล็ก สูงไม่ถึง 170 cm. มองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นตุ๊ดหรือจะเรียกว่าเกย์รับออกสาวก็ได้เพราะหมอนี่ไม่ได้แต่งหญิง

“ชื่อวินใช่มั้ย” ผู้หญิงคนที่นั่งถัดจากบอสเอ่ยถามผม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้า เอาจริงๆนะตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโซน VIP ที่พอร์ชจองไว้ นอกจากคำว่า ‘หวัดดี’ ผมยังไม่ได้พูดประโยคอื่นเลย คือแม่งพูดไม่ทันอ่ะ เพื่อนของพอร์ชเหมือนนกกระจอกแตกรัง แย่งกันพูดเหมือนคนไม่เคยพูด ผมล่ะปวดหัวชิบหาย

“เราแพรวนะ ส่วนนี่ฝน อีบอสแล้วก็เฟย์”

แพรวแนะนำ ผมรู้จักบอสกับเฟย์แล้ว เฟย์คือเพื่อนของไอ้ธามกับไอ้ไวท์ที่ผมเคยเจอในผับครั้งก่อนหน้านี้ เฟย์เป็นคนเงียบๆค่อนข้างพูดน้อย ซึ่งผมเดาว่าเขาน่าจะพูดไม่ทันมากกว่า ดูจากสกิลจากถามของอีกสามคนอ่ะนะ

แพรวเป็นสาวมั่น หน้าตาไม่ได้สวยโดดเด่น แต่สไตล์การแต่งตัวดูมีเอกลักษณ์และชัดเจน จะเรียกว่าแฟชั่นนิสต้าก็คงได้ ส่วนสาวอีกคนชื่อว่าฝน เป็นผู้หญิงผมสั้น ท่าทางแข็งแรง เดาว่าน่าจะชอบออกกำลังกาย การแต่งตัวก็ง่ายๆดูเป็นคนชิวๆคูลๆ

“เอางี้มั้ย มาเล่นเกมกัน” ฝนเสนอ

“เกมไรวะ” บอสรีบถามด้วยท่าทางสนใจ

“ถามตอบมั้ย พวกมึงแม่งชอบแย่งกันพูด เล่นเกมถามตอบนี่แหละจะได้แบ่งกันถามวิน”

ไอเดียของฝนนับว่าไม่เลวเลย แต่บอสกลับยกมือทั้งสองข้างโบกไปมา

“ไม่ๆ เอาเกม Truth or Dare ดีกว่า เกมถามตอบมันเบสิคเกินได้สำหรับผู้ใหญ่อย่างกู”

“แห๊มมมมม หน้าอย่างอีบอสมีความเป็นผู้ใหญ่ด้วยเหรอวะ” แพรวว่าแล้วแบะปากมองแรงใส่บอส

“กูเกลียดแห๊มของมึงจังอีแพรว มึงไม่แห๊มให้ถึงดาวอังคารเลยล่ะ”

“ซื้อยานอวกาศให้กูสิ”

“พอ พอ!” ฝนรีบเอ่ยปากห้ามก่อนที่แพรวกับบอสจะรุกขึ้นมาตีกันเอง ให้ตายสิ ไม่ว่าผมจะมองยังไง คนพวกนี้ก็ดูไม่เหมือนเพื่อนสนิทกันเลยอ่ะครับ เหมือนศัตรูที่พร้อมจะลุกขึ้นมาบีบคอกันมากกว่า ส่วนพอร์ชกับเฟย์ก็ดูเฉื่อยชาเหมือนคบๆพวกนี้ไว้พอเป็นพิธีเลยว่ะ

“มีใครจะเล่นบ้าง” << เฟย์

“กูเล่น” << แพรว

“เล่น” << ฝน

“เอาด้วย” << บอส

“วินเล่นได้มั้ยจ๊ะ”

แพรวหันมาถาม ผมแอบเหลือบตาไปมองพอร์ชเพื่อขอความเห็น เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าผมจึงค่อยสบายใจหน่อย ดูเพื่อนของพอร์ชแต่ละคนแล้วน่าจะกวนตีนพอสมควร ผมหวังว่าจะไม่โดนแกล้งอะไรแปลกๆนะ

“เล่นได้”

“งั้นมาตั้งกติกากันก่อน” ฝนเสนอ

“ใช้วิธีหมุนขวดเหมือนเดิมนะ อ๊ะ ยังไม่หมดขวดอ่ะ เหลืออีกนิดเดียว อีเฟย์แดกซิ๊” แพรวเอ่ยพร้อมกับคว้าเหล้าขวดหนึ่งมาไว้ในมือ แต่เมื่อเขย่าดูแล้วเห็นว่ายังเหลือแอลกอฮอล์อยู่ก้นขวดก็หันไปสะกิดเฟย์ที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วยื่นขวดเหล้าไปจ่อปากอีกฝ่าย

“หยุด หยุด!”

บอสเอ่ยปากห้ามแทบไม่ทัน แล้วรีบแย่งขวดเหล้ามาจากมือของแพรว

“มึงเห็นอีเฟย์เป็นอะไรฮะ ให้แดกหมดนั่นมันก็น็อคกันพอดี…ผัวขาไม่เป็นไรนะ มานั่งนี่มั้ย เดี๋ยวเมียจะปกป้องเอง”

ผมแอบยิ้มขำเมื่อเห็นว่าเฟย์กรอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย สงสัยว่าภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นในกลุ่มของพวกเขาบ่อยๆล่ะมั้ง

“เทใส่แก้วนี่”

พอร์ชหยิบแก้วเปล่าสองใบมาไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าของบอส ซึ่งจัดการเทเหล้าที่เหลือก้นขวดใส่ลงในแก้วทั้งสองใบเท่าๆกัน

“กติกาคือเราจะผลัดกันหมุนขวด ถ้าปากขวดหยุดที่ใคร คนนั้นต้องเลือกระหว่างตอบคำถามตามความจริง หรือยอมรับคำท้าให้ทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่อยากตอบคำถาม หรือทำตามคำท้าไม่ได้ก็กระดกให้หมดแก้ว โอเค๊”

ฝนเป็นฝ่ายอธิบายกติกา ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้าว่าไปถามนั้น

“โอเค” << เฟย์

“ตามนั้น” << พอร์ช

“เริ่มเลย” << แพรว

“กูขอเริ่ม” บอสยกมือเพื่อเสนอตัวเอง ซึ่งคนอื่นๆก็ไม่ได้ขัด ส่วนผมยังไงก็ได้

“อยากได้วินอ่ะ เดี๋ยวขอเล็งก่อนนะ”

บอสประกาศด้วยแววตาเป็นประกายระริก เขาจับขวดเปล่าที่นอนอยู่กลางโต๊ะแล้วพยายามจะเล็งปากขวดมาทางผมให้ได้ ซึ่งเพื่อนของพอร์ชต่างก็ส่งเสียงเชียร์ให้เป็นอย่างนั้นซะด้วยสิ ผมเริ่มกังวลเล็กๆแล้วอ่ะครับ

ฟี้วววววว!

ผมกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ขณะที่สายตากำลังจับจ้องว่าขวดที่หมุนอยู่กลางโต๊ะจะหยุดแล้วหันปากขวดไปที่ใคร…ไม่เอานะเว้ย หันไปทางอื่น อย่าหันมาทางกูเล้ยยย หันไปหาพอร์ชนู้นนน ไป!

กึก!

“จริงหรือท้า”

ห่าเอ๊ย! ผมสบถในใจเมื่อปากขวดเสือกชี้มาที่ผม ทั้งที่ผมก็อุตส่าห์เบี่ยงตัวออกห่างจากพอร์ชและหวังว่ามันจะชี้ไปที่หมอนั่น

“จริงเถอะ กูขอร้อง” บอสยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมที่หน้าอก แล้วมองมาที่ผมตาปริบๆ ผมเหลือบไปมองหน้าคนอื่นๆที่กำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง ทุกคนแม่งเสือกส่งสายตากดดันกูไปอีก แล้ววินจะตอบว่าอะไรได้อีกเล่า!

“จริงก็ได้”

“วินน่ารัก” แพรวว่าแล้วหัวเราะฮี่ๆให้ลำคอ

“ถามวิน ทำไมมาคบกันไอ้ฉัตรอ่ะ มันมีไรดีเหรอ?”

ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามของบอส ตอนแรกคิดว่าจะเจอคำถามแปลกๆหรือคำถามที่น่าอาย อย่างได้เสียกันหรือยังหรือเอากันมาแล้วกี่ท่า สงสัยว่าผมจะมองเพื่อนของพอร์ชในแง่ร้ายเกินไปสินะ ผมหันไปสบตากับพอร์ชแล้วใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบไปตามความรู้สึก

“เรื่องความดีไม่ค่อยแน่ใจ แต่ที่แน่ๆกูชอบตอนอยู่กับพอร์ช เพราะกูสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ทุกอย่าง”

กริบ…

ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินคำตอบของผม เกือบหนึ่งนาทีเต็มๆที่โต๊ะของพวกเราเงียบกริบ จะมีก็แต่เสียงเพลงและเสียงหัวเราะเฮฮาจากโต๊ะรอบข้างเท่านั้น ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกกดดันชะมัดเลย

“เอ่อ…” ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ ผมว่าผมก็ตอบกลางๆ ไม่ได้อวยพอร์ช แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรที่มันดูแย่ซะหน่อย

“คมอ่ะ” บอสเอ่ยทำลายความเงียบเป็นคนแรก

“ซาบซึ้ง” แพรวเสริมเป็นคนที่สองด้วยน้ำเสียงร่าเริง ซึ่งมันทำให้ผมแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เอ่อ…มีอะไรหรือเปล่าอ่ะ”

ผมเอ่ยถามแบบไม่ค่อยแน่ใจก่อนจะเหลือบสายตาไปมองพอร์ช หมอนั่นแค่ขยับยิ้มมุมปากแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบอย่างไม่ใส่ใจ

“พวกเราชอบคำตอบของวิน มันไม่เฟคเหมือนคนอื่นๆที่พวกเราเคยถาม”

ฝนเป็นฝ่ายอธิบายให้ผมฟัง เดาว่าก่อนหน้านี้พอร์ชคงเคยพาแฟนมาแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักเหมือนกัน

“แล้วคนอื่นตอบไรกัน” ผมถามด้วยความสนใจ

“ฉัตรเป็นคนดีมากเลยค่ะ เทคแคร์เก่ง เอาใจเก่ง บลาๆๆๆ สารพัดจะดีเลยค่ะ…คิดว่ากูเชื่อเหรอฮะ ถ้าบอกว่าอีฉัตร หล่อ รวย เปย์เก่งอันนี้กูเชื่อนะ” บอสตอบด้วยเสียงที่พยายามบีบให้เล็กพร้อมออกท่าทางเล่นใหญ่ไม่มีใครเกิน

“ขอโทษนะคะ”

เสียงของพนักงานเสิร์ฟที่แทรกขึ้นมาเบาๆอย่างเกรงอกเกรงใจ เรียกให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว เธอหยิบขวดไวน์แดงที่ดูแล้วน่าจะราคาแพงจากถาดสีเงินในมือมาวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าของพอร์ช ก่อนจะชี้ไปทางโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่อยู่ไม่ไกล

“ลูกค้าโต๊ะนั้นฝากมาให้คุณค่ะ”

ผมหันไปมองตามนิ้วมือของสาวเสิร์ฟและเห็นว่ามีหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่ขยี้ใจในชุดสีแดงกำลังโบกมือมาให้พอร์ชด้วยท่าทางเชิญชวน ก่อนจะหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนอีกสองคน…สั้นๆคำเดียวเลยนะ หมั่นไส้!

“ขอบคุณครับ เอาแบบนี้ขวดนึงให้โต๊ะนั้นครับ” พอร์ชหันไปเอ่ยกับพนักงานเสิร์ฟด้วยน้ำเสียงโมโนโทนตามปกติ

ฮึ้ย! มันขัดใจวินนะโว้ย ไม่เห็นต้องรับมาเลย บอกให้พนักงานเอาไวน์ไปคืนซะก็สิ้นเรื่อง ไอ้ห่าพอร์ชนี่ว่ะ

“ได้ค่ะ” พนักงานสาวตอบรับด้วยท่าทางนอบน้อมก่อนจะขอตัวไปทำงาน

“แหม รับของฟรีไม่เป็นเลยใช่มั้ยคะคุณฉัตร” แพรวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ

“ไม่ชอบให้ใครมาเลี้ยง บ้านรวย”

“จ้า!!!!!!” เพื่อนของพอร์ชต่างประสานเสียงขึ้นมาเกือบจะพร้อมๆกัน

จ้า! เอาที่มึงสบายใจเลย ไอ้เชี่ยพี่พอร์ช!

เกม Truth or Dare เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ทั้งผลัดกันถาม ผลัดกันท้าให้ทำอะไรแปลกๆจนผมเองเอาแต่หัวเราะไม่หยุดเพราะความบ้าบอของทุกคน

“มาต่อเร็วๆ ให้อีเฟย์หมุน กูแม่งเล็งจนตาเหล่แล้ว ทำไมไม่โดนอีฉัตรเลยว่ะ”

บอสบ่นพึมพำแล้วยื่นขวดเหล้าให้เฟย์เป็นคนหมุน เกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาทุกคนต่างโดนท้าทายหรือตอบคำถามแล้วอย่างน้อยก็คนละครั้ง แพรวกับเฟย์ที่โชคร้ายหน่อยก็โดนกันไปคนละสี่ถึงห้าครั้งแล้ว แต่พอร์ชแม่งยังนั่งทำหน้าหล่อได้โดยที่ไม่โดนขวดเหล้าหันมาชี้หน้า สาบานสิว่ามึงไม่ได้เล่นของ หรือไอ้ขวดเหล้าบ้ามันชี้หน้าคนหล่อไม่เป็นวะ!

ฟี้วววววว!

กึก!

“จริงหรือท้า”

เพื่อนของพอร์ชต่างประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อขวดเหล้าที่เฟย์หมุนหยุดอยู่ที่พอร์ชราวกับจับวาง…สมใจทุกคนแล้วสิ รวมถึงกูด้วย หึหึ!

“ถ้ามึงกากก็เลือกจริง” แพรวรีบขัดขึ้นมาก่อนที่พอร์ชจะได้ตอบ หมอนั่นเหลือบไปมองแพรวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบ

“ท้า”

แพรวหันไปแปะมือกับบอสก่อนจะเหล่ตาไปที่สาวสวยซึ่งเป็นคนส่งไวน์แดงมาให้พอร์ช

“เห็นผู้หญิงชุดแดงนั่นปะ”

“อืม”

“มองมึงตาเป็นมันเลย”

“แล้ว?” พอร์ชถามด้วยสีหน้าที่ไม่ไว้วางใจ ซึ่งผมเองก็พลอยลุ้นกับคำท้าทายไปด้วย อย่านะเว้ย พวกมึงจะท้าอะไรบ้าๆ บอๆ ก็ทำไป แต่คงจะไม่ท้าให้พอร์ชของกูไป…

“ไปจูบปากชะนีนั่นซะ”

เชี่ย!

“ยอม”

ผมชะงักค้างก่อนจะอ้าปากหวอเมื่อได้ยินคำตอบของพอร์ช ให้ตายเถอะ หัวใจกูเกือบวาย! ยอมรับว่าตอนแรกตกใจมากที่พอร์ชของผมถูกท้าให้ไปจูบชะนี แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะปฎิเสธแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดอย่างนี้

“ตอบเร็วไปเปล่าวะ” << บอส

“โห มึงกากเหรอฉัตร” << แพรว

“มึงจะยอมง่ายๆแบบนี้เสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายนะเว้ย” << ฝน

“กลัววินเหรอวะ” เฟย์ถามยิ้มๆก่อนจะเหลือบสายตามามองผม พอร์ชเลิกคิ้วก่อนจะหันมาสบตาผมช้าๆ มึงกลัวกูจริงดิ?

“เปล่า ไม่ได้กลัว แต่กูเกรงใจ แล้วก็ไม่อยากให้วินเสียใจด้วย”

ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำตอบของพอร์ช สายตาที่เขามองมาที่ผมทั้งมั่นคงและจริงจัง ก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วเหล้ามากระดกจนหมดแก้ว ที่จริงแล้วผมคิดว่าพอร์ชเป็นคนหยิ่ง แล้วก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่ ณ วันนี้เขายอมลดศักดิ์ศรี ลดความยโส ลดนิสัยส่วนตัวที่ผมเคยบอกว่าไม่ชอบลงมาเพื่อคบหากับผม

“ไม่เคยเห็นมึงเป็นแบบนี้มาก่อนเลยอ่ะฉัตร” << แพรว

“คนนี้จริงจังไง” << บอส

“ไอ้พอร์ชมันก็จริงจังกับแฟนของมันทุกคนนั่นแหละโว้ย” << ฝน

“กูบอกแล้วว่าวินไม่เหมือนคนอื่น นี่คือขั้นกว่าของคำว่าจริงจัง” << บอส

แพรวหันมามองหน้าผมแล้วขยับยิ้มแบบคนที่รู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ยฝากฝังเพื่อนของตัวเองไว้กับผม

“วิน พวกเราขอโทษที่เล่นอะไรแบบนี้ ฝากดูแลเพื่อนของเราด้วยนะ ในชีวิตมันอ่ะ แคร์อยู่ไม่กี่คนหรอก และวินคือหนึ่งในนั้น”




หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 22/12/2019 [P.3] บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-12-2019 01:07:22
ดีงาม
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 22/12/2019 [P.3] บทที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: jpjiraporn ที่ 30-12-2019 20:27:04
ยังรออยู่นะคะ :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 30/12/2019 บทที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 30-12-2019 23:01:53
บทที่ 25 บ้านของพอร์ช


“เอ่อ…พอร์ช กูอยากลงตรงนี้อ่ะ บอกลุงคนขับให้จอดรถได้ปะ?”
ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของคนที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังของเมอร์เซเดสเบนซ์เคียงข้างกับผม สายตาเหลือบไปมองลุงคนขับรถที่กำลังแอบสังเกตท่าทางของผมผ่านกระจกมองหลังมาตลอดทาง ให้ตายสิ อยากรู้อยากเห็นอะไรนักหนาล่ะครับลุ๊ง
“ทำไม? ยังไม่ถึงบ้านกูเลยนะ”
พอร์ชหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความปลงตก วันนี้เป็นวันศุกร์ พอร์ชบอกกับผมว่าเขามีธุระเกี่ยวกับกองมรดกของพ่อ จำเป็นต้องกลับบ้านที่กรุงเทพด่วน ส่วนผมที่โคตรจะโหยหาทะเลก็ขอเกาะติดเขากลับมาที่บ้านด้วย พอร์ชบอกว่าเขาใช้เวลาในการเจรจาเรื่องมรดกไม่นานแล้วจะขับรถพาผมไปเที่ยวชลบุรีหนึ่งวัน เป็นการไปเช้าเย็นกลับ ผมเลยถือโอกาสนี้โดดเรียนวิชาดรออิ้งที่ผมแสนจะเกลียดแล้วตามพอร์ชกลับมาบ้านด้วยเลย
พวกเดินทางโดยเครื่องบินมาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณเที่ยงตรง โดยมีลุงคนขับรถจากบ้านของพอร์ชมารอรับอยู่แล้ว ผมรู้ว่าครอบครัวของเขาร่ำรวย แน่นอนว่าบ้านก็คงจะหลังใหญ่โตซึ่งผมเตรียมใจไว้แล้วว่าความต่างของฐานะอาจจะทำให้ผมอึดอัดนิดหน่อย แต่เมื่อเมอร์เซเดสเบนซ์เลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็ทำเอาผมถึงกับหน้าซีด มือสั่น อยากจะตีตั๋วรถบัสกลับมอซะเดี๋ยวนี้เลย แค่ประตูทางเข้าหน้าหมู่บ้านยังหรูหราขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงภายในบ้านเลยว่าจะไฮโซขนาดไหน
รถขับผ่านสวนสาธารณะของหมู่บ้าน มีลานน้ำพุขนาดใหญ่กับรูปปั้นกามเทพแผงศรรักและดอกไม้นานาพันธุ์ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี บ้านสองข้างทางที่ผมเห็นหลังใหญ่โตมาก เดาว่าบ้านของพอร์ชก็คงจะมีขนาดไม่ต่างกัน แต่ผมคิดผิดครับ!
“กูเกรงใจที่บ้านมึงอ่ะ”
ผมพึมพำเมื่อประตูรั้วบ้านหลังที่อยู่ลึกที่สุด กำลังเลื่อนเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติเพื่อให้เมอร์เซเดสเบนซ์คันหรูขับเข้าไป เอ่อ ผมควรบรรยายสิ่งที่เห็นว่าอะไรดีล่ะ มันไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โตเหมือนบ้านหลังอื่นๆ คือจะเรียกว่าคฤหาสน์ก็คงได้ ระยะทางระหว่างรั้วบ้านกับประตูหน้าบ้านก็ห่างกันหลายกิโลเมตร ถ้าต้องใช้วิธีการเดินมาเปิดประตูรั้วล่ะก็อีกหนึ่งชั่วโมงคงถึงอ่ะ
โอเค ผมเว่อร์ไปนิดนึงก็ได้ แต่บ้านของพอร์ชไม่ใช่อะไรแบบที่ผมคิดว่าจะได้เห็นเลย วินกลัวอ่ะแม่ สั่นไปหมดแล้วเนี่ย
“มาเกรงใจอะไรตอนนี้ล่ะ กูบอกแม่แล้วว่าจะพาเพื่อนมาด้วย” แน่นอนว่าพอร์ชต้องบอกคุณแม่แบบนั้นแหละ ลองบอกว่า ‘แม่ครับผมเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายแล้วนะ และผมก็จะพาเมียมาเยี่ยมแม่’ มีหวังบ้านแตกกันพอดี
“ถึงแล้วครับ”
ลุงคนขับรถจอดเมอร์เซเดสเบนซ์ตรงประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้างรอการมาถึงของทายาทเจ้าของคฤหาสน์ ผมก้าวลงจากรถพร้อมกับพอร์ช เพิ่งจะก้าวเท้าขึ้นบันไดไปได้สามขั้นก็มีแม่บ้านที่สวมชุดยูนิฟอร์มเหมือนกันวิ่งเข้ามารับหน้า ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง โดยการตรงเข้ามาถอดรองเท้าให้ผมกับพอร์ชและนำมันไป เอ่อ ไปเก็บมั้ง ผมเดาว่างั้นนะ แล้วก็มีแม่บ้านอีกคนถือถาดใส่แก้วน้ำมายื่นให้ผมกับพอร์ช ฮือออออ นี่มันอะไรกันเนี่ย กูหลุดเข้ามาในละครเรื่องสี่คุณชายหรือเปล่าวะ แม่งน่ากลัวชะมัดเลย
ผมเหลือบตามองพอร์ช เห็นว่าหมอนั่นหยิบน้ำแก้วหนึ่งขึ้นมาจิบทำให้แม่บ้านทุกคนขยับยิ้มกว้างด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ก่อนที่ทุกสายตาจะหันมาโฟกัสที่ผมเป็นตาเดียว…จ้า จ้า แค่ดื่มน้ำก็พอใช่มั้ยล่ะ ผมรีบคว้าแก้วน้ำที่เหลือมาดื่ม ซึ่งแม่บ้านทุกคนก็คลี่ยิ้มหวานส่งมาให้ผมทันที
“แม่ล่ะครับ”
พอร์ชเอ่ยถาม ในตอนที่แม่บ้านคนหนึ่งวางรองเท้าสลิปเปอร์ไว้เบื้องหน้าของเขาและผม คือกูต้องใส่สินะ จะเดินเท้าเปล่าก็ไม่ได้ด้วย
“อยู่ในห้องทำงานค่ะ เชิญคุณพอร์ชกับเพื่อนไปรอในห้องนั่งเล่นก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าไปเชิญคุณผู้หญิงให้”
แม่บ้านคนหนึ่งที่ดูมีอายุเอ่ยกับพอร์ช เธอใส่ผ้ากันเปื้อนสีดำต่างจากคนอื่นที่เป็นสีน้ำเงิน ผมเดาว่าเป็นหัวหน้าแม่บ้านอ่ะครับ เหมือนในละครไง แม่นมไรแบบนี้มั้ง
“ก็ได้ครับ”
พอร์ชตอบ ส่วนผมที่กำลังจะหันไปลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองที่ลุงคนขับรถยกมาวางไว้ให้ ก็ถูกแม่บ้านที่ดูน่าจะอายุมากกว่าผมไม่เท่าไรฉกไปถือไว้อย่างรวดเร็ว
เอาจริงๆนะ เธอทำเหมือนกับว่าถ้าปล่อยให้ผมลากกระเป๋าด้วยตัวเองจะทำให้เธอโดนไล่ออกอย่างงั้นแหละ ไม่รู้ว่าที่บ้านนี้เขาปกครองกันยังไง แต่มันทำให้ผมรู้สึกเว่อร์วังเหมือนอยู่ในปราสาทของเจ้าชายอะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะเครื่องเรือนที่หรูหราราวกับโต๊ะเก้าอี้ของพระราชายิ่งชัดเจน ด้านในบ้านของพอร์ชตกแต่งสไตล์พระราชวังอังกฤษจริงแท้แน่นอน ผมไม่ได้โม้นะ และเพิ่งจะรู้ว่าในประเทศไทยมีคนที่ตกแต่งบ้านแบบนี้อยู่จริงๆ อย่างน้อยก็ที่บ้านของพอร์ชนี่แหละหลังหนึ่ง
แหะๆ
ช่างเป็นการข่มขวัญคนฐานะปานกลางที่กล้าเสนอหน้าเข้ามาในคฤหาสน์ได้ไม่น้อยเลยนะ
“ป้าแจ่มครับ”
พอร์ชเอ่ยเรียก ทำให้หัวหน้าแม่บ้าน (ผมมโนเองว่าใช่) หันมาขานรับด้วยความนอบน้อม นรกจะแดกหัวไอ้พี่พอร์ชมั้ยเนี่ย ทำไมที่บ้านนี้ให้คนแก่เคารพคนหนุ่มอ่ะครับ ไม่ได้เคารพกันตามวัยวุฒิหรอกเหรอ
“คะ?”
“เอากระเป๋าวินไปไว้ที่ห้องนอนผมนะครับ”
โชคดีที่พอร์ชไม่มีนิสัยข่มขวัญคนอื่น โดยเฉพาะผู้ใต้บัญชา ไม่งั้นผมคงต้องยกมือโบกหัวหมอนี่แล้วอ่ะ แม่บ้านที่ถูกเรียกว่าป้าแจ่มเหลือบตามามองผมด้วยความแปลกใจก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง
“ห้องของคุณพอร์ชเหรอคะ”
พอร์ชพยักหน้าก่อนจะคว้ามือของผมแล้วลากไปที่ห้องนั่งเล่น ผมแอบหันกลับไปมองดูเหล่าแม่บ้านที่ยืนทำหน้างุนงง เอ่อ สงสัยพวกเขาจะคิดว่าไอ้เด็กที่ดูไม่มีราศีจับว่ารวยมาเป็นเพื่อนของพอร์ชได้ยังไงล่ะมั้ง
“คุณชายพอร์ช”
ผมเอ่ยแซวหลังจากที่ก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น ที่นี่ถูกตกแต่งด้วยสีทองและสีครีม เน้นให้ดูหรูหราและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน
“คนที่บ้านมึงทำกูเกร็งชิบหายเลย”
“ทำใจ เดี๋ยวก็ชินไปเอง”
“ทำไมกูต้องชินด้วยล่ะ”
ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ไม่ได้จะมาอยู่ที่นี่หลายวันสักหน่อย อย่างมากก็สี่คืน อย่างเร็วก็สองหรือสามคืน
“เผื่อมึงอยากมาอยู่ตลอดชีวิตไง” พอร์ชเอ่ยยิ้มๆ ผมรู้ว่าเขาแค่แกล้งแหย่ผม แต่แม่งมันอดเขินไม่ได้จริงๆนะ ผมไม่กล้าหันไปสบตากับเขาด้วยซ้ำ ได้แต่เดินไปเดินมาสำรวจห้องนั่งเล่นแสนหรูหรา ก่อนจะหยุดเท้าลงที่ตู้โชว์หลังหนึ่งซึ่งมีกรอบรูปครอบครัวของพอร์ชวางอยู่หลายบาน ทั้งภาพถ่ายพ่อแม่ พอร์ชและน้องสาวของเขา
“น้องมึงสวยว่ะ”
ผมเอ่ยชมจากใจโดยไม่ได้ละสายตาไปจากภาพนั้น ปกติแล้วผมไม่สนใจผู้หญิง จะสวยหรือไม่สวยก็ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกของผมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าน้องสาวของพอร์ชทำให้ผมคิดถึงพอร์ช จะว่าไงดีล่ะ เรียกว่าถอดแบบทั้งหน้าตาและบุคลิกที่มีความร้ายๆมาจากพี่ชายไม่มีผิดเลย ไม่ต้องบอกใครๆก็เดาได้ว่าสองคนนี้มีสายเลือดเดียวกัน และนิสัยก็คงไม่ต่างกันมากนัก อาจจะเป็นพอร์ชเวอร์ชั่นผู้หญิงมั้งนะ
“ชื่ออะไรอ่ะ” ผมหันไปถามพอร์ชที่กำลังนั่งเอนหลังพิงโซฟา
“พิมพ์นารา”
พิมพ์นารา หมายถึง รูปงาม
อื้ม…เข้าใจตั้งชื่ออ่ะ งามเหมาะกับเจ้าตัวเลย
“หน้าคล้ายมึงเหมือนกันนะ” ผมตั้งข้อสังเกต แค่อยากรู้ว่าในสายตาของคนเป็นพี่ชายจะรู้สึกอย่างไรกับความคล้ายคลึงนี้ แต่พอร์ชกลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“งั้นเหรอ”
“ไม่อยู่บ้านเหรอ” ผมถาม
“น้องกูไปเข้าค่าย”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ซักไซ้ประวัติของน้องพิมพ์นาราต่อ ประตูห้องนั่งเล่นก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างบอบบางของผู้หญิงคนหนึ่งที่ก้าวเท้าเข้ามาด้วยความสง่างาม แวบแรกที่เห็นเธอ ผมคิดว่าเป็นพี่สาวของพอร์ช แต่นาทีต่อมาผมก็นึกออกว่าเธออยู่ในภาพถ่ายคู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคุณพ่อของพอร์ช งั้นผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็น…อื้ม
“สวัสดีครับแม่” พอร์ชยกมือไหว้ผู้หญิงที่เข้ามาใหม่ก่อนจะตรงเข้าไปกอดเธอแล้วหอมแก้มทั้งสองข้าง
“แม่คิดถึงพอร์ชมากเลย”
ผมยืนเงียบๆ พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับห้องนั่งเล่นเพื่อรอให้สองแม่ลูกถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันให้เรียบร้อย และเมื่อแม่ของพอร์ชรู้สึกตัวว่ามีคนนอกอย่างผมยืนอยู่ด้วย เธอก็หันมาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“สวัสดีครับ”
ผมยกมือไหว้แม่ของพอร์ช โดยพยายามทำตัวให้เรียบร้อยที่สุด ต่อให้คุณแม่จะคิดว่าผมเป็นเพื่อนหรือรุ่นน้องก็ช่าง แต่ผมก็อยากให้เธอรู้สึกดีกับผม มันคงง่ายกว่าที่จะไม่รู้สึกผิดต่อเธอ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะล่อลวงลูกชายของแม่จริงๆนะครับ ได้โปรดอภัยให้ผมเถอะ
“ชื่ออะไรจ้ะ”
“วินครับ”
“เป็นเพื่อนที่มหาลัยของพอร์ชเหรอลูก”
“ใช่ครับ”
“อื้ม พอร์ชไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านเลย”
จริงเหรอ?
ผมหันไปมองพอร์ชแล้วเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ บ้านก็ออกจะหลังใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าเป็นผมนะ จะชวนเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านบ่อยๆเลย อยากอวดอ่ะครับ คือบ้านสวยและรวยมาก
“แต่ก็ดีแล้วแหละ หัดเข้าสังคมซะบ้าง” ประโยคนี้คุณแม่หันไปเอ่ยกับพอร์ชที่ยังยืนทำหน้าตายอยู่เหมือนเดิม
“เอ่อ แม่มีเรื่องอยากคุยกับลูกน่ะ ให้เพื่อนไปดูทีวีบนห้องพอร์ชก่อนดีมั้ย”
“ได้ครับ”
พอร์ชบอกให้คุณป้าแจ่มพาผมขึ้นไปดูทีวีบนห้องนอนของพอร์ช ที่บริเวณชั้นสองกว้างมากๆ จากการเดาโดยที่ไม่ได้เดินสำรวจให้ทั่ว ผมคิดว่ามีห้องอยู่ประมาณแปดห้องเลยล่ะครับ ถ้าป้าแจ่มไม่นำทางผมก็อาจจะหลงทางอยู่บนนั้นแหละ
ผมเปิดทีวีทิ้งไว้ แล้วเดินสำรวจห้องนอนของพอร์ช จะบอกว่าผมไร้มารยาทไม่ได้น้า ผมเป็นเมียเขา อีกอย่างคืนนี้ผมก็ต้องนอนที่นี่อยู่แล้ว ขอเดินดูให้ทั่วหน่อยจะเป็นไรไป
ห้องนอนของพอร์ชไม่ต่างจากห้องนอนของคนทั่วไป (ยกเว้นความหรูหรา) มีเตียงนอนขนาดคิงไซส์ ตู้หนังสือ ตู้เก็บของ (ที่ผมไม่กล้าเปิด) โต๊ะทำงาน โซฟาและตู้เย็นหลังเล็ก ทางด้านหนึ่งของห้องมีประตูบานเล็ก ที่เปิดออกไปสู่ห้องแต่งตัวที่มีตู้เสื้อผ้าฝังอยู่ในผนัง ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ ที่แยกส่วนของชักโครก ฝังบัวอาบน้ำและอ่างอาบน้ำไว้อย่างชัดเจน
จากการเดินสำรวจประมาณสิบนาที ผมจับสังเกตได้อย่างหนึ่งคือในห้องนอนของพอร์ชไม่มีรูปอยู่เลย ทั้งที่ในบ้านก็มีรูปของครอบครัวและรูปของพอร์ชอยู่เต็มไปหมด และเจ้าตัวก็เป็นคนที่ชอบถ่ายรูปอาร์ตๆลงเฟสบุ๊คอยู่บ่อยครั้ง แต่ทำไมห้องนอนกลับไม่มีรูปของครอบครัวหรือว่าเพื่อนสนิทอยู่เลย
เป็นคนยังไงของเขานะ?


เช้าวันต่อมา กว่าผมจะตื่นนอนก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้า พอร์ชไม่ได้อยู่ในห้องนอน คงจะไปบริษัทตั้งแต่เช้านั่นแหละ เขาบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจำเป็นต้องไปทำธุระกับคุณทนายประจำตระกูลตามประสาคนร่ำคนรวย ดังนั้นผมจึงถูกทิ้งให้อยู่ในบ้านทรายทองหลังใหญ่ มีอาหารให้กินครบสามมื้อ รวมถึงอาหารว่าง อินเทอร์เน็ตฟรี น้ำไฟฟรี ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ช่วงบ่ายสาม ผมใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย กว่าจะเดินครบหนึ่งรอบก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน ระหว่างที่ผมกำลังคิดว่าจะกลับไปนอนตีพุงในห้องของพอร์ชก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาตามลม พร้อมกับเสียงของกระทะและตะหลิวกระทบกันเป็นจังหวะ ผมพยายามมองหาที่มาของเสียงและเห็นว่า ด้านหลังของตัวบ้านมีประตูเล็กๆที่เปิดไปสู่ห้องครัว แล้วด้วยความที่กลิ่นหอมพวกนี้กำลังกระตุ้นให้กระเพาะอาหารของผมเริ่มทำงาน ผมจึงตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปในห้องครัว และเห็นว่าคนที่กำลังทำอาหารอยู่คนเดียวคือคุณแม่ของพอร์ช
“แม่ครับ มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ”
ผมชะโงกหน้าเข้าไปถามด้วยความเกรงใจ จริงๆคือหิวแล้ว และก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าคุณหญิงของบ้านจะลงมือเข้าครัวเพื่อทำอาหารด้วยตัวเอง แถมยังดูน่าอร่อยมากด้วย
“อ้าว วิน”
แม่ของพอร์ชเงยหน้าขึ้นมาจากกระทะแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม เฮ้อ…ผมชอบแม่ของพอร์ชจริงๆนะ ช่างอ่อนหวาน…ไม่เห็นเหมือนนางยักษ์ที่บ้านของผมเลยสักนิด แถมไม่หยิ่งอีกต่างหาก ต้อนรับผมอย่างอบอุ่นมากเลย
“เข้ามาสิลูก” ผมถอดรองเท้าแล้วก้าวเข้าไปในครัวเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเรียกผม
“หันกะหล่ำปลีเป็นมั้ยคะ”
ผมพยักหน้าแล้วเริ่มต้นเป็นลูกมือให้แม่ของพอร์ช ตอนที่อยู่บ้านช่วงมัธยม ผมมักจะเข้าครัวไปช่วยยายทำอาหารเกือบทุกเย็น ทำให้พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เรื่องปรุงรสอาหารอย่าเรียกใช้ผมนะครับ ผมยังไม่โปรขนาดนั้น
“แม่ทำอาหารเองทุกเย็นเลยหรือเปล่าครับ” ผมชวนคุยเพราะไม่ชอบบรรยากาศเงียบๆ มันกดดันอ่ะ
“ไม่หรอกค่ะ แม่ไม่ค่อยมีเวลา เว้นแต่ตอนที่พอร์ชกลับมาบ้าน เลยอยากทำให้เขาทาน”
อื้ม นั่นสินะ เวลาของคนรวยเป็นเงินเป็นทอง และแม่บ้านก็มีตั้งหลายคน ต้องมีสักคนที่ทำอาหารอร่อยบ้างแหละ อีกอย่างพอร์ชเคยเล่าให้ผมฟังว่าแม่ของเขาต้องดูแลธุรกิจของพ่อทั้งหมดตั้งแต่ที่พ่อเสีย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องหนักหนาพอสมควรเลยสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องรักษาผลประโยชน์ให้ลูกทั้งสองคนเพราะญาติๆฝ่ายสามีจ้องจะเขมือบทรัพย์สมบัติ รวยมากเกินไปก็ไม่ดีแบบนี้แหละครับ ใครๆก็จ้องจะเอาเปรียบเราทั้งนั้น คิดแบบนี้แล้วผมก็สบายใจ โชคดีที่ไม่ได้รวย
“คบกับพอร์ชมานานหรือยังลูก”
ผมสะดุ้งจนเกือบใช้มีดหั่นนิ้วตัวเองเมื่อได้ยินคำถามที่เอ่ยขึ้นมากะทันหัน เหลือบตาไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของแม่ และเห็นว่าเธอยังทำอาหารต่อไปด้วยสีหน้าผ่อนคลาย จึงเดาเอาว่าเธอไม่ได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพอร์ช แต่เธอน่าจะหมายความว่า ‘ผมเป็นเพื่อนกับพอร์ชมานานหรือยัง’ แต่ไอ้คนที่มีชนักติดหลังอย่างผมนี่สิ อดเสียววาบไม่ได้
“อะ อ๋อ ไม่นานครับเพิ่งไม่กี่เดือน”
ผมรีบตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก บ้าเอ๊ย ลิ้นพันกันไปหมดแล้ว แม่ของ พอร์ชหันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ เอ่อ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ที่แม่บอกว่าพอร์ชไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้าน แล้วจู่ๆก็หิ้วเพื่อนที่เพิ่งคบกันไม่กี่เดือนมาด้วยมันก็ออกจะแปลกจริงๆนั่นแหละ แต่ผมไม่อยากโกหกแม่นี่ครับ แค่ข้อหาล่อลวงพอร์ชก็หนักหนามากพอแล้ว
“พอร์ชดีกับลูกหรือเปล่า”
“ดีครับ ดีมากเลย” ผมตอบแล้วพยายามยิ้มให้ดูจริงใจมากที่สุด ทั้งๆที่เหงื่อเย็นชื้นเริ่มไหลมาตามขมับ
“พอร์ชเป็นคนใจร้อน ขี้หงุดหงิด แล้วก็เอาแต่ใจตัวเองมากด้วย”
ใช่เลยครับ คนเป็นแม่รู้จักนิสัยของลูกดีเสมอ หมอนั่นอ่ะ ไม่ได้เอาแต่ใจน้อยๆเลยนะ แต่เรียกว่าไม่เห็นหัวใครเลยจะดีกว่า
“แม่หวังว่าวินจะไม่เก็บมาใส่ใจนะลูก พอร์ชมีเพื่อนไม่เยอะหรอก เขาเป็นคนที่เปิดใจให้คนอื่นยากมากเลย ฝากดูแลพอร์ชด้วยนะคะ”
ที่จริงแล้วเป็นพอร์ชต่างหากที่ดูแลผม…
“ครับ”
ผมพยักหน้า แล้วหันกลับไปตั้งใจล้างผักและหั่นผักทั้งหมดเตรียมไว้ให้แม่ของพอร์ชทำอาหาร ผมรู้ดีว่าที่แม่พูดมาทั้งหมดเพราะเป็นห่วงพอร์ช ต่อให้ลูกจะโตขึ้นสักกี่ปี แต่ลูกก็ยังเป็นเด็กน้อยของแม่อยู่เสมอ ความรักของแม่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันนะ ผมคงไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อหรือแม่ได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้…ผมคิดถึงนางยักษ์ที่บ้านจังเลย


“กูอยากไปหาดแม่รำพึง”
ผมเปรยขึ้นในคืนวันเสาร์ หลังจากที่พวกเรารับประทานอาหารฝีมือของคุณแม่เป็นมื้อค่ำแล้ว ผมกับพอร์ชก็กลับมานอนกลิ้งอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ในห้องส่วนตัว เบื้องหน้าของเรามี Macbook ขนาดสิบห้านิ้วกำลังทำการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดชลบุรี
“ไม่”
เสียงปฎิเสธทำให้ผมยู่หน้าด้วยความไม่พอใจ
“ทำไม”
“มันไกลเกินไป แค่ขับรถก็ใช้เวลากว่าสามชั่วโมงแล้ว ไหนจะรถติดในกรุงเทพอีก กว่าจะไปถึงจะได้เที่ยวมั้ย”
พอร์ชอธิบาย พวกเราตัดสินใจว่าจะขับรถไปเที่ยวด้วยกันสองคนแทนการให้คนขับรถของที่บ้านพอร์ชเป็นฝ่ายขับไปให้ แน่นอนว่ามันคงสะดวกสบายมากกว่าแต่นั่นไม่เป็นส่วนตัวเอาซะเลย เพราะผมกับพอร์ชไม่อยากต้องหลบๆซ่อนๆความรู้สึกระหว่างพวกเราตลอดเวลา
“กูอยากไปทะเลอ่ะ”
“เที่ยวในชลบุรีเถอะ หาดบางแสนได้มั้ย”
พอร์ชเสนอ แล้วใช้ Google ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้เคียงก่อนจะอ่านรายชื่อไปเรื่อยๆพรางแอบเหลือบสายตามามองผมเป็นระยะ ส่วนผมน่ะเซ็งนิดหน่อยที่ไม่ได้ไปหาดแม่รำพึงอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ คือผมคิดว่ามันคงเลยมาจากชลบุรีนิดหน่อยอ่ะ
“มีตลาดหนองมนด้วย เกาะลอย สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนเสือศรีราชา…”
“โอ๊ะ มีเสือด้วย”
ผมร้องแล้วชี้ไปที่รูปถ่ายบนเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่ได้รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีเอาไว้
“สวนสัตว์เปิดเขาเขียวก็มีเสือ”
พอร์ชเอ่ย แน่นอนว่ามันมีสัตว์หลายๆชนิดแต่ประเด็นคือผมสนใจเพียงแค่สัตว์ใหญ่แสนดุร้ายเป็นพิเศษ ที่จริงแล้วถ้ามีสวนสิงโตผมก็จะเลือกไปที่นั่นแทนสวนเสือนะ ยังไงผมก็ชอบสิงโตมากกว่าอ่ะ
“แต่กูอยากไปสวนเสือ เขามีให้ถ่ายรูปกับเสือแล้วก็ป้อนนมน้องเสือด้วย นี่มีโชว์เสือด้วยเห็นปะ”
ผมเลื่อนเม้าส์มาที่รูปของเสือที่โตเต็มวัยกำลังกระโดดลอดห้วงที่มีไฟลุกท่วม อย่างเท่เลยอ่ะ ไม่ไปไม่ได้แล้ว
“ครับ ครับ งั้นไปสวนเสือช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายไป…”
“J Park ศรีราชา”
ผมรีบเสนอแล้วชี้มือไปที่สถานที่ซึ่งจำลองเมืองในประเทศญี่ปุ่นมาไว้ที่ไทย จริงๆแล้ว ผมไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลยครับ ไม่สิ ประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ไปกับครอบครัวอยู่บ่อยๆ แต่ไม่อยากนับอ่ะ ถ้าได้ไป J Park ก็จะได้ถือว่าได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง ส่วนญี่ปุ่นเต็มตัวต้องรอทำงานก่อน แล้วค่อยเก็บเงินไปเที่ยวเองอีกที
“ก็ได้” พอร์ชรีบตอบรับอย่างว่าง่าย
“กูอยากกินอาหารทะเลอ่ะ”
“มีเยอะแยะ ค่อยไปหาแถวนั้นก็ได้ อยากแวะร้านไหนก็ตามใจมึงเลย”
คำว่า ‘ตามใจมึง’ ทำให้ผมรู้สึกระริกระรี้ขึ้นมาทันที ช่วยไม่ได้ที่ผมจะชอบ เพราะไม่มีใครตามใจผมมานานมากแล้ว ช่วยมัธยมปลายที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ได้สนุกสนานตรึงใจซะเท่าไร เพราะจะไปที่ไหนก็ต้องเป็นความเห็นของส่วนรวม อีกอย่างการเที่ยวแต่ละที่ก็มีเวลาจำกัดทำให้ผมรู้สึกว่าเที่ยวได้แบบไม่สุดอ่ะ
“บอกแม่หรือยังว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยว”
ผมถาม การที่พวกเราจะเอารถในบ้านไปขับก็ควรจะบอกกล่าวเจ้าของบ้านซะหน่อย อีกอย่างแม่ของพอร์ชจะได้ไม่เป็นห่วง
“บอกแล้วครับ”
ผมนอนคว่ำ เอาแขนเท้าหมอนใบนุ่มขณะมองภาพของหาดบางแสนที่พอร์ชเปิดเอาไว้ แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง…
ตั้งแต่คบกันมาพวกเราไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลย เพราะพอร์ชไม่ชอบถ่ายรูปของตัวเอง ทำให้ในไอโฟนของผมมีแต่รูปของพอร์ช (ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแอบถ่าย) ส่วนในไอโฟนของพอร์ชจะมีแต่รูปของผม (ผมเสนอหน้าถ่ายตัวเอง)
ผมไม่รู้ว่าทำไมพอร์ชไม่เคยหยิบไอโฟนมาถ่ายรูปของผมเลย แต่นั่นไม่สำคัญหรอก สำหรับผมแล้ว ผมชอบบันทึกสถานที่สวยๆไว้ในความทรงจำมากกว่าและพรุ่งนี้ ผมอยากจะบันทึกภาพท้องทะเลเอาไว้พร้อมๆกับพอร์ช
อีกไม่นานพอร์ชจะเรียนจบแล้ว ถึงเขาไม่เคยบอกผมว่าอยากทำอะไรหลังจากที่เรียนจบ แต่ผมเดาว่าเขาจะต้องกลับไปบริหารธุรกิจของครอบครัวที่กรุงเทพ และมันคงทำให้เรามีเวลาพบหน้ากันน้อยลง
“พรุ่งนี้เรานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันได้มั้ย?”
“ได้สิ”
“สัญญานะ”
“สัญญา”
ผมโน้มใบหน้าเข้าไปประทับจูบลงบนริมฝีปากของพอร์ชอย่างแผ่วเบา แต่ในตอนที่ผมกำลังจะถอนจูบ กลับถูกมือใหญ่กดลงมาที่ท้ายทอยเป็นการบังคับให้ผมแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ก่อนที่ลิ้นอุ่นจะเริ่มรุกรานผ่านรอยแยกของริมฝีปาก ซึ่งผมก็เต็มใจเผลอปากออกให้ลิ้นซุกซนแทรกเข้ามาหยอกล้อกับเรียวลิ้นของผมทันที รสจูบของพอร์ชยังอ่อนโยนและดุดันเสมอ ผมเริ่มหอบหายใจติดขัดเมื่อเขาจูบผมอย่างดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่พวกเรากำลังหลงมัวเมาไปกับจูบที่เร่าร้อน ทำให้ไม่ทันระวังตัวเมื่อประตูห้องนอนที่ไม่ได้ถูกลงกลอนเปิดออกกะทันหัน
ตุบ!
ผมกับพอร์ชผละออกจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงข้าวของหล่นกระทบพื้น แต่นั่นยังไม่เร็วพอเมื่อผมหันไปมองที่หน้าประตูห้องนอน แล้วพบว่าแม่ของพอร์ชกำลังมองมาที่พวกเราด้วยความตกตะลึง บนพื้นห้องมีขวดครีมกันแดด เสื้อผ้าซักแล้วของผมและผ้าเช็ดตัวหล่นกระจายเกลื่อนพื้น
แม่ตั้งใจเอาของใช้จำเป็นมาให้ผมสำหรับไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้แท้ๆ แต่ผมกลับทำให้เธอเสียใจ เพราะจากสายตาที่เธอมองมาที่ผมโดยไร้คำพูด มันชัดเจนมากเลยว่า…เธอผิดหวัง!



TBC.


ฝากผลงานเรื่องล่าสุดด้วยนะคะ เเกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71283.0)



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 05/01/2020 บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 05-01-2020 18:56:00
บทที่ 26 ปัจจุบัน


ผมก้าวเท้าลงจากรถเมล์แล้วเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทางเดิน ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเร่งรีบไปทำงาน ผมเริ่มต้นทำงานที่ยูเนียนได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว แต่นอกจากเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้น งานที่หนักและยากขึ้น ชีวิตประจำวันของผมก็ยังราบเรียบและน่าเบื่ออยู่เหมือนเดิม
ผมตื่นนอนเวลาหกโมงเช้า ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวประมาณสามสิบนาที นั่ง วินมอเตอร์ไซค์จากหอพักที่อยู่ในซอยแคบๆออกไปที่ป้ายรถเมล์ และขึ้นรถเมล์มาลงที่ป้ายแถวบริษัทใช้เวลาอีกประมาณสามสิบนาที ซึ่งผมมีเวลาเหลือเฟือในการเดินไปซื้อกาแฟสักแก้วในคาเฟ่ที่อยู่ตรงข้ามกับบริษัท หรือบางวันก็อาจจะแวะร้านอาหารข้างทางเพื่อหามื้อเช้ามารองท้อง ผมตอกบัตรเข้าทำงานในเวลา 7.45 น. เกือบทุกๆวัน และเริ่มทำงานในเวลา 8.00 น.ตรง
แผนก Grease Production ของผมเป็นแผนกเล็กๆที่มีวิศวกรอยู่ทั้งหมดห้าคน พวกเรามีโต๊ะส่วนตัวที่อยู่ในห้องแอร์ขนาดใหญ่มาก มากเกินจำเป็นด้วยซ้ำไป ในแผนกมีอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวสำหรับพนักงาน เครื่องปริ้นท์ เครื่องถ่ายเอกสาร และอื่นๆที่ทันสมัยและครบครัน รวมถึงโรงอาหารประจำบริษัทที่ทั้งอร่อยและราคาถูก ทำให้พนักงานเกือบทั้งหมดนิยมฝากท้องไว้ที่นี่แทนการออกไปกินมื้อเที่ยงข้างนอก
งานของผมคือการรับออเดอร์มาจากแผนก Planner ที่เป็นศัตรูกับแผนกของผมมายาวนานหลายสิบปี ส่วนใหญ่จะเป็นความเอาแต่ใจของพวก Planner ที่ชอบโยนงานโครมใหญ่มาใส่พวกเราโดยไม่สนใจว่าจะทำงานหนักหรือไม่ แต่ยังไงพวกมึงต้องทำให้เสร็จตามกำหนด หรืออยากโดนพิจารณาความสามารถกันหมดทั้งสองแผนกก็เป็นอีกเรื่อง
พวกเราต้องวางแผนการผลิต ‘ผลิตภัณฑ์’ ตามที่ลูกค้าต้องการ รวมทั้งต้องกำหนดจำนวนและเวลาในการผลิตให้แน่นอนก่อนสั่งการไปที่โรงงานของยูเนียน ซึ่งบางครั้งหนึ่งในทีมวิศวกรของพวกเราต้องเข้าไปตรวจงาน และช่วงหลังๆที่ผมเริ่มจะคล่องกับงาน หัวหน้าแผนกจะโยนให้ผมเข้าไปตรวจโรงงานเสมอ อย่างว่าแหละ เรามันผู้น้อย…มาที่หลัง…เด็กใหม่…แถมยังเป็นเด็กใหม่ที่เสนอหน้ามาเป็นพนักงานประจำโดยไม่ต้องทดลองงาน จะไม่ถูกคนในแผนกเหม็นขี้หน้าก็ออกจะแปลกเกินไปแล้ว
“วันนี้ไม่อนุญาตให้ใครออกไปกินข้าวเที่ยงข้างนอก…” เสียงของหัวหน้าแผนกที่ดังขึ้น เรียกให้ทุกคนเงยหน้าจากงานบนจอคอมพิวเตอร์ไปมองคนพูดด้วยความแปลกใจ
หัวหน้าแผนก หรือ ‘พี่ปราบ’ เป็นชายหนุ่มวัย 34 ปีที่จบการศึกษาด้านวิศวกรรมเคมีมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เป็นคนซื่อสัตย์และจริงจังกับงานมาก ทุกคนในแผนกต่างให้ความเคารพเพราะพี่แกไม่ใช่คนที่ช่างติช่างว่า แต่ถ้าทำงานไม่ดีก็ด่ากันตรงๆไปเลย รวมถึงสั่งสอนและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ 
“ให้เวลาพักผ่อนสี่สิบนาที ดังนั้นฉันหวังว่าจะเจอพวกนายทุกคนที่นี่ตอนเที่ยงสี่สิบ รักษาเวลาให้ดีด้วยล่ะ” ประโยคสุดท้ายพร้อมประกายตาคมกริบที่กวาดมองลูกน้องทีละคนทำให้ผมแอบกลืบน้ำลาย พี่ปราบช่างแพร่ความกดดันได้ดีเกินไปแล้ว
“วันนี้มีงานด่วนอะไรหรือเปล่าครับ?”
ศัตรูเบอร์หนึ่งของผมเอ่ยถาม หมอนี่ชื่อว่า ‘เบส’ อายุ 27 ปีเท่ากับผม เขาทำงานที่ยูเนียนมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ส่วนสาเหตุที่ผมจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับเขาก็เพราะว่าเขาเกลียดขี้หน้าผม ตั้งแต่วันแรกที่ผมก้าวเท้าเข้ามาทำงาน ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่เดาว่าคงอิจฉาที่ผมไม่ต้องทดลองงานสามเดือน แถมยังจบการศึกษาด้วยเกรดนิยม ที่คณะผมนิยมกันประมาณสองกว่าๆน่ะครับ แหะๆ ซึ่งเขามักจะแอบแหวะผมอยู่บ่อยๆว่าไม่คู่ควรกับยูเนียน แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของยูเนียนแล้ว และจะไม่ไปไหนเด็ดขาด! (เพราะเงินดีมาก!!!)
ส่วนศัตรูเบอร์สอง ชื่อว่า ‘พิงค์’ เป็นสาวโสดวัย 29 ปี เธอทำงานที่ยูเนียนมาเกือบสามปีแล้ว เธอเป็นศัตรูกับผมด้วยสาเหตุเดียวกับเบส นั่นก็คือเกลียดขี้หน้าตั้งแต่แรกพบสบตา พิงค์เป็นผู้หญิงเท่ๆที่ดูไม่เรื่องเยอะ เธอไม่เคยแขวะผมเลย แต่เธอชอบเมินผมบ่อยๆ ถ้าเป็นไปได้เธอจะไม่พูดกับผม และชอบโยนงานหนักๆมาให้ผมทำอยู่เสมอเลย
ชีวิตในแผนกของผมคงบัดซบมากถ้าไม่ได้หัวหน้าแผนกที่มีใจเป็นกลาง และพี่กรีน หรือไอ้พี่เขียวซึ่งเป็นพี่รหัสของผมนั่นแหละครับ เขาช่วยสอนงานและดูแลผมอย่างดี นับว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในที่ทำงานเลยก็ว่าได้
“เดี๋ยวว่ากันอีกที ตอนนี้ตั้งใจทำงานได้แล้ว”
คำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้กระจ่างทำให้ผมแอบยู่ปากใส่เขา ไม่เห็นต้องทำแบบมีลับลมคมในเลย บอกตอนนี้ไม่ได้หรือไงวะ หรือกลัวว่าจะยาวแล้วทำให้พวกเราวางมือจากงานมาเสือกเรื่องที่เขากำลังจะพูด
อา…เป็นไปได้ เพราะในความคิดของหัวหน้าก็มีแต่เรื่องงานและผลประโยชน์ของบริษัทเท่านั้นแหละ ถ้าบอกว่าเขาเป็นญาติกับเจ้าของผมก็เชื่อเลยนะ โคตรจะทุ่มเทและใส่ใจมาก
เวลา 12.00 น. เป็นเวลาในการพักรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ผมและไอ้พี่เขียวรีบวางมือจากงานที่ทำแล้วพุ่งไปที่โรงอาหารของบริษัทอย่างรวดเร็ว แต่วันนี้กลับไม่เร็วพอเพราะโต๊ะทั้งหมดเต็มหมดแล้ว ต้องอาศัยนั่งกับคนอื่น ซึ่งน่าแปลกมากที่โรงอาหารในวันนี้แออัดไปด้วยพนักงานที่กำลังเร่งรีบ ผมเดาว่าทุกคนคงได้รับคำสั่งให้รีบกินข้าวแล้วกลับไปรวมตัวที่ออฟฟิศในเวลาเที่ยงสี่สิบนาทีเหมือนกัน


“บ่ายวันนี้ท่านประธานจะเข้ามาเยี่ยมชมบริษัท”
พี่ปราบเอ่ยขึ้น เมื่อทุกคนเข้ามานั่งประจำโต๊ะทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเขาดูกังวลเล็กน้อยก่อนจะรีบปรับให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ฉันหมายถึง…ทุกแผนก”
ทุกคนหันไปมองหน้ากันเลิกลั่กพร้อมกับส่งเสียงฮือฮาที่จับใจความไม่ได้ 
“ทำไมกะทันหันแบบนี้ล่ะพี่ แล้วพวกเราต้องทำอะไรบ้าง” พี่พิงค์เป็นคนแรกที่ยกมือพรวด แล้วรีบเอ่ยถามหัวหน้าแทนทุกคนที่กำลังสงสัย
“แค่การเยี่ยมชมสบายๆ ไม่ต้องกังวลไปหรอก หางานอะไรสักอย่างขึ้นมาทำ แล้วก็ทำตัวยุ่งๆเข้าไว้” พี่ปราบตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะเอื้อมมือไปขยับเนคไทให้เข้าที่เข้าทางโดยไม่รู้ตัว
“พวกเราก็ยุ่งอยู่แล้วนะพี่ แล้วทำไมจู่ๆบอสต้องเกิดอยากจะเดินชมบริษัทขึ้นมาล่ะ”
พี่เขียวถาม พี่มันเคยเล่าให้ผมฟังว่าบอสหรือท่านประธานคนใหม่ มีกิจการมากมาย โดยที่เขาขึ้นนั่งตำแหน่งประธานพร้อมกันถึงสองบริษัท ทำให้แทบจะไม่มีเวลาย่างเท้าเข้ามาที่นี่เลย พี่เขียวมันเคยเห็นท่านประธานมาที่ยูเนียนแค่หนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่ยูเนียนโดนเทคโอเวอร์ใหม่ๆ พี่มันชอบบ่นว่าบอสไม่รักลูกเมียน้อยอย่างพวกเรา (หมายถึงยูเนียนเป็นลูกเมียน้อย) เพราะหากมีการประชุมภายใน คณะผู้บริหาร หรือพวกคนใหญ่คนโตจะออกไปประชุมกันที่โรงแรมสกาล่า ซึ่งเป็นธุรกิจของท่านประธานนั่นเอง คือมันก็น่าน้อยใจจริงๆนั่นแหละครับ เพราะท่านประธานของเราเลือกนั่งเก้าอี้บริหารในโรงแรมที่มีอยู่หลายสาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แทนที่จะมานั่งอยู่ในบริษัทผลิตน้ำมันแห่งนี้ อย่างน้อยก็น่าจะแบ่งเวลาให้พวกเราสักสองสามวัน คือผมก็อยากมีโอกาสได้ยลโฉมของท่านประธานที่ลือกันว่าชอบเก็บตัวแต่หล่อมาก!!!
เรื่องชื่นชมผู้ชายหน้าตาดีเป็นที่โปรดปรานของผมเสมอ จับต้องไม่ได้ไม่เป็นไร ขอให้ได้มองเถอะ แค่นี้วินก็ชื่นใจแล้วววววว
“รู้แค่เรื่องที่ควรรู้ก็พอ ส่วนเรื่องเจ้านายน่ะ ไม่ต้องยุ่ง!” พี่ปราบว่า ยังคงรักษามาตรฐานในความปากร้ายไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งไอ้พี่เขียวก็ได้แต่รีบยกมือไหว้ปลกๆก่อนที่จะโดนด่าอีกดอก
“ไปหยิบไม้กวาดมากวาดห้องเดี๋ยวนี้เลย รีบเก็บโต๊ะของตัวเองให้สะอาด แล้วก็เก็บแฟ้มที่กองอยู่ตรงนั้นน่ะ เอาไปใส่ตู้ให้เรียบร้อยด้วย…”
คำบัญชาการต่อมาทำให้พวกเรารีบเร่งทำตัวให้เป็นประโยชน์ทันที พี่ปราบเป็นพวกจริงจังกับงาน อะไรที่เขาสั่งให้ทำต้องรีบปฎิบัติและทำให้ดีที่สุด
พี่พิงค์คว้าไม่กวาดมาปัดกวาดพื้น เบสรีบเก็บแฟ้มเอกสารใส่ตู้กระจกที่ตั้งอยู่มุมห้อง อันที่จริง อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะเอาแฟ้มพวกนั้นออกมากองไว้ที่พื้นเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะมันสะดวกกว่าการเดินไปเปิดและปิดตู้กระจกอยู่บ่อยๆ ส่วนพี่เขียวตามเก็บกระดาษที่พวกเราชอบขย้ำแล้วโยนทิ้ง (โยนไม่ตรงถังขยะสักที)
ส่วนผมที่ไม่รู้จะทำอะไรก็ได้แต่จัดเก็บของบนโต๊ะของตัวเองให้เรียบร้อยที่สุด ผมเก็บถุงขนมและขวดน้ำที่เคยกองไว้ใต้โต๊ะมาโยนใส่ถังขยะ รวมถึงเก็บปากกาที่วางเกลื่อนโต๊ะใส่ในแก้วกาแฟทรงสูงที่ผมใช้แทนกล่องใส่ปากกา
“เอาขยะไปทิ้งด้วย”
ผมเงยหน้าไปมองพี่ปราบ ซึ่งกำลังยืนถลึงตามองผม เอ่อ ที่จริงแล้วพี่ปราบไม่อนุญาตให้กินขนมระหว่างทำงาน แต่ทำไงได้อ่ะ ถ้าไม่กินผมจะคิดงานไม่ออกนี่
“เร็วเข้า!”
ผมสะดุ้ง เพราะแทนที่จะโดนท่านหัวหน้าด่าจนหูชาเหมือนเดิม เขากลับโยนถุงขยะสีดำที่มัดปากถุงแล้วมาทางผม รวมถึงเพื่อนรวมงานแสนประเสริฐท่านอื่นๆที่พร้อมใจกันโยนตามมาติดๆอีกหลายถุง
ไหนบอกว่าเป็นการเยี่ยมชมบริษัทแบบสบายๆไงวะพี่!
แม่งเริ่มลำบากกูแล้วเนี่ย…


คิดถึง!
คำสั้นๆ…แต่สามารถอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ดีที่สุด!
วินาทีแรกที่ผมเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ไปมองร่างสูงในชุดสูทสีดำราคาแพง ทุกส่วนในร่างกายของผมคล้ายกับเกิดอาการอัมพาตไปชั่วขณะ หัวใจของผมที่ด้านชามายาวนานถึงห้าปี กำลังเต้นกระหน่ำราวกับว่ามันได้ค้นพบเจ้าของที่แท้จริงอีกครั้ง
พอร์ช…
ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ควรเรียกว่าอะไร? น่าขันหรือ? ทั้งที่ชื่อของประธานบริษัทก็ไม่ได้หายากหาเย็นหรือเป็นความลับระดับโลก แถมยังโผล่ขึ้นมาในหน้าหนังสือของแวดวงธุรกิจ
เพียงแต่ว่า พนักงานกินเงินเดือนอย่างผม ไม่ได้ใส่ใจจะรู้จักเจ้าของธุรกิจซะเท่าไร ก็ได้แต่เลยตามเลย ทุกคนเรียก ‘เขา’ ว่าท่านประธานบ้าง บอสบ้าง ผมก็ได้แต่เรียกตามๆไปโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร
ถ้ารู้ตั้งแต่แรก…ใช่ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าท่านประธานบริหารของยูเนียน คืออดีตคนรักของผม ผมยังจะเลือกมาทำงานที่นี่หรือเปล่า?
ไม่เลือกเหรอ? ไม่รู้สิ ผมไม่แน่ใจ
อาจจะเลือก? เป็นไปได้ว่าคนระดับสูงอย่างเจ้าของธุรกิจ ย่อมไม่ใส่ใจว่าพนักงานในบริษัทมีกี่คนหรือมีใครบ้าง!
ในตอนที่ท่านประธานมาถึงบริษัท พนักงานทุกคนต่างนั่งทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ในแผนกของตัวเอง แล้วปล่อยให้คนใหญ่คนโตออกไปต้อนรับและพาท่านประธานเดินชมบริษัท ซึ่งใช้เวลาในการเดินชมแผนกต่างๆเพียงสามสิบนาทีเท่านั้น ก่อนที่คณะผู้ติดตามและท่านประธานจะก้าวเท้าเข้ามาเยือนแผนก Grease Production ซึ่งเป็นแผนกสุดท้าย
“…Grease Production เป็นแผนกเล็กๆที่รับเฉพาะวิศวกรที่ดีที่สุดครับ ทำหน้าที่ผลิตจาระบี 4 ประเภท ซึ่งมียอดสั่งซื้อและยอดผลิตเป็นอันดับต้นๆของบริษัทเลยล่ะครับ หัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบคือคุณปราบ เขาดูแลแผนกนี้มาห้าปีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรต้องให้ปรับปรุงแก้ไข ท่านจะผ่านเลยมั้ยครับ”
เสียงอธิบายแว่วๆจากตาลุงหัวล้านกำลังเอ่ยกับท่านประธานด้วยท่าทางนอบน้อม ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกของห้องกระจกที่ถูกเลื่อนประตูเปิดออกเพื่อต้อนรับผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นี้
ผ่านไปเลย…
ผมได้แต่ภาวนาอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา ผมไม่ได้กลัว จริงๆนะ คนอย่างหมอนั่นมีอะไรให้ผมต้องกลัว เพียงแต่ตอนนี้ผมแค่ตกใจมากเท่านั้นเอง พอตกใจแล้วก็ต้องขอเวลานอกในการหายใจก่อนจึงจะสามารถทำตัวเป็นปกติได้
“ขอผมเดินดูหน่อย”
ผมตัวแข็งทื่อเมื่อเสียงในคราวนี้ชัดขึ้น พร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเท้าผ่านประตูเข้ามา สติของผมเริ่มกระเจิดกระเจิง รีบก้มหน้างุดแล้วหยิบแฟ้มอะไรสักอย่างมาเปิดส่งๆ
เสียงรองเท้าหนังหลายคู่ที่กระทบกระเบื้องจนเกิดเสียง ทำให้ผมอยากจะมุดลงไปซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ ฮืออออ ไม่เอา ผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับพอร์ชจริงๆนะ
ฝีเท้านั้นเริ่มก้าวผ่านหน้าโต๊ะทำงานของพนักงานในแผนกที่ละคน บางครั้งหยุดสอบถามเกี่ยวกับงานที่กำลังทำในตอนนี้ บางครั้งก็เอ่ยปากทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ ซึ่งผมสติแตกเกินกว่าจะสนใจฟังสิ่งที่ท่านประธานเอ่ยกับคนอื่นๆและเพิ่งจะรู้ตัวเมื่อใครบางคนหยุดยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของผม
ผมรู้ว่าเขาคือใคร! เพียงแต่ผมไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเขาเท่านั้นเอง
ผมรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างกำลังสั่น ขณะสูดลมหายใจลึกเพื่อเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายตามมารยาท
นัยน์ตาคู่สีดำที่กำลังทอดมองมาที่ผม ลึกล้ำเสียจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง นิ่งเสียจนไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจำเรื่องของผมได้บ้างมั้ย คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า หรือกระทั่งเขารู้หรือไม่ว่าตอนนี้กำลังสบตากับใคร?
“นั่นคือพนักงานใหม่ของเราครับ เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน”
เสียงของตาลุงหัวล้านทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ผมรีบรวบรวมสมาธิแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ กุมมือทั้งสองข้างไว้ด้านหน้าโดยไม่ได้เอ่ยทักทายใครเลย
“เขาเป็นคนหัวเร็วและมีความสามารถครับ”
พี่ปราบเอ่ย เขายืนอยู่ทางซ้ายมือของท่านประธาน พลางชำเลืองมองมาทางผมด้วยความไม่สบายใจ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีสีหน้าอย่างไร แต่มันคงไม่สู้ดีนัก
“คุณชื่ออะไร?”
ท่านประธานเอ่ยถามผม ซึ่งคำถามนั้นทำให้ผมตัวชาวาบ
ใช่…ผมคิดว่าเขายังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร
ไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้หรอก หากผมไม่อ้าปากพูด เว้นแต่ว่าเขาอาจจะ…ลืม
เวลาห้าปีที่ไม่ได้พบหน้ากันไม่ใช่เวลาน้อยๆเลย ไม่มีทางที่น้ำเสียงของผม กลิ่นของผม หรือกระทั่งตัวตนของผมจะยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของคนตรงหน้า ต่อให้ผมบอกชื่อออกไป ก็ไม่แน่ว่าเขาจะสังเกตเห็นว่าชื่อของผมมันซ้ำกับแฟนเก่าคนหนึ่งของเขา
“ท่านประธานถามว่าคุณชื่ออะไร” ตาลุงหัวล้านเอ่ยเร่งเมื่อเห็นว่าผมยังยืนทื่ออยู่เหมือนเดิม
“ปัฐวีครับ”
ผมเผลอกั้นลมหายใจในตอนที่เอ่ยปากตอบ แต่ท่านประธานกลับไม่ได้มีสีหน้าที่แสดงให้เห็นว่ากำลังติดใจสงสัยในชื่อของผมเลย
ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตา ทำไมนะ ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าเขาไม่มีทางจำผมได้ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกผิดหวังแบบนี้
“ผมมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับแผนกนี้”
ผมไม่ได้สนใจจะฟังว่าท่านประธานหันไปสอบถามอะไรสักอย่างกับพี่ปราบ กระทั่งเขาหันมามองหน้าผมอีกครั้ง
“คุณปัฐวี เชิญตามผมมา”
ฮะ! ไปไหน?
ท่านประธานกล่าวจบก็ก้าวเท้าออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้ผมยืนอ้าปากค้างด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวาย
“ไปเร็วสิ”
ตาลุงหัวล้านตะคอกใส่ผมเบาๆ สีหน้าของเขาดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก ผมจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเงอะงะ และก่อนที่ผมจะได้ก้าวเท้าตามท่านประธานออกไป พี่ปราบก็เอื้อมมือมาคว้าแขนของผมไว้ซะก่อน พร้อมกับสำทับคำข่มขู่ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็อาจจะกลัว
“ทำตัวดีๆ ถ้าท่านประธานไม่พอใจล่ะก็…นายตาย”
ถึงตอนนี้ไม่ตาย…ก็เหมือนตายแล้วล่ะครับ!



TBC.
เหตุผลของการเลิกกันเเละความลับของพอร์ชในอดีตจะเปิดเผยตอนไหนนะ?!!! ต้องรอลุ้นกันต่อไปนะคะ
นิยายเรื่องนี้เดินทางมาใกล้จะถึงตอนจบเเล้ว เหลืออีกไม่กี่ตอน เเอบมีฉากดราม่าเล็กๆ ก่อนจบอย่างเเฮปปี้
ยังไงก็ต้องขอขอบคุณนักอ่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ อย่าลืมตามไปเจอเราในนิยายเรื่องหน้าด้วยน้า

เเฟนเพจ https://www.facebook.com/PKrabKrab/


:bye2:

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 05/01/2020 บทที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 07-01-2020 16:27:38
  :z6: :z6: คอมเม้นผิดเรื่อง :katai1: :katai1:

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/01/2020 บทที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 10-01-2020 20:56:18

บทที่ 27 Prosopagnosia


ผมวิ่งผ่านประตูบานใหญ่ออกไปสู่โถงทางเดินด้วยความรีบร้อนเพราะเกรงว่าจะตามท่านประธานไม่ทัน หันซ้ายหันขวาก่อนจะพบว่าร่างสูงที่กำลังตามหายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าประตูลิฟท์ แผ่นหลังเหยียดตรงภายใต้เสื้อสูทสีดำราคาแพงทำให้ผมรู้สึกตาพร่ายามที่มองเขา ทั้งที่ห่างกันไปตั้งนาน แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่ระยะห่างระหว่างเราดูเหมือนจะเท่าเดิม
ผมพ่นลมหายใจออกด้วยความกังวล พยายามทำจิตใจให้สงบแล้วรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปยืนข้างๆท่านประธาน อีกฝ่ายเพียงแค่เหลือบตามามองผมครู่หนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรแต่ยื่นนิ้วเรียวยาวไปกดปุ่ม Open ทำให้ประตูลิฟท์เปิดออก ขาสองข้างของผมก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างกับเขาก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลง
ระหว่างที่ลิฟท์กำลังเคลื่อนที่ขึ้นไปบนชั้นที่ 24 มีเพียงความเงียบที่ทำให้ผมหายใจไม่ออก
หึ แน่อยู่แล้ว หมอนี่เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ไม่แคร์ ก็มักจะไม่แยแสแบบนี้แหละ ไม่แม้แต่จะปรายตามองมาที่ผมด้วยซ้ำ
ความโหยหายที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม ทำให้ผมแอบใช้สายตาสำรวจร่างสูงช้าๆ…นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขา ผมเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในหลายๆอย่าง ที่ชัดเจนเลยคงเป็นเรื่องของบุคลิกลักษณะที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งท่าทางการยืนที่ดูสง่าและน่าเกรงขามในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่ได้มีรอยยิ้มร้ายกาจติดที่มุมปากอีกแล้ว อันที่จริงเขาไม่ได้ยิ้มเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีบรรยากาศบางอย่างรอบๆตัวที่มันคล้ายจะเป็นความเย็นชาที่ชวนให้ผู้คนนึกสงสัยว่า คนๆนี้มีชีวิตจิตใจหรือเป็นเพียงรูปปั้นที่ถูกสร้างสรรค์จากประติมากรฝีมือดีกันแน่
ผมรู้สึกปวดใจเหลือเกินเมื่อคิดว่าความเย็นชาไร้ชีวิตนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมที่ทรยศต่อความรักของเขา แต่ขณะเดียวกันความสูงสง่าของท่านประธานก็ทำให้ผมคิดว่ามันก็ดีแล้วที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีผมด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงคิดว่าช่างมันเถอะ ต่อให้เขาจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้อยากจะขุดคุ้ยความหลังระหว่างเรา ปล่อยให้มันเป็นความเจ็บปวดในอดีตที่สิ้นสุดไปแล้วก็พอ
“คุณปัฐวี”
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินน้ำเสียงโมโนโทนเอ่ยเรียกชื่อของผม
“ครับ?” ผมรีบขานรับด้วยความงุนงง
“ถึงแล้ว”
ท่านประธานเอ่ยเรียบๆ เขากำลังยืนมองผมจากด้านนอกของตัวลิฟท์ ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าลิฟต์เคลื่อนตัวมาถึงชั้นที่ 24 ตั้งแต่เมื่อไร หรือเขาเดินออกไปตอนไหน
สติเว้ยสติ…
จงกลับมา…จงกลับมา…
ผมรีบก้าวเท้าออกจากลิฟท์แล้วเดินตามหลังของท่านประธานเข้าไปสู่โถงทางเดินที่หรูหรากว่าชั้นอื่นๆ ที่นี่เป็นส่วนของห้องทำงานของผู้บริหารที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ระหว่างที่ผมเดินผ่านห้องต่างๆก็พอจะเดาได้ว่าที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่เลยนอกจากพวกเรา แม้กระทั่งโต๊ะเลขาที่ตั้งอยู่หน้าห้องกระจกขนาดใหญ่ของท่านประธานก็ไม่มีร่างของคุณภุมราอยู่เลย
ท่านประธานใช้กุญแจที่หยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อไขประตูห้องทำงานให้เปิดออก ผมเดินตามเข้าไปเงียบๆ ด้านในมีเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างน้อย ที่เห็นก็มีแค่โต๊ะทำงานที่เข้าชุดกับเก้าอี้ตัวใหญ่ซึ่งบุด้วยหนังสีดำ ตู้ใส่เอกสาร และชุดโซฟารับแขกที่ตั้งอยู่กลางห้อง การตกแต่งในห้องไม่ได้หรูหราเท่ากับบ้านของเขาที่ผมเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว เน้นสไตล์เรียบหรูแต่ดูเป็นทางการ เหมาะแก่การเจรจาในเรื่องธุรกิจล่ะมั้ง ที่ผนังด้านหนึ่งของห้องเป็นกระจกใส่ทั้งแถบซึ่งสามารถมองเห็นวิวของกรุงเทพได้จากมุมสูง ผมคิดว่าในตอนกลางคืนที่นี่คงเป็นจุดชมวิวที่ไม่เลวเลยล่ะ
“นั่งสิ”
ท่านประธานผายมือไปทางชุดโซฟารับแขก ผมจึงเลือกทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวสำหรับแขกด้านหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายเดินไปเปิดตู้เก็บเอกสารมุมห้อง ใช้เวลาค้นหาอะไรบางอย่างเกือบห้านาที ก่อนจะเดินกลับมาหาผมพร้อมกับแฟ้มหนังสีดำที่มีขนาดหนามากๆ
“ผมอยากให้คุณช่วยดูนี่ให้หน่อย”
ท่านประธานทรุดนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ตรงหัวโต๊ะ แล้ววางแฟ้มในมือไว้บนโต๊ะกระจกเบื้องหน้าของผม เดาว่าคงเป็นเรื่องงานที่เกี่ยวกับแผนกของผมนั่นแหละ ไม่งั้นเขาคงไม่เรียกผมมา
ผมจำเป็นต้องใช้สองมือประคองแฟ้มขนาดใหญ่มาวางไว้บนตักเพราะมันหนักมาก จากที่เปิดอ่านคร่าวๆในหน้าที่เป็นแผนภาพการผลิตของโรงงานในเครือยูเนียน ก็พอจะรู้ว่าด้านในเป็นเนื้อหาในส่วนของการผลิตจาระบีโดยละเอียดสำหรับผู้บริหาร ที่จริงแล้วของแบบนี้โรงงานก็ทำไว้พอเป็นพิธีนั่นแหละ น้อยนักที่ผู้บริหารจะเปิดของพวกนี้เพื่ออ่านและทำความเข้าใจเองทั้งหมด
ในเมื่อมีทั้งเงิน ทั้งอำนาจและคนที่มีความสามารถอยู่ในมือ การจะเรียกใช้ใครสักคนจึงเป็นเรื่องง่ายมาก อย่างตอนนี้ล่ะมั้ง?
“มันคือกระบวนการผลิตจาระบีครับ”
ผมเปรย ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร จึงรอให้อีกฝ่ายเอ่ยความต้องการออกมา จะสั่งอะไรก็เชิญเลยครับ กระผมมันพนักงานกินเงินเดือนของท่านอยู่แล้ว
“พรุ่งนี้ผมต้องเข้าโรงงาน แต่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย”
อา…เข้าใจก็คงแปลกแล้วล่ะ ท่านประธานไม่ได้เรียนวิศวะมานี่ครับ และอีกอย่างมันสำคัญด้วยเหรอว่าท่านต้องเข้าใจมันอ่ะ
“ถ้าผมเข้าใจกระบวนการผลิตของจาระบี บางที…ผมอาจลดต้นทุนการผลิตได้โดยที่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่ได้ลดลง”
ผมพยักหน้างึกๆ นั่นเป็นความคิดที่ดี การลงทุนทำธุรกิจย่อมหวังผลกำไลสูงสุดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า…
“ผมคิดว่าให้มันเป็นหน้าที่ของวิศวกรการจัดการก็ได้นี่ครับ”
บริษัทยูเนียนแบ่งแผนกภายในแยกย่อยกว่าบริษัทอื่นที่ผมเคยพบเห็น ซึ่งทำให้บุคลากรของยูเนียนสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเฉพาะทาง เช่น การที่ยูเนียนมีวิศวกรอุตสาหการสำหรับสำหรับวางแผนและพัฒนาระบบ แต่ยูเนียนก็มีวิศวกรการจัดการ สำหรับดูแลงบประมาณในการวางแผนและพัฒนาระบบเช่นกัน ซึ่งถ้าเป็นบริษัทเล็กๆอาจจะเลือกจ้างงานวิศวกรอุตสาหการเพื่อให้รับหน้าที่ทั้งการวางแผนระบบและการดูแลงบประมาณไปในตัว ทั้งเป็นการใช้งานลูกจ้างที่คุ้มค่ากว่านั่นเอง และสิ่งที่ผมกำลังคิดในตอนนี้ก็คือ ท่านประธานไม่จำเป็นต้องศึกษางานเองทั้งหมด เพียงแค่สั่งการลงไปที่แผนกการจัดการก็เป็นจบแล้ว
ท่านประธานเอนหลังพิงผนักโซฟา ขณะใช้นัยน์ตาสีดำสนิทมองมาที่ผม ให้ตายสิ การกระทำที่แสนจะธรรมดาอย่างการมองหน้าพนักงาน กลับทำให้ผมอดกังวลไม่ได้…หวังว่าเขาคงจะไม่รู้นะว่าผมเป็นใคร!
“ใครจะรักและหวังดีกับยูเนียนได้เท่ากับผม”
ประโยคที่เปรยขึ้นมาทำให้ผมเผลอกัดริมฝีปากแน่น ผมรู้ว่าเขาต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะก้าวขึ้นมานั่งในตำแหน่ง CEO ได้อย่างสง่าผ่าเผย และผมเชื่ออย่างสนิทใจในคำพูดของเขาแทบจะทันที…
ไม่มีใครรักและหวังดีกับยูเนียนได้เท่ากับเขา
“ยูเนียนผลิตจาระบีทั้งหมด 4 ประเภทครับ”
ผมเริ่มอธิบายกระบวนการผลิตของจาระบีให้ท่านประธานฟังตั้งแต่ต้นตามความต้องการของเขา
“ในแต่ละปีจะมียอดสั่งซื้อแต่ละประเภทไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า แต่ผมว่ามันก็สำคัญทั้งหมด จาระบีของเราผลิตมาจาก…”
ผมไม่แน่ใจว่ากำลังพูดพล่ามแบบน้ำไหลไฟดับมานานเท่าไรแล้ว แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งติดลม อะไรที่ผมรู้ผมก็พูดออกมาทั้งหมด อะไรที่ผมเห็นว่าไม่ดีผมก็ติเตียนแบบไม่ไว้หน้าบริษัท แล้วสิ่งที่ผมคิดว่าจาระบีของยูเนียนดีกว่าที่อื่น ผมก็เสริมให้เขาฟัง ผมหวังดีจริงๆนะ ท่านประธานจบการบริหารธุรกิจ อาจจะไม่เข้าใจในผลิตภัณฑ์ของยูเนียนอย่างลึกซึ้งก็ได้
เอ…ว่าแต่จริงๆแล้วยูเนียนเป็นบริษัทของคุณพ่อเขาหรือเปล่านะ?
แล้วเจ้าของบริษัทคนก่อนหน้านี่เป็นใครกันอ่ะ ได้ข่าวว่าเป็นญาติกันใช่หรือเปล่า?
ระหว่างที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่าน ก็ได้ยินเสียงกระแอมจากคนข้างๆ ทำให้ผมหยุดพูดทันที
“ครับ?”
ผมหันไปมองท่านประธานเป็นเชิงถาม ว่าแต่เมื่อครู่ผมกำลังพูดถึงไหนแล้วนะ หรือผมเผลอหยุดพูดไปอ่ะ จำไม่ได้เลยจริงๆ
“ผมมองไม่เห็นภาพครับ อธิบายแบบนี้มันคงยากเกินไปสำหรับผม ถ้ายังไงพรุ่งนี้คุณก็เข้าโรงงานกับผมเลยละกัน”
ฮะ? เข้าโรงงาน!
ท่านประธานเพิ่งจะบอกให้ผมไปเป็นไกด์พาเขาทัวร์โรงงานเนี่ยนะ มันจะไม่เกินหน้าที่ไปหน่อยหรือไง แล้วโรงงานนี่มันก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆเลยนะครับท่าน
“แต่พรุ่งนี้ผมต้องทำงานนะครับ”
ผมแย้ง ทำไมผมต้องโดดงานที่ผมจำเป็นต้องรับผิดชอบไปทัวร์โรงงานจาระบีกับเขาด้วย ถ้าเขาอยากได้คนพาทัวร์จริงๆ แค่ให้เลขายกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงถึงโรงงาน เดี๋ยวคนพวกนั้นก็ส่งวิศวกรที่ดีที่สุดมารับหน้าเองนั่นแหละ
“ถือซะว่าไปทำงานนอกสถานที่”
ผมเผลอเบ้หน้าด้วยความไม่พอใจ ต่อให้ผมขาดงานแค่หนึ่งวัน ผมก็มีสิทธิ์จะโดนงานในวันต่อมาถล่มทับได้ง่ายๆเลยนะ ให้ตายสิ ทำไมคนที่ซวยต้องเป็นพนักงานใหม่อย่างผม ทำไมท่านประธานไม่ลากพี่ปราบมาแทนนะ รายนั้นอ่ะ ยินดีถวายหัวให้ยูเนียนมานานแล้ว งานแบบนี้เขายินดีทำจะตาย
“ผมต้องยื่นใบลางานล่วงหน้ากับหัวหน้า คือผมว่าให้…”
ผมพยายามหาข้ออ้าง แต่อีกฝ่ายกับตัดบทกะทันหัน
“ถ้าผมบอกให้คุณไปกับผมได้ หัวหน้าของคุณยังจะกล้าขัดอีกเหรอครับ?”
ผมยิ้มไม่ออก คำพูดของท่านประธานเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่า คุณกล้าขัดคำสั่งของผมเหรอครับ?
“ไม่กล้าครับ”
“เจอกันที่โรงงานตอนเก้าโมงเช้า”
โรงงานตั้งอยู่ที่ระยองเลยนะเว้ย ย้ำว่าระยองอ่ะ ไม่ใช่กรุงเทพ แล้วแบบนี้ผมจะเปิดค่ารถได้มั้ยนะ?
ต่อให้น้ำตาตกในสักแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่พยักหน้าแล้วตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก
“ครับ”


เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานในแผนก Grease Production พี่ปราบก็เรียกผมไปถามว่าท่านประธานต้องการอะไร ผมจึงเล่าให้เขาฟังคร่าวๆแล้วขออนุญาตลางานหนึ่งวัน ซึ่งพี่ปราบก็ไม่ได้ทักท้วงและปล่อยให้ผมได้กลับไปทำงานต่อ ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนัง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาเลิกงานแล้ว แต่จิตใจของผมกลับสับสนวุ่นวายไปหมด ที่จริงแล้วงานของผมไม่ได้คลืบหน้าเลยตั้งแต่กลับมาจากห้องของท่านประธาน
เวลาสี่โมงเย็น ทุกคนต่างโบกมือลาแล้วแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน พี่เขียวตบมือลงบนบ่าของผมเบาๆแล้วบอกว่ามันจะดีเอง ผมเดาว่าพี่มันคงเข้าใจว่าผมกังวลเรื่องในวันพรุ่งนี้ แต่มันก็ไม่ผิดนักหรอก ผมกำลังกังวลมากๆเลย
ผมก้าวเท้าอย่างไร้จุดหมาย ขณะที่ในสมองกำลังคิดถึงใบหน้าของท่านประธานซ้ำไปซ้ำมา…
เขาจำผมไม่ได้จริงๆเหรอ เขาไม่ได้แสดงออกว่ารู้จักผมเลยด้วยซ้ำ ผมกับเขาเลิกกันไปเกือบห้าปีแล้ว ผมตัดสินใจทอดทิ้งเขา ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจนี่ แค่กลับมาเจอกันอีกครั้งโดยบังเอิญไม่ได้หมายความว่าหัวใจของเขายังเหมือนเดิม…
ใช่ เขาคงไม่ได้รักผมแล้ว!
ไม่รู้ทำไม เพียงแค่คิดว่าหัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมผมก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน แค่คิดว่าเขาจูบคนอื่น โอบกอดคนอื่น และเอาใจใส่ดูแลคนอื่นที่ไม่ใช่ผม หัวใจของผมก็แสดงความต่อต้านออกมาอย่างชัดเจน นี่ผมกำลังอิจฉาใช่มั้ย ผมไม่อยากยอมรับ ไม่อยากมองเห็น ไม่อยากให้เขารักคนอื่นที่ไม่ใช่ผม เพราะว่าในตอนนี้ผมรู้ใจของตัวเองดีแล้วว่า…
ผมไม่เคยเลิกรักเขาได้เลย
ขาของผมเริ่มอ่อนแรง ขณะค่อยๆทรุดตัวนั่งลงบนพื้น ผมเพิ่งสังเกตว่าสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของผมคือล้อของรถยนต์คันหนึ่ง
ผมเดินใจลอยมาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดินของบริษัทตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  รู้เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะก้าวเดินอีกแล้ว เปลือกตาค่อยๆปิดลง แล้วเริ่มต้นร้องไห้โฮไม่ต่างจากตอนที่เป็นเด็ก
เพียงแต่ตอนที่ผมเป็นเด็ก…เจ็บสุดก็แค่โดนแม่ตี

(อดีต)
ผมนั่งตัวเกร็งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในคาเฟ่แห่งหนึ่ง บนโต๊ะเบื้องหน้ามีแก้วกาแฟร้อนที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้อง ภายในคาเฟ่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือห้องกระจกติดแอร์ที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น และอีกส่วนคือสวนที่ตกแต่งด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ซึ่งผมกำลังครอบครองพื้นที่ส่วนหนึ่งในสวนที่ไร้ผู้คน บรรยากาศรอบๆทั้งอบอุ่นและชวนให้ผ่อนคลาย เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่กำลังผ่อนคลาย
“ที่ฉันมาหาเธอในวันนี้เพราะเรื่องของตาพอร์ช”
น้ำเสียงราบเรียบติดจะเย็นชาดังมาจากหญิงวัยกลางคนที่ดูมีสง่าราศี เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามกับผม
“ฉันไม่อยากก้าวก่ายความสัมพันธ์ของพวกเธอเหรอนะ ถ้าเธอไม่มีกระทบต่อความสำเร็จในชีวิตของเขา”
ตั้งแต่วันที่คุณแม่ของพอร์ชเข้ามาเห็นผมจูบกับลูกชายของเธอ เธอไม่เคยด่าทอหรือก้าวก่ายความสัมพันธ์ของพวกเราเลย เพียงแค่เรียกพอร์ชออกไปคุยเป็นการส่วนตัว และวันต่อมาแพลนในการไปเที่ยวชลบุรีของพวกเราก็ถูกยกเลิก แม้ผมจะเสียใจแต่ต้องจำใจกลับมหาลัยไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนพอร์ชต้องอยู่เกลี้ยกล่อมคุณแม่ ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้พบเธออีกเลย พอร์ชยังปฎิบัติกับผมอย่างดีเช่นเดิม จนผมเลิกกังวลและคิดว่าแม่ของเขาคงจะยอมรับผมได้ในสักวัน
“ก่อนหน้านี้ตาพอร์ชเคยบอกฉันว่าอยากไปเรียนต่อที่อเมริกา เขาอยากไปหาประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ แต่พอเรียนจบเขากลับบอกฉันว่าไม่อยากไปแล้ว เขาอยากเรียนต่อที่ไทย เธอคงรู้ใช่มั้ยว่าเขาไปไหนไม่ได้…เพราะเธอ”
ถ้าจะบอกว่าพอร์ชไม่ยอมไปไหนเพราะผม…นั่นก็ไม่ผิด เพราะหลังจากที่เขาทำเรื่องเรียนจบจากมหาลัย หมอนั่นก็ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆด้วยการไม่ยอมเก็บข้าวของกลับบ้าน เขายืนยันที่จะนั่งกินนอนกินอยู่ที่คอนโดไม่ยอมไปไหนโดยไม่มีผม ซึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้เสนอให้เขาเรียนต่อโทที่นี่ไปเลยเพราะอย่างไรเขาก็ดึงดันที่จะรอผมเรียนจบซึ่งใช้เวลาถึงสองปี แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าก่อนหน้านี้เขามีความตั้งใจจะไปเรียนต่อโทที่อเมริกา
“เธออยากเป็นคนทำลายความฝันของเขาเหรอ เขาอยากสานต่อธุรกิจของครอบครัว ไม่สิ เขาต้องดูแลและรักษามันเอาไว้ คนที่ไม่มีความสามารถมากพอ ไม่มีทางนั่งเก้าอี้ CEO ได้ เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังพูดหรือเปล่า”
ผมหลุบตามองมือทั้งสองข้างที่กำหมัดแน่นอยู่บนตัก ผมไม่เคยอยากเป็นตัวถ่วงในชีวิตของใคร แม้ผมจะชอบที่มีพอร์ชอยู่ใกล้ๆแต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่อยากให้เขาทำตามความตั้งใจของตัวเอง
“คุณอยากให้ผมช่วยพูดกับเขาให้ไปเรียนต่อที่อเมริกาเหรอครับ” ผมถาม
“ถ้าเธอหวังดีกับเขา…เธอควรจะทำ”
“ได้ครับ ผมจะลองดู”
“อันที่จริง ฉันคิดว่าฉันรู้จักลูกชายของตัวเองดีที่สุด” คุณแม่ของพอร์ชเปรย ขณะหมุนถ้วยชาในมือด้วยความกังวล
“ต่อให้เธอพูดยังไง ถ้าเขาไม่ไปก็คือไม่ไป”
ผมเผลอเลิกคิ้วด้วยความสงสัย บางอย่างในประโยคบอกเล่าของเธอ ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอมีแผนการอยู่ในใจแล้ว แค่รอให้ผมทำตามเท่านั้น
“แล้วผมควรทำยังไงครับ” ผมถามตรงๆแบบไม่อ้อมค้อม การคุยกับเธอทำให้ผมรู้สึกจิตตก
“บอกเขาว่าเธออยากไปอเมริกา บอกว่าเธอขอทุนจากฉันแล้วหลังจากที่เรียนจบ จะใช้คืนด้วยการทำงานที่บริษัทของเรา”
ถ้าได้แบบนั้นก็ดีสิ พอร์ชต้องดีใจมากๆแน่ และอีกอย่างผมก็สามารถเทียบโอนหน่วยกิตวิชาหลักของสาขาวิศวกรรมอุตสาหการไปได้ ส่วนพ่อกับแม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาเลิกก้าวก่ายการตัดสินใจของผมมานานแล้ว เพียงแต่ว่า…ผมแอบเหลือบตาไปมองดวงหน้าสง่างามของหญิงวัยกลางคน พวกนักธุรกิจมักเป็นห่วงผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ เธอไม่มีทางยอมเสียเปรียบเด็ดขาด แล้วมีหรือจะยอมให้คนอย่างผมไปกับลูกชายของเธอ
“คุณไม่ได้คิดจะให้ผมไปด้วยจริงๆใช่มั้ยครับ” ผมถาม อีกฝ่ายเพียงขยับยิ้มมุมปากบางๆ คล้ายแฝงไปด้วยความชื่นชม
“ใช่ ฉันยื่นเรื่องการสมัครเรียนให้ตาพอร์ชแล้ว จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วสองใบ” อีกฝ่ายเปิดกระเป๋าถือใบใหญ่แล้วหยิบตั๋วเครื่องบินมายื่นให้ผม รวมถึงเอกสารสัญญาการขอทุน
ให้ตายสิ แม่ของพอร์ชโคตรลงทุนมากเลยอ่ะ แค่ต้องการกำจัดผมออกไปจากชีวิตของพอร์ชถึงกับทำเอกสารปลอม รวมถึงจองตั๋วเครื่องบินมาหลอกลูกชายของตัวเองเพื่อความสมจริง ช่างเป็นอะไรที่ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก
ผมกวาดสายตาอ่านชื่อที่อยู่บนตั๋วเครื่องบินทั้งสองใบ ใบหนึ่งเป็นชื่อนามสกุลของพอร์ช ส่วนอีกใบเป็นชื่อนามสกุลของผม เอาเป็นว่าผมจะไม่สงสัยละกันว่าเธอทราบชื่อของผมจากที่ไหน เพราะดูท่าแล้วคุณแม่ของพอร์ชคงทำได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ
“สิ่งที่เธอต้องทำคือการพาตาพอร์ชไปที่สนามบิน ที่เหลือฉันจะจัดการต่อเอง”
ผมหลุบตามองวันที่และเวลาที่เครื่องบินออก…
สัปดาห์หน้า
“มันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ ทำไมคุณต้องโกหกเขาแบบนั้นด้วย คุณเป็นแม่เขานะครับ” ผมเอ่ยด้วยความโมโห บ้าบอที่สุด ถ้าอยากโกหกก็โกหกไปคนเดียวสิ ทำไมต้องลากผมไปเกี่ยวด้วย ให้ผมหลอกพอร์ชแบบนั้น ผมทำไม่ได้หรอก
“ใช่ เพราะฉันเป็นแม่ไง!!”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่สวนขึ้นทันควันทำให้ผมสะดุ้ง
“เธอไม่เคยมีลูก เธอไม่เข้าใจหรอก ฉันอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของฉัน ฉันอยากให้เขามั่นคงในที่ของตัวเอง เมื่อวันที่ฉันไม่อยู่เขาจะต้องดูแลรักษาทรัพย์สมบัติที่ควรเป็นของเขาเอาไว้ให้ได้ ใครก็ตามจะเอาเปรียบเขาไม่ได้ ฉันไม่ยอม!!”
ผมนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อคิดตามในสิ่งที่เธอพูดให้ดีๆ ผมก็เข้าใจว่าเธอทำเพื่อพอร์ชมามากแค่ไหน เธอรักและหวังดีกับเขา แต่ผมกลับคิดว่าพอร์ชควรได้มีโอกาสตัดสินใจด้วยตัวเอง เขาอยากจะอยู่ที่นี่หรือไปเรียนต่อที่อเมริกาย่อมเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ผมจะลองพยายามคุยกับเขาในเรื่องนี้อีกที เพราะยังไงระยะทางหรือความห่างไกลก็ไม่ได้มีผลกับผมอยู่แล้ว
“พอร์ชไม่ใช่คนโง่ ต่อให้เขาไม่ได้ไปเรียนที่อเมริกา เขาก็สามารถบริหารบริษัทให้คุณได้” ผมเอ่ยด้วยความมั่นใจ
“ใช่ เว้นแต่เขาจะไม่ได้ป่วย”
คุณแม่ของพอร์ชเหยียดยิ้มที่มุมปาก สายตาที่มองตรงมายังผมฉายแววเย็นชาแบบปิดไม่มิด
“เขา…ป่วยเหรอครับ”
ผมชะงักไปครู่หนึ่งกว่าจะอ้าปากถามออกมาได้ พอร์ชมีโรคประจำตัวด้วยหรือ? ผมเห็นหมอนั่นแข็งแรงอย่างกับม้า เป็นถึงนักกีฬาว่ายน้ำของมหาลัย ไม่เห็นมีอาการอะไรที่แสดงว่าเจ็บป่วยเลย
“เธอคบกับเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไรงั้นหรือ?”
ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ผมไม่รู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไร และพอร์ชก็ไม่เคยบอกผมในเรื่องนี้เลย อืม…ที่จริงแล้ว ผมคิดว่ามีอีกหลายเรื่องที่พอร์ชไม่เคยบอกผม และผมก็ไม่เคยถาม เพราะถ้าพอร์ชอยากบอกผม เขาก็บอกมาเองนั่นแหละ
“ตาพอร์ชป่วยเป็นโรค Prosopagnosia”
อะไรนะ? ผม…ไม่รู้จักอ่ะ




หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/01/2020 บทที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-01-2020 21:25:27
โรคอะไร จริงหรือหลอกคะ คุณแม่
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/01/2020 บทที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 12-01-2020 00:05:13
มันคือโรคอะไร ปวดใจกันไปอีก
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/01/2020 บทที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: Noyyyyyyy ที่ 17-01-2020 13:01:55
แล้วพี่พอร์ชจะจำวินได้ไหมเนี่ย :hao5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 17-01-2020 16:07:09
บทที่ 28 ทอดทิ้ง


“Prosopagnosia คือภาวะเสียการรับรู้ของใบหน้า ตาพอร์ชไม่สามารถจดจำใบหน้าของใครได้เลย แล้วเธอคิดหรือว่าเขาจะสามารถทำงานกับคนที่คอยจ้องแต่จะเอาเปรียบเขาอยู่ตลอดเวลาได้ เขาจะแยกศัตรูแต่ละประเภทออกได้มั้ย เขาเข้มแข็งมากพอหรือยัง”
ผมพยายามย่อยข้อมูลที่ได้มาเงียบๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีโรคจำหน้าคนไม่ได้แบบนี้อยู่ด้วย ผมยอมรับนะว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่แอบคิดว่ามันก็ดีแล้วที่พอร์ชป่วยเป็นโรค Prosopagnosia เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เจ็บป่วยทางร่างกาย ยังสามารถมีชีวิตที่แข็งแรงและอยู่ต่อไปได้อีกนาน
แต่ถ้าคิดในมุมมองของพอร์ช เขาคงทุกข์ใจไม่น้อยที่ไม่สามารถจดจำใบหน้าของใครได้เลย และมันคงเป็นปัญหาใหญ่ในการทำงานของเขามากจริงๆ แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็อธิบายถึงนิสัยแปลกๆที่ไม่แยแสคนรอบข้างของเขาได้ดี
“โรคนี้ยังไม่มีการรักษา แต่ฉันได้ติดต่อสถาบันวิจัยด้านการแพทย์ของอเมริกาไว้แล้ว ทางนั้นเขาอยากได้ตาพอร์ชมาเป็นกรณีศึกษา ดังนั้นฉันจึงคิดว่าเขายังมีโอกาสที่จะหาย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ 1% แต่ฉันก็อยากให้เขาลองดู เขาสามารถเรียนต่อโทที่นั่นควบคู่ไปกับการรักษาได้ มันจะดีต่อเขามากถ้าเขาไป”
นั่นสิ…
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณแม่ของพอร์ชจึงอยากให้ลูกชายคนเดียวไปอเมริกา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็เป็นเรื่องสมควรที่พอร์ชควรทำเพื่อตัวเอง เพียงแต่บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่าพอร์ชกำลังคิดอะไรอยู่ ผมสำคัญกับเขามากขนาดที่ว่าขาดไม่ได้เลยหรือ?
“ส่วนถ้าเขาไม่หาย ฉันก็ได้เตรียมผู้เชี่ยวชาญสำหรับผู้พิการทางสายตาไว้ให้เขาแล้ว เขาต้องรู้วิธีรับมือกับคนที่เขาจดจำใบหน้าไม่ได้”
“แต่พอร์ชจำผมได้”
ผมแย้ง โรค Prosopagnosia มีข้อยกเว้นมั้ยนะ ถ้าเจอหน้ากันบ่อยๆจะสามารถจดจำได้เองหรือเปล่า?
“เขาไม่ได้จำใบหน้าของเธอ แต่เขาจำเสียงและลักษณะท่าทางการเดินของเธอ แต่มันก็แค่คนที่เขาสนิทด้วยเท่านั้น คนที่ไม่สนิทเขาไม่สามารถจำเรื่องพวกนี้ได้ อีกอย่างเขาจะได้เรียนรู้วิธีการสังเกตและการจดจำลักษณะของคนอย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ”
คุณแม่ของพอร์ชอธิบาย ซึ่งลึกๆแล้วผมกำลังจนมุมกับเหตุผลของเธอ
“เธออยากให้ฉันส่งเธอเรียนต่อสูงๆมั้ย ที่ไหนก็ได้ ฉันจะให้ทุนแบบไม่ต้องใช้คืน ขอแค่เธอทำตามที่ฉันบอก แค่พาเขาไปที่สนามบิน ทิ้งเขาไว้แล้วออกไปจากชีวิตของเขา ตาพอร์ชจำเธอไม่ได้อยู่แล้ว เขาไม่มีทางหาเธอเจอ”
ผมหลุบตาลง รู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าว แต่ผมไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าของเธอ ผมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้เงินฟาดหัวผมตามประสาคนรวย เธอพูดเหมือนมันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แค่ให้ผมพาพอร์ชไปส่งที่สนามบิน แต่ก่อนจะทำแบบนั้นผมต้องโกหกอะไรกับเขาไปบ้าง แล้วผมก็เคยสัญญากับเขาไว้แล้วว่าจะไม่โกหกเขาอีก
“ผมชอบพอร์ชจริงๆนะครับ” ผมเอ่ยเบาๆ ผมทนความห่างไกลจากพอร์ชได้ แต่ผมโกหกเขาไม่ได้
“ถ้าให้ฉันพูดแบบใจร้าย…”
คุณแม่ของพอร์ชเริ่ม เธอเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่ากำลังลังเล ก่อนจะตัดใจใช้ถ้อยคำที่โหดร้ายกับผม
“ฉันอยากให้เธอออกไปจากชีวิตลูกชายของฉัน เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย มันเป็นแค่ความหลงใหลชั่วคราว มันอาจต้องใช้เวลาแต่ฉันเชื่อว่าเขาจะกลับไปชอบผู้หญิงได้เหมือนเดิม”
ฟังแล้วเจ็บชะมัดเลย ผมยอมรับว่าหัวใจกำลังชาจนพูดไม่ออก ทำไมการที่ผมกับพอร์ชรู้สึกดีต่อกัน จึงกลายเป็นผมกำลังทำร้ายเขาล่ะ
“ดะ เดี๋ยวครับ”
ผมตกใจจนร้องออกมาแบบตะกุกตะกัก เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็ลุกจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าของผม ทำให้ผมรีบคุกเข่าลงบนพื้นแทบไม่ทัน
“ขอร้องล่ะ เธอรักตาพอร์ชได้ไม่เท่ากับที่ฉันรักหรอกนะ ได้โปรดปล่อยลูกชายของฉันให้ไปเจอสิ่งดีๆที่คู่ควรกับเขาเถอะ”
ในฐานะของคนเป็นแม่ ย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อลูก ย่อมต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่ผมรู้ดีว่า…
สิ่งดีๆที่ว่านั้น ไม่ใช่ผม!


สนามบินสุวรรณภูมิ
“วิน”
ผมสะดุ้งเมื่อมือหนึ่งเอื้อมมาเขย่าแขนของผมแรงๆ ขาสองข้างที่กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองหน้าของพอร์ชอย่างมีคำถาม
“เป็นอะไร กังวลเหรอ?” พอร์ชถาม สีหน้าของเขาฉายความข้องใจกับปฎิกิริยาของผมในวันนี้
“เปล่า”
ผมปฎิเสธเสียงแผ่ว วันนี้เป็นวันที่พอร์ชต้องเดินทางไปอเมริกา หมอนั่นยิ้มหน้าบานตั้งแต่เช้าเพราะเขาเข้าใจว่าพวกเราจะไปเรียนด้วยกัน ส่วนผมที่พยายามอย่างหนักในการทำตัวให้เป็นปกติกลับรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ผมไม่เคยรู้เลยว่าการยิ้มให้พอร์ชเป็นเรื่องที่ยากไปตั้งแต่เมื่อไร
“แน่ใจนะว่าพ่อกับแม่มึงอนุญาตแล้ว ไม่ใช่ว่าแอบหนีตามกูมานะ”
พอร์ชถามยิ้มๆส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ การโกหกเรื่องที่หนึ่ง ทำให้ผมต้องโกหกเรื่องที่สองและสามตามมาอย่างช่วยไม่ได้
“แน่ใจ”
ผมกับพอร์ชเดินไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ของสายการบินแห่งหนึ่ง ผมโหลดกระเป๋าเดินทางที่แม่ของพอร์ชเตรียมไว้ให้อย่างแนบเนียน เมื่อผมไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับไฟต์ดังกล่าว กระเป๋าจะถูกยกลงมาให้แล้วผมก็ตั้งใจว่าจะเอามันไปคืนให้กับแม่ของพอร์ช ผมไม่อยากรับอะไรจากเธอทั้งนั้น ถ้าผมต้องไป ผมยินดีไปพร้อมกับความทรงจำดีๆที่มีต่อพอร์ช ไม่ใช่ไปเพราะเงินหรือทรัพย์สินของเธอ
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงเครื่องจึงจะออก ระหว่างนั้นผมกับพอร์ชตัดสินใจว่าจะไปนั่งรออยู่ที่หน้าเกท พวกเราใช้เวลาพูดคุยกันในเรื่องที่อยากจะทำต่อจากนี้ พอร์ชสัญญากับผมว่าเมื่อพวกเรากลับมาที่ประเทศไทยในช่วงปิดเทอมเราจะไปหาดบางแสนด้วยกัน หลังจากที่ครั้งก่อนพวกเราพลาดโอกาสที่จะได้ไปเดตด้วยกัน
“เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมเอ่ยขึ้นมาเมื่อใกล้จะได้เวลาเครื่องออก
“ไปด้วย” พอร์ชขยับตัวทำท่าจะลุกตามผมไปเข้าห้องน้ำ แต่ผมรีบผลักไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้กลับไปนั่งบนเก้าอี้เช่นเดิม
“ไม่ต้อง” ผมเปิดประเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลัง แล้วหยิบหนังสือ ‘เรื่องเล่าในต่างเเดน’ มายัดใส่มือของพอร์ชที่ทำหน้างุนงง
“ฝากนี่ด้วย เอาไว้อ่านฆ่าเวลาถ้ากูมาช้า”
“เร็วๆนะวิน”
พอร์ชตะโกนไล่หลัง ทำให้ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวจากเขามา ถ้าครั้งนี้ผมจากเขาไปแล้ว โอกาสที่ผมจะได้เจอเขาเป็นครั้งที่สองแทบไม่มีเลย ผมหลับตาลงช้าๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปหาพอร์ช หมอนั่นเงยหน้ามองผมด้วยความแปลกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเขินเมื่อผมโน้มใบหน้าลงไปประทับจูบลงบนหน้าผากของเขาเบาๆโดยไม่แคร์สายตาของคนรอบข้าง
“รีบไปได้แล้วเดี๋ยวเครื่องออก”
“อืม”
ผมพยักหน้า ครั้งนี้ผมก้าวเท้าจากเขามาอย่างไม่ลังเล อะไรจะเกิดย่อมต้องเกิด เพราะผมได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางของผมแล้ว
ผมหลบไปอยู่ในมุมที่คาดว่าสายตาของพอร์ชจะมองมาไม่เห็น ก่อนจะหยิบเสื้อยืดแขนยาวที่ซื้อมาใหม่จากกระเป๋าเป้ แล้วสวมทับเสื้อยืดสีขาวแขนสั้น ผมรู้ว่าหมอนั่นจำเสื้อผ้าของผมได้ ดังนั้นผมต้องเปลี่ยนมัน ถ้าหากผมไม่พูด เขาย่อมหาผมไม่เจอ
ผ่านไปเกือบสิบนาที ผมได้แต่ยืนหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง มองพอร์ชที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเกทเงียบๆ เขาโทรมาหาผมหลายครั้ง รวมทั้งข้อความที่ส่งเข้ามาถี่ๆทำให้ผมต้องปิดเครื่อง และตั้งใจว่าหลังจากนี้จะเปลี่ยนเบอร์โทร ปิดเฟสบุ๊คและทุกช่องทางการติดต่อ
ใกล้จะได้เวลาเครื่องออกเข้าไปทุกทีแล้ว พอร์ชดูท่าทางกังวล เขาเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปตามหาผมในห้องน้ำใกล้ๆนี้ เขาเดินผ่านหน้าผมหลายรอบแต่ไม่ได้เหลือบตามามองเลย นั่นยืนยันได้ถึงอาการป่วยของเขาที่เกินจะเยียวยา
ผมคิดถูกแล้วใช่มั้ย ที่ปล่อยเขาไป…
พอร์ชยังถือหนังสือเล่มที่ผมส่งให้เขาไว้ตลอดเวลา ในขณะที่พนักงานของสายการบินเริ่มประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง พอร์ชเป็นคนฉลาด ผมรู้ว่าเขาจะเปิดหนังสือเล่มนั้น และนาทีต่อมาเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขาใช้ปลายนิ้วกรีดหนังสือเร็วๆรอบหนึ่งเมื่อเห็นว่ามีกระดาษสีขาวถูกสอดเอาไว้ด้านในก็รีบหยิบมันออกมาอ่าน…
ผมบอกแม่ของพอร์ชว่าจะทำให้เขาขึ้นเครื่องบินไปอเมริกา แต่ขออย่าให้คนของเธอที่รออยู่รอบๆสนามบินเข้าไปกดดันหรือบังคับให้เขาไป
ผมหวังว่าเวลาเกือบหนึ่งปีที่รู้จักกับเขาจะทำให้ผมคิดถูก…พอร์ชเป็นคนที่ไม่สามารถบีบบังคับได้ เขาเชื่อมั่นในความคิดและเหตุผลของตัวเอง ดังนั้นหากผมต้องการบีบบังคับเขา ผมต้องโจมตีที่หัวใจเพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขายอมจำนนและตัดสินใจจากไปเอง
อันที่จริง ผมควรเอ่ยปากบอกเขาตรงๆ ไม่ว่ายังไงพอร์ชย่อมทำตามคำขอของผม เพียงแต่ว่าความขี้ขลาดทำให้ผมไม่กล้าบอกกับเขาด้วยตัวเอง จำต้องบอกผ่านจดหมายเพราะผมกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ หรือหากได้ยินคำขอร้องจากเขา ผมจะตัดสินใจปล่อยให้เขาจากไปไม่ได้
ทุกการกระทำของพอร์ชล้วนอยู่ในสายตาของผมทั้งหมด สีหน้าของเขาหลังจากอ่านจดหมายดูย่ำแย่มาก เขาสอดกระดาษกลับไว้ในหนังสือเช่นเดิม มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นมากุมใบหน้า และนาทีต่อมาผมจึงรู้ว่าเขากำลังร้องไห้…ผมทำให้คนที่รักผมต้องร้องไห้ น้ำตาของผมไหลออกมาช้าๆขณะที่พอร์ชเดินจากไป
เขาตัดสินใจไปอเมริกาตามคำขอของผม…ผมควรดีใจใช่หรือเปล่า?


กูมีเรื่องอยากสารภาพกับมึง ความจริงแล้วกูโกหก กูไม่ได้ตั้งใจจะไปอเมริกากับมึง ตอนนี้มึงคงจะโกรธกูมากแล้วก็คงคิดว่ายังไงก็จะไม่ยอมไปอเมริกาคนเดียว มึงจะทำทุกอย่างเพื่อหากูให้เจอแล้วค่อยแตะก้นกูล่ะมั้ง แต่ต่อให้มึงทำแบบนั้น กูก็ไม่ยอมให้มึงลากกูไปด้วยหรอก มึงยึดติดอยู่กับกูมากเกินไปแล้ว กูอยากให้มึงทำเพื่อตัวเองบ้าง แม่ของมึงบอกว่ามึงป่วยและก่อนหน้านี้มึงก็ตั้งใจจะไปเรียนต่อโทที่อเมริกาอยู่แล้ว แล้วมึงลองคิดดูนะว่ากูจะรู้สึกยังไงที่กลายเป็นตัวถ่วงในชีวิตของมึง มึงบอกว่ารักกู มึงทำทุกอย่างได้เพื่อกู แล้วถ้าตอนนี้กูขอร้องให้มึงไปอเมริกา มึงจะทำเพื่อกูได้มั้ย? ถ้าไม่ได้มึงก็อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก มึงจะกลับมาหากูได้ก็ต่อเมื่อมึงประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วเท่านั้น กูอยากเห็นมึงดูแลกิจการของที่บ้านได้อย่างมั่นคง เมื่อถึงตอนนั้นถ้ามึงยังต้องการกู กูจะไม่ไปจากมึงอีก
-วิน-





:sad4:


ผลงานในเล้าเป็ด
รักเร่ (เเนวจีนโบราณ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70430.msg3978842#lastPost)
ใครอยู่ในห้อง? (โรเเมนติก/สืบสวน) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67383.0)
เเอคโนเซีย (โรเเมนติก/ดราม่าเล็กน้อย) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70728.0)
เเกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก (รักหวานเเหวว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71283.0)
ผลงานทั้งหมด (https://www.facebook.com/notes/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9A-boys-love/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9A/1280233968753620/)


หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-01-2020 18:02:56
พอร์ชรักษาหายใช่ไหม
ตอนนี้พอร์ชกลับมาหาวินแล้ว
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 17-01-2020 19:11:26
เชื่อว่าพอร์ชไม่เคยลืมวินได้เลย เขาไปเพื่อทำทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วกลับมาหาวินใช่ไหม

อยากรู้เรื่องใจจะขาดแล้วครับ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-01-2020 21:13:34
ไม่ได้ลืมกันใช่มั้ย ถึงจะจำหน้าไม่ได้แต่ความรุ้สึกจะบอกใช่ป่าว
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 17/01/2020 บทที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 20-01-2020 15:28:12
คุณแม่ใจร้าย สงสารทั้งคู่เลย :hao5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 20-01-2020 16:56:51
บทที่ 29 คนสำคัญ


โรงงานผลิตจาระบีของยูเนียนในบ่ายวันศุกร์ยังครึกครื้นไปด้วยพนักงานจำนวนมากที่เดินสวนทางกันไปมา เพื่อปฎิบัติหน้าที่ของตัวเองตามที่ได้รับมอบหมาย วิศวกรส่วนใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบการผลิตในส่วนของโรงงานต่างมีออฟฟิศติดแอร์ที่แทบไม่มีโอกาสได้ใช้งาน ต่างจากผมที่ถือว่าโชคดีที่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ซึ่งจะเข้ามาตรวจตราสินค้าสัปดาห์ละหนึ่งครั้งเท่านั้น โดยผลัดเปลี่ยนเวรกับเพื่อนร่วมแผนกคนอื่นๆ แต่ที่โชคร้ายคงเป็นเรื่องของระยะทางที่ผมจำเป็นต้องนั่งรถบัสจากกรุงเทพมาที่ระยองซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตจาระบี โดยการเดินทางแต่ละครั้งสามารถเบิกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ แต่วันนี้ผมกลับไม่แน่ใจว่าสามารถไปเบิกเงินค่าเดินทางได้หรือไม่ ในเมื่อวันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่ต้องเข้ามาที่โรงงาน อีกอย่าง สิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้จะเรียกว่าเป็นการทำงานก็ไม่น่าใช่ มันออกจะนอกเหนือหน้าที่ด้วยซ้ำ
“ตอนนี้ที่โรงงานของเราผลิตจาระบีทั้งหมด 4 ประเภทครับ นี่คือจาระบีแคลเซียม (Calcium Grease) มีความไวต่ออุณหภูมิในจุดที่จะทำให้เกิดการระเหยได้” ผมอธิบายให้ท่านประธานที่มีสีหน้าสนใจใคร่รู้ฟัง ในมือของเขากำลังถือไอแพดและ Apple Pencil เพื่อจดบันทึกสิ่งที่เขาต้องการ ส่วนผมที่เกรงว่าท่านประธานที่กำลังติวเข้มแบบตัวต่อตัวจะไม่เห็นภาพ จึงให้กรรมกรคนหนึ่งช่วยตักตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใส่ในขวดมาให้ท่านประธานดูทั้งหมดสี่ขวด
ท่านประธานบอกผมว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาที่โรงงาน เพราะก่อนหน้านี้ที่เขาเทคโอเวอร์ยูเนียน เขายุ่งอยู่กับการจัดการหุ้นของบริษัทที่ทิ้งดิ่งจนทำให้ยอดขายของจาระบีชะงักไปชั่วคราว ผมเดาว่าตอนนี้เขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อจะทำให้ยูเนียนกลับมามั่นคงในทุกๆด้าน
ยูเนียนทำธุรกิจอยู่ทั้งหมด 3 แบบ
1. Upstream = ธุรกิจแบบต้นน้ำ = ประเภทแท่นขุดเจาะน้ำมัน
2. Midstream = ธุรกิจแบบกลางน้ำ = ประเภทหอกลั่นน้ำมันและโรงงานกลั่นแยก
3. Downstream = ธุรกิจแบบปลายน้ำ = ประเภทโรงงานผลิตโปรดัคเกี่ยวกับน้ำมันส่งถึงมือผู้ใช้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (จาระบีอยู่ในส่วนนี้ซึ่งเป็นส่วนที่ท่านประธานยังไม่ได้เข้าไปศึกษาดูแลอย่างจริงจัง)
ผมขอนินทาผู้บริหารในใจเลยนะครับ ได้ข่าวเม้าส์ (สายข่าว=อีพี่เขียว) เล่าให้ฟังว่าตำแหน่งรองประธานของยูเนียนมีทั้งหมด 3 ตำแหน่ง ดูแลในส่วนของธุรกิจ 3 แบบ แต่ท่านประธานใหญ่คนปัจจุบัน (พอร์ช) ต้องการถอดถอน ถ้าภาษาชาวบ้านคือต้องการไล่รองประธาน (ธุรกิจแบบปลายน้ำ) ออกไปแล้วให้คนในครอบครัวหรือคนสนิทนั่งตำแหน่งนี้แทน
แต่ช่วยไม่ได้ที่หนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของเขา ทำให้ยังสามารถรั้งตำแหน่งของรองประธานเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นและคงยากที่จะไล่ออก ส่วนผมยังไม่มีบุญวาสนาจะได้เจอท่านรองคนนั้น แต่ผมคิดว่าเขาต้องเจ๋งมากแน่ๆ คนที่กล้าต่อกรกับท่านประธานมีแค่คนเก่งกับคนหน้าด้านเท่านั้นแหละครับ (?) เชื่อผมสิ
“ส่วนนั่นคือจาระบีโซเดียม (Sodium Grease) ใช้ในงานที่มีอุณหภูมิสูง สามารถละลายน้ำได้ง่าย เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความทนทานและต้องการคุณสมบัติในการซีล”
ผมอธิบายพร้อมกับหยิบขวดบรรจุตัวอย่างของจาระบีมาส่งให้ท่านประธาน
“ต่อมาคือจาระบีอะลูมินัม (Aluminum Grease) มีความหนืดสูง เนื้อสารจะมีความเหนียวมาก มีความต้านทานน้ำสูง ยึดติดได้ดี ยับยั้งสนิมได้ แต่จาระบีประเภทนี้จะมีอายุการใช้งานที่สั้น และสุดท้ายคือจาระบีลิเธียม (Lithium Grease) มีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือแบบผิวเนยและแบบคอมเพล็กซ์ แต่ที่โรงงานของเราจะผลิตแค่แบบผิวเนยเพราะนิยมใช้กันมากที่สุด สามารถใช้งานในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงสุดถึง 135 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในอุณหภูมิต่ำได้ถึงระดับ -35 องศาเซลเซียสด้วยครับ…”
ยูเนียนผลิตจาระบีทั้งแบบค้าปลีกและแบบค้าส่ง ทำให้มีลูกค้าเป็นจำนวนมาก รายได้ต่อปีประมาณ 200 ล้านบาท ยังไม่รวมรายได้จากน้ำมันอีกนะครับ
“เหนื่อยแล้วเหรอ”
คนที่เดินอยู่ข้างๆเอ่ยถามราวกับเจ้านายที่มีน้ำใจต่อลูกน้อง คือผมก็ไม่อยากจะบ่นหรอก แต่ว่าวันนี้ท่านประธานใช้งานผมเกินค่าจ้างแล้วนะ ผมเดินจนขาลากตั้งแต่เช้าเพื่อพาเขาทัวร์โรงงานตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน ทั้งแนะนำและพาชมทุกการทำงานของเครื่องจักร เขาถามผมทุกเรื่องตั้งแต่การผลิต การตรวจสอบคุณภาพ การซ่อมบำรุงเครื่องจักร จนถึงการส่งออกต่างประเทศ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ส่วนที่ผมจะต้องไปรับรู้เลยนะ เขาทำให้ผมต้องขุดความรู้เก่าๆสมัยเรียนออกมาตอบคำถามร้อยแปด
ให้ตายสิ เหนื่อยสมองชะมัดเลย
ผมได้พักกินมื้อกลางวันง่ายๆที่โรงอาหารของโรงงานร่วมกับท่านประธาน เพราะเขาอยากรู้ว่าพนักงานกินอาหารแบบไหน ซึ่งที่โรงอาหารของยูเนียน แค่จ่ายค่าอาหาร 20 บาทก็สามารถกินอาหารดีๆได้ไม่อั้น ทั้งเนื้อ ผักและไข่ (กินไม่หมดปรับนะครับ) เอาเป็นว่ารสชาติ ราคา และความสะอาดทำให้ท่านประธานพอใจ ลองคิดดูนะว่าถ้าเขาไม่พอใจขึ้นมา พวกพ่อค้าแม่ค้าคงต้องโดนไล่ออกตั้งแต่ร้านแรกจนถึงร้านสุดท้ายแน่ๆเลย
“ใช่ครับ”
ผมตอบอย่างจริงใจสุดๆ ผมได้พักกินมื้อกลางวันแค่สามสิบนาที ยังไม่ทันได้นั่งพักให้หายปวดขา ท่านประธานก็ลากผมมาดูผลิตภัณฑ์ต่อ ลากยาวมาจนถึงสี่โมงเย็น ขอเถอะ ผมเหนื่อยจนจะเดินไม่ไหวแล้ว ปล่อยผมกลับบ้านสักที วินอยากนอน!!!
“งั้นวันนี้พอแค่นี้ละกัน”
ประโยคต่อมาเป็นดั่งเสียงสวรรค์ที่ทำให้ผมขยับยิ้มกว้าง และผมจะซาบซึ้งใจกว่านี้มาก ถ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมต้องมาทำหน้าที่พาท่านประธานทัวร์โรงงาน
“ขอบคุณครับ”
“กลับเลยมั้ย” ท่านประธานเอ่ยถาม ซึ่งผมรีบพยักหน้ารับทันที เสียมารยาทหรือเปล่าไม่รู้…รู้แค่ว่าวินจริงใจครับ อยากกลับก็บอกว่าอยากกลับ
“ครับ”
“กลับยังไง”
“รถบัสครับ”
ผมตอบระหว่างที่พวกเราก้าวเท้าออกมาจากโรงงาน ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่กำลังมืดครึ้ม บนนั้นมีกลุ่มเมฆก้อนใหญ่ลอยเอื่อยๆ เดาว่าอีกไม่นานจะต้องมีฝนเทลงมาแน่ๆ ทางที่ดีผมควรรีบไปขึ้นรถบัสให้เร็วที่สุดถ้าไม่อยากเปียกแฉะ
“ผมไปส่งที่ท่ารถ”
ถ้อยคำอาสาจากเจ้านายใจดีทำให้ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยถ้าฝนตกลงมาตอนนี้ผมก็ไม่ต้องเปียก
“ขอบคุณครับ”
ท่านประธานใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีในการขับรถมาส่งผมที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร ตอนนี้เขาไม่ได้ขับปอร์เช่สีแดงเหมือนสมัยเรียนแล้ว แต่เปลี่ยนมาขับจากัวร์สีดำ ซึ่งนับเป็นบุญตูดของผมแล้วครับที่ได้ทัสรถหรูราคาหลายสิบล้านถึงสองคัน
“ไปกรุงเทพครับ มีรอบไหนบ้างครับป้า”
ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสแล้วชะโงกหน้าไปถามหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“รอบสุดท้ายเพิ่งออกไปเมื่อกี๊นี้เองจ้ะหนู”
ไปแล้ว! ให้ตายสิ ทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้อีกสักสิบนาทีนะ
ผมได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ แล้วพาลโทษไปถึงคนที่ขับรถมาส่ง ทั้งปล่อยช้าแถมยังขับรถช้าอีกต่างหากทำให้ผมพลาดรถบัสรอบสุดท้าย แล้วทีนี้จะกลับกรุงเทพยังไงล่ะเนี่ย ผมไม่อยากเสียเวลาหาโรงแรมพักสักหนึ่งคืนหรอกนะ แม้พรุ่งนี้จะเป็นวันหยุด แต่ผมมีงานอื่นที่อยากรีบกลับไปเคลียร์ให้เสร็จๆ
“มีรถอย่างอื่นไปกรุงเทพมั้ยครับป้า” ผมถาม
“แท็กซี่ไงหนู”
ข้อเสนอนั้นถูกผมปัดตกไปอย่างรวดเร็ว เรื่องอะไรล่ะ ถ้าเกิดผมเบิกค่ารถไม่ได้ขึ้นมาผมไม่เสียเงินหลายพันไปฟรีๆเหรอ แล้วไอ้ท่านประธานก็ใจดำเหลือเกิน ไหนๆก็รับผมขึ้นรถมาด้วยแล้ว จะให้ผมติดรถกลับกรุงเทพด้วยกันก็ไม่ได้
“ที่ราคาถูกกว่าแท็กซี่อ่ะมีมั้ยครับ”
“ขึ้นรถตู้มั้ย”
อา…ข้อเสนอนี้นับว่าน่าสนใจ ราคาคงแพงกว่ารถบัสไม่กี่บาท แต่ประเด็นคือผมไม่เคยนั่งรถตู้ด้วยสิ ต้องไปขึ้นที่ไหนล่ะ
“ไปครับไป”
“แต่หนูต้องไปรอรถที่ xxx นะ เดี๋ยวป้าให้เบอร์ติดต่อไปก็ได้ รถตู้สายนี้มันอยากได้ลูกค้าจนตัวสั่น โทรปุ๊บวนรถกลับมารับปั๊บเลยจ้า มันไม่ค่อยมีคนขึ้นหรอก”
อะ อ้าว หมายความว่าไงอ่ะที่บอกว่าไม่ค่อยมีคนขึ้น รถตู้สายนี้มันทำไมครับ ขับซิ่งดิ่งนรกหรือค่ารถแพงมากๆ แต่ผมไม่มีเวลาให้ได้สนใจมากเมื่อป้าคนขายตั๋วเขียนเบอร์ติดต่อของรถตู้ใส่ในกระดาษแผ่นเล็กๆแล้วยื่นมาให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ผมก้าวเท้าไปตามทางเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปยัง xxx ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ขณะที่มือหนึ่งถือไอโฟนและอีกมือถือกระดาษแผ่นเล็กๆ พยายามกดโทรหารถตู้หลายต่อหลายรอบ แต่ไม่เห็นอีกฝ่ายจะรับสายเหมือนคำอวดอ้างของคุณป้าที่บอกว่าโทรปุ๊บวนรถกลับมารับปั๊บเลยสักนิด
ซ่า…
ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาจนนึกว่าฟ้ารั่ว ต้องรีบเก็บไอโฟนซุกลงในกระเป๋าเป้ส่วนที่ลึกที่สุด หวังว่ามันจะไม่เจ๊งนะครับ ผมยังไม่มีเงินซื้อใหม่ซะด้วยสิ
ระหว่างที่ผมกำลังมองหาที่หลบฝนชั่วคราวก็มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดข้างทางเท้าไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าเจ้าของรถเป็นใครเพราะสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาทำให้ลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่นาทีต่อมาเสียงคุ้นหูที่เอ่ยเรียกชื่อก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายคือท่านประธานนั่นเอง ผมนึกว่าเขาขับรถไปถึงไหนต่อไหนแล้วซะอีก
“คุณปัฐวี”
“บอส”
ผมเดินไปยืนข้างหน้าต่างที่ถูกเลื่อนกระจกลงมาทำให้มองเห็นคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“มายืนทำอะไรตรงนี้”
“รอรถตู้น่ะครับ รถบัสมันไปหมดแล้ว”
ผมอธิบาย ส่วนในใจได้แต่ภาวนาว่าได้โปรดรับผมขึ้นรถไปด้วยเถอะครับ ผมหมดทางจะกลับกรุงเทพแล้ว
“ไปด้วยกันมั้ย”
นาทีต่อมา เมื่อท่านประธานเอ่ยปากชวนผมก็ไม่เล่นตัวให้เสียเวลารีบเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งจุมปุ๊กอยู่บนเบาะข้างคนขับ
“ขอรบกวนด้วยนะครับ”
ผมเอ่ยอย่างเกรงใจเพราะรู้ตัวว่าเสื้อผ้าที่เปียกปอน ทำให้เบาะรถราคาแพงเปียกน้ำเป็นดวงๆ และวันต่อมาอาจจะทำให้ในรถเหม็นอับด้วยก็ได้
“ผมต้องแวะทำธุระที่ชลบุรีก่อน คุณรอได้มั้ย”
ท่านประธานเอ่ยถามระหว่างที่รถทะยานไปสู่ถนนใหญ่ที่ค่อนข้างโล่ง ผมหยุดคิดไปครู่หนึ่ง กว่าจะถึงชลบุรีคงจะค่ำแล้ว ถ้าให้หารถเข้ากรุงเทพเองคงจะเป็นเรื่องยาก งั้นผมขอตามท่านประธานไปทำธุระด้วยเลยละกัน อาจจะกลับถึงกรุงเทพช้าไปหน่อยแต่รถส่วนตัวก็นั่งสบายกว่ารถบัส แถมขอให้จอดแวะเข้าห้องน้ำได้ด้วย
“ได้ครับ ผมขอกลับพร้อมบอสนะครับ”
ท่านประธานเพียงแค่พยักหน้าเนิบๆ และระหว่างเราก็ไม่มีบทสนทนาอีกเลย ความเงียบทำให้ผมอึดอัดแต่ก็ไม่กล้าพอจะอ้าปากบอกให้เจ้าของรถเปิดเพลง สายตาของผมเอาแต่แอบเหลือบมองไปทางเขาอยู่บ่อยๆ ท่านประธานใช้มือซ้ายประคองพวงมาลัย ส่วนมือขวาเท้าอยู่กับศีรษะ ท่าทางของเขาเหมือนคนที่กำลังคิดหนักในเรื่องอะไรสักอย่าง แต่ระดับนี้แล้วคงไม่พ้นเรื่องงาน ผลกำไล ขาดทุน หรือหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ
ผมหลับตาแล้วเอนหลังพิงเบาะ ขยับตัวหามุมสบายที่สุดแล้วผ่อนคลายร่างกายที่เมื่อยล้ามาทั้งวัน อีกนานกว่าจะถึงชลบุรีผมคงจะสามารถหลับได้สักตื่น แต่ความหนาวเย็นทำให้ผมรู้สึกไม่สบาย ร่างกายสั่นงึกๆเกินกว่าจะหลับลง แขนสองข้างพยายามโอบกอดตัวเองเพื่อให้ความอบอุ่น แล้วนาทีต่อมาผมก็รู้สึกว่าแอร์ที่เป่ากระทบร่างกายของผมเบาลง พร้อมกับเสื้อสูทราคาแพงที่ถูกถอดออกมาคลุมบนร่างให้ผมอย่างแผ่วเบา
ผมขมวดคิ้ว…ไม่ชอบเลย ไม่ชอบที่เขาใส่ใจพนักงานแบบนี้
ความห่วงใยควรมีให้ ‘คนสำคัญ’ เท่านั้นสิ!



TBC. เหลืออีก 1 ตอน จะจบเเล้วนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :L2:


หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 20-01-2020 18:57:13
จำวินได้ใช่ไหมพอร์ช แกถึงรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนั้น แล้ววนรถมารับได้อะ พูดออกมากนะ

ฉันรู้ฉันดูออก

ผู้เขียนจ้า มาต่อไวๆนะ คนอ่านจะทนไม่ไหวแล้ว
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 20-01-2020 19:24:51
จำได้ใช่ไหมสัญญาที่ทะเล รอติดตามตอนต่อไแนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-01-2020 20:29:20
อีกตอนเดียวจบ ....ไวไป
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 20/01/2020 บทที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-01-2020 22:02:58
อะไรคืออีกตอนเดียวจบอ่ะ แงๆๆ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 24-01-2020 21:44:23
บทที่ 30 ส่งท้าย


ผมถูกท่านประธานปลุกให้ตื่นในตอนที่รถจากัวร์แล่นเข้ามาจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถชั้น VIP ของโรงแรมแห่งหนึ่ง ท่านประธานก้าวเท้าลงจากรถ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูท้ายรถเพื่อหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่งติดมือมาด้วย ส่วนผมที่กำลังงัวเงียรีบลงจากรถแล้วเดินตามอีกฝ่ายต้อยๆเข้าไปด้านในของโรงแรม
ท่านประธานเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อพูดคุยบางอย่างกับพนักงานต้อนรับ ส่วนผมที่ไม่ได้ใส่ใจจะฟังว่าเขากำลังพูดอะไรก็กวาดสายตามองไปรอบๆจึงเพิ่งสังเกตเห็นป้ายชื่อของโรงแรมที่ทำจากไม้แกะสลักงดงาม มันถูกติดอยู่บนผนังด้านหนึ่งซึ่งเขียนว่า ‘Scala Hotel’
อา…งั้นนี่ก็คือโรงแรมของท่านประธานสินะ หนึ่งในธุรกิจหลายร้อยล้านของเขา วันนี้ผมมีบุญได้มาเหยียบแล้ว และเป็นไปได้สูงเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้บริการห้องพักแบบฟรีๆด้วยอ่ะ
ผมยังไม่ทันได้สำรวจความหรูหราของโรงแรมแห่งนี้จนละเอียดถี่ถ้วนก็ได้ยินเสียงร้องเรียก ‘ท่านประธาน’ ดังมาแต่ไกล ก่อนจะปรากฏร่างท้วมของชายวัยกลางคนที่มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากกว้างๆ สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นว่าท่านประธานกำลังยืนรอเขาอยู่
“คุณปัฐวี”
ท่านประธานหันมาเรียกหาผม แล้วหลังจากนั้นก็มีพนักงานชายเข้ามาช่วยถือกระเป๋าของพวกเรา ก่อนจะนำทางไปยังห้องพักที่ดีที่สุด
ในห้องพักหรูหราสมคำร่ำลือ ผมเคยค้นหาราคาห้องพักของสกาล่าในอินเตอร์เน็ทและพบว่าห้องพักของที่นี่มีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นต้นๆไปจนถึงสองแสนบาท และห้องนี้อาจจะคืนละหนึ่งแสนบาทก็เป็นได้ มันเป็นห้องที่กว้างพอๆกับเพนท์เฮ้าส์ มีสองห้องนอน ด้านในตกแต่งแบบไทยๆ ส่วนใหญ่ใช้เครื่องไม้และผ้าไหมในการตกแต่ง เล่นสีทองสลับสีแดงเลือดนก ทำให้ดูหรูหราราวกับราชวังของเจ้าหญิงเจ้าชายในสมัยโบราณ
“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
ผมสะดุ้ง เกือบลืมไปแล้วว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องเดียวกับผม ท่านประธานวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งก่อนจะหยิบเสื้อยืดกับกางเกงนอนขายาวมาส่งให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ผมเอ่ยอย่างเกรงใจ หลุบตามองเสื้อผ้าในมือ นี่ผมต้องรบกวนเสื้อผ้าของเขาแล้วเหรอ มันออกจะเกินไปหรือเปล่านะ แต่จะให้ปฎิเสธเพราะคำว่าเกรงใจก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในเมื่อเสื้อผ้าของผมที่ใส่อยู่ตอนนี้ยังชื้นไปด้วยน้ำฝน ถ้าไม่ใส่เสื้อผ้าของท่านประธานแล้วถอดชุดนี้ออกมาตากให้แห้ง ผมก็ไม่มีอะไรให้ใส่แล้วจริงๆ
…ไหนๆก็รบกวนมาขนาดนี้แล้ว เอาอีกสักเรื่องคงไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงซะ วันนี้ท่านประธานก็ใช้ผมอย่างคุ้มค่าแล้ว…
ผมปลอบใจตัวเองก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่ง ด้านในมีเตียงไม้สี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนยกพื้นกลางห้อง มีม่านสีขาวบางๆล้อมรอบเตียง ผ้าปูเตียงและผ้านวมทำมาจากผ้าทอราคาแพง ตรงผนังห้องด้านหนึ่งติดกระจกใส สามารถมองออกไปเห็นชายหาดสีขาวที่มีเกลียวคลื่นสีดำสาดกระทบชายฝั่งได้ และผมเพิ่งสังเกตอย่างจริงจังว่าโรงแรมแห่งนี้ได้หันหน้าเข้าหาหาดบางแสน สถานที่ที่ผมเคยอยากมานั่งมองพระอาทิตย์ตกดินมากที่สุด เพียงแต่ยามนี้พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว
ผมหยิบผ้าเช็ดตัวที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้เข้าไปในห้องน้ำ แล้วถือโอกาสทดลองใช้อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่นอนแช่ตัวอย่างเป็นสุข กว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็กินเวลามากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ท้องของผมเริ่มร้องโครกครากหาอาหาร กำลังคิดว่าจะออกไปหาท่านประธานแล้วชวนเขาให้ไปหามื้อเย็นกินด้วยกัน
แต่เมื่อเปิดประตูห้องนอนออกมา กลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดก็ลอยมากระทบโพรงจมูกแทบจะทันที สายตารีบกวาดมองไปรอบๆห้อง จึงเห็นว่าบนโต๊ะไม้สักหน้าระเบียงเต็มไปด้วยถ้วยชามเบญจรงค์ที่บรรจุอาหารหน้าตาหน้ากินไว้เต็มไปหมด ส่วนใครอีกคนกำลังถือเชิงแก้วไวน์แดงไว้ในมือ ทิ้งตัวยืนพิงขอบประตูกระจก แล้วทอดสายตามองออกไปบนท้องฟ้าอย่างไรจุดหมาย
“รอผมหรือเปล่าครับ”
ผมเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิด ไม่เห็นรู้เลยว่าท่านประธานสั่งมื้อเย็นมาให้แล้ว แถมยังไม่ยอมแตะต้องอาหารเพราะรอผมอาบน้ำ แบบนี้ผมก็กลายเป็นคนที่โคตรจะไร้มารยาทเลยนะสิ กินของเขา ใช้ของเขา แล้วยังให้เขามารออีก
“ขอโทษนะครับ”
ท่านประธานที่ยังอยู่ในชุดเดิมหันมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะผายมือไปทางเก้าอี้
“นั่งสิ”
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับเก้าอี้ของท่านประธาน แล้วเริ่มลงมือกินอาหารเงียบๆ ทุกอย่างบนโต๊ะรสชาติดีที่สุดเท่าที่ผมเคยลิ้มลอง เพียงแต่ผมรู้สึกฝืดคอจนแทบกลืนอาหารไม่ลงเพราะอาหารทุกอย่างบนโต๊ะ คือของโปรดของผมทั้งหมด…
ทั้งที่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายจำผมได้ แต่ลึกๆแล้วผมก็หวังว่าเขาจะคิดถึงผมบ้าง…สักนิดก็ยังดี
“ไม่อร่อยเหรอ” ท่านประธานเอ่ยถาม ทำให้ผมซึ่งกำลังเคี้ยวข้าวเอื่อยๆเกือบจะสำลัก
“อร่อยมากครับ”
ผมกลืนอาหารลงคอก่อนจะรีบตอบ แล้วระหว่างพวกเราก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ผมเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าของเขาเรียบเฉยติดจะเย็นชา เขาไม่ได้แตะต้องอาหารเลย เอาแต่ดื่มไวน์ไปเกือบครึ่งขวดแล้ว ผมอยากถามเขาว่าไม่หิวเหรอ ทำไมไม่กินข้าว ทำไมดื่มแต่ของพวกนี้ แต่ผมก็ไม่กล้า…ลูกน้องตัวเล็กๆอย่างผม จะมีสิทธิ์อะไรไปถามคนเป็นเจ้านายแบบนั้น
“ชอบงานที่ทำอยู่มั้ย”
“ชอบครับ”
ผมหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบ งานที่ยูเนียนค่อนข้างมีแบบแผน ไม่ได้ยากเกินความสามารถของผม ส่วนเพื่อนร่วมงานไม่นับว่าดีที่สุด แต่ทุกที่ย่อมมีคนที่ขัดแย้งกับเราบ้าง นั่นทำให้ผมมองข้ามไปได้ ส่วนเงินเดือนถือว่าดีมากสำหรับเด็กเข้าใหม่อย่างผม โดยรวมแล้วผมชอบยูเนียน
“มีอะไรที่อยากให้บริษัทปรับปรุงหรือเปล่า”
ท่านประธานเอ่ยถามด้วยประโยคทั่วไป อย่างที่เจ้านายคนหนึ่งต้องการจะรับฟังความเห็นของผู้ใต้บัญชา เพราะเขาอาจมองเห็นในมุมที่สูงเกินกว่าจะเข้าใจในมุมที่ต่ำ
“ตอนนี้ยังครับ”
ผมเพิ่งทำงานที่ยูเนียนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ยังเห็นระบบการทำงานได้ไม่ครบทุกด้าน ดังนั้นผมยังไม่มีอะไรให้ complain
“แล้วมีอะไรอยากถามผมมั้ย”
ประโยคถัดมาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบนัยน์ตาสีดำของท่านประธาน หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่มันเป็นแค่ประโยคปลายเปิดที่เขาสามารถหมายถึงอะไรก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไม บางอย่างในสายตาของเขากำลังทำให้ผมคิดถึงเรื่องต่างๆระหว่างพวกเรา
“บอส…”
ผมเอ่ยอย่างลังเล มือขวาเผลอกำช้อนไว้แน่น
“แต่งงานหรือยังครับ”
เมื่อหลุดปากถามออกไปแล้ว ผมก็อยากจะยกมือขึ้นมาตบปากตัวเองแรงๆสักที เป็นบ้าอะไรไปถามเขาแบบนั้นนะ เขาจะแต่งหรือไม่แต่งเกี่ยวอะไรกับมึง!
“ยังครับ”
คำตอบที่ได้รับทำให้ผมชะงัก เงยหน้าขึ้นไปมองดวงหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉย ไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบคำถามง่ายๆแบบนี้ แถมดูเหมือนจะไม่ติดใจสงสัยอะไรเลยด้วย
“แล้วมีคนรักหรือยังครับ”
ผมรุกถามเขามากขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจในการละลาบละล้วงของผม ถ้าเขายังไม่ได้แต่งงาน แล้วตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาได้คบหาดูใจกับใครบ้างหรือเปล่า หรือเขาอาจจะกลับไปชอบผู้หญิงเหมือนเดิมมั้ยนะ
“เคยมีครับ”
ผมหลุบตาลง รู้สึกผิดหวังชะมัดเลย ตั้งแต่เลิกกับเขามาห้าปี ผมไม่เคยเริ่มต้นใหม่กับใครได้เลย ต่างจากเขาที่เริ่มต้นกับคนใหม่แล้วจบกับคนใหม่ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่…ประโยคต่อมากลับทำให้หัวใจของผมสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ คลื่นลูกหนึ่งก่อตัวปั่นป่วนอยู่ในร่างกายของผม ทั้งแฝงความเศร้าและแฝงความโหยหา…
“แต่เขาทิ้งผมไป…ห้าปีแล้ว”
เขา…หมายถึงผม!
ผมอ้าปาก อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก สายตาของท่านประธานที่ทอดมองมาที่ผมอย่างเงียบสงบ ทำให้ผมคาดเดาไม่ได้เลยว่าเขารู้หรือไม่ว่าผมเป็นใคร และต่อให้เขารู้ นั่นก็แค่หมายความว่าเขากำลังแกล้งทำเฉยเมยต่ออดีตคนรักอย่างผมเท่านั้นเอง
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน เชิญตามสบาย”
ท่านประธานเอ่ย ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วหมุนตัวจากไปทันที แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวทำให้ผมอยากเอื้อมมือไปสัมผัสแล้วโอบกอดเขาไว้แน่นๆ
แต่นั่น…เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงในความคิดของผมเท่านั้น
หลังจากที่ท่านประธานหายเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนอนของผม เขาก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ผมทานอาหารอิ่มแล้ว แต่ไม่ได้ลุกไปไหน ผมแค่คิดว่าบางที เมื่อเขาหิว แล้วอาจจะออกมากินอะไรสักหน่อยก็ได้
เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม จมอยู่ในความคิดของตัวเอง มือหนึ่งกำลังเขย่าขวดไวน์แดงเบาๆแล้วยกขึ้นกระดกใส่ปาก ปล่อยให้รสชาติอ่อนนุ่มไหลลงคอ ก่อนจะเผลอขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ เมื่อคิดว่าต่อให้ดื่มหมดขวด ของแบบนี้ก็ไม่มีทางทำให้ผมเมาได้เลย


ผมรู้สึกง่วงนอนหลังจากที่ไวน์แดงถูกผมกำจัดลงไปในกระเพาะจนหมดขวด ขาสองข้างก้าวไปข้างหน้า มือเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตูห้องนอนให้เปิดออกก่อนจะปิดมันลงอย่างแผ่วเบา ความมืดและความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้ผมตัวสั่นเล็กน้อย สายตาค่อยๆคุ้นชินกับความมืด จึงทำให้พอจะมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้กลางห้อง
แน่ล่ะ นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม ดังนั้นคนที่นอนหลับสนิทราวกับเจ้าชายนิทราจะเป็นใครได้นอกจากท่านประธาน
ผมไม่ได้เมา…ผมแน่ใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผมจึงกล้าบุกรุกห้องนอนของคนอื่นในยามวิกาลแบบนี้ ผมแค่อยากเข้ามา…นั่นเป็นความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในสมอง
ผมก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบเข้าไปใกล้ร่างของท่านประธาน ทรุดตัวนั่งบนขอบเตียง แล้วก้มหน้ามองดูดวงหน้าคุ้นเคยที่กำลังหลับสนิท  ผมคิดถึงเขามากเหลือเกิน…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมทำได้แค่นั่งมองใบหน้ายามหลับของเขาเงียบๆ มีหลายครั้งที่คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าที่ห่วงหา แต่ความรู้สึกผิดที่กดเก็บอยู่ลึกๆทำให้ผมไม่กล้าแตะต้องเขา
แต่ยิ่งมอง…ผมก็ยิ่งคิดถึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่ทำให้ผมกล้าบ้าบิ่น หรือเป็นเพราะความต้องการของผมอยู่แล้วจึงได้โน้มใบหน้าลงไปประทับจุมพิตแผ่วเบาลงบนริมฝีปากอุ่นๆ ตั้งใจว่าจะผละออกทันทีแต่กลับต้องชะงักเมื่อมือของคนที่ควรจะหลับ กลับยกขึ้นมาดันท้ายทอยของผมให้แนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง
เรียวลิ้นที่คุ้นเคยของเขากำลังขยับช้าๆเพื่อสอดแทรกเข้ามาให้โพรงปากของผมที่เปิดอ้ารับด้วยความเต็มใจ ผมถูกดึงให้ล้มตัวลงมาทาบทับร่างข้างใต้ก่อนจะถูกอีกฝ่ายพลิกกลับมาคร่อมทับร่างของผมเอาไว้
ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำท่ามกลางความมืดมิด ระหว่างพวกเราไม่มีคำพูดใดเลย ผมไม่อยากสนใจแล้วว่าเขากำลังคิดถึงใคร จูบผมเพราะอะไร แต่ผมสนใจเพียงแค่ว่าผมจูบเขาเพราะผม ‘รัก’ เขามากเหลือเกิน


สายลมแรงที่พัดกระทบใบหน้า ทำให้ผมหรี่ตาลง มองภาพสวยงามเบื้องหน้าด้วยจิตใจที่ล่องลอย ท้องทะเลสีครามอมเขียวก่อเกิดเกลียวคลื่นลูกเล็กๆสาดกระทบเท้าเปลือยเปล่าของผมที่เหยียบย่ำอยู่บนหาดทรายสีขาว แสงแดดอ่อนๆในยามที่ดวงอาทิตย์ยังแอบอยู่หลังกลุ่มเมฆทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย…เมื่อคืนหลังจากที่ผมเผลอตัวเผลอใจจูบกับท่านประธานอย่างดูดดื่มเหมือนที่เราเคยทำนับครั้งไม่ถ้วน ในสมัยอดีต เขาก็โอบกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งคืน ผมหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิราอย่างเป็นสุขอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน และเช้าวันนี้เมื่อผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เดินใจลอยมาจนถึงชายหาดบางแสนแล้ว ปล่อยให้ใครอีกคนนอนจมอยู่ในห้วงนิทราเพียงลำพัง
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา ทำให้ผมละสายตาจากท้องทะเลไปมองร่างสูงในชุดลำลองสบายๆเช่นเดียวกับผม ท่านประธานเดินมายืนเคียงข้างแล้วหันไปทอดมองท้องทะเล และระหว่างเราก็มีเพียงความเงียบเช่นเดิม แต่ความเงียบในครั้งนี้กลับทำให้ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรพวกเราจะเปิดปากคุยกันถึงเรื่องในอดีตเสียที
ผมหมุนตัวกลับไปทางโรงแรม อย่าให้ผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทุกอย่างออกมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ใช่หลังจากที่ผมเพิ่งได้จูบกับเขาหลังจากที่เวลาผ่านมาถึงห้าปี
“วิน”
“…”
ขาทั้งสองข้างชะงักเมื่อชื่อเล่นของผมหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย หัวใจของผมเต้นกระหน่ำด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะค่อยๆหันกลับไปมองแผ่นหลังของคนที่ยืนหันหน้าไปมองท้องทะเล
“ไหนบอกว่าจะไม่ไปจากกูแล้วไง”
ประโยคทวงถามพร้อมกับนัยน์ตาสีดำที่หันมามองผมอย่างอ่อนโยน ทำให้กระบอกตาของผมร้อนผ่าวก่อนจะค่อยๆปล่อยน้ำใสให้ไหลรินอาบแก้มช้าๆ
…เมื่อถึงตอนนั้นถ้ามึงยังต้องการกู กูจะไม่ไปจากมึงอีก…
ผมจำได้ดี นั่นคือประโยคหนึ่งที่ผมเขียนลงในจดหมายก่อนที่พอร์ชจะไปเรียนต่อที่อเมริกา…เมื่อถึงวันที่เขาประสบความสำเร็จ วันที่เขาเข้มแข็งและผ่านความยากลำบากมาด้วยตัวเอง ผมคิดว่าวันนั้นเขาคงจะไม่ต้องการผมอีกแล้ว
“มึงจำกูได้เหรอ” ผมถามขณะใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า
“ไม่เคยลืม”
“ขอโทษ”
ผมพึมพำแล้วก้มหน้ามองพื้นทราย ขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี ผมอยากกอดเขา…ได้มั้ยนะ
“กูไม่เคยโกรธมึงได้เลย”
ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย รู้สึกใจบางอย่างบอกไม่ถูก ผมรักรอยยิ้มของเขา รักสายตาของเขา และรักทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเขา
“เริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ย”
ช่างมันเถอะ…ศักดิ์ศรีไม่มีความหมายสำหรับผมอีกแล้วหากไม่มี ‘พอร์ช’ ขอแค่ได้เขาคืนมาต่อให้ต้องคุกเข่าง้องอน ผมก็จะ ‘ทำ’
“ได้เสมอ”
คำตอบรับสั้นๆได้ใจความทำให้ผมวิ่งเข้าไปกอดพอร์ชทันที ขณะที่อ้อมแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายก็ตวัดรัดร่างของผมไว้ ผมซุกหน้าลงบนไหล่ของเขาแล้วร้องไห้โฮอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน พวกเรากอดกันแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปล่อยให้ความทรงจำในอดีตหวนคืนมาสู่พวกเราอย่างช้าๆ
“กูคิดถึงมึง” ผมพึมพำด้วยเสียงสะอื้นอยู่ข้างใบหูของพอร์ช
“ไม่อนุญาตให้ทิ้งกูไปไหนแล้วนะ”
พอร์ชเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ขณะที่ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมเบาๆ ผมถูใบหน้ากับแผ่นอกของเขาแล้วรับคำในลำคอ
“อืม”
“อย่าร้อง”
พอร์ชต้องใช้เวลาปลอบโยนผมหลายสิบนาที กว่าผมจะหยุดน้ำตาของตัวเองไว้ได้แล้วผละออกจากอ้อมกอดของเขา
“มึงไม่สบาย หายหรือยัง หรือว่าตอนนี้มองเห็นหน้ากูแล้วใช่มั้ย”
ผมถามด้วยความสนใจ แล้วเอียงคอมองดวงหน้าของพอร์ช แต่เขากลับขยับยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้า
“เปล่า มองไม่เห็น”
แม่ของพอร์ชเคยบอกว่าโอกาสที่เขาจะหายเป็นปกติมีเพียง 1% เท่านั้น ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่เขายังมีอาการของโรค Prosopagnosia เหมือนเดิม
“ที่ผ่านมาลำบากหรือเปล่า”
“ไม่เท่าไหร่”
ผมยิ้มกว้าง ต่อให้ผมไม่เชื่อว่าเขาผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้อย่างง่ายดาย แต่ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาที่สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างคนปกติทั่วไป
“จริงๆแล้วกูหล่อมากเลยนะ”
ผมว่าแล้วดึงมือข้างหนึ่งของพอร์ชมาวางบนใบหน้า ผมอยากให้เขาจดจำผมเอาไว้ ไม่ใช่ด้วยสายตา แต่เป็นการสัมผัสที่จะประทับลงในสมอง
“ขี้โม้”
แม้ว่าพอร์ชจะมีสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่ฝ่ามือใหญ่กลับค่อยๆไล้สัมผัสดวงหน้าของผมไปทีละส่วน ตั้งแต่หน้าผาก ข้างแก้ม เปลือกตา จมูกและริมฝีปาก
พวกเราเดินจูงมือกันเลียบหาดบางแสน พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่าได้ทำอะไรไปบ้าง ก่อนจะหยุดนั่งพักบนหาดทรายที่ชื้นน้ำทะเล
“จำได้มั้ยว่ากูเคยสัญญาว่าจะนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินกับมึง” พอร์ชถาม ซึ่งนั่นทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจที่เขายังจดจำคำขอไร้สาระของผมได้
“ยังจำได้เหรอ”
“เย็นนี้พวกเรามานั่งดูด้วยกันนะ”
“ได้เหรอ”
ผมถามด้วยความลังเล เมื่อความทรงจำเรื่องแม่ของพอร์ชย้อนกลับมาในสมองของผมอีกครั้ง
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“แม่ของมึง เอ่อ…” ยอมรับได้แล้วหรือว่ามึงชอบผู้ชาย
“อย่ากังวล” พอร์ชเอื้อมมือมาวางบนไหล่ของผมแล้วบีบเบาๆ
“แม่ของมึงรับได้แล้วใช่มั้ย”
“ไม่รู้”
อ้าว ไอ้ส้นตีน…ผมทำหน้ายุ่งใส่เขา ผมไม่อยากถูกจับแหกอกอีกแล้วนะ
“เดี๋ยวก็ยอมรับได้สักวันนั่นแหละ”
พอร์ชเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ราวกับว่าความคิดของคุณแม่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญต่อชีวิตของเขา
“งั้นเหรอ”
“วิน”
“หื้ม”
“กูรักมึงนะ”
ผมส่งยิ้มให้พอร์ช…ต่อให้มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้น ผมก็จะขอยืนเคียงข้างเขาอย่างที่คนรักกันควรจะทำ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสดีๆเป็นครั้งที่สอง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับผมแล้ว ผมจะรักษาและใช้ความผิดพลาด ความขลาดเขลาในอดีตมาเป็นบทเรียนแสนเจ็บแสบเพื่อประคับประคองกันและกันตลอดไป
ขอบคุณสำหรับโอกาสและพรหมลิขิตที่ทำให้พวกเราได้พบกันอีกครั้ง และผมไม่มีทางปล่อยพอร์ชไปอีกแล้ว
“กูก็รักมึง”


-End-

:กอด1:




คุยกับนักเขียน
สวัสดีค่ะ เป็ดก๊าบก๊าบนะคะ ขอกราบสวัสดีทุกท่านและยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งจินตนาการของเรา ก่อนอื่นเลยอยากเล่าถึงแรงบันดาลใจในนิยายเรื่อง ‘แอคโนเซีย’ ค่ะ เริ่มจากที่เราท่อง Google ไปเรื่อยๆและไปพบกับบทความเรื่อง ‘โรคแปลกๆที่มีอยู่จริง’ จึงนำมาเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องนี้ บวกกับช่วงที่เด็กวิศวะเปื้อนฝุ่นเพิ่งจบ มีเสียงเรียกร้องจากแฟนนิยายหลายท่านว่า อ่านจบแล้วรู้สึกสงสารพี่วิน ทำไมพี่เป็นพญานกที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ หาคู่ให้พี่แกหน่อยได้มั้ย เราจึงตัดสินใจจับนางวินมาเป็นนายเอกและหาพระเอกที่เหมาะสมให้ค่ะ ซึ่งก็คือพี่พอร์ชนั่นเอง 
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณนักอ่านที่ช่วยสนับสนุนนิยายเรื่องนี้นะคะ ทั้งแฟนนิยายเก่าๆที่เคยติดตามผลงานมาหลายเรื่องแล้ว แล้วก็ยินดีต้อนรับแฟนนิยายท่านใหม่ๆด้วย  ยังไงก็หวังว่าจะได้เจอทุกคนที่นิยายเรื่องถัดไปของเรา ส่วนใครที่ไม่ชอบรอการอัพนิยายทีละตอน เราก็ขอฝากนิยายเก่าๆที่อัพจบแล้วไว้ให้อ่านแทนด้วย
หากนิยายเรื่องนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ทั้งด้านการใช้ภาษา หรือบางส่วนที่ขัดต่อความเป็นจริงไปบ้าง ต้องกราบขออภัย ณ ที่นี้

ด้วยรัก
เป็ดก๊าบก๊าบ


[ขายของจ้า] หนังสือ Agnosia - (แอคโนเซีย)

- ราคา 330 บาท (ส่งฟรีพัสดุธรรมดา)
- หนังสือจำนวน 360+ หน้า
- ที่คั่นหนังสือ 1 อัน/โปสการ์ด 1 ใบ (ในเล่ม)

- ตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงเว็บไซต์ จำนวน 3 ตอน
ตอนพิเศษ 1 เรื่องเล่าของพอร์ช (เป็นพาร์ทของพอร์ช ที่เล่าความรู้สึกของการป่วยเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้)
ตอนพิเศษ 2 ในห้องทำงานที่เร่าร้อน (NC กรุบกริบในที่ทำงาน)
ตอนพิเศษ 3 คนขี้หึง (ช่วยกันเลี้ยงหลานชายของวิน)

- สั่งซื้อผ่านสนพ. >> http://darin-novel.lnwshop.com/
- สั่งซื้ออีบุ๊ค >> https://www.mebmarket.com/ebook-96119-Agnosia
- แฟนเพจนักเขียน >> https://www.facebook.com/PKrabKrab



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 24-01-2020 21:47:47
ผลงานในเล้าเป็ด
รักเร่ (เเนวจีนโบราณ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70430.msg3978842#lastPost)
ใครอยู่ในห้อง? (โรเเมนติก/สืบสวน) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67383.0)
เเอคโนเซีย (โรเเมนติก/ดราม่าเล็กน้อย) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70728.0)
เเกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก (รักหวานเเหวว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71283.0)


:bye2: :mc4:



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-01-2020 22:01:02
จบแล้ว อยากอ่านต่อ อยากรุ้ว่าทำไมถึงจำได่ ห้าปีผ่านมาเกิดไรขึ้นบ้าง เสียดาย แต่จบแฮปปี้โอเคยุ่
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 24-01-2020 22:26:01
 :L2: :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-01-2020 23:54:05
Happy ดีแล้ว
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 25-01-2020 07:14:34
อ่านแล้วสุขใจ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ o13
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-01-2020 23:13:13
 :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 26-01-2020 20:31:17
โหยยยย เขียนดีมากเลยอ่ะ นี่ร้องไห้ :sad4: :sad4: :sad4: เสียดายอยากอ่านแบบเรียลไทม์ เพิ่งเจอนิยายเรื่องนี้เมื่อวานเอง

ตอนแรกที่อ่านอินโทรกับบท1 ก็นึกว่า อ่อ เป็นนิยายแนวแฟนเก่ารักใสๆวัยทำงาน อ่านไปอ่านมาก็แบบ เอ๊ะ ทำไมยังไม่วาร์ปไปพาร์ทปัจจุบันซักทีวะ? ละคือสมัยคบกันก็ผ่านเรื่องราวอะไรมากันเยอะอ่ะ ละก็งงๆอยู่ว่าทำไมวินถึงเอะใจว่าห้องนอนพอร์ชไม่มีรูปใครเลยแม้แต่ครอบครัวหรือเพื่อน เราก็คิดว่ามันปกตินะเพราะห้องนอนเราก็ไม่มีเหมือนกัน ละพอมาหักมุมตอนบอกว่าพอร์ชป่วย ก็คือตกใจและหน่วงโคตรรรรรร พอย้อนนึกไปถึงตอนแรกๆที่สองคนนี้ทำความรู้จักกันก็เข้าใจว่าทำไมพอร์ชแสดงออกแบบนั้น ไม่แยแสคนอื่น เพราะในสายตาเค้าคนอื่นก็คือคนอื่นจริงๆไง! แบบหน้ากุก็จำไม่ได้ทำไมต้องมาเปลืองสมองจำรายละเอียดของคนที่ไม่สำคัญกับกูด้วย ละที่ไม่ลงรูปแฟน หรือไม่ถ่ายรูปวินเลยก็เพราะจำหน้าไม่ได้เลยไม่มีประโยชน์ที่จะถ่ายไว้ใช้มั้ย :hao5: ณ ตอนนั้น น้ำตาซึม สงสารมากเลยอ่ะ คือเรานึกไม่ออกเลยเว่ยว่าการรักใครซักคนที่จำหน้าเค้าไม่ได้เนี่ยมันจะต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยขนาดไหน เข้าใจเลยทำไมหึงง่าย ทำไมไม่ชอบคนโกหก เพราะจำสีหน้าของแฟนไม่ได้ไง มันจะ insecure ขนาดไหนอ่ะอ่ะ โฮ ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ชีวิตรักมันลำบากเลยใช่มั้ยพอร์ช :hao5: ไหนจะช่วงเวลาห้าปีที่จากกันอีก น่าจะหนักหนาพอดูที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์และโรคที่เป็นอยู่คนเดียว อุตส่าห์ได้เจอคนที่เชื่อแน่ๆว่ารักแล้วอ่ะ กลับต้องมาแยกกัน โคตรหน่วง ฮืออออออออ ละฉากกินข้าวหลังจากกลับมาเจอกันก็คือน้ำตาร่วงเลยจ้าแม่ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: โอ้ย เศร้า ขอบคุณพอร์ชที่เข้มแข็ง และขอบคุณวินที่ยังรักพอร์ชเหมือนเดิม ฮืออออ สนุกมากเลยเรื่องนี้ พีคตอนจบ อยากอ่านตอนพิเศษของพอร์ชเลย :monkeysad: :monkeysad: ขอบคุณนักเขียนด้วยค่ะที่เขียนให้เห็นแง่มุมนี้ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 27-01-2020 23:02:39
โหยยยย เขียนดีมากเลยอ่ะ นี่ร้องไห้ :sad4: :sad4: :sad4: เสียดายอยากอ่านแบบเรียลไทม์ เพิ่งเจอนิยายเรื่องนี้เมื่อวานเอง

ตอนแรกที่อ่านอินโทรกับบท1 ก็นึกว่า อ่อ เป็นนิยายแนวแฟนเก่ารักใสๆวัยทำงาน อ่านไปอ่านมาก็แบบ เอ๊ะ ทำไมยังไม่วาร์ปไปพาร์ทปัจจุบันซักทีวะ? ละคือสมัยคบกันก็ผ่านเรื่องราวอะไรมากันเยอะอ่ะ ละก็งงๆอยู่ว่าทำไมวินถึงเอะใจว่าห้องนอนพอร์ชไม่มีรูปใครเลยแม้แต่ครอบครัวหรือเพื่อน เราก็คิดว่ามันปกตินะเพราะห้องนอนเราก็ไม่มีเหมือนกัน ละพอมาหักมุมตอนบอกว่าพอร์ชป่วย ก็คือตกใจและหน่วงโคตรรรรรร พอย้อนนึกไปถึงตอนแรกๆที่สองคนนี้ทำความรู้จักกันก็เข้าใจว่าทำไมพอร์ชแสดงออกแบบนั้น ไม่แยแสคนอื่น เพราะในสายตาเค้าคนอื่นก็คือคนอื่นจริงๆไง! แบบหน้ากุก็จำไม่ได้ทำไมต้องมาเปลืองสมองจำรายละเอียดของคนที่ไม่สำคัญกับกูด้วย ละที่ไม่ลงรูปแฟน หรือไม่ถ่ายรูปวินเลยก็เพราะจำหน้าไม่ได้เลยไม่มีประโยชน์ที่จะถ่ายไว้ใช้มั้ย :hao5: ณ ตอนนั้น น้ำตาซึม สงสารมากเลยอ่ะ คือเรานึกไม่ออกเลยเว่ยว่าการรักใครซักคนที่จำหน้าเค้าไม่ได้เนี่ยมันจะต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยขนาดไหน เข้าใจเลยทำไมหึงง่าย ทำไมไม่ชอบคนโกหก เพราะจำสีหน้าของแฟนไม่ได้ไง มันจะ insecure ขนาดไหนอ่ะอ่ะ โฮ ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ชีวิตรักมันลำบากเลยใช่มั้ยพอร์ช :hao5: ไหนจะช่วงเวลาห้าปีที่จากกันอีก น่าจะหนักหนาพอดูที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์และโรคที่เป็นอยู่คนเดียว อุตส่าห์ได้เจอคนที่เชื่อแน่ๆว่ารักแล้วอ่ะ กลับต้องมาแยกกัน โคตรหน่วง ฮืออออออออ ละฉากกินข้าวหลังจากกลับมาเจอกันก็คือน้ำตาร่วงเลยจ้าแม่ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: โอ้ย เศร้า ขอบคุณพอร์ชที่เข้มแข็ง และขอบคุณวินที่ยังรักพอร์ชเหมือนเดิม ฮืออออ สนุกมากเลยเรื่องนี้ พีคตอนจบ อยากอ่านตอนพิเศษของพอร์ชเลย :monkeysad: :monkeysad: ขอบคุณนักเขียนด้วยค่ะที่เขียนให้เห็นแง่มุมนี้ :กอด1: :L2:

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ :กอด1:

นานๆทีจะได้รับคอมเม้นยาวๆบ้าง ดีใจมากเลย การได้ฟังความเห็นเเละความรู้สึกของนักอ่าน

เป็นข้อมูลในการใช้พัฒนาตัวเองที่ดีมาก เเล้วเจอกันใหม่ในผลงานเรื่องอื่นบ้างน้า  :3123:

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 27-01-2020 23:03:23
อ่านแล้วสุขใจ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ o13

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 28-01-2020 00:05:14
สนุกมากเลยค่ะ
เนื้อเรื่องสนุกน่ารักดี
ตอนท้ายแอบน้ำตาซึม
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 28-01-2020 00:18:19
สนุกมากเลยค่ะ
เนื้อเรื่องสนุกน่ารักดี
ตอนท้ายแอบน้ำตาซึม
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ


:pig4: :pig4: ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
 
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: lampai ที่ 28-01-2020 03:23:21
 :ling1: สนุกคะ
เป็นกำลังใ9ให้นะคะ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 28-01-2020 03:39:41
:ling1: สนุกคะ
เป็นกำลังใ9ให้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 28-01-2020 21:56:36
สนุกดีค่ะ
ความรักใสๆ เหมือนจะไม่เครียด
ปูเรื่องความเป็นมาเยอะมาก
จนมาจบที่ตอนทำงาน
ไปลองอ่านที่ภาค 2 แล้ว
แซ่บมาก ทั้งคู่หลักคู่รอง
แต่คู่รองโดดเด่นมาก อยากอ่านต่อเลย
ส่วนคู่หลักเป็นแนวสืบสวน ชิงอำนาจ
น่าสนุกมาก อยากอ่านต่อเร็วๆแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 30-01-2020 21:38:04
คือเลิศคือดือย์​  วงวารฉัตรกับโรคนี้​  ค่อนข้างงงกับการสลับปัจจุบันอดีต​
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 02-02-2020 22:52:58
เรื่องนี้คือดีงาค่ะ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 04-02-2020 23:32:48
สนุกมากเลยค่ะ  ฮามากช่วงตอนแรกๆก่อนเข้าดราม่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Geawgard ที่ 06-02-2020 21:06:25
สนุกมากเลยค่ะ ช่วงเเรกเหมือนโดนหลอกให้ตายใจก่อนจะเจอมาม่าชามใหญ่เลยยย สงสารพี่พอร์ช :hao5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 12-03-2020 18:47:51
ขอบคุณมากจ้า ฮือออ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 14-03-2020 22:12:02
❤️
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 17-03-2020 15:27:08
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (10-09-2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 10-04-2020 21:24:39
นิยายภาคต่อจาก เเอคโนเซียค่ะ ซึ่งในภาคนี้จะเป็นวัยทำงาน



หมวดหมู่ : โรเเมนติก & NC 18+



'วิน' วิศวกรหนุ่มหน้าตาดี มีความลับที่บอกใครไม่ได้อยู่สองเรื่อง

เรื่องเเรกคือ 'เเฟนหนุ่ม' ของเขารับตำเเหน่งท่านประธานบริหารในบริษัทที่เขาทำงานอยู่

เเละเรื่องที่สองคือ เเฟนหนุ่มของเขาป่วยเป็นโรค Prosopagnosia หรือโรคหลงลืมใบหน้า

หลังจากฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาด้วยกัน ตั้งเเต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

ชีวิตรักของเขาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หวังไว้ เมื่อศัตรูความรักว่าร้ายกาจเเล้ว เเต่ศัตรูธุรกิจกลับยิ่งร้ายกว่า

การปกป้องผลประโยชน์ของ 'พอร์ช' เป็นเรื่องที่คนรักเเสนดีอย่างเขาต้องทำให้ได้

เพราะเขาถือคติที่ว่า #เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผลประโยชน์ของผัวให้ใคร

โปรดติดตามเเละเป็นกำลังใจให้วินด้วยนะครับ

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (10-09-2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 10-04-2020 21:26:31
บทที่ 1 พนักงานที่ดีต้องรู้จักเอาใจเจ้านาย



ติ๊ด!
เครื่องสแกนลายนิ้วมือส่งเสียงร้อง พร้อมกับปรากฏไฟกระพริบสีเขียว ซึ่งแปลว่าการเช็คชื่อเข้าทำงานในเช้าวันนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ผมผลักประตูกระจกเข้าไปในส่วนใน ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับพนักงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เอ่ยปากทักทายและส่งยิ้มให้เพื่อนรวมงานต่างแผนกที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนกำลังถือแก้วกาแฟ บางคนกำลังรีบปั่นงานที่จำเป็นต้องนำเสนอในที่ประชุมเร็วๆ นี้ และบางคนกำลังนั่งทาเล็บ บนไหล่ข้างหนึ่งหนีบสมาร์ทโฟนไว้กับหูเพื่อซุบซิบนินทาเรื่องของคนอื่น
ภาพความวุ่นวายเล็กๆ ก่อนเวลาเริ่มงาน ได้กลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว หลังจากที่ผมทำงานในยูเนียนมาเกือบครึ่งปี หากคุณไม่รู้จักบริษัทชื่อดังด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ผมก็จะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ถือเป็นการโอ้อวดไปในตัวว่าผมน่ะเก่งแค่ไหน ที่สามารถก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่มีอิทธิพลแห่งนี้ได้
ยูเนียนทำธุรกิจอยู่ทั้งหมด 3 แบบ
Upstream = ธุรกิจแบบต้นน้ำ = ประเภทแท่นขุดเจาะน้ำมัน
Midstream = ธุรกิจแบบกลางน้ำ = ประเภทหอกลั่นน้ำมันและโรงงานกลั่นแยก
Downstream = ธุรกิจแบบปลายน้ำ = ประเภทโรงงานผลิตโปรดัคเกี่ยวกับน้ำมันส่งถึงมือผู้ใช้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งงานของผมอยู่ในส่วนนี้แหละครับ
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณปัฐวี”
เสียงนอบน้อมของสาวสวยคนหนึ่งเอ่ยทักทาย เธอขยับยิ้มโปรยเสน่ห์ระหว่างเดินสวนกับผม ซึ่งต่อให้ผมจะไม่ชอบผู้หญิง แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ ให้ตายสิ คนมันฮอตก็แบบนี้แหละ โฮะๆ ๆ ๆ
“สวัสดีครับ”
ผมตอบกลับ พยายามรักษาภาพลักษณ์พูดน้อยแต่ดูดีต่อไป ขยับรอยยิ้มที่มุมปากแบบมีมาดเพราะคิดว่ามันกระชากใจคนมองทุกเพศทุกวัย
หล่อกว่าพี่วินไม่มีแล้วน้อง 555555
(เสยผมเล็กน้อย)
“น้องวินขยันจังเลยนะคะ รีบมาทำงานแต่เช้าเลย”
รุ่นพี่ที่อายุราวๆ คุณแม่ของผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบประแจง อา นึกออกแล้ว เธอคือหัวหน้าแผนกดูแลลูกค้านั่นเอง
“แต่ก็ยังมาช้ากว่าพี่อรนะครับ”
ผมพยักหน้าให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นอีกเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมีความสุขและแล้วนิทานเรื่องนี้ก็จบ…บริบูรณ์
“ไอ้วิน!!”
เพล้ง!
ภาพต่างๆ ในสมองของผม เกิดรอยร้าวอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อใครคนหนึ่งเดินมายืนถลึงตามอง แล้วตะโกนใส่หน้าผมเสียงดัง
ห่าเอ๊ย น้ำลายมึงอ่ะ
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น ถ้ามีเวลายืนมองอนาคตของตัวเอง ก็ควรจะรู้นะว่ามันมืดมนแค่ไหน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าคนอย่างนายมีดีอะไร ยูเนียนถึงต้องเก็บไว้!”
ไอ้เชี่ยเอ๊ย!
ผมทำได้แค่สบถหยาบคายอยู่ในใจ แล้วหลุบตามองปลายรองเท้าหนังที่ขัดจนขึ้นเงา นาทีนี้ถึงกับเถียงไม่ออกเลยครับท่าน ก็เพราะไอ้คนที่กำลังยืนด่าปาวๆ อยู่ตรงนี้คือ ‘พี่ปราบ’ หรือหัวหน้าแผนก Grease Production ผู้ขยันขันแข็งนั่นเอง
“ไร้ประโยชน์!”
ฮือออออออ ใจบาง! ปากร้ายอะไรอย่างนี้นะ
โอเค ผมยอมรับว่าผมมโน ภาพที่คุณเห็นผมเดินเฉิดฉายเมื่อครู่นี่น่ะ มันเกิดขึ้นแค่ในจินตนาการเท่านั้น ส่วนความจริงน่ะเหรอ อย่างที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้เลยครับ แม่ง อยากลาออกวันละหลายสิบรอบจังเลยโว้ยยยย
เหตุผลที่ผมอดทนทำงานที่ยูเนียนมาเกือบครึ่งปี มีเหตุผลเดียวกับที่ได้เข้ามาทำงานในสถานที่แห่งนี้ สั้นๆ ง่ายๆ เลย ผมเป็นเด็กเส้น! แถมเส้นใหญ่ซะด้วย เพราะสามีของผมคือท่านประธานบริหารบริษัทยูเนียน
อะไร? ไม่เอาสิ อย่ามองแบบนั้น คราวนี้ไม่ได้มโนนะครับ ผมเป็นเมียท่านประธานจริงแท้แน่นอน แม้จะเป็นแบบหลบๆ ซ่อนๆ ก็ตาม
พวกเราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เอาเป็นว่าเส้นทางความรักของผมทั้งสวยงามและโรยไปด้วยหนามกุหลาบ กรุบกริบ ซี๊ดๆ เป็นบางครั้ง
ดังนั้นผมทำใจแยกจากเขาไม่ได้เลย ผมจะรู้สึกอุ่นใจที่ได้มาทำงานพร้อมกับเขา อาจจะกลับไม่พร้อมกันบ้าง แต่ก็ได้อยู่ในสถานที่ทำงานเดียวกัน ได้พักที่เดียวกัน ยอมรับครับว่าผมติดคนรักและหลงมัวเมาจนแทบโงหัวไม่ขึ้น เอาเป็นว่าเขาคือแรงใจในการทำงานของผม ถ้าไม่มีเขาจะไม่มีผมที่ยืนโง่ๆ อยู่ตรงนี้ ก่อนอื่นเลยผมต้องขอแจกแจงรายละเอียดให้ทุกๆ ท่านรับทราบซะก่อนว่า เหตุใดบรรดาเพื่อนร่วมงาน ทั้งในแผนกและต่างแผนกไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าผม แม้จะไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์แบบเด็กๆ แต่เรื่องนินทารับหลังนี่มีแน่นอน
เรื่องที่ 1 ผมได้เข้ามาทำงานในยูเนียนแบบง่ายๆ เลย ทั้งที่เกรดเฉลี่ยนับว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ผิดมาตรฐานของบริษัท (บอกแล้วไงว่าเส้นใหญ่)
เรื่องที่ 2 ผมไม่ได้ทดลองงานสามเดือนเหมือนพนักงานคนอื่น แต่ได้ตำแหน่งจริงทันทีที่ก้าวเข้ามาทำงานเป็นวิศวกร (ท่านประธานเอ็นดูผมมากมาย)
เรื่องที่ 3 ผมได้เงินเดือนเท่ากับพนักงานระดับอาวุโสหรือที่เรียกว่า ‘หัวหน้าแผนก’ ทั้งที่ผมมีอายุงานแค่ห้าเดือนเท่านั้น (ถ้านับรวมกับเงินเดือนตำแหน่งภรรยาของผู้บริหารคุณอาจตกใจมากกว่านี้)
เรื่องที่ 4 ท่านประธานชอบเรียกหาผม แทนที่จะเรียกหัวหน้าแผนกไปสอบถามความคลืบหน้าในงานด้านจาระบี (เรื่องนี้ไม่ควรเป็นความผิดของผมนะ แต่ทุกคนต่างนินทากับว่าผมประจบสอพลอ แถมยังปีนขึ้นเตียงท่านประธานเป็นที่เรียบร้อย แต่เรื่องขึ้นเตียงนี่ไม่ได้เถียงนะ ขึ้นกันมาหลายปีแล้ว แต่เรื่องประจบประแจงมันไม่ใช่อ่ะครับ)
เรื่องที่ 5 แม้ผมจะไม่เคยทำงานผิดพลาด และนับว่าเป็นพนักงานคนหนึ่งที่ทำงานได้รอบคอบมากที่สุด แต่ผมมักถูกต่อว่าเรื่องที่ไม่มีผลงานใหม่ๆ การเข้ามานั่งเสนอหน้าในกลุ่มคนฉลาด ก็เหมือนกับกาที่อยู่ในฝูงหงส์ ต่อให้ทำตัวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่มักโดนเพ่งเล็งเพราะสีที่เด่นสะดุดตา (บางที ผมอาจจะไม่มีประโยชน์ต่อยูเนียนจริงๆ ก็ได้?)
“ยังไม่รีบไปทำงานอีก”
“ครับ”
ผมรับคำแล้วรีบแทรกตัวผ่านประตูกระจกที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เข้าไปนั่งจุ๊มปุ๊กที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เหลือบตามองรอบๆ แผนกที่มีพนักงานทั้งหมดห้าคน ก่อนจะก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ…เหลือเวลาอีกตั้งสิบนาที ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเพื่อนร่วมแผนกของผมถึงได้รีบก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้นะ ถ้าผมไม่รีบหางานอะไรสักอย่างมาทำเดี๋ยวต้องโดนไอ้หัวหน้าเดินมาด่าอีกยกแน่ๆ เลย


“ยิ้มหน่อยสิวะ ทำหน้าบูดเป็นตูดลิงไปได้”
ไอ้พี่กรีนคว้าไหล่ของผมไปกอด แล้วยื่นนิ้วชี้ข้างหนึ่งมาจิ้มแก้มผม หมอนี่เป็นเพื่อนร่วมแผนกและเป็นพี่รหัสของผม นับว่าเป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวที่ทำให้ผมสบายใจและสามารถพูดคุยได้เกือบทุกเรื่อง
“จะให้ยิ้มออกได้ไงเล่า พี่ไม่เห็นเหรอว่าหัวหน้าตั้งใจโยนงานนี้มาให้ผมชัดเลยๆ” ผมบ่นกระปอดกระแปดระหว่างก้าวเท้าไปตามโถงทางเดินที่คลาคล่ำไปด้วยพนักงานที่กำลังเดินทางไปที่โรงอาหารในช่วงพักกลางวัน
“แต่มันได้โอทีนะเว้ย ใช่ว่าบริษัทใช้งานมึงฟรีๆ ซะที่ไหน”
ใช่ครับ มันเป็นงานง่ายๆ ที่ใครจะไปทำก็ได้ทั้งนั้น แค่ผลัดเวรกันโผล่หัวไปตรวจเช็คสินค้าก่อนส่งให้ลูกค้าเท่านั้นเอง เงินก็ดี แถมไปนั่งๆ นอนๆ ใช้งานลูกน้องที่โรงงานผลิตก็ได้ เพียงแต่เพื่อนร่วมแผนกของผม รวมทั้งผมด้วยที่ไม่อยากไป เพราะเจ้าโรงงานที่ว่านี้ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง จะบอกว่าใกล้กับกรุงเทพก็ไม่เชิง อีกอย่างนะ ใครๆ ก็อยากพักผ่อนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์กันถูกมั้ย และถ้ามีงานเร่งก็ต้องกอบโกยงานไปปั่นกันที่บ้านอีก เวลาเสาร์อาทิตย์ที่ควรได้นอนกกสามีจะเหลือสักเท่าไรกันฮะ ถามหน่อย!
“แต่พรุ่งนี้มันวันหยุดอ่ะพี่ มีเงินแค่ไหนก็ซื้อวันหยุดไม่ได้”
“ยังไม่ได้แต่งงานซะหน่อย จะบ่นไปทำไมฮึ รีบเก็บเงินเก็บทองไว้ตั้งแต่ตอนนี้แหละดีแล้ว แก่ไปก็ทำงานหนักๆ ไม่ไหวแล้ว”
เฮ้อ นั่นสินะ ชีวิตพนักงานกินเงินเดือน หาเช้ากินค่ำ ไม่มีทางรวยขึ้นมาได้เลย ต่อให้ทำโอทีได้สองพันบาท แต่บริษัทกลับทำกำไรได้สองล้านบาท ความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหนฟะ! ไหนจะค่าอาหาร ค่ารถ ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ไหนจะต้องเก็บเงินแต่งเมีย เอ่อ ไม่ดิ ผมไม่แต่งเมีย แค่ส่งเสียให้พ่อกับแม่สุขสบายก็พอแล้ว อีกอย่างเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์กับสามีแบบลับๆ แล้ว ดังนั้นจึงประหยัดค่าเลี้ยงดูตัวเองไปเยอะเลย แถมยังได้เงินประจำตำแหน่งภรรยาอีก นับว่าไม่เสียหายเท่าไรครับ
“ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ก็มีแฟนให้ต้องเอาอกเอาใจนะพี่”
ผมแย้ง แน่นอนว่าการเอาอกเอาใจแฟนเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ เพราะแฟนของผมขี้หึง แล้วก็เอาใจยากมาก ย้ำว่ายากมาก แถมเป็นพวกมีความต้องการทางเพศสูง จะปล่อยให้อดอยากไม่ได้เด็ดขาด เผื่อหมอนั่นไปติดสัดที่อื่นผมจะแย่เอาได้ ไม่อยากใช้สามีร่วมกันคนอื่นนะครับ ของใคร ใครก็หวง ยิ่งคนนี้ ผมไม่ได้ได้มาง่ายๆ เลย
“อย่ามาโกหก วันๆ เอาแต่ทำงาน มึงจะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน กูไม่เห็นเคยเห็นเลยล่ะ เฟสบุ๊คก็อย่างกับป่าช้า”
ไม่แปลกที่ไอ้พี่กรีนจะไม่รู้ว่าผมมีแฟน ที่จริงก็ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นแหละครับแม้แต่ครอบครัวของผม อย่างที่บอกว่าแฟนของผมเป็นเจ้าของธุรกิจร้อยล้าน และเป็นท่านประธานบริหารคนปัจจุบันของยูเนียน มันคงจะดูไม่ดีไม่งามที่หมอนั่นมาคว้าผมไปเป็นแฟน ผมว่าคบกันแบบนี้ก็สบายใจดี ไม่เห็นต้องประกาศบอกคนทั้งโลกเลย
“แฟนหน้าตาดีไง ไม่อยากจะอวด เดี๋ยวคนในเฟสอิจฉา”
ผมยักคิ้วกวนๆ ขณะรอให้พนักงานคนอื่นใช้ลิฟท์สำหรับลงไปรับประทานมื้อกลางวันที่โรงอาหารของบริษัท
“จ้าๆ โรคมโนของมึงนี่ลดๆ ลงหน่อยนะ”
ติ๊ด!
เสียงประตูลิฟท์ที่เปิดออก ทำให้ผมกับไอ้พี่เขียวรีบก้าวเท้าเข้าไปเบียดเสียดผู้คนภายใน ผมสังเกตเห็นใครบางคนที่ยืนกอดอกนิ่งๆ อยู่ด้านในสุด จึงพยายามดันร่างของตัวเองเข้าไปด้านในจนไหล่กระทบกับคนๆ นั้น ก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบไล้ก้นแน่นๆ ที่อยู่ภายใต้กางเกงสแล็กสีดำราคาแพงอย่างย่ามใจ
หมอนั่นเหลือบสายตามามองผมพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม ริมฝีปากเรียวบางเม้มแน่นบ่งบอกว่าไม่พอใจ แต่ต่อให้เขาจะทำหน้าบึ้งตึงกว่านี้ หรือแสดงความเกรี้ยวกราดใส่ผมมากกว่านี้ ผมก็ยังมองว่าเขาน่าปู้ยี่ปู้ยําอยู่ดีนั่นเหละ ก็คนมันหล่อน่ะครับ ใบหน้าคมคายดั่งรูปสลัก โดยเฉพาะตอนที่ทำหน้าตายยิ่งดูดีสุดๆ แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่หมอนี่ทำหน้าเร่าร้อนมากกว่า ฮ่าๆ เอาล่ะ เขาคือสามีของผมเองล่ะครับ ก็ลองให้ผมลูบก้นผู้ชายที่ไม่ใช่คนรักดูสิ ถ้าไม่โดนถีบติดกำแพงลิฟท์ ก็อาจจะโดนแจ้งจับข้อหากระทําชําเราไปแล้วล่ะ
หมอนี่ชื่อว่า ‘พอร์ช’ หรือ ‘ฉัตรชนก ชัชธีรชานนท์’ ประธานบริหารแห่งบริษัทยูเนียนประเทศไทย สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
พอร์ชเหลือบสายตาลงมามองบัตรพนักงานที่คล้องอยู่บนลำคอของผมก่อนจะหันกลับไปมองด้านหน้าราวกับว่า พวกเราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แบบนี้แหละครับ ความสัมพันธ์หลบๆ ซ่อนๆ ของพวกเรา แต่หนึ่งวินาทีต่อมา ก้นของผมกลับถูกฝ่ามือใหญ่ตะปบลงมาพร้อมบีบขยำอย่างรุนแรง ฮ่าๆ ไม่แปลกหรอกครับที่พวกเราจะทักทายกันแบบนี้ คนประเภทเดียวกันมักอยู่ด้วยกันได้ ความกวนตีนและความหื่นก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันจนเกินไป


ผมก้าวเท้าเข้าไปในลิฟท์ที่ว่างเปล่าแล้วกดเลือกชั้นที่สิบสี่ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที กล่องโลหะสี่เหลี่ยมก็นำผมขึ้นมาถึงจุดหมายปลายทาง บนชั้นนี้ค่อนข้างมืดสลัวเพราะไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงแสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาให้พอมองเห็นทางเดินแคบๆ ทั้งสองฝั่งเป็นห้องประชุมขนาดเล็กที่ใช้ประชุมระดับแผนกเท่านั้น ส่วนห้องที่อยู่ตรงสุดทางเดิน หรือห้อง UN1469 และUN1470 เป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ที่มีความหรูหราที่สุด ใช้สำหรับการประชุมคณะผู้บริหารหรือการประชุมครั้งใหญ่ของบริษัทเท่านั้น
ผมหยุดปลายเท้าที่หน้าห้อง UN1469 ใช้หลังมือเคาะประตูกระจกที่ถูกปิดด้วยม่านบังตา ไม่รอให้มีการตอบรับจากบุคคลในห้องก็ถือวิสาสะผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน กวาดสายตามองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง จึงเห็นว่านอกจากร่างสูงในชุดสูทราคาแพงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานตรงหัวโต๊ะ ในห้องนี้ก็ไม่มีใครอีกแล้ว
“มานี่สิ” พอร์ชเอ่ยเรียกแล้วตบมือลงบนหน้าตักของตัวเอง
“คิดถึงกูล่ะสิ”
ผมขยับยิ้มหยอกเย้า ใช้นิ้วหมุนตัวล็อกของประตูกระจกแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนรัก อีกฝ่ายรั้งเอวของผมไว้แล้วดึงเข้าหาตัว ซึ่งผมก็ยอมขยับขึ้นไปนั่งคร่อมตักของเขาอย่างง่ายดาย ฝ่ามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของพอร์ชให้เงยขึ้นรับจูบของผม กลีบปากหวานล้ำของเขาถูกผมละเลียดกินอย่างเชื่องช้า ขบกัดหยอกล้อในบางครั้งและดูดเลียช้าๆ อย่างกระหาย ก่อนจะสอดแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายเพื่อไล่ล่าลิ้นของเขา พอร์ชยอมเป็นเด็กดีให้ผมปล้นจูบได้ไม่นานก็ขยับตัวแล้วดันใบหน้าของผมให้ออกห่าง
“เป็นอะไร”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม พร้อมกับปลายนิ้วมือที่ลูบไล้ข้างแก้มของผมอย่างอ่อนโยน พอร์ชเป็นคนที่ความรู้สึกเร็วเสมอ โดยเฉพาะอารมณ์ความรู้สึกของผมที่ไม่สามารถหลอกลวงอีกฝ่ายได้เลย ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วอ้าปากบ่นเพื่อนร่วมงาน รวมถึงหัวหน้าแผนกที่ชอบหาเรื่องด่าผม
“ไล่ออกให้หมดเลยดีมั้ย”
พอร์ชเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม ผมเดาไม่ถูกว่าหมอนี่หมายความตามที่พูดจริงๆ หรือคิดจะกวนประสาทผมกันแน่
“หรือให้ไล่มึงออกแค่คนเดียวดีล่ะ”
ผมหน้าบึ้ง
“กูนั่งกินนอนกินให้มึงเลี้ยงเฉยๆ ได้มั้ยล่ะ”
“ได้” พอร์ชตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มึงจะเลี้ยงพ่อกับแม่ของกูด้วยหรือเปล่า”
“ได้”
ผมลังเลครู่หนึ่งก่อนจะรีบส่ายหน้า ไม่ๆ ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
“ไม่เอา”
“ทำไม” พอร์ชเลิกคิ้ว มือใหญ่เอื้อมมาเชยปลายคางของผมให้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา
“ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ กูจะเหลืออะไรไว้ให้ครอบครัวได้ภูมิใจบ้างล่ะ ถ้าแค่ตัวเองยังต้องให้คนอื่นมาเลี้ยง” เรื่องที่ผมเป็นเกย์ทำให้พ่อกับแม่เสียใจมากพอแล้ว พ่อไม่พูดกับผมมาเกือบสี่ปี แต่ในตอนนี้พวกเขายอมรับตัวตนของผมได้แล้วและภาคภูมิใจในฐานะการงานที่ผมสร้างขึ้นมา ผมจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเด็ดขาด
“อยากไปทำงานที่อื่นมั้ย”
ผมส่ายหน้า
“ที่ไหนก็ต้องเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ นี่มันสังคมของคนทำงาน แก่งแย่งชิงดีปากอย่าง ใจอย่าง ต่อหน้าพูดดีลับหลังนินทา”
“คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว”
ผมพยักหน้า พอร์ชไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาปลอบโยนหรือประคับประคองชีวิตของผมทุกย่างก้าว เขาปล่อยให้ผมเดินในทางที่ผมต้องการ แต่จะเฝ้ามองผมอยู่เสมอ
“อย่าเก็บมาใส่ใจเลย มึงจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ชีวิตเป็นของมึง เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว”
ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเริ่มขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ อีกสิบห้านาทีผมต้องเข้างานแล้ว แต่ไหนๆ ตอนนี้ก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับอีกฝ่าย ผมควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าสิ ทั้งที่พวกเราอยู่เพนท์เฮ้าส์เดียวกัน แต่พอร์ชกลับยกงานไปทำที่ห้อง แค่จะหาเวลาคุยกับเขายังไม่มีเลย
“งั้นกูเอาใจเจ้านายแล้วขอวันหยุดพักร้อนเพิ่มได้มั้ยล่ะ”
ผมถามแล้วลากฝ่ามือจากแผ่นอกต่ำลงมาบริเวณซิปกางเกง ถ้าให้ทำถึงขั้นสุดท้ายคงไม่ทันเวลาแน่ๆ งั้นเอาแค่เบาๆ ก่อนแล้วกันนะ พอร์ชเลิกคิ้วมองผมก่อนจะเอนหลังพิงผนักเก้าอี้ หลับตาแล้วเอ่ยตอบอย่างผ่อนคลาย
“ตามใจมึงสิ”
เป็นเจ้านายที่สบายจริงๆ เลย



TBC.  :mew1:

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (10-09-2020)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 12-04-2020 09:24:32
ภาคนี้น่าจะเข้มข้น รอค่า
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (10-09-2020)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-04-2020 12:25:06
น่าสนใจมาก
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (10-09-2020)
เริ่มหัวข้อโดย: lidelia ที่ 13-04-2020 12:43:26
สนุกมากกกกกก  o13

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
รอติดตามตอนทำงานต่ออยู่น้า  :L2:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (10-09-2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 09:08:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (16-09-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 16-04-2020 23:00:43
บทที่ 2 ผู้ชายขี้อ่อย


-ขอฝากพระเอกนายเอกคู่ใหม่ด้วยนะคะ เเอคโนเซียภาค 2 จะเป็นการเล่าเรื่องของสองนายเอกสลับกัน มี NC เยอะพอสมควร หวังว่าจะชอบกันน้า-


-งาน Meb E-book fari 2020 (https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=pedkrabkrab&exact_keyword=1&page_no=1) มีโปรโมชั่นลดราคาหนังสือนิยายทุกเรื่องของเรามากกว่า 20% ใครสนใจมาช่วยกันอุดหนุนได้นะคะ ขอบคุณค่ะ-

o18


(เกื้อกูล)

จะไปดีมั้ย?

Devil : ไปเถอะน่า นายอายุ 23 แล้ว ควรได้เปิดโลกกว้างบ้างนะ

Angel : อย่าไปเด็ดขาด ร่างกายของนายมีค่า จะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาบุกเบิกประตูหลังไม่ได้ นายอาจติดโรค!

Devil : ใส่ถุงยางอนามัยสิ ไม่ติดโรคหรอกน่า

Angel : นายควรจะเสียตัวให้กับคนรักสิถึงจะถูก เก็บความบริสุทธิ์เอาไว้ก่อน

Devil : แต่นายไม่เคยมีคนรักนะเกื้อกูล แล้วก็ไม่แน่ว่าจะหาได้ นายต้องการเซ็กส์ ฉันรู้ว่านายอยากลอง เพราะงั้นไปสนุกให้เต็มที่ การเป็นเกย์ไม่ใช่สิ่งผิด และการมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี นายเป็นผู้ชาย ท้องไม่ได้นะเว้ย

อืม…มีเหตุผล ไม่ท้องย่อมไม่เสียหาย

ความคิดของผมเริ่มเอนเอียงไปหาเจ้าปีศาจที่อยู่ในสมอง แต่คำว่า ‘ไม่กล้า’ ที่ผลุดขึ้นมาในใจกลับทำให้ผมเริ่มกังวลอีกครั้ง ได้แต่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ตรงหน้ากระจก บนเตียงเล็กๆ ในอพาร์ทเม้นท์ราคาถูก มีเสื้อผ้าเกือบทั้งหมดของผมวางกองไว้จนเป็นภูเขาขนาดย่อม ผมพยายามเลือกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วทำให้ตัวเองดูดีที่สุด เพราะว่าคืนนี้ผมตัดสินใจจะเปิดโลกกว้างของตัวเอง ด้วยการเข้าไปเที่ยวที่บาร์เกย์ชื่อดังประจำจังหวัด เพียงแต่จู่ๆ ก็เริ่มลังเลแล้วว่าควรจะไปดีหรือเปล่า?

ผมรู้ตัวว่าชอบผู้ชายมาตั้งแต่สมัยมัธยม แต่เพราะคำว่า ‘ไม่กล้า’ ทำให้ผมซ่อนความเป็นตัวเองเอาไว้ มันเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุด

ครอบครัวของผมเป็นเกษตกรหัวโบราณ แม่ของผมเสียชีวิตด้วยอาการป่วยตั้งแต่ผมมีอายุได้ห้าขวบ ผมจึงแทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่เลย ผมอาศัยอยู่กับพ่อ ปู่ย่าและป้า ทุกคนดีกับผมมาก ป้าของผมไม่ได้แต่งงาน จึงรักและเอ็ดดูผมราวกับลูกแท้ๆ ผมเป็นหลานเพียงคนเดียวในตระกูล ซึ่งทุกคนต่างคาดหวังให้ผมประสบความสำเร็จในทุกด้าน

ผมแน่ใจว่าตัวเองเป็นเด็กดี อยู่ในกรอบในระเบียบมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยสร้างเรื่องหนักใจให้กับครอบครัวเลย ผมคว้าปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสองจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศได้ แต่น่าเสียดายที่พ่อของผมป่วยหนักและเสียชีวิตก่อนที่ผมจะเรียนจบได้เพียงสองเดือน

ผมกลับบ้านมาช่วยป้าทำสวนทำไร่ได้เกือบสี่เดือน ระหว่างรอให้บริษัทที่สมัครงานเรียกตัว และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ผ่านการสัมภาษณ์งานที่บริษัทยูเนียนประเทศไทย สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ปู่ย่ากับป้าพากันจัดงานฉลองเล็กๆ ให้ผม ก่อนที่ผมจะเก็บข้าวของย้ายมาใช้ชีวิตที่จังหวัดระยองเพียงลำพัง

นอกจากหน้าที่การงานที่มั่นคง ผมยังคาดหวังที่จะได้ใช้ชีวิตกับใครสักคนไปจนแก่เฒ่า เพียงแต่เกย์ฝึกหัดอย่างผมไร้ประสบการณ์ ทั้งเรื่องของความรักและเรื่องของเซ็กส์ ผมไม่รู้ว่าจะไปหาคนรักได้จากที่ไหน ผมมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าคนๆ นี้ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ดังนั้นสถานที่ที่ผมจะค้นหาชายรักชายได้อย่างเปิดเผย คงหนีไปพ้นบาร์เกย์ ผมต้องหัดเข้าสังคมเกย์ หาเพื่อนฝูง หรือถ้าโชคดี ผมอาจเจอคู่นอนที่ถูกใจก็ได้

ผมยอมรับแบบไม่อายเลยว่าผมอยากเป็น ‘รับ’ คิดว่านะ อย่างน้อยตอนที่ดูหนังโป๊ ผมก็จินตนาการว่าตัวเองเป็นฝ่ายรับว่าโดยตลอด อีกอย่างอายุยี่สิบสามปีก็ออกจะแก่เกินไปสำหรับการเสียตัวครั้งแรกแล้วล่ะ ผมควรมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องบนเตียงบ้างก่อนที่จะคบกับใครแบบจริงจัง ผมเคยอ่านปัญหาของชีวิตคู่มาจากเว็บไซต์เกย์แห่งหนึ่ง ถ้าผมไร้น้ำยากับเรื่องบนเตียงมากเกินไป คนรักของผมอาจจะเบื่อหน่ายก็ได้ และมันอาจจะนำไปสู่การนอกกายแล้วก็จะตามมาด้วยการนอกใจ

ผมตัดสินใจคว้าเสื้อเชิ้ตสีขาวยี่ห้อดังมาสวมเข้าคู่กับกางเกงยีนสีเข้มพอดีตัว เสื้อผ้าพวกนี้ผมเพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน ตั้งใจจะเก็บไว้ใส่ในโอกาสพิเศษ ซึ่งวันนี้นับเป็นวันสำคัญของผมที่ผมอาจจะได้เปิดซิงของตัวเองก็ได้ ผมฉีดน้ำหอมยี่ห้อ CK ONE ที่ให้กลิ่นหอมละมุน ยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผม พยายามไม่ให้ดูเนี้ยบจนเกินไป แต่ก็ไม่ให้ดูยุ่งเหยิง เมื่อหมุนตัวอยู่หน้ากระจกจนพึงพอใจกับภาพลักษณ์ของตัวเองแล้ว ผมก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมทับและโบกเรียกแท็กซี่ไปยังบาร์ชื่อดัง

ผมมาถึงจุดหมายปลายทางในเวลาสี่ทุ่มตรง ‘Manly’ เป็นบาร์ที่มีชื่อเสียงและหรูหราที่สุดในจังหวัด ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยทำงานที่แต่งตัวดี มีมารยาทและกระเป๋าหนัก ลูกค้าที่ก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทหรือการทำอนาจารในบาร์จะถูกไล่ออกไปและติดแบล็คลิสตลอดชีวิต บาร์แห่งนี้จึงค่อนข้างทำให้ผมเบาใจ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องกังวลว่าอาจจะถูกฉุดหรือถูกมอมเหล้าโดยไม่มีใครช่วยเหลือ

ผมยืนลังเลอยู่ที่หน้าบาร์ สายตาไล่มองชายหนุ่มหลายคนที่เดินเข้าเดินออกทางประตูใหญ่ ด้วยความมั่นใจที่เริ่มถดถอยลงทุกที

ให้ตายสิ มีแต่คนหน้าตาดีเต็มไปหมดเลย บางคนหน้าสวย เอวบางร่างเล็ก ภาพลักษณ์งดงามเหมือนนายเอกหนัง AV ที่ผมดูไม่มีผิด แล้วดูผมสิ จืดชืด ไร้รสนิยม ช่างเป็นคนที่ไม่มีอะไรเด่นสะดุดตาเลย ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนหน้าตาดี เพียงแต่ผิวขาวกับใบหน้าเรียบเนียนทำให้พอดูเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง

ผมสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ไหนๆ ก็ตั้งใจแต่งตัวมาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่เข้าไปก็น่าเสียดายแย่ อย่างน้อยครั้งแรกไม่ได้คู่ก็ไม่เป็นไร ถือเสียว่ามาสำรวจสถานที่ก่อนแล้วกัน

ผมถูกยามหน้าประตูใหญ่ขอดูบัตรประชาชนซึ่งทำให้ผมเสียความมั่นใจเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวพี่ยามหน้าโหดก็พยักหน้าแล้วปล่อยให้ผมผ่านเข้าไป ด้านในของบาร์ถูกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น ให้ความรู้สึกเรียบหรูแต่ดูดี ไฟสีทองสลัวทำให้ในบาร์ไม่มืดจนเกินไป ผมสามารถมองเห็นใบหน้าของผู้คนได้อย่างชัดเจนเลย

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ทางด้านขวามีบาร์ครึ่งวงกลมสีดำเงางาม บนเก้าอี้ทรงสูงมีคนนั่งอยู่เพียงสามคน ซึ่งผมขอเดาว่าพวกเขาอาจจะมาเที่ยวคนเดียว ส่วนทางด้านซ้ายเป็นโต๊ะเข้าชุดกับโซฟาสีแดงเลือดนก มีคนนั่งรวมกันเป็นกลุ่ม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมจึงเลือกที่จะพาตัวเองเดินเข้าไปนั่งที่บาร์ครึ่งวงกลมแล้วสั่ง Cocktail มาดื่ม

ในตอนที่ผมกำลังยกแก้วทรงสูงขึ้นแตะริมฝีปาก สายตาก็เหลือบไปมองใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงฝั่งตรงกันข้ามกับผม

ตึกตักตึกตัก

หัวใจของผมเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่…

อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีมาก อายุราวๆ 25-30 ปี ดวงตาเรียวยาวคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางได้รูป แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นบุคลิกเย็นชาที่แฝงแววร้ายกาจ ราวกับสัตว์นักล่าที่ทั้งน่าเกรงขามและสง่างาม เมื่อรวมกับออร่าความรวยที่พุ่งออกมาจากตัวเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองของใครหลายคนในบาร์

ราวกับรับรู้ได้ถึงการถ้ำมอง ผู้ชายคนนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับผม มือที่ยกแก้วเหล้าสีอำพันขึ้นจิบช้าๆ กับแววตานักล่านั้นดูเซ็กซี่มาก ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอเมื่ออีกฝ่ายขยับยิ้มให้ คิดว่าเขายิ้มให้ผมนะ แม่ง โคตรเชิญชวนเลยอ่ะ รู้สึกหน้ามืดนิดๆ เหมือนจะตกเก้าอี้แล้ว

เข้าไปทำความรู้จักดีมั้ย?

เขากำลังให้ท่าผมอยู่หรือเปล่านะ?

แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ ก็แค่หน้าแตกเหรอ?

ระหว่างที่ผมกำลังตบตีกับความคิดฟุ้งซ่านในสมอง ก็มีใครบางคนก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจนเกือบมองตามแทบไม่ทัน มาทรุดนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงข้างๆ ผู้ชายคนนั้น เขาจึงละสายตาจากผมแล้วหันไปมองผู้ชายร่างบางข้างๆ แทน

ผู้ชายที่มาใหม่ มีใบหน้าสวยจัด จมูกศัลยกรรมกับคางที่ถูกเหลาจนแหลมชวนมองอย่างประหลาด เจ้าตัวเหลือบตามามองผมพร้อมกับรอยยิ้มเหยียด เห็นแล้วทำให้หางคิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่ผมไม่โทษเขาหรอก ผู้ชายคนนั้นงานดีขนาดนี้ ใครๆ ก็อยากได้เป็นธรรมดา แต่ที่เสียใจคือ…ผมโดนตัดหน้าไปแล้วอ่ะ ฮือออออ!





ซ่า!

ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า เรียกความสดชื้นได้เล็กน้อย ความรู้สึกเวียนศีรษะในตอนแรกหายไปแล้ว ผมก้มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มตรง นอกจากนั่งดื่มเหล้าเหงาๆ คนเดียวมาเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็ไม่เห็นมีใครแวะเวียนมาทำความรู้จักกับผมเลย แต่ถ้าจะให้ผมเป็นฝ่ายเข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่น บอกเลยว่าไม่มั่นใจ แถมยังหมดอารมณ์ไปดื้อๆ เมื่อเห็นเป้าหมายที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง กำลังนั่งพูดคุยกับชายหนุ่มอีกคนอย่างสนิทสนม

นก!

กลับห้องไปนอนดีกว่า…

ผมคิดพลางหยิบกระดาษชำระมาเช็ดมือทั้งสองข้างให้แห้งก่อนจะโยนลงถังขยะ มองสภาพของตัวเองในกระจกที่ดูโทรมเล็กน้อย เพราะผมเป็นเด็กอนามัย หัวต้องถึงหมอนตั้งแต่เวลาสี่ทุ่มแล้ว ตอนนี้เลยเวลาเข้านอนมากว่าหนึ่งชั่วโมง จึงช่วยไม่ได้ที่ดวงตาของผมจะเริ่มปรือ บวกกับแอลกอฮอล์ในเลือดยิ่งทำให้อยากหลับเข้าไปทุกทีแล้ว

ตุบ!

ในตอนที่ผมก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำได้เผลอชนเข้ากับร่างสูงของใครบางคนเต็มแรง สาบานว่าผมเป็นคนที่มีความระมัดระวังมาก อุบัติเหตุเล็กๆ ในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ความผิดของผม แต่เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่จู่ๆ ก็ก้าวเข้ามายืนขวางทาง

ผมตัวแข็งทื่อเมื่อได้กลิ่นหอมเย็นสดชื่นจากร่างของอีกฝ่าย เพิ่งรู้สึกตัวว่าในตอนนี้ ผมได้หน้าขมำไปชนเข้ากับซอกคอของผู้ชายคนนั้น

กลิ่นดีมาก…ต่อให้ไม่เห็นหน้ายังรู้เลยว่ากลิ่นแบบนี้ต้องหล่อแน่ๆ

“ขอโทษครับ”

ผมรีบก้าวถอยหลังทันที ทุกคนที่เข้ามาในบาร์เกย์ ย่อมเป็นชายรักชาย แล้วผมก็เสือกล้มไปหอมซอกคอเขาเต็มๆ ขนาดนี้ อีกฝ่ายอาจคิดว่าผมจ้องจะฉวยโอกาสก็ได้ ดีไม่ดีอาจโดนด่า

“จะกลับแล้วเหรอ”

ฮะ?

เสียงทุ้มติดจะแหบเล็กน้อย เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเขาคือผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม หัวใจไม่รักดีก็เริ่มเต้นกระหน่ำอีกครั้ง ยอมรับว่าไม่ได้เจอผู้ชายหน้าดีมากแบบนี้บ่อยๆ และยิ่งไม่เคยถูกผู้ชายหน้าตาดีมากเข้ามาทัก มันทำให้ผมทำตัวไม่ถูกได้แต่พยักหน้าโง่ๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามไม่ให้สั่นเพราะความตื่นเต้น

“ครับ”

“อยากไปต่อกับฉันมั้ย”

เขาชวนผมไปต่อ?

หมายถึงไปทำเรื่องอย่างว่าหรือเปล่านะ?

แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ?

หรือเขาจะชวนผมไปกินข้าว ไปทำความรู้จัก?

ความคิดสับสนในสมอง ทำให้ผมเหลือบตาขึ้นไปมองใบหน้าที่หล่ออย่างร้ายกาจกับดวงตาคมกริบของเขา ไม่น่า…คนที่มีบุคลิกเอาแต่ใจอย่างรุนแรงแบบนี้ ไม่น่ามีโมเม้นต์อย่างการชวนไปกินข้าว แต่เพื่อความแน่ใจผมควรเอ่ยถามให้ชัดเจน อาจารย์ของผมเคยบอกเสมอว่า ถ้าไม่เข้าใจอะไรให้ถาม อย่าปล่อยให้เข้าใจผิดและค้างคาเด็ดขาด

“One Night Stands เหรอครับ?”

อีกฝ่ายหัวเราะขบขันทันทีที่ได้ยินคำถามของผม อะไรหว่า? เขาไม่ได้จะชวนผมไปนอนด้วยเหรอ

“พูดตรงดีนี่”

ผู้ชายคนนั้นขยับยิ้มที่มุมปากซึ่งทำให้เขาดูเซ็กซี่และน่าเข้าหามากยิ่งขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ใครหลายคนต่างพากันเหลือบมามองเขาเป็นระยะ

“ตามนั้นแหละ”

ผมหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ตอนนี้ผมง่วงมาก แต่โอกาสดีๆ ที่จะได้เปิดซิงกับผู้ชายที่หล่อขนาดนี้อาจจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตของคนหน้าจืดอย่างผม ถ้าผมไม่คว้าไว้ตอนนี้ อนาคตผมอาจจะได้กับผู้ชายหน้าตาไม่ดีหรือเปล่านะ อืม…ยังไงผมก็อยากได้คนหล่อไว้ก่อนอ่ะครับ งั้นเอาล่ะกัน

“ไปครับ”

เมื่อผมตอบตกลง ผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาโอบไหล่ของผม แล้วพาเดินออกไปจากบาร์ทันที ผมเดินตามไปอย่างงงๆ ทั้งที่อยากเอ่ยปากถามว่า ‘คุณชื่ออะไรเหรอครับ’ แต่ก็ไม่กล้า เพราะคิดว่าการไม่ถามชื่ออาจเป็นเรื่องปกติของคู่นอนชั่วคราวก็ได้

พวกเราเดินมาถึงลานจอดรถของบาร์ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารถหรูสีแดงสด ผมไม่มีความรู้ในเรื่องของรถมากเท่าไร แต่ก็พอจะบอกได้ว่ามันคือรถของคนเห็นแก่ตัว ที่ราคาโคตรแพงแต่มีแค่สองที่นั่ง รู้สึกจะชื่อว่า ‘เฟอรารี่’

“ขึ้นรถ”

ประโยคคำสั่ง ทำให้ผมรีบเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งด้านในพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ผมเหลือบตามองคนที่เข้ามานั่งบนเบาะข้างๆ ก่อนจะแอบวิเคราะห์ลักษณะนิสัยส่วนตัวของเขาไปด้วย

ผมคิดว่าฐานะทางการเงินของผู้ชายคนนี้คงจะไม่ธรรมดา ดูจากรถที่ขับ บาร์ที่เลือกเข้ามาใช้บริการ เสื้อผ้าแบรนด์เนมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บอกผมว่าเขาน่าจะรวยถึงรวยมาก แต่พอมาดูที่บุคลิกมีอำนาจ น้ำเสียงที่ใช้ค่อนไปทางออกคำสั่งโดยไม่รู้ตัว น่าจะเป็นคนทำงาน อาจจะระดับบริหารธุรกิจส่วนตัวที่มีคนรอรับคำสั่งตลอดเวลา คนแบบนี้ไม่ชอบให้ใครขัดใจ แล้วก็น่าจะขี้หงุดหงิดพอสมควร

นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดกันนะ คนแบบนี้ไม่น่าจะอ่อนโยนกับเรื่องบนเตียงได้เลย แล้วผมก็กลัวว่าครั้งแรกอาจจะเจ็บมากอีกด้วย เปลี่ยนใจตอนนี้จะทันหรือเปล่า ขอตัวกลับเพราะง่วงนอนได้มั้ย ไม่สิ ควรบอกว่ามีธุระด่วนถึงจะถูก

“คิดอะไรอยู่”

คำถามลอยๆ พร้อมกับรถที่ทะยานสู่ท้องถนนยามค่ำคืนทำให้ผมสะดุ้ง เขาอ่านความคิดของผมออกด้วยเหรอ…นับว่าเป็นคนที่ความรู้สึกเร็ว ต้องเจนจัดในด้านธุรกิจแน่เลย

“เปล่าครับ” ผมตอบแบบประหยัดคำพูด ที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง ยิ่งกับคนที่ไม่สนิท ผมยิ่งพูดน้อยมาก

“เปล่าก็ดี ฉันก็คิดว่าเธอเปลี่ยนใจ ไม่อยากไปกับฉันแล้ว”

แม่นกว่าหมอดู ก็เขานี่แหละ!

ผมไม่ได้ยอมรับว่าเขาพูดถูก แต่เลือกที่จะมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไป จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายขับรถเร็วมาก แต่ก็นับว่าขับได้นิ่มนวลมากเช่นกัน

“เปิดลิ้นชัก”

คำสั่งลอยๆ เรียกให้ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของจอมบ่งการ ก่อนจะเหลือบมามองลิ้นชักรถที่อยู่ตรงหน้า…หมายถึงลิ้นชักอันนี้ล่ะมั้ง?

“หาอะไรครับ”

ผมถาม แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักตามคำสั่งโดยดี ด้านในมีซองจดหมายเกี่ยวกับธุรกรรมต่างๆ ที่ยังไม่ได้ถูกแกะยัดไว้เต็มไปหมด นอกจากนั้นยังมีหลอดพลาสติกบางอย่างนอนอยู่ด้านในสุด ด้วยความสงสัยผมจึงหยิบมันออกมาดูโดยไม่คาดคิดว่ามันคือ เจลหล่อลื่นกลิ่นสตรอว์เบอร์รีที่ถูกใช้ไปเกือบครึ่งหลอดแล้ว เฮ้อ คนแบบไหนกันนะที่เก็บของแบบนี้ไว้ในลิ้นชักหน้ารถ

“มีถุงยางมั้ย”

ผมเหล่ตาไปมองดวงหน้าหล่อๆ ที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะบอกว่าตัวเองว่า คงเป็นคนเซ็กส์จัดที่ผ่านคู่นอนมาหลายต่อหลายคน

“ไม่มีครับ”

ผมตอบ หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาระหว่างพวกเราอีกเลย เขาเองก็ดูไม่ใช่คนช่างพูดซะเท่าไหร่ ผ่านไปประมาณสิบนาที รถถูกจอดลงที่หน้าร้านสะดวกซื้อซึ่งเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ผมเดาว่าอีกฝ่ายคงลงไปซื้อถุงยางอนามัย ขณะที่ผมนั่งรออยู่ในรถก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมยังไม่ได้ศึกษาเรื่อง One Night Stands อย่างถ่องแท้เลย จึงรีบหยิบไอโฟนขึ้นมาแล้วเสิร์ชคำว่า ‘กฎของความสัมพันธ์แบบ One Night Stands’ รอไม่นานหน้าจอก็แสดงผลการค้นหาให้ผมอย่างรวดเร็ว

กฎของความสัมพันธ์แบบ One Night Stands

1. ความสัมพันธ์ต้องแน่นอน ชัดเจน และไว้ใจได้

อาห์ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลอกผมไปขาย หรือหลอกผมไปรุมโทรม เขาน่าจะอยากได้ผมชั่วคราว ดังนั้นจึงถือว่าไว้ใจได้ล่ะมั้ง?

2. ต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก

อ๋อ มันเป็นเรื่องสนุก?

นั่นสินะ การมีเซ็กส์นับเป็นความบันเทิงและสามารถปลดปล่อยความเครียดได้ส่วนหนึ่ง เพราะงั้นคืนนี้ผมต้องสนุก

3. อย่าหวังจะเจอรักแท้

อืม…ห้ามหวังจะเจอรักแท้กับคนที่ผ่านมาและผ่านไป ผมแค่ต้องโฟกัสเรื่องเซ็กส์

4. อย่าลืมป้องกันเสมอ

ผู้ชายคนนั้นไปซื้อถุงยางแล้ว เจลก็มีแล้ว ข้อนี้นับว่าไม่มีปัญหา

5. อย่าทำอาหารเช้าหรือกินมื้อเช้าด้วยกัน ให้รีบแยกย้ายทันที

กฎข้อนี้ยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า การกินมื้อเช้าด้วยกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันธ์โดยไม่จำเป็น เพราะในอนาคตพวกเราไม่ได้ต้องการจะเกี่ยวข้องกันอีก ดังนั้นได้กันแล้วรีบแยกย้ายคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ผมรีบยัดไอโฟนลงในกระเป๋ากางเกงเมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นเปิดประตูรถ แล้วพาตัวเองขึ้นมานั่งประจำที่นั่งคนขับ รถทะยานสู่ท้องถนนอีกครั้งก่อนจะจอดสนิทในลานจอดรถของโรงแรม ‘ไอริส’

ผมเดินตามเขาเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม การตกแต่งที่หรูหราทำให้ผมรู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่อยากไปนอนในห้องรูหนู แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะพาผมมาเปิดห้องในโรงแรมระดับห้าดาวแบบนี้ ไม่รู้ว่าคืนละกี่พัน แค่ลองคาดเดาราคาก็ทำเอาผมน้ำตาตกในแล้วครับ ฮืออออ แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกฝ่ายคงไม่ยอมให้ผมจ่ายคนเดียว ยังไงก็ต้องหารกัน ถือซะว่าใช้เงินค่าโรงแรมในครั้งนี้ ซื้อประสบการณ์ใหม่ให้ตัวเอง

“เท่าไรเหรอครับ” ผมเอ่ยถามระหว่างที่พวกเราอยู่ในลิฟท์ด้วยกันสองคน

“หืม?” ผู้ชายคนนั้นก้มหน้ามองผมด้วยความไม่เข้าใจ ผมจึงรีบขยายความให้ชัดเจน

“ค่าโรงแรมน่ะ”

“ทำไม จะช่วยออกเหรอ?”

“ครับ” ผมรีบพยักหน้า ควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ จะให้เขาจ่ายคนเดียวก็ออกจะเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย แต่ไม่คิดว่านอกจากจะปฎิเสธแล้ว เขายังหัวเราะขบขันราวกับเห็นว่าผมเล่นตลกให้ดูอย่างนั้นแหละ

“ไม่ต้องหรอก ฉันจ่ายเอง”

ผมขมวดคิ้ว รู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลย ปกติแล้วผมไม่เคยเอาเปรียบคนอื่นเลยนะครับ

“จะดีเหรอครับ โรงแรมนี้ก็ดูท่าจะแพงมาก”

“ไม่แพงหรอก”

เขาปฎิเสธ ซึ่งพอดีกับที่ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 23 ผมจึงรีบก้าวเท้าตามอีกฝ่ายไปบนทางเดินที่ถูกปูด้วยพรมสีแดงเลือดนก

“แต่ผมไม่อยากเอาเปรียบคุณนะครับ”

“เธอไม่ได้เอาเปรียบฉัน”

อีกฝ่ายถอนหายใจเบาๆ ขณะหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูห้องหมายเลข 2309 ผมไม่กล้าคะยั้นคะยอต่อเพราะเกรงว่าจะทำให้เขาอารมณ์เสีย ซึ่งมันคงไม่ดีต่อการเปิดประสบการณ์ของผม

ประตูห้องพักถูกปิดตามหลังพร้อมกับไฟในห้องที่ถูกเปิดจนสว่างไสว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กวาดสายตามองสำรวจความหรูหรา ร่างของผมก็ถูกผู้ชายคนนั้นดันถอยหลังไปจนติดกับผนังด้านหนึ่ง แล้วริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาแทบจะทันที เป็นเพราะผมไม่เคยจูบกับใครมาก่อนจึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ปล่อยให้อีกฝ่ายรุกเร้าริมฝีปากของผมตามใจชอบ

“เปิดปากหน่อยสิ”

ประโยคคำสั่งที่กระซิบชิดกับริมฝีปาก ทำให้ผมค่อยๆ เปิดปากขึ้นอย่างเงอะงะ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสได้ว่าลิ้นร้อนของเขาสอดแทรกเข้ามาข้างในอย่างจ้าบจ้วง มือทั้งสองข้างของผมยกขึ้นมาดันแผ่นอกของอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ แต่นอกจากเขาจะไม่ปล่อยผมแล้ว เขายังจูบผมอย่างดูดดื่มและแนบแน่นจนผมเกือบจะหายใจไม่ทัน ลิ้นซุกซนของเขาพยายามไล่ต้อนลิ้นของผมที่ขยับหนี และตวัดสำรวจไปทุกซอกทุกมุมในโพรงปาก ความรู้สึกซาบซ่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก่อตัวขึ้นช้าๆ พร้อมกับหัวใจที่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง การจูบที่ดุเดือดในครั้งนี้ทำให้ผมแทบสิ้นสติ น้ำใสๆ ที่กลืนลงคอไม่ทันเริ่มไหลเยิ้มลงมาตามปลายคาง ผมไม่ได้ขัดขืนเขาอีกแล้ว ได้แต่ยืนนิ่งๆ ปล่อยให้เขาจูบจนพอใจจึงเป็นฝ่ายผละออกไปเอง

“เธออายุเท่าไหร่”

เขาเอ่ยถามในตอนที่ถอนริมฝีปากออกมา แต่เนื่องจากเมื่อครู่พวกเราจูบกันอย่างดูดดื่มและยาวนานพอสมควร ทำให้เวลานี้มีของเหลวใสเป็นเส้นยาวเยิ้มออกมาจากปากของพวกเราทั้งคู่ ซึ่งภาพนั้นทำให้ผมหน้าแดงก่ำ

“ยี่สิบสามครับ” ผมตอบแล้วก้มหน้ามองพื้น รู้สึกไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายขึ้นมาดื้อๆ

“งั้นเหรอ”

เขาเอื้อมมือมาจับปลายคางของผม แล้วดันขึ้นเบาๆ เพื่อให้สบตากับเขา ดวงตาเจ้าเล่ห์ที่แฝงความร้ายกาจ มองสำรวจใบหน้าของผมเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่งในสิ่งที่ทำให้ผมต้องถอนหายใจด้วยความยินดี

“ไปอาบน้ำ”

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นว่าบนเตียงหลังใหญ่มีผ้าขนหนูสีขาวสะอาด ถูกพับเป็นรูปนกยูงคู่ก็รีบวิ่งไปคว้ามาไว้ในมือหนึ่งตัว ก่อนจะพุ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ผมยืนหอบหายใจ แผ่นหลังชิดกับประตู ใบหน้าแตกตื่นเล็กน้อย ผมขอเวลาอยู่กับตัวเองสักสิบนาทีเถอะ เพราะแค่จูบกันก็ทำเอาผมเกือบสติแตกแล้ว ถ้าทำมากกว่าจูบผมจะช็อคตายหรือเปล่าวะเนี่ย

ทำไมมันตื่นเต้นแบบนี้อ่ะ ฮืออออ




TBC.



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (01-05-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 01-05-2020 17:21:24


บทที่ 3 เป็นภรรยาต้องช่วยเหลือสามี


เวลาสี่โมงเย็นเป็นช่วงที่การจราจรบนท้องถนนหน้าบริษัทยูเนียนแออัดมากที่สุด พนักงานส่วนใหญ่ต่างรีบเร่งออกจากบริษัททันทีที่หมดเวลางาน บ้างรีบไปรับลูกจากโรงเรียน บ้างรีบไปรับแฟน ส่วนผมรีบไปรอให้ ‘แฟน’ มารับ
ผมเร่งฝีเท้าไปบนฟุตบาท มองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีเพื่อนร่วมงานอยู่แถวนี้จึงรีบวิ่งไปยืนแอบอยู่ด้านหลังป้ายรถเมล์ หยิบไอโฟนขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งไปทางไลน์ของพอร์ช
‘รอที่เดิม’
ผมมาทำงานพร้อมกับพอร์ชและกลับเพนท์เฮ้าส์พร้อมกับเขาเช่นกัน เพียงแต่ความยากลำบากมันอยู่ตรงที่ เขาจะจอดรถส่งผมแถวป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัทเพื่อให้ผมเดินเข้าไปด้านในเอง ทำแบบนี้จึงจะไม่เป็นที่สะดุดตาของคนอื่น ซึ่งไอ้การหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ จะว่าตื่นเต้นมันก็ใช่อยู่นะ แต่จะทำให้ผมประสาทแดกเข้าสักวันน่ะสิ
“วิน”
ผมสะดุ้งเมื่อเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อ พร้อมกับมือที่ตะปบลงมาบนไหล่ ผมได้แต่โอดครวญในใจ ก่อนจะหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลังพลางภาวนาว่าคงจะไม่ใช่…
อีพี่เขียว!
“มาได้ไงอ่ะพี่”
ผมถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ซึ่งอีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าเหลอหลาราวกับต้องการประท้วงว่า…กูผิดอะไร๊! เออ ผิดดิ ผิดมาก ปกติเห็นขับรถมาทำงาน ไง๊วันนี้เสร่อมาที่ป้ายรถเมล์ได้เล่า!?
“เดินมาสิวะ” ไอ้พี่เขียวตอบ พลางเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“แล้วรถพี่ไปไหน”
“เข้าอู่”
แล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องทนฟังเฮียแกบ่นเรื่องรัฐบาลชุดใหม่กับเศรษฐกิจที่มันย่ำแย่อยู่เกือบสิบนาที ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นจากัวร์สีดำแล่นมาจอดเทียบริมฟุตบาท
“ผมกลับก่อนนะพี่ แฟนมารับแล้ว”
“ขี้โม้นะมึงอ่ะ อะ อ้าว เดี๋ยวดิ วิ๊นนนนน”
ผมโบกมือลาก่อนจะวิ่งหน้าตั้งไปที่รถคันนั้น หวังว่าไอ้พี่เขียวจะไม่ทันสังเกตนะว่าท่านประธานแห่งยูเนียนใช้รถยี่ห้ออะไร
“หมอนั่นใคร”
นั่นเป็นคำถามแรกหลังจากที่ผมขึ้นมานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว
“พี่รหัสกู”
ผมตอบแล้วดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอว พร้อมกับที่รถหรูเคลื่อนตัวสู่ท้องถนนอีกครั้ง สายตาแอบเหลือบไปมองดวงหน้าของอีกฝ่ายเงียบๆ พอร์ชเป็นคนขี้หึงแบบไม่แสดงออก เขาจะไม่โวยวายหรือหงุดหงิดใส่ผม แต่จริงๆ แล้วในสมองกำลังคิดเลอะเทอะ ก่อนอื่นผมต้องเล่าที่มาที่ไปเกี่ยวกับความขี้หึงของเขาซะก่อน หมอนี่มีโรคประจำตัวชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยกับคนทั่วไปได้ เพราะมันถือเป็นจุดอ่อนถึงตายสำหรับนักธุรกิจ
พอร์ชไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิต โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง แบบนั้นมันเบสิคเกินไป คนหล่อระดับเขาต้องป่วยด้วยโรคที่ไม่เหมือนใครอยู่แล้ว
“ทำงานแผนกเดียวกับมึง?”
“อืม”
ผมพยักหน้า ไม่ใช่ว่าหมอนี่จำหน้าของอีพี่เขียวไม่ได้นะครับ แต่เขาจำหน้าใครไม่ได้เลยต่างหาก
พอร์ชป่วยเป็นโรค Prosopagnosia หรือโรคหลงลืมใบหน้า แม้แต่ใบหน้า ของผมเขาก็จำไม่ได้ แต่ส่วนที่บกพร่องของเขากลับถูกชดเชย ด้วยสมองที่มีความจำดีเยี่ยม อย่างเช่นว่าเขาสามารถจดจำน้ำเสียง บุคลิกการเดิน การยืน รวมถึงสไตล์การแต่งตัว และกลิ่นกายเฉพาะบุคคลได้ดีกว่าคนปกติ นั่นทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนทั่วไปได้อย่างไม่มีปัญหา
“พี่มันจะจำรถมึงได้เปล่าวะ” ผมพึมพำด้วยความกังวล รถนอกราคาเหยียบล้านแบบนี้จะมีสักกี่คนที่กล้าใช้
“จำได้หรือไม่ได้แล้วทำไม?” พอร์ชเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ผมรู้ดีว่าหมอนี่กำลังหาเรื่องกวนตีนผม
“ถ้าพี่มันรู้ว่ามึงมารับกู คงจะคิดว่ากูเป็นเด็กมึงจริงๆ น่ะสิ”
“ก็มึงเป็นเด็กกูจริงๆ นี่”
ผมขมวดคิ้ว
“แต่กูไม่อยากถูกนินทาว่าปีนขึ้นเตียงท่านประธานนี่”
พอร์ชเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คบกันแบบเปิดเผยเลยมั้ย”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราคุยกันในเรื่องนี้ พอร์ชอยากให้พวกเราคบกันแบบเปิดเผย ครอบครัวของพอร์ชรับรู้ว่าเขาคบกับผม แม้ไม่ได้คัดค้าน แต่จะบอกว่ายินดีเลยก็ไม่ถูกนัก ส่วนครอบครัวของผมปลงแล้วที่ผมชอบผู้ชาย และไม่เคยถามถึงคนรักของผมเลย ผมเดาว่าพ่อไม่อยากรับรู้มากกว่า แล้วผมก็ไม่อยากบอกด้วย กลัวสะเทือนใจ
“กูไม่แคร์หรอกว่าใครจะคิดยังไง”
แต่กูแคร์ว่าคนอื่นจะมองมึงไม่ดี…
“ไม่เอา”
ผมปฎิเสธ ซึ่งพอร์ชก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาพูดอีก พวกเราแวะกินมื้อเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารจีนแถวเยาวราชซึ่งเป็นร้านประจำ อาหารรสชาติดีและราคาถูกเหมาะสำหรับคนทั่วไป โชคดีที่พอร์ชไม่ใช่คนเรื่องมากในการกินอยู่ เขาสามารถปรับตัวเข้าหาการดำรงชีวิตที่ปกติสามัญของผมได้ดี ไม่ต้องกินหรู กินแพง การใช้ชีวิตอยู่กับเขาทำให้ผมรู้สึกถึงความสุขที่สมบูรณ์ เขาทำให้ผมพอใจกับการตื่นนอนตอนเช้าแล้วเห็นหน้าเขา พอใจกับการนอนหลับเคียงข้างกับเขา ไม่ได้ต้องการอะไรที่มากไปกว่านี้แล้ว
“วิน” พอร์ชเอ่ยเรียก เมื่อรถหรูแล่นเข้ามาจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถของเพนท์เฮ้าส์
“หื้ม” ผมปิดประตูรถแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย ซึ่งโยนบางอย่างมาให้ผมที่เกือบจะแบมือรับไว้ไม่ทัน
“ให้ยืม”
ผมก้มมองของในมือจึงพบว่าเป็นรีโมตของรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งสัญลักษณ์บนรีโมตทำให้ผมรู้ว่าเป็นเมอร์เซเดสเบนซ์
“เบนซ์เนี่ยนะ”
ผมครวญคราง จำได้ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนผมเอ่ยปากขอยืมรถยนต์จากที่บ้านของพอร์ช คือที่บ้านของหมอนี่มีรถยนต์มากกว่าสิบคันที่จอดทิ้งไว้เฉยๆ ไอ้ผมก็เสียดายไง ขอยืมมาใช้สักคัน คงจะสะดวกกว่าการยืมจากัวร์คันที่พอร์ชใช้อยู่ประจำไปตรวจงานที่โรงงานผลิตจาระบีในที่จังหวัดระยอง
“กูขอยืมคันที่เบสิคที่สุด”
ผมประท้วง ที่ผมไม่อยากขับจาร์กัวเพราะมันเด่นเกินไป แล้วนี่ยังจะให้กูใช้เบนซ์อีกเหรอวะ
“นี่ถูกสุดในบ้านกูแล้ว”
ไอ้คนรวยบ้าบอ!
“จอดอยู่ไหน”
ผมถาม ช่างมันเถอะ ยังไงในกรุงเทพก็มีคนขับเบนซ์เยอะแยะไป
“นั่น” พอร์ชชี้นิ้วไปที่รถยนต์คันสีเหลืองสดที่จอดอยู่ข้างๆ จากัวร์
วอท เดอะ ฟัค!
“มึงคิดว่ากูจะกล้าขับไปทำงานมั้ยฮะ!”
ผมโวยใส่พอร์ชด้วยความขัดใจ ถ้าเป็นเบนซ์สีดำรุ่นทั่วไปก็ว่าไปอย่าง นี่มึงถึงขั้นแต่งรถให้ดูโฉบเฉียว แถมสียังเด่นสะดุดตาขนาดนี้ มันจะไม่กลายเป็นเด่นกว่าจากัวร์สีดำอีกเหรอฮะ!!
ยอมใจในความรวย…



22.00 น.
ผมก้าวเท้าออกมาจากห้องอาบน้ำ มือสองข้างกำลังใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำออกจากเส้นผม พลางกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องนอนที่ว่างเปล่า…พอร์ชอาจจะยังอยู่ที่ห้องทำงาน ให้ตายเถอะ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่ยอมพักผ่อน เป็นถึงเจ้าของบริษัท แต่กลับทำงานเหมือนชนชั้นทาส หมอนั่นกลัวได้กำไรไม่มากพอหรือไงวะเนี่ย
ผมหยิบชุดนอนมาสวมแล้วก้าวเท้าออกจากห้องนอน เพนท์เฮ้าส์ของพอร์ชมีทั้งหมดสองชั้น ในส่วนของชั้นบนมีห้องนอนใหญ่สำหรับผมกับเขา และห้องนอนเล็กสำหรับรับแขก ซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยได้ใช้ ห้องนอนใหญ่มีประตูเชื่อมไปยังห้องแต่งตัว ซึ่งใช้เก็บเสื้อผ้าของพอร์ชที่มีมากพอๆ กับร้านขายเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า ด้วยความที่ห้องของพอร์ชอยู่ชั้นบนสุด และราคาแพงที่สุดจึงมีดาดฟ้าส่วนตัวที่ใช้สำหรับการชมวิวอีกด้วย
ผมก้าวเท้าลงบันไดไปสู่ชั้นล่าง ซึ่งเป็นส่วนของห้องนั่งเล่น มีโซนครัวเล็กๆ มุมหนึ่ง และห้องทำงานของพอร์ชที่เขามักจะใช้เคลียร์งานที่ขนกลับมาจากบริษัท
ผมใช้หลังมือเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต จึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานด้วยใบหน้าเคร่งเครียด บนโต๊ะเบื้องหน้ามีโน้ตบุ๊คตัวหนึ่งกับแฟ้มเอกสารกองใหญ่
“พอร์ช”
“หื้ม?” เขาขานรับในลำคอ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผมเลย
“สี่ทุ่มแล้ว”
“ยังไม่ง่วง”
ผมไม่ชอบเห็นเขาเคร่งเครียดกับงานแบบนี้เลย เขาไปทำงานพร้อมกับพนักงานในบริษัท แต่กลับต้องทำงานล่วงเวลามากกว่าพนักงานปกติ ผมอยากช่วยแบ่งเบาภาระของเขา แต่การที่ผมไม่ได้จบบริหารธุรกิจโดยตรง ทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าเพราะอะไรพอร์ชถึงได้กังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและค่าเงินบาทได้ทุกวัน
“ไม่ง่วงก็พักก่อนเถอะ มาดูหนังโป๊กับกูก็ได้”
ผมเอ่ยกระเซ้าเพราะคิดว่าคนเซ็กส์จัดจะรีบวางปากกาในมือ แล้ววิ่งมาเล่นผีผ้าห่มกับผม แต่ดูท่าว่างานที่เขากำลังทำอยู่คงสำคัญไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
“หึ หมกมุ่นให้มันน้อยๆ หน่อย”
ชิ๊! เมื่อก่อนตัวเองก็หมกมุ่นพอๆ กันนั่นแหละ
ผมทำหน้ายุ่งก่อนจะเดินไปยืนด้านหลังเก้าอี้ทำงาน แล้วเอื้อมมือไปบีบนวดไหล่ให้อีกฝ่าย
“ทำอะไรอยู่ งานเร่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่าหรอก”
พอร์ชวางงานในมือ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วดึงมือข้างหนึ่งของผมไปจูบ
“แต่ยอดขายในปีนี้ตกลง กำไรก็ลดลงถึง 15% แล้วด้วย”
ทำไมเยอะแบบนี้?
คาดว่า 15% ของยูเนียนเกรงจะคิดเป็นเงินหลักล้านบาทเลยล่ะ
“ลูกค้ารายใหญ่ยกเลิกการสั่งซื้อกับยูเนียนเหรอ”
ผมถาม แล้วทรุดตัวลงนั่งบนตักของพอร์ช มือเลื่อนโน้ตบุ๊คที่เปิดทิ้งไว้มาดูใกล้ๆ จึงเห็นกราฟที่แสดงยอดขายย้อนหลังไปสามปี และในปีปัจจุบันที่มีแนวโน้มลดลง
“อืม รายใหญ่ในไทย”
พอร์ชเลื่อนแฟ้มเอกสารที่เปิดทิ้งไว้ก่อนหน้ามาให้ผมดู ลูกค้ารายใหญ่ที่ว่าคือบริษัท ดีแมคซ์ ไฮส์ จำกัด เป็นบริษัทนำเข้าและประกอบชิ้นส่วนของรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นลูกค้าประจำมาตั้งแต่สมัยที่คุณพ่อของพอร์ชบริหารงาน โดยทางยูเนียนมีหน้าที่ผลิตน้ำมันเครื่องให้กับทางนั้น
“รู้สาเหตุมั้ย”
“โอเมก้า ออยล์” พอร์ชเปรย พร้อมกับเลื่อนแฟ้มเอกสารอีกอันหนึ่งมาให้ผมดู
โอเมก้า ออยล์ เป็นบริษัทเอกชนขนาดเล็กที่เคยเป็นคู่แข่งกับยูเนียนมานานกว่าสิบปี ในขณะที่ยูเนียนเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การบริหารจากครอบครัวของพอร์ช แต่โอเมก้า ออยล์กลับย่ำอยู่ที่เดิม
เมื่อไม่นานมานี้ พอร์ชเล่าให้ผมฟังว่าครอบครัวอาหญิงของเขาได้หันไปลงทุนกับโอเมก้า ออยล์ โดยนับเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน และดูเหมือนว่าผมจะคาดเดาไม่ผิดที่พวกเขาต้องการเป็นคู่แข่งกับพอร์ชโดยตรง ก่อนอื่นผมต้องเท้าความให้คุณฟังก่อนว่า อาหญิงของพอร์ชเคยทำพินัยกรรมปลอม ระบุว่าหลังจากที่พี่ชายเสียชีวิตได้ยกยูเนียนให้กับเธอ โดยที่การฟ้องร้องในครั้งนั้นเธอเป็นฝ่ายชนะ แต่พอร์ชก็สามารถทวงคืนยูเนียนกลับมาได้ ด้วยการทำลายบริษัทให้ตกต่ำ ก่อนจะกว้านซื้อหุ้นกลับคืนมาและเข้ามาบริหารงานอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ซึ่งธุรกิจด้านจาระบีและน้ำมันเครื่องของยูเนียนยังไม่มั่นคงเท่ากับด้านอื่นๆ อาจจะต้องใช้เวลาอีกกว่าห้าปีในการเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้ากลับคืนมา ซึ่งการสูญเสียยูเนียนให้กับพอร์ชในครั้งนี้ ทำให้ครอบครัวของอาหญิงเสียหน้าและคงจะแค้นเคืองไม่น้อยเลย
“ทำไม ที่นั่นให้ราคาถูกกว่าเราอีกเหรอ” ผมถาม
“ใช่ ดูนี่สิ”
ผมก้มมองตารางเปรียบเทียบราคา ซึ่งคุณภุมรา เลขาคนสนิทของพอร์ชได้ค้นคว้าราคาขายของโอเมก้า ออยล์มาให้ เท่าที่กวาดสายตาดูคร่าวๆ พบว่าโอเมก้า ออยล์ได้เสนอราคาขายส่งให้ดีแมคซ์ ไฮส์ ถูกมากๆ ถูกแบบหักหน้ากันเลยอ่ะครับ แต่ราคาขนาดนี้เขาได้กำไรเหรอวะ?
อืม…หรืออาจจะยอมได้กำไรน้อยเพื่อสร้างฐานของลูกค้า หรือไม่ก็จงใจแย่งลูกค้าเพื่อความสะใจส่วนตัว?
ผมได้แต่คาดเดาไปต่างๆ นานา ที่จริงแล้วคู่แข่งของยูเนียนในด้านน้ำมันดิบและจาระบีถือว่าน้อยมาก เพราะปกติแล้วบริษัทจะส่งสินค้าออกนอกประเทศ ไม่ค่อยได้ค้าขายในไทยซะเท่าไร แต่การที่กำไรในส่วนของน้ำมันเครื่องลดลงถึง 15% ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อบริษัทในระดับหนึ่ง
“วันเสาร์นี้ มีงานเลี้ยงวันเกิดของประธานดีแมคซ์ ไฮส์ ส่วนวันอาทิตย์ประธานจะจัดประมูลที่ดินที่เขาครอบครองไว้หลายร้อยไร่”
“แล้วมึงอยากได้ที่ดินของเขา?”
ผมหันไปถามพอร์ช อีกฝ่ายส่ายหน้า ดูอ่อนล้ามาก
“ไม่อยากได้ แต่กูต้องไปตามคำเชิญแล้วมึงก็ต้องช่วยกู”
พอร์ชขยับเม้าส์ไปเปิดไฟล์รูปภาพของบุคคนที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานทั้งหมด ซึ่งหน้าที่ของผมคงจะเป็นการจดจำชื่อและใบหน้าของคนพวกนี้แทนเขา
พอร์ชสามารถจดจำบุคลิกลักษณะ รวมถึงน้ำเสียงของใครหลายคนได้ก็จริง แต่นั่นครอบคุมแค่บุคคลที่เขาสนิทหรือพบเจอบ่อยๆ เท่านั้น มันมักจะเกิดปัญหาใหญ่ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงสังสรรค์ของพวกนักธุรกิจไฮโซ คือแม่งจะไม่ไปร่วมงานก็ไม่ได้ไง เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราหยิ่งบ้าง ไม่ให้เกียรติบ้าง บ้าบอสารพัดจะยัดเยียดข้อหาให้ ดังนั้นพอร์ชจึงจำไปต้องไปงานสังคมสวมหน้ากาก โดยมีคุณภุมราทำหน้าที่แนะนำคนดังในงานให้เขา เขาจะได้ไม่ไปทักคนในงานแบบผิดๆ ถูกๆ ให้ขายขี้หน้า
“คุณภีมล่ะ”
ผมถาม เพราะปกติแล้วคนที่ออกงานกับพอร์ชคือเลขาคนสนิท ส่วนผมที่ติดตามไปเที่ยวเล่นจะนอนขึ้นอืดอยู่ในห้องพักซะมากกว่า
“กูส่งไปตรวจงานที่อเมริกาช่วงเสาร์อาทิตย์นี้พอดี งานสำคัญเลื่อนไม่ได้”
ผมพยักหน้าแล้วเริ่มตรวจรายชื่อผู้ร่วมงานคร่าวๆ มีประมาณสามสิบคน ซึ่งนับว่าเป็นตัวท็อป เช่น ท่านประธาน รองประธาน คุณหญิง คุณนาย และทายาทนักธุรกิจเป็นต้น ส่วนในงานจริงๆ จะมีผู้ติดตามหรือเลขาอีกจำนวนหนึ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังไงพอร์ชก็คงจะเสวนาแค่กับคนระดับเฮดเท่านั้น พวกปลาสร้อยปลาซิวไม่จำเป็นต้องสนใจ
“อย่ากังวลเลย กูเก่งเรื่องจำชื่อกับจำหน้าคนอยู่แล้ว”
ผมหันไปยืนยันกับพอร์ชด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แค่คนสามสิบคนไม่นับว่าเป็นปัญหาต่อการจดจำ
“อืม” พอร์ชเอื้อมมือมาลูบแก้มของผมเบาๆ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น ผมรู้สึกว่าเขากำลังล้า เหมือนกับการวิ่งระยะไกลที่ไม่มีจุดแวะพัก เมื่อเคลียร์ปัญหาใหญ่ตรงหน้าเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีปัญหาใหญ่ที่ท้าทายยิ่งกว่าผุดขึ้นมาอีกครั้งไม่มีวันจบสิ้น นี่เหละคือเส้นทางของการทำธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา
“แต่เสาร์อาทิตย์นี้วันหยุดของกู มึงต้องให้โอทีด้วยนะ” ผมเอ่ยกระเซ้าเพราะไม่อยากให้เขาเคร่งเครียดจนเกินไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ขยับรอยยิ้มจางๆ ส่งมาให้ผม
“ได้สิ ตามที่มึงต้องการเลย”


TBC.

หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (03-06-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 03-06-2020 17:43:43

บทที่ 4 One Night Stands


 
(เกื้อกูล)
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมสะดุ้งเมื่อประตูห้องน้ำถูกเคาะจากด้านนอก คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคู่นอนของผม แต่ว่าผมเพิ่งจะเข้ามาอาบน้ำได้ไม่ถึงห้านาที ยังไม่สะอาดเลยนะ ทำไมเขาต้องเร่งผมด้วยล่ะ หรือว่าปวดฉี่? อืม…อาจจะปวดมากจนทนไม่ไหวแล้วก็ได้ เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็เอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำจากฝักบัว คว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวมาพันรอบเอวก่อนจะเปิดประตูเล็กน้อยแล้วยื่นหน้าออกไปถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ
“มีอะไรเหรอครับ”
“ล็อคประตูทำไม”
ฝ่ายนั้นถามด้วยความแปลกใจ ซึ่งทำให้ผมต้องขมวดคิ้วคิดหนัก อืม…ถ้าไม่ได้อยู่คนเดียว เป็นใครก็ต้องล็อคประตูทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?
ผู้ชายคนนั้นไม่รอฟังคำตอบของผม แต่ใช้มือผลักประตูห้องน้ำให้เปิดกว้างขึ้น แล้วแทรกตัวเข้ามาโดยไม่สนใจสีหน้าเหลอหลาของผมเลย
ดะ เดี๋ยวสิ!
ผมอ้าปากค้าง กำลังจะเอ่ยปากถามว่า ‘ขอผมอาบน้ำให้เสร็จก่อนได้มั้ย’ อีกฝ่ายกลับเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดทุกชิ้น รวมถึงกางเกงชั้นในด้วย
รูปร่างของอีกฝ่ายดีมาก เขาต้องเป็นประเภทที่ใส่เสื้อผ้าแล้วดูผอมกว่าความเป็นจริงแน่ๆ เพราะเมื่อถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าผิวขาวๆ ของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงอย่างคนที่ชอบออกกำลังกายเป็นประจำ
ผมรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวแทบไหม้ ขณะที่สายตาของผมเริ่มแสดงความอยากรู้อยากเห็น และค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่ส่วนสงวนของอีกฝ่าย
อึก…
ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นขนาดที่ใหญ่โตของเขากำลังผงกหัวขึ้นเล็กน้อย นี่ขนาดว่ายังไม่แข็งเต็มที่นะ ยัง ยะ…ใหญ่ขนาดนี้ แล้วตรงนั้นของผมจะรับมันเข้าไปได้จริงๆ เหรอ
“เขินหรือ?”
เขาถามแล้วเอื้อมมือมาดึงไหล่ทั้งสองข้างของผมเข้าไปหา ก่อนจะประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้งอย่างจาบจ้วง ลิ้นร้อนกวาดสำรวจไปทั่วโพรงปาก ทั้งเร่าร้อนและหวานล้ำ ทำเอาสมองมึนงงสับสนถึงขั้นไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายกระตุกปมผ้าเช็ดตัวบนเอวของผมแล้วโยนทิ้งไว้บนอ่างล้างหน้า
ผมถูกดันถอยหลังไปยืนใต้ฝักบัวอาบน้ำ แล้วครู่ต่อมาน้ำอุ่นกำลังดีก็ไหลลงมาปะทะร่างของพวกเรา ผมเริ่มขยับริมฝีปากโต้ตอบเขาอย่างช้าๆ มือสองข้างค่อยๆ วางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย เพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ขณะที่ฝ่ามือของเขากำลังลูบไล้แผ่นหลังและผิวกายของผมอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องการสำรวจพื้นที่บนร่างกายทุกซอกทุกมุม
“ผิวเธอสวยมาก”
เขากระซิบชิดกับริมฝีปากของผม ขณะที่มือหนาซึ่งป้วนเปี้ยนอยู่แถวบั้นเอวค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่แก้มก้นทั้งสองข้าง ผมก้มหน้าต่ำด้วยความอายเมื่อเขาเอาแต่ลูบก้นของผม ตอนแรกเพียงแค่ลูบเบาๆ แต่ต่อมาเริ่มออกแรงบีบคลึงจนผมรู้สึกเสียวมาก
“อ๊า…”
ผมเผลอครางออกมาเบาๆ เมื่อมือใหญ่เอื้อมมากอบกุมแก่นกาย แล้วขยับชักรูดเป็นจังหวะ ริมฝีปากของเขาเริ่มแทะเล็มใบหูข้างหนึ่งของผม ก่อนจะส่งปลายลิ้นเข้าไปหยอกเย้าภายใน ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ผมถึงกับตัวสั่น หอบหายใจเร็วขึ้นด้วยความกระสับกระส่าย
ริมฝีปากซุกซนไม่ได้หยุดอยู่ที่จุดๆ เดียว แต่เริ่มลากไล้สำรวจลงมาตามลำคอจนถึงหน้าอกของผมที่กำลังชูชันด้วยแรงอารมณ์ เขาแลบลิ้นเลียยอดอกข้างหนึ่งช้าๆ ราวกับกำลังทดลองลิ้มรสชาติว่าถูกปากหรือไม่ ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกนิ้วมือของเขาบีบคลึงเบาๆ
“อึก…”
ผมสะดุ้ง เคยได้ยินมาว่าการถูกดูดเลียที่ยอดอก จะทำให้ฝ่ายรับรู้สึกดี แต่ไม่คิดว่ามันจะดีขนาดนี้ ผมเผลอแอ่นหน้าอกเข้าหาริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย เมื่อเขาเริ่มดูดดุนหน้าอกของผมเป็นจังหวะหนักๆ ใช้ฟันขบลงมาเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บ ลิ้นที่ตวัดไปมารอบๆ ยอดอกทั้งสองข้างก็ทำให้รู้สึกสุขสมและเดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายเจนสนามรบมากเพียงใด
หลังจากเล่นสนุกกับยอดอกของผมจนบวมแดงแล้ว เขาก็จับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงขัดขืนของผมให้หันเข้าหาผนังห้องน้ำ ผมรีบยกมือยันกำแพงกระเบื้องสีขาวเมื่อสะโพกถูกรั้งไปด้านหลัง
“ทำความสะอาดมาหรือยัง”
เสียงทุ้มที่แหบพร่ากว่าปกติกระซิบชิดใบหูของผม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้ารับเพราะทั้งตัวกำลังสั่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งกังวลและตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน
ก่อนหน้าที่ผมจะตัดสินใจออกมาหาความสำราญที่บาร์เกย์ ผมได้หาข้อมูลเกี่ยวกับการทำความสะอาดรูทวารเรียบร้อยแล้ว และได้ลองพยายามทำความสะอาดอย่างดีที่สุด มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้บุกเบิกประตูหลังของตัวเอง แม้จะเป็นการทำความสะอาดก็ตาม มันค่อนข้างเจ็บเสียดและไม่รู้สึกถึงความฟินเลยสักนิด แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นนิ้วของคนอื่นอาจจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้ก็ได้
ผมรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังใช้หัวแม่มือนวดคลึงเบาๆ ที่ปากทางเข้าด้านล่าง ไม่ได้พยายามรีบร้อนจะยัดเหยียดสิ่งแปลกปลอมเข้ามา นับว่าเขาใจเย็นและให้เกียรติคู่นอนพอสมควรเลย
“แน่นชะมัด”
ผมได้ยินเสียงของเขาพึมพำอยู่เหนือศีรษะ พร้อมกับนิ้วชี้และนิ้วกลางที่ดันเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ ผมหอบหายใจแรง รู้สึกเจ็บมากจนเผลอเกร็งกล้ามเนื้อหูรูดโดยไม่ตั้งใจ แม้จะศึกษาทฤษฎีมาอย่างดีแล้วว่าต้องผ่อนคลาย แต่เมื่อได้ลองปฎิบัติจริง มันก็กลายเป็นอีกเรื่องแล้ว
“เคยมีเซ็กส์ทางประตูหลังหรือเปล่า”
เขาถามด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็ได้แต่ยอมรับไปตามตรง
“ไม่เคยครับ”
“shit!”
ผมสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็สบถเสียงดัง พร้อมกับนิ้วแข็งๆ ที่ถูกดึงออกไปแบบกะทันหัน
“ฉันไม่ชอบมีเซ็กส์กับเด็กบริสุทธิ์”
ผมหันหน้าไปมองเขาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่า ‘บริสุทธิ์’ ไม่ดีตรงไหน เขาได้เปิดซิงผมเป็นคนแรกเลยนะ แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่ชอบจริงๆ นั่นล่ะ เพราะเขาดูหงุดหงิดมากเลย
“ยุ่งยาก”
เขาเอ่ยขึ้นมาราวกับล่วงรู้ความคิดของผม และเมื่อผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเขาก็เพิ่มเหตุผลให้ผมอีกหนึ่งข้อ
“ไม่เป็นงาน”
เอ่อ…
“เสียอารมณ์”
“ขอโทษครับ”
ผมรีบก้มหน้ามองพื้น ยืนสงบเสงี่ยมเจียมตัว ลืมคิดไปเลยว่าถ้าผมไม่เป็นงานเขาอาจจะรู้สึกไม่สนุกก็ได้ เป็นเพราะเขามีประสบการณ์มาก่อน แค่ถูกจูบถูกเล้าโลมผมก็มีความสุขมากแล้ว แต่สำหรับเขาอาจให้ความรู้สึกตรงกันข้าม
ผมแอบเหลือบตาขึ้นไปมองดวงหน้าหล่อเหลาที่กำลังแดงก่ำ แต่พอสบสายตากับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจก็รีบหลุบตาลงต่ำทันที แต่สายตาไม่รักดีกลับปะทะเข้ากับแก่นกายยักษ์ที่ยังคงตื่นตัวอยู่ในตอนนี้
ผมรู้สึกผิดชะมัดเมื่อค้นพบว่าความหงุดหงิดนั้น มีผลมาจากความต้องการที่กำลังจะได้กินของโปรด แต่พอลิ้มรสไปคำแรก กลับพบว่ามันจืดชืด ทั้งที่หิวโหยมากแต่ก็ไม่อยากจะกินต่อแล้ว หรือถ้าปรุงรสใหม่มันคงไม่ถึงกับกลืนไม่ลงมั้ยล่ะ?
ถ้าผมบอกให้เขาไปหาคู่นอนใหม่ในคืนนี้ ผมจะโดนด่าหรือเปล่านะ…
ไม่ๆ ผมควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ถึงจะถูก!
“ถ้าคุณยอมสอน ผมจะตั้งใจเรียนรู้”
เขาเลิกคิ้ว พวกเราสบตากันเงียบๆ ครู่หนึ่งโดยที่ผมไม่ยอมหลบสายตาแบบเมื่อครู่อีกแล้ว มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก ผมเรียนรู้เร็ว จริงๆ นะ…
“จะร้องไห้หรือเปล่าเนี่ย”
ผมหน้าบึ้งทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น ต่อให้ผมเด็กกว่าเขา…กี่ปีก็ช่าง แต่ลูกผู้ชายไม่ร้องไห้กับเรื่องแบบนี้แน่นอน
“ไม่ครับ”
ผมยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาพยักหน้าก่อนจะกวาดสายตามองร่างกายของผมช้าๆ ซึ่งในครั้งนี้ทำให้ผมหน้าแดงก่ำจนแทบไหม้ ไม่เห็นต้องมองกันแบบเปิดเผยอย่างนี้เลย ผมก็อายเป็นนะ
“เธอต้องเป็นเด็กดี ทำตัวว่าง่าย ฉันไม่ชอบให้ใครมาขัดใจตอนอยู่บนเตียงเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ” ผมรีบรับปาก เรื่องนี้ไม่ยาก เขาบอกให้ทำอะไร ผมก็แค่ทำตามนั้น
“ดี”
เขาพยักหน้า ขณะที่สายตายังเอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงบริเวณหน้าอกของผม ซึ่งผมที่กำลังทำตัวไม่ถูกได้แต่โค้งให้เขาช้าๆ พร้อมกับเอ่ยประโยคที่คิดว่านอบน้อมที่สุด
“รบกวนด้วยนะครับ”
ในเมื่อเป็นฝ่ายฝากตัวเป็นศิษย์ก็ต้องเคารพและตั้งใจเรียนรู้ให้มาก อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยต่างก็ชื่นชมว่าผมเป็นเด็กมารยาทดี ไม่รู้อะไรก็ถาม ตั้งใจศึกษาหาความรู้อย่างขยันขันแข็ง คนแบบนี้มักจะได้ดี ซึ่งผมก็เชื่ออาจารย์และจำใส่ใจอยู่เสมอเลยครับ
ร่างเปลือยเปล่าของผมถูกผลักให้นอนหงายลงบนเตียง พร้อมกับร่างของอีกฝ่ายที่ตามมาทาบทับแนบแน่น ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเมื่อผิวเนื้อของพวกเราเสียดสีกันเบาๆ ความร้อนลุ่มที่กึ่งกลางลำตัวสัมผัสกับตัวตนที่แข็งขืนของอีกฝ่ายทำให้ของเหลวสีขุ่น ค่อยๆ ขับออกมาเล็กน้อย
ผมหอบหายใจ รู้สึกว่าอากาศไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงสติที่เริ่มกระเจิดกระเจิงทันทีที่มือหนาเอื้อมมาชักรูดแก่นกายเป็นจังหวะช้าๆ ผมหอบหายใจอย่างหนัก เห็นชัดว่าความสามารถในการใช้มือของเขาช่างร้ายกาจมาก มันไม่ใช่การขยับขึ้นๆ ลงๆ อย่างที่ผมเคยทำให้ตัวเอง แต่มันยังเต็มไปด้วยทักษะต่างๆ ที่ตอบสนองต่ออารมณ์และร่างกายของผมอย่างดีเยี่ยม
“ครางหน่อยสิเด็กดี ถ้ามีความสุขก็ส่งเสียงออกมา” เสียงแหบพร่ากระซิบบอกที่ข้างใบหู พร้อมกับเรียวขาของผมที่ถูกจับแยกออกจากกัน
“อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงของเหลวเย็นๆ ที่ถูกป้ายลงบนช่องทางคับแคบ เมื่อผงกศีรษะขึ้นมาดูจึงพบว่าเป็นเจลหล่อลื่น อีกฝ่ายกำลังก้มใบหน้าอยู่ตรงกลางลำตัว พร้อมกับยกสะโพกของผมขึ้นสูงจนเห็นช่องทางด้านหลัง
“สะอาดดีนี่”
ผมหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นสายตาคมกริบกำลังพิจารณาอยู่ตรงร่องหลืบ ก่อนจะรีบผลักศีรษะที่ก้มลงต่ำแทบไม่ทัน
“อ๊ะ อ๊า!”
ผมครวญครางดังลั่นเมื่อปลายลิ้นของอีกฝ่ายจู่โจมขบกัดตรงซอกขาด้านใน เขาไม่ได้แตะต้องแก่นกายของผมเลย แต่นั่นยิ่งทำให้ผมแทบคลั่ง ปลายลิ้นซุกซนค่อยๆ ไล่ต่ำลงบนจนถึงแก้มก้น จนผมเผลอขมิบร่องหลืบเล็กน้อยด้วยความไม่ตั้งใจ
“อะ อย่า ไม่เอา…”
ผมพยายามผลักไสศีรษะของอีกฝ่ายออกไป แต่เขากลับตรึงขาของผมให้แยกออกจนกว้าง พร้อมกับปลายลิ้นร้ายกาจที่เริ่มทำงานต่ออีกครั้ง ทั้งปัดป่ายไปทั่วแก้มก้น จนผมเผลอเกร็งไปหมดเพราะกลัวว่าลิ้นของเขาจะแตะถูกช่องทางด้านหลัง มันเสียวและลุ้นระทึกยิ่งกว่าการที่เขาเลียลงมาตรงๆ เสียอีก
“หึ”
เขาเงยหน้าขึ้นมาจากกึ่งกลางลำตัว แววตาคมกริบร้ายกาจทำให้ผมเริ่มกังวลใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะรุนแรงกับผม
“คิดอะไรอยู่”
เขาถามพร้อมกับบีบเจลหล่อลื่นลงบนนิ้วชี้และนิ้วกลางของตัวเอง
“กลัวเหรอ”
ผมกลืนน้ำลาย ดวงตาสองข้างแดงก่ำ มีน้ำใสเอ่อคลอเล็กน้อย
นี่ผมกำลังเล่นกับไฟชัดๆ เลย
แต่เสียงของปีศาจน้อยกลับดังแทรกขึ้นมาเป็นการปลุกปลอบ
…ไม่เป็นไรหรอก ลองเล่นครั้งเดียวเอง ไม่ตายหรอกน่า ถือว่าเป็นประสบการณ์…
ผมทิ้งศีรษะลงบนหมอน เงยหน้ามองเพดาน พยายามผ่อนคลายร่างกายเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วแข็งๆ ที่เริ่มกดสอดเข้ามาภายใน รู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงการต่อต้าน ปล่อยให้นิ้วทั้งสองขยับเข้ามาจนสุด
“อ๊า….”
ผมครางแผ่วเมื่อนิ้วทั้งสองเริ่มขยับเข้าออกเพื่อขยายช่องทางด้านหลัง ผมหอบหายใจ เริ่มรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการนำพาของนิ้วพวกนั้น ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด จริงๆ แล้วมันดีมากด้วยซ้ำ
อีกฝ่ายรอคอยอย่างใจเย็นจนเห็นว่าผมกำลังผ่อนคลาย และเริ่มฟินกับนิ้วที่อยู่ด้านใน จึงค่อยๆ ส่งนิ้วเพิ่มเข้ามาอีกจนครบสามนิ้ว
“รัดแน่นชะมัดเลย”
นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ขยายปากทางเข้า และทำท่าราวกับกำลังควานหาอะไรบางอย่าง
“อ๊ะ อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งเมื่อปลายนิ้วกระทบที่จุดหนึ่งภายใน มันทำให้ผมเสียวซ่านและเริ่มบิดตัวไปมา นิ้วมือจิกลงบนผ้าปูเตียงแล้วเริ่มครางอย่างสุขสม เสียงที่ผมได้ยินราวกับไม่ใช่เสียงของผม แต่คล้ายกับสัตว์ป่าตัวเมียที่กำลังสุขสมต่อการผสมพันธุ์เสียมากกว่า
เมื่อเริ่มคุ้นชินกับการชักเข้าออกเป็นจังหวะถี่ๆ ของปลายนิ้ว ผมก็พบว่ามันสุขสมมากเหลือเกิน ในขณะที่ผมกำลังมึนเมาไปกับการร่วมรักด้วยนิ้วทั้งสาม อีกฝ่ายก็ใจร้ายมากพอที่จะดึงมันออกทั้งหมดโดยไม่บอกกล่าว
พรวด!
“คุณ!” ความว่างเปล่าที่มาเยือนกะทันหันทำให้ผมสะดุ้ง ได้แต่ผงกศีรษะมองใบหน้าของเขาด้วยความไม่พอใจ
…จะเอาเข้าหรือเอาออก ก็บอกกันหน่อยไม่ได้หรือไงนะ…
“ฉันมีอะไรดีๆ กว่านิ้วจะให้เธอ”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็แทรกแก่นกายเข้ามาในร่างของผมช้าๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมสะท้านด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บกว่าตอนที่นิ้วแข็งๆ ทั้งสามแทรกเข้ามาแบบเทียบกันไม่ติด ร่างกายคล้ายกำลังจะแยกออกเป็นสองส่วนยังไงยังงั้น ความเจ็บทำให้หยดเหงื่อผุดซึมมาตามหน้าผาก ผมกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงครวญคราง ผมไม่อยากโดนเขาด่าซ้ำหรอกนะ ไม่ว่าจะเป็นไอ้อ่อน หรือขี้แยก็ไม่เอาทั้งนั้น
“อย่าเกร็ง”
เขาอยู่นิ่งๆ ครู่หนึ่งเพื่อให้เวลาผมได้เคยชินกับขนาดของแก่นกายที่แทรกอยู่ในร่าง แล้วจากนั้นก็กดสอดเข้ามาจนสุดความยาวโดยไม่ให้ผมได้ตั้งตัว
“อ๊า…!”
ใบหน้าของผมเชิดไปด้านหลัง ร่างกระตุกเมื่อแก่นกายใหญ่ชนเข้ากับจุดกระสัน ผมเริ่มบิดร่างเร้าๆ ด้วยความต้องการ มือสองข้างจิกผ้าปูเตียงพร้อมกับลมหายใจที่เริ่มหอบหนัก
“ดีขึ้นหรือยัง”
ผมพยักหน้า เขาจึงเริ่มขยับกายเข้าออกช้าๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ ร่างกายของผมโยกคลอนไปตามแรงส่งของอีกฝ่าย ริมฝีปากเปล่งเสียงครวญครางในลำคออย่างไม่รู้ตัว ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะหน้ามืด ไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบตัวเลยนอกเหนือจากจุดที่เชื่อมต่อพวกเราเอาไว้ด้วยกัน
“อย่านอนเฉยแบบนั้น ฉันไม่ชอบ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาผู้ชายคนนั้น เขาดูไม่สบอารมณ์ที่เห็นผมนอนนิ่งๆ ให้เขากระแทกกระทั้น
“อยากให้ผมทำอะไร”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย ฮือออออ ผมกำลังจะหมดแรงแล้ว
ทำไมการเป็นฝ่ายรับมันยากจังอ่ะ ไม่ใช่แค่มานอนอ้าขาเฉยๆ ก็ฟินได้แล้วเหรอ นี่ผมต้องทำอะไรอีกหรือไง
“เคยดูหนังโป๊หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เคยฉันคงคิดว่าเธอถือศีลบวชมาก่อน”
“คะ…เคยครับ”
“แล้วไม่รู้เหรอว่าคนที่เป็นฝ่ายรับให้ความร่วมมือยังไงบ้าง”
ผมพยายามรวบรวมสมาธิที่กระเจิดกระเจิงเพื่อนึกถึงภาพของฝ่ายรับในหนังโป๊ที่เคยดู…ผมพอจะนึกออกบ้างแล้วว่าเขาอยากให้ผมแสดงความร่วมมืออย่างไร จึงค่อยๆ ใช้แขนสองข้างโอบกอดลำคอของเขา รั้งให้แผ่นอกแข็งแรงโน้มลงมาแนบชิด ซึ่งการกระทำนั้นทำให้อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหวทันที
“ทำต่อสิครับ”
ผมกระซิบข้างใบหูของเขา พร้อมกับยื่นใบหน้าเข้าไปหอมแก้มเรียบเนียนเบาๆ ผิวของเขานิ่มและสุขภาพดีมากจนผมเผลอกดริมฝีปากลงไปอีกหลายครั้ง
“คุณหล่อมากเลย”
ผมสบตากับเขาในระยะประชิด ดวงตาของเขาคมกริบ มีประกายนักล่าแลดูอันตราย แต่ยิ่งอันตรายก็ยิ่งเร้าใจ ผมค้นพบว่าเสน่ห์ของเขาช่างร้ายกาจและเชิญชวนให้ผมมัวเมาในกามอารมณ์เหลือเกิน แบบนี้ซินะ ที่เรียกว่ามีแรงดึงดูดทางเพศสูง ขนาดผมเพิ่งใกล้ชิดกับเขาเป็นครั้งแรกยังสูงสึกอยากมีเซ็กส์กับเขาแบบไม่ต้องคิดเลย
“คืนนี้ฉันเป็นของเธอ อยากทำอะไรก็ทำซะ”
เขาเป็นของผมงั้นเหรอ? ผู้ชายที่หล่อเหลาและเซ็กซี่แบบนี้เป็นของผม…งั้นผมควรทำอะไรกับเขาดีล่ะ?
ฝ่ามือของผมลูบไล้แผ่นอกและแผ่นหลังของเขาอย่างเผลอไผล สมองเริ่มจินตนาการถึงภาพการร่วมเพศในหนังเรื่องล่าสุดที่ผมดู…ฝ่ายรับขึ้นไปออนท็อปให้ฝ่ายรุก ซึ่งผมคิดว่ามันดูให้ความร่วมมือแล้วก็เซ็กซี่มากๆ ต่อให้ผมเซ็กซี่ได้ไม่เท่านายเอกหนัง AV แต่ผมก็อยาจะกลองขย่มผู้ชายตรงหน้าอยู่เหมือนกัน
“ให้ผมทำได้มั้ย” ผมเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง
“หืม?”
“ผมอยากอยู่ข้างบน”
เขาขยับยิ้มมุมปากซึ่งดูเหมือนว่ากำลังพึงพอใจในคำขอของผม
“อยากเล่นท่ายากตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ”
ผมทำหน้ายุ่ง ก็เขาบอกเองนี่ว่าไม่ชอบให้นอนเฉยๆ
“ก็คุณจะเป็นของผมแค่วันเดียวนี่ครับ ไม่เล่นวันนี้จะให้รอไปเล่นวันไหน”
“เอาสิ”
เขาอนุญาตพร้อมกับที่อุ้มร่างของผมขึ้นมานั่งบนตัก ผมยกแขนทั้งสองข้างคล้องลำคอของเขา สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อแก่นกายที่ยังอยู่ภายในทิ่มลึกเข้ามามากกว่าเดิม
“แค่นี้ก่อนล่ะกัน”
ผมพยักหน้า เข้าใจว่าการที่เขานอนให้ผมออนท็อปอาจจะทำได้ยากกว่าการที่เขานั่ง แล้วช่วยใช้มือประคองสะโพกขณะที่ผมขยับขึ้นลง
“ค่อยๆ ขยับก่อน เดี๋ยวจะบาดเจ็บ”
ผมยกสะโพกขึ้นแล้วค่อยๆ กดร่างลงมาอย่างยากลำบาก ในช่วงแรกผมยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการเสียดสีภายใน แต่เมื่อขยับไปเรื่อยๆ ช่องทางก็เริ่มขยายกว้างขึ้นทำให้ผมขยับเข้าออกได้สะดวก แรงบีบจากช่องทางด้านหลังไม่ได้ลดลงเลย ยิ่งผมรู้สึกเสียวซ่านมันก็ยิ่งบีบรัดรุนแรง
“อาห์”
เสียงครางต่ำๆ ในลำคอและการกระแทกกายสวนขึ้นมาเล็กน้อยยิ่งทำให้ผมได้ใจ เริ่มขย่มกายเข้าออกถี่รัว ผมเงยหน้าส่งเสียงร้องโดยไม่รู้ตัว หลับตาสะบัดใบหน้าดื่มดำอยู่ในห้วงกามอารมณ์ ริมฝีปากเผลอขึ้นเล็กน้อย สมาธิของผมพุ่งตรงไปที่แก่นกายของอีกฝ่ายที่ทะลวงเข้ามาภายในอย่างสุขสม…ดีเหลือเกิน ผมรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนสวรรค์เลยด้วยซ้ำ
“ช้าหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เดินไม่ได้หรอก”
เขาว่าเสียงดุ แล้วจับสะโพกของผมที่เด้งรัวอยู่บนตักของเขาไว้ แต่วินาทีนี้สมองของผมไม่รับรู้อะไรแล้ว ได้แต่ครางด้วยความขัดใจแล้วพยายามขย่มให้รุนแรงยิ่งขึ้น อยากให้เจ้าสิ่งนั้นเข้ามาอีกลึกๆ แทงเขามารัวๆ ผมได้ยินเสียงผิวเนื้อเสียดสีกันทุกครั้งที่ก้นของผมกระแทกบนหน้าตักของอีกฝ่าย แต่ผมไม่ได้ใส่ใจนอกจากทำตามความต้องการดิบของตัวเอง
“ดื้อ”
“อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งเมื่อถูกกัดที่ใบหู ยังไม่ทันได้โวยวายใส่คนที่ทำลายบรรยากาศ ร่างของผมก็ถูกผลักลงไปนอนหงายบนเตียง มือหนาสองข้างเอื้อมมายกสะโพกของผมให้ลอยสูงจากเตียงเพื่อรับแรงกระแทกที่โจนจ้วงเข้ามารุนแรงและถี่รัวมากขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”
ผมครวญครางด้วยความสุขสมเมื่อพบว่าแรงส่งนั้นมากกว่าที่ผมขย่มอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดวงตาสองข้างปรือขึ้นมองคนที่คร่อมอยู่ด้านบน ใบหน้าของเขาดิบเถื่อน แสดงความกระหายอยากออกมาชัดเจน ซึ่งมันทำให้ภาพลักษณ์ที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่และเรียบหรูหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยปีศาจกระหายเซ็กส์ ทั้งแปลกตาและน่ามองอย่างยิ่ง
“อาห์…เร็วอีก”
เขาส่งแรงกระแทกกระทั้นให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของผมบีบรัดตอบสนอง ผมเชิดหน้าขึ้นหอบหายใจหนัก รู้สึกว่าส่วนที่สอดประสานกันเปียกชุ่มและร้อนผ่าวไปหมด
“คุณเก่งจัง ผมจะ…จะตายแล้ว อ๊า!!!”
ผมส่งเสียงในลำคอ ผมเสียวจนแทบทนไม่ไหว อยากให้อีกฝ่ายขยับช้าหน่อย แต่ร่างกายกลับแอ่นรับแรงส่งด้วยความเต็มอกเต็มใจ
“ไม่ตายหรอกน่า”
“ใหญ่จัง”
“ใหญ่ๆ สิดี อาห์ เด็กน้อย เธอตอดเก่งชะมัดเลย”
ผมหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินประโยคที่แสดงความหยาบโลน การพูดเรื่องลามกระหว่างมีเซ็กส์ ทำให้ผมรู้สึกเสียวซ่านมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่คำพูดพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผมกระดากอาย ตรงกันข้าม เมื่อมันออกมาจากปากของอีกฝ่ายผมกลับอยากให้เขาพูดอีกครั้ง
ผมฝังใบหน้าลงบนไหล่กว้างเมื่อร่างกายถึงจุดสุดยอดก็ฉีดพ่นน้ำกามสีขุ่นออกมาอย่างรุนแรงและมีปริมาณมากกว่าที่คาดคิด ผมหอบหายใจแรง ร่างกายสั่นระริกในตอนที่อีกฝ่ายกดสะโพกลงแล้วแทงเข้าออกรัวๆ อีกสองสามครั้งก็หยุดนิ่งแล้วปลดปล่อยน้ำกามออกมาในถุงยางอนามัย ซึ่งผมยังสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของมันเขาไม่ได้รีบถอนตัวตนออกไปทันที แต่โน้มใบหน้าลงมากดจูบลงบนหน้าผากและปลายจมูกของผมอย่างเชื่องช้า ราวกับจะปลอบประโลม
ผมคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในการมีเซ็กส์ครั้งแรก ซึ่งมันน่าประทับใจมากเสียจนผมคิดว่าจะต้องจดจำผู้ชายคนนี้ไปอีกนานเลยล่ะ

TBC.



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (03-06-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-06-2020 22:40:05
ใครเอ่ย เกื้อกูลจะตกหนุ่มสุดฮ๊อทได้หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (03-06-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mamiooo ที่ 08-06-2020 17:08:00
 :katai2-1: สนุกค่า ชอบๆ อ่านรวดเดียวจบเลย

ดีใจมีภาคต่อด้วย รอติดตามตอนต่อๆๆๆไปนะค๊าา

อีกคู่นี่ดุเดือดมว๊ากกก น้องเกื้อกูลน่ารักอ่ะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (03-07-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 03-07-2020 18:15:42
บทที่ 5 งานเลี้ยง

“มึงจำที่กูบอกได้หรือยัง?”
ผมเอ่ยถามด้วยความกังวล แล้วเริ่มเดินย่ำไปย่ำมาบนพรมเปอร์เซียในห้องพักสุดหรู ในมือยังถือกระดาษที่มีรายชื่อและภาพถ่ายของบุคคลสำคัญในงานเลี้ยงวันเกิดของประธานบริษัท ดีแมคซ์ ไฮส์
“จำได้”
พอร์ชเหลือบตามามองผมครู่หนึ่งแล้วขยับยิ้มขัน หมอนั่นกำลังสวมชุดทักซิโด้อยู่เบื้องหน้ากระจกบานใหญ่
“ยิ้มอะไร”
ผมโยนกระดาษในมือทิ้งไป แล้วหันไปถลึงตาใส่คนที่กำลังยืนจัดระเบียงเสื้อผ้าของตัวเอง ตอนนี้พวกเราอยู่ที่โรงแรมสกาล่า ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจขนาดใหญ่ของพอร์ชและเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดกับงานประมูลที่ดินซึ่งจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
“เปล่า แค่ซาบซึ้งที่เห็นความตั้งใจของเมีย”
ผมเบ้ปาก ก่อนจะเริ่มลงมือเปลี่ยนมาใส่ชุดทักซิโด้ของตัวเอง ผมเพิ่งเคยใส่ชุดหรูๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกจึงค่อนข้างสับสนกับทักซิโด้ปกกล้วยหอม เสื้อเชิ้ตคอตั้ง สายรั้งกางเกง แถบผ้าคาดเอวและกางเกงเข้าชุด นอกจากนั้นยังมีผ้าเช็ดหน้าที่ไม่รู้ว่ามีไว้ทำอะไร รวมถึงรองเท้าหนังขัดเงาที่ดูเป็นทางการแบบสุดๆ
“มึงนี่มันเงอะงะกว่าที่คิดอีกนะ”
พอร์ชว่าในขณะที่ผมกำลังพยายามติดตะขอผ้าคาดเอวที่อยู่ด้านหลัง
ให้ตายสิ ใครใช้ให้ชุดที่มึงเตรียมมาเรื่องเยอะขนาดนี้ล่ะ สูทธรรมดาอ่ะ ไม่รู้จักหรือไง
“ก็กูไม่เคยแต่งชุดหรูๆ ไปออกงานสังคมนี่”
ผมปลดผ้าคาดเอวออกแล้วตั้งใจว่าจะโยนทิ้งไป แต่พอร์ชกลับดึงผ้าผืนนั้นไปซะก่อน
“กะอีแค่ผ้าคาดเอวไม่เห็นต้องใส่ให้มันยุ่งยากเลย”
ผมบ่นงึมงำระหว่างที่ถูกพอร์ชจับแต่งตัว เขาเกี่ยวตะขอผ้าคาดเอวให้ผม เกี่ยวสายรั้งกางเกงเข้ากับไหล่ตามด้วยการสวมทักซิโด้สีดำ รวมถึงเสียบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าบนอกเป็นอันจบพิธี
ผมมองดูตัวเองในกระจก ภาพที่เห็นค่อนข้างแปลกตา เส้นผมของผมและพอร์ชถูกหวีเรียบเป็นทรงคนแก่ ดูเรียบหรูก็จริงแต่มันไม่แนวเลย แล้วผมก็ไม่ชอบด้วย
“พร้อมมั้ย” พอร์ชถาม
“ถ้ากูทำอะไรให้มึงขายหน้าล่ะ”
พอร์ชใช้มือสองข้างจับไหล่ของผมแล้วบีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
“มึงไม่ทำอะไรให้กูหน้าแตกหรอก”
ผมพยักหน้า การไปร่วมงานวันเกิดในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การพาพอร์ชไปให้เกียรติเจ้าของงานเท่านั้น แต่รวมไปถึงการสานสัมพันธ์และหาลูกค้าในอนาคตให้กับยูเนียน
“มาจูบหน่อย” ผมเรียกร้องกำลังใจจากเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมโน้มใบหน้าลงมาประทับจูบบนกลีบปากของผมอย่างนุ่มนวล
“ไม่เอา”
ผมขมวดคิ้ว ผมอยากได้มากกว่านี้ ไม่เอาแค่ปากแตะกันเหมือนเด็กน้อย จึงเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นไปรั้งลำคอของพอร์ชให้โน้มลงต่ำ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอย่างแนบแน่น ผมขบกัดและดูดดึงกลีบปากของเขาจนเกิดเสียงหยาบโลนแล้วสอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปท้าทายลิ้นของอีกฝ่าย พอร์ชนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังอดกลั้นต่ออารมณ์ที่ถูกจุดให้พลุ่งพล่าน ก่อนจะเริ่มขยับลิ้นตวัดเกี่ยวกับลิ้นของผมอย่างเร่าร้อน เขาปล่อยให้ผมกวาดสำรวจโพรงปากของเขาอย่างจาบจ้วงจนกว่าจะพอใจ จึงเป็นฝ่ายผละออกมาเอง
“พอหรือยัง”
เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ซึ่งผมโคตรจะอยากขย้ำเขาเดี๋ยวนี้เลย ติดแต่ว่างานวันเกิดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในเร็วๆ นี้
“ก็ได้”
สถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของประธานดีแมคซ์ ไฮส์อยู่บนชั้นที่เก้า ซึ่งเป็นส่วนของห้องโถงรับรองขนาดใหญ่ พอร์ชส่งบัตรเชิญให้พนักงานด้านนอกห้องโถง เซ็นชื่อเขียนคำอวยพรและมอบของขวัญให้พนักงานที่ทำหน้าที่ดูแล ก่อนจะพาผมเข้าไปด้านใน
ห้องโถงได้รับการประดับประดาหรูหรา สามารถรองรับแขกในงานได้ถึงห้าร้อยคน แต่ในความจริงแล้ว คนที่เดินไปเดินมา รวมทั้งพนักงานก็มีแค่ประมาณหนึ่งร้อยคนเท่านั้น นับว่าเลือกสถานที่ได้ใหญ่โตกว่าจำนวนคนเยอะเลย บนโต๊ะซึ่งจัดเรียงรายชิดผนัง จัดวางอาหารและเครื่องดื่มแบบบุฟเฟต์ไว้อย่างล้นหลาม พนักงานชายในชุดสูทสีขาวจำนวนมาก เดินไปมาเพื่อเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แก่แขกที่ยืนสังสรรค์กัน
“ผมต้องไปทักทายคุณคมธรรม” พอร์ชกระซิบบอกผม เขาเลือกใช้ภาษาที่สุภาพและเป็นทางการในที่สาธารณะ เพื่อความเหมาะสม เพราะหากถูกใครได้ยินจะได้ไม่ไปเล่าลือกันว่าประธานแห่งยูเนียนเป็นคนหยาบคาย
ผมกวาดตามองไปรอบๆ งานเลี้ยงเพื่อมองหาประธานดีแมคซ์ ไฮส์ รู้สึกตาพร่าเล็กน้อยเมื่อโดนแสงวิบวับจากชุดราตรีหรูหรากับแสงของเพชรบนตัวภรรยาคนใหญ่คนโตส่องเข้าตา กว่าจะมองหาเป้าหมายพบก็ทำเอาแสบตาอยู่เหมือนกัน
“ทางขวามือ ที่สามนาฬิกา ผู้ชายที่ยืนควงแขนกับผู้หญิงที่ใส่ชุดราตรีสีน้ำเงิน” ผมกระซิบบอกพอร์ช
ประธานดีแมคซ์ ไฮซ์เป็นชายวัยหกสิบปีที่เริ่มมีผมสีขาวเกือบครึ่งศีรษะ ใบหน้าเหี่ยวย่นแสดงร่องรอยของความใจดีทุกครั้งที่ขยับยิ้ม เจ้าตัวกำลังสนทนากับประธานแห่งบริษัท X ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนที่อเมริกา
“นั่นคุณปวีณา?” พอร์ชถามถึงผู้หญิงที่ยืนควงแขนกับคุณคมธรรม
“ไม่ใช่ เธอคือคุณเอมิกา เป้าหมายใหม่ของคุณ อย่าลืมอ่อยให้เต็มที่ล่ะ”
ผมล้อเลียนด้วยเสียงที่พยายามลดให้เบาที่สุด ซึ่งก็ถูกอีกฝ่ายปลายตามองมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ผมได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเกิดมามีใบหน้าแบบพอร์ชแล้วไม่ใช่ให้เกิดประโยชน์ก็ดูจะเป็นการเสียเปล่าแย่เลย อีกอย่างคุณเอมิกา ลูกสาวคนโตของคุณคมธรรมและคุณปวีณาก็สวยไม่หยอก ถ้าพอร์ชสามารถมองเห็นใบหน้าของเธอ อาจจะรีบกระโจนใส่เลยก็ได้
“ส่วนคุณปวีณากำลังยืนเม้าส์อยู่กับคุณหญิงหน้าโบท็อกซ์ตรงนั้น”
ผมกระซิบบอกแล้วแอบชี้นิ้วไปทางกลุ่มคุณหญิงในชุดราตรียาวที่กำลังอวดเครื่องเพชรบนลำคอของตัวเอง พอร์ชตวัดสายตามามองผมดุๆ แต่ผมแค่ยักไหล่ อดไม่ได้ที่ต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อแอบหัวเราะ
พวกรอเราให้เพื่อนของคุณคมธรรมปลีกตัวจากไปจึงค่อยเดินเข้าไปทักทายเจ้าของงานตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณคมธรรม”
พอร์ชเอ่ยทักทายแล้วยกมือขึ้นไหว้ ซึ่งผมในฐานะผู้ติดตามก็รีบยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมเช่นกัน
“อา เจ้าพอร์ชเองหรือ”
คุณคมธรรมหันมามองพอร์ชด้วยสายตาที่แสดงความเอ็นดู ก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่ของเขาเบาๆ
“โตขึ้นจนจำแทบไม่ได้เลย หล่อเหมือนคุณพ่อเลยนะ”
“สบายดีหรือครับ”
“มีปวดเมื่อยตามประสาคนแก่นั่นแหละ”
คุณคมธรรมตอบ แต่ผมกลับคิดว่าเขาดูเป็นคนมีอายุที่แข็งแรงและดูดีมากคนหนึ่ง เรียกว่าแม้ใบหน้าจะเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา แต่ยังคงเคล้าของความหล่อเหลาไว้ไม่เปลี่ยน
“นี่ลูกสาวฉัน มารู้จักกันไว้สิ”
คุณคมธรรมแนะนำให้พอร์ชรู้จักกับคุณเอมิกา จากประวัติที่คุณภุมราสืบมาให้ บอกว่าเธออายุ 27 ปี เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ ตอนนี้โสด ไม่มีแฟนหรือคนรู้ใจ เป็นผู้หญิงเก่งและมั่นใจในตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าเธอดูสวยแบบฉลาดๆ นะ มีสไตล์เป็นของตัวเองชัดเจนดี
“สวัสดีค่ะ ฉันเอมมี่ ยินดีที่รู้จัก”
เธอทักทายแล้วยื่นมือไปเขย่ากับมือของพอร์ชตามมารยาทตะวันตก เธอยิ้มให้เขาอย่างสุภาพแต่จากสายตาอันกว้างไกล ผมคิดว่าเธอชอบพอร์ช คือหน้าอย่างหมอนี่ ผู้หญิงคนไหนเห็นก็ต้องชอบ รวมกับบุคลิกและการแต่งการของเขายิ่งทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่น่าพึ่งพาอาศัยมากคนหนึ่ง ซึ่งต่อให้ผมจะห่วงและหวง พอร์ชมากแค่ไหน แต่ถ้าหน้าตาของเขาเรียกลูกค้าเก่า ให้กลับมาใช้บริการยูเนียนได้อีก ผมก็ถือว่าคุ้มค่า
“ฉัตรชนกครับ ยินดีที่รู้จักเช่นกัน”
“ตอนนี้เอมมี่เข้ามาเรียนรู้งานที่ดีแมคซ์ ไฮส์ อีกไม่นานฉันจะให้เธอมารับตำแหน่งประธานบริษัท มีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่าง หวังว่าพวกเธอจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันนะ” คุณคมธรรมกล่าว ผมคิดว่าเขากำลังเปิดทางให้พอร์ชเจรจาธุรกิจกับคุณเอมมี่ แต่การพูดแบบนี้สามารถคิดได้อีกนัยหนึ่งว่า หลังหมดสัญญากับโอเมก้า ออยล์ เขาจะยุติการซื้อขายกับทางนั้นก็เป็นได้
“ท่านประธาน”
เสียงที่ดังขัดจังหวะ ทำให้ทุกคนหยุดการสนทนาแล้วหันไปมองชายหนุ่มในชุดทักซิโด้หรูหรา
“เธอ…”
ยังไม่ทันที่คุณคมธรรมจะได้เอ่ยปากทักทายก็ถูกคนที่มาใหม่กระโดดกอดแบบแนบแน่น โคตรจะเป็นการประจบผู้ใหญ่ที่ไร้ชั้นเชิงสิ้นดี
“สวัสดีครับ ผมชนะเทพไงครับ”
หมอนี่ชื่อแทน เป็นลูกพี่ลูกน้องของพอร์ช หรือก็คือลูกชายคนเดียวของอาหญิง ผมเพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าหมอนี่ชอบแข่งขันกับพอร์ชในทุกๆ เรื่อง แต่ความโง่บวกกับความหลงตัวเองทำให้สูญเสียยูเนียนคืนมาให้พอร์ชซึ่งผมไม่แปลกใจเลย
“อา ใช่ๆ ฉันจำเธอได้ หลานชายของฉัตรบรรณ”
รอยยิ้มของแทนเจื่อนลงเล็กน้อย หมอนี่ไม่ชอบการถูกจดจำในฐานะ หลานของฉัตรบรรณ (คุณพ่อของพอร์ช) หรือลูกพี่ลูกน้องของพอร์ช
“ใช่ครับ”
คุณคมธรรมพูดคุยกับแทนและพอร์ชอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวไปทักทายแขกคนอื่นที่มาร่วมงานเลี้ยง
“ฉันต้องขอตัวก่อนนะ เอมมี่ดูแลพวกเขาด้วย”
หลังจากคุณคมธรรมเดินจากไป คุณเอมมี่ก็หันมายิ้มหวานให้พอร์ช รวมถึงเล่นหูเล่นตาแบบพองาม ผมเริ่มจะชอบเธอแล้วสิ เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจจริงๆ กรณีที่ผมชอบผู้หญิงได้อ่ะนะ
“คุณพอร์ชอยากดื่มอะไรหน่อยมั้ยคะ เดี๋ยวฉันขอบริการคุณเอง”
ผมรีบสะกิดเตือนพอร์ชให้หันไปสนใจคนสวย แทนที่จะยืนจ้องตากับน้องชายหน้าโง่ของเขา
“รู้สึกเป็นเกียรติมากที่มีคุณเอมมี่คอยดูแล”
พอร์ชหันไปเอาใจคุณเอมมี่ แม่ง โคตรขนลุกเลยว่ะ ผมเป็นแฟนแท้ๆ ยังไม่เคยได้ยินคำพูดเลี่ยนๆ แบบนี้เลย มีแต่คำด่าว่า แรดบ้าง บ้าบอบ้าง คิดเยอะบ้าง แล้วก่อนหน้านี้ใครหนอใคร ที่บอกว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเพราะรำคาญความยุ่งยากที่อาจจะตามมาในอนาคต ตอแหลสุดๆ อ่ะ
“ขอไวน์สักแก้วละกันครับ”
“ได้ค่ะ”
“เสียใจจังครับ เวลาที่ผมยืนคู่กับพอร์ชทีไร ต้องถูกคนสวยเมินโดยไม่ตั้งใจตลอดเลย” คุณแทนขัดขึ้น แต่ผมคิดว่าคุณเอมมี่อาจจะเมินแบบตั้งใจจริงๆ ก็ได้ ก็หมอนี่นอกจากหน้าตาดีแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง
“ใครเมินกันคะ ฉันกำลังจะถามคุณแทนเลยว่าอยากดื่มอะไร” คุณเอมมี่หันไปถามหมอนั่นแบบมืออาชีพสุดๆ นี่แหละสังคมไฮโซของนักธุรกิจ ต่อให้ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องวางตัวให้ดี
“ขอไวน์ละกันครับ”
“ได้ค่ะ เชิญพี่น้องคุยกันตามสบายนะคะ”
หลังจากที่คุณเอมมี่เดินจากไปไกลกว่าระยะที่จะได้ยิน คุณแทนก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา
“เธอเป็นของฉัน” หมอนั่นบอกกับพอร์ชด้วยท่าทางหยิ่งยโส ซึ่งผมแม่งคันปากอยากถามออกไปจริงๆ ว่า…โรคมโนกำเริบเหรอครับ!
“ได้ข่าวว่าเธอโสด”
พอร์ชเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ แฟนของผมไม่ใช่พวกยอมใครง่ายๆ นะครับ ขอแค่ปั่นประสาทลูกชายอาหญิงได้ หมอนี่ยินดีทำหมดนั่นแหละ
“แต่เธอต้องเป็นของฉัน”
“นายเป็นเด็กปัญญาอ่อนเหรอ แค่ประกาศว่าเธอเป็นของใครก่อนก็ชนะหรือไง” พอร์ชย้อนถาม ซึ่งใบหน้าเหวอๆ กับปากที่อ้าๆ หุบๆ ของไอ้คุณแทนทำให้ผมรีบยกมืออุดปากไม่ให้พ่นเสียงหัวเราะ ให้ตายเถอะ พอร์ชแม่งก็พูดตรงเกิ๊น ต่อให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาทำตัวเหมือนเด็กก็น่าจะด่าอ้อมๆ น้า
“นายคิดจะแย่งกับฉัน”
“ของแบบนี้มันอยู่ที่ความสามารถ” พอร์ชแสยะยิ้มท้าทาย
ไอ้คุณแทนกำหมัดแน่น หมอนี่กำลังโมโหจนตัวสั่นกึกๆ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ คุณเอมมี่ก็เดินกลับมาพร้อมกับไวน์ในแก้วทรงสูง
“ลองชิมดูนะคะว่าถูกปากหรือเปล่า”
พอร์ชกับแทนยื่นมือไปรับแก้วไวน์มาจิบราวกับเมื่อครู่ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน
“รสชาติดีมากเลย ไวน์จากที่ไหนเหรอครับ” ไอ้คุณแทนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ฝรั่งเศสค่ะ อยากลองเดาดูมั้ยคะว่านี่คือไวน์อะไร”
ไอ้คุณแทนยิ้มค้างไปครู่หนึ่ง ผมเดาว่าหมอนี่แค่ถามไปงั้น แต่ไม่ได้มีความรู้เรื่องไวน์เลย
“ปิโนต์ นัวร์”
“ซาโต ลาฟิต-รอทส์ชิลด์” พอร์ชแย้ง สายตาของหมอนี่ตอนหันไปยักคิ้วให้ลูกพี่ลูกน้องดูกวนประสาทสุดๆ แค่เรื่องเล็กน้อยก็ต้องเอาให้ได้สินะ
“ใช่ค่ะ คุณพอร์ชสนใจเรื่องไวน์แดงเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ โอกาสหน้าต้องขอให้ช่วยแนะนำแล้ว”
คุณเอมมี่ที่เจตนาเมินคำตอบของไอ้คุณแทน หันมายิ้มอ่อยให้พอร์ชของผม แต่ยังไม่ทันจะเริ่มบทสนทนาต่อก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้งโดยผู้ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำตาลแตะตา
“เจ้าพอร์ช”
“คุณวีรชัย” ผมรีบกระซิบบอกพอร์ช ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณอา”
คุณวีรชัยเป็นอาเขยของพอร์ช ผมเพิ่งได้เจอตัวจริงเป็นครั้งแรก เขาค่อนข้างทำให้ผมประหลาดใจด้วยออร่าความเยอะ อย่างการแต่งกายของคนส่วนใหญ่ในงานจะเน้นไปที่ชุดสูทที่ดำ เทาและขาว แต่เฮียแก่กลับโดดเด่นในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนกับเนคไทลายเกล็ดงูสีเงินสะดุดตา ผมของเขาถูกย้อมด้วยสีน้ำตาลคาราเมลจนไม่เหลือผมงอกให้เห็นสักเส้น เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีและดูหนุ่มกว่าวัยมาก ถ้ามองผ่านๆ ก็สามารถเป็นพี่ชายของไอ้คุณแทนได้เลย
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” คุณวีรชัยใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ย ก่อนจะเหลือบตาไปมองลูกชายของตัวเอง
“เจ้าแทน ทำไมไม่ชวนหนูเอมมี่ไปเต้นรำล่ะ”
ประโยคนั้นทำให้คุณเอมมี่หน้าตึงทันที เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ประโยคแนะนำจากผู้ใหญ่ แต่มันคือประโยคคำสั่งให้เธอต้องไปเต้นรำกับลูกชายของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก
“ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ”
คุณเอมมี่ก้มศีรษะให้ไอ้คุณแทนเล็กน้อยเป็นการยินยอม ก่อนจะวางมือลงบนมือของหมอนั่น แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินออกไปกลางฟลอร์เต้นรํา ผมชะโงกศีรษะ พยายามมองผ่านกลุ่มคนมากมายไปที่คุณเอมมี่ที่กำลังทำหน้าเบื่อหน่าย ขณะที่คู่เต้นรำของเธอกำลังขยับปากพล่ามอะไรสักอย่าง เธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจและมีสมอง…น่าเสียดายที่ต้องเสียเวลากับคนแบบไอ้คุณแทน
“คุณอามีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“แม่ของเธอสบายดีหรือ”
คุณวีรชัยเอ่ยถาม ซึ่งผมรู้สึกรำคาญพวกไฮโซที่ต้องเกริ่นเรื่องอื่นตามมารยาทก่อนที่จะวกเข้าจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่ผมคิดว่าเขาไม่ได้มีธุระอะไรกับพอร์ชหรอก มันเห็นกันชัดๆ เลยว่าเขาแค่อยากจะแยกพอร์ชออกจากคุณเอมมี่ก็เท่านั้น
“สบายดีครับ” พอร์ชตอบสั้นๆ และไม่ได้มีท่าทีว่าจะสานบทสนทนาต่อ อีกฝ่ายจึงต้องรีบเข้าประเด็นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“ได้ข่าวว่ายอดขายจาระบีของยูเนียนตกลงนะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เด็กหนุ่มรุ่นใหม่จะพาบริษัทมาได้ไกลถึงขนาดนี้ พ่อกับแม่ของเธอสั่งสอนมาดีจริงๆ แต่ยังไงฉันกับพลอยปภัสก็อยู่ในวงการธุรกิจมานาน อยากให้ช่วยเหลือหรือแนะนำตรงไหนก็บอกกันได้ ไม่ต้องเกรงใจ หลานของพลอยก็คือหลานของฉัน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ผมกำหมัดแน่นด้วยความไม่สบอารมณ์เมื่อคิดว่าประโยคเมื่อครู่ฟังผ่านๆ แล้วเหมือนครอบครัวสุขสันให้ความห่วงใย แต่ถ้าลองคิดให้ลึกลงไปอีกนิด จะได้ประโยคประมาณนี้เลย
‘ฉันได้ข่าวว่ายอดขายจาระบีของยูเนียนตกลงนะ ต่อให้พ่อกับแม่เธอสอนมาดียังไง เด็กหนุ่มอย่างเธอก็ไม่มีทางทำให้ยูเนียนกลับมาเจริญรุ่งเรืองได้เหมือนแต่ก่อน แต่ฉันกับเมียทำธุรกิจอยู่ในวงการนี้มานาน ย่อมเก่งกว่าเธออยู่แล้ว ถ้าฉันอยากบี้เธอ เธอก็มีแต่จบกับจบ แต่ถ้าเธอจนตรอกก็ลองขอร้องฉันสิ เห็นแก่ที่เป็นหลายชายของเมีย ฉันอาจปราณีเธอ’
“ขอบคุณครับ ผมรู้สึกซาบซึ้งมาก”
ผมรีบหันไปมองหน้าของพอร์ช โชคดีที่อีกฝ่ายยังมีสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ คุณวีรชัยแสยะยิ้มก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมามองที่ผมซึ่งอยู่อยู่ด้านหลังของพอร์ช
“นี่เลขาคนใหม่หรือ แล้วภุมราไปไหนซะล่ะ”
“ลาป่วยน่ะครับ คนนี้คือผู้ช่วยเลขาของผม ชื่อปัฐวี”
พอร์ชหันมาแนะนำผมอย่างเป็นทางการ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องยกมือขึ้นไหว้อาเขยของเขาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับท่าน”
“ยังเด็กอยู่เลยนะ”
คุณวีรชัยเอ่ยเสียงเนิบนาบ ผมอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายทิ้งสายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่ใบหน้าของผม ดวงตาของเขามีประกายวูบวาบแบบที่ผมคุ้นเคยสุดๆ แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรเลอะเทอะมากไปกว่านี้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนซะก่อน
“ท่านครับ”
ผมตัวแข็งทื่อ ตาเบิกกว้างมองผู้ชายที่ก้าวเข้ามาโค้งให้คุณวีรชัย ฝ่ายนั้นเหลือบตามามองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปแตะหลังมือของคุณวีรชัยอย่างรวดเร็วราวกับเป็นการสะกิด แล้ววินาทีต่อมาคุณอาเขยก็หันไปกล่าวของตัวกับพอร์ช
“ฉันต้องไปทักทายเพื่อนๆ สักคนหน่อย ขอตัวก่อนล่ะ”
ผมยังนิ่งค้างอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนคนบ้าที่กำลังเห็นภาพหลอน ได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนสองคนที่เดินจากไป
ไม่ว่าผมจะมองยังไงคนเมื่อครู่ก็คือ…บุคคลที่ผมไม่อยากพบเจอมากที่สุดในชีวิต ต่อให้เป็นชาติหน้าก็ไม่ขอเจอเด็ดขาด
‘โจเซฟ’


TBC.


เเฟนเพจของนักเขียน (https://www.facebook.com/PKrabKrab)


หนังสือ Agnosia - (แอคโนเซีย) ภาค 1 เหลืออยู่ประมาณ 20 เล่มนะคะ หมดเเล้วหมดเลย เรื่องนี้ตีพิมพ์หนึ่งครั้งไม่รีปริ้นนะคะ

- ราคา 330 บาท
- หนังสือจำนวน 360+ หน้า
- ที่คั่นหนังสือ 1 อัน/โปสการ์ด 1 ใบ (ในเล่ม)

- ตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงเว็บไซต์ จำนวน 3 ตอน
ตอนพิเศษ 1 เรื่องเล่าของพอร์ช (เป็นพาร์ทของพอร์ช ที่เล่าความรู้สึกของการป่วยเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้)
ตอนพิเศษ 2 ในห้องทำงานที่เร่าร้อน (NC กรุบกริบในที่ทำงาน)
ตอนพิเศษ 3 คนขี้หึง (ช่วยกันเลี้ยงหลานชายของวิน)

- สั่งซื้อผ่านสนพ. >> http://darin-novel.lnwshop.com/
- สั่งซื้ออีบุ๊ค >> https://www.mebmarket.com/ebook-96119-Agnosia



หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Willhammin ที่ 23-07-2020 13:04:44

บทที่ 6 การทุริต


(เกื้อกูล)

“จาระบี Lot UN23 เสร็จหรือยังครับ”

ผมเอ่ยถามหัวหน้าเวรประจำวัน ที่กำลังสั่งการให้พนักงานตรวจเช็คปริมาณการผลิตจาระบีในถังพักใบใหญ่

“พร้อมบรรจุลงถังหนึ่งพันใบแล้วครับ”

ผมพยักหน้า รับคลิปบอร์ดพลาสติกจากหัวหน้าเวรมาตรวจเช็คเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเซ็นชื่อกำกับ

“ควบคุมอุณหภูมิให้ดี รอหัวหน้ามาเช็คคุณภาพวันพรุ่งนี้ครับ”

ผมบอกลาอีกฝ่ายก่อนจะปลีกตัวจากมา ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว ได้เวลาลงจาก Plant แล้วกลับบ้านไปพักผ่อนเสียที

ผมทำงานที่โรงงานผลิตจาระบีของบริษัทยูเนียนได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว หน้าที่ของวิศวกรระดับล่างสุดอย่างผมมีไม่มาก เพื่อนร่วมแผนกมีทั้งหมดสิบสองชีวิตรวมหัวหน้างาน พวกเรามีหน้าที่ตรวจเช็ควัตถุดิบที่ถูกส่งมาทำจาระบี อย่างพวก BaseOil+FattyAcid+Additives = Grease และบางครั้งยังรับออเดอร์จากลูกค้าประจำรายใหญ่ในการผลิตน้ำมันเครื่องและน้ำมันใสอีกด้วย ส่วนใหญ่จะส่งออกไปต่างประเทศเพราะฐานลูกค้าแน่นกว่าในประเทศไทยที่ไม่นิยมใช้เพราะราคาแพง

เหนือหัวหน้าของผมยังมีหัวหน้าอีกระดับที่มาจากสำนักงานใหญ่ วิศวกรกลุ่มนี้จะถูกส่งมาตรวจเช็คคุณภาพของสินค้าก่อนทำการบรรจุลงถัง ซึ่งจาระบี Lot UN23 ที่ผมดูแลอยู่นี้จะถูกลำเลียงลงเรือและนำจัดส่งไปยังประเทศสิงคโปร์ในสัปดาห์หน้า แน่นอนว่าถ้าหัวหน้าที่จะมาตรวจสอบคุณภาพในวันพรุ่งนี้นำส่งแลปเทสแล้วผลปรากฎว่าไม่ผ่าน นอกจากผมจะโดนด่าแล้วยังจะโดนหักเงินเดือน เพราะการทำให้การขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า เกิดความล่าช้าคือการทำให้บริษัทขาดความเชื่อมั่นและยังสูญเสียผลกำไรเป็นจำนวนมาก

เมื่อก่อนแผนกของผมรับหน้าที่ตรวจสอบสินค้าทั้งหมด แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ที่ยูเนียนเปลี่ยนคณะผู้บริหารใหม่ก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างแผนก และจัดส่งทีมวิศวกรจากสำนักงานใหญ่เข้ามาดูแล หรือเรียกง่ายๆ ว่าสอดส่องพนักงานที่อาจทุจริต ผมรู้มาว่าแผนกของผมติดอันดับเสี่ยงเกิดการทุจริตได้ง่ายและบ่อยมากที่สุดของยูเนียน ส่วนจะทุจริตยังไงนั้น? ตอนนี้ผมไม่ค่อยเก็ตอ่ะครับ แล้วก็ไม่อยากเก็ตด้วย ผมพอใจกับวันหยุดและเงินเดือนของผมแล้ว ไม่อยากรีบเสี่ยงตกงานและหมดอนาคตที่สดใส

Trrrrrrrrrrrrrr

ไอโฟนในกระเป๋ากางเกงชุดหมีส่งเสียงร้องระหว่างที่ผมเดินอยู่บน Plant ผมรีบหยุดเท้าทันที บน Plant มีทางเดินกับเครื่องจักรรอบด้านที่หน้าตาเหมือนๆ กันไปหมด ทำให้บ่อยครั้งที่ผมเดินหลงทางอยู่ในนี้ กว่าจะหาบันไดลงจาก Plant เจอ เพื่อนร่วมแผนกก็สแกนลายนิ้วมือกลับบ้านกันหมดแล้ว ดังนั้นผมขอหยุดรับโทรศัพท์แล้วคุยให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า

“สวัสดีครับ”

ผมรับสายด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ เพราะเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่ได้ถูกบันทึกชื่อของคู่สนทนาเอาไว้

“ไง” ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่ไม่คุ้นหู

“ใครครับ?”

“ฌอห์ณ”

ช-อ-น?

“ชอนไหน?” ผมถามด้วยความงุนงง เดี๋ยวขอคิดก่อนนะ

เพื่อนร่วมงาน? ไม่มีชื่อนี้แน่นอน

เพื่อนที่มหาลัย? ไม่คุ้นมาก่อน ไม่น่ามี

งั้นย้อนกลับไปอีกหน่อย หรือจะเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยม? ก็ไม่เคยมีเพื่อนชื่อแปลกๆ แบบนี้อีกนั่นแหละ

แต่ถ้าเป็นเพื่อนสมัยอนุบาลหมีน้อย…?

“เธอรู้จักคนชื่อฌอห์ณหลายคน?”

“ไม่รู้จักสักคน”

ผมตอบ แต่กลับได้รับเสียงหัวเราะที่ออกไปทางเยอะเย้ย…เหอะๆ มารยาทของคนๆ นี้มีปัญญานิดหน่อยนะ

“โทรผิดหรือเปล่าครับ”

“ไม่ผิดหรอก เมื่อต้นเดือนก่อนเราเคยเจอกันที่ Manly”

Manly? ผมชะงักเมื่อสมองเริ่มฉายภาพของผู้ชายแปลกหน้า ที่ผมมีสัมพันธ์สวาททางกายด้วยเป็นครั้งแรก

“คุณ…”

ร่างกายของผมสั่นเทาเล็กน้อย ความรู้สึกร้อนวูบวาบแล่นจากปลายเท้ามาสู่สมอง พร้อมกับเสียงหวี่หว่อๆ ให้ตายสิ อุตส่าห์ไม่ไปคิดถึงบทรักในครั้งนั้นได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วแท้ๆ หมอนี่จะโทรมาหาผมทำไมกัน

“รู้เบอร์โทรผมได้ยังไง”

“เธอชื่ออะไร?” ปลายสายเอ่ยถาม เขารู้เบอร์โทรแต่ไม่รู้ชื่อของผมเนี่ยนะ?

“เกื้อกูลครับ”

“คืนพรุ่งนี้อยากมาเจอกันมั้ย”

“ทำไมต้องอยากไปเจอคุณด้วย ไม่ใช่ว่านอนด้วยกันครั้งเดียวแล้วแยกย้ายเหรอ” นั่นคือกฎของ One Night Stands ไม่ใช่หรือไงกัน?

“หึ” ผมได้ยินปลายสายเค้นเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจ

“หลังจากคืนนั้นเธอได้คู่นอนคนใหม่แล้วหรือ”

ผมขมวดคิ้ว หลังจากที่เขาสร้างความประทับใจให้ผมแบบสุดๆ ขนาดนั้นแล้ว ยังคิดว่าผมจะมีความสามารถหาคู่นอนดีๆ ได้อีกหรือ และต่อให้ผมจะไม่ใช่วัตถุดิบชั้นยอด แต่ยังไงผมก็เลือกกินนะครับ หาคู่นอนงานดีได้ไม่เท่าคุณผมก็ไม่อยากได้หรอกครับ

“ยังครับ ที่จริงแล้วผมไม่ได้โชคดีเจอคนแบบคุณบ่อยๆ”

ผมยอมรับ บางครั้งผมรู้สึกคิดถึงสัมผัสอ่อนโยนของเขา ราวกับมันคือฝันดีคืนหนึ่ง ที่เมื่อตื่นนอนตอนเช้าแล้วพบเพียงความว่างเปล่า ต่อให้พยายามจินตนาการถึงมันอีกสักกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถซึมซับได้เหมือนของจริง

“ในเมื่อเธอรู้ว่าการเจอฉันคือโชคดี แล้วเธอจะปฎิเสธทำไม หรือเธอไม่ต้องการฉันล่ะ”

ผมสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ คงจะอารมณ์ดีล่ะสิ

“กี่โมงดีครับ”

ผมถาม ในเมื่อเขามาเสนอตัวเองถึงที่ ผมก็ต้องรีบรับไว้อยู่แล้ว ยอมรับว่ากำลังอดอยากปากแห้งอยู่พอดี

“หนึ่งทุ่ม”

“ที่ไหนครับ”

“ส่งโลเคชั่นที่พักของเธอมา พรุ่งนี้ฉันไปรับเอง”

บริการมารับถึงที่ด้วย…ผมนี่โชคดีสุดๆ ไปเลย

“ครับ” หลังจากวางสายแล้ว ผมก็เดินมึนๆ ไปเรื่อยเปื่อย สมองกำลังคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่ซ้ำแล้วซ้ำอีก…

ผมคิดถูกหรือเปล่านะที่นัดพบกับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนแรกแค่ตั้งใจว่าจะหาประสบการณ์กลางคืนไม่ใช่หรือ แล้วหลังจากนั้นค่อยเริ่มมองคนรักอย่างจริงจัง แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ในตอนนี้ มันเหมือนว่าผมกำลังจะหาคู่นอนมาสนองความต้องการของตัวเองซะมากกว่า…

หว่า!!

โครม!!

ผมสะดุ้งเมื่อเท้าเตะเข้าที่วัตถุบางอย่างจนเกิดเสียงดังโครมคราม ดวงตาเบิกกว้างมองความพินาศเล็กๆ ที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ กว่าจะรู้ตัวว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ก็เป็นตอนที่ผมสะดุดถังว่างเปล่าใบหนึ่งที่ตั้งเรียงรายอยู่บนพื้น ทำให้ถังอีกหลายสิบใบที่อยู่ข้างเคียงล้มลงพร้อมกันราวกับโดมิโน่

ให้ตายสิ โรคซุ่มซ่ามของผมมันรักษาไม่หายจริงๆ ด้วย

ในโกดังแห่งนี้เป็นที่เก็บถังพลาสติกสีน้ำเงินสำหรับบรรจุจาระบีส่งออกต่างประเทศ ถังส่วนใหญ่จะถูกเรียงอยู่บนชั้นไม้คุมด้วยตาข่ายเพื่อประหยัดพื้นที่ และอีกส่วนที่เรียงกันอยู่บนพื้น ผมรีบมองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเข้ามาเห็นเหตุการณ์น่าขายหน้า จึงรีบลงมือเก็บถังพลาสติกที่ล้มเกลื่อนพื้นมาตั้งให้เป็นระเบียบเหมือนเดิม

เอ๊ะ?

ผมขมวดคิ้วเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับพลาสติก…มันบางเกินไปหรือเปล่านะ? เมื่อยกถังขึ้นตั้งก็รู้สึกว่าน้ำหนักของถังค่อนข้างเบากว่าที่คิดไว้

ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…

ผมลองใช้หลังมือเคาะถังพลาสติก จับหมุนไปหมุนมา ก่อนจะตัดสินใจเปิดฝาถังออกดูแล้วสำรวจด้านในจนละเอียด ต่อให้ผมไม่ได้จบด้านวิศวกรรมวัสดุโดยตรง แต่ผมแน่ใจว่าถังแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับนำมาใช้ขนส่งจาระบีระหว่างประเทศ เพราะหากเกิดการกระแทกระหว่างการขนส่งเพียงเล็กน้อยก็ไม่รอดแล้ว ถังต้องแตกแน่ๆ เลย แล้วถ้าจะบอกว่าบริษัทยูเนียนขี้งก ถึงขั้นใช้วัสดุไร้คุณภาพมาทำถังบรรจุก็ไม่น่าใช่ ยูเนียนคงไม่อยากเสียลูกค้าเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรอกจริงมั้ย?

วันต่อมา…

“off-spec”

ผมหน้าซีดเผือดทันทีที่ได้ยินผลแลปจากหัวหน้าวิศวกรที่มาจากสำนักงานใหญ่ ทำไงดีล่ะ…ผลแลปเทสของจาระบี Lot UN23 ที่ออกมาปรากฏว่า ‘ไม่ผ่าน’ นั่นหมายความว่าจาระบีทั้ง Lot ที่อยู่ในถังพักไม่ตรงตามสเปคที่ลูกค้ากำหนดไว้ แล้วสัปดาห์หน้ายูเนียนก็ต้องเริ่มทำการขนส่งสินค้าแล้วด้วย ถ้าล่าช้ากว่านั้นผมจะต้องถูกหักเงินเดือนแน่ๆ หรืออาจจะถูกเรียกไปตักเตือน แต่เอาที่แย่ที่สุดก่อน ตอนนี้ผมอาจถูกด่าจนหูชา

“ผะ ผม…ขอโทษครับ”

ผมยืนสงบเสงี่ยมก้มหน้ามองพื้นด้วยใจที่เต้นตึกตักๆ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ผมทำงานพลาดเลยก็ว่าได้ ทั้งที่เฝ้าควบคุมอุณหภูมิและส่วนผสมการผลิตเป็นอย่างดีแล้วยังเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้ยังไงนะ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก”

น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธ ทำให้ผมแอบเหลือบตาขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายแบบกล้าๆ กลัวๆ

“มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดนั่นแหละ ผลิตจาระบีปริมาณเยอะขนาดนั้นถ้าออกมา on-spec ทั้งหมดสิถึงจะแปลก”

เขาชื่อ ‘ปฐวี’ แต่ผมเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานเรียกเขาว่า ‘พี่วิน’ เขาเคยมาตรวจงานที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับเขาโดยตรง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับเขา

“ปัญหามันเกิดขึ้นได้ทุกวัน ยูเนียนต้องการวิศวกรที่เรียนรู้และแก้ไขปัญหาได้ ไม่ได้ต้องการยอดมนุษย์ที่ไม่เคยทำงานพลาด เข้าใจหรือเปล่า?” น้ำเสียงลื่นหูที่เอ่ยถาม ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในตัวหัวหน้าคนนี้มากๆ

อีกฝ่ายเป็นผู้ชายร่างสูงผอมที่หล่อเหลาแบบดวงตะวัน มีบุคลิกบางอย่างที่ให้ความรู้สึกว่า เขาสามารถสาดแสงอบอุ่นชวนให้คนรอบข้างสบายใจได้ รอยยิ้มมุมปากที่ขยันส่งมาดูเจ้าเล่ห์อยู่ในที แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือเสน่ห์ที่เย้ายวน พี่เขาคงเป็นประเภทอ่อยไปทั่วแบบไม่ได้ตั้งใจแน่ๆ เลย ผมเห็นแล้วรู้สึกว่าเข่าแทบจะทรุด น่ารักชะมัดอ่ะ

“เข้าใจแล้วครับ”

ผมรีบตอบรับอย่างแข็งขัน โชคดีที่พี่วินมาตรวจงาน Lot ของผม เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นหัวหน้าคนอื่นมาเอง ผมอาจไม่ได้มายืนยิ้มอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้

“บอกฉันสิว่าต้องแก้ไขยังไง”

“ต้องปรับสูตรใหม่ครับ เริ่มจากเทสก่อนว่าสินค้าใน Lot ขาดอะไรไป จึงค่อยเติม Base oil หรือสารเติมแต่งเพิ่ม”

ที่จริงแล้ว Base oil หรือสารเติมแต่งสามารถเติมมากเท่าใดก็ได้ แต่ผมก็ควรเช็คให้ชัดเจนดีกว่าการเติมลงไปมั่วๆ เพราะการเติม Base oil หรือสารเติมแต่ง ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียอะไร นอกจากทำให้บริษัทสูญเสียกำไรก็เท่านั้นเอง ซึ่งวิศวกรที่ซื่อสัตย์และจริงใจอย่างผม ล้วนแต่ต้องรักษาผลประโยชน์ให้บริษัทอย่างสูงสุดอยู่แล้ว

“ดี งั้นนายก็รีบแก้ไขซะ แล้วฉันจะมาตรวจอีกครั้ง”

พี่วินสั่งงานอีกสองสามอย่างแล้วให้คำแนะนำเพิ่มเติมก่อนจะปลีกตัวไปพักผ่อนในห้องรับรองติดแอร์เย็นฉ่ำ ผมใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายในการวิเคราะห์และแก้ไขสเปคของจาระบีใน Lot UN23 กว่าจะเรียบร้อยก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว ผมยกมือลูบท้องปอยๆ เมื่อกระเพาะอาหารส่งเสียงร้องโครกคราก คิดว่าจะไปตามพี่วินมาตรวจงานก่อนแล้วค่อยชวนฝ่ายนั้นไปกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร

ผมเดินลงจาก Plant มาที่ชั้นล่างสุดซึ่งเป็นห้องรับรองติดแอร์ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ครบครันในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนใหญ่แล้ววิศวกรที่ทำโอทีในวันหยุดมักจะเข้ามาใช้ห้องนี้ ส่วนในวันธรรมดาจะไม่มีใครกล้าเข้ามาใช้นอกจากหัวหน้าวิศวกรจากสำนักงานใหญ่

ผมผลักประตูกระจกติดผ้าม่านสีฟ้าอ่อนให้เปิดออก ยื่นหน้าเข้าไปมองจึงเห็นว่าพี่วินกำลังนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาตัวยาว รองเท้าหนังราคาแพงถูกถอดทิ้งไว้บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ

“พี่วินครับ”

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องรับรองแล้วยื่นมือไปสะกิดร่างที่กำลังหลับใหลอย่างเป็นสุข นึกอิจฉาตำแหน่งงานของหัวหน้าที่มีหน้าที่สั่งงานเล็กน้อยแล้วหนีมานอนหลับ แถมเงินเดือนของพี่เขายังมากกว่าผมถึงหนึ่งเท่าตัวเลยด้วยซ้ำ

“หื้ม” พี่วินครางงึมงำในลำคอ ยกมือขยี้ตาก่อนจะเหลือบมามองผมด้วยความงุนงง

“งานเสร็จแล้วครับ ช่วยไปตรวจรับสินค้าให้ผมหน่อย”

“อา ไปสิ”

พี่วินใช้ปลายเท้าเขี่ยรองเท้าหนังที่ถอดทิ้งไว้มาใกล้ๆ ก่อนจะสอดเท้าเข้าไปด้านในด้วยท่าทางสบายๆ การที่พี่เขาไม่ได้สร้างภาพลักษณ์หรือวางท่าของหัวหน้าทำให้ดูน่าคบหามากจริงๆ

“พี่วินทำงานที่นี่มานานหรือยังครับ” ผมเอ่ยถามระหว่างก้าวเท้าขึ้นบันไดเหล็กไปบน plant การผลิต

“ครึ่งปี”

พี่วินตอบด้วยท่าทางสบายๆ พวกเราพูดคุยกันอีกสองสามประโยค ผมจึงคิดจะเอ่ยถามเรื่องหนึ่งที่ติดใจสงสัยมาตั้งแต่เมื่อวาน

“พี่ครับ”

“ว่า?”

“ถังที่บรรจุจาระบี บริษัทเอามาจากไหนเหรอครับ” ผมถาม พยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉยมากที่สุด ผมไม่อยากถามเรื่องนี้กับหัวหน้าแผนกหรือเพื่อนร่วมแผนกเพราะมันเป็นไปได้ว่า อาจจะมีการทุจริตของคนหลายคนที่สมรู้ร่วมคิด แล้วพนักงานใหม่อย่างผมที่เข้าไปสู่รู้เรื่องที่ไม่ควรจะรู้ อาจจะโดนดีดกระเด็นได้ง่ายๆ เลย

“ทำไมอ่ะ”

พี่วินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แน่ล่ะ การตรวจเช็คบรรจุภัณฑ์ย่อมไม่ใช่หน้าที่ของผม

“ผมอยากรู้เฉยๆ อ่ะครับ”

ผมตอบเสียงแล้วหัวเราะแหะๆ เมื่อถูกย้อนถามกลับแบบนี้ผมก็ปั้นเรื่องโกหกต่อไม่ทันนะครับ

“ดีๆ ต่อให้ไม่ใช่หน้าที่ของนาย แต่การรอบรู้ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”

พี่วินส่งยิ้มให้ผมแล้วยื่นมือมาตบไหล่ป้าบๆ จนเข่าของผมแทบทรุด

มือหนักชะมัดเลย ฮืออออ

“ยูเนียนสั่งผลิตถังจากไฟเบอร์เทค ถังแต่ละแบบที่โรงงานของเราใช้จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการใช้งาน” พี่วินให้คำตอบแก่ผมอย่างไม่ลังเล

“แล้วใครมีหน้าที่ตรวจเช็คคุณภาพของถังว่าตรงกับสเปคที่เรากำหนดไว้หรือเปล่าอ่ะครับ” ผมรีบถามต่อทันที พี่วินทำงานที่นี่มาครึ่งปีแล้ว คงจะรู้อะไรๆ ไม่น้อย

“แน่นอนว่าต้องเป็นวิศวกรวัสดุ แผนกตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ไงล่ะ” พี่วินแยกตัวไปใช้แลปเทสเพื่อตรวจสอบคุณภาพของจาระบีก่อนการบรรจุลงถัง ทิ้งให้ผมยืนจมอยู่ในความคิดของตัวเองเงียบๆ

จากคำบอกเล่าของพี่วิน ผมคงสันนิษฐานได้เพียงอย่างเดียวว่ามีวิศวกรวัสดุ ‘บางคน’ หรือ ‘อาจจะหลายคน’ ทำการทุจริตร่วมกับ ‘Supplier’ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทไฟเบอร์เทคจะส่งถังไร้คุณภาพมาเก็บไว้ในโกงดังของยูเนียนได้โดยที่ทีมวิศวกรวัสดุไม่รู้เรื่อง

ถ้าหากคิดว่ามีวิศวกรของยูเนียนรับสินบนจาก Supplier แล้วส่งรายงานต่อหัวหน้าแผนกว่าถังดังกล่าวได้มาตรฐานล่ะ? อืม…เป็นไปได้ วิศวกรย่อมต้องได้ผลประโยชน์ที่คุ้มค่า จึงจะกล้าหักหลังบริษัทที่ตนเองทำงานอยู่

แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะปิดกันได้นานเพราะทีมตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่ถ้าคิดว่าทุกคนในทีมร่วมกันทุจริตล่ะ?

…การได้รับผลประโยชร์ร่วมกันจากคนหลายๆ ฝ่าย จะช่วยลดความเสี่ยงในการตรวจพบการทุจริต…

แต่อีกเรื่องที่ผมยังสงสัยคือ พวกเขาต้องตบตาวิศวกรในแผนกการผลิตอีกด้วย ถึงผมจะไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์โดยตรง แต่ในตอนบรรจุสินค้าลงถัง วิศกรแผนกการผลิตยังต้องสุ่มตรวจสอบการบรรจุอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลำเลียงลงเรือ ตั้งแต่ทำงานมาเกือบหนึ่งเดือน ผมเคยสุ่มตรวจสินค้าทั้งหมด 75 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งผ่านมาตรฐานสากลทั้งหมด

…เป็นไปไม่ได้…

แต่ถ้าลองคิดว่าถังบรรจุมีส่วนหนึ่งได้มาตรฐานและอีกส่วนหนึ่งมีขนาดบางกว่าปกติล่ะ? การที่ผมจะสุ่มเจอแต่ถังที่มีมาตรฐานทั้งหมดแปลว่าต้องมี ‘คนใน’ ช่วยเหลือวิศวกรฝ่ายตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์แน่นอน

แต่จะเป็นใครล่ะ?

เพื่อนร่วมแผนกของผม?

หัวหน้าแผนก?

ผู้ต้องสงสัยในแผนกมีมากถึง 11 ชีวิต ยังไม่นับรวมแผนกตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์อีกหลายสิบคน

เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมไม่สามารถปิดหูปิดตาปล่อยผ่านไปได้จริงๆ ต้องสืบดูให้รู้เรื่อง!



ติดตามข่าวสารจากนักเขียนได้ที่เเฟนเพจค่ะ เป็ดก๊าบก๊าบ





หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-07-2020 10:32:51
ติดใจน้องล่ะสิ

เรื่องน่าสนุก
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 26-07-2020 22:54:55
ติดตาม
หัวข้อ: Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: _SHINE_ ที่ 06-08-2020 01:00:50
สนุกมากเลย เราชอบการใช้ภาษาของนักเขียนนะ
รอติดตามต่อไป :hao3: