บทที่ 9 ระบำใต้แสงดาว 2
“เพลงที่ข้าจะใช้ต้องเป็นระบำพันราตรีเท่านั้น”
หลังจากนาซีมประกาศออกไป ผู้คนในกองคาราวานก็เงียบเสียงลง แต่เจ้าชายไม่สนใจสถานการณ์รอบข้าง เพราะเขาพยายามนึกย้อนไปถึงเมื่อเยาว์วัย ค้นหาเศษเสี้ยวความทรงจำครั้งติดตามมารดาเพื่อเข้าไปยังตำหนักส่วนพระองค์
นาซีมจำได้ว่ามีปีหนึ่ง ก่อนงานเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบรอบสิบสองปีของท่านพ่อ มารดาของเขาได้มอบของขวัญให้ท่านพ่อเป็นการแสดงระบำชุดหนึ่ง ซึ่งพระองค์ร่ายรำด้วยตนเอง
การแสดงนั้นถูกเรียกว่าระบำพันราตรี
นาซีมไม่รู้เหตุใดต้องเป็นระบำพันราตรี ไม่รู้ว่ามันมีความหมายอย่างไร แต่เขาจำได้ว่ามันงดงาม อ่อนช้อย แต่ขณะเดียวกันก็ทรงพลังเสียจนไม่อาจละสายตา
แม้เวลานั้นนาซีมยังเล็กนัก แต่ก็จดจำท่วงท่าเริงระบำแสนอัศจรรย์ได้ขึ้นใจ ด้วยเห็นมารดาซักซ้อมทุกวัน ดังนั้นเจ้าชายจึงตัดสินใจเลือกด้วยเหตุผลประการเดียว เพราะมันคือบทเพลงที่เขาคุ้นเคยและเป็นเพลงเดียวที่ตนน่าจะพอเต้นได้!
เจ้าชายลอบกลืนน้ำลาย พยายามไม่ประหม่าเพราะกลัวถูกจับได้ว่าไม่ใช่นักเต้นเหมือนที่กล่าวอ้าง เขากลัวว่าหากมีพิรุธในเรื่องนี้ ผู้คนจะพากันสงสัยเรื่องอื่นๆ ตามไปด้วย และคนที่เดือดร้อนคงไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว นาซีมคิด ก่อนจะเหลือบมองอันวาที่อยู่ข้างกาย
เด็กหนุ่มมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน แต่แววตาที่มองมานั้นกระวนกระวายเสียจนปิดไม่มิด คงกลัวว่าเขาจะทำแผนพังไม่เป็นท่าแน่ๆ เมื่อเห็นว่ามีคนกังวลเป็นเพื่อน นาซีมจึงค่อยๆ ระบายลมหายใจและผ่อนคลายขึ้น
“ว่าอย่างไร เป็นเพลงนี้ได้หรือไม่ซาลาม” เจ้าชายเอ่ยกับนักเต้นระบำผู้เป็นคนต้นคิดที่จะท้าทายเขา
“ได้สิ” ซาลามรับคำ แต่คิ้วโก่งขมวดนิดๆ ขณะสั่งให้นักดนตรีบรรเลงเพลงพันราตรี ก่อนจะบ่นกับตนเองเบาๆ ในตอนท้าย “พวกเจ้าช่วยเล่นให้เขาหน่อย...ให้ตายเถอะ เลือกเพลงยากเสียด้วย”
แม้อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจให้นาซีมได้ยินประโยคหลัง แต่อยู่ใกล้กันเพียงนี้ เจ้าชายย่อมได้ยิน และเมื่อล่วงรู้ว่าสำหรับนักเต้นทั่วไปเพลงนี้ถือว่ายากอย่างยิ่ง คนที่ไม่เคยฝึกหัดและเรียนรู้อย่างจริงจังจึงได้แต่ลอบเหงื่อตก
ไม่ใช่เขาเลือกมาฆ่าตัวเองหรอกนะ...
เมื่อคิดได้ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เพราะผู้คนในกองคาราวานที่สนับสนุนให้เขาเต้นระบำแข่งกับซาลามค่อยๆ ถอยหลังออกไป เหลือพื้นที่เป็นวงกว้างข้างสระน้ำใสใกล้กับกองไฟให้นาซีมเพียงคนเดียว
นาซีมหันมองซ้ายขวา ยิ่งมีที่มาก ความประหม่ายิ่งทวีขึ้น กระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่ดวงตาสีมรกตคู่หนึ่งซึ่งกำลังจ้องมองเขาจากที่ไกลๆ จู่ๆ หัวใจที่กลับมาเต้นกระหน่ำเพราะความตื่นเต้นเข้าจู่โจมก็สงบลงอีกครั้ง
...ซ้ำมันยังสงบลงมากกว่าตอนที่หันไปพบอันวาอีกด้วย
มองจากมุมนี้ ผ่านเปลวไฟไปยังคนคนนั้น นาซีมรู้สึกคล้ายเห็นบางอย่างแผ่ออกมาจากคาริฟ และมันทำให้เขาสบายใจ ซ้ำยังมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
บางทีนั่นอาจเป็นพลังที่อัลฟ่าสร้าง หรือไม่ก็เป็นอะไรที่เขาคิดขึ้นเอง แต่อย่างไรเสียการได้จ้องตากับอีกฝ่ายก็ทำให้นาซีมเริ่มกลับมามีสมาธิ ชายหนุ่มจึงยิ้มบางๆ กลับไปให้ และหันมาสนใจตัวเอง
“เจ้าพร้อมหรือไม่ หากพร้อมก็ส่งสัญญาณเสียที นักดนตรีจะได้เริ่มบรรเลง”
“ข้า...” นาซีมเงยหน้ามองท้องฟ้า คิดในใจว่าขอให้มารดาส่งพลังใจให้เขาจากบนนั้น แล้วจึงเอ่ย “ข้าพร้อม”
ทันทีที่เขาเอ่ย ทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบเสียงลง นาซีมได้ยินเสียงกองไฟแตกปะทุอีกครั้ง แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว เสียงเครื่องเป่า เครื่องเคาะ และเครื่องสายก็เริ่มบรรเลงทำนองที่นาซีมไม่ได้ยินมานานปี
เจ้าชายหลับตาลง ก่อนเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายไปตามภาพในห้วงอดีต ทีแรกการเคลื่อนไหวของเขาค่อนข้างติดขัด แต่เมื่อผ่านไปท่อนหนึ่ง ภาพความทรงจำก็ค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามา ทั้งจังหวะร่างกาย เสียงดนตรี ต่างสอดคล้องและเป็นไปอย่างราบรื่น ราวกับท่วงท่าเหล่านี้แฝงในร่างกายของเขาอยู่แล้ว
เมื่อมีความกล้านาซีมก็ลืมตาขึ้น ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง ตัดคนรอบกายทิ้งไป เสมือนโลกที่ยืนอยู่ตอนนี้ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่แล้ว
ในผืนน้ำที่สะท้อนแสงดาว เขาเห็นมารดาอยู่ตรงนั้น กำลังเริงระบำอย่างอ่อนช้อยและงดงามเกินคำบรรยาย แต่เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง ภาพของพระนางอาลียากลับสะท้อนเป็นภาพตัวเขาเอง
ดวงใจของนาซีมร่วงหล่นลงสู่ความคิดถึง แต่ก็ยังบังคับให้ตนเองเต้นต่อไปจนท่อนสุดท้าย เขาจึงหยุดเคลื่อนไหวพร้อมๆ กับเสียงเพลง
แผ่นอกของนาซีมสะท้อนขึ้นลงเพราะออกแรงมาก เขาไม่รู้มาก่อนว่าแค่เต้นระบำหนึ่งบทเพลงจะเหนื่อยถึงเพียงนี้ เจ้าชายยืนหอบอยู่ครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นผู้คนรอบข้างอีกครั้ง
ยามนี้ทุกคนต่างมองเขาเป็นตาเดียว บางคนอ้าปากค้างราวกับพบเรื่องน่าเหลือเชื่อ นาซีมเก็บมือเก็บแขนและกลับมายืนตรงตามปรกติ ทั้งที่เมื่อครู่ยังรู้สึกดีที่เต้นถูไถจนผ่านไปได้ หากไม่คิดว่ากลับต้องมาประหม่าอีกครั้งเพราะสายตาของผู้คน
นาซีมจึงหันไปหาผู้ที่ออกปากท้าทายเขา
“เป็นอย่างไรบ้าง...ซาลาม”
“จะ...เจ้า” ซาลามหน้าแดงก่ำ อ้าปากพะงาบๆ จะพูดก็เหมือนพูดไม่ออก
“ว่าอย่างไร”
“บ้าจริง!” อีกฝ่ายผรุสวาทออกมาคำหนึ่ง “หากเจ้าเต้นได้ดีถึงเพียงนี้ก็ไม่ควรทำท่าทางไม่มั่นใจสิ แล้วเจ้าก็น่าจะเตือนข้าบ้างนะอาลี”
“หะ...หา? !”
“ยังมาทำหน้าตกใจ เจ้าคิดจะทำให้ข้าขายหน้ารึ!”
“ข้ามิได้คิดเช่นนั้น” นาซีมรีบปฏิเสธ
“มานี่เลย” เจ้าตัวว่าอย่างนั้น ก่อนจะรีบรุดมาหานาซีมเสียเอง แล้วประกาศ “ต่อจากนี้เขามิใช่คู่แข่ง แต่เป็นสหายข้า! หากใครรังแกเขาล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่”
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครทำอันใดเขา มีแต่เจ้าคนเดียวนั่นแหละที่อยากแกล้งอาลี” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะ
“อะไรกันเล่า ข้าแค่ต้องการทดสอบเขาเล็กน้อยเท่านั้นเอง ว่าเขาคู่ควรจะอยู่ในกองคาราวานของพวกเราหรือไม่” ซาลามแหว ก่อนจะคว้าเอาแก้วที่เติมเหล้าหมักจนเต็มยื่นให้นาซีมแก้วหนึ่ง “นี่ของเจ้า”
“หืม?” นาซีมรับแก้วมาถืออย่างช่วยไม่ได้
“ข้าชื่นชมคนเก่งเช่นเจ้า และนี่ข้าดื่มให้ระบำพันราตรีของเจ้า” เจ้าตัวว่าก่อนยกแก้วในมือขึ้นดื่มรวดเดียว จากนั้นจึงเทอีกแก้วก่อนหันมาหานาซีมอีกครั้ง “มาเถอะ ดื่มให้แก่มิตรภาพของพวกเรา”
นาซีมรู้ว่าตนเองปฏิเสธไม่ได้ จึงยอมดื่มเหล้าหมักที่มีรสฝาดปนหวานปะแล่มเข้าไปเกือบครึ่งแก้ว
“ดื่มให้เจ้าเช่นกัน”
“อะไรกันน่ะพวกเจ้า เมื่อครู่ยังจ้องจะเป็นศัตรูกันอยู่แท้ๆ” อันวาเข้ามาคว้าแขนนาซีมกลับ “เจ้าก็ด้วย อย่าดื่มไปเรื่อยสิ หากเมามายขึ้นมาล่ะก็...” เด็กหนุ่มกระซิบประโยคสุดท้ายให้นาซีมได้ยินคนเดียว “ระวังเขาจะมาเอาเรื่องไม่รู้ด้วย ดูสิว่ายืนทำตาเขียวปั๊ดใส่พวกเจ้าขนาดไหน”
นาซีมมองไปทางที่อันวาบุ้ยใบ้ แล้วเขาก็พบเจ้าของดวงตาเขียวปั๊ดที่อันวาว่า แต่นาซีมคิดว่าแม้มันจะดูดุดันขึ้น หากก็ไม่ได้น่ากลัวดังคำกล่าวอ้าง
กลับกัน เจ้าชายรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาราวต้องการจะแผดเผาเขาให้มอดไหม้เสียมากกว่า...
ดังนั้นนาซีมจ้องเขาได้ไม่นานก็หลบตา และดึงความสนใจไปยังผู้ที่อยู่รอบกายแทน เดิมทีเขาไม่คิดว่าหลังระบำพันราตรีจบ ตนจะได้รับผลตอบรับเช่นนี้ แต่มันก็คงดีกว่าทุกคนไม่ยอมรับเขา เจ้าชายจึงยิ้มแย้มให้กับชาวคาราวาน และดื่มกับใครก็ตามที่เข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตรโดยไม่ถือว่าแท้จริงแล้วตัวตนของเขามีฐานะเช่นไร
หลังจากนาซีมระบำพันราตรีเสร็จ ชาวคาราวานก็ผลัดกันออกมาร้องรำทำเพลงรอบกองไฟ บ้างถูกท้าทาย บ้างออกมาแสดงเพราะความต้องการของตนเอง แต่อย่างไรเสีย พวกเขาทุกคนก็สนุกสนานกันมาก
กระทั่งดื่มกินได้ที่ แม่เฒ่าประจำกองคาราวานมีนามว่ายาฮี ก็เดินจากกระโจมของจาเร็ดมานั่งข้างกองไฟ และดูเหมือนนี่คือสิ่งที่ทุกคนรอคอย เพราะทันทีที่นางเดินมา ใครๆ ต่างก็แหวกทางเว้นที่ให้
“นี่คือแม่เฒ่ายาฮี คนที่ข้าอยากให้เจ้าได้พบ” อันวาลอบกระซิบให้นาซีมฟัง
“นางคือใคร”
“นางเป็นนักเล่านิทานประจำกองคาราวานของจาเร็ด”
“นักเล่านิทานหรือ” นาซีมทวนอย่างแปลกใจ
“ใช่แล้ว” อันวายืนยัน “นิทานของนางวิเศษมาก บางครานางจะเล่าถึงเรื่องราวมากมายที่เคยประสบในดินแดนซาร์เรีย ยามพวกเรามีงานเลี้ยง ข้าจะรอคอยให้ถึงช่วงเวลานี้เสมอ”
“ข้าชักอยากฟังนิทานของนางแล้วสิ” นาซีมว่า
“เจ้าชอบนิทานหรือไม่” อันวาถาม
“ข้าชอบมาก” เจ้าชายตอบตามจริง เพราะเขาจำได้ดีว่าเมื่อเยาว์วัยเคยรบเร้าให้มารดาเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกราตรี
“ข้าก็เช่นกัน”
ทั้งสองลอบคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนเงียบเสียงลงเมื่อแม่เฒ่ายาฮีเข้ามานั่งบนตำแหน่งที่ว่างข้างกองไฟ ใกล้กับตำแหน่งที่นาซีมนั่งอยู่
มองจากมุมนี้ นาซีมสามารถมองเห็นใบหน้าของหญิงชราได้อย่างชัดเจน ใบหน้าของนางมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากมาย แต่เส้นสายและรอยกดลึกเหล่านั้นไม่สามารถบดบังดวงตากระจ่างใสของแม่เฒ่ายาฮีได้เลย ยิ่งน้ำเสียงยามเมื่อค่อยๆ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ องค์ประกอบทั้งหมดล้วนทำให้ผู้คนจมดิ่งไปกับเรื่องเล่าได้อย่างง่ายดาย
เจ้าชายคิดว่ามารดาของตนเป็นนักเล่านิทานที่ดีที่สุดในโลก แต่เมื่อได้พบแม่เฒ่ายาฮ๊ เขาต้องยอมรับว่าหญิงชราผู้นี้มีทักษะเหนือขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
เรื่องที่นางเล่าให้ฟังในค่ำคืนนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับระบำพันราตรีที่นาซีมได้ร่ายรำไปเมื่อครู่ นั่นยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้เจ้าชายมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้เลยว่า ระบำพันราตรีเป็นการร่ายรำเพื่อบูชาเทพเจ้า และถือกำเนิดขึ้นก่อนโลกเก่าจะล่มสลาย ซึ่งผู้ที่ริเริ่มก็คือหญิงตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง
“นางร่ายรำเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าผู้พิโรธบนฟากฟ้า เป็นเวลากว่าหนึ่งพันราตรีก่อนนางจะสิ้นใจ ทว่าหลังจากการเปลี่ยนแปลงของโลกสงบลง แผ่นดินผืนใหญ่ก็ยังคงอยู่ตามคำอธิษฐานของนาง มิได้สลายไปสิ้น ตามคำทำนายของโลกก่อน”
“มีผู้ใดรู้นามของนางหรือไม่แม่เฒ่า” ใครคนหนึ่งถามขึ้น
แม่เฒ่ายาฮียิ้มจนมองเห็นรอยหยักโค้งที่ปลายหางตาได้อย่างชัดเจน
“ย่อมมีอย่างแน่นอน”
“นางมีนามว่าอะไร”
“ซาร์เรีย” นางเอ่ยท่ามกลางความเงียบงัน “เทพีผู้พิทักษ์ผืนดินแห่งสุดท้ายที่เทพเจ้าประทานให้แก่มนุษย์”
หลังจากนั้นนาซีมก็ได้รู้อีกว่า การร่ายรำนี้นอกจากจะเป็นการบวงสรวงต่อเทพเจ้าแล้ว ยังเป็นเครื่องเคารพแด่เทพีซาร์เรียด้วย
หลายๆ คนไม่เคยได้ยินประวัติเช่นนี้มาก่อน นาซีมเองก็เช่นกัน แต่มีหลายคนที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น ซาลาม เพราะหัดร่ายรำเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร้องให้แม่เฒ่าเล่าเรื่องอื่นอีก เพราะไม่อยากให้งานเลี้ยงในราตรีนี้สิ้นสุดเร็วเกินไป
“ท่านแม่เฒ่า”
“ว่าอย่างไรฮัฟนาน” ยาฮีหันไปหานักแสดงชายในคณะละครเร่ผู้มีผมสีน้ำตาลแดงและใบหน้าตกกระ
“แล้วท่านเคยได้ยินเรื่องของผู้ทำนายหรือไม่”
“ผู้ทำนายหรือ”
“ถูกแล้ว” ฮัฟนานหยักหน้ารับ ก่อนขยายความต่อ “ก่อนออกจากเมืองโฮมา ข้าได้ยินชาวเมืองพูดกันว่า ราชาองค์ใหม่ของแคว้นโซราห์กำลังสั่งให้คนตามหาผู้ทำนายที่สามารถมองเห็นอนาคตได้”
“จริงสิ ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าราชาองค์ใหม่จะตกรางวัลอย่างงามให้แก่ผู้ที่ตามหานักทำนายพบ” ซินกล่าวสมทบ
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ซาลามถาม “ข้ามิเห็นเคยได้ยินมาก่อน”
“มีสิ พวกชาวเมืองบอกว่าประกาศนั้นถูกติดไปทั่วโฮมา เพราะราชาของแคว้นโซราห์ขอให้ราชาแห่งโฮมาช่วยเหลือ แต่พวกเขาคิดว่าหากราชาของโฮมาหาผู้ทำนายพบก่อน เขาคงไม่ส่งตัวไปให้ราชาแห่งโซราห์ เพราะว่ากันว่า หากผู้ทำนายคนนั้นยืนข้างผู้ใดแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นจะได้ครองดินแดนทั้งซาร์เรีย”
“แล้วผู้ทำนายที่เขาตามหากัน มีลักษณะพิเศษใดโดดเด่นหรือไม่” แม่เฒ่ายาฮีเอ่ยถามเป็นประโยคแรก
“ดวงตาของผู้ทำนายสามารถเปลี่ยนสีได้”
ฟังถึงตรงนี้เจ้าชายนาซีมก็หยัดหลังเหยียดตรงขึ้น ไม่ต้องฟังซ้ำอีกรอบ เขาก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันที
หากเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ นี่ต้องเป็นแผนการของทาริคเพื่อจับตัวตัวนาซีมกลับไปยังโซราห์แน่นอน!
แต่ที่นาซีมไม่เข้าใจก็คือ ไยต้องแสร้งว่าให้ควานหาผู้ทำนาย แทนที่จะสั่งคนตามจับเจ้าชายที่หายไปเพื่อไปรับโทษทัณฑ์ เหตุใดเจ้าคนเถื่อนต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากซับซ้อนเช่นนี้ นาซีมพยายามคิดตาม แต่คิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจเหตุผลของทาริคอยู่ดี
ทุกคนในกองคาราวานของคณะละครเร่ยังคงพูดคุยกันอยู่เรื่อยๆ แม่เฒ่าเองก็เล่าเรื่องผู้ทำนายที่ตนเองเคยได้ยินมาให้ทุกคนได้ฟังเล็กน้อย แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่เข้าหูนาซีมแม้แต่น้อย เพราะเขากำลังเอาใจจดจ่ออยู่กับความคิดของตนเอง
กระทั่งกองไฟเริ่มมอดลงชาวคาราวานค่อยๆ กลับไปพักที่กระโจมของตนทีละคนสองคน จนในที่สุดผู้คนที่นั่งอยู่บริเวณรอบกองไฟก็เริ่มบางตา อันวาจึงสะกิดให้เจ้าชายแห่งโซราห์รู้ตัว และชวนกลับไปพักเพื่อเตรียมเดินทางเข้าเอมาลีในวันรุ่งขึ้น
นาซีมบอกลาซินและซาลามเงียบๆ ก่อนจะเดินใจลอยตามอันวาไปจนถึงที่พำนัก อันวาเองก็คงสังเกตเห็นว่าเจ้าชายดูเหม่อลอยคล้ายมีเรื่องให้ขบคิด ซ้ำใบหน้ายังแสดงออกว่าไม่อยากสนทนากันใคร เจ้าตัวจึงไม่กล้าปริปากกวนใจนาซีมแม้สักครึ่งประโยค
นาซีมเองก็ไม่พร้อมพูดคุยเช่นกัน หลังมาถึงที่พักเขาถอดเสื้อคลุมและมุดเข้ากระโจมทันที แม้ว่าเข้าไปแล้วจะทำได้แค่นอนลืมตาโพลงในความมืดเท่านั้น
เดิมทีนาซีมไม่ได้ให้ความสนใจในตัวอันวานัก จนเมื่อผ่านไปพักใหญ่เด็กหนุ่มก็มุดตามเข้ามาและบอกบางอย่างกับเขา
“ข้าต้องไปที่กระโจมของจาเร็ด”
“มีเรื่องใดหรือ”
“ข้าไม่รู้ แต่เขาให้คนมาตามข้าไปพบอีกแล้ว” ใบหน้าของอันวาไม่สู้ดีนัก ทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ
“บางทีอาจจะมีเรื่องอะไรสักอย่างให้เจ้าช่วย”
“คงเป็นเช่นนั้น” อันวาตอบ ก่อนจะบ่น “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งกองคาราวานนี้มีเพียงข้าคนเดียวหรือที่เขาต้องการเรียกใช้”
“เขาคงไม่ตั้งใจใช้งานเจ้าหนักหนา แต่บางทีอาจมีโอเมก้าฮีทอีกก็เป็นได้” นาซีมละเรื่องน่าปวดหัวที่คิดไม่ตก เพื่อมาสนใจเด็กหนุ่มหน้าทะเล้นที่ตอนนี้แม้แต่ยิ้มก็ยังยิ้มไม่ออก
“หวังว่าเขาจะมีเหตุผลจำเป็นจริงๆ”
“ให้ข้าไปด้วยดีหรือไม่”
“ไม่ต้องๆ” อันวารีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ เพราะอย่างไรเขาก็รู้สถานะของนาซีมดี แล้วเช่นนี้ใครจะกล้าใช้งานเจ้าชายได้เล่า
“ไม่ให้ข้าไปด้วยจริงหรือ”
“ไม่ต้องไปหรอก เมื่อครู่เจ้าดื่มไปมาก เจ้าคงไม่ชินกับเหล้าหมัก ข้ากลัวว่าพรุ่งนี้เจ้าจะเพลียจนไม่อยากตื่นเดินทาง เจ้าพักผ่อนเถอะ”
“ขอบใจเจ้ามาก อันวา”
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าไปก่อน แล้วจะรีบกลับมา” เด็กหนุ่มว่า ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “แม้จะอยู่คนเดียว แต่เจ้าไม่ต้องกลัว อีกเดียวคาริฟคงกลับมาแล้วล่ะ”
นึกถึงคนที่อันวาเอ่ย นาซีมก็เงียบไปพักหนึ่ง เขาคิดว่าบางทีบุรุษผู้นั้นอาจรู้เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ของโซราห์ตอนนี้บ้าง นาซีมจึงรอให้อันวาจากไปก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นนั่งในกระโจมเพื่อคอยใครอีกคนที่คาดว่าจะกลับมาเข้าในไม่ช้า
ทว่ารอแล้วรอเล่า เจ้าชายก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่เขาเฝ้าคอย ความร้อนรนจึงดลใจให้เขาลุกออกไปจากกระโจมเพื่อตามหาคนคนนั้น
❂ …………………………….❂
ลมทะเลทรายยามราตรีหนาวเย็นเช่นนี้เสมอ หลายจุดมีคบไฟให้ความสว่าง แต่อีกหลายจุดก็มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิด นาซีมจัดผ้าคลุมสีแดงเพลิงให้กระชับกาย สายตาสอดส่ายไปโดยรอบ แม้จะเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่มาก แต่กลางดึกสงัดเช่นนี้ ทั่วทั้งโอเอซิสอาไมร่าก็ชวนให้รู้สึกวังเวงอย่างไรบอกไม่ถูก
ในทีแรกเขาตั้งใจเดินไปที่กระโจมของหัวหน้าคณะละครเร่ เพราะคิดว่าคาริฟอยู่ที่นั่น แต่นาซีมก็ต้องหยุดฝีเท้า เพราะได้ยินเสียงดนตรีทุ้มเบาลอยตามลมมา
มันเป็นบทเพลงพันราตรีไม่ผิดแน่ เพียงแต่เมื่อเป่าอย่างเนิบช้า และออกมาจากเครื่องเป่าเสียงทุ้มเช่นนั้น ช่างฟังดูเศร้าจนน่าใจหาย
โดยไม่คาดไว้ก่อนและไม่รู้สิ่งใดดลใจ เจ้าชายนาซีมจึงหาเรื่องใส่ตัวด้วยการเปลี่ยนความตั้งใจแล้วมุ่งตรงไปยังทิศทางอันเป็นสถานที่กำเนิดเสียง
ทุกย่างก้าวที่ใกล้เข้าไปผ่านแมกไม้ทั้งต่ำเตี้ยและสูงใหญ่ กระทั่งลัดเลาะไปอึดใจหนึ่ง นาซีมกลับได้พบบุคคลที่เขาตามหา และไม่คิดว่าจะได้พบที่นี่ บนโขดหิน ใต้ต้นอินทผลัมสูง ริมสระน้ำใสสะอาด
และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงการมาของเขาเช่นกัน เปลือกตาสีอ่อนจึงเปิดขึ้น ก่อนลูกแก้วมรกตงดงามจะค่อยๆ เคลื่อนมาจับยังร่างของนาซีม
ในแววตานั้นมีความประหลาดใจฉายผ่านครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม ที่เคยคิดว่าตนเองประหม่าเสมอยามถูกดวงตาคู่นี้จ้องมอง จนบัดนี้นาซีมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่อาลี” เสียงทุ้มเอ่ยชื่อปลอมๆ ของเขาอย่างไม่ติดขัด แม้ที่นี่จะห่างไกลและมีเพียงพวกเขาสองคนก็ตาม
“...” นาซีมยืนนิ่ง เขาเหมือนถูกกลิ่นอายประหลาดที่บุรุษผู้นี้ปล่อยออกมาทำให้ความนึกคิดช้าลง จนเมื่อถูกกระตุ้นอีกครั้ง จึงคิดออกว่าจะตอบกลับไปเช่นไร
“ว่าอย่างไร เหตุใดออกมาไกลถึงนี่”
“ข้ามาตามหาท่าน คาริฟ”
“หาข้าหรือ...” อีกฝ่ายถามซ้ำ “หาข้าด้วยเหตุอันใด”
“ก็...ข้าเห็นว่าเจ้าไม่กลับไปที่กระโจมเสียที”
“เท่านี้หรือ”
“อันที่จริง...” นาซีมก้มหน้าเล็กน้อย เพราะไม่อยากสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ มากเท่าไหร่ ด้วยมันทำให้เจ้าชายลืมเลือนเรื่องที่ต้องการถาม “ข้ามีเรื่องสงสัยและอยากถามเจ้า”
คาริฟมองประเมิน แล้วจึงเก็บเครื่องเป่านั่นลงถุงข้างกางเกง ก่อนลุกและเดินเข้ามาใกล้คนถามให้มากขึ้น ซึ่งในระหว่างนี้อีกฝ่ายไม่ได้ละสายตาจากนาซีมเลย
“มีเรื่องใดสงสัยก็ว่ามาเถิด นี่ดึกมากแล้ว เป็นเวลาที่เจ้าสมควรพักผ่อน”
“ท่านรู้เรื่องในโซราห์บ้างหรือไม่”
“รู้ แต่ไม่มากนัก”
“แล้วท่านรู้เรื่องที่มันให้คนตามหานักทำนายแทนที่...เอ่อ...กบฏนั่นหรือไม่”
นาซีมคิดเอาเองว่า หากคาริฟยังแสดงละครแม้ที่แห่งนี้ไม่มีใคร เขาเองก็ควรระวังตัวเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่กล้าเอ่ยคำว่าเจ้าชาย หรืออะไรที่ทำให้ใครสงสัยหากผ่านมาได้ยิน
“หากเป็นเรื่องนั้น ในตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่ามันมีแผนการอย่างไร และกำลังทำอะไร”
คำตอบของคาริฟทำเอาจิตใจของนาซีมห่อเหี่ยวลงทันควัน เพราะเขาหวังว่าเมื่อถามออกไปจะได้รับคำตอบมากกว่าคำว่าไม่รู้
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือ...”
“ตอนนี้...แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ไม่รู้”
ครั้นได้ยินคำที่เน้นหนักเป็นพิเศษ นาซีมจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีน้ำผึ้งเปล่งประกายอย่างมีความหวัง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าคงลืมไปแล้วสินะอาลี ยามนี้พวกเรากำลังเดินทางไกล และข้าไม่ได้รับข่าวจากผู้ใดเลยระหว่างเดินทาง แต่เจ้าไม่ต้องกลัวไป หากเราถึงเอมาลีเมื่อไหร่ เจ้าจะได้ฟังข่าวที่เจ้าอยากรู้อย่างแน่นอน”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอบคุณเจ้ามาก” เจ้าชายโอเมก้ายิ้มออกในที่สุด
เดิมทีเขาลืมข้อที่คาริฟบอกไปจนสิ้น เพราะความร้อนใจกับเรื่องที่อัฟนานพูด เขายอมรับว่าตนกระหายใคร่รู้ว่าบ้านเมืองตอนนี้เป็นเช่นไร เจ้าคนชั่วช้านั่นกำลังทำอะไรอยู่ หากเจ้าชายกลับหลงลืมไปว่าตนเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรๆ ได้สะดวกนัก
“ไม่เป็นไร” คาริฟเอ่ยเรียบๆ แต่แทนที่จะไล่เขาไปนอนทันที เจ้าตัวก็ยังใจดีถามอีกคำ “แล้วเจ้ามีเรื่องสงสัยอีกหรือไม่”
ทั้งที่ควรขอบคุณและจากไป แต่เป็นอีกครั้งในคืนนี้ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจเขา เจ้าชายนาซีมจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามถึงเรื่องที่ไม่ควรแตะต้องมากที่สุด
“หมอฮาชิรู้เรื่องคู่แห่งโชคชะตาของเจ้าได้อย่างไร”
“...”
คาริฟไม่ตอบทันทีเหมือนคำถามแรก เขาเลือกที่จะมองหน้านาซีมอยู่นาน นานจนนาซีมรู้สึกผิดพลาดที่เอ่ยปาก และเพราะถามไปแล้ว หากจะกลับตัวยามนี้ก็คงไม่ทัน นาซีมจึงกลั้นใจพูดต่อ
“เรื่องเช่นนี้หากเป็นหมอเก่งๆ จะสามารถตรวจสอบได้ใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่” อัลฟ่าผู้มีดวงตาสีมรกตตอบในที่สุด “เป็นข้าที่บอกเขาเอง”
“แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าข้าคือคู่โชคชะตาของเจ้า”
“...สัญชาตญาณ”
“สัญชาตญาณ?” นาซีมทวนซ้ำอย่างไม่เชื่อหู
“ถูกแล้ว”
“ไม่มีสิ่งใดบอกได้นอกจากสัญชาตญาณแล้วหรือ”
เพราะคิดว่าต้องมีข้อยืนยันที่ตรวจสอบได้มากกว่านี้ นาซีมจึงคาดหวังเอาไว้สูง แต่เขาไม่คิดเลยว่าคำตอบที่ทำให้คาริฟเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าพวกเขาคือคู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน
...มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น
“ไม่มี”
“และเจ้าก็เชื่อ?”
“เหตุใดข้าจึงจะไม่เชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง”
“ก็แค่...”
“เจ้าอาจไม่เชื่อที่ข้าพูด และข้าก็อธิบายไม่ได้ว่าสิ่งที่ระบุว่าคนคนนั้นคือเจ้าเรียกว่าอะไร เพราะข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครมากก่อน แต่หากจะถามข้าเพียงคนเดียว ข้าว่าอาจจะยืนยันไม่ได้มากพอ”
คาริฟว่าพลางเดินหน้าเข้ามาหานาซีม ซ้ำร่างกายของเขายังแผ่กลิ่นอายที่แสดงให้เห็นว่าคาริฟกำลังโกรธออกมา นาซีมจึงถอยหลังหนีก้าวหนึ่ง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เหตุใดเจ้าไม่ลองถามตัวเองดูบ้าง” เจ้าของใบหน้าดั่งรูปสลักยกยิ้มมุมปากอย่างหาได้ยากยิ่ง แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่คนมองรู้สึกราวกับหัวใจถูกกดทับ
“ขะ...ข้าจะถามตัวเองอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ”
“จงถาม ว่าแท้จริงแล้วเจ้าไม่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มีต่อข้าเลยจริงหรือไม่”
ฝ่ามือหนานั้นยืนออกมาตรงหน้าของนาซีม ห่างแค่เพียงนิดเดียว คล้ายว่าปลายนิ้วนั่นกำลังจะแตะลงบนหน้าผาก แต่มันกลับเคลื่อนผ่านลงมาช้าๆ ขนานกับปลายจมูก ก่อนจะหยุดเผื่อสัมผัสแผ่วเบาบนริมฝีปาก เบาราวกับขนนกปัดลงบนเม็ดทราย
กระนั้น มันกลับดึงเอาความรู้สึกไร้ซึ่งที่มาที่ไปให้พรั่งพรูออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ นาซีมร้อนวูบไปทั้งสรรพางค์กาย หัวใจเต้นแรงและเรียกร้อง ราวกับมันอยากจะกระโจนโผนทะยานออกไปหาคนตรงหน้า
บุรุษผู้นี้พิเศษ
เสียงจากส่วนลึกในจิตใจของนาซีมบอก
เขาก้มหน้าลง มองมือตัวเองที่สั่นน้อยๆ เพราะไม่เคยประสบกับความรู้สึกเช่นนี้ ใจหนึ่งจึงเกิดหวาดกลัวขึ้นมา และก่อนที่ความตระหนกจะเตลิดไปไกลเกินสติ ฝ่ามืออบอุ่นของใครบางคนก็คว้ามือของเขาไปกุมไว้
นาซีมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือหนาทันที และก็เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่า ดวงตาที่มักจะเรียบเฉยอยู่เสมอ บัดนี้ราวกับมีดวงดาวเริงระบำอยู่ในนั้น มันทั้งงดงามและฉายแววอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ...
“รู้แล้วใช่ไหม นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการจะบอก...ว่าเจ้าไม่เหมือนใครที่ข้าเคยพบ”
ใช่...นาซีมตอบในใจ
เพราะคาริฟก็ไม่เหมือนใครที่เขาเคยพบเช่นกัน❂ …………………………….❂
จริงๆ เขียนถึงตอนนี้ เราซ่อนอะไรไว้หลายอย่างเหมือนกัน
และก็จะค่อยๆ เผยออกมาเรื่องๆ ล่ะค่ะ
ส่วนความสัมพันธ์ของพระ-นายนั้น
ฝนว่าเรื่องนี้มันจะไปเร็วมากอยู่เหมือนกันนะ
แต่ผ่านมาถึง 9 ตอนแล้ว ก็ยังเป็นอย่างที่เห็น 555
แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ ตอนต่อๆ ไปก็จะมีความคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ
อยากบอกว่าเรื่องนี้หวานมากเลยล่ะ ไม่เชื่อก็คอยดูนะ555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ละอองฝน.