พิมพ์หน้านี้ - ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ละอองฝน ที่ 08-07-2019 17:29:39

หัวข้อ: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 08-07-2019 17:29:39
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*********************************************************************




❂ นิทานภูตราตรี ❂







คู่แห่งโชคชะตามีจริงหรือ
นั่นเป็นคำถามที่นาซีมนึกสงสัยมาตลอดชีวิต
กระทั่งวินาทีที่ได้สบตากับบุรุษในชุดคลุมสีดำราวผืนรัตติกาล
บางสิ่งบางอย่างบอกนาซีมว่า...บุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือ 'คู่โชคชะตา' ของเขา







สารบัญ


ปฐมบท (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg3988387#msg3988387)
บทที่ 1 นิทานหลอกเด็ก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg3994410#msg3994410)
บทที่ 2 คนในนิทาน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg3995703#msg3995703)
บทที่ 3 ลวงภมร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg4003321#msg4003321)
บทที่ 4 คำขอบคุณ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg4003728#msg4003728)
บทที่ 5 กลิ่นไม่พึงประสงค์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg4004114#msg4004114)
บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg4004346#msg4004346)
บทที่ 7 ระยะห่าง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg4004841#msg4004841)
บทที่ 8 ระบำใต้แสงดาว 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg4011009#msg4011009)
บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg4011475#msg4011475)
บทที่ 10 ไม่ผูกมัด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70648.msg4011825#msg4011825)




หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: ปฐมบท :- [8/7/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 08-07-2019 17:34:38
 




ปฐมบท

 

 




 

ในอดีตอันไกลโพ้น

ณ ห้วงกาลที่ชาวเราไม่อาจหวนถึง

โลกใบนี้เคยมีแผ่นดินอยู่ถึง 7 ทวีป

แต่เมื่ออารยธรรมเจริญถึงขีดสุด

โลกกลับถึงคราวล่มสลายด้วยภัยธรรมชาติซึ่งมีเหตุจากน้ำมือมนุษย์

 



 

ทุกสรรพสิ่งแปรผันในชั่วข้ามคืน

ก่อนเหลือเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์แค่หยิบมือ

…และซาร์เรีย ดินแดนทะเลทรายแห่งสุดท้าย

 

 



 

ครั้นวันคืนผ่านพ้นไปหลายพันปี

สมดุลของโลกฟื้นคืนอีกครั้ง

อารยธรรมจึงได้เริ่มต้นขึ้น

 

 



 

ทว่า เพื่อการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์ มนุษย์ได้วิวัฒน์ไปเป็นสิ่งที่เหนือกว่าเดิม

ลืมเลือนความผิดพลาดในวันวานไปเช่นกัน

มีก็แต่เพียงชาวเราเท่านั้นที่ยังคงจดจำ

และคงอยู่เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง

 

 


 

เรา ผู้ที่ถูกเรียกขานในนาม…ภูตราตรี

 

 

 



 


 
❂ …………………………….❂

 











สวัสดีค่ะ

ในที่สุดก็ได้เอานิยายเรื่องนี้มาลงสักที

เรื่องนี้จะค่อนข้างแหวกจากที่ฝนเคยเขียนไปพอสมควร

เป็นแนวโอเมก้าเวิร์สเรื่องแรก และเป็นแนวทะเลทรายเรื่องแรกเหมือนกัน

เรื่องราวจะว่ากันหลังจากโลกแต่เดิมที่เราเคยอยู่ล่มสลายไปแล้วครั้งหนึ่ง

ตอนแรกมีเพียงแค่ความรู้สึกอยากเขียนเท่านั้น

แต่พอเขียนไปแล้วรู้สึกว่ายากมากสำหรับเรา

แต่ก็ตั้งใจเต็มที่ค่ะ

หวังว่าคนอ่านจะชอบนะคะ

หลังจากนี้จะมีอัพเดตข้อมูลต่างๆ เรื่อยๆ



ฝากติดตามด้วยนะคะ



ละอองฝน.



หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: ปฐมบท :- [8/7/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-07-2019 21:01:30
 :pig2: :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: ปฐมบท :- [8/7/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-07-2019 21:04:23
 :pig2:
รอติดตามคร่าา
 :3123:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: ปฐมบท :- [8/7/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-07-2019 22:52:06
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 1 นิทานหลอกเด็ก :- [4/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 04-08-2019 21:53:36







บทที่ 1 นิทานหลอกเด็ก









เมื่อแสงแดดโรยราจวบจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า สายลมจากทะเลทรายก็แปรเปลี่ยนจากร้อนระอุเป็นเยียบเย็น เจ้าชายน้อยที่เพิ่งสรงน้ำเสร็จรีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตนเอง ปากก็ไล่นางกำนัลให้ออกจากห้อง ก่อนกระโดดผลุบขึ้นเตียงกว้างเพื่อรอการมาถึงของใครบางคน


ท่ามกลางเสียงลมกระทบเครื่องแขวน เขานอนรออยู่พักใหญ่จนอดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามนางกำนัลหน้าห้องหลายครา กระทั่งบุคคลที่เฝ้าถวิลหามาเยือน


สตรีผู้นั้นมาพร้อมเสียงกระพรวนบนกำไลข้อเท้าที่ดังกังวานเป็นจังหวะยามเยื้องบาทมาตามโถงทางเดิน ครั้นเข้าถึงเขตห้องบรรทม แสงจากโคมฉลุลายจึงส่องให้เห็นเงาร่างแบบบางคุ้นตา


“ท่านแม่!”


เจ้าชายน้อยผุดลุกขึ้นจากเตียง เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นัยน์ตาวิบวับดุจดวงดาราเปล่งประกาย


“คิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าคงยังไม่นอน” อาลียายิ้มให้บุตรชาย จากนั้นจึงเดินมาหยุดข้างเตียงสี่เสาและปีนขึ้นไปนอนยังที่ว่างที่เว้นให้


“ข้ารอท่าน” เขาว่า “เหตุใดจึงมาช้านัก”


“ภารกิจขององค์ราชามีมาก แม่ต้องอยู่ช่วยพ่อเจ้า”


“เหล่าขุนนางของท่านพ่อเล่า”


“อาทิตย์ตกแล้ว มีหรือขุนนางผู้เฒ่าจะรั้งอยู่ในห้องทรงอักษรไหว”


“เช่นนั้นท่านแม่คงเหนื่อยแย่ ไหนจะมาหาข้า ไหนจะช่วยท่านพ่อทรงงาน” เจ้าชายน้อยทำหน้าสลด เพราะรู้สึกผิดที่ทำให้มารดาต้องลำบาก


“ไม่เอาน่านาซีม แม่ไม่เป็นไร ดีเสียอีกที่ได้ถวายงานองค์ราชา”


“หากข้าโตกว่านี้ ท่านแม่คงจะไม่เหนื่อยอีก เพราะข้าจะเป็นคนคอยช่วยท่านพ่ออีกแรง”


อาลียามองบุตรชายเพียงคนเดียวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากนวลสีน้ำผึ้ง


“แม่เชื่อว่า…เจ้าจะเป็นราชาที่ดีเยี่ยงพ่อเจ้าแน่นอน นาซีม” แล้วว่า “พวกเราเลิกพูดเรื่องพ่อเจ้าเถอะ ไหนบอกซิ วันนี้เจ้าชายน้อยของแม่อยากฟังนิทานเรื่องอะไร”


ในทุกค่ำคืน หลังจากเสร็จสิ้นงานที่อาลียาต้องทำในฐานะราชินี พระนางก็จะมาหาลูกน้อยที่หอคอยของเจ้าชาย และส่งเจ้าตัวน้อยเข้านอนด้วยสารพัดนิทานที่นาซีมขอให้เล่า


“ข้าอยากฟังเรื่องของภูตราตรี” เจ้าชายน้อยเอ่ยโดยไม่ต้องคิด


“เรื่องของภูตราตรีอีกแล้วหรือ”


อาลียาเลิกคิ้วนิดๆ ด้วยความประหลาดใจ เพราะบุตรชายของนางขอร้องให้เล่าเรื่องราวพวกชนเผ่าภูตราตรีไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว


“ขอรับ” นาซีมยืนยัน


“เหตุใดเจ้าจึงไม่เคยเบื่อเรื่องนี้เลยนะ”


“เพราะข้าชอบเรื่องราวของภูตราตรี” เขาตอบโดยไม่ลังเล ก่อนจะใช้แววตากระจ่างใสอ้อนมารดา “ท่านเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ท่านแม่”


“ได้สิ ถ้าเจ้าอยากฟัง แม่ก็จะเล่า” อาลียาไม่คิดขัดใจบุตรชาย เมื่อถูกอ้อนเช่นนี้นางก็ยิ่งใจอ่อนยวบ


พระนางหันไปสั่งให้นางกำนัลหรี่ตะเกียง ก่อนจัดให้นาซีมเอนหลังลงนอนในท่าที่สบายที่สุดใต้อ้อมแขนของนาง จากนั้นจึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ยเรื่องราวของเหล่าภูตราตรี ชนเผ่าโบราณผู้มีหน้าที่คอยรักษาสมดุลของซาเรีย ดินแดนทะเลทรายที่กว้างไกลและเจิดจ้าที่สุด


ในระหว่างที่อาลียาเล่านิทานให้บุตรชายฟังอยู่นั้น อยู่ๆ เจ้าชายน้อยที่คล้ายว่าจะเข้าสู่นิทราในไม่ช้า ก็ลืมตาขึ้นมองมารดา แล้วเอ่ยถามสิ่งที่นึกสงสัย


“ท่านแม่”


“ว่าอย่างไร”


“หากภูตราตรีมีอยู่จริง ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”


พระนางก้มลงสบตาบุตรชาย แล้วยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนตอบ


“เหล่าภูตราตรีนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางทีเขาเหล่านั้นอาจเดินสวนกับเรา หรือกำลังช่วยเจ้าเก็บตำราที่ทำตกตอนไปศึกษาที่หอศึกษาก็เป็นได้”


 “แต่ท่านแม่บอกว่า ภูตราตรีจะอยู่ที่ไอเลม สรวงสวรรค์ของพวกเขา ทั้งยังสวมอาภรณ์สีดำสนิทราวกับสีท้องฟ้าในคืนไร้ดาวและสะพายดาบวงพระจันทร์ติดหลังมิใช่หรือ ถ้าเป็นผู้ที่มีลักษณะเช่นนั้น ข้าคงไม่เคยพบ”


“หึๆๆ เจ้าแน่ใจหรือ”


“ข้า…”


ได้ฟังถ้อยความอันเป็นปริศนาชวนให้ขบคิด เจ้าชายน้อยก็ทำตาโต แล้วย้อนคิดไปว่าตนเองเคยทำตำราตกแล้วมีผู้ใดเก็บมาคืนหรือไม่ แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเคยพบเจอผู้ใดที่มีลักษณะคล้ายกับภูตราตรี


เห็นบุตรชายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มัวครุ่นคิดถึงบุคคลปริศนาในเรื่องเล่าจนไม่ยอมหลับนอน ราชินีอาลียาจึงจำต้องตัดบท ด้วยเวลานิทานในค่ำคืนนี้หมดลงแล้ว


“เอาเถอะ เจ้าอย่าเก็บมาครุ่นคิดให้ปวดหัวเลยนาซีมลูกรัก เพราะอย่างไรเสีย เรื่องที่แม่เล่าให้ฟังก็เป็นเพียงนิทานปรัมปรา”


“ท่านแม่จะบอกข้าว่า เรื่องของภูตราตรีไม่มีจริงอย่างนั้นหรือ…”


“แม่บอกไม่ได้หรอกว่าภูตราตรีมีจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่แม่บอกได้ก็คือ หากภายภาคหน้าเจ้าประสบกับเหตุการณ์คับขัน เจ้าจะได้รู้เองว่าผู้ที่อยู่ในนิทานนั้นมีจริงหรือไม่…”




❂ …………………………….❂




   “ได้เวลาตื่นบรรทมแล้วเพคะ เจ้าชายนาซีม”


   ทันทีที่ได้ยินเสียงนางกำลังคนสนิท นาซีมก็สะดุ้งตื่นจากห้วงฝันอันไกลโพ้น หน่วยตาคู่งามจ้องมองเพดานผ่านม่านมุ้งบางเบาแสนคุ้นตาที่แปรเปลี่ยนไปไม่มาก กระนั้นเขาก็รู้ว่าในตอนนี้ เขาไม่ใช้เจ้าชายนาซีมตัวน้อยอีกแล้ว แต่เป็นเจ้าชายนาซีมที่มีอายุ 20 พรรษา และกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับหัวหน้าชนเผ่าเร่ร่อน ที่กำลังจะเข้ามาบุกยึดแคว้นโซราห์ หากนาซีมไม่ยอมทำตามเงื่อนไข


   ถ้าท่านพ่อและท่านแม่ไม่สวรรคต บางทีแคว้นโซราห์คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้


   ย้อนไปเมื่อสองเดือนก่อน ทางฝั่งตะวันอออกของแคว้นโซราห์ซึ่งติดกับชายทะเล เกิดโรคระบาดที่มากับลมทะเล ทำให้ประชาชนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก องค์ราชาราฮิม ผู้ที่รักและเมตตาต่อประชาชนอย่างยิ่ง ทรงเป็นห่วงกังวลจึงเดินทางไปยังพื้นที่ที่ประสบโรคระบาดด้วยตนเองพร้อมกองทัพหมอหลวงกับราชินีคู่พระทัย


   โดยทิ้งให้บุตรชายเพียงคนเดียวคอยรั้งอยู่ที่พระราชวังเพื่อสะสางพระราชกรณียกิจอื่นแทน แต่ใครเล่าจะคาดคิด แม้แคว้นโซราห์สามารถควบคุมและกำจัดโรคระบาดได้ในที่สุด แต่ทั้งสองพระองค์กลับถูกลอบปลงพระชนม์ จากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายในระหว่างเดินทางกลับพระราชวัง


   เมื่อเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทั่วทั้งแคว้นโซราห์ย่อมระส่ำระส่าย ผู้เดียวที่จะหยุดยั้งความตื่นตระหนกและโศกเศร้าของประชาชนได้มีเพียงเจ้าชายนาซีม รัชทายาทพระองค์เดียวแห่งแคว้น


   ทว่าเรื่องราวไม่จบอย่างสวยงามแค่เจ้าชายนาซีมขึ้นครองราชย์ เพราะก่อนจะขึ้นนั่งบัลลังก์นั้น เสียงทั้งของขุนนางและประชาชนกลับแตกออกเป็นสองฝั่ง ถึงความไม่เหมาะสมในราชบัลลังก์ของเจ้าชายพระองค์นี้


   ถูกที่นาซีมคือทายาทสายตรงเพียงคนเดียวขององค์ราชา เขามีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เว้นเพียงข้อเดียว…


   นาซีมเป็นโอเมก้า


   โอเมก้าที่ถูกมองและตีตราจากทุกคนว่า…ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้นำ!


   ในโลกที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่จากเศษเถ้าถ่านของโลกใบเดิม สิ่งมีชีวิตและทรัพยากรต่างๆ ก็ปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลง มนุษย์เองก็เช่นกัน


   ในโลกใบนี้ อย่างน้อยก็ในดินแดนซาเรีย มนุษย์มิได้แบ่งแยกกันที่เพศชายหรือเพศหญิงเหมือนก่อนกาล แต่มนุษย์นั้นแบ่งเป็นสามเหล่า คือหนึ่งอัลฟ่า สองเบต้า และสามโอเมก้า


   เบต้าคือประชากรที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เพราะเป็นเหล่าที่แทบไม่ต่างกับมนุษย์ในยุค่อน อัลฟ่าและโอเมก้านั้นพบได้ทั่วไป เพราะวิวัฒน์มาเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอดในยุคหลังโลกเดิมล่มสลาย


   โดยอัลฟ่าจะมีพละกำลังมากกว่าปรกติ เป็นเหล่าของผู้นำ ด้วยมีสัญชาตญาณของความเป็นผู้นำสูง


   ส่วนโอเมก้านั้นสามารถปรับสมดุลลดความดุดันและพลังของอัลฟ่า ทั้งยังสามารถให้กำเนิดบุตรได้ไม่ว่าโอเมก้าคนนั้นจะเป็นชายหรือหญิง


   การปรับเปลี่ยนไปของมนุษย์ในยุคนี้ มาพร้อมความอยู่รอดกับความเชื่อที่ว่า ในเมื่อมีอัลฟ่าที่ปราดเปรื่อง เป็นผู้นำ โอเมก้าก็ควรจะเป็นผู้ตาม และรับหน้าที่ให้กำเนิดบุตรก็เพียงพอแล้ว


   โชคร้ายที่ราชาแห่งแคว้นโซราห์ให้กำเนิดบุตรชายซึ่งเป็นโอเมก้า ทุกคนจึงกังขาว่า เจ้าชายนาซีมคู่ควรกับการเป็นผู้นำของแคว้นหรือไม่


   มีเพียงองค์ราชาและราชินีของแคว้นเท่านั้นที่รู้ว่าบุตรของพระองค์เหมาะสมเพียงใด ทว่าเวลานี้พวกท่านไม่อยู่แล้ว นาซีมจึงต้องสู้กับคนทั้งแคว้น เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าตนเหมาะสมกับตำแหน่งนี้แค่ไหน หาใช่แค่เพราะเกิดมามีสายเลือดของกษัตริย์


   และโอกาสพิสูจน์ของนาซีมก็มาถึง เมื่อแคว้นโซราห์ถูกรุกรานโดยกองกำลังของชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งเดินทางไปทั่วดินแดนซาร์เรีย กวาดต้อนเอาเอาหาร แพรพรรณ สิ่งของมีค่า และผู้คนไปเป็นทาส ไม่ว่าแคว้นใดที่กองกำลังของชนเผ่าเร่ร่อนเดินทางผ่าน แคว้นนั้นจะต้องย่อยยับ


   ชนเผ่าเร่ร่อนกลุ่มนี้ชื่อว่าทารายา โดยมีชีคทาริคเป็นผู้นำ


แคว้นแล้วแคว้นเล่า ใครจะคิดว่า สุดท้ายกองทัพคนเถื่อนจะหยุดเพราะหมายตั้งรกรากที่โซราห์ ดินแดนรุ่งเรืองทางฝั่งตะวันออกของซาร์เรีย และเพื่อไม่ให้เป็นเช่นนั้น เจ้าชายนาซีมจึงต้องเป็นผู้นำในการปกป้องแคว้นไม่ให้ถูกทำลาย ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม


   ในทีแรกเจ้าชายตัดสินใจเอากองทัพเข้าต้าน ทว่ากองทัพที่ควรจะเกรียงไกรเทียบเท่าความรุ่งเรืองของแคว้นกลับแตกพ่ายย่อยยับ


   สาเหตุมาจากโซราห์เป็นเมืองค้าขาย ไร้ซึ่งการศึกมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อตั้งนคร ทำให้กองทัพไม่อาจต้านทานทัพเดนตายที่เชี่ยวชาญการรบของเผ่าทารายาได้


   และอีกสาเหตุอาจมาจากปัญหาการเมืองในแคว้น ที่เหล่าแม่ทัพขุนนางแตกออกเป็นสองฝั่ง หนึ่งเชื่อฟังเจ้าชาย อีกหนึ่งหายึดถือในคำสั่งไม่ ด้วยเห็นว่าเจ้าชายโอเมก้าก็ไม่ต่างจากภรรยาที่บ้าน ไหนเลยจะมาออกคำสั่งในสนามรบได้


   การศึกยาวนานกว่าสองเดือน จนกำแพงเมืองด้านหนึ่งพังทลายลง ทหารเลวของทาริคบุกเข้ามาฆ่าฟันประชาชนราวผักปลา


ในที่สุด…ทุกฝ่ายจึงเห็นพ้องต้องกันและกดดันให้เจ้าชายนาซีมยอมแพ้ และทำตามข้อตกลงที่ทาริคเสนอตั้งแต่เริ่มทำสงคราม


   หนึ่ง ขอให้เปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพของทารายา


   สอง จัดงานอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายนาซีมและชีคทาริค


   สาม แต่งตั้งชีคทาริคขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นโซราห์ต่อจากราชาราฮิม


   เจ้าชายนาซีมอยากหลับตาและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เพียงเพราะรู้ว่าวันนี้คือวันที่พระองค์ต้องเดินทางออกไปอภิเษกกับคนเถื่อนนอกกำแพงเมือง ซ้ำยังต้องเปิดประตูรับมันเข้ามาเป็นราชาของแคว้น


   แคว้นที่บรรพบุรุษของนาซีมสร้างขึ้นมากับมือ แต่กลับต้องตกเป็นของคนอื่นในรุ่นของนาซีม…


   นาซีมแทบรับความอัปยศนี้ไม่ไหว เขามองนางกำนัลวาดลวดลายเมเฮนดีสวยงามอ่อนช้อยบนมือทั้งสองข้างด้วยความรู้สึกหดหู่ใจอย่างหาใดเปรียบ


   “เสร็จแล้วเพคะ เจ้าชายโปรดลุกขึ้นสวมฉลองพระองค์เถิดเพคะ”


   นาซีมมองชุดที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้เป็นกรณีพิเศษ เป็นเสื้อผ้าเนื้อบางอย่างนางในฮาเรมสวม ซึ่งไม่สมพระเกียรติเจ้าชายนาซีมเลยสักนิด


   “เราไม่ใส่ชุดนี้”


   “แต่ว่า…”


   “เอาออกไป เราจะสวมชุดคลุมของเรา”


   ตั้งแต่เด็กจนโต น้อยครั้งนักที่นาซีมจะขึ้นเสียใส่ผู้อื่น ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อยเพียงใดก็ตาม แต่เพราะครานี้เขารู้สึกแย่กับสิ่งที่ชีคเถื่อนผู้นั้นกระทำเกินรับไหว ซ้ำยังโกรธตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมศิโรราบ เจ้าชายผู้สูงศักดิ์จึงไม่อาจกักเก็บอารมณ์ได้ดีเช่นที่ผ่านมา


   นาซีมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่างโค้งทรงสูงในหอนอนส่วนพระองค์ จากมุมนี้เขาสามารถมองเห็นเลยออกไปจนถึงนอกกำแพงเมือง เห็นกระโจมกองทัพของพวกทารายาตั้งเรียงรายบนทะเลทราย ไม่ห่างจากกำแพงเมืองทิศตะวันตกเท่าใดนัก


   วันนี้หลังจากอาทิตย์อัสดง เขาต้องนั่งรถม้าออกไปเพื่อทำพิธีกับชีคทาริค และเมื่อเช้าวันใหม่มาเยือนหลังจากอยู่รั้งในห้องหอกับคนเถื่อนหนึ่งราตรี นาซีมต้องเป็นคนนำกองทัพเผ่าเร่ร่อนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโซราห์


   เจ้าชายหนุ่มเหม่อลอยและพยายามครุ่นคิดในนาทีสุดท้าย


   …ยังพอมีทางไหนให้เขาเลือกเดินได้นอกจากทางนี้หรือไม่


   ทางที่ไม่ต้องยอมศิโรราบต่อชีคทาริค ทางที่ไม่ต้องถูกบีบจากเหล่าขุนนาง และทางที่ไม่ต้องละทิ้งประชาชน


   แต่เมื่อทบทวนซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง นาซีมก็ยังไม่พบหนทางนั้นเลย เขาจึงคิดถึงความฝันเมื่อตอนรุ่งสาง ห้วงฝันที่ท่านแม่เอ่ยถึงอัศวินแห่งรัตติกาล…เหล่าภูตราตรี


   หากนิทานเหล่านั้นเป็นความจริง บางทีพวกภูราตรีคงกำลังหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือและรักษาสมดุลของดินแดนแห่งนี้ ไม่ให้ถูกคนชั่วช้าเดินทางไปกอบโกยและทำลายย่อยยับจนหมดทั้งซาร์เรีย


   ทว่านาซีมรู้…เรื่องเล่าของท่านแม่เป็นเพียงนิทานกล่อมนอนเท่านั้น รวมถึงเรื่องของภูตราตรีด้วย


ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คงมีแต่หาทางช่วยเหลือแคว้นด้วยตนเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ยามนี้ เวลาที่เขาไร้ซึ่งพละกำลัง



   
❂ …………………………….❂




   ยามที่รถม้าเคลื่อนไป เสียงกระพรวนเล็กๆ ที่ข้อเท้าจะดังขึ้นเป็นจังหวะกรุ๋งกริ๋งๆ ชวนให้ปวดหัว แต่ก่อนเขาเคยชอบเสียงนี้มาก ยิ่งตอนที่มันอยู่บนข้อเท้าของท่านแม่ นาซีมก็ยิ่งชอบ แต่ยามนี้ เมื่อนาซีมมองข้อเท้าของตัวเอง เจ้าชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมา ก่อนจะกระชับเสื้อคลุมให้ปกปิดทั้งใบหน้าและร่างกายจนมิดชิด


เพราะมันช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก…


   ด้วยสุดท้าย เขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นสวมชุดเนื้อผ้าบางเบานั่น พร้อมกับเครื่องประดับของนางในฮาเรมก่อนเข้ากระโจมของทาริคอยู่ดี เพราะท่านชีคผู้สูงส่งมีคำสั่งมาว่า หากเจ้าชายนาซีมไม่ยอมทำตาม พิธีอภิเษกจะไม่มีทางเกิดขึ้น และเจ้าตัวจะเข้าครอบครองโซราห์โดยที่นาซีมมิอาจยื่นมือเข้ามาสอดได้อีกเลย


สิ่งที่อีกฝ่ายทำในเวลานี้เป็นการให้เกียรติกับเจ้าชายมากแล้ว


   ดังนั้นนาซีมจึงจำใจก้าวลงจากรถม้าด้วยชุดที่ไม่สมเกียรตินั้น เพราะหวังว่าต้องมีสักวันที่เขาจะได้เอาคืนทาริคอย่างสมเกียรติเช่นกัน








   
❂ …………………………….❂









ในที่สุดก็ได้เอาตอนที่หนึ่งมาลงแล้วค่ะ
สัญญาว่าเรื่องนี้จะไม่กลายเป็นนิยายรายเดือน
เปิดมาค่อนข้างหนักหน่วง
ฝนพยายามให้มีกลิ่นอายของอาหรับมีละอองสีทองวิ้งๆ
แต่สารภาพเลยค่ะ เรื่องนี้แต่งจริงๆ ยากว่าที่คิดไว้มากค่ะ
หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ /ตัวฝนไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เลยTT
ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ พวกคำอธิบายของโอเมก้าหรืออื่นๆ
ฝนจะค่อยๆ ทยอยลงให้เป็นเกร็ดความรู้นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หวังว่าจะชอบค่ะ

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 1 นิทานหลอกเด็ก :- [4/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 05-08-2019 02:03:05
แค่บทที่1ก็ชอบมากๆเลยค่ะ อยากอ่านบทที่2ต่อแล้ว  :m13:
ทาริคจะเป็นภูตราตรีไหมน้อ แต่อยากให้นาซีมขึ้นครองราชย์จังค่ะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 1 นิทานหลอกเด็ก :- [4/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-08-2019 03:33:54
ชอบๆๆๆ รออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 1 นิทานหลอกเด็ก :- [4/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: LikeL ที่ 08-08-2019 04:50:58
พล็อตเรื่องน่าติดตามมากๆ เลยค่ะ น่าจะมีอะไรหลายๆ อย่างให้ได้ลุ้น ให้ได้สนุกอีกเยอะเลย
ภูตราตรี คือใคร หรือว่าแท้จริงแล้ว นาซีม คือภูติราตรี แต่ไม่รู้ตัว
ภาษาที่ใช้สละสลวย ไพเราะ อ่านแล้วเพลิดเพลิน และจินตนาการตามได้ดีเลยทีเดียว
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ มาต่อเร็วๆ นะคะ
อยากรู้ว่าภูติราตรีคือใคร อยู่ที่ไหน ??? มาช่วยนาซีนด้วยยย

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 1 นิทานหลอกเด็ก :- [4/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-08-2019 09:48:51
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:  ชอบบบบบบบบ ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 2 คนในนิทาน :- [10/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 10-08-2019 21:01:36

   





บทที่ 2 คนในนิทาน









   ทันทีที่ประตูรถม้าเปิดออก เสียงอึงอลของผู้คนที่อยู่ในค่ายทารายาก็เงียบลง นาซีมมองออกไปนอกประตูรถม้าจึงเห็นว่าสายตาทุกคู่ในบริเวณนั้นกำลังพุ่งความสนใจมาที่ตน บ้างเป็นสายตาของผู้สอดรู้ บ้างก็มองจาบจ้วงตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มหยันคล้ายดูแคลนว่า


สุดท้าย...เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ก็ต้องยอมศิโรราบให้แก่เจ้านายของตน


แต่ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร เจ้าชายหนุ่มก็ทำได้แค่สูดหายใจลึกๆ ระงับความโกรธและอดสูเอาไว้ ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าเพื่อก้าวเท้าลงจากรถม้า


ยามเท้าแตะพื้น นาซีมจึงพบว่าที่ด้านข้างรถม้า มีชายผิวเข้ม หน้าตาดุดัน และรูปร่างสูงใหญ่กว่าเขาเกือบช่วงตัวยืนกอดอกรออยู่ เมื่ออีกฝ่ายสบตาเขา เจ้าตัวก็ผายมือไปยังกระโจมที่อยู่กึ่งกลางค่าย ซึ่งเป็นกระโจมที่ดูหรูหราใหญ่โตที่สุด ระหว่างทางเดินไปยังปูพรมนุ่มและวางตะเกียงแก้วสีสันงดงามรายทาง


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นที่พักของใคร นาซีมจึงกระชับเสื้อคลุมแล้วเดินเชิดหน้าเข้าไปในนั้นโดยไม่กล่าวอะไรสักคำเดียว


ครั้นมาถึง ทหารยามสองคนของทาริคก็มาขวางไว้ ก่อนย่างสามขุมเข้าใกล้ด้วยท่าทีคุกคาม นาซีมจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ


“พวกเจ้าจะทำอะไร”


“พวกข้าต้องตรวจอาวุธ” ทหารนายหนึ่งว่า ก่อนทำท่าราวกับจะค้นตัว ด้วยคาดว่านาซีมคงซ่อนอาวุธไว้ใต้เสื้อคลุม แต่มีหรือนาซีมจะยอมให้ทำเช่นนั้น แม้เขาจะไม่มีอาวุธติดมาสักชิ้น แต่ให้ตายเขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเห็นว่าเจ้าชายแห่งโซราห์สวมชุดอะไรไว้ใต้เสื้อคลุม


เมื่อสิ้นคำนั้น ฮาบัสและฟามีน สององครักษ์ของนาซีมที่ติดตามมากับขบวนรถม้าก็รีบตรงมาคุ้มกันเจ้าชาย


    “อย่าบังอาจแตะต้องเจ้าชาย” ฟามีนเข้าขวางหน้านาซีมไว้


   “แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านชีคทาริค ไม่ว่าใครก็ผ่านเข้าไปในกระโจมของท่านชีคไม่ได้ หากมิได้ค้นตัว!”


   ชวิ้ง!   


   ทหารยามของทาริคชักดาบคมกริบออกจากฝักแล้วชี้ปลายแหลมมาทางเจ้าชายและสององครักษ์อย่างเอาเรื่อง ฮาบัสจึงดึงดาบของตนเองออกมาเช่นกัน


“มันผู้ใดกล้าล่วงเกินเจ้าชายนาซีม ก็ข้ามศพข้าไปก่อน”


บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปทันทีที่สองฝ่ายชักดาบออกจากฝัก นาซีมมุ่นคิ้วน้อยๆ ด้วยรู้ว่าหากเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เรื่องราวยุ่งยากคงตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้เขาเองจะไม่พอใจที่ถูกหยามเกียรติได้กระทั่งกับทหารยามเฝ้าประตู ถึงอย่างนั้นนาซีมก็ไม่อยากให้มันวุ่นวายไปมากกว่าเก่า


ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากปรามคนในปกครองของตน นักรบผิวเข้มของทาริคที่เดินไปรับเขาจากรถม้าเมื่อครู่ก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน


“วางดาบของพวกเจ้าลงเสีย” เขาเอ่ยกับทหารยามทั้งสองโดยตรง


“แต่ท่านซีญ่า ท่านชีคสั่งไว้ว่า---“


“หากทำให้เจ้าชายมีแม้แต่รอยขีดข่วน ผู้ที่ถูกลงโทษจะกลายเป็นเจ้าสองคน”


ได้ยินดังนั้น ทั้งสองจึงเปิดทางให้นาซีมแต่โดยดี “ขอรับ”


ทว่ายังไม่ทันก้าวขาเข้าประตู ซีญ่าก็หันมาเอ่ยกับองครักษ์ของเจ้าชาย


“พวกเจ้าจงรออยู่ด้านนอก”


“ข้ามาที่นี่เพื่อดูแลความปลอดภัยให้เจ้าชาย เหตุใดต้องฟังเจ้า” ฟามีนโต้กลับ


“ด้านในมีเพียงท่านชีค ไม่มีใครทำร้ายเจ้าชายของพวกเจ้าได้”


“ก็เพราะมีชีคของพวกเจ้าอยู่ ข้าจึง---“


“พอแล้วฟามีน ฮาบัส” เป็นนาซีมเอ่ยห้าม เพราะเข้าใจว่าด้านในกำลังจะมีการทำพิธีแต่งงานภายในของเผ่าทารายา จึงไม่แปลกที่ทาริคไม่ยินยอมให้คนนอกเข้าไป “พวกเจ้าคอยอยู่ข้างนอก หากมีอะไรข้าจะเรียก”


“ขอรับเจ้าชาย”


“อยู่ข้างนอกก็อย่าก่อเรื่องล่ะ”


“ขอรับ”


แม้ไม่เต็มใจเพราะห่วงความปลอดภัยของนายเหนือหัว แต่พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง นาซีมยิ้มให้ทั้งสองน้อยๆ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในกระโจม ทิ้งให้พวกเขาคอยคุมเชิงกับทหารเดนตายข้างนอกเงียบๆ
   



❂ …………………………….❂




   ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว แต่ภายในกระโจมใหญ่ของผู้นำเผ่าเร่ร่อนทารายากลับถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟงดงาม สว่างไสวจนสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นยังมีเสียงดนตรีจากเครื่องสายชนิดหนึ่งดังคลอเคล้า ฟังแล้วรื่นรมย์เป็นที่สุด


   จนเมื่อก้าวลอดใต้ซุ้มผ้าม่านสีม่วงบางเบาที่ห้อยระย้าเข้าไปถึงห้องซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกชั้น นาซีมพบว่า แม้ที่นี่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราราวกับที่พำนักฤดูร้อนขององค์ราชา แต่ก็ไม่เห็นว่าคล้ายกับสถานที่ที่กำลังจะจัดงานวิวาห์แม้แต่น้อย


เขามองพรมถักดิ้นทองผืนงามที่ถูกนำมาเรียงต่อกันเป็นทางเดิน แจกันเสียบดอกไม้หายากกลางทะเลทราย คนโท จอกเหล้า ถาดที่เต็มไปด้วยทับทิมผลงามและพวงองุ่นเขียวสด เครื่องเรือนทุกอย่างล้วนมีสีทองอร่าม


กวาดมองนิ่งๆ จนสายตาไปหยุดอยู่ที่บุรุษผู้หนึ่ง ผู้ที่นั่งถือจอกเหล้าองุ่นอยู่บนตั่งหนังเสือโคร่ง โดยรอบกายมีโอเมก้าชายหญิงในอาภรณ์บางเบาและน้อยชิ้นปรนนิบัติพัดวีไม่ห่าง


แค่มองและไตร่ตรองให้ดี เขาก็รู้ได้ทันทีว่าในคืนนี้จะไม่มีพิธีอภิเษกอย่างที่พวกทารายาอ้างถึง จะมีก็แต่เจ้าชายที่ถูกหลอกและถูกหมิ่นเกียรติครั้งแล้วครั้งเล่า
   

“ท่านชีค”


   ครั้นได้ยินเสียงเรียกของซีญ่า คนบนตั่งจึงเงยหน้ามอง ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่นาซีม แล้วเอ่ย “มากันแล้วหรือ”


   “ขอรับ” 


“เจ้าไปพักเสียซีญ่า ย่ำรุ่งต้องนำทัพเข้าโซราห์”


“ขอรับ”


ซีญ่ารับคำก่อนเดินออกจากกระโจมโดยไม่หันมองนาซีมแม้แต่น้อย ส่วนนาซีมก็เผลอกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น


ท่ามกลางเสียงดนตรีที่ยังบรรเลง โอเมก้าชายหญิงเหล่านั้นก็ยังปรนนิบัติได้ดีเหมือนเก่า ทุกคนในกระโจมทำตัวปรกติราวกับไม่สนใจว่าเวลานี้ในกระโจมมีแขกคนสำคัญอยู่ด้วย จะมีก็แต่ท่านชีคของทารายาและเจ้าชายแห่งโซราห์เท่านั้นที่จ้องตากันนิ่งๆ


   ครั้นทาริคเห็นนาซีมยืนเชิดหน้านิ่ง ไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว เจ้าตัวก็ส่งจอกเหล้าคืนให้โอเมก้าชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนลุกขึ้นจากตั่งเพื่อเดินมาหยุดตรงหน้านาซีม


   นาซีมไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงผันตัวจากนักสู้ในสนามพนันเล็กๆ มาเป็นหัวหน้าเผ่าของชาวเร่ร่อนและสร้างกองทัพเกรียงไกรขึ้นมาได้


   เพราะเพียงยืนห่างกันแค่ระยะเอื้อมมือ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความโหดเหี้ยมและความตายของคนผู้นี้ได้แล้ว ยิ่งผนวกกับรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าดุดัน กระนั้นก็แฝงไปด้วยเล่ห์ร้ายในประกายตา มองอย่างไรก็ดูคล้ายเทพแห่งสงครามไม่มีผิด


   นอกจากนาซีมจะประเมินทาริคแล้ว ทาริคเองก็สำรวจเจ้าชายด้วยเหมือนกัน เขาใช้ดวงตาชั่วร้ายนั้นมองนาซีมในชุดคลุมสีน้ำเงิน ก่อนเดินวนรอบกายหนึ่งรอบ และมาหยุดตรงหน้านาซีมอีกครั้ง


   “…”


   อีกฝ่ายลูบคางที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้มของตนเองเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้มือกระชากเสื้อคลุมของเจ้าชายจนฉีกขาดและหล่นลงกองกับพื้นโดยที่คนสวมไม่ทันตั้งตัว ท่ามกลางสายตาของทุกคนในกระโจม


   “เจ้า!”


   นาซีมแทบอ้าปากค้างกับปฏิกิริยาป่าเถื่อนนั่น หากยังไม่ทันเถียง สายตาของทาริคก็มองเจ้าชายนาซีมในชุดบางเบาตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับกระตุกยิ้มพอใจและเอ่ย


   “แบบนี้สิ ถึงจะเข้าท่าหน่อย”


   “…”


   นาซีมกำหมัดแน่นขึ้นจนเจ็บกลางฝ่ามือไปหมด พยายามระงับความโกรธจนหน้าแดงก่ำ แต่ดูเหมือนทาริคจะจงใจเมินพายุอารมณ์นั้น เพราะอีกฝ่ายยังทำย่ามใจด้วยการเชยคางนาซีมขึ้นและกวาดมองทั่วใบหน้า


   “แม้ในยามโกรธา หากเจ้าชายแห่งโซราห์ก็ช่างงดงามสมคำร่ำลือ”


   เพี๊ยะ!


   เสียงหลังมือของทาริคถูกฟาดดังไปทั้งกระโจม พร้อมกับมือของท่านชีคสะบัดหลุดจากปลายคางของนาซีมทันที


“อย่าเอามือสกปรกของเจ้าแตะต้องข้า”


หลังจากทำการอุกอาจเช่นนั้นไป นักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงก็หยุดเล่น คนในฮาเร็มของหัวหน้าเผ่าทารายานั่งตัวแข็งทื่อในบัดดล ด้วยไม่คิดว่าจะมีผู้ใดอาจหาญกับทาริคถึงขนาดนี้ ซ้ำผู้ที่ทำก็เป็นเพียงโอเมก้าบอบบางและตัวสูงแค่อกของทาริคเท่านั้น


นาซีมเองก็สังเกตเห็นว่าประกายตาพึงพอใจของทาริคเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นโกรธา แต่มีหรือเขาจะสนใจ เพราะในเมื่อเขากล้าทำ เจ้าชายหนุ่มย่อมรู้ผลที่จะตามมาอยู่แล้ว


“เจ้าช่าง…บังอาจนัก” ทาริคเอ่ยลอดไรฟัน


“ใครกันแน่ที่บังอาจ ดูหมิ่นเกียรติของเรา”


ในคราแรกเขายอมลงให้ ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ยังยอม เพราะคิดเสมอว่าต้องอดทนเพื่อประชาชน แต่พอมาเจอเรื่องนี้กับตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความอดทนของนาซีมก็ขาดสะบั้น


“หึ เพียงเท่านี้ก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ความอดทนต่ำเหลือเกินนะเจ้าชาย” ทาริคเหยียดยิ้มหยันในที


“ใครว่าข้าทนไม่ได้” คนถูกเย้ยเชิดหน้าขึ้น และตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว


ทั้งสองสู้ตากันท่ามกลางบรรยากาศคุกกรุ่น แต่ไม่ว่าทาริคจะมองข่มอย่างไร เจ้าชายโอเมก้าก็ไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือยอมแพ้ ช่างผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเปราะบาง ไม่สู้คน จนหัวหน้าคนเถื่อนทั้งถูกใจ ทั้งอยากย่ำยีให้แปดเปื้อนและหายพยศ


คิดได้ดังนั้นทาริคจึงคว้าเข้าที่ต้นแขนแล้วออกแรงกระชากให้ร่างของนาซีมเข้ามาประชิดกาย ก่อนกระซิบ


“เช่นนั้นข้าจะรอดูว่าเจ้าจะมีความอดทนแค่ไหน…เจ้าชายนาซีม”


ทั้งที่นาซีมขืนตัวไว้ไม่ให้ตนถูกดึงไปไหนได้ง่ายๆ แต่ด้วยพละกำลังของอัลฟ่าสูงใหญ่อย่างทาริค ทำให้ยื้อยุดกันไม่นาน นาซีมก็ถูกลากไปโยนบนตั่งหนังเสือจนโอเมก้าในฮาเร็มแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง


เจ้าชายหนุ่มรู้สึกเจ็บยอกที่แผ่นหลังจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา ทว่าทาริคไม่เปิดช่องว่างให้เขาโอดครวญ เพราะอีกฝ่ายรีบตามติดลงมาบนตั่งเพื่อตรึงเขาไว้ พันธนาการแขนทั้งสองข้างด้วยอุ้งมือที่แข็งแรงแน่นหนาราวกรงเล็บพญาอินทรี จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาหมายจุมพิต นาซีมจึงเบี่ยงหน้าออกให้ริมฝีปากร้ายนั่นพลาดเป้า


กระนั้น ทาริคก็ไม่สนใจ แม้พลาดริมฝีปากเชิดรั้นไป คนร้ายกาจก็ยังพรมจูบใบหน้า และซุกไซ้ลำคอกับแผ่นอกผ่านเสื้อผ้าเนื้อบางอย่างกักขฬะ


สัมผัสรุนแรงและหยาบคายนั่นทำเอานาซีมรู้สึกคลื่นเหียนจนแทบอาเจียนออกมา แต่นอกจากการกระทำต่ำช้าของทาริคแล้ว สายตาของทุกคนในกระโจมที่มองมายังตนเขาก็ยิ่งเป็นเครื่องกระตุ้นให้นาซีมทนไม่ไหว


เขารวบรวมกำลังไม่ที่รู้มาจากที่ไหนเพื่อดิ้นสุดแรง จนมือข้างหนึ่งหลุดจากการเกาะกุม จากนั้นก็รีบคว้าหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ที่สุด และฟาดลงไปยังหัวของทาริคโดยไม่หยุดคิดสักเสี้ยววินาทีเดียว


“กรี๊ด!! ท่านชีค!” เสียงนางในฮาเร็มคนหนึ่งกรีดรองเสียงดังลั่นกระโจม


ก่อนทาริคจะผละตัวออกห่างจากนาซีมทันที เจเชายจึงรีบลุกและวิ่งไปซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งให้หลังชนกระโจม


เขาหอบหายใจรัวเร็ว ทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งมองดูเชิงเทียนในมือที่มีคราบเลือดติด ก่อนเคลื่อนสายตาไปเห็นเลือดไหลรินออกมาจากใต้ผากโพกหัว และสายตาเกรี้ยวกราดราวกับมีดวงไฟลุกในดวงตาของทาริค นาซีมก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นยิ่ง


ไม่รู้ว่าเหตุใดทุกอย่างจึงดำเนินมาถึงจุดนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขากลัวก็คือ เรื่องราวหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นต่างหาก


“เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงทำร้ายท่านชีค!” โอเมก้าชายคนหนึ่งในนั้นเอ่ย


“นั่นสิ กล้าดีอย่างไร” หญิงสาวชุดแดงเพลิงที่เพิ่งกรีดร้องไปเมื่อครู่กล่าวสมทบ ก่อนเดินไปเกาะแขนทาริค “ท่านชีคเป็นอะไรมากไหมเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะเรียกทหารเข้ามาจับมันให้นะเจ้าคะ”


“ไม่ต้อง” ทาริคเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะมองเขม็งมาที่นาซีม “ส่วนเจ้า…มานี่”


“ไม่!” นาซีมปฏิเสธ ในมือกำเชิงเทียนแน่นขึ้นไปอีก


“หากเจ้าไม่เข้ามาหาข้าดีๆ เรื่องจะไม่ได้จบแค่ข้าจับเจ้าโยนให้พวกทหารเลวในค่ายรุมขย้ำ แต่…” เจ้าคนเถื่อนเว้นไปนิด ก่อนจะยกยิ้มที่ทำให้คนมองสังหรณ์ใจไม่ดี


“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด!”


“เพราะผู้นำโซราห์พยศถึงเพียงนี้ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนในแคว้นของเจ้าจะไม่กบฏต่อข้า”


“นี่ไม่เกี่ยวกับประชาชนของข้า!”


“เหตุใดจึงไม่เกี่ยว ในเมื่อที่เจ้ามาในยามนี้ก็เพื่อวิวาห์กับข้าตามข้อตกลงมิใช่หรือ”


“แล้วไหนเล่างานวิวาห์” นาซีมถามกลับ “ที่ข้าเห็นคือเจ้าที่ผิดสัญญา ค่ายแห่งนี้ไร้ซึ่งงานวิวาห์ ซ้ำเจ้ายังหมิ่นเกียรติของข้าต่อหน้าคนพวกนี้!”


“ที่แท้ เจ้าตีหัวข้า…เพราะเจ้าอายหรอกหรือเจ้าชาย” ทาริคปาดเลือดที่ไหลลงมาจากหน้าผากอย่างไม่ไยดี


“เพราะเจ้าทำตัวตระบัดสัตย์และหยาบช้าต่างหาก” นาซีมกล่าว


“นี่คือพิธีวิวาห์ในแบบขอคนเถื่อนอย่างข้า เอาไว้ข้าได้ขึ้นเป็นราชาเมื่อไหร่ ข้าจะจัดงานให้เจ้าอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งดีหรือไม่”


นาซีมรู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นเพียงข้ออ้าง แต่แท้จริงแล้ว จุดประสงค์ของทาริคคือต้องการกดเขาให้อยู่ในจุดเดียวกับชายบำเรอคนอื่นๆ ในฮาเร็ม เพื่อต่อไปจะได้ควบคุมเขาได้ และมันก็เป็นการประกาศกลายๆ ว่านาซีมจะไม่มีสิทธิ์ในการบริหารปกครองแคว้นอีกต่อไป


“เอาเถอะ อย่างไรก็คงทำให้เจ้าพอใจไม่ได้ใช่หรือไม่เจ้าชาย ถ้าเช่นนั้นข้าจะมอบตัวเลือกให้เจ้า เป็นการไถ่โทษที่คืนนี้ข้าทำให้เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ตกพระทัย” อีกฝ่ายประชด


“อะไร”


ทั้งที่พอเดาได้อยู่แล้วว่าคงไม่มีตัวเลือกที่เข้าข้างเขา แต่ในสถานการณ์นี้ นาซีมก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ขอแค่ให้เรื่องเลวร้ายที่กำลังจะเกิดเบาบางลงบ้างก็พอ


“ข้อแรกคือ คืนนี้ข้าจะปล่อยเจ้ากลับแคว้นไป แต่ข้อตกลงของเราถือเป็นอันสิ้นสุด วันพรุ่งนี้เจ้าเตรียมรับศึกจากเราเผ่าทารายาได้เลย”


“แล้วข้อสองเล่า”


“คืนนี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่ปรนนิบัติข้าอย่างเต็มใจ แล้วรุ่งเช้าเราจะเดินทัพเข้าโซราห์ด้วยกัน ข้อตกลงทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม”


เจ้าชายนาซีมรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ที่ทาริคทำก็แค่ไม่เอาผิดที่เขาทำร้ายก็เท่านั้น แต่จุดประสงค์เดิมของอีกฝ่ายก็ยังอยู่


“ว่าอย่างไร จะเลือกทางไหนเจ้าชายนาซีม” อีกฝ่ายกอดอกมองเขาด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งโกรธนาซีมมากแท้ๆ แต่คงคิดว่าจะเอาคืนได้หลังจากนี้เป็นแน่ ดูจากแววตาชั่วร้ายนั่น


“ข้า…” เขาไม่อยากทำสักนิด แต่ถ้าไม่ทำตามสิ่งที่ตกลงกับพวกขุนนางก่อนมาที่นี่ ไม่ทำตามข้อตกลงแรกเริ่ม โซราห์คงต้องเผชิญสงครามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


แม้นาซีมอยากสู้จนตัวตาย แคว้นเขายามนี้ก็ยังไม่พร้อมสำหรับสงคราม และคงไม่มีใครในแคว้นอยากตายไปพร้อมเจ้าชายโอเมก้าอย่างเขา


“ข้าเลือกข้อสอง”


“หึ” ทาริคยิ้มหยัน ราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว


“แต่ข้ามีข้อแม้”


“ข้อแม้อันใด”


“ในกระโจมนี้ จะเหลือเพียงเจ้าและข้า”


“ที่แท้เจ้าก็ขี้อายจริงๆ สินะเจ้าชายตัวน้อย” ทาริคว่าก่อนโบกมือไล่ทุกคนออกไปจากกระโจม แม้มีบางคนไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องไปเมื่อเป็นคำสั่งของนายเหนือหัว


กระทั่งทุกคนออกไปจนหมด ทาริคก็เดินมานั่งที่ตั่งและกวักมือเรียกนาซีมราวกับสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ


“มานี่สิ”


“…” นาซีมสูดหายใจเข้าลึก แล้วก้าวขาสั่นเทาออกไปทีละก้าว


“เดี๋ยว”


“อะไร”


“อย่าลืมทิ้งอาวุธของเจ้าเสีย”


ครั้นได้ยิน นาซีมก็มองเชิงเทียนที่เขาเผลอกำติดมือเอาไว้ เจ้าชายตัดใจปล่อยมันทิ้งข้างตัว ก่อนจะเดินต่อไปจนหยุดตรงหน้าร่างสูงใหญ่


ทาริคไม่รอให้นาซีมอิดออดอีกต่อไป เขาดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามานั่งลงบนตัก ใช้มือหนึ่งโอบประคองหลัง ส่วนอีกมือก็ลูบบนลำคอที่มีปลอกคอประจำกายสวมอยู่ ซึ่งเป็นดังเครื่องป้องกันไม่ให้อัลฟ่าตนไหนทำสัญลักษณ์บนตัวเจ้าชายได้


นาซีมกำหมัดแน่น เขาใช้พลังที่เหลือไปกับการบังคับไม่ให้ตนเองต่อต้านหรือปฏิเสธสัมผัสจากคนเถื่อน แต่ทุกครั้งที่ปลายนิ้วหยาบกระด้างสัมผัสลงบนลำคอ นาซีมก็ขนลุกขนชันจนอยากอาเจียนออกมา


และเกินกว่าเขาจะควบคุม เจ้าชายรู้สึกพ่ายแพ้ อัปยศอดสูจนหลั่งน้ำตาออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่


เขาร้องไห้ทั้งที่ไม่อยากร้องเลยสักนิด…


“ที่แท้…ดวงตาของสายเลือดผู้ปกครองแห่งโซราห์ ที่ผู้คนกล่าวถึงทั่วทั้งซาเรียก็เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ”


โซราห์คือนครแห่งรุ่งอรุณ เป็นแคว้นอุดมสมบูรณ์ที่สุดในดินแดนทะเลทราย ว่ากันว่าผู้ที่จะปกครองโซราห์ได้นั้น ต้องเป็นสายเลือดกษัตริย์เดิมผู้ก่อตั้ง เชื้อสายราชาจะต้องมีดวงตาสีไพลินเป็นดั่งมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไพลินที่จะเผยโฉมเมื่อได้สัมผัสกับน้ำตา


ความเชื่อนี้อยู่คู่กับแคว้นโซราห์มาพร้อมๆ กับความเชื่อฝั่งรากลึกเกี่ยวกับหน้าที่ของอัลฟ่าและโอเมก้า


นี่จึงเป็นความย้อนแย้งที่ใครๆ ในแคว้นจะปัดซีมลงจากตำแหน่งไม่ได้ เพราะนาซีมเป็นสายเลือกกษัตริย์เพียงคนเดียวได้รับมรดกทางพันธุกรรมมาต่อจากราชาราฮิม แต่ที่ทุกคนรั้งรอ เพราะไม่เคยมีราชาคนไหนเป็นโอเมก้ามาก่อน


ทาริคผู้ที่เข้ามาในช่วงบ้านเมืองสับสนอลม่านจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนาซีมอย่างพอใจ เมื่อได้เห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลใสเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับไพลินบนจี้กลางปลอกคอเมื่อนาซีมร้องไห้


ครั้นเห็นว่าถูกจ้องมอง นาซีมจึงหลับตาลง เขาไม่อยากให้ใครเห็นดวงตาที่มาพร้อมความอ่อนแอ โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นคือศัตรู


“หึๆ ในเมื่อราชินีข้าไม่ต้องการให้เห็นดวงตาสวยๆ แล้ว เช่นนั้นเราก็มาทำเรื่องที่สมควรทำกันเถอะ”


มือหยาบค่อยๆ ลากไล้ไต่จากไหปลาร้าไปที่หลังกกหู ก่อนจะเลื่อนลงไปยังท้ายทอย แล้วจึงค่อยๆ ปลดล็อคปลอกคอออกจากลำคอสีน้ำผึ้ง


นาซีมหลับตานิ่ง ไม่นานนักจึงรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดซอกคอ เขากลั้นใจ อยากให้ทุกอย่างเป็นกลายความฝันเพียงแค่คิดว่าเมื่อถูกทำสัญลักษณ์ ร่างกายนี้จะเป็นของทาริคตลอดกาล


แต่แล้วในช่วงเวลาเสี้ยวหนึ่งลมหายใจ เสียงกรีดร้องจากนอกกระโจมก็หยุดทุกการกระทำของทาริคเอาไว้


“กรี๊ด!!!”


บรึ้ม!!!


เมื่อเสียงกรี๊ดคราแรกผ่านพ้นไป ต่อมาก็มีเสียงดังสนั่นคล้ายสายฟ้าฟาดลงมากลางค่าย เสียงผู้คนโหวกเหวกโวยวาย และสิ่งที่ทำให้ทาริคผลักนาซีมไปข้างๆ ก่อนลุกขึ้นจากตั่ง ก็คือพวกเขาได้กลิ่นควันไฟเข้ามาในกระโจม


“เจ้าทำอะไรนาซีม!” ทาริคหันมองเจ้าชายอย่างมาดร้าย แต่นอกจากไม่ได้คำตอบแล้ว ยังพบเพียงความงงงวยในดวงตาสีไพลิน


“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”


“เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ หากนี่เป็นฝีมือเจ้า เราจะได้เห็นดีกันแน่นอนเจ้าชาย” ว่าจบทาริคก็คว้าดาบที่แขวนไว้ที่ฝั่งหนึ่งของกระโจม ก่อนเร่งรุดจากไป


นาซีมที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรไม่ต่างจากทาริค รีบลุกขึ้นจากตั่งและวิ่งผ่านซุ้มผ้าม่านออกไปเพื่อเรียกองครักษ์ของตน ทว่ายังไม่ทันก้าวออกจากกระโจม นาซีมก็ถูกร่างของทหารยามหน้ากระโจมกระแทกจนล้ม เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าชายจึงพบว่าทหารนายนั้นสิ้นใจจมกองเลือดอยู่ที่ปลายเท้า กลางลำตัวเป็นแผลขนาดใหญ่พาดผ่านจนร่างเกือบแยกเป็นสองท่อน


เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าการจู่โจมนี้เป็นฝีมือใคร แต่รู้ได้ทันทีว่าเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นจักต้องนำมาซึ่งความยุ่งยากแก่เขาอย่างแน่นอน นาซีมจึงรีบลุกขึ้นและออกไปด้านนอก


นอกกระโจมใหญ่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจริงๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเป็นเครื่องยืนยันประจักษ์ชัด ด้วยทั่วทั้งค่ายมีไฟลุกโหมหลายจุด กลุ่มทหารของเผ่าเร่ร่อนเข้าโรมรันกับกองกำลังบนหลังม้าที่สวมชุดดำสนิทไม่ทราบฝ่าย ไม่ไกลจากที่ที่นาซีมยืนอยู่ เขาเห็นทาริคกำลังต่อสู้ติดพันกับบุรุษชุดคลุมดำคนหนึ่ง


“ฮาบัส! ฟามีน!”


นาซีมพยายามมองหาองครักษ์ของตน แต่ก็ไม่รู้ทั้งสองไปอยู่แห่งหนใด


ในขณะที่กำลังคิดอ่านว่าควรทำอย่างไรต่อไป บุรุษชุดดำบนหลังม้าที่เพิ่งโรมรันกับทาริคจนหัวหน้าคนเถื่อนล่าถอยก็หันมาทางเขา ก่อนจะควบม้าตรงเข้ามา


เมื่อบุรุษปริศนาผู้มากับดาบสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์หยุดลงตรงหน้า นาซีมก็ได้กลิ่นหอมประหลาดที่ลมทะเลทรายยามค่ำคืนหอบพัดเอามานอกเหนือจากกลิ่นควันไฟ เขาเงยหน้ามองเจ้าของรูปร่างองอาจบนหลังม้า เห็นเพียงดวงตาสีมรกตดุจดาวเหนือใต้ผ้าคลุมหน้าที่กลืนไปกับท้องฟ้ายามราตรี


   สรรพสิ่งรอบกายคล้ายเลือนหายไปโดยพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายนาซีมรู้สึกละม้ายกำลังตกอยู่ในห้วงฝันทั้งที่ยังมิได้นิทรา

 
…หากเสียงแรกที่กระทบโสตประสาท ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ ก็คือเสียงของบุรุษในอาภรณ์สีดำอีกเช่นกัน


   “
มากับข้า
” ชายคนนั้นเอ่ยพร้อมกับยื่นมือให้เขา


   และเร็วกว่าความคิด ราวกับมันคือสัญชาตญาณที่ถูกฝังในความนึกคิด นาซีมยื่นมือออกไป วางมันลงบนมือใหญ่นั้น ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองถูกฉุดขึ้นไปบนหลังม้า และเขาก็ถูกพาฝ่าวงล้อมของทหาร เปลวเพลิง…หายตัวไปในรัตติกาล



   






❂ …………………………….❂










ใครคนนั้นคือใครน้า
ชายปริศนาที่มาทำให้เจ้าชายน้อยหัวใจเต้นโดกิ โดกิ 5555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ฝนเห็นคอมเม้นแล้วชื่นใจ ตอนแรก
คิดว่าจะไม่ค่อยมีคนอ่านซะแล้ว
ตอนหน้าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะมาลงให้เร็วขึ้นค่ะ
เป้าหมายคือไม่ใช่นิยายรายเดือน!!!

ฝากติดตามด้วยนะคะ

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 2 คนในนิทาน :- [10/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-08-2019 00:25:46
รอจ้า
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 2 คนในนิทาน :- [10/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 11-08-2019 09:04:00
คุณภูตราตรีเท่จังเลยค่ะ :katai2-1:
น้องนาซีมร่วมมือกับภูตราตรี นังทาริคแกไม่ได้ตายดีแน่  o18

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 2 คนในนิทาน :- [10/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-08-2019 11:34:56
ลุ้นมากๆ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 3 ลวงภมร :- [17/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 17-09-2019 17:58:30







บทที่ 3 ลวงภมร









ทุกจังหวะที่อาชาห้อตะบึง กลิ่นควันไฟคละคลุ้งและความโกลาหลในค่ายทารายาล้วนถูกละทิ้งไว้เบื้องหลัง อาชาฝีเท้าดีควบผ่านเนินทรายเนินแล้วเนินเล่า เมื่อเหล่าทหารเลวของทาริคถูกทิ้งระยะห่าง นาซีมจึงฉวยโอกาสเหลียวมองผ่านละอองทรายใต้เกือกม้าสะบัดไปยังกำแพงสูงใหญ่แห่งโซราห์



ยิ่งออกห่างมากเท่าใด ความรู้สึกขมปร่าก็ตีตื้นขึ้นมามากเท่านั้น กระทั่งพวกเขาลัดเลาะผ่านเนินทรายลูกใหญ่ลูกหนึ่ง แคว้นที่สว่างไสวจึงหายลับไปจากคลองจักษุ



“หมอบตัวลงแล้วเกาะข้าให้แน่น”



เสียงทุ้มกังวานกำชับผ่านสายลมหวีดหวิว เจ้าชายหนุ่มจึงกระชับมือที่กอดเอวบุรุษในผ้าคลุมดำแน่นขึ้น ก่อนโน้มตัวจนร่างแนบชิดกับคนด้านหน้าอย่างว่าง่าย เพราะตั้งแต่วินาทีที่เขาตัดสินใจโดดขึ้นหลังม้า ชีวิตต่อจากนี้ก็เหมือนวางอยู่บนมือของชายผู้นี้แล้ว



เจ้าชายนาซีมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเอาความมั่นใจเหล่านั้นมาจากไหน เขาไม่ทันครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียเช่นทุกครา ทว่าเลือกทำตามสัญชาตญาณที่ร้องบอกว่าจงหนีห่างจากชีคทาริคให้มากที่สุด



ดังนั้นหลังจากนี้ชีวิตของเจ้าชายนาซีมจะถูกนำไปในทิศทางใด คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาแล้ว...



แม้อยู่ห่างจากกองกำลังที่ไล่ล่ามาเบื้องหลังพอควร อาชาก็ไม่ถูกสั่งให้ผ่อนฝีเท้าลงแต่กลับเร็วขึ้นเป็นเท่าทวี เจ้าชายเอี่ยวมองหนทางเบื้องหน้า เห็นเพียงเนินทรายโล่งๆ ไร้ที่กำบัง



เขาไม่รู้ว่าต้องไปต่ออีกไกลแค่ไหน จุดมุ่งหมายคือที่ใด ซ้ำยังไม่กล้าถามเพราะเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ดังนั้นจึงผินหน้ากลับมาหลบเม็ดทรายและซุกหน้าเข้ากับผ้าคลุมเนื้อหยาบบนแผ่นหลังกว้างเพื่อคิดอ่านเพื่อประเมินสถานการณ์ต่อไป



หลังจากจิตใจเริ่มสงบ อารมณ์ตระหนกเข้าที่เข้าทาง นาซีมก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ได้กลิ่นตอนอยู่ค่ายเมื่อครู่ลอยแตะจมูก ทว่าครานี้กลิ่นนั้นชัดเจนมากขึ้น คล้ายต้นกำเนิดมาจากเจ้าของแผ่นหลังกว้าง



เขาลอบขยับใบหน้าเข้าใกล้ให้จมูกสัมผัสกลิ่นอายประหลาดมากขึ้น ทว่าน่าตกใจนัก เพราะยิ่งใกล้เท่าไร เจ้าชายก็ยิ่งแน่ใจ



กลิ่นหอมนี้มาจากบุรุษตรงหน้า!



อากาศในทะเลยามค่ำคืนหนาวเย็นจนอาภรณ์เนื้อบางที่สวมอยู่ไม่ช่วยให้อบอุ่น แต่น่าแปลกที่นาซีมไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ซ้ำเขายังรู้สึกว่ายิ่งได้กลิ่นหอมๆ นั่นมากเท่าใด ความร้อนในกายกลับยิ่งพุ่งสูง เหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งหน้าผาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและผิวกาย เจ้าชายรู้สึกกระสับกระส่ายครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดราวกับว่ากำลังจะเป็นไข้ หัวใจหรือก็เต้นแรงขึ้นจนน่ากลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก



ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวที่สุดของร่างกายก็คือ อยู่ๆ เขาก็เกิดความรู้สึกประหลาดอันไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหมือนกับว่าต้องการบางสิ่งเข้ามาเติมเต็ม แต่เขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร



มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...เจ้าชายได้แต่นึกสงสัย แต่ก็หาคำตอบไม่ได้



นาซีมจึงพยายามประคองสติ เพราะไม่อยากเป็นอะไรไปตอนที่กำลังหนี เขาไม่อยากสร้างภาระให้ผู้อื่นมากไปกว่านี้แล้ว แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจควบคุมความร้อนรุ่มที่ทะยานสูงขึ้นได้เลย



แต่แล้วระหว่างที่นาซีมกำลังต่อสู้กับความรู้สึกพลุ่งพล่านอยู่นั้น อยู่ๆ คนข้างหน้าก็บังคับอาชาให้ชะลอฝีเท้าลง เจ้าชายฝืนปรือตาขึ้นมองไปโดยรอบ ด้วยคิดว่าถึงที่หมายแล้ว ทว่าเขากลับพบเพียงความเวิ้งว้าง



“เกิด....อะไรขึ้น” นาซีมเค้นเสียงถามหลังจากบุรุษชุดดำแกะมือเขาออกจากเอวและโดดลงจากหลังม้า



“...” ชายผู้นั้นยืนหันหลังไม่ตอบคำถาม เอาแต่กระชับผ้าปิดหน้าของตนให้แน่นขึ้น



“หรือพวกเราหลงทาง”



เมื่อนาซีมถามอีกคำ คนผู้นั้นจึงตอบกลับมา



“มิใช่”



“แล้วเหตุใดจึงหยุดเล่า”



“เจ้าชาย”



ชายผู้นั้นหันกลับมาจ้องตานาซีมใต้แสงจันทรา และไม่รู้เพราะเหตุใด นาซีมรู้สึกว่าเขาประหม่าเหลือเกินยามถูกดวงตาคู่นี้จ้องมอง



ถึงอย่างนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ยังพยายามบังคับตัวเองมากขึ้นให้ทุกอย่างสงบ ไม่ว่าจะร่างกายที่เกิดอาการประหลาดหรือหัวใจซึ่งสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้มันจะยากเหลือเกินก็ตาม



“ว่า...อย่างไร”



“ยาของท่านอยู่ที่ไหน”



“...”



“ยาที่โอเมก้าต้องมีติดตัวเพื่อกินเวลาฮีทอย่างไรเล่า ตอนนี้มันอยู่ไหน”



“อยู่ใน...ปลอกคอ”



“รีบเอาออกมาเถอะ ข้าทนได้ไม่นานนัก อีกอย่างพวกอัลฟ่าของทารายาอาจตามกลิ่นของท่านได้เช่นกัน” คนผู้นั้นว่า



“ทนสิ่งใด...”



“ก็ทน...” เขาหยุดพูด ก่อนขยับเข้ามาใกล้ ราวกับต้องการพินิจสภาพของนาซีมให้ถี่ถ้วน



“ท่านอาบกายตัวสิ่งใด ทำไมจึงหอมนัก” ถามจบนาซีมก็เห็นแววตาของคนผู้นั้นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย



“นี่ท่านเพิ่งฮีทครั้งแรกหรือ”



“ถ้าสิ่งที่ข้ากำลังเป็นอยู่คืออาการฮีท ก็ใช่....ข้าเพิ่งเคยเป็นเช่นนี้ครั้งแรก” พูดจบนาซีมก็ปล่อยตัวซบกับหลังม้า ตั้งแต่เมื่อครู่เหงื่อกาฬของเขาไหลอาบจนชุดเปียก



เขาเพิ่งเคยเป็นเช่นนี้ครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก ในปากของเขาแห้งผาก ภายในร่างกายร้อนรุ่มราวกับเลือดทุกหยดกำลังเดือด หากในขณะเดียวกันนั้น ร่างกายก็ร่ำร้องให้ทำอะไรบางอย่างเพื่อปลดปล่อยความทรมานนี้



สายลมแล่นพลิ้วมาอีกระรอก พัดเอาไอหอมจากบุรุษชุดดำมาต้องจมูก นาซีมรู้สึกเหมือนสติของเขากำลังจะหลุดลอยไป แทนที่ด้วยสัญชาตญาณภายในของโอเมก้า



เขาฝืนเรี่ยวแรงยกมือขึ้นเพื่อเอื้อมคว้าไปข้างหน้า อยากยื่นไปคว้าเอาร่างสูงใหญ่มาเป็นที่พักพิง



“ท่าน...ได้โปรด”



“...”



“ช่วยข้าหน่อย”



“ให้ตายเถอะ!”



คนผู้นั้นกัดฟันกรอด ก่อนเดินมาดึงเขาลงไปจากม้าและจับต้องไปทั่วร่างกายคล้ายต้องการสำรวจ แต่เขาคงไม่รู้ ทุกสัมผัสที่ฝ่ามือใหญ่ลากผ่าน มันนำพาความร้อนรุ่มและวาบหวามมาให้นาซีมจนร่างกายเขาสั่นระริกแทบยืนไม่อยู่



“ปลอกคอท่านอยู่ที่ใด”



นาซีมรู้สึกเหมือนเสียงที่ถามนั้นอยู่ไกลแสนไกล “หืม...”



“ข้าถามว่าปลอกคอของท่านอยู่ไหน!” ครานี้เขาถึงกับตะโกนถาม



“อยู่...” นาซีมใช้สติที่เหลือเพียงน้อยนิดครุ่นคิด และเขาก็นึกออก “อยู่ในกระโจมของทาริค เมื่อครู่...เขาถอดมันออก”



“บัดซบ!!”



เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจ้าชายนาซีมถูกตะคอกด้วยคำหยาบคายต่อหน้า ทว่าเขาก็ไม่นึกโกรธ เพราะพอเดาออกแล้วว่าตนกำลังเดินไปสู่สถานการณ์เลวร้ายจริงๆ



“เราจะ...ทำอย่างไรดี ท่าน...ช่วยข้า...ได้หรือไม่” นาซีมคว้ามือใหญ่ไว้ เพราะเขารู้ว่าใกล้ถึงขีดจำกัดของตนแล้ว



คนคนนั้นมองดูนาซีมด้วยสายตาอ่านไม่ออก แล้วเขาก็ระบายลมหายใจราวกับเหนื่อยเหลือแสน



“ข้ามาเพื่อช่วยท่าน” เขาไม่พูดด้วยความโกรธาแล้ว แต่น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและมั่นคงพอจะเชื่อว่าอีกฝ่ายมาเพื่อช่วยเหลือจริงๆ



“…”



“แต่ท่านก็ต้องช่วยข้าด้วย ได้หรือไม่”



“ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร”



“ทำตามข้าบอก”



“...ได้สิ”



“เช่นนั้นปล่อยข้าก่อนแล้วยืนรอสักครู่”



“อืม”



นาซีมรับคำอย่างว่าง่าย แล้วบุรุษชุดดำก็ทำการฉีกแขนเสื้อเนื้อบางเบาของนาซีมออกข้างหนึ่งเพื่อนำมาพันรอบคอให้เขา



“ใช้แทนปลอกคอไปก่อน” เขาว่า ก่อนปลดผ้าคลุมของตนเองออกให้เหลือเพียงแค่ชุดรัดรูปสีดำด้านใน แล้วนำผ้าคลุมมาห่อตัวนาซีมไว้ สุดท้ายถอดเชือกถักที่แขนข้างซ้ายมามัดให้ผ้าคลุมไม่เลื่อนหลุด



ครั้นแต่ตัวให้นาซีมเสร็จ เขาก็หยิบเอาตลับเล็กๆ คล้ายตลับโอสถออกมาเทลูกกลมๆ สีน้ำตาลในนั้นเข้าปากจนหมด



“ท่านไม่มียาก็ไม่เป็นไร แต่คิดว่ายาของข้าคงช่วยบรรเทาได้บ้าง” เขาพึมพำกับนาซีม หากมันก็ดูคล้ายบอกตัวเองด้วยเช่นกัน



“...”



“เอาล่ะ เสร็จแล้ว แบบนี้น่าจะพอควบคุมกลิ่นของท่านได้บ้าง”



“อืม”



พอสิ้นเสียงนาซีมก็ถูกอุ้มขึ้นหลังม้าโดยให้นั่งเอียงข้าง ก่อนอีกฝ่ายจะกระโดดขึ้นมานั่งซ้อนทับด้านหลัง และกระชับตัวนาซีมไว้ในอ้อมแขน



เขาก้มลงมองนาซีมแวบหนึ่ง แล้วเลื่อนผ้าคลุมปิดบังใบหน้าให้จนเหลือแต่ดวงตา



“จับข้าไว้ให้ดี” นาซีมทำตามที่เขาบอก คือหันตัวมาด้านหลังและจับชุดของอีกฝ่ายไว้ “และอย่าขยับตัวมากนัก”



“ข้าจะจับไว้ไม่ให้ตก...”



“ข้าไม่ได้กลัวท่านตก”



“แล้วเหตุใด...”



“...ข้ากลัวตัวเองทนไม่ไหว”



“...”



“พวกเราเดินทางต่อเถอะ”



เขาตัดบทและตวัดบังเหียน ก่อนอาชาสีเดียวกับผืนฟ้ายามราตรีจะกระโจนจ้วงพาพวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง



นาซีมหลับๆ ตื่นๆ เป็นพักๆ แต่ทุกครั้งที่รู้สึกตัว เขาจะสัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่มที่สุ่มทั้งร่างกายและจิตใจ หลายครั้งนาซีมอยากร้องขอให้บุรุษในชุดดำช่วยเขาที แต่เจ้าชายก็ไม่กล้า จึงได้แต่เกาะอีกฝ่ายให้แน่น และเบียดกายเข้าไปสูดกลิ่นหอมนั้นใกล้ๆ อีกนิด แม้ว่าบางทีจะมีเสียงดุจากอีกฝ่ายก็ตาม เช่น



“อย่าขยับ”



“เหตุใดถึงรั้นนักนะเจ้าชาย”



“ข้าบอกว่าไม่ให้ขยับ!”



นาซีมฟังเขาว่าเป็นระยะ แต่ก็ไม่เถียงและไม่ยอมทำตาม เขาไม่คิดว่าตนเองจะดื้อด้านขนาดนี้เช่นกัน แต่ให้ทำอย่างไรได้ อะไรบางอย่างสั่งให้นาซีมอยู่ใกล้ๆ คนคนนี้ไว้ ยิ่งได้กลิ่นติดกายนั้นมากเท่าใดก็ยิ่งดี แม้มันอาจเป็นตัวกระตุ้นให้ร้อนรุ่มไม่หาย ถึงอย่างนั้นก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยเช่นกัน



เจ้าชายแห่งโซราห์คิดพลางขยับตัวหาที่เหมาะๆ อีกหลายที กระทั่งลงตัวในคราสุดท้าย เขาจึงผล็อยหลับไปเนิ่นนาน...







❂ …………………………….❂







ผู้ที่หลับก็หลับสบายไป ส่วนผู้ที่ยังตื่นต่างหากที่กำลังทรมานอย่างแสนสาหัส บุรุษในอาภรณ์สีราตรีกาลขบกรามแน่น แม้นตาจะมองตรงไปข้างหน้า มือตวัดบังเหียนเร่งความเร็วอาชาเท่าใด ทว่าความรู้สึกที่พลุ่งพล่านเพราะคนในอ้อนแขนก็ยังชัดเจน



ใช่ว่าเขาไม่เคยพบโอเมก้าที่ฮีทมาก่อน ทว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่ยาระงับอาการตื่นตัวเพราะกลิ่นของโอเมก้าฮีทจะไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้ ร่างทั้งร่างรู้สึกร้อนรุ่มเพียงแค่ได้กลิ่นของเจ้าชายนาซีม ยิ่งถูกอีกฝ่ายบดเบียดเข้ามาในอ้อมแขน เขาก็แทบจะคุมสติไม่ไหว



ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาต่อกลิ่นนี้เสียจนส่วนนั้นชูชันขึ้นมา ยิ่งถูกคนก่อกวนเสียดสี มันก็ยิ่งตั้งตรงจนปวดหนึบ หลายครั้งพอเผลอนึกถึงลำคอสีน้ำผึ้งที่เขาใช้ผ้าบางพันให้กับมือ เขาก็ต้องยกมือขึ้นหนึ่งขึ้นมาง้างปากตัวเองไว้ไม่ให้ก้มลงไปกัดผู้ที่กำลังนิทรา



กลิ่นของคนผู้นี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน ราวกับดอกไม้หอมที่ลวงล่อให้ภมรหลงใหลจนแทบยังใจไว้ไม่อยู่



จบจนดวงดาราเคลื่อน จันทราคล้อย แสงรำไรแต้มระบายที่ขอบฟ้า ภาพกองราคาวานซึ่งกำลังรอพวกเขาอยู่จึงปรากฏขึ้น…



ชายหนุ่มเร่งควบอาชาไปยังกองคาราวาน เขาเห็นคนผู้หนึ่งยืนโบกมือรอด้วยความยินดีจึงตรงดิ่งไปที่นั่น และเมื่ออาชาหยุดฝีเท้า เขาก็ส่งร่างในอ้อมแขนให้ผู้ที่คอยรับอยู่ทันที



“นี่เจ้าชายรึ”



“ใช่”



“เหตุใดทำรุนแรงกับเจ้าชายเพียงนี้เล่า”



“อย่าเพิ่งพูดมากความอันวา รีบพาเขาไปกินยาเสีย”



“หนะ...นี่เขาฮีทหรือ!” อันวาทำตาโต



“ใช่”



“ได้ๆ” อันวารับคำสั่งขับแข็ง ผิดกับท่าทางขี้เล่นก่อนหน้านี้ ทว่าก่อนไป อันวาก็ยังหันมามองด้วยความเป็นห่วง “แล้วท่านล่ะ”



“ข้าไม่เป็นไร”



“มือท่าน!!” นอกจากทำตาโตแล้ว ครานี้ใบหน้าของอันวาซีดเผือด เพราะเห็นว่ามือของผู้นำตนเต็มไปด้วยรอยกัดมากมายที่รุนแรงจนเลือดไหลอาบแผล



“ข้าบอกว่าไม่เป็นไร เจ้ารีบไปได้แล้ว”



“แต่...”



“ไปเดี๋ยวนี้! ก่อนที่อัลฟ่าในคาราวานของเราจะคลั่งเพราะเขา”



“ขอรับ
ท่านคาริฟ













❂ …………………………….❂













กลับมาแล้วค่ะ

มารอบนี้พระเอกออกแล้วน้าาาาา

ส่วนเขาจะเป็นใครหนอ

ติดตามต่อได้ในตอนหน้าค่ะ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะลงให้พรุ่งนี้นะคะ

ส่วนศัพท์เทคนิคต่างๆ ของโอเมก้าเดี๋ยวฝนทำมาแปะด้วยค่ะ



ละอองฝน.



หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 3 ลวงภมร :- [17/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 17-09-2019 18:55:24
ท่านคาริฟเท่สุดๆ  :impress2:


 :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 3 ลวงภมร :- [17/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-09-2019 21:43:20
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 3 ลวงภมร :- [17/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-09-2019 02:32:39
เกือบแล้ววววว
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 3 ลวงภมร :- [17/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-09-2019 07:52:44
มาแล้วววว รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 4 คำขอบคุณ :- [19/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 19-09-2019 15:43:58



บทที่ 4 คำขอบคุณ













ยามที่ลืมตาตื่น นาซีมก็รู้สึกว่าร่างกายที่เคยร้อนรุ่มเพราะความต้องการกลับเป็นปรกติแล้ว แต่เขายังเพลียและมึนหัวอยู่บ้าง ทว่าอย่างหลังน่าจะเป็นเพราะเขานอนอยู่ในห้องปิดทึบที่โคลงเคลงไปมามากกว่า



เจ้าชายจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด จึงพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ควานหาทางออกไปด้านนอก และเขาก็พบสลักเล็กๆ เหนือหัว



แกร๊ก



ทันทีที่เปิดออกลมร้อนของทะเลทรายก็พัดเข้ามา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงด้วยปรับตัวจากแสงจ้าไม่ทัน กระทั่งสามารถมองเห็นเป็นปรกติแล้ว นาซีมจึงเลิกผ้าม่านบางเพื่อทอดมองภูมิทัศน์ด้านนอก



เขาพบว่าตนอยู่บนรถม้า รอบข้างมีคนแปลกหน้าสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย พวกเขากำลังขี่อูฐข้ามเนินทรายมุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน ห่างออกไปด้านหลังมีรถม้าอีกคันที่ไม่รู้ว่าใช้บรรทุกคนหรือสิ่งของ



นี่ดูเหมือนกองคาราวานสินค้าเล็กๆ ที่เห็นได้ทั่วไป จะผิดกันก็ตรงที่นาซีมสงสัยว่าคนพวกนี้คงไม่ใช่พ่อค้า หนึ่งในนั้นรวมถึงชายที่ขี่อาชาสีดำนำหน้าขบวน



แม้ระยะห่างระหว่างรถม้าที่เขานั่งกับอาชาสีดำตัวนั้นจะไกลโข แต่เจ้าชายก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นั้นคือบุรุษในชุดดำที่ช่วยเขามาจากค่ายของชีคทาริคเมื่อคืน



นาซีมจำเรื่องราวหลังจากที่ตัวเองฮีทได้ไม่มาก ทว่าหากเป็นแผ่นหลังกว้างและตั้งตรงแบบนั้นเขากลับจำได้ขึ้นใจ เพราะมันถูกเขาใช้เป็นที่พักพิงอยู่นาน รวมถึงอกแกร่งที่ถูกเขาซุกด้วย



ครั้นนึกถึงสภาพไม่สู้ดีรวมทั้งพฤติกรรมของตนเมื่อคืน เจ้าชายแห่งโซราห์ก็อดร้อนผ่าวที่ใบหน้าไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยใกล้ชิดกับใครมาก่อน ซ้ำใครคนนั้นยังเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกัน



และเมื่อนึกถึงเรื่องฮีท นาซีมก็รีบตะครุบที่ลำคอของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขากลับลงมานั่งบนกองผ้าสีดำซึ่งใช้ต่างผ้าปูนอน พยายามสำรวจร่างกายตนว่าถูกสลักรอยไว้หรือไม่ แต่เมื่อลองคลำดูจนรอบ นาซีมก็ไม่พบร่องรอยที่ว่าแม้แต่นรอยเดียว รวมถึงรอยบนตัวตรงตำแหน่งอื่นด้วย



เจ้าชายถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยามนี้เขามีสติครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม จึงตระหนักได้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนร้ายแรงและสุ่มเสี่ยงเพียงไหน แค่นิดเดียว...หากบุรุษชุดดำผู้นั้นไม่ยับยั้งสัญชาตญาณ ตัวเขาตอนนี้คงมีรอยตราของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน



และพวกเราคงจำเป็นต้องผูกพันกันไปชั่วชีวิต...



นาซีมถอนหายใจออกมาเบาๆ ที่รอดพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ รวมถึงการตกเป็นของทาริคด้วย โชคดีแค่ไหนที่เขาไม่ต้องแต่งงานกับหัวหน้าคนเถื่อนที่สถาปนาตัวเองเป็นชีคนั่น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดห่วงแคว้นไม่ได้ เมื่อคืนเกิดเรื่องมากมาย เกรงว่าเช้าวันนี้กองทัพของทารายาคงบุกเข้าโซราห์แล้ว



คิดถึงตรงนี้นาซีมก็รู้สึกสลดหดหู่อย่างมาก ตัวเขาที่เป็นถึงว่าที่ราชา แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย แม้ยืนยันที่จะอยู่ที่นั่นต่อ เขาก็คงเป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่ง ไม่มีอำนาจบริหารบ้านเมือง ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะเลือกว่าควรมีหรือไม่มีชีวิตอยู่ต่อ

ทว่าก็การที่เขาหนีมาก็คงส่งผลร้ายไม่ต่างกัน เพราะถึงแม้นาซีมจะเป็นอิสระจากทาริค แต่ประชาชนคงตราหน้าว่าเขาละทิ้งบ้านเมือง...ทิ้งให้ทุกคนตกอยู่ในฐานะเชลย



ข้าจะทำเช่นไรดีท่านแม่...นาซีมระลึกถึงมารดาที่ล่วงลับ แต่นางไม่มีวันรับรู้อีกแล้ว ซ้ำการรำพันเช่นนี้คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น



“เฮ้อ~”



เจ้าชายแห่งโซราห์ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก ในเมื่อเวลานี้เขายังไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงตัดสินใจว่าต้องค่อยๆ คิดหาทางกลับไปทวงบ้านเมืองคืน เพราะจะร้ายดีอย่างไร บัลลังก์โซราห์ก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของสายเลือดในราชวงศ์



ส่วนในตอนนี้เขาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน อย่างแรกคือนาซีมจำเป็นต้องรู้ว่าคนที่มาช่วยเป็นใคร และต้องการอะไรจากเขาและโซราห์



เจ้าชายนาซีมขยับตัวไปที่หน้าต่าง ก่อนจะแอบเลิกผ้าม่านสังเกตสิ่งรอบตัวอีกครั้ง



ใครจะรู้ ทันทีที่นาซีมโผล่หน้าออกไป เขาก็พบชายแปลกหน้ากำลังส่งยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร แต่คนที่ไม่ทันได้เตรียมใจจะเจอใครในระยะประชิดสะดุ้งสุดตัวและเผลอถอนหลังมาชนผนังในรถม้าดังโครม



“โอ๊ย!” ครั้นนาซีมหลุดปากร้อง รถม้าที่เขานั่งก็หยุดเคลื่อนที่ไปด้วย



“ท่าน!” คนนอกรถม้าตะโกนเรียก ก่อนรีบเปิดรถม้าขึ้นมาดูอย่างร้อนรน “เป็นอะไรหรือไม่”



นาซีมลูบศีรษะที่โขกกับผนังเมื่อครู่พลางตอบ “ข้า...ไม่เป็นไร”



เมื่อสำรวจจนถี่ถ้วนด้วยตาเปล่าแล้วว่านาซีมไม่เป็นอะไรจริงๆ ชายผู้มาใหม่จึงเปิดประตูออกไปตะโกนบอกคนด้านนอก



“เขาไม่เป็นไร เดินทางต่อเถอะ!” หลังจากนั้นรถม้าจึงกลับมาเคลื่อนที่เหมือนเก่า



เจ้าชายลอบพินิจคนตรงหน้า เขาเป็นชายผิวเข้มกว่านาซีม รูปร่างสันทัด ไม่สูง ไม่ต่ำเกินไป ใบหน้ามอมแมมเล็กน้อยจากฝุ่นทราย สวมเสื้อผ้าเนื้อหนาสำหรับป้องกันแสงแดด โดยรวมเขาดูเหมือนคนธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น เว้นแต่ดวงตากลมโตที่ดูสดใสชวนให้รู้สึกถึงความเป็นมิตรของอีกฝ่าย



“ท่านตื่นนานแล้วหรือขอรับ”



เขาถามโดยไม่หันมองหน้า มัวแต่ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า จุดที่วางหีบใบใหญ่เอาไว้ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ในสายตาของนาซีม การกระทำของคนคนนี้ดูเป็นธรรมชาติเหลือเกิน ทำราวกับพวกเขารู้จักกันมานานแล้ว



“เจอแล้ว!” อีกฝ่ายหาอยู่ครู่หนึ่งก็ร้องตะโกน ก่อนหยิบตลับเงินเล็กเท่าฝ่ามือออกมา แล้วหันมาถามนาซีมอีกครั้ง “ว่าอย่างไรขอรับเจ้าชาย ท่านตื่นนานแล้วหรือ”



“ไม่นาน”



“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ ยังปวดหัวหรือร้อนเหมือนเป็นไข้อยู่อีกหรือไม่”



“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว แค่ปวดหัวเล็กน้อย แต่น่าจะเป็นเพราะหลับอยู่ในรถม้ามากกว่า”



“ดีเลยขอรับ ข้ากำลังกลัวว่าเจ้าชายจะฮีทรุนแรงกว่านี้ นี่แปลว่าตำรับยาของข้าได้ผลกับท่าน หากท่านพ่อรู้จะต้องภูมิใจในตัวข้าแน่” เขาพูดรวดเดียวแทบไม่หยุดหายใจจนนาซีมอึ้งไป



“ขอบใจ เอ่อ...เจ้า...”



“อ้อ” อีกฝ่ายทำท่าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก “ข้ามีนามว่าอันวา พ่อข้าเป็นหมอที่เก่งที่สุดในแคว้นโฮมา นามว่าฮาชิ ท่านเคยได้ยินหรือไม่”



“...ขอโทษด้วย ข้าไม่เคย...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคอีกฝ่ายก็แทรกอย่างอารมณ์ดี



“แน่ล่ะ ท่านจะเคยได้อย่างไร ข้าได้ยินว่าท่านไม่เคยออกนอกโซราห์เลยมิใช่หรือเจ้าชาย”



“...”



ครานี้นาซีมอึ้งไปแล้วจริงๆ เพราะหนึ่ง เขาพบว่าคนผู้นี้รู้เรื่องของเขามากเหลือเกิน สอง ตัวเขากลับไม่รู้อะไรสักอย่าง ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน และเหล่าผู้ที่มาช่วยเขาเอาไว้เป็นใคร



สุดท้าย นาซีมไม่เคยพบผู้ใดพูดมากเท่าอันวามาก่อนในชีวิต ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักกัน



“เจ้าชายนาซีม”



“...หืม? ว่าอย่างไร”



“ไม่มีอะไร เห็นท่านนิ่งไปไม่ตอบคำข้า ข้าจึงลองเรียกดู กลัวว่าจะเกิดฮีทขึ้นมาอีก”



“ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ แค่ตกใจนิดหน่อย”



“ตกใจอะไรหรือ” อันวาเอียงคอมอง



“ไม่มีอะไรหรอก” นาซีมส่ายหน้า ไม่อยากพูดว่า เพราะเจ้านั่นแหละที่ทำให้ข้าพูดไม่ออกเช่นนี้



“ไม่มีอะไรก็ดี เช่นนั้นท่านกินยานี่ก่อน”



“ยาอะไร” นาซีมมองเม็ดสีน้ำตาลกลมเกลี้ยงที่อันวาส่งให้



“ยาระงับอาการฮีท”



“แต่ข้าไม่ได้ฮีทแล้ว”



“ไม่ฮีทก็ต้องกินไว้ก่อน เพราะไม่แน่ว่าท่านอาจฮีทขึ้นมาอีกระหว่างที่เราเดินทางเข้าโฮมา ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาต้องเอาข้าตายแน่ๆ” อันวาทำคอย่น เมื่อเอ่ยถึงใครบางคน



“ใครเอาใครตาย แล้วนี่เรากำลังจะเดินทางไปแคว้นโฮมาหรือ”



“ท่านคงไม่รู้...ผู้ที่จะเอาข้าตายหากท่านฮีทขึ้นมาอีก ก็คือผู้ที่นำพวกเราอยู่หน้าขบวนโน้นไง”



ภาพบุรุษชุดดำผุดขึ้นมาในหัวของนาซีมทันทีที่อันวาว่าจบ ดูท่าคนคนนั้นคงมีอิทธิพลต่ออันวาน่าดู เด็กหนุ่มผู้นี้จึงมีท่าทียำเกรง



“เป็นเขาเองหรือ”



“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้” อันวาเอ่ย แล้วเล่าต่อ “ส่วนเรื่องเดินทางเป็นเช่นที่ท่านว่า ตอนนี้เรากำลังจะไปที่แคว้นโฮมา เพราะต้องไปสับเปลี่ยนรถมาและกองคาราวานที่นั่น”



“สับเปลี่ยนเพื่อเดินทางไปที่ไหน”



“ออกจากโฮมา ข้าได้ยินเขาพูดว่าเราจะไปที่แคว้นเอมาลีต่อ”



“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”



“หลังจากนั้นเราจะ--- “



ยังไม่ทันพูดจบ อันวาก็ถูกคนผู้หนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน “อันวา”



“ขอรับ” อันวาหันไปค้อมหัวให้เขาครั้งหนึ่ง



“เตรียมตัวเสร็จหรือยัง เรากำลังจะเข้าเขตโฮมาแล้ว”



“พวกเราใกล้จะ...” อันวาทำทำตาหลุกหลิก เพราะตั้งแต่เข้ามาในรถม้า เขาก็ยังไม่ได้เตรียมตัวให้เจ้าชายตามที่ได้รับคำสั่งมาเลยแม้แต่น้อย และบุรุษในชุดดำก็ดูออก



“นี่ไม่ใช่เวลาพูดพร่ำ รีบจัดการเสีย” อีกฝ่ายว่าเรียบๆ แต่มันก็ทำให้อันวาหุบยิ้มฉับพลัน



“ขอรับ”



เมื่อเด็กหนุ่มก้มหัวอีกครั้ง คนผู้นั้นจึงยอมถอยออกไป อันวาเหลือบตามอง ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเป็นเจ้าชายแห่งโซราห์ที่รั้งเขาไว้



“เดี๋ยวก่อน!”



บุรุษผู้นั้นชะงักกึก แล้วหันกลับมาตามเสียงเรียก “มีอะไรหรือ”



“ข้าขอเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่” เมื่อมองตามดวงตาสีมรกต นาซีมเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นมีแววลังเลเล็กน้อย เจ้าชายจึงโน้มน้าวอีกคำ “ข้าอยากสนทนากับท่านเพียงสองสามประโยคเท่านั้น”



“...”



“อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ฮีทแล้ว” แผ่นอกของบุรุษชุดดำสะท้อนลงเพราะระบายลมหายใจ ดูท่าเขาคงกังวลเรื่องที่นาซีมฮีทเป็นแน่ “ท่าจะกรุณาข้าได้หรือไม่”



“ได้สิ” เขาตอบรับในที่สุด แต่ก่อนจะเข้ามาในรถม้า อันวาที่รู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดีก็ถอยฉากออกไป



“เช่นนั้นข้าขอไปดูเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้าชายก่อนนะขอรับ”



“ไปเถอะ”



เจ้าของดวงตาสีมรกตอนุญาต จากนั้นจึงแทรกตัวเข้ามาในรถม้าแทนที่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรถม้าคันนี้เล็กหรือร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป เมื่อจัดที่จัดทางนั่งเรียบร้อย ห้องโดยสารสี่เหลี่ยมจึงได้แคบลงถนัดตา



ครั้นนั่งเรียบร้อย บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ก็ค่อยๆ ปลดผ้าคลุมหน้าของตนเองออก และนี่เป็นครั้งแรกที่นาซีมได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ



นอกจากดวงตาสีมรกตที่งดงามจนสะกดผู้คนได้แล้ว เครื่องหน้าของเขาก็ยังเข้ารูปและงดงามเสียจนคนมองลมหายใจสะดุด แม้คนในดินแดนแห่งนี้จะมีเอกลักษณ์เด่นคือ ตาคม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง แต่องค์ประกอบของคนผู้นี้กลับเหมาะเจาะพอดี และโดดเด่นเหนือผู้คนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญ ผิวของเขาขาวกว่าใครราวกับไม่ใช่เชื้อสายของคนในซาร์เรีย



นาซีมหลุบตามองต่ำ ไม่รู้เหตุใดจึงประหม่าที่ต้องจ้องมองอีกฝ่ายตรงๆ



“ท่านมีเรื่องใดจะพูดกับข้าก็ว่ามาเถิด” เป็นอีกฝ่ายที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน นาซีมจึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง



“ขออภัยที่รั้งท่านไว้”



“มิเป็นไร” เขาตอบสั้นๆ และเงียบลง คล้ายรอคอยให้เจ้าชายเอ่ยปากเสียที เห็นดังนั้นนาซีมก็เข้าเรื่อง



“ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่ ว่าพวกท่านเป็นใคร”



เขาเงียบไปนิดเมื่อได้ยินคำถาม แต่สุดท้ายก็ยอมตอบ



“ข้าเป็นชนเผ่าเล็กๆ ชนเผ่าหนึ่งทางตอนหนึ่งของดินแดนซาร์เรีย”



“ชนเผ่าทางตอนเหนือลึกเข้าไปในทะเลทรายหรือ...”



“ถูกแล้ว”



“แล้วเหตุใดพวกท่านจึงมาช่วยข้า ท่านเป็นคนของใคร คนของผู้ครองแคว้นโฮมาหรือ”



“พวกเรามิได้ขึ้นตรงต่อผู้ใด” เขาส่ายหน้า



ในตอนแรกเจ้าชายนาซีมคิดว่านี่อาจเป็นกลการเมืองของผู้ครองแคว้นโฮมา ที่ต้องการช่วยเหลือเขาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างครอบครองหรือเรียกร้องผลประโยชน์จากโซราห์ ดังเช่นที่ผู้ครองแคว้นโฮมาพยายามทำมาก่อน โดยการส่งคนไปเจรจาขอนาซีมไปอภิเษก ทว่าราชาราฮิมปฏิเสธ



และเมื่อคนตรงหน้าบอกว่าไม่ใช่คนของผู้ครองแคว้นโฮมา เขาก็ไม่รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมาช่วยเขาเพราะเหตุใด



“เช่นนั้นเรื่องนี้มันอย่างไรกันแน่ ช่วยอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่”



“ด้วยความสัตย์จริง พวกข้ามิได้เป็นคนของใคร แต่ที่พวกเรามาช่วยท่านจากเงื้อมมือของทาริค เพราะนั่นคือคำขอของคนผู้หนึ่ง”



“ผู้ใด”



ดวงตาสีมรกตมองนาซีมด้วยแววตาอ่านไม่ออก แล้วจึงเอ่ย



“เป็นคำขอของมารดาท่าน...ราชินีอาลียา”



“...ท่านแม่หรือ” เจ้าชายนาซีมตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าคนพวกนี้จะเสี่ยงชีวิตมาช่วยเขาเพราะคำขอของมารดาผู้ล่วงลับ



“ถูกแล้ว”



“ปะ...เป็นคำขอของท่านได้อย่างไร ในเมื่อท่านแม่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว”



“เรื่องนี้ซับซ้อนและไม่เหมาะจะพูดกันเวลานี้ เอาเป็นว่า ท่านรู้แค่พระนางเคยช่วยเหลือคนของเผ่าเราไว้ก็พอ และพระนางขอสิ่งตอบแทนเป็นการปกป้องท่าน เจ้าชายนาซีม”



“...” นาซีมถึงกับพูดไม่ออก ความรู้สึกรักและคิดถึงมารดาตีรวนขึ้นมาในอก เขาไม่เคยคิดว่า แม้ท่านแม่ของเขาจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่พระนางก็ยังคอยปกป้องเขาจากคนชั่วร้ายและภยันตรายเหล่านั้น ราวกับท่านคอยมองนาซีมจากบนฟ้า



“ท่านมีอะไรสงสัยอีกหรือไม่ ใกล้จะต้องเข้าประตูแคว้นโฮมาแล้ว พวกข้ารวมถึงท่านจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม”



นาซีมเก็บความรู้สึกคะนึงหาไว้ในหัวใจ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วว่า



“ข้ายังมีเรื่องสงสัยอยู่บ้าง แต่ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่เพิ่งถามท่านไปเมื่อครู่ เอาไว้เข้าโฮมาแล้วค่อยถามท่านอีกคราก็คงไม่สาย”



“เช่นนั้นก็ดี” เขารับคำเรียบๆ ก่อนเอ่ยในสิ่งที่ต้องการบอกแก่เขาบ้าง “เจ้าชาย”



“ว่าอย่างไรหรือ”



“หลังจากเข้าโฮมา ท่านจะให้ใครล่วงรู้ว่าฐานะที่แท้จริงของท่านไม่ได้เด็ดขาด เมื่อคืนชีคทาริคเดินทัพเข้ายึดครองโซราห์แล้ว และมันก็สั่งให้ทหารควานหาตัวท่าน เพื่อจับกลับไปรับโทษที่โซราห์”



“แล้วประชาชน...” เจ้าชายถามอย่างร้อนใจ



“เวลานี้ท่านไม่อาจช่วยเหลือใคร ดังนั้นจงรักษาตัวไว้ให้ดี หากจะคิดอ่านอันใดก็ขอให้เป็นหลังจากที่พวกเรารอดพ้นไปถึงเผ่าของข้าให้ได้เสียก่อนดีกว่า”



สิ่งที่คนคนนี้ผู้ไม่ผิดแม้สักนิดเดียว นาซีมจึงพยายามสงบใจ และทำตามที่อีกฝ่ายบอก



“ในเมื่อเป็นเช่นที่ท่านว่า ทางเลือกของข้าคงมีแต่...ต้องเชื่อคำท่าน”



“เมื่อท่านรู้แล้วข้าก็สบายใจ เช่นนั้นข้าขอออกไปเตรียมตัวก่อน ส่วนท่านก็รออันวาอยู่ในนี้ เขาจะบอกสิ่งที่ท่านต้องทำอย่างละเอียด”



“อืม” เมื่อนาซีมรับคำ บุรุษในชุดดำก็ลุกขึ้นเพื่อจากไป ทว่าก่อนที่แผ่นหลังกว้างจะหายลับตา เป็นเจ้าชายแห่งโซราห์ที่รั้งเขาไว้อีกครั้ง “เดี๋ยวก่อนท่าน!”



เขาหันกลับมา “ท่านยังข้องใจเรื่องใดอีกหรือ”



“ขออภัย แต่ท่านจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าท่านมีนามว่าอันใด”



“คาริฟ” บุรุษในชุดคลุมดำเอ่ยสั้นๆ โดยไม่หยุดคิด



“ขอบคุณที่ช่วยข้า ไม่ได้ท่าน ไม่รู้ตอนนี้ข้าจะเป็นอย่างไร”



“เป็นหน้าที่ของข้า อย่าได้ใส่ใจ”



“ไม่ใช่แค่เรื่องที่ช่วยข้าจากทาริค แต่เรื่องที่เมื่อคืนท่านไม่ประทับตราบนตัวข้าด้วย”



“...” คาริฟนิ่งไป นาซีมเอ่ยคำขอบคุณอีกครั้ง พร้อมกับของกำนัลคือ...รอยยิ้มแรก



“ขอบคุณท่านมาก...คาริฟ”










❂ …………………………….❂











มาต่อแล้วค่ะ

เอาล่ะตอนนี้เขารู้จักกันแล้ว

และกำลังจะเดินทางไปด้วยกัน

เป็นการเดินทางที่ต้องเจออะไรอีกมากเลย

รวมทั้งตัวคนเขียนด้วย

ยังไงก็ฝากติดตามและเดินไปด้วยกันจนจบเรื่องนะคะ

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 4 คำขอบคุณ :- [19/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-09-2019 00:32:46
พระเอกเขาค่าตัวแพงอ่ะเนอะ  555
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 4 คำขอบคุณ :- [19/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 20-09-2019 22:35:32
ลึกลับซับซ้อนจริงๆ

ท่านคาริฟเจอรอยยิ้มของน้องไปรู้สึกยังไงบ้างคะ :hao3:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 5 กลิ่นไม่พึงประสงค์ :- [21/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 21-09-2019 13:19:15




บทที่ 5 กลิ่นไม่พึงประสงค์










เมื่อคาริฟหลบฉาก อันวาก็กลับเข้ามาทำหน้าที่ต่อคล้ายรอเวลาอยู่แล้ว เด็กหนุ่มนำอาภรณ์ชุดใหม่มาให้นาซีมเปลี่ยน ด้านในเป็นชุดรัดกุม เสื้อและกางเกงสีเดียวกัน ส่วนด้านนอกคือชุดคลุมสีหม่นตัวหลวมโพรก สวมแล้วรุ่มร่ามราวกับไม่ใช่เสื้อของเขา



หลังนาซีมเปลี่ยนเสร็จอันวาก็นั่งลงบนพื้น คว้าข้อเท้าของเขาเข้าหาตัว ก่อนถลกขากางเกงขึ้นและหยิบชามสีเงินใบหนึ่งออกมา ในชามใบนั้นมีของเหลวบางอย่างเป็นเมือกเหนียวสีน้ำตาลอมแดง มันส่งกลิ่นเหม็นเหมือนของเน่าเสีย กลิ่นฉุนจัดทำเอาเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ถึงกับต้องคว้าผ้าคลุมปิดจมูก



“ท่านคงคิดว่ามันกลิ่นไม่ดีเอาเสียเลยใช่หรือไม่เจ้าชาย” อันวายิ้มขัน



“มันคืออะไร” นาซีมถามเสียงอู้อี้



“นี่คือสิ่งที่จะทำให้ท่านผ่านเข้าโฮมาโดยไม่ถูกจับได้เสียก่อนน่ะสิ” เด็กหนุ่มบอกขณะบรรจงทาของเหม็นๆ นั่นลงบนขาทั้งสองข้างของนาซีมอย่างตั้งอกตั้งใจ



“แล้วตกลงมันคือสิ่งใดกันแน่ บอกข้าได้หรือไม่”



“มันคือมะเดื่อสุก รากเวลวิชเซีย แล้วก็ว่านหางจระเข้ แต่เอามาทำอย่างไร ท่านไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่ามันช่วยให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ท่านก็แล้วกัน”



“พวกเจ้ามีแผนอะไรกันหรือ”



“ท่านคาริฟไม่ได้บอกท่านแล้วหรือ”



“ยัง เขาว่าเจ้าจะอธิบายเองว่าข้าต้องทำอะไรบ้าง”



“อะไรกัน นี่คาริฟโยนงานให้ข้าแม้กระทั่งเรื่องนี้หรือ ทั้งที่ข้าบอกเขาแล้วแท้ๆ ว่าท่านเลิกฮีทแล้ว เหตุใดเขาต้องกลัวที่จะเข้าใกล้ท่านนัก”



แม้คำพูดของอันวาจะเป็นการบ่นกับตัวเองมากกว่าหารือกับนาซีม ทว่ามันก็ทำให้เจ้าชายรู้สึกกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ไปด้วย



…ที่แท้เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวข้าฮีทจริงๆ



อันที่จริงนี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก จะมีอัลฟ่าคนไหนอยากสติหลุดควบคุมตนเองไม่ได้ และเผลอจับคู่กับโอเมก้าที่ตนเพิ่งเคยเห็นหน้าด้วย



แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พอนาซีมนึกถึงดวงตาสีมรกตคู่นั้น เขากลับรู้สึกผิดหวังใจลึกๆ มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไอ้ความรู้สึกไร้เหตุผลนี่ หากมันก็เกิดขึ้นแล้วในส่วนใดส่วนหนึ่งของหัวใจเขา



เพราะเวลานี้นาซีมรู้ตัว รู้ความคิดของตนเองดี เขาจึงรีบปัดความรู้สึกแสนประหลาดนั่นออกจากสมอง และกลับมาสนใจสิ่งที่ต้องทำแทน



“เอาเถอะ อย่างไรนี่ก็ตกเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เช่นนั้นช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าต้องทำสิ่งใดบ้าง”



“อย่างที่ท่านรู้ อีกสักครู่เราจะเข้าเขตโฮมา แต่เพราะท่านถูกตามล่า และชีคทาริคก็ส่งคนไปดักหน้าที่แคว้นโฮมาแล้ว ดังนั้นการที่คาราวานสินค้าจะเข้าประตูแคว้นได้ เราต้องถูกตรวจสองทุกขบวน พวกเขาจึงต้องอำพรางตัวตนเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นว่าท่านคือเจ้าชายนาซีมแห่งโซราห์”



“แล้วของปฏิกูลที่เจ้าเอาทาตัวข้าเล่า มันจะช่วยได้อย่างไร”



“ช่วยได้สิ เราเริ่มจากบอกว่าท่านคือบุตรชายอนุของท่านพ่อค้าซึ่งเป็นเจ้าของขบวน เขาพาท่านมาที่โฮมาเพราะท่านป่วยด้วยต้องพิษประหลาด และต้องการรักษากับหมอที่ดีที่สุดในโฮมา เรื่องนี้ไม่น่าสงสัยอยู่แล้ว เพราะโฮมาขึ้นชื่อเรื่องการแพทย์ที่สุด ซ้ำท่านพ่อค้ายังเดินทางจากเอมาลีมาค้าขายที่นี่ทุกๆ สิบห้าราตรี เขาเข้าออกที่นี่เป็นประจำจึงไม่ผิดสังเกต”



“เขาเป็นคนของเราแน่ๆ ใช่หรือไม่”



“แน่นอนไม่มีทางเป็นอื่น เพราะท่านกาดัสเป็นคนของเผ่าเราโดยกำเนิด” อันวาให้ความมั่นใจ ก่อนจะเล่าแผนการต่อ “ดังนั้นระหว่างเข้าประตูเมือง ท่านต้องหลบอยู่ในรถม้า แม้พวกเขาเปิดเข้ามาหาแต่ก็คงมองผ่านๆ แล้วก็ไป เพราะทนกับกลิ่นพวกนี้ไม่ได้ อีกอย่างยาของข้ายังทำให้ผิวกายของท่านมองดูคล้ายเป็นแผลพุพอง ต่อให้พวกทหารโง่นั่นอยู่กับท่านมาตั้งแต่เกิดก็ไม่มีทางจำได้”



นาซีมฟังแล้วก้มมองขาที่ถูกทาด้วยยาประหลาด เขาแค่ละสายตาจากมันนิดเดียว เวลานี้ขาสองข้างกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากผิวเนียนเรียบลื่นเป็นผิวที่เต็มไปด้วยแผลอักเสบ เมือกสีน้ำตาลซึ่งฉาบผิวหน้าไว้มองดูคล้ายเลือดเคล้าหนอง ยิ่งผนวกกับกลิ่นอันไม่น่าพึงประสงค์ ก็ยิ่งแล้วใหญ่ นี่ถ้าเขาถูกทาด้วยยาเหม็นนี่ทั้งตัว คงเหมือนคนที่ตายไปแล้วหลายราตรี มากกว่าผู้ป่วยที่ต้องการการเยี่ยวยา



“น่าอัศจรรย์ใจนัก” นาซีมเอ่ยออกมาตามความคิด



เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มผู้นี้อีกครั้ง ในใจอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ ทั้งที่ตัวเล็กเท่านี้ และอายุน้อยกว่าเขาหลายปี แต่กลับมีพรสวรรค์น่าชื่นชม



“ข้าเก่งใช่หรือไม่”



“เจ้าเก่งมาก” นาซีมยอมรับ มิได้เยินยอเกินจริงแม้แต่น้อย



“ข้าอยากให้ท่านพ่อได้ฟังจริงๆ ว่าเจ้าชายแห่งโซราห์ชมเชยข้าอย่างไร” เขายืดตัวขึ้นเล็กน้อย ดูคล้ายภูมิใจในตนเองจนออกนอกหน้า แต่นาซีมไม่ว่าหรอก ในเมื่อเขาเก่งกาจสมราคาคุย



“เอาไว้ข้าได้พบเขาเมื่อไหร่ ข้าจะเป็นคนบอกเรื่องนี้แก่เขาเอง”



“จริงรึเจ้าชาย!” อันวาทำตาโตพลางผุดลุกขึ้นมาเกาะแขนนาซีมเขย่าอย่างตื่นเต้น



“จริงแท้แน่นอน” นาซีมยิ้มรับ “เจ้าไม่รู้หรือว่า ผู้ที่เป็นราชา จักพูดคำไหนคำนั้น แม้ตัวข้ามิได้ถูกสถาปนาขึ้นครองราชย์ แต่ข้าก็เป็นมีสัจจะ”



“ท่านดีที่สุด!” ครานี้เป็นอันวาที่ยกยอเขาเกินจริง “หากท่านได้เป็นราชาวันใด พาข้าไปเป็นหมอหลวงในวังด้วยได้หรือไม่”



“ได้สิ” นาซีมยิ้ม ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “...หากข้าไม่ตายก่อนกลับไปทวงคืนบัลลังก์คืนน่ะนะ”



“ท่านไม่ตายหรอก”



“ไม่ตายหรือ...”



“ไม่ตายแน่นอน” อันวายืนยัน



“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” นาซีมนึกสงสัย



“เพราะท่านอยู่ในความดูแลของคาริฟน่ะสิ” อีกฝ่ายเฉลยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม



“เขาเก่งกาจมากหรือ”



“เก่งมาก ในรุ่นของเรา เขาเก่งที่สุดในเผ่า”



“งั้นเชียวรึ แต่เท่าที่ดู เวลานี้คนเก่งกลับกลัวทั้งไม่กล้าอยู่ใกล้ข้า ไม่เหมือนเจ้า”



“นี่มันคนละเรื่องกัน” อันวาส่ายศีรษะ และว่าต่อ “หากท่านไม่เชื่อข้า ท่านก็คอยดู อย่างไรคาริฟก็ไม่มีวันปล่อยให้ท่านเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน”



“อืม...แล้วข้าจะคอยดู”








❂ …………………………….❂










ก่อนมาถึงประตูสู่แคว้นโฮมา เจ้าชายนาซีมก็ถูกพอกไปด้วยเมือกเหนียวเหม็นโฉ่จนแทบมองไม่เห็นผิวผุดผาด กลิ่นเหม็นนั้นรุนแรงเสียจนอันวาอยู่ในรถม้าด้วยไม่ได้ นาซีมเองก็แย่ไม่ต่างกัน แต่เขายังอดทนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ คุดคู้บนตั่งนอนเดิม และใช้เสื้อคลุมตัวโคร่งอุดจมูกเอาไว้ แม้มันจะช่วยบรรเทาได้ไม่มากก็ตาม



ขณะภาวนาให้สามารถผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่น ขบวนคาราวานก็เดินทางมาถึงประตูเมืองพอดี พวกเขาถูกเรียกให้หยุดตามคาด กาดัสเป็นฟันเฟืองตัวแรกที่เริ่มทำหน้าที่ตามแผน เขาเข้าไปเจรจากับเหล่าทหารของแคว้นโฮมา รวมถึงคนของทารายาที่ทาริคส่งมาด้วย



“นายท่าน เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ เหตุใดประตูแคว้นจึงมีทหารมากมายเช่นนี้” กาดัสแสร้งถาม



“สงครามที่โซราห์สิ้นสุดแล้ว ราชาองค์ใหม่ของที่นั่นส่งข่าวขอความช่วยเหลือแคว้นเราให้หาตัวกบฏมาลงโทษ องค์ราชาจึงสั่งห้ามคนเข้าออกเจ็ดราตรี หากมิมีใบผ่านทาง” ทหารนายหนึ่งซึ่งอยู่หน้าสุดว่า “เจ้ามีใบผ่านทางหรือไม่”



“ข้าคือกาดัสแห่งเอมาลี แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว”



ชายชราว่าก่อนเรียกคนของตนให้ส่งกระบอกทองเหลืองปิดผนึกให้ ซึ่งภายในมีใบอนุญาตผ่านทางที่ตราขึ้นโดยแคว้นโฮมาอยู่ เขาส่งมันให้ทหารผู้นั้นตรวจสอบดู ครู่เดียวอีกฝ่ายก็ส่งคืน



“เป็นอย่างไรนายท่าน มีปัญหาอะไรอีกหรือไม่” เขาถาม



“ไม่มี” นายทหารตอบ “แต่เราต้องของตรวจกองคาราวานของท่านก่อนเข้าไป”



“ต้องทำถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ในเมื่อข้ามีใบผ่านทางถูกต้องทุกอย่าง”



“เป็นคำสั่งโดยตรงจากราชาของเรา” นายทหารเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง ไม่มีอ่อนข้อ “หรือเจ้าซ่อนสิ่งใดไว้ จึงให้เราตรวจไม่ได้”



“ไม่มีแน่นอน เพราะในหีบของข้ามีเพียงแพรพรรณและกำยาน เชิญนายท่านตรวจสอบได้ตามสบาย” เขาว่าพลางค้อมกายอย่างประนีประนอม และเปิดทางให้เหล่าทหารเข้าไปตรวจสอบกองคาราวาน



เหล่าทหารมุ่งตรงไปที่รถม้าก่อนเป็นอันดับแรก กระจายกันไปทั้งคันหน้าและคันหลัง มีเพียงบางส่วนที่เปิดดูหีบต่างๆ บนเกวียนเทียมอูฐ



รถม้าคันหลังไม่มีปัญหาอะไร แต่ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูรถม้าคันหน้า กลุ่มทหารก็แตกฮือถอยหลังกรูกันแทบไม่ทัน กาดัสจึงปรี่เข้าไปหาอย่างรู้งาน



“มีอะไรหรือท่าน”



“นี่มันอะไรกัน! เหตุใดเจ้าจึงบรรทุกศพเข้าโฮมา”



ผู้ที่เจรจากับกาดัสในทีแรกเอ่ยถามพลางเอามือปิดจมูก สีหน้าที่แสดงออกมาดูสะอิดสะเอียนเต็มทีราวกับจะอาเจียนอยู่รอมร่อ



“นั่นหาใช่ศพไม่ นายท่าน” ชายชราค้อมตัวอีกครั้งพลางซ่อนยิ้ม



“หากไม่ใช่ศพแล้วคือสิ่งใดกันแน่ เป็นสินค้าประเภทไหนของเจ้า”



“ไม่ใช่สินค้าเช่นกันนายท่าน แต่เขาคือบุตรชายของข้า”



“บุตรชายรึ!?”



“ถูกแล้ว” กาดัสหยักหน้ายืนยัน



“ละ...แล้วเหตุใด บุตรเจ้าจึงมีศพสภาพไม่ต่างจากคนตายเยี่ยงนี้เล่า” เหล่าทหารมองหน้ากันด้วยความงงงวย



“หากจะให้เล่า คงบอกได้เพียงลูกข้าโชคร้ายนัก” เขาทำหน้าสลด “เขาถูกวางยาพิษ”



“ยาพิษอะไร เหตุใดจึงมีฤทธิ์รุนแรงเพียงนี้” สภาพเหมือนคนนอรอความตายทำให้พิษอุปโลกน์ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที



“ข้าก็หารู้ไม่ แต่หลังจากถูกพิษนี้ ผิวหนังของเขาก็เริ่มเป็นแผลพุพองไปทั่วร่างอย่างที่ท่านเห็น ข้าจึงพาเขามารักษาที่โฮมา เพราะรู้ว่าที่แคว้นนี้มีหมอเก่งกาจอยู่มากมาย”



เอ่ยถึงโฮมา ใครๆ ก็ต้องคิดถึงแคว้นที่เป็นศูนย์กลางเส้นทางค้าขาย ทว่าทุกคนในดินแดนซาร์เรียต่างรู้ดี โฮมามิได้โดดเด่นเรื่องค้าขายอย่างเดียว แต่ยังเป็นแคว้นที่การแพทย์ก้าวหน้าที่สุด



“บุตรข้าผู้นี้อายุยังน้อย ขยันขันแข็ง และกตัญญูรู้คุณ แต่ยังไม่ทันออกเรือนก็มาเป็นไปเช่นนี้” ยิ่งพูด บรรยากาศรอบตัวของกาดัสก็ยิ่งหม่นหมอง “เฮ้อ...ข้ายังไม่รู้ว่าจะมีหนทางใดรักษาเขาได้หรือไม่”



ผู้ที่โดนคำลวงหลอกล่อติดกับเข้าอย่างจัง เขาเอื้อมมือตัวบ่าดากัส แล้วเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนลง ราวกับเห็นใจในโชคชะตาของพ่อค้าเฒ่าและบุตรชาย



“อาจจะมีสักทางก็ได้ท่านผู้เฒ่า”



“แม้อาจมีหนทาง แต่ข้าก็กลัวว่าจะไม่ทันการณ์”



“เช่นนั้นก็รีบเข้าไปเถอะ” นายทหารผู้นั้นว่า พลางเหลือบตามองเข้าไปในรถม้าอย่างเวทนา “รีบพาเขาไปหาหมอเสีย”



“ขอบคุณนายท่านมาก” กาดัสตาเป็นประกาย ก่อนฉวยมือของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วว่า “ขอให้เทพีซาร์เรียคุ้มครองท่าน”



“ขอให้เทพีซาร์เรียคุ้มครองท่านและบุตรชายเช่นกัน” พูดจบเขาก็สั่งให้ทหารถอนกำลัง และปล่อยให้กองคาราวานของดากัสเข้าสู่โฮมาได้โดยไม่รั้งไว้อีก



เจ้าชายแห่งโซราห์ที่แกล้งหลับอยู่ในรถม้าลืมตาขึ้น ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อครู่ตอนที่ทหารพวกนั้นเปิดประตูเข้ามา หัวใจของเขาเต้นแรง ลืมเลือนไปจนหมดว่าตนเองทรมานจากกลิ่นไม่พึงประสงค์เพียงใด เพราะกลัวถูกจับได้ แต่ด้วยวาทศิลป์ของท่านผู้เฒ่ากาดัส นาซีมจึงรอดมาได้อย่างปลอดภัย



เมื่อเดินลอดใต้ซุ้มประตูมาแล้ว กองคาราวานก็มุ่งหน้าไปส่วนปีกขวาของเมืองหลวงแคว้นโฮมา นาซีมคิดว่าที่นั่นคงเป็นที่ตั้งโรงหมอของบิดาอันวาเป็นแน่ ระหว่างทางเขาก็ลอบมองผ่านหน้าต่างรถม้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น



เรื่องที่อันวาพูดว่าเขาไม่เคยออกนอกโซราห์มาก่อนคือเรื่องจริง ตอนยังเด็กนาซีมเคยเดินทางไปตามที่ต่างๆ ในโซราห์ ไปถึงขอบกำแพงแคว้นที่อยู่ติดกับมหาสมุทร ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยก้าวข้ามกำแพงออกมาเลยสักครั้ง



ยิ่งเมื่อเติบใหญ่ราชาราฮิมก็มอบหมายให้เขาทำงานในราชสำนักหลายอย่าง เพื่อเรียนรู้และคุ้นเคยกับข้าราชบริพาร ทั้งนาซีมยังต้องฝึกฝนทักษะร่างกายและหมั่นหาความรู้เพิ่มเป็นสองเท่า เพราะเขาอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า แม้เขาเป็นโอเมก้า แต่ก็สามารถทำสิ่งที่อัลฟ่าทำได้เทียบเท่ากัน



ดังนั้นภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่แตกต่างออกไปในโฮมาจึงดึงดูดใจนาซีมให้ไม่อาจละสายตาได้



กองคาราวานพากันลัดเลาะตามถนนในเมืองหลวงของแคว้นไปเรื่อยๆ จนแสงอาทิตย์ราแรงลงไปมาก พวกเขาจึงหยุดตรงหน้าอาคารดินที่มีประตูหน้าเป็นรูปทรงโค้งสูง และติดป้ายหน้าร้านเขียนว่า โรงหมอฮาชิ”



“ถึงแล้วขอรับ” อันวาโผล่เข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม



“ข้าออกไปได้แล้วใช่หรือไม่”



“แน่นอนขอรับ” อันวาว่า แต่เมื่อเห็นนาซีมลุกขึ้นและพร้อมก้าวออกไปจากรถ เขาก็ยกมือห้าม “ช้าก่อนท่าน”



“มีอะไรหรือ” เจ้าชายถามด้วยความฉงน



“ท่านลงไปเองทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ ต้องให้ใครสักคนอุ้มท่านลงและพาเข้าไปด้านใน”



ครั้นได้ยินสิ่งที่อันวาบอก นาซีมก็ขมวดคิ้วฉับ “เหตุใดต้องทำเช่นนั้น”



“เพราะด้านนอกฟ้ายังไม่มืด และแถวนี้ก็มีคนอยู่มาก ท่านคาริฟสั่งว่าให้ระวังไว้ก่อนเป็นดี อย่างไรเสียตอนนี้บทบาทของท่านคือเป็นบุตรของกาดัสและผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องเข้ารับการรักษา”



“...จริงสินะ ข้าลืมไป” พอถูกเตือนสติ นาซีมก็อ่อนลงและเชื่อฟังที่อันวาพูด จนเด็กหนุ่มชื่นชมในใจว่าเจ้าชายที่สูงศักดิ์ผู้นี้ไม่ถือทิฐิหรือหัวรั้นเลยแม้แต่น้อย



“เช่นนั้นท่านรออยู่ตรงนี้ ข้าจะลงไปก่อน ท่านคาริฟจะได้ขึ้นมาอุ้มท่านได้สะดวก”



“คาริฟหรือ...”



“ถูกแล้ว ท่านรอสักครู่”



“ช้ากะ...ก่อน”



...ไม่ทันเสียแล้ว...นาซีมคิดในใจ



ทันทีที่อันวาออกไป ครู่เดียวร่างสูงใหญ่ของบุรุษในชุดดำก็เดินเข้ามา ตอนนี้เขาไม่สวมผ้าคลุมปิดบังหน้าตาอีกแล้ว



“ท่านมีปัญหาอะไรหรือ” คาริฟถาม นาซีมคิดว่าเขาคงได้ยินที่ตนเรียกอันวาไว้เมื่อครู่



“ข้า...มิได้มีปัญหาอะไร” เจ้าชายแห่งโซราห์เอ่ยเสียงเบา



“ถ้าไม่มีก็มาเถอะ ข้าจะพาเข้าไปข้างใน”



เขากางแขนออก เตรียมตัวจะเข้ามาอุ้ม แต่ไม่รู้นาซีมคิดอย่างไร...ไม่สิ บางทีเขาอาจไม่ทันคิดก็ได้ เจ้าชายจึงเผลอขยับตัวเข้าไปด้านใน คล้ายกับกำลังหนี



“...?” คาริฟชะงักเมื่อเห็นปฏิกิริยานั้น หากยังไม่ทันถามอะไร นาซีมก็เอ่ยปากก่อน



“ข้าขอโทษ”



“ท่านเป็นอะไร”



“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”



“เช่นนั้น...ท่านหนีข้าทำไม”



“ข้า...เอ่อ...ข้าไม่ได้หนี”



“...” ดวงตาสีมรกตมองดูเขานิ่งๆ



เห็นๆ กันอยู่ว่าท่านหนี...แม้อีกฝ่ายไม่ได้พูด แต่นาซีมเดาได้จากแววตา



“ข้าคิดว่า...” เขาพยายามหาเหตุผลร้อยพันมาอ้าง แต่ไม่มีวันบอกความจริงว่าคิดอะไรอยู่



“หรือว่า...ท่านกลัวข้า”



ผิดแล้ว



นาซีมมิได้กลัวบุรุษผู้นี้จนไม่อยากเข้าใกล้ แต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะอึดอัดใจหากต้องใกล้ชิดกันมากกว่า เหมือนที่อันวาบอกเมื่อกลางวัน



‘ทั้งที่ข้าบอกเขาแล้วแท้ๆ ว่าท่านเลิกฮีทแล้ว เหตุใดเขาต้องกลัวที่จะเข้าใกล้ท่านนัก’



“ข้าไม่ได้กลัวท่าน” นาซีมว่า



“เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุให้ต้องขยับหนีจริงหรือไม่” เขาเอ่ยเรียบๆ แต่แววตาของเขาไล่ต้อนจนเจ้าชายปฏิเสธไม่ได้



“...”



“เรารีบไปเถอะ อย่ารอช้า เพราะมีเรื่องให้ต้องทำอีกมากนัก”



“...อืม”



ครั้นรับคำแล้วเขาก็เข้ามาอุ้มนาซีมทันที แขนหนึ่งสอดเข้ามาที่ใต้พับขาส่วนอีกข้างประคองแผ่นหลังของนาซีม เป็นท่าอุ้มที่ชวนให้รู้สึกอับอายไม่น้อย อีกอย่างเจ้าชายคิดว่าร่างกายเขาเองก็ไม่ใช่เล็กๆ อีกฝ่ายคงต้องหนักมากเป็นแน่

คิดแล้วนาซีมก็เกร็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายก้มลงสบตาเขาในระยะประชิด แล้วเอ่ยประโยคเรียบๆ แต่ชวนให้คนฟังอับอายมากขึ้นหลายทบเท่า



“ท่านไม่ต้องกลัวไป หากยังมีกลิ่นเช่นนี้ ท่านดึงดูดสัญชาตญาณอัลฟ่าของข้าไม่ได้หรอก”



“...” นาซีมอ้าปากค้าง นึกถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ของอันวาแล้ว ไม่รู้ควรขอบคุณดีหรือไม่



ทว่าสิ่งที่ทำให้นาซีมอึ้งจริงๆ ก็คือ เขาไม่คิดว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย...คาริฟจะเอ่ยคำพูดล้อเล่นเป็นเช่นกัน



“...หึๆ” ล้อเล่นนาซีมแล้ว อีกฝ่ายก็แค่นหัวเราะในลำคอเบาๆ ยกยิ้มกระชากวิญญาณคนมองที่มุมปากนิดๆ ก่อนมันจะเลือนหายไปเมื่อพวกเขาออกมานอกรถม้า



ทว่ารอยยิ้มนั้นยังติดอยู่ในความคิดอันยุ่งเหยิงของนาซีมกระทั่งเข้าไปด้านใน













❂ …………………………….❂










มาต่อแล้วค่าา

ดูนะ ตอนนี้เหม็นน้อง อีกหน่อยอย่ามาดมแล้วกัน 555

ความคิดฝน นิยายเรื่องนี้จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ 

แต่ก็เป็นนิยายที่มีบทรักแทรกอยู่เอยะเหมือนกัน

เพราะตั้งใจว่าอยากเขียนโรแมนติกหน่อย

ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ



ละอองฝน.







หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 5 กลิ่นไม่พึงประสงค์ :- [21/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 21-09-2019 16:42:59
 :katai5: :katai5: สั้นนนนไป
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 5 กลิ่นไม่พึงประสงค์ :- [21/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 21-09-2019 20:44:02
เป็นเอ็นดูทั้งน้องอันวาน้องนาซีม

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 5 กลิ่นไม่พึงประสงค์ :- [21/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-09-2019 23:10:52
เอ็นดูน้องจริงๆ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 22-09-2019 17:35:48




บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา









หลังถูกอุ้มไปส่งถึงห้องที่ท่านหมอฮาชิจัดเตรียมไว้รับรอง นาซีมก็เอ่ยปากขอลงไปยืนด้วยตัวเอง ครั้นเท้าแตะพื้นเขามองสำรวจคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว พบว่าห้องนี้ตกแต่งเรียบง่าย สะอาดสะอ้าน กลางห้องมีอ่างน้ำที่ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมกับขวดใสบรรจุของเหลวสีเหลืองใสและแปรงขัดตัวขนอ่อนนุ่ม

ดูท่าแผนบุกไปช่วยเขามาจะถูกเตรียมการไว้นาน เพราะทุกอย่างถูกจัดการไว้อย่างดี เป็นขั้นเป็นตอน แม้กระทั่งการที่เขาต้องทำความสะอาดกายจากกลิ่นเหม็นๆ นี่ คนของคาริฟก็คิดเผื่อไว้ทั้งหมด

เมื่อตระหนักรู้ถึงความยากลำบากของทุกคน นาซีมก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

“เป็นอะไรไป”

เพราะคาริฟเห็นนาซีมยื่นนิ่งไป เขาจึงเอ่ยปากถาม

“ไม่มีอะไร ข้าแค่กำลังสำรวจห้องพักเท่านั้น”

“มันอาจไม่สะดวกสบายเหมือนราชวังในโซราห์ หวังว่าท่านจะไม่ถือสาหาความ”

“ไม่ต้องมากพิธีหรอกท่านคาริฟ อยู่ที่นี่ข้าจะปฏิบัติตัวเช่นอยู่ในโซราห์ได้อย่างไร เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว มิหนำซ้ำบ้านของท่านหมอฮาชิน่าอยู่มาก ฝากท่านบอกแก่เขาด้วย”

“เอาไว้ท่านลงไปบอกเขาเองดีกว่า” คาริฟว่า

“นั่นสินะ...มาบ้านผู้อื่นข้าก็ต้องไปทักทายเจ้าบ้านด้วยตัวเอง” นาซีมเกือบลืมมารยาทข้อนี้ไป

“ชำระล้างกลิ่นพวกนี้เสร็จเมื่อไหร่ ท่านค่อยลงไปทักทายก็ยังไม่สาย”

“อ่า...” นาซีมส่งเสียงตอบรับเบาๆ เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่น เขาจึงเกือบลืมไปแล้วว่าตนอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นไร “ข้าเข้าใจแล้ว อย่างไรก็รอข้าสักครู่เถิด ข้าจะรีบจัดการตัวเองให้เร็วที่สุด”

“ไม่ต้องรีบร้อนไป ใช้เวลามากหน่อยก็ได้” คาริฟลอบยิ้ม

นาซีมยกแขนขึ้นดมแล้วย่นจมูก แม้กลิ่นที่ทาไว้จะเบาบางลงไปบ้าง แต่ถ้าให้เดา นาซีมคิดว่าตนคงต้องใช้เวลาในการขัดถูร่างกายพักใหญ่ทีเดียว

“นั่นสินะ พวกเมือกเหนียวๆ นี่เหม็นติดทนดีจริงๆ” เขาบ่นเบาๆ แล้ววักน้ำล้างหลังมือก่อน

พอเมือกหลุดไป บนหลังมือก็ปรากฏรอยสลักของเมเฮนดีเลือนราง ปลายนิ้วที่กำลังขัดถูมันออกชะงักกึก ความรู้สึกโกรธแล่นพล่านขึ้นมาในหัวใจ

นาซีมโกรธที่ตัวเองอ่อนแอจนถูกบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ โกรธที่รู้ว่าหากตนเองไม่โชคดีเพราะมีคนมาช่วย เวลานี้เขาคงเข้าพิธีแต่งงานที่แสนอัปยศนั่นเรียบร้อยแล้ว

“ตั้งแต่เมื่อคืน ท่านได้ข่าวจากโซราห์บ้างหรือไม่”

“ได้ยินมาบ้าง”

“เขาขึ้นครองราชย์แล้วหรือ”

“ใช่” นาซีมถามถึงทาริค และคาริฟก็ตอบถูกโดยไม่ต้องได้ยินชื่อ เขามองเจ้าชายโอเมก้าเงียบๆ พักหนึ่งจึงตัดสินใจไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่ในความคิดของตัวเองนานนัก “เจ้าชาย”

นาซีมละสายตาจากรอยเมเฮนดีเพื่อสบตาผู้เรียก “ว่าอย่างไร ท่านคาริฟ”

“หลังจากนี้ไม่ต้องเรียกนำหน้าข้าว่า’ ท่าน’ แล้ว”

“เพราะเหตุใดเล่า”

“อันวายังมิได้เล่าแผนการเดินทางต่อไปให้ท่านฟังหรือ”

“มิได้เล่า”

“เราจะพักที่นี่เพียงสามราตรีเท่านั้น ย่ำรุ่งวันที่สี่เราจะออกเดินทางกับกองคาราวานของคณะละครเร่เพื่อไปยังเมืองเอมาลี และฐานะท่านยังต้องถูกปกปิดไว้”

“คนในคาราวานมิใช่คนของท่านทั้งหมดหรือ” นาซีมคาดเดา

“มิใช่ คนที่รู้สถานะของท่านมีเพียงหัวหน้าคณะละครเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือเป็นเพียงลูกจ้างในกองคาราวาน”

นาซีมขมวดคิ้ว ผลักเรื่องทาริคออกไปจากสมองเพื่อขบคิดปัญหาใหม่

“เป็นเช่นนี้แล้ว ข้าต้องอยู่ในฐานะใด”

“ท่าน ข้า และอันวา เราสามคนจะปลอมเป็นกลุ่มนักดนตรีเร่ร่อนที่ขออาศัยกองคาราวานใหญ่เพื่อเดินทางไปแสวงโชคที่เอมาลี ข้าเล่นเครื่องเป่า อันวาเคาะจังหวะ ส่วนท่าน...” คาริฟหยุดคิด “ท่านเล่นเครื่องดนตรีใดได้หรือไม่”

“ข้า...” เจ้าชายย้อนนึกถึงสมัยยังเป็นเด็ก เขาเคยเรียนศาสตร์ทางดนตรีอยู่บ้าง แต่ไม่มีหัวสักเท่าไร

“เล่นไม่เป็นเลยหรือ”

“ข้าไม่ชำนาญนัก” เขาตอบไม่เต็มเสียง

“อ่า...” บุรุษในชุดดำพยักหน้าเข้าใจ “เล่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้าจะบอกพวกเขาว่าท่านเป็นน้องชายต่างมารดาของข้าก็แล้วกัน และด้วยเหตุผลนี้ พวกเราทั้งหมดจึงต้องใช้คำที่ไม่เป็นพิธีรีตองมากเกินไป ไม่เช่นนั้นคนอื่นๆ อาจสงสัยได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

“ที่ข้าจะพูดมีเท่านี้ ท่านชำระล้างร่างกายเถอะ ย่ำสนธยาแล้ว อากาศยามค่ำคืนที่โฮมาหนาวเย็น เดี๋ยวจะเจ็บไข้”

“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง” นาซีมค้อมศีรษะให้คาริฟอย่างไม่ถือตัว

“อีกเดี๋ยวข้าจะให้อันวามาตาม”

“อืม”

บุรุษชุดดำกำชับหนึ่งประโยคและออกจากห้องไป ส่วนเจ้าชายนาซีมก็ยืนคว้างอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง

เขาทอดสายตาผ่านหน้าต่างโค้งออกไปด้านนอก เห็นผู้คนเริ่มจุดคบเพลิงและตะเกียงไฟจนถนนทั้งสายสว่างไสว เจ้าชายจึงค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์และทำความสะอาดร่างกาย









❂ …………………………….❂








นาซีมใช้เวลานานกว่าผิวที่เต็มไปด้วยเมือกเหนียวจะกลับมาสะอาดสดใสเหมือนเก่า เขายกมือยกไม้ขึ้นดม รวมทั้งสำรวจไปทั่วร่างถี่ถ้วนจนมิได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์อีก เมื่อนั้นเจ้าชายจึงค่อยขึ้นจากอ่างน้ำ เขาสวมเสื้อผ้าที่ถูกจัดไว้ให้ เป็นผ้าฝ้ายเนื้อโปร่งสีขาวนวลตามแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป

ครั้นสวมเสร็จก็เป็นเวลาพอดีกับที่มีใครบางคนมาเรียกหน้าห้อง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

“เจ้าชาย ยังอยู่ดีหรือไม่ขอรับ”

“ข้ายังอยู่” นาซีมตอบกลับไป

“เช่นนั้นข้าเข้าไปนะขอรับ”

“เข้ามาเถอะอันวา”

เมื่อได้รับอนุญาต อันวาก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าเต็มไม้เต็มมือ นาซีมรีบเข้าไปช่วยรับอาภรณ์เหล่านั้นมาถือบางส่วน ก่อนนำไปวางไว้บนเตียงเล็กที่มุมห้อง

“ท่านอาบน้ำนานเหลือเกิน”

“โทษข้าได้หรือ ต้องโทษยาสมุนไพรเหล่านั้นของเจ้า”

“โทษพวกมันได้อย่างไร พวกมันแค่ใช้ได้ผลดีมากเกินไปก็เท่านั้น” อันวาบอก

ดูท่าอันวาจะไม่ชอบให้วิจารณ์ถึงโอสถต่างๆ ที่เขาทำ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อกลิ่นเหม็นพวกนั้นติดกายจนแทบล้างไม่ออก

“เสื้อผ้านี้เจ้าเอามาให้ข้าหรือ”

“ใช้แล้ว” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ

“เอามาจากที่ใดกัน”

“เป็นของจาเร็ด” อันวาเอ่ยชื่อคนผู้หนึ่งขึ้นมาห้วนๆ

นาซีมหยิบอาภรณ์เหล่านั้นขึ้นพินิจ มันเป็นชุดผู้ชายก็จริง แต่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นเสื้อและกางเกงแยกชิ้น ทำจากไหมที่ย้อมด้วยสีสันสดใส แม้ไม่ใช่เนื้อผ้าหรูหราเช่นเดียวกับเนื้อผ้าที่ตัดเย็บให้กับราชวงศ์ แต่ผู้ที่ครอบครองเครื่องแต่งกายเหล่านี้คงเป็นคนที่มีฐานะดีอยู่บ้าง

เจ้าชายวิเคราะห์และอดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย

“จาเร็ดคือผู้ใด”

“เขาเป็นเจ้าของคณะละครเร่ที่พวกเราต้องเดินทางติดตามไปเอมาลีด้วย”

“อ้อ คนที่เป็นพวกของเรา”

“ข้าไม่เห็นอยากให้เขาเป็นพวก”

อันวาวางเสื้อผ้าแล้วยกมือขึ้นกอดอก เพราะริมฝีปากของเขาหนาอยู่แล้ว พอเจ้าตัวทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ มันยิ่งส่งผลให้ปากล่างนั่นดูหนาขึ้นอีก มองแล้วตลกระคนน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

“เขาเป็นคนไม่ดีหรือ”

“เฮ้อ...จะว่าไปเขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีหรอก เพียงแต่ข้าไม่ใคร่ถูกชะตากับเขานัก”

นาซีมวางเสื้อผ้าลงและหันมาถามอันวาอย่างจริงจัง และอีกฝ่ายก็เปิดเผยความรู้สึกให้ฟังอย่างตรงไปตรงมาตามนิสัย

“ทำไมเล่า”

“ข้าว่าเขาเป็นอัลฟ่าประเภทที่...เจ้าชู้ปลิ้นปล้อน แล้วก็ชอบอวดตัว”

“เจ้าชู้ปลิ้นปล้อน ซ้ำยังชอบอวดตัวด้วยหรือ”

“ใช่น่ะสิ ถ้าท่านพบเขา เขาต้องทำเจ้าชู้ใส่ท่านเป็นแน่ เขาน่ะชอบคนหน้าตาดีจะตาย ข้ายังเกรงว่าเขาจะเล่นเกินพอดีแม้รู้ว่าท่านคือเจ้าชายก็ตาม”

“ฟังดูไม่ดีเลยนะ”

“ไม่ดีเอามากๆ ข้าเห็นเค้าลางความน่ารำคาญมาแต่ไกลเชียว นี่ขนาดว่ายังไม่พบท่าน เขายังใช้ให้ข้าแบกเสื้อผ้ามาให้ท่านเลือกเป็นกองพะเนิน” ยิ่งพูดอันวาก็ยิ่งแสดงท่าทีหงุดหงิดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ถึงฟังดูเขานิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็มีน้ำใจนะ”

“เจ้าชายนาซีม!” อันวาหันมาแหว

“หืม!?”

“ท่านอย่าถูกเขาหลอกง่ายๆ เชียวนะ”

“เจ้าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ข้ายังไม่ได้พบเขาด้วยซ้ำ อีกอย่างข้าไม่มีเวลาคิดเรื่องพวกนี้หรอก เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร” นาซีมรู้ตัวดี เขาในเวลานี้ไม่สมควรคิดเรื่องอื่นใด นอกเสียจากเรื่องบ้านเมืองและเรื่องเอาชีวิตให้รอดไปวันๆ

ครั้นได้ยินเจ้าชายแห่งโซราห์พูดแบบนั้น อันวาก็สลดลงนิดหน่อย ด้วยเด็กหนุ่มถูกกำชับมาว่าห้ามพูดสิ่งใดอันจะกระทบจิตใจเจ้าชายในยามนี้

“ข้ารู้แล้ว ขออภัยด้วยขอรับเจ้าชาย”

“ข้าไม่ยกโทษให้เจ้าหรอกนะ”

“เจ้าชาย! ~”

ดวงตากลมโตนั่นโตขึ้นอีกหลังได้ยินเขาพูด นี่เป็นครั้งแรกที่นาซีมเห็นว่าเด็กหนุ่มที่สดใสทำตัวไม่ถูก เห็นแบบนั้นเขาจึงเลิกล้อเล่นกับเจ้าตัว

“ข้าไม่ยกโทษให้ เพราะข้ามิได้โกรธเคืองเจ้า”

“หา!?” ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนมาเป็นประหลาดใจ ก่อนจะสดใสเหมือนเดิม “นี่ท่านหลอกข้าหรือ!”

“ข้าไม่ได้หลอก แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น”

นาซีมเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มเห็นเขาหัวเราะ

อันวามองแล้วอ้าปากพะงาบๆ คล้ายอยากพูดอยากเถียงแต่ก็พูดไม่ออก ด้วยไม่คิดว่าคนเป็นเจ้าชายจะล้อเล่นได้เหมือนกัน ยิ่งเมื่อกลางวันเห็นอีกฝ่ายนั่งซึมอยู่ข้างหน้าต่าง อันวาก็ยิ่งไม่คิดว่าที่แท้นาซีมเป็นคนเช่นนี้

“ไม่อยากเชื่อเลย”

“หึๆ มาดูอาภรณ์พวกนี้กันต่อเถอะ ข้าคงต้องเลือกไว้บ้างเพราะไม่มีเสื้อผ้าระหว่างเดินทางเลยสักชิ้น” เจ้าชายยอมรับความช่วยเหลือโดยง่าย เพราะรู้ดีว่าในเวลานี้ต้นมีทางเลือกไม่มากนัก

เมื่อได้เสื้อผ้าพอดีตัวมาสามสี่ชุดก็ถึงเวลาที่นาซีมต้องลงไปทักทายบิดาของอันวาแล้ว









❂ …………………………….❂









พวกเขาเดินลงชั้นล่าง ผ่านห้องโถงที่ใช้รองรับผู้ป่วยไปยังห้องอาหารซึ่งอยู่ด้านหลังสุดติดกับครัวเล็กๆ รอบโต๊ะอาเคเชียตัวใหญ่มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งปรึกษากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หนึ่งคือคราริฟ สองเป็นชายชราเครายาวดูท่าทางทรงภูมิ และคนสุดท้ายคือชายหนุ่มที่นาซีมไม่เคยพบหน้า แต่อันวากลับมุ่นคิ้วเป็นปมเมื่อมองเห็นอีกฝ่าย เจ้าชายจึงพอเดาได้ว่าบุรุษผู้นี้คือจาเร็ด

“มากันพอดี” ชายผู้มีอาวุโสมากที่สุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนค้อมกายทำความเคารพต่อนาซีม “ยินดีต้องรับขอรับ เจ้าชายนาซีม”

“ท่านผู้เฒ่า...” นาซีมปรี่เข้าไปประคอง “ไม่ต้องมาพิธีหรอกท่าน”

“หามิได้” ชายชราว่า

“นี่คือหมอฮาชิ ท่านพ่อของข้าเองเจ้าชาย” อันวาเดินมาหยุดข้างนาซีมก่อนแนะนำ แล้วจึงบุ้ยใบ้ไปทางชายแปลกหน้าอีกคน “ส่วนนั่นคือจาเร็ด เจ้าของคณะละครเร่ที่ข้าพูดถึง”

“ยินดีที่ได้พบท่านจาเร็ด” นาซีมยิ้มทักทายตามมารยาท

“ข้าจาเร็ดแห่งเอมาลี ยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับที่ได้พบเจ้าชาย” จาเร็ดตวัดมือเข้าหาตัวก่อนโค้งต่ำให้นาซีม

เจ้าชายนาซีมมองลักษณะของบุรุษผู้นี้ เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเรียวยาว รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร แต่สิ่งที่นาซีมคิดว่ามันทำให้อันวาไม่ถูกชะตาน่าจะเป็นดวงตาวิบวับเจ้าเล่ห์ยามจ้องมองผู้คน

“เจ้าชายถูกใจอาภรณ์ที่ข้ามอบให้หรือไม่ขอรับ” จาเร็ดถามอย่างกระตือรือร้น

“สีสันสวยงามมาก ขอบใจท่านด้วย” นาซีมยิ้มให้ผู้มีน้ำใจ

“ไม่เป็นไรขอรับ หากท่านต้องการสิ่งใดระหว่างเดินทางไปเอมาลี สามารถให้อันวามาแจ้งแก่ข้าได้ทันทีนะขอรับ”

“ท่านช่างมีน้ำใจเหลือเกิน แต่ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่ม เท่านี้ก็เกรงใจท่านมากแล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจขอรับ ข้ายินดีอย่างยิ่ง หากเจ้าชายปรารถนา---”

ยังไม่ทันพูดจบ อยู่อันวาก็แทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เจ้าชายหิวหรือยังขอรับ ไปนั่งที่โต๊ะเถอะขอรับ อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนยกอาหารเข้ามา”

“...ขอบใจนะอันวา” นาซีมยิ้มให้อันวา แล้วจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ว่างข้างคาริฟ ทำให้อันวาต้องเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างจาเร็ดอย่างช่วยไม่ได้

“หลังมื้อค่ำฮาชิบอกว่าจะช่วยตรวจร่างกายท่านเพื่อจัดสำรับยาระงับอาการฮีทให้” หลังจากปล่อยให้ทุกคนสนทนากับนาซีมอยู่นาน คาริฟก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากบ้าง

“จริงหรือ” นาซีมว่า

“จริงขอรับเจ้าชาย เห็นคาริฟว่าท่านฮีทครั้งแรกเมื่อราตรีที่ผ่านมา ข้าเกรงว่าระหว่างเดินทางท่านจะเกิดอาการขึ้นอีก ดังนั้นจึงควรเตรียมการไว้ก่อน”

“ขอบคุณท่านเหลือเกิน ตั้งแต่ข้าฟื้นคืนสติ ข้าเป็นกังวลเรื่องนี้นัก เพราะกลัวจะทำให้ทุกท่านที่ร่วมเดินทางต้องลำบาก”

ยาระงับอาการฮีทนั้นสามารถซื้อหาแลกเปลี่ยนได้อย่างอิสระ แต่ยาที่ให้ผลดีมากกว่าคือยาที่ปรุงขึ้นมาเฉพาะเจาะจงเพื่อโอเมก้าคนนั้นๆ ซึ่งเริ่มแรกของกรรมวิธีต้องมีการตรวจร่างกายโอเมก้าผู้นั้นเสียก่อน จึงจัดยาที่สมดุลกับธาตุในร่างกายของเขาได้

“ท่านไม่ต้องกังวลไปเจ้าชาย เรื่องนี้ข้าจัดการให้ได้” ฮาชิว่า ก่อนจะเบี่ยงมาหาคาริฟ “เจ้าเองก็ด้วยนะคาริฟ”

“มีของข้าด้วยหรือ”

“ต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว”

ในส่วนของอัลฟ่าเองก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะไม่เพียงโอเมก้าที่ต้องการยาระงับอาการ อัลฟ่าก็ต้องการหยุดยั้งตนเองก่อนคลุ้มคลั่งเพราะกลิ่นของโอเมก้าฮีท

“แล้วของที่มีอยู่เดิมเล่าฮาซิ”

“ข้าเกรงว่าในกรณีนี้...ยาที่ท่านเคยมีอาจไม่ได้ผล” ฮาชิเอ่ยเรียบๆ แต่สายตาที่มองไปยังคาริฟเป็นกังวลจนนาซีมสังเกตได้ เขามองตามไปยังจุดที่ฮาชิเหลือบมอง และก็พบว่า...

มือข้างหนึ่งของคาริฟมีรอยกัดฝังเขี้ยวลึกกระจายอยู่หลายแผล

“มือท่าน!” นาซีมตกใจจนหน้าซีดเผือด

เขาตกใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันสังเกตเห็น ทั้งปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันทีว่ารอยแผลนี้เกิดจากการที่อีกฝ่ายต้องอดทนกับอะไร และคล้ายเพิ่งรู้ตัว คาริฟจึงรีบเก็บมือลงใต้โต๊ะทันที

“อย่าได้ใส่ใจ” บุรุษชุดดำว่า

“แต่ว่าแผลนั่น...” เจ้าชายลืมซึ่งความสงบเสงี่ยมอย่างที่เขาควรเป็น และขยับเข้าหาคนข้างๆ ก่อนคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้ “เป็นเพราะข้าฮีทเมื่อคืนใช่หรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไรเจ้าชาย”

“ไม่เป็นไรได้หรือ แผลฉกรรจ์เพียงนี้!”

ความรู้สึกผิดถาโถมใจราวกับพายุทรายหอบพัด ทั้งที่รู้ว่าในราตรีที่ผ่านมาเขาทำให้ชายผู้นี้ต้องลำบาก แต่เขาไม่คิดว่ามันจะรุนแรงเพียงนี้

“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ไม่เชื่อท่านก็ถามฮาชิดู”

“จริงหรือท่านหมอ” นาซีมผินกลับมาถาม

“จริงขอรับ ข้าใส่ยาให้เขาแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้อันวาก็รักษาไปเบื้องต้น แค่สองสามราตรีแผลจะตกสะเก็ดเอง” หมอฮาชิอธิบายอย่างใจเย็น

“ขอโทษนะ ข้าไม่คิดว่าจะสร้างความลำบากให้ท่านเช่นนี้”

แม้ได้ยินว่าบาดแผลจะหายในไม่ช้า แต่นาซีมก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี หมอฮาชิจึงปลอบอีกคำ ทว่าประโยคที่นาซีมได้ยินนั้นกลับทำให้เขาตกตะลึงมากกว่าตอนเห็นแผลของคาริฟไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

“เป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นมาก เพราะอิทธิพลของคู่แห่งโชคชะตานั้นรุนแรงกว่าอะไรทั้งหมด”

“นั่นสิเจ้าชาย ข้าเคยเห็นรอยกัดของคู่แห่งโชคชะตาครั้งหนึ่ง บาดแผลนั้นน่ากลัวว่าแผลที่มือของคาริฟตั้งหลายเท่า”

“วะ...ว่าอะไรนะ...” นาซีมเงียบไปนิด แล้วทวนคำ “คู่แห่งโชคชะตาหรือ”

บรรยากาศในห้องอาหารของหมอฮาชิเปลี่ยนไปทันทีเมื่อสิ้นคำถามนั้นเงียบลง นาซีมมองหน้าทุกคนไล่เป็นลำดับคล้ายไม่อยากเชื่อ กระทั่งสายตาเลื่อนมาหยุดที่บุรุษชุดดำ หยุดที่หน่วยตาสีมรกตซึ่งสะกดเขาเอาไว้

...แล้วคำอธิบายถึงความต้องการอันเร้นลับในราตรีที่ผ่านมาก็ได้รับคำตอบ

ที่แท้เป็นเพราะคาริฟคือคู่แห่งโชคชะตาของนาซีมนี่เอง!








❂ …………………………….❂











เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกที่เขียนคู่รองเยอะขึ้นในเรื่องค่ะ เพราะส่วนใหญ่ฝนเป็นประเภทโฟกัสแต่คู่หลัก

ตอนนี้ก็เลยลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง หวังว่าจะชอบกันนะคะ

แต่ถึงยังไงคู่หลักก็โดดเด่นที่สุดอยู่ดีค่ะ ไม่ต้องห่วง

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

พบกันตอนหน้าค่ะ



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 23-09-2019 10:41:04
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-09-2019 12:04:17
อุ๊ยยย  เฉลยแล้วว่าคาริฟคือพระเอก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-09-2019 15:26:21
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 23-09-2019 17:29:59
น้องนาซีมกับคาริฟเป็นคู่แห่งโชคชะตากัน งั้นไม่ต้องใช้ยาระงับอาการฮีทหรอกค่ะท่านหมอ :z1:
น้องอันวา เกลียดอะไรระวังจะได้อย่างนั้นน้า :hao3:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 23-09-2019 17:54:08
ชื่นชมท่านคาริฟ ถึงเป็นคู่แห่งโชคชะตา แต่คงจะรอให้นาซิมเกิดความรักกับตัวเองก่อน
กดบวกรัวๆ ให้สุภาพบุรุษชุดดำ ยอมให้คู่ตัวเองมีทางเลือก
เชียร์น้องอันวาดีก่า
เกลียดอันไหน ได้อันนั้นนะเออ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-09-2019 17:59:51
ว่าแล้วเชียว รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-09-2019 22:01:23
ชอบแนวนี้มากเลยค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา :- [22/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-09-2019 23:39:02
โอะ เค้าเป็นคู่กันแล้ว ไม่แคล้วกันแน่นอน

เอ็นดูนาซีม เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย และไม่ป่วนด้วย
คาริฟก็อดทนได้ดี เจ็บตัวก็ยอม ดีกว่าต้องมาเจ็บใจกัน

อันวาดูเป็นเด็กน้อยไปเลยน่ะ ตลกดี แต่เก่งพอตัวเลยนะ

ลุ้นแล้วค่ะว่าระหว่างทางจะปลอดภัยไหม
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 7 ระยะห่าง :- [24/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 24-09-2019 23:41:09







บทที่ 7 ระยะห่าง






อาทิตย์รุ่งอรุณทอแสงเรืองรองจับขอบฟ้า กองคาราวานใหญ่ที่มีอูฐ 89 ตัวตั้งขบวนเป็นยาวเป็นทิวแถวจากเนินทรายลาดลงมาถึงประตูแคว้น

เจ้าชายแห่งโซราห์ทอดมองความวุ่นวายของคณะละครเร่ด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าคนในคาราวานคงไม่มากไม่น้อยกว่าคนของกาดัสนัก แต่กลับผิดถนัด เพราะนอกจากจำนวนบริวารแล้ว จำนวนอูฐก็มีมากกว่า 3 เท่า

คนในดินแดนทะเลทรายต่างกล่าวกันว่า ผู้ใดมีอูฐมาก ผู้นั้นจัดว่ามีฐานะ

นาซีมจึงลอบสังเกตจาเร็ดที่ยืนสั่งการทาสสองสามคนให้ผูกสัมภาระ มองเจ้าของคณะละครเร่ที่อายุยังไม่เท่าไร อีกทั้งมาจากหมู่บ้านเล็กๆ แต่สามารถสร้างตนจนมีคาราวานยิ่งใหญ่เป็นของตัวเอง มันทำให้เขาคิดถึงคำพูดของอันวาขึ้นมาทันที

จาเร็ดเป็นแค่ผู้ชายเจ้าชู้ปลิ้นปล้อนที่พบได้ทั่วไปงั้นหรือ...

จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่นั้น คนผู้นี้ฉากหน้าจะแสดงออกอย่างไรก็ช่าง แต่ในสายตาเขา จาเร็ดเป็นคนที่เก่งกาจอย่างมากผู้หนึ่ง

“อาลี”

“...”

“อาลี”

“...”

“อาลี!”

นาซีมสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกตะโกนใส่หูพร้อมกับตีที่ด้านหลังไม่แรงนัก เมื่อหันมาจึงพบอันวายืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“เจ้าเรียกข้าหรือ”

“ไม่เรียกเจ้า ข้าจะเรียกใครได้เล่าอาลี”

อาลี คือนามแฝงที่เขาคิดขึ้นโดยตัดทอนมาจากส่วนหนึ่งของชื่อมารดา เนื่องจากทุกคนลงความเห็นว่า หากต้องเดินทางรวมคาราวานของจาเร็ด เขาไม่ควรให้ใครต่อใครรู้ชื่อจริงของตนเอง เพราะมันเสี่ยงกับการถูกล่วงรู้ตัวตน ฐานะที่แท้จริง และอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้

แต่เพราะนาซีมไม่คุ้นเคยกับชื่อใหม่ เขาจึงไม่ยอมหันไปหาอันวาตั้งแต่เมื่อครู่ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เรียกตนเอง

“ขอโทษด้วย พอดีข้าไม่ทันได้ยิน”

“ไม่เป็นไร” อันวาบอกปัดอย่างไม่คิดสนใจเรื่องหยุมหยิม ก่อนมองตามทิศทางที่นาซีมเพิ่งมองอยู่เมื่อครู่ แล้วถาม “ว่าแต่เจ้าดูอะไรอยู่หรือ”

“ไม่มีอะไรหรอก ข้ามองไปเรื่อยน่ะ”

“จริงรึ”

“จริงสิ” นาซีมยืนยัน “ข้าแค่ไม่เคยร่วมทางกับคณะละครเร่ที่ใหญ่โตเพียงนี้”

“อ้อ...” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดเสียงอ้อมแอ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าสนใจในตัวเขาเสียอีก”

“ไม่หรอก” เจ้าชายส่ายหน้า “ว่าแต่...มีเรื่องใดหรือ เจ้าจึงเรียกข้า”

“คาริฟให้ข้ามาตามเจ้า”

“ตามข้า?”

“ใช่ เขาเตรียมอานอูฐให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ...” นาซีมพยักหน้ารับ

“ไปกันเถอะ อย่าให้เขาคอยนานนัก หากเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา คนลำบากก็คือข้า”

“ได้สิ” นาซีมรับคำอย่างว่าง่าย ส่วนหนึ่งไม่อยากให้อันวาต้องรับศึกหนักเพราะตนเองล่าช้า ทว่าเขาก็อดสงสัยไม่ได้ “แล้วเหตุใดเจ้าต้องลำบากด้วย”

อันวาเดินเคียงไปกับเขาเงียบๆ ไม่ตอบในทันที นาซีมเหลือบมองหน้าเด็กหนุ่มเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาทำหน้านิ่วก็ยิ่งอยากรู้

พวกเขาเดินผ่านคนอื่นๆ ในกองคาราวานคนแล้วคนเล่า จนเกือบถึงตอนท้ายของแถว ในที่สุดอันวาก็ทนสายตาอยากรู้อยากเห็นของเจ้าชายแห่งโซราห์ไม่ไหว

“ก็เวลาเขาอารมณ์ไม่ดีทีไร ใครก็เข้าหน้าไม่ติดสักคน แล้วข้าที่อยู่กับเขาบ่อยที่สุดจะไม่ลำบากได้หรือ จะทำเป็นมองไม่เห็น ไม่พูดคุยกับเขาก็ไม่ได้ เพราะต้องหารือเรื่องสำคัญกันหลายอย่าง ยิ่งสองสามราตรีมานี้ ข้าแทบอยากหนีไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด”

“เขาอารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร...”

“ก็เรื่องที่เจ้า— “ยังไม่ทันถามจนจบประโยค อันวาก็รีบพูดแทรก แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรเอ่ย จึงยั้งคำพูดได้เสียก่อน “พอๆ เจ้าไม่ต้องอยากรู้หรอกอาลี”

“แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเรื่องของข้า...เอ่อ...ข้าก็แค่เป็นห่วงพวกเจ้า”

“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรือใครทั้งนั้น กับเรื่องนี้ข้าจะไม่ยุ่ง ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องถามข้าแล้ว หากอยากรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีเพราะใคร เจ้าก็ลองถามเขาเอง”

“...”

“พวกเราเร่งฝีเท้าเถอะ เขายืนคอยอยู่โน่นแล้ว”

นาซีมคอยอย่างใจเย็น คิดว่าอันวาจะต้องยอมบอกเขาในที่สุด เพราะหลังจากที่อยู่ด้วยกันมาหลายราตรี แทบไม่มีเรื่องใดที่เขาถามแล้วเด็กหนุ่มผู้นี้ปิดบัง

ทว่าสุดท้าย กระทั่งถึงตัวคาริฟ อันวาก็ไม่ยอมปริปากอย่างที่ตั้งปณิธานไว้ เจ้าชายจึงยอมแพ้และหันมาสนใจเจ้าของดวงตาสีมรกตซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าแทน

“เหตุใดจึงช้านัก” คาริฟถามอันวา

“ก็เขาเดินไปถึงข้างหน้าโน่น ข้ามองหาอยู่นานกว่าจะพบ ไม่ช้าได้หรือ” อันวาว่า และนาซีมก็รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของเด็กหนุ่ม

“ข้าขอโทษ ข้าคิดจะดูอะไรนิดเดียว แต่เดินเพลินไปถึงตรงโน้น”

“ไม่เป็นไร” บุรุษชุดดำผ่อนปรน “มาแล้วก็รีบสวมเสื้อคลุมเถิด อีกเดี๋ยวต้องออกเดินทางแล้ว”

“อืม”

นอกจากชื่อเสียงเรียงนามที่เปลี่ยน วิธีการพูดระหว่างพวกเขาก็ต้องปรับไปด้วย เวลานี้ทุกคนสามารถใช้คำเป็นกันเองกับนาซีมได้แล้ว และน่าแปลกที่นาซีมไม่รู้สึกกระดากหูแม้แต่น้อย

“อาลี”

“ว่าอย่างไร”

“มานี่มา”

คาริฟเรียก แต่เป็นอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเขาเอง นาซีมยังไม่ทันถามว่ามีอะไร ร่างสูงใหญ่ก็ประชิดตัว ก่อนจะตวัดเอาผ้าสีแดงคลุมกายให้

นาซีมหดคอเล็กน้อยแล้วเหลือบตามองผู้ที่อยู่ๆ ก็เข้ามาใกล้ เขาไล่สายตาจากแผ่นอก ไปยังปลายคางที่มีไรหนวดขึ้นน้อยๆ จนถึงปลายจมูก ทว่าไม่กล้ามองถึงดวงตาเจ้าชายก็หลุบตาลงเสียก่อน

พอดีกับที่มือหนาติดเข้มกลัดเข้าที่เรียบร้อย คาริฟจึงปล่อยมือและถอยหลังไป

“เสร็จแล้ว” เขาว่า

“ขอบคุณ” นาซีมตอบเสียงเบา

อาจเพราะเรื่องที่ได้รับรู้เมื่อสามราตรีก่อน ทำให้นาซีมยังประหม่าไม่เลิกเมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ แม้อีกฝ่ายจะทำตัวเหมือนปรกติ ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

แต่กับนาซีมแล้ว เขายอมรับว่าตนเองทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เห็นคาริฟอยู่ในสายตา เจ้าชายแห่งโซราห์จะคิดถึงเรื่องที่พวกเขาเป็นคู่โชคชะตาของกันและกันเสมอ

หลังจากที่ล่วงรู้ความลับในคืนนั้น นาซีมไม่ได้เถียงหรือปฏิเสธสักคำ แม้ยังสงสัยว่าพวกเขาเป็นคู่กันจริงๆ หรือคาริฟแค่สับสน เพราะนาซีมไม่รู้อะไรคือตัวบ่งชี้ว่าใครเป็นคู่โชคชะตาของใคร และมันเป็นครั้งแรกที่เขาเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้

...กระนั้นเจ้าชายกลับไม่กล้าถาม

มิเพียงแค่ไม่กล้าถาม เขายังไม่กล้าสบตากับคาริฟตรงๆ ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่รอคอยการเดินทางครั้งใหม่ในโรงหมอของฮาชิ นาซีมจึงเก็บตัวเงียบอยู่บนห้อง เฝ้ามองผู้คนผ่านไปมาทางหน้าต่าง พยายามครุ่นคิดทั้งเรื่องที่อยากรู้ และคิดถึงชีวิตของตนเองต่อจากนี้

ถึงสุดท้ายจะยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี หรือรู้ว่าอย่างไรคือคู่แห่งโชคชะตา หากเขาก็ยังตัดสินใจว่าจะปล่อยสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นมีอิทธิพลเหนือความคิดและเส้นทางในอนาคตไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ นาซีมจึงต้องทำใจแข็งและพูดคุยกับคาริฟเหมือนเดิม

ทว่าความคิดนี้กลับทำได้ยากเหลือเกิน

วู้ม วู้ม วู้ม~~~

เสียงเป่าสังข์ดังขึ้นท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย มันเป็นสัญญาณว่าเวลาออกเดินทางแล้ว ผู้คนในคาราวานพากันปีนขึ้นหลังอูฐ บ้างเป็นคนจับจูงอยู่เบื้องหน้า

คาริฟส่งสัญญาณด้วยสายตา เจ้าชายจึงปีนขึ้นไปประจำที่ของตนเอง เขามองดูจนนาซีมเข้าที่เรียบร้อย จึงเดินไปด้านหลังเพื่อปีนขึ้นอูฐของตนเองบ้าง

ส่วนอันวานั้น นาซีมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนีไปนั่งประจำที่รอตั้งแต่เมื่อใด ครั้นเห็นเขาหันไปมอง เด็กหนุ่มก็ส่งยิ้มให้ ไม่นานเมื่ออูฐตัวหน้าขยับ นาซีมจึงบังคับให้พาหนะของตนเดินตาม

ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าจนมองเห็นได้เต็มดวง นับเป็นก้าวแรกจากโฮมาสู่เอมาลี...









❂ …………………………….❂









ห้าราตรีที่ผ่านมาการเดินทางเป็นไปอย่างราบเรียบ ไม่มีสิ่งผิดปรกติใดบ่งชี้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ทว่าเจ้าชายแห่งโซราห์ก็ยังไม่วางใจนัก ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงสดใหม่ เขามั่นใจว่าคนอย่างชีคทาริคต้องหาวิธีตามมาจัดการ เพราะอีกฝ่ายรู้ว่าหากปล่อยไว้ ไม่นานนาซีมจะต้องกลับไปทวงคืนสิ่งที่เป็นของตนเองอย่างแน่นอน

คิดแล้วนาซีมก็หันกลับไปเบื้องหลัง เขารู้ว่าไม่สามารถมองเห็นแคว้นโซราห์ได้จากที่นี่ และตนก็ออกห่างจากบ้านเกิดเมืองนอนมากขึ้นทุกที

ถึงอย่างนั้นเจ้าชายก็ยังหวัง หวังทั้งที่ไม่รู้ว่าจะนำกำลังจากไหนไปกอบกู้ทุกอย่างคืนมา...

“เป็นอย่างไรบ้างอาลี” คาริฟถาม ก่อนส่งอินทผลัมตากแห้งให้สองสามผล นาซีมเหลือบมองหน้าเขาแวบหนึ่ง จึงรับผลไม้ตากแห้งมาถือไว้และเอ่ยขอบคุณ

“ขอบใจคาริฟ ข้าไม่เป็นไร”

“ร้อนหรือไม่”

นาซีมยังไม่ทันตอบ อันวาก็เดินมานั่งใต้กระโจมที่กางไว้ชั่วคราวกับพวกเขาและส่งถุงหนังบรรจุน้ำสะอาดให้

“แดดแรงเพียงนี้ ใครบ้างไม่ร้อน”

คาริฟไม่ถกเถียง แต่เลือกที่จะเงียบพลางเหลือบมองอันวานิ่งๆ เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงหัวเราะแหะๆ และรีบลุกออกไป

นาซีมมองการกระทำของคนทั้งคู่เงียบๆ ไม่รู้ควรสงสารอันวาที่ถูกมองคาดโทษ หรือสงสารคาริฟที่มีสหายช่างจ้อเกินไป แต่อย่างไรเสีย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มจากไปแล้ว นาซีมก็รู้ว่าเขาควรสงสารตัวเองที่สุด

เพราะเวลานี้ ในกระโจมเล็กๆ ห่างไกลผู้คนใต้ชะง่อนผา มีเพียงเขากับคาริฟอยู่ด้วยกันแค่สองคนเท่านั้น

พวกเขาปล่อยช่วงเวลาพักผ่อนให้ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า โดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคำครึ่งคำ ทั้งที่ในใจมีเรื่องมากมายอยากเอ่ย

นาซีมไม่รู้ว่าทำไมคาริฟถึงทนอยู่กันตนได้ แต่เมื่อคิดดูให้ดี บางทีอาจเป็นเพราะกำลังแสดงละครว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงต้องพักอยู่ร่วมกันไม่ให้ผู้อื่นเกิดความสงสัย แม้อันวาจะวิ่งไปวิ่งมาตล้ายไม่สนใจแผนการอะไรก็ตาม แต่คนที่ดูจริงจังอย่างคาริฟคงทำอย่างอันวาไม่ได้ นาซีมบอกตนเองอย่างนั้น และยอมทนอยู่กับอีกฝ่ายเงียบๆ ทุกครั้งที่หยุดพัก

ถึงอึดอัดบ้าง เขาก็แสร้งเสมองหรือหันเหความสนใจไปที่อื่น บางครั้งมองดูคนในคาราวานเดินไปเดินมา พูดคุย หรือโต้เถียงกัน แต่บางครั้งยามทุกคนพักเอาแรงเพื่อเดินทางต่อ และนาซีมไม่ง่วง เขาจะพยายามเบี่ยงเบนความสนใจโดยการมองออกไปนอกเงาผา จ้องเปลวแดดวูบไหวไปมาราวภาพลวงตา มองปลายสุดของเนินทรายเปลี่ยนทิศเพราะลมพัดละอองทรายปัดปลิว

ตั้งแต่เล็กจนโต นาซีมไม่เคยออกเดินทางไกลเพียงนี้ เขาจึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดนักเดินทางจึงเลือกเดินทางในยามราตรี ขนาดเขาที่ตอนนี้พักอยู่ในร่ม ยังรู้สึกร้อนจับใจ ด้วยความร้อนในช่วงเวลาดวงอาทิตย์ตรงศีรษะนั้นยากเกินมนุษย์ต้านทานไหว

โชคดีที่เส้นทางนี้ไม่ใช่ทะเลทรายแห้งแล้งและไร้ซึ่งที่กำบังอย่างทะเลทรายทางตอนเหนือ ไม่เช่นนั้นตลอดระยะเวลาที่เดินทางข้ามแคว้น คงไม่มีที่ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติให้พักพิง

นั่งคิดเรื่อยเปื่อยสักพัก เสียงทุ้มต่ำของคนข้างกายก็เอ่ยขึ้น

“กินอะไรสักหน่อยแล้วพักเอาแรงเสีย คืนนี้พวกเราอาจจะต้องเดินทางทั้งคืน”

“ไม่หยุดพักหรือ” ด้วยเดิมทีพวกเขาจะเดินทางแค่ครึ่งคืน และช่วงเช้าถึงสายจึงมีเวลาพักไปเดินทางไปไม่อาจเร่งรีบ เพราะมากันเป็นกลุ่มใหญ่

“อีกสองราตรีจะเข้าเขตเมืองหลวงแคว้นเอมาลีแล้ว แต่ที่พักคาราวานจุดต่อไปอยู่ไกลกว่าทุกที่ จาเร็ดจึงให้เร่งเดินทางในคืนนี้”

“เช่นนั้นแสดงว่าหากแวะพักอีกครั้งเดียว เราจะเดินทางถึงเอมาลีแล้วหรือ”

“ถูกแล้ว”

“เร็วนัก เพียง 7 ราตรีเท่านั้น”

“ไม่ถือว่าเร็ว เพราะแต่เดิมเราจะใช้เวลาเดินทางเพียง 5 ราตรี” คาริฟว่า

“แล้วเหตุใดครานี้จึงช้ากว่ากำหนดเล่า”

“เพราะในคาราวานมีโอเมก้ากำลังฮีท จาเร็ดจึงให้แวะพักบ่อยขึ้น”

“อ้อ...ที่แท้ อันวาหายไปบ่อยๆ เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง”

นาซีมเข้าใจว่าอันวาหายไปช่วยเหลือโอเมก้าผู้นั้น แต่หารู้ไม่ว่าสาเหตุที่อันวาถูกเรียกไป เป็นข้ออ้างเจ้าของคณะละครเร่ต่างหาก และไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากจาเร็ด

ส่วนนาซีบังเอิญล่วงรู้ความลับนั้นในช่วงหลัง ขณะที่จาเร็ดกำลังยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ได้แกล้งเด็กหนุ่มให้หัวหมุน

“รู้แล้วว่าต้องเดินทาง เจ้าก็ทำตามที่ข้าบอก เช่นนั้นยามราตรีจะเดินทางไม่ไหว”

“อืม”

เมื่อคิดตามนาซีมก็ยอมรับปาก เขาไม่อยากแสดงท่าทีดื้อด้านหรือต่อต้านคำพูดของคาริฟนัก แม้ยังไม่อยากกิน ไม่อยากนอน เพราะรู้ว่าทั้งหมดที่อีกฝ่ายพูดเป็นประโยชน์กับตัวเขาเอง

เจ้าชายนั่งกินอินทผลัมเข้าไปจนหมด ดื่มน้ำตาม ก่อนจะเอนตัวนอนในกระโจมผ้าขนาดพอดีสามคน โชคดีที่เวลานี้อันวาไม่อยู่ เขาจึงพอมีที่ให้ขยับตัวและเว้นระยะห่างจากคาริฟได้

นาซีมเลือกขยับไปนอนทางฝั่งหนึ่งของกระโจม โดยหนุนแขนของตัวเองต่างหมอน ในทีแรกรู้สึกว่าอากาศร้อนเช่นนี้เขาคงนอนไม่หลับ แต่ไม่รู้เพราะเพลียจากการเดินทางหรือไม่ ไม่นานนาซีมจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไป

ส่วนคนที่คะยั้นคะยอให้ผู้อื่นนิทรากลับต้องลืมตาโพลงท่ามกลางความร้อน คาริฟนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่นานแต่ไม่มีวี่แววว่าจะหลับ ในที่สุดเขาจึงเลิกพยายามและหันมาสนใจผู้ที่ส่งเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอซึ่งนอนอยู่ด้านข้างแทน

เจ้าชายแห่งโซราห์นอนหันหลังให้เขา ผวยผ้ายังคงปกคลุมร่างกายมิดชิดราวกับไม่รู้สึกถึงความอบอ้าวของอากาศยามบ่าย

คาริฟจ้องแผ่นหลังบอบบางแน่นิ่งก่อนหลุบตาลง หลายราตรีมานี้เขาอึดอัดคับข้องใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต และสาเหตุก็มาจากเจ้าชายตกยากที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่นานผู้นี้

เขารู้ว่าอีกฝ่ายระแวงและคอยหลบเลี่ยงเพราะเรื่องคู่แห่งโชคชะตา แม้ดูจากสายตาและการกระทำจะพอเดาได้ว่านาซีมไม่ได้ถึงกับรังเกียจ ทว่าคาริฟก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี ทั้งที่แต่เดิมเขามีนิสัยเยือกเย็น ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรือสนใจเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากหน้าที่

หากคราวนี้ความคิดของคาริฟกลับถูกทำให้บิดเบี้ยวไปหมด...ราวกับคาริฟผู้เยือกเย็นไม่เคยมีตัวตนจริง

ดวงตาสีมรกตจ้องมองแผ่นหลังของนาซีมอีกครั้ง ในสายตาคาริฟเห็นอีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือถึง แต่ในความเป็นจริงระยะห่างของพวกเขาอยู่ไกลจนไม่อาจจินตนาการ

ถึงจะรู้อย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกถึง...ความกระวนกระวายร้อนใจ

อาการหวงแหน

อยากปกป้อง

สิ่งเหล่านี้คืออะไร...คาริฟถามตัวเอง เพราะมันหาใช่ความคิดปรกติที่จะคิดกับใครง่ายๆ และคำตอบที่ได้ก็คือ เพราะมันเป็นสายสัมพันธ์ของคู่โชคชะตา

แม้ว่าคาริฟจะสรุปเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจบอกแก่เจ้าชายนาซีมได้ เพราะไม่อยากบีบบังคับอีกฝ่าย

ในความเป็นจริงพวกเขาต่างเพิ่งพบหน้ากัน และต้องมีชีวิตในเส้นทางที่ตนเลือกเดิน เขารู้ว่าวันหนึ่งเจ้าชายต้องกลับไปในที่ที่จากมา

และคาริฟไม่อาจรั้งเพียงเพราะสายสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ตั้งใจให้เกิด เหมือนที่คาริฟจะเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง เจ้าชายนาซีมก็คงคิดดุจเดียวกัน

เช่นนั้นพวกเขา...อย่าเริ่มมันคงดีที่สุด

เมื่อตัดสินใจจะสู้กับสัญชาตญาณอันเรียกร้องจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ คาริฟจึงลุกขึ้นและออกไปจากกระโจม...






❂ …………………………….❂









ตอนที่นาซีมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเวลาที่อาทิตย์อัสดงแล้ว ข้างกายเขาว่างเปล่า ไร้วี่แววของผู้ที่เคยอยู่ ครั้นเขาลุกขึ้นนั่ง จึงรู้สึกถึงความผิดปรกติ

นาซีมจำได้ว่าก่อนหลับไป เขานอนหนุนแขนของตัวเอง ทว่ายามตื่นกลับมีผ้าโพกหัวสีดำสนิทวางเอาไว้ให้หนุนต่างหมอน

นี่แสดงว่าคนผู้นั้นต้องถอดผ้าโพกหัวออก ม้วนมันให้หนาพอประมาณ และช้อนหัวเขาขึ้นหนุนแทนแขน...

เจ้าชายแห่งโซราห์นิ่งไปเมื่อคาดเดาลำดับเหตุการณ์เป็นฉากๆ ความรู้สึกอุ่นวาบสายหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวใจ ตลอดชีวิตนี้นาซีมมีผู้คนทำสิ่งต่างๆ ให้มากมาย แต่นอกจากบิดาและมารดาแล้ว ไม่เคยมีใครที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเท่านี้

เขาไม่ค่อยเข้าใจอาการที่ตนกำลังเป็นอยู่นัก หากก็ยังเอื้อมมือไปคว้าจับผ้าผืนนั้นขึ้นมา ใจคิดว่าคงต้องนำไปคืนเจ้าของ แต่พอได้กลิ่นอ่อนๆ เฉพาะกาย มือกลับกำแน่นราวของรักสุดหวงแหน

ระหว่างที่คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เสียงเดินสวบสาบด้านนอกก็ปลุกเขาตื่นจากภวังค์ นาซีมโผล่หน้าออกไปนอกกระโจม และพบว่าผู้ที่มาคือเจ้าของผ้าซึ่งตนกำลังกอดไว้ในอ้อมแขน

นาซีมรู้สึกอับอายที่จู่ๆ ก็อยากเก็บมันไว้ เขาจึงส่งมันคือแก่เจ้าของ

“นะ...นี่ของ...เจ้า”

“ขอบใจอาลี” อีกฝ่ายเอ่ยเรียบๆ เหมือนทุกที แต่นาซีมกลับสังเกตได้ อะไรสักอย่างในน้ำเสียงบอกเขาว่ามีบางอย่างแปลกไป

“เอ่อ...เราต้องเดินทางแล้วหรือ”

“ใช่ เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ อีกเดี๋ยวจาเร็ดคงส่งสัญญาณเคลื่อนขบวน”

“อืม” นาซีมตอบรับ และยังทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมอง

เขาประสานสายตากับผู้ที่มองมาพอดี มันเป็นดวงตาคู่เดิม สีเขียวแสนสวยและงดงามไม่เปลี่ยน ทว่านาซีมมั่นใจ ในประกายตานั้นมีบางสิ่งเปลี่ยนไปจากเดิม

เปลี่ยนจนดูเย็นชาพาลให้หัวใจของคนมองวูบโหว่งอย่างบอกไม่ถูก

เหตุไฉน...ทั้งที่พวกเขาอยู่ต่อหน้ากันและกัน ทว่านาซีมกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกผลักออกไป...ไกลแสนไกล









❂ …………………………….❂










มาต่อแล้วค่าาา

ตอนนี้ก็จะเกิดความสับสน วุ่นวายใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร

เพิ่งเจอกันอะเนอะ จะรีบใจเร็วด่วนได้เพราะรู้ว่าเป็นคู่โชคชะตาก็ไม่ได้

หรือจะไม่สงสัยเลยว่าเป็นจริงๆ ใช่ ใช่ไหมก็ไม่ได้

แต่อะไรสักอย่างก็เรียกร้องอยู่นั่น หัวใจมันคันยิบๆ 555

ฝนอยากเขียนตอนที่คู่แห่งโชคชะตามีความรู้สึกหงึกๆ หงักๆ แบบนี้มาก

มันมีทั้งเหตุผล ทั้งสัญชาตญาณเลยแหละ

หวังว่าจะชอบนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ

เจอกันตอนหน้าค่ะ





ละอองฝน.

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 7 ระยะห่าง :- [24/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-09-2019 01:52:38
ต่างคนต่างเขิน555
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 7 ระยะห่าง :- [24/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-09-2019 06:41:18
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 7 ระยะห่าง :- [24/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-09-2019 15:08:38
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 7 ระยะห่าง :- [24/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-09-2019 23:16:28
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 7 ระยะห่าง :- [24/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-09-2019 12:52:44
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 7 ระยะห่าง :- [24/09/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 28-09-2019 15:36:37
โธ่ ท่านคาริฟอย่างพึ่งรีบด่วนตัดสินใจไปคนเดียวซี อย่างนี้ถ้าน้องนาซีมเกิดตกหลุมรักคาริฟขึ้นมาน้องก็น่าสงสารแย่ ถูกผลักไสตั้งแต่แรกแบบนี้
คาริฟอาจจะต่อสู้กับสัญชาตญาณได้แต่ถ้าวันนึงรักน้องขึ้นมาจะต่อสู้กับหัวใจได้เหรอ  :hao3:

 :pig4:

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 8 ระบำใต้แสงดาว 1 :- [01/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 01-11-2019 01:10:29




บทที่ 8 ระบำใต้แสงดาว 1








นาซีมออกเดินทางตั้งแต่เย็นย่ำจวบจนแสงแรกของเช้าวันใหม่เรืองรองจับขอบฟ้า จาเร็ดจึงสั่งให้กองคาราวานหยุดเคลื่อนขบวนและปักหลัก ณ อาไมร่า โอเอซิสกลางทะเลทรายระหว่างโฮมาและเอมาลี ที่นี่เป็นจุดแวะพักของนักเดินทางเพราะมีพื้นที่เขียวชอุ่มกว้างใหญ่รวมถึงแหล่งน้ำสะอาด

ตอนที่พวกเขามาถึง ที่อาไมร่ามีกองคาราวานเล็กๆ กองหนึ่งพักอยู่ก่อนแล้ว จาเร็ดจึงเข้าไปเจรจาและของปันพื้นที่ให้คนของตนได้พักอย่างสันติ เมื่อการเจรจาผ่านไปครู่หนึ่ง คาริฟจึงเดินนำนาซีมไปหาที่ปักกระโจม

ไม่รู้เพราะเหตุใด ตั้งแต่ออกเดินทางจากเทือกเขาหิน นาซีมรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเขากับคาริฟอึดอัดขึ้นจากเดิม ยิ่งคาริฟไม่พูด นาซีมก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไร พวกเขาอยู่กันเงียบๆ ผิดกับบรรยากาศอึกทึกรอบกาย มีหลายครั้งที่นาซีมแอบลอบมองบุรุษชุดดำ แต่เห็นเขาง่วนอยู่กับงานตรงหน้า ทำราวกับว่านาซีมไม่มีตัวตน เจ้าชายก็ยิ่งไม่กล้ารบกวน

หลังปักกระโจมเรียบร้อย อันวาก็ถูกปล่อยตัวกลับมา ทำให้บรรยากาศอึมครึมค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“คาริฟ”

“ว่าอย่างไร”

เมื่ออันวาร้องเรียก คนที่ก้มหน้าก้มตาก็เงยขึ้นมอง นาซีมได้สบตาเรียบเฉยนั่นแวบหนึ่งก่อนหันเหความสนใจไปที่เด็กหนุ่มข้างกาย

“จาเร็ดเรียกหาท่าน”

“มีเรื่องอันใด”

“หารู้ไม่” อันวาตอบง่ายๆ แต่เมื่อเห็นคาริฟทำหน้านิ่งเป็นรูปสลัก อันวาจึงขยายความอีกหน่อย ด้วยไม่อยากกวนให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย “เขามิได้บอกอันใดแก่ข้า แค่สั่งให้เรียกท่านไปพบสักครู่ คิดว่าคงหารือเรื่อง...” เด็กหนุ่มมองซ้ายขวาแล้วกระซิบเสียงเบาลง “...เรื่องพวกเราหลังเข้าเอมาลี”

“เข้าใจแล้ว” คาริฟลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนออกไปหาจาเร็ดที่กระโจมใหญ่โดยไม่สั่งอะไรไว้

อันวามองตามร่างสูงใหญ่ไปจนลับตา เด็กหนุ่มจึงหันมาหานาซีม

“อาลี”

“หืม?”

“ท่านทำอะไรเขาหรือเปล่า”

“ข้าหรือ?” นาซีมชี้เข้าหาตัวเอง

“หากไม่ใช่ท่านแล้วจะเป็นผู้ใดได้”

“ข้ามิได้ทำอันใดเขา” นาซีมบอกตามความจริง แล้วจึงถามกลับ “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนั้นเล่า”

“เพราะเขาดูอารมณ์ไม่ดี”

“...” นาซีมนิ่งไปเพราะเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานนี้ แต่เจ้าชายก็ไม่อาจล่วงรู้ว่าเขาทำสิ่งใดให้บุรุษผู้นั้นขุ่นเคืองใจ ทั้งที่ก่อนพักใต้ชะง่อนผาคาริฟยังพูดดีกับเขาอยู่แท้ๆ

“เอาเถอะๆ ข้าว่าบางทีเขาอาจง่วงนอน พวกเราเดินทางตลอดคืน ข้าเองเวลาง่วงก็มักอารมณ์ไม่ค่อยดีเช่นกัน” อันวาคาดเดา

เจ้าชายเองก็อยากคิดเช่นนั้น แต่ใจก็อดกระหวัดคิดไปถึงใบหน้านิ่งสนิทนั่นไม่ได้ ระหว่างที่ข้างในกำลังว้าวุ่น ก็มีใครคนหนึ่งมาที่หน้ากระโจมของพวกเขา

“พวกเจ้าปักกระโจมเสร็จหรือยัง”

ผู้มาเยือนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานหู และเมื่อนาซีมเงยหน้ามอง เขาจึงพบว่านอกจากเสียงไพเราะแล้ว ใบหน้าของอีกฝ่ายก็งดงามจนมองผ่านๆ คงแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง หาไม่ได้มองชุดที่เจ้าตัวสวมใส่แล้วล่ะก็

“เรียบร้อยแล้ว ว่าแต่เจ้าดีขึ้นแล้วหรือซิน” อันวาถาม

“ข้าหายดีแล้ว ขอบคุณเจ้ามานะอันวาที่ช่วยอยู่ดูแลข้า” ชายคนนั้นเอ่ยขอบคุณ นาซีมจึงพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“อาลี นี่คือซิน ผู้ขับลำนำประจำคณะละครเร่” อันวาลุกขึ้นปัดฝุ่นทรายออกจากกางเกง แล้วผายมือไปแนะนำชายคนนั้น

“ยินดีที่ได้พบท่าน ซิน” เจ้าชายแตะปลายนิ้วที่อกซ้ายก่อนยืนมือไปจับทักทายซิน

“ยินดีที่ได้พบท่านเช่นกัน...เอ่อ...”

เห็นซินอึกอักเพราะไม่รู้จักชื่อนาซีม อันวาจึงรีบแนะนำ “เขาชื่ออาลี เป็นสหายของข้ากับคาริฟ”

“ยินดีที่ได้พบ อาลี” ซินทวนซ้ำอีกครั้งและทำท่าทางทักทายเช่นเดียวกับนาซีม มันคือท่าที่มีเพียงชาวเอมาลีเท่านั้นที่ทำ “ท่านเป็นชาวเอมาลีเหมือนกันหรือ”

ขณะที่ถาม อีกฝ่ายก็ลอบสำรวจนาซีมไปด้วย เจ้าชายแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความใคร่รู้ในดวงตาคู่นั้น ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร

“ถูกแล้ว ข้าอาศัยอยู่เมืองไพม์ สุดชายขอบตะวันตกของแคว้นเอมาลี แล้วเจ้าเล่า”

เจ้าชายแห่งโซราห์ซักซ้อมในใจมาหลายต่อหลายครั้งระหว่างออกเดินทางจากเมืองโฮมา ว่าชื่อและถิ่นกำเนิดใหม่ซึ่งปลอมแปลงขึ้นของตนคือที่ใด เพื่อให้ไม่มีพิรุธยามต้องพูดคุยกับผู้คน

อันวาเหลือบมองปฏิกิริยาอันเป็นธรรมชาติแล้วถอนใจอย่างโล่งอก ด้วยเกรงว่าเจ้าชายนาซีมจะแตกตื่นเพราะคนแปลกหน้า ที่ผ่านมาเขาจึงไม่เคยพาใครมาที่กระโจมหากไม่จำเป็น

“ข้าเกิดและโตในเมืองหลวง แต่เคยไปเยือนที่ไพม์ครั้งหนึ่งตอนท่านจาเร็ดนำคาราวานของเราไปแสดง บ้านเจ้างามมาก” ซินว่าอย่างอัธยาศัยดี

“ไพม์เป็นแค่เมืองเล็กๆ เท่านั้นถ้าเทียบกับเมืองหลวงของแคว้น แต่ข้าดีใจที่เจ้าชอบ หากมีโอกาสได้ไปอีกครั้ง ข้าจะพาเจ้าเที่ยวให้ทั่ว” นาซีมโป้ปดไปอีกหลายประโยค อันวาจึงแทรกขึ้นมาบ้าง

“ฟังดูน่าสนุก” เด็กหนุ่มยิ้มร่างเริง ก่อนถาม “ว่าแต่เจ้ามาที่นี่มีอะไรกับข้าหรือเปล่าซิน”

“ไม่มีอันใด ข้าเพียงอยากชวนเจ้าไปที่กระโจมกลางด้วยกัน คืนนี้ท่านจาเร็ดอนุญาตให้นำเหล้าที่เขาหมักไว้ออกมาดื่มได้”

“เขาอนุญาตจริงหรือ!” อันวาทำตาโต

“จริงสิ ตอนนี้ทุกคนหาที่เหมาะจะก่อกองไฟได้แล้ว อีกเดี๋ยวพวกเขาคงเอาแกะออกมาย่าง”

“เหตุใดเขาทำตัวใจกว้างเช่นนั้นเล่า ไหนเขาบอกข้าเมื่อราตรีที่ผ่านมาว่าไม่ให้ดื่มระหว่างเดินทาง ซ้ำห้ามข้ากินเนื้อมากเกินไปเพราะอาหารจะหมดก่อนถึงเอมาลี”

“เขาคงหยอกเจ้าเหมือนเคย เท่าที่ข้ารู้มา ครานี้ท่านจาเร็ดนำเสบียงมามากกว่าทุกครั้ง แล้วพวกเราก็กำลังจะเหยียบเมืองหลวงของเอมาลีในวันพรุ่งนี้ ไม่มีทางที่อาหารจะไม่พอ”

“ร้ายกาจที่สุด” อันวาเข่นเขี้ยว เขาหงุดหงิดที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกกลั่นแกล้ง และมันเป็นเช่นนี้เสมอ “ว่าแต่เหตุใดเจ้ารู้มากนัก ทั้งที่เพิ่งหายจากอาการฮีทแท้ๆ”

“พอข้าหาย ข้าก็ตรงไปหาอะไรใส่ท้อง จึงได้รู้จากคนอื่นๆ ว่าคืนนี้พวกเราจะมีงานเลี้ยงรอบกองไฟ เจ้าไปด้วยกันเถอะนะ” ซินชวนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะหันมาชวนนาซีมอีกคน “เจ้าก็ด้วยนะอาลี ไปกินของอร่อยกันก่อนเดินทางเข้าเอมาลีพรุ่งนี้เถิด”

“ไปกันเถอะอาลี ถ้าเขายอมเปิดไหสุราและย่างเนื้อแกะทั้งตัวแล้วล่ะก็ คืนนี้ต้องมีเรื่องสนุกๆ จากนักเล่านิทานแน่” อันวาชักชวน ตาเป็นประกาย

“เขาต้องเล่าอยู่แล้ว” ซินยืนยันอีกคน “และข้ารับรองว่าพวกเจ้าต้องชอบ”

เห็นอันวาและซินตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ทั้งยังดูน่าสนุกจริงดังคำกล่าวอ้าง นาซีมจึงพยักหน้ายิ้มๆ

“ไปสิ”

ทันทีที่ตอบรับ อันวาก็ไม่รอช้า คว้ามือเขาจูงออกจากกระโจม ทว่านาซีมกลับรั้งไว้นิด เพราะอยากรู้เรื่องใครอีกคนก่อน

“แล้ว...พวกเราจะไม่รอเขาก่อนหรือ...”

“ใครกัน” อันวางงงวย แต่ไม่ทันที่นาซีมจะเฉลย เจ้าตัวก็นึกออก “อ้อ...คาริฟ?”

“อืม” เจ้าชายพยักหน้า

“ไม่ต้องรอ เพราะข้าว่าเขาคงเป็นฝ่ายรอเราอยู่ที่กระโจมของจาเร็ดแล้วล่ะ อย่างเขาจะปล่อยให้เจ้าคลาดสายได้หรือ” เด็กหนุ่มว่า พลางออกแรงจูงเจ้าชายให้เดินไปทางที่สมาชิกส่วนใหญ่ของคาราวานรวมตัวอยู่

“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า เจ้าก็นำข้าไปเถิด”

“แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นข้าบอกอยู่แล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ดูโน้นสิ”

นาซีมมองตามมือของเด็กหนุ่มไปจนสุดสายตา เขาพบร่างสูงใหญ่ของบุรุษในชุดดำยืนคุยอยู่กับจาเร็ดและหญิงชราผู้หนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย และคนคนนั้นดูราวกับสัมผัสได้ถึงการมาของเขา อีกฝ่ายจึงมองมา ก่อนหยุดสายตาที่นาซีมเพียงครู่เดียว จากนั้นจึงผินหน้ากลับไปฟังจาเร็ดพูดต่อ

“เขาเห็นพวกเราแล้ว เจ้าวางใจได้หรือยังอาลี”

“...” นาซีมเงียบอยู่ชั่วอึดใจ แล้วจึงตอบ “พวกเราไปกันเถอะ”







❂ …………………………….❂







แม้ท้องนภาไร้หมู่เมฆ ทว่าดวงดารากลับส่องแสงวิบวับราวแข่งกันอวดโฉม ราตรีนี้นาซีมมิได้ตรากตรำเดินทางข้ามเนินทรายเพื่อฟังเสียงลมหวีดหวิว แต่เขามานั่งเป็นส่วนหนึ่งรอบกองไฟลุกโชนเพื่อฟังเสียงร้องรำทำเพลงของผู้คนในคาราวานละครเร่แทน

เจ้าชายมองไปรอบๆ แล้วคิดว่าบรรยากาศเช่นนี้สิ จึงจะสมกับเป็นคาราวานของคณะละคร ผู้คนที่โพกผ้าตีหน้าไม่เป็นมิตรในหลายวันที่ผ่านมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ท่าทางเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้าจากแสงแดดและความร้อนไม่ปรากฏให้เห็น

และถึงแม้เขาจะไม่รู้จักใครเลยนอกจากอันวากับซิน แต่พอได้มาดื่ม กิน ต่อลำนำด้วยกัน หลายๆ ก็เริ่มเข้ามาทักพร้อมพูดคุยกับนาซีมเหมือนรู้จักกันมานานปี

ในชั่วขณะหนึ่ง นาซีมไม่รู้เลยว่าความเครียดสะสมตั้งแต่วันที่หลบหนีออกจากโซราห์มลายหายไป เขาไม่รู้ว่าตนเองผ่อนคลายและยิ้มได้โดยไม่ต้องฝืน

ไม่รู้ตัว...แม้บ่อยครั้งที่รอยยิ้มนั้นจะทำให้บุรุษผู้หนึ่งเผลอจ้องมอง และละสายตาไปไม่ได้ง่ายๆ

“หากต้องการนั่งข้างๆ เขา ก็แค่เข้าไปแทนที่ ข้าจะเรียกอันวามาที่นี่เอง”

เสียงกระซิบจากเจ้าของคาราวานทำเอาคาริฟหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มหันมามองคนยื่นข้างเสนอ และเมื่อเห็นแววตาแฝงความเย้าแหย่ในที คาริฟจึงได้รู้ว่าตนเสียท่าเข้าให้แล้ว

“ไม่ต้องลำบากเจ้า”

“เหตุใดเล่า” จาเร็ดถาม

“ข้าไม่ได้อยากไปนั่งตรงนั้น”

“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือคาริฟ”

“ใยข้าต้องโกหกเจ้า” คาริฟตอบกลับเรียบๆ

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีเหตุผลใดจึงต้องโกหก แต่รู้หรือไม่...” จาเร็ดเว้นวรรคแล้วจิบเหล้าหมักในแก้วทองเหลือง สายตาละจากคนข้างกายไปหาพื้นที่วางใกล้กองไฟ

ท่าทางยียวนและไม่ยอมตอบคำถามทันทีนี่กวนอารมณ์คาริฟได้เสมอ คล้ายกับอีกฝ่ายต้องการทดสอบว่าสหายของตนจะหมดความอดทนเมื่อใด

พวกเขาสองคนรู้จักกันมานานมาก และมันนานพอจะทำให้คาริฟนิ่ง ไม่หวั่นไหวให้สหายรักได้ใจหรือทำให้ตนถูกกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ เช่นอันวา ทุกครั้งเขาจะนิ่งเสมอ

...แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้

“อะไร”

“หืม?” จาเร็ดหันกลับมามอง เพราะมิคาดว่าคาริฟที่ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดจะเร่งเร้าให้เขาพูด

“ที่เจ้าค้างไว้...พูดต่อสิ”

“หึๆ” เจ้าของคณะละครเร่หลุดหัวเราะ ดูท่าครานี้สหายของเขาจะเป็นเอามาก...เจ้าตัวคิด ก่อนพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่อยากแกล้งคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเองมากไปกว่านี้แล้ว “ข้าแค่จะบอกว่า ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีเหตุผลอันใดให้ต้องโกหก แต่ควรรู้ตัวว่านะว่าเจ้าโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย”

“...”

“อยากไปนั่งตรงนั้นก็ไปสิ ไปนั่งกับเขา เจ้าจะได้เลิกกระวนกระวายเสียที”

“ข้าไม่...” ยังไม่ทันปฏิเสธว่าตนไม่ได้เป็นเช่นจาเร็ดกล่าวหา ผู้คนที่นั่งอยู่รอบกองไฟก็โห่ร้องขึ้นพร้อมๆ กัน ซึ่งนั่นเรียกให้คาริฟหันไปสนใจได้ในทันที

“ถ้าเจ้าเป็นนักเต้นเช่นเดียวกับข้า ก็ต้องลุกขึ้นมาเต้นสิอาลี”

“ใช่! ลุกขึ้นมาๆ”

เสียงชายรูปร่างเพรียวบางซึ่งมีตำแหน่งเป็นนักเต้นระบำอันดับหนึ่งแห่งกองคาราวานของจาเร็ดประกาศกร้าวอย่างท้าทาย อีกฝ่ายคงรู้แล้วว่าเจ้าชายแห่งโซราห์เข้ามาในกองคาราวานในฐานะนักเต้นเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดศึกแห่งศักดิ์ศรี แม้นี่จะไม่ใช่การแข่งขันจริงจังก็ตาม

มิหนำซ้ำคนอื่นๆ ในกองคาราวานก็พลอยสนับสนุนการท้าทายนี้ด้วย เพราะอยากเห็นเรื่องสนุกๆ ระหว่างนักเต้นอันดับหนึ่งกับนักเต้นมือใหม่ที่เพิ่งได้เห็นหน้าชัดๆ ในคืนนี้

คาริฟละสายตาจากผู้ท้าทายไปยังเป้าหมายของทุกคน แม้อยู่ไกลถึงนี่ เขายังสัมผัสได้ถึงความประหม่าของเจ้าชายนาซีม ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเจ้าชายเต้นได้จริงๆ หรือไม่ แต่เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวเผชิญความกดดันนี้เพียงลำพัง คาริฟจึงยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเดินไปยังที่ที่เขาเพิ่งปฏิเสธจาเร็ดเมื่อครู่

...ข้างกายของเจ้าชายนาซีม

ทว่าเร็วเท่าความคิด ชายผู้รอคอยเรื่องสนุกอย่างจาเร็ดก็รีบผุดลุกขึ้นตาม ก่อนคว้าไหล่บุรุษในชุดดำเอาไว้มั่น เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายสอดมือเข้าไปยุ่ง

“เจ้าเข้าไปไม่ได้” จาเร็ดว่า

“เหตุใดข้าจึงเข้าไปไม่ได้” คาริฟเถียง ก่อนลอบกระซิบข้อความที่ได้ยินเพียงแค่พวกเขาสองคน “เจ้าอยากให้ความแตกหรือ เจ้าชายเต้นไม่เป็น”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรคาริฟ” จาเร็ดเลิกคิ้ว

“เพราะเขา...”

ยังไม่ทันพูดจบ คนขี้แกล้งก็แสร้งทำหน้าจริงจัง และบุ้ยใบ้ให้มองไปที่ที่นาซีมถูกล้อมเอาไว้

“ก่อนเจ้าจะพูดอันใด ก็รอดูเสียก่อนว่าเขาทำได้หรือไม่ อย่าทะเล่อทะล่าเข้าไปเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นคนจะสงสัยเอา แม้เขาทำไม่ได้ เราก็ยังอ้างว่าเขาเพิ่งหัดก็ได้ เจ้าอย่าห่วงไม่เข้าเรื่องน่าคาริฟ”

“ข้าไม่ให้ห่วง ข้าแค่...”

“หยุดพูดแล้วดูโน้น”

สุดท้ายคนที่ทำให้คาริฟหยุดพูดหาใช่จาเร็ดไม่ แต่เป็นเจ้าของเสียงที่ทำให้เขากระวนกระวายใจหนักหนาต่างหาก

“พวกท่านจะให้ข้าเต้นจริงหรือ”

“จริงสิ” นักเต้นผู้นั้นยืนยันกับนาซีม

“แต่ข้า...”

“ไม่เอาน่า อย่าบอกนะว่าเจ้าอาย”

“หรือเจ้าเต้นไม่เป็นกันแน่” ใครอีกคนแทรกขึ้น แต่คาริฟไม่เห็นหน้าคนพูด

“ไม่ใช่นะ...ข้า...คือว่า...ข้าเต้นได้” นาซีมเอ่ยตะกุกตะกัก ดูอย่างไรก็ไม่มั่นใจแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้คนที่คอยเฝ้ามองรู้สึกพะวงจนแทบเข้าไปช่วย

“หากเจ้าเต้นได้ก็แสดงให้พวกเราเห็นสิ ว่าเจ้าคู่ควรกับคณะละครเร่ของเรา”

“ถูกต้อง!”

“เต้นเลย! เต้นเลย! เต้นเลย!”

เสียงโห่ร้องและเร่งเร้าดังไปทั่วสารทิศ กลบเสียงดนตรีบรรเลง เสียงลมทะเลทรายพัดกิ่งไม้เสียงสี กับเสียงไฟแตกปะทุไปจนหมดสิ้น

ดวงตาสีมรกตมองเห็นมือเรียวของนาซีมกำกันแน่น ริมฝีปากอิ่มถูกฟันขาวกัดจนน่าสงสาร หน่วยตาแสนสวยหลุบต่ำอยู่นาน แม้ข้างกายจะมีอันวายืนอยู่ แต่เจ้าชายแห่งโซราห์กลับคล้ายถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว

คาริฟกัดฟันทนได้ไม่เท่าไร สุดท้ายก็ตัดสินใจสะบัดตัวจากการเหนี่ยวรั้งของจาเร็ดเพื่อเข้าไปช่วยนาซีมจากสถานการณ์ย่ำแย่

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงปล่อยไปไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่านี่หาใช่เรื่องร้ายแรง เหตุใดความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มีต่อเจ้าชายพระองค์นี้จึงรุนแรงนัก ซ้ำยังบังคับให้จิตใจสงบไม่ได้เลย

“คาริฟเดี๋ยว!”

เสียงสหายสนิทไม่อาจหยุดยั้งคาริฟได้ แต่คำตอบของนาซีมต่างหากที่ทำเอาบุรุษในชุดดำอึ้งจนลืมว่าจนกำลังก้าวเท้าไปด้านหน้าทำไม

“ก็ได้ ข้าจะเต้น”

“ดี! ดีนัก” นักเต้นของจาเร็ดปรบมือชอบใจ “เช่นนั้นก็เริ่มได้เลย”

“แต่ข้ามีข้อแม้”

“ข้อแม้อันใด”

“เพลงที่ข้าจะใช้ต้องเป็นระบำพันราตรีเท่านั้น”









❂ …………………………….❂













มาต่อแล้วนะคะ หลังจากกลับไปทำตัวแบบนิยายรายเดือนมาแป๊บนึง

ตอนต่อไปจะรีบมาเลยค่ะ มันต้องอ่านต่อๆ กันเนาะ อิอิ



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 8 ระบำใต้แสงดาว 1 :- [01/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-11-2019 14:01:03
 :ling1: :ling1: รออออ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 8 ระบำใต้แสงดาว 1 :- [01/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 01-11-2019 23:50:25
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 8 ระบำใต้แสงดาว 1 :- [01/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-11-2019 05:17:59
อยากเห็นท่าเต้นของเจ้าชายจัง :katai5:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 8 ระบำใต้แสงดาว 1 :- [01/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 03-11-2019 13:20:20
ฉลาดมากเลยนาซีม แก้สถานการณ์รอด
เป็นไงล่ะ อยากห่างเค้าเองดีนัก
เกือบทำให้นาซีมเดือดร้อนแล้วนะ คาริฟ

นาซีมคงงงใจมาก อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไป คนบ้าบอ

จาเร็ดสนุกล่ะสิ ได้แหย่อันวา
อันวาก็เป็นเด็กน้อย ของขึ้นง่าย แหย่สนุกไปอีก 5555
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 8 ระบำใต้แสงดาว 1 :- [01/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-11-2019 00:02:28
หืมมมม ระบำยังไงสิ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2 :- [04/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 04-11-2019 01:15:50



บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2







“เพลงที่ข้าจะใช้ต้องเป็นระบำพันราตรีเท่านั้น”

หลังจากนาซีมประกาศออกไป ผู้คนในกองคาราวานก็เงียบเสียงลง แต่เจ้าชายไม่สนใจสถานการณ์รอบข้าง เพราะเขาพยายามนึกย้อนไปถึงเมื่อเยาว์วัย ค้นหาเศษเสี้ยวความทรงจำครั้งติดตามมารดาเพื่อเข้าไปยังตำหนักส่วนพระองค์

นาซีมจำได้ว่ามีปีหนึ่ง ก่อนงานเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบรอบสิบสองปีของท่านพ่อ มารดาของเขาได้มอบของขวัญให้ท่านพ่อเป็นการแสดงระบำชุดหนึ่ง ซึ่งพระองค์ร่ายรำด้วยตนเอง

การแสดงนั้นถูกเรียกว่าระบำพันราตรี

นาซีมไม่รู้เหตุใดต้องเป็นระบำพันราตรี ไม่รู้ว่ามันมีความหมายอย่างไร แต่เขาจำได้ว่ามันงดงาม อ่อนช้อย แต่ขณะเดียวกันก็ทรงพลังเสียจนไม่อาจละสายตา

แม้เวลานั้นนาซีมยังเล็กนัก แต่ก็จดจำท่วงท่าเริงระบำแสนอัศจรรย์ได้ขึ้นใจ ด้วยเห็นมารดาซักซ้อมทุกวัน ดังนั้นเจ้าชายจึงตัดสินใจเลือกด้วยเหตุผลประการเดียว เพราะมันคือบทเพลงที่เขาคุ้นเคยและเป็นเพลงเดียวที่ตนน่าจะพอเต้นได้!

เจ้าชายลอบกลืนน้ำลาย พยายามไม่ประหม่าเพราะกลัวถูกจับได้ว่าไม่ใช่นักเต้นเหมือนที่กล่าวอ้าง เขากลัวว่าหากมีพิรุธในเรื่องนี้ ผู้คนจะพากันสงสัยเรื่องอื่นๆ ตามไปด้วย และคนที่เดือดร้อนคงไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว นาซีมคิด ก่อนจะเหลือบมองอันวาที่อยู่ข้างกาย

เด็กหนุ่มมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน แต่แววตาที่มองมานั้นกระวนกระวายเสียจนปิดไม่มิด คงกลัวว่าเขาจะทำแผนพังไม่เป็นท่าแน่ๆ เมื่อเห็นว่ามีคนกังวลเป็นเพื่อน นาซีมจึงค่อยๆ ระบายลมหายใจและผ่อนคลายขึ้น

“ว่าอย่างไร เป็นเพลงนี้ได้หรือไม่ซาลาม” เจ้าชายเอ่ยกับนักเต้นระบำผู้เป็นคนต้นคิดที่จะท้าทายเขา

“ได้สิ” ซาลามรับคำ แต่คิ้วโก่งขมวดนิดๆ ขณะสั่งให้นักดนตรีบรรเลงเพลงพันราตรี ก่อนจะบ่นกับตนเองเบาๆ ในตอนท้าย “พวกเจ้าช่วยเล่นให้เขาหน่อย...ให้ตายเถอะ เลือกเพลงยากเสียด้วย”

แม้อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจให้นาซีมได้ยินประโยคหลัง แต่อยู่ใกล้กันเพียงนี้ เจ้าชายย่อมได้ยิน และเมื่อล่วงรู้ว่าสำหรับนักเต้นทั่วไปเพลงนี้ถือว่ายากอย่างยิ่ง คนที่ไม่เคยฝึกหัดและเรียนรู้อย่างจริงจังจึงได้แต่ลอบเหงื่อตก

ไม่ใช่เขาเลือกมาฆ่าตัวเองหรอกนะ...

เมื่อคิดได้ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เพราะผู้คนในกองคาราวานที่สนับสนุนให้เขาเต้นระบำแข่งกับซาลามค่อยๆ ถอยหลังออกไป เหลือพื้นที่เป็นวงกว้างข้างสระน้ำใสใกล้กับกองไฟให้นาซีมเพียงคนเดียว

นาซีมหันมองซ้ายขวา ยิ่งมีที่มาก ความประหม่ายิ่งทวีขึ้น กระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่ดวงตาสีมรกตคู่หนึ่งซึ่งกำลังจ้องมองเขาจากที่ไกลๆ จู่ๆ หัวใจที่กลับมาเต้นกระหน่ำเพราะความตื่นเต้นเข้าจู่โจมก็สงบลงอีกครั้ง

...ซ้ำมันยังสงบลงมากกว่าตอนที่หันไปพบอันวาอีกด้วย

มองจากมุมนี้ ผ่านเปลวไฟไปยังคนคนนั้น นาซีมรู้สึกคล้ายเห็นบางอย่างแผ่ออกมาจากคาริฟ และมันทำให้เขาสบายใจ ซ้ำยังมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

บางทีนั่นอาจเป็นพลังที่อัลฟ่าสร้าง หรือไม่ก็เป็นอะไรที่เขาคิดขึ้นเอง แต่อย่างไรเสียการได้จ้องตากับอีกฝ่ายก็ทำให้นาซีมเริ่มกลับมามีสมาธิ ชายหนุ่มจึงยิ้มบางๆ กลับไปให้ และหันมาสนใจตัวเอง

“เจ้าพร้อมหรือไม่ หากพร้อมก็ส่งสัญญาณเสียที นักดนตรีจะได้เริ่มบรรเลง”

“ข้า...” นาซีมเงยหน้ามองท้องฟ้า คิดในใจว่าขอให้มารดาส่งพลังใจให้เขาจากบนนั้น แล้วจึงเอ่ย “ข้าพร้อม”

ทันทีที่เขาเอ่ย ทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบเสียงลง นาซีมได้ยินเสียงกองไฟแตกปะทุอีกครั้ง แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว เสียงเครื่องเป่า เครื่องเคาะ และเครื่องสายก็เริ่มบรรเลงทำนองที่นาซีมไม่ได้ยินมานานปี

เจ้าชายหลับตาลง ก่อนเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายไปตามภาพในห้วงอดีต ทีแรกการเคลื่อนไหวของเขาค่อนข้างติดขัด แต่เมื่อผ่านไปท่อนหนึ่ง ภาพความทรงจำก็ค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามา ทั้งจังหวะร่างกาย เสียงดนตรี ต่างสอดคล้องและเป็นไปอย่างราบรื่น ราวกับท่วงท่าเหล่านี้แฝงในร่างกายของเขาอยู่แล้ว

เมื่อมีความกล้านาซีมก็ลืมตาขึ้น ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง ตัดคนรอบกายทิ้งไป เสมือนโลกที่ยืนอยู่ตอนนี้ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่แล้ว

ในผืนน้ำที่สะท้อนแสงดาว เขาเห็นมารดาอยู่ตรงนั้น กำลังเริงระบำอย่างอ่อนช้อยและงดงามเกินคำบรรยาย แต่เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง ภาพของพระนางอาลียากลับสะท้อนเป็นภาพตัวเขาเอง

ดวงใจของนาซีมร่วงหล่นลงสู่ความคิดถึง แต่ก็ยังบังคับให้ตนเองเต้นต่อไปจนท่อนสุดท้าย เขาจึงหยุดเคลื่อนไหวพร้อมๆ กับเสียงเพลง

แผ่นอกของนาซีมสะท้อนขึ้นลงเพราะออกแรงมาก เขาไม่รู้มาก่อนว่าแค่เต้นระบำหนึ่งบทเพลงจะเหนื่อยถึงเพียงนี้ เจ้าชายยืนหอบอยู่ครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นผู้คนรอบข้างอีกครั้ง

ยามนี้ทุกคนต่างมองเขาเป็นตาเดียว บางคนอ้าปากค้างราวกับพบเรื่องน่าเหลือเชื่อ นาซีมเก็บมือเก็บแขนและกลับมายืนตรงตามปรกติ ทั้งที่เมื่อครู่ยังรู้สึกดีที่เต้นถูไถจนผ่านไปได้ หากไม่คิดว่ากลับต้องมาประหม่าอีกครั้งเพราะสายตาของผู้คน

นาซีมจึงหันไปหาผู้ที่ออกปากท้าทายเขา

“เป็นอย่างไรบ้าง...ซาลาม”

“จะ...เจ้า” ซาลามหน้าแดงก่ำ อ้าปากพะงาบๆ จะพูดก็เหมือนพูดไม่ออก

“ว่าอย่างไร”

“บ้าจริง!” อีกฝ่ายผรุสวาทออกมาคำหนึ่ง “หากเจ้าเต้นได้ดีถึงเพียงนี้ก็ไม่ควรทำท่าทางไม่มั่นใจสิ แล้วเจ้าก็น่าจะเตือนข้าบ้างนะอาลี”

“หะ...หา? !”

“ยังมาทำหน้าตกใจ เจ้าคิดจะทำให้ข้าขายหน้ารึ!”

“ข้ามิได้คิดเช่นนั้น” นาซีมรีบปฏิเสธ

“มานี่เลย” เจ้าตัวว่าอย่างนั้น ก่อนจะรีบรุดมาหานาซีมเสียเอง แล้วประกาศ “ต่อจากนี้เขามิใช่คู่แข่ง แต่เป็นสหายข้า! หากใครรังแกเขาล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่”

“ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครทำอันใดเขา มีแต่เจ้าคนเดียวนั่นแหละที่อยากแกล้งอาลี” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะ

“อะไรกันเล่า ข้าแค่ต้องการทดสอบเขาเล็กน้อยเท่านั้นเอง ว่าเขาคู่ควรจะอยู่ในกองคาราวานของพวกเราหรือไม่” ซาลามแหว ก่อนจะคว้าเอาแก้วที่เติมเหล้าหมักจนเต็มยื่นให้นาซีมแก้วหนึ่ง “นี่ของเจ้า”

“หืม?” นาซีมรับแก้วมาถืออย่างช่วยไม่ได้

“ข้าชื่นชมคนเก่งเช่นเจ้า และนี่ข้าดื่มให้ระบำพันราตรีของเจ้า” เจ้าตัวว่าก่อนยกแก้วในมือขึ้นดื่มรวดเดียว จากนั้นจึงเทอีกแก้วก่อนหันมาหานาซีมอีกครั้ง “มาเถอะ ดื่มให้แก่มิตรภาพของพวกเรา”

นาซีมรู้ว่าตนเองปฏิเสธไม่ได้ จึงยอมดื่มเหล้าหมักที่มีรสฝาดปนหวานปะแล่มเข้าไปเกือบครึ่งแก้ว

“ดื่มให้เจ้าเช่นกัน”

“อะไรกันน่ะพวกเจ้า เมื่อครู่ยังจ้องจะเป็นศัตรูกันอยู่แท้ๆ” อันวาเข้ามาคว้าแขนนาซีมกลับ “เจ้าก็ด้วย อย่าดื่มไปเรื่อยสิ หากเมามายขึ้นมาล่ะก็...” เด็กหนุ่มกระซิบประโยคสุดท้ายให้นาซีมได้ยินคนเดียว “ระวังเขาจะมาเอาเรื่องไม่รู้ด้วย ดูสิว่ายืนทำตาเขียวปั๊ดใส่พวกเจ้าขนาดไหน”

นาซีมมองไปทางที่อันวาบุ้ยใบ้ แล้วเขาก็พบเจ้าของดวงตาเขียวปั๊ดที่อันวาว่า แต่นาซีมคิดว่าแม้มันจะดูดุดันขึ้น หากก็ไม่ได้น่ากลัวดังคำกล่าวอ้าง

กลับกัน เจ้าชายรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาราวต้องการจะแผดเผาเขาให้มอดไหม้เสียมากกว่า...

ดังนั้นนาซีมจ้องเขาได้ไม่นานก็หลบตา และดึงความสนใจไปยังผู้ที่อยู่รอบกายแทน เดิมทีเขาไม่คิดว่าหลังระบำพันราตรีจบ ตนจะได้รับผลตอบรับเช่นนี้ แต่มันก็คงดีกว่าทุกคนไม่ยอมรับเขา เจ้าชายจึงยิ้มแย้มให้กับชาวคาราวาน และดื่มกับใครก็ตามที่เข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตรโดยไม่ถือว่าแท้จริงแล้วตัวตนของเขามีฐานะเช่นไร

หลังจากนาซีมระบำพันราตรีเสร็จ ชาวคาราวานก็ผลัดกันออกมาร้องรำทำเพลงรอบกองไฟ บ้างถูกท้าทาย บ้างออกมาแสดงเพราะความต้องการของตนเอง แต่อย่างไรเสีย พวกเขาทุกคนก็สนุกสนานกันมาก

กระทั่งดื่มกินได้ที่ แม่เฒ่าประจำกองคาราวานมีนามว่ายาฮี ก็เดินจากกระโจมของจาเร็ดมานั่งข้างกองไฟ และดูเหมือนนี่คือสิ่งที่ทุกคนรอคอย เพราะทันทีที่นางเดินมา ใครๆ ต่างก็แหวกทางเว้นที่ให้

“นี่คือแม่เฒ่ายาฮี คนที่ข้าอยากให้เจ้าได้พบ” อันวาลอบกระซิบให้นาซีมฟัง

“นางคือใคร”

“นางเป็นนักเล่านิทานประจำกองคาราวานของจาเร็ด”

“นักเล่านิทานหรือ” นาซีมทวนอย่างแปลกใจ

“ใช่แล้ว” อันวายืนยัน “นิทานของนางวิเศษมาก บางครานางจะเล่าถึงเรื่องราวมากมายที่เคยประสบในดินแดนซาร์เรีย ยามพวกเรามีงานเลี้ยง ข้าจะรอคอยให้ถึงช่วงเวลานี้เสมอ”

“ข้าชักอยากฟังนิทานของนางแล้วสิ” นาซีมว่า

“เจ้าชอบนิทานหรือไม่” อันวาถาม

“ข้าชอบมาก” เจ้าชายตอบตามจริง เพราะเขาจำได้ดีว่าเมื่อเยาว์วัยเคยรบเร้าให้มารดาเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกราตรี

“ข้าก็เช่นกัน”

ทั้งสองลอบคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนเงียบเสียงลงเมื่อแม่เฒ่ายาฮีเข้ามานั่งบนตำแหน่งที่ว่างข้างกองไฟ ใกล้กับตำแหน่งที่นาซีมนั่งอยู่

มองจากมุมนี้ นาซีมสามารถมองเห็นใบหน้าของหญิงชราได้อย่างชัดเจน ใบหน้าของนางมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากมาย แต่เส้นสายและรอยกดลึกเหล่านั้นไม่สามารถบดบังดวงตากระจ่างใสของแม่เฒ่ายาฮีได้เลย ยิ่งน้ำเสียงยามเมื่อค่อยๆ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ องค์ประกอบทั้งหมดล้วนทำให้ผู้คนจมดิ่งไปกับเรื่องเล่าได้อย่างง่ายดาย

เจ้าชายคิดว่ามารดาของตนเป็นนักเล่านิทานที่ดีที่สุดในโลก แต่เมื่อได้พบแม่เฒ่ายาฮ๊ เขาต้องยอมรับว่าหญิงชราผู้นี้มีทักษะเหนือขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

เรื่องที่นางเล่าให้ฟังในค่ำคืนนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับระบำพันราตรีที่นาซีมได้ร่ายรำไปเมื่อครู่ นั่นยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้เจ้าชายมากขึ้นไปอีก

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้เลยว่า ระบำพันราตรีเป็นการร่ายรำเพื่อบูชาเทพเจ้า และถือกำเนิดขึ้นก่อนโลกเก่าจะล่มสลาย ซึ่งผู้ที่ริเริ่มก็คือหญิงตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง

“นางร่ายรำเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าผู้พิโรธบนฟากฟ้า เป็นเวลากว่าหนึ่งพันราตรีก่อนนางจะสิ้นใจ ทว่าหลังจากการเปลี่ยนแปลงของโลกสงบลง แผ่นดินผืนใหญ่ก็ยังคงอยู่ตามคำอธิษฐานของนาง มิได้สลายไปสิ้น ตามคำทำนายของโลกก่อน”

“มีผู้ใดรู้นามของนางหรือไม่แม่เฒ่า” ใครคนหนึ่งถามขึ้น

แม่เฒ่ายาฮียิ้มจนมองเห็นรอยหยักโค้งที่ปลายหางตาได้อย่างชัดเจน

“ย่อมมีอย่างแน่นอน”

“นางมีนามว่าอะไร”

“ซาร์เรีย” นางเอ่ยท่ามกลางความเงียบงัน “เทพีผู้พิทักษ์ผืนดินแห่งสุดท้ายที่เทพเจ้าประทานให้แก่มนุษย์”

หลังจากนั้นนาซีมก็ได้รู้อีกว่า การร่ายรำนี้นอกจากจะเป็นการบวงสรวงต่อเทพเจ้าแล้ว ยังเป็นเครื่องเคารพแด่เทพีซาร์เรียด้วย

หลายๆ คนไม่เคยได้ยินประวัติเช่นนี้มาก่อน นาซีมเองก็เช่นกัน แต่มีหลายคนที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น ซาลาม เพราะหัดร่ายรำเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร้องให้แม่เฒ่าเล่าเรื่องอื่นอีก เพราะไม่อยากให้งานเลี้ยงในราตรีนี้สิ้นสุดเร็วเกินไป

“ท่านแม่เฒ่า”

“ว่าอย่างไรฮัฟนาน” ยาฮีหันไปหานักแสดงชายในคณะละครเร่ผู้มีผมสีน้ำตาลแดงและใบหน้าตกกระ

“แล้วท่านเคยได้ยินเรื่องของผู้ทำนายหรือไม่”

“ผู้ทำนายหรือ”

“ถูกแล้ว” ฮัฟนานหยักหน้ารับ ก่อนขยายความต่อ “ก่อนออกจากเมืองโฮมา ข้าได้ยินชาวเมืองพูดกันว่า ราชาองค์ใหม่ของแคว้นโซราห์กำลังสั่งให้คนตามหาผู้ทำนายที่สามารถมองเห็นอนาคตได้”

“จริงสิ ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าราชาองค์ใหม่จะตกรางวัลอย่างงามให้แก่ผู้ที่ตามหานักทำนายพบ” ซินกล่าวสมทบ

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ซาลามถาม “ข้ามิเห็นเคยได้ยินมาก่อน”

“มีสิ พวกชาวเมืองบอกว่าประกาศนั้นถูกติดไปทั่วโฮมา เพราะราชาของแคว้นโซราห์ขอให้ราชาแห่งโฮมาช่วยเหลือ แต่พวกเขาคิดว่าหากราชาของโฮมาหาผู้ทำนายพบก่อน เขาคงไม่ส่งตัวไปให้ราชาแห่งโซราห์ เพราะว่ากันว่า หากผู้ทำนายคนนั้นยืนข้างผู้ใดแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นจะได้ครองดินแดนทั้งซาร์เรีย”

“แล้วผู้ทำนายที่เขาตามหากัน มีลักษณะพิเศษใดโดดเด่นหรือไม่” แม่เฒ่ายาฮีเอ่ยถามเป็นประโยคแรก

“ดวงตาของผู้ทำนายสามารถเปลี่ยนสีได้”

ฟังถึงตรงนี้เจ้าชายนาซีมก็หยัดหลังเหยียดตรงขึ้น ไม่ต้องฟังซ้ำอีกรอบ เขาก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันที

หากเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ นี่ต้องเป็นแผนการของทาริคเพื่อจับตัวตัวนาซีมกลับไปยังโซราห์แน่นอน!

แต่ที่นาซีมไม่เข้าใจก็คือ ไยต้องแสร้งว่าให้ควานหาผู้ทำนาย แทนที่จะสั่งคนตามจับเจ้าชายที่หายไปเพื่อไปรับโทษทัณฑ์ เหตุใดเจ้าคนเถื่อนต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากซับซ้อนเช่นนี้ นาซีมพยายามคิดตาม แต่คิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจเหตุผลของทาริคอยู่ดี

ทุกคนในกองคาราวานของคณะละครเร่ยังคงพูดคุยกันอยู่เรื่อยๆ แม่เฒ่าเองก็เล่าเรื่องผู้ทำนายที่ตนเองเคยได้ยินมาให้ทุกคนได้ฟังเล็กน้อย แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่เข้าหูนาซีมแม้แต่น้อย เพราะเขากำลังเอาใจจดจ่ออยู่กับความคิดของตนเอง

กระทั่งกองไฟเริ่มมอดลงชาวคาราวานค่อยๆ กลับไปพักที่กระโจมของตนทีละคนสองคน จนในที่สุดผู้คนที่นั่งอยู่บริเวณรอบกองไฟก็เริ่มบางตา อันวาจึงสะกิดให้เจ้าชายแห่งโซราห์รู้ตัว และชวนกลับไปพักเพื่อเตรียมเดินทางเข้าเอมาลีในวันรุ่งขึ้น

นาซีมบอกลาซินและซาลามเงียบๆ ก่อนจะเดินใจลอยตามอันวาไปจนถึงที่พำนัก อันวาเองก็คงสังเกตเห็นว่าเจ้าชายดูเหม่อลอยคล้ายมีเรื่องให้ขบคิด ซ้ำใบหน้ายังแสดงออกว่าไม่อยากสนทนากันใคร เจ้าตัวจึงไม่กล้าปริปากกวนใจนาซีมแม้สักครึ่งประโยค

นาซีมเองก็ไม่พร้อมพูดคุยเช่นกัน หลังมาถึงที่พักเขาถอดเสื้อคลุมและมุดเข้ากระโจมทันที แม้ว่าเข้าไปแล้วจะทำได้แค่นอนลืมตาโพลงในความมืดเท่านั้น

เดิมทีนาซีมไม่ได้ให้ความสนใจในตัวอันวานัก จนเมื่อผ่านไปพักใหญ่เด็กหนุ่มก็มุดตามเข้ามาและบอกบางอย่างกับเขา

“ข้าต้องไปที่กระโจมของจาเร็ด”

“มีเรื่องใดหรือ”

“ข้าไม่รู้ แต่เขาให้คนมาตามข้าไปพบอีกแล้ว” ใบหน้าของอันวาไม่สู้ดีนัก ทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ

“บางทีอาจจะมีเรื่องอะไรสักอย่างให้เจ้าช่วย”

“คงเป็นเช่นนั้น” อันวาตอบ ก่อนจะบ่น “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งกองคาราวานนี้มีเพียงข้าคนเดียวหรือที่เขาต้องการเรียกใช้”

“เขาคงไม่ตั้งใจใช้งานเจ้าหนักหนา แต่บางทีอาจมีโอเมก้าฮีทอีกก็เป็นได้” นาซีมละเรื่องน่าปวดหัวที่คิดไม่ตก เพื่อมาสนใจเด็กหนุ่มหน้าทะเล้นที่ตอนนี้แม้แต่ยิ้มก็ยังยิ้มไม่ออก

“หวังว่าเขาจะมีเหตุผลจำเป็นจริงๆ”

“ให้ข้าไปด้วยดีหรือไม่”

“ไม่ต้องๆ” อันวารีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ เพราะอย่างไรเขาก็รู้สถานะของนาซีมดี แล้วเช่นนี้ใครจะกล้าใช้งานเจ้าชายได้เล่า

“ไม่ให้ข้าไปด้วยจริงหรือ”

“ไม่ต้องไปหรอก เมื่อครู่เจ้าดื่มไปมาก เจ้าคงไม่ชินกับเหล้าหมัก ข้ากลัวว่าพรุ่งนี้เจ้าจะเพลียจนไม่อยากตื่นเดินทาง เจ้าพักผ่อนเถอะ”

“ขอบใจเจ้ามาก อันวา”

“ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าไปก่อน แล้วจะรีบกลับมา” เด็กหนุ่มว่า ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “แม้จะอยู่คนเดียว แต่เจ้าไม่ต้องกลัว อีกเดียวคาริฟคงกลับมาแล้วล่ะ”

นึกถึงคนที่อันวาเอ่ย นาซีมก็เงียบไปพักหนึ่ง เขาคิดว่าบางทีบุรุษผู้นั้นอาจรู้เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ของโซราห์ตอนนี้บ้าง นาซีมจึงรอให้อันวาจากไปก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นนั่งในกระโจมเพื่อคอยใครอีกคนที่คาดว่าจะกลับมาเข้าในไม่ช้า

ทว่ารอแล้วรอเล่า เจ้าชายก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่เขาเฝ้าคอย ความร้อนรนจึงดลใจให้เขาลุกออกไปจากกระโจมเพื่อตามหาคนคนนั้น










❂ …………………………….❂









ลมทะเลทรายยามราตรีหนาวเย็นเช่นนี้เสมอ หลายจุดมีคบไฟให้ความสว่าง แต่อีกหลายจุดก็มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิด นาซีมจัดผ้าคลุมสีแดงเพลิงให้กระชับกาย สายตาสอดส่ายไปโดยรอบ แม้จะเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่มาก แต่กลางดึกสงัดเช่นนี้ ทั่วทั้งโอเอซิสอาไมร่าก็ชวนให้รู้สึกวังเวงอย่างไรบอกไม่ถูก

ในทีแรกเขาตั้งใจเดินไปที่กระโจมของหัวหน้าคณะละครเร่ เพราะคิดว่าคาริฟอยู่ที่นั่น แต่นาซีมก็ต้องหยุดฝีเท้า เพราะได้ยินเสียงดนตรีทุ้มเบาลอยตามลมมา

มันเป็นบทเพลงพันราตรีไม่ผิดแน่ เพียงแต่เมื่อเป่าอย่างเนิบช้า และออกมาจากเครื่องเป่าเสียงทุ้มเช่นนั้น ช่างฟังดูเศร้าจนน่าใจหาย

โดยไม่คาดไว้ก่อนและไม่รู้สิ่งใดดลใจ เจ้าชายนาซีมจึงหาเรื่องใส่ตัวด้วยการเปลี่ยนความตั้งใจแล้วมุ่งตรงไปยังทิศทางอันเป็นสถานที่กำเนิดเสียง

ทุกย่างก้าวที่ใกล้เข้าไปผ่านแมกไม้ทั้งต่ำเตี้ยและสูงใหญ่ กระทั่งลัดเลาะไปอึดใจหนึ่ง นาซีมกลับได้พบบุคคลที่เขาตามหา และไม่คิดว่าจะได้พบที่นี่ บนโขดหิน ใต้ต้นอินทผลัมสูง ริมสระน้ำใสสะอาด

และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงการมาของเขาเช่นกัน เปลือกตาสีอ่อนจึงเปิดขึ้น ก่อนลูกแก้วมรกตงดงามจะค่อยๆ เคลื่อนมาจับยังร่างของนาซีม

ในแววตานั้นมีความประหลาดใจฉายผ่านครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม ที่เคยคิดว่าตนเองประหม่าเสมอยามถูกดวงตาคู่นี้จ้องมอง จนบัดนี้นาซีมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่อาลี” เสียงทุ้มเอ่ยชื่อปลอมๆ ของเขาอย่างไม่ติดขัด แม้ที่นี่จะห่างไกลและมีเพียงพวกเขาสองคนก็ตาม

“...” นาซีมยืนนิ่ง เขาเหมือนถูกกลิ่นอายประหลาดที่บุรุษผู้นี้ปล่อยออกมาทำให้ความนึกคิดช้าลง จนเมื่อถูกกระตุ้นอีกครั้ง จึงคิดออกว่าจะตอบกลับไปเช่นไร

“ว่าอย่างไร เหตุใดออกมาไกลถึงนี่”

“ข้ามาตามหาท่าน คาริฟ”

“หาข้าหรือ...” อีกฝ่ายถามซ้ำ “หาข้าด้วยเหตุอันใด”

“ก็...ข้าเห็นว่าเจ้าไม่กลับไปที่กระโจมเสียที”

“เท่านี้หรือ”

“อันที่จริง...” นาซีมก้มหน้าเล็กน้อย เพราะไม่อยากสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ มากเท่าไหร่ ด้วยมันทำให้เจ้าชายลืมเลือนเรื่องที่ต้องการถาม “ข้ามีเรื่องสงสัยและอยากถามเจ้า”

คาริฟมองประเมิน แล้วจึงเก็บเครื่องเป่านั่นลงถุงข้างกางเกง ก่อนลุกและเดินเข้ามาใกล้คนถามให้มากขึ้น ซึ่งในระหว่างนี้อีกฝ่ายไม่ได้ละสายตาจากนาซีมเลย

“มีเรื่องใดสงสัยก็ว่ามาเถิด นี่ดึกมากแล้ว เป็นเวลาที่เจ้าสมควรพักผ่อน”

“ท่านรู้เรื่องในโซราห์บ้างหรือไม่”

“รู้ แต่ไม่มากนัก”

“แล้วท่านรู้เรื่องที่มันให้คนตามหานักทำนายแทนที่...เอ่อ...กบฏนั่นหรือไม่”

นาซีมคิดเอาเองว่า หากคาริฟยังแสดงละครแม้ที่แห่งนี้ไม่มีใคร เขาเองก็ควรระวังตัวเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่กล้าเอ่ยคำว่าเจ้าชาย หรืออะไรที่ทำให้ใครสงสัยหากผ่านมาได้ยิน

“หากเป็นเรื่องนั้น ในตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่ามันมีแผนการอย่างไร และกำลังทำอะไร”

คำตอบของคาริฟทำเอาจิตใจของนาซีมห่อเหี่ยวลงทันควัน เพราะเขาหวังว่าเมื่อถามออกไปจะได้รับคำตอบมากกว่าคำว่าไม่รู้

“เจ้าไม่รู้หรอกหรือ...”

“ตอนนี้...แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ไม่รู้”

ครั้นได้ยินคำที่เน้นหนักเป็นพิเศษ นาซีมจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีน้ำผึ้งเปล่งประกายอย่างมีความหวัง

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เจ้าคงลืมไปแล้วสินะอาลี ยามนี้พวกเรากำลังเดินทางไกล และข้าไม่ได้รับข่าวจากผู้ใดเลยระหว่างเดินทาง แต่เจ้าไม่ต้องกลัวไป หากเราถึงเอมาลีเมื่อไหร่ เจ้าจะได้ฟังข่าวที่เจ้าอยากรู้อย่างแน่นอน”

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอบคุณเจ้ามาก” เจ้าชายโอเมก้ายิ้มออกในที่สุด

เดิมทีเขาลืมข้อที่คาริฟบอกไปจนสิ้น เพราะความร้อนใจกับเรื่องที่อัฟนานพูด เขายอมรับว่าตนกระหายใคร่รู้ว่าบ้านเมืองตอนนี้เป็นเช่นไร เจ้าคนชั่วช้านั่นกำลังทำอะไรอยู่ หากเจ้าชายกลับหลงลืมไปว่าตนเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรๆ ได้สะดวกนัก

“ไม่เป็นไร” คาริฟเอ่ยเรียบๆ แต่แทนที่จะไล่เขาไปนอนทันที เจ้าตัวก็ยังใจดีถามอีกคำ “แล้วเจ้ามีเรื่องสงสัยอีกหรือไม่”

ทั้งที่ควรขอบคุณและจากไป แต่เป็นอีกครั้งในคืนนี้ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจเขา เจ้าชายนาซีมจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามถึงเรื่องที่ไม่ควรแตะต้องมากที่สุด

“หมอฮาชิรู้เรื่องคู่แห่งโชคชะตาของเจ้าได้อย่างไร”

“...”

คาริฟไม่ตอบทันทีเหมือนคำถามแรก เขาเลือกที่จะมองหน้านาซีมอยู่นาน นานจนนาซีมรู้สึกผิดพลาดที่เอ่ยปาก และเพราะถามไปแล้ว หากจะกลับตัวยามนี้ก็คงไม่ทัน นาซีมจึงกลั้นใจพูดต่อ

“เรื่องเช่นนี้หากเป็นหมอเก่งๆ จะสามารถตรวจสอบได้ใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่” อัลฟ่าผู้มีดวงตาสีมรกตตอบในที่สุด “เป็นข้าที่บอกเขาเอง”

“แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าข้าคือคู่โชคชะตาของเจ้า”

“...สัญชาตญาณ”

“สัญชาตญาณ?” นาซีมทวนซ้ำอย่างไม่เชื่อหู

“ถูกแล้ว”

“ไม่มีสิ่งใดบอกได้นอกจากสัญชาตญาณแล้วหรือ”

เพราะคิดว่าต้องมีข้อยืนยันที่ตรวจสอบได้มากกว่านี้ นาซีมจึงคาดหวังเอาไว้สูง แต่เขาไม่คิดเลยว่าคำตอบที่ทำให้คาริฟเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าพวกเขาคือคู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน

...มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น

“ไม่มี”

“และเจ้าก็เชื่อ?”

“เหตุใดข้าจึงจะไม่เชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง”

“ก็แค่...”

“เจ้าอาจไม่เชื่อที่ข้าพูด และข้าก็อธิบายไม่ได้ว่าสิ่งที่ระบุว่าคนคนนั้นคือเจ้าเรียกว่าอะไร เพราะข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครมากก่อน แต่หากจะถามข้าเพียงคนเดียว ข้าว่าอาจจะยืนยันไม่ได้มากพอ”

คาริฟว่าพลางเดินหน้าเข้ามาหานาซีม ซ้ำร่างกายของเขายังแผ่กลิ่นอายที่แสดงให้เห็นว่าคาริฟกำลังโกรธออกมา นาซีมจึงถอยหลังหนีก้าวหนึ่ง

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เหตุใดเจ้าไม่ลองถามตัวเองดูบ้าง” เจ้าของใบหน้าดั่งรูปสลักยกยิ้มมุมปากอย่างหาได้ยากยิ่ง แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่คนมองรู้สึกราวกับหัวใจถูกกดทับ

“ขะ...ข้าจะถามตัวเองอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ”

“จงถาม ว่าแท้จริงแล้วเจ้าไม่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มีต่อข้าเลยจริงหรือไม่”

ฝ่ามือหนานั้นยืนออกมาตรงหน้าของนาซีม ห่างแค่เพียงนิดเดียว คล้ายว่าปลายนิ้วนั่นกำลังจะแตะลงบนหน้าผาก แต่มันกลับเคลื่อนผ่านลงมาช้าๆ ขนานกับปลายจมูก ก่อนจะหยุดเผื่อสัมผัสแผ่วเบาบนริมฝีปาก เบาราวกับขนนกปัดลงบนเม็ดทราย

กระนั้น มันกลับดึงเอาความรู้สึกไร้ซึ่งที่มาที่ไปให้พรั่งพรูออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ นาซีมร้อนวูบไปทั้งสรรพางค์กาย หัวใจเต้นแรงและเรียกร้อง ราวกับมันอยากจะกระโจนโผนทะยานออกไปหาคนตรงหน้า

บุรุษผู้นี้พิเศษ

เสียงจากส่วนลึกในจิตใจของนาซีมบอก

เขาก้มหน้าลง มองมือตัวเองที่สั่นน้อยๆ เพราะไม่เคยประสบกับความรู้สึกเช่นนี้ ใจหนึ่งจึงเกิดหวาดกลัวขึ้นมา และก่อนที่ความตระหนกจะเตลิดไปไกลเกินสติ ฝ่ามืออบอุ่นของใครบางคนก็คว้ามือของเขาไปกุมไว้

นาซีมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือหนาทันที และก็เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่า ดวงตาที่มักจะเรียบเฉยอยู่เสมอ บัดนี้ราวกับมีดวงดาวเริงระบำอยู่ในนั้น มันทั้งงดงามและฉายแววอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ...

“รู้แล้วใช่ไหม นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการจะบอก...ว่าเจ้าไม่เหมือนใครที่ข้าเคยพบ”

ใช่...นาซีมตอบในใจ

เพราะคาริฟก็ไม่เหมือนใครที่เขาเคยพบเช่นกัน












❂ …………………………….❂









จริงๆ เขียนถึงตอนนี้ เราซ่อนอะไรไว้หลายอย่างเหมือนกัน

และก็จะค่อยๆ เผยออกมาเรื่องๆ ล่ะค่ะ

ส่วนความสัมพันธ์ของพระ-นายนั้น

ฝนว่าเรื่องนี้มันจะไปเร็วมากอยู่เหมือนกันนะ

แต่ผ่านมาถึง 9 ตอนแล้ว ก็ยังเป็นอย่างที่เห็น 555

แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ ตอนต่อๆ ไปก็จะมีความคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ

 อยากบอกว่าเรื่องนี้หวานมากเลยล่ะ ไม่เชื่อก็คอยดูนะ555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2 :- [04/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-11-2019 23:12:38
งุ้ยๆๆ เค้าบอกความรู้สึกวุ้ย
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2 :- [04/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 05-11-2019 20:23:58
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2 :- [04/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 05-11-2019 21:17:02
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2 :- [04/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: chompoo1997 ที่ 06-11-2019 08:29:42
เวลาเค้าอยู่ด้วยกันนี้เขินมาก เขินอะไรไม่รู้5555555
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2 :- [04/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-11-2019 11:09:01
กรีดร้องงงง  คู่นี้เขาน่ารักจริงๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 10 ไม่ผูกมัด :- [06/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 06-11-2019 15:05:12



บทที่ 10 ไม่ผูกมัด








สรรพสิ่งรอบกายในอาไมร่าสงบเงียบเหมาะแก่การพักผ่อนเอาแรงเป็นอย่างมาก ผิดกับหัวใจและสมองของเจ้าชายนาซีมที่กำลังทำงานหนัก เพราะครุ่นคิดเรื่องของคนที่กำลังเผชิญหน้า

ทว่าหลังจากวิ่งวนอยู่ในความคิดของตนเองครู่หนึ่ง เขาก็ยอมปริปาก

“ข้า...คิดว่าเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการบอกแล้วคาริฟ”

“...เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” คาริฟรับคำในลำคอแผ่วเบา

“เช่นนั้น ข้าขอถามอีกสักคำถามหนึ่งได้หรือไม่”

“ข้าฟังอยู่”

“ข้าอยากรู้ว่า แม้เราเป็นคู่โชคชะตาของกันและกัน แต่ท่านจะปล่อยให้ข้ามีชีวิตของตัวเองใช่ไหม หรือท่านคิดเห็นเป็นประการใด จงบอกให้ข้าแจ้งแก่ใจทีเถิด”

เมื่อเอ่ยออกไปแล้ว นาซีมก็เงยขึ้นสบตากับคนตรงหน้า เขาอยากรู้ว่าเมื่อยอมรับแล้วอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร และพวกเขาต้องทำอย่างไรต่อไปกับโชคชะตานี้

ความเชื่อที่เขารู้มาตลอดชีวิตคือ ไม่มีโอเมก้าคนใดเป็นผู้นำมาก่อน ยิ่งเมื่อโอเมก้าคนนั้นมีคู่ หน้าที่ของเขาจะกลายเป็นคนที่อยู่กับบ้าน เลี้ยงลูก เป็นผู้ตามที่ดีให้กับคู่ของตนเอง

แต่ชีวิตของนาซีมไม่สมควรเป็นแบบนั้น เพราะเขายังมีภาระหน้าที่ที่ต้องกระทำให้สำเร็จ มีประชาชนมากมายรอเขาอยู่ ฉะนั้นเส้นทางที่เจ้าชายต้องเดิน ไม่ใช่เส้นทางที่เรียบง่ายอย่างการจับคู่และใช่ชีวิตเงียบๆ กับคู่แห่งโชคชะตาของตัวเอง

นาซีมรู้ว่าตนเองต้องทำสิ่งใด แต่บางสิ่งที่คาริฟเรียกมันว่าสัญชาตญาณยังคงเรียกร้องและโหยหาคู่ที่ฟ้ากำหนดให้ตลอด จนนาซีมไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้ถนัดนัก

ส่วนคาริฟนั้นกลับนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถาม และเป็นครั้งแรกในคืนนี้ที่เขาหลบตานาซีม เขาก้มลงมองมือสองคู่ที่จับกันเอาไว้ ซ้ำยังเงียบไปคล้ายครุ่นคิด

นาซีมคิดว่าเขาต้องตรึกตรองเรื่องที่ถูกถามอย่างจริงจังแน่นอน หากมองจากคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมนั่นล่ะก็ นาซีมจึงปล่อยให้เขาคิด ทั้งยังปล่อยให้เขาจับมือต่อไป เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันให้ความรู้สึกดีมาก กระทั่งผ่านไปอึดใจหนึ่ง บุรุษในชุดดำจึงเงยขึ้นสบตาเจ้าชายอีกครั้ง

“ข้าคิดว่า ไม่ว่าใครก็ตามบนดินแดนนี้ จะเป็นคนธรรมดาหรือราชนิกุล ย่อมมีสิทธิ์ในการเลือกทางเดินชีวิตให้ตนเอง” คาริฟกล่าวด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำหนักแน่น “คู่โชคชะตาเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งก็จริง แต่มันมิใช่เครื่องผูกมัดคนสองคนให้อยู่ด้วยกันไปจนชั่วชีวิตได้ และข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องมากมายที่ต้องทำในอนาคต ฉะนั้นข้าจะไม่ตราสัญลักษณ์บนร่างเจ้า หากเจ้าไม่ยินยอม...นาซีม”

นาซีมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งยังตกใจที่อีกฝ่ายเรียกชื่อจริงของเขา มิใช่นามแฝงที่เพิ่งตั้งขึ้นมา เจ้าชายแห่งโซราห์ไม่คิดว่าในดินแดนแห่งนี้ บนโลกที่ทุกคนเชื่อว่าอัลฟ่าเป็นผู้เลือก ยังมีผู้คิดต่างออกไป

หัวใจของเขาเต้นแรงเพราะปีติที่ได้รับการเคารพและยอมรับอย่างแท้จริงจากคนตรงหน้า ไม่ใช่ในฐานะเจ้าชาย ไม่ใช่ฐานะโอเมก้า แต่เป็นในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง

เขาดีใจจริงๆ ที่คนผู้นี้คือคู่แห่งโชคชะตาของตน ทว่าเพราะรู้สึกยินดีจนหัวใจพองโต ความรู้สึกอีกด้านที่แล่นอยู่ในใจจึงกระซิบถาม

...แล้วทางเลือกของคาริฟเล่า

“แปลว่าเจ้าจะปล่อยข้าไปหรือ”

“ข้าจะปล่อยให้เจ้าเลือกอย่างอิสระ” คาริฟแก้คำ

“แล้วเจ้าเล่า คิดกับข้า...ไม่สิ ต้องถามว่า เจ้าจะเลือกเส้นทางใดต่อไป” นาซีมรีบแก้คำ เพราะกลัวว่ามันจะดูเรียกร้องเกินไป ซึ่งคำตอบที่ได้เป็นท่าทางลังเลชั่วอึดใจ

“เรื่องนั้น...ข้าเองก็ยังบอกไม่ได้”

“เจ้าหมายถึง...”

“จะอธิบายอย่างไรดีนะ” เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายแสดงสีหน้ายุ่งยากใจให้นาซีมเห็น ซ้ำมือที่กุมเขาไว้ก็ชื้นเหงื่อขึ้นมา

“...” นาซีมเงียบเสียงลง ไม่เร่งเร้าคาริฟอีก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลอบสังเกตบุรุษชุดดำที่พูดไปพลาง เสมองทางอื่นไปพลาง

“แม้เราจะเป็นคู่โชคชะตาของกันและกัน แต่อันที่จริงข้ากับเจ้าก็เพิ่งพบกันได้ไม่นาน เจ้ายังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นใคร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไร ดังนั้น...”

เขาเงียบไปอีกแล้ว นาซีมจึงเผลอส่งเสียงบอกว่าตนรออยู่

“...ดังนั้น”

“ข้าจะใช้เวลาหลังจากนี้ศึกษาและ...คิดทบทวนดู”

“ศึกษาข้าหรือ” เจ้าชายทวนคำอย่างไม่เชื่อหู

“หึ” เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะผิดหน้ากลับมาประสานสายตากัน “ก็ต้องเป็นเจ้าสิ...ในเมื่อเจ้าเป็นคู่โชคชะตาของข้ามิใช่หรือ”

“อา...นั่นสินะ”

นาซีมถูกสายตาที่ฉายแววเย้าแหย่อย่างหาได้ยากยิ่งของเขาทำให้รู้สึกร้อนๆ ที่หน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน เจ้าชายโอเมก้าสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมตนเองให้อยู่ในอารมณ์ปรกติ ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือของตนออกมาจากอุ้งมือใหญ่

ส่วนอีกฝ่ายไม่รั้งและไม่พูดอะไร แต่เลือกที่จะทิ้งมือของตนเองข้างลำตัว

ที่คาริฟพูดนั้นจริงทุกประการ พวกเราทั้งสองเพิ่งพบกันได้ไม่นานนัก นับวันที่ผัน ราตรีที่ผ่าน มันยังไม่พอให้รู้จักกันดีเลยด้วยซ้ำ

คาริฟจะเหมือนหรือไม่เหมือนคนอื่นแล้วอย่างไร…

แม้นาซีมรู้ถึงความแตกต่างระหว่างคาริฟและอัลฟ่าคนอื่นที่เขาเคยพบ ทว่าความพิเศษนั้นก็ไม่นับเป็นอะไรได้ หากยอมรับว่าพวกเขาต่างเป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน ต่อไปนาซีมต้องทำอะไรต่อ หรือคาดหวังให้เกิดความสัมพันธ์ใดขึ้น

...ตรงนี้ต่างหากที่ยากยิ่งกว่าการยอมรับ

และเมื่อมีสติรู้คิด เขาจึงมองเข้าไปในดวงตาสีมรกตอีกครั้ง หากไม่เป็นการคิดเข้าข้างตนเองมากเกินไปนัก นัยน์ตาคู่นี้ก็ฉายแววโหยหาคู่โชคชะตาของตนเองไม่ต่างกัน

แต่คาริฟไม่ได้จู่โจมเจ้าชายอย่างที่ควรเป็น ถ้าไม่นับที่เข้ามากุมมือกันเมื่อกี้ นาซีมกล้าพูดได้เต็มปากว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายออกจะเย็นชาและเว้นระยะห่างจากเขามากพอดู

นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าการเป็นคู่โชคชะตา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องจับคู่กันเหมือนที่โชคชะตากำหนด...

คิดได้ดังนั้น ความตระหนกที่หลงเหลืออยู่จึงค่อยๆ สลายหายไป นาซีมนึกตำหนิตัวเองที่ทำตัวแตกตื่น ไม่สมกับที่ท่านพ่อฝึกเขาให้รับกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเลยแม้แต่น้อย

...แต่อันที่จริง พักนี้มีเรื่องให้เขาต้องขวัญหนีมากพอดู ดังนั้นจะโทษที่เขาควบคุมตัวเองไม่ดีก็คงไม่ได้ เจ้าชายโอมเมก้าคิด และเขามีเวลาคิดอะไรได้ไม่มากนัก เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉุดเขาขึ้นมาพบกับสถานการณ์ปัจจุบันเสียก่อน

“นี่ดึกมากแล้ว”

“อ่อ...นั่นสินะ” นาซีมรับคำเบาๆ

“เจ้ามีสิ่งใดอยากรู้อีกหรือไม่” คาริฟถาม

นาซีมเหลือบมองเขา แล้วยิ้มบาง ก่อนส่ายหน้า

“ไม่มีแล้ว”

“เช่นนั้นข้าว่าเราควรกลับไปพักดีหรือไม่”

“เรา?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นเรามิใช่หรือ ในเมื่อพวกเรานอนกระโจมเดียวกัน”

คาริฟว่าพลางยิ้มล้อเลียนนาซีมอีกครา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เจ้าชายจึงไม่นึกโกรธเคือง ซ้ำยังอยากเห็นมุมนี้ของอีกฝ่ายมากขึ้น แม้บุรุษในชุดดำมักวางตนน่าเกรงขาม ซ้ำยังดูดีอยู่เสมอแม้ทำหน้าดุดัน แต่เจ้าชายกลับชื่นชอบอีกด้านของคาริฟมากกว่า

อาจเป็นเพราะรอยยิ้มเช่นนี้ทำให้พวกเขาดูเหมือนสนิทสนมมากกว่าตีหน้าเคร่งขรึมใส่กันก็เป็นได้...

“อา...นั่นสินะ ข้าลืมไปเสียสนิทว่าเจ้าเองก็ต้องพักผ่อนเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับกันเถิด หากอันวากลับไปไม่พบใคร เขาจะตกใจเอา”

คาริฟพยักหน้ารับ ก่อนจะออกเดินเคียงไปกับเขาแล้วเอ่ยถึงสมาชิกอีกคนของกระโจมหลังน้อย

“อันวาคงไม่กลับมาจนรุ่งสาง”

“หืม? ...ท่านหมายความว่าอย่างไร” นาซีมเอ่ยถามหลังจากมุดใต้กิ่งไม้ที่ขวางเส้นทางเล็กๆ เอาไว้ โดยมีคนรูปร่างสูงใหญ่คอยยกกิ่งที่โน้มนั้นให้ “ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร” คาริฟว่า ก่อนจะเอ่ยถึงเด็กหนุ่มที่ค้างอยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่ “อันวาคงไม่กลับมานอนที่กระโจมจนกว่าจะเข้าเอมาลี”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น มีคนในคาราวานป่วยอีกหรือ”

“ไม่ใช่ แต่ที่เขามาไม่ได้เพราะจาเร็ดต่างหาก”

“...จาเร็ด?”

“จาเร็ดอยากให้เขาอยู่ด้วยที่กระโจมใหญ่ มิใช่เพราะมีใครเจ็บไข้ไม่สบายหรอก”

“เพราะเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น เขาจะแกล้งอันวาอีกหรือ”

“เรื่องนี้ข้าคงตอบแทนไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆ ข้าแนะนำให้ถามจาเร็ด หรือไม่ก็อันวา”

“อันวาก็ด้วยหรือ” เท่าที่นาซีมทราบและสังเกตได้ อันวาดูไม่ชอบจาเร็ดเท่าใดนัก แล้วเขาจะสมรู้ร่วมคิดกับจาเร็ดได้อย่างไร

“เจ้าอาจคิดว่าอันวาไม่ชอบจาเร็ด แต่ลองสังเกตดูให้ดี ตลอดหลายราตรีนี้เขาก็ไม่เคยปฏิเสธคำเชื้อเชิญจากเจ้าคนกวนประสาทนั่นเลยสักครั้งมิใช่หรือ”

“...แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ปฏิเสธ ในเมื่ออันวาแสดงตัวเสมอว่าไม่ชอบจาเร็ด”

“เจ้าลองเดาสิ”

“...ข้าเดาไม่ถูก”

อาจเพราะแสงจากคบไฟส่องสะท้อนใบหน้างงงวยของเจ้าชายแห่งโซราห์ คาริฟจึงยอมเฉลยเพื่อไขข้อข้องใจ ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่อยากยุ่งเรื่องนี้สักนิด

“นั่นเพราะเขาสองคนจับคู่กันแล้ว”

“จับคู่กัน!!!”

“ชู่ว์” เพราะนาซีมเผลอตะโกนเสียงดัง ปลายนิ้วของคาริฟจึงแตะลงบนริมฝีปากของเขาเป็นครั้งที่สองในคืนนี้ “อย่าเสียงดังสิ เจ้าอยากปลุกทุกคนในคาราวานให้ตื่นหรือไร”

นาซีมเงียบเสียงทันที แต่เสียงที่เขาไม่อาจระงับได้คือเสียงจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกเพราะสัมผัสใกล้ชิดจากคู่แห่งโชคชะตา

นาซีมพยายามข่มสัญชาตญาณนั่น แล้วเบี่ยงเบนความสนใจไปที่เรื่องของอันวาแทน

“ข้า...ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน”

“ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้ ในเมื่ออันวาพยายามปกปิดเสียขนาดนั้น แต่เด็กนั่นคงปิดต่อไปไม่มิดหรอก หากยังหวงจาเร็ดกับเจ้าอยู่”

“หวงข้าหรือ...” นาซีมเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “ข้าเนี่ยนะ”

“เจ้าไม่สังเกตเลยจริงๆ สินะ”

“ไม่แม้แต่น้อย” นาซีมสารภาพตามตรง พยายามคิดทบทวนว่าอันวาแสดงท่าทางอย่างไรยามเขาเอ่ยถึงจาเร็ด แล้วสิ่งที่ไม่ชัดเจนก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะเขาหัวโขกพื้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด

เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่รู้กันนะ!

“ไม่ต้องทำหน้ายุ่งเช่นนั้น เขาแค่หวงตามสัญชาตญาณ ซ้ำเจ้าคนกวนประสาทนั่นก็ชอบแกล้งเขาเพื่อดูปฏิกิริยาเสมอ ใจจริงของเขาไม่ได้คิดร้ายต่อเจ้าหรอก”

“ข้ารู้...อันวาเป็นเด็กน่ารัก” นาซีมรับคำ อันที่จริงเขาไม่ได้กลัวว่าอันวาจะไม่ชอบตน แต่ที่ยังอยู่ในภวังค์เป็นเพราะตกใจกับเรื่องที่รู้มากกว่า

พวกเขาเดินผ่านแนวแมกไม้ออกมาถึงหมู่กระโจมที่เรียงรายเป็นแถว พอกันเดินผ่านกระโจมแล้วกระโจมเล่า ขณะที่ใกล้จะถึงที่พำนักของตนเต็มที อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากความมืด และพุ่งชนนาซีมจนกระเด็น แต่โชคดีที่ข้างกายเขามีบุรุษสูงใหญ่คอยรับอยู่ ทำให้เจ้าชายไม่ล้มลงไปกองกับพื้น

เพล้ง!

นาซีมได้ยินเสียงภาชนะบางอย่างหล่นแตกกระจาย พร้อมกับเสียงบุคคลปริศนาเอ่ยละลักละล้ำ

“ข้าขอโทษ! เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”

นาซีมเจ็บจนน้ำตาคลอ แต่ฝืนลุกขึ้นมา ไม่ทิ้งน้ำหนักให้คนด้านหลังต้องพยุงนานนัก เขาจึงได้เห็นว่าคนที่ชนตัวเองอย่างแรงคือผู้ใด

“ซิน...ข้าไม่เป็นไร” เจ้าชายยกมือเช็ดน้ำที่หางตาลวกๆ ก่อนจะเข้าไปดูซินที่บัดนี้ในอุ้งมือได้แผลจนเลือดออก “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดเลือดออกเช่นนั้น”

“สงสัยว่าคนโทใส่น้ำนี่จะบาดเอาตอนที่ล้ม” เพราะนาซีมก็ถูกชนกระเด็นเหมือนกัน จึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับคนโทใส่น้ำ

นาซีมผละจากอ้อมแขนของคาริฟ ก่อนตรงเข้าไปช่วยพยุงสหายคนใหม่ขึ้นจากพื้น เขาจับมือที่มีบาดแผลของอีกฝ่ายขึ้นมาประคอง แล้วเป่าๆ เบาๆ

“ข้าเองก็ไม่ได้มองทางให้ดี ขอโทษเจ้าด้วย”

“ไม่เป็นไร เป็นความผิดของข้าเอง ข้าคงดื่มเหล้าหมักมากไปจึงซุ่มซ่ามชนเจ้าได้”

“อย่าเพิ่งพูดมากความเลยดีกว่า ข้าว่าพวกเราไปที่กระโจมของจาเร็ดเถอะ อันวาอยู่ที่นั่น เขาจะได้ทำแผลให้เจ้า ประเดี๋ยวข้าจะพยุงเจ้าไปเอง” นาซีมอาสาอย่างมีน้ำใจ และคนเจ็บก็ไม่ปฏิเสธ

“ได้สิ...ขะ...ขอบใจเจ้ามานะอาลี” ซินเอ่ยขอบคุณเบาๆ ทั้งยังมองหน้านาซีมตาไม่กะพริบ เหมือนกับเจ้าตัวยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

เจ้าชายนาซีมช่วยพยุงอีกฝ่ายไปทางกระโจม ไม่ได้ติดใจอะไรที่ถูกอีกฝ่ายจ้องมองเช่นนั้น ผิดกับบุรุษชุดดำที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ข้างหลัง

ดวงตาสีมรกตหรี่ลงเล็กน้อย หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นครู่หนึ่ง ก่อนชายหนุ่มจะปรับให้เรียบเฉยดังเก่า แล้วเดินตามคู่โชคชะตาของตนไปยังกระโจมของจาเร็ด

...ดูท่าราตรีนี้พวกเขาจะไม่ได้พักผ่อนเงียบๆ ดังที่ตั้งใจเสียแล้ว









❂ …………………………….❂











ตอนใหม่มาแล้วค่าา

ตอนนี้จะเป็นการเคลียร์เรื่องคู่ของพระเอกนายเอกนะคะ

จริงๆ ฝนว่างเซ็ตติ้งไว้ให้โอเมก้ามีความเชื่อฝังหัวว่าเป็นผู้ตาม

และเมื่อได้พบคู่แห่งโชคชะตา ก็เหมือนถูกหวย(แม้คู่จะดีหรือไม่ดีก็ตาม) แบบว่าถือเป็นความโชคดีว่างั้นเถอะ

และอัลฟ่าที่เป็นผู้นำตลอด ก็จะคิดแทน ทำแทน จนโอเมก้าได้แค่ตามเท่านั้น

ซึ่งอัลฟ่าที่ว่าไม่ใช่พระเอกของเราแน่นอน

พระเอกยังมีความหวงคนที่(อาจจะ)เป็นคู่ของตนเองในอนาคต ตามสัญชาตญาณ 

แต่พี่คาริฟก็ใจกว้างและคิดต่างกับความเชื่อที่ใครๆ ต่างก็เชื่อกันค่ะ

นาซีมอาจจะดูหัวอ่อน ถ้าอ่านไปแล้วคนจะคิดแบบนั้นก็คงไม่ผิด

น้องหัวอ่อนจริงๆ แต่ลึกๆ นาซีมก็สู้ในแบบของตนเองนะคะ 

น้องจะรอมชอมมากกว่า ไม่ได้โผงผาง

อ่านแล้วคิดเห็นยังไง คอมเม้นบอกกันได้น้าาา

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

ตอนต่อไปจะมาเร็วๆ นี้แหละค่ะ



ปล. ชอบที่ฝนบอกว่าแอบแฝงอะไรไว้ในตอนก่อนๆ แล้วทุกคนกลับไปอ่านกันใหม่มากๆ 

อยากบอกว่าฝนแค่ล้อเล่นค่ะ /ผิด 5555555



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 10 ไม่ผูกมัด :- [06/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-11-2019 21:30:19
อะๆ รู้ความลับ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 11 ข้ารับใช้ :- [07/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 07-11-2019 16:38:52





บทที่ 11 ข้ารับใช้







ค่ำคืนที่ผ่านมายาวนานกว่าที่คาดไว้ เพราะกว่าซินจะทำแผลเรียบร้อยและแยกย้ายกันกลับเข้ากระโจมของตนเองก็ใกล้รุ่งสางแล้ว ซึ่งเมื่อกลับมาถึง เจ้าชายก็ต้องเริ่มเก็บข้าวของและเตรียมเดินทางเข้าเอมาลีต่อ ทำให้เช้านี้เจ้าชายนาซีมรู้สึกอ่อนล้าและง่วงงุนเป็นพิเศษ

มีหลายช่วงที่เขาเผลองีบบนหลังอูฐ แต่ก็ไม่สามารถนอนได้เต็มที่นัก เจ้าชายจึงตั้งใจว่าหากเข้าเอมาลีแล้ว และไม่มีเรื่องอื่นใดที่ต้องทำ วันนี้เขาจะรีบเข้านอนให้เร็วที่สุด เพื่อทดแทนในของราตรีที่ผ่านมา

กระทั่งดวงอาทิตย์ยังไม่ตรงศีรษะ กำแพงสีน้ำตาลแดงสูงใหญ่ก็ปรากฏในครรลองสายตา นาซีมเห็นด้านหน้าสุดของขบวนกองคาราวานหยุดที่ประตูเมืองหลวงของเอมาลี ที่นั่นมีทหารสวมชุดหนังสีน้ำตาลหม่นดูแปลกตา ในมือถือดาบยาวก้าวมาดักหน้าไว้ ก่อนจาเร็ดจะเข้าไปพูดคุยอะไรสักอย่าง แล้วพวกเขาก็เริ่มปล่อยให้ทั้งขบวนเข้าไปด้านในอย่างง่ายดาย

ดูเหมือนทหารที่เฝ้าหน้าประตูของแคว้นเอมาลีจะรู้จักกันดีกับจาเร็ด นั่นพลอยทำให้นาซีมโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะเขาไม่ต้องปลอมตัวด้วยการเอาเมือกเหนียวๆ เหม็นๆ ทาหน้าอีก

ครั้นย่างเท้าเข้ามาในเมืองหลวง นาซีมพบถนนสายหนึ่งซึ่งปูด้วยหินตัดเรียบทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ด้านข้างมีร้านรวงและอาคารที่ปลูกสร้างด้วยอิฐดินสีแดงอมส้มทุกหลัง และอาคารเหล่านั้นก็ประดับตกแต่งด้วยโคมไฟไม้และกระจกสีฉลุลายสวยงาม ผ้าม่านด้านหน้าเองก็เน้นที่สีสันสดใส

ด้านบนของตัวถนนมีเชือกป่านผูกธงผ้าสีสดไม่ต่างกันระโยงระยางจนเกือบบดบังท้องฟ้า ไม่ว่าจุดใดที่อูฐของนาซีมก้าวผ่าน เขาจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีและคนร้องเพลงดังแว่วมาทั่วทุกทิศ ราวกับว่าเมืองหลวงของแคว้นกำลังมีงานเลี้ยงฉลองอย่างไรอย่างนั้น

แม้ผู้คนที่นี้จะสวมเครื่องแต่งกายบางเบาน้อยชิ้น แต่กลับดูอู้ฟู่และหรูหราเพราะเครื่องประดับเงิน ทอง อัญมณีซึ่งประโคมตามร่างกาย

จากที่กำลังง่วงง่าวห่าวนอน เจ้าชายก็ต้องตาตื่นเพราะภาพความคึกคักที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ นักในแคว้นโซราห์หรือแม้แต่โฮมาที่เป็นดินแดนค้าขาย ด้วยมันให้บรรยากาศและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อาคารบ้านเรือนในโซราห์จะปลูกสร้างจากหินและปูนขาว หลังคาทรงโค้งมน กลางเมืองหลวงมีทะเลสาบใหญ่ซึ่งหล่อเลี้ยงประชากร อาชีพที่เห็นจะเป็นการเพาะปลูก และการประมง ผู้คนรักสงบ

ส่วนโฮมาและเอมาลีนั้นจะเป็นบ้านดินแดง เพราะสองแคว้นอยู่ไกลมหาสมุทร ลึกเข้ามาในทะเลทรายมากกว่า จึงไม่ค่อยมีพืชใดให้เห็นนอกจากอินทผลัม ปาล์ม และอาคาเชีย

แต่สองแคว้นนั้นต่างก็มีบรรยากาศคึกคักเพราะหนึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าขาย อีกหนึ่งคงเรียกได้ว่าศูนย์กลางความบันเทิง ทั่วทุกมุมถนนจึงเต็มไปด้วยสถานเริงรมย์ในแบบต่างๆ

เดินเข้ามาสักพักนาซีมพบจัตุรัสกลางซึ่งมีรูปปั้นของหญิงสาวกำลังร่ายรำ และจากตรงนี้ขบวนคาราวานของจาเร็ดจึงแยกมาทางซ้าย ผ่านอาคารสูงใหญ่ที่ดูหรูหรากว่าทางเข้ามา จนในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดหน้าอาคารหนึ่งซึ่งดูดีไม่ต่างกัน

เมื่อมาถึงตรงนี้ทุกคนก็เริ่มลงจากหลังพาหนะของตน นาซีมจึงทำตามบ้าง แต่ในขณะที่เขากำลังสงสัยว่าจะเอาอูฐพวกนี้ไปผูกที่ไหน คนจากด้านในอาคารก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ และกรูกันมาช่วยยกของ ทั้งยังจูงอูฐไปทางด้านข้างซึ่งมีทางเล็กแคบ

“เข้าไปด้านในกันเถอะอาลี”

เสียงสดใสของเด็กหนุ่มพูดกับนาซีม ทั้งกวักมือให้เข้าไปข้างในด้วยกัน นาซีมกระชับผ้าคลุมกายให้เรียบร้อย ทั้งยังใช้โอกาสนี้เหลือบมองบุรุษสูงใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ

เมื่อลอบหันไปสายตาจึงปะทะกับดวงตาของคนคนนั้นที่ยืนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว นาซีมจึงรีบผินหน้ากลับมาและเดินตามอันวาเข้าไปด้านในทันที

เขารู้สึกอับอายที่คนคนนั้นจับได้ว่าเขาแอบมอง อายทั้งที่ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องรู้สึกเช่นนั้น...

เจ้าชายจึงรีบไล่ความรู้สึกประหลาดออกไป ด้วยการหันไปสนใจการตกแต่งภายในแทน

ด้านในของอาคารเป็นโถงกว้าง เพดานสูง มีบันไดใหญ่อยู่ตรงกลางและสามารถแยกไปได้สองทาง สมาชิกในกองคาราวานต่างพากันแยกย้ายเดินไปคนละทิศละทาง ราวคุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว

“มาทางนี้สิอาลี”

อันวาเรียกหลังเห็นว่านาซีมไม่เดินตาม เจ้าชายจึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดและเลี้ยวไปฝั่งขวา ทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นสอง เขาก็พบโถงทางเดินแคบยาวไปจนสุดอาคาร ซึ่งด้านข้างมีประตูเรียงราย เว้นช่วงเต็มไปหมด

“ห้องพวกนี้คือ...” นาซีมอดไม่ได้ที่จะถาม

“ที่นี่เป็นบ้านของจาเร็ดในเอมาลี เขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นบ้านพักของทุกคนในคณะละครเร่ ห้องพวกนี้เป็นห้องประจำตัวของแต่ละคน แต่ที่สุดทางเดินนั่นเป็นห้องพักของสมาชิกใหม่ ซึ่งก็คือพวกเรา”

นาซีมเดินไปพลางฟังไปพลาง และระหว่างที่อันวากำลังเปิดประตูให้เขา เจ้าชายก็ถามขึ้น

“พวกเรางั้นหรือ”

“ถูกต้อง”

“รวมถึงเจ้าด้วย?”

“แน่นอนสิ ข้าเป็นพวกเดียวกับเจ้าและคาริฟนี่”

เดิมทีก่อนร่วมเดินทางกับคาราวานของจาเร็ด นาซีมคิดว่าทั้งคาริฟและอันวานั้นแสร้งปลอมตัวเหมือนกันกับเขา แต่เมื่อสังเกตจากที่ทั้งสองรู้จักคนในคาราวานเป็นอย่างดี รวมถึงเรื่องที่นาซีมล่วงรู้ความสัมพันธ์ของอันวากับจาเร็ด เขาจึงเข้าใจว่าทั้งสองไม่ได้แสร้งปลอมตัว แต่มีแค่เขาเท่านั้นที่ต้องปกปิดฐานะ

เดินเข้ามาด้านในจวบจนคนช่วยยกของก็นำสัมภาระของพวกเขามาเก็บให้เรียบร้อยและออกจากห้องไป นาซีมจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่พักไม่เล็กไม่ใหญ่นัก มีหน้าต่างหนึ่งบาน โต๊ะวางของเล็กๆ และที่สำคัญ มีเตียงไม้สองเตียงวางชิดผนัง

…แค่สองเตียง

ซ้ำแต่ละเตียงยังขนาดพอดีคนหนึ่งคนนอนเท่านั้น

“เหตุใดจึงมีเพียงสองเตียงเล่า”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” อันวาตอบ สีหน้างงงวย

“หรือจาเร็ดต้องการให้เจ้าอยู่กับเขาที่ห้อง จึงจัดไว้เพียงเท่านี้”

“แล้วเหตุใดจาเร็ดต้องให้ข้าไปอยู่ห้องเขาด้วย” อันวาถามกลับทั้งยังขมวดคิ้วแน่นขึ้น

“ก็เพราะพวกเจ้าทั้งสองจับคู่กันแล้วมิใช่หรือ...” ด้วยความไม่ทันคิด เจ้าชายนาซีมจึงหันมาเอ่ยกับอันวาอย่างลืมตัว

“นี่เจ้า! ...เจ้า...”

เป็นครั้งแรกที่นาซีมเห็นเด็กหนุ่มเสียอาการขนาดนี้ เขาเบิกตากว้าง อ้าปากพะงาบๆ จะพูดก็พูดไม่เต็มประโยค ซ้ำพวงแก้มสองข้างยังเปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำ แม้ผิดของเจ้าตัวจะสีเข้มเพียงใดก็ยังปิดไม่มิด

“อา...” เจ้าชายเอามือปิดปาก ก่อนจะหันไปมองหน้าคาริฟซึ่งยืนเงียบมาโดยตลอด ก่อนจะส่งสายตาของความช่วยเหลือ หากคาริฟอ่านได้คงเข้าใจว่า...

ข้าจะทำเช่นไรดีคาริฟ...ช่วยข้าด้วย!

แต่ดูเหมือนคาริฟจะไม่เข้าใจความนัยที่เขาสื่อ หรือไม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ บุรุษชุดดำจึงยืนนิ่งทำหน้านิ่งเหมือนเก่าไม่มีผิด

...แต่หากสังเกตดีๆ อีกสักนิด นาซีมอาจเห็นว่านัยน์ดวงตาสีมรกต มีประขบขันอยู่ในนั้น

แต่ไม่ทันที่จะสังเกตเสียแล้ว เพราะอันวาร้องแหวขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

“นี่ท่านรู้ได้อย่างไร! ว่าข้า...เอ่อ...ข้า”

เจ้าตัวดูกระดากอายอย่างมากที่จะเอ่ยคำนั้น ราวกับว่ามันคือคำต้องห้าม

“ว่าเจ้าจับคู่กับจาเร็ดแล้วน่ะหรืออันวา”

“อะ...อย่าพูดนะเจ้าชาย!”

อันวาตะโกนออกมาอย่างเหลืออด โชคดีที่ห้องของพวกเขาอยู่ริมสุด ทั้งยังปิดมิดชิดแม้กระทั่งหน้าต่าง จึงไม่มีใครได้ยินเสียงราวกรีดร้องเมื่อครู่

“ขะ...ข้าขอโทษ” นาซีมเอ่ยขอโทษเด็กหนุ่ม “ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าโกรธ”

“ข้าไม่ได้โกรธ...แต่ข้า…หึ้ย!” ยิ่งพูด อันวาก็ยิ่งหน้าแดง “นี่ใครเป็นคนบอกท่าน”

“เอ่อ...” นาซีมไม่กล้าหันไปมองทางคาริฟแล้ว และไม่อยากทำให้อีกฝ่ายถูกอันวาโกรธไปด้วย จึงเลือกโกหกออกไปแทน “ข้าบังเอิญได้ยินคนพูดกันเมื่อราตรีที่ผ่านมาน่ะ”

“ใคร”

“ข้าไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แล้วก็จำหน้าไม่ได้แล้ว เพราะ...เอ่อ...เพราะดื่มไปมาก”

“หึ อย่าให้ข้ารู้นะว่าใครพูดเรื่องข้า ข้าจะวางยาให้เจ้านั่นพูดไม่ได้ไปสิบราตรีเลย”

ยิ่งได้ยินอันวาเอ่ยเช่นนั้น นาซีมก็ยิ่งโล่งใจที่ไม่ได้เอ่ยพาดพิงคาริฟ เพราะเขากลัวว่าเด็กคนนี้จะเอาโอสถร้ายกาจมาให้บุรุษชุดดำกิน

เมื่อเห็นอันวาไม่ถามอะไรอีก นาซีมจึงเอาน้ำเย็นเข้าลูบ โดยการขอโทษอีกฝ่ายอย่างจริงใจ

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการให้รู้เรื่องนี้...เอ่อ...แต่ข้าบังเอิญรู้แล้ว และจะไม่เอ่ยถึงอีกหากเจ้าไม่ชอบใจ ต้องขอโทษเจ้าอีกครั้ง” เจ้าชายประนีประนอม

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดอันวาจึงปกปิด แต่ถ้าให้เดาคงเป็นเพราะเด็กหนุ่มรู้สึกอายเสียมากกว่า เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะทำท่าไม่ชอบจาเร็ดเพียงใด แต่พอเขาลองสังเกตอีกครั้ง เริ่มจากที่บุกพาซินเข้าไปในกระโจมเมื่อคืน รวมถึงระหว่างการเดินทางในเช้าวันนี้ นาซีมพบว่าอันวาคอยมองหาจาเร็ดอยู่เสมอ ทั้งยังยอมเข้าไปหาทันทีที่อีกฝ่ายเรียก แม้มีสีหน้าไม่พอใจก็ตาม

“เฮ้อ~” เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วค่อยๆ ยิ้มแหยให้เจ้าชาย “ลืมมันไปเสียเถอะ ข้าไม่โกรธเคืองท่านหรอกเจ้าชาย”

“ไม่โกรธจริงๆ หรือ”

“ไม่โกรธ...” อันวาว่า “อันที่จริง...นี่หาใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าแค่ไม่อยากพูดเรื่องเขาเท่านั้น”

ขณะที่พูด แก้มของอันวาก็ยังมีสีเข้มไม่เปลี่ยน เจ้าชายจึงสรุปว่าอีกฝ่ายแค่เขินอายจริงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู

“ขอบใจเจ้ามากที่ไม่โกรธข้า”

“ข้าจะโกรธได้อย่างไร หากท่านกลับแตว้นได้ ข้ายังต้องทำงานกับท่านไปอีกนาน” เจ้าตัวพูดอุบอิบ ก่อนจะลอบยิ้มให้กับเขา

“นั่นสินะ เจ้าอยากเป็นหมอหลวงนี่”

“อื้ม” เด็กหนุ่มกลับมาร่าเริงอีกครั้ง ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “แต่เรื่องห้องนอนนี่ ข้าไม่พอใจจริงๆ เขามัดมือชกเช่นนี้ตลอดเลย คิดว่าข้ายอมจับคู่ด้วยแล้วจะยอมเขาตลอดรึ ประเดี๋ยวข้าต้องไปจัดการเรื่องนี้สักหน่อยแล้ว”

ว่าจบอีกฝ่ายก็ทำท่าจะออกไปจากห้อง นาซีมจึงรั้งไว้ เพราะกลัวจาเร็ดจะถูกพายุอารมณ์พัดใส่เข้า

“เจ้าจะไปจริงหรือ”

“แน่นอน เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ท่านพักผ่อนเถอะ อีกสักครู่ข้าจะกลับมา” อันวาว่า ก่อนจะเหลือบมองคาริฟอย่างหวาดๆ “ท่านก็พักเถอะขอรับท่านคาริฟ ข้าขออภัยที่ทำเสียงดังรบกวน”

“ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ”

เมื่อคาริฟพูดจบ อันวาจึงเร่งออกจากห้องไปจัดการเรื่องที่หลับที่นอนของตนเองทันที ทิ้งให้นาซีมยืนอยู่ในห้องพักตามลำพังกับคู่โชคชะตา

นาซีมไม่ได้พูดอะไรกับคนตัวสูงนัก เขาถือวิสาสะเดินไปเปิดหน้าต่างให้แสงลอดเข้ามา และเลือกนั่งบนเตียงด้านหนึ่ง ก่อนถอดผ้าคลุมสีแดงพาดไว้บนหัวเตียง ถอดรองเท้าวางคู่กับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงของตนเอง

“ไม่เช็ดหน้าเช็ดตาก่อนหรือ”

ครั้นได้ยินเสียงทุ้มๆ เอ่ยถาม นาซีมจึงลืมตาขึ้นมอง

“ไม่ล่ะ ข้าง่วงมาก ขอนอนก่อนดีกว่า เชิญเจ้าตามสบาย”

“เดินทางผ่านทะเลทรายมา ฝุ่นเกาะกายหนานัก จะนอนไม่สบายเอา”

“ไม่เป็นไร ข้านอนได้”

อันที่จริงเจ้าชายมิได้อยากดื้อแพ่ง แต่เขาทนความง่วงต่อไปไม่ไหวแล้ว ซ้ำตลอดการเดินทางก็ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เมื่อได้เอนหลังบนเตียงนุ่มๆ จึงไม่อยากลุกขึ้นมาอีก

เจ้าชายนาซีมหลับตาลงอีกครั้ง หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ นอนตัวตรงและเอามือวางทาบกันบนอกในท่าสำรวมอย่างราชนิกุล

ขณะที่สติกำลังจะหลุดลอยไป อยู่ๆ ก็รู้สึกแรงกดยวบข้างตัว ตามมาด้วยความเย็นที่สัมผัสลากผ่านผิวหน้า เปลือกตาสีน้ำผึ้งจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง

ในคลองจักษุนั้น นาซีมพบบุรุษผู้มักทำหน้านิ่งอยู่เป็นนิจกำลังมองมาที่เขา พร้อมกับใช้ผ้าหมาดๆ เช็ดใบหน้าและลำคอให้

เมื่อรู้ว่าถูกใครปรนนิบัติ นาซีมจึงผุดลุกขึ้น เสียก็แต่ไหล่ของเขาถูกกดเอาไว้ เพื่อบังคับให้นอนลงไปเช่นเดิม แม้อยากปฏิเสธเช่นไร แต่มีหรือจะสู้แรงอัลฟ่าได้

“คาริฟ ไม่ต้องทำ”

นาซีมจับมือที่กำลังลากผ้าผ่านลำคอให้แผ่วเบา แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ ทั้งยังตอกกลับหน้านิ่ง

“นอนนิ่งๆ สิ ไหนเมื่อครู่บอกว่าง่วงมิใช่หรือ”

“แต่ข้าไม่อยากให้ท่านทำ”

“รังเกียจข้า?”

ได้ยินคำถามนี้ นาซีมก็รีบตอบกลับทันที

“ข้ามิได้รังเกียจ”

“ดี” เขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “หากมิได้รังเกียจก็นอนนิ่งๆ”

“แต่...ข้าเกรงใจเจ้า”

“ชู่ว์”

เขาแตะนิ้วลงบนลงริมฝีปากของนาซีมอีกแล้ว ก่อนจะถอนมือออกไปอย่างอ้อยอิ่ง และหันไปจริงจังกับการสางผมยุ่งๆ ด้านหน้าให้เขา

“ค...คาริฟ...” นาซีมพยายามแล้ว แต่เสียงก็ยังสั่นอยู่ดี

“นอนเสีย คิดเสียว่ามีคนปรนนิบัติให้เจ้าเหมือนยามที่ยังอยู่ในโซราห์”

เขามุ่งมั่นเหลือเกิน...นาซีมคิด

มุ่งมั่นที่จะทำตามความต้องการของตนเองอย่างดื้อดึง แม้นี่ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่จะให้คิดว่าคาริฟเป็นข้ารับใช้ของเขาเหมือนอยู่ที่โซราห์ได้อย่างไร

ข้ารับใช้ที่ไหนทำให้เจ้าชายใจเต้นได้ถึงขนาดนี้?

คำตอบคือ...ไม่มี

เพราะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำได้









❂ …………………………….❂







การเขียนหลายคู่ในเรื่องเดียวเป็นอะไรที่ฝนไม่เคยทำค่ะ

เพราะเฉลี่ยบทไม่เก่ง แต่ตัดสินใจมาลองกับเรื่องนี้เรื่องแรก

แต่ถึงยังไงก็ไม่ทิ้งคู่หลักนะคะ

เพราะคู่อื่นๆ ฝนจะพูดไม่เจาะลึกเท่า

เรื่องนี้ยังมีคู่รองอีกคู่ล่ะ อยากให้ลองเดาดู ซึ่งคาดว่าน่าจะเดาไม่ออก 5555



มาที่คู่หลักค่ะ

ถึงบทจะไม่มาก แต่ตอนที่เขียนบทนี้ รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก 

จริงๆ สองคนนี้เหมือนค่อยๆ ใกล้ชิดกันทีละน้อย

แต่ตอนเขียนฝนเขินจริงๆ นะ

งานสายตาคนพี่อะไรแบบนี้ -///- /ระทวยใส่อก

หวังว่าคนอ่านจะชอบนะคะ

ตอนหน้าคนข้ารับใช้จะพาเจ้าชายไปเดทนะ

อย่าพลาดเด้อ~~~~ >///<



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกันค่าา



ละอองฝน. 



หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 11 ข้ารับใช้ :- [07/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-11-2019 20:25:44
ก็พี่เขาอยากอยู่ใกล้ งอยากดูแลน้องอ่ะเนาะ เขินนนน
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 11 ข้ารับใช้ :- [07/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-11-2019 22:33:39
เอาใจเก่ง หึหึ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 11 ข้ารับใช้ :- [07/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-11-2019 01:42:04
เอาใจเก่งมาก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 12 ของกำนัล :- [09/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 09-11-2019 10:33:42





บทที่ 12 ของกำนัล








เจ้าชายนาซีมรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อยามพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เพราะเขาได้ยินเสียงผู้คนจอแจจากทางหน้าต่าง เมื่อผุดลุกนั่งบนเตียง ตั้งใจว่าจะชะโงกลงไปดูว่าใครต่อใครทำอะไรกัน เจ้าชายก็พบว่าตนอยู่ในห้องพักเพียงคนเดียว

เขาไปไหนกันนะ...

ในหัวอดไพล่คิดไปถึงคนผู้นั้นไม่ได้ บุคคลที่ทำให้ต้องใช้เวลาพักใหญ่จึงจะข่มตาหลับลง

นาซีมลูบหน้าของตนเองตัวเองแรงๆ ให้ตื่นตัว เขาไม่รู้ว่านี่เป็นอิทธิพลของคู่โชคชะตาหรือไม่ เพราะแม้จะพยายามปัดภาพของคนผู้นั้นออกไปจากสมอง แต่เขาก็ยังมีคาริฟอยู่ในความคิดคำนึงทั้งยามหลับและยามตื่น

การไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน...

แต่นาซีมคงลืมคิดไปว่า นี่อาจไม่ได้มีอิทธิพลจากการเป็นคู่โชคชะตาของกันและกันเท่านั้น แต่เป็นเพราะคาริฟเริ่มเดินออกมาจากกำแพงที่เจ้าตัวสร้างขึ้น ขยับเข้ามาใกล้จนมองเห็นกันและกันได้แทบทุกเวลา คงมิแปลกที่จะคะนึงหายามมองไปไม่เห็น

“เฮ้อ~”

เจ้าชายถอนหายใจออกมายาวเหยียด แล้วจึงลุกขึ้นเดินไปทางหน้าต่าง

จากมุมนี้เขาสามารถมองออกไปยังด้านหน้าของบ้านจาเร็ดได้พอดี บนถนนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อกลางวันตอนนี้เปลี่ยนไปมาก จากที่โล่งๆ เป็นทางเดินยาว บัดนี้เปลี่ยนไปคับแคบเพราะมีโรงละครขนาดย่อมตั้งอยู่ โรงละครมีฉากเป็นผ้าม่านกำมะหยี่สีแดงปิดบังด้านหลังเอาไว้ ซึ่งจุดนั้นมีคนของคณะละครเร่กำลังนั่งรอแสดงและช่วยกันแต่งตัววุ่นวายไปหมด

ข้างโรงละครที่เพิ่งสร้างใหม่ มีการแสดงระบำหน้าท้องของหญิงสาวในคณะสามสี่คน แม้ไม่นับรวมนักดนตรีที่คอยเคาะจังหวะให้ ผู้คนที่รายล้อมก็มากมายจนแทบนับไม่ถ้วน

ได้ยินเสียงเคาะจังหวะเป็นทำนองเพลงสนุก นาซีมก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เจ้าชายคิดว่าจะไปหาอันวาและกินมื้อเย็นสักหน่อย ต่อจากนั้นค่อยขอให้เด็กหนุ่มพาออกไปดูการแสดงของคณะละครเร่

ทว่าก่อนออกจากห้อง นาซีมไม่ลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดทำความสะอาดร่างกาย รวมทั้งหวีผมและผูกเปียใหม่ให้เรียบร้อย

เย็นนี้เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีครามที่ปักลายเถาวัลย์สีดำรอบคอกับกางเกงสีเดียวกัน นับว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้คาริฟช่วยสางผมด้านหน้าให้บ้างแล้ว หลังจากถอดเปียเดิมและปล่อยผมสยาย นาซีมจึงใช้เวลาไม่นานนักกับเส้นไหมสีปีกกาซึ่งพันกันยุ่งเหยิง

อันที่จริงเขาไม่ค่อยชอบที่ตนเองผมยาวเท่าไร เพราะมันค่อนข้างดูแลรักษายาก ตอนอยู่ในวังต้องมีนางกำนัลค่อยสระผมให้เป็นประจำ หากไม่ทำก็จะส่งกลิ่นไม่ดีนัก แต่จะให้ตัดออกก็ไม่ได้ ด้วยธรรมเนียมของราชวงศ์โซราห์บอกเอาไว้ว่าราชาต้องมีเส้นผมที่ยาว อายุจะได้ยืนยาวตามไปด้วย

แต่เมื่อต้องเดินทางกลางแดดกลางลมทะเลทราย เจ้าชายผู้เคยทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดก็อยากหั่นผมสั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด แม้ว่ามันจะเป็นการตัดอายุของตัวเองก็ตาม

นาซีมนั่งเปียผมยาวจนเสร็จ แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้างเขาก็พอใจไม่น้อย เพราะนี่เป็นการเปียผมด้วยตัวเองครั้งแรก อย่างคราวก่อนตอนที่หนีจากค่ายของพวกทารายา เขาได้อันวาเป็นผู้จัดการให้

เมื่อผูกเชือกที่ปลายผมเรียบร้อย ก็ประจวบเหมาะกับที่ใครบางคนเปิดประตูเข้ามาพอดี นาซีมสบตากับบุรุษชุดดำหน้ากระจกทองเหลือง เห็นคาริฟมองที่เปียผมของเขา ทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้ เจ้าชายจึงรีบผุดลุกขึ้นและหันมาเผชิญหน้า

“จะทำอันใดหรือ”

ทันทีที่เจ้าชายถามจบ อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ก่อนตอบ

“ข้าจะผูกผมให้เจ้าใหม่”

“ไม่เป็นไร ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” เจ้าชายว่าพลางตวัดเปียที่พาดไหล่ไปด้านหลัง

“...” คาริฟมองผมเปียของเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าในสายตากลับมีแววขบขัน นาซีมจึงรีบเอ่ยตะกุกตะกักเพื่อแก้กระดาก

“ข้า...เพิ่งเคยทำเองครั้งแรก จึงไม่ค่อยเรียบร้อยนัก”

“ถึงไม่บอกข้าก็พอเดาได้” นอกจากจะไม่ให้กำลังใจแล้ว อีกฝ่ายยังเย้าแหย่เขาให้อาย ก่อนจะตบหัวแล้วลูบหลัง “แต่จะเป็นไรไป หน้าที่ของเจ้าคือการดูแลผู้คน ปกครองบ้านเมือง เรื่องง่ายๆ พวกนี้ให้ใครทำก็ได้ทั้งนั้น”

“...อืม”

นาซีมรู้ว่าคาริฟไม่คิดอะไรตอนเอ่ยออกมาเช่นนั้น แต่คำว่า ‘เรื่องง่ายๆ’ กลับทำให้เจ้าชายแห่งโซราห์ตั้งปณิธานไว้ในใจว่า...

ต่อไปนี้เขาจะหัดเปียผมตัวเองจนอีกคาริฟเอ่ยปากชมให้จงได้!

“ว่าแต่มีเรื่องอันใดหรือจึงคาริฟมาหาข้า”

“ข้าจะขึ้นมาปลุกท่าน ตะวันตกดินแล้ว เกรงว่าเจ้าจะหิว” คาริฟว่า

“แล้วอันวาเล่า...”

เพราะยามปรกติ ตอนที่อยู่บ้านท่านหมอฮาชิในโฮมา ผู้ที่ขึ้นมาตามและคอยอยู่ข้างๆ เขาจะเป็นเด็กหนุ่มผู้นั้นเสมอ ผิดกลับช่วงนี้ที่เปลี่ยนเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้แทน

“เขาอยู่กับจาเร็ด”

“แล้วราตรีนี้เขาจะมานอนที่นี้กับพวกเราหรือไม่”

“คิดว่าจาเร็ดคงไม่ยอม มิเช่นนั้นคงได้เห็นเขาหอบหมอนมาตั้งแต่ก่อนเจ้าหลับแล้ว”

“อา...อย่างนั้นหรือ”

ความจริงนาซีมมิได้ติดขัดหากอันวาจะไม่มาอยู่ข้างกาย เพราะเด็กหนุ่มผู้นั้นมิใช่ข้ารับใช้ประจำตัว ที่จะคอยวิ่งตามเหมือนกับเหล่าคนที่อยู่ในวัง

แต่สิ่งที่เขารู้สึกติดใจก็ตรงที่ หากอันวาไม่อยู่ด้วย เขาก็ต้องอยู่ตามลำพังกับคาริฟมากขึ้น ซึ่งนั่นไม่ดีต่อหัวใจของนาซีมเลยสักนิด

“เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น” คาริฟที่จ้องหน้านาซีมอยู่นานเอ่ยถาม

“ไม่มี ข้าแค่คิดอะไรเพลินไปนิดเท่านั้น”

“เจ้าอยากให้เขามานอนด้วยหรือ”

“ไม่ใช่ๆ ข้ากำลังคิดเรื่อง...เอ่อ...เรื่องอาหาร”

เขาโกหกอีกแล้ว...เจ้าชายคิดในใจ

ตั้งแต่ออกจากโซราห์ เขาต้องโกหกนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งยามอยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ เขายิ่งไม่กล้าเผยความรู้สึกที่แท้จริง แต่เพราะเดิมเจ้าชายเป็นคนซื่อตรงต่อความรู้สึกเสมอ นี่จึงถือว่าเป็นเรื่องที่กระทำได้ยากยิ่ง

“หึๆ” คาริฟหัวเราะ ซึ่งนาซีมไม่เข้าใจว่าเหตุใดตั้งแต่คุยกันริมสระน้ำในอาไมร่า คนคนนี้จึงได้ยิ้มและหัวเราะบ่อยนัก

“หัวเราะอะไร”

“หัวเราะใบหน้าเจ้ายามนี้”

“หน้าข้า? ...”

นาซีมยกมือลูบหน้าตนเอง เพราะคิดว่ามีสิ่งใดติดอยู่ แต่นั่นยิ่งทำให้คาริฟยิ้มกว้างขึ้น กว้างเสียจนคนมองตาพร่า

“ไม่มีสิ่งมีใดติดอยู่ อย่าได้กังวล” เขาบอกแบบนั้นและตัดบทด้วยการเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เจ้าหิวใช่หรือไหม ไปสิ จาเร็ดสั่งให้คนเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว”

“อืม”

นาซีมเดินนำออกจากห้อง ยอมรับแต่โดยดี เพราะไม่กล้าเอ่ยถามมากความ แม้ยังรู้สึกสงสัยอยู่เต็มอกว่าบนใบหน้าเขาน่าตลกที่ตรงไหน

ทว่าก่อนก้าวพ้นประตู อีกฝ่ายกลับเรียกชื่อเขากะทันหัน

“นาซีม”

“หืม? ว่าอย่างไรคาริฟ”

“จะไม่ให้ข้าเปียผมให้ใหม่จริงๆ หรือ”

มันจะดูจริงใจกว่านี้ หากคาริฟไม่ได้มองเขาด้วยสายตาหยอกเย้าพร้อมกับยิ้มมุมปาก

“ขอบคุณ แต่ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า”

“เช่นนั้นก็ตามใจ”

คาริฟยังไม่ทันพูดจบนาซีมก็หันฉับกลับมา พร้อมกับเดินนำออกไปโดยไม่รั้งฝีเท้ารอ

คนขี้แกล้ง!

เคร่งขรึมจริงจัง

หรือชอบหยอกเย้าให้คนอื่นได้อาย

เขาไม่รู้แท้จริงแล้วบุรุษผู้นี้มีนิสัยเช่นไรกันแน่ ไม่รู้ว่าควรปั้นหน้าและวางตัวอย่างไรยามอยู่กับด้วยกัน เพราะเดิมทีแค่คาริฟมองเฉยๆ ไม่พูดไม่จา ในหัวก็พานจะคิดถึงแต่เรื่องของคนตรงหน้าอยู่เสมอ แล้วนี่ยังเข้ามาใกล้ คล้ายต้องการสนิทสนม ผิดกับคนที่ทำห่างเหินนั่นราวคนละคน

ทำเช่นนี้ต้องการปั่นหัวกันหรือไร

มั้งหมดนี้นาซีมได้แต่คิดวุ่นวายอยู่คนเดียว ไม่แม้ปริปากพูดสิ่งใดอีก เพราะรู้ว่านอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว เขาอาจจะถูกแกล้งให้จิตใจปั่นป่วนมากกว่าเดิม







❂ …………………………….❂







ครั้นลงมาจากห้องพักแล้ว คาริฟก็เป็นฝ่ายนำเขาไปที่ห้องอาหารในบ้านของจาเร็ด ภายในห้องนั้นค่อนข้างกว้าง และมีโต๊ะยาวกับเก้าอีกมากมายเรียงรายต่อกัน คาดว่ามีไว้สำหรับทุกคนในคณะละคร แม้ตอนนี้ห้องอาหารกว้างจะร้างไร้ผู้คนก็ตาม

“คนอื่นๆ อยู่ข้างนอกหรือ”

“ใช่ ถึงเวลาแสดงแล้ว” คาริฟเอ่ยพลางหยิบเอาถาดทองไม้ที่มีแป้งนานดูหนานุ่มกับแกงข้นๆ ที่ทำจากเนื้อแกะและปรุงด้วยเครื่องเทศสีแดงจัดมาให้

“ขอบคุณ” นาซีมเอ่ยของคุณเบาๆ ก่อนจะถามเมื่อเห็นว่าอาหารมีเพียงถาดเดียว “แล้วของเจ้าล่ะ ไม่กินด้วยกันหรือ”

“ข้าไม่หิว” อัลฟ่าหนุ่มว่า “เจ้ากินเสีย ไม่ต้องห่วงใครทั้งนั้น”

“อืม” เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น นาซีมจึงลงมือจัดการมื้อเย็นของตนเองเงียบๆ

ตลอดเวลาที่ทานอาหาร แม้ไม่มีใครปริปากพูดอะไร แต่นาซีมรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายคอยมองเขาอยู่เสมอ เขาพยายามทำเป็นไม่สนใจสายตา และทำลายบรรยากาศประหลาดด้วยการถามถึงแผนการต่อไป

“แล้วจากนี้พวกเราจะทำอย่างไรต่อ”

“อีก 7 ราตรีเราจะออกเดินทาง” คาริฟตอบง่ายๆ อาจเพราะเห็นว่าที่นี่ไม่มีใคร

“เราต้องรออยู่ที่บ้าจาเร็ดถึง 7 ราตรีเชียวหรือ”

“ใช่”

“เหตุใดจึงนานนัก”

“เพราะเราต้องรอคนคุ้มกัน”

“คนคุ้มกัน? เป็นใคร แล้วที่ที่เราไปจะอันตรายมากหรือ เหตุใดครั้งนี้ถึงมีคนคุ้มกันได้”

นาซีมตื่นตัวทันทีที่ได้ยิน เพราะที่ผ่านมาตลอดการเดินทาง หนทางค่อนข้างเรียบโล่งไร้สิ่งกีดขวาง การระมัดระวังตัวจึงลดลงไปด้วย

“แม้เจ้าเห็นว่าการเข้าโฮมามาถึงเอมาลีนั้นไร้อุปสรรค แต่จากที่นี่ไปจะไม่เหมือนเดิม เพราะเราจะต้องทางเดินเฉียดใกล้แคว้นซันดา”

“แคว้นซันดามีสิ่งใด”

“มีคนของชีคทาริค”

“คนของเขาหรือ!”

“ใช่ เพราะเขาเกิดและเติบโตที่นั่น”

“อ้อ...” นาซีมนึกออกทันทีเมื่อคาริฟกระตุ้นความทรงจำ “ข้าจำได้แล้ว เคยมีคนบอกว่า เขาเป็นทาสที่ปลดแอกตัวเองมาจากแคว้นซันดา”

“ถูกต้อง และหลังจากนำคนปลดแอกออกมาได้สำเร็จ และก่อร่างสร้างความยิ่งใหญ่ให้เผ่าทารายาได้ เขาก็กลับไปยึดซันดา และสังหารผู้ครองแคว้น”

“แปลว่าตอนนี้ซันดาเป็นของเขาหรือ”

“ถูกต้อง”

“ในเมื่อเขามีซันดาอยู่แล้ว เหตุใดต้องเดินทางไปบุกยึดและตีเมืองอื่นด้วย”

“ผู้ที่กระหายในอำนาจจะไม่คิดหรอกว่าสิ่งที่ตนมีนั้นเพียงพอแล้ว” คาริฟว่าเสียงขรึม “อีกทั้งซันดาก็เป็นแคว้นที่อยู่ลึกเข้าไปในทะเลทราย จึงไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนแคว้นอื่น”

“โลภ”

เจ้าชายนาซีมวางแป้งนานที่เหลือลง พอนึกถึงคนเถื่อนคนนั้นเขาก็กินอะไรไม่ลงขึ้นมาดื้อๆ คาริฟมองตามการกระทำนั้นเงียบๆ ไม่บังคับให้นาซีมกินเพิ่ม แม้เจ้าชายจะจัดการอาหารไปไม่ถึงครึ่งจาน ทั้งที่เมื่อครู่อีกฝ่ายยังถามถึงอาหารอยู่แท้ๆ

รอจนนาซีมดื่มน้ำเรียบร้อย คาริฟจึงเอ่ยต่อ

“สรุปว่าเราต้องมีคนคอยคุ้มกัน จะได้ป้องกันไว้ก่อนและไม่ต้องเดินทางอย่างโดดเดี่ยวนัก เพราะจากนี้ไปจนกว่าจะถึงเผ่าของข้า เราจะไม่แวะพักในเมืองอีกแล้ว อีกอย่างเราต้องคอยคนของเจ้าด้วย”

“คนของข้าหรือ!” ดวงตาของนาซีมเบิกโพลงเมื่อได้ยินว่าจะได้พบคนรู้จัก “ใครกัน”

“องครักษ์ของเจ้าอย่างไรล่ะ”

“ฮาบัสกับฟามีนหรือ!!” เจ้าชายแทบระงับความคิดใจไว้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเขาคิดว่าฮาบัสกับฟามีนถูกคนของทาริคสังหารไปแล้ว

“อืม”

“นะ...นี่พวกเขายังไม่ตาย!?”

“แน่นอน ฝีมือเช่นนั้นไม่มีทางเป็นอะไรไปง่ายๆ และสองคนนี้คือผู้ที่จะนำข่าวที่ท่านอยากรู้มาให้ด้วย”

การรับรู้ถึงการมีอยู่ของคนสนิททำให้นาซีมแทบหลั่งน้ำตาออกมา เพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนเองไม่เหลือใครอีกแล้ว

“ขอบคุณเทพีซาร์เรียที่เมตตาข้า” เขาก้มหน้าหลับตาและประสานมือไว้ระดับออกขณะเอ่ย

ส่วนคาริฟก็ยังคงทำเช่นเดิม คือนั่งมองการกระทำของเจ้าชายเงียบๆ รอจนอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง บุรุษในชุดดำจึงเอ่ย

“ระหว่างนี้พวกเราจะเก็บตัวอยู่ที่นี่เงียบๆ และเตรียมสิ่งของที่ใช้ในการเดินทาง เพราะต้องข้ามทะเลทรายเป็นเวลานานกว่าจะถึงบ้านข้า ซึ่งการเดินทางครั้งนี้คงไม่สะดวกสบายเช่นที่ผ่านมา”

“ไม่เป็นไร ข้าทนได้ ว่าแต่บ้านเจ้าเป็นเช่นไรหรือ เหตุใดจึงตั้งอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนั้น ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีแคว้นใดอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทรายไกลว่าซันดา”

“เอาไว้ไปถึงเมื่อใด เจ้าจะรู้เอง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น นาซีมจึงไม่ถามต่อ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอยากรู้อยากเห็นว่าบ้านของชายคนนี้เป็นสถานที่เช่นไร

“เจ้าอิ่มแล้ว?” คาริฟเปลี่ยนเรื่อง

“อืม”

“จะขึ้นห้องเลยหรือไม่”

“ข้าอยากไปดูข้างนอกกับอันวาได้หรือเปล่า”

“ไปกับอันวาไม่ได้”

“เพราะเหตุใด”

“เพราะเอมาลีมีคนพลุกพล่าน หากเกิดอะไรขึ้นเจ้าเด็กนั่นช่วยเจ้าไม่ได้”

“เช่นนั้น...ข้าขึ้นห้องเลยก็ได้”

นาซีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงอยเหงา เพราะพอคิดว่าต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องอีกหลายราตรี ทั้งที่ด้านนอกมีสิ่งน่าสนใจมากมาย เขาจึงอดเสียดายไม่ได้

เจ้าชายลุกขึ้น เก็บถาดไม้ไปทำความสะอาดและวางไว้ในที่ที่คาริฟหยิบมา ทว่าพอกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง คาริฟก็ยืนรออยู่ที่ประตูทางออก ในมือถือผ้าคลุมสีแดงที่นาซีมใช้สวมระหว่างเดินทาง

“หากเจ้าอยากไป ข้าจะไปเป็นเพื่อน”

“...!” นาซีมตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะใจดีเช่นนี้

“ว่าอย่างไร ยังอยากไปหรือไม่”

“ไปสิ!” เจ้าชายตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ลืมรักษากิริยา

“เช่นนั้นก็มาเถอะ สวมผ้าคลุมเสียก่อน”

แม้จะพูดอย่างนั้น แต่คาริฟก็ยังทำเช่นเดิมด้วยการเดินเข้ามาหานาซีมก่อน และสวมผ้าคลุมพร้อมติดเข็มกลัดให้เรียบร้อย

“ขอบคุณ”

“ไปกันเถอะ” เขายิ้มรับคำขอบคุณบางๆ ก่อนจูงมือนาซีมออกไปข้างนอก แต่คนถูกจับจูงกะทันหันกลับรั้งไว้

“...เอ่อ...มือข้า”

“ที่นี่มีคนมาก หากไม่จับไว้ ข้ากลัวเจ้าจะคลาดสายตา” เขาอธิบายและจูงนาซีมไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าชายปฏิเสธสักประโยคเดียว







❂ …………………………….❂







เมื่อออกมาจากบ้านของจาเร็ด พวกเขาพบการแสดงของคณะละครเร่ที่ตั้งแสดงอยู่ด้านหน้าถนน แต่ผู้คนที่เข้ามาชมมีเยอะมากจนไม่มีที่นั่ง และนาซีมก็มองไม่เห็นเพราะถูกฝูงชนที่มาก่อนยืนบัง เขาจึงตัดสินใจบอกกับคาริฟให้พาไปเดินที่อื่นแทน

ดังนั้นพวกเขาจึงออกมาจากถนนเส้นนั้น มุ่งหน้าผ่านจัตุรัสกลางซึ่งมีรูปปั้นเทพีซาร์เรีย ตอนเดินทางเข้ามาบริเวณนี้ยังมีพื้นที่โล่งๆ แต่เวลานี้กลับมีผู้คนมากมายมาเปิดการแสดงรอบด้าน ทั้งนักดนตรีสาวที่สีเครื่องดนตรีได้อย่างไพเราะ ชายหนุ่มที่เดินบนไม้กระดานซึ่งเต็มไปด้วยหนามแหลม และชายชราที่เป่าเครื่องดนตรีเป็นทำนองโหยหวนที่ทำให้งูเห่าตัวใหญ่ชูคอขึ้นมาจากตะกร้าสานใบใหญ่

นาซีมเดินชมการแสดงหลากหลายไปจนผ่านเข้าอีกถนนหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของแปลกตา ร้านรวงเหล่านี้ดูจะเป็นร้านค้าชั่วคราว เพราะวางของบนผ้าสีสดใสและขายกับพื้น ทุกร้านต่างมีโคมไฟดวงใหญ่ประจำร้าน ทำให้มองเห็นสินค้าได้อย่างชัดเจนแม้เวลากลางคืน

นาซีมดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงร้านเครื่องประดับที่ทำจากหินสีร้านหนึ่ง เขาก็สะดุดตากับปลอกคอโลหะสีเงินสำหรับโอเมก้าซึ่งมีหินสีน้ำเงินเข้มประดับตรงกลางต่างจี้

“มีอะไรหรือ” คาริฟเอ่ยขึ้น อาจเพราะเห็นว่าเจ้าชายดูสนใจเป็นพิเศษ

“นี่ดูคล้ายปลอกคอที่ข้าทำหายเลยล่ะ”

“อย่างนั้นหรือ”

“อื้ม” นาซีมพยักหน้ารับ แต่ตายังจ้องมองปลอกคอชิ้นนั้นอยู่ “ชิ้นที่หายไปเป็นชิ้นที่ท่านแม่มอบให้ข้า หลังจากรู้ว่าข้าเป็นโอเมก้า นางเลือกไพลินเพราะสีของมันเหมือนดวงตาข้า”

เมื่อนาซีมเอ่ยจบ เจ้าของร้านจึงรีบเสนอราคา

“นายท่านตาถึงนัก ปลอกคอชิ้นนี้มีเพียงชิ้นเดียว ไพลินที่ประดับถูกส่งมาจากหมู่บ้านจากาซึ่งค้นพบสายไพลินสวยที่สุดในซาร์เรีย หากท่านชอบ ข้าจะให้ราคาพิเศษเลยขอรับ”

“ไม่เป็นไร ข้าขอดูก่อนแล้วกัน ขอบคุณ” นาซีมลุกขึ้นยืนและหันมาพูดกับคาริฟ “ไปกันเถอะคาริฟ เดินจนสุดถนนเส้นนี้พวกเราจะได้กลับ ดึกมากแล้ว”

“อืม” คาริฟรับคำแต่ยังหยุดอยู่กับที่ ทำให้นาซีมเดินไปต่อไม่ได้เพราะมือที่ถูกจับเอาไว้ตั้งแต่แรก

“คาริฟ?”

“ปลอกคอเส้นนี้ราคาเท่าไหร่” คาริฟถามคนขาย

“150 ซาร์ ขอรับนายท่าน”

“ข้าเอาปลอกคอเส้นนี้” ว่าจบคาริฟก็ปล่อยมือนาซีมเป็นอิสระเป็นครั้งแรก เพื่อก้มลงหยิบเงินจากถุงข้างเอวออกมาจ่ายค่าปลอกคอ

“เดี๋ยวก่อนคาริฟ ท่านจะซื้อหรือ” นาซีมรีบถาม

“อืม”

“เอาไปทำอะไร ท่านไม่ได้ใช้มันนี่”

คาริฟไม่ตอบทันที รอจนกระทั่งจ่ายเงินและรับปลอกคอชิ้นนั้นมาไว้ในมือแล้วเขาจึงเฉลย

“ข้าซื้อให้เจ้า”

“ให้ข้า!!” นาซีมรู้สึกเหมือนถูกตีหัว เขามึนงงอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งตั้งสติได้ตอนที่อีกฝ่ายยื่นปลอกคอสีเงินมาตรงหน้า “เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบาก ข้าไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น”

“แล้วเจ้าชอบมันหรือไม่”

“ข้า...”

นาซีมก้มลงมองปลอกคอในมือของคาริฟ แม้มันไม่ได้สวยและล้ำค่าเท่าของเดิมที่เขามี แต่ลวดลายสีเงินอ่อนช้อยที่สานกันไปมากับไพลินสีน้ำเงินเข้มก็ดูน่ารักและเข้ากันเหลือเกิน

ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสวยมากจริงๆ

“ว่าอย่างไร”

“มันงดงามมาก”

“เช่นนั้นก็รับไป”

“แต่ว่า...”

“บางทีมันอาจทำให้ความคิดถึงแม่ของเจ้าเบาบางลง”

ทันทีที่ได้ยิน นาซีมก็ละสายตาจากปลอกคอ แม้ตั้งใจจะปฏิเสธอีกคำ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีมรกตของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกอ่อนหวานสายหนึ่งก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่หัวใจ

“ขอบคุณ” นาซีมตอบรับเบาๆ ก่อนจะรับเอาปลอกคอ นั้นมาไว้ในมือ

เมื่อมือของเขาสัมผัสปลอกคอ มันให้ความรู้สึกเย็นเฉียบตามธรรมชาติของโลหะและอัญมณี ทว่า...ถึงมือของเขาจะเยียบเย็น หากในใจกลับอบอุ่น เพราะสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีที่บุรุษผู้นี้มีให้



...แล้วผู้ใดกันเล่าจะปฏิเสธของกำนัลชิ้นนี้ได้











❂ …………………………….❂











ตอนนี้มาเดทจริงๆ เห็นไหม -///-

อยู่กันแบบเบาๆ ไปตอนสองตอน

ตอนหน้ามาลุ้นๆ ด้วยกันค่ะ



ปล.เรื่องนี้หวานมาก บอกแล้ว อิอิ





ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 12 ของกำนัล :- [09/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-11-2019 14:31:14
เขาหวานกันจัง  ค่าน้ำตาลพุ่งแล้ววว
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 12 ของกำนัล :- [09/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-11-2019 03:05:14
เนียนกันจิงๆ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 12 ของกำนัล :- [09/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 10-11-2019 20:27:43
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 12 ของกำนัล :- [09/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 12-11-2019 11:09:51
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 13 เรื่องไม่คาดฝัน :- [12/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 12-11-2019 16:25:35





บทที่ 13 เรื่องไม่คาดฝัน









หลังกลับถึงที่พัก นาซีมพบจาเร็ดกำลังควบคุมคนให้เก็บข้าวของเข้าไปด้านในเพราะการแสดงในค่ำคืนนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว และเมื่อชายผู้นั้นเห็นเขากับคาริฟ อีกฝ่ายก็ละจากหน้าที่แล้วเดินเข้ามาทักทายทันที

“พวกเจ้าไปไหนกันมา”

“ข้าออกไปเดินในเมืองมาท่านจาเร็ด” นาซีมตอบ

“ที่แท้พวกเจ้าก็ไปเดินเที่ยวกันมาจริงๆ นี่รู้หรือไม่ว่ามีเด็กคนหนึ่งงอแงอยากตามไปด้วย หลังหาจนทั่วแล้วไม่พบอาลีอยู่ในห้อง”

“อันวาหาหรือ”

“ใช่แล้วล่ะ เขาโวยวายยกใหญ่ทีเดียวพอเดาได้ว่าเจ้าไปไหน”

“แล้วยามนี้เขาอยู่ที่ใดหรือ ข้าจะไปหาเขาสักหน่อย” อาลีพอเดาออกว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างไร

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปพักผ่อนเถอะอาลี ส่วนเด็กคนนั้น...ข้าปลอบจนเขาหลับไปเรียบร้อยแล้ว”

“อา...เช่นนั้นหรือ”

“อื้ม” เจ้าของคณะละครเร่รับคำ ก่อนจะกดยิ้มลึกและมองนาซีมด้วยสายตาไม่น่าไว้วางใจ “หากเจ้าอยากให้ข้าปลอบอีกคนก็บอกได้นะ

พูดแล้วจาเร็ดขยิบตาน้อยๆ ตามมา ซึ่งกิริยานั้นทำให้นาซีมรู้สึกไม่ไว้ใจเท่าไหร่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอยหลังมาก้าวหนึ่ง

ส่วนเรื่องอันวาเขาก็ไม่อยากยุ่งไม่เข้าเรื่อง เพราะอย่างไรสองคนนี้ก็จับคู่กันแล้ว

“ขึ้นไปพักเถอะ” เสียงจากคนที่ยืนเงียบมานานเอ่ยขึ้นพร้อมกับแรงแตะที่ข้อศอกเบาๆ นาซีมเอี้ยวคอมองแล้วจึงพยักหน้ารับ

“อืม”

ทว่าก่อนจาก คาริฟก็หันไปกระซิบกับเจ้าบ้าน นาซีมไม่รู้ว่าบุรุษในชุดดำพูดอะไร หากมันก็ทำให้จาเร็ดหุบยิ้มและโอดครวญแทน

“อะ...ไม่ได้นะคาริฟ! เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้นะ”

...สายไปเสียแล้ว เพราะคนขู่ไม่แม้แต่จะปรายตามองหรือหยุดฟังเสียงโหยหวนของจาเร็ด นาซีมลอบมองใบหน้านิ่งๆ อย่างนึกสงสัย และก็ยั้งปากไว้ไม่ทัน

“ท่านบอกอะไรเขาหรือ”

“ข้าบอกให้เขาระวังตัวไว้”

” ระวังตัว?”

ยิ่งได้ยินคาริฟ เจ้าชายก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น ทว่าเจ้าของดวงตาสีมรกตปฏิเสธที่จะตอบ ซ้ำยังแตะต้นแขนเร่งให้เดินเร็วขึ้น

“...เจ้าไม่ต้องรู้หรอก” คาริฟว่า “ขึ้นข้างบนเถอะ”

“...อืม”




❂ …………………………….❂





ครั้นขึ้นมาถึงบนห้องพักเรียบร้อย นาซีมและคาริฟก็แยกกันไปคนละมุม เพราะต่างคนต่างก็ต้องจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัว

ระหว่างนี้นาซีมก็คิดถึงห้องอาบน้ำที่มีอ่างสีทองกับกลีบดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกว่ามันพิเศษเลย เพราะเกิดมาก็พบเจอมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าหลังออกจากวังและต้องอาศัยในที่ต่างถิ่น แค่มีน้ำในอ่างเล็กๆ และผ้าสะอาดสักผืนก็นับว่าดีมากแล้ว เพราะบางครั้งต้องเดินทางโดยไม่ได้อาบน้ำหลายวัน

คิดไปคิดมามือก็เช็ดตัวเสร็จพอดี นาซีมสวมเสื้อตัวเดิมเพราะเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อหัวค่ำ เขานำผ้าคลุมสีแดงไปสะบัดและแขวนไว้ที่มุมหนึ่งก่อนย้ายมานั่งที่เตียงของตน

ขณะที่กำลังจะล้มตัวลงนอน สายตาก็พลันสะดุดกับปลอกคอเส้นใหม่ที่เพิ่งได้เป็นของขวัญ เขามองมันนอนนิ่งอยู่ข้างหมอน ในใจเกิดความรู้สึกหลากหลาย หากก็บอกไม่ถูกว่าควรอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไร

นั่งนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งเจ้าชายโอเมก้าจึงขยับ เขาปลดปลอกคอหนังที่สวมตั้งแต่โฮมาออก แล้วหยิบของใหม่ขึ้นมา ระหว่างที่จะสวม สายตาไม่รักดีก็แอบมองใครอีกคนที่อยู่ในห้องด้วยกัน เมื่อครู่ตอนที่นาซีมเช็ดตัว เขาเห็นบุรุษผู้นั้นล้มตัวนอนที่เตียงตรงข้ามและหันหน้าเข้าผนังไปแล้ว

หลับแล้วกระมัง…เจ้าชายคิด

ครั้นช้อนตาขึ้นมอง นาซีมก็ปะทะกับสายตาสีมรกตที่กำลังจ้องเขม็งมาทางตนพอดี

...ดูเหมือนเมื่อครู่เขาจะมองผิดไป

เขาบ่นกับตัวเองในใจ ก่อนดึงสายตากลับมาที่ปลอกคอใหม่ในมือ นาซีมรู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ นาซีมหวังว่าแสงเทียนหรุบหรู่จะไม่พอให้คาริฟมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา

ทว่าอะไรๆ ดูไม่เป็นใจเอาเสียเลย เมื่ออีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยถ้อยคำดับฝัน

“นาซีม”

“หืม?” นาซีมเงยหน้าสบตาเขาอีกครั้ง

“เจ้าจะไม่สวมมันหรอกหรือ”

“ต้อง...สะ...สวมแน่นอนอยู่แล้ว”

นาซีมเกลียดตัวเองนักที่ชอบพูดตะกุกตะกักเวลาที่ประหม่า และไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่มือเขาเองก็สั่นเมื่อรู้ว่าคนคนนั้นคอยจ้องมองทุกการกระทำ

“เช่นนั้นก็สวมสิ” คาริฟพูดเรียบๆ แต่ดวงตากลับวาววับรับแสงเทียน

“ข้าสวมแน่” นาซีมว่า “แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากรู้ เหตุใดเจ้าจึงต้องจ้องข้าขนาดนี้ด้วย”

เขาอายจะแย่อยู่แล้ว ก็อีกฝ่ายเล่นจ้องจนแทบทะลุ ไม่ว่ามือไม้เขาจะหยิบจับอะไร หรือเขาจะทำหน้าแบบไหน ยิ่งอีกฝ่ายเห็นว่าเขากำลังจะสวมปลอกคออันใหม่ แววตาและกลิ่นอายที่คาริฟแผ่ออกมาก็ยิ่งทำให้นาซีมไม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

“ข้าแค่กำลัง...ศึกษาสีหน้าของเจ้า”

“ศึกษาหรือ”

“ใช่”

“อ้อ” ครั้นเขาเฉลย เจ้าชายก็นึกเรื่องเมื่อคืนออกทันที

“แล้วเจ้าได้อะไรบ้าง การที่เจ้าเอาแต่จ้องข้า มันทำให้เจ้ารู้จักข้าดีขึ้นหรือไม่คาริฟ”

คาริฟนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบ

“เจ้าเป็นคนที่มองออกง่าย คิดอย่างไร สีหน้าก็แสดงออกมาจนหมด ดูซื่อตรงเสียจนคิดไม่ถึงว่าจะเติบโตขึ้นในพระราชวังยิ่งใหญ่เช่นโซราห์”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เพราะราชา เจ้าชาย หรือแม้แต่ชีคของเผ่าต่างๆ ที่ข้าเคยพบ จะเก็บงำความคิด ความรู้สึกที่แท้จริงได้ดีกว่านี้ ไม่รู้ว่าราชาราฮิมกับราชินีอาลียาเลี้ยงท่านมาอย่างไร แต่หากให้เดา คงเติบโตมาด้วยความรักสินะ”

ถ้อยคำตีความจากการแสดงสีหน้าที่คาริฟเอ่ยออกมาทั้งหมดกระแทกเข้ากลางใจของเจ้าชายนาซีมอย่างแรง เขาไม่รู้ควรรู้สึกเรื่องใดก่อน ทว่าเมื่อมองสายตาผู้ล่าที่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนกะทันหัน ความร้อนในร่างกายก็คล้ายจะพุ่งมารวมที่พวงแก้มของนาซีมอีกหน

“แต่เอาเถอะ ถ้าเจ้าไม่ชอบให้ข้ามอง ข้าจะมองให้น้อยลง”

ทั้งๆ ที่เขาพูดแบบนั้น แต่คาริฟก็ยังนอนตะแคงและจ้องมาทางนาซีมอยู่ดี

“...”

“ว่าอย่างไร เจ้าอนุญาตหรือไม่...นาซีม”

หากเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะทำอย่างไรได้...เจ้าชายคิด

“ท่านอยากมองก็มอง ข้าหรือจะห้ามท่านได้”

พูดจบนาซีมก็กลั้นใจไม่สบตาอีกฝ่าย สวมปลอกคอที่ได้เป็นของกำนัลเร็วๆ สุดท้ายก็ล้มตัวลงนอนและหันหน้าเข้าผนัง

ใครอยากจ้องก็จ้องเถอะ แค่เขาไม่เห็นก็ไม่เป็นไรแล้ว!

“หึๆ”

นาซีมได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากด้านหลัง แต่เขาไม่หันไปมองอีกแล้ว ใครจะอยากทำตัวหน้าอายต่อหน้าผู้ที่บอกว่าสามารถมองเขาออกได้ง่ายๆ กันล่ะ

เจ้าชายนอนกอดอกเงียบๆ เกร็งร่างกายไม่กระดุกกระดิกพักใหญ่ กระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง แขนที่กอดตัวเองไว้ก็ค่อยๆ ตกลงข้างตัว เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

คาริฟชะโงกตัวมองมายังเตียงตรงข้าม เมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายจมเข้าสู่ห้วงนิทรา บุรุษชุดดำจึงผุดลุกขึ้นมาแล้วห่มผ้าผืนบางปิดถึงอกให้เจ้าชาย

คาริฟจ้องมองใบหน้าสงบนิ่งที่หลับลึกราวกับเด็กเล็กๆ แล้วเผลอยิ้มออกมาบางๆ

อยากมองก็มอง อย่างไรก็ห้ามเขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ...

แน่นอน...นาซีมห้ามเขาไม่ได้อยู่แล้ว เพราะตั้งแต่เห็นนาซีมระบำพันราตรีคืนนั้น คาริฟก็ไม่อาจถอนสายตาจากเจ้าชายตกยากพระองค์นี้ได้เลย

ความรู้สึกเรียกร้องตามสัญชาตญาณของคู่แห่งโชคชะตารุนแรงนัก แต่เหนือสิ่งอื่นได้ เขารู้สึกถูกใจและประทับใจนาซีมจริงๆ ยิ่งเมื่อพินิจให้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นไปอีก มองเข้าไปยังบุคลิกและการแสดงออกโดยไม่นำข้อแม้ระหว่างชนชั้นมาเกี่ยว

รู้ตัวอีกทีคาริฟก็เปิดใจให้นาซีมเสียแล้ว ไม่รู้ทำไมจึงง่ายดายเหลือเกิน ง่ายจนไม่น่าเชื่อว่าแต่ก่อนเขาไม่เคยรับใครเข้ามา

คาริฟถือวิสาสะใช้ปลายนิ้วแตะลงบนแก้มเนียนดูสักรอบ แก้มที่เมื่อครู่เปลี่ยนสีเพียงเพราะถูกเขาจ้อง คิดแล้วชายหนุ่มก็หลุดยิ้มโง่ๆ ออกมาอีกรอบ

จากนี้ระหว่างพวกเขาสองคนจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต ในเมื่อไม่อาจฝืนได้...คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

อย่างไรเสียตอนนี้ก็คงไม่ได้มีแค่เขาที่ต้องห้ามใจและว้าวุ่นอยู่ฝ่ายเดียว





❂ …………………………….❂





หลายวันมานี้นาซีมมักถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม วันนี้เองก็เช่นกัน เพียงแต่เสียงที่ปลุกเขาในวันนี้มีต้นตอมาจากโอเมก้าหนุ่มสองคน คนหนึ่งแต่งกายเรียบร้อยยืนคอยอยู่ปลายเตียง ส่วนอีกหนึ่งสวมเพียงกางเกงกับผ้าคาดศีรษะปล่อยชายยาว และกำลังนั่งเขย่าแขนเขาอยู่

“ไปด้วยกันเถอะนะอาลี” อันวาเว้าวอน

“แต่คาริฟไม่อยู่มิใช่หรือ”

“ใช่ รวมทั้งเจ้าบ้าจาเร็ดด้วย”

“พวกเขาไม่อยู่แล้วเราจะไปได้อย่างไร คาริฟสั่งข้าไว้ว่าไม่ให้ออกไปไหนมาไหนถ้าไม่จำเป็น” นาซีมค่อยๆ ทวนคำที่คาริฟสั่งไว้ก่อนออกไปรับคนของเขาตั้งแต่เช้าตรู่

“คาริฟกังวลเกินไปแล้ว” ซินบอก “อีกอย่างเขาเป็นแค่สหายของเจ้า เหตุใดต้องกลัวเขาขนาดนั้นด้วย”

“เอ่อ...ข้า”

เจ้าชายมองหน้าอันวา อยากให้อีกฝ่ายช่วยหาเหตุผลว่าทำไมเขาต้องเชื่อฟังคาริฟ แต่ดูเหมือนอันวาจะคิดถึงเรื่องออกเที่ยวเล่นมากเสียจนลืมเรื่องสำคัญไป

นาซีมพอเข้าใจเด็กหนุ่มอยู่บ้าง เพราะหลายวันมานี้เขาถูกจาเร็ดรั้งไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหน ด้วยเหตุผลที่ว่าอันวาฮีท พอหายดีแล้วเจ้าตัวจึงอยากออกไปเดินเปิดหูเปิดตาตามประสาเด็กไม่อยู่สุข

เมื่อซินออกปากชวนให้ไปซื้อเครื่องหอมเป็นเพื่อน เจ้าตัวจึงรีบตอบตกลงโดยไม่ลังเล ซ้ำยังคิดจะลากนาซีมไปเที่ยวด้วยกันอีกต่างหาก

“ร้านเครื่องหอมและกำยานอยู่ไม่ไกลจากบ้านท่านจาเร็ดเท่าใดนัก ยังไปไม่ถึงจัตุรัสกลางด้วยซ้ำ พวกเรารีบไปรีบกลับก่อนที่อัลฟ่าของพวกเจ้าจะมาก็คงได้แล้ว”

“อัลฟ่าของข้าที่ไหนกัน!”

อันวาร้องแหวก่อนใครเพื่อน แต่ก็ถูกซินตอกกลับจนหน้าหงาย

“อย่างนั้นหรืออันวา ได้ๆ ข้าจะบอกท่านจาเร็ดให้”

“ยะ...อย่านะ! ถ้าเจ้ากล้าบอก ข้าจะ...”

“จะอะไร” ซินถามอย่างท้าทาย

“จะไม่ช่วยตอนที่เจ้าฮีท!”

“อ้อ...ได้! แต่ข้าคิดว่าท่านจาเร็ดยินดีช่วยข้าแน่”

“ซิน!! เหตุใดเจ้าร้ายกาจเช่นนี้!”

เด็กหนุ่มร้องประท้วง แต่ผู้ชนะกลับไม่สนใจ นาซีมมองภาพการทะเลาะเบาะแว้งของสองโอเมก้าแล้วรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา ทีแรกยามเมื่อเดินทาง นาซีมไม่คิดว่าซินจะมีบุคลิกเช่นนี้ แต่เมื่อได้สนิทกันมากขึ้น เจ้าชายก็แอบคิดอย่างอันวาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายออกจะร้ายกาจนิดๆ จริงๆ

“มองหน้าข้าเช่นนี้ เจ้ากำลังด่าข้าในใจอยู่หรืออาลี” ดูเหมือนนาซีมจะมองนานเกินไป ซินจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขาแทน

“ใครจะคิดเช่นนั้นกันเล่า”

“คิดหรือไม่คิดก็ช่างเถอะ ตอนนี้เจ้าต้องแต่งตัวได้แล้ว” ซินไม่ฟังคำแก้ตัว

“แต่ข้าคิดว่าข้าจะไม่ไป...”

“ไม่ได้!”

“ไม่ได้!”

โอเมก้าสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นาซีมผงะไปนิด ก่อนจะเอ่ยเหตุผลอีกรอบ

“ข้ากลัวคาริฟว่าเอาได้”

“ตกลงว่าเจ้าจับคู่กับเขาแล้วหรือ” ซินเลิกคิ้วถาม

“ไม่ได้จับ”

“แล้วทำไมต้องเชื่อฟังเขาขนาดนั้นเล่า หรือที่เจ้าเชื่อเขาทุกอย่าง...เพราะเจ้ามีใจให้คาริฟ!!”

“มะ...ไม่ใช่นะ!” นาซีมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อคิดว่าตนจับคู่กับคาริฟ ความร้อนในร่างกายก็พากันไปรวมอยู่ที่แก้ม

“เจ้าชอบเขาจริงๆ สินะ” ซินกดยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนอันวานั้นมองเขาตาโต

“จริงหรือ? !”

“ไม่ใช่ๆ ซินพูดอะไรอย่างนั้น”

“ถ้าไม่ใช่เช่นที่ข้าสันนิษฐาน เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังเขาทุกอย่างก็ได้มิใช่หรือ นอกเสียจากเจ้าชอบเขา จึงเชื่อคำเขา” ซินยิ้มร้าย แล้วว่าต่อ “แค่ออกไปซื้อเครื่องหอมด้วยกันนิดเดียวเอง ทั้งยังอยู่ใกล้มาก แล้วในเอมาลีก็ไม่ได้อันตรายอะไร ไม่มีใครคิดจะทำอะไรเจ้าหรอก เว้นเสียแต่ว่าเจ้าไปทำอะไรมาจึงต้องกลัวว่าจะมีคนมาปองร้าย”

“...” เมื่อได้ฟังนาซีมก็พูดไม่ออก อันที่จริงเอมาลีก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่เพราะคาริฟสั่งไว้ และมันหมายถึงความปลอดภัยของเขาเอง ซึ่งหากเกิดอะไรขึ้น คนที่จะลำบากที่สุดคือตัวเขา รวมทั้งคนที่ช่วยปกป้องอยู่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อมองแววตาของซิน นาซีมรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ เหมือนคนคนนี้รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา หรือไม่ก็กำลังสงสัย

ดังนั้นนาซีมจึงยอมเล่นตามน้ำไปเพื่อตัดความสงสัยในตัวเอง

“เอ่อ...ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าไปกับซินสองคนก็ได้” อันวาเอ่ยขึ้นมาก่อน เพราะคงรู้สึกได้ว่าไม่ควรบังคับใจนาซีม ทั้งยังไม่ควรขัดคำสั่งคาริฟ

ทว่านาซีมตัดสินใจแล้ว...

“ถ้าหากว่ามันไม่ไกลนัก ข้าจะไปกับพวกเจ้าก็ได้”

“อาลี…”

“ไม่เป็นไรหรอกอันวา” นาซีมยิ้มพร้อมกับลอบขยับตาทีหนึ่ง “หากเรารีบไปรีบกลับข้าว่าคงไม่เป็นไร”

“ดีเลย” ซินยิ้มออกมาในที่สุด “เช่นนั้นเจ้าก็รีบแต่งตัว เราจะได้ไปกัน เมื่อวานข้าได้เงินจากคนดูมาเต็มกระเป๋า อยากเอามาใช้จะแย่แล้ว”

“อืม”

นาซีมลุกขึ้นจากเตียงเพื่อแต่งตัว ระหว่างนั้นเจ้าชายก็ลอบสังเกตซินไปด้วย แต่ลองๆ คิดดูแล้ว คนผู้นี้อาจไม่มีอะไรแอบแฝงอย่างที่เขากลัวก็เป็นได้ บางทีซินคงแค่อยากแกล้งแหย่เขาเรื่องคาริฟ เหมือนที่แหย่ให้อันวาเขินจนทำตัวไม่ถูกเท่านั้น

กระทั่งแต่งตัวเสร็จพวกเขาก็พร้อมเดินทาง วันนี้นาซีมแต่งกายมิดชิด ทั้งยังห่มผ้าคลุมปิดหน้า อย่างน้อยก็คงช่วยป้องกันตนเองได้ในระดับหนึ่ง

...เขาคิดขณะก้าวออกจากบ้านของจาเร็ด





❂ …………………………….❂





ร้านเครื่องหอมและกำยานอยู่ไม่ใกล้จากบ้านของจาเร็ดจริงๆ เพียงแต่มันเป็นร้านเล็กๆ และหลบมุมอยู่ในตรอก หน้าร้านไม่ติดกับถนนสายหลัก

ภายในตกแต่งด้วยแสงไฟสลัวและดูลึกลับแม้ว่านี่จะเป็นเวลากลางวัน ร้านแคบๆ นี้มีชั้นวางของสูงใหญ่ตั้งเรียงกันเป็นแถว โดยแต่ละช่องจะมีกำยาน เครื่องหอม น้ำหอมในแบบต่างๆ จัดวางเอาไว้ รวมถึงให้ลูกค้าได้ลองพิสูจน์กลิ่นก่อนซื้อ

แต่เดิมนาซีมไม่ค่อยสนใจพวกเครื่องหอมเท่าใดนัก เขาจึงทำหน้าที่เดินตามซินและอันวาไปตามช่องต่างๆ กระทั่งเดินไปถึงช่องหนึ่ง ลูกจ้างในร้านก็เดินเข้ามาหาซิน และบอกบางสิ่งที่นาซีมได้ยินไม่ถนัดนัก ครั้นพูดจบเขาก็หันมาหาอันวา

“อันวา”

“ว่าอย่างไรซิน”

“เครื่องหอมที่เจ้าเคยสั่งที่ร้านจัดเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าจะลองไปดูก่อนไหมว่าใช่ของที่เจ้าจะเอาไปทำยาได้หรือเปล่า”

“จริงหรือ! ไปสิๆ” อันวาทำตาโต และตื่นเต้นอย่างมาก ก่อนพวกเขาจะเดินตามลูกจ้างไปยังจุดที่เอาไว้สั่งของเฉพาะซึ่งไม่มีวางหน้าร้าน

นาซีมเองก็ตั้งใจจะตามไปดูเช่นกัน ทว่าใครคนหนึ่งจับที่แขนเขาและรั้งเอาไว้เสียก่อน

“พ่อหนุ่ม”

“!!” นาซีมสะดุ้งสุดตัว แต่โชคดีที่เขาไม่ได้ร้องตะโกน เมื่อก้มลงดูจึงพบว่าผู้ที่รั้งแขนเขาไว้เป็นเพียงหญิงชราที่มีนิ้วมือเหี่ยวย่นคนหนึ่ง

“ขออภัยที่ทำให้พ่อหนุ่มตกใจ”

“ไม่เป็นไรขอรับ” นาซีมตั้งสติได้และตอบกลับไปอย่างนอบน้อม “ท่านยามต้องการสิ่งใดหรือขอรับจึงได้เรียกข้าไว้”

“ข้าไม่ต้องการสิ่งใด เพียงเห็นพ่อหนุ่มมากับพวกเขา แต่ดูไม่สนใจเครื่องหอมในร้านข้าสักนิด จึงอยากเข้ามาชวนเจ้าพูดคุยด้วยก็เท่านั้น”

“อ้อ...” นาซีมยิ้มรับความปรารถนาดี เขาพอเดาได้แล้วว่าหญิงชราผู้นี้เป็นเจ้าของร้าน “ขอบคุณท่านยายมากขอรับ”

“ไม่เป็นไรๆ” นางโบกมือ ก่อนจะชวนคุย “ว่าแต่พ่อหนุ่มไม่มีสิ่งใดสนใจเลยหรือ เจ้าชอบใช้เครื่องหอมหรือไม่”

“อา...ยามปรกติมีใช้บ้างขอรับ แต่ช่วงนี้ข้าเดินทางไกลจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่”

นาซีมพูดตามความจริง แต่ไม่ได้พูดทั้งหมด ด้วยแต่เดิมในฐานะเจ้าชาย อาภรณ์และร่างกายของเขาย่อมมีกลิ่นหอมจรุงติดกายอยู่เสมอ แต่เมื่อต้องหนีตายและเดินทางไกลเช่นนี้ ความสนใจในเครื่องปะทินโฉมก็ลดเลือนไป ด้วยมีสิ่งอื่นให้ต้องใส่ใจมากกว่า

“เช่นนั้นเจ้าก็มิได้รังเกียจเครื่องหอมใช่หรือไม่”

“ขอรับ” นาซีมพยักหน้ารับ

“โอ้...ดีจริง เช่นนั้นจะรบกวนหรือไม่ หากข้าจะขอให้เจ้าช่วยดมกลิ่นน้ำหอมที่ข้าเพิ่งปรุงขึ้นใหม่ให้ที ข้าได้หัวน้ำหอมมาจากแดนไกลถึงโซราห์เชียวนะ”

เมื่อได้ยินคำว่าโซราห์ นาซีมก็ยอมเดินตามหญิงชราไปอย่างง่ายได้ เพราะรู้สึกคิดถึงแคว้นเกิดของตนเอง และคาดหวังว่าหากโชคดี เขาอาจได้ดมกลิ่นน้ำหอมที่เคยใช้ในโซราห์ด้วย

พวกเขาเดินไปยังช่องแคบๆ ที่อยู่เกือบในสุดของร้าน จากตรงนี้นาซีมไม่ทันสังเกตเลยว่าเป็นจุดที่ค่อนข้างลับตาคน เขามองตามมือเหี่ยวย่นที่เอื้อมไปหยิบขวดแก้วใสซึ่งบรรจุของเหลวสีอำพันเอาไว้ ก่อนนางจะเอ่ยถึงส่วนประกอบของน้ำหอม และเปิดขวดแตะของเหลวบนข้อมือให้เขาดม

นาซีมสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มที่ ในแวบแรกเขารู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมันหวานเลี่ยนเกินไปและน่าจะเหมาะกับอิสตรีมากกว่า แต่ต่อมานอกจากความรู้สึกไม่ชอบ นาซีมยังเวียนหัวขึ้นมาดื้อๆ เขาฟังที่หญิงชราเอ่ยไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนกับว่านางอยู่ไกลออกไปทุกทีๆ

“ข้า...เวียนหัว”

เจ้าชายจังหน้าผากของตนเอง เขารู้สึกไม่ดีอย่างมาก ลางสังหรณ์ของเขาเตือนถึงอันตราย แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไป เพราะยังไม่ทันที่เขาจะตะโกนร้องให้อันวากับซินช่วย ความเจ็บปวดจากอะไรบางอย่างปักเข้าที่ท่อนแขนก็ตามมา





...และภาพตรงหน้าก็ดับวูบไปทันที!







❂ …………………………….❂











มาต่อแล้วค่าาา 

มาค่ะ บอกแล้วว่าตอนนี้มีลุ้น

มาดูว่าอะไรจะเป็นยังไงต่อนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า



ละอองฝน.



หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 13 เรื่องไม่คาดฝัน :- [12/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-11-2019 23:00:02
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 13 เรื่องไม่คาดฝัน :- [12/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 12-11-2019 23:52:35
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 13 เรื่องไม่คาดฝัน :- [12/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-11-2019 23:39:24
โดนแล้วววว
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 13 เรื่องไม่คาดฝัน :- [12/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-11-2019 00:29:40
อะเป็นเรื่อง
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 14 ผู้ทำนาย :- [15/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 15-11-2019 19:22:51


บทที่ 14 ผู้ทำนาย







เวลาผ่านไปค่อนคืนหลังจากดวงจันทร์หายลับจากช่องว่างของหน้าต่างทรงสูงไป ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องบรรทมของราชาพระองค์ใหม่แห่งโซราห์ อยู่ๆ ก็มีสายลมพัดม่านประดับเสาเตียงวูบหนึ่ง การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้นปลุกดวงตาคมกริบของผู้ที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงให้เปิดขึ้น

“ราชาทาริค”

เสียงทุ้มหนักดังขึ้นในความมืด เจ้าของนามนั้นจึงขยับกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเกียจคร้านและจ้องไปทางปลายเท้า

“ซีญ่า?”

“ข้าเองขอรับ”

“มีเรื่องอันใดจึงเข้ามาปลุกข้าเวลานี้”

ทาริคถามทหารคนสนิทด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หากก็พอเดาได้ว่าการที่ซีญ่ามารบกวนในยามวิกาล ย่อมมีเรื่องสำคัญรายงาน

“คนของเราจับเขาแล้วขอรับ”

สิ้นเสียงซีญ่า ทาริคก็เงียบไปครู่หนึ่ง ทหารคนสนิทไม่ได้เงยหน้ามองว่านายเหนือหัวมีสีหน้าอย่างไร จึงไม่กล้าพูดต่อ กระทั่งร่างใต้ผ้าแพรบางข้างกายของเขาขยับเล็กน้อย องค์ราชาจึงยอมเอ่ยถาม

“ที่ไหน”

“แคว้นเอมาลีขอรับ”

“ไปได้ไกลเสียจริง”

“คนของเราพบเขาแฝงตัวเป็นนักแสดงอิสระเพื่อขอเข้าร่วมกับคณะละครเร่ชื่อดังแห่งเองมาลี แต่ที่ถูกจับได้เพราะข่าวเรื่องผู้ทำนายที่เราประกาศออกไป”

ทาริคยกยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่าวิธีนี้ต้องได้ผล แม้จะเสี่ยงหากใครรู้เรื่องผู้ทำนายแล้วคิดนำตัวเขาไปครอบครองเอง แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในดินแดนนี้ยอมอยากได้ของตอบแทนที่จับต้องได้ทันทีมากกว่า แค่เสนอค่าหัวสูงๆ ก็มีคนพร้อมจะช่วยโดยเขาไม่ต้องเปลืองแรงเอง

แต่อย่างไรเสีย ทาริคก็ไม่คิดว่าเจ้าชายโอเมก้าที่สิ้นไร้ซึ่งพลังและอำนาจในมือจะสามารถดั้นด้นหนีไปได้ไกลถึงแคว้นเอมาลี

“ช่างเก่งกาจนัก เป็นเพียงโอเมก้าตัวเล็กๆ แต่หนีพ้นเงื้อมมือข้าได้นานเพียงนี้”

แม้คนผู้นั้นจะเป็นเหตุให้ทาริคต้องวุ่นวายพลิกแผ่นดินหา แต่ดวงตาวาววับที่สะท้อนแสงจันทร์กลับเต็มไปด้วยความพอใจเมื่อเอ่ยถึง

เดิมทีเขามิได้ให้ความสนใจในตัวเจ้าชายนาซีมแม้แต่น้อย และตั้งใจจะปลิดชีพทันทีที่ยึดโซราห์ได้ แต่เพราะคำทำนายของนักบวชผู้นั้น เขาจึงยอมวางแผนมากมายเพื่อได้ตัวเจ้าชายแห่งโซราห์แบบที่ยังมีลมหายใจ

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”

“คนของเราควบคุมตัวเขามาไว้ที่ซันดาเรียบร้อยแล้วขอรับ รอให้เตรียมการเรียบร้อยก็จะพาเขาเดินทางมาโซราห์ทันที”

“ว่าแต่รู้หรือยังว่าใครเป็นคนช่วยเขาออกไปในคืนนั้น”

ที่ถามเพราะทาริครู้ว่านาซีมไม่อาจเตรียมการทั้งหมดได้ด้วยตัวเองแน่ หากเป็นกองกำลังส่วนตัวของเจ้าชายก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีคนบังอาจยื่นมือเข้ามาสอด

ทาริคก็อยากรู้ว่ามันเป็นใคร!

“สายของเรารายงานว่าส่วนหนึ่งเป็นกองกำลังรักษาพระองค์ของเจ้าชายนาซีม”

“แปลว่ามีคนเข้ามายุ่งเรื่องนี้จริงๆ สินะ”

“ขอรับ”

“มันเป็นใคร”

“เรายังไม่ทราบแน่ชัด แต่กำลังตรวจส่งคนเร่งสอบกันอยู่” ซีญ่าตอบเรียบๆ แม้รู้ว่าคำตอบนี้จะทำให้ทาริคโกรธก็ตาม

“กำลังทำหรือ...” ทาริคหรี่ตามอง ดวงตาคมกริบนั่นจ้องนายทหารคนสนิทอย่างคุกคาม เขาแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายที่แม้แต่อัลฟ่าด้วยกันก็ไม่อาจสู้ได้ออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “อย่าให้ข้ารู้สึกว่าการเก็บพวกเจ้าไว้มันไร้ประโยชน์”

“ขะ...ขอรับ”

คนตอบเหงื่อตก ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อทาริคค่อยๆ ผ่อนรังสีคุกคามลง

“เอาเถอะ ข้าไว้ใจเจ้า แต่จัดการให้ดีก็แล้วกัน” เขาเว้นนิด หากไม่ลืมกำชับ “แล้วอย่าให้นาซีมหนีไปได้อีก ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย”

“ขอรับ!” ซีญ่าค้อมหัวรับคำสั่งแข็งขัน ก่อนจะถอยฉากออกจากห้องบรรทมของราชาไป

ภายในห้องนอนกว้างใหญ่กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทาริคเสยผมยุ่งๆ ไปด้านหลัง ใบหน้าเรียบเฉยมองออกไปนอกหน้าต่างโค้ง เข้าจ้องความว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไปเนิ่นนาน ในหัวครุ่นคิดถึงแผนการใด...ไม่มีใครล่วงรู้

กระทั่งร่างใต้ผ้าแพรขยับอีกครั้ง เขาจึงถอนสายตากลับมา กระชากผ้าเนื้อเย็นออก ก่อนโน้มตัวลงไปทาบทับแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนข้างกาย

จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมสะอาด ก่อนจะอ้าปากฝังเขี้ยวลงไปบนไหล่ของร่างแบบบาง

“นี่!” คนใต้ร่างของทาริคร้องแหว จากนั้นจึงดิ้นขลุกขลักเพื่อหลบหนี แต่ไหนเลยจะสู้แรงของราชานักรบได้ “ปล่อยข้า ข้าเจ็บ!”

“เจ็บจริงหรือ” ทาริคเลิกกัดแล้วถามเสียงคางยาน “แล้วเมื่อหัวค่ำใครกันที่ยังขอร้องให้ข้ากัดเล่า”

“ปล่อย!” ชายคนนั้นไม่ตอบ ทั้งยังยืนยันจะปฏิเสธอ้อมกอด แต่ทาริคทำหูทวนลม มิหนำซ้ำกลับรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม

“เมื่อครู่...เจ้าได้ยินมากแค่ไหน”

หลังจากสู้แรงคนเอาแต่ใจไม่ได้และเห็นว่าเปล่าประโยชน์เพราะทาริคไม่สนใจการประท้วงของตน คนในอ้อมแขนจึงหยุดดิ้นแล้วตอบคำถาม

“ข้ามิได้หลับ”

หากแปลให้ตรงตัวก็หมายถึง ข้าได้ยินพวกเจ้าตั้งแต่แรกสินะ...ทาริคจุดยิ้มมุมปากเมื่อคิดถึงความหมาย จากนั้นจึงใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงกระซิบ

“โกรธข้าหรือ”

“เหตุใดข้าต้องโกรธเจ้า”

“ให้คนทึ่มๆ อย่างซีญ่าดูยังรู้ว่าเจ้าไม่พอใจข้า”

“ข้าจะไม่พอใจเจ้าเรื่องใดเล่า”

“ไม่รู้สิ...” ทาริคเว้นไปนิด ก่อนจะทำทีคาดเดาด้วยน้ำเสียงยียวน “อาจเป็นเรื่องที่ข้าให้คนพานาซีมกลับมาที่พระราชวังโซราห์ก็ได้”

“เหอะ!” คนใต้ร่างแค่นหัวเราะ “ข้ามีสิทธิ์ไม่พอใจได้หรือองค์ราชา บัดนี้ราชวังโซราห์ และทุกอย่างในโซราห์ล้วนเป็นของท่าน หากท่านจะนำโอเมก้าตนใดกลับมาอภิเษก ย่อมเป็นสิทธิของพระองค์”

“เจ้าเองก็รู้ดีนี่” ทาริคว่า ก่อนจะผละออกมานั่งพิงหัวเตียงเหมือนเก่า “จะยกใครไว้ข้างกาย ใครอยู่แค่ในนาม ย่อมเป็นสิทธิ์ขาดของข้า”

เขากอดอกมองร่างที่ผวาเฮือกเมื่ออ้อมกอดอุ่นห่างไป มองแววตาสะเทือนใจที่ตวัดกลับมาตัดพ้อกันหลังได้ยินประโยคเย็นชาเมื่อครู่

อามิน เป็นเช่นนี้เสมอ บางครั้งดูไว้ตัวแสนเย่อหยิ่ง แต่บางครั้งก็ออดอ้อนและเว้าวอนเสียจนคนมองอยากแกล้งให้ร้องไห้บ่อยๆ

“แน่นอน...นั่นเป็นสิทธิ์ของท่าน ถึงแม้ท่านไม่นำตัวเขากลับมา เบต้าอย่างข้าก็ไม่อาจจับคู่กับอัลฟ่าอย่างท่านได้อยู่ดีราชาทาริค”

“ในเมื่อเจ้ารู้ เหตุใดเจ้าจึงชอบประชดข้านัก”

“...”

“เราเคยตกลงกันก่อนข้าได้โซราห์กับซันดามาครอง หากวันใดเจ้าไม่พอใจ จะจากไปก็ได้”

“...”

อามินไม่ตอบ แต่หันกลับไปดันตัวขึ้นจากที่นอน ตั้งท่าจะออกจากห้อง ราวกับคร้านต่อล้อต่อเถียงกับเรื่องที่ถกกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เขาไม่ตอบจนกระทั่ง ตอนที่ทาริคเอื้อมไปคว้าแขนฉุดให้หันกลับมา

“บอกข้าสิ...เหตุใดเจ้าจึงไม่จากไป”

ทั้งสองจ้องตากันในความมืดสลัว พวกเขาอยู่ใกล้กันแค่ระยะหนึ่งลมหายใจแผ่วเบา แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจล่วงรู้ความคิดของคนตรงหน้าได้ ราวกับมีกระจกใสคั่นกลางเอาไว้

อามินจ้องดวงตาดุดันไม่ยอมแพ้ แม้รู้สึกแล้วว่ากำลังถูกกลิ่นอายของอัลฟ่าผู้ทรงพลังคุกคามอีกคน เขาจ้องมองทาริคอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน สุดท้ายจึงยอมหรุบตาลงก่อน และเอ่ย...

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรข้าจึงไม่จากไป” เขาเว้นไปนิด “...จะไม่มีวันได้รู้”

ทาริคมองท่าทางราวกับกำลังจะแตกสลายในไม่กี่วินาทีข้างหน้า ก่อนจะจุดยิ้มที่มุมปาก เพราะคำถามของเขาได้ผล

“แต่ข้าคิดว่าข้ารู้”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเหนือหัว ก่อนช้อนคางคนที่เอาแต่ก้มหน้าให้เงยขึ้นมา…

“...”

“เชื่อสิ ข้ารู้”

…และกดจูบริมฝีปากของอามินไม่ให้เบต้าหนุ่มได้ประท้วงสิ่งใดอีกเลยตลอดทั้งคืน






❂…………………………….❂






นาซีมตื่นขึ้นในที่ไหนสักแห่งที่มีกลิ่นอับชื้น เขาว่าตนถูกปิดตา มัดแขนขาเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ศีรษะคล้ายถูกของแข็งตีจนปวดร้าวสะเทือนมาถึงกระบอกตา ทั้งยังวิงเวียนและคอแห้งเป็นผง

อยากดื่มน้ำเหลือเกิน...เจ้าชายโอเมก้าคิด ถึงอย่างนั้นก็ทำได้แค่คิด เพราะพยายามเปล่งเสียงเรียกใครสักคน แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาสักแอะ

เขาตั้งสติ แม้กำลังอกสั่นขวัญแขวนแค่ไหน ก่อนจะปล่อยตัวนอนพับเหมือนเดิม เพื่อให้อาการวิงเวียนเบาบางลง พร้อมกันนั้นก็คอยฟังเสียงรอบกาย และลองคาดเดาว่าตนเองอยู่ที่ไหน

เมื่อรู้สึกดีขึ้นอีกนิดเจ้าชายก็ค่อยๆ ขยับขากวาดไปรอบด้าน ด้วยอยากสำรวจว่ารอบตัวมีสิ่งใดอยู่หรือไม่ ปรากฏว่าในระยะที่เขาเอื้อมถึงเป็นพื้นที่เรียบโล่ง คล้ายพื้นที่ปูด้วยหินเพราะมันเยียบเย็นเหลือเกิน ทั้งลองฟังเสียงอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ยินสิ่งใดสักนิด

นาซีมจึงสรุปว่าเขาอาจถูกจับไว้ในห้องใต้ดินที่ไหนสักแห่ง เพราะที่นี่อากาศเย็นกว่าอากาศปรกติ

เจ้าชายนอนคิดว่าเขาถูกจับมาที่นี่นานแค่ไหนแล้ว คาริฟและคนอื่นๆ จะรู้เรื่องที่เขาหายไปหรือยัง ตำหนิตัวเองที่ใจอ่อน ยอมออกมาจากบ้านของจาเร็ด

เขาไม่น่าออกมาตามคำเชื้อเชิญเลย ทั้งที่คาริฟอุตส่าห์กำชับไว้แล้วแท้ๆ แล้วเช่นนี้ควรทำอย่างไรต่อไปดี จะมีคนมาช่วยไหม

ไม่สิ...จะคิดอย่างเห็นแก่ตัวไม่ได้ เพราะแค่เขาหายออกมาก็ทำให้คนอื่นวุ่นวายมากพอแล้ว ยังจะทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนและเสี่ยงอันตรายอีกหรือ

ยิ่งคิดเจ้าชายก็ยิ่งหดหู่

ตลอดมาเขาคอยรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเสมอ ได้รับการปกป้องจากคนแปลกหน้า หรือแม้กระทั่งภาวนาให้มารดาที่จากไปคอยช่วยจากบนฟ้า

น่าเศร้าเหลือเกิน...นาซีมไม่เคยลุกขึ้นด้วยตัวเองเลย

แล้วเช่นนี้เขาจะกลับไปทวงแคว้นคืนและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร!

ใช่แล้ว จากนี้เขาต้องช่วยเหลือตัวเองบ้าง

เจ้าชายปลุกความรู้สึกฮึกเหิมในหัวใจขึ้นมา พยายามวางแผนในหัวว่าควรทำอะไรบ้าง แต่อุปสรรคคือเอาไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ใครเป็นคนจับตัวมา เพราะความทรงจำสุดท้ายคือหน้าของหญิงชราผู้หนึ่งในร้านเครื่องหอม

นางเป็นใคร

นี่เป็นคำถามที่ควรขบคิดเป็น อันดับแรก เขาลองประมวลความเป็นไปได้ขึ้นมาทีละอย่าง ทว่าทั้งหมดไม่อาจชี้ไปที่ใครได้เลยนอกจากทาริค

แล้วคนเถื่อนผู้นั้นสืบรู้ว่าเขาอยู่ที่ใดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ

หรือว่าข้างกายจาเร็ดมีใครสักคนเป็นหนอนบ่อนไส้

คิดได้ถึงตรงนี้นาซีมก็พุ่งเป้าต่อไปถัดจากหญิงชราไปที่คนสองคน ผู้ซึ่งพาเขาไปที่ร้านแห่งนั้น…

หนึ่งคืออันวา เด็กหนุ่มที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น และรู้ว่าแท้จริงแล้วนาซีมคือใคร

ส่วนอีกคนที่เป็นต้นเรื่องในการชวนให้อันวาและนาซีมออกไปยังร้านนั่น...ซิน

นาซีมพบว่าตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นี้เลย นอกจากเขาเป็นโอเมก้า เป็นนักแสดงในคณะละครเร่ และเป็นสหายของอันวา

เขาไม่อยากด่วนตัดสินใจ เพราะมันจะเป็นการใส่ร้ายคนอื่นเกินไป ทั้งยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัด แม้นอกเหนือจากนี้ นาซีมจะเดาไม่ออกว่ายังมีใครที่ตนใกล้ชิดอีกก็ตาม

นาซีมนอนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ นอกจากปวดเมื่อยเนื้อตัวแล้ว เจ้าชายยังรู้สึกหิวไส้แทบขาด ที่นี่ไม่มีอาหารหรืออะไรที่พอจะกินประทังชีวิตได้ แม้แต่น้ำยังไม่มี เขาจึงพยายามอยู่นิ่งที่สุด จะได้ไม่รู้สึกทรมานมากกว่านี้

กระทั่งผล็อยหลับไปอีกตื่นหนึ่ง เขาจึงถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงดังคล้ายเปิดคนลากอะไรสักอย่าง และเสียงเท้าย่างสามขุมเข้ามาใกล้

เพราะถูกปิดตาไว้ นาซีมจึงมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น บุคคลปริศนาคล้ายเดินสำรวจรอบกายของนาซีม ครู่หนึ่งจึงมีเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่ตามมาสมทบ

“มันเป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ซึ่งฟังจากเนื้อเสียงแล้ว นาซีมจำได้ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงของชายคนต่อมา กลับฟังดูคุ้นหูอย่างน่าประหลาด นาซีมมั่นใจว่าเขาเคยได้ยินเสียงคนผู้นี้ แต่ที่ไม่แน่ใจคือได้ยินที่ไหน เพราะเนื้อเสียงไม่ใช่คนที่เขาสนิทด้วยอย่างแน่นอน

“ยังไม่ได้สติ”

“ไม่ใช่ว่าตายแล้วหรอกนะ”

“ยาของยายเฒ่านั่นไม่ได้แรงขนาดนั้น นางว่าเป็นแค่ยาสลบ”

“เราจะแน่ใจได้หรือ นางเฒ่าอสรพิษนั่นร้ายแค่ไหนใครๆ ก็รู้ เจ้าลองตรวจสอบดูสิว่ามันยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ เพราะหากมันเป็นอะไรไป พวกเราจะซวยกันหมด”

“ดะ...ได้ๆ” ชายคนที่สองรับคำสั่งทันที ดูท่าคนคนนี้จะขี้ขลาดพอดู

มันเข้ามาใกล้นาซีม ก่อนจะย่อลงจับตัวเขาหงายขึ้น นาซีมแสร้งนอนหลับตานิ่ง พยายามควบคุมตนเองและแสดงเป็นคนไม่ได้สติให้สมบทบาทที่สุด แม้เสียงหัวใจจะเต้นระรัวเพราะตื่นตระหนกมากก็ตามที

มันใช้นิ้ววางที่เนื้อริมฝีปากเขาเพื่อตรวจดูลมหายใจ ก่อนจะส่งเสียงตอบพวกของมันไปอย่างยินดี

“ยังไม่ตาย”

“ดีมาก” คนที่คอยอยู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะออกคำสั่งอีกรอบ “เราเอามันไปไว้ข้างบนเถอะ อีกเดี๋ยวท่านนักบวชจะมาดูตรวจด้วยตัวเอง ว่ามันใช่คนที่พวกเขาตามหาหรือไม่”

“ได้สิ”

ชายคนที่สองรับคำ ก่อนจะแบกร่างของนาซีมขึ้นไหล่อย่างทุลักทุเล

นาซีมรู้สึกจุกไปหมด ทั้งยังปวดเมื่อยเนื้อตัวอีกเท่าหนึ่งด้วยถูกแบกในลักษณะนี้ แต่เขาก็ยังนิ่งไว้ เพราะรู้ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะได้ออกไปจากห้องปิดตายนี่

กระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง แม้ถูกปิดตา แต่นาซีมก็ยังใช้ประสาททั้งหมดจดจำและวิเคราะห์ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง

เริ่มแรกน่าจะเป็นการขึ้นบันได ซึ่งถ้าใช้เขาจะเดาได้ถูกต้องเรื่องโดนจับขังในห้องใต้ดิน ต่อมาเมื่อพ้นประตูอีกบาน เขาได้กลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ และกลิ่นของอาหาร จึงคาดว่าห้องลับที่พวกมันขังเขาไว้อยู่ใต้ครัวของใครสักคน

พ้นจากสถานที่ที่มีกลิ่นเครื่องเทศ เสียงของผู้คนมากมายก็ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เขาจับไม่ได้ว่ามีเสียงใครบ้าง เพราะมีทั้งชายและหญิง ทั้งพูดคุย ร้องตะโกน ด่าทอกันเอง และขับร้องบทเพลงโหยหวนซึ่งมีเนื้อหาแสนเศร้า นอกจานั้นนาซีมยังได้กลิ่นสุราเข้มข้น และกลิ่นยาสูบลอยมาเข้าจมูกทุกครั้งที่สูดลมหายใจ

ทั้งหมดนี้จึงคาดเดาได้ว่า สถานที่ที่พวกมันพาเขามาซ่อน หากไม่ใช่สถานเริงรมย์ ก็ต้องเป็นร้านขายอาหารสักที่อย่างแน่นอน

ทั้งหมดทั้งมวลติดแค่ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใดเท่านั้น จะเป็นในเอมาลี หรือออกมาจากเขตแคว้นอื่น ข้อนี้คงต้องรอให้เปิดตาหรือฟังพวกมันคุยกันจึงจะรู้ได้

เมื่อพ้นจากที่นั่น พวกมันจะพานาซีมเข้ามาอยู่ในห้องลับตาคน ด้วยเสียงเหล่านั้นหายไปแล้ว เจ้าชายถูกวางบนพรมนิ่ม พวกมันปล่อยเขาไว้อย่างนั้นและหายกันออกไปไม่นานจึงกลับเข้ามา และครั้งนี้ดูเหมือนจะมีคนเข้ามาเพิ่มด้วย ซึ่งคนผู้นั้นต้องเป็นอัลฟ่าที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน เพราะนาซีมรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่อีกฝ่ายปลดออกมา

“นี่หรือคนที่เจ้าบอกข้า” น้ำเสียงเรียบๆ เอ่ยขึ้น ทว่าก็เต็มไปด้วยพลังที่พร้อมจะกดดันทุกคนที่อยู่ในห้องนี้

“ขอรับท่านนักบวช” ชายคนที่หนึ่งเอ่ยนอบน้อม ผิดกับน้ำเสียงกร่างๆ ที่เขาใช้กับชายคนที่สอง

“เรียกข้าเชน”

“ขอรับท่านเชน”

“ไหนลองเอาผ้าปิดตาเขาออกซิ”

“ขอรับ”

ได้ยินดังนั้นนาซีมก็นอนนิ่ง รอจนพวกมันเข้ามาดึงผ้าปิดตาเขาออกเรียบร้อย พร้อมกับเขย่าตัวเรียกให้ตื่น นาซีมจึงทำทีเหมือนกับว่าเพิ่งได้สติ

“แก! ตื่นได้แล้ว!”

นาซีมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ อาจเพราะเขาถูกปิดตานานไป จึงมองเห็นอะไรไม่ชัดครู่หนึ่ง กระทั่งปรับสายตาได้เรียบร้อย เขาจึงค่อยๆ หันไปมองคนแปลกหน้าทีละคน

เริ่มจากผู้ที่อยู่ใกล้สุดสองคน คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ส่วนอีกคนคือผู้ที่คาดว่าเป็นเจ้าของเสียงที่สอง เพราะนาซีมเคยได้ยินเสียงนี้ครั้งหนึ่งตอนงานเลี้ยงรอบกองไฟที่อาไมร่า

ฮัฟนาน...หนึ่งในนักแสดงของคณะละครเร่

นาซีมเบิกตาเล็กน้อยเพราะไม่ได้คิดถึงชายผู้นี้มาก่อน และเมื่อฮํฟนานสบตาเขา อีกฝ่ายก็ค่อยๆ เสมองไปทางอื่น ราวกับรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป

“มันตื่นแล้วขอรับท่านเชน”

ชายคนแรกเอ่ยขึ้น ก่อนจะถอยหลังพร้อมกับดึงฮัฟนานไปพร้อมกัน เพื่อให้ใครอีกคนเข้ามายืนแทนที่

เชนหรือที่พวกมันเรียกท่านนักบวช สวมชุดคลุมยาวซาตินสีม่วงขลิบเงิน เส้นผมสีดอกเลา ทว่าใบหน้ากลับไม่เหมือนผู้สูงอายุ ด้วยไร้ซึ่งริ้วรอย ทั้งดวงตากระจ่างใสแฝงไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย

เขาสบตานาซีมครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมกายทำความเคารพ

“สายันต์สวัสดิ์เจ้าชายนาซีม ข้ามีนามว่าเชน เป็นนักบวชแห่งซันดาขอรับ”

“อะ...ท่านเชนว่าอะไรนะขอครับ”

“อาลีเป็น...จะ...เจ้าชายหรือ” ฮัฟนานถามอย่างไม่อยากเชื่อ

ดูท่าการแนะนำตัวพร้อมกับเอ่ยฐานะของเขาตอนนี้จะทำให้ฮัฟนานกับพวกตกใจไม่น้อย เพราะชายทั้งสองหันมามองหน้านาซีมตาแทบถลน

“ไหนท่านว่าเขาเป็นผู้ทำนายอย่างไรล่ะ”

เพื่อนของฮัฟนานถาม เชนจึงละสายตาจากนาซีมและหันไปหาพวกเขาช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พร้อมทั้งแผ่อำนาจของอัลฟ่าออกมาจนนาซีมเองพานได้รับผลกระทบไปด้วย

“ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใด นี่หาใช่การใดของพวกเจ้าแล้ว จงรับรางวัลของเจ้าแล้วไปเสีย อย่างให้ผู้ใดรู้ว่าพวกเจ้าทำสิ่งใด ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เอาคืนแค่รางวัล ทว่าจะริบคืนแม้ชีวิตของเจ้าทั้งสองด้วย”

“ข้า...”

“ไป!”

“ขอรับ!”

“ขอรับท่านเชน!”

ฮัฟนานและเพื่อนรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นาซีมจึงได้เห็นว่าที่หน้าประตูมีอัลฟ่าที่สวมอาภรณ์สีเดียวกับเชนยืนเฝ้าอยู่

“ขออภัยหากการรับตัวท่านมาทำให้เจ้าชายต้องลำบากไปสักหน่อย” นักบวชมากเล่ห์ว่า นาซีมจึงละสายตาจากประตูมาได้

นาซีมไม่เอ่ยอะไร เขารอจนอีกฝ่ายแก้มัดให้เรียบร้อย จึงขยับนั่งตัวตรง และเค้นเสียงแหบแห้งออกมา

“...เจ้า...เป็นคน...ของผู้ใด”

“ท่านยังเดาไม่ออกอีกหรือ”

นาซีมมองรอยยิ้มเสแสร้ง และคิดถึงที่ชายผู้นี้แนะนำตัว

เชนแห่งซันดา

ซันดา เท่ากับ เมืองในปกครองของทาริค

“ทาริค”

“ฉลาดนัก” เขายิ้มกว้างเหมือนผู้ใหญ่ที่ชอบใจเมื่อเด็กเล็กๆ ตอบคำถามถูก “ถูกต้อง”

“เจ้าต้องการสิ่งใดอีก จะพาข้ากลับโซราห์หรือ”

“แน่นอน ย่อมเป็นเช่นนั้น”

“เพราะอะไร...”

“เพราะเจ้าชายกับราชาของเรามีข้อตกลงกันอยู่มิใช่หรือขอรับ”

“หึ...”

นาซีมแค่นหัวเราะ เพราะรู้ว่าข้อตกลงย่อมจบสิ้นแล้วตั้งแต่เขาหนีจากค่ายทารายาในคืนนั้น เขาเดาว่าที่จะจับกลับไปคงหวังจะสำเร็จโทษเขาต่อหน้าประชาชน ให้ทุกคนได้รู้ว่าโซราห์ไม่มีราชวงศ์ค์เดิมเหลืออยู่อีกแล้ว และสถาปนาตนเองอย่างสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน

“หากจะฆ่าก็ฆ่า อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”

“โอ้...เจ้าชาย ท่านช่างกล้าหาญกว่าที่ข้าคิดนัก” อีกฝ่ายจุปาก “แต่ในขณะเดียวกัน ท่านก็โง่งมเหลือเกิน”

“เจ้า!” นาซีมถลึงตาใส่

“อย่าเพิ่งโมโหไป ข้าแค่จะบอกท่านให้แจ้งแก่ใจว่า ท่านทาริคจะไม่ปลงพระชนม์เจ้าชายอย่างแน่นอน เพราะราชาของเราต้องการท่านไปอยู่ข้างกายโดยที่ยังมีลมหายใจ”

“เพื่ออะไร” นาซีมถามอย่างไม่เข้าใจ

“เพื่อความยิ่งใหญ่ที่ท่านหรือกษัตริย์องค์ใดก็ตามบนแผ่นดินซาร์เรียไม่เคยสัมผัส”

“...เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องใดอยู่กันแน่”

“ท่านเคยได้ยินเรื่องผู้ทำนายหรือไม่เจ้าชายนายซีม”

“ผู้ทำนาย?”

นาซีมเคยได้ยินครั้งหนึ่งตอนงานเลี้ยงรอบกองไฟ และผู้ที่เอ่ยขึ้นก็คือฮัฟนาน ซึ่งมาเวลานี้เขาไม่เชื่อเรื่องบ้าๆ นั่นอีกแล้ว ด้วยรู้ว่ามันเป็นเพียงแผนลวงของทาริคเท่านั้น

“ขอรับ” เชนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น แล้วว่า “ในหอตำราแห่งแคว้นซันดา มีบันทึกเรื่องคำทำนายหนึ่งเขียนไว้...นักสู้ผู้มิมีวันพ่ายเอ๋ย หากเมื่อใดที่ดวงเนตรเปลี่ยนสี ผู้ทำนายจะชี้ทางแก่เจ้า หนทางซึ่งนำไปสู่จุดสูงสุดเหนือผู้คนในดินแดนแห่งเทพี”

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นคือทาริค” นาซีมถาม

“เพราะเขาคือนักสู้ผู้ไม่มีวันพ่าย”

“อ้อ...เหตุผลเพียงเท่านี้เองหรือ” นาซีมยิ้มเยาะ คิดแล้วอยากจะหัวเราะคนพวกนี้เสียเต็มประดา เมื่อได้รู้ถึงเหตุผลที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อรุกรานแคว้นอื่น

แค่บันทึกคำทำนายที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้นแผ่นหนึ่งเท่านั้น

“เช่นนั้นข้าขอถามสักคำ”

“เชิญท่านกล่าว เจ้าชายนาซีม”

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ทำนายคือข้า...เพราะข้ามีดวงตาที่เปลี่ยนสีได้งั้นหรือ”

“แล้วมันไม่จริงหรือเจ้าชาย...”

“จริงอยู่ที่ดวงตาข้าเปลี่ยนสีได้ แต่เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าดินแดนนี้มีข้าผู้เดียวที่ดวงตาเปลี่ยนสีได้ เพราะเจ้าไม่รู้จักผู้อื่นที่เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ มันไม่มีประโยชน์หรอก คำทนายบ้าบอนั่นเป็นสิ่งที่เขียนขึ้นมาโดยคนธรรมดา มิใช่ผู้วิเศษ”

“...” ยิ่งได้ฟังนาซีม เชนก็ยิ่งมีสีหน้าเครียดขมึงขึ้นเรื่อยๆ

“อีกอย่าง ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ไม่เห็นว่าตนเองจะมีพลังทำนายเช่นที่เจ้าว่า เพราะถ้ามี ข้าคงไม่ถูกจับ บิดามารดาคงไม่ถูกฆ่า และไม่ถูกนายเจ้าชิงแคว้นไป เพราะข้าเห็นข้าจะเห็นอนาคตพวกนี้ทั้งหมด จารึกที่เจ้ายึดถือกันนั่น มันไร้สาระสิ้นดี แล้วผู้ใดกันแน่ที่โง่ ข้าหรือพวกเจ้า!! “

เพี้ยะ!

นาซีมถูกฝ่ามือของเชนตบจนเซไปทั้งร่าง ใบหน้าของเขาชาดิกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมันจะค่อยๆ ปวดแปลบเพราะแรงปะทะที่รุนแรง

แต่แล้วอย่างไร ถึงเขาจะทำอีกฝ่ายโกรธ ตัวนาซีมเองก็โกรธจนตัวสั่นเช่นกัน เมื่อได้รู้ต้นเหตุแห่งสงคราม แม้มิใช่เหตุผลทั้งหมด แต่มันก็มากพอให้เขาแค้นเคือง

“ข้าไม่ว่าท่าน หากท่านจะโกรธแค้น เพราะท่านไม่รู้มาก่อนว่าชาวเราเคยเผชิญสิ่งใดมาก่อน ต่อให้ท่านจะบริภาษออกมาข้าไม่ว่า แต่ถ้าหากท่านดูถูกจารึกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะก็ ข้าจะไม่ไว้หน้าท่านอีก”

เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้เจอเรื่องใดมาจึงต้องหวังพึ่งคำทำนายในจารึกนั้น แต่มันก็มิใช่ข้ออ้างในการฆ่าฟันและแย่งชิงชีวิตของผู้อื่น

“อยากทำสิ่งใดก็เชิญ เพราะข้าไม่สนใจอยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะไว้หน้าข้าหรือไม่”

นาซีมพูดออกไป เพราะแรงอารมณ์ก็จริง แต่เขาก็รู้ว่าตนเองไม่มีสิ่งใดจะเสียอีกแล้ว

นักบวชแห่งวิหารซันดาจ้องตานาซีมเขม็ง ก่อนจะกระชากหน้ากากผู้มีเมตตาทิ้ง และยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายที่สุด

“หึ...แล้วท่านจะเสียใจที่เอ่ยคำนี้ออกมาเจ้าชาย”








❂…………………………….❂









ตอนนี้เดือดๆ เลยค่ะ

มีตัวละครใหม่อีกแล้ว

และเปิดอีกคู่ด้วย

จริงๆ เคยบอกแล้วว่าอยากเขียนคู่รองด้วย

เรื่องนี้มีคู่รองสองคู่นะคะ

แต่ฝนก็ยังโฟกัสคู่หลักนะคะ

ตอนนหน้าพระเอกจะมาแล้วแล้วน้าาา

ใครคิดถึงคาริฟบ้างงงง 

เจอกันค่ะ ฝนจะมาเร็วๆ ให้ต่อเนื่องนะคะ



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 14 ผู้ทำนาย :- [15/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2019 00:02:14
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 14 ผู้ทำนาย :- [15/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-11-2019 00:38:12
คาริฟช่วยด้วยยยย
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 14 ผู้ทำนาย :- [15/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-11-2019 10:09:11
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 15 แผ่นหลังที่คุ้นเคย :- [17/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 18-11-2019 03:17:56


บทที่ 15 แผ่นหลังที่คุ้นเคย







อันวารู้ว่าผู้นำแห่งเผ่าภูตราตรีต้องโกรธมากเมื่อรู้ว่าคนที่เขาคอยดูและอารักขามาตลอดถูกชิงตัวไปได้ แต่เขาไม่คาดคิดว่ามันคาริฟโมโหถึงขนาดนี้

“หากเขาพยายามหนีออกไปข้างนอกนั่นด้วยตัวเองข้าจะไม่ว่าเจ้าสักคำ แต่นี่เจ้าเป็นคนพาเขาออกไป บอกข้าซิอันวา ว่าเจ้าคิดได้อย่างไร พาเขาไปเดินเพ่นพ่านในสถานการณ์เช่นนี้น่ะหรือ!”

ภายในห้องนอนของจาเร็ดเต็มไปด้วยแรงกดดันที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของคาริฟ แม้แต่อัลฟ่าด้วยกันอย่างจาเร็ดและฮาบัสยังอึดอัดไปหมด แล้วมีหรืออันวาที่เป็นโอเมก้าจะไม่ได้รับผลกระทบ

เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงกว้าง ตัวสั่นงันงกไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำราวกับน้ำตาจะหยดลงมาได้ทุกเมื่อ

“ข้าขอโทษท่านคาริฟ ข้า...ข้าผิดไปแล้ว ขะ...ข้าประมาทเกินไป...เพราะไม่คิดว่าจะ...”

อันวายังไม่ทันพูดจบ บุรุษในชุดดำก็แค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีใครขำออกเลยสักคน

“หึ! อันที่จริงเป็นข้าต่างหากที่ประมาท ข้าปล่อยเขาไว้ทั้งที่ไม่ควรเลย”

หากคาริฟจะด่าว่าอันวาแรงกว่านี้ เด็กหนุ่มก็กล้าโต้แย้ง เขายอมรับผิดแต่โดยดีที่รักสนุกเกินไป จึงได้ลืมคิดถึงผลที่จะตามมาหากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

แต่กลายเป็นคาริฟหันกลับไปโทษตัวเอง และดูจะผิดหวังในตัวเขาเอามากๆ ข้อนี้ต่างหากที่ทำให้อันวาเสียใจ ด้วยอันวาชื่นชมคาริฟมาตลอด ที่ผ่านมาเขาจึงพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้เป็นผู้ช่วยของหัวหน้าภูตราตรีคนนี้

...ทว่าตอนนี้มันพังหมดแล้ว

คาริฟคงจะไม่เชื่อใจเขาอีก

“...ข้าขอโทษ”

อันวาเอ่ยขอโทษอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแหบแห้งน่าสงสาร นั่นพานให้คู่ชีวิตของเขาทนไม่ไหวจนต้องยื่นมือเข้ามาปกป้อง

“ไม่เป็นไรนะเด็กดี”

จาเร็ดเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่ม ก่อนจะรวบตัวเขามากอดเอาไว้ ซึ่งในเวลาเช่นนี้อันวาก็ไม่ดึงตัวออกหรือแสดงท่าทีขัดขืนเช่นทุกครั้ง

“ส่วนเจ้าก็ใจเย็นหน่อยคาริฟ เราต้องหาทางช่วยเจ้าชายได้แน่”

คาริฟมองภาพนั้นไม่นานก็ต้องเบือนหน้าหนี ใช่ว่าเขาจะอยากดุด่าเด็กที่ดูแลมากับมือ แต่เรื่องที่สมควรพูดหรือลงโทษเขาก็ต้องทำ

“เช่นนั้นก็ลงมือกันเถอะ ข้ากลัวเจ้าชายจะมีอันตราย” ฟามีนเสนออย่างร้อนใจ

“ข้าก็เห็นด้วยกับเจ้านะฟามีน แต่ตอนนี้เราเคลื่อนไหวมากไม่ได้ มีแต่จะทำให้ทาริครู้ความเคลื่อนไหวของพวกเราเปล่าๆ เพราะเราไม่รู้ว่าเจ้าชายถูกจับไปที่ใด นอกเสียจากจะมีเบาะแสมากกว่านี้” ฮาบัสเอ่ยเตือนสติผู้มีตำแหน่งเดียวกันกับตน

“งั้นเราจับใครก็ตามมาเค้น เรื่องนี้ต้องมีคนรู้บ้าง ทั้งเจ้าของร้านนั่น หรือแม้กระทั่งนักแสดงในคณะละครเร่ของเจ้า จาเร็ด” ฟามีนซัก

“ใช่ว่าข้าไม่ทำ เขาถูกข้าควบคุมตัวไว้แล้ว แต่เขายังตอบเหมือนเดิม คือไม่รู้เรื่อง” จาเร็ดเอ่ยถึงซิน คนที่เป็นต้นเรื่องในการพาอันวาและนาซีมไปที่ร้านเครื่องหอมนั่น

“แล้วเจ้าของร้านเล่า มันบอกอะไรบ้างหรือเปล่า” ฮาบัสถามบ้าง

“ไม่บอกอะไรเหมือนเดิม”

“ให้ตายเถอะ แล้วป่านนี้เจ้าชายจะเป็นอย่างไร”

องครักษ์เลือดร้อนอย่างฟามีนเริ่มคร่ำครวญอีกครั้ง เขาเป็นห่วงเจ้าชายอย่างมาก และคิดไม่ถึงว่าหลังจากหลบหนีการจับกุมของพวกทารายาและดั้นด้นเดินทางมาอย่างยากลำบาก ผู้ที่เขาวางแผนช่วยเหลือมากมายจะถูกพาตัวกลับไป

...เช่นนี้ไม่เท่ากับที่ทำมานั้นเสียเปล่าหรอกหรือ

“หากเจ้าชายเป็นอะไรไป ข้าคงไม่มีหน้าไปพบราชาราฮิมและราชินีอาลียาแล้ว”

“เจ้าเลิกคร่ำครวญแล้วไปพักผ่อนก่อนเถอะ ตั้งแต่เดินทางมาที่นี่เจ้ายังไม่ได้หลับสักงีบเลยนี่” จาเร็ดว่า

มันดูเหมือนหวังดี แต่อันที่จริงเขาแฝงความรำคาญใจเอาไว้ เพราะแค่ฟามีนไม่พูด เด็กดื้อของเขาก็รู้สึกผิดจะแย่ แล้วดูตอนนี้สิ...เจ้าของคณะละครเร่ก้มลงมองอันวาที่ตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขน

เจ้าบ้านี่ทำอันวาร้องไห้จนอกเสื้อเขาเปียกไปหมดแล้ว!

ไม่ว่าเปล่า จาเร็ดยังส่งสายตาบอกความนัยแก่ฮาบัส เพื่อนสนิทอีกคนของตนเอง ว่าให้พาฟามีนไปไกลๆ จากห้องนี้เสียที

ทว่าฮาบัสยังไม่ทันเกลี้ยกล่อมให้ฟามีนไปพักพร้อมตน คาริฟก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“พวกเจ้าไปพักเถอะ” คาริฟว่า

“แต่ข้า...” ฟามีนที่ไม่อยากพักรีบประท้วง ทว่าใบหน้าจริงจังของคาริฟกลับทำให้เขาต้องเงียบเสียง และฟังสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยต่อ

“นอกพักเอาแรงสักนิด ส่วนเรื่องหาเบาะแส ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

“เจ้าจะทำอย่างไร”

“เอาไว้เจ้าคอยดูตอนที่ตื่นมาอีกครั้งดีกว่า” บุรุษชุดดำบอกแบบนั้นก่อนจะสั่งกับจาเร็ด “ส่วนเจ้า บอกคนให้ปล่อยซินเสีย บอกว่าเราไม่ติดใจเอาความอะไรแล้ว”

“แต่คาริฟ!”

ฟามีนจะท้วง แต่เมื่อคาริฟปรายตามองแวบเดียว ฮาบัสก็ลากองครักษ์ฝ่ายซ้ายออกไปทันที

เมื่อองครักษ์ซ้ายขวาของเจ้าชายนาซีมออกไปจากห้องแล้ว จาเร็ดจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ความหนักใจยังไม่หายไป เพราะคนที่ทำให้เขาต้องหนักอกที่สุดยังยืนอยู่ตรงนี้

“เจ้าจะทำอะไรกันแน่คาริฟ ไหนเจ้าบอกว่าซินต้องเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มิใช่หรือ แล้วเจ้าจะปล่อยเขาไปเนี่ยนะ”

“อืม” คาริฟยังยืนยันคำเดิม “ไม่ใช่แค่ซิน แต่เจ้าของร้านนั่นก็ด้วย”

“ทำไม...”

“เพราะขังไว้ก็ไม่มีประโยชน์ หากพวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ อย่างไรเสียทั้งคู่ก็คงต้องอยู่ไม่สุขแน่ รอให้มันเคลื่อนไหวก่อน”

“อ้อ...” จาเร็ดเข้าใจแผนการทันที คนในอ้อมกอดของเขาก็เช่นกัน เพราะเมื่ออันวาได้ยิน เจ้าตัวก็ผละออกจากอ้อมกอดของคู่ชีวิต

“ให้ข้าคอยจับตาดูเขา” เด็กหนุ่มเสนอ

“เจ้าไม่ต้อง”

“แต่ข้ามีส่วนเกี่ยวข้อง อีกอย่างข้าสนิทกับซิน”

“ข้าบอกไม่ต้องก็คือไม่ต้อง ระหว่างนี้เราไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”

“แต่ข้า...”

“เจ้ายังฟังที่ข้าพูดอยู่หรือไม่” คาริฟย้ำเป็นครั้งสุดท้าย “แค่อยู่เงียบๆ และรอคอย...”

เด็กหนุ่มสะอึก ก่อนจะรับคำแต่โดยดี

“ขอรับ”

คาริฟสั่งการกับจาเร็ดอีกสองสามข้อ ต่อจากนั้นจึงออกจากห้องไป และทิ้งอันวากับจาเร็ดไว้เบื้องหลัง



❂ …………………………….❂



หลังเสียงขับลำนำเงียบลง นักดนตรีเก็บของกลับบ้าน ดวงไฟตามร้านค้าริมทางดับมอด ถนนในเมืองหลวงของเอมาลีก็ดูเงียบเหงาลงทันตา ที่นี่เหมือนสถานที่ที่ไม่เคยหลับใหลก็จริง แต่ถ้าอยู่มานานจะรู้ว่า ระหว่างช่วงเวลาใกล้ย่ำรุ่ง เมืองทั้งเมืองจะเริ่มหลับใหล

ก็แน่นอน...ใครจะตื่นมาร้องรำทำเพลงได้ตลอดเวลา

ดวงตาคมกริบกวาดมองผ่านความมืดสลัวไปยังตรอกเล็กๆ สายหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับกำแพงเมือง แม้ตรอกเล็กๆ นั่นสลับซับซ้อนและไม่ค่อยมีคนใช้มากนัก แต่ถ้าคนที่อยู่ในเอมาลีมานานจะรู้ว่า มันเป็นทางลัดชั้นเลิศสำหรับผู้ที่อยากประหยัดเวลาและไม่ต้องการเดินเบียดกับฝูงชนบนถนนใหญ่ เพราะตรแกแห่งนี้เชื่อมต่อกับถนนแทบทุกสายของเมืองหลวง

คาริฟขยับผ้าคลุมของตนเองให้กระชับร่างกาย เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวในซอกมืดๆ นั่น รอกระทั่งผ่านไปชั่วอึดใจ คนที่เขารอคอยจึงค่อยๆ โผล่ออกมา

มันยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเห็นคนที่รอเคลื่อนรถมาใกล้ เจ้าตัวจึงกระโดดขึ้นไปโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ ในช่วงเวลาสั้นๆ เป้าหมายของเขาได้หอบผ้าหนีขึ้นรถม้าออกนอกเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว

ถึงตรงนี้คาริฟก็แน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาจึงส่งสัญญาณให้กับภูตราตรีคนอื่นๆ ที่ดักซุ่มอยู่ เพื่อตามล่าคนที่กล้ามาชิงตัวคู่โชคชะตาของเขาไป!

ส่วนตัวเขาเองก็รีบลงจากที่ซ่อนบนกำแพงเมือง ขี่อาชาที่ผูกไว้และควบทะยานตามรถม้าดังกล่าวไปเช่นกัน

ผ่านมาสามวันแล้วหลังจากคาริฟสั่งให้ปล่อยผู้ต้องสงสัยไป เขาทำได้แค่รอคอยและหาข่าวจากสายข่าวที่พอจะหาได้ แต่ก็ไม่มีอะไรแน่ชัด ทั้งฟามีนและฮาบัสต่างก็ร้อนใจ อันวาก็แทบนั่งไม่ติด ส่วนเขาที่ดูเหมือนควบคุมตนเองได้แล้วก็พยายามนิ่งและอดทนให้มากที่สุด

แต่ทุกคนคงไม่รู้...ในใจคาริฟว้าวุ่นเพียงไหน

เขาไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน ไม่เคยเอาอารมณ์ของตนเองมาปนกับเรื่องงาน แต่พอนึกถึงใบหน้าของคนผู้นั้น คาริฟก็ไม่อาจสงบใจได้

ในหัวจินตนาการเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไปร้อยแปดอย่าง ความเป็นห่วงที่มีนั้นชายหนุ่มสามารถบอกได้เลยว่าเกินกว่าที่เขาเคยคาดไปไกลโข

เกินเลยจนล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้ว...เขารู้สึกอย่างไรกับเจ้าชายผู้นั้นกันแน่

ความรู้สึกที่ดูรางเลือนเด่นชัดขึ้นมาทันทีที่ความกลัวเข้าครอบงำ นอกจากนั้นชายหนุ่มยังมีเรื่องให้เสียใจอีกหลายประการ

ประการแรก คาริฟเสียใจที่ไม่ดูแลเจ้าชายนาซีมให้ดี ข้อผิดพลาดนี้ไม่อาจโทษใครได้ ด้วยหน้าที่รับผิดชอบเป็นของเขา

ประการที่สอง คาริฟเสียใจที่ก่อนหน้านี้มัวแต่ลังเล ไม่กล้าทำอะไรสักอย่างเพราะคิดว่าอยากให้อีกฝ่ายได้มีเวลาคิด แต่แล้วอย่างไร ลองดูเวลานี้สิ คนที่ต้องมานั่งเสียใจที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเพราะมัวแต่สับสนก็คือตัวเขาเอง

นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องเสียใจที่เขาไม่อยากนึกถึง เพราะสิ่งที่คาริฟจะต้องมุ่งมั่นและทำให้สำเร็จในเวลานี้คือ...

เขาต้องช่วยนาซีมให้จงได้!

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม


❂ …………………………….❂



“ย๊า!”

เสียงร้องตะโกนสั่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตวัดข้อมือสะบัดบังเหียนสุดแรง อาชาสีน้ำตาลเข้มออกตัวกระโจนไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วก่อนมันจะเร่งตะบึงห้อตามแรงส่งจากอุ้งเท้าเปลือยเปล่าที่เตะเข้าที่ท้อง

“จับมัน!!”

เสียงทหารเดนตายโหวกเหวกไล่หลังดังลั่น ไม่นานคนกลุ่มนั้นก็เร่งตามมาทันท่วงที นาซีมควบม้าไปพลางเหลียวหลังกลับไปมองเป็นระยะ

เบื้องหน้าเป็นถนนสายเล็ก สองข้างทางมีแผงร้านรวงมากมายกีดขวาง ก่อนหน้านี้เขาเลือกทางผิดไปนิด เพราะไม่รู้ว่าหากเลี้ยงมาจะพบกับตลาดซึ่งมีคนชั้นสูงในซันดาเดินจับจ่ายกันคึกคัก

เมื่อเข้ามาได้เล็กน้อย นาซีมเกิดลังเลชั่วอึดใจ ทว่าเท่าที่รู้มาจากคนที่ถูกขังคุกด้วยกันหลายราตรีก่อน เส้นทางทิศตะวันออกจากวิหารหลวงเป็นเส้นทางที่ตัดตรงและใกล้กับประตูเมืองมากที่สุด ดังนั้นนาซีมจึงใช้จังหวะที่พวกทหารเผลอยามควบคุมตัวเขาออกมาขึ้นรถม้าไปโซราห์เพื่อขโมยม้าและมุ่งตรงมาตามทางที่รู้

ทุกอย่างล้วนต้องเสี่ยง เมื่อมาถึงจุดนี้นาซีมจะไม่ถอยหลังหรือลังเลอีก

“จับมันให้ได้!!!”

ครั้นเสียงของคนพวกนั้นประชิดมาไม่ห่าง นาซีมจึงตัดสินใจควบม้าตะลุยเข้าไปในตลาด บุกผ่านร้านค้ามากมายจนแผงลอยพวกนั้นเสียหายไม่มีชิ้นดี

“กรี๊ด!!”

“ข้าขอโทษ!” ผู้คนที่เดินอยู่ต่างกรีดร้องและพยายามหลบหลีก นาซีมที่ไม่อาจหยุดจึงได้แต่ขอโทษและไปต่อ “หลีกทางด้วย! โปรดหลีกทางให้ข้าที!”

“จับมันนนน!!!”

“กรี๊ดดดด!!”

ทว่ายิ่งหลบหลีก ยิ่งดูเหมือนจะวุ่นวายมากกว่าเก่า ตรอกทั้งตรอกสับสนอลม่าน ผู้คนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น นาซีมพยามหลบคน ข้าวของ อาภรณ์ที่วางขาย แต่ดูเหมือนจะทำได้ยากเหลือเกิน

กระทั่งเขาหลุดออกมาจากเส้นทางนั้น เจ้าชายโอเมก้าจึงมองเห็นประตูเมืองใหญ่โตประจำทิศตะวันออกตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้า

ที่นั่นมีทหารยามเฝ้าอยู่เช่นกัน แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ไม่อาจถอยหลังได้ เจ้าชายจึงตัดสินใจเด็ดขาด

“ตายเป็นตาย…” เขาบอกตัวเอง ก่อนจะสะบัดบังเหียนอีกครั้ง “ย๊า!!”

อาชาตัวนั้นพาเจ้าชายฝ่าวงล้อมออกมาได้สำเร็จ แต่ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ล้มเพราะร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งที่ขาและสะโพก เนื่องจากถูกทหารยามทำร้าย แต่ดูเหมือนจะมีคำสั่งไม่ให้ทำร้ายเขา พวกทหารจึงไม่กล้ายิงธนูใส่ด้วยกลัวเจ้าชายถูกลูกหลง

เมื่อม้าล้ม คนก็ตกลงจากหลังม้าทันที นาซีมไม่ถอดใจ เข้าสะกดความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามลุกขึ้นวิ่งหนี เสียแต่มันคงไม่ทันแล้ว เพราะออกวิ่งไปได้ไม่เท่าไร พวกทหารเลวก็พากับควบอาชามาล้อมเขาไว้ได้สำเร็จ

“จับมันกลับไป” หัวหน้าของพวกมันสั่ง พวกลูกน้องจึงลงมาจับนาซีมไว้

“ปล่อยข้า!”

นาซีมดิ้นรน ออกหมัดและเท้าเท่าที่จะทำได้ แม้พวกมันจะวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่เนื่องจากโดนสั่งไม่ให้ทำร้ายเขา แต่สุดท้ายกันก็จับเจ้าชายไพล่หลังจนได้

“ฤทธิ์มากนักนะ! เจ้าทำความเสียหายไปมากเท่าใดรู้หรือไม่” ทหารตัวโตบนคิ้วมีรอยบากชี้ปลายดาบใส่เขา “หากไม่มีคำสั่งจับเป็น ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”

“เช่นนั้นก็ฆ่าเสียสิ! ข้ายอมตายดีกว่ากลับไปกับพวกเจ้า!”

“คิดว่าข้าไม่กล้าหรือ”

“เหอะ!” นาซีมแค่นหัวเราะ ถึงตอนนี้เขาไม่กลัวอะไรอีกแล้ว อย่างที่เขาบอกนักบวชเชนไปเมื่อหลายราตรีก่อน เขาในตอนนี้ยอมตายดีกว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือ “เจ้าไม่กล้าหรอก เพราะเจ้ามันก็แค่ทหารชั้นต่ำที่คอยแต่รับคำสั่ง”

“อย่าท้าทายข้า!”

ปลายดาบนั้นพุ่งมาที่คอ แต่นาซีมไม่หลบหลีก ทั้งยังสู้ตากับมัน ท้าทายอย่างที่มันกล่าวหา ทว่าอีกไม่ถึงคืบปลายแหลมนั้นจะแตะถึงเสียงแหวกอากาศของอะไรบางอย่างก็หันเหความสนใจของทุกคนไปจนหมด

ฉึก!

สิ่งที่พุ่งมานั้นปักเข้าที่กลางหลังของเจ้าทหารคิ้วบากโดยไม่ทันตั้งตัว มันล้มลงจากหลังม้าทันทีทั้งที่ดวงตายังเบิกค้าง ก่อนลูกธนูจะพุ่งตรงเข้าใส่ทหารซึ่งจับตัวนาซีมไว้ ทำให้เขาเป็นอิสระอีกครั้ง

กลิ่นเลือดลอยวนอยู่ในอากาศ นอกเหนือจากนั้นคือกลิ่นอายที่นาซีมคุ้นเคยของของอัลฟ่าตนหนึ่ง

คืนนี้ไร้ซึ่งแสงจันทร์และหมู่มวลดารา ราวกับกำลังจะเกิดพายุอย่างที่หาได้ยากยิ่ง ทว่าแสงจากรถม้าที่ติดไฟคันหนึ่งก็ส่องให้เห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่กำลังฟาดฟันศัตรูซึ่งถาโถมเข้าหาจากอีกทิศทางหนึ่ง

นาซีมตกตะลึงกับภาพที่เหมือนจะฉายขึ้นอีกครั้งในความทรงจำ

โดยไม่ต้องเห็นหน้า นาซีมก็จดจำได้ทันที

“คาริฟ! ”

บุรุษในอาภรณ์สีเดียวกับท้องฟ้าวาดดาบวงพระจันทร์ใส่ทหารซันดาที่โถมตัวเข้าหา เมื่อมันล้มลงเขาจึงควบอาชาเข้ามาใกล้นาซีม

เจ้าชายแห่งโซราห์จึงยื่นมือออกไปโดยไม่ต้องมีใครให้สัญญาณ และมือของเขาก็ถูกจับไว้ได้ ก่อนร่างกายจึงถูกฉุดให้ขึ้นไปนั่งในอ้อมแขนบนหลังม้าตัวเดียวกัน

มือหนึ่งกุมบังเหียน มือหนึ่งกระชับกอดร่างของนาซีมเอาไว้แนบอก ก่อนจะกระซิบถ้อยคำที่ฟังแล้วแสนจะอุ่นใจแม้อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน





“ไม่ต้องกลัว...ข้าอยู่นี่แล้ว”





❂ …………………………….❂





พระเอกมาแล้วววววววว

เอาล่ะ ตอนนี้อาจจะอ่านแล้วงงๆ ว่าสรุปใครทำอะไรคะ

มันยังไงกันแน่ เดี๋ยวมีเฉลยแน่นอนค่ะ

แต่จะเป็นหลังจากนี้แหละ

ตอนหน้าก็ยังเดือดๆ เดือดปุดๆ เลย

จะรีบมาต่อนะคะ



ละอองฝน. 
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 15 แผ่นหลังที่คุ้นเคย :- [17/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-11-2019 10:57:12
ปลอดภัยแล้วววว :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 15 แผ่นหลังที่คุ้นเคย :- [17/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: dradareal ที่ 18-11-2019 14:13:25
อุแงง ฟหกาาหส่เสกดาเวกด่
เรื่องนี้ดีมากๆๆๆๆ
ทั้งภาษา ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งตัวละครเลยค่ะ
ลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่องเลย เป็นกำลังใจให้อยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 15 แผ่นหลังที่คุ้นเคย :- [17/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: kainsboro ที่ 19-11-2019 21:24:29
ภาษาดีมากค่ะ ระหว่างที่รอลุ้นตอนใหม่ก็คงต้องกลับไปอ่านตอนเก่ารอซะแล้วววว
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 16 ข้าอยู่กับเจ้า :- [20/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 20-11-2019 09:14:45



บทที่ 16 ข้าอยู่กับเจ้า









“เราต้องหนีไปถึงไหน”

“จนกว่าจะสลัดพวกทหารซันดาหลุด”

นั่นคือคำที่คาริฟบอกแก่เขาขณะพากันควบม้าผ่านเนินทรายลูกแล้วลูกเล่า นาซีมพยายามมองกลับไปด้านหลัง แต่เข้าไม่พบใครสักคนที่ตามมา มีเพียงควันไฟกับเสียงดังแว่วจากที่ไกลๆ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่านั่นคือเสียงลมหวีดหวิวหรือเสียงเคลื่อนพลของพวกทหารเลวกันแน่

นาซีมเคยเข้าสู่สนามรบครั้งหนึ่งตอนที่ปะทะกับเผ่าทารายา แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะเหล่าแม่ทัพรวมถึงขุนนางเอาแต่คัดค้านและขอให้เขาเข้าไปประจำการอยู่ในที่ปลอดภัย

“ข้ามิได้ดูถูกความสามารถของท่านเจ้าชาย แม้ท่านจะเคยเล่าเรียนศาสตร์การต่อสู้มาบ้าง แต่ในสนามรบต่างกันนัก ยิ่งโซราห์ไม่เคยมีศึกใหญ่ ดังนั้น...”

“หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา โซราห์มีอันจบเห่อย่างแน่นอน”

“ถึงเจ้าชายจะปรีชาสามารถเพียงใด ท่านก็สู้พละกำลังของพวกอัลฟ่าไม่ได้หรอกขอรับ”

ถ้อยคำทัดทานมากมายทำให้นาซีมกลายเป็นจุดศูนย์กลางที่ทุกคนต้องปกป้อง ทั้งที่จริงแล้วเขาควรเป็นผู้นำในการป้องกันแคว้นมากกว่า

แล้วในเวลานั้น นาซีมก็ยังไม่มีความกล้าที่จะคัดค้านทุกคนได้ เสียงของเขาเบาเกินกว่าจะมีคนยอมฟัง เจ้าชายจึงจำต้องคล้อยตามแม้ในใจเกิดความรู้สึกตรงข้าม

มาเวลานี้นาซีมกลับนึกเสียใจหลายอย่าง จะเป็นอัลฟ่า โอเมก้า หรือเบต้าแล้วอย่างไร หากเขาเข้มแข็งและยืนหยัดในสิ่งที่คิดจะกระทำ ด้วยตำแหน่งและอำนาจที่มีย่อมต้องทำได้อยู่แล้ว และนาซีมคงมีประสบการณ์รวมถึงทักษะในการต่อสู้เอาตัวรอดมากกว่านี้

“นาซีม”

เสียงเรียกจากคนที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังทำให้เจ้าชายหลุดจากภวังค์ นาซีมเงยหน้ามอง เห็นเพียงปลายคางที่เริ่มมีไรหนวดเขียวครึ้ม

“หืม?”

“เจ้ายังไม่หลับหรือ”

“ข้ายังไม่หลับ”

“อ้อ” เขาตอบรับเบาๆ ก่อนจะผ่อนความเร็วของอาชาลงนิดแล้วก้มหน้าลงสบตากัน

“มีอะไรหรือคาริฟ”

“ถ้าหลับได้ ข้าอยากให้เจ้าพักเอาแรงสักหน่อย” เขาว่า ก่อนจะปล่อยมือจากบังเหียนข้างหนึ่ง แล้วเช็ดใบหน้าของนาซีมเบาๆ จากนั้นจึงเอื้อมมารั้งเอวเพื่อกอดนาซีมไว้ “นั่งบนหลังม้าอาจไม่สบายเท่าใดนัก แต่ข้าจะคอยจับเจ้าไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะตกลงไป”

คำพูดที่แสนอ่อนโยนของคนที่ทำใบหน้าขึงขังทำให้หัวใจของนาซีมเต้นผิดจังหวะ เขารู้ว่านี่เป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่ควรคิดเรื่องอื่นนอกเหนือจากการหนีเอาตัวรอด

ทว่าหลังจากเผชิญเรื่องน่าหวาดหวั่นมาตลอดหลายราตรี มีหรือใครจะต้านทานความอ่อนโยนเช่นนี้ไหว

นาซีมยิ้มให้กับบุรุษในชุดคลุมดำ ยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา ไม่อยากเชื่อว่าในสถานการณ์ย่ำแย่ ในช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุด

เขายังโชคดีที่ได้พบคาริฟ

“เป็นอะไร เหตุใดจึงเงียบไป” เห็นนาซีมยิ้มแต่กลับยังไม่ตอบ คาริฟจึงถามย้ำ

นาซีมส่ายหน้านิดๆ แล้วบอก “ขอบคุณนะคาริฟ”

“...ไม่เป็นไร”

“เราจะกลับเข้าเอมาลีหรือ”

“ไม่ใช่”

“แล้วจะไปที่ใด”

“เราจะไปหมู่บ้านของข้า”

“หมู่บ้านของเจ้าหรือ!” นาซีมทำตาโต “แต่เจ้าบอกว่าเราต้องเตรียมตัวเพราะเดินทางไกล ซ้ำที่นั่นยังอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทรายส่วนกลางมิใช่หรือ”

“ถูกต้อง”

“แล้วเราจะไปที่นั่นได้อย่างไรถ้ามีเพียงม้าตัวเดียว”

“ไม่ไกลจากซันดาจะมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกเราไปคอยฮาบัสที่นั่น พวกเขาจะพาคนไปสมทบพร้อมกับสัมภาระทั้งหมด”

ก่อนมาที่นี่คาริฟได้วางแผ่นไว้แล้วว่าเขาจะเป็นคนบุกมาช่วยนาซีมเอง พร้อมกับกองกำลังส่วนหนึ่งที่องครักษ์ของเจ้าชายพากลับมา ส่วนองครักษ์ทั้งสองนั้นจะแบ่งกำลังเป็นอีกสองส่วน หนึ่งคืออยู่นอกกำแพงเมืองหลวงเอมาลี เพื่อนฟังข่าวหากคนของจาเร็ดสืบเบาะแสอื่นที่ยืนยันวานาซีมไม่ได้อยู่ที่ซันดา กำลังส่วนนี้ควบคุมโดยฟามีน และพวกเขาพร้อมที่จะออกเดินทางทันทีหากพบว่าเจ้าชายถูกคุมตัวไว้ที่อื่น

ส่วนที่สองนั้นนำโดยฮาบัส เขาจะคอยอยู่ระหว่างซันดาและเอมาลี ในกรณีที่คาริฟมาช่วยนาซีมแล้วไม่สำเร็จ พวกนั้นจะตามมาสมทบทันที

แต่ก่อนที่เขาจะพานาซีมออกมาที่นี่ คาริฟได้สั่งให้กองกำลังของตนกลับไปแจ้งข่าวแก่ฮาบัสว่าเขาพบตัวนาซีมแล้ว และสามารถออกเดินทางไปรอยังหมู่บ้านที่นัดพบ เพื่อเดินทางไปยังเผ่าของคาริฟได้เลย

“แล้วคนของท่านที่มาช่วยข้าเมื่อครู่เล่า พวกเขาไปแจ้งข่าวแก่ฮาบัสหมดเลยหรือ” นาซีมเห็นคนที่มากับคาริฟแล้ว พบว่ามีอยู่ไม่น้อย

“มิได้กลับไปทั้งหมด แต่พวกเขากำลังถ่วงเวลาให้พวกเราอยู่ อีกเดี๋ยวคงตามมาสมทบ”

เพราะนาซีมคือคนที่สำคัญที่สุด ดังนั้นคาริฟจึงต้องพานาซีมหนีให้ห่างจากพวกศัตรูก่อน โดยมีคนอื่นๆ คอยถ่วงเวลาและจัดการตัวเบี้ยไร้ความสามารถเหล่านั้นของทาริคให้

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” นาซีมพยักหน้าเข้าใจ “แล้วพวกเขาจะกลับมาได้หรือไม่ ทหารซันดาออกมาสมทบกันมากนัก ข้ากลัวว่าพวกเขาจะต้านไม่ไหว”

“อย่าได้กังวล” คาริฟให้ความมั่นใจ “คนเหล่านั้นได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แค่ทหารปลายแถวของซันดา อย่างมากก็แค่ทำให้เสียเวลาบ้างเท่านั้น อีกอย่างข้าแบ่งคนส่วนหนึ่งไปเผาประตูเมืองทางทิศใต้แล้ว นั่นคงก่อกวนพวกมันได้มากพอดู แม้ทาริคอยากได้ตัวเจ้ากลับไปใจจะขาด แต่ทหารของซันดาย่อมตามมาไม่ได้ทั้งหมด”

“หากเป็นดังคำเจ้า ข้าก็เบาใจ” นาซีมถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้การที่เขาไม่เห็นใครตามมา ได้ยินเพียงเสียงจากที่ไกลๆ และได้กลิ่นควันไฟเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง

“หากเบาใจเจ้าก็พักเสีย ถึงเมื่อใดข้าจะปลุก”

“เหตุใดจึงอยากให้ข้าหลับนัก” นาซีมเงยหน้ามองคนพูดอีกครั้ง

“เพราะใบหน้าเจ้ายามนี้ย่ำแย่นัก”

ด้วยสภาพของนาซีมหลังจากหนีออกมาได้ทั้งมอมแมมและดูอิดโรยเสียจนคาริฟอยากรู้ว่าเจ้าชายแห่งโซราห์ถูกทรมานแค่ไหนกันแน่

“ข้าแค่ไม่ค่อยได้นอน นอกนั้นพวกมันก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะทาริคสั่งไว้ว่าห้ามแตะต้องข้า”

“หึ” คาริฟแค่นหัวเราะ

สั่งว่าห้ามแตะต้องงั้นหรือ...แค่ได้ยินคำสั่งเขาก็หงุดหงิดจนอยากฆ่าใครสักคนขึ้นมา คนคนนั้นถือดีอย่างไรมาชี้เป็นชี้ตายเจ้าชายนาซีม

“อย่าทำหน้าน่ากลัวสิ ข้ามิได้เป็นอะไรจริงๆ”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

คนที่ปล่อยรังสีอึมครึมออกมาพยักหน้ารับรู้อย่างว่าง่าย แม้ใจจริงอยากสำรวจร่างกายของนาซีมเพื่อยืนยันให้แน่ใจก่อนก็ตาม

แต่เวลานี้คงไม่สะดวก

...คิดแล้วคาริฟก็กระชับร่างนาซีมให้เข้ามาใกล้ขึ้น ก่อนสั่งอาชาให้เร่งฝีเท้าอีกครั้ง เพราะหากถึงที่นัดพบเร็วสักหน่อย เขาจะได้ลองตรวจดูให้แน่ใจว่าเจ้าชายแห่งโซราห์มิได้มีบาดแผลจริงๆ

นาซีมมิได้ละสายตาจากใบหน้าของคาริฟ เขาจึงมองเห็นความแปรปรวนในดวงตาสีมรกตทั้งหมด เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ หากก็ไม่กล้าถามเพราะเกรงว่าจะกวนใจ

นาซีมจึงเอื้อมมือเกาะอกเสื้อของคาริฟไว้ และหลับตาลงอย่างที่บุรุษชุดดำอยากให้เขาทำ ทั้งที่ใจหนึ่งก็แอบคิดว่า...ถ้าวัดจากความอิดโรยบนใบหน้าแล้ว คนที่ควรพักยามนี้คือคาริฟต่างหาก มิใช่เขา

ได้พิงตัวเข้าหาอกอุ่น ฟังเสียงหัวใจ และคิดถึงสถานการณ์ต่างๆ ไม่นาน นาซีมก็ผล็อยหลับไปในที่สุด

คาริฟลอบมองเจ้าของใบหน้าที่ทำให้เขาห่วงจนกระวนกระวายนั่งไม่ติดที่ เห็นปื้นดำๆ บนแก้มกับผมเปียยุ่งเหยิง อยู่ๆ เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าความกลัวแสนหนักอึ้งซึ่งเกาะกุมหัวใจอยู่หลายราตรี

...บัดนี้ถูกปัดเป่าไปเรียบร้อยแล้ว









❂ …………………………….❂









นาซีมตื่นขึ้นอีกครั้งตอนที่กำลังถูกอัลฟ่าร่างสูงใหญ่วางลงบนพรมผืนใหญ่ เขาส่ายหัวสลัดความมึนงงออกไปชั่วครู่ เมื่อสติกลับคืนจึงมองไปรอบๆ

สถานที่ที่เขากับคาริฟอยู่ในยามนี้เป็นห้องแคบๆ มีหน้าต่างไม้หนึ่งบาน ภายในห้องไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากพรมหนา หมอนแข็งๆ ใบ และคนโทใส่น้ำ

เมื่อสำรวจด้วยตาเปล่าเรียบร้อย นาซีมจึงเอ่ยถาม

“เราอยู่ที่ใด”

“เราถึงหมู่บ้านที่ข้าบอกเจ้าแล้ว อีกเดี๋ยวคนของข้าคงจะตามมา และเราจะรอจนกว่าฮาบัสมาถึงจึงจะออกเดินทาง”

“บ้านหลังนี้เป็นของใครหรือว่าหมู่บ้านนี้มีคนของเราอยู่”

ที่อยากรู้เพราะเวลานี้นาซีมหวาดระแวงไปหมด เขากลัวว่าชาวบ้านที่นี่จะมีคนของพวกทารายาแฝงอยู่ หรือมีคนที่คอยจ้องหาประโยชน์จากตนเอง

“มิใช่คนของเรา” คาริฟส่ายหน้า “ที่นี่เป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งนักเดินทางส่วนใหญ่มักมาแวะพักก่อนเดินทางไปในทะเลทรายจริงๆ เท่านั้น”

“แสดงว่าที่นี่ใครจะพักก็ได้หรือ”

“ถูกแล้ว”

ด้วยสภาพของพื้นที่ห่างไกลทะเล ทำให้หมู่บ้านในแถบนี้ขาดแคลนน้ำเป็นพิเศษ พวกเขาจึงต้องหาอาชีพหลักด้วยการสร้างห้องพักให้นักเดินทางได้พักผ่อน ก่อนเดินทางจากเมืองริมชายฝั่งไปยังที่ตั้งของเผ่าต่างๆ ในทะเลทรายส่วนลึก ทดแทนการเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูก

“อยู่ที่นี่เราจะปลอดภัยหรือ หากมีคนของทาริคอยู่เล่า”

“ไม่เป็นไร ตอนนี้เจ้ามีข้าอยู่”

คาริฟยืนยันให้แน่ใจ เพราะเขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องนาซีมอีกเด็ดขาด นาซีมรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยกับประโยคเมื่อครู่ เจ้าชายจึงกระแอมออกมาเบาๆ ก่อนเสพูดเรื่องอื่น

“ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วหรือ”

“อืม”

“ไม่รู้ฮาบัสจะตามมาเมื่อไหร่”

“อาจจะใกล้อาทิตย์ตกดิน หรือไม่ก็กลางดึก แต่คงไม่เกินราตรีนี้เพราะข้าคิดว่าฮาบัสคงเดินทางโดยไม่หยุดพักอย่างแน่นอน”

ยิ่งอยู่นาน ยิ่งหมายถึงความเสี่ยงที่พวกเขาต้องเผชิญ ยามนี้ทางที่จะสลัดพวกเหลือบไรให้พ้นทางได้จริงๆ คือพวกเขาต้องเดินทางไปถึงเผ่าของคาริฟให้เร็วที่สุด

“หวังว่าพวกเขาจะปลอดภัย ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก” นาซีมว่า ก่อนจะนึกถึงคนอื่นๆ ด้วย “ว่าแต่อันวาเล่า ยามนี้พวกเขาอยู่ที่ใด เป็นอะไรไปด้วยหรือไม่”

ตั้งแต่ถูกจับมานาซีมก็กระวนกระวายเรื่องนี้อยู่ตลอด เพราะกลัวว่าอันวากับซินจะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย แม้ว่าคนที่เป็นเป้าหมายจะมีแค่เขาก็ตาม

“อันวาไม่เป็นไร ยามนี้เขาอยู่กับจาเร็ดที่เอมาลี เขาต้องสะสางอะไรบางอย่างพักหนึ่ง ไม่นานอาจจะตามไปที่เผ่าของข้า”

“อาจจะหรือ...แปลว่าอาจจะไม่ไปก็ได้ใช่หรือไม่”

“ใช่” คาริฟรับคำง่ายๆ

“ทำไม”

“เพราะพวกเขาล้วนมีหน้าที่ของตัวเอง จาเร็ดต้องดูแลคณะละครเร่ของเขา ส่วนอันวาก็เป็นคู่ของจาเร็ด เจ้านั่นไม่ยอมให้อันวาอยู่ห่างตัวนานนักแน่นอน อีกทั้งการไปเผ่าข้าครั้งนี้ เรายังไม่รู้ว่าจะได้ออกมาสู่โลกภายนอกเมื่อไหร่”

“จริงสินะ” นาซีมเข้าใจที่คาริฟพูดทันที แม้เขามีเป้าหมายในการทวงแคว้นคืนจากทาริค แต่เขาก็ต้องใช้เวลาวางแผนว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้คืน “อ้อ ว่าแต่ซินล่ะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง มิได้รับบาดเจ็บใดๆ เช่นเดียวกับอันวาใช่ไหม ข้าคิดว่าพวกมันคงจ้องเล่นงานข้าคนเดียว”

“เขาข้าไม่รู้ว่าเขารอดไปได้ไหม แต่คิดว่าคงรอดยาก เพราะเขาคิดจะหนีจึงตกรถม้า”

“หมายความว่าอย่างไร”

หากมองไม่ผิด นาซีมรู้สึกเหมือนตัวเองเห็นแววเกลียดชังฉายอยู่ในดวงตาสีมรกต แต่ครู่เดียวมันก็กลับมาเรียบเฉยเหมือนเก่า

“ซินร่วมมือกับฮัฟนานเพื่อจับตัวเจ้าส่งให้คนของทาริคที่ซันดา เพราะเขาอยากได้เงินค่าหัวเป็นการตอบแทน”

“เขาเป็นคนของทาริคหรือ!!”

“เขาสารภาพว่าเห็นดวงตาของเจ้าเปลี่ยนสีตอนอยู่ที่โอเอซิสอาไมร่า คงเป็นคืนนั้นที่พวกเจ้าชนกัน”

“เดี๋ยว...เดี๋ยวนะ นี่มันอะไรกัน ซินกับฮัฟนานงั้นหรือ”

นาซีมถามอย่างไม่อยากเชื่อ เขาตัวชาไปหมดเมื่อรู้ความจริง ยิ่งมองตาคาริฟ เขาก็ยิ่งแน่ใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก ซ้ำก่อนหน้านี้ก็เห็นฮัฟนานกับพวกจับเขามาส่งให้นักบวชที่พูดจาเหลวไหลนั่น นาซีมจึงไม่ลืมเล่าว่าตนพบกับฮีฟนานจริงๆ เรื่องราวทั้งหมดจึงค่อยๆ ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน

“เดาไว้ไม่ผิด” คาริฟเอ่ย ด้วยตอนที่สืบหาตัวคนร้ายในเอมาลี เขาพบว่าในคณะละครของจาเร็ด มีใครคนหนึ่งหายไป ซึ่งนั่นก็คือ ฮัฟนาน

“แล้วอย่างไรต่อ” นาซีมถามต่อ

“ทันทีที่ได้เงินรางวัลเขาก็ย้อนกลับไปรับซินซึ่งทำตัวไม่รู้ไม่เห็นอะไรใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่เจ้าหายไป แต่ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเกี่ยวข้อง เราดักจับพวกเขาได้ก่อนที่จะหนีออกจากเอมาลี ฮัฟนานสารภาพกับข้าว่าจับเจ้ามาส่งที่ไหน เราจึงได้ตามมาถูกที่และทันเวลาก่อนเจ้าจะถูกนำตัวกลับไปที่โซราห์”

“ข้าไม่เข้าใจ...เหตุใดซินทำเช่นนี้ เขามีงาน มีเงินอยู่แล้ว ทั้งยังไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับข้า”

“ซินมิได้มองว่าเจ้าเป็นเพื่อนตั้งแต่แรก ซ้ำยังท้องกับฮัฟนาน เบต้านั่นคงเกลี้ยกล่อมให้เขาทำ เพราะอยากได้เงินรางวัลค่าหัวมากพอในการใช้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ต้องเป็นนักแสดงเร่ร่อนไปตลอดชีวิต”

คาริฟบอกเล่าเรื่องราวที่เขารู้มาทั้งหมดตลอดการเดินทาง อันที่จริงเขาไม่ต้องสนใจฟังเสียงโอดครวญเหล่านั้นก็ได้ แต่เพราะรู้ว่าอาจมีโอกาสได้ตอบคำถามนาซีม เขาจึงถามเผื่อไว้ ซึ่งมันก็ได้ใช้จริงๆ

“ซินท้องหรือ!” นาซีมตกใจ เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังฮีทอยู่แท้ๆ

“ใช่ เขาบอกข้าเช่นนั้น”

“แต่ก่อนหน้านี้เขาฮีทมิใช่หรือ และหากนับดู ก็ยังไม่พ้น 15 ราตรีเท่านั้น หลังจากที่ฮีท แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ...” นาซีมนึกสงสัย แต่คาริฟก็ยอมเฉลยในที่สุด

“เพราะเป็นไปไม่ได้น่ะสิ ข้าถึงไม่ปล่อยเขาไป”

แม้คาริฟจะอยากช่วยนาซีมมากแค่ไหน แต่เอามิใช่คนใจดำที่จะลงมือทำร้ายคนท้องได้ลงคอ

นาซีมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ รู้สึกเสียดายมิตรภาพระหว่างตนและเพื่อนใหม่อย่างซิน หากอีกฝ่ายไม่ทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าในอนาคตพวกเขาอาจได้คบหาเป็นสหายสนิทกันต่อไปก็เป็นได้

“เจ้าอย่าเพิ่งคิดอะไรมาก เวลานี้ควรพักผ่อนก่อนดีกว่า หากฮาบัสมาพวกเราจะได้เดินทางทันที”

“แล้วท่านเล่า”

“ข้าจะออกไปดูลาดเลาด้านนอกสักหน่อย”

ไม่ใช่แค่นาซีม แต่คาริฟก็ไม่กล้าไว้ใจใครในสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกัน เขาอยากสังเกตการณ์รอบๆ และตั้งใจว่าจะหาอะไรให้นาซีมรองท้อง เพราะหลังจากนี้การเดินทางจะยากลำบากขึ้น

ทว่า...

“เช่นนั้น...ข้าออกไปกับท่านได้หรือไม่”

ไม่ว่าเปล่า แต่มือเรียวของเจ้าชายโอเมก้ากลับเอื้อมมารั้งชายชุดคลุมของคาริฟเอาไว้ ครั้นถูกเขามองตาม เจ้าตัวก็เหมือนเพิ่งรู้ว่าตนเองเผลอทำสิ่งใดลงไป

“...เอ่อ...ข้าขอโทษ ที่จริงข้ามิได้อยากก่อกวนท่าน” นาซีมชักมือเก็บอย่างรวดเร็ว และเอ่ยตะกุกตะกัก “ข้าแค่...อยากช่วย หากมีเรื่องไม่ชอบมาพากล”

คาริฟมองคนหรุบตาต่ำเพราะไม่กล้าสู้ตาเขาแล้วหลุดยิ้มออกมาบางๆ เขารู้ว่าเจ้าชายเก่งกาจพอดู หากมองจากที่พยายามหนีออกมาจากพวกซันดาได้ นั่นนับว่าไม่ธรรมดา อีกฝ่ายสามารถช่วยเขาได้จริงหากเกิดเรื่องคับขัน แต่เวลานี้คาริฟมิได้ต้องการให้นาซีมช่วย แต่เขาอยากเก็บอีกฝ่ายไว้ให้ห่างไกลจากภยันตรายมากกว่า

อีกอย่างเขาก็มองออกว่า นอกจากอยากช่วยแล้ว นาซีมยังขวัญเสียพอดูกับการถูกพาตัวไป

...ไม่ได้มีแค่เขาที่รู้สึกกลัวสินะ

คาริฟถอดผ้าคลุมชั้นนอกของตนเองออก ก่อนจะจับมันคลุมหัวและปิดใบหน้าให้นาซีม จากนั้นจึงเอื้อมไปคว้ามือซึ่งสั่นระริกมากุมไว้ ก่อนจะฉุดให้อีกฝ่ายลุกขึ้นตาม

“ถ้าเจ้าอยากไป ก็ไปด้วยกัน”

“ได้หรือ!” ลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนไหวระริกด้วยความยินดี ขณะที่เจ้าตัวเอ่ย

“ได้สิ” คาริฟยืนยัน

“ขอบคุณ”

“หึๆ เหตุใดต้องขอบคุณ” คาริฟเอ่ยถามขณะที่จูงมือให้นาซีมเดินตาม

“...ไม่มีอะไร ข้าก็แค่อยากขอบคุณ”

“หึ...” เขาหัวเราะในลำคออีกครั้ง ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเจ้าของดวงหน้าหวานละมุนที่บัดนี้ถูกจับแต่งตัวให้เหลือโผล่พ้นมาแค่ดวงตาแวววาว “เราจะเดินดูรอบๆ กันเล็กน้อย จากนั้นเจ้าต้องกลับมาพักผ่อน เข้าใจหรือไม่”

“แล้วท่านเล่า”

“ข้าก็จะอยู่กับเจ้า...หากเจ้าต้องการ

ครั้นคาริฟเอ่ย พวกเขาก็จ้องตากันครู่หนึ่ง จากนั้นนาซีมจึงพยักหน้าและตอบตกลงแผ่วเบา

“...เช่นนั้นก็ได้”









❂ …………………………….❂







หลังจากระทึกมากันตอนที่แล้ว 

ตอนนี้คลื่นลมสงบ จับมือกันหนีหวานๆ เบาๆ

ส่วนตอนหน้าฝนขอให้ผู้โดยสารไปบ้านภูตราตรีทุกท่านรัดเข็มขัดนิรภัยและหาที่เกาะให้แน่น

เราจะฟาดๆๆๆ มาแบบพายุเลยค่ะ 5555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

เจอกันตอนหน้าน้า





ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 16 ข้าอยู่กับเจ้า :- [20/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-11-2019 10:05:18
น่ารักที่สุด :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 16 ข้าอยู่กับเจ้า :- [20/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 20-11-2019 21:15:42
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 16 ข้าอยู่กับเจ้า :- [20/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-11-2019 22:29:36
จร้าาาา
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 16 ข้าอยู่กับเจ้า :- [20/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 22-11-2019 09:27:41
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 17 พายุทราย :- [25/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 25-11-2019 15:46:13



บทที่ 17 พายุทราย









เมื่อได้เดินสำรวจจนทั่วเจ้าชายนาซีมพบว่าหมู่บ้านทางผ่านแห่งนี้มีผู้คนอยู่ไม่กี่ครอบครัว แต่ละครอบครัวจะปลูกบ้านดินหลังเล็กๆ รวมหมู่เพื่อให้นักเดินทางได้พักผ่อน หลังหมู่บ้านมีบ่อน้ำบ่อหนึ่งซึ่งถูกใช้ร่วมกันทั้งหมู่บ้าน ทั้งยังเป็นทางออกไปยังทะเลทรายผืนใหญ่ที่มีหมู่ภูเขาหินสูงกลุ่มหนึ่งตั้งตระหง่านตัดระหว่างผืนทรายและแผ่นฟ้า

นาซีมหยุดมองเส้นทางตรงนั้นอย่างสนอกสนใจ คาริฟจึงชี้ให้เขาดูพร้อมกับอธิบาย

“เดิมทีใต้เขาหินลูกกลุ่มนั้นเคยมีหมู่บ้านอยู่เช่นกัน แต่ตอนนี้เหลือเพียงหมู่บ้านร้าง”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น” นาซีมถาม

“เพราะตาน้ำของที่นั่นแห้งเหือดไป ไม่มีน้ำผุดขึ้นมาจากใต้ดินอีก ผู้คนจึงย้ายออก บ้างก็ย้ายมาอยู่ที่นี่แทน เพราะพวกเขาขุดพบตาน้ำใหม่ แต่ดูท่าอีกไม่นานหมู่บ้านแห่งนี้ก็คงต้องร้างเช่นกัน”

นาซีมละสายตาจากภูเขาที่อยู่ไกลลิบเปลี่ยนมาก้มมองลงไปในบ่อน้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ ก่อนจะเงยหน้ามองคาริฟ

“ตาน้ำในบ่อแห่งนี้กำลังจะแห้งเหือดเช่นเดียวกันหรือ”

“อืม” คาริฟพยักหน้า “ข้าคิดว่าคงเป็นเช่นนั้น เมื่อคราวที่เดินทางมาช่วยเจ้าพวกเราก็พักที่นี่ ผู้นำของพวกเขาเล่าว่ากำลังมองหาที่อยู่ใหม่ ไม่แน่ว่าหากได้เดินทางมาครั้ง หมู่บ้านแห่งนี้อาจจะร้างไปแล้วเช่นกัน”

“อ้อ...”

นาซีมรับฟังเงียบๆ อย่างสนอกสนใจ แม้มันเป็นเรื่องไกลตัวและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแม้แต่น้อง ทว่าไม่รู้เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าน้ำเสียงที่เล่าเรื่องราวต่างๆ ของคาริฟช่างน่าฟังนัก

คาริฟพาเขาหยุดอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จึงหันมาถาม

“เจ้าหิวหรือไม่”

“อืม” นาซีมตอบรับ

“เช่นนั้นไปหาอะไรใส่ท้องสักหน่อย อิ่มแล้วจะได้พักผ่อน”

“ได้สิ”

นาซีมเดินตามบุรุษชุดดำไปยังที่พักของพวกเขา เมื่อถึงคาริฟก็เจรจาของซื้ออาหารเพิ่ม พวกเขาได้ของกินง่ายๆ หน้าตาธรรมดา แต่เมื่อได้ลิ้มกลับรู้สึกว่ามันอร่อยจนน้ำตาไหล

นาซีมกินอาหารของตัวเองเข้าไปจนเกลี้ยงถาด ก่อนจะรับน้ำจากคาริฟมาดื่มจนหมดแก้ว

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายจึงสังเกตเห็นว่าดวงตาสีมรกตนั้นจ้องเขาตาไม่กะพริบ และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองอยู่อย่างนี้นานเท่าใดแล้ว

“เจ้าอิ่มหรือไม่ หากไม่อิ่มก็กินของข้าได้” เขาว่าพลางเลื่อนถาดเงินมาตรงหน้านาซีม ทั้งแผ่นแป้ง แกงเผ็ดและเครื่องเคียงยังพร่องไปไม่มาก

“แล้วเจ้าไม่กินหรือ”

“ข้าไม่หิว” เขาตอบเรียบๆ แล้วยังเอ่ยอีกคำ “เจ้าหิวก็กินเถิด ดีกว่าเสียเปล่า”

“เช่นนั้นข้าขอนะ”

“อืม” คาริฟพยักหน้ารับพลางผุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก

“ขอบคุณ”

นาซีมรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่ก็เล็กน้อยเท่านั้น เพราะความอยากอาหารมีมากกว่า ทีแรกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองหิวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด เพราะมัวแต่สนใจกับการหนีเอาชีวิตรอด และต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอด

“ก่อนหน้านี้เจ้าได้กินอะไรบ้างหรือไม่” คาริฟถามขณะตายังมองทุกการกระทำของเขา

“ได้กินสิ แต่น้อยนัก”

“เหตุใดจึงกินน้อย พวกมันไม่นำอาหารมาให้เจ้าหรือ”

เพราะได้ยินเขาถามเสียงเข้มขึ้น นาซีมจึงละสายตาจากถาดอาหารชั่วขณะและมองหน้าคนถาม

ดวงตาของเขาฉายแววไม่พอใจอยู่จริงๆ ทั้งบรรยากาศรอบกายก็แสดงออกไปในทางนั้นด้วย นาซีมจึงต้องรีบเสริมเพราะไม่อยากเห็นเขาหงุดหงิด

“ตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้น พวกนั้นเอาอาหารให้ข้าตลอด แต่ข้าไม่กินเอง”

“เหตุใดเล่า”

“เพราะข้ากลัวว่าในนั้นจะมีสิ่งแปลกปลอมผสมมาด้วย จะมีแค่บางครั้งที่ข้าหิวมากจริงๆ จึงฝืนใจกินเข้าไป” นาซีมเว้นไปนิด ก่อนจะเอ่ยขำๆ ทว่าคนฟังกลับไม่รู้สึกตลกไปด้วย “แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไรอย่างที่กลัว ดูท่าพวกมันคงไม่คิดสังหารข้าตอนนี้”

“มันอยากได้เจ้ากลับไป” คาริฟว่าเสียงเย็น “แต่มันไม่มีทางสมหวัง”

“แน่นอน...ในเมื่อตอนนี้ข้าอยู่กับเจ้าแล้ว” เจ้าชายยกยิ้ม

นาซีมไม่อยากเห็นคาริฟโกรธ ไม่อยากเห็นเขาปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมา เจ้าชายจึงได้เอ่ยประโยคที่อีกฝ่ายพูดกับเขา

เวลานี้คาริฟอยู่นี่แล้ว และเจ้าตัวสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรกับนาซีมเด็ดขาด และนาซีมก็เชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเขาจะปลอดภัยเมื่ออยู่ข้างกายชายคนนี้

คาริฟนิ่งไปเล็กน้อย แต่การนิ่งของเขานั้นต่างจากเมื่อครู่มาก เพราะนาซีมสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายที่อัลฟ่าปล่อยออกมาเพื่อกดดันผู้คนค่อยๆ จางลงไป

“เจ้ากินต่อเถอะ” คาริฟบอก

“อืม”

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกลับสู่ภาวะปรกติ นาซีมจึงวางใจและยอมกินอาหารใต้สายตาของบุรุษชุดดำโดยไม่กังวนสิ่งใด เขาจัดการอาหารจนหมดในเวลาไม่นาน ดื่มน้ำตามอีกอีกหนึ่ง จากนั้นจึงวางมือลูบหน้าท้องเบาๆ เพราะดุท่าจะกินมากเกินไป

“อิ่มหรือไม่”

“มากเชียวล่ะ”

“ไม่เอาอีกสักหน่อยหรือ”

“หากให้ข้ากินอีกคำ ข้าคงท้องแตกตายพอดี”

“หึๆ”

เขาอารมณ์ดีแล้ว...นาซีมคิดหลังจากเห็นเขาหัวเราะออกมา แววตาก็เปลี่ยนกลับไปแวววาวเช่นเก่า บุรุษผู้นี้หน้าตาดีมากจริงๆ องคาพยพก็องอาจสมส่วนไปหมด แม้เวลาเขาโกรธเกรี้ยวจะยังดูดีไม่เปลี่ยน แต่เวลายิ้มเช่นนี้เขากลับยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูด

เสน่ห์ของเขามีมากเสียจนคนมองอดคิดไม่ได้ว่าหากชายผู้นี้หมายปองผู้ใด มีหรือคนผู้นั้นจะไม่ใจอ่อน เพราะแม้แต่เขาเองยัง...

นาซีมนิ่งไปเมื่อระลึกได้ว่าตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาจึงรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

น่าละอายนัก...เหตุใดเขาจึงมีความคิดเช่นนี้นะ

นาซีมแสร้งเอาผ้าเช็ดปากตัวเอง ปกปิดริ้วแดงๆ ที่พาดผ่านใบหน้า หวังในใจว่าอีกฝ่ายจะไม่สังเกตเห็น แต่เมื่อเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย เขาก็ต้องปะทะกับสายตาวาววับของคาริฟ

“มีอันใดติดอยู่บนหน้าข้าหรือ” คาริฟถาม

“ไม่มี” นาซีมตอบรวดเร็วอย่างคนร้อนตัว

“จริงรึ...แต่ข้าเห็นเจ้ามองข้าแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อครู่”

“มะ...ไม่มีอะไรจริงๆ”

คนร้อนตัวปฏิเสธอีกครั้ง คาริฟจึงไม่เซ้าซี้ แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าแม้ใบหน้าเขายังเรียบเฉย หากนัยน์ตาคู่นั้นเหมือนส่งยิ้มมาให้อย่างล้อเลียน

นาซีมส่ายหน้าเล็กน้อย ปัดไล่ความคิดไร้สาระของตนเองทิ้ง ก่อนจะผุดลุกขึ้น

“เจ้าจะไปไหน” คาริฟลุกตาม

“ข้าจะเอาถาดอาหารนี่ไปเก็บ”

“ไม่ต้อง เอาวางไว้ที่นี่ อีกเดี๋ยวจะมีคนมาเก็บเอง”

“อ้อ” เจ้าชายวางถาดเงินไว้ที่เดิม แต่ก็ยังถอยห่างไป “เช่นนั้น...ข้าจะไปนอนแล้ว”

“อืม ก็ดีเหมือนกัน”

ครานี้คาริฟไม่ถามสิ่งใดหรือรั้งไว้อีก เขาปล่อยให้นาซีมเดินไปนอนตัวแข็งบนพรมผืนหนาที่ปูเอาไว้มุมห้อง ส่วนตนเองก็นั่งอยู่ที่เดิม

กระทั่งผ่านไปพักใหญ่ ขณะที่นาซีมกำลังจะเคลิ้มหลับ อยู่ๆ เจ้าชายก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวทางด้านหลัง เมื่อเขาพลิกายหันกลับมา ใบหน้าก็ปะทะกับแผ่นอกกว้างพอดิบพอดี

“โอ๊ย!”

“เจ็บหรือไม่”

คาริฟผละถอยไปเล็กน้อย ก่อนจะเชยคางนาซีมขึ้นเพื่อสำรวจใบหน้า นิ้วโป้งของเขาลากวนจากปลายจมูก ก่อนมาหยุดที่หน้าผาก ซึ่งเป็นจุดที่กระแทกเมื่อครู่

“ข้าไม่เป็นไร” นาซีมบอก ก่อนจะถาม “ว่าแต่…เหตุใดท่านจึงมานอนตรงนี้เล่า”

มือที่ช่วยลูบหน้าผากให้หยุดลง ส่วนเจ้าของมือนั้นก้มมองหน้า จ้องตานาซีมครู่หนึ่ง ทว่าเหมือนนานชั่วกัป แล้วเขาจึงเอ่ย

“หากเจ้าชายนึกรังเกียจ…”

“ไม่ใช่!” ไม่รอให้เขาพูดจบ นาซีมก็รีบปฏิเสธ

“…?”

“ข้ามิได้รังเกียจ” เพราะกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจ นาซีมจึงย้ำอีกรอบ “ข้าแค่สงสัยเท่านั้น…เอ่อ…ข้า”

จากที่คิดกลัวว่าเขานะเห็นว่าตนรังเกียจ พอเห็นดวงตาที่ทอแววประหลาด นาซีมจึงรู้ทันทีว่าตนติดกับเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าชายก็ไม่กล้าออกปากไล่

…แม้นจริงๆ แล้วจะไม่มีความคิดว่าอยากขับไล่อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ

“แปลว่าท่านอนุญาตให้ข้านอนตรงนี้…ที่ข้างตัวท่านหรือ”

“…” คนถูกถามลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจเอ่ยคำอนุญาต “อืม เจ้าอยากนอนตรงไหนก็นอนเถอะ…เพราะเจ้าเองก็ต้องพักผ่อนเช่นกัน”

“ขอบคุณขอรับ” คาริฟว่า

“แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำสุภาพกับข้า…พูดกับข้าเหมือนที่ผ่านมาเถอะ”

เมื่อข่มความอายและเอ่ยออกมาทั้งหมดในคราวเดียว นาซีมก็ได้รอยยิ้มของบุรุษที่มักตีหน้านิ่งเป็นการตอบแทน นั่นทำให้ความร้อนในร่างฉีดขึ้นมารวมที่ใบหน้าอีกระลอก เจ้าชายตึงรีบพลิกตัวกลับ หันเข้าหากำแพง พยายามไม่คิดถึงระห่างและการใกล้ชิดที่เกิดขึ้นและข่มตาให้หลับ

ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย…เขาบอกตัวเองเช่นนั้นแม้หัวใจเต้นระรัว

กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าชายโอเมก้าจึงเคลิ้มหลับไปในที่สุด



❂ …………………………….❂



“นาซีม”

“…”

“ตื่นเถอะ”

เสียงเรียกพร้อมแรงเขย่าตัวน้อยๆ ปลุกให้เจ้าชายแห่งโซราห์ตื่นขึ้นจากนิทรา เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าคนที่เรียกคือคาริฟไม่ใช่ใครอื่น เจ้าชายจึงลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือ แล้วถาม

“คนของเรามาถึงแล้วหรือ”

“ไม่ใช่”

คาริฟส่ายหน้า ก่อนจะเอาผ้าคลุมสีดำที่เขาถอดทิ้งไว้มาจัดการคุลมกายให้นาซีมอีกรอบ ทั้งยังทำอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบที่สุด

พฤติกรรมแปลกๆ ของบุรุษผู้นี้อยู่ในสายตานาซีมทั้งหมด

“มีเรื่องใดหรือคาริฟ”

เพราะรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายบางอย่าง นาซีมจึงถามออกไปและคาริฟก็ตอบรับด้วยการโน้มกายลงมากระซิบข้างหู

“พวกทหารซันดาตามกลิ่นเรามาถึงที่นี่”

“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี” นาซีมถามกลับ

“ข้าจะพาเจ้าออกไปจากหมู่บ้าน รอจนพวกมันไปแล้วค่อยย้อนกเลับมา เพราะอย่างไรฮาบัสก็ยังมาไม่ถึง” แม้ไม่คาดว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ แต่คาริฟก็ได้คิดหาทางหนีทีไล่ได้ทันท่วงที

“เราจะไปหลบที่ใด”

“เจ้าไม่ต้องถามมากความแล้ว ตามข้ามาเงียบๆ ก็พอ หากช้ากว่านี้พวกมันคงตามมาเจอ”

เขาทิ้งท้ายก่อนจะกระชับผ้าคลุมศีรษะของให้เจ้าชายอีกรอบ จากนั้นจึงคว้ามือเอาไปกุมไว้และค่อยๆ พานาซีมไปจากบ้านพัก

แสงแดดด้านนอกราแรงลงแล้ว แม้ยังไม่ค่ำแต่คาดว่าอีกไม่นานคงมืดสนิท นาซีมก้มตัวและค่อยๆ ย่องไปยังโรงเก็บม้าตามที่คาริฟให้สัญญาณ หัวใจของเขาเต้นระทึกอย่างหวาดกลัวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกของกลุ่มชายฉกรรจ์ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

นอกจากหัวใจจะเต้นแรงเพราะความตื่นตระหนกแล้ว นาซีมยังรู้สึกคล้ายมวลอากาศรอบกายกดทับลงมา ราวกับอากาศวันนี้หนาแน่นและชื้นกว่าทุกวัน

เมื่อคาริฟพาเขาหลบมาถึงโรงเลี้ยงม้าได้ อีกฝ่ายก็บอกให้รออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจูงมาสีดำสนิทราวกับสีอาภรณ์เจ้าของออกมา

อัลฟ่าหนุ่มยกตัวส่งนาซีมขึ้นไปนั่งบนหลังม้าโดยไม่ให้สัญญาณ ก่อนพาตัวเองโดดตามขึ้นมาและบังคับอาชาให้ตะบึงออกไปทางด้านหลังหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบ

เพราะอาชาเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว สายลมจึงพัดเข้ามาตีผ้าคลุมให้เปิดออก นาซีมมองไปยังทิศทางเบื้องหน้า ไม่กล้ามองกลับหลัง ขณะที่คาริฟมุ่งไปยังเส้นทางที่อีกฝ่ายชี้ให้ดูตอนที่มาถึง

หากเลยผ่านเขาหินกลุ่มนั้นไป พวกเขาจะออกเดินทางสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง ข้างนอกนั้นไม่มีที่ใดให้หลบได้เลย เจ้าชายจึงภาวนาให้หลบทหารซันดาพ้นจนกว่าจะถึงภูเขาหิน

ทว่าสิ่งที่ภาวนากลับไม่เป็นจริง วันนี้เทพีแห่งซาร์เรียคงไม่เข้าข้างจึงทำให้พวกทหารเลวล่วงรู้ว่ายามนี้เป้าหมายของตนหนีออกมาทางไหน

คล้ายทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ตอนที่คาริฟพาเขามาถึงหมู่บ้านร้าง ทหารกลุ่มหนึ่งจากซันดาก็ควบมาตามมาได้ครึ่งทางแล้ว

“คาริฟ!” นาซีมหันมาร้องถามด้วยความตระหนก “เราจะทำอย่างไรกันดี”

“เข้าไปหลบในนั้น”

คาริฟขี่ม้าเข้าไปยังซอกหินขาดที่ดูคล้ายซุ้มประตูบานใหญ่ เมื่อก้าวพ้นจุดนั้นเขามาจึงได้พบหมู่บ้านร้าง ที่มีขนาดใหญ่และมีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่แน่นขนัด

“เราจะหลบในนี้จริงหรือ”

“ใช่”

“แต่พวกมันจะเจอเรา”

“แต่ก็ยังดีกว่าออกไปเผชิญกับพายุทราย”

อีกฝ่ายไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำยามที่โต้ตอบ เพราะสายตาดั่งประหนึ่งเหยี่ยวทะเลทรายกำลังสอดส่ายสำรวจไปโดยรอบ ขณะที่บังคับให้ม้าวิ่งไปตามทางแคบๆ ระหว่างบ้านเก่าทรุดโทรม

“พายุทรายหรือ...”

นาซีมตกตะลึง เขาละสายตาจากใบหน้าของคาริฟแล้วเอี้ยวตัวมองไปด้านหลัง

ที่ปลายขอบฟ้าไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก เหนือหมู่บ้านซึ่งเป็นจุดแวะพักของนักเดินทาง มีกลุ่มทรายขนาดใหญ่กำลังม้วนตัวอยู่เหนือหมู่บ้านราวกับคลื่นพิโรธในมหาสมุทร ท้องฟ้าทั้งผืนกลายเป็นสีหม่นและมืดลงทุกที ยิ่งสายลมหมุนทวีความรุนแรง กลุ่มทรายเหล่านั้นก็ยิ่งเคลื่อนที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

เพียงพริบตาเดียวหมู่บ้านแห่งนั้นก็หายลับไปจากครรลองสายตา ราวกับถูกหมอกควันมรณะกลืนกิน

“พวกเราต้องหาที่หลบก่อน เรื่องหนีค่อยว่ากัน ทหารซันดาเองก็คงต้องหลบไม่ต่างกับเรา หรือไม่หากเข้ามาใต้ภูเขาลูกนี้ไม่ทัน พวกมันก็อาจถูกพายุลูกนั้นจัดการเอง”

“ท่านเห็นมันตั้งแต่เมื่อไหร่”

เพราะเจ้าชายมัวแต่ห่วงเรื่องหนีจากพวกซันดา นาซีมจึงไม่ทันสังเกตว่าพายุทรายกำลังประชิดเข้ามาใกล้ถึงเพียงนั้น

“ตอนเข้าไปเอาม้า ข้าสังเกตเห็นว่ามันเริ่มก่อนตัวจากที่ไกลๆ” คาริฟบอกพลางดึงบังเหียนให้ม้าหยุดหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านที่หน้าต่างประตูยังอยู่ครบถ้วน “เมื่อเช้าข้ายังคิดกลัวอยู่ว่าจะมีพายุเกิดหรือไม่ แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ”

“ท่านรู้หรือ”

“ใช่”

“ได้อย่างไร...โอ๊ะ! ขอบคุณ” ขณะที่ถามคาริฟก็กระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะรั้งตัวนาซีมให้ลงมาด้วยกัน

“วันนี้แดดแรงทว่าอากาศชื้นกว่าทุกที เหมือนกับเวลาที่กำลังจะเกิดพายุทราย”

นาซีมเข้าใจที่คาริฟพูดทันที เพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นกัน

หลังจากพูดกันแค่นั้นคาริฟก็ไม่เอ่ยอะไรอีก นาซีมเองก็ไม่ถาม พวกเขาช่วยกันกระแทกประตูบ้านที่คาดว่าสามารถใช้เป็นที่กำลังบังพายุได้สักระยะให้เปิดออก ก่อนคาริฟจะสำรวจประตูหน้าต่างอีกครั้งและสั่งให้นาซีมช่วยกันหาอะไรมากำบังช่องเล็กๆ ที่ทรายสามารถแทรกผ่านเข้ามาได้

เมื่อทำทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย นาซีมก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างที่บอก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ติด ไหนจะหนีพวกที่ติดตาม ไหนจะต้องหาที่หลบพายุ

ไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาสงบสุขก่อนหน้าจะถูกทำลายลงรวดเร็วขนาดนี้

“อาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว พายุทรายมาไวไปไว เมื่อมันเคลื่อนที่ผ่านพ้นไป ฟ้าคงจะมืดพอดี ตอนนั้นเราคงจะหลบซ่อนได้สะดวกขึ้น”

“อืม” นาซีมพยักหน้า ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่มุมหนึ่งในโถงของบ้าน เขาทั้งรู้สึกตื่นเต้น ตระหนกและหวาดกลัวจนคล้ายว่าจะหมดแรง

“ระหว่างนี้เจ้าเอาผ้าผืนนั้นปิดหน้าปิดจมูกไว้เสีย แม้เราป้องกันอย่างไรก็คงมีทรายเม็ดเล็กๆ เล็ดรอดเข้ามาได้”

“อืม” เขารับคำแต่โดยดี

ทว่าระหว่างที่กำลังเอาผ้าปิดจมูกอยู่นั้น เจ้าชายก็รู้สึกเหมือนร่างกายมันร้อนผะผ่าว ดวงตาพร่ามัว หัวใจของเขาค่อยๆ เต้นแรงขึ้น แรงขึ้น และแรงขึ้น ราวกับว่ามันกำลังจะทะลุออกมาจากอกก็ไม่ปาน

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น...เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นจำเพาะของอัลฟ่า

กลิ่นเดียวกับที่สัมผัสได้ตอนฮีท!

เจ้าชายโอเมก้ารู้ตัวทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ด้วยไม่รู้ว่าคาริฟรู้ถึงความผิดปรกตินี้หรือยัง

...แม้อยู่ใต้แสงสลัวในห้องปิดตาย เขาก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบุรุษผู้นั้นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเช่นไร

“...คา...คาริฟ”

นาซีมอยากกล่าวขอโทษ อยากบอกว่าไม่ตั้งใจให้ตัวเองฮีทในสถานการณ์เช่นนี้ แต่สิ่งที่เอ่ยออกจากปากกลับมีแค่เสียงสั่นๆ ที่เรียกชื่ออีกฝ่ายเท่านั้น

“ให้ตายเถอะ!” คาริฟสบถพานให้นาซีมสะดุ้ง เขาฉีกผ้ารัดข้อมือออกมาผูกปิดจมูกตนเอง ก่อนจะว่าต่อ “พวกทหารส่วนใหญ่เป็นอัลฟ่า...มันต้องได้กลิ่นแน่”

ไม่ทันขาดคำเสียงทุบทำลายหน้าต่างประตูก็ดังแว่วให้ได้ยิน ซ้ำยังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นาซีมเห็นคาริฟชักดาบพระจันทร์เสี้ยวที่ห้อยอยู่ข้างเอวขึ้นมาถือไว้ แล้วก้มตัวลงเอาหูแนบพื้น เพียงครู่เดียวก็ลุกขึ้นมาและเอ่ย

“เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่”

“เจ้าจะไปที่ใด”

“เดี๋ยวข้ามา”

“ข้าจะไป...ข้าไปด้วย...”

“ห้ามขยับตัวหรือออกไปไหนทั้งนั้น” เขากำชับ

“แต่...”

“ห้ามตามข้ามาเด็ดขาด!”

“!!”

เขาเสียงดังจนนาซีมสะดุ้ง แต่พอเห็นร่างของเจ้าชายสั่นน้อยๆ คาริฟจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น

“ข้าต้องไปจัดการพวกมัน ไม่เช่นนั้นกลิ่นของเจ้าจะทำให้พวกมันคลั่ง แล้วคราวนี้แม้แต่พายุทรายก็คงหยุดอัลฟ่าฝูงนั้นไม่อยู่...”

“...”

“เจ้าจะรอข้าที่นี่...ได้หรือไม่”

ไม่รู้เพราะกำลังฮีท เพราะเสียงพายุ หรือเสียงทหารซันดาด้านนอกจึงทำให้นาซีมได้ยินเสียงของคาริฟผิดเพี้ยนไป

ราวกับเขากำลังอ้อนวอนมิใช่ออกคำสั่ง

“อืม ข้าจะรอเจ้า จะไม่ขยับตัวไปไหน” เจ้าชายนาซีมกระซิบ

“...”

“ดังนั้น...รีบกลับมานะคาริฟ”

“ข้าจะกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน”







❂ …………………………….❂





มาต่อแล้วค่าาา

ช่วงนี้เดินทางค่ะ ก็เลยมาช้าหน่อย

แต่จะมารัวๆ แล้วล่ะ

ตอนหน้าอย่าพลาดน้า บอกแค่นี้  -///-



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 17 พายุทราย :- [25/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-11-2019 17:12:44
 :pig4:
 :3123:
 o13
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 17 พายุทราย :- [25/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 25-11-2019 19:55:43
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 17 พายุทราย :- [25/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-11-2019 21:10:13
 ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 17 พายุทราย :- [25/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-11-2019 07:43:20
ขอให้ปลอดภัยนะ หวังว่าคนอื่นๆจะมาช่วยทันด้วย
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 17 พายุทราย :- [25/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-11-2019 22:38:17
หึหึ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 17 พายุทราย :- [25/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 27-11-2019 09:48:55
 โอ้ยจังหวะเหมาะเกิน :katai1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 17 พายุทราย :- [25/11/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 30-11-2019 20:08:38
มาฮีทอะไรตอนนี้ล่ะ นาซีมจะไม่ไหวอยู่แล้ว
ทั้งต้องหนี ต้องหลบซ่อนด้วย โอ๊ยยย ทรมานแทน

คาริฟดีมากเลยค่ะ ยิ่งนานวันยิ่งรู้สึกชัด
ปกป้องและอดทนดีมาก ส่งใจให้ท่านผู้นำนะคะ

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 18 ตราประทับ :- [1/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 01-12-2019 23:39:15



บทที่ 18 ตราประทับ









เมื่อให้สัญญาแล้วคาริฟก็หันหลังจากไป แต่ยังไม่ลืมปิดประตูให้มิดชิดเพราะอย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยป้องกันไม่ให้พวกทหารซันดาได้กลิ่นที่นาซีมปล่อยออกเร็วเกินไปนัก ส่วนตัวเขาเองกำลังพยายามข่มความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ดูเหมือนเอาชนะยากขึ้นทุกที

บุรุษชุดดำเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและเงียบกริบไปตามตรอกเล็กๆ ระหว่างนั้นก็สอดส่ายสายตามองหาจุดที่สูงที่สุดของหมู่บ้านร้าง มองหาไม่นานก็พบหอสูงซึ่งคาดว่าเป็นหอระวังภัยเก่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มจึงเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปที่นั่นทันที

ครั้นมาถึงเขาพบว่าหอระวังภัยแห่งนี้มีสภาพเก่าแก่และทรุดโทรมมาก ประกอบกับลมแรงซึ่งพัดเข้ามาจากปากทางเข้าหมู่บ้านยิ่งเสริมให้มันดูคล้ายว่าจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ

คาริฟเร่งสำรวจฐานโดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่าหอแห่งนี้จะไม่พังลงมาจริงๆ เมื่อสังเกตเห็นเสาค้ำที่ยังพยุงตัวหออยู่ได้ทั้งสี่ด้าน ชายหนุ่มจึงกระโดดขึ้นเกาะคานชั้นที่หนึ่งก่อนจะโหนตัวขึ้นไปจึงถึงชั้นบนสุดอย่างปลอดภัย

ทันทีที่ขึ้นไปได้สำเร็จ คาริฟก็เร่งมองหาศัตรูที่เคยได้ยินเสียงจากที่สูง แม้วิสัยทัศน์จะย่ำแย่เพียงใดแต่ไม่นานเขาก็พบพวกมัน ทหารซันดาเหล่านั้นลงจากหลังอาชาและแบ่งกันเป็นกลุ่มเพื่อแยกกันตามหานาซีม

มองจากตรงนี้พวกมันมีกันสี่กลุ่ม กลุ่มหนึ่งราวสามคน แต่คาริฟไม่รู้ว่ายังมีใครแฝงตัวอยู่อีกหรือไม่ เขารอจนทหารทุกนายลงจากหลังม้าและแยกกันออกตามหาจึงกระโดดลงมาจากหอระวังภัย

ทั้งเนื้อทั้งตัวของคาริฟมีอาวุธอยู่สองอย่าง หนึ่งคือดาบพระจันทร์เสี้ยวประจำกาย อีกหนึ่งเป็นชุดมีดสั้นที่พกติดตัวอยู่เสมอเผื่อใช้ในยามฉุกเฉินเพราะมันเป็นอาวุธที่สามารถใช้ในการโจมตีระยะไกลได้ แต่มีดสั้นทั้งหมดของเขามีเพียง 6 เล่มเท่านั้น ฉะนั้นแม้เขาจะใช้มันโจมตีพวกซันดา แต่ก็ยังต้องเสียเวลาสู้ประชิดตัวอยู่ดี

คาริฟค่อยๆ วางแผนในหัวอย่างรวดเร็วและเรียบเรียงให้เป็นขั้นเป็นตอน ด้วยเวลาของเขามีจำกัดนัก อย่างไรเรื่องที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกก็คือการกำจัดทหารซันดาให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกมันจะรวมตัวกันอีกครั้ง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นการต่อสู้ของเขาคงตึงมือเอาการ หรือไม่ก็อาจเพลี่ยงพล้ำได้

ผู้นำของเหล่าภูตราตรีเลือกจัดการพวกที่อยู่ใกล้สุดก่อนเพราะมันมุ่งหน้าไปยังทางที่นาซีมซ่อนอยู่ เขาค่อยๆ แฝงตัวไปตามเงามืดของซากบ้านเรือนและปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งซึ่งพวกมันต้องเดินผ่าน จากนั้นก็เฝ้าคอยจังหวะให้มันมาถึง

ครั้นอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคาริฟก็หยิบมีดสั้นออกมาจากข้างเอวแล้วซัดออกไปยังเป้าหมาย มีดเล็กๆ ทว่าคมกริบปักเข้าที่จุดตายของทหารสองนายแม่นราวกับจับวาง ยังไม่ทันที่พวกมันจะรู้ตัว พริบตาเดียวทหารซันดาสองนายก็ล้มพับลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว

ส่วนทหารอีกนายนั้นรู้ถึงหายนะที่เกิดกับพวกตน หากก็สายไปเสียแล้ว ด้วยเบื้องหน้าของมันหน้าปรากฏแสงสีเงินวูบหนึ่ง ก่อนร่างทั้งร่างจะล้มตามลงไปนอนจมกองเลือดเพราะถูกดาบเสี้ยวจันทร์ฟันเข้ากลางลำตัวจนร่างขาดสะพายแล่ง

คาริฟไม่รั้งรอยอมเสียเวลาเพื่อดูศพเพราะทันทีที่พวกซันดาทั้งสามคนล้มลง เขาก็กระโดดขึ้นบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งในละแวกนั้น เพื่อตรวจดูเป้าหมายต่อไปว่าคนที่เหลืออยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมซึ่งเขามองจากหอระวังภัยมากแค่ไหน

เขาหรี่ตามองหาครู่เดียวจึงเห็นกลุ่มต่อมาที่อยู่ถัดไปทางซ้าย พวกมันกำลังรีบเร่งเพื่อทำเวลาเพราะต่างก็กลัวอำนาจของพายุทรายซึ่งใกล้เข้ามาปะทะหมู่บ้านทุกขณะ

คาริฟมองสายลมรุนแรงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้วคำนวณเวลาในใจ ยามนี้เขาเองก็เหลือเวลาก่อนพายุทรายจะพัดมาถึงไม่มากเช่นกัน

คิดได้ดังนั้นคาริฟก็กระโดดลง ณ จุดที่ใกล้กับทหารซันดาคนหลังสุด ฝีเท้าเงียบกริบและเสียงลมหวีดหวิวทำให้ทหารนายนั้นไม่ได้ยิน และกว่าจะรู้ตัวมันก็ถูกลอบเฉือนคอจากทางด้านหลัง ก่อนมีดสั้นอีกสองเล่มจะบินหวือไปปักท้ายทอยทหารในกลุ่มที่เหลือ

การจู่โจมแบบกองโจรใช้ได้ผลดีจนกระทั่งจัดการได้ถึงกลุ่มที่สามเท่านั้น ด้วยจำนวนอาวุธลับที่เตรียมาหมดลงแล้ว คาริฟวิ่งไปตามซอกซอยเพื่อให้ตามทันกลุ่มสุดท้าย ระหว่างนั้นเขาก็พลันได้กลิ่นจำเพาะของนาซีมลอยตามลม และดูเหมือนจะกลิ่นหอมนั้นจะยิ่งมีอานุภาพรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ความเครียดและกดดันจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน รวมทั้งแรงกระตุ้นจากสิ่งเร้าซึ่งมาจากโอเมก้าที่เป็นคู่โชคชะตาโดยตรงปลุกสัญชาตญาณดิบของอัลฟ่าขึ้นมาทีละน้อยๆ

ทว่าคาริฟรู้ หากเขาไม่พยายามควบคุมมันไว้ตอนนี้ อีกไม่นานเขาอาจถูกสัญชาตญาณดิบนั้นครอบงำจนคลุ้มคลั่งเสียเองก็เป็นได้

...และผลร้ายจะไปตกที่เจ้าชายนาซีม

ชายหนุ่มสะบัดศีรษะ ไล่อารมณ์ปั่นป่วนที่เพิ่มขึ้นก่อนพุ่งความสนใจไปที่ทหารกลุ่มสุดท้าย

ไม่ไกลออกไปเท่าไรนัก เสียงของคนกลุ่มหนึ่งทำให้คาริฟเย็นวาบไปทั้งตัว กลิ่นอายความกดดันของอัลฟ่าหลายคนที่ตีกันวุ่นวายโชยมาตามแรงลม

ผู้นำกลุ่มภูตราตรีเร่งฝีเท้ามากขึ้น เพราะรู้แล้วว่าพวกที่เขาตามหาอยู่ที่ใด

กระทั่งพ้นขอบชายคาของบ้านหลังหนึ่งบนถนนเล็กๆ สายหนึ่ง ที่ซึ่งเขาเอาตัวคนคนนั้นไปซ่อนไว้ คาริฟจึงพบปรากฏการณ์ที่ไม่คาดว่าจะได้เจอ นั่นคือ...

พวกทหารซันดากำลังชักดาบออกมาฟาดฟันกันเอง!

แน่นอนว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกมันคลุ้มคลั่งจากการได้กลิ่นของนาซีม

ในดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงโอเมก้าที่ลำบากจากอาการฮีท อัลฟ่าเองก็เหมือนถูกสาปให้อ่อนไหวต่อกลิ่นหอมหวานที่โอเมก้าปล่อยออกมาเช่นกัน อัลฟ่าที่สติปัญญาเฉียบแหลมจะกลายเป็นพวกบ้าคลั่งได้ง่ายๆ เพียงเพราะถูกกระตุ้นจากกลิ่นของโอเมก้า

พวกเขาจะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ ร่างกายจะถูกนำโดยสัญชาตญาณดิบแทน

และที่พวกทหารซันดากำลังสู้ทั้งที่เป็นพวกเดียวกัน เพราะสัญชาตญาณกำลังสั่งให้แต่ละคนแสดงความเป็นใหญ่ เพื่อเป็นหนึ่งเดียวที่จะได้ครอบครองโอเมก้าที่กำลังฮีทนั่นเอง

คาริฟเองใช่ว่าจะอดทนได้มากกว่าคนอื่น แต่ชายหนุ่มใช้โอกาสยามที่ตนยังต้านไหวจัดการพวกมัน ฉวยโอกาสตอนที่กำลังชุลมุนเข้าไปฟันแผ่นหลังของอัลฟ่าตนหนึ่งจนล้มลง

ทหารที่เหลือกลุ่มสุดท้ายผงะถอยเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความมีอำนาจที่มากกว่า พวกที่เหลืออีกสองคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว กระทั่งสายลมจากพายุหอบพัดเข้ามาตีกลิ่นนาซีมให้อบอวลออกมาจากบ้านผุๆ หลังนั้นอีกรอบ ทหารนายหนึ่งก็กระโจนเข้ามาหาคาริฟทันที ด้วยเข้าใจจากสัญชาตญาณว่าคาริฟคือหนึ่งในอัลฟ่าที่กำลังจะแย่งโอเมก้าของมันไป

“ย๊าก!!”

เคร้ง!

คาริฟยกดาบขึ้นรับการโจมตีได้ทันควัน แต่อัลฟ่าคลั่งอย่างไรก็รับมือลำบาก เพราะถึงแม้ฝีมือของมันสู้เขาไม่ได้ แต่พละกำลังกลับมากมายเสียจนคาริฟต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ยิ่งลมพายุหอบทรายเม็ดเล็กๆ เข้ามามากขึ้น ทัศนียภาพเบื้องหน้าก็ยิ่งเลือนราง

คาริฟรับมือกับความรุนแรงในการโจมตีอยู่พักหนึ่งจึงสังเกตเห็นว่าทหารอีกนายหันหลังกลับ ทิ้งให้เขาต่อสู้กันสองคน ส่วนตนนั้นเปลี่ยนเป้าหมายไปพังประตูบ้านที่นาซีมซ่อนตัวอยู่แทน

ปัง!

ประตูบ้านหลังนั้นถูกทั้งแรงถีบผนวกกับแรงลมพายุผลักออกกว้าง บุรุษในชุดดำร้อนใจอยากจะตามแผ่นหลังของทหารซันดานายนั้นเข้าไปจนพลาดถูกฟันเข้าที่ผ้าโพกหัว ผมสีดำราวกับปีกกาสยายลงประบ่า โชคดีเหลือเกินที่เขาเอี้ยวตัวหลบได้บ้าง ไม่เช่นนั้นคงคอขาดอย่างแน่นอน

ความรู้สึกเจ็บแปลบๆ ตรงบริเวณคิ้วตามมาพร้อมกับที่จมูกส่ากลิ่นโลหิตบางๆ ทว่าความเจ็บแปลบเล็กน้อยนั้นไม่คณามือภูตราตรีเช่นคาริฟ เป็นกลิ่นเลือดเคล้ากลิ่นกายที่ลอยตลบอบอวลไม่แพ้ละอองทราย รวมทั้งเสียงร้องขอความช่วยเหลือของนาซีมต่างหากที่ผลักให้คาริฟทนไม่ไหว

“ชะ...ช่วยข้าด้วย”

“...”

“คาริฟ!!!”

ความโกรธเกรี้ยวของคาริฟก่อตัวและพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับพายุซึ่งเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอยู่เบื้องหลัง กลิ่นอายกดดันรุนแรงทำให้ทหารซันดาตรงหน้าของเขาตัวสั่นงันงก

มันคล้ายจะได้สติ ทิ้งดาบ คุกเข่าลงกับพื้น ทว่าไม่ทันร้องขอ คาริฟก็ตวัดดาบบั่นคอมันจนเลือดสาดเปรอะไปทั่วบริเวณใกล้ๆ เสื้อผ้าและร่างกายของเขา แต่คาริฟก็ไม่สนใจ เขารุดเข้าไปในบ้านหลังน้อยจนทันได้เห็นว่าทหารเลวที่เข้ามาก่อนหน้านี้กำลังปลุกปล้ำและพยายามกัดคอที่ว่างเปล่าของนาซีม!

ถูกแล้ว...ยามนี้ลำคอของนาซีมว่างเปล่า ด้วยปลอกคอไพลินที่คาริฟซื้อให้ถูกกระชากจนขาดกระเด็นอยู่ไม่ไกลจากที่ซ่อนตัวของเจ้าชาย

เปรี๊ยะ!

ความอดทนที่สู้รักษาไว้ขาดผึงในวินาทีนั้น

ในความสลัวของใต้แสงสุดท้าย ใต้ลมกรรโชกและเม็ดทรายจากพายุคลั่ง สิ่งใดล้วนไม่น่าเกรงขามเท่าความโกรธาของผู้นำเผ่าภูตราตรี...

ฉั้ว!

เสียงดาบสีเงินยวงฟันลงบนเนื้อหนังของมนุษย์ ก่อนตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนราวกับจะขาดใจ

“อ๊าก!!!!!!”

ทหารโชคร้ายที่กล้าเข้ามาแตะต้องคู่ของเขาแอ่นหลังขึ้นตามแรงดาบ ก่อนจะล้มลงตรงข้างกายของนาซีม กระนั้นเจ้าของลูกแก้วสีมรกตที่บัดนี้ฉายแววเปลี่ยนไปกลับไม่ปล่อยให้ทหารเลวได้ส่งเสียงร้องนานนัก เพราะเขาตามไปแทงดาบใส่หน้าจนเสียงร้องค่อยๆ เงียบหาย พร้อมกับลมหายใจที่ปลิดปลิว...

นาซีมหอบหายใจรุนแรง ทั้งเหนื่อยจากการปกป้องตัวเองและเห็นภาพสยดสยองเกินกว่าจะจินตนาการ ความรู้สึกที่อยากได้รับการปลดปล่อยยังคงเข้มข้น แต่นอกเหนือไปจากนั้นนาซีมก็ยังขวัญผวาเพราะได้เห็นคาริฟในด้านที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น

เจ้าชายโอเมก้าจ้องมองไปยังร่างที่บัดนี้ยืนห่างออกไปไม่ไกล เขาเชื่อว่า หากใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีรอบหมู่บ้านร้างแห่งนี้ จะต้องได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายอัลฟ่าที่คาริฟปล่อยออกมาอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะนาซีมที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวก็ยิ่งแล้วใหญ่...

คาริฟเป็นอัลฟ่า...ข้อนี้นาซีมรู้

เขาสามารถข่มขวัญใครต่อใครด้วยพลังของอัลฟ่า...ข้อนี้นาซีมก็รู้ ซ้ำยังเคยเห็นมาบ้างแล้ว

ทว่าสิ่งที่คาริฟปล่อยออกมาในครั้งนี้กลับต่างออกไป อาจเรียกได้ว่ามากกว่าเก่า เพราะมันทั้งกดดันจนน่ากลัว น่าเกรงขามจนพานให้แผ่นหลังเย็นเยียบ คล้ายทุกคนที่อยู่ใกล้ต้องยอมสิโรราบให้แก่เขาโดยที่ไม่อาจต้านทานได้

และที่น่าหวาดหวั่นไปกว่านั้น

นาซีมกลับพบว่าภายใต้ความกดดันทั้งหมด พลังงานบางอย่างที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาบอกเขาว่า

...ยามนี้คาริฟต้องการครอบครองนาซีม

ดวงตาของคาริฟละจากซากศพของทหารเลวไปนานแล้ว ซ้ำยังจ้องมาที่นาซีมซึ่งนอนหมดแรงในสภาพไม่น่าดูชมตาไม่กะพริบ ด้วยตอนที่ถูกจู่โจมเมื่อครู่เขาถูกทหารซันดาผู้นั้นดึงทึ้งเสื้อผ้าจนฉีกขาดหลายจุด

นาซีมหลบสายตาไม่กล้ามองกลับ ใช้มือรวบเอาชิ้นส่วนของอาภรณ์และเสื้อคลุมขึ้นห่มตัว แม้ทั้งร่างจะร้อนผ่าวจนอยากเปลือยกายก็ตาม

บางทีที่เขาทำเช่นนี้อาจเป็นเพราะยังมีสติอยู่บ้าง...

นาซีมไม่รู้ว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร อันที่จริงเขาอยากถามว่าพวกทหารซันดาถูกจัดการหมดแล้วหรือ หากก็ทำได้แค่หรุบตามองต่ำ และนั่นก็ทำให้นาซีมสังเกตเห็นว่าปลายเท้าของคนตรงหน้าค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้

ทีละก้าว...ทีละก้าว

ท่าทีคุกคามนั้นทำให้นาซีมต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้งแล้วทำใจกล้าจ้องตาอีกฝ่าย

“...คาริฟ”

“...” อีกฝ่ายหยุดชะงักไปนิด แต่ก็สาวเท้าใกล้เข้ามาอีกครั้งโดยไม่เอ่ยสักครึ่งคำ

“คาริฟ...เจ้าเป็นอะไรไป”

นาซีมรู้สึกเหมือนแรงกายของตนเองถดถอยลงไปทุกที หากก็ยังอยากรู้ว่าอะไรทำให้คาริฟนิ่งไปเป็นเช่นนี้ แต่นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว นาซีมยังถูกฉุดให้ลุกขึ้นแล้วอุ้มพาดบ่าเพื่อพาไปยังส่วนในสุดของบ้านที่ซึ่งเขาใช้ซ่อนตัวก่อนคาริฟออกไป มันมีลักษณะเป็นห้องห้องหนึ่งที่ถูกกั้นเอาไว้ด้วยผ้าทอห้อยระโยงระยาง

คาริฟวางเขาลงบนพื้นปูพรมเก่าๆ แล้วดึงผ้าคลุมกายของนาซีมออก ก่อนจะลงมือเช็ดเลือดที่เปรอะไปทั่วร่าง โดยไม่พูดไม่จา

ในตอนนั้นเองนาซีมจึงเพิ่งเห็นชัดๆ ว่าที่คิ้วของคาริฟมีแผลขีดเป็นเส้นและแผลนั้นก็มีเลือดไหลลงมาถึงหางตา ด้วยความเป็นห่วงเจ้าชายจึงใช้ชายผ้ายื่นไปหมายจะซับโลหิตให้ แต่คาริฟกลับรวบมือของเขาเอาไว้ ก่อนจะดันตัวนาซีมลงกับพื้น

“...!!” เจ้าชายโอเมก้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ก็ขัดขืนอะไรไม่ได้เพราะแรงของเขาทั้งคู่ต่างกันมาก

ทว่าการกระทำต่อมาต่างหากที่ทำให้นาซีมตระหนกยิ่งกว่า เมื่อบุรุษในชุดคลุมดำถอดเสื้อของตนออก เผยให้เห็นแผ่นอกแกร่ง ต่อจากนั้นจึงดึงชุดหลุดลุ่ยของนาซีมทิ้งจนร่างของเจ้าชายเกือบเปลือยเปล่า แล้วพลิกตัวของเขาให้หันหลัง…

แล้วคาริฟจึงทาบร่างกายลงมาคร่อมทับนาซีมไว้!

“คาริฟ! เจ้า...เจ้าจะทำอะไร”

คำถามโง่ๆ หลุดออกจากปากเจ้าชายแห่งโซราห์ทั้งที่ควรจะเกาได้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่คือสถานการณ์อะไร

“...”

คาริฟยังคงไม่ตอบเหมือนเคย แต่อีกฝ่ายกลับจับล็อกแขนของนาซีมไว้ไม่ให้ขัดขืน จากนั้นจึงแตะริมฝีปากลงมาที่แนวกระดูกสันหลังและตะโบมจูบขึ้นไปถึงท้ายทอย...

ทีแรกนาซีมขนลุกเกรียวเพราะความตกตะลึง แต่ต่อมาร่างกายที่กำลังอยู่ในช่วงฮีทกลับยิ่งร้อนขึ้นไปอีก ราวกับว่ามันตอบรับสัมผัสนี้ของใครอีกคน

ความคิดมากมายในสมองของเจ้าชายตีรวนไปหมด เป็นอีกครั้งที่เขาไม่รู้ว่าตนเองควรรู้สึกอย่างไร...ต้องปฏิเสธหรือยอมรับแต่โดยดี

นาซีมไม่สามารถตอบได้…

ดังนั้นเจ้าชายจึงเลือกหลับตาลงขณะที่ริมฝีปากซึ่งร้อนไม่ต่างกับตัวเขากดจูบลงบนที่หลังคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายก่อนที่ตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับอาการฮีท

“คาริฟ!” นาซีมตะโกนแข่งกับเสียงพายุที่ซัดทรายเข้ามาปะทะบ้านทุกทิศทาง

“...”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร...” นาซีมเว้นเพื่อฟังเสียงตอบ “รู้ไหมคาริฟ”

“...” คาริฟไม่ตอบ ซ้ำยังกอดและกดนาซีมเอาไว้คล้ายกับว่าจะไม่ให้เขาหลุดมือไปได้

“...ข้าสู้แรงเจ้าไม่ได้” เจ้าชายว่า “แต่ข้าแค่อยากรู้ ว่าเจ้าจำได้ใช่ไหมว่าข้าคือใคร”

“...”

“และเจ้าทำสิ่งใดอยู่”

นาซีมรู้ว่าตนเองจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะร่างกายถูกกระตุ้นจากการรุกเร้าอย่างที่อีกฝ่ายกำลังทำ ทั้งสัญชาตญาณก็ยังเรียกร้องให้ยินยอมต่อคู่แห่งโชคชะตา

กระนั้นนาซีมก็อยากแน่ใจ แม้สติจะเลือนรางเต็มที

...ว่าคาริฟรู้ว่าเขาคือนาซีม

“...ข้ารู้...ข้ารู้” เสียงทุ้มกระซิบบอก แต่มันฟังดูแตกพร่าราวกับนี่ไม่ใช่คาริฟที่นาซีมรู้จัก

“เจ้ารู้หรือ...”

“รู้” เขาตอบอีกคำ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้นาซีมหยุดถาม และปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามโชคชะตาและความรู้สึกที่เจ้าชายไม่อาจฝืนได้

“...”

“เจ้าคือเจ้าชายนาซีม...นาซีมของข้า”

สิ้นคำนั้นนาซีมก็เจ็บแปลบที่หลังคอ เขารู้สึกถึงคมเขี้ยวที่ค่อยๆ กดลึกลงไปในผิวเนื้อ มันทั้งเจ็บและร้อนไปทั้งร่าง เหมือนกับเลือดในกายกำลังเดือดพล่านอย่างแท้จริง

จากนั้นอาการเจ็บและทุรนทุรายก็ค่อยๆ หยุดลง กลับกลายเป็นความต้องการทางรสเพศที่เพิ่มขึ้น กลิ่นกายของอัลฟ่าจากคาริฟค่อยๆ ไม่เข้มข้นจนรู้สึกอึดอัดเหมือนกาลก่อน หากมันกลับหอมยั่วยวนจนพานให้หัวใจเต้นแรง

ก่อนหน้านี้ยามที่ฮีทนาซีมรู้สึกได้ว่าตนต้องการอะไรบางอย่างมาเติมเต็ม แต่มันเลือนๆ ไม่ชัดเจนนัก ด้วยบอกไม่ได้ว่าต้องการสิ่งใจ

แต่เมื่อถูกประทับตราเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกโหยหานั้นก็ชัดเจนขึ้น นาซีมรู้ได้ทันทีว่ามันคือคู่โชคชะตาของเขา



...คือคาริฟ











❂ …………………………….❂







มาแล้วค่าาาาา

มาลุ้นกันว่าหลังจากนี้จะเป็นไงต่อ 

-/////-
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 18 ตราประทับ :- [1/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 02-12-2019 09:50:58
 ค้างอย่างแรง :ling1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 18 ตราประทับ :- [1/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-12-2019 11:30:16
ทำไมทำแบบนี้ ปล่อยให้เราค้าง  :ling1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 19 ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง :- [2/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 03-12-2019 04:14:00




บทที่ 19 ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง









พายุเคลื่อนที่เข้ามาถึงหมู่บ้างร้างแล้ว เสียงลมกรรโชกและเม็ดทรายตกกระทบหลังคาดังเหมือนฟ้าถล่ม ความมืดมิดโรยตัวลงมาราวกับคลุมทั้งผืนนภาด้วยผ้าสีดำ ทว่าความน่ากลัวของภัยพิบัติที่กำลังมาเยือนไม่ทำให้นาซีมหวาดหวั่นเลยสักนิด เพียงเพราะความสนใจของเจ้าชายถูกคู่โชคชะตาของเขาดึงดูดไปจนหมด

หลังจากคาริฟถอนคมเขี้ยวจากหลังคอของนาซีมแล้ว เขาก็ล้วงมือที่โอบกอดเจ้าชายเข้าไปใต้อาภรณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่

นาซีมรู้สึกว่าร่างกายของตนเองอ่อนไหวเหลือเกิน เพราะทุกตำแหน่งที่ปลายนิ้วสากเคลื่อนผ่าน เขาจะรู้สึกร้อนผ่าวทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นแท้ๆ

เขาทำได้อย่างไรกันนะ...ขณะที่กำลังนึกสงสัย ปลายนิ้วนั้นก็เคลื่อนไปหยุดที่ยอดถัน ก่อนมันจะค่อยๆ บดขยี้เชื่องช้าหากก็นำพาความเสียวซ่านอย่างที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต

“อือ”

ครั้นนาซีมหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ คาริฟก็เพิ่มแรงขึ้นอีกนิดแลละโจมตีเขาด้วยการเลื่อนอีกมือลงไปแตะส่วนอ่อนไหวเบื้องล่างที่ค่อยๆ ชูชันขึ้นมาอย่างน่าอาย

“ยะ...อย่า...จับ”

นาซีมเอ่ยปฏิเสธเสียงกระท่อนกระแท่น แต่มีหรือคู่โชคชะตาของเขาจะฟัง อีกฝ่ายยังคงเงียบและเคลื่อนไหวอุ้งมือซ้ายขวากระตุ้นเร้าจนนาซีมอ่อนระทวยลงกับพรม

และสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ...

นาซีมรู้สึกได้ว่าคาริฟกำลังใช้บางอย่างถูกไถกับสะโพกของเขาผ่านเนื้อผ้าที่ร่นลงอย่างหมิ่นเหม่

แม้มองไม่เห็นแต่เจ้าชายโอเมก้าก็สัมผัสได้ถึงขนาดที่ไม่ธรรมดาของมัน เขาสะดุ้งวาบในใจอย่างนึกหวั่น แต่อีกใจก็เขินอายเพราะไม่เคยใกล้ชิดกับใครขนาดนี้มาก่อน

จนเมื่อมือหนึ่งของคาริฟกระตุกส่วนอ่อนไหวของเขาเร็วขึ้น นาซีมจึงค่อยๆ ลืมเลือนความอายที่มีไปทีละน้อย...ทีละน้อย

“อื้อ!!”

เขาเผลอส่งเสียงครางออกมาค่อนข้างดังยามเมื่อถูกมือร้ายๆ นั่นชักพาไปจนถึงฝั่งฝัน ความอึดอัดไหลทะลึกออกมาเปรอะกางเกงจนเปียกชื้น

นาซีมซบหน้าลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง แม้อายจนอย่างมุดหน้าลงกับผืนพรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพียงเท่านี้ยังไม่ทำให้เขาเพียงพอ

เพราะรู้ดีว่าความต้องการที่คุกกรุ่นอยู่ข้างในยังไม่มอดดับ

ดูคล้ายคนที่ช่วยให้นาซีมปลดปล่อยจะรู้ใจ เพราะอีกฝ่ายไม่รอช้า คาริฟจับนาซีมให้พลิกกายกลับมาเผชิญหน้ากันอย่างง่ายดาย และในตอนนั้นเองที่นาซีมเพิ่งได้เห็นว่าแววตาสีมรกตสะท้อนความรู้สึกใดออกมา

ราวกับสัตว์ป่าที่หิวกระหาย...นาซีมนิยามได้แค่คำนี้

เพราะคาริฟจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนต้องการจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว ก่อนหน้านี้ดวงตาคู่งามจะเคยมองเขาอย่างไรนาซีมไม่รู้

หากแน่ใจเถอะว่าวินาทีนี้มันเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างที่อีกฝ่ายไม่คิดปิดบังเลยสักนิด

แล้วคาริฟก็ยืนยันความคิดของนาซีมด้วยการโน้มตัวลงมากดจูบบนริมฝีปากของเขาทันที!

ในคราแรกเขาค่อยๆ บดเบียดลงมาเนิบนาบ เชื่องช้า หากในวินาทีต่อมาขณะที่คนถูกจูบกำลังเคลิบเคลิ้ม เขาก็กัดริมฝีปากล่างของนาซีมเบาๆ แล้วแทรกลิ้นเข้ามากวาดต้อนและดูดดึงเอาวิญญาณของเจ้าชายผู้อ่อนเดียงสาให้หลุดลอยตามไปด้วย

นาซีมถูกจูบจนหัวหมุนและไม่ทันสังเกตว่าคนที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านบนทำสิ่งใดไปบ้าง จนเมื่อรู้ตัวอีกทียามเมื่อคาริฟถอนจูบออก บนร่างกายของเขาก็ไร้สิ่งใดปกปิดเสียแล้ว

“งดงามนัก”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะที่กวาดตามองนาซีมในสภาพเปลือยเปล่าตั้งแต่หัวจรดเท้า

เจ้าชายหรุบตาลงไม่กล้าสบตากับเขาเพราะกลัวว่าตนเองจะถูกแผดเผาจนมอดไหม้เสียก่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงมาเบื้องล่างเพื่อหันเหความสนใจ

และนั่นทำให้เขารู้ว่าคาริฟเองก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน

จากแผ่นอก หน้าท้องแกร่ง ไปจนถึงส่วนสำคัญระหว่างขาที่ใหญ่โตและตั้งตรงขึ้นมาจนเด่นสะดุดตา ไม่รู้เพราะอิทธิพลของการจับคู่หรือเป็นเพราะนาซีมกำลังฮีทกันแน่ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อแน่นตึงของบุรุษที่มักห่อหุ้มตนเองใต้อาภรณ์สีดำสนิทก็สวยงามและชวนให้หลงใหล

กลิ่นอายของอัลฟ่าผู้แข็งแกร่งเป็นเช่นนี้เองหรือ...นาซีมนึกทึ่ง ก่อนจะถูกดึงกลับมายังเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวลงมาทาบทับและเริ่มต้นจูบนาซีมอีกครั้ง

เวลาแบบนี้นาซีมเพิ่งรู้ว่าคาริฟจะไม่เอ่ยอะไรมากนัก แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม

มือของเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ทั้งแผ่นเบาและรีดเร้นเค้นฟอนสลัดกันไป มันไม่เป็นจังหวะ แต่ความคาดเดาไม่ได้นี้กลับทำให้นาซีมรู้สึกเหมือนตนเองจะขาดใจทุกครั้งที่ถูกแตะต้อง

ยิ่งตอนที่ร่างกายช่วงล่างของเขาถูกยกขึ้นวางบนตักแกร่ง มือข้างหนึ่งนั้นแหวกเนื้อนิ่มตรงสะโพกออกจากกัน แล้วปลายนิ้วสากนั้นก็ค่อยๆ กดลงตรงรอยจีบที่ปิดสนิทก่อนนวดมันเบาๆ

ยามนั้นนาซีมยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระดอนออกจากอกอย่างแท้จริง

คาริฟน่าจะรู้ว่าเขาตระหนก แต่อีกฝ่ายก็มองนิ่งๆ และทำเรื่องที่ต้องทำต่อไปเงียบๆ

ราวกับไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยามสนธยาในวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

นาซีมทำได้เพียงสะกดกั้นเสียงน่าอายของตนเองตอนที่ถูกแตะต้อง พยายามผ่อนลมหายใจให้เบาลงและผ่อนคลายตัวเองมากที่สุด

แต่ถึงแม้ร่างกายจะถูกเตรียมเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ถูกร่างกายของคาริฟกดแทรกลงมานาซีมก็ยังรู้สึกเจ็บมากอยู่ดี

“คาริฟ...คาริฟ”

เจ้าชายไม่กล้าร้องบอกว่าตัวเองเจ็บ ได้แต่เรียกชื่อและกอดคออีกฝ่ายแน่นเพื่อระบายความเจ็บปวดและคับแน่นจากการสอดใส่ เขาเพิ่งรู้ในนาทีนี้ว่าแม้จะเป็นโอเมก้าที่มีร่างกายพร้อมสำหรับเรื่องอย่างว่า แต่ก็หนีไม่พ้นความเจ็บปวดอยู่ดี

“อื้อ!”

เมื่อคาริฟฝังร่างกายของเขาเข้าไปจนสุดความยาว เจ้าตัวก็หยุดเพื่อระบายลมหายใจ ก่อนจะก้มลงจูบซับน้ำตาที่ไหลลงมาข้างแก้มแผ่วเบา

เขาอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่นาซีมเห็นแล้วว่าเส้นเลือดตรงขมับของอีกฝ่ายปูดโปนแค่ไหน และก่อนหน้านี้เขาแสดงพฤติกรรมคลั่งอย่างไร

บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณว่าคาริฟเริ่มมีสติกลับมาสมบูรณ์มากขึ้นหลังจากที่แปรปรวนไปเพราะถูกกลิ่นของโอเมก้ารบกวน

เขาฝังตัวนิ่งๆ และจุมพิตกระชากวิญญาณนาซีมอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มต้นขยับ

คาริฟเริ่มด้วยจังหวะช้าๆ ให้นาซีมได้มีเวลาปรับตัว ก่อนจะค่อยๆ เร่งให้เร็วขึ้น และเปลี่ยนมากระแทกกระทั้นจนเจ้าชายโอเมก้าหัวสั่นหัวคลอน

ไม่เพียงแค่เบื้องล่างที่โยกไหว แต่ด้านบนคาริฟก็ใส่ใจกับยอดอกทั้งสองข้าง โดยข้างหนึ่งใช้สองนิ้วคีบขยี้ อีกข้างเป็นริมฝีปากดูดดึงจนแผ่นหลังนาซีมแอ่นโค้งขึ้นไม่ติดพื้น

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร สัมผัสที่ลึกซึ้งก็ยิ่งทำให้นาซีมรู้สึกเหมือนตนเองบิดเบี้ยวไปทีละน้อย

ความเจ็บปวดและจุกแน่นกลายเป็นความหฤหรรษ์ แม้ในสมองปั่นป่วน ห้วงอารมณ์กระเจิดกระเจิงจนหลุดครางเต็มเสียงและร้องขอในเรื่องที่ยามปรกติไม่เคยแม้แต่จะคิดฝันถึง

“คาริฟ…ให้ข้า...”

“...”

“...เร็วหน่อย...”

“...”

“...มะ...ไม่...นั่นลึกเกินไปแล้ว...อื้อ”

ความกระดากอาย ฐานะเจ้าชายหรือสิทธิ์บนบัลลังก์ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนถูกละทิ้งไว้เบื้องหลังชั่วขณะ ในเวลานี้นาซีมมองเห็นแค่คู่โชคชะตา

เพียงคาริฟเท่านั้น

พวกเขาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในสถานที่และสถานการณ์ที่ไม่ควรเกิด...หากมันก็เป็นไปแล้ว

ยาซีมเพิ่งเข้าใจในตอนนี้ ณ ช่วงเวลาที่สติกำลังจะหลุดลอย ว่าทุกอย่างได้ดำเนินไปตามโชคชะตา ตามเส้นทาง ของมัน

...และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง









❂ …………………………….❂








นาซีมรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังจากที่ไหนสักแห่ง เขาลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพบว่าตนเองนอนอยู่ในบ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง ซึ่งรอบกายมีผ้าแขวนเอาไว้เป็นฉากบังตา

รอบกายไม่มีใครอยู่แล้ว แม้แต่คนที่เพิ่งผูกพันธสัญญากันในราตรีที่ผ่านมาก็เช่นกัน

นาซีมไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่เขาหลับไป แต่ก็นึกสงสัยและคิดถึงบุรุษผู้นั้นทันทีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้น

เขาหายไปไหนนะ...

แค่คิดเขาก็คงไม่ปรากฏตรงหน้า เจ้าชายโอเมก้าจึงขยับกายลุกขึ้นเพราะตั้งใจจะออกไปตามหา ด้วยคิดว่าต้นกำเนิดเสียงโวยวายด้านนอกอาจจะเป็นคาริฟก็ได้

แต่ยังไม่ทันลุกขึ้นนั่งดีๆ ใครบางคนก็โผล่พรวดเข้ามาหลังฉากกั้น ก่อนจะผงะถอยเมื่อมองเห็นนาซีมที่กำลังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเต็มตา

“ฟามีน” นาซีมเอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร

“เข้าชายนาซีม...ท่าน--”

อีกฝ่ายหยุดเสียงลงเท่านั้นเพราะคนที่ตามมาทีหลังเอ่ยแทรกเสียก่อน

“ตื่นแล้วหรือ”

นาซีมละสายตาจากฟามีนไปหาเจ้าของเสียง เขาจึงได้พบบุรุษที่ใจพะวงถึงกำลังเดินผ่านฟามีนเข้ามาหา ก่อนจะทรุดตัวลงพยุงเขาขึ้นนั่งและประคองหลังนาซีมไว้อย่างนั้น

“...อืม” นาซีมตอบรับเบาๆ เขาจึงถามต่อ

“ตื่นนานหรือยัง”

“ข้าเพิ่งตื่นเมื่อครู่ตอนได้ยินเสียง”

“ดีแล้ว” เขาบอก เดิมทีนาซีมคิดว่าเขาจะเงียบลงเหมือนที่ชอบทำ แต่คาริฟกลับพูดต่อเสียยืดยาว ราวกับบุรุษผู้นี้เป็นใครที่นาซีมไม่รู้จัก “ข้าเห็นเจ้าหลับสนิท พอฟ้าสางจึงรีบออกไปยังหมู่บ้านที่เราพักเมื่อวานเพื่อเอาอาหารกับเสื้อผ้ามาให้ แต่ได้พบองครักษ์ของเจ้าพอดี”

“อ้อ...” นาซีมรับคำเก้อๆ

หลังจากผ่านค่ำคืนเร่าร้อนมา เจ้าชายเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองต้องทำตัวอย่างไรเมื่อยามที่ต่างฝ่ายต่างมีสติครบถ้วน แม้พวกเขาจะจับคู่กันเรียบร้อยแล้ว แต่ความกระดากอายก็ยังไม่ลดน้อยลงเลยสักนิด

“เจ้าหิวหรือไม่”

“ข้ายังไม่หิว”

“แล้วเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

ไม่ใช่แค่ถาม แต่มือที่พยุงหลังนาซีมไว้ค่อยๆ เคลื่อนมาที่ท้ายทอย ก่อนจะลูบเบาๆ บนจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นรอยสลักตราประทับของคาริฟ

“ข้า...ข้าไม่เจ็บ...เอ่อ...ไม่เป็นเลย เจ้าอย่าได้กังวน”

“เช่นนั้นก็ดี แต่ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะดีกว่า ชุดคลุมของข้าเปื้อนเลือดของพวกทหารซันดา มันจะทำให้เจ้าไม่สบายตัว”

ฟังถึงตรงนี้นาซีมจึงก้มลงมองสภาพของตัวเอง ซึ่งเขาก็พบว่าร่างกายที่เคยเปลือยเปล่าถูกคลุมเอาไว้ด้วยเสื้อตัวนอกของคาริฟ แม้มันจะไม่พอดีตัวนัก แต่ก็คลุมได้มิดชิดจนถึงเข่า

คงเป็นอีกฝ่ายที่แต่งตัวให้ แม้จะกระดากอายเพียงใด แต่ก็โชคดีแล้ว ไม่เช่นนั้นใครต่อใครที่เข้ามาคงเห็นสภาพไม่น่าดูของนาซีม

นึกถึงตรงนี้เจ้าชายแห่งโซราห์ก็เหลือบมองไปทางที่องครักษ์ของตัวเองอยู่ เขาเห็นฟามีนทำหน้าปั้นยากอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อนนัก ส่วนฮาบัสที่เพิ่งตามเข้ามาก็ยังคงไว้ซึ่งสีหน้าเรียบเฉยและสำรวมเหมือนเดิม

อันที่จริงนาซีมดีใจมากที่ได้พบพวกเขาอีกครั้ง แต่สถานการณ์ตอนนี้นั้นกระอักกระอ่วนเกินไป เจ้าชายจึงไม่รู้จะเอ่ยปากทักทายอย่างไร

และยังคงเป็นคาริฟที่เลือกแทนเขา

บุรุษในชุดดำละสายตาจากนาซีม ก่อนจะหันไปทางที่องครักษ์ทั้งสองอยู่ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ต่างจากที่ใช้กับนาซีมเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด

“พวกเจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน ข้าแต่งตัวให้นาซีมเรียบร้อยแล้วจะพาเขาออกไป”

“...ให้ข้าช่วย--- “

“ไม่ต้อง”

คาริฟปฏิเสธความช่วยเหลือของพามีนทันทีทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันพูดจบ มิหนำซ้ำองครักษ์ช่างจ้อของนาซีมก็ไม่กล้าออกมาเถียงอีกด้วย

“...”

“ข้าจะดูแลเขาเอง เจ้าออกไปได้แล้ว”

“...” นาซีมเหลือบมองเจ้าของใบหน้าถมึงทึงที่ปล่อยกลิ่นอายคุกคามผู้อื่นออกมาอีกแล้ว แต่คราวนี้มันกลับไม่ทำให้นาซีมรู้สึกกดดันไปด้วย

แต่มีหรือเบต้าอย่างฟามีจะทนไหว เขารีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตั้งท่าจะออกไปรอด้านนอก กระนั้น องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ก็ไม่วายกำชับ

“...ข้าจะรอท่านอยู่ข้างนอกนะขอรับเจ้าชาย หากมีอันใดเกิดขึ้นให้ร้องเรียกข้าได้ทันที”

“ขอบใจนะฟามีน เสร็จจากนี่ข้าจะออกไปหา”

“ขอรับ”

รับคำแล้วฟามีนก็ยอมออกไปแต่โดยดี ฮาบัสเองก็เช่นกัน

ครั้นคนอื่นๆ ออกไปแล้ว นาซีมก็ถูกจับให้หันหน้าไปหาผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขามองหน้านาซีมนิ่ง ดวงตาสีมรกตฉายแววอ่อนโยนอย่างที่หาได้ยากยิ่ง

ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ย

“ข้าขอโทษสำหรับเรื่องในราตรีที่ผ่านมา”

“...” นาซีมนิ่งไปทันที ด้วยไม่คาดว่าคาริฟจะเอ่ยขอโทษ

หรือเขาจะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องผิดพลาด

นาซีมอดคิดไม่ได้ และเมื่อคิดแล้วอยู่ๆ จิตใจที่แจ่มใสก็พลันเหี่ยวเฉาลงทันตา มันทำให้ย้อนนึกไปถึงประโยคที่คาริฟยืนยันว่ารู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

หรือนั่นจะเป็นแค่ภาพลวง หรือไม่ก็เป็นไปตามสัญชาตญาณของอัลฟ่าที่เกิดคลั่งขึ้นมาเพราะกลิ่นโอเมก้าฮีท

คิดถึงตรงนี้นาซีมก็เย็นวาบไปทั้งตัว ใบหน้าของเขาชาไปหมดเพราะถูกความผิดหวังเข้าจู่โจมหัวใจอย่างกะทันหัน

ทว่าก่อนที่เรื่องราวจะไปไกลเกินกว่าความเป็นจริง คู่โคชะตาของนาซีมก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน

“เจ้ายังเจ็บอยู่ใช่หรือไม่”

“หืม?”

“เจ็บอยู่ไหม...ตรงนี้”

ไม่ว่าเปล่า เพราะคาริฟเอื้อมมือสอดเข้าไปใต้ชุดคลุม แล้วแตะลงตรงส่วนเร้นลับระหว่างรอยแยกตรงสะโพก นั่นทำให้นาซีมสะดุ้ง ผละตัวออกห่าง ก่อนใบหน้าจะแดงก่ำเพราะอับอาย

“จะ...ทะ...ทำอันใด”

“เข้าอยากสำรวจดูว่าเจ้าเจ็บอยู่หรือไม่ เห็นเจ้าเหม่อลอยเช่นนี้ ข้าใจไม่ดี” คาริฟวรรคไปนิดแล้วจึงเอ่ยต่อโดยไม่สนใจว่าหัวใจคนฟังจะเต้นกระหน่ำจนเจ็บในอกอย่างไร “ขอโทษที่เมื่อคืนควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้ารู้ว่าทำรุนแรงไปมาก ซ้ำกว่าหลังจากปลดปล่อยออกไปจนหมดยังติดอยู่ในกายเจ้าเนิ่นนาน เจ้าคงรู้สึกไม่สบายตัว”

“...” นาซีมอ้าปากค้าง อยากจะพูดก็พูดไม่ออก

“ทั้งที่ตั้งใจว่าจะพยายามเบามือที่สุดแล้ว แต่ไม่คิดว่ายามที่เกิดรัทขึ้นมามันจะควบคุมยากเช่นนี้”

“เจ้า...เจ้าตั้งใจหรือ”

“ตั้งใจ? ตั้งใจอะไร” คาริฟทำหน้างง

“ก็ตั้งใจ...เอ่อ...ร่วมรักกับข้า”

พอพูดออกไปแล้วนาซีมก็อยากกัดลิ้นตัวเองให้ตาย ด้วยมันชวนให้อายจนอยากเอาหน้ามุดท้ายดูสักรอบ แต่เพราะความอยากรู้ให้กระจ่างจึงต้องเอ่ยถามออกไป

“ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเมื่อคืน เพราะสถานที่และสถานการณ์ไม่เหมาะสักนิด แต่...” หากมองไม่ผิด นาซีมคิดว่าตนเองเห็นริ้วสีแดงพาดผ่านแก้มของคาริฟ

“แต่อันใด”

“แต่ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ขอโทษหากข้าบังคับให้เจ้าจับคู่ด้วย แต่อย่างไรยามนี้ข้าคงเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้อีกแล้ว คงมีเพียงสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าคิดเสียใจที่จับคู่กับข้า

“ข้า...”

“...? ...”



ข้าไม่ได้เสียใจที่เป็นคู่ของเจ้า






❂ …………………………….❂







คาริฟบอกพี่พยายามแล้วครับคนดี

พยายามไม่รุนแรง 

แต่เอาไว้คราวหน้าค่อยว่ากันเนาะ 

ขอโอกาสให้น้องได้ชินก่อน -///- /ผิด

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

ดีใจมากเลยที่ช่วงนี้คนอ่านเยอะขึ้น

แล้วจะรีบเอามาลงต่อค่ะ



ปล.ใกล้ได้ฤกษ์เปิดจองเล่มแล้วน้าาา

ใครชอบก็เตรียมตัวเน้อ 



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 19 ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง :- [2/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-12-2019 13:16:45
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 19 ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง :- [2/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-12-2019 14:05:19
เปิดตัว คู่รักอ้อยหวาน 5555
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 20 ไอเรม :- [3/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 03-12-2019 14:50:15

บทที่ 20 ไอเรม









เมื่อนาซีมถูกคาริฟจับแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อย เขาก็ออกมาพบกับเหล่าองครักษ์ที่กำลังรอคอยอยู่หน้าบ้าน ครั้นหัวหน้าองครักษ์ทั้งสองมองเห็นนาซีม พวกเขาก็ทำความเคารพตามระเบียบพิธี และไม่ลืมสอบถามความเป็นไปของนายเหนือหัว

“ข้าไม่เป็นอะไร” นาซีมยืนยันกับฟามีนเป็นครั้งที่สาม ก่อนจะอธิบาย “พวกทหารซันดากับนักบวชผู้นั้นไม่ได้ทำอันใดที่เป็นอันตรายแก่ข้า ส่วนเรื่องที่ฮีทนั้น...เวลานี้ดีขึ้นแล้ว”

ท้ายประโยคนั่นเจ้าชายบอกเสียงอ้อมแอ้มพลางแอบลอบมองตัวต้นเหตุที่ทำให้อาการฮีทของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“พระองค์ไม่รู้สึกแย่ที่ตรงไหนจริงๆ นะขอรับ”

ยังคงเป็นฟามีนที่ทำให้เขาต้องยืนยันเป็นครั้งที่สี่

“ข้าสบายดีแล้วจริงๆ” นาซีมตอบ ก่อนจะเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการถามถึงสถานการณ์ภายนอกที่นาซีมอยากรู้หนักหนาก่อนหน้านี้ “ว่าแต่ทางพวกเจ้าเล่า เป็นอย่างไรกันบ้าง”

“พวกข้ามิเป็นไรขอรับ กองกำลังส่วนพระองค์เกือบทั้งหมดสามารถฝ่าวงล้อมและลอบหนีออกมาได้” ฮาบัสเป็นคนตอบ

“พวกเขามาที่นี่ทั้งหมดเลยหรือ” นาซีมถามต่อ

“มิใช่ขอรับเจ้าชาย”

“แล้วตอนนี้กองกำลังของเราส่วนหนึ่งอยู่ที่ใด”

“ซ่อนตัวอยู่ที่แคว้นเอมาลีขอรับ แต่อยู่ในเมืองรอง” ฟามีนบอก

“ท่านจาเร็ดและท่านคาริฟได้จัดเตรียมที่ซ่อนตัวไว้ให้คนของเราเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายมิต้องเป็นกังวลจะขอรับ” ฮาบัสเสริม

นาซีมหันไปมองบุรุษในชุดคลุมดำที่ฟังเขากับเหล่าองครักษ์คุยกันเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ แล้วจึงถามเขาด้วยความประหลาดใจ

“ท่านเองก็มีส่วนในเรื่องนี้หรือ เหตุใดจึงไม่เล่าให้ข้าฟังบ้าง”

“ข้าไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เป็นเหตุให้เจ้ากังวล เพราะแค่ต้องหนีตายก็เคร่งเครียดพออยู่แล้ว”

นึกย้อนไปถึงตอนที่ถูกคาริฟช่วยมา อีกฝ่ายก็พยายามให้เขาพักผ่อนทุกครั้งที่มีโอกาส และไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องหนักอกเหล่านั้นเลยหากนาซีมไม่เอ่ยถามเอง

หากจะบอกว่าทุกอย่างเป็นเพราะคาริฟเป็นห่วง...คงไม่ผิดนัก

และเมื่อรู้เช่นนี้ คนที่ถูกเป็นห่วงมีหรือจะไม่อุ่นใจหัวใจ

“ขอบคุณ”

นาซีมยิ้มให้คู่โชคชะตาของตนแทนคำขอบคุณ และคาริฟก็ยิ้มรับบางๆ ซึ่งรอยยิ้มที่นาซีมได้รับสร้างความประหลาดใจให้องครักษ์ทั้งสองของเจ้าชายแห่งโซราห์เป็นอย่างมาก

ฟามีนจำได้ว่าตั้งแต่รู้จักกับคาริฟมา ยังไม่เคยเห็นด้านอ่อนโยนเช่นนี้ เพราะด้วยความที่คาริฟเป็นถึงผู้นำของเหล่าภูตราตรี เขาจึงมีความกดดันและรับภาระหนักอึ้งมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งนั่นหล่อหลอมให้คาริฟต้องสุขุมอยู่เสมอ ภาพเช่นนี้จึงหาดูได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก

ส่วนฮาบัสเองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่ทำเป็นไม่ให้ความสนใจมากนัก ด้วยกลัวว่าบุรุษชุดดำจะมาเล่นงานเอาทีหลังหากเขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาล้อเลียน

นาซีมตกอยู่ในภวังค์ที่สร้างขึ้นระหว่างเขากับคู่โชคชะตาอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยายามดึงสติและพาตนเองออกมาสนใจคนรอบกายก่อน ด้วยกลัวว่าจะเสียงานหากปล่อยใจเตลิดมากเกินไป

“อะแฮ่ม...” เจ้าชายโอเมก้ากระแอมเล็กน้อย ก่อนจะวกกลับมาถามสององรักษ์ต่อ “แล้วพวกเจ้ารู้เรื่องในโซราห์บ้างหรือไม่”

“สายของเราส่งข่าวมาให้เสมอขอรับ”

“ทาริคทำสิ่งใดบ้าง มันทำร้ายประชาชนของเราหรือเปล่า” นาซีมถามต่อ

“หากไม่จำเป็นมันจะไม่ทำร้ายผู้ใดขอรับ แต่หลังจากสถาปนาตนเองขึ้นเป็นราชา ทาริคได้สั่งให้รวบรวมอาหารและอาวุธ ซ้ำยังสั่งให้เกณฑ์กำลังพลเข้าสู่กองทัพเพิ่ม”

“มันจะทำสงครามงั้นหรือ”

“เราคาดการณ์ว่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับเจ้าชาย”

ฟังจากที่ฟามีนเล่า นาซีมไม่อาจตีความเป็นอื่นได้เลย นอกจากทาริคอยากก่อสงครามขยายอาณาเขตออกไปและจะไม่หยุดแค่แคว้นโซราห์ดังที่มันเคยลั่นวาจาไว้

และหากเดาไม่ผิด ที่ต่อไปที่คนเถื่อนนั่นจะประกาศสงครามด้วยต้องเป็นแคว้นโฮมากับเอมาลีอย่างแน่นอน เพราะสองแคว้นต่างครอบคลุมดินแดนผืนใหญ่ ซ้ำยังอุดมไปด้วยสิ่งมีค่ามากมาย

เพียงแค่คาดเดาตามสถานการณ์ นาซีมก็รู้สึกหนักอกขึ้นมากแล้ว เพราะหากทาริคทำได้อย่างที่ทำกับโซราห์จริงๆ ดินแดนในซาร์เรียทั้งหมดคงตกเป็นของมันอย่างแน่นอน

“แล้วยามนี้สายของเรายังอยู่ดีไหม” นาซีมถามต่อ

“สายของเรายังอยู่ดีขอรับ”

“ครบทุกคนเลยใช่หรือไม่”

“เรื่องนี้...เอ่อ...” ฟามีนเหลือบมองคาริฟ

“มีปัญหาอันใดหรือ”

“เรื่องนี้อาจจะต้องถามท่านคาริฟ”

“หืม? คาริฟหรือ”

“ขอรับ” ฟามีนพยักหน้ารับ

“คาริฟเกี่ยวอันใดด้วย”

นาซีมคล้ายเป็นคนเดียวที่ถูกปิดบังบางอย่าง ไม่ให้เขารับรู้กระจ่างทั้งหมด และทุกคนคงลืมไปว่ายังไม่ได้เปิดเผยถึงสถานะที่แท้จริงของคาริฟและองค์ราชินีให้นาซีมได้รับรู้

แต่คาริฟไม่ลืม

...หากเขาแค่คิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะบอก

“เรื่องนั้นเอาไว้ข้าจะอธิบายให้เจ้ารู้อีกครั้ง เวลานี้พวกเราควรออกเดินทางกันก่อนดีหรือไม่ ร่างกายเจ้าเองก็ยังไม่ดีนัก อีกอย่างพวกซันดาคงตามมาในไม่ช้า ไปให้ถึงบ้านข้าเร็วเท่าไรน่าจะเป็นผลดีกับพวกเรามากที่สุด”

เมื่อถูกเตือน นาซีมจึงเพิ่งระลึกได้ว่าตอนนี้สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัย จากนั้นจะคิดอ่านหรือทำอันใดค่อยตั้งรับและวางแผนอีกที

“เอาอย่างที่เจ้าว่าก็ได้”

เมื่อเห็นเจ้าชายของตนยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย องครักษ์ทั้งสองจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และนำทางนาซีมกับคาริฟออกไปยังหน้าหมู่บ้านร้าง ซึ่งที่นั่นมีกองกำลังส่วนพระองค์รออยู่กลุ่มหนึ่ง

เหมือนทหารทุกคนเห็นเจ้าชาย พวกเขาก็ทำความเคารพ ก่อนแหวกทางให้นาซีมไปยังอาชาพวงพีสีดำสนิทที่จัดเตรียมไว้แล้ว แค่รอเวลาให้ผู้นำของพวกเขาพร้อมเท่านั้น

“ขอบใจพวกเจ้ามากที่ยังติดตามข้า ขอบใจจริงๆ”

นาซีมเอ่ยกับทุกคน บ้างก็เป็นทหารคุ้นหน้า บ้างก็คล้ายกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงอย่างนั้นทุกคนก็พร้อมสละชีวิตเพื่อยืนอยู่ข้างเขา

“เราไปกันเถอะ”

คาริฟแตะที่ข้อศอกของเจ้าชายแห่งโซราห์เบาๆ นาซีมจึงละสายตาจากทุกคนและหันมาวางมือไว้ในอุ้งมือของคาริฟ เพื่อที่จะปล่อยให้เขาฉุดขึ้นอาชาตัวเดียวกัน

พายุทรายผ่านพ้นไปนานแล้ว บัดนี้ท้องฟ้าในดินแดนซาร์เรียสว่างไสวอีกครั้ง

นาซีมทอดมองออกไปเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าจุดหมายที่แท้จริงเขาตนเอยู่นะตำแหน่งใดใน ณ ทะเลทรายเวิ้งว้าง ทว่าหากนาซีมยังมีคาริฟและเหล่าผู้คนที่ศรัทธาในตัวเขาอยู่รอบข้างล่ะก็

นาซีมก็ไม่กลัวสิ่งใดอีก







❂ …………………………….❂







สามราตรีผ่านไป

นาซีมถูกพาขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ทัศนียภาพรอบกายมีเพียงทะเลทราย ทะเลทราย และทะเลทราย ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เวิ้งว้างจนดูคล้ายกันไปหมด นาซีมไม่รูว่าบ้านของคาริฟเป็นสถานที่แบบไหน แต่ถ้าให้คาดเดา เขาคิดว่าที่หมู่บ้านแห่งนั้นคงจะแห้งแล้งกันดารอย่างมาก

หลังออกเดินทางจากหมู่บ้านร้างมาได้สักระยะ คาริฟก็สั่งให้คนของเขาหยุดพักและปักกระโจม โดยให้เหตุผลกับนาซีมว่า

“เราจะเดินทางในยามราตรีเท่านั้น”

ด้วยเวลากลางวันอากาศร้อนมาก แดดที่สาดส่องลงมาแทบจะเผาผิวกายจนไหม้เกรียม ยิ่งถ้าฝืนเดินทางต่อไป ทั้งม้าและอูฐของพวกเขาคงไปต่อไม่ไหว

ดังนั้นนาซีมจึงใช้เวลาในยามกลางวันนอนหลับอยู่ในกระโจม เหมือนกับคนอื่นๆ

กระทั่งผ่านเข้าราตรีที่เจ็ด เจ้าชายแห่งโซราห์จึงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอากาศที่โรยตัวรอบกาย แม้ยามกลางคืนของทะเลทรายจะหนาวเย็นแตกต่างกับกลางวันลิบลับ ทว่าสัมผัสชื้นๆ ที่รู้สึกได้ก็แตกต่างออกไปจากทุกทีจริงๆ

เขามองไปรอบๆ ตัว พื้นที่ที่เหยียบย่างอยู่ยังคงเป็นผืนทรายเช่นเก่า เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าดวงดารายังคงสุกสกาว หากมองออกไปเบื้องหน้า ภายใต้ความมืดมิดของรัตติกาล นาซีมจึงมองเห็นเงาทะมึนของอะไรบางอย่างที่ทอดยาวทาบทับพื้นทราย

“คาริฟ”

“หืม?” เสียงทุ้มรับคำเบาๆ

“เจ้าเห็นนั่นหรือไม่” มือเรียวชี้ไปเบื้องหน้า

“อืม”

“มันคืออะไรหรือ”

“...”

คาริฟเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง อันที่จริงไม่นานนัก แต่คนอยากรู้อยากเห็นกลับร้อนใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเร่งเร้า

“ว่าอย่างไร”

“เจ้านั่งดีๆ” มือใหญ่ดึงนาซีมให้หยุดยุกยิก ก่อนจะเฉลย “นั่นคือไอเรม”

“...ไอเรมหรือ”

นาซีมทวนชื่อสถานที่ตามที่บุรุษชุดดำบอก เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างมาก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ใด

“อืม”

ทว่าเมื่อลองนึกดูดีๆ อีกครั้ง ทบทวนนามนั้นจากความทรงจำในอดีตแสนไกลโพ้น แล้วดวงตาคู่งามก็พลันเบิกกว้าง

“ไอเรม!”

“ใช่แล้ว”

“เจ้าว่าไอเรมหรือ!”

“ใช่” คาริฟพยักหน้า “นั่งดีๆ สิ อย่าทำให้ม้าตกใจ”

“แต่ว่า...ที่นั่นคือไอเรม ข้าหมายถึง...ไอเรมเชียวนะ!”

“หึๆ” จนแล้วจนรอด คาริฟก็อดหัวเราะไม่ไหว เพราะน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นนาซีมตื่นเต้นและดีใจถึงเพียงนี้ “ไอเรมแล้วอย่างไร ที่แห่งนั้นมีสิ่งใดให้เจ้าตื่นเต้นนักหรือ”

“มีสิ ต้องมีแน่นอน”

เจ้าชายแห่งโซราห์ขยับออกห่างจากแผ่นอกแกร่งเพื่อลุกขึ้นนั่งหลังตรง เขาดึงผ้าคลุมหน้าออกเพื่อให้มองเห็นถนัดถนี่

“ข้าบอกให้นั่งดีๆ” เขารวบร่างของคนตรงหน้ากลับมาในตำแหน่งเดิม

...ชิดจนหลังแนบสนิทกับอกแกร่ง

นาซีมถอยกลับมาทีเก่า ไม่ดื้อดึงขัดขืนจนผิดวิสัย แต่ในใจยังไพล่คิดไปถึงชื่อสถานที่ที่คาริฟบอก เพราะในตอนนี้เขาจำได้แล้วว่าเคยได้ยินชื่อไอเรมมาจากที่ใด

มันเป็นสถานที่ที่อยู่ในเรื่องเล่าของมารดา เรื่องที่นาซีมชอบฟังมากที่สุด

ใช่แล้ว...ไอเรมคือที่ที่ภูตราตรีอาศัยอยู่!

แม้ว่ายามนี้เขาไม่ใช่เด็กน้อยเยาว์วัยและอ่อนเดียงสาเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่นาซีมก็ยังคงชื่นชอบและหวังให้นักรบในตำนานเหล่านั้นมีจริง

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงตื่นเต้นนักเมื่อได้ยินชื่อไอเรม แต่เมื่อคิดในอีกแง่ บางทีที่นี่อาจมีชื่อเดียวกัน แต่หาใช่สถานที่ในตำนานนั้นไม่ ด้วยนาซีมยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าภูตราตรีมีตัวตนอยู่จริง

คิดถึงข้อเท็จจริงนี้นาซีมก็ไม่กล้ากระโตกกระตากอีก เพราะกลัวว่าถ้าคาริฟรู้ คู่ของเขาจะหาว่านี่เป็นความคิดเพ้อเจ้อ

คาริฟก้มลงมองคนที่เงียบไปและเอาแต่เหม่อมองไปยังเทือกเขาสูงซึ่งตั้งตระหง่านอย่างนึกสงสัย ด้วยไม่เข้าใจว่านาซีมกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

เมื่อครู่ยังตื่นเต้นดีใจเสียงขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับเงียบไปคล้ายมีเรื่องให้คิด

นี่เป็นครั้งแรกที่คาริฟคิดอยากให้คู่โชคชะตาหรือคนที่จับคู่กัน สามารถอ่านใจของฝ่ายตรงข้ามได้ เขาจะได้ไม่ต้องเดาใจอีกฝ่ายจากสีหน้าเช่นนี้

เมื่อนาซีมสงบลง การเดินทางที่เหลือจึงกลับมาสงบดังเดิม

ทั้งคณะเดินทางต่ออยู่พักใหญ่ และยิ่งก้าวไปเส้นทางก็ยิ่งแน่ชัดว่าจุดมุ่งหมายของพวกเขาคือเทือกเขาสูงใหญ่เบื้องหน้า จากที่เห็นมันอยู่ไกลลิบๆ บัดนี้อาชาพานาซีมเดินมาอยู่ใต้เงาของมันแล้ว

กระทั่งก่อนจะเดินเข้าไปทางช่องว่างระหว่างซอกเขา แสงอรุโณทัยสีอ่อนก็ค่อยๆ สาดทอลงมายังพื้นดินซาเรียอีกครั้ง

“เราต้องเดินผ่านเข้าไปในเทือกเขาแห่งนี้หรือ”

นาซีมเอ่ยถามเมื่อคาริฟบังคับอาชาให้เดินเข้าไปตามเส้นทางแคบๆ และสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกตในเทือกเขาสูง

“ไม่ใช่ผ่านไป”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าหมายถึง พวกเราจะไม่ผ่านไป แต่ด้านในนี้คือจุดหมายปลายทางของเราต่างหาก”

“บ้านเจ้าอยู่ด้านในเทือกเขาแห่งนี้หรือ” นาซีมถามพลางตั้งข้อสงสัย “แต่จะเป็นไปได้อย่างไร...ข้าหมายถึง ที่แบบนี้สามารถอาศัยอยู่ได้จริงๆ หรือ”

เทือกเขาแห่งนี้เป็นเทือกเขาหินซีดๆ แม้สูงใหญ่และตั้งตระหง่านให้ร่มเงาเป็นที่พักลมแดดจากทะเลทราย ทว่าด้านในก็เล็ก แคบและมืดจนแสงแทบส่งไม่ถึง พื้นที่ที่ที่พอจะยืนได้เป็นเหลือบและซอกเขาแคบๆ ไม่เหมาะจะสร้างเป็นที่อยู่อาศัยเลยสักนิด

คิดถึงตรงนี้นาซีมก็ปัดเรื่องที่สงสัยว่าไอเรมแห่งนี้คือไอเรมเดียวกับบ้านของภูตราตรี เพราะจากที่ฟังมารดาบรรยาย ไอเรมของภูตราตรีหมายถึงสรวงสวรรค์บนดินเพียงแห่งเดียวบนแผ่นดินซาร์เรีย นั่นแสดงว่ามันต้องสวยงามมากเสียจนผู้คนขนานนามว่าไอเรม

ไม่ใช่ซอกเขาที่มืดมิดใจกลางทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งนี้

“...” คาริฟก้มลงมองคนอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “เอาไว้ไปถึง เจ้าจะได้เห็นเอง”

บอกตามตรงว่านาซีมไม่อยากเชื่อคำของอีกฝ่ายนัก ยิ่งถูกกลิ่นอับๆ ของเชื้อราตามซอกเขารบกวน ความอยากรู้อยากเห็นของนาซีมยิ่งลดฮวบ

เจ้าชายโอเมก้ากลับไปซุกอยู่ในอ้อมอกของคู่ตัวเองเหมือนที่ผ่านมา ใช้ผ้าคลุมที่เต็มไปด้วยกลิ่นของคาริฟปิดจมูกและหลับตาลง

กระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว








❂ …………………………….❂







“นาซีม”

“...”

“ตื่นเถิด...นาซีม”

นาซีมรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงปลุกนุ่มๆ กับสัมผัสบางเบาที่ประทับบนเปลือกตา ครั้นลืมตามองดูโลกจึงพบบุคคลที่ปลุกให้เขาตื่นอย่างอ่อนโยน

“คาริฟ...” เจ้าชายโอเมก้างัวเงีย “ถึงแล้วหรือ”

“อืม...ถึงแล้ว เจ้าลองดูสิ ข้ามีบางสิ่งอยากให้เจ้าได้ดู”

คนเพิ่งตื่นขยับลุกขึ้นนั่งตัวตรง แม้ยังรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนอยู่บ้างเล็กน้อย ทว่าเขาก็ไม่คิดปฏิเสธคำเชื้อเชิญของคู่โชคชะตา

ครั้นเจ้าชายแห่งโซราห์ทอดสายตามองออกไปโดยรอบ หน่วยตาสีอ่อนก็พลันเบิกกว้างขึ้นช้าๆ

ยามนี้เขายืนอยู่ ณ หน้าผาหินแห่งหนึ่งที่มีบันไดหินอ่อนทอดยาวลงไปยังพื้นที่ด้านล่าง ที่ที่แสงสีทองสาดสะท้อนให้เห็นบ้านเรือนสีขาวสะอาด สระน้ำสีฟ้าสดใส พืชพรรณเขียวชอุ่มและดอกไม้สีสดที่ตลอดชีวิตนี้นาซีมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ยิ่งสายลมสดชื่นพัดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้เหล่านั้นมา คล้ายกับว่าเขาอยู่ยืนทางเข้าสรวงสวรรค์ทั้งๆ ที่มันเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนซาร์เรีย

“ที่นี่คือสวรรค์หรือคาริฟ”

เจ้าชายเอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย และเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของคาริฟตอบกลับมาก่อนคำเฉลยที่ทำให้หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่า



“ขอต้อนรับสู่ไอเรม บ้านของชาวเราเหล่าภูตราตรี”








❂ …………………………….❂








พามาบ้านแล้ว ต่อไปต้องทำอะไรต่อดีน้าาา

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

อ่านคอมเม้นแล้วอยากลงรัวๆ เลย



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 20 ไอเรม :- [3/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 03-12-2019 16:46:25
ถึงบ้านแล้วเจ้าชาย รอดตายแล้วนะ
สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 20 ไอเรม :- [3/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 03-12-2019 17:39:37
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 20 ไอเรม :- [3/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-12-2019 02:51:18
นาซีม น่าจะช็อกไปแล้ว
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 20 ไอเรม :- [3/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 05-12-2019 20:37:59
พึ่งได้มาตามอ่านแต่ว่าสนุกมากเลยค่าา เราติดหนึบหนับอ่านรวดเดียวไม่ได้พักเลยค่ะ เอ็นดูเจ้าชายกับคาริฟมากๆ วายทะเลทรายหาอ่านยาก เรื่องนี้ต้องกลายเป็นเรื่องโปรดอีกเรื่องของเราแน่ๆ ขอบคุณใครซักคนที่รีเรื่องนี้ผ่านหน้าไทม์ไลน์เรา ขอบคุณคนเขียนสำหรับการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา การพยายามหาข้อมูลต่างๆ  :impress2: ตอนหน้าอยากเห็นคาริฟพาเจ้าชายพาทัวร์บ้านแล้วล่ะค่ะ ต้องรู้สึกเหมือนความฝันตอนเด็กๆเป็นจริงแน่เลย
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 20 ไอเรม :- [3/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-12-2019 01:50:58
ชอบความอ่อนโยนที่คารีฟมีให้กับนาซีมมากเลย
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 20 ไอเรม :- [3/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 07-12-2019 05:13:57
เค้าจับคู่กันแล้ว แม้ในสถานการณ์ที่พึ่งจบด้วยเลือดสาด
แต่ก็ไม่นำพา และไม่สามารถบรรเทาอาการได้

คารีฟทนได้ขนาดนี้ ถือว่าดีมากแล้ว เป็นคนอบอุ่นแบบไม่แสดงออก
ทำไม่สนใจมานาน แต่ตอนนี้จัดเต็มให้น้องแน่นอน

นาซีมน่าเอ็นดู มีความนอยด์ คิดสะระตะแสนแปด
แต่พอคารีฟถามไถ่ ดูแล แต่บอกว่าตั้งใจ คือจบเลย

ว้าววว มาถึงไอเรมแล้ว อยากรู้แล้วค่ะว่าแม่นาซีมเป็นใคร ยังไง
แล้วคารีฟเป็นหัวหน้าภูต อยู่ออกจะไกล ไปช่วยน้องทันได้ยังไง
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 21 ยอมรับ :- [7/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 07-12-2019 09:45:42





บทที่ 21 การยอมรับ











“ขอต้อนรับสู่ไอเรม บ้านของชาวเราเหล่าภูตราตรี”

ทัศนียภาพรอบกายไม่น่าสนใจอีกต่อไป เมื่อความสนใจทั้งหมดของเจ้าชายแห่งโซราห์พุ่งไปหาบุรุษองอาจที่นั่งส่งยิ้มให้เขาบางๆ บนอาชาตัวเดียวกัน

“แต่ท่านแม่บอกว่าภูตราตรีจะอยู่ที่ไอเรม สรวงสวรรค์ของพวกเขา ทั้งยังสวมอาภรณ์สีดำสนิทราวกับสีท้องฟ้าในคืนไร้ดาวและสะพายดาบวงพระจันทร์ติดหลังมิใช่หรือ ถ้าเป็นผู้ที่มีลักษณะเช่นนั้น ข้าคงไม่เคยพบ”

ในยามนั้นนาซีมไม่เคยพบ ทว่าเวลานี้เขาได้พบแล้ว ซ้ำไม่รู้ว่าภูตราตรีที่เฝ้าฝันหาจะมาอยู่ข้างกาย

...และชิดใกล้ถึงเพียงนี้

นาซีมตกตะลึงพรึงเพริด ด้วยไม่คิดว่านิทานก่อนนอนของมารดาจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ความรู้สึกทั้งตื่นเต้น ดีใจ ประหลาดใจ ตีรวนอยู่ในสมองจนไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรมากกว่ากัน

เจ้าชายอึกอักอยู่พักใหญ่ สุดท้ายจึงเอ่ยถามเพื่อย้ำให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลกที่คาริฟใช้หยอกล้อกัน

“หมายความว่า...”

“ว่า...?”

“เจ้าคือ...ภูตราตรีจริงๆ อย่างนั้นหรือ”

“อืม” คาริฟพยักหน้ารับ

“ทั้งตัวเจ้าและเผ่าของเจ้าด้วยนะ”

“ใช่ เราคือภูตราตรี ทั้งข้าและเผ่าของข้า”

“นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหม...”

นาซีมเอ่ยอย่างเลื่อนลอย คาริฟจึงยิ้มขันและบอกชัดๆ อีกครา

“ข้าจะโกหกเจ้าไปไย”

“...ข้าไม่รู้...นั่นสิ เจ้าจะโกหกเพื่ออะไร เพียงแต่ข้าแค่...”

เจ้าชายแห่งโซราห์หยุดแค่นั้นแล้วนิ่งงันไป เขาก้มลงมองต่ำก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคาริฟและหันไปสำรวจรอบๆ ทำวนอยู่เช่นนี้หลายครั้ง สุดท้ายจึงผินกลับมาจ้องคาริฟนิ่งๆ ไม่เอ่ยวาจา

ส่วนคาริฟเองก็รู้สึกประหลาดใจในปฏิกิริยาของนาซีมอย่างมาก ด้วยไม่คิดว่าความจริงเรื่องเผ่าพันธุ์ซึ่งปกปิดเอาไว้จะทำให้เจ้าชายตกใจถึงเพียงนี้

แต่ที่น่าประหลาดกว่านั้นคือ ถ้าหากตัดสินจากดวงตาเป็นประกายและท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่าย ดูท่าเจ้าตัวจะสนใจในเรื่องของภูตราตรีไม่น้อย

หลังจากเงียบกันไปพักหนึ่ง คาริฟจึงส่งสัญญาณให้พวกกองกำลังที่ตามหลังมาเคลื่อนที่ลงไปที่หมู่บ้านก่อน ส่วนตัวเองกลับรั้งรออยู่ที่เดิมเพราะคาดว่านาซีมต้องมีเรื่องพูดกับเขาอีกเป็นแน่

และมันก็จริงตามที่คาด...

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ข้าเลยสักครั้ง มันเป็นความลับหรือ…ไม่สิ” นาซีมส่ายหัวแล้วงึมงำเปลี่ยนคำพูดราวกำลังบอกกับตัวเองไม่ใช่คาริฟ “เรื่องของภูตราตรีย่อมเป็นความลับถึงจะถูก เป็นข้าเองที่คิดไม่ถึง อันที่จริงข้าไม่ทันสังเกตเลยมากกว่า ทั้งที่ทุกอย่างที่เป็นเจ้าชัดเจนถึงเพียงนี้”

จากตรงนี้เขาเว้นอยู่ห่างจากคนอื่นไกลพอควรแล้ว คาริฟจึงเอ่ยถามพลางกระตุกให้อาชาเดินไปช้าๆ เพื่อรักษาระยะ

“อะไรบ้างที่เจ้าคิดว่าชัดเจน”

“เจ้าสวมชุดสีดำอยู่เสมอ มีดาบจันทร์เสี้ยว ทั้งยังเข้ามาช่วยยามที่บ้านเมืองของข้ากำลังตกที่นั่งลำบากด้วย” นาซีมร่ายยาว เพราะนั่นคือสิ่งที่รับรู้มาจากมารดาในวัยเด็ก

“เพียงเท่านี้หรือที่ทำให้เจ้าคิดว่าใช่”

“ไม่รู้สิ…เอ่อ…แค่คิดว่าถ้าสังเกตเรื่องนี้สักหน่อย ข้าอาจจะฉุกคิดถึงภูมิหลังของเจ้าบ้าง”

“หึๆ …ลักษณะเหล่านี้ออกจะพบเจอได้ดาษดื่นทั่วไป เจ้าจะไม่รู้ก็มิแปลกตรงไหน อีกอย่างสำหรับผู้คนในซาร์เรีย เรื่องราวของเราก็ควรจะเป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น”

คาริฟเว้นไปนิดเพื่อดูว่าคนฟังตั้งใจฟังเขาแค่ไหน แล้วเขาก็ได้เห็นดวงตาคู่งามจ้องมาที่ตนเองตาไม่กะพริบ ชายหนุ่มจึงพูดต่อไป

“…”

“ดังนั้นเรื่องเล่าก็ควรเป็นแค่เรื่องเล่าธรรมดามิใช่หรือ”

“เรื่องของภูตราตรีมิใช่แค่เรื่องเล่าธรรมดานะ”

ได้ยินนาซีมเถียง คาริฟจึงหรี่ตาลงอย่างจับผิด เขาไม่อยากตีความว่าการมีอยู่ของเผ่าตนเองมีความสำคัญกับเจ้าชายแห่งโซราห์ ทว่าเมื่อมองจากปฏิกิริยามันก็ตีความเป็นอื่นไม่ได้

คิดได้ถึงตรงนี้ในหัวใจของบุรุษชุดดำก็อุ่นวาบขึ้นมา

...มีผู้ใดบ้างมิอยากเป็นคนสำคัญในสายตาของคนที่ชอบ

แต่เพื่อความรอบคอบ คาริฟจึงหลอกถามซ้ำเพื่อตอกย้ำความคิดของตน

“เรื่องของชาวเราไม่ธรรมดาสำหรับเจ้าอย่างนั้นหรือ…”

“ใช่น่ะสิ! ”

และมันก็เป็นเช่นที่คาดจริงๆ ...

บุรุษชุดดำแสร้งทำนิ่ง แต่นัยน์ตากลับแสดงความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด

ถึงอย่างนั้นนาซีมก็ไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงในแววตาของคู่โชคชะตาตน เพราะนาซีมมัวแต่ติดอยู่ในความคิดของตัวเอง

สำหรับเรื่องนี้เขาจะเถียงขาดใจ เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับภูตราตรีนั้นมีความสำคัญกับเจ้าชายมาก ด้วยมันคือความทรงจำในวัยเด็ก เป็นตำนานที่อยากเห็น อยากรู้ และอยากให้มีจริง

ภูตราตรีในนิทานกล่อมนอนของมารดา คือ ภาพของอัศวินที่มีเลือดเนื้อ ผู้พิทักษ์ที่คอยปกปักดินแดนแห่งนี้

แล้วเช่นนี้จะให้บอกว่ามันเป็นเรื่องเล่าธรรมดาเหมือนตำนานอื่นๆ ได้อย่างไร!

นกตัวเล็กๆ สีเหลืองอ่อนที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่กระพือปีกหนีไปทันทีที่นาซีมตะโกนเถียง นั่นทำให้เจ้าชายรู้ตัวว่าตนเสียงดังจนเกินไปแล้ว เขาจึงรีบหันกลับมานั่งหลังตรงและทอดมองไปเบื้องหน้าแทน

“…”

คาริฟยิ้มหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทางนั้น เขาไม่ตอบโต้หรือยียวนเจ้าชายของเขาอีก ด้วยไม่อยากให้เจ้าตัวอารมณ์ขุ่นมัว

ยามนี้พวกเขาจึงตั้งใจบังคับอาชาให้ลงบันไดหินไปสู่ตัวหมู่บ้านด้านล่างเงียบๆ มองจากจุดนี้เขาเห็นผู้คนในเผ่าต่างพากันออกมาต้อนรับ แต่สายตาของคาริฟกลับหยุดอยู่ที่ใบหน้างดงามของคู่โชคชะตาของตนเอง

ดูท่าคนคนนี้คงมีเรื่องสงสัยค้างคาอยู่ในใจมากมายเป็นแน่แท้ เพราะทุกอย่างนั้นแสดงออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว…คาริฟคิด

ยามที่นาซีมหมกมุ่นครุ่นคิด สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปมาอย่างน่ารัก

ใช่…คู่โชคชะตาของเขาน่ารักนัก

คาริฟเพิ่งมายอมรับความรู้สึกของตนเองหลังจากที่เริ่มเปิดใจ และนอกจากความน่ารัก นาซีมยังเป็นโอเมก้าที่ฉลาด นอบน้อม

และเย้ายวนอย่างมาก…

พิสูจน์ได้จากใบหน้าและท่าทางยามระบำพันราตรีซึ่งติดตรึงอยู่ในหัวใจของคาริฟตั้งแต่ค่ำคืนนั้นจนถึงบัดนี้ ยิ่งผนวกกับราตรีที่เขาประทับรอยบนร่างกายของอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงต้องยอมรับแต่โดยดีว่า เสน่ห์ของนาซีมนั้นมากล้นจนไม่อาจละสายตาได้

หากย้อนไปในยามสนธยาที่คาริฟบ้าคลั่ง เขายังต้องขอบคุณการฝึกฝนให้อดทนและยับยั้งชั่งใจตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เช่นนั้นเจ้าชายนาซีมคงย่อยยับคามือของเขาอย่างแน่นอน

สัญชาตญาณของคู่โชคชะตารุนแรงนัก ยิ่งถูกกระตุ้นจากอาการฮีท รวมถึงพฤติกรรมห่วงแหนของอัลฟ่าก็ยิ่งเชิญชวนให้ความป่าเถื่อนปรากฏกายออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ

โชคดีที่คาริฟไม่กลายเป็นเหมือนทหารซันดาเหล่านั้น

และโชคดีจริงๆ ที่นาซีมยอมรับการจับคู่ของเขาโดยไม่ขัดขืน...

คิดถึงตรงนี้ดวงตาสีมรกตก็เหลือบมองรอยกัดที่ท้ายทอยระหง แผลตราประทับดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานก็คงหายเจ็บ แต่ร่องรอยนี้จะติดตรึงอยู่เนิ่นนาน คล้ายเครื่องยืนยันว่านาซีมจะเป็นของเขาไปชั่วชีวิต

บุรุษชุดดำเอื้อมมือมารวบกอดนาซีมด้วยแขนสองข้าง จากนั้นจึงก้มหน้าลงแตะริมฝีปากบนรอยกัดที่หลังคอแผ่วเบา พานให้คนถูกกอดตกใจเล็กน้อย แต่ดิ้นขลุกขลักเดี๋ยวเดียวนาซีมก็ปล่อยตัวนิ่งยอมให้คาริฟจุมพิตบนตราประทับแต่โดยดี

เสียงธารน้ำสายเล็กไหลเอื่อยฟังดูไพเราะ สายลมที่พัดมาต้องกายอบอุ่นกว่าที่เคย

นาซีมจำไม่ได้ว่าสถานการณ์แรกเริ่มเป็นมาอย่างไร หรือว่าก่อนหน้านี้กำลังถกเถียงกันเรื่องใดอยู่ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที โมงยามที่เงียบงันนี้กลับกลายเป็นช่วงเวลาอ่อนหวานได้อย่างไม่น่าเชื่อ

กระทั่งอาชาพวงพีพานาซีมและคาริฟลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ความสนใจของเจ้าชายแห่งโซราห์จึงถูกชนเผ่าภูตราตรีในไอเรมดึงดูดไปแทน

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปรอบๆ ในใจรู้สึกตื่นเต้นจนยากจะระงับ แต่เพราะบอกตัวเองอยู่เสมอว่าต้องสำรวมไม่ว่าสถานการณ์ใด เขาจึงทำได้แค่ยกยิ้มบางประดับใบหน้าเท่านั้น

มองจากด้านบนเขารู้สึกว่าที่แห่งนี้งดงามมาก แต่เมื่อลงมาสัมผัสใกล้ๆ ด้านล่าง นาซีมก็ยิ่งตกตะลึง

ไอเรมไม่เหมือนเมืองใดหรือแคว้นไหนที่เขาเคยพบมากก่อนในชีวิต เขากล้าพูดได้เลยว่าทั่วทั้งซาร์เรีย ต้องไม่มีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้อยู่แน่ๆ

ทั้งธารน้ำ ต้นไม้ และลักษณะของผู้คน ทุกอย่างล้วนต่างออกไป

ประชากรส่วนใหญ่ของซาร์เรียจะมีผิวเข้ม ผมสีดำ ตาสีน้ำตาลหรือดำสนิท รูปร่างไม่สูงใหญ่นักหากมิใช่อัลฟ่า แต่คนในไอเรมกลับตัวสูงชะลูดกันหมด บ้างมีผมสีดำเหมือนคาริฟ บ้างผมสีอ่อนตั้งแต่น้ำตาลไปจนทองอร่ามทั้งหัว ดวงตาก็เป็นสีอ่อนในเฉดเย็นเหมือนใบไม้และผืนฟ้า ผิวพรรณของทุกคนล้วนขาวผ่องกว่าคนซาร์เรียพื้นที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด

ทีแรกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นผิวของคาริฟ แต่เมื่อได้พบจาเร็ด และคนอื่นๆ ในไอเรม นาซีมก็เชื่อมโยงได้ทันทีว่าใครเป็นคนในเผ่าภูตราตรีบ้าง

คาริฟบังคับให้อาชามาหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ไม่เล็กไม่ใหญ่กว่าหลังอื่นๆ แต่หากสังเกตดีๆ จะพบว่ามันอยู่ใจกลางของชุมชนในไอเรมพอดิบพอดี

เมื่อม้าหยุดฝีเท้า บุรุษชุดดำก็กระโดดลงไปเบื้องล่างและไม่ลืมดึงตัวนาซีมลงมาด้วย

เขาสองคนยืนข้างกันท่ามกลางวงล้อมของผู้คนที่ค่อยๆ เดิมเข้ามาใกล้ นาซีมไม่ได้กลัวหรือรู้สึกได้ถึงอันตรายของชาวเผ่านี้ หากเขาก็อดที่จะประหม่าไม่ได้เมื่อถูกจ้องมองราวกับเป็นของแปลกประหลาด นาซีมจึงเผลอขยับกายไปชิดคาริฟมากขึ้น จนดูเหมือนกับเขากำลังหลบอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย

“ยินดีต้อนรับกลับนะท่านหัวหน้า”

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจับมือคาริฟด้วยความดีใจ ก่อนหญิงชราท่าทางใจดีอีกคนจะแทรกตัวเข้ามาคว้ามือคาริฟไปกุมไว้ต่อ

“เดินทางลำบากมากหรือไม่ ทุกคนเป็นห่วงท่านแทบแย่”

“ไม่ลำบากเท่าไร ขอบคุณพวกท่านทุกคนที่มาต้อนรับข้า” คาริฟเอ่ยกับนางก่อนในประโยคแรก จากนั้นจึงกวาดมองไปรอบๆ และเอ่ยประโยคหลัง

“ท่านปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว รีบเข้าไปด้านในเถิด ท่านผู้เฒ่านูรุลฮูดากำลังคอยท่านอยู่ทีเดียว”

พูดไม่ทันขาดคำ ชายชราที่มีเส้นผมและหนวดสีขาวเป็นเงินยวงยาวจนลากพื้นก็ปรากฏกายออกมาหน้าประตูบ้าน โดยด้านข้างมีหญิงผู้หนึ่งที่มีดวงตาสีเดียวกับคาริฟประคองอยู่ใกล้ๆ

“กลับมาแล้วรึ ท่านคาริฟ”

“ท่านปู่”

คาริฟค้อมศีรษะทำความเคารพก่อนเข้าไปประคอง ท่านผู้เฒ่าโบกมือเบาๆ แล้วกล่าวอย่างร่าเริง

“ไม่เป็นไรๆ ข้ายืนไหว ไหนบอกซิว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับท่านปู่” คาริฟตอบ

“เช่นนั้นเจ้าชายน้อยบุตรของอาลียาอยู่ไหนเล่า”

นาซีมสะดุ้งวาบเมื่อบทสนทนาพุ่งมาที่ตน สายตาทุกคู่ในบริเวณนั้นก็เช่นกัน

“เขาอยู่ตรงนี้แล้วขอรับท่านปู่”

คาริฟปล่อยมือท่านผู้เฒ่า ก่อนเข้ามาจูงมือนาซีมที่ยืนตัวลีบที่ด้านหลังให้ไปอยู่ข้างกัน

นาซีมวางมือที่สั่นน้อยๆ ด้วยความตื่นเต้นบนอุ้งมือใหญ่ แล้วก้าวเท้าออกไปยืนเคียงข้าง จากนั้นจึงทำความเคารพในแบบชาวโซราห์

“ยินดีที่ได้พบท่านผู้เฒ่า ข้า...นาซีมแห่งโซราห์ขอรับ”

ชายชราผู้นั้นใช้ดวงตาสีเขียวซีดมองนาซีมนิ่งๆ คล้ายพินิจพิจารณา เดี๋ยวเดียวเขาก็ผุดยิ้มกว้างและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“โอ้...ใบหน้าถอดแบบมาจากอาลียาไม่มีผิด แต่สีตาและผิวเมื่อพ่อเจ้าสินะ”

นาซีมตัวสั่นน้อยๆ เมื่อได้ยินผู้เฒ่านูรุลฮูดาเอ่ยถึงมารดาของเขา ยามนี้นอกจากความประหม่าที่ได้พบคนมากหน้าหลายตา ความอยากรู้อยากเห็นมากมายก็ผุดขึ้นในสมอง

นาซีมรู้อยู่แล้วว่ามารดาของเขารู้จักกับเผ่าของคาริฟ มิเช่นนั้นบุรุษผู้นี้คงไม่เดินทางไปช่วงเขาถึงอีกฟากของทวีป แต่ที่นาซีมชักสงสัยก็คือ

แม่ของเขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชนเผ่านี้มากกว่าที่คิดหรือไม่

แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบ นาซีมก็ถูกหญิงที่ยืนข้างท่านผู้เฒ่าก้าวเข้ามาถึงตัว ก่อนนางจะเอี้ยวมองไปที่ด้านหลังของนาซีมคล้ายต้องการสำรวจ

เจ้าชายโอเมก้าตกใจกับท่าทางของนางไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าหลบหนีไปอยู่ด้านหลังของคาริฟอีกแล้ว จนเมื่อหันกลับมาอีกครั้งและไล่มองตั้งแต่ใบหน้าของเขากับคาริฟสลับกัน นางจึงโพล่งออกมา

“คาริฟ!!”

“ขอรับ”

“นี่อย่าบอกนะว่าลูกไปถึงตัวเจ้าชายช้าไป...”

นางชี้มือมาที่นาซีม แต่ถ้ามองดูดีๆ ตำแหน่งที่ปลายนิ้วนั้นระบุมาคือตำแหน่งซึ่งมีรอยกัดที่คาริฟทำไว้ แต่นางคงเข้าใจผิดว่ารอยนี้เป็นชีคทาริคที่ทำ

เกิดเสียงฮือฮารอบกายของพวกเขา นาซีมมองไปโดยรอบก็พบเพียงสายตาซึ่งแสดงความสงสารต่อโชคชะตาของเขาส่งมาให้

แต่แล้วเป็นคนที่ใครๆ ต่างเรียกว่าท่านผู้นำที่เอ่ยปากปฏิเสธ ระงับข่าวลือและความเข้าใจผิดอันจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

“ข้าไปทันท่านแม่”

“แต่ตราประทับที่คอของเจ้าชายเล่า”

นาซีมหันมองหน้าคาริฟและเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายมองมาที่เขาเช่นกัน หลังจากนั้นคาริฟก็ถอนสายตาแล้วหันไปเผชิญหน้ากับมารดา

“ข้าเป็นผู้ทำขึ้นเองขอรับ...” เสียงของบุรุษที่ยืนอยู่ข้างเจ้าชายแห่งโซราห์เอ่ยขึ้น

รอบกายของพวกเขาเงียบลง ราวกับกว่าเสียงนกร้อง เสียงลมพัดใบไม้ หรือเสียงน้ำไหลเองก็หยุดเพื่อที่จะฟังคำสารภาพจากปากของผู้นำแห่งเผ่าภูตราตรี

“นี่...นี่เจ้ากล้า...กับ...เจ้าชาย...กับลูกของอาลียา”

“...”

“เหตุใดจึงทำเช่นนี้ บอกแม่มา”

มารดาของคาริฟเหมือนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นาซีมไม่รู้ว่านางโกรธหรือไม่ แต่เห็นสีหน้าที่ประเดียวแดงก่ำ ประเดี๋ยวซีดเผือดแล้ว เจ้าชายก็นึกหวั่นใจขึ้นมา

ด้วยกลัวว่านางจะไม่ยอมรับ

แต่คาริฟกลับกระชับมือของนาซีมให้แน่นขึ้น ส่งผ่านความอบอุ่นมาให้ เหมือนต้องการบอกให้ไว้ใจว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี

ให้เชื่อว่าหากมีคนผู้นี้อยู่ข้างกาย นาซีมไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก

...และคาริฟก็ทำให้นาซีมรู้สึกเช่นนั้นได้จริงๆ

“เพราะเขาเป็นคู่โชคชะตาของข้า...เขาเป็นของข้า”

สุ้มเสียงที่หนักแน่น ยังไม่เท่าความรู้สึกและกลิ่นอายอัลฟ่าที่คาริฟปล่อยออกมา เขายืนยันให้ทุกคนได้สัมผัส ไม่ว่าจะอย่างไร หนทางที่ผู้นำของเหล่าภูตราตรีเลือกไม่มีวันผิดพลาด

มารดาของคาริฟเงียบไปเนิ่นนาน ราวกับพูดไม่ออกอีกแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของท่านผู้เฒ่าที่จะหยุดความตระหนกของคนในเผ่าและชักนำให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราก็ควรยินดีกับหัวหน้าของชาวเรามิใช่หรือ” นูรุลฮูดาว่า

“แต่ท่านผู้เฒ่า...เจ้าชายเขา...”

“พอแล้วโซเฟีย เรื่องนี้เป็นชะตาที่เรามิอาจกำหนดได้ ดังนั้นจึงปล่อยให้เป็นไปตามประสงค์ขององค์เทพีเถิด” เขาบอกกับโซเฟีย ก่อนจะหันเอ่ยกับนาซีมอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องตระหนกไปเจ้าชายน้อย แม้ชาวเราจะเป็นเพียงเผ่าเล็กๆ ในดินแดนแห่งนี้ แต่เราจะไม่ทำให้ท่านน้อยหน้า ก่อนจะหารือหรือทำการสำคัญใดต่อไป...ชาวเราจะร่วมกันจัดพิธีวิวาห์ให้ท่านกับคาริฟอย่างสมเกียรติ”



❂ …………………………….❂







มาต่อแล้ววว

มีใครเดาถูกบ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป -///-

หวานๆ วนไปก่อนเนาะ อิอิ

ตอนแรกจะมาเร็วกว่านี้ค่ะ แต่พอดีฝนต้องเดินทางมาหาดใหญ่กะทันหัน

ขับรถมาเองด้วย ก็เลยเหนื่อยนิดหน่อย

วันพรุ่งนี้จะเดินทางกลับถึงบ้านแล้วค่ะ

จะรีบลงรัวๆ เลยน้าา







ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 21 ยอมรับ :- [7/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-12-2019 21:43:24
คาริฟแมนมาก  :o8:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 21 ยอมรับ :- [7/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-12-2019 18:08:11
ว้าววววว จะได้แต่งงานกันแล้ว
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 21 ยอมรับ :- [7/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 10-12-2019 11:01:26
เอ็นดูนาซีม มีความตื่นเต้นและสับสนเบาๆ
แม่นาซีมเป็นคนในเผ่า แล้วมีตำแหน่งสูงหรือเปล่า
ทำไมแม่คารีฟดูกังวล

คารีฟออกตัวแรงจ้า ชัดเจน ปกป้อง น่ารักเลย
แถมมียิ้ม มีหยอก เอ็นดูน้องมากสินะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 21 ยอมรับ :- [7/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 11-12-2019 08:37:26
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 21 ยอมรับ :- [7/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: bnmshhhhhhh ที่ 12-12-2019 19:05:51
สนุกมากกกกภาษาดีสุดๆ รอติดตามเลยย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 21 ยอมรับ :- [7/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 13-12-2019 23:11:27
อาลียาเกี่ยวอะไรกับภูตราตรี
แต่ถึงจะไม่รู้ว่าไปสัญญาอะไรกันไว้
อย่างน้อยตอนนี้เจ้าชายของเราเขาก็มีความสุข
เหลือแค่รอวันกลับไปทวงบัลลังก์คืน
 
ไม่ได้เข้าเล้ามานานมาก เลยเพิ่งเจอเรื่องนี้ของคุณละอองฝน
เราชอบการเขียนการบรรยายของคุณค่ะ
รู้สึกฟีลกู้ด ละมุนละไมดี ว่าแล้วก็แว้บไปอ่านพี่เมฆน้องรักอีกสักรอบ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 21 ยอมรับ :- [7/12/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-12-2019 23:14:47
คารีฟก็คืออบอุ่นมากค่ะ อยากเป็นนาซีมเลยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 22 อาลียา :- [5/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 05-01-2020 18:37:47





บทที่ 22 อาลียา









หลังจากผู้เฒ่านูรุลฮูดาประกาศว่าจะจัดงานวิวาห์ให้คาริฟและนาซีม พวกเขาทั้งสองก็ถูกแยกออกจากกันทันที โดยคาริฟถูกกันไว้ที่บ้านของท่านผู้เฒ่า ส่วนนาซีมนั้นถูกมารดาของคาริฟ หรือที่ใครต่อใครเรียกว่า นีรา พามายังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกห่างออกมาจากใจกลางไอเรมพอสมควร

นาซีมไม่กล้าเอ่ยถามว่านีรากำลังจะทำสิ่งใด อันที่จริงไม่ใช่แค่เขา แม้แต่ฮาบัสกับฟามีนก็ไม่อาจขัดขวางนางได้ ทุกคนปล่อยให้เจ้าชายตามนางมา ส่วนคาริฟที่ในตอนแรกทำท่าจะไม่ยอม เมื่อถูกมารดาขึงตาใส่ เขาก็ทำได้แค่ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“ท่านแม่ จะพานาซีมไปทั้งอย่างนี้เลยหรือขอรับ”

“ถูกแล้ว” มารดาของเขาตอบเรียบๆ

“แต่เขายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ข้างเกรงว่านาซีมจะสับสน”

“เรื่องนั้นเจ้ามิต้องห่วง ไปหารือกับท่าผู้เฒ่าเถิด ทางนี้แม่จะจัดการเอง มิต้องกลัวว่าจะทำให้เจ้าชายน้อยตกพระทัย”

“แต่...”

“เจ้ารู้ธรรมเนียมดีมิใช่หรือ”

เมื่อได้ยินคำยืนยัน คาริฟจึงยอมตอบรับ

“...ขอรับท่านแม่” เขาว่า ก่อนจะหันหาคู่โชคชะตาของตน “นาซีม...เจ้าไปกับท่านแม่ของข้าก่อน แล้วข้าจะตามไปหาภายหลัง”

“เข้าใจแล้ว”

นาซีมรับคำง่ายๆ ไม่เอ่ยคำใดทั้งสิ้นเพราะรู้ว่าเมื่อถึงเวลา นีราจะเฉลยแก่เขาเอง

เจ้าชายเดินตามมารดาของคาริฟอย่างสงบเสงี่ยมโดยผ่านบ้านเรือนของผู้คนในไอเรมหลังแล้วหลังเล่า หลายต่อหลายคนลอบมองนาซีมกับนีราอย่างสนอกสนใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ไม่จ้องนานจนนาซีมรู้สึกอึดอัดนัก กระทั่งหน้าบ้านหลังหนึ่งนีราจึงหยุดและหันมาหานาซีม

“ถึงแล้วเพคะเจ้าชาย”

นางเบี่ยงกายเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะเปิดรั้วเตี้ยให้นาซีมเดินเข้าไปก่อน

บ้านของนีรามีขนาดพอเหมาะพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นๆ ที่นาซีมเดินผ่าน แต่สิ่งที่เจ้าชายชื่นชอบอย่างมากก็คือแปลงดอกไม้เล็กๆ ตรงรั้วกับแปลงพืชแปลกตามากมายที่ปลูกเรียงรายไปจนเกือบถึงประตูบ้าน

ด้านหน้าประตูบ้านของนางมีพรมสานจากหญ้าชนิดหนึ่งวางเอาไว้ เจ้าชายเห็นนางเดินนำมาเคาะรองเท้าหนังสัตว์เบาะๆ สองสามครั้งคล้ายจะสอนให้เขาทำตาม ก่อนจะเปิดประตูเพื่อเดินเข้าไปด้านใน

“ขอต้อนรับสู่บ้านหลังน้อยของข้า เชิญเข้ามาด้านในเถิดเพคะเจ้าชาย”

นีรากล่าวเชิญเป็นครั้งที่สองตั้งแต่นาซีมเหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตของนาง ซ้ำยังกล่าวด้วยคำสุภาพอย่างมากอีกด้วย มันทำให้เจ้าชายรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือด้วยการตอบรับอย่างสุภาพและกดยิ้มบางๆ เช่นกัน

“...ขอบคุณขอรับ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายามนี้นาซีมสับสนกับสถานการณ์มาก ซ้ำยังเกรงใจมารดาของคาริฟพอดู ยิ่งนางมองมาคล้ายสำรวจเขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก แต่จะให้ทำอะไรยามนี้ก็คงไม่เหมาะ

กระนั้น เจ้าชายก็คิดในใจว่า...จังหวะเหมาะๆ ที่เขาคอยต้องมาถึงแน่ เพียงแค่รอเวลาสักหน่อยเท่านั้น

เมื่อตามกันเข้ามาในบ้านแล้ว นีราก็พาเจ้าชายไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง แม้ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็สะอาดสะอ้านน่าอยู่

“ก่อนที่จะถึงพิธี ท่านพำนักที่ห้องนอนห้องนี้นะเพคะเจ้าชาย เพราะค่อนข้างฉุกละหุกพอดู ทำให้ข้าเตรียมตัวไม่ทัน จะให้อยู่บ้านเดิมของอาลียาก็มิได้แล้ว ด้วยต้องตระเตรียมหลายอย่างก่อนเข้าพิธี ดังนั้นขอท่านโปรดอย่าถือสาข้าและเผ่าของเราเลยนะเพคะเจ้าชาย”

นางขออภัยนาซีมเสียยืดยาว ทั้งยังมีหลายประโยคที่ทำให้นาซีมเกิดความสงสัย แต่เพราะท่าทางเป็นงานเป็นการและนอบน้อมเกินไปนี้ ทำให้เจ้าชายต้องรีบจัดการอะไรสักอย่างก่อนสอบถามเรื่องอื่น

“ท่าน...เอ่อ...”

“นีราเพคะ นีราแห่งไอเรม”

นางแนะนำตัว นาซีมจึงพูดประโยคที่ค้างไว้ได้ต่อ

“ท่านนีรา ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดอย่าใช้คำเช่นนั้นกับข้าเลย”

“ท่านหมายถึง...”

“ใช้คำสามัญธรรมดากับข้าเถิด ท่านมีอาวุโสมากกว่าข้า”

“ไม่ได้หรอกเพคะ ท่านเป็นเจ้าชายแห่งโซราห์ทำอย่างนั้นจะเหมาะได้อย่างไร”

“มีตรงไหนที่ไม่เหมาะกันขอรับ แม้ข้าจะเป็นเจ้าชาย แต่ยามนี้คาริฟจับคู่กับข้าแล้ว...” แม้จะรู้สึกกระดากอายไม่น้อย แต่นาซีมก็ยังกลั้นใจพูดต่อ “ท่านเป็นมารดาของคาริฟ ดังนั้นท่านก็มีศักดิ์เหมือนเป็นมารดาของข้าเช่นกัน...แต่ถ้าท่านเห็นว่าข้าไม่เหมาะจะเป็นลูก--- “

“ไม่ใช่นะเพคะ!”

ยังไม่ทันพูดจบ นาซีมก็ถูกตัดบทเสียก่อน นีรามีสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นใบหน้าน่าเอ็นดูของเจ้าชายแห่งโซราห์ชัดๆ นัยน์ตาของนางก็สั่นระริก

...และยอมทำตามที่นาซีมขอในที่สุด

“หากเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วล่ะนะนาซีม”

“ขอรับท่านนีรา”

“ต้องเป็นท่านแม่สิ...มิใช่ท่านนีรา”

“ขอรับ...ท่านแม่”

นาซีมยิ้มออกทันทีที่เห็นว่านีราอ่อนลง นีรามองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาจับบ่าสองข้าง เพื่อจับให้เขาหมุนตัว

“ข้าขอดูหน่อย”

“อะไรหรือขอรับ”

“ข้าอยากดูให้แน่ใจว่าเจ้ามิได้บาดเจ็บตรงไหน”

น้ำเสียงกับท่าทางที่อ่อนลงผิดกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนทำให้นาซีมรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ มือที่ประคองบ่าของเขาเอาไว้พร้อมกับดวงตาซึ่งสำรวจทั่วร่างอย่างจริงจังก็ยิ่งทำให้คิดถึงความอบอุ่นที่เคยได้รับจากมารดาตน

หากแม่ของเขายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ท่านแม่ก็คงจะง่วนกับการสำรวจเขาเช่นนี้ เหมือนกับสมัยวัยเยาว์ ยามที่นาซีมแอบหนีออกไปเล่นซนกับเหล่าลูกชายของทหารนายกอง

บางทีนี่อาจเป็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่...เมื่อคิดได้ดังนั้นนาซีมจึงรีบหมุนกายให้นีราดูถ้วนทั่ว แล้วหันกลับมาเพื่อยืนยันให้นางคลายใจ

“ข้ามิได้บาดเจ็บที่ใดเลยขอรับ คาริฟและทุกๆ คนดูแลข้าเป็นอย่างดีตลอดการเดินทางมาที่นี่ ท่านแม่นีราอย่าได้กังวล”

“คาริฟดูแลเจ้าดีอย่างนั้นหรือ” นางย้ำคำเขา

“ขอรับ” นาซีมยืนยันอีกคำ

“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”

นีราถอนหายใจคล้ายโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แล้วจึงพานาซีมมานั่งบนเตียงซึ่งถูกปูด้วยพรมลวดลายอ่อนช้อย พวกเขาทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากัน จากนั้นนางก็เริ่มถามเรื่องที่คาใจนางตั้งแต่เมื่อครู่

“ว่าแต่เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ไยพวกเจ้าถึงจับคู่กันได้ ไหนเล่าให้ข้าฟัง”

“...พวกเรา...”

“...”

นาซีมไม่รู้จะบอกแก่มารดาของคาริฟอย่างไร เขาจึงเรียบเรียงเรื่องราวในหัวอยู่ครู่ใหญ่ นีราเองก็ใจดีที่ไม่เร่งเร้าเอาคำตอบ นางปล่อยให้นาซีมคิด จนในที่สุดเจ้าชายก็เอ่ยเองโดยไม่ต้องถามซ้ำ

“พวกเราเป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกันขอรับ”

ครั้นได้ยินนีราก็เบิกตากว้าง ในแววตาของนางมีทั้งความตกใจและประหลาดใจปะปนกันไป หากใช้เวลาไม่นานนางก็สามารถตั้งสติได้และรำพันออกมาเบาๆ

“โชคชะตาหรือ...ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ หากเจ้ารู้จะประหลาดเหมือนข้าหรือไม่นะ...อาลียา”

แม้นาซีมจะยิ่งทวีความสงสัยในรอยยิ้มและคำพูดของนาง เขาก็มิกล้าถาม หากเลือกที่จะเล่าต่อแทน

“พวกเรามิได้จับคู่กันในทันทีขอรับ คาริฟให้เกียรติข้ามาก แต่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นระหว่างหลบหนีคนของชีคทาริค จึงทำให้ต้องจับคู่กัน”

ฟังถึงตรงนี้นีราก็ขมวดคิ้วฉับ แล้วรีบถาม

“เจ้ามิเต็มใจหรือ”

คำถามนี้ทำให้นาซีมนิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง ระหว่างเดินทางมาที่นี่ จากหมู่บ้านร้างถึงไอเรม ใช่ว่านาซีมจะไม่ไตร่ตรองความรู้สึกของตนเองให้ดี

หากเมื่อคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นพันครั้ง คำตอบที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม

...นั่นคือเขาเลือกไม่ผิดที่ยอมจับคู่กับคาริฟ

แต่การจะเอ่ยความรู้สึกของตนให้ใครล่วงรู้นั้น กลับยากเสียยิ่งกว่าการตัดสินใจเลือกเสียอีก

“ข้า...”

“ว่าอย่างไร คาริฟใช้กำลังของอัลฟ่าขืนใจเจ้าหรือ!”

“มิใช่ขอรับ” เจ้าชายแห่งโซราห์ส่ายหน้าปฏิเสธ และยอมตอบทั้งที่แก้มสองข้างร้อนผ่าว แต่จะไม่ตอบก็มิได้ เพราะมารดาของคาริฟกำลังจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว “แม้เริ่มต้นจะเกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่แท้จริงแล้วข้าเองก็ยินยอมพร้อมใจ...จับคู่...กับเขา”

แม้จะอายจนใบหน้าร้อนผ่าว นาซีมก็ยังข่มความรู้สึกและสบตากับนีราเพื่อยืนยันให้นางแน่ใจว่าสิ่งที่เขาเอ่ยคือเรื่องจริง

“ที่แท้เจ้าเองก็ยินยอมหรอกหรือ”

“...ขอรับ”

เคร้ง!

“นั่นใคร!”

นีรารีบผุดลุกขึ้นและวิ่งไปทางหน้าต่าง นางหันซ้ายหันขวามองหาต้นตอเสียง นาซีมเองก็เร่งตามมาช่วยดูด้วยเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันโผล่หน้าออกไป นีราก็ดันให้เขากลับเข้าไปนั่งที่เดิมเสียก่อน

“ใครกันขอรับ”

“ไม่มีอะไร คงเป็นลมพัดถาดเงินที่ข้าตากสมุนไพรทิ้งไว้ตกลงมา”

“อ้อ”

นาซีมรับคำ พลางมองผ่านม่านบางออกไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง เขาคล้ายเห็นเงาดำวูบหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเงาไม้หรือไม่ ทว่ายังดูไม่ถี่ถ้วนนัก ความสนใจของเจ้าชายก็ถูกเรียกกลับมาที่นีราอีกครั้ง

“เรามาว่าเรื่องของเราต่อเถิด”

“อา...ขอรับ”

“เมื่อครู่เราพูดถึงไหนนะ...อ้อ ที่เจ้ายืนยันว่ายินยอมจับคู่กับคาริฟใช่หรือไม่”

“ขอรับ”

“อืม...หากเป็นเช่นนั้นข้าก็โล่งอก” นีรายิ้มกว้างขึ้นแล้วจับมือนาซีมบีบเบาๆ “ข้าเกรงเหลือเกินว่าลูกชายตัวดีของข้าจะควบคุมตัวเองไม่ได้และเผลอทำร้ายเจ้าโดยไม่เต็มใจ หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าคงไปสู้หน้าอาลียากับราชาราฮิมไม่ได้”

ถึงตรงนี้นีราก็เงียบเสียงลงคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง นาซีมจึงใช้จังหวะนี้เอ่ยถามถึงมารดาที่ถูกนีราเอ่ยถึงอยู่หลายครั้งของตน

“ท่านแม่นีราขอรับ”

“ว่าอย่างไร”

“ท่านช่วยอธิบายบางอย่างให้ข้าแจ้งแก่ใจได้หรือไม่”

“เรื่องใด” เพราะเห็นนาซีมมีสีหน้าเคร่งขรึมลง นีราจึงรับฟังอย่างตั้งใจ

“ท่านรู้จักท่านแม่กับท่านพ่อของข้าหรือขอรับ”

“ย่อมรู้จักอย่างแน่นอน” นีราตอบตามตรง

“คือ...ข้าไม่รู้จะถามอย่างไร เพราะมีเรื่องที่สงสัยมากมายไปหมด”

เจ้าชายรู้สึกสงสัยเรื่องของมารดา เขามั่นใจว่าท่านแม่จะต้องมีความเดี่ยวข้องกับเผ่าภูตราตรีอย่างแน่นอน เพราะคนที่นี่ถึงกับส่งให้หัวหน้าเผ่าออย่างคาริฟออกไปช่วยเหลือนาซีมถึงโซราห์ ทว่านาซีมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นถามจากตรงไหน

และเป็นนีราที่มองออกว่าเจ้าชายน้อยรู้สึกเช่นไร นางจึงลูบที่หลังมือเขาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“นี่คาริฟมิได้บอกเรื่องใดแก่เจ้าเลยหรือ”

“เขาบอกแค่ท่านแม่ของข้าช่วยเหลือเผ่าของเขาไว้ เขาจึงมาช่วยข้าจากอันตรายตามคำขอร้อง”

“แล้วอาลียาเล่า นางเคยเล่าเรื่องใดให้เจ้าฟังบ้างหรือไม่”

“เรื่องใดที่ว่า...”

“ก็เรื่องของชาวเราเหล่าภูตราตรีอย่างไรล่ะ”

“ไม่ขอรับ...ท่านแม่ไม่ได้เอ่ยถึง ไม่สิ...” นาซีมเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังสมัยเมื่อข้ายังเล็ก แต่ท่านก็บอกว่ามันเป็นเพียงตำนานเท่านั้น”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” นีราพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นให้ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังดีกว่า หากสงสัยตรงที่ใดเจ้าค่อยถาม เพราะดูแล้วเจ้าคงไม่รู้อะไรสักอย่าง”

“ขอบคุณท่านมากขอรับ”

นาซีมรู้สึกซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงกว่าทุกที จากที่เคยสงสัยมาตลอดว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวพันกันอย่างไร

...ในที่สุดวันนี้เขาก็จะได้รู้ความจริงแล้ว

“เมื่อครั้งที่ข้ายังมีอายุได้เพียง 5 ปี ข้ากับบิดาเดินทางไปเอมาลีเพื่อพบญาติของเราซึ่งกำลังป่วยหนัก ระหว่างทางคณะของเราได้หยุดพักที่โอเอซิสเล็กๆ แห่งหนึ่ง และที่นั่นพวกเราได้พบกับอาลียาเป็นครั้งแรก นางถูกทิ้งไว้ริมธารน้ำทั้งที่ยังเป็นเพียงเด็กทารกเท่านั้น ข้าจำได้ว่าเสียงร้องไห้ของนางดังจนแสบแก้วหู ท่านพ่อของข้าอุ้มนางขึ้นมาให้ข้าดู ดวงตาของนางเป็นสีน้ำเงินประกายราวกับอัญมณี และหลังจากนั้นข้าก็มีน้องสาวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน”

นีรามองนาซีมที่ยามนี้มีสีหน้าตกตะลึง นางยิ้มแล้วยังคงลูบที่หลังมือของเขาเบาๆ พร้อมกับเล่าต่อ

“อาลียาถูกเลี้ยงดูและเติบโตในดินแดนแห่งนี้ พวกเราถือว่านางเป็นเผ่าภูตราตรีเช่นกัน แต่เพราะความพิเศษในตัวนาง เมื่อเติบโตขึ้นจนรู้ความนางจึงไล่ต้อนถามท่านพ่อและท่านแม่ว่าแท้จริงแล้วตนเองมาจากที่ใด เราไม่อาจปกปิดความจริงต่อนางได้จึงได้ยอมบอก แต่อาลียามิได้น้อยใจในโชคชะตา นางดีใจเสียด้วยซ้ำที่พวกเราช่วยเหลือและเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมา กระทั่งวันหนึ่ง อาลียาก็บอกกับข้าว่า นางฝันเห็นคู่โชคชะตาของนาง”

“ท่านพ่อหรือขอรับ”

“ถูกต้อง” นีราพยักหน้ารับ “ย่อมต้องเป็นเขาแน่นอน แต่ยามนั้นราฮิมยังเป็นเพียงเจ้าชายรัชทายาท และพวกเรายังไม่เคยพบกัน นีราฝันเห็นบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นทุกวัน นางบอกว่าเขาจะมีภัย มีคนหมายเอาชีวิต และมีเพียงนางที่จะช่วยเขาได้ แต่แล้วอย่างไร...เราอยู่ในไอเรม ดินแดนที่คนภายนอกไม่มีวันหาพบ และการจะเดินทางออกจากที่นี่ก็ไม่ง่ายนัก ข้าจึงไม่เชื่อสิ่งที่นางพูดเท่าใด เพราะคิดว่าเป็นเพียงความฝัน แต่วันหนึ่งเราสองคนถูกรับเลือกให้ออกไปทำหน้าของภูตราตรีที่ที่โฮมา ข้ากับนางจึงได้เดินทางออกจากไอเรม ตอนนั้นข้าลืมสิ้นแล้วกับเรื่องในความฝันที่อาลียาเล่า แต่เมื่อไปถึงโฮมา ความฝันที่นางบอกก็เป็นเรื่องจริง”

“อย่างไรหรือขอรับ”

“เกิดเรื่องโกลาหลขึ้นในโฮมาขณะที่เจ้าชายรัชทายาทของโซราห์เสด็จเยือน มีผู้ลอบปลงพระชนม์เขา แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งเป็นน้องสาวข้ากลับทำเรื่องเสี่ยงอันตรายโดยการเข้าไปรับดาบแทนราฮิม ทั้งที่ตอนแรกเราแค่มาเพื่อหาข่าวในตลาดของเมืองหลวงเท่านั้น หลังจากนั้นผู้คุ้มกันของราฮิมก็เข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้ พวกเขาพาอาลียาไปรักษา ข้าเองก็ตามน้องไปด้วย เมื่อนางฟื้นคืนสติ นางจึงบอกข้าว่าราฮิมคือชายที่นางเคยฝันถึง และไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็จับคู่กัน อาลียาต้องย้ายไปอยู่ที่โซราห์ โดยที่พวกเราเหล่าภูตราตรีไม่อาจฝืนโชคชะตาได้”

“เพียงเพราะพวกเขาเป็นคู่แห่งโชคชะตาหรือขอรับ”

“มิใช่” นีราส่ายหน้า “มันมีเหตุผลมากกว่านั้น มากกว่าการเป็นคู่ที่ฟ้ากำหนด”

“ท่านหมายถึง...” ถึงตรงนี้นาซีมขมวดคิ้วแล้ว แต่นีราก็ยิ้มแล้วลูบหน้าเขาเบาๆ

“พวกเขารักกัน” นีราเอ่ย “อีกทั้งฟ้ามิได้กำหนดเพียงคู่ครอง แต่กำหนดหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้อาลียา”

ยิ่งได้ฟังเรื่องเล่า ก็ดูเหมือนจะมีเรื่องให้นาซีมสงสัยไม่รู้จบ

“มันคืออะไรกันแน่ท่านแม่นีรา”

“อาลียาเป็นผู้มีพลังในการทำนาย”

“หา!! ผู้ทำนายหรือขอรับ!”

“ถูกต้อง...”

“มัน...อย่างไรกันแน่”

“ข้าก็มิรู้ว่าพลังนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่อาลียาสามารถเห็นอนาคตได้ และพลังนั้นจะมีประโยชน์ต่อแผ่นดินซาร์เรียหากนางได้อยู่เคียงข้างกับราฮิม ข้าไม่รู้ว่าที่สุดแล้วขอบเขตของการทำนายนั้นมีมากแค่ไหนและช่วยเหลืออะไรในแผ่นดินนี้ได้บ้าง แต่อย่างน้อยก่อนที่อาลียาและราชาราฮิมจะจากไป นางก็รู้ตัวก่อนหน้านั้นนานแล้ว”

“ระ...รู้ตัวอยู่แล้วหรือขอรับ”

ความจริงข้อนี้ทำให้นาซีมชาวาบไปทั้งตัว เข้าไม่เข้าใจ หากท่านแม่ล่วงรู้อนาคต รู้แม้กระทั่งวันที่ตนเองจะจากไป เหตุใดจึงไม่แก้ไขเสียก่อน

เหตุใดจึงปล่อยให้มันเกิดขึ้น!

เพราะหากเขารู้สักนิดล่ะก็...เขาก็คงไม่ยอมให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน

“นางรู้” นีราย้ำ “รู้แม้กระทั่งเรื่องที่ราชบัลลังก์โซราห์จะถูกผลัดเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนชั่ว”

“แล้วเหตุไฉนท่านแม่จึงไม่บอกข้าหรือท่านพ่อ”

“เจ้าว่าพ่อของเจ้าไม่รู้หรือ ราชาราฮิมรู้ แต่บางอย่างก็มิอาจเปลี่ยนแปลง แม้เขาจะพยายามทุกวิถีทางแล้วก็ตาม อันที่จริงทั้งเขาและเราช่วยกันอยู่หลายปี แต่บางอย่างก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ดังนั้นอุบายเรื่องดวงตาแห่งราชวงศ์ที่ใช้หลอกเหล่าขุนนางให้มิกล้าแตะต้องบังลังก์โซราห์แม้เจ้าเป็นเพียงโอเมก้า ทั้งที่เจ้ามีดวงตาเปลี่ยนสีเหมือนมารดา มิใช่บิดา หรือเรื่องที่คาริฟเข้าไปช่วยเหลือ ทุกอย่างถูกคิดไว้ก่อนแล้ว”

“ดวงตา...ท่านหมายถึง”

“หึ แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้หรือ...ไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะไม่เคยร้องไห้ให้เจ้าเห็น ทั้งที่นางเป็นแค่เด็กขี้แยแท้ๆ” นีราพูดกับเขา แต่ดูให้ดีนางคล้ายรำพันถึงน้องสาวผู้ล่วงลับมากกว่า

นาซีมนิ่งงันไปเนิ่นนาน คิดคำถามหรือสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น เจ้าชายนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ รวบรวมสติและระลึกถึงความทรงจำในอดีต แล้วเขาก็พบว่า...

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นน้ำตาของมารดาเลย...บิดาก็ด้วย

ขนาดเขาที่เป็นคนใกล้ชิดที่สุดยังไม่เห็น แล้วคนทั่วไปจะมีโอกาสเห็นราชาหลั่งน้ำตาหรือ

ไม่มีทาง...เพราะทั้งหมดเป็นเพียงแค่อุบายที่ท่านทั้งสองช่วยกันกุขึ้นเพื่อช่วยยืนยันสิทธิ์ในราชบัลลังก์ของนาซีมหลังจากนี้

“และแน่นอน เพราะเหตุนี้เจ้าที่มีดวงตาเหมือนนางก็ได้รับถ่ายทอดความสามารถของผู้ทำนายมาด้วย ดังนั้นนางจึงต้องรักษาชีวิตของเจ้าให้ดีที่สุด เพราะเชื่อในอนาคตที่นางเห็น”

“เห็นว่าอะไรหรือขอรับ”

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเห็นสิ่งใด นางมิได้บอกรายละเอียดแก่ข้า แต่นางว่าซาร์เรียจะปลอดภัยหากเจ้าปลอดภัย”

“แล้วข้า...ข้าน่ะหรือมีพลังในการทำนายอย่างที่ท่านแม่ว่า”

“เหตุใดจึงถามเช่นนี้”

“ก็ข้าไม่เคยเห็นภาพอนาคตหรือนิมิตใดทั้งสิ้น...ท่านแม่นีราว่ามันจะเป็นความจริงหรือ หากไม่แล้ว...เราจะทำอย่างไรต่อไป ความคาดหวังเรื่องซาร์เรียนั่นก็ด้วย ข้าในตอนนี้ยังมองมิเห็นทางที่จะช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย แม้แต่บัลลังก์โซราห์ข้ายังรักษาไม่ได้ด้วยซ้ำ”

สิ่งที่นาซีมพรั่งพรูออกมาเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนจากนีราได้อีกครั้ง ทว่าในดวงตาของนางนั้นกลับกร้าวขึ้น ก่อนนางจะเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่นที่สุด

“ข้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพลังในการทำนายนั้นทำสิ่งใดได้บ้าง แต่ข้าเชื่อในตัวของอาลียา เพราะคำพูดของนางไม่เคยผิดเลยสักครั้ง ดังนั้นเจ้าก็จงเชื่อในตัวของแม่เจ้า เชื่อในตัวเองและคอยดูเอาเถิด แม้วันนี้อาจเป็นราตรีที่มืดมิดจนมองมิเห็นหนทาง แต่รุ่งอรุณของเจ้าต้องมาเยือนในไม่ช้า” นีราเว้นไปนิด ก่อนจะขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน “อีกอย่าง เจ้าก็มีลูกชายของข้าเป็นกำลัง แม้เป็นในยามค่ำคืน แต่ภูตราตรีเช่นเขาย่อมคุ้มครองเจ้าได้อย่างแน่นอนนาซีม”









❂ …………………………….❂









เฉลยปมอีกแล้วววว

ตอนหน้าเกียมตัวชุดไปงานแต่งกันค่ะ อิอิ








ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 22 อาลียา :- [5/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-01-2020 00:15:33
ใครมาแอบฟังนะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 22 อาลียา :- [5/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-01-2020 22:29:59
ซับซ้อนไปอีกค่ะ อะไรคือสืบทอดมาแต่ไม่รู้ตัว
นาซีมมีเรื่องสงสัยเยอะแยะ พอกับเราเลยค่ะ 5555

แม่นีราช่วยบอกมาเยอะ แต่ก็รู้ไม่หมดอยู่ดี
ว่าทำไมรู้อนาคต แต่ยังแก้ไขไม่ได้ ชะตามาแบบนี้หรอ
แม่นีราให้กำลังใจนาซีมไม่เท่ามีความอวยลูกด้วยนะ

เอ็นดูนาซีม กังวลไปหมดแล้ว รอเวลาอีกนิดนะ

ว้าววว หาชุดรอแปบค่ะ เตรียมไปงาน
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 22 อาลียา :- [5/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-01-2020 00:41:08
โอ่ะ แลดูมีอะไร รีบมาต่อๆ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 23 เมเฮนดีสีขาว 1 :- [12/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 12-01-2020 20:40:54



บทที่ 23 เมเฮนดีสีขาว 1







หลังจากได้พูดคุยกับนีราจนเข้าใจอะไรๆ ได้ในระดับหนึ่ง นาซีมก็ถูกบังคับให้ไปอาบทำความสะอาดร่างกายและพักผ่อน ตอนนี้เองที่เจ้าชายแห่งโซราห์ได้พบกับสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจอีกอย่างและมันก็พาลให้ลืมเรื่องราวต่างๆ ได้ชั่วขณะหนึ่ง นั่นก็คือ ที่หลังบ้านของนีรามีธารน้ำเรียกว่าคลองส่งน้ำไหลผ่าน

แม้มันจะเป็นแค่ลำธารเล็กๆ แต่ก็ใสสะอาดและยังมีพอให้ทุกคนในไอเรมได้ใช้

“ลำธารนี่ไหลผ่านทุกบ้านเลยหรือขอรับท่านแม่”

“ใช้แล้วล่ะ” นีราตอบรับทั้งที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำ

“แล้วแหล่งน้ำนั้นมาจากที่ไหนขอรับ เหตุใดจึงมีมากพอให้ใช้อุปโภคบริโภคกันทั้งเผ่าเช่นนี้”

นาซีมเห็นด้วยตาของตนเองแล้วว่าไอเรมอุดมสมบูรณ์ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะมากถึงเพียงนี้ ที่ไอเรมมีบ้านของคนในเผ่าอยู่ไม่ถึงร้อยหลังคาเรือนก็จริง แต่ปล่อยน้ำให้ทุกครอบครัวได้ใช้แปลว่าแหล่งน้ำของที่นี้จะต้องใหญ่มาก เผลอๆ อาจพอๆ กับทะเลสาบกลางเมืองหลวงของโซราห์เลยทีเดียว

“หนึ่งในหุบเขาที่ล้อมรอบไอเรมเอาไว้เหนือขึ้นไปทางด้านทิศตะวันตกมีแหล่งต้นน้ำ”

“แหล่งต้นน้ำหรือขอรับ”

“ถูกแล้ว” นีราพยักหน้ารับพร้อมกับยื่นไม้ถูหลังกับสมุนไพรหอมตลับเล็กๆ ให้นาซีม “เพราะมีแหล่งต้นน้ำที่ไหลลงมาผ่ากลางหมู่บ้านจึงทำให้ที่นี่มีน้ำใช้ตลอดปี บรรพบุรุษของเราจึงคิดค้นคลองส่งน้ำเพื่อให้ทุกคนมีน้ำใช้อย่างทั่วถึงกัน แต่ที่นี่เราเปิดปิดน้ำเป็นเวลา ยามตะวันขึ้นครั้งหนึ่งและตะวันตกครั้งหนึ่ง ไม่ได้ปล่อยน้ำทิ้งอยู่ตลอด”

“มีคนควบคุมด้วยหรือขอรับ”

“มีสิ หน้าที่นี้เป็นของหัวหน้าเผ่า”

“คาริฟหรือขอรับ”

“ถูกแล้ว” นีรายิ้ม “เมื่อได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าเผ่าภูตราตรีของเรา ผู้ที่เป็นหัวหน้าต้องย้ายจากบ้านเดิมไปอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่งใกล้กับแหล่งต้นน้ำ เพราะหนึ่งในหน้าที่ของเขาคือการควบคุมน้ำให้คนในไอเรม”

“เช่นนั้นแสดงว่าคาริฟมิได้อยู่ที่นี่หรือขอรับ”

“ไม่ได้อยู่ คาริฟย้ายไปที่กระท่อมน้อยริมผาตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว”

“แปลว่าคืนนี้เขาจะไม่กลับมาที่บ้านของท่านแม่นีราสินะขอรับ”

“ย่อมไม่มาแน่นอน” นีราบอก “และเจ้าก็ยังไปหาเขายามนี้ไม่ได้ด้วยนะนาซีม”

“เหตุใดจึงไม่ได้ขอรับ”

“เพราะตามธรรมเนียมของชาวเรา ผู้ใดที่จะเข้าพิธีวิวาห์ จักต้องอยู่ห่าง ห้ามเห็นหน้ากัน 7 ราตรี จนกว่าจะถึงวันวิวาห์”

ครั้นได้ยินข้อห้ามที่ว่านาซีมก็ถามต่อด้วยความสงสัยระคนตกใจ

“เพราะอะไรขอรับ”

“เรื่องนี้เป็นธรรมเนียมของเรามาแต่โบราณ เหตุผลก็เพราะต้องการให้บ่าวสาวได้รู้หัวใจของตนเองในระหว่างที่ไม่พบพานกัน 7 ราตรี ด้วยเราเชื่อว่าการจะครองคู่กันมิใช่เพราะถูกบังคับจากใครคนใดคนหนึ่ง หรือแม้แต่ถูกบังคับด้วยโชคชะตาอย่างไรเล่านาซีม”

“แล้วถ้าหาก...เรา” นาซีมเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก “เอ่อ...เราบังเอิญจับคู่กันแล้วเหมือนเช่นข้าและคาริฟเล่าขอรับ”

“หากจับคู่กันแล้วก็แปลว่าพวกเจ้าตัดสินใจดีแล้วมิใช่หรือ”

“ขอรับ”

“แต่ธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาช้านานก็ย่อมต้องปฏิบัติอยู่ อย่างน้อยหากใครสักคนจะแหกกฎไม่ทำตาม คนผู้นั้นก็ต้องมิใช่หัวหน้าเผ่า”

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

นาซีมยอมรับแต่โดยดี เขารู้ว่าในแต่ละท้องที่ย่อมมีกฎบ้านกฎเมืองของตนเอง ยิ่งนาซีมที่เป็นคนในราชวงศ์มาตลอดชีวิต เขาจึงต้องเป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด

และจุดประสงค์ของธรรมเนียมที่ว่าก็มิได้เลวร้าย ดีเสียอีกที่มีเวลาให้คนสองคนที่จะจับคู่อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตได้คิดถึงอนาคตของตนเองให้รอบคอบ

แม้นาซีมจะรู้สึกแปลกๆ เมื่อรู้ว่าจะไม่ได้พบคาริฟตลอด 7 ราตรีก็ตาม...

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว อีกอย่างในระหว่างนี้ เจ้าเองก็มีเรื่องที่ต้องทำเช่นกันนะนาซีม”

“เรื่องใดหรือขอรับ”

“ต้องทำของแทนใจมอบให้คาริฟในวันแต่งงานอย่างไรเล่า”

“ขอแทนใจ?” นาซีมขมวดคิ้วฉับ เพราะเรื่องนี้เขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนอีกเหมือนกัน “คือสิ่งใดหรือขอรับท่านแม่นีรา”

“ตามธรรมเนียมของเรา ช่วงเวลาที่บ่าวสาวแยกกันมิอาจพบพาน นอกจากจะต้องรักษาตัวให้ปลอดภัยจนถึงวันงานแล้ว ต่างฝ่ายต่างต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อมอบให้แก่กันในวันนั้น ถือเป็นสิ่งของให้แทนใจ”

“แล้วข้าต้องใช้สิ่งใดแลกกับคาริฟดีขอรับ”

หากนาซีมยังเป็นเจ้าชายที่นั่งอยู่ใต้บัลลังก์โซราห์ เขาคงไม่ลำบากใจกับเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าสิ่งใดเขาก็มีอำนาจเสาะแสวงหามาเป็นของกำนัลแก่คาริฟได้

...ทว่าตอนนี้นาซีมไม่มีอะไรเลยนอกจากชีวิต

นาซีมหนีออกมาตัวเปล่า แม้แต่สมบัติติดกายอย่างปลอกคอล้ำค่าที่มารดามอบให้ใส่ติดตัวก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ติดกายก็ล้วนเป็นของคาริฟทั้งสิ้น

ครั้นนีราเห็นนาซีมนิ่งงันไป ซ้ำยังทำหน้าเคร่งขรึมลง นางจึงย่อตัวลงนั่งข้างกายเจ้าชายน้อยและแตะลงบนไหล่ลู่เบาๆ

“นาซีม”

“ขอรับท่านแม่” คนถูกเรียกหันกลับมาหา

“คิดกังวลสิ่งใดอยู่”

“ข้าหนีมาแต่ตัว ไร้ซึ่งสมบัติติดกาย ข้าจึงไม่รู้ว่าจะแสวงหาของมีค่าใดมอบให้แก่คาริฟได้”

นอกจากต้องให้เพราะเป็นของแทนใจตามธรรมเนียมแล้ว นาซีมยังคิดถึงความหมายอื่นมากกว่านั้น เขาอยากให้ของแทนใจที่ว่า...

แทนคำขอบคุณของเขาด้วย

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา นาซีมยังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะถูกคาริฟช่วยไว้ คาริฟต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเขาหลายครา ทั้งยังไม่เคยดูถูกเขาที่เป็นเพียงเจ้าชายโอเมก้าไร้บัลลังก์ ซ้ำปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยนเท่าที่อัลฟ่าตนหนึ่งจะทำได้

นาซีมจึงอยากตอบแทนอีกฝ่ายด้วยสิ่งมีค่า ให้สมกับความเหนื่อยยากของคาริฟ แต่เขากลับมองไม่เห็นสิ่งของที่เหมาะสมพอและตนมีปัญญาเสาะหามามอบให้อีกฝ่ายได้เลย

“เด็กโง่” นีราลูบศีรษะของนาซีมแผ่วเบาและสัมผัสของนางก็ทำให้เขานึกถึงมารดาแท้ๆ เหลือเกิน “ของแทนใจเป็นเพียงสิ่งของเชิงสัญลักษณ์ เป็นแค่ของชิ้นหนึ่งในพิธีการ หากมันมิได้มีค่ามากกว่าความรู้สึกดีๆ และความปรารถนาดีที่มีให้กันหรอกนะนาซีม”

“...”

นาซีมพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะอ่อนเชื่อมลงเมื่อได้ยินคำถามต่อมา

“เจ้าว่าเจ้าเต็มใจจับคู่กับเขา นั่นแสดงว่าความรู้สึกที่เจ้ามีต่อเขาย่อมเป็นความรู้สึกพิเศษ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของคาริฟเลย ข้ารู้จักลูกชายคนนี้ดีที่สุด คาริฟเป็นคนแน่วแน่และซื่อตรงต่อความรู้สึก มิมีใครบังคับเขาได้หากเขาไม่อยากทำ แม้แต่อดทนต่อสัญชาตญาณของอัลฟ่าที่มีต่อโอเมก้ากำลังฮีทอยู่ คาริฟก็เคยอดทนมาแล้วหลายครั้ง กระทั่งมาพบเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าคาริฟพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา แต่เขาพ่ายแพ้ต่อเจ้า”

“...แพ้ให้ข้าหรือ”

“ถูกแล้ว หัวใจของเขาพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า...นาซีม”

“...”

นาซีมไม่เคยถามความรู้สึกของคาริฟ อีกฝ่ายก็ไม่เคยบอกว่าจริงๆ แล้วรู้สึกเช่นไร และถึงแม้ว่าคำที่เขาได้ยินจากนีราจะเป็นเพียงสิ่งที่นางคาดเดาไปเอง

...หากมันก็ทำให้หัวใจของเจ้าชายน้อยพองโตจนแทบเก็บสีหน้ารักษากิริยาไม่ไหว

“เจ้ามิต้องห่วง ชำระร่างกายเสียเถิด เสร็จแล้วพักผ่อนให้มาก พ้นคืนนี้ไปข้าจะช่วยเจ้าคิดเองว่าควรทำอะไรให้เขาในพิธี”

“ขอบคุณท่านแม่นีรามากขอรับ”

แม้เพิ่งพบกัน แต่นาซีมก็อยากขอบคุณนางด้วยความซาบซึ้งใจที่สุด หากไม่ได้นีรา เขาคงยังสงสัยในเรื่องราวมากมายเหล่านั้นอยู่ ด้วยไม่รู้ว่าจะมีใครยอมไขข้อข้องใจแก่เขาเมื่อไหร่ ทั้งนางยังเอื้ออารีต่อเขาเป็นอันมาก มากเสียจนเจ้าชายรู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่บ้านของตนเอง

“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรยามนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวของข้าอีกคนหนึ่ง อย่าได้กังวลสิ่งใดอีกเลยนะนาซีม” นีราเว้นไปนิด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วสั่งอีกประโยค “รีบอาบน้ำเข้า สมุนไพรในตลับนั้นข้าบดเองกับมือ เป็นเครื่องหอมและช่วยลดกลิ่นเหงื่อติดกายจากการเดินทางไกล อาบน้ำเสร็จแล้วก็รีบเข้ามา ข้าจะหาอะไรให้เจ้ารองท้องก่อนนอนพักผ่อน ดูท่าอีกเดี๋ยวคงมีคนมาบอกกำหนดการงานวิวาห์ของเจ้ากับคาริฟ”

“ขอรับ”

นาซีมพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายและหันไปสนใจเครื่องอาบน้ำในตะกร้าสาน ส่วนนีราก็เร่งเดินหลบออกมา ปล่อยให้เจ้าชายแห่งโซราห์อยู่หลังฉากกั้นเพียงลำพัง

สายตาคมกริบของแม่หมอสมุนไพรแห่งเผ่าภูตราตรีจ้องไปในทิศทางที่เมื่อครู่ถาดสมุนไพรของนางตก นางถอนหายใจและส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะบ่นบุตรชายผู้องอาจหากทำกิริยาราวกับเด็กของนาง

“คาริฟนะคาริฟทำอะไรเป็นเด็กไปได้”

บ่นไปพลางนีราก็เร่งสาวเท้าไปพลาง เดี๋ยวเดียวนางก็มาถึงสวนสมุนไพรหน้าบ้าน และก็เป็นดังคาด เมื่อทอดสายตาไปจนสุดทางเดิน นีราพบร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีรัตติกาลยืนเอามือไพล่หลังหันหลังให้นางอยู่

ดูท่าในใจคงกระวนกระวายพอดู บุตรชายของนางจึงไม่รู้ว่ามารดาของตนมาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังแล้ว

“โอ๊ย!” คาริฟส่งเสียงร้องเมื่อจู่ๆ ก็เจ็บแปลบที่แขน ครั้นหันมาก็พบว่าเป็นมารดาของตนยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ “ท่านแม่!”

“ว่าอย่างไรพ่อตัวดี”

“หยิกข้าทำไม ข้าเจ็บนะขอรับ”

“ข้าอยากจะตีเจ้าให้เจ็บกว่านี้อีกคาริฟ หากไม่เกรงว่าเจ้าชายน้อยจะได้ยินเข้าล่ะก็” นีราเก็บมือและยืนกอดอก ใบหน้างดงามเคร่งขรึมลงอย่างเอาเรื่อง “เหตุใดจึงยั้งช่างใจบ้าง อย่างน้อยก็รอให้พาเขามาถึงบ้านเราก่อนมิได้หรือ เจ้ารู้ไหมว่าทำข้าแม่รู้สึกผิดต่ออาลียาเพียงใดที่ลูกแม่ไปข่มเหงลูกนางเช่นนี้”

“ข้ามิได้ข่มเหงน้อง”

“คาริฟ!” นีราปราบเสียงดุ “ยังจะกล้าเรียกเขาอย่างนั้นอีก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงเจ้าชาย ซ้ำยังมิได้เข้าพิธีวิวาห์กันเป็นเรื่องเป็นราว หากใครได้ยินเข้าจะหาว่าแม่ไม่สั่งสอนเจ้า”

“ท่านแม่...”

คาริฟทำหน้าปั้นยาก ไม่รู้ว่าควรรับมือมารดาอย่างไร

“เอาเถอะๆ เรื่องนี้วางไว้ก่อน ว่าแต่เจ้ามาแอบด้อมๆ มองๆ ถึงที่นี่ด้วยเหตุอันใด”

“ข้ามาส่งข่าวขอรับ ท่านปู่กำหนดวันวิวาห์ให้แล้ว” คาริฟตอบเสียงเบาเพราะแท้จริงแล้วชายหนุ่มมีจุดมุ่งหมายอื่นแฝงอยู่ด้วย

“เหลวไหล เจ้าให้ใครมาส่งข่าวก็ได้ มิจำเป็นต้องมาเอง รู้ธรรมเนียมของเผ่าเราดีมิใช่หรือ”

“ข้าเป็นหัวหน้าเผ่าแล้ว ย่อมรู้ดีธรรมเนียมดีขอรับ”

“รู้แล้วเหตุใดจึงมา!” ยิ่งได้ฟังว่าบุตรชายนำคำว่าหัวหน้าเผ่ามาอ้าง นีราก็ยิ่งโกรธ

“ท่านแม่โปรดอภัย แต่ข้าเพียงอยากรู้ อยากเห็นกับตาว่านาซีมเป็นอย่างไร เขาไม่รู้เรื่องใดเลย เป็นความผิดของข้าที่ไม่เล่าให้เขาฟังตั้งแต่เนิ่นๆ มาถึงเผ่าเราแล้วถูกจับให้ห่างตามา เขาคงตกใจไม่น้อย”

“จึงมาแอบมองอยู่บนคาคบไม้ราวกับค้างคาวอย่างนั้นรึ”

“ท่านแม่...”

“เจ้าร้อนใจเป็นห่วงเจ้าชายแม่รู้ แต่ระวังกิริยาหน่อยคาริฟ คนในเผ่าของเราล้วนนับถือเจ้า อย่าทำตัวเป็นเด็กแรกรุ่นริมีความรัก”

“ท่านแม่”

“พอทีๆ มิต้องเรียกข้าแล้ว ข้ารู้แล้วว่าตนเองเป็นแม่ของเจ้า เอาเป็นว่าบอกกำหนดการมา ข้าจะได้เตรียมการทางนี้ให้เรียบร้อย”

นีราตัดใจเลิกดุด่าบุตรชายและ สงบใจลง เพราะอย่างไรเสียเรื่องต่างๆ ก็เกินควบคุมแล้ว นางที่เป็นแม่ซ้ำเป็นผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของคนทั้งสองจึงต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเช่นกัน

“กำหนดการคือหลังจากนี้ 6 ราตรีขอรับ ราตรีที่ 7 เป็นคืนพิธีของข้ากับนาซีม”

“เหตุใดจึงไม่รอให้พ้น 7 ราตรีไปก่อนตามธรรมเนียม”

“ท่านปู่บอกว่าราตรีที่ 7 เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงพอดี หากเป็นคืนนี้พลังแห่งดวงจันทร์จะเสริมดวงชะตาของข้าที่เป็นหัวหน้าเผ่าภูตราตรีขอรับ”

คาริฟรายงานตามที่ผู้เฒ่านูรุลฮูดาบอกครบทุกคำ ใจจริงเขาอยากบอกมารดาด้วยว่าแค่ให้รอ 6 ราตรีก็ถือว่านานเกินไปแล้ว แต่เพราะกลัวจะถูกมารดาเล่นงานอีกรอบ คาริฟจึงสงบปากสงบคำไว้

“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ...” นีรารับคำ

“ขอรับ” คาริฟว่า ก่อนจะทำใจกล้าเอ่ยเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรต้องถูกดุด่าอย่างแน่นอน “ท่านแม่ขอรับ”

“ว่าอย่างไร”

“ข้าขอพบนาซีมสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”

“ไม่ได้”

นีราปฏิเสธอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คาริฟได้เตรียมไม้ตายเอาไว้แล้ว ชายหนุ่มเดินเข้าไปหามารดา ทิ้งมากของผู้นำเผ่าภูตราตรีแล้วกอดเอวนีราอย่างที่ชอบทำยามอ้อนขออะไรสักอย่าง

“ท่านแม่...”

“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะคาริฟ เจ้าคิดว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือ” นีราเชิดหน้าไปอีกทาง พยายามไม่หันไปมองบุตรชายตนเพราะกลัวใจอ่อน

“แต่ท่านแม่...” เขาวางคางบนไหล่เล็กแล้วอ้อนเสียงอ่อน “อีกเดี๋ยวข้าต้องเดินทางไปที่ทะเลเหนือแล้ว กว่าจะกลับมาก็คงในราตรีที่ 6 ข้าจะไปโดยไม่บอกกล่าวน้องสักหน่อยไม่ได้ นาซีมมิคุ้นเคยธรรมเนียมของเรานะขอรับ ซ้ำเขายังถ่อมตนและขี้เกรงใจเหลือเกิน แม้เขาจะอยากรู้เพียงใดก็คงไม่พูด แล้วเช่นนี้ท่านแม่จะปล่อยให้น้องเป็นกังวลเรื่องข้าถึง 6 ราตรีเชียวหรือ”

รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่คาริฟบอกเป็นเพียงข้ออ้าง แต่เมื่อคิดตามแล้วนีราก็อดสงสารนาซีมไม่ได้ บางทีอาจจะจริงดังที่คาริฟบอก ก่อนมาที่นี่นาซีมเดินทางเคียงข้างคาริฟแรมเดือน เจ้าชายน้อยย่อมสบายใจหากเห็นคู่โชคชะตาของตนอยู่ในสายตา และถ้าคาริฟหายไปโดยไม่บอกกล่าว แม้จะเป็นธรรมเนียม เขาก็อาจจะเป็นกังวลได้

เมื่อคิดให้ดีแล้ว นีราจึงตัดสินใจยอมทำตามบุตรชายตัวดีสักครั้ง

“เช่นนั้นก็ได้ แต่แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นนะ”

“ขอบคุณท่านแม่ขอรับ”

คาริฟยิ้มอย่างยินดีก่อนจะปล่อยมารดาให้เป็นอิสระเมื่อนางโบกมือไล่เขา แต่นีราลืมไปว่านาซีมอาบน้ำอยู่ นึกได้อีกทีบุตรชายของนางก็กระโดดแผล้วหายไปทางลำธารหลังบ้านเสียแล้ว

“เดี๋ยวคาริฟ!”







❂ …………………………….❂







สมุนไพรในตลับของนีราหอมมาก นาซีมใช้ขัดถูร่างกายรวมทั้งสระผมจนล้างออกเรียบร้อยก็ยังรู้สึกได้ว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นยังติดกาย เขาลุกขึ้นแล้วใช้ผ้าคลุมสีฟ้าอ่อนที่นีรานำมาให้ห่อร่าง ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดใส่ตะกร้าดังเดิม

ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่นั้น เท้าก็พลันเหยียบเข้ากับหินกลมมนก้อนใหญ่ซึ่งใช้นั่งอาบน้ำเมื่อครู่ และเพราะมันมีสมุนไพรติดอยู่จึงทำให้เท้าลื่นจนทรงตัวไม่อยู่

ตอนที่คิดว่าต้องล้มหัวฟาดพื้นอย่างแน่นอน อยู่ๆ แผ่นหลังของนาซีมก็มีใครบางคนมาซ้อนและรับร่างของเจ้าชายเอาไว้ได้ทันท่วงที

“ระวังหน่อยสิ”

เสียงของใครคนนั้นกระซิบใกล้จนลมหายใจอุ่นกระทบใบหู อ้อมแขนกว้างของเขาแข็งแรง มั่นคงแฃะคุ้นเคยจนไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“คาริฟ!”

กระนั้นนาซีมก็ยังผินหน้ากลับมาพบกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของคู่โชคชะตาตน

“ใช่แล้ว เป็นข้า” คาริฟบอก

“มาได้อย่างไร” นาซีมถามต่อทันที “ไหนท่านแม่นีราว่าธรรมเนียมของที่นี่จะไม่ให้เราพบกัน 7 ราตรีมิใช่หรือ”

“ใช่ ธรรมเนียมของเผ่าข้าว่าอย่างนั้น และของพวกเราแค่ 6 ราตรี”

“แล้วเหตุใดเจ้าถึง...”

“ข้ามาลา”

คาริฟตอบก่อนจะฟังคำถามจบ ซึ่งคำตอบของเขาทำให้นาซีมต้องพลิกกายกลับมาหาด้วยความตกใจ

“เจ้าจะไปที่ใด!”

“ข้าต้องออกเดินทางข้ามเขาไปทะเลเหนือ”

“แล้วข้าเล่า...”

“เจ้าจะอยู่ที่นี่กับแม่ของข้า”

คาริฟพูดเรียบๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่คนฟังกลับนิ่วหน้าราวเจ็บปวดก่อนจะช้อนตามองคาริฟราวกับตัดพ้อ คาริฟมองดูแววตาที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีด้วยความฉงน และเริ่มเห็นเค้าลางไม่ดีใกล้เข้ามาแล้ว

“...เจ้าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่หรือ”

นาซีมเข้าใจว่าเมื่อคาริฟพาตนมาส่งถึงที่ ก็หมายความว่าหมดหน้าที่ของอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน ดังนั้นหากเขาจะเดินทางไปแห่งหนใดก็ไม่เกี่ยวกับนาซีมอีก เมื่อคิดถึงตรงนี้เจ้าชายแห่งโซราห์ก็รู้สึกผิดหวังระคนน้อยใจจนพานให้หยดน้ำใสๆ เอ่อล้นขอบตา

“ข้ามิได้ทิ้งเจ้า! เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร...”

“ข้าแค่จะไปเก็บไข่มุกจากทะเลเหนือมาทำเมเฮนดีสีขาวให้เจ้า อีก 6 ราตรีก็กลับมาแล้ว”

“...เมเฮนดีสีขาวหรือ”

“ใช่” คาริฟยืนยันท่าทางจริงจังเพราะกลัวนาซีมไม่เชื่อ “เจ้าสาวของข้า...หัวหน้าเผ่าภูตราตรี...จะต้องมีลวดลายเมเฮนดีสีขาวห่มกาย”

“เป็นธรรมเนียมอีกหรือ”

“ถูกแล้ว ดังนั้น...เจ้าอย่าทำให้ข้าปวดใจเช่นนี้”

ว่าแล้วคาริฟก็ใช้มือสองข้างประคองใบหน้าของเจ้าชายนาซีม ก่อนจะใช้นิ้วโป้งปาดหยดน้ำตาให้เบาๆ เขาไม่คิดว่านาซีมจะอ่อนไหวเพราะเรื่องแค่นี้ แต่คาริฟก็ดีใจเพราะเรื่องแค่นี้ที่ว่า...คือเรื่องของเขา

“ขอโทษ”

“ไม่เป็นไร” คาริฟยิ้มบาง สายตาที่มองนาซีมนั้นอ่อนโยนเสียจนนีราเองก็ไม่อยากเชื่อสายตา และไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ “เมื่อเข้าใจแล้ว เจ้าจงรอข้าอยู่ที่นี่ ไม่เกิน 6 ราตรีข้าจะกลับมา”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

“รอข้านะ”

“ข้าจะรอ แต่...”

“แต่อะไร”

“เจ้ารีบกลับมานะ”

“อืม...ข้าจะรีบกลับมา”






❂ …………………………….❂







เมเฮนดีสีขาวมันยาวน่ะค่ะ ขอแบ่งสองตอนน้า

แต่ตอนหน้าจะมาพรุ่งนี้ค่ะ อย่าพึ่งงอนเค้า

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

ดีใจมากๆ ที่คนเข้ามาอ่านกันเยอะขึ้นมากเลย








ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 23 เมเฮนดีสีขาว 1 :- [12/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-01-2020 21:52:28
เนี่ยยยยย ยังไม่ทันแต่งเลย มาเรียกเขาว่าน้องแล้ว
จะรออ่านนะคะ สู้ๆนะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 23 เมเฮนดีสีขาว 1 :- [12/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-01-2020 00:01:57
นึกว่าใครมาแอบมอง
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 23 เมเฮนดีสีขาว 1 :- [12/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-01-2020 23:06:29
สู้ๆๆๆ   แต่งๆ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 23 เมเฮนดีสีขาว 1 :- [12/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-01-2020 07:28:10
พรุ่งนี้ไม่มีจริง 5555 แซ็วนะคะ

เอ็นดูนาซีม เป็นเจ้าชายจำไม แต่ดีแล้วที่เลือกถามมากกว่าเก็บไว้
แค่พี่จะไปทำภารกิจเอง แค่บอกช้าไป ถึงกับน้ำตามา

คารีฟเป็นปลื้มมากนะ ทำน้องเป็นแบบนี้ได้
เป็นการร่ำลาที่พาคนใจหวั่นจนไม่อยากไปกันเลย

อดใจรอไปงานแต่งค่ะ

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 24 เมเฮนดีสีขาว 2 :- [16/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 16-01-2020 02:42:00

บทที่ 24 เมเฮนดีสีขาว 2







หลังจากคาริฟสัญญาว่าจะกลับมาหานาซีมให้เร็วที่สุด ผู้นำของเหล่าภูตราตรีก็เดินทางไปยังทะเลเหนือทันที นาซีมมองส่งเขาจนลับสายตา ก่อนจะเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยตามที่นีราสั่ง

“หากมิใช่เพราะทุกอย่างฉุกละหุกเกินไป ทั้งพิธีการที่มิได้เตรียมล่วงหน้าและการมาถึงของเจ้า ข้าคงไม่ยอมให้จอมเอาแต่ใจผู้นั้นเข้ามาพบเจ้าอย่างแน่นอน”

คล้อยหลังคาริฟแล้วนีราก็บ่นอุบ เนื่องจากไม่เห็นด้วยที่บุตรชายผู้มีตำแหน่งเป็นผู้นำของเผ่าทำผิดกฎเสียเอง นางกลัวว่าใครจะว่าหากใครรู้เข้าจะตำหนิเขาเอาได้ แม้คาริฟจะเป็นที่รักของทุกคนในเผ่าก็ตาม

“จอมเอาแต่ใจหรือขอรับ...ท่านแม่หมายถึง”

“จะใครเสียอีกเล่า หากมิใช่หัวหน้าเผ่าของเรา”

“คาริฟน่ะหรือ”

“เป็นเขาแน่นอน จะเป็นผู้ใดได้”

“...ข้าคิดไม่ถึงว่าคาริฟจะเอาแต่ใจเช่นท่านแม่นีรากล่าว...แต่มิได้หมายถึงข้าไม่เชื่อท่านนะขอรับ”

“เจ้าอาจจะไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนั้น แต่ข้าจะบอกเจ้าให้รู้เอาไว้นาซีม ลูกคนนี้ของข้า แม้ภายนอกจะดูเงียบขรึม ใจเย็น แต่แท้จริงก็มุทะลุและหัวดื้อเป็นที่สุด หากว่าสิ่งใดที่เขาหมายใจจะทำแล้วล่ะก็ เขาต้องทำให้สำเร็จจนได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่อยู่”

“แม้แต่ท่านแม่นีราหรือขอรับ”

“ไม่มีข้อยกเว้นสักคนเดียว” นีราย้ำ

“...” นาซีมอึ้ง นีราจึงเล่าต่อ

“คาริฟมีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เล็กๆ เพราะเขาคือคนที่ถูกหมายตาเอาไว้ว่าต้องเป็นผู้นำ ดังนั้นจะทำตัวเช่นเด็กทั่วไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา สิ่งที่ไม่แสดงออกให้ผู้ใดเห็นมิใช่ว่าไม่มี เขาเพียงเก็บซ่อนเอาไว้ต่างหาก คนที่จะเห็นด้านเอาแต่ใจของคาริฟได้ก็มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้น”

“ไม่อยากเชื่อเลยขอรับ”

“หากเจ้าไม่เชื่อก็คอยสังเกตเอาเถิด อย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”

คำว่าตลอดชีวิตทำให้นาซีมนิ่งไปนิด ในใจเกิดความรู้สึกยากที่จะบรรยาย แต่เมื่อนึกถึงคนที่เขาต้องใช้คำนี้ด้วย เจ้าชายก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

หากเป็นคาริฟ...คำว่าตลอดชีวิตอาจไม่ยาวนานเท่าใดนัก

“...ขอรับ”

หลังจากนั้นนีราก็ยกอาหารมาให้นาซีมรองท้อง เมื่อกินอิ่มดีแล้วนางก็บังคับให้เขาเข้านอนก่อนเวลา โดยนางให้เหตุผลว่าอยากให้พักผ่อนมากๆ

“เจ้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมากนัก พักเอาแรงเถิด”

“ขอรับท่านแม่นีรา”

นาซีมตอบรับง่ายๆ เช่นเดิม จากนั้นจึงปิดม่านและเข้านอน เขานอนพลิกไปพลิกมาอยู่ครั้งสองครั้ง แต่เพราะเริ่มคุ้นชินกับการนอนในที่ต่างถิ่น ซ้ำวันนี้ยังได้นอนบนเตียงนุ่มกว่าทุกที ไม่นานเจ้าชายโอเมก้าก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน

ด้านคาริฟนั้นกลับมุ่งตะลุยบุกขึ้นเหนือ เขาอยากเดินทางถึงทะเลเหนือให้เร็วที่สุด เพราะอยากกลับมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนาซีมเร็วๆ

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา คาริฟไม่รู้ว่าตนเองจะมุ่งมั่นทำอะไรเช่นนี้เพื่อคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด จะว่าไปแล้วหากไม่มองความเป็นคู่โชคชะตาที่ผูกพันธะกัน นาซีมก็เป็นแค่เจ้าชายจากแคว้นแดนไกลเท่านั้น มิควรเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตภูตราตรีผู้รักสงบสักนิด

แต่เจ้าชายพระองค์นั้นก็เข้ามา เหมือนดาวที่หล่นลงมาจากฟ้า ไม่สิ...นาซีมคือสายลมจากแดนไกลที่พัดมาอยู่เคียงข้างคาริฟต่างหาก

เหมือนกับชื่อของเจ้าตัว นาซีม –สายลมที่แสนอ่อนโยน-

สายลมที่ทำให้หัวใจของเขาอ่อนระทวยเมื่อคิดถึง ราวกับพวกบ้ารักก็มิปาน…

คาริฟบังคับอาชาไปด้านหน้า ความเหนื่อยล้าเกาะกุมกายดังเงาตามตัว แต่แปลกเหลือเกิน แค่คิดถึงนามของเจ้าหัวใจเท่านั้น รอยยิ้มก็ถูกจุดขึ้นบนริมฝีปาก หลงลืมแล้วซึ่งความเหนื่อยยากไปหมดสิ้น

แล้วเช่นนี้จะไม่ให้เขาปรามาสตนเองว่ากลายเป็นพวกบ้ารักได้หรือ



❂ …………………………….❂



รุ่งอรุณแห่งวันใหม่มาเยือน เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่นาซีมตื่นขึ้นเองโดยไม่ต้องมีคนปลุก เขานั่งสะลึมสะลือครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นคลุมเตียงด้วยตัวเองเพราะไม่ต้องการทำตัวให้เป็นภาระแก่นีรา

ครั้นจัดการผูกผ้าม่านให้แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาเรียบร้อย นาซีมจึงก้าวเท้าออกจากห้องไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธารงซึ่งยามนี้มีน้ำไหลเอื่อยๆ เท่านั้น

นาซีมล้างหน้าไปก็นึกสงสัยไปที่ปลายสุดของคลองส่งน้ำจะไปสิ้นสุดที่ใด เขาชะเง้อคอมองอยู่ครู่หนึ่ง เสียงทักทายของเจ้าบ้านก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ตื่นแล้วหรือนาซีม”

“ท่านแม่นีรา...” นาซีมหันมาหาก่อนจะยิ้มให้นาง “ตื่นแล้วขอรับ”

“หิวหรือไม่”

“ยังไม่หิวเลยขอรับ” เจ้าตัวส่ายหน้านิดๆ

“พอดีเลยเชียว ข้าก็มัวแต่วุ่นวายอยู่ที่สวนด้านนอก ยังมิได้ทำอาหารเช้าให้เจ้า”

นีราชินกับการอยู่คนเดียวมาโดยตลอด ตั้งแต่สามีของนางเสียและลูกชายย้ายจากเรือนไปอยู่ที่ใหม่ตามตำแหน่งของเขา ที่ผ่านมานางจึงปฏิบัติตนง่ายๆ กินง่ายอยู่ง่ายแล้วใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำยาสมุนไพรเอาไว้ใช้แจกจ่ายและรักษาคนในไอเรม

“ท่านแม่ทำสิ่งใดอยู่ขอรับ”

“รดน้ำแปลงสมุนไพร”

“หน้าบ้านนั่นหรือขอรับ”

“ถูกแล้ว ที่เจ้าเดินผ่านเมื่อวานนั่นล่ะ”

“ให้ข้าช่วยดีหรือไม่ขอรับ” เจ้าชายคนดีขันอาสา

“งานใช้แรงงานพวกนั้นจะให้เจ้าทำได้อย่างไรเล่า”

แม้นาซีมจะบอกกับนางว่าให้ใช้คำพูดปรกติ แต่นีราก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องทำเช่นนั้น ยิ่งสั่งให้เขาทำงานแบกหามยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรสำหรับนีรา นาซีมก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ระดับสูง อันที่จริงหากไม่เกิดเรื่องเขาต้องมีฐานะเป็นถึงราชาของแคว้นด้วยซ้ำ

“เหตุใดจึงไม่ได้เล่าขอรับ”

“เอาเถิดๆ เอาเป็นว่าเจ้าไม่ต้องช่วยก็แล้วกัน เพราะข้าทำเรียบร้อยหมดแล้ว”

“เป็นเช่นนั้นหรือขอรับ”

“อืม” มารดาของคาริฟพยักหน้า ก่อนจะชวนให้เขาเข้าไปด้านในด้วยกัน “เราเข้าไปในบ้านดีกว่า ข้าจะทำอะไรให้เจ้ากิน เสร็จแล้วจะได้ออกไปที่ท้ายหมู่บ้าน”

“ที่นั่นมีอะไรหรือขอรับ” คนขี้สงสัยถามอย่างใคร่รู้

“มีโรงทอผ้า” นางว่าขณะเดินนำไปที่ครัว

“โรงทอผ้า? ...”

“ถูกแล้ว โรงทอผ้าของไอเรมอยู่ที่ท้ายน้ำ เราจะไปที่นั่นเพราะต้องสั่งตัดเสื้อผ้าที่ใช้ในงานพิธีของเจ้าและคาริฟ” นีราเฉลยก่อนจะอธิบาย “เดิมทีข้าอยากให้คาริฟสวมชุดของพ่อเขา แต่คาริฟตัวสูงกว่ามาก ดังนั้นจึงต้องใช้เสื้อผ้าตัดเย็บใหม่ทั้งหมด เจ้าเองก็ต้องตัดใหม่ด้วยเช่นกัน”

“แล้วเวลาเพียง 6 ราตรีจะทันหรือขอรับ”

“อย่างไรก็ต้องทัน” นีราบอก “อีกเดี๋ยวกินอาหารเช้าเสร็จเราจะไปคุยกับเพตราด้วยกัน นางเป็นช่างทอผ้าที่เก่งที่สุดในไอเรม ข้าเชื่อว่านางต้องมีวิธีแก้ปัญหาดีๆ อย่างแน่นอน”

“ขอรับ”

ระหว่างทำอาหารกระทั่งกินเสร็จ นาซีมฟังนีราพูดถึงขั้นตอนการเตรียมงานอีกหลายอย่าง ตัวเขาต้องตามนีราไปทำความรู้จักและขอแรงคนมากมาย

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโซราห์นาซีมรู้มาบ้างว่าพิธีวิวาห์มีลำดับขั้นตอนมากนัก เมื่อคืนก่อนจะเคลิ้มหลับเจ้าชายก็ครุ่นคิดถึงความยุ่งยากในข้อนี้เช่นกัน

ทว่านาซีมมิได้เตรียมใจว่าตนเองต้องกลายมาเป็นผู้ที่ลงมือจัดงานวิวาห์ด้วยตนเอง ซ้ำต้องจดจำรายละเอียดของพิธีซึ่งแปลกใหม่ไม่เหมือนกับธรรมเนียมของโซราห์สักนิด

ถึงอย่างนั้นเขาก็เต็มใจที่จะทำเพราะไม่ต้องการทำให้ผู้อื่นลำบากมากเกินไป ด้วยมันเป็นพิธีสำคัญของเขาเอง แม้นีราจะเกรงใจเพราะเห็นว่านาซีมมิใช่คนธรรมดา

...หากนาซีมรู้ดี เขาเป็นเพียงเจ้าชายตกยากคนหนึ่งและคนเหล่านี้ที่ช่วยเขาไว้คือผู้มีพระคุณ ดังนั้นนาซีมจึงไม่มีความคิดเรื่องการถือตัวแม้แต่นิดเดียว

ครั้นกินมื้อเช้าจนอิ่มดีแล้วนาซีมก็รับเอาชุดคลุมจากนีรามาสวมจากนั้นจึงเดินทางไปยังโรงทอผ้าด้วยกัน







❂ …………………………….❂







หากเริ่มต้นจากบ้านของนีราโรงทอผ้าจะอยู่ทางทิศใต้ นาซีมเดินผ่านถนนสายเล็กๆ ผ่านหน้าบ้านเรือน บ้างลัดเลาะไปตามเส้นทางข้างคลองส่งน้ำ เดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงท้ายน้ำที่นาซีมนึกสงสัยเมื่อเช้าซึ่งเป็นตั้งของโรงทอผ้าแห่งเดียวในไอเรม

นีราเล่าว่าที่ต้องตั้งโรงทอผ้าที่นี่เพราะยามที่ย้อมผ้า สีจากการย้อมจะได้คั่งค้างอยู่ที่ท้ายน้ำ ไม่ต้องผ่านบ้านของผู้คนที่ใช้คลองส่งน้ำสายเดียวกัน

ขณะที่ฟังนางเล่าประวัติความเป็นมา นาซีมก็ได้พบกับเพตรา หญิงชราที่มีอายุมากพอจะเป็นแม่ของนีราได้ แต่ถึงนางจะมีอายุ หากเพตราก็ยังเป็นหญิงชราที่กระฉับกระเฉง นางพูดเร็วกว่าใครที่นาซีมเคยเจอ ซ้ำยังเดินสั่งงานคนนั้นทีคนนี้ทีขณะที่อธิบายเรื่องชุดวิวาห์ของคาริฟและนาซีม

“เรามีผ้าไหมทอเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมิได้ย้อมสี” เพตราว่า “ช่วยไม่ได้จริงๆ ไอเรมของเรามิมีพิธีวิวาห์มาพักใหญ่แล้ว ไหมสีฟ้าม้วนสุดท้ายของข้าหมดไปเมื่อครางานวิวาห์ของจาเร็ดกับอันวาปีก่อน เราอาจจะต้องเสียเวลาย้อมสีผ้าสักวันสองวัน”

“แล้วเช่นนี้จะปักชุดคลุมทันหรือ”

“ทันสิ ข้าจะให้ช่างคนอื่นๆ มาช่วย อย่างไรงานนี้เราต้องทำเต็มที่เพื่อท่านคาริฟกับเจ้าชายนาซีมอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงนะนีรา” นางว่าพลางตบเบาๆ ที่หลังมือของนีราเป็นการปลอบใจ

“ได้ยินเช่นนี้ข้าก็เบาใจ แต่หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยก็บอกได้นะท่านป้า”

“ข้าต้องบอกเจ้าแน่นอน”

ระหว่างที่นีราและเพตรากำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น นาซีมก็สอดส่ายสายตาไปรอบๆ เพื่อสำรวจโรงทอผ้าของไอเรม ที่นี่คล้ายกับโรงทอผ้าที่เขาเห็นในโซราห์ มีทั้งผ้าสีพื้นและพรมปัก

ในไอเรมผู้คนนิยมสวมอาภรณ์หลายสีสัน แต่ถ้าสังเกตดูให้ดีจะพบว่าไม่มีใครสวมชุดสีฟ้าสดเลยแม้แต่คนเดียว ผนวกกับเมื่อครู่ที่นาซีมได้ยินบทสนทนาของสตรีทั้งสอง ทำให้เขาพอเดาได้ว่าสีฟ้าน่าจะเป็นสีอาภรณ์ที่ใช้ในงานพิธีการ

ระหว่างคิดไปเพตราก็หยิบแบบร่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่พันเกี่ยวด้วยลายเมฆเคลื่อนคล้อยขึ้นมาให้นาซีมดู แล้วนางจึงถาม

“เจ้าชายโปรดลวดลายนี้หรือไม่เจ้าคะ ข้าและช่างฝีมือของเราจักได้ลงมือปักหลังจากเตรียมเสื้อคลุมเสร็จ”

“นี่คือลายอะไรหรือขอรับท่านป้าเพตรา”

“เป็นลายบนเสื้อคลุมที่ข้าออกแบบให้ท่านและท่านคาริฟเจ้าค่ะ”

“ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์หรือขอรับ...”

“ท่านคาริฟเป็นเปรียบเสมือนดวงจันทร์หากว่ากันตามเผ่าของเรา ส่วนเจ้าชายนาซีมมาจากแคว้นโซราห์ซึ่งแปลว่าดินแดนแห่งรุ่งอรุณ ดังนั้นข้าจึงเปรียบเจ้าชายเสมือนดวงอาทิตย์เจ้าค่ะ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” นาซีมลูบมือลงไปบนลวดลายอ่อนช้อยเหล่านั้น ก่อนจะเงยหน้าและส่งยิ้มให้เพตรา “ลึกซึ้งเหลือเกินขอรับ ข้าชอบมาก”

“เช่นนั้นเอาเป็นลายนี้นะเจ้าคะ”

“ตามแต่ท่านป้าเพตราจะกำหนดเลยขอรับ ข้ามิขัดข้อง”

เพตรายิ้มร่าเมื่อสิ่งที่นางตั้งใจทำได้รับการตอบรับที่ดี ส่วนนาซีมก็ค่อยๆ พลิกดูแบบร่างของเสื้อคลุมและเครื่องแต่งกายแต่ละชิ้นด้วยความสนใจ และเขาก็พบว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือ ในชุดพิธีการเหล่านี้ไม่มีผ้าคลุมศีรษะ แต่ยังคงไว้ซึ่งเชือกรัดเกล้า

“เครื่องแต่งกายในพิธีไม่มีผ้าคลุมหัวหรือขอรับ”

“ไม่มีเจ้าค่ะ” เพตราบอก “เพราะชาวเราเหล่าภูตราตรีจะจัดพิธีในช่วงเวลากลางคืน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสวมผ้าคลุมที่หัวเจ้าค่ะ”

“แต่เชือกรัดเกล้ายังมีนี่ขอรับ”

“นั่นถือเป็นเครื่องประดับเจ้าค่ะ”

“อ้อ...” นาซีมทำความเข้าใจและซักถามเกี่ยวกับการย้อมสีเสื้อผ้าเพิ่มอีกเล็กน้อย

จริงเช่นที่คาดเดาไว้ ชุดสีฟ้าจะถูกสวมในพิธีการและจำเพาะเจาะจงแค่พิธีวิวาห์เท่านั้น สีฟ้าสดใสที่อาบย้อมลงบนผ้าไหมสีขาวนวลได้จากหินสีน้ำเงินชนิดหนึ่งชื่อ ลาพิสลาซูลี ซึ่งเป็นหินที่นาซีมไม่เคยเห็นมาก่อน

นีราบอกกับเขาว่าหินชนิดนี้ขุดพบในหุบเขาไอเรมแห่งนี้เท่านั้น และนอกจากนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการย้อมอาภรณ์แล้ว ลาพิสลาซูรียังถูกใช้ทำเป็นเครื่องประดับอีกด้วย เพราะเชื่อว่าสามารถป้องกับภยันตราย ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและอวยพรให้ชีวิตพบแต่ความสุข

นาซีมฟังนีราเล่าสรรพคุณของลาพิสลาซูลีพักใหญ่ กระทั่งนีราตัดบทเพื่อเดินทางไปมอบหมายงานส่วนอื่น เจ้าชายจึงเอ่ย

“ท่านแม่นีราขอรับ”

“ว่าอย่างไรนาซีม”

“ข้าอยากอยู่ที่นี่กับท่านป้าเพตราก่อนขอรับ”

“มีเรื่องอันใดกับเพตราหรือ”

“ข้าอยากทำของแทนใจให้กับคาริฟขอรับ จึงอยากให้ท่านป้าช่วยชีแนะสักหน่อย”

“คิดออกแล้วหรือว่าจะทำสิ่งใด” นีราตาเป็นประกายทำเอานาซีมปั้นหน้าไม่ถูก

“...ขอรับ”

“เช่นนั้นก็อยู่เถิด ส่วนอื่นๆ ข้าจะไปจัดการเอง เสร็จเรียบร้อยจะกลับมาช่วยเจ้าอีกแรง เรื่องที่จะไปทำความรู้จักใครต่อใครนั้น ข้าจะพาเจ้าไปอีกทีพรุ่งนี้”

“ขอบคุณท่านแม่ขอรับ”

“ไม่เป็นไร” นีรายิ้มแล้วจึงหันไปหาเพตรา “ข้าฝากเจ้าชายด้วยนะท่านป้า”

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลเจ้าชายน้อยอย่างดี” เพตราเอ่ยอย่างใจดี

เมื่อเพตรารับปากแล้วนีราจึงหลบไปเตรียมงานในส่วนอื่นต่อ

ครั้นได้อยู่กันสองคน เพตราจึงหันมาสนใจนาซีมเพียงคนเดียว นางสังเกตรูปลักษณ์ของเขาแล้วพานให้คิดถึงราชินีอาลียา เนื่องจากสมัยก่อนอาลียาจะมาเข้านอกออกในที่โรงทอผ้าแห่งนี้เสมอเพื่อให้เพตราสอนปักพรมให้ น่าเสียดายที่อาลียานั้นอายุสั้นนัก

ด้วยเหตุนี้เพตราจึงนึกเอ็นดูเจ้าชายนาซีมเป็นพิเศษ

“เจ้าชายว่าจะทำของแทนใจ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”

“ข้าจะทำเชือกรัดเกล้าให้คาริฟขอรับ ท่านป้าช่วนสอนข้าทีนะขอรับ”

“ด้วยความเต็มใจเจ้าค่ะ”







❂ …………………………….❂







เมื่อราตรีที่สี่ผ่านพ้นไป นาซีมก็ถักเชือกรัดเกล้าให้คาริฟเสร็จเรียบร้อย แม้จะเป็นเพียงของชิ้นเล็กๆ แต่ต้องใช้ความละเอียดพอสมควร เพราะเชือกรัดเกล้าประกอบด้วยไหมเส้นเล็กๆ ซึ่งย้อมเป็นสีฟ้าถักรวมกับไหมสีทองซึ่งส่วนหนึ่งถูกใช้ปักลายบนอาภรณ์ในพิธี

และที่มากกว่านั้นนาซีมก็สกัดลาพิสลาซูลีให้เป็นก้อนเล็กๆ กลมๆ ใช้ความร้อนเจาะรูทะลุอีกฝั่ง ก่อนจะร้อยรัดเป็นพู่ที่ปลายด้านหนึ่งของรัดเกล้าด้วย ทั้งหมดนี้นาซีมลงมือทำเองทุกขึ้นตอน แรกเริ่มมีถักเสียบ้าง ทว่าสุดท้ายก็สำเร็จเสร็จสิ้นทันเวลา

ทีแรกเขาตั้งใจจะมีส่วนช่วยในการตัดเย็บเสื้อผ้าเอง แต่เพราะเวลาน้อยเกินไปทำให้เรียนรู้ไม่ทัน ถ้าดันทุรังก็อาจจะทำให้เสียงาน นาซีมจึงคอยอยู่ช่วยอยู่ข้างๆ เพตราแทน

บางวันเขาก็จะออกไปกับนีราเพื่อจัดสถานที่ แม้เริ่มต้นจะไม่มีใครอนุญาตให้เขาหยิบจับอะไร โดยเฉพาะสององครักษ์ฮาบัสและฟามีน ภูตราตรีที่แฝงกายเข้าไปอยู่ในวังโซราห์เพื่อดูแลนาซีมตั้งแต่เล็ก ทั้งคู่ไม่ยอมให้นาซีทำสิ่งใดเลย ทว่าสุดท้ายก็เอาชนะความดื้อดึงของเจ้าชายไม่ได้ นาซีมจึงมีส่วนช่วยในงานวิวาห์ครานี้มาก

ผิดกับคราวที่ถูกบังคับให้ออกนอกวังไปหาทาริกลิบลับ

กระทั่งราตรีที่หกมาเยือน ขณะที่นาซีมกำลังถูกนีรากับผู้ช่วยสองสามคนของนางรุมขัดถูร่างกายให้ข้างริมธารหลังบ้านอยู่นั้น ฟามีนและฮาบัสที่เฝ้าอยู่ในบ้านก็ส่งเสียงคุยกับใครบางคน

คนที่ทำให้นาซีมถอนหายใจอย่างโล่งอกได้เสียที ด้วยตลอดหกราตรีที่ผ่านมา เขานึกเป็นห่วงใครคนนั้นอยู่ตลอด แม้จะไม่เอ่ยให้ใครรู้ความคิดก็ตาม

“ท่านคาริฟกลับมาแล้ว!”

“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ใบหน้าทรุดโทรมทีเดียว”

“ข้าไม่เป็นไร นาซีมเล่า”

“เจ้าชายอาบน้ำอยู่ที่คลองส่งน้ำหลังบ้านของรับ” ฮาบัสบอก

“แต่ท่านไปไม่ได้นะขอรับ ท่านนีราอยู่ด้วย กำลังขัดตัวให้กันขนานใหญ่ทีเดียว”

เพราะคาริฟทำท่าจะบุกมาหลังบ้านฟามีนจึงขวางเอาไว้ แม้จะคิดถึงเพียงใด คาริฟก็หยุดเท้าเช่นกันเพราะไม่อยากได้ยินมารดาโวยใส่เป็นครั้งที่สอง

“ข้านำไข่มุกมาให้ ฝากให้ท่านแม่ด้วย บอกนางว่าข้าบดเป็นผงให้เรียบร้อยแล้ว”

“ขอรับท่านคาริฟ” ฮาบัสเป็นคนรับผงไข่มุกเอาไว้ให้

“แล้วท่านจะกลับไปพักเลยหรือไม่ขอรับ” ฟามีนถาม

“อืม ไปเลย” คาริฟตอบสั้นๆ แต่เพราะเขารู้ว่านาซีมอยู่หลังบ้าน และรู้ว่าคงไม่ได้พบหน้าในราตรีนี้ ชายหนุ่มจึงขยับไปยืนข้างหน้าต่างเพื่อมองเงาของเจ้าชายแห่งโซราห์บรรเทาความคิดถึง ก่อนเอื้อนเอ่ยเสียงดัง “ข้ากลับมาแล้ว...และคืนพรุ่งนี้ข้าจักมารับเจ้า”

นาซีมได้ยินแล้วและมั่นใจว่าคาริฟเอ่ยกับตน แต่เขามิได้ตอบกลับไปเพราะเกรงสายตาของนีรา กลัวนางจะกล่าวหาว่าไม่เหมาะสม

นาซีมเงี่ยหูฟังเสียงประตูบ้านปิด เป็นสัญญาณว่าบุรุษชุดดำจากไปแล้ว เจ้าชายจึงเคลื่อนสายตากลับมาและแหงนหน้ามองท้องฟ้า

พระจันทร์ในคืนนี้สุกสว่างแต่ยังไม่เต็มที่นัก ด้วยวันที่พระจันทร์เต็มดวงคือพรุ่งนี้...วันที่คาริฟและนาซีมรอคอยมาตลอดหลายคืน

...อีกเพียงราตรีเดียวเท่านั้น









❂ …………………………….❂









ใครบอกจะมาเร็ว /คุกเข่าสำนึกผิด

ยุ่งไม่นิดค่ะช่วงนี้ กลับถึงบ้านหลับ หลับ หลับ แงงงงง

ขอโทษที่ให้คอยค่ะ แถมยังบอกตอนผิดอีก

ตอนแรกจำได้ว่าเมเฮนดีมี 2 ตอน แต่จำสลับกับตอนถัดไปนี่นา 5555

/คุกเข่าสำนึกผิดอีกรอบ

แต่ๆๆ คราวนี้ไม่เบี้ยวแล้วค่ะ ประโยคท้ายของตอนนี้ว่าไงคะ

...อีกเพียงราตรีเดียวเท่านั้น

ค่ะ ตอนนี้ไม่ใช่แค่พิธี แต่มีNCด้วย!!!

สปอยตรงนี้เลย555555555/ถือเป็นการไถ่โทษนะคะ 5555555



จริงๆ ตอนนี้จำได้ว่าปวดหัวตอนเขียนเรื่องสีย้อมผ้ามากๆ ค่ะ

ไปหาอยู่นานเลยว่าอะไรมันใช้ได้บ้าง แงงง

แล้วไปเจอหิน ลาพิสลาซูรี จริงๆ ในอดีตเค้าเอาใช้แต่งหน้าด้วยนะ แต่เป็นวัฒนธรรมอียิปต์ค่ะ

ขออนุญาตยำรวมเพราะเป็นโลกใหม่นะคะ 5555

ฝนไปหาสารคดีระบบคลองส่งน้ำดูก็สนุกดีค่ะ

แต่ที่แน่ๆ อ่านตอนนี้แล้วคนอ่านน่าจะรู้สึกเหมือนคาริฟและนาซีมนะคะ

คืออยากให้ถึงราตรีต่อไปเร็วๆ 55555

ไปละค่ะ ฝนจะไปนอนต่อแล้ว

จริงๆ กะลงตั้งแต่ห้าทุ่ม แต่เผลอหลับ แต่เปิดคอมไว้

พอตื่นมาเข้าห้องน้ำเลยลงซะเลย แงงงงง คุกเข่าสำนึกผิดอีกรอบค่ะ





ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 24 เมเฮนดีสีขาว 2 :- [16/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-01-2020 01:33:16
หวังว่าคืนที่7จะไม่มีดราม่านะ :hao4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 25 เมเฮนดีสีขาว 3 :- [17/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 17-01-2020 16:34:48


บทที่ 25 เมเฮนดีสีขาว 3









วันนี้นาซีมถูกความกระวนกระวายปลุกให้ตื่นก่อนแสงอรุโณทัยฉาย เขาลุกขึ้นจากเตียงและสาวเท้าออกไปหลังบ้านอย่างเงียบเชียบเพราะกลัวจะรบกวนหากมารดาของคาริฟยังไม่ตื่น

หลังจากตักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเรียบร้อย เจ้าชายก็ย้ายตัวเองไปนั่งบนโขดหินริมคลองส่งน้ำ สายลมเย็นๆ ยามราตรีพัดผ่านไป ไม่นานที่ปลายขอบฟ้าเหนือทิวเขาก็ปรากฏแสงทองระเรื่อ สรรพเสียงรอบกายกายค่อยๆ ครึกครื้น สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในไอเรมถูกปลุกให้ตื่นราวกับสัญญาณแห่งรุ่งอรุณคือมนตร์วิเศษ

นาซีมนั่งปล่อยความคิดล่องลอยอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เสียงสวบสาบจากรองเท้าสานของนีราก็ดังไล่มาหยุดที่ด้านหลัง

“ตื่นนานแล้วหรือนาซีม”

“ครู่ใหญ่แล้วขอรับท่านแม่นีรา” เจ้าชายหันมายิ้มบางๆ ให้นาง

“เหตุใดจึงตื่นเช้านัก ใยไม่พักให้เต็มที่ วันนี้จักต้องอยู่ในพิธีเกือบค่อนคืนทีเดียว”

“ร่างกายข้ามันตื่นเองขอรับ”

“คงตื่นเต้นสินะ”

ผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนวิเคราะห์อย่างรู้ทัน นาซีมเองก็คิดว่าความรู้สึกของตนในยามนี้ฟังดูคล้ายอาการที่นีราพูด เขาจึงได้แต่ยิ้มและเฉไฉไปเรื่องอื่น

“แต่ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง หลายวันมานี้ข้าได้พักผ่อนเต็มที่มิอ่อนเพลียจากการเดินทางอีกแล้วขอรับ” นาซีมบอกให้นีราเบาใจ ก่อนจะไพล่นึกถึงใครบางคน “ห่วงก็แต่คาริฟ ออกเดินทางไปทะเลเหนือเพิ่งกลับมา คงจะเหนื่อยล้าไม่น้อย”

“ไม่ต้องห่วงรายนั้นหรอก แม้เจ้าสองคนจะเป็นชายเฉกเช่นกัน แต่คาริฟเป็นอัลฟ่า พวกอัลฟ่าน่ะแข็งแรงกว่าเราโอเมก้าเป็นไหนๆ ดื่มชาสมุนไพรเข้าไปแค่แก้วเดียวแล้วหลับสนิททั้งคืน ป่านนี้คงตื่นขึ้นมากระโดดโลดเต้นได้ดังเดิม ไม่เชื่อก็ดูสิว่าวันนี้น้ำในคลองส่งน้ำมาเร็วกว่าทุกวัน”

นีราว่าพลางชี้ให้ดูกระแสธารในทางน้ำเล็กๆ ที่ไหลเร็วขึ้น

“วันนี้เป็นหน้าที่ของเขาแล้วหรือขอรับ”

“หากคาริฟอยู่ในไอเรม เขาจะลงมือทำเองเสมอ ดังนั้นนี่ย่อมเป็นฝีมือเขา”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...”

“อื้ม ฉะนั้นเจ้ามิต้องห่วงไป ยามนี้ฟ้าสว่างแล้ว เจ้าลงอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งอีกสักรอบเถิด กินมื้อเช้าเสร็จแม่เฒ่าเพตราก็คงมาถึงพอดี”

“ได้ขอรับ”

นอกจากนำอาภรณ์มาส่งมอบให้นาซีมแล้ว นาซีมก็เพิ่งรู้ว่าเพตรายังต้องช่วยทำพิธีเขียนเมเฮนดีให้แก่เขาด้วย ดังนั้นเขาจึงถูกนีราขัดตัวเมื่อวานเพื่อเตรียมตัวในพิธีนี้

วัฒนธรรมการเขียนเมเฮนดีของไอเรมไม่ต่างจากที่โซราห์นัก เป็นพิธีที่ทำกันในครอบครัวของเจ้าสาวคล้ายเป็นการเฉลิมฉลองก่อนวิวาห์ อวยพรและแสดงความรักต่อลูกผู้ที่ต้องออกเรือน ลวดลายเมเฮนดีจึงเป็นหนึ่งในเครื่องประดับอีกอย่างที่จำเป็นต้องมีบนตัวเจ้าสาวในพิธีวิวาห์

แต่ที่แตกต่างออกไปคือ สีของเมเฮนดีในไอเรม

เมเฮนดีทำมาจากต้นเฮนน่า ตามปรกติจึงมีสีน้ำตาลอมแดง แต่ของไอรเมจะเป็นเนื้อสีขาวเนียนละเอียดด้วยการผ่านกรรมวิธีบางอย่างที่นาซีมไม่เคยเห็นมาก่อน ซ้ำยังมีส่วนผสมที่สำคัญคือผงไข่มุกจากทะเลเหนือที่คาริฟไปเก็บมาให้อีกด้วย

เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว นาซีมก็ต้องเช็ดตัวให้แห้งเพราะนารีจะนำน้ำอบจากดอกไม้ป่าที่นางผสมมาพรมจนทั่วร่างของเขา กระทั่งรอให้น้ำอบเหล่านั้นซึมเข้าสู่ผิวกายเรียบร้อย เจ้าชายจึงได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อคลุมและออกไปกินมื้อเช้า

เช้านี้อาหารที่นีราทำให้เขาค่อนข้างมากกว่าทุกวัน เมื่อนาซีมเห็นจึงอดไม่ได้ที่จะถาม

“ท่านแม่นีราขอรับ”

“ว่าอย่างไร” นางเงยหน้ามอง

“เหตุใดอาหารจึงมากขนาดนี้เล่าขอรับ”

“เพราะเจ้าต้องกินให้มากเข้าไว้ เวลาที่เราใช้เขียนและรอให้เมเฮนดีแห้งนั้นนานนัก กว่าเจ้าจะได้กินอีกมื้อคงเป็นหลังจากทำพิธีวิวาห์เสร็จสิ้น หากไม่กินเข้าไปมากๆ เจ้าจะหิวเอาได้”

ว่าแล้วนางก็ผลักจานเนื้อมาทางเขา นาซีมจึงทำได้แต่ขอบคุณและพยายามกินเข้าไปตามที่นางบอก

“ขอรับ”

ครั้นจัดการมื้อเช้าเรียบร้อยก็ประจวบเหมาะกับที่เพตรามาถึงหน้าบ้านพร้อมผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในไอเรมพอดี นีรากับนาซีมจึงออกไปต้อนรับและเชื้อเชิญให้เข้าไปในห้องที่ใช้จัดพิธี ซึ่งห้องนั้นก็เป็นห้องที่นาซีมนั่นเอง

นีราให้คนนำพรมปักมือที่ครอบครัวมันนำมาใช้ยามประกอบพิธีสำคัญออกมาปู จากนั้นก็ให้นาซีมเข้าไปนั่งโดยมีเหล่าผู้อาวุโสซึ่งเป็นโอเมก้าและเบต้าในเผ่าล้อมนาซีมเอาไว้ก่อนจุดกำยาน

ทีแรกนาซีมค่อนข้างเกร็งพอควร เพราะเมื่อคราวที่จะถูกส่งตัวให้ทาริกมิได้มีพิธีรีตองมากเพียงนี้ แต่ผ่านไปสักครู่หลังจากเพตรานำเมเฮนดีใส่กรวยทองเหลืองเสร็จ แม่เฒ่าอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันก็เริ่มขับลำนำเป็นทำนองสนุกสนาน ว่าด้วยเรื่องของวิถีชีวิตของคู่วิวาห์ข้าวใหม่ปลามัน

นาซีมมองเพตราวาดลวดลายเมเฮนดีที่มือไป ฟังทุกคนร้องรำทำเพลงกันไปด้วย ไม่นานนักเขาก็เริ่มผ่อนคลายลงและสนุกสนานไปกับทุกคน

นาซีมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาที่เดินทางมาจากแดนไกล อยู่ห่างจากคนเหล่านี้คนละฝั่งของทวีป ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน แต่เขากลับได้รับการต้อนรับและดูแลอย่างอบอุ่น ไม่ว่าคนเหล่านี้จะทำเพื่อเขาหรือคาริฟ แต่มันก็ทำให้นาซีมมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับได้รับคำอวยพรจากคนในครอบครัวจริงๆ







❂…………………………….❂







กว่าจะเสร็จพิธีเมเฮนดีดวงอาทิตย์ก็คล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว เจ้าชายโอเมก้านอนคว่ำกับพรมนุ่มและเปลือยแผ่นหลังซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายอ่อนช้อยของดอกไม้ ดาวดวงเล็กๆ จันทราและพระอาทิตย์ เขาต้องรอให้มันแห้งเสียก่อน อย่างน้อยก็สี่รอบนาฬิกา [1] ทรายจึงจะสวมชุดแต่งงานได้

เหล่าแม่เฒ่าและช่างฝีมือเดินทางกลับไปแล้ว ด้วยต้องไปช่วยกันตกแต่งลานกลางจัตุรัสไอเรมเพื่อจัดพิธีวิวาห์ในค่ำคืนนี้ นีราเองก็ต้องไปหาบุตรชายของนางเพื่อจับแต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย ข้างกายของนาซีมจึงเหลือเพียงฮาบัสและฟามีน สององครักษ์ที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก

ทั้งสองผลัดกันป้อนอาหารและน้ำสะอาดให้นาซีมตลอดระยะเวลาที่รอให้เมเฮนดีแห้ง จนผู้เป็นนายต้องบอกให้พวกเขาหยุด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะสวมชุดวิวาห์ไม่ได้อย่างแน่นอน

ระหว่างนี้นอกจากพูดคุยซักถามภูมิหลังและเรื่องราวต่างๆ ที่เขาควรรู้จากองครักษ์แล้ว นาซีมก็ผล็อยหลับไป กระทั่งรู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนที่ถูกใครบางคนเขย่าแขน

เมื่อเจ้าชายสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เขาก็พบกับชายตัวเล็กที่แสนคุ้นหน้า แต่วันนี้หน้าตาของอีกฝ่ายไม่มอมแมมเหมือนทุกที

“อันวา!!”

นาซีมผุดลุกขึ้นอย่างลืมตัวเพราะดีใจที่ได้พบกับเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“เจ้าชาย~~”

อันวาแทบจะโผเข้ากอดตัวเจ้าชายแห่งโซราห์ไว้ ทว่าอีกฝ่ายถูกคู่ของตนรั้งคอเสื้อไว้เสียก่อน

“อย่ากอดท่านสิ ไม่เห็นหรือว่าเจ้าชายเพิ่งวาดเมเฮนดีไป หากเจ้าทำเลอะแล้วต้องเขียนใหม่ล่ะก็ คาริฟเอาเจ้าตายแน่”

“อะ...”

อันวากระถดตัวถอยหลังกรูทันทีที่ได้ฟังคำเตือนของจาเร็ด นาซีมหัวเราะเบาๆ กับใบหน้าแตกตื่นของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปถามฟามีนที่นั่งอยู่ไม่ไกล

“ครบ 4 รอบนาฬิกาหรือยังฟามีน”

“กำลังจะครบแล้วขอรับ”

นาซีมมองละอองทรายที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในขวดแก้ว แล้วจึงเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปฉุดให้อันวาเข้ามาใกล้ๆ เสียเอง

“ไหนให้ข้าดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยซิอันวา”

“ขอรับ”

อันวาขยับเข้าไปหาเจ้าชายนาซีมและกลับไปพูดด้วยถ้อยคำสุภาพเหมือนเก่า เพราะเวลานี้ไม่ต้องปกปิดตัวตนของนาซีมอีกแล้ว

นาซีมสำรวจอันวาตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ห่างกันไม่นานแต่เขาก็รู้สึกคิดถึงเด็กหนุ่มช่างจ้อผู้นี้อยู่ดี วันนี้อันวาแต่งตัวด้วยผ้าเนื้อดี ผมเผ้าเรียบร้อยไม่มอมแมมเช่นทุกที ซ้ำร่างกายอีกฝ่ายก็ไม่มีบาดแผลฉกรรจ์จากเหตุการณ์เอมาลี นาซีมจึงวางใจและปล่อยให้เขานั่งข้างๆ อย่างอิสระ

“เจ้ามากันได้อย่างไร”

“ท่านคาริฟส่งข่าวให้จาเร็ดรู้ขอรับ เขาจึงพาข้าเดินทางมา” อันวาตอบ

“พอรู้ข่าวเขาก็รีบเร่งให้ข้าเดินทางข้ามวันข้ามคืนเพราะกลัวมาไม่ทันร่วมยินดีในงานวิวาห์ของท่านกับคาริฟ” จาเร็ดกล่าวเสริม

“ขอบใจพวกเจ้ามากนะ” นาซีมยิ้มรับ

“ข้าไม่แปลกใจที่พวกท่านจับคู่กัน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้” อันวาบอก

“ระหว่างทางเกิดเรื่องมากมาย ข้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าทุกอย่างจะกลายมาเป็นเช่นนี้ แต่มันก็มิใช่เรื่องไม่ดีหรอกนะ” คนพูด พูดไปก็รู้สึกร้อนที่หน้าไปด้วย

“เป็นเรื่องดีแล้วขอรับ อย่างน้อยท่านคาริฟก็จะได้เลิกว่าข้าเป็นเด็กแก่แดดที่จับคู่เร็วเสียที” อันวายิ้มอย่างน่ามันเขี้ยว ก่อนจะมองนาซีมด้วยสายตาล้อเลียน “เพราะเขาก็ไวไฟมิต่างกัน”

“อะแฮ่มๆ ...อันวา” จาเร็ดส่งเสียงปราม “นี่เจ้าชายนะ”

“อะ...ขออภัยขอรับ” เด็กหนุ่มว่า ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อยากเอ่ยมาตลอด “และโทษเรื่องที่พาท่านไปเสี่ยงอันตรายด้วยขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ให้อภัยข้าด้วยนะขอรับเจ้าชาย”

“ไม่เป็นไร” นาซีมยิ้ม “ข้ามิได้โกรธเจ้าสักนิด หากจะโทษว่าใครผิดเราก็ผิดด้วยกันทุกคน อย่าได้กังวลหรือคิดมากเลยนะอันวา”

เด็กหนุ่มเบะปาก น้ำตารื้อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เขาก็พยายามยั้งตนเองเอาไว้เพราะไม่อยากร้องไห้ในวันวิวาห์ของนาซีม

“ขอบคุณเจ้าชายมากขอรับที่ไม่เอาโทษข้า...ขอบคุณขอรับ”

“อย่าร้องไห้นะ ไม่เช่นนั้นข้าจะล้อเจ้าว่าเป็นเด็กขี้แย” นาซีมสัพยอก

“ข้าไม่ร้องแน่นอนขอรับ!”

คนถูกล้อเชิดหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างหนักแน่น พานให้คนมองนึกขันจนต้องหัวเราะออกมา นาซีมชอบอันวาที่เป็นเช่นนี้ที่สุด และเขาก็ซาบซึ้งใจมากที่อีกฝ่ายดั้นด้นมาร่วมงานในวันนี้

หลังจากพูดคุยกันได้ไม่นานฟามีนก็ส่งเสียงเตือน

“เจ้าชายขอรับ ได้เวลาแล้วขอรับ”

นาซีมหันไปมองก็เห็นทรายในนาฬิกาตกลงไปจนหมด เขาจึงกระชับเสื้อคลุมและลุกขึ้นยืน

“ข้าขอสวมเสื้อผ้าก่อน ท่านแม่นีราคงใกล้จะมาถึงแล้ว”

“เช่นนั้นข้าอยู่ช่วยนะขอรับ” อันวาอาสา

“เอาสิ” นาซีมตกลง “ให้อันวาอยู่กับฟามีนก็ได้ ฮาบัสพาจาเร็ดออกไปดื่มชาด้านนอกเถิด”

“ไม่เป็นไรเจ้าชาย ข้าจะไปบ้านเจ้าบ่าวสักหน่อย” จาเร็ดบอกแล้วจึงเดินออกไปจากห้อง

เมื่อเจ้าของคณะละครเร่ออกไปหาสหายของเขาแล้ว ทุกคนที่เหลือจึงช่วยกันหยิบจับอาภรณ์สีฟ้าและเครื่องประดับซึ่งนีราจัดไว้มาสวมใส่ให้นาซีม

ชุดวิวาห์ของเจ้าชายแห่งโซราห์เป็นผ้าไหมย้อมสีฟ้าลาพิสลาซูรีตลอดทั้งตัวและมีด้วยกันสี่ชิ้น คือ กางเกงปักลวดลายสีทองอ่อนที่ขอบข้อเท้าและเอว เสื้อตัวในมีลายอยู่รอบๆ คอกว้าง เสื้อคลุมตัวยาวที่มีเส้นปักชายขอบและลวดลายพระจันทร์กระหวัดพระอาทิตย์อยู่ที่แผ่นหลัง

ชิ้นสุดท้ายเป็นผ้าคลุมผมผืนบางเบาซึ่งถูกเกี่ยวเอาไว้ด้วยเครื่องประดับทองและสามารถมองเห็นผมเปียยาวใต้ผ้าคลุมได้ ข้อมือและข้อเท้าล้วนมีกำไลเข้าชุดกันกับสร้อยติดผม

เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยนีราก็มาถึงนาซีมพอดี นางสำรวจความพร้อมครู่เดียวก่อนจะยิ้มและเอ่ยชมออกมาจากใจจริง

“รูปงามนัก ได้ส่วนดีของบิดามารดามาทั้งหมด”

“ขอบคุณท่านแม่ที่ชมขอรับ” นาซีมยิ้มรับ

“ข้าขอดูลายเมเฮนดีของเจ้าหน่อยว่าแห้งดีหรือไม่”

“แห้งดีแล้วขอรับท่านแม่นีรา”

นาซีมว่าพลางยื่นมือให้นีราดู ครั้นตรวจจนพอใจนางจึงพาเขาไปนั่งเตียง

“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน อีกเดี๋ยวคาริฟก็น่าจะมาถึงแล้ว”

“ท่านแม่! ข้ามาแล้วขอรับ”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงทุ้มของอัลฟาผู้ทรงอำนาจที่สุดในไอเรมก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน นีราลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มอย่างอ่อนใจ

“ดูเจ้าลูกคนนี้สิ มาเร็วกว่าที่ข้าบอกเขาไว้เสียอีก เจ้ารออยู่นี่นะนาซีม ข้าจะออกไปหาเขาก่อน”

ตามพิธีแล้วเจ้าบ่าวจะมารับคู่ของตนที่บ้านอีกฝ่าย แต่เพราะนาซีมไม่ใช่คนในไอเรม นีราจึงให้เขาใช้บ้านของนางแทนบ้านตัวเอง

“ขอรับ”

นาซีมยิ้มรับบางๆ ทว่าหัวใจกลับเต้นโครมครามตั้งแต่ได้ยินเสียงว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าชายพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับความตื่นเต้น แต่พอทำใจสงบได้ครู่เดียว คนผู้นั้นปรากฏกายขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า

พวกเขาสองคนมองหน้ากันเงียบๆ เพียงครู่เดียว แต่เป็นครู่เดียวที่ทำให้นาซีมรู้ว่าความคิดถึงที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นมายแค่ไหน ก่อนหน้าเขาคิดว่าตนเองรู้สึกต่อคาริฟมากแล้ว หากความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจยามนี้กลับมากมายเสียจนเจ้าชายตระหนก

ส่วนบุรุษองอาจที่วันนี้อยู่ในอาภรณ์สีฟ้าเฉดเดียวกันกับนาซีมก็คงสีหน้าเรียบเฉยได้เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นเจ้าของดวงหน้างดงามถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ คนยิ้มยากก็เผยรอยยิ้มออกมาจนเต็มแก้ม

...และมันก็พานทำให้นาซีมยิ้มตามไปด้วย

“ข้ามารับเจ้าตามสัญญาแล้ว”

คาริฟเอ่ยพลางยื่นมือออกมาหยุดตรงหน้า แล้วอยู่ๆ ภาพที่นาซีมถูกมือของคนผู้นี้กุมไว้และฉุดให้พ้นจากภยันตรายตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรกก็ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด มันทำให้หัวใจของนาซีมเกิดความรู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

...หากวันนี้เขาวางมือลงบนมือของคาริฟ แปลว่าเขายินยอมให้อีกฝ่ายจับมือกันตลอดไปสินะ

คิดได้ดังนั้นนาซีมจึงไม่คิดอะไรให้มากความอีก เขาวางมือของตนลงไปแผ่วเบาและลุกขึ้นยืนเคียงข้างกัน เขาเห็นคาริฟยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะช่วยจัดผ้าคลุมของนาซีมให้เรียบร้อย จากนั้นจึงออกแรงจูงเจ้าชายแห่งโซราห์ออกไปข้างนอกเพื่อร่วมพิธี







❂…………………………….❂







พวกเขาออกเดินทางจากบ้านของนีราตอนย่ำสนธยา เมื่อมาถึงจัตุรัสกลางของไอเรมท้องฟ้าก็มืดสนิทพอดี ระหว่างทางที่เดินมาถูกประดับประดาด้วยโคมไฟในกระดาษฉลุลายตลอดทาง ที่ต้นอะคาเชียต้นใหญ่กลางจัตุรัสไอเรมก็มีโคมดวงเล็กๆ แขวนไว้มากมาย ราวกับอยู่ใต้ผืนฟ้าที่มีดวงดาราสุกสกาว

ทว่าโคมดวงใหญ่ที่สุดในราตรีนี้เห็นจะเป็นจันทราเต็มดวงที่อวดโฉมสุกปลั่ง ราวกับพระจันทร์นั้นต้องการจะเป็นพยานรักให้แก่เจ้าชายและนักรบกล้าแห่งซาร์เรีย

ราตรีนี้อากาศเย็นลง แต่ไม่หนาวเหน็บจนทรมานผู้คน ชาวบ้านที่มาร่วมงานจึงรู้สึกสบายแม้สวมชุดแบบบางก็ตาม แต่ส่วนมากทุกคนจะสวมชุดที่มีสีสันสดใส มองไปแล้วเหมือนดอกไม้เบ่งบานในยามราตรี

นาซีมถูกคาริฟพาไปที่ใต้ต้นอะคาเชียและนั่งลงบนพรมถึงซึ่งจัดเอาไว้ให้ทั้งสอง โดยรอบกายจะมีท่านผู้เฒ่าของเผ่านั่งเรียงราวอยู่ก่อนแล้ว นำโดยท่านผู้เฒ่านูรุลฮูดา ผู้นำจิตวิญญาณแห่งไอเรมหรือท่านปู่ของคาริฟนั่นเอง

เมื่อเจ้าของงานทั้งสองมาพร้อมกันแล้ว ผู้เฒ่านูรุลฮูดาจึงเริ่มพิธี

ลำดับขั้นตอนไม่มีสิ่งใดยุ่งยากนัก เพียงแค่คาริฟและนาซีมต้องบวงสรวงเพื่อบอกกล่าวธรรมชาติ เทพีผู้สร้างโลกและมารดาบิดาผู้ให้กำเนิด ระหว่างพิธีเหล่าผู้เฒ่าในเผ่าก็จักขับลำนำเป็นบทเพลงแห่งความสุขและชีวิตเป็นลำนำที่อยู่คู่กับไอเรมมาแต่บรรพกาล

“จงดูแลกันและกันตราบเท่าชีวิตของเจ้า” นีราอวยพรให้บุตรชายและนาซีม

“ขอรับ” คาริฟตอบรับ

“ขอรับ” นาซีมเองก็ตอบรับเช่นกัน

นีรารับการคำนับจากทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ จบจากนั้นคาริฟและนาซีมก็คำนับไปยังทิศทางที่ไว้ซึ่งหลุมฝังศพของบิดาของคาริฟ ราชาราฮิมและราชินีอาลียา

ทำความเคารพและรับคำอวยพรเสร็จทั้งสองก็ดื่มสุราที่หมักจากหญ้าฝรั่นเข้าไปคนและหนึ่งจอก

กระทั่งพิธีทางจิตวิญญาณสิ้นสุดก็ถึงขั้นตอนที่ต่างฝ่ายต่างต้องแลกของแทนใจให้กัน โดยเริ่มจากเจ้าชายแห่งโอเมก้าก่อน

นาซีมเปิดผ้าคลุมออกเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาเชือกรัดเกล้าออกมา คาริฟเห็นแล้วก็ยิ้มน้อยๆ คล้ายเดาถูกตั้งแต่เห็นเครื่องแต่งกายของตนไม่ครบ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังยินดีที่สุด เพราะมันเป็นของกำนัลชิ้นแรกที่นาซีมลงมือทำให้เขาเอง และในสายตาของเขา เชือกรัดเกล้าเส้นนี้งดงามที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา

ผู้นำภูตราตรีย่อตัวลงเล็กน้อยให้นาซีมสวมรัดเกล้าให้เขา แต่เพราะมือของอีกฝ่ายสั่นน้อยๆ คาริฟจึงต้องย่อตัวลงอีกแล้วขยับเข้าไปใกล้อีกนิด นั่นทำให้ปลายจมูกของเขาอยู่ในระดับแผ่นอกของนาซีมพอดี

สายลมยามราตรีล่องรำเพยมาแผ่วเบา พัดเอากลิ่นหอมจากน้ำอบบนผิวกายมาต้องจมูก แต่เพียงครู่เดียวมันก็ห่างออกไปเพราะนาซีมถอยกลับไปนั่งหลังตรงเหมือนเก่า นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าถึงตาของคาริฟที่ต้องมอบของแทนใจให้อีกฝ่ายบ้างแล้ว

ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมก่อนหยิบเอาถุงผ้าผ้าไหมสีขาวออกมา ภายในนั้นมีสร้อยเงินเส้นยาวซึ่งมีจี้เป็นอัญมณีคุ้นตา

นาซีมก้มหัวให้เขาสวมสร้อยให้ ในใจก็คิดว่าเคยเห็นจี้ชิ้นนี้ที่ไหน แต่คาริฟไม่ปล่อยให้เจ้าชายคิดนานนัก เมื่อสวมสร้อยเสร็จเขาจึงเฉลย

“ข้าเอาไพลินเม็ดนี้มาจากปลอกคอที่เราซื้อด้วยกันในเอมาลี”

“อ้อ...ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าจึงคุ้นตามันนัก”

“ต่อไปเจ้ามิต้องสวมปลอกคอแล้ว แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าทิ้งของกำนัลชิ้นแรกที่ข้าให้เจ้าไป” คาริฟว่า และนาซีมก็รีบตอบรับด้วยใจจริง

“ข้าไม่ทิ้งมันอีกแน่นอน” เขายืนยัน “จะรักษาอย่างดี”

“ข้าก็จะรักษารัดเกล้าที่เข้าทำให้ข้าอย่างดีเช่นกัน” คาริฟให้สัญญา

“เมื่อแลกของแทนใจแล้ว พิธีวิวาห์ของท่านหัวหน้าเผ่ากับเจ้าชายนาซีมก็ถือว่าเสร็จสิ้น เจ้าทั้งสองได้ชื่อว่าเป็นคู่กันโดยสมบูรณ์” ท่านผู้เฒ่านูรุลฮูดาประกาศ

เมื่อพิธีการสำคัญทั้งหมดจบลง ผู้คนในไอเรมก็เริ่มเฉลิมฉลองและดื่มกิน ทว่าก่อนที่ทุกคนจะลุกจากที่และเข้ามาอวยพรต่อหัวหน้าเผ่าและคู่ครอง คาริฟกับนาซีมที่ยืนอยู่กลางผู้คนก็ประกาศขึ้นก่อน

“ขอบคุณทุกท่านที่มาเพื่อเป็นสักขีพยานแก่ข้าและนาซีมในราตรีนี้ ก่อนรับคำอวยพรจากทุกท่าน ข้าขอส่งมอบความสุขเหล่านั้นไปถึงพวกท่านก่อน ข้าขอให้คำสัตย์สาบานต่อทุกคน ต่อผืนดิน ท้องนภา และจันทราในราตรีนี้ ข้า...คาริฟแห่งไอเรม จะมีเพียงเจ้าชายนาซีมเป็นคู่” คาริฟเว้นไปนิดเพื่อหันกลับมามองเผชิญหน้าและจ้องตานาซีม “จะรักนาซีมผู้เดียวตลอดชีวิต”

“เฮ้!!! ~”

“ท่านหัวหน้าของเรายอดเยี่ยมที่สุด!”

หลังจากได้ยินคำสาบานของคาริฟ นาซีมคล้ายถูกตัดขาดจากเสียงอึกทึกและโห่ร้องยินดีของผู้คน หัวของเขาโล่งจนคิดอะไรไม่ออก และเพราะนาซีมนิ่งไป คาริฟจึงก้มลงมาจนริมฝีปากเกือบแตะใบหูแล้วกระซิบ

“ได้ยินหรือเปล่านาซีม”

“...”

“ข้าบอกว่ารักเจ้าผู้เดียว”

“…!!”

นาซีมผงะถอย รู้สึกร้อนไปหมดทั้งใบหน้าราวกับสุราหญ้าฝรั่นที่ดื่มไปเมื่อครู่เพิ่งออกฤทธิ์เอาตอนนี้ คาริฟแตะมือลงบนแก้มนวลที่ขึ้นสีแดงเรื่อ แล้วว่า

“เจ้าช่างขี้อายนัก”

“...ใครจะเหมือนเจ้าเล่า” เจ้าชายตอบกลับอ้อมแอ้ม “พูดเสียงดังไปได้ ไม่อายบ้างเลย”

“ฮ่าๆๆ” คาริฟค่อยๆ ยิ้มกว้างและเปลี่ยนมาเป็นหัวเราะลั่นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาซีม “ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ”

“แล้วจะให้ข้าทำหน้าอย่างไร ในเมื่อทุกคนมองอยู่เช่นนี้”

“หึๆ” เสือยิ้มยากหัวเราะอีกนิด ก่อนจะระงับกิริยาแล้วเอื้อมมือมาโอบหลังนาซีม “ก็ได้ๆ ข้าไม่ล้อเจ้าแล้ว เราไปนั่งดูชาวบ้านเต้นรำใต้ต้นอะคาเชียดีหรือไม่”

“...ก็ได้”

นาซีมตอบรับแต่โดยดี คาริฟจึงหันไปบอกให้ทุกคนดื่มกันได้ตามใจ ส่วนเขาและคู่ครองจะนั่งพักสักครู่จึงจะออกไปร่วมด้วย

นาซีมได้นั่งพักเดี๋ยวเดียวก็ต้องลุกขึ้นรับคำอวยพรจากชาวไอเรมที่แวะเวียนมาร่วมยินดี หลังจากดื่มกินกันอิ่มหนำสำราญแล้วนาซีมก็ถูกคาริฟพาออกไปเต้นรำที่กลางจัตุรัส ด้วยตามธรรมเนียมต้องให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเต้นคู่กันเสียก่อน

“เจ้าเต้นรำเก่งนัก”

คาริฟเอ่ยชมหลังจากที่ตนเกือบเหยียบเท้านาซีมหลายรอบ หากเป็นเรื่องอื่นเจ้าภูตราตรีมิหวั่น แต่ถ้าเป็นเรื่องร้องเล่นเต้นรำแล้วล่ะก็ หากเลี่ยงได้คาริฟก็จะเลี่ยง

“ข้านึกแปลกใจที่เจ้าเต้นรำไม่เก่ง”

“มีหลายเรื่องที่ข้าทำไมได้”

“ดีใจเหลือเกินที่ชนะเจ้าได้สักเรื่อง” นาซีมยิ้มกว้าง

“อยากเอาชนะข้าไปไย”

“มิได้อยากเอาชนะ แต่เจ้ามิรู้หรือว่าตนเองเก่งไปเสียหมด จนหลายคราข้ารู้สึกว่าเจ้าควรเป็นผู้นำแคว้นแทนข้าด้วยซ้ำ”

“คนเรามิอาจเก่งไปเสียทุกเรื่อง และเจ้าเหมาะแล้วกับตำแหน่งที่เป็นอยู่ ข้าเป็นถึงขั้นนั้นไม่ได้หรอก”

“หากเจ้าเป็นไม่ได้ ใครจะเป็นได้อีก”

“ให้ข้าเป็นแค่คนที่คอยดูแลเจ้าก็พอแล้วเจ้าชาย” คาริฟเอ่ยพลางเคาะจมูกนาซีมเบาๆ

“ขอบคุณ” นาซีมยิ้มรับและเป็นรอยยิ้มที่ตรึงใจที่สุดเท่าที่คาริฟเคยเห็น “ข้าเองก็จะดูแลเจ้าเช่นกัน เท่าที่กำลังของข้าจะทำได้”



❂…………………………….❂



นาซีมอยู่ในงานกว่าค่อนคืน ดื่มสุรายินดีไปมากเสียจนยืนแทบไม่อยู่ จนในที่สุดคาริฟก็เห็นสมควรว่าต้องพาคู่โชคชะตาของตนกลับเสียที

แม้ระหว่างทางมีโคมไฟรายทางประดับอยู่มาก แต่นาซีมรู้สึกมึนและลายตาเสียจนมองไม่ออกว่ากำลังจะไปที่ไหน กระทั่งมาเริ่มรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกวางไว้บนที่นอนนุ่มๆ และถูกใครบางคนพยายามถอดอาภรณ์ของเขา

“ไม่เอา...ข้าไม่ถอด” นาซีมตอบเสียงงึมงำ

“ไม่ถอดได้อย่างไร”

ใครคนนั้นว่าแต่ฟังดูแล้วเสียงคุ้นหูเหลือเกิน นาซีมจึงยันตัวขึ้นมาปรือตามอง และเมื่อดูชัดๆ คนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมก็คือเจ้าบ่าวของตนนั่นเอง

“...คาริฟ...ที่แท้ก็เป็นเจ้า”

“เป็นข้า”

“อืม...ถ้าเป็นเจ้า...” นาซีมเงียบไปนิด ก่อนจะช้อนตามองด้วยแววตาหยาดเยิ้ม “ถ้าเป็นเจ้า...จะถอดก็ได้”

“...”

ครานี้เป็นคาริฟที่เงียบเสียงแทน เดิมทีเขาแค่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าชายน้อยและปล่อยให้นอนเพราะเห็นว่าเมามาย แต่พอถูกยั่วยวนเช่นนี้ชายหนุ่มก็ถึงกับไปไม่เป็น

“ไม่ถอดหรือ...” นาซีมถามซ้ำ ก่อนจะค่อยๆ กวาดผมไปด้านหนึ่งแล้วปลดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นลำคอและหัวไหล่เนียนที่โผล่พ้นเสื้อคอกว้างออกมา “ดูสิ...ข้ามีข้ามีลายเมเฮนดีสีขาวจากไข่มุกที่เจ้าเก็บมาให้ด้วย”

“นาซีม...” คาริฟส่งเสียงปรามแล้วขบกรามข่มความต้องการ

“ไม่ดูหรือคาริฟ”

“หากเจ้าทำเช่นนี้...” อัลฟ่าหนุ่มคำรามต่ำแล้วเอ่ยคำที่ทำให้นาซีมต้องจำไปตลอดทั้งคืน “อย่ากล่าวหาข้าทีหลังว่ารังแกเจ้าก็แล้วกัน”











❂…………………………….❂





[1] เฉพาะในเรื่องนี้จะกำหนดเวลาให้ 1 รอบนาฬิกาทราย = 1 ชั่วโมง







ไหนncคะคุณฝน นี่มันตัดเข้าโคมไฟชัดๆ แล้วก็ยังไม่ทันนัวเลยด้วย แบบนี้เข้าข่ายหลอกลวงคนอ่านนะคะ!!

ช้าก่อนค่ะ หากใครคิดว่าฝนหลอก ฝนไม่หลอกนะ ตอนหน้ายังมี จุกๆ 5555

อย่าเพิ่งใจโกรธเคืองกันเยยยย

แล้วนี่มาตรงเวลานะคะ ไม่เบี้ยว รอแค่ราตรีเดียว อิอิ

จริงๆ ฝนจะพูดเรื่องเมเฮนดีด้วยค่ะ

ส่วนใหญ่อาจจะได้ยินในชื่อเฮนน่านะคะ การวาดเฮนน่า พิธ๊เฮนน่าของอินเดียอะไรแบบนี้

แต่ฝนเขียนแบบออกเสียงตามอาหรับน่ะค่ะ เลยเป็นเมเฮนดี ประมาณนี้

เจอกันตอนหน้าค่ะ คาดว่าถ้างานไม่เยอะเกินไป ฝนจะลงวันละตอนค่ะ หรือๆๆ อาจจะเว้นแค่วันเดียวค่ะ








ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 25 เมเฮนดีสีขาว 3 :- [17/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-01-2020 08:44:45
รอฉากเข้าห้องหออย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 25 เมเฮนดีสีขาว 3 :- [17/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-01-2020 10:18:08
แต่งล้าววว
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 26 ลำนำรัก :- [27/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 27-01-2020 09:30:10





บทที่ 26 ลำนำรัก












“...หากเจ้าทำเช่นนี้...อย่ากล่าวหาข้าทีหลังว่ารังแกเจ้าก็แล้วกัน”

นาซีมคล้ายเห็นดวงตาสีมรกตสว่างวาบท่ามกลางความมืด แท้จริงมันแค่ต้องแสงจันทร์รำไรที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง

แม้ในความมืดมิด...หากความต้องการที่สะท้อนอยู่ก็ปกปิดไม่มิด

ร่างของเจ้าชายถูกดันให้นอนฟุบหน้ากับผ้าไหมนิ่มซึ่งปูทับเตียงเอาไว้ ก่อนภูตแห่งราตรีกาลจะทาบกายลงมาขังเขาไว้ในอ้อมกอด

ครั้นเจ้าของใบหน้าคมคายโน้มใกล้และค่อยๆ บรรจงขบลงบนหัวไหล่ทั้งที่ดวงตายังประสานกันไม่ลดละ นาซีมก็ยิ่งรู้สึกร้อนวาบไปทั้งสรรพางค์กาย

คาริฟในเวลานี้ดูราวกับผีเสื้อที่กำลังเชยชมดอกไม้ ริมฝีปากของเขาจูบลงบนลวดลายเมเฮนดีที่ลาดไหล่ หยอกเย้าสลับกับขบเบาๆ ไปถึงแผ่นหลังและมาจุมพิตซ้ำๆ ที่รอยกัดบนลำคอเหมือนต้องการย้ำว่าเจ้าชายแห่งโซราห์เป็นคู่ของตน

มือทั้งสองข้างก็ทำหน้าที่ดีเหลือเกิน นาซีมแทบไม่รู้ตัวว่ามันล้วงเข้าไปใต้อาภรณ์ที่ถูกสวมอย่างแน่นหนาตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกอีกคราก็ตอนที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสจุดอ่อนไหวก่อนฟอนเฟ้นบนผิวกายใต้ร่มผ้าจนเผลอหลุดปากครางวะหวิว

“นาซีม”

“ห...หืม”

ระหว่างที่กำลังมัวเมาในสัมผัสเจ้าของเสียงทุ้มก็เรียกให้นาซีมหันกลับมา แต่ดูเหมือนปฏิกิริยาของเจ้าชายจะเชื่องช้าไม่ทันใจเจ้าภูตราตรี อีกฝ่ายจึงดันปลายคางพลิกดวงหน้าหวานให้ผินกลับ ก่อนจะกดริมฝีปากมอบจุมพิตล้ำลึกจนนาซีมแทบตั้งตัวไม่ทัน

ถึงอย่างนั้น ในภายหลังนาซีมก็เผยอริมฝีปากรับเรียวลิ้นอีกฝ่ายอย่างเต็มใจ

นาซีมรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะล่องลอยจากจุมพิตที่คาริฟมอบให้ มันเป็นสัมผัสที่ดีเหลือเกิน ซึ่งเจ้าชายก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนกันว่าหัวใจของเขากำลังทวีความร้อนรุ่มและทำงานอย่างหนักหน่วง

ไม่นานคาริฟก็ยอมปล่อยนาซีมให้เป็นอิสระ ทว่าภาพคนงามที่ริมฝีปากแดงฉ่ำจากการจูบกำลังนอนหอบหายใจระทดระทวยใต้ร่างนั้นสุมความต้องการให้ลุกโชนราวกับโยนฟางลงบนกองไฟ คาริฟจึงเลิกออมมือและพลิกกายนาซีมให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันตรงๆ จากนั้นจึงลงมือแกะอาภรณ์สีฟ้าออกทีละชิ้น ทีละชิ้น

...สุดท้ายเจ้าชายน้อยก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า

“คา...คาริฟ...”

เสียงกระท่อนกระแท่นและท่าทางปกปิดส่วนสำคัญอย่างกล้าๆ กลัวๆ ยิ่งกระตุ้นให้คาริฟอยากกลั่นแกล้ง

“ว่าอย่างไร”

“หยุดมองได้หรือไม่...”

“ให้หยุดได้อย่างไร” ชายหนุ่มทวงถาม “ก็ไหนเจ้าว่า หากเป็นข้าจะมองก็ได้ อย่างไรเล่า”

“มัน...ไม่ใช่แบบนี้สิ” นาซีมโทษที่ตนเองดื่มมากเกินไปจนทำให้สมองคิดโต้ตอบได้เชื่องช้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พอจำได้ลางๆ ว่าตนไม่ได้พูดประโญคเมื่อครู่ “ข้ามิได้พูด ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย”

“แล้วเจ้าหมายความว่าเช่นไร...หืม?”

“ข้า...หมายถึง...”

ยังไม่ทันนึกออกว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ตนเอ่ยออกไปหมายถึงสิ่งใดกันแน่ คาริฟก็ใช้เสียงทุ้มๆ ที่ฟังดูเว้าวอนและออดอ้อนกว่าปรกติเรียกเขา

“...นาซีม”

“ว่าอย่างไร”

“ไยต้องคิดให้มากความ”

“...”

“อย่างไรเราก็แต่งงานกันแล้ว เจ้าจะให้ข้ามองเจ้าเช่นนี้หรือมากกว่านี้มิได้เชียวหรือ”

“ท่านไม่เหมือนคาริฟที่ข้ารู้จักเลย” นาซีมเอ่ยอย่างเลื่อนลอย เขาจ้องใบหน้าคาริฟที่อยู่ห่างกันแค่คืบก่อนจะมุ่นคิ้วแล้วเอ่ยต่อ “หรือเป็นเพราะฤทธิ์ของสุรามงคลที่ข้าดื่มกันนะ”

“ข้าไม่เหมือนข้าอย่างไร”

เขาอยากรู้นักว่าคนเมาจะพูดสิ่งใด แต่ในขณะเดียวกันก็สั่งให้ตนเองหยุดฟังนิ่งๆ มิได้

คาริฟเอ่ยถามพลางใช้จมูกเกลี่ยที่ไรผมบนหน้าผากมนไปพลาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหลงเจ้าชายจนหัวปักหัวปำหรือเพราะกำลังเมามายไม่ต่างกัน จึงรู้สึกว่ากลิ่นที่ติดกายของนาซีมหอมละมุนกว่าทุกที

“ท่าน...พูดมากนัก ซ้ำยังมองเหมือนจะกินข้าเข้าไป”

“หึๆ” คนริฟหลุดหัวเราะ “ข้าว่าเจ้าเมาจริงๆ ข้าไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย ข้าจะร้องลำนำของภูตราตรีให้เจ้าฟังต่างหาก”

“ลำนำของภูตราตรีหรือ”

“อืม” เสียงทุ้มตอบรับ ก่อนจะลากไล้ริมฝีปากจากหน้าผากมาที่ปลายจมูก คลอเคลียข้างแก้มเนียนแล้วกระซิบ “เป็นภูตราตรีที่มีรัก”

“ลำนำรักหรือ”

“ถูกแล้ว” เขาเว้นแล้วดันตัวขึ้นจ้องตานาซีม “เจ้าอยากฟังไหม”

นาซีมได้สบตาสีมรกตอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าใดนัก แต่ลำนำที่คาริฟเอ่ยถึงก็ดูน่าฟังดี ซ้ำมันยังมาจากคาริฟ

...ดังนั้นกวางน้อยจึงตกหลุมพรางราชสีห์

“ฟังสิ...ข้าอยากฟัง”

“เช่นนั้นก็มาเถิดยอดรัก...ข้าจักขับลำนำให้เจ้าฟัง”

สัมผัสแผ่นเบาแตะลงบนกลีบปากอิ่มอีกครั้ง และมันก็ค่อยๆ ทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นาซีมถูกกวาดต้อนความหวานจนครางฮือ จากนั้นริมฝีปากร้อนจึงค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ลำคอและแผ่นอก

ไฟรักที่ราลงเมื่อครู่ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เมื่อยอดถันสองข้างถูกโลมเล้าและดูดดึง เจ้าชายถึงกับผวาเฮือกจนแผ่นหลังหยัดโค้ง สองแขนคว้าลำคอแกร่งยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่ง เขารู้สึกเหมือนสูดเอาอากาศเข้าปอดไม่ทัน ใบหน้าร้อนและแดงก่ำด้วยถูกกระตุ้นรุนแรงขึ้น

ทว่าลำนำบทนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น...

ทันทีที่คาริฟปล่อยปลายอกข้างหนึ่งออกจากปาก เขาก็เคลื่อนตัวลงต่ำ เอามือสองข้างจับต้นขาด้านในของนาซีม นวดเฟ้นมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วออกแรงดันให้ออกห่างจากกัน

นาซีมนอนหงายมองเพดานที่ในตอนแรกนั้นว่างเปล่า แต่พอรู้สึกได้ถึงแรงขบเบาๆ ที่ต้นขาด้านใน จากนั้นส่วนอ่อนไหวก็ถูกความอ่อนนุ่มครอบครอง เพดานธรรมดาๆ ก็คล้ายมีกลุ่มดาวระบายอยู่เต็มไปหมด

ใจหนึ่งเจ้าชายก็อยากขัดขืน แต่อีกใจก็รู้สึกหวามไหวและพอใจจนยอมให้คาริฟชักนำไปจนถึงฝั่งฝัน

“คา...คาริฟ! อื้อ!!”

เสียงหวีดร้องดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในราตรีกาล ความต้องการของนาซีมถูกรีดเร้นออกมาจนหมดสิ้น เขานอนหมดแรงอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นคาริฟใช้มันชโลมกับนิ้ว จากนั้นจึงแทรกเข้าไปยังรอยแยกเร้นลับเพื่อชักนำให้ร่างกายอีกส่วนเคยชิน

“ครานี้อาจจะยากหน่อยเพราะเจ้ามิได้ฮีท”

“...”

“แต่ข้าจะระวัง”

“อือ”

เขาให้คำมั่นหนักแน่น นาซีมจึงรับคำเบาๆ เพราะเชื่อใจในตัวเขา

จากนั้นคาริฟก็โน้มตัวลงมาใกล้ และจัดให้ขาข้างหนึ่งของนาซีมขึ้นมาพาดบนไหล่ตน ส่วนมืออีกข้างก็ยังทำหน้าที่เฉพาะของมันไม่หยุดหย่อน

กระทั่งทุกอย่างได้ที่และเหมาะสมเท่าที่มันควรเป็น เจ้าภูตราตรีจึงดันท่อนขาของนาซีมให้กระหวัดรัดเอาสอบ ก่อนจะแทรกเรือนกายของตนจนสุดในคราเดียว

เรียวขาของนาซีมสั่นระริกอย่างมิอาจควบคุม เขารู้สึกต่างจากคราแรกในกระท่อมร่างกลางทะเลทรายนั่น เพราะคราวนี้เจ็บกว่ากันมากพอดู น้ำตาหยดหนึ่งไหลหลุบลงข้างแก้ม ดวงตาสีอำพันเปลี่ยนเป็นไพลินงดงามน่าค้นหา และมันก็มองมาที่คาริฟด้วยแววยวนเย้ากว่าปรกติ

และดูเหมือนคาริฟจะรู้ เจ้าตัวจึงโน้มลงมากอดเขาไว้แล้วจูบที่ขมับเพื่อปลอบประโลม จนในที่สุดนาซีมก็หายเกร็งและผ่อนคลายลง ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายจึงเริ่มขยับทีละนิด ทีละนิด จนความเจ็บปวดลดเลือนไป

คาริฟเติมเต็มเข้ามาในร่างเขา แต่เดี๋ยวเดียวก็ขยับออกห่าง และขยับเข้ามาอีกครั้ง เจ้าภูตราตรีทำเช่นนั้นซ้ำๆ เป็นการเคลื่อนไหวเนิบช้าไม่รุนแรงเหมือนที่คิดกลัว แต่สร้างความวาบหวามจนส่วนอ่อนไหวของนาซีมกลับมาเหยียดตรงอีกรอบ

นาซีมถูกจุมพิตครั้งแล้วครั้งเล่า โนนเนื้อนิ่มถูกฟอนเฟ้น ผิวกายที่สลักด้วยลวดลายเมเฮนดีบัดนี้ชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ เหงื่อเหล่านั้นทำปฏิกิริยากับน้ำอบของนีราได้อย่างได้เยี่ยม กลิ่นของนาซีมจึงยิ่งทวีความหอมหวานมากยิ่งขึ้น

ร่างกายของคาริฟเองก็มีหยาดเหงื่อเกาะพราวไม่ต่างกัน ด้วยเขาต้องใช้แรงมาเป็นพิเศษ ส่งผลให้บนกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงามของคาริฟดูแวววาวน่าลุ่มหลง นาซีมมองเคลิบเคลิ้มและสัมผัสมันเหมือนที่คาริฟทำกับเขา แต่ก็ต้องหยุดและเผลอจิกลงบนเนื้อเป็นพักๆ เมื่ออีกฝ่ายกระทั้นกายหนักเข้ามาเป็นช่วงๆ

ผ้าปูที่นอนเรียบลื่นสวยงามบัดน้ำยับยู่ยี่ไม่เหลือเค้าเดิม อาภรณ์สีฟ้าที่บรรจงสวมของทั้งสองฝ่ายถูกถอดทิ้งกระจัดกระจายมิมีชิ้นดี

ลำนำรักของภูตราตรีดำเนินอยู่ยาวนาน นาซีมถูกเคี่ยวกรำจนปลดปล่อยออกมาอีกหลายครา แต่คาริฟก็ยังโยกไหวร่างกายต่อได้โดยไม่ถึงจุดหมาย เจ้าชายโอเมก้าจึงเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าบทรักของอัลฟ่า ไม่ว่าจะเป็นตอนที่รัทหรือยามปรกติก็มิได้ต่างกันมากนัก

แต่ให้อึดอย่างไรจุดสิ้นสุดก็ต้องมาถึง มันเป็นตอนที่เจ้าชายน้อยถูกจับให้พลิกขึ้นมานั่งคร่อมบนตักแกร่งเพื่อช่วยออกแรงไปพร้อมๆ กัน และนั่นก็ทำให้ร่างกายของพวกเขายิ่งเชื่อมต่อกันอย่างลึกล้ำมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี

“ข้ารักเจ้า...นาซีม”

คาริฟเอ่ยคำรักอีกครา ก่อนจะกระแทกกายสวนรุนแรงอยู่หลายครั้งจนนาซีมต้องจิกบ่ากว้างแน่น เสียงหวีดร้องของเจ้าชายแห่งโซราห์ฟังไม่ได้ศัพท์ราวกับจะขาดใจ กระทั่งรอบสุดท้ายเจ้าชายน้อยจึงถูกเติมเต็มด้วยความปรารถนาของอัลฟ่าที่โหมสาดเข้าไปในกาย หูของเขาอึ้ออึงอยู่พักหนึ่งแล้วร่างจึงค่อยๆ พับลงกับไหล่กว้างทั้งที่ส่วนนั้นยังเชื่อมต่อกันอยู่

คาริฟลูบหลังเขาแผ่วเบา พร้อมทั้งจูบลงมาที่กลุ่มผมดำสนิท นาซีมอยากประท้วงว่าไม่เห็นได้ยินเสียงลำนำที่คาริฟของจะร้องให้เขาฟังสักนิด หากสิ่งที่ได้สดับกลับมีเพียงเสียงหอบหายใจหนักหน่วงกับเสียงหัวใจที่เต้นแรงของพวกเขาทั้งคู่เท่านั้น

...ลำนำรักของภูตราตรีเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือคาริฟแค่แกล้งแหย่เขาเท่านั้นนะ

นาซีมนึกสงสัย ทว่าไม่ทันได้คำตอบความเหนื่อยล้าก็ทำให้เขาผล็อยหลับไปเสียก่อน









❂ …………………………….❂









ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นาซีมพบว่าเขาอยู่ริมธารน้ำ ใต้แสงจันทร์ และกำลังนอนพิงอกคู่โชคชะตาของตนแล้วแช่อยู่ในถังน้ำด้วยกัน ซึ่งในขณะที่เขากำลังสะลึมสะลือ อีกฝ่ายกลับกำลังซุกซนด้วยการขบลงบนนิ้วมือของเขาอยู่

“ทำอะไรน่ะ...คาริฟ”

“ตื่นแล้วหรือ” คาริฟเมินคำถามของเขาด้วยการถามกลับ ซ้ำยังทำหน้านิ่งแต่ไม่ยอมปล่อยมือนาซีมให้เป็นอิสระอีกต่างหาก

“อือ” นาซีมพยักหน้ารับ

“ฟ้ายังไม่สาง เจ้าจะนอนต่อก็ได้ อย่างไรเสียเราก็ไม่ต้องทำอะไรไปอีก 7 ราตรี”

“หือ?” ครั้นได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก นาซีมจังขยับกายออกห่างไปนิด แล้วถามให้หายสงสัย “เหตุใดจึงไม่ต้องทำสิ่งใด 7 ราตรี”

“เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เจ้ากับข้าจะอยู่ร่วมกันในฐานะคู่แต่งงานอย่างไรเล่า ท่านแม่มิได้บอกหรือ”

“ไม่ได้บอก...” นาซีมส่ายหน้า คาริฟจึงอธิบายเพิ่มเพราะรู้ว่าคู่ของเขาต้องอยากรู้อย่างแน่นอน

“ก่อนแต่งห้ามพบกัน 7 ราตรี หลังแต่งก็ห้ามพบผู้อื่นนอกจากคู่ของตนเอง 7 ราตรีเช่นกัน มันเป็นธรรมเนียม” คาริฟว่า

“มีอย่างนี้ด้วยหรือ”

“มีสิ”

“แต่เราสองคนห้ามพบกัน 6 ราตรี ดังนั้น...”

“ให้นับเป็น 7 ไปตามธรรมเนียม” คาริฟรีบแทรก “ทำไมเล่า เจ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันกับข้าหรือ”

“มิใช่” นาซีมส่ายหน้า “แต่เจ้ายังมีหน้าที่ของหัวหน้าเผ่าต้องทำมิใช่หรือ”

“ช่วงเวลานี้เป็นข้อยกเว้น”

“แล้วเราจะทำอะไรในบ้านนี้ตั้ง 7 ราตรี ในเมื่อออกไปไหนก็ไม่ได้”

“เจ้าอยากรู้หรือ...”

คาริฟกระซิบถาม ก่อนจะดึงเอวนาซีมเข้ามากอดจนร่างแนบร่าง และตอนนั้นเองที่นาซีมนึกขึ้นได้ว่าพวกเขากำลังเปลือยทั้งคู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เสียแล้วเพราะวงแขนของเจ้าภูตราตรีนั้นยึดตัวเขาไว้แน่นหนาเหลือเกิน

“ข้า...มิได้...”

“ข้ามีอะไรทำร่วมกับเจ้าอีกมาก” คาริฟเอ่ยขึ้น และนาซีมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย “ยกตัวอย่างเช่น...”

“...”

เจ้าชายน้อยตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าคำตอบที่ได้ทำเอาอยากมุดน้ำหนีให้รู้แล้วรู้รอด

“เช่นว่า ข้ายังมีลำนำอีกหลายบทนัก อยากขับให้เจ้าฟัง”

“คาริฟ!!!”

“หืม? ว่าอย่างไร”

คาริฟถามคำถามยียวนด้วยใบหน้านิ่งๆ ต่างกับคนที่จู่โจมกันเมื่อตอนค่ำลิบลับ และต่างกับคาริฟที่นาซีมเคยรู้จักตลอดการเดินทาง เขาไม่รู้เลยว่าอย่างไหนคือคาริฟตัวจริงกันแน่

แต่นาซีมยังไม่หาคำตอบในตอนนี้ทั้งหมด เพราะเขารู้ว่าตนมีเวลาอีกทั้งชีวิตเพื่อทำความรู้จักกับบุรุษผู้นี้

อีกอย่าง ตอนนี้เขารู้แล้วว่า...ลำนำรักที่อีกฝ่ายบอกเป็นแค่อุบายที่ใช้ดึงความสนใจและเอามาแกล้งให้เขาอายทีหลังเท่านั้น ฉะนั้นก็ควรพาตัวเองออกจากตรงนี้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงถูกคาริฟแกล้งอีกรอบ

“ข้าอยากไปนอนในห้องแล้ว...ข้าหนาว”

“ไปสิ ข้าจะพาไป”

ว่าจบคาริฟก็ไม่ปล่อยให้นาซีมปฏิเสธ คาริฟลุกขึ้นจากถังน้ำ หยิบผ้าผวยมาห่อกายตน ก่อนจะดึงนาซีมขึ้นมาห่อด้วยอีกคน จากนั้นจึงอุ้มเขาเข้าไปนอนบนเตียงยับยู่ยี่ ความจริงเจ้าชายอยากต่อต้านอยู่บ้าง ไม่อยากให้คาริฟต้องปรนนิบัตรเขาทุกเรื่อง แต่คืนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัว จึงยอมให้คู่โชคชะตาดูแล ก่อนจะหลับไปด้วยกัน









❂ …………………………….❂







ขอโทษที่หายไปหลายวันค่ะ 

ฝนเจออุบัติเหตุนิดหน่อย แต่ตอนนี้กลับมาทำงานได้แล้ว

เดี๋ยวจะมาอัพต่อรัวๆ เลยน้า

ขอบคุณที่รอนะคะ ^^



ส่วนบทนี้ก็...ไม่มีอะไรจะบรรยายค่ะ เพราะบรรยายไปสุดความสามารถแล้ว -.,-

เจอกันตอนหน้าค่ะ



ละอองฝน



หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 26 ลำนำรัก :- [27/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-01-2020 21:49:13
จ้าาา หวานๆไปเนาะช่วงนี้
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 26 ลำนำรัก :- [27/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-01-2020 21:06:12
5555 คารีฟไม่ค่อยมีอาการเท่าไหร่เลยนะ ขับลำนำไปกี่บทแล้วคะ

เอ็นดูความซื่อของนาซีม ก็รอฟังลำนำเนาะ
แต่ตอนนี้คงไม่ถามอีกแล้ว

ชอบการบรรยายค่ะ เข้าถึงบรรยากาศ เหมือนอยู่ในงานด้วย
ยิ่งตอนที่เค้ากระซิบบอกกัน ก็เขินยิ่งกว่านาซีมไปอีกค่ะ

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 26 ลำนำรัก :- [27/01/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-01-2020 16:44:24
คนเดียวกันกับที่ไปช่วยนาซีมป่ะเนี่ย55
หัวข้อ: Re: 7---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 27 บ้านของเรา :- [05/02/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 05-02-2020 03:20:28


 



บทที่ 27 บ้านของเรา

 

 







หลังจากอยู่ในไอเรมมาหลายราตรีนาซีมก็เริ่มคุ้นชินกับนาฬิกาปลุกธรรมชาติ นั่นคือ ท่วงทำนองของน้ำไหลกระทบโขดหินดังเคล้าเสียงนกร้องที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารุ่งอรุณได้มาเยือนไอเรมแล้ว

ทว่าเช้าวันนี้เจ้าชายไม่ใคร่กระตือรือร้นสักเท่าใด ด้วยรู้สึกเมื่อยขบตามร่างกายจนไม่อยากลุกจากเตียงนอนอันแสนสุข เขาขยับตัวเล็กน้อยอย่างเกียจคร้าน พลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง กระทั่งตัดใจละทิ้งความสุขสบายได้ เปลือกตาสีน้ำผึ้งจึงค่อยๆ เปิดออก

แรกเริ่มเขามองเห็นสิ่งรอบกายไม่ชัดนัก แต่เมื่อปรับสายตาจากแสงรำไรที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างได้ นาซีมจึงค่อยกวาดตาสำรวจไปโดยรอบ

แน่นอนว่ายามนี้เขาอยู่ในห้องนอนของคาริฟ ในเป็นบ้านหลังใหม่ที่อยู่ใกล้กับที่ป้อมบังคับการส่งน้ำเหนือไอเรม เนื่องจากเมื่อคืนพวกเขาร่วมพิธีแต่งงานกัน นาซีมจึงต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่แทนบ้านของนีรา ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดูแปลกตาไปหมด

ห้องของคาริฟค่อนข้างเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ภายในมีเพียงแค่เตียงเท่านั้นที่ใหญ่พอจะนอนได้สองคน นอกจากนั้นก็เหลือแค่โต๊ะเล็กๆ ที่เอาไว้วางคนโทน้ำ

แต่จุดเด่นก็คือห้องนี้มีหน้าต่างบานใหญ่มากอยู่สองฝั่งของหัวนอน เมื่อมองออกไปจะเห็นตัวของอ่างพักน้ำกับคลองส่งน้ำได้อย่างชัดเจน

พืชพรรณที่ขึ้นอยู่บริเวณนั้นเป็นต้นไม้แปลกตาเหมือนเคย และท่ามกลางแมกไม้เหล่านั้น นาซีมเห็นแผ่นหลังกว้างของคนคุ้นเคยกำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรบางอย่างอยู่

...ที่แท้เขาก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ข้างล่างนั่น เพราะแบบนี้นาซีมจึงไม่พบหน้าเขายามที่ลืมตาตื่นขึ้นจากนิทรา

นาซีมคิดก่อนจะพาตัวเองลงจากเตียงนอน แต่เขาพบว่าตนเปลือยเปล่าไปทั้งร่าง มีเพียงผ้าห่มทอมือคลุมกายเอาไว้ ภาพเรื่องราวในราตรีที่ผ่านมาพุ่งเข้าใส่จนเจ้าชายรู้สึกอายจนแทบยืนไม่อยู่

โชคดีแล้วที่คาริฟไม่อยู่ด้วยตอนนี้...

นาซีมคิดก่อนจะปัดความทรงจำนั้นทิ้งแล้วเอาผ้าห่มคลุมกายไว้ ก่อนก้าวเท้าลงจากเตียงไปยืนข้างหน้าต่างฝั่งขวา

จากมุมนี้เขาเห็นคาริฟได้อย่างชัดเจน เจ้าภูตราตรีกำลังออกแรงหมุนกลไกไขสลักเพื่อปิดประตูน้ำ นั่นแสดงว่ายามนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว

นาซีมมองเขาวุ่นวายอยู่ด้านล่างจนประตูปิดเรียบร้อย อีกฝ่ายจึงรู้ตัวว่ากำลังถูกเจ้าชายมองอยู่

ครั้นคาริฟหันมาเห็นคนบนหน้าต่าง เจ้าตัวก็ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ มันเป็นยิ้มบางๆ ตามแบบฉบับของเจ้าตัว และนาซีมก็เห็นมันบ่อยครั้ง

แต่ไม่รู้เพราะอะไร มันถึงทำให้หัวใจของเจ้าชายแห่งโซราห์เบิกบานจนต้องยิ้มตามไปด้วย...

จากที่ยืนยิ้มให้กันเดี๋ยวเดียว คาริฟก็พาตนเองขึ้นมาบนบ้านและก้าวเข้าห้องนอนเข้ามาเร็วราวพริบตาเดียว มาถึงอีกฝ่ายก็เดินดุ่มๆ เข้ามาหานาซีมที่ยืนหลังพิงหน้าต่างรออยู่ ก่อนจะหยุดตรงหน้าและเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าตื่นนานแล้วหรือ”

“ไม่นาน” นาซีมว่า

“เพิ่งลงจากเตียงเมื่อครู่?”

“ใช่แล้วล่ะ ดูสิว่าข้ายังไม่สวมเสื้อผ้าเลย” คนพูดเอ่ยพลางส่งสัญญาณให้คาริฟก้มลงดูสภาพของตนเอง “บอกได้หรือไม่ว่าข้าจะหาเสื้อผ้าได้จากที่ไหน”

คาริฟยิ้มแล้วตอบ

“ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าจะอาบน้ำชำระร่างกายอีกรอบหรือไม่ ข้าจะพาไป”

“เช้านี้อากาศเย็นนัก...” ยังไม่ทันพูดจบ คาริฟก็พอรู้จึงตัดสินใจให้แทน

“เช่นนั้นก็มิต้องอาบ แค่ล้างหน้าและเปลี่ยนอาภรณ์ก็พอ อย่างไรเสียข้าก็พาเจ้าแช่น้ำตอนเกือบใกล้รุ่งสาง ตัวเจ้าคงมิได้เลอะเทอะที่ตรงไหน จริงหรือไม่”

เขาว่าพลางเกลี่ยเส้นผมยุ่งเหยิงให้พ้นใบหน้าของนาซีม พานให้คนที่ได้รับความใส่ใจรู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้า เจ้าชายจึงได้แต่พยักหน้าและตอบรับเบาๆ

“อืม”

“เช่นนั้นก็ไปเถิด ข้าเตรียมน้ำให้เจ้าแล้ว”

คาริฟจูงมือคู่โชคชะตาของตนไปล้างหน้าล้างตาที่หลังบ้าน เขารองน้ำไว้ในอ่างเล็กๆ ไว้รอท่าแล้ว พร้อมกันนั้นยังเตรียมอาภรณ์สีสันสดใสขนาดพอดีตัวให้อีกด้วย นาซีมจึงได้แต่ล้างหน้าล้างตา ก่อนจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ด้วยตนเองท่ามกลางสายตาของเจ้าภูตราตรีที่มองมาเหมือนต้องการช่วยเหลือ

อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาอาสาจะช่วยแต่งตัวให้เจ้าชายแล้ว แต่ถูกปฏิเสธจึงได้แต่มองเงียบๆ เท่านั้น

นาซีมรู้สึกอายและไม่ชินอยู่บ้างเหมือนกันที่ถูกอีกฝ่ายมองอยู่ตลอดเช่นนี้ แต่เมื่อคิดว่าเมื่อราตรีที่ผ่านมาคาริฟเห็นไปถึงไหนต่อไหน เขาจึงข่มความอายและคิดว่าอะไรๆ ของพวกเขาก็มีเหมือนกัน หากคาริฟจะมองก็คงไม่เป็นไร

จนเมื่อแต่งตัวเรียบร้อย คาริฟจึงพานาซีมไปนั่งที่เตียงโดยที่มีร่างใหญ่โตของตนซ้อนหลังเอาไว้

“จะทำอันใดหรือ” นาซีมถามอย่างนึกสงสัย

“ข้าจะผูกผมให้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ถนัด”

“ไม่เป็นไร ข้าจะหัดทำเอง”

“เอาไว้หัดวันหลัง”

“แต่...”

“ข้าอยากทำให้” คาริฟยืนยันคำเดิม

นาซีมนึกย้อนไปถึงครั้งหนึ่งในเอมาลีตอนที่พวกเขาพักอยู่ด้วยกันในบ้านของจาเร็ด ครานั้นคาริฟเคยอาสาจะผูกผมให้แก่เขาเช่นกัน แต่นาซีมปฏิเสธไปเพราะเกรงใจและไม่อยากให้ตนเองต้องกลายเป็นตัวภาระของเจ้าภูตราตรีเกินไปนัก

ทว่าในเวลานี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเติบโตขึ้น ความรู้สึกข้างในก็เช่นกัน

นาซีมยังคงไม่อยากเป็นภาระให้แก่คาริฟเหมือนเก่า หากเขากลับอยากใกล้ชิด อยากได้รับการดูแลและตอบรับการกระทำจากหัวใจของคู่โชคชะตา ฉะนั้นเมื่อมองดวงตาสีมรกตที่จ้องมา เจ้าชายจึงยินยอมตอบรับคำขอของคาริฟแต่โดยดี

“ให้ข้าทำให้เจ้านะ”

“ได้สิ”

“...”

ครั้นได้ยินคำตอบรับ คาริฟก็ไม่พูดสิ่งใดอีก เขายกยิ้มออกมานิดๆ แต่เป็นยิ้มที่นาซีมชอบเหลือเกิน เขาจึงยิ้มตอบและหันหลังให้พร้อมกับเอ่ยขอบคุณเบาๆ

“ขอบคุณนะคาริฟ”

“ไม่เป็นไร”

เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะใช้หวีไม้สางผมให้นาซีมอย่างเบามือและตั้งอกตั้งใจ เขาลูบเส้นผมสีดำยาวทั้งยังเงางามดุจเส้นไหมราวกับของล้ำค่าด้วยความเสน่หา ก่อนจะบรรจงถักมันเป็นเปียยาวจนถึงปลายผมแล้วใช้เชือกผ้ามัดปลายเอาไว้ให้แน่นหนา เผื่อว่านาซีมไปเล่นซนที่ไหนจะได้ไม่หลุดลุ่ย

“เสร็จแล้ว”

เมื่อได้ยิน นาซีมก็หันมายิ้มให้คาริฟ ก่อนจะขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง

“ขอบคุณ”

“เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นผู้เชือกรัดแขนให้ข้าได้หรือไม่”

“ได้สิ ไหนเล่า”

คาริฟลุกไปเอาเชือกรัดเกล้าที่นาซีมสวมให้เขาเมื่อคืนมาจากโต๊ะใกล้เตียง ก่อนส่งมันให้คนที่ตั้งใจถักมามอบเป็นของแทนใจในคืนวิวาห์

“อยู่นี่” เขาส่งเชือกเส้นนั้นคืน

“ให้ข้าทำอย่างไร”

“รัดที่ต้นแขนขวาของข้าก็แล้วกัน”

ว่าจบคาริฟก็หันตัวด้านขวาให้ นาซีมเห็นเชือกเดิมที่ต้นแขนจึงถามด้วยความสงสัย

“เชือกนี้มีความสำคัญอย่างไรหรือ เจ้าถึงให้ผูกไว้ที่ต้นแขน”

คาริฟมองดูคนรักแกะเชือกเก่าไปพลาง อธิบายไปพลาง

“เชือกที่รัดต้นแขนเป็นสัญลักษณ์ของเหล่านักรบในเผ่าเรา หากผู้ใดมีจิตวิญญาณเป็นนักรบของกองกำลังภูตราตรี จักต้องผูกมันไว้ที่ต้นแขนข้างที่ใช้จับศาสตราวุธ”

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงให้ข้าผูกเชือกสีฟ้านี่แทนของเก่า”

“เพราะมันเป็นคือแทนใจของเจ้ามิใช่หรือ ข้าจะใช้มันเป็นตัวแทนแห่งจิตวิญญาณนักรบ และทุกคราที่ข้ามองมัน เข้าก็จะนึกถึงผู้ที่ทำมันให้ข้าด้วยหัวใจ”

ครั้นได้ฟังคำตอบ นาซีมก็หลุดยิ้มออกมาอีกรอบ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ คาริฟทำให้เขายิ้มกี่ครั้งแล้ว นาซีมรู้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างเขาทั้งสองช่างอ่อนหวาน

พานให้หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่คิดฝันว่าจะได้ประสบ

เจ้าชายตั้งใจผูกเชือกสีฟ้าให้หัวหน้าเผ่าภูตราตรีอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งมันแน่นดีแล้ว เขาจึงแตะเบาๆ ที่ต้นแขนของอีกฝ่าย

“เรียบร้อยแล้วล่ะ”

“ขอบคุณ”

พวกเขาต่างขอบคุณกันและกัน ราวกับมันคือมารยาทที่ควรกระทำ แต่จริงๆ แล้วมันคือคำที่เอ่ยออกมาจากใจมากกว่า เพราะต่างคนต่างไม่รู้ว่าจะหาสิ่งใดมาตอบแทนอีกฝ่ายที่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอิ่มเอมเช่นนี้

 

❂ …………………………….❂

 

กว่าจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยไปเกือบตรงศีรษะ คาริฟยังคงปฏิบัติตัวด้วยความใส่ใจเหมือนเคย ด้วยการจูงมือน้อยๆ ของเจ้าชายออกมาและหาอาหารเช้าเกือบเที่ยงให้เขากิน

เขาทำอาหารง่ายๆ ที่ใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในครัวเล็กของบ้าน ผสมกับเนื้อแกะที่ได้มาจากงานวิวาห์เมื่อคืน จนกลายเป็นอาหารมื้อหนักที่มีหน้าตาไม่ธรรมดาถึงสองจาน ข้างกันนั้นมีจานแป้งกรอบๆ วางเอาไว้ให้กินคู่กัน ด้วยเขากลัวว่าหากไม่มีแป้ง นาซีมจะไม่อยู่ท้อง

นาซีมมองความสามารถพิเศษอีกอย่างของคาริฟแล้วนึกทึ่ง เขารู้ว่าคู่โชคชะตาของตนคอยเอาใจใส่ดูแลเรื่องอาหารให้เสมอตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง แต่ไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะปรุงอาหารเป็นด้วยเช่นกัน ซ้ำยังมีรสชาติอร่อยละมุนลิ้นเป็นอย่างมาก

“ค่อยๆ กิน”

คาริฟเอ่ยขึ้นขณะที่เหลือบไปเห็นเครื่องเทศสีแดงติดอยู่ที่ข้างริมฝีปากของเจ้าชาย นอกจากกล่าวเตือนแล้วเขายังลงมือเช็ดมันออกให้ทันทีอีกด้วย

“ขอบคุณ” นาซีมพูดคำขอบคุณซ้ำๆ แล้วจึงขยายความเพิ่มเติม “อาหารรสมือท่านอร่อยมาก”

“ขนาดนั้นเชียวหรือ” เจ้าภูตราตรีเลิกคิ้วถาม

“อร่อยจริงๆ” นาซีมยืนยัน “ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะมีความสามารถในการทำอาหารด้วย”

“ข้าต้องเดินทางบ่อยครั้ง อีกทั้งตอนเด็กๆ ท่านแม่ก็มักจะวุ่นอยู่ในห้องปรุงยาของนาง ข้ากับทานพ่อจึงต้องหาอะไรใส่ท้องด้วยตัวเองบ่อยๆ” คาริฟเล่าและเท้าคางมองนาซีมกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

“ดีจริง ข้าไม่เคยทำอาหารเองเลยสักครั้ง”

“ใครจะปล่อยให้เจ้าชายเข้าไปคลุกฝุ่นอยู่ในครัวได้” คาริฟบอกอย่างรู้ทัน

“แต่ตอนนี้ข้าอยากลองทำดูบ้างแล้ว”

“ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่เฉยๆ ข้าจะคอยดูแลเจ้าเอง”

ครั้นได้ยินคาริฟบอกเช่นนั้น นาซีมจึงหยุดมือและวางของกินลงจานเหมือนเก่า การกระทำของเขาทำให้เจ้าภูตราตรีกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง แล้วถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไร” เขาว่า “ข้าพูดสิ่งใดผิดไปหรือ”

“เจ้ามิได้พูดสิ่งใดผิดหรอก” นาซีมว่าพลางส่ายหน้าไปปฏิเสธ

“แล้วเหตุใดจึงไม่กินต่อเล่า”

“ข้าแค่อยากตกลงบางเรื่องกับท่านอย่างจริงจังสักหน่อย”

“เรื่องอันใด”

“เรื่องที่ท่านว่าจะดูแลข้า”

“ทำไมหรือ”

“ข้าแค่อยากบอกว่า หากท่านจะดูแลข้า ข้าก็ยินดี เพียงแต่ข้าเองก็อยากดูแลท่านกลับคืนบางเช่นกัน ทั้งยังไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้ท่านห่วงมากนัก”

“เจ้ามิใช่ตัวภาระสำหรับข้านะนาซีม”

ดูท่าคาริฟจะไม่พอใจที่นาซีมพูดแบบนั้น นาซีมสัมผัสได้จากพลังบางอย่างที่อัลฟ่าเช่นเขาปล่อยออกมา เจ้าชายจึงใช้ความเป็นโอเมก้าของตนหยุดความเกรี้ยวกราดที่กำลังจะก่อตัวขึ้น

นาซีมวางมือลงบนหลังมือของคาริฟเบาๆ ก่อนจะขยับเป็นกุมมือใหญ่นั้นไว้ แล้วให้เหตุผลเพิ่มอีกหลายประการ

“แต่เดิมข้ามิเคยทำอาหาร ไม่เคยดูแลบ้าน ไม่เคยปรนนิบัติดูแลใครเหมือนที่เจ้าทำ แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่สามารถถักผมตัวเองให้สวยงามได้ แต่คาริฟ...ยามนี้ข้าไม่ใช่นาซีมคนเดิมอีกแล้ว ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาข้าเรียนรู้ว่าข้าต้องรู้สึกพึ่งพาตนเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเหนื่อยเพียงผู้เดียว เราสัญญาว่าจะดูแลกันมิใช่หรือ”

“อืม”

“ดังนั้นให้ข้าได้ลองทำอะไรๆ เองบ้างเถิด นอกจากนี้ข้าก็อยากทำหลายสิ่งหลายอย่างให้เจ้าด้วย ข้าเองก็รู้สึกเหมือนที่เจ้ารู้สึก ข้าเป้นเจ้าชายก็จริง แต่สำหรับเจ้า ข้ามิใช่เจ้าชายสูงศักดิ์ หากเป็นเพียงคู่ที่จะอยู่เคียงเจ้าไปตลอดชีวิต...ดังนั้นโปรดอย่าห้ามข้าเลยนะ”

“นาซีม...”

คาริฟมองตาสีน้ำตาลงดงาม ในดวงตานั้นมันบอกทุกอย่างแก่เขาหมดแล้ว มันแสนซื่อตรงไม่ต่างจากความรู้สึกของผู้พูด

แล้วเช่นนี้จะให้เขาใจร้าย กล้าปฏิเสธความหวังดีของนาซีมได้อีกหรือ...

“เจ้าคิดว่าอย่างไรคาริฟ”

“ข้าตามใจเจ้าทุกอย่าง ขอแค่อย่าหักโหมเกินไป ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม”

“ขอบคุณนะ” นาซีมเอ่ยอย่างยินดี

“เลิกขอบคุณและกินอาหารต่อได้แล้ว ไม่เช่นนั้นอาหารจะชืดหมด” เจ้าภูตราตรีชี้ไปที่อาหารแล้วกล่าวเตือน

“เจ้าก็กินด้วยกันสิ บังคับให้ข้ากิน เข้าไม่เห็นแตะอาหารบ้างเลย”

“อยากให้ข้ากินหรือ”

คาริฟถามอย่างมีเลศนัย และเจ้าชายนาซีมก็ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของภูตราตรีอีกตามเคย

“อยากสิ อยากให้กินด้วยกัน”

“เช่นนั้นป้อนข้าสิ”

“ให้ข้าป้อนหรือ?”

“แน่นอน ต้องเป็นเจ้า”

“แต่...เอ่อ...” เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องทำสิ่งใด นาซีมก็อดรู้สึกกระดากอายมิได้

“ไหนเจ้าว่าอยากทำอะไรให้ข้าบ้างอย่างไรเล่า เริ่มจากเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ก็ดีมิใช่หรือ”

เมื่อได้ฟังคำของคนเจ้าเล่ห์ นาซีมก็เถียงไม่ออก เขาบิแป้งกรอบออกมาเป็นชิ้นพอดีคำ ก่อนจะใช้ช้อนไม้ตักลงไปในแกงสีจัดจ้านแล้วป้อนให้ถึงปากเจ้าภูตราตรี

คาริฟรับอาหารนั้นเข้าปากอย่างเต็มใจ และปล่อยให้นาซีมกินเองบ้างสลับกันไป กระทั่งรู้ตัวอีกทีอาหารก็หมดลงเสียแล้ว

“เอาไว้เย็นนี้ข้าจะทำให้เยอะกว่าเดิม” เจ้าภูตราตรีหมายมั่นปั้นมือ

“เช่นนั้นข้าช่วยด้วยดีหรือไม่” เจ้าชายน้อยอาสา

“ได้สิ ข้าต้องให้เจ้าช่วยแน่นอน

 

❂ …………………………….❂

 

ระหว่างวันคาริฟพานาซีมไปสำรวจรอบๆ บ้านจนรู้จักทุกซอกทุกมุม พอตกเย็นนาซีมก็มีโอกาสได้ช่วยเป็นลูกมือในครัวให้คาริฟตามที่ตกลงกันไว้ พวกเขาสาละวนทำอาหารด้วยกันอยู่นาน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็นำมาขึ้นโต๊ะและกินพร้อมกัน โดยที่นาซีมบังคับให้คาริฟป้อนเขาอยู่หลายคำ

กว่าจะกินหมดเจ้าชายก็อิ่มจนรู้สึกว่าท้องแน่นตื้อทีเดียว คาริฟจึงชวนเขาออกไปเดินเล่นริมสระพักน้ำ ด้วยเวลานี้เป็นเวลาที่ต้องเปิดน้ำไปให้ทุกคนในไอเรมได้ใช้

เจ้าชายน้อยเดินตามหลังเจ้าภูตราตรีไปทั่ว ค่อยติดตามและสังเกตการณ์ราวกับเงาตามตัว หลายครั้งที่นึกสงสัยเขาก็เอ่ยถามขึ้นบ้าง คาริฟเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดีด้วยการตอบทุกคำถามของคนขี้สงสัย

บางคราเวลานึกสิ่งใดออกก็จะเล่าให้นาซีมฟัง ซึ่งคาริฟค้นพบเรื่องสำคัญอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับภูตราตรีแล้วล่ะก็ คนดีของเขาจะค่อนข้างสนใจเป็นพิเศษ

ซึ่งคาริฟก็ชอบยามที่เขาเล่าเรื่องแล้วมีคนตากลมคอยมองอย่างสนอกสนใจอยู่ใกล้ๆ เหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดอีกแล้วในโลกใบนี้ที่นาซีมสนใจนอกจากเขา

จนเมื่อถึงเวลาปิดน้ำจากต้นคลองส่งน้ำ ท้องฟ้าก็ค่อยๆ ราแสงลงพอดี

คาริฟจูงมือน้อยๆ พาคู่โชคชะตาไปนั่งอยู่บนโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ที่ตรงนั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของไอเรมได้เกือบทั้งหมด ทั้งยังเย็นสบายเพราะอยู่ใกล้สระน้ำ ดอกไม้ป่าหอมๆ ดอกเล็กดอกน้อยผลิบานอยู่ข้างๆ กันเป็นหมู่เป็นกอ นาซีมหันไปมองตรงนั้นทีตรงนี้ทีโดยที่ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับเอาไว้ตลอด ชวนให้คนมองรู้สึกชื่นใจทุกครั้งที่เห็น

คาริฟเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าเขามองนาซีมได้ไม่เบื่อเลย

เมื่อเลิกสนใจต้นไม้ใบหญ้ารอบกายแล้ว เจ้าชายจึงหันมาหาคาริฟบ้าง

“ข้าชอบที่นี่”

“ถ้าชอบก็อยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหนแล้ว”

“เจ้าก็รู้...มันเป็นไปไม่ได้” นาซีมสลดลงเมื่อคิดว่าสิ่งใดกำลังรอตนเองอยู่

“ข้ารู้” คาริฟตอบเรียบๆ “และข้าจะคอยช่วยเจ้าไปจนสุดทาง ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะในศึกนี้ แต่ข้าและเหล่าภูตราตรีจะเข้าร่วมกับเจ้าด้วย”

“ลำบากเจ้าแล้ว” นาซีมยิ้มอ่อน

แม้ใจจริงไม่อยากให้ใครมาเสี่ยงอันตรายกับจนเอง มีหลายคราที่คิดอยากทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพราะชีวิตของเขายามนี้สงบสุขดีแล้ว

แต่นาซีมรู้ว่าเขาทำเช่นนั้นไม่ได้ เขามิอาจเห็นแก่ตัวทิ้งทุกอย่างโดยไม่สนใจใคร และมาหลบอยู่ในสถานที่ที่สวยงามซึ่งห่างไกลจากการรุกรานของพวกคนเลว

“อย่าได้เป็นกังวล”

“เฮ้อ~” นาซีมถอนหายใจทิ้ง ก่อนจะมองไปยังกลุ่มดาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า “ข้าเคยได้ยินคนบอกว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ดูท่าคงเป็นเรื่องจริง”

“แต่ข้าเชื่อว่า...ความสุขของคนเรานั้นจะแทรกอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต แม้วันนี้มันผ่านพ้นไปแล้ว วันหน้ามันก็จะมาเยือนใหม่”

“จริงหรือ” นาซีมละสายตาเจ้าหมู่ดาวมามองดวงตาสีมรกต

“ข้าจะทำให้เจ้าเห็น...เชื่อข้าหรือไม่”

“ข้าเชื่อ”

นาซีมตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยเพราะเขาเชื่อบุรุษผู้นี้หมดหัวใจ

“และอีกอย่างนะนาซีม” คาริฟเอ่ยขึ้นท่ามกลางแสงดาวในยามราตรี “แม้เจ้าต้องกลับไปยังที่ที่จากมาในสักวันหนึ่ง แต่ไอเรมก็จะเป็นบ้านของเจ้าเสมอ”

“ไม่ใช่บ้านข้า”

“...”

นาซีมส่ายหน้าและเกือบจะพาให้คาริฟใจเสีย แต่ตอนท้ายเขาก็เอ่ยประโยคต่อมาที่ทำให้ถูกจุมพิตเนิ่นนานหลังจากที่พูด

“บ้านของเราต่างหาก”

 




❂ …………………………….❂

 

 

 


หัวข้อ: Re: 7---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 27 บ้านของเรา :- [05/02/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-02-2020 01:05:25
ขยันหวานกันมากกก
หัวข้อ: Re: 7---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 27 บ้านของเรา :- [05/02/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-02-2020 01:06:52
ขนันหวานกันจังคู่นี้
หัวข้อ: Re: 7---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 27 บ้านของเรา :- [05/02/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-02-2020 21:51:20
จ้าาา บ้านของเรา
หัวข้อ: Re: 7---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 27 บ้านของเรา :- [05/02/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 08-02-2020 17:00:44
ละมุนละไมกันจังเลย
แต่พอเริ่มพูดถึงบ้านเมืองแล้วก็ใจหาย อยากให้อยู่ดูแลกันที่นี่นานๆ
หัวข้อ: Re: 7---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 27 บ้านของเรา :- [05/02/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-02-2020 04:09:34
โอยยย น่ารักมากค่ะ เค้าสวีทกัน ดูแลกันตลอดเวลา
ไม่ได้มีโมเมนท์นี้มากนักที่จะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

เอ็นดูนาซีมมาก อยากดูแลกันบ้าง ไม่อยากได้รับฝ่ายเดียว
คาริฟก็ปริ่มไปเถอะ เจอคนน่ารักอยากใส่ใจกัน

เข้าใจนาซีมนะคะว่า ยังมีห่วง แต่ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่
คาริฟก็คอยอยู่เคียงข้างเสมอ คอยเอ็นดูไม่ห่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: 7---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 28 ไฟสงคราม :- [04/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 04-03-2020 18:55:56
 

 



บทที่ 28 ไฟสงคราม

 



 

 

               เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ดวงอาทิตย์สีส้มก็ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า ทาริคทอดสายออกไปด้านนอก มองจุดที่ท้องฟ้าบรรจบผืนทราย ฝ่ามือหยาบกร้านเพราะกำดาบมาครึ่งชีวิตค่อยๆ ลูบไปบนขอบหน้าต่างเบาๆ มองผาดๆ อาจคิดไปว่าราชาองค์ใหม่กำลังสนใจลวดลายที่สลักเสลาที่บานวงกบนั้น

แต่แท้จริงแล้วเขากำลังครุ่นคิด

...คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อคืน

ซ้ำยังคิดด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเป็นที่สุด

“เขาหนีไปแล้ว”

“ขอรับท่านทาริค”

“ปล่อยให้หนีได้...” เขาเว้นช่วงคำพูดก่อนจะหันมามองคนใต้บังคับบัญชาซึ่งอยู่ห่างออกไปโดยมีโต๊ะทรงงานขวางกั้นเอาไว้ด้วยสายตาคมกริบ “...อีกแล้วหรือ”

แม้จะเป็นทหารเดนตายที่เก่งกาจมาจากไหน แต่เมื่อยู่ใต้สายตาเชือดเฉือนราวกับจะฆ่าคนได้ ทุกคนต่างก็ต้องตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวกันทั้งนั้น

ทาริคเป็นคนเก่ง ซ้ำยังฉลาดมาก แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาน่ากลัวว่าผู้นำคนอื่นๆ คือ นอกจากสู้รบเก่งและฉลาดแล้ว ทาริคยังบ้าบิ่น

...และคาดเดาไม่ได้อีกด้วย

เขาเดินกลับมาที่เก้าอี้ทรงงาน ทิ้งตัวลงนั่งเอนหลังแล้วกวาดตามองเหล่าทหารหาญที่คอยอยู่รับใช้กันมานาน มองเหล่าขุนนางใหม่ที่เพิ่งแต่งตั้ง สุดท้ายสายตาจึงไปหยุดที่เหล่าขุนนางเก่าของราชาองค์ก่อนซึ่งยินยอมสวามิภักดิ์ต่อตน แล้วถึงเอ่ยถาม

“ไหนเจ้าว่า นาซีมไม่มีกำลังสนับสนุนอย่างไรเล่า แล้วเหตุไฉนเจ้าชายน้อยของพวกเจ้าจึงมีคนมาช่วยให้หนีไปได้ทุกครา”

“คงมิใช่ถึงขนาดกองกำลังขอรับองค์ราชา”

“ถ้ามิใช่กองกำลังแล้วเป็นอะไร เจ้าลองบอกข้า...หากให้เหตุผลที่ฟังขึ้น ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

“!”

เสนาฝ่ายซ้ายของอดีตราชาราฮิมผงะถอยไปหลายก้าว ร่างกายของเขาสั่นทึมจนไม่อาจระงับอาการ ขุนนางเฒ่าเพิ่งสำนึกได้ในตอนนี้ว่าไม่ควรเข้าข้างศัตรูตั้งแต่แรก เพราะถึงแม้ตนจะเปลี่ยนสีมามอบกายถวายชีวิตให้ เจ้าคนป่าเถื่อนผู้นี้ก็ไม่คิดจะเห็นหัวกันอยู่ดี

แต่ให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาโดดลงเรือโจรสลัดลำนี้เสียแล้ว สิ่งที่ทำได้มีเพียงต้องพินอบพิเทาและทำอย่างที่กัปตันเรือสั่งโดยไม่มีข้อแม้

“เงียบทำไม ข้าสั่งให้พูด!”

               เสียงตวาดก้องกัมปนาทไปทั่วห้องทรงงาน พานให้เสนาบดีแก่สะดุ้งตกใจอย่างเสียขวัญก่อนจะละลักละล้ำบอกสิ่งที่คาดว่าจะเป็นไปได้

               “ข้าคาดว่าจะเป็นเหล่าราชองครักษ์ส่วนพระองค์ขอรับ ต้องเป็นพวกนั้นแน่ๆ ที่ช่วยเจ้าชายนาซีมไว้ เพราะก่อนหน้านี้ระ...เราปล่อยมันหนีไปได้ ตะ...แต่พวกมันมีจำนวนไม่มากขอรับ”

               “ไม่มากที่ว่านั่นเท่าไหร่”

               “ไม่เกินสามสิบนายขอรับ”

               “แต่เป็นยอดฝีมือทั้งนั้นใช่หรือไม่”

               “ขะ...ขอรับ”

               “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

ทาริคพยักหน้ารับรู้และไม่มีท่าทีคุกคามชั่วขณะหนึ่ง ขุนนางเฒ่าจึงลอบระบายลมหายใจเบาๆ ด้วยคิดว่าตนคงรอดพ้นจากโทษทัณฑ์ของราชาองค์ใหม่

               แต่ขณะที่อีกฝ่ายนึกวางใจ ราชาไร้หัวใจก็เอ่ยออกมาเรียบๆ คำหนึ่ง

               “ฆ่ามัน”

ฉัวะ!

โลหิตสีแดงสดสาดกระจายไปที่ผนังข้างหนึ่งหลังจากที่ซีญ่าตวัดดาบ ร่างไร้ศีรษะของของขุนนางอาวุโสล้มตึงลงไปกับพื้น เสียงหนักๆ ของร่างที่กระทบพื้นรวมกับกลิ่นโลหิตเข้มข้นยิ่งทำให้บรรยากาศรอบกายของอัลฟ่าผู้มีตำแหน่งสูงสุดน่าหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก

ทาริคปรายตามองศีรษะที่ดวงตาเบิกค้างแวบหนึ่งจากนั้นจึงสั่ง

“จัดการอย่าให้มันรกตาข้า”

เมื่อสิ้นเสียง ทหารผู้น้อยที่คอยอยู่หน้าประตูก็เข้ามาเก็บกวาดอย่างรวดเร็วในพริบตาเดียว ส่วนทาริคก็เดินวนกลับไปที่หน้าต่างเหมือนเก่า เขาทอดสายตาออกไปด้านนอกอีกครั้ง เนิ่นนานกว่าจะเปิดปากอีกครา

“ครั้งแรกเขาหนีไปยังโฮมาหรือ”

“ขอรับ” ซีญ่ายืนยัน

“ต่อมาคนของเราจับเขาได้ที่เอมาลี?”

“ขอรับ”

“เมื่อถูกจับไปที่ซันดา เขาหนีออกมาได้และมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมาชิงตัวไปอีกต่อ”

“ถูกแล้วขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีวิธีอื่น” ประโยคนี้ทาริคคล้ายเอ่ยกับตนเอง แล้วจึงหันกลับไปหาทหารและขุนนางของตน “เกณฑ์ไพร่พลและจัดทัพให้เร็วที่สุด”

“อะ...องค์ราชาจะทำสิ่งใดหรือขอรับ”

ใครคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ และทาริคก็ยอมตอบโดยดี

“เราจะบุกโฮมา”

 

 

 

 
❂ …………………………….❂

 

 

 

 

               “เพิ่งยึดโซราห์ได้ไม่นาน ท่านก็จะทำศึกอีกแล้วหรือ”

               เสียงของเบต้าหนุ่มที่กำลังแช่น้ำในสระซึ่งโรยกลีบดอกไม้เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นทาริคเดินเข้ามา เขาวักน้ำขึ้นลูบแขนและไหล่ไปพลางขณะรอคำตอบ

               ทาริคยิ้มบาง หากดวงตาคมกริบที่มองอีกฝ่ายกลับฉายแววไม่พอใจน้อยๆ

               “ข่าวของเจ้าเร็วดีนะ”

               “ไม่พอใจหรือ”

               “ข้ายังมิได้ว่าอันใด”

               “เช่นนั้นก็ตอบคำถามข้าสิ” ดวงตาคู่สวยมองราชาทาริคสืบเท้าไปตามขอบสระ ก่อนจะหยุดลงตรงตำแหน่งที่เขาพิงกายเอาไว้ “เหตุใดจึงเร่งทำศึกนัก”

               “เราจำเป็นต้องทำ”

               “จำเป็นอย่างไร ไหนท่านว่าพวกเราต้องเร่งสร้างความเสถียรและมั่นคงให้โซราห์ก่อน แต่นี่ยังยึดได้ไม่ทันไรท่านก็จะทำศึกอีกแล้ว คนของเราก็ยังไม่ฟื้นตัวจากการศึกที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ”

               “ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เวลานี้คนของเราชินกับการทำศึก ซ้ำยังได้พักมาแรมเดือน อีกอย่าง เราได้กำลังเสริมเพิ่มจากกองทัพของโซราห์ด้วย”

               “แต่ข้าก็ยังคิดว่านี่เร็วเกินไป”

               “เจ้าไม่เชื่อความคิดข้าหรือ”

               ทาริกเอ่ยก่อนจะย่อตัวลงนั่ง เขาเชยคางอามินขึ้นแล้วจ้องตาคู่งามของเบต้าหนุ่ม ไม่รู้เพราะอะไรทาริคจึงรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ดึงดูดเขาได้เสมอ แม้บางครั้งก็เป็นดวงตาคู่นี้อีกเช่นกันที่แสร้งทำเฉยเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง

               “ท่านไม่ควรถามข้าด้วยคำถามนี้”

อามินเอ่ยเรียบๆ แต่ทาริคเก็นแววผิดหวังแทรกเข้ามาในแววตาของอีกฝ่าย

               “เหตุใดข้าจึงไม่ควรถาม”

               “ท่าน...”

อามินสะบัดหน้า พยายามให้ตัวเองพ้นจากอุ้งมือที่บีบปลายคางไว้...แต่มันไม่สำเร็จ

“บอกสิว่าทำไม”

“อย่าทำเหมือนไม่รู้ว่าข้ารู้สึกอย่างไร...”

ว่าจบอามินก็ใช้มือผลักตัวห่างจากสระน้ำและว่ายไปขึ้นอีกฝั่ง เขาใช้ผ้าแพรบางห่อร่างเปลือยเปล่าอย่างรวดเร็ว เมื่อมัดทีเอวเรียบร้อยชายหนุ่มจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่อีกฝั่งของสระ

“ในเมื่อเจ้าเชื่อข้า เช่นกันก็จงเชื่อต่อไป รับรองว่าสิ่งที่ข้าคิดจะกระทำย่อมเป็นสิ่งที่จะพาเราไปสู่จุดสูงสุดแห่งซาร์เรีย”

“...”

“ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้ากลับไปตกต่ำเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว”

พูดจบทาริคก็กางมือออกโดยมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับที่มุมปาก อามินมองดูรอยยิ้มนั้นอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเดินอ้อมสระน้ำไปหาอ้อมกอดของอีกฝ่าย

ใครจะว่าทาริคเลวร้ายอย่างไร อามินก็ไม่อาจใจแข็งกับทาริคได้นานเหมือนที่ต้องการ

...ไม่เคยปฏิเสธบุรุษผู้นี้ได้

เมื่อถูกรวบกอดเอาไว้แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆ ของคนเถื่อนที่ใครๆ ต่างขนานนามลับหลังว่าราชาไร้หัวใจ อามินซบหน้าลงกับอกแกร่งนั้น

ฟังดูสิ...นั่นเสียงหัวใจของทาริคมิใช่หรือ

เขาเองก็มีหัวใจเหมือนมนุษย์ทั่วไป หาใช่คนไร้หัวใจไม่...อามินคิด แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกต่อหน้าเขาเป็นเพียงเล่ห์กลหรือความรู้สึกจริงๆ กันแน่

“ท่านทาริค”

               “หืม?”

               “ตกลงว่าท่านคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ ท่านก็รู้มิใช่หรือว่าโฮมาเป็นแคว้นใหญ่ไม่ต่างกับโซราห์ หากทำอะไรผลีผลามเกินไป ข้าเกรงว่าเราจะเพลี่ยงพล้ำ”

               “แต่ถ้าไม่ทำ เจ้าชายไร้บัลลังก์ผู้นั้นคงชิงโอกาสนี้รวบรวมกำลังขึ้นและต่อต้านเราในไม่ช้า”

               อามินขนลุกซู่ ก่อนจะผละออกเพื่อเงยขึ้นมองหน้าทาริค

               “ไหนว่าเขาไม่มีพันธมิตร ตัวคนเดียว ซ้ำยังอ่อนแอ”

               “ตอนแรกข้าก็เข้าใจเช่นนั้น แต่ดูเหมือนสิ่งที่พวกเราคิดจะผิดไป เจ้าไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดเขาจึงหนีจากเงื้อมมือข้าพ้น”

               “...เขาอาจจะโชคดี”

               “แต่นี่สี่ครั้งแล้วที่เขาหนีไปได้ ข้าเชื่อว่าโลกใบนี้มีมีผู้ใดโชคดีถึงเพียงนั้น”

               “ท่านหมายถึง...” อามินนิ่งไปนิดแล้วจึงเอ่ย “เขามีคนช่วยเหลืออยู่อย่างนั้นหรือ”

               “แน่นอน เขาต้องมีคนคอยช่วย” ทาริคว่า “และต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เขาหนีออกจากค่ายของเราในราตรีนั้นและเข้าสู่โฮมาได้อย่างง่ายดาย ผ่านไปหลายราตรีเราจึงพบความเคลื่อนไหวของเขาที่เอมาลี พอถูกจับได้และพาไปขังที่ซันดา แคว้นในอาณัติของเราแท้ๆ เขาก็ยังหนีออกมาได้อีกครั้ง ก่อนจะหายสาบสูญไปจนถึงยามนี้ หากไม่ได้มือมืดของผู้มีอำนาจยื่นมาช่วย เจ้าคิดว่าโอเมก้าตนหนึ่งจะหนีไปได้ถึงเพียงนี้หรือ”

               “...” อามินฟังแล้วนิ่งอึ้งไปนาน “ท่านก็เลยคิดจะจัดการกับผู้ที่คิดว่าจะเป็นขุมกำลังให้แก่เจ้าชายนาซีมหรือ”

               “ใช่” ทาริคพยักหน้า

               “แต่มันอันตรายมากหากเราไม่วางแผนให้ดีก่อน โฮมากับเอมาลีไม่ใช่แคว้นเล็กๆ ท่านมีแผนแล้วหรือ”

               “มีสิ”

               “อะไร”

               “บุกเข้าตอนนี้เลย”

               “หา?”
               อามินแทบไม่อยากเชื่อที่ได้ยิน เพราะสำหรับเขา นั่นไม่อาจเรียกว่าแผนได้ด้วยซ้ำ

               “พวกมันคงคิดไม่ถึงว่าเราจะบุก เพราะก่อนหน้านี้เราส่งคนเข้าไปขอความร่วมมือในการหาตัวเจ้าชายนาซีม เราจะใช้โอกาสที่พวกมันไม่ได้ตั้งตัวนี้เพื่อยึดเอาแคว้นของมันมา”

               “เสี่ยงเกินไป” อามินแย้ง

               “หากไม่เสี่ยง จะเป็นเราที่พ่าย”

               “...ท่านคิดดีแล้วหรือ”

               ดวงตาคมกริบก้มลงมองใบหน้างดงาม เขารู้สึกไม่พอใจเท่าใดนักที่ถูกอามินทักท้วงอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อสบตาของอีกฝ่ายและเห็นเพียงความห่วงใย สุดท้ายทาริคจึงยอมอ่อนลง

               “ข้าคิดดีแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง”

               “จะออกรบด้วยตัวเองหรือไม่”

               “กองทัพของข้าต้องการแม่ทัพ”

               “แต่ท่านคือราชาแล้วมิใช่หรือทาริค”

               “...อย่ากังวลนักเลยยอดรัก ข้าจะนำชัยชนะมาให้เจ้าอีกครั้งอย่างแน่นอน”

               พูดจบทาริคก็ถูกจุมพิตลงบนกลีบปากของอามิน จุมพิตของเขาไปด้วยอารมณ์รุนแรงเสมอ ทว่าอามินก็มักจะถูกรอยจูบนี้ดึงดูดให้เข้าไปอยู่ใต้การควบคุมของอีกฝ่าย

            ...จนไม่อาจถอนตัวได้

               กระทั่งอามินถูกไล่ต้อนไปจนมุมห้อง เสื้อคลุมผ้าแพรถูกดึงให้หลุดจากร่าง และก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เบต้าคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ข้างกายราชาไร้หัวใจก็ใช้สองมือประคองหน้าของอีกฝ่ายไว้ แล้วจึงเอ่ยคำขอประโยคหนึ่ง

               “หากท่านจะเป็นแม่ทัพในศึกครานี้ ข้าขอติดตามท่านไปด้วยนะ”

               “อันตรายเกินไป”

               “...แต่ข้าอยากอยู่ข้างกายท่าน”

               “...”

               “ได้หรือไม่”

               “เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะเอาแต่ใจมากเกินไปแล้วนะ”

               “ข้า...”

               คำขอทุกอย่างกลืนกลับลงไปในลำคอ นับจากวินาทีนั้นอามินก็ไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำใดอีกนอกจากเสียงครวญคราง มีชั่วขณะหนึ่งที่เขาเผลอสงสัยว่าสิ่งที่ทาริคพูดอาจจะผิด

               ...เพราะคนเอาแต่ใจคนนั้นไม่ใช่อามิน ทว่าคือทาริคต่างหาก

 



❂ …………………………….❂

 



               หลังจากเข้าพิธีแต่งงานกับคาริฟได้ไม่นาน ข่าวการเคลื่อนทัพของราชาองค์ใหม่ของโซราห์ก็มาถึงไอเรม ตอนนั้นเองที่นาซีมตระหนักได้ว่า...

            เวลาแสนสุขของตนนั้นสั้นเพียงใด

               เขาอยากอยู่ที่นี่ อยู่ในสรวงสวรรค์บนดิน ที่ซึ่งห่างไกลความวุ่นวายและป่าเถื่อนของคนโฉดชั่ว ทว่าไฟสงครามที่กำลังเกิดขึ้นก็ลุกโหมจนร้อนระอุไปทั้งซาร์เรีย ทั้งต้นเหตุและแหล่งซ่องสุมกำลังก็เป็นแคว้นโซราห์ของเขาอีกด้วย ดังนั้นนาซีมจึงไม่อาจนิ่งเฉยและปล่อยให้มันลุกลามจนเสียหายไปทั้งดินแดนทะเลทรายได้อีก

               แต่นอกจากเจ้าชายอดีตรัชทายาทแห่งโซราห์แล้ว หัวหน้าเผ่าโบราณอย่างคาริฟก็ร้อนใจไม่แพ้กัน หลังจากได้ข่าวว่าทาริคบุกประชิดโฮมา บุรุษชุดดำก็ออกไปเฝ้ารอนอกเหยี่ยวสื่อสารที่ห่อส่งข่าวบนผาสูงเหนือต้นน้ำทุกคืน

               “ข้าต้องคอยดูความเคลื่อนไหวจากคนของเรา”

               คนของเราที่ว่าคือเครือข่ายของเหล่าภูตราตรีที่แฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่งในซาร์เรีย นาซีมยังนึกทึ่งไม่หายที่เผ่าเล็กๆ ของคาริฟยังคงยึดมั่นตามคำสั่งของบรรพบุรุษที่บอกให้พวกเขาคอยรักษาสมดุลของดินแดนทะเลทรายเอาไว้ ก่อนจะเกิดเรื่องราวบานปลายที่นำมาซึ่งการล่มสลายเหมือนเมื่อครั้งอดีต

               แม้นาซีมจะยังสงสัยว่าเผ่าเล็กๆ เช่นนั้นจะขับเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ทุกๆ ราตรีเขาก็มันจะติดตามสามีไปยังหน้าผาสูงด้วยกันเสมอ

               “หนาวหรือไม่”

               คาริฟเอ่ยถามเพราะเห็นนาซีมห่อตัวหลังจากลมหนาวพัดมาระลอกหนึ่ง

               “ไม่เท่าไหร่” เจ้าชายว่า แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าภูตราตรีก็รวบร่างของเขาขึ้นมานั่งบนตักและกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอบอุ่นอยู่ดี

               “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าไม่ให้มาด้วย”

               “เจ้าบอกแล้ว” นาซีมเองก็รับรู้ แต่เขาแค่ไม่ทำตาม “แต่ข้าไม่เชื่อ”

               “เดี๋ยวนี้เจ้าดื้อดึงนัก”

               คนพูด พูดพลางก้มลงงับที่ก้มเนียนไปทีหนึ่งอย่างนึกมันเขี้ยว

               นาซีมก้มตัวหลบแต่ไม่ทัน เขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายรังแกจนพอใจ ก่อนจะพลิกกายกลับมา เงยหน้าขึ้นและช้อนตามอง

               “ข้าไม่อยากให้ท่านต้องรออยู่คนเดียว ข้าอาจช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ก็ช่วยเป็นเพื่อนคุยแก้ง่วงได้มิใช่หรือ”

               “อืม” คาริฟยิ้ม และเป็นยิ้มที่นาซีมรู้สึกว่าช่วงหลังเขาได้เห็นจนชินตา

               พวกเขานั่งคุยและหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง เสียงปีกกรีดอากาศก็ดังหวือมาจากช่องเขาทางหนึ่ง คาริฟจึงปล่อยนาซีมให้เป็นอิสระ ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปด้านหน้าและรอคอย

               เพียงอึดใจเดียวเหยี่ยวทะเลทรายสีน้ำตาลแดงก็พุ่งตรงมาหาและโฉบลงเกาะบนแขนซึ่งสวมปลอกหนังรออย่างแสนรู้

               คาริฟหยิบชิ้นเนื้อที่เตรียมไว้ให้เจ้าเหยี่ยวตัวโตแล้วค่อยๆ แกะกระบอกทองเหลืองเล็กๆ ที่ผูกติดกับห่วงขานกออกมา ในกระบอกสีทองนั้นมีกระดาษเขียนมาไม่กี่ประโยค แต่สั้นและได้ใจความ

คนเถื่อนยึดโฮมา เจ้าครองแคว้นขอความช่วยเหลือ

เมื่ออ่านจบคาริฟก็ยื่นสารฉบับนั้นให้แก่นาซีม เจ้าชายรับมาอ่านครู่เดียว ก่อนจะเงยหน้ามองคนรักที่ยืนอยู่ข้างกัน

พวกเขาทั้งคู่ต่างไร้คำพูดชั่วอึดใจหนึ่งเพราะไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา นาซีมเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป กระทั่งคาริฟตั้งสติได้ก่อน บุรุษในชุดดำจึงเอ่ย

“คืนนี้เรากลับบ้านก่อน รุ่งเช้าค่อยคิดกันอีกที”

“อืม”

นาซีมพยักหน้าก่อนจะปล่อยให้คนรักจูงมือเดินลงเขาไปที่กระท่อมน้อยซึ่งเป็นที่พำนักของตนเอง ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องให้ขบคิด

นาซีมมองตามแผ่นหลังกว้างเป็นระยะ รู้สึกใจหายอย่างไรก็บอกไม่ถูก ทั้งที่รู้ว่าอย่างไรวันนี้หรือแม้กระทั่งวันที่ต้องเผชิญหน้าย่อมมาถึงในสักวันหนึ่ง

หากข้างในก็ยังวูบโหวงอยู่ดี


...ถึงเวลากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้วสินะ

 

 

 

❂ …………………………….❂

 

 
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 28 ไฟสงคราม :- [04/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-03-2020 20:25:32
สู้
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 28 ไฟสงคราม :- [04/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-03-2020 22:31:49
เพิ่งจะแต่งงานกันเอง สงครามก็มารอแล้ว เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่เลยนะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 28 ไฟสงคราม :- [04/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-03-2020 02:38:11
กลัวโดนซ้อนแผนจัง
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 28 ไฟสงคราม :- [04/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-03-2020 19:40:47
คนกระหายอำนาจ ทำยังไงก็ไม่จบสิ้น ไม่เลิกราเนาะ
อามินมีความนัยแอบแฝงอะไรไหม นอกจากดูรักทาริคแล้ว

สงสารคนรักกันต้องพากันออกรบ ชีวิตพึ่งได้เจอความสุข
หลังจากต้องผจญภัยมาพักใหญ่ ได้เจอที่พึ่งพิง

เฮ้อออ ไม่ชอบสงคราม แต่สงครามจะทำให้ตายก็จำเป็นต้องสู้
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 28 ไฟสงคราม :- [04/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 22-03-2020 14:37:14
สนุกจัง ชอบแนวอาหรับทะเลทรายมากกกกกกกกก :กอด1: :L2: :mew1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 29 ไม่โดดเดี่ยว :- [28/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 23-03-2020 20:49:07





บทที่ 29 ไม่โดดเดี่ยว









สายลมพัดเอื่อย แดดรำไรส่องลอดใบไม้หนาทึบลงมาต้องดวงหน้าของคนที่นั่งหลับตาพริ้ม นาซีมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่บริเวณบ้านหลังน้อยของคาริฟมีต้นไม้ใหญ่ ไม่เช่นนั้นเขาคงได้แต่อุดอู้อยู่ในห้องยามที่อากาศร้อน

เจ้าชายแกว่งเท้าน้อยๆ ในอ่างทองเหลืองที่บรรจุไปด้วยน้ำเย็น ขากางเกงที่ถกขึ้นค่อยๆ ไถลลงไปกอมเท้าข้างหนึ่ง แต่เขาก็มิได้สนใจจะจับมันนัก ได้แต่เอามือข้างหนึ่งก็โบกลมเข้าหาตัว ส่วนอีกข้างก็วางพาดไว้ข้างลำตัวนิ่งๆ สายตาทอดมองลงไปหาเจ้าภูตราตรีที่กำลังตักน้ำในสระเหนือประตูส่งน้ำ

เมื่อจัดการตักน้ำเรียบร้อยคาริฟก็ปีนขึ้นมาด้านบน ก่อนจะเดินอ้อมหลังนาซีมแล้วเทน้ำที่ตักมาใส่ในถังไม้ถังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก

“ร้อนมากหรือ”

เจ้าภูตราตรีเดินตรงมาย่อตัวลงตรงหน้าและสำรวจนาซีมพลางเอ่ยถาม

“ร้อน” นาซีมว่า

“ทั้งที่ฤดูฝนกำลังจะมาเยือนแล้วแท้ๆ”

แม้ในฤดูร้อนของไอเรมจะยาวนาน แต่สรวงสวรรค์แห่งนี้ก็ยังมีฤดูฝนและฤดูหนาวสั้นๆ แตกต่างจากพื้นที่อื่นในซาร์เรียที่มีเพียงฤดูร้อน ปีหนึ่งฝนจะมีพายุฝนแค่ครั้งหรือสองครั้ง ด้วยเหตุนี้นาซีมคิดว่ามันอาจทำให้ไอเรมมีพืชพรรณไม่เหมือนกับที่ใดในดินแดนทะเลทราย

นาซีมเองก็ไม่เคยเห็นฤดูฝนมาก่อนในชีวิต ได้ยินเพียงคำบอกเล่ากับเคยอ่านในตำราเรียนเท่านั้น ยามนี้เขาจึงตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้พบมันเป็นอย่างมาก

“แล้วเจ้าไม่ร้อนหรือ” นาซีมถาม

“ร้อน” คาริฟบอก “แต่ก็รู้สึกว่าอากาศเย็นสบายมากว่าช่วงที่พาเจ้ากลับมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ”

“งั้นหรือ...บางทีข้าอาจจะขี้ร้อนมากเกินไปจนพลอยทำให้เจ้าลำบากไปด้วย” นาซีมว่า สายตาก็เหลือบมองน้ำในถังไม้ที่คาริฟตักมาใส่ให้จนเต็ม

“เรื่องแค่นี้เอง ลำบากอะไรกัน”

คาริฟว่าพลางสางผมยุ่งเหยิงของนาซีมไปด้านหลัง เห็นหน้าผากมนมีเหงื่อเม็ดใสเกาะพราว ชายหนุ่มก็ใช้มือเกลี่ยเช็ดให้อย่างใส่ใจ

“ขอบคุณ” นาซีมยิ้มรับ

เดิมทีนาซีมคิดว่าคาริฟอาจจะเบื่อในสักวันหากต้องคอยปรนนิบัตรเขาราวกับยังเป็นเจ้าชายที่อาศัยอยู่ในพระราชวัง วันหนึ่งเจ้าชายโอเมก้าจึงเอ่ยกับเจ้าภูตราตรีว่าไม่ต้องทำให้เขาเช่นนี้ก็ได้ แต่คาริฟกลับให้เหตุผลว่า

“สิ่งที่ข้าทำให้เจ้า มิใช่ทำในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าชาย แต่ทำเพราะเจ้าเป็นคนรักของข้า”

“...”

“ทำเพราะอยากทำ อยากดูแลเจ้าให้ดี”

“...”

“ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะลำบาก ข้ามีความสุขมากกว่าที่ได้ดูแล”

“คาริฟ...”

นาซีมแทบร้องไห้ตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาง่ายๆ ขณะที่กำลังสาละวนกับการแกะเนื้อปลาให้เขา เขาคิดขึ้นมาว่าตนเองก็อยากตอบแทน อยากเห็นคาริฟมีความสุข และถ้ามีสิ่งใดที่พอจะทำเพื่อคาริฟได้ เจ้าชายไร้บัลลังก์ผู้นี้ก็พร้อมจะทำให้เช่นกัน

...ในตอนนั้นเองที่นาซีมเข้าใจว่าสิ่งที่คาริฟพูดหมายถึงอะไร

“ข้าก็อยากดูแลเจ้าเช่นกัน”

“งั้นหรือ” เจ้าภูตราตรีเลิกคิ้ว

“อื้ม” นาซีมพยักหน้า แล้วจึงเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อที่ติดหน้าผากให้ “แต่ข้าดูแลใครไม่เก่ง ขนาดตัวเองยังไม่ค่อยรอด เอาเป็นว่าข้าจะค่อยๆ เริ่ม ข้าจะลองทำสิ่งเล็กสิ่งน้อยเพื่อเจ้านะ”

กระทั่งถึงวันนี้ วันที่พวกเขาเข้าพิธีวิวาห์และอยู่ร่วมกันมาจนสิ้นฤดูร้อนแล้ว กว่าสามเดือนที่ผ่านมาคาริฟไม่เปลี่ยนไปจากวันแรกเลย

ระหว่างที่นาซีมกำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปแช่น้ำในอ่างไม้ เจ้าชายก็คิดถึงเรื่องยุ่งยากที่ทั้งเขาและคาริฟต้องทำหลังจากนี้

“เมื่อเช้าฟามีนบอกว่าฮาบัสมิได้มาด้วย ข้ายังไม่ทันถามว่าเพราะอะไร เขาก็กลับไปพักเสียก่อน เจ้ารู้ไหมว่าฮาบัสไปไหน”

เพราะนาซีมถูกอันวาที่เดินทางมาจากเอมาลีพร้อมกับพวกฟามีนดึงความสนใจไป เขาจึงไม่ทันถามไถ่เรื่องอื่นๆ ให้ถี่ถ้วน

“ฮาบัสอยู่อารักขาราชาแห่งโฮมา”

“เขาอยู่กับพวกเราแล้วหรือ”

“อืม อยู่ด้วยกันในเอมาลี เขาหนีรอดมาได้แต่กำลังตกที่นั่งลำบาก ข้าเองพอรู้เรื่องราวอยู่บ้าง แต่ยังไม่ละเอียดนัก เอาไว้ราตรีนี้ก็คงได้รู้พร้อมกัน” คาริฟว่า “อย่าร้อนใจไปเลย แช่น้ำเถอะ”

“แล้วเจ้าเล่า” นาซีมปลดเสื้อคลุมออกให้เหลือเพียงกางเกงที่พับขาเอาไว้

“อยากให้ข้าแช่ด้วยหรือ”

บุรุษที่ใครๆ ต่างก็ว่ายิ้มยากเอ่ยพลางยกมุมปากอย่างไม่น่าไว้ใจ

นาซีมพอจะมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่ถึงแม้เขาจะกระดากอายอยู่บ้าง หากก็เคยชินเสียแล้วเพราะอยู่ด้วยกันมาหลายเดือน

เรื่องอะไรที่คู่รักสมควรทำ...ก็ทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“มาแช่ด้วยกันสิ ข้าจะนวดหลังให้ เห็นแก่ที่เจ้าแบกน้ำขึ้นมาตั้งหลายรอบ” เจ้าชายว่า แม้จะยังขวยเขินเล็กน้อยยามที่ต้องชวนเชิญก่อน “แต่ถ้าเจ้าไม่เมื่อยก็ไม่เป็นไร...”

“ข้าไม่เมื่อยหรอก” คาริฟบอก ก่อนจะเดินเข้ามาประชิดแผ่นหลังบางแล้วก้มกระซิบ “แต่หากเจ้าเต็มใจนวดให้ ข้าย่อมยินดี”

หลังจากนั้นอ่างไม้ใบใหญ่ก็ดูแคบลงถนัดตา เมื่อมีร่างสองร่างลงไปนั่งซ้อนกันอยู่ในนั้น จะผิดไปก็ตรงที่บุรุษตัวโตกว่านั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง แทนที่จะหันหลังให้นาซีมนวดตามที่ตกลงกันไว้

“เจ้าว่าจะให้ข้านวดคลายความเมื่อยล้า ไฉนจึงไม่หันหลังให้ข้าเล่า”

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” คาริฟบอกเรียบๆ

“หืม? เปลี่ยนใจหรือ”

ไม่ทันเอ่ยถาม คนที่ทำให้สงสัยก็เฉยเสียก่อน

“เจ้าไม่ต้องนวด ขอแค่อยู่นิ่งๆ ให้ข้ากอดก็พอ”

พูดจบมือหนาก็คว้าเอวนาซีมแล้วรวบเข้ามากอดเอาไว้หลวมๆ ก่อนเจ้าตัวจะนั่งเอนหลังพิงขอบอ่างแช่น้ำอย่างสบายใจ พอคนถูกกอดเอี่ยวมองหน้า เจ้าภูตราตรีก็เอ่ยออกมาคำหนึ่ง

“เจ้ายังร้อนอยู่ไหม”

ไม่ว่าเปล่า คาริฟยังวักเอาน้ำเย็นรดไหล่ของนาซีมอย่างเอาใจ เจ้าชายจึงได้แต่ตอบตามความจริง

“เย็นขึ้นแล้ว”

“เช่นนั้นก็เอนหลังมาทางน้ำเถอะ ยังมีเวลาแช่น้ำสักหน่อยก่อนไปเตรียมตัวต้อนรับเหล่าคนที่จะมาเยือนกระท่อมของเราเย็นนี้”

“อืม”

เมื่อตอบรับแล้วนาซีมก็เอนกายพิงกับร่างที่ซ้อนตนเอาไว้ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับช่วงเวลาสงบที่คาริฟหยิบยื่นให้อย่างเป็นสุข



❂ …………………………….❂



เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า คบไฟรายทางทั่วถนนสายเล็กในไอเรมก็ถูกจุดขึ้น ที่บ้านหลังเล็กใกล้กับประตูส่งน้ำก็มีแสงไฟส่องประกายลอดหน้าต่างออกมาเช่นกัน

เมื่อคาริฟจุดตะเกียงในบ้านให้นาซีมแล้ว เขาก็เดินออกไปตะเกียงดวงใหญ่ที่แขวนไว้หน้ารั้ว เพราะวันนี้บ้านของเขาจะเปิดรับสองหัวหน้าองค์รักของนาซีมกับสมาชิกระดับสั่งการของเหล่าภูตราตรี เพื่อหารือเกี่ยวกันสถานการณ์ร้อนระอุที่กำลังเกิดขึ้น

เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน เขาก็พบคนรักซึ่งเป็นถึงเจ้าชายแห่งแคว้นโซราห์กำลังยกจานเนื้ออบสมุนไพรกับแป้งย่างถาดใหญ่มาวางไว้บนโต๊ะอาหารกลาง

“เหตุใดไม่รอให้ข้าช่วยยกเล่า”

“แล้วไยต้องรอ ถาดเท่านี้ข้ายกได้” นาซีมว่า ก่อนจะเขาเข้าไปนั่งกินมื้อเย็นด้วยกัน “มาสิ วันนี้มีเนื้อแพะอบสมุนไพรที่เจ้าชอบด้วยนะ”

“ได้เนื้อมาจากไหน” คาริฟถามขณะเดินมาทิ้งตัวลงบนพรมเพื่อลงมือกินอาหารค่ำฝีมือคนรัก

“ท่านแม่นีราเอามาให้ สมุนไพรนี่ก็ด้วย ท่านแม่ว่าเจ้าชอบกินข้าจึงเรียนวิธีทำมา ลองชิมดูก่อนสิ ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง”

“อืม”

คาริฟตอบรับก่อนใช้มีดสั้นตัดแบ่งเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ เขาหยิบเนื้ออบขึ้นห่อกินกับแป้งนานที่ย่างจนหอมกำลังดี เมื่อเอาทั้งสองอย่างเข้าปากพร้อมกัน รสชาติที่ได้รับกลับอร่อยราวเป็นรสมือของมารดาเลยทีเดียว

“เป็นอย่างไร”

คนทำลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ ส่วนคนกินก็เคี้ยวจนหมดปากแล้วตอบตามตรง

“อร่อยมาก”

“จริงหรือ”

“ข้าจะโกหกเจ้าไปไย ลองชิมดูเองสิ รสเหมือนที่ท่านแม่ทำไม่มีผิด”

ว่าแล้วคาริฟก็จัดการห่อเนื้อกับแป้งแล้วป้อนถึงปากคนทำ นาซีมยอมอ้าปากรับมาเคี้ยวตุ้ยๆ แต่โดยดี จนเมื่อกลืนลงคอหมดแล้วเจ้าชายถึงยิ้มออกมาได้

“ใช้ได้จริงด้วย”

“เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าอร่อย” เจ้าภูตราตรีว่า จากนั้นก็เอ่ยชมคู่โชคชะตาของตนอีกหลายประโยค “นี่เพิ่งหัดทำครั้งแรกใช่ไหม”

“ใช่”

“อร่อยมากนะ ข้าว่าเจ้าคงมีพรสวรรค์ทางด้านการทำอาหารเป็นแน่ หากหัดทำอีกหลายอย่าง ต่อไปข้าก็คงสบายแล้วเพราะมีของอร่อยให้กินทุกวัน”

“พรสวรรค์อะไรกัน ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ข้าเองก็ทำตามสูตรที่ท่านแม่สอนเท่านั้นเอง”

เพราะหลายครั้งนาซีมก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่านอกจากเป็นเจ้าชายแล้ว เขามีความสามารถอะไรโดดเด่นบ้าง แม้หลายเรื่องเขาจะทำได้ดี แต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องผ่านการฝึกฝนและเคี่ยวกรำอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้ใครๆ ถึงชอบกล่าวหาว่าโอเมก้ามักหัวช้ากว่าอัลฟ่า

“ท่านแม่สอนครั้งเดียวก็ทำได้แล้ว หากเจ้าไม่มีพรสวรรค์ก็ต้องความจำดีมากทีเดียว”

“ถึงเจ้ายกยอข้าเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอะไรตอบแทนหรอกนะ”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่หัวใจของนาซีมก็เบิกบานจนโบยบินออกจากอกไปหาคนตรงหน้าจนไม่อยากกลับมาอยู่กับตนเอง เพราะคงไม่มีอะไรสุขใจไปกว่าการที่ตั้งใจทำสิ่งใดสักอย่างให้แล้วคนที่รับพอใจ

“แค่ทำอาหารให้ข้ากินไปตลอดชีวิตก็พอ”

“ขนาดนั้นเชี่ยวหรือ”

“เจ้าว่าข้าขอมากเกินไปหรือไม่”

“เรื่องเท่านี้ ไม่มากไปหรอก เอาไว้ข้าจะหัดทำอาหารให้เก่งๆ แล้วทำให้เจ้ากินไปตลอดเลย แต่ถ้าไม่อร่อยบ้างก็อย่าว่าข้าแล้วกัน”

“ไม่ว่าอยู่แล้ว” คาริฟยกยิ้มอีกครั้ง จากนั้นจึงหันมาห่อเนื้ออบป้อนให้นาซีมอีกคำ “กินกันเถอะ เดี๋ยวเนื้อจะเย็นหมด”

“อื้ม” นาซีมยิ้มรับแล้วจึงนั่งกินมื้อค่ำ



❂ …………………………….❂



หลังจากกินอาหารจนอิ่มตบท้ายด้วยชาหญ้าฝรั่นรสดีเพื่อล้างปาก เมื่อชาหมดจอก เสียงเคาะประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น คาริฟเป็นฝ่ายลุกไปเปิดประตู ส่วนนาซีมก็เร่งเก็บโต๊ะอาหารและจัดผ้าปูโต๊ะพร้อมกับพรมถักให้เข้าที่

ครั้นองครักษ์ของเจ้าชายเห็นภาพนั้น เขาก็รีบเข้ามาช่วยนาซีมหยิบจับและระเบียบพื้นที่ทันที เพียงพริบตาเดียวจากโต๊ะสำหรับกินอาหารก็แปรเปลี่ยนไปเป็นศูนย์กลางเพื่อใช้ในการประชุมและปรึกษาหารือกัน

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจากทั้งของนาซีมและคาริฟต่างก็นั่งล้อมวงกัน โดยมีนาซีมกับคาริฟนั่งเคียงกันอยู่ในวงสนทนาด้วย

เมื่อทุกคนมาพร้อมเพรียงกันเรียบร้อย คาริฟก็เริ่มเอ่ยขึ้นก่อนเป็นคนแรก

“ข้ากับนาซีมได้รับข่าวที่พวกเจ้าส่งมาให้เรียบร้อยแล้ว แต่ในสารนั้นยังไม่ละเอียดมากพอ พวกเจ้าช่วยอธิบายให้ข้ากับเจ้าชายฟังซิว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างและสงครามลุกลามไปขนาดไหนแล้ว”

“ท่านคาริฟ เจ้าชาย...” ฟามีนเป็นตัวแทนของทุกคนในการถ่ายทอดความเป็นไปของสงครามให้หัวหน้าภูตราตรีและเจ้าชายของตนได้ฟัง “...หลังจากทาริคตัดสินใจบุกโฮมาโดยไม่มีสัญญาณเดือนล่วงหน้า เวลานี้มันสามารถยึดแคว้นโฮมาได้แล้ว และเป้าหมายต่อมาของพวกมันก็คือเอมาลี ที่ที่ตอนนี้ราชาของโฮมาหนีไปหลบซ่อนอยู่”

“ราชาแห่งเอมาลีช่วยเขาไว้หรือ” นาซีมเป็นผู้ถาม เพราะก่อนหน้านี้เขาพอรู้มาบ้างว่าความสัมพันธ์ของราชาทั้งสองแคว้นไม่ดีต่อกันสักเท่าใด

“ขอรับเจ้าชาย”

“เป็นไปได้อย่างไร...”

นาซีมนึกสงสัย คาริฟจึงอธิบายให้ฟัง

“เจ้าอาจได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชาแห่งแคว้นทั้งสองไม่ค่อยดีนัก แต่พวกท่านก็ไม่ได้บาดหมางกันจนแตกหัก ทั้งยังเปิดให้ประชาชนของพวกเขาไปมาหาสู่และมีการค้าขายระหว่างแคว้นได้ บางครั้งข้าเคยได้ยินว่าต่างฝ่ายต่างก็มีข้อตกลงและช่วยเหลือกันบ้างเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าไม่ถูกกันก็เป็นแค่เรื่องส่วนพระองค์ของสองราชวงศ์ ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดที่เจ้าคิด”

“จริงขอรับเจ้าชาย” ฟามีนเสริม “ยิ่งเวลานี้มีศัตรูเป็นคนคนเดียวกัน มีหรือทางเอมาลีจะไม่ให้ความช่วยเหลือโฮมา”

“แล้วก่อนหน้านี้ที่เจ้าพาเราไปหลบอยู่ทั้งในเอมาลีและโฮมา เจ้าได้ขอความช่วยเหลือจากสองราชาหรือไม่” นาซีมถาม

“ไม่ได้ขอ เพราะกรณีของเราไม่เหมือนกัน”

ฟังที่คาริฟพูด นาซีมก็เข้าใจได้ทันที ทั้งยังเบาใจที่อีกฝ่ายมิได้ขอความช่วยเหลือออกไป

“ดีแล้วล่ะ ข้าเองก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเดือดร้อนเพราะแคว้นโซราห์ หากพวกเขาช่วยเราไว้และทาริครู้ นั่นอาจทำให้เจ้าคนเถื่อนเข้าใจผิดได้ว่าทั้งสองแคว้นตั้งตนเป็นศัตรูเพราะอยู่ฝ่ายเรา”

“แต่ดูเหมือนตอนนี้คงสายไปเสียแล้วขอรับเจ้าชาย” ฟามีนว่า ตอนนั้นเองที่นาซีมเพิ่งสังเกตว่าใบหน้าขององครักษ์หนุ่มดูไม่ดีเท่าไหร่

“หมายความว่าไง” เจ้าชายขมวดคิ้วฉับ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก “นี่อย่าบอกนะว่าสกเหตุที่ทาริคโจมตีโฮมาก็เพราะ...ข้า”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจหนึ่ง สุดท้าย รอดีน ภูตราตรีคนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นรองหัวหน้าของเผ่าและเปรียบดั่งแขนขวาของคาริฟก็เอ่ยในสิ่งที่นาซีมไม่อยากได้ยินมากที่สุด

“ถูกแล้วขอรับ ไอ้ทาริคมันใช้เหตุผลที่ทำสงครามเพราะราชาทั้งสองแคว้นช่วยเหลือท่านให้รอดมาได้”

“...นี่ต้นเหตุทั้งหมดมาจากข้าหรือ”

นาซีมหน้าซีดเผือดเพราะเสียใจที่เรื่องนี้มีต้นเหตุมาจากตน เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวเองทั้งนั้น แล้วนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่เกินไป นอกจากองค์ราชาของเอมาลีและโฮมาแล้ว ประชาชนในแคว้นของพวกเขาก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

ไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามเพราะมันจะนำมาซึ่งความสูญเสียและเจ็บปวด ยิ่งสงครามที่กำลังเกิดอยู่ตอนนี้ลุกลามใหญ่โตไปเรื่อยๆ ผลเสียอันจะเกิดกับคนบริสุทธิ์ก็ยิ่งมากตาม

“ใจเย็นๆ ก่อน”

ระหว่างที่นาซีมกำลังจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นสาเหตุให้เกิด คาริฟก็เข้ามาดึงสติเขาไว้ เจ้าภูตราตรีเอื้อมมาจับมือนาซีมและบีบเบาๆ นาซีมจึงหลุดจากภวังค์และหันไปสบตาสีเขียวมรกต

ถึงเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่กำลังใจที่นาซีมได้รับนั้นก็ทำให้เขามีสติขึ้นมา

“แม้เวลานี้เรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต แต่ต้นเหตุที่แท้จริงคือทาริคผู้นั้นมิใช่หรือ แม้มันจะบอกว่าต้องทำสงครามกับผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเจ้า แต่ลองตรองดูให้ดี ข้าคิดว่านี่เป็นข้ออ้างในการฉวยโอกาสเปิดฉากทำสงครามของมันมากกว่า เพราะถึงมันจะได้โซราห์ไปแล้ว แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะหยุดที่แคว้นของเจ้า คนมักใหญ่ใฝ่สูงและบ้าอำนาจอย่างทาริคต้องไม่ได้อยากครอบครองแค่แคว้นเดียว หากมันต้องการเป็นใหญ่ในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ต่างหาก”

คำพูดของคาริฟทำให้นาซีมนิ่งงันไป เขาไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้เลย แต่เมื่อตรองดูอย่างที่คาริฟว่า เจ้าชายก็เริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น

“นั่นสิขอรับ ข้าเองก็เห็นด้วยกับท่านคาริฟเหมือนที่ก่อนหน้านี้เคยรายงานกับเจ้าชายไปแล้วว่าทาริคมันเตรียมซ่องสุมกำลังมาตั้งแต่เนิ่นๆ หรือแม้แต่ราชาฟารุคแห่งโฮมาและราชาอาฟาแห่งเอมาลีก็คิดเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน ทุกคนรู้ว่าการยกชื่อท่านมาพูดคือข้ออ้างของมัน ดังนั้นท่านไม่ต้องคิดมากไปนะขอรับเจ้าชาย”

“จริงขอรับเจ้าชายนาซีม เพราะคนที่ผิดมาตั้งแต่แรกก็คือไอ้คนเถื่อนที่บุกไปยึดบ้านยึดเมืองคนอื่นเพราะความโลภมากกว่า”

ได้ยินฟามีนและรอดีนเอ่ยเช่นนั้น ความไม่สบายใจของนาซีมก็ค่อยๆ ลบเลือนลงไป

“ขอบใจนะฟามีน รอดีน” นาซีมยิ้มบาง ก่อนจะพุ่งประเด็นกลับไปหาเรื่องเคร่งเครียดอีกเรื่อง “แล้วเรื่องที่ราชาฟารุคส่งสารมาขอความช่วยเหลือเล่า เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง”

“เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากเรื่องที่ข้าบอกว่าสองราชารู้ดีว่าจริงๆ แล้วทาริคคิดอย่างไร พวกเขาจึงอยากให้เจ้าชายร่วมมือด้วย เพื่อที่จะได้ร่วมกันต่อสู้กับเจ้าคนเถื่อนนั่น”

“อย่างนั้นหรือ”

“ขอรับ พวกเขาต้องการกำลังของท่าน เพราะตอนนี้พวกเขาพอจะรู้แล้วว่าท่านมีกองทัพอยู่ใต้การควบคุมพอสมควร อีกอย่างราชาทั้งสองพระองค์ก็คิดว่าเวลานี้พวกท่านมีศัตรูคนเดียวกัน พวกเขาจึงอยากให้ท่านไปร่วมสมทบที่เอมาลีก่อนที่ทาริคจะบุกมา”

ฟามีนบอกเช่นนั้นก่อนจะรอคอยคำตอบ เพราะถ้าหากนาซีมไม่ตกลงจะร่วมรบในครั้งนี้และยืนยันจะอยู่ที่ไอเรมโดยไม่หันไปสนใจสิ่งใดแล้วตามประสงค์ของอดีตราชินีอาลียาที่อยากให้เจ้าชายปลอดภัย องครักษ์ทุกนายก็พร้อมจะถอนกำลังเพื่อมาคุ้มกันที่ไอเรมทันที

คาริฟเหลือบมองคนรักที่นิ่งเงียบไป เห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่นเพราะกำลังคิดหนักแล้ว เจ้าภูตราตรีก็อยากจะนวดคลึงให้คิ้วไม่เป็นปม เพราะไม่อยากให้นาซีมต้องคิดมากและทุกข์ใจกับเรื่องอะไรทั้งนั้น

หากเลือกได้เขาก็อยากให้นาซีมอยู่ที่นี่ไปตลอด ไม่ต้องกลับไปสู้รบตบมือกับคนโฉดชั่วเหล่านั้น แต่คาริฟก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะถึงแม้ที่นี่จะนับว่าเป็นบ้านของนาซีมแล้ว แต่นาซีมก็ยังมีบ้านอีกหลังให้ต้องกลับไป อีกทั้งประชาชนที่เจ้าตัวห่วงนักห่วงหนา

โลกที่นาซีมจากมายังมีภาระหน้าที่มากมายให้เจ้าตัวต้องสะสาง หากนาซีมเห็นแก่ตัวก็คงไม่กลับไปเสี่ยงชีวิตอีกแล้ว แต่นาซีมคือนาซีม เป็นนาซีมผู้คิดถึงคนอื่นก่อนตนเอง นาซีมที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาให้เป็นราชาผู้มีความเมตตา ดังนั้นไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเขาก็รู้ว่าเจ้าตัวจะเลือกอะไร

“คาริฟ”

หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่งเจ้าชายนาซีมก็หันมาหาคนรักตน ในดวงตาสีน้ำตาลมิได้สั่นไหววูบด้วยความไม่แน่อีกแล้ว ทว่ามันกลับมุ่งมั่นและแสดงออกถึงความแข็งแกร่งจนดูเหมือนเป็นนาซีมคนละคน

แต่คาริฟรู้มาตั้งแต่แรก...นาซีมของเขามิใช่คนอ่อนแอ เมื่อถึงเวลาที่ต้องสู้ เจ้าชายผู้นี้ก็จะยืนหยัดได้อย่างสง่างาม

“ว่าอย่างไร”

“เราพร้อมเดินทางเมื่อใดหรือ”

“หากเจ้าพร้อม เราก็เดินทางได้ในวันพรุ่งนี้เลย แต่ข้าคิดว่าเราควรเตรียมตัวและวางแผนการเดินทางให้ดีเสียก่อน ดังนั้นเป็นอีกสองราตรีเป็นอย่างไร”

“ถ้าเจ้าเห็นว่าดี เช่นนั้นก็เอาตามที่เจ้าว่า” ครั้นพูดกับคาริฟจบ เจ้าชายแห่งโซราห์ก็หันมาประกาศกับคนอื่นๆ “ส่งสารกลับไปถึงราชาแห่งโฮมาและเอมาลี บอกว่าเราจะเข้าร่วมศึกในครั้งนี้ด้วย”

“ขอรับเจ้าชายนาซีม!”

องครักษ์คนสนิทของนาซีมรับคำแข็งขัน ต่อจากนั้นพวกเขาก็หารือกันต่ออีกพักใหญ่ กระทั่งเรียบร้อยจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่และพักผ่อน ส่วนนาซีมก็ถูกคาริฟพากลับเข้ามาในห้องนอนเพื่อพักผ่อนเช่นกัน

หลังจากที่ดับตะเกียงแล้ว แต่นาซีมก็ยังคงนอนไม่หลับ เขากระสับกระส่ายอยู่บนที่นอนพักใหญ่ กระทั่งคาริฟเอ่ยถามและดึงร่างเจ้าชายเข้าไปในอ้อมแขน เขาจึงสงบใจได้

“เป็นอะไรไป”

“ข้านอนไม่หลับ”

“กังวลเรื่องที่ต้องออกเดินทางหรือ”

“เรื่องนั้นก็ด้วย”

“แล้วมีเรื่องไหนอีก ลองเล่าให้ข้าฟัง”

“ไม่รู้สิคาริฟ ความกังวลย่อมมีอยู่แล้วเพราะกำลังเข้าร่วมสงคราม แต่ข้ารู้ดีว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นจึงไม่คิดกลัวเหมือนที่ผ่านมา แต่...”

“แต่อะไร”

“ข้ารู้สึกไม่ดีอย่างไรก็บอกไม่ถูก ข้ารู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร แต่ในใจกลับหวิวๆ เหมือนจะมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น มันทำให้ข้าสงบใจไม่ได้”

“นาซีม”

“หืม?”

“ลองคิดเช่นนี้ดีหรือไม่”

“คิดสิ่งใด”

ก่อนจะเอ่ย คาริฟก็โน้มตัวไปจุมพิตบนกลุ่มผมเหนือขมับขวาของนาซีม จากนั้นเจ้าภูตราตรีก็กระชับอ้อมกอดแน่นแล้วกระซิบ

“ให้เจ้าคิดว่า ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเจอกับสิ่งใดหรือจะเกิดอะไรขึ้น เจ้ามิได้สู้เพียงลำพัง ทุกหนทางที่เจ้าก้าวเดินจะมีข้าคอยเคียงข้าง แม้จะดีหรือร้าย ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าโดดเดี่ยว”

ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน ตลอดชีวิตนี้นาซีมไม่เคยคิดว่าคำพูดแค่สองสามประโยคจะทำให้เขารู้สึกสงบและอบอุ่นหัวใจได้ถึงเพียงนี้ คำมั่นที่คาริฟบอกว่าจะไม่ปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว ช่วยให้ความรู้สึกหวิวๆ ในหัวใจปัดปลิวไปจนหมดสิ้น

“เจ้าให้สัญญาแล้วนะคาริฟ”

“ข้าให้สัญญา”

“ขอบคุณ”

ระหว่างที่เอ่ยขอบคุณ นาซีมก็วางมือลงบนมือใหญ่ซึ่งกอดเอวของตนไว้ ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าใดแล้วที่คาริฟทำให้เขารู้สึกรู้สึกว่า...

เขาโชคดีจริงๆ ที่หนึ่งชีวิตนี้ได้พบกับคาริฟ







❂ …………………………….❂







กลับมาแล้วนะคะ

หลังจากที่ที่หายไปนาน 

แต่ฝนได้แจ้งไว้ในเพจนะคะว่าลาป่วย

ตอนนี้ดีเป็นปรกติแล้ว ก็จะกลับมาอัพนิยายเหมือนเดิม

ส่วนใครที่รอหนังสือฝนจะอัปเดตในเพจเรื่อยๆ นะคะ

ไปติดตามที่เพจละอองฝนกับทวิตเตอร์ละอองฝนได้เลยค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอยกันอยู่นะคะ



คิดถึงคนอ่านมากกก



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 29 ไม่โดดเดี่ยว :- [28/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-03-2020 09:48:52
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 29 ไม่โดดเดี่ยว :- [28/03/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-03-2020 14:08:16
นาซีมกลับมาแล้ววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 30 :- พันธมิตร [16/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 16-04-2020 22:28:44
บทที่ 30 พันธมิตร









หลังผ่านการเดินทางอย่างยากลำบากตั้งแต่โซราห์จรดไอเรม นาซีมคิดว่าตอนนี้เขาเริ่มเคยชินกับการเดินทางไกลแล้ว แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หลังออกจากไอเรมได้แค่ครึ่งวัน นาซีมก็รู้สึกเวียนหัวจนอยากลงจากหลังม้าและเดินไปแทน

“เป็นอะไรหรือนาซีม”

คาริฟชะลอฝีเท้าของอาชาก่อนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้ติดตามคนสำคัญเริ่มลดความเร็วและห่างออกจากลุ่มไปไกลกว่าที่ตกลงกันไว้ ซึ่งมันส่งผลให้ทุกคนในคณะหยุดชะงักไปด้วย

“ข้ารู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย ขอโทษที”

“อาการเป็นอย่างไร มีไข้หรือเปล่า”

“ไม่รู้สิ ข้าคิดว่าไม่ แค่ร้อนเท่านั้น”

“ร้อนหรือ?”

เจ้าภูตราตรีขมวดคิ้ว จากนั้นจึงกระโดดลงจาหลังม้าและบอกให้ทุกคนหยุดการเดินทางทันที

ด้านนาซีมที่เป็นต้นเหตุให้การเดินทางต้องหยุดชะงักก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา และพยายามปฏิเสธการดูแลแบบพิเศษของคู่ชีวิต

“ข้ามิได้เป็นอะไรจริงๆ”

“ให้ข้าตรวจดูก่อน” ว่าแล้วเจ้าภูตราตรีก็ดึงให้นาซีมลงมาจากหลังม้าและเปิดผ้าคลุมหน้าสีดำออก

ดวงตาสีเขียวหรี่ลงเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดใต้ผ้าคลุม เหงื่อเม็ดใสเกาะพราวทั่วกรอบหน้าและไรผม แม้นาซีมจะพยายามยืนยันว่าตนเองปรกติ แต่อุณหภูมิในราตรีนี้มิได้เป็นอย่างที่นาซีมรู้สึก

อย่างที่รู้กันว่าในยามราตรีนั้นอากาศกลางทะเลทรายจะเย็นลงกว่าช่วงกลางวันมาก ทั้งคาริฟยังรู้สึกว่า ณ เวลานี้อากาศเย็นลงกว่าเดิมเพราะลมทะเลทรายที่ตัดผ่านช่องเขารกร้างพัดรุนแรง

แต่นาซีมกลับบอกว่าอากาศร้อน นั่นหมายถึงนาซีมกำลังมีอาการไม่ปรกติอย่างแน่นอน

แม้ห่วงการเดินทางว่าจะต้องไปให้ถึงเอมาลีโดยเร็วมากแค่ไหน แต่สุขภาพของนาซีมที่รั้งตำแหน่งเจ้าชายแห่งโซราห์และคู่ชีวิตของเขาย่อมสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง

“ข้าไม่ต้องการให้หยุดด้วยเรื่องไร้สาระเพราะเราอาจไปถึงเอมาลีช้ากว่ากำหนด”

“เรื่องนั้นอย่าได้กังวล จำไว้ว่าตัวเจ้าสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด หากเจ้าไม่สบายหรือเป็นอะไรขึ้นมา การไปเอมาลีของเราก็มิมีความหมาย”

เมื่อได้ฟังคำพูดของคนที่วุ่นวายอยู่กับการเอาหลังมือแนบใบหน้าและลำคอ นาซีมก็ถึงกับพูดไม่ออก เขาปล่อยให้คาริฟวัดอุณหภูมิในร่างกายจนแล้วเสร็จ คาริฟจึงสรุป

“เจ้าตัวร้อนราวกับไฟ”

“แต่ข้ามิได้รู้สึกเหมือนเป็นไข้ แค่รู้สึกว่าอากาศร้อนอบอ้าวมากเท่านั้น”

“แต่เวลานี้อากาศไม่ร้อนเลยนาซีม ออกจะหนาวเย็นมากด้วยซ้ำ ข้าว่าเจ้ามานั่งบนหลังม้าตัวเดียวกับข้าดีกว่า หากเจ้าเป็นอะไรหรือวูบไปจะได้แก้ไขทัน”

นาซีมหยุดคิดชั่วอึดใจ เมื่อหันมองรอบกายก็เห็นทุกคนขยับอาชาเข้ามาเป็นเกราะกำบังให้อย่างเงียบเชียบ นาซีมจึงไม่อยากดื้อดึงเพื่อยื้อเวลาอยู่ในที่โล่งแจ้งเช่นนี้นานนัก

“ทำตามที่เจ้าว่าก็ได้ แล้วม้าตัวนี้เล่า”

“ให้เป็นหน้าที่ข้าเองขอรับเจ้าชาย” ฟามีนที่เงียบฟังคาริฟเจรจากับนาซีมอยู่นานแทรกขึ้น สุดท้ายเจ้าชายจึงตอบตกลงแล้วขึ้นไปอยู่บนอาชาตัวเดียวกันกับคาริฟเหมือนตอนขามา

เมื่อทุกอย่างกลับมาอยู่ในสถานะพร้อมเดินทางอีกครั้ง เหล่าอาชาและอัศวินชุดดำก็เคลื่อนที่กลืนไปกับความมืดในยามราตรี

ระหว่างทางคาริฟ หมั่นก้มดูนาซีมบ่อยครั้ง เพราะเจ้าชายขยับตัวไปมาหลายรอบราวกับหาที่เหมาะๆ ไม่ได้ กระทั่งคาริฟทนมองไม่ไหวจึงเอ่ย

“ปล่อยตัวตามสบายแล้วพิงอกข้าเถิด”

“ขอโทษ ข้าทำเจ้ารำคาญหรือ” นาซีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“ช้าไม่ได้รำคาญ” คาริฟตอบตามจริง เพราะเขามีเพียงความเป็นห่วงเท่านั้น

“คงเป็นเพราะข้ามิได้เดินทางนาน ข้าจึงไม่ชิน”

“หากเป็นอะไรก็บอกข้าตามตรง อย่าเก็บงำไว้เพียงผู้เดียว”

ฟังจากน้ำเสียงของคาริฟแล้ว ถ้าไม่นาซีมไม่ยืนยันให้หนักแน่นว่าเขาสบายดี คาริฟคงไม่วางใจ ดังนั้นเจ้าชายจึงฝืนส่งยิ้มให้เขาบางๆ แล้วขยับซุกเข้าใกล้อ้อมอกแกร่ง

“ข้าสบายมาก แค่ร้อนนิดหน่อย เจ้าสนใจการเดินทางเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”

พูดจบนาซีมก็หลับตา แม้จะยังร้อน ปวดเมื่อยเนื้อตัวและวิงเวียนศีรษะไม่หาย แต่เขาจะไม่ยอมให้ตนเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเดินทางหยุดชะงักเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด

ครั้นเห็นนาซีมหลับตาได้ คาริฟก็ไม่ถามเซ้าซี้อีก แต่ในใจลึกๆ เจ้าภูตราตรีก็ยังรู้สึกไม่ไว้วางใจอยู่ดี เขาจึงเฝ้ามองนาซีมอยู่ตลอดแม้อีกฝ่ายจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วก็ตาม



❂ …………………………….❂



ตอนที่รู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง นาซีมก็เดินทางมาถึงจุดแวะพักจุดที่หนึ่งแล้ว จากแผนที่หากต้องการเดินทานไปถึงเอมาลีโดยเร็วที่สุด พวกเขาต้องใช้เวลาสองวันครึ่งในการเดินทาง รวมระยะเวลาให้ทั้งคนและม้าพักผ่อนแล้ว

ระหว่างนี้นาซีมไม่ได้รับข่าวจากเอมาลีเลย เพราะคาริฟบอกว่ามันค่อนข้างเสี่ยงจะถูกศัตรูดักเอาไว้ได้ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าขณะนี้ที่สถานการณ์ที่เอมาลีเป็นอย่างไร

นอกเหนือจากการเดินทางที่เร่งรีบ การรักษาความปลอดภัยของคณะฯ และสุขภาพของนาซีมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะนาซีมยังตัวร้อนอยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะตอนกลางวันที่พวกเขาต้องหาที่ปลอดภัยเพื่อแวะพัก นาซีมแทบอยากกระโจนลงไปแช่ในสระธรรมชาติกลางโอเอซิสให้รู้แล้วรู้รอด

หลายครั้งที่เจ้าชายคิดถึงถังอาบน้ำในไอเรม คิดถึงเสียงน้ำไหลไปตามคลองส่งน้ำหลังบ้าน หากนาซีมยังมีชีวิตรอด เสร็จศึกครานี้เขาก็คิดอยากหวนกลับไปอยู่ในไอเรม แม้มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเต็มที

“เป็นอย่างไรบ้าง เย็นขึ้นหรือไม่”

นาซีมหันมองไปหาคนที่นอนหลบแดดเปรี้ยงในกระโจมเดียวกัน เขาคิดว่าคาริฟหลับไปแล้ว แต่เปล่าเลย อีกฝ่ายยังไม่นอนง่ายๆ ซ้ำยังมองมาที่เขาราวกับจ้องจะจับผิดหากนาซีมแสดงอาการป่วย

เมื่อครู่ก่อนที่จะเข้ามานอนด้วยกันในกระโจม คาริฟเดินฝ่าแดดร้อนออกไปยังสระน้ำกลางโอเอซิสเพื่อเอาผ้าชุบน้ำมาให้คู่ชีวิตใช้ห่มตัวคลายร้อน

“เย็นขึ้นแล้ว”

“แต่สีหน้าเจ้าไม่สู้ดีเลย หากไปถึงเอมาลีข้าคงต้องให้ท่านหมอฮาชิตรวจให้ละเอียดว่าเจ้าไม่สบายตรงไหน”

“ท่านหมอฮาชิอยู่ที่เอมาลีหรือ”

“ใช่ ชาวเมืองโฮมาหลายคนก็อพยพมาอยู่ที่เอมาลีเพื่อหนีสงครามกันทั้งนั้น”

“ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดทาริคจึงไม่หยุดรุกรานผู้อื่น ทั้งที่เขาก็ได้โซราห์ไปแล้ว”

“ความโลภไม่เข้าใครออกใครหรอกนะนาซีม บางคนยิ่งมีมากกลับยิ่งไม่รู้จักพอ”

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ” ได้ยินสิ่งที่คาริฟบอก นาซีมก็รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

พอคาริฟเห็นคนรักทำหน้าเศร้า เขาก็ขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อใช้มืออ้อมไปโอบแผ่นหลังของเจ้าตัวแล้วลูบเบาๆ แทนการปลอบประโลม

“อย่าคิดสิ่งใดอีกเลย ข้าว่าตอนนี้เจ้าควรพักผ่อนให้มากที่สุด รู้มิใช่หรือว่าหากเดินทางถึงเอมาลีแล้ว เราคงไม่มีเวลาพักมากนัก”

“ข้ารู้”

“เช่นนั้นเจ้าก็นอนเสีย ข้ามิอยากเห็นเจ้าเจ็บป่วยรู้หรือไม่”

“อืม” นาซีมพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นมือมาจับอกเสื้อคาริฟไว้ ก่อนช้อนตาขึ้นมาองแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน “เจ้าเองก็พักพร้อมกันกับข้านะ ไม่ต้องเอาแต่เฝ้ามองตอนที่ข้าหลับ”

“ได้สิ” คาริฟจับมือนาซีมขึ้นจูบเบาๆ จากนั้นพวกเขาก็หลับตาลงนอนด้วยกัน



❂ …………………………….❂



“หากพวกท่านไม่ญาติดีกัน เราจะต้านทาริคได้อย่างไร” นาซีมเอ่ยหลังจากเห็นสองราชาแห่งเอมาลีและโฮมาเอาแต่ทุ่มเถียงกันเรื่องกลศึกและวิธีที่จะตอบโต้เอาคืนทาริค

ในสายตาของนาซีม พวกเขาต่างปรีชาสามารถทั้งคู่ แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างทะนงว่าตนเก่งกาจและไม่ยอมอ่อนให้ใครเลย ไม่ว่าแผนการจะล้ำลึกเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีวันเอาชนะศัตรูได้

จึงร้อนถึงนาซีมต้องเข้าไปสงบศึก

“ก็ตาแก่นี่พูดไม่รู้เรื่อง”

“ฟารุค! เจ้ากล้าดีอย่างไรเรียกข้าว่าตาแก่”

“เหตุใดจึงไม่กล้า ในเมื่อท่านแก่กว่าข้าจริงๆ นี่อาฟา”

“พอได้แล้วขอรับ! เวลานี้ไม่ใช่แค่เราที่เดือดร้อน ยังมีประชาชนอีกมากกำลังคอยการช่วยเหลือของพวกเราอยู่ หากพวกท่านยังเถียงกันอยู่เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด”

ครั้นนาซีมพูดจบ ทุกคนก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนราชาอาฟาจะยกยิ้มแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเอง

“โอ้~ ไม่คิดเลยว่าบุตรของราฮิมจะฝีปากกล้าเพียงนี้”

“นั่นสิขอรับ เจ้าชายน้อยที่ชอบวิ่งตามหลังราชินีอาลียาไปไหนเสียแล้วนะ” ฟารุคล้อเลียน

“เขาก็เติบโตเป็นว่าที่ราชาผู้สง่างามแล้วน่ะสิ เจ้าไม่เห็นรึ” ราชาอาฟาเหน็บ “โชคดีที่ตอนนั้นราฮิมมิได้ยกเจ้าให้ฟารุค มิเช่นนั้นโฮมาคงเป็นแคว้นที่น่าอิจฉามากทีเดียว”

“น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละนะ” ราชาแห่งโฮมาอมยิ้ม ผิดกับสีหน้าคู่ชีวิตนาซีมที่ถมึงทึงราวกับฟายุฝนกำลังจะมาเยือน นาซีมจึงต้องหันเหความสนใจ

“ข้าว่า ก่อนที่เราจะเริ่มวางแผนการรบ ก่อนอื่นเราทั้งสามควรลงนามในสัญญาเสียก่อน”

“สัญญาอันใด” ราชาอาฟาขมวดคิ้ว

“สัญญาพันธมิตรขอรับ”

หลังจากพูดจบประโยค ภาพตรงหน้านาซีมก็เปลี่ยนไปฉับพลัน เขาเห็นกองทัพใหญ่ดาหน้าเข้ามาถึงกำแพงเมืองหลวงแคว้นเอมาลี เสียงกลองศึกดังตึงๆ ราวกับแผ่นดินกำลังไหว ฝุ่นทรายกำจายฟุ้งดังทะเลทรายพิโรธ

ถัดไปจากเหล่าพลธนูที่อยู่หน้าสุดเป็นบุรุษในชุดเกราะสีทอง แม้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งนาซีมก็จำได้

บัดนี้ทาริคลงบัญชาการรบด้วยตัวเอง!

“นาซีม!”

เฮือก!

นาซีมสะดุ้งสุดตัว เวลานี้เขายังอยู่ในกระโจมที่พักกลางทะเลทราย ข้างกายมีคาริฟอยู่ใกล้ๆ คาดว่าเสียงที่เรียกนาซีมเมื่อครู่ก็คงเป็นเสียงของคาริฟ

“คาริฟ...”

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ไยจึงร้องออกมาเช่นนั้น”

“ข้าร้องหรือ”

“ใช่! เจ้าดูทรมานมาก เป็นอันใด เจ็บตรงไหนจงบอกข้า”

น้อยครั้งที่เขาจะเห็นคาริฟร้อนรนเช่นนี้ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเจ้าภูตราตรีกำลังเป็นห่วงนาซีมมากจนทำอะไรไม่ถูก


นาซีมพยายามปรับลมหายใจกระชั้นของตัวเองให้กลับมาเป็นปรกติ แม้ภาพที่เห็นในความฝันจะทำให้อารมณ์ของเขายังไม่คงที่ ทว่าเขาจะปล่อยให้คาริฟเป็นกังวลมากกว่านี้ไม่ได้

“แค่ฝันร้ายหรือ”

“อืม แค่ฝันร้ายเท่านั้น มิได้เจ็บปวดที่ตรงไหนเลย”

“แต่เจ้ายังตัวร้อนมาก ปวดหัวหรือไม่”

“ไม่ ข้าแค่รู้สึกเช่นเดิม”

“แน่ใจนะนาซีม”

“แน่ใจสิ ข้าจะหลอกเจ้าเพื่ออะไรกันเล่า”

เมื่อเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าซีดเผือด คาริฟจึงระบายลมหายใจออกมาก่อนคว้าตัวนาซีมเข้ามากอด

“เห็นเจ้าร้องอย่างทรมานเช่นนั้น ข้าใจไม่ดีเลยสักนิด แต่โชคดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นอันใด”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หากข้าเป็นอะไรมากกว่านี้ข้าจะบอกเจ้าทันที”

“อืม”

คาริฟกระชับกอดให้แน่นขึ้น แล้วความเงียบก็โรยตัวลงมาครั้นกลางระหว่างพวกเขา

ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับความคิดของตนเอง นาซีมจมอยู่กับเรื่องความฝัน ส่วนคาริฟก็คิดเรื่องอาการประหลาดของนาซีม กระทั่งถึงเวลาเดินทางพวกเขาก็ออกมาจากกระโจมและมุ่งหน้าไปเอมาลีตามกำหนดเดิม



❂ …………………………….❂



ทันทีที่เท้าของนาซีมเหยียบย่างเข้าเอมาลีได้สำเร็จ กองทหารของราชาอาฟาก็มาคอยต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ตอนแรกเจ้าภูตราตรีตั้งใจว่าจะพาคู่ชีวิตของตนไปพบหมอฮาชิก่อน แต่นาซีมกลับปฏิเสธและขอไปพบกับราชาทั้งสองแคว้นเป็นอันดับแรก

“เราจะเมินเฉยต่อคำเชิญของพวกท่านไม่ได้” นาซีมบอกกับคาริฟ

“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า แต่ถ้าเสร็จธุระเมื่อใด เจ้าได้ไปพบท่านหมอฮาชิพร้อมข้าเข้าใจหรือไม่”

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” นาซีมยิ้มให้คนรักบางๆ เขารู้ว่านี่ขัดกับความตั้งใจแรกของคาริฟ แต่เจ้าชายก็ไม่อาจละทิ้งเรื่องบ้านเมืองไปหาเรื่องส่วนตัวก่อนได้

พวกเขาทั้งคู่ถูกพาตัวไปที่พระราชวังแห่งเอมาลี ระหว่างทางที่ไปประชาชนต่างปิดร้านและบ้านช่องเงียบสนิท เพื่อเตรียมพร้อมยามเข้าสู่ภาวะสงคราม

ครั้นมาถึงที่ห้องทรงงานของราชาอาฟา นาซีมก็พบราชาสองพระองค์รอคอยเขาด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอยู่ก่อนแล้ว

“มาแล้วหรือเจ้าชาย” ราชาอาฟากล่าวทักทาย “ยินดีที่ได้พบท่าน”

“ยินดีที่ได้พบท่านเช่นกัน ราชาอาฟา” นาซีมทำความเคารพอาฟาก่อน จากนั้นจึงหันไปค้อมกายให้ราชาแห่งโฮมา “ยินดีที่ได้พบ ราชาฟารุค”

“ไม่เจอกันนาน ท่านดูซีดเซียวไปนะเจ้าชายน้อย ป่วยไข้เป็นอันใดหรือเปล่า”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงท่านฟารุค ข้าสบายดี”

“นาซีมเดินทางมาไกล เจ้าจะให้เจ้าชายมีใบหน้าสดใสเช่นเจ้าที่อยู่ในพระราชวังหรือ” ราชาอาฟาเหน็บ

“ข้าก็แค่ถามเพราะเป็นห่วงตามประสาคนที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันก็เท่านั้น เจ้าจะไปรู้อะไรตาแก่อาฟา”

“นี่!” ครั้นโดยยอกย้อน อาฟาก็โกรธจนหนวดกระดิก

นาซีมมองราชาสองพระองค์ทะเลาะกันแล้วได้แต่คิดในใจว่า ข่าวลือหนาหูเรื่องที่ทั้งสองไม่ลงรอยกันท่าทางจะเป็นจริง แต่เวลานี้มิใช่ยามที่จะแตกคอกันได้ ดังนั้นนาซีมจึงรีบคลายสถานการณ์

“ราชาทั้งสอง ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าสถานการณ์ทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเดินทางมาเกือบสามราตรี มิรู้ข่าวคราวเลยสักนิด”

ทันทีที่เข้าเรื่องสงคราม ทั้งสองก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมลงทันที ก่อนฟารุคจะเป็นฝ่ายเล่าเหตุการณ์

“เวลานี้กองทัพของทาริคเคลื่อนพลมาถึงมาไอร่าแล้ว ที่ตรึงกำลังอยู่หน้ากำแพงเมืองนั่นเป็นแค่ส่วนน้อยที่มาก่อกวนประชาชนของเอมาลีเท่านั้น สายข่าวของเรารายงานมาอีกด้วยว่าไอ้ทาริคมันตามมาบัญชาการการศึกด้วยตนเอง”

ทันทีที่ได้ยินประโยคหลัง นาซีมก็ย้อนนึกไปถึงความฝันของตน หากความฝันนั่นเป็นเรื่องจริง ไพร่พลที่มากับทาริคในครานี้ต้องถึงมีเรือนหมื่นเรือนแสน หากเขาก็พยายามคิดว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน ดังนั้นจึงยังไม่ตีตนไปก่อนไข้

“ว่าแต่ตอนนี้ทางเอมาลีเตรียมรับมืออย่างไร”

“เรามีทหารไม่มาก เจ้าน่าจะรู้ว่าซาร์เรียไม่เคยมีสงครามใหญ่เพียงนี้ คนที่พร้อมรบของเอมาลีจึงมีราวสามหมื่นนายเท่านั้น”

“แล้วคนของท่านเล่า ราชาฟารุค”

“ทหารของข้าถูกจับเป็นเชลยก็มาก ที่ถอยทัพออกจากเมืองมาได้เหลือเพียงเก้าพันเศษ”

“รวมแล้วเวลานี้เรามีทหารราวสี่หมื่นนาย เพราะทหารของข้าเป็นทหารอารักขาเจ้านาย จึงมีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น” นาซีมสรุป

“แต่จำนวนคนของฝั่งทาริคก็ยังไม่แน่ชัดนัก ข้าว่าเราควรทำใจเย็นๆ ไว้ก่อนและรอดูสถานการณ์” อาฟาว่า แต่ฟารุคไม่เห็นด้วย

“คนของมันมีมากกว่าเราแน่นอน เพราะข้าเห็นมากับตาแล้ว ซ้ำนั่นก็ยังมิใช่ทัพหลวงที่ควบคุมโดยทาริค เราต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะมาถึงกำแพงเมือง ไม่เช่นนั้นเอมาลีคงมีสภาพไม่ต่างจากโฮมา”

สองราชาทั้งหารือและทุ่มเถียงกันไปมาเรื่องการศึก ส่วนนาซีมก็ออกความเห็นบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่เขาจะนั่งคิดววิเคราะห์เงียบๆ ไม่พูดแทรก มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่เผลเอ่ยปากออกไปด้วยรำคาญเสียงทะเลาะกันของฟารุคและอาฟาหู

“หากพวกท่านไม่ญาติดีกัน เราจะต้านทาริคได้อย่างไร”

“ก็ตาแก่นี่พูดไม่รู้เรื่อง”

“ฟารุค! เจ้ากล้าดีอย่างไรเรียกข้าว่าตาแก่”

“เหตุใดจึงไม่กล้า ในเมื่อท่านแก่กว่าข้าจริงๆ นี่อาฟา”

“พอได้แล้วขอรับ! เวลานี้ไม่ใช่แค่เราที่เดือดร้อน ยังมีประชาชนอีกมากกำลังคอยการช่วยเหลือของพวกเราอยู่ หากพวกท่านยังเถียงกันอยู่เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด”

ครั้นนาซีมพูดจบ ทุกคนก็นิ่งงันไปนาซีมเองก็นิ่งไปเช่นกัน เพราะจำได้แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเหตุการณ์ที่เขาฝันถึง ถัดจากนี้อาฟาต้องเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตนเอง

เมื่อคิดจบ อยู่ๆ อาฟาก็เดินไปนั่งที่เก้าอีกตนเองเหมือนในฝันไม่ผิดเพี้ยน แล้วจึงหันมาสัพยอกนาซีม

“โอ้~ ไม่คิดเลยว่าบุตรของราฮิมจะฝีปากกล้าเพียงนี้”

“นั่นสิขอรับ เจ้าชายน้อยที่ชอบวิ่งตามหลังราชินีอาลียาไปไหนเสียแล้วนะ” ฟารุคเองก็พุดเหมือนในฝัน

“เขาก็เติบโตเป็นว่าที่ราชาผู้สง่างามแล้วน่ะสิ เจ้าไม่เห็นรึ โชคดีที่ตอนนั้นราฮิมมิได้ยกเจ้าให้ฟารุค มิเช่นนั้นโฮมาคงเป็นแคว้นที่น่าอิจฉามากทีเดียว”

“น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละนะ” ราชาแห่งโฮมาอมยิ้ม

ถึงตรงนี้นาซีมจึงหันไปมองหน้าคาริฟ ซึ่งเขาก็พบกับใบหน้าถมึงทึงอย่างไม่พอใจอะไรสักอย่าง บทต่อมานาซีมต้องเป็นผู้พูด และเขาอยากพิสูจน์ว่าเหตุใดอะไรๆ จึงเป็นไปตามความฝัน เจ้าชายจึงกล่าวประโยคนั้น

“ข้าว่า ก่อนที่เราจะเริ่มวางแผนการรบ ก่อนอื่นเราทั้งสามควรลงนามในสัญญาเสียก่อน”

“สัญญาอันใด” ราชาอาฟาถาม

“สัญญาพันธมิตรขอรับ” ถึงตรงนี้นาซีมก็ไม่รู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ชีวิตจริงยังต้องดำเนินต่อ

“ของพวกเราสามแคว้นน่ะหรือ” ราชาผู้เฒ่าเลิกคิ้วถาม

“ขอรับ เราต้องทำข้อตกลงกันเสียก่อน อย่างน้อยให้เป็นหลักฐานว่าหลังจากนี้เราจะไม่สร้างปัญหาให้แก่กัน พวกเราจะได้ไม่ต้องมาตั้งแง่กันอีกเพราะเป็นพวกเดียวกันเต็มตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจหรือผลประโยชน์อันจะได้”

หลังจากนาซีมยื่นข้อเสนอ ราชาทั้งสองก็เงียบเสียงลง การลงนามครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งสงครามใกล้เข้ามา พวกเขาก็ยิ่งเพิกเฉยไม่ได้ สรุปวันนั้นพวกเขาจึงตอบตกลงและทำการร่างสนธิสัญญาของพันธมิตรร่วมอย่างเป็น ทางการขึ้นมาหนึ่งฉบับ และต่อจากนี้จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างเต็มรูปแบบ มิใช่การตกลงปากเปล่าอีกต่อไป





❂ …………………………….❂




หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 30 :- พันธมิตร [16/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: w.pond ที่ 16-04-2020 22:58:35
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 31 :- เราสามคน [17/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 17-04-2020 18:32:48


บทที่ 31 เราสามคน





เมื่อเจรจาและตกลงกับสองราชาจนเข้าใจกันดีแล้ว ราชาอาฟาก็สั่งให้คนพาเจ้าชายนาซีมไปพักยังห้องรับรองที่จัดเตรียมไว้ให้ โดยมีคาริฟติดตามไปด้วย

เดิมทีก่อนหน้านี้ราชาอาฟาต้องการจะพูดคุยกับคาริฟเป็นการส่วนพระองค์ แต่คาริฟบอกปฏิเสธอย่างใจกล้า โดยให้เหตุผลว่าเขาจะกลับมาเจรจาอีกครั้งตอนที่นาซีมพร้อม เพราะทุกเรื่องที่ต้องตกลงกัน เขาจะไม่ปิดบังเจ้าชายแห่งโซราห์แม้แต่เรื่องเดียว

เมื่อคล้อยหลังเจ้าชายกับหัวหน้าเผ่าภูตราตรีไป ราชาฟารุคจึงเอ่ยถามลอยๆ ด้วยความสงสัย

“บุรุษชุดดำนั่นเป็นใครหรือ เหตุใดท่านจึงปล่อยให้เขาเข้ามาพร้อมกับเจ้าชายนาซีม ทั้งที่องครักษ์ของเราทุกคนต่างรออยู่ด้านนอกกันหมด การรักษาความปลอดภัยในวังเอมาลีช่างหละหลวมยิ่งนัก”

ครั้นได้ยินคำสบประมาท แทนที่ราชาแห่งเอมาลีจะโมโหโกรธา พระองค์กลับหัวเราะชอบใจราวกับคนที่เหนือกว่าใส่ราชาฟารุคแทน

“ฮ่าๆๆ เจ้ามันจะไปรู้อะไร คนผู้นั้นน่ะ หากเจ้าคิดจะเปรียบเทียบเขาเป็นเช่นองครักษ์ปลายแถวของเจ้าแล้วล่ะก็ ข้าบอกเลยว่าเจ้าคิดผิดถนัด”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฟารุคขมวดคิ้ว “เขาเป็นคนสำคัญถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”

“เจ้าเคยได้ยินเรื่องภูตราตรีหรือไม่เล่า”

“ภูตราตรี? เคยสิ นิทานเกี่ยวกับผู้พิทักษ์ที่ถูกเล่าให้พวกเด็กเล็กๆ ฟังนั่นไง แล้วมันเกี่ยวข้องกันอย่างไรงั้นหรือ” ฟารุคถามกลับ แต่ก็ต้องชะงักเพราะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้สักนิด “นี่อย่าบอกนะว่าชายชุดทำผู้นั้น...”

“เขาคือหัวหน้าเผ่าภูตราตรี”

“เป็นไปได้อย่างไร ก็ในเมื่อภูตราตรีเป็นเพียงนิทานมิใช่หรือ”

“นิทานอันใดกัน เจ้านี่ยังอ่อนหัดเกินไปจริงๆ สมควรแล้วที่พ่อเจ้าไม่วางใจให้ราชบัลลังก์แก่เจ้าง่ายๆ แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับในดินแดนของเรา แต่ราชาแคว้นใหญ่โตเช่นเจ้าก็ควรรู้มิใช่หรือ”

“ข้าจักรู้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครบอกสักคน!”

ฟารุคหงุดหงิดที่เขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ถ้าจะโทษใครสักคน คนผู้นั้นย่อมเป็นพระบิดาของเขา ราชาองค์ก่อนแห่งโฮมา ผู้ที่เก็บงำความลับของดินแดนทะเลทรายเอาไว้

“เข้าใจแล้วว่าไม่มีใครบอกเจ้า เอาเป็นว่าข้าจะเห็นแก่ที่เราทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกันแล้ว บอกความลับเรื่องนี้กับเจ้าก็แล้วกัน” ราชาเฒ่าเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ เขาเอนหลังกับพนักพิงนุ่มๆ แล้วจึงเริ่มเล่า “ภูตราตรีมิใช่แค่นิทานที่เล่าให้เด็กฟังก่อนนอน แต่พวกเขามีตัวตนจริงๆ พวกเขามักทำตัวเป็นกลางมิเข้าข้างใคร ส่วนใหญ่ก็ทำหน้าที่เฝ้ามองความเป็นไปในซาร์เรียเท่านั้น หากมีเรื่องใดผิดปรกติหรืออาจจะนำไปสู่กลียุคแล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะออกมาจัดการให้เข้ารูปเข้ารอยทันที”

“แบบนี้จะไม่เป็นการแทรกแซงการเมืองของแคว้นที่มีปัญหาหรือ”

“ข้าก็มิเข้าใจวิธีการของเขานัก แต่จากเรื่องราววุ่นวายที่ผ่านมาหลายครั้ง ภูตราตรีมักยุติธรรมและอยู่ข้างคนถูกเสมอ เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้ซาร์เรียสงบสุข”

“ทำราวกับผู้ตรวจการก็ไม่ปาน” ราชาฟารุคว่า ก่อนจะตั้งข้อสังเกตอีกอย่าง “เช่นนั้นแปลว่าผู้ที่ช่วยเจ้าชายนาซีมให้หนีรอดมาได้คือพวกภูตราตรีรึ”

“จากที่เห็นความสัมพันธ์ของพวกเขา ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น”

“แสดงว่าตอนนี้นอกจากมีท่าน มีข้าและเจ้าชายนาซีมร่วมมือกันแล้ว เรายังมีผู้พิทักษ์ประจำดินแดนทะเลทรายเป็นพวกด้วยใช่หรือไม่” ฟารุคสรุป

“อืม”

“อ่า...ได้ฟังเช่นนี้ข้าเองก็ชักมีความหวังเรืองรองขึ้นมาบ้างแล้วสิ หวังว่าพวกเขาจะมีฝีมือและช่วยให้เราชนะไอ้ทาริคได้นะ”

“ข้าก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน” ราชาอาฟาว่า เพราะเขาเองก็นึกหวั่นว่าแคว้นจะถูกทาริครุกรานและครอบครองไว้ได้เช่นโซราห์และโฮมา หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าอนาคตของซาร์เรียที่ถูกปกครองโดยคนเถื่อนจะมีชะตากรรมเช่นไร



----------------------------------



เมื่อมาถึงที่พัก ทาริคก็สั่งให้ทหารของราชาอาฟาออกไปพาตัวท่านหมอฮาชิมาที่นี่ ส่วนที่เหลือก็บอกให้ออกไปจากห้องพักของพวกเข้าทั้งหมด เพราะเขาต้องการหารือกับเจ้าชายนาซีมตามลำพัง

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” คาริฟใช้หลังมือแตะหน้าผากนาซีมไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วในวันนี้

“ร้อน” และนาซีมก็ยังพูดคำเดิม

“เช่นนั้นแช่น้ำสักหน่อยดีหรือไม่”

“ทำได้หรือ” ดวงตาของนาซีมเป็นประกายเมื่อได้ยินคำว่าน้ำ

“ย่อมทำได้แน่นอน ที่นี่เป็นราชวังของราชาแห่งแคว้นเอมาลีเชียวนะ ห้องพักรับรองแขกเมืองคนสำคัญเช่นเจ้าจะไม่มีแม้กระทั่งอ่างอาบน้ำเชียวหรือ”

“จริงสินะ”

นาซีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง พานให้คนมองรู้สึกเอ็นดูไปด้วย ก่อนหน้านี้เจ้าชายต้องระหกระเหินอยู่นอกวังนานเกินไป ทำให้เขาชินกับความลำบากและแร้นแค้นของวิถีชีวิตคนทะเลทราย ลืมสิ้นแล้วความสุขสบายที่เคยได้รับยามอยู่ในตำแหน่งสำคัญของอาณาจักร

“เช่นนั้นก็มาเถิด ข้าจะรองน้ำให้เจ้าอาบก่อนท่านหมอฮาชิมาถึง”

“ขอบคุณ” นาซีมยื่นมือให้คาริฟจับจูงเพื่อเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยกัน

ไม่ต้องรอให้คาริฟทำ นางกำนัลของเอมาลีก็เตรียมน้ำอาบไว้ให้นาซีมเรียบร้อยแล้ว อ่างทองเหลืองที่ถูกบรรจุด้วยน้ำเย็นและโรยกลีบกุหลาบเอาไว้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ชินตาสำหรับนาซีม

“มีคนเตรียมน้ำอาบให้เจ้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะถอดอาภรณ์ให้ก็แล้วกัน”

นาซีมมิอาจปฏิเสธการปรนนิบัติจากคนรักของตนได้ เพราะคาริฟตั้งอกตั้งใจในการดูแลเขาเหลือเกิน ดังนั้นเจ้าชายจึงตอบแทนด้วยการช่วยอีกฝ่ายปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเหงื่อไคลออก จากนั้นจึงเป็นฝ่ายกระตุกมือหนาให้ลงไปแช่น้ำด้วยกัน

หลังผ่านการเดินทางอันแสนเหน็ดเหนื่อยผนวกกับภาวะตึงเครียดจากการเตรียมพร้อมเข้าสู่สงครามหลายวันติด เวลาสั้นๆ ที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันนี้ก็ถือเป็นของขวัญอันแสนล้ำค่า

กระนั้นคาริฟก็ยังอดห่วงคนรักของตนไม่ได้อยู่ดี

ขณะที่พวกเขานั่งแอบอิงพิงกันอยู่ในอ่างน้ำขนาดใหญ่ มือหนาก็ค่อยๆ ลูบไล้ท่อนแขนสีน้ำผึ้งแผ่วเบาด้วยความรักใคร่ ก่อนจะถามไถ่อย่างอ่อนโยน

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหรือ”

“ใช่ เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เมื่อนาซีมหันมาหา คาริฟจึงให้เห็นว่าแก้มของอีกฝ่ายมีสีเลือดฝ่าขึ้นมาบ้างแล้ว

“ผิวของเจ้าเย็นลงแล้ว” คนพูดว่าพลางก้มลงจูบหัวไหล่มนทำให้ตอหนวดที่เพิ่งขึ้นทิ่มเนื้อชวนให้จั๊กจี้

“ฮ่าๆๆ คาริฟ ข้าจั๊กจี้นะ” นาซีมหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี เจ้าภูตราตรีได้ยินก็ยิ่งอยากทำให้เสียงหัวเราะร่าเริงนั้นอยู่ไปนานๆ

หลายวันมานี้นอกจากจะเคร่งเครียดกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญแล้ว เขายังเป็นกังวลเรื่องของนาซีมมากเสียจนบางครั้งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เมื่อเห็นเจ้าชายกลับมายิ้มได้ ความหนักอึ้งในใจก็เบาบางลง

คาริฟรวบนาซีมเข้ามากอดและเอาคางเกยไหล่ไว้ ไม่รู้เพราะอะไรเขาจึงหลงรักคนผู้หนึ่งได้มากถึงเพียงนี้

ในใจนั้นทั้งรัก ทั้งหวงและห่วงมากกว่าที่เคยห่วงชีวิตของตนเองด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเห็นใบหน้าซีดเซียวของนาซีมอีก ไม่อยากเห็นเจ้าตัวพยายามฝืนยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร

“นาซีม”

“หืม”

“ข้ารักเจ้า”

นาซีมชะงักเพราะอยู่ๆ ก็ถูกบอกรักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นใครก็ไม่อาจตั้งตัวได้ทัน

“คาริฟ! เหตุใดจึงพูดเล่า”

“แปลกตรงไหน” คาริฟกระซิบตอบ “ข้าบอกรักคู่ชีวิตของตนเองมิได้หรือ”

“…หากเจ้าอยากพูด ข้าจะห้ามได้อย่างไร” นาซีมก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่กล้าหันมาสบตาเขาแล้ว แต่คาริฟก็ยังเห็นว่าแก้มของน้องแดงเพียงใด

“แล้วเจ้าเล่า ไม่มีสิ่งใดจะบอกข้าบ้างหรือ”

ครั้นได้ยิน นาซีมก็รู้ว่าคาริฟต้องการให้เขาพูดอะไร เจ้าชายจึงพยายามรวบรวมความกล้า และบอกความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายเช่นกัน

“ข้าอยากขอบคุณที่เจ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี”

“เท่านี้รึ”

“...ข้าเองก็...รักเจ้าเช่นกัน”

เจ้าชายน้อยของคาริฟเอ่ยคำรักโดยไม่ยอมหันมามองหน้า เจ้าภูตราตรีจึงจับปลายคางของอีกฝ่ายให้บิดหลับมา จากนั้นก็กดจูบลงไปบนริมฝีปากอิ่ม

มันเป็นจุมพิตที่ล้ำลึกเสียจนนาซีมอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ขณะเดียวกันก็อ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ทว่าก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้น ทำให้อะไรๆ ที่ต้องสานต่อพลันหยุดชะงักไปด้วย

“มะ...มีคนมา” นาซีมเอ่ยด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นหลังจากริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

“ให้รอไปก่อน”

“ไม่ได้นะคาริฟ” นาซีมเอามือยันอกแกร่งไว้ แล้วว่า “อาจเป็นท่านหมอฮาชิก็ได้”

ครั้นได้ยินชื่อของบุคคลที่เขาสั่งให้ทหารไปตามมาด้วยตนเอง คาริฟก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างแสนเสียดาย เขาจูบนาซีมเร็วๆ ที่หน้าผากครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นจากอ่างน้ำก่อน

“เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูว่าใครมา”

“อืม”

คาริฟหยิบผ้าคลุมพันกายไว้ ก่อนออกไปรับแขกด้วยตนเอง ระหว่างนี้นาซีมก็ฉวยโอกาสสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพราะเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ที่มาเคาะประตูถึงห้อง

ตอนที่ใส่เสื้อผ้าเสร็จ คาริฟก็กลับเข้ามาในห้องอาบน้ำพอดี

“ใครมา”

“ท่านหมอฮาชิจริงๆ” คาริฟบอก “เจ้าแต่งกายเสร็จแล้วหรือ”

“เรียบร้อยแล้ว”

“เช่นนั้นก็ออกไปให้ท่านหมอตรวจดูอาการสักหน่อย ข้าจะรีบสวมอาภรณ์แล้วตามออกไป”

“ได้สิ”

เมื่อรับคำแล้วนาซีมก็ออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาพบท่านหมอฮาชินั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็ส่งยิ้มใจดีมาให้พร้อมกับทักทาย

“ยินดีที่ได้พบเจ้าชาย สุขสบายดีหรือ”

“ยินดีที่ได้พบท่านหมอ ข้าสบายดี”

“เอ...แต่คาริฟแจ้งแก่ผู้ที่ไปตามข้ามาว่าเจ้าชายอาการไม่ใคร่ดีนัก เจ็บป่วยตรงที่ใด”

“ความจริงข้ามิได้เป็นอันใดมาก แค่รู้สึกร้อนกว่าปรกติ บวกกับเวียนหัวเล็กน้อย แต่ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเพราะต้องเดินทางไกลมากกว่า”

“เช่นนั้นหรือ...แต่ไหนๆ ข้าก็มาแล้ว ฉะนั้นขอตรวจดูสักหน่อยจะได้ไหมขอรับ เพราะหากไม่ตรวจให้แน่ใจ ข้าเกรงว่าท่านคาริฟจะไม่พอใจเอาได้”

“ได้สิขอรับ”

นาซีมรับคำแต่โดยดี เขาเข้าไปนั่งบนพรมปักลายอินทรีสีน้ำเงินข้างๆ ท่านหมอ จากนั้นจึงทำตามขั้นตอนที่ฮาชิบอกทุกประการ

ท่านหมอผู้มากฝีมือตรวจวินิจฉัยอยู่พักหนึ่ง กระทั่งคาริฟแต่งตัวเรียบร้อยแล้วออกมาด้านนอก หมอก็ยังไม่บอกว่านาซีมเป็นอะไรกันแน่ เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนคนมองใจเสีย

กระทั่งเวลาผ่านไปอีกสักครู่ บิดาของอันวาจึงปล่อยมือนาซีมลงแล้วว่า

“ไม่ผิดแน่”

“ท่านหมอ นาซีมเป็นอันใดหรือขอรับ” คาริฟถามด้วยความร้อนใจแต่ฮาชิไม่ตอบในทันที เขาเก็บเครื่องไม้เครื่องมือลงกล่อง จากนั้นจึงหันมานั่งตัวตรงและมองคู่สามีภรรยาทั้งสอง “ท่านหมอฮาชิ...”

ขณะที่คาริฟกำลังจะถามอีกครั้ง ฮาชิก็เอื้อนเอ่ย หากมันกลับเป็นประโยคที่ทำให้คาริฟและนาซีมถึงกับพูดไม่ออก

“เจ้าชายนาซีมทรงตั้งครรภ์แล้วขอรับ คาดว่าอายุครรภ์น่าจะราวสองเดือนไม่ขาดไม่เกินกว่านี้ ข้าขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ” รอยยิ้มอันอบอุ่นที่บิดาของอันวามีให้แสดงให้เห็นว่าเขาดีใจกับนาซีมและคาริฟจริงๆ “ดีใจด้วยนะท่านหัวหน้าเผ่า ท่านกำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว”

คำพูดประโยคท้ายนั้นทำให้คาริฟมีสติขึ้นมาก่อน เขาก้มลงมองหน้านาซีม แล้วจึงก็พบว่านาซีมหันมาหาเขาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของเจ้าชายแดงก่ำ แววตาสะท้อนความนัยมากมาย เพราะประเดี๋ยวมันก็ดีใจ ประเดี๋ยวก็สับสน คาริฟจึงต้องเป็นคนหลักให้ได้ก่อนเพื่ออีกฝ่ายจะมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

เจ้าภูตราตรีเดินเข้าไปนั่งลงใกล้นาซีม ก่อนจะโอบกอดเจ้าชายของเขาเข้ามาแนบอกอย่างทะนุถนอม

ข้ากำลังจะเป็นพ่อคน...

ความจริงข้านี้น่ายินดีจนหัวใจเขาพองโต แม้การมาของเลือดเนื้อเชื้อไขพวกจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่คาริฟเชื่อว่ามันเป็นของขวัญอันมีค่าที่เทพเจ้าแห่งโชคชะตาประทานให้

หมอฮาชิเห็นว่ายามนี้คงไม่เหมาะที่จะพูดสิ่งใดมากนัก เพราะเจ้าชายและคาริฟต่างก็ตกตะลึงและตั้งตัวไม่ถูกพอๆ กัน เขาจึงขอลากลับก่อนเพื่อให้ทั้งสองได้อยู่กันตามลำพัง

เมื่อหมอฮาชิจากไปแล้ว นาซีมจึงหันมาทั้งตัวเพื่อปรึกษาคาริฟที่เอาแต่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่

“เรา...จะ...ทำอย่างไรกันดี” นาซีมเอ่ยถาม เพราะเขาก็ไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร แม้ในใจของนาซีมจะยินดีมากเสียจนแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว แต่อีกใจก็กังวลเหลือเกิน ด้วยช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมนัก

จากนี้เขาต้องเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อล้มทาริคลงให้ได้ และนาซีมก็ไม่รู้ด้วยว่าการต่อสู้นั้นจะยาวนานและอันตรายแค่ไหน หากบุตรของเขาต้องเกิดมาในเวลาเช่นนี้ เจ้าตัวน้อยคงน่าสงสารอย่างมาก

“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าสัญญากับเจ้าแล้ว ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเจอกับสิ่งใดหรือจะเกิดอะไรขึ้น เจ้ามิได้สู้เพียงลำพัง ทุกหนทางที่เจ้าก้าวเดินจะมีข้าคอยเคียงข้าง แม้จะดีหรือร้าย ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าโดดเดี่ยว เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”

“แต่ข้าไม่แน่ใจว่าการที่ข้าท้องในเวลานี้จะเป็นการดีหรือไม่ ไหนข้าจะเป็นภาระให้ผู้อื่นต้องพะวง แล้วข้าก็กลัวว่าลูกต้องเกิดมาท่ามกลางสงคราม หากการต่อสู้ระหว่างพวกเราและทาริคยืดเยื้อ”

“อย่าแม้แต่จะคิดว่าเจ้าคือภาระ” คาริฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าคือดวงใจของข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าจะดูแลเจ้าและลูกให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องสงครามเราหลีกหนีจากมันไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเจ้ายินยอม ข้าอยากพาเจ้ากลับไอเรม”

“ไอเรมหรือ! เหตุใดจึงต้องพาข้ากลับ”

“ที่นั่นปลอดภัย อย่างน้อยข้าคิดว่าคงไม่มีผู้ใดตามหาตัวเจ้าพบ อีกอย่างเจ้าจะมีท่านแม่คอยดูแล”

“แล้วเจ้าเล่า”

“ข้าจะเป็นผู้อยู่ทางนี้เอง หากเจ้าไว้ใจให้ข้านำทัพให้” คาริฟเอ่ยแผนการที่เขาคิดในหัวอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่านี่น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด สงครามเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาสามารถซ่อนนาซีมไว้ในที่ปลอดภัยได้

ทว่าเจ้าชายแห่งโซราห์กลับไม่ยอม...

“ไม่มีทาง!”

“นาซีม...”

“ไหนเจ้าว่าเราจะอยู่เคียงข้างกัน แต่ไม่ทันไรเจ้าก็จะผลักไสข้าเสียแล้วหรือ”

“ข้ามิได้ผลักไส ข้าแค่คิดว่านั่นเป็นวิธีที่เจ้าและลูกจะปลอดภัยที่สุด”

“แต่ข้าไม่กลับไปไอเรมโดยไม่มีเจ้าหรอกนะคาริฟ ข้าจะอยู่ที่นี่ เราจะอยู่ด้วยกันทั้งสามคน”

“...สามคนหรือ”

“อืม...เราสามคน” นาซีมว่าพลางเอื้อมจับมือคาริฟมาวางไว้บนหน้าท้องของตนเอง เวลานี้หน้าท้องของเจ้าชายยังเล็กนัก มันแบนราบจนมองไม่ออกว่ามีสิ่งมีชีวิตน้อยๆ กำลังเติบโตอยู่ข้างใน

กระนั้น สิ่งมีชีวิตเล็กๆ นี่ก็ทำให้พ่อและแม่ของพวกเขาหัวหมุนตั้งแต่ยังมีอายุครรภ์แค่สองเดือนเท่านั้น

“แต่นาซีม ข้าคิดว่า...”

“ชู่ว์~” นาซีมใช้ปลายนิ้วแตะที่ริมฝีปากของคาริฟแล้วเอ่ยแทรก “ข้ายอมรับว่าเด็กคนนี้ทำให้ข้ารู้สึกกลัว การที่เขาถือกำเนิดขึ้นมาเตือนให้ข้าต้องคิดให้รอบคอบขึ้น แต่คาริฟ...แม้ว่าข้าจะตั้งครรภ์ ทว่าข้าก็จะไม่หนี ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อประชาชนของข้า พวกเขารอข้านานเกินไปแล้ว”

“...”

“อีกอย่าง...ข้าจะอยู่กับเจ้า ยอมให้ข้าอยู่ด้วยเถิดนะ” นาซีมขอร้องเสียงอ่อน และมันก็ทำให้คนใจแข็งเช่นคาริฟใจอ่อนจริงๆ

“ถ้าเจ้าให้สัญญาว่าจะไม่อยู่ห่างข้าและไม่ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย”

“ข้าสัญญา ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้” นาซีมเอ่ยด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นราวกับหน้าผาที่ไม่ไหวเอนแม้เจอลมพายุ

“เช่นนั้นก็อยู่ด้วยกันที่นี่ทั้งสามคน ข้า เจ้าและลูกของเรา”







------------------------------------------------------------------------





มีคนเดาถูกด้วยว่านาซีมมีน้อง(เรื่องนี้เป็นโอเมก้าเวิร์ส ผู้ชายท้องได้น้า)

จริงๆ ฝนชอบตอนนี้นะคะ รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวมากเลยตอนที่เขียน

เขียนเองแอบมีน้ำตาซึมเอง หวังว่าคนอ่านจะเอาใจช่วยนาซีมกับครอบครัวน้อยๆ ของน้องจนจบนะคะ

เจอกันตอนหน้าค่ะ ใกล้ลงจบแล้ว เย้ๆๆ



ละอองฝน.



หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 31 :- เราสามคน [17/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-04-2020 03:56:00
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 31 :- เราสามคน [17/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-04-2020 07:48:43
จบลงด้วยดีเถอะ :hao5:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 30 :- พันธมิตร [16/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-04-2020 01:08:57
สู้น้า
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 32 :- ภาพนิมิต [20/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 20-04-2020 22:20:23


บทที่ 32 ภาพนิมิต







ตั้งแต่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งท้องนาซีมก็นอนหลับได้ไม่สนิทมาเป็นเวลาสามราตรีแล้ว หลังจากล้มตัวลงนอนเมื่อใดเราก็มักฝันเห็นภาพเดิมซ้ำๆ จนตื่นขึ้นมากลางดึกของทุกคืน และนั่นพานทำให้คนข้างกายของนาซีมพักผ่อนน้อยไปด้วย

“เป็นอันใดนาซีม ฝันร้ายอีกแล้วหรือ”

คาริฟงัวเงียตื่นขึ้นมาถามเมื่อรู้สึกได้ว่านาซีมขยับตัว เจ้าชายน้อยจึงพลิกกายกลับไปหาคนรัก แล้วจึงกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้

“ข้าฝันเห็นเขาอีกแล้ว”

“ทาริคหรือ ฝันว่าอะไร”

“เหมือนเดิม เขานำไพร่พลมาล้อมกำแพงเมืองเอาไว้”

คาริฟมองหน้านาซีมท่ามกลางแสงจันทร์สลัวที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ตามไรผมออกให้แล้วจึงจูบที่หน้าผากเบาๆ

“ไม่เป็นไร ข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่ามันต้องนำทัพมาเอง ระหว่างนี้พวกเราก็เตรียมรับมือตามแผนที่คุยกันไว้”

“แต่ข้ากลัวว่าเขาจะมาถึงในเร็ววัน”

“มาเร็วก็จบเร็ว ข้าเองก็มิอยากให้สงครามยืดเยื้อนัก เจ้าอย่ากังวลมากเกินไป”

“...” ครั้นได้ยินคาริฟเอ่ยเช่นนั้นนาซีมก็พูดต่อไม่ได้ เพราะในค่ำคืนนี้ นอกจากเขาจะฝันเห็นทาริคที่หน้าประตูเมืองเอมาลีแล้ว นาซีมยังฝันเห็นคาริฟกำลังฟาดฟันอยู่ในสนามรบอีกด้วย แม้ท่าทีของเจ้าภูตราตรีจะดูไม่เหมือนผู้ที่กำลังปราชัย แต่รอยเลือดที่สาดกระเซ็นเปรอะบนเสื้อเกราะของคาริฟก็ทำให้นาซีมข่มตานอนต่อไม่ได้

เมื่อคาริฟเห็นคู่น้องยังทำคิ้วขมวดไม่เลิก เขาจึงจูบลงบนขมับของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเอาคำของท่านหมอฮาชิมาอ้าง

“จำมิได้หรือว่าท่านหมอสั่งอย่างไรก่อนกลับไปเมื่อกลางวัน”

“ให้พักผ่อนมากๆ” นาซีมเอ่ยคำที่หมอฮาชิบอกซ้ำอีกครั้ง

“ถูกแล้ว เจ้าต้องพักผ่อนให้มากๆ ลูกของเราจะได้โตเร็วๆ” คาริฟเอ่ยด้วยรอยยิ้มละมุนจนทำให้นาซีมต้องยิ้มตามไปด้วย

ตั้งแต่รู้ว่นาซีมตั้งครรภ์ เจ้าชายน้อยก็ยิ่งได้เห็นมุมอ่อนโยนของคู่ชีวิตมากขึ้น แม้ยามปรกติคาริฟจะอ่อนโยนกับเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่นี่คาริฟยังคอยพูดถึงเจ้าตัวเล็กบ่อยๆ ราวกับดีใจเหลือเกินที่เด็กคนนี้กำลังจะลืมตาดูโลก

ความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ที่คาริฟแสดงออกมาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นาซีมรู้สึกสบายใจได้ในช่วงเวลาเช่นนี้ แม้จะรู้สึกเคร่งเครียดและเป็นกังวลกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญเท่าใดก็ตาม

“เขาต้องโตเร็วแน่ รู้หรือไม่ว่าช่วงนี้ข้ากินอาหารเยอะขึ้นขนาดไหน”

แม้นาซีมจะรู้สึกคลื่นเหียนยามต้องขี่ม้าไปตามหอสังเกตการณ์ต่างๆ เพื่อช่วยทุกคนวางแนวทางในแผนการรบ แต่นาซีมก็ยังโชคดีที่กินอาหารได้ ท่านหมอฮาชิบอกว่าตามปรกติแล้วหากโอเมก้าท้องแปดในสิบคนจะเกิดอาการไม่อยากอาหารรวมกับอาการคลื่นเหียนเวียนหัว ทรมานมากกว่าเบต้าที่ท้องหลายเท่า

“ดีแล้ว เจ้าต้องกินให้มากๆ พักผ่อนให้มากๆ อยากกินสิ่งใดก็บอกข้า”

“เจ้าจะทำให้หรือ”

“ถ้าทำได้ข้าจะทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ข้าจะหามาให้จนได้”

“เอาใจกันเกินไปแล้ว” นาซีมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยับขึ้นจูบปลายคางของเจ้าภูตราตรี แล้วว่า “ขอบคุณนะ แต่ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากเช่นนั้นหรอก ในภาวะสงครามเช่นนี้ ทุกคนกินอย่างไร ข้าก็จะกินอย่างนั้น ไม่มีอะไรที่อยากเป็นพิเศษ”

“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าอยากกินเป็นพิเศษเลยจริงหรือ” คาริฟถาม “ข้าให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้งนะ ถ้าไม่บอกตอนนี้ ต่อไปอาจจะหาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว”

“บาคาวา [1] ” เมื่อได้ยินว่าอาจจะหาไม่ได้แล้ว คนท้องก็เผลอตอบไปโดยไม่ทันคิด ซึ่งปฏิกิริยาของเขาก็ทำให้คาริฟหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“ฮ่าๆๆ”

“เจ้าหัวเราะอันใดเล่า”

“ข้าขันคนที่บอกว่าไม่มีของที่อยากกินเป็นพิเศษน่ะ” เหมือนหยุดหัวเราะแล้วคาริฟจึงดึงนาซีมเช้ามากอดใกล้แล้วเอ่ยอย่างเอาใจ “เช่นนั้นราตรีนี้ก็หลับเสีย แล้วพรุ่งนี้ข้าจะหาบาคาวามาให้เจ้านะ”

คำหลอกล่อที่เหมือนผู้ใหญ่หลอกเด็กทำให้นาซีมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ยามนี้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากจนไม่เก็บเอาเรื่องของความฝันมาคิดอีกต่อไป ทั้งคาริฟยังหันเหความสนใจเพิ่มด้วยการเล่าเรื่องร้านขนมในเอมาลีให้นาซีมฟัง ไม่นานก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากคนในอ้อมแขน เมื่อก้มลงมองก็พบว่านาซีมจมสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว



❂ …………………………….❂



รุ่งเช้าวันต่อมา นาซีมถูกเสียงร่าเริงของอันวาปลุกให้ตื่นขึ้นตั้งแต่ขอบฟ้ายังเป็นสีชมพู เด็กหนุ่มผู้นั้นทำหน้าที่ส่งสารจากจาเร็ดว่าตอนนี้กองทัพของคนเถื่อนได้เคลื่อนออกจากมาไอร่าเรียบร้อยแล้ว และพวกมันกำลังเข้าสู่แคว้นเอมาลีในไม่ช้า

“หากพวกมันเดินทางโดยไม่หยุดพัก คาดว่าภายในวันพรุ่งนี้กองทัพของทาริคจะเดินทางมาสมทบกับพวกที่อยู่นอกกำแพงเมือง” คาริฟคาดการณ์ จากนั้นจึงถามต่อ “ว่าแต่ราชาองค์อื่นรู้เรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่ เช้านี้พวกเขามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”

“จาเร็ดให้คนไปรายงานตามที่ท่านสั่งแล้วขอรับ อีกเดี๋ยวคาดว่าจะเรียกหารือโดยพร้อมเพรียงกัน” อันวารายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ก่อนจะถามถึงเจ้าชายแห่งโซราห์ที่ยังไม่เห็นหน้า “ว่าแต่เจ้าชายเล่าขอรับ ยังไม่ตื่นนอนหรือ”

“ยัง เข้าเพิ่งหลับไปก่อนรุ่งสางได้ไม่นาน” คาริฟบอกตามจริง

“แล้วเช่นนี้ท่านจะให้เจ้าชายเข้าร่วมหารือด้วยหรือไม่ขอรับ”

อันวารู้แล้วว่านาซีมท้อง เขาจึงเข้าใจถึงอาการแพ้ท้องที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ อีกทั้งยามนี้เจ้าชายนาซีมยังวิตกกังวลเรื่องการศึกด้วย หากจะนอนไม่ได้ก็คงไม่แปลก

“ใจจริงข้าอยากให้เขาพัก แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าข้าปล่อยเขาเอาไว้ที่นี่ เขาต้องเสียใจแน่”

คาริฟรู้นิสัยนาซีมดี แม้ทุกคนจะอยากให้เจ้าชายพักจากเรื่องเคร่งเครียดอย่างไร แต่อีกฝ่ายไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ทั้งยังจะกล่าวโทษตนเองในภายหลังว่าเป็นภาระอีกด้วย ดังนั้นถ้าอยากจะปกป้องนาซีมจริงๆ แล้วล่ะก็ เขาจำต้องยอมให้เจ้าตัวร่วมสู้อย่างที่เจ้าชายควรจะได้สู้

“เช่นนั้นก็ให้เจ้าชายทำอย่างที่เจ้าชายอยากทำเถิดขอรับ เพราะอย่างไรเสียท่านคาริฟก็จะยืนเคียงข้างพระองค์อยู่แล้วมิใช่หรือ”

“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน”

อันวามองคาริฟเผยรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดได้เห็นมาหลายวันนอกจากเจ้าชายนาซีม เมื่อมองแล้วเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าความผูกพันของทั้งคู่ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก

“ตัวข้าแม้จะทำสิ่งใดไม่ได้มากนัก แต่ก็จะคอยช่วยท่านดูแลเจ้าชายอีกแรงนะขอรับ หากท่านต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้เสมอ”

“ขอบใจนะอันวา ข้าไม่มีสิ่งใดขอร้องเจ้าหรอก...” ทว่าก่อนจะเอ่ยว่าไม่มีสิ่งใดให้ช่วย คาริฟก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องที่เขาสัญญาว่าจะทำให้นาซีมในวันนี้ “จะว่าไป ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่อยากขอร้องเจ้า”

“เรื่องใดหรือขอรับ บอกมาได้เลยขอรับ” อันวาตบอกอาสา

“หากไม่รบกวนเกินไป ข้าอยากให้เจ้าช่วยหา...”

คาริฟบอกเสียงเบาราวกับกลัวว่าคนที่นอนอยู่ด้านในจะได้ยิน เมื่อเด็กหนุ่มได้ยิน เขาก็ทำตาโตก่อนจะยิ้มจนเห็นฟันขาวเป็นประกาย

“ได้สิขอรับ เรื่องเท่านี้สบายมากขอรับ”

“เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วยนะ ข้าจะเข้าไปปลุกนาซีมก่อน อีกเดี๋ยวพวกเราคงต้องไปพบกับราชาอาฟาและราชาฟารุคแล้ว”

อันวารับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะอีกครั้ง ต่อจากนั้นเขาก็ออกจากห้องรับรองของนาซีมและคาริฟไป หัวหน้าเหล่าภูตราตรีจึงเดินผ่านม่านบังตาเข้าไปส่วนในของห้องเพื่อปลุกใครบางคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

ก่อนถึงเตียงกว้างเขาแวะเปิดม่านที่หน้าต่างก่อนเป็นอันดับแรก แสงอาทิตย์ของเอมาลีวันนี้แรงนักเพราะยังไม่ทันไรก็กำจายความร้อนแผ่ซ่านลงมาเสียแล้ว

ครั้นคาริฟนั่งลงบนเตียงนุ่ม นาซีมก็ขยับตัวหันกลับมาและลืมตาขึ้น

“อันวามาหรือ” เจ้าชายเอ่ยถาม

คาริฟไม่ตอบในทันที เขาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้อีกฝ่ายก่อน จากนั้นจึงหยักหน้า “ถูกแล้ว เจ้าตื่นนานแล้วหรือ”

“ไม่นาน ข้าได้ยินเสียงเขาคุยกับเจ้าแว่วๆ ไม่นานเจ้าก็กลับเข้ามา” นาซีมบอกตามตรง “มีเรื่องสำคัญหรือ เหตุใดเช้านี้อันวาจึงมาที่นี่”



“เขามาส่งข่าวแทนจาเร็ด”



“เรื่องอะไร”

“ทัพของทาริคออกจากมาไอร่าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ยามนี้กำลังเข้าเขตแคว้นเอมาลี”

“เขาจะมาถึงเมืองหลวงคืนนี้หรือ”

“ข้าคาดว่าเป็นเช่นนั้น”

ได้ยินถึงตรงนี้นาซีมก็เงียบไป เขาลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับหัวเตียง ใบหน้างามดูไม่สู้ดีนัก คาริฟจึงต้องขยับเข้าไปประคองกอดอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะใช้นิ้วนวดเบาๆ ตรงหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นราวกับกำลังคิดหนัก

“ไม่ทำหน้ายุ่งสิ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ “อย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่เราคาดกันไว้แล้วมิใช่หรือ”

“ถูกของเจ้า แต่ข้าก็อดคิดหนักไม่ได้อยู่ดี”

“เช่นนั้นรีบพวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่แล้วไปพบราชาอาฟากับราชาฟารุคดีหรือไม่ จะได้เตรียมการรับมือตามแผนที่เราวางไว้ และหากมีข่าวใดมาอีกเราจะได้คิดอ่านต่อไป”

“เอาสิ”

เมื่อรับคำแล้วคาริฟก็อุ้มนาซีมเข้าไปในห้องน้ำ แม้เจ้าชายจะร้องโวยวายว่าไม่ต้องแต่เจ้าภูตราตรีก็มิฟังเสียง

“ไม่เห็นต้องทำถึงเพียงนี้เลย คาริฟ” นาซีมเอ่ยขึ้นเมื่อคาริฟคอยอาบน้ำและช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้

“ข้ารู้ว่าเจ้าทำเองได้ แต่ยามใดที่เจ้ามีเรื่องให้คิดกระวนกระวาย จิตใจของเจ้าจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เช่นนั้นให้ข้าช่วยน่ะดีที่สุด”

นาซีมมองหน้าคนรักแล้วได้แต่ถอนหายใจ เขาได้แต่ขอบคุณในสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้มาโดยตลอด มาตอนนี้พอถูกทักท้วงเรื่องที่ชอบเหม่อลอย นาซีมจึงพยายามดึงสติตนเองกลับมาให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะกังวลใจหรือเคร่งเครียดเพียงใด ตอนนี้ร่างกายของเขาก็มิใช่ของเขาคนเดียวอีกแล้ว ดังนั้นหากไม่อยากให้คาริฟลำบาก นาซีมต้องตั้งสติและทำจิตใจให้เข้มแข็งกว่านี้

วันข้างหน้าเขาอาจต้องพบเจออะไรอีกมาก สงครามเองก็เพิ่งเริ่ม จะมาขวัญอ่อนตอนนี้ไม่ได้ เมื่อคิดได้แล้วเจ้าชายก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขอบคุณ

“ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณอะไรกัน มานี่เถิด สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วข้าจะถักผมให้เจ้า”

“ได้สิ แต่ขอข้าผูกผ้าคลุมให้เจ้าก่อน” นาซีมเอ่ยก่อนจะหยิบผ้าคลุมสีดำประจำกายเจ้าภูตราตรีมาสวมให้

คาริฟมองน้องวุ่นวายกับการผูกปมผ้าคลุมแล้วอมยิ้ม ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ๆ บรรยากาศที่นาซีมแผ่ออกมาจากตัวเองก็ให้ความรู้สึกสบาย ไม่อึดอัดเหมือนก่อนหน้า แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในใจ ขอเพียงเวลานี้น้องไม่ทำหน้ามุ่ยเขาก็พอใจมากแล้ว

ทั้งสองช่วยกันแต่งตัว เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงพากันออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงของราชวังเอมาลี



❂ …………………………….❂



ยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยลง เป็นเวลาที่กองทัพของทาริคเดินทางมาถึงนอกกำแพงเมืองหลวงแคว้นเอมาลี ทหารของสองอาณาจักรต่างตรึงกำลังกันเอาไว้ไม่มีผู้ใดเริ่มลงมือก่อน

สถานการณ์ระหว่างกำแพงสูงว่าตึงเครียดแล้ว ในท้องพระโรงของเอมาลียิ่งทวีความตึงเครียดกว่า เพราะจากข่าวล่าสุดที่ได้รับมา กองทัพในมือทาริคนั้นมีกำลังพลเรือนแสน แต่กองกำลังของฝั่งเอมาลีมีแค่สามหมื่นนาย ถึงจะผนวกเอากำลังคนจากโฮมาที่เหลือรอดมากับราชาฟารุค กำลังพลของเหล่าภูตราตรีและหน่วยราชองครักษ์ของเจ้าชายนาซีม ทั้งหมดก็มีไม่ถึงห้าหมื่นนายเท่านั้น

ขณะที่ทุกคนกำลังช่วยกันขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับสถานการณ์เช่นนี้ อยู่ๆ ก็มีทหารนายหนึ่งตรงเข้าท้องพระโรงมาเพื่อแจ้งข่าวแก่ราชาอาฟา

“ขออภัยองค์ราชา”

“ว่ามา”

“ราชาทาริคแห่งโซราห์ส่งคนของเขาเข้ามายื่นสารถึงพระองค์ขอรับ”

“แล้วตอนนี้คนของมันอยู่ที่ใด”

“หน้าประตูเมืองทางทิศเหนือขอรับ”

“ไปพาตัวเข้ามา”

“ขอรับ”

เมื่อนายทหารผู้นั้นรับคำ ทุกคนในท้องพระโรงก็รอคอยการมาถึงของผู้ส่งสารจากฝ่ายตรงข้าม

ไม่นานนักประตูใหญ่หน้าท้องพระโรงก็เปิดอีกครั้ง คณะบุคคลที่เข้ามานั้นมีด้วยกันสามคน นาซีมมองแล้วสะดุดตากับชายที่อยู่ด้านหน้าทันที เพราะเขาเคยพบกันมาก่อนแล้วที่ซันดา

...นักบวชเชน

ส่วนสองคนด้านหลังมีซีญ่าคนสนิทของทาริค กับอีกคนที่นาซีมไม่รู้จัก

ผู้ที่ถือสารของทาริคมาคือนักบวชเชน เขาทำความเคารพราชาสองพระองค์ รวมทั้งก้มหัวให้นาซีมตามธรรมเนียมด้วย แม้ดวงตาของเขาที่จ้องนาซีมนั้นจะไม่น่าไว้ใจสักนิดก็ตาม

“ราชาทาริคมอบหมายให้ข้าเป็นตัวแทนในการส่งสารมาเจรจากับองค์ราชาอาฟา หวังว่าท่านจะนำไปพิจารณาขอรับ” เมื่อนักบวชอสรพิษนั่นพูดจบเขาก็นำสารมามอบให้แก่ราชาอาฟาด้วยตัวเอง “ราชาของเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าราชาอาฟาจะมีความคิดเห็นที่ตรงกัน เพื่อจะได้ไม่สูญเลือดเนื้อชาวซาร์เรียไปมากกว่านี้”

เมื่อทำหน้าที่ส่งสารให้ถึงมือราชาแห่งเอมาลีเรียบร้อยแล้ว คณะทูตของทาริคก็เดินทางกลับทันทีโดยไม่ดูปฏิกิริยาของราชาอาฟาก่อน

เมื่อคนของทาริคออกไปแล้ว ราชาอาฟาจึงให้คนสนิทเปิดอ่านสารนั้นให้ทุกคนในท้องพระโรงได้ยินพร้อมกัน

ในนั้นมีใจความโดยสรุปคือ อยากให้แคว้นเอมาลียอมเปิดประตูเมืองแก่โซราห์ในการนำของทาริคโดยดี และส่งตัวเจ้าชายนาซีมกับราชาฟารุคไปให้ หากทำเช่นนี้แล้วทาริคก็จะไม่ใช้กำลังกับแคว้นเอมาลี ทั้งยังจะยกให้เป็นพันธมิตรอันดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ยินยอม เอมาลีก็จะพบจุดจบเช่นเดียวกับโฮมา ซึ่งทาริคก็ให้เวลาราชาอาฟาในการตัดสินใจเจ็ดราตรี ระหว่างนี้จะไม่มีการโจมตีใดๆ เป็นอันขาด

แต่ถ้าราชาอาฟาปฏิเสธเงื่อนไขที่ทางนั้นหยิบยื่นให้ ทาริคก็จะนำกองทัพเกรียงไกรของตนบุกเข้าโจมตีเอมาลีทันที และจะไม่ยอมรามือจนกว่าเอมาลีจะพินาศไม่ต่างจากโฮมา

หลังจากอ่านสารแล้วราชาฟารุคก็กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ส่วนราชาอาฟาที่ถูกหยิบยื่นไมตรีให้พร้อมๆ กับการข่มขู่ก็หน้าตึงอย่างไม่พอใจเช่นกัน

มีเพียงนาซีมที่นิ่งเงียบและแสดงสีหน้าเรียบเฉยอยู่จนกระทั่งฟารุคเอ่ยถามความคิดของราชาอาฟา

“ท่านคิดจะทำอย่างไรอาฟา”

อาฟารู้ว่าหากเขายอม ประชาชนก็จะรอดพ้นจากภาวะสงครามที่ดูอย่างไรก็มีโอกาสชนะเพียงน้อยนิด แต่ถ้าเขายอมสิโรราบแก่ทาริค จะมีผู้ใดรับประกันว่าเอมาลีจะไม่ถูกกลืนกินในภายหลัง การยินยอมทำตามเงื่อนไขที่มาพร้อมคำขู่เกือบทุกประโยค จะต่างอะไรกับการลุกออกจากบัลลังก์ให้ทาริคนั่งเมืองแทน

“เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรเล่าฟารุค”

“ข้ามิอาจล่วงรู้ความคิดท่านได้ แต่ถ้าท่านเลือกที่จะเป็นพวกเดียวกับมัน ข้าก็คงต้องแลกชีวิตกับพระองค์ที่นี่!” ฟารุคเอ่ยพร้อมเอามือแตะที่ดาบ และนั่นส่งผลให้องครักษ์ของอาฟาพากับชักดาบออกมาปกป้องราชาของตนเองกันหมด

มีเพียงคาริฟ นาซีมและคนของพวกเขาเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ เมื่ออาฟาเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ กับความเลือดร้อนของฟารุคแล้วว่า

“หึ” อาฟาแค่นหัวเราะให้ราชาที่มีอายุคราวลูก ก่อนจะเอนหลังพิงบัลลังก์ด้วยท่าทีสบายๆ “วางดาบเจ้าลงเถิดฟารุค หากต้องการแลกชีวิตกับคนสักคนแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นยอมอยู่ในสนามรบนอกกำแพงแคว้นเอมาลี มิใช่ที่นี่”

ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ราชาฟารุคก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บดาบเข้าฝักและเอ่ยเก้อๆ

“เช่นนั้นก็บอกกันดีๆ แต่แรกสิราชาเฒ่า...”

“เจ้าก็หัดอ่านสถานการณ์เสียบ้างเจ้าเด็กอ่อนหัด” อาฟาดุฟารุคต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็ค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมา “เวลานี้มิใช่เวลาที่เราจะมาระแวงกันเอง แต่เราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรในอีกเจ็ดราตรีข้างหน้า เพราะถ้าข้าตอบกลับไปว่าไม่ยินยอม ฝ่ายนั้นคงเดินหน้าบุกเอมาลีเต็มกำลัง และกำลังของพวกเรารวมกันก็น้อยกว่าฝั่งของมันมาก หากมิมีแผนการที่ดีพอ ข้ากลัวว่าเราจะต้านมันได้ไม่นาน จากที่ข้ารู้ ทาริคไม่เหมือนผู้อื่น มันไม่รู้จักกลัวตาย ทั้งยังมาเล่ห์นัก เราคงต้องตรองให้ดีว่าจะรับมือกับมันอย่างไร พวกท่านมีความคิดเห็นดีๆ หรือไม่เจ้าชายนาซีม คาริฟ”

หลังจากที่เห็นนาซีมและคาริฟเงียบอยู่นาน อาฟาจึงลองถามดูเผื่อว่าเจ้าชายแห่งโซราห์และหัวหน้าภูตราตรีจะมีแผนการในใจ

“ก่อนอื่น ข้าคิดว่าพวกเราต้องหาทางเพิ่มกำลังพลเสียก่อน”

“หมายความว่าอย่างไร ท่านอยากให้ข้าเกณฑ์ประชาชนมาเป็นทหารเพิ่มหรือ” อาฟาถาม

“ข้ารู้ว่าประชาชนของท่านส่วนใหญ่มิได้จับดาบสู้รบ แต่จับพู่กัน ขับร้องและเชี่ยวชาญงานศิลป์แขนงต่างๆ มากกว่า ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้เราควรใช้กำลังของคนหนุ่มให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็คัดมาร่วมกับกองกำลังระวังภัยประจำเมืองก็ยังดี เราจะได้แบ่งเอาทหารที่ถูกฝึกมาออกไปสู้ที่สนามรบได้มากกว่าเดิม” คาริฟแนะนำพร้อมกับให้เหตุผล

“ข้อนี้ข้าเองก็เห็นด้วยกับท่านคาริฟ” ฟารุคสนับสนุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ราชาอาฟาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียในใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วว่า

“เช่นนั้นก็คงต้องออกคำสั่งให้เกณฑ์กำลังพลมาร่วมรบ”

เมื่อตัดสินใจแล้วเขาก็หันไปสั่งความกับแม่ทัพของตนเพื่อให้จัดการในเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด พร้อมกับสั่งให้ช่วยกันจัดหาอาวุธเพิ่มเติมอีกเท่าตัว

กระทั่งราชาอาฟาจัดการเรื่องเพิ่มกำลังพลเรียบร้อย คาริฟที่รอโอกาสอยู่ก็เสนอขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง

“ข้ามีอีกเรื่องที่อยากให้พวกท่านพิจารณา”

“ว่ามาเถิดคาริฟ”

“นอกจากจะเพิ่มกำลังพลของฝ่ายเราแล้ว พวกเราต้องหาวิธีตัดกำลังของทาริคด้วย”

“แล้วท่านมีข้อเสนอหรือไม่”

“จากสายข่าวของเรายามนี้ ทาริคยึดมาไอร่าเป็นฐานที่มั่น หากเพลี่ยงพล้ำก็จะถอยทัพกลับไปตั้งหลักที่นั่นได้ อีกอย่างข้าคิดว่ามาไอร่าน่าจะเหมาะสำหรับเก็บเสบียงที่ส่งมาจากโฮมาเพื่อสนับสนุนกองทัพ ดังนั้นข้าคิดว่าเราควรเข้าไปจัดการที่นั่งเพื่อตัดกำลังของเขา”

“ด้วยวิธีใดเล่า”

“วิธีซุ่มโจมตีอย่างกองโจร”

“กองโจรหรือ”

“ถูกแล้ว ข้าและคนของข้าจะรับอาสาทำงานนี้เอง”

เนื่องจากวิธีการโจมตีอย่างกองโจรนั้นเป็นวิธีที่คาริฟถนัด ซ้ำยังใช้จำนวนคนน้อย และถ้าสำเร็จจะเกิดผลยิ่งใหญ่ เขาจึงเป็นฝ่ายรับอาสา

ทว่าเมื่อนาซีมได้ฟัง เจ้าชายกลับไม่เห็นด้วยนัก เพราะวิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงเกินไป หากได้ชื่อว่าที่แห่งนั้นเป็นจุดสำหรับเก็บเสบียงแล้ว ทาริคย่อมมีวิธีเก็บรักษาและคุ้มครองอย่างดีและแน่นหนามากเป็นแน่ เจ้าชายจึงพยายามคิดหาวิธีอื่นมาหักล้าง ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ภาพในนิมิตที่เขาฝันถึงเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในสมอง

มันคือภาพคาริฟกำลังโรมรันกับศัตรู

ทว่ามีรายละเอียดบางอย่างที่เจ้าชายเพิ่งนึกขึ้นได้ ซ้ำยังเป็นรายละเอียดที่สำคัญอีกด้วย...

มาถึงตรงนี้ นาซีมก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างส่องสว่างในความมืดมิด เขาไม่แน่ใจว่ามันคือพลังพิเศษหรือสิ่งที่นึกคิดไปเอง ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจของนาซีมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เจ้าชายจึงเอื้อนเอ่ยออกมาท่ามกลางวงสนทนาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด

“ไม่ใช่ที่มาไอร่า” นาซีมว่า คาริฟจึงหยุดฟังก่อนเอ่ยถาม

“หมายความว่าอย่างไรนาซีม ไม่ใช่มาไอร่าหรือ”

“ไม่ใช่” นาซีมตอบ ทว่าดวงตากลับไม่มองสบใครทั้งนั้น หากมันกลับทอดมองออกไปไกลราวกับเจ้าตัวไม่ได้กำลังพูดคุยอยู่กับคาริฟหรือใครในท้องพระโรง

อีกทั้งดวงตาคู่งามที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนก็เปลี่ยนสีราวกับไพลินงดงาม!

เรื่องประหลาดนี้ทำให้ทุกคนไม่อาจปริปากพูดแทรก ทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ที่แผ่ออกมาจากนาซีม

คาริฟย่อตัวลงนั่งข้างคนรักพร้อมกับจับมือเขาเอาไว้ “นาซีม...เจ้ากำลังจะพูดอันใด บอกข้าให้แจ้งแก่ใจได้หรือไม่”

ได้ยินคำถามนี้ นาซีมก็ละสายตาจากอะไรบางอย่างกลางอากาศ จากนั้นจึงใช้ดวงตาสีไพลินหันมาสบตาคาริฟแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับคนไม่รู้จักกันมาก่อน

“จงนำเหล่าภูตราตรีไปที่ซันดาเถิด หากไปที่แห่งนั้นท่านจักประสบกับชัยชนะอย่างแน่นอน...”

ครั้นพูดจบประโยค นาซีมก็หลับตาลง จากนั้นหมดสติลงไปทันที!





❂ …………………………….❂





[1] ขนมที่ทำจากแป้งฟิลโล ถั่วต่างๆ สลับกันเป็นชั้นแล้วราดด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม







ตอนนี้ก็จะเครียดหน่อยๆ

แต่ก็โค้งสุดท้ายแล้วค่ะ

ฝากติดตามด้วยน้า

ปล.อยากกินขนมจังเลย 5555
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 32 :- ภาพนิมิต [20/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-04-2020 22:45:47
ลุ้นนนนน :ling1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 32 :- ภาพนิมิต [20/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 21-04-2020 07:47:38
นี่สินะ ความสามารถของนาซีม มาถูกเวลามากเลยค่ะ
หวังว่าชัยชนะจะเกิดในเร็ววัน และทำลายคนชั่วให้หมดสิ้นเลย
ไม่นิยมความรุนแรง แต่อย่าเก็บไว้ เพราะอาจจะแว้งกัดทีหลังได้

เอ็นดูนาซีมมากเลย เตรียมตัวเป็นท่านแม่แล้ว และคาริฟก็ดีใจมาก
ออกอาการมากค่ะ ดูออก ครอบครัวที่อบอุ่นและสุขสมรอคอยอยู่นะ

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 32 :- ภาพนิมิต [20/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-04-2020 17:06:32
ขอให้ชนะทาริคนะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 33 :- เทพีแห่งชัยชนะ [22/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 22-04-2020 22:28:53


บทที่ 33 เทพีแห่งชัยชนะ





ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมานาซีมพบว่าตนเองอยู่บนเตียงนอนในห้องรับรองเรียบร้อยแล้ว ทีแรกเขาจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าการประชุมหารือกันตลอดทั้งวันนั้นเป็นความจริงหรือแค่ความฝัน กระทั่งได้ยินเสียงคาริฟพูดคุยกับใครต่อใครนอกฉากบังตา นาซีมจึงได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง

“ข้าไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังของผู้ทำนายจริงหรือไม่ เพราะตอนที่ราชินีอาลียาแสดงพลัง ข้ามิได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ฟังจากที่เล่าคิดว่าเป็นไปได้หลายส่วน”

“แล้วถ้าหากนาซีมมีพลังการทำนายจริงๆ ท่านหมอคิดว่าเหตุใดเขาถึงเพิ่งแสดงพลังเอาตอนนี้”

“สิ่งเดียวที่ข้าคิดได้คือ อาจจะเป็นเพราะเจ้าชายตั้งครรภ์ และบุตรของท่านกับเจ้าก็ได้รับการถ่ายทอดความสามารถนี้เช่นกัน เขาจึงช่วยปลุกพลังในตัวเจ้าชายให้ตื่นขึ้นด้วย” หลังจากได้ฟังข้อสันนิษฐานของท่านหมอฮาชิ คาริฟก็เงียบไปนาน กระทั่งเสียงของฟามีน องครักษ์ผู้ภักดีของนาซีมเอ่ยถาม บทสนทนาจึงดำเนินต่ออีกครั้ง

“แล้วเช่นนี้เจ้าชายจะทรงเป็นอันตรายหรือไม่ขอรับท่านหมอ”

“ข้าคิดว่าพลังนี้มิได้กัดกินพลังชีวิตของผู้ทำนาย แต่ข้าเป็นห่วงตรงที่ หากเขาเกิดแสดงพลังขึ้นมายามอยู่ลำพัง ช่วงที่หมดสติไม่รู้สึกตัวหลังจากนั้นต่างหากที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ ทางที่ดีควรมีคนอยู่กับเจ้าชายนาซีมตลอดเวลา ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ขึ้น”

“ข้าจะรับอาสาเองขอรับท่านพ่อ” อันวารับอาสา

“ข้าก็จะอยู่ช่วยอีกแรงขอรับ เพราะนี่เป็นหน้าที่ข้าโดยตรง” ฟามีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่คนที่เครียดที่สุดเห็นจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากคาริฟ

“ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้านะ” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความกังวลเอ่ย “แต่ข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี”

“แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็พาเจ้าชายไปซันดาด้วยไม่ได้นะคาริฟ การไปครานี้เป็นการไปอย่างลับๆ แผนของเราคือการบุกโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว หากเจ้าพาเจ้าชายไปด้วย ข้าเกรงว่านอกจากจะเสี่ยงเกินไปสำหรับเจ้าชายนาซีมแล้ว ตัวเจ้าก็จะห่วงหน้าพะวงหลังด้วย” จาเร็ดเอ่ยเหตุผลที่คาริฟเองก็รู้ แต่พอได้ยินคนพูดซ้ำเขาก็อดหน้าตึงไม่ได้

“คาริฟ ที่จาเร็ดพูดนั้นมีเหตุผล อยู่ที่นี่ใกล้หมอและปลอดภัยกว่า อย่างน้อยข้าก็สามารถมาดูแลเจ้าชายนาซีมได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ข้าอยากให้ท่านคิดให้ดี” ฮาชิสนับสนุนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ท่านหมอทราบดีว่าเวลานี้ใจของบุรุษชุดดำวุ่นวายสับสนแค่ไหน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือทำให้คาริฟวางใจ อย่างน้อยระหว่างที่เขาเดินทางไปทำภารกิจสำคัญจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังจนไม่มีสมาธิ

“ข้าเข้าใจที่ทุกคนพูดดี ขอบคุณมากที่อาสาดูแลนาซีมให้ ข้ารู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาควรอยู่ในเอมาลีจึงจะปลอดภัย หากใจข้าก็อดห่วงเขาไม่ได้ แต่เอาเถอะ” คาริฟถอนหายใจ แล้วจึงบอก “อย่างไรข้าฝากนาซีมกับพวกเจ้าด้วย ช่วยดูแลเขากับลูกแทนข้าที”

“เข้าใจแล้วขอรับ พวกเราจะดูแลเจ้าชายให้ดีที่สุด ท่านคาริฟไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” อันวาที่ตอบแทนทุกคน

ครั้นตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงพากันกลับออกไป ทิ้งไว้แต่ผู้นำภูตราตรีที่บัดนี้มีเรื่องให้กังวลใจไม่น้อยไปกว่าภารกิจที่ต้องทำ

คาริฟนั่งอยู่หลังฉากบังตาพักใหญ่ กระทั่งตัดใจได้ เขาจึงเดินกลับมาส่วนในของห้องและพบกับคนรักที่นั่งพิงหัวเตียงรออยู่ก่อนแล้ว

“นาซีม...ตื่นนานแล้วหรือ”

“อืม” นาซีมตอบเบาๆ แต่ท่าทางที่แสดงออกก็ชี้ว่าอีกฝ่ายได้ยินทั้งหมดที่พวกคาริฟหารือกันเมื่อครู่ ภูตราตรีจึงได้แต่ถอนหายใจและเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ

“เจ้าทำหน้ามุ่ยอีกแล้ว”

“สีหน้าของเจ้าก็มิได้ดูดีเลยคาริฟ”

“ข้าเป็นห่วงเจ้า” คาริฟบอกตามตรง

“ข้าเองก็เหมือนกัน” นาซีมว่า และนั่นทำให้คาริฟขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงเต็มตัวเพื่อรวบน้องมากอดไว้

“ข้ามิเคยรู้สึกเช่นนี้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ข้าไม่อยากออกไปทำภารกิจ แต่ข้ารู้ว่ามันจะเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งสงครามไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ข้าต้องทำทุกทางให้ซาร์เรียกลับมาสงบสุขอีกครั้ง เพื่อเจ้าและลูกของเรา...นาซีม”

“เดิมทีข้าคิดว่าตัวเองจะได้สู้เคียงข้างกับเจ้า แต่เพราะข้ากำลังตั้งครรภ์ลูกของเรา ข้าจึงรู้มีข้อจำกัดที่ไม่อาจทำได้ ข้าเข้าใจทุกอย่างดี แต่ข้าเองก็เหมือนเจ้าที่ไม่อยากแยกจาก แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่นานก็ตาม เพราะข้ารู้ว่าการไปของเจ้าในคราวนี้เสี่ยงอันตรายนัก”

“นาซีม...”

นาซีมรู้ดี ถึงแม้เขาจะอยากมีส่วนร่วมในสนามรบเท่าใด เขาก็คงช่วยได้เท่านี้ เพราะตนมิได้มีแค่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ยังมีลูกน้อยที่อยู่ในท้อง ลูกที่รอคอยเพื่อจะออกมาดูโลกกว้าง กระนั้นนาซีมก็รู้สึกเศร้าใจที่ต้องปล่อยให้คาริฟออกไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว ซ้ำอีกฝ่ายยังต้องคอยห่วงตนกับลูกด้วย

“จงกลับมาอย่างปลอดภัยนะคาริฟ ข้าจะคอย” นาซีมเงยหน้าพูดกับคาริฟด้วยน้ำเสียงเว้าวอน คาริฟจึงตอบรับด้วยการบรรจงจูบที่หน้าผากเบาๆ

“ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน ข้าสัญญา”

พวกเขานอนกอดกันเงียบๆ ต่างรู้ดีถึงหน้าที่ที่ต้องกระทำ ทว่าลึกๆ ยังเป็นห่วงคู่ชีวิตของตนอย่างสุดหัวใจ จนเมื่อผ่านไปพักหนึ่ง นาซีมจึงเอ่ยถามถึงแผนการที่คาริฟวางไว้ระหว่างที่เขาสลบไสลไม่ได้สติ

“ข้าจะนำกำลังคนไปด้วยกันสองพันและซุ่มโจมตีพวกมันในเวลากลางคืน โดยจัดการป้อมแต่ละป้อมในเมืองหลวงก่อน หากทะลวงป้อมปราการและจัดการแม่ทัพนายกองคนสำคัญได้ พวกทหารชั้นผู้น้อยก็มิใช่เรื่องยากแล้ว”

“จะเดินทางเมื่อใด”

“เร็วที่สุด คาดว่าในราตรีของพรุ่งนี้ ช่วงเช้าราชาอาฟาจะเตรียมอาวุธและพาหนะให้เราก่อน ส่วนข้าต้องทำความเข้าใจกับคนของข้าอีกหลายเรื่อง”

“เจ้ามิได้พาภูตราตรีไปทั้งหมดหรือ”

“ไม่ทั้งหมด ข้าทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งพันเพราะหากข้าโจมตีซันดาสำเร็จ เราก็จะย้อนกลับมาบุกที่มาไอร่าทันทีมิให้ทาริคได้ตั้งตัว และจาเร็ดจะนำภูตราตรีที่เหลือไปคอยอยู่ที่มาไอร่าเมื่อข้าแจ้งข่าวมาว่าป้อมแคว้นซันดาแตกแล้ว”

“แต่ข้าได้ยินมาว่ากำลังเสริมของทาริคที่ซันดามีเกือบสองหมื่น เจ้านำคนของเราไปน้อยกว่าถึงสิบเท่า ไม่คิดว่าประมาทเกินไปหรือ”

“อย่างที่บอก การไปครานี้ข้าจะซุ่มอย่างกองโจร ดังนั้นเราจะมิใช้คนมาก แต่เน้นไปที่การจู่โจมคนสำคัญแทน หากแม่ทัพตกตายไปแล้ว พวกลูกน้องย่อมแตกฮือไม่เป็นกระบวน คราวนี้เราก็จัดการได้ไม่ยากแล้ว”

นาซีมฟังที่คาริฟพูดดูเหมือนง่าย แต่การจะเข้าถึงแม่ทัพผู้สั่งการในซันดามิใช่เรื่องง่ายเลย ไหนจะจำนวนคนที่มากกว่าหลายเท่า มันทำให้นาซีมเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก

“หากเจ้าว่าเช่น ก็จงระวังตัวให้มากเข้าไว้” นาซีมกำชับอีกคำ เพราะเขาไม่อยากให้คาริฟพลาดพลั้งจนเกิดเรื่องร้ายขึ้น

คาริฟก้มมองคนที่ย้ำแล้วย้ำอีก ก่อนยิ้มออกมาบางๆ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่ แม้เรื่องของนาซีมจะทำให้เขากระวนกระวาย แต่ถ้าเป็นการสู้รบตบมือแล้วล่ะก็ คาริฟไม่กังวลแม้แต่นิดเดียว

“เจ้าเป็นคนบอกเองมิใช่หรือ หากไปที่ซันดาแล้วข้าจะประสบชัยชนะ”

“ข้า...” นาซีมจำได้คร่าวๆ ว่าตนเองพูดออกไปเช่นนั้น แต่เขาลืมไปแล้วว่าเหตุใดจึงควบคุมตนเองไม่ได้ บางทีนี่อาจเป็นพลังในการทำนายจริงๆ “ใช่ ข้าเป็นผู้พูด”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่กลัวสิ่งใดอีกแล้ว เพราะนอกจากฝีมือของข้ากับเหล่าภูตราตรีทั้งสองพันคน ข้ายังมีเทพีแห่งชัยชนะอยู่เคียงข้างด้วย”

“เทพีที่ไหนกัน” นาซีมเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้วน้อยๆ เพราะลืมคิดให้ดีก่อนว่าคาริฟหมายถึงใคร นั่นทำให้บุรุษชุดดำยิ้มขัน

“เจ้าหวงหรือที่ข้ามีเทพีแห่งชัยชนะอยู่เคียงข้าง”

“แล้วที่เทพีที่ว่าอยู่ใดเล่า”

“ก็อยู่ตรงหน้าข้านี่อย่างไรเล่า” คาริฟใช้นิ้วชี้เคาะจมูกนาซีมเบาๆ

“อ่า...” นาซีมถึงกับพูดไม่ออก...เขามองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกันนะ

“ถึงกับพูดไม่ออกเชียวหรือ”

“ข้าลืมคิด” นาซีมบอก จากนั้นจึงเอ่ยถึงความกังวลใจอีกเรื่องที่มี “แต่เจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าบอกจะเป็นจริงหรือ เรื่องซันดาน่ะ”

“แล้วเจ้าแน่ใจหรือไม่เล่า”

“ข้า...”

“แม้นเจ้าไม่แน่ใจหรือ แต่ข้ามั่นใจว่าคำทำนายของเจ้าจะเป็นเรื่องจริงนะ ข้าคิดว่าศึกแรกนี้พวกซันดาจะต้องพบกับความปราชัยอย่างแน่นอน”

“เหตุใดจึงเชื่อเพียงนั้น”

“เพราะข้าเชื่อในตัวเจ้า ผู้ทำนายตัวน้อยของข้า” คาริฟเอ่ยอย่างหนักแน่นขณะเดียวกันก็อ่อนหวานด้วย

นาซีมมองเจ้าของดวงตาสีมรกตอย่างรักใคร่ เขาคิดกับตนเองว่า...หากคาริฟเชื่อในตัวเขา เช่นนั้นเขาก็จะเชื่อในตัวเอง และภาวนาให้เจ้าภูตราตรีพาชัยชนะกลับมา









คาริฟออกเดินทางในวันถัดมาหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าโดยมีนาซีมยืนส่งที่กำแพงเมืองทางทิศตะวันตก เขาจูบลาคนรักก่อนพากำลังพลเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงของเอมาลีอย่างเงียบเชียบ พาอาชาตะบึงห้อไปด้านหน้าโดยไม่หันหลังกลับไปมอง

หลังจากทำความเข้าใจกับนาซีมเรียบร้อยแล้ว คาริฟก็ทำใจแข็งและคิดถึงแต่ภารกิจที่ต้องทำเท่านั้น

เมื่อออกไปยังทะเลทรายเวิ้งว้างแล้ว ก่อนอื่นเขาต้องพาทุกคนหลบจากสายตาทัพของทาริคให้พ้นเสียก่อน จากนั้นจึงพามุ่งหน้าตามกันไปยังชายขอบเมืองซันดาที่นั่นมีปราการธรรมชาติเป็นเนินทรายโบราณที่สามารถใช้เป็นจุดเร้นสายตาจากป้อมปราการซันดาได้ เมื่อคราวที่บุกมาช่วยนาซีมคาริฟก็ใช้ที่นี่ในการซ่อนขุมกำลังของตนเอง

กว่าจะมาถึงก็เป็นช่วงบ่ายคล้อยเจียนค่ำ แต่พวกเขามิได้ทำการโจมตีในทันที หากใช้เวลายามเย็นในการสร้างกระโจมล่องหนขึ้นหลังเนินทรายแทน

กระโจมล่องหนนี้ทำจากผ้าดิบย้อมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งเป็นสีเดียวกับทะเลยทราย เมื่อนำมากางปักแล้วมองมาจากที่ไกลๆ จะสามารถพรางตาได้เป็นอย่างดี ผนวกกับเวลากลางวันเป็นเวลาที่เวรยามตามป้อมปราการน้อยอยู่แล้ว เนื่องจากทหารทั่วไปทนต่อความร้อนไม่ไหว

ครั้นกางกระโจมเสร็จคาริฟก็สั่งให้ทุกคนเข้าไปพักผ่อนเพื่อเติมแรงจากการเดินทางไกล จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนสี หัวหน้ากองทัพภูตราตรีจึงส่งคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดดำรัดกุมออกไปดูลาดเลาและแฝงเข้าไปแอบซ่อนหลังกำแพงเมืองซันดา

แม้เมืองหลวงของซันดาจะใหญ่โตพอๆ กับเอมาลี แต่จำนวนประชาชนในเมืองก็มีไม่มากนัก เพราะซันดามิใช่แคว้นอุดมสมบูรณ์ ซ้ำยังมีการขูดรีดและอิทธิพลจากราชาองค์ก่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงตอนนี้จะผลัดการปกครองเป็นยุคของชีคทาริค ก็ยังมีกลุ่มที่ได้รับการเอื้อผลประโยชน์หากินกับประชาชนอยู่ดี ดังนั้นซันดาจึงถือได้ว่าเป็นแคว้นใหญ่แต่เสื่อมโทรมอย่างหนัก กำลังทหารที่เฝ้าปกปักเมืองก็มีน้อย ส่วนใหญ่ถูกเกณฑ์มาจากแรงงานทาสที่ไม่เต็มใจ เป็นกำลังคนที่ทาริคสร้างขึ้นเพื่อเสริมทัพให้ตนเองเท่านั้น จากรายงานของผู้ที่แฝงตัวอยู่ในซันดาประมาณการไว้ว่ามีราวสองหมื่นนาย

และเป็นสองหมื่นที่ทาริคจะเรียกไปสมทบที่หน้ากำแพงแคว้นเอมาลีเมื่อไหร่ก็ได้ หากคาริฟจัดการผู้ควบคุมดูแลกองกำลังในซันดาลงเสีย พวกเขาก็จะเข้าคุมไพร่พลที่นี่ได้ทันที

จุดที่ต้องควบคุมไว้ให้ได้คือป้อมปราการเจ็ดจุดรอบเมือง และที่สำคัญที่สุดคือพระราชวังเดิมของราชาองค์ก่อน เพราะที่นั่นมีผู้ดูแลในการแต่งตั้งของคาริฟอยู่

กำลังพลที่คาริฟแบ่งออกไปจะเข้าแทรกซึมอยู่ตามป้อมปราการทั้งเจ็ด แต่ทุกคนจะไม่ทำอันใดจนกว่าจะได้สัญญาณจากคาริฟในอีกราตรีถัดมา ส่วนด้านของหัวหน้าภูตราตรีจะเป็นผู้นำกำลังที่เหลือบุกเข้าไปยังเขตพระราชวังเดิมและจัดการกับผู้ดูแลแคว้น

การโจมตีทั้งหมดจะเกิดขึ้นตามลำดับ โดยพวกเขาวางแผนให้เริ่มที่โจมตีและยืดป้อมปราการพร้อมกัน ต่อจากนั้นคาริฟจึงลงมือเผด็จศึกผู้ดูแลกับทหารอารักขาด้านใน เพราะเมื่อสามารถยึดป้อมได้แล้ว ผู้ดูแลแคว้นก็ไม่สามารถเรียกกำลังเสริมมาปกป้องตนเองได้อีก

นอกจากสองกลุ่มนี้คาริฟยังแบ่งทัพภูตราตรีเป็นอีกส่วนที่สาม ส่วนนี้จะมีจำนวนคนไม่มาก แต่เป็นส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาต้องทำหน้าที่จุดไฟและกระจายข่าวปลอมออกไปให้ทั่วเมืองหลวงแคว้นซันดา

...ข่าวที่ว่าคือข่าวการตายของบุรุษไร้พ่าย และการปลดแอกเพื่อเอกราชที่แท้จริงของซันดา

หากทหารที่ชื่นชมและนับถือในตัวทาริคได้ยินก็จะใจเสียและตื่นตระหนก ส่วนใครที่รอคอยเวลานี้ก็จะต่อต้านกองทัพและไม่เกรงกลัวอิทธิพลของชีคทาริคอีกต่อไป

การโจมตีในแบบของคาริฟจึงมิใช่การซุ่มโจมตีเช่นกองโจรอย่างเดียว แต่ยังมีการโจมตีจากภายในและทำลายขวัญกำลังใจของกำลังพลด้วย

แผนการทุกอย่างถูกซักซ้อมและแจกจ่ายหน้าที่อย่างรัดกุม เหล่าภูตราตรีกว่าสองพันชีวิตทบทวนสิ่งที่ตนเองต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งความมืดโรยตัวรอบกาย ราตรีที่สองที่ทุกคนรอคอยมาถึง

ศึกครานี้ถ้าพลาดพลั้งพวกเขาคงไม่มีชีวิตรอดกลับไป เพราะความต่างระหว่างจำนวนคนสองฝ่ายมีมาก ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย หากผู้ที่ทำให้กองกำลังภูตราตรีละทิ้งความกลัวและฮึกเหิมได้ ก็คือบุรุษในชุดดำที่ก้าวนำหน้าพวกเขาอย่างเงียบเชียบโดยไร้ซึ่งความกริ่งเกรงใดๆ

บุรุษผู้มีเทพีแห่งชัยชนะอวยพรให้





---------------------------------------------------





มาต่อแล้วววววว

จริงๆ สารภาพว่าเขียนการสู้รบหรือสงครามไม่เก่งเท่าไหร่

ก็จะพยายามพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามและส่งกำลังใจให้นะคะ

ตอนนี้เหลือไม่เยอะก็จะถึงบทสรุปแล้ว

ฝนกติดตามต่อไปด้วยนะคะ



ละอองฝน.

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 33 :- เทพีแห่งชัยชนะ [22/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: w.pond ที่ 22-04-2020 23:00:59
 :mew1: ลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 33 :- เทพีแห่งชัยชนะ [22/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-04-2020 02:10:27
รีบมาน้าาาา
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 34 :- เอาคืน [23/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 23-04-2020 18:23:08


บทที่ 34 เอาคืน









ตั้งแต่คาริฟจากไป นาซีมก็ไม่อาจนอนหลับได้สนิทสักคืนเดียว ทุกราตรีเขาจะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างหน้าต่างเพื่อทอดมองออกไปทางประตูเมืองฝั่งตะวันตกและรอคอยให้เหล่าอาชาของบุรุษชุดดำกลับมา แม้จะรู้ดีว่าเวลายังผ่านไปไม่ถึงสามราตรีเท่านั้น

จนรุ่งสางของวันที่สี่มาเยือน

“เจ้าชาย!”

เสียงของเด็กหนุ่มผู้ร่างเริงดูตื่นตกใจเมื่อเห็นสภาพอันไม่สู้ดีของเจ้าชาย เขารีบเข้ามาประคองนาซีมจากเก้าอี้แล้วพาไปนอนดีๆ บนเตียง

“ท่านจะมานั่งรอท่านคาริฟเช่นนี้ทุกคืนมิได้นะขอรับ กลางวันท่านก็ออกไปขี่ม้าลาดตระเวนกับข้าและจาเร็ดที่ป้อมปราการ หากไม่พักผ่อนให้เพียงพออีกไม่นานท่านจะป่วยนะขอรับ”

“ข้ารู้ แต่ใจมันพะวงจนข่มตาหลับไม่ได้”

“ไม่หลับก็ต้องฝืนนอนให้ได้ขอรับ ราตรีนี้ข้ากับฟามีนจะเข้ามานอนข้างเตียงท่าน ไม่ยอมให้ท่านออกไปนั่งตรงนั้นอีกแล้ว” ตามปรกติอันวาและฟามีนจะนอนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฉากบังตาเพื่อให้เจ้าชายมีความเป็นส่วนตัว

“แล้วนี่ฟามีนไปไหน”

“ฟามีนไปหาฮาบัสขอรับ อีกเดี๋ยวคงนำอาหารเช้ามาให้ท่านด้วย”

“อย่างนั้นหรือ” นาซีมพยักหน้ารับ แล้วจึงถามต่อ “ว่าแต่มีข่าวจากซันดาบ้างหรือไม่”

“ยังไม่มีขอรับ”

ครั้นได้ยินคำตอบ นาซีมก็มีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ถามเรื่องใดมากความและลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนที่เสร็จเรียบร้อยแล้วฟามีนก็นำอาหารมาให้พอดี

นาซีมจัดการมื้อเช้าเงียบๆ พร้อมอันวาและองครักษ์คนสนิท ถึงจะไม่สบายใจและเป็นห่วงคาริฟเพียงใด เจ้าชายก็ยังเสวยอาหารได้มาก ซึ่งนี่เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้คนดูแลอย่างอันวาและฟามีนไม่เป็นห่วงมากนัก

กระทั่งอิ่มดีแล้วเจ้าชายก็เดินนำทั้งสองลงไปหาราชาอาฟาที่ห้องทรงงาน

เวลานี้พวกเขาแบ่งหน้าที่กันชัดเจน คือราชาอาฟาเป็นผู้ควบคุมทั้งหมด ราชาฟารุคดูแลป้อมปราการทั้งสี่ด้าน ส่วนนาซีมรับหน้าที่ดูแลกำลังพลที่คัดเกณฑ์เข้ามาใหม่พร้อมทั้งควบคุมการผลิตจัดหาอาวุธเพิ่ม อาจจะมีในบางวันที่นาซีมตรวจงานของตนเสร็จแล้ว เจ้าชายก็จะออกไปหาจาเร็ดผู้มีหน้าที่ดูแลป้อมปราการฝั่งตะวันตกเพื่อถามไถ่ถึงข่าวสารจากทางซันดา

แม้ตอนนี้เขากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ แต่นาซีมไม่รู้สึกว่าเด็กๆ ในท้องทำให้เขาลำบากเท่าใดนัก จะมีบ้างที่เวียนหัวเป็นครั้งคราว นอกนั้นก็มีแค่อาการรู้สึกร้อนวูบๆ มากกว่าคนปรกติ แต่นาซีมแก้ปัญหาด้วยการนำเอาถุงหนังที่บรรจุน้ำเย็นของอันวามาสะพายหลังเวลาไปไหนมาไหน พร้อมกับสวมเสื้อคลุมมิดชิดแต่ระบายอากาศได้ดี เพียงเท่านี้ก็พอบรรเทาอาการร้อนได้จนกว่าจะกลับไปแช่น้ำในยามค่ำคืน

เห็นเจ้าชายโอเมก้าทรงงานไม่ต่างจากผู้อื่น ราชาฟารุคที่เคยคิดว่าโอเมก้ามิมีกำลังเท่าอัลฟ่าก็ถึงกับเปลี่ยนความคิด ทั้งยังนึกเสียดายที่มิได้อภิเษกกับเจ้าชายนาซีมตอนที่ราชาราฮิมยังมีชีวิตอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงมองเจ้าชายด้วยความรู้สึกภูมิใจที่มีคู่ครองเก่งกาจและทรหดถึงเพียงนี้

ส่วนราชาอาฟาเดิมทีค่อนข้างไว้ใจคาริฟมากกว่า มาตอนนี้รู้สึกเอ็นดูนาซีมราวกับบุตรชายคนหนึ่ง เพราะนอกจากนาซีมจะฉลาดและรู้จักแยกแยะสถานการณ์แล้ว เจ้าโอเมก้าน้อยยังปล่อยพลังงานบวกออกมาทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้รู้สึกสบายใจไปหมด แม้นาซีมกำลังอยู่ในห้วงทุกข์เพราะคู่โชคชะตาออกไปเสี่ยงอันตรายก็ตามที

แต่เดิมอาฟาพอรู้มาว่านาซีมมีความสามารถ มิเช่นนั้นคงไม่หนีจากทาริคไปได้ด้วยกำลังน้อยนิด กระนั้นก็ยังคิดปรามาสเพราะเจ้าชายได้พวกภูตราตรีหนุนหลัง ทว่าเวลานี้นาซีมได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว แม้จะไม่เชี่ยวชาญทางการรบเท่าราชาองค์อื่น แต่ก็เป็นกำลังหนุนที่ดี ทั้งยังสามารถไว้ใจให้ดูแลกองกำลังเสริมหลังกำแพงได้

เหล่าคนสำคัญของราชวงศ์แห่งแคว้นทั้งสามต่างร่วมมือผนึกกำลังกันเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดก่อนวันประกาศสงครามมาถึง

นอกจากหัวเรือทั้งสามแล้ว เหล่าทหารและประชาชนที่เข้าร่วมก็มีใจฮึกเหิม เพราะทุกคนต่างเห็นไปในทางเดียวกันว่าอย่างไรศึกครานี้ก็ต้องเสียเลือดเนื้ออย่างแน่นอน แต่ถ้าพวกเขาสามัคคีกันจนผ่านพ้นวิกฤตและเอาชนะทาริคได้ ต่อไปซาร์เรียก็คงพบแต่ความสงบสุขเพราะสามแคว้นใหญ่เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันแล้ว

ครั้นมาถึงห้องทรงงานของอาฟา นาซีมก็พบฟารุคและบรรดาแม่ทัพคนสนิทของสองราชารออยู่ ทว่าบรรยากาศวันนี้ไม่เคร่งเครียดเหมือนวันก่อนๆ ราวกับมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น

และสังหรณ์ของนาซีมก็ไม่ผิด เพราะทันทีที่สองราชาเห็นเจ้าชาย พวกเขาก็เอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น

“มาแล้วหรือนาซีม เข้ามานั่งก่อนสิ” อาฟาผายมือไปยังตำแหน่งประจำของนาซีม

“วันนี้หน้าตาเจ้าไม่สดใสเลยนะนาซีม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ฟารุคผู้ช่างสังเกตเอ่ยถาม

“ข้าสบายดี ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง แต่เมื่อคืนข้านอนไม่ค่อยหลับ หน้าตาจึงดูไม่ได้เท่าไหร่ ขออภัยด้วย” เจ้าชายน้อยวิเคราะห์ตัวเองตามความเป็นจริง และนั่นทำให้เขาได้รับรอยยิ้มอาดูรจากราชาอาฟา

“เจ้าคงเป็นกังวลเรื่องคาริฟสินะ”

“ขอรับ” นาซีมบอกตามตรง

“เช่นนั้นก็เลิกกังวลได้แล้วนะนาซีม” ทันทีที่ได้ยินฟารุคพูดจบประโยค นาซีมก็รีบถามกลับทันที

“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นขอรับ มีข่าวจากซันดาแล้วหรือท่านฟารุค”

“ม้าเร็วของเราเพิ่งมาถึงเมื่อตอนเช้ามืดเพื่อแจ้งข่าวว่าเหล่าภูตราตรียึดซันดาไว้ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวลานี้คาริฟกำลังจัดการกับกำลังคนที่นั่นให้เข้าที่เข้าทาง แล้วค่อยหารืออีกครั้งว่าจะบุกไปยังฐานที่มั่นของพวกทาริคในมาไอร่าหรือกลับมาที่เอมาลีก่อน”

“แล้วเขารายงานหรือไม่ขอรับว่าได้รับบาดเจ็บไหม เราเสียคนไปมากหรือไม่ขอรับ”

“กำลังพลที่เสียไปก็พอสมควร แต่ไม่ถึงครึ่งที่คาริฟนำไป ส่วนคาริฟนั้นไม่มีรายงานว่าได้รับบาดเจ็บใดๆ เจ้าวางใจเถิด”

เขาคิดอยู่แล้วว่าคาริฟจะต้องทำได้ บุรุษผู้นั้นไว้ใจได้เสมอ แต่ความเป็นห่วงที่ท่วมท้นอยู่ในใจก็มิได้ลดลงเลย เมื่อได้ยินเรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้ นาซีมก็รู้สึกราวกับความหนักอึ้งที่แบกเอาไว้ตลอดหลายวันหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“แต่เรื่องที่น่าคิดยามนี้ก็คือ หากทาริคได้รับรายงานว่าซันดาถูกโจมตี เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างแน่นอน เราต้องเตรียมรับมือเอาไว้ให้ดี” อาฟาเอ่ยถึงความกังวลใจที่มี

“เวลานี้กำลังคนของทาริคลดลงไปส่วนหนึ่ง ข้าคิดว่าถึงเราต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ เราน่าจะพอต้านเอาไว้ได้พอสมควร” ฟารุคคาดการณ์

“แต่ก็ประมาทไม่ได้ขอรับ” นาซีมบอก “ตอนนี้แม้เราจะเกณฑ์กำลังพลเพิ่ม แต่อาวุธของเราก็ยังมีไม่พอต่อจำนวนคน หากฝ่ายนั้นเปิดศึกขึ้นจริง นอกจากเราจะโต้กลับแล้ว ข้าอยากให้คิดถึงการตั้งรับมากกว่า อีกอย่างเราก็ต้องการเวลาที่จะเพิ่มความสามารถในกองทัพด้วย”

“ข้าเห็นด้วยกับเจ้าชายขอรับ” แม่ทัพเอกแห่งเอมาลีว่า “ศึกครานี้เราควรเตรียมตัวตั้งรับมากกว่าการบุกกระโจนเข้าไป เพราะถ้าเราตั้งรับดีจนสามารถยื้อเวลาออกไปได้นาน ผลเสียย่อมตกแก่ผู้มาปิดล้อมและพุ่งโจมตีแคว้นเรา”

“ถูกแล้วขอรับ” นาซีมสนับสนุน “หากสงครามกินเวลายาวนาน ไพร่พลของพวกมันจะอ่อนล้า เสบียงก็ต้องใช้เวลาในการลำเลียงหากหมดลง ซ้ำดินแดนทะเลทรายของเรามิใช่ดินแดนอุดมสมบูรณ์ อาหารจึงหายากและการก่อสงครามเป็นเวลานานเหล่าทหารย่อมเหนื่อยล้าอย่างแน่นอน”

“แล้วระหว่างนี้เจ้าคิดว่าเราควรเดินหมากอย่างไร” อาฟาถามต่อ

“ตั้งรับและค่อยๆ หาโอกาสตัดกำลังพวกมันเช่นที่คาริฟทำขอรับ” นาซีมเสนอ

“เช่นนั้นข้าคงต้องส่งสารหาคาริฟเสียก่อน เขาจะได้รู้ว่าเรากำลังจะทำอันใดต่อไป เพราะคนที่จัดไว้เพื่อบุกไปที่มาไอร่าเป็นภูตราตรีใต้อาณัติเขา”

“ขอรับ”

นอกจากหารือกันเรื่องรับมือต่อผลลัพธ์ที่เลือก ราชาแห่งเอมาลีก็นำกลยุทธ์การสร้างข่าวเท็จของคาริฟเอามาปรับใช้ด้วย เพื่อข่มขวัญและบั่นทอนกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม

เพียงแต่ข่าวที่ปล่อยออกไปครั้งนี้เป็นเรื่องจริงเท่านั้นเอง…











ระหว่างที่ฝ่ายเอมาลีกำลังยินดีกับชัยชนะแรกและช่วยกันเตรียมรับมือกับสงคราม ทางฝั่งกองทัพของทาริคก็เริ่มระส่ำระสายจากข่าวการบุกโจมตีซันดาโดยฝีมือผู้พิทักษ์ทะเลทราย...เหล่าภูตราตรี

ผู้คนในดินแดนนี้ต่างรู้จักภูตราตรีจากเรื่องเล่าว่าเป็นเผ่าโบราณที่อยู่คู่กับซาร์เรียมานาน กระนั้น คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยพบหรือพิสูจน์ได้ถึงการมีอยู่ของภูตราตรี มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พอทราบ เพราะมีความเกี่ยวข้องเฉพาะตัวบุคคล

หากจะบอกว่าภูตราตรีเป็นตำนานที่แสนลึกลับอย่างหนึ่งของซาร์เรียก็คงไม่ผิดนัก

แต่ราตรีที่ผ่านมา ข่าวป้อมปราการแคว้นซันดาใต้การปกครองของทาริคถูกตีแตกด้วยฝีมือของภูตราตรีจำนวนสองพันต่อทหารสองหมื่นนายของซันดาแพร่กระจายไปทั่วซาร์เรียอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเรื่องชวนให้ตกตะลึงทั้งทวีป

ใครๆ ต่างรู้ดีว่าทาริคมีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยมมากเพียงไหน ถึงขนาดได้รับสมญาเป็นนักสู้ไร้พ่าย ทั้งยังบุกไปยึดแคว้นใหญ่ได้ในเวลาไม่นาน

ทว่าสมญานั้นกลับถูกทำลายลงในเวลาเพียงสามราตรี จากฝีมือของผู้พิทักษ์ลึกลับจำนวนแค่หยิบมือ

เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้เหล่าทหารใต้การควบคุมหวาดผวา ทาริคที่สั่งสมบารมีมานานก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่น เขาอุตส่าห์ยอมทำตามแผนการที่จะไม่ต้องเสียกำลังของตนด้วยการส่งสารไปเจรจากับราชาแห่งเอมาลีก่อน อีกฝ่ายกลับตอบแทนความเมตตาของเขาด้วยการบุกยึดซันดาแทน ยิ่งคิดทาริคก็ยิ่งโมโห

ปึก!

เสียงทุบหนักๆ ลงบนโต๊ะสั่งการทำเอาคนในกระโจมของทาริคตัวสั่นกันเป็นทิวแถว กลิ่นความกดดันของอัลฟ่าแผ่กำจายไปทั่วทั้งกระโจม แม่ทัพนายกองและคนสนิทพากันก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าแย้มปากสอดขึ้นมากลางปล้อง เพราะกลัวจะถูกระบายอารมณ์ใส่จนพานให้หัวหลุดจากบ่า

ทว่ามีใครคนหนึ่งที่มิหวั่นเกรงต่ออารมณ์รุนแรงของคาริฟแม้แต่น้อย คนผู้นั้นคือบุรุษในชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ทว่าดวงตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างไม่คิดปิดบัง

“อย่ากริ้วไปเลยองค์ราชา” นักบวชเชนเอ่ยกับทาริคอย่างใจเย็น ส่งผลให้ถูกมองกลับด้วยสายตาเชือดเฉือน

“จะไม่ให้โกรธได้หรือ ข้าอุตส่าห์เชื่อคำเจ้าด้วยการส่งสารไปเจรจาสงบศึก แต่มันกลับตลบหลังข้า ไหนจะไอ้งั่งที่ข้าส่งไปปกครองซันดานั่นอีก มันดูแลอย่างไรถึงถูกคนแค่หยิบมือตีป้อมแคว้นแตกได้”

“ข้ามิอยากให้ท่านโมโห เพราะนี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น ในเมื่อพวกมันตอบแทนเราเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องไว้หน้ากันแล้ว”

“แม้เจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่ไว้หน้ามันแน่นอน ดูซิว่ายามที่แคว้นของมันกำลังจะย่อยยับ ไอ้อาฟาจะคลานมาขอร้องข้าหรือไม่”

“มันต้องคลานมาแน่ แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องหาวิธีเอาคืนมันเสียก่อน” นักบวชเชนกระตุ้น

“ข้าจะบุกโจมตีมันในราตรีนี้” คนใจร้อนดั่งไฟสุมทรวงยืนยันจะจัดการให้เบ็ดเสร็จและรวดเร็วที่สุด ทว่านักบวชมากเล่ห์ก็ทักท้วง เพราะมันได้เตรียมแผนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าเอาไว้แล้ว

“เราจะบุกในราตรีนี้แน่นอนขอรับ แต่ต้องมิใช่การบุกด้วยกองทัพใหญ่ แต่เราจะเอาคืนไอ้ภูตราตรีนั่นด้วยการชิงตัวคนสำคัญของมันมาแทน”

“เจ้าหมายถึงอะไร” ทาริคขมวดคิ้ว “ชิงตัวใครกัน”

“ผู้ทำนายของเราอย่างไรขอรับ...”

“นาซีมงั้นหรือ” ทาริคถามกลับเพราะตามไม่ทัน “นาซีมเกี่ยวอันใดกับไอ้ภูตราตรีนั่น”

“เกี่ยวแน่นอนขอรับ ในเมื่อเจ้าชายนาซีมได้จับคู่กับไอ้ภูตราตรีผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว ท่านเห็นหรือไม่ขอรับว่ากองทัพของเรารวมถึงท่านมีช่องโหว่ใดให้พวกมันชนะในยกแรกได้”

ทาริคจ้องดวงตาวาววับของนักบวชเชน ถ้อยความจากบันทึกคำทำนายก็หลั่งไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง

ผู้ที่จะปกครองซาร์เรียได้ ต้องเป็นบุรุษไร้พ่ายและมีผู้ทำนายอยู่ข้างกาย...

ทาริคไม่รู้ว่าหัวหน้าภูตราตรีผู้นั้นเคยพ่ายแพ้ในศึกใดหรือไม่ แต่จากรายงานที่ให้ซีญ่าไปสืบมา สามารถบอกได้ว่าภูตราตรีผู้นี้เป็นคนเดียวกันกับมือปริศนาที่ช่วยเหลือเจ้าชายนาซีมมาตั้งแต่แรก และมันเป็นคนที่เขาแพ้ทาง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งเผาค่ายชิงตัวนาซีมคราแรก หรือการบุกยึดซันดาครานี้

“คนในคำทำนายเป็นมันหรือ...”

“หากเรายังมิได้ตัวเจ้าชายนาซีมมา ข้าก็มิอาจรับประกันได้ว่าเจ้าของดินแดนจะยังเป็นชื่อทาริคอยู่หรือไม่”

“เจ้า!!” ได้ฟังคำพูดไม่กลัวตาย ทาริคก็ชักดาบออกมาจ่อไปยังลำคอของนักบวชเชนทันที

“องค์ราชา ถึงท่านจะสังหารข้า ท่านก็มิมีทางเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ แต่สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง คือ หมากที่ข้าวางไว้ในเอมาลีต่างหาก”

“เจ้าทำอะไรไว้”

“ข้าบอกท่านแล้วว่าหากเราได้ตัวเจ้าชายนาซีมมา เราก็อาจมีหวัง เรื่องที่พวกมันจะไม่ยอมสิโรราบแก่เรานั้นข้าได้คาดเดาไว้ก่อนแล้ว แต่ที่ข้ายังยืนยันให้ส่งสารสงบศึก เพราะข้าต้องการให้คนบางคนแฝงตัวเข้าไปในกำแพงเมืองเอมาลีให้ได้ต่างหาก และตอนนี้ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตอันหอมหวานแล้วขอรับ องค์ราชาของข้า...”











หลังจากได้รับข่าวน่ายินดีจากคาริฟได้ไม่ทันไร ยามเย็นวันต่อมากองทัพของทาริคก็บุกเข้าโจมตีป้อมฝั่งตะวันตกอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครตั้งตัวทัน มันยังสามารถเข้ามาภายในได้เพราะมีคนในเปิดประตูให้

ทว่าสิ่งที่พวกมันทำกลับมิใช่ทะลวงเข้ามาโจมตีประชาชนในเอมาลีเป็นอันดับแรก แต่เป็นการบุกเพื่อชิงตัวคนสำคัญผู้หนึ่งไปต่างหาก

บุคคลที่มักจะมาลาดตระเวนพร้อมองครักษ์คนสนิทที่ประตูฝั่งนี้ทุกเย็นในช่วงเวลาเดิมเพื่อตรวจความเรียบร้อยและรอคอยคนรักกลับมา

...เจ้าชายนาซีมแห่งโซราห์













--------------------------------------------------------------------------









มันต้องสู้กันไป สู้กันมาถึงจะสนุกค่ะ55555

แลกกันคนละหมัด

เป็นกำลังใจให้คาริฟกับนาซีมด้วยยยย

ฝนด้วยน้าา >3<









หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 34 :- เอาคืน [23/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-04-2020 07:56:59
นักบวชเชนนี่น่าฆ่าให้ตาย
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 34 :- เอาคืน [23/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-04-2020 00:30:24
อะๆๆ. ทำร้ายคนท้อง
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 35 :- หัวใจสลาย [26/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 26-04-2020 10:44:02


บทที่ 35 หัวใจสลาย







“จงมีสติและใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้หวาดกลัว”

น้ำเสียงใจดีของสตรีนางหนึ่งบอกกับนาซีมเช่นนั้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามว่านางเป็นใคร หรือแม้แต่เห็นตัวตนของนาง นาซีมก็ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล

ซ่า!

“แค่กๆๆ”

เสียงของหญิงสาวผู้นั้นหายไปพลันเมื่อใครบางคนสาดน้ำใส่ร่างกายเขาจนเปียกปอน เจ้าชายไอโขลกๆ อยู่พักใหญ่เพราะสำลักน้ำที่เข้ามาทางปากและจมูก กระทั่งรู้สึกดีขึ้นจึงลืมตามองรอบกาย

สิ่งแรกที่เขาเห็นเป็นปลายเท้าของใครคนหนึ่ง คนคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้านาซีมนิ่ง ไม่ห่างและก็ไม่ใกล้นัก เจ้าชายจึงไล่สายตาขึ้นด้านบนช้าๆ จนพบกับใบหน้าของคนที่ไม่อยากเจอสักนิด

ทาริค

อีกฝ่ายปรายตาลงมาที่เขาราวกับมองมดปลวก จากนั้นจึงยกยิ้มเมื่อเห็นว่านาซีมรู้สึกตัวและมองตอบตนแล้ว

“ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะเจ้าชายนาซีม เป็นอย่างไรบ้าง ออกไปเร่ร่อนอยู่นอกวังสนุกดีหรือไม่”

“...” นาซีมไม่ตอบ ไม่คิดอยากเสวนากับคนเถื่อน อีกอย่างเวลานี้เขาต้องคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปเป็นอันดับแรก

แต่ทาริคกลับไม่ชอบใจที่ถูกเมิน มันจึงนั่งลงตรงหน้าก่อนจะขยุ้มผมนาซีมแล้วกระชากไปทางด้านหลัง เพราะความโกรธสะสมมาจากที่ถูกคู่ชีวิตของนาซีมยึดเอาซันดาไปยังคุกรุ่นอยู่

“อย่าเมินเฉยคำถามข้า!”

“เหตุใดข้าจึงเมินไม่ได้”

“มิรู้หรือว่าข้าเป็นราชาแห่งแคว้นโซราห์แล้ว ส่วนเจ้าก็เป็นกบฏที่ขบถต่อข้าเท่านั้น ข้าสั่งอันใดก็จงทำ สั่งให้ตอบก็จงตอบ”

นาซีมจ้องตาราชาทรราชแล้วยกยิ้มเหยียด แม้ตัวตนจริงๆ จะมิใช่คนที่เหยียดหยามใครง่ายๆ แต่กับคนผู้นี้นาซีมไม่คิดจะไว้หน้า

“ดูเหมือนข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่ในบ้านข้านานเกินไปสินะ เป็นอย่างไร สุขสบายดีหรือ แต่จากที่ดูก็คงสบายดี อาจจะดีจนลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าทำวิธีสกปรกอย่างไรจึงได้เข้าไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง” เจ้าชายพยายามพูดแทงใจดำของอีกฝ่าย เพราะเวลานี้คงโต้ตอบอะไรไม่ได้นอกจากถากถางให้ทาริคกระอักเลือด

ซึ่งมันได้ผลดีทีเดียวเพราะทาริคถึงกับกัดฟันกรอก เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบจวนเจียนระเบิด

“อย่าคิดลองดีกับข้า เจ้าคงไม่อยากรู้ว่ายามข้ามีโทสะขึ้นมา ข้าทำสิ่งใดได้บ้าง”

“เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าคนชั่วช้าเช่นเจ้าทำเลวอย่างไรได้บ้าง แต่อย่าได้ทะนงตัวว่าข้าจะเกรงกลัวคนเช่นเจ้า”

“หึ ไม่กลัวอย่างนั้นหรือ” ทาริคมองคนที่พยายามเชิดหน้าอย่างหยิ่งยโส แล้วคิดวิธีเอาคืนวิธีหนึ่งออก “ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าไม่กลัวสิ่งใด ไม่กลัวแม้ต้องเสียสิ้นซึ่งศักดิ์ศรี เช่นนั้นก็มาดูกันว่าหลังจากนี้เจ้าจะรู้จักความกลัวขึ้นบ้างหรือไม่”

“...” นาซีมไม่ตอบโต้ เขาคิดแค่ว่าตายเป็นตาย แต่จะไม่ยอมให้ทาริคทำอะไรที่หมิ่นเกียรติเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว

ทาริคปล่อยมือที่ขยุ้มผมนาซีมออก จากก็กระชากชุดคลุมที่เจ้าชายสวมใส่จนสายรัดเอวหลุด สายตาคุกคามที่มองมาทำให้นาซีมเผลอถอยหลังอย่าลืมตัว เขาใช้มือกุมท้องไว้โดยอัตโนมัติ เพราะที่สุดแล้วนอกจากชีวิตตนเองก็ยังมีชีวิตน้อยๆ ที่ต้องรักษา

คนในกระโจมทั้งซีญ่า นักบวชเชนและทหารใต้อาณัติต่างพากับก้าวถอยหลัง เพราะเดาว่าทาริคน่าจะทำเรื่องที่พวกตนอยู่ด้วยไม่ได้ ทว่าคนเถื่อนกลับสั่งให้หยุด

“พวกเจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น! ลองดูซิว่าเจ้าชายฝีปากกล้าผู้นี้จะไม่เอ่ยปากร้องขอความเมตตาจากข้าจริงหรือ”

พูดจบทาริคก็ดึงสาบเสื้อคลุมออก นาซีมใช้มือปัดป้องและต่อสู้สุดแรง แต่มีหรือโอเมก้าจะสู้แรงอัลฟ่าได้ กระทั่งท่อนบนถูกเปลือยต่อหน้าธารกำนัล ทาริคจึงมองเห็นสร้อยไพลินและรอยตราประทับที่ลำคอระหง

เขายื่นมือออกไปจับจี้ไพลินขึ้นมาดู แต่ถูกเจ้าชายตบลงที่หลังมือดังเพี๊ยะ ทาริคจึงเดาได้ว่าสิ่งนี้คงเป็นของแทนใจชิ้นสำคัญอย่างแน่นอน

คิดได้ดังนั้นคนเถื่อนจึงกระชากสร้อยเจ้าชายจนขาดจากคอ

“อย่าเอาไปนะ!!” นาซีมพยายามไขว่คว้าเอาของสำคัญกลับคืนมา แต่ก็สุดจะเอื้อมมือถึง

“ขอร้องข้าสิ แล้วข้าจะคิดดูว่าควรคืนให้ดีหรือไม่”

“ข้าไม่มีวันขอร้องเจ้า ไอ้เลว!”

“หึๆ เจ้ามันก็มีปัญญาด่าได้เท่านี้ สุดท้ายเจ้าก็มิอาจเอาสิ่งใดคืนไปได้เลยนาซีม ไม่ว่าจะเป็นแคว้นโซราห์หรือสร้อยไร้ค่าเส้นนี้”

ทาริคยื่นหน้าเจ้าไปเยาะเย้ย รอยยิ้มที่แสดงออกว่าตนเหนือกว่าทำให้นาซีมรู้สึกรังเกียจจนอยากอาเจียนออกมา ทว่าขณะที่สถานการณ์ในกระโจมหลักเต็มไปด้วยความร้อนแรง อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งหุนหันเข้ามาและทำให้ความวุ่นวายลุกโหมหนักกว่าเดิม

“ทาริค!”

เจ้าของชื่อหันไปหาผู้มาใหม่ นาซีมเองก็เผลอมองตามเช่นกัน จึงพบบุรุษหน้าสวยผู้หนึ่งที่บัดนี้กำลังทำหน้าโกรธขึ้งเสียจนตาแดงไปหมด

“มาที่นี่ทำไมอามิน”

“หากข้าไม่มาจะเห็นหรือว่าเจ้ากำลังทำอะไร” อามินตอบกลับทันควัน

“แล้วเจ้าเห็นสิ่งใด” ทาริคลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและหันกลับไปหาอามินทั้งตัว

“เจ้าว่าจะพามันกลับมาแค่เป็นเครื่องรางนำโชคมิใช่หรือ แล้วที่กำลังทำอยู่คืออะไร คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ถึงได้เปลืองผ้ามันเช่นนั้น”

“หากไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดพล่อยๆ กลับไปอยู่ในกระโจมของเจ้าเสียอามิน”

“ข้าไม่รู้เรื่องหรือ...อ้อ แน่นอน ข้ารู้ดี” อามินแค่นหัวเราะ “เจ้าอยากได้เขาเป็นราชินีเคียงกายใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นคงมิดั้นด้นตามมาถึงแคว้นเอมาลีและก่อสงครามยิ่งใหญ่เพียงนี้ อย่างไรโลกใบนี้ก็สร้างให้อัลฟ่าคู่กับโอเมก้าอยู่แล้ว เบต้าอย่างข้าจึงถูกเจ้าหลอกให้ความหวังไปวันๆ หนึ่ง...นี่แหละสิ่งที่ข้ารู้”

“เหลวไหล”

“ข้าหรือเหลวไหล” อามินชี้ที่อกตนเอง “ข้ามิได้เหลวไหล แต่เปิดโปงความจริงที่เจ้ามิกล้าบอกข้าตรงๆ ต่างหาก”

“ไปกันใหญ่แล้วอามิน เจ้าเป็นอะไรของเจ้า”

“นั่นสิท่านอามิน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะเข้ามาสอด” นักบวชเชนออกความเห็นด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก็ถูกอามินสาดอารมณ์กลับไปแรงเท่ากัน

“เจ้านั่นแหละที่ไม่ต้องมาสอดเรื่องของข้ากับองค์ราชา!” ว่าจบอามินก็หันกลับมาหาทาริคอีกครั้งเพื่อถามเจ้าคนเถื่อนด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไหนเจ้าเคยบอกว่ารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับข้าอย่างไรเล่าทาริค แล้วที่ข้าแสดงออกเพียงนี้เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ”

“...”

“ได้ เช่นนั้นข้าจะบอกให้ ข้าไม่ต้องการให้มันอยู่ข้างกายเจ้า” อามินชี้มือมาที่นาซีม ดวงตาดูโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด “หากเจ้าไม่กล้าส่งมันไปไกลๆ เพราะฟังคำบอกเล่าของไอ้นักบวชงี่เง่านี่ ข้าจะเป็นคนทำเอง แต่ถ้าเจ้าให้มันอยู่เพราะรักมันก็จงบอกมา ข้าจะเป็นคนไปเอง”

พูดจบอามินก็ปรายตามองนาซีมอีกครั้ง จากนั้นก็ออกไปจากกระโจมอย่างรวดเร็ว พานเอาคนในกระโจมพูดไม่ออกเลยสักคนเดียว

ในความคิดของนาซีม อามินเหมือนพายุทรายที่มาเยือนโดยไม่ได้ตั้งตัว รุนแรง บ้าคลั่ง และก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทิ้งไว้เพียงความเงียบและร่องรอยบอบช้ำให้แก่ผู้ที่พบเจอ

เมื่อละสายตาจากอามินแล้ว นาซีมก็มองขึ้นไปยังแผ่นหลังของคนเถื่อนที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่เห็นสายตาและสีหน้าของทาริค แต่ภาษากายที่แสดงออกกลับไม่อาจปกปิดได้

เมื่อตอนนี้ทาริคถูกพายุอารมณ์ของอามินทำให้มือสั่นจนคุมไม่อยู่

นาซีมมองมือสั่นระริกที่กำสร้อยคอของตนเองไว้แล้วพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในใจ

...แท้จริงแล้วทาริคก็มีจุดอ่อนอยู่เหมือนกันหรอกหรือ











หลังจากเหตุการณ์ขัดแย้งในความสัมพันธ์ของทาริคและอามินในวันนี้ เจ้าคนเถื่อนก็ไม่เยี่ยมหน้าเข้ามาที่กระโจมของนาซีมอีกเลย นาซีมไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเกิดอันใดขึ้นกับชายผู้อาจหาญข่มขู่ทาริค แต่กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเข้ามาทำอันใดกับเขา

เจ้าชายถูกขังในกระโจมเล็กๆ กระโจมหนึ่ง โดยมีกรงไม้หนาแน่นครอบไว้อีกที ส่วนที่ข้อมือข้อเท้าก็ถูกพันธนาการด้วยโซ่เส้นโต หากมองจากเงาที่สะท้อนกับกระโจมผ้าแล้ว จะเห็นว่าด้านนอกมีทหารยามเฝ้าไว้แน่นหนาผลัดเวียนเปลี่ยนกันมาไม่ต่ำกว่า 5-10 คน

ทุกๆ เช้าและเย็นทหารเหล่านั้นจะยกอาหารและน้ำดื่มมาให้นาซีมดื่มกินประทังชีวิต มันไม่ได้มากมายแต่พอให้ผ่านพ้นวันๆ หนึ่งมาได้

ระหว่างนี้นาซีมก็พยายามคิดหาวิธีทางที่จะหลุดรอดไปจากที่นี่ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้คาริฟจะล่วงรู้หรือยังว่านาซีมถูกจับตัวมา หากรู้แล้วนาซีมก็เชื่อว่าคนรักของตนกำลังคิดวางแผนเพื่อจะชิงตัวเขากลับไปแน่

ดังนั้นสิ่งที่นาซีมต้องทำให้ดีที่สุดคือทำใจให้เข้มแข็งและประคองชีวิตน้อยๆ ของลูกกับตนเองเอาไว้เพื่อรอคอยอย่างมีความหวัง

กระทั่งในราตรีที่เจ็ดหลังจากถูกจับตัวมา ระหว่างที่นาซีมกำลังเทน้ำดื่มลงบนผ้าแล้วใช้พันกายเพื่อคลายร้อนและเงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยถึงการศึกด้านนอกไปด้วย อยู่ๆ กระโจมอันมืดมิดของเขาก็สว่างขึ้นด้วยตะเกียงใบเล็กในมือของเจ้าพายุทะเลทราย...อามิน

อีกฝ่ายเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบไร้ผู้ติดตาม เมื่อปิดกระโจมเรียบร้อยก็เปิดผ้าคลุมหน้าแล้วย่างสามขุมเข้ามาใกล้

นาซีมเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้างดงามที่จ้องกลับมาที่เขาเหมือนกัน อีกฝ่ายเลือกที่จะมองเขาเงียบๆ ด้วยสายตาอ่านไม่ออก ช่วงเวลาน่าอึดอัดจึงดำเนินไปกระทั่งเจ้าตัวเอ่ย

“ท่านไม่สมควรอยู่ที่นี่...”

“...”

เขาไขกุญแจและเปิดประตูเข้ามา นาซีมจึงถอยกรูจนหลังติดกรงอีกฝั่ง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังหยิบขวดแก้วเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากใต้เสื้อคลุม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ข้า...ไม่มีทางเลือกจริงๆ ”

“เจ้าจะทำอันใด!”

นาซีมถามแต่อีกฝ่ายไม่ตอบทั้งยังเข้ามาบังคับกรอกของเหลวบางอย่างเข้าปากนาซีม พวกเขายื้อยุดกันไปมาพักหนึ่ง แม้ร่างกายของอามินจะไม่ได้ใหญ่โตและมีพละกำลังมาเท่าพวกอัลฟ่า แต่นาซีมก็เสียเปรียบเพราะถูกโซ่ล่ามแขนขาเอาไว้

กระทั่งนาซีมคิดว่าตนเองน่าจะสู้ต่อไปไม่ไหว จึงเปิดปากเพื่อตะโกนเรียกใครก็ตามเข้ามาช่วย

“ช่วยข้าด้วย! ช่วยด้วย!!!!”

ทว่านั่นเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนัก เพราะเมื่อนาซีมอ้าปากร้อง อีกฝ่ายก็บีบคางเขาไว้แล้วกรอกของเหลวนั่นลงไปทันที รสชาติของมันขมปร่า กลิ่นที่ลอยออกมาก็เหม็นแทบอาเจียน เขาพยายามพ่นมันออกมาให้หมด แต่ก็ยังมีบางส่วนไหลเข้าไปในลำคอเสียก่อน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่ออามินเห็นว่านาซีมกลืนของเหลวเข้าไปเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายก็ปล่อยเจ้าชายเป็นอิสระ จากนั้นก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งและก้มลงมองดูนาซีมเงียบๆ

“ขอโทษด้วยนะเจ้าชายนาซีม...”

“!!”

สิ่งที่กลืนเข้าไปออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ไม่นานนาซีมก็รู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนแรงลง ดวงตาพร่ามัวจนมองเห็นไม่ชัดเจน ทั้งลมหายใจก็ติดขัดและขาดห้วงเหมือนกับคนกำลังจะจมน้ำ

เจ้าชายยกมือขึ้นจับลำคอตัวเองอย่างทุกข์ทรมาน พยายามสูดลมหายใจให้ลึกที่สุดแต่ดูเหมือนนั่นเป็นเรื่องที่ยากเต็มที ปากของเขาอ้าพะงาบ ดวงตาเหลือกขึ้น น้ำลายไหลออกที่มุมปากอย่างควบคุมไม่ได้

นาซีมดิ้นรนจนวินาทีสุดท้าย แต่ยังใช้สองมือกุมท้องตนเองเอาไว้ แล้วในสมองก็มีภาพของคาริฟผุดขึ้นมา

“คาริฟ...ช่วย...ด้วย”

เสียงขาดห้วงเรียกหาคนที่อยู่ไกลแสนไกล แต่ภูตราตรีของเขาคงไม่มีวันได้ยิน

ช่วยข้าทีคาริฟ...











เดิมทีคาริฟตั้งใจว่าจะไปสมทบกับพวกจาเร็ดที่เดินทางไปยังมาไอร่าก่อน แล้วร่วมมือกันจัดการคลังเสบียงเพื่อตัดท่อเลี้ยงของกองทัพทาริค ทว่าข่าวที่คนรักของเขาถูกชิงตัวไปทำให้คาริฟเปลี่ยนทิศทางทันที

บุรุษชุดดำควบอาชามิหยุดพักจากซันดาถึงเอมาลีเพื่อมาชิงตัวนาซีมกลับ ชายหนุ่มมาเร็วราวกับเหาะเหิน เมื่อถึงที่หมายเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังท้องพระโรงเอมาลีก่อน

ระหว่างทางตั้งแต่ประตูเมือง โถงทางเดินในพระราชวัง จนถึงท้องพระโรง มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยทักเขาเลยสักคน แม้แต่สบตาก็ไม่กล้า อาจเพราะกลัวว่าคาริฟจะอาละวาดที่ทุกคนปล่อยให้นาซีมถูกชิงตัวไปได้ง่ายๆ

ถึงคาริฟจะมีโทสะเพียงใด เขาก็เข้าใจว่ามันคือเล่ห์กลสงครามของทาริค ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในเวลานี้คือ สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และจะทำอย่างไรให้ได้ตัวนาซีมกลับมา

ทว่า...สิ่งที่คาริฟได้ยินกลับเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ

“เราได้รับรายงานว่า...เจ้าชายสวรรคตแล้ว”

“อะไรนะ!” คาริฟถามอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ราชาอาฟาบอก

“นาซีมตายแล้ว” อาฟาเอ่ยด้วยสีหน้าสลด แล้วยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ “พวกมันส่งสิ่งนี้คืนมาให้เรา พร้อมกับสารฉบับหนึ่ง อีกทั้งคนของเจ้าที่พยายามแฝงตัวไปในค่ายเพื่อสืบข่าวก็รายงานตรงกันว่าเจ้าชายถูกหนึ่งในคู่รักของทาริคลอบปลงพระชนม์”

“จริงหรืออันวา...ฟามีน” บุรุษชุดดำหันไปถามบุคคลที่อาสาอยู่กับนาซีมแทนเขา ทั้งเด็กหนุ่มสดใสหากบัดนี้นัยน์ตาแดงก่ำและองครักษ์ผู้ภักดีกับนาซีมที่สุด

“คนของเรายืนยันแล้วว่าจริงขอรับท่านคาริฟ” ฮาบัสเป็นผู้ตอบแทน

หัวใจของคาริฟคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นโลกทั้งใบก็ค่อยๆ ถล่มลงตรงหน้า บางสิ่งที่มากกว่าความเสียใจพุ่งเข้าโจมตีคาริฟอย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อคิดถึงคนรักและลูกน้อยที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกคาริฟก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเจ็บกว่ารอยแผลที่เคยได้รับมาทั้งชีวิต ราวกับหัวใจทั้งดวงถูกฉีกกระชากออกไปจากอก

ร่างกายของเขาคล้ายจะหมดแรงเอาดื้อๆ หัวใจที่เจ็บปวดยังรับไม่ได้กับความจริงในเรื่องนี้ กระนั้น ชายหนุ่มก็ยังขยับเท้าเดินเข้าไปรับของที่อยู่ในมือของราชาอาฟา

...มันคือสร้อยไพลินที่เขามอบให้นาซีมเป็นของแทนใจในวันวิวาห์

ชายหนุ่มมองมันครู่หนึ่งก่อนเก็บในอกเสื้ออย่างเบามือ ทุกคนทั่วทั้งท้องพระโรงเฝ้ามองการกระทำของคาริฟอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายเป็นฟารุคที่ทนกับความอึดอัดเพราะรู้สึกผิดไม่ไหว

“ท่านจะทำอย่างไรต่อ หากจะยกทัพไปสู้กับพวกมันในวันพรุ่งนี้พร้อมข้า ข้าก็มิหวงห้ามและจะสู้ไปกับท่านด้วย”

ราชาแห่งโฮมาหยิบยื่นหนทางแก้แค้นมาให้ ด้วยตั้งแต่นาซีมถูกจับไปพวกเขาก็เริ่มพุ่งเข้าโจมตีกองทัพฝั่งนั้นทุกวันเพราะต้องการชิงตัวเจ้าชายน้อยของคาริฟคืนมา แม้วันนี้ได้รับข่าวสะเทือนใจ แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่แก้แค้น

ไม่เพียงฟารุคที่คิดเช่นนั้น แต่ใครที่เคยพบเจอและสัมผัสเจ้าชายแห่งโซราห์ต่างคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่าต้องเอาคืนราชาเถื่อนผู้นั้นให้สาสม

“ข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน” ฟามีนแทรกขึ้น รวมทั้งอันวาที่อาสาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ข้าด้วย”

“หากท่านคิดอย่างไรก็ว่ามาเถิด หรือถ้าไม่พร้อมทำสิ่งใดในเวลานี้ ข้าก็จะไม่บังคับ”

ราชาผู้มีอายุมากกว่าใครในท้องพระโรงเอ่ยด้วยความเข้าใจ คาริฟจึงเงยหน้ามองเขา มองทุกๆ คนแล้วฝืนยิ้ม

“ข้าจะไปขอรับ แต่เราต้องวางแผนให้ดีเสียก่อน หากกระทำโดยใช้อารมณ์นำทางเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะรบกี่ครั้งเราก็ไม่อาจนำชัยชนะกลับมาได้”

“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร”

“ข้าจะดำเนินการตามแผนเดิม” คาริฟว่า “ให้คนที่รอโจมตีคลังเสบียงที่มาไอร่าเริ่มงานได้ทันที และเราก็ส่งคนไปเสริมหากเพลี่ยงพล้ำ”

“เจ้าจะไปเองหรือ”

“ไม่ขอรับ” คาริฟตอบราชาฟารุค แล้วจึงอธิบายโดยไม่ให้ใครถามซ้ำ “ข้าคงไปทำหน้าที่นั้นไม่ได้ เพราะข้าต้องไปพานาซีมกลับมา”

“แต่เจ้าชาย--- “ฟารุคยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกคาริฟแทรกพร้อมกับมองด้วยสายตาแข็งกร้าว

“หากไม่เห็นร่างไร้ลมหายใจของเขา ข้าก็ไม่เชื่อว่าเขาจากไปแล้ว หรือถ้าเขาไม่อยู่บนโลกนี้จริงๆ ข้าก็จะไปนำร่างของเขากลับมาเพื่อพาไปพำนักที่บ้านของเรา เพราะพวกมันไม่มีสิทธิ์ยึดเมียกับลูกข้าไว้ ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม”

คำพูดของคาริฟมิมีใครกล้าแย้ง เมื่อประกาศจบเขาก็เสนอแผนการรบต่อ กระทั่งดวงตะวันลาลับ ดวงจันทร์โผล่ขึ้นมาแทนที่ พวกเขาจึงประชุมกันเสร็จสิ้น

เจ้าภูตราตรีกลับไปพักที่ห้องรับรองซึ่งเขาเคยอยู่กับนาซีม ภายในห้องนั้นเงียบเชียบและมืดสนิท เขาจุดตะเกียงที่อยู่ข้างเตียงเรียบร้อย ก่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงว่างเปล่า

บนเตียงหลังนั้นไร้เงาคนรักที่เขากกกอด มีเพียงแพรพรรณที่เจ้าตัวเคยใช้ห่มกายผืนหนึ่ง คาริฟจึงเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาถือไว้ ก่อนก้มหน้าสูดดมกลิ่นกายที่ยังหลงเหลือ…

“...เจ้าจากข้าไปแล้วจริงหรือ”

ชายหนุ่มได้แต่เอ่ยถามความว่างเปล่าด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง และรู้ดีว่าจะไม่มีใครตอบกลับมา

“ไหนเจ้าว่าจะคอยข้ากลับมาอย่างไรเล่านาซีม แล้วเหตุใดจึงไม่รอพบหน้ากันก่อน...”

ในราตรีอันมืดมิด แสงไฟสะท้อนผ่านฉากกั้นส่องให้เห็นเงาร่างของบุรุษผู้องอาจที่สุดในแคว้นนั่งงอตัวกอดผ้าห่มของคนรักด้วยกายสั่นเทา ความอ่อนแอที่ไม่มีให้ผู้ใดเห็นนี้ยืนยันแล้วว่าเจ้าภูตราตรีก็มีหัวใจเช่นกัน แม้หัวใจดวงนั้นกำลังแหลกสลายก็ตามที…







❂--------------------------------------❂







อย่าเพิ่งขว้างถัง ขว้างกะละมังใส่ฝนนะคะ

เป็นกำลังใจให้คาริฟก่อนนนน 

ตอนนี้แต่งไปน้ำตาก็ซึมไป

ไม่รู้คนอ่านอินไหม แต่คนเขียนอินคะ ;-;
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 35 :- หัวใจสลาย [26/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-04-2020 22:03:02
อ่อยยยยย
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 35 :- หัวใจสลาย [26/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 26-04-2020 22:12:19
น้ำตามาค่ะ นาซีมยังไม่ทันเสียใจ คารีฟก็ยังไม่ทันได้เจอหน้า
ชายชาตินักสู้ ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน แต่จะไม่ใยดีสุดที่รัก ทำไม่ได้
เห็นคารีฟมีอาการขนาดนี้ คือเจ็บช้ำมากจริงๆ ค่ะ

อามีนจะช่วยนาซีมออกมายังไง หรือพวกนั้นจะเอานาซีมไปทิ้งที่ไหน


หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 35 :- หัวใจสลาย [26/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-04-2020 01:22:27
ต้องมีการซ้อนแผนแน่ๆๆ ไรท์หลอกเราไม่ได้หรอก :hao3:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 36 :- แผนการและหมา [27/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 27-04-2020 14:23:45

บทที่ 36 แผนการและหมากตัวสำคัญ

 

 

เนื่องจากสารถีพยายามเร่งฝีเท้าอาชาให้เร็วขึ้น ห้องโดยการในรถม้าจึงโคลงเคลงไปมาจนคนนั่งเวียนหัว

แต่จุดที่ทำให้เขาตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานก็ตรงที่ล้อรถกระดอนไปตกในหลุมทรายจนอาชาไม่สามารถลากขึ้นไปได้ ร่างกายของคนที่อยู่ในห้องโดยสารเล็กๆ ก็หล่นลงจากตั่งและกลิ้งไปบนพื้นแคบๆ ราวกับถูกเทกระจาด

ปึก!

เสียงศีรษะโขกเข้ากับขอบประตูทางออกดังสนั่น แต่ชายหนุ่มต้องอดทนไว้ ผิดกับใครอีกคนที่ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

“โอ๊ย! ด้านนอกนั่นเกิดอันใดขึ้น”

“รถม้าของเราตกหลุมทรายขอรับท่านอามิน” สารถีตะโกนบอก

ได้ยินแล้วอามินจึงรอให้รถม้าหยุดขยับ จากนั้นก็จัดระเบียบร่างกายอีกครั้งแล้วก้มลงไปช้อนตัวคนที่แสร้งหลับให้นอนดีๆ ครั้นสำรวจความเรียบร้อยเสร็จ อามินก็ก้าวออกไปนอกรถเพื่อดูสภาพความเสียหาย

“จมลึกเพียงนี้เชียวหรือ”

“เมื่อวานที่แถบนี้น่าจะเกิดพายุทรายขอรับ เนินทรายระหว่างทางจึงเปลี่ยนทิศ ข้าขออภัยด้วยขอรับท่านอามิน” สารถีค้อมหัวให้คนรักของราชาเถื่อนอย่างนอบน้อม

อามินโบกมือไม่ถือสา จากนั้นจึงถลกแขนเสื้อคลุมขึ้นทั้งสองด้าน

“ข้าจะลองขุดทรายรอบๆ ออกก่อน ส่วนเจ้าลองหาดูซิว่ามีท่อนไม้อะไรที่สามารถนำมางัดล้อขึ้นได้หรือไม่”

“ท่านมิต้องทำหรอกขอรับ ข้าจะทำเอง”

สารถีผู้ทึ่มทื่อไม่กล้าใช้ให้คนรักของราชาลงมือทำถึงขนาดนี้ เพราะกลัวว่าหากราชาของตนรู้เรื่องที่พาอามินมาลำบาก เขาคงถูกเล่นงานอย่างแน่นอน

“ทำคนเดียวได้หรือ รถม้าออกจะใหญ่โต อย่างไรก็ต้องมีคนช่วย ไม่อย่างนั้นคงออกจากหลุมไม่ได้”

“หากไม่ได้ข้าจะเดินเท้าย้อนกลับไปที่ค่ายขององค์ราชาเพื่อตามคนมาช่วยเองขอรับ”

“อย่าเชียวนะ!!”

อามินร้องห้ามเพราะเขาไม่อยากให้ใครตามมาทัน มิหนำซ้ำถ้าเป็นเจ้าหัวใจของอามินก็ยิ่งแล้วใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเลือกเรียกใช้สารถีผู้นี้ เพราะรู้ว่ามันมีนิสัยซื่อๆ จนเกือบจะโง่งม

“แต่ว่า...”

“ทำตามที่ข้าสั่ง ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกทาริคเองว่าเจ้าขัดใจข้า”

“ดะ...ได้ขอรับ”

เมื่ออีกฝ่ายรับคำแล้วก็รีบวิ่งออกไปหาขอนไม้อย่างที่อามินสั่ง ส่วนชายหนุ่มก็เร่งขุดทรายออกอย่างรวดเร็ว แม้เวลานี้อากาศและเม็ดทรายจะร้อนมากก็ตามที

เขาใช้เวลาในการกู้คืนรถม้าอยู่นานเกือบค่อนวัน กระทั่งรถม้าสามารถขึ้นมาจากหลุมทรายได้ อามินจึงกระโดดขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารและสั่งให้ออกเดินทางต่อ

แต่พอล้อหมุนได้ไม่นาน ตอนที่เบต้าคนงามกำลังชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง คนที่คิดว่ากำลังหลับใหลกลับตื่นขึ้นมาและใช้โซ่คล้องประตูที่ไม่รู้แกะออกมาตั้งแต่ตอนไหนรัดคออามินเอาไว้

“ยะ...หยุดนะ...แค่กๆ”

“เจ้านั่นแหละอยู่นิ่งๆ แล้วทำตามที่ข้าสั่ง”

เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งเสียจนคนฟังแทบจำไม่ได้ว่านี่เคยเป็นเสียงของเจ้าชายแห่งโซราห์

ครั้นหายตกใจแล้ว อามินก็นั่งนิ่งและปล่อยให้อีกฝ่ายจับกุมเขาเอาไว้โดยไม่ขัดขืน

“ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

อามินถามด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากตอนอยู่ในค่ายของทาริคมาก ทว่านาซีมกลับไม่ตอบคำถามดีๆ และถามกลับไปแทน

“เจ้ากำลังจะพาข้าไปที่ใด”

“จะไปที่ใดได้เล่า หากไม่พาไปส่งคืนให้แก่ท่านหัวหน้าของข้า”

“หัวหน้าของเจ้าหรือ?”

“ถูกแล้ว” อามินว่าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ดูต่างกับอามินที่นาซีมเห็นก่อนหน้านี้หน้ามือเป็นหลังมือ “ตอนนี้เขากำลังโมโหได้ที่เชียวล่ะ ดูจากที่เป็นคนยกทัพมาด้วยตนเองเมื่อวาน แต่เป็นผู้ใดก็คงมีโทสะล่ะนะ ในเมื่อคนรักถูกจับตัวเอาไว้เช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเข้าใจว่าถูกวางยาพิษจนตายอีก”

“นี่เจ้า...หมายถึงอะไร”

ได้ยินถึงตรงนี้นาซีมก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่จากที่จับใจความได้ ดูเหมือนอามินผู้นี้จะรู้จักกับคู่โชคชะตาของเขาอย่างนั้นหรือ...

“หากท่านกรุณาปล่อยข้า ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง”

“ปล่อยหรือ...” ด้วยถูกคนผู้นี้ทำร้ายมาก่อนนาซีมจึงไม่กล้าไว้ใจ

“เจ้าชาย...หากข้าคิดทำร้ายท่านจริง ข้าจะพาท่านออกจากค่ายมาด้วยเหตุใดเล่า ดูสิว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน” อามินเลิกม่านให้นาซีมดู เจ้าชายโอเมก้าจึงเห็นว่าตนมิได้อยู่ในค่ายของทาริคแล้ว “ข้าว่าเรามาคุยกันดีๆ เถิด”

ได้ยินดังนั้น นาซีมจึงตัดสินใจปล่อยอามินให้เป็นอิสระ เจ้าตัวลูบคอเบาๆ ก่อนจะบอก

“ไม่คิดว่าท่านเองก็มีเล่ห์กลกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่เช่นนี้ก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้เอาตัวรอด”

“เจ้าพูดมาดีกว่าว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร เหตุใดจึงพาข้าออกมาที่นี่ แล้วเรื่องหัวหน้าของเจ้านั่นอีก”

“ลองตรองดูสิ...ท่านว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นใคร”

นาซีมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคนผู้นี้แม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเคยพบกันแค่สองครั้ง รวมคราวนี้เป็นสาม ซ้ำที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่เคยคุยกันดีๆ ด้วย แต่เมื่อพิจารณาให้ดี เขารู้สึกว่าคนผู้อาจมิได้เป็นเช่นที่แสดงออกเหมือนผ่านๆ มา

...หรือมันจะเป็นเพียงการแสดงตบตา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อะไรบางอย่างก็เข้ามาสะกิดในสมองของเขา นาซีมหรี่ตามองคนตรงหน้า จากนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้

“อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นภูตราตรี”

“ท่านฉลาดมาก” อามินยิ้มร่า

“!!!”

“สมแล้วที่ท่านคาริฟเลือกท่านเป็นคู่ครอง”

เมื่อสิ่งที่คาดเดาเป็นความจริง นาซีมก็อึ้งจนแทบอ้าปากค้าง หลังจากอยู่กับคาริฟมานาน เขาก็พอรู้มาบ้างว่าภูตราตรีนั้นแฝงตัวอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง แต่นาซีมไม่เคยคิดว่าข้างกายของทาริคก็มีอยู่เช่นกัน

ซ้ำยังเป็นคนสำคัญเสียด้วย

“นี่มันยังไงกันแน่ เหตุใดเจ้าอยู่ข้างกายทาริคได้ แล้วเหตุใดจึงไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดเขาตั้งแต่ต้น”

ในหัวของนาซีมมีคำถามวุ่นวายเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จะถามอะไรก่อน พานให้อามินยิ้มอย่างเอ็นดู

“เอาเป็นว่าข้าจะเล่าให้ท่านฟังก็แล้วกัน ไว้เล่าจบแล้วท่านค่อยถามที่สงสัย”

“เช่นนั้นก็ได้”

เมื่อตกลงกันแล้วอามินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของตนเองให้นาซีมฟังเป็นฉากๆ

“ข้าเป็นภูตราตรี มีท่านพ่อเป็นภูตราตรีเช่นกัน ส่วนท่านแม่ข้านั้นเป็นชาวซันดา แต่เดิมพ่อข้าเปิดร้านอาหารไม่ใหญ่นักที่ซันดาเพื่อคอยเฝ้าดูความเป็นไปในเมืองหลวง ครอบครัวข้าอยู่ที่นั่นตั้งแต่ก่อนข้าเกิด เมื่อโตขึ้นหน่อยท่านพ่อก็ส่งข้าไปที่ไอเรม ให้เล่าเรียนและรับรู้เรื่องราวของบรรพบุรุษ ข้าจะได้กลับมาสานต่อหน้าที่จากท่านพ่อ”

ชายหนุ่มเว้นช่วงไปนิด ดวงตามองออกไปในอดีตที่นาซีมมองไม่เห็น จากนั้นจึงเล่าต่อ

“เมื่อกลับมาได้ไม่นานท่านพ่อก็ป่วยและสิ้นอายุขัย ข้าจึงช่วยท่านแม่ดูแลร้านแทน ทั้งยังทำหน้าที่ต่อจากท่านพ่อ ส่วนท่านคาริฟนั้นข้ารู้จักเขาตั้งแต่ไปเรียนในไอเรมแล้วล่ะ เราเป็นเหมือนสหายสนิทกัน เมื่อเติบโตก็ช่วยเหลือภารกิจกันเรื่อยมา กระทั่งเกิดเรื่องกับครอบครัวข้า ข้าและแม่ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อกบฏของทาริค ตอนนั้นข้าเคยพบเขา แต่ยังไม่รู้จักชื่อเขาด้วยซ้ำ แค่มีโอกาสช่วยชีวิตเขาไว้จึงตกบันไดพลอยโจนไปด้วย”

“แล้วแม่ของเจ้าล่ะ ตอนนี้นางอยู่ที่ใด”

“นางสิ้นแล้ว”

อามินเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวระหว่างตนเองและทาริคให้ฟังเป็นลำดับถัดไป

อามินกับทาริคได้พบกันโดยบังเอิญและเกี่ยวข้องกันเพราะความใจดีของอามินเอง แม่ของเขาถูกฆ่าจากคนของราชาซันดาที่ ณ ตอนนั้นยังไม่ถูกทาริคยึดอำนาจ

“สมัยก่อนทาริคเป็นเพียงนักสู้ในสนามประลองเท่านั้น เขาเป็นทาสในสังกัดของพ่อค้าทาสผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งที่ชอบกดขี่ทาส ภายหลังเมื่อทาริคเริ่มมีชื่อเสียง เขาจึงรวมตัวกันปลดแอกตัวเองและสังหารนายจ้าง ก่อตั้งเผ่าของตนเองชื่อเผ่าทารายา ทารายาเป็นเพียงเผ่าเร่ร่อน แต่กลับเรืองอำนาจขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหล่าทาสที่ถูกกดขี่เชิดชู ร้อนถึงราชาแห่งซันดาต้องลงมาปราบ แต่องค์ราชาก็สู้ไม่ได้ ทาริคได้นักบวชของแคว้นและประชาชนส่วนใหญ่ที่ลุกฮือจากการปลุกระดมหนุนหลัง เขาจึงกำชัยชนะได้ในที่สุด”

“ฟังจากที่เจ้าเล่า ทาริคแต่ก่อนมิใช่คนเลวใช่ไหม”

“อืม เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ช่วยชีวิตใครหลายๆ คนที่เจอกับชะตากรรมยากลำบาก ข้าติดตามเขาอยู่นาน แทบหลงลืมตัวตนไปหมดสิ้นว่าเราเคยเป็นใคร เนื่องจากชีวิตนี้เหลือเพียงเขา แต่ทาริคกลับมาเปลี่ยนไปเพราะแนวคิดที่นักบวชชั่วผู้นั้นยัดใส่หัว”

“เจ้าพูดถึงนักบวชเชนหรือ”

“ถูกแล้ว” อามินพยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ก่อนหน้านี้ท่านเคยพบมันหรือ”

“อืม เขาเคยให้คนจับตัวข้าไว้ได้ครั้งหนึ่งตอนที่หนีออกจากโซราห์ใหม่ๆ ตอนนั้นเขาพูดถึงคำทำนายของบุรุษไร้พ่ายด้วย นั่นเป็นเรื่องจริงหรือ” นาซีมถาม อามินจึงเล่าต่อ

“อ้อ คำทำนายเรื่องบุรุษไร้พ่าย สายเลือด ความเท่าเทียม ระบบชนชั้นที่มันใช้มาลวงล่อให้ทาริคติดกับ จากที่อยากช่วยเหลือคน กลายเป็นอยากเป็นใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงดินแดนแห่งนี้ ความตั้งใจเริ่มต้นของเขาดี แต่การหลงระเริงในคำเยินยอทำให้ทาริคมิใช่ทาริคคนเดิมอีกต่อไป”

“แล้วเหตุใดเจ้าไม่จัดการเขาเสีย ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่เขาไว้ใจซ้ำยังอยู่ข้างกายมาตลอด”

เมื่อได้ยินคำถาม อามินก็อึ้งไป ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

“คำตอบข้อนี้ง่ายเหลือเกินเจ้าชาย”

“...”

“เพราะข้ารักเขาอย่างไรเล่า” อามินสารภาพเต็มปาก

“เพราะรักหรือ…” นาซีมอึ้งไป ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะรักเจ้าคนเถื่อนนั่นจริงๆ

“ถูกแล้ว...เพราะรักจึงไม่อาจลงมือ เพราะรักจึงปล่อยให้เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่เขาไม่ฟังเสียงข้าอีกต่อไป แต่ข้าเชื่อหมดหัวใจว่าลึกๆ แล้วเขามิได้อยากทำเช่นนี้ แต่ก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงการแก้ตัวให้การกระทำชั่วร้ายของคนรักเท่านั้น”

นาซีมรู้ว่าการรักใครสักคนเป็นอย่างไร และเขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปคิดหรือตัดสินแทนใครได้ เพราะนาซีมมิได้อยู่ในจุดที่คนคนนั้นยืน

“เอาเถอะ...ข้าพอเข้าใจเรื่องราวในอดีตของเจ้าแล้ว แต่ตอนนี้เล่า เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”

“ข้าขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกท่านให้เตรียมตัวก่อน แต่ท่านก็รู้ว่าในค่ายนั่นมีแต่คนของทาริค หากข้าต้องเสียเวลาอธิบายกับท่านก่อนคงไม่ทันการ” อามินแก้ต่างให้ตนเองก่อน

“อ่า...ข้าพอเข้าใจแล้ว” นาซีมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้อามินเล่าต่อ

“จำได้หรือไม่เรื่องที่ฝั่งของทาริคมีการขอให้เอมาลีสงบศึก นั่นคือแผนของนักบวชเชนอีกเช่นกัน

“...ฝีมือเขางั้นหรือ”

“อืม นักบวชเชนเป็นผู้พาคนเข้าไปแฝงในเอมาลีตอนวันที่ส่งสารเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของท่าน ทันทีที่เกิดเรื่องในซันดา เขาจึงยุยงและดำเนินแผนการโดยการให้ทาริคนำกำลังพลเข้ามาจับตัวท่านไป”

“นักบวชผู้นั้นเหตุใดจึงวุ่นวายกับข้าไม่เลิกกันนะ”

“เพราะมันเชื่อว่าท่านจะนำพาชัยชนะมาสู่มันได้อย่างไรเล่า มันเหมือนคนวิกลจริต เชื่อมั่นในคำทำนายบ้าบอ ทั้งยังกระหายอำนาจมาก เมื่อมันจับตัวท่านได้แล้วข้าจึงคิดว่านี่อาจทำให้เผ่าภูตราตรีของข้าล่มสลาย หากคาริฟแพ้ในสงคราม ข้าจึงวางอุบายแสร้งหึงหวงเช่นที่ท่านเห็น จากนั้นก็นำเอายาพิษให้ท่านดื่ม แต่ยานั่นมีผลทำให้หลับลึกเหมือนคนตายเท่านั้น เมื่อสบโอกาสตอนที่ทาริคกำลังโกรธข้าอย่างหนักเพราะทำร้ายท่าน และใช้ช่วงที่เขาไม่มาหาที่กระโจมเพราะต้องวุ่นวายอยู่กับสงคราม ข้าก็หนีออกจากค่ายมาพร้อมกับสารถีโง่ที่บังคับรถม้าให้เรานั่นไง”

“เช่นนั้นแสดงว่าตอนนี้...”

“ตอนนี้ทาริคคิดว่าพระศพของท่านยังอยู่ในค่าย แม้แต่พวกท่านคาริฟเองก็เข้าใจว่าท่านสิ้นพระชนม์แล้วเช่นกัน ท่านหัวหน้าเผ่าจึงเป็นผู้นำทัพเพื่อบุกเข้าโจมตีค่ายอย่างหนักเพราะเขาต้องการชิงพระศพของท่านกลับไปฝังที่ไอเรม”

“คาริฟ...”

นาซีมแทบอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะรู้ว่าคาริฟคงเสียใจมากเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคนรักของเขาจะไม่รีบพุ่งรบกับทาริค เพราะแผนของพวกเราคือการประวิงเวลาให้กองทัพของอีกฝ่ายเหนื่อยล้า แต่การสู้ซึ่งๆ หน้าจะทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บหนัก และอาจทำให้ทาริคพลิกไปชนะได้ เพราะฝ่ายนี้มีคนมากกว่า

“พวกท่านมีปัญหาเรื่องกำลังพลใช่หรือไม่”

“ถูกแล้ว”

“ท่านไม่ต้องกลัว ข้าจะพาท่านกลับโซราห์ ที่นั่นมีคนของทาริคอยู่ก็จริง แต่ข้าควบคุมได้ อีกอย่างที่โซราห์ยังมีแม่ทัพนายกองเดิมของท่านอยู่ เราจะยึดแคว้นคืนและนั่นจะเป็นการตัดกำลังทาริคอีกทาง”

นาซีมฟังแผนการอันแยบยลของอามินแล้วได้แต่อึ้งงัน ไม่คาดมาก่อนว่าเขาจะคิดและทำอะไรได้มากเพียงนี้ ที่สำคัญทาริคเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมีคนข้างกายของตนอยู่เบื้องหลังอีกที ราวกับเหล่าภูตราตรีมีหมากตัวสำคัญที่โผล่มาช่วยชีวิตตอนสถานการณ์คับขัน และหมากเล็กๆ ตัวนี้ก็สามารถพลิกกระดานจนใครก็ตามไม่ทัน

แต่นาซีมคิดว่ายังมีช่องโหว่ในแผนการนี้เล็กน้อย เขาจึงเสนอทางเลือกใหม่เพื่อแก้ไขให้รัดกุมขึ้น

“นี่เรากำลังจะมุ่งหน้าไปโซราห์ใช่หรือไม่”

“ถูกแล้วเจ้าชาย”

“แต่ข้าอยากให้เจ้าเปลี่ยนไปที่หนึ่งก่อน”

“ที่ใด”

“มาไอร่า”

“เหตุใดจึงไปที่นั่น ท่านไม่รู้หรือว่าคนของทาริคยึดโอเอซิสนั่นไว้แล้ว”

“ข้ารู้ และรู้อีกว่ามันคือฐานกักเก็บเสบียงที่จะส่งไปให้ทหารในค่าย หน้ากำแพงเอมาลี”

“แล้วท่านคิดจะทำอันใด”

“ยามนี้คนของภูตราตรีส่วนหนึ่งอยู่ที่มาไอร่า พวกเราวางแผนเผาเสบียงกองทัพของทาริค ข้าอยากให้เราไปพบพวกเขาที่นั่น หลังจากนั้นจึงเดินทางต่อไปที่โซราห์พร้อมพวกภูตราตรีที่อยู่มาไอร่า ข้าคิดว่าเราไม่สามารถเดินทางกันตามลำพังได้ หากมีกำลังส่วนหนึ่งไปถึงโซราห์ด้วยจะปลอดภัยกว่า”

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าพวกเขาอยู่ที่นั่น”

“เป็นแผนที่เราเตรียมไว้ตั้งแต่แรก และยามนี้ก็ส่งพวกจาเร็ดไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าคงรู้จัก”

“อ้อ...รู้จักดีทีเดียวล่ะ” อามินยิ้มบางๆ “เขาเองก็เป็นสหายวัยเยาว์ของข้า”

“อีกอย่างข้าอยากส่งข่าวให้คาริฟรู้ด้วยว่ายังไม่ตาย และเรากำลังจะทำอะไร”

“นี่ก็เป็นความคิดที่ดีเช่นกัน รู้หรือไม่ว่าข้าไม่เคยเห็นคาริฟคลั่งเท่านี้มาก่อน”

“นั่นแหละที่ข้าห่วง หากบอกให้เขารู้ คาริฟจะได้ปรับแผนสู้รบใหม่เพื่อถนอมกำลังพล”

“เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านว่าเถิด เดี๋ยวข้าจะออกไปบอกสารถีให้มันเปลี่ยนเส้นทาง”

นาซีมมองอามินทำตามที่เขาบอกเงียบๆ ก่อนจะใช้ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีลูบที่หน้าท้องซึ่งนูนขึ้นมาน้อยๆ ของตนเอง

เขาดีใจที่ตนกับลูกยังมีชีวิตอยู่เพื่อกลับไปพบกับคาริฟ ความรู้สึกมืดมิดไม่เห็นทาง บัดนี้กลับมีแสงแห่งความหวังส่องมาที่พวกเขาแล้ว

“อดทนหน่อยนะลูก อีกไม่นานมันจะสิ้นสุดแล้ว”

ทว่านาซีมลืมนึกไปว่า...บนโลกใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องคาดไม่ถึง

 



 



เปลวไฟร้อนแรงถูกจุดขึ้นรอบกำแพงเมืองทิศเหนือและกำลังจะลามขึ้นไปยังป้อมปราการสูง เหล่าทหารของทาริคตั้งขบวนอยู่นอกกำแพงมากมายจนไม่อาจนับได้ เสียงลั่นกลองศึกดังกังวานไปทั่วแม้ยามนี้ดวงตะวันลับขอบฟ้า

ทาริคมองประเมินอยู่บนม้าหลังสุดของกองทัพ ภายในเมืองหลวงของเอมาลีเงียบเชียบราวกับเมืองร้าง คาดว่าเวลานี้กองทัพเอมาลีคงอ่อนแรงลงแล้ว เพราะอีกฝ่ายมีกำลังทหารไม่มาก ทั้งเมื่อวานยังบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ ถึงกำลังคนของทาริคก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ถ้าเทียบแล้วเขาก็ยังมีคนมากกว่า

ทาริคไม่รู้ว่าวันนี้หัวหน้าภูตราตรีนั่นจะออกมาอีกหรือไม่ เพราะหลายวันติดกันแล้วที่มันเป็นแม่ทัพนำกำลังออกมาสู้รบด้วยตนเอง แต่ก็ยังไม่ถึงตัวเขาก็จำต้องถอยกลับไปก่อน

ทาริคเห็นหน้ามันไม่ถนัดนัก แต่ชื่อเสียงของมันเป็นที่กล่าวถึงในค่ายของเขาอย่างรวดเร็ว แม้กำลังพลของพวกเอมาลีจะมีฝีมือไม่เท่าไหร่ ทว่าเจ้าภูตราตรีคนนั้นกลับสามารถคร่าชีวิตคนของเขาได้ทุกครั้งที่ตวัดดาบ จนยากที่จะมีใครเข้าถึงตัวบุรุษผู้นั้นได้ง่ายๆ เช่นกัน

วิธีการสู้รบที่เด็ดขาดและไม่เกรงกลัวของแม่ทัพทำให้เหล่าทหารมีใจฮึกเหิม ไม่ขลาดกลัวแม้ต้องแลกด้วยชีวิต ทั้งยังทำให้กำลังใจของฝั่งทาริคถดถอย วันนี้ราชาของเหล่าคนเถื่อนจึงออกมาบัญชากองรบด้วยตนเองเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ

และถ้าทำได้...เขาจะฆ่าไอ้แม่ทัพภูตราตรีผู้นั้นเสีย

ลองดูซิว่าผู้ที่ได้รับสมญาไร้พ่ายกับผู้พิทักษ์แห่งทะเลทรายใครจะเป็นผู้กำชัย

“ดูเหมือนวันนี้พวกมันจะไม่ออกมานะขอรับ” คนสนิทที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพเอกของทาริคประเมินสถานการณ์

“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น” คาริฟถาม

“เพราะเราไม่เคยบุกเข้าไปประชิดกำแพงแคว้นของพวกมันได้ถึงขนาดนี้ อีกทั้งเมืองวานมันยังบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้าคิดว่าอย่างมากพวกมันก็คงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกำแพงและเล่นกลให้เราดูเท่านั้น” คำว่าเล่นกลของซีญ่าคือการยิงธนูไฟไล่ไม่ให้คนของทาริคเข้าประชิดกำแพงเมืองมากเกินไป

ทาริคไฟังแล้วก็ยกยิ้ม

“เช่นนั้นก็คงถึงเวลาแล้วสินะ ข้าเบื่อที่จะเล่นกับมันเต็มทีแล้วเหมือนกัน” พูดกับซีญ่าจบเขาก็ตะโกนให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน “หากผู้ใดสามารถปีนข้ามกำแพงของพวกมันไปเปิดประตูให้ข้าได้ ข้าจะตกรางวัลและเลื่อนขั้นให้เป็นผู้ดูแลแคว้นเอมาลี!!”

เฮ!!!!!!!

เสียงทหารตะโกนด้วยความยินดีและฮึกเหิมมากกว่าเดิม เมื่อสัญญาณรบดังเป็นครั้งสุดท้าย พวกมันก็ตบดาบกับเกราะดังตึงๆ และวิ่งกรูกันเข้าไปพาดบันไดเพื่อปีนกำแพงเมืองทันที

ครั้นบันไดสูงพาดบนกำแพงอิฐ การเล่นกลของทัพเอมาลีก็เริ่มต้นขึ้น

น้ำมันจุดเพลิงร้อนๆ ถูกเทลงมาจากขอบบนของกำแพงเมืองไม่ขาดสาย ลูกธนูมากมายพุ่งตรงมาที่กองทัพของทาริคราวกับห่าฝน มีบ้างที่เป้าหมายถูกปักจนล้มลง แต่อีกแปดในสิบส่วนก็สามารถยกเกราะกำบังได้ทัน

ทาริคมองดูการต่อสู้ที่กำแพงเมืองด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นจึงสั่งให้คนยกเหล็กหลอมแท่งมหึมาไปกระแทกประตูเมือง เขาเห็นการตอบโต้ของพวกเอมาลีจนชินชา วันนี้จึงพร้อมรับมือเต็มที

คนแบกท่อนเหล็กท่อนแล้วท่อนเล่ากระแทกเข้าไปที่ประตูเมือง ด้านบนหัวก็ใช้เกราะเหล็กปิดทับเพื่อกันลูกธนู ขณะที่ประตูเริ่มสั่นไหว กำลังคนก็ยิ่งเฮโลกันเข้าไปใกล้ที่ประตูมากยิ่งขึ้น เวลานี้กำลังสามในสี่จึงออกันอยู่บริเวณนั้นทั้งหมด

ทว่าอยู่ๆ สิ่งที่ทาริคไม่คิดฝันก็เกิดขึ้น รอบๆ พื้นที่ที่ทหารของเขาอยู่จู่ๆ ก็มีกำแพงอะไรสักอย่างผุดขึ้นมาจากผืนทราย มองจากไกลๆ มันดูคล้ายคนเอาผ้ามาขึง แต่เมื่อธนูเพลิงยิงลงมาปักบน ผ้าเหล่านั้นกลับติดไฟจนเผยให้เห็นกรงไม้ที่มีไฟลุก และกำแพงไฟนั้นก็ค่อยๆ จุดต่อกันออกไปจนมันสามารถล้อมทหารของทาริคเอาไว้ไม่อาจไปไหนได้

“นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกัน!! ” ทาริคตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าจะมีใครแอบอยู่ใต้ผืนทรายบริเวณนั้น ซีญ่าเองก็แทบอ้าปากค้างเช่นกัน แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร

เสียงร้องโหยหวนของทหารที่อยู่ๆ ก็ถูกล้อมอยู่ในรั้วและจุดไฟเผาดังก้องฟ้า ควันไฟและเปลวเพลิงเหล่านั้นลุกโหมจนทำให้มองดวงจันทร์เป็นสีแดงสด

และขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกกับเล่ห์อำพรางในการศึก ประตูเมืองที่ปิดอยู่ก็พลันเปิดออก แต่แทนที่คนของทาริคจะพุ่งเข้าไปด้านใน กลายเป็นกองทัพหุ้มเกราะที่ทะยานออกมาแทน ดูอย่างไรก็เข้มแข็งและรวดเร็วราวกับลูกธนูที่ปล่อยจากคันศร

ในกลุ่มคนมากมายและชุลมุนนั้น ทาริคเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ องอาจ ทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงแค่คนผู้นั้นตวัดดาบครั้งเดียว ทหารของทาริคก็ถูกฟันกระเด็นจนร่างขาดครึ่งท่อน

“นั่นมันหรือ”

“ขอรับ” ซีญ่าตอบ

“มีนามว่าอะไร”

“คาริฟขอรับองค์ราชา”

“หึ...ไอ้คาริฟ ในเมื่อคิดจะลองดีกับข้า ข้าก็จะแสดงให้มันดูว่านักสู้ไร้พ่ายเป็นเช่นไร”

ทาริคใช้เท้าตบท้องอาชาและพุ่งทะยานไปยังสนามรบชุลมุน เขากระโดดข้ามกองเพลิงด้วยความชำนาญ แล้วจึงขว้างดาบสั้นไปหาเป้าหมาย โชคดีที่คาริฟตาไวจึงหลบได้ทัน

เมื่อบุรุษทั้งสองเห็นหน้ากันก็รู้ได้ทันทีว่าใครคือศัตรูที่แท้จริง!

เป็นทาริคที่เสือกม้าเข้าไปและฟันใส่คาริฟก่อน ทว่าเจ้าภูตราตรีที่ชำนาญการรบไม่แพ้กันรีบยกดาบจันทร์เสี้ยวของตนขึ้นป้อง ก่อนจะผลักออกแล้วฟาดใส่ทาริคไม่ออมแรง

สองนักรบดวลดาบกันท่ามกลางกำแพงเพลิงที่ลุกโหมขึ้นเรื่อยๆ ทหารหาญทั้งหลายเว้นที่ว่างให้พวกเขาเพื่อกันตัวเองจากลูกหลง เสียงดาบกระทบกันดังผสานกับเสียงร้องระงมของผู้บาดเจ็บล้มตาย เสียงนั้นฟังดูคล้ายลำนำแห่งสงครามที่นานครั้งจะได้พบพาน

พวกเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่พักใหญ่ ทว่าคนอวดดีกลับพลาดให้ชายผู้มีแค้น ในเสี้ยววินาทีแค่กะพริบตาครั้งเดียว ดาบจันทร์เสี้ยวก็เฉือนลึกเข้าไปที่หัวไหล่ซ้าย พาลให้นักสู้ไร้พ่ายกระเด็นตกจากหลังอาชา

ทาริคไม่เคยรู้สึกอัปยศเท่านี้มาก่อนในชีวิต เขากำดาบแน่น ตามองขึ้นไปด้านบน ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกเหมือนตนเห็นมัจจุราชบนอาชาสีรัตติกาลกำลังจ้องมองเพื่อหยิบยื่นความตายมาให้

แต่ไม่ทันที่คาริฟจะลงดาบสุดท้ายเพื่อเผด็จศึก หอกหลาวสีเงินยวงก็พุ่งมาที่ชายหนุ่ม นั่นทำให้ทาริครอดไปได้อย่างหวุดหวิดด้วยการช่วยเหลือของซีญ่า

การปะทะครั้งใหญ่ในคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่กองทัพฝ่ายราชาทาริคพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

คาริฟนำคนบุกเข้าไปในค่ายและเผ่าทำลายกระโจมที่พักจนแทบสิ้น เหล่าทหารของทาริคหนึ่งในสามรวมทั้งตัวราชาผู้นำทัพจึงเร่งถอยทัพ ด้วยหมายใจจะร่นลงไปตั้งหลักที่โฮมาเพราะรู้ข่าวว่ามาไอร่าถูกทำลายโดยน้ำมือของพวกภูตราตรี

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทาริคตัดสินใจหยุดที่มาไอร่าก่อน และแบ่งกำลังพลส่วนใหญ่กลับโฮมาไปพร้อมกับนักบวชเชน เพราะเขาได้รับจดหมายจากเหยี่ยวของสารถีที่สั่งให้เฝ้าอามินไว้ เนื้อความบอกว่าคนข้างกายของเขาแท้จริงแล้วเป็นพวกภูตราตรีเช่นกัน ซ้ำเวลานี้ยังร่วมมือกับพวกนั้นทำลายฐานเสบียงที่มาไอร่าจนสิ้น

...และยังมีความจริงที่ว่านาซีมยังไม่ตายอีกด้วย

ทาริคไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าสารถีนั่นส่งมาจริงหรือไม่ แต่เขาจะเป็นคนไปหาคำตอบด้วยตนเอง!

 

 

 

❂................................................❂

 

 

เมื่อวานทำคนใจหายใจคว่ำใช่ไหมคะ

ฝนขอโทษษษษษษษษ

มันก็ต้องลุ้นๆ หน่อยอ่ะเนาะ

แต่ชอบตอนเขียนนะคะ เพราะได้เขียนอีกด้านนึงขอคาริฟ

คนเท่ก็เสียใจเป็นนะ 555

ส่วนอามินเป็นตัวละครลับที่ฝนเตรียมไว้ตั้งแต่แรกเลย

มีตอนพิเศษของเขาในเล่มร่วมกับคาริฟด้วยค่ะ

เดี๋ยวหนังสือส่งแล้วคงได้อ่านกัน

 

ขอบคุณกำลังใจนะคะ

ตอนที่แล้วเม้นกันเยอะเลย

ใจฟูมาก ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ใกล้จะจบจริงๆ แล้วค่ะ 

เจอกันตอนหน้านะคะ

 

ละอองฝน.

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 36 :- แผนการและหมา [27/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-04-2020 15:24:27
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 36 :- แผนการและหมา [27/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-04-2020 22:27:57
สารถีน่าจะไม่แล้วนะนี่ ร้ายอยู่นะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 37 :- เผด็จศึก [28/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 28-04-2020 13:39:40


บทที่ 37 เผด็จศึก







ภารกิจที่มาไอร่าสำเร็จแล้ว นาซีมยังไม่ตาย

ความรู้สึกหนักอึ้ง สิ้นหวังและพร้อมตายได้ทุกเมื่อในสนามรบหายไปพลันเมื่อรับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของยอดดวงใจ คาริฟอ่านสารนั้นทวนซ้ำเป็นรอบที่ห้า และยังอ่านซ้ำไปมาอยู่เช่นนั้น กระทั่งถูกราชาอาฟาเรียกเขาจึงเก็บสารลงในอกเสื้อ

“ท่านคาริฟ”

“ขอรับราชาอาฟา”

“ข้าถามท่านว่าจะเดินทางไปที่มาไอร่าหรือไม่”

“ไปขอรับ” คาริฟตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะบอก “บัดนี้ทาริคทิ้งฐานทัพนอกกำแพงเมืองแล้ว แต่ที่นั่นยังมีทหารบางส่วนอยู่”

“ข้าจะส่งคนไปจัดการเก็บกวาดทั้งหมดเอง” อาฟาว่า

“ส่วนข้าจะตามเจ้าไปด้วย” ราชาฟารุคแทรกขึ้น “เพราะข้าคิดว่าไอ้ทาริคมันต้องถอยกลับไปที่โฮมาอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าคงต้องเป็นคนลุยไปกับทัพหน้าบ้าง ได้หรือไม่คาริฟ”

“ย่อมได้แน่นอนขอรับ แต่ข้าอยากขอให้ท่านนำกำลังพลในส่วนที่ท่านดูแลล่วงหน้าไปที่โฮมาก่อน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะยามนี้ทาริคบาดเจ็บหนัก หากเราจัดการมันก่อนเข้าไปหลบในที่ปลอดภัยได้ ศึกครานี้คงจบสิ้นอย่างแท้จริงเสียที”

“แล้วเจ้าเล่า มิไปพร้อมกันหรือ เหตุใดต้องให้แยกกำลังเป็นสองส่วน” ฟารุคถาม

“ข้าจะตามไปแน่นอนขอรับ แต่ข้าต้องเร่งไปมาไอร่าคืนนี้เสียก่อน”

“นาซีมน่าจะปลอดภัยอยู่กับจาเร็ดแล้วมิใช่หรือ”

“ข้าไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น” จากที่นอบน้อมมาตลอด เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนรักคาริฟก็พร้อมจะแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เพราะเวลานี้เขาไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว ยิ่งเทพีแห่งโชคชะตาประทานโอกาสให้เขาอีกครั้ง คาริฟจึงต้องปกป้องคนรักและลูกน้อยให้ถึงที่สุด

“ข้ามิได้ว่าอันใดเสียหน่อย เจ้าจะไปมาไอร่าก่อนก็ตามใจเถิด แต่เสร็จจากที่นั่นแล้วต้องรีบยกทัพมาช่วยข้าด้วย”

“ขอรับ” คาริฟรับปาก

ต่อจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาหารือกันอีกพอสมควร กระทั่งเสร็จสิ้นคาริฟเร่งออกจากท้องพระโรงเพื่อเดินทางมุ่งหน้าสู่มาไอร่าทันที

ข้ากำลังไปหา รอก่อนนะดวงใจของข้า













เป็นครั้งแรกตั้งแต่จากมาที่นาซีมฝันเห็นแคว้นโซราห์ แม้ในภาพนั้นจะเป็นการมองจากที่ไกลๆ ซ้ำยังเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ แต่ครู่เดียวดวงอาทิตย์ก็หายไป เหลือเพียงท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้มในยามราตรี ครึ้มเสียจนมองไม่เห็นดวงดาว ทัศนียภาพรอบด้านกลายเป็นทะเลที่มีฉากหลังคือมาไอร่า มีเสียงดาบปะทะกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งเสียงการต่อสู้หยุดลง หยาดฝนก็ค่อยๆ ตกลงมาจากฟากฟ้า จนเปลี่ยนเป็นภาพสุดท้ายคือ เขาเห็นใครบางคนกำลังแบกใครอีกคนไว้ด้านหลัง แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ เดินหายไปในทะเลทรายเวิ้งว้าง



เมื่อตื่นขึ้นมาจากความฝัน นาซีมก็รู้สึกได้ว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ลางสังหรณ์นี้บอกเขาด้วยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

“ตื่นแล้วหรือเจ้าชาย” อามินทักทายเมื่อเห็นนาซีมลุกขึ้นนั่งกลางห้องโดยสารของรถม้า

“อืม” เจ้าชายพยักหน้า ก่อนถามด้วยความเป็นห่วง

“นี่เจ้าได้นอนพักผ่อนบ้างหรือยัง”

“นอนบ้างแล้วล่ะ...”

อามินตอบเสียงเบาทั้งยังไม่กล้าสบตา นาซีมจึงพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับพักผ่อนจริงอย่างที่ปากว่า แต่เขาก็พอเข้าใจได้ว่าจิตใจอามินกำลังวุ่นวายสับสน

ยิ่งกว่านั้น...อามินคงพะวงถึงทาริคอยู่อย่างแน่นอน เนื่องจากเวลานี้พวกเขาได้ฟังข่าวจากจาเร็ดว่าทัพของคนเถื่อนแตกแล้ว และเขากำลังถอยกลับไปที่โฮมาเพื่อตั้งหลัก

แม้อามินจะรู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องถูกต้อง แต่อย่างไรเขาก็คงเป็นห่วงคนรักอยู่ดี เพราะเรื่องจิตใจนั้นห้ามกันไม่ได้

“จริงสิ เมื่อตอนที่ท่านหลับอยู่ จาเร็ดมาแจ้งว่าท่านคาริฟกำลังเดินทางมาที่มาไอร่า”

“คาริฟจะมาหรือ!”

พอได้ยินเรื่องคนรัก นาซีมก็ตาเป็นประกายด้วยความดีใจเพราะเขาไม่ได้พบหน้ากันมาพักใหญ่แล้ว ซ้ำก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องวุ่นวายจนเกือบไม่ได้พบไปตลอดกาล ความยินดีที่ได้รู้ว่ากำลังจะได้เจอกันอีกครั้งจึงท่วมท้นอยู่ในอก

“คาดว่าย่ำรุ่งน่าจะได้พบเขา”

“เช่นนั้นก็ยิ่งดี ว่าแต่เจ้าพักสักหน่อยเถิด” นาซีมว่าก่อนจะขยับลุกขึ้น

“แล้วท่านจะไปไหน”

“ข้าจะไปคุยกับจาเร็ดสักหน่อย ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“เช่นนั้นข้าไปด้วย”

“แต่...”

“ข้านอนไม่หลับหรอกนะเจ้าชาย ท่านก็รู้ว่าใจข้าไม่อาจสงบได้” ได้ยินดังนั้นนาซีมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายตามมา

พวกเขาออกไปจากรถม้าที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นกระโจมที่พักชั่วคราว ส่วนภูตราตรีคนอื่นๆ ที่ทำการยึดเสบียงและทำลายค่ายในมาไอร่าก็ปักกระโจมอยู่กันข้างโอเอซิส โดยมีเชลยศึกนับร้อยถูกมัดรวมกับอยู่ไม่ไกลออกไป

ครั้นจาเร็ดเห็นนาซีมออกมาจากรถม้า เขาก็ยิ้มทักทายเจ้าชายด้วยสีหน้าอิดโรย

“ตื่นบรรทมแล้วขอรับหรือเจ้าชาย”

“อื้ม” นาซีมพยักหน้า “ทำอันใดกันอยู่หรือ”

“ข้าเพิ่งจัดเวรยามให้คนของเราออกไปเฝ้ารอบๆ ไว้ เพราะทางเอมาลีส่งข่าวมาว่ากองทัพของไอ้ทาริคกำลังถอยกลับโฮมา ข้ากลัวว่ามันจะใช้เส้นทางนี้กลับขอรับ”

“ปรกติจะมีเส้นทางตัดตรงถึงโฮมามิใช่หรือ”

“มีขอรับ เราคิดว่ามันจะใช้ทางนั้นเพราะย่นระยะการเดินทางได้มากกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคิดจะมารวบเอาเสบียงและกำลังคนคืนจากที่นี่หรือไม่”

“เช่นนั้นก็ต้องเฝ้าระวังให้ดี เพราะกองทัพที่ถอยมาน่าจะมีกำลังคนมากกว่าเราพอควร”

“ขอรับ” จาเร็ดรับคำ ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่เจ้าชายหิวหรือไม่ขอรับ เมื่อครู่คนของเขาเพิ่งทำอาหารเสร็จ แต่เห็นท่านพักอยู่จึงไม่ได้ไปเรียก

“กินสักหน่อยก็ดี”

ตั้งแต่ถูกจับออกมาจากเอมาลี นาซีมก็ไม่ได้กินอาหารดีๆ จนเต็มอิ่มสักมื้อ เขากินแค่พอประทังให้มีอาหารเข้าไปบำรุงร่างกายเท่านั้น เมื่อถูกชักชวนนาซีมจึงไม่ปฏิเสธ

พวกเขาทำอาหารกินง่ายๆ แต่กินให้มากเข้าไว้เพื่อจะได้มีแรงในการทำอะไรอีกหลายอย่าง ระหว่างที่กำลังกินไป คุยกันไปถึงเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อยู่ๆ หนึ่งในเวรยามที่จาเร็ดจัดไว้ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาที่กระโจมกลาง

“ท่านจาเร็ด!! แย่แล้วขอรับ”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จาเร็ดถามกลับ

“มีกองทัพของฝ่ายตรงข้ามบุกมาที่นี่ขอรับ”

“ว่าอะไรนะ!!”

“เจ้าดูให้ดีหรือยัง อาจจะเป็นท่านคาริฟก็ได้” อามินว่า แต่ภูตราตรีผู้นั้นก็ปฏิเสธ

“มิใช่ท่านคาริฟขอรับ ข้าดูจนแน่ใจแล้ว”

อ๊าก!!!

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากทางด้านหน้ามาไอร่า ตามมาด้วยเสียงอาวุธโรมรันกันอย่างดุเดือด จาเร็ดลุกขึ้นจากที่นั่ง โยนอาหารทิ้ง ก่อนจะร้องตะโกนบอกทุกคน

“เตรียมตัวเร็วเข้า ข้าศึกบุก!!!”

เหล่าภูตราตรีที่กำลังพักผ่อนจากศึกหนักที่ผ่านมาต่างก็รีบลุกขึ้นเตรียมตัวอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักทุกคนก็ถือดาบไว้ในมือและพากันออกไปช่วยทหารยามต้านข้าศึก

ทว่าก่อนจาเร็ดจะตามพวกเขาไปก็ยังไม่ลืมหันมาสั่งอามิน

“พาเจ้าชายไปหลบในที่ปลอดภัย ถ้าทำได้สั่งให้คนเอารถม้าหนีออกไปเลย”

สิ้นคำสั่งอามินก็คว้าแขนนาซีมไว้ ก่อนจะพาวิ่งไปที่รถม้า

“ไปเร็ว!”

นาซีมทำตามอย่างว่าง่าย โชคดีที่ท้องเขายังเล็กนัก ทำให้ยังคงความคล่องตัวได้อยู่

เมื่อมาถึงรถม้า อามินก็สั่งให้สารถีเตรียมตัวพาพวกเขาออกไปจากมาไอร่า จากนั้นก็ดึงนาซีมเข้าไปแอบในห้องโดยสารและค้นเอาอาวุธที่ถูกซ่อนไว้ใต้เบาะออกมา

“มีดาบให้ข้าอีกสักเล่มไหม” นาซีมถาม

“มี”

ในกล่องใบนั้นมีอาวุธด้วยกันสามอย่าง เป็นดาบยาวสองเล่มและมีดสั้นหนึ่งเล่ม อามินหยิบดาบยาวเล่มหนึ่งออกมาให้นาซีมตามคำขอ ส่วนตัวเองก็หยิบที่เหลือออกมาเตรียมพร้อมเช่นกัน

ทว่าหลังจากที่พวกเขากำลังวุ่นวายอยู่ในรถม้านั้น นาซีมก็รู้สึกได้ว่ารถม้าที่เขาอยู่ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย เจ้าชายจึงสะกิดบอกอามินให้รู้ตัว

“อามิน”

“ว่าอย่างไร”

“เหตุใดรถม้าจึงไม่ขยับ”

อามินที่กำลังมองลอดออกไปทางหน้าต่างเพื่อดูลาดเลาหันมาหา ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจเช่นกัน ชายหนุ่มจึงขยับตัวและเปิดประตูออกไปด้านนอก

ทว่า...อามินกลับพบเพียงความว่างเปล่า

“ไอ้สารถีนั่นไปไหนแล้ว”

เขาออกมาหาสารถีของตนเอง ทั้งตะโกนเรียกแล้วก็ยังหาไม่เจอ นาซีมจึงออกความคิดเห็น

“หากสารถีนั่นไม่หนีไปแล้วเพราะกลัวตาย มันก็ต้องเป็นคนของทาริคแน่นอน”

ดวงตาของคนฟังเบิกกว้างเล็กน้อย “แล้วเราจะทำอย่างไรดี”

“ไม่เป็นไร เรามิต้องใช้รถม้าแล้ว แต่ขี่ม้าหนีไปเลยก็แล้วกัน” พูดจบนาซีมก็พาอามินออกมาด้านนอก เขากระโดดลงจากรถม้า แล้วจึงใช้ดาบที่มีฟันเชือกที่คล้องระหว่างตะขอยึดโยงรถม้ากับตัวอาชาออกจากกัน “โชคดีที่มีสองตัว พวกเราไปกันก่อนเถอะ”

พูดจบเจ้าชายก็กระโดดขึ้นหลังม้าก่อน ส่วนอามินก็รีบขึ้นอีกตัว พวกเขาพากันหนีไปทางด้านหลังอีกฝั่งหนึ่งของโอเอซิส แม้หลังจากนั้นจะเป็นทะเลทรายเวิ้งแต่ก็น่าจะปลอดภัยกว่า

“เราจะไปที่ใดกัน!” อามินตะโกนถามหลังควบอาชาผ่านแมกไม้ในมาไอร่า

“ย้อนกลับไปทางเดิม ตอนนี้คาริฟกำลังมาหาเราที่มาไอร่า บางทีเราอาจพบเขาระหว่างทาง” นาซีมบอกแผนที่เพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ แล้วสะบัดบังเหียนเร่งฝีเท้าอาชาให้มันไปเร็วกว่านี้

แต่ดูเหมือนนาซีมกับอามินจะไม่ได้โชคดีเหมือนทุกครั้ง เพราะทันทีพวกเขาที่หลุดชายขอบของโอเอซิสมาไอร่าออกมา ก็พบสารถีผู้โง่งมของอามินกับกองทัพย่อมๆ ที่มีราชาคนเถื่อนดักรออยู่…

ทาริคเบิกตากว้างเล็กน้อยยามที่เห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกัน ก่อนดวงตาสีเข้มจะผันเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด

“นั่นเจ้ากำลังจะไปที่ใด อามิน”

“...” อามินไม่ตอบทว่าถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แต่นั่นยิ่งทำให้ไฟโทสะที่มีอยู่โหมกระพือมากขึ้น

“ข้าถามว่าเจ้ากำลังไปที่ใด ตอบสิ!!! ”

“...ข้ากำลังจะไปจากเจ้า ทาริค”

น้ำเสียงเย็นๆ ทว่าราบเรียบของอามินทำให้ทาริคชะงักกึก เพราะเขาไม่คาดมากก่อนว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากอามิน

“ไปกับมันหรือ” ทาริคตวัดสายตามาทางนาซีม

“ถูกแล้ว

“เจ้าทำได้อย่างไร”

“ข้าทำอันใด”

“เจ้า...ทรยศข้าได้อย่างไร อามิน!”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดทว่าแววตาขมขื่นนั่นช่างดูไม่เหมือนทาริคที่นาซีมเคยพบ และเขาคาดว่าอามินก็คงไม่เคยเช่นกัน อามินจึงนิ่งไปนานกว่าจะยอมตอบโต้

“ขอโทษที่ปิดบังเจ้า แต่ข้าคิดว่ากำลังสิ่งที่ถูกต้องทาริค”

“สิ่งที่ถูกต้องหรือ...ทรยศต่อข้าผู้ที่ให้เจ้าทุกอย่าง แม้แต่ดินแดนนี้ข้าก็จะคว้ามาให้เจ้าได้ แต่เจ้ากลับบอกว่าการทรยศต่อคนที่ทำเพื่อเจ้าเพียงนี้เป็นเรื่องถูกต้องหรือ”

“ข้าเคยบอกเจ้าหรือว่าอยากเป็นเจ้าของดินแดนนี้ เคยขอให้เจ้าคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เพื่อข้าหรือไม่ เจ้าเปลี่ยนไปเพียงใด ถามซีญ่าเอาก็ได้ ผู้คนที่อยู่ข้างกายเจ้ารู้หมดว่าแต่ก่อนเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ กระหายอำนาจ ไม่สนแม้ต้องทำเรื่องเลวร้าย แล้วเจ้าต่างอันใดกับพ่อค้าทาสหรือราชาแห่งซันดา ในดินแดนนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นของเจ้าได้อย่างแท้จริงหรอกนะทาริค”

“อามิน!!! ” ทาริคโกรธจนตัวสั่น สายตาที่มองมาประเดี๋ยวก็ผิดหวัง ประเดี๋ยวก็เกรี้ยวกราด ผสมปนเปจนดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วรู้สึกอย่างไรกันแน่

“หากประกาศตนว่าเจ้าทำเพื่อข้าได้ทุกอย่าง เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยเจ้าชายนาซีมกับเผ่าภูตราตรีของข้าไปเถิด” อามินเพิ่งรู้จากจาเร็ดว่านาซีมตั้งครรภ์ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ทาริคทำร้ายเจ้าชาย

ไม่ยอมให้ทำบาปไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ได้ยินคำขอแล้วทาริคก็แค่นหัวเราะ

“หึ! เจ้าอยากให้ปล่อยพวกมันไปหรือ ไหนเจ้าบอกว่าไม่พอใจที่เห็นมันอย่างไรเล่า อ้อ...ข้าลืมไป นั่นก็เป็นอุบายเอาไว้หลอกคนโง่งมอย่างข้าเช่นกัน”

“...”

“เจ้าทำข้าเจ็บแสบนักอามิน ดังนั้นอย่าได้หวังว่าข้าจะทำตามที่เจ้าพูดอีก” พูดจบเขาก็หันไปสั่งคนของตนเองด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “จับมันไว้ให้หมด! ข้าจะให้อามินของข้าได้ดูพวกมันตายต่อหน้าเขาพร้อมๆ กัน”













ด้วยกำลังคนที่ทาริคพามา แม้เหล่าภูตราตรีจะมีความสามารถมากเพียงใด แต่ถ้ามีจำนวนแค่หยิบมือ น้ำก็ไม่สามารถเอาชนะไฟได้ ใช้เวลาเกือบครึ่งราตรีในที่สุดภูตราตรีโดยการนำของจาเร็ดก็ถูกจับมัดรวมกันที่ลานกว้างในมาไอร่า

พวกเขาถูกมัดรวมกันเอาไว้ รอบกายก็ถูกกองไม้ หญ้าแห้ง และเศษกระโจมห้อมล้อม ดูอย่างไรก็เหมือนกำลังจะถูกสุมไฟ

นาซีมเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ข้างในวงล้อมเหล่านั้นด้วย ส่วนอามินถูกทาริคจับแยกเขาไปมัดไว้ข้างกายเพื่อบังคับให้ดูหายนะอันจะเกิดกับเผ่าของตนเอง

กระทั่งทหารของคนเถื่อนหาเชื้อเพลิงมาได้มากพอ ทาริคจึงสั่งให้หยุด

“อย่าทำเช่นนี้นะทาริค” อามินอ้อนวอน แต่ทาริคกลับพูดโดยไม่หันไปมองหน้า

“เหตุใดจึงทำไม่ได้ รู้หรือไม่ว่าหัวหน้าของไอ้ภูตราตรีเหล่านี้มันจุดไฟเผาคนของข้าไปตั้งเท่าไหร่ หากข้าจะเอาคืนบ้างก็สาสมแล้วมิใช่หรือ”

“ข้าไม่อยากให้เจ้าทำ รู้หรือไม่ว่าถ้าทำไปแล้ว วันหนึ่งเจ้าจะเสียใจในภายหลัง”

“ข้าไม่เสียใจ!” ทาริคหันมาตวาด “อย่าได้คิดแทนข้าอีก ดีเท่าไหร่แล้วที่ข้าไม่จับเจ้าโยนเข้าไปอยู่กับพวกมันด้วย”

“เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียเลยสิ ข้าพร้อมตายอยู่แล้ว!” อามินตอกกับด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดพอกัน เขาไม่อยากให้ใครต้องตายเพราะทาริคอีกแล้ว ยิ่งคนเหล่านี้เป็นคนในเผ่าของตัวเอง อามินก็ยิ่งรับไม่ได้

“ข้าไม่ให้เจ้าตาย” ทาริคบอกชัดถ้อยชัดคำ แล้วจึงถอนสายตาจากใบหน้าน่าเวทนาของคนรัก

เขาทอดสายตามองไปยังกลุ่มคนในอาภรณ์สีดำสนิท มีเพียงนาซีมคนเดียวที่สวมชุดสีอ่อน เจ้าชายจึงดูโดดเด่นที่สุด ทาริคมองเจ้าชายแล้วยิ้มเหี้ยมเกรียม

“เห็นหรือยังนาซีม ว่ายามข้ามีโทสะ ข้าทำสิ่งใดได้บ้าง เดิมทีข้าคิดจะเลี้ยงเจ้าไว้เป็นเครื่องรางนำโชค แต่เจ้ากับคู่ของเจ้าทำข้าแสบนัก เช่นนั้นก็จงตกตายตามพ่อแม่ของเจ้าไปเสีย”

“...” นาซีมไม่ตอบโต้เพราะคร้านจะเสวนาอีกแล้ว เจ้าชายทั้งยังเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนงไม่เปลี่ยน แม้ใบหน้าและอาภรณ์ของเขาจะอยู่ในสภาพดูไม่ได้ แต่เขาก็จะไม่ยอมก้มหัวให้ทาริคหรือความตายที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้

เมื่อทาริคไม่ได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น เขาจึงหมดอารมณ์จะสนุกอีก เจ้าคนเถื่อนจึงสั่งให้ทหารของตนจุดไฟเผาเชลยทั้งเป็น

“จุดไฟเผามัน!”

สิ้นคำสั่ง ทหารเหล่านั้นก็นำคบเพลิงแตะกับเชื้อเพลิงที่หามาเพื่อเผาพวกเขาทั้งเป็น จากไฟดวงเล็กๆ ค่อยๆ ต่อติดกับเชื้อเพลิงแห้งก่อให้เกิดไฟกองใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนล้อมรอบให้เหล่าภูตราตรีอยู่ตรงกลาง

“ให้เจ้าชายอยู่ด้านใน”

จาเร็ดช่วยกันกับภูตราตรีทั้งหลายดันตัวนาซีมไว้ตรงกลาง แม้ไม่สามารถช่วยได้มากกว่านี้ เขาก็อยากประวิงเวลาให้เจ้าชายนานที่สุด

นาซีมไม่รู้จะขอบคุณทุกคนอย่างไร แม้ว่าเขาไม่กลัวตายอีกต่อไปแล้ว แต่น้ำใจที่ทุกคนมีให้ก็ทำให้เขาต้องหลั่งน้ำตา

อ๊าก!!!!!

ลมทะเลทรายทำให้ไฟลุกโหมมากขึ้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของคนที่อยู่นอกสุดของซึ่งถูกไฟลามมาติดที่เสื้อคลุมผสานกับเสียงร้องขอความเห็นใจของอามินดังกังวานไปทั่วมาไอร่า

นาซีมหลับตาลง เขานึกเสียใจที่ไม่ทันได้พบคาริฟก็จะจากไปก่อน เจ้าชายได้แต่หวังว่าคนรักของเขาจะอยู่ต่อไปได้โดยที่ไม่ทุกข์ทนหรือโทษตัวเอง

แต่ขณะที่นาซีมตัดใจและยอมตายแล้ว อยู่ๆ เสียงของคนที่เขาคิดถึงก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงไฟแตกปะทุ

“นาซีม!! !”

นาซีมลืมตาขึ้นโดยพลัน ทุกคนรอบกายเขาขยับตัวอย่างมีความหวัง เนื่องจากภาพตรงหน้า ใกล้กับที่นั่งของทาริคมีบุรุษในชุดดำบนหลังอาชาพวงพียืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกองทัพบนหลังม้านับพันนาย

“คาริฟ! ช่วยด้วย!”

“ข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้!!”

“ไอ้คาริฟ!” ทาริคกัดฟันกรอก ก่อนจะชักดาบของตนเองออกมาและสั่งการ “ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”

ทั้งสองฝ่ายพุ่งหาและฟาดฟันศาสตราวุธเข้าห้ำหันกันอย่างดุเดือด หากประเมินจากสายตาคนของทาริคและกำลังของคาริฟเวลานี้มีอยู่พอๆ กัน

ยามราตรีเช่นนี้มองเห็นอะไรไม่ชัดนัก ทุกอย่างดูชุลมุนไปหมด แต่นาซีมก็ยังจดจ้องและไม่อาจละสายตาจากเจ้าของดาบจันทร์เสี้ยวได้ เห็นคาริฟผลัดกันรุกผลัดกันรับกับทาริคด้วยท่าทางน่าหวาดเสียว กระทั่งพลาดท่าและตกลงมาจากหลังม้า พวกเขาจึงลงมาโรมรันกันตัวต่อตัวด้านล่างต่อ

“วันนี้ข้าจะล้มเจ้าให้ได้”

“หากทำได้ก็ลองดู” คาริฟตอบกลับอย่างเหี้ยมเกรียม

การต่อสู้แบบตัวต่อตัวครั้งที่สองเกิดขึ้นอย่างดุเดือด ทั้งสองใช้ประสบการณ์ตลอดชีวิตที่สั่งสมมาออกอาวุธใส่ฝ่ายตรงข้ามจนคนมองหายใจไม่ทั่วท้อง

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ร่างกายพร้อมกว่าย่อมได้เปรียบ ศึกที่ผ่านมาทาริคได้รับบาดเจ็บจากการดวลหน้ากำแพงเอมาลี ทำให้เขาพลาดท่าอีกครั้ง และถูกคาริฟฟันหลังจนร่างกระเด็นไปปะทะกับกระถางเพลิงไม่ไกลจากกระโจมกลาง

“อ๊าก!!!”

ไฟร้อนลามติดเสื้อผ้าของคนเถื่อนอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวหลุดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและลงไปกลิ้งกับพื้นด้วยท่าทางน่าเวทนา

แต่แล้วนาซีมก็ต้องละสายตาเพราะสิ่งที่ชวนตระหนกกว่านั้นกว่านั้นคือ ขณะนี้กองไฟที่ทาริคก่อกำลังจะมาถึงตัวเขากับภูตราตรีวงในแล้ว

นาซีมไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป เขาจึงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว วอนให้เทพีซาร์เรียโปรดเห็นใจ

โปรดช่วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ด้วยเถิด

สิ้นคำขอ ท้องฟ้าที่มีดาวเกลื่อนกร่นก็เลือนหาย กลายเป็มเมฆทะมึนกลุ่มใหญ่ถูกพัดมาแทนที่ราวกับมีเวทมนตร์

นาซีมคิดถึงภาพฝันครั้งล่าสุดที่เขาเห็น แล้วพลังงานบางอย่างก็บอกเขาว่าสิ่งนั้นกำลังจะมา...

ไร้สัญญาณเตือนใดๆ จากธรรมชาติ อยู่ๆ หยดน้ำเม็ดใหญ่ก็ค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า แรกเริ่มบางตา ก่อนจะสาดซัดลงมาจนใครก็ตั้งตัวไม่ทัน

ราวกับปาฏิหาริย์ที่ฝนห่าใหญ่เพียงนี้จะตกในทะเลทรายแห้งแล้ง...

กองไฟที่ล้อมพวกนาซีมไว้ค่อยๆ ดับมอดไปพลัน แต่ดูเหมือนคาริฟจะรู้สึกว่ามันไม่ทันใจ เขาจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาตบเปลวไฟพวกนั้นด้วย

“แบ่งคนมาช่วยพวกเขาเร็วเข้า!!”

คาริฟตะโกนสั่ง ใครหลายคนจึงรีบเข้ามาปล่อยคนที่เหลือให้เป็นอิสระ แม้แต่อันวาเองก็กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย

นาซีมหลั่งน้ำตาท่ามกลางความช่วยเหลือที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น ก่อนคนที่เขาคิดถึงที่สุดในชีวิตจะวิ่งฝ่าผู้คนเข้าาหาและถลามาคุกเข่าเพื่อดึงนาซีมไปโอบกอดไว้

“นาซีม!”

“...คาริฟ...ในที่สุดเจ้าก็มา”

นาซีมสะอื้นตัวโยน ความรู้สึกที่อดทนไว้พังทลายลงเมื่อได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดคนรักอีกครั้ง

“ยอดรักของข้า” คาริฟจูบลงบนกลุ่มผมของนาซีมอย่างรักใคร่และคิดถึงสุดหัวใจ “ข้ามาแล้ว”

“เจ้า...อึก...มาแล้ว ข้าคิดว่าคงไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว” เจ้าชายเผยความอ่อนแอด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“ไม่ต้องกลัวแล้ว ยามนี้ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่”

เขาเอ่ยไปพลาง ทั้งจูบและกอดรัดนาซีมไปพลาง ราวกับกลัวว่านาซีมจะหายไปอีก

เพราะนาซีมยังถูกมัดไว้ เขาจึงกอดตอบคาริฟไม่ได้ ทว่าเจ้าชายก็บดเบียดเข้าไปซบอกแกร่งแล้วอ้อนวอนราวกับเด็กน้อยผู้ขลาดกลัว

“สัญญากับข้า...อย่าทิ้งข้าไปอีก”

คาริฟก้มมองคนรักแล้วใช้มือเชยคางอีกฝ่ายขึ้น พวกเขาสบตากันท่ามกลางของขวัญของเทพีซาร์เรีย

“ข้าสาบานต่อสายฝน ณ มาไอร่า ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าอีกแน่นอน”







❂-----------------------------------------------------------❂





ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายแล้วนะคะ

ในที่สุดทุกคนก็จะได้เดินทางมาถึงตอนจบแล้ว

อ่านคิมเม้นท์แล้วคนอ่านบอกลุ้นมาก สนุกมาก  ใจคนเขียนก็ฟูมากค่ะ -///-

สารภาพว่าช่วงหลังๆ นี่ค่อนข้างแพนิคมากว่าจะดีไหมหลังปล่อยออกไป

ยังกังวลเพราะแผนการกับกลศึกต่างๆ นี่ยากจริง ฉากบู้และไหนจะฉากอารมณ์ด้วย

แต่เห็นทุกคนลุ้นตาม ดีใจจริงๆ นะคะ

เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝนจะรีบมาลงตอนส่งท้ายให้นะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทที่ 37 :- เผด็จศึก [28/04/2563]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-04-2020 20:25:34
ในนิมิตของนาซีมคือใครอ่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 29-04-2020 10:45:13



บทส่งท้าย นิทานภูตราตรี









สงครามจบลงแล้ว

หลังเหล่าภูตราตรีชนะศึกที่มาไอร่า พวกเขาก็ตามไปสมทบกับกองกำลังของราชาฟารุคที่ล่วงหน้าไปดักกองทัพของทาริคซึ่งนำโดยนักบวชเชน ณ โฮมา แม้กองทัพนี้จะมีคนมากมาย แต่เมื่อขาดคนสำคัญเช่นราชาไร้พ่ายไปแล้ว ทัพหลวงก็แตกกระบวนไม่เป็นท่า

ราชาฟารุคสังหารนักบวชเชนและตัดหัวเสียบที่ประตูแคว้น จากนั้นก็ยึดเอาโฮมาคืนมาได้สำเร็จ เหลือแค่โซราห์ที่ยังมีพวกคนเถื่อนควบคุมอยู่ ทว่ามันก็ไม่ยากที่จะกู้บัลลังก์คืน

หลังจัดการทุกอย่างรายทางเรียบร้อย ทัพของโฮมาและเอมาลีต่างก็ยกมาช่วยนาซีมกอบกู้ราชบัลลังก์คืน ณ แคว้นโซราห์ ทั้งขับไล่และสังหารพวกคนเถื่อนจนสิ้น

เจ้าชายนาซีมได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชานาซีมแห่งแคว้นโซราห์โดยไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ เรื่องที่เขาเป็นเพียงโอเมก้าเพราะข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนทะเลทรายบอกว่า…

นาซีมเป็นผู้ทำนายที่ได้รับพลังจากเทพีซาร์เรีย ซ้ำคู่ครองยังเป็นถึงหัวหน้าชนเผ่าภูตราตรีที่สาบสูญ ทว่ามาปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อแผ่นดินทะเลทรายมีภัยจากคนชั่วช้า

ทั้งนาซีมยังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของราชาราฮิมและเป็นผู้นำความสงบกลับคืนสู่โซราห์ ดังนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิกล้ากังขาในสิทธิ์โดยชอบธรรมของเจ้าชายอีก

พวกเขาใช้เวลาเกือบปีในการปรับสมดุลทุกอย่างให้เข้าสู่ภาวะปรกติ

...กระทั่งในที่สุดดินแดนซาร์เรียก็กลับมาสงบสุขตามเดิม















“จบแล้วหรือขอรับท่านพ่อนาซีม” เสียงเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยเอ่ยถามหลังจากนิทานเรื่องโปรดจบลง

“ในเมื่อดินแดนทะเลทรายสงบสุขแล้ว นิทานก็จบแล้วสิลูก” นาซีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ทว่ายังมีเสียงทักท้วงจากเด็กหญิงอีกคนที่นอนอยู่ใกล้อ้อมอกของนาซีมมากกว่า

“แต่ลูกยังอยากฟังอีกนี่เจ้าคะ ท่านพ่อนาซีม”

“เอาไว้คืนพรุ่งนี้พ่อจะเล่าให้พวกเจ้าฟังอีกดีหรือไม่ ชารีฟ นาดา”

“แต่ลูกยังมิรู้เลยขอรับว่าเจ้าคนเถื่อนนั่นไปอยู่ที่ไหน” ชารีฟต่อรอง “ท่านพ่อนาซีมเล่าเรื่องคนเถื่อนผู้นั้นได้หรือไม่ขอรับ”

“พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปที่ใด แต่ครั้งสุดท้ายที่เห็น เขาก็ได้รับโทษทัณฑ์ของเขาแล้วล่ะลูก พวกเจ้านอนได้แล้วนะ วันพรุ่งนี้เราต้องเดินทางไปที่ดินแดนชายฝั่ง พวกเจ้ามิอยากไปกับพ่อหรือ” นาซีมพยายามหลอกล่อ

“แล้วท่านพ่อคาริฟไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ” นาดาหันมาถามท่านพ่อคาริฟที่นอนอยู่ข้างน้องชายของนาง

“ต้องไปด้วยอยู่แล้ว พ่อจะปล่อยพวกเจ้าพ่อ-ลูกไปกันเองได้อย่างไร จริงหรือไม่นาซีม” ชายหนุ่มว่าพลางเอื้อมมือข้ามเด็กๆ สองคนไปลูบแขนคนรัก

“อื้ม” นาซีมพยักหน้ารับ

“ดีจริงเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านพ่อพาลูกไปจับปูอีกนะเจ้าคะ”

“ลูกก็อยากไปด้วย ลูกอยากจับปูตัวใหญ่ๆ” ชารีฟกางแขนเทียบขนาดปูในจินตนาการ พานเอาคาริฟนึกขัน

“ใหญ่เท่านั้นเชียวหรือ พ่อว่านั่นคงไม่ใช่ปูแล้วล่ะชารีฟ น่าจะเป็นอสุรกายมากกว่า”

“อสุรกายหรือท่านพ่อ...มันตัวใหญ่ไหมขอรับ”

พอคาริฟเปิดเรื่องที่ลูกๆ ทั้งสองไม่รู้ เด็กๆ ก็พานอยากรู้ขึ้นมาอีก

“ท่านพ่อนาซีมรู้จักหรือไม่เจ้าคะ” นาดาหันกลับมาถามบิดาอีกคน นาซีมจึงได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเหนื่อยใจแล้วว่า

“เรื่องนี้คงต้องให้ท่านพ่อคาริฟเล่าแล้วล่ะ แต่ไม่ใช่ราตรีนี้นะ”

“โถ่...น่าเสียดาย”

“น่าเสียดาย”

ฝาแฝดทั้งสองถอนหายใจแล้วเอ่ยพร้อมกัน ใบหน้าม่อยๆ เพราะผิดหวังนั่นน่ารักเสียจนคาริฟแทบอดใจไม่ไหว อยากกอด อยากหอมลูกน้อยให้สมกับความน่ารัก แต่ก็เกรงว่าจะทำให้ลูกไม่ยอมหลับยอมนอนขึ้นมาอีก

สุดท้ายเจ้าภูตราตรีจึงยื่นข้าเสนอ

“ถ้าพวกเจ้ายอมทำตามที่ท่านพ่อนาซีมบอก คืนพรุ่งนี้พ่อจะเล่าเรื่องของอสุรกายตัวใหญ่ๆ ให้ฟังดีหรือไม่”

“ดีขอรับ! ~”

“ดีเจ้าค่ะ~”

“เด็กดี”

คาริฟจูบลงบนหน้าผากของลูกสองทั้งทีละคน แล้วจึงโน้มตัวผ่านชารีฟและนาดาไปจูบเบาๆ ที่ขมับของนาซีมด้วย เด็กๆ ต่างก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคักเมื่อได้เห็นบุพการีทั้งสองแสดงความรักต่อกัน แม้ว่าภาพเหล่านี้พวกเขาจะเห็นจนชินตา

นาซีมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเพราะอายสายตาลูกๆ ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่ชินกับการแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นอยู่ดี

กระทั่งพิธีกรรมจูบหน้าผากก่อนนอนสิ้นสุดลง ทั้งคาริฟและนาซีมก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมอกให้ลูกน้อย

ตั้งแต่เด็กๆ เกิดมา พวกเขาช่วยกันดูแลบุตรฝาแฝดเองกับมือ เพราะนาซีมเคยบอกว่า หากเราดูแล อยู่ใกล้ชิดและให้ความอบอุ่น เด็กๆ ก็จะเติบโตมาเป็นคนอ่อนโยน

เมื่อคาริฟได้ฟังก็เต็มใจทำตามอย่างไม่โต้แย้ง เพราะอยากให้ลูกน้อยเติบโตมาน่ารักเหมือนนาซีมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

กระทั่งเห็นว่าลูกเข้าสู่นิทราแล้ว คาริฟก็ชวนนาซีมกลับไปที่ห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ติดกันแค่ผนังกั้น แต่ก่อนที่พวกเขาจะลงจากเตียง มือน้อยๆ ของชารีฟก็คว้าชายเสื้อของคาริฟไว้

“ท่านพ่อคาริฟ” เด็กน้อยเรียกด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“ยังไม่หลับอีกหรือตัวยุ่ง...”

“ลูกกำลังจะหลับ แต่ลูกสงสัยขอรับ”

“สงสัยเรื่องอะไรเล่า”

“ท่านพ่อเองก็รู้จักภูตราตีใช่ไหมขอรับ”

“รู้สิ”

“แล้วภูตราตรีในนิทานของพวกท่านมีจริงหรือไม่ขอรับ”

“มีจริงอย่างแน่นอน” คาริฟตอบ

“เช่นนั้นหากลูกพบเจออสุรกาย ผู้พิทักษ์ทะเลทรายเช่นภูตราตรีจะมาช่วยลูกหรือไม่ขอรับ”

ครั้นได้ยินคำถาม คาริฟก็เงยหน้าขึ้นสบตานาซีม พวกเขายิ้มให้กันแล้วคาริฟจึงก้มลงจูบหน้าผากบุตรชายสุดที่รักอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำตอบที่เป็นทั้งคำสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“หากพบเจออสุรกาย คนชั่วร้าย หรือแม้แต่สถานการณ์คับขัน ขอให้เจ้ารู้ไว้ลูกรัก...ว่าพ่อจะไปช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”

เมื่อนาซีมได้ฟังก็หลุดยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในใจ เขาเชื่อมันว่าคาริฟจะทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เช่นทุกครั้ง เพราะบุรุษผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์ในนิทานที่มีชีวิต

ภูตราตรีผู้เป็นที่รักหนึ่งเดียวของนาซีม







❂จบบริบูรณ์❂





นิทานภูตราตรีคือนิยายที่ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบค่ะ

จั่วหัวมาแบบนี้แปลว่านิยายบางเรื่องของฝนมีที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบใช่ไหม ตอบเลยว่าใช่ แต่บางเรื่องนะ 555

พูดกันถึงเนื้อเรื่อง ฝนคิดว่านิยายเรื่องนี้มีความท้าทายสูงมากสำหรับตัวเอง เพราะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมทุกอย่างให้กลมกล่อม ทั้งการดำเนินเรื่องที่เป็นสเกลใหญ่มาก ตัวละครที่หลากหลายขึ้น ซึ่งถ้าหลายๆ คนที่อ่านงานฝนมาก่อนจะสังเกตเห็นได้ว่าฝนไม่ค่อยเขียนนิยายที่มีตัวละครเยอะ เหตุผลเพราะมันคอนโทรลยากน่ะค่ะ

นิยายเรื่องนี้เกิดจากความชอบสองอย่างมารวมกัน และอยากลองเขียนมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส

หนึ่งคือ โอเมก้าเวิร์ส สองคือ กลิ่นอายของอารยธรรมอาหรับ

ทั้งที่จริงๆ ไม่ชอบอากาศร้อนเลยค่ะ แต่เป็นปลื้มเสื้อผ้าและภูมิปัญญาของชาวอาหรับหลายอย่างมาก แล้วก็ต้องหาข้อมูลกับออกแบบแคว้นแต่ละแคว้นหนักมากเหมือนกัน ส่วนปมการเมืองในเรื่องนั้นเป็นเพราะช่วงที่คิดกำลังอินกับแนวกอบกู้บัลลังก์อยู่ด้วย ฝนก็เลยเก็บความชอบที่มีมารวมกันและค่อยๆ ประกอบเป็นนิทานภูตราตรีขึ้นมา โดยฐานของเรื่องเป็นยุคหลังจากที่โลกเคยเสื่อมสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง

พูดถึงการเสื่อมสลายมาแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่มีอารยธรรมเดิมของยุคที่เคยอยู่ก่อนหน้าเลย ตรงนี้ฝนก็อยากโยงไปยังอีกจุดหนึ่ง คือ ภาคต่อ

ฝนมีคิดภาคต่อ ไว้แล้ว แต่อย่างที่บอกไปข้างต้น นิยายเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ลองเขียนแบบสเกลใหญ่ มันจึงค่อนข้างคอนโทรลยากระหว่างเกมการเมือง ยุคสมัย สภาพแวดล้อม และความรัก ดังนั้นฝนก็ยังไม่รับปากว่าจะเขียนเร็วๆ นี้นะคะ คงต้องดูสถานการณ์ก่อน เพราะถ้าเขียนกลัวว่าจะควบคุมไม่ให้ออกทะเลได้หรือเปล่า ยังมีความกังวลตรงนี้สูงเลยค่ะ

แต่ฝนจะบอกชื่อภาคต่อไว้นะคะ ชื่อ ลำนำโพ้นทะเลค่ะ ไม่ได้เป็นความลับอะไรหรอก เอาไว้ให้คนอ่านเดาเล่นๆ ว่าเหตุการณ์จะไปในทิศทางไหน

นอกจากตัวเรื่องที่ค่อนข้างชอบ ตัวละครก็ชอบมากเหมือนกัน

คือตัวละครเรื่องนี้นิสัยและลักษณะอาจจะไม่โดดเด่นจากสไตล์ที่เคยเขียนเท่าไหร่ แต่ตอนออกแบบฝนเห็นภาพพระเอกนายเอกในหัวชัดเจนเลยค่ะ ถ้าถามว่าชอบคาแรกเตอร์ไหนมากกว่ากันระหว่างคาริฟและนาซีม เรื่องนี้ฝนบอกไม่ได้นะ น่าจะชอบทั้งคู่พอกันเลย ฝนชอบตอนที่เขียนให้เขาอยู่ด้วยกันมากๆ ไม่ว่าจะตอนรักกันแล้วหรือเพิ่งเจอกัน มันมีบรรยากาศบางอย่างที่อวลอยู่รอบกายเวลาเขียน คือเข้าพระเข้านายทีไรเป็นต้องรู้สึกทุกครั้ง ซึ่งดีมากสำหรับคนเขียนอย่างฝนค่ะ เพราะทำให้ไม่เบื่อเลยเวลาที่ต้องพาเขาดำเนินไปในเรื่องราวจนจบ

ส่วนตัวละครอีกตัวที่ชอบมากคือทาริคค่ะ จริงๆ ถ้าคิดตามขนบนิยายช่วงยุคแรกๆ ที่ฝนเคยอ่าน ทาริคนี่เป็นพระเอกได้เลยนะ พระเอกแบดๆ น่ะค่ะ 555 แต่ฝนไม่ได้อยากให้นิยายเรื่องนี้เป็นแนวตบจูบ อีกอย่างก็มีคาริฟคนดีอยู่ในใจแล้ว ทาริคก็เลยปัดไปเป็นตัวโกงค่ะ 555

ตอนเขียนเรื่องนี้จนจบฝนเองก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก เพราะเนื้อเรื่องเป็นไปตามที่คิดและวางแผนไว้เกือบ 90% ถึงแม้คิดว่าอนาคตตัวเองอาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็ได้ ถ้ารีไรต์หรือเก็บไว้ก่อน ยังไม่เขียน แต่ฝนก็คิดว่ามันเป็นนิทานภูตราตรีเวอร์ชันที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองที่มีประสบการณ์เขียนเท่านี้แล้ว 

อีกเรื่องที่ดีใจมากคือการตอบรับของคนอ่าน เอาตามตรงก่อนลงก็กลัวมากค่ะ กลัววว่าเรื่องจะเข้าถึงยากไหม คนอ่านจะอินด้วยหรือเปล่า แต่เพราะชอบเรื่องนี้มากๆ ก็เลยตัดสินใจเขียนลงเลย ขอบคุณคนอ่านที่ติดตามทุกคนนะคะ หากไม่ใช่เรื่องที่ลำบากเกินไป ฝนก็อยากให้คนอ่านของฝนช่วยให้กำลังใจคนเขียนตัวน้อยๆ คนนี้ต่อไปด้วยนะคะ



ปล. เรื่องนิยายที่จะขายเป็นเล่ม ตอนนี้ฝนของเคลียร์รอบพรีก่อนนะคะ เพราะล่าช้ามากแล้ว 

ทั้งฝนป่วยตอนมีนาแล้วมาเจอโควิดด้วย ตอนนี้ก็ได้แต่รอเคอรี่ส่งเล่มมาแล้วแพคส่งค่ะ

ส่วนหลังจากนี้ฝนจะมีเปิดให้คนที่เพิ่งมาอ่านได้จองกันนะคะ และอีบุ๊คฝนก็จะเปิดประมาณต้นๆ เดือนเหมือนกันค่ะ

ยังไงจะเข้ามาแจ้งอีกทีนะคะ 



สุดท้าย รักและขอบคุณทุกคนสุดหัวใจเลยค่ะ



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-04-2020 23:59:10
จบแล้ววว   :ling3:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-04-2020 02:43:42
นิทานซ้อนนิทาน เจี่ยม!!
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-04-2020 16:31:26
ขอบคุณที่แต่งนิทานภูติราตรีมาให้อ่านนะคะ จะรอติดตามภาคต่อนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 02-05-2020 12:58:00
 o13
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: taoz ที่ 11-05-2020 20:59:26
สนุกครับ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 15-05-2020 09:07:08
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-05-2020 18:31:47
ดีมากกกค่ะ ปลื้มมาก อิ่มเอมใจ
นิทานภูตราตรีไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่มีอยู่จริง
รักแท้ที่รอคอยและอบอุ่นเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน

ลุ้นมากก ตอนที่นาซีมหนีรอดมาได้ และลุ้นไปอีก
ตอนที่รู้ว่า ทาริคจะไปไมอาร่าก่อน ถ้าคารีฟไม่ตามมาคืนนี้
ก็ไม่อยากคิดแล้วค่ะว่าจะเหิดอะไรขึ้นบ้าง แถมปาฏิหาริย์ก่อเกิดด้วย

ในนิมิต คงไม่ใช่ทาริคและอามินหรอกใช่ไหม ถึงใจจะคิดว่าใช่ก็ตาม
ความรักชนะทุกอย่าง แต่ความโลภก็ชนะทุกอย่างได้ไม่ต่างกัน

เด็กน้อยเป็นแฝดด้วย น่าเอ็นดูมากค่ะ พ่อให้สัญญาว่าจะดูแลเจ้านะ
เป็นอะไรที่ดีงาม มีความเล่าเรื่อง และผูกเรื่องได้ลงตัวค่ะ

ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิยายดีๆ ดีมากเลยแหละ
เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 17-05-2020 21:04:38
สนุกมากเลยค่ะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-05-2020 22:18:19
ทาริคอามิน..คิดถึง จะเป็นยังไงบ้างนะ

เด็กแฝดค่าตัวแพง..ออกมาให้ชื่นใจนิดเดียวเอง :heaven
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 11-06-2020 19:57:30
ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 16-06-2020 00:19:35
เรื่องนี้มากกก ไรท์เขียนออกมาดีมากๆ  :pig4: :impress2:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 18-07-2020 22:41:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 31-01-2021 19:17:05
จบแล้ววววว

เป็นอะไรที่ชอบมาก เนื้อเรื่องสนุกมากเลยค่ะ

เราชอบอ่านแนวนี้มากๆบอกเลย

ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 07-02-2021 21:35:10
 o13
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 14-02-2021 13:49:51
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 15-02-2021 01:07:50
ก่อนอื่นเลยสนุกมากกกกกกกกค่ะ
ภาษาดี เนื้อเรื่องดี กระชับ
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้บวกกับรออ่านเรื่องต่อๆไปค่ะ
ขอบคุณสำหรับงานดีๆ นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 23-05-2021 21:11:07
ทาริคกับอามินจะเป็นยังไงนะ...
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 16-02-2022 11:23:51
สนุกมากค่ะ ชอบบบบบบๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 21-03-2024 19:42:33
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 42บ./1วัน กด *104*68*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)

หัวข้อ: Re: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 22-04-2024 19:08:04
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 43บ./1วัน กด *777*7721*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 75บ./2วัน กด *777*7724*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 113บ./3วัน กด *777*7719*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7722*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 97บ./2วัน กด *777*7725*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 140บ./3วัน กด *777*7720*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 70บ./1วัน กด *777*7723*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8 (https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v (https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v)


AIS ระบบเติมเงิน เอไอเอส เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 31 มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k (https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k)