บทที่ 22 อาลียา
หลังจากผู้เฒ่านูรุลฮูดาประกาศว่าจะจัดงานวิวาห์ให้คาริฟและนาซีม พวกเขาทั้งสองก็ถูกแยกออกจากกันทันที โดยคาริฟถูกกันไว้ที่บ้านของท่านผู้เฒ่า ส่วนนาซีมนั้นถูกมารดาของคาริฟ หรือที่ใครต่อใครเรียกว่า นีรา พามายังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกห่างออกมาจากใจกลางไอเรมพอสมควร
นาซีมไม่กล้าเอ่ยถามว่านีรากำลังจะทำสิ่งใด อันที่จริงไม่ใช่แค่เขา แม้แต่ฮาบัสกับฟามีนก็ไม่อาจขัดขวางนางได้ ทุกคนปล่อยให้เจ้าชายตามนางมา ส่วนคาริฟที่ในตอนแรกทำท่าจะไม่ยอม เมื่อถูกมารดาขึงตาใส่ เขาก็ทำได้แค่ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ท่านแม่ จะพานาซีมไปทั้งอย่างนี้เลยหรือขอรับ”
“ถูกแล้ว” มารดาของเขาตอบเรียบๆ
“แต่เขายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ข้างเกรงว่านาซีมจะสับสน”
“เรื่องนั้นเจ้ามิต้องห่วง ไปหารือกับท่าผู้เฒ่าเถิด ทางนี้แม่จะจัดการเอง มิต้องกลัวว่าจะทำให้เจ้าชายน้อยตกพระทัย”
“แต่...”
“เจ้ารู้ธรรมเนียมดีมิใช่หรือ”
เมื่อได้ยินคำยืนยัน คาริฟจึงยอมตอบรับ
“...ขอรับท่านแม่” เขาว่า ก่อนจะหันหาคู่โชคชะตาของตน “นาซีม...เจ้าไปกับท่านแม่ของข้าก่อน แล้วข้าจะตามไปหาภายหลัง”
“เข้าใจแล้ว”
นาซีมรับคำง่ายๆ ไม่เอ่ยคำใดทั้งสิ้นเพราะรู้ว่าเมื่อถึงเวลา นีราจะเฉลยแก่เขาเอง
เจ้าชายเดินตามมารดาของคาริฟอย่างสงบเสงี่ยมโดยผ่านบ้านเรือนของผู้คนในไอเรมหลังแล้วหลังเล่า หลายต่อหลายคนลอบมองนาซีมกับนีราอย่างสนอกสนใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ไม่จ้องนานจนนาซีมรู้สึกอึดอัดนัก กระทั่งหน้าบ้านหลังหนึ่งนีราจึงหยุดและหันมาหานาซีม
“ถึงแล้วเพคะเจ้าชาย”
นางเบี่ยงกายเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะเปิดรั้วเตี้ยให้นาซีมเดินเข้าไปก่อน
บ้านของนีรามีขนาดพอเหมาะพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นๆ ที่นาซีมเดินผ่าน แต่สิ่งที่เจ้าชายชื่นชอบอย่างมากก็คือแปลงดอกไม้เล็กๆ ตรงรั้วกับแปลงพืชแปลกตามากมายที่ปลูกเรียงรายไปจนเกือบถึงประตูบ้าน
ด้านหน้าประตูบ้านของนางมีพรมสานจากหญ้าชนิดหนึ่งวางเอาไว้ เจ้าชายเห็นนางเดินนำมาเคาะรองเท้าหนังสัตว์เบาะๆ สองสามครั้งคล้ายจะสอนให้เขาทำตาม ก่อนจะเปิดประตูเพื่อเดินเข้าไปด้านใน
“ขอต้อนรับสู่บ้านหลังน้อยของข้า เชิญเข้ามาด้านในเถิดเพคะเจ้าชาย”
นีรากล่าวเชิญเป็นครั้งที่สองตั้งแต่นาซีมเหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตของนาง ซ้ำยังกล่าวด้วยคำสุภาพอย่างมากอีกด้วย มันทำให้เจ้าชายรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือด้วยการตอบรับอย่างสุภาพและกดยิ้มบางๆ เช่นกัน
“...ขอบคุณขอรับ”
ปฏิเสธไม่ได้ว่ายามนี้นาซีมสับสนกับสถานการณ์มาก ซ้ำยังเกรงใจมารดาของคาริฟพอดู ยิ่งนางมองมาคล้ายสำรวจเขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก แต่จะให้ทำอะไรยามนี้ก็คงไม่เหมาะ
กระนั้น เจ้าชายก็คิดในใจว่า...จังหวะเหมาะๆ ที่เขาคอยต้องมาถึงแน่ เพียงแค่รอเวลาสักหน่อยเท่านั้น
เมื่อตามกันเข้ามาในบ้านแล้ว นีราก็พาเจ้าชายไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง แม้ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็สะอาดสะอ้านน่าอยู่
“ก่อนที่จะถึงพิธี ท่านพำนักที่ห้องนอนห้องนี้นะเพคะเจ้าชาย เพราะค่อนข้างฉุกละหุกพอดู ทำให้ข้าเตรียมตัวไม่ทัน จะให้อยู่บ้านเดิมของอาลียาก็มิได้แล้ว ด้วยต้องตระเตรียมหลายอย่างก่อนเข้าพิธี ดังนั้นขอท่านโปรดอย่าถือสาข้าและเผ่าของเราเลยนะเพคะเจ้าชาย”
นางขออภัยนาซีมเสียยืดยาว ทั้งยังมีหลายประโยคที่ทำให้นาซีมเกิดความสงสัย แต่เพราะท่าทางเป็นงานเป็นการและนอบน้อมเกินไปนี้ ทำให้เจ้าชายต้องรีบจัดการอะไรสักอย่างก่อนสอบถามเรื่องอื่น
“ท่าน...เอ่อ...”
“นีราเพคะ นีราแห่งไอเรม”
นางแนะนำตัว นาซีมจึงพูดประโยคที่ค้างไว้ได้ต่อ
“ท่านนีรา ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดอย่าใช้คำเช่นนั้นกับข้าเลย”
“ท่านหมายถึง...”
“ใช้คำสามัญธรรมดากับข้าเถิด ท่านมีอาวุโสมากกว่าข้า”
“ไม่ได้หรอกเพคะ ท่านเป็นเจ้าชายแห่งโซราห์ทำอย่างนั้นจะเหมาะได้อย่างไร”
“มีตรงไหนที่ไม่เหมาะกันขอรับ แม้ข้าจะเป็นเจ้าชาย แต่ยามนี้คาริฟจับคู่กับข้าแล้ว...” แม้จะรู้สึกกระดากอายไม่น้อย แต่นาซีมก็ยังกลั้นใจพูดต่อ “ท่านเป็นมารดาของคาริฟ ดังนั้นท่านก็มีศักดิ์เหมือนเป็นมารดาของข้าเช่นกัน...แต่ถ้าท่านเห็นว่าข้าไม่เหมาะจะเป็นลูก--- “
“ไม่ใช่นะเพคะ!”
ยังไม่ทันพูดจบ นาซีมก็ถูกตัดบทเสียก่อน นีรามีสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นใบหน้าน่าเอ็นดูของเจ้าชายแห่งโซราห์ชัดๆ นัยน์ตาของนางก็สั่นระริก
...และยอมทำตามที่นาซีมขอในที่สุด
“หากเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วล่ะนะนาซีม”
“ขอรับท่านนีรา”
“ต้องเป็นท่านแม่สิ...มิใช่ท่านนีรา”
“ขอรับ...ท่านแม่”
นาซีมยิ้มออกทันทีที่เห็นว่านีราอ่อนลง นีรามองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาจับบ่าสองข้าง เพื่อจับให้เขาหมุนตัว
“ข้าขอดูหน่อย”
“อะไรหรือขอรับ”
“ข้าอยากดูให้แน่ใจว่าเจ้ามิได้บาดเจ็บตรงไหน”
น้ำเสียงกับท่าทางที่อ่อนลงผิดกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนทำให้นาซีมรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ มือที่ประคองบ่าของเขาเอาไว้พร้อมกับดวงตาซึ่งสำรวจทั่วร่างอย่างจริงจังก็ยิ่งทำให้คิดถึงความอบอุ่นที่เคยได้รับจากมารดาตน
หากแม่ของเขายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ท่านแม่ก็คงจะง่วนกับการสำรวจเขาเช่นนี้ เหมือนกับสมัยวัยเยาว์ ยามที่นาซีมแอบหนีออกไปเล่นซนกับเหล่าลูกชายของทหารนายกอง
บางทีนี่อาจเป็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่...เมื่อคิดได้ดังนั้นนาซีมจึงรีบหมุนกายให้นีราดูถ้วนทั่ว แล้วหันกลับมาเพื่อยืนยันให้นางคลายใจ
“ข้ามิได้บาดเจ็บที่ใดเลยขอรับ คาริฟและทุกๆ คนดูแลข้าเป็นอย่างดีตลอดการเดินทางมาที่นี่ ท่านแม่นีราอย่าได้กังวล”
“คาริฟดูแลเจ้าดีอย่างนั้นหรือ” นางย้ำคำเขา
“ขอรับ” นาซีมยืนยันอีกคำ
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”
นีราถอนหายใจคล้ายโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แล้วจึงพานาซีมมานั่งบนเตียงซึ่งถูกปูด้วยพรมลวดลายอ่อนช้อย พวกเขาทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากัน จากนั้นนางก็เริ่มถามเรื่องที่คาใจนางตั้งแต่เมื่อครู่
“ว่าแต่เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ไยพวกเจ้าถึงจับคู่กันได้ ไหนเล่าให้ข้าฟัง”
“...พวกเรา...”
“...”
นาซีมไม่รู้จะบอกแก่มารดาของคาริฟอย่างไร เขาจึงเรียบเรียงเรื่องราวในหัวอยู่ครู่ใหญ่ นีราเองก็ใจดีที่ไม่เร่งเร้าเอาคำตอบ นางปล่อยให้นาซีมคิด จนในที่สุดเจ้าชายก็เอ่ยเองโดยไม่ต้องถามซ้ำ
“พวกเราเป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกันขอรับ”
ครั้นได้ยินนีราก็เบิกตากว้าง ในแววตาของนางมีทั้งความตกใจและประหลาดใจปะปนกันไป หากใช้เวลาไม่นานนางก็สามารถตั้งสติได้และรำพันออกมาเบาๆ
“โชคชะตาหรือ...ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ หากเจ้ารู้จะประหลาดเหมือนข้าหรือไม่นะ...อาลียา”
แม้นาซีมจะยิ่งทวีความสงสัยในรอยยิ้มและคำพูดของนาง เขาก็มิกล้าถาม หากเลือกที่จะเล่าต่อแทน
“พวกเรามิได้จับคู่กันในทันทีขอรับ คาริฟให้เกียรติข้ามาก แต่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นระหว่างหลบหนีคนของชีคทาริค จึงทำให้ต้องจับคู่กัน”
ฟังถึงตรงนี้นีราก็ขมวดคิ้วฉับ แล้วรีบถาม
“เจ้ามิเต็มใจหรือ”
คำถามนี้ทำให้นาซีมนิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง ระหว่างเดินทางมาที่นี่ จากหมู่บ้านร้างถึงไอเรม ใช่ว่านาซีมจะไม่ไตร่ตรองความรู้สึกของตนเองให้ดี
หากเมื่อคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นพันครั้ง คำตอบที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม
...นั่นคือเขาเลือกไม่ผิดที่ยอมจับคู่กับคาริฟ
แต่การจะเอ่ยความรู้สึกของตนให้ใครล่วงรู้นั้น กลับยากเสียยิ่งกว่าการตัดสินใจเลือกเสียอีก
“ข้า...”
“ว่าอย่างไร คาริฟใช้กำลังของอัลฟ่าขืนใจเจ้าหรือ!”
“มิใช่ขอรับ” เจ้าชายแห่งโซราห์ส่ายหน้าปฏิเสธ และยอมตอบทั้งที่แก้มสองข้างร้อนผ่าว แต่จะไม่ตอบก็มิได้ เพราะมารดาของคาริฟกำลังจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว “แม้เริ่มต้นจะเกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่แท้จริงแล้วข้าเองก็ยินยอมพร้อมใจ...จับคู่...กับเขา”
แม้จะอายจนใบหน้าร้อนผ่าว นาซีมก็ยังข่มความรู้สึกและสบตากับนีราเพื่อยืนยันให้นางแน่ใจว่าสิ่งที่เขาเอ่ยคือเรื่องจริง
“ที่แท้เจ้าเองก็ยินยอมหรอกหรือ”
“...ขอรับ”
เคร้ง!
“นั่นใคร!”
นีรารีบผุดลุกขึ้นและวิ่งไปทางหน้าต่าง นางหันซ้ายหันขวามองหาต้นตอเสียง นาซีมเองก็เร่งตามมาช่วยดูด้วยเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันโผล่หน้าออกไป นีราก็ดันให้เขากลับเข้าไปนั่งที่เดิมเสียก่อน
“ใครกันขอรับ”
“ไม่มีอะไร คงเป็นลมพัดถาดเงินที่ข้าตากสมุนไพรทิ้งไว้ตกลงมา”
“อ้อ”
นาซีมรับคำ พลางมองผ่านม่านบางออกไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง เขาคล้ายเห็นเงาดำวูบหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเงาไม้หรือไม่ ทว่ายังดูไม่ถี่ถ้วนนัก ความสนใจของเจ้าชายก็ถูกเรียกกลับมาที่นีราอีกครั้ง
“เรามาว่าเรื่องของเราต่อเถิด”
“อา...ขอรับ”
“เมื่อครู่เราพูดถึงไหนนะ...อ้อ ที่เจ้ายืนยันว่ายินยอมจับคู่กับคาริฟใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“อืม...หากเป็นเช่นนั้นข้าก็โล่งอก” นีรายิ้มกว้างขึ้นแล้วจับมือนาซีมบีบเบาๆ “ข้าเกรงเหลือเกินว่าลูกชายตัวดีของข้าจะควบคุมตัวเองไม่ได้และเผลอทำร้ายเจ้าโดยไม่เต็มใจ หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าคงไปสู้หน้าอาลียากับราชาราฮิมไม่ได้”
ถึงตรงนี้นีราก็เงียบเสียงลงคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง นาซีมจึงใช้จังหวะนี้เอ่ยถามถึงมารดาที่ถูกนีราเอ่ยถึงอยู่หลายครั้งของตน
“ท่านแม่นีราขอรับ”
“ว่าอย่างไร”
“ท่านช่วยอธิบายบางอย่างให้ข้าแจ้งแก่ใจได้หรือไม่”
“เรื่องใด” เพราะเห็นนาซีมมีสีหน้าเคร่งขรึมลง นีราจึงรับฟังอย่างตั้งใจ
“ท่านรู้จักท่านแม่กับท่านพ่อของข้าหรือขอรับ”
“ย่อมรู้จักอย่างแน่นอน” นีราตอบตามตรง
“คือ...ข้าไม่รู้จะถามอย่างไร เพราะมีเรื่องที่สงสัยมากมายไปหมด”
เจ้าชายรู้สึกสงสัยเรื่องของมารดา เขามั่นใจว่าท่านแม่จะต้องมีความเดี่ยวข้องกับเผ่าภูตราตรีอย่างแน่นอน เพราะคนที่นี่ถึงกับส่งให้หัวหน้าเผ่าออย่างคาริฟออกไปช่วยเหลือนาซีมถึงโซราห์ ทว่านาซีมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นถามจากตรงไหน
และเป็นนีราที่มองออกว่าเจ้าชายน้อยรู้สึกเช่นไร นางจึงลูบที่หลังมือเขาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“นี่คาริฟมิได้บอกเรื่องใดแก่เจ้าเลยหรือ”
“เขาบอกแค่ท่านแม่ของข้าช่วยเหลือเผ่าของเขาไว้ เขาจึงมาช่วยข้าจากอันตรายตามคำขอร้อง”
“แล้วอาลียาเล่า นางเคยเล่าเรื่องใดให้เจ้าฟังบ้างหรือไม่”
“เรื่องใดที่ว่า...”
“ก็เรื่องของชาวเราเหล่าภูตราตรีอย่างไรล่ะ”
“ไม่ขอรับ...ท่านแม่ไม่ได้เอ่ยถึง ไม่สิ...” นาซีมเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังสมัยเมื่อข้ายังเล็ก แต่ท่านก็บอกว่ามันเป็นเพียงตำนานเท่านั้น”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” นีราพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นให้ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังดีกว่า หากสงสัยตรงที่ใดเจ้าค่อยถาม เพราะดูแล้วเจ้าคงไม่รู้อะไรสักอย่าง”
“ขอบคุณท่านมากขอรับ”
นาซีมรู้สึกซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงกว่าทุกที จากที่เคยสงสัยมาตลอดว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวพันกันอย่างไร
...ในที่สุดวันนี้เขาก็จะได้รู้ความจริงแล้ว
“เมื่อครั้งที่ข้ายังมีอายุได้เพียง 5 ปี ข้ากับบิดาเดินทางไปเอมาลีเพื่อพบญาติของเราซึ่งกำลังป่วยหนัก ระหว่างทางคณะของเราได้หยุดพักที่โอเอซิสเล็กๆ แห่งหนึ่ง และที่นั่นพวกเราได้พบกับอาลียาเป็นครั้งแรก นางถูกทิ้งไว้ริมธารน้ำทั้งที่ยังเป็นเพียงเด็กทารกเท่านั้น ข้าจำได้ว่าเสียงร้องไห้ของนางดังจนแสบแก้วหู ท่านพ่อของข้าอุ้มนางขึ้นมาให้ข้าดู ดวงตาของนางเป็นสีน้ำเงินประกายราวกับอัญมณี และหลังจากนั้นข้าก็มีน้องสาวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน”
นีรามองนาซีมที่ยามนี้มีสีหน้าตกตะลึง นางยิ้มแล้วยังคงลูบที่หลังมือของเขาเบาๆ พร้อมกับเล่าต่อ
“อาลียาถูกเลี้ยงดูและเติบโตในดินแดนแห่งนี้ พวกเราถือว่านางเป็นเผ่าภูตราตรีเช่นกัน แต่เพราะความพิเศษในตัวนาง เมื่อเติบโตขึ้นจนรู้ความนางจึงไล่ต้อนถามท่านพ่อและท่านแม่ว่าแท้จริงแล้วตนเองมาจากที่ใด เราไม่อาจปกปิดความจริงต่อนางได้จึงได้ยอมบอก แต่อาลียามิได้น้อยใจในโชคชะตา นางดีใจเสียด้วยซ้ำที่พวกเราช่วยเหลือและเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมา กระทั่งวันหนึ่ง อาลียาก็บอกกับข้าว่า นางฝันเห็นคู่โชคชะตาของนาง”
“ท่านพ่อหรือขอรับ”
“ถูกต้อง” นีราพยักหน้ารับ “ย่อมต้องเป็นเขาแน่นอน แต่ยามนั้นราฮิมยังเป็นเพียงเจ้าชายรัชทายาท และพวกเรายังไม่เคยพบกัน นีราฝันเห็นบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นทุกวัน นางบอกว่าเขาจะมีภัย มีคนหมายเอาชีวิต และมีเพียงนางที่จะช่วยเขาได้ แต่แล้วอย่างไร...เราอยู่ในไอเรม ดินแดนที่คนภายนอกไม่มีวันหาพบ และการจะเดินทางออกจากที่นี่ก็ไม่ง่ายนัก ข้าจึงไม่เชื่อสิ่งที่นางพูดเท่าใด เพราะคิดว่าเป็นเพียงความฝัน แต่วันหนึ่งเราสองคนถูกรับเลือกให้ออกไปทำหน้าของภูตราตรีที่ที่โฮมา ข้ากับนางจึงได้เดินทางออกจากไอเรม ตอนนั้นข้าลืมสิ้นแล้วกับเรื่องในความฝันที่อาลียาเล่า แต่เมื่อไปถึงโฮมา ความฝันที่นางบอกก็เป็นเรื่องจริง”
“อย่างไรหรือขอรับ”
“เกิดเรื่องโกลาหลขึ้นในโฮมาขณะที่เจ้าชายรัชทายาทของโซราห์เสด็จเยือน มีผู้ลอบปลงพระชนม์เขา แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งเป็นน้องสาวข้ากลับทำเรื่องเสี่ยงอันตรายโดยการเข้าไปรับดาบแทนราฮิม ทั้งที่ตอนแรกเราแค่มาเพื่อหาข่าวในตลาดของเมืองหลวงเท่านั้น หลังจากนั้นผู้คุ้มกันของราฮิมก็เข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้ พวกเขาพาอาลียาไปรักษา ข้าเองก็ตามน้องไปด้วย เมื่อนางฟื้นคืนสติ นางจึงบอกข้าว่าราฮิมคือชายที่นางเคยฝันถึง และไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็จับคู่กัน อาลียาต้องย้ายไปอยู่ที่โซราห์ โดยที่พวกเราเหล่าภูตราตรีไม่อาจฝืนโชคชะตาได้”
“เพียงเพราะพวกเขาเป็นคู่แห่งโชคชะตาหรือขอรับ”
“มิใช่” นีราส่ายหน้า “มันมีเหตุผลมากกว่านั้น มากกว่าการเป็นคู่ที่ฟ้ากำหนด”
“ท่านหมายถึง...” ถึงตรงนี้นาซีมขมวดคิ้วแล้ว แต่นีราก็ยิ้มแล้วลูบหน้าเขาเบาๆ
“พวกเขารักกัน” นีราเอ่ย “อีกทั้งฟ้ามิได้กำหนดเพียงคู่ครอง แต่กำหนดหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้อาลียา”
ยิ่งได้ฟังเรื่องเล่า ก็ดูเหมือนจะมีเรื่องให้นาซีมสงสัยไม่รู้จบ
“มันคืออะไรกันแน่ท่านแม่นีรา”
“อาลียาเป็นผู้มีพลังในการทำนาย”
“หา!! ผู้ทำนายหรือขอรับ!”
“ถูกต้อง...”
“มัน...อย่างไรกันแน่”
“ข้าก็มิรู้ว่าพลังนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่อาลียาสามารถเห็นอนาคตได้ และพลังนั้นจะมีประโยชน์ต่อแผ่นดินซาร์เรียหากนางได้อยู่เคียงข้างกับราฮิม ข้าไม่รู้ว่าที่สุดแล้วขอบเขตของการทำนายนั้นมีมากแค่ไหนและช่วยเหลืออะไรในแผ่นดินนี้ได้บ้าง แต่อย่างน้อยก่อนที่อาลียาและราชาราฮิมจะจากไป นางก็รู้ตัวก่อนหน้านั้นนานแล้ว”
“ระ...รู้ตัวอยู่แล้วหรือขอรับ”
ความจริงข้อนี้ทำให้นาซีมชาวาบไปทั้งตัว เข้าไม่เข้าใจ หากท่านแม่ล่วงรู้อนาคต รู้แม้กระทั่งวันที่ตนเองจะจากไป เหตุใดจึงไม่แก้ไขเสียก่อน
เหตุใดจึงปล่อยให้มันเกิดขึ้น!
เพราะหากเขารู้สักนิดล่ะก็...เขาก็คงไม่ยอมให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
“นางรู้” นีราย้ำ “รู้แม้กระทั่งเรื่องที่ราชบัลลังก์โซราห์จะถูกผลัดเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนชั่ว”
“แล้วเหตุไฉนท่านแม่จึงไม่บอกข้าหรือท่านพ่อ”
“เจ้าว่าพ่อของเจ้าไม่รู้หรือ ราชาราฮิมรู้ แต่บางอย่างก็มิอาจเปลี่ยนแปลง แม้เขาจะพยายามทุกวิถีทางแล้วก็ตาม อันที่จริงทั้งเขาและเราช่วยกันอยู่หลายปี แต่บางอย่างก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ดังนั้นอุบายเรื่องดวงตาแห่งราชวงศ์ที่ใช้หลอกเหล่าขุนนางให้มิกล้าแตะต้องบังลังก์โซราห์แม้เจ้าเป็นเพียงโอเมก้า ทั้งที่เจ้ามีดวงตาเปลี่ยนสีเหมือนมารดา มิใช่บิดา หรือเรื่องที่คาริฟเข้าไปช่วยเหลือ ทุกอย่างถูกคิดไว้ก่อนแล้ว”
“ดวงตา...ท่านหมายถึง”
“หึ แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้หรือ...ไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะไม่เคยร้องไห้ให้เจ้าเห็น ทั้งที่นางเป็นแค่เด็กขี้แยแท้ๆ” นีราพูดกับเขา แต่ดูให้ดีนางคล้ายรำพันถึงน้องสาวผู้ล่วงลับมากกว่า
นาซีมนิ่งงันไปเนิ่นนาน คิดคำถามหรือสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น เจ้าชายนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ รวบรวมสติและระลึกถึงความทรงจำในอดีต แล้วเขาก็พบว่า...
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นน้ำตาของมารดาเลย...บิดาก็ด้วย
ขนาดเขาที่เป็นคนใกล้ชิดที่สุดยังไม่เห็น แล้วคนทั่วไปจะมีโอกาสเห็นราชาหลั่งน้ำตาหรือ
ไม่มีทาง...เพราะทั้งหมดเป็นเพียงแค่อุบายที่ท่านทั้งสองช่วยกันกุขึ้นเพื่อช่วยยืนยันสิทธิ์ในราชบัลลังก์ของนาซีมหลังจากนี้
“และแน่นอน เพราะเหตุนี้เจ้าที่มีดวงตาเหมือนนางก็ได้รับถ่ายทอดความสามารถของผู้ทำนายมาด้วย ดังนั้นนางจึงต้องรักษาชีวิตของเจ้าให้ดีที่สุด เพราะเชื่อในอนาคตที่นางเห็น”
“เห็นว่าอะไรหรือขอรับ”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเห็นสิ่งใด นางมิได้บอกรายละเอียดแก่ข้า แต่นางว่าซาร์เรียจะปลอดภัยหากเจ้าปลอดภัย”
“แล้วข้า...ข้าน่ะหรือมีพลังในการทำนายอย่างที่ท่านแม่ว่า”
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้”
“ก็ข้าไม่เคยเห็นภาพอนาคตหรือนิมิตใดทั้งสิ้น...ท่านแม่นีราว่ามันจะเป็นความจริงหรือ หากไม่แล้ว...เราจะทำอย่างไรต่อไป ความคาดหวังเรื่องซาร์เรียนั่นก็ด้วย ข้าในตอนนี้ยังมองมิเห็นทางที่จะช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย แม้แต่บัลลังก์โซราห์ข้ายังรักษาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
สิ่งที่นาซีมพรั่งพรูออกมาเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนจากนีราได้อีกครั้ง ทว่าในดวงตาของนางนั้นกลับกร้าวขึ้น ก่อนนางจะเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่นที่สุด
“ข้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพลังในการทำนายนั้นทำสิ่งใดได้บ้าง แต่ข้าเชื่อในตัวของอาลียา เพราะคำพูดของนางไม่เคยผิดเลยสักครั้ง ดังนั้นเจ้าก็จงเชื่อในตัวของแม่เจ้า เชื่อในตัวเองและคอยดูเอาเถิด แม้วันนี้อาจเป็นราตรีที่มืดมิดจนมองมิเห็นหนทาง แต่รุ่งอรุณของเจ้าต้องมาเยือนในไม่ช้า” นีราเว้นไปนิด ก่อนจะขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน “อีกอย่าง เจ้าก็มีลูกชายของข้าเป็นกำลัง แม้เป็นในยามค่ำคืน แต่ภูตราตรีเช่นเขาย่อมคุ้มครองเจ้าได้อย่างแน่นอนนาซีม”
❂ …………………………….❂
เฉลยปมอีกแล้วววว
ตอนหน้าเกียมตัวชุดไปงานแต่งกันค่ะ อิอิ
ละอองฝน.