บทที่ 25 เมเฮนดีสีขาว 3
วันนี้นาซีมถูกความกระวนกระวายปลุกให้ตื่นก่อนแสงอรุโณทัยฉาย เขาลุกขึ้นจากเตียงและสาวเท้าออกไปหลังบ้านอย่างเงียบเชียบเพราะกลัวจะรบกวนหากมารดาของคาริฟยังไม่ตื่น
หลังจากตักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเรียบร้อย เจ้าชายก็ย้ายตัวเองไปนั่งบนโขดหินริมคลองส่งน้ำ สายลมเย็นๆ ยามราตรีพัดผ่านไป ไม่นานที่ปลายขอบฟ้าเหนือทิวเขาก็ปรากฏแสงทองระเรื่อ สรรพเสียงรอบกายกายค่อยๆ ครึกครื้น สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในไอเรมถูกปลุกให้ตื่นราวกับสัญญาณแห่งรุ่งอรุณคือมนตร์วิเศษ
นาซีมนั่งปล่อยความคิดล่องลอยอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เสียงสวบสาบจากรองเท้าสานของนีราก็ดังไล่มาหยุดที่ด้านหลัง
“ตื่นนานแล้วหรือนาซีม”
“ครู่ใหญ่แล้วขอรับท่านแม่นีรา” เจ้าชายหันมายิ้มบางๆ ให้นาง
“เหตุใดจึงตื่นเช้านัก ใยไม่พักให้เต็มที่ วันนี้จักต้องอยู่ในพิธีเกือบค่อนคืนทีเดียว”
“ร่างกายข้ามันตื่นเองขอรับ”
“คงตื่นเต้นสินะ”
ผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนวิเคราะห์อย่างรู้ทัน นาซีมเองก็คิดว่าความรู้สึกของตนในยามนี้ฟังดูคล้ายอาการที่นีราพูด เขาจึงได้แต่ยิ้มและเฉไฉไปเรื่องอื่น
“แต่ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง หลายวันมานี้ข้าได้พักผ่อนเต็มที่มิอ่อนเพลียจากการเดินทางอีกแล้วขอรับ” นาซีมบอกให้นีราเบาใจ ก่อนจะไพล่นึกถึงใครบางคน “ห่วงก็แต่คาริฟ ออกเดินทางไปทะเลเหนือเพิ่งกลับมา คงจะเหนื่อยล้าไม่น้อย”
“ไม่ต้องห่วงรายนั้นหรอก แม้เจ้าสองคนจะเป็นชายเฉกเช่นกัน แต่คาริฟเป็นอัลฟ่า พวกอัลฟ่าน่ะแข็งแรงกว่าเราโอเมก้าเป็นไหนๆ ดื่มชาสมุนไพรเข้าไปแค่แก้วเดียวแล้วหลับสนิททั้งคืน ป่านนี้คงตื่นขึ้นมากระโดดโลดเต้นได้ดังเดิม ไม่เชื่อก็ดูสิว่าวันนี้น้ำในคลองส่งน้ำมาเร็วกว่าทุกวัน”
นีราว่าพลางชี้ให้ดูกระแสธารในทางน้ำเล็กๆ ที่ไหลเร็วขึ้น
“วันนี้เป็นหน้าที่ของเขาแล้วหรือขอรับ”
“หากคาริฟอยู่ในไอเรม เขาจะลงมือทำเองเสมอ ดังนั้นนี่ย่อมเป็นฝีมือเขา”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...”
“อื้ม ฉะนั้นเจ้ามิต้องห่วงไป ยามนี้ฟ้าสว่างแล้ว เจ้าลงอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งอีกสักรอบเถิด กินมื้อเช้าเสร็จแม่เฒ่าเพตราก็คงมาถึงพอดี”
“ได้ขอรับ”
นอกจากนำอาภรณ์มาส่งมอบให้นาซีมแล้ว นาซีมก็เพิ่งรู้ว่าเพตรายังต้องช่วยทำพิธีเขียนเมเฮนดีให้แก่เขาด้วย ดังนั้นเขาจึงถูกนีราขัดตัวเมื่อวานเพื่อเตรียมตัวในพิธีนี้
วัฒนธรรมการเขียนเมเฮนดีของไอเรมไม่ต่างจากที่โซราห์นัก เป็นพิธีที่ทำกันในครอบครัวของเจ้าสาวคล้ายเป็นการเฉลิมฉลองก่อนวิวาห์ อวยพรและแสดงความรักต่อลูกผู้ที่ต้องออกเรือน ลวดลายเมเฮนดีจึงเป็นหนึ่งในเครื่องประดับอีกอย่างที่จำเป็นต้องมีบนตัวเจ้าสาวในพิธีวิวาห์
แต่ที่แตกต่างออกไปคือ สีของเมเฮนดีในไอเรม
เมเฮนดีทำมาจากต้นเฮนน่า ตามปรกติจึงมีสีน้ำตาลอมแดง แต่ของไอรเมจะเป็นเนื้อสีขาวเนียนละเอียดด้วยการผ่านกรรมวิธีบางอย่างที่นาซีมไม่เคยเห็นมาก่อน ซ้ำยังมีส่วนผสมที่สำคัญคือผงไข่มุกจากทะเลเหนือที่คาริฟไปเก็บมาให้อีกด้วย
เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว นาซีมก็ต้องเช็ดตัวให้แห้งเพราะนารีจะนำน้ำอบจากดอกไม้ป่าที่นางผสมมาพรมจนทั่วร่างของเขา กระทั่งรอให้น้ำอบเหล่านั้นซึมเข้าสู่ผิวกายเรียบร้อย เจ้าชายจึงได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อคลุมและออกไปกินมื้อเช้า
เช้านี้อาหารที่นีราทำให้เขาค่อนข้างมากกว่าทุกวัน เมื่อนาซีมเห็นจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“ท่านแม่นีราขอรับ”
“ว่าอย่างไร” นางเงยหน้ามอง
“เหตุใดอาหารจึงมากขนาดนี้เล่าขอรับ”
“เพราะเจ้าต้องกินให้มากเข้าไว้ เวลาที่เราใช้เขียนและรอให้เมเฮนดีแห้งนั้นนานนัก กว่าเจ้าจะได้กินอีกมื้อคงเป็นหลังจากทำพิธีวิวาห์เสร็จสิ้น หากไม่กินเข้าไปมากๆ เจ้าจะหิวเอาได้”
ว่าแล้วนางก็ผลักจานเนื้อมาทางเขา นาซีมจึงทำได้แต่ขอบคุณและพยายามกินเข้าไปตามที่นางบอก
“ขอรับ”
ครั้นจัดการมื้อเช้าเรียบร้อยก็ประจวบเหมาะกับที่เพตรามาถึงหน้าบ้านพร้อมผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในไอเรมพอดี นีรากับนาซีมจึงออกไปต้อนรับและเชื้อเชิญให้เข้าไปในห้องที่ใช้จัดพิธี ซึ่งห้องนั้นก็เป็นห้องที่นาซีมนั่นเอง
นีราให้คนนำพรมปักมือที่ครอบครัวมันนำมาใช้ยามประกอบพิธีสำคัญออกมาปู จากนั้นก็ให้นาซีมเข้าไปนั่งโดยมีเหล่าผู้อาวุโสซึ่งเป็นโอเมก้าและเบต้าในเผ่าล้อมนาซีมเอาไว้ก่อนจุดกำยาน
ทีแรกนาซีมค่อนข้างเกร็งพอควร เพราะเมื่อคราวที่จะถูกส่งตัวให้ทาริกมิได้มีพิธีรีตองมากเพียงนี้ แต่ผ่านไปสักครู่หลังจากเพตรานำเมเฮนดีใส่กรวยทองเหลืองเสร็จ แม่เฒ่าอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันก็เริ่มขับลำนำเป็นทำนองสนุกสนาน ว่าด้วยเรื่องของวิถีชีวิตของคู่วิวาห์ข้าวใหม่ปลามัน
นาซีมมองเพตราวาดลวดลายเมเฮนดีที่มือไป ฟังทุกคนร้องรำทำเพลงกันไปด้วย ไม่นานนักเขาก็เริ่มผ่อนคลายลงและสนุกสนานไปกับทุกคน
นาซีมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาที่เดินทางมาจากแดนไกล อยู่ห่างจากคนเหล่านี้คนละฝั่งของทวีป ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน แต่เขากลับได้รับการต้อนรับและดูแลอย่างอบอุ่น ไม่ว่าคนเหล่านี้จะทำเพื่อเขาหรือคาริฟ แต่มันก็ทำให้นาซีมมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับได้รับคำอวยพรจากคนในครอบครัวจริงๆ
❂…………………………….❂
กว่าจะเสร็จพิธีเมเฮนดีดวงอาทิตย์ก็คล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว เจ้าชายโอเมก้านอนคว่ำกับพรมนุ่มและเปลือยแผ่นหลังซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายอ่อนช้อยของดอกไม้ ดาวดวงเล็กๆ จันทราและพระอาทิตย์ เขาต้องรอให้มันแห้งเสียก่อน อย่างน้อยก็สี่รอบนาฬิกา [1] ทรายจึงจะสวมชุดแต่งงานได้
เหล่าแม่เฒ่าและช่างฝีมือเดินทางกลับไปแล้ว ด้วยต้องไปช่วยกันตกแต่งลานกลางจัตุรัสไอเรมเพื่อจัดพิธีวิวาห์ในค่ำคืนนี้ นีราเองก็ต้องไปหาบุตรชายของนางเพื่อจับแต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย ข้างกายของนาซีมจึงเหลือเพียงฮาบัสและฟามีน สององครักษ์ที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก
ทั้งสองผลัดกันป้อนอาหารและน้ำสะอาดให้นาซีมตลอดระยะเวลาที่รอให้เมเฮนดีแห้ง จนผู้เป็นนายต้องบอกให้พวกเขาหยุด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะสวมชุดวิวาห์ไม่ได้อย่างแน่นอน
ระหว่างนี้นอกจากพูดคุยซักถามภูมิหลังและเรื่องราวต่างๆ ที่เขาควรรู้จากองครักษ์แล้ว นาซีมก็ผล็อยหลับไป กระทั่งรู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนที่ถูกใครบางคนเขย่าแขน
เมื่อเจ้าชายสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เขาก็พบกับชายตัวเล็กที่แสนคุ้นหน้า แต่วันนี้หน้าตาของอีกฝ่ายไม่มอมแมมเหมือนทุกที
“อันวา!!”
นาซีมผุดลุกขึ้นอย่างลืมตัวเพราะดีใจที่ได้พบกับเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“เจ้าชาย~~”
อันวาแทบจะโผเข้ากอดตัวเจ้าชายแห่งโซราห์ไว้ ทว่าอีกฝ่ายถูกคู่ของตนรั้งคอเสื้อไว้เสียก่อน
“อย่ากอดท่านสิ ไม่เห็นหรือว่าเจ้าชายเพิ่งวาดเมเฮนดีไป หากเจ้าทำเลอะแล้วต้องเขียนใหม่ล่ะก็ คาริฟเอาเจ้าตายแน่”
“อะ...”
อันวากระถดตัวถอยหลังกรูทันทีที่ได้ฟังคำเตือนของจาเร็ด นาซีมหัวเราะเบาๆ กับใบหน้าแตกตื่นของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปถามฟามีนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“ครบ 4 รอบนาฬิกาหรือยังฟามีน”
“กำลังจะครบแล้วขอรับ”
นาซีมมองละอองทรายที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในขวดแก้ว แล้วจึงเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปฉุดให้อันวาเข้ามาใกล้ๆ เสียเอง
“ไหนให้ข้าดูเจ้าใกล้ๆ หน่อยซิอันวา”
“ขอรับ”
อันวาขยับเข้าไปหาเจ้าชายนาซีมและกลับไปพูดด้วยถ้อยคำสุภาพเหมือนเก่า เพราะเวลานี้ไม่ต้องปกปิดตัวตนของนาซีมอีกแล้ว
นาซีมสำรวจอันวาตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ห่างกันไม่นานแต่เขาก็รู้สึกคิดถึงเด็กหนุ่มช่างจ้อผู้นี้อยู่ดี วันนี้อันวาแต่งตัวด้วยผ้าเนื้อดี ผมเผ้าเรียบร้อยไม่มอมแมมเช่นทุกที ซ้ำร่างกายอีกฝ่ายก็ไม่มีบาดแผลฉกรรจ์จากเหตุการณ์เอมาลี นาซีมจึงวางใจและปล่อยให้เขานั่งข้างๆ อย่างอิสระ
“เจ้ามากันได้อย่างไร”
“ท่านคาริฟส่งข่าวให้จาเร็ดรู้ขอรับ เขาจึงพาข้าเดินทางมา” อันวาตอบ
“พอรู้ข่าวเขาก็รีบเร่งให้ข้าเดินทางข้ามวันข้ามคืนเพราะกลัวมาไม่ทันร่วมยินดีในงานวิวาห์ของท่านกับคาริฟ” จาเร็ดกล่าวเสริม
“ขอบใจพวกเจ้ามากนะ” นาซีมยิ้มรับ
“ข้าไม่แปลกใจที่พวกท่านจับคู่กัน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้” อันวาบอก
“ระหว่างทางเกิดเรื่องมากมาย ข้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าทุกอย่างจะกลายมาเป็นเช่นนี้ แต่มันก็มิใช่เรื่องไม่ดีหรอกนะ” คนพูด พูดไปก็รู้สึกร้อนที่หน้าไปด้วย
“เป็นเรื่องดีแล้วขอรับ อย่างน้อยท่านคาริฟก็จะได้เลิกว่าข้าเป็นเด็กแก่แดดที่จับคู่เร็วเสียที” อันวายิ้มอย่างน่ามันเขี้ยว ก่อนจะมองนาซีมด้วยสายตาล้อเลียน “เพราะเขาก็ไวไฟมิต่างกัน”
“อะแฮ่มๆ ...อันวา” จาเร็ดส่งเสียงปราม “นี่เจ้าชายนะ”
“อะ...ขออภัยขอรับ” เด็กหนุ่มว่า ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อยากเอ่ยมาตลอด “และโทษเรื่องที่พาท่านไปเสี่ยงอันตรายด้วยขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ให้อภัยข้าด้วยนะขอรับเจ้าชาย”
“ไม่เป็นไร” นาซีมยิ้ม “ข้ามิได้โกรธเจ้าสักนิด หากจะโทษว่าใครผิดเราก็ผิดด้วยกันทุกคน อย่าได้กังวลหรือคิดมากเลยนะอันวา”
เด็กหนุ่มเบะปาก น้ำตารื้อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เขาก็พยายามยั้งตนเองเอาไว้เพราะไม่อยากร้องไห้ในวันวิวาห์ของนาซีม
“ขอบคุณเจ้าชายมากขอรับที่ไม่เอาโทษข้า...ขอบคุณขอรับ”
“อย่าร้องไห้นะ ไม่เช่นนั้นข้าจะล้อเจ้าว่าเป็นเด็กขี้แย” นาซีมสัพยอก
“ข้าไม่ร้องแน่นอนขอรับ!”
คนถูกล้อเชิดหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างหนักแน่น พานให้คนมองนึกขันจนต้องหัวเราะออกมา นาซีมชอบอันวาที่เป็นเช่นนี้ที่สุด และเขาก็ซาบซึ้งใจมากที่อีกฝ่ายดั้นด้นมาร่วมงานในวันนี้
หลังจากพูดคุยกันได้ไม่นานฟามีนก็ส่งเสียงเตือน
“เจ้าชายขอรับ ได้เวลาแล้วขอรับ”
นาซีมหันไปมองก็เห็นทรายในนาฬิกาตกลงไปจนหมด เขาจึงกระชับเสื้อคลุมและลุกขึ้นยืน
“ข้าขอสวมเสื้อผ้าก่อน ท่านแม่นีราคงใกล้จะมาถึงแล้ว”
“เช่นนั้นข้าอยู่ช่วยนะขอรับ” อันวาอาสา
“เอาสิ” นาซีมตกลง “ให้อันวาอยู่กับฟามีนก็ได้ ฮาบัสพาจาเร็ดออกไปดื่มชาด้านนอกเถิด”
“ไม่เป็นไรเจ้าชาย ข้าจะไปบ้านเจ้าบ่าวสักหน่อย” จาเร็ดบอกแล้วจึงเดินออกไปจากห้อง
เมื่อเจ้าของคณะละครเร่ออกไปหาสหายของเขาแล้ว ทุกคนที่เหลือจึงช่วยกันหยิบจับอาภรณ์สีฟ้าและเครื่องประดับซึ่งนีราจัดไว้มาสวมใส่ให้นาซีม
ชุดวิวาห์ของเจ้าชายแห่งโซราห์เป็นผ้าไหมย้อมสีฟ้าลาพิสลาซูรีตลอดทั้งตัวและมีด้วยกันสี่ชิ้น คือ กางเกงปักลวดลายสีทองอ่อนที่ขอบข้อเท้าและเอว เสื้อตัวในมีลายอยู่รอบๆ คอกว้าง เสื้อคลุมตัวยาวที่มีเส้นปักชายขอบและลวดลายพระจันทร์กระหวัดพระอาทิตย์อยู่ที่แผ่นหลัง
ชิ้นสุดท้ายเป็นผ้าคลุมผมผืนบางเบาซึ่งถูกเกี่ยวเอาไว้ด้วยเครื่องประดับทองและสามารถมองเห็นผมเปียยาวใต้ผ้าคลุมได้ ข้อมือและข้อเท้าล้วนมีกำไลเข้าชุดกันกับสร้อยติดผม
เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยนีราก็มาถึงนาซีมพอดี นางสำรวจความพร้อมครู่เดียวก่อนจะยิ้มและเอ่ยชมออกมาจากใจจริง
“รูปงามนัก ได้ส่วนดีของบิดามารดามาทั้งหมด”
“ขอบคุณท่านแม่ที่ชมขอรับ” นาซีมยิ้มรับ
“ข้าขอดูลายเมเฮนดีของเจ้าหน่อยว่าแห้งดีหรือไม่”
“แห้งดีแล้วขอรับท่านแม่นีรา”
นาซีมว่าพลางยื่นมือให้นีราดู ครั้นตรวจจนพอใจนางจึงพาเขาไปนั่งเตียง
“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน อีกเดี๋ยวคาริฟก็น่าจะมาถึงแล้ว”
“ท่านแม่! ข้ามาแล้วขอรับ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงทุ้มของอัลฟาผู้ทรงอำนาจที่สุดในไอเรมก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน นีราลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มอย่างอ่อนใจ
“ดูเจ้าลูกคนนี้สิ มาเร็วกว่าที่ข้าบอกเขาไว้เสียอีก เจ้ารออยู่นี่นะนาซีม ข้าจะออกไปหาเขาก่อน”
ตามพิธีแล้วเจ้าบ่าวจะมารับคู่ของตนที่บ้านอีกฝ่าย แต่เพราะนาซีมไม่ใช่คนในไอเรม นีราจึงให้เขาใช้บ้านของนางแทนบ้านตัวเอง
“ขอรับ”
นาซีมยิ้มรับบางๆ ทว่าหัวใจกลับเต้นโครมครามตั้งแต่ได้ยินเสียงว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าชายพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับความตื่นเต้น แต่พอทำใจสงบได้ครู่เดียว คนผู้นั้นปรากฏกายขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
พวกเขาสองคนมองหน้ากันเงียบๆ เพียงครู่เดียว แต่เป็นครู่เดียวที่ทำให้นาซีมรู้ว่าความคิดถึงที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นมายแค่ไหน ก่อนหน้าเขาคิดว่าตนเองรู้สึกต่อคาริฟมากแล้ว หากความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจยามนี้กลับมากมายเสียจนเจ้าชายตระหนก
ส่วนบุรุษองอาจที่วันนี้อยู่ในอาภรณ์สีฟ้าเฉดเดียวกันกับนาซีมก็คงสีหน้าเรียบเฉยได้เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นเจ้าของดวงหน้างดงามถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ คนยิ้มยากก็เผยรอยยิ้มออกมาจนเต็มแก้ม
...และมันก็พานทำให้นาซีมยิ้มตามไปด้วย
“ข้ามารับเจ้าตามสัญญาแล้ว”
คาริฟเอ่ยพลางยื่นมือออกมาหยุดตรงหน้า แล้วอยู่ๆ ภาพที่นาซีมถูกมือของคนผู้นี้กุมไว้และฉุดให้พ้นจากภยันตรายตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรกก็ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด มันทำให้หัวใจของนาซีมเกิดความรู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
...หากวันนี้เขาวางมือลงบนมือของคาริฟ แปลว่าเขายินยอมให้อีกฝ่ายจับมือกันตลอดไปสินะ
คิดได้ดังนั้นนาซีมจึงไม่คิดอะไรให้มากความอีก เขาวางมือของตนลงไปแผ่วเบาและลุกขึ้นยืนเคียงข้างกัน เขาเห็นคาริฟยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะช่วยจัดผ้าคลุมของนาซีมให้เรียบร้อย จากนั้นจึงออกแรงจูงเจ้าชายแห่งโซราห์ออกไปข้างนอกเพื่อร่วมพิธี
❂…………………………….❂
พวกเขาออกเดินทางจากบ้านของนีราตอนย่ำสนธยา เมื่อมาถึงจัตุรัสกลางของไอเรมท้องฟ้าก็มืดสนิทพอดี ระหว่างทางที่เดินมาถูกประดับประดาด้วยโคมไฟในกระดาษฉลุลายตลอดทาง ที่ต้นอะคาเชียต้นใหญ่กลางจัตุรัสไอเรมก็มีโคมดวงเล็กๆ แขวนไว้มากมาย ราวกับอยู่ใต้ผืนฟ้าที่มีดวงดาราสุกสกาว
ทว่าโคมดวงใหญ่ที่สุดในราตรีนี้เห็นจะเป็นจันทราเต็มดวงที่อวดโฉมสุกปลั่ง ราวกับพระจันทร์นั้นต้องการจะเป็นพยานรักให้แก่เจ้าชายและนักรบกล้าแห่งซาร์เรีย
ราตรีนี้อากาศเย็นลง แต่ไม่หนาวเหน็บจนทรมานผู้คน ชาวบ้านที่มาร่วมงานจึงรู้สึกสบายแม้สวมชุดแบบบางก็ตาม แต่ส่วนมากทุกคนจะสวมชุดที่มีสีสันสดใส มองไปแล้วเหมือนดอกไม้เบ่งบานในยามราตรี
นาซีมถูกคาริฟพาไปที่ใต้ต้นอะคาเชียและนั่งลงบนพรมถึงซึ่งจัดเอาไว้ให้ทั้งสอง โดยรอบกายจะมีท่านผู้เฒ่าของเผ่านั่งเรียงราวอยู่ก่อนแล้ว นำโดยท่านผู้เฒ่านูรุลฮูดา ผู้นำจิตวิญญาณแห่งไอเรมหรือท่านปู่ของคาริฟนั่นเอง
เมื่อเจ้าของงานทั้งสองมาพร้อมกันแล้ว ผู้เฒ่านูรุลฮูดาจึงเริ่มพิธี
ลำดับขั้นตอนไม่มีสิ่งใดยุ่งยากนัก เพียงแค่คาริฟและนาซีมต้องบวงสรวงเพื่อบอกกล่าวธรรมชาติ เทพีผู้สร้างโลกและมารดาบิดาผู้ให้กำเนิด ระหว่างพิธีเหล่าผู้เฒ่าในเผ่าก็จักขับลำนำเป็นบทเพลงแห่งความสุขและชีวิตเป็นลำนำที่อยู่คู่กับไอเรมมาแต่บรรพกาล
“จงดูแลกันและกันตราบเท่าชีวิตของเจ้า” นีราอวยพรให้บุตรชายและนาซีม
“ขอรับ” คาริฟตอบรับ
“ขอรับ” นาซีมเองก็ตอบรับเช่นกัน
นีรารับการคำนับจากทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ จบจากนั้นคาริฟและนาซีมก็คำนับไปยังทิศทางที่ไว้ซึ่งหลุมฝังศพของบิดาของคาริฟ ราชาราฮิมและราชินีอาลียา
ทำความเคารพและรับคำอวยพรเสร็จทั้งสองก็ดื่มสุราที่หมักจากหญ้าฝรั่นเข้าไปคนและหนึ่งจอก
กระทั่งพิธีทางจิตวิญญาณสิ้นสุดก็ถึงขั้นตอนที่ต่างฝ่ายต่างต้องแลกของแทนใจให้กัน โดยเริ่มจากเจ้าชายแห่งโอเมก้าก่อน
นาซีมเปิดผ้าคลุมออกเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาเชือกรัดเกล้าออกมา คาริฟเห็นแล้วก็ยิ้มน้อยๆ คล้ายเดาถูกตั้งแต่เห็นเครื่องแต่งกายของตนไม่ครบ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังยินดีที่สุด เพราะมันเป็นของกำนัลชิ้นแรกที่นาซีมลงมือทำให้เขาเอง และในสายตาของเขา เชือกรัดเกล้าเส้นนี้งดงามที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา
ผู้นำภูตราตรีย่อตัวลงเล็กน้อยให้นาซีมสวมรัดเกล้าให้เขา แต่เพราะมือของอีกฝ่ายสั่นน้อยๆ คาริฟจึงต้องย่อตัวลงอีกแล้วขยับเข้าไปใกล้อีกนิด นั่นทำให้ปลายจมูกของเขาอยู่ในระดับแผ่นอกของนาซีมพอดี
สายลมยามราตรีล่องรำเพยมาแผ่วเบา พัดเอากลิ่นหอมจากน้ำอบบนผิวกายมาต้องจมูก แต่เพียงครู่เดียวมันก็ห่างออกไปเพราะนาซีมถอยกลับไปนั่งหลังตรงเหมือนเก่า นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าถึงตาของคาริฟที่ต้องมอบของแทนใจให้อีกฝ่ายบ้างแล้ว
ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมก่อนหยิบเอาถุงผ้าผ้าไหมสีขาวออกมา ภายในนั้นมีสร้อยเงินเส้นยาวซึ่งมีจี้เป็นอัญมณีคุ้นตา
นาซีมก้มหัวให้เขาสวมสร้อยให้ ในใจก็คิดว่าเคยเห็นจี้ชิ้นนี้ที่ไหน แต่คาริฟไม่ปล่อยให้เจ้าชายคิดนานนัก เมื่อสวมสร้อยเสร็จเขาจึงเฉลย
“ข้าเอาไพลินเม็ดนี้มาจากปลอกคอที่เราซื้อด้วยกันในเอมาลี”
“อ้อ...ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าจึงคุ้นตามันนัก”
“ต่อไปเจ้ามิต้องสวมปลอกคอแล้ว แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าทิ้งของกำนัลชิ้นแรกที่ข้าให้เจ้าไป” คาริฟว่า และนาซีมก็รีบตอบรับด้วยใจจริง
“ข้าไม่ทิ้งมันอีกแน่นอน” เขายืนยัน “จะรักษาอย่างดี”
“ข้าก็จะรักษารัดเกล้าที่เข้าทำให้ข้าอย่างดีเช่นกัน” คาริฟให้สัญญา
“เมื่อแลกของแทนใจแล้ว พิธีวิวาห์ของท่านหัวหน้าเผ่ากับเจ้าชายนาซีมก็ถือว่าเสร็จสิ้น เจ้าทั้งสองได้ชื่อว่าเป็นคู่กันโดยสมบูรณ์” ท่านผู้เฒ่านูรุลฮูดาประกาศ
เมื่อพิธีการสำคัญทั้งหมดจบลง ผู้คนในไอเรมก็เริ่มเฉลิมฉลองและดื่มกิน ทว่าก่อนที่ทุกคนจะลุกจากที่และเข้ามาอวยพรต่อหัวหน้าเผ่าและคู่ครอง คาริฟกับนาซีมที่ยืนอยู่กลางผู้คนก็ประกาศขึ้นก่อน
“ขอบคุณทุกท่านที่มาเพื่อเป็นสักขีพยานแก่ข้าและนาซีมในราตรีนี้ ก่อนรับคำอวยพรจากทุกท่าน ข้าขอส่งมอบความสุขเหล่านั้นไปถึงพวกท่านก่อน ข้าขอให้คำสัตย์สาบานต่อทุกคน ต่อผืนดิน ท้องนภา และจันทราในราตรีนี้ ข้า...คาริฟแห่งไอเรม จะมีเพียงเจ้าชายนาซีมเป็นคู่” คาริฟเว้นไปนิดเพื่อหันกลับมามองเผชิญหน้าและจ้องตานาซีม “จะรักนาซีมผู้เดียวตลอดชีวิต”
“เฮ้!!! ~”
“ท่านหัวหน้าของเรายอดเยี่ยมที่สุด!”
หลังจากได้ยินคำสาบานของคาริฟ นาซีมคล้ายถูกตัดขาดจากเสียงอึกทึกและโห่ร้องยินดีของผู้คน หัวของเขาโล่งจนคิดอะไรไม่ออก และเพราะนาซีมนิ่งไป คาริฟจึงก้มลงมาจนริมฝีปากเกือบแตะใบหูแล้วกระซิบ
“ได้ยินหรือเปล่านาซีม”
“...”
“ข้าบอกว่ารักเจ้าผู้เดียว”
“…!!”
นาซีมผงะถอย รู้สึกร้อนไปหมดทั้งใบหน้าราวกับสุราหญ้าฝรั่นที่ดื่มไปเมื่อครู่เพิ่งออกฤทธิ์เอาตอนนี้ คาริฟแตะมือลงบนแก้มนวลที่ขึ้นสีแดงเรื่อ แล้วว่า
“เจ้าช่างขี้อายนัก”
“...ใครจะเหมือนเจ้าเล่า” เจ้าชายตอบกลับอ้อมแอ้ม “พูดเสียงดังไปได้ ไม่อายบ้างเลย”
“ฮ่าๆๆ” คาริฟค่อยๆ ยิ้มกว้างและเปลี่ยนมาเป็นหัวเราะลั่นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาซีม “ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ”
“แล้วจะให้ข้าทำหน้าอย่างไร ในเมื่อทุกคนมองอยู่เช่นนี้”
“หึๆ” เสือยิ้มยากหัวเราะอีกนิด ก่อนจะระงับกิริยาแล้วเอื้อมมือมาโอบหลังนาซีม “ก็ได้ๆ ข้าไม่ล้อเจ้าแล้ว เราไปนั่งดูชาวบ้านเต้นรำใต้ต้นอะคาเชียดีหรือไม่”
“...ก็ได้”
นาซีมตอบรับแต่โดยดี คาริฟจึงหันไปบอกให้ทุกคนดื่มกันได้ตามใจ ส่วนเขาและคู่ครองจะนั่งพักสักครู่จึงจะออกไปร่วมด้วย
นาซีมได้นั่งพักเดี๋ยวเดียวก็ต้องลุกขึ้นรับคำอวยพรจากชาวไอเรมที่แวะเวียนมาร่วมยินดี หลังจากดื่มกินกันอิ่มหนำสำราญแล้วนาซีมก็ถูกคาริฟพาออกไปเต้นรำที่กลางจัตุรัส ด้วยตามธรรมเนียมต้องให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเต้นคู่กันเสียก่อน
“เจ้าเต้นรำเก่งนัก”
คาริฟเอ่ยชมหลังจากที่ตนเกือบเหยียบเท้านาซีมหลายรอบ หากเป็นเรื่องอื่นเจ้าภูตราตรีมิหวั่น แต่ถ้าเป็นเรื่องร้องเล่นเต้นรำแล้วล่ะก็ หากเลี่ยงได้คาริฟก็จะเลี่ยง
“ข้านึกแปลกใจที่เจ้าเต้นรำไม่เก่ง”
“มีหลายเรื่องที่ข้าทำไมได้”
“ดีใจเหลือเกินที่ชนะเจ้าได้สักเรื่อง” นาซีมยิ้มกว้าง
“อยากเอาชนะข้าไปไย”
“มิได้อยากเอาชนะ แต่เจ้ามิรู้หรือว่าตนเองเก่งไปเสียหมด จนหลายคราข้ารู้สึกว่าเจ้าควรเป็นผู้นำแคว้นแทนข้าด้วยซ้ำ”
“คนเรามิอาจเก่งไปเสียทุกเรื่อง และเจ้าเหมาะแล้วกับตำแหน่งที่เป็นอยู่ ข้าเป็นถึงขั้นนั้นไม่ได้หรอก”
“หากเจ้าเป็นไม่ได้ ใครจะเป็นได้อีก”
“ให้ข้าเป็นแค่คนที่คอยดูแลเจ้าก็พอแล้วเจ้าชาย” คาริฟเอ่ยพลางเคาะจมูกนาซีมเบาๆ
“ขอบคุณ” นาซีมยิ้มรับและเป็นรอยยิ้มที่ตรึงใจที่สุดเท่าที่คาริฟเคยเห็น “ข้าเองก็จะดูแลเจ้าเช่นกัน เท่าที่กำลังของข้าจะทำได้”
❂…………………………….❂
นาซีมอยู่ในงานกว่าค่อนคืน ดื่มสุรายินดีไปมากเสียจนยืนแทบไม่อยู่ จนในที่สุดคาริฟก็เห็นสมควรว่าต้องพาคู่โชคชะตาของตนกลับเสียที
แม้ระหว่างทางมีโคมไฟรายทางประดับอยู่มาก แต่นาซีมรู้สึกมึนและลายตาเสียจนมองไม่ออกว่ากำลังจะไปที่ไหน กระทั่งมาเริ่มรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกวางไว้บนที่นอนนุ่มๆ และถูกใครบางคนพยายามถอดอาภรณ์ของเขา
“ไม่เอา...ข้าไม่ถอด” นาซีมตอบเสียงงึมงำ
“ไม่ถอดได้อย่างไร”
ใครคนนั้นว่าแต่ฟังดูแล้วเสียงคุ้นหูเหลือเกิน นาซีมจึงยันตัวขึ้นมาปรือตามอง และเมื่อดูชัดๆ คนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมก็คือเจ้าบ่าวของตนนั่นเอง
“...คาริฟ...ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
“เป็นข้า”
“อืม...ถ้าเป็นเจ้า...” นาซีมเงียบไปนิด ก่อนจะช้อนตามองด้วยแววตาหยาดเยิ้ม “ถ้าเป็นเจ้า...จะถอดก็ได้”
“...”
ครานี้เป็นคาริฟที่เงียบเสียงแทน เดิมทีเขาแค่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าชายน้อยและปล่อยให้นอนเพราะเห็นว่าเมามาย แต่พอถูกยั่วยวนเช่นนี้ชายหนุ่มก็ถึงกับไปไม่เป็น
“ไม่ถอดหรือ...” นาซีมถามซ้ำ ก่อนจะค่อยๆ กวาดผมไปด้านหนึ่งแล้วปลดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นลำคอและหัวไหล่เนียนที่โผล่พ้นเสื้อคอกว้างออกมา “ดูสิ...ข้ามีข้ามีลายเมเฮนดีสีขาวจากไข่มุกที่เจ้าเก็บมาให้ด้วย”
“นาซีม...” คาริฟส่งเสียงปรามแล้วขบกรามข่มความต้องการ
“ไม่ดูหรือคาริฟ”
“หากเจ้าทำเช่นนี้...” อัลฟ่าหนุ่มคำรามต่ำแล้วเอ่ยคำที่ทำให้นาซีมต้องจำไปตลอดทั้งคืน “อย่ากล่าวหาข้าทีหลังว่ารังแกเจ้าก็แล้วกัน”
❂…………………………….❂
[1] เฉพาะในเรื่องนี้จะกำหนดเวลาให้ 1 รอบนาฬิกาทราย = 1 ชั่วโมง
ไหนncคะคุณฝน นี่มันตัดเข้าโคมไฟชัดๆ แล้วก็ยังไม่ทันนัวเลยด้วย แบบนี้เข้าข่ายหลอกลวงคนอ่านนะคะ!!
ช้าก่อนค่ะ หากใครคิดว่าฝนหลอก ฝนไม่หลอกนะ ตอนหน้ายังมี จุกๆ 5555
อย่าเพิ่งใจโกรธเคืองกันเยยยย
แล้วนี่มาตรงเวลานะคะ ไม่เบี้ยว รอแค่ราตรีเดียว อิอิ
จริงๆ ฝนจะพูดเรื่องเมเฮนดีด้วยค่ะ
ส่วนใหญ่อาจจะได้ยินในชื่อเฮนน่านะคะ การวาดเฮนน่า พิธ๊เฮนน่าของอินเดียอะไรแบบนี้
แต่ฝนเขียนแบบออกเสียงตามอาหรับน่ะค่ะ เลยเป็นเมเฮนดี ประมาณนี้
เจอกันตอนหน้าค่ะ คาดว่าถ้างานไม่เยอะเกินไป ฝนจะลงวันละตอนค่ะ หรือๆๆ อาจจะเว้นแค่วันเดียวค่ะ
ละอองฝน.