บทที่ 2 คนในนิทาน
ทันทีที่ประตูรถม้าเปิดออก เสียงอึงอลของผู้คนที่อยู่ในค่ายทารายาก็เงียบลง นาซีมมองออกไปนอกประตูรถม้าจึงเห็นว่าสายตาทุกคู่ในบริเวณนั้นกำลังพุ่งความสนใจมาที่ตน บ้างเป็นสายตาของผู้สอดรู้ บ้างก็มองจาบจ้วงตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มหยันคล้ายดูแคลนว่า
สุดท้าย...เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ก็ต้องยอมศิโรราบให้แก่เจ้านายของตน
แต่ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร เจ้าชายหนุ่มก็ทำได้แค่สูดหายใจลึกๆ ระงับความโกรธและอดสูเอาไว้ ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าเพื่อก้าวเท้าลงจากรถม้า
ยามเท้าแตะพื้น นาซีมจึงพบว่าที่ด้านข้างรถม้า มีชายผิวเข้ม หน้าตาดุดัน และรูปร่างสูงใหญ่กว่าเขาเกือบช่วงตัวยืนกอดอกรออยู่ เมื่ออีกฝ่ายสบตาเขา เจ้าตัวก็ผายมือไปยังกระโจมที่อยู่กึ่งกลางค่าย ซึ่งเป็นกระโจมที่ดูหรูหราใหญ่โตที่สุด ระหว่างทางเดินไปยังปูพรมนุ่มและวางตะเกียงแก้วสีสันงดงามรายทาง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นที่พักของใคร นาซีมจึงกระชับเสื้อคลุมแล้วเดินเชิดหน้าเข้าไปในนั้นโดยไม่กล่าวอะไรสักคำเดียว
ครั้นมาถึง ทหารยามสองคนของทาริคก็มาขวางไว้ ก่อนย่างสามขุมเข้าใกล้ด้วยท่าทีคุกคาม นาซีมจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“พวกเจ้าจะทำอะไร”
“พวกข้าต้องตรวจอาวุธ” ทหารนายหนึ่งว่า ก่อนทำท่าราวกับจะค้นตัว ด้วยคาดว่านาซีมคงซ่อนอาวุธไว้ใต้เสื้อคลุม แต่มีหรือนาซีมจะยอมให้ทำเช่นนั้น แม้เขาจะไม่มีอาวุธติดมาสักชิ้น แต่ให้ตายเขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเห็นว่าเจ้าชายแห่งโซราห์สวมชุดอะไรไว้ใต้เสื้อคลุม
เมื่อสิ้นคำนั้น ฮาบัสและฟามีน สององครักษ์ของนาซีมที่ติดตามมากับขบวนรถม้าก็รีบตรงมาคุ้มกันเจ้าชาย
“อย่าบังอาจแตะต้องเจ้าชาย” ฟามีนเข้าขวางหน้านาซีมไว้
“แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านชีคทาริค ไม่ว่าใครก็ผ่านเข้าไปในกระโจมของท่านชีคไม่ได้ หากมิได้ค้นตัว!”
ชวิ้ง!
ทหารยามของทาริคชักดาบคมกริบออกจากฝักแล้วชี้ปลายแหลมมาทางเจ้าชายและสององครักษ์อย่างเอาเรื่อง ฮาบัสจึงดึงดาบของตนเองออกมาเช่นกัน
“มันผู้ใดกล้าล่วงเกินเจ้าชายนาซีม ก็ข้ามศพข้าไปก่อน”
บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปทันทีที่สองฝ่ายชักดาบออกจากฝัก นาซีมมุ่นคิ้วน้อยๆ ด้วยรู้ว่าหากเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เรื่องราวยุ่งยากคงตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้เขาเองจะไม่พอใจที่ถูกหยามเกียรติได้กระทั่งกับทหารยามเฝ้าประตู ถึงอย่างนั้นนาซีมก็ไม่อยากให้มันวุ่นวายไปมากกว่าเก่า
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากปรามคนในปกครองของตน นักรบผิวเข้มของทาริคที่เดินไปรับเขาจากรถม้าเมื่อครู่ก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“วางดาบของพวกเจ้าลงเสีย” เขาเอ่ยกับทหารยามทั้งสองโดยตรง
“แต่ท่านซีญ่า ท่านชีคสั่งไว้ว่า---“
“หากทำให้เจ้าชายมีแม้แต่รอยขีดข่วน ผู้ที่ถูกลงโทษจะกลายเป็นเจ้าสองคน”
ได้ยินดังนั้น ทั้งสองจึงเปิดทางให้นาซีมแต่โดยดี “ขอรับ”
ทว่ายังไม่ทันก้าวขาเข้าประตู ซีญ่าก็หันมาเอ่ยกับองครักษ์ของเจ้าชาย
“พวกเจ้าจงรออยู่ด้านนอก”
“ข้ามาที่นี่เพื่อดูแลความปลอดภัยให้เจ้าชาย เหตุใดต้องฟังเจ้า” ฟามีนโต้กลับ
“ด้านในมีเพียงท่านชีค ไม่มีใครทำร้ายเจ้าชายของพวกเจ้าได้”
“ก็เพราะมีชีคของพวกเจ้าอยู่ ข้าจึง---“
“พอแล้วฟามีน ฮาบัส” เป็นนาซีมเอ่ยห้าม เพราะเข้าใจว่าด้านในกำลังจะมีการทำพิธีแต่งงานภายในของเผ่าทารายา จึงไม่แปลกที่ทาริคไม่ยินยอมให้คนนอกเข้าไป “พวกเจ้าคอยอยู่ข้างนอก หากมีอะไรข้าจะเรียก”
“ขอรับเจ้าชาย”
“อยู่ข้างนอกก็อย่าก่อเรื่องล่ะ”
“ขอรับ”
แม้ไม่เต็มใจเพราะห่วงความปลอดภัยของนายเหนือหัว แต่พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง นาซีมยิ้มให้ทั้งสองน้อยๆ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในกระโจม ทิ้งให้พวกเขาคอยคุมเชิงกับทหารเดนตายข้างนอกเงียบๆ
❂ …………………………….❂
ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว แต่ภายในกระโจมใหญ่ของผู้นำเผ่าเร่ร่อนทารายากลับถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟงดงาม สว่างไสวจนสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นยังมีเสียงดนตรีจากเครื่องสายชนิดหนึ่งดังคลอเคล้า ฟังแล้วรื่นรมย์เป็นที่สุด
จนเมื่อก้าวลอดใต้ซุ้มผ้าม่านสีม่วงบางเบาที่ห้อยระย้าเข้าไปถึงห้องซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกชั้น นาซีมพบว่า แม้ที่นี่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราราวกับที่พำนักฤดูร้อนขององค์ราชา แต่ก็ไม่เห็นว่าคล้ายกับสถานที่ที่กำลังจะจัดงานวิวาห์แม้แต่น้อย
เขามองพรมถักดิ้นทองผืนงามที่ถูกนำมาเรียงต่อกันเป็นทางเดิน แจกันเสียบดอกไม้หายากกลางทะเลทราย คนโท จอกเหล้า ถาดที่เต็มไปด้วยทับทิมผลงามและพวงองุ่นเขียวสด เครื่องเรือนทุกอย่างล้วนมีสีทองอร่าม
กวาดมองนิ่งๆ จนสายตาไปหยุดอยู่ที่บุรุษผู้หนึ่ง ผู้ที่นั่งถือจอกเหล้าองุ่นอยู่บนตั่งหนังเสือโคร่ง โดยรอบกายมีโอเมก้าชายหญิงในอาภรณ์บางเบาและน้อยชิ้นปรนนิบัติพัดวีไม่ห่าง
แค่มองและไตร่ตรองให้ดี เขาก็รู้ได้ทันทีว่าในคืนนี้จะไม่มีพิธีอภิเษกอย่างที่พวกทารายาอ้างถึง จะมีก็แต่เจ้าชายที่ถูกหลอกและถูกหมิ่นเกียรติครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านชีค”
ครั้นได้ยินเสียงเรียกของซีญ่า คนบนตั่งจึงเงยหน้ามอง ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่นาซีม แล้วเอ่ย “มากันแล้วหรือ”
“ขอรับ”
“เจ้าไปพักเสียซีญ่า ย่ำรุ่งต้องนำทัพเข้าโซราห์”
“ขอรับ”
ซีญ่ารับคำก่อนเดินออกจากกระโจมโดยไม่หันมองนาซีมแม้แต่น้อย ส่วนนาซีมก็เผลอกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ท่ามกลางเสียงดนตรีที่ยังบรรเลง โอเมก้าชายหญิงเหล่านั้นก็ยังปรนนิบัติได้ดีเหมือนเก่า ทุกคนในกระโจมทำตัวปรกติราวกับไม่สนใจว่าเวลานี้ในกระโจมมีแขกคนสำคัญอยู่ด้วย จะมีก็แต่ท่านชีคของทารายาและเจ้าชายแห่งโซราห์เท่านั้นที่จ้องตากันนิ่งๆ
ครั้นทาริคเห็นนาซีมยืนเชิดหน้านิ่ง ไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว เจ้าตัวก็ส่งจอกเหล้าคืนให้โอเมก้าชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนลุกขึ้นจากตั่งเพื่อเดินมาหยุดตรงหน้านาซีม
นาซีมไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงผันตัวจากนักสู้ในสนามพนันเล็กๆ มาเป็นหัวหน้าเผ่าของชาวเร่ร่อนและสร้างกองทัพเกรียงไกรขึ้นมาได้
เพราะเพียงยืนห่างกันแค่ระยะเอื้อมมือ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความโหดเหี้ยมและความตายของคนผู้นี้ได้แล้ว ยิ่งผนวกกับรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าดุดัน กระนั้นก็แฝงไปด้วยเล่ห์ร้ายในประกายตา มองอย่างไรก็ดูคล้ายเทพแห่งสงครามไม่มีผิด
นอกจากนาซีมจะประเมินทาริคแล้ว ทาริคเองก็สำรวจเจ้าชายด้วยเหมือนกัน เขาใช้ดวงตาชั่วร้ายนั้นมองนาซีมในชุดคลุมสีน้ำเงิน ก่อนเดินวนรอบกายหนึ่งรอบ และมาหยุดตรงหน้านาซีมอีกครั้ง
“…”
อีกฝ่ายลูบคางที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้มของตนเองเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้มือกระชากเสื้อคลุมของเจ้าชายจนฉีกขาดและหล่นลงกองกับพื้นโดยที่คนสวมไม่ทันตั้งตัว ท่ามกลางสายตาของทุกคนในกระโจม
“เจ้า!”
นาซีมแทบอ้าปากค้างกับปฏิกิริยาป่าเถื่อนนั่น หากยังไม่ทันเถียง สายตาของทาริคก็มองเจ้าชายนาซีมในชุดบางเบาตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับกระตุกยิ้มพอใจและเอ่ย
“แบบนี้สิ ถึงจะเข้าท่าหน่อย”
“…”
นาซีมกำหมัดแน่นขึ้นจนเจ็บกลางฝ่ามือไปหมด พยายามระงับความโกรธจนหน้าแดงก่ำ แต่ดูเหมือนทาริคจะจงใจเมินพายุอารมณ์นั้น เพราะอีกฝ่ายยังทำย่ามใจด้วยการเชยคางนาซีมขึ้นและกวาดมองทั่วใบหน้า
“แม้ในยามโกรธา หากเจ้าชายแห่งโซราห์ก็ช่างงดงามสมคำร่ำลือ”
เพี๊ยะ!
เสียงหลังมือของทาริคถูกฟาดดังไปทั้งกระโจม พร้อมกับมือของท่านชีคสะบัดหลุดจากปลายคางของนาซีมทันที
“อย่าเอามือสกปรกของเจ้าแตะต้องข้า”
หลังจากทำการอุกอาจเช่นนั้นไป นักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงก็หยุดเล่น คนในฮาเร็มของหัวหน้าเผ่าทารายานั่งตัวแข็งทื่อในบัดดล ด้วยไม่คิดว่าจะมีผู้ใดอาจหาญกับทาริคถึงขนาดนี้ ซ้ำผู้ที่ทำก็เป็นเพียงโอเมก้าบอบบางและตัวสูงแค่อกของทาริคเท่านั้น
นาซีมเองก็สังเกตเห็นว่าประกายตาพึงพอใจของทาริคเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นโกรธา แต่มีหรือเขาจะสนใจ เพราะในเมื่อเขากล้าทำ เจ้าชายหนุ่มย่อมรู้ผลที่จะตามมาอยู่แล้ว
“เจ้าช่าง…บังอาจนัก” ทาริคเอ่ยลอดไรฟัน
“ใครกันแน่ที่บังอาจ ดูหมิ่นเกียรติของเรา”
ในคราแรกเขายอมลงให้ ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ยังยอม เพราะคิดเสมอว่าต้องอดทนเพื่อประชาชน แต่พอมาเจอเรื่องนี้กับตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความอดทนของนาซีมก็ขาดสะบั้น
“หึ เพียงเท่านี้ก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ความอดทนต่ำเหลือเกินนะเจ้าชาย” ทาริคเหยียดยิ้มหยันในที
“ใครว่าข้าทนไม่ได้” คนถูกเย้ยเชิดหน้าขึ้น และตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว
ทั้งสองสู้ตากันท่ามกลางบรรยากาศคุกกรุ่น แต่ไม่ว่าทาริคจะมองข่มอย่างไร เจ้าชายโอเมก้าก็ไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือยอมแพ้ ช่างผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเปราะบาง ไม่สู้คน จนหัวหน้าคนเถื่อนทั้งถูกใจ ทั้งอยากย่ำยีให้แปดเปื้อนและหายพยศ
คิดได้ดังนั้นทาริคจึงคว้าเข้าที่ต้นแขนแล้วออกแรงกระชากให้ร่างของนาซีมเข้ามาประชิดกาย ก่อนกระซิบ
“เช่นนั้นข้าจะรอดูว่าเจ้าจะมีความอดทนแค่ไหน…เจ้าชายนาซีม”
ทั้งที่นาซีมขืนตัวไว้ไม่ให้ตนถูกดึงไปไหนได้ง่ายๆ แต่ด้วยพละกำลังของอัลฟ่าสูงใหญ่อย่างทาริค ทำให้ยื้อยุดกันไม่นาน นาซีมก็ถูกลากไปโยนบนตั่งหนังเสือจนโอเมก้าในฮาเร็มแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
เจ้าชายหนุ่มรู้สึกเจ็บยอกที่แผ่นหลังจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา ทว่าทาริคไม่เปิดช่องว่างให้เขาโอดครวญ เพราะอีกฝ่ายรีบตามติดลงมาบนตั่งเพื่อตรึงเขาไว้ พันธนาการแขนทั้งสองข้างด้วยอุ้งมือที่แข็งแรงแน่นหนาราวกรงเล็บพญาอินทรี จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาหมายจุมพิต นาซีมจึงเบี่ยงหน้าออกให้ริมฝีปากร้ายนั่นพลาดเป้า
กระนั้น ทาริคก็ไม่สนใจ แม้พลาดริมฝีปากเชิดรั้นไป คนร้ายกาจก็ยังพรมจูบใบหน้า และซุกไซ้ลำคอกับแผ่นอกผ่านเสื้อผ้าเนื้อบางอย่างกักขฬะ
สัมผัสรุนแรงและหยาบคายนั่นทำเอานาซีมรู้สึกคลื่นเหียนจนแทบอาเจียนออกมา แต่นอกจากการกระทำต่ำช้าของทาริคแล้ว สายตาของทุกคนในกระโจมที่มองมายังตนเขาก็ยิ่งเป็นเครื่องกระตุ้นให้นาซีมทนไม่ไหว
เขารวบรวมกำลังไม่ที่รู้มาจากที่ไหนเพื่อดิ้นสุดแรง จนมือข้างหนึ่งหลุดจากการเกาะกุม จากนั้นก็รีบคว้าหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ที่สุด และฟาดลงไปยังหัวของทาริคโดยไม่หยุดคิดสักเสี้ยววินาทีเดียว
“กรี๊ด!! ท่านชีค!” เสียงนางในฮาเร็มคนหนึ่งกรีดรองเสียงดังลั่นกระโจม
ก่อนทาริคจะผละตัวออกห่างจากนาซีมทันที เจเชายจึงรีบลุกและวิ่งไปซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งให้หลังชนกระโจม
เขาหอบหายใจรัวเร็ว ทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งมองดูเชิงเทียนในมือที่มีคราบเลือดติด ก่อนเคลื่อนสายตาไปเห็นเลือดไหลรินออกมาจากใต้ผากโพกหัว และสายตาเกรี้ยวกราดราวกับมีดวงไฟลุกในดวงตาของทาริค นาซีมก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นยิ่ง
ไม่รู้ว่าเหตุใดทุกอย่างจึงดำเนินมาถึงจุดนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขากลัวก็คือ เรื่องราวหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นต่างหาก
“เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงทำร้ายท่านชีค!” โอเมก้าชายคนหนึ่งในนั้นเอ่ย
“นั่นสิ กล้าดีอย่างไร” หญิงสาวชุดแดงเพลิงที่เพิ่งกรีดร้องไปเมื่อครู่กล่าวสมทบ ก่อนเดินไปเกาะแขนทาริค “ท่านชีคเป็นอะไรมากไหมเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะเรียกทหารเข้ามาจับมันให้นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง” ทาริคเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะมองเขม็งมาที่นาซีม “ส่วนเจ้า…มานี่”
“ไม่!” นาซีมปฏิเสธ ในมือกำเชิงเทียนแน่นขึ้นไปอีก
“หากเจ้าไม่เข้ามาหาข้าดีๆ เรื่องจะไม่ได้จบแค่ข้าจับเจ้าโยนให้พวกทหารเลวในค่ายรุมขย้ำ แต่…” เจ้าคนเถื่อนเว้นไปนิด ก่อนจะยกยิ้มที่ทำให้คนมองสังหรณ์ใจไม่ดี
“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด!”
“เพราะผู้นำโซราห์พยศถึงเพียงนี้ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนในแคว้นของเจ้าจะไม่กบฏต่อข้า”
“นี่ไม่เกี่ยวกับประชาชนของข้า!”
“เหตุใดจึงไม่เกี่ยว ในเมื่อที่เจ้ามาในยามนี้ก็เพื่อวิวาห์กับข้าตามข้อตกลงมิใช่หรือ”
“แล้วไหนเล่างานวิวาห์” นาซีมถามกลับ “ที่ข้าเห็นคือเจ้าที่ผิดสัญญา ค่ายแห่งนี้ไร้ซึ่งงานวิวาห์ ซ้ำเจ้ายังหมิ่นเกียรติของข้าต่อหน้าคนพวกนี้!”
“ที่แท้ เจ้าตีหัวข้า…เพราะเจ้าอายหรอกหรือเจ้าชาย” ทาริคปาดเลือดที่ไหลลงมาจากหน้าผากอย่างไม่ไยดี
“เพราะเจ้าทำตัวตระบัดสัตย์และหยาบช้าต่างหาก” นาซีมกล่าว
“นี่คือพิธีวิวาห์ในแบบขอคนเถื่อนอย่างข้า เอาไว้ข้าได้ขึ้นเป็นราชาเมื่อไหร่ ข้าจะจัดงานให้เจ้าอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งดีหรือไม่”
นาซีมรู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นเพียงข้ออ้าง แต่แท้จริงแล้ว จุดประสงค์ของทาริคคือต้องการกดเขาให้อยู่ในจุดเดียวกับชายบำเรอคนอื่นๆ ในฮาเร็ม เพื่อต่อไปจะได้ควบคุมเขาได้ และมันก็เป็นการประกาศกลายๆ ว่านาซีมจะไม่มีสิทธิ์ในการบริหารปกครองแคว้นอีกต่อไป
“เอาเถอะ อย่างไรก็คงทำให้เจ้าพอใจไม่ได้ใช่หรือไม่เจ้าชาย ถ้าเช่นนั้นข้าจะมอบตัวเลือกให้เจ้า เป็นการไถ่โทษที่คืนนี้ข้าทำให้เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ตกพระทัย” อีกฝ่ายประชด
“อะไร”
ทั้งที่พอเดาได้อยู่แล้วว่าคงไม่มีตัวเลือกที่เข้าข้างเขา แต่ในสถานการณ์นี้ นาซีมก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ขอแค่ให้เรื่องเลวร้ายที่กำลังจะเกิดเบาบางลงบ้างก็พอ
“ข้อแรกคือ คืนนี้ข้าจะปล่อยเจ้ากลับแคว้นไป แต่ข้อตกลงของเราถือเป็นอันสิ้นสุด วันพรุ่งนี้เจ้าเตรียมรับศึกจากเราเผ่าทารายาได้เลย”
“แล้วข้อสองเล่า”
“คืนนี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่ปรนนิบัติข้าอย่างเต็มใจ แล้วรุ่งเช้าเราจะเดินทัพเข้าโซราห์ด้วยกัน ข้อตกลงทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม”
เจ้าชายนาซีมรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ที่ทาริคทำก็แค่ไม่เอาผิดที่เขาทำร้ายก็เท่านั้น แต่จุดประสงค์เดิมของอีกฝ่ายก็ยังอยู่
“ว่าอย่างไร จะเลือกทางไหนเจ้าชายนาซีม” อีกฝ่ายกอดอกมองเขาด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งโกรธนาซีมมากแท้ๆ แต่คงคิดว่าจะเอาคืนได้หลังจากนี้เป็นแน่ ดูจากแววตาชั่วร้ายนั่น
“ข้า…” เขาไม่อยากทำสักนิด แต่ถ้าไม่ทำตามสิ่งที่ตกลงกับพวกขุนนางก่อนมาที่นี่ ไม่ทำตามข้อตกลงแรกเริ่ม โซราห์คงต้องเผชิญสงครามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แม้นาซีมอยากสู้จนตัวตาย แคว้นเขายามนี้ก็ยังไม่พร้อมสำหรับสงคราม และคงไม่มีใครในแคว้นอยากตายไปพร้อมเจ้าชายโอเมก้าอย่างเขา
“ข้าเลือกข้อสอง”
“หึ” ทาริคยิ้มหยัน ราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว
“แต่ข้ามีข้อแม้”
“ข้อแม้อันใด”
“ในกระโจมนี้ จะเหลือเพียงเจ้าและข้า”
“ที่แท้เจ้าก็ขี้อายจริงๆ สินะเจ้าชายตัวน้อย” ทาริคว่าก่อนโบกมือไล่ทุกคนออกไปจากกระโจม แม้มีบางคนไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องไปเมื่อเป็นคำสั่งของนายเหนือหัว
กระทั่งทุกคนออกไปจนหมด ทาริคก็เดินมานั่งที่ตั่งและกวักมือเรียกนาซีมราวกับสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ
“มานี่สิ”
“…” นาซีมสูดหายใจเข้าลึก แล้วก้าวขาสั่นเทาออกไปทีละก้าว
“เดี๋ยว”
“อะไร”
“อย่าลืมทิ้งอาวุธของเจ้าเสีย”
ครั้นได้ยิน นาซีมก็มองเชิงเทียนที่เขาเผลอกำติดมือเอาไว้ เจ้าชายตัดใจปล่อยมันทิ้งข้างตัว ก่อนจะเดินต่อไปจนหยุดตรงหน้าร่างสูงใหญ่
ทาริคไม่รอให้นาซีมอิดออดอีกต่อไป เขาดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามานั่งลงบนตัก ใช้มือหนึ่งโอบประคองหลัง ส่วนอีกมือก็ลูบบนลำคอที่มีปลอกคอประจำกายสวมอยู่ ซึ่งเป็นดังเครื่องป้องกันไม่ให้อัลฟ่าตนไหนทำสัญลักษณ์บนตัวเจ้าชายได้
นาซีมกำหมัดแน่น เขาใช้พลังที่เหลือไปกับการบังคับไม่ให้ตนเองต่อต้านหรือปฏิเสธสัมผัสจากคนเถื่อน แต่ทุกครั้งที่ปลายนิ้วหยาบกระด้างสัมผัสลงบนลำคอ นาซีมก็ขนลุกขนชันจนอยากอาเจียนออกมา
และเกินกว่าเขาจะควบคุม เจ้าชายรู้สึกพ่ายแพ้ อัปยศอดสูจนหลั่งน้ำตาออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
เขาร้องไห้ทั้งที่ไม่อยากร้องเลยสักนิด…
“ที่แท้…ดวงตาของสายเลือดผู้ปกครองแห่งโซราห์ ที่ผู้คนกล่าวถึงทั่วทั้งซาเรียก็เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ”
โซราห์คือนครแห่งรุ่งอรุณ เป็นแคว้นอุดมสมบูรณ์ที่สุดในดินแดนทะเลทราย ว่ากันว่าผู้ที่จะปกครองโซราห์ได้นั้น ต้องเป็นสายเลือดกษัตริย์เดิมผู้ก่อตั้ง เชื้อสายราชาจะต้องมีดวงตาสีไพลินเป็นดั่งมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไพลินที่จะเผยโฉมเมื่อได้สัมผัสกับน้ำตา
ความเชื่อนี้อยู่คู่กับแคว้นโซราห์มาพร้อมๆ กับความเชื่อฝั่งรากลึกเกี่ยวกับหน้าที่ของอัลฟ่าและโอเมก้า
นี่จึงเป็นความย้อนแย้งที่ใครๆ ในแคว้นจะปัดซีมลงจากตำแหน่งไม่ได้ เพราะนาซีมเป็นสายเลือกกษัตริย์เพียงคนเดียวได้รับมรดกทางพันธุกรรมมาต่อจากราชาราฮิม แต่ที่ทุกคนรั้งรอ เพราะไม่เคยมีราชาคนไหนเป็นโอเมก้ามาก่อน
ทาริคผู้ที่เข้ามาในช่วงบ้านเมืองสับสนอลม่านจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนาซีมอย่างพอใจ เมื่อได้เห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลใสเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับไพลินบนจี้กลางปลอกคอเมื่อนาซีมร้องไห้
ครั้นเห็นว่าถูกจ้องมอง นาซีมจึงหลับตาลง เขาไม่อยากให้ใครเห็นดวงตาที่มาพร้อมความอ่อนแอ โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นคือศัตรู
“หึๆ ในเมื่อราชินีข้าไม่ต้องการให้เห็นดวงตาสวยๆ แล้ว เช่นนั้นเราก็มาทำเรื่องที่สมควรทำกันเถอะ”
มือหยาบค่อยๆ ลากไล้ไต่จากไหปลาร้าไปที่หลังกกหู ก่อนจะเลื่อนลงไปยังท้ายทอย แล้วจึงค่อยๆ ปลดล็อคปลอกคอออกจากลำคอสีน้ำผึ้ง
นาซีมหลับตานิ่ง ไม่นานนักจึงรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดซอกคอ เขากลั้นใจ อยากให้ทุกอย่างเป็นกลายความฝันเพียงแค่คิดว่าเมื่อถูกทำสัญลักษณ์ ร่างกายนี้จะเป็นของทาริคตลอดกาล
แต่แล้วในช่วงเวลาเสี้ยวหนึ่งลมหายใจ เสียงกรีดร้องจากนอกกระโจมก็หยุดทุกการกระทำของทาริคเอาไว้
“กรี๊ด!!!”
บรึ้ม!!!
เมื่อเสียงกรี๊ดคราแรกผ่านพ้นไป ต่อมาก็มีเสียงดังสนั่นคล้ายสายฟ้าฟาดลงมากลางค่าย เสียงผู้คนโหวกเหวกโวยวาย และสิ่งที่ทำให้ทาริคผลักนาซีมไปข้างๆ ก่อนลุกขึ้นจากตั่ง ก็คือพวกเขาได้กลิ่นควันไฟเข้ามาในกระโจม
“เจ้าทำอะไรนาซีม!” ทาริคหันมองเจ้าชายอย่างมาดร้าย แต่นอกจากไม่ได้คำตอบแล้ว ยังพบเพียงความงงงวยในดวงตาสีไพลิน
“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ หากนี่เป็นฝีมือเจ้า เราจะได้เห็นดีกันแน่นอนเจ้าชาย” ว่าจบทาริคก็คว้าดาบที่แขวนไว้ที่ฝั่งหนึ่งของกระโจม ก่อนเร่งรุดจากไป
นาซีมที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรไม่ต่างจากทาริค รีบลุกขึ้นจากตั่งและวิ่งผ่านซุ้มผ้าม่านออกไปเพื่อเรียกองครักษ์ของตน ทว่ายังไม่ทันก้าวออกจากกระโจม นาซีมก็ถูกร่างของทหารยามหน้ากระโจมกระแทกจนล้ม เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าชายจึงพบว่าทหารนายนั้นสิ้นใจจมกองเลือดอยู่ที่ปลายเท้า กลางลำตัวเป็นแผลขนาดใหญ่พาดผ่านจนร่างเกือบแยกเป็นสองท่อน
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าการจู่โจมนี้เป็นฝีมือใคร แต่รู้ได้ทันทีว่าเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นจักต้องนำมาซึ่งความยุ่งยากแก่เขาอย่างแน่นอน นาซีมจึงรีบลุกขึ้นและออกไปด้านนอก
นอกกระโจมใหญ่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจริงๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเป็นเครื่องยืนยันประจักษ์ชัด ด้วยทั่วทั้งค่ายมีไฟลุกโหมหลายจุด กลุ่มทหารของเผ่าเร่ร่อนเข้าโรมรันกับกองกำลังบนหลังม้าที่สวมชุดดำสนิทไม่ทราบฝ่าย ไม่ไกลจากที่ที่นาซีมยืนอยู่ เขาเห็นทาริคกำลังต่อสู้ติดพันกับบุรุษชุดคลุมดำคนหนึ่ง
“ฮาบัส! ฟามีน!”
นาซีมพยายามมองหาองครักษ์ของตน แต่ก็ไม่รู้ทั้งสองไปอยู่แห่งหนใด
ในขณะที่กำลังคิดอ่านว่าควรทำอย่างไรต่อไป บุรุษชุดดำบนหลังม้าที่เพิ่งโรมรันกับทาริคจนหัวหน้าคนเถื่อนล่าถอยก็หันมาทางเขา ก่อนจะควบม้าตรงเข้ามา
เมื่อบุรุษปริศนาผู้มากับดาบสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์หยุดลงตรงหน้า นาซีมก็ได้กลิ่นหอมประหลาดที่ลมทะเลทรายยามค่ำคืนหอบพัดเอามานอกเหนือจากกลิ่นควันไฟ เขาเงยหน้ามองเจ้าของรูปร่างองอาจบนหลังม้า เห็นเพียงดวงตาสีมรกตดุจดาวเหนือใต้ผ้าคลุมหน้าที่กลืนไปกับท้องฟ้ายามราตรี
สรรพสิ่งรอบกายคล้ายเลือนหายไปโดยพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายนาซีมรู้สึกละม้ายกำลังตกอยู่ในห้วงฝันทั้งที่ยังมิได้นิทรา
…หากเสียงแรกที่กระทบโสตประสาท ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ ก็คือเสียงของบุรุษในอาภรณ์สีดำอีกเช่นกัน
“
มากับข้า
” ชายคนนั้นเอ่ยพร้อมกับยื่นมือให้เขา
และเร็วกว่าความคิด ราวกับมันคือสัญชาตญาณที่ถูกฝังในความนึกคิด นาซีมยื่นมือออกไป วางมันลงบนมือใหญ่นั้น ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองถูกฉุดขึ้นไปบนหลังม้า และเขาก็ถูกพาฝ่าวงล้อมของทหาร เปลวเพลิง…หายตัวไปในรัตติกาล
❂ …………………………….❂
ใครคนนั้นคือใครน้า
ชายปริศนาที่มาทำให้เจ้าชายน้อยหัวใจเต้นโดกิ โดกิ 5555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ฝนเห็นคอมเม้นแล้วชื่นใจ ตอนแรก
คิดว่าจะไม่ค่อยมีคนอ่านซะแล้ว
ตอนหน้าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะมาลงให้เร็วขึ้นค่ะ
เป้าหมายคือไม่ใช่นิยายรายเดือน!!!
ฝากติดตามด้วยนะคะ
ละอองฝน.