บทที่ 14 ผู้ทำนาย
เวลาผ่านไปค่อนคืนหลังจากดวงจันทร์หายลับจากช่องว่างของหน้าต่างทรงสูงไป ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องบรรทมของราชาพระองค์ใหม่แห่งโซราห์ อยู่ๆ ก็มีสายลมพัดม่านประดับเสาเตียงวูบหนึ่ง การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้นปลุกดวงตาคมกริบของผู้ที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงให้เปิดขึ้น
“ราชาทาริค”
เสียงทุ้มหนักดังขึ้นในความมืด เจ้าของนามนั้นจึงขยับกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเกียจคร้านและจ้องไปทางปลายเท้า
“ซีญ่า?”
“ข้าเองขอรับ”
“มีเรื่องอันใดจึงเข้ามาปลุกข้าเวลานี้”
ทาริคถามทหารคนสนิทด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หากก็พอเดาได้ว่าการที่ซีญ่ามารบกวนในยามวิกาล ย่อมมีเรื่องสำคัญรายงาน
“คนของเราจับเขาแล้วขอรับ”
สิ้นเสียงซีญ่า ทาริคก็เงียบไปครู่หนึ่ง ทหารคนสนิทไม่ได้เงยหน้ามองว่านายเหนือหัวมีสีหน้าอย่างไร จึงไม่กล้าพูดต่อ กระทั่งร่างใต้ผ้าแพรบางข้างกายของเขาขยับเล็กน้อย องค์ราชาจึงยอมเอ่ยถาม
“ที่ไหน”
“แคว้นเอมาลีขอรับ”
“ไปได้ไกลเสียจริง”
“คนของเราพบเขาแฝงตัวเป็นนักแสดงอิสระเพื่อขอเข้าร่วมกับคณะละครเร่ชื่อดังแห่งเองมาลี แต่ที่ถูกจับได้เพราะข่าวเรื่องผู้ทำนายที่เราประกาศออกไป”
ทาริคยกยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่าวิธีนี้ต้องได้ผล แม้จะเสี่ยงหากใครรู้เรื่องผู้ทำนายแล้วคิดนำตัวเขาไปครอบครองเอง แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในดินแดนนี้ยอมอยากได้ของตอบแทนที่จับต้องได้ทันทีมากกว่า แค่เสนอค่าหัวสูงๆ ก็มีคนพร้อมจะช่วยโดยเขาไม่ต้องเปลืองแรงเอง
แต่อย่างไรเสีย ทาริคก็ไม่คิดว่าเจ้าชายโอเมก้าที่สิ้นไร้ซึ่งพลังและอำนาจในมือจะสามารถดั้นด้นหนีไปได้ไกลถึงแคว้นเอมาลี
“ช่างเก่งกาจนัก เป็นเพียงโอเมก้าตัวเล็กๆ แต่หนีพ้นเงื้อมมือข้าได้นานเพียงนี้”
แม้คนผู้นั้นจะเป็นเหตุให้ทาริคต้องวุ่นวายพลิกแผ่นดินหา แต่ดวงตาวาววับที่สะท้อนแสงจันทร์กลับเต็มไปด้วยความพอใจเมื่อเอ่ยถึง
เดิมทีเขามิได้ให้ความสนใจในตัวเจ้าชายนาซีมแม้แต่น้อย และตั้งใจจะปลิดชีพทันทีที่ยึดโซราห์ได้ แต่เพราะคำทำนายของนักบวชผู้นั้น เขาจึงยอมวางแผนมากมายเพื่อได้ตัวเจ้าชายแห่งโซราห์แบบที่ยังมีลมหายใจ
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
“คนของเราควบคุมตัวเขามาไว้ที่ซันดาเรียบร้อยแล้วขอรับ รอให้เตรียมการเรียบร้อยก็จะพาเขาเดินทางมาโซราห์ทันที”
“ว่าแต่รู้หรือยังว่าใครเป็นคนช่วยเขาออกไปในคืนนั้น”
ที่ถามเพราะทาริครู้ว่านาซีมไม่อาจเตรียมการทั้งหมดได้ด้วยตัวเองแน่ หากเป็นกองกำลังส่วนตัวของเจ้าชายก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีคนบังอาจยื่นมือเข้ามาสอด
ทาริคก็อยากรู้ว่ามันเป็นใคร!
“สายของเรารายงานว่าส่วนหนึ่งเป็นกองกำลังรักษาพระองค์ของเจ้าชายนาซีม”
“แปลว่ามีคนเข้ามายุ่งเรื่องนี้จริงๆ สินะ”
“ขอรับ”
“มันเป็นใคร”
“เรายังไม่ทราบแน่ชัด แต่กำลังตรวจส่งคนเร่งสอบกันอยู่” ซีญ่าตอบเรียบๆ แม้รู้ว่าคำตอบนี้จะทำให้ทาริคโกรธก็ตาม
“กำลังทำหรือ...” ทาริคหรี่ตามอง ดวงตาคมกริบนั่นจ้องนายทหารคนสนิทอย่างคุกคาม เขาแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายที่แม้แต่อัลฟ่าด้วยกันก็ไม่อาจสู้ได้ออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “อย่าให้ข้ารู้สึกว่าการเก็บพวกเจ้าไว้มันไร้ประโยชน์”
“ขะ...ขอรับ”
คนตอบเหงื่อตก ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อทาริคค่อยๆ ผ่อนรังสีคุกคามลง
“เอาเถอะ ข้าไว้ใจเจ้า แต่จัดการให้ดีก็แล้วกัน” เขาเว้นนิด หากไม่ลืมกำชับ “แล้วอย่าให้นาซีมหนีไปได้อีก ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย”
“ขอรับ!” ซีญ่าค้อมหัวรับคำสั่งแข็งขัน ก่อนจะถอยฉากออกจากห้องบรรทมของราชาไป
ภายในห้องนอนกว้างใหญ่กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทาริคเสยผมยุ่งๆ ไปด้านหลัง ใบหน้าเรียบเฉยมองออกไปนอกหน้าต่างโค้ง เข้าจ้องความว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไปเนิ่นนาน ในหัวครุ่นคิดถึงแผนการใด...ไม่มีใครล่วงรู้
กระทั่งร่างใต้ผ้าแพรขยับอีกครั้ง เขาจึงถอนสายตากลับมา กระชากผ้าเนื้อเย็นออก ก่อนโน้มตัวลงไปทาบทับแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนข้างกาย
จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมสะอาด ก่อนจะอ้าปากฝังเขี้ยวลงไปบนไหล่ของร่างแบบบาง
“นี่!” คนใต้ร่างของทาริคร้องแหว จากนั้นจึงดิ้นขลุกขลักเพื่อหลบหนี แต่ไหนเลยจะสู้แรงของราชานักรบได้ “ปล่อยข้า ข้าเจ็บ!”
“เจ็บจริงหรือ” ทาริคเลิกกัดแล้วถามเสียงคางยาน “แล้วเมื่อหัวค่ำใครกันที่ยังขอร้องให้ข้ากัดเล่า”
“ปล่อย!” ชายคนนั้นไม่ตอบ ทั้งยังยืนยันจะปฏิเสธอ้อมกอด แต่ทาริคทำหูทวนลม มิหนำซ้ำกลับรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“เมื่อครู่...เจ้าได้ยินมากแค่ไหน”
หลังจากสู้แรงคนเอาแต่ใจไม่ได้และเห็นว่าเปล่าประโยชน์เพราะทาริคไม่สนใจการประท้วงของตน คนในอ้อมแขนจึงหยุดดิ้นแล้วตอบคำถาม
“ข้ามิได้หลับ”
หากแปลให้ตรงตัวก็หมายถึง ข้าได้ยินพวกเจ้าตั้งแต่แรกสินะ...ทาริคจุดยิ้มมุมปากเมื่อคิดถึงความหมาย จากนั้นจึงใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงกระซิบ
“โกรธข้าหรือ”
“เหตุใดข้าต้องโกรธเจ้า”
“ให้คนทึ่มๆ อย่างซีญ่าดูยังรู้ว่าเจ้าไม่พอใจข้า”
“ข้าจะไม่พอใจเจ้าเรื่องใดเล่า”
“ไม่รู้สิ...” ทาริคเว้นไปนิด ก่อนจะทำทีคาดเดาด้วยน้ำเสียงยียวน “อาจเป็นเรื่องที่ข้าให้คนพานาซีมกลับมาที่พระราชวังโซราห์ก็ได้”
“เหอะ!” คนใต้ร่างแค่นหัวเราะ “ข้ามีสิทธิ์ไม่พอใจได้หรือองค์ราชา บัดนี้ราชวังโซราห์ และทุกอย่างในโซราห์ล้วนเป็นของท่าน หากท่านจะนำโอเมก้าตนใดกลับมาอภิเษก ย่อมเป็นสิทธิของพระองค์”
“เจ้าเองก็รู้ดีนี่” ทาริคว่า ก่อนจะผละออกมานั่งพิงหัวเตียงเหมือนเก่า “จะยกใครไว้ข้างกาย ใครอยู่แค่ในนาม ย่อมเป็นสิทธิ์ขาดของข้า”
เขากอดอกมองร่างที่ผวาเฮือกเมื่ออ้อมกอดอุ่นห่างไป มองแววตาสะเทือนใจที่ตวัดกลับมาตัดพ้อกันหลังได้ยินประโยคเย็นชาเมื่อครู่
อามิน เป็นเช่นนี้เสมอ บางครั้งดูไว้ตัวแสนเย่อหยิ่ง แต่บางครั้งก็ออดอ้อนและเว้าวอนเสียจนคนมองอยากแกล้งให้ร้องไห้บ่อยๆ
“แน่นอน...นั่นเป็นสิทธิ์ของท่าน ถึงแม้ท่านไม่นำตัวเขากลับมา เบต้าอย่างข้าก็ไม่อาจจับคู่กับอัลฟ่าอย่างท่านได้อยู่ดีราชาทาริค”
“ในเมื่อเจ้ารู้ เหตุใดเจ้าจึงชอบประชดข้านัก”
“...”
“เราเคยตกลงกันก่อนข้าได้โซราห์กับซันดามาครอง หากวันใดเจ้าไม่พอใจ จะจากไปก็ได้”
“...”
อามินไม่ตอบ แต่หันกลับไปดันตัวขึ้นจากที่นอน ตั้งท่าจะออกจากห้อง ราวกับคร้านต่อล้อต่อเถียงกับเรื่องที่ถกกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
เขาไม่ตอบจนกระทั่ง ตอนที่ทาริคเอื้อมไปคว้าแขนฉุดให้หันกลับมา
“บอกข้าสิ...เหตุใดเจ้าจึงไม่จากไป”
ทั้งสองจ้องตากันในความมืดสลัว พวกเขาอยู่ใกล้กันแค่ระยะหนึ่งลมหายใจแผ่วเบา แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจล่วงรู้ความคิดของคนตรงหน้าได้ ราวกับมีกระจกใสคั่นกลางเอาไว้
อามินจ้องดวงตาดุดันไม่ยอมแพ้ แม้รู้สึกแล้วว่ากำลังถูกกลิ่นอายของอัลฟ่าผู้ทรงพลังคุกคามอีกคน เขาจ้องมองทาริคอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน สุดท้ายจึงยอมหรุบตาลงก่อน และเอ่ย...
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรข้าจึงไม่จากไป” เขาเว้นไปนิด “...จะไม่มีวันได้รู้”
ทาริคมองท่าทางราวกับกำลังจะแตกสลายในไม่กี่วินาทีข้างหน้า ก่อนจะจุดยิ้มที่มุมปาก เพราะคำถามของเขาได้ผล
“แต่ข้าคิดว่าข้ารู้”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเหนือหัว ก่อนช้อนคางคนที่เอาแต่ก้มหน้าให้เงยขึ้นมา…
“...”
“เชื่อสิ ข้ารู้”
…และกดจูบริมฝีปากของอามินไม่ให้เบต้าหนุ่มได้ประท้วงสิ่งใดอีกเลยตลอดทั้งคืน
❂…………………………….❂
นาซีมตื่นขึ้นในที่ไหนสักแห่งที่มีกลิ่นอับชื้น เขาว่าตนถูกปิดตา มัดแขนขาเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ศีรษะคล้ายถูกของแข็งตีจนปวดร้าวสะเทือนมาถึงกระบอกตา ทั้งยังวิงเวียนและคอแห้งเป็นผง
อยากดื่มน้ำเหลือเกิน...เจ้าชายโอเมก้าคิด ถึงอย่างนั้นก็ทำได้แค่คิด เพราะพยายามเปล่งเสียงเรียกใครสักคน แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาสักแอะ
เขาตั้งสติ แม้กำลังอกสั่นขวัญแขวนแค่ไหน ก่อนจะปล่อยตัวนอนพับเหมือนเดิม เพื่อให้อาการวิงเวียนเบาบางลง พร้อมกันนั้นก็คอยฟังเสียงรอบกาย และลองคาดเดาว่าตนเองอยู่ที่ไหน
เมื่อรู้สึกดีขึ้นอีกนิดเจ้าชายก็ค่อยๆ ขยับขากวาดไปรอบด้าน ด้วยอยากสำรวจว่ารอบตัวมีสิ่งใดอยู่หรือไม่ ปรากฏว่าในระยะที่เขาเอื้อมถึงเป็นพื้นที่เรียบโล่ง คล้ายพื้นที่ปูด้วยหินเพราะมันเยียบเย็นเหลือเกิน ทั้งลองฟังเสียงอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ยินสิ่งใดสักนิด
นาซีมจึงสรุปว่าเขาอาจถูกจับไว้ในห้องใต้ดินที่ไหนสักแห่ง เพราะที่นี่อากาศเย็นกว่าอากาศปรกติ
เจ้าชายนอนคิดว่าเขาถูกจับมาที่นี่นานแค่ไหนแล้ว คาริฟและคนอื่นๆ จะรู้เรื่องที่เขาหายไปหรือยัง ตำหนิตัวเองที่ใจอ่อน ยอมออกมาจากบ้านของจาเร็ด
เขาไม่น่าออกมาตามคำเชื้อเชิญเลย ทั้งที่คาริฟอุตส่าห์กำชับไว้แล้วแท้ๆ แล้วเช่นนี้ควรทำอย่างไรต่อไปดี จะมีคนมาช่วยไหม
ไม่สิ...จะคิดอย่างเห็นแก่ตัวไม่ได้ เพราะแค่เขาหายออกมาก็ทำให้คนอื่นวุ่นวายมากพอแล้ว ยังจะทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนและเสี่ยงอันตรายอีกหรือ
ยิ่งคิดเจ้าชายก็ยิ่งหดหู่
ตลอดมาเขาคอยรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเสมอ ได้รับการปกป้องจากคนแปลกหน้า หรือแม้กระทั่งภาวนาให้มารดาที่จากไปคอยช่วยจากบนฟ้า
น่าเศร้าเหลือเกิน...นาซีมไม่เคยลุกขึ้นด้วยตัวเองเลย
แล้วเช่นนี้เขาจะกลับไปทวงแคว้นคืนและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร!
ใช่แล้ว จากนี้เขาต้องช่วยเหลือตัวเองบ้าง
เจ้าชายปลุกความรู้สึกฮึกเหิมในหัวใจขึ้นมา พยายามวางแผนในหัวว่าควรทำอะไรบ้าง แต่อุปสรรคคือเอาไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ใครเป็นคนจับตัวมา เพราะความทรงจำสุดท้ายคือหน้าของหญิงชราผู้หนึ่งในร้านเครื่องหอม
นางเป็นใคร
นี่เป็นคำถามที่ควรขบคิดเป็น อันดับแรก เขาลองประมวลความเป็นไปได้ขึ้นมาทีละอย่าง ทว่าทั้งหมดไม่อาจชี้ไปที่ใครได้เลยนอกจากทาริค
แล้วคนเถื่อนผู้นั้นสืบรู้ว่าเขาอยู่ที่ใดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ
หรือว่าข้างกายจาเร็ดมีใครสักคนเป็นหนอนบ่อนไส้
คิดได้ถึงตรงนี้นาซีมก็พุ่งเป้าต่อไปถัดจากหญิงชราไปที่คนสองคน ผู้ซึ่งพาเขาไปที่ร้านแห่งนั้น…
หนึ่งคืออันวา เด็กหนุ่มที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น และรู้ว่าแท้จริงแล้วนาซีมคือใคร
ส่วนอีกคนที่เป็นต้นเรื่องในการชวนให้อันวาและนาซีมออกไปยังร้านนั่น...ซิน
นาซีมพบว่าตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นี้เลย นอกจากเขาเป็นโอเมก้า เป็นนักแสดงในคณะละครเร่ และเป็นสหายของอันวา
เขาไม่อยากด่วนตัดสินใจ เพราะมันจะเป็นการใส่ร้ายคนอื่นเกินไป ทั้งยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัด แม้นอกเหนือจากนี้ นาซีมจะเดาไม่ออกว่ายังมีใครที่ตนใกล้ชิดอีกก็ตาม
นาซีมนอนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ นอกจากปวดเมื่อยเนื้อตัวแล้ว เจ้าชายยังรู้สึกหิวไส้แทบขาด ที่นี่ไม่มีอาหารหรืออะไรที่พอจะกินประทังชีวิตได้ แม้แต่น้ำยังไม่มี เขาจึงพยายามอยู่นิ่งที่สุด จะได้ไม่รู้สึกทรมานมากกว่านี้
กระทั่งผล็อยหลับไปอีกตื่นหนึ่ง เขาจึงถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงดังคล้ายเปิดคนลากอะไรสักอย่าง และเสียงเท้าย่างสามขุมเข้ามาใกล้
เพราะถูกปิดตาไว้ นาซีมจึงมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น บุคคลปริศนาคล้ายเดินสำรวจรอบกายของนาซีม ครู่หนึ่งจึงมีเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่ตามมาสมทบ
“มันเป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ซึ่งฟังจากเนื้อเสียงแล้ว นาซีมจำได้ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเสียงของชายคนต่อมา กลับฟังดูคุ้นหูอย่างน่าประหลาด นาซีมมั่นใจว่าเขาเคยได้ยินเสียงคนผู้นี้ แต่ที่ไม่แน่ใจคือได้ยินที่ไหน เพราะเนื้อเสียงไม่ใช่คนที่เขาสนิทด้วยอย่างแน่นอน
“ยังไม่ได้สติ”
“ไม่ใช่ว่าตายแล้วหรอกนะ”
“ยาของยายเฒ่านั่นไม่ได้แรงขนาดนั้น นางว่าเป็นแค่ยาสลบ”
“เราจะแน่ใจได้หรือ นางเฒ่าอสรพิษนั่นร้ายแค่ไหนใครๆ ก็รู้ เจ้าลองตรวจสอบดูสิว่ามันยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ เพราะหากมันเป็นอะไรไป พวกเราจะซวยกันหมด”
“ดะ...ได้ๆ” ชายคนที่สองรับคำสั่งทันที ดูท่าคนคนนี้จะขี้ขลาดพอดู
มันเข้ามาใกล้นาซีม ก่อนจะย่อลงจับตัวเขาหงายขึ้น นาซีมแสร้งนอนหลับตานิ่ง พยายามควบคุมตนเองและแสดงเป็นคนไม่ได้สติให้สมบทบาทที่สุด แม้เสียงหัวใจจะเต้นระรัวเพราะตื่นตระหนกมากก็ตามที
มันใช้นิ้ววางที่เนื้อริมฝีปากเขาเพื่อตรวจดูลมหายใจ ก่อนจะส่งเสียงตอบพวกของมันไปอย่างยินดี
“ยังไม่ตาย”
“ดีมาก” คนที่คอยอยู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะออกคำสั่งอีกรอบ “เราเอามันไปไว้ข้างบนเถอะ อีกเดี๋ยวท่านนักบวชจะมาดูตรวจด้วยตัวเอง ว่ามันใช่คนที่พวกเขาตามหาหรือไม่”
“ได้สิ”
ชายคนที่สองรับคำ ก่อนจะแบกร่างของนาซีมขึ้นไหล่อย่างทุลักทุเล
นาซีมรู้สึกจุกไปหมด ทั้งยังปวดเมื่อยเนื้อตัวอีกเท่าหนึ่งด้วยถูกแบกในลักษณะนี้ แต่เขาก็ยังนิ่งไว้ เพราะรู้ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะได้ออกไปจากห้องปิดตายนี่
กระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง แม้ถูกปิดตา แต่นาซีมก็ยังใช้ประสาททั้งหมดจดจำและวิเคราะห์ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง
เริ่มแรกน่าจะเป็นการขึ้นบันได ซึ่งถ้าใช้เขาจะเดาได้ถูกต้องเรื่องโดนจับขังในห้องใต้ดิน ต่อมาเมื่อพ้นประตูอีกบาน เขาได้กลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ และกลิ่นของอาหาร จึงคาดว่าห้องลับที่พวกมันขังเขาไว้อยู่ใต้ครัวของใครสักคน
พ้นจากสถานที่ที่มีกลิ่นเครื่องเทศ เสียงของผู้คนมากมายก็ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เขาจับไม่ได้ว่ามีเสียงใครบ้าง เพราะมีทั้งชายและหญิง ทั้งพูดคุย ร้องตะโกน ด่าทอกันเอง และขับร้องบทเพลงโหยหวนซึ่งมีเนื้อหาแสนเศร้า นอกจานั้นนาซีมยังได้กลิ่นสุราเข้มข้น และกลิ่นยาสูบลอยมาเข้าจมูกทุกครั้งที่สูดลมหายใจ
ทั้งหมดนี้จึงคาดเดาได้ว่า สถานที่ที่พวกมันพาเขามาซ่อน หากไม่ใช่สถานเริงรมย์ ก็ต้องเป็นร้านขายอาหารสักที่อย่างแน่นอน
ทั้งหมดทั้งมวลติดแค่ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใดเท่านั้น จะเป็นในเอมาลี หรือออกมาจากเขตแคว้นอื่น ข้อนี้คงต้องรอให้เปิดตาหรือฟังพวกมันคุยกันจึงจะรู้ได้
เมื่อพ้นจากที่นั่น พวกมันจะพานาซีมเข้ามาอยู่ในห้องลับตาคน ด้วยเสียงเหล่านั้นหายไปแล้ว เจ้าชายถูกวางบนพรมนิ่ม พวกมันปล่อยเขาไว้อย่างนั้นและหายกันออกไปไม่นานจึงกลับเข้ามา และครั้งนี้ดูเหมือนจะมีคนเข้ามาเพิ่มด้วย ซึ่งคนผู้นั้นต้องเป็นอัลฟ่าที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน เพราะนาซีมรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่อีกฝ่ายปลดออกมา
“นี่หรือคนที่เจ้าบอกข้า” น้ำเสียงเรียบๆ เอ่ยขึ้น ทว่าก็เต็มไปด้วยพลังที่พร้อมจะกดดันทุกคนที่อยู่ในห้องนี้
“ขอรับท่านนักบวช” ชายคนที่หนึ่งเอ่ยนอบน้อม ผิดกับน้ำเสียงกร่างๆ ที่เขาใช้กับชายคนที่สอง
“เรียกข้าเชน”
“ขอรับท่านเชน”
“ไหนลองเอาผ้าปิดตาเขาออกซิ”
“ขอรับ”
ได้ยินดังนั้นนาซีมก็นอนนิ่ง รอจนพวกมันเข้ามาดึงผ้าปิดตาเขาออกเรียบร้อย พร้อมกับเขย่าตัวเรียกให้ตื่น นาซีมจึงทำทีเหมือนกับว่าเพิ่งได้สติ
“แก! ตื่นได้แล้ว!”
นาซีมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ อาจเพราะเขาถูกปิดตานานไป จึงมองเห็นอะไรไม่ชัดครู่หนึ่ง กระทั่งปรับสายตาได้เรียบร้อย เขาจึงค่อยๆ หันไปมองคนแปลกหน้าทีละคน
เริ่มจากผู้ที่อยู่ใกล้สุดสองคน คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ส่วนอีกคนคือผู้ที่คาดว่าเป็นเจ้าของเสียงที่สอง เพราะนาซีมเคยได้ยินเสียงนี้ครั้งหนึ่งตอนงานเลี้ยงรอบกองไฟที่อาไมร่า
ฮัฟนาน...หนึ่งในนักแสดงของคณะละครเร่
นาซีมเบิกตาเล็กน้อยเพราะไม่ได้คิดถึงชายผู้นี้มาก่อน และเมื่อฮํฟนานสบตาเขา อีกฝ่ายก็ค่อยๆ เสมองไปทางอื่น ราวกับรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป
“มันตื่นแล้วขอรับท่านเชน”
ชายคนแรกเอ่ยขึ้น ก่อนจะถอยหลังพร้อมกับดึงฮัฟนานไปพร้อมกัน เพื่อให้ใครอีกคนเข้ามายืนแทนที่
เชนหรือที่พวกมันเรียกท่านนักบวช สวมชุดคลุมยาวซาตินสีม่วงขลิบเงิน เส้นผมสีดอกเลา ทว่าใบหน้ากลับไม่เหมือนผู้สูงอายุ ด้วยไร้ซึ่งริ้วรอย ทั้งดวงตากระจ่างใสแฝงไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย
เขาสบตานาซีมครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมกายทำความเคารพ
“สายันต์สวัสดิ์เจ้าชายนาซีม ข้ามีนามว่าเชน เป็นนักบวชแห่งซันดาขอรับ”
“อะ...ท่านเชนว่าอะไรนะขอครับ”
“อาลีเป็น...จะ...เจ้าชายหรือ” ฮัฟนานถามอย่างไม่อยากเชื่อ
ดูท่าการแนะนำตัวพร้อมกับเอ่ยฐานะของเขาตอนนี้จะทำให้ฮัฟนานกับพวกตกใจไม่น้อย เพราะชายทั้งสองหันมามองหน้านาซีมตาแทบถลน
“ไหนท่านว่าเขาเป็นผู้ทำนายอย่างไรล่ะ”
เพื่อนของฮัฟนานถาม เชนจึงละสายตาจากนาซีมและหันไปหาพวกเขาช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พร้อมทั้งแผ่อำนาจของอัลฟ่าออกมาจนนาซีมเองพานได้รับผลกระทบไปด้วย
“ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใด นี่หาใช่การใดของพวกเจ้าแล้ว จงรับรางวัลของเจ้าแล้วไปเสีย อย่างให้ผู้ใดรู้ว่าพวกเจ้าทำสิ่งใด ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เอาคืนแค่รางวัล ทว่าจะริบคืนแม้ชีวิตของเจ้าทั้งสองด้วย”
“ข้า...”
“ไป!”
“ขอรับ!”
“ขอรับท่านเชน!”
ฮัฟนานและเพื่อนรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นาซีมจึงได้เห็นว่าที่หน้าประตูมีอัลฟ่าที่สวมอาภรณ์สีเดียวกับเชนยืนเฝ้าอยู่
“ขออภัยหากการรับตัวท่านมาทำให้เจ้าชายต้องลำบากไปสักหน่อย” นักบวชมากเล่ห์ว่า นาซีมจึงละสายตาจากประตูมาได้
นาซีมไม่เอ่ยอะไร เขารอจนอีกฝ่ายแก้มัดให้เรียบร้อย จึงขยับนั่งตัวตรง และเค้นเสียงแหบแห้งออกมา
“...เจ้า...เป็นคน...ของผู้ใด”
“ท่านยังเดาไม่ออกอีกหรือ”
นาซีมมองรอยยิ้มเสแสร้ง และคิดถึงที่ชายผู้นี้แนะนำตัว
เชนแห่งซันดา
ซันดา เท่ากับ เมืองในปกครองของทาริค
“ทาริค”
“ฉลาดนัก” เขายิ้มกว้างเหมือนผู้ใหญ่ที่ชอบใจเมื่อเด็กเล็กๆ ตอบคำถามถูก “ถูกต้อง”
“เจ้าต้องการสิ่งใดอีก จะพาข้ากลับโซราห์หรือ”
“แน่นอน ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“เพราะอะไร...”
“เพราะเจ้าชายกับราชาของเรามีข้อตกลงกันอยู่มิใช่หรือขอรับ”
“หึ...”
นาซีมแค่นหัวเราะ เพราะรู้ว่าข้อตกลงย่อมจบสิ้นแล้วตั้งแต่เขาหนีจากค่ายทารายาในคืนนั้น เขาเดาว่าที่จะจับกลับไปคงหวังจะสำเร็จโทษเขาต่อหน้าประชาชน ให้ทุกคนได้รู้ว่าโซราห์ไม่มีราชวงศ์ค์เดิมเหลืออยู่อีกแล้ว และสถาปนาตนเองอย่างสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน
“หากจะฆ่าก็ฆ่า อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”
“โอ้...เจ้าชาย ท่านช่างกล้าหาญกว่าที่ข้าคิดนัก” อีกฝ่ายจุปาก “แต่ในขณะเดียวกัน ท่านก็โง่งมเหลือเกิน”
“เจ้า!” นาซีมถลึงตาใส่
“อย่าเพิ่งโมโหไป ข้าแค่จะบอกท่านให้แจ้งแก่ใจว่า ท่านทาริคจะไม่ปลงพระชนม์เจ้าชายอย่างแน่นอน เพราะราชาของเราต้องการท่านไปอยู่ข้างกายโดยที่ยังมีลมหายใจ”
“เพื่ออะไร” นาซีมถามอย่างไม่เข้าใจ
“เพื่อความยิ่งใหญ่ที่ท่านหรือกษัตริย์องค์ใดก็ตามบนแผ่นดินซาร์เรียไม่เคยสัมผัส”
“...เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องใดอยู่กันแน่”
“ท่านเคยได้ยินเรื่องผู้ทำนายหรือไม่เจ้าชายนายซีม”
“ผู้ทำนาย?”
นาซีมเคยได้ยินครั้งหนึ่งตอนงานเลี้ยงรอบกองไฟ และผู้ที่เอ่ยขึ้นก็คือฮัฟนาน ซึ่งมาเวลานี้เขาไม่เชื่อเรื่องบ้าๆ นั่นอีกแล้ว ด้วยรู้ว่ามันเป็นเพียงแผนลวงของทาริคเท่านั้น
“ขอรับ” เชนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น แล้วว่า “ในหอตำราแห่งแคว้นซันดา มีบันทึกเรื่องคำทำนายหนึ่งเขียนไว้...นักสู้ผู้มิมีวันพ่ายเอ๋ย หากเมื่อใดที่ดวงเนตรเปลี่ยนสี ผู้ทำนายจะชี้ทางแก่เจ้า หนทางซึ่งนำไปสู่จุดสูงสุดเหนือผู้คนในดินแดนแห่งเทพี”
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นคือทาริค” นาซีมถาม
“เพราะเขาคือนักสู้ผู้ไม่มีวันพ่าย”
“อ้อ...เหตุผลเพียงเท่านี้เองหรือ” นาซีมยิ้มเยาะ คิดแล้วอยากจะหัวเราะคนพวกนี้เสียเต็มประดา เมื่อได้รู้ถึงเหตุผลที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อรุกรานแคว้นอื่น
แค่บันทึกคำทำนายที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้นแผ่นหนึ่งเท่านั้น
“เช่นนั้นข้าขอถามสักคำ”
“เชิญท่านกล่าว เจ้าชายนาซีม”
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ทำนายคือข้า...เพราะข้ามีดวงตาที่เปลี่ยนสีได้งั้นหรือ”
“แล้วมันไม่จริงหรือเจ้าชาย...”
“จริงอยู่ที่ดวงตาข้าเปลี่ยนสีได้ แต่เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าดินแดนนี้มีข้าผู้เดียวที่ดวงตาเปลี่ยนสีได้ เพราะเจ้าไม่รู้จักผู้อื่นที่เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ มันไม่มีประโยชน์หรอก คำทนายบ้าบอนั่นเป็นสิ่งที่เขียนขึ้นมาโดยคนธรรมดา มิใช่ผู้วิเศษ”
“...” ยิ่งได้ฟังนาซีม เชนก็ยิ่งมีสีหน้าเครียดขมึงขึ้นเรื่อยๆ
“อีกอย่าง ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ไม่เห็นว่าตนเองจะมีพลังทำนายเช่นที่เจ้าว่า เพราะถ้ามี ข้าคงไม่ถูกจับ บิดามารดาคงไม่ถูกฆ่า และไม่ถูกนายเจ้าชิงแคว้นไป เพราะข้าเห็นข้าจะเห็นอนาคตพวกนี้ทั้งหมด จารึกที่เจ้ายึดถือกันนั่น มันไร้สาระสิ้นดี แล้วผู้ใดกันแน่ที่โง่ ข้าหรือพวกเจ้า!! “
เพี้ยะ!
นาซีมถูกฝ่ามือของเชนตบจนเซไปทั้งร่าง ใบหน้าของเขาชาดิกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมันจะค่อยๆ ปวดแปลบเพราะแรงปะทะที่รุนแรง
แต่แล้วอย่างไร ถึงเขาจะทำอีกฝ่ายโกรธ ตัวนาซีมเองก็โกรธจนตัวสั่นเช่นกัน เมื่อได้รู้ต้นเหตุแห่งสงคราม แม้มิใช่เหตุผลทั้งหมด แต่มันก็มากพอให้เขาแค้นเคือง
“ข้าไม่ว่าท่าน หากท่านจะโกรธแค้น เพราะท่านไม่รู้มาก่อนว่าชาวเราเคยเผชิญสิ่งใดมาก่อน ต่อให้ท่านจะบริภาษออกมาข้าไม่ว่า แต่ถ้าหากท่านดูถูกจารึกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะก็ ข้าจะไม่ไว้หน้าท่านอีก”
เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้เจอเรื่องใดมาจึงต้องหวังพึ่งคำทำนายในจารึกนั้น แต่มันก็มิใช่ข้ออ้างในการฆ่าฟันและแย่งชิงชีวิตของผู้อื่น
“อยากทำสิ่งใดก็เชิญ เพราะข้าไม่สนใจอยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะไว้หน้าข้าหรือไม่”
นาซีมพูดออกไป เพราะแรงอารมณ์ก็จริง แต่เขาก็รู้ว่าตนเองไม่มีสิ่งใดจะเสียอีกแล้ว
นักบวชแห่งวิหารซันดาจ้องตานาซีมเขม็ง ก่อนจะกระชากหน้ากากผู้มีเมตตาทิ้ง และยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายที่สุด
“หึ...แล้วท่านจะเสียใจที่เอ่ยคำนี้ออกมาเจ้าชาย”
❂…………………………….❂
ตอนนี้เดือดๆ เลยค่ะ
มีตัวละครใหม่อีกแล้ว
และเปิดอีกคู่ด้วย
จริงๆ เคยบอกแล้วว่าอยากเขียนคู่รองด้วย
เรื่องนี้มีคู่รองสองคู่นะคะ
แต่ฝนก็ยังโฟกัสคู่หลักนะคะ
ตอนนหน้าพระเอกจะมาแล้วแล้วน้าาา
ใครคิดถึงคาริฟบ้างงงง
เจอกันค่ะ ฝนจะมาเร็วๆ ให้ต่อเนื่องนะคะ
ละอองฝน.