I'm Tussy 7
วิชา ‘ปูนปั้น’เป็นวิชาเลือกสำหรับนักศึกษาคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ เป็นหนึ่งในศิลปะที่นับตังค์ไม่ถนัด เรียกว่าไม่ชอบเลยก็ว่าได้ แต่ที่เขาลงเรียนวิชานี้เป็นเพราะถูกทวยเทพใช้สารพัดข้ออ้างมาหลอกล่อให้เขากับจูเนียร์ตกหลุมพรางแล้วลงเรียนเป็นเพื่อน ทั้งบอกว่าไม่ต้องสอบมิดเทอม มีสอบไฟล์นอลแค่ 30% และมีเลคเชอร์แค่ไม่กี่ชั่วโมง ที่เหลือเป็นการเรียนการสอนแบบลงมือปฏิบัติซึ่งจะเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียนก็ได้ แค่ทำงานส่งตามกำหนดก็ได้เกรดแล้ว ตามความเห็นของนับตังค์ที่มีต่อวิชานี้ จึงไม่ต่างจากคาบว่างหรือใช้เวลาในการผ่อนคลายสมอง ทุกอย่างดำเนินไปตามที่ทวยเทพบอก กระทั่งวันนี้ที่ทำนับตังค์รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนสนิทไม่ได้บอกคือ งานที่ทำส่งต้องออกมาดีที่สุดเท่านั้น อาจารย์มีคะแนนให้แค่สิบกับศูนย์ ทำงานออกมาได้ไม่ดี มีสิทธิ์ส่งงานเข้ามาใหม่ ส่งได้เรื่อยๆกระทั่งได้สิบคะแนน นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ลงเรียนวิชานี้จึงมีเกรด A กับ F ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ และนับตังค์ก็เริ่มหวั่นๆแล้วว่า F อาจจะลอยมาเร็วๆนี้
“ไหนมึงบอกว่าวิชานี้ง่ายไงวะ”
นับตังค์ต่อว่าทวยเทพ ขณะกวาดสายตาไปยังหน้าห้องเรียนที่ถูกเรียงรายไปด้วยปูนปั้น ซึ่งเป็นผลงานของรุ่นพี่ที่เคยลงเรียนในวิชานี้ อาจารย์นำผลงานเหล่านั้นมาจัดแสดงให้นักศึกษาดูว่า แบบไหนได้สิบคะแนนและแบบไหนได้ศูนย์คะแนน ซึ่งงานที่ได้สิบคะแนนเต็มล้วนแล้วแต่สวยงามและมีรายละเอียดชัดเจน คนที่ไม่เคยศึกษาและลงมือทำงานจริงอย่างเขา ไม่มีทางที่จะปั้นออกมาได้สิบคะแนนในครั้งแรก
“แหม ก็ง่ายออก แค่ปั้นตัวอะไรสักอย่างเองน้า”
ทวยเทพพยายามฉีกยิ้มหวานส่งมาให้เพื่อนสนิท ในเวลานี้ที่หน้าห้องเรียน มีนักศึกษาหลายคนที่พากันไปมุงดูผลงานปูนปั้นอย่างใกล้ชิด คลาสเรียนนี้เป็นคลาสเล็กๆ นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ลงเรียนเป็นเด็กสาขาประติมากรรมที่มีความรู้ด้านนี้อยู่แล้ว ส่วนสาขาอื่นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“สักอย่างพ่อมึงซิ” จูเนียร์ที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของนับตังค์ ถึงกับชะโงกหน้าไปด่าทวยเทพที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย
“มึงดูตัวอย่างงานของรุ่นพี่ซะก่อน ต้องทำให้ได้แบบนั้นถึงจะได้สิบ แล้วมึงคิดว่าน้ำหน้าอย่างพวกเราจะปั้นได้เหรอวะ”
งานปูนปั้นต้องจับกลุ่มทำด้วยกันตั้งแต่ 4-5 คน ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนกลุ่มตลอดทั้งเทอม ซึ่งวันนี้เป็นวันส่งรายชื่อกลุ่มให้อาจารย์
“อีนับ มึงบอกกูซิว่ามึงเคยปั้นดินปั้นโคลนมาก่อน”
จูเนียร์หันมาถามนับตังค์อย่างมีความหวัง เพราะเขาเป็นคนที่มีเซ้นด้านศิลปะมากที่สุดในสาขาและมักจะมีแนวคิดใหม่ๆมาประยุกต์ใช้ในวิชาที่เรียน แต่โทษทีนะเพื่อน เว้นประติมากรรมและพวกปั้นดินปั้นโคลนล่ะ นับตังค์ไม่สันทัดเลยสักอย่าง
“ไม่อ่ะ แต่หล่อปูนปาสเตอร์กูเคยทำนะ”
“เวรกรรม” จูเนียร์คร่ำครวญ
“เอาไงดีอ่ะ”
ทวยเทพเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิด ถึงว่าไม่ค่อยมีคนลงเรียนวิชานี้ เขาก็น่าจะสอบถามจากรุ่นพี่ให้ดีซะก่อน แบบนี้มันเรียกว่าหาเหาใส่หัวชัดๆเลย
“หาเพื่อนที่มีแววเก่งๆมาอยู่กับเราสักคนดีมั้ย” นับตังค์เสนอ นาทีคิดได้อย่างเดียวคือเกาะคนเก่งเพื่อเอาตัวรอด
“ใครล่ะ” จูเนียร์ถาม กวาดสายตามองไปรอบๆคลาส ก็เห็นว่าคนอื่นจับกลุ่มกันหมดแล้ว จะเหลือก็แต่พวกเขาสามหน่อที่นั่งโง่ๆอยู่ด้วยกัน
“นั่นโลมาใช่มั้ย ดูท่าจะยังไม่มีกลุ่มนะ” นับตังค์ชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งกำลังยกปูนปั้นรูปศีรษะของอับราฮัม ลินคอล์นขึ้นมาลูบๆคลำๆอยู่แถวหน้าห้องเรียน
“นับ” ทวยเทพเอ่ยเรียก
“อะไร?”
“มึงจะชวนไอ้บ้านั่นมาอยู่กลุ่มเดียวกับเราจริงเหรอ เกิดมันมาเป็นตัวถ่วงล่ะ”
“พวกเราก็ไม่ได้เก่ง ไม่มีใครถ่วงใครหรอก อย่างมากก็แค่เรียนรู้ไปด้วยกัน” นับตังค์อธิบาย ไหนๆพวกเขาสามคนก็เป็นบุคคลไร้ความสามารถอยู่แล้ว ถ้าจะรับคนโดดเดี่ยวไร้กลุ่มเข้ามาอีกสักคนก็คงไม่ทำให้อะไรแย่ลง
“เออ มึงไปชวนล่ะกัน” จูเนียร์เห็นด้วย ทวยเทพจึงพยักหน้าอย่างจำยอม
นับตังค์เดินเข้าไปหาโลมาที่กำลังจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของลินคอล์น แล้วเอ่ยทักเสียงเบาเพราะไม่ต้องการรบกวนเพื่อนรวมคลาสคนอื่น
“หวัดดี” โลมาไม่ได้ละสายตามามองนับตังค์ ยังคงมองใบหน้าของรูปปั้นโดยไม่ละสายตาไปไหน ให้ตายสิ หมอนี่หูตึงหรือไงนะ
“โลมาใช่มั้ย เราชื่อนับตังค์นะ” นับตังค์เอ่ยอย่างอดทน คราวนี้อีกฝ่ายหันมามองที่เขาแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
“มีกลุ่มทำงานยังอ่ะ?”
“…”
หมอนี่ไม่เข้าใจภาษาไทยงั้นเหรอ หรือว่าไปโตที่ต่างประเทศ?
“มีกลุ่มทำงานปั้นหรือยัง?”
นับตังค์ถามเป็นภาษาอังกฤษ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเฉยชา ไม่รับรู้อะไรเลย ก็เปลี่ยนเป็นถามประโยคเดิมด้วยภาษาไทย เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ชะมัด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมอนี่ไม่มีเพื่อน แม่ง เป็นคนที่คุยโคตรยาก เพราะมันไม่ตอบสนองห่าอะไรเลยไง
“ยังไม่มี”
เฮ้อ นับตังค์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็ตอบ แถมยังเข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี
“อยู่กลุ่มเดียวกับเรามั้ย?”
นับตังค์ถาม นิ่งมองใบหน้าของโลมาอย่างรอคอย หมอนั่นวางลินคอล์นลงบนพื้น แล้วหันมาแข่งจ้องตากับนับตังค์ ไม่มีบทพูดอีกแล้ว มึงลืมเอาปากมาเหรอครับ นับตังค์พยายามทำใจให้เย็นแล้วเอ่ยถามออกไปอีกประโยค
“มาทำงานด้วยกันมั้ย?”
“ได้”
เออ กูเหนื่อยว่ะ
นับตังค์หันไปโบกมือเรียกเพื่อนสนิท เมื่อทวยเทพกับจูเนียร์มาถึงเขาก็แนะนำให้รู้จักกับโลมา ที่ไม่ได้ตอบสนองอะไรเช่นเดิม หลังจากนั้นพวกเขาก็เขียนชื่อนามสกุลลงในกระดาษแล้วส่งให้อาจารย์ประจำวิชา นับตังค์รู้สึกว่านามสกุลของโลมาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นผ่านตามาจากที่ไหนสักแห่ง แต่คิดไม่ออก คาดว่าน่าจะเป็นนามสกุลเดียวกับเพื่อนร่วมสาขาของเขาสักคน
“นัดทำงานกันวันเสาร์นี้ดีมั้ย” จูเนียร์เสนอ พวกเขาสามารถใช้ห้องปั้นของคณะได้ ที่นั่นมีอุปกรณ์ครบครันให้ใช้แบบฟรีๆ แต่ต้องลงชื่อจองล่วงหน้า ซึ่งวันเสาร์ช่วงเช้าก็เป็นเวลาที่ห้องยังว่างอยู่ ทุกคนพยักหน้าเป็นการตอบตกลง รวมถึงโลมาที่ดูเหมือนกำลังพยักหน้าตามคนอื่น มากกว่าจะพยักหน้าเพราะเข้าใจ
“สรุปวันเสาร์ สามโมงเช้านะ” นับตังค์ย้ำกับโลมาอีกครั้ง ตอนนี้เขาขอสรุปในใจเอาเองว่าโลมาเป็นพวกสมองช้า ต้องค่อยๆพูด และพูดอะไรช้าๆอย่างอดทนจึงจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“คือกี่โมง” โลมาถาม
“สามโมงไง”ทวยเทพหันไปตอบ นับตังค์รู้สึกว่าทวยเทพกำลังอารมณ์ไม่ดี เพราะโลมาพูดน้อยเกินไป และเข้าใจอะไรยากเกินไป จนบางครั้งดูเหมือนคนที่เจตนากวนประสาท
“กี่โมง” โลมาหันไปมองหน้าทวยเทพแล้วถามอีกครั้ง นับตังค์ที่กลัวว่าถ้าไอ้ทวยของขึ้นจะลุกขึ้นมาตบโลมา จึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เก้าโมงเช้า นายรู้จักมั้ย เก้า-จุด-ศูนย์-ศูนย์-นอ”
“รู้จัก”
เออดี ไม่รู้จักสามโมงเช้า แต่เสือกรู้จักเก้าโมงเช้าเฉยเลย
โชคดีที่หลังจากแลกเบอร์โทรศัพท์กันแล้วก็พากันแยกย้าย โลมาจึงรอดพ้นจากการถูกทวยเทพหมายหัวได้อย่างปลอดภัย
“เนียร์ ไปส่งกูที่ตึก PT หน่อยดิ”
นับตังค์เอ่ยขึ้นระหว่างลงลิฟต์มาพร้อมกับเพื่อนสนิททั้งสองคน ตึก PT เป็นแหล่งรวมสตูดิโอสำหรับวาดภาพ ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของคณะ สามารถเดินไปตามทางเชื่อมระหว่างตึกบนชั้นสองได้ แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่ นิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์ขับอ้อมไปเข้าประตูหลังคณะแทนการเดิน
“รถมึงอ่ะ” เนียร์ถาม เพราะเขาไม่รู้ว่าเมื่อเช้านับตังค์มาเรียนอย่างไร
“ไอ้ดินเอาไปใช้”
“อีกละ!รูมเมทมึงนี่โคตรส้นตีนเลย ให้พวกกูไปดักตบให้เอามั้ย”
นับตังค์หัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าควรซาบซึ้งดีหรือไม่ จูเนียร์กับทวยเทพไม่ชอบดินเพราะคิดว่ามันจ้องจะเอาเปรียบคนอื่น แต่นับตังค์กลับคิดว่าดินก็ไม่ได้แย่ อีกอย่างดินก็เป็นคนที่น่าสงสาร ไหนๆฟ้าก็ส่งมันมาเป็นรูมเมทของเขาแล้ว จะให้เขาเมินเฉยต่อเพื่อนร่วมห้องก็ใช่เรื่อง
“มันก็มีส่วนดีของมันน่า เดี๋ยวตอนเย็นมันก็มารับกูที่ตึก PT”
“โอเค กูไปส่งก็ได้”
“มึงจะไปวาดรูปพี่เวฟแล้วใช่ปะ” ทวยเทพเอ่ยถามเมื่อพวกเขาเดินออกมาจากลิฟต์ และกำลังตรงไปที่ลานจอดรถข้างตึกเรียน
“อืม” นับตังค์ตอบรับ
“อย่าลืมมาเล่าให้ฟังบ้างนะ ว่าไปถึงไหนกันแล้ว” ทวยเทพเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แล้วใช้ร่างสูงใหญ่กระแซะนับตังค์จนเกือบล้มหน้าทิ่ม เขาขมวดคิ้วด้วยความงุนงง…ไปถึงไหน? หมายถึงวาดรูปไปถึงไหนแล้วน่ะเหรอ ไม่เห็นรู้เลยว่าไอ้ทวยสนใจเรื่องสีน้ำด้วย
“ถึงนี่ยังมึง”
นับตังค์หันไปมองทวยเทพที่กำลังทำปากจู๋ส่งเสียงจุ๊บๆ แล้วความเข้าใจทั้งหมดก็แล่นสู่สมอง
“ไม่ถึงไหนทั้งนั้นแหละ”
ห่าเอ๊ย! นี่ใคร นี่นับตังค์คนแมนนะเว้ย จะให้เขาไปจูบพี่เวฟที่ไม่ใช่แฟนได้ยังไง เลวร้ายที่สุด เลวยิ่งกว่าฆาตกรฆ่าข่มขืน!
“กระจอก!พี่เวฟเสนอตัวขนาดนี้แล้ว มึงนี่มันชักช้าไม่ได้เรื่อง”
บัดสี! ใครบอกว่าคนสวยเสนอตัว พี่เวฟของนับตังค์เป็นคนเรียบร้อย นอกจากพูดคำหยาบนิดๆหน่อยๆ ก็ไม่เคยให้ท่าเขาเลย ถ้าเพื่อนว่าร้ายพี่เวฟแบบนี้ เขาจะเกรี้ยวกราดแล้วนะ
“เสนอตัวอะไร พูดให้ดีๆนะเว้ย”
“เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว มึงบอกว่าพี่เวฟชวนไปดูหนังใช่ปะ”
“แล้ว?”
“พี่เขาอ่อยมึงอยู่ มึงจีบสักทีซิ” ทวยเทพเฉลยข้อสันนิษฐาน ซึ่งนับตังค์ก็ได้แต่ส่ายหน้า ไม่ใช่ไม่อยากจีบ แต่กูกากนะบอกเลย
“ใจเย็น เรื่องความรักต้องค่อยเป็นค่อยไป รีบร้อนไม่ได้”
นับตังค์เอ่ยอย่างจริงจัง ที่จริงคือสร้างภาพ ตอนอยู่กับพี่เวฟมีแต่ใจเหลวเป็นไอติมโดนแดดเผา นอกจากนั่งใจสั่นแล้ว ก็ยังไม่มีปัญญาจะไปสีคนสวยเลยครับ
“อีโง่ ถ้ากูเป็นพี่เวฟนะกูเหนื่อยใจตาย ขนาดนี้แล้วมึงยังไม่จีบเขาอีก ถ้าเขาไม่ชอบมึง เขาไม่เสียเวลามานั่งเป็นแบบให้มึงวาดรูปหรอก” ทวยเทพตะโกนด่าด้วยความขัดใจ ส่วนจูเนียร์ที่กำลังหยิบกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าก็ยังเห็นด้วย
“จริง”
นับตังค์ทำหน้ามุ่ย ถ้าเขากล้าสักครึ่งหนึ่งของความมโนคงจะดีกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าพี่เวฟชอบเขามากน้อยแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าพี่เวฟชอบคนอื่นอีกหรือเปล่า ถ้าเขาเดินเข้าไปสารภาพกับพี่เวฟว่า ‘ชอบนะครับ ลองคบกันดูมั้ย?’ จะหน้าแหกกลับมาหรือเปล่านะ
“เนียร์ไปเถอะ เดี๋ยวพี่เวฟรอนาน”
นับตังค์เร่งจูเนียร์ที่กำลังยืนทาลิปสติกอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายเก็บกระจกและลิปลงในกระเป๋าสะพายแล้วรีบสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ นับตังค์โบกมือลาทวยเทพซึ่งไม่ลืมส่งคำอวยพรที่ทำให้เขาหน้างอ
“จ้า ขอให้พี่เวฟโดนคนอื่นงาบไปแดกน้า”
ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้หัวทวย!
“พี่เวฟครับ ผมอยากให้พี่เปลี่ยนมาใส่ชุดนี้”
นับตังค์หลุบตามองพื้นขณะยื่นถุงกระดาษในมือให้พี่เวฟ อีกฝ่ายรับไปแล้วหยิบกลุ่มผ้าสีขาวกับสีแดงเลือดนกออกมากางออก ชุดที่อีกฝ่ายถืออยู่เป็นชุดสไตล์กรีกโบราณ กระโปรงเป็นผ้าซีทรูสีขาวที่ถูกเย็บซ้อนกันหลายชั้น เมื่อสวมใส่แล้วจะมองเห็นผิวเนื้อเพียงเล็กน้อย ความเบาบางของผ้าทำให้ดูพลิ้วไหวและอ่อนโยนยามก้าวเดิน ผ้าคาดเอวเป็นสีแดงเลือดนกยาวลากพื้น ส่วนท่อนบนเป็นเสื้อแขนยาวที่ถูกเย็บซ้อนกันด้วยผ้าซีทรูสีขาวหนึ่งชั้น แล้วทับด้วยผ้าซีทรูสีแดงเลือดนกอีกหนึ่งชั้น ชุดแหวกช่วงไหล่ยาวลงมาถึงแผ่นอก ที่จริงแล้วนาร์ซิสซัสควรเปลือยท่อนบน แต่เขาเกรงใจพี่เวฟจึงเลือกชุดที่โป๊น้อยที่สุด
“ชุดสวยนี่” พี่เวฟพิจารณาชุดในมือช้าๆก่อนจะหันมามองนับตังค์
“ซื้อมาจากไหนครับ?”
“ผมเย็บเองครับ ชุดนี้ออกแบบมาเพื่อพี่เวฟโดยเฉพาะ” นับตังค์ตอบ รู้สึกเขินที่ผู้ชายแมนๆอย่างเขาต้องมานั่งเย็บชุดของนาร์ซิสซัสเพราะแบบเสื้อผ้าในอินเตอร์เน็ตไม่ถูกใจ
“งั้นก็ขอบคุณนะครับ พี่ใส่แล้วต้องสวยมากแน่ๆ”
นับตังค์ฉีกยิ้มกว้าง พี่เวฟสวยอยู่แล้วครับ ต่อให้ไม่ใส่อะไรเลยก็สวย อีกฝ่ายวางชุดลงบนโต๊ะตัวยาวในห้องสตูดิโอ แล้วเริ่มลงมือปลดเนกไทออกจากลำคอ
“จะถอดตรงนี้เลยเหรอครับ” นับตังค์มองภาพเบื้องหน้าตาโต แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก แต่อีกฝ่ายกับเอ่ยซื่อๆ
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ อีกอย่างห้องน้ำในตึกนี้ก็อยู่ไกล”
“อ๋อ”
ไม่เป็นไรก็ได้ครับ ถ้าพี่เวฟไม่ถือ นับตังค์ก็ไม่ถือ เขาเผลอใช้สายตาจดจ้องอยู่ที่กระดุมเสื้อของพี่เวฟอย่างรอคอย กระดุมเสื้อถูกปลดอย่างเชื่องช้า…หนึ่งเม็ด…สองเม็ด…สามเม็ด
แผ่นอกขาวผ่องที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำให้นับตังค์ลำคอแห้งผาก รีบหันหลังขวับแทบไม่ทัน ฮืออออ ใจหมาสุดๆเลยมึ๊ง ต่อให้พี่เวฟกล้าถอด แต่นับตังค์ไม่กล้าดู ทำได้แค่ยืนใจเต้นตึกตักอยู่เงียบๆ เสียงสวบสาบของเนื้อผ้าที่ขยับเสียดสีกับร่างกาย ทำให้เด็กลามกเริ่มจินตนาการไปถึงร่างกายขาวผ่อง เอวบอบบาง กับสะโพกสวย พยายามกัดฟันแน่น ทั้งที่อยากหันกลับไปมองใจจะขาด อยากรู้ว่าพี่เวฟจะเซ็กซี่แค่ไหน แต่ถ้าเขาหันไปแล้วอดใจไม่อยู่ อาจจะกระโจนเข้าใส่พี่เวฟก็ได้นะ…อันตรายจริงๆ!
“นับตังค์”
“คะ…ครับ?” นับตังค์ที่กำลังคิดฟุ้งซ่านเอ่ยตอบเสียงสั่น แต่ไม่ยอมหันกลับไป ไม่ได้หร๊อก เดี๋ยวพี่เวฟจับได้ว่าเขาอยากดูคนสวยโป๊ แบบนั้นก็ขายหน้าแย่เลย
“ชุดมันใส่ยังไง ช่วยพี่หน่อยสิครับ”
อ๋อ…จะว่าไปชุดที่เขาเย็บขึ้นมาก็ใส่ยากจริงๆ ถ้าเกิดพี่เวฟรุนแรงเกินไปอาจจะทำให้ชุดขาดก็ได้
นับตังค์สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับพี่เวฟ ภาพที่เห็นทำให้เขาลอบกลืนน้ำลายเสียงดังเอือก ใบหน้าแดงก่ำกำลังร้อนระอุ ก่อนหน้านี้เขาได้จินตนาการไว้ว่าร่างกายของพี่เวฟต้องบอบบางน่าทะนุถนอม แต่ความจริงที่ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้น ไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาคิดเอาไว้เลย พี่เวฟไม่ได้ร่างบางเอวน้อย อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายสูงโปร่งจึงทำให้เขาเข้าใจไปว่าพี่เวฟตัวเล็ก ร่างกายท่อนบนของพี่เวฟเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามชัดเจน หน้าท้องมีซิคแพ็คแน่นๆจากการออกกำลังกาย ต่อให้เมื่อก่อนนับตังค์จะไม่ชอบพวกมีกล้าม แต่เมื่อสิ่งนั้นมาปรากฏอยู่บนร่างกายของพี่เวฟ กลับทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไป มันทั้งเซ็กซี่และเร้าอารมณ์ ชวนให้คนมองรู้สึกอ่อนระทวย อยากจะพุ่งเข้าไปหาแล้วใช้มือลูบไล้หน้าท้อง เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ค่อยๆเกร็งตัวจากแรงอารมณ์ อยากเห็นแผ่นอกสะท้านเพราะการหอบหายใจและเสียงครวญครางที่เต็มไปด้วยความกระสัน
“นับตังค์”
“!!!”
เสียงเรียกที่ดังแทรกม่านมโนเข้ามากระแทกสติรับรู้ ทำให้นับตังค์รีบละสายตาจากแผ่นอกขาวๆ ไปมองใบหน้าของคนสวย แล้วรีบหัวเราะกลบเกลื่อน รู้สึกไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้เขาได้แสดงสีหน้าแบบไหนออกไปกันแน่
“แหะๆ เอาแขนมาสอดตรงนี้ครับ” นับตังค์รีบแล่นเข้าไปช่วยพี่เวฟใส่ชุดกรีกโบราณ จัดผ้าคาดเอว และดึงเสื้อเปิดไหล่สองข้าง ทำให้ชุดที่ไม่มีกระดุมถูกแหวกออกเปิดเผยแผ่นอกแข็งแรง
“คือชุดมันโชว์แผ่นอกนิดหน่อยอ่ะครับ”
ก็ไม่นิดนะ ยอมรับว่านับตังค์อยากดูเองนี่ล่ะครับ
“อืม ยังไงก็ได้” พี่เวฟเอ่ยอย่างไม่ติดใจสงสัย ทำให้นับตังค์ลอบยินดีอยู่ในใจ ขณะที่เขากำลังใช้มือลูบเนื้อผ้าให้เรียบและทิ้งตัวสวย ก็สังเกตเห็นว่าช่วงเอวของพี่เวฟมันพองขึ้นมาเพราะกางเกงสแล็คตัวใน ทำให้กระโปรงที่ควรแนบเนื้อและพลิ้วไหว กลายเป็นเสียรูปทรงอย่างไม่น่าให้อภัยเลย
“พี่เวฟถอดออกได้มั้ยครับ”
“ถอด?”
นับตังค์เงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง ตอนนี้เขาไม่ได้คิดลามกแล้วนะครับ แค่อยากให้งานออกมาดีที่สุด
“ถอดกางเกงด้วยได้มั้ยครับ? คือผ้ามันจะพลิ้วกว่านี้ถ้าพี่ถอดเสื้อผ้าด้านในออกให้หมด”
“อืม ชุดมันรุ่มร่าม พี่ถอดกางเกงไม่ถนัด น้องนับช่วยพี่หน่อยสิครับ”
“ช่วย?”
นับตังค์เอ่ยทวนเสียงสูง คิดว่าตัวเองอาจจะฟังผิด แต่พี่เวฟกลับยืนยันคำตอบด้วยการดึงกระโปรงผ้าซีทรูขึ้นสูง เผยให้เห็นกางเกงสแล็คสีดำด้านใน ต่อให้ไม่โป๊แต่ท่าทางแบบนี้มันดูเชิญชวนไม่น้อยเลยนะครับ
“ถอดกางเกงให้พี่เวฟหน่อยสิครับ”
“ถอด…ให้ผมถอด!”
ถ้านับตังค์ถอดกางเกงให้พี่เวฟ เขาก็จะหะ…เห็นปิกาจู๋ ต่อให้เป็นกาจู๋ในกางเกงชั้นในก็ยังเรียกว่าเห็น อีกอย่างมือของเขาก็ต้องแตะโดน ถึงนิดๆหน่อยๆก็ต้องโดนอ่ะ แล้วมือที่บริสุทธิ์ผุดผ่องก็ต้องมาเสียหายเพราะแตะกาจู๋ของพี่เวฟ แล้วพี่เวฟจะรับผิดชอบหรือเปล่านะ
“เร็วสิครับ จะได้รีบวาดรูปกัน”
“ได้ครับได้”
เสียงเร่งทำให้นับตังค์สะดุ้ง รีบตอบรับโดยไม่ทันคิด เขาคุกเข่าลงบนพื้นแล้วเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดให้พี่เวฟ แล้วตามด้วยการปลดกระดุมและซิปกางเกง พยายามควบคุมปลายนิ้วให้แตะโดนกาจู๋น้อยที่สุด ถึงเขาจะอยากลวนลามพี่เวฟแต่แบบนี้ไม่ดีเลยนะ ไม่ดีต่อใจมากๆ นับตังค์พยายามตั้งสติ เลื่อนมือไปไว้บนขอบกางเกงและดึงกางเกงลงมา แต่ว่า…
วืด!
นับตังค์โน้มตัวไปด้านหน้ามากเกินไป ทำให้กางเกงถูกดึงลงมาพร้อมกับใบหน้าที่พุ่งเข้าไปฝังลงบนต้นขาของพี่เวฟ ซ้ำร้ายแก้มยังแนบชิดกับกาจู๋อย่างแนบแน่น คราวนี้ไม่ใช่แค่มือที่เสียบริสุทธิ์ แต่ทั้งแก้มและปากของนับตังค์ยังเสียหายอย่างรุนแรงอีกด้วย
“ผมขอโทษครับ”
นับตังค์เอ่ยอย่างลนลาน ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งอับอายทั้งหวาดกลัว ถ้าคนสวยโกรธจัดจะยกเท้าเสยคางนับตังค์หรือเปล่านะ
“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงของพี่เวฟทั้งอ่อนโยนและเจือแววขำขัน ทำให้นับตังค์พอจะใจชื้นได้บ้าง
“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ต่อให้ตั้งใจก็ไม่เป็นไร”
พี่เวฟก้มลงมามองนับตังค์ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ทำให้นับตังค์ยู่ปากด้วยความขัดใจ…บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ไม่คิดจะเชื่อกันเลยสินะ ขณะกำลังต่อว่าคนแก่กว่าอยู่ในใจ สายตาก็เหลือบไปเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสีดำที่สลักอยู่บนผิวเนื้อขาวๆ โผล่พ้นออกมาจากขอบกางเกงชั้นในเล็กน้อย
“พี่เวฟสักด้วยเหรอครับ”
นับตังค์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจขณะดึงกางเกงออกจากปลายเท้าของพี่เวฟ อีกฝ่ายเหลือบตาลงมามองแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ดึงกระโปรงลงคลุมเรียวขา กลับยืนโชว์เป้าตุงๆภายใต้กางเกงชั้นในสีขาวสะอาดอยู่แบบนั้น
“อืม”
อึก!
“สักว่าอะไรเหรอครับ”
นับตังค์ถาม ขณะที่สายตาเอาแต่จดจ่ออยู่กับรอยสักประโยคนั้น พรางคิดว่าทำไมพี่เวฟถึงหาที่สักได้ลามกแบบนี้นะ รอยสักอยู่ใกล้กาจู๋ขนาดนี้ ตอนสักนี่ต้องถอดกางเกงในหรือเปล่า แล้วช่างสักเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย คนๆนั้นได้เห็นของลับของพี่เวฟตลอดการสักเลยน่ะสิ แล้วสักไว้ตรงนี้ใครจะไปเห็น พี่เวฟอยากสักไว้ดูคนเดียว หรือว่าไว้ดูกับ…แฟน?!
“อยากรู้เหรอ?”
นับตังค์พยักหน้า ต่อให้การสักใกล้ของลับจะทำให้นับตังค์ใจคอไม่ดี แต่ถ้าพี่เวฟบอกให้เขารู้ เขาคงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนพิเศษที่กุมความลับเรื่องรอยสักนั้น น่าตื่นเต้นดีอ่ะ
“มาอ่านเองสิ”
ห๊ะ? อ่านเอง? ถ้าให้นับตังค์เข้าไปอ่านเอง เขาก็ต้องดึงกางเกงในของพี่เวฟลงมา แล้วเขาก็จะเห็นรอยสักกับ…อึก!
“ผมเกรงใจ” นับตังค์รีบส่ายหน้าปฎิเสธ ไม่ดีกว่าครับ นับตังค์ใจไม่แข็งพอ
“ไม่อยากรู้เเล้วเหรอ?”
ไม่อยากรู้ก็ได้ครับ…
“เอ่อ ผมว่าเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
“เอาสิ”
นับตังค์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก…สั่นไปหมดแล้ว ไข่กูเนี่ย!