Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5  (อ่าน 32158 ครั้ง)

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



Agnosia
#ภาวะเสียการระลึกรู้


ผลงานในเล้าเป็ด
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2020 17:34:57 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทนำ]
«ตอบ #1 เมื่อ30-07-2019 15:36:41 »

บทนำ


I love you not because of who you are,

but because of who I am when I am with you.

ฉันรักเธอไม่ใช่เพราะสิ่งที่เธอเป็น

แต่รักเพราะสิ่งที่ฉันเป็น เวลาที่ได้อยู่กับเธอ. 

 

          คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ย?

          สำหรับผม…ผมไม่เชื่อ

          ผมเคยคาดหวังว่าวันหนึ่ง ผมจะได้พบกับ ‘เนื้อคู่’ พบกับใครบางคนที่ทำให้ผมเป็นตัวของตัวเองเมื่อได้อยู่กับเขา เขาไม่จำเป็นต้องรวย ไม่จำเป็นต้องหล่อ และไม่จำเป็นต้องดีกว่าใครๆ ผมต้องการแค่คนที่ผมรักและรักผมโดยไม่มีเงื่อนไข

          โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ การที่ได้พบใครบางคนโดยบังเอิญนับเป็นความอัศจรรย์

          ผมได้พบกับ ‘พอร์ช’ เขาสอนให้ผมรู้จัก ‘ความรัก’ ผมคิดว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปจนแก่เฒ่า ผมหวังอย่างนั้น

          แต่พรหมลิขิตคือใครล่ะ?

          ถ้าเขามีอยู่จริง…เขาลิขิตให้เรารักกัน แต่ทำไมไม่ลิขิตให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไปโดยไม่มีอุปสรรค

          เพราะในโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคน มีหลายครั้งที่เราตัดสินความถูกต้องหรือความผิดจากความคิดของคนอื่น ผมเลือกเหตุผลมากกว่าความรู้สึก พรหมลิขิตไม่ได้ช่วยให้ผมอยู่กับเขาตลอดไป มีแต่ผมที่เป็นคนลิขิต และผมได้ลิขิตให้ความสัมพันธ์ของเรายุติลง

          ผมเคยคิดว่า ผมสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีเขา…

          แต่ผมเพิ่งเข้าใจ…แม้จะมีคนรอบตัวมากมาย ทั้งเพื่อนและครอบครัวแต่ผมกลับรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน ผมเผลอนับทุกๆก้าวที่เดินจากเขามา ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองอ่อนแอ แต่ในตอนนี้ผมอยากให้เขารู้ว่า…ทุกเศษเสี้ยวหัวใจของผมกำลังคิดถึงเขาที่สุด

          จังหวะที่คุณได้พบกับคนที่คุณรักและรักคุณ นับเป็นจังหวะที่วิเศษมาก ผมทำพลาดที่คิดว่าวันหนึ่งจะได้พบความรักใหม่ๆที่ดีอีกสักครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงห้าปี ผมจึงได้รู้ว่ามันอาจไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในชีวิต

          คุณอย่าทำผิดพลาดเหมือนกับผม…อย่าปล่อยคนที่รักคุณไป ไม่ว่าจะพบอุปสรรคใดก็ตาม




 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2019 15:49:33 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
«ตอบ #2 เมื่อ30-07-2019 15:52:07 »


บทที่ 1 โอกาสครั้งที่สอง



บริษัทยูเนียนประเทศไทย สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เปิดรับสมัครวิศวกร 1 อัตรา (แผนก Grease Production)

คุณสมบัติ

1. เพศชาย

2. เกิดปี พ.ศ. 25xx

3. จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ

4. ส่วนสูงอยู่ระหว่าง 175-180 ซม.

สถานที่ปฎิบัติงาน

กรุงเทพมหานคร

เงินเดือน

30,000-50,000 บาท

รายละเอียดงาน

1. ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง

2. ตรวจสอบความเรียบร้อยของการบำรุงรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์ในแผนก

3. ร่วมกับผู้บังคับบัญชาในการวิเคราะห์ปัญหาต่างๆในการทำงาน

4. ควบคุมงบประมาณการซ่อมบำรุง

5. ตรวจสอบและอนุมัติการเบิกวัสดุอุปกรณ์ในแผนก

6. วางแผนการผลิต

 

พี่กรีน

LINE AUDIO…

            ผมละความสนใจจากเอกสารบนหน้าจอคอมพิวเตอร์มามองไอโฟนตกรุ่นที่กำลังส่งเสียงร้อง และพบว่าบุคคลที่โทรเข้ามาคือพี่รหัสของผมที่จบการศึกษามาจากคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกัน

            ผมเลื่อนปลายนิ้วแตะหน้าจอเพื่อกดรับสายก่อนจะยกไอโฟนมาแนบหู ไม่ต้องมีญาณทิพย์ผมก็รู้ว่าสาเหตุที่ไอ้พี่กรีนโทรมาต้องเป็นเรื่องของประกาศรับสมัครงานที่เจ้าตัวส่งมาให้ทางอีเมลแน่ๆ

            “ไงพี่เขียว”

            ไอ้พี่กรีน หรือชื่อในวงการว่า ‘ไอ้เขียว’ ‘น้องเขียว’ ‘อีเขียว’ ‘พี่เขียว’ และอื่นๆอีกมากมาย ฉายาพวกนี้ล้วนแต่ได้มาจากเพื่อนพี่น้องที่เคารพรักขนานนามให้ และไม่ใช่เพราะพี่มันผิวดำคล้ำเข้าขั้นเขียว แต่เป็นเพราะอีพี่ชอบย้อมผมสีเขียวแบบไม่ไว้หน้าอาจารย์ในคณะกับสโลแกนประจำใจว่า

            ‘ผมสีเขียวไม่มีผลต่อคะแนนสอบ’                 

            ครับ ตามนั้นเลย ตามแต่ความพอใจของพี่ท่านเลย

            ถ้าไม่ใช่เพราะพี่กรีนเป็นคนจันที่เกรดดีมาก อาจารย์คงไม่ปล่อยให้มันโดดเด่นเป็นสง่าพร้อมกับหัวเขียวๆมาถึงสี่ปี แต่ล่าสุดที่ผมได้เจอ พี่มันย้อมผมสีดำทำให้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย ก็ลองอีพี่เอาสโลแกน ‘ผมสีเขียวไม่มีผลต่อการทำงาน’ ไปใช้ในบริษัท ผมว่าคงถูกเตะโด่งออกไปตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะครับ

            “อ่านรายละเอียดงานที่กูส่งให้หรือยัง”

            “กำลังอ่านอยู่พี่”

            ผมชื่อ ‘วิน’ ภาษาอังกฤษสะกดว่า W-I-N แม่บอกว่าย่อมาจาก WINNER ที่แปลว่า ‘ผู้ชนะ’ ซึ่งในชีวิตจริงกูแม่งไม่เคยชนะเชี่ยไรเลยครับ

            เริ่มจากคนที่ผมชอบ ไม่ดิ เรียกว่ารักเลยดีกว่า มันไม่เคยรู้เลยว่าผมแอบรักมันมากกกกมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว ที่เจ็บสุดคือมันเสือกคบกับเพื่อนสนิทกูเฉยเลย ต่อมาผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแถมรักกันปานจะแดกหัวกลับต้องเลิกราเพราะคุณแม่ขอร้อง

            ยังครับ ยังไม่หมด ชีวิตน้องวินกำลังบัดซบถึงขีดสุดก็ตอนนี้แหละ ขณะนี้เลยครับ

            ผมทำงานเป็นวิศวกรที่บริษัท X มา 5 ปีแล้ว ทำตั้งแต่เป็นเด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ เงินเดือนสตาร์ทที่ 16,000 บาท สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่ต้องหาห้องเช่าซุกหัวนอนในกรุงเทพกับเงิน 16,000 บาท นี่กูพอใช้แต่ไม่พอเลี้ยงครอบครัวเลยครับ โชคดีที่บ้านผมมีธุรกิจขายยาเล็กๆ ยาสามัญประจำบ้านนะครับ ไม่ขายยาไอซ์  ยาอี ยาบ้า พ่อแม่และยายของผมจึงมีเงินกินเงินใช้ไม่ลำบาก

            ที่ชีวิตผมมันแย่และตกต่ำเพราะเจอหัวหน้างานเชี่ยๆที่ชอบขโมยผลงานของลูกน้องเอาดีเข้าตัวเอาเรื่องชั่วๆมาโยนให้วินตลอดเลยครับ เพื่อนร่วมงานเก่งๆต่างก็พากันย้ายงานไปอยู่บริษัทดีๆเลิศๆ มีแต่คนเกรดน้อยอย่างผมที่ยังหางานใหม่ไม่ได้ ต้องทนทำงานเงินเดือน 18,000 บาท ทั้งที่อยู่คู่บริษัทมานานถึง 5 ปี ตอบแทนกูด้วยการขึ้นเงินเดือน 2,000 บาทเนี่ยนะ พ่อมึงตายเหรอฮะ

            “แล้วเป็นไง สนใจเปล่า”

            “ไอ้สนมันก็สนอยู่นะ โดยเฉพาะเงินเดือนแม่งดีชิบหาย”

            เงินเดือนสตาร์ทที่ 30,000 บาท มีที่ไหน วินเพิ่งเคยเห็นครับแม่ แถมไม่เอาประสบการณ์การทำงานหรือกำหนดเกรดขั้นต่ำ หรือบางบริษัทหนักหน่อยก็จะระบุ มหาวิทยาลัยชื่อดังที่ต้องการ มหาวิทยาลัยโนเนมมึงหมดสิทธิ์นะครับ

            “แล้วมึงจะมัวลังเลทำส้นตีนอะไรวะ รีบๆส่งใบสมัครมาได้แล้ว”

            ไอ้พี่เขียวส่งเสียงเร่ง พี่มันทำงานที่ยูเนียนมาได้สองปีแล้ว ยูเนียนเป็นบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศไทยที่ทำการบุกเบิกการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 25xx

            “คุณสมบัติง่ายๆ แถมเงินเดือนระดับนี้มึงคิดว่าจะหาได้จากที่ไหนอีก นี่กูบอกเลยนะว่าคนมาสมัครเป็นร้อย แต่ตกสัมภาษณ์หมดเลย ตอนนี้ตำแหน่งเลยยังว่าง”

            กูก็อาจเป็นหนึ่งในคนที่ตกสัมภาษณ์ไงพี่!

            ยูเนียนเป็นบริษัทที่วิศวกรทุกคนใฝ่ฝันจะได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาทำงานได้ ต่อมาเกิดวิกฤติภายในบริษัททำให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเรียกง่ายๆว่าเปลี่ยนเจ้าของกิจการนั่นเอง ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการฟื้นฟูความมั่นคงกลับมาอีกครั้ง

            “ก็มันแปลกอะ พี่ไม่รู้สึกเหรอ” เหตุผลที่ทำให้ผมลังเลก็เป็นเพราะคุณสมบัติการรับสมัครงานนั่นแหละโว้ย

            “ทำไมต้องระบุคนที่เกิดปี 25xx เท่านั้น ถ้าต้องการคนอายุน้อยก็ระบุว่า 20-30 ปีแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ เรื่องส่วนสูงก็อีก กูไปสมัครเป็นวิศวกรนะไม่ใช่สจ๊วต จะเอาส่วนสูงไปทำเชี่ยอะไรฮะ”

            “เออมันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ แต่คุณสมบัติพวกนี้บอสเป็นคนกำหนดมาเองเว้ย ฝ่ายรับสมัครงานก็พูดไรไม่ได้มาก”

            “พี่หมายถึง CEO คนใหม่ที่เข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทอะเหรอ”

            ผมได้ข่าวว่าบริษัทที่เทคโอเวอร์ยูเนียน เป็นญาติกับเจ้าของคนเก่านั่นแหละ เรียกว่าศึกสายเลือดก็คงได้ เรื่องเงินๆทองๆยิ่งไม่เข้าใครออกใครอยู่ด้วย

            “เออ กูเคยเจอสองครั้ง แม่งเป็นคนที่แปลกมาก ตอนกูเห็นคุณสมบัติรับสมัครงาน กูเลยเฉยๆ”

            อ้าว ตายห่า

            “แปลกไงวะ แล้วพี่ก็จะชวนผมไปทำงานกับเจ้านายแปลกๆเนี่ยนะ”

            อยู่บริษัท X กูเจอเจ้าของกิจการโง่ ชอบลูกน้องประจบประแจง แล้วถ้ากูย้ายไปเจอเจ้านายแปลกๆ บ้าๆ บอๆ อีก จะไม่เป็นการหนีเสือปะจระเข้หรือไงวะ

            วินต้องการชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นครับแม่ เข้าใจมั้ย ไม่ใช่ตกต่ำลงทุกวันแบบเน้!

            “แค่แปลก แต่กูไม่ได้บอกว่าบอสไม่ดีนี่หว่า”

            “แล้วแปลกยังไงของพี่วะ”

            พี่เขียวเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับกำลังคิดคำจำกัดความของเจ้านายคนใหม่

            “บอสแม่งตาแข็งมากเลยมึง”

            ผมเผลอเลิกคิ้ว ตาแข็งเนี่ยนะ?

            “ตาแข็งแบบไหน แบบแดกกาแฟแล้วไม่ได้นอนงี้เหรอ”

            “ไม่เว้ย ตอนแรกกูคิดว่าบอสตาบอด”

            ผมว่าคนตาบอดไม่น่าเข้ามาบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ให้กลับมามั่นคงได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนนะ

            “เค้าถือไม้เท้าแล้วใส่แว่นดำเหรอ” ผมถาม

            “ไม่ เค้ามองอะไรแบบไม่โฟกัส”

            พี่กรีนมันหมายถึง บอสเป็นคนที่ชอบมองไปเรื่อยๆใช่มั้ย?

            “แค่นี้พี่ก็บอกว่าเค้าแปลกแล้วเหรอวะ”

            เท่าที่รู้จักกันมา กูว่าพี่มึงแปลกกว่าอีก

            “มีอีก บอสเค้าดูเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง แบบหล่อเหี้ยๆแต่น่ากลัวมาก”

            ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

            “มันคือออร่าของคนระดับผู้บริหารต่างหาก”

            “เออ เอาไว้มึงมาเห็นเองดีกว่า กูอธิบายไม่ถูกแต่เขาก็ดีกับพนักงาน ทั้งเก่าทั้งใหม่นะ ถ้ามึงตั้งใจทำงานรับรองว่าไม่มีปัญหาไรหรอก มาเถอะเชื่อกู”

            “เออ ไว้จะส่งใบสมัครออนไลน์ไปก่อนละกัน”

            “โอเค ขอให้มึงโชคดีได้งานนี้นะเว้ย”

            ผมตัดสินใจว่าจะส่งใบสมัครไปที่ยูเนียนถ้าผ่านก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าไม่ผ่านก็แค่หางานใหม่ ไหนๆชีวิตมันก็เฮงซวยอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้แล้วแหละ

            “ขอบคุณครับพี่”

 

 

สัปดาห์ต่อมา ผมได้รับจดหมายเชิญทางอีเมลให้ไปสัมภาษณ์งานที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทยูเนียน ผมโคตรตื่นเต้นเลย วันนี้ผมตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้ามาท่องสคริปท์ที่เตรียมไว้ เป็นพวกคำถามยากๆที่บริษัทยักษ์ใหญ่ชอบใช้ แล้วก็ซ้อมแนะนำตัวเองที่หน้ากระจกอีกเป็นสิบรอบ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ไอ้ภาษาอินเตอร์นี่ผมให้ไอ้พี่เขียวช่วยเขียนโพยให้ เพราะถ้าผมเขียนเองอาจจะแสดงความกากของบุคคลผู้อนุรักษ์และอยากสืบสานการใช้ภาษาไทย

ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้า ผมกำลังยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกเป็นรอบที่ร้อยเพื่อพยายามมองหารอยยับบนชุดสูทที่ดูเป็นทางการที่สุดของผม

ส่องซ้าย…อ๊ากกกก หล่อเหลา!!

ส่องขวา…อ๊ากกกก แลดูเป็นคนฉลาดมากกกก!!

มองรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องให้ใครมาชม ผมก็ชมตัวเองได้ ผมเชื่อว่าการทำให้กรรมการที่มาสอบสัมภาษณ์ประทับใจตั้งแต่แรกพบสบตาเป็นเรื่องสำคัญ แล้วผมก็คาดหวังกับงานนี้ไว้มาก

สาบานเลยนะว่าวันที่เข้าประชุมงานที่บริษัท X ผมยังไม่เคยรีดเสื้อด้วยซ้ำ คิดดูว่าผมทุ่มเทให้ยูเนียนมากแค่ไหน

วันนี้เป็นวันดี ผมเลือกที่จะโบกแท็กซี่ไปยูเนียนแทนการขึ้นรถไฟฟ้า ไม่ใช่ไรหรอก วินกลัวสูทยับครับ ผมอุตส่าห์ตั้งใจรีดอยู่เป็นชั่วโมง ผมจะดูหม่นหมองเพราะคราบเหงื่อไม่ด้ายยยย

ผมต้องเด่นที่สุดในบรรดาผู้สมัคร!!

ผมลงจากแท็กซี่ในเวลา 08.40 น. ผมมาก่อนเวลานัด 20 นาทีตามที่คาดไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมเป็นมืออาชีพ ผมมีความรับผิดชอบ ผมตรงต่อเวลา บลาๆๆๆๆ อา…พอก่อน

“สวัสดีครับ”

ผมเดินตรงเข้าไปทักทายประชาสัมพันธ์สาวคนสวยที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์สีดำสุดหรู ตอนที่เดินเข้ามาด้านในสำนักงาน ผมสังเกตเห็นว่าอาคารทั้งหลังถูกตกแต่งแบบร่วมสมัยโดยคุมโทนดำเทา ซึ่งการตกแต่งและการเล่นสีไม่ได้ทำให้ดูมืดมนเลยแต่กลับดูคลาสสิคไปอีก ไม่ต้องเห็นหน้าเจ้าของกิจการก็รู้ว่าต้องรวยและมีระดับแค่ไหน

เฮ้อออออ ขอไว้อาลัยให้ตัวเองสิบวิ ทำไมพระเจ้าไม่ยุติธรรม ทำไมไม่ให้มนุษย์ทุกคนเกิดมามีเงินเท่ากันล่ะครับท่าน

“ผมมาตามนัดสัมภาษณ์งานครับ แผนก Grease Production” ผมเอ่ยพร้อมกับยื่นเอกสารการนัดสัมภาษณ์งานให้คุณประชาสัมพันธ์

“สักครู่นะคะ”

เธอเหลือบตามามองเอกสารของผมครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเช็คข้อมูลจากคอมพิวเตอร์

“ชั้น 14 ห้อง U1409 ค่ะ” เธอยื่นคีย์การ์ดสำหรับกดลิฟท์ให้ผมก่อนจะยกมือไหว้งามๆตามมารยาท

“ขอบคุณครับ”

 

 

ผมรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าชั้นที่ 14 เป็นส่วนของแผนกบุคคล ไม่ใช่ส่วนของห้องประชุม หรือห้องว่างขนาดใหญ่ที่มักจะใช้ในการสัมภาษณ์งาน แล้วนอกจากผมก็ไม่มีผู้สมัครคนอื่นอีกเลย…ไม่มีคนยื่นใบสมัครแล้วจริงดิ งั้นผมก็มีโอกาสมากขึ้นใช่มั้ยวะ

“คุณปัฐวี เชิญค่ะ”

หลังจากที่ผมถูกขอให้นั่งรอประมาณสิบห้านาที ก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินมาเชิญให้ผมเข้าไปในห้อง U1409 เธอเคาะประตูเบาๆสามครั้งก่อนจะขอตัวกลับไปทำงาน

ผมผลักประตูกระจกที่ติดม่านบังตาให้เปิดออกแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้อง กวาดสายตามองผ่านๆอย่างรวดเร็วและพบว่าภายในถูกตกแต่งเรียบง่ายด้วยข้าวของน้อยชิ้น ส่วนคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานกลางห้องคือผู้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวทันสมัยแต่ดูเป็นทางการ

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เธอแล้วกล่าวอย่างสุภาพ

“เชิญนั่งค่ะ”

เธอยกมือขึ้นมารับไหว้ผมแล้วผายมือมาทางเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน

“ขอบคุณครับ”

ผมเหลือบมองป้ายหินอ่อนสีดำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ระบุว่าเธอชื่อ อชิรญา จันทร์งาม Personal Manager ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล

“พี่ชื่อเอ้ค่ะ ยินดีที่ได้พบ”

“ผมชื่อปัฐวีครับ เรียกผมว่าวินก็ได้”

ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับทางท่าสบายๆของกรรมการสัมภาษณ์งาน

“ค่ะน้องวิน พี่ว่าเรามาคุยแบบกันเองดีกว่าเนอะ วันนี้มีอะไรมาให้พี่ดูบ้างคะ”

ผมรู้สึกว่าบริษัทนี้มันแปลก…แปลกทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องเลยก็ว่าได้ บรรยากาศทุกอย่างไม่เหมือนกับที่ผมเคยพบตอนสัมภาษณ์งานกับบริษัทอื่นๆเลย

ไม่ทางการ…ไม่มีความกดดัน…ไม่มีการแข่งขัน…แล้วก็ดูไม่ได้ใส่ใจผู้สมัครเท่าที่ควร เหมือนกับมาเปิดรับสมัครแบบพอเป็นพิธีน่ะครับ โดยเฉพาะสายตาของพี่เอ้ที่มองลอดแว่นสายตากรอบสีแดงมาที่ผม มันดูเหมือนเจ๊แกกำลังประเมินสินค้าตัวอย่างชนิดหนึ่ง แล้วนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีกรรมการคนอื่นเลย คืออย่างน้อยหัวหน้าแผนก Grease Production น่าจะโผล่มาเลือกลูกน้องสักหน่อยนะครับ

พี่เอ้ให้ผมแนะนำตัวเองคร่าวๆ ว่าเรียนจบจากที่ไหน มีผลงานอะไรมานำเสนอตัวเอง ซึ่งการพรีเซนต์ของผมใช้เวลาประมาณสิบนาที ซึ่งในสิบนาทีนี้เธอไม่ได้สนใจจะฟังเลย

ทำไมผมแน่ใจใช่ปะ?

ก็พี่ท่านเล่นไอโฟนตลอดเวลาเลยนี่ครับ สายตามองจอ นิ้วกดพิมพ์ยิกๆ เอกสารการสมัครของผมที่วางอยู่ตรงหน้าเธอก็ไม่ได้แลเลยแม้แต่น้อย

เมื่อผมพูดจบ ผมก็เริ่มทำใจแล้วว่าคงไม่ผ่านการสัมภาษณ์แน่ๆ ไหนจะเกรดอันน้อยนิด จบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดอันไกลโพ้น แล้วผลงานที่มีก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าคนอื่นเลย

“จบแล้วเหรอคะ”

พี่เอ้เงยหน้าขึ้นมามองผมเมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ คือกูพูดจบไปตั้งแต่สองนาทีที่แล้ว เจ๊เพิ่งรู้สึกตัวเหรอฮะ ให้ตายสิ ถ้าประวัติของผมมันไม่น่าสนใจขนาดนั้น พวกคุณจะเรียกผมมาสัมภาษณ์งานทำไมครับ ปล่อยกูไปตามยถากรรมเลยสิ

“จบแล้วครับ”

ผมพยายามควบคุมอารมณ์ให้คงที่แล้วตอบอย่างสงบ

“รอสักครู่นะคะ”

ผมไม่รู้ว่าคุณพี่เอ้ต้องการให้ผมรออะไร ถ้าพี่ไม่ว่างทำไมไม่บอกให้ผมกลับไปก่อนแล้วค่อยติดต่อกลับไปใหม่ในกรณีที่ตกลงจ้างงานล่ะโว้ย คนที่นี่เขาทำงานกันยังไงฮะ

ผมนั่งสงบปากสงบคำรอบนเก้าอี้ตัวเดิม ทั้งที่ในสมองตอนนี้กำลังคิดถึงเมนูอาหาร หิวชิบหายเลย เมื่อเช้ากินแค่ขนมปังรองท้องมาเท่านั้น แล้วนี่จะให้กูนั่งรออย่างไร้จุดหมายไปอีกนานแค่ไหนวะ

ผมแอบเหลือบมองพี่เอ้ เธอหยุดเล่นไอโฟนแล้วกลับไปทำงาน ส่วนเอกสารการสมัครของผมก็นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิมและไม่ถูกแตะต้อง ในตอนที่ผมกำลังตัดสินใจว่าจะขอตัวกลับแบบไม่ต้องไว้หน้าบริษัท ก็พอดีกับที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

บานประตูกระจกถูกผลักเข้ามาโดยผู้ชายวัยสามสิบต้นๆในชุดสูทราคาแพง เขามีผิวขาวสะอาดอย่างคนที่มักจะทำงานในร่ม ดวงหน้าหล่อเหลาสุภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็มีบุคลิกท่าทางที่น่าเกรงขาม

“เชิญค่ะคุณภีม”

เมื่อพี่เอ้เงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้ชายที่เข้ามาใหม่ เธอก็รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเข้าไปเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเขาต้องมีตำแหน่งที่ใหญ่พอสมควร ไม่อย่างนั้นผู้จัดการฝ่ายวัยกลางคน คงจะไม่แสดงท่าทางนอบน้อมต่อคนอายุน้อยกว่าแบบนี้หรอกครับ

“ผู้สมัครคนล่าสุดค่ะ เป็นไงคะ?”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินประโยคที่พี่เอ้เอ่ยกับผู้ชายนั้น ให้ตายสิ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ได้แต่รีบผลุดลุกจากเก้าอี้แล้วยกมือไหว้เขาตามมารยาท ผู้ชายคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“ดีครับ ดีมากเลย”

ผมเผลอขมวดคิ้ว ทำไมวันนี้มีแต่คนมองหน้าวินแปลกๆครับแม่ ยัยพี่เอ้ก็คนหนึ่งแล้วนะ แล้วไอ้หมอนี่มันเป็นใคร ทำไมจ้องหน้าผมแบบ เอ่อ เหมือนเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน แล้วก็กูตามหามึงอยู่นะรู้มั้ย ประมาณนี้เลยครับ แต่ผมสาบานว่าไม่เคยรู้จักเจ้าคนนี้ แล้วผมก็ไม่เคยประสบอุบัติเหตุทำให้สมองเสื่อม รับรองว่าสมองยังใช้การได้ดีและแน่ใจมากว่าเราไม่รู้จักกัน

“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ เชิญตามสบาย” พี่เอ้กล่าวแล้วรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

เฮ้ย! เดี๋ยวดิเจ๊ สรุปจะทิ้งกูไว้กับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ ขณะที่ผมกำลังกังวลว่าควรจะวางตัวกับคนๆนี้อย่างไรดี หรือควรจะพูดอะไร…เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวเองซะก่อน

“ผมขอแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อภุมราเป็นเลขาของท่านประธาน”

“ผมชื่อปัฐวีครับ”

“ยินดีที่ได้พบครับ”

คุณภุมรายื่นมือมาให้ผม ซึ่งผมก็รีบยื่นมือไปเขย่าอย่างนอบน้อม ห่าเอ๊ย! จะไม่ให้นอบน้อมได้ยังไงล่ะ เขาเป็นถึงเลขาของท่านประธานเชียวนะโว้ย ประธานที่แปลว่าเจ้าของบริษัทอ่ะครับ

คุณภุมราเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของพี่เอ้ แล้วผายมือมาที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ผมเคยนั่ง ซึ่งผมก็รีบนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเขามีแฟ้มเอกสารสีดำ เขาวางมันลงบนโต๊ะก่อนจะหมุนมาไว้เบื้องหน้าผม

“นี่คือสัญญาการจ้างงานของคุณ กรุณาอ่านรายละเอียดให้ครบทุกข้อนะครับ ถ้าคุณพอใจกับข้อเสนอของเรา สามารถเซ็นสัญญากันวันนี้ได้เลย”

สัญญาจ้างงาน!! เฮียแกบอกว่าสัญญาจ้างงาน!!

แม่ครับ วินฟังไม่ผิดใช่มั้ย…

นี่แปลว่าบริษัทแม่งเลือกมาก เลือกจนไม่มีใครกล้ามาสมัครงาน แล้วพอผมมากลับได้เฉยเลย แบบนี้เหรอ โห้ ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรมานะ เดี๋ยวชาตินี้ผมต้องทำบุญเพิ่มแล้วครับ

ผมที่แทบจะเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เอื้อมมือไปคว้าแฟ้มสีดำมาเปิดอ่านเอกสารที่อยู่ภายใน และแม่งทำให้กูช็อคตาตั้งมากกว่าเดิมอีก

 “ผมไม่ต้องทดลองงานก่อนเหรอครับ ในสัญญานี้ให้ผมเป็น…เป็นพนักงานประจำเลย”

ผมเบิกตาโต เงยหน้าขึ้นไปถามคุณภุมราที่พยักหน้าช้าๆด้วยรอยยิ้มมิตรภาพ

“ถูกต้องครับ”

ผมเผลออ้าปากหวอเมื่อเห็นสวัสดิการแสนจะเพียบพร้อมของพนักงานประจำ ทั้งประกันสังคม ชุดยูนิฟอร์ม ค่าล่วงเวลา(OT) โบนัสประจำปี ค่าเดินทางและค่าที่พักสำหรับงานที่จำเป็นต้องออกนอกสถานที่ ค่ารักษาพยาบาลรายปี และวันหยุดพักร้อน

ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนแต่ดีกว่าบริษัท X ของผมโคตรๆเลยครับ นอกจากค่าประกันสังคม วันหยุดพักร้อน กับค่า OT อันน้อยนิด ผมก็ไม่ได้รับอะไรที่สมควรจะได้อีกแล้ว ไม่ต้องใช้สมองผมก็รู้ว่าต้องรีบเซ็นสัญญาเดี๋ยวนี้เลย ใครไม่เอาก็โง่เต็มทีแล้ว เงินเดือนก็ดี โบนัสประจำปีก็เลิศ

ให้ตายสิ ชีวิตของวินกำลังขาขึ้นแล้วครับแม่

“คือจะไม่สัมภาษณ์งานผมก่อนสักนิดนึงเหรอครับ จะรับผมจริงๆเหรอ”

ผมถามย้ำอีกครั้ง คือไม่ได้ล้อเล่นแน่นะ เดี๋ยวเซ็นสัญญาไปแล้วจะมาบอกว่ารับผิดคนเพราะชื่อเหมือนกันอะไรเถือกนั้นไม่ได้นะเฮีย

“คุณอยากถูกสัมภาษณ์งานหรือครับ”

คุณภุมราเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความประหลาดใจ คือไม่เว้ย ไม่มีใครชอบการถูกสัมภาษณ์งานหรอก กดดันจะตาย แต่ไหนๆจะรับกันแล้วก็ควรสัมภาษณ์งานบ้างเล็กๆน้อยๆปะล่ะ

“ก็ควรทำไม่ใช่เหรอครับ”

ไอ้คุณภุมราหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นว่าผมเผลอไปถลึงตาใส่เขา

“อา ผมก็ไม่เคยสัมภาษณ์งานใครมาก่อนด้วย งั้นเอาเป็นว่า…”

เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ แล้วกรอกตามองเพดาน ผมเชื่อแล้วว่าหมอนี่ไม่เคยสัมภาษณ์งานใครจริงๆ ดูจากตำแหน่งเลขาของเขา ผมว่าคงจะทำเป็นแต่การดูแลงานให้เจ้านายแน่ๆเลย…คือถ้ามันลำบากมากนัก เฮียก็เรียกเจ๊เอ้กลับมาสัมภาษณ์ผมแทนดีมั้ยล่ะครับ?

“คุณมีเป้าหมายอะไรในชีวิตครับ”

นับว่าหมอนี่เริ่มต้นได้ไม่เลว เพราะมันเป็นคำถามทั่วไปที่บริษัทส่วนใหญ่มักจะใช้สัมภาษณ์พนักงาน ดีครับ หัดไว้นะ เผื่ออนาคตจะได้ใช้อีก

“ผมอยากประสบความสำเร็จในการทำงานครับ”

ผมตอบตามสคริปท์ที่เตรียมมาแบบเป๊ะๆเลย เป็นไงล่า ดูเป็นคนหนุ่มที่มีไฟในการทำงานใช่มั้ยครับ แต่ถ้าให้ตอบความจริงจากใจ วินขอสั้นๆง่ายๆได้ใจความเลยนะ…อยากรวยครับ

“แล้วอย่างไรจึงเรียกว่าประสบความสำเร็จในการทำงานครับ”

มีการยิงคำถามต่อเนื่องด้วยครับ เริ่มรู้งานแล้วนะเฮีย

“มีความสุขกับงานที่ทำ ก้าวหน้าในงานที่ทำ แล้วก็บรรลุจุดมุ่งหมายที่บริษัทต้องการให้ผมทำ”

คุณภุมราขยับยิ้มมุมปาก แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาดูพอใจ แต่ในขณะเดียวกันผมคิดว่าเขากำลังสนุก

“ผมไม่มีอะไรจะถามแล้วครับ เชิญคุณวินเซ็นเอกสารตรงนี้”

ผมก้มมองสัญญาจ้างงานอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าชีวิตของผมต้องก้าวต่อไปในเส้นทางที่ดีกว่า ผมหยิบปากกาสีน้ำเงินขึ้นมาเซ็นชื่อโดยไม่รู้เลยว่า…พรหมลิขิตได้ให้โอกาสผมเป็นครั้งที่สองแล้ว




โปรดติดตามตอนต่อไป...

:bye2:




ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
«ตอบ #3 เมื่อ30-07-2019 19:50:52 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
«ตอบ #4 เมื่อ30-07-2019 23:30:58 »

 :pig4:
 :กอด1:

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
«ตอบ #5 เมื่อ31-07-2019 02:53:35 »

 :z13:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
«ตอบ #6 เมื่อ31-07-2019 14:20:00 »

 o18 ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ เจอกันวันเสาร์น้า

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 30/07/2562 [บทที่1]
«ตอบ #7 เมื่อ31-07-2019 18:33:37 »

 :katai5: :katai5: รอออค่ะ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 03/08/2562 [บทที่2]
«ตอบ #8 เมื่อ03-08-2019 11:35:06 »

บทที่ 2 ตามหารักเเท้

 

5 ปีที่แล้ว

“เฮ้ย เบาๆหน่อยครับพี่วิน มึงจะรีบเมาแต่หัววันเลยเหรอ”

ผมชะงักมือที่กำลังกรอกวอดก้าแก้วที่สามเข้าปาก เมื่อได้ยินเสียงปรามของเพื่อนสนิท

ไอ้หมอนี่ชื่อ ‘ธาม’ ปัจจุบันเรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ชั้นปี 4 มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม ส่วนผมที่เสียเวลาเปล่าๆไปถึงสองปีที่คณะเภสัชศาสตร์ ได้ตัดสินใจซิ่วมาเรียนวิศวกรรมอุตสาหการ ปัจจุบันอยู่ชั้นปี 2 ครับ

“โดนเด็กเทมาอีกแล้ว?”

เพื่อนสนิทอีกคนของผมเอ่ยถามเรียบๆ

มันชื่อ ‘ไวท์’ เรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ชั้นปี 4 คบกับผมมาตั้งแต่มอหนึ่งเช่นเดียวกับไอ้ธาม

ไอ้ไวท์เป็นบุคคลที่พระเจ้าโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมันจะเบ้าหน้าดีมาแต่กำเนิด มันยังรูปร่างดีและรวยมากอีกต่างหาก แต่เรื่องที่ผมอิจฉาที่สุดไม่ใช่หนังหน้านะครับ แต่เป็นเมียของมันต่างหาก

เจ้าเด็กนั่นชื่อ ‘พายุ’ เรียนวิศวกรรมเคมีชั้นปี 2 เป็นคนน่ารักที่กวนส้นตีนมาก

อา…ยอมรับแหละว่าแอบชอบเมียมันมาเกือบ 2 ปี แต่เพราะความกากส่วนบุคคลทำให้ผมโดนไอ้เชี่ยนี่คาบไปแดกอย่างเอร็ดอร่อย

“ทำไมทำหน้างั้น…แสดงว่าไอ้ไวท์เดาถูกอ่ะดิ”

ไอ้ธามหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นหน้าตาบูดบึ้งของผม…เออ เอาเป็นว่าไอ้ไวท์เดาถูกส่วนหนึ่งก็ได้ครับ

วันนี้เป็นอีกวันที่ผมเปลี่ยวใจ ทนเงียบเหงาอยู่ที่หอคนเดียวไม่ได้ ผมโทรชวนพวกมันสองตัวมาดื่มเป็นเพื่อนที่ Eros ซึ่งเป็นผับประจำ ปกติผมมักจะมานั่งอ่อยเหยื่อน่ารักๆที่นี่

ตั้งแต่เจ้าพวกนี้มีแฟน ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ลึกๆแล้วผมกำลังเหงา ผมต้องการความรักที่จริงจังมากกว่าความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน ผมพร้อมแล้วที่จะหยุดอยู่ที่ใครสักคน ผมพร้อมที่จะปรับตัวเข้าหาเขา ขอแค่ใครสักคนที่รักผมที่ตัวตนของผมจริงๆ

ชีวิตรักมันบัดซบเพราะผู้ชายรอบๆตัวผม เป็นพวกรักสนุกไม่ผูกพัน ตอนแรกผมก็เป็นคนประเภทนี้แหละครับ และคนประเภทเดียวกัน มักจะดึงดูดกัน แต่ตอนนี้ผมละเลิกกิ๊กเล็กกิ๊กน้อยไปหมดแล้ว คุยกับใครก็คุยทีละคนด้วยความจริงใจแต่ทำไมผมไม่ได้รับความจริงใจกลับมาบ้าง ผมต้องทำอย่างไรจึงจะดึงดูดคนดีๆสักคนเข้ามาในชีวิต

เมื่อก่อนผมตั้งสเปกแฟนตัวจริงไว้มากมาย คนๆนั้นจะต้องหล่อ น่ารัก สูง ขาว เร้าใจ แต่ตอนนี้สเปกของผมลดลงมาเหลือแค่เพศชายเท่านั้นครับ สั้นๆได้ใจความ วินชอบผู้ชายครับแม่ 

“มึงอาภัพรักปะเนี่ย หน้าตาก็ดีเสือกหาเมียไม่ได้ กูบอกแล้วว่าถ้ามันลำบากนักก็ลองหาผัวดูเผื่อจะรุ่ง”

อ๋อ อย่างมึงใช่มั้ย ถูกผู้หญิงหักอกแค่ครั้งเดียวถึงกับเซมาซบอกผู้ชาย แถมผู้ชายที่มันซบยังเป็นอริตั้งแต่สมัยมัธยม ตีกันแทบตาย สุดท้ายได้เสียเป็นผัวเมียเฉยเลย แต่ก็ยินดีด้วยนะที่มึงเปลี่ยนใจมาเข้าวงการสีม่วงกับพวกกู

“กูลองแล้ว”

“…”

“ฮะ?”

 ทุกคนถึงกับหันมาเบิกตากว้างมองผม

“กูลองเปิดใจคุยกับทุกคนแบบไม่สนว่ารุกหรือรับ กูพยายามโฟกัสที่นิสัยอย่างเดียวเลย แต่แม่งก็ไปไม่รอด”

ไอ้ธามที่กำลังช็อคแบบรุนแรงกลืนน้ำลาย ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามากระซิบถามผมเสียงเบา

“แล้วไอ้คนล่าสุดที่ทิ้งมึงไปนี่ เอ่อ ผัวมึงเหรอ”

“ผัวกูที่ไหนล่ะ ยังไม่ได้ล่อกันเลย

ผมปฎิเสธ รุ่นพี่คนล่าสุดที่ผมคุยๆอยู่ชื่อ ‘ณะ’ จะเรียกว่าพี่ก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะเขาอายุเท่ากับผม แต่ที่ผมเรียกพี่เป็นเพราะเขาเรียนอยู่ชั้นปี 4 (คณะบริหารธุรกิจ) เขาเป็นคนสุภาพ หน้าตาดี บุคลิกดี และดูเป็นผู้ใหญ่ เขาเป็นฝ่ายเข้ามาทักและขอไลน์ผม ผมยอมรับว่าให้ไลน์ไปง่ายๆเพราะผมอยากมีแฟน

“แล้วกูก็เป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนด้วย”

“อ้าว ทำไมอีกล่ะ”

ผมถอนหายใจด้วยความปลงตก ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบไอโฟนออกมา เปิดแอปพลิเคชันไลน์แล้วยื่นบทสนทนาล่าสุดที่คุยกับพี่ณะให้ไอ้     ธามอ่าน

“มึงดูดิ แม่งก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นที่เข้าหากูหรอก”

Na : วินครับ เราคุยกันมาเกือบเดือนแล้วนะ คิดยังไงกับพี่เหรอ มีโอกาสเป็นมากกว่าพี่น้องหรือเปล่า?

TheWinner : ก็ได้นะ ผมอยู่กับพี่แล้วสบายใจ

Na : พี่ก็ชอบเวลาอยู่กับวิน

Na : แล้วเมื่อไรเราจะได้เสียเป็นผัวเมียกันสักทีครับ

จอดเลยครับ!

ผมชะงักเพราะประโยคต่อมาของพี่ณะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะถามพี่เขาว่าอยากรุกหรือรับ แต่ตอนนี้ผมอยากศึกษานิสัยใจคอโดยไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่คุยกันไม่ถึงเดือนก็ขอเป็นผัวเป็นเมีย แล้วมันจะต่างอะไรกับตอนที่ผมทำตัวรักสนุกไม่ผูกพันธ์ล่ะ เซ็กส์มันพัฒนาเป็นความรักได้จริงๆเหรอ?

“เพื่อนไวท์ ช่วยกูหน่อยได้มั้ย”

ผมเอนศีรษะไปซบไหล่เพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งดื่มอยู่เงียบๆ โดยไม่ได้แสดงความเห็นอะไรมาสักพักแล้ว

“เรื่อง?”

มันเอ่ยถามสั้นๆแต่ได้ใจความเหมือนเดิม

“ยกเมียมึงให้กูได้เปล่า คนนี้กูรักเลย”

รักจริงๆครับ หวังแต่งเลย…

อีกอย่างครอบครัวของผมก็รับรู้อยู่แล้วว่าผมชอบผู้ชาย พ่อแม่และยายทำใจกันมาหลายปีแล้วว่าจะไม่ได้อุ้มหลาน แต่ครอบครัวก็คือครอบครัว ต่อให้ตอนแรกพวกท่านโกรธหรือไม่พอใจอย่างไรก็ตัดกันไม่ขาด

“ดูท่าเพื่อนวินจะไม่อยากแดกเหล้าแล้ว แดกตีนกูเป็นไง”

“ล้อเล่นน่า”

ผมเบะปากใส่ไอ้คนขี้หวง มือเอื้อมไปคว้าแก้ววอดก้ามาจิบช้าๆ สายตากวาดมองเหล่าผีเสื้อราตรีรอบตัวที่กำลังโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเพลง

เฮ้อ แม้จะมีคนรอบตัวมากมาย แต่ผมกลับรู้สึกเหงาเหลือเกิน…ทำไงดีวะ     วินอยากมีแฟน!!

“ตอนนี้กูไม่สนสถานะผัวแล้ว ขอแค่ใครก็ได้ที่รักกูจริง ๆ ยอมรับตัวตนของกู แล้วกูก็มีความสุขตอนที่อยู่กับเขา…แค่นั้นก็พอใจแล้ว พวกมึงว่ากูขอมากไปเหรอ”

ผมบ่นงึมงำ ไม่รู้เป็นห่าอะไร อยู่ๆใจมันก็บางแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาดื้อๆ ผมพยายามยกมือปาดออกลวกๆแต่ไอ้ธามมันหันมาเห็นซะก่อน

“เวร เชี่ยวินร้องไห้”

เพื่อนสนิททั้งสองคนถึงกับเงียบ ผมรู้ว่าพวกมันทำตัวไม่ถูก เพราะผมไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นมาก่อน…ผมท้อครับ ยิ่งผมพยายามไล่ตามความรักมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกว่าความรักกำลังวิ่งหนีแล้วทิ้งระยะห่างออกไปมากเท่านั้น ผมคุยกับคนมากมายและมันจบลงด้วยการกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

จุดที่ผมไม่เหลือใคร…เหมือนที่ผ่านมา

 

 

ผมพลิกตัวหนีแสงสว่างที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้า เปลือกตาสองข้างหนักเกินกว่าจะปรือขึ้น ให้ตายสิ ปวดหัวชะมัดเลย แล้วที่นี่มันที่ไหนวะ?

ผมกำลังแฮงก์เพราะเมื่อคืนดื่มหนักเกินไปเริ่มใช้มือควานเปะปะไปทั่วเตียงนอนจนกระทั่งพบ ‘ริชาร์ด ปาร์คเกอร์’ อา นี่มันห้องนอนของผมนี่หว่า แต่ผมจำไม่ได้เลยว่ากลับมาจากผับได้อย่างไร คงจะเป็นเพื่อนซี้สองตัวที่กรุณาแบกผมกลับมาส่งที่หอ เอาเป็นว่าจะไลน์ไปขอบคุณทีหลังแล้วกัน

วันนี้เป็นวันเสาร์ ส่วนเวลา…ผมไม่แน่ใจว่าสายหรือบ่าย แล้วก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลืมตาตื่นจึงเอื้อมมือไปดึงริชาร์ดเพื่อนคู่ใจมากอดไว้แน่น

ผมขอแนะนำเจ้าริชาร์ดก่อนนะครับ มันไม่ใช่ผัว ไม่ใช่เมีย แล้วก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงแสนรักอะไรแบบนั้น แต่ริชาร์ดคือตุ๊กตาหนอนชาเขียวเน่าๆที่ผมติดมากในสมัยเด็ก ไม่สิ สมัยนี้ก็ยังติด ผมจะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้กอดมันไว้ และหนอนชาเขียวตัวไหนๆก็สู้ตัวนี้ไม่ได้ เพราะเรื่องระหว่างเรามันคือความผูกพันของลูกผู้ชายที่มีมานานกว่าสิบปี…ใช่ อย่างน้อยตอนที่เหงาใจ ผมก็ยังมีมันเป็นเพื่อน

ครืนนนนน…

ผมรู้สึกว่าไอโฟนในกระเป๋ากางเกงกำลังสั่นเป็นจังหวะสั้นๆ อาจจะเป็นการแจ้งเตือนอะไรสักอย่าง ถึงว่าล่ะ เมื่อคืนผมฝันว่ามีอะไรมาเสือดสีที่ต้นขาบ่อยๆจนนกเขาเกือบขัน…

แม่งเอ๊ย!

ไหนๆเพื่อนรักก็อุตส่าห์พาผมมาส่งถึงเตียงนอนแล้ว พวกมึงๆจะหยิบไอโฟน  ออกจากกระเป๋ากางเกงให้กูนอนสบายๆหน่อยก็ไม่ได้นะ ผมคิดอย่างหงุดหงิดก่อนจะล้วงมือไปหยิบไอโฟนจากกระเป๋ากางเกงมาดูด้วยความจำใจ

หื้ม? ทำไมวันนี้มีแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คกับไลน์มากผิดปกติวะ

ผมเหลือบมองเวลาบนหน้าจอไอโฟน พบว่าเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า นับว่าตื่นเร็วแล้วครับ ผมสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อกแล้วเลือกที่จะกดเข้าไปในแอปพลิเคชันเฟสบุ๊คก่อนเป็นอันดับแรก

 

ธาม กฤตนันท์ อยู่กับ Win Pattawee และ Suteekan  Benjakul

11 ชม.

เพื่อนผมอยากมีแฟนครับ ชื่อวิน ปี 2 วิศวะอุตสาหการ ชอบผู้ชาย ไม่มีสเปก ไม่เรื่องมาก ขอคนจริงใจ รักจริงหวังแต่ง หวังฟันไปไกลๆนะครับถ้าไม่อยากมีเรื่องกับกู สนใจแอดไลน์ id : winnerPA

 

ห่าไรเนี่ย!

ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความที่ไอ้ธามโพสต์ลงในเฟสบุ๊ค พร้อมกับภาพเซลฟีของพวกเราในผับ Eros  ไอ้ธามยังดูหล่อเหลาสไตล์เกาหลีเหมือนเดิมแม้ว่ามันจะตาเยิ้มมากก็ตาม แต่ผมไม่เห็นจำได้เลยวะว่าไปถ่ายรูปนี้ตอนไหน คือที่แน่ๆกูทำหน้าแป้นแล้นมาก

ผมกดอ่านความคิดเห็นใต้ภาพ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของไอ้ธามกับไอ้ไวท์ที่เข้ามาแซวว่ามันขายเพื่อน แล้วก็ชมว่าผมหล่อไปต่างๆนาๆ ต้องหาแฟนได้ในเร็วๆนี้แน่

เฮ้อ แฟนน่ะหาง่าย แต่แฟนดีๆมีคุณภาพต่างหากล่ะครับที่หายาก

ผมกดออกจากเฟสบุ๊คแล้วเข้าไปที่แอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งมีข้อความจากคนที่ไม่ใช่เพื่อนส่งเข้ามาพอสมควร ผมไม่แปลกใจเลยว่าคนพวกนี้มาจากไหน

ข้อความที่ 1 : ชื่อวินเหรอ อยากรู้จักครับ

ผมพยายามซูมดูภาพโปรไฟล์ของหมายเลขหนึ่ง…นับว่าหล่อครับ หน้าขาว ปากแดง เจ้าสำอางระดับหนึ่ง แต่แววตาที่มองกล้องมันวิบวับแปลกๆ ผมว่าหน้าแบบนี้แม่งต้องเจ้าชู้แน่เลย ขอผ่านครับ

ข้อความที่ 2 : แบบไหนครับ รุกหรือรับ

สำหรับหมายเลขสอง ผมไม่จำเป็นต้องซูมดูหนังหน้า ผมก็เลือกที่จะตัดทิ้งทันที แม่งโคตรเกลียดคำถามนี้เลย ชีวิตพี่วินไม่ได้เจอคำถามนี้เป็นครั้งแรกนะ แต่เจอมาทั้งชีวิต ถ้ากูขอซื้อทิ้ง มึงจะขายกี่บาทฮะ

ข้อความที่ 3 : หล่อจังครับ นัดเอากันมั้ย ลีลาดีเดี๋ยวสานต่อ ถ้าไม่แซ่บถือว่าวินวินกันทั้งคู่

จ้ะ! วินวินพ่อมึงสิ

เจ้าของข้อความที่สามเป็นกอริลลาผิวเข้ม ตัดผมสั้นดูสะอาดสะอ้าน แต่องศาที่หันให้กล้องกับดวงตาที่หรี่ลงอย่างเซ็กซี่ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่านางคือตุ๊ดแอ๊บเกย์ แล้วปากที่เผยอออกเล็กน้อยของเจ๊แม่งน่ากลัวมาก เหมือนพร้อมจะเข้ามาจกตับผมอ่ะ ถ้าผมอยากเอาใครสนุกๆผมล่าเหยื่อได้ดีกว่านี้เยอะเลย ไอ้ห่า มาบอกกูวินวิน มึงต่างหาที่วิน มีแต่กูอ่ะที่ขาดทุน

ผมเลื่อนข้อความต่อมาด้วยความห่อเหี่ยวใจ กำลังลังเลเลยว่าจะโทรไปขอบใจหรือโทรไปด่าไอ้ธามดีกว่ากัน ไอ้เรื่องซึ้งใจมันก็มีบ้างนิดนึงนะ แต่ข้อความส่วนใหญ่ที่ผมได้รับ แม่งมีแต่พวกชวนเล่นว่าว แต่เรื่องแบบนี้จะไปโทษไอ้ธามก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะชื่อเสียๆที่ผมสะสมไว้ตั้งแต่ปีหนึ่งมันก็ใช่ย่อยอ่ะครับ ทุกคนจะมองว่าผมเป็นพวกรักสนุกไม่ผูกพันก็คงไม่แปลก

ผมกดอ่านข้อความสุดท้ายด้วยความปลงตก…มันถูกส่งมาจากบุคคลที่ใช้รูปโปรไฟล์เป็นรถปอร์เช่สีแดงสดที่ผมโคตรอยากได้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นรถของเจ้าตัวหรือก็อปปี้ภาพมาจากอินเทอร์เน็ต แต่อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าข้อความสั้นๆที่ทำให้ผมใจกะเทยไปหนึ่งวิ

Porshe : อยากมีแฟนที่คบกันไปนานๆ

แล้วคนใจง่ายอย่างไอ้วินจะไปไหนรอด!

TheWinner : ลองคุยกันมั้ยครับ







 วิชาแคลคูลัส 3 เปิดสอนในห้องสโลปขนาดใหญ่ที่มีนิสิตกว่าร้อยชีวิตเรียนรวมกันจากหลายคณะ นับเป็นวิชาหนึ่งที่ผมโคตรชอบเป็นพิเศษเลย อย่างแรกคือแอร์ในห้องเย็นฉ่ำมาก บวกกับเก้าอี้นวมที่แสนสบายเหมาะแก่การพักสายตายามบ่ายสุดๆ อย่างที่สองคือเสียงบรรยายยานคางของเจ๊สมพรทำให้ผมไปเฝ้าพระอินทร์ได้เร็วขึ้น

ครอกกก

ตุ้บ!

เฮือก!

ในตอนที่ผมเริ่มสัปหงกอยู่บนเก้าอี้นวมแถวสุดท้าย ผมกลับต้องสะดุ้งตื่นเต็มตาเพราะวัตถุบางอย่างถูกโยนมาไว้บนตักของผม พร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่ทิ้งตัวลงมานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ

ไอ้สิ่งที่อยู่บนตักคือกระเป๋าเป้ของผมเองครับ ผมมักจะวางมันไว้บนเก้าอี้ว่างทางขวา เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแม่งไม่มีใครมานั่งข้างกูเลยไง

ส่วนทางซ้ายของผม คือเพื่อนสนิทร่วมสาขาที่มีนามว่า ‘พิสุทธิ์’ มันเป็นเด็กเรียนสมองดี ใส่แว่นตาอันใหญ่ แต่อย่าให้ท่าทางหงิมๆของมันหลอกเอานะครับ ไอ้นี่มันหื่นตัวพ่อเลย ไม่งั้นคบกับคนอย่างผมไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าไอ้แว่นมันจะไม่สนใจผมในขณะที่มันกำลังเรียน ส่วนผมกำลังหันไปสนใจมนุษย์แปลกหน้าที่เข้ามานั่งกอดอกทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ

เอ่อ ที่จริงจะเรียกว่าแปลกหน้ามันก็ไม่เชิงอ่ะครับ เพราะผมรู้จักเขาแล้วก็คุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดีเลย  หมอนี่ชื่อ ‘ฉัตร’ หรือ ‘ฉัตรชนก’ เป็นเน็ทไอดอลประจำมหาลัย เรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจชั้นปีที่ 4

ฉัตรเป็นผู้ชายที่จัดว่าหล่อมากถึงมากที่สุด ผิวขาว ใบหน้าคมได้รูป ดวงตาสีเทาเข้มช่วยขับให้เขาดูหล่อแบบร้ายๆ แต่มันก็เร้าใจผู้หญิงใช่มั้ยละ อีกอย่างไอ้หมอนี่ชอบแก้ผ้าอ่อยสาว ทำให้มีรูปถ่ายหลุดไปลงเพจ Saxy boys อยู่บ่อยๆ

โอเคผมโม้เพลินไปนิดนึงก็ได้เขาไม่ได้แก้ผ้าอ่อยสาวหรอกครับแต่เขาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาลัยแล้วกางเกงว่ายน้ำของผู้ชาย…คงไม่ต้องให้ผมบรรยายหรอกใช่มั้ยว่ามันเน้นสัดส่วนขนาดไหนใส่ก็เหมือนไม่ได้ใส่อ่ะครับ แล้วแม่งรูปร่างโคตรเซ็กซี่ มีกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยแบบพอดีๆ ขนาดผมยังเผลอเซฟรูปของฉัตรไว้ในไอโฟน ผมจะยอมรับแบบหน้าด้านๆเลยนะว่าเก็บไว้สำเร็จความใคร่กับตัวเองอ่ะ

ฉัตรแม่งเป็นคนที่ฟีโรโมนโคตรแรง แค่ทำหน้าหยิ่งๆร้ายๆผมก็ใจสั่นแล้ว และนี่มานั่งทำส้นตีนอะไรข้างๆกูครับ ไม่กลัวโดนปล้ำเหรอฮะ

“อาร์ค อย่า…”

เสียงง้องแง้งของผู้หญิงที่นั่งอยู่แถวหน้าเอ่ยปรามผู้ชายที่นั่งติดกันเบาๆ อา ไอ้คู่นี้อีกแหละ ผมโคตรเซ็งเลย

“คิดถึงนะ…”

มา! ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมจะเม้าส์เรื่องชาวบ้านให้ฟัง ไอ้คู่นี้มักจะนั่งแถวหน้าตรงกับเก้าอี้ของผมเป็นประจำ ปกติผมไม่ใส่ใจจะจำหน้าใครหรอกครับเพราะไม่ใช่เพื่อนร่วมคณะแต่เป็นเพราะไอ้อาร์คเนี่ยมันชอบมานั่งจับนั่งล้วงยัยผู้หญิงผมทองทุกคาบเลย คือมึงไม่มีที่จะทำกันเหรอ โรงแรม หอพัก หรือห้องน้ำอะไรพวกเนี๊ย

ด้วยความที่แถวหลังสุดไม่ค่อยมีคนนั่ง หรือถ้ามีคนนั่งก็นั่งหลับกันหมด คือกูก็จะหลับนะ แต่เผอิญว่าตอนนี้ตื่นแล้ว เลยตื่นมาเห็นและมาได้ยินเรื่องที่โคตรระคายหู

“ลิซ่า คืนนี้ไปหาที่ห้องได้มั้ยครับ นะ…”

ไอ้อาร์คมันเริ่มอ้อนแล้วครับ คือผู้ชายมองผู้ชายด้วยกันออก แล้วผมก็มั่นใจมากเลยว่าไอ้หมอนี่คิดจะหลอกฟันเธอ แต่ดูท่าทางผู้หญิงก็เต็มใจให้ฟันแหละ

“ไม่ได้ บอกแล้วไงว่าแฟนจะมาหา…”

นั่งไงล่ะ!

ผู้หญิงดีๆที่ไหนเขาทำกัน มีแฟนอยู่แล้วทั้งคน แต่มานั่งให้ผู้ชายคนอื่นลูบขาอ่อนเนี่ยนะ คิดแล้วก็สงสารแฟนนางเหลือเกินครับ ไม่รู้ป่านนี้เขางอกไปกี่เขาแล้ว

“เมื่อไรจะเลิกกันอ่ะ ให้อาร์ครอ อาร์คก็รอ แต่ตอนนี้จะทนไม่ไหวแล้วนะ...”

ผมกรอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย เฮ้ย ทำไมกูต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ด้วยวะ

เหลือบซ้าย…ไอ้แว่นยังตั้งหน้าตั้งตาดิฟ sin ดิฟ cos ต่อไปอย่างใจเย็น

เหลือบขวา…ไอ้หล่อยังนั่งกอดอกทำหน้าตายเหมือนเดิม

ผมจำได้ว่าฉัตรไม่มีเรียนแคลคูลัส 3 นะครับแล้วทำไมวันนี้ถึงโผล่หัวมาที่นี่ได้ หรือว่ามาเหล่สาว…ผมพยายามสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ไม่ว่ะ ฉัตรแม่งมองตรงอย่างเดียว ถ้าจะมาจีบสาว สาวคนนั้นคงเป็นเจ๊สมพรแล้วล่ะ

“วันนี้พอแค่นี้ค่ะ กลับไปทบทวนบทที่สี่ด้วย”

เจ๊สมพรเอ่ยเมื่อถึงเวลาบ่ายสามตรงเจ๊แกปิดโปรเจคเตอร์เก็บกระเป๋าแล้วก้าวออกไปจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เร็วพอๆกับนิสิตอีกหลายชีวิตที่รีบพุ่งออกไปติดๆ

“ให้ไปส่งมั้ยครับ”

ไอ้อาร์คเอ่ยถามสาวสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไม่ต้อง ลิซ่าจะให้แฟนมารับ”

ผมพยายามไม่สนใจบทสนทนาที่ลอยเข้าหูแล้วเริ่มเก็บสมุดและหนังสือเรียนใส่ลงในกระเป๋าเป้ ยังไม่ทันจะได้หันไปขอยืมเลคเชอร์ของไอ้แว่นก็ต้องชะงักปากเพราะเสียงเย็นชาที่ติดจะกวนประสาท

เสียงนั้นไม่ได้ดังและไม่ได้เบา แต่ประโยคที่เจ้าตัวใช้ต่างหากที่ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบ พร้อมกับความสนใจของทุกคนที่พุ่งมาที่ตัวคนพูด

“ยังกล้าโทรให้แฟนมารับอีกเหรอ นี่เราไม่รู้เลยนะว่ากำลังคบกับผู้หญิงหรือคบกับแรด”

ถ้าผมเบิกตากว้างมองฉัตรด้วยความตกใจแล้ว ผมว่าคนที่ตกใจมากกว่าก็คือยัยลิซ่า ผมคิดว่าเธอช็อคไปแล้วล่ะ ก็จะไม่ให้ช็อคยังไงไหวในเมื่อไอ้โง่ที่โดนแฟนสวมเขามันเสือกนั่งฟังตัวเองอี๊อ๋อกับผู้ชายแบบโคตรใจเย็นเลยอ่ะ

ผมอยากคุกเข่าคารวะให้ฉัตรซะตรงนี้เลย คนบ้าอะไรโคตรเท่โคตรคูล คือถ้าเป็นผมนะ ทั้งแฟนทั้งชู้ได้ล่วงจากเก้าอี้ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาในห้องแล้ว ไม่ปล่อยให้มันล้วงๆคลำๆกันมาเป็นชั่วโมงแบบนี้หรอก

แต่เอ่อ…จะว่าไป คนที่ดูนิ่งๆมักจะโมโหร้ายนะครับ!

 

 
TBC.

ใครสนใจคู่พี่ไวท์กับน้องพายุ สามารถติดตามอ่านได้ที่นี่
หนังสือออกกับค่ายดารินนะคะ เเต่ตอนนี้หมดสต็อก จะรีปริ้นประมาณสิ้นปีค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2019 14:15:04 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 07/08/2562 [บทที่3]
«ตอบ #9 เมื่อ07-08-2019 12:54:56 »

บทที่ 3 จับชู้กลางห้องเรียน

“ฉัตร!”

ลิซ่าร้องด้วยความตกใจ ใบหน้าสวยหวานของเธอซีดขาวไม่ต่างจากคนเห็นผี แต่ผมว่านาทีนี้ ต่อให้เป็นผีก็น่ากลัวน้อยกว่าฉัตรล่ะครับ ฉัตรลุกจากเก้าอี้แล้วสาวเท้าอย่างใจเย็นไปหยุดยืนตรงหน้าของลิซ่า ส่วนผมที่กำลังลุ้นระทึกกับเหตุการณ์จับชู้กลางห้องเรียนก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่เงียบๆ คือจะว่าผมเสือกไม่ได้นะครับ เพราะคนอื่นๆในห้องต่างก็พุ่งความสนใจมาที่ฉัตรเหมือนกัน บางคนที่เสือกมากหน่อยถึงกับหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาบันทึกวิดีโอเลยแหละ

“เป็นอะไร ตกใจเหรอที่รัก”

ฉัตรเอ่ยถามพร้อมกับมือที่เอื้อมไปลูบแก้มแฟนสาวอย่างอ่อนโยน จริงๆแล้วมันควรจะดูเหมือนการกระทำที่แสดงความรักใคร่นะครับ แต่เพราะรอยยิ้มมุมปากของฉัตรนั่นแหละที่ทำให้ใบหน้าหล่อๆดูร้ายกาจราวกับปีศาจ แค่ผมเห็นผมยังเสียวสันหลังเลยอ่ะ

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ลิซ่าอธิบายได้”

ลิซ่าเหลือบมองนิสิตที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้องเรียนด้วยความอับอายและดูเหมือนว่าเธอใกล้จะร้องไห้เข้าไปทุกทีแล้ว

“เธออยากอธิบายหรืออยากตอแหล เอาให้แน่”

ฉัตรถามเรียบๆแต่แม่งเป็นประโยคที่โคตรไร้ความปราณีเลย ถ้าเป็นผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหนเหมือนกันครับ

“ฉัตร เบาๆหน่อยค่ะ”

ลิซ่าครางในลำคอ ผมคิดว่ามือสองข้างของเธอกำลังสั่นระริก ไม่แน่ใจว่าเธอกลัวหรือว่าอายแต่ผมเดาว่าทั้งสองอย่าง

“เราไปคุยกันที่อื่นดีมั้ยคะ”

“อายเหรอ? แล้วทีตอนคบผู้ชายสองคนพร้อมกันทำไมไม่อาย”

โฮ้วววววววว!!

แรงชิบหาย ขนาดไม่ได้ด่ากู กูยังอาย แม่งไม่คิดเลยว่าคนหล่อจะปากร้ายขนาดนี้ รับรองเลยว่าชาตินี้ทั้งชาติ วินจะไม่เป็นศัตรูกับพี่แน่นอนครับ

“ไอ้ฉัตร มันจะมากเกินไปแล้วนะเว้ย!”

ไอ้อาร์คผลุดลุกจากเก้าอี้แล้วตรงเข้าไปผลักไหล่ของฉัตรจนเซถอยหลัง สีหน้าของฉัตรในตอนนี้ทั้งดุดันทั้งเกรี้ยวกราด แต่มันก็ไม่ได้ต่างไปจากสีหน้าของไอ้อาร์คหรอกครับ ถ้าไฟฟ้ามันแลบออกมาจากดวงตาได้เหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น ผมว่ามันกำลังแลบออกมาจากดวงตาของทั้งคู่แล้วล่ะ

“ไหนๆมึงก็รู้แล้ว แล้วมึงก็คงรับไม่ได้ที่โดนแฟนสวมเขา งั้นก็รีบเลิกกันซะสิ สวยๆแบบนี้ ถ้ามึงไม่เอาก็ยกให้กู”

ไอ้อาร์คแสยะยิ้มมุมปาก เห็นแล้วผมชักคันมือคันเท้าแปลกๆครับ สีหน้ามันกวนส้นตีนใช่ได้เลย

“ไม่นะ ลิซ่าไม่เลิก ฉัตร…อภัยให้ลิซ่าด้วย”

ลิซ่าที่ได้ยินคำว่าเลิกถึงกับสติแตก เธอร้องโวยวายแล้วถลาเข้าไปกอดแขนของฉัตรเอาไว้แน่น

ให้ตายสิ ผู้หญิงคนนี้มันยังไงวะ มีแฟนอยู่แล้วทั้งคน แต่กลับไปให้ความหวังผู้ชายอีกคน แล้วพอถูกแฟนจับได้ก็ทำท่าเหมือนรักแฟนปานจะขาดใจ คือถ้ามึงรักเขาจริง มึงจะกล้าทำเรื่องน่าอายกับไอ้อาร์คในห้องเรียนเหรอวะ คือตอนนี้วินแม่งอินกับหนังสดสุดๆไปเลยครับ

“ลิซ่า ทำไมพูดแบบนี้วะ ไหนบอกจะเลิกกับมันไง”

ไอ้อาร์คหันไปตะคอกใส่ลิซ่าด้วยความหัวเสีย ผมแอบได้ยินสาวๆในห้องซุบซิบกันว่าจะมีการวางมวยในเร็วๆนี้หรือเปล่า แต่ผมขอให้อย่าเกิดเรื่องอะไรเลยครับ ผู้หญิงเลวๆแบบนี้ไม่น่าต้องแย่งชิงกันนะ

“ไม่เลิก ลิซ่าเลือกฉัตร”

ลิซ่าร้องกรี๊ดเมื่อไอ้อาร์คพยายามเข้ามากระชากตัวเธอ

“ลิซ่ารักฉัตรจริงๆนะคะ ฉัตร!”

“ปล่อย!”

ฉัตรที่หมดความอดทนกับเกมฉุดกระชากกันเป็นทอดๆ ดึงมือของลิซ่าออกจากแขนของตัวเอง แล้วผลักร่างบอบบางไปหาไอ้อาร์คที่เกือบรับไว้ไม่ทัน คือถ้ารับไม่ทันจริงๆ ผมว่าฉากเมื่อกี๊มีคนหน้าทิ่มพื้นนะครับ แต่เอาเถอะ ดูเหมือนฉัตรจะไม่แคร์ลิซ่าเลย

“ผู้หญิงสวยๆแต่รักใครไม่เป็นแบบนี้…ถ้ามึงอยากได้ ก็เอาไป”

 ฉัตรเอ่ยเรียบๆ มันเป็นประโยคบอกเลิกที่ไม่ได้ใช่คำว่าเลิก แต่ความไร้เยื่อใยกับสายตาที่เย็นชาก็ทำเอาคนฟังน้ำตาไหลนองหน้า

“ฉัตร!!! อย่าทิ้งลิซ่า ไม่เลิกนะ ฉัตร ฮือออออออ”

ฉัตรคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองมาสะพายไหล่แล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้สนใจคร่ำครวญของอดีตแฟนสาวเลย

เรื่องในวันนี้สอนให้รู้ว่า…อย่าแคร์คนที่ไม่ได้รักเราจริง

และคนหล่อ รวย เซ็กซี่ขยี้ตับไตอย่างฉัตรก๊อกหักเป็นเหมือนกันนะครับ

ผมจำไม่ได้ว่าเจอฉัตรครั้งแรกที่ไหน อาจจะเป็นสักแห่งในมหาลัย แต่ผมจำได้แม่นเลยครับว่าคุยกับเขาครั้งแรกเมื่อไร เหตุการณ์ในวันนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของผมเสมอ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าตัวจริงของผู้ชายชื่อฉัตรชนก….โคตรเชี่ยเลย

วันนั้นเป็นวันเปิดเทอมวันแรก ผมกำลังนั่งสูดดมผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างมีความสุข…

ฟอดดดดดดดดด

ฮ้า หอมสดชื่นมากเลยอ่า

ผมยอมรับว่าทำตัวแบบมหาโจรโดยการฉกผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มาจากมือของคนน่ารักแบบดื้อๆ แถมยังเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าตัวใช้เช็ดเหงื่อแล้วด้วย

ใช่แล้วครับ คนๆนั้นก็คือ ‘พายุ’ หมอนั่นเป็นเมียของไอ้ไวท์ แต่การที่ผมชอบเข้าไปแกล้งพายุบ่อยๆไม่ได้หมายความว่าผมมีเจตนาจะแย่งของของเพื่อนนะครับ

วินไม่ใช่คนแบบนั้น จริงจริ๊ง

ผมยอมรับความพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี และการฉกผ้าเช็ดหน้าของพายุมาแบบหน้าด้านๆก็เป็นแค่ความสุขเล็กน้อยที่อยากจะเก็บของของคนที่แอบรักไว้เป็นที่ระลึกก็เท่านั้น

ฮือออ เรื่องแม่งเศร้า กูมันพญานกผู้ยิ่งใหญ่จริงๆเลย ทำได้แค่ดมกลิ่นเหงื่อของพายุ แม้แต่คำว่ารักกูยังไม่กล้าพูดสักคำ ทำไมการเป็นคนดีแม่งยากงี้วะ แต่จะให้พี่วินเป็นคนเลวโดยการแย่งเมียเพื่อนก็ดูท่าว่าจะกระทำไม่ลง…

ไม่ใช่ว่าเป็นคนมีจิตสำนึกนะครับ แต่ผมรู้ตัวดีว่าพายุแม่งรักไอ้ไวท์มากขนาดไหน ก็ขนาดที่ไม่มีที่ให้คนนอกอย่างผมเข้าไปแทรกไงครับ

ผมทำใจแล้วล่ะ ช่วงนี้อารมณ์มันก็จะเหมือนคนเป็นไบโพล่าหน่อยๆ แต่เอาเป็นว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้จะเป็นของที่ระลึกชิ้นแรกและชิ้นสุดท้าย ผมจะเก็บมันไว้อย่างที่ดีสุด อีกอย่างผมจะไม่ซักแน่นอน เดี๋ยวกลิ่นหอมๆมันจะหาย ต้องเก็บไว้สูดดมปีละครั้งสองครั้งให้ชื่นใจ

ฟิ้วววววว

อะ อ้าว เฮ้ยยย

ไอ้ลมบ้าที่พัดมาแบบไม่ดูกาลเทศะ พัดเอาผ้าเช็ดหน้าที่ผมประคองอย่างนุ่มนวลไว้บนฝ่ามือให้ลอยละลิ่วไปจากมือของผม

ไม่นะ ผมอุตส่าห์เสียแรงวิ่งหนีลูกเตะของพายุกว่าจะได้ผ้าเช็ดผ้าหอมๆมาไว้ในมือ แล้วจู่ๆจะถูกลมขโมยไปไม่ได้ เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะโว้ยยยย

ผมพยายามวิ่งไล่ผ้าเช็ดหน้าที่ลอยไปลอยมาในอากาศ ลมหอบใหญ่ที่พัดเข้ามาอีกครั้งทำให้ยอดไม้สูงถึงกับไหวเอนไปมา และพัดให้ผ้าเช็ดหน้าของผมลอยไปไกลกว่าที่คิด ผมวิ่งตามผ้าเช็ดหน้าไปเรื่อยๆและเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งในชุดนิสิตผิดระเบียบ เอ่อ ก็ผิดพอๆกับกูเนี่ย ยืนก้มหน้าเล่นไอโฟนอยู่ใต้ต้นไม้ คือมึงจะรอใครอยู่ก็ช่าง แต่จงเงยหน้าขึ้นมาสนใจกูเดี๋ยวนี้เลยนะ

“เฮ้! นาย นายคนนั้นน่ะ เก็บผ้าเช็ดหน้าให้หน่อยครับ”

ผมตะโกนบอกให้ผู้ชายคนนั้นเก็บผ้าเช็ดหน้าที่กำลังจะตกสู่พื้นเพราะลมที่เริ่มสงบลงแล้ว คือผมไม่อยากให้มันเปื้อนอ่ะ บอกแล้วไงว่าพี่วินจะไม่ซัก

ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองผม อาโห้ โคตรพ่อโคตรแม่หล่อมาก!!!

ผมโดนออร่าความฮอตสาดใส่เต็มๆจนตาเกือบบอด ซึ่งมันทำให้ผมละความสนใจจากผ้าเช็ดหน้ามามองเทวดาตกสวรรค์ มันเป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาทีก่อนจะเกิดเหตุการณ์บัดซบ เมื่อไอ้คุณเทวดามันแสดงความเป็นผู้ดีด้วยการเอาเท้ากระทืบผ้าเช็ดที่กำลังจะตกพื้นของผมแทนการใช้มือคว้าไว้กลางอากาศ

ม้ายยยยยยย!!! ผ้าเช็ดหน้าของผม

ผมยอมรับว่าช็อคหนักมาก ได้แต่ยืนอ้าปากค้างมองผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของไอ้คนเลว หมอนั่นมันก้มลงไปเก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วเดินมายื่นให้ผม ส่วนผมก็ได้แต่เอื้อมมือที่สั่นระริกออกไปรับมันคืนมาด้วยความปวดใจ

“ยี่ห้อรองเท้าคุณมึงประทับเต็มผ้าเช็ดหน้าของกูเลยอ่ะ”

ผมกางผ้าเช็ดหน้าลายสก๊อตสีครีมให้อีกฝ่ายดู แต่แทนที่หมอนั่นจะสำนึกผิด เขากลับยักไหล่แล้วเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้าเฉยชา…คือมึ๊ง มึงทำผ้าเช็ดหน้าของกูเปื้อนขนาดนี้ จะช่วยแสดงความเสียใจนิดนึงได้มั้ยวะ นี่กูยังไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายหรือด่ามึงสักคำเลยนะ

“ขอโทษครับ พอดีมือไม่ว่าง”

ไอ้หล่อชูไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดให้ผมดู สาบานสิว่ามึงไม่ได้อวดโทรศัพท์กูอ่ะ ราคารุ่นนี้มันแบบว่า…ถ้าผมมีเงินอยู่ในมือก้อนหนึ่ง ผมยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยครับว่าจะซื้อไอโฟนหรือซื้อรถมอเตอร์ไซค์

“นี่กูของถามหน่อย มึงจำเป็นต้องถือโทรศัพท์สองมือเลยเหรอฮะ”

“ใช่ มันแพง เดี๋ยวหล่น”

โว๊ะ! แล้วแต่คุณมึงเลยครับ ถ้ามึงไม่มีปัญญาถือไอโฟนมือเดียว มึงก็เชิญถือสองมือต่อไปเถอะ กูจะไม่ยุ่ง

“ถ้ามึงจะเอาตีนเก็บผ้าเช็ดหน้าของคนอื่นแบบนี้ คราวหน้ามึงปล่อยให้มันตกพื้นไปเถอะ”

ผมแน่ใจว่าถ้าผ้าเช็ดหน้าของผมตกพื้นมันต้องสะอาดกว่าให้ไอ้หล่อเก็บให้แน่นอน

“เป็นคนขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเองแท้ๆ แล้วกูจะไปรู้เหรอว่ามึงไม่ต้องการให้ใช้ตีนเก็บ”

ไอ้หมอนี่เป็นคนหล่อที่เดาอารมณ์ยากมาก ทั้งคำพูดคำจาก็ออกแนวโมโนโทน สีหน้าเรียบเฉย แล้วสายตายังว่างเปล่าอีก นี่ผมกำลังคุยอยู่กับมนุษย์หรือหุ่นยนต์กันแน่วะ

“มึงมีสมองไว้คั่นหูหรือไง คิดไม่เป็นเหรอว่าไม่ควรใช้ตีนที่สวมรองเท้าเก็บผ้าเช็ดหน้าของคนอื่นอ่ะ”

ผมว่าด้วยความโมโห อีกฝ่ายเพียงแค่เลิกคิ้วก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระเป๋าเงินออกมา

“ให้เงินกูทำไม” ผมถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อถูกยัดแบงค์ห้าร้อยใส่ในมือแบบงงๆ เดี๋ยวนะ มึงมีสมองไว้คั่นหูจริงดิ ด่าแค่นี้ถึงกับให้เงินกูเลยเหรอ ถ้าจะบอกว่าให้เป็นค่าเสียหายที่ทำผ้าเช็ดหน้าเปื้อนมันก็ออกจะเกินไปหน่อยปะ

“เอาไปซื้อผ้าเช็ดหน้าใหม่ซะ กูเข้าใจว่ามึงคงไม่มีปัญญาซื้อ VIGANO บ่อยๆ”

อะ อะไรคือ VIGANO วะ?

หรือจะเป็นชื่อแบรนด์ของผ้าเช็ดหน้า ให้ตายสิ ผมรู้นะว่าครอบครัวของพายุรวยมาก แต่มันใช้ผ้าเช็ดหน้าราคากี่บาทกันแน่วะ เอ…หรือว่าที่มันไล่เตะผมจะเป็นเพราะว่าผมขโมยผ้าเช็ดหน้าราคาห้าร้อยบาท!

“กูไม่อยากได้เงินของมึง แล้วกูก็ไม่อยากได้ผืนใหม่ด้วย กูจะเอาผืนนี้!”

ผมที่เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองกำลังโดนดูถูกร้องลั่นด้วยความหัวเสียแล้วรีบยัดแบงค์ห้าร้อยใส่มือของอีกฝ่าย ห่าเอ๊ย กูแค่ตกใจกับราคาของผ้าเช็ดหน้าแป๊บเดียว ไม่ได้หมายความว่ากูอยากได้เงินของมึงนะโว้ย

“ก็เอาไปซักซะสิ ซักเสร็จก็ไม่สกปรกแล้ว เรื่องแค่นี้จะเรื่องมากทำไม”

นี่มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกในนิยายที่ชอบเอาเงินฟาดหัวคนอื่นหรือไงครับ เกิดมาหล่อเสียเปล่าจริงๆ นิสัยอย่างเหี้ย

“ไปนอนให้หนอนแดกซะมึงอ่ะ”

ผมสาปส่งให้ไอ้หล่อไปตายก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินจากมา ขืนอยู่เถียงกับหมอนี่ต่อ ผมต้องได้ต่อยปากคนแน่ๆเลยครับ ไม่เอา ใจเย็นๆ ตรงนี้มันหน้าคณะวิทยาศาสตร์ ผมจะทำตัวสถุนไม่ได้ เดี๋ยวอาจารย์มาเห็นแล้วเรื่องถึงผู้ปกครองจะแย่เอา แค่เรื่องที่พ่อแม่จับได้ว่าเป็นเกย์ก็แย่มากพอแล้ว ผมยังไม่อยากเพิ่มคดีความให้ตัวเอง

“เดี๋ยว!” ผมชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของไอ้หล่อ

“อะไร?” ผมหันไปตะโกนถามไอ้หล่อด้วยท่าทางหาเรื่อง ก็เอาซี๊ ถ้ามึงเริ่มก่อน กูสู้นะเว้ย

“ชื่ออะไร” ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถามเรียบๆกับใบหน้าที่เหมือนกล้ามเนื้อตาย

“ทำไม มึงจะยกพวกมาตีกูที่คณะเหรอ”

ถึงเขาจะไม่แสดงอารมณ์โกรธออกมาโต้งๆเหมือนผม แต่ผมมั่นใจว่าเขาต้องคันมือคันตีนอยากกระทืบผมบ้างแหละ แต่ระดับพี่วินแล้ว แค่นี้เบๆ กลัวที่ไหนกันล่ะ

“กลัวหรือไง”

ไอ้หล่อขยับยิ้มมุมปากบวกกับบุคลิกหยิ่งๆที่ทำให้เจ้าตัวดูร้ายกาจไม่ต่างจากซาตาน แต่ในขณะเดียวกันก็โคตรน่าจับทำเมียเลยวะ หล่อแบดมากเล้ยยย งานนี้ต้องมีอ่อยครับ ส่วนจะได้ใจหรือได้ตีนค่อยว่ากันอีกที

“ชื่อวินอยู่ปี 2 วิศวะอุตสาหการ ชื่อกูไม่โหลนะ มีคนเดียวในสาขา หาไม่ยากหรอก”

ผมตะโกนบอกพร้อมกับโบกมือลาอีกฝ่ายกวนๆ

“มาเร็วๆล่ะ เดี๋ยวกูจะลืมมึงซะก่อน”

ผมโกหกครับ ผมลืมหน้าแบบนี้ไม่ลงหรอก เพราะหลังจากวันนั้นผมก็พยายามขุดหาหน้าของหมอนี่จากเพจผู้ชายหล่อในมหาลัย ก่อนจะพบว่าเขาชื่อ ‘ฉัตร’ เป็นบุคคลแห่งชาติที่สาวๆอยากได้เป็นผัว โซฮอตไปอีก


 

TBC.



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 07/08/2562 [บทที่3]
« ตอบ #9 เมื่อ: 07-08-2019 12:54:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia 1 [เเอคโนเซีย] - 13/08/2562 [บทที่4]
«ตอบ #10 เมื่อ13-08-2019 16:59:28 »


บทที่ 4 จีบผ่านไลน์


ผมกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงนุ่มในหอพักพลางไถไทม์ไลน์เฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ ผมไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าเรื่องของฉัตรที่เกิดขึ้นในห้องเรียนแคลคูลัสกำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกโซเชียว ทั้งคลิปทั้งภาพถูกโพสต์ลงในเพจ Saxy boys และมีการแชร์กันอย่างรวดเร็ว มีการแสดงความเห็นมากมายจากนิสิตในมหาลัย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่โจมตีไปที่ตัวของลิซ่าโดยตรง

เฮ้อ จะว่าไปผมเริ่มสงสารลิซ่าแล้วนะครับ เธอจะนอกใจฉัตรหรือเปล่า มันไม่ได้เกี่ยวกับคนนอกเลย แล้วคนพวกนี้ถือสิทธิ์อะไรมาด่าคนอื่นเสียๆหายๆ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเสียหน่อย

ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นต์ไปเรื่อยๆเพราะนอนไม่หลับ และหลายๆความเห็นทำให้ผมรู้ว่าฉัตรถูกแฟนสาวนอกใจมาสามครั้งแล้ว ทั้งที่เจ้าตัวก็มีข่าวว่าเป็นคน แบดบอย แต่แบดบอยบ้านไหนจะถูกแฟนสวมเขาถึงสามครั้งล่ะวะ บางที…ผมควรมองเขาซะใหม่

ติ่งติ้ง!

เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นพร้อมกับข้อความตัวอย่างที่ปรากฏบนหน้าจอ ไอโฟนครู่หนึ่งก่อนจะหายไป ผมทันเห็นว่าข้อความนั้นถูกส่งมาจาก Porshe คนที่ใช้รถปอร์เช่สีแดงสดเป็นรูปโปรไฟล์ ผมจำได้ว่าส่งข้อความอ่อยหมอนี่ไปตั้งแต่เช้าวันเสาร์ แล้วกว่าเจ้าตัวจะตอบกลับข้อความของผมก็เป็นคืนวันจันทร์ ผมคิดว่าเขาจะเปลี่ยนใจเทผมแล้วซะอีก…สรุปมึงอยากสานต่อจริงๆนะปอร์เช่

Porshe : อยากมีแฟนที่คบกันไปนานๆ

TheWinner : ลองคุยกันมั้ยครับ

Porshe : เอาสิ

TheWinner : นายชื่ออะไร อายุเท่าไร?

Porshe : พอร์ช

Porshe : 22

TheWinner : ชื่อวิน อายุ 22 เหมือนกัน

Porshe : ซิ่วมาเหรอ

TheWinner : รู้ได้ไง

Porshe : เห็นในเฟสไอ้ไวท์ บอกว่าอยู่ปี 2 วิศวะอุตสา ก็น่าจะอายุสัก 20

ผมเลิกคิ้วเมื่อพอร์ชให้ความสนใจกับประวัติส่วนตัวของผมที่ถูกไอ้ธามโพสต์ลงในเฟสบุ๊ค ผมเดาว่าเขาคงรู้จักกับไอ้ไวท์ หรือไม่ก็แค่บังเอิญเป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊คเท่านั้น เพราะบางครั้งเรารับแอดใครมาบ้างก็ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ

TheWinner : อืม ซิ่วมาจากเภสัช

Porshe : ทำไมซิ่ว

TheWinner : ทำไมถาม

ผมไม่ได้กวนนะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมเขาสนใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆของผม เพราะปกติแล้วไม่มีใครเคยถามผมแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่คนที่คุยกับผมจะถามถึงสเปคผู้ชายหรืองานอดิเรกมากกว่า

Porshe : แค่อยากรู้จัก ไม่ได้เหรอ?

TheWinner : กูหล่ออ่ะดิ

ผมขยับยิ้มมุมปาก ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่แสดงความมั่นหน้าสุดๆออกไป ผมใช้รูปโปรไฟล์ในไลน์เป็นรูปถ่ายครึ่งตัวของผม ซึ่งไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็โคตรหล่อเลยครับ แต่การที่พอร์ชเลือกจะแอดไลน์ของผม ก็เป็นเพราะเขาพอใจกับหน้าตาของผมตั้งแต่ในเฟสบุ๊คแล้ว

คือการที่เราจะมองคนอื่นที่หน้าตาหรือรูปลักษณ์ภายนอกก่อนจะตัดสินใจเข้าไปทำความรู้จักก็ไม่ใช่ความผิดอะไรใช่มั้ยล่ะ เพราะบางครั้งแค่รูปลักษณ์ภายนอกของใครบางคน ยังทำให้เราเลือกที่จะไม่เข้าไปทำความรู้จักเลย

Porshe : ไม่เคยมองคนที่หน้าตาอยู่แล้ว

ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาจากพอร์ช ไอ้คนโกหก ต่อให้มึงอมวัดมาพูดกูก็ไม่เชื่อ ทั้งรูปหล่อ งานดีอย่างกู ถ้ามึงไม่สนจะแอดเพื่อนมาทำไมฮะ

Porshe : ไม่ชอบให้พูดคำหยาบ กูเป็นพี่มึงนะ

TheWinner : แต่กูอายุเท่ามึง

Porshe : กูอยู่ปี 4

Porshe : มึงเกิดเมื่อไร

TheWinner : 6 ธันวา

Porshe : กูเกิด 5 กันยา กูเป็นพี่มึง เรียกกูพี่พอร์ช

ผมแบะปากใส่ไอโฟนทันทีเมื่อเห็นข้อความที่ตอบกลับมา…ที่มึงถามวันเกิดของกูเพราะจะเอามาเปรียบเทียบว่าใครแก่กว่ากันเนี่ยนะ แค่สามสี่เดือนมึงก็เอาเหรอพอร์ช

TheWinner : ตอแหล แค่สามเดือน มึงกะแดะให้กูเรียกพี่เลย?

Porshe : ใช่ กูเป็นคนกะแดะ

ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ผมคิดว่าหมอนี่ต้องเป็นคนกวนตีนหรือไม่ก็ต้องขี้เล่นมากแน่ๆเลย เอาเถอะ เห็นแก่ความพยายามของมึง กูจะเรียกว่าพี่ก็ได้

TheWinner : ก็ได้

TheWinner : พี่พอร์ช ;P

Porshe : แล้วทำไมซิ่วจากเภสัช

TheWinner : ไม่ชอบ

Porshe : แล้วทำไมสอบเข้าเภสัช

TheWinner : เรื่องมันยาว

Porshe : กูมีเวลาอ่าน

สรุปว่าอยากรู้จริงดิ?

ผมคิดว่าเขาถามไปอย่างนั้นเพราะต้องการหาเรื่องชวนคุย

TheWinner : พ่อกูเป็นเภสัช ที่บ้านมีร้านขายยา พ่อก็แค่อยากให้กูดูแลกิจการต่อเพราะกูเป็นลูกคนเดียว

TheWinner : ตอนแรกกูก็ยอมเรียนเพราะที่บ้านจับได้ว่ากูเป็นเกย์ กูทำให้ครอบครัวผิดหวัง กูอยากชดเชยอะไรก็ได้ให้เขาดีใจ แต่พอกูเรียนเภสัช กูทนเรียนมาเกือบสองปี แต่แม่งไม่ใช่ตัวกูเลย กูไม่มีความสุข ไม่อยากไปเรียน ไม่อยากอ่านหนังสือ แล้วพอคิดถึงตอนทำงานว่ากูต้องเฝ้าร้านขายยาทุกวัน กูก็อยากจะบ้าแล้ว แล้วกูก็ซิ่วโดยที่ไม่ได้บอกพ่อ ทะเลาะกันบ้านแทบแตก แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว

ผมไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟังเลยแม้แต่ไอ้ธามหรือไอ้ไวท์ พอร์ชเป็นคนแรกที่พยายามเข้าหาผมในแบบที่แตกต่างไปจากคนอื่น ซึ่งวิธีการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวแบบช้าๆเป็นวิธีที่ฉลาดมากและผมยอมรับว่าเริ่มหวั่นไหวแล้วจริงๆ

Porshe : เรื่องก็ไม่ยาวเท่าไรนี่

ผมขยับยิ้มเมื่อพบว่าพอร์ชไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจของผมว่าถูกหรือผิด เขาแค่รับฟังเท่านั้น ซึ่งผมโคตรชอบคนแบบนี้เลย คนที่ไม่พูดมากหรือจะเรียกว่าพูดในเรื่องที่ควรพูด

TheWinner : แล้วมึงอ่ะพี่พอร์ช เรียนคณะอะไร

ผมถาม ผมเริ่มอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นแล้ว บางทีพวกเราอาจจะเข้ากันได้ดีกว่าที่ผมคิดก็ได้

Porshe : บริหารธุรกิจ

TheWinner : เรียนเพราะชอบ หรือเพราะใครบอกให้เรียน

Porshe : ไม่มีใครบอกให้เรียน

Porshe : กูแค่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ควรเรียน กูก็เลยเรียน

TheWinner : ไม่เข้าใจ

Porshe : บ้านมึงมีร้านขายยา พ่อมึงเลยอยากให้มึงเรียนเภสัช ที่บ้านกูก็เหมือนกัน พ่อกูมีธุรกิจส่วนตัว ซึ่งกูคิดว่าต้องกลับไปดูแล เพราะถ้ากูไม่เอา คนอื่นก็ต้องเอาสิ่งที่พ่อกูสร้างขึ้นมาอยู่ดี กูแค่ไม่อยากให้คนอื่นได้มันไป

อ๋อ บ้านมึงมีธุรกิจ มึงก็เลยเรียนบริหารธุรกิจเตรียมไว้เพื่อรับมรดกงั้นสิ

TheWinner : กูชอบความคิดของมึง…งกดีว่ะ

Porshe : กูไม่ได้งก กูแค่รักษาผลประโยชน์ของครอบครัวก็เท่านั้น

ดีครับดี ใครได้เป็นผัวเป็นเมียสบายไปทั้งชาติเลย

TheWinner : แล้วมึงมีพี่น้องปะ

Porshe : มีน้องสาวหนึ่งคน ตอนนี้อยู่มอห้า

ผมเดาว่าพอร์ชคงไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาจะเลือกเรียนต่อในคณะอะไร แต่การที่เขาเลือกบริหารธุรกิจมันก็ชัดเจนแล้วว่าเขายินดีจะสานต่อกิจการของครอบครัวแทนน้องสาว แม่งเป็นพี่ชายที่น่ารักมากอ่ะ

ผมพยายามจินตนาการหน้าตาของเขาจากลักษณะนิสัย แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็คงห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่ดี ทางที่ดีผมขอรูปของเขาเลยน่าจะง่ายกว่า

TheWinner : กูอยากเห็นหน้ามึง ขอดูรูปหน่อยได้ปะหรือจะแอดเฟสมาก็ได้

Porshe : คุยกับกูสักสองเดือนดิ แล้วกูจะให้เจอตัวจริง

สองเดือน?

ไม่ใช่เวลาน้อยๆเลยนะครับ ปกติผมจะใช้เวลาคุยแค่หนึ่งอาทิตย์ ถ้าถูกใจก็จะนัดกันไปเดทเพื่อศึกษานิสัยใจคอ เพราะถ้าใช้เวลานานกว่านั้น มันจะเริ่มสร้างความผูกพันต่อเราทั้งคู่ แล้วถ้าการพบตัวจริงของกันและกันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ก็อาจจะทำให้เสียเวลาและเสียความรู้สึก

ผมไม่เชื่อเรื่องความรักที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ เพราะผมจะรู้จักเขาแค่ด้านที่เขาอยากให้เห็น ซึ่งผมอยากจะเห็นทุกด้านของพอร์ชมากกว่า

TheWinner : ใครอยากเจอตัวจริง กูแค่อยากดูรูปต่างหาก

Porshe : ถ้ากูไม่หล่อ มึงจะคุยกับกูต่อปะ

TheWinner : ไม่แน่

ผมยอมรับว่าผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ถ้าพอร์ชขี้เหร่มากๆผมจะชอบหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

Porshe : ไม่ให้ดู

ให้ตายสิ หมอนี่อัปลักษณ์จริงๆหรือเปล่าวะ!

TheWinner : ไม่แฟร์เลย มึงเห็นหน้ากู แต่กูยังไม่เคยเห็นหน้ามึงเลยนะ

Porshe : ผิดแล้ว มึงต่างหากที่เห็นหน้ากู มีแต่กูที่ไม่มีทางเห็นหน้ามึง

อะไรนะ? ถ้าพิมพ์ผิด มึงรีบพิมพ์ใหม่ได้นะเว้ย คือรูปกูโชว์เด่นหราขนาดนี้ มึงจะไม่เคยเห็นหน้ากูได้ไง ถึงมึงไม่ตั้งใจมอง มึงก็ต้องเห็นตอนแชทกับกูนะครับ เว้นแต่มึงจะสามารถหลับตาพิมพ์ข้อความได้นั่นก็เป็นอีกเรื่อง

TheWinner : ไม่เข้าใจ

Porshe : กูตั้งใจพิมพ์ให้มึงไม่เข้าใจเองแหละ

ขอบคุณ!

TheWinner : มีคนเคยบอกมั้ย ว่ามึงกวนตีนมาก

Porshe : แล้วมึงชอบมั้ยล่ะ คนกวนตีนอย่างกู

เพียงแค่ข้อความสั้นๆจากใครก็ไม่รู้กลับทำให้หัวใจไม่รักดีของผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ แล้วบังเอิญว่าผมเป็นคนตรงๆอ่ะครับ ชอบก็บอกว่าชอบ อย่าเสียเวลาเล่นแง่กันเลย เอาเวลามาดูแลกันดีกว่า

TheWinner : ชอบ

ผมยอมรับตรงๆว่าขนาดไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย ผมก็เริ่มชอบพอร์ชเข้าแล้วสิ แย่ชะมัด ผมควรจะยุติการสนทนากับเขา เพราะอีกฝ่ายเจตนาไม่เปิดเผยตัวตนจริงๆกับผม แต่ไม่รู้ทำไม ผมอยากเสี่ยง ผมรู้สึกว่ามันใช่ บางที…หน้าตาของพอร์ชอาจไม่มีผลต่อความรู้สึกของผมก็ได้

TheWinner : แต่ก่อนที่กูจะชอบมึงไปมากกว่านี้ กูอยากถามมึงก่อนว่ามึงคิดจะคุยกับกูแค่ไหนวะ

Porshe : มึงกังวลว่ากูจะคุยกับคนอื่นอีกเหรอ

นับว่าฉลาดมากครับ ผมหมายความแบบนั้นแหละ เพราะคนคุยก็คือคนที่พิเศษมากกว่าเพื่อน แต่น้อยกว่าแฟน พอร์ชมีสิทธิ์จะคุยกับใครอีกกี่คนก็ได้ เพียงแต่ผมไม่อยากเป็นหนึ่งในคนคุยของเขา

TheWinner : ใช่

Porshe : เป็นคนขี้หึงใช่ปะ

TheWinner : เรื่องของกู

ผมไม่ได้ขี้หึงนะครับ ผมกำลังให้เกียรติคนที่ผมกำลังคุย และอยากให้อีกฝ่ายทำเหมือนกันกับผม

Porshe : กูคุยทีละคน แล้วถ้ากูจะชอบใคร กูก็ชอบทีละคนเหมือนกัน

TheWinner : โอเค กูจะคุยกับมึงแค่คนเดียวเหมือนกัน ถ้าวันไหนที่มึงรู้สึกว่ากูไม่ใช่ ก็บอกกูมาตรงๆได้เลย แค่อย่าหายไปเฉยๆ กูไม่อยากคิดอะไรไปเองทั้งนั้น

Porshe : ตกลงตามนั้น

ผมเลือกที่จะเสี่ยงและเชื่อใจคนที่ผมไม่รู้จัก ผมหวังว่าความรักในครั้งนี้คงจะไม่โหดร้ายจนเกินไป…ผมแค่อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยความสุขเหมือนกับไอ้ไวท์และพายุ

 



“วันนี้แดกข้าวที่ไหนดีวะ”

ไอ้แว่นเอ่ยถามระหว่างที่พวกเราเดินลงบันไดมาจากอาคารเรียนรวมวิศวะ ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงสิบนาทีแล้ว แน่นอนว่าโรงอาหารในคณะต้องแออัดไปด้วยชาวเกียร์ที่เน้นอาหารปริมาณมากและราคาถูก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงผมกับไอ้แว่นด้วยแหละครับ จริงๆแล้วผมก็อยากพุ่งตรงไปที่นั่นซะเดี๋ยวนี้เลย ติดที่ว่าวันนี้เจ๊แมว อาจารย์ประจำวิชาเศรษฐศาสตรวิศวกรรม (Engineering Economics) ปล่อยพวกเราช้าไปสิบนาที ซึ่งสิบนาทีนี้มันเป็นเวลาแห่งการแย่งชิงที่นั่งในโรงอาหารที่มีอยู่น้อยนิด ต่อให้ติดปีกไปตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้ว

“กินที่คณะแพทย์มั้ย อร่อยดี”

ผมเคยไปกินมื้อเที่ยงกับไอ้ไวท์และไอ้ธามที่คณะแพทย์ ต้องยอมรับล่ะครับว่าอาหารที่นั่นอร่อยที่สุดในมหาลัยแล้ว แถมยังสะอาดถูกหลักอนามัยอีกด้วย เสียแต่ว่ามันไกลจากคณะวิศวะโคตรๆเลย

“น้อย! แดกสองจานยังไม่อิ่มเลย”

ไอ้แว่นแย้ง ซึ่งผมเห็นด้วยว่ามันน้อยจริงๆครับ แต่ข้อดีคือมึงไม่ต้องรอคิวนานๆนะเว้ย เพราะนอกจากเด็กหมอแล้ว คณะอื่นก็ไม่เห็นจะกล้าเสนอหน้าไปกินเลย

“เรื่องเยอะนะมึง แล้วอยากแดกที่ไหนล่ะครับ”

“คณะบริหารมั้ย”

“จะไปแดกข้าวหรือจะไปส่องใคร”

สาบานสิว่ามึงอยากไปกินข้าวเฉยๆ

ไอ้แว่นมันทำตัวเป็นหมาวัดไม่เจียมกะลาหัวด้วยการแอบชอบเดือนคณะบริหารปีล่าสุด เจ้าเด็กนั่นชื่อ ‘ติวเตอร์’ เป็นผู้ชายร่างผอมสูง ผิวขาวออร่าเหมือนแช่นมวัวมาทั้งชีวิต หน้าตาหล่อใสสไตล์เกาหลี และที่แน่นอนคือมันเป็นเกย์รับชัวร์ๆ ผมประเมินจากท่าทางการเดิน การพูด และการเหล่มองผู้ชาย แต่ประเด็นคือมนุษย์ที่หน้าตาดีระดับเดือนคณะจะมาสนใจ มนุษย์แว่นหน้าตาบ้านๆแบบไอ้พิสุทธิ์เหรอครับ ผมไม่เชื่ออ่ะ

“รู้ทัน” ไอ้แว่นยักไหล่

“ปะเร็วมึง”

ผมถูกไอ้แว่นคว้าแขนไว้แล้วลากให้เดินไปทางคณะบริหารโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ปฏิเสธ แต่เอาเถอะ กระเพาะอาหารของผมมันเรียกร้องมื้อเที่ยงแล้วครับ นาทีให้กินที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น

พวกเราใช้เวลาประมาณสิบนาทีในการเดินมาที่โรงอาหารของคณะบริหารธุรกิจ โชคดีที่มีโต๊ะว่างมุมหนึ่งสำหรับผมกับไอ้แว่น พวกเราวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะเป็นการจอง ก่อนจะแยกย้ายกันไปซื้ออาหาร ผมสั่งข้าวราดแกงแบบง่ายๆเพราะไม่ต้องการรอนาน และกลับมายัดอาหารทั้งหมดลงกระเพราะภายในไม่กี่นาที

“แว่น เอาการบ้านเซฟตี้มาลอกหน่อยดิ๊”

ผมเอ่ยกับเพื่อนสนิทเมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ไอ้แว่นมันเงยหน้าจากชามราดหน้ามามองผมด้วยแววตาสั่นระริก ไอ้ห่า! เป็นไรของมึงอีกเนี่ย

“ทำไมใครๆต้องเรียกกูว่าแว่นด้วยวะ กูมีชื่อนะ กูชื่อพิสุทธิ์ที่แปลว่าใสสะอาด เข้าใจมั้ย”

ดราม่าซะงั้น…ก็ชื่อพิสุทธิ์มันเรียกยาก แถมมีตั้งสองพยางค์ เรียกว่าแว่นมันง่ายกว่านี่ครับ

“แม่กูอยากให้กูเป็นคนจิตใจใสสะอาดดีงาม แล้วกูก็ดีงามทั้งข้างในข้างนอก มึงยังจะมาเรียกกูว่าแว่นอีกเหรอ”

ผมแทบเอามือกุมขมับ ผมบอกไปหรือยังว่าไอ้แว่นมันเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหว อย่างเรื่องที่ควรดราม่าแม่งก็ไม่ยอมดราม่า แต่เรื่องที่ไม่ควรดราม่ามันกลับจัดเต็ม คือกูเรียกมึงว่าแว่นมาเกือบสองปีแล้วนะโว้ย เป็นบ้าอะไรเพิ่งมาเศร้าใจตอนนี้ล่ะเพื่อน

“กูขอโทษครับคุณพิสุทธิ์”

ผมลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้ฝั่งเดียวกับไอ้แว่น โอบไหล่มันไว้แล้วดันศีรษะของมันให้เอนมาซบไหล่ของผม คือต้องปลอบโยนกันฉันท์ผัวเมียเลยทีเดียว นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ไอ้แว่นไม่มีใครคบ แรกๆที่ผมยอมคบกับมันก็เป็นเพราะว่ามันเรียนเก่ง แต่พอรู้จักกันไปนานๆผมจึงรู้ว่ามันมีนิสัยหลายอย่างที่ผมชอบและเราก็เข้ากันได้ดี อย่างเช่น มันเป็นพวกชายรักชาย มันสายหื่นเหมือนกับผม เที่ยวเป็นบางครั้ง มีน้ำใจกับเพื่อน ชอบติวให้ ส่งการบ้านให้ แล้วก็ไม่จู้จี้ ไม่พูดมาก แต่น่ารำคาญเป็นพักๆอย่างเช่นตอนนี้แหละ

“กรุณาเอาการบ้านเซฟตี้มาให้วินลอกหน่อยครับ นะครับ”

ผมพยายามออดอ้อนเพราะอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงพวกเราจะต้องเข้าเรียนวิชา Safety Engineering แล้ว แต่ผมยังไม่ได้จรดปลายปากกาลงในสมุดเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว คือมึงต้องดราม่าให้เป็นเวล่ำเวลานะเพื่อนแว่น

แล้วสุดท้ายไอ้แว่นที่เป็นพวกงอนแบบไม่จริงจังก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดการบ้านของตัวเองมาส่งให้ผม ในระหว่างที่ผมกำลังลอกการบ้าน ไอ้แว่นก็เอาแต่ชะเง้อคอมองไปทั่วโรงอาหาร แต่ไม่มีวี่แววของน้องติวเตอร์เลย

คือมึงไม่เห็นต้องพยายามมองหาขนาดนั้นก็ได้ปะ แค่สังเกตอาการของคนรอบข้างก็รู้แล้ว อย่างเช่นว่า…

กรี๊ดดดดดดด!!

อ๊ายยยยยยย!!

แบบนี้แหละครับ!

เสียงร้องของผู้หญิงในโรงอาหารทำให้ผมกับไอ้แว่นหันควับไปมองและพบว่าตัวการที่ทำให้สาวๆคลุ้มคลั่งมาจากหนุ่มฮอตสุดเซ็กซี่อย่าง ‘ฉัตร’ ไอ้แว่นถอนหายใจด้วยความปลงตกทันทีที่ไม่พบน้องติวเตอร์ของมัน ก่อนจะหันไปกินราดหน้าด้วยความหมดอาลัยตายอยาก

“พี่ฉัตร แนนนี่ทำคัพเค้กมาให้ค่ะ”

อีหรอบนี้อีกแล้ว!

ผมไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นสาวๆในมหาลัยต่างมีความหวังตั้งแต่ที่ฉัตรเลิกกับลิซ่า ซึ่งน้องแนนนี่คนสวยที่ยืนอยู่ตรงหน้าของฉัตรก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอยืนก้มหน้าด้วยท่าทางเขินอาย ในมือมีกล่องขนมสีฟ้าอ่อนผูกริบบิ้นสีชมพู

ให้ตายเถอะ ผมเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ทำไมคนหน้าตาดีอย่างผมถึงไม่เคยได้รับขนมพร้อมการสารภาพรักแบบน่ารักๆบ้างนะ

“ขอบใจ”

ฉัตรเอ่ยเรียบๆด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์เหมือนเดิม แต่กลับเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ รอบตัวได้เป็นอย่างดี ห่าเอ๊ย กูนึกว่าโรงอาหารไฟไหม้ แค่เขาบอกว่าขอบใจ คนก็กรี๊ดแล้วอ่ะครับ แถมยังไม่ได้ขอบใจพวกที่กรี๊ดด้วยนะ แล้วถ้าเขาบอกรักคนฟังไม่ช็อกตายไปเลยเหรอ

“แต่เอากลับไปเถอะ ไม่กิน”

กริบ!

เสียงกรี๊ดหยุดลงกะทันหันทำให้โรงอาหารตกอยู่ในความเงียบชนิดที่ว่าถ้าท้องใครร้องก็จะได้ยินกันทั่วถึง

น้องแนนนี่ที่น่าสงสารเงยหน้าขึ้นมามองฉัตรแบบอึ้งๆ เป็นกู กูก็อึ้งครับ แต่ตอนนี้ผมไม่แปลกใจอะไรแล้ว เพราะผู้ชายที่ชื่อฉัตรมันทำอะไรที่เหนือความคาดหมายได้หลายอย่าง ขนาดใช้ตีนเก็บผ้าเช็ดหน้ายังทำมาแล้วเลย

“ทะ ทำไมล่ะคะ หรือว่าพี่ฉัตรไม่ชอบของหวาน”

ฉัตรนิ่งไปครู่หนึ่ง ผมเห็นว่าเขาหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนสนิทสองคน แล้วคนพวกนั้นก็เดินออกไปจากโรงอาหาร ผมเดาว่าฉัตรคงบอกให้เพื่อนกลับไปก่อน

“เปล่า”

ฉัตรหันมาตอบแนนนี่ ผมคิดว่าเขาพยายามลดเสียงลงมาให้เบาที่สุด แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นของประชากรรอบข้าง ทุกคนจึงพร้อมใจกันปิดปากเงียบทำให้ได้ยินเสียงของฉัตรชัดทุกถ้อยคำ ผมเผลอกุมมือของตัวเองไว้แน่นด้วยความลุ้นระทึก ผมรู้ว่าไอ้บ้าฉัตรมันปากหมา ได้แต่หวังว่าเจ้าตัวจะไม่พ่นประโยคทำร้ายจิตใจของผู้หญิงออกมานะครับ เพราะดูจากสีหน้าของน้องแนนนี่แล้ว ผมคิดว่าเธอใกล้จะร้องไห้แล้วแหละ

“แต่ไม่ชอบเธออ่ะ ขอตัวนะ”

ไอ้คนใจร้าย!

ผมอยากเอาศีรษะปักโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ทำไมผมต้องเข้ามารับรู้ความเชี่ยของผู้ชายที่ชื่อฉัตรชนกอีกแล้ววะ

หลังจากที่ฉัตรเดินออกไปจากโรงอาหาร น้องแนนนี่ก็ร้องไห้โฮทันที เดือดร้อนถึงเพื่อนๆต้องเข้ามาลากเธอที่กำลังช็อกอย่างรุนแรงออกไปสงบสติอารมณ์ แล้วเสียงฮือฮารอบด้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงกรีดร้องของสาวๆที่รู้สึกยินดีกับสถานะโสดต่อไปของฉัตร

แหม ลองให้ฉัตรมาปฏิเสธพวกคุณ คุณแบบน้องแนนนี่มั้ยละ ยังจะกรี๊ดกันอยู่มั้ย กูอยากรู้!

 






TBC.  :mew3:




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/08/2562 [บทที่4]
«ตอบ #11 เมื่อ16-08-2019 18:32:37 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 13/08/2562 [บทที่4]
«ตอบ #12 เมื่อ17-08-2019 10:34:36 »

 :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 21/08/2562 [บทที่5]
«ตอบ #13 เมื่อ21-08-2019 16:37:08 »

บทที่ 5 สมุดของฉัตร


 

“เลิกทำคอยืดคอยาวได้แล้วมึง น้องติวเตอร์อาจจะออกไปกินข้าวข้างนอกมอบ้างก็ได้ ใครจะกินที่คณะตัวเองทุกวัน”

อ้าว คกตกเลยเพื่อนกู

ไอ้แว่นหยิบขวดน้ำเก๊กฮวยมาดูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ หลังจากที่ผมลอกการบ้านเสร็จเรียบร้อย ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าของผมมันยืนยันว่าจะนั่งรอน้องติวเตอร์ต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงห้าสิบ แล้วจะติดเกียร์หมาวิ่งเข้าห้องเรียนเซฟตี้ก่อนเวลาบ่ายโมงตรง ซึ่งทำไมผมจะต้องรอวิ่งเป็นเพื่อนมันน่ะเหรอ เพราะผมลอกการบ้านมันอ่ะครับ

ผมเป็นคนรู้บุญคุณคนนะ เพื่อนสุขเราสุข เพื่อนเศร้าเราเศร้าตามมารยาทแล้วค่อยหาโอกาสชวนมันไปแดกเหล้า ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ด้วยครับ

“หลังสอบมิดเทอมกูจะไปออกค่ายที่สุราษฎร์ธานี มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

ไอ้แว่นเอ่ยชวน มันอยู่ชมรมจิตอาสาของมหาลัย ไม่ใช่ว่ามันเป็นคนดี หรือใจบุญสุนทานนะครับ สาเหตุที่มันกะแดะเข้าชมรมเป็นเพราะน้องติวเตอร์ล้วนๆเลย แต่ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว ผมยังไม่เห็นว่าน้องติวเตอร์จะจำชื่อมันได้เลย

“ไปซะไกลเลยนะมึง”

มหาวิทยาลัยที่พวกเราศึกษาอยู่ตอนนี้ เป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาลในเขตภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งนับว่าห่างไกลจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีมากทีเดียว ผมล่ะสงสัยจริงๆว่าชมรมรวยมากหรือไงวะ จังหวัดใกล้ๆมีไม่ยอมไป เสือกจะไปภาคใต้

“แล้วไปออกค่ายต้องทำไรบ้างอ่ะ”

ผมถาม คิดซะว่าไปพักผ่อนหลังสอบเสร็จแล้วกัน ผมเองก็กำลังเบื่อๆบวกกับไม่ได้ออกต่างจังหวัดมานานมากแล้ว ผมเป็นคนในพื้นที่ อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กจนโต ตอนแรกก็คิดว่าจะสอบเข้ามหาลัยในเมืองหลวงเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เป็นเพราะไอ้ไวท์กับไอ้ธามนั่นแหละ เสือกสอบเข้าที่นี่ ผมที่เป็นคนติดเพื่อนมากจึงสอบเข้าตาม แต่เอาเถอะ ครอบครัวผมพอใจที่ผมเรียนมหาลัยใกล้บ้านผมก็โอเคแล้วครับ

“ไม่มากหรอก แค่ซ่อมห้องเรียนให้โรงเรียนในเขตทุรกันดาร”

ขีดเส้นใต้คำว่า ทุรกัรดาร ผมว่า…ผมเปลี่ยนใจไม่ไปล่ะ แม่งไม่ใช่การพักผ่อนแน่ๆแบบนี้

“ไม่ไป กูไม่ถนัดเรื่องใช้แรงงาน”

ผมปฏิเสธทันที พอดีว่าพี่วินไม่ใช่คนดีแล้วก็ไม่ใช่คนโลกสวยนะครับ เรื่องลำบากพี่ไม่ทำ

“มึงจะปล่อยให้กูเข้าป่าเข้าดงคนเดียวเลยเหรอวะ”

ไอ้แว่นโอดครวญ มันเองก็ไม่ใช่พวกที่ชอบใช้แรงงานเหมือนกัน หมอนี่เป็นผู้ชายร่างสูงผอม ไม่ได้บอบบาง แต่ก็ไม่ใช่พวกกล้ามล่ำ มีงานอดิเรกคือการอ่านหนังสือ เล่นเกม แล้วก็อ่านหนังสือซ้ำไปซ้ำมา อารมณ์เหมือนพวกเด็กเนิร์ด

“มึงก็ไม่ต้องไปดิ”

“ต้องไป” ผมเชื่อแล้วว่าความรักมีพลังมหาศาล ขนาดทำให้หนอนหนังสืออย่างไอ้แว่นยอมออกจากกระดองไปเข้าสังคมกับคนอื่น

“อยู่มอสบายๆไม่ชอบ”

“การช่วยเหลือคนอื่นมันได้บุญนะ แล้วผลบุญที่มึงทำในครั้งนี้จะส่งผลให้มึงเจอความรักดีๆ ผู้ชายดีๆ หล่อๆ รวยๆ เซ็กซี่ น่ารัก…”

“หยุด!”

ผมเริ่มลังเลแล้วสิ จะว่าไปสิ่งที่ไอ้แว่นพูดมาก็มีเหตุผลนะครับ แม่ผมมักจะพูดเสมอว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าผมเริ่มสะสมบุญตั้งแต่ตอนนี้ มันจะส่งผลให้ผมพบเจอคนดีๆจริงหรือเปล่า

“อืม…กูก็ไม่ได้ทำบุญมานานแล้วนะ”

“ใช่ มึงทำบาปมาเยอะมาก ต้องหัดทำบุญซะบ้าง ตายไปจะได้ไม่ตกนรก”

กูไม่เคยเตะหมาหน้ามหาลัยนะครับ จะบอกว่ากูทำบาปได้ไง ไม่มี๊!

“แต่เอ๊ะ! ออกค่ายมันต้องใช้เงินเยอะ แล้วช่วงนี้กูก็ช็อตเพราะแดกเหล้าบ่อย”

เป็นความจริงครับ ผมแดกเหล้ากับไอ้ไวท์เกือบทุกอาทิตย์ คนรวยอย่างไวท์ไม่มีปัญหาหรอก แต่คนฐานะปานกลางอย่างผมเริ่มจะต้องพึ่งพาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกเย็นแล้วแหละ

“มึงก็ถือโอกาสนี้งดเหล้า แล้วปล่อยให้ตับได้พักผ่อนบ้าง”

อื้ม เป็นความคิดที่ดีครับ

“แอลกอฮอล์ทำให้กูตายเร็ว กูต้องอยู่ตามหาเนื้อคู่”

แต่ผมชอบดื่มอ่ะ

“ใช่ๆ มึงต้องตามหารักแท้”

ไอ้แว่นพยายามโน้มน้าวอย่างสุดความสามารถ

“แต่เอ๊ะ! กูต้องไปตากแดดตากลมถึงภาคใต้เลยนะ กูควรจะไปจริงเหรอ หรือว่าไม่ปะ--”

“โว้ย! ไอ้ห่านี่ เอ๊ะ เอ๊ะ อยู่นั่นเหละ”

ผมสะดุ้งเมื่อไอ้แว่นที่หมดความอดทนยกมือขึ้นมาโบกหัวผมซะเกือบทิ่มโต๊ะ ห่าเอ๊ย สมองกูยิ่งมีมวลสารน้อยๆอยู่ โดนตบขนาดนี้ความรู้กระเด็นหมดแล้วมั้งเนี่ย ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยกเท้าขึ้นมาประทับหน้าคุณพิสุทธิ์ เจ้าตัวดีก็เริ่มร่ายโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมแบบสุดๆ จนผมแอบสงสัยว่ามันเคยรับจ๊อบทำงานที่เซเว่นหรือเปล่า ดูโปรกับการขายมากครับ

“เอางี้ กูจ่ายค่าไปค่ายให้มึงเอง มึงแค่ไปกับกู ตกลงมั้ย เดี๋ยวกูติวข้อสอบมิดเทอมให้ทุกวิชาเลยด้วย”

ติวฟรีทุกวิชา…โปรดีแบบนี้จะหาที่ไหนได้อีกวะ ผมเริ่มสนใจมากๆแล้วครับ

“ลดแลกแจกแถมสุดๆแล้วนะมึง สนเปล่า”

ไอ้แว่นที่จับสังเกตสีหน้าของผมได้ว่ากำลังสนใจขยับยิ้มอย่างคนเป็นต่อ มันกอดอกทำหน้าเชิดใส่ ประมาณว่ากูไม่แคร์นะถ้ามึงปฏิเสธ

“มึงต้องรีบตกลงแล้วเพื่อนวิน เพราะถ้าช้าโปรนี้จะถูกยกเลิก”

ผมเบะปากใส่มันด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตกลง

“ไปก็ไปสิ”





ตอนที่ผมกลับมาถึงหอพักเป็นเวลาหกโมงเย็น ผมสะบัดรองเท้าและถุงเท้าทิ้งไว้ข้างเตียง ก่อนจะรีบเปิดกระเป๋าเป้แล้วควานหาเลกเชอร์วิชาเซฟตี้ที่ยืมมาจาก   ไอ้แว่น ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนขยันนะครับ แต่เป็นเพราะว่าผมมีนัดกับพี่พอร์ช เขาจะทักไลน์มาตอนหนึ่งทุ่มตรงของทุกวัน ช่วงแรกเราคุยกันประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่ช่วงหลังเราเริ่มคุยกันนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ช่วงนี้ผมเลยต้องรีบทำการบ้านและจดเลกเชอร์ให้เสร็จตั้งแต่กลับมาถึงหอเพราะอยากมีเวลาไว้คุยกับผู้ชายนานๆ

ผมกับพอร์ชคุยไลน์กันทุกวันมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว ผมคิดว่าผมกำลังติดเขาในระดับที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ แต่ทำอะไรไม่ได้แล้วอ่ะ พอร์ชแม่งเป็นคนที่ยิ่งคุยยิ่งหลง ยิ่งรู้จักยิ่งใช่ ผมโคตรอยากได้คนนี้เลย

“อ้าว สมุดใครวะ” ผมพึมพำเมื่อพบสมุดปกหนังสีดำในมือ แน่นอนว่าไม่ใช่ของผม เพราะผมไม่นิยมใช้สมุดราคาแพงแบบนี้…หรือว่าของไอ้แว่น? ผมเปิดสมุดในมือก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ อย่างแรกคือลายมือหวัดๆที่ไม่คุ้นตา สองคือเนื้อหาที่ถูกจดไว้ในสมุดแม่งคือวิชาเชี่ยไรวะ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มีแต่ตัวเลขเต็มไปหมด

ผมพลิกสมุดกลับไปกลับมาหลายรอบ จากที่อ่านคราวๆผมเดาว่าเป็นโปรเจคจบการศึกษาของใครสักคนที่ไม่ได้เรียนวิศวะ แต่แม่ง!สมุดมาอยู่ที่ผมได้ไง คิดยังไงก็คิดไม่ออก และในตอนที่ผมกำลังมึนตึ้บ ผมก็เหลือบไปเห็นข้อความสั้นๆบนปกด้านใน



ฉัตรชนก ชัชธีรชานนท์

สำคัญกรุณาส่งคืน 090-527-xxxx



อ้าว เฮ้ย! ทำไมสมุดของฉัตรมาอยู่ในกระเป๋าของผมได้วะ?

งงหนักกว่าเดิมอีกกู…

ผมพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งวันนี้ผมได้เจอกับฉัตรที่โรงอาหารแค่ครั้งเดียวเองนะ แล้วก็ไม่ได้นั่งใกล้ๆกันด้วย อื้ม…หรือว่าสมุดมันวางอยู่บนโต๊ะตั้งแต่แรกแล้ววะ ผมเองก็ไม่แน่ใจเพราะตอนที่ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนผมรีบยัดทุกอย่างบนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋า แล้วตอนที่วางกระเป๋าจองไว้บนโต๊ะ ผมก็หยิบสมุดกับหนังสือหลายเล่มออกมาเตรียมไว้ลอกการบ้านด้วย

ผมยอมรับว่าเป็นพวกไม่ละเอียดรอบคอบ ดังนั้น ผมจำไม่ได้เลยว่าสมุดเล่มนี้วางอยู่บนโต๊ะตั้งแต่แรกหรือเปล่า แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ที่ผมต้องถามตัวเองคือ ในเมื่อรู้ตัวเจ้าของสมุดแล้ว ผมควรส่งสมุดคืนหรือเปล่า เห็นเขียนว่า ‘สำคัญกรุณาส่งคือ’ แต่ถ้าสำคัญจริง ทำไมมึงทิ้งเรี่ยราดแบบนี้ล่ะฉัตรชนก!

ตอนแรกผมคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาสมุดไปทิ้งไว้บนโต๊ะในโรงอาหารเหมือนเดิม ถ้ามีคนใจดีเก็บได้คงโทรหาฉัตรเองนั่นแหละ เพราะใครๆก็อยากได้เบอร์ของฉัตรชนก แต่ถ้าเจอคนใจร้าย ผมว่าเขาคงเอาไปชั่งกิโลขาย ยิ่งผมคิดถึงตอนที่ถูกฉัตรเก็บผ้าเช็ดหน้าด้วยตีนแล้ว ผมก็ยิ่งอยากแช่งให้เจอคนใจร้าย แต่แม่ง ผมเนี่ยแหละครับที่เสือกเป็นคนใจดี

โอเค ผมโกหก ปกติแล้วผมจะทำแบบที่บอกไว้ข้างต้นแหละครับ แต่ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ผมคว้าไอโฟนมากดหมายเลขโทรศัพท์ที่เขียนไว้บนสมุด

ห่าเอ๊ย ช่วยไม่ได้ที่ฉัตรเสือกหล่อเชี่ยๆ วินผู้แพ้คนหล่อถึงได้ยอมเสียตังค์ค่าโทรและสละเวลาไปคืนสมุดให้เลยนะเว้ย

“ฮัลโหล”

ผมรอไม่นานก็ได้ยินเสียงโมโนโทนดังมาจากปลายสาย ไม่ต้องถามหรอกว่าฉัตรชนกใช่มั้ยครับ? ผมก็แน่ใจว่าไอ้เสียงไร้อารมณ์แบบนี้มีแค่เขาคนเดียวเนี่ยเหละ

“สวัสดีครับ”

ผมลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยประโยคที่เบสิคสุดๆออกไป คือผมไม่รู้ว่าฉัตรจำผมได้หรือเปล่า และต่อให้จำหน้าได้ ก็ไม่แน่ว่าเขาจะจำชื่อของผมได้ เคยคุยกันก็แค่ครั้งเดียว แถมไม่เคยเรียนด้วยกันอีกต่างหาก

“ใครพูดครับ”

“ผมเก็บสมุดของคุณได้ มันเขียนว่าสำคัญให้ส่งคืน” ผมเลือกที่จะใช้ประโยคสุภาพและเป็นทางการกับเขาไว้ก่อน

“อ๋อ กำลังหาอยู่เลย คุณสะดวกให้ผมไปเอาเมื่อไร”

ฉัตรครางในลำคอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมีอารมณ์ร่วมขึ้นมาอีกนิดนึง ผมเดาว่าเขากำลังตามหาสมุดอย่างที่บอกจริงๆ แต่ถ้าหวังจะได้ยินน้ำเสียงร้อนรนหรือคำขอบคุณอย่างซึ้งใจจากคนๆนี้…ผมบอกเลยว่ายาก!

“พรุ่งนี้ก็ได้ รีบใช้หรือเปล่า”

ผมถาม เผื่อเขาต้องรีบปั่นโปรเจคส่งให้อาจารย์ตรวจ แหม ผมนี่เป็นคนดีไปอีกนะ

“ไม่รีบ เอาเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ครับ”

“ที่ไหน? นัดมาเลย” ผมถาม

“เจอกันที่สบายตอนห้าโมงเย็น”

“โอเค”

ผมรับคำสั้นๆ เด็กในมหาลัยเกือบทุกคนรู้จักร้าน ‘สบาย’ ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านยอดฮิตที่นิสิตต้องลองแวะสักครั้งก่อนจบการศึกษา ตั้งอยู่ไม่ไกลจากรั้วมหาลัย ตอนแรกที่ผมเรียนเภสัชร้านสบายยังขายแค่เค้กกับเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ตอนนี้มีเมนูอาหารและไอศกรีมเพิ่มเข้ามา ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะมาชิมอาหารอยู่เป็นระยะ ผมยอมรับว่าอาหารและเครื่องดื่มรสชาติดีเกือบทุกเมนู แต่เหตุผลที่ผมไม่ได้ย่างเท้าเข้าไปในร้านสบายมานานมากแล้ว ก็เป็นเพราะราคาที่แพงมากถึงมากที่สุด

อย่างเช่นว่าไอศกรีมโฮมเมดก้อนละ 49 บาทขาดตัว เครื่องดื่มแก้วละ 40-60 บาท ไม่ต้องพูดถึงเค้กกับข้าวนะครับ แพงชิบหายเลย เข้าร้านครั้งนึงเสียเงินต่ำๆก็หลักร้อยแล้วอ่ะ แล้วช่วงนี้ผมยิ่งจนๆอยู่ ผมสัญญากับตัวเองไว้เลยว่าจะเดินเข้าไปในร้านสบายเพื่อคืนสมุดให้ฉัตรอย่างเดียวเท่านั้น เจ้าของร้านจะว่ากูไร้มารยาทไม่ได้นะ กูจะรีบกลับทันทีเลย

“แล้วเจอกัน”

ฉัตรเอ่ยสั้นๆก่อนจะกดตัดสายทันที ให้ตายสิ เห็นมั้ยว่าหมอนี่เย็นชาแค่ไหน ไม่มีการถามต่อเลยว่าคุณเจอสมุดของผมที่ไหน ชื่ออะไร แล้วรู้จักร้านสบายหรือเปล่า ช่างเป็นบุคคลที่ทำตัวเป็นสูญกลางของจักรวาลได้แบบน่าถีบ แต่ไม่ยักจะมีคนเกลียดขี้หน้าลง คนหน้าตาดีมันก็มีชัยในสังคมไปกว่าครึ่งแบบนี้แหละครับ





ติ่งติ้ง!

เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ดังขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรง ผมวางปากกาที่กำลังจดเลกเชอร์วิชาเซฟตี้ไว้บนโต๊ะแล้วคว้าไอโฟนเครื่องเก่ามาปลดล็อคทันที นาทีนี้การบ้านเสร็จหรือเปล่าผมไม่สน สนแค่ว่าต้องคุยกับพี่พอร์ชเดี๋ยวนี้เลย

Porshe : ทำอะไรอยู่?

ให้ตายดิ ผมไม่ได้มีโมเมนต์ที่ทำให้หัวใจเต้นแรงเพียงแค่เห็นข้อความสั้นๆมานานมากแล้วนะ แม่งทำตัวเหมือนเด็กน้อยหัดมีความรักเลยกู ถ้าใครรู้เข้าต้องหัวเราะเยาะเสือวินแน่ๆ

TheWinner : เพิ่งจดเลกเชอร์เสร็จ มึงล่ะ?

จริงๆไม่เสร็จหรอก แต่ต้องรีบเสร็จเพราะมึงทักมาอ่ะครับ แต่กูไม่บอกมึงหรอกนะ เดี๋ยวมึงได้ใจ

Porshe : กำลังคิดถึงมึงอยู่

ห่าเอ๊ย! อีพี่พอร์ช ถ้ามึงจะตอบแบบนี้ก็ฆ่ากูเลยเถอะ แค่นี้กูก็หลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว

TheWinner : กูก็คุยกับมึงอยู่ทุกวัน

นี่คือข้อดีของการคุยกันผ่านตัวหนังสือ เพราะอีกฝ่ายไม่มีทางรู้เลยว่าผมวิ่งไปกระโดดใส่เตียง แล้วนอนกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความเขิน นี่กูกลั้นเสียงกรี๊ดแบบสุดๆอยู่นะเว้ย

Porshe : วันนี้กูเห็นมึงที่โรงอาหารคณะกู

อ๋อ ใช่แล้ว กูไปแดกข้าวที่คณะบริหารมา

TheWinner : รู้ได้ไงว่าเป็นกู ไหนมึงบอกว่าจำหน้ากูไม่ได้

ตั้งแต่วันที่พอร์ชบอกว่าเขามองไม่เห็นหน้าผม ผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในไลน์เป็นรูปของริชาร์ดปาร์คเกอร์แทน ไหนๆมึงก็มองไม่เห็นแล้ว คงจำไม่ได้สินะว่ากูหล่อแค่ไหน

Porshe : กูจำกระเป๋าของมึงได้

ตอแหล! มึงเคยเห็นกระเป๋าของกูตอนไหนไม่ทราบ

TheWinner : ทำไมไม่เข้ามาทักล่ะ

Porshe : มึงแอบนอกใจกู

ฮะ! ผมถึงกับหน้าเหวอเมื่อเห็นข้อกล่าวหาจากพี่พอร์ช ถึงผมจะเจ้าชู้แต่สาบานเลยว่าตั้งแต่คุยกับเขา ผมก็ไม่เคยคุยกับคนอื่นเลย

TheWinner : กูไปทำแบบนั้นตอนไหน

Porshe : มึงกอดผู้ชายคนอื่นในโรงอาหาร

ผมเนี่ยนะ กอดผู้ชายในโรงอาหาร?

Porshe : ถึงกูจะไม่ใช่แฟนมึง แต่คิดบ้างมั้ยว่ากูไม่ชอบที่มึงใกล้ชิดกับคนอื่นแบบนี้

ครับๆ กูทราบแล้วครับว่ามึงหึง นับว่าดีแล้วที่มึงรู้สึกแบบนี้ แต่พี่พอร์ชครับ นอกจากไปแดกข้าวกับไอ้แว่น มีปลอบโยนกันเล็กน้อยตอนที่ไอ้แว่นมันงอน กูก็ไม่ได้สัมผัสผู้ชายคนอื่นเลยครับ ขนาดตอนที่จ่ายเงินค่าข้าว กูยังเลือกจ่ายกับป้าแก่ๆเลย ถูกมือกันแค่สองวิเอง แล้วนี่มึงกำลังหึงส้นตีนอะไรอยู่ไม่ทราบ

TheWinner : มึงหมายถึงคนที่กูไปกินข้าวด้วยเหรอวะ

Porshe : แล้วมึงมีคนอื่นอีกเหรอ

โห ไรว้า…แต่ผมนึกออกแล้ว เดาว่าพอร์ชน่าจะมาเห็นฉากที่ผมโอบไอ้แว่นแล้วให้มันซบไหล่นั่นแหละครับ จะว่าไปก็แลดูมีซัมติงจริงๆว่ะ กูไม่โทษมึงแล้วพอร์ช

TheWinner : เดี๋ยวๆ นั่นเพื่อนกู แล้วกูก็กอดกันแบบมิตรภาพไม่ได้พิศวาสเลย

Porshe : แล้วทำไมต้องกอด

TheWinner : เพื่อนกูมันงอน กูก็เลยกอดมันเป็นการปลอบโยนเข้าใจมั้ย

Porshe : ไม่เข้าใจ ไม่เคยปลอบเพื่อนแบบนี้

เพื่อนคนอื่นกูก็ไม่กอดแบบนี้หรอก แต่นี่ไอ้แว่นไง มันคือบุคคลดราม่าแห่งปี  กูจึงจำเป็นมากๆที่ต้องกอดมันนะครับ

TheWinner : นั่นเพื่อนจริงๆ ตอนนี้กูชอบมึงคนเดียวนะพี่พอร์ช

ผมพยายามอธิบาย คิดว่าถ้าหมอนี่พูดไม่รู้เรื่องผมจะโทรไปอ้อนให้สิ้นเรื่องสิ้นราวซะเลย กูชอบมึงมากขนาดนี้ จะมีปัญญาไปสนใจผู้ชายหน้าไหนอีกครับ

Porshe : กูเชื่อมึง

อ้าว เชื่อคนง่ายไปอีก อย่างนี้กูก็อดออดอ้อนมึงเลยสิพอร์ช

Porshe : กูไม่มีสเปค กูแค่อยากได้คนที่รักและซื่อสัตย์กับกู

TheWinner : แปลว่ามึงโดนแฟนนอกใจบ่อยอ่ะดิ

Porshe : อืม พอให้คำว่าเชื่อใจไปทีไร กูโดนสวมเขาทุกที มึงว่ากูโง่มั้ย

TheWinner : ไม่หรอก คำว่าเชื่อใจให้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้ามีชู้แล้วจับไม่ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าจับได้ก็เลิกทันที

ผมซีเรียสเรื่องการนอกใจมากที่สุดครับ ถ้าอยากคบเล่นๆสนุกๆก็ให้บอกกันตั้งแต่แรก แต่ถ้าคิดจะจริงจังแล้วสุดท้ายกลับนอกใจ สำหรับผมไม่มีคำว่าให้อภัย

Porshe : แล้วมึงเคยมีชู้มั้ย

TheWinner : ถ้ากูเคยมี กูจะบอกมึงเหรอ

Porshe : เอาเป็นว่ากูจะเชื่อที่มึงบอกละกัน

TheWinner : ไม่เคย

ผมพิมพ์ตอบข้อความของพอร์ชก่อนจะชะงัก จู่ๆผมก็รู้สึกกังวลเมื่อคิดว่าเขาอาจจะมองว่าผมเป็นคนดี เชื่อใจได้ แล้วก็น่าคบหา ทั้งที่จริงแล้วผมไม่ได้ดีแบบนั้น

ตั้งแต่คุยกันมาผมพอจะวิเคราะห์ลักษณะนิสัยคร่าวๆของพอร์ชได้ว่า เขาเป็นคนตรงๆ ชัดเจน คบใครก็คบทีละคน รักทีละคน แต่ที่ทำให้ผมปวดหัวอยู่บ่อยๆคือความปากร้าย กวนตีน แล้วก็ความคิดติสท์แตก อย่างเช่นเขาคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกต้องและดีที่สุดแล้ว เขาก็จะทำสิ่งนั้นต่อไป โดยที่โนสนโนแคร์ความเห็นจากทุกคน

TheWinner : ที่จริงแล้วกูเคยมีแฟนแค่หนึ่งคน ที่เหลือก็เป็นพวกคนคุย หรือไม่ก็พวกที่เอากันแก้เหงาเฉยๆอ่ะ

ผมสารภาพตรงๆ ถ้าเขารับอดีตของผมไม่ได้ เราก็จบกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าให้เขาคบกับผม แล้วรู้ว่าผมไม่ได้ดี ไม่ได้สะอาดอย่างที่เข้าใจ

TheWinner : ทำไมเงียบ ตกใจเหรอที่กูเป็นคนแบบนี้

หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะขณะพิมพ์ประโยคคำถาม ผมรู้สึกกลัวอดีตของตัวเอง กลัวว่ามันจะทำให้ผมเริ่มต้นใหม่กับใครไม่ได้อีก

Porshe : เปล่า

จริงๆแล้วผมคาดหวังในคำตอบของเขามาก ผมอยากให้เขาบอกกับผมว่าไม่เป็นไร พวกเราจะเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน

Porshe : เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่ามึงเป็นพวกรักสนุกไม่ผูกพัน

TheWinner : แล้วทำไมยังแอดไลน์มา

Porshe : มันคืออดีตไม่ใช่เหรอ หรือว่าปัจจุบันมึงยังทำตัวแบบนั้นอยู่?

TheWinner : ไม่ทำอีกแล้ว

ผมสัญญาว่าถ้าพอร์ชเลือกผม ผมจะหยุดที่เขา

Porshe : กูไม่แคร์หรอกว่ามึงจะผ่านอะไรมา

ผมรู้สึกว่ากระบอกตากำลังร้อนผ่าว พอร์ชแม่งทำผมใจกะเทยอีกแล้วอ่ะ

TheWinner : เพราะมึงดีแบบนี้ไงพี่พอร์ช เลยโดนสวมเขา

Porshe : งั้นมึงก็รักษากูไว้ดีๆสิ

ผมเงยหน้ามองเพดานสีขาว หวังว่าน้ำตาจะไม่ไหลออกมาให้ขายหน้าตัวเอง ผมดีใจโคตรๆเลย รู้สึกดีมากๆที่ได้บอกเล่าอดีตของตัวเองให้พอร์ชรับรู้ เมื่อได้บอกความจริงไปแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าเขาจะได้ยินเรื่องไม่ดีของผมมาจากคนอื่น เพราะเขารับได้ที่ผมเป็นผม

TheWinner : แน่นอน มึงต้องเป็นของกูแล้วแหละ

นาทีนี้ผมไม่แคร์เรื่องหน้าตาของเขาอีกต่อไปแล้ว ต่อให้เขาไม่หล่อ ไม่รวย ผมก็ปล่อยเขาไปให้คนอื่นไม่ได้






ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 28/08/2562 [บทที่6]
«ตอบ #14 เมื่อ28-08-2019 15:47:48 »

บทที่ 6 คนขวางโลก

 

ผมมาถึงร้านสบายเวลา 17.10 น. ที่จริงแล้วผมตั้งใจมาช้ากว่าเวลานัดเพราะไม่ต้องการเข้าไปนั่งรอฉัตรด้านใน คิดดูนะครับ ถ้าผมเข้าไปใช้โต๊ะใช้แอร์ในร้านสบายแล้วไม่สั่งอะไรเลย เจ้าของร้านจะถีบผมออกมาหรือเปล่า คือผมก็ไม่อยากทดลองด้วยไง เกรงว่าจะได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์มหาลัย อย่างน้อยก็ต้องสั่งเครื่องดื่มสักแก้วใช่มั้ยล่ะ แล้วเงินค่าข้าวมื้อเย็นของผมก็จะหายไปทันที ผมว่าเก็บเงินไว้กินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวดีกว่า แม่งไม่ใช่เรื่องอะไรของผมเลยที่ต้องมาเสียเงินในเรื่องแบบนี้

ผมผลักประตูกระจกเข้าไปในร้านสบาย กวาดสายตามองผ่านๆหนึ่งรอบก็สามารถสังเกตเห็นฉัตรได้ไม่ยาก แน่นอนว่าเป็นเพราะหน้าตาที่โดดเด่นเป็นสง่าทำให้ผมมองข้ามไปไม่ได้เลย ฉัตรนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมร้าน มีกาแฟเย็นที่ยังเต็มแก้วอยู่เหมือนเดิมวางอยู่บนโต๊ะ ขอเดาว่าผมคงไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานเกินไป

ผมเดินตรงเข้าไปหาฉัตรแล้ววางสมุดปกหนังสีดำลงบนโต๊ะ เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรผมก็ชิงตัดบทซะก่อน

“ไปล่ะ”

“เดี๋ยว!”

ผมหมุนตัวแล้วเตรียมพุ่งไปที่ประตู แต่กลับต้องเบรคกะทันหันจนหน้าเกือบทิ่มเพราะเสียงเรียกของฉัตร…อย่านะเว้ย อย่าชวนกูเสียเงินนะ กูจะไปกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว

“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”

โอเค งั้นกูนั่ง! ทำตัวแบบนี้ค่อยน่าคบหา

สาบานว่าผมไม่ใช่คนใจง่าย แค่เป็นคนเห็นแก่ของฟรีเท่านั้นเอง มันช่วยไม่ได้จริงๆที่พ่อกับแม่ไม่มีค่าขนมพิเศษให้ผม ผมได้รับเงินเป็นรายเดือน ถ้าใช้หมดก็คือหมด เงินไม่พอก็อดข้าวอดขนมไปตามยถากรรม ไม่ใช่ว่าครอบครัวของผมขัดสนนะครับ แต่เป็นเพราะว่าพ่อต้องการสั่งสอนเรื่องการใช้จ่ายอย่างประหยัด ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจำหรอก อดข้าวทุกสิ้นเดือนเป็นประจำและช่วงนี้ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้วด้วย ผมก็ใกล้สิ้นใจเหมือนกัน

“ขอเมนูด้วยครับ”

ผมหันไปบอกพนักงานสาวที่รีบเดินไปหยิบเมนูแล้วเข้ามารับออเดอร์…มึงบอกจะเลี้ยงเองน้าฉัตรเพราะงั้นกูไม่เกรงใจละ

“อยากกินอะไรสั่งเลย”

ฉัตรเอ่ยกับผมเรียบๆ จากสีหน้าของหมอนี่ ผมเดาไม่ได้เลยว่าเขาจำผมได้หรือว่าไม่ได้ โคตรไร้ความรู้สึกเลยอ่ะ แต่ช่างมันเถอะนาทีนี้สนใจของฟรีดีกว่า

“เอาข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มไส้อั่วหนึ่งที่ครับ”

ผมสั่งอาหารแล้วส่งเมนูให้ฉัตร แต่เขากลับส่ายหน้าแล้วหันไปสั่งอาหารกับพนักงานทันที

แหม ท่าจะมาบ่อยล่ะซิ แล้วดูเมนูอาหารของคุณชายเขานะ คนละสไตล์กับผมเลย

“ข้าวผัดอเมริกัน”

“เอาน้ำอะไร”

ฉัตรถาม นี่เขาใจดีขนาดเลี้ยงน้ำผมด้วยเหรอ ดีครับดี วินไม่เกรงใจอยู่แล้ว

“ชาเขียวไม่ปั่นครับ” ชาเขียวร้านสบายรสชาติดีจริงๆ ถ้าใครมีโอกาสขับรถผ่านมาแถวมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน เชิญแวะเข้ามาชิมได้ ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ แค่อยากแนะนำอ่ะ

“ขออนุญาตทวนรายการอาหารค่ะ มีข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มไส้อั่ว ข้าวผัดอเมริกันและชาเขียวเย็นนะคะ”

พนักงานสาวทวนรายการอาหารตามหน้าที่ แต่สายตาเจ๊อ่ะ เอาแต่เหลือบไปมองหน้าฉัตร คือหันมามองหน้าผมบ้างก็ได้ มั่นใจว่าหล่อเหมือนกันครับ

“ครับ” ฉัตรรับคำส่งๆโดยที่ไม่ได้เหลือบแลพนักงานสาวเลย หลังจากที่เธอเดินจากไปเขาก็หันมาคุยกับผม

“รู้จักกูเหรอ”

“ทำไมคิดงั้น” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ตอนที่เข้ามาในร้าน มึงเดินตรงมาหากูเลย”

อ้าวเหรอ กูเห็นมึงนั่งก้มหน้าเล่นไอโฟนก็คิดว่าไม่เห็นซะอีก

“มีใครไม่รู้จักคนดังของมหาลัยอย่างมึงบ้างล่ะ”

ผมให้คำตอบเป็นคำถาม เดาว่าฉัตรคงจำเรื่องที่เราคุยกันครั้งแรกไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละมันไม่ได้น่าจดจำอะไรเลย หลังจากที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟผมก็ไม่รอให้ใครมาเรียนเชิญ รีบคว้าช้อนแล้วยัดอาหารใส่ปากอย่างรวดเร็ว โคตรหิวเลย แถมอร่อยขนาดนี้ วินเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยครับแม่

“หิวเหรอ”

“อืม”

ผมครางในลำคอเพราะข้าวที่อัดแน่นอยู่ในปาก ผมกลืนอาหารลงคอเป็นคำสุดท้ายก่อนจะคว้าชาเขียวเย็นมาดูด รู้สึกถึงความโชคดีขึ้นมาเลย เป็นเพราะสมุดของฉัตรแท้ๆทำให้ผมประหยัดค่าอาหารไปอีกหนึ่งมื้อ

“ชอบกินอาหารเหนือ?”

ฉัตรถาม เขาวางช้อนกับส้อมทั้งที่ยังกินอาหารไม่หมดจาน ไม่รู้ว่าหมอนี่กินน้อยหรือว่าอาหารไม่ถูกปาก ตัวก็ออกจะใหญ่โต แต่กินเท่าแมวดม เห็นแล้วเสียดายชะมัดเลย

“เปล่า ชอบอาหารที่มันไม่เลี่ยน”

ในตอนที่พวกเราเดินออกมาจากร้านสบายเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ถนนแถวนี้กำลังคึกคักไปด้วยนิสิตที่ออกจากหอพักมาหามื้อเย็นกินกับเพื่อนๆ ต่างจากผมที่ชอบกินมื้อเย็นคนเดียว

อย่างแรกเลย ผมสามารถเลือกอาหารที่อยากกินได้โดยไม่ต้องถามความเห็นจากคนอื่น อย่างที่สอง สำคัญมาก ผมชอบกินมื้อเย็นหลายอย่างและกินช้าๆพลางดูยูทูปหรือดูหนังออนไลน์ไปด้วย ซึ่งกว่าจะกินข้าว กินขนม กินผลไม้เสร็จก็ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงกว่า ถ้าผมกินข้าวเย็นกับคนอื่นมีแต่โดนด่ากับด่าเท่านั้นแหละครับ

อย่างตอนที่กินข้าวกับฉัตร ผมรีบกินโดยที่ไม่พูดไม่จาเลย สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะว่าผมไม่อยากใช้เวลาอยู่กับคนที่ไม่สนิทนานๆ มันจะดีกว่าถ้าผมรีบกินแล้วรีบกลับไปนอนตีพุงที่หอ

“จะไปไหนต่อ”

“กลับหอ”

ผมตอบขณะมองหามอเตอร์ไซค์รับจ้าง จริงๆแล้ว จากตรงนี้ผมสามารถเดินกลับหอได้โดยใช้เวลาแค่สิบถึงสิบห้านาทีเท่านั้น แต่ตอนนี้ผมอิ่มและเริ่มขี้เกียจแล้วครับ

“กลับยังไง” ฉัตรถาม ไม่รู้ว่าหมอนี่จะถามไปทำไม จะไปส่งกูหรือไงครับ

“วินมอไซค์”

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ดี” ผมขยับยิ้ม ไหนๆมึงก็เลี้ยงข้าวกูแล้ว จะเพิ่มบริการขับรถไปส่งแค่ห้าหรือสิบนาทีไม่ใช่เรื่องใหญ่ มึงควรทำแบบนี้ ถูกแล้วครับ กูจะมองมึงในแง่ดีขึ้นมาอีกสักสิบเปอร์เซ็นนะ

“ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร”

เออ เรื่องของมึงเลยครับ

ผมเดินตามฉัตรไปที่ลานจอดรถยนต์ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นรถที่หมอนี่ขับมา ผมพอจะได้ยินมาบ้างนะว่าครอบครัวของเขารวยมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าเอาปอร์เช่พานาเมร่าสีแดงปี 2016 มาขับในมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด คือคนแถวนี้เขาไม่ทำตัวไฮโซขนาดขับรถเก๋งสี่ประตูราคาเหยียบยี่สิบล้านกันนะฉัตร มึงควรขายรถคันนี้แล้วไปซื้อฮอนด้าซีวิกอ่ะเข้าใจปะ

“มีอะไร”

ฉัตรถามเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของผม ห่าเอ๊ย มึงรู้มั้ยว่ากูไม่เคยเห็นปอร์เช่ใกล้ๆขนาดนี้มาก่อน แล้วอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า กูก็กำลังจะได้เข้าไปนั่งในรถหรูของมึงเลยนะ ให้เวลากูตื่นเต้นแป๊บนึงดิวะ

“รถสวย”

ผมตอบขณะพยายามเก็บอาการอยากลงไปดิ้นกับพื้น แต่ไหนๆก็ได้เห็นปอร์เช่พานาเมร่าจอดอยู่ตรงหน้าแล้ว โอกาสแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะงั้นกูขอสำรวจด้านนอกตัวรถหน่อยละกัน

ผมเดินวนไปวนมารอบตัวรถ เอ…จะว่าไปก็คุ้นๆเหมือนกันนะ ผมว่ารถคันนี้เหมือนรถที่ไอ้พี่พอร์ชใช้เป็นรูปโปรไฟล์เลยอ่ะ รุ่นเดียวกันชัดๆเลย

“ของมึงเหรอ”

ผมถาม มันคงเป็นความบังเอิญเกินไปที่คนสองคนซึ่งเรียนคณะและชั้นปีเดียวกัน แล้วยังจะใช้รถนอกเหมือนกันอีก เชื่อผมดิว่า รถรุ่นนี้มีแค่ฉัตรคนเดียวที่กล้าขับมาเรียน มันไม่น่าซ้ำกับรถของชาวบ้านแล้วอ่ะครับ ส่วนรูปโปรไฟล์ของไอ้พี่พอร์ชก็เป็นไปได้ว่าก็อปภาพมาจากอินเทอร์เน็ตเพราะเห็นว่าสวย อืม เป็นไปได้ๆ

“เปล่า ยืมคนอื่นมา”

จริงดิ ใครมันใจดีให้ยืมวะ กูจะไปขอเช่ามาขับโชว์ผู้ชายหนึ่งวัน

“หออยู่ไหน”

ฉัตรถามเมื่อผมเปิดประตูเข้ามานั่งบนเบาะข้างคนขับ ตัวเกร็งเลยกู กลัวว่าจะทำรถของเขาเปื้อน ผมไม่มีปัญญาชดใช้ใดๆทั้งสิ้น ให้ตายสิ เพิ่งรู้ว่าการนั่งรถปอร์เช่ทำให้หายใจไม่สะดวกแบบนี้ อ๊ากก กูจะตายก่อนถึงหอมั้ยนะ

“ซอยประตูห้า”

“อยู่กับใคร”

ผมหันไปมองหน้าฉัตรเมื่อได้ยินคำถาม เอ่อ ไม่ได้ฟังผิดใช่ปะ เขาถามผมว่าอยู่กับใคร?

“ฮะ”

ไม่ได้หูตึงนะเว้ย แค่ไม่แน่ใจในคำถาม

“ถามว่าอยู่หอกับใคร”

อ๋อ กูฟังถูกแล้ว แต่มึงอ่ะเป็นใคร สนิทกับกูเหรอ

“คนเดียว”

ฉัตรใช้เวลาเพียงห้านาทีในการขับรถมาส่งผมที่หอพักชายล้วน ที่ผมตัดสินใจอยู่ที่นี่เป็นเพราะว่าผมรำคาญเสียงของผู้หญิงบางคนที่ชอบดูซีรีย์ตอนกลางคืนแล้วส่งเสียงกรี๊ดๆแบบไม่เกรงใจเลยว่ากูไม่ดูเรื่องเดียวกับมึง อีกอย่างห้องข้างๆไม่สามารถพาเมียมาเอาที่หอได้ ที่นี่คือเขตปลอดผู้หญิง ผมไม่ต้องทนฟังเสียงครางอื้อๆอ้าๆของใครทั้งนั้น สบายหูดีเหลือกัน อาจจะมีนานๆครั้งที่คนในหอพักชวนเพื่อนมาเชียร์บอล แต่ไม่บ่อยนักหรอกผมเลยทนได้

“ไปจอดข้างในเลยจะได้กลับรถด้วย”

หอพักของผมมีตึกสองหลัง คือตึกหน้าและตึกหลัง ผมพักอยู่ด้านหลังเพราะสงบกว่าด้านหน้าที่ติดถนน

“วิน”

ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถ

หา! หมอนี่จำผมได้ เขาเรียกชื่อผมด้วยว่ะ

“ขอบใจ”

เฮ้ย! คนอย่างฉัตรชนกเนี่ยนะขอบใจผม ไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย ไอ้คุณชายหัวสูงตัวร้ายขอบใจคนอื่นเป็นด้วยอ่ะ ฮืออออ ปลื้มปริ่ม โลกใกล้แตกหรือยังครับ

“มึงจำกูได้เหรอ”

ผมถามด้วยความแปลกใจ หลังจากวันที่ฉัตรถามชื่อของผม เขาก็ไม่ได้แวะมาหาที่คณะหรือยกพวกมากระทืบ จนผมคิดว่าเขาอาจจะลืมไปแล้ว

“กูไม่ได้สมองเสื่อม ทำไมจะจำมึงไม่ได้”

ไอ้ห่า! ชื่นชมได้ไม่ถึงสองวิเป็นต้องกวนตีนกูนะ

“เรื่องผ้าเช็ดหน้าของมึงอ่ะ คราวหน้าจะพาไปซื้อใหม่”

โฮ้ กูควรซาบซึ้งมั้ย!

หลังจากวันที่ฉัตรทำผ้าเช็ดหน้าของพายุเปื้อนรอยตีน ผมก็ต้องนำมันกลับไปซักอย่างจำใจ แล้วกลิ่นหอมๆของคนน่ารักที่ผมเฝ้าถนอมก็หายวับไปเลย แล้วการที่มึงอยากรับผิดชอบด้วยการซื้อผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ที่ไม่มีกลิ่นของพายุให้กู ก็อย่าลำบากเลยครับ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

“ไม่ต้อง กูไม่อยากได้ผืนใหม่”

“ทำไม”

ฉัตรถามเสียงแข็ง ผมว่าคุณชายเขาเอาแต่ใจระดับหนึ่งเลยครับ แต่ผมไม่แคร์อ่ะ เรื่องของกูมั้ย กูบอกว่าไม่อยากได้ไง

“แล้วมึงล่ะ ทำไมอยากซื้อให้กูใหม่”

ผมย้อนถาม สาบานว่ามึงรู้สึกผิดจริงๆ?

“กูทำมันเปื้อน”

“มึงเพิ่งคิดได้เหรอ”

“เปล่า”

ดีครับดี คำตอบสมเป็นคุณฉัตรชนกคนคูล

“ถ้าเป็นคนอื่นกูไม่พาไปซื้อหรอก”

กูเชื่อครับ งั้นกูต้องดีใจถูกมั้ย

“แต่ถ้าเป็นมึงกูอยากซื้อให้ใหม่”

“มึงเลี้ยงข้าวกูแล้ว ถือว่าหายกัน เรื่องนั้นกูไม่ได้คิดมาก แต่คราวหน้าจะทำอะไรก็คิดถึงใจของคนอื่นบ้าง”

ผมปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเปิดประตูรถ แต่ยังไม่ทันก้าวขาลงไปผมก็ต้องชะงักเพราะแขนที่ถูกดึงไว้จากใครอีกคน

“แล้วทำไมกูต้องคิดถึงใจคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตกูด้วยล่ะ”

“โว้ย มันก็เป็นแค่มารยาทพื้นฐานของคนในสังคมอ่ะ มึงแคร์คนรอบข้างบ้างจะทำให้ตายเร็วหรือไง”

ผมขมวดคิ้วแล้วตะโกนใส่หน้าของคุณชาย หมอนั่นทำหน้าอึ้งไปเลย แต่เรื่องของมึงเลยครับ เจอกันคราวหน้าไม่ต้องเข้ามาทักนะ กูเกลียดขี้หน้า นอกจากหล่อแล้วไม่มีเชี่ยไรดีเลยนะ ผมก้าวลงจากรถแล้วกระแทกประตูปิดตามหลัง ขออย่าให้เจอหมอนี่อีกเลย วินเซ็ง!


 


 

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 28/08/2562 [บทที่6]
«ตอบ #15 เมื่อ29-08-2019 11:49:10 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
«ตอบ #16 เมื่อ02-09-2019 17:25:49 »


บทที่ 7 ของใครใหญ่

สัปดาห์แห่งการสอบมิดเทอมทำให้ผมจำเป็นต้องห่างจากพอร์ชอย่างช่วยไม่ได้ ที่มหาวิทยาลัยของผมจะหยุดทำการเรียนการสอนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนการสอบเพื่อให้นิสิตได้อ่านหนังสือ

พอร์ชบอกกับผมว่าเขาจำเป็นต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพราะอยากให้เกรดในปีสุดท้ายออกมาดีที่สุด เขาดูเป็นพวกเรื่อยๆเฉื่อยๆในความคิดของผม แต่จะว่าไปแล้ว ผมคิดว่าเขาจริงจังในเรื่องเรียนและมีความรับผิดชอบในเรื่องเรียนมากกว่าผมหลายเท่าเลย

ช่วงแรกๆพอร์ชยังส่งข้อความมาหาผมทุกวัน เป็นข้อความสั้นๆในเชิงให้กำลังใจหรือบ่นว่าคิดถึงซึ่งมันทำให้ผมยิ้มเหมือนคนบ้าได้ทั้งวัน แต่พอเข้าช่วงสัปดาห์สอบพอร์ชก็เงียบหายไป ผมส่งข้อความไปหาเขาก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง บางครั้งก็อ่านแล้วไม่ตอบ ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงจะเครียดหรือกำลังยุ่งกับการติวหนังสือกับเพื่อน จนกระทั่งสอบเสร็จก็ยังไร้วี่แววว่าเขาจะกลับมาคุยกับผมเหมือนเดิม นั่นทำให้ผมเข้าสู่สภาวะโดดเดี่ยวอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้พอร์ชจะทำให้ผมสาหัสกว่าคนอื่นๆ

“โดนเทมาอีกแล้ว?”

ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินประโยคส้นตีนที่ดังมาจากไอ้ไวท์ รู้สึกมั้ยครับว่าประโยคแบบนี้มันคุ้นๆ เช่นเดียวกับเหตุการณ์คุ้นๆที่ผมได้กลับมานั่งอยู่ในผับ Eros แล้วกรอกวอดก้าลงคอเป็นการย้อมใจ

“มึงเห็นกูเป็นพญานกเหรอเพื่อนไวท์ แค่กูชวนมาดื่ม ทำไมต้องคิดว่ากูโดนเทด้วยวะ”

ผมชวนไอ้ไวท์กับไอ้ธามมาเที่ยวผับหลังจากที่ไม่ได้ก้าวเท้ามาแรดที่นี่ถึงหนึ่งเดือน พอร์ชช่วยให้ผมประหยัดเงินค่าเหล้า แถมยังทำให้ตับของผมได้พักผ่อน ตอนที่คุยกับเขาผมไม่เคยต้องการแอลกอฮอล์หรือแสงสีเสียงเลย แต่จู่ๆเมื่อเขาหายไปผมก็ได้แต่พาตัวเองกลับมาใช้ชีวิตที่จุดเดิมอีกครั้ง

“หรือไม่จริง?”

ไอ้ไวท์ถามเรียบๆ ผมเคยบอกมั้ยว่าไอ้ห่านี่มันเป็นพวกวิเคราะห์ลักษณะนิสัยและความคิดของคนรอบข้างได้ทะลุปรุโปร่งจนน่าขนลุก แค่ผมทำหน้าเป็นหมาถูกทิ้งมันก็สามารถบอกได้แล้วว่าผมถูกใครทิ้ง

“จริง”

ผมยอมรับ อย่าโกหกคนอย่างไอ้ไวท์เลยครับเสียเวลาเปล่า

“พวกมึงมีใครรู้จักคนชื่อพอร์ชมั้ยวะ”

ไอ้ห่าพอร์ชก็อีกคน ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าถ้ารู้สึกไม่โอเคกับผมเมื่อไรก็ขอให้บอกกันตรงๆ หายไปเฉยๆแบบนี้ผมคิดมากนะเว้ย อยากจะตามไปเค้นคอถามที่คณะก็ติดว่าไม่เคยเห็นหน้า ผมทั้งโมโห ทั้งเป็นห่วง กังวลว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุกับเขา เพราะลึกๆแล้วผมยังเชื่อว่าพอร์ชเป็นคนชัดเจน

“ไม่”

ไอ้ไวท์ตอบสั้นๆ

“แล้วมึงอ่ะ”

ผมยื่นมือไปสะกิดแขนไอ้ธามที่เอาแต่หันไปส่องหญิงโต๊ะข้างๆ ห่ารากจริงวะ มีผัวแล้วไม่เจียมเลยนะมึง

“รู้จักพอร์ชมั้ย”

“กูไม่เคยมีเพื่อนชื่อพอร์ช”

ไอ้ธามตอบส่งๆ ทั้งที่ไม่ยอมละสายตาจากสาวสวยในชุดแหวกอกลายเสื้อดาว คือมึงช่วยเก็บอาการหน่อยได้มั้ยเพื่อน น้ำลายมึงจะย้อยมาถึงพื้นแล้วครับ สภาพดูอดอยากปากแห้งมาก สงสัยว่าผัวจะเลี้ยงไม่ดี

“ไม่ต้องเป็นเพื่อนก็ได้ แค่คนรู้จักละ มีมั้ย”

“ไม่”

“คิดดีๆหน่อยดิวะ”

โอ๊ย!!!

ไอ้ธามร้องเสียงหลงเมื่อผมเอื้อมมือไปกระชากศีรษะของไอ้เพื่อนรักให้หันมาหา ต้องให้กูใช้ความรุนแรงตลอด

“ไอ้เชี่ยนี่! ก็กูบอกอยู่ว่าไม่รู้จักคนชื่อพอร์ช”

ไอ้ธามโวยวายแล้วยกมือลูบศีรษะของตัวเองปรอยๆ ไม่ต้องมาทำตาขวางใส่เลย กูจะฟ้องไอ้ทีนว่ามึงมันแรด

“พอร์ชแอดไลน์กูมา ไลน์ที่มึงสะเออะเอาไปแจกในเฟสแล้วก็แท็กกูกับไอ้ไวท์อ่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อนมึงแล้วจะเพื่อนใครได้อีกวะ”

ถ้าไอ้ไวท์มันบอกว่าไม่รู้จัก ก็คือไม่รู้จักจริงๆครับ แต่ไอ้ธามนี่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะสมองมันน้อย ชื่อเพื่อนในสาขามันจำได้ทุกคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วจะให้มันจำชื่อเพื่อนในเฟสได้ยังไง

“มึงก็ถามไอ้ไวท์มันบ้างสิ ถามแต่กูอยู่ได้…เพื่อนมึงเปล่าไวท์”

ไอ้ธามหันไปถามไอ้ไวท์ คือมึงไม่ได้ฟังที่มันตอบว่า ‘ไม่’ ก่อนหน้านี้เลยใช่มั้ยฮะ คือกูก็เหนื่อยใจแทนมึงจริงๆนะไวท์ มึงเรียนกับมัน เจอหน้ามันทุกวันมึงรู้สึกยังไงบ้างวะ

“อยู่คณะอะไร เผื่อเป็นเพื่อนของเพื่อน”

ไอ้ไวท์ไม่ได้สนใจไอ้ธาม แต่หันมาย้อนถามผม

“บริหารปีสี่”

เท่าที่ผมรู้มีแค่นี้จริงๆ ตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่เราคุยกันทุกวัน ไม่ได้ทำให้ผมรู้จักพอร์ชดีขึ้นเลย

“กูไม่แน่ใจ แต่มีเพื่อนอยู่บริหารปีสี่ แล้วจะถามให้ละกัน”

“เออ ขอบใจ”

ผมถอนหายใจด้วยความปลงตก พอร์ชเหมือนสายลมสำหรับผม อยู่รอบๆตัวตลอดเวลาแต่จับต้องไม่ได้…บางครั้งเขาทำให้ผมเย็นสบาย แต่บางครั้งกลับทำให้ผมเหน็บหนาว

“ชอบมากเลยเหรอ”

ไอ้ไวท์ถาม ผมรู้ว่ามันหมายถึงพอร์ช

“รู้ได้ไงว่ากูชอบมาก” ผมย้อนถาม ขนาดผมยังไม่แน่ใจเลยว่าชอบพอร์ชมากแค่ไหน รู้แค่ว่า…ชอบมากกว่าหลายคนที่ผ่านมา

“ถ้าไม่ชอบมึงคงไม่พยายามตามหาแบบนี้ แค่หาคนใหม่ ไม่ง่ายกว่าเหรอ”

นั่นสิ แค่หาคนใหม่คงง่ายกว่าการตามหาคนที่ไม่เคยเห็นหน้า…เพียงแต่คนที่ไม่เคยเห็นหน้ามันเสือกเสน่ห์แรงทะลุจอไอโฟน ไม่รู้ว่าพอร์ชเล่นของอะไรใส่ผม แต่ผมติดใจแบบบอกไม่ถูก

“นั่นไอ้เฟย์ปะ ไอ้เฟย์!”

เสียงตะโกนของไอ้ธามทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ผมกับไอ้ไวท์หันไปมองตามสายตาของมันก็เห็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางงงๆ ผมเดาว่าหมอนั่นชื่อเฟย์

“อยู่นี่ มองไปไหนของมันเนี่ย” ไอ้ธามพยายามโบกมือเรียกร้องความสนใจ แต่หมอนั่นก็ไม่ยอมหันมาทางนี้เลย

 “เชี่ยเฟย์!”

ไอ้ธามตะโกนเรียกโดยเติมคำนำหน้าชื่อแสนสุภาพเข้าไปทำให้เจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้งแล้วหันขวับมาทางโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่

“ไงพวกมึง”

เฟย์เอ่ยทักทาย แล้วถือวิสาสะเดินมานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับผม ทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ หมอนี่เป็นคนที่หล่อมากแต่ไม่คุ้นหน้าเลย ผมแน่ใจว่าไม่เคยเห็นรูปของเขาในเพจ Cute Boy หรือ Sexy Boy

เฟย์เป็นผู้ชายผิวขาว ผมสีดำ บุคลิกและน้ำเสียงดูเป็นพวกมึนๆหรือไม่ก็เรื่อยเฉื่อย ไม่มีพิษมีภัยต่อโลก ตรงจุดนี้คงทำให้หน้าตาหล่อๆของเขาดึงดูดเพศตรงข้ามได้ไม่มากพอ มันเป็นความราบเรียบที่ชวนให้สบายใจ พอได้มองนานๆแล้วผมคิดว่าหน้าตาของหมอนี่ให้ความรู้สึกว่าไม่น่าเบื่อดีนะครับ เหมือนได้มองนกมองต้นไม้ มองเพลินๆสบายๆแบบนั้นอ่ะ

“ต้องให้กูสุภาพถึงจะหันมาได้เหรอฮะ”

ไอ้ธามเอ่ยถามกวนๆ เฟย์เพียงแค่หัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ ซึ่งท่าทางแบบนั้นมันดูกวนตีนไม่ใช่น้อยเลยครับ

“หวัดดี” เฟย์หันมาทักผมด้วยหน้าตามึนๆของเขาหรือว่าหมอนี่เมาแล้ววะ

“ดี” ผมทักตอบเรียบๆ

“นี่ใคร”

เฟย์หันไปถามไอ้ธามโดยชี้นิ้วมาที่ผม คือมึงถามกูก็ได้นะ กูพูดได้ครับ

“เพื่อนสมัยมัธยม ชื่อวิน” ไอ้ธามแนะนำผมให้เพื่อนของมันรู้จัก

“เฟย์”

เฟย์หันมาพูดกับผมสั้นๆ จะเรียกว่าประโยคแนะนำตัวเองยังไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าหมอนี่เป็นพวกขี้เกียจพูดหรือพูดน้อยกันแน่

“มึงมาทำไรวะ”

ไอ้ธามเอ่ยถามเฟย์

“กินนม”

“กวนตีน”

“รู้แล้วยังจะถาม”

เฟย์ยักไหล่ด้วยท่าทางมึนๆ คือผมไม่เคยเห็นใครกวนตีนคนอื่นได้น่ารักแบบหมอนี่มาก่อนเลย อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่นุ่มหูกับใบหน้าที่ดูไร้พิษสงนั่นล่ะมั้ง

“มากับใคร”

ไอ้ไวท์ถาม สรุปว่าเฟย์เป็นเพื่อนของมึงด้วยสินะ กูเห็นนั่งเงียบมานานก็คิดว่าไม่รู้จักกัน

“ไอ้ฉัตร”

ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบแก้ววอดก้า เฟย์คงไม่ได้หมายถึง ‘ฉัตรชนก’ ใช่มั้ย? ผมหวังว่าโลกมันคงไม่เล็กจนเกินไปนะ จากครั้งล่าสุดที่ผมได้คุยกับฉัตรและเหตุการณ์ที่น่าประทับใจก่อนหน้านั้น ทำให้ผมโคตรไม่อยากเจอหน้าเขาเลย ฉัตรแม่งเป็นคนที่คุยด้วยแล้วชวนให้ความดันขึ้นอ่ะครับ อารมณ์โมโหมันพลุ่งพล่านได้ดีเหลือเกิน

“มันนั่งไหน” ไอ้ไวท์ถาม

“ตรงนั้น”

เฟย์ชี้นิ้วไปทางบาร์เทนเดอร์ ผมเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำกำลังนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้ทรงสูง

ห่าเอ๊ย!

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจำแผ่นหลังของเขาได้ ลักษณะแบบนี้ต้องเป็นไอ้คุณฉัตรชนกไม่ผิดแน่ ม้ายยยยย มึงมาทำอะไรที่นี่ กูมาผับนี้เป็นปีๆแล้วไม่เคยเห็นหัวมึงมาก่อนนนนน!

“มานานแล้วเหรอ”

ไอ้ธามเอ่ยถาม แล้วมึงจะสนใจไปทำไมครับเพื่อน ใครจะมานานหรือไม่นานก็เรื่องของเค้าสิ มึงอย่าได้คิดจะชวนไอ้คุณชายมานั่งร่วมโต๊ะเด็ดขาด กูไม่มีอารมณ์ตบตีกับใคร

“เพิ่งมา”

“ไปชวนไอ้ฉัตรมานั่งด้วยกัน”

เชี่ย!

ผมได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ เชื่อแล้วครับว่าผมมันดวงซวย เข้าคติที่ว่าเกลียดอย่างไรได้อย่างนั้น เจริญจริงๆชีวิตกู อุตส่าห์ไม่ได้ออกมาเที่ยวตั้งนาน แต่พอมาเที่ยววันแรกในรอบหนึ่งเดือนเสือกเจอไอ้คุณชายซะงั้น

เฟย์ลุกจากโซฟาเพื่อไปตามฉัตรชนกมานั่งด้วยกัน เขาหายไปประมาณสองนาทีก่อนจะกลับมาพร้อมกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

“ไงมึง”

ฉัตรกวาดสายตามองพวกเราสามคนก่อนจะเอ่ยทักเรียบๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาที่เขามองผมเมื่อครู่มันดูเย็นชาเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ให้ตายสิ นี่มึงโกรธที่วันก่อนๆกูปิดประตูรถปอร์เช่แรงใช่มั้ยฮะ

“ไง”

ไอ้ธามทักตอบ แล้วขยับให้ฉัตรนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนเฟย์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับผม

“ไม่ได้เจอกันนาน มึงอ้วนขึ้นนะไวท์”

ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของฉัตร…ไอ้ไวท์มันอ้วนขึ้นเหรอวะ ผมไม่ทันสังเกต… ผมหันไปมองหน้าคนพูด คาดว่าฉัตรอาจจะล้อเล่น แต่ดูจากสีหน้าเฉยๆแล้ว ผมว่าฉัตรหมายความตามนั้น แต่ที่น่าแปลกคือประโยคคำพูดบ่งบอกว่าพูดกับไอ้ไวท์แท้ๆ แต่เสือกหันมามองหน้าไอ้ธามเฉยเลย ผมว่าหมอนี่เมาแล้วแหละ

“กูไม่ใช่ไอ้ไวท์ แล้วก็ไม่ได้อ้วนขึ้นด้วยโว้ย!” ไอ้ธามว่าเคืองๆ

จริงๆแล้วรูปร่างและส่วนสูงของไอ้ธามกับไอ้ไวท์ใกล้เคียงกันครับ จะต่างกันก็ตรงที่ไอ้ไวท์ชอบออกกำลังกายแต่ไอ้ธามไม่ชอบจึงทำให้กล้ามเนื้อของมันดูนุ่มนิ่ม ถ้าไอ้ธามโดนทักว่าอ้วนมันจะเคืองมากเพราะมันถือว่าน้ำหนักเท่าไอ้ไวท์ ซึ่งต่อให้น้ำหนักเท่ากันยังไงมึงก็ดูตันอยู่ดีอ่ะเพื่อน กูไม่อยากบอกความจริงข้อนี้เลย

“ไอ้ธามเหรอ”

คือมึงยังต้องถามอีกเหรอฉัตร ในผับไม่ได้มืดขนาดนั้นปะ

“มึงเมาแล้วเหรอฉัตร มึงแยกกูกับไอ้ไวท์ไม่ออกเหรอถามจริง ถ้ากูหล่อเท่ามันกูจะไม่ว่าเลย”

ไอ้ธามว่า กูรู้ว่ามึงขมขื่น ใครเป็นเพื่อนกับไอ้ไวท์ต้องราศีหม่นหมองทั้งนั้นแหละ ยิ่งพอมีคุณฉัตรชนกเข้ามานั่งรวมโต๊ะด้วยอีกคนยิ่งทำให้ผมไอ้ธามและเฟย์ดูจืดจางไม่ต่างจากอากาศ

เฮ้อ วินเศร้ามากเลยแม่ คือความหล่อของเพื่อนมันทำร้ายเราได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ

“เออ กูมึนนิดหน่อย”

ฉัตรตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆตามปกติ เพียงแต่ลดความเย็นชาลงมาเล็กน้อยถึงปานกลาง คือผมใช้การคาดเดาล้วนๆเลยนะ เพราะถ้าให้ดูจากใบหน้าที่กล้ามเนื้อตายด้านแล้ว มันไม่สามารถบอกได้เลยครับว่าเขาโกรธ ไม่โกรธ อารมณ์ดี หรือว่าหงุดหงิด

“ได้ข่าวว่ามีผัวแล้ว”

“แค่กๆ”

คำถามตรงๆของฉัตรทำให้ไอ้ธามสำลักเหล้าจนหน้าแดง ดีนะที่ผมแค่จิบวอดก้า ไม่งั้นได้สำลักไม่ต่างกัน ห่าฉัตรนี่ก็พูดจาตรงชิบหายเลย มึงไว้หน้าเพื่อนกูบ้างก็ได้ หรือจะเปลี่ยนคำถามเป็น ‘ได้ข่าวว่ามึงมีแฟนแล้ว’ หรือ ‘ได้ข่าวว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย’ น่าจะดีกว่ามั้ยฮะ

“ข่าวมึงผิดแล้ว ผัวที่ไหนนั่นเมียกูเถอะ”

ไอ้คนท่ามากรีบปฎิเสธ โถ่ พี่ธามคนแมน ตอนนี้มึงอาจโกหกได้ แต่ถ้าใครได้เห็นหน้าไอ้ทีน ต่อให้มึงไม่บอก กูก็รู้ว่าใครอยู่ข้างล่างใครอยู่ข้างบน

“เออ มึงเรียนบริหารปีสี่ใช่เปล่านะ” ไอ้ธามรีบเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“ใช่” เฟย์ตอบรับ

“รู้จักพอร์ชมั้ย” ผมหันไปมองหน้าไอ้ธาม…ทำดีมากเพื่อน กูคิดว่ามึงจะไม่สนใจกูแล้วซะอีก ซาบซึ้งมากเลย

“พอร์ชไหน”

“พอร์ชที่เรียนบริหารปีสี่” ไอ้ไวท์เสริม

“รู้จัก ทำไมอ่ะ”

คำตอบของเฟย์ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง รู้สึกว่าความหวังที่จะได้พบกับพอร์ชคงไม่ยากอย่างที่คิด

“เพื่อนกูมันชอบ” ไอ้ธามว่าแล้วพยักพเยิดมาทางผม ไอ้ห่านี่ ไม่ต้องประจานกูทุกเรื่องก็ได้นะ

“สนใจ โปรดใช้คำว่าสนใจ”

ผมรีบแย้งเรียกให้ฉัตรหันหน้ามามองผม ดวงตาสีดำสนิทของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังประเมินบางอย่าง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาไม่หันมาแลผมเลยด้วยซ้ำ

“กูอยากเจอพอร์ช” ผมแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน ส่วนเฟย์ก้มหน้าแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง

“จะบอกให้ว่าวินอยากเจอ”

ผมเผลอขมวดคิ้ว นั่นไม่ใช่คำตอบแบบที่ผมอยากได้เลย แต่จะบอกให้เขานัดพอร์ชออกมาเจอผม มันก็จะเกินไปหน่อย อีกอย่างผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเฟย์กับพอร์ชสนิทกันแค่ไหนจึงได้แต่จำใจยอมรับว่าอาจจะไม่ได้เจอเขาในเร็วๆนี้

“จะไปไหน”

ผมที่เพิ่งขยับตัวลุกจากโซฟาถึงกับชะงักเมื่อฉัตรเอ่ยถาม ทุกคนหันไปมองเขางงๆ รวมถึงผมด้วย คือใครจะลุกไปไหนต้องรายงานเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยเหรอวะ

“ไปฉี่ จะไปมั้ยละ”

“ไป”

เออ…ไปก็ไป ผมเดินไปทางห้องน้ำชายที่อยู่ด้านหลังผับโดยไม่ได้สนใจคนที่เดินตามมาติดๆ ทำไมไอ้คุณชายทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ไม่ชอบไปเข้าห้องน้ำคนเดียวเลยวะ ไม่มีเพื่อนไปด้วยแล้วฉี่ไม่ออกเหรอ

ผมผลักประตูเข้ามาในห้องน้ำชาย ด้านในไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา ผมเดินไปยืนหน้าโถปัสสาวะ ปลดซิปกางเกงยีนส์แล้วเริ่มทำธุระส่วนตัว

“มองหน้ากูเพื่อ? ไปฉี่ดิ” ผมหันไปถามฉัตรเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนกอดอกพิงอ่างล้างมือเงียบๆ

“วิน”

“ว่า?”

“ชอบพอร์ชเหรอ”

“ยุ่ง”

ผมสวนกลับทันที จริงๆผมก็คิดนะว่าหมอนี่อาจจะรู้จักพอร์ช หรืออาจจะเป็นเพื่อนกันเลยก็ได้ 

“มึงไม่ชอบกูเหรอ”

“ใช่” ถามตรง ผมก็ตอบตรงครับ

“ทำไม”

“ทำไมอะไร” ผมถามขณะรูดซิปกางเกงให้เรียบร้อยแล้วเดินไปล้างมือ สรุปว่ามึงไม่ได้ปวดฉี่ แต่ตามมาซักไซ้กูสินะ

“ทำไมไม่ชอบกู”

“แล้วทุกคนในโลกนี้จำเป็นต้องชอบมึงหมดเลยเหรอ”

“เปล่า แต่ทำไมมึงไม่ชอบกู”

ทำไมเหรอ?

อืม…ผมเริ่มคิดหนักกับคำถามของฉัตร ผมไม่ได้เกลียดขี้หน้าขนาดว่าคุยกันไม่ได้ แต่จะให้ชอบแล้วคบหาเป็นเพื่อนเที่ยวเพื่อนดื่มมันก็ไม่ใช่อ่ะ เขาเป็นคนแบบที่ต่างกับผมทั้งด้านความคิดและนิสัย เรียกว่าต่างเกินไป เคมีเข้ากันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ต้องมีเหตุผลทุกเรื่องเลยเหรอ”

กูแค่ไม่ชอบไง กูต้องอธิบายให้มึงฟังด้วยเหรอครับ

“มึงชอบผู้ชายใช่มั้ย”

“ใช่” ผมพยักหน้า

“กูหล่อมั้ย” ฉัตรถามนิ่งๆตามวิธีการพูดของเขา แต่ผมรู้สึกได้ถึงความซีเรียสทางสายตาที่มองผมผ่านกระจก

“มาก” ผมยอมรับความจริงในข้อนี้ ของสวยๆงามๆใครก็ชอบ ผมก็เหมือนกัน

“มึงรู้มั้ยว่ากูเรียนเก่งมาก”

“เพิ่งรู้นี่แหละ” แต่ที่ไม่รู้คือมึงบอกกูทำไม อยากอวดว่างั้น?

“กูรวย”

“กูรู้แล้ว”

“งานดีขนาดนี้ไม่มีเหตุผลให้มึงไม่ชอบเลยนะ”

เกี่ยวอะไรวะ?

“ที่พูดมาทั้งหมดมีแต่ข้อดี แล้วข้อเสียอ่ะ ทำไมมึงไม่พรีเซ้นต์ให้กูฟังบ้าง”

คือมึงจะให้กูชอบเพราะหล่อ รวย เรียนเก่งไม่ได้นะเว้ย

“ทุกคนมีข้อเสีย”

“พอดีว่าข้อเสียในตัวมึงเป็นสิ่งที่กูไม่ชอบไง”

“เช่นอะไร”

“หน้ามึงหยิ่ง” ไม่ใช่หยิ่งธรรมดานะ หยิ่งและยโสมากๆ

“หน้ากูเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด”

กูแน่ใจว่าถ้ามึงยิ้ม มันจะดูดีกว่านี้มาก

“มึงกวนตีน”

“กวนตีนคือลักษณะนิสัยส่วนบุคคล ไม่ใช่ข้อเสีย”

“มึงพูดจาไม่รักษาน้ำใจคนอื่น ทำอะไรคิดถึงแต่ตัวเอง คิดแต่ว่ากูใหญ่”

“ก็กูใหญ่จริงๆอ่ะ”

ผมชะงัก เดี๋ยวนะ เรื่องความใหญ่ที่ฉัตรพูดถึงเป็นเรื่องเดียวกับผมเปล่าวะ

“อะไรใหญ่”

“แล้วมึงคิดว่าอะไรใหญ่”

ฉัตรย้อนถามแล้วแสยะยิ้มมุมปาก แบบนี้ไม่นับว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูดีนะครับ แต่จัดเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาดูชั่วร้ายกว่าปกติหลายเท่าอ่ะ

“หมายถึงนิสัย ชอบคิดว่าตัวเองเป็นสูญกลางของโลก” ผมอธิบาย

“อ๋อออ ก็นึกว่า…”

คงไม่ใช่ไอ้นั่นนะ…

“คว-”

“หยุด” ผมยกมือห้ามไม่ให้ฉัตรพูดจนจบประโยค ห่าเอ๊ย นี่กูคิดว่ามึงกวนตีน แต่ไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนจันด้วยนะฉัตร กูพูดถึงข้อเสียของมึงอยู่ ไม่ใช่ให้มึงมาพูดถึงความใหญ่ของตัวเอง

“มึงไม่ต้องอวด กูก็มี ของกูใหญ่มาก”

มึงจะอวดกูไม่ได้นะ กูไม่ยอมรับเด็ดขาด

“ไม่เชื่อ”

มึงต้องเชื่อ!

“เรื่องนี้ไม่โกหก” ผมสาบานว่าน้องชายของผมสุดยอดมากๆ ใครไม่เชื่อถือว่าดูถูก

“ขอดูหน่อย” ฉัตรเอ่ยขอดื้อๆแถมยังขยับเข้ามาประชิดแบบไม่รอให้ตั้งตัว เดี๋ยวๆ เรื่องแค่นี้มึงถึงกับต้องพิสูจน์เลยเหรอวะ คือมึงยังอวดว่าของมึงใหญ่ กูจะอวดของกูบ้างไม่ได้เลย

“เรื่องอะไรละ”

“งั้นจับก็ได้”

ไม่เอา!

“ว๊ากกกก!!! อย่านะเว้ย เชี่ย มึงมันคนเลว”

ผมแหกปากลั่น ไม่ทันแล้วครับ ไอ้คุณชายมือไวตะปบมือลงมาบนเป้ากางเกงของผมเต็มๆ แถมยังขย่ำแบบไม่เกรงใจ คือจับขนาดนี้ของกูไม่ตั้ง แต่ของกูหดเลยครับ มึงแค้นกูเหรอฉัตร มึงจะเอาให้กูสูญพันธ์เลยเหรอ ม้ายยยยยย


 


:katai4:



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
«ตอบ #17 เมื่อ03-09-2019 19:13:44 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
«ตอบ #18 เมื่อ04-09-2019 23:06:25 »

:pig4:
 o13

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :3123:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
«ตอบ #19 เมื่อ05-09-2019 12:05:00 »

 :katai5: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 02/09/2562 [บทที่7]
« ตอบ #19 เมื่อ: 05-09-2019 12:05:00 »





ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 06/09/2562 [บทที่8]
«ตอบ #21 เมื่อ06-09-2019 16:42:29 »


บทที่ 8 ง้อ


Porshe : วิน

Porshe : ขอโทษ

Porshe : โกรธกูหรือเปล่า

ผมอ่านข้อความไลน์ที่ถูกส่งมาจากพอร์ชซ้ำไปซ้ำมา ถ้าถามว่าโกรธมั้ย ผมตอบเลยว่าโกรธมาก แต่ก็ดีใจมากเช่นกันที่ได้เห็นข้อความจากเขาอีกครั้ง ตอนแรกผมตั้งใจจะเล่นตัวด้วยการกดอ่านข้อความแล้วตอบกลับในวันพรุ่งนี้ ผมแค่อยากให้เขากระวนกระวายใจ อยากให้เขาง้อผม อ้อนวอนผม ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าไปติดนิสัยเรียกร้องความสนใจมาจากใคร แล้วก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าหัวใจไม่รักดีของผมเป็นห่าอะไร ถึงได้ระริกระรี้อยากตอบข้อความของพอร์ชจนตัวสั่น พอสั่นมากๆเข้าก็ต้องพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

TheWinner : โกรธ

ผมตอบกลับไปสั้นๆแบบคนท่ามาก

Porshe : อย่าโกรธเลยนะ กูง้อใครไม่เป็น

ฟวย!

กูพอจะเดาได้ว่ามึงง้อใครไม่เป็น แต่มึงกรุณาหัดง้อกูเป็นคนแรกได้มั้ยวะ

TheWinner : มึงหายไปไหนมา รู้มั้ยว่ากูเป็นห่วง กูคิดมาก คิดว่ามึงจะเทกูแล้วด้วยซ้ำ

 Porshe : ใครจะเทมึงลง

TheWinner : ขนาดว่าเทไม่ลง มึงยังไม่ตอบไลน์กูเป็นอาทิตย์

พอร์ชขาดการติดต่อกับผมตั้งแต่สัปดาห์สอบและหลังจากสอบเสร็จประมาณสามวัน จริงๆผมแอบสงสัยว่าเฟย์เป็นคนบอกพอร์ชหรือเปล่าว่าผมอยากเจอเขา เพราะวันต่อมาเขาก็ไลน์มาหาผมทันที

Porshe : กูอ่านหนังสือสอบ พอสอบเสร็จก็ต้องรีบกลับบ้าน มีธุระสำคัญจริงๆ

ข้ออ้าง!

TheWinner : บ้านมึงอยู่ไหน

Porshe : กรุงเทพ

ผมเลิกคิ้ว เพิ่งรู้จริงๆว่าพอร์ชเป็นเด็กเมืองหลวง ตั้งแต่คุยกันมาผมไม่เคยถามเรื่องครอบครัวของเขาเลย

TheWinner : แล้วอินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึงบ้านมึงเหรอ มึงไลน์มาบอกกูไม่ได้เลยใช่มั้ยหรือกูไม่สำคัญพอ

ผมยอมรับว่าเฟลมาก ต่อให้เขาไม่ว่าง มีธุระ หรือป่วยเข้าโรงพยาบาลก็น่าจะไลน์มาบอกผมบ้าง ไม่ใช่หายไปเฉยๆแบบนี้ ความเงียบมันแปลได้ไม่กี่ความหมายและหนึ่งในนั้นคือคำว่า ‘ไม่สำคัญ’

ครืนนนนนน

ผมที่กำลังใจลอยถึงกับสะดุ้งเมื่อไอโฟนในมือสั่นเป็นจังหวะพร้อมกับหน้าจอที่แสดงสายเรียกเข้าจากพอร์ช

Porshe

LINE AUDIO…

หัวใจของผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ…นี่เป็นครั้งแรกที่พอร์ชโทรหาผม!

เอาไงดีวะ รับหรือไม่รับ?

ใจหนึ่งผมก็อยากได้ยินเสียงของเขา แต่อีกใจหนึ่งผมก็รู้สึกเขินชิบหายเลย ขนาดว่าไม่เคยเห็นหน้านะเว้ย ถ้าเจอตัวจริงผมจะช็อคตายหรือเปล่าก็ไม่รู้

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะกดรับสายแล้วยกไอโฟนแนบกับหู ยังไม่ทันได้พูดอะไร ผมก็ได้ยินเสียงที่ค่อนข้างซีเรียสดังมาจากปลายสายซะก่อน

“อย่าพูดว่าตัวเองไม่สำคัญอีก มึงเป็นคนพิเศษสำหรับกู”

เสียงหล่อว่ะ!

นั่นคือความรู้สึกแรกที่ผมได้ยินเสียงของพอร์ช มันทุ้มกังวานและมีความพร่าในน้ำเสียง ถ้าเสียงน่าฟังขนาดนี้ ผมว่าหน้าตาของเขาไม่น่าอัปลักษณ์นะ ยิ่งใช้เสียงหล่อๆพูดประโยคแบบนั้นอีก คือกูใจกะเทยไปหนึ่งวิเลยครับ

ผมกระแอมให้คอโล่ง คือเสียงของมึงทำเอากูคอแห้งเหมือนครางมาทั้งคืน ทำไมเซ็กซี่ได้ขนาดนี้ว้า กูเสียวมากเลยพี่พอร์ช

“แล้วทำไมรีบกลับบ้าน ยังไม่ปิดเทอมเลย”

ผมพยายามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุด

“ไปทำบุญร้อยวันให้พ่อ”

ผมชะงัก นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ยอมบอกผม ผมเองก็เพิ่งรู้จักเขา ไม่นาน ส่วนเรื่องที่พ่อของเขาเสียชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมารายงานใครก็ไม่รู้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที ผมไม่น่างี่เง่าใส่พอร์ชเลย เขาคงมีเรื่องทุกข์ใจมากพออยู่แล้ว

“ขอโทษ”

ผมพึมพำ พอร์ชไม่ใช่คนที่แสดงความรู้สึกเก่ง รวมถึงอารมณ์ทางน้ำเสียงที่จับไม่ค่อยได้ แต่ผมคิดว่าเขาคงมีเรื่องกังวลหลายอย่างในช่วงที่เงียบหายไป ถ้าเป็นผม ผมก็คงอยากอยู่คนเดียวสักพักเหมือนกัน

“ไม่ได้ตั้งใจจะงี่เง่าใส่มึง”

“ไม่เป็นไร”

ผมพยายามเงี่ยหูฟังเสียงของปลายสาย ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงของพอร์ชไม่ค่อยชัดเจน ถ้าไมค์ของฝ่ายนั้นไม่ดี ก็ลำโพงมีปัญหา ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบังลำโพงในตอนที่เขาพูด เสียงถึงได้ออกมาไม่ชัดเจนแบบนี้

“พี่พอร์ช”

“หื้ม”

งื้อออ ทำไมกูเขินคำว่า ‘หื้ม’

“วันศุกร์นี้กูจะไปออกค่ายที่สุราษฎร์ธานี คงไม่ว่างคุยกับมึงนะ”

ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง อยากให้เขารู้ว่าผมไม่ได้โกรธเขาแล้ว

“ไปกับใคร”

“กับเพื่อน”

“อยู่ชมรมจิตอาสาเหรอ”

“เปล่าอ่ะ เพื่อนอยู่ มันให้ไปเป็นเพื่อน”

ผมเหลือบตาไปมองไอ้แว่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือโดยไม่ได้สนใจผมเลย นี่กูเกือบลืมไปแล้วนะว่ามึงนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย

ตอนนี้ผมกับไอ้แว่นกำลังนั่งอยู่ที่ลานโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย ผมมายืมหนังสือเป็นเพื่อนไอ้แว่นซึ่งถือโอกาสนั่งอ่านหนังสือแถวนี้เพราะนอกจากบรรยากาศดีแล้วยังสามารถกินน้ำและขนมได้ ต่างจากในหอสมุดที่ห้ามนำอาหารเข้าไปรับประทาน ทำให้ที่ตรงนี้เป็นโซนอ่านหนังสือยอดฮิต ติดอันดับต้นๆของมหาลัยเลยก็ว่าได้

“ประกาศจากสำนักหอสมุด เจ้าหน้าที่ อาจารย์ หรือนิสิตท่านใดที่เป็นเจ้าของรถโตโยต้ายาริสสีน้ำเงิน ป้ายทะเบียน จฉ2019…”

ผมหยุดพูดเมื่อได้ยินเสียงประกาศตามสายจากประชาสัมพันธ์สาวในหอสมุด ตอนแรกผมไม่ได้ใส่ใจจะฟังเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเสียงนั้นดังมาจากปลายสายของพอร์ชเช่นกัน

“พี่พอร์ช มึงอยู่ไหนอ่ะ” ผมถาม

ลำโพงที่ต่อจากหอสมุดกระจายเสียงแค่บริเวณรอบๆเท่านั้น แปลว่าพอร์ชต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวๆนี้

“กรุณามาเลื่อนรถของท่านออกจากเขตก่อสร้างเดี๋ยวนี้ค่ะ มิเช่นนั้นหากเกิดอุบัติเหตุทางมหาลัยจะไม่รับผิดชอบต่อการเสียหายใดๆทั้งสิ้น ประกาศอีกครั้งค่ะ จากสำนักหอสมุด…”

ผมหันไปมองเขตก่อสร้างที่ไม่ไกลจากหอสมุด ที่นั่นกำลังก่อสร้างอาคารจอดรถแบบห้าชั้นเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอยในมหาลัยที่อาจมีการขยายตึกเรียนต่อไปในอนาคต

ผมลุกพรวดจากม้าหินอ่อน ไอ้แว่นเงยหน้าขึ้นมามองผมงงๆ แต่ไม่ได้ถามอะไร ซึ่งผมก็ไม่อยู่รอให้มันถาม ผมออกวิ่งเต็มกำลังไปที่เขตก่อสร้าง พยายามมองหาผู้ชายที่กำลังคุยโทรศัพท์ ห่าเอ๊ย มีแต่คนยกโทรศัพท์มาแนบหูเต็มไปหมดเลย มองไปทางไหนก็เล่นโทรศัพท์ ผมพยายามฟังเสียงของประชาสัมพันธ์ที่ดังขึ้นทุกที คิดว่ากำลังเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นแล้ว แต่ทุกอย่างกลับต้องชะงักลงเมื่อพอร์ชกดตัดสายไปดื้อๆ

Porshe : คิดว่าจะจับกูได้เหรอ เร็วไปสิบชาตินะหนู

ไอ้บ้าพอร์ช! ผมสบถทันทีเมื่อเห็นข้อความที่ถูกส่งมาจากพอร์ช แบบนี้ก็ได้เหรอวะ มึงจำเป็นต้องหนีกูขนาดนี้เลยเหรอ

TheWinner : เชี่ย

ผมคิดคำด่าความจันของพี่พอร์ชได้เท่านี้จริงๆครับ

Porshe : ทำไมเป็นคนหยาบคายแบบนี้

TheWinner : เออ ยอมรับ

หงุดหงิดโว้ย!

เกือบจะจับตัวหมอนี่ได้แล้วอ่ะเมื่อครู่ผมได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์จากปลายสายชัดมากๆแล้วด้วย ต้องอยู่แถวนี้ดิ

Porshe : ระวังปากแตก

ผมพยายามมองไปรอบๆ แต่แม่งไม่รู้เลยว่าคนไหน เป็นไปได้หมดเลยอ่ะ

TheWinner : ทำไม? ถ้าเจอกันแล้วกูด่าเชี่ย มึงจะตีกูเหรอ

Porshe : ใช่ กูจะตีมึง

ไอ้คนกะแดะเอ๊ย มึงสุภาพตายห่า

Porshe : ตีด้วยปากกูนะ

ฮะ!

ตีด้วยปาก?

ผมขยับยิ้มขำๆ คิดว่ากูจะเขินเหรอ ไม่อ่ะ ถ้ามึงเล่นมุกนี้กูไม่ฟินนะ แต่กูอยากเลย อยากโดนตีด้วยปาก…

TheWinner : อยากโดนตีเดี๋ยวนี้เลย

TheWinner : เชี่ย

TheWinner : เชี่ย

TheWinner : เชี่ย

Porshe : ฝากไว้ก่อนนะวิน

รีบๆมาเอาคืนนะพี่พอร์ช กูอยากโดนมึงจูบจะแย่แล้ว!





วันศุกร์ เวลา 00.25 น.

ณ ลานกิจกรรมส่วนกลางของมหาวิทยาลัย N

“มึงช่วยเก็บอาการนิดนึงได้เปล่าวะ”

ผมสะกิดไหล่ของไอ้แว่นเป็นการเตือนให้มันหยุดส่งสายตาหื่นกระหายใส่น้องติวเตอร์ โชคดีแค่ไหนแล้วที่น้องเดือนบริหารเอาแต่คุยกับเพื่อนจึงไม่ทันสังเกตเห็นไอ้แว่น ไม่งั้นผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน แค่เห็นอาการอดอยากปากแห้งของเพื่อนสนิทผมก็อายแล้วครับ สายตาแม่งเหมือนโจรป่าที่พร้อมจะเข้าไปพรากพรหมจรรย์ของเด็กหนุ่มเลยอ่ะ

“วันนี้แหละ กูจะต้องคุยกับน้องเตอร์ให้ได้ น้องเค้าจะต้องจดจำชื่อของพิสุทธิ์ไปตลอดชีวิต”

ผมเหลือบตาไปมองไอ้แว่นด้วยความปลงตก นี่กูคิดถูกหรือคิดผิดวะที่ตัดสินใจมาออกค่ายกับมึง วันนี้เป็นวันออกเดินทางไปสุราษฎร์ธานี ประธานค่ายและคณะกรรมการนัดหมายสมาชิกทุกคนให้มาลงทะเบียนที่ลานกิจกรรมส่วนกลางของมหาวิทยาลัยตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่รถบัสจะออกเดินทาง และในตอนนี้ก็เริ่มมีนิสิตทยอยกันมาเกือบครบแล้ว ทางชมรมเช่ารถบัสคันเล็กจากทางมหาลัยมาสองคันซึ่งนั่งได้ประมาณ 30 ที่นั่ง รวมสองคันก็เป็น 60 ที่นั่ง ถือว่าจำนวนคนน้อยมากสำหรับทิปนี้

“มึงก็พูดแบบนี้มาตั้งแต่เปิดเทอม กูไม่เห็นว่ามึงจะกล้าทักน้องเค้า”

นอกจากนั่งน้ำลายไหลแล้ว กูยังไม่เห็นว่ามึงจะกล้าทำอะไรไปมากกว่านี้เลย

“วันนี้กูเอาจริง”

ไอ้แว่นหันมาบอกผมด้วยความท่าทางมั่นอกมั่นใจ

“เอาจริงก็เริ่มสักทีดิ เสียเวลามองมากี่เดือนแล้ว ถ้ามึงไม่กล้าจีบแล้วเมื่อไรมึงจะได้แดก”

ผมว่า เพราะต่อให้น้องติวเตอร์จะเป็นดอกฟ้าแล้วไอ้แว่นเป็นหมาวัด ผมก็ต้องให้กำลังใจเพื่อนครับ ผมถือคติที่ว่า ‘ไม่กล้า ก็ไม่มีวันก้าวหน้า’ ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีดอกฟ้าอาจจะอยากโน้มตัวลงมาให้หมาวัดเด็ดดมก็ได้

“กูอยากแดกน้อง”

ไอ้แว่นทำหน้าฟิน

“กูรู้”

“ขาว”

“น่าจะอร่อย”

ผมเสริม ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนชอบ ผมก็อยากจะเข้าไปล่อลวงอยู่เหมือนกัน ทั้งขาวทั้งน่ารัก แถมไร้เดียงสาสุดๆ

“ก้นน้องต้องนุ่มมือมากแน่ๆเลยมึง”

ผมมองบนเมื่อไอ้แว่นเริ่มพาบทสนทนาลงไปใต้เข็มขัด คือก่อนที่มึงจะได้จับก้นน้องเขา มึงเริ่มจีบเขาก่อนเถอะเพื่อน

“วิน มึงอวยพรกูหน่อยดิ กูจะเริ่มเดี๋ยวนี้เลย”

ไอ้แว่นหันมามองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ห่าเอ๊ย มึงเห็นกูเป็นพระพุทธรูปเหรอฮะ คือจะให้คนนกแห่งชาติอย่างกูอวยพรมึงเนี่ยนะ

“เออ โชคดีนะเพื่อน”

อย่านกเหมือนกูเลย สาธุ

ไอ้แว่นหันมาตบไหล่ผมป้าบๆเป็นการแสดงความขอบใจ มันยกมือเสยผมลวกๆก่อนจะก้าวเท้าอย่างมาดมั่นเข้าไปหาเป้าหมาย สู้ๆนะเพื่อน ผมพยายามเอาใจช่วยไอ้แว่น อีกไม่กี่ก้าวเท่านั้น ใกล้แล้วมึง จะแล้ว…จะถึงตัวน้องเตอร์ของมึงแล้ว

ผมเกือบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเพื่อนของผมมีความกล้าในการทักทายรักแรกพบของมัน ถ้าไม่ใช่ว่ามีมารหัวขนมาผจญเสียก่อน ทายสิใครเอ่ย!

“พี่ฉัตร”

ชิบหาย! ช่วงนี้กูดวงตกใช่มั้ย เป็นเชี่ยอะไรต้องมาเจอไอ้คุณชายอีกแล้ววะ เมื่อวานมันแกล้งบีบจู๋ผมไม่พอ วันนี้ยังตามมาหลอกหลอนผมถึงที่นี่อีกเหรอ

“มาได้ยังไงครับ”

น้องติวเตอร์วิ่งเข้าไปหาฉัตรทันทีที่เห็น ผมไม่ได้สังเกตว่าหมอนี่เดินมาจากทางไหน แต่ในมือของเขามีกระเป๋าเดินป่ามาด้วยหนึ่งใบ สาบานดิว่ามึงจะไปออกค่ายอาสา เพราะไม่ว่าผมจะพยายามคิดแบบคนโลกสวยแค่ไหน คนอย่างฉัตรชนกก็ไม่ใช่พวกที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นแน่ๆอ่ะ

“ขับรถมา” ฉัตรตอบเรียบๆตามปกติ

ผมได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆและสาวสองหลายคน พร้อมกับเสียงซุบซิบเกี่ยวกับฉัตรชนกที่ดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน

ผมเหลือบไปมองไอ้แว่นที่มีสีหน้าช็อคหนักก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เสียใจด้วยนะเพื่อน ถ้าลองเป็นไอ้คุณชายมาเดินเฉิดฉายแถวนี้ มึงมีแต่ดับกับดับเลยครับ ขนาดผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉัตรกับน้องติวเตอร์เป็นอย่างไร แต่มองด้วยตาเปล่ายังรู้เลยว่าน้องเขาชอบไอ้คุณชายไม่น้อย ถ้าเพื่อนผมมันสู้ก็ถือว่าใจกล้ามากพออ่ะ

“ไม่เห็นบอกเตอร์เลยว่าจะมาด้วย”

น้องเตอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“เพิ่งตัดสินใจว่าอยากมา”

ส่วนคุณชายท่านก็ตอบด้วยน้ำเสียงโมโนโทนแบบติดจะเย็นชาเหมือนเดิม คือแม่งไม่เหมือนกับไอ้คนจันที่ชอบกวนตีนผมเลยอ่ะครับ บางครั้งผมก็สงสัยนะว่าตัวจริงของหมอนี่เป็นคนยังไงกันแน่

“เอ๋…จู่ๆก็อยากมา เป็นเพราะใครบางคนแถวนี้หรือเปล่าเอ่ย มาเฝ้าใครเหรอค๊าพี่ฉัตร”

ตุ๊ดหุ่นหมีนางหนึ่งเอ่ยถาม ไอ้แว่นเคยบอกผมว่าเขาชื่อ ‘ปิง’ อยู่ปีสามคณะบริหารธุรกิจ เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของชมรม

“แล้วแต่จะคิดสิ”

ฉัตรตอบเรียบๆ แต่กลับเรียกเสียงกรี๊ดและเสียงฮือฮาแบบจับประเด็นไม่ได้ในทันที เดี๋ยวๆ นี่ผมตกข่าวอะไรไปหรือเปล่าวะ ปกติผมจะตามส่องเพจเกี่ยวกับผู้ชายหล่อๆในมหาลัยทุกวันหลังมื้ออาหาร คือตั้งแต่คุยกับพอร์ชผมก็ลืมเรื่องส่องผู้ชายไปเลย ทำให้พลาดข่าวเม้าส์ในมหาลัยรวมถึงข่าวของฉัตรชนกด้วย

“พี่ฉัตรชอบติวเตอร์เหรอแก” ผมแอบเงี่ยหูฟังเมื่อเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลเปิดประเด็นขึ้นมา…ไม่ได้ตั้งใจเสือกนะ แค่สงสัยใคร่รู้เท่านั้นเอ๊ง!

“ไม่รู้ เห็นกูเป็นร่างทรงเหรอ”

“สรุปพี่เค้าเป็นไบจริงดิ”

อ้าวเหรอ กูก็เพิ่งรู้นะเนี่ย คือหน้าอย่างหมอนี่เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

“ไม่น้า โปรดเหลือผู้ชายหล่อๆขาวๆไว้ให้ชะนีบ้างเถอะ สาธุ”

“พี่ฉัตรเค้าเป็นแค่ปู่รหัสของอีติวเตอร์จ้ะ มึงอย่าได้มโนไปไกล”

อ๋อ อย่างนี้เอง จริงๆผมก็ไม่เคยได้ยินว่าฉัตรสนใจผู้ชายนะครับ เห็นเปลี่ยนแฟนบ่อยแต่แฟนทุกคนก็เป็นผู้หญิง

“สาวๆ เลิกเม้าส์แล้วยกกระเป๋าไปเก็บไว้ที่รถได้แล้วจ้า”

“ค่า พี่จิว”

เสียงที่ขัดขึ้นมาทำให้สาวๆสี่คนที่จับกลุ่มคุยกันในตอนแรกต่างแยกย้ายกันนำกระเป๋าไปใส่ไว้ใต้ท้องรถ ผมจำได้ว่าพี่จิวที่กำลังเดินไล่ให้เด็กในชมรมนำกระเป๋าไปเก็บคือประธาน อยู่ชั้นปีที่สี่คณะบริหารธุรกิจ อันที่จริงชมรมนี้ก่อตั้งมาจากคณะบริหารธุรกิจเนี่ยแหละ จึงไม่แปลกที่คณะกรรมการส่วนใหญ่จะเป็นเด็กในคณะที่ส่งต่องานจากรุ่นสู่รุ่น รวมถึงสมาชิกที่เป็นเด็กในคณะเกือบแปดสิบเปอร์เซ็น

“รวมตัวค่ะทุกคน เข้ามาล้อมวงทางนี้เร็ว ใกล้เวลาออกเดินทางแล้วนะ เพื่อนใครไปเข้าห้องน้ำรีบๆตามมาเข้าแถวด่วนเลย ใครสาย ใครยังไม่มาจะทิ้งแล้วค่ะ”

รุ่นพี่คณะกรรมการช่วยกันปรบมือเรียกร้องความสนใจให้สมาชิกทุกคนมาเข้าแถวเพื่อเช็กชื่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นรถบัส ไอ้แว่นเดินคอตกมายืนข้างผมเงียบๆ บางครั้งมันก็แอบหันไปมองน้องติวเตอร์ที่ยืนเกาะติดไอ้คุณชายเหมือนเงาตามตัว เฮ้อ เสียใจด้วยเพื่อนแว่น แต่งานนี้ถ้าจะยาก อุปสรรคที่ใหญ่กว่าความกล้าของมึงก็คือฉัตรชนกเนี่ยแหละ

“เราจะแวะพักกินอาหารที่ปั๊มน้ำมันสี่จุด เดี๋ยวพี่จะชี้แจงอีกครั้งบนรถ พี่ขอความกรุณาทุกคนนะคะ ขึ้นรถคันไหนให้ขึ้นคันเดิม นั่งตรงไหนก็ตรงนั้นจนกว่าจะถึงที่หมาย พี่ไม่อยากลืมใครไว้ที่ปั๊มน้ำมัน เข้าใจชัดเจนนะคะ เดี๋ยวจะปล่อยให้ไปจับจองที่นั่งตามใจชอบแล้ว คนที่นั่งคู่กันก็ช่วยๆดูเพื่อนด้วยนะ เพื่อนหายให้เรียกพวกพี่ได้ทันทีเลย”

ไอ้แว่นบอกผมว่าจะไปเข้าห้องน้ำก่อนที่รถจะออก ให้ผมไปจองที่นั่งก่อนเลย ซึ่งผมเลือกเบาะเกือบหลังสุดของรถบัสคันที่สองที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว

รุ่นพี่คณะกรรมการต่างวุ่นวายกับการจดจำน้องๆในรถแต่ละคันและเช็กข้าวของสัมภาระ ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที ซึ่งทำให้ผมที่นั่งอยู่เฉยๆเริ่มเคลิ้ม และในตอนที่ผมกำลังจะหลับก็รู้สึกว่ามีมือนุ่มๆของใครบางคนมาสัมผัสที่ข้างแก้ม ตอนแรกคิดว่าเป็นไอ้แว่น แต่น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อของผมมันไม่ใช่!

“วิน”

ผมสะดุ้งแล้วลืมตาตื่น จึงเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือฉัตรชนก

“มีไร”

ผมเอ่ยถามห้วนๆ ก่อนจะรีบร้องห้ามเมื่อไอ้คุณชายทรุดตัวลงมานั่งบนเบาะข้างๆผมโดยไม่ได้ขออนุญาต

“มึงนั่งตรงนี้ไม่ได้ เพื่อนกูนั่งแล้ว”

“มึงโดนเพื่อนเทแล้ววิน”

ฉัตรบอกกับผมแต่ไม่ยอมลุกจากที่นั่ง หมายความว่าไงวะ ไอ้แว่นเทผมไปไหนอ่ะ

“เพื่อนมึงขอแลกที่นั่งกับกู ตรงนั้น”

ผมชะโงกหน้าไปมองตามนิ้วที่ฉัตรชี้ไปทางด้านหน้าตัวรถ และเห็นว่าไอ้แว่นกำลังนั่งอยู่บนเบาะข้างๆกับน้องติวเตอร์ ร้ายใช่ย่อยนะไอ้แว่น เดี๋ยวนี้แม่งเป็นงาน ไม่ต้องให้เพื่อนสอนแล้วสินะ

“ขอนั่งด้วยนะ”

ผมเหลือบมองหน้าฉัตร แสดงว่าหมอนี่ไม่ได้ชอบน้องติวเตอร์จริงๆสินะ เห็นแก่ที่มึงช่วยสนับสนุนให้เพื่อนกูได้นั่งข้างนางฟ้าของมัน กูจะไม่ขับไล่ไสส่งมึงก็ได้

“นั่งไปดิ ไม่ใช่รถกู”

ผมว่ากวนๆ คือยังไม่ลืมนะเว้ยว่าเมื่อวานมึงทำอะไรไว้อ่ะ

“ยังโกรธกูอยู่อีกเหรอ” ฉัตรถาม

น้ำเสียงของเขายังราบเรียบเหมือนเดิม แต่ผมรู้สึกได้ถึงความใส่ใจต่างจากตอนที่เขาพูดกับคนอื่น มันจะห้วน สั้น แล้วก็เย็นชากว่านี้มาก

“เป็นมึงไม่โกรธหรือไง จู่ๆก็โดนบีบไข่เนี่ย ถ้ากูสืบพันธุ์ไม่ได้ใครจะรับผิดชอบ”

ผลิตทายาทไม่ได้ผมไม่ว่า แต่ผลิตน้ำที่อุดมไปด้วยลูกๆไม่ได้นี่ผมไม่ยอมนะเว้ย ยังไงผมก็เป็นผู้ชาย คือมันจำเป็นต้องใช้อ่ะครับ

“ให้จับคืนเลยอ่ะ”

ผมกำลังจะอ้าปากสบถคำหยาบใส่ฉัตรชนก นี่มึงคิดจะกวนตีนกูใช่มั้ยฮะ คิดว่ากูอยากจับของมึงมากเลยเหรอ…แต่คำพูดพวกนั้นถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีที่ฉัตรคว้ามือของผมไปวางบนเป้ากางเกงของตัวเอง และต่อให้ผมไม่ได้ออกแรงบีบคลึงก็พอจะรู้ได้ว่า เจ้าสิ่งที่นอนสงบนิ่งอยู่ในมือนั้นยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน

เชี่ย! ใหญ่กว่าของกูจริงๆด้วยอ่ะ

 

 

ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 06/09/2562 [บทที่8]
«ตอบ #22 เมื่อ06-09-2019 21:16:35 »

ฮัลโหลพ่อฉัตร เห็นเงียบๆนี่อ้อยเก่งใช่ย่อยนะพ่อ

อยากอ่านต่อแล้วอะครับ มาต่อไว้นะครับนักเขียน รอนะรอ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 06/09/2562 [บทที่8]
«ตอบ #23 เมื่อ06-09-2019 22:02:28 »

ฮัลโหลพ่อฉัตร เห็นเงียบๆนี่อ้อยเก่งใช่ย่อยนะพ่อ

อยากอ่านต่อแล้วอะครับ มาต่อไว้นะครับนักเขียน รอนะรอ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/09/2562 [บทที่9]
«ตอบ #24 เมื่อ10-09-2019 15:56:26 »





บทที่ 9 เด็กขี้มโน


เวลา 06.10 น.

“วิน”

“งื้อออ”

ผมครางประท้วงในลำคอด้วยความขัดใจเมื่อได้ยินเสียงรบกวนดังขึ้นข้างๆ ใบหู ใครมันบังอาจมาส่งเสียงเรียกพี่วินตอนนอนวะ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลย ผมสะบัดมือปัดๆตรงใบหูไล่เจ้าสิ่งน่ารำคาญ

แจ้บๆๆ ครอกกกกกกกก

เสียงนั้นหายไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาอีกครั้งด้วยระดับความดังที่เพิ่มขึ้น

“ตื่นเร็ว!”

“เชี่ย!”

ผมสะดุ้งตื่น แล้วกวาดตามองไปรอบๆด้วยความมึนงง กูอยู่ที่ไหนวะ เหมือนจะเป็นบนรถบัสสักคันอ่ะ

“พักกินข้าวหนึ่งชั่วโมง ไปเร็ว” ผมหันไปมองหน้าฉัตรชนก อ๋อ นี่ผมมาออกค่ายอาสานี่หว่า นึกว่าหลับฝันไปซะอีก ผมกวาดสายตาไปรอบๆจึงเห็นว่าบนรถบัสว่างเปล่า นอกจากผมกับฉัตรก็ไม่มีคนอื่นอีกเลย ทุกคนน่าจะลงไปยืดเส้นยืดสายหรือรับประทานมื้อเช้ากันแล้ว

“กูไม่หิวอ่ะ ไม่อยากกิน”

ผมปฎิเสธ ผมอยากนอนมากกว่า อีกอย่างผมไม่ชอบกินมื้อเช้า ยังไงกระเพาะอาหารก็ไม่เรียกร้องแน่ๆ

“ไม่ได้ กว่าจะพักกินข้าวเที่ยงก็เป็นตอนที่ถึงประจวบเลยนะ”

ฉัตรหมายถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์น่ะครับ

“รู้แล้ว”

ผมฟังรุ่นพี่ชี้แจงนะครับ รถบัสจะแวะพักสี่จุดก่อนจะถึงที่หมายคือจังหวัด      สุราษฎร์ธานี

“ลุกเดี๋ยวนี้”

ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเมื่อฉัตรพยายามดึงแขนของผมให้ลุกจากเก้าอี้ จริงๆผมคิดว่าฉัตรไม่น่าใช่คนพูดมากนะ แล้วก็ไม่น่าจะเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น คือกูบอกว่าไม่กินก็คือไม่กินโว้ย กระเพาะอาหารของกูเชื่อมต่อกับของมึงหรือไงล่ะ สาส

“ทำไมขี้บ่นจังวะ”

ผมสะบัดแขนออกจากมือของอีกฝ่าย คนยิ่งง่วงๆอยู่ด้วย แล้วเวลาที่ผมง่วงผมจะหงุดหงิดง่ายมากเลย

“แล้วทำไมต้องทำตัวให้บ่น มึงโง่เหรอวิน ไม่กินตอนนี้เดี๋ยวก็หิวตอนสายๆ”

ไอ้ห่า นี่มึงเป็นพ่อกูหรือไง อยู่ๆมาด่ากูเนี่ย

“กูเกลียดมึง”

ผมสบถหยาบคายอีกสองสามคำก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วก้าวเท้าลงจากรถบัส ขืนนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไปมีหวังไม่ได้นอนแล้วอาจมีเรื่องต่อยปากใครบางคนก็ได้ แต่ไหนๆก็ตื่นแล้ว ผมว่าจะแวะไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วค่อยออกมาหาอะไรกินรองท้อง

“ไหนเล่ามาซิ สรุปว่าแกกับพี่ฉัตรนี่ยังไง”

ผมเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำในตอนที่ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านนอกห้องน้ำชายพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา

“เบาๆสิ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”

อ้าว กูได้ยินแล้วอ่ะ

ผมจำได้ว่าอีกเสียงหนึ่งเป็นของน้องติวเตอร์ คาดว่าทั้งสองคนน่าจะเดินมาเข้าห้องน้ำแน่ๆผมจึงพาตัวเองหลบฉากเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง เอ่อ เดี๋ยวนะ ทำไมกูต้องหลบด้วยวะ ทำเหมือนพวกโรคจิตชอบแอบฟังชาวบ้านคุยกันไปได้ ในตอนที่ผมคิดได้และกำลังจะเปิดประตูออกไปจากห้องน้ำก็พอดีกับที่ทั้งสองคนเริ่มเม้าส์กันอย่างออกรส

“ก็ไม่มีอะไรนะ แค่พี่น้องกัน”

“แหม พี่น้อง กล้าพูดนะยะ ยอมรับมาเถอะว่าแกชอบพี่ฉัตร”

ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงที่ค่อนไปทางกะแดะของผู้ชายคนหนึ่ง เดาว่าเป็นเพื่อนกะเทยกลุ่มเดียวกับน้องติวเตอร์

“ก็รู้สึกดีนั่นแหละ แต่ใครบ้างจะไม่ชอบพี่เค้าอ่ะ”

กูนี่ไงที่ไม่ชอบ!

ผมแอบถอนหายใจเบาๆแล้วยืนหันหลังพิงประตู ผมว่าไม่ควรเสนอหน้าออกไปตอนนี้นะ รอให้สองคนนั้นออกไปก่อนละกัน

“แล้วทำไมแกไปนั่งกับพี่แว่นคนนั้นได้วะ ตอนแรกเห็นบอกว่าจะนั่งกับพี่ฉัตร”

“พี่พิสุทธิ์เค้ามาขอแลกที่”

ทำไมฟังไปฟังมา ผมเริ่มไม่ชอบน้ำเสียงของน้องติวเตอร์แล้ววะ ตอนแรกที่ได้ยินก็คิดว่าน้องเป็นคนนุ่มนิ่มน่ารักดี แต่ไปๆมาๆ ผมว่ามันเริ่มฟังดูตอแหลอ่ะครับ แบบน้ำเสียงโคตรไม่เป็นธรรมชาติเลย จะแอ๊บอะไรขนาดนั้น

“ขอแลก? แล้วพี่ฉัตรก็ให้แลกงี้เหรอ”

“อื้ม”

“ไอ้พี่แว่นอ่ะชอบแกแน่ๆ ฉันไม่สงสัย แต่พี่ฉัตรนี่ยังไงฮะ”

นั่นดิ ยังไงวะ ทำไมพวกมึงต้องมายืนคุยกันในห้องน้ำด้วย ไม่มีที่ดีๆกว่านี้แล้วหรือไง

“พี่เค้าไม่เคยคบกับผู้ชาย ก็ให้เวลาเค้าหน่อยละกัน”

ให้เวลาเค้าหน่อยละกัน? ทำไมประโยคนี้มันฟังดูเหมือนคนที่เข้าข้างตัวเองว่าเค้าชอบมึงเลยอ่ะ

“แกนี่มันเด็กน้อยสัสๆเลย ถ้าพี่ฉัตรไม่รุก แกก็รุกสิวะ”

“บ้า น่าเกลียด”

น้องติวเตอร์ว่าด้วยเสียงที่เหมือนจะเขินๆ บางครั้งมันก็น่ารักดีนะ แต่บางครั้งแม่งก็เยอะไปอ่ะ มึงไม่ใช่เด็กสามขวบนะเว้ย

“ไม่น่าเกลียด แกเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง อ่อยได้ไม่เสียหาย”

สอนเพื่อนดีแล้วหนู ถ้าอยากได้มึงต้องอ่อยนะ ยืนมโนต่อไปก็ไม่ได้ช่วยให้ฉัตรชนกชอบมึงหรอก

“ไม่เอา รอให้พี่ฉัตรรู้ใจตัวเองก่อนดีกว่า เราไม่อยากเร่งรัดพี่เค้า”

“แต่แกเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ฉัตรโทรหาแกทุกคืน แถมบอกฝันดีอีกนะ”

เหรออออ คนอย่างฉัตรชนกเนี่ยนะโทรไปบอกฝันดีทุกคืน มึงมโนไปเองเปล่า ทำไมกูไม่เชื่อเลย

“แค่คุยเรื่องทั่วไปเอง”

“เค้าจีบแกแน่ๆอ่ะ”

“จริงๆเราก็แอบคิดแบบนั้นนะ แต่พี่ฉัตรเค้าเป็นคนปากแข็งอ่ะ ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

ผมกรอกตามองบน นี่กูมายืนฟังเรื่องอะไรกันแน่วะ เรื่องเม้าส์ทั่วไปหรือเรื่องมโนของเด็กคนหนึ่ง คือมึงต้องแยกแยะความจริงกับความฝันหน่อยนะหนู

“ฉันว่าคนอย่างพี่ฉัตรไม่น่าชอบออกค่ายอาสานะ ตามมาด้วยระดับนี้แล้ว ฉันว่ามาเฝ้าแกชัวร์”

“อื้ม”

ติวเตอร์ครางรับในลำคอ คือผมเห็นด้วยนะว่าคนอย่างฉัตรชนกไม่น่ามาออกค่ายอาสา แต่จะบอกว่ามาเฝ้าน้องติวเตอร์มันก็ดูไม่ใช่อ่ะครับ ฉัตรไม่ได้แลน้องมันเลย ถ้าบอกว่าตามมากวนตีนผมอันนี้เชื่อนะครับ ดูฉัตรเป็นคนแบบนั้นแหละ เลวร้ายมาก!

หลังจากที่ผมแน่ใจว่าทั้งสองคนเดินออกไปจากห้องน้ำ ผมก็เปิดประตูออกมา รู้สึกจะเริ่มเห็นอนาคตของไอ้แว่นในช่วงสองสามวันนี้แล้ว เตรียมเช็ดน้ำตาได้เลยเพื่อน น้องติวเตอร์ไม่มีใจให้มึงหรอก ดูจากอาการที่มโนอย่างหนักเมื่อครู่แล้ว ผมว่าน้องชอบฉัตรแบบโคตรๆอ่ะ

“มายืนทำหน้าบานทำไมตรงนี้วะ”

ผมเอ่ยทักเมื่อเห็นไอ้เพื่อนแว่นยืนอมยิ้มอยู่ที่สนามหญ้าเล็กๆหน้าห้องน้ำ แหม อารมณ์ดีเชียวนะมึง

“รอมึงแหละ ไปกินข้าวกัน”

ไอ้แว่นหันมาชวนผม พวกเราเลือกซื้อข้าวราดแกงแบบง่ายๆในโรงอาหารของปั๊มน้ำมันเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ ซึ่งมีคนอีกส่วนหนึ่งเลือกจะซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ด

“กูเห็นมึงนั่งกับน้องติวเตอร์ เป็นไงบ้างวะ”

ผมถามในตอนที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว พร้อมกับวางข้าวราดแกงเพิ่มน่องไก่ทอดลงบนโต๊ะ

“น้องน่ารักว่ะ ดีต่อใจกูม๊าก!!”

ไอ้แว่นทำหน้าฟินสุดๆ ผมไม่เคยเห็นมันยิ้มกว้างแล้วทำตาเป็นประกายแบบนี้มาก่อนเลย จริงๆก็ไม่อยากทำลายความสุขของมันนะครับ แต่ผมไม่อยากให้เพื่อนคาดหวังอะไรลมๆแล้งๆ

“กูว่าน้องมันชอบฉัตร”

ผมบอกไอ้แว่นตรงๆ

“มึงเอาอะไรมาพูด”

ไอ้แว่นรีบแย้งด้วยสีหน้าที่แสดงความไม่เชื่อถือคำพูดของผม หน็อยยย ถ้าน้องอ่อยฉัตรให้มึงเห็นอย่างมาร้องไห้แล้วกอดกูนะ กูจะถีบซ้ำเลยแหละ

“ก็เอานั่นไงมาพูด”

ผมเหลือบไปเห็นฉัตรที่ยืนอยู่ไม่ไกลทางด้านหลังของไอ้แว่น ซึ่งข้างๆมีน้องติวเตอร์กำลังยืนเกาะแขนของเขาไว้แน่นเหมือนเด็กน้อยกลัวหลงทาง นี่ขนาดว่ารุกไม่เป็นนะเว้ย ไอ้แว่นหันไปมองตามสายตาของผมแวบหนึ่งก่อนจะรีบแก้ตัวแทนน้องอย่างรวดเร็ว

“น้องเค้าเป็นคนเฟรนลี่”

ผมตักข้าวใส่ปากเป็นการยุติบทสนทนา มึงแม่งก็มโนไม่ต่างจากน้องอ่ะ คือผมก็เห็นด้วยว่าน้องติวเตอร์เป็นคนเฟรนลี่ แต่มึงช่วยดูสายตาของน้องเค้าด้วย มันวิบวับใส่ฉัตรแค่คนเดียวนะเว้ย

“เตอร์ มานั่งกับพี่มั้ย” ไอ้แว่นหันไปตะโกนถามน้องติวเตอร์ ถึงแม้หน้าตาของมันจะยิ้มแย้มเหมือนเดิม แต่ผมรู้สึกได้ว่ามันเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่านแล้วครับ

“ได้ครับ”

โชคดีที่น้องติวเตอร์ตอบรับคำชวนของไอ้แว่นทันที ทำให้รอยยิ้มของมันขยับกว้างขึ้น สาบานดิว่าไอ้น้องเตอร์ไม่ได้ชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่ว คือมันจำเป็นมั้ยที่ต้องส่งยิ้มหวานให้เพื่อนกูขนาดนี้ คือมึงชอบเขาหรือก็เปล่า

“พี่ฉัตรไปนั่งด้วยกันนะ”

นั่นไง หุบยิ้มอย่างเร็วเลยนะไอ้แว่น

“อืม”

ฉัตรพยักหน้ารับแล้วเดินตามแรงดึงที่แขน คือเดินมาอีกแค่สี่ห้าก้าวถึงกับต้องจูงกันเลยเหรอวะ ฉัตรทรุดนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวข้างผม ส่วนติวเตอร์วางกระเป๋าสะพายไหล่ใบเล็กลงบนที่ว่างข้างไอ้แว่น

อ้าว ยิ้มกว้างอีกแหละ นี่เพื่อนกูเป็นบ้าหรือไง เมื่อสองนาทีก่อนยิ้มกว้าง นาทีต่อมาหน้าเหี่ยวไม่สบอารมณ์ อีกหนึ่งนาทียิ้มกว้างอีกแล้ว

“พี่ฉัตรอยากทานอะไรครับ เดี๋ยวเตอร์ไปซื้อให้”

ติวเตอร์ถามฉัตรด้วยเสียงหวานเชื่อม ส่วนไอ้แว่นก็เริ่มมีอารมณ์แปรปรวนเหมือนหญิงท้องแก่ คือมึงช่วยเก็บอาการทางสีหน้าบ้างได้มั้ย มันชัดเจนเกินไปนะเว้ยว่ามึงชอบใจหรือไม่ชอบใจอ่ะ

“ไปด้วยกัน”

“ก็ได้ครับ”

ติวเตอร์ยิ้มเขินๆเมื่อเห็นว่าฉัตรเดินไปซื้ออาหารกับตัวเอง ทั้งสองคนหายไปประมาณห้านาทีก่อนที่น้องติวเตอร์จะวิ่งกลับมาที่โต๊ะพร้อมด้วยขวดน้ำดื่มสี่ขวด

“เตอร์ซื้อน้ำมาให้ครับ นี่ของพี่พิสุทธิ์ นี่ของพี่ครับ”

ติวเตอร์ส่งน้ำดื่มให้ผมกับไอ้แว่นคนละขวด ซึ่งพวกเราก็รีบเอ่ยขอบคุณตามมารยาท

“เอ่อ จริงๆพี่ฉัตรเป็นคนจ่ายอ่ะ”

ติวเตอร์อธิบายด้วยรอยยิ้มในตอนที่ฉัตรเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับข้าวสองจานในมือ ฉัตรนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวข้างผมส่วนติวเตอร์นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา พวกเรารับประทานอาหารกันเงียบๆจนกระทั่งติวเตอร์เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนากับผม

“พี่ชื่อวินใช่มั้ยครับ”

“อืม”

ผมเหลือบตามองอีกฝ่ายก่อนจะครางรับในลำคอ กูกำลังแดกข้าว อย่าชวนคุยดิวะ

“ติวเตอร์นะครับ”

หมอนั่นแนะนำตัวเองแล้วส่งยิ้มให้ผม แล้วผมมันก็คนดีมีมารยาทด้วยอ่ะครับ ต่อให้ไม่อยากคุยก็ต้องตอบรับ ซึ่งผมเลือกที่จะประหยัดคำพูดให้มากที่สุด หวังว่ามึงจะรู้ตัวนะว่ากูไม่อยากคุย

“ครับ”

“ทำไมไม่กินแครอท”

ผมหันไปมองฉัตรชนกที่นั่งอยู่ข้างๆ เขากินข้าวหมดจานแล้วและกำลังใช้สายตามองมายังซากแครอทที่ถูกผมเขี่ยไปไว้บนขอบจาน มึงก็อีกคน มาสนใจอะไรกับเรื่องของกูนักหนาฮะ

“ไม่ชอบ”

ผมตอบสั้นๆ ขณะพยายามใช้ช้อนกับส้อมเลาะเนื้อไก่จากกระดูก แต่ไก่นี่ก็โคตรเหนียวเลยว่ะ ไม่รู้ว่าแม่ค้าทอดไก่ทิ้งไว้นานกี่ชาติแล้ว ใช้ส้อมกินก็ลำบากแต่จะให้ใช้มือมันก็เปื้อนอ่ะครับ แล้วผมก็ขี้เกียจไปล้าง ในตอนที่ผมกำลังหงุดหงิดกับน่องไก่และคิดว่าจะเลิกกิน ฉัตรก็เอื้อมมือมาคว้าช้อนกับส้อมไปจากมือของผมก่อนจะแย่งจานข้าวไปไว้ตรงหน้าตัวเอง

เดี๋ยวๆ นี่มึงหิวขนาดต้องมาแย่งไก่กูเลยเหรอฉัตรชนก แม้ผมจะใช้สายตาด่าเขา แต่เขาก็ไม่สนใจเอาแต่ตั้งใจใช้ช้อนกับส้อมเลาะเนื้อไก่ออกจากกระดูก

“กินซะ”

ฉัตรตักเนื้อไก่ใส่ช้อนก่อนจะส่งมาจ่อที่ปากของผม อะ อ้าว จะป้อนกูเลยเหรอ ผมอ้าปากรับแบบงงๆ หมอนั่นไม่ได้พูดอะไรแต่ป้อนไก่ผมเป็นคำที่สองและสามจนหมด

“พี่สองคนสนิทกันเหรอครับ”

ติวเตอร์ที่จ้องผมตาไม่กะพริบเอ่ยถาม

“มั้ง”

ถ้าผมตอบว่าไม่สนิทมันก็จะดูขัดๆกับการกระทำของฉัตรเมื่อครู่ แต่จะให้ผมตอบว่าสนิทมันก็จะเป็นการโกหกเกินไปเพราะผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย

“ไปรู้จักกันได้ยังไงเหรอครับ”

นี่ก็สอใส่เกือกไม่เลิก

“ที่มอนี่แหละ เป็นเพื่อนของเพื่อน”

ผมตอบ หมายถึงฉัตรเป็นเพื่อนของไอ้ไวท์และไอ้ธามซึ่งเป็นเพื่อนของผม

“จริงๆพี่ฉัตรเป็นคนเข้าหายากมากเลยนะครับ ตอนแรกที่เจอกันเตอร์ยังแอบกลัวๆเลย”

ยากสิ ปากแบบนี้จะเข้ากับใครได้ง่ายๆบ้าง นี่มึงมีชีวิตรอดมาได้ถึง 22 ปีโดยไม่โดนกระทืบตายก็โคตรบุญหัวแล้วนะฉัตร

“พี่วินไม่ได้อยู่ชมรมจิตอาสาใช่มั้ยครับ”

ผมรู้สึกว่าน้องเตอร์ของไอ้แว่นพูดมากอ่ะครับ ถามนั่นนี่เหมือนพวกเราสนิทกันงั้นแหละ

“อืม มาเป็นเพื่อนไอ้พิสุทธิ์”

“อ๋อ ถ้าติดใจคราวหน้าแวะมาชมรมบ่อยๆได้นะครับ พี่พิสุทธิ์จะได้ไม่เหงาด้วย เห็นพี่มาชมรมก็นั่งเงียบตลอดเลย”

ประโยคสุดท้ายติวเตอร์หันไปพูดกับไอ้แว่นที่เอาแต่แอบมองใบหน้าด้านข้างของน้องเหมือนพวกโรคจิต

“ทำไมเตอร์เลือกมาเข้าชมรมจิตอาสาล่ะครับ”

จู่ๆไอ้แว่นก็เอ่ยถามติวเตอร์หลังจากที่นั่งเงียบมาเกือบสิบนาที แถมน้ำเสียงที่ใช้ยังนุ่มละมุนผิดปกติ คือถ้าน้องมันถามกลับว่า ‘แล้วพี่ละครับทำไมมาเข้าชมรม’ มึงจะสารภาพกับน้องมั้ยว่ามาส่องมันอ่ะ

“เตอร์ชอบช่วยเหลือคนอื่นครับ ต่อให้เป็นการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร แต่เตอร์ทำแล้วมีความสุขเตอร์ก็อยากทำ อีกอย่างสำหรับคนได้รับ เค้าอาจจะรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่และมีค่าสำหรับเขามากก็ได้ อย่างเงินสิบบาทสำหรับเรา เราคิดว่ามันไม่มีค่า มันเล็กน้อย แต่สำหรับบางคน มันอาจจะเป็นสิบบาทสุดท้ายในมือก็ได้ครับ”

ตอบดีครับ ดีมากเลย ผมเกือบจะปรบมือแสดงความชื่นชมให้กับสุนทรพจน์อันลึกล้ำของน้อง ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมติวเตอร์ได้เป็นเดือนคณะบริหารแถมยังเข้ารอบสามคนสุดท้ายในรอบการประกวดเดือนมหาลัย ก็ดูมันตอบคำถามสิน่ะ นึกว่านางงามจักรวาล เลิศหรูและดูดี

“เตอร์เป็นคนดีมากเลยครับ พี่ไม่เคยมองในมุมนั้นมาก่อนเลย ขอบคุณนะที่เป็นแสงสว่างให้พี่”

มึงนี่ก็อีกคน เกินไปเปล่าวะ ถ้าจะชื่นชมด้วยสายตาหวานเชื่อมขนาดนี้ มึงก็คุกเข่าขอแต่งงานเลยเถอะ

นี่ผมกับฉัตรชนกมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ!


 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/09/2562 [บทที่9]
«ตอบ #25 เมื่อ11-09-2019 00:22:15 »

 :katai2-1:
 o13
 :pig4:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/09/2562 [บทที่9]
«ตอบ #26 เมื่อ16-09-2019 18:23:07 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 10/09/2562 [บทที่9]
«ตอบ #27 เมื่อ16-09-2019 22:37:03 »

5555555

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 16/09/2562 [บทที่10]
«ตอบ #28 เมื่อ16-09-2019 23:12:35 »



บทที่ 10 หวั่นไหว
 

รถบัสเดินทางมาถึงโรงเรียนจงสวัสดิ์ซึ่งเป็นโรงเรียนเล็กๆในเขตทุรกันดารของจังหวัดสุราษฎร์ธานีในเวลาเกือบสองทุ่ม ถือว่าเลยเวลานัดหมายกับทางคณะครูของโรงเรียนมาถึงสามชั่วโมงเพราะคนขับรถหลงทาง ตั้งแต่รถบัสออกจากถนนสายหลักมาก็พบกับถนนลูกรัง สองข้างทางเป็นป่าหนาทึบ มีทางแยกมากมายทำให้ง่ายต่อการหลงทาง พวกเราเสียเวลาเลี้ยวรถวนไปวนมาอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะเจอทางเข้าหมู่บ้าน

โรงเรียนจงสวัสดิ์เป็นโรงเรียนชั้นประถมศึกษาประจำหมู่บ้านเคียนสาง ชาวบ้านในระแวกทำอาชีพเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น หมู ไก่และแพะ อีกส่วนทำเกษตรกรรม เช่น เงาะ มะพร้าว กาแฟ และปาล์ม

ผมไม่แน่ใจว่าโรงเรียนจงสวัสดิ์มีนักเรียนเท่าไร แต่ดูจากที่โรงเรียนมีสิ่งก่อสร้างเก่าๆเพียงหนึ่งหลังสำหรับรองรับนักเรียน ผมคิดว่าเด็กๆคงไม่เยอะ อีกอย่างหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตแต่บรรยากาศกลับดีมาก อากาศบริสุทธิ์ มีต้นไม้เขียวขจีซึ่งความสวยงามในความเงียบสงบแบบนี้คงหาไม่ได้ในเมืองที่เจริญแล้ว ผมคิดว่าการมาออกค่ายในครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด อย่างน้อยผมก็ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ และการใช้ชีวิตของคนอีกกลุ่มที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

รุ่นพี่คณะกรรมการต้อนพวกเราลงมาจากรถบัสแล้วให้ยืนรวมกลุ่มกันที่บริเวณหน้าโรงเรียน แถวนี้มืดมากเพราะแทบไม่มีเสาไฟฟ้าเลย ผมลองหยิบไอโฟน ออกมาเปิด 4G ปรากฏว่ามีสัญญาณแต่อ่อนมาก ผมอาจต้องเดินหาทำเลดีๆในการโทรออก

พวกเรายืนรอเงียบๆประมาณสิบห้านาทีก็มีชายวัยกลางคนในชุดเสื้อยืดกางเกงขาก๊วยกับผู้หญิงวัยเดียวกันวิ่งมาทางพวกเรา ผมเห็นพี่จิวประธานค่ายรีบเดินเข้าไปทักทายก่อนจะแนะนำให้พวกเรารู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือครูสุพจน์ซึ่งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนส่วนผู้หญิงคือภรรยา

เป็นเพราะพวกเรามาถึงที่หมายค่ำมากแล้ว จึงต้องข้ามขั้นตอนการกล่าวต้อนรับบลาๆที่เสียเวลาออกไป พวกเราถูกเชิญให้เข้าที่พัก จริงๆก็คือห้องเรียนสามห้องในโรงเรียนนั่นแหละ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมพวกเราจึงสามารถใช้พื้นที่ส่วนนี้ได้

ตอนที่เข้าไปด้านในแล้ว ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรุ่นพี่เลือกโรงเรียนแห่งนี้ เพราะมันเก่าโทรมมาก ทั้งหลังคาสังกะสีที่ผุเป็นรูจนมองเห็นดาวบนท้องฟ้า ฝาผนังสีหลุดลอกบางส่วน และบางห้องที่ไม่ได้ทางสี ยังเห็นเป็นกำแพงอิฐอยู่เลย บางห้องเรียนมีโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าๆที่ต้องได้รับการซ่อมแซม และบางห้องก็ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ เด็กๆต้องนั่งเรียนกับพื้น

ผมเคยได้ยินว่าคนจนมักจะรวยน้ำใจ ไม่ผิดดังคำกล่าวนั้นเลยครับ แม้พวกเราจะมารบกวนกลางดึกแถมยังมีนิสิตบางคนหลุดปากบ่นว่าหิวมาก แต่ภรรยาของครูใหญ่ก็ไม่ได้โกรธเคืองกลับเรียกชาวบ้านบางส่วนที่ยังไม่นอนให้มาช่วยกันทำมื้อค่ำง่ายๆให้พวกเรา ซึ่งก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พวกเราขนมาบริจาคโรงเรียนหลายร้อยกล่อง ใส่ผักใส่หมูปรุงรสสักหน่อยก็รสชาติเยี่ยมแล้ว

ตอนแรกผมคิดว่าฉัตรชนกจะกินไม่ได้ ก็รายนั้นอ่ะคุณชายซะเต็มขั้น ขับรถปอร์เช่ (ที่ไม่รู้ว่ายืมใครมา) แถมแบรนด์เนมตั้งแต่ปลายตีนจรดศีรษะ กับไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่เจ้าตัวหวงเชี่ยๆ เอาเป็นว่าผมรู้สึกดีที่ในค่ายนี้ไม่มีคนทำตัวเรื่องมาก ก็มาออกค่ายอาสาอ่ะ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าอาสา ต้องลำบากแน่นอน

อีกเรื่องนะ น้องติวเตอร์ทำให้ผมประหลาดใจมาก น้องกินง่ายอยู่ง่ายกว่าที่คิด คือบุคลิกของเจ้าตัวดูเป็นคนสำอาง ไม่น่าชอบงานลุยๆหรืองานอาสา แต่น้องก็ช่วยเหลือล้างจาน เช็ดโต๊ะ เช็ดพื้นเหมือนๆกับคนอื่น รวมถึงไม่ปริปากบ่นเรื่องที่นอน

“พิสุทธิ์มานี่เร็วมึง มานอนตรงนี้”

ผมใช้กระเป๋าเดินป่าวางจองอาณาเขตของตัวเอง แล้วหันไปกวักมือเรียกไอ้เพื่อนแว่นที่เดินได้ต้วมเตี้ยมยิ่งกว่าเต่าล้านปี

“มึงจะรีบไปไหนวะ ผ้าห่มกับหมอนก็เยอะแยะ กลัวใครแย่งไปหรือไง”

มึงนี่ช่างไม่รู้อะไรซะเล้ยยย ถ้าต้องนอนรวมกับคนเยอะแยะแบบนี้ การได้นอนติดผนังเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว เพราะมึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนคนที่นอนข้างๆเอาตีนก่ายหน้า ผมเลือกนอนติดผนังด้านหนึ่งและที่เรียกไอ้แว่นมานอนข้างๆไม่ใช่เพราะพิศวาสนะครับ แต่เพราะผมรู้ว่ามันไม่ใช่คนนอนดิ้นแล้วก็ไม่นอนกรน

ส่วนเรื่องผ้าห่มกับหมอนที่ไอ้แว่นพูดถึง คือของที่ทางชาวบ้านในหมู่บ้านเตรียมไว้ให้พวกเราหยิบยืม มีจำนวนจำกัดก็จริงแต่ก็พอใช้ คือผมหมายถึงถ้าใครคิดจะหยิบผ้าห่มมาปูหลายๆชั้นไว้สำหรับนอนมันก็ใจหมาเกินคนแล้วครับ ถ้าหยิบไปสองผืนก็จะพอเผื่อแผ่ให้ทุกคน และทุกคนในห้องนี้ก็ดูมีจิตสำนึกดีครับ หยิบหมอนคนละใบ ผ้าห่มบางๆคนละสองผืน

หลังจากทยอยกันไปอาบน้ำเย็นๆในห้องอาบน้ำรวมแล้ว ผมก็กลับมาจัดที่นอนของตัวเอง ตอนแรกผมตั้งใจจะนอนกับพื้นแล้วใช้ผ้าห่มสองผืนห่มร่างกายเพราะไม่ใช่คนที่ชอบนอนที่นิ่มๆอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะพื้นห้องเย็นเกินไป อีกอย่างอากาศในตอนกลางคืนก็หนาวมากด้วย ผมจึงต้องสละผ้าห่มหนึ่งผืนมาปูพื้นและใช้อีกผืนห่มร่างกายซึ่งคนอื่นๆก็ทำแบบเดียวกับผมนั่นแหละ

“พี่ฉัตรนอนตรงนี้สิครับ เตอร์อยากนอนข้างพี่”

ผมเหลือบไปมองที่มาของเสียงและเห็นว่าติวเตอร์ที่จับจองพื้นที่ชิดผนังอีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับผมกำลังพยายามลากกระเป๋าของฉัตรให้มาปูที่นอนข้างๆตนเอง แล้วเขี่ยเพื่อนกะเทยนางหนึ่งออกไปนอนอีกฝั่งของห้อง

แหม ท่าทางเชี่ยวขนาดนี้ กูไม่น่าหลงไปมองว่าน้องมันไร้เดียงสาเล้ย ยังไงก็ขอให้คืนนี้ของมึงผ่านไปด้วยดีนะฉัตร

ผมหันกลับมามองไอ้แว่นที่นั่งหน้าบูดบึ้งอยู่บนพื้นข้างๆ ช่วยไม่ได้ว่ะเพื่อน ดูซะให้เต็มตาแล้วก็รีบๆตัดใจซะที

หลังจากที่ทุกคนอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่คณะกรรมการก็เดินตรวจตราความเรียบร้อยของรุ่นน้องและสั่งให้ปิดไฟซึ่งเป็นเวลาสี่ทุ่มตรงพอดี ตอนแรกผมต้องพยายามข่มตาให้หลับเพราะที่นอนไม่ค่อยสบายและโคตรหนาว แต่ความเมื่อยล้าจากการนั่งรถมานานก็ทำให้ผมค่อยๆเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทราก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อมีอะไรบางอย่างเบียดเข้ามาใกล้ร่างของผม

เฮ้ย!

ผมแหกปากลั่นได้แค่ในลำคอเพราะโดนมือปริศนาปิดปากเอาไว้ ใครแม่งเล่นแบบนี้!

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีสาง แต่ก็ไม่เคยหลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย ฉะนั้นอย่ามีใครหรืออะไรที่ไม่ควรเห็นมาอยู่กับผมเลยนะ ฮือออ แม่คร้าบ บอกผมทีว่าไอ้แว่นอำเล่น นั่นมือไอ้แว่นใช่มั้ยครับแม่

“วิน”

ผมที่กำลังตัวสั่นงันงกแบบหมดมาดชะงักเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งกระซิบชิดใบหู

“กลัวเหรอ”

อีห่าฉัตร!

ผมหยุดตัวสั่นทันทีเมื่อค้นพบว่าเจ้าของมือที่บังอาจมาปิดปากของผมคือใคร

“ทำไมมึงมานอนตรงนี้” ผมถามเบาๆด้วยเสียงขุ่นมัวหลังจากที่ดึงมือของฉัตรชนกออกจากปากได้สำเร็จ

“อยากนอน”

หมอนั่นตอบกวนๆตามสไตล์

“ไม่ได้ ขยับออกไป”

ผมพยายามเบียดร่างควายๆของไอ้คุณชายไปทางขวาแต่กลับโดนอีกฝ่ายเบียดกลับจนหน้าเกือบกระแทกผนังด้านซ้าย

โห่ เรื่องแค่นี้มึงก็ต้องเอาชนะกูให้ได้เลยเหรอฉัตร คือกูเคยเหยียบหัวมึงตอนหลับเหรอถามจริง

“ทำไม”

ฉัตรกระซิบถาม เขาอยู่ใกล้ผมมากเสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดใบหูให้สยิวเล่นๆ

“สนิทกันเหรอมานอนซะชิดขนาดนี้”

ผมหันหน้าไปถามคนที่จู่ๆก็มานอนซ้อนด้านหลัง ผมรู้สึกว่าแผ่นอกของฉัตรแนบสนิทกับแผ่นหลังของผมจนดูเหมือนว่าเขาเกือบจะกอดผมอยู่แล้ว

“เดี๋ยวก็สนิท”

ฉัตรพยายามขยับตัวขึ้นมานอนบนผ้าห่มที่ผมใช้ปูพื้น แล้วใช้ผ้าห่มสองผืนของตัวเองห่มร่างเอาไว้

“ไม่เอา”

เรื่องอะไรมาแย่งที่นอนกูหน้าด้านๆวะ

“ยังไม่ได้ชวนเอาเลย ทะลึ่ง”

วอทเดอะฟัค! ใครวะที่ทะลึ่ง

ผมอ้าปากหวอเมื่อได้ยินประโยคกวนส้นตีนของคนหน้าตาย มึงแม่งกล้าใช้น้ำเสียงโมโนโทนมาเล่นมุกกามๆได้ยังง้าย ช่างกล้านะ กูไม่ใช่เพื่อนเล่นนะเว้ย

“กลับไปนอนที่มึงเด้”

ผมไล่เขาตรงๆ แม่สอนว่าให้รักษาน้ำใจคนที่ควรรักษาน้ำใจ เพราะบางครั้งน้ำใจของเราจะทำให้เราถูกเอาเปรียบ และมารยาททางสังคมก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน ผมเชื่อแม่นะครับ

“ไม่” ฉัตรปฎิเสธเสียงแข็ง ผมว่าหมอนี่ดื้อด้านและไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ถ้าเขาจะนอนก็ต้องนอนให้ได้ แม่งก็เป็นแค่ลูกคนรวยเอาแต่ใจนั่นแหละครับ

“ทำไม”

“มันไม่ปลอดภัย มึงรู้มั้ย กว่าเตอร์มันจะหลับกูต้องโดนทำอะไรบ้าง”

ฮะ!

ผมเกือบหลุดขำออกไปเมื่อได้ฟังเหตุผลอันมีน้ำหนักของฉัตร โอ๊ยยยย ฮา อยากหัวเราะให้ดังๆ เสียดายที่ตอนนี้มืดสนิททำให้มองไม่เห็นสีหน้าของไอ้คุณชาย แต่จากน้ำเสียงที่เจืออารมณ์เสียจางๆผมขอมโนว่าหมอนี่กำลังทำหน้าผวาอยู่ละกัน

“พอเดาได้”

ผมที่สงบสติอารมณ์ขำขันได้แล้วเอ่ยเบาๆ ผมไม่แน่ใจว่าฉัตรโดนไประดับไหน แต่ถ้าเบๆหน่อยติวเตอร์ก็คงแอบสี แอบลูบ แอบคลำ แต่ส่วนไหนบ้างผมก็ไม่อยากจะจิ้น และที่ผมเดาได้ก็เป็นเพราะตอนมอปลายช่วงที่กำลังอดอยากปากแห้งผมเคยใช้มุกนอนข้างๆสีเพื่อนตอนไปค่ายลูกเสือเหมือนกันแหละครับ ก็คนอยากเอาแต่เอาไม่ได้ก็ต้องใช้มุกหาเศษหาเลยแบบนี้อ่ะ

“ถือว่าสงสารกูเถอะ ขอนอนด้วยนะ”

ผมพลิกตัวกลับไปเผชิญหน้ากับฉัตรชนก หมอนั่นกำลังมองมาที่ผมตาปริบๆและถึงแม้จะอยู่ในความมืดแต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ออดอ้อนของเขาได้ชัดเจน

“นะ วิน”

เชี่ยเอ๊ย!

ผมแม่งไม่เคยเห็นฉัตรชนกอ้อนใครมาก่อนไง คนบ้าอะไรทำไมทำตัวน่ารักได้กร๊าวใจสุดๆเลยวะ ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับว่าภาพของเขาทำให้หัวใจไม่รักดีของผมเต้นกระหน่ำจนเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน

“เออ นอนเงียบๆนะมึง ถ้าดิ้นกูถีบ”

ผมเก๊กขรึมไปงั้น ทั้งที่จริงๆแล้วเขินชิบหาย เขินบ้าบออะไรไม่รู้ แค่รู้ว่าชอบฉัตรในโมเม้นต์แบบนี้มากๆเลย

“โอเคครับ”

ผมพลิกตัวนอนหันหลังให้ฉัตรชนกเหมือนเดิมก่อนจะเผลอเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว ในตอนกลางดึกผมรู้สึกตัวตื่นเป็นบางครั้งเพราะความหนาวเย็นที่ทำให้เริ่มสั่น และผมทำได้แค่พยายามขดร่างกายเข้าหาบางอย่างที่อบอุ่นตามสัญชาตญาณและหลับไปอีกครั้งเพราะความอ่อนเพลีย

 



“สวัสดีค่ะ สวัสดีนิสิตชาว N ทุกคน ยินดีต้อนรับสู่ค่ายอาสาของเรา พี่ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ พี่ชื่อจิว บริหารปีสี่ค่ะ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งประธานค่ายคนปัจจุบัน”

หลังจากที่พี่จิวกล่าวจบ ทุกคนก็พร้อมใจกันปรบมือแปะๆตามมารยาท ผมถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า มีเวลาอาบน้ำแต่งตัวและกินข้าวหนึ่งชั่วโมงก่อนที่กรรมการค่ายจะเรียกรวมตัวที่ลานกว้างข้างโรงเรียนเพื่อแจกแจงงานที่ต้องทำในวันนี้

“พี่ชื่อปิงนะคะ แต่ถ้าเรียกปิงลี่จะขอบคุณมาก” พี่ตุ๊ดหุ่นหมีก้าวเข้ามายืนข้างๆพี่จิวก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองเสียงอ่อนเสียงหวาน

“พี่เป็นประชาสัมพันธ์นะ อันที่จริงรับหน้าที่เกี่ยวกับการพูดทุกอย่างอ่ะค่ะ คือเรื่องพูดพี่ชอบ จริงๆเป็นคนพูดมาก เพื่อนเลยชอบให้มาพูด แล้ว…”

ผมที่กำลังง่วงๆ ถึงกับปวดหัวจี๊ดเมื่อได้ยินคำพูดวกไปวนมาของเจ๊แกอ่ะครับ ไม่แน่ใจว่าต้องทนฟังนางพล่ามไปอีกนานแค่ไหน ผมขอหลับรอเลยได้หรือเปล่า               ยิ่งฟังยิ่งรำคาญ แม่งยังหาประเด็นสำคัญไม่เจอเลย ผมว่าชมรมควรเปลี่ยนประชาสัมพันธ์ได้แล้วนะ

“เข้าเรื่องสักทีอีปิง เวลาเป็นของมีค่า กูมาออกค่ายอาสาซ่อมโรงเรียนไม่ได้มาฟังมึงพล่ามนอกเรื่อง”

ในที่สุดก็มีรุ่นพี่ปีสี่คนหนึ่งทนไม่ไหวจนต้องตะโกนด่าออกมา กราบขอบคุณครับพี่ พี่พูดได้ตรงใจผมมากเลย

รุ่นพี่คนนี้ชื่อไก่ครับ อยู่คณะเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ชายลุคห่ามๆ ไว้ผมยาวปะบ่า ท่าทางเหมือนโจรแถมชอบพูดจาห้วนๆ ผมไม่ค่อยกล้าคุยด้วย กลัวโดนต่อยอ่ะครับ คือหน้าพี่แกไม่ค่อยรับแขก

“แหม ไก่ขา ขอปิงลี่พูดหน่อยไม่ได้เหรอ เมื่อคืนรีบนอนอ่ะ เหงาปาก”

พี่ปิงลี่เอ่ยด้วยท่าทางกระเง้ากระงอด แต่เมื่อสังเกตเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของชาวค่ายก็รีบยกมือยอมแพ้ทันที

“โอเคๆ ปิงเข้าเรื่องก็ได้ค่ะ งานที่พวกเราต้องทำให้เสร็จภายในสามวันมีดังนี้ งานที่หนึ่งคือซ่อมหลังคาโรงเรียน งานนี้ค่อนข้างอันตรายแต่ปิงเลือกคนไว้แล้ว งานที่สองสำหรับสาวๆค่ะ ช่วยกันทาสีห้องเรียนทุกห้อง ทั้งด้านในด้านนอกจัดไปให้หมด เสร็จแล้วจัดห้องตกแต่งห้องเรียนใหม่ให้ด้วยนะคะลูกขา ส่วนผู้ชายที่เหลือไปซ่อมโต๊ะเก้าอี้ แล้วก็ทำโต๊ะเก้าอี้เพิ่มไว้ให้น้องๆด้วยค่ะ แล้วก็ผู้ชายท่านใดที่คิดว่าทำงานไม้ไม่เป็นให้ไปช่วยสาวๆทาสี จบแล้วค่ะ จิวอยากเพิ่มเติมอะไรมั้ย”

พี่ปิงลี่หันไปถามเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่จิวพยักหน้าก่อนจะเอ่ยเพิ่มเติม

“พี่ไม่อยากให้ผู้ชายคิดถึงเรื่องศักดิ์ศรีให้มากมายนะ ถ้าทำโต๊ะเลื่อยไม้ไม่เป็นให้มาช่วยทาสี เรามาออกค่ายด้วยกัน ได้ช่วยเหลือน้องๆเหมือนกัน ฉะนั้นเราได้บุญเท่ากันทุกคนค่ะ พี่ไม่อยากให้หนุ่มๆบางคนฝืนทำในสิ่งที่ทำไม่เป็นเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ เข้าใจตามนี้นะคะ”

ทุกคนส่งเสียงตอบรับว่าเข้าใจก่อนจะเดินไปลงชื่อว่าต้องการทำงานอะไร ผมรู้สึกดีมากเมื่อได้ฟังคำพูดของพี่จิว และคิดว่าจะไปช่วยผู้หญิงทาสี แต่ตอนที่ไปถึงโต๊ะลงชื่อ ก็เห็นว่าคนส่วนใหญ่ลงชื่อขอทาสี คือผมรู้ว่าทาสีมันง่ายกว่าทำโต๊ะทำเก้าอี้ ไม่ต้องมีทักษะมากก็สามารถทำได้ อีกอย่างเด็กวัยมหาลัยจะไปเอาประสบการณ์เรื่องงานไม้มาจากที่ไหน

ผมหันไปมองหน้าไอ้แว่นเงียบๆเป็นเชิงถามว่ามึงจะเอาไง?

ถ้าลงชื่อว่าทาสี ก็จะมีพี่ไก่แค่คนเดียวที่ทำโต๊ะ มันจะไม่เกินไปเหรอวะ คือเรามาเพื่อช่วยเหลือไง ควรช่วยทุกๆด้านดิ

“เอาไงดีหนุ่มๆ จะทาสีหรือทำโต๊ะจ้ะ”

พี่สา รุ่นพี่ปีสามคณะบริหารธุรกิจเอ่ยถามยิ้มๆ เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะลงทะเบียน

“ทำโต๊ะกันมั้ยมึง”

ไอ้แว่นหันมาถามผม คือมึงทำเป็นเหรอฮะ ในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยจับเลื่อย ตอกตะปูเลยนะ แล้วไอ้ผอมแห้งแรงน้อยอย่างไอ้แว่นที่จับเป็นแต่ตำราเรียนจะเอาแรงจากไหนมาทำโต๊ะวะถามจริง

“ไปช่วยพี่ไก่ทำโต๊ะมั้ย มีคุณลุงสอนให้นะ”

พี่สาพยายามโน้มน้าวก่อนจะชี้นิ้วไปที่คุณลุงสองคนที่กำลังเลื่อยไม้ โดยมีพี่ไก่ยืนทำความเข้าใจอยู่ข้างๆ คือยากมากเปล่าวะ

“เรื่องแบบนี้มันเรียนรู้กันได้”

แหม ทำน้ำเสียงขอร้องขนาดนี้เพราะกลัวงานไม่เสร็จ ไม่มีคนทำก็บอกมาเถอะพี่ เฮ้อ ผมก็เห็นใจพี่สานะที่สมาชิกเกือบห้าสิบคนไปรุมกันทาสีโรงเรียนอ่ะ แล้วจะให้กรรมการค่ายไปทำโต๊ะมันจะไหวหรือ

“โอเคครับ พวกผมทำโต๊ะก็ได้”

ผมรับปาก เอาน่าตามที่พี่สาบอกนั่นแหละ ของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้ ผมไม่เคยจับค้อน ไม่เคยเชื่อมเหล็ก ไม่เคยใช้เครื่องกลึงยังผ่านมันมาได้ในคณะวิศวะ แล้วแค่เลื่อยไม้ทำโต๊ะทำเก้าอี้จะไปยากอะไร๊! ใช่มั้ยทุกคนนน

ผมกับไอ้แว่นเข้าไปเรียนรู้งานไม้กับคุณลุงทั้งสองคน พี่ไก่เรียนรู้งานได้เร็วมากและงานไม้ที่พี่แกทำออกมาก็จัดว่าดีทีเดียว ส่วนคนกากๆอย่างผมกับไอ้แว่นมีหน้าที่ตอกตะปูประกอบโต๊ะเก้าอี้ รวมถึงซ่อมแซมโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ

หลังจากทำงานติดต่อกันมาเกือบสองชั่วโมง คุณลุงทั้งสองคนก็ขอตัวไปตัดไม้มาเพิ่ม ทิ้งให้ผมไอ้แว่นและพี่ไก่ทำงานด้วยกันเงียบๆ ถึงแม้พวกผมจะได้ทำงานใต้ร่มไม้ใหญ่ แต่ไอแดดบริเวณรอบๆ ก็ทำให้ผมเหงื่อไหลท่วมตัว รู้สึกคอแห้งแถมหน้ามืด แต่จะให้ทิ้งแรงงานที่มีอยู่น้อยนิดไว้ด้วยกันสองคนแล้วโดดไปพัก ผมก็ทำไม่ลง ไม่ได้ใจหมาขนาดนั้นอ่ะครับ ผมเข้าใจว่าเราต้องเร่งมือทำงานให้เสร็จภายในสามวัน จึงไม่ได้ปริปากบ่น ถือว่าได้ความรู้ในการทำโต๊ะ เผื่ออนาคตตกงาน พ่อไม่ยกร้านขายยาให้ ผมจะได้มีอาชีพเสริม

ระหว่างที่กำลังตั้งใจตอกขาเก้าอี้โป้กๆ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินเข้ามาใกล้ แต่ผมไม่ได้สนใจ คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่กรรมการค่ายสักคนที่มาตรวจงาน หรือแวะเข้ามาช่วยงานเล็กๆน้อยๆจนกระทั่งได้ยินเสียงโมโนโทนคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อ

“วิน”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองฉัตรชนก ตอนแรกผมคิดว่าเขาไปช่วยคนอื่นๆทาสี แต่ดูจากสภาพที่ เอ่อ แบบ…เหมือนลูกหมาตกน้ำ ทั้งเปื้อนทั้งเปียก ผมว่าไม่น่าใช่ทาสีแล้ว ถ้าบอกว่าเดินตกทะเลมาผมก็เชื่อ

“เอาน้ำมาให้”

ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเขามีขวดน้ำแช่เย็นสามขวด เขาวางขวดน้ำสองขวดไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง ถึงไม่ได้บอกว่าเอามาให้ใคร แต่พี่ไก่กับไอ้แว่นก็คว้ามาดื่มแบบไม่ต้องขอ อ้าว แล้วของกูอ่ะ ในมือนี่คือมึงถือว่าแดกเองหรืออะไรวะฉัตร

“หิวน้ำ”

ผมว่าแล้วขมวดคิ้วใส่เขา ถ้ามึงไม่ให้น้ำขวดนั้นกับกู กูจะโวยแล้วนะ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน หยิบมาสี่ขวดไม่ได้หรือไง

ฉัตรย่อตัวลงมานั่งตรงหน้าแล้วเปิดฝาขวดน้ำก่อนจะยื่นมาจ่อที่ปากของผม…มึงให้กูจริงดิ? ผมมองเขาด้วยความลังเลครู่หนึ่ง หวังว่าหมอนี่จะไม่ทำผมสำลักน้ำตายนะ

ผมแตะปากลงบนขวดน้ำซึ่งฉัตรก็อำนวยความสะดวกให้ผมโดยการกระดกขวดให้น้ำไหลผ่านลำคอของผมอย่างช้าๆ

“อยากช่วย มีอะไรให้ทำ” ฉัตรถาม ผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้คุณชายจะอยากช่วยงานพวกนี้ แต่ไหนๆหมอนี่ก็แสดงน้ำใจออกมาขนาดนี้แล้ว ผมก็ต้องรีบๆรับไว้ ไม่งั้นเกิดเขาเปลี่ยนใจขึ้นมา พวกผมสามคนก็เหนื่อยแย่เลยดิ 

“ตอกตะปูให้หน่อย”

ผมจับไม้ส่วนที่เป็นขาเก้าอี้ไว้แล้วบอกตำแหน่งที่ควรตอกตะปูลงมา ซึ่งฉัตรก็ทำตามที่ผมขอโดยไม่ได้บ่น

“มึงไปทำอะไรมาน่ะ ทำไมตัวเปียก” ผมถามระหว่างที่ทำงาน

“ไปซ่อมท่อในห้องน้ำโรงเรียน”

จริงๆคำตอบของฉัตรค่อนข้างเหนือความคาดหมาย คือผมไม่คิดว่าเขาจะยอมทำอะไรที่สกปรก

ผมแอบเหลือบตาไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา คือหมอนี่เป็นคนที่หน้าตาดีและมีแรงดึงดูดทางเพศสูงมาก ยิ่งเปียกยิ่งดูดี ภาพที่เขาตั้งใจตอกตะปูด้วยใบหน้าไร้อารมณ์กลับทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเร้าใจแปลกๆอ่ะ

โอ๊ยแม่ง ผมคิดบ้าอะไรของผมวะ คิดถึงพอร์ชไว้ดิวิน พี่พอร์ชของผม ผมจะไม่มองคนอื่น ไม่นอกใจ พอร์ช พอร์ช พอร์ชชชชช

“พี่ฉัตรครับ!”

ระหว่างที่ผมกำลังสะกดจิตตัวเองอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคนที่ทำให้ผมตกใจจนเกือบเอามือเข้าไปรับค้อนของฉัตร

ห่าเอ๊ย!

ผมหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมๆกับฉัตรและเห็นว่าคนที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาคือติวเตอร์ หมอนั่นล้มตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆฉัตรแล้วถามตาใส

“มาอยู่นี่เอง ให้เตอร์ช่วยนะครับ”

“พี่อยากได้ผู้ช่วยอยู่พอดีเลยครับ” ไอ้แว่นรีบแทรกขึ้นมาก่อนที่ฉัตรจะทันได้ตอบอะไร

“ได้เลยครับ”

นี่ก็ตอบรับอย่างไว สรุปมาอ่อยใครเอาให้แน่


 


ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
Re: Agnosia [เเอคโนเซีย] - 16/09/2562 [บทที่10]
«ตอบ #29 เมื่อ21-09-2019 20:09:35 »

 :hao7: :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด