---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ---❂❂❂ นิทานภูตราตรี ❂❂❂---- -: บทส่งท้าย :- นิทานภูตราตรี [29/04/2563](จบค่ะ)  (อ่าน 36354 ครั้ง)

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*********************************************************************




❂ นิทานภูตราตรี ❂







คู่แห่งโชคชะตามีจริงหรือ
นั่นเป็นคำถามที่นาซีมนึกสงสัยมาตลอดชีวิต
กระทั่งวินาทีที่ได้สบตากับบุรุษในชุดคลุมสีดำราวผืนรัตติกาล
บางสิ่งบางอย่างบอกนาซีมว่า...บุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือ 'คู่โชคชะตา' ของเขา







สารบัญ






Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-04-2020 10:19:24 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
 




ปฐมบท

 

 




 

ในอดีตอันไกลโพ้น

ณ ห้วงกาลที่ชาวเราไม่อาจหวนถึง

โลกใบนี้เคยมีแผ่นดินอยู่ถึง 7 ทวีป

แต่เมื่ออารยธรรมเจริญถึงขีดสุด

โลกกลับถึงคราวล่มสลายด้วยภัยธรรมชาติซึ่งมีเหตุจากน้ำมือมนุษย์

 



 

ทุกสรรพสิ่งแปรผันในชั่วข้ามคืน

ก่อนเหลือเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์แค่หยิบมือ

…และซาร์เรีย ดินแดนทะเลทรายแห่งสุดท้าย

 

 



 

ครั้นวันคืนผ่านพ้นไปหลายพันปี

สมดุลของโลกฟื้นคืนอีกครั้ง

อารยธรรมจึงได้เริ่มต้นขึ้น

 

 



 

ทว่า เพื่อการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์ มนุษย์ได้วิวัฒน์ไปเป็นสิ่งที่เหนือกว่าเดิม

ลืมเลือนความผิดพลาดในวันวานไปเช่นกัน

มีก็แต่เพียงชาวเราเท่านั้นที่ยังคงจดจำ

และคงอยู่เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง

 

 


 

เรา ผู้ที่ถูกเรียกขานในนาม…ภูตราตรี

 

 

 



 


 
❂ …………………………….❂

 











สวัสดีค่ะ

ในที่สุดก็ได้เอานิยายเรื่องนี้มาลงสักที

เรื่องนี้จะค่อนข้างแหวกจากที่ฝนเคยเขียนไปพอสมควร

เป็นแนวโอเมก้าเวิร์สเรื่องแรก และเป็นแนวทะเลทรายเรื่องแรกเหมือนกัน

เรื่องราวจะว่ากันหลังจากโลกแต่เดิมที่เราเคยอยู่ล่มสลายไปแล้วครั้งหนึ่ง

ตอนแรกมีเพียงแค่ความรู้สึกอยากเขียนเท่านั้น

แต่พอเขียนไปแล้วรู้สึกว่ายากมากสำหรับเรา

แต่ก็ตั้งใจเต็มที่ค่ะ

หวังว่าคนอ่านจะชอบนะคะ

หลังจากนี้จะมีอัพเดตข้อมูลต่างๆ เรื่อยๆ



ฝากติดตามด้วยนะคะ



ละอองฝน.




ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig2:
รอติดตามคร่าา
 :3123:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2







บทที่ 1 นิทานหลอกเด็ก









เมื่อแสงแดดโรยราจวบจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า สายลมจากทะเลทรายก็แปรเปลี่ยนจากร้อนระอุเป็นเยียบเย็น เจ้าชายน้อยที่เพิ่งสรงน้ำเสร็จรีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตนเอง ปากก็ไล่นางกำนัลให้ออกจากห้อง ก่อนกระโดดผลุบขึ้นเตียงกว้างเพื่อรอการมาถึงของใครบางคน


ท่ามกลางเสียงลมกระทบเครื่องแขวน เขานอนรออยู่พักใหญ่จนอดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามนางกำนัลหน้าห้องหลายครา กระทั่งบุคคลที่เฝ้าถวิลหามาเยือน


สตรีผู้นั้นมาพร้อมเสียงกระพรวนบนกำไลข้อเท้าที่ดังกังวานเป็นจังหวะยามเยื้องบาทมาตามโถงทางเดิน ครั้นเข้าถึงเขตห้องบรรทม แสงจากโคมฉลุลายจึงส่องให้เห็นเงาร่างแบบบางคุ้นตา


“ท่านแม่!”


เจ้าชายน้อยผุดลุกขึ้นจากเตียง เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นัยน์ตาวิบวับดุจดวงดาราเปล่งประกาย


“คิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าคงยังไม่นอน” อาลียายิ้มให้บุตรชาย จากนั้นจึงเดินมาหยุดข้างเตียงสี่เสาและปีนขึ้นไปนอนยังที่ว่างที่เว้นให้


“ข้ารอท่าน” เขาว่า “เหตุใดจึงมาช้านัก”


“ภารกิจขององค์ราชามีมาก แม่ต้องอยู่ช่วยพ่อเจ้า”


“เหล่าขุนนางของท่านพ่อเล่า”


“อาทิตย์ตกแล้ว มีหรือขุนนางผู้เฒ่าจะรั้งอยู่ในห้องทรงอักษรไหว”


“เช่นนั้นท่านแม่คงเหนื่อยแย่ ไหนจะมาหาข้า ไหนจะช่วยท่านพ่อทรงงาน” เจ้าชายน้อยทำหน้าสลด เพราะรู้สึกผิดที่ทำให้มารดาต้องลำบาก


“ไม่เอาน่านาซีม แม่ไม่เป็นไร ดีเสียอีกที่ได้ถวายงานองค์ราชา”


“หากข้าโตกว่านี้ ท่านแม่คงจะไม่เหนื่อยอีก เพราะข้าจะเป็นคนคอยช่วยท่านพ่ออีกแรง”


อาลียามองบุตรชายเพียงคนเดียวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากนวลสีน้ำผึ้ง


“แม่เชื่อว่า…เจ้าจะเป็นราชาที่ดีเยี่ยงพ่อเจ้าแน่นอน นาซีม” แล้วว่า “พวกเราเลิกพูดเรื่องพ่อเจ้าเถอะ ไหนบอกซิ วันนี้เจ้าชายน้อยของแม่อยากฟังนิทานเรื่องอะไร”


ในทุกค่ำคืน หลังจากเสร็จสิ้นงานที่อาลียาต้องทำในฐานะราชินี พระนางก็จะมาหาลูกน้อยที่หอคอยของเจ้าชาย และส่งเจ้าตัวน้อยเข้านอนด้วยสารพัดนิทานที่นาซีมขอให้เล่า


“ข้าอยากฟังเรื่องของภูตราตรี” เจ้าชายน้อยเอ่ยโดยไม่ต้องคิด


“เรื่องของภูตราตรีอีกแล้วหรือ”


อาลียาเลิกคิ้วนิดๆ ด้วยความประหลาดใจ เพราะบุตรชายของนางขอร้องให้เล่าเรื่องราวพวกชนเผ่าภูตราตรีไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว


“ขอรับ” นาซีมยืนยัน


“เหตุใดเจ้าจึงไม่เคยเบื่อเรื่องนี้เลยนะ”


“เพราะข้าชอบเรื่องราวของภูตราตรี” เขาตอบโดยไม่ลังเล ก่อนจะใช้แววตากระจ่างใสอ้อนมารดา “ท่านเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ท่านแม่”


“ได้สิ ถ้าเจ้าอยากฟัง แม่ก็จะเล่า” อาลียาไม่คิดขัดใจบุตรชาย เมื่อถูกอ้อนเช่นนี้นางก็ยิ่งใจอ่อนยวบ


พระนางหันไปสั่งให้นางกำนัลหรี่ตะเกียง ก่อนจัดให้นาซีมเอนหลังลงนอนในท่าที่สบายที่สุดใต้อ้อมแขนของนาง จากนั้นจึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ยเรื่องราวของเหล่าภูตราตรี ชนเผ่าโบราณผู้มีหน้าที่คอยรักษาสมดุลของซาเรีย ดินแดนทะเลทรายที่กว้างไกลและเจิดจ้าที่สุด


ในระหว่างที่อาลียาเล่านิทานให้บุตรชายฟังอยู่นั้น อยู่ๆ เจ้าชายน้อยที่คล้ายว่าจะเข้าสู่นิทราในไม่ช้า ก็ลืมตาขึ้นมองมารดา แล้วเอ่ยถามสิ่งที่นึกสงสัย


“ท่านแม่”


“ว่าอย่างไร”


“หากภูตราตรีมีอยู่จริง ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”


พระนางก้มลงสบตาบุตรชาย แล้วยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนตอบ


“เหล่าภูตราตรีนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางทีเขาเหล่านั้นอาจเดินสวนกับเรา หรือกำลังช่วยเจ้าเก็บตำราที่ทำตกตอนไปศึกษาที่หอศึกษาก็เป็นได้”


 “แต่ท่านแม่บอกว่า ภูตราตรีจะอยู่ที่ไอเลม สรวงสวรรค์ของพวกเขา ทั้งยังสวมอาภรณ์สีดำสนิทราวกับสีท้องฟ้าในคืนไร้ดาวและสะพายดาบวงพระจันทร์ติดหลังมิใช่หรือ ถ้าเป็นผู้ที่มีลักษณะเช่นนั้น ข้าคงไม่เคยพบ”


“หึๆๆ เจ้าแน่ใจหรือ”


“ข้า…”


ได้ฟังถ้อยความอันเป็นปริศนาชวนให้ขบคิด เจ้าชายน้อยก็ทำตาโต แล้วย้อนคิดไปว่าตนเองเคยทำตำราตกแล้วมีผู้ใดเก็บมาคืนหรือไม่ แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเคยพบเจอผู้ใดที่มีลักษณะคล้ายกับภูตราตรี


เห็นบุตรชายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มัวครุ่นคิดถึงบุคคลปริศนาในเรื่องเล่าจนไม่ยอมหลับนอน ราชินีอาลียาจึงจำต้องตัดบท ด้วยเวลานิทานในค่ำคืนนี้หมดลงแล้ว


“เอาเถอะ เจ้าอย่าเก็บมาครุ่นคิดให้ปวดหัวเลยนาซีมลูกรัก เพราะอย่างไรเสีย เรื่องที่แม่เล่าให้ฟังก็เป็นเพียงนิทานปรัมปรา”


“ท่านแม่จะบอกข้าว่า เรื่องของภูตราตรีไม่มีจริงอย่างนั้นหรือ…”


“แม่บอกไม่ได้หรอกว่าภูตราตรีมีจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่แม่บอกได้ก็คือ หากภายภาคหน้าเจ้าประสบกับเหตุการณ์คับขัน เจ้าจะได้รู้เองว่าผู้ที่อยู่ในนิทานนั้นมีจริงหรือไม่…”




❂ …………………………….❂




   “ได้เวลาตื่นบรรทมแล้วเพคะ เจ้าชายนาซีม”


   ทันทีที่ได้ยินเสียงนางกำลังคนสนิท นาซีมก็สะดุ้งตื่นจากห้วงฝันอันไกลโพ้น หน่วยตาคู่งามจ้องมองเพดานผ่านม่านมุ้งบางเบาแสนคุ้นตาที่แปรเปลี่ยนไปไม่มาก กระนั้นเขาก็รู้ว่าในตอนนี้ เขาไม่ใช้เจ้าชายนาซีมตัวน้อยอีกแล้ว แต่เป็นเจ้าชายนาซีมที่มีอายุ 20 พรรษา และกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับหัวหน้าชนเผ่าเร่ร่อน ที่กำลังจะเข้ามาบุกยึดแคว้นโซราห์ หากนาซีมไม่ยอมทำตามเงื่อนไข


   ถ้าท่านพ่อและท่านแม่ไม่สวรรคต บางทีแคว้นโซราห์คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้


   ย้อนไปเมื่อสองเดือนก่อน ทางฝั่งตะวันอออกของแคว้นโซราห์ซึ่งติดกับชายทะเล เกิดโรคระบาดที่มากับลมทะเล ทำให้ประชาชนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก องค์ราชาราฮิม ผู้ที่รักและเมตตาต่อประชาชนอย่างยิ่ง ทรงเป็นห่วงกังวลจึงเดินทางไปยังพื้นที่ที่ประสบโรคระบาดด้วยตนเองพร้อมกองทัพหมอหลวงกับราชินีคู่พระทัย


   โดยทิ้งให้บุตรชายเพียงคนเดียวคอยรั้งอยู่ที่พระราชวังเพื่อสะสางพระราชกรณียกิจอื่นแทน แต่ใครเล่าจะคาดคิด แม้แคว้นโซราห์สามารถควบคุมและกำจัดโรคระบาดได้ในที่สุด แต่ทั้งสองพระองค์กลับถูกลอบปลงพระชนม์ จากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายในระหว่างเดินทางกลับพระราชวัง


   เมื่อเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทั่วทั้งแคว้นโซราห์ย่อมระส่ำระส่าย ผู้เดียวที่จะหยุดยั้งความตื่นตระหนกและโศกเศร้าของประชาชนได้มีเพียงเจ้าชายนาซีม รัชทายาทพระองค์เดียวแห่งแคว้น


   ทว่าเรื่องราวไม่จบอย่างสวยงามแค่เจ้าชายนาซีมขึ้นครองราชย์ เพราะก่อนจะขึ้นนั่งบัลลังก์นั้น เสียงทั้งของขุนนางและประชาชนกลับแตกออกเป็นสองฝั่ง ถึงความไม่เหมาะสมในราชบัลลังก์ของเจ้าชายพระองค์นี้


   ถูกที่นาซีมคือทายาทสายตรงเพียงคนเดียวขององค์ราชา เขามีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เว้นเพียงข้อเดียว…


   นาซีมเป็นโอเมก้า


   โอเมก้าที่ถูกมองและตีตราจากทุกคนว่า…ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้นำ!


   ในโลกที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่จากเศษเถ้าถ่านของโลกใบเดิม สิ่งมีชีวิตและทรัพยากรต่างๆ ก็ปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลง มนุษย์เองก็เช่นกัน


   ในโลกใบนี้ อย่างน้อยก็ในดินแดนซาเรีย มนุษย์มิได้แบ่งแยกกันที่เพศชายหรือเพศหญิงเหมือนก่อนกาล แต่มนุษย์นั้นแบ่งเป็นสามเหล่า คือหนึ่งอัลฟ่า สองเบต้า และสามโอเมก้า


   เบต้าคือประชากรที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เพราะเป็นเหล่าที่แทบไม่ต่างกับมนุษย์ในยุค่อน อัลฟ่าและโอเมก้านั้นพบได้ทั่วไป เพราะวิวัฒน์มาเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอดในยุคหลังโลกเดิมล่มสลาย


   โดยอัลฟ่าจะมีพละกำลังมากกว่าปรกติ เป็นเหล่าของผู้นำ ด้วยมีสัญชาตญาณของความเป็นผู้นำสูง


   ส่วนโอเมก้านั้นสามารถปรับสมดุลลดความดุดันและพลังของอัลฟ่า ทั้งยังสามารถให้กำเนิดบุตรได้ไม่ว่าโอเมก้าคนนั้นจะเป็นชายหรือหญิง


   การปรับเปลี่ยนไปของมนุษย์ในยุคนี้ มาพร้อมความอยู่รอดกับความเชื่อที่ว่า ในเมื่อมีอัลฟ่าที่ปราดเปรื่อง เป็นผู้นำ โอเมก้าก็ควรจะเป็นผู้ตาม และรับหน้าที่ให้กำเนิดบุตรก็เพียงพอแล้ว


   โชคร้ายที่ราชาแห่งแคว้นโซราห์ให้กำเนิดบุตรชายซึ่งเป็นโอเมก้า ทุกคนจึงกังขาว่า เจ้าชายนาซีมคู่ควรกับการเป็นผู้นำของแคว้นหรือไม่


   มีเพียงองค์ราชาและราชินีของแคว้นเท่านั้นที่รู้ว่าบุตรของพระองค์เหมาะสมเพียงใด ทว่าเวลานี้พวกท่านไม่อยู่แล้ว นาซีมจึงต้องสู้กับคนทั้งแคว้น เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าตนเหมาะสมกับตำแหน่งนี้แค่ไหน หาใช่แค่เพราะเกิดมามีสายเลือดของกษัตริย์


   และโอกาสพิสูจน์ของนาซีมก็มาถึง เมื่อแคว้นโซราห์ถูกรุกรานโดยกองกำลังของชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งเดินทางไปทั่วดินแดนซาร์เรีย กวาดต้อนเอาเอาหาร แพรพรรณ สิ่งของมีค่า และผู้คนไปเป็นทาส ไม่ว่าแคว้นใดที่กองกำลังของชนเผ่าเร่ร่อนเดินทางผ่าน แคว้นนั้นจะต้องย่อยยับ


   ชนเผ่าเร่ร่อนกลุ่มนี้ชื่อว่าทารายา โดยมีชีคทาริคเป็นผู้นำ


แคว้นแล้วแคว้นเล่า ใครจะคิดว่า สุดท้ายกองทัพคนเถื่อนจะหยุดเพราะหมายตั้งรกรากที่โซราห์ ดินแดนรุ่งเรืองทางฝั่งตะวันออกของซาร์เรีย และเพื่อไม่ให้เป็นเช่นนั้น เจ้าชายนาซีมจึงต้องเป็นผู้นำในการปกป้องแคว้นไม่ให้ถูกทำลาย ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม


   ในทีแรกเจ้าชายตัดสินใจเอากองทัพเข้าต้าน ทว่ากองทัพที่ควรจะเกรียงไกรเทียบเท่าความรุ่งเรืองของแคว้นกลับแตกพ่ายย่อยยับ


   สาเหตุมาจากโซราห์เป็นเมืองค้าขาย ไร้ซึ่งการศึกมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อตั้งนคร ทำให้กองทัพไม่อาจต้านทานทัพเดนตายที่เชี่ยวชาญการรบของเผ่าทารายาได้


   และอีกสาเหตุอาจมาจากปัญหาการเมืองในแคว้น ที่เหล่าแม่ทัพขุนนางแตกออกเป็นสองฝั่ง หนึ่งเชื่อฟังเจ้าชาย อีกหนึ่งหายึดถือในคำสั่งไม่ ด้วยเห็นว่าเจ้าชายโอเมก้าก็ไม่ต่างจากภรรยาที่บ้าน ไหนเลยจะมาออกคำสั่งในสนามรบได้


   การศึกยาวนานกว่าสองเดือน จนกำแพงเมืองด้านหนึ่งพังทลายลง ทหารเลวของทาริคบุกเข้ามาฆ่าฟันประชาชนราวผักปลา


ในที่สุด…ทุกฝ่ายจึงเห็นพ้องต้องกันและกดดันให้เจ้าชายนาซีมยอมแพ้ และทำตามข้อตกลงที่ทาริคเสนอตั้งแต่เริ่มทำสงคราม


   หนึ่ง ขอให้เปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพของทารายา


   สอง จัดงานอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายนาซีมและชีคทาริค


   สาม แต่งตั้งชีคทาริคขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นโซราห์ต่อจากราชาราฮิม


   เจ้าชายนาซีมอยากหลับตาและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เพียงเพราะรู้ว่าวันนี้คือวันที่พระองค์ต้องเดินทางออกไปอภิเษกกับคนเถื่อนนอกกำแพงเมือง ซ้ำยังต้องเปิดประตูรับมันเข้ามาเป็นราชาของแคว้น


   แคว้นที่บรรพบุรุษของนาซีมสร้างขึ้นมากับมือ แต่กลับต้องตกเป็นของคนอื่นในรุ่นของนาซีม…


   นาซีมแทบรับความอัปยศนี้ไม่ไหว เขามองนางกำนัลวาดลวดลายเมเฮนดีสวยงามอ่อนช้อยบนมือทั้งสองข้างด้วยความรู้สึกหดหู่ใจอย่างหาใดเปรียบ


   “เสร็จแล้วเพคะ เจ้าชายโปรดลุกขึ้นสวมฉลองพระองค์เถิดเพคะ”


   นาซีมมองชุดที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้เป็นกรณีพิเศษ เป็นเสื้อผ้าเนื้อบางอย่างนางในฮาเรมสวม ซึ่งไม่สมพระเกียรติเจ้าชายนาซีมเลยสักนิด


   “เราไม่ใส่ชุดนี้”


   “แต่ว่า…”


   “เอาออกไป เราจะสวมชุดคลุมของเรา”


   ตั้งแต่เด็กจนโต น้อยครั้งนักที่นาซีมจะขึ้นเสียใส่ผู้อื่น ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อยเพียงใดก็ตาม แต่เพราะครานี้เขารู้สึกแย่กับสิ่งที่ชีคเถื่อนผู้นั้นกระทำเกินรับไหว ซ้ำยังโกรธตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมศิโรราบ เจ้าชายผู้สูงศักดิ์จึงไม่อาจกักเก็บอารมณ์ได้ดีเช่นที่ผ่านมา


   นาซีมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่างโค้งทรงสูงในหอนอนส่วนพระองค์ จากมุมนี้เขาสามารถมองเห็นเลยออกไปจนถึงนอกกำแพงเมือง เห็นกระโจมกองทัพของพวกทารายาตั้งเรียงรายบนทะเลทราย ไม่ห่างจากกำแพงเมืองทิศตะวันตกเท่าใดนัก


   วันนี้หลังจากอาทิตย์อัสดง เขาต้องนั่งรถม้าออกไปเพื่อทำพิธีกับชีคทาริค และเมื่อเช้าวันใหม่มาเยือนหลังจากอยู่รั้งในห้องหอกับคนเถื่อนหนึ่งราตรี นาซีมต้องเป็นคนนำกองทัพเผ่าเร่ร่อนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโซราห์


   เจ้าชายหนุ่มเหม่อลอยและพยายามครุ่นคิดในนาทีสุดท้าย


   …ยังพอมีทางไหนให้เขาเลือกเดินได้นอกจากทางนี้หรือไม่


   ทางที่ไม่ต้องยอมศิโรราบต่อชีคทาริค ทางที่ไม่ต้องถูกบีบจากเหล่าขุนนาง และทางที่ไม่ต้องละทิ้งประชาชน


   แต่เมื่อทบทวนซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง นาซีมก็ยังไม่พบหนทางนั้นเลย เขาจึงคิดถึงความฝันเมื่อตอนรุ่งสาง ห้วงฝันที่ท่านแม่เอ่ยถึงอัศวินแห่งรัตติกาล…เหล่าภูตราตรี


   หากนิทานเหล่านั้นเป็นความจริง บางทีพวกภูราตรีคงกำลังหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือและรักษาสมดุลของดินแดนแห่งนี้ ไม่ให้ถูกคนชั่วช้าเดินทางไปกอบโกยและทำลายย่อยยับจนหมดทั้งซาร์เรีย


   ทว่านาซีมรู้…เรื่องเล่าของท่านแม่เป็นเพียงนิทานกล่อมนอนเท่านั้น รวมถึงเรื่องของภูตราตรีด้วย


ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คงมีแต่หาทางช่วยเหลือแคว้นด้วยตนเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ยามนี้ เวลาที่เขาไร้ซึ่งพละกำลัง



   
❂ …………………………….❂




   ยามที่รถม้าเคลื่อนไป เสียงกระพรวนเล็กๆ ที่ข้อเท้าจะดังขึ้นเป็นจังหวะกรุ๋งกริ๋งๆ ชวนให้ปวดหัว แต่ก่อนเขาเคยชอบเสียงนี้มาก ยิ่งตอนที่มันอยู่บนข้อเท้าของท่านแม่ นาซีมก็ยิ่งชอบ แต่ยามนี้ เมื่อนาซีมมองข้อเท้าของตัวเอง เจ้าชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมา ก่อนจะกระชับเสื้อคลุมให้ปกปิดทั้งใบหน้าและร่างกายจนมิดชิด


เพราะมันช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก…


   ด้วยสุดท้าย เขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นสวมชุดเนื้อผ้าบางเบานั่น พร้อมกับเครื่องประดับของนางในฮาเรมก่อนเข้ากระโจมของทาริคอยู่ดี เพราะท่านชีคผู้สูงส่งมีคำสั่งมาว่า หากเจ้าชายนาซีมไม่ยอมทำตาม พิธีอภิเษกจะไม่มีทางเกิดขึ้น และเจ้าตัวจะเข้าครอบครองโซราห์โดยที่นาซีมมิอาจยื่นมือเข้ามาสอดได้อีกเลย


สิ่งที่อีกฝ่ายทำในเวลานี้เป็นการให้เกียรติกับเจ้าชายมากแล้ว


   ดังนั้นนาซีมจึงจำใจก้าวลงจากรถม้าด้วยชุดที่ไม่สมเกียรตินั้น เพราะหวังว่าต้องมีสักวันที่เขาจะได้เอาคืนทาริคอย่างสมเกียรติเช่นกัน








   
❂ …………………………….❂









ในที่สุดก็ได้เอาตอนที่หนึ่งมาลงแล้วค่ะ
สัญญาว่าเรื่องนี้จะไม่กลายเป็นนิยายรายเดือน
เปิดมาค่อนข้างหนักหน่วง
ฝนพยายามให้มีกลิ่นอายของอาหรับมีละอองสีทองวิ้งๆ
แต่สารภาพเลยค่ะ เรื่องนี้แต่งจริงๆ ยากว่าที่คิดไว้มากค่ะ
หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ /ตัวฝนไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เลยTT
ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ พวกคำอธิบายของโอเมก้าหรืออื่นๆ
ฝนจะค่อยๆ ทยอยลงให้เป็นเกร็ดความรู้นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หวังว่าจะชอบค่ะ

ละอองฝน.

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
แค่บทที่1ก็ชอบมากๆเลยค่ะ อยากอ่านบทที่2ต่อแล้ว  :m13:
ทาริคจะเป็นภูตราตรีไหมน้อ แต่อยากให้นาซีมขึ้นครองราชย์จังค่ะ

 :pig4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ชอบๆๆๆ รออ่านตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ LikeL

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พล็อตเรื่องน่าติดตามมากๆ เลยค่ะ น่าจะมีอะไรหลายๆ อย่างให้ได้ลุ้น ให้ได้สนุกอีกเยอะเลย
ภูตราตรี คือใคร หรือว่าแท้จริงแล้ว นาซีม คือภูติราตรี แต่ไม่รู้ตัว
ภาษาที่ใช้สละสลวย ไพเราะ อ่านแล้วเพลิดเพลิน และจินตนาการตามได้ดีเลยทีเดียว
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ มาต่อเร็วๆ นะคะ
อยากรู้ว่าภูติราตรีคือใคร อยู่ที่ไหน ??? มาช่วยนาซีนด้วยยย


ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:  ชอบบบบบบบบ ติดตามค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2

   





บทที่ 2 คนในนิทาน









   ทันทีที่ประตูรถม้าเปิดออก เสียงอึงอลของผู้คนที่อยู่ในค่ายทารายาก็เงียบลง นาซีมมองออกไปนอกประตูรถม้าจึงเห็นว่าสายตาทุกคู่ในบริเวณนั้นกำลังพุ่งความสนใจมาที่ตน บ้างเป็นสายตาของผู้สอดรู้ บ้างก็มองจาบจ้วงตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มหยันคล้ายดูแคลนว่า


สุดท้าย...เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ก็ต้องยอมศิโรราบให้แก่เจ้านายของตน


แต่ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร เจ้าชายหนุ่มก็ทำได้แค่สูดหายใจลึกๆ ระงับความโกรธและอดสูเอาไว้ ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าเพื่อก้าวเท้าลงจากรถม้า


ยามเท้าแตะพื้น นาซีมจึงพบว่าที่ด้านข้างรถม้า มีชายผิวเข้ม หน้าตาดุดัน และรูปร่างสูงใหญ่กว่าเขาเกือบช่วงตัวยืนกอดอกรออยู่ เมื่ออีกฝ่ายสบตาเขา เจ้าตัวก็ผายมือไปยังกระโจมที่อยู่กึ่งกลางค่าย ซึ่งเป็นกระโจมที่ดูหรูหราใหญ่โตที่สุด ระหว่างทางเดินไปยังปูพรมนุ่มและวางตะเกียงแก้วสีสันงดงามรายทาง


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นที่พักของใคร นาซีมจึงกระชับเสื้อคลุมแล้วเดินเชิดหน้าเข้าไปในนั้นโดยไม่กล่าวอะไรสักคำเดียว


ครั้นมาถึง ทหารยามสองคนของทาริคก็มาขวางไว้ ก่อนย่างสามขุมเข้าใกล้ด้วยท่าทีคุกคาม นาซีมจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ


“พวกเจ้าจะทำอะไร”


“พวกข้าต้องตรวจอาวุธ” ทหารนายหนึ่งว่า ก่อนทำท่าราวกับจะค้นตัว ด้วยคาดว่านาซีมคงซ่อนอาวุธไว้ใต้เสื้อคลุม แต่มีหรือนาซีมจะยอมให้ทำเช่นนั้น แม้เขาจะไม่มีอาวุธติดมาสักชิ้น แต่ให้ตายเขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเห็นว่าเจ้าชายแห่งโซราห์สวมชุดอะไรไว้ใต้เสื้อคลุม


เมื่อสิ้นคำนั้น ฮาบัสและฟามีน สององครักษ์ของนาซีมที่ติดตามมากับขบวนรถม้าก็รีบตรงมาคุ้มกันเจ้าชาย


    “อย่าบังอาจแตะต้องเจ้าชาย” ฟามีนเข้าขวางหน้านาซีมไว้


   “แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านชีคทาริค ไม่ว่าใครก็ผ่านเข้าไปในกระโจมของท่านชีคไม่ได้ หากมิได้ค้นตัว!”


   ชวิ้ง!   


   ทหารยามของทาริคชักดาบคมกริบออกจากฝักแล้วชี้ปลายแหลมมาทางเจ้าชายและสององครักษ์อย่างเอาเรื่อง ฮาบัสจึงดึงดาบของตนเองออกมาเช่นกัน


“มันผู้ใดกล้าล่วงเกินเจ้าชายนาซีม ก็ข้ามศพข้าไปก่อน”


บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปทันทีที่สองฝ่ายชักดาบออกจากฝัก นาซีมมุ่นคิ้วน้อยๆ ด้วยรู้ว่าหากเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เรื่องราวยุ่งยากคงตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้เขาเองจะไม่พอใจที่ถูกหยามเกียรติได้กระทั่งกับทหารยามเฝ้าประตู ถึงอย่างนั้นนาซีมก็ไม่อยากให้มันวุ่นวายไปมากกว่าเก่า


ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากปรามคนในปกครองของตน นักรบผิวเข้มของทาริคที่เดินไปรับเขาจากรถม้าเมื่อครู่ก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน


“วางดาบของพวกเจ้าลงเสีย” เขาเอ่ยกับทหารยามทั้งสองโดยตรง


“แต่ท่านซีญ่า ท่านชีคสั่งไว้ว่า---“


“หากทำให้เจ้าชายมีแม้แต่รอยขีดข่วน ผู้ที่ถูกลงโทษจะกลายเป็นเจ้าสองคน”


ได้ยินดังนั้น ทั้งสองจึงเปิดทางให้นาซีมแต่โดยดี “ขอรับ”


ทว่ายังไม่ทันก้าวขาเข้าประตู ซีญ่าก็หันมาเอ่ยกับองครักษ์ของเจ้าชาย


“พวกเจ้าจงรออยู่ด้านนอก”


“ข้ามาที่นี่เพื่อดูแลความปลอดภัยให้เจ้าชาย เหตุใดต้องฟังเจ้า” ฟามีนโต้กลับ


“ด้านในมีเพียงท่านชีค ไม่มีใครทำร้ายเจ้าชายของพวกเจ้าได้”


“ก็เพราะมีชีคของพวกเจ้าอยู่ ข้าจึง---“


“พอแล้วฟามีน ฮาบัส” เป็นนาซีมเอ่ยห้าม เพราะเข้าใจว่าด้านในกำลังจะมีการทำพิธีแต่งงานภายในของเผ่าทารายา จึงไม่แปลกที่ทาริคไม่ยินยอมให้คนนอกเข้าไป “พวกเจ้าคอยอยู่ข้างนอก หากมีอะไรข้าจะเรียก”


“ขอรับเจ้าชาย”


“อยู่ข้างนอกก็อย่าก่อเรื่องล่ะ”


“ขอรับ”


แม้ไม่เต็มใจเพราะห่วงความปลอดภัยของนายเหนือหัว แต่พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง นาซีมยิ้มให้ทั้งสองน้อยๆ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในกระโจม ทิ้งให้พวกเขาคอยคุมเชิงกับทหารเดนตายข้างนอกเงียบๆ
   



❂ …………………………….❂




   ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว แต่ภายในกระโจมใหญ่ของผู้นำเผ่าเร่ร่อนทารายากลับถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟงดงาม สว่างไสวจนสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นยังมีเสียงดนตรีจากเครื่องสายชนิดหนึ่งดังคลอเคล้า ฟังแล้วรื่นรมย์เป็นที่สุด


   จนเมื่อก้าวลอดใต้ซุ้มผ้าม่านสีม่วงบางเบาที่ห้อยระย้าเข้าไปถึงห้องซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกชั้น นาซีมพบว่า แม้ที่นี่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราราวกับที่พำนักฤดูร้อนขององค์ราชา แต่ก็ไม่เห็นว่าคล้ายกับสถานที่ที่กำลังจะจัดงานวิวาห์แม้แต่น้อย


เขามองพรมถักดิ้นทองผืนงามที่ถูกนำมาเรียงต่อกันเป็นทางเดิน แจกันเสียบดอกไม้หายากกลางทะเลทราย คนโท จอกเหล้า ถาดที่เต็มไปด้วยทับทิมผลงามและพวงองุ่นเขียวสด เครื่องเรือนทุกอย่างล้วนมีสีทองอร่าม


กวาดมองนิ่งๆ จนสายตาไปหยุดอยู่ที่บุรุษผู้หนึ่ง ผู้ที่นั่งถือจอกเหล้าองุ่นอยู่บนตั่งหนังเสือโคร่ง โดยรอบกายมีโอเมก้าชายหญิงในอาภรณ์บางเบาและน้อยชิ้นปรนนิบัติพัดวีไม่ห่าง


แค่มองและไตร่ตรองให้ดี เขาก็รู้ได้ทันทีว่าในคืนนี้จะไม่มีพิธีอภิเษกอย่างที่พวกทารายาอ้างถึง จะมีก็แต่เจ้าชายที่ถูกหลอกและถูกหมิ่นเกียรติครั้งแล้วครั้งเล่า
   

“ท่านชีค”


   ครั้นได้ยินเสียงเรียกของซีญ่า คนบนตั่งจึงเงยหน้ามอง ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่นาซีม แล้วเอ่ย “มากันแล้วหรือ”


   “ขอรับ” 


“เจ้าไปพักเสียซีญ่า ย่ำรุ่งต้องนำทัพเข้าโซราห์”


“ขอรับ”


ซีญ่ารับคำก่อนเดินออกจากกระโจมโดยไม่หันมองนาซีมแม้แต่น้อย ส่วนนาซีมก็เผลอกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น


ท่ามกลางเสียงดนตรีที่ยังบรรเลง โอเมก้าชายหญิงเหล่านั้นก็ยังปรนนิบัติได้ดีเหมือนเก่า ทุกคนในกระโจมทำตัวปรกติราวกับไม่สนใจว่าเวลานี้ในกระโจมมีแขกคนสำคัญอยู่ด้วย จะมีก็แต่ท่านชีคของทารายาและเจ้าชายแห่งโซราห์เท่านั้นที่จ้องตากันนิ่งๆ


   ครั้นทาริคเห็นนาซีมยืนเชิดหน้านิ่ง ไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว เจ้าตัวก็ส่งจอกเหล้าคืนให้โอเมก้าชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนลุกขึ้นจากตั่งเพื่อเดินมาหยุดตรงหน้านาซีม


   นาซีมไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงผันตัวจากนักสู้ในสนามพนันเล็กๆ มาเป็นหัวหน้าเผ่าของชาวเร่ร่อนและสร้างกองทัพเกรียงไกรขึ้นมาได้


   เพราะเพียงยืนห่างกันแค่ระยะเอื้อมมือ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความโหดเหี้ยมและความตายของคนผู้นี้ได้แล้ว ยิ่งผนวกกับรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าดุดัน กระนั้นก็แฝงไปด้วยเล่ห์ร้ายในประกายตา มองอย่างไรก็ดูคล้ายเทพแห่งสงครามไม่มีผิด


   นอกจากนาซีมจะประเมินทาริคแล้ว ทาริคเองก็สำรวจเจ้าชายด้วยเหมือนกัน เขาใช้ดวงตาชั่วร้ายนั้นมองนาซีมในชุดคลุมสีน้ำเงิน ก่อนเดินวนรอบกายหนึ่งรอบ และมาหยุดตรงหน้านาซีมอีกครั้ง


   “…”


   อีกฝ่ายลูบคางที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้มของตนเองเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้มือกระชากเสื้อคลุมของเจ้าชายจนฉีกขาดและหล่นลงกองกับพื้นโดยที่คนสวมไม่ทันตั้งตัว ท่ามกลางสายตาของทุกคนในกระโจม


   “เจ้า!”


   นาซีมแทบอ้าปากค้างกับปฏิกิริยาป่าเถื่อนนั่น หากยังไม่ทันเถียง สายตาของทาริคก็มองเจ้าชายนาซีมในชุดบางเบาตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับกระตุกยิ้มพอใจและเอ่ย


   “แบบนี้สิ ถึงจะเข้าท่าหน่อย”


   “…”


   นาซีมกำหมัดแน่นขึ้นจนเจ็บกลางฝ่ามือไปหมด พยายามระงับความโกรธจนหน้าแดงก่ำ แต่ดูเหมือนทาริคจะจงใจเมินพายุอารมณ์นั้น เพราะอีกฝ่ายยังทำย่ามใจด้วยการเชยคางนาซีมขึ้นและกวาดมองทั่วใบหน้า


   “แม้ในยามโกรธา หากเจ้าชายแห่งโซราห์ก็ช่างงดงามสมคำร่ำลือ”


   เพี๊ยะ!


   เสียงหลังมือของทาริคถูกฟาดดังไปทั้งกระโจม พร้อมกับมือของท่านชีคสะบัดหลุดจากปลายคางของนาซีมทันที


“อย่าเอามือสกปรกของเจ้าแตะต้องข้า”


หลังจากทำการอุกอาจเช่นนั้นไป นักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงก็หยุดเล่น คนในฮาเร็มของหัวหน้าเผ่าทารายานั่งตัวแข็งทื่อในบัดดล ด้วยไม่คิดว่าจะมีผู้ใดอาจหาญกับทาริคถึงขนาดนี้ ซ้ำผู้ที่ทำก็เป็นเพียงโอเมก้าบอบบางและตัวสูงแค่อกของทาริคเท่านั้น


นาซีมเองก็สังเกตเห็นว่าประกายตาพึงพอใจของทาริคเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นโกรธา แต่มีหรือเขาจะสนใจ เพราะในเมื่อเขากล้าทำ เจ้าชายหนุ่มย่อมรู้ผลที่จะตามมาอยู่แล้ว


“เจ้าช่าง…บังอาจนัก” ทาริคเอ่ยลอดไรฟัน


“ใครกันแน่ที่บังอาจ ดูหมิ่นเกียรติของเรา”


ในคราแรกเขายอมลงให้ ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ยังยอม เพราะคิดเสมอว่าต้องอดทนเพื่อประชาชน แต่พอมาเจอเรื่องนี้กับตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความอดทนของนาซีมก็ขาดสะบั้น


“หึ เพียงเท่านี้ก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ความอดทนต่ำเหลือเกินนะเจ้าชาย” ทาริคเหยียดยิ้มหยันในที


“ใครว่าข้าทนไม่ได้” คนถูกเย้ยเชิดหน้าขึ้น และตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว


ทั้งสองสู้ตากันท่ามกลางบรรยากาศคุกกรุ่น แต่ไม่ว่าทาริคจะมองข่มอย่างไร เจ้าชายโอเมก้าก็ไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือยอมแพ้ ช่างผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเปราะบาง ไม่สู้คน จนหัวหน้าคนเถื่อนทั้งถูกใจ ทั้งอยากย่ำยีให้แปดเปื้อนและหายพยศ


คิดได้ดังนั้นทาริคจึงคว้าเข้าที่ต้นแขนแล้วออกแรงกระชากให้ร่างของนาซีมเข้ามาประชิดกาย ก่อนกระซิบ


“เช่นนั้นข้าจะรอดูว่าเจ้าจะมีความอดทนแค่ไหน…เจ้าชายนาซีม”


ทั้งที่นาซีมขืนตัวไว้ไม่ให้ตนถูกดึงไปไหนได้ง่ายๆ แต่ด้วยพละกำลังของอัลฟ่าสูงใหญ่อย่างทาริค ทำให้ยื้อยุดกันไม่นาน นาซีมก็ถูกลากไปโยนบนตั่งหนังเสือจนโอเมก้าในฮาเร็มแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง


เจ้าชายหนุ่มรู้สึกเจ็บยอกที่แผ่นหลังจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา ทว่าทาริคไม่เปิดช่องว่างให้เขาโอดครวญ เพราะอีกฝ่ายรีบตามติดลงมาบนตั่งเพื่อตรึงเขาไว้ พันธนาการแขนทั้งสองข้างด้วยอุ้งมือที่แข็งแรงแน่นหนาราวกรงเล็บพญาอินทรี จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาหมายจุมพิต นาซีมจึงเบี่ยงหน้าออกให้ริมฝีปากร้ายนั่นพลาดเป้า


กระนั้น ทาริคก็ไม่สนใจ แม้พลาดริมฝีปากเชิดรั้นไป คนร้ายกาจก็ยังพรมจูบใบหน้า และซุกไซ้ลำคอกับแผ่นอกผ่านเสื้อผ้าเนื้อบางอย่างกักขฬะ


สัมผัสรุนแรงและหยาบคายนั่นทำเอานาซีมรู้สึกคลื่นเหียนจนแทบอาเจียนออกมา แต่นอกจากการกระทำต่ำช้าของทาริคแล้ว สายตาของทุกคนในกระโจมที่มองมายังตนเขาก็ยิ่งเป็นเครื่องกระตุ้นให้นาซีมทนไม่ไหว


เขารวบรวมกำลังไม่ที่รู้มาจากที่ไหนเพื่อดิ้นสุดแรง จนมือข้างหนึ่งหลุดจากการเกาะกุม จากนั้นก็รีบคว้าหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ที่สุด และฟาดลงไปยังหัวของทาริคโดยไม่หยุดคิดสักเสี้ยววินาทีเดียว


“กรี๊ด!! ท่านชีค!” เสียงนางในฮาเร็มคนหนึ่งกรีดรองเสียงดังลั่นกระโจม


ก่อนทาริคจะผละตัวออกห่างจากนาซีมทันที เจเชายจึงรีบลุกและวิ่งไปซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งให้หลังชนกระโจม


เขาหอบหายใจรัวเร็ว ทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งมองดูเชิงเทียนในมือที่มีคราบเลือดติด ก่อนเคลื่อนสายตาไปเห็นเลือดไหลรินออกมาจากใต้ผากโพกหัว และสายตาเกรี้ยวกราดราวกับมีดวงไฟลุกในดวงตาของทาริค นาซีมก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นยิ่ง


ไม่รู้ว่าเหตุใดทุกอย่างจึงดำเนินมาถึงจุดนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขากลัวก็คือ เรื่องราวหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นต่างหาก


“เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงทำร้ายท่านชีค!” โอเมก้าชายคนหนึ่งในนั้นเอ่ย


“นั่นสิ กล้าดีอย่างไร” หญิงสาวชุดแดงเพลิงที่เพิ่งกรีดร้องไปเมื่อครู่กล่าวสมทบ ก่อนเดินไปเกาะแขนทาริค “ท่านชีคเป็นอะไรมากไหมเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะเรียกทหารเข้ามาจับมันให้นะเจ้าคะ”


“ไม่ต้อง” ทาริคเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะมองเขม็งมาที่นาซีม “ส่วนเจ้า…มานี่”


“ไม่!” นาซีมปฏิเสธ ในมือกำเชิงเทียนแน่นขึ้นไปอีก


“หากเจ้าไม่เข้ามาหาข้าดีๆ เรื่องจะไม่ได้จบแค่ข้าจับเจ้าโยนให้พวกทหารเลวในค่ายรุมขย้ำ แต่…” เจ้าคนเถื่อนเว้นไปนิด ก่อนจะยกยิ้มที่ทำให้คนมองสังหรณ์ใจไม่ดี


“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด!”


“เพราะผู้นำโซราห์พยศถึงเพียงนี้ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนในแคว้นของเจ้าจะไม่กบฏต่อข้า”


“นี่ไม่เกี่ยวกับประชาชนของข้า!”


“เหตุใดจึงไม่เกี่ยว ในเมื่อที่เจ้ามาในยามนี้ก็เพื่อวิวาห์กับข้าตามข้อตกลงมิใช่หรือ”


“แล้วไหนเล่างานวิวาห์” นาซีมถามกลับ “ที่ข้าเห็นคือเจ้าที่ผิดสัญญา ค่ายแห่งนี้ไร้ซึ่งงานวิวาห์ ซ้ำเจ้ายังหมิ่นเกียรติของข้าต่อหน้าคนพวกนี้!”


“ที่แท้ เจ้าตีหัวข้า…เพราะเจ้าอายหรอกหรือเจ้าชาย” ทาริคปาดเลือดที่ไหลลงมาจากหน้าผากอย่างไม่ไยดี


“เพราะเจ้าทำตัวตระบัดสัตย์และหยาบช้าต่างหาก” นาซีมกล่าว


“นี่คือพิธีวิวาห์ในแบบขอคนเถื่อนอย่างข้า เอาไว้ข้าได้ขึ้นเป็นราชาเมื่อไหร่ ข้าจะจัดงานให้เจ้าอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งดีหรือไม่”


นาซีมรู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นเพียงข้ออ้าง แต่แท้จริงแล้ว จุดประสงค์ของทาริคคือต้องการกดเขาให้อยู่ในจุดเดียวกับชายบำเรอคนอื่นๆ ในฮาเร็ม เพื่อต่อไปจะได้ควบคุมเขาได้ และมันก็เป็นการประกาศกลายๆ ว่านาซีมจะไม่มีสิทธิ์ในการบริหารปกครองแคว้นอีกต่อไป


“เอาเถอะ อย่างไรก็คงทำให้เจ้าพอใจไม่ได้ใช่หรือไม่เจ้าชาย ถ้าเช่นนั้นข้าจะมอบตัวเลือกให้เจ้า เป็นการไถ่โทษที่คืนนี้ข้าทำให้เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ตกพระทัย” อีกฝ่ายประชด


“อะไร”


ทั้งที่พอเดาได้อยู่แล้วว่าคงไม่มีตัวเลือกที่เข้าข้างเขา แต่ในสถานการณ์นี้ นาซีมก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ขอแค่ให้เรื่องเลวร้ายที่กำลังจะเกิดเบาบางลงบ้างก็พอ


“ข้อแรกคือ คืนนี้ข้าจะปล่อยเจ้ากลับแคว้นไป แต่ข้อตกลงของเราถือเป็นอันสิ้นสุด วันพรุ่งนี้เจ้าเตรียมรับศึกจากเราเผ่าทารายาได้เลย”


“แล้วข้อสองเล่า”


“คืนนี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่ปรนนิบัติข้าอย่างเต็มใจ แล้วรุ่งเช้าเราจะเดินทัพเข้าโซราห์ด้วยกัน ข้อตกลงทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม”


เจ้าชายนาซีมรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ที่ทาริคทำก็แค่ไม่เอาผิดที่เขาทำร้ายก็เท่านั้น แต่จุดประสงค์เดิมของอีกฝ่ายก็ยังอยู่


“ว่าอย่างไร จะเลือกทางไหนเจ้าชายนาซีม” อีกฝ่ายกอดอกมองเขาด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งโกรธนาซีมมากแท้ๆ แต่คงคิดว่าจะเอาคืนได้หลังจากนี้เป็นแน่ ดูจากแววตาชั่วร้ายนั่น


“ข้า…” เขาไม่อยากทำสักนิด แต่ถ้าไม่ทำตามสิ่งที่ตกลงกับพวกขุนนางก่อนมาที่นี่ ไม่ทำตามข้อตกลงแรกเริ่ม โซราห์คงต้องเผชิญสงครามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


แม้นาซีมอยากสู้จนตัวตาย แคว้นเขายามนี้ก็ยังไม่พร้อมสำหรับสงคราม และคงไม่มีใครในแคว้นอยากตายไปพร้อมเจ้าชายโอเมก้าอย่างเขา


“ข้าเลือกข้อสอง”


“หึ” ทาริคยิ้มหยัน ราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว


“แต่ข้ามีข้อแม้”


“ข้อแม้อันใด”


“ในกระโจมนี้ จะเหลือเพียงเจ้าและข้า”


“ที่แท้เจ้าก็ขี้อายจริงๆ สินะเจ้าชายตัวน้อย” ทาริคว่าก่อนโบกมือไล่ทุกคนออกไปจากกระโจม แม้มีบางคนไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องไปเมื่อเป็นคำสั่งของนายเหนือหัว


กระทั่งทุกคนออกไปจนหมด ทาริคก็เดินมานั่งที่ตั่งและกวักมือเรียกนาซีมราวกับสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ


“มานี่สิ”


“…” นาซีมสูดหายใจเข้าลึก แล้วก้าวขาสั่นเทาออกไปทีละก้าว


“เดี๋ยว”


“อะไร”


“อย่าลืมทิ้งอาวุธของเจ้าเสีย”


ครั้นได้ยิน นาซีมก็มองเชิงเทียนที่เขาเผลอกำติดมือเอาไว้ เจ้าชายตัดใจปล่อยมันทิ้งข้างตัว ก่อนจะเดินต่อไปจนหยุดตรงหน้าร่างสูงใหญ่


ทาริคไม่รอให้นาซีมอิดออดอีกต่อไป เขาดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามานั่งลงบนตัก ใช้มือหนึ่งโอบประคองหลัง ส่วนอีกมือก็ลูบบนลำคอที่มีปลอกคอประจำกายสวมอยู่ ซึ่งเป็นดังเครื่องป้องกันไม่ให้อัลฟ่าตนไหนทำสัญลักษณ์บนตัวเจ้าชายได้


นาซีมกำหมัดแน่น เขาใช้พลังที่เหลือไปกับการบังคับไม่ให้ตนเองต่อต้านหรือปฏิเสธสัมผัสจากคนเถื่อน แต่ทุกครั้งที่ปลายนิ้วหยาบกระด้างสัมผัสลงบนลำคอ นาซีมก็ขนลุกขนชันจนอยากอาเจียนออกมา


และเกินกว่าเขาจะควบคุม เจ้าชายรู้สึกพ่ายแพ้ อัปยศอดสูจนหลั่งน้ำตาออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่


เขาร้องไห้ทั้งที่ไม่อยากร้องเลยสักนิด…


“ที่แท้…ดวงตาของสายเลือดผู้ปกครองแห่งโซราห์ ที่ผู้คนกล่าวถึงทั่วทั้งซาเรียก็เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ”


โซราห์คือนครแห่งรุ่งอรุณ เป็นแคว้นอุดมสมบูรณ์ที่สุดในดินแดนทะเลทราย ว่ากันว่าผู้ที่จะปกครองโซราห์ได้นั้น ต้องเป็นสายเลือดกษัตริย์เดิมผู้ก่อตั้ง เชื้อสายราชาจะต้องมีดวงตาสีไพลินเป็นดั่งมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไพลินที่จะเผยโฉมเมื่อได้สัมผัสกับน้ำตา


ความเชื่อนี้อยู่คู่กับแคว้นโซราห์มาพร้อมๆ กับความเชื่อฝั่งรากลึกเกี่ยวกับหน้าที่ของอัลฟ่าและโอเมก้า


นี่จึงเป็นความย้อนแย้งที่ใครๆ ในแคว้นจะปัดซีมลงจากตำแหน่งไม่ได้ เพราะนาซีมเป็นสายเลือกกษัตริย์เพียงคนเดียวได้รับมรดกทางพันธุกรรมมาต่อจากราชาราฮิม แต่ที่ทุกคนรั้งรอ เพราะไม่เคยมีราชาคนไหนเป็นโอเมก้ามาก่อน


ทาริคผู้ที่เข้ามาในช่วงบ้านเมืองสับสนอลม่านจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนาซีมอย่างพอใจ เมื่อได้เห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลใสเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับไพลินบนจี้กลางปลอกคอเมื่อนาซีมร้องไห้


ครั้นเห็นว่าถูกจ้องมอง นาซีมจึงหลับตาลง เขาไม่อยากให้ใครเห็นดวงตาที่มาพร้อมความอ่อนแอ โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นคือศัตรู


“หึๆ ในเมื่อราชินีข้าไม่ต้องการให้เห็นดวงตาสวยๆ แล้ว เช่นนั้นเราก็มาทำเรื่องที่สมควรทำกันเถอะ”


มือหยาบค่อยๆ ลากไล้ไต่จากไหปลาร้าไปที่หลังกกหู ก่อนจะเลื่อนลงไปยังท้ายทอย แล้วจึงค่อยๆ ปลดล็อคปลอกคอออกจากลำคอสีน้ำผึ้ง


นาซีมหลับตานิ่ง ไม่นานนักจึงรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดซอกคอ เขากลั้นใจ อยากให้ทุกอย่างเป็นกลายความฝันเพียงแค่คิดว่าเมื่อถูกทำสัญลักษณ์ ร่างกายนี้จะเป็นของทาริคตลอดกาล


แต่แล้วในช่วงเวลาเสี้ยวหนึ่งลมหายใจ เสียงกรีดร้องจากนอกกระโจมก็หยุดทุกการกระทำของทาริคเอาไว้


“กรี๊ด!!!”


บรึ้ม!!!


เมื่อเสียงกรี๊ดคราแรกผ่านพ้นไป ต่อมาก็มีเสียงดังสนั่นคล้ายสายฟ้าฟาดลงมากลางค่าย เสียงผู้คนโหวกเหวกโวยวาย และสิ่งที่ทำให้ทาริคผลักนาซีมไปข้างๆ ก่อนลุกขึ้นจากตั่ง ก็คือพวกเขาได้กลิ่นควันไฟเข้ามาในกระโจม


“เจ้าทำอะไรนาซีม!” ทาริคหันมองเจ้าชายอย่างมาดร้าย แต่นอกจากไม่ได้คำตอบแล้ว ยังพบเพียงความงงงวยในดวงตาสีไพลิน


“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”


“เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ หากนี่เป็นฝีมือเจ้า เราจะได้เห็นดีกันแน่นอนเจ้าชาย” ว่าจบทาริคก็คว้าดาบที่แขวนไว้ที่ฝั่งหนึ่งของกระโจม ก่อนเร่งรุดจากไป


นาซีมที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรไม่ต่างจากทาริค รีบลุกขึ้นจากตั่งและวิ่งผ่านซุ้มผ้าม่านออกไปเพื่อเรียกองครักษ์ของตน ทว่ายังไม่ทันก้าวออกจากกระโจม นาซีมก็ถูกร่างของทหารยามหน้ากระโจมกระแทกจนล้ม เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าชายจึงพบว่าทหารนายนั้นสิ้นใจจมกองเลือดอยู่ที่ปลายเท้า กลางลำตัวเป็นแผลขนาดใหญ่พาดผ่านจนร่างเกือบแยกเป็นสองท่อน


เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าการจู่โจมนี้เป็นฝีมือใคร แต่รู้ได้ทันทีว่าเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นจักต้องนำมาซึ่งความยุ่งยากแก่เขาอย่างแน่นอน นาซีมจึงรีบลุกขึ้นและออกไปด้านนอก


นอกกระโจมใหญ่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจริงๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเป็นเครื่องยืนยันประจักษ์ชัด ด้วยทั่วทั้งค่ายมีไฟลุกโหมหลายจุด กลุ่มทหารของเผ่าเร่ร่อนเข้าโรมรันกับกองกำลังบนหลังม้าที่สวมชุดดำสนิทไม่ทราบฝ่าย ไม่ไกลจากที่ที่นาซีมยืนอยู่ เขาเห็นทาริคกำลังต่อสู้ติดพันกับบุรุษชุดคลุมดำคนหนึ่ง


“ฮาบัส! ฟามีน!”


นาซีมพยายามมองหาองครักษ์ของตน แต่ก็ไม่รู้ทั้งสองไปอยู่แห่งหนใด


ในขณะที่กำลังคิดอ่านว่าควรทำอย่างไรต่อไป บุรุษชุดดำบนหลังม้าที่เพิ่งโรมรันกับทาริคจนหัวหน้าคนเถื่อนล่าถอยก็หันมาทางเขา ก่อนจะควบม้าตรงเข้ามา


เมื่อบุรุษปริศนาผู้มากับดาบสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์หยุดลงตรงหน้า นาซีมก็ได้กลิ่นหอมประหลาดที่ลมทะเลทรายยามค่ำคืนหอบพัดเอามานอกเหนือจากกลิ่นควันไฟ เขาเงยหน้ามองเจ้าของรูปร่างองอาจบนหลังม้า เห็นเพียงดวงตาสีมรกตดุจดาวเหนือใต้ผ้าคลุมหน้าที่กลืนไปกับท้องฟ้ายามราตรี


   สรรพสิ่งรอบกายคล้ายเลือนหายไปโดยพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายนาซีมรู้สึกละม้ายกำลังตกอยู่ในห้วงฝันทั้งที่ยังมิได้นิทรา

 
…หากเสียงแรกที่กระทบโสตประสาท ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ ก็คือเสียงของบุรุษในอาภรณ์สีดำอีกเช่นกัน


   “
มากับข้า
” ชายคนนั้นเอ่ยพร้อมกับยื่นมือให้เขา


   และเร็วกว่าความคิด ราวกับมันคือสัญชาตญาณที่ถูกฝังในความนึกคิด นาซีมยื่นมือออกไป วางมันลงบนมือใหญ่นั้น ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองถูกฉุดขึ้นไปบนหลังม้า และเขาก็ถูกพาฝ่าวงล้อมของทหาร เปลวเพลิง…หายตัวไปในรัตติกาล



   






❂ …………………………….❂










ใครคนนั้นคือใครน้า
ชายปริศนาที่มาทำให้เจ้าชายน้อยหัวใจเต้นโดกิ โดกิ 5555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ฝนเห็นคอมเม้นแล้วชื่นใจ ตอนแรก
คิดว่าจะไม่ค่อยมีคนอ่านซะแล้ว
ตอนหน้าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะมาลงให้เร็วขึ้นค่ะ
เป้าหมายคือไม่ใช่นิยายรายเดือน!!!

ฝากติดตามด้วยนะคะ

ละอองฝน.

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
คุณภูตราตรีเท่จังเลยค่ะ :katai2-1:
น้องนาซีมร่วมมือกับภูตราตรี นังทาริคแกไม่ได้ตายดีแน่  o18

 :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2







บทที่ 3 ลวงภมร









ทุกจังหวะที่อาชาห้อตะบึง กลิ่นควันไฟคละคลุ้งและความโกลาหลในค่ายทารายาล้วนถูกละทิ้งไว้เบื้องหลัง อาชาฝีเท้าดีควบผ่านเนินทรายเนินแล้วเนินเล่า เมื่อเหล่าทหารเลวของทาริคถูกทิ้งระยะห่าง นาซีมจึงฉวยโอกาสเหลียวมองผ่านละอองทรายใต้เกือกม้าสะบัดไปยังกำแพงสูงใหญ่แห่งโซราห์



ยิ่งออกห่างมากเท่าใด ความรู้สึกขมปร่าก็ตีตื้นขึ้นมามากเท่านั้น กระทั่งพวกเขาลัดเลาะผ่านเนินทรายลูกใหญ่ลูกหนึ่ง แคว้นที่สว่างไสวจึงหายลับไปจากคลองจักษุ



“หมอบตัวลงแล้วเกาะข้าให้แน่น”



เสียงทุ้มกังวานกำชับผ่านสายลมหวีดหวิว เจ้าชายหนุ่มจึงกระชับมือที่กอดเอวบุรุษในผ้าคลุมดำแน่นขึ้น ก่อนโน้มตัวจนร่างแนบชิดกับคนด้านหน้าอย่างว่าง่าย เพราะตั้งแต่วินาทีที่เขาตัดสินใจโดดขึ้นหลังม้า ชีวิตต่อจากนี้ก็เหมือนวางอยู่บนมือของชายผู้นี้แล้ว



เจ้าชายนาซีมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเอาความมั่นใจเหล่านั้นมาจากไหน เขาไม่ทันครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียเช่นทุกครา ทว่าเลือกทำตามสัญชาตญาณที่ร้องบอกว่าจงหนีห่างจากชีคทาริคให้มากที่สุด



ดังนั้นหลังจากนี้ชีวิตของเจ้าชายนาซีมจะถูกนำไปในทิศทางใด คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาแล้ว...



แม้อยู่ห่างจากกองกำลังที่ไล่ล่ามาเบื้องหลังพอควร อาชาก็ไม่ถูกสั่งให้ผ่อนฝีเท้าลงแต่กลับเร็วขึ้นเป็นเท่าทวี เจ้าชายเอี่ยวมองหนทางเบื้องหน้า เห็นเพียงเนินทรายโล่งๆ ไร้ที่กำบัง



เขาไม่รู้ว่าต้องไปต่ออีกไกลแค่ไหน จุดมุ่งหมายคือที่ใด ซ้ำยังไม่กล้าถามเพราะเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ดังนั้นจึงผินหน้ากลับมาหลบเม็ดทรายและซุกหน้าเข้ากับผ้าคลุมเนื้อหยาบบนแผ่นหลังกว้างเพื่อคิดอ่านเพื่อประเมินสถานการณ์ต่อไป



หลังจากจิตใจเริ่มสงบ อารมณ์ตระหนกเข้าที่เข้าทาง นาซีมก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ได้กลิ่นตอนอยู่ค่ายเมื่อครู่ลอยแตะจมูก ทว่าครานี้กลิ่นนั้นชัดเจนมากขึ้น คล้ายต้นกำเนิดมาจากเจ้าของแผ่นหลังกว้าง



เขาลอบขยับใบหน้าเข้าใกล้ให้จมูกสัมผัสกลิ่นอายประหลาดมากขึ้น ทว่าน่าตกใจนัก เพราะยิ่งใกล้เท่าไร เจ้าชายก็ยิ่งแน่ใจ



กลิ่นหอมนี้มาจากบุรุษตรงหน้า!



อากาศในทะเลยามค่ำคืนหนาวเย็นจนอาภรณ์เนื้อบางที่สวมอยู่ไม่ช่วยให้อบอุ่น แต่น่าแปลกที่นาซีมไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ซ้ำเขายังรู้สึกว่ายิ่งได้กลิ่นหอมๆ นั่นมากเท่าใด ความร้อนในกายกลับยิ่งพุ่งสูง เหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งหน้าผาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและผิวกาย เจ้าชายรู้สึกกระสับกระส่ายครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดราวกับว่ากำลังจะเป็นไข้ หัวใจหรือก็เต้นแรงขึ้นจนน่ากลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก



ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวที่สุดของร่างกายก็คือ อยู่ๆ เขาก็เกิดความรู้สึกประหลาดอันไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหมือนกับว่าต้องการบางสิ่งเข้ามาเติมเต็ม แต่เขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร



มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...เจ้าชายได้แต่นึกสงสัย แต่ก็หาคำตอบไม่ได้



นาซีมจึงพยายามประคองสติ เพราะไม่อยากเป็นอะไรไปตอนที่กำลังหนี เขาไม่อยากสร้างภาระให้ผู้อื่นมากไปกว่านี้แล้ว แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจควบคุมความร้อนรุ่มที่ทะยานสูงขึ้นได้เลย



แต่แล้วระหว่างที่นาซีมกำลังต่อสู้กับความรู้สึกพลุ่งพล่านอยู่นั้น อยู่ๆ คนข้างหน้าก็บังคับอาชาให้ชะลอฝีเท้าลง เจ้าชายฝืนปรือตาขึ้นมองไปโดยรอบ ด้วยคิดว่าถึงที่หมายแล้ว ทว่าเขากลับพบเพียงความเวิ้งว้าง



“เกิด....อะไรขึ้น” นาซีมเค้นเสียงถามหลังจากบุรุษชุดดำแกะมือเขาออกจากเอวและโดดลงจากหลังม้า



“...” ชายผู้นั้นยืนหันหลังไม่ตอบคำถาม เอาแต่กระชับผ้าปิดหน้าของตนให้แน่นขึ้น



“หรือพวกเราหลงทาง”



เมื่อนาซีมถามอีกคำ คนผู้นั้นจึงตอบกลับมา



“มิใช่”



“แล้วเหตุใดจึงหยุดเล่า”



“เจ้าชาย”



ชายผู้นั้นหันกลับมาจ้องตานาซีมใต้แสงจันทรา และไม่รู้เพราะเหตุใด นาซีมรู้สึกว่าเขาประหม่าเหลือเกินยามถูกดวงตาคู่นี้จ้องมอง



ถึงอย่างนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ยังพยายามบังคับตัวเองมากขึ้นให้ทุกอย่างสงบ ไม่ว่าจะร่างกายที่เกิดอาการประหลาดหรือหัวใจซึ่งสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้มันจะยากเหลือเกินก็ตาม



“ว่า...อย่างไร”



“ยาของท่านอยู่ที่ไหน”



“...”



“ยาที่โอเมก้าต้องมีติดตัวเพื่อกินเวลาฮีทอย่างไรเล่า ตอนนี้มันอยู่ไหน”



“อยู่ใน...ปลอกคอ”



“รีบเอาออกมาเถอะ ข้าทนได้ไม่นานนัก อีกอย่างพวกอัลฟ่าของทารายาอาจตามกลิ่นของท่านได้เช่นกัน” คนผู้นั้นว่า



“ทนสิ่งใด...”



“ก็ทน...” เขาหยุดพูด ก่อนขยับเข้ามาใกล้ ราวกับต้องการพินิจสภาพของนาซีมให้ถี่ถ้วน



“ท่านอาบกายตัวสิ่งใด ทำไมจึงหอมนัก” ถามจบนาซีมก็เห็นแววตาของคนผู้นั้นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย



“นี่ท่านเพิ่งฮีทครั้งแรกหรือ”



“ถ้าสิ่งที่ข้ากำลังเป็นอยู่คืออาการฮีท ก็ใช่....ข้าเพิ่งเคยเป็นเช่นนี้ครั้งแรก” พูดจบนาซีมก็ปล่อยตัวซบกับหลังม้า ตั้งแต่เมื่อครู่เหงื่อกาฬของเขาไหลอาบจนชุดเปียก



เขาเพิ่งเคยเป็นเช่นนี้ครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก ในปากของเขาแห้งผาก ภายในร่างกายร้อนรุ่มราวกับเลือดทุกหยดกำลังเดือด หากในขณะเดียวกันนั้น ร่างกายก็ร่ำร้องให้ทำอะไรบางอย่างเพื่อปลดปล่อยความทรมานนี้



สายลมแล่นพลิ้วมาอีกระรอก พัดเอาไอหอมจากบุรุษชุดดำมาต้องจมูก นาซีมรู้สึกเหมือนสติของเขากำลังจะหลุดลอยไป แทนที่ด้วยสัญชาตญาณภายในของโอเมก้า



เขาฝืนเรี่ยวแรงยกมือขึ้นเพื่อเอื้อมคว้าไปข้างหน้า อยากยื่นไปคว้าเอาร่างสูงใหญ่มาเป็นที่พักพิง



“ท่าน...ได้โปรด”



“...”



“ช่วยข้าหน่อย”



“ให้ตายเถอะ!”



คนผู้นั้นกัดฟันกรอด ก่อนเดินมาดึงเขาลงไปจากม้าและจับต้องไปทั่วร่างกายคล้ายต้องการสำรวจ แต่เขาคงไม่รู้ ทุกสัมผัสที่ฝ่ามือใหญ่ลากผ่าน มันนำพาความร้อนรุ่มและวาบหวามมาให้นาซีมจนร่างกายเขาสั่นระริกแทบยืนไม่อยู่



“ปลอกคอท่านอยู่ที่ใด”



นาซีมรู้สึกเหมือนเสียงที่ถามนั้นอยู่ไกลแสนไกล “หืม...”



“ข้าถามว่าปลอกคอของท่านอยู่ไหน!” ครานี้เขาถึงกับตะโกนถาม



“อยู่...” นาซีมใช้สติที่เหลือเพียงน้อยนิดครุ่นคิด และเขาก็นึกออก “อยู่ในกระโจมของทาริค เมื่อครู่...เขาถอดมันออก”



“บัดซบ!!”



เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจ้าชายนาซีมถูกตะคอกด้วยคำหยาบคายต่อหน้า ทว่าเขาก็ไม่นึกโกรธ เพราะพอเดาออกแล้วว่าตนกำลังเดินไปสู่สถานการณ์เลวร้ายจริงๆ



“เราจะ...ทำอย่างไรดี ท่าน...ช่วยข้า...ได้หรือไม่” นาซีมคว้ามือใหญ่ไว้ เพราะเขารู้ว่าใกล้ถึงขีดจำกัดของตนแล้ว



คนคนนั้นมองดูนาซีมด้วยสายตาอ่านไม่ออก แล้วเขาก็ระบายลมหายใจราวกับเหนื่อยเหลือแสน



“ข้ามาเพื่อช่วยท่าน” เขาไม่พูดด้วยความโกรธาแล้ว แต่น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและมั่นคงพอจะเชื่อว่าอีกฝ่ายมาเพื่อช่วยเหลือจริงๆ



“…”



“แต่ท่านก็ต้องช่วยข้าด้วย ได้หรือไม่”



“ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร”



“ทำตามข้าบอก”



“...ได้สิ”



“เช่นนั้นปล่อยข้าก่อนแล้วยืนรอสักครู่”



“อืม”



นาซีมรับคำอย่างว่าง่าย แล้วบุรุษชุดดำก็ทำการฉีกแขนเสื้อเนื้อบางเบาของนาซีมออกข้างหนึ่งเพื่อนำมาพันรอบคอให้เขา



“ใช้แทนปลอกคอไปก่อน” เขาว่า ก่อนปลดผ้าคลุมของตนเองออกให้เหลือเพียงแค่ชุดรัดรูปสีดำด้านใน แล้วนำผ้าคลุมมาห่อตัวนาซีมไว้ สุดท้ายถอดเชือกถักที่แขนข้างซ้ายมามัดให้ผ้าคลุมไม่เลื่อนหลุด



ครั้นแต่ตัวให้นาซีมเสร็จ เขาก็หยิบเอาตลับเล็กๆ คล้ายตลับโอสถออกมาเทลูกกลมๆ สีน้ำตาลในนั้นเข้าปากจนหมด



“ท่านไม่มียาก็ไม่เป็นไร แต่คิดว่ายาของข้าคงช่วยบรรเทาได้บ้าง” เขาพึมพำกับนาซีม หากมันก็ดูคล้ายบอกตัวเองด้วยเช่นกัน



“...”



“เอาล่ะ เสร็จแล้ว แบบนี้น่าจะพอควบคุมกลิ่นของท่านได้บ้าง”



“อืม”



พอสิ้นเสียงนาซีมก็ถูกอุ้มขึ้นหลังม้าโดยให้นั่งเอียงข้าง ก่อนอีกฝ่ายจะกระโดดขึ้นมานั่งซ้อนทับด้านหลัง และกระชับตัวนาซีมไว้ในอ้อมแขน



เขาก้มลงมองนาซีมแวบหนึ่ง แล้วเลื่อนผ้าคลุมปิดบังใบหน้าให้จนเหลือแต่ดวงตา



“จับข้าไว้ให้ดี” นาซีมทำตามที่เขาบอก คือหันตัวมาด้านหลังและจับชุดของอีกฝ่ายไว้ “และอย่าขยับตัวมากนัก”



“ข้าจะจับไว้ไม่ให้ตก...”



“ข้าไม่ได้กลัวท่านตก”



“แล้วเหตุใด...”



“...ข้ากลัวตัวเองทนไม่ไหว”



“...”



“พวกเราเดินทางต่อเถอะ”



เขาตัดบทและตวัดบังเหียน ก่อนอาชาสีเดียวกับผืนฟ้ายามราตรีจะกระโจนจ้วงพาพวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง



นาซีมหลับๆ ตื่นๆ เป็นพักๆ แต่ทุกครั้งที่รู้สึกตัว เขาจะสัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่มที่สุ่มทั้งร่างกายและจิตใจ หลายครั้งนาซีมอยากร้องขอให้บุรุษในชุดดำช่วยเขาที แต่เจ้าชายก็ไม่กล้า จึงได้แต่เกาะอีกฝ่ายให้แน่น และเบียดกายเข้าไปสูดกลิ่นหอมนั้นใกล้ๆ อีกนิด แม้ว่าบางทีจะมีเสียงดุจากอีกฝ่ายก็ตาม เช่น



“อย่าขยับ”



“เหตุใดถึงรั้นนักนะเจ้าชาย”



“ข้าบอกว่าไม่ให้ขยับ!”



นาซีมฟังเขาว่าเป็นระยะ แต่ก็ไม่เถียงและไม่ยอมทำตาม เขาไม่คิดว่าตนเองจะดื้อด้านขนาดนี้เช่นกัน แต่ให้ทำอย่างไรได้ อะไรบางอย่างสั่งให้นาซีมอยู่ใกล้ๆ คนคนนี้ไว้ ยิ่งได้กลิ่นติดกายนั้นมากเท่าใดก็ยิ่งดี แม้มันอาจเป็นตัวกระตุ้นให้ร้อนรุ่มไม่หาย ถึงอย่างนั้นก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยเช่นกัน



เจ้าชายแห่งโซราห์คิดพลางขยับตัวหาที่เหมาะๆ อีกหลายที กระทั่งลงตัวในคราสุดท้าย เขาจึงผล็อยหลับไปเนิ่นนาน...







❂ …………………………….❂







ผู้ที่หลับก็หลับสบายไป ส่วนผู้ที่ยังตื่นต่างหากที่กำลังทรมานอย่างแสนสาหัส บุรุษในอาภรณ์สีราตรีกาลขบกรามแน่น แม้นตาจะมองตรงไปข้างหน้า มือตวัดบังเหียนเร่งความเร็วอาชาเท่าใด ทว่าความรู้สึกที่พลุ่งพล่านเพราะคนในอ้อนแขนก็ยังชัดเจน



ใช่ว่าเขาไม่เคยพบโอเมก้าที่ฮีทมาก่อน ทว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่ยาระงับอาการตื่นตัวเพราะกลิ่นของโอเมก้าฮีทจะไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้ ร่างทั้งร่างรู้สึกร้อนรุ่มเพียงแค่ได้กลิ่นของเจ้าชายนาซีม ยิ่งถูกอีกฝ่ายบดเบียดเข้ามาในอ้อมแขน เขาก็แทบจะคุมสติไม่ไหว



ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาต่อกลิ่นนี้เสียจนส่วนนั้นชูชันขึ้นมา ยิ่งถูกคนก่อกวนเสียดสี มันก็ยิ่งตั้งตรงจนปวดหนึบ หลายครั้งพอเผลอนึกถึงลำคอสีน้ำผึ้งที่เขาใช้ผ้าบางพันให้กับมือ เขาก็ต้องยกมือขึ้นหนึ่งขึ้นมาง้างปากตัวเองไว้ไม่ให้ก้มลงไปกัดผู้ที่กำลังนิทรา



กลิ่นของคนผู้นี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน ราวกับดอกไม้หอมที่ลวงล่อให้ภมรหลงใหลจนแทบยังใจไว้ไม่อยู่



จบจนดวงดาราเคลื่อน จันทราคล้อย แสงรำไรแต้มระบายที่ขอบฟ้า ภาพกองราคาวานซึ่งกำลังรอพวกเขาอยู่จึงปรากฏขึ้น…



ชายหนุ่มเร่งควบอาชาไปยังกองคาราวาน เขาเห็นคนผู้หนึ่งยืนโบกมือรอด้วยความยินดีจึงตรงดิ่งไปที่นั่น และเมื่ออาชาหยุดฝีเท้า เขาก็ส่งร่างในอ้อมแขนให้ผู้ที่คอยรับอยู่ทันที



“นี่เจ้าชายรึ”



“ใช่”



“เหตุใดทำรุนแรงกับเจ้าชายเพียงนี้เล่า”



“อย่าเพิ่งพูดมากความอันวา รีบพาเขาไปกินยาเสีย”



“หนะ...นี่เขาฮีทหรือ!” อันวาทำตาโต



“ใช่”



“ได้ๆ” อันวารับคำสั่งขับแข็ง ผิดกับท่าทางขี้เล่นก่อนหน้านี้ ทว่าก่อนไป อันวาก็ยังหันมามองด้วยความเป็นห่วง “แล้วท่านล่ะ”



“ข้าไม่เป็นไร”



“มือท่าน!!” นอกจากทำตาโตแล้ว ครานี้ใบหน้าของอันวาซีดเผือด เพราะเห็นว่ามือของผู้นำตนเต็มไปด้วยรอยกัดมากมายที่รุนแรงจนเลือดไหลอาบแผล



“ข้าบอกว่าไม่เป็นไร เจ้ารีบไปได้แล้ว”



“แต่...”



“ไปเดี๋ยวนี้! ก่อนที่อัลฟ่าในคาราวานของเราจะคลั่งเพราะเขา”



“ขอรับ
ท่านคาริฟ













❂ …………………………….❂













กลับมาแล้วค่ะ

มารอบนี้พระเอกออกแล้วน้าาาาา

ส่วนเขาจะเป็นใครหนอ

ติดตามต่อได้ในตอนหน้าค่ะ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะลงให้พรุ่งนี้นะคะ

ส่วนศัพท์เทคนิคต่างๆ ของโอเมก้าเดี๋ยวฝนทำมาแปะด้วยค่ะ



ละอองฝน.




ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ท่านคาริฟเท่สุดๆ  :impress2:


 :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เกือบแล้ววววว

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
มาแล้วววว รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



บทที่ 4 คำขอบคุณ













ยามที่ลืมตาตื่น นาซีมก็รู้สึกว่าร่างกายที่เคยร้อนรุ่มเพราะความต้องการกลับเป็นปรกติแล้ว แต่เขายังเพลียและมึนหัวอยู่บ้าง ทว่าอย่างหลังน่าจะเป็นเพราะเขานอนอยู่ในห้องปิดทึบที่โคลงเคลงไปมามากกว่า



เจ้าชายจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด จึงพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ควานหาทางออกไปด้านนอก และเขาก็พบสลักเล็กๆ เหนือหัว



แกร๊ก



ทันทีที่เปิดออกลมร้อนของทะเลทรายก็พัดเข้ามา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงด้วยปรับตัวจากแสงจ้าไม่ทัน กระทั่งสามารถมองเห็นเป็นปรกติแล้ว นาซีมจึงเลิกผ้าม่านบางเพื่อทอดมองภูมิทัศน์ด้านนอก



เขาพบว่าตนอยู่บนรถม้า รอบข้างมีคนแปลกหน้าสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย พวกเขากำลังขี่อูฐข้ามเนินทรายมุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน ห่างออกไปด้านหลังมีรถม้าอีกคันที่ไม่รู้ว่าใช้บรรทุกคนหรือสิ่งของ



นี่ดูเหมือนกองคาราวานสินค้าเล็กๆ ที่เห็นได้ทั่วไป จะผิดกันก็ตรงที่นาซีมสงสัยว่าคนพวกนี้คงไม่ใช่พ่อค้า หนึ่งในนั้นรวมถึงชายที่ขี่อาชาสีดำนำหน้าขบวน



แม้ระยะห่างระหว่างรถม้าที่เขานั่งกับอาชาสีดำตัวนั้นจะไกลโข แต่เจ้าชายก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นั้นคือบุรุษในชุดดำที่ช่วยเขามาจากค่ายของชีคทาริคเมื่อคืน



นาซีมจำเรื่องราวหลังจากที่ตัวเองฮีทได้ไม่มาก ทว่าหากเป็นแผ่นหลังกว้างและตั้งตรงแบบนั้นเขากลับจำได้ขึ้นใจ เพราะมันถูกเขาใช้เป็นที่พักพิงอยู่นาน รวมถึงอกแกร่งที่ถูกเขาซุกด้วย



ครั้นนึกถึงสภาพไม่สู้ดีรวมทั้งพฤติกรรมของตนเมื่อคืน เจ้าชายแห่งโซราห์ก็อดร้อนผ่าวที่ใบหน้าไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยใกล้ชิดกับใครมาก่อน ซ้ำใครคนนั้นยังเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกัน



และเมื่อนึกถึงเรื่องฮีท นาซีมก็รีบตะครุบที่ลำคอของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขากลับลงมานั่งบนกองผ้าสีดำซึ่งใช้ต่างผ้าปูนอน พยายามสำรวจร่างกายตนว่าถูกสลักรอยไว้หรือไม่ แต่เมื่อลองคลำดูจนรอบ นาซีมก็ไม่พบร่องรอยที่ว่าแม้แต่นรอยเดียว รวมถึงรอยบนตัวตรงตำแหน่งอื่นด้วย



เจ้าชายถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยามนี้เขามีสติครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม จึงตระหนักได้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนร้ายแรงและสุ่มเสี่ยงเพียงไหน แค่นิดเดียว...หากบุรุษชุดดำผู้นั้นไม่ยับยั้งสัญชาตญาณ ตัวเขาตอนนี้คงมีรอยตราของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน



และพวกเราคงจำเป็นต้องผูกพันกันไปชั่วชีวิต...



นาซีมถอนหายใจออกมาเบาๆ ที่รอดพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ รวมถึงการตกเป็นของทาริคด้วย โชคดีแค่ไหนที่เขาไม่ต้องแต่งงานกับหัวหน้าคนเถื่อนที่สถาปนาตัวเองเป็นชีคนั่น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดห่วงแคว้นไม่ได้ เมื่อคืนเกิดเรื่องมากมาย เกรงว่าเช้าวันนี้กองทัพของทารายาคงบุกเข้าโซราห์แล้ว



คิดถึงตรงนี้นาซีมก็รู้สึกสลดหดหู่อย่างมาก ตัวเขาที่เป็นถึงว่าที่ราชา แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย แม้ยืนยันที่จะอยู่ที่นั่นต่อ เขาก็คงเป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่ง ไม่มีอำนาจบริหารบ้านเมือง ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะเลือกว่าควรมีหรือไม่มีชีวิตอยู่ต่อ

ทว่าก็การที่เขาหนีมาก็คงส่งผลร้ายไม่ต่างกัน เพราะถึงแม้นาซีมจะเป็นอิสระจากทาริค แต่ประชาชนคงตราหน้าว่าเขาละทิ้งบ้านเมือง...ทิ้งให้ทุกคนตกอยู่ในฐานะเชลย



ข้าจะทำเช่นไรดีท่านแม่...นาซีมระลึกถึงมารดาที่ล่วงลับ แต่นางไม่มีวันรับรู้อีกแล้ว ซ้ำการรำพันเช่นนี้คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น



“เฮ้อ~”



เจ้าชายแห่งโซราห์ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก ในเมื่อเวลานี้เขายังไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงตัดสินใจว่าต้องค่อยๆ คิดหาทางกลับไปทวงบ้านเมืองคืน เพราะจะร้ายดีอย่างไร บัลลังก์โซราห์ก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของสายเลือดในราชวงศ์



ส่วนในตอนนี้เขาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน อย่างแรกคือนาซีมจำเป็นต้องรู้ว่าคนที่มาช่วยเป็นใคร และต้องการอะไรจากเขาและโซราห์



เจ้าชายนาซีมขยับตัวไปที่หน้าต่าง ก่อนจะแอบเลิกผ้าม่านสังเกตสิ่งรอบตัวอีกครั้ง



ใครจะรู้ ทันทีที่นาซีมโผล่หน้าออกไป เขาก็พบชายแปลกหน้ากำลังส่งยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร แต่คนที่ไม่ทันได้เตรียมใจจะเจอใครในระยะประชิดสะดุ้งสุดตัวและเผลอถอนหลังมาชนผนังในรถม้าดังโครม



“โอ๊ย!” ครั้นนาซีมหลุดปากร้อง รถม้าที่เขานั่งก็หยุดเคลื่อนที่ไปด้วย



“ท่าน!” คนนอกรถม้าตะโกนเรียก ก่อนรีบเปิดรถม้าขึ้นมาดูอย่างร้อนรน “เป็นอะไรหรือไม่”



นาซีมลูบศีรษะที่โขกกับผนังเมื่อครู่พลางตอบ “ข้า...ไม่เป็นไร”



เมื่อสำรวจจนถี่ถ้วนด้วยตาเปล่าแล้วว่านาซีมไม่เป็นอะไรจริงๆ ชายผู้มาใหม่จึงเปิดประตูออกไปตะโกนบอกคนด้านนอก



“เขาไม่เป็นไร เดินทางต่อเถอะ!” หลังจากนั้นรถม้าจึงกลับมาเคลื่อนที่เหมือนเก่า



เจ้าชายลอบพินิจคนตรงหน้า เขาเป็นชายผิวเข้มกว่านาซีม รูปร่างสันทัด ไม่สูง ไม่ต่ำเกินไป ใบหน้ามอมแมมเล็กน้อยจากฝุ่นทราย สวมเสื้อผ้าเนื้อหนาสำหรับป้องกันแสงแดด โดยรวมเขาดูเหมือนคนธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น เว้นแต่ดวงตากลมโตที่ดูสดใสชวนให้รู้สึกถึงความเป็นมิตรของอีกฝ่าย



“ท่านตื่นนานแล้วหรือขอรับ”



เขาถามโดยไม่หันมองหน้า มัวแต่ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า จุดที่วางหีบใบใหญ่เอาไว้ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ในสายตาของนาซีม การกระทำของคนคนนี้ดูเป็นธรรมชาติเหลือเกิน ทำราวกับพวกเขารู้จักกันมานานแล้ว



“เจอแล้ว!” อีกฝ่ายหาอยู่ครู่หนึ่งก็ร้องตะโกน ก่อนหยิบตลับเงินเล็กเท่าฝ่ามือออกมา แล้วหันมาถามนาซีมอีกครั้ง “ว่าอย่างไรขอรับเจ้าชาย ท่านตื่นนานแล้วหรือ”



“ไม่นาน”



“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ ยังปวดหัวหรือร้อนเหมือนเป็นไข้อยู่อีกหรือไม่”



“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว แค่ปวดหัวเล็กน้อย แต่น่าจะเป็นเพราะหลับอยู่ในรถม้ามากกว่า”



“ดีเลยขอรับ ข้ากำลังกลัวว่าเจ้าชายจะฮีทรุนแรงกว่านี้ นี่แปลว่าตำรับยาของข้าได้ผลกับท่าน หากท่านพ่อรู้จะต้องภูมิใจในตัวข้าแน่” เขาพูดรวดเดียวแทบไม่หยุดหายใจจนนาซีมอึ้งไป



“ขอบใจ เอ่อ...เจ้า...”



“อ้อ” อีกฝ่ายทำท่าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก “ข้ามีนามว่าอันวา พ่อข้าเป็นหมอที่เก่งที่สุดในแคว้นโฮมา นามว่าฮาชิ ท่านเคยได้ยินหรือไม่”



“...ขอโทษด้วย ข้าไม่เคย...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคอีกฝ่ายก็แทรกอย่างอารมณ์ดี



“แน่ล่ะ ท่านจะเคยได้อย่างไร ข้าได้ยินว่าท่านไม่เคยออกนอกโซราห์เลยมิใช่หรือเจ้าชาย”



“...”



ครานี้นาซีมอึ้งไปแล้วจริงๆ เพราะหนึ่ง เขาพบว่าคนผู้นี้รู้เรื่องของเขามากเหลือเกิน สอง ตัวเขากลับไม่รู้อะไรสักอย่าง ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน และเหล่าผู้ที่มาช่วยเขาเอาไว้เป็นใคร



สุดท้าย นาซีมไม่เคยพบผู้ใดพูดมากเท่าอันวามาก่อนในชีวิต ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักกัน



“เจ้าชายนาซีม”



“...หืม? ว่าอย่างไร”



“ไม่มีอะไร เห็นท่านนิ่งไปไม่ตอบคำข้า ข้าจึงลองเรียกดู กลัวว่าจะเกิดฮีทขึ้นมาอีก”



“ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ แค่ตกใจนิดหน่อย”



“ตกใจอะไรหรือ” อันวาเอียงคอมอง



“ไม่มีอะไรหรอก” นาซีมส่ายหน้า ไม่อยากพูดว่า เพราะเจ้านั่นแหละที่ทำให้ข้าพูดไม่ออกเช่นนี้



“ไม่มีอะไรก็ดี เช่นนั้นท่านกินยานี่ก่อน”



“ยาอะไร” นาซีมมองเม็ดสีน้ำตาลกลมเกลี้ยงที่อันวาส่งให้



“ยาระงับอาการฮีท”



“แต่ข้าไม่ได้ฮีทแล้ว”



“ไม่ฮีทก็ต้องกินไว้ก่อน เพราะไม่แน่ว่าท่านอาจฮีทขึ้นมาอีกระหว่างที่เราเดินทางเข้าโฮมา ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาต้องเอาข้าตายแน่ๆ” อันวาทำคอย่น เมื่อเอ่ยถึงใครบางคน



“ใครเอาใครตาย แล้วนี่เรากำลังจะเดินทางไปแคว้นโฮมาหรือ”



“ท่านคงไม่รู้...ผู้ที่จะเอาข้าตายหากท่านฮีทขึ้นมาอีก ก็คือผู้ที่นำพวกเราอยู่หน้าขบวนโน้นไง”



ภาพบุรุษชุดดำผุดขึ้นมาในหัวของนาซีมทันทีที่อันวาว่าจบ ดูท่าคนคนนั้นคงมีอิทธิพลต่ออันวาน่าดู เด็กหนุ่มผู้นี้จึงมีท่าทียำเกรง



“เป็นเขาเองหรือ”



“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้” อันวาเอ่ย แล้วเล่าต่อ “ส่วนเรื่องเดินทางเป็นเช่นที่ท่านว่า ตอนนี้เรากำลังจะไปที่แคว้นโฮมา เพราะต้องไปสับเปลี่ยนรถมาและกองคาราวานที่นั่น”



“สับเปลี่ยนเพื่อเดินทางไปที่ไหน”



“ออกจากโฮมา ข้าได้ยินเขาพูดว่าเราจะไปที่แคว้นเอมาลีต่อ”



“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”



“หลังจากนั้นเราจะ--- “



ยังไม่ทันพูดจบ อันวาก็ถูกคนผู้หนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน “อันวา”



“ขอรับ” อันวาหันไปค้อมหัวให้เขาครั้งหนึ่ง



“เตรียมตัวเสร็จหรือยัง เรากำลังจะเข้าเขตโฮมาแล้ว”



“พวกเราใกล้จะ...” อันวาทำทำตาหลุกหลิก เพราะตั้งแต่เข้ามาในรถม้า เขาก็ยังไม่ได้เตรียมตัวให้เจ้าชายตามที่ได้รับคำสั่งมาเลยแม้แต่น้อย และบุรุษในชุดดำก็ดูออก



“นี่ไม่ใช่เวลาพูดพร่ำ รีบจัดการเสีย” อีกฝ่ายว่าเรียบๆ แต่มันก็ทำให้อันวาหุบยิ้มฉับพลัน



“ขอรับ”



เมื่อเด็กหนุ่มก้มหัวอีกครั้ง คนผู้นั้นจึงยอมถอยออกไป อันวาเหลือบตามอง ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเป็นเจ้าชายแห่งโซราห์ที่รั้งเขาไว้



“เดี๋ยวก่อน!”



บุรุษผู้นั้นชะงักกึก แล้วหันกลับมาตามเสียงเรียก “มีอะไรหรือ”



“ข้าขอเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่” เมื่อมองตามดวงตาสีมรกต นาซีมเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นมีแววลังเลเล็กน้อย เจ้าชายจึงโน้มน้าวอีกคำ “ข้าอยากสนทนากับท่านเพียงสองสามประโยคเท่านั้น”



“...”



“อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ฮีทแล้ว” แผ่นอกของบุรุษชุดดำสะท้อนลงเพราะระบายลมหายใจ ดูท่าเขาคงกังวลเรื่องที่นาซีมฮีทเป็นแน่ “ท่าจะกรุณาข้าได้หรือไม่”



“ได้สิ” เขาตอบรับในที่สุด แต่ก่อนจะเข้ามาในรถม้า อันวาที่รู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดีก็ถอยฉากออกไป



“เช่นนั้นข้าขอไปดูเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้าชายก่อนนะขอรับ”



“ไปเถอะ”



เจ้าของดวงตาสีมรกตอนุญาต จากนั้นจึงแทรกตัวเข้ามาในรถม้าแทนที่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรถม้าคันนี้เล็กหรือร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป เมื่อจัดที่จัดทางนั่งเรียบร้อย ห้องโดยสารสี่เหลี่ยมจึงได้แคบลงถนัดตา



ครั้นนั่งเรียบร้อย บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ก็ค่อยๆ ปลดผ้าคลุมหน้าของตนเองออก และนี่เป็นครั้งแรกที่นาซีมได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ



นอกจากดวงตาสีมรกตที่งดงามจนสะกดผู้คนได้แล้ว เครื่องหน้าของเขาก็ยังเข้ารูปและงดงามเสียจนคนมองลมหายใจสะดุด แม้คนในดินแดนแห่งนี้จะมีเอกลักษณ์เด่นคือ ตาคม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง แต่องค์ประกอบของคนผู้นี้กลับเหมาะเจาะพอดี และโดดเด่นเหนือผู้คนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญ ผิวของเขาขาวกว่าใครราวกับไม่ใช่เชื้อสายของคนในซาร์เรีย



นาซีมหลุบตามองต่ำ ไม่รู้เหตุใดจึงประหม่าที่ต้องจ้องมองอีกฝ่ายตรงๆ



“ท่านมีเรื่องใดจะพูดกับข้าก็ว่ามาเถิด” เป็นอีกฝ่ายที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน นาซีมจึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง



“ขออภัยที่รั้งท่านไว้”



“มิเป็นไร” เขาตอบสั้นๆ และเงียบลง คล้ายรอคอยให้เจ้าชายเอ่ยปากเสียที เห็นดังนั้นนาซีมก็เข้าเรื่อง



“ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่ ว่าพวกท่านเป็นใคร”



เขาเงียบไปนิดเมื่อได้ยินคำถาม แต่สุดท้ายก็ยอมตอบ



“ข้าเป็นชนเผ่าเล็กๆ ชนเผ่าหนึ่งทางตอนหนึ่งของดินแดนซาร์เรีย”



“ชนเผ่าทางตอนเหนือลึกเข้าไปในทะเลทรายหรือ...”



“ถูกแล้ว”



“แล้วเหตุใดพวกท่านจึงมาช่วยข้า ท่านเป็นคนของใคร คนของผู้ครองแคว้นโฮมาหรือ”



“พวกเรามิได้ขึ้นตรงต่อผู้ใด” เขาส่ายหน้า



ในตอนแรกเจ้าชายนาซีมคิดว่านี่อาจเป็นกลการเมืองของผู้ครองแคว้นโฮมา ที่ต้องการช่วยเหลือเขาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างครอบครองหรือเรียกร้องผลประโยชน์จากโซราห์ ดังเช่นที่ผู้ครองแคว้นโฮมาพยายามทำมาก่อน โดยการส่งคนไปเจรจาขอนาซีมไปอภิเษก ทว่าราชาราฮิมปฏิเสธ



และเมื่อคนตรงหน้าบอกว่าไม่ใช่คนของผู้ครองแคว้นโฮมา เขาก็ไม่รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมาช่วยเขาเพราะเหตุใด



“เช่นนั้นเรื่องนี้มันอย่างไรกันแน่ ช่วยอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่”



“ด้วยความสัตย์จริง พวกข้ามิได้เป็นคนของใคร แต่ที่พวกเรามาช่วยท่านจากเงื้อมมือของทาริค เพราะนั่นคือคำขอของคนผู้หนึ่ง”



“ผู้ใด”



ดวงตาสีมรกตมองนาซีมด้วยแววตาอ่านไม่ออก แล้วจึงเอ่ย



“เป็นคำขอของมารดาท่าน...ราชินีอาลียา”



“...ท่านแม่หรือ” เจ้าชายนาซีมตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าคนพวกนี้จะเสี่ยงชีวิตมาช่วยเขาเพราะคำขอของมารดาผู้ล่วงลับ



“ถูกแล้ว”



“ปะ...เป็นคำขอของท่านได้อย่างไร ในเมื่อท่านแม่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว”



“เรื่องนี้ซับซ้อนและไม่เหมาะจะพูดกันเวลานี้ เอาเป็นว่า ท่านรู้แค่พระนางเคยช่วยเหลือคนของเผ่าเราไว้ก็พอ และพระนางขอสิ่งตอบแทนเป็นการปกป้องท่าน เจ้าชายนาซีม”



“...” นาซีมถึงกับพูดไม่ออก ความรู้สึกรักและคิดถึงมารดาตีรวนขึ้นมาในอก เขาไม่เคยคิดว่า แม้ท่านแม่ของเขาจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่พระนางก็ยังคอยปกป้องเขาจากคนชั่วร้ายและภยันตรายเหล่านั้น ราวกับท่านคอยมองนาซีมจากบนฟ้า



“ท่านมีอะไรสงสัยอีกหรือไม่ ใกล้จะต้องเข้าประตูแคว้นโฮมาแล้ว พวกข้ารวมถึงท่านจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม”



นาซีมเก็บความรู้สึกคะนึงหาไว้ในหัวใจ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วว่า



“ข้ายังมีเรื่องสงสัยอยู่บ้าง แต่ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่เพิ่งถามท่านไปเมื่อครู่ เอาไว้เข้าโฮมาแล้วค่อยถามท่านอีกคราก็คงไม่สาย”



“เช่นนั้นก็ดี” เขารับคำเรียบๆ ก่อนเอ่ยในสิ่งที่ต้องการบอกแก่เขาบ้าง “เจ้าชาย”



“ว่าอย่างไรหรือ”



“หลังจากเข้าโฮมา ท่านจะให้ใครล่วงรู้ว่าฐานะที่แท้จริงของท่านไม่ได้เด็ดขาด เมื่อคืนชีคทาริคเดินทัพเข้ายึดครองโซราห์แล้ว และมันก็สั่งให้ทหารควานหาตัวท่าน เพื่อจับกลับไปรับโทษที่โซราห์”



“แล้วประชาชน...” เจ้าชายถามอย่างร้อนใจ



“เวลานี้ท่านไม่อาจช่วยเหลือใคร ดังนั้นจงรักษาตัวไว้ให้ดี หากจะคิดอ่านอันใดก็ขอให้เป็นหลังจากที่พวกเรารอดพ้นไปถึงเผ่าของข้าให้ได้เสียก่อนดีกว่า”



สิ่งที่คนคนนี้ผู้ไม่ผิดแม้สักนิดเดียว นาซีมจึงพยายามสงบใจ และทำตามที่อีกฝ่ายบอก



“ในเมื่อเป็นเช่นที่ท่านว่า ทางเลือกของข้าคงมีแต่...ต้องเชื่อคำท่าน”



“เมื่อท่านรู้แล้วข้าก็สบายใจ เช่นนั้นข้าขอออกไปเตรียมตัวก่อน ส่วนท่านก็รออันวาอยู่ในนี้ เขาจะบอกสิ่งที่ท่านต้องทำอย่างละเอียด”



“อืม” เมื่อนาซีมรับคำ บุรุษในชุดดำก็ลุกขึ้นเพื่อจากไป ทว่าก่อนที่แผ่นหลังกว้างจะหายลับตา เป็นเจ้าชายแห่งโซราห์ที่รั้งเขาไว้อีกครั้ง “เดี๋ยวก่อนท่าน!”



เขาหันกลับมา “ท่านยังข้องใจเรื่องใดอีกหรือ”



“ขออภัย แต่ท่านจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าท่านมีนามว่าอันใด”



“คาริฟ” บุรุษในชุดคลุมดำเอ่ยสั้นๆ โดยไม่หยุดคิด



“ขอบคุณที่ช่วยข้า ไม่ได้ท่าน ไม่รู้ตอนนี้ข้าจะเป็นอย่างไร”



“เป็นหน้าที่ของข้า อย่าได้ใส่ใจ”



“ไม่ใช่แค่เรื่องที่ช่วยข้าจากทาริค แต่เรื่องที่เมื่อคืนท่านไม่ประทับตราบนตัวข้าด้วย”



“...” คาริฟนิ่งไป นาซีมเอ่ยคำขอบคุณอีกครั้ง พร้อมกับของกำนัลคือ...รอยยิ้มแรก



“ขอบคุณท่านมาก...คาริฟ”










❂ …………………………….❂











มาต่อแล้วค่ะ

เอาล่ะตอนนี้เขารู้จักกันแล้ว

และกำลังจะเดินทางไปด้วยกัน

เป็นการเดินทางที่ต้องเจออะไรอีกมากเลย

รวมทั้งตัวคนเขียนด้วย

ยังไงก็ฝากติดตามและเดินไปด้วยกันจนจบเรื่องนะคะ

ละอองฝน.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พระเอกเขาค่าตัวแพงอ่ะเนอะ  555

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ลึกลับซับซ้อนจริงๆ

ท่านคาริฟเจอรอยยิ้มของน้องไปรู้สึกยังไงบ้างคะ :hao3:

 :pig4:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




บทที่ 5 กลิ่นไม่พึงประสงค์










เมื่อคาริฟหลบฉาก อันวาก็กลับเข้ามาทำหน้าที่ต่อคล้ายรอเวลาอยู่แล้ว เด็กหนุ่มนำอาภรณ์ชุดใหม่มาให้นาซีมเปลี่ยน ด้านในเป็นชุดรัดกุม เสื้อและกางเกงสีเดียวกัน ส่วนด้านนอกคือชุดคลุมสีหม่นตัวหลวมโพรก สวมแล้วรุ่มร่ามราวกับไม่ใช่เสื้อของเขา



หลังนาซีมเปลี่ยนเสร็จอันวาก็นั่งลงบนพื้น คว้าข้อเท้าของเขาเข้าหาตัว ก่อนถลกขากางเกงขึ้นและหยิบชามสีเงินใบหนึ่งออกมา ในชามใบนั้นมีของเหลวบางอย่างเป็นเมือกเหนียวสีน้ำตาลอมแดง มันส่งกลิ่นเหม็นเหมือนของเน่าเสีย กลิ่นฉุนจัดทำเอาเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ถึงกับต้องคว้าผ้าคลุมปิดจมูก



“ท่านคงคิดว่ามันกลิ่นไม่ดีเอาเสียเลยใช่หรือไม่เจ้าชาย” อันวายิ้มขัน



“มันคืออะไร” นาซีมถามเสียงอู้อี้



“นี่คือสิ่งที่จะทำให้ท่านผ่านเข้าโฮมาโดยไม่ถูกจับได้เสียก่อนน่ะสิ” เด็กหนุ่มบอกขณะบรรจงทาของเหม็นๆ นั่นลงบนขาทั้งสองข้างของนาซีมอย่างตั้งอกตั้งใจ



“แล้วตกลงมันคือสิ่งใดกันแน่ บอกข้าได้หรือไม่”



“มันคือมะเดื่อสุก รากเวลวิชเซีย แล้วก็ว่านหางจระเข้ แต่เอามาทำอย่างไร ท่านไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่ามันช่วยให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ท่านก็แล้วกัน”



“พวกเจ้ามีแผนอะไรกันหรือ”



“ท่านคาริฟไม่ได้บอกท่านแล้วหรือ”



“ยัง เขาว่าเจ้าจะอธิบายเองว่าข้าต้องทำอะไรบ้าง”



“อะไรกัน นี่คาริฟโยนงานให้ข้าแม้กระทั่งเรื่องนี้หรือ ทั้งที่ข้าบอกเขาแล้วแท้ๆ ว่าท่านเลิกฮีทแล้ว เหตุใดเขาต้องกลัวที่จะเข้าใกล้ท่านนัก”



แม้คำพูดของอันวาจะเป็นการบ่นกับตัวเองมากกว่าหารือกับนาซีม ทว่ามันก็ทำให้เจ้าชายรู้สึกกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ไปด้วย



…ที่แท้เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวข้าฮีทจริงๆ



อันที่จริงนี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก จะมีอัลฟ่าคนไหนอยากสติหลุดควบคุมตนเองไม่ได้ และเผลอจับคู่กับโอเมก้าที่ตนเพิ่งเคยเห็นหน้าด้วย



แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พอนาซีมนึกถึงดวงตาสีมรกตคู่นั้น เขากลับรู้สึกผิดหวังใจลึกๆ มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไอ้ความรู้สึกไร้เหตุผลนี่ หากมันก็เกิดขึ้นแล้วในส่วนใดส่วนหนึ่งของหัวใจเขา



เพราะเวลานี้นาซีมรู้ตัว รู้ความคิดของตนเองดี เขาจึงรีบปัดความรู้สึกแสนประหลาดนั่นออกจากสมอง และกลับมาสนใจสิ่งที่ต้องทำแทน



“เอาเถอะ อย่างไรนี่ก็ตกเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เช่นนั้นช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าต้องทำสิ่งใดบ้าง”



“อย่างที่ท่านรู้ อีกสักครู่เราจะเข้าเขตโฮมา แต่เพราะท่านถูกตามล่า และชีคทาริคก็ส่งคนไปดักหน้าที่แคว้นโฮมาแล้ว ดังนั้นการที่คาราวานสินค้าจะเข้าประตูแคว้นได้ เราต้องถูกตรวจสองทุกขบวน พวกเขาจึงต้องอำพรางตัวตนเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นว่าท่านคือเจ้าชายนาซีมแห่งโซราห์”



“แล้วของปฏิกูลที่เจ้าเอาทาตัวข้าเล่า มันจะช่วยได้อย่างไร”



“ช่วยได้สิ เราเริ่มจากบอกว่าท่านคือบุตรชายอนุของท่านพ่อค้าซึ่งเป็นเจ้าของขบวน เขาพาท่านมาที่โฮมาเพราะท่านป่วยด้วยต้องพิษประหลาด และต้องการรักษากับหมอที่ดีที่สุดในโฮมา เรื่องนี้ไม่น่าสงสัยอยู่แล้ว เพราะโฮมาขึ้นชื่อเรื่องการแพทย์ที่สุด ซ้ำท่านพ่อค้ายังเดินทางจากเอมาลีมาค้าขายที่นี่ทุกๆ สิบห้าราตรี เขาเข้าออกที่นี่เป็นประจำจึงไม่ผิดสังเกต”



“เขาเป็นคนของเราแน่ๆ ใช่หรือไม่”



“แน่นอนไม่มีทางเป็นอื่น เพราะท่านกาดัสเป็นคนของเผ่าเราโดยกำเนิด” อันวาให้ความมั่นใจ ก่อนจะเล่าแผนการต่อ “ดังนั้นระหว่างเข้าประตูเมือง ท่านต้องหลบอยู่ในรถม้า แม้พวกเขาเปิดเข้ามาหาแต่ก็คงมองผ่านๆ แล้วก็ไป เพราะทนกับกลิ่นพวกนี้ไม่ได้ อีกอย่างยาของข้ายังทำให้ผิวกายของท่านมองดูคล้ายเป็นแผลพุพอง ต่อให้พวกทหารโง่นั่นอยู่กับท่านมาตั้งแต่เกิดก็ไม่มีทางจำได้”



นาซีมฟังแล้วก้มมองขาที่ถูกทาด้วยยาประหลาด เขาแค่ละสายตาจากมันนิดเดียว เวลานี้ขาสองข้างกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากผิวเนียนเรียบลื่นเป็นผิวที่เต็มไปด้วยแผลอักเสบ เมือกสีน้ำตาลซึ่งฉาบผิวหน้าไว้มองดูคล้ายเลือดเคล้าหนอง ยิ่งผนวกกับกลิ่นอันไม่น่าพึงประสงค์ ก็ยิ่งแล้วใหญ่ นี่ถ้าเขาถูกทาด้วยยาเหม็นนี่ทั้งตัว คงเหมือนคนที่ตายไปแล้วหลายราตรี มากกว่าผู้ป่วยที่ต้องการการเยี่ยวยา



“น่าอัศจรรย์ใจนัก” นาซีมเอ่ยออกมาตามความคิด



เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มผู้นี้อีกครั้ง ในใจอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ ทั้งที่ตัวเล็กเท่านี้ และอายุน้อยกว่าเขาหลายปี แต่กลับมีพรสวรรค์น่าชื่นชม



“ข้าเก่งใช่หรือไม่”



“เจ้าเก่งมาก” นาซีมยอมรับ มิได้เยินยอเกินจริงแม้แต่น้อย



“ข้าอยากให้ท่านพ่อได้ฟังจริงๆ ว่าเจ้าชายแห่งโซราห์ชมเชยข้าอย่างไร” เขายืดตัวขึ้นเล็กน้อย ดูคล้ายภูมิใจในตนเองจนออกนอกหน้า แต่นาซีมไม่ว่าหรอก ในเมื่อเขาเก่งกาจสมราคาคุย



“เอาไว้ข้าได้พบเขาเมื่อไหร่ ข้าจะเป็นคนบอกเรื่องนี้แก่เขาเอง”



“จริงรึเจ้าชาย!” อันวาทำตาโตพลางผุดลุกขึ้นมาเกาะแขนนาซีมเขย่าอย่างตื่นเต้น



“จริงแท้แน่นอน” นาซีมยิ้มรับ “เจ้าไม่รู้หรือว่า ผู้ที่เป็นราชา จักพูดคำไหนคำนั้น แม้ตัวข้ามิได้ถูกสถาปนาขึ้นครองราชย์ แต่ข้าก็เป็นมีสัจจะ”



“ท่านดีที่สุด!” ครานี้เป็นอันวาที่ยกยอเขาเกินจริง “หากท่านได้เป็นราชาวันใด พาข้าไปเป็นหมอหลวงในวังด้วยได้หรือไม่”



“ได้สิ” นาซีมยิ้ม ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “...หากข้าไม่ตายก่อนกลับไปทวงคืนบัลลังก์คืนน่ะนะ”



“ท่านไม่ตายหรอก”



“ไม่ตายหรือ...”



“ไม่ตายแน่นอน” อันวายืนยัน



“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” นาซีมนึกสงสัย



“เพราะท่านอยู่ในความดูแลของคาริฟน่ะสิ” อีกฝ่ายเฉลยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม



“เขาเก่งกาจมากหรือ”



“เก่งมาก ในรุ่นของเรา เขาเก่งที่สุดในเผ่า”



“งั้นเชียวรึ แต่เท่าที่ดู เวลานี้คนเก่งกลับกลัวทั้งไม่กล้าอยู่ใกล้ข้า ไม่เหมือนเจ้า”



“นี่มันคนละเรื่องกัน” อันวาส่ายศีรษะ และว่าต่อ “หากท่านไม่เชื่อข้า ท่านก็คอยดู อย่างไรคาริฟก็ไม่มีวันปล่อยให้ท่านเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน”



“อืม...แล้วข้าจะคอยดู”








❂ …………………………….❂










ก่อนมาถึงประตูสู่แคว้นโฮมา เจ้าชายนาซีมก็ถูกพอกไปด้วยเมือกเหนียวเหม็นโฉ่จนแทบมองไม่เห็นผิวผุดผาด กลิ่นเหม็นนั้นรุนแรงเสียจนอันวาอยู่ในรถม้าด้วยไม่ได้ นาซีมเองก็แย่ไม่ต่างกัน แต่เขายังอดทนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ คุดคู้บนตั่งนอนเดิม และใช้เสื้อคลุมตัวโคร่งอุดจมูกเอาไว้ แม้มันจะช่วยบรรเทาได้ไม่มากก็ตาม



ขณะภาวนาให้สามารถผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่น ขบวนคาราวานก็เดินทางมาถึงประตูเมืองพอดี พวกเขาถูกเรียกให้หยุดตามคาด กาดัสเป็นฟันเฟืองตัวแรกที่เริ่มทำหน้าที่ตามแผน เขาเข้าไปเจรจากับเหล่าทหารของแคว้นโฮมา รวมถึงคนของทารายาที่ทาริคส่งมาด้วย



“นายท่าน เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ เหตุใดประตูแคว้นจึงมีทหารมากมายเช่นนี้” กาดัสแสร้งถาม



“สงครามที่โซราห์สิ้นสุดแล้ว ราชาองค์ใหม่ของที่นั่นส่งข่าวขอความช่วยเหลือแคว้นเราให้หาตัวกบฏมาลงโทษ องค์ราชาจึงสั่งห้ามคนเข้าออกเจ็ดราตรี หากมิมีใบผ่านทาง” ทหารนายหนึ่งซึ่งอยู่หน้าสุดว่า “เจ้ามีใบผ่านทางหรือไม่”



“ข้าคือกาดัสแห่งเอมาลี แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว”



ชายชราว่าก่อนเรียกคนของตนให้ส่งกระบอกทองเหลืองปิดผนึกให้ ซึ่งภายในมีใบอนุญาตผ่านทางที่ตราขึ้นโดยแคว้นโฮมาอยู่ เขาส่งมันให้ทหารผู้นั้นตรวจสอบดู ครู่เดียวอีกฝ่ายก็ส่งคืน



“เป็นอย่างไรนายท่าน มีปัญหาอะไรอีกหรือไม่” เขาถาม



“ไม่มี” นายทหารตอบ “แต่เราต้องของตรวจกองคาราวานของท่านก่อนเข้าไป”



“ต้องทำถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ในเมื่อข้ามีใบผ่านทางถูกต้องทุกอย่าง”



“เป็นคำสั่งโดยตรงจากราชาของเรา” นายทหารเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง ไม่มีอ่อนข้อ “หรือเจ้าซ่อนสิ่งใดไว้ จึงให้เราตรวจไม่ได้”



“ไม่มีแน่นอน เพราะในหีบของข้ามีเพียงแพรพรรณและกำยาน เชิญนายท่านตรวจสอบได้ตามสบาย” เขาว่าพลางค้อมกายอย่างประนีประนอม และเปิดทางให้เหล่าทหารเข้าไปตรวจสอบกองคาราวาน



เหล่าทหารมุ่งตรงไปที่รถม้าก่อนเป็นอันดับแรก กระจายกันไปทั้งคันหน้าและคันหลัง มีเพียงบางส่วนที่เปิดดูหีบต่างๆ บนเกวียนเทียมอูฐ



รถม้าคันหลังไม่มีปัญหาอะไร แต่ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูรถม้าคันหน้า กลุ่มทหารก็แตกฮือถอยหลังกรูกันแทบไม่ทัน กาดัสจึงปรี่เข้าไปหาอย่างรู้งาน



“มีอะไรหรือท่าน”



“นี่มันอะไรกัน! เหตุใดเจ้าจึงบรรทุกศพเข้าโฮมา”



ผู้ที่เจรจากับกาดัสในทีแรกเอ่ยถามพลางเอามือปิดจมูก สีหน้าที่แสดงออกมาดูสะอิดสะเอียนเต็มทีราวกับจะอาเจียนอยู่รอมร่อ



“นั่นหาใช่ศพไม่ นายท่าน” ชายชราค้อมตัวอีกครั้งพลางซ่อนยิ้ม



“หากไม่ใช่ศพแล้วคือสิ่งใดกันแน่ เป็นสินค้าประเภทไหนของเจ้า”



“ไม่ใช่สินค้าเช่นกันนายท่าน แต่เขาคือบุตรชายของข้า”



“บุตรชายรึ!?”



“ถูกแล้ว” กาดัสหยักหน้ายืนยัน



“ละ...แล้วเหตุใด บุตรเจ้าจึงมีศพสภาพไม่ต่างจากคนตายเยี่ยงนี้เล่า” เหล่าทหารมองหน้ากันด้วยความงงงวย



“หากจะให้เล่า คงบอกได้เพียงลูกข้าโชคร้ายนัก” เขาทำหน้าสลด “เขาถูกวางยาพิษ”



“ยาพิษอะไร เหตุใดจึงมีฤทธิ์รุนแรงเพียงนี้” สภาพเหมือนคนนอรอความตายทำให้พิษอุปโลกน์ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที



“ข้าก็หารู้ไม่ แต่หลังจากถูกพิษนี้ ผิวหนังของเขาก็เริ่มเป็นแผลพุพองไปทั่วร่างอย่างที่ท่านเห็น ข้าจึงพาเขามารักษาที่โฮมา เพราะรู้ว่าที่แคว้นนี้มีหมอเก่งกาจอยู่มากมาย”



เอ่ยถึงโฮมา ใครๆ ก็ต้องคิดถึงแคว้นที่เป็นศูนย์กลางเส้นทางค้าขาย ทว่าทุกคนในดินแดนซาร์เรียต่างรู้ดี โฮมามิได้โดดเด่นเรื่องค้าขายอย่างเดียว แต่ยังเป็นแคว้นที่การแพทย์ก้าวหน้าที่สุด



“บุตรข้าผู้นี้อายุยังน้อย ขยันขันแข็ง และกตัญญูรู้คุณ แต่ยังไม่ทันออกเรือนก็มาเป็นไปเช่นนี้” ยิ่งพูด บรรยากาศรอบตัวของกาดัสก็ยิ่งหม่นหมอง “เฮ้อ...ข้ายังไม่รู้ว่าจะมีหนทางใดรักษาเขาได้หรือไม่”



ผู้ที่โดนคำลวงหลอกล่อติดกับเข้าอย่างจัง เขาเอื้อมมือตัวบ่าดากัส แล้วเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนลง ราวกับเห็นใจในโชคชะตาของพ่อค้าเฒ่าและบุตรชาย



“อาจจะมีสักทางก็ได้ท่านผู้เฒ่า”



“แม้อาจมีหนทาง แต่ข้าก็กลัวว่าจะไม่ทันการณ์”



“เช่นนั้นก็รีบเข้าไปเถอะ” นายทหารผู้นั้นว่า พลางเหลือบตามองเข้าไปในรถม้าอย่างเวทนา “รีบพาเขาไปหาหมอเสีย”



“ขอบคุณนายท่านมาก” กาดัสตาเป็นประกาย ก่อนฉวยมือของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วว่า “ขอให้เทพีซาร์เรียคุ้มครองท่าน”



“ขอให้เทพีซาร์เรียคุ้มครองท่านและบุตรชายเช่นกัน” พูดจบเขาก็สั่งให้ทหารถอนกำลัง และปล่อยให้กองคาราวานของดากัสเข้าสู่โฮมาได้โดยไม่รั้งไว้อีก



เจ้าชายแห่งโซราห์ที่แกล้งหลับอยู่ในรถม้าลืมตาขึ้น ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อครู่ตอนที่ทหารพวกนั้นเปิดประตูเข้ามา หัวใจของเขาเต้นแรง ลืมเลือนไปจนหมดว่าตนเองทรมานจากกลิ่นไม่พึงประสงค์เพียงใด เพราะกลัวถูกจับได้ แต่ด้วยวาทศิลป์ของท่านผู้เฒ่ากาดัส นาซีมจึงรอดมาได้อย่างปลอดภัย



เมื่อเดินลอดใต้ซุ้มประตูมาแล้ว กองคาราวานก็มุ่งหน้าไปส่วนปีกขวาของเมืองหลวงแคว้นโฮมา นาซีมคิดว่าที่นั่นคงเป็นที่ตั้งโรงหมอของบิดาอันวาเป็นแน่ ระหว่างทางเขาก็ลอบมองผ่านหน้าต่างรถม้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น



เรื่องที่อันวาพูดว่าเขาไม่เคยออกนอกโซราห์มาก่อนคือเรื่องจริง ตอนยังเด็กนาซีมเคยเดินทางไปตามที่ต่างๆ ในโซราห์ ไปถึงขอบกำแพงแคว้นที่อยู่ติดกับมหาสมุทร ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยก้าวข้ามกำแพงออกมาเลยสักครั้ง



ยิ่งเมื่อเติบใหญ่ราชาราฮิมก็มอบหมายให้เขาทำงานในราชสำนักหลายอย่าง เพื่อเรียนรู้และคุ้นเคยกับข้าราชบริพาร ทั้งนาซีมยังต้องฝึกฝนทักษะร่างกายและหมั่นหาความรู้เพิ่มเป็นสองเท่า เพราะเขาอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า แม้เขาเป็นโอเมก้า แต่ก็สามารถทำสิ่งที่อัลฟ่าทำได้เทียบเท่ากัน



ดังนั้นภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่แตกต่างออกไปในโฮมาจึงดึงดูดใจนาซีมให้ไม่อาจละสายตาได้



กองคาราวานพากันลัดเลาะตามถนนในเมืองหลวงของแคว้นไปเรื่อยๆ จนแสงอาทิตย์ราแรงลงไปมาก พวกเขาจึงหยุดตรงหน้าอาคารดินที่มีประตูหน้าเป็นรูปทรงโค้งสูง และติดป้ายหน้าร้านเขียนว่า โรงหมอฮาชิ”



“ถึงแล้วขอรับ” อันวาโผล่เข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม



“ข้าออกไปได้แล้วใช่หรือไม่”



“แน่นอนขอรับ” อันวาว่า แต่เมื่อเห็นนาซีมลุกขึ้นและพร้อมก้าวออกไปจากรถ เขาก็ยกมือห้าม “ช้าก่อนท่าน”



“มีอะไรหรือ” เจ้าชายถามด้วยความฉงน



“ท่านลงไปเองทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ ต้องให้ใครสักคนอุ้มท่านลงและพาเข้าไปด้านใน”



ครั้นได้ยินสิ่งที่อันวาบอก นาซีมก็ขมวดคิ้วฉับ “เหตุใดต้องทำเช่นนั้น”



“เพราะด้านนอกฟ้ายังไม่มืด และแถวนี้ก็มีคนอยู่มาก ท่านคาริฟสั่งว่าให้ระวังไว้ก่อนเป็นดี อย่างไรเสียตอนนี้บทบาทของท่านคือเป็นบุตรของกาดัสและผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องเข้ารับการรักษา”



“...จริงสินะ ข้าลืมไป” พอถูกเตือนสติ นาซีมก็อ่อนลงและเชื่อฟังที่อันวาพูด จนเด็กหนุ่มชื่นชมในใจว่าเจ้าชายที่สูงศักดิ์ผู้นี้ไม่ถือทิฐิหรือหัวรั้นเลยแม้แต่น้อย



“เช่นนั้นท่านรออยู่ตรงนี้ ข้าจะลงไปก่อน ท่านคาริฟจะได้ขึ้นมาอุ้มท่านได้สะดวก”



“คาริฟหรือ...”



“ถูกแล้ว ท่านรอสักครู่”



“ช้ากะ...ก่อน”



...ไม่ทันเสียแล้ว...นาซีมคิดในใจ



ทันทีที่อันวาออกไป ครู่เดียวร่างสูงใหญ่ของบุรุษในชุดดำก็เดินเข้ามา ตอนนี้เขาไม่สวมผ้าคลุมปิดบังหน้าตาอีกแล้ว



“ท่านมีปัญหาอะไรหรือ” คาริฟถาม นาซีมคิดว่าเขาคงได้ยินที่ตนเรียกอันวาไว้เมื่อครู่



“ข้า...มิได้มีปัญหาอะไร” เจ้าชายแห่งโซราห์เอ่ยเสียงเบา



“ถ้าไม่มีก็มาเถอะ ข้าจะพาเข้าไปข้างใน”



เขากางแขนออก เตรียมตัวจะเข้ามาอุ้ม แต่ไม่รู้นาซีมคิดอย่างไร...ไม่สิ บางทีเขาอาจไม่ทันคิดก็ได้ เจ้าชายจึงเผลอขยับตัวเข้าไปด้านใน คล้ายกับกำลังหนี



“...?” คาริฟชะงักเมื่อเห็นปฏิกิริยานั้น หากยังไม่ทันถามอะไร นาซีมก็เอ่ยปากก่อน



“ข้าขอโทษ”



“ท่านเป็นอะไร”



“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”



“เช่นนั้น...ท่านหนีข้าทำไม”



“ข้า...เอ่อ...ข้าไม่ได้หนี”



“...” ดวงตาสีมรกตมองดูเขานิ่งๆ



เห็นๆ กันอยู่ว่าท่านหนี...แม้อีกฝ่ายไม่ได้พูด แต่นาซีมเดาได้จากแววตา



“ข้าคิดว่า...” เขาพยายามหาเหตุผลร้อยพันมาอ้าง แต่ไม่มีวันบอกความจริงว่าคิดอะไรอยู่



“หรือว่า...ท่านกลัวข้า”



ผิดแล้ว



นาซีมมิได้กลัวบุรุษผู้นี้จนไม่อยากเข้าใกล้ แต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะอึดอัดใจหากต้องใกล้ชิดกันมากกว่า เหมือนที่อันวาบอกเมื่อกลางวัน



‘ทั้งที่ข้าบอกเขาแล้วแท้ๆ ว่าท่านเลิกฮีทแล้ว เหตุใดเขาต้องกลัวที่จะเข้าใกล้ท่านนัก’



“ข้าไม่ได้กลัวท่าน” นาซีมว่า



“เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุให้ต้องขยับหนีจริงหรือไม่” เขาเอ่ยเรียบๆ แต่แววตาของเขาไล่ต้อนจนเจ้าชายปฏิเสธไม่ได้



“...”



“เรารีบไปเถอะ อย่ารอช้า เพราะมีเรื่องให้ต้องทำอีกมากนัก”



“...อืม”



ครั้นรับคำแล้วเขาก็เข้ามาอุ้มนาซีมทันที แขนหนึ่งสอดเข้ามาที่ใต้พับขาส่วนอีกข้างประคองแผ่นหลังของนาซีม เป็นท่าอุ้มที่ชวนให้รู้สึกอับอายไม่น้อย อีกอย่างเจ้าชายคิดว่าร่างกายเขาเองก็ไม่ใช่เล็กๆ อีกฝ่ายคงต้องหนักมากเป็นแน่

คิดแล้วนาซีมก็เกร็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายก้มลงสบตาเขาในระยะประชิด แล้วเอ่ยประโยคเรียบๆ แต่ชวนให้คนฟังอับอายมากขึ้นหลายทบเท่า



“ท่านไม่ต้องกลัวไป หากยังมีกลิ่นเช่นนี้ ท่านดึงดูดสัญชาตญาณอัลฟ่าของข้าไม่ได้หรอก”



“...” นาซีมอ้าปากค้าง นึกถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ของอันวาแล้ว ไม่รู้ควรขอบคุณดีหรือไม่



ทว่าสิ่งที่ทำให้นาซีมอึ้งจริงๆ ก็คือ เขาไม่คิดว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย...คาริฟจะเอ่ยคำพูดล้อเล่นเป็นเช่นกัน



“...หึๆ” ล้อเล่นนาซีมแล้ว อีกฝ่ายก็แค่นหัวเราะในลำคอเบาๆ ยกยิ้มกระชากวิญญาณคนมองที่มุมปากนิดๆ ก่อนมันจะเลือนหายไปเมื่อพวกเขาออกมานอกรถม้า



ทว่ารอยยิ้มนั้นยังติดอยู่ในความคิดอันยุ่งเหยิงของนาซีมกระทั่งเข้าไปด้านใน













❂ …………………………….❂










มาต่อแล้วค่าา

ดูนะ ตอนนี้เหม็นน้อง อีกหน่อยอย่ามาดมแล้วกัน 555

ความคิดฝน นิยายเรื่องนี้จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ 

แต่ก็เป็นนิยายที่มีบทรักแทรกอยู่เอยะเหมือนกัน

เพราะตั้งใจว่าอยากเขียนโรแมนติกหน่อย

ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ



ละอองฝน.








ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เป็นเอ็นดูทั้งน้องอันวาน้องนาซีม

 :pig4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




บทที่ 6 คู่แห่งโชคชะตา









หลังถูกอุ้มไปส่งถึงห้องที่ท่านหมอฮาชิจัดเตรียมไว้รับรอง นาซีมก็เอ่ยปากขอลงไปยืนด้วยตัวเอง ครั้นเท้าแตะพื้นเขามองสำรวจคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว พบว่าห้องนี้ตกแต่งเรียบง่าย สะอาดสะอ้าน กลางห้องมีอ่างน้ำที่ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมกับขวดใสบรรจุของเหลวสีเหลืองใสและแปรงขัดตัวขนอ่อนนุ่ม

ดูท่าแผนบุกไปช่วยเขามาจะถูกเตรียมการไว้นาน เพราะทุกอย่างถูกจัดการไว้อย่างดี เป็นขั้นเป็นตอน แม้กระทั่งการที่เขาต้องทำความสะอาดกายจากกลิ่นเหม็นๆ นี่ คนของคาริฟก็คิดเผื่อไว้ทั้งหมด

เมื่อตระหนักรู้ถึงความยากลำบากของทุกคน นาซีมก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

“เป็นอะไรไป”

เพราะคาริฟเห็นนาซีมยื่นนิ่งไป เขาจึงเอ่ยปากถาม

“ไม่มีอะไร ข้าแค่กำลังสำรวจห้องพักเท่านั้น”

“มันอาจไม่สะดวกสบายเหมือนราชวังในโซราห์ หวังว่าท่านจะไม่ถือสาหาความ”

“ไม่ต้องมากพิธีหรอกท่านคาริฟ อยู่ที่นี่ข้าจะปฏิบัติตัวเช่นอยู่ในโซราห์ได้อย่างไร เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว มิหนำซ้ำบ้านของท่านหมอฮาชิน่าอยู่มาก ฝากท่านบอกแก่เขาด้วย”

“เอาไว้ท่านลงไปบอกเขาเองดีกว่า” คาริฟว่า

“นั่นสินะ...มาบ้านผู้อื่นข้าก็ต้องไปทักทายเจ้าบ้านด้วยตัวเอง” นาซีมเกือบลืมมารยาทข้อนี้ไป

“ชำระล้างกลิ่นพวกนี้เสร็จเมื่อไหร่ ท่านค่อยลงไปทักทายก็ยังไม่สาย”

“อ่า...” นาซีมส่งเสียงตอบรับเบาๆ เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่น เขาจึงเกือบลืมไปแล้วว่าตนอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นไร “ข้าเข้าใจแล้ว อย่างไรก็รอข้าสักครู่เถิด ข้าจะรีบจัดการตัวเองให้เร็วที่สุด”

“ไม่ต้องรีบร้อนไป ใช้เวลามากหน่อยก็ได้” คาริฟลอบยิ้ม

นาซีมยกแขนขึ้นดมแล้วย่นจมูก แม้กลิ่นที่ทาไว้จะเบาบางลงไปบ้าง แต่ถ้าให้เดา นาซีมคิดว่าตนคงต้องใช้เวลาในการขัดถูร่างกายพักใหญ่ทีเดียว

“นั่นสินะ พวกเมือกเหนียวๆ นี่เหม็นติดทนดีจริงๆ” เขาบ่นเบาๆ แล้ววักน้ำล้างหลังมือก่อน

พอเมือกหลุดไป บนหลังมือก็ปรากฏรอยสลักของเมเฮนดีเลือนราง ปลายนิ้วที่กำลังขัดถูมันออกชะงักกึก ความรู้สึกโกรธแล่นพล่านขึ้นมาในหัวใจ

นาซีมโกรธที่ตัวเองอ่อนแอจนถูกบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ โกรธที่รู้ว่าหากตนเองไม่โชคดีเพราะมีคนมาช่วย เวลานี้เขาคงเข้าพิธีแต่งงานที่แสนอัปยศนั่นเรียบร้อยแล้ว

“ตั้งแต่เมื่อคืน ท่านได้ข่าวจากโซราห์บ้างหรือไม่”

“ได้ยินมาบ้าง”

“เขาขึ้นครองราชย์แล้วหรือ”

“ใช่” นาซีมถามถึงทาริค และคาริฟก็ตอบถูกโดยไม่ต้องได้ยินชื่อ เขามองเจ้าชายโอเมก้าเงียบๆ พักหนึ่งจึงตัดสินใจไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่ในความคิดของตัวเองนานนัก “เจ้าชาย”

นาซีมละสายตาจากรอยเมเฮนดีเพื่อสบตาผู้เรียก “ว่าอย่างไร ท่านคาริฟ”

“หลังจากนี้ไม่ต้องเรียกนำหน้าข้าว่า’ ท่าน’ แล้ว”

“เพราะเหตุใดเล่า”

“อันวายังมิได้เล่าแผนการเดินทางต่อไปให้ท่านฟังหรือ”

“มิได้เล่า”

“เราจะพักที่นี่เพียงสามราตรีเท่านั้น ย่ำรุ่งวันที่สี่เราจะออกเดินทางกับกองคาราวานของคณะละครเร่เพื่อไปยังเมืองเอมาลี และฐานะท่านยังต้องถูกปกปิดไว้”

“คนในคาราวานมิใช่คนของท่านทั้งหมดหรือ” นาซีมคาดเดา

“มิใช่ คนที่รู้สถานะของท่านมีเพียงหัวหน้าคณะละครเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือเป็นเพียงลูกจ้างในกองคาราวาน”

นาซีมขมวดคิ้ว ผลักเรื่องทาริคออกไปจากสมองเพื่อขบคิดปัญหาใหม่

“เป็นเช่นนี้แล้ว ข้าต้องอยู่ในฐานะใด”

“ท่าน ข้า และอันวา เราสามคนจะปลอมเป็นกลุ่มนักดนตรีเร่ร่อนที่ขออาศัยกองคาราวานใหญ่เพื่อเดินทางไปแสวงโชคที่เอมาลี ข้าเล่นเครื่องเป่า อันวาเคาะจังหวะ ส่วนท่าน...” คาริฟหยุดคิด “ท่านเล่นเครื่องดนตรีใดได้หรือไม่”

“ข้า...” เจ้าชายย้อนนึกถึงสมัยยังเป็นเด็ก เขาเคยเรียนศาสตร์ทางดนตรีอยู่บ้าง แต่ไม่มีหัวสักเท่าไร

“เล่นไม่เป็นเลยหรือ”

“ข้าไม่ชำนาญนัก” เขาตอบไม่เต็มเสียง

“อ่า...” บุรุษในชุดดำพยักหน้าเข้าใจ “เล่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้าจะบอกพวกเขาว่าท่านเป็นน้องชายต่างมารดาของข้าก็แล้วกัน และด้วยเหตุผลนี้ พวกเราทั้งหมดจึงต้องใช้คำที่ไม่เป็นพิธีรีตองมากเกินไป ไม่เช่นนั้นคนอื่นๆ อาจสงสัยได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

“ที่ข้าจะพูดมีเท่านี้ ท่านชำระล้างร่างกายเถอะ ย่ำสนธยาแล้ว อากาศยามค่ำคืนที่โฮมาหนาวเย็น เดี๋ยวจะเจ็บไข้”

“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง” นาซีมค้อมศีรษะให้คาริฟอย่างไม่ถือตัว

“อีกเดี๋ยวข้าจะให้อันวามาตาม”

“อืม”

บุรุษชุดดำกำชับหนึ่งประโยคและออกจากห้องไป ส่วนเจ้าชายนาซีมก็ยืนคว้างอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง

เขาทอดสายตาผ่านหน้าต่างโค้งออกไปด้านนอก เห็นผู้คนเริ่มจุดคบเพลิงและตะเกียงไฟจนถนนทั้งสายสว่างไสว เจ้าชายจึงค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์และทำความสะอาดร่างกาย









❂ …………………………….❂








นาซีมใช้เวลานานกว่าผิวที่เต็มไปด้วยเมือกเหนียวจะกลับมาสะอาดสดใสเหมือนเก่า เขายกมือยกไม้ขึ้นดม รวมทั้งสำรวจไปทั่วร่างถี่ถ้วนจนมิได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์อีก เมื่อนั้นเจ้าชายจึงค่อยขึ้นจากอ่างน้ำ เขาสวมเสื้อผ้าที่ถูกจัดไว้ให้ เป็นผ้าฝ้ายเนื้อโปร่งสีขาวนวลตามแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป

ครั้นสวมเสร็จก็เป็นเวลาพอดีกับที่มีใครบางคนมาเรียกหน้าห้อง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

“เจ้าชาย ยังอยู่ดีหรือไม่ขอรับ”

“ข้ายังอยู่” นาซีมตอบกลับไป

“เช่นนั้นข้าเข้าไปนะขอรับ”

“เข้ามาเถอะอันวา”

เมื่อได้รับอนุญาต อันวาก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าเต็มไม้เต็มมือ นาซีมรีบเข้าไปช่วยรับอาภรณ์เหล่านั้นมาถือบางส่วน ก่อนนำไปวางไว้บนเตียงเล็กที่มุมห้อง

“ท่านอาบน้ำนานเหลือเกิน”

“โทษข้าได้หรือ ต้องโทษยาสมุนไพรเหล่านั้นของเจ้า”

“โทษพวกมันได้อย่างไร พวกมันแค่ใช้ได้ผลดีมากเกินไปก็เท่านั้น” อันวาบอก

ดูท่าอันวาจะไม่ชอบให้วิจารณ์ถึงโอสถต่างๆ ที่เขาทำ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อกลิ่นเหม็นพวกนั้นติดกายจนแทบล้างไม่ออก

“เสื้อผ้านี้เจ้าเอามาให้ข้าหรือ”

“ใช้แล้ว” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ

“เอามาจากที่ใดกัน”

“เป็นของจาเร็ด” อันวาเอ่ยชื่อคนผู้หนึ่งขึ้นมาห้วนๆ

นาซีมหยิบอาภรณ์เหล่านั้นขึ้นพินิจ มันเป็นชุดผู้ชายก็จริง แต่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นเสื้อและกางเกงแยกชิ้น ทำจากไหมที่ย้อมด้วยสีสันสดใส แม้ไม่ใช่เนื้อผ้าหรูหราเช่นเดียวกับเนื้อผ้าที่ตัดเย็บให้กับราชวงศ์ แต่ผู้ที่ครอบครองเครื่องแต่งกายเหล่านี้คงเป็นคนที่มีฐานะดีอยู่บ้าง

เจ้าชายวิเคราะห์และอดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย

“จาเร็ดคือผู้ใด”

“เขาเป็นเจ้าของคณะละครเร่ที่พวกเราต้องเดินทางติดตามไปเอมาลีด้วย”

“อ้อ คนที่เป็นพวกของเรา”

“ข้าไม่เห็นอยากให้เขาเป็นพวก”

อันวาวางเสื้อผ้าแล้วยกมือขึ้นกอดอก เพราะริมฝีปากของเขาหนาอยู่แล้ว พอเจ้าตัวทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ มันยิ่งส่งผลให้ปากล่างนั่นดูหนาขึ้นอีก มองแล้วตลกระคนน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

“เขาเป็นคนไม่ดีหรือ”

“เฮ้อ...จะว่าไปเขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีหรอก เพียงแต่ข้าไม่ใคร่ถูกชะตากับเขานัก”

นาซีมวางเสื้อผ้าลงและหันมาถามอันวาอย่างจริงจัง และอีกฝ่ายก็เปิดเผยความรู้สึกให้ฟังอย่างตรงไปตรงมาตามนิสัย

“ทำไมเล่า”

“ข้าว่าเขาเป็นอัลฟ่าประเภทที่...เจ้าชู้ปลิ้นปล้อน แล้วก็ชอบอวดตัว”

“เจ้าชู้ปลิ้นปล้อน ซ้ำยังชอบอวดตัวด้วยหรือ”

“ใช่น่ะสิ ถ้าท่านพบเขา เขาต้องทำเจ้าชู้ใส่ท่านเป็นแน่ เขาน่ะชอบคนหน้าตาดีจะตาย ข้ายังเกรงว่าเขาจะเล่นเกินพอดีแม้รู้ว่าท่านคือเจ้าชายก็ตาม”

“ฟังดูไม่ดีเลยนะ”

“ไม่ดีเอามากๆ ข้าเห็นเค้าลางความน่ารำคาญมาแต่ไกลเชียว นี่ขนาดว่ายังไม่พบท่าน เขายังใช้ให้ข้าแบกเสื้อผ้ามาให้ท่านเลือกเป็นกองพะเนิน” ยิ่งพูดอันวาก็ยิ่งแสดงท่าทีหงุดหงิดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ถึงฟังดูเขานิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็มีน้ำใจนะ”

“เจ้าชายนาซีม!” อันวาหันมาแหว

“หืม!?”

“ท่านอย่าถูกเขาหลอกง่ายๆ เชียวนะ”

“เจ้าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ข้ายังไม่ได้พบเขาด้วยซ้ำ อีกอย่างข้าไม่มีเวลาคิดเรื่องพวกนี้หรอก เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร” นาซีมรู้ตัวดี เขาในเวลานี้ไม่สมควรคิดเรื่องอื่นใด นอกเสียจากเรื่องบ้านเมืองและเรื่องเอาชีวิตให้รอดไปวันๆ

ครั้นได้ยินเจ้าชายแห่งโซราห์พูดแบบนั้น อันวาก็สลดลงนิดหน่อย ด้วยเด็กหนุ่มถูกกำชับมาว่าห้ามพูดสิ่งใดอันจะกระทบจิตใจเจ้าชายในยามนี้

“ข้ารู้แล้ว ขออภัยด้วยขอรับเจ้าชาย”

“ข้าไม่ยกโทษให้เจ้าหรอกนะ”

“เจ้าชาย! ~”

ดวงตากลมโตนั่นโตขึ้นอีกหลังได้ยินเขาพูด นี่เป็นครั้งแรกที่นาซีมเห็นว่าเด็กหนุ่มที่สดใสทำตัวไม่ถูก เห็นแบบนั้นเขาจึงเลิกล้อเล่นกับเจ้าตัว

“ข้าไม่ยกโทษให้ เพราะข้ามิได้โกรธเคืองเจ้า”

“หา!?” ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนมาเป็นประหลาดใจ ก่อนจะสดใสเหมือนเดิม “นี่ท่านหลอกข้าหรือ!”

“ข้าไม่ได้หลอก แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น”

นาซีมเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มเห็นเขาหัวเราะ

อันวามองแล้วอ้าปากพะงาบๆ คล้ายอยากพูดอยากเถียงแต่ก็พูดไม่ออก ด้วยไม่คิดว่าคนเป็นเจ้าชายจะล้อเล่นได้เหมือนกัน ยิ่งเมื่อกลางวันเห็นอีกฝ่ายนั่งซึมอยู่ข้างหน้าต่าง อันวาก็ยิ่งไม่คิดว่าที่แท้นาซีมเป็นคนเช่นนี้

“ไม่อยากเชื่อเลย”

“หึๆ มาดูอาภรณ์พวกนี้กันต่อเถอะ ข้าคงต้องเลือกไว้บ้างเพราะไม่มีเสื้อผ้าระหว่างเดินทางเลยสักชิ้น” เจ้าชายยอมรับความช่วยเหลือโดยง่าย เพราะรู้ดีว่าในเวลานี้ต้นมีทางเลือกไม่มากนัก

เมื่อได้เสื้อผ้าพอดีตัวมาสามสี่ชุดก็ถึงเวลาที่นาซีมต้องลงไปทักทายบิดาของอันวาแล้ว









❂ …………………………….❂









พวกเขาเดินลงชั้นล่าง ผ่านห้องโถงที่ใช้รองรับผู้ป่วยไปยังห้องอาหารซึ่งอยู่ด้านหลังสุดติดกับครัวเล็กๆ รอบโต๊ะอาเคเชียตัวใหญ่มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งปรึกษากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หนึ่งคือคราริฟ สองเป็นชายชราเครายาวดูท่าทางทรงภูมิ และคนสุดท้ายคือชายหนุ่มที่นาซีมไม่เคยพบหน้า แต่อันวากลับมุ่นคิ้วเป็นปมเมื่อมองเห็นอีกฝ่าย เจ้าชายจึงพอเดาได้ว่าบุรุษผู้นี้คือจาเร็ด

“มากันพอดี” ชายผู้มีอาวุโสมากที่สุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนค้อมกายทำความเคารพต่อนาซีม “ยินดีต้องรับขอรับ เจ้าชายนาซีม”

“ท่านผู้เฒ่า...” นาซีมปรี่เข้าไปประคอง “ไม่ต้องมาพิธีหรอกท่าน”

“หามิได้” ชายชราว่า

“นี่คือหมอฮาชิ ท่านพ่อของข้าเองเจ้าชาย” อันวาเดินมาหยุดข้างนาซีมก่อนแนะนำ แล้วจึงบุ้ยใบ้ไปทางชายแปลกหน้าอีกคน “ส่วนนั่นคือจาเร็ด เจ้าของคณะละครเร่ที่ข้าพูดถึง”

“ยินดีที่ได้พบท่านจาเร็ด” นาซีมยิ้มทักทายตามมารยาท

“ข้าจาเร็ดแห่งเอมาลี ยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับที่ได้พบเจ้าชาย” จาเร็ดตวัดมือเข้าหาตัวก่อนโค้งต่ำให้นาซีม

เจ้าชายนาซีมมองลักษณะของบุรุษผู้นี้ เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเรียวยาว รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร แต่สิ่งที่นาซีมคิดว่ามันทำให้อันวาไม่ถูกชะตาน่าจะเป็นดวงตาวิบวับเจ้าเล่ห์ยามจ้องมองผู้คน

“เจ้าชายถูกใจอาภรณ์ที่ข้ามอบให้หรือไม่ขอรับ” จาเร็ดถามอย่างกระตือรือร้น

“สีสันสวยงามมาก ขอบใจท่านด้วย” นาซีมยิ้มให้ผู้มีน้ำใจ

“ไม่เป็นไรขอรับ หากท่านต้องการสิ่งใดระหว่างเดินทางไปเอมาลี สามารถให้อันวามาแจ้งแก่ข้าได้ทันทีนะขอรับ”

“ท่านช่างมีน้ำใจเหลือเกิน แต่ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่ม เท่านี้ก็เกรงใจท่านมากแล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจขอรับ ข้ายินดีอย่างยิ่ง หากเจ้าชายปรารถนา---”

ยังไม่ทันพูดจบ อยู่อันวาก็แทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เจ้าชายหิวหรือยังขอรับ ไปนั่งที่โต๊ะเถอะขอรับ อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนยกอาหารเข้ามา”

“...ขอบใจนะอันวา” นาซีมยิ้มให้อันวา แล้วจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ว่างข้างคาริฟ ทำให้อันวาต้องเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างจาเร็ดอย่างช่วยไม่ได้

“หลังมื้อค่ำฮาชิบอกว่าจะช่วยตรวจร่างกายท่านเพื่อจัดสำรับยาระงับอาการฮีทให้” หลังจากปล่อยให้ทุกคนสนทนากับนาซีมอยู่นาน คาริฟก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากบ้าง

“จริงหรือ” นาซีมว่า

“จริงขอรับเจ้าชาย เห็นคาริฟว่าท่านฮีทครั้งแรกเมื่อราตรีที่ผ่านมา ข้าเกรงว่าระหว่างเดินทางท่านจะเกิดอาการขึ้นอีก ดังนั้นจึงควรเตรียมการไว้ก่อน”

“ขอบคุณท่านเหลือเกิน ตั้งแต่ข้าฟื้นคืนสติ ข้าเป็นกังวลเรื่องนี้นัก เพราะกลัวจะทำให้ทุกท่านที่ร่วมเดินทางต้องลำบาก”

ยาระงับอาการฮีทนั้นสามารถซื้อหาแลกเปลี่ยนได้อย่างอิสระ แต่ยาที่ให้ผลดีมากกว่าคือยาที่ปรุงขึ้นมาเฉพาะเจาะจงเพื่อโอเมก้าคนนั้นๆ ซึ่งเริ่มแรกของกรรมวิธีต้องมีการตรวจร่างกายโอเมก้าผู้นั้นเสียก่อน จึงจัดยาที่สมดุลกับธาตุในร่างกายของเขาได้

“ท่านไม่ต้องกังวลไปเจ้าชาย เรื่องนี้ข้าจัดการให้ได้” ฮาชิว่า ก่อนจะเบี่ยงมาหาคาริฟ “เจ้าเองก็ด้วยนะคาริฟ”

“มีของข้าด้วยหรือ”

“ต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว”

ในส่วนของอัลฟ่าเองก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะไม่เพียงโอเมก้าที่ต้องการยาระงับอาการ อัลฟ่าก็ต้องการหยุดยั้งตนเองก่อนคลุ้มคลั่งเพราะกลิ่นของโอเมก้าฮีท

“แล้วของที่มีอยู่เดิมเล่าฮาซิ”

“ข้าเกรงว่าในกรณีนี้...ยาที่ท่านเคยมีอาจไม่ได้ผล” ฮาชิเอ่ยเรียบๆ แต่สายตาที่มองไปยังคาริฟเป็นกังวลจนนาซีมสังเกตได้ เขามองตามไปยังจุดที่ฮาชิเหลือบมอง และก็พบว่า...

มือข้างหนึ่งของคาริฟมีรอยกัดฝังเขี้ยวลึกกระจายอยู่หลายแผล

“มือท่าน!” นาซีมตกใจจนหน้าซีดเผือด

เขาตกใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันสังเกตเห็น ทั้งปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันทีว่ารอยแผลนี้เกิดจากการที่อีกฝ่ายต้องอดทนกับอะไร และคล้ายเพิ่งรู้ตัว คาริฟจึงรีบเก็บมือลงใต้โต๊ะทันที

“อย่าได้ใส่ใจ” บุรุษชุดดำว่า

“แต่ว่าแผลนั่น...” เจ้าชายลืมซึ่งความสงบเสงี่ยมอย่างที่เขาควรเป็น และขยับเข้าหาคนข้างๆ ก่อนคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้ “เป็นเพราะข้าฮีทเมื่อคืนใช่หรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไรเจ้าชาย”

“ไม่เป็นไรได้หรือ แผลฉกรรจ์เพียงนี้!”

ความรู้สึกผิดถาโถมใจราวกับพายุทรายหอบพัด ทั้งที่รู้ว่าในราตรีที่ผ่านมาเขาทำให้ชายผู้นี้ต้องลำบาก แต่เขาไม่คิดว่ามันจะรุนแรงเพียงนี้

“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ไม่เชื่อท่านก็ถามฮาชิดู”

“จริงหรือท่านหมอ” นาซีมผินกลับมาถาม

“จริงขอรับ ข้าใส่ยาให้เขาแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้อันวาก็รักษาไปเบื้องต้น แค่สองสามราตรีแผลจะตกสะเก็ดเอง” หมอฮาชิอธิบายอย่างใจเย็น

“ขอโทษนะ ข้าไม่คิดว่าจะสร้างความลำบากให้ท่านเช่นนี้”

แม้ได้ยินว่าบาดแผลจะหายในไม่ช้า แต่นาซีมก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี หมอฮาชิจึงปลอบอีกคำ ทว่าประโยคที่นาซีมได้ยินนั้นกลับทำให้เขาตกตะลึงมากกว่าตอนเห็นแผลของคาริฟไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

“เป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นมาก เพราะอิทธิพลของคู่แห่งโชคชะตานั้นรุนแรงกว่าอะไรทั้งหมด”

“นั่นสิเจ้าชาย ข้าเคยเห็นรอยกัดของคู่แห่งโชคชะตาครั้งหนึ่ง บาดแผลนั้นน่ากลัวว่าแผลที่มือของคาริฟตั้งหลายเท่า”

“วะ...ว่าอะไรนะ...” นาซีมเงียบไปนิด แล้วทวนคำ “คู่แห่งโชคชะตาหรือ”

บรรยากาศในห้องอาหารของหมอฮาชิเปลี่ยนไปทันทีเมื่อสิ้นคำถามนั้นเงียบลง นาซีมมองหน้าทุกคนไล่เป็นลำดับคล้ายไม่อยากเชื่อ กระทั่งสายตาเลื่อนมาหยุดที่บุรุษชุดดำ หยุดที่หน่วยตาสีมรกตซึ่งสะกดเขาเอาไว้

...แล้วคำอธิบายถึงความต้องการอันเร้นลับในราตรีที่ผ่านมาก็ได้รับคำตอบ

ที่แท้เป็นเพราะคาริฟคือคู่แห่งโชคชะตาของนาซีมนี่เอง!








❂ …………………………….❂











เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกที่เขียนคู่รองเยอะขึ้นในเรื่องค่ะ เพราะส่วนใหญ่ฝนเป็นประเภทโฟกัสแต่คู่หลัก

ตอนนี้ก็เลยลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง หวังว่าจะชอบกันนะคะ

แต่ถึงยังไงคู่หลักก็โดดเด่นที่สุดอยู่ดีค่ะ ไม่ต้องห่วง

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

พบกันตอนหน้าค่ะ



ละอองฝน.

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อุ๊ยยย  เฉลยแล้วว่าคาริฟคือพระเอก :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด