Warningผมเคยคิดมาตลอดว่าบ้านของคนรวยจะต้องมีขนาดใหญ่โตและหรูหราฟูฟ่าแสดงให้เห็นถึงอำนาจเงินที่พวกเขามีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะดูละครหรือหนังมากี่เรื่องต่อกี่เรื่อง บ้านของพวกคนมีเงินก็มักจะมีอะไรบางอย่างที่บ้านของคนธรรมดาทั่วไปไม่มี ไม่ว่าจะเป็นวงเวียนน้ำพุขนาดใหญ่หน้าบ้าน หรือแม้กระทั่งบันไดขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถง
แต่พอได้มาเห็นบ้านของคนมีอันจะกินของจริง หลายสิ่งหลายอย่างก็ดันไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้สักเท่าไหร่เลย
ห้องหับที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีขาว ผนังที่ตกแต่งด้วยไม้สีขาว ตลอดจนฝ้าเพดานก็ยังเป็นสีขาว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เหนือจิตนาการของผมไปทั้งสิ้น
บ้านคนรวยที่คิดเอาไว้ไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา...
“เอลครับ”
เสียงเอ่ยเรียกที่ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าผมหยุดเหม่อนานเกินไปของฮานทำให้ผมได้สติกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง
ผมหมุนมองรอบตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้กับคนที่ยืนทำหน้างงอยู่ด้านหน้า
“ที่นี่ไม่เห็นจะเหมือนกับคฤหาสน์ที่เคยเห็นในหนังเลยเนอะ”
คนฟังหัวเราะไม่เบานัก แต่เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก็เลยพาลหยุดหัวเราะไปเสียดื้อๆ ใบหน้าคมเหลือบมองผมก่อนจะเบนสายตาออกไปมองรอบๆ ตัวคล้ายกับกำลังไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง ถึงท่าทีของเขาจะดูประหลาดไปสักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจเสียทีเดียวล่ะนะ
เขาคงกลัวว่าถ้าหัวเราะมากเกินไปแล้วผมจะโกรธอีกแน่เลย ฮานนี่ฮานจริงๆ เลยนะ
“อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะครับ ผมไม่ใช่คนโกรธง่ายอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
ดวงตาคมเบิกกว้างคล้ายตกใจที่ผมรู้ทัน “เอลรู้ด้วยเหรอ”
“ก็นะ” ผมไหวไหล่ “ฮานน่ะดูออกง่ายจะตาย เหมือนหนังสือที่เปิดตอนจบค้างไว้นั่นล่ะ”
คราวนี้เขาหัวเราะด้วยท่าทีที่ผ่านคลายกว่าเดิม
“เอาผมไปเปรียบเทียบกับอะไรล่ะนั่น”
แล้วเขาก็ก้มลงมาประทับจูบบนหัวของผมเบาๆ “น่ารักจังเลยครับ”
อา ไม่ไหวๆ แบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเลยจริงๆ ถ้าเกิดตอนนี้เขาขอจูบผมขึ้นมา น่ากลัวว่าผมคงจะยอมอย่างไม่มีข้อแม้...
“ฮะแฮ่ม”
ทันทีที่ได้ยินเสียงกระแอมไอจากบุคคลที่สาม ผมก็พลันผละออกจากฮานอย่างรวดเร็วทั้งที่ยังไม่ทันจะได้หันไปมองเจ้าของเสียงด้วยซ้ำ
อา แย่แล้วๆ ถ้าพ่อเขามาเห็นผมในสภาพนี้เขาจะคิดว่าผมเป็นคนยังไงกันนะ
ฮือ ไม่ไหวๆ อายจนไม่กล้าเงยหน้ามองเลย
“ไม่เอาน่าอัลเฟรด อย่าทำให้ตกใจแบบนี้สิ”
อัลเฟรดเหรอ เหมือนพ่อฮานจะไม่ได้ชื่อนี้นี่นา
“ขอโทษด้วยนะครับคุณหนู พอดีคุณท่านให้ผมออกมาดูน่ะครับ เห็นว่าลงจากรถกันนานแล้วแต่ยังเดินไปไม่ถึงห้องทำงานของท่านสักที ท่านก็กังวลตามประสาคนมีอายุล่ะครับว่าจะหกล้มหรือเกิดอะไรขึ้น ไม่คิดเลยว่า....”
“กรุณาหยุดไว้แค่ตรงนั้นเถอะครับ”
หลังจากที่อุตส่าห์ยืนนิ่งเงียบพยายามทำตัวไร้ตัวตนมานานแสนนาน ในที่สุดผมก็ต้องยอมออกจากเงามืดเพื่อปรามไม่ให้คุณพ่อบ้าน (ผมคิดว่าเขาคงเป็นคุณพ่อบ้านล่ะ) ไม่ให้พูดอะไรน่าอายไปมากกว่านี้
และทันทีที่ผมเงยหน้า ผมก็ได้เห็นคุณพ่อบ้านเต็มสองตา
ในที่สุด ผมก็ได้เห็นสิ่งที่เหมือนกับในละครกับเขาสักที
ตรงหน้าของผม ห่างออกไปประมาณห้าหกก้าวมีชายชราในชุดสูทสีดำเรียบร้อยยืนส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ผมดอกสีเลารับกับหนวดเครางองุ้มสีเดียวกันชวนให้นึกถึงพ่อบ้านในหนังพีเรียดคอมเมดี้ขึ้นมาอย่างไงอย่างงั้น
นี่สิ พ่อบ้านในอุดมคติของผม
“แล้วไม่ทราบว่าคุณหนูทั้งสองจะให้ผมนำทางไปหานายท่านเลยไหมครับ”
อ๊ะ จริงสิ ผมจะมามัวตกตะลึงอยู่กับคุณพ่อบ้านไม่ได้นี่นา
ผมค้อมหัวให้อีกฝ่ายน้อยๆ ก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงนอบน้อมกว่าปกติ
“รบกวนด้วยนะครับ”
ชายชราตรงหน้านิ่งไปอึดใจก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกกว้างกว่าเก่า
“ผมไม่แปลกใจแล้วล่ะครับว่าทำไมคุณหนูฮานถึงเลือกคุณมาเป็นคู่ครอง”
เอ๊ะ
ผมจ้องมองคุณพ่อบ้านตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
ทำไม...เขาถึงรู้ว่าผมเป็นคู่ของฮานล่ะ ในเมื่อผมก็ติดกระดุมคอที่เสื้อเชิ้ตแล้ว...
“เพราะกลิ่นไงล่ะครับ”
เอ๋ เขารู้ได้ยังไงกันล่ะว่าผมกำลังสงสัย
ชายชราตรงหน้าผมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะค้อมหัวให้
“ขออภัยที่เสียมารยาทน่ะครับ แต่สีหน้าของคุณหนู ต่อให้เป็นคนที่ซื่อบื้อแค่ไหนก็เข้าใจได้ง่ายทั้งนั้นล่ะครับ”
อ้อ...
พอได้รู้ความจริง ผมก็ทำได้แค่ฉีกยิ้มแก้มเก้อพลางยกมือขึ้นเกาหน้าตัวเองเบาๆ
อา น่าอายจังเลยน้า...
“ที่คุณหนูสงสัยเมื่อครู่ว่าผมรู้ได้ยังไงว่าคุณหนูคือคู่ของคุณหนูฮาน สาเหตุก็เพราะคุณหนูมีกลิ่นของคุณหนูฮานฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวไปหมดเลยยังไงล่ะครับ”
เห ไม่เห็นจะรู้เรื่องนั้นเลย
ผมยกแขนตัวเองขึ้นดมอย่างตั้งใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามสูดลมหายใจเข้าไปมากเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้กลิ่นที่ว่านั่นเลย
แล้วตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของคนสองคนดังขึ้นพร้อมกัน
“คุณหนูนี่ตลกดีนะครับ”
ผมเลิกคิ้วมองคุณพ่อบ้านก่อนจะหันไปมองหน้าอีกคนที่ยังหัวเราะเบาๆ อยู่ด้วยความไม่เข้าใจ
เมื่อเห็นว่าผมสับสนมากขึ้นทุกที ฮานจึวยกมือลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะเริ่มพูด
“เอล ดมไปก็ไม่ได้กลิ่นหรอกนะ กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของอัลฟ่าที่จะมีแค่อัลฟ่าด้วยกันเท่านั้นที่รับรู้ได้”
โอ๊ะ งั้นก็หมายความว่า แม้กระทั่งคุณพ่อบ้านก็เป็นอัลฟ่างั้นสิ
โห ตระกูลที่สามารถเอาอัลฟ่ามาเป็นพ่อบ้านได้นี่ต้องมีอำนาจขนาดไหนกันนะ
ผมพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหันกลับไปฉีกยิ้มแห้งๆ แก้เก้อให้คุณพ่อบ้านที่ยืนห่างออกไป
“พอดีว่าผมไม่ค่อยได้อยู่กับอัลฟ่าน่ะครับ ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรแบบนี้เท่าไหร่”
“นั่นสินะครับ” นัยน์ตาฝ้าฟางทอดมองตรงมาที่ผม “คุณหนูฮานเองก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสอยู่ท่ามกลางโอเมก้าหรือเบต้าสักเท่าไหร่นัก หากมีอะไรที่ต้องชี้แนะ ก็ได้โปรดช่วยสั่งสอนคุณหนูฮานเธอด้วยนะครับ”
“ให้ผมสั่งสอนฮานเหรอครับ” มือสองข้างของผมโบกไปมา “ไม่ไหวหรอกครับ ฮานเขาเป็นถึงคุณหมอเชียวนะครับ น่ากลัวว่าเขาจะต้องช่วยสอนผมมากกว่า”
ชายชราตรงหน้าหัวเราะ แต่คราวนี้ เสียงหัวเราะนั้นกลับเย็นเยียบและเศร้าหมองพิกล
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องความรู้หรอกครับ สิ่งที่ผมอยากจะให้คุณช่วยสอนคุณหนูฮานคงจะเป็นเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้นมาก”
นัยน์ตาของเขาจับจ้องตรงมาที่ผม...ไม่สิ ไม่ใช่ เขาไม่ได้กำลังสบตากับผม
ดวงตาคู่นั้น...กำลังจ้องมองมาที่คอของผมต่างหาก
“ความรักนั้นสวยงาม แต่การปล่อยวางก็เป็นสิ่งจำเป็น เมื่อถึงเวลาต้องปล่อยก็จำเป็นต้องปล่อยนะครับ”
สายตานั้นเบนเปลี่ยนจากลำคอของผมไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผม...ไปยังฮาน
“อะไรที่มากเกินไป มันไม่ดีหรอกนะครับ”
จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป ความรู้สึกขมุกขมัวปนตึงเครียดในจิตใจนี้คืออะไรกัน ความรู้สึกอึดอัดราวกับว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบนี่มันอะไรกัน
ไม่ชอบ ไม่ชอบเลย
ผมขยับตัวถอยหลังไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยจนชนเข้ากับแผ่นอกของฮานในที่สุด ท่อนแขนของอีกคนยกขึ้นโอบกอดผมไว้หลวมๆ คล้ายเป็นการบอกว่า ‘ผมจะปกป้องคุณเอง’ อย่างไรอย่างนั้น
แค่นี้ก็พอ แค่ที่นี่เท่านั้นที่ผมรู้สึกปลอดภัย
“ขอบใจนะอัล” เสียงของฮานยังคงนุ่มทุ้มเหมือนอย่างทุกที น่าแปลกที่มันกลับรู้สึกน่ากลัวพิกล
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังเลือกที่จะอยู่ในอ้อมแขนแกร่งนี้ต่อไปอยู่ดี
“ขอบใจสำหรับความเป็นห่วงทั้งหมดที่มีให้”
คราวนี้ผมมั่นใจแล้วว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกส่วนตัว
ผมรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน กลิ่นหอมมะลิเข้มข้นที่แผ่ซ่านออกจากตัวฮานราวกับไม่มีวันหมดนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ไม่ชอบ ไม่ชอบเลย
ผมขยับตัวซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกแกร่งมากขึ้นกว่าเก่า ไม่รู้ว่าเป็นผลจากกลิ่นของฮานหรือความตึงเครียดในอากาศ จู่ๆ ผมก็พลันรู้สึกว่าร่างกายตัวเองกำลังสั่นเทิ้มเกินจะควบคุมได้
ผมกลัว ผมกลัวมาก และต้นเหตุของความกลัวก็อยู่ตรงหน้านี้เอง ทั้งที่รู้อย่างนั้น ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอยากซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดนี้ให้มากขึ้นกว่าเก่า
ฝ่ามือใหญ่ที่คอยลูบไล้ปลอบโยนทำให้ผมสงบลงได้เล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หายดี
ฮานในตอนนี้น่ากลัวเหลือเกิน แต่ใจผมก็รู้ดีว่าเขาคือสถานที่พักพิงที่ดีที่สุด ความรู้สึกที่ทั้งกลัวทั้งอยากอยู่ใกล้แบบนี้ ผมไม่เข้าใจมันเลย
ไม่เลยสักนิดเดียว
“ฮาน” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเอ่ยปากขึ้นเบาๆ พร้อมกับสองมือที่กำเสื้อเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย “เดี๋ยวคุณพ่อรอนานนะ”
แล้วกลิ่นมะลิคุ้นจมูกนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป
“จริงด้วย เราควรไปกันได้แล้วล่ะ”
แล้วเขาก็เงียบไปเล็กน้อย
“นำทางทีสิอัล”
พูดตามตรง ผมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองหน้าหรือสบตาเขาด้วยสิ สิ่งที่ผมทำมีเพียงแค่การก้มหน้า ก้มแล้วก็ก้มอยู่อย่างนั้น แม้กระทั่งตอนที่ฮานจูงมือผมให้เดินตาม ผมก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองรอบตัวด้วยความอยากรู้เหมือนอย่างเคย
บางที นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจคำพูดของอาจารย์อย่างถ่องแท้
พันธนาการนี้ อันตรายเหลือเกิน
ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบความเงียบสักเท่าไหร่หรอก แต่บางที ถ้าต้องโดนบังคับให้ตอบคำถามที่ไม่อยากตอบ สู้อยู่กับความเงียบไปเรื่อยๆ ก็น่าจะดีกว่าล่ะน้า...
ผมเหลือบตามองชายวัยกลางคนตอนปลายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมฝั่งตรงข้ามเล็กน้อยก่อนจะรีบหลุบตาหนีด้วยความหวาดกลัว
คนตรงหน้าผมเป็นอัลฟ่าร่างสูงโปร่งที่ไม่ได้ดูกำยำล่ำสันเท่ากับฮาน เขามีมัดกล้ามเนื้อสวยพอประมาณ นัยน์ตาของเขามีสีอ่อนเหมือนกับชาวลินเดียทั่วไป ทั้งที่ผิวขาวจัดจนเกือบจะซีด แต่ใบหน้ากลับคมสันหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ ผมสั้นสีอ่อนของเขาถูกเซ็ตเป็นทรงเว็ทลุคประกอบกับการแต่งตัวที่ดูสบายๆ แต่กลับมีรสนิยมอย่างมาก...มากเกินไปสำหรับการแต่งตัวอยู่บ้านเฉยๆ ด้วย...
อา แย่แน่ๆ ผมรับมือคนแบบนี้ไม่ได้หรอก
ตั้งแต่รู้จักกับฮานมา เขาเองก็เคยพูดเรื่องของพ่อบุญธรรมให้ฟังอยู่สองสามครั้งเท่านั้นเอง
เอ๊ะ อันที่จริงจะไปเรียกว่าพ่อบุญธรรมก็คงจะไม่ถูกนักหรอก ถ้าจะเอาให้แม่นยำตามหลักการที่ชาวบ้านเขาเรียกกันก็คงจะเป็น...อืม...พ่อทูนหัว...ใช่ๆ ประมาณนั้นล่ะ
พ่อทูนหัวของฮานมีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ ของเขา หลังจากที่แม่แท้ๆ ทั้งสองของฮานเสียชีวิตไปหลังจากที่ฮานเกิดได้ไม่นาน คุณลุงน่ากลัวที่นั่งตรงข้ามพวกเรานี้ก็เป็นคนรับเขามาเลี้ยงดู เท่าที่ผมรู้เหมือนว่าคุณลุงคนนี้จะไม่มีครอบครัวหรือคนรักอะไรทั้งนั้น
ตอนแรกที่ได้ยินจากฮานว่าอัลฟ่าจากตระกูลเก่าแก่ที่มีเงินทองมากมายไม่มีครอบครัวมันก็ออกจะฟังดูเหลือเชื่ออยู่หน่อยๆ แต่พอได้มาเจอตัวจริงของเขาแล้ว ผมว่าผมก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่มีลูกมีภรรยาเหมือนคนอื่นเขา
“ตกลงก็คือไปจดทะเบียนกันเรียบร้อยแล้วค่อยมาบอกพ่อเนี่ยนะ” เสียงทุ้มต่ำนั้นฟังดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “ใครสั่งใครสอนให้ทำแบบนี้กัน”
ไม่พูดเปล่า เขายังวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแรงมากจนผมกลัวว่าแก้วจะแตกคามือเขาด้วย
อา คนอะไร เวลาโมโหแล้วน่ากลัวเป็นบ้าเลย
“โธ่พ่อครับ พ่อก็รู้จักเอลมาแต่ไหนแต่ไร ที่สำคัญผมกัดน้องไปแล้วด้วย อย่างไรเสียก็ควรรับผิดชอบ”
“พ่อพูดว่าไม่ให้รับผิดชอบรึยังหืม”
เอาแล้วๆ ผมว่าพายุกำลังจะเข้าเร็วๆ นี้ล่ะ
“แต่เมื่อกี้นี้พ่อบอกว่า...”
“พ่อบอกว่าเวลาจะทำอะไรก็ต้องทำให้มันถูกธรรมเนียม จะไปข้ามไปข้ามมา จดทะเบียนก่อนแล้วค่อยมาบอกกล่าวครอบครัวมันใช้ได้ที่ไหน แล้วนี่ที่บ้านเขาก็ยังไม่รู้ใช่ไหม”
ไม่ว่าเปล่า คุณลุงยังชี้มาทางผมด้วย
“แล้วเขาจะมองเราเป็นคนยังไง ใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ ไม่เคารพให้เกียรติเขา เขาจะหาว่าไม่สั่งไม่สอนกันให้ดีน่ะสิ” แล้วเขาก็เงียบไปอึดใจ “เข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหมฮาน”
เห ประโยคสุดท้ายนี่เสียงอ่อนลงจนน่าตกใจเลยนะเนี่ย
ผมเหล่ตามองคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ผมนิ่ง ใจมันก็อยากจะเอ่ยปากปลอบเขาอยู่หรอก แต่ดูจากทรงแล้ว...
นัยน์ตาผมเหลือบมองคนที่จ้องเขม็งไปที่ฮาน
เงียบไว้น่าจะปลอดภัยกว่าแฮะ
ฮาน ผมขอโทษนะครับ แต่ผมรับมือกับคุณพ่อทูนหัวของฮานไม่ไหวจริงๆ เขาน่ากลัวกว่าแม่ผมตอนโกรธอีกอะ
หลังจากปล่อยให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่พักใหญ่ ในที่สุดคนคนตัวโตข้างๆ ผมก็ยอมปริปากพูดอ้อมแอ้มออกมา
“เข้าใจครับพ่อ” แล้วเขาก็เอื้อมมือมาบีบมือขวาผมเบาๆ คล้ายเป็นการขอกำลังใจ “ผมขอโทษครับ”
อา แย่จัง ผมอยากกอดปลอบเขาจังเลย
ผมใช้มือซ้ายที่วางอยู่ลูบหลังมือของเขาเป็นการปลอบใจก่อนจะหันไปสบตากับคุณลุงของฮานที่จ้องดูอยู่ก่อนแล้ว ทีแรกผมก็ตั้งใจจะทำหน้าขึงขังแล้วก็พูดประโยคคมๆ เหมือนในหนังรักอยู่หรอก แต่แหม...
รอยยิ้มแห้งๆ ถูกเสกให้ประดับบนใบหน้าผมโดยอัตโนมัติ
“ขอโทษด้วยนะครับคุณลุง”
ผมไม่กล้านี่นา คุณลุงน่ากลัวจะตายไป อีกอย่างผมก็เป็นคนพูดประโยคคมๆ ไม่เป็นด้วย ขืนให้พูดไปตอนนี้น่ากลัวจะพูดไม่รู้เรื่องเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นฉีกยิ้มโง่ๆ แบบนี้ส่งไปนี่ล่ะดีแล้ว
แต่เหมือนจะมีแค่ผมที่คิดว่ามันดีแล้ว...
ชายวัยกลางคนตรงหน้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่คล้ายรำคาญ
“ฮาน” เขาเรียกคนข้างตัวผมด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อกี้เล็กน้อย “ออกไปข้างนอกก่อนไป พ่อมีอะไรจะคุยกับคู่ของลูกหน่อย”
“แต่คุณพ่อครับ เอลเขา...”
ฮานพยายามจะต่อสู้เพื่อผม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สำเร็จนัก
“พ่อบอกให้ออกไปรอข้างนอกก่อนไง”
สุดท้าย ฮานก็เป็นฝ่ายเงียบแล้วหันมามองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
“เอลครับ ถ้าเกิดว่าคุณยังไม่พร้อมก็...”
“ฮาน”
ยังไม่ทันที่ฮานจะได้พูดจบประโยคก็พลันมีเสียงประกาศิตจากผู้อาวุโสสุดในห้องดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน คนโดนขัดมีสีหน้าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ยังไม่วายอุตส่าห์หันไปต่อสู้จนเฮือกสุดท้าย
“แต่ว่าพ่อครับ...”
“ฮาน อย่าให้พ่อต้องเรียกชื่อลูกเป็นครั้งที่สามนะ”
แอด แอด คุณลุงนำไปหนึ่งคะแนน
ใจจริงผมมันอยากตะโกนคำว่า ‘ม่ายยย’ ออกไปอยู่หรอก แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก...
“ฮานออกไปก่อนเถอะนะ เอลกับคุณลุงคุยกันเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วล่ะ”
ใครบอกว่าผมอยากพูดแบบนั้นกัน ตีปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าบ้าเอล
แล้วหนทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของผมอย่างฮานก็ยอมเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี
ตายแน่ งานนี้เอมานูเอลตายแน่ ตายแบบไม่ต้องสืบ ตายแบบเละเป็นโจ๊ก...
“นี่เธอน่ะ”
“คะ ครับ”
วินาทีที่คนสูงวัยกว่าเรียกหาอย่างเฉพาะเจาะจง กายละเอียดที่แสนบอบบางของผมก็แทบหลุดออกจากร่าง โชคยังดีที่ไม่ตกใจจนเป็นลมไปเสียก่อน
อันตราย อัลฟ่าอายุมากนี่อันตรายจริงๆ
“มาจากรัฐโอเซนใช่ไหม”
ผมสงสัยกับคำถามแต่ก็ยอมพยักหน้าออกไป
“ครับ”
“เหรอ” เขาตอบรับก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ช่วยเล่าเรื่องที่นั่นให้ฟังหน่อยสิ”
เอ๊ะ
ผมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่อาจเก็บความประหลาดใจเอาไว้ได้ แต่ถึงจะรู้สึกว่ามันแปลก ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมเล่นตามน้ำไปอยู่ดี
ว่าแต่ จะเล่าอะไรดีล่ะ ชีวิตผมยิ่งจืดๆ อยู่ด้วย
“โอเซนเป็นรัฐเล็กๆ ที่เน้นเกษตรกรรมแล้วก็....”
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว ช่วยพูดอะไรที่น่าสนใจกว่านี้ได้ไหม”
น้ำลายที่กลืนลงไปในคอหนืดข้นกว่าปกติ
อา แย่แล้ว แย่แน่ๆ เลย
“โอเซนเป็นรัฐที่เล็กมากก็จริงแต่เมืองหลวงของรัฐเป็นเมืองที่ร่ำรวยด้านศิลปะและวัฒนธรรมมากเลยครับ ด้วยเพราะมีภูมิศาสตร์ที่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ อารยธรรมโบราณของลินเดียจึงสามารถผมเจอได้ที่โอเซนทั้งหมด แล้วก็...”
ไม่ไหวๆ เขาดูไม่สบอารมณ์เลย งั้นเปลี่ยนเรื่องดีกว่า
“ถึงจะเป็นรัฐที่ร่ำรวยด้านของโบร่ำโบราณ แต่ผู้คนที่นั่นกลับไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้เท่าไหร่เลย สิ่งที่ขึ้นชื่อในโอเซนกลับเป็นอาหารและขนมพื้นเมืองจนโดนคนในลินเดียเรียกว่ารัฐแห่งอาหารเลยล่ะครับ ฮ่าๆ ...”
แม่ครับ พ่อครับ คุณลุงเขาดูอารมณ์เสียยิ่งกว่าเมื่อกี้อีกครับ เอาวะ งัดมุกสุดท้ายมาใช้เลยแล้วกัน
“ชีวิตของผมที่นั่นก็ค่อนข้างเรียบง่ายครับ ด้วยโอเซนเป็นรัฐที่มีเบต้าและโอเมก้าอาศัยอยู่มากที่สุด ในเมืองแทบจะไม่มีอัลฟ่าเลยล่ะครับ ยิ่งเป็นหมู่บ้านไกลตัวเมืองอย่างหมู่บ้านของผมแล้ว อัลฟ่าจัดเป็นสิ่งหายากเลยครับ เพราะฉะนั้นผมก็เลยรู้สึกโชคดีที่ไม่เคยโดนกลั่นแกล้งที่โรงเรียนเพราะความเป็นโอเมก้าเลย”
คราวนี้เขาเลิกคิ้วด้วยสีหน้าที่ดูสงบนิ่งกว่าเมื่อครู่ ผมจะขอนับว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดีได้ไหมนะ
“พวกครูก็เป็นเบต้ากับโอเมก้ากันหมดเลยเหรอ”
เอ๊ะ ได้ผลแฮะ รู้งี้เล่าเรื่องขิงข่าแบบนี้แต่แรกก็คงดี
ผมพยักหน้าตอบเขาอย่างกระตือรือร้น
“ใช่ครับ โรงเรียนของผมมีวิชาพิเศษที่เรียกว่าสุขศึกษาสำหรับเบต้าและโอเมก้าด้วยนะครับ ที่เคยเป็นข่าวทั่วประเทศเมื่อประมาณสามปีก่อนน่ะครับ”
“อือฮึ” เขาครางรับในคอ “แล้วยังไงต่อ”
อ้าว นึกว่าจะรอดแล้วเสียอีก
ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางพยายามเค้นหัวข้อขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ผล
ต้องยอมแพ้แล้วล่ะ
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ”
คู่สนทนาของผมเงียบไปพักใหญ่ เขาจ้องมองผมด้วยท่าทางเครียดขรึมอยู่พักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ เอนหลังลงไปพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนหายใจออกมา
“เด็กพวกนี้นี่นะ คิดอะไรอยู่กันแน่”
นัยน์ตาคมคู่นั้นทอดมองผมด้วยแววตาไม่พอใจ
“ไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตากันแท้ๆ ทำไมถึงปล่อยให้เลยเถิดมาขนาดนี้ล่ะ”
เอ๊ะ
“ถ้ารู้ว่าไม่ใช่แต่แรก จะขอให้ทางรัฐถอนการจับคู่ให้ก็ได้แท้ๆ”
ทำไมล่ะ
“ถ้าวันหนึ่งเกิดพวกเธอคนใดคนหนึ่งเจอคู่ของตัวเองขึ้นมาแล้วจะทำยังไง จะไปถอนการจับคู่หลังฝังพันธะไปนานแล้วมันยากมากนะรู้ไหม”
ทำไมเขาถึงรู้ล่ะ
“กลิ่นของฮานที่ฝังอยู่ในตัวเธอรุนแรงมาก เขาคงรัทล่ะสิ”
คนๆ นี้...
“พูดกันตรงๆ เลยนะ”
ดวงตาคู่นั้นสบลึกเข้ามาในตาของผม
“ฉันอยากให้พวกเธอถอนพันธะกันซะ”
ทำไม ทำไมล่ะ ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นล่ะ
“พวกเธอไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน ถ้าวันหนึ่งพวกเธอคนใดคนหนึ่งเกิดเจอคู่ของตัวเองขึ้นมาแล้วมันจะยุ่งยาก”
เขาเว้นจังหวะไปเล็กน้อย
“ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการถอนพันธะหรอก แต่มันเป็นอะไรที่ยุ่งยากกว่านั้นมาก”
อุณหภูมิในห้องลดลงจนรู้สึกหนาวสั่น
“อัลฟ่าที่รัทกับคนที่ไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตากันน่ะ จบไม่สวยสักคนเลยรู้ไหม”
ลมหายใจที่เคยอุ่นร้อน ตอนนี้กลับหนาวเย็นจนหนักอึ้งไปทั้งอก
“โซ่ตรวนแบบนั้น ฉันรู้จักมันดี”
แล้วเขาก็ถกแขนเสื้อตัวเองขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยื่นข้อมือทั้งสองข้างมาตรงหน้าผม
ร่องรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องย้อนอดีตไปดูก็พอจะเดาได้ว่าข้อมือทั้งสองข้างนี้เคยถูกพันธนาการอย่างแน่หนาและรุนแรงมาก่อนปรากฏขึ้นตรงหน้า ชายวัยกลางคนค้างมือของตัวเองอยู่อย่างนั้นคล้ายอยากจะให้ผมจดจำรอยแผลนี้ไว้ให้ขึ้นใจ
“เมื่อไรก็ตามที่อัลฟ่าบ้าคลั่งเพราะความรักที่มากมายจนเกินไป เมื่อนั้นจะเกิดโศกนาฏกรรม”
ถ้อยคำเหล่านั้นสลักลึกลงในใจผมช้าๆ
“ฉันเคยเกือบฆ่าคนที่ฉันรักที่สุดด้วยมือของฉันเองมาแล้วและฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก”
เสียงทุ้มต่ำนั้นเจือความเสียใจไว้อย่างสุดซึ้ง
“สายสัมพันธ์นี้คือคำสาป”
ทั้งอ้างว้างและทรมานเสียจนผมอดสะท้อนใจไม่ได้
“รีบถอยออกมาในตอนที่ยังมีโอกาส ดีกว่าถลำลึกลงไปจนย้อนกลับมาไม่ได้จะดีกว่า”
ถลำลึก...งั้นเหรอ...
...อ้อ...
“ถ้างั้นก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ฮะ?”
ผมสบตากับเขาที่ดูงุนงงแล้วพูดซ้ำอีกครั้ง
“ถ้าคุณลุงกลัวว่าพวกผมจะถลำลึกล่ะก็ คุณลุงไม่ต้องกังวลไปหรอกนะครับ”
แล้วผมก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาเหมือนอย่างทุกที
“เพราะพวกผมน่ะ...ผ่านจุดย้อนกลับนั่นมานานมากแล้วล่ะครับ”
***************************************************************************