---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)  (อ่าน 36473 ครั้ง)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2


บทที่ 32 ภาพนิมิต







ตั้งแต่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งท้องนาซีมก็นอนหลับได้ไม่สนิทมาเป็นเวลาสามราตรีแล้ว หลังจากล้มตัวลงนอนเมื่อใดเราก็มักฝันเห็นภาพเดิมซ้ำๆ จนตื่นขึ้นมากลางดึกของทุกคืน และนั่นพานทำให้คนข้างกายของนาซีมพักผ่อนน้อยไปด้วย

“เป็นอันใดนาซีม ฝันร้ายอีกแล้วหรือ”

คาริฟงัวเงียตื่นขึ้นมาถามเมื่อรู้สึกได้ว่านาซีมขยับตัว เจ้าชายน้อยจึงพลิกกายกลับไปหาคนรัก แล้วจึงกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้

“ข้าฝันเห็นเขาอีกแล้ว”

“ทาริคหรือ ฝันว่าอะไร”

“เหมือนเดิม เขานำไพร่พลมาล้อมกำแพงเมืองเอาไว้”

คาริฟมองหน้านาซีมท่ามกลางแสงจันทร์สลัวที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ตามไรผมออกให้แล้วจึงจูบที่หน้าผากเบาๆ

“ไม่เป็นไร ข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่ามันต้องนำทัพมาเอง ระหว่างนี้พวกเราก็เตรียมรับมือตามแผนที่คุยกันไว้”

“แต่ข้ากลัวว่าเขาจะมาถึงในเร็ววัน”

“มาเร็วก็จบเร็ว ข้าเองก็มิอยากให้สงครามยืดเยื้อนัก เจ้าอย่ากังวลมากเกินไป”

“...” ครั้นได้ยินคาริฟเอ่ยเช่นนั้นนาซีมก็พูดต่อไม่ได้ เพราะในค่ำคืนนี้ นอกจากเขาจะฝันเห็นทาริคที่หน้าประตูเมืองเอมาลีแล้ว นาซีมยังฝันเห็นคาริฟกำลังฟาดฟันอยู่ในสนามรบอีกด้วย แม้ท่าทีของเจ้าภูตราตรีจะดูไม่เหมือนผู้ที่กำลังปราชัย แต่รอยเลือดที่สาดกระเซ็นเปรอะบนเสื้อเกราะของคาริฟก็ทำให้นาซีมข่มตานอนต่อไม่ได้

เมื่อคาริฟเห็นคู่น้องยังทำคิ้วขมวดไม่เลิก เขาจึงจูบลงบนขมับของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเอาคำของท่านหมอฮาชิมาอ้าง

“จำมิได้หรือว่าท่านหมอสั่งอย่างไรก่อนกลับไปเมื่อกลางวัน”

“ให้พักผ่อนมากๆ” นาซีมเอ่ยคำที่หมอฮาชิบอกซ้ำอีกครั้ง

“ถูกแล้ว เจ้าต้องพักผ่อนให้มากๆ ลูกของเราจะได้โตเร็วๆ” คาริฟเอ่ยด้วยรอยยิ้มละมุนจนทำให้นาซีมต้องยิ้มตามไปด้วย

ตั้งแต่รู้ว่นาซีมตั้งครรภ์ เจ้าชายน้อยก็ยิ่งได้เห็นมุมอ่อนโยนของคู่ชีวิตมากขึ้น แม้ยามปรกติคาริฟจะอ่อนโยนกับเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่นี่คาริฟยังคอยพูดถึงเจ้าตัวเล็กบ่อยๆ ราวกับดีใจเหลือเกินที่เด็กคนนี้กำลังจะลืมตาดูโลก

ความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ที่คาริฟแสดงออกมาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นาซีมรู้สึกสบายใจได้ในช่วงเวลาเช่นนี้ แม้จะรู้สึกเคร่งเครียดและเป็นกังวลกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญเท่าใดก็ตาม

“เขาต้องโตเร็วแน่ รู้หรือไม่ว่าช่วงนี้ข้ากินอาหารเยอะขึ้นขนาดไหน”

แม้นาซีมจะรู้สึกคลื่นเหียนยามต้องขี่ม้าไปตามหอสังเกตการณ์ต่างๆ เพื่อช่วยทุกคนวางแนวทางในแผนการรบ แต่นาซีมก็ยังโชคดีที่กินอาหารได้ ท่านหมอฮาชิบอกว่าตามปรกติแล้วหากโอเมก้าท้องแปดในสิบคนจะเกิดอาการไม่อยากอาหารรวมกับอาการคลื่นเหียนเวียนหัว ทรมานมากกว่าเบต้าที่ท้องหลายเท่า

“ดีแล้ว เจ้าต้องกินให้มากๆ พักผ่อนให้มากๆ อยากกินสิ่งใดก็บอกข้า”

“เจ้าจะทำให้หรือ”

“ถ้าทำได้ข้าจะทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ข้าจะหามาให้จนได้”

“เอาใจกันเกินไปแล้ว” นาซีมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยับขึ้นจูบปลายคางของเจ้าภูตราตรี แล้วว่า “ขอบคุณนะ แต่ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากเช่นนั้นหรอก ในภาวะสงครามเช่นนี้ ทุกคนกินอย่างไร ข้าก็จะกินอย่างนั้น ไม่มีอะไรที่อยากเป็นพิเศษ”

“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าอยากกินเป็นพิเศษเลยจริงหรือ” คาริฟถาม “ข้าให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้งนะ ถ้าไม่บอกตอนนี้ ต่อไปอาจจะหาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว”

“บาคาวา [1] ” เมื่อได้ยินว่าอาจจะหาไม่ได้แล้ว คนท้องก็เผลอตอบไปโดยไม่ทันคิด ซึ่งปฏิกิริยาของเขาก็ทำให้คาริฟหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“ฮ่าๆๆ”

“เจ้าหัวเราะอันใดเล่า”

“ข้าขันคนที่บอกว่าไม่มีของที่อยากกินเป็นพิเศษน่ะ” เหมือนหยุดหัวเราะแล้วคาริฟจึงดึงนาซีมเช้ามากอดใกล้แล้วเอ่ยอย่างเอาใจ “เช่นนั้นราตรีนี้ก็หลับเสีย แล้วพรุ่งนี้ข้าจะหาบาคาวามาให้เจ้านะ”

คำหลอกล่อที่เหมือนผู้ใหญ่หลอกเด็กทำให้นาซีมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ยามนี้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากจนไม่เก็บเอาเรื่องของความฝันมาคิดอีกต่อไป ทั้งคาริฟยังหันเหความสนใจเพิ่มด้วยการเล่าเรื่องร้านขนมในเอมาลีให้นาซีมฟัง ไม่นานก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากคนในอ้อมแขน เมื่อก้มลงมองก็พบว่านาซีมจมสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว



❂ …………………………….❂



รุ่งเช้าวันต่อมา นาซีมถูกเสียงร่าเริงของอันวาปลุกให้ตื่นขึ้นตั้งแต่ขอบฟ้ายังเป็นสีชมพู เด็กหนุ่มผู้นั้นทำหน้าที่ส่งสารจากจาเร็ดว่าตอนนี้กองทัพของคนเถื่อนได้เคลื่อนออกจากมาไอร่าเรียบร้อยแล้ว และพวกมันกำลังเข้าสู่แคว้นเอมาลีในไม่ช้า

“หากพวกมันเดินทางโดยไม่หยุดพัก คาดว่าภายในวันพรุ่งนี้กองทัพของทาริคจะเดินทางมาสมทบกับพวกที่อยู่นอกกำแพงเมือง” คาริฟคาดการณ์ จากนั้นจึงถามต่อ “ว่าแต่ราชาองค์อื่นรู้เรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่ เช้านี้พวกเขามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”

“จาเร็ดให้คนไปรายงานตามที่ท่านสั่งแล้วขอรับ อีกเดี๋ยวคาดว่าจะเรียกหารือโดยพร้อมเพรียงกัน” อันวารายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ก่อนจะถามถึงเจ้าชายแห่งโซราห์ที่ยังไม่เห็นหน้า “ว่าแต่เจ้าชายเล่าขอรับ ยังไม่ตื่นนอนหรือ”

“ยัง เข้าเพิ่งหลับไปก่อนรุ่งสางได้ไม่นาน” คาริฟบอกตามจริง

“แล้วเช่นนี้ท่านจะให้เจ้าชายเข้าร่วมหารือด้วยหรือไม่ขอรับ”

อันวารู้แล้วว่านาซีมท้อง เขาจึงเข้าใจถึงอาการแพ้ท้องที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ อีกทั้งยามนี้เจ้าชายนาซีมยังวิตกกังวลเรื่องการศึกด้วย หากจะนอนไม่ได้ก็คงไม่แปลก

“ใจจริงข้าอยากให้เขาพัก แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าข้าปล่อยเขาเอาไว้ที่นี่ เขาต้องเสียใจแน่”

คาริฟรู้นิสัยนาซีมดี แม้ทุกคนจะอยากให้เจ้าชายพักจากเรื่องเคร่งเครียดอย่างไร แต่อีกฝ่ายไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ทั้งยังจะกล่าวโทษตนเองในภายหลังว่าเป็นภาระอีกด้วย ดังนั้นถ้าอยากจะปกป้องนาซีมจริงๆ แล้วล่ะก็ เขาจำต้องยอมให้เจ้าตัวร่วมสู้อย่างที่เจ้าชายควรจะได้สู้

“เช่นนั้นก็ให้เจ้าชายทำอย่างที่เจ้าชายอยากทำเถิดขอรับ เพราะอย่างไรเสียท่านคาริฟก็จะยืนเคียงข้างพระองค์อยู่แล้วมิใช่หรือ”

“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน”

อันวามองคาริฟเผยรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดได้เห็นมาหลายวันนอกจากเจ้าชายนาซีม เมื่อมองแล้วเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าความผูกพันของทั้งคู่ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก

“ตัวข้าแม้จะทำสิ่งใดไม่ได้มากนัก แต่ก็จะคอยช่วยท่านดูแลเจ้าชายอีกแรงนะขอรับ หากท่านต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้เสมอ”

“ขอบใจนะอันวา ข้าไม่มีสิ่งใดขอร้องเจ้าหรอก...” ทว่าก่อนจะเอ่ยว่าไม่มีสิ่งใดให้ช่วย คาริฟก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องที่เขาสัญญาว่าจะทำให้นาซีมในวันนี้ “จะว่าไป ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่อยากขอร้องเจ้า”

“เรื่องใดหรือขอรับ บอกมาได้เลยขอรับ” อันวาตบอกอาสา

“หากไม่รบกวนเกินไป ข้าอยากให้เจ้าช่วยหา...”

คาริฟบอกเสียงเบาราวกับกลัวว่าคนที่นอนอยู่ด้านในจะได้ยิน เมื่อเด็กหนุ่มได้ยิน เขาก็ทำตาโตก่อนจะยิ้มจนเห็นฟันขาวเป็นประกาย

“ได้สิขอรับ เรื่องเท่านี้สบายมากขอรับ”

“เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วยนะ ข้าจะเข้าไปปลุกนาซีมก่อน อีกเดี๋ยวพวกเราคงต้องไปพบกับราชาอาฟาและราชาฟารุคแล้ว”

อันวารับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะอีกครั้ง ต่อจากนั้นเขาก็ออกจากห้องรับรองของนาซีมและคาริฟไป หัวหน้าเหล่าภูตราตรีจึงเดินผ่านม่านบังตาเข้าไปส่วนในของห้องเพื่อปลุกใครบางคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

ก่อนถึงเตียงกว้างเขาแวะเปิดม่านที่หน้าต่างก่อนเป็นอันดับแรก แสงอาทิตย์ของเอมาลีวันนี้แรงนักเพราะยังไม่ทันไรก็กำจายความร้อนแผ่ซ่านลงมาเสียแล้ว

ครั้นคาริฟนั่งลงบนเตียงนุ่ม นาซีมก็ขยับตัวหันกลับมาและลืมตาขึ้น

“อันวามาหรือ” เจ้าชายเอ่ยถาม

คาริฟไม่ตอบในทันที เขาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้อีกฝ่ายก่อน จากนั้นจึงหยักหน้า “ถูกแล้ว เจ้าตื่นนานแล้วหรือ”

“ไม่นาน ข้าได้ยินเสียงเขาคุยกับเจ้าแว่วๆ ไม่นานเจ้าก็กลับเข้ามา” นาซีมบอกตามตรง “มีเรื่องสำคัญหรือ เหตุใดเช้านี้อันวาจึงมาที่นี่”



“เขามาส่งข่าวแทนจาเร็ด”



“เรื่องอะไร”

“ทัพของทาริคออกจากมาไอร่าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ยามนี้กำลังเข้าเขตแคว้นเอมาลี”

“เขาจะมาถึงเมืองหลวงคืนนี้หรือ”

“ข้าคาดว่าเป็นเช่นนั้น”

ได้ยินถึงตรงนี้นาซีมก็เงียบไป เขาลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับหัวเตียง ใบหน้างามดูไม่สู้ดีนัก คาริฟจึงต้องขยับเข้าไปประคองกอดอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะใช้นิ้วนวดเบาๆ ตรงหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นราวกับกำลังคิดหนัก

“ไม่ทำหน้ายุ่งสิ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ “อย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่เราคาดกันไว้แล้วมิใช่หรือ”

“ถูกของเจ้า แต่ข้าก็อดคิดหนักไม่ได้อยู่ดี”

“เช่นนั้นรีบพวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่แล้วไปพบราชาอาฟากับราชาฟารุคดีหรือไม่ จะได้เตรียมการรับมือตามแผนที่เราวางไว้ และหากมีข่าวใดมาอีกเราจะได้คิดอ่านต่อไป”

“เอาสิ”

เมื่อรับคำแล้วคาริฟก็อุ้มนาซีมเข้าไปในห้องน้ำ แม้เจ้าชายจะร้องโวยวายว่าไม่ต้องแต่เจ้าภูตราตรีก็มิฟังเสียง

“ไม่เห็นต้องทำถึงเพียงนี้เลย คาริฟ” นาซีมเอ่ยขึ้นเมื่อคาริฟคอยอาบน้ำและช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้

“ข้ารู้ว่าเจ้าทำเองได้ แต่ยามใดที่เจ้ามีเรื่องให้คิดกระวนกระวาย จิตใจของเจ้าจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เช่นนั้นให้ข้าช่วยน่ะดีที่สุด”

นาซีมมองหน้าคนรักแล้วได้แต่ถอนหายใจ เขาได้แต่ขอบคุณในสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้มาโดยตลอด มาตอนนี้พอถูกทักท้วงเรื่องที่ชอบเหม่อลอย นาซีมจึงพยายามดึงสติตนเองกลับมาให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะกังวลใจหรือเคร่งเครียดเพียงใด ตอนนี้ร่างกายของเขาก็มิใช่ของเขาคนเดียวอีกแล้ว ดังนั้นหากไม่อยากให้คาริฟลำบาก นาซีมต้องตั้งสติและทำจิตใจให้เข้มแข็งกว่านี้

วันข้างหน้าเขาอาจต้องพบเจออะไรอีกมาก สงครามเองก็เพิ่งเริ่ม จะมาขวัญอ่อนตอนนี้ไม่ได้ เมื่อคิดได้แล้วเจ้าชายก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขอบคุณ

“ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณอะไรกัน มานี่เถิด สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วข้าจะถักผมให้เจ้า”

“ได้สิ แต่ขอข้าผูกผ้าคลุมให้เจ้าก่อน” นาซีมเอ่ยก่อนจะหยิบผ้าคลุมสีดำประจำกายเจ้าภูตราตรีมาสวมให้

คาริฟมองน้องวุ่นวายกับการผูกปมผ้าคลุมแล้วอมยิ้ม ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ๆ บรรยากาศที่นาซีมแผ่ออกมาจากตัวเองก็ให้ความรู้สึกสบาย ไม่อึดอัดเหมือนก่อนหน้า แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในใจ ขอเพียงเวลานี้น้องไม่ทำหน้ามุ่ยเขาก็พอใจมากแล้ว

ทั้งสองช่วยกันแต่งตัว เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงพากันออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงของราชวังเอมาลี



❂ …………………………….❂



ยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยลง เป็นเวลาที่กองทัพของทาริคเดินทางมาถึงนอกกำแพงเมืองหลวงแคว้นเอมาลี ทหารของสองอาณาจักรต่างตรึงกำลังกันเอาไว้ไม่มีผู้ใดเริ่มลงมือก่อน

สถานการณ์ระหว่างกำแพงสูงว่าตึงเครียดแล้ว ในท้องพระโรงของเอมาลียิ่งทวีความตึงเครียดกว่า เพราะจากข่าวล่าสุดที่ได้รับมา กองทัพในมือทาริคนั้นมีกำลังพลเรือนแสน แต่กองกำลังของฝั่งเอมาลีมีแค่สามหมื่นนาย ถึงจะผนวกเอากำลังคนจากโฮมาที่เหลือรอดมากับราชาฟารุค กำลังพลของเหล่าภูตราตรีและหน่วยราชองครักษ์ของเจ้าชายนาซีม ทั้งหมดก็มีไม่ถึงห้าหมื่นนายเท่านั้น

ขณะที่ทุกคนกำลังช่วยกันขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับสถานการณ์เช่นนี้ อยู่ๆ ก็มีทหารนายหนึ่งตรงเข้าท้องพระโรงมาเพื่อแจ้งข่าวแก่ราชาอาฟา

“ขออภัยองค์ราชา”

“ว่ามา”

“ราชาทาริคแห่งโซราห์ส่งคนของเขาเข้ามายื่นสารถึงพระองค์ขอรับ”

“แล้วตอนนี้คนของมันอยู่ที่ใด”

“หน้าประตูเมืองทางทิศเหนือขอรับ”

“ไปพาตัวเข้ามา”

“ขอรับ”

เมื่อนายทหารผู้นั้นรับคำ ทุกคนในท้องพระโรงก็รอคอยการมาถึงของผู้ส่งสารจากฝ่ายตรงข้าม

ไม่นานนักประตูใหญ่หน้าท้องพระโรงก็เปิดอีกครั้ง คณะบุคคลที่เข้ามานั้นมีด้วยกันสามคน นาซีมมองแล้วสะดุดตากับชายที่อยู่ด้านหน้าทันที เพราะเขาเคยพบกันมาก่อนแล้วที่ซันดา

...นักบวชเชน

ส่วนสองคนด้านหลังมีซีญ่าคนสนิทของทาริค กับอีกคนที่นาซีมไม่รู้จัก

ผู้ที่ถือสารของทาริคมาคือนักบวชเชน เขาทำความเคารพราชาสองพระองค์ รวมทั้งก้มหัวให้นาซีมตามธรรมเนียมด้วย แม้ดวงตาของเขาที่จ้องนาซีมนั้นจะไม่น่าไว้ใจสักนิดก็ตาม

“ราชาทาริคมอบหมายให้ข้าเป็นตัวแทนในการส่งสารมาเจรจากับองค์ราชาอาฟา หวังว่าท่านจะนำไปพิจารณาขอรับ” เมื่อนักบวชอสรพิษนั่นพูดจบเขาก็นำสารมามอบให้แก่ราชาอาฟาด้วยตัวเอง “ราชาของเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าราชาอาฟาจะมีความคิดเห็นที่ตรงกัน เพื่อจะได้ไม่สูญเลือดเนื้อชาวซาร์เรียไปมากกว่านี้”

เมื่อทำหน้าที่ส่งสารให้ถึงมือราชาแห่งเอมาลีเรียบร้อยแล้ว คณะทูตของทาริคก็เดินทางกลับทันทีโดยไม่ดูปฏิกิริยาของราชาอาฟาก่อน

เมื่อคนของทาริคออกไปแล้ว ราชาอาฟาจึงให้คนสนิทเปิดอ่านสารนั้นให้ทุกคนในท้องพระโรงได้ยินพร้อมกัน

ในนั้นมีใจความโดยสรุปคือ อยากให้แคว้นเอมาลียอมเปิดประตูเมืองแก่โซราห์ในการนำของทาริคโดยดี และส่งตัวเจ้าชายนาซีมกับราชาฟารุคไปให้ หากทำเช่นนี้แล้วทาริคก็จะไม่ใช้กำลังกับแคว้นเอมาลี ทั้งยังจะยกให้เป็นพันธมิตรอันดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ยินยอม เอมาลีก็จะพบจุดจบเช่นเดียวกับโฮมา ซึ่งทาริคก็ให้เวลาราชาอาฟาในการตัดสินใจเจ็ดราตรี ระหว่างนี้จะไม่มีการโจมตีใดๆ เป็นอันขาด

แต่ถ้าราชาอาฟาปฏิเสธเงื่อนไขที่ทางนั้นหยิบยื่นให้ ทาริคก็จะนำกองทัพเกรียงไกรของตนบุกเข้าโจมตีเอมาลีทันที และจะไม่ยอมรามือจนกว่าเอมาลีจะพินาศไม่ต่างจากโฮมา

หลังจากอ่านสารแล้วราชาฟารุคก็กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ส่วนราชาอาฟาที่ถูกหยิบยื่นไมตรีให้พร้อมๆ กับการข่มขู่ก็หน้าตึงอย่างไม่พอใจเช่นกัน

มีเพียงนาซีมที่นิ่งเงียบและแสดงสีหน้าเรียบเฉยอยู่จนกระทั่งฟารุคเอ่ยถามความคิดของราชาอาฟา

“ท่านคิดจะทำอย่างไรอาฟา”

อาฟารู้ว่าหากเขายอม ประชาชนก็จะรอดพ้นจากภาวะสงครามที่ดูอย่างไรก็มีโอกาสชนะเพียงน้อยนิด แต่ถ้าเขายอมสิโรราบแก่ทาริค จะมีผู้ใดรับประกันว่าเอมาลีจะไม่ถูกกลืนกินในภายหลัง การยินยอมทำตามเงื่อนไขที่มาพร้อมคำขู่เกือบทุกประโยค จะต่างอะไรกับการลุกออกจากบัลลังก์ให้ทาริคนั่งเมืองแทน

“เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรเล่าฟารุค”

“ข้ามิอาจล่วงรู้ความคิดท่านได้ แต่ถ้าท่านเลือกที่จะเป็นพวกเดียวกับมัน ข้าก็คงต้องแลกชีวิตกับพระองค์ที่นี่!” ฟารุคเอ่ยพร้อมเอามือแตะที่ดาบ และนั่นส่งผลให้องครักษ์ของอาฟาพากับชักดาบออกมาปกป้องราชาของตนเองกันหมด

มีเพียงคาริฟ นาซีมและคนของพวกเขาเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ เมื่ออาฟาเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ กับความเลือดร้อนของฟารุคแล้วว่า

“หึ” อาฟาแค่นหัวเราะให้ราชาที่มีอายุคราวลูก ก่อนจะเอนหลังพิงบัลลังก์ด้วยท่าทีสบายๆ “วางดาบเจ้าลงเถิดฟารุค หากต้องการแลกชีวิตกับคนสักคนแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นยอมอยู่ในสนามรบนอกกำแพงแคว้นเอมาลี มิใช่ที่นี่”

ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ราชาฟารุคก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บดาบเข้าฝักและเอ่ยเก้อๆ

“เช่นนั้นก็บอกกันดีๆ แต่แรกสิราชาเฒ่า...”

“เจ้าก็หัดอ่านสถานการณ์เสียบ้างเจ้าเด็กอ่อนหัด” อาฟาดุฟารุคต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็ค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมา “เวลานี้มิใช่เวลาที่เราจะมาระแวงกันเอง แต่เราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรในอีกเจ็ดราตรีข้างหน้า เพราะถ้าข้าตอบกลับไปว่าไม่ยินยอม ฝ่ายนั้นคงเดินหน้าบุกเอมาลีเต็มกำลัง และกำลังของพวกเรารวมกันก็น้อยกว่าฝั่งของมันมาก หากมิมีแผนการที่ดีพอ ข้ากลัวว่าเราจะต้านมันได้ไม่นาน จากที่ข้ารู้ ทาริคไม่เหมือนผู้อื่น มันไม่รู้จักกลัวตาย ทั้งยังมาเล่ห์นัก เราคงต้องตรองให้ดีว่าจะรับมือกับมันอย่างไร พวกท่านมีความคิดเห็นดีๆ หรือไม่เจ้าชายนาซีม คาริฟ”

หลังจากที่เห็นนาซีมและคาริฟเงียบอยู่นาน อาฟาจึงลองถามดูเผื่อว่าเจ้าชายแห่งโซราห์และหัวหน้าภูตราตรีจะมีแผนการในใจ

“ก่อนอื่น ข้าคิดว่าพวกเราต้องหาทางเพิ่มกำลังพลเสียก่อน”

“หมายความว่าอย่างไร ท่านอยากให้ข้าเกณฑ์ประชาชนมาเป็นทหารเพิ่มหรือ” อาฟาถาม

“ข้ารู้ว่าประชาชนของท่านส่วนใหญ่มิได้จับดาบสู้รบ แต่จับพู่กัน ขับร้องและเชี่ยวชาญงานศิลป์แขนงต่างๆ มากกว่า ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้เราควรใช้กำลังของคนหนุ่มให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็คัดมาร่วมกับกองกำลังระวังภัยประจำเมืองก็ยังดี เราจะได้แบ่งเอาทหารที่ถูกฝึกมาออกไปสู้ที่สนามรบได้มากกว่าเดิม” คาริฟแนะนำพร้อมกับให้เหตุผล

“ข้อนี้ข้าเองก็เห็นด้วยกับท่านคาริฟ” ฟารุคสนับสนุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ราชาอาฟาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียในใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วว่า

“เช่นนั้นก็คงต้องออกคำสั่งให้เกณฑ์กำลังพลมาร่วมรบ”

เมื่อตัดสินใจแล้วเขาก็หันไปสั่งความกับแม่ทัพของตนเพื่อให้จัดการในเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด พร้อมกับสั่งให้ช่วยกันจัดหาอาวุธเพิ่มเติมอีกเท่าตัว

กระทั่งราชาอาฟาจัดการเรื่องเพิ่มกำลังพลเรียบร้อย คาริฟที่รอโอกาสอยู่ก็เสนอขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง

“ข้ามีอีกเรื่องที่อยากให้พวกท่านพิจารณา”

“ว่ามาเถิดคาริฟ”

“นอกจากจะเพิ่มกำลังพลของฝ่ายเราแล้ว พวกเราต้องหาวิธีตัดกำลังของทาริคด้วย”

“แล้วท่านมีข้อเสนอหรือไม่”

“จากสายข่าวของเรายามนี้ ทาริคยึดมาไอร่าเป็นฐานที่มั่น หากเพลี่ยงพล้ำก็จะถอยทัพกลับไปตั้งหลักที่นั่นได้ อีกอย่างข้าคิดว่ามาไอร่าน่าจะเหมาะสำหรับเก็บเสบียงที่ส่งมาจากโฮมาเพื่อสนับสนุนกองทัพ ดังนั้นข้าคิดว่าเราควรเข้าไปจัดการที่นั่งเพื่อตัดกำลังของเขา”

“ด้วยวิธีใดเล่า”

“วิธีซุ่มโจมตีอย่างกองโจร”

“กองโจรหรือ”

“ถูกแล้ว ข้าและคนของข้าจะรับอาสาทำงานนี้เอง”

เนื่องจากวิธีการโจมตีอย่างกองโจรนั้นเป็นวิธีที่คาริฟถนัด ซ้ำยังใช้จำนวนคนน้อย และถ้าสำเร็จจะเกิดผลยิ่งใหญ่ เขาจึงเป็นฝ่ายรับอาสา

ทว่าเมื่อนาซีมได้ฟัง เจ้าชายกลับไม่เห็นด้วยนัก เพราะวิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงเกินไป หากได้ชื่อว่าที่แห่งนั้นเป็นจุดสำหรับเก็บเสบียงแล้ว ทาริคย่อมมีวิธีเก็บรักษาและคุ้มครองอย่างดีและแน่นหนามากเป็นแน่ เจ้าชายจึงพยายามคิดหาวิธีอื่นมาหักล้าง ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ภาพในนิมิตที่เขาฝันถึงเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในสมอง

มันคือภาพคาริฟกำลังโรมรันกับศัตรู

ทว่ามีรายละเอียดบางอย่างที่เจ้าชายเพิ่งนึกขึ้นได้ ซ้ำยังเป็นรายละเอียดที่สำคัญอีกด้วย...

มาถึงตรงนี้ นาซีมก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างส่องสว่างในความมืดมิด เขาไม่แน่ใจว่ามันคือพลังพิเศษหรือสิ่งที่นึกคิดไปเอง ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจของนาซีมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เจ้าชายจึงเอื้อนเอ่ยออกมาท่ามกลางวงสนทนาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด

“ไม่ใช่ที่มาไอร่า” นาซีมว่า คาริฟจึงหยุดฟังก่อนเอ่ยถาม

“หมายความว่าอย่างไรนาซีม ไม่ใช่มาไอร่าหรือ”

“ไม่ใช่” นาซีมตอบ ทว่าดวงตากลับไม่มองสบใครทั้งนั้น หากมันกลับทอดมองออกไปไกลราวกับเจ้าตัวไม่ได้กำลังพูดคุยอยู่กับคาริฟหรือใครในท้องพระโรง

อีกทั้งดวงตาคู่งามที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนก็เปลี่ยนสีราวกับไพลินงดงาม!

เรื่องประหลาดนี้ทำให้ทุกคนไม่อาจปริปากพูดแทรก ทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ที่แผ่ออกมาจากนาซีม

คาริฟย่อตัวลงนั่งข้างคนรักพร้อมกับจับมือเขาเอาไว้ “นาซีม...เจ้ากำลังจะพูดอันใด บอกข้าให้แจ้งแก่ใจได้หรือไม่”

ได้ยินคำถามนี้ นาซีมก็ละสายตาจากอะไรบางอย่างกลางอากาศ จากนั้นจึงใช้ดวงตาสีไพลินหันมาสบตาคาริฟแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับคนไม่รู้จักกันมาก่อน

“จงนำเหล่าภูตราตรีไปที่ซันดาเถิด หากไปที่แห่งนั้นท่านจักประสบกับชัยชนะอย่างแน่นอน...”

ครั้นพูดจบประโยค นาซีมก็หลับตาลง จากนั้นหมดสติลงไปทันที!





❂ …………………………….❂





[1] ขนมที่ทำจากแป้งฟิลโล ถั่วต่างๆ สลับกันเป็นชั้นแล้วราดด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม







ตอนนี้ก็จะเครียดหน่อยๆ

แต่ก็โค้งสุดท้ายแล้วค่ะ

ฝากติดตามด้วยน้า

ปล.อยากกินขนมจังเลย 5555

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
นี่สินะ ความสามารถของนาซีม มาถูกเวลามากเลยค่ะ
หวังว่าชัยชนะจะเกิดในเร็ววัน และทำลายคนชั่วให้หมดสิ้นเลย
ไม่นิยมความรุนแรง แต่อย่าเก็บไว้ เพราะอาจจะแว้งกัดทีหลังได้

เอ็นดูนาซีมมากเลย เตรียมตัวเป็นท่านแม่แล้ว และคาริฟก็ดีใจมาก
ออกอาการมากค่ะ ดูออก ครอบครัวที่อบอุ่นและสุขสมรอคอยอยู่นะ


ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอให้ชนะทาริคนะ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2


บทที่ 33 เทพีแห่งชัยชนะ





ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมานาซีมพบว่าตนเองอยู่บนเตียงนอนในห้องรับรองเรียบร้อยแล้ว ทีแรกเขาจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าการประชุมหารือกันตลอดทั้งวันนั้นเป็นความจริงหรือแค่ความฝัน กระทั่งได้ยินเสียงคาริฟพูดคุยกับใครต่อใครนอกฉากบังตา นาซีมจึงได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง

“ข้าไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังของผู้ทำนายจริงหรือไม่ เพราะตอนที่ราชินีอาลียาแสดงพลัง ข้ามิได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ฟังจากที่เล่าคิดว่าเป็นไปได้หลายส่วน”

“แล้วถ้าหากนาซีมมีพลังการทำนายจริงๆ ท่านหมอคิดว่าเหตุใดเขาถึงเพิ่งแสดงพลังเอาตอนนี้”

“สิ่งเดียวที่ข้าคิดได้คือ อาจจะเป็นเพราะเจ้าชายตั้งครรภ์ และบุตรของท่านกับเจ้าก็ได้รับการถ่ายทอดความสามารถนี้เช่นกัน เขาจึงช่วยปลุกพลังในตัวเจ้าชายให้ตื่นขึ้นด้วย” หลังจากได้ฟังข้อสันนิษฐานของท่านหมอฮาชิ คาริฟก็เงียบไปนาน กระทั่งเสียงของฟามีน องครักษ์ผู้ภักดีของนาซีมเอ่ยถาม บทสนทนาจึงดำเนินต่ออีกครั้ง

“แล้วเช่นนี้เจ้าชายจะทรงเป็นอันตรายหรือไม่ขอรับท่านหมอ”

“ข้าคิดว่าพลังนี้มิได้กัดกินพลังชีวิตของผู้ทำนาย แต่ข้าเป็นห่วงตรงที่ หากเขาเกิดแสดงพลังขึ้นมายามอยู่ลำพัง ช่วงที่หมดสติไม่รู้สึกตัวหลังจากนั้นต่างหากที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ ทางที่ดีควรมีคนอยู่กับเจ้าชายนาซีมตลอดเวลา ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ขึ้น”

“ข้าจะรับอาสาเองขอรับท่านพ่อ” อันวารับอาสา

“ข้าก็จะอยู่ช่วยอีกแรงขอรับ เพราะนี่เป็นหน้าที่ข้าโดยตรง” ฟามีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่คนที่เครียดที่สุดเห็นจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากคาริฟ

“ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้านะ” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความกังวลเอ่ย “แต่ข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี”

“แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็พาเจ้าชายไปซันดาด้วยไม่ได้นะคาริฟ การไปครานี้เป็นการไปอย่างลับๆ แผนของเราคือการบุกโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว หากเจ้าพาเจ้าชายไปด้วย ข้าเกรงว่านอกจากจะเสี่ยงเกินไปสำหรับเจ้าชายนาซีมแล้ว ตัวเจ้าก็จะห่วงหน้าพะวงหลังด้วย” จาเร็ดเอ่ยเหตุผลที่คาริฟเองก็รู้ แต่พอได้ยินคนพูดซ้ำเขาก็อดหน้าตึงไม่ได้

“คาริฟ ที่จาเร็ดพูดนั้นมีเหตุผล อยู่ที่นี่ใกล้หมอและปลอดภัยกว่า อย่างน้อยข้าก็สามารถมาดูแลเจ้าชายนาซีมได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ข้าอยากให้ท่านคิดให้ดี” ฮาชิสนับสนุนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ท่านหมอทราบดีว่าเวลานี้ใจของบุรุษชุดดำวุ่นวายสับสนแค่ไหน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือทำให้คาริฟวางใจ อย่างน้อยระหว่างที่เขาเดินทางไปทำภารกิจสำคัญจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังจนไม่มีสมาธิ

“ข้าเข้าใจที่ทุกคนพูดดี ขอบคุณมากที่อาสาดูแลนาซีมให้ ข้ารู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาควรอยู่ในเอมาลีจึงจะปลอดภัย หากใจข้าก็อดห่วงเขาไม่ได้ แต่เอาเถอะ” คาริฟถอนหายใจ แล้วจึงบอก “อย่างไรข้าฝากนาซีมกับพวกเจ้าด้วย ช่วยดูแลเขากับลูกแทนข้าที”

“เข้าใจแล้วขอรับ พวกเราจะดูแลเจ้าชายให้ดีที่สุด ท่านคาริฟไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” อันวาที่ตอบแทนทุกคน

ครั้นตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงพากันกลับออกไป ทิ้งไว้แต่ผู้นำภูตราตรีที่บัดนี้มีเรื่องให้กังวลใจไม่น้อยไปกว่าภารกิจที่ต้องทำ

คาริฟนั่งอยู่หลังฉากบังตาพักใหญ่ กระทั่งตัดใจได้ เขาจึงเดินกลับมาส่วนในของห้องและพบกับคนรักที่นั่งพิงหัวเตียงรออยู่ก่อนแล้ว

“นาซีม...ตื่นนานแล้วหรือ”

“อืม” นาซีมตอบเบาๆ แต่ท่าทางที่แสดงออกก็ชี้ว่าอีกฝ่ายได้ยินทั้งหมดที่พวกคาริฟหารือกันเมื่อครู่ ภูตราตรีจึงได้แต่ถอนหายใจและเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ

“เจ้าทำหน้ามุ่ยอีกแล้ว”

“สีหน้าของเจ้าก็มิได้ดูดีเลยคาริฟ”

“ข้าเป็นห่วงเจ้า” คาริฟบอกตามตรง

“ข้าเองก็เหมือนกัน” นาซีมว่า และนั่นทำให้คาริฟขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงเต็มตัวเพื่อรวบน้องมากอดไว้

“ข้ามิเคยรู้สึกเช่นนี้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ข้าไม่อยากออกไปทำภารกิจ แต่ข้ารู้ว่ามันจะเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งสงครามไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ข้าต้องทำทุกทางให้ซาร์เรียกลับมาสงบสุขอีกครั้ง เพื่อเจ้าและลูกของเรา...นาซีม”

“เดิมทีข้าคิดว่าตัวเองจะได้สู้เคียงข้างกับเจ้า แต่เพราะข้ากำลังตั้งครรภ์ลูกของเรา ข้าจึงรู้มีข้อจำกัดที่ไม่อาจทำได้ ข้าเข้าใจทุกอย่างดี แต่ข้าเองก็เหมือนเจ้าที่ไม่อยากแยกจาก แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่นานก็ตาม เพราะข้ารู้ว่าการไปของเจ้าในคราวนี้เสี่ยงอันตรายนัก”

“นาซีม...”

นาซีมรู้ดี ถึงแม้เขาจะอยากมีส่วนร่วมในสนามรบเท่าใด เขาก็คงช่วยได้เท่านี้ เพราะตนมิได้มีแค่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ยังมีลูกน้อยที่อยู่ในท้อง ลูกที่รอคอยเพื่อจะออกมาดูโลกกว้าง กระนั้นนาซีมก็รู้สึกเศร้าใจที่ต้องปล่อยให้คาริฟออกไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว ซ้ำอีกฝ่ายยังต้องคอยห่วงตนกับลูกด้วย

“จงกลับมาอย่างปลอดภัยนะคาริฟ ข้าจะคอย” นาซีมเงยหน้าพูดกับคาริฟด้วยน้ำเสียงเว้าวอน คาริฟจึงตอบรับด้วยการบรรจงจูบที่หน้าผากเบาๆ

“ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน ข้าสัญญา”

พวกเขานอนกอดกันเงียบๆ ต่างรู้ดีถึงหน้าที่ที่ต้องกระทำ ทว่าลึกๆ ยังเป็นห่วงคู่ชีวิตของตนอย่างสุดหัวใจ จนเมื่อผ่านไปพักหนึ่ง นาซีมจึงเอ่ยถามถึงแผนการที่คาริฟวางไว้ระหว่างที่เขาสลบไสลไม่ได้สติ

“ข้าจะนำกำลังคนไปด้วยกันสองพันและซุ่มโจมตีพวกมันในเวลากลางคืน โดยจัดการป้อมแต่ละป้อมในเมืองหลวงก่อน หากทะลวงป้อมปราการและจัดการแม่ทัพนายกองคนสำคัญได้ พวกทหารชั้นผู้น้อยก็มิใช่เรื่องยากแล้ว”

“จะเดินทางเมื่อใด”

“เร็วที่สุด คาดว่าในราตรีของพรุ่งนี้ ช่วงเช้าราชาอาฟาจะเตรียมอาวุธและพาหนะให้เราก่อน ส่วนข้าต้องทำความเข้าใจกับคนของข้าอีกหลายเรื่อง”

“เจ้ามิได้พาภูตราตรีไปทั้งหมดหรือ”

“ไม่ทั้งหมด ข้าทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งพันเพราะหากข้าโจมตีซันดาสำเร็จ เราก็จะย้อนกลับมาบุกที่มาไอร่าทันทีมิให้ทาริคได้ตั้งตัว และจาเร็ดจะนำภูตราตรีที่เหลือไปคอยอยู่ที่มาไอร่าเมื่อข้าแจ้งข่าวมาว่าป้อมแคว้นซันดาแตกแล้ว”

“แต่ข้าได้ยินมาว่ากำลังเสริมของทาริคที่ซันดามีเกือบสองหมื่น เจ้านำคนของเราไปน้อยกว่าถึงสิบเท่า ไม่คิดว่าประมาทเกินไปหรือ”

“อย่างที่บอก การไปครานี้ข้าจะซุ่มอย่างกองโจร ดังนั้นเราจะมิใช้คนมาก แต่เน้นไปที่การจู่โจมคนสำคัญแทน หากแม่ทัพตกตายไปแล้ว พวกลูกน้องย่อมแตกฮือไม่เป็นกระบวน คราวนี้เราก็จัดการได้ไม่ยากแล้ว”

นาซีมฟังที่คาริฟพูดดูเหมือนง่าย แต่การจะเข้าถึงแม่ทัพผู้สั่งการในซันดามิใช่เรื่องง่ายเลย ไหนจะจำนวนคนที่มากกว่าหลายเท่า มันทำให้นาซีมเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก

“หากเจ้าว่าเช่น ก็จงระวังตัวให้มากเข้าไว้” นาซีมกำชับอีกคำ เพราะเขาไม่อยากให้คาริฟพลาดพลั้งจนเกิดเรื่องร้ายขึ้น

คาริฟก้มมองคนที่ย้ำแล้วย้ำอีก ก่อนยิ้มออกมาบางๆ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่ แม้เรื่องของนาซีมจะทำให้เขากระวนกระวาย แต่ถ้าเป็นการสู้รบตบมือแล้วล่ะก็ คาริฟไม่กังวลแม้แต่นิดเดียว

“เจ้าเป็นคนบอกเองมิใช่หรือ หากไปที่ซันดาแล้วข้าจะประสบชัยชนะ”

“ข้า...” นาซีมจำได้คร่าวๆ ว่าตนเองพูดออกไปเช่นนั้น แต่เขาลืมไปแล้วว่าเหตุใดจึงควบคุมตนเองไม่ได้ บางทีนี่อาจเป็นพลังในการทำนายจริงๆ “ใช่ ข้าเป็นผู้พูด”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่กลัวสิ่งใดอีกแล้ว เพราะนอกจากฝีมือของข้ากับเหล่าภูตราตรีทั้งสองพันคน ข้ายังมีเทพีแห่งชัยชนะอยู่เคียงข้างด้วย”

“เทพีที่ไหนกัน” นาซีมเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้วน้อยๆ เพราะลืมคิดให้ดีก่อนว่าคาริฟหมายถึงใคร นั่นทำให้บุรุษชุดดำยิ้มขัน

“เจ้าหวงหรือที่ข้ามีเทพีแห่งชัยชนะอยู่เคียงข้าง”

“แล้วที่เทพีที่ว่าอยู่ใดเล่า”

“ก็อยู่ตรงหน้าข้านี่อย่างไรเล่า” คาริฟใช้นิ้วชี้เคาะจมูกนาซีมเบาๆ

“อ่า...” นาซีมถึงกับพูดไม่ออก...เขามองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกันนะ

“ถึงกับพูดไม่ออกเชียวหรือ”

“ข้าลืมคิด” นาซีมบอก จากนั้นจึงเอ่ยถึงความกังวลใจอีกเรื่องที่มี “แต่เจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าบอกจะเป็นจริงหรือ เรื่องซันดาน่ะ”

“แล้วเจ้าแน่ใจหรือไม่เล่า”

“ข้า...”

“แม้นเจ้าไม่แน่ใจหรือ แต่ข้ามั่นใจว่าคำทำนายของเจ้าจะเป็นเรื่องจริงนะ ข้าคิดว่าศึกแรกนี้พวกซันดาจะต้องพบกับความปราชัยอย่างแน่นอน”

“เหตุใดจึงเชื่อเพียงนั้น”

“เพราะข้าเชื่อในตัวเจ้า ผู้ทำนายตัวน้อยของข้า” คาริฟเอ่ยอย่างหนักแน่นขณะเดียวกันก็อ่อนหวานด้วย

นาซีมมองเจ้าของดวงตาสีมรกตอย่างรักใคร่ เขาคิดกับตนเองว่า...หากคาริฟเชื่อในตัวเขา เช่นนั้นเขาก็จะเชื่อในตัวเอง และภาวนาให้เจ้าภูตราตรีพาชัยชนะกลับมา









คาริฟออกเดินทางในวันถัดมาหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าโดยมีนาซีมยืนส่งที่กำแพงเมืองทางทิศตะวันตก เขาจูบลาคนรักก่อนพากำลังพลเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงของเอมาลีอย่างเงียบเชียบ พาอาชาตะบึงห้อไปด้านหน้าโดยไม่หันหลังกลับไปมอง

หลังจากทำความเข้าใจกับนาซีมเรียบร้อยแล้ว คาริฟก็ทำใจแข็งและคิดถึงแต่ภารกิจที่ต้องทำเท่านั้น

เมื่อออกไปยังทะเลทรายเวิ้งว้างแล้ว ก่อนอื่นเขาต้องพาทุกคนหลบจากสายตาทัพของทาริคให้พ้นเสียก่อน จากนั้นจึงพามุ่งหน้าตามกันไปยังชายขอบเมืองซันดาที่นั่นมีปราการธรรมชาติเป็นเนินทรายโบราณที่สามารถใช้เป็นจุดเร้นสายตาจากป้อมปราการซันดาได้ เมื่อคราวที่บุกมาช่วยนาซีมคาริฟก็ใช้ที่นี่ในการซ่อนขุมกำลังของตนเอง

กว่าจะมาถึงก็เป็นช่วงบ่ายคล้อยเจียนค่ำ แต่พวกเขามิได้ทำการโจมตีในทันที หากใช้เวลายามเย็นในการสร้างกระโจมล่องหนขึ้นหลังเนินทรายแทน

กระโจมล่องหนนี้ทำจากผ้าดิบย้อมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งเป็นสีเดียวกับทะเลยทราย เมื่อนำมากางปักแล้วมองมาจากที่ไกลๆ จะสามารถพรางตาได้เป็นอย่างดี ผนวกกับเวลากลางวันเป็นเวลาที่เวรยามตามป้อมปราการน้อยอยู่แล้ว เนื่องจากทหารทั่วไปทนต่อความร้อนไม่ไหว

ครั้นกางกระโจมเสร็จคาริฟก็สั่งให้ทุกคนเข้าไปพักผ่อนเพื่อเติมแรงจากการเดินทางไกล จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนสี หัวหน้ากองทัพภูตราตรีจึงส่งคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดดำรัดกุมออกไปดูลาดเลาและแฝงเข้าไปแอบซ่อนหลังกำแพงเมืองซันดา

แม้เมืองหลวงของซันดาจะใหญ่โตพอๆ กับเอมาลี แต่จำนวนประชาชนในเมืองก็มีไม่มากนัก เพราะซันดามิใช่แคว้นอุดมสมบูรณ์ ซ้ำยังมีการขูดรีดและอิทธิพลจากราชาองค์ก่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงตอนนี้จะผลัดการปกครองเป็นยุคของชีคทาริค ก็ยังมีกลุ่มที่ได้รับการเอื้อผลประโยชน์หากินกับประชาชนอยู่ดี ดังนั้นซันดาจึงถือได้ว่าเป็นแคว้นใหญ่แต่เสื่อมโทรมอย่างหนัก กำลังทหารที่เฝ้าปกปักเมืองก็มีน้อย ส่วนใหญ่ถูกเกณฑ์มาจากแรงงานทาสที่ไม่เต็มใจ เป็นกำลังคนที่ทาริคสร้างขึ้นเพื่อเสริมทัพให้ตนเองเท่านั้น จากรายงานของผู้ที่แฝงตัวอยู่ในซันดาประมาณการไว้ว่ามีราวสองหมื่นนาย

และเป็นสองหมื่นที่ทาริคจะเรียกไปสมทบที่หน้ากำแพงแคว้นเอมาลีเมื่อไหร่ก็ได้ หากคาริฟจัดการผู้ควบคุมดูแลกองกำลังในซันดาลงเสีย พวกเขาก็จะเข้าคุมไพร่พลที่นี่ได้ทันที

จุดที่ต้องควบคุมไว้ให้ได้คือป้อมปราการเจ็ดจุดรอบเมือง และที่สำคัญที่สุดคือพระราชวังเดิมของราชาองค์ก่อน เพราะที่นั่นมีผู้ดูแลในการแต่งตั้งของคาริฟอยู่

กำลังพลที่คาริฟแบ่งออกไปจะเข้าแทรกซึมอยู่ตามป้อมปราการทั้งเจ็ด แต่ทุกคนจะไม่ทำอันใดจนกว่าจะได้สัญญาณจากคาริฟในอีกราตรีถัดมา ส่วนด้านของหัวหน้าภูตราตรีจะเป็นผู้นำกำลังที่เหลือบุกเข้าไปยังเขตพระราชวังเดิมและจัดการกับผู้ดูแลแคว้น

การโจมตีทั้งหมดจะเกิดขึ้นตามลำดับ โดยพวกเขาวางแผนให้เริ่มที่โจมตีและยืดป้อมปราการพร้อมกัน ต่อจากนั้นคาริฟจึงลงมือเผด็จศึกผู้ดูแลกับทหารอารักขาด้านใน เพราะเมื่อสามารถยึดป้อมได้แล้ว ผู้ดูแลแคว้นก็ไม่สามารถเรียกกำลังเสริมมาปกป้องตนเองได้อีก

นอกจากสองกลุ่มนี้คาริฟยังแบ่งทัพภูตราตรีเป็นอีกส่วนที่สาม ส่วนนี้จะมีจำนวนคนไม่มาก แต่เป็นส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาต้องทำหน้าที่จุดไฟและกระจายข่าวปลอมออกไปให้ทั่วเมืองหลวงแคว้นซันดา

...ข่าวที่ว่าคือข่าวการตายของบุรุษไร้พ่าย และการปลดแอกเพื่อเอกราชที่แท้จริงของซันดา

หากทหารที่ชื่นชมและนับถือในตัวทาริคได้ยินก็จะใจเสียและตื่นตระหนก ส่วนใครที่รอคอยเวลานี้ก็จะต่อต้านกองทัพและไม่เกรงกลัวอิทธิพลของชีคทาริคอีกต่อไป

การโจมตีในแบบของคาริฟจึงมิใช่การซุ่มโจมตีเช่นกองโจรอย่างเดียว แต่ยังมีการโจมตีจากภายในและทำลายขวัญกำลังใจของกำลังพลด้วย

แผนการทุกอย่างถูกซักซ้อมและแจกจ่ายหน้าที่อย่างรัดกุม เหล่าภูตราตรีกว่าสองพันชีวิตทบทวนสิ่งที่ตนเองต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งความมืดโรยตัวรอบกาย ราตรีที่สองที่ทุกคนรอคอยมาถึง

ศึกครานี้ถ้าพลาดพลั้งพวกเขาคงไม่มีชีวิตรอดกลับไป เพราะความต่างระหว่างจำนวนคนสองฝ่ายมีมาก ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย หากผู้ที่ทำให้กองกำลังภูตราตรีละทิ้งความกลัวและฮึกเหิมได้ ก็คือบุรุษในชุดดำที่ก้าวนำหน้าพวกเขาอย่างเงียบเชียบโดยไร้ซึ่งความกริ่งเกรงใดๆ

บุรุษผู้มีเทพีแห่งชัยชนะอวยพรให้





---------------------------------------------------





มาต่อแล้วววววว

จริงๆ สารภาพว่าเขียนการสู้รบหรือสงครามไม่เก่งเท่าไหร่

ก็จะพยายามพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามและส่งกำลังใจให้นะคะ

ตอนนี้เหลือไม่เยอะก็จะถึงบทสรุปแล้ว

ฝนกติดตามต่อไปด้วยนะคะ



ละอองฝน.


ออฟไลน์ w.pond

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2


บทที่ 34 เอาคืน









ตั้งแต่คาริฟจากไป นาซีมก็ไม่อาจนอนหลับได้สนิทสักคืนเดียว ทุกราตรีเขาจะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างหน้าต่างเพื่อทอดมองออกไปทางประตูเมืองฝั่งตะวันตกและรอคอยให้เหล่าอาชาของบุรุษชุดดำกลับมา แม้จะรู้ดีว่าเวลายังผ่านไปไม่ถึงสามราตรีเท่านั้น

จนรุ่งสางของวันที่สี่มาเยือน

“เจ้าชาย!”

เสียงของเด็กหนุ่มผู้ร่างเริงดูตื่นตกใจเมื่อเห็นสภาพอันไม่สู้ดีของเจ้าชาย เขารีบเข้ามาประคองนาซีมจากเก้าอี้แล้วพาไปนอนดีๆ บนเตียง

“ท่านจะมานั่งรอท่านคาริฟเช่นนี้ทุกคืนมิได้นะขอรับ กลางวันท่านก็ออกไปขี่ม้าลาดตระเวนกับข้าและจาเร็ดที่ป้อมปราการ หากไม่พักผ่อนให้เพียงพออีกไม่นานท่านจะป่วยนะขอรับ”

“ข้ารู้ แต่ใจมันพะวงจนข่มตาหลับไม่ได้”

“ไม่หลับก็ต้องฝืนนอนให้ได้ขอรับ ราตรีนี้ข้ากับฟามีนจะเข้ามานอนข้างเตียงท่าน ไม่ยอมให้ท่านออกไปนั่งตรงนั้นอีกแล้ว” ตามปรกติอันวาและฟามีนจะนอนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฉากบังตาเพื่อให้เจ้าชายมีความเป็นส่วนตัว

“แล้วนี่ฟามีนไปไหน”

“ฟามีนไปหาฮาบัสขอรับ อีกเดี๋ยวคงนำอาหารเช้ามาให้ท่านด้วย”

“อย่างนั้นหรือ” นาซีมพยักหน้ารับ แล้วจึงถามต่อ “ว่าแต่มีข่าวจากซันดาบ้างหรือไม่”

“ยังไม่มีขอรับ”

ครั้นได้ยินคำตอบ นาซีมก็มีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ถามเรื่องใดมากความและลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนที่เสร็จเรียบร้อยแล้วฟามีนก็นำอาหารมาให้พอดี

นาซีมจัดการมื้อเช้าเงียบๆ พร้อมอันวาและองครักษ์คนสนิท ถึงจะไม่สบายใจและเป็นห่วงคาริฟเพียงใด เจ้าชายก็ยังเสวยอาหารได้มาก ซึ่งนี่เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้คนดูแลอย่างอันวาและฟามีนไม่เป็นห่วงมากนัก

กระทั่งอิ่มดีแล้วเจ้าชายก็เดินนำทั้งสองลงไปหาราชาอาฟาที่ห้องทรงงาน

เวลานี้พวกเขาแบ่งหน้าที่กันชัดเจน คือราชาอาฟาเป็นผู้ควบคุมทั้งหมด ราชาฟารุคดูแลป้อมปราการทั้งสี่ด้าน ส่วนนาซีมรับหน้าที่ดูแลกำลังพลที่คัดเกณฑ์เข้ามาใหม่พร้อมทั้งควบคุมการผลิตจัดหาอาวุธเพิ่ม อาจจะมีในบางวันที่นาซีมตรวจงานของตนเสร็จแล้ว เจ้าชายก็จะออกไปหาจาเร็ดผู้มีหน้าที่ดูแลป้อมปราการฝั่งตะวันตกเพื่อถามไถ่ถึงข่าวสารจากทางซันดา

แม้ตอนนี้เขากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ แต่นาซีมไม่รู้สึกว่าเด็กๆ ในท้องทำให้เขาลำบากเท่าใดนัก จะมีบ้างที่เวียนหัวเป็นครั้งคราว นอกนั้นก็มีแค่อาการรู้สึกร้อนวูบๆ มากกว่าคนปรกติ แต่นาซีมแก้ปัญหาด้วยการนำเอาถุงหนังที่บรรจุน้ำเย็นของอันวามาสะพายหลังเวลาไปไหนมาไหน พร้อมกับสวมเสื้อคลุมมิดชิดแต่ระบายอากาศได้ดี เพียงเท่านี้ก็พอบรรเทาอาการร้อนได้จนกว่าจะกลับไปแช่น้ำในยามค่ำคืน

เห็นเจ้าชายโอเมก้าทรงงานไม่ต่างจากผู้อื่น ราชาฟารุคที่เคยคิดว่าโอเมก้ามิมีกำลังเท่าอัลฟ่าก็ถึงกับเปลี่ยนความคิด ทั้งยังนึกเสียดายที่มิได้อภิเษกกับเจ้าชายนาซีมตอนที่ราชาราฮิมยังมีชีวิตอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงมองเจ้าชายด้วยความรู้สึกภูมิใจที่มีคู่ครองเก่งกาจและทรหดถึงเพียงนี้

ส่วนราชาอาฟาเดิมทีค่อนข้างไว้ใจคาริฟมากกว่า มาตอนนี้รู้สึกเอ็นดูนาซีมราวกับบุตรชายคนหนึ่ง เพราะนอกจากนาซีมจะฉลาดและรู้จักแยกแยะสถานการณ์แล้ว เจ้าโอเมก้าน้อยยังปล่อยพลังงานบวกออกมาทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้รู้สึกสบายใจไปหมด แม้นาซีมกำลังอยู่ในห้วงทุกข์เพราะคู่โชคชะตาออกไปเสี่ยงอันตรายก็ตามที

แต่เดิมอาฟาพอรู้มาว่านาซีมมีความสามารถ มิเช่นนั้นคงไม่หนีจากทาริคไปได้ด้วยกำลังน้อยนิด กระนั้นก็ยังคิดปรามาสเพราะเจ้าชายได้พวกภูตราตรีหนุนหลัง ทว่าเวลานี้นาซีมได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว แม้จะไม่เชี่ยวชาญทางการรบเท่าราชาองค์อื่น แต่ก็เป็นกำลังหนุนที่ดี ทั้งยังสามารถไว้ใจให้ดูแลกองกำลังเสริมหลังกำแพงได้

เหล่าคนสำคัญของราชวงศ์แห่งแคว้นทั้งสามต่างร่วมมือผนึกกำลังกันเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดก่อนวันประกาศสงครามมาถึง

นอกจากหัวเรือทั้งสามแล้ว เหล่าทหารและประชาชนที่เข้าร่วมก็มีใจฮึกเหิม เพราะทุกคนต่างเห็นไปในทางเดียวกันว่าอย่างไรศึกครานี้ก็ต้องเสียเลือดเนื้ออย่างแน่นอน แต่ถ้าพวกเขาสามัคคีกันจนผ่านพ้นวิกฤตและเอาชนะทาริคได้ ต่อไปซาร์เรียก็คงพบแต่ความสงบสุขเพราะสามแคว้นใหญ่เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันแล้ว

ครั้นมาถึงห้องทรงงานของอาฟา นาซีมก็พบฟารุคและบรรดาแม่ทัพคนสนิทของสองราชารออยู่ ทว่าบรรยากาศวันนี้ไม่เคร่งเครียดเหมือนวันก่อนๆ ราวกับมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น

และสังหรณ์ของนาซีมก็ไม่ผิด เพราะทันทีที่สองราชาเห็นเจ้าชาย พวกเขาก็เอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น

“มาแล้วหรือนาซีม เข้ามานั่งก่อนสิ” อาฟาผายมือไปยังตำแหน่งประจำของนาซีม

“วันนี้หน้าตาเจ้าไม่สดใสเลยนะนาซีม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ฟารุคผู้ช่างสังเกตเอ่ยถาม

“ข้าสบายดี ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง แต่เมื่อคืนข้านอนไม่ค่อยหลับ หน้าตาจึงดูไม่ได้เท่าไหร่ ขออภัยด้วย” เจ้าชายน้อยวิเคราะห์ตัวเองตามความเป็นจริง และนั่นทำให้เขาได้รับรอยยิ้มอาดูรจากราชาอาฟา

“เจ้าคงเป็นกังวลเรื่องคาริฟสินะ”

“ขอรับ” นาซีมบอกตามตรง

“เช่นนั้นก็เลิกกังวลได้แล้วนะนาซีม” ทันทีที่ได้ยินฟารุคพูดจบประโยค นาซีมก็รีบถามกลับทันที

“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นขอรับ มีข่าวจากซันดาแล้วหรือท่านฟารุค”

“ม้าเร็วของเราเพิ่งมาถึงเมื่อตอนเช้ามืดเพื่อแจ้งข่าวว่าเหล่าภูตราตรียึดซันดาไว้ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวลานี้คาริฟกำลังจัดการกับกำลังคนที่นั่นให้เข้าที่เข้าทาง แล้วค่อยหารืออีกครั้งว่าจะบุกไปยังฐานที่มั่นของพวกทาริคในมาไอร่าหรือกลับมาที่เอมาลีก่อน”

“แล้วเขารายงานหรือไม่ขอรับว่าได้รับบาดเจ็บไหม เราเสียคนไปมากหรือไม่ขอรับ”

“กำลังพลที่เสียไปก็พอสมควร แต่ไม่ถึงครึ่งที่คาริฟนำไป ส่วนคาริฟนั้นไม่มีรายงานว่าได้รับบาดเจ็บใดๆ เจ้าวางใจเถิด”

เขาคิดอยู่แล้วว่าคาริฟจะต้องทำได้ บุรุษผู้นั้นไว้ใจได้เสมอ แต่ความเป็นห่วงที่ท่วมท้นอยู่ในใจก็มิได้ลดลงเลย เมื่อได้ยินเรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้ นาซีมก็รู้สึกราวกับความหนักอึ้งที่แบกเอาไว้ตลอดหลายวันหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“แต่เรื่องที่น่าคิดยามนี้ก็คือ หากทาริคได้รับรายงานว่าซันดาถูกโจมตี เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างแน่นอน เราต้องเตรียมรับมือเอาไว้ให้ดี” อาฟาเอ่ยถึงความกังวลใจที่มี

“เวลานี้กำลังคนของทาริคลดลงไปส่วนหนึ่ง ข้าคิดว่าถึงเราต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ เราน่าจะพอต้านเอาไว้ได้พอสมควร” ฟารุคคาดการณ์

“แต่ก็ประมาทไม่ได้ขอรับ” นาซีมบอก “ตอนนี้แม้เราจะเกณฑ์กำลังพลเพิ่ม แต่อาวุธของเราก็ยังมีไม่พอต่อจำนวนคน หากฝ่ายนั้นเปิดศึกขึ้นจริง นอกจากเราจะโต้กลับแล้ว ข้าอยากให้คิดถึงการตั้งรับมากกว่า อีกอย่างเราก็ต้องการเวลาที่จะเพิ่มความสามารถในกองทัพด้วย”

“ข้าเห็นด้วยกับเจ้าชายขอรับ” แม่ทัพเอกแห่งเอมาลีว่า “ศึกครานี้เราควรเตรียมตัวตั้งรับมากกว่าการบุกกระโจนเข้าไป เพราะถ้าเราตั้งรับดีจนสามารถยื้อเวลาออกไปได้นาน ผลเสียย่อมตกแก่ผู้มาปิดล้อมและพุ่งโจมตีแคว้นเรา”

“ถูกแล้วขอรับ” นาซีมสนับสนุน “หากสงครามกินเวลายาวนาน ไพร่พลของพวกมันจะอ่อนล้า เสบียงก็ต้องใช้เวลาในการลำเลียงหากหมดลง ซ้ำดินแดนทะเลทรายของเรามิใช่ดินแดนอุดมสมบูรณ์ อาหารจึงหายากและการก่อสงครามเป็นเวลานานเหล่าทหารย่อมเหนื่อยล้าอย่างแน่นอน”

“แล้วระหว่างนี้เจ้าคิดว่าเราควรเดินหมากอย่างไร” อาฟาถามต่อ

“ตั้งรับและค่อยๆ หาโอกาสตัดกำลังพวกมันเช่นที่คาริฟทำขอรับ” นาซีมเสนอ

“เช่นนั้นข้าคงต้องส่งสารหาคาริฟเสียก่อน เขาจะได้รู้ว่าเรากำลังจะทำอันใดต่อไป เพราะคนที่จัดไว้เพื่อบุกไปที่มาไอร่าเป็นภูตราตรีใต้อาณัติเขา”

“ขอรับ”

นอกจากหารือกันเรื่องรับมือต่อผลลัพธ์ที่เลือก ราชาแห่งเอมาลีก็นำกลยุทธ์การสร้างข่าวเท็จของคาริฟเอามาปรับใช้ด้วย เพื่อข่มขวัญและบั่นทอนกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม

เพียงแต่ข่าวที่ปล่อยออกไปครั้งนี้เป็นเรื่องจริงเท่านั้นเอง…











ระหว่างที่ฝ่ายเอมาลีกำลังยินดีกับชัยชนะแรกและช่วยกันเตรียมรับมือกับสงคราม ทางฝั่งกองทัพของทาริคก็เริ่มระส่ำระสายจากข่าวการบุกโจมตีซันดาโดยฝีมือผู้พิทักษ์ทะเลทราย...เหล่าภูตราตรี

ผู้คนในดินแดนนี้ต่างรู้จักภูตราตรีจากเรื่องเล่าว่าเป็นเผ่าโบราณที่อยู่คู่กับซาร์เรียมานาน กระนั้น คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยพบหรือพิสูจน์ได้ถึงการมีอยู่ของภูตราตรี มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พอทราบ เพราะมีความเกี่ยวข้องเฉพาะตัวบุคคล

หากจะบอกว่าภูตราตรีเป็นตำนานที่แสนลึกลับอย่างหนึ่งของซาร์เรียก็คงไม่ผิดนัก

แต่ราตรีที่ผ่านมา ข่าวป้อมปราการแคว้นซันดาใต้การปกครองของทาริคถูกตีแตกด้วยฝีมือของภูตราตรีจำนวนสองพันต่อทหารสองหมื่นนายของซันดาแพร่กระจายไปทั่วซาร์เรียอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเรื่องชวนให้ตกตะลึงทั้งทวีป

ใครๆ ต่างรู้ดีว่าทาริคมีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยมมากเพียงไหน ถึงขนาดได้รับสมญาเป็นนักสู้ไร้พ่าย ทั้งยังบุกไปยึดแคว้นใหญ่ได้ในเวลาไม่นาน

ทว่าสมญานั้นกลับถูกทำลายลงในเวลาเพียงสามราตรี จากฝีมือของผู้พิทักษ์ลึกลับจำนวนแค่หยิบมือ

เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้เหล่าทหารใต้การควบคุมหวาดผวา ทาริคที่สั่งสมบารมีมานานก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่น เขาอุตส่าห์ยอมทำตามแผนการที่จะไม่ต้องเสียกำลังของตนด้วยการส่งสารไปเจรจากับราชาแห่งเอมาลีก่อน อีกฝ่ายกลับตอบแทนความเมตตาของเขาด้วยการบุกยึดซันดาแทน ยิ่งคิดทาริคก็ยิ่งโมโห

ปึก!

เสียงทุบหนักๆ ลงบนโต๊ะสั่งการทำเอาคนในกระโจมของทาริคตัวสั่นกันเป็นทิวแถว กลิ่นความกดดันของอัลฟ่าแผ่กำจายไปทั่วทั้งกระโจม แม่ทัพนายกองและคนสนิทพากันก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าแย้มปากสอดขึ้นมากลางปล้อง เพราะกลัวจะถูกระบายอารมณ์ใส่จนพานให้หัวหลุดจากบ่า

ทว่ามีใครคนหนึ่งที่มิหวั่นเกรงต่ออารมณ์รุนแรงของคาริฟแม้แต่น้อย คนผู้นั้นคือบุรุษในชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ทว่าดวงตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างไม่คิดปิดบัง

“อย่ากริ้วไปเลยองค์ราชา” นักบวชเชนเอ่ยกับทาริคอย่างใจเย็น ส่งผลให้ถูกมองกลับด้วยสายตาเชือดเฉือน

“จะไม่ให้โกรธได้หรือ ข้าอุตส่าห์เชื่อคำเจ้าด้วยการส่งสารไปเจรจาสงบศึก แต่มันกลับตลบหลังข้า ไหนจะไอ้งั่งที่ข้าส่งไปปกครองซันดานั่นอีก มันดูแลอย่างไรถึงถูกคนแค่หยิบมือตีป้อมแคว้นแตกได้”

“ข้ามิอยากให้ท่านโมโห เพราะนี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น ในเมื่อพวกมันตอบแทนเราเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องไว้หน้ากันแล้ว”

“แม้เจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่ไว้หน้ามันแน่นอน ดูซิว่ายามที่แคว้นของมันกำลังจะย่อยยับ ไอ้อาฟาจะคลานมาขอร้องข้าหรือไม่”

“มันต้องคลานมาแน่ แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องหาวิธีเอาคืนมันเสียก่อน” นักบวชเชนกระตุ้น

“ข้าจะบุกโจมตีมันในราตรีนี้” คนใจร้อนดั่งไฟสุมทรวงยืนยันจะจัดการให้เบ็ดเสร็จและรวดเร็วที่สุด ทว่านักบวชมากเล่ห์ก็ทักท้วง เพราะมันได้เตรียมแผนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าเอาไว้แล้ว

“เราจะบุกในราตรีนี้แน่นอนขอรับ แต่ต้องมิใช่การบุกด้วยกองทัพใหญ่ แต่เราจะเอาคืนไอ้ภูตราตรีนั่นด้วยการชิงตัวคนสำคัญของมันมาแทน”

“เจ้าหมายถึงอะไร” ทาริคขมวดคิ้ว “ชิงตัวใครกัน”

“ผู้ทำนายของเราอย่างไรขอรับ...”

“นาซีมงั้นหรือ” ทาริคถามกลับเพราะตามไม่ทัน “นาซีมเกี่ยวอันใดกับไอ้ภูตราตรีนั่น”

“เกี่ยวแน่นอนขอรับ ในเมื่อเจ้าชายนาซีมได้จับคู่กับไอ้ภูตราตรีผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว ท่านเห็นหรือไม่ขอรับว่ากองทัพของเรารวมถึงท่านมีช่องโหว่ใดให้พวกมันชนะในยกแรกได้”

ทาริคจ้องดวงตาวาววับของนักบวชเชน ถ้อยความจากบันทึกคำทำนายก็หลั่งไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง

ผู้ที่จะปกครองซาร์เรียได้ ต้องเป็นบุรุษไร้พ่ายและมีผู้ทำนายอยู่ข้างกาย...

ทาริคไม่รู้ว่าหัวหน้าภูตราตรีผู้นั้นเคยพ่ายแพ้ในศึกใดหรือไม่ แต่จากรายงานที่ให้ซีญ่าไปสืบมา สามารถบอกได้ว่าภูตราตรีผู้นี้เป็นคนเดียวกันกับมือปริศนาที่ช่วยเหลือเจ้าชายนาซีมมาตั้งแต่แรก และมันเป็นคนที่เขาแพ้ทาง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งเผาค่ายชิงตัวนาซีมคราแรก หรือการบุกยึดซันดาครานี้

“คนในคำทำนายเป็นมันหรือ...”

“หากเรายังมิได้ตัวเจ้าชายนาซีมมา ข้าก็มิอาจรับประกันได้ว่าเจ้าของดินแดนจะยังเป็นชื่อทาริคอยู่หรือไม่”

“เจ้า!!” ได้ฟังคำพูดไม่กลัวตาย ทาริคก็ชักดาบออกมาจ่อไปยังลำคอของนักบวชเชนทันที

“องค์ราชา ถึงท่านจะสังหารข้า ท่านก็มิมีทางเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ แต่สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง คือ หมากที่ข้าวางไว้ในเอมาลีต่างหาก”

“เจ้าทำอะไรไว้”

“ข้าบอกท่านแล้วว่าหากเราได้ตัวเจ้าชายนาซีมมา เราก็อาจมีหวัง เรื่องที่พวกมันจะไม่ยอมสิโรราบแก่เรานั้นข้าได้คาดเดาไว้ก่อนแล้ว แต่ที่ข้ายังยืนยันให้ส่งสารสงบศึก เพราะข้าต้องการให้คนบางคนแฝงตัวเข้าไปในกำแพงเมืองเอมาลีให้ได้ต่างหาก และตอนนี้ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตอันหอมหวานแล้วขอรับ องค์ราชาของข้า...”











หลังจากได้รับข่าวน่ายินดีจากคาริฟได้ไม่ทันไร ยามเย็นวันต่อมากองทัพของทาริคก็บุกเข้าโจมตีป้อมฝั่งตะวันตกอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครตั้งตัวทัน มันยังสามารถเข้ามาภายในได้เพราะมีคนในเปิดประตูให้

ทว่าสิ่งที่พวกมันทำกลับมิใช่ทะลวงเข้ามาโจมตีประชาชนในเอมาลีเป็นอันดับแรก แต่เป็นการบุกเพื่อชิงตัวคนสำคัญผู้หนึ่งไปต่างหาก

บุคคลที่มักจะมาลาดตระเวนพร้อมองครักษ์คนสนิทที่ประตูฝั่งนี้ทุกเย็นในช่วงเวลาเดิมเพื่อตรวจความเรียบร้อยและรอคอยคนรักกลับมา

...เจ้าชายนาซีมแห่งโซราห์













--------------------------------------------------------------------------









มันต้องสู้กันไป สู้กันมาถึงจะสนุกค่ะ55555

แลกกันคนละหมัด

เป็นกำลังใจให้คาริฟกับนาซีมด้วยยยย

ฝนด้วยน้าา >3<










ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
นักบวชเชนนี่น่าฆ่าให้ตาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อะๆๆ. ทำร้ายคนท้อง

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2


บทที่ 35 หัวใจสลาย







“จงมีสติและใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้หวาดกลัว”

น้ำเสียงใจดีของสตรีนางหนึ่งบอกกับนาซีมเช่นนั้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามว่านางเป็นใคร หรือแม้แต่เห็นตัวตนของนาง นาซีมก็ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล

ซ่า!

“แค่กๆๆ”

เสียงของหญิงสาวผู้นั้นหายไปพลันเมื่อใครบางคนสาดน้ำใส่ร่างกายเขาจนเปียกปอน เจ้าชายไอโขลกๆ อยู่พักใหญ่เพราะสำลักน้ำที่เข้ามาทางปากและจมูก กระทั่งรู้สึกดีขึ้นจึงลืมตามองรอบกาย

สิ่งแรกที่เขาเห็นเป็นปลายเท้าของใครคนหนึ่ง คนคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้านาซีมนิ่ง ไม่ห่างและก็ไม่ใกล้นัก เจ้าชายจึงไล่สายตาขึ้นด้านบนช้าๆ จนพบกับใบหน้าของคนที่ไม่อยากเจอสักนิด

ทาริค

อีกฝ่ายปรายตาลงมาที่เขาราวกับมองมดปลวก จากนั้นจึงยกยิ้มเมื่อเห็นว่านาซีมรู้สึกตัวและมองตอบตนแล้ว

“ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะเจ้าชายนาซีม เป็นอย่างไรบ้าง ออกไปเร่ร่อนอยู่นอกวังสนุกดีหรือไม่”

“...” นาซีมไม่ตอบ ไม่คิดอยากเสวนากับคนเถื่อน อีกอย่างเวลานี้เขาต้องคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปเป็นอันดับแรก

แต่ทาริคกลับไม่ชอบใจที่ถูกเมิน มันจึงนั่งลงตรงหน้าก่อนจะขยุ้มผมนาซีมแล้วกระชากไปทางด้านหลัง เพราะความโกรธสะสมมาจากที่ถูกคู่ชีวิตของนาซีมยึดเอาซันดาไปยังคุกรุ่นอยู่

“อย่าเมินเฉยคำถามข้า!”

“เหตุใดข้าจึงเมินไม่ได้”

“มิรู้หรือว่าข้าเป็นราชาแห่งแคว้นโซราห์แล้ว ส่วนเจ้าก็เป็นกบฏที่ขบถต่อข้าเท่านั้น ข้าสั่งอันใดก็จงทำ สั่งให้ตอบก็จงตอบ”

นาซีมจ้องตาราชาทรราชแล้วยกยิ้มเหยียด แม้ตัวตนจริงๆ จะมิใช่คนที่เหยียดหยามใครง่ายๆ แต่กับคนผู้นี้นาซีมไม่คิดจะไว้หน้า

“ดูเหมือนข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่ในบ้านข้านานเกินไปสินะ เป็นอย่างไร สุขสบายดีหรือ แต่จากที่ดูก็คงสบายดี อาจจะดีจนลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าทำวิธีสกปรกอย่างไรจึงได้เข้าไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง” เจ้าชายพยายามพูดแทงใจดำของอีกฝ่าย เพราะเวลานี้คงโต้ตอบอะไรไม่ได้นอกจากถากถางให้ทาริคกระอักเลือด

ซึ่งมันได้ผลดีทีเดียวเพราะทาริคถึงกับกัดฟันกรอก เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบจวนเจียนระเบิด

“อย่าคิดลองดีกับข้า เจ้าคงไม่อยากรู้ว่ายามข้ามีโทสะขึ้นมา ข้าทำสิ่งใดได้บ้าง”

“เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าคนชั่วช้าเช่นเจ้าทำเลวอย่างไรได้บ้าง แต่อย่าได้ทะนงตัวว่าข้าจะเกรงกลัวคนเช่นเจ้า”

“หึ ไม่กลัวอย่างนั้นหรือ” ทาริคมองคนที่พยายามเชิดหน้าอย่างหยิ่งยโส แล้วคิดวิธีเอาคืนวิธีหนึ่งออก “ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าไม่กลัวสิ่งใด ไม่กลัวแม้ต้องเสียสิ้นซึ่งศักดิ์ศรี เช่นนั้นก็มาดูกันว่าหลังจากนี้เจ้าจะรู้จักความกลัวขึ้นบ้างหรือไม่”

“...” นาซีมไม่ตอบโต้ เขาคิดแค่ว่าตายเป็นตาย แต่จะไม่ยอมให้ทาริคทำอะไรที่หมิ่นเกียรติเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว

ทาริคปล่อยมือที่ขยุ้มผมนาซีมออก จากก็กระชากชุดคลุมที่เจ้าชายสวมใส่จนสายรัดเอวหลุด สายตาคุกคามที่มองมาทำให้นาซีมเผลอถอยหลังอย่าลืมตัว เขาใช้มือกุมท้องไว้โดยอัตโนมัติ เพราะที่สุดแล้วนอกจากชีวิตตนเองก็ยังมีชีวิตน้อยๆ ที่ต้องรักษา

คนในกระโจมทั้งซีญ่า นักบวชเชนและทหารใต้อาณัติต่างพากับก้าวถอยหลัง เพราะเดาว่าทาริคน่าจะทำเรื่องที่พวกตนอยู่ด้วยไม่ได้ ทว่าคนเถื่อนกลับสั่งให้หยุด

“พวกเจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น! ลองดูซิว่าเจ้าชายฝีปากกล้าผู้นี้จะไม่เอ่ยปากร้องขอความเมตตาจากข้าจริงหรือ”

พูดจบทาริคก็ดึงสาบเสื้อคลุมออก นาซีมใช้มือปัดป้องและต่อสู้สุดแรง แต่มีหรือโอเมก้าจะสู้แรงอัลฟ่าได้ กระทั่งท่อนบนถูกเปลือยต่อหน้าธารกำนัล ทาริคจึงมองเห็นสร้อยไพลินและรอยตราประทับที่ลำคอระหง

เขายื่นมือออกไปจับจี้ไพลินขึ้นมาดู แต่ถูกเจ้าชายตบลงที่หลังมือดังเพี๊ยะ ทาริคจึงเดาได้ว่าสิ่งนี้คงเป็นของแทนใจชิ้นสำคัญอย่างแน่นอน

คิดได้ดังนั้นคนเถื่อนจึงกระชากสร้อยเจ้าชายจนขาดจากคอ

“อย่าเอาไปนะ!!” นาซีมพยายามไขว่คว้าเอาของสำคัญกลับคืนมา แต่ก็สุดจะเอื้อมมือถึง

“ขอร้องข้าสิ แล้วข้าจะคิดดูว่าควรคืนให้ดีหรือไม่”

“ข้าไม่มีวันขอร้องเจ้า ไอ้เลว!”

“หึๆ เจ้ามันก็มีปัญญาด่าได้เท่านี้ สุดท้ายเจ้าก็มิอาจเอาสิ่งใดคืนไปได้เลยนาซีม ไม่ว่าจะเป็นแคว้นโซราห์หรือสร้อยไร้ค่าเส้นนี้”

ทาริคยื่นหน้าเจ้าไปเยาะเย้ย รอยยิ้มที่แสดงออกว่าตนเหนือกว่าทำให้นาซีมรู้สึกรังเกียจจนอยากอาเจียนออกมา ทว่าขณะที่สถานการณ์ในกระโจมหลักเต็มไปด้วยความร้อนแรง อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งหุนหันเข้ามาและทำให้ความวุ่นวายลุกโหมหนักกว่าเดิม

“ทาริค!”

เจ้าของชื่อหันไปหาผู้มาใหม่ นาซีมเองก็เผลอมองตามเช่นกัน จึงพบบุรุษหน้าสวยผู้หนึ่งที่บัดนี้กำลังทำหน้าโกรธขึ้งเสียจนตาแดงไปหมด

“มาที่นี่ทำไมอามิน”

“หากข้าไม่มาจะเห็นหรือว่าเจ้ากำลังทำอะไร” อามินตอบกลับทันควัน

“แล้วเจ้าเห็นสิ่งใด” ทาริคลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและหันกลับไปหาอามินทั้งตัว

“เจ้าว่าจะพามันกลับมาแค่เป็นเครื่องรางนำโชคมิใช่หรือ แล้วที่กำลังทำอยู่คืออะไร คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ถึงได้เปลืองผ้ามันเช่นนั้น”

“หากไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดพล่อยๆ กลับไปอยู่ในกระโจมของเจ้าเสียอามิน”

“ข้าไม่รู้เรื่องหรือ...อ้อ แน่นอน ข้ารู้ดี” อามินแค่นหัวเราะ “เจ้าอยากได้เขาเป็นราชินีเคียงกายใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นคงมิดั้นด้นตามมาถึงแคว้นเอมาลีและก่อสงครามยิ่งใหญ่เพียงนี้ อย่างไรโลกใบนี้ก็สร้างให้อัลฟ่าคู่กับโอเมก้าอยู่แล้ว เบต้าอย่างข้าจึงถูกเจ้าหลอกให้ความหวังไปวันๆ หนึ่ง...นี่แหละสิ่งที่ข้ารู้”

“เหลวไหล”

“ข้าหรือเหลวไหล” อามินชี้ที่อกตนเอง “ข้ามิได้เหลวไหล แต่เปิดโปงความจริงที่เจ้ามิกล้าบอกข้าตรงๆ ต่างหาก”

“ไปกันใหญ่แล้วอามิน เจ้าเป็นอะไรของเจ้า”

“นั่นสิท่านอามิน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะเข้ามาสอด” นักบวชเชนออกความเห็นด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก็ถูกอามินสาดอารมณ์กลับไปแรงเท่ากัน

“เจ้านั่นแหละที่ไม่ต้องมาสอดเรื่องของข้ากับองค์ราชา!” ว่าจบอามินก็หันกลับมาหาทาริคอีกครั้งเพื่อถามเจ้าคนเถื่อนด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไหนเจ้าเคยบอกว่ารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับข้าอย่างไรเล่าทาริค แล้วที่ข้าแสดงออกเพียงนี้เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ”

“...”

“ได้ เช่นนั้นข้าจะบอกให้ ข้าไม่ต้องการให้มันอยู่ข้างกายเจ้า” อามินชี้มือมาที่นาซีม ดวงตาดูโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด “หากเจ้าไม่กล้าส่งมันไปไกลๆ เพราะฟังคำบอกเล่าของไอ้นักบวชงี่เง่านี่ ข้าจะเป็นคนทำเอง แต่ถ้าเจ้าให้มันอยู่เพราะรักมันก็จงบอกมา ข้าจะเป็นคนไปเอง”

พูดจบอามินก็ปรายตามองนาซีมอีกครั้ง จากนั้นก็ออกไปจากกระโจมอย่างรวดเร็ว พานเอาคนในกระโจมพูดไม่ออกเลยสักคนเดียว

ในความคิดของนาซีม อามินเหมือนพายุทรายที่มาเยือนโดยไม่ได้ตั้งตัว รุนแรง บ้าคลั่ง และก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทิ้งไว้เพียงความเงียบและร่องรอยบอบช้ำให้แก่ผู้ที่พบเจอ

เมื่อละสายตาจากอามินแล้ว นาซีมก็มองขึ้นไปยังแผ่นหลังของคนเถื่อนที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่เห็นสายตาและสีหน้าของทาริค แต่ภาษากายที่แสดงออกกลับไม่อาจปกปิดได้

เมื่อตอนนี้ทาริคถูกพายุอารมณ์ของอามินทำให้มือสั่นจนคุมไม่อยู่

นาซีมมองมือสั่นระริกที่กำสร้อยคอของตนเองไว้แล้วพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในใจ

...แท้จริงแล้วทาริคก็มีจุดอ่อนอยู่เหมือนกันหรอกหรือ











หลังจากเหตุการณ์ขัดแย้งในความสัมพันธ์ของทาริคและอามินในวันนี้ เจ้าคนเถื่อนก็ไม่เยี่ยมหน้าเข้ามาที่กระโจมของนาซีมอีกเลย นาซีมไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเกิดอันใดขึ้นกับชายผู้อาจหาญข่มขู่ทาริค แต่กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเข้ามาทำอันใดกับเขา

เจ้าชายถูกขังในกระโจมเล็กๆ กระโจมหนึ่ง โดยมีกรงไม้หนาแน่นครอบไว้อีกที ส่วนที่ข้อมือข้อเท้าก็ถูกพันธนาการด้วยโซ่เส้นโต หากมองจากเงาที่สะท้อนกับกระโจมผ้าแล้ว จะเห็นว่าด้านนอกมีทหารยามเฝ้าไว้แน่นหนาผลัดเวียนเปลี่ยนกันมาไม่ต่ำกว่า 5-10 คน

ทุกๆ เช้าและเย็นทหารเหล่านั้นจะยกอาหารและน้ำดื่มมาให้นาซีมดื่มกินประทังชีวิต มันไม่ได้มากมายแต่พอให้ผ่านพ้นวันๆ หนึ่งมาได้

ระหว่างนี้นาซีมก็พยายามคิดหาวิธีทางที่จะหลุดรอดไปจากที่นี่ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้คาริฟจะล่วงรู้หรือยังว่านาซีมถูกจับตัวมา หากรู้แล้วนาซีมก็เชื่อว่าคนรักของตนกำลังคิดวางแผนเพื่อจะชิงตัวเขากลับไปแน่

ดังนั้นสิ่งที่นาซีมต้องทำให้ดีที่สุดคือทำใจให้เข้มแข็งและประคองชีวิตน้อยๆ ของลูกกับตนเองเอาไว้เพื่อรอคอยอย่างมีความหวัง

กระทั่งในราตรีที่เจ็ดหลังจากถูกจับตัวมา ระหว่างที่นาซีมกำลังเทน้ำดื่มลงบนผ้าแล้วใช้พันกายเพื่อคลายร้อนและเงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยถึงการศึกด้านนอกไปด้วย อยู่ๆ กระโจมอันมืดมิดของเขาก็สว่างขึ้นด้วยตะเกียงใบเล็กในมือของเจ้าพายุทะเลทราย...อามิน

อีกฝ่ายเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบไร้ผู้ติดตาม เมื่อปิดกระโจมเรียบร้อยก็เปิดผ้าคลุมหน้าแล้วย่างสามขุมเข้ามาใกล้

นาซีมเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้างดงามที่จ้องกลับมาที่เขาเหมือนกัน อีกฝ่ายเลือกที่จะมองเขาเงียบๆ ด้วยสายตาอ่านไม่ออก ช่วงเวลาน่าอึดอัดจึงดำเนินไปกระทั่งเจ้าตัวเอ่ย

“ท่านไม่สมควรอยู่ที่นี่...”

“...”

เขาไขกุญแจและเปิดประตูเข้ามา นาซีมจึงถอยกรูจนหลังติดกรงอีกฝั่ง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังหยิบขวดแก้วเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากใต้เสื้อคลุม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ข้า...ไม่มีทางเลือกจริงๆ ”

“เจ้าจะทำอันใด!”

นาซีมถามแต่อีกฝ่ายไม่ตอบทั้งยังเข้ามาบังคับกรอกของเหลวบางอย่างเข้าปากนาซีม พวกเขายื้อยุดกันไปมาพักหนึ่ง แม้ร่างกายของอามินจะไม่ได้ใหญ่โตและมีพละกำลังมาเท่าพวกอัลฟ่า แต่นาซีมก็เสียเปรียบเพราะถูกโซ่ล่ามแขนขาเอาไว้

กระทั่งนาซีมคิดว่าตนเองน่าจะสู้ต่อไปไม่ไหว จึงเปิดปากเพื่อตะโกนเรียกใครก็ตามเข้ามาช่วย

“ช่วยข้าด้วย! ช่วยด้วย!!!!”

ทว่านั่นเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนัก เพราะเมื่อนาซีมอ้าปากร้อง อีกฝ่ายก็บีบคางเขาไว้แล้วกรอกของเหลวนั่นลงไปทันที รสชาติของมันขมปร่า กลิ่นที่ลอยออกมาก็เหม็นแทบอาเจียน เขาพยายามพ่นมันออกมาให้หมด แต่ก็ยังมีบางส่วนไหลเข้าไปในลำคอเสียก่อน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่ออามินเห็นว่านาซีมกลืนของเหลวเข้าไปเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายก็ปล่อยเจ้าชายเป็นอิสระ จากนั้นก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งและก้มลงมองดูนาซีมเงียบๆ

“ขอโทษด้วยนะเจ้าชายนาซีม...”

“!!”

สิ่งที่กลืนเข้าไปออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ไม่นานนาซีมก็รู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนแรงลง ดวงตาพร่ามัวจนมองเห็นไม่ชัดเจน ทั้งลมหายใจก็ติดขัดและขาดห้วงเหมือนกับคนกำลังจะจมน้ำ

เจ้าชายยกมือขึ้นจับลำคอตัวเองอย่างทุกข์ทรมาน พยายามสูดลมหายใจให้ลึกที่สุดแต่ดูเหมือนนั่นเป็นเรื่องที่ยากเต็มที ปากของเขาอ้าพะงาบ ดวงตาเหลือกขึ้น น้ำลายไหลออกที่มุมปากอย่างควบคุมไม่ได้

นาซีมดิ้นรนจนวินาทีสุดท้าย แต่ยังใช้สองมือกุมท้องตนเองเอาไว้ แล้วในสมองก็มีภาพของคาริฟผุดขึ้นมา

“คาริฟ...ช่วย...ด้วย”

เสียงขาดห้วงเรียกหาคนที่อยู่ไกลแสนไกล แต่ภูตราตรีของเขาคงไม่มีวันได้ยิน

ช่วยข้าทีคาริฟ...











เดิมทีคาริฟตั้งใจว่าจะไปสมทบกับพวกจาเร็ดที่เดินทางไปยังมาไอร่าก่อน แล้วร่วมมือกันจัดการคลังเสบียงเพื่อตัดท่อเลี้ยงของกองทัพทาริค ทว่าข่าวที่คนรักของเขาถูกชิงตัวไปทำให้คาริฟเปลี่ยนทิศทางทันที

บุรุษชุดดำควบอาชามิหยุดพักจากซันดาถึงเอมาลีเพื่อมาชิงตัวนาซีมกลับ ชายหนุ่มมาเร็วราวกับเหาะเหิน เมื่อถึงที่หมายเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังท้องพระโรงเอมาลีก่อน

ระหว่างทางตั้งแต่ประตูเมือง โถงทางเดินในพระราชวัง จนถึงท้องพระโรง มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยทักเขาเลยสักคน แม้แต่สบตาก็ไม่กล้า อาจเพราะกลัวว่าคาริฟจะอาละวาดที่ทุกคนปล่อยให้นาซีมถูกชิงตัวไปได้ง่ายๆ

ถึงคาริฟจะมีโทสะเพียงใด เขาก็เข้าใจว่ามันคือเล่ห์กลสงครามของทาริค ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในเวลานี้คือ สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และจะทำอย่างไรให้ได้ตัวนาซีมกลับมา

ทว่า...สิ่งที่คาริฟได้ยินกลับเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ

“เราได้รับรายงานว่า...เจ้าชายสวรรคตแล้ว”

“อะไรนะ!” คาริฟถามอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ราชาอาฟาบอก

“นาซีมตายแล้ว” อาฟาเอ่ยด้วยสีหน้าสลด แล้วยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ “พวกมันส่งสิ่งนี้คืนมาให้เรา พร้อมกับสารฉบับหนึ่ง อีกทั้งคนของเจ้าที่พยายามแฝงตัวไปในค่ายเพื่อสืบข่าวก็รายงานตรงกันว่าเจ้าชายถูกหนึ่งในคู่รักของทาริคลอบปลงพระชนม์”

“จริงหรืออันวา...ฟามีน” บุรุษชุดดำหันไปถามบุคคลที่อาสาอยู่กับนาซีมแทนเขา ทั้งเด็กหนุ่มสดใสหากบัดนี้นัยน์ตาแดงก่ำและองครักษ์ผู้ภักดีกับนาซีมที่สุด

“คนของเรายืนยันแล้วว่าจริงขอรับท่านคาริฟ” ฮาบัสเป็นผู้ตอบแทน

หัวใจของคาริฟคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นโลกทั้งใบก็ค่อยๆ ถล่มลงตรงหน้า บางสิ่งที่มากกว่าความเสียใจพุ่งเข้าโจมตีคาริฟอย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อคิดถึงคนรักและลูกน้อยที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกคาริฟก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเจ็บกว่ารอยแผลที่เคยได้รับมาทั้งชีวิต ราวกับหัวใจทั้งดวงถูกฉีกกระชากออกไปจากอก

ร่างกายของเขาคล้ายจะหมดแรงเอาดื้อๆ หัวใจที่เจ็บปวดยังรับไม่ได้กับความจริงในเรื่องนี้ กระนั้น ชายหนุ่มก็ยังขยับเท้าเดินเข้าไปรับของที่อยู่ในมือของราชาอาฟา

...มันคือสร้อยไพลินที่เขามอบให้นาซีมเป็นของแทนใจในวันวิวาห์

ชายหนุ่มมองมันครู่หนึ่งก่อนเก็บในอกเสื้ออย่างเบามือ ทุกคนทั่วทั้งท้องพระโรงเฝ้ามองการกระทำของคาริฟอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายเป็นฟารุคที่ทนกับความอึดอัดเพราะรู้สึกผิดไม่ไหว

“ท่านจะทำอย่างไรต่อ หากจะยกทัพไปสู้กับพวกมันในวันพรุ่งนี้พร้อมข้า ข้าก็มิหวงห้ามและจะสู้ไปกับท่านด้วย”

ราชาแห่งโฮมาหยิบยื่นหนทางแก้แค้นมาให้ ด้วยตั้งแต่นาซีมถูกจับไปพวกเขาก็เริ่มพุ่งเข้าโจมตีกองทัพฝั่งนั้นทุกวันเพราะต้องการชิงตัวเจ้าชายน้อยของคาริฟคืนมา แม้วันนี้ได้รับข่าวสะเทือนใจ แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่แก้แค้น

ไม่เพียงฟารุคที่คิดเช่นนั้น แต่ใครที่เคยพบเจอและสัมผัสเจ้าชายแห่งโซราห์ต่างคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่าต้องเอาคืนราชาเถื่อนผู้นั้นให้สาสม

“ข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน” ฟามีนแทรกขึ้น รวมทั้งอันวาที่อาสาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ข้าด้วย”

“หากท่านคิดอย่างไรก็ว่ามาเถิด หรือถ้าไม่พร้อมทำสิ่งใดในเวลานี้ ข้าก็จะไม่บังคับ”

ราชาผู้มีอายุมากกว่าใครในท้องพระโรงเอ่ยด้วยความเข้าใจ คาริฟจึงเงยหน้ามองเขา มองทุกๆ คนแล้วฝืนยิ้ม

“ข้าจะไปขอรับ แต่เราต้องวางแผนให้ดีเสียก่อน หากกระทำโดยใช้อารมณ์นำทางเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะรบกี่ครั้งเราก็ไม่อาจนำชัยชนะกลับมาได้”

“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร”

“ข้าจะดำเนินการตามแผนเดิม” คาริฟว่า “ให้คนที่รอโจมตีคลังเสบียงที่มาไอร่าเริ่มงานได้ทันที และเราก็ส่งคนไปเสริมหากเพลี่ยงพล้ำ”

“เจ้าจะไปเองหรือ”

“ไม่ขอรับ” คาริฟตอบราชาฟารุค แล้วจึงอธิบายโดยไม่ให้ใครถามซ้ำ “ข้าคงไปทำหน้าที่นั้นไม่ได้ เพราะข้าต้องไปพานาซีมกลับมา”

“แต่เจ้าชาย--- “ฟารุคยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกคาริฟแทรกพร้อมกับมองด้วยสายตาแข็งกร้าว

“หากไม่เห็นร่างไร้ลมหายใจของเขา ข้าก็ไม่เชื่อว่าเขาจากไปแล้ว หรือถ้าเขาไม่อยู่บนโลกนี้จริงๆ ข้าก็จะไปนำร่างของเขากลับมาเพื่อพาไปพำนักที่บ้านของเรา เพราะพวกมันไม่มีสิทธิ์ยึดเมียกับลูกข้าไว้ ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม”

คำพูดของคาริฟมิมีใครกล้าแย้ง เมื่อประกาศจบเขาก็เสนอแผนการรบต่อ กระทั่งดวงตะวันลาลับ ดวงจันทร์โผล่ขึ้นมาแทนที่ พวกเขาจึงประชุมกันเสร็จสิ้น

เจ้าภูตราตรีกลับไปพักที่ห้องรับรองซึ่งเขาเคยอยู่กับนาซีม ภายในห้องนั้นเงียบเชียบและมืดสนิท เขาจุดตะเกียงที่อยู่ข้างเตียงเรียบร้อย ก่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงว่างเปล่า

บนเตียงหลังนั้นไร้เงาคนรักที่เขากกกอด มีเพียงแพรพรรณที่เจ้าตัวเคยใช้ห่มกายผืนหนึ่ง คาริฟจึงเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาถือไว้ ก่อนก้มหน้าสูดดมกลิ่นกายที่ยังหลงเหลือ…

“...เจ้าจากข้าไปแล้วจริงหรือ”

ชายหนุ่มได้แต่เอ่ยถามความว่างเปล่าด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง และรู้ดีว่าจะไม่มีใครตอบกลับมา

“ไหนเจ้าว่าจะคอยข้ากลับมาอย่างไรเล่านาซีม แล้วเหตุใดจึงไม่รอพบหน้ากันก่อน...”

ในราตรีอันมืดมิด แสงไฟสะท้อนผ่านฉากกั้นส่องให้เห็นเงาร่างของบุรุษผู้องอาจที่สุดในแคว้นนั่งงอตัวกอดผ้าห่มของคนรักด้วยกายสั่นเทา ความอ่อนแอที่ไม่มีให้ผู้ใดเห็นนี้ยืนยันแล้วว่าเจ้าภูตราตรีก็มีหัวใจเช่นกัน แม้หัวใจดวงนั้นกำลังแหลกสลายก็ตามที…







❂--------------------------------------❂







อย่าเพิ่งขว้างถัง ขว้างกะละมังใส่ฝนนะคะ

เป็นกำลังใจให้คาริฟก่อนนนน 

ตอนนี้แต่งไปน้ำตาก็ซึมไป

ไม่รู้คนอ่านอินไหม แต่คนเขียนอินคะ ;-;

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
น้ำตามาค่ะ นาซีมยังไม่ทันเสียใจ คารีฟก็ยังไม่ทันได้เจอหน้า
ชายชาตินักสู้ ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน แต่จะไม่ใยดีสุดที่รัก ทำไม่ได้
เห็นคารีฟมีอาการขนาดนี้ คือเจ็บช้ำมากจริงๆ ค่ะ

อามีนจะช่วยนาซีมออกมายังไง หรือพวกนั้นจะเอานาซีมไปทิ้งที่ไหน



ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ต้องมีการซ้อนแผนแน่ๆๆ ไรท์หลอกเราไม่ได้หรอก :hao3:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2

บทที่ 36 แผนการและหมากตัวสำคัญ

 

 

เนื่องจากสารถีพยายามเร่งฝีเท้าอาชาให้เร็วขึ้น ห้องโดยการในรถม้าจึงโคลงเคลงไปมาจนคนนั่งเวียนหัว

แต่จุดที่ทำให้เขาตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานก็ตรงที่ล้อรถกระดอนไปตกในหลุมทรายจนอาชาไม่สามารถลากขึ้นไปได้ ร่างกายของคนที่อยู่ในห้องโดยสารเล็กๆ ก็หล่นลงจากตั่งและกลิ้งไปบนพื้นแคบๆ ราวกับถูกเทกระจาด

ปึก!

เสียงศีรษะโขกเข้ากับขอบประตูทางออกดังสนั่น แต่ชายหนุ่มต้องอดทนไว้ ผิดกับใครอีกคนที่ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

“โอ๊ย! ด้านนอกนั่นเกิดอันใดขึ้น”

“รถม้าของเราตกหลุมทรายขอรับท่านอามิน” สารถีตะโกนบอก

ได้ยินแล้วอามินจึงรอให้รถม้าหยุดขยับ จากนั้นก็จัดระเบียบร่างกายอีกครั้งแล้วก้มลงไปช้อนตัวคนที่แสร้งหลับให้นอนดีๆ ครั้นสำรวจความเรียบร้อยเสร็จ อามินก็ก้าวออกไปนอกรถเพื่อดูสภาพความเสียหาย

“จมลึกเพียงนี้เชียวหรือ”

“เมื่อวานที่แถบนี้น่าจะเกิดพายุทรายขอรับ เนินทรายระหว่างทางจึงเปลี่ยนทิศ ข้าขออภัยด้วยขอรับท่านอามิน” สารถีค้อมหัวให้คนรักของราชาเถื่อนอย่างนอบน้อม

อามินโบกมือไม่ถือสา จากนั้นจึงถลกแขนเสื้อคลุมขึ้นทั้งสองด้าน

“ข้าจะลองขุดทรายรอบๆ ออกก่อน ส่วนเจ้าลองหาดูซิว่ามีท่อนไม้อะไรที่สามารถนำมางัดล้อขึ้นได้หรือไม่”

“ท่านมิต้องทำหรอกขอรับ ข้าจะทำเอง”

สารถีผู้ทึ่มทื่อไม่กล้าใช้ให้คนรักของราชาลงมือทำถึงขนาดนี้ เพราะกลัวว่าหากราชาของตนรู้เรื่องที่พาอามินมาลำบาก เขาคงถูกเล่นงานอย่างแน่นอน

“ทำคนเดียวได้หรือ รถม้าออกจะใหญ่โต อย่างไรก็ต้องมีคนช่วย ไม่อย่างนั้นคงออกจากหลุมไม่ได้”

“หากไม่ได้ข้าจะเดินเท้าย้อนกลับไปที่ค่ายขององค์ราชาเพื่อตามคนมาช่วยเองขอรับ”

“อย่าเชียวนะ!!”

อามินร้องห้ามเพราะเขาไม่อยากให้ใครตามมาทัน มิหนำซ้ำถ้าเป็นเจ้าหัวใจของอามินก็ยิ่งแล้วใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเลือกเรียกใช้สารถีผู้นี้ เพราะรู้ว่ามันมีนิสัยซื่อๆ จนเกือบจะโง่งม

“แต่ว่า...”

“ทำตามที่ข้าสั่ง ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกทาริคเองว่าเจ้าขัดใจข้า”

“ดะ...ได้ขอรับ”

เมื่ออีกฝ่ายรับคำแล้วก็รีบวิ่งออกไปหาขอนไม้อย่างที่อามินสั่ง ส่วนชายหนุ่มก็เร่งขุดทรายออกอย่างรวดเร็ว แม้เวลานี้อากาศและเม็ดทรายจะร้อนมากก็ตามที

เขาใช้เวลาในการกู้คืนรถม้าอยู่นานเกือบค่อนวัน กระทั่งรถม้าสามารถขึ้นมาจากหลุมทรายได้ อามินจึงกระโดดขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารและสั่งให้ออกเดินทางต่อ

แต่พอล้อหมุนได้ไม่นาน ตอนที่เบต้าคนงามกำลังชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง คนที่คิดว่ากำลังหลับใหลกลับตื่นขึ้นมาและใช้โซ่คล้องประตูที่ไม่รู้แกะออกมาตั้งแต่ตอนไหนรัดคออามินเอาไว้

“ยะ...หยุดนะ...แค่กๆ”

“เจ้านั่นแหละอยู่นิ่งๆ แล้วทำตามที่ข้าสั่ง”

เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งเสียจนคนฟังแทบจำไม่ได้ว่านี่เคยเป็นเสียงของเจ้าชายแห่งโซราห์

ครั้นหายตกใจแล้ว อามินก็นั่งนิ่งและปล่อยให้อีกฝ่ายจับกุมเขาเอาไว้โดยไม่ขัดขืน

“ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

อามินถามด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากตอนอยู่ในค่ายของทาริคมาก ทว่านาซีมกลับไม่ตอบคำถามดีๆ และถามกลับไปแทน

“เจ้ากำลังจะพาข้าไปที่ใด”

“จะไปที่ใดได้เล่า หากไม่พาไปส่งคืนให้แก่ท่านหัวหน้าของข้า”

“หัวหน้าของเจ้าหรือ?”

“ถูกแล้ว” อามินว่าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ดูต่างกับอามินที่นาซีมเห็นก่อนหน้านี้หน้ามือเป็นหลังมือ “ตอนนี้เขากำลังโมโหได้ที่เชียวล่ะ ดูจากที่เป็นคนยกทัพมาด้วยตนเองเมื่อวาน แต่เป็นผู้ใดก็คงมีโทสะล่ะนะ ในเมื่อคนรักถูกจับตัวเอาไว้เช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเข้าใจว่าถูกวางยาพิษจนตายอีก”

“นี่เจ้า...หมายถึงอะไร”

ได้ยินถึงตรงนี้นาซีมก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่จากที่จับใจความได้ ดูเหมือนอามินผู้นี้จะรู้จักกับคู่โชคชะตาของเขาอย่างนั้นหรือ...

“หากท่านกรุณาปล่อยข้า ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง”

“ปล่อยหรือ...” ด้วยถูกคนผู้นี้ทำร้ายมาก่อนนาซีมจึงไม่กล้าไว้ใจ

“เจ้าชาย...หากข้าคิดทำร้ายท่านจริง ข้าจะพาท่านออกจากค่ายมาด้วยเหตุใดเล่า ดูสิว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน” อามินเลิกม่านให้นาซีมดู เจ้าชายโอเมก้าจึงเห็นว่าตนมิได้อยู่ในค่ายของทาริคแล้ว “ข้าว่าเรามาคุยกันดีๆ เถิด”

ได้ยินดังนั้น นาซีมจึงตัดสินใจปล่อยอามินให้เป็นอิสระ เจ้าตัวลูบคอเบาๆ ก่อนจะบอก

“ไม่คิดว่าท่านเองก็มีเล่ห์กลกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่เช่นนี้ก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้เอาตัวรอด”

“เจ้าพูดมาดีกว่าว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร เหตุใดจึงพาข้าออกมาที่นี่ แล้วเรื่องหัวหน้าของเจ้านั่นอีก”

“ลองตรองดูสิ...ท่านว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นใคร”

นาซีมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคนผู้นี้แม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเคยพบกันแค่สองครั้ง รวมคราวนี้เป็นสาม ซ้ำที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่เคยคุยกันดีๆ ด้วย แต่เมื่อพิจารณาให้ดี เขารู้สึกว่าคนผู้อาจมิได้เป็นเช่นที่แสดงออกเหมือนผ่านๆ มา

...หรือมันจะเป็นเพียงการแสดงตบตา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อะไรบางอย่างก็เข้ามาสะกิดในสมองของเขา นาซีมหรี่ตามองคนตรงหน้า จากนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้

“อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นภูตราตรี”

“ท่านฉลาดมาก” อามินยิ้มร่า

“!!!”

“สมแล้วที่ท่านคาริฟเลือกท่านเป็นคู่ครอง”

เมื่อสิ่งที่คาดเดาเป็นความจริง นาซีมก็อึ้งจนแทบอ้าปากค้าง หลังจากอยู่กับคาริฟมานาน เขาก็พอรู้มาบ้างว่าภูตราตรีนั้นแฝงตัวอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง แต่นาซีมไม่เคยคิดว่าข้างกายของทาริคก็มีอยู่เช่นกัน

ซ้ำยังเป็นคนสำคัญเสียด้วย

“นี่มันยังไงกันแน่ เหตุใดเจ้าอยู่ข้างกายทาริคได้ แล้วเหตุใดจึงไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเขาตั้งแต่ต้น”

ในหัวของนาซีมมีคำถามวุ่นวายเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จะถามอะไรก่อน พานให้อามินยิ้มอย่างเอ็นดู

“เอาเป็นว่าข้าจะเล่าให้ท่านฟังก็แล้วกัน ไว้เล่าจบแล้วท่านค่อยถามที่สงสัย”

“เช่นนั้นก็ได้”

เมื่อตกลงกันแล้วอามินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของตนเองให้นาซีมฟังเป็นฉากๆ

“ข้าเป็นภูตราตรี มีท่านพ่อเป็นภูตราตรีเช่นกัน ส่วนท่านแม่ข้านั้นเป็นชาวซันดา แต่เดิมพ่อข้าเปิดร้านอาหารไม่ใหญ่นักที่ซันดาเพื่อคอยเฝ้าดูความเป็นไปในเมืองหลวง ครอบครัวข้าอยู่ที่นั่นตั้งแต่ก่อนข้าเกิด เมื่อโตขึ้นหน่อยท่านพ่อก็ส่งข้าไปที่ไอเรม ให้เล่าเรียนและรับรู้เรื่องราวของบรรพบุรุษ ข้าจะได้กลับมาสานต่อหน้าที่จากท่านพ่อ”

ชายหนุ่มเว้นช่วงไปนิด ดวงตามองออกไปในอดีตที่นาซีมมองไม่เห็น จากนั้นจึงเล่าต่อ

“เมื่อกลับมาได้ไม่นานท่านพ่อก็ป่วยและสิ้นอายุขัย ข้าจึงช่วยท่านแม่ดูแลร้านแทน ทั้งยังทำหน้าที่ต่อจากท่านพ่อ ส่วนท่านคาริฟนั้นข้ารู้จักเขาตั้งแต่ไปเรียนในไอเรมแล้วล่ะ เราเป็นเหมือนสหายสนิทกัน เมื่อเติบโตก็ช่วยเหลือภารกิจกันเรื่อยมา กระทั่งเกิดเรื่องกับครอบครัวข้า ข้าและแม่ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อกบฏของทาริค ตอนนั้นข้าเคยพบเขา แต่ยังไม่รู้จักชื่อเขาด้วยซ้ำ แค่มีโอกาสช่วยชีวิตเขาไว้จึงตกบันไดพลอยโจนไปด้วย”

“แล้วแม่ของเจ้าล่ะ ตอนนี้นางอยู่ที่ใด”

“นางสิ้นแล้ว”

อามินเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวระหว่างตนเองและทาริคให้ฟังเป็นลำดับถัดไป

อามินกับทาริคได้พบกันโดยบังเอิญและเกี่ยวข้องกันเพราะความใจดีของอามินเอง แม่ของเขาถูกฆ่าจากคนของราชาซันดาที่ ณ ตอนนั้นยังไม่ถูกทาริคยึดอำนาจ

“สมัยก่อนทาริคเป็นเพียงนักสู้ในสนามประลองเท่านั้น เขาเป็นทาสในสังกัดของพ่อค้าทาสผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งที่ชอบกดขี่ทาส ภายหลังเมื่อทาริคเริ่มมีชื่อเสียง เขาจึงรวมตัวกันปลดแอกตัวเองและสังหารนายจ้าง ก่อตั้งเผ่าของตนเองชื่อเผ่าทารายา ทารายาเป็นเพียงเผ่าเร่ร่อน แต่กลับเรืองอำนาจขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหล่าทาสที่ถูกกดขี่เชิดชู ร้อนถึงราชาแห่งซันดาต้องลงมาปราบ แต่องค์ราชาก็สู้ไม่ได้ ทาริคได้นักบวชของแคว้นและประชาชนส่วนใหญ่ที่ลุกฮือจากการปลุกระดมหนุนหลัง เขาจึงกำชัยชนะได้ในที่สุด”

“ฟังจากที่เจ้าเล่า ทาริคแต่ก่อนมิใช่คนเลวใช่ไหม”

“อืม เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ช่วยชีวิตใครหลายๆ คนที่เจอกับชะตากรรมยากลำบาก ข้าติดตามเขาอยู่นาน แทบหลงลืมตัวตนไปหมดสิ้นว่าเราเคยเป็นใคร เนื่องจากชีวิตนี้เหลือเพียงเขา แต่ทาริคกลับมาเปลี่ยนไปเพราะแนวคิดที่นักบวชชั่วผู้นั้นยัดใส่หัว”

“เจ้าพูดถึงนักบวชเชนหรือ”

“ถูกแล้ว” อามินพยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ก่อนหน้านี้ท่านเคยพบมันหรือ”

“อืม เขาเคยให้คนจับตัวข้าไว้ได้ครั้งหนึ่งตอนที่หนีออกจากโซราห์ใหม่ๆ ตอนนั้นเขาพูดถึงคำทำนายของบุรุษไร้พ่ายด้วย นั่นเป็นเรื่องจริงหรือ” นาซีมถาม อามินจึงเล่าต่อ

“อ้อ คำทำนายเรื่องบุรุษไร้พ่าย สายเลือด ความเท่าเทียม ระบบชนชั้นที่มันใช้มาลวงล่อให้ทาริคติดกับ จากที่อยากช่วยเหลือคน กลายเป็นอยากเป็นใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงดินแดนแห่งนี้ ความตั้งใจเริ่มต้นของเขาดี แต่การหลงระเริงในคำเยินยอทำให้ทาริคมิใช่ทาริคคนเดิมอีกต่อไป”

“แล้วเหตุใดเจ้าไม่จัดการเขาเสีย ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่เขาไว้ใจซ้ำยังอยู่ข้างกายมาตลอด”

เมื่อได้ยินคำถาม อามินก็อึ้งไป ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

“คำตอบข้อนี้ง่ายเหลือเกินเจ้าชาย”

“...”

“เพราะข้ารักเขาอย่างไรเล่า” อามินสารภาพเต็มปาก

“เพราะรักหรือ…” นาซีมอึ้งไป ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะรักเจ้าคนเถื่อนนั่นจริงๆ

“ถูกแล้ว...เพราะรักจึงไม่อาจลงมือ เพราะรักจึงปล่อยให้เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่เขาไม่ฟังเสียงข้าอีกต่อไป แต่ข้าเชื่อหมดหัวใจว่าลึกๆ แล้วเขามิได้อยากทำเช่นนี้ แต่ก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงการแก้ตัวให้การกระทำชั่วร้ายของคนรักเท่านั้น”

นาซีมรู้ว่าการรักใครสักคนเป็นอย่างไร และเขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปคิดหรือตัดสินแทนใครได้ เพราะนาซีมมิได้อยู่ในจุดที่คนคนนั้นยืน

“เอาเถอะ...ข้าพอเข้าใจเรื่องราวในอดีตของเจ้าแล้ว แต่ตอนนี้เล่า เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”

“ข้าขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกท่านให้เตรียมตัวก่อน แต่ท่านก็รู้ว่าในค่ายนั่นมีแต่คนของทาริค หากข้าต้องเสียเวลาอธิบายกับท่านก่อนคงไม่ทันการ” อามินแก้ต่างให้ตนเองก่อน

“อ่า...ข้าพอเข้าใจแล้ว” นาซีมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้อามินเล่าต่อ

“จำได้หรือไม่เรื่องที่ฝั่งของทาริคมีการขอให้เอมาลีสงบศึก นั่นคือแผนของนักบวชเชนอีกเช่นกัน

“...ฝีมือเขางั้นหรือ”

“อืม นักบวชเชนเป็นผู้พาคนเข้าไปแฝงในเอมาลีตอนวันที่ส่งสารเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของท่าน ทันทีที่เกิดเรื่องในซันดา เขาจึงยุยงและดำเนินแผนการโดยการให้ทาริคนำกำลังพลเข้ามาจับตัวท่านไป”

“นักบวชผู้นั้นเหตุใดจึงวุ่นวายกับข้าไม่เลิกกันนะ”

“เพราะมันเชื่อว่าท่านจะนำพาชัยชนะมาสู่มันได้อย่างไรเล่า มันเหมือนคนวิกลจริต เชื่อมั่นในคำทำนายบ้าบอ ทั้งยังกระหายอำนาจมาก เมื่อมันจับตัวท่านได้แล้วข้าจึงคิดว่านี่อาจทำให้เผ่าภูตราตรีของข้าล่มสลาย หากคาริฟแพ้ในสงคราม ข้าจึงวางอุบายแสร้งหึงหวงเช่นที่ท่านเห็น จากนั้นก็นำเอายาพิษให้ท่านดื่ม แต่ยานั่นมีผลทำให้หลับลึกเหมือนคนตายเท่านั้น เมื่อสบโอกาสตอนที่ทาริคกำลังโกรธข้าอย่างหนักเพราะทำร้ายท่าน และใช้ช่วงที่เขาไม่มาหาที่กระโจมเพราะต้องวุ่นวายอยู่กับสงคราม ข้าก็หนีออกจากค่ายมาพร้อมกับสารถีโง่ที่บังคับรถม้าให้เรานั่นไง”

“เช่นนั้นแสดงว่าตอนนี้...”

“ตอนนี้ทาริคคิดว่าพระศพของท่านยังอยู่ในค่าย แม้แต่พวกท่านคาริฟเองก็เข้าใจว่าท่านสิ้นพระชนม์แล้วเช่นกัน ท่านหัวหน้าเผ่าจึงเป็นผู้นำทัพเพื่อบุกเข้าโจมตีค่ายอย่างหนักเพราะเขาต้องการชิงพระศพของท่านกลับไปฝังที่ไอเรม”

“คาริฟ...”

นาซีมแทบอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะรู้ว่าคาริฟคงเสียใจมากเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคนรักของเขาจะไม่รีบพุ่งรบกับทาริค เพราะแผนของพวกเราคือการประวิงเวลาให้กองทัพของอีกฝ่ายเหนื่อยล้า แต่การสู้ซึ่งๆ หน้าจะทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บหนัก และอาจทำให้ทาริคพลิกไปชนะได้ เพราะฝ่ายนี้มีคนมากกว่า

“พวกท่านมีปัญหาเรื่องกำลังพลใช่หรือไม่”

“ถูกแล้ว”

“ท่านไม่ต้องกลัว ข้าจะพาท่านกลับโซราห์ ที่นั่นมีคนของทาริคอยู่ก็จริง แต่ข้าควบคุมได้ อีกอย่างที่โซราห์ยังมีแม่ทัพนายกองเดิมของท่านอยู่ เราจะยึดแคว้นคืนและนั่นจะเป็นการตัดกำลังทาริคอีกทาง”

นาซีมฟังแผนการอันแยบยลของอามินแล้วได้แต่อึ้งงัน ไม่คาดมาก่อนว่าเขาจะคิดและทำอะไรได้มากเพียงนี้ ที่สำคัญทาริคเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมีคนข้างกายของตนอยู่เบื้องหลังอีกที ราวกับเหล่าภูตราตรีมีหมากตัวสำคัญที่โผล่มาช่วยชีวิตตอนสถานการณ์คับขัน และหมากเล็กๆ ตัวนี้ก็สามารถพลิกกระดานจนใครก็ตามไม่ทัน

แต่นาซีมคิดว่ายังมีช่องโหว่ในแผนการนี้เล็กน้อย เขาจึงเสนอทางเลือกใหม่เพื่อแก้ไขให้รัดกุมขึ้น

“นี่เรากำลังจะมุ่งหน้าไปโซราห์ใช่หรือไม่”

“ถูกแล้วเจ้าชาย”

“แต่ข้าอยากให้เจ้าเปลี่ยนไปที่หนึ่งก่อน”

“ที่ใด”

“มาไอร่า”

“เหตุใดจึงไปที่นั่น ท่านไม่รู้หรือว่าคนของทาริคยึดโอเอซิสนั่นไว้แล้ว”

“ข้ารู้ และรู้อีกว่ามันคือฐานกักเก็บเสบียงที่จะส่งไปให้ทหารในค่าย หน้ากำแพงเอมาลี”

“แล้วท่านคิดจะทำอันใด”

“ยามนี้คนของภูตราตรีส่วนหนึ่งอยู่ที่มาไอร่า พวกเราวางแผนเผาเสบียงกองทัพของทาริค ข้าอยากให้เราไปพบพวกเขาที่นั่น หลังจากนั้นจึงเดินทางต่อไปที่โซราห์พร้อมพวกภูตราตรีที่อยู่มาไอร่า ข้าคิดว่าเราไม่สามารถเดินทางกันตามลำพังได้ หากมีกำลังส่วนหนึ่งไปถึงโซราห์ด้วยจะปลอดภัยกว่า”

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าพวกเขาอยู่ที่นั่น”

“เป็นแผนที่เราเตรียมไว้ตั้งแต่แรก และยามนี้ก็ส่งพวกจาเร็ดไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าคงรู้จัก”

“อ้อ...รู้จักดีทีเดียวล่ะ” อามินยิ้มบางๆ “เขาเองก็เป็นสหายวัยเยาว์ของข้า”

“อีกอย่างข้าอยากส่งข่าวให้คาริฟรู้ด้วยว่ายังไม่ตาย และเรากำลังจะทำอะไร”

“นี่ก็เป็นความคิดที่ดีเช่นกัน รู้หรือไม่ว่าข้าไม่เคยเห็นคาริฟคลั่งเท่านี้มาก่อน”

“นั่นแหละที่ข้าห่วง หากบอกให้เขารู้ คาริฟจะได้ปรับแผนสู้รบใหม่เพื่อถนอมกำลังพล”

“เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านว่าเถิด เดี๋ยวข้าจะออกไปบอกสารถีให้มันเปลี่ยนเส้นทาง”

นาซีมมองอามินทำตามที่เขาบอกเงียบๆ ก่อนจะใช้ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีลูบที่หน้าท้องซึ่งนูนขึ้นมาน้อยๆ ของตนเอง

เขาดีใจที่ตนกับลูกยังมีชีวิตอยู่เพื่อกลับไปพบกับคาริฟ ความรู้สึกมืดมิดไม่เห็นทาง บัดนี้กลับมีแสงแห่งความหวังส่องมาที่พวกเขาแล้ว

“อดทนหน่อยนะลูก อีกไม่นานมันจะสิ้นสุดแล้ว”

ทว่านาซีมลืมนึกไปว่า...บนโลกใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องคาดไม่ถึง

 



 



เปลวไฟร้อนแรงถูกจุดขึ้นรอบกำแพงเมืองทิศเหนือและกำลังจะลามขึ้นไปยังป้อมปราการสูง เหล่าทหารของทาริคตั้งขบวนอยู่นอกกำแพงมากมายจนไม่อาจนับได้ เสียงลั่นกลองศึกดังกังวานไปทั่วแม้ยามนี้ดวงตะวันลับขอบฟ้า

ทาริคมองประเมินอยู่บนม้าหลังสุดของกองทัพ ภายในเมืองหลวงของเอมาลีเงียบเชียบราวกับเมืองร้าง คาดว่าเวลานี้กองทัพเอมาลีคงอ่อนแรงลงแล้ว เพราะอีกฝ่ายมีกำลังทหารไม่มาก ทั้งเมื่อวานยังบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ ถึงกำลังคนของทาริคก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ถ้าเทียบแล้วเขาก็ยังมีคนมากกว่า

ทาริคไม่รู้ว่าวันนี้หัวหน้าภูตราตรีนั่นจะออกมาอีกหรือไม่ เพราะหลายวันติดกันแล้วที่มันเป็นแม่ทัพนำกำลังออกมาสู้รบด้วยตนเอง แต่ก็ยังไม่ถึงตัวเขาก็จำต้องถอยกลับไปก่อน

ทาริคเห็นหน้ามันไม่ถนัดนัก แต่ชื่อเสียงของมันเป็นที่กล่าวถึงในค่ายของเขาอย่างรวดเร็ว แม้กำลังพลของพวกเอมาลีจะมีฝีมือไม่เท่าไหร่ ทว่าเจ้าภูตราตรีคนนั้นกลับสามารถคร่าชีวิตคนของเขาได้ทุกครั้งที่ตวัดดาบ จนยากที่จะมีใครเข้าถึงตัวบุรุษผู้นั้นได้ง่ายๆ เช่นกัน

วิธีการสู้รบที่เด็ดขาดและไม่เกรงกลัวของแม่ทัพทำให้เหล่าทหารมีใจฮึกเหิม ไม่ขลาดกลัวแม้ต้องแลกด้วยชีวิต ทั้งยังทำให้กำลังใจของฝั่งทาริคถดถอย วันนี้ราชาของเหล่าคนเถื่อนจึงออกมาบัญชากองรบด้วยตนเองเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ

และถ้าทำได้...เขาจะฆ่าไอ้แม่ทัพภูตราตรีผู้นั้นเสีย

ลองดูซิว่าผู้ที่ได้รับสมญาไร้พ่ายกับผู้พิทักษ์แห่งทะเลทรายใครจะเป็นผู้กำชัย

“ดูเหมือนวันนี้พวกมันจะไม่ออกมานะขอรับ” คนสนิทที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพเอกของทาริคประเมินสถานการณ์

“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น” คาริฟถาม

“เพราะเราไม่เคยบุกเข้าไปประชิดกำแพงแคว้นของพวกมันได้ถึงขนาดนี้ อีกทั้งเมืองวานมันยังบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้าคิดว่าอย่างมากพวกมันก็คงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกำแพงและเล่นกลให้เราดูเท่านั้น” คำว่าเล่นกลของซีญ่าคือการยิงธนูไฟไล่ไม่ให้คนของทาริคเข้าประชิดกำแพงเมืองมากเกินไป

ทาริคไฟังแล้วก็ยกยิ้ม

“เช่นนั้นก็คงถึงเวลาแล้วสินะ ข้าเบื่อที่จะเล่นกับมันเต็มทีแล้วเหมือนกัน” พูดกับซีญ่าจบเขาก็ตะโกนให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน “หากผู้ใดสามารถปีนข้ามกำแพงของพวกมันไปเปิดประตูให้ข้าได้ ข้าจะตกรางวัลและเลื่อนขั้นให้เป็นผู้ดูแลแคว้นเอมาลี!!”

เฮ!!!!!!!

เสียงทหารตะโกนด้วยความยินดีและฮึกเหิมมากกว่าเดิม เมื่อสัญญาณรบดังเป็นครั้งสุดท้าย พวกมันก็ตบดาบกับเกราะดังตึงๆ และวิ่งกรูกันเข้าไปพาดบันไดเพื่อปีนกำแพงเมืองทันที

ครั้นบันไดสูงพาดบนกำแพงอิฐ การเล่นกลของทัพเอมาลีก็เริ่มต้นขึ้น

น้ำมันจุดเพลิงร้อนๆ ถูกเทลงมาจากขอบบนของกำแพงเมืองไม่ขาดสาย ลูกธนูมากมายพุ่งตรงมาที่กองทัพของทาริคราวกับห่าฝน มีบ้างที่เป้าหมายถูกปักจนล้มลง แต่อีกแปดในสิบส่วนก็สามารถยกเกราะกำบังได้ทัน

ทาริคมองดูการต่อสู้ที่กำแพงเมืองด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นจึงสั่งให้คนยกเหล็กหลอมแท่งมหึมาไปกระแทกประตูเมือง เขาเห็นการตอบโต้ของพวกเอมาลีจนชินชา วันนี้จึงพร้อมรับมือเต็มที

คนแบกท่อนเหล็กท่อนแล้วท่อนเล่ากระแทกเข้าไปที่ประตูเมือง ด้านบนหัวก็ใช้เกราะเหล็กปิดทับเพื่อกันลูกธนู ขณะที่ประตูเริ่มสั่นไหว กำลังคนก็ยิ่งเฮโลกันเข้าไปใกล้ที่ประตูมากยิ่งขึ้น เวลานี้กำลังสามในสี่จึงออกันอยู่บริเวณนั้นทั้งหมด

ทว่าอยู่ๆ สิ่งที่ทาริคไม่คิดฝันก็เกิดขึ้น รอบๆ พื้นที่ที่ทหารของเขาอยู่จู่ๆ ก็มีกำแพงอะไรสักอย่างผุดขึ้นมาจากผืนทราย มองจากไกลๆ มันดูคล้ายคนเอาผ้ามาขึง แต่เมื่อธนูเพลิงยิงลงมาปักบน ผ้าเหล่านั้นกลับติดไฟจนเผยให้เห็นกรงไม้ที่มีไฟลุก และกำแพงไฟนั้นก็ค่อยๆ จุดต่อกันออกไปจนมันสามารถล้อมทหารของทาริคเอาไว้ไม่อาจไปไหนได้

“นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกัน!! ” ทาริคตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าจะมีใครแอบอยู่ใต้ผืนทรายบริเวณนั้น ซีญ่าเองก็แทบอ้าปากค้างเช่นกัน แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร

เสียงร้องโหยหวนของทหารที่อยู่ๆ ก็ถูกล้อมอยู่ในรั้วและจุดไฟเผาดังก้องฟ้า ควันไฟและเปลวเพลิงเหล่านั้นลุกโหมจนทำให้มองดวงจันทร์เป็นสีแดงสด

และขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกกับเล่ห์อำพรางในการศึก ประตูเมืองที่ปิดอยู่ก็พลันเปิดออก แต่แทนที่คนของทาริคจะพุ่งเข้าไปด้านใน กลายเป็นกองทัพหุ้มเกราะที่ทะยานออกมาแทน ดูอย่างไรก็เข้มแข็งและรวดเร็วราวกับลูกธนูที่ปล่อยจากคันศร

ในกลุ่มคนมากมายและชุลมุนนั้น ทาริคเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ องอาจ ทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงแค่คนผู้นั้นตวัดดาบครั้งเดียว ทหารของทาริคก็ถูกฟันกระเด็นจนร่างขาดครึ่งท่อน

“นั่นมันหรือ”

“ขอรับ” ซีญ่าตอบ

“มีนามว่าอะไร”

“คาริฟขอรับองค์ราชา”

“หึ...ไอ้คาริฟ ในเมื่อคิดจะลองดีกับข้า ข้าก็จะแสดงให้มันดูว่านักสู้ไร้พ่ายเป็นเช่นไร”

ทาริคใช้เท้าตบท้องอาชาและพุ่งทะยานไปยังสนามรบชุลมุน เขากระโดดข้ามกองเพลิงด้วยความชำนาญ แล้วจึงขว้างดาบสั้นไปหาเป้าหมาย โชคดีที่คาริฟตาไวจึงหลบได้ทัน

เมื่อบุรุษทั้งสองเห็นหน้ากันก็รู้ได้ทันทีว่าใครคือศัตรูที่แท้จริง!

เป็นทาริคที่เสือกม้าเข้าไปและฟันใส่คาริฟก่อน ทว่าเจ้าภูตราตรีที่ชำนาญการรบไม่แพ้กันรีบยกดาบจันทร์เสี้ยวของตนขึ้นป้อง ก่อนจะผลักออกแล้วฟาดใส่ทาริคไม่ออมแรง

สองนักรบดวลดาบกันท่ามกลางกำแพงเพลิงที่ลุกโหมขึ้นเรื่อยๆ ทหารหาญทั้งหลายเว้นที่ว่างให้พวกเขาเพื่อกันตัวเองจากลูกหลง เสียงดาบกระทบกันดังผสานกับเสียงร้องระงมของผู้บาดเจ็บล้มตาย เสียงนั้นฟังดูคล้ายลำนำแห่งสงครามที่นานครั้งจะได้พบพาน

พวกเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่พักใหญ่ ทว่าคนอวดดีกลับพลาดให้ชายผู้มีแค้น ในเสี้ยววินาทีแค่กะพริบตาครั้งเดียว ดาบจันทร์เสี้ยวก็เฉือนลึกเข้าไปที่หัวไหล่ซ้าย พาลให้นักสู้ไร้พ่ายกระเด็นตกจากหลังอาชา

ทาริคไม่เคยรู้สึกอัปยศเท่านี้มาก่อนในชีวิต เขากำดาบแน่น ตามองขึ้นไปด้านบน ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกเหมือนตนเห็นมัจจุราชบนอาชาสีรัตติกาลกำลังจ้องมองเพื่อหยิบยื่นความตายมาให้

แต่ไม่ทันที่คาริฟจะลงดาบสุดท้ายเพื่อเผด็จศึก หอกหลาวสีเงินยวงก็พุ่งมาที่ชายหนุ่ม นั่นทำให้ทาริครอดไปได้อย่างหวุดหวิดด้วยการช่วยเหลือของซีญ่า

การปะทะครั้งใหญ่ในคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่กองทัพฝ่ายราชาทาริคพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

คาริฟนำคนบุกเข้าไปในค่ายและเผ่าทำลายกระโจมที่พักจนแทบสิ้น เหล่าทหารของทาริคหนึ่งในสามรวมทั้งตัวราชาผู้นำทัพจึงเร่งถอยทัพ ด้วยหมายใจจะร่นลงไปตั้งหลักที่โฮมาเพราะรู้ข่าวว่ามาไอร่าถูกทำลายโดยน้ำมือของพวกภูตราตรี

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทาริคตัดสินใจหยุดที่มาไอร่าก่อน และแบ่งกำลังพลส่วนใหญ่กลับโฮมาไปพร้อมกับนักบวชเชน เพราะเขาได้รับจดหมายจากเหยี่ยวของสารถีที่สั่งให้เฝ้าอามินไว้ เนื้อความบอกว่าคนข้างกายของเขาแท้จริงแล้วเป็นพวกภูตราตรีเช่นกัน ซ้ำเวลานี้ยังร่วมมือกับพวกนั้นทำลายฐานเสบียงที่มาไอร่าจนสิ้น

...และยังมีความจริงที่ว่านาซีมยังไม่ตายอีกด้วย

ทาริคไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าสารถีนั่นส่งมาจริงหรือไม่ แต่เขาจะเป็นคนไปหาคำตอบด้วยตนเอง!

 

 

 

❂................................................❂

 

 

เมื่อวานทำคนใจหายใจคว่ำใช่ไหมคะ

ฝนขอโทษษษษษษษษ

มันก็ต้องลุ้นๆ หน่อยอ่ะเนาะ

แต่ชอบตอนเขียนนะคะ เพราะได้เขียนอีกด้านนึงขอคาริฟ

คนเท่ก็เสียใจเป็นนะ 555

ส่วนอามินเป็นตัวละครลับที่ฝนเตรียมไว้ตั้งแต่แรกเลย

มีตอนพิเศษของเขาในเล่มร่วมกับคาริฟด้วยค่ะ

เดี๋ยวหนังสือส่งแล้วคงได้อ่านกัน

 

ขอบคุณกำลังใจนะคะ

ตอนที่แล้วเม้นกันเยอะเลย

ใจฟูมาก ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ใกล้จะจบจริงๆ แล้วค่ะ 

เจอกันตอนหน้านะคะ

 

ละอองฝน.


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สารถีน่าจะไม่แล้วนะนี่ ร้ายอยู่นะ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2


บทที่ 37 เผด็จศึก







ภารกิจที่มาไอร่าสำเร็จแล้ว นาซีมยังไม่ตาย

ความรู้สึกหนักอึ้ง สิ้นหวังและพร้อมตายได้ทุกเมื่อในสนามรบหายไปพลันเมื่อรับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของยอดดวงใจ คาริฟอ่านสารนั้นทวนซ้ำเป็นรอบที่ห้า และยังอ่านซ้ำไปมาอยู่เช่นนั้น กระทั่งถูกราชาอาฟาเรียกเขาจึงเก็บสารลงในอกเสื้อ

“ท่านคาริฟ”

“ขอรับราชาอาฟา”

“ข้าถามท่านว่าจะเดินทางไปที่มาไอร่าหรือไม่”

“ไปขอรับ” คาริฟตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะบอก “บัดนี้ทาริคทิ้งฐานทัพนอกกำแพงเมืองแล้ว แต่ที่นั่นยังมีทหารบางส่วนอยู่”

“ข้าจะส่งคนไปจัดการเก็บกวาดทั้งหมดเอง” อาฟาว่า

“ส่วนข้าจะตามเจ้าไปด้วย” ราชาฟารุคแทรกขึ้น “เพราะข้าคิดว่าไอ้ทาริคมันต้องถอยกลับไปที่โฮมาอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าคงต้องเป็นคนลุยไปกับทัพหน้าบ้าง ได้หรือไม่คาริฟ”

“ย่อมได้แน่นอนขอรับ แต่ข้าอยากขอให้ท่านนำกำลังพลในส่วนที่ท่านดูแลล่วงหน้าไปที่โฮมาก่อน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะยามนี้ทาริคบาดเจ็บหนัก หากเราจัดการมันก่อนเข้าไปหลบในที่ปลอดภัยได้ ศึกครานี้คงจบสิ้นอย่างแท้จริงเสียที”

“แล้วเจ้าเล่า มิไปพร้อมกันหรือ เหตุใดต้องให้แยกกำลังเป็นสองส่วน” ฟารุคถาม

“ข้าจะตามไปแน่นอนขอรับ แต่ข้าต้องเร่งไปมาไอร่าคืนนี้เสียก่อน”

“นาซีมน่าจะปลอดภัยอยู่กับจาเร็ดแล้วมิใช่หรือ”

“ข้าไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น” จากที่นอบน้อมมาตลอด เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนรักคาริฟก็พร้อมจะแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เพราะเวลานี้เขาไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว ยิ่งเทพีแห่งโชคชะตาประทานโอกาสให้เขาอีกครั้ง คาริฟจึงต้องปกป้องคนรักและลูกน้อยให้ถึงที่สุด

“ข้ามิได้ว่าอันใดเสียหน่อย เจ้าจะไปมาไอร่าก่อนก็ตามใจเถิด แต่เสร็จจากที่นั่นแล้วต้องรีบยกทัพมาช่วยข้าด้วย”

“ขอรับ” คาริฟรับปาก

ต่อจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาหารือกันอีกพอสมควร กระทั่งเสร็จสิ้นคาริฟเร่งออกจากท้องพระโรงเพื่อเดินทางมุ่งหน้าสู่มาไอร่าทันที

ข้ากำลังไปหา รอก่อนนะดวงใจของข้า













เป็นครั้งแรกตั้งแต่จากมาที่นาซีมฝันเห็นแคว้นโซราห์ แม้ในภาพนั้นจะเป็นการมองจากที่ไกลๆ ซ้ำยังเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ แต่ครู่เดียวดวงอาทิตย์ก็หายไป เหลือเพียงท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้มในยามราตรี ครึ้มเสียจนมองไม่เห็นดวงดาว ทัศนียภาพรอบด้านกลายเป็นทะเลที่มีฉากหลังคือมาไอร่า มีเสียงดาบปะทะกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งเสียงการต่อสู้หยุดลง หยาดฝนก็ค่อยๆ ตกลงมาจากฟากฟ้า จนเปลี่ยนเป็นภาพสุดท้ายคือ เขาเห็นใครบางคนกำลังแบกใครอีกคนไว้ด้านหลัง แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ เดินหายไปในทะเลทรายเวิ้งว้าง



เมื่อตื่นขึ้นมาจากความฝัน นาซีมก็รู้สึกได้ว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ลางสังหรณ์นี้บอกเขาด้วยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

“ตื่นแล้วหรือเจ้าชาย” อามินทักทายเมื่อเห็นนาซีมลุกขึ้นนั่งกลางห้องโดยสารของรถม้า

“อืม” เจ้าชายพยักหน้า ก่อนถามด้วยความเป็นห่วง

“นี่เจ้าได้นอนพักผ่อนบ้างหรือยัง”

“นอนบ้างแล้วล่ะ...”

อามินตอบเสียงเบาทั้งยังไม่กล้าสบตา นาซีมจึงพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับพักผ่อนจริงอย่างที่ปากว่า แต่เขาก็พอเข้าใจได้ว่าจิตใจอามินกำลังวุ่นวายสับสน

ยิ่งกว่านั้น...อามินคงพะวงถึงทาริคอยู่อย่างแน่นอน เนื่องจากเวลานี้พวกเขาได้ฟังข่าวจากจาเร็ดว่าทัพของคนเถื่อนแตกแล้ว และเขากำลังถอยกลับไปที่โฮมาเพื่อตั้งหลัก

แม้อามินจะรู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องถูกต้อง แต่อย่างไรเขาก็คงเป็นห่วงคนรักอยู่ดี เพราะเรื่องจิตใจนั้นห้ามกันไม่ได้

“จริงสิ เมื่อตอนที่ท่านหลับอยู่ จาเร็ดมาแจ้งว่าท่านคาริฟกำลังเดินทางมาที่มาไอร่า”

“คาริฟจะมาหรือ!”

พอได้ยินเรื่องคนรัก นาซีมก็ตาเป็นประกายด้วยความดีใจเพราะเขาไม่ได้พบหน้ากันมาพักใหญ่แล้ว ซ้ำก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องวุ่นวายจนเกือบไม่ได้พบไปตลอดกาล ความยินดีที่ได้รู้ว่ากำลังจะได้เจอกันอีกครั้งจึงท่วมท้นอยู่ในอก

“คาดว่าย่ำรุ่งน่าจะได้พบเขา”

“เช่นนั้นก็ยิ่งดี ว่าแต่เจ้าพักสักหน่อยเถิด” นาซีมว่าก่อนจะขยับลุกขึ้น

“แล้วท่านจะไปไหน”

“ข้าจะไปคุยกับจาเร็ดสักหน่อย ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“เช่นนั้นข้าไปด้วย”

“แต่...”

“ข้านอนไม่หลับหรอกนะเจ้าชาย ท่านก็รู้ว่าใจข้าไม่อาจสงบได้” ได้ยินดังนั้นนาซีมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายตามมา

พวกเขาออกไปจากรถม้าที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นกระโจมที่พักชั่วคราว ส่วนภูตราตรีคนอื่นๆ ที่ทำการยึดเสบียงและทำลายค่ายในมาไอร่าก็ปักกระโจมอยู่กันข้างโอเอซิส โดยมีเชลยศึกนับร้อยถูกมัดรวมกับอยู่ไม่ไกลออกไป

ครั้นจาเร็ดเห็นนาซีมออกมาจากรถม้า เขาก็ยิ้มทักทายเจ้าชายด้วยสีหน้าอิดโรย

“ตื่นบรรทมแล้วขอรับหรือเจ้าชาย”

“อื้ม” นาซีมพยักหน้า “ทำอันใดกันอยู่หรือ”

“ข้าเพิ่งจัดเวรยามให้คนของเราออกไปเฝ้ารอบๆ ไว้ เพราะทางเอมาลีส่งข่าวมาว่ากองทัพของไอ้ทาริคกำลังถอยกลับโฮมา ข้ากลัวว่ามันจะใช้เส้นทางนี้กลับขอรับ”

“ปรกติจะมีเส้นทางตัดตรงถึงโฮมามิใช่หรือ”

“มีขอรับ เราคิดว่ามันจะใช้ทางนั้นเพราะย่นระยะการเดินทางได้มากกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคิดจะมารวบเอาเสบียงและกำลังคนคืนจากที่นี่หรือไม่”

“เช่นนั้นก็ต้องเฝ้าระวังให้ดี เพราะกองทัพที่ถอยมาน่าจะมีกำลังคนมากกว่าเราพอควร”

“ขอรับ” จาเร็ดรับคำ ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่เจ้าชายหิวหรือไม่ขอรับ เมื่อครู่คนของเขาเพิ่งทำอาหารเสร็จ แต่เห็นท่านพักอยู่จึงไม่ได้ไปเรียก

“กินสักหน่อยก็ดี”

ตั้งแต่ถูกจับออกมาจากเอมาลี นาซีมก็ไม่ได้กินอาหารดีๆ จนเต็มอิ่มสักมื้อ เขากินแค่พอประทังให้มีอาหารเข้าไปบำรุงร่างกายเท่านั้น เมื่อถูกชักชวนนาซีมจึงไม่ปฏิเสธ

พวกเขาทำอาหารกินง่ายๆ แต่กินให้มากเข้าไว้เพื่อจะได้มีแรงในการทำอะไรอีกหลายอย่าง ระหว่างที่กำลังกินไป คุยกันไปถึงเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อยู่ๆ หนึ่งในเวรยามที่จาเร็ดจัดไว้ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาที่กระโจมกลาง

“ท่านจาเร็ด!! แย่แล้วขอรับ”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จาเร็ดถามกลับ

“มีกองทัพของฝ่ายตรงข้ามบุกมาที่นี่ขอรับ”

“ว่าอะไรนะ!!”

“เจ้าดูให้ดีหรือยัง อาจจะเป็นท่านคาริฟก็ได้” อามินว่า แต่ภูตราตรีผู้นั้นก็ปฏิเสธ

“มิใช่ท่านคาริฟขอรับ ข้าดูจนแน่ใจแล้ว”

อ๊าก!!!

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากทางด้านหน้ามาไอร่า ตามมาด้วยเสียงอาวุธโรมรันกันอย่างดุเดือด จาเร็ดลุกขึ้นจากที่นั่ง โยนอาหารทิ้ง ก่อนจะร้องตะโกนบอกทุกคน

“เตรียมตัวเร็วเข้า ข้าศึกบุก!!!”

เหล่าภูตราตรีที่กำลังพักผ่อนจากศึกหนักที่ผ่านมาต่างก็รีบลุกขึ้นเตรียมตัวอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักทุกคนก็ถือดาบไว้ในมือและพากันออกไปช่วยทหารยามต้านข้าศึก

ทว่าก่อนจาเร็ดจะตามพวกเขาไปก็ยังไม่ลืมหันมาสั่งอามิน

“พาเจ้าชายไปหลบในที่ปลอดภัย ถ้าทำได้สั่งให้คนเอารถม้าหนีออกไปเลย”

สิ้นคำสั่งอามินก็คว้าแขนนาซีมไว้ ก่อนจะพาวิ่งไปที่รถม้า

“ไปเร็ว!”

นาซีมทำตามอย่างว่าง่าย โชคดีที่ท้องเขายังเล็กนัก ทำให้ยังคงความคล่องตัวได้อยู่

เมื่อมาถึงรถม้า อามินก็สั่งให้สารถีเตรียมตัวพาพวกเขาออกไปจากมาไอร่า จากนั้นก็ดึงนาซีมเข้าไปแอบในห้องโดยสารและค้นเอาอาวุธที่ถูกซ่อนไว้ใต้เบาะออกมา

“มีดาบให้ข้าอีกสักเล่มไหม” นาซีมถาม

“มี”

ในกล่องใบนั้นมีอาวุธด้วยกันสามอย่าง เป็นดาบยาวสองเล่มและมีดสั้นหนึ่งเล่ม อามินหยิบดาบยาวเล่มหนึ่งออกมาให้นาซีมตามคำขอ ส่วนตัวเองก็หยิบที่เหลือออกมาเตรียมพร้อมเช่นกัน

ทว่าหลังจากที่พวกเขากำลังวุ่นวายอยู่ในรถม้านั้น นาซีมก็รู้สึกได้ว่ารถม้าที่เขาอยู่ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย เจ้าชายจึงสะกิดบอกอามินให้รู้ตัว

“อามิน”

“ว่าอย่างไร”

“เหตุใดรถม้าจึงไม่ขยับ”

อามินที่กำลังมองลอดออกไปทางหน้าต่างเพื่อดูลาดเลาหันมาหา ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจเช่นกัน ชายหนุ่มจึงขยับตัวและเปิดประตูออกไปด้านนอก

ทว่า...อามินกลับพบเพียงความว่างเปล่า

“ไอ้สารถีนั่นไปไหนแล้ว”

เขาออกมาหาสารถีของตนเอง ทั้งตะโกนเรียกแล้วก็ยังหาไม่เจอ นาซีมจึงออกความคิดเห็น

“หากสารถีนั่นไม่หนีไปแล้วเพราะกลัวตาย มันก็ต้องเป็นคนของทาริคแน่นอน”

ดวงตาของคนฟังเบิกกว้างเล็กน้อย “แล้วเราจะทำอย่างไรดี”

“ไม่เป็นไร เรามิต้องใช้รถม้าแล้ว แต่ขี่ม้าหนีไปเลยก็แล้วกัน” พูดจบนาซีมก็พาอามินออกมาด้านนอก เขากระโดดลงจากรถม้า แล้วจึงใช้ดาบที่มีฟันเชือกที่คล้องระหว่างตะขอยึดโยงรถม้ากับตัวอาชาออกจากกัน “โชคดีที่มีสองตัว พวกเราไปกันก่อนเถอะ”

พูดจบเจ้าชายก็กระโดดขึ้นหลังม้าก่อน ส่วนอามินก็รีบขึ้นอีกตัว พวกเขาพากันหนีไปทางด้านหลังอีกฝั่งหนึ่งของโอเอซิส แม้หลังจากนั้นจะเป็นทะเลทรายเวิ้งแต่ก็น่าจะปลอดภัยกว่า

“เราจะไปที่ใดกัน!” อามินตะโกนถามหลังควบอาชาผ่านแมกไม้ในมาไอร่า

“ย้อนกลับไปทางเดิม ตอนนี้คาริฟกำลังมาหาเราที่มาไอร่า บางทีเราอาจพบเขาระหว่างทาง” นาซีมบอกแผนที่เพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ แล้วสะบัดบังเหียนเร่งฝีเท้าอาชาให้มันไปเร็วกว่านี้

แต่ดูเหมือนนาซีมกับอามินจะไม่ได้โชคดีเหมือนทุกครั้ง เพราะทันทีพวกเขาที่หลุดชายขอบของโอเอซิสมาไอร่าออกมา ก็พบสารถีผู้โง่งมของอามินกับกองทัพย่อมๆ ที่มีราชาคนเถื่อนดักรออยู่…

ทาริคเบิกตากว้างเล็กน้อยยามที่เห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกัน ก่อนดวงตาสีเข้มจะผันเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด

“นั่นเจ้ากำลังจะไปที่ใด อามิน”

“...” อามินไม่ตอบทว่าถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แต่นั่นยิ่งทำให้ไฟโทสะที่มีอยู่โหมกระพือมากขึ้น

“ข้าถามว่าเจ้ากำลังไปที่ใด ตอบสิ!!! ”

“...ข้ากำลังจะไปจากเจ้า ทาริค”

น้ำเสียงเย็นๆ ทว่าราบเรียบของอามินทำให้ทาริคชะงักกึก เพราะเขาไม่คาดมากก่อนว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากอามิน

“ไปกับมันหรือ” ทาริคตวัดสายตามาทางนาซีม

“ถูกแล้ว

“เจ้าทำได้อย่างไร”

“ข้าทำอันใด”

“เจ้า...ทรยศข้าได้อย่างไร อามิน!”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดทว่าแววตาขมขื่นนั่นช่างดูไม่เหมือนทาริคที่นาซีมเคยพบ และเขาคาดว่าอามินก็คงไม่เคยเช่นกัน อามินจึงนิ่งไปนานกว่าจะยอมตอบโต้

“ขอโทษที่ปิดบังเจ้า แต่ข้าคิดว่ากำลังสิ่งที่ถูกต้องทาริค”

“สิ่งที่ถูกต้องหรือ...ทรยศต่อข้าผู้ที่ให้เจ้าทุกอย่าง แม้แต่ดินแดนนี้ข้าก็จะคว้ามาให้เจ้าได้ แต่เจ้ากลับบอกว่าการทรยศต่อคนที่ทำเพื่อเจ้าเพียงนี้เป็นเรื่องถูกต้องหรือ”

“ข้าเคยบอกเจ้าหรือว่าอยากเป็นเจ้าของดินแดนนี้ เคยขอให้เจ้าคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เพื่อข้าหรือไม่ เจ้าเปลี่ยนไปเพียงใด ถามซีญ่าเอาก็ได้ ผู้คนที่อยู่ข้างกายเจ้ารู้หมดว่าแต่ก่อนเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ กระหายอำนาจ ไม่สนแม้ต้องทำเรื่องเลวร้าย แล้วเจ้าต่างอันใดกับพ่อค้าทาสหรือราชาแห่งซันดา ในดินแดนนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นของเจ้าได้อย่างแท้จริงหรอกนะทาริค”

“อามิน!!! ” ทาริคโกรธจนตัวสั่น สายตาที่มองมาประเดี๋ยวก็ผิดหวัง ประเดี๋ยวก็เกรี้ยวกราด ผสมปนเปจนดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วรู้สึกอย่างไรกันแน่

“หากประกาศตนว่าเจ้าทำเพื่อข้าได้ทุกอย่าง เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยเจ้าชายนาซีมกับเผ่าภูตราตรีของข้าไปเถิด” อามินเพิ่งรู้จากจาเร็ดว่านาซีมตั้งครรภ์ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ทาริคทำร้ายเจ้าชาย

ไม่ยอมให้ทำบาปไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ได้ยินคำขอแล้วทาริคก็แค่นหัวเราะ

“หึ! เจ้าอยากให้ปล่อยพวกมันไปหรือ ไหนเจ้าบอกว่าไม่พอใจที่เห็นมันอย่างไรเล่า อ้อ...ข้าลืมไป นั่นก็เป็นอุบายเอาไว้หลอกคนโง่งมอย่างข้าเช่นกัน”

“...”

“เจ้าทำข้าเจ็บแสบนักอามิน ดังนั้นอย่าได้หวังว่าข้าจะทำตามที่เจ้าพูดอีก” พูดจบเขาก็หันไปสั่งคนของตนเองด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “จับมันไว้ให้หมด! ข้าจะให้อามินของข้าได้ดูพวกมันตายต่อหน้าเขาพร้อมๆ กัน”













ด้วยกำลังคนที่ทาริคพามา แม้เหล่าภูตราตรีจะมีความสามารถมากเพียงใด แต่ถ้ามีจำนวนแค่หยิบมือ น้ำก็ไม่สามารถเอาชนะไฟได้ ใช้เวลาเกือบครึ่งราตรีในที่สุดภูตราตรีโดยการนำของจาเร็ดก็ถูกจับมัดรวมกันที่ลานกว้างในมาไอร่า

พวกเขาถูกมัดรวมกันเอาไว้ รอบกายก็ถูกกองไม้ หญ้าแห้ง และเศษกระโจมห้อมล้อม ดูอย่างไรก็เหมือนกำลังจะถูกสุมไฟ

นาซีมเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ข้างในวงล้อมเหล่านั้นด้วย ส่วนอามินถูกทาริคจับแยกเขาไปมัดไว้ข้างกายเพื่อบังคับให้ดูหายนะอันจะเกิดกับเผ่าของตนเอง

กระทั่งทหารของคนเถื่อนหาเชื้อเพลิงมาได้มากพอ ทาริคจึงสั่งให้หยุด

“อย่าทำเช่นนี้นะทาริค” อามินอ้อนวอน แต่ทาริคกลับพูดโดยไม่หันไปมองหน้า

“เหตุใดจึงทำไม่ได้ รู้หรือไม่ว่าหัวหน้าของไอ้ภูตราตรีเหล่านี้มันจุดไฟเผาคนของข้าไปตั้งเท่าไหร่ หากข้าจะเอาคืนบ้างก็สาสมแล้วมิใช่หรือ”

“ข้าไม่อยากให้เจ้าทำ รู้หรือไม่ว่าถ้าทำไปแล้ว วันหนึ่งเจ้าจะเสียใจในภายหลัง”

“ข้าไม่เสียใจ!” ทาริคหันมาตวาด “อย่าได้คิดแทนข้าอีก ดีเท่าไหร่แล้วที่ข้าไม่จับเจ้าโยนเข้าไปอยู่กับพวกมันด้วย”

“เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียเลยสิ ข้าพร้อมตายอยู่แล้ว!” อามินตอกกับด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดพอกัน เขาไม่อยากให้ใครต้องตายเพราะทาริคอีกแล้ว ยิ่งคนเหล่านี้เป็นคนในเผ่าของตัวเอง อามินก็ยิ่งรับไม่ได้

“ข้าไม่ให้เจ้าตาย” ทาริคบอกชัดถ้อยชัดคำ แล้วจึงถอนสายตาจากใบหน้าน่าเวทนาของคนรัก

เขาทอดสายตามองไปยังกลุ่มคนในอาภรณ์สีดำสนิท มีเพียงนาซีมคนเดียวที่สวมชุดสีอ่อน เจ้าชายจึงดูโดดเด่นที่สุด ทาริคมองเจ้าชายแล้วยิ้มเหี้ยมเกรียม

“เห็นหรือยังนาซีม ว่ายามข้ามีโทสะ ข้าทำสิ่งใดได้บ้าง เดิมทีข้าคิดจะเลี้ยงเจ้าไว้เป็นเครื่องรางนำโชค แต่เจ้ากับคู่ของเจ้าทำข้าแสบนัก เช่นนั้นก็จงตกตายตามพ่อแม่ของเจ้าไปเสีย”

“...” นาซีมไม่ตอบโต้เพราะคร้านจะเสวนาอีกแล้ว เจ้าชายทั้งยังเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนงไม่เปลี่ยน แม้ใบหน้าและอาภรณ์ของเขาจะอยู่ในสภาพดูไม่ได้ แต่เขาก็จะไม่ยอมก้มหัวให้ทาริคหรือความตายที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้

เมื่อทาริคไม่ได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น เขาจึงหมดอารมณ์จะสนุกอีก เจ้าคนเถื่อนจึงสั่งให้ทหารของตนจุดไฟเผาเชลยทั้งเป็น

“จุดไฟเผามัน!”

สิ้นคำสั่ง ทหารเหล่านั้นก็นำคบเพลิงแตะกับเชื้อเพลิงที่หามาเพื่อเผาพวกเขาทั้งเป็น จากไฟดวงเล็กๆ ค่อยๆ ต่อติดกับเชื้อเพลิงแห้งก่อให้เกิดไฟกองใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนล้อมรอบให้เหล่าภูตราตรีอยู่ตรงกลาง

“ให้เจ้าชายอยู่ด้านใน”

จาเร็ดช่วยกันกับภูตราตรีทั้งหลายดันตัวนาซีมไว้ตรงกลาง แม้ไม่สามารถช่วยได้มากกว่านี้ เขาก็อยากประวิงเวลาให้เจ้าชายนานที่สุด

นาซีมไม่รู้จะขอบคุณทุกคนอย่างไร แม้ว่าเขาไม่กลัวตายอีกต่อไปแล้ว แต่น้ำใจที่ทุกคนมีให้ก็ทำให้เขาต้องหลั่งน้ำตา

อ๊าก!!!!!

ลมทะเลทรายทำให้ไฟลุกโหมมากขึ้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของคนที่อยู่นอกสุดของซึ่งถูกไฟลามมาติดที่เสื้อคลุมผสานกับเสียงร้องขอความเห็นใจของอามินดังกังวานไปทั่วมาไอร่า

นาซีมหลับตาลง เขานึกเสียใจที่ไม่ทันได้พบคาริฟก็จะจากไปก่อน เจ้าชายได้แต่หวังว่าคนรักของเขาจะอยู่ต่อไปได้โดยที่ไม่ทุกข์ทนหรือโทษตัวเอง

แต่ขณะที่นาซีมตัดใจและยอมตายแล้ว อยู่ๆ เสียงของคนที่เขาคิดถึงก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงไฟแตกปะทุ

“นาซีม!! !”

นาซีมลืมตาขึ้นโดยพลัน ทุกคนรอบกายเขาขยับตัวอย่างมีความหวัง เนื่องจากภาพตรงหน้า ใกล้กับที่นั่งของทาริคมีบุรุษในชุดดำบนหลังอาชาพวงพียืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกองทัพบนหลังม้านับพันนาย

“คาริฟ! ช่วยด้วย!”

“ข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้!!”

“ไอ้คาริฟ!” ทาริคกัดฟันกรอก ก่อนจะชักดาบของตนเองออกมาและสั่งการ “ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”

ทั้งสองฝ่ายพุ่งหาและฟาดฟันศาสตราวุธเข้าห้ำหันกันอย่างดุเดือด หากประเมินจากสายตาคนของทาริคและกำลังของคาริฟเวลานี้มีอยู่พอๆ กัน

ยามราตรีเช่นนี้มองเห็นอะไรไม่ชัดนัก ทุกอย่างดูชุลมุนไปหมด แต่นาซีมก็ยังจดจ้องและไม่อาจละสายตาจากเจ้าของดาบจันทร์เสี้ยวได้ เห็นคาริฟผลัดกันรุกผลัดกันรับกับทาริคด้วยท่าทางน่าหวาดเสียว กระทั่งพลาดท่าและตกลงมาจากหลังม้า พวกเขาจึงลงมาโรมรันกันตัวต่อตัวด้านล่างต่อ

“วันนี้ข้าจะล้มเจ้าให้ได้”

“หากทำได้ก็ลองดู” คาริฟตอบกลับอย่างเหี้ยมเกรียม

การต่อสู้แบบตัวต่อตัวครั้งที่สองเกิดขึ้นอย่างดุเดือด ทั้งสองใช้ประสบการณ์ตลอดชีวิตที่สั่งสมมาออกอาวุธใส่ฝ่ายตรงข้ามจนคนมองหายใจไม่ทั่วท้อง

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ร่างกายพร้อมกว่าย่อมได้เปรียบ ศึกที่ผ่านมาทาริคได้รับบาดเจ็บจากการดวลหน้ากำแพงเอมาลี ทำให้เขาพลาดท่าอีกครั้ง และถูกคาริฟฟันหลังจนร่างกระเด็นไปปะทะกับกระถางเพลิงไม่ไกลจากกระโจมกลาง

“อ๊าก!!!”

ไฟร้อนลามติดเสื้อผ้าของคนเถื่อนอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวหลุดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและลงไปกลิ้งกับพื้นด้วยท่าทางน่าเวทนา

แต่แล้วนาซีมก็ต้องละสายตาเพราะสิ่งที่ชวนตระหนกกว่านั้นกว่านั้นคือ ขณะนี้กองไฟที่ทาริคก่อกำลังจะมาถึงตัวเขากับภูตราตรีวงในแล้ว

นาซีมไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป เขาจึงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว วอนให้เทพีซาร์เรียโปรดเห็นใจ

โปรดช่วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ด้วยเถิด

สิ้นคำขอ ท้องฟ้าที่มีดาวเกลื่อนกร่นก็เลือนหาย กลายเป็มเมฆทะมึนกลุ่มใหญ่ถูกพัดมาแทนที่ราวกับมีเวทมนตร์

นาซีมคิดถึงภาพฝันครั้งล่าสุดที่เขาเห็น แล้วพลังงานบางอย่างก็บอกเขาว่าสิ่งนั้นกำลังจะมา...

ไร้สัญญาณเตือนใดๆ จากธรรมชาติ อยู่ๆ หยดน้ำเม็ดใหญ่ก็ค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า แรกเริ่มบางตา ก่อนจะสาดซัดลงมาจนใครก็ตั้งตัวไม่ทัน

ราวกับปาฏิหาริย์ที่ฝนห่าใหญ่เพียงนี้จะตกในทะเลทรายแห้งแล้ง...

กองไฟที่ล้อมพวกนาซีมไว้ค่อยๆ ดับมอดไปพลัน แต่ดูเหมือนคาริฟจะรู้สึกว่ามันไม่ทันใจ เขาจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาตบเปลวไฟพวกนั้นด้วย

“แบ่งคนมาช่วยพวกเขาเร็วเข้า!!”

คาริฟตะโกนสั่ง ใครหลายคนจึงรีบเข้ามาปล่อยคนที่เหลือให้เป็นอิสระ แม้แต่อันวาเองก็กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย

นาซีมหลั่งน้ำตาท่ามกลางความช่วยเหลือที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น ก่อนคนที่เขาคิดถึงที่สุดในชีวิตจะวิ่งฝ่าผู้คนเข้าาหาและถลามาคุกเข่าเพื่อดึงนาซีมไปโอบกอดไว้

“นาซีม!”

“...คาริฟ...ในที่สุดเจ้าก็มา”

นาซีมสะอื้นตัวโยน ความรู้สึกที่อดทนไว้พังทลายลงเมื่อได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดคนรักอีกครั้ง

“ยอดรักของข้า” คาริฟจูบลงบนกลุ่มผมของนาซีมอย่างรักใคร่และคิดถึงสุดหัวใจ “ข้ามาแล้ว”

“เจ้า...อึก...มาแล้ว ข้าคิดว่าคงไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว” เจ้าชายเผยความอ่อนแอด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“ไม่ต้องกลัวแล้ว ยามนี้ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่”

เขาเอ่ยไปพลาง ทั้งจูบและกอดรัดนาซีมไปพลาง ราวกับกลัวว่านาซีมจะหายไปอีก

เพราะนาซีมยังถูกมัดไว้ เขาจึงกอดตอบคาริฟไม่ได้ ทว่าเจ้าชายก็บดเบียดเข้าไปซบอกแกร่งแล้วอ้อนวอนราวกับเด็กน้อยผู้ขลาดกลัว

“สัญญากับข้า...อย่าทิ้งข้าไปอีก”

คาริฟก้มมองคนรักแล้วใช้มือเชยคางอีกฝ่ายขึ้น พวกเขาสบตากันท่ามกลางของขวัญของเทพีซาร์เรีย

“ข้าสาบานต่อสายฝน ณ มาไอร่า ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าอีกแน่นอน”







❂-----------------------------------------------------------❂





ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายแล้วนะคะ

ในที่สุดทุกคนก็จะได้เดินทางมาถึงตอนจบแล้ว

อ่านคิมเม้นท์แล้วคนอ่านบอกลุ้นมาก สนุกมาก  ใจคนเขียนก็ฟูมากค่ะ -///-

สารภาพว่าช่วงหลังๆ นี่ค่อนข้างแพนิคมากว่าจะดีไหมหลังปล่อยออกไป

ยังกังวลเพราะแผนการกับกลศึกต่างๆ นี่ยากจริง ฉากบู้และไหนจะฉากอารมณ์ด้วย

แต่เห็นทุกคนลุ้นตาม ดีใจจริงๆ นะคะ

เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝนจะรีบมาลงตอนส่งท้ายให้นะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ



ละอองฝน.

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ในนิมิตของนาซีมคือใครอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



บทส่งท้าย นิทานภูตราตรี









สงครามจบลงแล้ว

หลังเหล่าภูตราตรีชนะศึกที่มาไอร่า พวกเขาก็ตามไปสมทบกับกองกำลังของราชาฟารุคที่ล่วงหน้าไปดักกองทัพของทาริคซึ่งนำโดยนักบวชเชน ณ โฮมา แม้กองทัพนี้จะมีคนมากมาย แต่เมื่อขาดคนสำคัญเช่นราชาไร้พ่ายไปแล้ว ทัพหลวงก็แตกกระบวนไม่เป็นท่า

ราชาฟารุคสังหารนักบวชเชนและตัดหัวเสียบที่ประตูแคว้น จากนั้นก็ยึดเอาโฮมาคืนมาได้สำเร็จ เหลือแค่โซราห์ที่ยังมีพวกคนเถื่อนควบคุมอยู่ ทว่ามันก็ไม่ยากที่จะกู้บัลลังก์คืน

หลังจัดการทุกอย่างรายทางเรียบร้อย ทัพของโฮมาและเอมาลีต่างก็ยกมาช่วยนาซีมกอบกู้ราชบัลลังก์คืน ณ แคว้นโซราห์ ทั้งขับไล่และสังหารพวกคนเถื่อนจนสิ้น

เจ้าชายนาซีมได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชานาซีมแห่งแคว้นโซราห์โดยไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ เรื่องที่เขาเป็นเพียงโอเมก้าเพราะข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนทะเลทรายบอกว่า…

นาซีมเป็นผู้ทำนายที่ได้รับพลังจากเทพีซาร์เรีย ซ้ำคู่ครองยังเป็นถึงหัวหน้าชนเผ่าภูตราตรีที่สาบสูญ ทว่ามาปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อแผ่นดินทะเลทรายมีภัยจากคนชั่วช้า

ทั้งนาซีมยังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของราชาราฮิมและเป็นผู้นำความสงบกลับคืนสู่โซราห์ ดังนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิกล้ากังขาในสิทธิ์โดยชอบธรรมของเจ้าชายอีก

พวกเขาใช้เวลาเกือบปีในการปรับสมดุลทุกอย่างให้เข้าสู่ภาวะปรกติ

...กระทั่งในที่สุดดินแดนซาร์เรียก็กลับมาสงบสุขตามเดิม















“จบแล้วหรือขอรับท่านพ่อนาซีม” เสียงเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยเอ่ยถามหลังจากนิทานเรื่องโปรดจบลง

“ในเมื่อดินแดนทะเลทรายสงบสุขแล้ว นิทานก็จบแล้วสิลูก” นาซีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ทว่ายังมีเสียงทักท้วงจากเด็กหญิงอีกคนที่นอนอยู่ใกล้อ้อมอกของนาซีมมากกว่า

“แต่ลูกยังอยากฟังอีกนี่เจ้าคะ ท่านพ่อนาซีม”

“เอาไว้คืนพรุ่งนี้พ่อจะเล่าให้พวกเจ้าฟังอีกดีหรือไม่ ชารีฟ นาดา”

“แต่ลูกยังมิรู้เลยขอรับว่าเจ้าคนเถื่อนนั่นไปอยู่ที่ไหน” ชารีฟต่อรอง “ท่านพ่อนาซีมเล่าเรื่องคนเถื่อนผู้นั้นได้หรือไม่ขอรับ”

“พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปที่ใด แต่ครั้งสุดท้ายที่เห็น เขาก็ได้รับโทษทัณฑ์ของเขาแล้วล่ะลูก พวกเจ้านอนได้แล้วนะ วันพรุ่งนี้เราต้องเดินทางไปที่ดินแดนชายฝั่ง พวกเจ้ามิอยากไปกับพ่อหรือ” นาซีมพยายามหลอกล่อ

“แล้วท่านพ่อคาริฟไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ” นาดาหันมาถามท่านพ่อคาริฟที่นอนอยู่ข้างน้องชายของนาง

“ต้องไปด้วยอยู่แล้ว พ่อจะปล่อยพวกเจ้าพ่อ-ลูกไปกันเองได้อย่างไร จริงหรือไม่นาซีม” ชายหนุ่มว่าพลางเอื้อมมือข้ามเด็กๆ สองคนไปลูบแขนคนรัก

“อื้ม” นาซีมพยักหน้ารับ

“ดีจริงเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านพ่อพาลูกไปจับปูอีกนะเจ้าคะ”

“ลูกก็อยากไปด้วย ลูกอยากจับปูตัวใหญ่ๆ” ชารีฟกางแขนเทียบขนาดปูในจินตนาการ พานเอาคาริฟนึกขัน

“ใหญ่เท่านั้นเชียวหรือ พ่อว่านั่นคงไม่ใช่ปูแล้วล่ะชารีฟ น่าจะเป็นอสุรกายมากกว่า”

“อสุรกายหรือท่านพ่อ...มันตัวใหญ่ไหมขอรับ”

พอคาริฟเปิดเรื่องที่ลูกๆ ทั้งสองไม่รู้ เด็กๆ ก็พานอยากรู้ขึ้นมาอีก

“ท่านพ่อนาซีมรู้จักหรือไม่เจ้าคะ” นาดาหันกลับมาถามบิดาอีกคน นาซีมจึงได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเหนื่อยใจแล้วว่า

“เรื่องนี้คงต้องให้ท่านพ่อคาริฟเล่าแล้วล่ะ แต่ไม่ใช่ราตรีนี้นะ”

“โถ่...น่าเสียดาย”

“น่าเสียดาย”

ฝาแฝดทั้งสองถอนหายใจแล้วเอ่ยพร้อมกัน ใบหน้าม่อยๆ เพราะผิดหวังนั่นน่ารักเสียจนคาริฟแทบอดใจไม่ไหว อยากกอด อยากหอมลูกน้อยให้สมกับความน่ารัก แต่ก็เกรงว่าจะทำให้ลูกไม่ยอมหลับยอมนอนขึ้นมาอีก

สุดท้ายเจ้าภูตราตรีจึงยื่นข้าเสนอ

“ถ้าพวกเจ้ายอมทำตามที่ท่านพ่อนาซีมบอก คืนพรุ่งนี้พ่อจะเล่าเรื่องของอสุรกายตัวใหญ่ๆ ให้ฟังดีหรือไม่”

“ดีขอรับ! ~”

“ดีเจ้าค่ะ~”

“เด็กดี”

คาริฟจูบลงบนหน้าผากของลูกสองทั้งทีละคน แล้วจึงโน้มตัวผ่านชารีฟและนาดาไปจูบเบาๆ ที่ขมับของนาซีมด้วย เด็กๆ ต่างก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคักเมื่อได้เห็นบุพการีทั้งสองแสดงความรักต่อกัน แม้ว่าภาพเหล่านี้พวกเขาจะเห็นจนชินตา

นาซีมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเพราะอายสายตาลูกๆ ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่ชินกับการแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นอยู่ดี

กระทั่งพิธีกรรมจูบหน้าผากก่อนนอนสิ้นสุดลง ทั้งคาริฟและนาซีมก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมอกให้ลูกน้อย

ตั้งแต่เด็กๆ เกิดมา พวกเขาช่วยกันดูแลบุตรฝาแฝดเองกับมือ เพราะนาซีมเคยบอกว่า หากเราดูแล อยู่ใกล้ชิดและให้ความอบอุ่น เด็กๆ ก็จะเติบโตมาเป็นคนอ่อนโยน

เมื่อคาริฟได้ฟังก็เต็มใจทำตามอย่างไม่โต้แย้ง เพราะอยากให้ลูกน้อยเติบโตมาน่ารักเหมือนนาซีมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

กระทั่งเห็นว่าลูกเข้าสู่นิทราแล้ว คาริฟก็ชวนนาซีมกลับไปที่ห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ติดกันแค่ผนังกั้น แต่ก่อนที่พวกเขาจะลงจากเตียง มือน้อยๆ ของชารีฟก็คว้าชายเสื้อของคาริฟไว้

“ท่านพ่อคาริฟ” เด็กน้อยเรียกด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“ยังไม่หลับอีกหรือตัวยุ่ง...”

“ลูกกำลังจะหลับ แต่ลูกสงสัยขอรับ”

“สงสัยเรื่องอะไรเล่า”

“ท่านพ่อเองก็รู้จักภูตราตีใช่ไหมขอรับ”

“รู้สิ”

“แล้วภูตราตรีในนิทานของพวกท่านมีจริงหรือไม่ขอรับ”

“มีจริงอย่างแน่นอน” คาริฟตอบ

“เช่นนั้นหากลูกพบเจออสุรกาย ผู้พิทักษ์ทะเลทรายเช่นภูตราตรีจะมาช่วยลูกหรือไม่ขอรับ”

ครั้นได้ยินคำถาม คาริฟก็เงยหน้าขึ้นสบตานาซีม พวกเขายิ้มให้กันแล้วคาริฟจึงก้มลงจูบหน้าผากบุตรชายสุดที่รักอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำตอบที่เป็นทั้งคำสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“หากพบเจออสุรกาย คนชั่วร้าย หรือแม้แต่สถานการณ์คับขัน ขอให้เจ้ารู้ไว้ลูกรัก...ว่าพ่อจะไปช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”

เมื่อนาซีมได้ฟังก็หลุดยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในใจ เขาเชื่อมันว่าคาริฟจะทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เช่นทุกครั้ง เพราะบุรุษผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์ในนิทานที่มีชีวิต

ภูตราตรีผู้เป็นที่รักหนึ่งเดียวของนาซีม







❂จบบริบูรณ์❂





นิทานภูตราตรีคือนิยายที่ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบค่ะ

จั่วหัวมาแบบนี้แปลว่านิยายบางเรื่องของฝนมีที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบใช่ไหม ตอบเลยว่าใช่ แต่บางเรื่องนะ 555

พูดกันถึงเนื้อเรื่อง ฝนคิดว่านิยายเรื่องนี้มีความท้าทายสูงมากสำหรับตัวเอง เพราะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมทุกอย่างให้กลมกล่อม ทั้งการดำเนินเรื่องที่เป็นสเกลใหญ่มาก ตัวละครที่หลากหลายขึ้น ซึ่งถ้าหลายๆ คนที่อ่านงานฝนมาก่อนจะสังเกตเห็นได้ว่าฝนไม่ค่อยเขียนนิยายที่มีตัวละครเยอะ เหตุผลเพราะมันคอนโทรลยากน่ะค่ะ

นิยายเรื่องนี้เกิดจากความชอบสองอย่างมารวมกัน และอยากลองเขียนมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส

หนึ่งคือ โอเมก้าเวิร์ส สองคือ กลิ่นอายของอารยธรรมอาหรับ

ทั้งที่จริงๆ ไม่ชอบอากาศร้อนเลยค่ะ แต่เป็นปลื้มเสื้อผ้าและภูมิปัญญาของชาวอาหรับหลายอย่างมาก แล้วก็ต้องหาข้อมูลกับออกแบบแคว้นแต่ละแคว้นหนักมากเหมือนกัน ส่วนปมการเมืองในเรื่องนั้นเป็นเพราะช่วงที่คิดกำลังอินกับแนวกอบกู้บัลลังก์อยู่ด้วย ฝนก็เลยเก็บความชอบที่มีมารวมกันและค่อยๆ ประกอบเป็นนิทานภูตราตรีขึ้นมา โดยฐานของเรื่องเป็นยุคหลังจากที่โลกเคยเสื่อมสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง

พูดถึงการเสื่อมสลายมาแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่มีอารยธรรมเดิมของยุคที่เคยอยู่ก่อนหน้าเลย ตรงนี้ฝนก็อยากโยงไปยังอีกจุดหนึ่ง คือ ภาคต่อ

ฝนมีคิดภาคต่อ ไว้แล้ว แต่อย่างที่บอกไปข้างต้น นิยายเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ลองเขียนแบบสเกลใหญ่ มันจึงค่อนข้างคอนโทรลยากระหว่างเกมการเมือง ยุคสมัย สภาพแวดล้อม และความรัก ดังนั้นฝนก็ยังไม่รับปากว่าจะเขียนเร็วๆ นี้นะคะ คงต้องดูสถานการณ์ก่อน เพราะถ้าเขียนกลัวว่าจะควบคุมไม่ให้ออกทะเลได้หรือเปล่า ยังมีความกังวลตรงนี้สูงเลยค่ะ

แต่ฝนจะบอกชื่อภาคต่อไว้นะคะ ชื่อ ลำนำโพ้นทะเลค่ะ ไม่ได้เป็นความลับอะไรหรอก เอาไว้ให้คนอ่านเดาเล่นๆ ว่าเหตุการณ์จะไปในทิศทางไหน

นอกจากตัวเรื่องที่ค่อนข้างชอบ ตัวละครก็ชอบมากเหมือนกัน

คือตัวละครเรื่องนี้นิสัยและลักษณะอาจจะไม่โดดเด่นจากสไตล์ที่เคยเขียนเท่าไหร่ แต่ตอนออกแบบฝนเห็นภาพพระเอกนายเอกในหัวชัดเจนเลยค่ะ ถ้าถามว่าชอบคาแรกเตอร์ไหนมากกว่ากันระหว่างคาริฟและนาซีม เรื่องนี้ฝนบอกไม่ได้นะ น่าจะชอบทั้งคู่พอกันเลย ฝนชอบตอนที่เขียนให้เขาอยู่ด้วยกันมากๆ ไม่ว่าจะตอนรักกันแล้วหรือเพิ่งเจอกัน มันมีบรรยากาศบางอย่างที่อวลอยู่รอบกายเวลาเขียน คือเข้าพระเข้านายทีไรเป็นต้องรู้สึกทุกครั้ง ซึ่งดีมากสำหรับคนเขียนอย่างฝนค่ะ เพราะทำให้ไม่เบื่อเลยเวลาที่ต้องพาเขาดำเนินไปในเรื่องราวจนจบ

ส่วนตัวละครอีกตัวที่ชอบมากคือทาริคค่ะ จริงๆ ถ้าคิดตามขนบนิยายช่วงยุคแรกๆ ที่ฝนเคยอ่าน ทาริคนี่เป็นพระเอกได้เลยนะ พระเอกแบดๆ น่ะค่ะ 555 แต่ฝนไม่ได้อยากให้นิยายเรื่องนี้เป็นแนวตบจูบ อีกอย่างก็มีคาริฟคนดีอยู่ในใจแล้ว ทาริคก็เลยปัดไปเป็นตัวโกงค่ะ 555

ตอนเขียนเรื่องนี้จนจบฝนเองก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก เพราะเนื้อเรื่องเป็นไปตามที่คิดและวางแผนไว้เกือบ 90% ถึงแม้คิดว่าอนาคตตัวเองอาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็ได้ ถ้ารีไรต์หรือเก็บไว้ก่อน ยังไม่เขียน แต่ฝนก็คิดว่ามันเป็นนิทานภูตราตรีเวอร์ชันที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองที่มีประสบการณ์เขียนเท่านี้แล้ว 

อีกเรื่องที่ดีใจมากคือการตอบรับของคนอ่าน เอาตามตรงก่อนลงก็กลัวมากค่ะ กลัววว่าเรื่องจะเข้าถึงยากไหม คนอ่านจะอินด้วยหรือเปล่า แต่เพราะชอบเรื่องนี้มากๆ ก็เลยตัดสินใจเขียนลงเลย ขอบคุณคนอ่านที่ติดตามทุกคนนะคะ หากไม่ใช่เรื่องที่ลำบากเกินไป ฝนก็อยากให้คนอ่านของฝนช่วยให้กำลังใจคนเขียนตัวน้อยๆ คนนี้ต่อไปด้วยนะคะ



ปล. เรื่องนิยายที่จะขายเป็นเล่ม ตอนนี้ฝนของเคลียร์รอบพรีก่อนนะคะ เพราะล่าช้ามากแล้ว 

ทั้งฝนป่วยตอนมีนาแล้วมาเจอโควิดด้วย ตอนนี้ก็ได้แต่รอเคอรี่ส่งเล่มมาแล้วแพคส่งค่ะ

ส่วนหลังจากนี้ฝนจะมีเปิดให้คนที่เพิ่งมาอ่านได้จองกันนะคะ และอีบุ๊คฝนก็จะเปิดประมาณต้นๆ เดือนเหมือนกันค่ะ

ยังไงจะเข้ามาแจ้งอีกทีนะคะ 



สุดท้าย รักและขอบคุณทุกคนสุดหัวใจเลยค่ะ



ละอองฝน.

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
นิทานซ้อนนิทาน เจี่ยม!!

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอบคุณที่แต่งนิทานภูติราตรีมาให้อ่านนะคะ จะรอติดตามภาคต่อนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ taoz

  • คนน่ารัก มักใจร้าย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
    • Twitter

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ดีมากกกค่ะ ปลื้มมาก อิ่มเอมใจ
นิทานภูตราตรีไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่มีอยู่จริง
รักแท้ที่รอคอยและอบอุ่นเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน

ลุ้นมากก ตอนที่นาซีมหนีรอดมาได้ และลุ้นไปอีก
ตอนที่รู้ว่า ทาริคจะไปไมอาร่าก่อน ถ้าคารีฟไม่ตามมาคืนนี้
ก็ไม่อยากคิดแล้วค่ะว่าจะเหิดอะไรขึ้นบ้าง แถมปาฏิหาริย์ก่อเกิดด้วย

ในนิมิต คงไม่ใช่ทาริคและอามินหรอกใช่ไหม ถึงใจจะคิดว่าใช่ก็ตาม
ความรักชนะทุกอย่าง แต่ความโลภก็ชนะทุกอย่างได้ไม่ต่างกัน

เด็กน้อยเป็นแฝดด้วย น่าเอ็นดูมากค่ะ พ่อให้สัญญาว่าจะดูแลเจ้านะ
เป็นอะไรที่ดีงาม มีความเล่าเรื่อง และผูกเรื่องได้ลงตัวค่ะ

ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิยายดีๆ ดีมากเลยแหละ
เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ทาริคอามิน..คิดถึง จะเป็นยังไงบ้างนะ

เด็กแฝดค่าตัวแพง..ออกมาให้ชื่นใจนิดเดียวเอง :heaven

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด