ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20  (อ่าน 18535 ครั้ง)

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
«ตอบ #150 เมื่อ17-06-2020 20:41:50 »

39










          เมื่อมีโอกาสอยู่กันเพียงลำพัง หลังจากที่แม่ของเขาออกจากห้องนั่งเล่นไปแล้ว พัสกาญได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

          “ม่อนเป็นกังวลแทนพี่อยู่เหรอครับ” ทัชชาถามขณะที่รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า

          “พี่ทัชพูดกับแม่แบบนั้น ไม่ดูกวนประสาทไปหน่อยเหรอครับ”

          “ก็พี่ไม่อยากสร้างภาพนี่ครับ เป็นตัวของตัวเองให้คุณน้าเห็น พี่ว่าดีที่สุดแล้ว”

          “พี่ทัชเป็นคนแบบนี้เองเหรอ ที่แล้ว ๆ มา สิ่งที่ผมเห็นใช่ตัวจริงของพี่ทัชรึเปล่า”

          “ก็ใช่ครับ แต่ไม่ทั้งหมด ม่อนเจอพี่เฉพาะตอนอยู่ในกองถ่าย คุยกันผ่านตัวหนังสือ เราไม่ได้พบหน้ากันบ่อย ๆ”

          “ผมเชื่อพี่ได้ใช่ไหม?”

          “ม่อนต้องพิสูจน์เองครับ อย่าเชื่อคำพูดพี่เลย”

          “ผม...เมื่อกี้...เอ่อ...ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี”

          “ไม่ต้องรีบ พี่มีเวลาให้ม่อนทั้งชีวิต”

          “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

          “อ่าว แล้วเรื่องอะไรล่ะครับ”

          “เรื่องที่แม่ถาม เรื่องออร่าของพี่ทัช”

          “อ่อ! ...ถึงพี่จะไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าม่อนคุยกับคุณน้าเรื่องอะไร แล้วพี่ก็ไม่คิดจะคาดคั้นให้ม่อนบอกกับพี่ตอนนี้ รอม่อนพร้อมเมื่อไร รู้ตอนนั้นก็ไม่สาย แต่ที่พี่อยากรู้เอามาก ๆ ก็คือ...คุณน้าไม่พอใจอะไรพี่รึเปล่า สายตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเลย”

          “แม่ก็แค่อิจฉาพี่ทัช”

          “อิจฉาพี่ พี่มีอะไรให้คุณน้าต้องอิจฉา”

          “ก็สิ่งที่ม่อนเห็น...เอ่อ...บางอย่าง...ที่คนอื่นไม่เห็น” พัสกาญนึกถึงตอนที่บอกเรื่องนี้ให้กับกรกฤต จึงรีบบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดไปไกล “แต่ไม่ใช่ผีสางอะไรนะ!!”

          “ครับๆ พี่เกือบตกใจแล้วสิ” ทัชชาดูจะขำในท่าทีของเขา

          “แหม่มเรียกมันว่าออร่า”

          “ออร่า อืม...อารมณ์ประมาณแสงเหนือ หรือรัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวคนอย่างในหนังจักรๆ วงศ์ ๆ รึเปล่า”

          “อื้ม” พัสกาญค่อย ๆ เล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองเห็น แล้วเป็นจากใครบ้าง แบบไหนบ้างให้ทัชชาฟัง และขยายความถึงออร่าของทัชชาที่ไม่เหมือนของคนอื่น

          “แบบนี้หากพี่เล่นซ่อนหากับม่อน พี่ก็แพ้นะสิ”

          “พี่ทัช ยังจะพูดเล่นอีก”

          “แล้วจะเครียดไปทำไมละครับ ม่อนเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น นั่นก็คือความสามารถพิเศษ คือพรสวรรค์ของม่อนนะ ไม่เห็นต้องกังวลเลย”

          “พี่ทัชไม่คิดว่าม่อนเป็นตัวประหลาดเหรอ?”

          “ไม่นะ พี่ว่าดีซะอีก เพราะไม่ว่าม่อนจะอยู่ที่ไหน ม่อนก็สามารถหาพี่จนเจอ และยังรับรู้ความรู้สึกของพี่โดยที่พี่ไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด”

          “หืม...คิดเข้าข้างตัวเองจนหน้าหมั่นไส้อ่ะ”

          “พี่พูดความจริงนะครับ พี่ดีใจมากเลยรู้ไหม พอนึกได้ว่าม่อนน่าจะรับรู้ความรู้สึกของพี่มาตั้งนานแล้ว ถ้ารู้แบบนี้ พี่เดินหน้าจีบม่อนไปนานแล้ว ไม่มัวแต่มาแอบมองอยู่ไกลๆ อย่างนี้ตั้งนานสองนาน”

          “พอแล้วๆ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว คนอะไรดึงเข้าเรื่องตัวเองได้ตลอด” ประโยคหลังพัสกาญอดที่จะบ่นเบา ๆ ไม่ได้

          “ครับ เปลี่ยนเรื่องก็ได้ ถึงพี่จะเสียดายก็เถอะ”

          “พี่ทัช...”

          “ครับ ๆ เอ่อ พี่ว่าจะชวนม่อนไปงานปิดกล้องละคร ม่อนจะไปกับพี่ไหม”

          “ทำไมม่อนต้องไปกับพี่ทัชล่ะ ถ้าหากม่อนจะไปม่อนควรไปกับกรมากกว่า”

          “ก็พี่อยากให้ม่อนไปกับพี่นี่ พี่อยากคบกับม่อนอย่างเปิดเผย”

          “ผมไปตกลงกับพี่ทัชตั้งแต่เมื่อไร ว่าจะคบกัน”

          “ม่อนไม่อยากให้พี่เลื่อนขั้นเรียกคุณน้าว่าแม่เร็ว ๆ เหรอ?”

          “เรื่องนี้แม่ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย อย่าโมเมสิ”

          “ม่อนครับ ม่อนก็เห็นว่าพี่รู้สึกยังไง รู้สึกมานานแค่ไหน และคงไม่ต้องบอกว่ามันมากมายขนาดไหน ถึงขั้นคุณน้าโกรธพี่ขนาดนี้ แค่เพราะอิจฉาเรื่องออร่าด้วยแล้ว ม่อนไม่สงสารพี่ ไม่เห็นความจริงใจของพี่อีกเหรอครับ?”

          พัสกาญได้แต่นิ่งเงียบ ทัชชาพูดถูกทุกอย่าง เขาเห็น เขารู้ แต่เขายังไม่พร้อม ถึงแม้จะรู้สึกดีกับอีกฝ่ายก็ตาม แต่เขายังกลัว

          “ค่อย ๆ คิดครับ พี่ไม่ได้บังคับม่อน ไม่อยากให้ม่อนต้องลำบากใจ”

          “ผมขอคิดดูก่อนนะ”

          “ม่อนไม่ต้องกลัวเรื่องข่าว ม่อนก็เป็นม่อน คบกับพี่ในฐานะผู้ช่วยของกรกฤต ไม่ใช่ฐานะของพัสกาญเจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง ดีไหมครับ?”

          “ม่อนไม่ได้กังวลเรื่องข่าว”

          “อ่าว”

          “ขอม่อนค่อย ๆ คิดก่อนนะครับ แล้วม่อนจะให้คำตอบ”

          “ครับ อ่อ!! มีอีกอย่างที่พี่ต้องบอกกับม่อน”

          “อะไรครับ”

          “เกี่ยวกับข่าวของแหม่ม”

          “แหม่มมีข่าวอยู่ทุกวัน ม่อนรู้จักแหม่มดี เลยไม่ค่อยสนใจข่าวที่ออกมาเท่าไร”

          “แต่ข่าวล่าสุดพี่ดันเอาตัวเข้าไปพัวพันด้วยน่ะสิ เลยต้องสารภาพกับม่อนก่อน พี่กลัวม่อนหึงจนไม่ยอมฟังพี่อธิบาย”

          “ใครจะไปหึงพี่ทัชกัน!!”

          “ครับ ๆ ไม่หึงก็ไม่หึง”

          “แล้วพี่ทัชจะอธิบายอะไร”

          ทัชชาเล่าเรื่องที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวคนหนึ่งในระหว่างเดินเลือกซื้อของ การพูดเพียงไม่กี่คำช่วยให้ชาริสารอดพ้นจากข้อกล่าวหาก็จริง แต่ข่าวบางสำนักกลับไปเล่นข่าวว่าเขาชอบพอกับชาริสาถึงขั้นออกปากปกป้องออกสื่อ

          “ผมเข้าใจครับ และขอบคุณที่พี่ทัชช่วยแก้ต่างให้กับแหม่ม”

          “แต่เรื่องฝรั่งคนนั้น พี่ไม่รู้ว่าแหม่มจะรับมือยังไง”

          “ไม่ต้องห่วงครับ หลังปิดกล้องละครเรื่องนี้ แหม่มคงจะออกมาพูดเรื่องฝรั่งคนนั้นได้”

          “ม่อนรู้ว่าฝรั่งคนนั้นเป็นใคร?”

          “ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อเควนติน เขามีซีรี่ย์ดัง ๆ หลายเรื่องที่นิวยอร์ก”

          “อืม พี่พอเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นคงไม่ต้องห่วงเรื่องนี้”

          พัสกาญยิ้มรับ ทั้งสองคุยเล่นหยอกล้อกันจนเขาสังเกตเห็นน้านิลเข้ามาแอบดูเป็นพัก ๆ เขาจำต้องไล่อีกฝ่ายให้กลับไปพักผ่อน ส่วนทัชชาเองก็ยอมแต่โดยดี

          “ม่อนจะกลับไปพักที่ร้านเมื่อไรครับ” ทัชชาถามเขาขณะที่เดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน

          “ช่วงนี้แม่อยู่คนเดียว ม่อนคงไปๆ กลับๆ ครับ ไม่ได้ค้าง”

          “งั้นม่อนก็เริ่มเข้าร้านแล้วสิ”

          “ผมว่าจะเข้าไปประมาณวันอังคารหน้า”

          “ครับ ไว้วันไหนพี่เสร็จงานเร็ว พี่ไปรับม่อนที่ร้านนะครับ”

          “อืม”

          เมื่อทัชชาขับรถออกไปแล้ว น้านิลก็มาบอกกับเขาว่าแม่ต้องการพบ

.........................................................................

          ระยะนี้คิวของนักแสดงในกองถ่าย หลักๆ แล้วจะเป็นคิวของพราววริศาและอาทิตย์ที่เป็นคู่รองของเรื่อง หากฉากไหนซีนไหนที่มีทัชชา หรือชาริสาร่วมด้วย ถ้าบทไม่มากนัก กวินทร์เลือกที่จะเลี่ยง ไม่รบกวนนักแสดงทั้งสอง ด้วยการถ่ายซีนของทั้งสองแยกต่างหากแล้วค่อยตัดต่อมารวมกับส่วนที่เหลือ โดยไม่ได้มีนักแสดงร่วมอยู่ในเฟรมเดียวกัน

          ระหว่างพักกอง รอนักแสดงทานอาหาร กวินทร์กับเจษฎ์ก็ปรึกษากันถึงเรื่องงานตัดต่อต่าง ๆ ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาภายหลัง ก่อนเตรียมแยกย้ายกันไปทานข้าว

          “พี่กวินทร์ เจษฏ์ ข้าวเที่ยงค่ะ” กะทิเดินนำอาหารจัดวางใส่จานอย่างเรียบร้อมเข้ามาส่งให้ถึงที่

          “ขอบใจมากนะกะทิ ผมกับพี่วินทร์กำลังจะไปทานพอดี”

          “ทิเห็นไอ้เด็กตาลมันบอกว่าพี่กวินทร์ยังไม่ไปทานข้าว คิดว่าน่าจะยังยุ่ง ๆ อยู่ ทิเลยเอามาให้น่ะ”

          “ขอบใจมากนะกะทิ”

          “ไม่เป็นไรค่ะพี่กวินทร์”

          ทั้งสองรับจานอาหารไปทานด้วยกัน กะทิที่เดินออกไปและกลับมาพร้อมกับน้ำดื่มเย็น ๆ ในมือ

          “วันนี้ในกองมีน้ำเก็กฮวยค่ะพี่”

          “อืม” กวินทร์พยักหน้าให้ก่อนรับแก้วน้ำเก็กฮวยมาวางลงบนโต๊ะ

          “เอ่อ เจษฎ์ ทิว่าจะถามอะไรหน่อย ทิกวนเจษฎ์ตอนกินข้าวไหม?”

          “ถามมาเถอะ ถ้าไม่ถามตอนนี้คงไม่มีเวลาแล้ว”

          “ทิจะถามเรื่องคิวงานน้องแหม่มน่ะ?”

          “อ่อ แหม่มเขาหมดคิวไปแล้ว น่าจะได้เจอกันอีกทีก็วันที่จัดงานเลี้ยงปิดกองโน่นนะ”

          “แล้วข่าวเรื่องที่แหม่มเทกองเมื่อวันก่อนละ?”

          “ข่าวนั้นผมก็ยังงง ๆ อยู่ไม่รู้ว่ามันมาได้ไง ยังดีที่ทัชช่วยแก้ข่าวให้แหม่มแล้ว” กะทิขยับเขาไปนั่งใกล้ ๆ เจษฎ์มากขึ้น

          “เด็กตาลบอกว่า ที่จริงแล้ว แหม่มเขามีคิวในวันนั้น แต่น้องดามาเคลียร์คิวกับเจษฏ์ใหม่ แล้วฉากที่ต้องถ่ายล่ะไม่ถ่ายแล้วเหรอ”

          “ถ่ายไปแล้ว ชันดาเข้ามาเคลียร์คิวจริง แล้วก็ให้ผมจัดคิวถ่ายแทรกให้โดยไม่กระทบกับนักแสดงคนอื่น ๆ นะ คิวของวันนั้นผมจัดแทรกให้แหม่มเขาถ่ายอยู่ 2-3 วันได้มั้ง”

          “หื้ม...เก่งนี่ เบียดคิวให้จนทีมงานไม่ทันสังเกตเลยว่างานเพิ่มขึ้น”

          “แล้วนี่อยากรู้ไปทำไม”

          “คิดถึงน้องแหม่ม”

          “เดี๋ยวก็ได้เจอกันเรื่องหน้า”

          “แหม่มจะมีเรื่องใหม่แล้วเหรอ?”

          “อืม พี่วินทร์เพิ่งจะเสนอทางผู้ใหญ่”

          “พี่กวินทร์ค่ะ เรื่องหน้าอย่าลืมเรียกใช้บริการช่างผมอย่างกะทิ ช่างหน้าอย่างไลลานะค่ะ อ่อ ทีมคอสตูมอย่างนังกรอีกคน”

          “ฮ่าๆๆ กะทิดูแลพวกพี่ดีขนาดนี้ พี่ไม่ลืมแน่นอน” กวินทร์อดหัวเราะกะทิไม่ได้ ที่ขายของยกทีมขนาดนี้ “แต่ละครเรื่องใหม่นี้อย่าเพิ่งไปหลุดพูดที่ไหนล่ะ รอให้ผู้ใหญ่เขาสรุปก่อน”

          “เรื่องหลุด ไม่มีจากกะทิแน่นอนค่ะ พี่กวินทร์กับเจฎษ์ก็ระวังจะหลุดเองอย่างเรื่องคิวของน้องแหม่มก็แล้วกัน”

          “เฮ้ย! ...เรื่องนั้นผมไม่เกี่ยวนะ” เจษฎ์รีบออกตัว”

          “ทิก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ แค่สงสารน้องแหม่ม อะไรๆ เกี่ยวกับน้องเขา แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีประเด็นอะไรก็โดนเอามาตีซะเป็นข่าวเสีย ๆ หาย ๆ หมด”

          “พี่ก็แปลกใจ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ตีข่าว เล่นข่าวกันใหญ่โต”

          “อ่อ แล้ววันนั้นมีพวกแฟนคลับอยู่แถว ๆ นั้นไหมค่ะพี่กวินทร์”

          “จะไปมีได้ยังไง นั่นมันจะตีหนึ่งแล้วนะ”

          “ทำไม ทิคิดว่าข่าวนี้หลุดมาจากแฟนคลับเหรอ?” เจษฏ์อดถามไม่ได้

          “ทิสังเกตว่าตั้งแต่แหม่มเล่นละครเรื่องนี้ ข่าวมันก็หนักขึ้น เจษฎ์จำได้ไหม ตอนเริ่มถ่ายใหม่ ๆ มีแฟนคลับแอนตี้แหม่มขนาดไหน วันงานแถลงข่าวละครก็อีก ถ้าไม่โดนข่าวคุณเตอร์ที่มาเฝ้าน้องพราวกลบไป ข่าวแหม่มคงแรงขึ้นไปอีก”

          “ผมจำได้ว่าวันนั้นหลังจากคุยกับหลินเสร็จ รอบ ๆ ก็มีแค่ผม พี่วินทร์ แล้วก็เด็กกล้องไม่กี่คน ตอนจะกลับนั่นแหละ ชันดาถึงเขามาหาผม”

          “อืม ตอนหลินคุณกับเจษฎ์คุยกัน พี่ก็ยังอยู่นะ แต่ตอนชันดามา พี่ออกมาก่อนรู้แต่ว่าชันดามาขอเคลียร์คิวกับเจษฎ์”

          “หลิน? ผู้จัดการส่วนตัวของพราววริศาเหรอค่ะ? เขามาทำอะไร?”

          “ก็มาสรุปเรื่องคิวนั่นแหละ 2-3 วันเคลียร์คิวที จนผมเริ่มชินแล้ว”

          “หา? ...”

          “พี่ล่ะสงสารผู้จัดการส่วนตัวของพราววริศาคนนี้จริง ไม่รู้ทนอยู่กับนางฟ้านางสวรรค์คนนี้ได้ยังไง”

To Be Continued




ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
«ตอบ #151 เมื่อ17-06-2020 22:05:27 »

ม่อนกับพี่ทัชเปิดใจคุยกันแบบนี้ก็ดีแล้ว  :o8: รออีกหน่อยคงได้เรียกคุณแม่เต็มปากเต็มคำ 555  :-[ ส่วนเรื่องดาราบันเทิงนั้นตามต่อไปจ้า  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
«ตอบ #152 เมื่อ18-06-2020 00:28:06 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

กะทิจ๋า  รีบ ๆ ตรัสรู้เรื่องใครปล่อยข่าวนะจ๊ะ  อิอิ

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
«ตอบ #153 เมื่อ18-06-2020 01:12:35 »

 :pig4:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
«ตอบ #154 เมื่อ18-06-2020 06:04:09 »

 o13

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 40 : 18.Jun '20
«ตอบ #155 เมื่อ18-06-2020 20:18:01 »

40












          หลังเลิกงานจากกองถ่าย กรกฤตให้ชาญกับเอมดูแลงานเก็บของในส่วนที่เหลือ ตัวเขานั้นเร่งขับรถออกมายังร้านกาแฟร้านเดิมที่ภาริชนัดเขาเมื่อครั้งก่อน ๆ

          เขาเพิ่งรู้ว่าร้านนี้อยู่ใกล้กับที่พักเขาของเขามาก และเขายังติดรสชาติของทีรามิสุเมนูขึ้นชื่อของร้านนี้ไม่น้อย เมื่อเขามาถึงร้านก็สั่งทีรามิสุสำหรับเอากลับบ้านด้วย 4 ชิ้น

          “เอาชาร้อนครับ ชาพีชแล้วก็ทีรามิสุ 1 ชิ้น ทานที่นี่ 4 ชิ้นใส่กล่องครับ ที่ใส่กล่องรบกวนช่วยแยกเป็น 2 ชุดและฝากแช่เย็นไว้ก่อนนะครับ”

          เมื่อสั่งเมนูที่ต้องการเสร็จ กรกฤตก็เดินมาหาที่นั่งในมุมสบาย ๆ เนื่องจากวันนี้ เขาเลิกกองเร็วกว่าทุกวัน และมาก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง

          กรกฤตนั่งทานทีรามิสุหมดชิ้น จนพนักงานเก็บจานไปได้สักพักภาริชก็เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง

          “กรมานานรึยังครับ” ภาริชเดินเข้ามาทักทันทีที่เห็น

          “สักพักแล้ว”

          “พี่ภา เอาอเมริกาโน่ ไม่ใส่น้ำตาลใช่ไหม?” หญิงสาวตะโกนถามมาจากหน้าเคาน์เตอร์

          “อืม” อีกคนขานรับทั้งที่ยังยืนอยู่ข้าง ๆ เขา “เดี๋ยวพี่ไปสั่งขนมก่อนนะ วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลย” เขายังไม่ทันได้ตอบ อีกฝ่ายก็เดินไปสมทบกับหญิงสาว

          กรกฤตเห็นภาริชถกเถียงกับหญิงสาวอย่างวุ่นวายอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ไม่นานทั้งสองก็เดินมานั่งที่โต๊ะ

          “มื้อนี้พี่ภาต้องจ่ายด้วย น้องไม่ควักสักบาท ถือว่าเป็นค่าแท็กซี่ที่ต้องจ่ายให้น้อง” หญิงสาวบ่นเมื่อนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา ข้าง ๆ กันกับภาริช

          “เออ แค่นี้ทำเป็นโมโหหิวไปได้”

          “แค่นี้ที่ไหน เล่นไปลากน้องออกมาจากกองบอ. พาตระเวนไปทั่ว ข้าวปลาก็ไม่ให้กิน ใช้งานเอา ๆ”

          “แค่นี้ทำบ่น ข่าวน่ะ จะเอาไหม?”

          กรกฤตได้แต่ฟังสองคนถกเถียงกันอย่างใจเย็นจนกระทั่งอาหารว่างมากมายทยอยยกมาวางไว้ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเครปเค้ก แพนเค้กราดด้วยน้ำผึ้ง แซนวิชคลับ พุดดิ้งสตเบอรี่ บลูเบอรี่ชีทพาย และตบท้ายด้วยทีรามิสุ ขนมที่ถูกขยับเรียงอยู่บนโต๊ะ ทำให้เขาต้องเลื่อนกาชาร้อนของเขาหลีกทางให้ขนมเหล่านั้นได้มีพื้นที่พอ ก่อนหญิงสาวจะลงมือตักทานอย่างไม่พูดไม่จา

          “หยุด ชิ้นนี้ไม่ใช่ของเธอ” ภาริชพูดพร้อมทั้งยกจานทีรามิสุออกเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจะใช้ช้อนในมือจ้วงตัก

          “ไม่เป็นไร น้องไม่ถือ” เขาเห็นภาริชถลึงตาใส่หญิงสาว และชักจานทีรามิสุให้ห่างมืออีกฝ่าย

          “งก” หญิงสาวบ่น ละความสนใจ และลงมือทานขนมบนโต๊ะ ตักจานนั้นที่ จานนี้ที

          “พี่สั่งให้กรครับ” ภาริชขยับจานขนมที่เบียดตัวอยู่บนโต๊ะให้มีที่ว่างตรงหน้าเขามากพอ ก่อนว่างทีรามิสุลง

          “คนนี้เหรอ” หญิงสาวใช่ศอกสะกิดภาริชเบา

          “กินขนมของเธอไป รีบ ๆ กินแล้วก็รีบ ๆ กลับไปซะ”

          “ทำเป็นไล่ ชิ”หญิงสาวกรอกตามองบน ก่อนแนะนำตัวเองกับเขา “สวัสดีค่ะ น้องชื่อน้องนะคะ เป็นรุ่นน้องที่เคยไปฝึกงานกับพี่ภา เรารู้จักกันเป็นพี่เป็นน้อง ไม่มีอะไรนอกจากที่น้องมักจะโดนพี่ภาหลอกใช้งานฟรี ๆ ก็เท่านั้น อ่อ!! ...แล้วก็คุยกันตามสบายนะคะ น้องจะนั่งกินเงียบ ๆ”

          หญิงสาวร่ายยาวแทบไม่ได้หายใจ อย่างกับกลัวว่าจะเสียเวลาในการกินขนจมตรงหน้า

          “กรอย่าไปใส่ใจคำพูดของยัยน้องมันมากนักนะ”

          “เรื่องไหน เรื่องเป็นพี่เป็นน้อง หรือเรื่องที่พี่ภาหลอกใช้งานน้อง” เขาเห็นภาริชถึงกับพูดไม่ออก จึงได้แต่ยิ้มขำกับคนที่โดนแขวะ

          “เอ่อๆๆ นั่งกินไปเงียบๆ เลย”

          “คุณเองทานอะไรสักหน่อยเถอะ ผมไม่รีบ” เขายกจานทีรามิสุไปสลับกับจานเครปเค้กของหญิงสาวที่หมดลงอย่างรวดเร็ว “คุณอยากทานก็ทานเถอะ ผมทานเรียบร้อยแล้ว”

          “งั้นน้องไม่เกรงใจนะคะ” เขาพยักหน้าน้อย ๆ หญิงสาวก็จ้วงช้อนลงบนทีรามิสุทันที

          “เฮ้อ…” กรกฤตเห็นภาริชลอบถอนหายใจ

          เมื่อปล่อยให้ทั้งสองทานอะไรกันไปสักพัก หญิงสาวก็ลุกขึ้นไปสั่งขนมรอบสอง ส่วนภาริชเริ่มทานอย่างเอื่อย ๆ

          “ทำไมไม่หาเวลาทานข้าวสักหน่อย” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้ เมื่อดูแล้วหญิงสาวไม่น่าจะอิ่มกับขนมเหล่านี้

          “ก่อนมาหากร พี่เกิดปัญหานิดหน่อย กลัวว่ากรจะรอนาน เลยรีบมาน่ะ”

          “ถ้าคุณมาไม่ได้ นัดผมวันอื่นก็ได้นี่”

          “ไม่เอาอ่ะ ถ้าไม่มาพี่ก็ไม่ได้เห็นหน้ากรสิ”

          “อุ้ย!! เขาเริ่มจีบกันแล้วค่ะคุณ” หญิงสาวที่กลับมานั่งที่เดิมพูดแซวเบา ๆ

          “ยัยน้อง!!” หญิงสาวทำทางรูดซิปปิดปาก แล้วค่อยๆ นั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม

          “คุณน้องไม่ต้องเกร็งก็ได้ครับ ผมกับคุณภาแค่คุยงานกันเล็กน้อย”

          “กร…”

          “เริ่มเถอะครับ จะได้ไม่เสียเวลา”

          “ไหนเมื่อกี้กรบอกพี่ว่าไม่รีบยังไงล่ะ”

          “ผมเห็นว่าคุณยังไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน แล้วนี่...ผมเห็นว่าคุณเริ่มอิ่มแล้ว”

          “แต่น้องยังไม่อิ่มนะคะ”

          “ครับ เชิญคุณน้องตามสบาย”

          หญิงสาวยิ้มให้เขา พร้อมกับเริ่มทานขนมรอบใหม่ที่เพิ่งจะถูกลำเรียงมาวางไว้บนโต๊ะ

          “เฮ้อ…” ภาริชถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างไม่คิดจะปิดบัง หญิงสาวได้แต่เหลือบมองยิ้ม ๆ ส่วนเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

          “ข่าวเทกองของแหม่ม เริ่มมาจากนักข่าวคนหนึ่งเห็น คนโพสภาพลงบนเฟสบุ๊คส่วนตัวว่าได้เจอแหม่มกับฝรั่ง ในภาพต้นฉบับมีคุณดากับผู้หญิงอีกคน พี่ถามเจ้าของเฟสบุ๊คคนนั้นแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง และไม่เกี่ยวของกับข่าวที่ลงเวป” ภาริชเริ่ม

          “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ผมสงสัยว่าข่าวที่แหม่มเทกองมันมาได้ยังไง”

          “ข่าวนี้ออกมาจากนักข่าวคนหนึ่ง ชื่อคุณปู พี่ติดต่อถามเธอไปว่าเธอได้ข่าวมาจากไหน เธอไม่ยอมบอกถึงแหล่งที่มาของข่าว และเห็นภาพของสมาชิกเฟสบุ๊คคนนี้ได้ยังไง”

          “ที่จริงแล้ว ตามตารางงานที่ผู้จัดการกองถ่ายจัดเอาไว้ ในวันนั้นต้องมีคิวของแหม่มจริงๆ แต่น้องดาเขาไปขอเลื่อนคิวถ่าย โดยที่ได้บอกกับผู้จัดการกองล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ และคนที่รู้เรื่องที่แหม่มมีคิวในวันนั้นก็มีเพียงไม่กี่คน”

          “กรจะบอกว่า ข่าวนี้หลุดมาจากคนในกอง?”

          “มีแนวโน้นว่าจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร”

          “กรพอจะรู้ไหมว่ามีใครบ้าง”

          “ตามที่ได้ยินมาก็มีผู้กำกับ ผู้จัดการกอง น้องดา และผู้ช่วยช่างกล้องไม่กี่คน”

          “แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ?”

          “ดาไปคุยกับผู้จัดการตอนเลิกกอง เกือบ ๆ ตีหนึ่งแล้ว แถว ๆ นั้นไม่มีพวกแฟนคลับหรือนักข่าวอยู่เลย”

          “เดี๋ยวนะพี่ภา ที่พี่ให้น้องบากหน้าไปคุยกับพี่ปู เพื่อจะถามที่มาของข่าวก็เพราะแหม่ม ชาริสาเหรอ แล้วแฟนพี่เขาเกี่ยวของยังไงกับแหม่ม” หญิงสาวขัดขึ้นท่าทางไม่ชอบใจ

          “เอ่อน่า...กินเงียบ ๆ ไป” ภาริชเอ็ดเบา ๆ “แล้วหลังจากที่คุณดาคุยกับผู้จัดการกองเสร็จล่ะ?”

          “ตอนนั้นก็เหลือเด็กกล้องที่เป็นเด็กฝึกงาน ผู้จัดการกอง แล้วก็น้องดาแค่ 3 คน”

          “ทำไมเด็กฝึกงานยังอยู่ล่ะ น่าสงสัย”

          “เด็กนั่นเป็นลูกไล่ของกะทิน่ะ กะทิสั่งให้มันไปรอน้องดา แล้วพากลับไปส่งที่รถ”

          “อืม”

          “ขนาดผู้จัดการยังระวังตัวขนาดนี้ ทำไมแหม่มชาริสาถึงไม่ระวังตัวเลย น่าสงสารผู้จัดการส่วนตัวของนางเนอะ”

          “ยัยน้อง เธอจะชอบใคร ไม่ชอบใครก็ไม่ต้องประกาศออกมาก็ได้ไหม?”

          “ท่าทางคุณน้องจะไม่ชอบยัยแหม่ม” กรกฤตตั้งข้อสังเกต

          “เป็นคนของประชาชน แทนที่จะทำตัวให้เป็นแบบอย่างให้กับเด็กและเยาวชน กลับทำตัวเป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน”

          “ผมจะไม่แก้ตัวแทนแหม่มเขาหรอกนะ แต่ผมอยากจะบอกแค่ว่า ข่าวของแหม่มที่ออกมาทั้งชื่นชม ทั้งตำหริ ข่าวดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ทุกข่าวก็ล้วนเกิดจากปลายปากกาของพวกคุณไม่ใช่เหรอ?”

          “ถ้าไม่มีควัน มันก็ไม่มีไฟหรอกนะคะ”

          “มันมีควัน แต่มันอาจจะเป็นแค่ยากันยุง ก็ได้ ไม่ใช่ไฟอย่างที่คิด ตัวอย่าวก็ข่าวที่คุณปูเขียนไง ยัยน้อง เธออย่าเพิ่งอคติกับน้องแหม่มจนไม่แยกแยะข่าวสาร” ภาริชรีบแทรก เกรงว่าเขาจะทะเลาะกับนักข่าวรุ่นน้อง

          “น้องขอโทษ”

          “กรคงไม่ถือสาคำพูดของยัยน้องเหรอกนะ”

          “ผมชินแล้ว คนที่แอนตี้แหม่มมีออกจะเยอะแยะไป”

          “คุณกำลังจะบอกว่า ข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแหม่มไม่เป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ?”

          “คุณน้องหมายถึงข่าวไหนล่ะครับ ข่าวที่ออกมามีทั้งจริงและไม่จริง”

          “ถ้าน้องอยากรู้เรื่องฝรั่งคนนั้น คุณจะบอกน้องได้ไหมล่ะค่ะ?”

          “แล้วผมจะได้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยน คุณรู้ไหมว่าข่าวนี้ใหญ่แค่ไหน? คุณเล่นข่าวฝรั่งคนนี้ได้หลายวันเลยนะ”

          “นี่น้องไม่ได้แย่งข่าวพี่ภาใช่ไหม?” คุณน้องหันไปถามคนข้างๆ ปากก็กัดปลายช้อนไป

          “ไม่ พี่ไม่ได้สนใจข่าวฝรั่งคนนั้น พี่สนใจข่าวของผู้หญิงคนนี้” ภาริชหยิบรูปถ่ายขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ หญิงสาวก็หยิบขึ้นมาดู

          “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”

          “พวกผมยังไม่รู้” กรกฤตบอกไปตามตรง

          “ถ้างั้น ข่าวฝรั่งคนนั้นเป็นของน้อง ข่าวผู้หญิงในรูปนี้ป็นของพี่ภา”

          “กรยังไม่ได้ให้ข่าว เธออย่ามาโมเม”

          “งั้นน้องจะช่วยสืบว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครเป็นการแลกเปลี่ยนดีไหม แต่อย่างน้อยคุณก็ควรจะบอกอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงในรูปนี้ให้น้องเป็นข้อมูลบ้าง” กรกฤตหันไปสบตากับภาริชเพื่อขอความคิดเห็น

          “ไว้ใจยัยน้องได้ ติดอยู่แค่ยัยนี่อคติกับแหม่มมากไปหน่อย และก็คลั่งไคล้พราวมากไปนิด”

          “แล้วถ้าผมบอกว่าผู้หญิงคนนี้อาจจมีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวเสีย ๆ ของแหม่มล่ะ?” กรกฤตถามคนมีอคติ

          “น้องยอมรับค่ะ ว่าน้องอคติกับแหม่ม ชาริสา แต่พี่ภายืนยันได้ ว่าน้องไม่เคยเขียนข่าวไม่ว่าจะเป็นของน้องพราว หรือของแหม่ม ชาริสา อาจารย์เคยบอกน้องว่า ถ้าคนเรามีถ้าชื่นชอบหรือเกลียดใครเป็นพิเศษ เราก็จะไม่สามารถเขียนข่าวคนเหล่านั้นได้ดี และเป็นกลาง น้องก็เลยไม่เขียน”

          “เรื่องนี้พี่ยืนยันได้ ขนาดยัยน้องสัมภาษณ์ทัชชาเองกับมือ ยังโยนข่าวให้คนอื่นเขียนหน้าตาเฉย”

          “ข่าว ข่าวไหน?”

          “ข่าวที่ทัชชาแก้ตัวให้แหม่มเรื่องเทกองไงละ” ภาริชเฉลย

          “อ่อ”

          “หึ!! แต่คนอื่นดันไปโยงว่าพี่ทัชชอบแหม่มซะงั้น จิ้นกันไม่เลิก”

          “ใครจะจิ้นใคร ไม่จิ้นกับใครเธอจะไปบังคับเขาได้ยังไง อีกอย่างพราวเขาก็มีตัวจริงอย่างคุณพหลแล้ว ทัชชาจะมีคนอื่นก็ไม่เห็นแปลก”

          “พี่ภาพูดเหมือนกับรู้ว่าพี่ทัชมีใครอย่างนั้นแหละ” ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งโต๊ะเมื่อสิ้นเสียงบ่นกระปอดกระแปดของหญิงสาว “เงียบแบบนี้อย่าบอกนะว่าพี่ทัชมีใครในใจแล้วจริง ๆ”

          “มีไม่มีเธอก็ไม่เกี่ยว”

          “นี่คุณ ถ้าฉันแลกเปลี่ยนจากข่าวฝรั่งเป็นข่าวพี่ทัชล่ะ”

          “คนที่ทัชชาคบด้วย ไม่ใช่คนที่คุณจะเอาข่าวเขามาเขียนได้ง่าย ๆ” กรกฤตพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

          ”นั่นไง” หญิงสาวตบโต๊ะอย่างเสียกิริยา อีกทั้งยังบุกขึ้นชี้หน้าเขาและภาริช

          “ยัยน้อง อายคนอื่นเขาไหม เธอเป็นนักข่าวหรือเป็นนักเลงหา? ไอ้ท่าทางแบบนี้เนี่ย” ภาริชดึงแขนให้หญิงสาวนั่งลงดีๆ

          “ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ไม่เห็นต้องโหดขนาดนี้เลย” หญิงสาวหลบสายตาเขา และเก็บรูปเข้ากระเป๋า

          “แล้วนี่เธอจะเอารูปไปไหน”

          “ไม่เอามาแล้วจะช่วยสืบได้ยังไงล่ะ?”

          “สืบแบบเงียบ ๆ อย่าเอารูปไปร่อนล่ะ”

          “รู้แล้ว ๆ ทีนี้จะบอกข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ได้รึยังล่ะ?” กรกฤตพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้ภาริชเป็นผู้เล่า ภาริชที่กำลังจะอ้าปากเล่ากลับโดนหญิงสาวแขวะ “นี่พี่มองตาก็รู้ใจ หรือว่ากลัวเมียตั้งแต่ยังไม่แต่งกันแน่”

          “ยัยน้อง!!”





To Be Continued



ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 40 : 18.Jun '20
«ตอบ #156 เมื่อ18-06-2020 20:31:54 »

จะคบคนในวงการหรอคู่นี้ เคมีกันดีนะ ภาจีบกรให้ติดละ 55 ตามต่อใครปล่อยข่าว วงการมันก็นี้ละหนา มีคนชอบคนไม่ชอบ ปะปนกันไป  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 40 : 18.Jun '20
«ตอบ #157 เมื่อ18-06-2020 22:27:07 »

ชักสนุกแล้วสิ :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
«ตอบ #158 เมื่อ20-06-2020 10:28:18 »



41















          งานเปิดตัวนาฬิกาแบรนด์ดังภายในห้างใหญ่ใจกลางเมืองจบลง เหล่าดารานักแสดงที่ถูกเชิญให้มาร่วมงานต่างพากันเดินลงมาจากเวที และแยกย้ายกันไปยืนด้านหน้าแบ็คดรอปขนาดใหญ่ มีโลโก้นาฬิกาเป็นฉากหลัง

          ทัชชาเป็นหนึ่งในผู้ถูกสัมภาษณ์และประเด็นร้อนในช่วงนี้คงไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและชาริสา ซึ่งทัชชาได้ให้คำตอบแบบเดิม ๆ ทุกครั้งว่าเขาทั้งสองเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น เรื่องช่วยแก้ข่าวที่เกิดขึ้น เขาเพียงพูดไปตามความจริงเท่านั้น

          หลังนักข่าวหมดคำถาม ทัชชาจึงกลับมายังห้องแต่งตัวรวม ที่ทางสต๊าฟเตรียมไว้ให้เหล่าดารา มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาหาเขาพร้อมกล่องใส่นาฬิกา เขาจึงถอดนาฬิกาเรือนหรูส่งคืนให้ เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงไปเก็บนาฬิกาเรือนต่อไปจากดาราคนอื่น ๆ

          ทัชชาถอดสูทที่สวมใส่อยู่และเริ่มเก็บของใช้ส่วนตัว สต๊าฟของงานคนหนึ่งจึงช่วยนำสูทของเขาไปเก็บในถุงคลุมเสื้อสูท

          “พี่ทัช ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” นักแสดงรุ่นน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย

          “นั่นสิ พี่ไม่ได้เจอกับเจตั้งแต่ละครเมื่อปลายปีมั้ง”

          “ครับ ผมไม่รับงานละครแล้ว ตอนนี้กำลังพยายามเต็มที่กับงานเพลงมากกว่า”

          “พยายามเข้าละ พี่เอาใจช่วย”

          “เอ่อ...พี่ทัช สูทเมื่อกี้ พี่ได้มาจากไหนครับ ผมสะดุดตาตั้งแต่พี่ขึ้นเวทีแล้ว”

          “มีคนส่งมาให้น่ะ” ทัชชาอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาได้มาจากคนพิเศษ

          “ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากได้บ้าง”

          “เอาสิ” ทัชชาเดินไปที่ราวแขวน และเปิดถุงคลุมเสื้อสูทออก นักแสดงรุ่นน้องจึงเดินเขามาลูบ ๆ คลำ ๆ พลิกซ้ายพลิกขวา

          “หืม? ผมเพิ่งรู้ว่า YNW มีเสื้อสูทด้วย”

          “เจรู้จักยี่ห้อนี้เหรอ พี่ไม่ค่อยคุ้น”

          “YNW มีช้อปตามห้าง แต่ส่วนใหญ่ผมเห็นก็มีแต่เสื้อผ้าของเด็ก วัยรุ่น เสื้อผ้าลำลองแบบใส่สบาย ๆ มากกว่า นี่ผมยังเป็นลูกค้าของยี่ห้อนี้เลยนะ กางเกงของ YNW ใส่สบายดี ผมชอบใส่เวลาต้องซ้อมเต้น”

          “อ่อ คงจะออกแนวสปอร์ตสินะ”

          “ก็ไม่เชิงนะพี่ ล่าสุดผมเห็นว่าเพิ่งเปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ เป็นชุดของพวกผู้หญิงวัยทำงาน แต่สูทผู้ชายนี่ ผมเพิ่งเคยเห็น”

          “อ่อ” เขาเริ่มเห็นเค้าราง ๆ ถึงที่มาที่ไปของสูทยี่ห้อนี้ หวังว่าเขาใส่มางานเปิดตัวสินค้าแบบนี้ คงจะไม่มีปัญหาตามมาทีหลังนะ

          ยังไม่ทันที่สองนักแสดงต่างวัยจะคุยอะไรกันมากไปกว่านี้ ก็มีเสียงประตูห้องเปิดพรวดพลาดเข้ามาภายใน

          “ทัช ๆๆ” อามันต์พูดเสียงปนหอบ ก่อนชะงักเมื่อเห็นนักแสดงรุ่นน้องอีกคน

          “ใจเย็น ๆ มีอะไรค่อย ๆ พูด” ทัชชาเห็นผู้จัดการของตนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา จึงหยิบขวดน้ำที่ยังไม่ได้ดื่มส่งให้

          “ขอบใจ”

          “พี่ทัช งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” นักแสดงรุ่นน้องเห็นว่ารุ่นพี่คงมีเรื่องตั้องคุยกับผู้จัดการส่วนตัว อีกอย่างตนเองก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว จึงเลี่ยงออกจากห้องแต่งตัวไป

          “นายมีอะไร ทำไมถึงรีบขนาดนี้”

          “นายต่างหากที่ต้องบอกฉัน นายไปตกลงรับงานอะไรทำไมไม่บอกฉัน”

          “รับงาน? ...” เขานิ่งคิด “ไม่มีนี่ งานทั้งหมดฉันก็รับผ่านนาย”

          “แล้วเรื่องพรีเซนเตอร์ของ YNW นายจะว่ายังไง?”

          “หา?” ชุดสูทที่พัสกาญส่งมาให้เขาท่าทางจะมีปัญหาซะแล้ว

          “ไม่ต้องมาหงมาหาเลย”

          “อืม ไปคุยกันที่รถ คุยที่นี่ไม่ค่อยเหมาะ”

          “นี่นายมีอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่ไหม?”

          “อืม”

          อามันต์ช่วยเขาเก็บของส่วนเขาก็คว้าสูทของพัสกาญ เก็บให้เรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากห้องแต่งตัวไปทันที โดยมีอามันต์เดินตามหลัง

          “นายจะบอกว่า นายได้รับสูทชุดนี้มาจากคนที่นายกำลังคบหาดูใจกันอยู่?”

          “อืม เขาส่งมาให้ฉันเมื่อวันก่อน”

          “เขาเป็นใคร?”

          “ฉันยังบอกนายไม่ได้ จนกว่าฉันจะได้คุยกับเขา”

          “ไอ้ทัชๆ นายรู้ไหมว่าสูทตัวนี้ราคาเท่าไร แล้วมันยังไม่มีขายที่ไทยด้วย” อามันต์เหมือนอยากจะบีบขอของเขาหากไม่ติดว่าขับรถอยู่ ทำให้ได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจผ่านกระจกมองหลังมาให้

          “ไม่รู้”

          “โอ้ย กูจะบ้าตาย”

          “แล้วเรื่องสูทนี่ นายรู้ได้ยังไงว่าเป็นของ YNW ขนาดเจยังเข้ามาของดูเลย”

          “เจมาขอนายดู แล้วนายก็ให้เขาดู?”

          “อืม ก็มันไม่ได้เป็นความลับอะไรนี่”

          “นายรู้ไหม ว่าสูทตัวนี้มันจะเริ่มวางขายครั้งแรกในที่ช้อปทั่วประเทศจีนพรุ่งนี้ รวมไปถึงที่ไต้หวันและฮองกง ส่วนประเทศอื่นในเอเชีย อย่างสิงค์โป ญี่ปุ่น เกาหลี จะเริ่มวางขายอาทิตย์หน้า แล้วอยู่ ๆ ก็มีสูทตัวนึงมาโพล่ที่ไทย”

          ทัชชาไม่ได้ฟังสิ่งที่อามันต์บ่นต่อหลังจากนั้น เขากำลังคิดว่า สูทตัวนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่งของครอบครัวพัสกาญแน่ ๆ และการที่เขาเลือกใส่สูทของอีกฝ่ายในงานวันนี้ ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรต่ออีกฝ่ายหรือไม่

          “เดี๋ยวๆๆ มันต์ นายอย่าเพิ่งบ่น นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่านายรู้เรื่องสูทตัวนี้ได้ยังไง”

          “ก็หลังจบงาน ระหว่างที่นายให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอยู่ มีคนโทรมาหาฉัน คนของฝู่มู่ตานโทรเข้ามา โทรตรงมาจากฮ่องกงเลยนะโว้ย…”

          “มันต์ ใจเย็น ๆ แล้วเล่ามาดีๆ” อามันต์หายใจเขาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเล่าต่อ

          “เขาบอกว่าเขาส่งตารางงานของนาย ให้กับฉันทางอีเมลแล้ว และบอกอีกว่าที่ไทยจะเปิดตัวเมนแวร์คอลเล็กชั่นนี้ที่ไทยพร้อมกับประเทศอื่นในเอเชียอาทิตย์หน้า ระหว่างนี้เขาให้นายใส่ชุดของ YNW ไปจนกว่าจะเปิดงาน เพื่อเป็นการโปรโมทสินค้า”

          “แต่ฉันได้สูทนี้มาตัวเดียว”

          “เขาบอกว่าจะส่งให้นายทีหลัง และขอที่อยู่ที่คอนโดของนาย แต่ฉันยังไม่ได้ให้ ฉันต้องการคุยกับนายก่อน”

          “นายช่วยส่งฉันที่หนึ่งก่อน จากนั้นนายก็ไปรอฉันที่คอนโด”

          “นายจะไปหาแฟนของนาย คนที่ส่งสูทให้กับนายใช่ไหม? ฉันไปด้วย ยังไงฉันก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวของนาย ฉันมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ให้นาย”

          “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ไปหาเขา...แต่ถ้านายจะไปด้วย นายห้ามพูดอะไรทั้งนั้น แค่ฟังเฉย ๆ นายทำได้รึเปล่า”

          “คนที่นายจะไปหา เขาเป็นใคร? หรือว่านายมีอะไรปิดบังฉันอีก”

          “ไม่มี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง และฉันเองยังไม่แน่ใจว่าคนคนนี้เกี่ยวข้องยังไงกับเรื่องนี้”

          “นายกลัวว่าฉันจะปากไม่ดี ทำงให้นายซวย?”

          “ฉันคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นบททดสอบอีกอย่างของฉัน”

          “บททดสอบอะไรของนาย”

          “นายยังไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่านายช่วยทำตัวดี ๆ ก็แล้วกัน แค่นี้ก็ถือว่าช่วยฉันแล้ว”

          “เอ่อๆ ความลับเยอะจริง ไหนบอกว่าไม่มีอะไรปิดบัง”

          “ขับรถของนายไปดีๆ อย่าบ่น เดี๋ยวนายขับรถไปขึ้นทางด่วนข้างหน้า วิ่งไปทางแจ้งวัฒนะ”

          “ได้ครับ คุณพระเอก”

.........................................................................

          พัสกาญจัดการงานที่คั่งค้างที่ร้านจนเสร็จ โดยมีต้อยติ่งเป็นผู้ช่วยที่ดี ทำให้งานเสร็จเร็วกว่าเวลามาก เขาจึงเตรียมออกจากร้านไปตามนัด วันนี้เขานัดสังสรรกับเพื่อน ๆ ที่ร้านอาหารของน้านิล หลังจากที่เขาไม่ได้เข้าไปยังกองถ่ายเสียหลายวัน

          “คุณพัสไม่รอคุณกรมารับเหรอคะ?”

          “ไม่อ่ะ กรน่าจะยังไม่เสร็จงาน ผมไปเองดีกว่า”

          “คุณพัสจะเอารถออกเหรอคะ?”

          “ครับ ผมไปก่อนนะ”

          พัสกาญเดินออกจากร้านไปยังที่จอดรถประจำ รปภ.บริเวณนั้นรีบลุกออกมาปิดผ้าคลุมรถให้เหมือนอย่างเคย

          “ขอบคุณครับ”

          “ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นคุณพัสมาที่ร้านเลย หรือว่าเพื่อกลับจากเมืองนอก”

          “ไม่ใช่เมืองนอกอะไรหรอกครับลุง บ้านนอกต่างหาก” พัสกาญบอกยิ้ม ๆ ลุงรปภ. ก็ยิ้มรับก่อนเอาผ้าคลุมรถไปเก็บไว้ให้

          ระหว่างทางที่ขับรถไปยังร้านของน้านิล เขาได้โทรบอกกรกฤตแล้วว่าจะเดินทางมาที่ร้านเอง จึงได้รู้ว่า นอกจากกรกฤต ชาญ เอมแล้ว ยังมีกะทิ ไลลา และตาลที่ตามมาด้วย

          “ให้กูไปรับไหม รถมึงน่าจะมาไม่หมด”

          ‘แล้วรถมึงรับคนเพิ่มกี่คนกันเชียว ไอ้คุณหนู’

          “อย่างน้อยมึงก็มากับกู ส่วนคนอื่น ๆ ก็มารถมึงไง จะได้ไม่ต้องเรียกแทกซี่”

          ‘ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวกูให้ชาญมันเอารถตู้ไปกับเอม ส่วนคนที่เหลือไปรถกูก็ได้’

          “ตามใจมึง แค่นี้นะ กูจะถึงร้านแล้ว”

          ‘เฮ้ย งานมึงเสร็จแล้วเหรอ’

          “อืม กูมีผู้ช่วยดี”

          ‘งั้นมึงก็นั่งรอไปก่อน กูจะรีบตามไป’

          เมื่อวางสายไม่นาน พัสกาญก็เลี้ยวเข้าร้านอาหารของน้านิลไป เด็กในร้านออกมารับและพาเขาไปนั่งรอในห้องด้านหลังอย่างเคยเพราะเขามาในช่วงที่ยังไม่เปิดร้านอีกเช่นเคย

          วันนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาที่ร้านแม้แต่คนเดียวไม่ว่าจะเป็นน้ากล้า น้านิล หรือแม้แต่พี่นนท์ เมื่อถามกับผู้จัดการร้าน เขาจึงได้รู้ว่า พี่นนท์ถูกน้ากล้าตามตัวให้ไปช่วยงาน

          “พี่ม่อนครับ โต๊ะพร้อมแล้ว พี่ม่อนจะรอเพื่อนก่อนหรือจะไปที่โต๊ะเลยครับ” เด็กในร้านเดินเข้ามาถาม หลังจากผู้จัดการร้านเดินออกไปไม่นาน

          “อืม เอาสิ พี่ขออาหารทานเล่นสัก 2-3 อย่างนะ ส่วนอาหารไว้เรอเพื่อนพี่มาก่อนค่อยสั่ง”

          “ครับเดี๋ยวผมให้เด็กจัดการให้”

          พัสกาญเดินตามเด็กในร้านไปยังโต๊ะพิเศษ ที่จัดไว้ในห้องปรับอากาศ เขาเลือกโต๊ะในห้องนี้เพราะคนที่มาเพิ่มดูท่าทางคงจะโหวกเหวกไม่น้อย จะได้ไม่ไปเสียงดังรบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ ของน้านิล

          เขารอไม่นานก็เห็นคนกลุ่มแรกเดินเข้ามาในร้าน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งเปิดร้านใหม่ ๆ โซนปกติจึงไม่ค่อยมีลูกค้า ทำให้กรกฤตสามารถมองเห็นเขาผ่านกระจกใสได้ตั้งแต่เดินเข้ามา

          กรกฤตเดินนำคนอื่น ๆ เข้ามาภายในห้องวีไอพี สำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือจัดเลี้ยงเล็กๆ จากในห้องสามารมองดูบรรยากาศของร้านได้โดยรอบ

          “น้องม่อน เป็นยังไงบ้างคะ คิดถึงพี่กะทิคนนี้ไหมเอ่ย” กะทิส่งเสียงทักทายเมื่อก้าวเข้ามายังไม่ทันพ้นประตู ก่อนเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เขา

          “คิดถึงครับ ไม่ได้ยินพี่ทิแล้วมันเหงา ๆ ยังไงชอบกล”

          “พี่ม่อนหายดีแล้วใช่ไหมครับ ผมไม่เห็นพี่ม่อนไปช่วยงานพี่กรที่กองเลย” เด็กตาลถามหลังจากนั่งลงถัดจากกะทิ

          “พี่หายดีแล้ว ขอบใจตาลมากที่เป็นห่วง”

          “งานจวนจะปิดกลอ้งแล้ว นังกรมันเลยไม่ให้น้องม่อนมาช่วย” กะทิบอกตาลก่อนหันไปเรียกไลลา “อีลา มานั่งสิ มัวตะลึงอะไร ไม่เคยเห็นร้านอาหารรึไง”

          “บ้าน่าพี่ทิ ฉันสนใจรถคันนั้นต่างหาก นั่นใช่รถคุณเตอร์หรือเปล่า?” ไลลาชี้ไปที่รถของเขาที่จอดแอบอยู่ด้านนอก กรกฤตหันมาทางเขาเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง

          “ใช่หรือไม่ใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหล่อนหะ” กะทิว่าให้หลังจากไลลาเลือกที่นั่งได้แล้ว

          “ถ้าคุณเตอร์อยู่นี่ แล้วเราจะไม่เจอแม่นางฟ้านางสวรรค์นั่นเหรอ”

          “เจอก็ช่าง เราก็ต่างคนต่างอยู่ไปสิ”

          “นางฟ้านางสวรรค์ที่ไหนเหรอครับ” เขาถามอย่างสงสัย

          “น้องม่อนไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้น้องพราวเขาเป็นนางฟ้านางสวรรค์ไปแล้ว อะไรๆ ก็ต้องตามใจนาง นาทีนี้นางสำคัญที่สุด”

          “กะทิ อย่าไปพูดถึงเรื่องคนอื่นเลย วันนี้แกมาฉลองปิดงานไม่ใช่เหรอ?”

          “อีลาเป็นคนเริ่ม” กะทิโบ้ยชี้ไม้ชี้มือไปที่ไลลาทันที

          “อ่าว อิพี่ทิ อยู่ ๆ ก็โยนมา” ระหว่างที่สองสาวถกเถียงกัน ชาญกับเอมก็ตามเข้ามาสมทบ

          “โห...สนุกอะไรกันอยู่ครับ”

          “สนุกบ้านป้าแกสิ” ชาญโดนลูกหลงจากกะทิถึงกับหน้าเหว๋อ รีบลงไปนั่งข้างกรกฤตทันที ตามด้วยเอม

          “มาครบแล้ว สั่งอาหารกันเลยดีไหมครับ เดี๋ยวถ้าลูกค้ามาเยอะกว่านี้ อาหารจะออกช้านะครับ” พัสกาญรีบห้ามทัพ และกวักมือเรียกเด็กในร้าน เมื่อทุกคนได้รับเมนูก็ต่างสั่งอาหารที่แต่ละคนต้องการ

          “ม่อน มึงออกมาคุยกับกูหน่อย” กรกฤตเรียกเขาออกไปคุย พวกเขาจึงเดินเลี่ยงออกมา

          “มีอะไร?”

          “เรื่องที่เกิดขึ้นที่พัทยา คนที่บ้านบอกอะไรกับมึงรึเปล่า?”

          “ไม่นี่ เฮ้อ...จะมีก็แต่เรื่องพี่ทัชที่โดนแม่กูแกล้งเข้าให้แล้ว”

          “ไม่โดนสิแปลก กูเป็นเพื่อนสนิทมึงยังโดนซะอ่วม แล้วคุณทัชนั่น จะไปเป็นลูกเขยแม่มึงมีหรือจะไม่โดน กูหวังว่าคุณทัชเขาจะไม่ถอดใจไปซะก่อน”

          “มึงไม่คิดว่าเขาจะมาเป็นสะใภ้บ้างเหรอว่ะ?” กรกฤตเดินห่างจากเขาไปก้าวหนึ่งก่อนมองตั้งแต่หัวจรดเท้า

          “เอาไว้ถ้าคนที่มาจีบมึงดูสวยกว่ามึง กูค่อยคิดว่าเขาจะมาเป็นสะใภ้ก็แล้วกัน”

          “ทำไมใครๆ ก็คิดแบบนี้”

          “มึงไม่ดูหนังหน้าตัวเอง ได้แม่ได้ป้าได้ลุงมาซะขนาดนี้”

          “อ่อ ๆ แล้วมึงลากกูออกมาคุยข้างนอกนี่ มีเรื่องอะไร?”

          “ที่มึงเจ็บตัวคราวนั้น กูคิดว่ามึงรับเคราะห์แทนยัยแหม่ม”

          “มึงพูดเหมือนมีคนจงใจทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”

          “อืม เฮียเจมส์รู้เรื่องนี้ดี แต่เฮียไม่เข้ามายุ่ง มึงคงเข้าใจนะว่าเพราะอะไร?”

          “อืม ถ้าเป้าหมายไม่ใช่กู คนที่บ้านก็จะไม่มายุ่งเกี่ยว”

          “ใช่ แต่เรื่องนี้กูกำลังตามสืบอยู่ และกูมีเรื่องจะขอร้องให้มึงช่วย”

          “อืม ถ้ากูช่วยได้ กูช่วยเต็มที่”

          “งานแฟชั่นวีคที่ฮองกง กับญี่ปุ่นมึงตัดสินใจยัง ว่าจะเอายังไง”

          “อืม กูคุยกับแม่แล้ว กูจะไป”

          “ให้แหม่มไปร่วมงานด้วยได้ไหม?”

          “เรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหา เท่าที่กูรู้ แหม่มน่าจะเซ็นต์สัญญากับทางซีดับบิวแล้ว ทางค่ายน่าจะส่งคนมาร่วมงาน”

          “อืม งั้นกูฝากมึงจัดการด้วย แล้วกูขอข่าวนี้”

          “มึงจะทำอะไร?”

          “กูแค่จะจับคนที่ทำร้ายมึง และคิดจะทำร้ายแหม่ม”

          “มันไม่อันตรายใช่ไหม?”

          “ไอ้คุณหนู มันอันตรายไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของคนที่บ้านมึงเหอะ ไปเข้าไปในห้องได้แล้ว อาหารมาแล้วนั่น” กรกฤตชี้ไปยังเด็กในร้านที่ทยอยยกอาหารเข้าไปในห้อง

To Be Continued



ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
«ตอบ #159 เมื่อ20-06-2020 11:02:11 »

เอ้อจะจัดการยังไง รอดู ส่วนด่านพิสูจน์ว่าที่ลูกเขยนั้น.. ทัชอย่าท้อนะ 555 ต้องหาคนที่เหมาะสมและคู่ควรจริงๆกับลูกของเขา ได้ใส่สูทคนแรกของไทย โว้วๆ ไม่ใช่คนพิเศษจริงไม่ได้ใส่นะเนี้ย 55  :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
« ตอบ #159 เมื่อ: 20-06-2020 11:02:11 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
«ตอบ #160 เมื่อ20-06-2020 12:24:21 »

 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
«ตอบ #161 เมื่อ20-06-2020 13:39:10 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่ทัช   อาจจะไม่ได้ถูกแกล้ง

แต่ก็แค่  ถูกมัดมือชกให้รับเป็น brand ambassador ไปโดยปริยาย   โดยไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องสัญญา

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
«ตอบ #162 เมื่อ20-06-2020 21:51:47 »

 o13

ออฟไลน์ ิbmsaensuk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
«ตอบ #163 เมื่อ20-06-2020 23:24:21 »

บททดสอบลูกเขยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ววว พี่ทัชสู้ๆ✌

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
«ตอบ #164 เมื่อ29-06-2020 16:47:36 »

อ่านไปลุ้นไป เอ็นดูรถขนอ้อยพ่อพระเอกทัชชาจริงๆ

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
«ตอบ #165 เมื่อ01-07-2020 11:57:30 »



42








          อามันต์ขับรถพาทัชชาเข้ามายังบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ที่มีพื้นที่อาณาบริเวณกว้างขวาง บ้านทรงโรมันอันแสนโอ่อ่าตั้งตระหง่านอยู่กลางร่มไม้ขนาดใหญ่ ดูแล้วน่าจะเป็นตระกูลผู้ดีเก่าแก่

          “ทัช นายรู้จักคนในบ้านนี้ด้วยเหรอ” เขาถามเมื่อจอดรถที่หน้าบ้านทั้งที่ยังคงเกาะพวงมาลัยรถ แหงนคอมองตัวบ้าน

          “อืม” ทัชชารับเขาง่าย ๆ แล้วไม่ยอมอธิบายอะไรอีก จากนั้นก็ลงจากรถไป

          “เดี๋ยวคุณเอารถไปจอดด้านหน้าโรงรถตรงนั้นนะ” ชายคนหนึ่งที่เป็นคนมาเปิดประตูรถให้ทัชชา ชี้บอกทาง “ข้าง ๆ มีห้องพักคนขับรถอยู่ กาแฟ เครื่องดื่ม ของว่างในนั้นคุณสามารถหยิบทานได้เลย”

          “ขอบคุณครับ” เขาที่มองตามมือที่ชี้ไปได้แต่กล่าวขอบคุณก่อนที่จะสะดุดกับคำพูดที่ชายคนนั้นบอก “เฮ้ย!! ผมไม่ใช่...ยังพูดไม่ทันจบ ชายคนนั้นก็ปิดประตูรถ และเดินตามทัชชาเข้าไปในบ้านเสียแล้ว

          อามันต์เคลื่อนรถไปทางโรงรถตามที่ชายคนนั้นบอก จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นห้องพักคนขับรถ

          ภายในห้องถูกเปิดแอร์เย็นฉ่ำ มีโซฟาตัวใหญ่หลายตัวท่าทางนั่งสบาย ทีวีจอใหญ่ถูกยึดติดกับผนังด้านหนึ่งพร้อมทั้งกล่องเคเบิลทีวี อีกมุมเป็นเคาน์เตอร์ มีตู้แช่อาหารสำเร็จรูปและตู้เย็นวางเคียงกันตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์หินแกรนิตมันเงา ไหนจะไมโครเวฟ เครื่องชงกาแฟสด

          นี่แค่ห้องพักคนขับรถนะ หากเป็นในบ้านจะขนาดไหน คำถามมากมายผุดขึ้นใจหัวของอามันต์ ทัชชามาหาใคร เขาควรตามทัชชาเขาไปในบ้านหรือไม่ หรือควรจะรออยู่ที่นี่ ไม่เดินเพ่นพ่านไปไหน

.........................................................................

          เมื่อทัชชาเข้ามาในบ้านของพัสกาญแล้ว เขาก็แจ้งความประสงค์กับคนในบ้านว่าเขาต้องการมาพบใคร ไม่นานน้านิลก็มาพาเขาเข้าไปยังห้องสตูดิโอที่เดินลึกเข้าไปในตัวบ้าน

          “เชิญค่ะคุณทัช”

          “ขอบคุณครับน้านิล” หญิงสาวยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนเดินออกไป

          “เป็นยังไง สูทของน้าใส่ได้พอดีตัวเลยใช่ไหม?” โบตั๋นเอ่ยทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากงานที่ทำอยู่

          “สูทตัวนั้นเป็นของคุณน้าจริง ๆ ด้วย”

          “น้าเห็นคุณใส่ไปงานเมื่อเช้า”

          “ผมไม่คิดว่าข่าวจะออกมาเร็วขนาดนี้”

          “อืม คุณใส่แล้วดูดีนะ”

          “ขอบคุณครับ”

          “คุณนั่งรอน้าสักเดี๋ยว น้าขอเคลียร์งานตรงนี้อีกหน่อย”

          ทัชชาเชื่อฟังแต่โดย ไม่สักถามอะไรเพิ่มและเดินไปนั่งรอที่โซฟาชุดเล็ก ๆ ริมหน้าต่างบานสูง ไม่นานน้านิลก็เดินเข้ามาพร้อมเครื่องดื่มและของว่าง

          “น้านิลครับ ไม่ทราบว่าคนที่มากับผม เขาไม่ได้เข้ามาด้วยเหรอครับ?”

          “น้าไม่เห็นใครเดินตามตานนท์เข้ามานะคะ เดี๋ยวน้าถามให้แล้วกัน ไม่ทราบว่าคุณทัชจะให้เพื่อนคุณไปรอที่ไหนดีค่ะ?”

          “เอ่อ แล้วแต่คุณน้าเลยครับ”

          “ค่ะ เดี๋ยวน้าดูแลให้นะคะ”

          “ขอบคุณครับ” ขณะที่น้านิลกำลังจะออกจากห้องกลับถูกโบตั๋นเรียกเอาไว้

          “เดี๋ยว พี่นิล”

          “ค่ะคุณตั๋น”

          “เรียกตานนท์เข้ามาหาตั๋นที่นี่ด้วยนะ”

          “ค่ะคุณตั๋น”

          โบตั๋นวางงานในมือก่อนเดินตรงมานั่งโซฟาอีกตัว ที่มีเพียงโต๊ะกลางตัวเล็ก ๆ กั้นไว้

          “คุณเห็นตารางงานที่ตานนท์ส่งไปให้รึยัง?”

          “ผู้จัดการส่วนตัวบอกกับผมว่า เขาได้รับการติดต่อจากคนของฝู่มู่ตาน โทรตรงมาจากฮ่องกง แล้วคุณนนท์…”

          “คนของฝู่มู่ตานน่ะใช่ แต่ที่ว่าโทรตรงมาจากฮ่องกงคงจะเข้าใจผิด”

          “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ”

          “เรื่องนี้คุณคงต้องไปถามผู้จัดการส่วนตัวของคุณเองแล้วล่ะ”

          “ผมได้ยินว่า สูทที่คุณน้าให้ผม เป็นสูทที่ยังไม่มีวางขายที่ไหน”

          “ใช่ นั่นไงล่ะต้นแบบ” โบตั๋นชี้ไปที่หุ่นผ้าตัวหนึ่ง ที่มีกระดาษขึ้นรูปเป็นชิ้นๆ แทนผ้าถูกกลัดไว้ด้วยเข็มหมุด รูปทรงคล้ายสูทที่เขาสวมเมื่อเช้า

          “ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณน้าเกี่ยวข้องกับฝู่มู่ตานใช่ไหมครับ”

          “อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

          “เรื่องพรีเซนเตอร์ YNW นี่คงเป็นหนึ่งบททดสอบจากคุณน้าใช่ไหมครับ?”

          “บททดสอบ?” เขาพยักหน้า “คุณคิดมากเกินไปแล้วคุณทัช น้าก็แค่ช่วยสนับสนุนคุณก็เท่านั้น”

          “สนับสนุนผม?”

          “ใช่ การเป็นนักแสดงเมื่อถึงเวลาหนึ่ง บทบาทที่คุณจะได้รับมันก็จะเปลี่ยนไปจริงไหม ไหนจะนิยม อายุ หรือว่าคลื่นลูกใหม่ที่เกิดขึ้นมาในทุก ๆ วัน ตอนนี้คุณกำลังโด่งดัง น้าก็แค่สนับสนุนและช่วยผลักดันคุณเพื่อไปให้สุดในอาชีพนี้”

          ทัชชาถึงกับพูดไม่ออก ไม่คิดว่าโบตั๋นจะให้การสนับสนุนเขาขนาดนี้ จนเขาเกิดความลังเล

          “คุณบอกว่าคุณไม่รู้เกี่ยวกับธุรกิจในเครือเยี่ยนหวอ งั้นน้าจะเล่าให้ฟังสั้น ๆ ก็แล้วกัน เยี่ยนหวอเป็นกลุ่มธุรกิจที่ 2 ตระกูลใหญ่ในฮ่องกงร่วมกันก่อตั้งขึ้น มีตระกูลเหมิ๋น ที่ดูแลธุรกิจทางฝั่งเกาลูน ดูแลขยายงานเรื่องวัตถุโบราณ การศึกษา และพัฒนายารักษาโรค

          ตระกูลฝู่ ดูแลธุรกิจในจีน ฮ่องกง โดยพี่ใหญ่และพี่เขยของตระกูล ดูแลเรื่องการนำเข้าส่งออก โรงแรมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงโรงแรมที่คุณพักเมื่อคราวนั้นด้วย”

          “โรงแรมที่พัทยานั่น ไม่ใช่ของคนไทยเหรอครับ”

          “ต้องบอกว่าเคยเป็น จนกระทั้งฝู่เถิงเข้ามาเทคโอเวอร์ อาเถิงเป็นเขยใหญ่ของตระกูลน่ะ คุณก็เคยเจอเขาแล้ว รวมถึงตาเจมส์ที่เป็นทายาทคนโต”

          “อ่า...ครับ” ทัชชาได้แต่นิ่งฟังต่อไป

          “อ่อ ทางนั้นยังมีกาสิโน แล้วก็ล่าสุดนะ น้าได้ยินมาว่าหยวนฮ่างเพิ่งจะเทคโอเวอร์อู่ต่อเรือ และเรือสำราญของ...เอ้...น้าจำชื่อไม่ได้แล้ว ช่างมันเถอะ

          ตระกูลฝู่มีพี่น้อง 3 คน ต่อไปพี่คนรอง ดูแลเรื่องธุรกิจอาหาร รีสอร์ทกึ่งอนุรักษ์ธรรมชาติ งานด้านการศึกษา เน้นเรื่องศิลปะการต่อสู้เพื่องานด้านการรักษาความปลอดภัย และบริษัทรักษาความปลอดภัยครบวงจร โดยมีสำนักงานหลักอยู่ที่ไทย”

          “ผมเดาว่างานนี้ผู้ดูแลคงจะเป็นลุงหยกกับลุงเสือ ใช่ไหมครับ”

          “ถูกต้อง พี่เสือเป็นเขยรองของตระกูล”

          “คุณน้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝู่มู่ตาน แต่คุณน้าคือฝู่มู่ต้าน” โบตั๋นยิ้มพอใจ

          “งานน้าก็พวกความสวยความงามต่าง ๆ นั่นแหละนะ อย่างพวกสปา เสื้อผ้าพวกนี้ อ่อ!! เกือบลืม ไอ้ห้างสรรพสินค้านั่นก็อีก พอดีงานนั้นน้าโยน ๆ ไปให้คนอื่นทำน่ะ น้าขี้เกียจดูแลอะไรเยอะแยะ”

          ทัชชาถึงกับเหวอเมื่อเห็นสีหน้าเหม็นเบื่อ ท่าทางปากคว่ำราวกับสาวรุ่นของโบตั๋น เขารีบงับปากที่ค้างไว้แทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาค้อนควับอย่างไม่พอใจ

          “ผมต้องขอบคุณคุณน้าที่ทำเพื่อสนับสนุนผม แต่คุณน้าคิดว่าผมเหมาะสมแล้วเหรอครับที่จะเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ YNW เพราะเท่าที่ผมทราบ แค่แบรนด์พัสกาญ ก็มีทั้งนายแบบหรือดาราดัง ๆ หวังที่จะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อยู่ไม่น้อย” เขาจำได้ว่าตอนไปถ่ายแบบเสื้อของพัสกาญ ทางพี่รุธและคุณอิงลิชพยายามดันเขามากแค่ไหน

          “อะไรคือเหมาะ อะไรคือไม่เหมาะ”

          “YNW ขายอยู่ทั่วเอเชีย ผมที่เป็นนักแสดงที่รู้จักกันแค่ในประเทศ ผมเกรงว่าผมอาจจะไม่เหมาะสมกับงานนี้”

          “ผิดแล้ว YNW มีขายทั่วโลกย่ะ” โบตั๋นเหมือนจะไม่ได้สนใจประโยคหลังเพียงแต่แก้ต่างประโยคแรกเท่านั้น “ที่คุณมาหาน้า จริง ๆ แล้วคุณต้องการยืนยันในสิ่งที่คุณคิดแค่นั้นใช่ไหม?”

          “ครับ เรื่องที่คุณน้าจะสนันสนุนผม นั่นมันเกินกว่าที่ผมจะคาด”

          “เฮ้อ...คุณรู้ไหมว่าน้าจะมาแพ้เพราะคุณไม่ได้”

          “หา? ....พะ พะ แพ้ เพราะผม?”

          “ใช่สิ คุณรู้ไหมเขยบ้านนี้แต่ละคนเขาเป็นยังไง เขยใหญ่อย่างอาเถิงดูแลกาสิโน สร้างธุรกิจท่าเรือ นำเข้าส่งออก เขยรองอย่างพี่เสือ มีบริษัทรักษาความปลอดภัยเป็นของตัวเอง แล้วไหนจะค่ายมวยอีก ล่าสุดไอ้หลานเขยคนนั่นอีก ชิ!! ได้หน้าจากงานแรลลี่คราวนี้ไปเต็มๆ” โบตั๋นบ่นงึมงำ แต่เขาก็ได้ยินชัดเจน “แล้วคุณละมีอะไร ถ้าไอ้ตุ๊กตาทองคำเก๊ๆ รางวัลอะไรนั่น น้าไม่นับนะ มันสร้างรายได้ให้ตระกูลไม่ได้”

          “นี่ๆ ผมต้องไปแข่งอะไรพวกนี้กับเขยของตระกูลด้วยเหรอครับ?”

          “ก็เว้นเสียแต่ คุณจะแต่งเข้าเป็นสะใภ้เหมือนเฟ่ยซานอ่ะนะ ไม่สิ พ่อของม่อนเองยังมีหน้ามีตาทางการทหารเลย ไม่ได้ๆ ฉันยอมไม่ได้ คุณจะสู้ไม่สู้”

          “เอ่อ...คุณน้าครับ ใจเย็นๆ ก่อนดีไหมครับ” ทัชชาเริ่มไม่แน่ใจนิสัยราวกับเด็กๆ โบตั๋นแสดงออกมานี่ใช่บททดสอบเขาอีกหรือไม่ แม่ของพัสกาญเริ่มทำให้เขากลัวเสียแล้ว

          “น้าตั๋น เลิกแกล้งคุณทัชเขาเถอะครับ ดูสิหน้าซีดหมดแล้ว” ชายหนุ่มที่พาเขามาในบ้าน ไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร เอ่ยอย่างขำ ๆ ดูท่าทางไม่ค่อยจะเกรงกลัวคนตรงหน้าเลย

          “ตานนท์ก็ดูพ่อพระเอกของตาม่อนสิ กับอีแค่รับปากทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ก็ไม่ได้”

          “โห่...งานของน้าตั๋นไม่เห็นจะเล็กน้อยตรงไหนเลย นี่ถ้าคุณทัชรับงานน้าตั้นคงอยู่ไม่ติดที่ไทยแน่ ๆ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ และยกเก้าอี้สตูแถว ๆ โต๊ะทำงานของโบตั๋นมานั่ง “ผมนนท์ครับ เมื่อครู่ผมเพิ่งจะคุยงานกับคุณอามันต์เสร็จ ส่วนที่เหลือคุณคงต้องตัดสินใจเอง ดูเหมือนคุณอามันต์เขาจะไม่กล้ารับงานนี้แทนคุณ” คุณนนท์ยื่นเอกสารตารางงานให้เขา

          “นี่คือตารางงานที่คุณส่งเมลให้กับมันต์ เหรอครับ”

          “ครับ เป็นเพียงตารางงานคร่าว ๆ ที่ผมร่างขึ้นมา ยังไม่ได้ลงรายละเอียดปลีกย่อย สัญญาของเราไม่มีการผูกมัดหากคุณยังต้องการจะรับงานแสดง หรืองานอื่น ๆ หากไม่กระทบกับ YNW แล้วละก็ คุณสามารถรับงานนั้นๆ ได้”

          “เรื่องงานนี้ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ผมแค่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย”

          “คุณไม่สบายใจที่จะมาทำงานให้น้า มาทำงานกับน้าอย่างนั้นเหรอ”

          “ไม่ใช่ครับคุณน้า เรื่องที่ผมไม่สบายใจ… จะว่ายังไงดี” ทัชชาพยายามนึกคำพูดที่เหมาะสม เพื่อให้โบตั๋นเข้าใจความรู้สึกของเขา “ผมไม่อยากได้งานนี้เพราะม่อน”

          “คุณคงหมายถึง คุณไม่อยากเป็นเด็กเส้น” คุณนนท์ขยายความ

          “ครับ ผมต้องการคบกับม่อนด้วยความจริงใจ ไม่ได้เห็นแก่ผลประโยชน์อะไรพวกนี้ ก่อนที่ผมจะรู้จักม่อนจริง ๆ ผมคิดแค่ว่าจะทำยังไงผมถึงจะทำให้ม่อนมายืนเคียงข้างดาราอย่างผมได้ แต่นี่มันกลับกันอย่างสิ้นเชิง จากที่ได้ฟังคุณน้าเล่า กลายเป็นผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายปีนขึ้นไปหาม่อน ซึ่งผมอยากจะขึ้นไปด้วยตัวของผมเอง”

          “ถ้าอย่างนั้นคุณก็สบายใจได้ คุณเป็นคนหนึ่งที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของห้องเสื้อพัสกาญ แต่ม่อนเขาลังเลที่จะเลือกคุณ เพราะเขารู้จักกับคุณ ทำให้เรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์ต้องล้มโปรเจคไป แต่คุณรุธเขาพยายามผลักดันคุณอยู่” โบตั๋นอธิบาย

          “คุณน้ารู้จักกับพี่รุธด้วยเหรอครับ”

          “ไม่รู้จัก”

          “อ่าว”

          “แต่เขาเมลมาก่อกวนต้นกล้าไม่หยุด ใช่ไหมตานนท์”

          “ก็ไม่เชิงก่อกวนครับ คุณรุธเขาแค่อยากจะดันแบรนด์ไทย ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลกก็เท่านั้นเอง”

          “แล้วแบรนด์ของตาม่อนไม่ดังตรงไหน”

          “ครับ ๆ มีตั้งประเทศละหนึ่งสาขาแค่นั้นเอง ดังมากครับ” เขาได้ยินน้ำเสียงประชดจากคุณนนท์

          “ตกลงยังไงคุณทัช สู้ไม่สู้” โบตั๋นยังคงคาดคั้น

          “น้าตั๋นครับ ขอผมคุยกับคุณทัชชาหน่อยไปไหมครับ”

          “ตามใจ จะคุยอะไรก็ไปคุยข้างนอก น้าจะทำงาน แล้วเอาคำตอบดีๆ มาให้หน้าเพิ่มด้วยนะ ไม่อย่างนั้นน้าจะเซ็นต์อนุมัติงานช้อปปิ้งมอลล์ในสนามบินที่สิงคโปร์เลยคอยดู” คุณนนท์พยักหน้าแหยงๆ ก่อนพยักหน้าอีกครั้งเป็นเชิงให้เขาตามออกไป

          “ผมขอตัวสักครู่นะครับ”

.........................................................................

          อามันต์นั่งตัวเกรงอยู่ในห้องรับแขกสุดอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าบ้านทรายทอง จะขยับตัวแต่ละทีก็กลัวว่าเบาะของโซฟาหลุยส์จะเสียหาย คิดแล้วก็ได้แต่นั่งถอนใจ สู้ให้เขานั่งรอในห้องพักคนขับรถยังจะดีเสียกว่า

          เสียงฝีเท้าของคนที่เดินมา ยิ่งทำให้อามันต์ยิ่งเกร็งเข้าไปอีก กาแฟแก้วน้อยแสนบอบบางที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เขาก็แทบจะไม่กล้ายกขึ้นมาดื่มด้วยซ้ำ แก้วน้ำเปล่าบ้าน ๆ ไม่มีหรืออย่างไร ทำไม่ต้องเป็นแก้วคริสตัสเนื้อดีตรงหน้านี้ด้วย

          “มันต์ นายเป็นอะไร?” เสียงของทัชชาที่พูดออกมาราวกับเสียงสวรรค์ นี่เขากำลังจะได้ออกจากบ้านหลังนี้แล้วใช่ไหม?

          “เอ่อ…” กำลังจะถาม เขากลับเจอคุณนนท์ เลขาส่วนตัวประจำประเทศไทยของฝู่มู่ต้านเดินตามหลังมา

          “ตกลงว่านายเป็นอะไร?”

          “ดูจากน้ำที่ไม่พร่อง กาแฟที่ไม่ได้ดื่ม คุณอามันต์คงจะเกร็งกับบรรยากาศในห้องนี้สินะครับ”

          “ครับ” เขาสารภาพอย่างไม่อาย ไหน ๆ ทัชชาก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว

          “ขอโทษแทนอามันต์ด้วยนะครับ มันต์เขาไม่ค่อยชินกับอะไรที่เป็นทางการมาก ๆ”

          “ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้น เราย้ายไปที่ห้องนั่งเล่นดีไหมครับ”

          “ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”

          อามันต์แทบอยากจะเข้าไปบีบคอพ่อพระเอกหนุ่มที่เกรงอกเกรงใจไม่เข้าเรื่อง ไม่สงสารคนที่นั่งเกร็งเป็นชั่วโมงอย่างเขา

          “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ สิ่งที่ผมจะคุยกับคุณ ผมพูดต่อหน้าน้าตั๋นไม่ได้ เดี๋ยวเธอจะน้อยใจเอาน่ะครับ”

          “ครับ เชิญคุณนนท์พูดเถอะครับ”

          “การที่น้าตั๋นจะยอมรับใครสักคนไม่ใช่เรื่องงาน คุณคงพอได้ยินเรื่องคุณเถิง หรือคุณเสือมาบ้าง”

          “ครับ”

          “ทั้งสองคนกว่าจะฝ่าด่านน้องสาวช่างหวงอย่างน้าตั๋นมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ แต่ละคนใช้เวลาเป็นปี คุณโชคดีที่มีออร่าเป็นสิ่งยืนยันความจริงใจของคุณ”

          “คุณน้าก็เห็น”

          ”ไม่เห็นหรอกครับ”

“อ่อ...เฮ้อ...ก็อย่างที่ผมบอกกับคุณน้าไป ผมไม่อยากเป็นเด็กเส้น”

          “คุณอย่าคิดว่าคุณเป็นเด็กเส้นสิครับ พวกเราแค่เป็นบันไดให้คุณไต่ขึ้นไปเท่านั้น ส่วนคุณจะปีนขึ้นไปได้สูงแค่ไหนนั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณเอง”

          “ทัช นี่มันเรื่องอะไรกัน” อามันต์คนทั้งสองคุยกัน ยังจับใจความอะไรแทบไม่ได้ เด็กเส้นอะไร ยอมรับอะไร คุณน้าอะไร

          “นายสัญญากับฉันว่ายังไงก่อนมา” ทัชชาทวงคำสัญญาทำให้เขาจำต้องหุบปากลงอีกครั้ง

          “คุณทัชรู้จักดอยเสมอดาวไหมครับ”

          “ดอยเสมอดาว?”

          “ดอยเสมอดาว อยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน จังหวัดน่าน”

          “ผมไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเท่าไร เลยไม่ค่อยรู้จักครับ”

          “ฮ่าๆ ครับๆ ที่ใกล้ ๆ ดอยเสมอดาวนั้นมีสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะพูดกันว่า กลางคืนเคียงดาว ตอนเช้าเคียงหมอก

          “ม่อนเคียงดาว จังหวัดน่าน” เขาลืมตัวเผลอพูดขึ้นมา จึงรีบงับปากลงทันทีที่คุณนนท์เหลือบสายตามองมาที่เขา

          “ครับ คุณอามันต์ทายถูกครับ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่มีวิวสวยงาม คนที่จะขึ้นไปเที่ยวก็แค่ขับรถไป ยานพาหนะสมัยนี้ก็มี ไม่ใช่ยอดเขาเอเวอเรสต์นะครับที่ต้องพยายามปีนขึ้นไปด้วยกำลังของตัวเอง ผมพูดแบบนี้หวังว่าคุณทัชคงจะเข้าใจ”

          “ถ้าผมมีข้อแม้ละครับ”

          “เรื่องอะไรครับ”

          “ผมไม่อยากได้ความช่วยเหลือเกินความจำเป็น”

          “แต่คุณทัชอย่าลืมนะครับ ว่าทางผมก็จ้างคุณมาทำงาน ยังไงก็ต้องใช้งานให้คุ้มค่าตัว”

          “ทัช…”

          “อะไร?”

          “ผมขอคุยกับทัชชาเป็นการส่วนตัวสักครู่นะครับ” จากนั้นอามันต์ก็ไม่รอคำตอบ ลากทัชชาออกไปคุยนอกห้อง ในมุมที่คิดว่าอับสายตาที่สุด

          “ไอ้มันต์ นายเป็นอะไร”

          “นายนั่นแหละเป็นอะไร คิดเล่นตัวเหรอไง”

          “ไม่ใช่ ฉันแค่ต้องการคุยกันให้ชัดเจน”

          “แค่นี้ยังไม่ชัดอีกเหรอ นี่ๆๆๆ” อามันต์ชี้ลงไปบนเอกสารในมือทัชชาแรง ๆ อย่างหงุดหงิด “รายละเอียดมันแทบจะทิ่มตานายอยู่แล้ว ค่าตัวก็เขียนเอาไว้ชัดเจน แค่งานโชว์ตัวอย่างงานนาฬิกาวันนี้ไม่กี่ชั่วโมง YNW ให้ค่าตัวนายมากถึง 6 หลักแล้วนะโว้ย ไอ้พระเอก”

To Be Continued


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2020 18:02:06 โดย Amo »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
«ตอบ #166 เมื่อ01-07-2020 17:53:34 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

อามันต์  นายไม่เข้าใจ  เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น  555

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
«ตอบ #167 เมื่อ01-07-2020 21:05:19 »

เอาก็เอาวะทัช ทำเลย มีออร่าจริงใจอยู่ พิสูจน์ให้เห็นไปเล้ย  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
«ตอบ #168 เมื่อ02-07-2020 18:14:28 »

เอาน่าทัชชา ขึ้นบันไดดีกว่าโหนเชือกเป็นไหนๆ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
«ตอบ #169 เมื่อ02-07-2020 20:45:53 »

 :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
« ตอบ #169 เมื่อ: 02-07-2020 20:45:53 »





ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
«ตอบ #170 เมื่อ04-07-2020 01:52:41 »

พี่ทัชจะเลือกอันไหนน๊าาาาา
ระหว่างปีนขึ้นเขากับขับรถขึ้นเขา :hao7:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
«ตอบ #171 เมื่อ18-07-2020 16:34:54 »

43







          หลังจากกลับจากทานข้าวเย็นกับเพื่อน ๆ พัสกาญเข้ามานั่งเย็บสูทอีกตัวในสตูดิโอ สูทตัวนี้เป็นงานที่เขาออกแบบเอง โดยใช้คอนเซปต์ตรีมเดียวกับที่แม่ของเขาให้โจทย์กับเขาไว้ ระยะสองสามปีมานี้แม่ของเขามักจะโยนงานของ YNW มาให้

          แม่จะออกแบบและขึ้นหุ่นกระดาษไว้ให้ จากนั้นก็เลือกผ้าเพียงเท่านี้ ที่เหลือก็จะโยนมาให้เขาทำทั้งคอลเลคชั่น รวมไปถึงการตัดเย็บตัวต้นแบบอีกด้วย

          หลังจากเขาเย็บชุดนั้นเสร็จ แล้วส่งไปให้แม่ตรวจสอบ เขากลับถูกแม่สั่งให้แก้งาน แม่ที่ไว้ใจในผลงานของเขา ไม่เคยสั่งให้เขาแก้งานมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะทัชชา

          สูทชุดนี้แม่ให้เขาแก้เป็นไซต์ของทัชชา ซึ่งเขาก็มีข้อมูลอยู่แล้วตั้งแต่ที่ร่วมงานกับนิตยสารของคุณอิงลิช จึงไม่ได้ยากอะไร ส่วนเหตุผลก็คือ แม่ต้องการให้ของขวัญกับทัชชา

          “คุณพัสค่ะ คุณทัชมาขอพบค่ะ” พัสกาญเงยหน้าจากจักรไฟฟ้าตรงหน้า

          “ให้พี่ทัชไปรอผมที่ห้องทำงานก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตามไป” พัสกาญค่อนข้างแปลกใจที่ทัชชามาหาเขาเสียดึก แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันจะได้ลองสูทตัวนี้เสียเลย

          “ค่ะ” ต้อยติ่งถอยหลังออกไป เมื่อรับคำสั่งจากเจ้านายแล้ว

          พัสกาญเก็บงานอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงนำสูทตัวที่ตนทำเพิ่งเสร็จติดมือออกไปหาทัชชาที่ห้องทำงานด้วย

          เมื่อเดินมาถึงห้องทำงานทัชชากลับไปไม่ได้มาคนเดียวเหมือนทุกครั้งที่มาหาเขาที่ร้าน ครั้งนี้มีอามันต์เข้ามาด้วย

          “พี่ทัช คุณอามันต์”

          “เหอะ!! นายคือพัสกาญจริง ๆ ” พัสกาญพยักหน้าให้กับคุณอามันต์ “หึๆๆ ...ฮือๆๆ ...ทัช ทำไมนายไม่บอกฉัน...ฮือๆๆ ...ปล่อยให้ฉันด่าเขามาได้ตั้งนานสองนาน” ทัชชาตบบ่าอามันต์เป็นเชิงปลอบใจเมื่อเห็นเพื่อนร้องไห้ออกมา

          “มันต์นายใจเย็น ๆ หน่อย” ทัชชาพยายามปลอมเพื่อนที่เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอาการที่เห็นคือร้องไห้หรือหัวเราะกันแน่

          พัสกาญเดินไปที่โต๊ะทำงานอย่างงุนงง ก่อนคว้าเอาไม้แขวนเสื้อมาแขวนสูท แล้วห้อยไว้กับที่แขวนด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา

          “ม่อนครับ พี่ขอโทษนะที่พามันต์มาโดยไม่บอกม่อนก่อน” พัสกาญส่ายหน้า

          “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ แล้วทำไมคุณอามันต์ถึง…” พัสกาญไม่รู้จะพูดออกมายังไง ออร่าของอามันต์นั้นแสดงถึงอารมณ์ที่สับสน โกรธ เสียใจ น้อยใจ ปนเปกันไปหมด

          “พี่เข้าไปหาคุณน้าที่บ้านมาครับ เรื่องสัญญาของ YNW ที่คุณนนท์ส่งไปให้”

          “แล้วพี่ทัชคุยอะไรกับแม่บ้างครับ”

          “พี่ขอเวลาคิด พี่อยากจะคุยกับม่อนก่อน ส่วนอามันต์เขารู้เรื่องของเราเพราะเขาตามพี่เข้าไปที่บ้านม่อนด้วยน่ะครับ”

          “เรื่องของเรา!! ” อามันต์ทวนคำเสียงดัง พร้อมสูดน้ำมูกก่อนกัดฟันพูดด้วยท่าทางตลก ๆ ที่พัสการไม่เคยเห็นมาก่อน “ทัชนายมีอะไรปิดบังฉันอีก…”

          ทัชชามองหน้าอามันต์ก่อนหันไปจ้องหน้าพัสกาญแล้วพูดว่า “ฉันกำลังจีบม่อนเขาอยู่” จากนั้นก็หันกลับไปมองอามันต์ “รู้แบบนี้แล้วนายจะช่วยฉันรึเปล่า เผื่อม่อนจะยอมใจอ่อนคบกับฉัน”

          สวบ

          ทัชชาและพัสกาญตกใจไม่น้อยที่เห็นอามันต์อยู่ๆ ก็ทรุดลงและเป็นลมไปทันที

          หลังจากช่วยกับพาอามันต์ไปนอนที่โซฟาตัวยาวในห้องทำงานแล้ว พัสกาญก็หันมาคุยกับทัชชา

          “พี่ทัชไม่อยากรับงานของ YNW รึเปล่าครับ”

          “พี่แค่ไม่อยากให้ใคร ๆ มองว่าพี่เข้าหาม่อนเพราะเรื่องนี้”

          “ม่อนรู้ครับ แม่ก็รู้ คนในบ้านม่อนทุกคนก็รู้ ส่วนคนอื่นๆ ที่พี่ทัชว่า จะคิดยังไงม่อนไม่สนใจ ขอแค่คนในครอบครัวของม่อนเข้าใจ แค่นั้นก็พอ”

          “ม่อนไม่คิดดูถูกพี่เหรอครับ”

          “ดูถูกเรื่องอะไรครับ พี่ทัชคิดมากไปเอง ม่อนเชื่อพี่ทัชไม่ใช่เพราะคำพูดเพียงอย่างเดียว ม่อนเชื่อเพราะออร่าที่ม่อนเห็น ไม่ว่าลุงเสือจะไปสืบเรื่องอะไรๆ ของพี่ทัชมาให้แม่ ม่อนก็ไม่สน”

          “คนที่บ้านม่อนส่งคนไปสืบเรื่องของพี่ด้วยเหรอครับ”

          “ครับ หวังว่าพี่ทัชจะไม่โกรธลุงของม่อนนะครับ ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุที่ชลบุรีคราวนั้น คนที่บ้านก็เป็นห่วงม่อนมาก”

          “พี่เข้าใจครับ และไม่โกรธลุงของม่อน พี่เข้าใจดีว่าท่านรักและหวังดีกับม่อน”

          “ส่วนเรื่องสัญญาของ YNW นี่อาจจะช่วยให้พี่ทัชตัดสินใจได้ง่ายขึ้น” พัสกาญเดินไปหยิบสูทที่ตนแขวนเอาไว้ในตอนแรก และปลดลงมา “พี่ทัชคงจะเห็นสูทต้นแบบในสตูดิโอของแม่แล้ว”

          “ครับ พี่เห็นกระดาษตัดเป็นชิ้น ๆ ถูกตรึงไว้ด้วยเข็มหมุด” พัสกาญเดินเข้ามาใกล้ทัชชา

          “ครับ แม่มีแค่ภาพสเกต ตัวอย่างผ้า และต้นแบบนั้น ส่วนคนที่ทำให้สูทตัวนั้นเป็นรูปเป็นร่าง และส่งไปให้พี่ทัชที่คอนโดคือม่อนเอง เหมือนสูทตัวนี้ พี่ทัชลุกขึ้นหน่อยได้ไหมครับ”

          ทัชชาลุกขึ้นสายตาก็มองไปยังสูทในมือของพัสกาญและพอจะคาดเดาอะไรได้บ้าง

          “แม่ให้โจทย์กับม่อนแค่ YNW จะเปิดตัวคอลเลคชั่นเมนแวร์ในอีกไม่นาน แม่ให้ภาพต้นแบบมา ม่อนก็ทำไปตามหน้าที่” พัสกาญจับทัชชาให้หันหลัง ก่อนค่อย ๆ สวมสูทในมือให้ “ส่วนที่เหลืออีก 4 ตัว ม่อนต้องออกแบบเอง แต่โจทย์อีกข้อคือ ของขวัญ”

          ทัชชาหันกลับมาหาพัสกาญเมื่ออีกฝ่ายสวมสูทให้เขาเสร็จแล้ว “ของขวัญ? ”

          “ครับ ของขวัญ แม่ทำคอลเลคชั่นนี้ให้กับพี่ทัช สูทตัวนี้” พัสกาญช่วยทัชชาขยับปกเสื้อให้เขาที่ “ม่อนตั้งใจทำเป็นพิเศษเป็นของขวัญเช่นกัน พี่ทัชจะรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ได้ไหมครับ”

          พัสกาญสำรวจสูทที่อยู่บนร่างของทัชชา มันสวมได้พอดีและเหมาะกับทัชชากว่าตัวที่แล้วเสียอีก

          “ใส่ได้พอดีเลยนะครับ” พัสกาญว่าก่อนละมือออกจากสูทแล้วเงยหน้าขึ้นมองทัชชาเพื่อรอคำตอบ

          “ขอบคุณครับ ขอบคุณทั้งคุณน้า และก็ม่อนด้วย พี่ดีใจมากที่รู้ว่าสูทที่พี่ใส่วันนี้เป็นฝีมือการตัดเย็บของม่อน”

          “อ่าว แล้วสูทตัวนี้ละครับ ม่อนทั้งออกแบบเองตัดเย็บเอง พี่ทัชไม่ดีใจเหรอ? ”

          “ดีใจสิครับ ยิ่งม่อนเป็นคนใส่ให้พี่เองด้วย ขอบคุณนะครับ” ทัชชายิ้มให้กอดฉวยโอกาสสวมกอดพัสกาญไว้

          “ถ้าพวกนายจะหวานกันขนาดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ช่วยแล้วล่ะ” เสียงอามันต์พูดออกมาอย่างอู้อี้ด้วยกำลังพลิกตัวหันหน้าเข้ากับพนักโซฟา ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเอาหมอนอิงที่หนุนอยู่มาปิดศีรษะอีกด้วย

          “พี่ทัช” พัสกาญรู้สึกขัดเขินจนทำตัวไม่ถูก เมื่อดันตัวออกทัชชาก็ปล่อยเขาแต่โดยดี เขาจึงทุบไปที่อกของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง กลับเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากทัชชา

          “ไม่โกรธนะครับ พี่ก็แค่ดีใจมากไปหน่อย”

          “ฉวยโอกาส” พัสกาญบ่นก่อนจะเดินซ่อนหน้าของตัวเองไปยังโต๊ะทำงาน ส่วนทัชชาก็เดินไปนั่งยังโซฟาที่อามันกลอกตานอนอยู่และตบไหล่เบาๆ ทีหนึ่ง

.........................................................................

          ในช่วงก่อนเริ่มงานกรกฤตเรียกกะทิและไลลามาคุยถึงแผนการที่อยู่ในใจของเขา ซึ่งทั้งสองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี และเมื่อกองเริ่มทำงาน หนึ่งสาวแท้และหนึ่งสาวเทียมก็เริ่มจ้อไม่หยุด

          ข่าวภายในกองถ่ายแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงหูของคนวางแผน

          “พี่กรๆ รู้ยังว่าพี่แหม่มถูกเชิญให้ไปร่วมงานแฟชั่นวีกที่ฮ่องกงด้วย” ชาญลดเสียงลง “งาน YNW ของพี่ม่อน”

          “อืม พอรู้มาบ้าง”

          “พี่กรรู้? ” เอมถามอย่างตื่นเต้น “แล้วพี่แหม่มจะได้ขึ้นเวทีเดินแบบด้วยไหม? ”

          “เรื่องนี้ฉันไม่รู้”

          “พี่ไม่ลองคุยกับพี่ม่อนล่ะ” เอมกระซิบเสียงเบา

          “มันจะไปทำอะไรได้ เรื่องนี้คนตัดสินใจไม่ใช่มันสักหน่อย”

          “มันก็จริงของพี่” เอมอดที่จะบ่นอย่างเสียดายไม่ได้

          “แค่มีโอกาสได้ไปก็ดีแค่ไหนแล้ว” ชาญช่วยปลอบใจเอมทั้งที่ตัวเองก็แอบลุ้นไม่ต่างกัน

          “นังกร...นังกร...แกรู้ยัง” กะทิวิ่งตะโกนกระหืดกระหอบเข้ามา

          “อะไรกะทิ ไหม้ที่ไหนถึงได้ตกใจขนาดนี้” กรกฤตหันไปถาม

          “ไฟไหม้ยังไม่ตกใจเท่าได้กินผู้ชายหล่อ”

          “ตกลงว่าได้กินผู้ชาย ว่างั้น? ”

          “ใช่ที่ไหนล่ะ นี่แกรู้รึยังว่าพี่ทัชเพิ่งเซ็นต์สัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเสื้อของ YNW ด้วยนะแก...อะไรมันจะปังขนาดนี้ พี่กวินทร์ที่รู้ข่าวงี้ หน้าบานเป็นจานส่งสัญญาณของช่องเลยทีเดียวนะแก” กะทิเล่าไปดีใจไปราวกับคนเซ็นต์สัญญานั้นเป็นตนเอง

          “ปังจริงพี่ทิ นางเอกได้ไปงานแฟชั่นวีก พระเอกได้เป็นพรีเซนเตอร์ ละครเรื่องนี้เรตติ้งพุ่งแรงแน่ ๆ เลยพี่” ชาญเองก็อดตื่นเต้นกับกะทิไม่ได้

          “ก็ใช่น่ะสิยะ แล้วแกรู้อะไรมั้ย งานเปิดตัวนาฬิกาเมื่อวันก่อนนะ สูทที่พี่ทัชใส่เป็นสูทของ YNW เชียวนะ เรื่องนี้แม้แต่ผู้จัดการส่วนตัวอย่างคุณอามันต์ยังไม่รู้เลย ว่าพระเอกของเราไปได้สูทชุดนั้นมาจากไหน ฉันว่าพี่ทัชต้องมีซัมติงอะไรกับเจ้าของแบรนด์นี้แน่ ๆ ”

          “ทำไมแกถึงคิดอย่างนั้น” กรกฤตเริ่มไม่ไว้ใจความแสนรู้ของกะทิจึงหลอกถามดู

          “อ้าว แกไม่สังเกตหรือว่าหลังๆ นี่พี่ทัชชอบหลบไปคุยโทรศัพท์บ่อย คุยเสร็จก็อารมณ์ดีมีออร่าสีชมพูลอยวนๆ อยู่รอบตัวราวกับคนมีความรัก”

          “แกเห็นออร่าด้วยเหรอ”

          “บ้าสิ!! ใครมันจะไปเห็น ฉันเปรียบเปรยย่ะ แกนี่เชื่อเพราะซื่อหรือโง่กันแน่หา” กะทิแอบกลอกตาบนให้กับคนวางแผน

          “ข่าวแหม่มกับคุณทัชรู้กันแค่ในกองใช่ไหม? ” กรกฤตไม่สนใจคำเหน็บแนมของกะทิ

          “ก็ไม่นะ พี่กวินทร์ที่รู้รีบโทรไปรายงานผู้ใหญ่ที่ช่องเรียบร้อยแล้วจ้า”

          “ทางผู้ใหญ่น่าจะรู้ดีว่ายังไม่ควรปล่อยข่าวออกไป ของแหม่มแม้จะยังไม่มีการคอนเฟิร์มจาก YNW หากข่าวหลุดออกไปแล้วผลไม่เป็นอย่างที่คาด มันก็จะส่งผลกระทบกับละครเรื่องนี้ ส่วนของคุณทัชยิ่งให้ข่าวหลุดไปไม่ได้ใหญ่ ไม่อย่างนั้นคุณทัชอาจจะโดนทาง YNW ฟ้องเพราะทางนั้นยังไม่เปิดตัวเมนแวร์ในไทย”

          “งานนี้ถ้าข่าวของแหม่มหลุดไป ก็คงมาจากคนในกองจริง ๆ วันนี้ไม่มีเอ็กซ์ตร้าสักคน นักแสดงสมทบก็ไม่มี มีแค่พี่อาท พี่ทัช และยัยนางฟ้าเจ้าปัญหานั่น” กะทิสรุป

          “แต่ผมเห็นแฟนคลับของพี่ทัช และก็นักข่าวสองสามคนที่ทางเข้ากองถ่ายนะครับ”

          “แฟนคลับของพี่ทัชเขากลับไปแล้วย่ะ แค่เอาขนมมาให้ ส่วนนักข่าว หนึ่งในสามเป็นนักข่าวบันเทิงของช่อง ยังไงก็คงเก็บข่าวไว้เล่นทีหลัง ส่วนที่เหลือ ฉันไม่รู้จัก”

          “เดี๋ยวฉันไปดูเอง” พูดจบกรกฤตก็เดินออกไปตรงทางเจ้ากองถ่าย ที่เป็นจุดพักของนักข่าวทันที

          “น้องกร ทางนี้ครับ” กรกฤตเห็นภาริชโบกไม้โบกมือให้ ข้างๆ กันก็เป็นคุณน้อง

          “คุณมาได้จังหวะดีจังนะ” กรกฤตอดไม่ได้ที่จะประชด

          “น้องรู้มาว่า ทางกองถ่ายมีคิวถ่ายเก็บงานวันนี้ และมีคนเขามาไม่กี่คน ถ้าไม่มาวันนี้แล้วจะมาวันไหนล่ะค่ะ”

          “ครับ วันนี้เหมาะที่สุด”

          “น้องกร พี่ได้ยินข่าวของน้องแหม่มแว่วๆ มา มีข่าวคุณทัชด้วย”

          “ข่าวของแหม่ม ผมเป็นคนปล่อยเอง ส่วนข่าวทัชชาเป็นเรื่องจริง”

          “งั้นเราก็มารอดูกันค่ะ ว่าใครจะเป็นคนปล่อยข่าวของแหม่มชาริสากัน” น้องยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก เป็นนักสืบนี่ท่าทางจะสนุกกว่าเป็นนักข่าวเสียแล้ว









To Be Continued




ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
«ตอบ #172 เมื่อ18-07-2020 20:09:35 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
«ตอบ #173 เมื่อ18-07-2020 20:40:20 »

สองคนกะหวานไปซิ  :-[ แต่วงการมายานั้น  :hao4:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
«ตอบ #174 เมื่อ18-07-2020 21:15:34 »

 :hao3:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
«ตอบ #175 เมื่อ22-07-2020 04:33:01 »

อุ้ย เขินฉากคุณทัชดีใจกอดน้องม่อน
ตื่นเต้นฉากนักสืบจังเลย

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
«ตอบ #176 เมื่อ18-08-2020 01:11:28 »

คิดถึงน้องม่อนค่ะ

ออฟไลน์ patsakon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
«ตอบ #177 เมื่อ21-08-2020 22:15:26 »

รอๆต่อไป :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
«ตอบ #178 เมื่อ09-09-2020 15:22:16 »

44






   สุดท้ายแล้ว คนทั้งสามก็ต้องผิดหวัง ด้วยไม่มีข่าวอะไรหลุดออกไปแม้แต่น้อย อีกทั้งละครยังไปกล้องไปเรียบร้อย ทำให้กรกฤตจับไม่ได้เสียทีว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ของชาริสากันแน่

   เช้านี้เขามานั่งขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานของพัสกาญ ที่ช่วงนี้ดูจะสดใสและอารมณืดีอย่างยิ่ง หากเขาเห็นออร่าได้อย่างอีกฝ่าย เขาคงจะเห็นบรรยากาศสีชมพูลอยไปทั่วห้องเป็นแน่

   “กร มึงไปกับกูนะ”

   “ไปไหน”

   “งานแฟ่ชั่นวีคไง เป็นเพื่อนกูหน่อย”

   “ไม่เอาอ่ะ มึงไปของมึงเลย ไม่ต้องเอากูไปเกี่ยวด้วย”

   “มึงก็รู้ว่างานแบบนี้ไม่มีใครสนใจกูหรอก อีกอย่างถึงแหม่มจะไปด้วย แต่แหม่มก็ไปทำงาน จะมาคอยนั่งคุยกับกูได้ยังไง”

   “แล้วพี่ทัชของมึงล่ะ”

   “เขาก็ไปทำงาน”

   “คนอื่นเขาทำงานกันหมดแล้วมึงไปนั่งกินบุฟเฟ่ฟรีๆ งานการไม่ทำหรือยังไง”

   “งานกูไม่มีอะไรแล้ว ที่เหลือมึงก็รู้ว่าแม่เป็นคนจัดการ ระหว่างนั้นก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน”

   “มึงก็ไปอยู่กับเฮียเจมส์หรือตั่วเฮียสิ”

   “ไม่เอา สองคนนั้นมีแต่นักข่าวจับตามอง กูมีแต่จะอยู่ห่าง ๆ พวกเฮียเขา”

   “ไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ดี สรุปมึงต้องลากกูไปกับมึงให้ได้เลยใช่ไหม”

   “อืม ไปเป็นเพื่อนกูเถอะนะ”

   “เอ่อๆ ไปก็ได้ ออกค่าตั๋วเครื่องบินให้กูด้วย”

   “แม่ให้ลุงเถิงส่งเครื่องบินของเยี่ยนหวอมารับ”

   “เอ่อ กูลืมไปว่าบ้านมึงโคตรรวย”

   “เอ่อ กูยอมรับ แต่นั่นมันของบ้านกู ไม่ใช่ของกู มึงอย่าลืม”

   กรกฤตไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย ซึ่งดูจะพูดมากขึ้น แสดงความรู้สึกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน คงต้องยกความดีความชอบให้คุณทัชชาที่สามารถทลายกำแพงความรู้สึกที่พัสกาญสร้างขึ้นมาปกป้องตัว

   เขาก้มหน้าก้มตาเช็กเมลในโทรศัพท์ อาจจะเป็นเพราะเพิ่งจะปิดกล้อง ทำให้ระหว่างนี้ไม่มีอีเมลของลูกค้าเข้ามานอกจากอีเมลของคุณน้อง

   กรกฤตรีบกดเข้าไปดูพบเห็นข่าวของแพรววริศาที่เลิกรากับคุณพหลไฮโซหนุ่ม ข่าวนี้แรงจนกลบข่าวที่ละครปิดกล้องไปแล้วอย่างสวยงามเสียอีก

   เนื้อความในข่าวสรุปได้ว่า พราววริศาเลิกกับคุณพหลเพราะแม่ของฝ่ายชายกัดกัน และผู้ที่ส่งมาดูแลในกองถ่ายละครนั้นเป็นคนที่แม่ของฝ่ายชายส่งมาก่อกวนการทำงานของเธอทั้งสิ้น ทำให้เธอทำผลงานออกมาได้ไม่ดี

   ไม่เพียงเท่านั้น ข่าวนี้ยังส่งผลไปถึงตัวสินค้าที่เธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อยู่ คุณแม่ของคุณพหลสั่งเลิกจ้างเธอทันทีที่ทั้งสองประกาศตัดความสัมพันธ์กัน ทางฝ่ายไฮโซหนุ่มและผู้เป็นแม่ไม่ได้ออกมาให้ข่าวอะไร มีเพียงดาราสาวเพียงผู้เดียวเท่านั้น

   สุดท้ายแล้ว สิ่งที่คุณน้องตั้งข้อสังเกตนั่นก็คือพี่ปู นักข่าวสายบันเทิงผู้หนึ่งเป็นผู้เปิดประเด็นถามพราววริศาว่าจะกลับไปสานสัมพันธ์กับทัชชาหรือไม่ โดยดาราสาวกลับตอบให้ไปคิดต่อว่า แล้วแต่พระเอกหนุ่มทัชชาว่ายังเอ็นดูเธออยู่หรือไม่

   “ม่อน มึงเคยถามคุณทัชเรื่องคุณพราวรึเปล่า” กรกฤตเงยหน้าขึ้นจากข้อมูลที่เพิ่งได้รับผ่านทางอีเมล

   “ไม่ กูไม่ได้อยากรู้เรื่องของเขา”

   “แล้วมึงมั่นใจในตัวคุณทัชแค่ไหน” พัสกาญนิ่งอึ้งในคำถามของอีกฝ่าย

   “ถึงกูจะเห็นออร่าจากพี่ทัช แต่กูก็ไม่มีความมั่นใจสักนิด ลึก ๆ แล้วกูก็ยังคงกลัว”

   “ตอนนี้คุณทัชเขาดังเป็นพลุแตก ไม่ว่าใครก็อยากเข้าหา หากวันหนึ่งมึงเห็นข่าวเขาอยู่กับคนอื่น มึงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”

   “คนอื่นที่มึงว่าคือเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมวงการทำนองนั้นรึเปล่า”

   “อีกหน่อยมันจะไม่ใช่เท่านั้น ไหนจะไฮโซ เซเลป เน็ตไอดอล อย่างงานนาฬิกา คุณทัชก็ร่วมงานกับเซเลปตั้งหลายคน หากเขาได้เจอกัน คุยกัน แล้วบังเอิญมีคนถ่ายรูปไปลงเวปอย่างข่าวแหม่ม แกจะว่ายังไง”

   “กูไม่รู้ กูคงเสียใจไปก่อนแล้วตั้งแต่เห็นข่าว ใจกูมันก็แค่ก้อนเนื้อนะมึง”

   “เฮ้อ...นี่แหละนะที่กูเป็นห่วง ม่อนงานปิดกอง มึงต้องไปกับพวกกู”

   “อืม ก็ไปอยู่แล้วไง”

   “แต่มึงต้องไปอย่างไอโซชื่อดังพัสกาญ ไม่ใช่ไปอย่างม่อนลูกน้องกู”

   “เพื่ออะไร กูก็อยู่ของกูดีๆ มึงอย่ามาสร้างความลำบากให้กูเลย”

   “ลำบากที่ไหน จบงานเลี้ยง มึงอยู่ไทยอีกแค่วันเดียวมึงก็บินหนีออกนอกประเทศแล้วเหอะ”

   “กลับมาก็ต้องเจออยู่ดี”

   “กลับมาคราวนี้ชีวิตมึงจะเปลี่ยนไปก็จริง แต่เชื่อกูว่ามันจะต้องดีขึ้น”

   “มึงไม่ได้มีแผนอะไรใช่ไหม? ”

   “ไม่มี มีที่ไหนกูก็บอกอยู่ว่าให้มึงไปเปิดตัวในฐานะพัสกาญ คนจะได้เลิกดูถูกมึง หรือถ้าอนาคตมึงคบกับคุณทัช ก็ไม่มีใครจะมาว่าได้ว่ามึงไม่คู่ควรกับเขา”

   “แต่กูเป็นผู้ชาย มันจะส่งผลเสียกับงานของพี่ทัช”

   “ดาราที่มีคู่รักเพศเดียวกันก็ออกจะเยอะแยะ ละครแนวบอยเลิฟก็มีออกเกลื่อน มึงจะกลัวอะไร เผลอคุณทัชอาจจะมีละครวายติดต่อมาก็ได้ ใครจะรู้”

   “กูขอปรึกษาพี่ทัชกับแม่ก่อน”

   “เอ่อ ติดแม่ไม่พอ พอมีแฟนติดแฟนเข้าไปอีก”

   “กูไม่ได้ติดแฟน กูยังไม่ได้ตกลงคบกับพี่ทัช”

   “เหรอ…”กรกฤตลากเสียงยาวอย่างหมั่นไส้ พูดเท่านี้ทำหน้าแดง

.........................................................................

   ภาริชนั่งอ่านเมลที่รุ่นน้องของเขาส่งมาให้ แล้วรู้สึกตงิดใจบางอย่างจึงโทรไปหาอีกฝ่าย

   “กดส่งเมลไม่ถึง 10 นาทีเลย จะรีบไปไหนเนี่ยพี่ภา”

   “พี่สงสัยว่ะ ทำไมพี่ปูถึงโยงไปเรื่องทัชชา”

   “ก็เขาเคยมีซัมติงกันอยู่น่ะสิ ไม่เห็นจะแปลก”

   “ไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าทัชชาเซ็นต์สัญญากับ YNW หรอกเหรอ? ”

   “พี่ปูเขาจะไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง พี่ก็เห็นอยู่ว่าวันนั้นคนในกองมีแทบนับนิ้วได้”

   “วันนั้นพราววริศาก็เข้าไปถ่ายเก็บงานวันสุดท้ายเหมือนกันนะ”

   “พี่ภา พี่กำลังจะบอกว่าคนที่ปล่อยข่าวคนน้องพราว พราววริศาอย่างนั้นเหรอ”

   “ไม่รู้ว่ะ แค่ความรู้สึก มันบอกไม่ถูก”

   “บ้าน่า น้องพราวจะทำแบบนั้นทำไม”

   “ไม่รู้ มันแค่รู้สึกตงิดๆ เป็นพี่ พี่คงไม่ถามเรื่องของแฟนเก่า ทั้งที่ดาราเพิ่งเลิกกลับแฟนคนล่าสุดหรอก ทัชชาก็ไม่ใช่มือที่สามที่ทำให้เขาเลิกกันสักหน่อย”

   “มันก็จริง เป็นน้อง น้องก็ไม่กล้าถาม ยิ่งภาพข่าว ดูน้องพราวสะเทือนใจมาก แปลกจริงว่ะพี่”

   “เอ่อ งานเลี้ยงปิดกองละคร พี่ปูไปด้วยรึเปล่า”

   “พี่ภาถามทำไม”

   “ถามเผื่อไว้”

   “เดี๋ยวน้องไปสืบมาให้ แล้วพี่ล่ะ ไปรึเปล่า”

   “ไปสิ น้องกรไปพี่ก็ต้องไป อีกอย่างน้องกรบอกจะให้ข่าวกับพี่”

   “ข่าวใคร”

   “ไม่รู้ รู้แต่ว่า ข่าวนี้คุ้มเหนื่อยแน่นอน”

   “พี่ภา พี่เอาข่าวมาให้น้องดีกว่า ส่วนพี่ก็เอาตัวคุณกรไป เอาป่ะ น้องช่วย”

   “เฮ้ย!! อะไรวะ”

   “ไม่เอารึ รอมานานแล้วไม่ใช่เหรอคนนี้อ่ะ”

   “เธอมีแผนอะไรยัยน้อง”

   “เรื่องอะไรจะบอก พี่ภาก็ตกลงมาก่อนสิ”

   “ข่าวนั่นมันอาชีพทำมาหากินพี่เลยน่ะ”

   “ข่าวเดียว แลกกับคุณกร ยอมไม่ได้เชียวเหรอ ไม่รักจริงนี่หว่า ถ้างั้นก้แล้วไป แค่นี้นะ”

   “เฮ้ย!! เดี๋ยวๆๆ ยัยน้อง อย่าเพิ่งวางสาย เฮ้ย!! ” ไม่ทันที่ภาริชจะได้คิดอะไร รุ่นน้องของเขาก็วางสายไปเสียแล้ว

   ภาริชรุ้ดีว่าข่าวของกรกฤตนั้นต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ ๆ อีกทั้งอาจจะเกี่ยวข้องกับทัชชาและพัสกาญ หรือจะเป็นข่าวชาริสา ไม่ว่าจะเป็นข่าวไหน ก็ล้วนแต่น่าสนใจทั้งนั้น

   “โอ๊ย!! ...เอาไงดีว่ะกู”

.........................................................................

   เย็นวันนั้นกรกฤต พัสกาญ ต่างมารอชาริสาและซีรีส์ดาที่ร้านอาหารของน้ากล้า เพื่อเลี้ยงฉลองให้กับงานที่จบลงด้วยดี อีกทั้งยังคุยเรื่องงานแฟชั่นวีคที่พวกเขาทั้งหมดจะต้องไปร่วมงานกันอีกด้วย

   คราวนี้กรกฤตเลือกนั่งในห้องส่วนตัว เพราะข่าวชาริสาโกอินเตอร์ไปรับเล่นซีรีส์ถึงเมืองนอกเมืองนามีข่าวออกมาแทบทุกวัน ด้วยอีกฝ่ายเพิ่งไปงานแถลงข่าวพร้อมเซ็นต์สัญญาเมื่อไม่นานมานี้

   “แหม่ม เป็นยังไงบ้าง ทางนั้นเขาส่งบทมาให้อ่านแล้วรึยัง”

   “อืม ส่งมาแล้ว แต่ไปถึงนิวยอร์กคงต้องเรียนพวกยิงปืนเพิ่ม”

   “ตัวก็แค่นี้ เขาให้แกบู้ด้วยรึ” กรกฤตเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าชาริสาเป็นผู้หญิงเอเชียที่รูปร่างเล็กว่าพวกฝรั่งมาก

   “นิดหน่อย ไม่เยอะหรอก แต่ต้องฝึกไว้ เวลาเข้าซีนจะได้ดูไม่แข็ง”

   “อืม พวกฝรั่งเขาละเอียดอ่อนเรื่องการแสดงมากกว่าบ้านเรานะ” พัสกาญวิจารณ์

   “หลังงานแฟชั่นวีคของทางบ้านพี่ม่อน พี่แหม่มต้องอยู่ที่นั่นเพื่อแถลงข่าวซีรีส์ชุดนี้ที่ฮ่องกง ไม่ได้บินไปงานแฟชั่นวีคที่ญี่ปุ่นต่อ” ชันดาเอ่ยถึงตารางงานของพี่สาว

   “หลังจากนี้พวกเราคงกลับมาเป็เหมือเดิมเน๊อะ ที่นานๆ จะได้เจอกันสักที” พัสกาญกล่าวอย่างเสียดาย

   “อีกหน่อยมึงก็ลืมพวกกู เชื่อสิ” กรกฤตพูดดัก ซึ่งชันดาก็พยักหน้าเห็นด้วย

   “กับคนนี้ ม่อนโอเคแล้วใช่ไหม” ชาริสาเอ่ยถาม

   “คนนี้อะไรกัน คุยเรื่องพวกเราอยู่ดี ๆ ทำไมวกเข้ามาเรื่องพี่ทัชได้ล่ะ”

   “ดายังไม่เห็นได้ยินใครเอ่ยชื่อพี่ทัชเลยนะคะ พี่ม่อนคิดถึงพี่ทัชเหรอคะ”

   “เปล่าๆ พี่ไม่ได้คิดถึง” พัสกาญรีบปฏิเสธทันควัน

   “เอ่อ อีกสองวันจะถึงงานฉลองปิดกอง ฉันให้ไอ้ม่อนมันไปในฐานะพัสกาญ แกจะว่ายังไง”

   “ม่อนโอเครึเปล่า”

   “เรามาคิด ๆ ดูแล้ว คนในกองคงไม่ค่อยมีใครรู้จักพัสกาญกันหรอก เลยคิดว่ายังไงมันคงไม่ต่างกัน”

   “ดาว่าดีนะคะ บางคนที่เคยดูถูกพี่ม่อนอย่างคุณอามันต์จะได้เงียบปากไปบ้าง”

   “คุณมันต์เขารู้เรื่องพี่แล้วล่ะ”

   “รู้ได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไร” ชาริสาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “หรือว่าพี่ทัชเป็นคนบอก”

   “แม่ให้พี่นนท์โทรหาคุณมันต์น่ะ พวกเขาเข้าไปบ้านใหญ่ คุณมันต์เลยบังเอิญรู้เข้า” พัสกาญตอบตามตรง

   “เพราะแบบนี้ ฉํนถึงให้ไอ้ม่อนไปเปิดตัวในงานนี้ไง หากพวกนักข่าวเห็นม่อนกับคุณทัชอยู่ด้วยกันตอนเดินทางไปฮ่องกง พวกเขาจะได้ไม่เขียนข่าวไอ้ม่อนของเราเสีย ๆ หาย ๆ ”

   “จริงสิ ดาเห็นด้วยกับพี่กรค่ะ”

   “แล้วม่อนไม่คิดอะไรเกี่ยวกับข่าวของพี่ทัชและพราววริศาในช่วงนี้ใช่ไหม” ชาริสาเอ่ยถามอ่างเป็นห่วง

   “อืม พี่ทัชเขาคุยให้ฟังตลอดนะ แต่ช่วงนี้คุณพราวเขาเข้ามาคุยกับพี่ทัชมากขึ้นจริง ๆ ส่งข้อความทางแชทมา แต่พี่ทัชไม่ได้เปิดอ่าน”

   “พี่ม่อนรู้ได้ยังไงว่าพี่ทัชไม่ได้เปิดอ่าน”

   “ก็โทรศัพท์ของพี่ทัชอยู่กับคุณมันต์ตลอดเลยช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคุณมันต์ส่งข้อความมาอัปเดตว่าพี่ทัชอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ กับใคร”

   “นี่พอรู้ว่าม่อนเป็นใคร นายนั่นถึงกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนะ”

   “พี่แหม่ม มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แล้วหลังเท้าอะไร น่าเกลียด”

   “คุณมันต์เขาแค่สบายใจ แล้วก็โล่งใจที่เราไม่ได้เป็นคู่แข่งกับเขายังไงล่ะ”

   “คู่ขงคู่แข่งอะไร ไม่มงไม่มีมากตั้งนานแล้ว ตานั่นโ่เองต่างหาก”

   “ไอ้ม่อน มึงจะบอกเรื่องนี้กับกูได้เมื่อไร ทำไมดูเหมือนพวกมึงปิดบังอะไรอยู่”

   “ฉันบอกแกก็ได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน”

   “ข้อแลกเปลี่ยนอะไรยัยแหม่ม”

   “เรื่องของแกกับพี่ภาติส คืออะไร ฉันเห็นนะว่าแกแอบนัดเจอเขาที่ร้านกาแฟบ่อยๆ ”

   “ไม่มีอะไรทั้งนั้น งานล้วนๆ ”

   “แกไม่บอก ฉันก็ไม่บอก” ชาริสาพูดด้วยใบหน้าล้อเลียนราวกับผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า เรียกเสียงหัวเราให้แก่ชันดาและพัสกาญได้เป็นอย่างดี มื้ออาหารมื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อแห่งความสุขอีกมื้อระหว่างพวกเขาทั้งสี่
   
To Be Continued




ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
«ตอบ #179 เมื่อ09-09-2020 23:02:39 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด