33
หลังจากงานแรลลี่การกุศลจบลงหลายวัน แต่ผู้สื่อข่าวสำนักต่าง ๆ ยังคงเขียนข่าวถึงงานดังกล่าวอยู่ เพราะบุคคลที่มีชื่อเสียงจากหลายหลายสาขาต่างไปร่วมงานกันอย่างเนืองแน่ และข่าวดังคงไม่พ้นนักแข่งหนุ่มที่เป็นเซเลบตระกูลดัง หลังชนะการแข่งขันเงินรางวัลที่ได้นั้นเจ้าตัวได้นำไปบริจาคทั้งหมด
อีกทั้งยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายคนต่างสมทบทุนบริจาคชนิดที่ว่า เงินบริจาคนี้สามารถช่วยซ่อมแซมโรงเรียนบนเขาได้ครบทุกโรงเรียน อีกทั้งยังได้สื่อการเรียนการสอน ชุดนักเรียน และทุนการศึกษาเพิ่มมาอีกด้วย
งานส่งมอบเงินทุนช่วยเหลือและของบริจาค มีคุณภูผา รัตนการเนตร์และคุณหว๋ายคู่รักเป็นหัวเรือใหญ่ในครั้ง
“พี่กร ในข่าวพวกนี้ลงชื่อเฮียเจมส์กันผิดรึเปล่า?” เอมยื่นโทรศัพท์ให้กรกฤตที่กำลังนั่งรอนักแสดงพักเบรค 15 นาที ก่อนที่จะทำการถ่ายทำซีนถัดไป
“ก็คุณภูเขาเรียกเฮียเจมส์ด้วยชื่อนั้นจนติดปาก แล้วคนที่บ้านเฮียก็เห็นดีเห็นงามที่เฮียเขาจะมีชื่อไทย”
“แล้วแบบนี้คนอ่านจะไปรู้กันได้ยังไง ว่าคุณหว๋ายคือเฮียเจมส์” เขาเห็นเอมดูจะไม่พอใจกับข่าวนี้เท่าไร
“ไม่มีคนรู้นะดีแล้ว เฮียเขาอุตส่าห์หนีความวุ่นวายไปอยู่ไร่กับคุณภู” ชาญออกความคิดเห็น
“เอ่อๆ ก็เข้าใจ แต่มันเห็นแล้วอดหงุดหงิดไม่ได้ แกเห็นข่าวนี้รึยัง มีแต่คนขุดคุ้ยหาว่าคุณหว๋ายเป็นใคร มาจากไหน บ้างว่าดีแต่หน้าตา ฐานะทางสังคมสู้พ่อเลี้ยงแห่งไร่รัตนการเนตร์ไม่ได้”
“เอาน่า แกก็คิดเสียว่าเพื่อความปลอดภัยของเฮียเจมส์เขา” ชาญบ่นออกมาอย่างรำคาญก่อนจะลุกเดินออกไป
กรกฤตนั่งอ่านข้อความจากอีเมลในโทรศัพท์เพื่อเช็คดูว่าเขาหลุดอีเมลไหนที่อ่านแล้วยังไม่ได้ตอบลูกค้าหรือไม่ เพื่อเป็นการรอเวลาสำหรับซีนถัดไป อยู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นจนเขาถึงกับสะดุ้ง
“สวัสดีครับ” เบอร์ที่เขารับนั้นไม่ได้เมมชื่อ จึงไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ของใครโทรเข้ามา
‘น้องกรอยู่ตรงไหนครับ หายไปกันหมดทั้งลูกพี่ลูกน้องเลยนะ’ เสียงที่ดังเข้ามาตามสายนั้นทำให้เขาอยากจะวางสายลงทันที
“คุณมีธุระอะไร?”
‘อ่าว ถ้าไม่มีธุระ พี่โทรหาน้องกรไม่ได้เหรอ?’
“ผมต้องเตรียมงาน อีก 5 นาทีนักแสดงจะเข้าซีนแล้ว” เขาตอบแบบเร่งรัดหวังจะให้อีกฝ่ายวางสายไปเสียที “มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา”
‘ยังดุเหมือนเดิมเลยนะครับ พี่หายไปตั้งหลายวันไม่คิดจะถามสารทุกข์สุขดิบพี่บ้างเหรอ?’
“คุณภา ผมไม่มีเวลามากนัก ถ้าคุณไม่มีอะไรสำคัญตอนนี้ ก็แค่นี้นะ”
‘เดี๋ยว ๆ จะโหดไปไหนครับ พี่จะโทรมาบอกความคืบหน้าที่พี่สืบมาได้ แต่น้องกรมีเวลาไม่มาก ถ้าอย่างนั้นเลิกกองค่อยเจอกันดีไหมครับ’
“ก็แล้วแต่คุณ”
‘พูดจาห่างเหินจังเลยนะครับ’
“ไว้ผมเลิกกองแล้วผมโทรไป” กรกฤตที่กำลังจะวางสายถูกเรียกไว้เป็นครั้งที่สอง
‘เดี๋ยว ๆๆ’
“อะไรของคุณอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญจนเอมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าเขา
‘คิดถึง’
เขาที่สบตากับเอมอยู่ถึงกับนิ่งค้าง เมื่อกี้ก่อนที่ไอ้พี่ภาติสมันจะวางสาย มันบอก
คิดถึง เขาอย่างนั้นเหรอ...
.........................................................................
อิงลิชเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานของเธอหลังจากไปสรุปประเด็นที่จะเขียนคอลัมน์ในนิตยสารฉบับเดือนถัดไป แต่เมื่อเปิดประตูเขามาก็พบกับเจ้ารุ่นน้องที่มาอาศัยนอนอู้อยู่ในห้องทำงานของเธอ
“อะไรกันนายภา ช่วงนี้พี่เห็นเธอมาอู้งานที่ห้องพี่ได้ทุกวันเลยนะ”
“ไม่ได้อู้ นี่ก็กำลังทำงาน เพื่อสานสัมพันธ์และสร้างอนาคตอยู่”
“อะไรของนาย แล้วไอ้อาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นี่มันอะไรกัน”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกพี่อิง แค่ดีใจที่ได้เจอรุ่นน้องที่มหาลัยอ่ะ”
“ดีใจอะไรนักหนา ทุกครั้งที่นายบอกพี่ว่าเจอรุ่นน้องก็ไม่เห็นจะออกอาการดี๊ด้าขนาดนี้”
“นี่ผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“อืม ว่าแต่ไปเจอใครอีกล่ะคราวนี้?”
“แสดงออกขนาดนี้ น้องเขาก็ต้องรู้บ้างแหละ” ภาริชดูเหมือนจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอถามแม้แต่น้อย ทำให้เธอต้องถามย้ำอีกครั้ง
“นี่พี่ถามจริง นายไปเจอใครมา ถึงได้เพ้อขนาดนี้”
“น้องกรน่ะพี่”
“น้องกร? ...อ๋อ...น้องที่นายเคยเข้าไปจีบเขาแล้วเข้าใจผิดคิดว่าไปจีบเพื่อนเขาคนนั้นอ่ะนะ”
“อืม พี่อิงจำได้ด้วยเหรอ?”
“จำได้สิ เวลาเลี้ยงรุ่นที่ไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเล่าเลยล่ะ”
“อะไรกัน จนป่านนี้ยังไม่เลิกเอามาเม้าท์ในวงเหล้าอีกเหรอ? ...แต่คราวนี้นะผมไม่ปล่อยน้องกรหลุดไปแน่ๆ กว่าจะได้เจอ ไม่ใช่ง่าย ๆ”
“เอาๆ พี่เอาใจช่วยก็แล้วกัน คราวนี้ก็อย่าให้เขาเข้าใจผิดเหมือนคราวที่แล้วอีกล่ะ”
“ไม่มีทาง ภาริชซะอย่าง”
“ว่าแต่ ทำไมไม่ไปทำงานที่สำนักพิมพ์ตัวเอง ขนอะไรมาที่ห้องทำงานพี่เยอะแยะ” เธอก้มลงบนโต๊ะการมีเอกสารหลายแผ่นวางอยู่
“ทำที่นั่นไม่ได้ ผมไม่ไว้ใจคนในสำนักงาน”
“ทำไม ความลับเหรอ”
“พี่จำข่าวคราวก่อนที่ผมให้พี่ช่วยอ่านได้ไหม?”
“ข่าวของน้องแหม่มน่ะเหรอ?”
“ใช่ ทางน้องกรกับผู้จัดการส่วนตัวของน้องแหม่มกำลังสืบหาคนที่ปล่อยข่าวไม่ดีก่อนหน้านี้อยู่ ข่าวพวกนั้นมันเป็นเหตุบังเอิญที่ทำให้น้องแหม่มถูกมองว่าเป็นนักแสดงเจ้าอารมณ์”
“ภากำลังจะบอกพี่ว่าน้องแหม่มถูกสร้างสถานการณ์หรือไม่ก็ถูกจัดฉากอย่างนั้นเหรอ”
“ผมยังไม่รู้หรอก แต่ฟังจากน้องกรเล่าก็มีความเป็นไปได้”
“เดี๋ยวนะ น้องกรมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“น้องกรเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับน้องแหม่ม และก็คุณพัสของพี่ยังไงล่ะ?”
“แล้วคนที่น้องกรคิดว่านายไปจีบก็คือคุณพัส”
“พี่อิงจะวกกลับมาเรื่องนี้ทำไมเนี่ย”
“ก็มันตลกนี่” เธอหัวเราะขำอย่างอดไม่ได้ “อ่ะๆๆ ไม่ล้อแล้ว เล่าต่อๆ”
“น้องกรกับผู้จัดการของน้องแหม่มมักจะเห็นผู้หญิงคนนึงตามสถานที่โชว์ตัว หรืองานที่น้องแหม่มได้รับเชิญเสมอ และเธอคนนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ของน้องแหม่ม”
“จะว่าไปแล้ว พี่เพิ่งจะสังเกตนะ ว่าตอนที่น้องแหม่มยังเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์โฆษณา หรือรับแสดงบทสมทบเล็ก ๆ พี่ไม่เคยเห็นข่าวพวกนี้เลย จะเพิ่งมามีก็ตอนที่รับบทนางเอกเรื่องที่ออนแอร์พร้อมกับมนต์รักปั้นสิบนั่นแหละ แต่ดังไม่เท่ากับน้องพราวที่เป็นนางเอกของเรื่อง”
“ก่อนที่จะเล่นละครเรื่องนี้ แหม่มเคยเป็นนางเอกเรื่องอื่นด้วยเหรอ?”
“นี่นายภา นายเป็นนักข่าวนะ พลาดข่าวนี้ได้ไง”
“เฮ้ย ผมก็ไม่ได้ดูละครทุกเรื่องนะพี่ ช่วงไหนกระแสใครมา ข่าวใครดัง ผมก็ต้องเกาะติดข่าวพวกนั้นสิ ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นยิ่งมีข่าวลือหนาหูว่าทัชชากับพราววริศาคบกันอยู่ด้วย”
“จ้า ๆ พ่อนักข่าว ละครที่น้องแหม่มเล่นเป็นละครเย็น พี่เองก็จำชื่อเรื่องไม่ได้ นายลองไปค้น ๆ ดูเอาเองก็แล้วกัน”
“พี่อิง ขอบคุณเรื่องข้อมูลนะ”
“อืม แล้วนายจะสืบเรื่องนี้ไปทำไม หวังจะชนะใจน้องกรหรือไง”
“ก็ส่วนหนึ่งนั่นแหละ แต่ยังไงเรื่องนี้ก็มีผมประโยชน์เห็น ๆ”
“หวังข่าวดังล่ะสิ ถ้ามีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ”
“พูดแบบนี้แสดงว่า พี่อิงมีข้อแลกเปลี่ยนล่ะสิ”
“นายก็รู้นิสัยพี่”
“พี่อยากได้ข่าวใคร?”
“ไม่ได้อยากได้ข่าวใคร ถ้านายสมหวังกับน้องกร นายให้น้องเขาช่วยเรื่องสัมภาษณ์คุณพัสได้ไหม?”
“ไม่มีทาง รายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ อีกอย่างผมเตือนพี่อิงไปแล้วนะ ว่าคนระดับพัสกาญอ่ะ ทางที่ดีอย่าเข้าไปยุ่งกับเขาเลย”
“เฮ้อ...งั้นพี่คงหมดสิทธิ์แล้วสิ ภาก็ไม่ช่วยพี่ คุณทัชก็ปฏิเสธไม่ช่วย”
“เดี๋ยวๆๆ พี่อิงว่ายังไงนะ คุณทัชไม่ช่วยอะไร?”
“ก็ไม่ช่วยพูดเรื่องที่พวกพี่ขอสัมภาษณ์คุณพัสไงล่ะ?”
“คุณทัชรู้จักพัสกาญอย่างนั้นเหรอ พี่ไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน?”
“อืม เห็นว่ารู้จักกันนะ แล้วคุณทัชก็เป็นคนบอกพี่เอง”
“เฮ้ย ทำไมผมไม่เห็นรู้”
“ก็ไม่แปลกนี่ คุณทัชเขามาเป็นนายแบบให้เสื้อผ้าแบรนด์ของคุณพัสเมื่อเดือนที่แล้ว นี่เล่มก็เพิ่งวางแผงไปไม่กี่วัน ยอดดาวน์โหลดอีบุ๊คถึงกับแซงเล่มยอดขายรวมของเดือนก่อนไปแล้ว พี่รุจยังปลื้มใจใหญ่เลย”
“นี่ผมคิดไม่ผิดเลยที่เข้ามาทำงานที่ห้องพี่”
“สีหน้าเจ้าเล่ห์นี่มันอะไรกันนายภา”
“เปล๊า!! แต่ขอบคุณนะครับสำหรับข้อมูล วันนี้ผมไม่กวนพี่อิงทำงานแล้ว”
อิงลิชเห็นรุ่นน้องของตัวเองเก็บเอกสารลงกรเป๋าอย่างอารมณ์ดี ก่อนออกไปยังไม่วายส่งยิ้มให้เธออีก
.........................................................................
พัสกาญกำลังนั่งอ่านข้อความผ่านแชทที่ทัชชาหมั่นส่งมาให้กับเขายามว่าง และพ่อพระเอกก็มักจะให้เขาถ่ายรูปส่งไปให้ทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเลือกรูปจากคลังภาพในโทรศัพท์ส่งไปให้ พ่อเอกก็ยังจะจับได้เสียอีก
ทัชชาเองอยากจะวีดีโอคอลมาหาเขามากกว่าแต่ไม่สามารถทำได้เพราะอีกฝ่ายยังอยู่ที่กองถ่าย เกรงว่าจะมีใครมาเห็นเข้า และทำให้เขาไม่สบายใจ ส่วนตัวพระเอกหนุ่มนั้นไม่ได้แคร์หากจะมีใครมารับรู้ว่าตนเองกำลังพูดคุยกับพัสกาญ จะมีแต่เขาเองที่ยังไม่พร้อมในทุกๆ เรื่อง
เสียงเคาะประตูห้องนอนทำให้พัสกาญต้องเลิกแชทกับอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
“เป็นยังไงบ้าง ตัวแสบ ยังเจ็บอยู่ไหม?”
“ไม่แล้วครับแม่” เข้าเปิดประตูเขาให้แม่เข้ามานั่งในห้อง เห็นแม่เหลือบมองโทรศัพท์ของเขาเล็กน้อย
“ตั้งแต่ลูกไปทำงานกับตากร ดูสดใสขึ้นนะ”
“คงเพราะได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ ด้วยมั้ง”
“รวมถึงพระเอกคนนั้นรึเปล่า ที่มีข่าวว่าเพิ่งอกหักจากนางเอกที่เคยเล่นละครคู่กันน่ะ”
“แม่…”
“แม่ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ แค่ถาม”
“ครับ แต่ม่อนเพิ่งจะคุยกับเขาไม่นาน”
“แล้วเรื่องแฟนเก่าเขาล่ะ เท่าที่แม่สืบมาคุณดาหราก็ไม่ค่อยจะชอบแม่นางเอกละครคนนี้เท่าไร แม่นั่นคงจะไม่รีเทิร์นกลับมาหรอกนะ”
“แม่อ่ะ เขาจะกลับมาหรือไม่กลับมานั่นเกี่ยวอะไรกับผมเล่า”
“ไม่เกี่ยวจริงอ่ะ วันที่เกิดเรื่องแม่เห็นเพื่อนใหม่ของลูกคนนั้น
แค่คนเดียว” แม่ย้ำคำนั้นเน้นๆ “ที่ขึ้นมารอเยี่ยมเราข้างบน”
“ก็คนอื่นเขาไม่สะดวกรอนี่ครับ นั่นมันชลบุรีนะ ไม่ใช่กรุงเทพฯ ที่เยี่ยมเสร็จแล้วจะขับรถกลับกันได้ง่าย ๆ ไหนจะเพิ่งจะทำงานเหนื่อยกันมาทั้งวันอีก”
“นี่ลูกพยายามหาข้อแก้ตัวอยู่ใช่ไหม?”
“เปล่าสักหน่อย”
“งั้นก็ดี ในเมื่อลูกพูดความจริง งั้นลูกก็ต้องบอกความจริงกับแม่ให้ตลอดนะ”
“แม่มีอะไรรึเปล่า ทำไมแม่ดูเครียดจัง?”
“หนูแหม่มบอกแม่ว่า พระเอกคนนั้นเขากำลังจีบม่อนอยู่”
“เอ่อ...ครับ” พัสกาญไม่ได้ห่วงว่าแม่ของเขาจะผิดหวัง เรื่องที่มีผู้ชายมาจีบ เพราะในครอบครัวของเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีคู่รักเพศเดียวกัน
“ม่อน”
“ครับ”
“ลูกแน่ใจแล้วเหรอ?”
“ไม่เลยครับ” เขารู้ว่าแม่หมายถึงอะไร ความกลัว ความผิดหวังในใจของเขายังคงมีอยู่ “แต่ออร่าของพี่ทัช เขาแตกต่าง จากโมนิก” คำพูดแต่ละคำมันช่างออกจากปากของเขาได้ยากเย็นนัก เมื่อต้องเอ่ยชื่อของผู้หญิงอีกคน แม่ดึงเขาเข้ามากอด
“ไม่ต้องไปเอ่ยชื่อคนคนนั้นลูก เอาเป็นว่าแม่รับรู้ว่าพระเอกของลูกแตกต่าง” เขาพยักให้อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้ แม่ของเขาใจดีที่หนึ่ง
“ออร่าของเขาไม่เหมือนของใครๆ ที่ม่อนเคยเห็น” แม่ดันตัวเขาออกห่างเพื่อจะจ้องมองไปในดวงตาของเขา
“มันดูเหนือกว่า ยิ่งใหญ่กว่า สวยงามกว่า อะไรทำนองนั้นใช่ไหม?”
“เฮียเจมส์เล่าให้แม่ฟังแล้วเหรอ?” แม่สายหน้าน้อยๆ
“เปล่าหรอก แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ก็ย่อมมีประสบการณ์อะไรพวกนี้อยู่บ้าง”
“ม่อนควรทำยังไงดี พี่เขารุกม่อนหนักมาก ม่อนทำตัวไม่ถูก” แม่ของเขาหลุดหัวเราะออกมา
“นี่ยกตำแหน่งที่ปรึกษาเรื่องคนรักให้กับแม่แล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่! พี่เขายังไม่ได้เป็นอะไรกับม่อนสักหน่อย”
“ดี เพราะก่อนที่เขาจะได้เป็นคู่รักของลูกได้ เขาต้องพิสูจน์ตัวเองกับแม่เสียก่อน”
“แม่จะทำอะไรอ่ะ”
“ก็แค่พูดคุยนิดหน่อย แม่ก็ต้องอยากรู้จักว่าที่ลูกเขยตัวเองสิ”
“แม่ไม่คิดว่าจะเป็นว่าที่ลูกสะใภ้บ้างรึไง?”
“บ้านเราคงมีหยวนฮ่างคนเดียวแหละที่หาสะใภ้เข้าบ้าน”
“แม่อ่ะ”
“แม่หวังว่าสักวันหนึ่งลูกจะลืมเรื่องราวร้าย ๆ ที่ผ่านมาได้ และคนคนนี้จะดีจริงอย่างออร่าที่ลูกเห็น”
พัสกาญพูดคุยเปิดใจเรื่องของทัชชาให้กับแม่ของเขาได้ฟัง แม้กระทั่งแชทที่ทัชชาส่งมาให้เขา แม่ของเขาก็ได้อ่านมันทุกข้อความทุกประโยคเลยทีเดียว
To Be Continued