I’m Tussy แกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก [12-04-2020] ตอนที่ 15
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: I’m Tussy แกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก [12-04-2020] ตอนที่ 15  (อ่าน 8188 ครั้ง)

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




I’m Tussy แกล้งตุ๊ดให้รู้ว่ารัก
นามปากกา : PedKrabKrab


แฟนเพจ : https://www.facebook.com/PKrabKrab/


เรื่องย่อ
‘นับตังค์’ นักศึกษาคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ชั้นปีที่ 1  พยายามตามจีบ ‘พี่เวฟ’ เดือนคณะวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 2 มาเป็นแบบให้เขาวาดภาพ ‘นาร์ซิสซัส’
พี่เวฟเป็นผู้ชายรูปงาม แสนดี และทรงเสน่ห์ แล้วนับตังค์ เด็กหนุ่มที่นิยมชมชอบ ‘ตุ๊ด’ หน้าสวย จะต้านทานแรงดึงดูดนั้นได้อย่างไร?
ความใกล้ชิดระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องต่างคณะได้ก่อให้เกิดความรัก ความผูกพันขึ้นอย่างช้าๆ ความใจดีและความอ่อนโยนของพี่เวฟ ทำให้นับตังค์ถลำลึกจนไม่อาจถอนตัวถอนใจได้ เพียงแต่วันที่เขาได้ค้นพบว่า ‘ตัวจริง’ ของพี่เวฟ ไม่ใช่เทวทูตผู้มีปีกสีขาว แต่เป็นซาตานผู้มีปีกสีดำ เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี
…ระหว่างทวงคืนหัวใจดวงน้อยๆ หรือ ยอมจำนนต่อเสน่ห์อันร้ายกาจ!



:กอด1: ขอฝากผลงานเรื่องใหม่ด้วยนะคะ ใครชอบสามารถคอมเม้นต์เป็นกำลังใจได้น้า ขอบคุณค่ะ


ผลงานในเล้าเป็ด
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-04-2020 00:04:43 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Intro


คุณอาจมีหนึ่งร้อยเหตุผล ในการใช้บอกลาใครบางคน
แต่จะมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่บอกให้คุณอยู่…


แสงไฟหลากสีในผับหรูกะพริบวูบวาบส่องกระทบร่างสูงโปร่ง เขาก้าวเท้าไปตามทางเดินซึ่งแออัดไปด้วยผีเสื้อราตรี ที่กำลังโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเพลง ใบหน้าได้รูปที่สามารถมองว่าสวยก็ได้หล่อก็ดี ทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นจุดสนใจของสายตาหลายคู่แม้จะอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างมืดก็ตาม
วี๊ดวิ้ว~
เสียงผิวปากแซวดังมาจากกลุ่มผู้ชายที่จัดว่าหน้าตาดีมาก ชายหนุ่มหน้าสวยเพียงแค่ปรายตามองผู้ชายที่กำลังโบกไม้โบกมือให้เขา โดยไม่ได้มีอาการเขินอายเลย จะมีก็แต่อาการกรอกตามองบนด้วยความเซ็ง เออ เซ็งชิบหายเลยครับ
แวบแรกที่เห็นใบหน้าของ ‘เวฟ’ ทุกคนจะเริ่มตั้งข้อสงสัยในรสนิยมทางเพศของเขาทันทีว่า…หน้าสวยๆหวานๆแบบนี้เป็นตุ๊ดหรือเกย์รับใช่หรือไม่? บอกเลยว่าไม่ แน่นอนว่าเขาอาจจะมองผู้ชายบ้างในบางครั้ง แต่เขาก็เป็นฝ่ายรุกมาโดยตลอด นอกจากเพื่อนร่วมสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าชั้นปีที่สองแล้ว เพื่อนๆในคณะต่างก็โมเมกันไปเองว่าเขาเป็นเกย์รับที่มีผัวชื่อ ‘บีไอ’ ซึ่งก็คือหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง
ตุ้บ!
เวฟชะงักเมื่อไหล่ของเขากระแทกกับผู้หญิงคนหนึ่งทำให้เธอเซจนเกือบล้ม ดีที่เขามือไวพอจะเอื้อมมือไปรั้งแขนร่างบางให้ทรงตัวอยู่ได้ก่อนจะรีบปล่อยตามมารยาท
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร”
หญิงสาวขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์เพราะโดนกระแทกจนหน้าแทบคว่ำ ตวัดสายตามามองก่อนจะรีบแจกรอยยิ้มหวานเมื่อเห็นหน้าคนก่อเหตุ อ๊ายยย ผู้ชายยย หล่อลากน่าปล้ำขนาดนี้ฉันจะโกรธลงได้ยังไงล่ะแกรรร แต่เดี๋ยวนะ หน้าตาหวานๆแบบนี้ น้องขอสแกนสิบวิค่ะ
ดวงตาภายใต้คอนแทคเลนส์สีเทารีบกวาดมองผู้ชายตรงหน้าอย่างรวดเร็วและแนบเนียบ…ขาวมากกกกก สูงโปร่งจมูกโด่งรับกันดีกับริมฝีปากอิ่มสวยได้รูปต่างจากผู้ชายทั่วไป อ่า น่าจูบ เขาโดดเด่นมากขึ้นไปอีกเมื่อย้อมผมสีคาราเมล เข้ม แต่ เอ…มองยากจริงๆค่ะ ชะนีน้อยไม่ทราบว่าเขาจะนิยมไม้ป่าเดียวกันหรือไม่ ดูจากการแต่งตัวด้วยกางเกงยีนส์ขายาวขาดๆกับเสื้อยืดคอกลมสีดำ มันไม่บ่งบอกเท่าไร จึงลองใช้มายาสาวโดยการสบตาเชิญชวน โอ๊ะ ดวงตาที่มองกลับมาก็ร้ายใช่เล่น มันเซ็กซี่และมีประกายของความรู้ทันว่าเธอกำลังคิดอะไร อืม การสแกนขั้นต้นคิดว่าแมนค่ะ
ผ่าน!
“มาคนเดียวเหรอคะ สนใจมานั่งด้วยกันมั้ย”
“ไม่ล่ะ ผมมากับเพื่อน”
แม่เจ้า! น้ำเสียงทุ้มต่ำขัดกับใบหน้าสวยๆแถมยิ้มเห็นเขี้ยวขาวอีก โอ๊ย ใจละลายแล้วค่า อยากได้เป็นสามีต้องทำอย่างไร ฮืออออ ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ตัวเองเมื่อพ่อรูปหล่อเดินหนีไปดื้อๆ
เวฟส่ายหน้าอย่างละอากับเหตุการณ์เมื่อครู่ จะดีใจหรือเสียใจดีวะที่มีผู้หญิงส่งตาเยิ้มเพียงแค่เขายิ้มให้ เฮ้อ นี่เป็นเหตุผลหลักที่คนหน้าตาดี หล่อรวย และฉลาดมากอย่างเขาโสดมาหลายปี เพราะคนที่เข้าหาเวฟ ไม่ว่าชายหรือหญิง ถ้าไม่มองที่รูปลักษณ์ภายนอก ก็มองที่ความรวย แล้วคนฉลาดไอคิว 140 อย่างเขาแม่งสามารถมองคนออกภายในแวบแรกที่สบตา จึงขยาดเกินกว่าจะเปิดรับใครสักคนเข้ามาในหัวใจ สงสัยคนหล่อคงได้แห้งเหี่ยวตายเร็วๆนี่ล่ะครับ
เวฟกวาดตามองไปรอบๆเพื่อหาคนที่โทรเรียกเขาให้ออกมาสังสรรค์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ และเพราะว่าเป็นวันหยุดไงล่ะ คนถึงได้เยอะแยะแทบเหยียบกันตายแบบนี้ ใช้ความพยายามมองฝ่าความมืดตั้งนานกว่าจะเห็นร่างของเพื่อนสนิทสองหน่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงหน้าบาร์เทนเดอร์โดยเว้นเก้าอี้ตรงกลางไว้ให้เขาเช่นปกติ ดีแล้วล่ะ เพราะเขาก็ขี้เกียจห้ามเวลาพวกมันฟาดปากกัน
บีไอ เพื่อนร่วมสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ชอบทำตัวชิคเกินเหตุ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นคนอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าผู้หญิงวัยทอง ไม่แปลกเลยที่จะโสด เพราะเเฟนแต่ละคนที่ขอเลิกลาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า…เชิญมึงไปชิคไกลๆหน่อย นึกอารมณ์ดีก็อ้อนแฟน แทคแคร์ดูแลอย่างดี แต่บทจะติสกลับอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ปิดโทรศัพท์หนีแฟนซะงั้น แล้วใครจะทนคนแบบมันได้
นินิว เพื่อนร่วมสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าอีกคน ในชีวิตนี้มันสนใจอยู่แค่สองอย่างคือเรียนกับเกม มันสามารถตีป้อมไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วยได้ล่ะ พี่เวฟขอคารวะ ดูดิ ขนาดเพื่อนชวนมาดริ้ง มันยังมีอารมณ์ยกโทรศัพท์มากดเกมยิกๆอยู่เลย เรื่องเที่ยวไม่ค่อยบ่อย เรื่องหน้าหม้อไม่ค่อยเก่ง ไม่รู้ว่ามันรู้รสนิยมตัวเองหรือยังว่าชอบชายหรือหญิง
“ไง”
เวฟเอ่ยทักสมาชิกแก๊งคนหล่อ ก่อนจะทรุดนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงระหว่างเพื่อนทั้งสอง นินิวเหลือบตามองเขาเป็นเชิงทักทายแบบไร้เสียงตามปกติ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเกมในมือ อืม…ดี ความสำคัญของกูมันคงน้อยกว่า ROV สินะเพื่อน
“กว่าจะเสด็จมาได้นะคุณชายเวฟ” บีไอหันมาบ่น เออ อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นถึงความสนใจเพื่อนฝูงบ้างนะครับ
“เพิ่งตื่น” เวฟตอบ แล้วหันไปสั่งเครื่องดื่มเบาๆกับบาร์เทนเดอร์
“เล่นเกมยันเช้าอีกแล้วดิ”
“ก็ไอ้นิวมันชวนตีป้อมอ่ะ”
คำถามในเชิงรู้ทันทำให้เวฟต้องงึมงำตอบออกไป จะไปว่าไอ้นิวมันติดเกมก็ใช่เรื่อง ในเมื่อตัวเขายังนั่งตีป้อมกับมันได้ทุกวัน
“ปฎิเสธมันบ้างก็ได้ ไม่ใช่ส่งเสริมกันแบบนี้ เดี๋ยวกูจะให้แดกเกมแทนข้าว”
บีไอว่าแล้วปรายตามองผ่านร่างของเขาไปยังไอ้คนที่กำลังเมามันกับเกมในโทรศัพท์
“เดี๋ยวกูจะให้แดกเหล้าแทนข้าว”
จึ๊ก!
มีย้อนวะ แล้วแม่งเอาความจริงมาพูดขนาดนี้ บีไอคนชิคจะทำอะไรได้ล่ะ หุบปากสิครับ
มือใหญ่คว้าแก้วเหล้าชั้นดีขึ้นมากรอกของเหลวสีอำพันเข้าปากตัวเองขณะปรายตามองเพื่อนสนิทสองตัว คนหนึ่งก็กวนตีนหน้านิ่ง ต่อปากต่อคำกับกูแต่ตา เสือกมองโทรศัพท์ คนแบบนี้มันแย่…มาก!
ส่วนอีกคนก็เอาแต่หัวเราะกึกๆดูสะใจ
โว้ะ นี่กูหลวมตัวมาคบเพื่อนแบบนี้เพื่ออะไรกัน คนชิคไม่เข้าใจ
“มึงทำรายงานอาจารย์ศักดิ์ดาเสร็จหรือยังวะ”
หลังจากเกมจบลง นินิวที่ยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้างว่าเพื่อนชวนมาเที่ยวก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหันมาคุยกับเวฟ
“ใกล้ล่ะเหลือตรงกฎของโอห์มที่ @#X%#@#XZS”
“หยุด!”
“…”
“…”
บีไอจะไม่ทน…เขากระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะ แล้วยกมือสองข้างในท่าห้ามใช้สายตามองจิกเพื่อนสองตัวที่หุบปากฉับแล้วกะพริบตาปริบๆที่ดูแล้วเหมือนลูกหมาน้อย
“การบ้านมีไว้ทำที่บ้าน ห้ามเอามาพูดในเวลาพักผ่อนของกู เดี๋ยวกูจะเครียด”
บีไอเป็นคนอ่อนไหวต่อตัวเลขและสูตรต่างๆในวิชาไฟฟ้า กรุณาอย่าเอ่ยถึงกฎของโอห์มโดยไม่จำเป็น
“เครียดเพราะมึงยังไม่ได้เริ่ม?” เวฟเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม และแน่นอนว่าพี่บีตอบตรงด้วยการพยักหน้ารับ
“รู้ทัน”
“วันนี้ตั้งใจมาล่าเหยื่อหรือไง”
เวฟถาม ปกติแล้วสมาชิกในกลุ่มพวกเขาไม่ใช่พวกนิยมชมชอบการท่องราตรี ถ้าต้องการดริ้งจริงๆจะซื้อเบียร์ไปดื่มที่คอนโดบีไอซะมากกว่า แต่วันนี้มันกลับออกตัวชวนกึ่งบังคับขู่เข็ญให้เขาและนินิวมาผับแถวมหาลัยให้ได้
“เปล่า วันนี้กูแค่เปี่ยว ไม่อยากอยู่ห้องคนเดียว”
เวฟเลิกคิ้ว โอเคเหตุผลนี้พอฟังขึ้นครับ ก็อย่างที่บอกว่าบีไอเป็นพวกอารมณ์แปรปรวน นึกอยากจะอยู่คนเดียวก็หายหัว อย่าหวังว่าเพื่อนฝูงจะติดต่อมันได้ แต่บทจะอ่อนไหว ก็แล่นมาขอนอนบ้านเพื่อนเพราะเหงาใจ
“น้องไก่ของมึงล่ะ” นินิวถามถึงเด็กหนุ่มคนล่าสุดที่บีไอกำลังติดพันอยู่
“เลิกคุยกันแล้ว น้องเขารับความชิคของกูไม่ได้ #@$%XOZA@”
พี่เวฟไม่ขอออกความเห็นใดๆอีกนอกจากคำว่า สมควร!
เวฟยกของเหลวในแก้วทรงสูงขึ้นมาจิบช้าๆ ผ่อนคลายอารมณ์ขณะกวาดสายตามองไปรอบๆผับ คืนนี้เขาไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อมาเมาหัวทิ่ม แค่มาส่องอาหารตาสวยๆงามๆพอเป็นสีสันให้ชีวิตเท่านั้น และแล้วสีสันในชีวิตของเวฟก็ปรากฎตัวขึ้นเมื่อร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งผ่านเข้ามาในสายตา…
ร่างสูงสมส่วนในเสื้อผ้าแนวฮิปฮอปสวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำตัดกับผิวขาวดูสุขภาพดี ทำให้อีกฝ่ายดูน่ามองมาก ใบหน้าหล่อคมดูน่ารักขึ้นเมื่อมีจมูกโด่งรั้นนิดๆกับตากลมโตใสแจ๋ว รอยยิ้มและท่าทางที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับเพื่อนร่วมโต๊ะช่างเป็นธรรมชาติและสดใส ราวกับโลกทั้งใบของเวฟได้ค้นพบแสงสว่างอบอุ่นที่หายไปนานถึงยี่สิบปี
“น่ารักว่ะ”
“ห๊ะ”
บีไอที่กำลังบ่นเรื่องน้องไก่เพลินๆถึงกับชะงักเมื่อไอ้คนที่นั่งข้างๆพึมพำออกมาด้วยใบหน้าเคลิ้มฝันราวกับสาวน้อยวัยกระเตาะหัดมีความรัก
“ไหนๆ”
“ไม่ค่อยเสือกเลยนะ”
เวฟยกมือผลักใบหน้าของนินิวที่ยื่นมาใกล้อย่างอยากรู้อยากเห็น แล้วปรายตามองบีไอที่พยายามมองไปรอบๆผับเพื่อหาคนน่ารักที่เขาพูดถึง
“ไม่ได้เสือกเว้ย กูแค่เป็นคนให้ความสนใจกับความรู้สึกของเพื่อน”
นินิวแย้ง โอเคครับ ในเมื่อเพื่อนใส่ใจเราขนาดนี้ พี่เวฟก็ต้องสนองกันหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าใจร้าย
“คนนั้นอ่ะ ที่ใส่แจ็คเก็ตหนังสีดำ”
“ในผับนี้มีแจ็คเก็ตหนังสีดำคนเดียวเลยเนอะ” บีไอที่มองหาเหยื่อไม่เจอหันมาบ่น
“คนที่ใส่หมวกสแนปแบค” เวฟใส่ลายละเอียดเพิ่มขึ้นแล้วชี้ไปที่โต๊ะริมสุดเพื่อบอกให้ไอ้คนชิคมันหันหัวไปให้ถูกทิศถูกทางซะก่อน
“มึงตาถึง” นินิวพยักหน้างึกๆเมื่อเห็นคนน่ารักของเขา
“น้องนับตังค์”
“มึงรู้จักเหรอวะ” เวฟหันขวับเมื่อบีไออุทานแล้วเบิกตาโตเท่าที่ตาตี่ๆของมันจะกว้างได้
“นิดนึง”
“ชื่อน่ารักอ่ะ ฟังแล้วอยากไปช่วยนับจังเลย”
หนึ่ง สอง หนึ่ง  สอง 
เวฟใช้มือเท้าคางลงบนเคาน์เตอร์แล้วมองคนน่ารักกำลังเล่าเรื่องตลกให้เพื่อนในกลุ่มฟัง ทุกคนหัวเราะรวมทั้งคนเล่า เวฟไม่รู้หรอกว่าเด็กพวกนั้นคุยเรื่องอะไรกัน แต่มันอดไม่ได้เลยที่จะขยับยิ้มตามเมื่อริมฝีปากเรียวบางแย้มยิ้มกว้าง
เด็กอะไรอารมณ์ดีชะมัด ไปเมากาวที่ไหนมาอ่ะน้อง พี่เวฟอยากเมาด้วยอ่ะ
“เดี๋ยวๆ มึงจะไปไหนไอ้คุณชาย” บีไอรีบเรียกแทบไม่ทัน เมื่อไอ้ตัวดีที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ลุกพราดจากเก้าอี้
“ไปทำความรู้จัก”
“ออกตัวแรงมาก” เวฟยักคิ้วแล้วแปะมือกับนินิวที่ส่งเสริมให้เพื่อนไปสอยเด็กฮิปฮอป
“อย่าเพิ่งไป๊!”
บีไอร้องแล้วเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อของเพื่อนสนิท กูรู้ครับว่ามึงหล่อ มึงมั่นหน้า แต่ช่วยฟังสิ่งที่กูกำลังจะพูดก่อนได้มั้ย
“มึงกรุณาสอบถามประวัติเบื้องต้นของน้องเขาจากกูก่อนสิครับ”
“ไม่อ่ะ กูอยากสอบถามเอง”
เวฟยักไหล่ ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วย นานๆทีจะเจอคนที่ถูกใจ แล้วทำไมเขาจะต้องปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชักช้าจะมีหมาคาบไปแดกก่อนอ่ะดิ น้องมันทั้งน่ารัก ขาว มีกล้ามเนื้อ แมนๆ ซี๊ดดดด น่าขยำที่สุดเลยครับ
“เดี๋ยวๆไอ้เวฟ มึงเก็บน้ำลายหน่อย หน้ามึงตอนนี้น่ากลัวมากกูบอกเลย” นินิวว่าแล้วทำหน้าสยองแบบรับไม่ได้
“ถ้ากูบอกว่าน้องเขามีผัวแล้วล่ะ” บีไอลองหยั่งเชิงก่อนจะกรอกตามองบนเมื่อได้ฟังคำตอบแสนมั่นหน้า
“กูมั่นใจว่าหล่อกว่าและรวยกว่ามากด้วย”
ครับๆ เอาที่คุณชายเวฟสบายใจ
“แล้วถ้าน้องเขามีเมียแล้วอ่ะ”
“กูก็แน่ใจอีกเช่นกันว่าสามารถสวยได้มากกว่าเมียน้อง”
เวฟตอบ จิกตามองเขาพร้อมกัดปากด้วยท่าทางที่คิดว่าเซ็กซี่ที่สุด โว้ย เพราะมึงชอบเล่นแบบนี้ไงไอ้เพื่อนเวฟ คนอื่นถึงได้เข้าใจผิดว่ามึงเป็นตุ๊ดเป็นแต๊วแล้วจะเสือกมาบ่นว่าหาเมียไม่ได้ให้กูปวดหัวทำไม บีไอล่ะเพลีย
“มึงนั่งเดี๋ยวนี้เลยนะ” บีไอกระชากแขนของเพื่อนสนิทให้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มทำหน้าจริงจัง
“เออๆ อยากเล่าประวัติเบื้องลึกเบื้องต้นอะไรก็ว่ามาเร็วๆ” ดูจากท่าทางของเพื่อนเวฟที่หันไปสั่งเครื่องดื่มมาดับความหงุดหงิดแล้ว มันจำใจอยากฟังเขาเล่ามากเลยครับ รักษาน้ำใจกูหน่อยเพื่อน กูแค่หวังดี
“นั่นแก๊งนางฟ้าคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ชั้นปีหนึ่ง มีสมาชิกสามคน เริ่มจากคนที่นั่งริมสุดชื่อทวยเทพ”
“Stop!” สำเนียงภาษาอังกฤษสุดไฮโซดังขึ้นพร้อมใบหน้าตื่นๆ
“อะไร”
เวฟชี้นิ้วไปที่ตุ๊ดหุ่นหมีควายที่กำลังยกแก้วพั้นขึ้นมาจิบช้าๆ พลางใช้กล้ามเป็นมัดๆกระแซะคนน่ารักของเขาแล้วทำหน้าแบ๊วๆ แถมโบว์อันใหญ่สีขาวบนหัวของนางก็ช่างเข้ากันดี๊ดี
ให้ตายเถอะ พี่เวฟนิยามได้คำเดียวเลยว่า อุบาท!
“ทวยเทพ? อย่าบอกนะว่าตุ๊ดเด็กนั่นคือน้องข้างบ้านของมึงที่ให้กูยืมDVDญี่ปุ่น”
“ถูก”
ขุ่นพระ!
ดูจาก DVD ผู้ใหญ่ที่ออกไปทางแนวซาดิสต์มาก ถึงมากที่สุด ทำให้ต่อมมโนของเวฟจินตนาการเจ้าของเป็นเด็กผู้ชายร่างใหญ่ใจเถื่อนถ่อย ไม่ใช่สาวน้อยตัวโตกล้ามล่ำแบบนี้
เวฟกวาดตามองเด็กๆสามคนบนโต๊ะสลับไปสลับมาอยู่สองสามรอบ ก่อนจะรู้ว่าตัวเองพลาดมาก เพราะมัวแต่มองคนน่ารักจึงไม่ได้สังเกตเห็นการแต่งตัวที่ขิคุอาโนเนะของสองหนุ่มใจสาวบนโต๊ะ
“มึงจะบอกกูว่าน้องนับตังค์เป็นตุ๊ดใช่มั้ย”
ไม่นะ พี่เวฟรับไม่ได้ พี่เวฟไม่ชอบตุ๊ด // กัดปากกลั้นสะอื้น
“ไม่ได้เป็นตุ๊ด…”
งั้นสบาย พี่ให้ผ่าน ต้องเดินหน้าจีบตั้งแต่วินาทีนี้เลยครับ
“แต่…”
“…”
“…”
“น้องมันชอบตุ๊ดว่ะ”
เงิบแดกครับ




แฟนเพจ : https://www.facebook.com/PKrabKrab/



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2019 13:24:15 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 1

ผิวขาว…ตาโต…จมูกโด่ง ไม่! โด่งเกินไปเพราะยัดซิลิโคน ไม่ผ่าน!
เอ…เอาคนไหนดีนะ
คนนั้นล่ะ!
ผิวสีน้ำผึ้งดูสุขภาพดี…จมูกไม่โด่งมากตามแบบฉบับไทยแท้ ไม่เอา! ไทยเกินไป ไม่เหมาะๆ
‘นับตังค์’หรือ ‘นายปิญชาน์’ กำลังสอดส่ายสายตาไปรอบๆโรงอาหารของคณะบริหารธุรกิจด้วยความกลัดกลุ้ม เขาอุตส่าห์ชวนแก๊งนางฟ้ามากินมื้อเที่ยงในคณะที่ขึ้นชื่อเรื่องคนหน้าตาดีที่สุดในมหาลัย เพื่อหาต้นแบบในการวาดภาพ ‘ชายงาม’ สมัยกรีกโรมัน แต่ดูเหมือนยิ่งหาก็ยิ่งไม่เจอ ในเมื่อหาต้นแบบเป็นผู้ชายไม่ได้ ก็ต้องหันมามองหาผู้หญิงแทน แต่คนที่จะงามได้เหมือน ‘นาร์ซิสซัส’ ไม่ใช่ว่าจะพบกันได้ง่ายๆเลย หรือเขาควรเอาเวลาในการออกตามหาต้นแบบไปมโนหน้าตาของนาร์ซิสซัสเอาเองจะดีกว่ามั้ยวะ คนที่ทั้งงดงาม น่าหลงใหล และน่าดึงดูดคงมีอยู่แต่ในตำนานล่ะมั้ง
“โอ๊ะ!”
นับตังค์อุทานเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินเข้ามาในโรงอาหาร คนๆนั้นตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในทันที ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนสนิทสองหน่อที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย เจ้าตัวดูจะไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง เขาเดินไปต่อแถวร้านต้มเลือดหมูแล้วหยิบไอโฟนขึ้นมากดเล่น นับตังค์พยายามเอียงซ้ายเอียงขวา เพื่อมองใบหน้ามุมอื่นของคนๆนั้นอย่างตั้งใจ
ผิวขาว…รูปร่างสูงโปร่ง…จมูกก็โด่งรั้นนิดๆ เหมาะมากเลย แต่ อืม…เสียตรงรูปหน้าคมเกินไป สันกรามชัดมากทำให้แทนที่จะดูงดงามกลับดูหล่อทันสมัยซะมากกว่า เฮ้ออออ เกือบผ่าน แต่ก็น่าลองดูหน่อย ค่อยแก้ไขแต่งเติมเอาเองก็ได้
“เก็บอาการหน่อยเพื่อน น้ำลายหกหมดแล้ว”
เสียงที่ดังขัดความคิดของนับตังค์เป็นของ ‘จูเนียร์’ เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมต้นที่ตามกันมาเรียนถึงคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ จูเนียร์เป็นเด็กหนุ่มตัวเล็ก สูงเพียง 170 เซนติเมตร หน้าตาน่ารัก หมอนี่มีนิสัยหลายอย่างที่เหมือนกับเขา ทำให้สนิทกับนับตังค์มากที่สุด รวมถึงรสนิยมที่ชื่นชอบผู้ชาย เมินผู้หญิงเหมือนกันอีกด้วย ติดตรงที่จูเนียร์ชอบผู้ชายหล่อล่ำ แต่นับตังค์ชอบตุ๊ดหน้าสวย น่ารักๆเพราะชอบดูแลปกป้องคนอื่นน
“ใส่ร้าย!”
นับตังค์หันไปว่าเพื่อนสนิทแต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือแตะมุมปาก เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้มีน้ำลายไหลย้อยจริงๆ นับตังค์เป็นสุภาพบุรุษเจนเทิลแมนอยู่แล้วครับ เรื่องคิดลามกไม่ให้เกียรติคนอื่นไม่เคยมีอยู่ในหัว เพียงแต่บางครั้งที่กำลังอยู่ในห้วงจินตนาการของตัวเอง อาจจะทำให้เขาแสดงกิริยากระหายอยากแบบน่าอายออกมาบ้างอย่างในตอนนี้ แต่กระหายอยากจะได้ใบหน้านั้นมาเป็นต้นแบบภาพวาดสีน้ำเท่านั้นเอ๊ง! เรื่องอื่นไม่ได้คิดจริงๆนะ
“พี่คนนั้นเป็นใครวะ หล่อมาก”
นับตังค์เอ่ยถาม ‘ทวยเทพ’ ซึ่งเป็นเพื่อนใหม่ที่นับตังค์ตกได้ในช่วงรับน้องก่อนเปิดเรียน หมอนี่เป็นตุ๊ดหุ่นหมีควายใจกระต่าย หน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม เคยเป็นนักกีฬาบาสช่วงมัธยม แต่ตอนนี้เลิกแล้ว นางบอกว่าไม่ชอบใจกล้ามแขนใหญ่ยักษ์ของตัวเอง มีความใฝ่ฝันจะไว้ผมยาว เก็บเงินแปลงเพศทำนม ผ่ากล่องเสียง แต่ตอนนี้ทำได้แค่ติดโบว์สีชมพูอันใหญ่ไว้บนผมสั้นๆที่ยังไม่ยาว อื้มมมม…น่ารักน่าเอ็นดูไม่หยอก
“พี่คุณ เดือนคณะบริหารชั้นปีสอง” ทวยเทพว่าด้วยสีหน้าทรงภูมิ
“อืม…ก็สมกับตำแหน่งนั้นจริงๆแหละ” นับตังค์ยกมือขึ้นลูบปลายคางอย่างคนกำลังใช้ความคิด
“โฮ๊ะๆ มึงอยากได้เหรอคะ” คนถามยกมือปิดปากอย่างมีจริต พร้อมชายตามองนับตังค์อย่างกรุ้มกริ่ม
“อยากได้มาเป็นแบบวาดรูป” คำถามกำกวมจากทวยเทพทำให้นับตังค์รีบขยายความก่อนที่ความคิดหมกมุ่นของเพื่อนสนิทจะลงต่ำไปกว่าใต้เข็มขัด
“ทีเรื่องเรียนไม่เห็นมึงจะกระตือรือร้นแบบนี้เลยวะ” จูเนียร์ว่าแล้วปลายตามามองภาพสเก็ตดินสอที่กระจายอยู่บนโต๊ะอาหารหลายสิบแผ่น
“ใครบอกมึ๊ง นี่เลย การวาดรูปก็เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้”
นับตังค์เรียนสาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ ซึ่งเน้นไปที่การใช้โปรแกรมวาดภาพซะมากกว่า ส่วนตัวแล้วเขาชอบการวาดภาพลงในกระดาษด้วยสีน้ำ แต่ท่านพ่อกลับบอกว่าเป็นศิลปินไส้แห้งนะลูก นับตังค์กลัวไม่มีกินอ่ะครับเลยต้องจำใจเบนเข็มศิลปะที่รักมาที่ศิลปะด้านการออกแบบสื่อแทน เพราะมันน่าจะหางานทำได้ง่ายและหลากหลายกว่า
ส่วนสาเหตุที่นับตังค์กำลังหมกมุ่นอยู่กับนาร์ซิสซัสตั้งแต่เพิ่งเปิดเรียนแบบนี้ เป็นเพราะปู่รหัสของเขาที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วันก่อน กำลังจะจัดนิทรรศการโชว์ผลงานของตัวเองและพ้องเพื่อน และบังเอิ๊นบังเอิญว่าปู่รหัสคนนั้นได้เห็นผลงานภาพวาดที่โคตรอัจฉริยะของนับตังค์ในเฟสบุ๊คก็เกิดประทับใจสุดๆ จึงชวนมาแสดงผลงานด้วยกันโดยแต่ละคนจะต้องวาดภาพโป๊ แค่กๆๆ ภาพเปลือยของบุคคลในตำนานกรีกโรมัน เป็นการสื่ออารมณ์ของความงดงามทางร่างกายให้ดูอีโรติกแต่ไม่อนาจาร ปู่รหัสของนับตังค์ได้เมียสุดสวยของตัวเองมาเป็นแบบของเทพีอะโฟรไดท์ แต่นับตังค์นี่ดิ ไร้แฟน ขาดเมีย จะหาหุ่นสวยๆ หน้างามๆได้จากที่ไหนเล่า
นับตังค์ก็ไม่ใช่คนหลงตัวเองนะครับ ยอมรับแบบแมนๆว่าหล่อมาก คูลมาก ขอเอ่ยไปถึงคุณปู่ทวดที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ก่อนจะพบรักกับย่าทวดที่เป็นคนไทย ไม่ใช่ไรนะ ที่เล่าคืออยากอวดว่าเป็นลูกครึ่งอินเทรนแต่ความจริงแล้วมันได้มาแค่เสี้ยวๆ หน้าตาก็รับพันธุกรรมจากไทยมาล้วนๆ ดีหน่อยที่ผิวยังขาวผ่องเป็นยองใย ข้อดีของนับตังค์คือหล่อ ข้อเสียคือโคตรหล่อ งานอดิเรกก็แค่หน้าตาดีไปวันๆ เป้าหมายสูงสุดคือหาเมียเป็นตัวเป็นตน ให้ได้ในช่วงปีหนึ่ง อ้ะ กลับมาต่อที่นาร์ซิสซัสของนับตังค์ดีกว่าครับ
“ไม่ค่อยโอเท่าไรอ่ะ” นับตังค์วิจารย์หน้าตาของรุ่นพี่เดือนบริหารเบาๆ แต่มือกำลังสเก็ตโครงหน้าของพี่เขามาผสมกับความคิดในสมองไว้คร่าวๆ “หุ่นได้ หน้าเกือบได้ แต่มันคมไป อยากได้สวยดึงดูดกว่านี้อีกนิด”
“ถ้าคนนี้ไม่โอ งั้นลองเดือนคณะอื่นไหมล่ะ”
คำถามนั้นเรียกความสนใจจากนับตังค์ได้ทันที เขาหันไปเบิกตาโตๆที่กำลังเป็นประกายวิบวับ
“มีหล่อกว่านี้อีกเหรอวะ”
“แน่นอน ระดับลิลลี่ ปรมาจารย์เรื่องผู้ชายแล้ว อยากได้หล่อแบบไหนว่ามา ลี่จัดให้ค่า”
ทวยเทพ หรือฉายาในวงการเรียกว่า ‘น้องลิลลี่’ ตบอกบึกบึนของตัวเองพร้อมนำเสนออย่างเต็มเปี่ยม สิ่งแรกที่น้องลี่ทำเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในรั้วมหาลัย คือ การสำรวจ…ถูกต้องค่า! เราต้องสำรวจทรัพยากรผู้ชายก่อนเป็นอันดับแรก มีมากน้อยแค่ไหน หน้าตาดีหรือเปล่า ต่อมาค่อยสำรวจแหล่งของกินถูกปาก ร้านเหล้าถูกใจ สถานที่ล่าเหยื่อรอบๆ และอย่างสุดท้ายค่อยสำรวจตึกเรียน โอ๊ะๆ  อย่าบอกแม่นะ เดี๋ยวหนูถูกฟาดด้วยก้านมะย๊มมมมมมม
“หล่อแบบสวยๆ”
“หมายถึงผู้ชายหน้าสวยใช่ปะ”
“ใช่”
เมื่อได้รับการพยักหน้ารับจากเพื่อนสนิท ทวยเทพก็กรอกตาใช้ความคิดสองวิไม่ขาดไม่เกิน เรื่องผู้ชายต้องเร็ว เมมใส่สมองไว้หมดแล้วจ้า
“ลี่แนะนำ วิศวะค่ะ!”
“เดือนวิศวะ?” นับตังค์ถามด้วยสีหน้าลังเล คือกูอยากได้ผู้ชายงามนะเว้ย ไม่ใช่หล่อ เถื่อน ถ่อย สถุน แบบนั้นพี่ไม่สู้นะบอกเลย
“เชื่อกู เดือนปีสองวิศวะอย่างแจ่ม สวยว๊ากกกกกกกก ดาววิศวะนี่ชิดซ้าย ดาวมหาลัยนี่ชิดขวานะบอกเลย”
ทวยเทพนำเสนอด้วยสีหน้าจริงจัง แต่นับตังค์ยังลังเลด้วยไม่เคยเห็นดาววิศวะหรือดาวมหาลัยของปีที่แล้วเลย เพราะในเพจนักศึกษาเอาแต่กระหน่ำโพสต์รูปของดาวเดือนปีนี้ แล้วเขาก็ไม่ใช่พวกติดโซเชียลซะด้วยสิ
“มีรูปมั้ย”
“เอาไปทำไมคะ ต้องเจอตัวจริงเลย”
“ที่ไหน”
นับตังค์ถามด้วยความกระตือรือร้น ให้ว่อง ให้ไว พี่นับเตรียมพุ่งไปหาเป้าหมายแล้ว เรื่องผู้ชายสวยๆนี่พี่ไม่อยากพลาด ไม่ใช่คนเจ้าชู้หลายใจ แค่ชอบมอง ชอบส่องให้กระชุ่มกระชวยหัวใจเท่านั้นเอ๊ง
“เย็นนี้ลี่พาไป โอเคมั้ย”
“ขอบใจจ๊ะ คนสวย” เมื่อได้คำตอบที่พอใจก็ยื่นมือไปบีบแก้มของเพื่อนหน้าหล่อแรงๆด้วยความหมั่นไส้
รอก่อนนะ…นาร์ซิสซัสของพี่!




(ต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
สโมสรนักศึกษาในเวลาสี่โมงเย็นคราคร่ำไปด้วยสมาชิกในชมรมทุกชั้นปี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กปีหนึ่งที่ต้องการเก็บคะแนนกิจกรรมลงในทรานสคิปท์ บางคนอาจจะไม่สนใจในคะแนนส่วนนี้เพราะถ้าเก็บหน่วยกิตครบทุกวิชาที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดก็สามารถเรียนจบได้เหมือนคนอื่น แต่นับตังค์คิดว่าคะแนนส่วนกิจกรรมนี้ ก็มีผลต่อการสมัครงานเหมือนกัน อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี เขาจึงเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องของทางมหาลัยและของทางคณะจนครบเพื่อเก็บคะแนนแทนการเข้ากิจกรรมชมรมหรือกีฬาในช่วงเปิดเทอม
สโมสรนักศึกษานับเป็นชมรมหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ได้รับงบประมาณเยอะที่สุด งานหนักที่สุดและเลือกรับสมาชิกยากที่สุดเช่นกัน คนที่เข้าชมรมนี้ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบทุกคน จะเข้ามานั่งๆนอนๆ เข้าบ้างโดดบ้างไม่ได้ สมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นเด็กปีหนึ่งและปีสอง ส่วนปีสูงจะออกจากชมรมเพื่อไปตั้งใจทำโปรเจคหรือตั้งใจเรียนซะส่วนใหญ่ ซึ่งทวยเทพก็คือหนึ่งในสมาชิกชมรม
“สวัสดีค่ะเจ๊บอนนี่”
ทวยเทพเอ่ยทักประธานชมรมชั้นปีที่สอง เจ้าตัวสวมชุดกระโปรงนักศึกษายาวผ่าข้างกับรองเท้าส้นสูงสี่นิ้ว บอนนี่มีเพศสภาพตอนเกิดเป็นชายแต่ตอนปัจจุบันเป็นหญิง ลักษณะภายนอกโดยรวมแล้วถือว่าสวยมาก ติดตรงส่วนสูงที่มากเกินไป กับสะโพกที่เล็กไปนิด บวกกับเสียงพูดที่ทุ้มต่ำอีกหน่อยทำให้มองออกได้ไม่ยากว่าเธอเป็นหญิงเทียม
“ไหว้พระเถอะจ้า” บอนนี่ที่กำลังจดจ่ออยู่กับคลิปบอร์ดในมือตอบรับส่งๆโดยไม่ได้ปรายตาไปมองคนพูดเลย
“ไหว้พระทำไมคะ หนูไว้เจ๊”
“อีนี่!” เสียงตวาดแหวทำให้คนที่หาเรื่องโดนด่ารีบยกมือขึ้นยอมแพ้
“ล้อเล่นค่ะ ไม่โกรธๆ เดี๋ยวหน้าเหี่ยว” บอนนี่ที่เงยหน้าขึ้นมากำลังจะอ้าปากด่าซ้ำต้องชะงักไป เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ยืนอยู่ข้างๆรุ่นน้องหุ่นหมีควาย
“อุ๊ย! หนุ่มน้อยน่ารักคนนี้เป็นใครกันคะ”
น้ำเสียงที่ถูกบีบให้เล็กลงกว่าปกติทำให้นับตังค์ขยับยิ้มเขิน ใบหน้าเริ่มร้อนวูบวาบเมื่อสบกับนัยน์ตาคู่โตที่ถูกเขียนด้วยอายไลเนอร์สีน้ำเงิน เขาชอบตุ๊ดและกะเทยสวยๆ ถึงแม้พี่บอนนี้จะยังไม่ตรงสเป็ก แต่เรื่องความสวยนี่ถือว่าเข้าตาอย่างแรง
“เพื่อนค่า ชื่อนับตังค์”
“สวัสดีครับ พี่บอนนี่” เมื่อได้รับการแนะนำตัวจากเพื่อนสนิท นับตังค์ก็ยกมือไหว้รุ่นพี่อย่างคนมีมารยาท
“หน้าตาดีนี่”
นับตังค์ถูกชมพร้อมมือเรียวยาวที่ยื่นมาหยิกแก้มของเขาเบาๆอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทางรังเกียจ อีกฝ่ายก็เริ่มเดินวนรอบตัวเขาราวกับกำลังสำรวจสิ่งน่าอัศจรรย์ ส่วนมือก็แตะตรงนั้น ลูบตรงนี้จนเขาหน้าแดงก่ำ นับตังค์ไม่ได้อายนะครับ แต่ฟิน!! โคตรรรรรฟินนะบอกเลย!! โดนมือสวยๆลูบไล้ ใครจะไม่ชอบล่ะ ยิ่งร่างของพี่บอนนี่ที่ขยับเข้ามาใกล้ ทำให้เขาได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆคล้ายดอกไม้สดยิ่งทำให้หัวใจสั่นระรัว เข่าจะทรุดลงไปกองกับพื้นอยู่แล้วแม่ แต่ต้องฮึบไว้ บอกตัวเองว่าเรามันคนมาดแมนแฮนซั่มพร้อมซั่มพี่มาก ถุ้ยเถอะ! มึงเป็นสุภาพบุรุษเจนเทิลแมนจะคิดอะไรไม่ดีไม่งามไม่ได้ พ่อสอนว่าต้องให้เกียรติผู้หญิงและคนชรา ส่วนพี่บอนนี่ก็นับว่าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ต้องให้เกียรติ ยิ่งสวยมากยิ่งต้องให้เกียรติมาก
“นี่เจ๊ เลิกลวนลามเพื่อนหนูเถอะ อีกนิดก็จะลูบโดนหำมันอยู่แล้ว” เสียงมารผจญที่ขัดขึ้นมากระแทกความคิดของนับตังค์ทำให้เขาหันไปเขม็งมองเพื่อนรักอย่างไม่สบอารมณ์
นี่หำกู กูอย่าโดนลูบ จบนะ!
“เพื่อนหล่อนยังไม่เห็นว่าอะไรเลย แล้วหล่อนเดือดร้อนทำไมย้ะ ฉันไปลูบหำหล่อนหรือไง”
“โอ๊ยยย อีนับมันไม่ห้ามหรอก มันชอบตุ๊ด ยิ่งโดนตุ๊ดสวยๆอย่างเจ๊ลูบมันยิ่งชอบ”
“ต๊ายยยย พี่โสดค่ะน้องนับ สนใจรับเมียไว้ทานสักคนมั้ยคะ”
ระ…รับครับ
“อีเจ๊!!”
“ล้อเล่นๆ จะถามว่าน้องสนใจเป็นหลีดมั้ยคะ”
นับตังค์ที่เกือบจะพยักหน้ารับแล้วบอกว่าลองคุยกันได้นะครับต้องหุบยิ้มแทบไม่ทัน ฮือออ แม่ นับโดนพี่บอนนี่ล้อเล่นกับหัวใจอ่ะ ไหนบอกให้ทานไง ไอ้เราก็อยากจะทาน นี่หิวโซมาหลายปีแล้วนะเว้ย มัธยมก็ได้แต่กรุบกริบ ยังไม่เคยมีอะไรตกถึงท้องเลยโว้ยยย
“ไม่ครับ ผมไม่ถนัดเรื่องพวกนี้” ตอบแล้วก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ รู้สึกหน้าแตกเบาๆ คิดว่าพี่บอนนี่จะสนใจตัวเองในเชิงชู้สาวซะอีก คนสวยนี่ใจร้ายทุกคนมั้ยครับ
“โอเคจ้า” เจ๊บอนนี่พยักหน้ารับก่อนจะหันไปเขม็งมองทวยเทพ
“เจ๊จำได้ว่าเคยเตือนทุกคนชัดเจนแล้วนะ ว่าห้ามพาคนนอกที่ไม่มีกิจเข้ามาในชมรมของเรา”
“คืองี้นะคะ เพื่อนลี่มันอยากเข้ามาส่องคนหน้าตาดี เพื่อไปเป็นแบบวาดภาพแสดงในงานนิทรรศการอะไรสักอย่างอ่ะค่ะ” ทวยเทพอธิบาย เริ่มกระสับกระส่าย สีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดี เขาลืมไปได้ยังไงนะว่าเจ๊บอนนี่เป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบและซีเรียสกับงานทุกอย่างในชมรมมาก
“เจ๊บอนนี่คนสวย คนใจดีขา อีนับจะนั่งดูเฉยๆไม่รบกวน ไม่แอบถ่ายรูปแน่นอนค่า กรุณาให้มันอยู่ที่นี่เถอะนะ วันเดียวเอง สัญญาเลย” พูดจบก็หันมาใช้ศอกกระทุ้งชายโครงของนับตังค์ ที่รีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เขาไม่ได้เป็นสมาชิกในชมรมใดเลย และไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่นี่ไม่มีกิจห้ามเข้า ส่วนไอ้เพื่อนไม่รักดีก็เอาแต่พล่ามเรื่องผู้ชาย รู้ตัวอีกทีก็ถูกลากมาจนถึงที่นี่แล้ว ถ้ามันบอกก่อนตั้งแต่แรก เขาคงดักส่องดาวเดือนสวยๆอยู่แค่ข้างนอกชมรมเท่านั้น
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” บอนนี่พ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเริ่มรายยาวในเรื่องของกฎระเบียบ “หล่อนรู้มั้ยว่าระบบของประเทศเราในตอนนี้มันเลอะเทอะมากแค่ไหน พวกที่ใช้เส้นสาย ใช้ความสนิทสนมส่งเสริมคนของตัวเองแบบเนี๊ย เจ๊รับไม่ได้จริงๆ”
“เดี๋ยว เจ๊…!”
“หล่อนนั่นแหละหยุด ถ้าเจ๊ยอมให้เพื่อนหล่อนเข้ามาหนึ่งคน แล้วต่อไปคนในชมรมพาคนนอกเข้ามาอีก เจ๊จะมีหน้าไปห้ามปรามได้ยังไง หล่อนกำลังส่งเสริมให้เพื่อนเป็นพวกคดโกง ถ้าเรียนจบแล้วทำงานก็จะเล่นทางลัด ไม่ซื่อสัตย์พาประเทศล่มจม พวกเราไม่ควรบ่มเพราะอนาคตของชาติไปในทางที่ผิดแบบเน้!!!!”
นับตังค์กับทวยเทพสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดแหลมปรี๊ด รีบยกมือไหว้รุ่นพี่ก่อนจะพุ่งออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว นาทีนี้นางฟ้ากำลังกลายร่างเป็นนางยักษ์แล้ว นับตังค์ต้องขอหนีตายก่อนนะครับ เป็นคนคูลๆที่กล้ากับทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องทำให้ผู้หญิงโกรธ
“กูขอโทษนะอีนับ ให้มึงมาโทษด่าฟรีเลย เดือนหน้าสวยก็ไม่ได้ส่อง”
ทวยเทพถอนหายใจเบาๆ เคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากรุ่นพี่ในชมรมมาเหมือนกันว่า เจ๊บอนนี่เปิดปากด่าทีไร ยาวยิ่งกว่าถนนจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ซะอีก คราวนี้มาได้ยินกับหูไม่นับว่าเกินจริงเลย
“ไม่เป็นไร” นับตังค์ไม่ได้โกรธ เขาเห็นด้วยกับความคิดของพี่บอนนี่ ถ้าเรื่องเล็กๆน้อยๆยังรักษากฎระเบียบไว้ไม่ได้ ต่อไปจะรักษากฎระเบียนในที่ทำงานได้อย่างไร
“ว่าแต่ทำไมพี่บอนนี่ของมึงถึงซีเรียสเรื่องคนนอกเข้ามาจังวะ มีความลับอะไรที่นี่หรือไง” นับตังค์ถามด้วยความสงสัย
“จะว่าลับก็ลับแหละ คืองี้นะ ดาวเดือนของมหาลัยเรา นับเป็นไอดอลของที่นี่ เป็นหน้าเป็นตาเป็นตัวอย่างให้เยาวชนอยากจะเข้ามาศึกษาต่อ การประกวดจึงถูกจัดขึ้นกันแบบจริงจังม๊ากกกกก เพื่อจะได้คนที่ดีที่สุด มีความสามารถที่สุด คนพวกนี้เมื่ออยู่ในตำแหน่ง จะถูกใช้เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาให้มหาลัย อย่างพวกการแต่งการด้วยชุดนักศึกษาถูกระเบียบ ปั่นจักรยานในมอแทนการใช้รถเพื่อลดโลกร้อน บลาๆ มันเลยทำให้คนในมอและคนนอกมอสนใจและกลายเป็นแฟนคลับ แล้วทีนี้ มันก็จะมีแฟนคลับที่ติ่งหนักมากตามเข้ามาส่องถึงในนี้ แอบถ่ายรูปก็มี สร้างความวุ่นวายก็เคย อีกอย่างวันนี้จะมีการถ่ายภาพดาวเดือนปีสองเพื่อทำโปสการ์ดและหนังสือรวมภาพขาย หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วเงินจะเข้าสโมสร ไว้สำหรับจัดงานประกวดดาวเดือนปีหนึ่งในเดือนหน้านี้ กูคิดว่าคงไม่อยากให้รูปหลุด แล้วก็ไม่อยากให้ติ่งมากรี๊ดกร๊าดในนี้ด้วย อีกอย่างมันมีเพจสาธารณะที่ชอบเอาภาพเด็กของเราไปลงให้สูบกันฟรีๆ  แล้วเพจ ‘คลังคนหน้าตาดีAU’ ของสโมสรก็จะขายโปสการ์ดได้น้อยลง ยังไงเราก็หาเงินเข้าชมรมด้วยการขายหน้าตาดาวเดือนอยู่แล้ว”
นับตังค์พยักหน้า เขาพอจะมองเห็นภาพรวมแล้ว สโมสรนักศึกษานับเป็นตัวแทนนักศึกษาในการเป็นกระบอกเสียง,เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ในมหาลัยเพื่อส่งเสริมความสามัคคี การเข้าสังคมและกระตุ้นความเป็นผู้นำ นับเป็นองค์กรสำคัญที่ช่วยขัดเกลาเด็กรุ่นใหม่ให้กล้าแสดงออกก่อนจะจบการศึกษาออกจากรั้วมหาลัยไปทำงาน อีกทั้งยังมีหน้าที่สอดส่องการกระทำผิดภายในมหาลัย ดูแลเรื่องการรับน้องแต่ละคณะให้มีความปลอดภัย ซึ่งหลายสิ่งที่กล่าวมาทำให้สโมสรนักศึกษาจำเป็นต้องใช้งบประมาณต่อปีเป็นตัวเลขที่สูงมาก ซึ่งมากเกินกว่างบที่ทางมหาลัยแบ่งส่วนให้
“แย่แล้ว เจ๊บอนนนนี่!!!!” เสียงร้องของเด็กผู้หญิงชั้นปีหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับร่างเล็กๆที่วิ่งผ่านนับตังค์กับทวยเทพเข้าไปในชมรมอย่างรวดเร็ว นับตังค์หันไปมองด้านในจึงเห็นว่าพี่บอนนี่กำลังหันมาพูดคุยกับเด็กผู้หญิงคนนั้น
“มีอะไร”
“ไอ้ทิวมันท้องเสียค่ะ มาถ่ายรูปให้ไม่ได้แล้ว” เด็กผู้หญิงตอบ หอบหายใจหนักพร้อมกับยื่นกระเป๋ากล้องยี่ห้อดังให้คนตรงหน้าดู “แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ ข่าวดีคือหนูยืมกล้องมันมาแล้ว แต่ข่าวร้ายคือไม่มีตากล้องเหมือนเดิมค่ะ”
“โอ๊ยยยย ปวดมดลูกจริงๆ แล้วไม่มีตัวสำรองที่ถ่ายรูปได้แล้วหรือไง” บอนนี่เอามือกุมศีรษะขณะตะโกนถามเด็กๆในชมรม บางคนกำลังจัดเวที บางคนกำลังตรวจเช็คเครื่องเสียงแต่ไม่มีใครอาสาถ่ายรูปเลย
“ตากล้องนะคะ ไม่ใช่นักเตะจะได้มีตัวสำรองข้างสนาม”
“วันนี้ซ้อมเดินก่อนก็ได้บอน พรุ่งนี้ค่อยนัดถ่ายภาพใหม่” รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาแสดงความเห็น
“โอ๊ยแก!กว่าจะนัดรวมดาวเดือนปีสองทุกคณะได้ไม่ใช่ง่ายๆนะ คนอื่นเขาก็มีการมีงานต้องทำ ยิ่งตอนนี้เปิดเรียนแล้วด้วย กำหนดการก็แพลนไว้หมดแล้วว่าวันไหนทำอะไรบ้าง เดี๋ยวต้องไปเทรนดาวเดือนปีหนึ่งสำหรับประกวดอีก เรื่องภาพถ่ายดาวเดือนปีสองรีบทำให้มันเสร็จๆสักทีเถอะ”
“พี่ครับ!”
เสียงที่โพล่งขึ้นมากะทันหันจากคนนอกชมรมทำให้ทุกสรรพเสียงหยุดกึก พร้อมกับสายตาทุกคู่ที่หันมาจ้องมองที่นับตังค์เป็นตาเดียว
“ถ้าไม่รังเกียจ…ผมถ่ายรูปให้มั้ยครับ”
นับตังค์เอ่ยถามเกร็งๆ เขามีงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งที่ทำได้ดีคือการถ่ายภาพ สมัยเรียนมัธยมเขามักจะหยิบยืมกล้องของคนอื่นมาเก็บภาพงานกิจกรรมในโรงเรียนอยู่เสมอ แต่พอสอบเข้ามหาลัยได้สำเร็จ ท่านพ่อก็ถอยกล้องใหม่เอี่อมให้หนึ่งตัว ถึงจะไม่ใช้รุ่นใหม่ล่าสุดระดับมือโปรใช้ แต่ก็มีคุณภาพความละเอียดสูงระดับ 4K อีกอย่างเขามั่นใจว่าสามารถใช้กล้องได้ทุกรูปแบบ
“น้องถ่ายเป็นเหรอคะ” บอบนี่หันมาถามด้วยความหวัง
“ครับ”
นับตังค์ถูกกวักมือเรียกให้เข้าไปดูกล้อง เป็นรุ่นที่เปิดตัวเมื่อสองปีที่แล้ว นับว่าใช้งานไม่ยาก เขาลองเปิดกล้องและ ตรวจสอบเลนส์ก่อนจะลองกดถ่ายไปทางเวทีเพื่อเช็คภาพ
“ลองถ่ายพี่ดูสักรูปสองรูปซิคะ” บอบนี่เอ่ยขอ ก่อนจะโพสทางเซ็กซี่ มือหนึ่งเท้าสะโพก ใบหน้าเชิดพร้อมกับหันมาจิกกล้อง
“หนึ่ง…สอง…สาม!”
นับตังค์กดชัตเตอร์อย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็มีภาพสวยๆให้พี่บอนนี่ มุมที่เขาเลือกใช้เหมาะกับรูปร่างของพี่บอนนี่ รวมถึงสีของกล้องและแสงสว่างที่เหมาะเจาะทำให้อีกฝ่ายปรบมือรัวด้วยความยินดี
“ขอบคุณน้องนับมากนะคะที่ช่วยชีวิตพี่ ฮืออออ ซาบซึ้งจริงๆ” บอนนี่ยกมือปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง อารมณ์ขุ่นมัวในตอนแรกหายวับไปทันที รุ่งน้องปีหนึ่งนอกชมรมที่เข้ามากะทันหันนับว่ามีกิจแล้ว ดังนั้นให้อยู่ต่อได้ไม่ถือว่าขัดกับกฎระเบียบ
“เรียกดาวเดือนออกมาซ้อมเดินสักรอบก่อนซิ ตากล้องพร้อมแล้ว อีกเดี๋ยวจะได้เริ่มถ่ายกันเลย”
พี่บอนนี่หันไปสั่งการ เกิดความวุ่นวายเล็กๆ มีคนไปเรียกดาวเดือนหลังเวทีให้เตรียมตัวสแตนบาย มีคนทำหน้าที่ตรวจสอบไฟบนเวทีและเครื่องเสียง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลายคนก็ถอยออกมายืนดูอยู่ห่างๆเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาธิของดาวเดือน ส่วนทวยเทพที่เสร็จจากหน้าที่ของตัวเองก็วิ่งเข้ามายืนเสนอหน้าอยู่ข้างๆนับตังค์ตรงหน้าเวที
“เพิ่งรู้ว่ามึงถ่ายรูปเป็นด้วย”
“กูเป็นคนมีความสามารถ ยังทำเป็นอีกตั้งหลายอย่าง”
นับตังค์หันไปโอ้อวดกับเพื่อนสนิทพร้อมกับตั้งค่ากล้องในมือให้เหมาะกับการถ่ายรูปบุคคล โดยให้กล้องโฟกัสที่ใบหน้าและเบลอฉากหลัง
“ขี้อวดไม่มีใครเกิน”
“ชู่!!”
เสียงจุ๊ปากพร้อมกับสัญญาณมือจากพี่บอนนี่ทำให้ทุกสรรพเสียงเงียบลงทันที ไฟในห้องถูกดับลง พร้อมกับไฟบนเวทีที่สว่างขึ้น ดนตรีในจังหวะเซ็กซี่ถูกเปิดพร้อมกับการปรากฏตัวของเหล่าดาวเดือนชั้นปีที่สองในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ ทุกคนเดินเรียงแถวและก้าวเท้าไปตามแคทวอล์คอย่างสวยงาม เหมาะสมและลงตัวกับจังหวะของดนตรี ด้านขวาเป็นแถวของเดือน ส่วนด้านซ้ายเป็นแถวของดาว การเดิน การหมุนตัว และการโพสท่าประจำจุดของตัวเองเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก แม้จะมีคนถึงสามสิบสองคน ซึ่งเป็นตัวแทนจากทั้งหมดสิบหกคณะก็ตาม ดาวเดือนสามสิบคนคาดสายสะพายสีน้ำเงินที่มีชื่อของคณะ ส่วนอีกสองคนคาดสายสะพายสีแดงที่เขียนว่า ‘ดาวมหาวิทยาลัย AU’ และ ‘เดือนมหาวิทยาลัย AU’
นับตังค์พุ่งสายตาไปที่เดือนมหาลัยปีที่แล้วเป็นอันดับแรก และพบว่าอีกฝ่ายคือ ‘พี่คุณ’ เดือนจากคณะบริหารธุรกิจ ส่วนผู้หญิงคือดาวจากคณะพยาบาลที่นับตังค์ไม่รู้จัก หน้าตาของเธอไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับดาวคนอื่นๆ แต่เธอดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ในแบบตัวของเอง นับตังค์คิดว่าพี่เขาอาจจะมีความสามารถและไหวพริบในการตอบคำถามมากกว่าหน้าตาจึงได้รับรางวัลนี้



(มีต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

“เห้ย! มึงๆ สามนาฬิกา”
“อะไรของมึงวะ” นับตังค์ขมวดคิ้วแล้วละสายตาจากดาวมหาลัยมามองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลา 4.56 pm แล้วสามนาฬิกาคืออะไรอ่ะ
“อีสัส มึงโง่หรือมึงโง่เนี่ย กูหมายถึงให้มึงหันมองไปทางนั้น ที่สามนาฬิกา”
อะแฮ่ม! นับตังค์ไม่ได้โง่นะครับ พอดีที่บ้านใช้แต่นาฬิกาดิจิตอล
นับตังค์ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเพื่อนสนิท แต่หันไปมองตามนิ้วที่ชี้ไปบนเวทีด้านหนึ่งแล้วภาพที่เห็นก็ทำให้เขาเข้าคำว่า ‘ตะลึกตาค้าง’ เป็นอย่างไรก็วันนี้นี่แหละ
รุ่นพี่ปีสองจากคณะวิศวกรรมศาสตร์มีหน้าตาโดดเด่นสมคำอวดอ้างจากทวยเทพ ผมสีน้ำตาลคาราเมลเข้มรับกันดีกับผิวที่ขาวผ่องและรูปหน้าเรียวสวย จมูกเป็นสันไม่โด่งอย่างชาวตะวันตก แต่เหมาะเจาะกับรูปหน้าของชาวเอเชีย นับตังค์บอกไม่ได้เหมือนกันว่าพี่เขาหล่อหรือสวยมากกว่ากัน แต่คิดว่า ‘งดงาม’ เป็นคำจำกัดความที่ควรหยิบยกมาใช้อธิบายได้ดีที่สุด
“พี่คนที่เป็นเดือนวิศวะชื่ออะไรวะ” นับตังค์เอ่ยถามทวยเทพด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม
“พี่เวฟ”
“สวยจัง”พึมพำราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน นับตังค์เฝ้ามองพี่เวฟตาไม่กะพริบ ทุกการก้าวเท้า การขยับตัวล้วนแต่ดูดีไร้ที่ติ วินาทีที่พี่เขาก้าวขึ้นมาโพสท่าตรงหน้าสุดของเวที ทำให้นับตังค์ได้มองเห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน จนรู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังเต้นรัวเร็วเสียจนกลัวว่าจะหลุดออกมานอกอก ใบหน้าของพี่เวฟเรียบเฉย ติดจะเย็นชาอยู่ในที สายตามองตรงไปเบื้องหน้าราวกับเบื่อหน่าย แต่นั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวมีเสน่ห์น่าดึงดูดมากขึ้น
“อีเวนดี้ มึงคีพลุคแฟนหนุ่มหน่อยซิ อีนี่ทำหน้าตายอยู่ได้”
นับตังค์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงตะโกนด่าดังมาจากพี่บอนนี่ เจ้าตัวกำลังยืนชิดติดขอบเวทีเพื่อคอมเม้นต์ดาวเดือน พี่เวฟหรือฉายาในวงการว่า ‘เวนดี้’ ล่ะมั้ง หันมาชูนิ้วกลางใส่คนพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินกลับไปยืนในแถวของตัวเอง ทำให้นับตังค์ต้องรีบยกมือปิดปากแอบหัวเราะเบาๆให้กับภาพนั้น
“อีบ้า อีคนนิสัยไม่ดี ขอให้ชาตินี้หาแฟนไม่ได้” พี่บอนนี่ร้องอย่างหัวเสีย ก่อนจะเริ่มคอมเม้นต์ดาววิศวะที่เดินมาโพสท่าในตำแหน่งเดียวกับที่พี่เวฟเคยยืนอยู่เมื่อครู่นี้
“สายฝน บิดเอวอีกนิดซิแม่คุณ ห่างหายการเดินแบบไปนานจนจะเดินเหมือนผู้ชายอยู่แล้ว”
“พี่เวฟเป็นตุ๊ดเหรอ” นับตังค์ถามอย่างไม่แน่ใจ นอกจากหน้าตาสวยๆแล้ว กิริยาเมื่อครู่นับว่าห่ามมาก
“ใช่สิ” ทวยเทพตอบแล้วหันมามองนับตังค์อย่างประหลาดใจ
“คิดจะชอบตุ๊ด แต่เรดาร์พังมากนะมึง”
“แน่ใจเหรอวะ” นับตังค์ถามย้ำ แล้วหันไปมองใบหน้าเฉยชาดวงนั้นอีกครั้ง
“ชัวร์ คนในมอรู้กันหมดแหละว่าพี่แกชอบผู้ชาย” ทวยเทพยืนยัน
“โอเค”
นับตังค์ตอบรับเพราะเชื่อถือในความสู่รู้ของเพื่อนสนิทอย่างหมดใจ เขาหันไปเฝ้ามองการเดินแบบของดาวเดือนชั้นปีที่สองต่อจนจบ ซึ่งกินเวลาทั้งหมดไปเพียงสองนาที เพลงหยุดลงพร้อมกับการจัดแถวเรียงหน้ากระดานสองแถวสลับแบบฟันปลา แถวของดาวอยู่ด้านหน้าและแถวของเดือนอยู่ด้านหลัง ตรงกลางเป็นดาวและเดือนมหาลัยที่ไม่ว่ามองอย่างไร ในสายตาของนับตังค์ พี่เวฟของเขาก็โดดเด่นที่สุด ถุ้ย! กล้าคิดเนอะว่าของมึง ยังไม่ได้เขาเลย แต่จริงๆก็อยากได้อยู่นะ นับตังค์ชอบผู้ชายหน้าสวย โดยเฉพาะสวยอย่างพี่เวฟเรียกว่าตรงสเป็กมาก อีกทั้งยังเหมาะจะเป็นต้นแบบของนาร์ซิสซัสคนงาม นับตังค์ลองจินตนาการภาพของนาร์ซิสซัสในสมองโดยใส่ใบหน้าของพี่เวฟลงไป เป็นฉากที่ฝ่ายนั้นเปลือยแผ่นอกนอนตายอยู่ริมแม่น้ำ มีผ้าเนื้อบางสีขาวตามแบบฉบับกรีกโรมันพันไว้บนสะโพกหลวมๆ อวดเรียวขายาวชวนให้ใจสั่นไหว คิดแล้วไข่สั่น อยากผสมพันธุ์ขึ้นมาดื้อๆ ฮืออออ ไม่น้า ห้ามหยาบคายกับคนงาม จะลวนลามพี่เวฟไม่ได้ แต่นี่มันเรื่องในมโน ต้องขอสักหน่อยเว้ย ในชีวิตจริงเป็นคนใจหมา ไม่กล้าทำเชี่ยอะไรสักอย่าง พอดีหน้าบางอ่ะครับ แหะๆ
“น้องนับ” เสียงเรียกที่ดังมาจากพี่บอนนี่ทำให้นับตังค์หลุดออกมาจากความคิดกามๆของตัวเอง
“พอจะจับจังหวะได้มั้ย คิดว่าถ่ายทันหรือเปล่า” นับตังค์รีบพยักหน้าอย่างมึนงง ไม่ทันฟังว่าพี่บอนนี่กำลังพล่ามอะไร พอดีในสมองมันมีแต่คำว่า เวฟ…เวฟ…เวฟฟฟฟฟ!!!!!
“ดีค่ะ” พี่บอนนี่คิดเองเออเองเสร็จสรรพก่อนจะกล่าวต่อไป “น้องต้องถ่ายตอนที่ดาวแต่ละคนเดินมาโพสท่าตรงหน้าเวทีนะ เอาหน้าชัดๆ เริดๆ เข้าใจมั้ย เดือนก็เหมือนกันค่ะ แล้วตอนสุดท้ายจะมีโพสท่าคู่ตรงที่เดิม ต้องถ่ายอีกเซต ส่วนภาพหมู่เดี๋ยวถ่ายทีหลังได้ โอเคมั้ย”
“โอเคครับ” นาทีนี้กล้องพร้อม นิ้วพร้อม หมายถึงพร้อมกดชัตเตอร์รัวๆนะครับ ไม่ได้คิดอะไรลามกเล๊ย ไม่มีจริงๆ
พี่บอนนี่หันไปส่งสัญญาณมือให้ทุกคนเตรียมพร้อม ดาวและเดือนชั้นปีที่สองเดินกลับเข้าไปอยู่ด้านหลังเวที ก่อนที่ดนตรีจังหวะเซ็กซี่จะดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้นับตังค์ต้องรวบรวมสมาธิให้ดีแล้วยกกล้องขึ้นมาถ่ายดาวและเดือนแต่ละคนให้ทันแบบไม่มีสะดุด เพราะถ้าเขาถ่ายไม่ทันก็ต้องเริ่มถ่ายกันใหม่ ซึ่งมันจะทำให้คนงามของเขาต้องเหนื่อย
นับตังค์รัวชัตเตอร์ถ่ายภาพของดาวและเดือนแต่ละคนที่เดินขึ้นมาโพสท่าให้ถ่ายภาพเดี่ยวตรงหน้าเวที ถ่ายเกินจำเป็นดีกว่าถ่ายขาด เผื่อบางภาพไม่ชัด เผื่อบางภาพไม่สวย เผื่อหลับตา นับตังค์เป็นคนคิดเผื่อและคิดไกลเสมอครับ
ระหว่างที่กำลังมีสมาธิ คนที่เดินเข้ามาในโฟกัสก็ทำให้นับตังค์เกือบทิ้งกล้องในมือเพราะใบหน้าสวยๆที่ไร้ความเย็นชากับรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เห็นแล้วอยากลักพาตัวคนๆนี้กลับไปนอนกอดที่บ้าน ไม่ให้ใครได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกเลย ซึ่งโชคดีมากที่เขาดึงสติกลับมาได้ทันแล้วกดชัตเตอร์บันทึกภาพรอยยิ้มนั้นไว้ได้ รอให้ถ่ายเสร็จก่อนเถอะจะแอบไปขอไฟล์ภาพกับพี่บอนนี่ แต่ในวินาทีที่พี่เวฟกำลังจะหมุนตัวกลับไป นับตังค์สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายทิ้งสายตามาทางเขาอย่างเย้ายวนก่อนจะเดินจากไป โอ๊ยยยย แม่จ๋า! พี่เวฟอ่อยผม อ่อยโผ้มมมมมม!
หลังจากเสร็จสิ้นงานในวันนี้ นับตังค์ก็นำกล้องไปคืนพี่บอนนี่ พลางคิดหาข้ออ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะขอไฟล์ภาพอย่างไรไม่ให้น่าเกียจ
“วันนี้ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าไม่ได้น้องนับ งานชมรมของเราคงเดินช้ามาก”
“ไม่เป็นไรครับ”
“อาทิตย์หน้าจะมีถ่ายภาพชุดราตรีของดาวเดือนปีสองอีก พี่อยากให้น้องนับมาช่วยหน่อยได้มั้ยคะ”
“เอ่อ…” นับตังค์จะได้เจอพี่เวฟคนสวยอีกใช่มั้ยครับ
“อีกแค่ครั้งเดียวนะคะ น้องถ่ายภาพออกมาได้เยี่ยมม๊ากกก พี่โคตรปลื้มเลย ส่วนดาวเดือนปีหนึ่งพี่มีตากล้องอยู่แล้ว ไอ้คนที่มันท้องเสียวันนี้อ่ะแหละ”
ได้ครับได้ ไม่คิดจะปฎิเสธอยู่แล้ว…ขณะที่คนหนึ่งกำลังมโนถึงคนสวยในชุดสูทพอดีตัว อีกคนกลับคิดว่ารุ่นน้องคนเก่งไม่อยากมาช่วย แต่จะโทษน้องก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนในชมรม วันนี้ที่มาช่วยก็ถือว่าใจดีมากแล้ว
“เรามีค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆให้ด้วยนะ น้ำ ขนม อาหารฟรี พี่จะเลี้ยงดูให้อิ่มหมีพีมันแน่นอน”
“ก็ได้ครับ” นับตังค์รีบตอบรับทันที ไม่ได้หร๊อกเดี๋ยวพี่บอนนี่เปลี่ยนใจ การได้ถ่ายรูปพี่เวฟนับว่าคุ้มค่าแล้ว แต่การได้ค่าตอบแทนนับว่าคุ้มค่าไม่แพ้กัน ไม่ได้งกนะครับ แต่เด็กกำลังโตมันกินเยอะเท่านั้นเอ๊ง
“ขอเบอร์ไว้หน่อยน้า แล้วพี่จะติดต่อไปหา”
หลังจากเมมเบอร์โทรศัพท์ลงในไอโฟนของพี่บอบนี่แล้ว นับตังค์ก็เกริ่นขึ้นมาอย่างประหม่าเล็กน้อย
“เอ่อ พี่บอบนี่ครับ”
“ว่าไงจ๊ะ”
“จะเป็นไรมั้ย ถ้าผมจะขอไฟล์รูปถ่ายในวันนี้ด้วย พอดีกำลังหัดใช้โปรแกรมแต่งภาพอยู่น่ะครับ ผมปรับแสงให้ได้นะ ทำให้ฟรีไม่คิดเงินครับ” เอาซี่ นี่ยอมเหนื่อยฟรีๆเพื่อภาพยิ้มยั่ว เอ๊ย ยิ้มมีเสน่ห์ของพี่เวฟเลยนะ
“งานนี้มีคนทำแล้ว ไม่รบกวนน้องนับหรอกจ้า”
“เอ่อ…” กำลังจะแย้งว่าไม่ต้องเกรงใจนะครับ แต่…
“พี่เกรงใจ”
“…” ไม่น้า รูปคนงามของโผ้มมมมมม
“อีกอย่างพี่กลัวรูปหลุดด้วย น้องไม่ได้แอบใช้มือถือถ่ายรูปในห้องนี้ไว้ใช่มั้ยคะ”
พี่บอนนี่ขี้งก!
“ไม่ครับ” แต่กูน่าจะทำตั้งแต่แรกอ่ะ
“กลับก่อนนะครับ” นับตังค์ยกมือไหว้ด้วยหัวใจชอกช้ำ
“บายค่า กลับดีๆนะ”
นับตังค์เดินไปบอกลาทวยเทพ อีกฝ่ายมีประชุมต่ออีกเล็กน้อยพวกเขาจึงแยกกันกลับหอเพราะต่างคนต่างมีรถมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเอง ขณะที่กำลังจะก้าวขาออกจากประตู หัวใจไม่รักดีก็สั่นระริกระรี้อยากจะเห็นหน้าพี่เวฟใจจะขาด จึงหันกลับไปมองรอบๆห้องอีกครั้ง ก่อนจะชะงักค้างอยู่กับที่เมื่อเห็นว่า คนที่เขาโหยหาก็กำลังมองตรงมาที่ตนเองเช่นกัน นับตังค์ขยับยิ้ม…เราจะได้เจอกันอีก เร็วๆนี้!




TBC. ใครชอบนิยายเรื่องนี้ ช่วยคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ <3

:mew1:



ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 2


นับตังค์กลับมาถึงหอพักเวลาสิบแปดนาฬิกา นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคน จะต้องเข้าพักที่หอใน ตลอดปีการศึกษากับรูมเมทต่างคณะซึ่งทางมหาลัยสุ่มเลือกมาให้ ตามนโยบายสร้างความสัมพันธ์กระชับมิตรระหว่างนักศึกษา
ทันทีที่นับตังค์เปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็พบกับรูมเมทหน้าหล่อกำลังนั่งยัดข้าวกล่องใส่ปากอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เจ้าหมอนี่ชื่อว่า ‘ดิน’ เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เท่าที่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งสัปดาห์ก็ไม่นับว่ามีนิสัยเลวร้ายอะไร นอกจากเรื่องที่ชอบ ‘ขโมย’ ขนมของเขาไปกินโดยไม่บอก หรือหยิบของใช้ส่วนตัวไปใช้โดยไม่ขอ ก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากอะไรมากมาย
ครั้งแรกที่พบกัน หมอนี่แนะนำตัวเองว่าชื่อดิน เป็นชื่อที่เจ้าตัวพึ่งพอใจมากเพราะแม่ที่เสียไปแล้วเป็นคนตั้งให้ ท่านอยากให้มันหนักแน่นมั่นคงเหมือนแผ่นดิน นับตังค์ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของรูมเมท แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีปัญหาด้านการเงิน ดูได้จากการที่ต้องทำงานพิเศษสัปดาห์ละ 3 วันทั้งที่เรียนในคณะที่ยากมากอย่างวิศวะ ข้าวของเครื่องใช้ที่มีก็ค่อนข้างน้อยชิ้นและยังการกินที่เรียกว่ากระเบียดกระเสียร
“แดกข้าวมายัง”
ดินเอ่ยถามทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก ซึ่งนับตังค์ก็ทำเพียงยกถุงข้าวกล่องให้อีกฝ่ายดู เขาโยนกระเป๋าเป้ทิ้งไว้บนเตียงลากโต๊ะญี่ปุ่นมาไว้ตรงกลางห้องที่มีพื้นที่คับแคบ แล้วเริ่มต้นกินมื้อเย็นของตัวเอง
“ไอ้เชี่ยดิน นี่ไข่กู”
นับตังค์ร้องด่าเมื่อถูกรูมเมทหัวขโมยฉกไข่ดาวของเขาไปกินต่อหน้าต่อตา จะให้แย่งกลับมาก็เกรงกลัวน้ำลายยืดย้อย แม่งเป็นคนหล่อที่เสียของสุดๆเลยว่ะ นับตังค์กระชับช้อนในมือให้แน่น เตรียมจะพุ่งไปแย่งหมูยอของอีกฝ่ายมาเป็นการชดเชย แต่ก็ถูกคนรู้ทันยกกล่องข้าวหนีเอาดื้อๆ โคตรเหี้ยเลย แต่นั่นก็เป็นภาพที่คุ้นเคยและเริ่มจะทำให้เขาชินชาไปแล้ว…ถือว่าแบ่งกันกินละกัน
“แย่งของกินกับกู ยังเร็วไปสิบปีนะหนูนับ” เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากไอ้เหี้ยดิน ผู้ที่นับตังค์เติมสรรพนามสรรเสริญไว้หน้าชื่อ
“ถ้ากูกินข้าวกับมึงทุกมื้อต้องอดตายแน่ๆเลย” น้อยอกน้อยใจพอเป็นพิธีแล้วรีบโกยข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็วก่อนที่ไอ้รูมเมทตัวดีจะหันมาแย่งกะเพราหมูกรอบในกล่องของเขาอีกรอบ
“ผอมบางมากเลยนะมึงอ่ะ มื้อเช้ากับมื้อเที่ยงที่ไม่มีกู ก็กินให้มันเยอะๆนะหนู ส่วนมื้อเย็นกลับมาให้กูเอาเปรียบซะดีๆ” ดินว่าอย่างไร้จิตสำนึก หลังจากกินข้าวเสร็จก็พาร่างของตัวเองไปอาบน้ำ ปล่อยให้นับตังค์นั่งกินข้าวไปพลางสาปส่งอีกฝ่ายในใจ
หลังจากกินข้าวเสร็จ นับตังค์ก็หยิบโน้ตบุ๊คของตัวเองมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่น กดเปิดเครื่องแล้วเข้าโปรแกรมเฟสบุ๊คเพื่อเช็คข่าวสารในกลุ่มเรียน ในระดับมหาลัย อาจารย์หลายคนมักจะสั่งการบ้านในกลุ่มเฟสบุ๊ค แล้วให้ส่งงานโดยการแนบไฟล์ผ่านทางเว็บไซต์ของมหาลัย ซึ่งมีการเปิดและปิดส่งงานเป็นเวลา อีกทั้งยังเป็นการลดกองกระดาษที่สุ่มอยู่ในห้องทำงานของอาจารย์อีกด้วย
นับตังค์กดเข้าไปดูการแจ้งเตือนล่าสุด ซึ่งมาจากกลุ่มวิชาปริ้นต์ เมคกิ้ง มีข้อความถูกโพสโดยอาจารย์ประจำวิชาว่าขอยกคลาส ทำให้วันพรุ่งนี้เขามีเรียนเพ้นต์ติ้ง ในตอนบ่ายเพียงหนึ่งวิชาเท่านั้น นับตังค์นั่งหน้าบานเมื่ออารมณ์ดีๆได้เข้ามาแทนที่ความขุ่นมัวซึ่งเกิดจากรูมเมทผีเปรต เขาอ่านข่าวบนไทม์ไลน์อย่างที่น้อยครั้งจะทำ มีเพื่อนรวมสาขาแชร์รูปภาพของดาวเดือนชั้นปีที่ 1 มาจากเพจ ‘คลังคนหน้าตาดี AU’ ทำให้เขาตัดสินใจกดเข้าไปส่องพร้อมกับกดติดตามเผื่อจะได้ใช้สูบรูปของพี่เวฟ นับตังค์เลื่อนดูโพสต์ย้อนหลัง กดเซฟรูปสวยๆของเดือนวิศวะเป็นบางครั้ง ตั้งใจจะใช้เป็นแบบในการร่างใบหน้าของนาร์ซิสซัส แต่มุมที่ได้จากภาพถ่ายก็ยังไม่ค่อยถูกใจศิลปินฝึกหัดอย่างเขาซะเท่าไร
ยอมรับมั้ยคะ ว่านางเป็นเดือนที่สวยที่สุดในหมู่เดือน แถมยังฉลาดอีกด้วย แอดมินชอบคำตอบนางจัง
เคดิต: เวฟ รองเดือนมหาลัย ปี 25xx
#รับน้องAU #มหาวิทยาลัยAU #ประกวดดาวเดือนAU #วิศวะหล่อบอกต่อด้วย #เดือนหล่อบอกต่อด้วย
#ผัวแอดมินหล่อบอกต่อด้วย
(แบบไฟล์วิดีโอ)
นับตังค์ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นแฮชแท็กอันสุดท้าย มโนกว่ากูก็อีแอดมินนี่แหละ พี่เวฟนี่เมียนับตังค์เอง ถุ้ย! มึงก็มโนนะ แต่มโนเงียบๆอ่ะ ไม่กล้าออกสื่อ
นับตังค์หยุดความสนใจทั้งหมดลงที่คลิปวิดีโออันนั้น มันถูกแชร์ลงในเพจเมื่อสองสัปดาห์ก่อนซึ่งเป็นช่วงรับน้องก่อนเปิดเรียน นิ้วมือเลื่อนเม้าส์ไปกด Play ที่วิดีโอ มันเป็นคลิปตัดต่อสั้นๆความยาวเพียงหนึ่งนาที ในคลิปแสดงภาพของพี่เวฟในชุดนักศึกษาถูกระเบียบบนเวทีประกวด เส้นผมสีดำสนิทยาวระต้นคอ ส่วนผมด้านหน้าถูกหวีเปิดหน้าผากทำให้ดูเหมือนคุณชายไฮโซไปอีกแบบ
“ในสังคมสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปมากและมีความหลากหลาย เพราะทุกคนกล้าเปิดเผย กล้าคิด กล้าทำมากยิ่งขึ้น แล้วคุณมีความคิดอย่างไรกับคนที่เป็น LGBT ในสมัยนี้ เมื่อเทียบกับสมัยก่อน”
เสียงจากในคลิปเป็นของผู้หญิงวัยกลางคน คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่นั่งอยู่ด้านล่างเวที หู้ย คำถามยากจัง คิดว่านี่คือเวทีประกวดนางงามโลกหรือไงน่ะเจ๊ นับตังค์จ้องมองใบหน้างดงามด้วยจิตใจที่ลุ้นระทึก เขาเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเพศทางเลือกจึงสนใจในคำตอบไม่ต่างจากใครอีกหลายคน
“LGBT เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เปิดกว้างของมนุษย์ครับ เพราะคนให้การยอมรับกับสิ่งใหม่ๆมากขึ้น ผมมองว่า LGBT ไม่ใช่เรื่องผิด ผมขอยกตัวอย่าง  Alan Turing บุคคลที่ถอดรหัสลับนาซี เขาช่วยให้สงครามโลกครั้งที่ 2 จบเร็วขึ้นถึง 2 ปี ทำให้สามารถช่วยชีวิตคนได้กว่า 14 ล้านคน แต่กลับได้รับโทษในข้อหา ‘กระทำอนาจารหยาบช้ากับชายอื่น’ แค่เพราะว่าเขาเป็นเกย์ Turing ถูกบังคับให้ทำหมันด้วยกระบวนการทางเคมีเพื่อแลกกับอิสรภาพ ในการลงโทษฐานที่เป็นรักร่วมเพศเขาถูกบังคับให้ฉีด ‘เอสโตรเจน’ (oestrogen) ซึ่งเป็นกระบวนการที่สร้างความทุกข์ทรมานอย่างมาก ซึ่งต่อมาเขาได้เสียชีวิตลง โดยการตายของเขายังมีหลายจุดที่ไม่ชัดเจน มีแนวโน้มว่าเป็นการฆาตกรรม แต่ทางภาครัฐเลือกที่จะสรุปว่าเขาฆ่าตัวตาย ซึ่งในอดีตการเป็นเกย์นั้นเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เมื่อเทียบกับสมัยนี้แล้ว ไม่นับว่าเป็นความผิด ทุกคนควรภูมิใจและให้เกียรติคนเหล่านี้ เพราะประวัติศาสตร์ได้ให้บทเรียนกับมนุษย์ที่ได้เคยตัดสินใจผิดพลาดกับคนดีๆมาแล้ว ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ควรที่จะทำพลาดซ้ำอีกครับ”
หลังจากจบคำตอบของพี่เวฟ ผู้ชมในโดมต่างเงียบกริบราวกับกำลังซึมซับและไตร่ตรองในคำบอกเล่าจากประวัติศาสตร์ซึ่งใครหลายคนอาจจะยังไม่รู้ กรรมการที่เป็นผู้ตั้งคำถามได้สติกลับมาเป็นคนแรกถึงกับเอ่ยปากชื่นชมพี่เวฟ ที่สามารถอ้างอิงความคิดของคนในอดีตกับคนในปัจจุบันออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งหลังจากจบคำกล่าวนั้นเสียงปรบมือและเสียงกรีดร้องก็ดังสนั่นขึ้นมาราวกับโดมจะแตก นับตังค์ที่กำลังอินมากๆก็เผลอแหกปากร้องกรี๊ดไม่ต่างจากผู้ชมคนอื่น ยกมือกุมใบหน้าที่กำลังร้อนผ่าว ความรู้สึกภาคภูมิใจในแฟนของตัวเองมันเป็นอย่างนี้เองสินะ ฮือออออ คนนี้แฟนนับตังค์นะแม่ ลูกสะใภ้ของแม่ต้องคนนี้เท่านั้น
“กรี๊ดห่าอะไรของมึงเนี่ย”
เสียงที่ดังขึ้นมาเหนือศีรษะ เรียกให้นับตังค์แหงนหน้าขึ้นไปมองก็พบกับใบหน้าของรูมเมทที่กำลังก้มลงมามองเขา
“แฟนกู น่ารักมั้ย? สวยมั้ย?” คำถามจากนับตังค์ ทำให้ดินละสายตาไปมองคนในคลิปวิดีโอ ก่อนจะส่ายหน้าปลงๆแล้วโยนผ้าเช็ดตัวที่เปียกชื้นไปคลุมศีรษะของคนขี้มโน
“เพ้อเจ้อนะมึง จะมองว่าสวยมันก็สวยอยู่หรอก แต่มองยังไงว่าพี่เวฟน่ารัก”
“มึงจะบอกว่าพี่เวฟไม่น่ารัก?” นับตังค์สะบัดผ้าเช็ดตัวเน่าๆออกจากหัวแล้วถามเสียงสูงด้วยความไม่พอใจ มึงซิตาบอด มองยังไงว่าไม่น่ารัก พี่เวฟเป็นคนน่ารักบอบบางและใสซื่อที่สุดเลยต่างหาก ไอ้ดินคนเลวถอนหายใจ แล้วเดินมาแย่งเม้าส์ไปจากมือของเขา กดปิดคลิปวิดีโอแล้วกดดูรูปภาพที่ถูกโพสต์ลงบนแฟนเพจ มันใช้เวลาครู่หนึ่งมองภาพพี่เวฟนิ่งๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะปรายตามามองนับตังค์
“แบบนี้เรียกว่าน่ารักก็เหี้ยแล้ว”
“มึงว่าพี่เวฟเป็นเหี้ยได้ไง พี่เวฟเป็นเทวดาของกูนะ” นับตังค์รีบแย้ง คำว่าเหี้ยมันหยาบคายเกินไปสำหรับคนสวย ฟังแล้วรับไม่ได้ว่ะ
“เหี้ยเนี่ย กูยกให้มึงต่างหากหนูนับ”
ดินว่าแล้วยกมือขึ้นลูบหัวทุยของรูมเมทอย่างมันเขี้ยว ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมากว่าหนึ่งสัปดาห์ เขาพบว่านับตังค์ไม่ใช่คนตุ้งติ้งก็จริง แต่ชอบเหลือเกินไอ้เรื่องแต่งตัวมาดแมนเกินหน้าตาน่ารักของตัวเองไปไกล บางครั้งก็ชอบบ่นพึมพำกับตัวเอง มโนในเรื่องไม่เป็นเรื่องทำให้เขาเห็นแล้วอยากจะอ้าปากงับหัวมันตลอดเวลา…ไม่ได้เกลียด ไม่ได้รำคาญ แต่อยากรังแก!
“แบบมึงต่างหากที่เรียกว่าน่ารัก เสือซ้อนเขี้ยวเล็บแบบพี่เวฟหรือจะใกล้เคียงคำนี้”
“มึงรู้จักพี่เวฟได้ไง” นับตังค์ไม่ได้สนใจคำชมในประโยคแรก แต่หูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินประโยคที่สอง
“รุ่นพี่คนดังในคณะ ไม่รู้จักก็แปลกแล้ว”
“ทำไมบอกว่าพี่เวฟเป็นเสือ ทำไมไม่ใช่แมวเมี๊ยว” เสือควรใช้จำกัดความกับพวกเจ้าชู้หลายใจที่ชอบล่าเหยื่อเล่นไม่ได้เหรอวะ
“บางครั้งกูก็คิดนะ”
“คิดว่า?” นับตังค์ถาม
“คนที่เป็นเพื่อนกับมึงเนี่ย ไม่เหนื่อยเหรอ”
อะ…อ้าว ไอ้ส้นตีน!
นับตังค์ลืมตาตื่นขึ้นมาในเวลาเก้าโมงเช้า ซึ่งออกจะเร็วเกินไปสำหรับคนที่มีเรียนตอนบ่ายโมงตรง เขาเหลือบตาไปมองเตียงข้างๆเห็นว่าไม่มีร่างของรูมเมท จึงเลือกที่จะลุกจากเตียงมานั่งวาดภาพของนาร์ซิสซัส นับตังค์เป็นพวกติสแตกตามประสาศิลปิน เขาจะวาดรูปไม่ออกเมื่อมีบุคคลอื่นอยู่ในห้องร่วมกับเขา แม้ว่าไอ้ดินจะไม่ได้อ้าปากพูดสักคำ อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบสภาพแวดล้อมของหอในด้วยแหละ ทั้งเสียงที่ดังเกินไปเพราะผนังบางละมั้ง กับห้องที่อับทึบ มีแสงจากธรรมชาติลอดผ่านเข้ามาได้น้อยมาก ทั้งหมดทั้งมวลทำให้นับตังค์อารมณ์ไม่ดีและไม่มีแรงกระตุ้นในการวาดรูป ภาพสเก็ตจากดินสอ 2B ที่ออกมาจึงค่อนข้างหวัด ภาพใบหน้างดงามดวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนกระดาษ แม้จะไม่ละเอียดแต่กลับมองออกถึงลายเส้นที่อ่อนช้อย แต่ยังไม่สวยงามพอจะจัดแสดงภาพให้คนทั่วไปได้รับชม
“เฮ้อ” นับตังค์ถอนหายใจเบาๆ เขาขยำกระดาษเอสี่ในมือเป็นก้อนกลมแล้วโยนส่งๆไปบนเตียงนอน เปิดโน้ตบุ๊คเรียกภาพของพี่เวฟที่ถูกเซฟเก็บไว้ขึ้นมาดู สูดลมหายใจเข้าและออก พยายามรวบรวมสมาธิก่อนจะจรดดินสอลงบนกระดาษแผ่นใหม่


“ให้ตายสิ!”
นับตังค์ร้องครวญครางแล้วไถใบหน้าไปบนเตียงนอน หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเขากลับไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ไม่ใช่ว่าจำหน้าของพี่เวฟไม่ได้ หน้าสวยๆแบบนี้เขาจดจำได้ขึ้นใจ แต่นับตังค์ค้นพบว่าการวาดภาพเหมือนจากต้นแบบที่มีมิติ สามารถจับต้องได้ ย่อมง่ายกว่าการวาดจากรูปถ่ายแบบนี้
อยากได้นายแบบ…
เอาไงดีว่ะ จีบเลยมั้ย? ว่าแต่ต้องจีบมาเป็นแฟน หรือมาเป็นแบบ?
ถุ้ย หยุดไร้สาระสักวันจะตายมั้ย!
พี่เวฟจะตกลงหรือเปล่าอ่ะ
ความคิดสับสนวุ่นวายในสมองทำให้นับตังค์ตัดสินใจลุกไปอาบน้ำ เขาปล่อยให้สายน้ำเย็นฉ่ำรินรดจากศีรษะลงมาถึงปลายเท้า ทบทวนความคิดซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะบอกกับตัวเองว่า ‘ไม่กล้า ก็ไม่มีวันก้าวหน้า’ ถ้าไม่ลอง จะรู้ได้อย่างไร?
ถ้าพี่เวฟใจร้าย ไม่ยอมมาเป็นแบบให้ก็ค่อยคิดหาวิธีอื่น แต่ถ้าพี่เวฟใจดี ยอมมาเป็นแบบให้ก็จะได้เริ่มงานสะบัดพู่กันเสียที การปล่อยให้สมองฟุ้งซ่านก็ไม่ต่างกับการปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย นับตังค์ก็หันมองไปรอบๆห้องเพื่อหากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ ปกติแล้วเขาจะวางไว้บนโต๊ะเล็กๆข้างหัวเตียง แต่ตอนนี้มันไม่มี กำลังคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อวานเย็นว่าเขาเก็บกุญแจรถไว้ที่ไหน สายตาก็เหลือบไปเห็นโพสอิทสีเหลืองสดใสติดอยู่บนบานประตู เมื่อเดินเข้าไปมองใกล้ๆก็เห็นว่าเป็นลายมือไก่เขี่ยของรูมเมท แล้วอาการตัวสั่นด้วยความโมโหจะมีสาเหตุมาจากอะไรได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะข้อความบนนั้น!!
‘มีเลี้ยงสายรหัส ขอยืมมอ’ไซค์หน่อย คืนให้เที่ยงคืน’
ขอบคุณที่คิดจะคืน! ครั้งนี้ไอ้ดินไม่ได้ขโมยนะครับ มันขอแล้ว ขอแล้วหยิบไปใช้แบบหน้าด้านๆเลย คือมึงจะคืนให้กูตอนเที่ยงคืน ก็คืนพรุ่งนี้เช้าเลยเถอะ วิศวะเลี้ยงสายรหัสห่าอะไรกันดึกดื่นแบบนี้ (หอในปิดเที่ยงคืนตรง)
นับตังค์เกรี้ยวกราดอยู่คนเดียวได้ไม่นานก็คว้าเป้มาสะพายหลังแล้วตัดสินใจว่าจะเดินไปกินข้าวที่คณะ ไม่ไกลครับ ได้ข่าวว่ามหาลัย AU มีพื้นที่แค่ 100 ไร่เท่านั้นเอ๊ง กูเดินได้จริงๆนะ อย่าห่วงเลย กูเดินได๊!
นับตังค์ก้าวเท้าออกมาจากตึกสี่ชั้น ที่นี่ไม่มีลิฟต์ ส่วน Wifi ฟรีใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าเปิดประตูห้องทิ้งไว้ Wifi จะเร็วขึ้นนิดหน่อย แบบพุ่งเข้ามาอรุณสวัสดิ์ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าปิดประตูสัญญาณจะวิ่งมาชนประตูแล้วล้มลงดังตุ้บ! โอ๊ยเจ็บ! ไปต่อไม่ไหวแล้ว มึงไปใช่ Wifi ที่คณะมึงเถอะ(?) อนาถใช่ย่อยเลย ไร้สาระกันพอแล้ว นับตังค์เดินผ่านสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าหอในหลายต่อหลายตึก กว่าจะมาถึงรั้วด้านหน้าก็ใช้เวลาไปเกือบห้านาที ดีนะที่วันนี้เขามีเรียนตอนบ่าย ไม่งั้นไปไม่ทันแน่
สายลมเย็นฉ่ำที่เริ่มพัดปะทะใบหน้าทำให้นับตังค์ใจไม่ดี เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นว่ามีเมฆสีเทาเข้มก่อตัวขึ้นมาบดบังดวงอาทิตย์อยู่ก่อนแล้ว อย่าตกลงมานะเว้ย รอให้นับตังค์ไปถึงคณะก๊อนนนน คิดจบเท่านั้นแหละ ถึงได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนอับโชคแค่ไหนก็ตอนที่มีหยดน้ำใสๆพากันโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า โชคดีที่เป็นเพียงละอองฝนปอยๆ จึงตัดสินใจวิ่งไปพลาง เดินไปพลางจนมาถึงหน้าคณะวิศวะ เลี้ยวอีกสองหัวมุมถนนก็ถึงตึกคณะจิตรกรรมแล้วโว้ย
แหกๆๆ
นับตังค์ใช้มือทั้งสองข้างเท้ากับหัวเข่า ยืนหอบหายใจเหมือนลูกหมาหอบแดด อีกสองถนนเท่านั้น อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว อดทนหน่อยสิวะ ไอ้หัวเข่า ทำไมมึงต้องสั่นพับๆแบบนี้ด้วย
บรื้นนนน!!
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มมาแต่ไกล เรียกให้นับตังค์กวาดสายตามองไปรอบๆ ใครมันมาแว๊นในมอวะ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลย เขาคิดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก่อนที่ความคิดนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นความอิจฉาตาร้อน ทันทีที่เห็นบิ๊กไบค์คันใหญ่ปรากฎขึ้นบนถนนหน้าคณะวิศวะ แม่งโคตรเท่ส์!
บิ๊กไบค์สีดำยี่ห้อ YAMAHA ถูกตกแต่งด้วยลวดลายของเปลวไฟสีแดงสดกำลังลามเลียไปทั่วตัวรถ เข้าคู่กับหมวกกันน็อคเต็มใบลายเดียวกัน ช่วยเสริมให้ร่างเจ้าของในชุดเสื้อช็อปกับกางเกงยีนขายาวดูแบดบอยแบบสุดๆ บุคลิกลักษณะรวมถึงรูปร่างสูงโปร่ง ช่างเหมาะเจาะกับตัวรถราวกับถูกจับวาง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ดูดีไปหมด นี่มันนายแบบโฆษณาบิ๊กไบค์ชัดๆ ขนาดนับตังค์มองไม่เห็นใบหน้าของฝ่ายนั้น ยังรู้สึกได้เลยว่า ออร่าความคูลมันแพร่กระจายทะลุหมวกกันน็อคมาปะทะหน้าเขาเต็มๆ อยากได้รถแบบนี้บ้างอ่ะพ่อ อยากมีหนุ่มซ้อนท้ายแล้วกอดเอวของนับตังค์แน่นๆ
โอ๊ะ!…มาถามทางเหรอ?
นับตังค์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นบิ๊กไบค์คันใหญ่แล่นมาจอดริมทางเท้าตรงหน้าของเขา พี่คนคูลใช้มือเลื่อนหน้ากากหมวกกันน็อคขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคุ้นเคยที่ทำให้เขาหัวใจแทบวาย
นะ…นี่มัน!
“พี่เวฟ”
นับตังค์โพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ พี่เวฟคนสวยจริงๆด้วย ทำไมออร่าความผัวมันกระจัดกระจายแบบเน้! ไม่ได้นะเว้ย ทำแบบนี้ไม่ดีไม่งามเลย เพราะพี่ต้องเป็นเมียผม!
“ทำไมมาเดินตากฝนแบบนี้ครับ”
พี่เวฟคุยกับเขาเหรอ?
นับตังค์ถึงกับเอ๋อแดก ยืนงงอยู่เกือบหนึ่งนาที ไม่ได้ฟังเลยว่าอีกฝ่ายถามอะไร รีบยกมือขึ้นไหว้อย่างคนมีมารยาท แม่เคยสอนนับตังค์ว่าให้ความเคารพผู้ใหญ่ จะได้รับความรักความเอ็นดู ว่าแต่พี่เวฟอยากดูเอ็นของนับตังค์มั้ยครับ แค่กๆ อย่ากามกับคนสวย ไม่ดี ไม่เอา
“สวัสดีครับ”
“พี่ถามว่าทำไมมาเดินตากฝนแบบนี้” น้ำเสียงทุ้มต่ำเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อต้องเอ่ยถามเป็นครั้งที่สอง เพราะเด็กน้อยน่ารักเอาแต่ยืนทำหน้ามึนงง เห็นแล้วอยากเข้าไปหยิบแก้มป่องๆนั่นชะมัดเลย
“อ๋อ” นับตังค์ไม่ทันได้ฟังเองแหละ ขอโทษนะครับคนสวย
“รูมเมทยืมรถไปใช้ แล้วผมก็ไม่มีร่ม” เอ่อ จริงๆแล้วพ่อก็ยัดร่มใส่กระเป๋าเดินทางมาให้ด้วย แต่เขาเอาไปซุกไว้ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
“แล้วจะไปไหนครับ”
นับตังค์รู้สึกสับสน เพราะไม่แน่ใจว่าพวกเรารู้จักกันหรือเปล่า เคยเจอกันก็ใช่อยู่ แต่ยังไม่เคยคุยกันเลยสักคำ แล้วทำไมพี่เวฟถึงเป็นฝ่ายขี่รถเข้ามาคุยกับเขาราวกับสนิทสนมกันแบบนี้ล่ะ
เอ…หรือพี่เวฟจำคนผิด เออ ช่างเถอะ แบบนี้ก็ดีแล้วแหละ อีกหน่อยก็จะจำถูกเอง
“ไปกินข้าวที่คณะครับ”
“งั้นไปด้วยกันสิ”
นับตังค์ตาโต พี่เวฟหมายความว่าจะไปส่งเขาใช่มั้ย?
“ไม่ไปเหรอ”
“ไปครับไป” นับตังค์รีบอ้าปากตอบรับทันที นาทีนี้อย่าเสียเวลาเล่นตัว เดี๋ยวคนสวยเปลี่ยนใจแล้วจะแย่
“ใส่ซะ”
พี่เวฟถอดหมวกกันน็อค แล้วส่งให้นับตังค์ที่รับมาใส่อย่างว่าง่าย การได้เห็นพี่เวฟใกล้ๆแบบนี้ทำให้เขาอารมณ์ดีมากๆ รู้สึกว่าท้องฟ้าสีเทาช่างสดใสขึ้นมาทันตา ฝนที่ตกปอยๆชวนให้หนาวสั่นก็กลายเป็นเย็นสบายกำลังดี
“ผมชื่อนับตังค์นะครับ” เอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการด้วยรอยยิ้มกว้าง พี่เวฟหันมามองหน้าเขาแล้วขยับยิ้มมุมปาก โห่ สวยโคตรๆเลย
“พี่รู้แล้วครับ”
พี่เขาบอกว่ารู้แล้ว…รู้แล้ว…พี่เวฟรู้จักโผ้มมมม!
เขารู้จักโผ้มมมมมม!
เพ้อเจ้อต่อได้ไม่นานก็ต้องรีบปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายบนบิ๊กไบค์คันใหญ่ แต่มันรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ นับตังค์อยากโชว์แมน  อยากเทคแคร์ดูแลพี่เวฟ ไม่ใช่สลับตำแหน่งกันแบบนี้ มันไม่ถูกนะ หรือเขาควรขอเป็นคนขี่บิ๊กไบค์ดีล่ะ แต่เขาขี่ไม่เป็นนี่ดิ
“กอดแน่นๆนะ เดี๋ยวตก”
หมับ!
ทันทีที่ได้รับอนุญาต นับตังค์ก็คว้าหมับเข้าที่เอวของคนสวยแล้วแนบใบหน้าที่สวมหมวกกันน็อคลงบนแผ่นหลังกว้าง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายอากาศยามเช้าผสมกลิ่นต้นไม้และดอกไม้นุ่มนวลลอยเข้ามาปะทะจมูก แอบสูดดมกลิ่นกายของอีกฝ่ายเงียบๆพลางคิดในใจว่า…ช่างเถอะๆ เป็นคนซ้อนก็ไม่เลวเหมือนกัน



TBC.
:กอด1:





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2020 21:10:27 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

I'm Tussy 3


บิ๊กไบค์สีดำใช้เวลาเพียงห้านาที ในการแล่นเข้ามาจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถของคณะจิตรกรรม นับตังค์ขยับตัวลงจากรถคันใหญ่อย่างเชื่องช้า พลางคิดอย่างเสียดายว่า ระยะทางจากคณะของเขากับคณะวิศวะ น่าจะห่างจากกันสักหนึ่งร้อยกิโลเมตร ให้เขาได้มีเวลาฟินนานๆกว่านี้หน่อย เพราะหลังจากนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้ลวนลามพี่เวฟคนสวยอีกแล้ว
“พี่เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก โรงอาหารอยู่ตรงไหนเหรอครับ” พี่เวฟเอ่ยถาม หลังจากที่นับตังค์ยื่นหมวกกันน็อคลายเปลวไฟร้อนแรงให้เจ้าของ วินาทีที่อีกฝ่ายรับหมวกกันน็อคคืนไป ปลายนิ้วเรียวยาวขาวสะอาดได้แตะผ่านที่ปลายนิ้วของเขาอย่างแผ่วเบาและเชื่องช้า นับตังค์มีส่วนสูงที่ใกล้เคียงกับพี่เวฟ สายตาจึงประสานเข้ากับอีกฝ่ายได้พอดิบพอดี นัยน์ตาสีดำของพี่เวฟเป็นประกายประหลาดที่เขาอ่านไม่ออก แต่เขาก็พอจะรับรู้ได้ถึงกระแสดึงดูดจางๆที่ทำให้เหยื่อตัวน้อยดิ้นรนหาทางหนี้ไม่รอด และถึงจะหนีรอด นับตังค์ผู้แสนโง่เขลาก็สัญญากับตัวเองว่า เขาจะกลับมาหาพี่เวฟอีกครั้ง
“ทะ ทางนี้ครับ”
นับตังค์ตอบแบบตะกุกตะกัก แล้วรีบเดินนำทางแขกผู้มาเยือนไปยังโรงอาหารเล็กๆของคณะจิตรกรรม ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง โรงอาหารจึงมีนักศึกษาไม่มาก ที่นี่มีร้านอาหารทั้งหมดเจ็ดร้าน ร้านขนมกับร้านน้ำปั่นทั้งหมดสามร้าน รวมทั้งสิ้นคืนสิบร้าน ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับคณะใหญ่ๆที่มีคนมากอย่าง คณะวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์และบริหารธุรกิจศาสตร์ บางครั้งเด็กคณะจิตรกรรมจะแวะไปกินมื้อกลางวันที่คณะบริหารซึ่งอยู่ติดกันมากกว่า เพราะนอกจากจะมีคนหน้าตาดีให้ส่องแล้ว ที่นั่นยังมีอาหารให้เลือกหลากหลายกว่าด้วย
“ร้านไหนอร่อยครับ”
พี่เวฟเอ่ยถามเมื่อพวกเขาวางกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะตัวหนึ่ง นับตังค์ลังเลเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอาหารแบบนี้ แต่เขาชอบสุกี้หม้อดินร้านแรกมากที่สุด ความพิเศษของที่นี่ไม่ใช่การเสิร์ฟสุกี้ลงในหม้อดินเผา แต่เป็นรสชาติของน้ำซุปสไตล์แจ่วฮ้อน ที่มีส่วนผสมของใบมะกรูด ใบโหระพา ขิง ตะไคร้ กระเทียมและหอมแดงที่ถูกเติมลงในน้ำซุปกระดูกหมู เคี่ยวจนได้ที่แล้วตักออกมาราดลงในสุกี้หม้อดิน ปิดท้ายด้วยน้ำจิ้มสุกี้สูตรพิเศษของทางร้าน ถือว่าเป็นของดีขึ้นที่สุดในคณะแล้ว
“สุกี้หม้อดินมั้ยครับ” นับตังค์แนะนำแล้วชี้นิ้วไปที่ป้ายชื่อร้าน ‘สุกี้หม้อดินจิตกำ’
“เอาสิ” พี่เวฟตอบรับง่ายๆ พวกเขาจึงเดินไปสั่งสุกี้หมูหม้อดินสองที่ ยืนรอไม่นานก็ได้อาหารกลิ่นหอมฉุยพร้อมรับประทาน ถูกยกมาเสิร์ฟบนเคาน์เตอร์หน้าร้าน
“ทั้งหมดหนึ่งร้อยบาทจ้า” ป้าแม่ค้าบอกราคาของอาหาร นับตังค์ก็กำลังจะเปิดกระเป๋าหยิบสตางค์ออกมาจ่าย กลับถูกมือของคนสวยจับเอาไว้ก่อน
“พี่เลี้ยง” พี่เวฟเอ่ยก่อนจะยื่นแบงค์ร้อยให้แม่ค้า
“ไม่ต้องเลี้ยงหรอกครับ”
นับตังค์รีบแย้ง แล้วยื่นแบงค์ห้าสิบให้พี่เวฟ ตอนแรกเขายังคิดอยู่เลยว่าควรโชว์แมนด้วยการเลี้ยงคนสวยหรือเปล่า?แต่เมื่อคิดถึงค่าขนมที่ได้รับทุกเดือนก็ตัดสินใจว่าไม่เลี้ยงดีกว่า ครอบครัวของเขาไม่ได้ร่ำรวย แต่พ่อก็ยังให้เงินเขาได้ใช้จ่ายอย่างสบาย มีเงินซื้อสีน้ำดีๆ ซื้อหนังสือและอุปกรณ์การเรียน อยากกินอะไรก็ได้กิน
แม่ของนับตังค์เสียชีวิตด้วยอาการป่วยไปนานแล้ว ส่วนพ่อเปิดร้านอาหารอยู่ที่อยุธยา เป็นธุรกิจเล็กๆของครอบครัว ที่บ้านของเขามีสมาชิกทั้งหมดห้าคน คือนับตังค์ พ่อ อาผู้หญิงที่เป็นหม้าย ลูกพี่ลูกน้องชื่อนับเงิน กับปู่อายุแปดสิบปี พ่อของเขามีอายุเกือบหกสิบปีเข้าไปแล้วเพราะนับตังค์เป็นลูกหลง เขาอยากรีบเรียนให้จบแล้วหางานดีๆทำ พ่อของเขาจะได้พักผ่อนเสียที ดังนั้นเรื่องเลี้ยงหนุ่ม นับตังค์ค่อยทำตอนที่หาเงินใช้เองได้แล้วจะดีกว่า
“เลี้ยง” เวฟยืนยันคำเดิม แล้วปฎิเสธที่จะรับเงินจากนับตังค์
“ไม่เอา”
“บ้านพี่รวย”
นับตังค์ขมวดคิ้วยุ่งมองคนที่เพิ่งอวดรวย ยกหม้อดินเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เขารีบยกหม้อดินของตัวเองตามไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพร้อมวางแบงค์ห้าสิบไว้บนโต๊ะ
“รวยแล้วยังไงครับ พี่ยังไม่ได้ทำงานสักหน่อย”
“แค่ห้าสิบบาทเอง ไม่ต้องยุ่งหรอกน่า”
“ต้องยุ่งสิ พี่อาจไม่เสียดายเงินแต่ผมเสียดาย พ่อแม่พี่อุตส่าห์หาเงินส่งมาให้ใช้ แล้วพี่จะให้ผมกินพักน้ำแรงของพ่อแม่พี่เหรอครับ” นับตังค์บ่นอุบอิบอย่างไม่ยอมแพ้
“…”
“…”
นับตังค์หลุบตามองพื้นเมื่อเกิดความเงียบขึ้นมากะทันหัน ถ้าเขาเลิกยัดเยียดเงินให้พี่เวฟแล้วกินๆไปซะ อีกฝ่ายคงไม่ต้องอารมณ์เสีย แล้วเขาก็จะได้หาโอกาสทาบทามคนสวยมาเป็นแบบวาดภาพ นับตังค์แอบเหลือบตามองดวงหน้าที่กำลังมองตรงมาที่เขานิ่งๆแล้วรู้สึกใจเสีย…ทำไมมึงโง่แล้วยังชอบทำเสียเรื่องด้วยวะ! แม่เคยบอกว่านับตังค์เป็นคนที่ชอบพูดจาตรงๆ บางครั้งไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนก่อนพูดออกไป พี่เวฟไม่ใช่รุ่นพี่คนสนิท เขามีสิทธิ์ไปพูดจาเชิงสั่งสอนกับอีกฝ่ายเสียเมื่อไร เงินก็เงินของอีกฝ่ายแท้ๆเลย
“โกรธเหรอครับ ผมขอโทษที่พูดมากไป”
เวฟถอนหายใจอย่างคนปลงตก สายตาทอดมองใบหน้าจ๋อยๆของรุ่นน้องจอมดื้อ เพิ่งรู้วันนี้เองว่า นับตังค์เป็นคนที่มีความคิดความอ่านและยังเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงรำคาญแล้วตอบไปว่า ‘ไม่แดกก็ไม่ต้องแดก’ แต่นี่นับตังค์ไง พูดมาขนาดนี้แล้วใครจะไปโกรธลง
“ครั้งนี้ให้พี่เลี้ยง ส่วนคราวหน้าพี่เวฟขอกินน้ำพักน้ำแรงพ่อแม่น้องบ้างนะครับ”
นับตังค์พยักหน้าอย่างว่าง่าย ก็พี่เวฟเล่นใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขนาดนั้น แถมยังเป็นครั้งแรกที่แทนตัวเองว่า ‘พี่เวฟ’ อีก แล้วเขาจะต้านทานความออดอ้อนนี้ได้อย่างไร พี่คนสวยว่ายังไง นับตังค์ก็ว่ายังงั้นแหละ เพราะนอกจากเขาจะเป็นคนชอบพูดตรงๆแล้ว เขายังชอบคนที่หน้าตาอีกด้วย บอกแล้วว่านับตังค์เป็นคนแมน ยอมรับอะไรตรงๆ อย่างแรกนับตังค์ต้องมองคนที่หน้าตาก่อน  ต่อมาค่อยมองที่นิสัยว่าเข้ากันได้หรือเปล่า สุดท้ายเลย สำคัญมากที่สุดต้องมอง ‘เป้า’ จะให้อีกฝ่ายใหญ่กว่าเขาไม่ได้ เดี๋ยวตอนทำกิจกาม นับตังค์จะเสียความมั่นใจ แต่เรื่องแบบนี้ เขายังไม่เคยมีประสบการณ์จริงซะด้วยสิ…ว่าแต่จะขอดูเป้าพี่เวฟยังไงให้เนียนๆดีนะ?
“ทานสิครับ เดี๋ยวสุกี้จะเย็นหมดนะ”
เสียงที่เอ่ยขึ้นมาทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของนับตังค์หยุดชะงัก เขายิ้มแหยให้คนสวยแล้วรีบก้มหน้าก้มตากินมื้อเที่ยงพลางคิดอย่างมาดมั่นในใจว่า สบโอกาสเหมาะๆเมื่อไร เขาจะต้องเช็คขนาดเป้าของพี่เวฟให้ได้เลย
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี นักศึกษาคณะจิตรกรรมพากันทยอยมาจับจองที่นั่งในโรงอาหาร นับตังค์เห็นว่าพวกเขากำลังนั่งเกะกะพื้นที่ของคนอื่น จึงเอ่ยชวนพี่เวฟไปนั่งเล่นที่คาเฟ่แบรนด์ดังหน้าคณะวิศวะ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบตกลง นับตังค์จึงมีโอกาสได้ซ้อนบิ๊กไบค์คันใหญ่เป็นเวลาห้านาทีก่อนถึงที่หมาย คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเลี้ยงพี่เวฟซึ่งไม่ได้เอ่ยปากปฎิเสธ เขาสั่งชาเขียวเย็น ส่วนพี่คนสวยสั่งเอสเปรสโซ่เย็น
“พี่ครับ คือผมมีเรื่องอยากขอให้ช่วย” นับตังค์เกริ่นด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ทำไมแค่การขอพี่เวฟมาเป็นแบบวาดภาพถึงได้ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนที่สอบติดมหาลัยอีกนะ
“ว่ามาสิ” พี่เวฟเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่ง ติดกับผนังกระจกที่มองออกไปเห็นลานหญ้าข้างคณะนิติศาสตร์
“ปู่รหัสของผมกำลังจะจัดนิทรรศการภาพ…” ปะ…เปลือย
นับตังค์ชะงักคำที่เหลือเมื่อเห็นใบหน้าสวยๆหวานๆของคนตรงหน้า ไม่รู้ทำไมคำว่า ‘โป๊เปลือย’ เมื่อต้องนำมาพูดกับพี่เวฟมันดูจะกลายเป็นคำหยาบขึ้นมาทันทีเลย ไม่ได้! เขาต้องเลือกใช้คำใหม่ที่ดูดีกว่า
“เอ่อ ภาพจากในตำนานกรีกโรมัน ผมจะได้นำผลงานไปแสดงด้วย ผมเลยอยากได้พี่เวฟมาเป็นแบบให้ผมวาดภาพน่ะครับ” อธิบายจบก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองหน่อยๆที่ตัดคำว่าโป๊เปลือยออกไปได้หมดแบบไม่ต้องมีคำโกหกมาผสมเลย
“น้องตั้งใจจะวาดภาพใครเหรอครับ” นับตังค์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าพี่เวฟไม่ได้เอ่ยปฎิเสธทันที แต่เลือกจะให้ความสนใจกับผลงานศิลปะของเขา
“นาร์ซิสซัสครับ เขาเป็นชายงามที่ใครได้พบเห็นต่างก็ลุ่มหลง เขาเผลอไปหักอกเทพเจ้าเข้า ถึงได้ถูกสาปให้หลงรักตัวเองเมื่อมองเห็นเงาในแม่น้ำ เขาตายเพราะนั่งมองเงาตัวเองทั้งวัน ไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย หลังจากตายแล้วเขาก็กลายมาเป็นดอกนาร์ซิสซัส ผมว่าหน้าตาสวยๆแบบพี่เวฟเหมาะจะเป็นต้นแบบมากเลยครับ”
นับตังค์ตอบ จริงๆแล้วตำนานของนาร์ซิสซัสมีหลายเวอร์ชั่น รายละเอียดปลีกย่อยมีความแตกต่างกันไปตามความเชื่อ แต่สรุปแล้วนาร์ซิสซัสก็นั่งมองเงาของตัวเองจนตายเหมือนกัน
“น่าสนใจดีนะ พี่ยังไม่เคยเป็นแบบให้ใครวาดรูปมาก่อนเลย”
นับตังค์มองสีหน้าครุ่นคิดของอีกฝ่ายแล้วใจอ่อนยวบ ถ้าพี่เวฟตอบตกลงมาเป็นแบบให้เขาวาดภาพ แล้วเจ้าตัวมารู้ที่หลังว่าเขาจะวาดภาพเปลือย พี่เวฟต้องโกรธมากแน่ๆเลย อาจจะคิดว่าเขาไม่เป็นสุภาพบุรุษก็ได้…ไม่ได้การแล้ว เขาต้องรีบอธิบายและโน้มน้าวจิตใจคนสวยให้เข้าใจในศิลปะก่อน
“ผมขอเพิ่มเติมอีกนิด”
“ว่าไงครับ?”
“คือภาพในนิทรรศการจะนำเสนอ…” นับตังค์ใช้นิ้วชี้จิ้มที่สมองอยู่หลายครั้ง นึกเสียใจที่ตอนมัธยมไม่ตั้งใจเรียนวิชาภาษาไทย ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดหาคำอธิบายดีๆมาใช้ได้แล้ว
“จะนำเสนอเรือนร่างที่ไร้อาภรณ์ปกคลุม หรือเสื้อผ้าน้อยชิ้น…นิดนึง”
พี่เวฟนิ่งค้างทันทีที่นับตังค์อธิบายจบ ทำไมอ่ะ เขาเลือกใช้คำที่สละสลวยที่สุดแล้วนะ
“น้องหมายถึง…ภาพโป๊?”
“ไม่ใช่นะครับ” นับตังค์รีบปฎิเสธ “ภาพโป๊เป็นการนำเสนอความเย้ายวนของร่างกาย เชิงสนองตัณหาราคะในจิตใจของมนุษย์ เป็นภาพที่เน้นความลามกอนาจาร มองแล้วยั่วยุอารมณ์ ทำให้เกิดความกระสันอยากได้ดี แต่ภาพที่ผมจะวาด ถึงจะเป็นภาพเปลือยเหมือนกัน แต่เน้นการนำเสนอเรื่องราวในภาพและถ่ายทอดความงามของสรีระเท่านั้น มันเรียกว่าภาพอีโรติกนะครับ”
เมื่ออธิบายจบก็ใช้ดวงตากลมโตจ้องมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตาปริบๆ นับตังค์เริ่มกังวลเล็กน้อยเพราะสีหน้าของพี่เวฟดูเหมือนจะไม่เข้าใจในศิลปะเลย แต่สุดท้ายพี่เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆแล้วพยักหน้า
“โอเคครับ แล้วนายแบบภาพอีโรติกของน้อง ต้องแก้ผ้าให้น้องดูมั้ยครับ”
คำถามจากพี่เวฟทำให้นับตังค์หน้าแดงก่ำ เขารีบตอบอย่างร้อนใจ ถึงเขาจะอยากดูพี่เวฟแก้ผ้า แต่เขาจะไม่ยอมพูดออกไปเด็ดขาด เขาเป็นสุภาพบุรุษนะจำไว้
“ถ้าพี่เวฟไม่อยากถอด ผมก็ไม่บังคับนะครับ ขอแค่หน้าเฉยๆ ส่วนรูปร่างเดี๋ยวผมเสิร์จหาจาก Google เอาก็ได้ครับ”
“พี่อยากช่วยนะ มันก็แค่นั่งเฉยๆใช่มั้ย”
นับตังค์รีบพยักหน้า
“ใช่ครับใช่ ถ้าพี่เมื่อยผมจะนวดให้ ถ้าพี่ร้อนผมจะพัดให้ ถ้าพี่หิวผมจะป้อนข้าวพี่ ดังนั้น ได้โปรดเมตตาช่วยผมสักครั้งเถอะครับ”
เวฟมองใบหน้าที่กำลังอ้อนวอนด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ ให้ตายสิ ใครสั่งใครสอนให้น้องทำหน้าน่าเอาแบบนี้วะ เห็นแล้วอยากขยี้ซะเดี๋ยวนี้เลย แต่เรื่องทั้งหมดมันคงง่ายมากขึ้น ถ้านับตังค์จะแค่ชอบผู้ชาย…ที่ไม่ใช่ตุ๊ด!
ครั้งแรกที่เห็นนับตังค์ในผับเขาถูกความน่ารักสดใสดึงดูดอย่างรุนแรง ต้องใช้ความพยายามแทบตาย ที่จะปล่อยคนที่ใช่ให้หลุดมือไปโดยไม่คิดสานต่อความสัมพันธ์ แต่เหมือนโชคชะตากำลังเล่นตลก ทำให้เขาบังเอิญเจอกับนับตังค์อีกหลายครั้ง น้องอาจจะไม่รู้…แต่เขาแอบมองน้องอยู่ห่างๆ มาโดยตลอด
ในสายตาของเวฟ นับตังค์ยังเหมือนเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเท้าจากรั้วโรงเรียน มาเผชิญโลกกว้างของผู้ใหญ่ ทั้งใจดีและไม่คิดร้ายกับใคร ยิ่งเวลานี้ได้พูดคุยกัน แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่ชั่วโมง เขายิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารักมาก
ความตั้งใจเดิมที่คิดจะปล่อยให้เด็กน้อยไปมีอนาคตเริ่มสั่นคลอน ด้านมืดในหัวใจไม่ยินยอมพ่ายแพ้ให้กับรสนิยมทางเพศของนับตังค์…ในเมื่อน้องพาตัวเองมาจ่อปากเขาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่กินก็ดูจะโง่ไปหน่อย เวฟไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดีอยู่แล้ว ถ้าน้องนับตังค์ชอบตุ๊ด…เขาก็แค่เปลี่ยนให้น้องมาชอบเขา แค่เขาคนเดียว!
“ช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอม กิจกรรมค่อนข้างเยอะ ในคณะพี่น่ะไม่เท่าไรหรอก แต่กิจกรรมกลางอย่างประกวดดาวเดือนนี่พี่เลี่ยงไม่ได้” เวฟเอ่ยพร้อมกับหยิบไอโฟนขึ้นมาเช็คตารางนัดหมายของกิจกรรมในภาคการศึกษานี้
“พี่ต้องซ้อมเดินโชว์ตัวในการประกวดดาวเดือน แล้วก็เป็นพิธีกรในปีนี้ด้วย อ่อ มีงานกีฬาสัมพันธ์ระหว่างคณะ พี่ต้องเป็นผู้นำคทากร อาจจะต้องลงแข่งกีฬาอีก พี่คงเหนื่อยมาก”
นับตังค์มีสีหน้าสลดลงเมื่อได้ยินตารางงานของพี่เวฟ เฮ้อ เกิดเป็นคนสวยนี่ลำบากจัง มีแต่กิจกรรมส่วนกลางให้ทำทั้งนั้นเลย แล้วเขายังจะเอางาน ‘ส่วนตัว’ ไปสุ่มหัวพี่เวฟเพิ่มอีกหรือ…นับตังค์ทำไม่ลงหรอก
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นผม…” ไม่รบกวน
“แต่ถ้ามีผู้ช่วยสักคน คอยดูแลหาข้าวหาน้ำให้กิน พี่คงหายเหนื่อยแล้วก็ไปช่วยเป็นแบบให้น้องได้นะครับ”
“จริงเหรอครับ”
ดวงหน้าของนับตังค์พลันชื่นมื่นขึ้นมาทันที นอกจากเขาจะได้พี่เวฟมาเป็นแบบวาดภาพแล้ว เขายังได้ดูแลคนสวยอย่างใกล้ชิดด้วยนะ อาจจะหาโอกาสทำให้พี่เวฟหวั่นไหวกับเขาได้บ้างสักเล็กน้อย แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ถือว่าขาดทุนอะไร แค่ให้เขาได้นั่งมองหน้าสวยๆของพี่เวฟ เขาก็มีความสุขมากแล้ว ดีครับดี
“ตกลงหรือเปล่าล่ะ”
นับตังค์พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ใบหน้าหล่อใสปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่มิด
“ตกลงครับ ผมจะรับใช้ เอ๊ย ดูแลพี่อยากดี พี่อยากให้ทำอะไรผมจะรีบทำ อยากเป็นอะไร ผมก็จะเป็นให้ทุกอย่างเลยครับ เป็นหมู หมา กา ไก่ ก็ยอม”
“พี่เวฟไม่ใช่คนใจร้ายนะคะ”
นับตังค์อยากกรีดร้อง ใจอ่อนระทวยไปหมดแล้วคร้าบ ทำไมคำว่า ‘นะคะ’ ที่หลุดจากปากของพี่เวฟถึงได้น่ารักขนาดนี้วะ
“จริงครับ คนสวยใจดี”
“พี่สวยมากเลยเหรอคะ”
นับตังค์หน้าแดงเมื่อพี่เวฟเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำ ขนาดชาเขียวที่ดื่มเข้าไปยังหวานสู้พี่เวฟไม่ได้เลย ไม่เห็นต้องขยันโปรยเสน่ห์ใส่เขาแบบนี้เลย แค่นี้ก็ชอบจนไม่รู้จะชอบยังไงแล้ว
“พี่อ่อยผมอยู่เหรอครับ”
ถ้าถอนตัวไม่ขึ้นรับผิดชอบเลยนะ
“พี่ไม่เคยอ่อย เพราะถ้าคนมันอร่อยไม่ต้องอ่อยก็น่ากิน”
นับตังค์แทบหงายหลังตกเก้าอี้เมื่อได้ยินประโยคโคตรเสี่ยว พร้อมดวงตาเรียวสวยที่ส่งวิ้งให้เขา อ๊ากกกกกกกก!! พลังทำลายร้างช่างรุนแรงเหลือเกิน นาทีนี้ได้ตายตาหลับแล้วครับ ช่วยฝังศพนับตังค์ด้วยนะ
R.I.P
“เมื่อคืนนอนน้อยเหรอวะ”
จูเนียร์เอ่ยถามเมื่อเพื่อนสนิททิ้งก้นลงบนเก้าอี้ข้างๆในวิชาเพ้นต์ติ้ง นับตังค์ที่กำลังจิตใจล่องลอยพยักหน้าอย่างมึนงงก่อนจะจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เขาเกือบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเดินมาเข้าห้องเรียนถูกได้อย่างไร เขารู้แค่ว่าหลังจากโดนประโยคทำลายร้างจิตใจเข้าเต็มๆก็รู้สึกหิวมาก มากขนาดว่าเห็นหน้าพี่เวฟก็อยากกินแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเขานะ เพิ่งจะกินข้าวเที่ยงไปเอง ยกมือขึ้นลูบท้องอย่างแปลกใจ แต่อาการหิวก็บรรเทาลงตั้งแต่พี่เวฟขี่บิ๊กไบค์มาส่งที่หน้าตึกเรียนและตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกหิวแล้วด้วย
“อาจารย์มาแล้ว”
เสียงร้องแหลมคุ้นหูจากทวยเทพทำให้นับตังค์สะดุ้ง เงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ของเพื่อนที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้านขวา อีกฝ่ายโบกมือร้องทักทายเขาและจูเนียร์เบาๆก่อนจะรีบปิดปากเงียบเมื่อร่างของอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาทางประตูหน้าห้อง
เพ้นต์ติ้งเป็นคลาสเรียนขนาดใหญ่ที่มีนักศึกษาเกือบหนึ่งร้อยคนต่อหนึ่งเซคชั่น วิชานี้นับเป็นหนึ่งในหลายวิชาที่เด็กปี 1 คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ทุกสาขาต้องลงเรียน นับตังค์เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่ที่แถวหลังสุดในห้องสโลป ปกติแล้วจูเนียร์ที่เป็นคนเข้าห้องเรียนก่อนเวลาจะเลือกจองที่นั่งแถวหน้าให้พวกเขา เพราะแถวด้านหลังมักจะมีแต่พวกที่ไม่ตั้งใจเรียน คุยกันบ้าง เล่นกันบ้าง แต่วันนี้จูเนียร์อาจจะเข้าห้องเรียนช้าไปหน่อยเลยได้ที่นั่งตรงนี้ ส่วนนับตังค์ก็มาเข้าเรียนแบบตรงเวลาเป๊ะเลยไม่มีสิทธิ์ออกปากบ่น
ระหว่างเรียน นับตังค์จะโฟกัสสายตาไปที่จอโปรเจคเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ไม่เคยใส่ใจเพื่อนร่วมคลาสเลย กระทั่งวันนี้ ตอนที่เขานั่งอยู่ในแถวหลังสุด สายตาต้องมองผ่านศีรษะของเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นๆก่อนจะถึงจอโปรเจคเตอร์ ทำให้เขาบังเอิญเหลือบสายตาไปเห็นใครคนหนึ่งตรงที่นั่งฝั่งซ้าย เยื้องไปด้านหน้าเขาหนึ่งแถว นับตังค์กับเพื่อนนั่งที่ฝั่งขวา ส่วนตรงกลางจะเป็นทางเดินขั้นบันไดแคบๆ
“คนนั้นใครวะ”
นับตังค์กระซิบถามเพื่อนสนิท เขาหมายถึงเด็กหนุ่มผิวขาวที่ตัดผมทรงกะลาครอบ เส้นผมอ่อนนุ่มสีดำยาวระต้นคอ ส่วนผมหน้าม้าที่ยาวเลยคิ้วมาปิดหน้าปิดตาทำให้ยากจะบอกได้ว่าคนๆนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้นับตังค์สนใจไม่ใช่ทรงผมแต่เป็นบุคลิกแปลกๆหลายอย่าง อย่างการนั่งเรียนแล้วเขย่าปากกาในมือตลอดเวลาจนหมึกไหลออกมาเปื้อนสมุดเป็นจุดๆ สายตาที่โฟกัสจอโปรเจคเตอร์นิ่ง ในระดับที่เรียกว่าตั้งใจมากกว่านับตังค์เป็นเท่าตัว สายตาไม่มีการเคลื่อนไหวราวกับภาพยนตร์ที่ถูกกดปุ่ม Stop เอาไว้
“ไหน?” ทวยเทพเอ่ยถาม แล้วละสายตาจากจอโปรเจคเตอร์มามองนับตังค์
“คนที่ตัดผมทรงกะลาครอบ”
“โลมา เพื่อนรวมรุ่นของเราไง” จูเนียร์เป็นฝ่ายตอบแทน
“ปีเรามีคนนี้ด้วยเหรอ” นับตังค์จดจำเพื่อนร่วมสาขาได้ทุกคน อีกทั้งตอนรับน้องเขาก็ไม่เคยขาด ไม่เคยโดดทำให้พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนต่างสาขาบ้าง แต่คนๆนี้นับตังค์แน่ใจว่าไม่เคยเห็นเข้ารับน้องมาก่อนเลย
“ไม่ใส่ใจเพื่อนไงมึงอ่ะ” จูเนียร์ประณามเบาๆก่อนจะหันกลับไปตั้งใจเรียน
“หมอนั่นเป็นคนแปลกๆ ไม่ค่อยมีใครอยากคบด้วยหรอก อาจจะไม่มีเพื่อนสักคนเลยก็ได้” ทวยเทพเป็นคนให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“นิสัยแย่มากเลยเหรอ” นับตังค์ถาม โลมานั่นอาจจะเป็นเด็กเรียนเห็นแก่ตัว ที่เพื่อนไม่เอา กิจกรรมไม่เอาก็ได้
“มีแต่คนบอกว่ามันกวนตีนหน้านิ่ง แล้วก็ดูจิตๆอ่ะ น่ากลัว” ทวยเทพตอบ
“งั้นเหรอ”
นับตังค์ได้แต่ตอบรับส่งๆ ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจเรียนแล้วลืมเรื่องของ ‘โลมา’ ไปจนหมด




:bye2: :mc4:


ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 4


ความบังเอิญครั้งที่ 1
“ไอ้เวฟ”
“ว่า?” เวฟละสายตาจากเมนูอาหารในมือ แล้วหันไปมองเพื่อนสนิทที่กำลังใช้ศอกสะกิดแขนของเขาอย่างตื่นเต้น
“เด็กน้อยของมึงมาว่ะ”
เด็กที่ไหน…ไม่มีว่ะเพื่อน ช่วงนี้คนหล่อโสดสนิท
เวฟมองตามสายตาของนินิวไปพบกับเด็กหนุ่มสามคน ที่กำลังผลักประตูกระจกเข้ามาในร้านอาหาร…น้องนับตังค์! เวฟชะงักไปเล็กน้อย ให้ตายสิ หนูขา อุตส่าห์ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งหลายสัปดาห์จนพี่เกือบจะลืมไปแล้วแท้ๆ แล้วทำไมหนูต้องโผล่หน้ามาตอนที่พี่เวฟหัวใจอ่อนแอด้วยละคะ ใจร้าย…!
“กูไม่เห็นสนใจเลย”
ในเมื่อน้องนับตังค์ชอบตุ๊ด พี่ก็จำใจต้องปล่อยน้องไป
“ตาเหล่แล้วมึง เมนูอยู่ตรงหน้าครับ ไม่ได้อยู่ข้างๆ” บีไอว่าแล้วยิ้มล้อเลียน
เออ ยอมรับก็ได้ว่าตอนนี้ แม่งไม่ได้สนใจเลยว่ามื้อเที่ยงอยากกินอะไร เพราะความสนใจทั้งหมดมันถูกดึงดูดไปตั้งแต่วินาทีที่นับตังค์ก้าวเท้าเข้ามาในร้านอาหารแล้ว
“เอาอันนี้ครับ” เวฟชี้นิ้วส่งๆไปที่ชื่ออาหารบนเมนู นาทีนี้ให้พี่กินข้าวกับอะไรก็อร่อยครับ พนักงานสาวที่รอรับออเดอร์อยู่ใกล้ๆ ทวนรายการอาหารก่อนจะจดลงบนกระดาษ จากนั้นจึงหันไปถามบีไอและนินิวว่าต้องการสั่งอะไรเพิ่มเติมหรือไม่
“เหมือนกันครับ” >> บีไอ
“ผมด้วยครับ” >> นินิว
สิ้นคิดมั้ยล่ะเพื่อนกู แค่จะแดกอะไรยังต้องลอกเลียน
เวฟเอามือเท้าคางแล้วหันไปมองคนน่ารักที่กำลังเดินไปจับจองโต๊ะตัวหนึ่งในร้าน นึกขอบคุณที่ร้านนี้มีฉากกั้นแต่ละโต๊ะเพื่อความเป็นส่วนตัว ทำให้เขาสามารถมองผ่านลายแกะสลักของฉากไม้ไปที่คนน่ารักได้อย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว เวฟหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่านับตังค์เลื่อนเก้าอี้ให้เพื่อนทั้งสองคนนั่ง…สุภาพบุรุษชะมัด
“แค่น้องมันชอบตุ๊ด ไม่ใช่เรื่องใหญ่ซะหน่อยนี่เพื่อน” บีไอที่กำลังนั่งส่องเด็กตามเพื่อนสนิทเปรยขึ้น
“เรื่องใหญ่มาก มึงเข้าใจมั้ยว่ากูไม่ใช่ตุ๊ด เหตุผลแค่นี้ก็ทำให้กูแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มจีบแล้ว”
เวฟว่าอย่างคนปลงตก ลอบใช้สายตาสำรวจเพื่อนในกลุ่มของน้องนับตังค์อย่างละเอียด มีทวยเทพตุ๊ดหัวโปกที่ชอบติดโบว์อันใหญ่ไว้บนหัว กับตุ๊ดเด็กอีกคนที่สามารถนิยามคำว่าน่ารักได้ ผมสีดำสนิทเหมาะกับผิวขาวของเจ้าตัว ตัดสั้นระต้นคอ ปากสีชมพูระเรื่อจากลิปสติกทำให้ริมฝีปากดูมีสุขภาพดีและคนสุดท้าย เขาขอนิยามสั้นๆง่ายๆว่า…ใช่เลย!
“แต่กูว่ามึงก็คล้ายๆตุ๊ดอยู่นะ”
ผลัวะ!
โอ๊ย!
คำพูดระคายหูทำให้เวฟยกมือโบกหัวคนพูดไปหนึ่งที
“กูล้อเล่นได้มั้ยล่ะ” บีไอยกมือลูบหัวปรอยๆ เห็นไอ้เพื่อนเวฟรูปร่างสูงโปร่งแบบนี้ แต่แรงควายมากนะครับ โดนมันต่อยสักหมัด สามารถน็อคเข้าโรงพยาบาลได้เลยล่ะ
“กูหมายความว่ามึงหน้าสวย น้องนับตังค์คงติดใจมึงได้ง่ายๆเลย…เอางี้ดิ”
“เลว” เวฟตัดบทด้วยคำพูดสั้นๆอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้เพื่อนสนิทจิ๊ปากไม่สบอารมณ์
“ยังไม่ได้เริ่มเลย”
บีไอยู่ปาก เห็นกูเป็นคนยังไงครับเพื่อน บีไอทำบุญตักบาตรปีละครั้ง โกหกบ้างเวลาจำเป็น ดื่มสุราเมรัยเดือนละสี่ครั้ง เรื่องแตะหมาแตะแมวนี่ไม่เคยทำนะขอบอก จะนักเลงยังไงบีไอก็เลือกรังแก ถ้าอายุมากกว่าสิบห้าปี พี่ไม่เคยกล้าอยู่แล้ว เรื่องใช้กำลังกับรุ่นเยาว์นี่พี่ชอบ คนแบบนี้ไม่เรียกเลวนะเว้ย
“ว่ามาเร็วๆ”
นินิวเป็นฝ่ายเอ่ยเร่งด้วยความอยากรู้ ผิดกับเจ้าของเรื่องที่กำลังก้มหน้าก้มตาสนใจอาหารที่พนักงานยกมาเสิร์ฟ ไม่ได้มีท่าทีสนใจอยากฟังสิ่งที่บีไอกำลังจะบอกเลยจริงๆ
“มึงแค่แกล้งเป็นตุ๊ดต่อหน้าน้องเค้าก็ได้ ไม่เกินความสามารถของมึงหรอก”
ข้อเสนอจากบีไอทำให้เวฟชะงัก นัยน์ตาสีดำฉายแววครุ่นคิด ขณะเหลือบมองไปทางโต๊ะของน้องนับตังค์ที่กำลังถูกตุ๊ดหัวโปกกอดแขนแล้วเอาหน้าซบไหล่
อิจฉาว่ะ…
“ดูอีทวยดิ ได้ทั้งกอดทั้งสี มีแต่ได้กับได้ มึงแค่แกล้งเป็นตุ๊ดตอนเข้าไปจีบน้องเค้า พอน้องรักมึงจนถอนตัวไม่ขึ้น มึงค่อยสารภาพความจริง คนมันรักไปแล้ว ต่อให้มึงชิงหมามาเกิดน้องมันก็รับได้”
อื้ม…ประโยคแรกๆเกือบดีแล้ว แต่มันติดตรงประโยคสุดท้ายนี่ดิ แม่งทำให้ต่อมสำนึกดีของเวฟทำงานขึ้นมาทันทีเลย คือกูก็ไม่อยากชิงหมาเกิดนะเพื่อน
“โห้”
“กูรู้ว่าเป็นไอเดียที่ฉลาดมาก”
บีไอรีบยิ้มรับเมื่อได้ยินเสียงร้องจากนินิว นานๆทีจะได้รับคำชื่อชม กูขอยืดหน้ารับให้เต็มที่เลยละกัน ว่ามาเลยเพื่อน
“กูไม่รู้จะชื่นชมมึงยังไงเลยไอ้บี คนที่คิดเรื่องแบบนี้ได้มันต้อง ชั่ว! เลว! จิตใจต่ำช้า! ขี้โกหก! สถุน…”
“หยุด! ถ้ามึงจะด่าขนาดนี้นะ กูสำนึกไม่ทันหรอกครับ”
เวฟกรอกตาคิดหนัก ไอ้เรื่องอยากสีน้องก็อยากอยู่หรอก เวฟเป็นคนที่มีความพยายามสูง ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วมันจะออกมาดีที่สุด แน่นอนว่าเรื่องแอ๊บตุ๊ดไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ หลังจากน้องรู้ความจริงต่างหาก เด็กน้อยของเขาจะรับได้หรือไม่ก็เท่านั้น เรียกว่าได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ อีกอย่างเขาไม่อยากถล้ำลึกไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าพี่เวฟจะปล่อยน้องไปอีกครั้ง หวังว่าคราวหน้า นับตังค์จะไม่เดินมาอ่อยให้เห็นอีกนะคะคนดี
“กูไม่อยากโกหก”
เป็นพระเอกเรื่องนี้ ไม่ง่ายเลยนะครับ

ความบังเอิญครั้งที่ 2
หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่พักผ่อนสายตาของเวฟ เขาชอบมาสิงสถิตแถวโซนหนังสือธรรมะที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ใช้หนังสือเล่มหนาต่างหมอน ตากแอร์เย็นฉ่ำแล้วหลับตาลงช้าๆ เมื่อคืนเขาตีป้อมกับไอ้เพื่อนนิวจนถึงตีสาม แถมมีเรียนตอนเก้าโมงเช้าซึ่งอาจารย์ปล่อยก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เขาจึงเลือกที่จะมานอนหลับที่ห้องสมุดเพื่อรอเข้าเรียนวิชาถัดไปแทนที่จะขับรถกลับเพนท์เฮ้าส์
ตุ้บ!
โอ๊ย!
หืม?
สาวที่ไหนมาล้มแถวนี้ครับ
เวฟปรือตาขึ้นมองอย่างยากลำบาก…ภาพที่ปรากฏสู่สายตา คือภาพเอียงกระเท่เร่ของทางเดินระหว่างชั้นหนังสือ มีหญิงสาวร่างบางในชุดนักศึกษารัดรูปนั่งพับเพียบอยู่บนพื้น เธอลื่นล้มเพราะพื้นกระเบื้องที่เพิ่งผ่านการขัดถูกเงาวับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ในตอนที่เธอล้มทำให้กระโปรงที่ถูกผ่าข้างขาดขึ้นมาสูงกว่าเดิม เธอลุกจากพื้น พยายามทรงตัวอยู่บนรองเท้าส้นเข็มสีดำแล้วเอาหนังสือมาปกปิดประโปรงส่วนที่ขาด
โอ้โห้! ถ้าแม่คุณจะใส่กระโปรงสั้นขนาดนี้ก็ถอดเลยเถอะครับ เห็นต้นขาขาวๆแบบนี้พี่เวฟใจคอไม่ดี มันทำให้สมอง จินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ให้พี่ช่วยเย็บกระโปรงดีกว่านะครับ เวฟยันตัวขึ้นนั่ง คว้าเสื้อคลุมคณะสีแดงเลือดหมู ตั้งใจว่าจะให้สาวน้อยน่ารักได้ยืมสักหน่อย แต่…
“ขอโทษนะครับ”
“คะ?”
เวฟชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินเข้าไปเอ่ยทักหญิงสาวคนนั้น พร้อมกับยื่นเสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งเป็นเสื้อประจำคณะจิตรกรรมให้เธอ ให้ตายสิ เวฟคงจะไม่ใส่ใจแล้วกลับไปฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ถ้าเพียงแต่คนที่กำลังแสดงความเป็นสุภาพบุรุษตัดหน้าจะไม่ใช่…น้องนับตังค์คนแมน!
บอกแล้วไงคะ ว่าอย่ามาให้เห็นหน้า เดี๋ยวจับปล้ำซะเลย
“คราวหน้าอย่าใส่กระโปรงสั้นขนาดนี้เลยนะครับ รู้มั้ยว่าผู้ชายเขามองกันทั้งนั้น”
น้ำเสียงนุ่มละมุนที่เอ่ยในเชิงแนะนำแทนการต่อว่า ทำให้เวฟเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าน้องจะพูดอะไรทำนองนี้ แม่งจะสุภาพบุรุษเกินไปแล้วเด็กโง่
“คนอื่นก็ใส่กันแบบนี้”
หญิงสาวเอ่ยแย้งด้วยใบหน้าที่แดงระเรือ มองไปแล้วชวนให้เวฟรู้สึกหงุดหงิดใจแปลกๆ ช่วยก็ช่วยแล้ว ทำไมยังจะต้องยืนคุยกันอีกวะ น้องนับตังค์ หนูชอบตุ๊ดนะคะ เด็กดี ไม่เอา ไม่มองผู้หญิงสิ
“เธอน่ารักอยู่แล้ว ใส่กระโปรงยาวกว่านี้จะน่ารักมากขึ้นนะ” นับตังค์ขยับยิ้มบางให้เธอ แต่เวฟมองแล้ว รู้สึกเหมือนน้องกำลังให้ท่าผู้หญิงเลยว่ะ คำพูดคำจาช่างเอาใจแบบนี้ ร้ายไม่ใช่เล่น
“เอ่อ…”
“ถือซะว่าให้เกียรติสถาบันนะ ชุดนักศึกษาของประเทศไทยดูดีมากเลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ เราขอยืมเสื้อก่อนนะ คราวหน้าจะซักมาคืนให้” หญิงสาวรีบผูกเสื้อคลุมลงบนเอวของตัวเอง เพื่อปกปิดรอยขาดบนกระโปรง
“ยินดีครับ”
เวฟถอนหายใจ มองเหตุการณ์ตรงหน้าราวกับกำลังดูละครฉากหนึ่งของพระ-นาง ไม่ว่าจะคิดยังไง นับตังค์ก็ทำไปเพราะความปรารถนาดี ส่วนฝ่ายสาวน้อยคนนี้นี่สิ คงให้ใจน้องนับไปเต็มๆ แต่จะโทษเธอก็ไม่ได้ เด็กน้อยของเขาออกจะน่ารัก หน้าตาก็ดี คำพูดคำจาก็สุภาพ ผู้หญิงไม่ชอบสิแปลก
“ชื่อชมพูค่ะ”
“นับตังค์ครับ”
“แล้วเราจะติดต่อนับตังค์ได้ยังไง เราต้องเอาเสื้อมาคืนเธอ”
“เอ่อ…”
“แลกไลน์กันมั้ยคะ”
ไม่!
“อืม”
นับตั๊งงง!!
เวฟได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่คนเดียว อยากเข้าไปจับน้องนับมาตีก้นแรงๆแต่ทำไมได้ ยิ่งได้เห็นภาพที่นับตังค์พิมพ์ ID LINE ลงในไอโฟนของสาวน้อยน่ารัก เขาก็แทบจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดออกมาพ่นไฟ แม่ง ไม่เคยรู้สึกพ่ายแพ้แบบนี้มาก่อน กูทำอะไรไม่ได้เลยหรือไงวะ!
“ขอตัวก่อนนะครับ”
เออ ไปไกลๆเลย อย่าโผล่มาให้พี่เห็นหน้าอีกนะ
“เดี๋ยว!”
วันนี้พี่เวฟขอมีเรื่องกับผู้หญิงสักวันได้มั้ยวะ
“ครับ?”
“ต่อไปเราจะไม่ใส่กระโปรงสั้นมาเรียนอีก”
สาวน้อยน่ารักหลุบตามองพื้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ส่วนนับตังค์ได้แต่ขยับยิ้มหวานส่งให้เธอแล้วโบกมือให้เป็นการบอกลา
โอเค ได้! พี่เวฟจะไม่ทนแล้วนะคะ นับตังค์

ความบังเอิญครั้งสุดท้าย
6.30 น.
“เออ รู้แล้วน่า ไม่เลทหรอก บ่ายสามใช่มั้ยล่ะ…เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย…แค่นี้นะ กูรีบ”
เวฟกดตัดสายแล้วโยนไอโฟนทิ้งไว้บนเบาะข้างคนขับ ปกติแล้วเขาจะไม่รับสายระหว่างขับรถ แต่เป็นเพราะสายเรียกเข้าที่เขาเมินใส่ตั้งแต่เมื่อคืน เริ่มดังติดต่อกันอีกครั้งในเช้าวันนี้ ทำให้เขาต้องรีบรับสายเพื่อตัดความรำคาญ
 ‘บอนนี่’ ประธานสโมสรนักศึกษา โทรนัดให้เวฟไปซ้อมเดินแบบเวลาบ่ายสามโมงตรง พร้อมกับถ่ายภาพสำหรับทำโปสการ์ด บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดชะมัดที่ตอนปีหนึ่งเสนอหน้ามาเป็นเด็กกิจกรรม เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากนอกจากอยากหาประสบการณ์ก่อนที่จะไม่มีเวลาได้ทำ แต่ตอนปีสองที่เรียนยากขึ้น รวมถึงเริ่มทำแลปปฎิบัติการด้านไฟฟ้า ทำให้เขาที่อยากจะถอนตัวจากกิจกรรมใจจะขาดทำได้ยากเหลือเกิน
ใครๆในมหาลัยต่างก็รู้จัก ‘เวฟ’ รองเดือนมหาลัยที่สวยกว่าดาว  ไอ้ห่า! ใครมันตั้งฉายานี้วะ ถ้ารู้นะจะดีดปากให้แตก เวฟไม่เคยสนใจเสียงซุบซิบนินทาที่ลื่อกันหนาหูว่าเขาเป็นตุ๊ดหรือเป็นเกย์ เขาไม่แคร์ ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป แต่ตอนนี้เริ่มเสียใจนิดๆแล้วดิ เพราะนักศึกษาในมหาลัยต่างก็คิดว่าเขาเป็นตุ๊ด จะจีบผู้หญิงก็ลำบาก จะจีบผู้ชายน่ารักๆก็ไม่เชื่ออีกว่าเวฟไม่ใช่ตุ๊ด แถมยังมีแต่พวกรุกเข้าหา โคตรเซ็ง ไอ้เสียงเล่าลือแบบผิดๆนี่ก็ยังลือกันอย่างต่อเนื่องจนตอนนี้เขายังหาเมียไม่ได้เลย
วันนี้เวฟต้องตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพราะเขาลงชื่อจองห้องปฎิบัติการในช็อปไฟฟ้าไว้สำหรับทำแลปส่งอาจารย์ ห้องปฎิบัติการที่นี่ มีอยู่อย่างจำกัด ต้องจองล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์หรืออย่างเร็วคือสามวัน แต่จะได้ใช้ห้องในช่วงเวลาที่ชาวบ้านเขาไม่ใช้กัน อย่างเจ็ดโมงเช้าหรือหนึ่งทุ่ม คิดแล้วก็เพลีย เพราะกิจกรรมส่วนรวมที่กินเวลาหลังเลิกเรียนในช่วงเย็น ทำให้เขาต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าแบบนี้
ระหว่างที่เวฟกำลังถอนหายใจด้วยความไม่สบอารมณ์ เมอร์เซเดสเบนซ์สีดำก็เคลื่อนตัวผ่านประตูใหญ่เข้ามาในรั้วมหาลัย เขาจอดรถที่หน้าคณะวิศวะ ตั้งใจจะลงไปซื้อกาแฟสดในคาเฟ่สักแก้ว แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาในชุดนักศึกษาถูกระเบียบซะก่อน…นับตังค์
ช่วงนี้คนน่ารักขยันโผล่หน้ามาให้เห็นบ่อยชะมัดเลย จากที่ตั้งใจว่าจะลงไปซื้อกาแฟ เขากลับเปลี่ยนใจแล้วแอบมองร่างสูงเดินเอื่อยๆไปบนทางเท้า ถ้าจะบอกว่าน้องตื่นมาออกกำลังกายก็ไม่น่าใช่ เพราะเจ้าตัวใส่ชุดนักศึกษา แต่จะบอกว่าไปเรียนก็ไม่น่าใช่อีก เพราะเวลาเข้าเรียนที่เช้าที่สุดของมหาลัย AU คือ 8.00 น. เด็กปีหนึ่งไม่น่ามีเรียนเช้ากว่านี้แล้ว
เวฟคิดว่าอาจจะเป็นเพราะความคิดถึงที่ทำให้เขาอยากมองนับตังค์นานกว่านี้ เขาตัดสินใจขับรถตามไปห่างๆ จนเห็นว่านับตังค์หยุดเดินแล้วเปิดกระเป๋าเป้ หยิบถุงอาหารสุนัขยี่ห้อดังออกมา เจ้าตัวแกะถุงแล้วเทอาหารเม็ดไว้มุมหนึ่งที่ไม่สะดุดตา ไม่นานสุนัขเจ้าถิ่นประจำคณะก็กระดิกห่างวิ่งหน้าตั้งออกมาให้นับตังค์ลูบหัว ก่อนจะก้มลงกินอาหารอย่างหิวโหย เวฟขยับยิ้มระหว่างมองการกระทำของเด็กน้อย ไม่นานนับตังค์ก็ออกเดินไปยังคณะถัดไปแล้วเทอาหารให้สุนัขอีกครั้ง
ในมหาลัย AU เกือบทุกคณะ ต่างก็มีสุนัขเจ้าถิ่นอาศัยอยู่ นักศึกษาหลายคนที่มีขนมติดไม้ติดมือพากันแบ่งให้เล็กๆน้อยๆ เวฟเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจจะมองเจ้าสุนัขพวกนี้เลย แต่วันนี้ตอนที่เขาได้เห็นนับตังค์แสดงความเอื้ออาทรต่อสุนัข เขาก็เริ่มรู้สึกว่าพวกมันน่าสงสาร มันไม่มีเจ้านาย มันทำงานหาเงินซื้ออาหารไม่ได้
เมื่อก่อน ตอนที่เวฟเห็นคนทำบุญทำกุศลแล้วโพสต์รูปถ่ายลงโซเชียล เขาจะรู้สึกว่ามันไร้สาระ คนพวกนี้อยากทำบุญหรืออยากอวดกันแน่ เขาเคยมีความคิดว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ชีวิตของใครคนนั้นก็ต้องช่วยเหลือตัวเองให้ดี ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาไม่จำเป็นต้องไปเมตตาช่วยเหลือ แต่นับตังค์ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป…แค่การได้ช่วยให้อิ่มท้องสักมื้อ หรือช่วยเท่าที่เราช่วยได้ก็มีความสุขแล้ว
วันนี้เวฟเข้าห้องแลปสายเพราะขับรถตามนับตังค์ที่เดินแจกเพดดีกรีให้สุนัขจรจัดเกือบครึ่งมหาลัย ดีนะที่น้องซื้อมาแค่หนึ่งถุง จึงเดินแจกอาหารสุนัขแค่คณะในแทบนี้ ถ้าน้องเดินทั้งมหาลัยเขาคงเข้าเรียนสาย แต่พอคิดว่าวันนี้ได้เห็นใบหน้าน่ารักที่ยิ้มอย่างมีความสุขกับการกระทำของตัวเอง หัวใจของเขาก็เต้นตึกตักโดยไม่รู้ตัว ชวนให้อารมณ์ดีไปทั้งวัน ขนาดมื้อเที่ยงเขายังอดไม่ได้ต้องแบ่งไส้กรอกให้สุนัขจรจัดที่นั่งกระดิกห่างอยู่แถวนั้นเลย
16.40 น. ห้องโถงกลาง สโมสรนักศึกษา
“ทุกคน!! เตรียมพร้อมได้แล้วจ้า เดี๋ยวซ้อมเดินรอบสุดท้ายนะ จะถ่ายจริงแล้ว”
เวฟหันไปมองทางต้นเสียงจึงเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาเรียกรวมพลดาวเดือนที่หลังเวที คือสมาชิกชมรมชั้นปี 2 ชื่อว่าหวาน เธอเป็นหนึ่งในคณะกรรมการชมรมและเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของบอนนี่
“เอาจริงแล้วเหรอ ฉันสวยหรือยัง”
“ปากฉันซีดแล้วอ่ะ บอกตากล้องรอแปปดิ”
“ถ้าถ่ายไม่สวย ฉันขอเดินใหม่นะ”
“น้องมาซับหน้าให้พี่หน่อยค่ะ เดี๋ยวถ่ายออกมาหน้าขึ้นเงามันจะเป็นตราบาปติดตัวไปทั้งชีวิตของพี่”
เสียงร้องของดาวหลายคนดังจ้อกแจ้กจนจับใจความแทบไม่ได้ เด็กปีหนึ่งที่มีหน้าที่ดูแลและอำนวยความสะดวกให้ดาวเดือนทั้งสามสิบสองคน รีบเร่งเข้าไปซับหน้า เติมแป้ง และหวีผมกันจนหัวหมุน ดาวบางคนที่ไม่ไว้ใจรุ่นน้องรีบหยิบกระจกขึ้นมาเติมแป้งด้วยตัวเอง เดือนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ใจในภาพลักษณ์ ทำเพียงแค่จัดทรงผม ซับเหงื่อ และจัดชุดนักศึกษาให้เรียบร้อยเท่านั้น
“น่าเบื่อว่ะ”
เวฟบ่นพึมพำ ใช้มือขยับเนคไทให้เข้าที่เข้าทาง เขาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมการเดินแบบง่ายๆถึงได้ทำให้เขาเสียเวลาไปมากขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่เดิน โพสท่าแล้วจบ แต่บอบนี่ ประธานชมรมกลับชี้นิ้วสั่งให้ทุกคนแสดงสีหน้าแฟนหนุ่มแฟนสาวที่เปี่ยมเสน่ห์ โพสท่าต้องเป็นมืออาชีพ เดินต้องตรงตามจังหวะเพลง ความวุ่นวายทั้งหมดทำให้เขาย้อนนึกถึงตอนที่กำลังประกวดดาวเดือนชั้นปี 1 เขาคิดว่าอยู่ปี 2 แล้วจะปลดระวางได้แล้วซะอีก แต่เสือกต้องเสนอหน้าขึ้นไปเดินเปิดงานในการประกวดดาวเดือนชั้นปี 1 ที่จะจัดในเดือนหน้า ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าหลายคนไม่อยากขายหน้ารุ่นน้อง ยังไงก็ต้องทำออกมาให้ดีที่สุด แต่บางทีความเยอะของพวกสาวๆก็ทำให้เวฟปวดหัว เดี๋ยวคนนี้ก็ขอเดินใหม่ คนนั้นก็ขอนั่งพักเพราะรองเท้ากัด ขอเติมหน้า ขอนั่นขอนี่ไม่จบไม่สิ้น กว่าจะลงตัวได้อย่างวันนี้ต้องผ่านการซ้อมมาเกือบหนึ่งสัปดาห์
“เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
เวฟเหลือบตาไปมองคนพูด หมอนี่ชื่อว่า ‘คุณ’ เป็นเดือนมหาลัยปีที่แล้ว สนิทกับเขาที่สุดในกองประกวด ถือว่าเป็นเพื่อนต่างคณะที่ไลฟ์สไตล์ค่อนข้างตรงกันทำให้คุยกับเขาได้เกือบทุกเรื่อง
“อยากให้ถ่ายรอบเดียวผ่าน มึงก็ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยดิ”
เวฟไม่ได้ตอบรับ เพราะเข้าใจว่าคุณหมายถึงให้เขาพยายามโปรยเสน่ห์แบบที่บอนนี่ต้องการ แต่ถ้าไม่มีอารมณ์เวฟก็ทำเป็นอยู่หน้าเดียว คือเฉื่อยชา
หลังจากได้รับสัญญาณเตรียมพร้อม ไฟในห้องโถงก็ถูกดับลง พร้อมกับไฟบนเวทีที่สว่างขึ้น ดนตรีในจังหวะเซ็กซี่ถูกเปิดพร้อมกับการปรากฏตัวของเหล่าดาวเดือนชั้นปีที่สองในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ เวฟเดินเรียงแถวและก้าวเท้าไปตามแคทวอล์คอย่างที่ได้ซักซ้อมมาแล้วหลายสิบรอบ หยุดโพสท่าและหมุนตัวตามเครื่องหมายที่ถูกมาร์กไว้บนพื้นเวที ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนคุ้นหูของเพื่อนสาวเทียม
“อีเวนดี้ มึงคีพลุคแฟนหนุ่มหน่อยซิ อีนี่ทำหน้าตายอยู่ได้”
ไอ้เชี่ยบอล! กูเกลียดชื่อนี้
เวฟยกนิ้วกลางให้บอนนี่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหมุนตัวเข้าไปยืนในแถว บอนนี่ยังร้องโวยวายได้แสบแก้วหูเหมือนเดิน เขาไม่ได้มีอารมณ์มาปั้นหน้าแฟนหนุ่มแสนดีตลอดเวลาหรอก เอาไว้ค่อยทำตอนถ่ายจริงในรอบสุดถ่ายก็แล้วกัน
ในตอนที่เดินออกมาจากหลังเวที เวฟไม่ได้ใส่ใจรุ่นน้องในชมรมที่ยืนอยู่ด้านล่างเลย แต่เป็นเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมาที่เขา ทำให้ต้องเหลือบไปมองก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ… นับตังค์ยืนถือกล้องอยู่ด้านล่างเวที สีหน้าของน้องที่มองขึ้นมาดูล่องลอยและตื่นเต้นแปลกๆ…มาได้ไงวะ! ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันเห็นน้องจึงเผลอแสดงกิริยาสถุนใส่บอนนี่ไปแบบไม่คีพลุค เวฟเริ่มกังวลเล็กน้อย น้องมันยิ่งชอบคนสวย นิสัยน่ารักอยู่ด้วย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับยิ้มมุมปาก บอกแล้วไงว่าพี่จะไม่ทนแล้ว…
การเดินเปิดตัวรอบสุดท้ายเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เวฟก้าวเท้าไปตามแคทวอล์คอย่างที่ได้ซักซ้อม หยุดหมุนตัวและโพสท่าให้กล้องจับภาพอย่างที่ควรทำ แต่แทนที่จะโปรยเสน่ห์แฟนหนุ่มอย่างที่บอนนี่ต้องการ เขากลับเลือกที่จะขยับยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างไว้ตัว รู้สึกได้ว่านับตังค์ชะงักไปครู่สั้นๆก่อนจะดึงกล้องออกจากใบหน้า แววตาคู่นั้นที่มองมาที่เขาดูเคลิ้มฝันเล็กน้อย ยิ่งให้เวฟแกล้งทิ้งสายตายั่วยวนก่อนจะหมุนตัวจากไป เอาเถอะ จะอ่อยแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แค่ผลลับได้เป็นผัวนับตังค์ก็พอ!


:กอด1:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 18:12:50 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 5


วันนี้เป็นวันเสาร์ที่หนักหน่วงสำหรับนับตังค์มาก เขาต้องตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อมาถ่ายภาพให้ดาวเดือนชั้นปี 2 ทั้ง 16 คณะ สถานที่ถ่ายภาพถูกเลือกใช้ในมหาลัย AU ทั้งหมด เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เพราะนอกจากทางมหาลัยจะต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังถือโอกาสนี้โอ้อวดสภาพแวดล้อมในมหาลัยให้คนนอกรับชมผ่านภาพถ่ายของดาวเดือน นับว่าเป็นการโปรโมตมหาลัยที่คุ้มค่ามาก
การถ่ายภาพเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลาหกโมงเช้าที่มีแสงแดดอ่อนๆ แต่ละคณะมีเวลา 30 นาที ซึ่งนับตังค์ต้องทำเวลาให้ได้ตามนั้น โชคดีที่สโมสรนักศึกษาเตรียมลูกทีมมาดูแลเขาเป็นอย่างดี เมื่อเขาถ่ายภาพจุดที่หนึ่งเสร็จ ก็รีบกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซต์ของรุ่นพี่ที่รอรับเพื่อไปยังจุดถ่ายภาพที่สอง เมื่อมาถึงสถานที่ดังกล่าว จะมีคนกางร่มรอ เตรียมน้ำและขนมไว้ให้ ส่วนนายแบบและนางแบบแต่งกายด้วยชุดสูทและชุดราตรียืนรอเรียบร้อยแล้ว แค่โพสท่าในจุดที่ต้องการก็เป็นอันเสร็จสิ้น แต่นับตังค์ก็ยังรู้สึกเหนื่อยมากที่ต้องเดินสายไปรอบมหาลัย อาจเป็นเพราะตื่นเช้าเกินไปทำให้เขาเวียงศีรษะ บวกกับอากาศร้อนอบอ้าวทำให้เขาไม่อยากอาหาร ถ้าต้องกินอาหารให้เวลาเร่งรีบแบบนี้เขาอาจจะอ้วกแตกเอาก็ได้
“เหนื่อยมั้ย” พี่หวานเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าอ่อนเพลียของนับตังค์ เจ้าตัวถูกพี่บอนนี่ส่งมาดูแลและขับรถรับส่งเขาตลอดทั้งวัน จนตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยว่าถึงสี่โมงเย็นแล้ว
“นิดหน่อยครับ”
นับตังค์หยิบขวดน้ำเปล่ามาเปิดฝากระดกดื่ม ถึงจะเหนื่อยแต่อย่างน้อย วันนี้เขาก็ได้รู้จักสถานที่หลายแห่งในมหาลัย เช่น สนามยิงธนูกลางแจ้งและวิทยาลัยพลังงาน ที่นี่มีแผงโซล่าเซลล์เรียงรายเป็นระเบียบอยู่ในสนามหญ้าสีเขียว มองแล้วสวยงามไปอีกแบบ จึงเป็นจุดที่ถูกคณะวิทยาศาสตร์เลือกใช้
“เหลือคณะสุดท้ายแล้วจ้า สู้ๆ”
เมื่อคิดถึงคณะสุดท้ายซึ่งก็คือคณะวิศวะ นับตังค์ก็เริ่มหน้าบานเป็นดอกเห็ด ความเหนื่อยล้าแทบปลิวหายไปหมดเมื่อคิดว่าจะได้เห็นหน้าสวยๆของพี่เวฟแล้ว พี่เวฟจะแต่งตัวแบบไหนนะ จะเหมือนเจ้าชายน้อยในหอคอยงาช้างหรือเปล่า
“ต่อไปถ่ายที่ไหนเหรอครับ” นับตังค์เอ่ยถาม ขณะที่พี่หวานช่วยเขาเก็บอุปกรณ์และขาตั้งกล้อง
“อ่างแก้วจ๊ะ เป็นอ่างเก็บน้ำของมอเราเอง”
นับตังค์เคยได้ยินชื่อเสียงของ ‘อ่างแก้ว’ มานานแล้ว ที่นี่ใช้สำหรับกักเก็บน้ำและนำส่งน้ำไปตามท่อแทนการใช้น้ำประปา รุ่นพี่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องลองไปชมสักครั้งก่อนเรียนจบ สถานที่นี้ค่อนข้างอยู่ลึกไปทางด้านหลังแปลงเกษตร อีกอย่างทางเข้าก็ไม่ค่อยสะดวก ทั้งแคบและเป็นดินโคลน หลายคนยังมองหาทางเข้าไม่เจอด้วยซ้ำ นับตังค์ก็เป็นอีกคนที่ยังหาทางเข้าไม่เจอ
“รีบไปกันเถอะ” พี่หวานก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วเอ่ยเร่ง นับตังค์พยักหน้า รีบหันไปบอกลารุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์แล้วโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซค์สีชมพูของพี่หวาน
รถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้าไปในซอยแคบๆข้างแปลงดอกไม้ ให้ความรู้สึกลึกลับซับซ้อนไปอีกแบบ พี่หวานต้องขับรถช้ามากเพราะถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ อาจทำให้ลื่นล้มได้ ถนนเส้นนี้เป็นโคลนตลอดทั้งปีเพราะน้ำจากแปลงเกษตรที่ไหลลงมา น่าเสียดายที่ทางมหาลัยยังไม่มีนโยบายเปลี่ยนเป็นถนนลาดยาง ซอยที่พี่หวานขับเข้าไปค่อนข้างลึก นับตังค์เริ่มรู้สึกได้ถึงอากาศเย็นสบายเพราะต้นไม้ใหญ่รอบๆ ราวกับว่าเขาได้หลุดจากโลกของมหาลัยเข้าไปในป่าแถบภาคเหนือ เมื่อลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆจะได้กลิ่นใบไม้และดอกไม้อ่อนๆทำให้รู้สึกสดชื่น
‘อ่างแก้ว’ ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเมื่อมอเตอร์ไซค์สีชมพูหลุดพ้นออกมาจากซอยดินโคลน พื้นถนนเปลี่ยนเป็นดินลูกรังสีน้ำตาลแดง พื้นที่โดยรอบถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ที่ขึ้นหนาทึบไม่เป็นระเบียบ ส่วนอ่างแก้วที่เลื่องลือคือบ่อเก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่และลึกมาก แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษจนต้องมองตาค้าง คือน้ำสีเขียวมรกตที่ใสสะอาดจนมองเห็นฝูงปลานั้นต่างหาก สีของน้ำสวยมาก เห็นแล้วทำให้อยากลงไปแหวกว่าย แต่นั่นย่อมทำไม่ได้อยู่แล้วเพราะมีป้ายอันใหญ่ติดเอาไว้ว่า ‘อันตราย น้ำลึก’
พี่หวานจอดรถมอเตอร์ไซค์ข้างทาง ตรงจุดที่มีรุ่นพี่คณะวิศวะยืนจับกลุ่มรออยู่ประมาณห้าถึงหกคน เมื่อนับตังค์ก้าวลงจากรถก็มีรุ่นพี่วิ่งเข้ามาช่วยถือกล้องและขาตั้งกล่อง นำเขาไปยังจุดถ่ายภาพ ทุกคนทำงานกันอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่นับตังค์กำลังก้มหน้าปรับกล้องให้เหมาะกับแสงสว่างก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งตะโกนเรียกให้ดาวเดือนออกมาเตรียมพร้อม เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบกับพี่สายฝนและพี่เวฟที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
หล่อมาก!
นับตังค์มองภาพตรงหน้าตาค้าง ท่าทางโง่งม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่เวฟคนสวยของเขา จะกลายร่างเป็นหนุ่มหล่อเซ็กซี่…วันนี้พี่เวฟสวมเสื้อเชิ้ตผ้าซาตินสีแดงเลือดหมูที่ถูกปลดกระดุมสองเม็ดบน อวดกระดูกไหล่ปลาร้าสวยๆ คลุมทับด้วยเสื้อสูทสีดำ กางเกงขายาวสีเดียวกันเป็นแบบเข้ารูปอวดขาเรียวยาว ปิดท้ายด้วยรองเท้าหนังสีดำขัดเงาแบบปลายแหลม
นับตังค์กวาดตามองขึ้นๆลงๆอยู่หลายรอบ ก่อนจะตัดสินใจยกความดีความชอบทั้งหมดให้ช่างแต่งหน้า เพราะการแต่งกายโดยรวม ไม่ได้แตกต่างจากเดือนคณะอื่นที่เขาเห็นมาตลอดทั้งวัน แต่ความพิเศษอยู่ที่การแต่งหน้าในลุคโฉบเฉี่ยว ดวงตาของพี่เวฟถูกกรีดอายไลเนอร์เส้นเล็กๆ ทำให้ดวงตาเรียวยาวคู่คมดูดุดันกว่าปกติ เปลือกตาถูกทาด้วยอายแชร์โดว์โทนสีแดง ขับเน้นให้ยิ่งโดดเด่นและเซ็กซี่ ริมฝีปากบางถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูใส ดูนุ่มนวลและชุ่มชื่น ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มที่ขยับบนเรียวปากนั้น นับตังค์ก็ยิ่งกลืนน้ำลายได้อย่างยากลำบาก รู้สึกอยากขบกัดดูสักครั้งว่าจะนุ่มอร่อยอย่างที่คิดหรือเปล่า
“นับตังค์”
“…”
“นับตังค์”
“คะ ครับ”
นับตังค์สะดุ้ง เผลอปล่อยมือจากกล้องด้วยความตกใจ ดีที่เขาคล้องสายกล้องไว้บนลำคอ ทำให้กล้องไม่ตกกระแทกพื้น นับตังค์หันไปมองต้นเสียงด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก จึงเห็นรุ่นพี่ผู้ชายผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาค่อนไปทางคนไทยเชื้อสายจีนกำลังยืนหัวเราะเบาๆ เขาไม่รู้จักรุ่นพี่คนนี้ แต่ถ้ารุ่นพี่จะรู้จักเขาซึ่งเป็นตากล้องก็คงไม่แปลก
“ไอ้ฝนมันสวยขนาดนั้นเลยเหรอน้อง มองตาค้างน้ำลายไหลเลยว่ะ”
รุ่นพี่ผู้หญิงที่ใส่ช็อปวิศวะ ท่าทางค่อนข้างห้าว ไว้ผมซอยสั้นระต้นคอเอ่ยถามด้วยสีหน้าล้อเลียน ทำเอานับตังค์รู้สึกเขิน รีบยกมือเช็ดมุมปากอย่างไม่รู้ตัว อยากแย้งเหลือเกินว่าเขาไม่ได้มองดาวเลยสักนิด แต่มองเดือนต่างหากล่ะ
นับตังค์แอบเหลือบมองไปทางพี่สายฝน เมื่อครู่เขามัวแต่ถูกพี่เวฟดึงดูดจิตวิญญาณจนไม่ทันได้สังเกตเห็นดาววิศวะ พี่สายฝนสวมชุดราตรีที่ตัดจากผ้าซาตินสีแดงเลือดหมู ตัวชุดราตรีเป็นเกาะอกเรียบๆ กระโปรงบานยาวลากพื้นราวกับชุดแต่งงาน พี่สายฝนไม่ได้ใส่เครื่องประดับต่างจากดาวคณะอื่น แต่ภาพลักษณ์ทั้งหมดไม่ได้ดูอ่อนด้อยเลย พี่สายฝนแต่งหน้าในลุคโฉบเฉี่ยวโทนเดียวกับพี่เวฟ ผมสีดำถูกดัดลอนปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง ดูไปแล้วเหมือนปีศาจสาวทรงเสน่ห์เลยล่ะ
“อ้าว น้องมันมองดาวคณะเราเหรอ กูก็นึกว่ามองเดือน”
“มั่วแล้วไอ้นิว วันนี้ไอ้เวฟไม่ได้แต่งแนวสวยซะหน่อย” รุ่นพี่ผู้หญิงคนเมื่อครู่หันไปแย้ง ทำให้นับตังค์รู้ว่ารุ่นพี่ที่หน้าตาค่อนไปทางจีนชื่อว่า ‘นิว’
“ใครสวยกว่ากันอ่ะน้อง ดาวหรือเดือน”
นับตังค์หันไปมองพี่นิว ที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ ราวกับรู้ว่าแท้จริงแล้วเขามองใครกันแน่ แต่ไม่เป็นไร นับตังค์เป็นคนเปิดเผย การชอบพี่เวฟไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การประกาศออกมาต่อหน้าทุกคนต่างหากที่น่าอาย เรื่องอะไรเขาจะตอบล่ะ ยังไงในใจของนับตังค์พี่เวฟก็สวยที่สุดในโลกนะครับ
“หุบปากของพวกมึงซะ”
เสียงสวรรค์ที่ดังมาจากพี่เวฟ ทำให้เสียงเป่าปากและเสียงเอ่ยแซวของรุ่นพี่คณะวิศวะหยุดลง แต่ก็ยังไม่วายแอบส่งสายตาแปลกๆมาทางนับตังค์
“เริ่มถ่ายเลยมั้ยครับ” พี่เวฟเอ่ยถามเสียงนุ่ม ต่างจากน้ำเสียงห้วนสั้นเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง นับตังค์กำลังจะพยักหน้ารับ แต่รุ่นพี่ผู้หญิงกับตะโกนขัดขึ้นมาซะก่อน
“แค่กๆ โอ๊ย พอพูดกับตากล้องนี่เสียงหวานเจี๊ยบ กลัวน้องเค้าถ่ายมึงออกมาหน้าเหี้ยหรือไงวะ”
“หน้าเหี้ยนี่ต้องหน้าแบบมึงแล้วล่ะ”
อู๊ยยยยย! ฟังแล้วเจ็บแทน
นับตังค์ได้แต่ปลอบประโลมหัวใจดวงน้อยอยู่เงียบๆ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่แหละว่าคนสวยปากร้าย ด่าทีเขานี่อยากหนีไปโดดน้ำตาย ซึ่งรุ่นพี่ผู้หญิงที่ถูกประโยคทิ่มแทงก็เอาแต่กระทืบเท้าแล้วตะโกนอย่างหัวเสีย
“อีเวนดี้ กูเกลียดมึง”
จะว่าไปชื่อเวนดี้ก็น่ารักดีนะ…
การถ่ายภาพเริ่มต้นขึ้นทันทีที่พี่หวานเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ นับตังค์ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้น เขารัวชัตเตอร์ไปประมาณสามสิบกว่าภาพแล้ว บางครั้งแอบชื่นชมนายแบบอยู่ในใจอย่างเป็นสุข แต่บางครั้งก็แอบขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง เมื่อเห็นว่าพี่เวฟต้องใกล้ชิดกับพี่สายฝน ทั้งโอบเอว ทั้งโอบไหล่ แม่ง จะเหมือนภาพพรีเวดดิ้งไปไหนวะ นับตังค์อยากโวยวาย!
“เวฟ สายฝน ขอหน้าร้ายๆกว่านี้หน่อย”
รุ่นพี่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆนับตังค์เอ่ยกำกับ พี่คนนี้คล้ายจะเป็นหัวหน้าหรืออะไรสักอย่าง เพราะคนอื่นดูจะเชื่อฟังเธอเป็นอย่างดี พี่เวฟขยับตัวเปลี่ยนท่าเล็กน้อยให้พี่สายฝนวางมือทั้งสองข้างลงบนแผ่นอก  ส่วนมือข้างหนึ่งของพี่เวฟโอบเอวพี่สายฝนไว้หลวมๆ ใบหน้าของดาวคนสวยหันข้างเผยให้เห็นความงามยามเผลอซึ่งแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจ ส่วนเดือนคณะมองตรงมาที่กล้อง ซึ่งเขารู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังมองทะลุเลนส์มาที่เขา
นับตังค์มองภาพเบื้องหน้าผ่านเลนส์กล้องด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก พี่เวฟในยามนี้ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ใบหน้าเรียบเฉยดูหยิ่งทะนง ยิ่งดวงตาคู่สวยฉายแววร้ายกาจมากเท่าไร ยิ่งทำให้นับตังค์มือไม้สั่นเท่านั้น เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความเซ็กซี่ที่หลุดออกมาจากรุ่นพี่ทั้งสองคน พี่สายฝนดูเซ็กซี่มากๆโดยไม่ต้องแต่งตัววาบหวิว ส่วนพี่เวฟมีความเซ็กซี่แบบผู้ชายแท้ๆแผ่กระจายออกมา ทั้งดุดันและดึงดูด คล้ายสัตว์ที่กำลังกระหายอยาก เป็นเวลาครู่หนึ่งที่นับตังค์มีความคิดว่าพี่เวฟไม่ใช่ตุ๊ด แต่เป็นแบดบอยตัวพ่อ ยิ่งถ่ายยิ่งรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ไม่ใช่ว่านับตังค์ไม่ชอบลุคนี้ แต่แบบนี้มันอันตรายต่อหัวใจเกินไป ถ้าอีกฝ่ายมีสีหน้าแบบนี้บ่อยๆเขาคงทำอะไรไม่ถูก ให้พี่เวฟยิ้มสวยๆแบบปกติยังรับมือง่ายกว่าอีก
“เลิกกองจ้า!เก็บของแยกย้ายกลับบ้านได้แล้ว!”
นับตังค์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากรุ่นพี่สาวที่ดูเหมือนหัวหน้า ในที่สุดก็ถ่ายเสร็จซะที การถูกพี่เวฟในลุคร้ายๆจ้องมองตลอดเวลาทำให้รู้สึกแปลกๆ พาลให้มือไม้สั่นไปหมด เขาถ่ายเสียและทำภาพเบลอไปไม่น้อยเลย เดี๋ยวกลับหอไปต้องเลือกรูปแล้วแต่งแสงอีกครั้งก่อนส่งสโมสร
“ดื่มน้ำมั้ยครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นพร้อมกับขวดน้ำแร่ที่ถูกยื่นมาให้จากคนเบื้องหน้า
“ขอบคุณครับพี่เวฟ”
นับตังค์ละความสนใจจากภาพในกล้องแล้วรับขวดน้ำแร่มากระดกดื่ม เขาเผลอชำเลืองมองใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์ ตอนนี้พี่เวฟดูเหมือนผู้ชายที่อันตรายมากเสียจนเขาทำตัวไม่ถูก แม้ว่าคำพูดคำจาจะนุ่มนวลไม่ต่างจากเดิม แต่เขารู้สึกไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายขึ้นมาดื้อๆ
“เหนื่อยมั้ยครับ”
พี่เวฟเอ่ยระหว่างใช้สายตาสำรวจใบหน้าของนับตังค์ช้าๆ มือเรียวยาวหยิบซองกระดาษทิชชู่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วใช้ทิชชู่แผ่นหนึ่งซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามหน้าผากของเขา นับตังค์เผลอบีบขวดน้ำในมือโดยไม่รู้ตัว รู้สึกขนลุกซู่เมื่อพี่เวฟลากกระดาษทิชชู่ลงมาตามลำคออย่างเชื่องช้า เช็ดถูย้ำๆ สายตาหลุบมองคอเสื้อของเขาโดยไม่ได้ละไปไหน ทั้งที่มันก็เป็นแค่การช่วยซับเหงื่อธรรมดา แต่ไม่รู้ทำไมนับตังค์กลับรู้สึกเหมือนถูกลวนลาม
“ผมหายเหนื่อยแล้วครับ” นับตังค์รีบเอ่ยขึ้นมาทันทีที่หาเสียงของตัวเองพบ ซึ่งพี่เวฟก็ยอมละมือออกจากลำคอของเขาอย่างปราณี
“เรื่องภาพร่างไปถึงไหนแล้วครับ”
พี่เวฟเอ่ยถาม ล่าสุดที่คุยกัน นับตังค์บอกพี่เวฟว่าเขาต้องร่างภาพสเก็ตให้เสร็จก่อน ภาพสเก็ตนี้จะถูกวาดด้วยดินสอ เป็นภาพคร่าวๆที่ใส่องค์ประกอบของฉากเรียบร้อยแล้ว เมื่อเสร็จก็สามารถใช้สีน้ำวาดขึ้นใหม่โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะเริ่มต้นตรงไหน หรือควรวาดอะไรลงไปบ้าง ถ้าต้องแก้ไขในภาพจริงซึ่งถูกวาดขึ้นด้วยสีน้ำ ย่อมทำได้ยาก ถ้าแก้ไขไม่ดีอาจเลอะเทอะ ถึงขั้นต้องวาดใหม่ นั่นจะทำให้พี่เวฟซึ่งเป็นแบบต้องเสียเวลามากเกินไป
“เกือบเสร็จแล้วครับ พอดีผมวาดไว้สามรูป ตั้งใจจะให้สามภาพนี้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดของนาร์ซิสซัส”
“อืม” พี่เวฟเพียงแค่พยักหน้า
“เย็นวันศุกร์พี่เวฟว่างมั้ยครับ” นับตังค์คิดว่าช่วงเปิดเทอมพี่เวฟคงจะมีการบ้านไม่เยอะ เขาควรรีบใช้เวลาช่วงนี้เลยดีกว่า
“ว่างครับ”
“งั้นเราเริ่มกันวันศุกร์นะ ผมจะจองสตูดิโอที่คณะไว้ ส่วนเวลาเดี๋ยวผมจะโทรไปนัดอีกที”
“ได้ครับ” พี่เวฟตอบรับทันที แต่สายตากลับฉายแววครุ่นคิดบางอย่าง นับตังค์คิดว่าอีกฝ่ายไม่สะดวก แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก พี่เวฟก็เอ่ยถามขึ้นมาซะก่อน
“พรุ่งนี้น้องว่างมั้ย”
หื้ม?
“ว่างครับ”
“พี่อยากดูหนัง ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
ไปดูหนังเป็นเพื่อนเหรอ? นั่นเป็นหน้าที่ของเบ๊อย่างเขาด้วยหรือเปล่า?
ระหว่างที่นับตังค์กำลังใช้สมอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาซะก่อน
“กูว่าง ไปเป็นเพื่อนได้นะ”
รุ่นพี่ผู้ชายในชุดช็อปวิศวะ โผล่มายืนข้างพี่เวฟตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ อีกฝ่ายมีผมสีดำ ดวงตาเรียวยาว ใบหน้าคมได้รูปดูแล้วเท่ส์มาก โดยเฉพาะใบหูที่ถูกเจาะและใส่จิวข้างละห้าอันได้มั้ง ทำให้เจ้าตัวดูชิคไปอีกแบบ
“ไม่ มึงไม่ว่าง มึงต้องส่งรายงานแลป EE” พี่เวฟรีบหันไปแย้งด้วยรอยยิ้มมิตรภาพ อา…พี่เวฟคงจะเป็นห่วงเพื่อนมากแน่ๆ คงกลัวว่าเพื่อนจะทำรายงานส่งไม่ทันซินะ ช่างเป็นคนดีอะไรอย่างนี้
“กูไม่รีบ”
รุ่นพี่คนชิคยักไหล่อย่างไม่แยแส นั่นทำให้นับตังค์เริ่มใช้สมองคิดอย่างจริงจัง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ว่าง แต่ดึงดันอยากไปดูหนังกับพี่เวฟให้ได้ เอ…หรือว่าพี่คนชิคจะแอบชอบพี่เวฟ? แล้วพี่เวฟก็ดูเหมือนห่วงใยพี่คนชิคมากเลยนะ อืม…ไม่อยากคิดเลยว่าทั้งสองคนอาจจะแอบชอบกันอยู่? ทำไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนมีคู่แข่งที่ร้ายกาจยังไงไม่รู้
“มึงต้องรีบแล้วล่ะ ถ้าอยากได้ผลเปรียบเทียบของกู” พี่เวฟเอ่ยด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ซึ่งพี่คนชิคก็ได้แต่เออออไปอย่างไม่สบอารมณ์
“เออ กูไม่ว่างแล้วก็ได้”
นับตังค์คิดว่าหลังจากที่พี่คนชิคผละจากไป เขาต้องรีบตอบรับเรื่องไปดูหนังทันทีเลย ถ้าพี่เวฟเปลี่ยนใจก็แย่สิ อุตส่าห์มีโอกาสงามๆได้ใกล้ชิดทั้งที พี่เวฟอาจจะหวั่นไหวขึ้นมาบ้างก็ได้
“พี่ชื่อบีไอนะครับ เรียกพี่บีก็ได้” พี่คนชิคหันมายิ้มให้นับตังค์จนตาหยี ทำให้ใบหน้าเท่ส์ๆดูนุ่มนวลขึ้นหลายส่วน อีกฝ่ายยื่นมือมาตรงหน้า คิดว่าอาจจะอยากเช็คแฮนด์แบบพวกฝรั่ง เขาจึงยื่นมือไปจับฝ่ามือที่ใหญ่กว่าแล้วเขย่าเบาๆ
“มือนิ่มจัง” พี่บีไอหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีแล้วบีบมือของนับตังค์แน่น ยังไม่ทันที่เขาจะได้แนะนำตัวเอง พี่เวฟก็ดึงมือพี่บีไอออกไปแล้ว…น่าสงสัยจริงๆ
“ไปก็ได้”
พี่บีไอหันไปมองพี่เวฟยิ้มๆแล้วผละจากไปโดยไม่ได้สนใจนับตังค์อีก ระหว่างที่เขากำลังงุนงงกับความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ พี่เวฟก็เอ่ยชวนให้ไปดูหนังด้วยกันอีกครั้ง
“พรุ่งนี้สิบโมงเช้าไปดูหนังกันนะ”
“ได้ครับ”
“พี่มารับที่หอในละกัน”
ตอนแรกนับตังค์ลังเลว่าควรโชว์แมนด้วยการอาสาไปรับพี่เวฟดีหรือเปล่า แต่เมื่อคิดว่าถ้าให้พี่เวฟมารับ เขาจะได้ซ้อนบิ๊กไบค์แล้วเนียนกอดเอวคนสวยก็รีบตกลงทันที
“ขอบคุณครับ”
“พี่ต้องไปแล้ว ต้องไปคืนชุดแล้วก็ไปส่งเพื่อนด้วย”
“อาครับ ผมก็จะกลับแล้ว”
“กลับดีๆล่ะ พรุ่งนี้พี่เวฟโทรหานะคะ”
นับตังค์พยักหน้าแล้วโบกมือบ๊ายบาย ดวงตาคู่กลมมองตามแผ่นหลังของร่างสูงที่กำลังห่างออกไปด้วยความเป็นสุข ต่อให้พี่เวฟแค่ชวนเขาไปดูหนังเป็นเพื่อนแก้ขัด แต่สำหรับเขาแล้ว ยังไงก็ขอเข้าข้างตัวเองว่าคนสวยชวนไปเดต…ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้าคิดอะไรแล้วเป็นสุข ก็คิดแบบนั้นต่อไปนั่นล่ะดีแล้ว
พรุ่งนี้นับตังค์ไปเดตครับ!




:mew1:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 6


นับตังค์ผุดลุกจากเตียงทันทีที่ไอโฟนส่งเสียงปลุกในเวลาแปดโมงเช้า เขารีบกดปิดเสียงเตือนซึ่งเป็นดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ ก่อนที่รูมเมตจะตื่นขึ้นมาตะโกนด่า ไม่ใช่ด่าเรื่องนับตังค์ทำเสียงดังนะ แต่ด่าเรื่องเสียงปลุกปัญญาอ่อนต่างหาก นับตังค์ไม่สนใจหรอก เพราะเสียงดนตรีประกอบภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องนี้เพราะที่สุดในสามโลก ไม่ใช่แค่ตั้งเป็นเสียงปลุกเท่านั้น นับตังค์ยังตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าด้วยแหละ
วันนี้เด็กหนุ่มมีเดตกับคนสวยจึงรีบลุกไปอาบน้ำ ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็พาร่างข่าวผ่องออกมายืนหน้าตู้เสื้อผ้า ท่อนบนเปลือยเปล่ามีหยดน้ำเกาะพราว ส่วนท่อนล่างมีผ้าขนหนูสีขาวพันอยู่รอบสะโพก นับตังค์เลือกกางเกงยีนส์ตัวเก่งออกมาจากลิ้นชักได้หนึ่งตัว แต่กลับค้นเสื้อยืดหลายสิบตัวออกมากองไว้บนเตียง เขาตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าควรใส่เสื้อสีอะไร หรือควรแต่งตัวแบบไหนจะดูหล่อเท่ส์กระชากใจพี่เวฟ
นับตังค์เป็นเด็กต่างจังหวัดที่เติบโตมาห่างไกลจากห้างสรรพสินค้าและแหล่งท่องเที่ยวของคนเมือง ตั้งแต่จากบ้านเกิดมาอยู่เมืองหลวง เขาก็ชอปเป็นแต่บิ๊กซีกับโลตัส อะไรคือสยามพารากอน อะไรคือเทอร์มินอล21 ชีวิตนี้ยังไม่เคยเหยียบเลยครับ แล้วจะให้เคยไปเดตแบบดูหนังกันสองต่อสองได้ยังไง อย่างมากสุดเขาก็แค่เคยไปดูหนังกับเพื่อนตอนปิดเทอมไม่บ่อยนักหรอก เพราะสมัยมัธยมนับตังค์ได้เงินค่าขนมไปโรงเรียนแค่หกสิบบาทเท่านั้น
“วันนี้จะออกไปไหนอีกแล้ว” เสียงงัวเงียเอ่ยถาม พร้อมกับร่างของรูมเมตที่ผุดลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง
“เดต”
นับตังค์ตอบสั้นๆ แล้วพยายามมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกบานเล็กที่ติดอยู่บนประตูตู้เสื้อผ้า ลำบากลำบนจังวะ นึกอยากซื้อกระจกบานยาวที่ส่องเห็นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าขึ้นมาซะแล้วสิ
“พูดจริง?” ดินเอ่ยถาม สีหน้าเริ่มแสดงความสนอกสนใจ นับตังค์เป็นคนซื่อ แน่นอนว่าหมอนี่ไม่รู้ตัวหรอก
“ใช่”
“กับใคร?”
“พี่เวฟ”
“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะ ชวนพี่เวฟไปเดต?”
ดินมีสีหน้าเหลือเชื่อ เขารู้ดีว่าพี่เวฟเป็นหนึ่งในบุคคลที่ผู้หญิงและผู้ชายอยากได้มาเป็นแฟนมากที่สุด แต่ขึ้นชื่อเรื่องจีบยากที่สุดเช่นกัน พี่แกเล่นปฎิเสธคนที่ไม่ชอบแบบไม่ไว้หน้าเลย ความนุ่มละมุนนี่ไม่มีในสันดาน ถ้าเปลี่ยนจากจีบเป็นชวนไปเล่นสนุกชั่วข้ามคืนยังจะคุยง่ายซะกว่า แล้วนี่จู่ๆจะไปเดตกับไอ้นับเนี่ยนะ มหัศจรรย์เกินไปแล้ว
“หน้าอย่างกูนี่แหละ ที่พี่เวฟชวนไปเดต”
ยิ่งฟังสีหน้าของดินก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้นทุกที หรือพี่เวฟจะชอบคนโง่ๆอย่างไอ้นับ? หลอกง่ายดี? หรือคิดจะฟันแล้วทิ้ง? ความคิดมากมายในสมองทำให้ดินรู้สึกเป็นห่วง เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาหรือชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน แต่บังเอิญว่าชาวบ้านคนนั้นมันเสือกอยู่ห้องเดียวกับเขา แล้วเขาก็กินของมัน ใช้ของมันไปไม่น้อยเลยด้วย อีกอย่างต่อให้ไม่อยากจะยอมรับแต่ไอ้นับมันเป็นคนดี เขาจะปล่อยให้มันโดนหลอกก็ใช่ที่
“ตัวนี้แหละ”ดินปรายตามองรูมเมตที่กำลังทำท่าดีอกดีใจเมื่อเลือกเสื้อยืดสีดำสกีนลายหมาป่าออกมาจากกองเสื้อผ้าได้สำเสร็จ หึ เสื้อยืดมึงก็ลายเท่ส์เกินหน้าโง่ๆจริงวะ
“ถามจริงมึงชอบพี่เวฟเหรอ หมายถึงชอบแบบอยากเป็นแฟน”
“ได้ก็ดี”
นับตังค์ตอบเสียงเรื่อยเฉื่อยมือหนึ่งหยิบกางเกงชั้นในสีขาวออกมาได้ก็สวมใส่ทันที โดยไม่รู้เลยว่าได้ทำเอาใครอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงมองตาค้าง จะหันหน้าไปทางอื่นก็ไม่ทันแล้ว จริงๆแล้วภาพแบบนี้ดินเองก็เคยเห็นเพื่อนคนอื่นทำเหมือนกัน ก็แค่สะ…ใส่กางเกงใน แต่แม่งขาโคตรขาว ตอนที่ชายผ้าขนหนูเลิกขึ้นเล็กน้อย เขาทันเห็นก้นงอนๆที่โผล่ออกมา ให้ตายสิ ขนาดไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ทำไมภาพของไอ้นับตอนใส่กางเกงในมันยั่วจังวะ
“วันนี้จะออกไปทำงานพิเศษมั้ย” นับตังค์เอ่ยถามเพื่อนร่วมห้องหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว และกำลังนำผ้าขนหนูไปตากบนราวระเบียง
“ทำ”
ดินตอบสั้นๆด้วยสีหน้าแปลกประหลาด แต่นับตังค์ไม่ทันได้สนใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนขโมยรถของตัวเอง ถึงยังไงวันนี้เขาก็ไม่คิดจะใช้ งั้นให้ยืมเลยละกัน จะได้ป้องกันการทำบาปของเพื่อน
“เติมน้ำมันให้ด้วย” ว่าจบก็โยนกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงซึ่งยกมือขึ้นมารับไว้ได้ทัน
“ได้”
“ไปล่ะ”
นับตังค์คว้ากระเป๋าสะพายหนังสีน้ำตาลมาคล้องไหล่แล้วโบกมือลารูมเมต ระหว่างเดินออกจากหอพัก เขาแวะร้านสวัสดิการนักศึกษาเพื่อซื้อน้ำดื่มและขนมปังหนึ่งชิ้นไปกินระหว่างรอให้พี่เวฟมารับ
เวลาประมาณ 9.30 น.พี่เวฟส่งข้อความมาทางเฟสบุ๊ค ถามว่าเขาแต่งตัวเสร็จหรือยัง ซึ่งเขาก็รีบตอบกลับไปว่าเสร็จแล้วและจะนั่งรออยู่หน้าหอพักใต้ต้นดอกปีบ พี่เวฟตอบกลับมาทันทีว่ากำลังจะออกไปรับ นับตังค์รออยู่เกือบยี่สิบนาทีจึงเห็นเมอร์เซเดสเบนซ์สีดำแล่นมาจอดตรงหน้า กระจกรถฝั่งคนขับถูกเลื่อนลงพร้อมกับใบหน้าของคนสวยที่ยื่นออกมาส่งยิ้มให้
“นับตังค์”
“สวัสดีครับพี่เวฟ” นับตังค์เอ่ยทักคนมาใหม่ สายตากวาดมองรถหรูตรงหน้าด้วยความแปลกใจ นึกสงสัยว่าครอบครัวพี่เวฟต้องรวยมากแค่ไหน ถึงได้อนุญาตให้ลูกชายนำเบนซ์กับบิ๊กไบค์มาใช้ได้แบบนี้
“ดี” พี่เวฟเอ่ยทักสั้นๆแล้วเร่งให้นับตังค์ขึ้นรถ “ขึ้นรถเร็วค่ะ แดดมันร้อน”
นับตังค์เดินอ้อมตัวรถไปเปิดประตูข้างคนขับ แล้วพาร่างของตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถหรูที่ถูกเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ช่วยให้เขาคลายความร้อนได้ดีทีเดียว ถึงจะนึกเสียดายที่วันนี้ไม่ได้กอดเอวพี่เวฟ แต่ก็ต้องขอบคุณในความรวยนี้ที่ทำให้เขาไม่ต้องผจญภัยกับแสงแดดของประเทศไทย
“หน้าแดงเชียว รอนานแล้วเหรอ”
เสียงที่เอ่ยทักทำให้นับตังค์หันไปมองคนข้างๆ วันนี้พี่เวฟสวมกางเกงยีนขายาวสีเข้มกับเสื้อยืดคอวีสีดำ เขาเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นกระดูกไหปลาร้าขาวๆที่โผล่พ้นออกมาจากร่มผ้า สำหรับผู้หญิงเสื้อแบบนี้อาจจะเรียกว่าคอลึก แต่สำหรับพี่เวฟ…อือ ก็เรียกว่าลึกอยู่ดีนั่นแหละ เห็นแล้วหวง อยากให้เปลี่ยน
“ไม่นานครับ” นับตังค์รีบละสายตาจากคอเสื้อของพี่เวฟ ไปมองใบหน้าที่กำลังแต้มยิ้มหวาน ไม่นานจริงๆนะครับ แค่เกือบหนึ่งชั่วโมงเอ๊ง! แต่ให้รอทั้งชีวิตนับตังค์ก็ยอม!
“หึ” พี่เวฟหัวเราะในลำคออย่างไม่เชื่อถือ “เสร็จก่อนทำไมไม่โทรบอกล่ะ พี่จะได้รีบมารับ”
“ผมเกรงใจอ่ะ พี่เวฟนัดสิบโมง ผมจะเร่งให้พี่มาเร็วๆได้ไง”
นับตังค์แย้ง ที่วันนี้เลือกตื่นนอนตอนแปดโมงเช้าเพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปเดตกับพี่เวฟ เขาไม่อยากให้สายหรือมีอะไรผิดพลาด ดังนั้นการตื่นมารอ ย่อมดีกว่าตื่นมาแล้วให้พี่เวฟรอ
“ได้สิ คราวหน้าไม่ต้องเกรงใจนะ” พี่เวฟเอ่ยอย่างใจดี คนสวยใจดีแบบนี้นับตังค์หลงตายเลย เกรงว่าจะโงหัวไม่ขึ้นแล้วสิ
“ครับ”
เมอร์เซเดสเบนซ์ทะยานสู่ท้องถนนในมหาลัยที่ค่อนข้างโล่ง เพราะเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทำให้จำนวนนักศึกษามีน้อยกว่าวันปกติ นับตังค์ไม่คุ้นชินกับเส้นทางในเมืองหลวง จึงปล่อยให้พี่เวฟขับเลี้ยวเข้าซอยนั้นซอยนี้เพื่อเลี่ยงการจราจรติดขัดบนท้องถนนหน้ามหาลัย
“กินอะไรมาหรือยังครับ” พี่เวฟเอ่ยถามระหว่างที่รถติดไฟแดง
“กินขนมปังมาแล้วครับ”
“หิวมั้ย อยากกินข้าวก่อนไปดูหนังหรือเปล่า”
นับตังค์ลังเล ขนมปังอันนิดเดียวไม่เพียงพอต่อกระเพราะของเขา แต่ถ้าบอกว่าอยากกินข้าวจะเป็นการรบกวนหรือเปล่านะ ไม่รู้ว่าคนสวยกินมาหรือยังด้วยสิ ยังได้ทันได้ตัดสินใจ พี่เวฟก็ชายตามองมาที่เขาครู่หนึ่งแล้วเปรยเสียงเรียบ
“พี่หิว”
“กินข้าวก่อนก็ได้ครับ” นับตังค์ตอบรับอย่างยินดี ถือว่าพวกเขาใจตรงกัน พร้อมใจกันไปกินข้าว
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”
“ไม่ครับ พี่เวฟเลือกเลย”
ร้านอาหารที่พี่เวฟเลือกเป็นร้านอาหารไทยสไตล์ชนบท โต๊ะเก้าอี้ทำมาจากไม้ไผ่ตั้งไว้กลางแจ้ง มีหลังคามุงฟางข้าวสำหรับกันแดดและฝน บริเวณรอบๆปลูกต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ทำให้อากาศเย็นสบาย ราคาอาหารของที่นี่ถือว่าไม่ถูกไม่แพง กินกันสองคนอย่างต่ำคงประมาณสี่ร้อยบาท
“อยากกินอะไรสั่งได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ พี่เลี้ยงเอง” พี่เวฟเอ่ยระหว่างเปิดเมนูอาหาร นับตังค์กำลังจะปฏิเสธแต่อีกฝ่ายกลับรู้ทัน ประโยคต่อมาจึงทำให้เขาจนด้วยคำพูด
“วันนี้พี่เป็นคนชวนน้องมาเป็นเพื่อน ก็ต้องเลี้ยงน้องอยู่แล้ว มันเป็นมารยาทพื้นฐานทั่วไปนะครับ”
นั่นสิ ถ้าเปลี่ยนเป็นนับตังค์ชวนพี่เวฟมาเป็นเพื่อน เขาก็ต้องขอเลี้ยงอยู่แล้ว ดังนั้นนับตังค์จะรับความเกรงอกเกรงใจนี้ไว้ พี่คนสวยจะได้ไม่คิดมาก
“ขอบคุณครับ”
นับตังค์สั่งแกงส้มชะอมกุ้งของโปรด ส่วนพี่เวฟสั่งปลาทับทิมนึ่งมะนาวและข้าวสวยสองจาน ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงครึ่ง ลูกค้าจึงค่อนข้างน้อยกว่าเวลาเที่ยง รอไม่นานอาหารร้อนๆกลิ่นหอมฉุยก็ถูกนำมาเสิร์ฟ นับตังค์ตักเนื้อปลาทับทิมตรงส่วนท้องที่นิ่มที่สุดให้พี่เวฟพร้อมกับแกะกางให้เรียบร้อย
“กินเถอะ ไม่ต้องตักให้พี่หรอก”
นับตังค์พยักหน้าแล้วรีบลงมือกินอาหารในจานของตัวเอง แกงส้มรสชาติอ่อนไปหน่อย กินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกินแกงจืด ส่วนปลาทับทิมนึ่งมะนาวรสชาติดี แต่อ่อนรสเผ็ด เนื้อปลาสีขาวหอมนุ่มบ่งบอกถึงความสดใหม่ โดยรวมแล้วก็ถือว่าอร่อยแต่น่าเสียดายที่เขาเคยกินอาหารที่อร่อยกว่านี้ ที่บ้านของเขาเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว พ่อของเขาเป็นพ่อครัวใหญ่ที่ทำอาหารได้หลากหลาย ถือว่าเขาโตมากับของอร่อยเลยก็ว่าได้
“อร่อยมั้ย”
“อร่อยครับ” ถ้ามาคนเดียวนับตังค์จะตอบว่าพอกินได้ แต่เป็นเพราะว่ามากับพี่เวฟนั่นแหละ อาหารมื้อนี้ถึงได้อร่อย
“งั้นคราวหน้ามาด้วยกันอีกมั้ย”
หู้ยยย คนสวยชวนมาเดตรอบสองอ่ะ ไม่ใช่เล่นๆเลยนะเรา สงสัยความหล่อมันเติบโตได้ตามอายุ
“พี่อยากมากินข้าวร้านนี้ หรืออยากมากินกับผมเหรอครับ”
นับตังค์ลองหยั่งเชิง บางครั้งเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลัง ‘อ่อย’แบบเงียบๆ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นนิสัยส่วนตัวที่เคยชินกับการโปรยเสน่ห์หรือว่าพี่เวฟตั้งใจอยากสานสัมพันธ์กับเขาจริงๆ พี่เวฟเป็นคนสวยและมีแรงดึงดูด การที่ตอนนี้ยังไม่มีแฟนอาจเป็นเพราะว่ามีตัวเลือกเยอะก็ได้ เขาชอบพี่เวฟแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยินดีเป็นหนึ่งในตัวเลือกพวกนั้น เป็นแฟนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่ได้มองเฉยๆเขาก็พอใจแล้ว นับตังค์เป็นคนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงและชอบมองของสวยๆงามๆเป็นชีวิตจิตใจ กินไม่ได้ แต่มองได้ก็ถือว่าเป็นกำไรของชีวิตแล้ว
“ถ้าบอกว่าอยากมากับน้องล่ะ?”
“ใจง่าย” นับตังค์ยู่ปากใส่อีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ พี่เวฟสวยขนาดนี้ ไม่เห็นต้องอ่อยไปทั่วเลย
“พี่ไม่ใช่คนใจง่าย” พี่เวฟแย้ง รอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ฝ่ามือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะเคลื่อนเข้ามากุมมือข้างหนึ่งของนับตังค์อย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา
“แต่ถ้าน้องอยากได้ พี่ก็จะให้”
นับตังค์สะดุ้ง มืออีกข้างเผลอปัดแก้วน้ำล้ม ทำให้น้ำเปล่าเจิ่งนองเป็นวงกว้างก่อนจะไหลลงไปตามรอยแยกของโต๊ะไม้ไผ่และเปียกกางเกงของเขา
“ง่า”
นับตังค์ขมวดคิ้วใส่คนสวย เขาไม่ได้ตกใจความอ่อยเรี่ยราดในประโยคเมื่อครู่ แต่ตกใจสายตาร้อนแรงกับปลายนิ้วยาวๆที่ลูบไล้เป็นวงกลมใต้ฝ่ามือต่างหาก แม้จะเป็นแค่สัมผัสแผ่วเบาแต่กลับให้ความรู้สึกลามกแปลกๆ พี่เวฟแม่งโคตรร้ายเลยอ่ะ หึ เขาต้องหัดมองคนสวยในมุมอื่นบ้างแล้ว
“ทำไมซุ่มซ่าม”
“เพราะพี่นั่นแหละ” นับตังค์ต่อว่าคนที่กำลังนั่งหัวเราะในลำคอ อีกฝ่ายไม่ได้มีสีหน้าสลด แต่กลับพยักหน้ายอมรับผิดอย่างเสแสร้ง
“อืม เพราะพี่ก็ได้”
ร้ายกาจ!
“นับตังค์มีแฟนหรือยังครับ” พี่เวฟเอามือเท้าคางแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ
“ยังครับ” ถ้ามีแฟนแล้วไม่มาด้วยหรอก เพราะนับตังค์เป็นคนหล่อที่ซื่อสัตย์มาก
“แล้วเคยมีแฟนมั้ย”
“คนนึง ตอนมอหก” เป็นแฟนคนแรก จูบแรก แล้วก็รักครั้งแรกของนับตังค์
“เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
เป็นตุ๊ด! แต่ตุ๊ดก็ยังนับว่าเป็นผู้ชายอยู่ดี
“ผู้ชายครับ” นับตังค์ตอบ เขาชอบผู้ชายหน้าสวย แต่จะหวั่นไหวกับผู้ชายที่ยังแต่งตัวแบบผู้ชายมากกว่าสาวประเภทสอง เขาคิดว่าสาวประเภทสองมีความใกล้เคียงกับผู้หญิงมากเกินไป แล้วเขาก็ไม่ชอบผู้หญิงซะด้วยสิ
“แล้วนับตังค์ชอบคนแบบไหนเหรอครับ”
นับตังค์อยากตอบว่า ‘คนสวยครับ’ แต่คิดอีกทีเขาควรคีพลุคซะหน่อย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตอบความจริงทั้งหมด
“น่ารัก นิสัยดี”
“แล้วนิสัยดีของนับตังค์เป็นยังไงครับ”
นับตังค์เริ่มใช้สมองอย่างหนัก คนนิสัยดีมีหลายแบบ อีกอย่างทุกคนก็มีนิสัยดีและไม่ดีอยู่ในตัวทั้งนั้น งั้นเขาขอเลือกจากนิสัยที่ ‘คนเป็นแฟน’ ทำแล้วเขาไม่ชอบล่ะกัน
“ไม่โกหก ไม่เจ้าชู้ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่มั่ว เอ่อ ผมหมายถึงไม่มีคู่นอนไปทั่วน่ะครับ มันสกปรก”
เวฟยิ้มค้าง ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ เพราะที่น้องพูดมา…กูทำหมดเลยครับ ให้ตายเถอะ เขาพอจะเดาได้จากลักษณะนิสัยของนับตังค์ว่าน้องน่าจะชอบคนดี อบอุ่น อ่อนโยน แต่ไม่คิดเลยว่า น้องจะชอบคนดีมีศีลธรรมขนาดนี้ ไม่โกหกข้อนี้ยังพอทำให้ได้ เลิกเจ้าชู้ก็ทำให้ได้ ไม่ดื่ม ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน สามข้อนี้ออกจะยากเกินไปสำหรับคนอย่างเขา ส่วนข้อสุดท้าย ไม่มั่ว…แต่ถ้าได้มั่วกับนับตังค์เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปมั่วกับคนอื่นแล้ว เอาเป็นว่าการพิชิตใจเด็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ เขาควรเริ่มจากรักนวลสงวนตัวก่อน ส่วนข้อที่เหลือถ้าน้องไม่รู้ย่อมไม่ผิด
“ที่พูดมาทั้งหมดดูเป็นคนดีมากเลยนะครับ แล้วยังต้องถือศีล กินเจตลอดชีวิตด้วยหรือเปล่า”
นับตังค์เบ้ปากเมื่อได้ยินถ้อยคำกวนประสาทจากอีกฝ่าย
“ผมไม่อยากได้เทวดานะครับ แล้วพี่เวฟล่ะ มีแฟนหรือยัง?”
“ถ้ามีพี่ก็ต้องชวนมาดูหนังด้วยกันแล้วสิครับ”
“แล้วพี่เวฟชอบคนแบบไหนอ่ะครับ” นับตังค์อยากรู้ว่าตัวเองพอจะตรงกับความชอบของคนสวยหรือเปล่า แต่นับตังค์คิดว่าคนน่ารักแบบพี่เวฟ ต้องตรงกับความชอบของเขาแน่นอน
“ไม่รู้สิ ชอบคนไหนก็คบกันคนนั้น ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรเป็นพิเศษ”
“แค่ชอบเฉยๆได้เหรอครับ?” นับตังค์ถามด้วยความแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบทำนองนี้
“ทำไมครับ น้องนับไม่เคยชอบคนเลวเหรอ” พี่เวฟย้อนถามด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ ทำให้นับตังค์รีบส่ายหน้า เขาไม่ได้ซาดิสม์ จะชอบคนเลวได้ยังไง
“แฟนคนแรกของผม…ตอนที่ผมคบกับเขาเพราะผมคิดว่าเขาเป็นแบบที่ผมชอบ แต่พอคบไปแล้วเขาต่างออกไป ผมก็เลยขอเลิก”
แฟนคนแรกของนับตังค์เป็นคนชอบสังคม แต่สำหรับเขาขอเลือกใช้คำว่าเจ้าชู้น่าจะเหมาะสมกว่า แฟนของเขาชอบแอบคุยกับคนอื่นไปทั่ว ทั้งในเฟสบุ๊คและโทรศัพท์ แล้วพอเขาจับได้ก็มักจะอ้างว่าคุยเฉยๆไม่คิดอะไร หรือไม่ก็บอกว่าแค่เพื่อนกันและเขาคิดมากไปเอง แต่สำหรับนับตังค์ คนเป็นเพื่อนไม่โทรหากันทุกวัน ไม่คุยกันนานๆ หรือส่งข้อความมาบอกฝันดีทุกคืนหรอก
“ผมไม่มีทางชอบคนเลวได้หรอกครับ” ถ้าชอบได้ก็เลิกชอบได้ นับตังค์ไม่เสียใจ ไม่เสียน้ำตาเลยสำหรับการล้างลากับแฟนคนแรก อาจจะแค่เสียความรู้สึกเท่านั้น
“ยังเด็กอยู่นะ”
นับตังค์มองหน้าพี่เวฟอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนกว่าปกติ
“ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก ไม่มีเหตุผลหรอกนะ ถ้าวันหนึ่งที่น้องได้รู้จักรักใครสักคนจริงๆ ต่อให้คนๆนั้นทำในสิ่งที่น้องไม่ชอบ น้องก็ยังสามารถรักเขาเหมือนเดิม”


“อยากดูเรื่องอะไรครับ”
พี่เวฟเอ่ยถาม ระหว่างที่นับตังค์กวาดสายตามองโปสเตอร์ภาพยนตร์ในพารากอน ซีนีเพล็กซ์วันนี้เป็นวันหยุดคนจึงค่อนข้างพลุกพล่าน อีกทั้งภาพยนตร์ที่เข้าฉายในช่วงนี้ก็เป็นหนังฟอร์มยักษ์ภาคต่อ จึงไม่แปลกเลยที่หลายคนให้ความสนใจ นับตังค์มีโอกาสได้ตามดูภาพยนตร์หลายเรื่องบนเว็บไซต์ออนไลน์มาบ้างแล้ว จึงอยากจะดูภาคต่อ ติดตรงที่เลือกไม่ถูกเพราะเขาอยากดูเกือบทุกเรื่อง แต่พี่เวฟเป็นคนชวนเขามา ควรได้สิทธ์ในการเลือกสิ
“พี่เวฟชวนผมมา พี่เลือกซิครับ”
“พี่อยากดูหนังเฉยๆ แต่ไม่ได้อยากดูเรื่องไหนเป็นพิเศษ”
แบบนี้ก็มีด้วย? ไม่ใช่ว่าต้องมีเรื่องในใจก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอยากมาดูเหรอ?
นับตังค์กวาดตามองโปสเตอร์ภาพยนตร์อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเลือกหนังภาคต่อที่เขาชื่นชอบที่สุด
“ดู VENOM2 ได้มั้ยครับ?”
“โอเค เดี๋ยวพี่ซื้อตั๋วให้ น้องไปซื้อป๊อปคอร์น” พี่เวฟตอบรับง่ายๆแล้วยื่นธนบัตรแบงค์ห้าร้อยให้นับตังค์
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมขอเลี้ยงเอง”
นับตังค์ปฎิเสธแล้วหันหลังวิ่งไปต่อแถวซื้อขนม ใช้เวลาประมาณสิบนาที เขาก็กลับมาหาพี่เวฟพร้อมป็อบคอร์นถังใหญ่แบบรวมสองรส กับน้ำเป๊ปซี่สองแก้ว
“พี่เวฟ กี่บาท”
นับตังค์ยื่นน้ำแก้วหนึ่งในอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยถามราคาตั๋ว พี่เวฟเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหารเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงหนัง อีกอย่างเขาก็เป็นคนอยากดูเรื่องนี้เองด้วย
“จำไม่ได้แล้ว”
นับตังค์ขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยท้วงแต่อีกฝ่ายกลับเร่งให้เขาเข้าไปด้านใน เพราะหนังรอบนี้กำลังจะฉายแล้ว นับตังค์เดินตามพี่เวฟไปบนทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดง กำลังคิดว่าเดี๋ยวค่อยให้เงินอีกฝ่ายตอนดูหนังจบ แต่ปรากฏว่าเมื่อพนักงานเปิดประตูนำทางเข้าไปด้านในโรงภาพยนตร์ที่กำลังฉายตัวอย่างหนังก็ทำเอาเขาอ้าปากตาค้าง รีบเปลี่ยนใจโดยไม่ต้องคิดว่า ‘ไม่จ่ายแล้ว’ ถึงอยากจ่ายก็คงไม่มีปัญญา ไหนๆก็มากับคนรวย เขาขอทำตัวหน้าด้านหน้าทนสักวันเถอะ
“ทำไมไม่เลือกโรงธรรมดาอ่ะครับ”
นับตังค์ถามด้วยใบหน้าแข็งค้างเมื่อมองเห็นเก้าอี้ ไม่สิ ควรเรียกว่าเตียงนอนแบบคู่ซะมากกว่า เตียงคู่พร้อมหมอนและผ้าห่มถูกจัดเว้นระยะห่างเพื่อความเป็นส่วนตัว คนส่วนใหญ่ในนี้ต่างก็เป็นคู่รัก ทำให้เขาค่อนข้างขัดเขิน ในตอนที่หย่อนก้นนั่ง เขาสัมผัสได้ถึงความนุ่มของเตียงที่เรียกว่านุ่มน่านอนกว่าของที่บ้านมากนัก นับตังค์แอบรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง ไม่คิดเลยว่าโรงหนังแบบ VIP จะหรูได้ใจขนาดนี้ ถ้าพี่เวฟไม่พามา ชาตินี้เขาก็คงไม่รู้ว่าคนรวยดูหนังกันยังไง
“ไม่ชอบนั่งใกล้คนอื่น รู้สึกไม่ดี”
คำตอบแม่งสมกับความร่ำรวย เพราะรวยถึงมีสิทธ์เรื่องเยอะจริงๆด้วยสิ
นับตังค์เอนหลังลงนอนบนเตียงนุ่มข้างๆกับพี่เวฟ ถือโอกาสนี้ดื่มด่ำกับความสบายอย่างมีความสุข เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉาย เสียงพูดคุยเบาๆก็หยุดลง เขาเคี้ยวข้าวโพดอย่างเอร็ดอร่อย ตั้งหน้าตั้งตาดูหนังอย่างออกรสก่อนจะรู้สึกว่าคนข้างๆขยับตัวโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ดังขึ้นข้างใบหู
“พี่หนาว”
นับตังค์หันไปมองพี่เวฟ แต่เพราะความมืดทำให้เขาไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย นับตังค์ก้มมองผ้าห่มสองผืนที่คลุมอยู่บนร่างกายท่อนล่างของพวกเขาทั้งคู่…ก็มีผ้าห่มนี่ หรือว่าพี่เวฟอยากได้ผ้าห่มอีกผืน? ขณะกำลังจะเอ่ยปากยกผ้าห่มของตัวเองให้คนสวย พี่เวฟก็ยื่นมือออกมาตรงหน้าของเขาซะก่อน
“ขอจับมือหน่อย”
หื้ม? เพราะว่าหนาวเลยขอจับมือเพิ่มความอบอุ่นเหรอ?
นับตังค์ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมวางมือลงบนฝ่ามือของพี่เวฟ สัมผัสอบอุ่นของอีกฝ่ายทำให้เขาร้อนผ่าวไปทั้งหัวใจ เพิ่งรู้ว่ามือของพี่เวฟใหญ่กว่าเขา นุ่มและอุ่นที่สุดเลย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 18:13:21 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 7

วิชา ‘ปูนปั้น’เป็นวิชาเลือกสำหรับนักศึกษาคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ เป็นหนึ่งในศิลปะที่นับตังค์ไม่ถนัด เรียกว่าไม่ชอบเลยก็ว่าได้ แต่ที่เขาลงเรียนวิชานี้เป็นเพราะถูกทวยเทพใช้สารพัดข้ออ้างมาหลอกล่อให้เขากับจูเนียร์ตกหลุมพรางแล้วลงเรียนเป็นเพื่อน ทั้งบอกว่าไม่ต้องสอบมิดเทอม มีสอบไฟล์นอลแค่ 30% และมีเลคเชอร์แค่ไม่กี่ชั่วโมง ที่เหลือเป็นการเรียนการสอนแบบลงมือปฏิบัติซึ่งจะเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียนก็ได้ แค่ทำงานส่งตามกำหนดก็ได้เกรดแล้ว ตามความเห็นของนับตังค์ที่มีต่อวิชานี้ จึงไม่ต่างจากคาบว่างหรือใช้เวลาในการผ่อนคลายสมอง ทุกอย่างดำเนินไปตามที่ทวยเทพบอก กระทั่งวันนี้ที่ทำนับตังค์รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนสนิทไม่ได้บอกคือ งานที่ทำส่งต้องออกมาดีที่สุดเท่านั้น อาจารย์มีคะแนนให้แค่สิบกับศูนย์ ทำงานออกมาได้ไม่ดี มีสิทธิ์ส่งงานเข้ามาใหม่ ส่งได้เรื่อยๆกระทั่งได้สิบคะแนน นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ลงเรียนวิชานี้จึงมีเกรด A กับ F ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ และนับตังค์ก็เริ่มหวั่นๆแล้วว่า F อาจจะลอยมาเร็วๆนี้
“ไหนมึงบอกว่าวิชานี้ง่ายไงวะ”
นับตังค์ต่อว่าทวยเทพ ขณะกวาดสายตาไปยังหน้าห้องเรียนที่ถูกเรียงรายไปด้วยปูนปั้น ซึ่งเป็นผลงานของรุ่นพี่ที่เคยลงเรียนในวิชานี้ อาจารย์นำผลงานเหล่านั้นมาจัดแสดงให้นักศึกษาดูว่า แบบไหนได้สิบคะแนนและแบบไหนได้ศูนย์คะแนน ซึ่งงานที่ได้สิบคะแนนเต็มล้วนแล้วแต่สวยงามและมีรายละเอียดชัดเจน คนที่ไม่เคยศึกษาและลงมือทำงานจริงอย่างเขา ไม่มีทางที่จะปั้นออกมาได้สิบคะแนนในครั้งแรก
“แหม ก็ง่ายออก แค่ปั้นตัวอะไรสักอย่างเองน้า”
ทวยเทพพยายามฉีกยิ้มหวานส่งมาให้เพื่อนสนิท ในเวลานี้ที่หน้าห้องเรียน มีนักศึกษาหลายคนที่พากันไปมุงดูผลงานปูนปั้นอย่างใกล้ชิด คลาสเรียนนี้เป็นคลาสเล็กๆ นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ลงเรียนเป็นเด็กสาขาประติมากรรมที่มีความรู้ด้านนี้อยู่แล้ว ส่วนสาขาอื่นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“สักอย่างพ่อมึงซิ” จูเนียร์ที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของนับตังค์ ถึงกับชะโงกหน้าไปด่าทวยเทพที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย
“มึงดูตัวอย่างงานของรุ่นพี่ซะก่อน ต้องทำให้ได้แบบนั้นถึงจะได้สิบ แล้วมึงคิดว่าน้ำหน้าอย่างพวกเราจะปั้นได้เหรอวะ”
งานปูนปั้นต้องจับกลุ่มทำด้วยกันตั้งแต่ 4-5 คน ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนกลุ่มตลอดทั้งเทอม ซึ่งวันนี้เป็นวันส่งรายชื่อกลุ่มให้อาจารย์
“อีนับ มึงบอกกูซิว่ามึงเคยปั้นดินปั้นโคลนมาก่อน”
จูเนียร์หันมาถามนับตังค์อย่างมีความหวัง เพราะเขาเป็นคนที่มีเซ้นด้านศิลปะมากที่สุดในสาขาและมักจะมีแนวคิดใหม่ๆมาประยุกต์ใช้ในวิชาที่เรียน แต่โทษทีนะเพื่อน เว้นประติมากรรมและพวกปั้นดินปั้นโคลนล่ะ นับตังค์ไม่สันทัดเลยสักอย่าง
“ไม่อ่ะ แต่หล่อปูนปาสเตอร์กูเคยทำนะ”
“เวรกรรม” จูเนียร์คร่ำครวญ
“เอาไงดีอ่ะ”
ทวยเทพเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิด ถึงว่าไม่ค่อยมีคนลงเรียนวิชานี้ เขาก็น่าจะสอบถามจากรุ่นพี่ให้ดีซะก่อน แบบนี้มันเรียกว่าหาเหาใส่หัวชัดๆเลย
“หาเพื่อนที่มีแววเก่งๆมาอยู่กับเราสักคนดีมั้ย” นับตังค์เสนอ นาทีคิดได้อย่างเดียวคือเกาะคนเก่งเพื่อเอาตัวรอด
“ใครล่ะ” จูเนียร์ถาม กวาดสายตามองไปรอบๆคลาส ก็เห็นว่าคนอื่นจับกลุ่มกันหมดแล้ว จะเหลือก็แต่พวกเขาสามหน่อที่นั่งโง่ๆอยู่ด้วยกัน
“นั่นโลมาใช่มั้ย ดูท่าจะยังไม่มีกลุ่มนะ” นับตังค์ชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งกำลังยกปูนปั้นรูปศีรษะของอับราฮัม ลินคอล์นขึ้นมาลูบๆคลำๆอยู่แถวหน้าห้องเรียน
“นับ” ทวยเทพเอ่ยเรียก
“อะไร?”
“มึงจะชวนไอ้บ้านั่นมาอยู่กลุ่มเดียวกับเราจริงเหรอ เกิดมันมาเป็นตัวถ่วงล่ะ”
“พวกเราก็ไม่ได้เก่ง ไม่มีใครถ่วงใครหรอก อย่างมากก็แค่เรียนรู้ไปด้วยกัน” นับตังค์อธิบาย ไหนๆพวกเขาสามคนก็เป็นบุคคลไร้ความสามารถอยู่แล้ว ถ้าจะรับคนโดดเดี่ยวไร้กลุ่มเข้ามาอีกสักคนก็คงไม่ทำให้อะไรแย่ลง
“เออ มึงไปชวนล่ะกัน” จูเนียร์เห็นด้วย ทวยเทพจึงพยักหน้าอย่างจำยอม
นับตังค์เดินเข้าไปหาโลมาที่กำลังจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของลินคอล์น แล้วเอ่ยทักเสียงเบาเพราะไม่ต้องการรบกวนเพื่อนรวมคลาสคนอื่น
“หวัดดี” โลมาไม่ได้ละสายตามามองนับตังค์ ยังคงมองใบหน้าของรูปปั้นโดยไม่ละสายตาไปไหน ให้ตายสิ หมอนี่หูตึงหรือไงนะ
“โลมาใช่มั้ย เราชื่อนับตังค์นะ” นับตังค์เอ่ยอย่างอดทน คราวนี้อีกฝ่ายหันมามองที่เขาแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
“มีกลุ่มทำงานยังอ่ะ?”
“…”
หมอนี่ไม่เข้าใจภาษาไทยงั้นเหรอ หรือว่าไปโตที่ต่างประเทศ?
“มีกลุ่มทำงานปั้นหรือยัง?”
นับตังค์ถามเป็นภาษาอังกฤษ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเฉยชา ไม่รับรู้อะไรเลย ก็เปลี่ยนเป็นถามประโยคเดิมด้วยภาษาไทย เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ชะมัด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมอนี่ไม่มีเพื่อน แม่ง เป็นคนที่คุยโคตรยาก เพราะมันไม่ตอบสนองห่าอะไรเลยไง
“ยังไม่มี”
เฮ้อ นับตังค์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็ตอบ แถมยังเข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี
“อยู่กลุ่มเดียวกับเรามั้ย?”
นับตังค์ถาม นิ่งมองใบหน้าของโลมาอย่างรอคอย หมอนั่นวางลินคอล์นลงบนพื้น แล้วหันมาแข่งจ้องตากับนับตังค์ ไม่มีบทพูดอีกแล้ว มึงลืมเอาปากมาเหรอครับ นับตังค์พยายามทำใจให้เย็นแล้วเอ่ยถามออกไปอีกประโยค
“มาทำงานด้วยกันมั้ย?”
“ได้”
เออ กูเหนื่อยว่ะ
นับตังค์หันไปโบกมือเรียกเพื่อนสนิท เมื่อทวยเทพกับจูเนียร์มาถึงเขาก็แนะนำให้รู้จักกับโลมา ที่ไม่ได้ตอบสนองอะไรเช่นเดิม หลังจากนั้นพวกเขาก็เขียนชื่อนามสกุลลงในกระดาษแล้วส่งให้อาจารย์ประจำวิชา นับตังค์รู้สึกว่านามสกุลของโลมาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นผ่านตามาจากที่ไหนสักแห่ง แต่คิดไม่ออก คาดว่าน่าจะเป็นนามสกุลเดียวกับเพื่อนร่วมสาขาของเขาสักคน
“นัดทำงานกันวันเสาร์นี้ดีมั้ย” จูเนียร์เสนอ พวกเขาสามารถใช้ห้องปั้นของคณะได้ ที่นั่นมีอุปกรณ์ครบครันให้ใช้แบบฟรีๆ แต่ต้องลงชื่อจองล่วงหน้า ซึ่งวันเสาร์ช่วงเช้าก็เป็นเวลาที่ห้องยังว่างอยู่ ทุกคนพยักหน้าเป็นการตอบตกลง รวมถึงโลมาที่ดูเหมือนกำลังพยักหน้าตามคนอื่น มากกว่าจะพยักหน้าเพราะเข้าใจ
“สรุปวันเสาร์ สามโมงเช้านะ” นับตังค์ย้ำกับโลมาอีกครั้ง ตอนนี้เขาขอสรุปในใจเอาเองว่าโลมาเป็นพวกสมองช้า ต้องค่อยๆพูด และพูดอะไรช้าๆอย่างอดทนจึงจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“คือกี่โมง” โลมาถาม
“สามโมงไง”ทวยเทพหันไปตอบ นับตังค์รู้สึกว่าทวยเทพกำลังอารมณ์ไม่ดี เพราะโลมาพูดน้อยเกินไป และเข้าใจอะไรยากเกินไป จนบางครั้งดูเหมือนคนที่เจตนากวนประสาท
“กี่โมง” โลมาหันไปมองหน้าทวยเทพแล้วถามอีกครั้ง นับตังค์ที่กลัวว่าถ้าไอ้ทวยของขึ้นจะลุกขึ้นมาตบโลมา จึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เก้าโมงเช้า นายรู้จักมั้ย เก้า-จุด-ศูนย์-ศูนย์-นอ”
“รู้จัก”
เออดี ไม่รู้จักสามโมงเช้า แต่เสือกรู้จักเก้าโมงเช้าเฉยเลย
โชคดีที่หลังจากแลกเบอร์โทรศัพท์กันแล้วก็พากันแยกย้าย โลมาจึงรอดพ้นจากการถูกทวยเทพหมายหัวได้อย่างปลอดภัย
“เนียร์ ไปส่งกูที่ตึก PT หน่อยดิ”
นับตังค์เอ่ยขึ้นระหว่างลงลิฟต์มาพร้อมกับเพื่อนสนิททั้งสองคน ตึก PT เป็นแหล่งรวมสตูดิโอสำหรับวาดภาพ ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของคณะ สามารถเดินไปตามทางเชื่อมระหว่างตึกบนชั้นสองได้ แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่ นิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์ขับอ้อมไปเข้าประตูหลังคณะแทนการเดิน
“รถมึงอ่ะ” เนียร์ถาม เพราะเขาไม่รู้ว่าเมื่อเช้านับตังค์มาเรียนอย่างไร
“ไอ้ดินเอาไปใช้”
“อีกละ!รูมเมทมึงนี่โคตรส้นตีนเลย ให้พวกกูไปดักตบให้เอามั้ย”
นับตังค์หัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าควรซาบซึ้งดีหรือไม่ จูเนียร์กับทวยเทพไม่ชอบดินเพราะคิดว่ามันจ้องจะเอาเปรียบคนอื่น แต่นับตังค์กลับคิดว่าดินก็ไม่ได้แย่ อีกอย่างดินก็เป็นคนที่น่าสงสาร ไหนๆฟ้าก็ส่งมันมาเป็นรูมเมทของเขาแล้ว จะให้เขาเมินเฉยต่อเพื่อนร่วมห้องก็ใช่เรื่อง
“มันก็มีส่วนดีของมันน่า เดี๋ยวตอนเย็นมันก็มารับกูที่ตึก PT”
“โอเค กูไปส่งก็ได้”
“มึงจะไปวาดรูปพี่เวฟแล้วใช่ปะ” ทวยเทพเอ่ยถามเมื่อพวกเขาเดินออกมาจากลิฟต์ และกำลังตรงไปที่ลานจอดรถข้างตึกเรียน
“อืม” นับตังค์ตอบรับ
“อย่าลืมมาเล่าให้ฟังบ้างนะ ว่าไปถึงไหนกันแล้ว” ทวยเทพเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แล้วใช้ร่างสูงใหญ่กระแซะนับตังค์จนเกือบล้มหน้าทิ่ม เขาขมวดคิ้วด้วยความงุนงง…ไปถึงไหน? หมายถึงวาดรูปไปถึงไหนแล้วน่ะเหรอ ไม่เห็นรู้เลยว่าไอ้ทวยสนใจเรื่องสีน้ำด้วย
“ถึงนี่ยังมึง”
นับตังค์หันไปมองทวยเทพที่กำลังทำปากจู๋ส่งเสียงจุ๊บๆ แล้วความเข้าใจทั้งหมดก็แล่นสู่สมอง
“ไม่ถึงไหนทั้งนั้นแหละ”
ห่าเอ๊ย! นี่ใคร นี่นับตังค์คนแมนนะเว้ย จะให้เขาไปจูบพี่เวฟที่ไม่ใช่แฟนได้ยังไง เลวร้ายที่สุด เลวยิ่งกว่าฆาตกรฆ่าข่มขืน!
“กระจอก!พี่เวฟเสนอตัวขนาดนี้แล้ว มึงนี่มันชักช้าไม่ได้เรื่อง”
บัดสี! ใครบอกว่าคนสวยเสนอตัว พี่เวฟของนับตังค์เป็นคนเรียบร้อย นอกจากพูดคำหยาบนิดๆหน่อยๆ ก็ไม่เคยให้ท่าเขาเลย ถ้าเพื่อนว่าร้ายพี่เวฟแบบนี้ เขาจะเกรี้ยวกราดแล้วนะ
“เสนอตัวอะไร พูดให้ดีๆนะเว้ย”
“เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว มึงบอกว่าพี่เวฟชวนไปดูหนังใช่ปะ”
“แล้ว?”
“พี่เขาอ่อยมึงอยู่ มึงจีบสักทีซิ” ทวยเทพเฉลยข้อสันนิษฐาน ซึ่งนับตังค์ก็ได้แต่ส่ายหน้า ไม่ใช่ไม่อยากจีบ แต่กูกากนะบอกเลย
“ใจเย็น เรื่องความรักต้องค่อยเป็นค่อยไป รีบร้อนไม่ได้”
นับตังค์เอ่ยอย่างจริงจัง ที่จริงคือสร้างภาพ ตอนอยู่กับพี่เวฟมีแต่ใจเหลวเป็นไอติมโดนแดดเผา นอกจากนั่งใจสั่นแล้ว ก็ยังไม่มีปัญญาจะไปสีคนสวยเลยครับ
“อีโง่ ถ้ากูเป็นพี่เวฟนะกูเหนื่อยใจตาย ขนาดนี้แล้วมึงยังไม่จีบเขาอีก ถ้าเขาไม่ชอบมึง เขาไม่เสียเวลามานั่งเป็นแบบให้มึงวาดรูปหรอก” ทวยเทพตะโกนด่าด้วยความขัดใจ ส่วนจูเนียร์ที่กำลังหยิบกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าก็ยังเห็นด้วย
“จริง”
นับตังค์ทำหน้ามุ่ย ถ้าเขากล้าสักครึ่งหนึ่งของความมโนคงจะดีกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าพี่เวฟชอบเขามากน้อยแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าพี่เวฟชอบคนอื่นอีกหรือเปล่า ถ้าเขาเดินเข้าไปสารภาพกับพี่เวฟว่า ‘ชอบนะครับ ลองคบกันดูมั้ย?’ จะหน้าแหกกลับมาหรือเปล่านะ
“เนียร์ไปเถอะ เดี๋ยวพี่เวฟรอนาน”
นับตังค์เร่งจูเนียร์ที่กำลังยืนทาลิปสติกอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายเก็บกระจกและลิปลงในกระเป๋าสะพายแล้วรีบสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ นับตังค์โบกมือลาทวยเทพซึ่งไม่ลืมส่งคำอวยพรที่ทำให้เขาหน้างอ
“จ้า ขอให้พี่เวฟโดนคนอื่นงาบไปแดกน้า”
ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้หัวทวย!

“พี่เวฟครับ ผมอยากให้พี่เปลี่ยนมาใส่ชุดนี้”
นับตังค์หลุบตามองพื้นขณะยื่นถุงกระดาษในมือให้พี่เวฟ อีกฝ่ายรับไปแล้วหยิบกลุ่มผ้าสีขาวกับสีแดงเลือดนกออกมากางออก ชุดที่อีกฝ่ายถืออยู่เป็นชุดสไตล์กรีกโบราณ กระโปรงเป็นผ้าซีทรูสีขาวที่ถูกเย็บซ้อนกันหลายชั้น เมื่อสวมใส่แล้วจะมองเห็นผิวเนื้อเพียงเล็กน้อย ความเบาบางของผ้าทำให้ดูพลิ้วไหวและอ่อนโยนยามก้าวเดิน ผ้าคาดเอวเป็นสีแดงเลือดนกยาวลากพื้น ส่วนท่อนบนเป็นเสื้อแขนยาวที่ถูกเย็บซ้อนกันด้วยผ้าซีทรูสีขาวหนึ่งชั้น แล้วทับด้วยผ้าซีทรูสีแดงเลือดนกอีกหนึ่งชั้น ชุดแหวกช่วงไหล่ยาวลงมาถึงแผ่นอก ที่จริงแล้วนาร์ซิสซัสควรเปลือยท่อนบน แต่เขาเกรงใจพี่เวฟจึงเลือกชุดที่โป๊น้อยที่สุด
“ชุดสวยนี่” พี่เวฟพิจารณาชุดในมือช้าๆก่อนจะหันมามองนับตังค์
“ซื้อมาจากไหนครับ?”
“ผมเย็บเองครับ ชุดนี้ออกแบบมาเพื่อพี่เวฟโดยเฉพาะ” นับตังค์ตอบ รู้สึกเขินที่ผู้ชายแมนๆอย่างเขาต้องมานั่งเย็บชุดของนาร์ซิสซัสเพราะแบบเสื้อผ้าในอินเตอร์เน็ตไม่ถูกใจ
“งั้นก็ขอบคุณนะครับ พี่ใส่แล้วต้องสวยมากแน่ๆ”
นับตังค์ฉีกยิ้มกว้าง พี่เวฟสวยอยู่แล้วครับ ต่อให้ไม่ใส่อะไรเลยก็สวย อีกฝ่ายวางชุดลงบนโต๊ะตัวยาวในห้องสตูดิโอ แล้วเริ่มลงมือปลดเนกไทออกจากลำคอ
“จะถอดตรงนี้เลยเหรอครับ” นับตังค์มองภาพเบื้องหน้าตาโต แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก แต่อีกฝ่ายกับเอ่ยซื่อๆ
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ อีกอย่างห้องน้ำในตึกนี้ก็อยู่ไกล”
“อ๋อ”
ไม่เป็นไรก็ได้ครับ ถ้าพี่เวฟไม่ถือ นับตังค์ก็ไม่ถือ เขาเผลอใช้สายตาจดจ้องอยู่ที่กระดุมเสื้อของพี่เวฟอย่างรอคอย กระดุมเสื้อถูกปลดอย่างเชื่องช้า…หนึ่งเม็ด…สองเม็ด…สามเม็ด
แผ่นอกขาวผ่องที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำให้นับตังค์ลำคอแห้งผาก รีบหันหลังขวับแทบไม่ทัน ฮืออออ ใจหมาสุดๆเลยมึ๊ง ต่อให้พี่เวฟกล้าถอด แต่นับตังค์ไม่กล้าดู ทำได้แค่ยืนใจเต้นตึกตักอยู่เงียบๆ เสียงสวบสาบของเนื้อผ้าที่ขยับเสียดสีกับร่างกาย ทำให้เด็กลามกเริ่มจินตนาการไปถึงร่างกายขาวผ่อง เอวบอบบาง กับสะโพกสวย พยายามกัดฟันแน่น ทั้งที่อยากหันกลับไปมองใจจะขาด อยากรู้ว่าพี่เวฟจะเซ็กซี่แค่ไหน แต่ถ้าเขาหันไปแล้วอดใจไม่อยู่ อาจจะกระโจนเข้าใส่พี่เวฟก็ได้นะ…อันตรายจริงๆ!
“นับตังค์”
“คะ…ครับ?” นับตังค์ที่กำลังคิดฟุ้งซ่านเอ่ยตอบเสียงสั่น แต่ไม่ยอมหันกลับไป ไม่ได้หร๊อก เดี๋ยวพี่เวฟจับได้ว่าเขาอยากดูคนสวยโป๊ แบบนั้นก็ขายหน้าแย่เลย
“ชุดมันใส่ยังไง ช่วยพี่หน่อยสิครับ”
อ๋อ…จะว่าไปชุดที่เขาเย็บขึ้นมาก็ใส่ยากจริงๆ ถ้าเกิดพี่เวฟรุนแรงเกินไปอาจจะทำให้ชุดขาดก็ได้
นับตังค์สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับพี่เวฟ ภาพที่เห็นทำให้เขาลอบกลืนน้ำลายเสียงดังเอือก ใบหน้าแดงก่ำกำลังร้อนระอุ ก่อนหน้านี้เขาได้จินตนาการไว้ว่าร่างกายของพี่เวฟต้องบอบบางน่าทะนุถนอม แต่ความจริงที่ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้น ไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาคิดเอาไว้เลย พี่เวฟไม่ได้ร่างบางเอวน้อย อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายสูงโปร่งจึงทำให้เขาเข้าใจไปว่าพี่เวฟตัวเล็ก ร่างกายท่อนบนของพี่เวฟเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามชัดเจน หน้าท้องมีซิคแพ็คแน่นๆจากการออกกำลังกาย ต่อให้เมื่อก่อนนับตังค์จะไม่ชอบพวกมีกล้าม แต่เมื่อสิ่งนั้นมาปรากฏอยู่บนร่างกายของพี่เวฟ กลับทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไป มันทั้งเซ็กซี่และเร้าอารมณ์ ชวนให้คนมองรู้สึกอ่อนระทวย อยากจะพุ่งเข้าไปหาแล้วใช้มือลูบไล้หน้าท้อง เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ค่อยๆเกร็งตัวจากแรงอารมณ์ อยากเห็นแผ่นอกสะท้านเพราะการหอบหายใจและเสียงครวญครางที่เต็มไปด้วยความกระสัน
“นับตังค์”
“!!!”
เสียงเรียกที่ดังแทรกม่านมโนเข้ามากระแทกสติรับรู้ ทำให้นับตังค์รีบละสายตาจากแผ่นอกขาวๆ ไปมองใบหน้าของคนสวย แล้วรีบหัวเราะกลบเกลื่อน รู้สึกไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้เขาได้แสดงสีหน้าแบบไหนออกไปกันแน่
“แหะๆ เอาแขนมาสอดตรงนี้ครับ” นับตังค์รีบแล่นเข้าไปช่วยพี่เวฟใส่ชุดกรีกโบราณ จัดผ้าคาดเอว และดึงเสื้อเปิดไหล่สองข้าง ทำให้ชุดที่ไม่มีกระดุมถูกแหวกออกเปิดเผยแผ่นอกแข็งแรง
“คือชุดมันโชว์แผ่นอกนิดหน่อยอ่ะครับ”
ก็ไม่นิดนะ ยอมรับว่านับตังค์อยากดูเองนี่ล่ะครับ
“อืม ยังไงก็ได้” พี่เวฟเอ่ยอย่างไม่ติดใจสงสัย ทำให้นับตังค์ลอบยินดีอยู่ในใจ ขณะที่เขากำลังใช้มือลูบเนื้อผ้าให้เรียบและทิ้งตัวสวย ก็สังเกตเห็นว่าช่วงเอวของพี่เวฟมันพองขึ้นมาเพราะกางเกงสแล็คตัวใน ทำให้กระโปรงที่ควรแนบเนื้อและพลิ้วไหว กลายเป็นเสียรูปทรงอย่างไม่น่าให้อภัยเลย
“พี่เวฟถอดออกได้มั้ยครับ”
“ถอด?”
นับตังค์เงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง ตอนนี้เขาไม่ได้คิดลามกแล้วนะครับ แค่อยากให้งานออกมาดีที่สุด
“ถอดกางเกงด้วยได้มั้ยครับ? คือผ้ามันจะพลิ้วกว่านี้ถ้าพี่ถอดเสื้อผ้าด้านในออกให้หมด”
“อืม ชุดมันรุ่มร่าม พี่ถอดกางเกงไม่ถนัด น้องนับช่วยพี่หน่อยสิครับ”
“ช่วย?”
นับตังค์เอ่ยทวนเสียงสูง คิดว่าตัวเองอาจจะฟังผิด แต่พี่เวฟกลับยืนยันคำตอบด้วยการดึงกระโปรงผ้าซีทรูขึ้นสูง เผยให้เห็นกางเกงสแล็คสีดำด้านใน ต่อให้ไม่โป๊แต่ท่าทางแบบนี้มันดูเชิญชวนไม่น้อยเลยนะครับ
“ถอดกางเกงให้พี่เวฟหน่อยสิครับ”
“ถอด…ให้ผมถอด!”
ถ้านับตังค์ถอดกางเกงให้พี่เวฟ เขาก็จะหะ…เห็นปิกาจู๋ ต่อให้เป็นกาจู๋ในกางเกงชั้นในก็ยังเรียกว่าเห็น อีกอย่างมือของเขาก็ต้องแตะโดน ถึงนิดๆหน่อยๆก็ต้องโดนอ่ะ แล้วมือที่บริสุทธิ์ผุดผ่องก็ต้องมาเสียหายเพราะแตะกาจู๋ของพี่เวฟ แล้วพี่เวฟจะรับผิดชอบหรือเปล่านะ
“เร็วสิครับ จะได้รีบวาดรูปกัน”
“ได้ครับได้”
เสียงเร่งทำให้นับตังค์สะดุ้ง รีบตอบรับโดยไม่ทันคิด เขาคุกเข่าลงบนพื้นแล้วเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดให้พี่เวฟ แล้วตามด้วยการปลดกระดุมและซิปกางเกง  พยายามควบคุมปลายนิ้วให้แตะโดนกาจู๋น้อยที่สุด ถึงเขาจะอยากลวนลามพี่เวฟแต่แบบนี้ไม่ดีเลยนะ ไม่ดีต่อใจมากๆ นับตังค์พยายามตั้งสติ เลื่อนมือไปไว้บนขอบกางเกงและดึงกางเกงลงมา แต่ว่า…
วืด!
นับตังค์โน้มตัวไปด้านหน้ามากเกินไป ทำให้กางเกงถูกดึงลงมาพร้อมกับใบหน้าที่พุ่งเข้าไปฝังลงบนต้นขาของพี่เวฟ ซ้ำร้ายแก้มยังแนบชิดกับกาจู๋อย่างแนบแน่น คราวนี้ไม่ใช่แค่มือที่เสียบริสุทธิ์ แต่ทั้งแก้มและปากของนับตังค์ยังเสียหายอย่างรุนแรงอีกด้วย
“ผมขอโทษครับ”
นับตังค์เอ่ยอย่างลนลาน ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งอับอายทั้งหวาดกลัว ถ้าคนสวยโกรธจัดจะยกเท้าเสยคางนับตังค์หรือเปล่านะ
“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงของพี่เวฟทั้งอ่อนโยนและเจือแววขำขัน ทำให้นับตังค์พอจะใจชื้นได้บ้าง
“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ต่อให้ตั้งใจก็ไม่เป็นไร”
พี่เวฟก้มลงมามองนับตังค์ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ทำให้นับตังค์ยู่ปากด้วยความขัดใจ…บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ไม่คิดจะเชื่อกันเลยสินะ ขณะกำลังต่อว่าคนแก่กว่าอยู่ในใจ สายตาก็เหลือบไปเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสีดำที่สลักอยู่บนผิวเนื้อขาวๆ โผล่พ้นออกมาจากขอบกางเกงชั้นในเล็กน้อย
“พี่เวฟสักด้วยเหรอครับ”
นับตังค์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจขณะดึงกางเกงออกจากปลายเท้าของพี่เวฟ อีกฝ่ายเหลือบตาลงมามองแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ดึงกระโปรงลงคลุมเรียวขา กลับยืนโชว์เป้าตุงๆภายใต้กางเกงชั้นในสีขาวสะอาดอยู่แบบนั้น
“อืม”
อึก!
“สักว่าอะไรเหรอครับ”
นับตังค์ถาม ขณะที่สายตาเอาแต่จดจ่ออยู่กับรอยสักประโยคนั้น พรางคิดว่าทำไมพี่เวฟถึงหาที่สักได้ลามกแบบนี้นะ รอยสักอยู่ใกล้กาจู๋ขนาดนี้ ตอนสักนี่ต้องถอดกางเกงในหรือเปล่า แล้วช่างสักเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย คนๆนั้นได้เห็นของลับของพี่เวฟตลอดการสักเลยน่ะสิ แล้วสักไว้ตรงนี้ใครจะไปเห็น พี่เวฟอยากสักไว้ดูคนเดียว หรือว่าไว้ดูกับ…แฟน?!
“อยากรู้เหรอ?”
นับตังค์พยักหน้า ต่อให้การสักใกล้ของลับจะทำให้นับตังค์ใจคอไม่ดี แต่ถ้าพี่เวฟบอกให้เขารู้ เขาคงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนพิเศษที่กุมความลับเรื่องรอยสักนั้น น่าตื่นเต้นดีอ่ะ
“มาอ่านเองสิ”
ห๊ะ? อ่านเอง? ถ้าให้นับตังค์เข้าไปอ่านเอง เขาก็ต้องดึงกางเกงในของพี่เวฟลงมา แล้วเขาก็จะเห็นรอยสักกับ…อึก!
“ผมเกรงใจ” นับตังค์รีบส่ายหน้าปฎิเสธ ไม่ดีกว่าครับ นับตังค์ใจไม่แข็งพอ
“ไม่อยากรู้เเล้วเหรอ?”
ไม่อยากรู้ก็ได้ครับ…
“เอ่อ ผมว่าเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
“เอาสิ”
นับตังค์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก…สั่นไปหมดแล้ว ไข่กูเนี่ย!



:hao6:


ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 8


เมื่อนับตังค์ลืมตาตื่น ภาพที่ปรากฏให้เห็นในกรอบสายตาคือท้องฟ้าสีดำยามรัตติกาล ประดับด้วยดวงดาวสีเงินที่กำลังส่องประกายระยิบระยับ เขานอนมองภาพเบื้องหน้านิ่งๆนานหลายนาที กว่าฝ่ามือทั้งสองข้างจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความแหลมเรียวของยอดหญ้า สิ่งนั้นทำให้เขาตกใจ รีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง สายตากวาดมองไปรอบๆด้วยความตื่นตระหนกก่อนจะพบว่าเขากลายเป็นเด็กหลงทางอยู่ในป่าใหญ่เสียแล้ว
ที่นี่คือที่ไหน?
นับตังค์มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากต้นไม้ใบหญ้า เบื้องหน้ามีลำธารสายน้อยไหลมาจากที่ใดไม่ทราบ แต่มันทอดตัวยาวราวกับจะไร้จุดสิ้นสุด เมื่อสายตาของเขาเริ่มคุ้นชินกับความมืดก็มองเห็นร่างของใครคนหนึ่งนั่งอยู่ริมลำธารฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มคนนั้นสวมชุดกรีกโบราณสีขาวและแดงเลือดนก กำลังก้มหน้ามองเงาสะท้อนของตนเองในผืนน้ำ เสื้อเปิดไหล่แหวกช่วงอกทำให้มองเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่น่าสัมผัส ภาพคุ้นตาแบบนั้น ทำให้เขารับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร กำลังจะเอื้อยเอ่ยเรียกชื่อ ใบหน้าที่ก้มมองผืนน้ำก็เงยขึ้นมาสบตากับเขาเสียก่อน
คนๆนั้นคือนาร์ซิสซัสในเวอร์ชั่นของ…พี่เวฟ!
นับตังค์สะดุ้งเฮือก เมื่อชั่วพริบตาต่อมา ร่างของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของลำธารก็กำลังทาบทับอยู่บนร่างของเขา อีกฝ่ายโน้มใบหน้างดงามเข้ามาใกล้ก่อนจะประกบปากดูดดุนริมฝีปากของเขาอย่างดุเดือด วินาทีแรกนับตังค์ยกมือดันแผ่นอกของอีกฝ่าย พยายามเบี่ยงหน้าหนีจุมพิตอันเร่าร้อน แต่เมื่อจิตใต้สำนึกรับรู้ว่าคนๆนี้คือใคร ร่างกายของเขาก็อ่อนยวบราวกับเยลลี่ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้สำรวจทุกซอกมุม ริมฝีปากเปิดอ้าออกเล็กน้อยรับสัมผัสนุ่มชื้นที่แทรกเข้ามาหยอกล้อกับลิ้นของเขา
นับตังค์ประหลาดใจเมื่อส่วนหนึ่งในสมองยังจำได้ว่าเขาไม่เคยจูบใครโดยใช้ลิ้นมาก่อน และไม่เคยปล่อยให้ใครเข้ามาจู่โจมร่างกาย ลูบไล้แสดงความเป็นเจ้าของ แม้จะหวาดกลัวกับความใกล้ชิดระดับนี้ แต่อีกใจกลับอยากลิ้มลองรสชาติของตัณหาราคะให้มากอีกหน่อย
นับตังค์ถูกจับถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว ไม่นานร่างเปลือยเปล่าของคนทั้งคู่ก็กอดก่ายกันอย่างแนบแน่น เด็กหนุ่มที่กำลังอยากรู้อยากลอง พลิกร่างของคนงามด้านบนให้ลงมานอนอยู่ใต้ร่าง ริมฝีปากร้อนเริ่มต้นพรมจูบไปตามลำคอขาวผ่อง ฝ่ามือเริ่มต้นสำรวจแผ่นอกแข็งแรงที่เขาใช้เวลามองอยู่นานหลายชั่วโมงแต่ไม่มีโอกาสได้สัมผัส ในสมองของเขากำลังฉายภาพการร่วมรักของชายหนุ่มสองคนที่เคยดูมาจากอินเตอร์เน็ท เป็นธรรมดาของวัยรุ่นอายุ 18 ปีที่มักอยากกระทำตามในภาพยนตร์ของผู้ใหญ่ และในนาทีนี้ที่เขามีโอกาส ย่อมไปปล่อยให้ความต้องการนี้สูญสิ้นไป เขาอยากโอบกอดพี่เวฟ อยากขับเคลื่อนขย่มร่างข้างใต้ให้ส่งเสียงครวญคราง
นับตังค์หลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข ขาสองข้างถ่างออกอย่างเชื่องช้าก่อนที่บางอย่างจะแตะสัมผัสเข้าที่รูทวารของเขา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างแปลกใจ และวินาทีต่อมาเขาก็รับรู้ว่าสิ่งที่สอดแทรกเข้ามาขยายรูทวารเบื้องล่างคือนิ้วของพี่เวฟ เขาอ้าปากร้อนลั่นด้วยความตกใจ แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย พี่เวฟโอบรัดเอวของเขาไว้แน่นก่อนจะกระแทกแก่นกายใส่เข้ามาในตัวเขาอย่างรุนแรง
“ว๊ากกกกกกกก!!!”
นับตังค์แหกปากร้องด้วยความตกใจ เขาลืมตาตื่นแล้วผุดลุกขึ้นมานั่งบนเตียง หอบหายใจถี่รัวขณะกวาดสายตามองไปในความมืด และพบว่าเขายังปลอดภัยดีอยู่ในห้องของตัวเอง
“เป็นเหี้ยอะไร!”
เสียงร้องด่าดังมาจากดินที่ลืมตาตื่นด้วยความตระหนก เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟดวงเล็กตรงหัวเตียง เมื่อห้องนอนมีแสงสว่างขึ้นมาบ้าง เขาก็มองเห็นเพื่อนร่วมห้องนั่งตัวสั่นอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดดูตื่นกลัวราวกับตกอยู่ในฝันร้ายมาอย่างยาวนาน
“โทษที”
นับตังค์พึมพำเสียงเบา เพิ่งตั้งสติได้ว่าเมื่อครู่เขาแค่ฝันไป เขาไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ให้พี่เวฟ เขาไม่ได้ถูกเสียบก้น แต่วินาทีต่อมากลับสัมผัสได้ถึงความชื้นแฉะตรงหว่างขา…ไม่จริงน่า!มือเล็กล้วงเข้าไปในกางเกงนอน ก่อนจะร้องครางในลำคอด้วยความเศร้าใจ เขาฝันเปียก แถมยังแข็งเป็นลำเพราะฝันเลวร้ายเมื่อครู่นี้
“กูฝันเปียก” นับตังค์เอ่ยเสียงแผ่ว สีหน้าเหมือนคนกำลังจะจมน้ำตาย ไม่นะ เขาไม่ได้มีความสุข ไม่ได้สุขสม ไม่ได้หลั่งเพราะถูกเสียบ แต่เขาหลั่งเพราะฝันถึงพี่เวฟต่างหาก แค่เห็นพี่เวฟแก้ผ้าเขาก็เสร็จแล้ว จริงๆนะ
“ฝันเปียก? แล้วจำเป็นต้องแหกปากร้องเหมือนโดนเชือดด้วยหรือไง”
นับตังค์ตวัดสายตาคมกริบไปมองรูมเมต
“ในฝันกูโดนเชือดไปแล้วต่างหาก”
“…?”

โห~
เด็กหนุ่มสามคนที่กำลังนั่งคุกเข่า สุ่มหัวล้อมรอบรูปปั้นของเดวิด (กษัตริย์องค์ที่สองแห่งอิสราเอล) ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น ศีรษะของคนทั้งสามเริ่มผลักกันไปมา เพราะต้องการชื่นชมรายละเอียดบนรูปปั้นอย่างใกล้ชิด เสื้อผ้าของพวกเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยผงปูนสีขาว บนพื้นสตูดิโอในคณะจิตรกรรมมีน้ำเจิ่งนอง อุปกรณ์การปั้นกระจัดกระจายราวกับผ่านสงครามมาอย่างยาวนาน แต่บรรยากาศในห้องกลับเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย คลอด้วยเสียงแสดงความคิดเห็นอย่างตื่นเต้น
“โคตรสวยเลย” << นับตังค์
“เจ๋งอ่ะ” << จูเนียร์
“เริดมากกกกกค่า” << ทวยเทพ
“…” << โลมาที่กำลังนั่งงงอยู่นอกวงโคจร พยายามมุดศีรษะเข้าไปในกลุ่มเด็กหนุ่มอีกสามคน เพราะต้องการมีส่วนร่วม
นับตังค์ขยับตัวเปิดทางให้เจ้าของผลงานที่แท้จริงอย่างโลมา ได้ชะโงกหน้าเข้าไปมองเดวิดอย่างใกล้ชิด เดวิดคือการบ้านชิ้นที่หนึ่งในวิชาปูนปั้น เป็นรูปปั้นที่มีเฉพาะส่วนของศีรษะ สูงจากฐานรองประมาณ 30 เซนติเมตร รายละเอียดบนใบหน้ามีความชัดเจน ส่วนของศีรษะได้สัดส่วนเหมาะสมตามตำรา เพิ่มเติมคือความอ่อนช้อยและงดงามที่เหนือกว่าภาพตัวอย่างในหนังสือ งานชิ้นนี้ไม่ต้องการความแปลกใหม่หรือความคิดสร้างสรรค์ แต่ต้องการให้นักศึกษาเรียนรู้งานปั้นที่ได้สัดส่วนและสวยงาม
ในตอนแรกที่พวกเขาช่วยกันเลือกภาพตัวอย่างจากหนังสือ นับตังค์ ทวยเทพและจูเนียร์ตกลงกันว่าจะปั้นดอกกุหลาบ เพราะมันง่ายกว่าการปั้นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะซับซ้อน แต่โลมากลับแยกตัวออกไปนั่งมุมห้องแล้วเริ่มลงมือปั้นศีรษะของเดวิดอยู่เงียบๆ ระหว่างที่พวกเขาสามคนตบตีกันไปพรางปั้นดอกกุหลาบที่ดูน่าเกลียดดอกหนึ่ง โลมากลับใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงในการเนรมิตเดวิดที่งดงามออกมา ดังนั้นดอกกุหลาบเน่าๆที่ไม่ได้สัดส่วนจึงถูกโยนทิ้งไป แล้วเด็กหนุ่มสามคนก็หันไปเป็นลูกมือให้กับโลมาที่มีพรสวรรค์ในเรื่องของงานปั้นแทน
“มึงคิดถูกแล้ว ที่ไปชวนโลมามาอยู่กลุ่มเดียวกับเรา”
จูเนียร์ตบไหล่นับตังค์ พวกเขารู้สึกราวกับโชคดีได้หล่นลงมาทับ ไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่พูดน้อยแถมยังเฉื่อยชา จะมีเซ้นด้านงานปั้นและเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไปแบบนี้ จะเปรียบเปรยว่าโลมาคือเพชรในกองเศษแก้วก็คงไม่ผิด หากไม่เลือกสรรค์ให้ดีก็คงแยกเพชรที่มีอยู่เพียงเม็ดเดียวออกมาไม่ได้
“สิบคะแนนชัวร์” ทวยเทพปรบมือรัวด้วยความดีใจ
“นายเรียนงานปั้นมาจากไหนเหรอ?” นับตังค์หันไปถามโลมาที่กำลังเอียงคอมองเขาตาปริบๆ
“มหาลัย AU”
เอ่อ หมายถึงก่อนหน้านั้นน่ะ หรือว่านายเพิ่งมาเรียนในคลาสก็เข้าใจแจ่มแจ้งได้เลย?
“ช่างเถอะ นี่โลมา สนใจมาอยู่แก๊งเดียวกับพวกเรามั้ย เห็นแก่ที่นายช่วยให้พวกเรารอดพ้น F บุญคุณนี้ขอตอบแทนด้วยการเป็นเพื่อนที่ดีและซื่อสัตย์ตลอดไป”
ทวยเทพเป็นฝ่ายตัดบทแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง นับตังค์รู้ดีว่าเพื่อนใจสาวมีอดทนทางด้านอารมณ์ต่ำ ให้ทนทำความเข้าใจคำพูดกำกวมของโลมาได้ไม่นานหรอก แต่ถึงอย่างนั้นทวยเทพก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งและที่นับตังค์ชอบที่สุดคือ ทวยเทพเป็นคนมีน้ำใจและรู้จักบุญคุณคน ใครช่วยเหลือหรือเป็นมิตรกับทวยเทพสักครั้ง หมอนี่ก็พร้อมจะตอบแทนเป็นเท่าทวี
“เพื่อนที่ดีและซื่อสัตย์ตลอดไป” โลมาทวนประโยคสุดท้ายขณะมองหน้าทวยเทพอย่างเลื่อนลอย ถ้าม่านตาของหมอนี่ขยายใหญ่สักหน่อย นับตังค์ต้องคิดว่าโลมาเสพยามาแน่ๆ
“ใช่ ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”
นับตังค์จำได้ว่าเพื่อนใหม่ของเขาสมองช้า จึงรีบเข้ามาทำหน้าที่สรุปข้อมูล เผื่อว่าหลังจากนี้ตอนที่โลมาต้องการความช่วยเหลือจะได้คิดถึงพวกเขา แต่น่าเสียดายที่โลมาเรียนสาขาจิตรกรรม ทำให้พวกเขาได้เรียนร่วมกันแค่ไม่กี่วิชา และมีเวลาว่างไม่ค่อยตรงกัน นับตังค์เริ่มกังวลแล้วว่า โลมาจะมีเพื่อนสนิทในสาขาบ้างหรือไม่ แล้วถ้าไม่ อีกฝ่ายจะรู้สึกโดดเดี่ยวมากแค่ไหน จะมีใครคอยช่วยเหลือบ้างหรือเปล่า
“เอางี้ ในฐานะที่ลิลลี่คนสวยทำงานน้อยที่สุด ลี่รู้สึกผิดมาก ขอเลี้ยงมื้อเที่ยงทุกคนแล้วกัน” ทวยเทพเสนอ เพราะแม้แต่งานผสมปูนเขาก็ยังทำไม่เป็น ถือว่างานนี้เกาะเพื่อนได้คะแนนแบบสวยๆเลย
“อยากแดกไร จดมาค่า” ทวยเทพฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากสมุด แล้วส่งกระดาษกับปากกาให้จูเนียร์เป็นคนจดรายการอาหาร
“โลมา อยากกินอะไร” หลังจากที่ทุกคนบอกความต้องการของตัวเองเรียบร้อยแล้ว นับตังค์ก็หันมาถามโลมาที่ยังนั่งเงียบอยู่ที่เดิม
“สติ๊กโก้ฟิงเกอร์” โลมาตอบ
“หมายถึงข้าวอ่ะ อยากกินอะไร” จูเนียร์ถาม
“อยากกินสติ๊กโก้ฟิงเกอร์” โลมาย้ำอีกครั้งด้วยดวงตาที่ฉ่ำวาวไปด้วยหยดน้ำ ไม่เอานะ อย่าร้องไห้เด็ดขาด
“ได้ๆ ลี่ซื้อให้ แต่นายกินข้าวด้วยเถอะ” ทวยเทพรีบตอบตกลง ทำให้ดวงตาสีดำขลับของโลมาเปล่งประกายสดใส ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ข้าวผัดไข่”
“โอเค ข้าวผัดไข่กับ…ว่าแต่ไอ้ฟิงเกอร์มันคืออะไรวะ แล้วซื้อได้ที่ไหน?” ทวยเทพเอ่ยถาม จะว่าไปชื่อมันก็คุ้นๆนะ คงจะเป็นขนมอะไรสักอย่าง แต่เขาคิดไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
“สติ๊กโก้ฟิงเกอร์ เป็นเวเฟอร์แบบแท่งอ่ะ มีขายที่เซเว่น” นับตังค์รับหน้าที่อธิบายให้ทวยเทพฟัง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าขนมยี่ห้อนี้มีอยู่หลายรสชาติ
“นายอยากกินรสอะไร” นับตังค์หันไปถามโลมา
“ทุกรส” โลมาตอบ
“ซื้อมาอย่างละรส” นับตังค์สรุป
“จริงๆตอนนี้กูก็คิดนะว่า มีมึงคนเดียวที่สื่อสารกับโลมารู้เรื่องอ่ะ” จูเนียร์เปรยขณะส่งรายการอาหารให้ทวยเทพที่รับหน้าที่ออกไปซื้อ
“เออ อยู่กันไปก็รู้ใจกันเองแหละ” ทวยเทพยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ถ้าเขาคุยกับเพื่อนใหม่ไม่รู้เรื่องก็แค่ใช้วุ้นแปลภาษาอย่างนับตังค์ก็สิ้นเรื่อง เพราะดูท่าหมอนี่จะเข้ากับโลมาได้ดีทีเดียว
นับตังค์กับจูเนียร์รับหน้าที่ทำความสะอาดสตูดิโอระหว่างรอมื้อเที่ยงจากทวยเทพ ส่วนโลมามีหน้าที่พักผ่อนหลังจากต้องปั้นเดวิดมาเป็นเวลานาน นับตังค์สังเกตเห็นว่า โลมาเป็นพวกอยู่ไม่สุข ไม่สามารถนั่งพักเฉยๆ หรือนอนเกลือกกลิ้งแบบโง่ๆได้ เขาเห็นว่าโลมาเอาแต่นั่งวาดรูปลงในสมุดปกหนัง พอเขาขอดูอีกฝ่ายก็ไม่ยอม นับว่าเป็นสมุดลับของโลมาเลยก็ว่าได้
สามสิบนาทีต่อมา สตูดิโอก็ถูกเก็บกวาดจนอยู่ในสภาพเดิม พร้อมกับการปรากฏตัวของทวยเทพและมื้อเที่ยง ทวยเทพหยิบน้ำอัดลมแบบกระป๋องออกมาส่งให้ทุกคน ส่วนกระป๋องในมือของตัวเองถูกชูขึ้นกลางอากาศ
“มา ดื่มให้กับแก๊งนางฟ้าของพวกเรา”
“กูเกลียดชื่อแก๊งของเราอ่ะ” นับตังค์บ่นพึมพำเมื่อได้ยินชื่อแก๊งที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเขา แต่เพราะทวยเทพได้ประกาศให้คนทั้งคณะรับรู้ไปทั่วแล้วว่า พวกเขาคือแก๊งนางฟ้าแห่งคณะจิตรกรรม บวกกับการทำตัวเด่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของทวยเทพทำให้ใครๆก็พากันรู้จักและยอมรับกันไปเองว่าพวกเขาสามหน่อคือแก๊งนางฟ้า และตอนนี้ได้เพิ่มสมาชิกใหม่อย่างโลมาเข้ามาอีกหนึ่งคน
“หยาบคาย! ตบปากตามอายุเดี๋ยวนี้นะ” จูเนียร์ตวัดสายตามองค้อนนับตังค์ ก่อนจะหยิบแป้งตลับออกมา แล้วใช้ฟองน้ำซับใบหน้า
“มึงสวยแล้วล่ะ” << ทวยเทพ
“พวกเราคือนางฟ้า” << จูเนียร์
“แก๊งนางฟ้า เย้!” << โลมา
“เย้! (. .)” << นับตังค์

22.00 น.
ร้าน ‘นอกชาน’ เป็นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าที่มีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงาน แม้จะอยู่ในย่านของมหาลัย AU แต่น้อยครั้งที่ร้านจะได้ต้อนรับลูกค้าที่เป็นนักศึกษา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาอาหารที่ค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับรสชาติที่อร่อยและเป็นเอกลักษณ์ก็นับว่าคุ้มค่า ที่นี่มีบรรยากาศแบบชนบทที่หาได้ยากจากในเมืองหลวง ทำให้คนทำงานหลายคนยอมควักเงินจ่าย พนักงานส่วนใหญ่ในร้านนอกชาน เกือบ 70% เป็นนักศึกษามหาลัย AU ที่มักจะพลัดเปลี่ยนกันมาทำงานพาสไทม์เพื่อหารายได้พิเศษ
นับตังค์ขับมอเตอร์ไซค์คันโปรดเข้าไปจอดในลานกว้างหน้าร้านอาหาร เขาเคยมาเป็นลูกค้าที่นี่หนึ่งครั้งตอนที่สายรหัสพามาเลี้ยง ไม่อยากจะอวดแต่ปู่รหัสของเขารวยมากและป๊ามาก อยู่สายนี้ถือว่าได้กินดีอยู่ดีเลยล่ะ แต่ครั้งนี้ที่นับตังค์โผล่มาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อมาเป็นลูกค้า แต่มารับพนักงานพาสไทม์คนหนึ่งต่างหาก
เวลาสี่ทุ่มตรง เป็นเวลาที่ครัวปิด ทางร้านไม่มีนโยบายไล่แขกทำให้มีลูกค้าบางส่วนยังนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ส่วนพนักงานพาสไทม์สามารถเลิกงานได้เลย ส่วนใครที่สะดวกอยู่เกินเวลาเพื่อดูแลลูกค้าที่เหลือ จะได้รับโบนัสพิเศษ
นับตังค์ค่อยๆย่องเข้าไปในร้านอาหารที่กำลังจะปิดให้บริการ แต่เมื่อคิดได้ว่าท่าทางของตัวเองในตอนนี้ ดูไม่ต่างไปจากโจรย่องเบา ก็รีบเปลี่ยนเป็นยืดหลังให้ตรงแล้วเดินอย่างมั่นหน้าเข้าไปด้านใน ใช้เวลากวาดสายตาไปรอบๆเพียงครู่เดียว ก็มองเห็นรูมเมตที่เป็นตัวภาระกำลังช่วยสาวสวยคนหนึ่งยกลังใส่จานที่ใช้แล้ว ท่าทางสนิทสนมและรอยยิ้มหวานๆของสาวคนนั้นทำให้นับตังค์ที่เป็นคนดีมีมารยาท ไม่อยากจะขัดฉากกุ๊กกิ๊กที่แผ่กระจายความหวานออกมาเตะตาคนรอบข้าง จึงปล่อยให้ดินทำหน้าที่ช่วยเหลือสาวสวยต่อไป กระทั่งโต๊ะเก้าอี้ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย หมอนั่นถึงได้หันมาเห็นเขา
“ไง”นับตังค์เอ่ยทักเมื่อรูมเมตหน้าหล่อเดินเข้ามาหา
“ขอบใจที่มารับ” ดินเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนล้า ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ดินจะทำงานที่ร้านนมสดในช่วงเช้าถึงเย็น และทำงานที่ร้านอาหารในช่วงเย็นถึงสี่ทุ่ม หรือบางวันอาจจะล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืน ไม่ล้าก็แปลกแล้ว
“ระหว่างเรามีอะไรต้องขอบใจอีกเหรอวะ” นับตังค์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย
“พูดเหมือนมึงเป็นเมียกูเนอะ”
“จะบอกว่ามึงไม่เคยเกรงใจกูมาตั้งนานละ จะเรียกใช้กูอีกสักเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอก”
ปกติดินจะขโมย ฉกชิง หรือจะใช้คำว่าอะไรก็แล้วแต่ในการเอารถมอเตอร์ไซค์สุดที่รักของนับตังค์ไปใช้ แต่วันนี้เขาบอกกับดินว่ามีนัดทำงานกลุ่มกับเพื่อนที่คณะ จะเอารถไปใช้ ดินจึงขอให้เขาออกมารับที่ร้านอาหารหลังเลิกงาน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ดินจะกลับแล้วเหรอ” เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นดังมาจากสาวสวย เพื่อนร่วมงานของดิน เธอเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ
“อืม เพื่อนมารับแล้ว” ดินตอบเรียบๆ อีกฝ่ายเหลือบตามองมาทางนับตังค์แล้วส่งยิ้มให้เล็กน้อยตามมารยาท ก่อนจะเอ่ยลา
“กลับดีๆนะ”
หลังจากที่เดินออกมาจากร้านนอกชาน นับตังค์ก็ยกมือขึ้นกอดคอรูมเมตแล้วเอ่ยเสียงล้อเลียน
“สาวคนนั้นเค้าชอบมึงอ่ะ”
“กูรู้”
นับตังค์เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยตอบด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
“แหม คนหล่อเลือกได้นะมึง”
“ตอนนี้ยังเลือกมากไม่ได้” ดินตอบอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเดินมาถึงลานจอดรถก็แบมือขอกุญแจ ซึ่งนับตังค์ยินดียกให้อย่างยิ่งเพราะเขาขี้เกียจขับรถ
“ทำไมวะ” นับตังค์ถามด้วยความสนใจ ใครๆก็อยากให้มีคนมาชอบไม่ใช่หรือ ยิ่งเยอะยิ่งดี จะได้เลือกคนที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
“กูยังไม่พร้อมจะดูแลใคร”
“พูดอะไรอย่างนั้น ไม่พร้อมตอนนี้จะไปพร้อมตอนไหน เดี๋ยวทำงานมึงก็จะอ้างว่าไม่ว่างอีกหรือเปล่า?”
“ดูเหมือนมึงจะสนับสนุนให้กูมีแฟนนะ?”
ดินเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังขณะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ จากร้านนอกชานไปหอใน ใช้เวลาขับรถแค่สิบนาที ดินจึงไม่ได้เร่งรีบ แต่เลือกที่จะขับรถเอื่อยๆไปตามเส้นทางคุ้นเคยในมหาลัย
“พ่อกูเคยบอกว่าช่วงมัธยมเป็นวัยเรียน ให้ตั้งใจเรียน จะได้สอบเข้ามหาลัยดีๆ ส่วนช่วงมหาลัยเป็นวัยเรียนและวัยรัก ต้องตั้งใจเรียนและตั้งใจรักให้ดีๆ ลองผิดลองถูกให้พอมีประสบการณ์ พอช่วงทำงานก็ถึงเวลาจริงจังกับการสร้างเนื้อสร้างตัวและดูแลคนรักของเราให้ดี วัยนี้จะมัวมาเสียเวลาผิดพลาดเรื่องความรักไม่ได้แล้ว หรือมึงคิดจะข้ามขั้น เอาเวลาช่วงนี้ไว้เรียนกับทำงานล่ะ?”
นับตังค์เอ่ยระหว่างทางกลับหอพัก ดินขับรถช้ามาก ทำให้ช่วงเวลานี้กลายเป็นเวลาสนทนาระหว่างเพื่อน นับตังค์ไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับดินมากนัก เพราะดินมักจะวุ่นอยู่กับการทำงาน พอกลับมาถึงหอถ้าไม่ทำการบ้านก็อ่านหนังสือ ยิ่งดินต้องดิ้นรนมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงความขยันออกมามากเท่านั้น เห็นแล้วนับตังค์รู้สึกนับถือจริงๆ ต่างจากเขาที่มีเงินกิน มีเงินใช้อย่างสุขสบาย แต่ความขยันในเรื่องเรียนกลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คิดแล้วก็สงสารพ่อ ไม่ได้การแล้ว ต่อไปนี้เขาต้องฮึบ! ตั้งเป้าหมายไว้ว่าเทอมนี้ต้องคว้า A มาหลายๆตัวให้พ่อได้ชื่นใจ
“พ่อมึงสอนดีจังวะ กูชอบ”
“ใช่ พ่อกูเจ๋งที่สุด” นับตังค์สนิทกับพ่อมาก เพราะพ่อของเขาเป็นผู้ใหญ่หัวสมัยใหม่ มีความคิดเปิดกว้าง พ่อมักจะสอนให้นับตังค์เรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นด้วยตัวของตัวเอง ผิดพลาดด้วยตัวเอง และประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง
“กูไม่เคยคบใครจริงๆจังๆเลย” ดินเปรยเสียงเบา แม้จะมองไม่เห็นสีหน้า แต่นับตังค์เดาว่าดินกำลังกังวล
“กูอยากมีแฟนนะหนูนับ แต่กูกังวลเรื่องเงิน”
“จะมีแฟนเกี่ยวอะไรกับเงิน?”
นับตังค์ถามด้วยความแปลกใจ ตอนที่เขาเรียนมัธยมก็ได้ค่าขนมไม่กี่บาท เขายังมีแฟนได้เลย ออกเดทกันแบบราคาประหยัด อย่างกินน้ำแข็งไสถ้วยละสิบบาทหน้าโรงเรียน หรือไม่ก็กินข้าวจานละยี่สิบห้าบาทในโรงอาหารด้วยกัน ตอนที่ความรักเข้าตาจะกินอะไรก็อร่อย มองไปทางไหนโลกก็สดใสสวยงาม กินกบกินเขียดก็ฟินได้ทั้งนั้น ไม่ต้องหรู!
“กูอยากให้คนที่เป็นแฟนกูสบาย กูอยากเปย์เขา อยากพาเขาไปดูหนัง ไปกินข้าว อยู่กับกูเขาจะไม่อายคนอื่น ไม่ดูถูกว่ากูจน”
นับตังค์ฟังแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขากำลังคิดถึงพี่เวฟที่ร่ำรวย มีเงินจ่ายค่าตั๋วหนังระดับ VIP ขับบิ๊กไบค์กับเบนซ์คันละล้านมามหาลัย ส่วนหน้าตายิ่งไม่ต้องพูดถึง สวยระดับนางฟ้า แถมยังเป็นที่หมายปองของหมาวัดหลายตัวรวมถึงหมาวัดอย่างนับตังค์ที่ต่อให้อยากเปย์แค่ไหนก็ไม่มีปัญญา แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นหมาวัดที่จริงใจและใฝ่สูง อ่า ไม่ใช่สิ เป็นหมาวัดที่พยายามต่างหาก เขาจะตั้งใจสอยดอกฟ้าต่อไปอย่างไม่ท้อแท้ ใช้ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องทำให้พี่เวฟใจอ่อน กว่าจะรู้ตัวพี่เวฟก็ตกหลุมรักหมาน้อยอย่างเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว
“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบเงินนี่ มึงก็เปย์เท่าที่ไหว ถ้าเขาชอบมึง ก็ต้องปรับตัวให้อยู่กับมึงได้ เรื่องเงินแค่ปัญหาลอง ปัญหาหลักคือเข้ากันได้มั้ยต่างหาก”
เหตุผลหนึ่งที่นับตังค์กล้าใฝ่สูง เป็นเพราะว่าทุกครั้งที่อยู่กับพี่เวฟ เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจนหรือต่ำต้อยเลย…พี่เวฟจะถามความต้องการและความคิดเห็นของเขาเสมอ
พี่เวฟรู้ว่าเขาเป็นคนคิดมาก เขาจะไม่สบายใจทุกครั้งที่ต้องเป็นฝ่ายรับผลประโยชน์อยู่เพียงฝ่ายเดียว พี่เวฟจึงมักจะหาข้ออ้างให้เขาจ่ายค่าอะไรสักอย่างเล็กๆน้อยๆ แต่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่พี่เวฟจะออกให้ทั้งหมด เมื่อลองมาคิดดูดีๆจะเห็นว่าพี่เวฟต่างหากที่ต้องเสียเปรียบ ครั้งหนึ่งตอนที่ไปดูหนังด้วยกัน พี่เวฟบอกว่าจำราคาตั๋วหนัง VIP ไม่ได้ เป็นเพราะไม่อยากให้เขารู้ว่าราคามันแพงบัดซบแค่ไหน เขาจะได้ไม่ลำบากใจที่ไม่มีเงินช่วยหาร แล้วคนที่ทั้งใส่ใจและให้เกียรติคนอื่นแบบนี้ จะเป็นพวกที่ดูถูกคนที่มีเงินน้อยกว่าตัวเองได้อย่างไร
“จะมีคนแบบนั้นจริงเหรอ”
“แน่นอน” อย่างน้อยก็มีพี่เวฟคนนึง!
“ถ้าเป็นมึงล่ะ?” ดินเอ่ยถามเสียงเบา
“หื้ม?”
“จะรังเกียจมั้ยถ้ามีแฟนจน”
ถ้าพี่เวฟจน ไม่มีเงินจะกินน่ะเหรอ?
นับตังค์หัวเราะเบาๆขณะที่ในสมองเริ่มมโนถึงการชวนพี่เวฟไปจับกบจับเขียดตามทุ่งนา เขาเป็นลูกพ่อครัวใหญ่ จะแกงกบ กระเพรากบ หรือกบทอดล้วนทำเป็นและทำได้อร่อยทั้งนั้น ไม่อยากจะโม้เล้ย!
“ไม่รังเกียจอยู่แล้ว”
นับตังค์ตอบอย่างไม่ลังเล โดยไม่รู้ตัวเลยว่า…คำพูดประโยคนั้น ได้จุดความหวังเล็กๆขึ้นในใจของใครบางคน




TBC.  :o8:






ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


I'm Tussy 9


19.50 น.
นับตังค์ยืนพิงเสาไฟหน้าหอพัก กำลังไถหน้าจอไอโฟนเพื่อส่องโมเม้นต์ในกองประกวดดาวเดือนจากเพจ ‘คลังคนหน้าตาดีAU’ การประกวดดาวเดือนจะถูกจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า ทำให้พี่เวฟที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินรายการคู่กับพี่คุณเดือนมหาลัยปีที่แล้ว จำเป็นต้องอยู่ซ้อมหลังเลิกเรียนทุกวัน นับตังค์ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าคนงามมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในใจมันรู้สึกหวิวๆ ทั้งยังโหยหาอยากเจอหน้า อยากโทรหา แต่คนใจหมาอย่างเขาทำได้แค่หยิบไอโฟนขึ้นมามองเบอร์โทรศัพท์เท่านั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะใช้ข้ออ้างอะไรในการโทรไปหา ที่ทำได้ก็มีแค่การส่งข้อความไปให้พี่เวฟทาง messenger ทุกวัน ส่วนใหญ่ก็ถามว่ากินข้าวหรือยัง? การบ้านเยอะมั้ย? ทำอะไรอยู่?ฝันดีนะครับ ปกติพี่เวฟจะตอบกลับข้อความของเขาค่อนข้างเร็ว แต่ช่วงสองวันมานี้เริ่มจะตอบช้าลง เพราะว่ายุ่งอยู่กับการซ้อมใหญ่
นับตังค์เคยถามพี่เวฟว่าอยากให้เขาไปช่วยในกองประกวดหรือดูแลเรื่องอาหารการกินหรือไม่ เพราะยังไงเขาก็ยินดีเป็นเบ๊ให้อยู่แล้ว แต่มันแย่ตรงที่กองประกวดไม่อนุญาตให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป เพราะแค่นี้ก็มีพวกติ่งดาวเดือนหลายร้อยคนพากันไปชุมนุมหน้าโดม AU เพื่อสอดส่องการซ้อม บางคนถึงกับแอบลอบเข้าไปด้านในตอนที่ผู้เกี่ยวข้องไม่เห็น หนักสุดคือมีเด็กนักเรียนตามมากรี๊ดเดือนหล่อๆที่เคยมีผลงานในจอทีวีถึงในมหาลัย ทำให้เพจ ‘คลังคนหน้าตาดี AU’ ที่ดูแลโดยสโมสรนักศึกษาต้องทำหน้าที่อัพเดตข่าวสารและสร้างกระแสโมเม้นต์ซะเอง อย่างน้อยก็สามารถลดจำนวนคนที่ตามไปเกาะติดที่หน้าโดมให้น้อยลงได้
เอ๊ะๆๆ จะเมะหรือจะเคะก็ได้ทั้งนั้นแหละคนนี้ ขอบอกว่างานนี้แอดมินอิจฉาสุดๆเลยค่ะท่าน
แล้วลูกเพจล่ะ อิจฉาใครคะ แอดมินอิจน้องเคนกับพี่คุณที่ซู้ดดดเลย อยากเป็นทาสน้องเวฟ ทูนหัวของบ่าว
#เวฟกินกับอะไรก็อร่อย #เวฟเคนโด้ #คุณเวฟ
เคดิต: คุณ เดือนมหาลัย ปี 2
เวฟ รองเดือนมหาลัย ปี 2
เคนโด้ เดือนคณะจิตรกรรม ปี 1
#รับน้องAU #มหาวิทยาลัยAU #ประกวดดาวเดือนAU #เดือนหล่อบอกต่อด้วย
นับตังค์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความล่าสุดในแฟนเพจที่ถูกโพสต์ขึ้น พร้อมกับรูปถ่ายเบื้องหลังการซ้อมประกวดดาวเดือน พรางคิดว่าแอดมินแม่งต้องเป็นติ่งพี่เวฟแน่ๆเลย วันๆเอาแต่ปั่นกระแสของพี่เวฟอยู่ได้ ทั้งที่ควรจะปั่นให้ผู้เข้าประกวดดาวเดือนปีนี้ต่างหาก
นับตังค์ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วหลุบตาลงพิจารณารูปบนจอไอโฟนอีกครั้ง รูปแรกเป็นรูปของเคนโด้ เดือนคณะจิตรกรรมกำลังใช้ทิชชู่ซับเหงื่อบนหน้าผากให้พี่เวฟที่กำลังก้มหน้าอ่านสคิปในมือ ไม่อยากหงุดหงิดนะแต่ภาพนี้แม่งเหมือนเมียกำลังดูแลผัวยังไงยังงั้น คือต้องขอกล่าวถึงใบหน้าน่ารักๆคิคุของเคนโด้ก่อน ในบรรดาเดือนมหาลัยปีนี้จะเน้นหล่อ เท่ส์ และมาดแมน จะมีก็แต่คณะของเขานี่แหละที่ส่งเดือนหน้าโง่ อะแฮ่ม ไม่เอาสิ ไม่อิจฉา จะมีก็แต่คณะของเขาที่ส่งเดือนหน้าบ๊องแบ๊วเข้าประกวด เป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมา คณะจิตรกรรมไม่เคยคว้าตำแหน่งเดือนมหาลัยได้เลย ปีนี้ก็เลยทำใจแล้ว คิดว่าหนุ่มน่ารักคงจะครองใจแม่ยกสาวๆได้ดีกว่า เพราะงั้นจึงให้เคนโด้เล็งตำแหน่งป๊อปปูล่าโหวตเอาไว้
นับตังค์ยอมรับจากใจเลยว่า ‘ไม่ชอบ’ เคนโด้ หมอนี่เรียนอยู่สาขาเดียวกับเขา เป็นแหล่งรวมลักษณะนิสัยของคนในแบบที่เขาไม่ชอบ เคนโด้เลือกคบเฉพาะเพื่อนที่หน้าตาดีและค่อนข้างป๊อบเท่านั้น เคนโด้เป็นเด็กหนุ่มผิวขาว หน้าตาดี ริมฝีปากอิ่มสวยชอบพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวาน ดูไม่เป็นธรรมชาติและไร้ความจริงใจอย่างถึงที่สุด ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำชอบตวัดมองผู้ชายหน้าตาดีแล้วเชิญชวนอย่างโจ่งแจ้ง นับตังค์ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถูกเชิญชวนมาแล้ว มันไม่น่ารักเลย แถมน่าสยองซะมากกว่า แต่เอาเป็นว่าหมอนี่มีแฟนบอยในคณะเป็นจำนวนมากเพราะการพูดการจาที่เรียกว่าน่าเอ็นดู ที่เขาไม่ชอบที่สุดคือหมอนี่อ่อยไปทั่วแต่ไม่ยอมคบใครเป็นตัวเป็นตน คนที่ได้ใกล้ชิดมักมีผลประโยชน์ให้เก็บเกี่ยว เช่น รวย หรือไม่ก็เรียนเก่ง
ส่วนภาพที่สอง เป็นภาพของพี่คุณที่ยื่นขวดน้ำเปล่าเสียบหลอดไปตรงหน้าพี่เวฟ ซึ่งกำลังก้มลงมาดูด โมเม้นต์นี้ค่อนข้างคุมเครือ ถ้าจะบอกว่าเป็นเพื่อนกันมันก็ดูใช่ หรือถ้าจะบอกว่าเป็นมากกว่าเพื่อน มันก็มีความเป็นไปได้ แต่ก่อนที่นับตังค์จะได้คิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ไฟหน้าของรถยนต์คันหนึ่งก็สาดแสงสว่างจ้ามาแต่ไกล เขารีบร้อนเก็บไอโฟนใส่ในกระเป๋ากางเกง แล้วกระโดดออกไปโบกมือเหยงๆอยู่ข้างถนน นับตังค์มองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ารถคันนั้นยี่ห้ออะไร และไม่แน่ใจด้วยว่าเป็นรถของลุงรหัสหรือเปล่า แต่นั่นเป็นรถคันแรกที่ขับผ่านมาในช่วงสิบนาที เพราะงั้นรีบโบกไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ถ้าไม่ใช่ก็แค่รอโบกคันต่อไป
รถญี่ปุ่นสีขาวแล่นเข้ามาจอดเทียบริมทางเท้าตรงหน้าของนับตังค์ พร้อมกับกระจกฝั่งคนขับที่ถูกเลื่อนลงมาเผยให้เห็นใบหน้าเท่ส์ๆของลุงรหัส และพี่รหัสคนสวยที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ
“หวัดดีครับพี่ดาว พี่ยู” นับตังค์ยกมือไหว้สายรหัสแล้วส่งยิ้มกว้างให้คนทั้งคู่ วันนี้พวกเขามีนัดกับปู่รหัสที่ชวนไปเลี้ยงมื้อค่ำที่ร้านอาหารสักแห่งที่เขาไม่รู้จักเพราะอยู่ค่อนข้างไกลจากมหาลัย
“มึงนี่ก็หาที่ยืนดีจริงๆเลยนะ กลมกลืนกับเสาจนกูมองแทบไม่เห็น” ลุงรหัส หรือฉายาที่นับตังค์แอบยกย่องในใจว่า ‘พี่ยูปากหมา’ เอ่ยว่าทันทีที่เห็นหน้าเขา
“แถบนี้ไฟเสียหมดเลยอ่ะ ยืนตรงไหนก็กลมกลืนทั้งนั้นแหละ” นับตังค์แย้ง เพราะเสาไฟข้างถนนหน้าหอในพร้อมใจกันเปิดไม่ติดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และมหาลัยก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะส่งใครมาซ่อมด้วย
“ขึ้นรถ ให้ว่อง”
เมื่อได้รับคำสั่งจากลุงรหัส นับตังค์ก็รีบวิ่งไปเปิดประตูด้านหลังแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งประจำที่ทันที รถญี่ปุ่นคันเล็กเคลื่อนตัวไปตามท้องถนนมืดๆอย่างไม่รีบร้อน ระหว่างนั้นพี่รหัสคนสวยก็หันมาเอ่ยถามอย่างใจดี
“น้องนับ เรียนเป็นไงบ้างจ๊ะ”
“เรื่อยๆครับ”
พี่รหัสของนับตังค์ชื่อว่า ‘ดาว’เรียนอยู่สาขาเดียวกับเขาซึ่งถือเป็นโชคดีเพราะหนังสือเกือบทุกวิชาได้รับการตกทอดมาจากพี่รหัสทั้งหมด ส่วนลุงรหัสของเขา มีชื่อว่า ‘ยู’ เป็นแฟนขี้หึงของพี่ดาว เรียนอยู่สาขาภาพพิมพ์ ไม่เคยทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อน้องนุ่งสักอย่าง แล้วก็ไม่เคยใจดีกับเขาเลยด้วย ส่วนปู่รหัสหรือก็คือ ‘พี่อาร์ต’ เรียนอยู่สาขาจิตรกรรม มีประโยชน์อยู่เพียงเรื่องเดียวคือชอบเปย์รุ่นน้องในสาย ชอบเลี้ยงสังสรรค์ แต่ปรึกษาเชี่ยอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วยังติดต่อยากมากอีกด้วย ถือว่าติสตัวพ่อเลยล่ะ แต่รวมๆแล้วเขาชอบพี่อาร์ตที่สุดนะ เท่ส์ดี แบบแปลกๆนิดหน่อย
“ถ้ามีปัญหาเรื่องเรียนโทรหาพี่ได้ตลอดนะ” พี่ดาว ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของนับตังค์เอ่ยอย่างอ่อนโยนตามปกติ
“ขอบคุณครับ แต่ช่วงนี้เนื้อหาที่เรียนไม่ได้ยาก เลยไม่มีปัญหาอะไร”
“ปีหนึ่งสบายสุดแล้ว มึงต้องรีบดื่มด่ำช่วงเวลานี้ไว้ซะ ขึ้นปีสองแล้วเรียนยากชิบหาย งานก็เยอะ” พี่ยูแทรกขึ้น ซึ่งนับตังค์ก็ทำเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“รู้แล้วน่า”
“พี่อาร์ตเล่าให้ฟังว่ามึงวาดภาพงานนิทรรศการเสร็จแล้วเหรอวะ เห็นว่าโคตรสวย” พี่ยูเอ่ยถาม
“เพิ่งเสร็จภาพเดียวเองพี่”
นับตังค์เพิ่งวาดภาพที่นาร์ซิสซัสตกหลุมรักเงาสะท้อนของตัวเองเสร็จ รอให้สีแห้งสนิทจึงส่งข้อความไปบอกพี่อาร์ต วันต่อมาอีกฝ่ายก็แล่นมารับภาพถึงที่เพื่อไปเก็บรักษาไว้สำหรับรอจัดแสดง
“พี่อาร์ตบอกว่าน้องนับได้เวฟเป็นแบบจริงเหรอ”
พี่ดาวเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น ดวงตาคู่กลมเป็นประกายวิบวับราวกับเจอของถูกใจ นับตังค์ไม่อยากคาดเดา แต่เซ้นมันบอกว่าพี่รหัสคนสวยคงไม่พ้น เป็นหนึ่งในติ่งของพี่เวฟแน่ๆเลย ถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับเขาล่ะ ฮี่ๆ
“ใช่แล้ว” นับตังค์ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ เขาก็เป็นติ่งของพี่เวฟเหมือนกัน แต่เป็นติ่งระดับ VIP ที่ได้ใกล้ชิดเป็นการส่วนตัว และยังได้เห็นคนสวยโป๊อีกต่างหาก ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะได้เห็นง่ายๆเลยนะ
“พี่ดูดิ นาร์ซิสซัสของผมสวยเหมือนพี่เวฟมั้ย” นับตังค์หยิบไอโฟนขึ้นมาเปิดรูปที่ถ่ายจากภาพวาดของนาร์ซิสซัส แล้วยื่นไปจ่อหน้าพี่อาร์ตเป็นคนแรก
“ไอ้เด็กเหี้ย กูขับรถอยู่ อวดไม่เป็นเวล่ำเวลาเลยนะมึง” พี่ยูไม่ได้มองรูปที่นับตังค์กำลังอวด แต่ดันมือที่ถือไอโฟนไปทางพี่ดาว
“พี่ยู อย่าว่าน้อง…มาอวดพี่นิ”
ประโยคแรกพี่ดาวว่าพี่ยู ส่วนประโยคที่สองบอกกับนับตังค์ ก่อนจะรีบคว้าไอโฟนจากมือรุ่นน้องไปส่องภาพวาดของนาร์ซิสซัส ใช้เวลาครู่หนึ่งในการซูมแล้วซูมอีกจนพอใจ จึงได้เงยหน้าขึ้นมามองนับตังค์
“เวฟนี่สวยจริงๆเลย หล่อด้วย ถ้าไม่ติดว่าเป็นตุ๊ดนะ พี่จีบไปแล้ว”
นับตังค์ยิ้มกว้าง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากยกยอพี่เวฟ คนขับที่นั่งเงียบมานานก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“อะแฮ่ม พูดอะไรเกรงใจผัวคนปัจจุบันหน่อยนะดาว”
หลังจากนั้นในรถก็มีเพียงเสียงของสองผัวเมียงอนง้อกันกระหนุงกระหนิง ทำเองคนโสดที่กลายร่างเป็นหมาหัวเน่าได้แต่ปิดปากเงียบด้วยความอิจฉา กอดอกแล้วเอนหลังพิงเบาะรถ พลางมโนอยู่คนเดียวว่าถ้าได้พี่เวฟมาเป็นแฟน เขาจะออดอ้อนอย่างไรบ้าง
ร้านอาหารที่พี่อาร์ตจองไว้เป็นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าแบบกลางแจ้ง ตั้งอยู่ในย่านที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านร้านนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากมีวงดนตรีร้องสดตั้งแต่ช่วงหนึ่งทุ่มถึงห้าทุ่ม โดยช่วงหัวค่ำจะเป็นเพลงช้าๆฟังสบาย พอตกดึกจะเป็นเพลงที่เน้นความสนุกสนานให้ลูกค้าได้โยกย้ายกันอย่างเมามัน วันนี้ลูกค้าค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษเนื่องจากทางร้านได้เชิญนักร้องเพลง cover ที่กำลังเป็นที่นิยมใน youtube มาร้องสดที่ร้านช่วงสามทุ่ม แล้วไอ้พี่อาร์ตที่เป็นแฟนตัวยงของนักร้องกลุ่มนี้ก็รีบจองโต๊ะอย่างว่องไวและเผื่อแผ่น้องนุ่งในสายรหัสให้มาสนุกด้วยกัน
“ไงพวก”
พี่อาร์ตเอ่ยทักเมื่อนับตังค์ และสายรหัสมาถึงโต๊ะอาหารที่ถูกจับจองเอาไว้ พี่อาร์ตกำลังนั่งจิบเหล้าสีอำพันอยู่ตามลำพัง พรางกระดิกนิ้วมือไปตามจังหวะเพลง ทางท่าชิวๆเหมือนเดิม
“หวัดดีครับพี่” นับตังค์ยกมือไหว้ปู่รหัสพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งเดียวกัน อีกฝ่ายชายตามามองเขาแล้วทักตอบเสียงสดใส
“หวัดดีหนูนับ ไม่เจอกันนานยังชอบทำหน้าโง่เหมือนเดิมเลยนะ”
นับตังค์หน้างอ ข้อดีของการเป็นรุ่นน้องคือกินฟรี ส่วนข้อเสียของการเป็นรุ่นน้องคือถูกรุ่งพี่รังแก เขานึกถึงครั้งแรกของการมาร่วมงานเลี้ยงสายรหัส ความรู้สึกตอนนั้นผสมปนเป ระหว่างความตื่นเต้น คาดหวังและหวาดกลัว นับตังค์เคยอ่านข่าวการรับน้องแบบซาดิตม์มาบ้าง เลยค่อนข้างกังวลว่าสายรหัสของเขาจะมีรุ่นพี่ซาดิตม์แบบในข่าวบ้างหรือเปล่า ถ้ามีจริงเขาก็พร้อมจะทิ้งรุ่นพี่ทั้งสายแล้ววิ่งโล่กลับมหาลัย แต่ผิดคาด พี่ดาวกับพี่ยูไม่ได้รังแกเขา มีแต่ยกกล่องกระดาษที่บรรจุชีทเรียนของปีที่แล้วมาให้ แม้ว่าชีทเรียนทั้งหมดจะมีแต่ของพี่ดาวที่ใช้ได้ก็ตาม ส่วนปู่รหัสรับขวัญด้วยการให้เขาไปเต้นไก่ย่างให้สาวสวยคนหนึ่งในร้านนอกชานดู ปิดท้ายด้วยการขอเบอร์ของเธอมาให้พี่อาร์ต
“ไม่เจอกันนานพี่ก็ปากเสียขึ้นเยอะเลยนะ”
นับตังค์ว่าก่อนจะได้ร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาบีบปากของเขาจนบู้บี้ดูคล้ายปากเป็ด
“ดื่มมั้ย”
พี่อาร์ตถาม พลางส่งแก้วเหล้าสีใสที่ผสมชิ้นเลม่อนให้นับตังค์ พี่อาร์ตสั่งอาหารไว้ก่อนแล้ว เมื่อพวกเขามาถึงก็เรียกให้พนักงานนำมาเสิร์ฟ เพียงครู่เดียวบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายที่ชวนให้กระเพราะอยากทำงาน รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นับตังค์ไม่รู้จักอีกหลายแบบก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
“ผมดื่มไม่เก่งอ่ะ”
นับตังค์อยากปฎิเสธ เขาดื่มไม่เก่งจริงๆ เพราะเขาเพิ่งเคยแตะแอลกอฮอล์ก็ตอนเรียนมหาลัยนี่แหละ ไม่ว่าจะสังสรรค์เนื่องในโอกาสอะไร รุ่นพี่ก็มักจะเลี้ยงเหล้าเป็นเรื่องปกติ ก่อนหน้านี้พ่อเคยเตือนเขาแล้วว่าสังคมของผู้ใหญ่ต้องมีแอลกอฮอล์บ้าง ไม่มากก็น้อย แค่ดื่มเพื่อเข้าสังคม ไม่ได้ดื่มเป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ถือว่าเสียหาย เขาควรหัดดื่มตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้ว แต่เหล้าของพ่อทั้งขมทั้งเหม็น ลองดื่มไปครั้งเดียว นับตังค์ก็ยกธงขาว ไม่เอาอีกแล้ว
“อร่อยนะ”
นับตังค์ชะโงกหน้าเขาไปดมแก้วที่พี่อาร์ตถืออยู่ เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆของเลม่อนโชยมาแทนที่จะเป็นกลิ่นเหม็นฉุนของแอลกอฮอล์ เขาก็ตั้งสินใจว่าจะลอง จึงเอื้อมมือไปรับเครื่องดื่มมาจิบเล็กน้อย รสชาติหวานหอมที่ไหลผ่านลำคอก่อนจะทิ้งความขมของแอลกอฮอล์ไว้บนปลายลิ้นทำให้นับตังค์รู้สึกแปลกๆ จะบอกว่าอร่อยก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่าไม่อร่อยเลยก็ไม่เชิง อยู่ในระดับที่ดื่มได้คล่องคอและกลิ่นดีกว่าเหล้าของพ่ออยู่มาก
หลังจากที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรสและอิ่มหนำกับมื้อค่ำแล้ว พี่ดาวกับพี่ยูก็พากันไปโยกย้ายอย่างสนุกสนานอยู่ที่หน้าเวทีร่วมกับลูกค้าคนอื่น ทิ้งให้นับตังค์นั่งดื่มแอลกอฮอล์รสเลม่อนอยู่กับปู่รหัสของเขา
“ทำไมวันนี้ทำหน้าหมาหงอยจังวะ” พี่อาร์ตเอ่ยถามขณะสั่งเหล้าเลม่อนแก้วที่ห้ามาให้นับตังค์ที่รับไปดื่มอย่างติดอกติดใจ
“อ๋อออ ทำหน้าแบบนี้กำลังคิดถึงใครบางคนล่ะเซ่” พี่อาร์ตที่เริ่มเมาได้ที่ พูดเสียงยานคางเล็กน้อยพร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของรุ่นน้องเบาๆ
“พี่รู้ด้ายงายย” นับตังค์เอ่ยถาม เขาคิดว่าตัวเองยังไม่เมา กระทั่งได้ยินเสียงที่เริ่มยานคางยิ่งกว่าของพี่อาร์ตแล้วนั่นแหละ อาการมึนงง หูอื้อ ตาลายก็ตามมาครอบงำแบบติดๆ ทั้งที่เขาคิดเอาไว้แล้วว่าถ้าเริ่มเมาจะหยุดดื่มแล้วแท้ๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็เมาซะแล้ว
“โหงวเฮ้งมึงบอก”
โอ๊ะ! โหงวเฮ้งบอกได้จริงๆนะเหรอว่ากำลังคิดถึง…คิดถึงอย่างรุนแรงเลยด้วย ไม่แน่ว่าแอลกอฮอล์อาจมีฤทธิ์เร่งความคิดถึง ให้กัดกินหัวใจดวงน้อยๆเร็วขึ้นก็ได้
“ผม…ชอบคนอยู่คนหนึ่งอ่าพี่ แต่ผมไม่รู้จาจีบยังไงอ่า คือเขาคงจารู้ว่าผมชอบเขา แล้วผมก็มั่นหน้าคิดว่าเขาอาจจะชอบผมนิดนึงอ่า นิ๊สนึง”
พี่อาร์ตเหลือบตามามองนับตังค์แล้วหัวเราะหึๆกับสภาพเมาเหมือนหมาของรุ่นน้อง แถมยังเป็นหมาน้อยหน้าโง่ที่ทำตัวหัดมีความรักซะด้วย
“ไม่เห็นต้องคิดเยอะเลย มึงถามหัวใจตัวเองสิว่า ต้องการอะไร ถ้าอยากโทรหาก็โทร ถ้าอยากเจอหน้าก็ไปหาเค้าซะ แค่นี้เอง”
“ง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ” นับตังค์พึมพำขณะเริ่มคิดตามสิ่งที่ปู่รหัสพูด
“แล้วมึงจะทำให้ยากเพื่อ?”
แล้วหลังจากนั้น นับตังค์ก็ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง เมื่อนักร้อง cover ชื่อดังก้าวขึ้นเวที พี่อาร์ตก็วางแก้วเหล้าแล้วพุ่งไปเกาะติดขอบเวทีพร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะเพลงมันส์ๆร่วมกับลูกค้าคนอื่น นับตังค์สนุกไม่ไหวแล้ว เขามึนศีรษะและโหยหาความนุ่มนิ่มของเตียงนอน เด็กหนุ่มวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะ คาดว่าพี่ๆในสายรหัสคงไม่ยอมกลับหอง่ายๆแน่ จึงคิดจะให้รูมเมทออกมารับ แต่จะโทรศัพท์ก็ไม่ได้เพราะเสียงดังเกินไปจึงใช้วิธีส่งข้อความไปให้ดินทางแอปพลิเคชั่น LINE
NabTang : อยากกกับ ล หอ มารับนุ้ย
NabTang : หน่อวย
NabTang : กลับหาอ
NabTang : จากลัย หอเ
นับตังค์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังส่งภาษาต่างดาวไปให้รูมเมท เขาพยายามอีกหลายครั้งในการส่งข้อความไปแก้ไขให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นแต่ไม่เป็นผลเลย ยิ่งส่งยิ่งพัง สุดท้ายก็ยอมแพ้เมื่อดินตอบข้อความกลับมา ซึ่งแปลว่าอีกฝ่ายพอจะจับใจความที่เขาต้องการสื่อได้
ดิน ปฐพี : อยู่ไหน?
NabTang : หร้าเล้า
นับตังค์รีบพิมพ์ตอบข้อความของดิน
ดิน ปฐพี : พิมพ์ดีๆ ไม่งั้นก็โทรมา
นับตังค์ส่ายหน้า ไม่เอา…เสียงดัง…ขี้เกียจเดินออกไปโทรหน้าร้านอ่ะ…สุดท้ายก็ทำเพียงส่งโลเคชั่นไปให้ดิน และหวังว่าอีกฝ่ายจะรู้จักร้านแล้วยอมออกมารับเขากลับหอ
ดิน ปฐพี : เดี๋ยวไปรับ อีกสิบนาทีมารอหน้าร้าน
เมื่อได้รับคำตอบจากรูมเมท นับตังค์ก็ร้องเย้ พลางคิดว่าก็ไม่แย่เท่าไรที่ได้ทำดีกับดินเอาไว้เยอะแยะ อย่างน้อยหมอนั่นก็รู้จักตอบแทน หลังจากนั่งมองเวลาในไอโฟนอยู่เงียบๆเกือบสิบนาที นับตังค์ก็ลุกจากที่นั่งแล้วเดินโซเซไปหาปู่รหัสที่กำลังเต้นเด้งเป้าอยู่กลางฝูงชน
“พี่คร้าบบ จากลับแล้วนะ”
“กลับยังไง” คนเป็นพี่หยุดเต้นแล้วหันมามองนับตังค์ที่กำลังเงยหน้ามองเขา ดวงตาปรือปอยราวกับจะหลับได้ทุกเมื่อ
“เพื่อนมารับ”
“เออ เดินดีๆนะมึง” เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากรุ่นพี่ นับตังค์ก็ยกมือไหว้แทนการกล่าวลา แล้วเดินโซเซเบียดฝูงชนเพื่อพยายามไปให้ถึงประตูหน้าร้าน
โอ๊ย!
เสียงร้องของใครคนหนึ่งในฝูงชนดังขึ้น พร้อมกับร่างของนับตังค์ที่ถลาไปชนเด็กหนุ่มคนนั้น เขารีบทรงตัว พยายามยืนให้ตรงเท่าที่จะทำได้ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกเขาเหยียบเท้าและชนจนเซถอยหลังไปหลายก้าว
“ขอโทษคร้าบ” นับตังค์เอ่ยขอโทษเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งกำลังก้มหน้ามองรองเท้าผ้าใบของตัวเองที่เปื้อนคราบโคลนสีดำ อุ้ย! เขาไปเหยียบของพวกนั้นมาตอนไหนนะ
นับตังค์ส่ายหน้าเพราะว่าจำไม่ได้ แต่ตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะหาเวลาซักรองเท้าคู่โปรดซะหน่อย คิดพรางสาวเท้าเดินออกไปทางประตูหน้าร้าน ก่อนจะได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งที่เดินตามมาเอ่ยรั้งไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว!”
นับตังค์ชะงัก แล้วหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้า อ่า เป็นเด็กหนุ่มคนที่เขาเหยียบเท้าเมื่อครู่นั่นเอง ฝ่ายนั้นกำลังยืนถลึงตาจ้องเขา ดูท่าจะโกรธมากเลยล่ะ ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามมายืนรอข้างหลังเงียบๆ ก็คงจะเป็นเพื่อนของคนๆนี้
“มึงเหยียบตีนกู แล้วคิดว่าพูดขอโทษก็จบเหรอ”
แล้วยังไม่จบอีกเหรอ? นับตังค์เอียงคอด้วยความแปลกใจก่อนจะเอ่ยถามซื่อๆ
“เจ็บมากเลยเหรอ?”
ฝ่ายนั้นกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำถามของนับตังค์ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดกว่าเมื่อครู่หลายเท่า เสียงที่ตะคอกใส่เขา จึงดังลั่นชวนให้หูอื้อ จากที่เขามึนหัวอยู่แล้ว ยิ่งทำให้มึนเข้าไปใหญ่ และสมองก็เริ่มทำงานช้าลงเรื่อยๆ
“เรื่องเจ็บนี่ไม่เท่าไหร่ แต่มึงทำ Air Jordan ของกูเปื้อน มึงรู้มั้ยว่าราคาเท่าไหร่!”
Air Jordan คืออะไร? นับตังค์เบิกตาโต ก่อนจะก้มหน้ามองตามนิ้วของอีกฝ่ายที่กำลังชี้รองเท้าผ้าใบสีขาว เขาจึงพอจะคาดเดาได้ว่านั่นคือชื่อของรองเท้า
“ม่ายรู้” นับตังค์ส่ายหน้า เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งเดาราคารองเท้าของใครก็ไม่รู้หรอกนะ
“จ่ายค่าเสียหายมา”
นับตังค์นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง รองเท้าของอีกฝ่ายมีสภาพเลอะเทอะจริงๆนั่นแหละ ซึ่งตัวต้นเหตุก็มาจากเขาเอง
“กี่บาทคร้าบ”
“สองพัน”
“แพง” นับตังค์ยู่ปาก ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะจ่ายค่าซักรองเท้าให้ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขูดเลือดขูดเนื้อเขาแบบนี้ ยังไงก็ไม่ยอมจ่ายเด็ดขาด
“รองเท้ากูคู่ละแปดพัน”
นับตังค์เลิกคิ้ว อยากย้อนถามจริงๆเลยว่า รองเท้ามึงฝังทองคำเหรอ? บ้าบอมาก แปดพันเนี่ยนะ ซื้อมาใส่แล้วเหาะได้มั้ย
“แต่ค่าซักม่ายช่ายสองพันน้า ซักเองไม่เป็นเหรอ ให้สอนเอาม้าย” นับตังค์ย้อนถามเสียงอ้อแอ้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องมายืนเถียงเรื่องค่าซักรองเท้าแบบนี้ด้วย อยากกลับไปนอนแล้วนะ
“มึงกวนตีนกูเหรอ”
ฝ่ายนั้นตะคอกถามแล้วทำท่าจะปรี่เข้ามาต่อยนับตังค์ให้ได้ แต่กลับถูกเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนรออยู่เงียบๆ พุ่งเข้ามารั้งตัวไว้พรางเอ่ยปลอบให้ใจเย็นๆ
“เฮ้ยเพื่อน หมอนั่นมันเมา มึงก็อย่าไปถือสาเลยน่า เปื้อนนิดหน่อยเอง ไม่เปื้อนวันนี้ก็เปื้อนวันอื่น”
“ช่ายแล้วครับ” นับตังค์รีบพยักหน้า หมอนี่พูดมีเหตุผลมากๆเลย ถ้าซื้อรองเท้ามา แล้วไม่อยากให้เปื้อนก็ไม่ต้องใส่ เก็บไว้นอนกอดที่บ้านเลยสิ
“ชิ๊ ฝากไว้ก่อนเถอะ”
นับตังค์ทำไม้ทำมือว่าโอเคกลับไป ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายจึงมีอาการเหมือนคนเป็นโรคความดันสูง ใบหน้าแดงก่ำ สะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของคนเป็นเพื่อน กว่านับตังค์จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของเขาก็สะบัดไปตามแรงกระแทก พร้อมกับความเจ็บที่จี๊ดขึ้นสมอง
“กวนตีนเหรอวะ!”
ผลัวะ!
โอ๊ย!!!
นับตังค์เซถลาก่อนจะล้มกระแทกพื้นปูนเย็นๆ อ้าปากร้องครวญครางในลำคอ ขณะที่สมองมึนงงสับสน พยายามจะลุกขึ้นจากพื้นแต่โลกกลับหมุนติ้วๆ จึงทำได้เพียงทิ้งตัวนอนบนพื้นต่อไปอย่างน่าอนาถ แต่ก่อนที่สติจะดับวูบ เขาก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ
“นับตังค์!”
นับตังค์ไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองทำผิดอะไร หมอนั่นบอกว่าฝากไว้ก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะมาทวงค่าซักรองเท้าเมื่อไร ก็เลยทำมือเป็นคำว่าโอเคแทนการรับฝาก แล้วมึงมาต่อยกูทำไมอ่ะ ฮืออออ




TBC. ใครชอบนิยายเรื่องนี้ช่วยเม้นต์เป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :L2: :3123:



ออฟไลน์ OrangeryLemon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

เพิ่งมาอ่านค่ะ เนื้อเรื่องน่ารักดีค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

จัดหน้าเพิ่มโดยการเว้นบรรทัดเพิ่ม หรือย่อหน้าจะช่วยให้อ่านสบายตาขึ้นนะคะ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 10


นับตังค์สะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกว่าพื้นที่ใต้ร่างกำลังโคลงเคลงไปมา เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนเพราะดวงตาหนักอึ้งเกินกว่าจะปรือเปิดมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า เสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของเขาปวดตุบๆจนต้องเบะปากอยากร้องไห้ เขาหงุดหงิดกับการเคลื่อนไหวที่กำลังรบกวนการนอน จึงเอื้อมมือทั้งสองข้างที่เคยห้อยต่องแต่ง ออกไปปัดป่ายบางอย่างที่มือสัมผัสถึง สิ่งนั้นพยายามขยับซ้ายขยับขวาหลบฝ่ามือของเขา นั่นยิ่งทำให้เขาเกรี้ยวกราดแล้วขยี้สิ่งนุ่มนิ่มในมืออย่างรุนแรง

“โอ๊ย! หนูนับ นิ่งๆหน่อย นั่นหัวกู!”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้นับตังค์ขมวดคิ้ว สมองเริ่มประมวลผลอย่างเชื่องช้าก่อนจะพบว่าตอนนี้เขากำลังถูกแบกอยู่บนหลังของรูมเมท เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำอะไรที่นี่ รู้แค่ว่าตอนนี้อยากกลับไปนอนสบายๆแล้ว

“ดินนนน กลับห้องกานนน” เสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปากของนับตังค์ อ้อแอ้จนเกือบจะจับใจความไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับได้ยินอย่างชัดเจน

“กำลังกลับนี่ไง ถ้ามึงอยู่นิ่งๆจะได้กลับเร็วขึ้น” เสียงที่ตอบกลับมาห้วนสั้น แฝงความหงุดหงิดเล็กๆ ทำให้นับตังค์รีบคลายมือทั้งสองข้างออกจากเส้นผมของรูมเมท

“ดินนนน”

“…”

“ดินนนนนนนนน”

“อะไรอีก”

“มึนหัว”

“เรื่องของมึง”
นับตังค์เบ้หน้า พยายามผงกศีรษะขึ้นจากแผ่นหลังกว้าง เขารู้สึกปวดมวนในท้อง มีอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียน แต่เกรงว่าถ้าปล่อยให้มันเลอะเทอะตรงนี้ เขาจะถูกรูมเมทหมายหัวไปตลอดชีวิต จึงใจดีสะกิดไหล่อีกฝ่ายแล้วบอกความจำนน

“อยากอ้วก”

“อย่านะเว้ยไอ้นับ ถ้ามึงอ้วกใส่หัวกู กูจะโยนมึงทิ้งตรงนี้เลย” คำขู่นั้นดูจะไม่เป็นผลเมื่อคนบนหลังยกมือปิดปากทำท่าจะอ้วกออกมาซะเดี๋ยวนี้

“อ้วก”

“ลงๆ” นับตังค์ถูกปล่อยลงบนพื้นทันที เขาปรือตามองสภาพแวดล้อมรอบๆอย่างยากลำบาก เห็นอาคารสีขาวสี่ชั้น ตั้งเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่สองข้างทาง ตอนนี้เขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนทางเท้าปูซีเมนต์ มีสนามหญ้ารอบๆ ใช้เวลาคิดครู่หนึ่งก็จำได้ว่าที่นี่คือหอในของนักศึกษาชั้นปีหนึ่ง

“เมาแล้วสภาพเหมือนหมาไม่มีผิด วันหลังไม่ต้องแดกแล้วนะ เหล้าอ่ะ” ดินว่าแล้วส่ายหน้าอย่างละอา เมื่อเห็นคนเมากำลังคานต้วมเตี้ยมไปที่พุ่มดอกเข็ม ก่อนจะอ้าปากอ้วกจนหมดไส้หมดพุง เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนได้ทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับนับตังค์ กว่าเขาจะพารูมเมทมาถึงห้องพักได้อย่างปลอดภัยก็เล่นเอาแย่

02.15 น.

นับตังค์งัวเงีย พร้อมกับลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนหนานุ่ม เด็กหนุ่มนอนกะพริบตาอยู่ในความมืดเงียบๆครู่หนึ่ง เขาฝัน…จำได้ว่าฝันถึงพี่เวฟ สมองกำลังหวนระลึกถึงใบหน้าสวยๆที่โน้มลงมาใกล้ ก่อนจะประทับจุมพิตแผ่วเบาบนริมฝีปาก พร้อมกับฝ่ามือนุ่มนิ่มที่เริ่มต้นลูบไล้ร่างกายของเขาอย่างอ่อนโยน นับตังค์ตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อคิดว่าเมื่อครู่เขากำลังถูกพี่เวฟเล้าโลม ความรู้สึกที่จู่ๆก็หายวับไปในอากาศยามตื่น ทำให้เขาเสียดาย ได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่คนเดียว ก่อนที่ประโยคหนึ่งจะดังขึ้นในสมอง แม้จะจำไม่ได้เลยว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน

…ไม่เห็นต้องคิดเยอะเลย มึงถามหัวใจตัวเองสิว่า ต้องการอะไร ถ้าอยากโทรหาก็โทร ถ้าอยากเจอหน้าก็ไปหาเค้าซะ แค่นี้เอง…
อยากโทรหาจังเลย…

นับตังค์คิดขณะผุดลุกจากเตียง เขาเอื้อมมือไปควานหาไอโฟนบนโต๊ะตัวเล็ก เมื่อพบสิ่งที่ตามหาก็ย่องไปเปิดประตูกระจกริมระเบียง แล้วพาตัวเองออกไปสูดอากาศเย็นสดชื่นยามค่ำคืน เขาปิดประตูตามหลังอย่างแผ่วเบา ทิ้งตัวนั่งบนพื้นกระเบื้องก่อนจะกดโทรออกหมายเลขที่เขาเฝ้ามองอยู่ทุกวันด้วยความตื่นเต้น นิ่งฟังสัญญาณรอสายอยู่นานกระทั่งสายถูกตัดไป เขาจึงลองโทรออกอีกครั้งพลางลุ้นระทึกในใจว่าพี่เวฟจะรับสายหรือไม่ ถ้าพี่เวฟไม่รับหัวใจดวงน้อยๆของเขาคงได้บอบช้ำจากการคิดถึงอย่างหนักแน่ๆเลย คิดแล้วก็จดจ่ออยู่ที่สัญญาณรอสายต่อไป กระทั่งเสียงตู๊ด…ตู๊ด…น่าเบื่อหน่ายถูกแทนที่ด้วยเสียงนุ่มทุ้มติดจะแหบพร่าเล็กน้อย

“ฮัลโหล”

“พี่เวฟคร้าบบบ” นับตังค์จดจำเสียงของคนสวยได้เป็นอย่างดี จึงร้องเรียกด้วยความดีใจ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงสวบสาบของผ้าห่มที่ถูกเสียดสีกับร่างกาย ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มจะเอ่ยเรียกด้วยความประหลาดใจ

“นับตังค์?”

“คิดถึงจางเลยยย” นับตังค์รีบบอกความในใจ ก่อนจะเริ่มจินตนาการถึงร่างสูงที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนุ่ม คิดแล้วก็อยากกระโดดเข้าไปนอนข้างๆเหลือเกิน

“เมาเหรอ?” คราวนี้น้ำเสียงของคนสวยติดจะดุดันเล็กน้อย แต่นับตังค์ไม่กลัวเพราะเขาไม่ได้เมา วันนี้เขายังไม่ได้แตะ
แอลกอฮอล์เลย แล้วจะเมาได้อย่างไร

“ไม่น้า”

“ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

“อยู่หอ”

“จริงเหรอ?”

“จริงๆ” นับตังค์พยักหน้าอย่างหนักแน่น แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีตาทิพย์ให้มองเห็นก็ตาม

“แล้วทำไมไม่นอนครับ?”

“คิดถึงพี่เวฟจนไม่นอนหลับ อา หลับไปแล้วฝันถึงพี่ต่างหาก” เป็นฝันดีที่ต่อให้หลับตานอนอีกครั้งก็ยังฝันดีได้ไม่เท่าเดิม
“ฝันว่าอะไรครับ?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามค่อนข้างนุ่มหูเป็นพิเศษ ซึ่งมันทำให้นับตังค์รู้สึกหวิวๆ เขาคิดถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ลากไล้ไปตามร่างกายอย่างเชื่องช้า พร้อมกับความปวดหนึบที่เกิดขึ้นบริเวณหว่างขาอย่างกะทันหัน

“ฝันว่าได้ซั่มกับพี่เวฟคร้าบ”

“ซั่มกับพี่? หึๆ ท่าจะเมาหนัก”
เสียงหัวเราะขบขันทำให้ใบหน้าของคนฟังร้อนผ่าว นับตังค์ก้มหน้ามองเป้ากางเกงที่กำลังพองตัวด้วยแรงอารมณ์ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบคลำช้าๆ หวังว่าเจ้าสิ่งนั้นจะสงบลงได้บ้าง แต่ยิ่งได้ยินเสียงของพี่เวฟ เจ้าสิ่งนั้นก็ยิ่งตื่นตัว ราวกับว่าอีกฝ่ายคือยากระตุ้นชั้นยอดที่ทำให้เขาเกิดความกระสันอยาก

“ในฝันผมได้จูบพี่เวฟด้วยนะ” นับตังค์เอ่ยอย่างเชื่องช้า หลับตาแล้วพาตัวเองจมลงในห้วงความคิดแสนหวาน

“หื้ม แล้วในความจริงล่ะ?”

“ยังไม่เคยเลยอ่ะ”
นับตังค์ไม่ใช่คนหมกมุ่น เขาก้าวผ่านช่วงวัยเจริญพันธุ์มาได้อย่างราบรื่น แม้จะมีการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองบ้างในบางครั้ง หรือเปิดหนังของผู้ใหญ่ดูเพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขารู้สึกว่าตัวเองกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะพุ่งเข้าใส่ใครบางคนมากเท่านี้มาก่อน บางครั้งเขาแอบสงสัยว่าถ้าได้มีเซ็กส์กับพี่เวฟจะมีความสุขขนาดไหนนะ เขาไม่แน่ใจ รู้เพียงว่ามันต้องยอดเยี่ยมแน่ๆ

“อยากจูบก็จูบสิครับ ไม่เห็นต้องเก็บไปทำในฝันเลย”
นับตังค์กลืนน้ำลายอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าลำคอแห้งผากเพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายเริ่มจะแฝงความเย้ายวนหยอกล้อ

“ทำได้จริงเหรอ ผมอยากจูบจริงๆน้า” ความต้องการอย่างรุนแรงที่ถูกเก็บกดเอาไว้มานานนับเดือน ทำให้นับตังค์อยากกระโจนเข้าไปในสายโทรศัพท์แล้วกระชากพี่เวฟเข้ามาจูบอย่างดูดดื่ม แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าดูดดื่มแบบในภาพยนตร์ต้องทำอย่างไรก็ตาม

“ได้สิ สำหรับน้องนับ อยากทำมากกว่านี้ยังได้เลย”

“ขี้อ่อย” นับตังค์ประณาม ถ้าเขาอยากปล้ำพี่เวฟ…พี่เวฟจะยอมหรือเปล่านะ

“แต่พี่อ่อยน้องนับคนเดียวนะครับ”

“ถ้าอ่อยคนอื่นต้องโดนลงโทษ”

“ลงโทษยังไงครับ” ประโยคย้อนถามทำให้นับตังค์กรอกตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ

“ผมจะจับพี่เวฟแก้ผ้า”

“หึ ปากเก่งจริงๆ ตอนพี่แก้ให้ดู ใครนะที่ไม่ยอมดู”
นับตังค์ยู่ปากด้วยความขัดใจ เขาจำได้ดีว่ากว่าจะวาดรูปนาร์ซิสซัสหลงรักเงาสะท้อนของตัวเองได้เสร็จสมบูรณ์ ก็ต้องตาค้างมองพี่เวฟแก้ผ้าเปลี่ยนชุดไม่รู้กี่รอบ ถ้าถามว่าฟินมั้ย มันก็ฟิน แต่ต้องบอกก่อนว่าความทรมานที่ตามมาเพราะปวดแก่นกายมันก็เกินจะรับไหวเหมือนกัน

“แต่ตอนวาดรูปผมแอบดูซิกแพคพี่เวฟอยู่นะ ไม่รู้หรือไง”
ใช่แล้ว เด็กหัดลามกมีหรือจะปล่อยโอกาสงามๆให้เสียไปโดยไม่แอบมองหน้าท้องขาวๆที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ พลางลูบไล้ลวนลามอยู่ในใจเงียบๆ

“ในฝันผมลูบหน้าท้องพี่ด้วย จริงๆอยากลูบเป้ามากกว่า” นับตังค์เอ่ยอย่างเชื่องช้า ก่อนจะคิดถึงภาพรอยสักปริศนาที่อยู่บริเวณกระดูดเชิงกรานของพี่เวฟ

“ทำไมพี่เวฟต้องสักตรงนั้น”

“หื้ม…ก็ไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษนี่ แค่อยากสักในล่มผ้าที่คนอื่นมองไม่เห็น”

“ตอนที่สัก ช่างคนนั้นก็มองเห็นจู๋พี่เวฟด้วยเหรอ” นับตังค์เอ่ยถามด้วยความอิจฉาผสมปนเปกับความหึงหวง จู๋ของพี่เวฟเชียวนะ ทำไมให้ใครก็ไม่รู้มาดูได้ง่ายๆเล่า ของแบบนี้ควรเก็บไว้ให้คนรักดูสิถึงจะถูก

“ไม่เห็นซะหน่อย” อีกฝ่ายปฏิเสธพร้อมเสียงหัวเราะขบขัน “ไม่ได้ถอดกางเกงให้ช่างดูนะครับ”

“จริงเหรอ ผมหวงอ่ะ อยากเก็บไว้ดูคนเดียว” นับตังค์สารภาพ

“ได้ ต่อไปพี่เวฟจะเก็บไว้ให้น้องนับดูคนเดียวนะ”

นับตังค์เริ่มขยับขาเสียดสีกันช้าๆด้วยความทรมาน ยิ่งได้ยินเสียงของพี่เวฟเขาก็ยิ่งปวดหนึบบริเวณแก่นกาย และในที่สุดความต้องการตามธรรมชาติก็เป็นฝ่ายเอาชนะสติรับรู้ เขาล้วงมือเข้าไปในกางเกงชั้นใน แล้วเริ่มต้นลูบไล้นวดคลึงอวัยวะที่กำลังแข็งขื่นอย่างเชื่องช้า

“ผมอยากถอดกางเกงในพี่เวฟ ผมอยากมองให้ชัดๆว่าพี่สักคำว่าอะไร…”
นับตังค์พึมพำเสียงแหบพร่า มือเล็กเริ่มต้องรูดรั้งแก่งกายของตัวเองเป็นจังหวะพลางจินตนาการถึงใบหน้าของคนสวย

“ผมอยากจับจู๋พี่เวฟ…อาห์” เด็กหนุ่มหอบหายใจแรง ฟันขาวขบกัดริมฝีปากล่างเพื่อกั้นเสียงครวญคราง พร้อมกับสาวรูดแก่นกายในมือให้เร็วยิ่งขึ้น

“นับตังค์…ทำอะไรอยู่?” เสียงที่ดังมาจากลำโพงของไอโฟนที่แนบอยู่กับใบหู ทำให้นับตังค์หน้าแดงก่ำ อ้าปากตอบคำถามด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น

“ชักว่าว”

“พูดจริง? นี่จะเซ็กส์โฟนกับพี่เหรอ?” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ได้เจือความโกรธเคือง

“ได้มั้ย? ชักว่าวเป็นเพื่อนหน่อย” นับตังค์เอ่ยขอ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งจนเขาคิดว่าพี่เวฟอาจจะวางสายไปเสียแล้วกว่าจะได้ยินเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง

“ได้”

“ถอดกางเกงในหรือยัง”

นับตังค์หยุดมือที่กำลังชักรูดแก่นกายแล้วเอ่ยถามด้วยความดีใจ เขาไม่เคยทำเรื่องแบบนี้กับคนอื่นมาก่อน แล้วก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าเอ่ยปากชวนใครสักคนให้มาทำด้วยกัน แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคือพี่เวฟ เขาก็ตื่นเต้นและตั้งตารออย่างเป็นสุข

“ถอดแล้วครับ” นับตังค์ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของพี่เวฟ พร้อมกับเสียงเสียดสีของผ้าห่ม

“พี่เลียให้น้องนับดีมั้ย”

เลีย…? นับตังค์ชะงักไปเล็กน้อย สมองประมวนผลอย่างเชื่องช้าก่อนที่ความเข้าใจของคำว่า ‘เลีย’ จะผุดเข้ามาในสมองพร้อมกับภาพการร่วมรักในหนัง AV ที่เขาเคยดูช่วงวัยว้าวุ้น

“เขิน” นับตังค์หัวเราะเบาๆแล้วยกมือเกาศีรษะท่าทางเก้อกระดาก เขาเคยคิดว่าการทำแบบนั้นมันน่าอายและคงมีแต่ในหนังอย่างว่าเท่านั้น ในชีวิตจริงคงไม่มีใครทำกันหรอก

“พี่เวฟใช้ลิ้นเลียจู๋นับตังค์ช้าๆ ค่อยๆอมของนับตังค์ ดูดแรงๆ…” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่แหบพร่าด้วยแรงอารมณ์ทำให้รู้สึกถึงความเซ็กซี่น่าดึงดูดของคนที่อยู่ปลายสาย นับตังค์หลับตาแล้วเริ่มจินตนาการตามคำบอกเล่าของพี่เวฟ…เอาน่าก็แค่เซ็กส์โฟน พี่เวฟไม่ได้เลียให้เขาจริงๆซะหน่อย ไม่เสียหายหรอกน่า

“อาห์…พี่เวฟ”
ในสมองของนับตังค์มองเห็นภาพของพี่เวฟกำลังรับท่อนเนื้อของเขาเข้าไปในโพรงปากอุ่นร้อน ดูดดึงเป็นจังหวะเชื่องช้าทว่าหนักหน่วง ความสุขสมเอ่อล้นหัวใจ เขาถึงกับก้นไม่ติดพื้นเมื่อคิดว่าเรียวลิ้นกำลังตวัดไปตามท่อนเนื้อของเขาอย่างร้อนแรง

“พี่เวฟจะดูดให้แรงกว่านี้ นับตังค์อ้าขากว้างๆนะครับ”

“ดะ…ดูดให้ผม อ๊ะ แรง แรง…”

นับตังค์ครวญครางไม่เป็นภาษา ขาสองข้างอ้าออกกว้าง ปรารถนาให้อีกฝ่ายได้หยอกล้อแท่งเนื้อของเขาอย่างทั่วถึง เสียงลมหายใจหนักหน่วงดังลอดมาจากลำโพงทำให้เขารู้สึกเร่าร้อน เมื่อคิดว่าพี่เวฟกำลังช่วยตัวเองไปพร้อมๆกับปรนเปรอความปรารถนาให้กับเขา นับตังค์บิดเร้าร่างกายด้วยความทรมานผสมปนเปไปกับความสุขสม แรงดูดดึงเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเขาแตะจุดสุดยอด หน้าท้องเกร็งแน่นก่อนจะปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมาเปรอะเปื้อนกางเกงนอน

เช้าวันรุ่งขึ้น

“นับตังค์! ตื่น!”

“งื้อ…แจ๊บๆๆ คร๊อกกก”
เสียงรบกวนที่ดังขึ้นข้างใบหู ทำให้เด็กหนุ่มที่นอนหลับอุตุพลิกกายหนีด้วยความรำคาญ มือเรียวยาวควานหาผ้าห่มขึ้นคลุมโปงก่อนจะเริ่มส่งเสียงกรนเบาๆอย่างสุขสบาย ภาพที่เห็นทำเอาเส้นอารมณ์ของคนปลุกขาดเปี๊ยะ!

ตุบ!

โอ๊ย!

นับตังค์ตกใจตื่นเพราะถูกบางอย่างที่นุ่มนิ่มกระแทกใบหน้า เขาผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วปรือตามองรอบกาย ก่อนจะพบว่าเป็นรูมเมทตัวดีที่ถือหมอนใบใหญ่ต่างอาวุธคู่กายแล้วกระหน่ำฟาดใส่เขาแบบไม่ออมแรง

“ตื่นเร็ว เดี๋ยวกูต้องไปเรียนแล้ว”

นับตังค์รู้สึกมึนงงสับสน ปกติแล้วรูมเมทของเขาไม่ได้ใจดีถึงขั้นมาปลุกให้ตื่นไปเรียน เรียกว่าตัวใครตัวมันซะมากกว่า แล้ววันนี้เกิดคึกอะไรถึงได้ปลุกให้เขาตื่น ไม่ได้เรียนวิชาเดียวกันเสียหน่อย เขาสาย มันก็ไม่จำเป็นต้องสายด้วยนี่หว่า

“ปวดหัว” นับตังค์พึมพำ เขารู้สึกว่าลำคอแห้งและเจ็บเล็กน้อยคล้ายกับคนเป็นไข้หวัด

“มึงเป็นไข้”

“เหรอ” นับตังค์เงยหน้ามองคนพูดด้วยความประหลาดใจ แต่น้ำเสียงที่หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากมีเพียงคำสั้นๆที่แหบแห้ง เขาจำไม่ได้เลยว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมาถึงได้ปวดเมื่อยเนื้อตัวแบบนี้

“เมื่อคืนมึงเมาหนัก กูพากลับมานอนบนเตียงดีๆไม่ชอบ เสือกไปนอนอยู่หน้าระเบียง ตากอากาศเย็นทั้งคืน”
จริง? เขาทำแบบนั้นจริงๆนะเหรอ?

นับตังค์ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเมาหนักถึงขั้นสมองเสื่อมแบบนี้มาก่อน ครั้งแรกที่ดื่มเหล้าเลี้ยงฉลองกับรุ่นพี่ เขาก็แค่เมาแล้วกลับมาหลับเป็นตาย ตื่นเช้ามาด้วยอาการปวดหัวอย่างหนักและอ้วกแตกจนหมดไส้หมดพุง

“โคตรเมื่อยเลย งื้ออ” เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงนอน ก่อนจะปรายตามองไปทางรูมเมทที่อยู่ในชุดเสื้อช็อปกางเกงยีนส์

“ทำไมมึงไม่ปลุกกูมานอนบนเตียงเล่า”

“กูไม่ได้นั่งเฝ้ามึงทั้งคืนนะ แค่เมื่อเช้านี้กูเมตตาอุ้มมึงมานอนดีๆก็บุญหัวแล้ว”

เออ นั่นสิ นับตังค์ตื่นมาบนเตียงนุ่มนิ่มก็ควรจะขอบคุณอีกฝ่ายสิถึงจะถูก

“ขอบใจ”

“นี่โจ๊กกับยา ส่วนต้มเลือดหมูอยู่ในตู้เย็น ไว้เป็นมื้อเที่ยง”
นับตังค์รู้สึกซาบซึ้งที่รูมเมทเอาใจใส่เขาถึงขนาดนี้ ที่หอพักแต่ละตึกจะมีห้องครัวส่วนกลาง ซึ่งมีไมโครเวฟสำหรับบริการอุ่นอาหาร เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องมื้อเที่ยงแม้จะลุกไปข้างนอกไม่ไหวก็ตาม ดินกางโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กไว้บนเตียงแล้วหยิบถุงโจ๊กมาให้นับตังค์แกะเทใส่ถ้วย

“กูมีเรียน” นับตังค์พึมพำขณะตักโจ๊กที่ยังอุ่นอยู่ใส่ปาก

“พักสักวัน ถ้าไข้ไม่ลดตอนเย็นจะพาไปหาหมอ” ดินว่าแล้วหยิบเจลลดไข้มาแปะบนหน้าผากให้นับตังค์ ก่อนจะวางถุงยาไว้บนโต๊ะข้างเตียงพร้อมกับขวดน้ำ

“นี่กี่บาทอ่ะ” นับตังค์เอ่ยถามเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครอบครัวของดินมีปัญหาเรื่องเงิน การที่หมอนี่ซื้ออาหารกับยามาให้เขา อาจจะทำให้เจ้าตัวต้องอดข้าวอดน้ำไปหลายมื้อเลยก็ได้

“ไม่เป็นไร กูก็แดกของมึงออกจะบ่อย” ดินปฎิเสธแล้วยื่นมือมาลูบหัวทุยของเพื่อนร่วมห้องเบาๆ

“สำนึกเป็นนี่หว่า”

นับตังค์หัวเราะเบาๆในลำคอ ส่วนดินเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เขาคว้ากระเป๋าเป้มาสะพายหลัง กำลังจะเดินออกจากห้องพักในตอนที่เรื่องบางอย่างแวบขึ้นมาในสมอง

“นับตังค์”

“ว่า?” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นไปมามองรูมเมทที่มีท่าทางลังเลเล็กน้อย

“เมื่อคืนมึงไปชักว่าวอยู่หน้าระเบียงเหรอวะ?”

ฮะ? นับตังค์ตกใจจนอ้าปากค้าง ส่วนหนึ่งงุนงงและส่วนหนึ่งไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรดินจึงถามแบบนั้น

“บ้าบอ ใครจะบ้าไปชักว่าวหน้าระเบียง ไม่ได้เป็นพวกชอบโชว์นะเว้ย”

ดินเลิกคิ้วก่อนจะส่ายหน้าช้าๆอย่างไม่ติดใจสงสัย

“อา ช่างเถอะ กูไปเรียนล่ะ อย่าลืมกินยาหลังอาหารด้วย มีอะไรก็โทรหากู”

นับตังค์พยักหน้าแล้วทำไม้ทำมือเป็นคำว่าโอเค ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่อไป หลังจากที่ร่างของรูมเมทหายลับไปแล้ว นับตังค์ก็พยายามย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาจำได้ว่ามีนัดเลี้ยงสายรหัสที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาเมามากจึงไลน์ไปบอกให้ดินมารับ แล้วหลังจากนั้นภาพในสมองก็เลื่อนลางจนปะติดปะต่อเกือบไม่ได้ มีแวบหนึ่งที่เขามองเห็นทางเดินยามค่ำคืนของหอใน…พุ่มดอกเข็ม…และเขาที่กำลังอาเจียนอย่างหนัก ก่อนที่ภาพจะตัดไปที่ใบหน้าสวยๆของพี่เวฟ…ความรู้สึกหนาวสั่นของอากาศยามค่ำคืนและเสียงครวญครางที่…!!

นับตังค์ตกตะลึงเมื่อนึกถึงความสุขสมและภาพของพี่เวฟที่เรียกว่าเสมือนจริงมาก เขาขยับตัวอย่างร้อนใจ ก่อนที่ความจริงบางอย่างจะแล่นเข้ามาในสมองเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนกางเกงชั้นใน
ห่าราก! ไม่จริงใช่มั้ย!?

นับตังค์คว้าไอโฟนบนโต๊ะข้างเตียงมาเปิดประวัติการโทร ซึ่งมีสายโทรออกไปมาพี่เวฟช่วงตีสองประมาณสามสิบนาที คุยนานขนาดนั้นเลยหรือ…เขาพล่ามอะไรออกไปบ้างก็จำไม่ได้ ในสมองวนเวียนอยู่แต่เรื่องกามๆ คิดแล้วก็เริ่มกังวล หวังว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรให้พี่เวฟโกรธหรือไม่พอใจนะ ด้วยความไม่สบายใจ เขาจึงตัดสินใจโทรออกไปหาพี่เวฟทันที ฟังสัญญาณรอสายไม่นาน อีกฝ่ายก็กดรับ

“ฮัลโหล” น้ำเสียงของอีกฝ่ายนุ่มทุ้มเจือแววอารมณ์ดีแปลกๆ ทำให้นับตังค์พอจะใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้พี่เวฟอารมณ์เสีย

“พี่เวฟครับ” นับตังค์เอ่ยเรียกอย่างลังเล

“ว่าไงครับ”

“เมื่อคืนประมาณตีสองผมโทรหาพี่…” น้ำเสียงแผ่วเบาลงเล็กน้อยเมื่อกำลังพยายามเรียบเรียงคำพูด

“อืม”

“ผมพูดอะไรไม่ดีหรือเปล่าครับ คือผมเมามาก จำอะไรไม่ได้เลย” นับตังค์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาขอสัญญากับตัวเองเลยว่า จะไม่ดื่มหนักอย่างเมื่อวานอีกแล้ว ขาดสติเป็นอย่างไร ก็เพิ่งรู้ซึ้งในวันนี้เอง

“ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีนะ แค่…” พี่เวฟหัวเราะเบาๆ นับตังค์เกือบถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเมื่อได้ยินประโยคแรก แต่เมื่อประโยคต่อมาดังขึ้น เขาก็ช็อคค้าง สติแตกพร้อมกับวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง แล้วหลังจากนั้นพี่เวฟพูดว่าอะไรอีก หรือว่าเขาวางสายอย่างไรก็ไม่รู้ตัวแล้ว

“โทรมาชักว่าวให้พี่ฟังเองครับ”

ว๊ากกกกกกกกกกกกก!!!

ไม่จริงใช่ม้ายยยย ผมรับไม่ด้ายยย!!!


:hao7:




ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 11


“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ”
นับตังค์เอ่ยทัก เมื่อเห็นรูมเมทเดินโซเซเหงื่อโชกเข้ามาในห้องพักเวลาหกโมงเย็น สายตายังจับจ้องภาพยนตร์ชื่อดังที่กำลังฉายอยู่บนหน้าจอโน้ตบุ๊คที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นขณะเอนหลังพิงหัวเตียง

“โทษทีที่กลับช้า มึงหิวหรือเปล่า” ดินทิ้งกระเป๋าเป้ลงบนพื้นข้างเตียง แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมาดื่มดับกระหาย
“หิวมาก ไปกินข้าวกัน” นับตังค์เอ่ยอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับรีบกดปิดโน้ตบุ๊ค

“รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย หรือจะไปหาหมอ” ดินเดินมายืนข้างเตียงแล้วเอื้อมมือมาวัดไข้บนหน้าผากของนับตังค์ที่ยังอุ่นๆอยู่ ที่มหาวิทยาลัย AU มีโรงพยาบาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ตั้งอยู่ในรั้วมหาลัย นักศึกษาทุกคนสามารถใช้บัตรนักศึกษาแทนบัตรทอง ในการขอรับการตรวจรักษาได้ฟรี โดยที่แผนกผู้ป่วยฉุกเฉินจะเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงไม่ต่างจากโรงพยาบาลแห่งอื่น ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าเวลานี้จะไม่มีหมอคอยตรวจโรค

“ไม่ต้องถึงมือหมอหรอก กูดีขึ้นมากแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”
หลังจากนั้นสิบห้านาที นับตังค์และดินก็มานั่งจุ่มปุ๊กอยู่ที่ร้านขายบะหมี่ข้างรั้วมหาลัย เขาสั่งเกี๊ยวปูพิเศษสามชามเพราะความหิวโหย ส่วนดินสั่งบะหมี่ต้มยำเพิ่มไข่ต้มสองชาม ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยสัพเพเหระพลางกินมื้อเย็น นับตังค์ก็สังเกตเห็นว่ารูมเมทที่กำลังเคี้ยวลูกชิ้นแก้มตุ่ยชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสายตามองไปด้านหลังของเขา กำลังจะอ้าปากถามว่ามีอะไรก็พอดีกับที่เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างใบหูในระยะประชิด ทำเอาเขาตกใจจนเกือบตกจากเก้าอี้

“ไม่เจอกันหลายวัน กินเก่งขึ้นเยอะเลยนะครับ”
นับตังค์เงยหน้าจากชามเกี๊ยวน้ำไปมองที่มาของเสียง จึงได้เห็นใบหน้าเนียนใสของคนสวยที่กุมหัวใจของเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น อีกฝ่ายอยู่ในชุดนักศึกษากางเกงสแล็ค ไม่สวมเนคไท เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นมาเหนือข้อศอก กับเส้นผมสีคาราเมลเข้มที่ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่กลับทำให้เจ้าตัวดูจับต้องได้มากกว่าจะเป็นภาพมายา

“พี่เวฟ!”
วินาทีแรก นับตังค์เอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ก่อนที่วินาทีถัดมา บทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อเช้าจะตามมาหลอกหลอนให้เขาได้อายจนหน้าแดงก่ำ
แค่…โทรมาชักว่าวให้พี่ฟังเองครับ

“หวัดดีครับพี่” ดินเอ่ยทักพี่เวฟตามมารยาท แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อไป อีกฝ่ายจึงแค่พยักหน้าให้แล้วถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“หน้าไปโดนอะไรมาครับ”

นับตังค์เกือบลืมไปแล้วว่ารอยช้ำจากการโดนต่อย ยังเด่นหราอยู่บนแก้มซ้าย ขณะที่เขากำลังพยายามเค้นเสียงของตัวเองด้วยท่าทางเงอะงะ พี่เวฟคนสวยก็เอื้อมมือมาสัมผัสปลายคางแล้วดันให้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับดวงตาสองคู่ที่สบกันทำให้นับตังค์ใจเต้นโครมคราม ใบหน้าร้อนผ่าว เขินอายเสียจนอยากจะระเหยตัวเองเสียเดี๋ยวนี้เลย

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากก้างขวางคอชิ้นโต ทำให้คนสองคนที่กำลังสบตากันอย่างหวานเชื่อมสะดุ้งแล้วละสายตามามองบุคคลที่สามซึ่งเกือบถูกลืมไปเสียแล้ว
“ไอ้นับมันโดนต่อยเพราะไปเกรียนชาวบ้านตอนเมา”
เขาเนี่ยนะไปเกรียนชาวบ้านตอนเมา?

นับตังค์ถลึงตามองรูมเมทอย่างไม่เชื่อถือ แม้จะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่มาก แต่รับรองเลยว่าคนแมนอย่างนับตังค์ไม่ทำเรื่องเกรียนคนอื่นแน่นอน เด็กหนุ่มกำลังคิดสาปส่งรูมเมทขณะที่สายตาเหลือบไปมองคนสวยที่นั่งอยู่ข้างๆเพราะกังวลว่าภาพลักษณ์เด็กดีจะพังพินาศเอาได้ แต่พี่เวฟของเขากลับไม่ได้ใส่ใจคำพูดของดิน นอกจากใช้หลังมือสัมผัสแก้มและหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน

“ไม่สบายเหรอ” พี่เวฟถามเสียงนุ่ม ซึ่งนับตังค์ก็ได้แต่ก้มหน้างุด
“นิดหน่อยครับ”
“กินยาหรือยัง”
“กินแล้วครับ”

ประโยคต่อมาล้วนถามอาการของนับตังค์อย่างเป็นห่วงเป็นใย ราวกับว่าในโลกใบนี้มีพวกเขาแค่สองคน กระทั่งพี่เวฟขอตัวไปสั่งเกี๊ยวปูพิเศษแบบนับตังค์มาหนึ่งชาม พวกเขาจึงได้เริ่มลงมือกินอาหารต่อเสียที มีแต่ดินเพียงคนเดียวที่กินอิ่มแล้วกำลังนั่งชมนกชมไม้ระหว่างรอด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

“ทานเสร็จแล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ” พี่เวฟเอ่ยถาม หลังจากชำระเงินค่าบะหมี่ให้ทุกคนแล้ว คนหนึ่งไม่ได้เอ่ยขัดเพราะยินดีกินฟรีอย่างไม่แยแส ส่วนอีกคนหนึ่งที่มักจะขัด กลับอยู่ในอาการสติเลอะเลื่อนเล็กน้อย
“ไม่ครับ” นับตังค์ที่เคยช่างจ้อเสมอยามอยู่กับคนสวยของเขา กลายร่างเป็นเด็กหนุ่มพูดน้อยอย่างช่วยไม่ได้ไปแล้ว
“งั้นพี่ขอยืมตัวน้องนับสักสองชั่วโมงได้มั้ยครับ เสร็จแล้วเดี๋ยวพาไปส่งหอ”
“ก็ได้ครับ/ไม่ได้ครับ” ประโยคแรกเป็นของนับตังค์ที่เอ่ยปากตอบตกลงอย่างง่ายดาย แต่อีกประโยคที่ดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน มาจากรูมเมทที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ผมจองตัวไอ้นับแล้ว” ดินหันไปอธิบายกับรุ่นพี่ร่วมคณะด้วยท่าทางเฉยชา

“ตอนไหน” นับตังค์จ้องมองรูมเมทอย่างมึนงง ขณะทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน เขาแน่ใจว่าไม่ได้มีนัดกับดินอย่างแน่นอน
“กูกำลังจะบอกมึงก่อนพี่เวฟจะถามเนี่ยแหละ กูอยากขอยืมบัตรนักศึกษาไปยืมหนังสือที่หอสมุดสักหน่อย”
“แล้วบัตรมึงล่ะ” นับตังค์ย้อนถาม
“กูยืมเกินโควต้าแล้ว” หอสมุดกลางของมหาลัย AU มีกฎว่านักศึกษา 1 คน สามารถยืมหนังสือได้สูงสุดไม่เกิน 8 เล่ม นาน 15 วัน โดยการยืมแต่ละครั้งจำเป็นต้องแสดงบัตรนักศึกษาของตัวเองต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ดังนั้นการที่ดินขอบัตรนักศึกษาไปยืมหนังสือ แสดงว่าเขาจะต้องไปหอสมุดกลางกับดินด้วย

“อ๋อ งั้นพรุ่งนี้กูพาไปยืมก็ได้” นับตังค์ตอบรับแม้จะแคลงใจว่าอีกฝ่ายต้องการยืมหนังสือมากมายเกิน 8 เล่มไปทำไม ต่อให้หาหนังสืออ่านเสริม นับตังค์ก็ยังไม่เคยยืมหนังสือพร้อมกันเกิน 3 เล่มเลย ถ้าเป็นหนังสือเรียนเล่มหนาที่ต้องใช้เวลาอ่านนานหลายเดือน เขาจะเลือกวิธีถ่ายเอกสารเฉพาะบทที่จำเป็นเก็บไว้อ่านแทน เพื่อเป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนให้นักศึกษาคนอื่นได้ยืมต่อ
“ไม่ได้!” ดินปฏิเสธเสียงเฉียบขาด

นับตังค์ขมวดคิ้ว แล้วเหลือบตาไปมองพี่เวฟที่มีสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่ค่อยสบายใจ เขายังไม่ได้ขอโทษพี่เวฟเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เรื่องแบบนี้ปล่อยไว้นานคงไม่ดี ควรเปิดใจคุยกันแมนๆ เดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติด
“ได้เถอะ มึงรีบขนาดนั้นเลยเหรอ” นับตังค์จิกตาใส่เพื่อนราวกับแม่ไก่ที่กำลังโกรธจัด พลางขยิบตาส่งซิกรัวๆ เพราะเชื่อว่าคนเป็นเพื่อนกัน แค่มองตาก็รู้ใจแล้ว

“กูรีบใช้หนังสือ มึงก็รู้ว่ากูไม่ค่อยว่างเพราะต้องทำงานพิเศษ” ดินตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา จนนับตังค์ระอา ได้แต่คิดว่าหมอนี่โง่หรือซื่อบื้อกันแน่ เรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ
“มึงจดชื่อหนังสือมาก็ได้ เดี๋ยวกลับมาแล้วกูจะไปยืมให้”

นับตังค์พยายามต่อรอง เพราะหอสมุดกลางของมหาลัย AU เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงแข่งกับเซเว่น ยกเว้นช่วงปิดเทอมเท่านั้นที่จะเปิดให้บริการเวลา 08.00 น. - 18.00 น.
“ไม่ได้ มึงเห็นการบ้านของกูไม่สำคัญสินะ แล้วเมื่อวานตอนมึงเมา ใครกันที่เป็นคนแบกมึงกลับห้อง”
“แบกกลับห้อง?”

นับตังค์ได้ยินพี่เวฟพึมพำเบาๆ คิ้วเรียวขมวดยุ่งราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง ส่วนเขาก็ได้แต่ยิ้มแหยเมื่อถูกรูมเมทดึงดราม่า ได้แต่จำใจตอบตกลงให้จบเรื่องจบราวไป เพราะครั้นจะให้เขามาเถียงกับดินด้วยเรื่องไร้สาระต่อหน้าคนสวยก็ทำไม่ลง เดี๋ยวภาพลักษณ์คนแมนจะดูตกต่ำ

“เออได้ ตามใจมึงเลย” นับตังค์เอ่ยกับรูมเมทห้วนๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้คนสวยแล้วเอ่ยถามเสียงอ่อนเสียงหวาน
“พี่เวฟอยากให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ เป็นวันอื่นได้มั้ย”

“อา” เวฟมีสีหน้าครุ่นคิดเพราะไม่คาดว่าจะได้รับการปฏิเสธจากนับตังค์ นัยน์ตาสีดำสนิทเหลือบมองไปที่รุ่นน้องร่วมคณะที่กำลังเสมองไปทางอื่น มีวูบหนึ่งที่ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชาและเป็นปรปักษ์
“มะรือนี้มีงานประกวดดาวเดือน พี่อยากให้น้องนับมาช่วยงานหลังเวทีครับ”

“อ๋อ ได้เลยครับ” นับตังค์ตอบอย่างกระตือรือร้น ความจริงเขาควรต้องไปดูแลรับใช้พี่เวฟระหว่างการซ้อม แต่เป็นเพราะสโมสรนักศึกษานั่นแหละที่กีดกันเขา ดังนั้นคราวนี้เขาจะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด เขาต้องไปดูแลหาข้าวหาน้ำ รับใช้คนสวยเป็นอย่างดี
“วันงานพี่เวฟส่งเวลานัดกับสถานที่มาให้ผมด้วยนะครับ”

“ขอบคุณครับ” หลังจากนั้นพี่เวฟก็ขอตัวกลับที่พัก ทิ้งให้นับตังค์เผชิญหน้ากับรูมเมทที่เดินดุ่มๆไปเอารถมอเตอร์ไซค์โดยไม่รอเจ้าของ ต่อให้ความรู้สึกช้าแค่ไหน แต่เขาก็พอจะรู้ว่าดินกำลังเคืองอะไรเขาสักอย่าง…แต่มันเรื่องอะไรล่ะวะ? นี่เขาก็กำลังจะไปหอสมุดเป็นเพื่อนมันนะเฮ้ย!

“มึงเป็นห่าอะไรต้องรีบขนาดนั้นวะ กูนี่ส่งซิกให้มึงจนจะเหมือนคนเป็นสันนิบาตอยู่แล้ว เสือกไม่เข้าใจ”
นับตังค์อดไม่ได้ต้องอ้าปากด่ารูมเมทที่เดินนำอยู่ด้านหน้า อีกฝ่ายหยุดแล้วหันขวับมาหาเขากะทันหันจนเกือบจะเบรกไม่ทัน จึงได้แต่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“สำหรับมึงแล้ว เรื่องของพี่เวฟสำคัญที่สุดใช่มั้ย”

ก็…ใช่นะ ถ้าไม่นับเรื่องของพ่อ เรื่องของเพื่อน เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องสอบ ก็ยกให้พี่เวฟสำคัญที่สุดอยู่แล้ว
ยังไม่ทันที่นับตังค์จะได้พยักหน้า รถมอเตอร์ไซค์ลูกรักก็ถูกรูมเมทไม่รักดีพาแล่นฉิวผ่านหน้าเขาไปดื้อๆ ให้ตายสิ มึงคิดจะให้กูวิ่งกลับหอหรือไง กูป่วยอยู่นะ นับตังค์หน้าแดงก่ำด้วยความโมโห อ้าปากพะงาบๆ มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย รถมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านเขาไปเกือบ 100 เมตร ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ข้างทาง ไม่มีวี่แววว่าจะแล่นต่อ แม่ง ไอ้คนกวนตีน ทำแบบนี้ก็ได้เหรอวะ นับตังค์สบถในใจแล้ววิ่งเข้าไปหามอเตอร์ไซค์ของตัวเองก่อนจะรีบกระโดดขึ้นไปนั่ง แล้วเกาะหลังคนขับที่กำลังอารมณ์แปรปรวน อ้าปากหอบหายใจเล็กน้อย ยามนี้ในสมองกลับคิดคำด่าไม่ออก ได้แต่ตะโกนอย่างหัวเสียเพียงประโยคเดียวก่อนจะงอนคืนเสียเลย

“ไอ้คนขี้งอน!”



15.00 น.
เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดคอกลมสีดำกับกางเกงยีนส์สกินนี่เท่ส์ๆ กำลังเงยหน้ามองโดมสีขาวหม่นภายใต้แสงแดดยามบ่ายอย่างชื่นชม สถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นที่จัดการประกวดดาวเดือนเหมือนเช่นทุกปี นับเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวในมหาลัยที่สามารถจุคนได้มากที่สุดถึงสี่พันคน ตัวอาคารสีขาวมีสองชั้น ประกอบไปด้วยโดมขนาดใหญ่รูปวงกลมที่มีเก้าอี้ไล่ระดับสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ นอกจากนี้ด้านนอกยังมีห้องสุขาถึงหกแห่ง และห้องขนาดใหญ่อีกหลายสิบห้องที่ถูกใช้เป็นที่แต่งตัวของเหล่าดาวเดือนและผู้เกี่ยวข้อง

นับตังค์ก้าวขาเรียวยาวเข้าไปในตัวอาคารชั้นล่าง ระหว่างทางเดินสวนกับเจ้าหน้าที่กองประกวดหลายต่อหลายคนที่กำลังวิ่งวุ่นทำงานที่ได้รับหมอบหมายมาให้เสร็จสิ้นก่อนเวลาเปิดงาน เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งคือสมาชิกจากสโมสรนักศึกษา และมีส่วนหนึ่งที่ใช้วิธีการเปิดรับสมัคร โดยทางมหาลัยจะมีค่าตอบแทนให้เล็กๆน้อยๆ

นับตังค์กวาดตามองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ก้าวเข้ามาใช้บริการสถานที่แห่งนี้ เขาขยับป้ายเจ้าหน้าที่บนลำคอซึ่งได้มาจากพี่เวฟ แล้ววางท่าทำตัวเป็นคนในเดินอย่างมั่นใจไปทั่วอาคาร แต่ทำตัวท่ามากอยู่ได้ไม่นาน เขาก็ต้องยอมรับว่าที่แห่งนี้ใหญ่เกินไป หากเขาเดินวนไปวนมาคงหลงทางเป็นแน่ จึงต้องหยุดแวะถามทางจากเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งที่เดินสวนมา

“ขอโทษนะครับ รู้มั้ยว่าห้องแต่งตัวของพิธีกรอยู่ตรงไหน?”

เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นมองป้ายกองประกวดบนลำคอของนับตังค์ ก่อนจะเหลือบไปมองถุงขนมขนาดใหญ่ในมืออีกฝ่ายแล้วคิดเองเออเองว่า เด็กหนุ่มคงเป็นเด็กที่ทางคณะส่งมาดูแลดาวเดือนอย่างใกล้ชิด เรียกว่าขาดเหลืออะไรสามารถเรียกใช้ได้สะดวกกว่าเจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่มีหน้าที่ดูแลสถานที่จัดงาน

“อ๋อ มาดูแลเดือนพิธีกรล่ะสิ น้องเดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวา มองห้องแรกสุดทางซ้ายมือ หาไม่อยากหรอกมีป้ายติดไว้”
นับตังค์เอ่ยขอบคุณแล้วผละจากมา เขาเดินไปตามทิศทางที่เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกไว้ ไม่นานก็พบห้องที่มีกระดาษ A4 พิมพ์ข้อความว่า ‘ห้องแต่งตัวพิธีกร’ แปะอยู่บนประตูสีเทาทางซ้ายมือ บนบานประตูมีหน้าต่างกระจกเล็กๆที่สามารถมองเข้าไปเห็นด้านในได้ เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าพี่เวฟอยู่คนเดียวหรือไม่ เพราะถ้าไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วจู่ๆ เขาทะเล่อทะล่าเข้าไปคงไม่ดีแน่
นับตังค์เริ่มทำตัวเหมือนพวกถ้ำมองด้วยการค่อยๆขยับเข้าไปใกล้บานประตูอย่างเชื่องช้าและเงียบกริบ ก่อนจะแอบชะโงกหน้าไปมองผ่านบานกระจกใส ภายในห้องสีขาวมีขนาดไม่ใหญ่มากเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีผ้าม่านรางโค้งติดอยู่มุมหนึ่งของห้องสำหรับใช้เปลี่ยนเสื้อผ้า ทางฝั่งซ้ายมีกระจกบานยาวติดอยู่บนผนังกับเคาน์เตอร์ตัวยาวและเก้าอี้สี่ห้าตัว ในห้องค่อนข้างโล่งเขาจึงใช้เวลาเพียงแวบเดียวในการกวาดตามองรอบๆและพบว่าพี่เวฟกำลังยืนอยู่หน้ากระจก เท้ามือทั้งสองข้างลงบนเคาน์เตอร์โดยมีใครคนหนึ่งโอบกอดเอวจากด้านหลัง ใบหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นฝั่งอยู่บนแผ่นหลังของพี่เวฟอย่างแนบแน่น ทำให้เขามองเห็นใบหน้าได้ไม่สะดวก
ใคร!?

ความรู้สึกแรกที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมากลางใจ คือความหึงหวง ก่อนจะตามมาด้วยความโกรธเคือง แต่ยังไม่ทันที่นับตังค์จะได้หลบฉากออกไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในห้อง ก็ทำให้เขาชะงักฝีเท้าและจ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ

นับตังค์เพิ่งสังเกตเห็นว่าคนสวยของเขา มีท่าทางฉุนเฉียวขณะดึงมือสองข้างที่โอบกอดรอบเอวออกอย่างรุนแรง นับตังค์ไม่เคยเห็นพี่เวฟดูหัวเสียแบบนี้มาก่อนเลย ความสงสัยใคร่รู้หรือจะเรียกแบบหยาบคายหน่อยก็คงเป็นความเสือกของตัวเขาเองที่อยากชมดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ จึงขยับหลบไปยืนด้านหนึ่งของประตูอย่างแผ่วเบา แต่ไม่วายสอดส่ายสายตาเข้าไปด้านในอย่างไม่เกรงใจ

“ทำไมวันนี้ไร้เยื่อใยกันจังล่ะครับ”

เสียงที่เอ่ยขึ้นไม่ดังไม่เบา เจือแววหัวเราะหยอกล้อเล็กน้อย พร้อมกับใบหน้าของคนๆนั้นที่สะท้อนลงบนบานกระจก ทำให้นับตังค์มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหมอนั่นคือ…เคนโด้ เดือนคณะจิตรกรรมชั้นปีที่ 1 นั่นเอง!
เดี๋ยวนี้ออกล่าเหยื่อถึงต่างคณะแล้วเหรอวะ?

นับตังค์คิดอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่แปลกใจเลยที่เคนโด้ตามตื้อพี่เวฟ ขอแค่เป็นผู้ชายแล้วงานดีสักหน่อย หมอนี่ก็แล่นไปเสนอตัวถึงที่แล้ว ทวยเทพยังเคยให้ฉายาไว้เลยว่า ‘เคนโด้ร้อยอัน’ ส่วนอันนี้คืออันไหน คาดว่าคงไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด คนในคณะก็รับรู้กันเป็นอย่างดี

“พี่จำไม่ได้ว่าเคยมีเยื่อใยให้ตอนไหน”
นับตังค์เบิกตาโต เขาไม่เคยได้ยินพี่เวฟใช้น้ำเสียงเย็นชาแบบนี้มาก่อน แต่เดี๋ยวนะ…สถานการณ์ตอนนี้มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? หากคิดว่าเคนโด้ตามตื้อพี่เวฟที่เป็นตุ๊ดมันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือ? ในเมื่อเจ้าหมอนี่เป็นฝ่ายรับ แต่เอ…หรือว่าอยากเปลี่ยนแนว?

เด็กหนุ่มยกมือลูบปลายคางอย่างครุ่นคิด ดวงตาสีดำคู่กลมกวาดมองสำรวจเคนโด้ขึ้นๆลงๆ อย่างละเอียดก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ไม่มีทาง! เจ้าหมอนี่เอวบางร่างน้อย ก้นก็งอน มองผ่านๆแล้วเหมือนผู้หญิงผมสั้นซะมากกว่า เตี้ยขนาดนี้พอมายืนเทียบกับพี่เวฟแล้วสูงยังไม่ถึงปลายคางด้วยซ้ำ โอ๊ย! ไม่อยากจะคิด หมอนี่มันโรคจิต อยากฉิ่งฉับหรือไงนะ พี่เวฟเป็นของนับตังค์ ต้องเป็นเมียนับตังค์เท่านั้นโว้ย!

“ต้องให้เคนย้อนให้ฟังเหรอครับ ว่าก่อนเปิดเทอมพี่เวฟทำอะไรกับเคนไว้บ้าง…ในบาร์แห่งหนึ่ง…ตอนพี่เมา…”
น้ำเสียงที่ลากยาวกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่กระตุกบนเรียวปากทำให้นับตังค์อ้าปากค้าง อยากเปิดประตูเข้าไปกระชากคอเคนโด้มาถามว่าทำอะไรนี่คืออะไรวะ พี่เวฟของเขายังไม่ถูกไอ้บ้านี่ทำให้แปดเปื้อนใช่มั้ย ไม่น้า!
“พวกเราออกจะมีช่วงเวลาหวานชื่นและร้อนแรง…”

ระ…ร้อนแรง! ยังไม่ทันที่นับตังค์จะได้จินตนาการเรื่องร้ายๆในสมอง คำพูดต่อมาของพี่เวฟก็ทำเอาเขาเกือบสะดุดหน้าคว่ำลงไปบนพื้น

“แบบนั้นเรียกหวานชื่นและร้อนแรงได้ด้วยเหรอ? ไม่ใช่ว่าน้องกระสันอยากจะผสมพันธุ์อยู่คนเดียวนะ”
นับตังค์อึ้ง…แต่คนที่อึ้งกว่าเห็นจะเป็นเคนโด้ หมอนั่นถึงกับนิ่งค้างราวกับสัตว์สต๊าฟ ไม่ใช่ว่าตกใจจนวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้วนะ นับตังค์ยกมือปิดปากแล้วหัวเราะกึกๆในลำคอ ลืมไปได้อย่างไรนะว่าพี่เวฟเป็นพวกปากร้าย ไม่มีทางที่พี่เวฟจะปั้นหน้ายิ้มแย้ม พูดจาอ่อนหวานกับคนที่ไม่ชอบเด็ดขาด

“ปากร้ายซะจริง แต่ไม่เป็นไร เคนชอบพี่ แค่นี้เองไม่ถือหรอกครับ”
เคนโด้ที่เพิ่งรู้สึกตัวขยับยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ ขาเรียวภายใต้กางเกงสแล็คก้าวเข้าไปหาพี่เวฟอย่างเชื่องช้าก่อนจะประทับจูบลงบนแก้มของเดือนวิศวะโดยไม่ทันที่ใครจะคาดคิด แม้จะถูกผลักออกทันที แต่บนแก้มของผู้ถูกกระทำยังทิ้งร่องรอยจากลิปสติกสีชมพูให้เห็นอย่างเด่นชัด

“ออกไป!” น้ำเสียงเย็นเยือกเอ่ยไล่แบบไม่ไว้หน้า แต่นั่นทำอะไรเคนโด้ไม่ได้อีกแล้ว เจ้าตัวเพียงใช้นิ้วมือลูบไล้ริมฝีปากของตัวเองอย่างพออกพอใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากมาพร้อมกับประโยคทิ้งท้าย

“แต่ถ้าอยากสนุกกับเคนเมื่อไร โทรมาได้ตลอดนะครับ”



TBC.




ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


I'm Tussy 12



ผลัก!

นับตังค์เซถอยหลังไปเล็กน้อย เมื่อถูกคนที่ก้าวขาออกมาจากห้องแต่งตัวพิธีกรชนเข้าให้เต็มแรง คนหนึ่งมัวแต่กระหยิ่มยิ้มย่องที่ได้ลวนลามเดือนหน้าสวยจึงไม่ได้ระวัง ส่วนอีกคนก็มัวแต่ยืนถ้ำมองคนอื่น จึงหาที่หลบไม่ทัน ได้แต่ยืนเอ๋ออยู่ข้างประตูรอการปะทะแต่โดยดี

“นาย!” เดือนจิตรกรรมแหวขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ ปากเตรียมพ่นคำด่าเต็มที่ แต่เมื่อมองให้ชัดๆ แล้วเห็นว่าตัวเกะกะที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเพื่อนรวมสาขาก็รีบกลืนคำหยาบลงคอทันที ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งกลับคืนสู่สภาพของเด็กหนุ่มหน้าหวานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง

“หวัดดี” นับตังค์เอ่ยทักด้วยรอยยิ้มแหยๆ จะให้วิ่งหนีก็กระไรอยู่ แต่จะให้เดินผ่านไปเฉยๆก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทเกินไปหน่อย
“นับตังค์” เสียงนั้นหวานย้อยเสียจนคนฟังขนลุก จึงเผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว แต่อีกฝ่ายก็ก้าวตามมาติดๆด้วยดวงตาที่เป็นประกายวิ้งๆดูแล้วน่าขนลุก

“วันนี้หล่อเชียว อื้ม…แต่มองอีกที นายน่ารักมากกว่านะ”
เคนโด้ยกมือลูบปลายคางขณะกวาดตามองเพื่อนร่วมสาขาด้วยความพออกพอใจ เสียดายก็แต่คนๆนี้ดูจะหวาดกลัวเขาเลยไม่ยอมเล่นด้วย เฮ้อ เสียของจริงๆเล้ยยย!

“นาย…” ยังไม่ทันที่นับตังค์จะได้เอ่ยบอกขอทาง อีกฝ่ายก็ใช้สองมือกระชากคอเสื้อของเขาเข้าไปหาแล้วประทับจูบลงบนแก้มเต็มแรงจนได้ยินเสียงดัง จุ๊บ!
นับตังค์เบิกตาโต อ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง อีกฝ่ายเอียงคอมองเขาเล็กน้อยก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนถูกกระทำตะโกนด่าไล่หลังด้วยความหัวเสีย แต่เมื่อได้ยินประโยคตอบรับที่ดังกลับมาแบบชิวๆ ก็ได้แต่เบ้หน้าทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“ขอบใจนะ”
หลังจากที่เคนโด้เดินหายลับไปจากสายตา นับตังค์ก็ยกมือขึ้นมาถูแก้มแรงๆจนรอยลิปสติกเปรอะเปื้อนใบหน้าเป็นทางยาว นี่มันคือการคุกคามทางเพศชัดๆเลย เขารู้ว่าหมอนี่นิสัยแย่ แต่ไม่คิดว่าจะแย่ขณะนี้!
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังสาปส่งปีศาจฉวยโอกาสอยู่ในใจ ประตูห้องแต่งตัวพิธีกรก็ถูกกระชากเปิดออก พร้อมกับร่างของคนสวยที่กำลังก้มมองใบหน้าของเขาด้วยความประหลาดใจ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ” พี่เวฟเอ่ยถามขณะใช้สายตามองสำรวจนับตังค์ที่สบโอกาสรีบเอ่ยปากฟ้องทันที
“ผมโดนไอ้เคนโด้หอมแก้มอ่ะ”

เวฟเลิกคิ้วมองคนที่กำลังยืนเอามือกุมแก้ม ท่าทางโมโหราวกับถูกพลางความบริสุทธิ์ ก็ไม่รู้ว่าควรหึงหวงที่เด็กน้อยของเขาถูกลวนลามดีหรือว่าหัวเราะดี

“มานี่มา”

นับตังค์ถูกพี่เวฟลากเข้าไปในห้องแต่งตัว ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละออกไปค้นหาบางอย่างในกระเป๋าสะพายของตัวเอง นับตังค์หันมองไปรอบๆห้อง ก่อนจะถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้มานั่งแล้ววางถุงขนมลงบนเคาน์เตอร์หน้ากระจก
“มาตั้งแต่เมื่อไรครับ” พี่เวฟเอ่ยถามพร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับนับตังค์ ในมือมีห่อกระดาษทิชชู่เปียกที่ถือกลับมาด้วย

“สักพักแล้วครับ”
นับตังค์ตอบอ้อมแอ้ม ดวงตาช้อนขึ้นมองสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างเป็นกังวลเพราะไม่รู้ว่าจะถูกโกรธหรือไม่ ที่เขาแอบมาถ้ำมองอย่างเสียมารยาท แต่คนสวยไม่ได้ว่าอะไรต่อ นอกจากหยิบทิชชู่เปียกแผ่นหนึ่งขึ้นมาเช็ดรอยลิปสติกที่ติดอยู่แก้มของเขาอย่างแผ่วเบา

นับตังค์เพิ่งมีโอกาสได้พิจารณาใบหน้าของพี่เวฟชัดๆในตอนนี้เอง อีกฝ่ายแต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากเรียวสวยน่าสัมผัสถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีนู้ด เปลือกตาทั้งสองข้างถูกทาด้วยอายแชร์โดว์เฉดสีน้ำเงินผสมชิมเมอร์ที่มีประกายสีเงิน อายไลเนอร์ถูกกรีดลงบนเปลือกตาเป็นเส้นบางๆทำให้ดูโฉบเฉียวและเซ็กซี่ในเวลาเดียวกัน อาจเป็นเพราะว่าคืนนี้พี่เวฟต้องยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟบนเวที การแต่งหน้าให้เข้มเสียหน่อยจะทำให้เครื่องหน้าดูชัดขึ้น พี่เวฟเป็นคนที่รูปหน้าเก๋มากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะแต่งหน้าแบบไหนล้วนแต่ดูดี ยิ่งลงสีเข้มบนเปลือกตาแบบนี้มีแต่จะทำให้ยิ่งเด่น หากเป็นคนอื่นที่เบ้าหน้าไม่ดี แล้วต้องมาแต่งหน้าลุคแฟนซีแบบนี้ เกรงว่าจะมีแต่ทำให้ดับอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

เด็กหนุ่มเอียงคอมองใบหน้าที่กำลังจดจ้องให้ความสนใจแก่เขาอย่างเคลิบเคลิ้ม พลางคิดว่าคนสวยต้องดูดีกว่านี้มากแน่ๆ ถ้าไม่ได้มีรอยเปื้อนลิปสติกสีชมพูของเคนโด้ที่ฝากไว้บนแก้มใกล้ๆกับริมฝีปาก
ฮึย! อีกนิดเดียวก็จะจุ๊บปากอยู่แล้ว!

นับตังค์มองรอยเปื้อนนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ เขาดึงมือของคนที่กำลังเช็ดใบหน้าของเขาออก แล้วโน้มตัวไปหยิบห่อกระดาษทิชชู่ที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์

“แก้มพี่เวฟก็เลอะเหมือนกัน ผมเช็ดให้นะ”

ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ นับตังค์ก็ใช้ทิชชู่เปียกในมือออกแรงถูแก้มของพี่เวฟแรงๆ อีกฝ่ายมีท่าทางอยากเอ่ยปากห้าม แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อสิ่งที่หลุดออกมาไม่ใช่แค่รอยลิปสติกของเคนโด้ แต่ทั้งแป้ง ทั้งรองพื้นก็หลุดติดกระดาษทิชชู่ออกมาหมด ทำให้ใบหน้าที่ควรเปล่งประกายวิ้งๆแบบนางฟ้า ดูกระดำกระด่างเพราะสีผิวที่ไม่เสมอกันเช่นเดิม

“ง่า…หน้าพี่เวฟ”
นับตังค์แทบปากระดาษทิชชู่ในมือทิ้งขณะเอ่ยปากขอโทษด้วยใบหน้าเจื่อนๆ

“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่คราวหน้าห้ามมือไวแบบนี้อีกนะ”

คนสวยดุนับตังค์อย่างไม่จริงจัง ก่อนจะเอื้อมมือไปควานหาหลอดรองพื้นที่กระจายเกลื่อนกลาดอยู่บนเคาน์เตอร์ พี่เวฟเลือกรองพื้นออกมาสองหลอด แล้วบีบเนื้อครีมออกมาป้ายลงบนหลังมือเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงเนื้อรองพื้นให้กระจายตัวบนหลังมือเพื่อทดสอบสี นับตังค์คาดว่าก่อนหน้านี้คงมีคนอื่นเข้ามาแต่งหน้าให้ แต่พี่เวฟก็ดูโปรกับเรื่องพวกนี้พอสมควร เมื่อคิดว่าเรื่องสวยๆงามๆก็คู่กับคนสวยๆอยู่แล้วจึงไม่ได้แปลกใจ
“ให้ผมช่วยนะ”

นับตังค์รีบเสนอหน้าเพราะความรู้สึกผิด แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าลังเลเล็กน้อยเพราะกลัวว่ารุ่นน้องตัวยุ่งจะทำให้ตนได้แต่งหน้าใหม่ แทนที่จะลงรองพื้นและแป้งแค่ช่วงแก้ม

“ก็ได้ครับ”
นับตังค์ปรบมือแปะๆด้วยความดีใจ เขาไม่เคยใช้ของพวกนี้มาก่อน แต่จะว่าไปถ้าได้ละเลงสีลงบนใบหน้าของพี่เวฟก็ดูน่าสนใจไปอีกแบบ เพราะการแต่งหน้าก็เป็นศิลปะชนิดหนึ่งเหมือนกัน พี่เวฟบีบครีมรองพื้นลงบนปลายนิ้วของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะแตะลงบนใบหน้า ในส่วนที่เขาทำเลอะเทอะ
“ห้ามถูเด็ดขาด ค่อยๆเกลี่ย แค่ช่วงนี้ถึงตรงนี้”

นับตังค์พยักหน้า เขาขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้คนสวยจนหัวเข่าของพวกเขาสัมผัสกัน ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปมองให้ชัดๆ…ผิวของพี่เวฟเนียนละเอียดอยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมต้องลงรองพื้นด้วยนะ
นับตังค์ค่อยๆใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเนื้อรองพื้นบนพวงแก้มของคนสวยอย่างตั้งอกตั้งใจ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นดีเกินคาด นับตังค์รับฟองน้ำเนื้อนุ่มที่ถูกพี่เวฟตบแป้งส่วนเกินออกไปบ้างแล้วมาถือ ก่อนจะบรรจงแตะเบาๆให้สีผิวช่วงแก้มของคนสวยกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม

“วันนี้พี่เวฟสวยจัง” นับตังค์มองคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาชื่นชม
“งั้นเหรอ…พี่ก็หลงตัวเองอยู่ได้ตั้งนานว่าสวยอยู่ทุกวัน”
ประโยคยกยอตัวเองจากคนตรงหน้าทำให้นับตังค์หัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดู อยากเข้าไปหยิกแก้มนิ่มๆนั่นเหลือเกิน แต่ไม่ได้หรอก ตอนนี้พี่เวฟแต่งหน้าพร้อมขึ้นเวทีแล้ว ถ้าเขาสัมผัสแก้มคนสวยแรงเกินไป อาจจะทำให้เมคอัพหลุดติดมือ แล้วเขาก็ไม่มีปัญญาซ่อมให้ใหม่ด้วยซิ

“หิวมั้ยครับ ผมซื้อขนมมาฝาก” นับตังค์หันไปหยิบถุงขนมที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์หน้ากระจกมาส่งให้พี่เวฟ ในนั้นบรรจุน้ำดื่มสองขวดและแซนด์วิชจากร้านเบอเกอร์รี่เจ้าประจำที่เขาชื่นชอบมาก นับตังค์ซื้อมาทั้งหมดสิบชิ้นตั้งใจว่าจะกินพร้อมกับคนสวย เขาไม่แน่ใจว่าพี่เวฟกินจุแค่ไหน แต่เขาคนเดียวก็กินห้าชิ้นแล้ว จึงซื้อมาเผื่อไว้ก่อน ดีกว่าขาด

“ขอบคุณครับ แต่คราวหน้าไม่ต้องลำบากหรอก”

“ไม่ลำบากเลยครับ”
นับตังค์ตอบ เขายังจำได้ดีว่าต้องดูแลพี่เวฟเพื่อตอบแทนที่ยอมมานั่งหลังขดหลังแข็งเป็นแบบให้เขาวาดภาพ จึงแกะแซนด์วิชชิ้นหนึ่งแล้วบริการส่งตรงถึงปาก ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปฎิเสธให้เสียน้ำใจ เพียงแค่ขยับยิ้มแล้วก้มหน้าลงมากัดขนมปังนุ่มแต่โดยดี
“เขา…จีบพี่เวฟเหรอครับ” ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังกินแซนด์วิชของตัวเอง เด็กหนุ่มที่นั่งฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเรื่องของเคนโด้มาเกือบสิบนาทีที่เริ่มเปิดปากถาม

“เปล่าหรอกค่ะ แค่ชวนไปสนุกด้วยกัน” คนตอบเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ แต่คนฟังกลับหน้ามืดด้วยความหึงหวงเต็มพิกัด
“พี่เวฟห้ามไปสนุกกับเขานะครับ” ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์อะไร แต่ปากก็เอ่ยห้ามไปแล้วแบบไม่ต้องคิด
“ถ้าพี่ไม่ไปกับเขา น้องนับจะมาสนุกกับพี่หรือเปล่าล่ะ”

นับตังค์นิ่งค้างไปครู่หนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่า ‘สนุก’ ของพี่เวฟเป็นความสนุกแบบไหนกันแน่? แต่อย่างว่านับตังค์ไม่ใช่เด็กใสๆ ค่อนไปทางลามกหลบในด้วยซ้ำ จะให้คิดแบบโลกสวยถึงการไปเดินตลาดแบบสนุกสนานก็ใช่เรื่อง เพราะฉะนั้นในสมองของเขาจึงปรากฎภาพความสนุกสนานของผู้ใหญ่ ทั้งโซ่ แส้…กุญแจมือ!

ติ๊ดดดดดด!!!

สัญญาณติดเรตดังขึ้นในสมอง ทำให้นับตังค์หลุดออกจากจินตนาการที่เริ่มจะไปไกลจนกู่ไม่กลับ สายตาเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พี่เวฟกำลังกินขนมปังชิ้นสุดท้ายอย่างเอร็ดอร่อย มีบางครั้งที่ลิ้นสีชมพูจะแลบออกมาเลียริมฝีปากที่เปื้อนคราบซอสสีขาวข้น ทำเอาเขาคิดดีไม่ได้เลย ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่ากำลังถูกคนสวยยั่วยวน หวั่นๆว่าจะสติแตกแค่เพราะเห็นลิ้นที่กำลังไล้เลียริมฝีปากของตัวเอง เร็วกว่าความคิด มือของเขาก็เอื้อมออกไปปาดคราบเปื้อนตรงมุมปากให้คนสวย เพียงแค่หวังว่าพี่เวฟจะไม่ต้องใช้งานลิ้นสีชมพูนั้นอีก แต่ใครจะรู้ว่านาทีที่ปลายนิ้วของเขาพลาดไปสัมผัสโดนลิ้นอุ่นๆนั่นกลับทำให้เขาตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ

ความเงียบที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้นับตังค์ตัวแข็งค้าง มองคนตรงหน้าที่นิ่งค้างไม่ต่างกัน เพียงแต่ไม่ได้นิ่งเพราะตื่นตกใจ แต่เป็นความนิ่งสงบที่แฝงกระแสของการเชิญชวนอย่างเงียบงัน โดยไม่ทันได้ใช้สมองไตร่ตรองให้ดีเป็นครั้งที่สอง เด็กหนุ่มที่อยากรู้อยากเห็นก็โน้มตัวเข้าไปหาคนตรงหน้า ตามความปรารถนาที่ซ่อนลึกอยู่ในใจ หวังจะสัมผัสความอ่อนนุ่มของริมฝีปากนั้น เขาอยากรู้ว่ารสชาติของพี่เวฟจะหอมหวานเพียงใด

ระหว่างที่ริมฝีปากของนับตังค์แตะสัมผัสลงบนเรียวปากอ่อนนุ่มตรงหน้า หัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งจนเกรงว่าจะหลุดออกมาจากอก ไม่ใช่ว่าไม่เคยจูบ…แต่ไม่เคยจูบใครแล้วหัวใจเต้นแรงแบบนี้ต่างหาก เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาราวกับแมงปอแตะผิวน้ำ ก็ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอิบไปทั้งหัวใจ ปรารถนาจะสัมผัสให้แนบแน่นกว่านี้ สำรวจให้ลึกซึ้งกว่านี้ แต่ยังไม่ทันได้ทำตามต้องการ ประตูห้องแต่งตัวก็ถูกเปิดผ่าง!พร้อมกับร่างของใครคนหนึ่งที่พรวดพราดเข้ามา สร้างความตกใจให้คนฉวยโอกาสที่รีบผละออกห่างจากคนสวยราวกับต้องของร้อน

“ไอ้เว--ฟ!”
คนที่เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวอ้าปากร้องทัก ก่อนจะเบิกตาโตอุทานคำหยาบด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของคนที่กำลังตามหา ได้แนบชิดสนิทสนมอยู่กับใครคนหนึ่ง จะบอกว่าป้อนขนมกันทางปากก็คงเหลือเชื่อไปหน่อย แต่ทำไงได้ ในเมื่อก้าวพรวดพราดเข้ามาเห็นเต็มสองตาขนาดนี้แล้ว จะให้ทำตัวมีมารยาทด้วยการถอยออกไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน
นับตังค์พยายามตีสีหน้าเคร่งครึมทั้งๆที่ใบหน้ากำลังแดงก่ำด้วยความเขินอาย เขาเหลือบตามองไปทางคนมาใหม่ เมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นพี่เดือนมหาลัยปีที่แล้ว ก็เอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ตามมารยาท

“สวัสดีครับ พี่คุณ”

“อา ครับ” คนมาใหม่ยิ้มรับเก้อๆ ก่อนจะแอบเหลือบตามองไปทางเพื่อนต่างคณะที่นั่งกอดอกมองมาทางเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดแบบไม่คิดปิดบัง ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเขาคงกำลังโดนด่ายันเหง้าอยู่แน่ๆ
“มึงให้คนไปเอาชุดหรือยัง” คุณแสร้งเอ่ยถามถึงชุดที่ต้องใส่ขึ้นเวที หวังจะเปลี่ยนบรรยากาศแปลกๆที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทจะไม่ให้ความร่วมมือ เมื่อเจ้าตัวเอ่ยตอบเพียงคำสั้นๆอย่างไร้อารมณ์

“แล้ว”

“ข้าวกล่องกับน้ำมาส่งแล้วนะ…น้องไปหยิบให้มันหน่อยสิ พี่จะซ้อมคิวกัน” ประโยคแรกบอกกับเพื่อนสนิทที่ดูท่าจะไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง ประโยคถัดมาจึงหันไปเอ่ยกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่คุ้นหน้าคุ้นตาว่า เคยมาช่วยงานถ่ายภาพให้กับสโมสรนักศึกษา
“ได้ครับได้”

นับตังค์รีบตกปากรับคำเพราะต้องการหนีไปให้พ้นจากสถานการณ์อันน่าอับอาย จึงรีบพรวดพราดวิ่งออกไปจากห้องทันทีโดยไม่ได้รู้เลยว่า การกระทำนั้นได้ทำให้ใครอีกคนเริ่มหน้าบูดไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม

“ทำไมมึงไปใช้น้อง” เวฟหันไปเอาเรื่องเพื่อนต่างคณะที่โผล่เข้ามาไม่เป็นเวล่ำเวลา จะมาให้ช้ากว่านี้สักห้านาทีก็ไม่ได้ เมื่อครู่เขาเพิ่งได้แตะริมฝีปากนุ่มนิ่มไปเพียงผิวเผิน ยังไม่ทันที่คนอดอยากปากแห้งมานานจะได้ดูดกลืนให้เต็มที่ก็ต้องมาถูกขัดจังหวะ ไม่พอยังมาไล่เด็กน้อยของเขาออกไปอีก ช่างเป็นเพื่อนที่บัดซบจริงๆ

“อ้าว แล้วน้องมันไม่ได้มาให้ใช้?” คุณย้อนถาม แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเมินไปหยิบกระเป๋ามาค้นหาสคิปอย่างไม่ใส่ใจจะตอบ ก็เดินเข้าไปทรุดนั่งบนเท้าแขนเก้าอี้ แล้วยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนสนิทอย่างหยอกล้อ
“อ๋อ น้องมันมาให้ใช้ แต่มึงคงอยากให้มานั่งเป็นกำลังใจเฉยๆมากกว่า”

“เสือก!”

อื้ม จบครับ…คุณจะไม่ยุ่ง!




ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น ซึ่งนักศึกษามหาวิทยาลัย AU ได้เริ่มทยอยกันเข้ามาในโดมเพื่อจับจองที่นั่งดีๆสำหรับชมการประกวดดาวเดือนกันแล้ว นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคณะสามารถเข้างานได้ฟรีเพียงแค่แสดงบัตรประจำตัว ส่วนนักศึกษาชั้นปีสูง จะต้องซื้อบัตรเข้างาน ซึ่งมีจำนวนจำกัดและได้เปิดขายล่วงหน้าไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บัตรราคา 89 บาท ถือว่าย่อมเยามาก รายได้ทั้งหมดจากการขายบัตรจะถูกนำเข้ากองประกวดสำหรับใช้เป็นค่าจัดงาน

เหตุผลหนึ่งที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างให้ความสนใจกับการประกวดดาวเดือน เป็นเพราะว่าหลังจากจบการประกวดแล้ว จะมีการเชิญศิลปินชื่อดังในเมืองไทย ซึ่งเป็นขวัญใจวัยว้าวุ่นในขณะนั้นมาแสดงมินิคอนเสิร์ตติดต่อกันเป็นเวลาสองชั่วโมง ทำให้จากบัตรราคา 89 บาท ถูกพวกหัวการค้านำมาขายโก่งราคาจนมีราคาสูงสุดถึง 2000 บาท

หลังจากที่นับตังค์ส่งข้าวส่งน้ำให้พี่เวฟและพี่คุณเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรทำอีก นอกจากนั่งฟังพิธีกรทั้งสองซักซ้อมคิวและบทพูด กระทั่งช่างผมสองคนที่เสร็จจากการทำผมให้ดาวเดือนเข้ามาในห้องเพื่อช่วยพิธีกรทำผมและแต่งตัว นับตังค์ก็ถูกไล่ออกมา เขาจึงโทรหาแก๊งนางฟ้า บอกให้มาจับจองที่นั่งบนสแตน เพราะถ้าช้าจะต้องยืนในหลุมตรงกลาง แม้จะใกล้ชิดเวทีแต่เมื่อยืนนานๆก็ย่อมจะเมื่อยมาก แถมยังถูกผลักถูกดันจากพวกที่พยายามแทรกผ่านขึ้นมาด้านหน้าด้วย

นับตังค์เดินเข้ามาด้านในของโดมที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เวลานี้มีคนทยอยเข้ามาหลายร้อยคนแล้ว จึงใช้เวลานานพอสมควรในการมองหาเพื่อนสนิท เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นก้อนสีชมพูสามก้อน นั่งกระจุกกันอยู่บนเก้าอี้แถวหน้าสุดบนสแตนฝั่งตรงกันข้ามกับเวที เขาส่ายหน้าอย่างระอากับการแต่งตัวที่เน้นความโดดเด่นของเพื่อน ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าเป็นความคิดของทวยเทพและจูเนียร์ แต่ที่ไม่รู้คือโลมาก็เอากับเขาด้วยเหรอ

ในตอนที่นับตังค์เดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าเพื่อนสนิททั้งสามคนกำลังแย่งชิงลูกชิ้นปิ้งกันอยู่ ทวยเทพเป็นคนแรกที่เงยหน้าขึ้นมาโบกมือทักทาย ทำให้เขาสังเกตเห็นการแต่งตัวที่เรียกว่ากระแทกลูกตาเป็นพิเศษ

“ฮายยยย”
วันนี้ทวยเทพแต่งตัวลุคคาวาอี้สุดๆ ตั้งแต่ที่คาดผมติดดอกไม้สีขาวอันใหญ่ เสื้อสีชมพูหวานแหววมีระบายลูกไม้ และกางเกงสกินนี่รัดรูปสีบานเย็นกับรองเท้าส้นสีเดียวกัน นับตังค์เหลือบตามองไปทางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นจูเนียร์ในชุดเสื้อยืดแขนขาวสีชมพูพอดีตัวกับกางเกงยีนสกินนี่สีดำ ใส่คู่กับรองเท้าผ้าใบสีชมพูนมเย็น ทำให้ดูดีไปอีกแบบเพราะหน้าตาที่จัดว่าน่ารักของเพื่อนตัวเล็ก ก่อนจะหันไปมองคนสุดท้ายที่เพิ่งรับเข้าแก๊ง โลมายังมีสีหน้ามึนๆกับผมทรงกะลาครอบเหมือนเดิม วันนี้เจ้าตัวใส่เสื้อยืดสีชมพูอ่อน สกีนลายเป็ดสีเหลืองสด ดูน่ารักน่าเอ็นดู กางเกงสีดำขาสามส่วนยาวคลุมเข่ามาเล็กน้อยกับรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีดำเรียบๆทำให้ดูกลมกลืนกับเพื่อนทั้งสองคน แต่ไม่ได้แปลกแหวกแนวจนเกินไป

“นี่พวกมึงนัดกันใส่สีชมพูเหรอ” นับตังค์เอ่ยถาม พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างโลมา ก่อนจะเอื้อมมือไปแย่งชิงลูกชิ้นปิ้งในถุงที่จูเนียร์ถือมาหนึ่งไม้
“กูบอกในแชทกลุ่มแล้วนะ มึงไม่อ่านเอง”

จูเนียร์หมายถึงแชทกลุ่มในเฟสบุ๊คที่นับตังค์ปิดการแจ้งเตือนเอาไว้ เพราะส่วนใหญ่ข้อความที่เด้งถี่ๆอยู่ทุกวันมักจะเป็นการเม้าท์มอยไร้สาระของทวยเทพและจูเนียร์ เขาจึงไม่ค่อยได้เข้าไปอ่าน บางครั้งก็ดองข้อความเอาไว้กว่าร้อยข้อความจึงเปิดเข้าไปดูผ่านๆว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญ

“เอาดอกไม้มาจากไหนอ่ะ” นับตังค์เอ่ยถามเมื่อเหลือบตาไปเห็นดอกกุหลาบสีแดงสดสามดอกที่วางอยู่บนที่นั่งข้างๆทวยเทพ บนก้านของดอกกุหลาบผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินสกีนชื่อของมหาวิทยาลัยเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาจำได้ว่าเคยเห็นดอกไม้รูปแบบนี้ผ่านตาในการโปรโมตทางแฟนเพจของสโมสรนักศึกษา ว่ามันคือดอกไม้สำหรับมอบให้ดาวหรือเดือน ดอกกุหลาบ 1 ดอกแทน 1 คะแนน ดาวและเดือนที่ได้ดอกกุหลาบมากที่สุดจะได้รับรางวัลป๊อปปูล่าโหวต

“ซื้อชาขวดละ 20 บาทหน้าโดมค่ะ” ทวยเทพเป็นคนตอบคำถาม ก่อนที่นับตังค์จะเข้ามาในโดม เขาจำได้ว่าเห็นนักศึกษารุมซื้อชาเขียวยี่ห้อดังที่มาเป็นสปอนเซอร์ให้ทางมหาลัยในการจัดการประกวดครั้งนี้ ตอนแรกเขาคิดว่ามีการขายลดแลกแจกแถมครั้งใหญ่ซะอีก แต่การซื้อชาแถมดอกไม้แบบนี้ ถือว่าเป็นการตลาดที่ยอดเยี่ยมมาก แม้ทางบริษัทจะเสียเงินส่วนหนึ่งให้ทางมหาลัย แต่กลับกอบโกยกำไลจากการค้าขายในครั้งนี้ได้ไม่น้อยเลย
“ซื้อหนึ่งขวด ได้กุหลาบหนึ่งดอก” จูเนียร์ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

“โลมาก็ซื้อเหรอ” นับตังค์เอ่ยถามเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆหยิบขวดชาเขียวมาเปิดฝาดื่ม เขาเคยอุดหนุนชาเขียวยี่ห้อนี้ตอนที่เปิดตัวใหม่ๆ แต่นอกจากรสชาติหวานล้ำชุ่มคอ ก็ไม่ได้รู้สึกถึงรสชาติของชาเลย เขาจึงไม่ได้กลายมาเป็นลูกค้าประจำ
“ใช่” โลมายังตอบคำถามสั้นๆด้วยดวงตาใสแจ๋วเหมือนเดิม

“นายจะโหวตใคร?” นับตังค์ถาม แต่โลมากับเอียงคอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ เขาจึงต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ ให้เข้าใจง่ายกว่าเดิม
“นายอยากให้ดอกไม้กับใคร”
“เดือนจิตรกรรม”
พรวด!

ทันทีที่โลมาตอบคำถามด้วยรอยยิ้มกว้าง ก็ทำเอาใครอีกคนที่กำลังกระดกชาเขียวดื่ม พ่นน้ำพรวดกระจายเต็มพื้น โชคดีที่พวกเขานั่งอยู่แถวหน้าสุดแล้ว ไม่งั้นคงได้พ่นใส่หัวใครสักคนแน่เลย

“ของกูนะ ให้คณะไหนก็ได้ที่ไม่ใช่จิตรกรรม!”
จูเนียร์ยกมือเช็ดปากแล้วหันมาทำหน้ายักษ์ใส่โลมา ซึ่งนับตังค์ก็แอบเห็นด้วยในใจว่าต่อให้เป็นคณะของตัวเอง แต่ถ้าเดือนคนนั้นคือเคนโด้ เขาก็ไม่โหวตให้แน่นอน ไม่ใช่เพราะข่าวคาวในคณะที่เจ้าตัวขยันสร้าง แต่เป็นเพราะวันนี้หมอนั่นบังอาจหอมแก้มพี่เวฟของเขาและยังหอมแก้มเขาต่างหาก แค้นนี้ต่อให้เวลาผ่านไปสิบปีก็ไม่ลืมเด็ดขาดเลย

“จูเนียร์เป็นกบฏ” โลมาประณาม เพราะสำหรับเจ้าตัวแล้ว การที่คนในคณะโหวตให้คณะของตัวเอง ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องที่สุด
“แล้วมึงล่ะ” จูเนียร์โบกมือปัดๆใส่โลมาราวกับเจ้าตัวเป็นแมลงตัวน้อย ก่อนจะหันไปถามทวยเทพที่กำลังถือตลับแป้งที่มีกระจกบานเล็กเพื่อเช็คความสวยของตัวเอง

“ลี่จะให้เดือนนิติ”
นับตังค์จำหน้าเดือนคณะนิติศาสตร์ไม่ได้ อันที่จริงเขาจำได้แค่ดาวกับเดือนคณะจิตรกรรมนั่นแหละ ส่วนผู้เข้าประกวดคนอื่น เขาแค่มองผ่านๆแล้วก็ลืม

ระหว่างที่สี่สหายกำลังนั่งพูดคุยเกี่ยวกับตัวเต็งในการประกวดครั้งนี้ นับตังค์ก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังหอบกุหลาบช่อโตที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองเดินเข้ามาในโดม คนๆนั้นเดินเอียงซ้ายเอียงขวาเพราะความหนักและความใหญ่ของช่อดอกไม้ในมือ ซึ่งภาพนั้นเรียกความสนใจจากนักศึกษาในโดมให้หันมามองกันเป็นตาเดียว

“โอ๊ะ ทำไมคนนั้นได้ดอกไม้เป็นช่อเลยล่ะ”

นับตังค์เอ่ยถามเพราะเขาเห็นกระดาษห่อช่อกุหลาบเป็นสีน้ำเงินสกีนชื่อของมหาวิทยาลัยและริบบิ้นสีเดียวกัน จึงเดาเอาว่าเป็นดอกไม้ที่ใช้สำหรับโหวตให้ดาวเดือน ซึ่งถ้าใครได้ช่อนี้ไปอาจจะชนะรางวัลป๊อปปูล่าโหวตแบบขาดลอยไปเลยก็ได้
“มึงอยากได้สักสิบช่อก็ได้ถ้ามีเงิน เค้าไม่ได้กำหนดนี่ว่าให้ซื้อชาได้คนละขวด คือบริษัทเขาก็อยากขายของปะมึง”

จูเนียร์ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง นับตังค์ได้แต่พยักหน้าช้าๆพลางคิดว่าใครกันหนอจะโชคดีได้รับการเปย์ดอกไม้จากผู้ชายคนนั้น…โคตรป๋าเลย!



TBC.





ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 13


พิธีเปิดการประกวดดาวเดือนแห่งมหาวิทยาลัย AU เริ่มต้นขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรง ด้วยการเชิญคนใหญ่คนโตมากล่าวสุนทรพจน์ประมาณสิบนาที จากนั้นพิธีกรสุดหล่อทั้งสองคนก็ก้าวขึ้นเวทีพร้อมกับเสียงกรี๊ดที่ดังสนั่นลั่นโดม นับตังค์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่แหกปากกรี๊ดแบบไม่เหลือความแมน ถ้าลงไปดิ้นกับพื้นได้คงทำไปแล้ว แม้ที่นั่งบนสแตนจะอยู่ค่อนข้างไกลจากเวที แต่เด็กหนุ่มก็สามารถมองเห็นออร่าความสวยที่ฟุ้งกระจายออกมาได้อย่างชัดเจน วันนี้พี่เวฟของเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อสูทเข้ารูปสีน้ำเงินเข้ากับกางเกงสแล็กสีเดียวกัน ส่วนพี่คุณสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อสูทสีแดงสดและกางเกงสแล็กสีเดียวกัน ทั้งคู่ดูโดนเด่นแบบข่มกันไม่ลง คนหนึ่งหน้าสวยดึงดูด ส่วนอีกคนก็หล่อเท่ส์ตามสมัยนิยม 

การประกวดเริ่มต้นด้วยการเปิดตัวดาวเดือนชั้นปีที่ 2 ที่อยู่ในชุดราตรีและชุดสูทบนแคทวอล์ค ซึ่งพี่เวฟและพี่คุณก็ร่วมเดินแบบเปิดตัวในครั้งนี้ด้วย หลังจากนั้นก็กลับมาทำหน้าที่พิธีกรอีกครั้งด้วยการเปิดตัวดาวเดือนชั้นปีที่ 1 และการแสดงเต้นประกอบเพลงที่มีจังหวะเซ็กซี่ของผู้เขาประกวดทุกคน

นับตังค์พบว่าวันนี้พี่เวฟของเขา ได้กลายร่างเป็นชายหนุ่มแสนสุภาพ ไม่เหลือเค้าของคนสวยขี้อ่อยแบบปกติเลย ทั้งใบหน้าที่มีรอยยิ้มเป็นมิตรเล็กน้อย และน้ำเสียงที่พูดผ่านไมโครโฟนก็นุ่มทุ้มเป็นกันเอง สามารถเรียกความสนใจจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี
หลังจากการแสดงความสามารถพิเศษและการตอบคำถามของดาวเดือนผ่านพ้นไป ก็เข้าสู่ช่วง ‘ป๊อปปูล่าโหวต’ ที่เปิดโอกาสให้ชาว AU มอบดอกกุหลาบให้แก่ดาวเดือนที่ตนสนับสนุน ซึ่งบนเวทีในขณะนี้เป็นคิวของดาวจากสี่คณะที่กำลังยืนรอรับดอกไม้อยู่ด้านหน้าสุดของเวที พิธีกรทั้งสองได้ขอให้ดาวคนสวยอ้อนขอคะแนนจากผู้ชม ซึ่งทั้งสี่คนก็ทำได้ดีอย่างไม่น้อยหน้ากันเลย

“กรี๊ดด!! มึงดาวคณะเรามีสิทธิ์ได้ป๊อปปูล่าโหวตนะมึ๊ง!!”
ทวยเทพกรีดร้องพร้อมกับเขย่าแขนของจูเนียร์ที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างบ้าคลั่ง สมาชิกแก๊งนางฟ้าทั้งสามคน ตกลงใจมอบดอกกุหลาบให้ดาวคณะจิตรกรรม เพราะอย่างน้อยถ้าดาวในคณะของตัวเองได้รับรางวัลก็พอจะทำให้พวกเขาหาเรื่องคุยโม้กับเพื่อนต่างคณะได้บ้าง
“มึงดูดอกไม้ของดาวดุริยางคศาสตร์ นั่นก็ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ”
นับตังค์เอ่ยแย้ง ขณะมองกลุ่มคนขนาดใหญ่หน้าเวที ที่กำลังเบียดแทรกตัวเองเข้าไปมอบดอกไม้ให้ดาวที่ชื่นชอบ ส่วนบนเวทีมีทีมงานหลายคน กำลังวุ่นวายอยู่กับการช่วยดาวแต่ละคณะรับดอกไม้มายัดใส่กระสอบก่อนจะนำไปนับจำนวนที่หลังเวที ดาวคณะดุริยางคือผู้โชคดีที่ได้รับดอกไม้จากเด็กหนุ่มที่นับตังค์เห็นว่าหอบดอกกุหลาบช่อโตเข้ามาในโดม เขาแอบได้ยินข่าวเม้าส์มาจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่แถวหลังว่าเด็กหนุ่มสายเปย์คนนั้นคือแฟนของดาวดุริยางนั่นเอง แต่ถึงแม้ดาวดุริยางจะได้รับดอกไม้ช่อโตมาหนึ่งช่อ แต่ดอกไม้ที่ชาว AU คนอื่นๆมอบให้กลับน้อยกว่าดาวจิตรกรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องมีภาพลักษณ์อ่อนหวานและมีมารยาท ซึ่งเดาได้ยากเหลือเกินว่าผลโหวตในครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะ หรือหลังจากนี้จะมีดาวคณะใดได้รับดอกไม้มากกว่านี้อีกหรือไม่

“อีนับ มึงยังไม่ได้โหวตเลยนะ เสนอหน้าไปซื้อชาเดี๋ยวนี้ Now!!”
ทวยเทพตะโกนแข่งกับเสียงเกรียวกราวในโดม ตอนแรกนับตังค์คิดว่าจะไม่โหวต เพราะดอกไม้จากเขาเพียงหนึ่งดอกคงไม่สามารถทำให้ใครชนะได้ แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว เพราะอย่างไรเขาก็หวังจะให้เพื่อนร่วมคณะชนะรางวัลนี้ จึงวิ่งหน้าตั้งออกไปจากโดมทันที แต่ไม่วายยังได้ยินเสียงร้องแหลมๆของทวยเทพที่ตะโกนตามมาว่าให้เร็วๆหน่อย เดี๋ยวจะหมดเวลาโหวตซะก่อน

ในตอนที่เด็กหนุ่มวิ่งมาถึงหน้าโดมก็เห็นว่าร้านค้าหลายร้านได้เก็บของกลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงบูทขายน้ำชายี่ห้อดังที่มีทีมงานสามคน กำลังช่วยกันเก็บป้ายและเก็บสินค้าที่เหลือใส่ลงกล่องกระดาษ เตรียมพร้อมสำหรับยกขึ้นรถบรรทุก
“พี่ครับ อย่าเพิ่งไป ผมขอซื้อชาหนึ่งขวด” นับตังค์ที่มีงบประมาณเพียงน้อยนิด ตะโกนเรียกพี่ๆประจำบูทขายน้ำชาให้หยุดมือจากการเก็บของ ทีมงานสาวคนหนึ่งในเสื้อยืดสกีนโลโก้ของบริษัทชาชื่อดัง เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้เขาอย่างใจดี

“ชาน่ะมี แต่ดอกไม้หมดแล้วนะน้อง”
ทีมงานสาวเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักมีสีหน้าสลดลงก็รู้สึกสงสารจับใจ เพราะเจ้าตัวเป็นโรคแพ้เด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้ชายหน้าตาดี จึงอดไม่ได้ที่จะใจสั่นไหว อยากเขาไม่ลูบหัวลูบก้นปลอบโยนเหลือเกิน
“ที่หมดก็เป็นเพราะมีคนสั่งกุหลาบร้อยดอกแล้วไม่มาเอาดิเนี่ย ดูซิตังค์ก็ไม่จ่าย”

ทีมงานสาวร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างๆบ่นพึมพำ ทำให้นับตังค์เพิ่งสังเกตเห็นกุหลาบช่อใหญ่ที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงินสกีนชื่อของมหาวิทยาลัยและผูกด้วยริบบิ้นสีเดียวกัน กุหลาบช่อนั้นถูกยัดลงไปในลังกระดาษอย่างไร้ผู้คนสนใจ บางดอกช้ำจนดูไม่ได้และบางดอกมีกลีบกุหลาบหลุดล่วงออกมาหลายกลีบ ทำให้เขานึกเสียดายที่ดอกไม้สวยๆช่อนั้นต้องถูกทีมงานเก็บกลับไปอย่างไร้ประโยชน์
“เอาน่า วันนี้ทำยอดได้เยอะมากแล้ว ดอกไม้เหลือหน่อยก็ไม่เป็นไร” ทีมงานชายที่กำลังยกกล่องบรรจุขวดชาขึ้นไปเก็บบนรถบรรทุกเอ่ยปลอบใจเพื่อนร่วมงาน

“แกแกะดอกไม้ออกจากช่อให้น้องมันไปสักดอกซิ แล้วก็แกะริบบิ้นอันนั้นมาผูกก้านให้น้องด้วย เดี๋ยวทีมกรรมการจะคิดว่าเป็นดอกไม้เถื่อน” พี่สาวร่างท้วมเอ่ยขึ้น แต่พี่สาวใจดีที่คุยกับนับตังค์เป็นคนแรกกลับเอ่ยแย้ง
“แกะทำไมดอกเดียว ยุ่งยาก เอาให้น้องไปหมดเลยสิ ยังไงก็ไม่ได้ใช้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เหี่ยว”
“เออใช่ เอาไปเลยน้อง”

นับตังค์เบิกตาโตเมื่อพี่สาวร่างท้วมพยักหน้าเห็นด้วย แล้ววินาทีต่อมากุหลาบช่อโตที่มีน้ำหนักมากกว่าที่เขาคาดคิดก็ถูกพี่สาวใจดียัดใส่มือ เขารีบกล่าวขอบคุณและโค้งให้จนหน้าเกือบคว่ำ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงประกาศที่ดังมาจากในโดมว่าเวลาในการมอบดอกไม้ให้ดาวทั้งสี่คณะกำลังจะหมดลงแล้ว เขาจึงรีบหันไปบอกลาพี่ๆ ก่อนจะหอบกุหลาบที่ทั้งใหญ่ทั้งหนักวิ่งเซไปเซมาเข้าไปในโดมพร้อมกับได้ยินเสียงที่ตะโกนไล่หลังมาจากพี่สาวใจดีคนนั้น
“โหวตให้ทันน้า!”
นับตังค์วิ่งเข้าไปในโดม เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหอบช่อกุหลาบที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาแทรกผ่านฝูงชนไปยังหน้าเวที ระหว่างนั้นทวยเทพที่นั่งอยู่บนสแตนก็หันไปเห็นเพื่อนสนิทที่กลับมาพร้อมกับกุหลาบช่อใหญ่จึงรีบสะกิดเรียกจูเนียร์และโลมาด้วยความตื่นตะลึง
“อีนับ มันสายเปย์เหรอวะ”

จูเนียร์มีสีหน้าแปลกประหลาด ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ของเขาขึ้นชื่อเรื่องความประหยัด เพราะงั้นคงคิดได้อย่างเดียวว่านับตังค์เกิดมีแรงฮึด ไม่อยากให้คณะจิตรกรรมเสียหน้าโดยไม่ได้รับรางวัลสักอย่าง เพราะการจะไฟต์รางวัลดาวมหาลัยอาจจะมีความหวังน้อยเกินไป
“สงสัยมันกลัวคณะเราน้อยหน้าว่ะ”

นับตังค์วิ่งมาเกาะขอบเวทีพร้อมกับหอบหายใจแหกๆในตอนที่สายเกินไปแล้ว ช่อกุหลาบที่อยู่ในมือข้างหนึ่งสั่งระริกเพราะต้องรับน้ำหนักทั้งหมด เขาพยายามยกช่อดอกไม้ในมือขึ้นสูงๆ โบกไปโบกมาด้วยหวังว่าจะเรียกความสนใจจากดาวคนสวยให้กลับมารับดอกไม้ช่อโตไปด้วย แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อเวลาในการมอบกุหลาบในการโหวตรางวัลป๊อปปูล่าหมดลง ดาวทั้งสี่คนถูกทีมงานเชิญกลับไปด้านหลังเวที ทิ้งให้เด็กหนุ่มยืนขาอ่อน พร้อมกับความคิดที่ว่าจะมอบดอกไม้ช่อนี้ให้ใครดีล่ะ?

ถ้านับตังค์เห็นแก่หน้าของคณะจิตรกรรมสักหน่อย เขาก็ควรมอบคะแนนโหวตในมือที่มีถึง 100 คะแนนให้กับเคนโด้ แต่เมื่อคิดว่าหมอนั่นขโมยหอมแก้มพี่เวฟแล้วยังหน้าด้านหน้าทน มาสร้างมลทินให้แก้มขาวๆของเขาก็รีบล้มเลิกความคิดนั้นทันที แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นมอบกุหลาบให้ดาวหรือเดือนที่เขาชื่นชอบล่ะ? เสียใจด้วยที่เดือนดวงนั้นมีเพียงพี่เวฟคนเดียว

“เอาล่ะครับ มาถึงฝั่งของเดือนกันบ้างดีกว่า คราวนี้เป็นคณะในกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
เสียงนุ่มทุ้มดังกังวานของพี่เวฟดึงสติของนับตังค์ให้กลับมาจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์บนเวที ซึ่งในเวลานี้มีเพียงพิธีกรหน้าหล่อสองคน กำลังยืนเด่นเป็นสง่าด้วยชุดเสื้อผ้าที่มีสีสันตัดกันอย่างชัดเจนท่ามกลางแสงไฟ
“มีคณะอะไรบ้างครับ อะไรนะ? ไม่ได้ยินเลย”

พี่คุณเอ่ยถามออกไมค์ พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งป้องใบหูเป็นการเรียกให้ผู้ชมในโดม แย่งกันตะโกนตอบชื่อคณะจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมกับการประกวดครั้งนี้
“ถูกต้องครับ ขอเสียงกรี๊ดต้อนรับเดือนจากคณะเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ด้วยครับ”

หลังสิ้นเสียงประกาศจากพี่เวฟ เสียงกรีดร้องจากผู้ชมในโดมก็ดังกระหึ่มพร้อมกับดนตรีและการปรากฏตัวของเดือนชั้นปี 1 ที่ทยอยกันเดินออกมาโชว์ตัวบนแคทวอร์คหนึ่งรอบ ก่อนจะกลับไปยืนเรียงแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบ โดยมีพิธีกรทั้งสองคนยืนขนาบทั้งสองฝั่ง
นับตังค์ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเลือกชุดให้พิธีกร เพราะไม่ว่าจะเจตนาดี อยากให้พิธีกรโดดเด่นหรือด้วยเหตุผลอื่นก็ตาม แต่มันทำให้เดือนชั้นปี 1 ที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบดูหม่นหมองลงไปเยอะเลย นาทีนี้ถ้าเปิดให้โหวตอดีตเดือนวิศวะและอดีตเดือนบริหารธุรกิจ เกรงว่าทั้งสองคนจะคว้ารางวัลเดือนมหาลัยและรองเดือนมหาลัยสองปีซ้อนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ให้ดาวในกลุ่มศิลปกรรมศาสตร์อ้อนขอคะแนนจากแฟนๆไปแล้ว คราวนี้เราก็ต้องให้เดือนได้อ้อนบ้างเหมือนกัน”

พี่คุณเริ่มดำเนินรายการต่ออีกครั้ง โดยมีพี่เวฟช่วยรับส่งบทให้อย่างเป็นมืออาชีพ
“ใช่แล้วครับพี่คุณ แต่ว่าระดับเดือนอย่างพวกเราจะอ้อนขอคะแนนจากแฟนๆด้วยคำพูดมันง่ายไป”
“ถูกต้องครับพี่เวฟ แล้วพวกเราควรให้เดือนทั้งสี่คนนี้อ้อนอย่างไรดีล่ะครับ” พี่คุณแสร้งทำหน้าสงสัยขณะเอ่ยถามพี่เวฟ
“เอาเป็นการแสดงออกทางร่างกายโดยไม่ต้องใช้คำพูดล่ะกัน”
พี่เวฟเสนอ ซึ่งนั่นทำให้นับตังค์เริ่มจินตนาการถึงภาพของเดือนชั้นปี 1 ใช้ภาษามือภาษาใบ้อย่างเอาเป็นเอาตายก็ได้แต่ส่ายหน้า พรางคิดว่าพิธีกรคงไม่ได้นึกอยากแกล้งรุ่นน้องขึ้นมาดื้อๆหรอกนะ
“อืม ลูกผู้ชายต้องแสดงความจริงใจให้แฟนๆที่รักเห็นด้วยการกระทำไม่ใช่คำพูดสินะครับ”
พี่คุณรีบตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เจือแววขบขัน นับตังค์แอบจับสังเกตสีหน้าของเดือนชั้นปี 1 เมื่อเห็นว่าทั้งสี่คนมีสีหน้าแปลกๆ และท่าทางงงๆ ก็เริ่มจะคิดจริงๆแล้วล่ะว่า พี่เวฟกับพี่คุณรวมหัวกันเล่นนอกบทเพื่อแกล้งรุ่นน้อง
“ใช่ครับ ทางเราจะเปิดเพลงมันส์ๆให้หนึ่งเพลง แล้วพวกคุณรักแฟนๆมากแค่ไหน ก็ให้แสดงออกมาด้วยร่างกายของพวกคุณแบบเต็มที่เลยครับ”
พี่เวฟเอ่ยพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล และไม่ต้องรอให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ พี่คุณก็หันไปเอ่ยถามรุ่นน้องทั้งสี่คนอย่างเป็นกันเอง ซึ่งขัดกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของเจ้าตัวมาก

“พร้อมหรือยังครับ…ดนตรีมา!”
หลังสิ้นเสียงของพิธีกร ไฟในโดมก็ถูกหรี่ลงพร้อมกับเสียงดนตรีเพลงแจ๊สผสมแดนซ์ป๊อปที่ดังกระหึ่ม จังหวะเพลงเป็นแบบเซ็กซี่แมนๆ เหมาะกับผู้ชายสายอ่อยเป็นที่สุด เดือนทั้งสี่คนมีอาการสติแตกในแวบแรก แต่วินาทีต่อมาก็รีบออกสเต็ปแสดงท่าทางกันอย่างเต็มที่ นับตังค์มองออกเลยว่าทั้งสี่คนนี้ ไม่มีเซ้นด้านการเต้นฟรีสไตล์เลย เรียกว่าให้ซ้อมเต้นด้วยท่าที่ถูกทีมงานออกแบบมาให้นั้นทำได้ดีเยี่ยม แต่เมื่อต้องมาผจญกับดนตรีจังหวะเซ็กซี่แบบนี้ บางคนจึงมีท่าทางเหมือนไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก 
“คณะวิทยาศาสตร์ รักแฟนๆมากแค่ไหนครับ!!!”

พี่คุณตะโกนถามแข่งกับเสียงดนตรี ไฟสปอตไลท์จึงหันมาส่องที่เดือนคณะวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ พร้อมกับที่เจ้าตัวเริ่มแดนซ์แบบเอาเป็นเอาตาย เรียกว่าเต้นมั่วไม่เป็นไรขอให้ได้มันส์ไว้ก่อน

“กรี๊ดดดดดด สก๊อยมากเลยมึง ฮืออ น่าร๊ากก!!!”

เด็กผู้หญิงที่ยืนเกาะขอบเวทีอยู่ข้างๆนับตังค์หันไปกรี๊ดกับเพื่อนสาว เธอโบกดอกกุหลาบให้มือไปมาอย่างบ้าคลั่ง จนดอกไม้ที่น่าสงสารนั้นลอยละลิ่วขึ้นไปตกบนพื้นเวทีพร้อมกับที่เสียงดนตรีหยุดลง

“แฟนๆคลุ้มคลั่งจนดอกไม้หลุดมือแล้วนะครับ” พี่คุณเอ่ยยิ้มๆพร้อมกับก้มลงเก็บดอกไม้ที่ตกอยู่บนพื้น เจ้าตัวเดินมายืนชิดติดขอบเวที ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าของสาวน้อยที่ทำดอกไม้หลุดมือ

“แต่แบบนี้ผิดกติกานะคะคนสวย ดอกไม้นี้พี่คุณต้องขอยึดไว้นะ” อดีตเดือนมหาลัยชูดอกไม้ในมือขึ้นทำท่าดุเล็กน้อย ก่อนจะเสียบกุหลาบดอกนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อสูท

“อ๊ายยยยย ได้ค่า เอาไปเลยค่า”

เจ้าของดอกไม้ไม่ได้มีท่าทางโกรธเคืองที่ถูกยึดคะแนนโหวต กลับยกมือปิดปากร้องกรี๊ดอย่างมีความสุข นับตังค์จำได้ว่าก่อนเริ่มการประกวด พิธีกรทั้งสองคนได้ช่วยกันย้ำว่าห้ามผู้ชมโยนสิ่งของทุกชนิดขึ้นมาบนเวที เพราะนอกจากจะเป็นการเสียมารยาทแล้วยังเสี่ยงที่จะทำให้ผู้เข้าประกวดได้บาดเจ็บ

“เอาล่ะครับ เดี๋ยวเราจะมาต่อกันที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ น้องๆทุกคนอย่าลืมจับกุหลาบในมือไว้ให้แน่นๆนะครับ” พี่เวฟเริ่มดำเนินรายการต่อ พร้อมกับที่เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง

“คณะวิศวกรรมศาสตร์ รักแฟนๆมากแค่ไหนครับ!!!”

พี่คุณตะโกนถามอีกครั้งพร้อมกับที่สปอตไลท์ได้ทำหน้าที่เป็นอย่างดี ด้วยการฉายไฟมาส่องผู้เข้าประกวด เดือนคณะวิศวะเริ่มออกจังหวะด้วยท่าทางที่เหมือนคนเมากาว แต่ผู้ชมในโดมก็ยังส่งเสียงกรี๊ดให้กำลังใจไม่ต่างจากเดือนคนอื่น

“คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ รักแฟนๆมากแค่ไหนครับ!!!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!”
“คณะเกษตรศาสตร์ รักแฟนๆมากแค่ไหนครับ!!!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!”

ในโดมเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความสนุกสนาน มีหลายคนอดใจไม่ไหวถึงกับลุกขึ้นมาแดนซ์ไปพร้อมๆกับผู้เข้าประกวด ซึ่งนับตังค์เองก็ยังกระโดดกระเด้งไปมาพร้อมกับช่อกุหลาบในมือ แต่ในระหว่างที่พี่คุณกับพี่เวฟกำลังส่งเสียงเชียร์รุ่นน้องที่กำลังเต้นอยู่บนเวทีอย่างเมามันส์ ก็มีเสียงหนึ่งดังออกลำโพงพร้อมกับที่สปอตไลท์เปลี่ยนทิศทาง หันมาส่องพิธีกรทั้งสองคนที่เกือบจะทำไมค์หลุดมือด้วยสีหน้าเหวอๆ
“แล้วพิธีกรล่ะจ๊ะ รักแฟนๆมากแค่ไหน”
“อาจารย์!”
พี่คุณกับพี่เวฟประสานเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน เมื่ออาจารย์ร่างท้วมคนหนึ่งลุกจากเก้าอี้ของคณะกรรมการขึ้นมาแดนซ์เป็นจังหวะสามช่าด้วยอีกคน
“แดนซ์สิจ๊ะ เร็วเข้า!”
พี่คุณถึงกับทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้น ขณะที่พี่เวฟแอบหันหลังไปยกมือกุมขมับ แต่วินาทีต่อมาเสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มสุดๆ เรียกว่าทุกคนกำลังแหกปากด้วยความคลุ้มคลั่ง รวมถึงนับตังค์ด้วยที่กำลังแหกปากร้องเหมือนคนเสียสติพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างแทบถลน

“อ๊ากกกกกก!!!”
พี่เวฟออกลวดลายเต้นเข้าจังหวะกับเพลงด้วยท่าทางที่เรียกว่าโคตรเซ็กซี่ ทั้งขยับสะโพก ไหล่ และเอวอย่างมีสไตล์มีท่ากัดริมฝีปาก ขยิบตาเรียกเสียงกรี๊ดจากผู้ชม แต่ที่ทำให้ทุกคนบนเวทีกลายเป็นเดือนดับที่ถูกละความสนใจก็คงจะเป็นท่าลูบไล้ร่างกายของตัวเองด้วยสีหน้ายั่วยวน แถมยังถลกเสื้อเชิ้ตเปิดเผยหน้าท้องขาวๆแวบหนึ่งอีกต่างหาก

“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!! พีธีกรหลัวมากกก!!!”
“จะเอาๆๆๆ”
“แซ่บมากกกก กรี๊ดดดดดด!!!”
“วันนี้พี่เวฟโคตรแมนเลย กรี๊ดดด!!!”
“พี่เวฟผัวมากเลยมึ๊ง! ฮือออออ! ตุ๊ดหรือเปล่าไม่รู้ แต่คนนี้ผัวกู!!!”

ใช่แล้ว! นาทีนี้นับตังค์คิดได้อย่างเดียวคือ…พี่เวฟโคตรผัว! ถึงแม้จะเต้นเซ็กซี่ แต่มันไม่ได้ยั่วยวนแบบผู้หญิง กลับร้อนแรงดุดันแบบผู้ชาย ยิ่งดาเมจที่พี่เวฟส่งมาทางสายตาและรอยยิ้มนั่นอีก ยิ่งทำให้นับตังค์ขาสั่นพับๆ อยากกระโจนขึ้นไปลากคนสวยบนเวทีมาจับปล้ำซะเดี๋ยวนี้เลย

กว่าเสียงดนตรีจะหยุดลง เหล่าผู้ชมในโดมก็เกือบจะเป็นลมเพราะกรี๊ดหนักเกินไป บางคนถึงกับเลือดกำเดาไหล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อนอบอ้าว หรือเพราะโดนความเร่าร้อนของพี่เวฟทำพิษกันแน่ นับตังค์เองก็กำลังยืนหอบแหกๆราวกับวิ่งมาไกลหลายกิโลเมตร เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนสวยบนเวทีที่กำลังใช้หลังมือซับเหงื่อบนหน้าผาก ด้วยดวงตาที่เป็นประกายวิบวับ สีหน้าเคลิ้มฝันไม่ต่างจากคนเมากาว รู้เพียงแต่ว่าอยากจะปีนขึ้นไปบนเวทีแล้วช่วยพิธีกรเช็ดเหงื่อเหลือเกิน

“ตอนนี้ขอเชิญชาว AU ทุกคน มอบดอกไม้ให้เดือนจากทั้งสี่คณะได้แล้วนะครับ กุหลาบหนึ่งดอกเท่ากับหนึ่งคะแนน อย่าลืมนะครับว่าหนึ่งคะแนนของน้องๆมีค่า รักใครชอบใคร อย่ารอช้า รีบมาโหวตกันนะครับ” พี่คุณประกาศออกไมค์ทำให้คลื่นฝูงชนเริ่มทยอยกันเข้ามาอออยู่บริเวณหน้าเวทีอีกครั้ง
“เวลาในการมอบดอกกุหลาบคือห้านาที เริ่มนับถอยหลังแล้วนะครับ”
พี่เวฟเอ่ยขึ้น ระหว่างนั้นเดือนคณะทั้งสี่คนก็รีบเดินมาคุกเข่าลงตรงขอบเวที จับจองพื้นที่เว้นระยะห่างกันพอสมควรแล้วเริ่มรับดอกกุหลาบที่เหล่าแฟนๆยื่นมาให้ ทีมงานสี่คนพร้อมกระสอบในมือ วิ่งออกมาจากด้านหลังเวทีเพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือเดือนคณะในการรวบรวมดอกกุหลาบ ส่วนนับตังค์ยังคงยืนจ้องหน้าพี่เวฟด้วยสติที่กำลังเลอะเลือน  เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาในการมอบดอกไม้กำลังจะหมดลง พร้อมกับที่นักศึกษาหลายคนเริ่มทยอยกันเดินออกห่างจากขอบเวที ทิ้งให้ใครคนหนึ่งยืนเด่นเป็นสง่าพร้อมกับกุหลาบช่อโต
“พี่คุณแอบเจอสายเปย์อีกแล้วครับ”
พี่คุณเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะและโห่แซวของผู้ชมในโดม เจ้าตัวเดินเข้ามาคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าของเด็กรุ่นน้องแล้วเอ่ยถามอย่างใจดี
“เด็กน้อย จะมอบกุหลาบช่อนี้ให้ใครครับ”
คำถามพร้อมกับไมค์ที่ถูกยื่นมาจ่อตรงหน้า เรียกสติของนับตังค์ให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เขากวาดตามองไปบนเวที จึงเห็นว่าเหล่าเดือนคณะชั้นปี 1 ต่างก็มองมาที่เขาเป็นตาเดียว สีหน้าและแววตาของแต่ละคน ราวกับกำลังลุ้นระทึกในใจว่าใครกันหนอจะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับ 100 คะแนนโหวต
วินาทีนี้ ในโดมเงียบกริบเพราะผู้ชมทั้งหมดต่างก็กำลังรอฟังว่ากุหลาบช่อใหญ่นี้จะตกเป็นของใคร นับตังค์สูดลมหายใจเขาลึกๆ รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าผู้ที่เหมาะสมกับกุหลาบช่อโตในมือของเขาก็คือ…!!!
“ผมให้พี่เวฟครับ!!”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!

แฟนเพจ : ‘คลังคนหน้าตาดีAU’
โพสต์ที่ 1
ขออธิบายสั้นๆเลยนะ…เกินหน้าเกินตาเดือนปีหนึ่งมากไปแล้วนะคะขุ่นพี่!
เคดิต : เวฟ อดีตรองเดือนมหาลัย ปี 2
#คนมันสวยช่วยไม่ได้ #วิศวะหล่อบอกต่อด้วย #การประกวดดาวเดือนมหาลัยAU
(ภาพของเดือนวิศวะชั้นปี 2 กำลังย่อตัวลงตรงขอบเวทีเพื่อรับกุหลาบช่อโตจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง)

โพสต์ที่ 2
ใครที่ไม่ได้ไปดูการประกวดคงจะสงสัยว่าอยู่ดีๆทำไมมีน้องคนหนึ่งหลงมาให้กุหลาบพิธีกร
อ๊ะ ใครอยากรู้ เอานี่ไปดู // เพิ่งเคยเห็นพี่เวฟเต้นเป็นครั้งแรก คราวนี้พี่ไม่ได้มาสวยๆแบบปกตินาจา
เรียกว่ามาเหนือเดือนอ่ะจ๊ะ โคตรร้อนแรง โคตรแซ่บ พริกทั้งสวน (โปรดสังเกตสีหน้าเดือนปี 1 นิ๊ดนึงนะ)
ก่อนหน้าที่ตุ๊ดหรือเปล่าไม่รู้ แต่ช็อตนี้ต้องยกรางวัลหลัวแห่งชาติให้แล้วค่า
อ๊ายยย ต๊ายยยแล้ว แอดมินจะเป็นลม !!! อยากจ้างมาเต้นในห้องนอนคิดเท่าไรอ่ะตัวเอง
#วิศวะหล่อบอกต่อด้วย #ผัวแอดมินหล่อบอกต่อด้วย #การประกวดดาวเดือนมหาลัยAU
(คลิปวิดีโอความยาว 32 วินาที)




ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 14


“ฮายยย มายเฟรนสสสส!”
เสียงทักทายที่ถูกดัดให้แหลมเล็ก เรียกนับตังค์ให้เงยหน้าจากสมุดจดการบ้านของจูเนียร์ไปมองร่างสูงใหญ่ของเพื่อนใจสาว ที่กำลังก้าวขาเฉิดฉายเข้ามาในห้องสโลป
“ดี”
นับตังค์เอ่ยทัก เมื่อทวยเทพทรุดนั่งบนเก้าอี้ว่างที่อยู่ติดกันตรงแถวหน้าสุด อีกครึ่งชั่วโมงจึงจะเริ่มเรียนวิชา ‘ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร’ ซึ่งเรียนรวมกับเพื่อนต่างสาขา แต่เป็นเพราะพวกเขาชื่นชอบการนั่งในแถวหน้าสุด จึงต้องรีบมาจองที่นั่งก่อนเวลาเริ่มเรียนแบบนี้
“หันมาดู ทายสิลี่มีอะไรอยู่ในมือ?”
นับตังค์และจูเนียร์ที่กำลังปรึกษากันเรื่องลำดับความสำคัญของงานกลุ่มที่จะต้องส่ง ละความสนใจจากสมุดตรงหน้าไปมองคนพูดอีกครั้ง จึงเห็นว่าทวยเทพกำลังถือซองกระดาษสีครีมไว้ในมือข้างหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“การ์ดแต่งงาน” นับตังค์คาดเดาเพราะเห็นว่าซองที่อยู่ในมือของทวยเทพทำมาจากกระดาษราคาแพง และดีไซน์ก็ค่อนข้างหรูหราพอสมควร
“ผิด นี่การ์ดเชิญไปร่วมงานวันเกิด”
นับตังค์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อคิดว่าใครกันนะที่ใช้กระดาษระดับนี้ทำเป็นการ์ดเชิญไปงานวันเกิด เพราะตั้งแต่เกิดมา เขามีโอกาสได้โผล่ไปงานวันเกิดเพื่อนๆก็ด้วยคำเชื้อเชิญปากเปล่าเท่านั้น ไม่ต้องถึงขั้นร่อนการ์ดแจกกันแบบนี้ก็ได้มั้ง
“ขอดูหน่อย” จูเนียร์ว่า แล้วเอื้อมมือผ่านหน้าของนับตังค์ไปฉกการ์ดสีครีมมาพลิกดู ก่อนจะเปิดซองแล้วหยิบกระดาษสีเดียวกันจากด้านในออกมา
“การ์ดเชิญโคตรหรูเลยอ่ะ วันเกิดใครเหรอ” นับตังค์เอ่ยถามเมื่อเห็นข้อความด้านในระบุว่า…
‘เนื่องในวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 20 ปี ของคุณบีไอ ขอเรียนเชิญคุณมาร่วมงานเลี้ยงและรับประทานอาหารค่ำในเวลา 19.00 น. ที่…..ในวันที่ x เดือน xx พ.ศ.xxxx’
“ลูกนายกหรือเปล่า” จูเนียร์ถามด้วยความประหลาดใจ
“คนระดับนั้นไม่คบกับไอ้ทวยแน่นอน” นับตังค์กระซิบตอบ ซึ่งคนหูไวก็รีบร้องโวยวายแล้วฟาดฝ่ามือเข้าให้ที่แขนของนับตังค์
“อ๊ายยยย หยาบคาย นี่การ์ดเชิญไปงานวันเกิดพี่บีไอ เรียนเชิญพวกมึงสองคนด้วยนะคะ”
“แล้วใครคือบีไอ?” จูเนียร์ถาม เขาเห็นแล้วว่าในการ์ดเขียนชื่อของ ‘บีไอ’ แต่ที่ไม่รู้คือ คนๆนี้เป็นใครต่างหาก
“นักร้องเกาหลีไง ที่อยู่วงไอคอนอ่ะ” นับตังค์รีบเสนอ เพราะถ้าเอ่ยถึงบีไอที่กำลังโด่งดังจนเป็นที่รู้จักอยู่ในขณะนี้ก็คงต้องยกให้คิมฮันบินวงไอคอน
“ถุ้ย! จริงจังก่อนมั้ยนับตังค์” จูเนียร์แทบจะถุ้ยน้ำลายใส่หน้าเพื่อนสนิท เพราะบางครั้งเขาก็ไม่รู้ว่า จริงๆแล้วนับตังค์มันพยายามยิงมุก หรือมันคิดจริงจังกันแน่
“มึงไม่รู้จักพี่บีไอจริงๆเหรอ” ทวยเทพหันมาเอ่ยถามนับตังค์ที่ยังนั่งหน้ามึนอยู่เหมือนเดิม
“ทำไมกูต้องรู้จัก?”
“ให้คิดอีกที คำใบ้คือพี่เวฟ”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว รู้สึกว่าเคยได้ยินชื่อบีไอผ่านหูผ่านตามาบ้าง แต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นใคร
“คุ้นๆ”
“เพื่อนสนิทพี่เวฟไง” ทวยเทพเฉลย ซึ่งนับตังค์ก็พยายามเค้นสมองอย่างหนักว่านอกจากพี่คุณแล้ว พี่บีไอ เพื่อนสนิทของพี่เวฟมีหน้าตาอย่างไร กระทั่งพี่คนชิคที่เจาะหูนับสิบรูโผล่เข้ามาทักทายในความทรงจำ
“อ๋อ นึกออกแล้ว เคยเจอครั้งหนึ่งตอนไปถ่ายรูปให้สโม” นับตังค์ตอบ ก่อนที่ประโยคถัดมาจะเอ่ยถามทวยเทพด้วยความสงสัย “แล้วมึงล่ะ ไปรู้จักพี่บีไอได้ยังไง”
“บ้านเราติดกันค่ะ”
“เหรอ วันเกิดคือวันนี้อ่ะ เวลาเริ่มงานคือหนึ่งทุ่มตรง มีหมายเหตุบอกว่ามาก่อนได้ด้วย” นับตังค์เอ่ยขณะกำลังชั่งใจ เขาเดาว่าพี่เวฟต้องไปงานคืนนี้แน่ๆ แต่ที่ไม่แน่ใจคือเขาสมควรเสนอหน้าไปร่วมงานจริงๆหรือ ไม่ได้สนิทกับเจ้าของวันเกิด อีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่ได้มาเชื้อเชิญเอง
“กูไม่ไป” จูเนียร์เป็นคนแรกที่ออกตัวก่อนอย่างไม่แยแส
“ทำไม?” ทวยเทพหันไปถามเพื่อนสนิทที่สะบัดปรอยผมใส่แบบเชิดๆ
“ไม่รู้จักกันจะให้เสนอหน้าไปทำไม”
“ไปก่อน เดี๋ยวก็รู้จักเองแหละ” ทวยเทพยังพยายามออดอ้อนเสียงเล็กเสียงน้อยเพราะอยากให้เพื่อนไปสนุกด้วยกัน
“ไม่ไป”
“แล้วมึงล่ะ” ทวยเทพที่เห็นว่าคงชวนจูเนียร์ไม่เป็นผลสำเร็จ หันมาเขย่าแขนเพื่อนสนิทอีกคนที่ดูท่าจะหลอกง่ายกว่า
“กูไม่ไป เค้าเชิญมึง ไม่ได้เชิญกู อีกอย่างเพื่อนพี่เวฟ ไม่ใช่พี่เวฟซะหน่อย” นับตังค์ตอบ ถ้าเป็นวันเกิดพี่เวฟ ต่อให้ไม่ได้รับคำเชิญ เขาก็ยินดีจะเสนอหน้าด้านๆไปร่วมงานอย่างไม่ละอายใจ
“เหรอ โอเค กูไปคนเดียวก็ได้ พอดีอยากไปเสือกเรื่องที่...” ทวยเทพแสร้งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ แต่ดวงตากลับแหล่มองคนที่นั่งอยู่ข้างๆว่ายังตั้งใจฟังสิ่งที่ตนกำลังพูดอยู่หรือไม่ “พี่บีกับพี่เวฟอาจจะไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดา แต่อาจจะเป็นผัวเมียกันก็ได้นะ”
“มึงหมายความว่ายังไง!” นับตังค์ที่ตกหลุมพรางรีบร้อนถามด้วยใบหน้าแตกตื่น ขอเพียงเป็นเรื่องของพี่เวฟ สมองน้อยๆของเด็กหนุ่มก็พร้อมทำงาน ด้วยการมโนแต่เรื่องร้ายๆอย่างรวดเร็ว
“ก็คือว่าพี่บีไอกับพี่เวฟเค้าสนิทกันมาก ใครๆต่างก็สงสัยว่าหรือจะเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ” ทวยเทพที่จับสังเกตสีหน้าเหยเกของเพื่อนสนิทได้ รีบเอ่ยต่อทันที “คืนนี้พี่เวฟก็มาด้วยนะ มึงจะไม่ไปจริงเหรอ? พี่บียังบอกกูเลยว่าให้ชวนเพื่อนมาด้วย โดยเฉพาะเพื่อนที่ชื่อนับตังค์”
“เค้าจำกูได้เหรอ?” นับตังค์เอ่ยถาม ขณะย้อนคิดไปถึงตอนที่ได้เจอกับพี่บีไอครั้งแรก ตอนนั้นพี่เวฟชวนเขาไปดูหนังด้วยกัน แต่พี่บีไอกลับเข้ามาแทรก คิดแล้วเจตนาไม่บริสุทธิ์ชัดๆเลย แบบนี้ต้องสืบให้รู้!
“ได้ดิ มึงให้กุหลาบเพื่อนเค้าช่อยังควาย ใครๆก็จำมึงได้”
จริงด้วย…หลังจากวันนั้น นับตังค์ก็กลายเป็นที่พูดถึงของเพื่อนร่วมสาขาไปอีกหลายวันเลย คิดแล้วก็รู้สึกอายจริงๆ
“เออ กูไป” นับตังค์รีบพยักหน้าตกลงทันที
“เนียร์ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ” ทวยเทพกรีดยิ้มอย่างผู้ชนะส่งไปให้เพื่อนอีกคน ที่กำลังเขียนบันทึกลงในสมุดจดการบ้าน แต่หูนี่เกือบจะกระดิกดิ๊กๆเพราะอยากรู้อยากเห็นแล้ว
“เออ กูไปก็ได้” จูเนียร์ตอบเรียบๆอย่างไม่ใส่ใจ แต่ความจริงคืออยากไปดูเรื่องสนุก เขาเห็นว่านับตังค์หลงรักรุ่นพี่คนสวยแบบหัวปักหัวปำก็แอบเอาใจช่วยว่าเมื่อไหร่หนอ คนกากจะเปิดปากสารภาพรักเสียที แต่คนกากก็คือคนกาก จนป่านนี้แล้วยังไปกันไม่ถึงไหนเลย แต่ไม่แน่งานคืนนี้อาจจะได้เห็นคนหึงจนหน้ามืดก็ได้
“เริ่ดค่ะ”
“แล้วของขวัญอ่ะ บอกก่อนเลยนะ ถ้าแพงมากกูไม่มีตังค์หาร” นับตังค์เอ่ยถาม ดูจากการ์ดเชิญก็รู้แล้วว่าเจ้าของงานต้องมีฐานะ แล้วคนที่ไปร่วมงานอย่างพวกเขาจะให้ของขวัญกระจอกงอกง่อยได้อย่างไรล่ะ กลุ้มใจไปอี๊ก!
“กูเตรียมไว้แล้ว พวกมึงไม่ต้องให้อะไรหรอก”
“น่าเกลียด ไปงานวันเกิดเค้าแล้วยังไปมือเปล่าเนี่ยนะ” จูเนียร์แย้ง แต่ทวยเทพกลับยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะปากส่งเสียงจุ๊ๆ
“คนเค้ารวย อยากได้อะไรก็มีเงินซื้อหาเองได้ทั้งนั้น มึงจะเอาขี้หมูขี้หมาไปให้เค้าอีกทำไม สู้ไม่ต้องให้เลยง่ายกว่า”
นับตังค์แอบหันไปสบตากลับจูเนียร์ เมื่อฟังเหตุผลที่ไม่สมเหตุผลของเพื่อนใจสาว แต่การเอาขี้หมูขี้หมาไปให้ก็ยังแสดงออกถึงความมีน้ำใจและมีมารยาทกว่าการไปแบบหน้าด้านๆมั้ยล่ะเพื่อน
“แล้วมึงล่ะ ของขวัญขี้หมูขี้หมาอะไรที่เตรียมไว้” จูเนียร์เอ่ยถาม
“กูถ่ายรูปไว้ด้วยนะ ดูสิ”
ทุกคนรีบก้มหน้าลงไปมุงดูหน้าจอไอโฟนของทวยเทพ ซึ่งตอนนี้กำลังแสดงภาพของขวัญที่อยู่ในกล่อง ก่อนที่จะถูกห่อ สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป นับตังค์มีอาการผงะและอึ้งเล็กน้อย ส่วนจูเนียร์แบะปาก ขณะคิดสรรค์หาคำด่าอยู่ในใจเงียบๆ
“สาบานว่าไม่ได้ถ่ายไว้แบล็คเมล์”
ในที่สุดจูเนียร์ก็เปิดปากถาม ส่วนทวยเทพกลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ พรางคิดว่าปกติพี่ชายข้างบ้านคนนี้ก็ชอบมายืม DVD ที่เขาสะสมไว้จากหลากหลายประเทศอยู่แล้ว ทุกแผ่นล้วนแต่เป็นของหายาก เขาจึงใจดีสละส่วนหนึ่งซึ่งเป็นแผ่นแท้ ภาพคมชัด รวมถึงนิตยาสารปลุกใจเสือป่าที่แถมมาคู่กันให้อีกหลายเล่ม แล้วแบบนี้พี่บีไอจะไม่พอใจได้อย่างไรล่ะ
ลิลลี่ให้ด้วยเจตนาดีล้วนๆเลยค่า…

“โห บ้านพี่บีไอใหญ่ว่ะ”
นับตังค์เอ่ยขึ้นในตอนที่สมาชิกแก๊งนางฟ้าสามคนมาถึงที่หมายในเวลาหนึ่งทุ่มตรง น่าเสียดายที่โลมาไม่ได้มาด้วยเพราะเจ้าตัวต้องรีบกลับบ้านไปเขียนงานส่งอาจารย์ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองประตูรั้วสีทองที่สูงท่วมศีรษะ ลวดลายของเหล็กดัดเป็นลายเถาไม้ดอกที่อ่อนช้อย บ่งบอกรสนิยมและฐานะเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี  บ้านของพี่บีไออยู่ในย่านทำเลทอง ใช้เวลาเดินทางจากมหาลัยประมาณหนึ่งชั่วโมง เพราะค่อนข้างไกลและรถก็ติดพอสมควร บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในหมู่บ้านแถวนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบ้านของเศรษฐีและคนใหญ่คนโตที่มีฐานะเท่านั้น คนฐานะปานกลางยังไม่มีปัญญาจะซื้อที่ดินสักแปลงด้วยซ้ำไป
“จริง ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้”
จูเนียร์พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย โชคดีที่วันนี้เขาเลือกแต่งตัวและแต่งหน้าแบบจัดเต็ม เพราะคาดว่าแขกที่มาร่วมงานคงเป็นคนมีระดับ แล้วเขาก็ไม่อยากดูด้อยกว่าคนอื่นๆในงานด้วย ตกผู้ชายในงานได้หรือเปล่าไม่สำคัญ เรื่องใหญ่ที่สุดคือต้องสวยในสายตาของคนรอบข้างตลอดเวลาต่างหาก
“แล้วไหนล่ะบ้านมึง” นับตังค์ถามแล้วหันไปมองบ้านสองหลังที่อยู่ขนาบข้างกับบ้านของพี่บีไอ ซึ่งหลังใหญ่อลังการไม่ต่างกัน
“หลังนั้น” ทวยเทพชี้นิ้วไปที่บ้านหลังที่ตั้งอยู่ด้านซ้าย มองคร่าวๆก็ยังประเมินเนื้อที่ทั้งหมดไม่ได้ เพราะแค่จากประตูหน้าบ้านมาถึงประตูรั้วก็มีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรได้แล้ว
“ฮูววว เพิ่งรู้ว่ามีเพื่อนรวย” จูเนียร์ว่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ ส่วนนับตังค์ยกมือขึ้นตบไหล่บึกบึนของเพื่อนใจสาวเบาๆ
“นั่นดิ ราศีคนรวยไม่ยักจะจับมึงนะ”
“พูดมากจริง ตามลี่มาได้แล้ว”
ทวยเทพแทบร้องกรี๊ด เจ้าตัวสะบัดผมปลอมยาวจรดเอวที่สวมมาแล้วเดินเชิดหน้าเข้าไปในรั้วบ้านเจ้าของวันเกิด เขายื่นการ์ดเชิญให้บอร์ดี้การ์ดประจำบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ก่อนจะพาเพื่อนทั้งสองคนมุ่งหน้าไปที่สระว่ายน้ำด้านข้างตัวบ้านซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน
ภายในงานเลี้ยงเปิดเพลงจังหวะป็อปแดนซ์ค่อนข้างดัง โชคดีที่แม้รั้วบ้านจะติดกัน แต่ตัวบ้านกลับห่างไกลกันมากทำให้ไม่เป็นการรบกวนเพื่อนบ้านแถวนี้ กลางสระว่ายน้ำขนาดใหญ่มีสาวสวยหลายคนในชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ส่วนที่สวนด้านข้างมีโต๊ะจัดวางอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ซึ่งเด็กหนุ่มสามคนที่กำลังหิวโซรีบมุ่งหน้าเข้าไปทันที อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารกินเล่นที่หยิบง่าย เช่น เป็ดย่าง หมูย่าง ไส้กรอก ฮอตดอก เฟรนฟรายด์ทอด มันฝรั่งทอด แซนด์วิช ผลไม้ และขนมฝรั่งที่นับตังค์ไม่รู้จัก แต่เมื่อลองหยิบขึ้นมากินแล้วก็ล้วนแต่มีรสชาติอร่อย
“ไหนการ์ดเชิญบอกว่าให้มาร่วมทานอาหารค่ำไง ไม่เห็นมีข้าวเลย กูหิวนะ” นับตังค์โอดครวญเบาๆแล้วยกมือลูบท้อง
“อาหารค่ำบ้านไฮโซก็แบบนี้แหละ มึงกินๆเข้าไปเถอะ เดี๋ยวก็อิ่ม” ทวยเทพว่าแล้วหยิบขนมขึ้นมากัดคำเล็กๆเพราะเกรงว่าลิปสติกสีสดที่ทามาจะเปื้อน
“ไฮโซอย่างบ้านมึงก็กินแบบนี้เหรอ” จูเนียร์ถามด้วยความสงสัย เพราะเขาเองก็เตรียมกระเพาะมากินข้าวเหมือนกัน
“ก็ไม่นะ แต่ถ้างานเลี้ยงวันเกิดก็มีของประมาณนี้แหละ มันหยิบง่ายกินง่าย แถมยังอร่อยด้วย”
ระหว่างที่เด็กหนุ่มทั้งสามคนกำลังยืนกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น สายตาของจูเนียร์ก็เหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่ง ขาวออร่าของใครคนหนึ่ง ที่เดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมกับขวดไวน์แดงในมือ ฝ่ายนั้นเดินตรงเข้าไปหากลุ่มผู้ชายที่กำลังนั่งแซวสาวๆในชุดบิกินี่อยู่ข้างสระน้ำ ก่อนจะยื่นขวดไวน์ให้ใครคนหนึ่งที่ดูเหมือนเพื่อนสนิทที่ชี้ชวนให้ดูหญิงสาวที่นั่งอยู่บนแพยางเป่าลมสีชมพูสดกลางสระว่ายน้ำ หญิงสาวคนนั้นดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา มีเรือนร่างเย้ายวนใจชาย ทั้งอกอวบอิ่ม เอวเล็กคอดและสะโพกผายสวยได้รูป เธอดูเหมือนนางพญาท่ามกลางกลุ่มสาวๆคนอื่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะใบหน้าสวยคมโดดเด่น แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอกล้าเปิดเผยร่างกายมากกว่าใคร ด้วยการสวมชุดทูพีซสีแดงสดตัวเล็กจิ๋วอวดทรวงอกและบิกินีที่คล้ายกับจีสตริง เผยให้เห็นก้นขาวๆเวลาขยับตัว เธอมองตรงไปยังชายหนุ่มผู้มาใหม่ แย้มยิ้มโปรยเสน่ห์ก่อนจะใช้สองมือช้อนเต้านมที่ทะลักออกมาจากบิกินี่ แล้วสั่นอกเบาๆอวดคนรอบข้าง ชายหนุ่มคนนั้นถูกเพื่อนๆร้องแซว ขณะที่เจ้าตัวแค่ขยับยิ้มและใช้สายตามองสำรวจเรือนร่างนั้นอย่างเปิดเผย 
“อีนับ พี่เวฟของมึงโผล่มาแหละ”
จูเนียร์สะกิดคนที่ก้มหน้าก้มตายัดขนมใส่ปากจนแก้มตุ่ย เขาอยู่ในวงการชาวสีม่วงมาตั้งแต่ช่วงมัธยมต้น เคยเจอตุ๊ด เก้ง กวาง และเกย์มาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะไบรุก ไบรับ หรือเกย์โบท เขาก็เคยเจอมาหมดแล้ว เขากล้ายืนยันได้เลยว่าพี่เวฟของนับตังค์ไม่ใช่ตุ๊ดอย่างแน่นอน ทั้งสายตาและวิธีการพูด การเดิน หรือแม้กระทั่งความรู้สึกบนใบหน้าของคนๆนี้ ดูมาดแมน ล้ำหน้าตุ๊ดไปหลายเท่า ส่วนจะเป็นเกย์รับ เกย์รุก โบท หรือว่าไบนั้น เขากำลังวิเคราะห์อยู่
“โอ๊ะ คนสวย!”
นับตังค์ที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นพี่เวฟยืนอยู่ริมสระว่ายน้ำก็ยิ้มกว้าง แทบจะเขวี้ยงจานขนมในมือทิ้งแล้วแล่นไปหาสุดที่รักทันที วันนี้พี่เวฟสวมเสื้อยืดสีชมพูน่ารัก กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนยาวเหนือเข่าเล็กน้อย เป็นลุคสบายๆที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน บอกได้คำเดียวเลยว่า…น่าร๊ากกกก
“เดี๋ยว!” นับตังค์เกือบหน้าคว่ำเมื่อถูกเพื่อนสนิทดึงแขนไว้ในตอนที่เตรียมพุ่งไปหาเป้าหมาย
“อะไร?”
“กูว่านะนับตังค์…พี่เวฟมันไม่ใช่ตุ๊ดแบบที่มึงชอบหรอก” จูเนียร์เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“โอ๊ย! สำหรับอีนับนะ ต่อให้เป็นเกย์รับมันก็เรียกเค้าว่าตุ๊ด” ทวยเทพเอ่ยด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ แล้วหันไปมองหน้านับตังค์เป็นเชิงถามความเห็น
“ก็ไม่ได้ต่างกันนี่ ไม่ได้แต่งหญิงซะหน่อย” นับตังค์ว่า ถ้าเป็นผู้ชายที่แต่งหญิงต้องเรียกว่าสาวประเภทสอง ไม่ใช่ตุ๊ด
“แล้วแบบอีทวยล่ะ มึงให้คำนิยามมันว่าอะไร?” จูเนียร์ถาม
นับตังค์หันไปมองเพื่อนหุ่นหมีควาย ที่วันนี้มาในลุคของ Nicki Minaj ทวยเทพสวมชุดเดรสรัดรูปสีชมพูสั้นเหนือเข่า แต่งหน้าในลุคโฉบเฉียวเข้ากันดีกับผมตรงยาวสีบลอนด์ แม้ภาพลักษณ์จะเอนเอียงไปทางคำว่ากะเทย แต่นับตังค์ก็ยังเลือกตอบว่าตุ๊ดเหมือนเดิม
“ตุ๊ดไง”
“แล้วพี่เวฟล่ะ?” จูเนียร์ถามต่อ
“ตุ๊ด” นับตังค์ยืนยันอย่างหนักแน่น
“ตุ๊ดพ่องมึงสิ แบบนี้เรียกเกย์ ยูโนว G-A-Y อ่านว่าเกย์!!”
จูเนียร์แทบจะอ้าปากงับหัวเพื่อนสนิทให้ขาด ถ้ามองอีพี่เวฟของนับตังค์แบบผ่านๆ หรือเจอครั้งสองครั้งก็คงคิดจริงๆนั่นแหละว่าเป็นตุ๊ด อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกอย่างใบหน้าสวยกับผิวขาวเนียนละเอียด แต่ถ้าให้เจอบ่อยๆแล้วลองสังเกตลักษณะท่าทางดูดีๆ จะพบว่าไม่มีตรงไหนที่เหมือนตุ๊ดเลย
“แล้วจูเนียร์ล่ะ” นับตังค์เอ่ยถามด้วยดวงตาปริบๆ เขาชอบผู้ชายที่คล้ายๆกับจูเนียร์มากเลย
“กูเป็นเกย์รับ”
“ไม่เป็นไร พี่เวฟเป็นแบบเนียร์ กูก็ชอบนะ”
“ม้าย!!! พี่มันต้องเป็นรุกหน้าสวย มึงเชื่อกูสิ”
จูเนียร์ไม่เคยกรี๊ด เพราะเขาไม่ใช่ตุ๊ด แต่นาทีนี้เขาอยากร้องกรี๊ดๆ แล้วกระทืบนับตังค์สักสองสามที เผื่อว่าเพื่อนคนนี้จะฉลาดขึ้นมาบ้าง
“ม้าย!!! อีเนียร์มันมั่ว หน้าแบบนั้นรุกใครไม่ได้หร๊อก สถานะเมียเท่านั้นแหละค่ะ”
ทวยเทพเอ่ยแย้ง พี่เวฟทั้งสวย ทั้งบอบบาง ไม่มีทางกดใครได้แน่นอน เด็กหนุ่มคิดแบบนั้น แต่เขาลืมคิดไปว่าตัวเองต่างหากที่รูปร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยทั่วไป เมื่อยืนเทียบกับพี่เวฟก็ต้องคิดว่าฝ่ายนั้นตัวเล็กบอบบางอยู่แล้ว
“แล้วมึงล่ะอีทวย สารรูปแบบมึงมีใครกล้ากดด้วยเหรอ เบนเข็มไปเป็นรุกดีกว่ามั้ย”
“อ๊ายยยย มึงหยาบคายแบบนี้ไงถึงได้หาผัวไม่ได้สักทีอ่ะ”
“หาผัวดีๆไม่ได้ กูก็ไม่อยากมีหรอก ชิ๊”
ระหว่างที่เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร นับตังค์ก็ถูกสะกิดเรียกจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นคนสวยที่กำลังส่งยิ้มมาให้
“พี่เวฟ”
“ไง มานานหรือยังคะ”
“สักพักแล้วครับ”
“มานั่งกับพี่มั้ย”
“ลี่ไปค่า” ยังไม่ทันที่นับตังค์จะได้ตอบตกลง ทวยเทพก็เสนอหน้าเข้ามาตกลงแทนแล้วควงแขนเพื่อนสนิททั้งสองคนเอาไว้แน่น
หลังจากนั้นทุกคนก็ย้ายเข้าไปนั่งที่ห้องโถงรับแขกด้านในตัวบ้าน บนโซฟาหนังสีดำมีคนสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว นับตังค์จำได้ว่าคนหนึ่งคือพี่บีไอ เจ้าของงานวันเกิด ส่วนอีกคนคือพี่นิว เพื่อนร่วมคณะของพี่เวฟซึ่งเขาได้เจอตอนงานถ่ายรูปทำโปสการ์ด
“พี่บีของน้อง!!” เมื่อทวยเทพเห็นเจ้าของวันเกิดที่ไม่ยอมออกไปรับแขก แต่เลือกจะมานั่งชิวๆอยู่กับเพื่อนสนิทในห้องโถง ก็แล่นเข้าไปหาอย่างรวดเร็วจนพี่บีไอเกือบจะอ้าแขนรับไม่ทัน
“คิดถึงจังเลยค่ะ” ทวยเทพเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานก่อนจะก้มหน้าลงไปจุ๊บแก้มพี่บีไอที่เอ่ยทักทายกลับมาอย่างสนิทสนม นับตังค์แอบหันไปสบตากับจูเนียร์ด้วยท่าทางสยดสยอง เมื่อเห็นว่าเจ้าของงานวันเกิดยิ้มแย้มรับจูบของทวยเทพได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ไม่รู้ว่าพี่บีไอต้องใจกว้างขนาดไหนที่นั่งเฉยให้เพื่อนสนิทของเขาทั้งกอดทั้งสีได้เต็มที่แบบนี้
“มีเมียใหม่หรือยังเอ่ย?”
“ยังจ้า ช่วงนี้พี่ขอพักใจก่อน” พี่บีไอตอบแล้วหันมาเชื้อเชิญให้นับตังค์และจูเนียร์นั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
“สนใจเพื่อนหนูมั้ย คนนี้ว่างนะ นิสัยดีมากแต่ปากหมาไปหน่อย” ทวยเทพที่กำลังอิงแอบอยู่บนแผ่นอกของพี่บีไอ ตวัดนิ้วชี้หน้าจูเนียร์ ที่เกือบยกเท้าแตะปากเพื่อนที่จู่ๆก็หันมาขายกันดื้อๆเลย
“อีทวย!”
พี่บีไอมีท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามจูเนียร์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่กลับชวนให้คนฟังรู้สึกขนลุก เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร อีกฝ่ายก็ต้องเป็นประเภทเจ้าชู้ ไม่จริงจังกับใครอยู่แล้ว
“ชื่ออะไรครับ? พี่ชื่อบีไอนะ”
“จูเนียร์” เด็กหนุ่มตอบส่งๆ ถึงเขาจะเป็นเกย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแล่นไปอ้าขาให้ผู้ชายทุกคนที่สนใจเขาเสียหน่อย
“ชื่อน่ารักดีนะครับ” นับตังค์สังเกตเห็นว่าแววตาที่พี่บีไอใช้มองจูเนียร์ดูจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันดูวิบวับและแสดงความสนใจออกมามากกว่าตอนแรก เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะนั่นแปลว่าพี่เวฟของเขาจะปลอดภัยไร้กังวล
“นี่ไอ้นินิวเพื่อนพวกพี่” พี่บีไอเอ่ยแนะนำเมื่อพี่นิวที่แวบหายไปตอนไหนไม่รู้ กลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยเบียร์กระป๋อง ยี่ห้อต่างประเทศ
“อยากดื่มอะไรอีกมั้ย บอกได้นะ”
พี่นินิวที่ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีแทนเจ้าของบ้านตัวจริง เอ่ยพร้อมกับแจกจ่ายเครื่องดื่มให้ทุกคน นับตังค์เองก็รับมาตามมารยาท แต่เขาไม่อยากดื่มเพราะนอกจากรสชาติขมๆแล้ว เขาก็เข้าไม่ถึงความอร่อยของแอลกอฮอล์เลย
ระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานโดยมีทวยเทพกับบีไอเป็นคนเปิดประเด็นเล่าเรื่องต่างๆ นับตังค์ก็เหลือบไปเห็นแก้วเครื่องดื่มของพี่เวฟ ที่เหลือเพียงครึ่งเดียว เขาเดาว่ามันคือช็อกโกแลตปั่น ให้ตายสิ ถ้าเขารู้มาก่อนว่ามีน้ำปั่นในงานวันเกิด เขาคงไม่ทนจิบเบียร์อยู่แบบนี้หรอก
“พี่เวฟครับ” นับตังค์เอนตัวเข้าไปหาคนสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วกระซิบบอกเสียงเบาที่ข้างหู เพราะไม่อยากขัดจังหวะการแฉจากพี่บีไอว่าทวยเทพถูกพ่อกับแม่จับได้ว่าเป็นตุ๊ดตอนไหน
“ผมอยากได้น้ำปั่นแบบพี่เวฟบ้าง”
พี่เวฟที่นั่งกินมันฝรั่งทอดกรอบหันไปมองแก้วน้ำปั่นตามสายตาของเด็กหนุ่ม
“Frozen Mudslide เนี่ยเหรอ”
นับตังค์พยักหน้า
“งั้นรอนี่นะ เดี๋ยวพี่ไปทำให้” คนสวยว่า แล้ววางจานมันฝรั่งทอดลงบนโต๊ะ แต่เด็กหนุ่มที่พูดกับคนแปลกหน้าไม่เก่งกลับรีบลุกจากโซฟาแล้วรีบวิ่งตามอีกฝ่ายไปทันที
“ผมไปด้วย”
นับตังค์เดินตามพี่เวฟเข้าไปในห้องครัว ซึ่งมีอุปกรณ์ครบครันและวัตถุดิบเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว เด็กหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่งระหว่างมองคนสวยทำตัวเป็นแม่ศรีเรือน พี่เวฟหยิบเครื่องปั่นมาวางบนโต๊ะอาหารตรงหน้าของนับตังค์ ก่อนจะเทน้ำแข็งก้อนเล็กๆลงในเครื่องปั่น ตามด้วยช็อกโกแลตไซรัป,Kahlua,Baileys irish cream และวอดก้า นับตังค์มองขวดสีดำที่แปะชื่อภาษาอังกฤษหลายขวดด้วยความงุนงง เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่พี่เวฟใส่ลงไปปั่นคืออะไร แต่ถ้าให้เดาจากขวดจะต้องเป็นของดีราคาแพงแน่ๆเลย คิดแล้วก็กระหยิ่มยิ้มย่องเพราะคิดว่าวันนี้เขาได้มีโอกาสลิ้มรสของอร่อยแล้ว
“พี่เวฟไม่ดื่มเบียร์เหรอครับ”
นับตังค์เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาเมื่อได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ตั้งแต่เข้ามาในโถงรับแขก เขายังไม่เห็นคนสวยแตะแอลกอฮอล์เลย เพราะเบียร์ที่พี่นิวเอามา พี่เวฟก็ไม่ได้ดื่ม
“พี่ไม่ชอบเบียร์น่ะ”
โอ๊ะ นับตังค์ก็ไม่ชอบผู้ชายสายปาร์ตี้ที่ติดแอลกอฮอล์เหมือนกัน พี่เวฟนี่ช่างเป็นนางฟ้าที่สวรรค์ส่งมาแท้ๆเลย
“ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
นับตังค์ว่า แล้วรับน้ำปั่นที่พี่เวฟส่งมาให้ อีกฝ่ายเพิ่มวิปปิ้งครีมให้เขาเป็นพิเศษตามคำขอ เด็กหนุ่มก้มหน้าดูดเครื่องดื่มในแก้ว คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อของเหลวไหลผ่านลำคอ ช็อกโกแลตปั่นของพี่เวฟรสชาตินุ่มมาก ให้รสชาติของช็อกโกแลตชั้นดี แต่เจือความขมเล็กน้อยที่ปลายลิ้น จะบอกว่าอร่อยมากก็ไม่ใช่ แต่มันอร่อยที่สุดแล้วเมื่อเทียบกลับเบียร์กระป๋อง นับตังค์จึงจัดการดูดจนหมดแก้วอย่างรวดเร็ว
“เอาอีกมั้ยครับ” พี่เวฟถามด้วยรอยยิ้ม เมื่อเด็กหนุ่มพยักหน้าก็เริ่มลงมือทำเพิ่มอีกสองแก้ว เป็นแก้วใหญ่พิเศษสำหรับตัวเขาและนับตังค์
“พี่เวฟคร้าบบบ”
นับตังค์เอ่ยเสียงอ้อแอ้หลังจากดื่มน้ำปั่นแก้วที่สองได้ไม่นาน เขารู้สึกเวียนศีรษะราวกับคนเมาหนัก ทั้งที่เขาแตะเบียร์ไปไม่ถึงครึ่งกระป๋องด้วยซ้ำ ตอนแรกที่ตัดสินใจมางานวันเกิดพี่บีไอ เขาตั้งใจว่าจะคุยกับพี่เวฟอย่างจริงจังเรื่องจูบในคราวนั้น เพราะถ้าพี่เวฟเองก็ใจตรงกับเขา เขาก็อยากจะขอพี่เวฟเป็นแฟนแบบแมนๆเลย ถ้ารอให้พี่เวฟเอ่ยปากก่อนมันจะดูไม่ดี และเขาต่างหากควรเป็นฝ่ายแสดงความจริงใจที่ฉวยโอกาสจูบคนสวยก่อน
“นับตังค์” เจ้าของชื่อเงยหน้ามองคนที่กำลังตบแก้มเขาเบาๆ นับตังค์กำลังจะอ้าปากขอคนสวยเป็นแฟน แต่จู่ๆก็ประดิษฐ์คำไม่ถูกขึ้นมาดื้อๆ หัวสมองหนักไปหมดอยากจะล้มตัวลงนอนซะตอนนี้เลย
“โผ้มขอติดไว้ก่อนน้า เดี๋ยวมาขอใหม่ คร๊อกกกกก”
“นับตังค์!”


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
น็อคซะแล้ว

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
I'm Tussy 15


โป๊ก!
“โอ๊ยยย…เจ็บคร้าบ”
นับตังค์ครวญครางในลำคอเมื่อร่างของเขาถูกทิ้งลงบนความนุ่มนิ่มอบอุ่น แต่ศีรษะกลับฟาดเข้ากับบางอย่างแข็งๆก่อนจะไถลลงมาบนหมอนใบใหญ่ ฮือออ คนสวยจะฆ่าเขาหรือ?
“พี่ขอโทษนะคะ”
เด็กหนุ่มที่กำลังมึนได้ที่ปรือตามองใบหน้าคุ้นเคยที่กำลังโน้มตัวอยู่เหนือร่างของเขา ฝ่ามือเรียวยาวยื่นมาลูบศีรษะทุยเบาๆ ราวกับต้องการปลอบประโลมที่ทำให้เจ็บตัว แต่คนใจแคบกลับส่ายหน้าช้าๆ ยื่นมือสองข้างคว้าหมับที่ลำคอของคนสวย สองขาก็ไม่น้อยหน้ารีบรัดเอวอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ทำให้ตอนนี้ท่าทางของเขาไม่ต่างจากลูกลิงตัวโตๆที่ร้องหาแม่
“ไม่ให้อภัยคร้าบ”
นับตังค์ว่าแล้วอ้าปากงับใบหูของคนตรงหน้าเต็มแรง พี่เวฟสะดุ้ง ก่อนจะพยายามใช้มือแกะขาทั้งสองข้างของเขาออก แต่ยิ่งเห็นว่าพี่เวฟพยายามจะสลัดเขาทิ้งมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดมากเท่านั้น
“นับตังค์ ปล่อยพี่ก่อน!”
เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องก็เริ่มมีการใช้กำลัง คนทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ คนหนึ่งพยายามดึงรั้ง แต่อีกคนพยายามดิ้นหนี ทั้งผลักทั้งทุบไม่ต่างจากเด็กเล็กๆกำลังต่อยตีกันแย่งของเล่น กระทั่งนับตังค์เริ่มรู้สึกเจ็บ แต่ยังไงก็ไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด เขาใช้ขาเกี่ยวคนด้านบนที่ไม่ทันตั้งตัวให้ล้มลงมานอนเบื้องล่าง แล้วเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนเอวของอีกฝ่ายด้วยท่าทางล่อแหลม 
“ไม่เอาอ้า อยู่กับโผ้มน้า” นับตังค์ร้องลั่นแล้วทิ้งตัวนอนซบบนแผ่นอกของอีกฝ่ายเอาดื้อๆ
“ได้ๆ พี่อยู่เป็นเพื่อนนับตังค์ แต่ปล่อยก่อน”
คนใต้ร่างหยุดขัดขืนแล้ว แต่กำลังหอบหายใจ ร่างของพี่เวฟไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนเตียงนอน แต่ไม่รู้ทำไมพอได้นอนแล้ว กลับรู้สึกอุ่นสบายจนไม่อยากลุก นับตังค์ได้กลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์จากร่างของคนสวย เป็นกลิ่นหอมสดชื่นคล้ายอากาศยามเช้าที่ผสมผสานกับกลิ่นมิ้นท์ ทำให้เขารู้สึกเคลิบเคลิ้มจนเผลอก้มหน้าซบซอกคอขาวๆ แล้วสูดหายใจลึกอย่างพออกพอใจ
“พี่เวฟตัวหอมจัง”
นับตังค์พึมพำแล้วเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย ใบหน้าสวยหวานที่ปรากฏให้เห็นในระยะประชิดทำให้เขาตาพร่า ริมฝีปากแห้งผาก จู่ๆก็รู้สึกหิวกระหาย เป็นครั้งแรกเลยที่เด็กหนุ่มรู้สึกอยากจับใครสักคนมากลืนลงท้อง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ‘คน’ จะน่ากินแบบนี้ นี่เขาเป็นอะไรไปนะ เขาอยากรู้ว่าพี่เวฟจะมีรสชาติอย่างไร ต้องอร่อยมากแน่ๆเลย แล้วของอร่อยที่นอนรออยู่ตรงหน้าจะไม่กินก็เสียชาติเกิดแย่แสะ คิดแล้วก็ลองใช้ปลายลิ้นแตะลงบนแก้มขาวเบาๆ นับตังค์รู้สึกว่าอีกฝ่ายตัวแข็งทื่อ แต่เขาไม่สนใจเพราะสัมผัสที่ได้รับบนปลายลิ้นนั้นรู้สึกดีมาก ไม่ได้หวานอย่างที่คิด แต่อยากเลียอีกหลายๆครั้ง
แพล้บ!
นับตังค์ลากไล้ปลายลิ้นไปตามกรอบหน้าที่เขาเฝ้าฝันถึงอย่างย่ามใจ ก่อนที่ปลายลิ้นจะหยุดลงตรงมุมปากสีแดงสดอย่างคนมีสุขภาพดี
“นับตังค์!” เสียงที่เอ่ยปรามทำให้นับตังค์ชะงัก ดวงตาสีดำคู่กลมช้อนขึ้นไปมองสบตากับอีกฝ่ายเป็นเชิงต่อว่า เขากำลังกินอยู่นะ ขัดจังหวะคนที่กำลังกินเรียกว่าเสียมารยาทครับ
“ลุก!”
เด็กหนุ่มเบ้ปากเมื่อได้ยินคำสั่งห้วนสั้น พูดมาก! คิดแล้วก็ก้มหน้าลงไปกระแทกจูบปิดปากของคนตรงหน้าซะเลย แรกเริ่มเป็นการใช้ริมฝีปากแตะสัมผัสถูไถไปมา แต่ยิ่งได้ลิ้มลองก็ยิ่งพออกพอใจ จึงเริ่มขบกัดดูดดึงริมฝีปากของคนใต้ร่างอย่างมีความสุข อีกฝ่ายไม่ได้จูบตอบเพียงแต่เบี่ยงใบหน้าหนีแล้วเอ่ยถาม
“จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย?”
น้ำเสียงนั้นแหบพร่า คล้ายกำลังข่มกลั้นความต้องการบางอย่าง แต่นับตังค์กลับขมวดคิ้ว ด้วยไม่รู้ว่า ‘จะเอาแบบนี้’ คือเอาแบบไหน ได้แต่โน้มตัวลงไปกัดปากแดงๆนั่นแทนคำตอบ หลังจากนั้นปฎิกิริยาตอบโต้ที่ได้รับจากคนสวยก็ไม่ได้ทำให้นับตังค์ผิดหวังเลย อีกฝ่ายเอื้อมมือมารั้งใบหน้าของเขาให้ก้มลงไปหาแล้วประกบปากจูบอย่างแนบแน่น ริมฝีปากของคนทั้งคู่ดูดดึงกันอย่างหิวกระหาย พี่เวฟใช้ฟันกัดริมฝีปากล่างของเขาเพื่อเป็นการเปิดทางให้ลิ้นซุกซนสอดแทรกเข้ามาเกี่ยวกับลิ้นของเขา ลิ้นของพี่เวฟมีชั้นเชิงมาก ทั้งตวัดไปทั่วโพรงปากสร้างความวาบหวามให้เขาเป็นอย่างยิ่ง
นับตังค์รู้สึกกระตือรือร้น อยากตอบสนองอีกฝ่ายให้เร่าร้อนยิ่งขึ้นไปอีก จึงเริ่มขยับลิ้นตอบโต้ ทั้งดูดและตวัดเลียริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเงอะงะ แม้จะไม่เคยจูบโดยใช้ลิ้นมาก่อน แต่เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน ดูดๆเลียๆก็เป็นอันใช้ได้แล้ว
“จะจูบหรือจะเลียล่ะ หื้ม?” คนสวยผละออกจากนับตังค์ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เด็กหนุ่มหลุบตามองของเหลวใสที่ไหลเยิ้มของมาจากริมฝีปากของพวกเขาก็คิดว่ามันช่างลามกจริงๆ แต่นาทีนี้เขาสนใจเพียงแค่เรื่องเดียว นั่นคือทำตามความต้องการของตัวเอง
“จะกิน”
นับตังค์ตอบ แล้วเริ่มต้นลากไล้ปลายลิ้นลงมาที่ซอกคอขาวของคนใต้ร่าง เขาขบกัดดูดดึงอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ขณะที่ฝ่ามือก็เริ่มลูบไล้แผ่นอกแข็งแรงไล่ต่ำลงมาจนถึงหน้าท้อง เมื่อฝ่ามือสัมผัสผิวเนื้อที่โผล่พ้นเสื้อยืดที่ถูกเลิกขึ้นไปเล็กน้อย ก็เผลอเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างตื่นเต้น มือของเขาสั่นน้อยๆขณะที่เอื้อมออกไปจับชายเสื้อยืดของอีกฝ่ายแล้วเลื่อนขึ้นไปจนเห็นหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายชัดเจน เขาชมชอบร่างกายสูงโปร่งที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นของคนตรงหน้ามาก แววตาที่ทอดมองจึงฉายแววหลงใหลอย่างปิดไม่มิด
นับตังค์มีเป้าหมายใหม่ในการโลมเลียแล้ว นั่นคือหน้าท้องขาวๆที่เปิดเผยให้เห็นอยู่เต็มตา เขาค่อยๆก้มหน้าลงไปใช้ลิ้นแตะเบาๆ กล้ามเนื้อตรงหน้าก็แข็งเกร็งจนเห็นซิกแพ็คชัดเจนขึ้น เด็กหนุ่มขบกัดไปบนผิวเนื้อทุกที่ที่มองเห็นอย่างตะกละตะกลาม ฝ่ามือลูบไล้ จับคลำทุกที่ที่ต้องการอย่างสนุกสนาน
“ค่อยๆ ไม่ต้องรีบ”
นับตังค์ได้ยินเสียงหอบหายใจของอีกฝ่ายก็รู้สึกตาพร่ามัว ร่างกายสั่นระริก กว่าจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างกำลังปวดหนึบก็เป็นตอนที่ลูกชายน้อยๆของเขาพองตัวขึ้นมาเสียดสีต้นขาของอีกฝ่ายแล้ว
“พี่…เวฟ…แฮกๆ”
นับตังค์หยุดการกระทำทั้งหมดแล้วยกมือกุมเป้ากางเกง นวดคลึงเบาๆอย่างทรมานใจ นึกอยากระบายอารมณ์ใคร่เสียตรงนี้ แต่ต่อให้เมาหนักอย่างไรก็ยังหน้าบาง ต่อหน้าอีกฝ่ายจึงไม่กล้าลงมือช่วยเหลือลูกชาย ทว่าก็ตัดใจคลานลงจากตัวคนสวยไปเข้าห้องน้ำไม่ได้เช่นกัน
“ให้พี่ช่วยนะ”
คนสวยกระซิบบอกกับนับตังค์ แต่ยังไม่ทันที่คนใจง่ายจะได้พยักหน้าตอบตกลง ร่างของเขาก็ถูกพลิกลงมานอนแผ่อยู่บนเตียงแล้ว กางเกงยีนส์สกินนี่ของเขาถูกพี่เวฟถอดออกไปพร้อมกับกางเกงชั้นในสีขาวอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นลูกชายตัวน้อยก็ออกมาเผชิญกับโลกกว้าง นับตังค์เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้ามองท่อนล่างของเขาอย่างไม่ปิดบังก็รู้สึกเขิน รีบยกมือปิดหน้า แต่ก็ยอมนอนเปลือยท่อนล่างรับลมเย็นๆอย่างรอคอย
“เขินตอนนี้ไม่ทันแล้วนะ”
น้ำเสียงหยอกล้อจากพี่เวฟทำให้นับตังค์อยากมุดดินหนี เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายยื่นมือมาสัมผัสแก่นกายของเขาเบาๆ ลูบไล้ราวกับต้องการสำรวจ ทำเอาร่างกายบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน
“ฮ้า…!!”
นับตังค์ครวญคราง พยายามผ่อนลมหายใจที่กำลังติดขัด แล้วหลับตาลงดื่มด่ำกับความสุขสุดยอดที่เพิ่งได้รับเป็นครั้งแรก พี่เวฟกำลังใช้ปากดูดเลียท่องล่างของเขาอย่างมีชั้นเชิง แม้ในฝันจะเคยมองเห็นภาพเหล่านี้มาหลายครั้งแล้ว แต่นั่นเทียบไม่ได้กับความเป็นจริงเลย อายก็ส่วนอาย นั่นแน่อยู่แล้ว แต่เรื่องอะไรจะลุกขึ้นมาผลักไสคนตรงหน้าออกไปด้วยเล่า ในเมื่อนับตังค์ชอบพี่เวฟมาก และกล้ายอมรับอย่างไม่อายปากสักนิดว่าชอบสิ่งที่คนสวยกำลังทำอยู่ที่สุดเลย
“อื้ออ…”
เด็กหนุ่มที่เพิ่งเรียนรู้การถูกออรัลเซ็กส์เป็นครั้งแรกกัดริมฝีปาก พยายามปิดกั้นเสียงครางกระเซ้าที่ยิ่งฟังยิ่งคล้ายกับนายเอกหนัง AV เข้าไปทุกที พี่เวฟเลียท่องเนื้อตรงหว่างขาของเขา ขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังคลึงลูกอัณฑะเบาๆ ปลุกเร้าอารมณ์ให้ยิ่งกระเจิดกระเจิง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแต่เสียงครางที่กั้นไว้เริ่มหลุดออกมามากขึ้นทุกขณะตามอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ ขาสองข้างเริ่มอ้าออกกว้างตามสัญชาตญาณดิบ พี่เวฟดูเหมือนจะพอใจกับปฎิกิริยาของเขา แรงดูดดึงจึงเพิ่มขึ้นพร้อมกับฝ่ามือนุ่มที่ลูบไล้ซอกขาของเขาแผ่วเบา นับตังค์ขนลุกซู่ รู้สึกเกร็งไปทั้งตัวเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายเริ่มอ้อยอิ่งอยู่แนวๆก้นที่ถูกดันให้ลอยขึ้นจากเตียง
“ฮ้า…อา!”
มือสองข้างของนับตังค์กำหมอนนุ่มบนศีรษะไว้แน่น อ้าปากส่งเสียงร้องอย่างน่าอาย แล้วฉับพลันนั้น ความรู้สึกสุขสมก็ถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นยักษ์ เขารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น จึงพยายามขยับตัวหนี มือหนึ่งยื่นออกมาผลักศีรษะที่ซุกอยู่ตรงกลางลำตัวออก อยากจะอ้าปากบอกพี่เวฟว่าเขากำลังจะเสร็จ แต่นอกจากเสียงหอบแฮกๆแล้ว เขาก็พูดไม่ออกสักคำ ได้แต่ปลดปล่อยออกมาในโพรงปากอุ่นร้อนอย่างห้ามไม่อยู่
ตอนแรกนับตังค์คิดว่าพี่เวฟจะรีบผละออกด้วยความตกใจ แต่ตรงกันข้าม แม้อีกฝ่ายจะสำลักในครั้งแรก แต่ปากที่ครอบครองแก่นกายของเขาไม่ได้คลายออกเลย กลับเพิ่มแรงดูดหนักหน่วงราวกับต้องการรีดเค้นน้ำขาวขุ่นจากเขาให้หมดตัว นับตังค์น้ำตาไหลเต็มหน้ารู้สึกสุขสมราวกับได้ขึ้นสวรรค์ สมองขาวโพล่นไปหมด นอกจากส่งเสียงสะอื้นเบาๆแล้วก้มมองคนตรงหน้ากำลังกลืนน้ำรักของเขาลงคอ เขาก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งหอบหายใจด้วยท่าทางโง่งม
เช้าวันต่อมา
นับตังค์สะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกถึงความร้อนและแสงสว่างที่ส่องกระทบใบหน้า เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความตื่นตระหนก ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในสมองคือ…ที่นี่ที่ไหน? นับตังค์หันมองไปรอบๆ และพบว่าเขากำลังนั่งอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ในห้องนอนสุดหรูที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆก็คือ…พี่เวฟคนงาม
นับตังค์ดึงผ้าห่มออก พยายามเคลื่อนไหวให้เงียบที่สุดเพราะไม่ต้องการรบกวนการพักผ่อนของพี่เวฟ เขาก้าวเท้าลงจากเตียง แล้วเดินไปยืนตรงหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ภาพที่มองเห็นจากหน้าต่างบานใหญ่คือสวนกว้างที่มีสระว่ายน้ำ  จึงเดาได้ไม่ยากว่าเมื่อคืนหลังจากที่เมาอย่างหนัก เขาได้ถือโอกาสนอนค้างที่บ้านของพี่บีไอ ส่วนเพื่อนแสบสองคน ตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ นับตังค์ตั้งใจว่าจะหยิบไอโฟนขึ้นมาโทรหาทวยเทพและจูเนียร์ จึงเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังใส่เสื้อยืดกับกางเกงบอลของคนอื่นอยู่ เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่งว่าใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา ก็ถูกภาพที่ฉายขึ้นมาในสมองราวกับวิดีโอที่บันทึกภาพเสียงคมชัด ทำเอาเขาหน้าม้านทันที หันขวับกลับไปมองคนที่กำลังนอนสบายอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าแดงก่ำ
อ๊ากกกกก!!! ความฝันหรือความจริงกันแน่ว้า !!!
นับตังค์แน่ใจว่าเมื่อคืนเขาจูบกับพี่เวฟอย่างดูดดื่ม แต่หลังจากนั้น…คิดแล้วก็เผลอกลืนน้ำลาย ยกมือลูบเป้ากางเกงช้าๆ เขาไม่ได้ใส่กางเกงชั้นใน แล้วร่างกายก็ไม่ได้มีคราบอะไรที่เป็นหลักฐานได้เลยว่า เรื่องสุดเร่าร้อนระหว่างเขากับพี่เวฟเกิดขึ้นจริงๆ…!!
“นับตังค์!”
เด็กหนุ่มสะดุ้ง เมื่อจู่ๆเสียงแหบพร่าของคนที่เพิ่งตื่นนอน ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดวุ่นวายในสมอง นับตังค์หันไปมองพี่เวฟและเห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นมานั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียงแล้ว ผมสีคาราเมลเข้มชี้โด่เด่ไม่เป็นทรง แต่กลับดูเซ็กซี่แปลกๆ นับตังค์หลุบตามองพื้น ใบหน้าแดงก่ำเมื่อคิดถึงสัมผัสเสมือนจริงที่เกิดขึ้นตรงหว่างขา แต่จะให้เอ่ยปากถามอีกฝ่ายไปว่าเมื่อคืนได้ออรัลกระจู๋ให้เขาหรือเปล่าก็ไม่กล้า ถ้าเกิดเป็นเพียงความฝันขึ้นมา เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าที่แตกยับไปไว้ที่ไหน แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเหมือนกัน เพราะงั้นเลิกคิดแล้วเอาหน้าไว้ที่เดิมนั่นแหละดีแล้ว
“เอ่อ อรุณสะ…สวัสดิ์ครับ” นับตังค์ไม่รู้จะพูดอะไรจึงเอ่ยทักทายไปแบบโง่งม พี่เวฟที่กำลังใช้มือปิดปากที่กำลังหาวอยู่ ปรือตาฉ่ำน้ำมามองเขาพร้อมรอยยิ้มหวาน
“ทำไมไปยืนตรงนั้นล่ะ?”
“ผม…ผมจะหาเสื้อผ้า อาบน้ำ…ครับ” นับตังค์ตอบตะกุกตะกัก แม้จะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง แต่ตอนนี้เขาก็ต้องการเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็ให้เวลากับตัวเองได้สงบสติอารมณ์แล้วคิดให้ดีว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“อ๋อ” คนสวยครางรับ นัยน์ตาสีดำที่ทอดมองมาที่นับตังค์คมกริบราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปให้ถึงความคิดของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกเล็กน้อย แต่ก็พยายามตีสีหน้าเคร่งขลึม ไม่รู้ไม่ชี้ จำอะไรไม่ได้ทันนั้น
“เมื่อคืนพี่เอาเสื้อผ้าน้องนับไปซักตากไว้ ตอนนี้น่าจะแห้งแล้ว เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้นะครับ”
หลังจากกล่าวจบ คนสวยก็ลุกจากเตียงแล้วหายลับออกไปจากห้องนอน นับตังค์นั่งรอเงียบๆอยู่บนเตียงราวห้านาที อีกฝ่ายก็กลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่ถูกรีดเรียบร้อยแล้ว และผ้าขนหนูสีขาวหนึ่งผืน
“ขอบคุณครับ” นับตังค์เอ่ยพร้อมกับรับเสื้อผ้ามาไว้ในอ้อมแขน ระหว่างนั้นสายตาของเขาเหลือบไปเห็นรอยแดงช้ำบริเวณลำคอขาวผ่องของพี่เวฟ เขากลืนน้ำลายอึกเมื่อคิดว่ารอยพวกนั้นเกิดจากอะไร แต่ที่น่าตื่นตะลึงก็คือเขาเป็นคนทำใช่หรือเปล่า
“พี่เวฟครับ”
“ว่าไง”
“รอยบนคอพี่…ผมทำใช่มั้ยครับ” นับตังค์ตัดสินใจเอ่ยถาม สายตาหลุบมองพื้น ในความรู้สึกเขินอาย มีความรู้สึกผิดผสมผสาน ราวกับว่าเขาได้พรากความบริสุทธิ์ผุดผ่องของคนสวยไปแล้ว พี่เวฟไม่ได้ตอบ เพียงแค่หัวเราะเบาๆในลำคออย่างไม่ถือสาหาความ
“ผมขอโทษนะครับ” คนแมนย่อมต้องยืดอกกล่าวขอโทษพร้อมกับก้มศีรษะสำนึกผิดอยู่แล้ว 
“ไม่เป็นไร พี่เป็นผู้ชาย ไม่เสียหายหรอก”
นับตังค์เงยหน้าขวับ แล้วยู่ปากอย่างไม่พอใจ
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ ผู้ชายหรือผู้หญิงเท่าเทียมกัน ผมต้องรับผิดชอบสิ”
“รับผิดชอบยังไงคะ?”
เมื่ออีกฝ่ายย้อนถาม เด็กหนุ่มก็ได้แต่อ้าปากค้าง กำลังคิดอยู่ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว…ก็ขอเป็นแฟนน่ะสิ แต่จู่ๆจะให้มาขอเป็นแฟนกันตรงนี้ ก็จะดูเหมือนการรับผิดชอบโดยไม่มีใจเกินไป ไม่เอาๆ สำหรับคนพิเศษอย่างพี่เวฟ เขาย่อมต้องขอเป็นแฟนแบบพิเศษๆอยู่แล้วสิ
“งั้นให้กัดคืนเอามั้ยครับ” นับตังค์ได้แต่หาทางแก้สถานการณ์ชั่วคราวไปก่อน เพราะเขายังไม่ได้วางแผนว่าจะขอคนสวยเป็นแฟนอย่างไรจะน่าประทับใจและตราตรึงที่สุด
“ได้เหรอ”
พี่เวฟเลิกคิ้ว แต่นับตังค์ที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอาจริงจึงพยักหน้ารับช้าๆ ผลสุดท้ายเขาก็ถูกอีกฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาขบกัดลำคอจนขึ้นรอยช้ำ แถมไม่ได้มีแค่รอยสองรอย รอยคิสมาร์กที่พี่เวฟทำให้เขาดูราวกับว่าเขาเพิ่งถูกรุมโทรมมายังไงยังงั้นเลย…พี่เวฟกัดแรงจัง!

“ว่าไง เพื่อนนับ เรียกพวกเราออกมาปรึกษาเรื่องอะไรเหรอคะ?”
ทวยเทพเอ่ยถาม ขณะหย่อนกระเป๋าถือแบรนด์ดังลงบนโต๊ะกาแฟตัวเล็กในคาเฟ่แห่งหนึ่ง พร้อมกับทิ้งตัวลงบนม้านั่งสีขาวกลางสวนดอกไม้ ซึ่งถูกจัดเอาไว้อย่างสดใสและเป็นส่วนตัว ดวงตาที่ถูกกรีดอายไลน์เนอร์คมกริบตวัดมองเพื่อนสนิทที่มาถึงก่อนด้วยความตื่นเต้น
เมื่อคืนหลังจากที่นับตังค์เมาน็อคไปแล้ว พี่เวฟคนสวยคนนั้นก็แบกเพื่อนนับขึ้นไปนอนที่ห้องรับแขกแล้วก็ไม่กลับลงมาอีกเลย ส่วนตัวเขาที่อยู่โต้รุ่งกับบรรดารุ่นพี่ก็ลากจูเนียร์ที่เกือบไม่ได้สติ กลับไปนอนที่บ้านของตัวเองและลืมไปเลยว่ามีเพื่อนอีกคน กว่าทวยเทพและจูเนียร์จะแหกขี้ตาตื่นก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงเข้าไปแล้ว หลังจากกินอาหารมื้อแรกของวันเสร็จ ก็เพิ่งนึกได้ว่านับตังค์นอนอยู่บ้านพี่บีไอ จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเพื่อนสนิทเพื่อตรวจสอบว่าฝ่ายนั้นยังสมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ เพื่อนนับบอกว่ากลับมาที่หอในตั้งแต่ช่วงสายๆแล้ว และกำลังสติแตกพูดไม่รู้เรื่องสักอย่าง ทวยเทพคิดแล้วคิดอีก คาดว่าต้องมีซัมติงเกิดขึ้นเมื่อคืนแน่ๆ จึงนัดหมายกันออกมาประชุมในเย็นวันนี้
“อะแฮ่ม!”
นับตังค์กระแอมให้คอโล่งเมื่อเพื่อนสนิททั้งสองมาครบองค์ประชุมแล้ว เจ้าตัวกวาดตามองสายตาวาวๆที่ฉายความสอดรู้สอดเห็นอย่างตกประหม่าเล็กน้อย ยิ้มเขินแล้วเกาแก้มช้าๆยิ่งชวนให้น่าสงสัยเข้าไปอีก วันนี้หลังจากที่เด็กหนุ่มบอกลาและขอบคุณพี่บีไอ ที่ให้ที่ซุกหัวนอนแล้ว ก็ตรงดิ่งกลับหอพักทันที เขานั่งคิดนอนคิดว่าจะเอายังไงเรื่องพี่เวฟ ก็ยังสรุปกับตัวเองไม่ได้เสียทีว่าจะขอคนสวยเป็นแฟนอย่างไร ถ้าคนสวยปฎิเสธล่ะ? ไม่มีทาง คนสวยยอมให้จูบแล้วย่อมมีใจ แต่ว่าเรื่องเมื่อคืน…โง้ยยย เขิน จริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่ตอนนี้ขอเขินไว้ก่อน เขินจนคิดอะไรไม่ออก สติสตางค์ก็ไม่เต็มเต็ง สรุปแล้วก็คือเขาควรหาคนช่วยคิด ย่อมดีกว่าคิดคนเดียว
“กูจะขอพี่เวฟเป็นแฟน!” นับตังค์ยืดอกแล้วเอ่ยอย่างมาดมั่น ท่าทางที่เหมือนจะไปออกรบของเขาทำให้เพื่อนสนิททั้งสองคนหัวเราะดังลั่นด้วยความขบขัน
“มึงเพิ่งคิดได้เหรอจ๊ะ หนูนับ!” จูเนียร์ที่หัวเราะจนน้ำตาไหลเอ่ยขึ้น เขาลุ้นจนเลิกลุ้นไปแล้วนะ คิดว่ามีอยู่ทางเดียวที่นับตังค์จะสมหวังคือรอให้พี่เวฟมาขอ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเพื่อนคนนี้กลับเพิ่งคิดได้ ชอบเขาก็ควรรีบไปขอเขาเถอะ เดี๋ยวโดนคนอื่นคาบไปแดกแล้วจะร้องไม่ออก
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหลามาซะดีๆ” ทวยเทพที่กำลังสนใจอีกเรื่องหนึ่ง เอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย หน้าอย่างนับตังค์ข่มขืนคนอื่นไม่ได้แน่นอน แต่ก็ไม่รู้นะว่าตอนเมาได้ที่จะทำอะไรลงไปได้บ้าง อ๊าย แค่คิดก็ฟินแทนเพื่อนแล้วอ่ะ
“ไม่เกิด!” นับตังค์ปฎิเสธเสียงแข็งแล้วส่ายหน้ารัว เขาไม่มีทางเล่าเรื่องพวกนั้นให้ใครฟังเด็ดขาดเลย ให้ตายก็ไม่เล่า
“แน่ใจ?” ทวยเทพใช้สายตาคมกริบจ้องตากับนับตังค์ที่นั่งตัวแข็ง
“กูแค่รู้ใจตัวเองแล้วว่าอยากได้พี่เวฟมาเป็นแฟน” เด็กหนุ่มอธิบายซึ่งก็ถูกเพื่อนใจสายส่งสายตาจิกกัดมาให้
“ช้าเนอะ”
“อยากได้ก็ไปขอพี่เวฟ มาบอกพวกกูแล้วเกิดประโยชน์อะไร” จูเนียร์ที่หมดความสนใจในเรื่องของเพื่อนสนิท ยกมือขึ้นมาพิจารณาเล็บของตัวเองที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีเขียวพลาสเทล
“จูเนียร์!” ทวยเทพที่กำลังยินดีที่เพื่อนคนหนึ่งในแก๊งนางฟ้าจะเป็นฝั่งเป็นฝา ตวัดสายตาไปเหวี่ยงใส่เจ้าคนเย็นชาไร้หัวใจที่นั่งอยู่ข้างๆ
“อีนับมันอยากให้พวกเราช่วยวางแผนขอพี่เวฟเป็นแฟน ใช่มั้ยมึง?”
 ว่าจบก็หันไปถามนับตังค์ที่รีบพยักหน้างึกๆ
“ขอปกติเลยไม่ได้เหรอ” จูเนียร์หันมาถามด้วยความประหลาดใจ
“โธ่! อีเนียร์นี่ก็ไม่รู้จักความโรแมนติกเอาซะเลย มึงออกจากวงการเกย์ไปเลยนะ เสื่อมเสียจริงๆ ออกไป๊!!!” ทวยเทพร้องกรี๊ดกร๊าดเพราะไม่ได้ดั่งใจ เพื่อนคนหนึ่งก็เย็นชาเกินไป อีกคนก็ซื่อบื้อเกินไป ถามรวมโลมาเข้ามาอีกคนก็จะได้คำว่าประหลาดเกินไป ไม่มีใครพอดีเลยสักคนเดียว จูเนียร์กรอกตามองบนก่อนจะออกไอเดียแรกที่ผุดเข้ามาในสมองน้อยๆของตัวเอง
“นัดเจอพี่เวฟแล้วก็ให้ช่อกุหลาบใหญ่ๆดีม่ะ สักหนึ่งร้อยดอกเป็นไง กุหลาบหนึ่งร้อยดอก หมายถึงฉันรักเธอเหลือเกิน ฉันขออุทิศตัวตนและจิตวิญญาณให้กับเธอ เป็นไงโรแมนติกพอมั้ย?” ประโยคสุดท้ายจูเนียร์เอ่ยพร้อมกับเหล่ตาไปมองตุ๊ดหมีควายใจสายน้อย ที่กำลังหยิบไอโฟนขึ้นมาค้นหาความโรแมนติกใน Google
“แพงไป ไม่มีตังค์” นับตังค์ทำหน้ายู่ยี่ ภาพที่ผุดขึ้นมาในสมองช่างโรแมนติกเหลือเกิน แต่เขาต้องอยู่กับความเป็นจริง เพราะเงินในกระเป๋าสตางค์ไม่เป็นใจ
“งั้นมึงก็ซื้อของขวัญที่ราคาสมเหตุสมผล แล้วก็ห่อใส่กล่องสวยๆไปให้พี่เวฟ เขียนการ์ดใส่ในกล่องไว้ด้วยว่าเป็นแฟนกันมั้ย” จูเนียร์เสนออีกครั้ง แต่นับตังค์ก็ยังไม่พอใจ
“ธรรมดาไป ไม่ใช่แนวกูเลย”
“นี่ๆ มึงมาดูนี่” ทวยเทพที่ก้มหน้าก้มตาเล่นไอโฟนเมื่อนาทีก่อน ส่งเสียงเรียกบรรดาสหายรักให้มามุงดู ‘ไอเดียขอเป็นแฟน’ ที่ชาวเน็ตหลายคนได้แชร์ลงโซเชียล มีทั้งประหลาด โรแมนติก และซึ้งกินใจ ซึ่งมีอยู่ไอเดียหนึ่งที่นับตังค์รู้สึกประทับใจมาก คนที่แชร์ไอเดียนี้ลงทวิตเตอร์คือเด็กหนุ่มชาวอเมริกันคนหนึ่งที่ขอสาวออกเดตเป็นครั้งแรก วิธีนี้เรียบง่าย ไม่สิ้นเปลือก แต่โรแมนติกแล้วก็ไม่เหมือนใคร
“เยี่ยมๆ เอาแบบนี้แหละ”
นับตังค์เอ่ยอย่างมาดมั่น ซึ่งเพื่อนสนิททั้งสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า เรื่องง่ายๆอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จเสมอไป…


TBC.



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
หนูนับผู้ไสซื่อ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด