พิมพ์หน้านี้ - ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Amo ที่ 25-04-2019 21:20:25

หัวข้อ: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-04-2019 21:20:25
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

admin
thaiboyslove.com

*******************************************



ทัชชา ถึงจะเจ็บปวดเพราะความรัก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อเจอความรักครั้งใหม่ เขาก็พร้อมจะสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้

“ม่อน” มาเคียงคู่กับ “ดาว” บนฟ้าอย่างเขา

 

สี เป็นสิ่งบ่งบอก อารมณ์

สีแดง อันตราย เร่า ร้อน มีพลัง

สีส้ม ความเป็นมิตร สว่าง

สีเหลือง ความสุข สดใส ร่าเริง ปลื้มปิติ

สีเขียว ผ่อนคลาย พัฒนา เติบโต

สีน้ำเงิน สง่างาม มั่นคง น่าเชื่อถือ

สีม่วง ลึกลับ มีเลศนัย

สีดำ เศร้า หดหู่ ซับซ้อน

สีขาว สะอาด บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา

 

ฝากไว้อีกเรื่องนะคะ


*********************


นิยายเรื่องอื่นของ Amo

หยก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61855.0) : สถานะ จบแล้ว

น้ำตากิเลน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69079.msg3918866#msg3918866) : สถานะ ยังไม่จบ

กลรักหวงจื่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71636.0) : สถานะ ยังไม่จบ

จิตมาร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72302.0) : สถานะ ยังไม่จบ:
[/center]


หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : Intro...
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-04-2019 21:24:16
Intro...






   แอร์เย็นฉ่ำจนกระทั่งได้กลิ่นความไอเย็นที่ลอยฟุ้งในอากาศภายในฮอลล์ที่เรียงรายไปด้วยเก้าอี้สีแดงนับร้อยนับพันทอดตัวลดหลั่นกันไปจนถึงหน้าเวที เก้าอี้ทุกตัวล้วนมีผู้คนแต่งกายสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย เด็ก ผู้สูงอายุ ที่ล้วนมาจากสายงานที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในวงการเดียวกัน

   บนเวทีขนาดใหญ่ ที่ถูกเนรมิตให้มีจอภาพขนาดใหญ่เป็นฉากหลัง ปรากฏภาพบรรดาเหล่าผู้มีชื่อเสียงในวงการให้เป็นผู้อัญเชิญรางวัล ยืนเรียงรายกัน 3-4 คน ทั้งหมดส่งยิ้มให้กับกล้องอย่างไม่กลัวว่าจะเหมื่อยแก้ม พิธีกรก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองไป

   กลับมาที่จอยักษ์บนเวที ภาพวีทีอาร์ถูกฉายขึ้นจอ ซึ่งตัวอย่างผลงานการแสดงของดาราที่มีชื่อเข้าชิงรางวัล เมื่อภาพวิทีอาร์ที่เตรียมไว้จบลง พิธีกรก็ทำหน้าที่ต่อไป โดยก่อนจะประกาศชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล พิธีกรก็เว้นช่วงให้ได้ลุ้นกันเช่นเคย

   “รางวัลนักแสดงชายดาวรุ่ง ปี 2019 ได้แก่...”

   เสียงดนตรีและเสียงฮือฮาภายในฮอลล์ ภาพบนจอยักษ์ถูกแบ่งเป็น 4 ส่วนเพื่อถ่ายทอดภาพผู้ที่เข้าชิงรางวัลกันสด ๆ ซึ่งแต่ละคนก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

   “ทัชชา วิรากรชัยกุล จากเรื่อง มนต์รักปั้นสิบ”

   เสียงฮือฮาครั้งใหม่พร้อมกับเสียงปรบมือแสดงความยินดี ภาพบนจอยักษ์เห็นเจ้าของชื่อประนมมือไหว้ทั้งผ่านกล้องและผู้คนข้างเคียงที่ลุกขึ้นมาแสดงความยินดี กว่าเจ้าของชื่อจะเดินขึ้นมาถึงบนเวทีเพื่อรับรางวัลก็ผ่านมาเป็นนาที ชายหนุ่มมาดสุขุมส่งยิ้มหวานละลายหัวใจหลาย ๆ คน ก่อนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

   แสงแฟลชจากกล้องมากมายแข่งกันปล่อยแสงออกมา จนคนที่ยืนเป็นเป้านิ่งให้กับลำแสงเหล่านั้นได้แต่ส่งยิ้มหวานไปให้ ช่างภาพหลังกล่องบางคนส่งสัญญาณให้มองไปทางพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว ก่อนที่พายุแฟลชจะสงบลง นักข่าวสำนักต่าง ๆ ก็พากันจอไมค์เข้ามา

   “คุณทัชรู้สึกยังไงคะ ที่นอกจากจะได้รับรางวัลนักแสดงชายดาวรุ่งแล้ว ยังได้รางวัลคู่จิ้นแห่งปีร่วมกับคุณพราววริศาอีกด้วย”

   “ก็ดีใจครับ ต้องขอบคุณคนดูที่สนับสนุนพวกเราสองคน”

   “นอกจากจะจิ้นกันในจอแล้ว มีข่าววงในหลุดออกมาปล่อยๆ ว่าทั้งสองกำลังคบหา ดูใจกันอยู่ แสดงว่ามีโอกาสที่จะสานสัมพันธ์กันต่อนอกจอใช่ไหมคะ”

   “พราวว่า เรื่องแบบนี้คงต้องดูกันไปยาว ๆ ค่ะ ทั้งพราวและทัชต่างก็งานยุ่ง ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่าค่ะ”

   “มีข่าวว่า คุณทัชส่งของขวัญไปให้กำลังใจคุณพราวถึงสตูดิโอครั้งที่ถ่ายโฆษณานั่นจริงรึเปล่าครับ”

   “ครั้งนั้น ผมส่งไปแสดงความยินดี ที่เธอได้เป็นพรีเซ็นต์หลักของแบรนด์นะครับ”

   “หล่อ นิสัยน่ารัก ช่างเอาใจแบบนี้ คุณพราวยังจะลังเลอีกเหรอคะ?”

   “ไม่ลังเลเลยค่ะ มีเพื่อนหล่อ นิสัยน่ารักอย่างนี้ ใครจะปล่อยไปล่ะค่ะ” หญิงสาวไม่พูดเปล่าสอดมือเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนม จนเรียกเสียงฮือฮาจากกองทัพนักข่าวได้อีกรอบ

   “ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ ขอหวาน ๆ เลยนะคะ คุณทัช คุณพราว”

   ถึงแม้ว่าพราววริศาจะพลาดรางวัลนักแสดงหญิงดาวรุ่ง แต่เธอก็ยังเป็นจุดสนใจไม่แพ้เจ้าของตำแหน่ง หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เมื่อกระแสของคนทั้งคู่มาแรงและเป็นที่นิยมจากประชาชน จนหลาย ๆ คนลุ้นกันตัวโก่งไม่อยากให้จบเพียงแค่ในจอ อยากให้มาต่อกันในชีวิตจริง

To Be Continued....
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 1...3.May'19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 02-05-2019 20:57:58
ตอนที่ 1






   ชายหนุ่มยืนอยู่ใต้ร่มคันใหญ่ที่ทางทีมงานคอยถือให้อยู่ด้านหลัง ข้าง ๆ มีหญิงสาวร่างเล็กใช้ทิชชูซับเหงื่อให้เขา อีกด้านทีมงานกำลังชี้บอกทางให้เขาเดินไปอีกด้าน

   “เดี๋ยวทัชเดินหันหลังให้กล้องนะ เดินตรงๆ ไปทางนั้น ง่าย ๆ เทคเดียวผ่าน”

   “ครับ” เขาตอบสั้น ๆ และยังคงยืนนิ่งให้ช่างแต่งหน้าเติมแป้งให้

   “พร้อมไหม พร้อมแล้วประจำที่นะ”

   สิ้นเสียงตะโกนจากผู้กำกับ ทุกคนต่างแยกย้ายไปยืนหลบมุมเดิมที่ตัวเองเคยอยู่ เขาเองก็เดินไปยังจุดเดิมก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งหันหลังให้กล้องตัวที่ทางทีมบอกกับเขาเมื่อครู่

   “กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…ซีน 6 คัท 3 เทค 1…แอคชั่น!!”

.........................................................................

   หญิงสาวนั่งทบทวนบทที่จะต้องเล่นในวันนี้อยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่ทางทีมงานนำมาตั้งไว้ให้มุมหนึ่ง ข้าง ๆ กันมีกระเป๋าเครื่องสำอางขนาดใหญ่ และกระเป๋าใส่อุปกรณ์ทำผมที่เธอเตรียมมาเองอีกใบหนึ่ง วางกองอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ถัดไปเป็นพัดลมไอน้ำตัวย่อมที่ทางทีมงานจัดเตรียมไว้ให้ตามที่เธอร้องขอ

   “คุณพราวค่ะ อีก 15 นาทีจะถ่ายซีนที่ 8 นะคะ คอสตูมเตรียมชุดไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ” ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกกับเธอ

   “อืม”

   เธอเก็บบทที่กำลังทบทวนอยู่ วางลงบนกระเป๋าเครื่องสำอาง ขณะกำลังจะเดินตามทีมงานออกไป ชายหนุ่มที่เป็นข่าวกับเธอในขณะนี้ ก็เดินสวนเขามาเสียก่อน

   “พราว กำลังจะไปถ่ายซีนถัดไปเหรอ?”

   “อืม ทัชละ เสร็จงานแล้วรึยัง?”

   “ยังเหลืออีกซีน”

   “ของพราวเพิ่งเริ่มถ่ายเอง วันนี้เจอไป 6 ซีนแหนะ”

   “เก่ง ๆ อย่างพราวเดี๋ยวก็เสร็จ ว่าแต่จบแล้วไปทานข้าวกันไหม หรือจะทานในกอง”

   “ไม่ต้องรอของพราวจบหรอก กว่าพราวจะเสร็จน่าจะดึก เดี๋ยวเราออกไปทานข้างนอกตอนพักเบรกกัน”

   “เอาแบบนั้นก็ได้ ว่าแต่พราวอยากทานอะไรล่ะ คงไปได้แค่ใกล้ ๆ แล้วละนะ”

   “แล้วแต่ทัชเลย พราวยังไงก็ได้”

   “ถ้าอย่างนั้น ไปอเวนิวหน้าทางเข้านี่ก็แล้วกัน พราวจะได้เลือกร้านด้วย พราวไปเตรียมตัวเถอะ ทัชจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเหมือนกัน”

   “เดี๋ยวก่อนทัช”

   “มีอะไรเหรอ?”

   “เสร็จซีนนี้พราวก็ได้พักแล้ว ถ้าจะไปกันเลย ทัชติดอะไรไหม?”

   “พราวถ่ายซีนไหนล่ะ?”

   “ซีนที่ 8”

   “ก็ซีนเดียวกัน จบซีนนี้ทัชก็เสร็จงานแล้วละ”

   “อืม ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนั้นนะ พอดีพราวมีเรื่องจะคุยกับทัชด้วย คุยเสร็จจะได้รีบกลับมาทำงานต่อ”

   “ได้สิ”

   พราววริศามองตามหลังชายหนุ่มที่เดินแยกออกไปยังห้องที่ทีมงานเตรียมไว้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าของฝ่ายชาย ก่อนที่เธอจะเดินไปยังอีกห้องที่จัดไว้ให้สำหรับฝ่ายหญิง

   ละครเรื่องนี้เธอได้รับบทเป็นเพียงนักแสดงสมทบเท่านั้น แต่ทัชชากลับได้เล่นเป็นพระเอกคู่กับนางเอกหน้าใหม่ ที่ฝีไม้ลายมือก็ไม่ได้ต่างจากเธอมากนัก เรื่องที่แล้วถึงแม้จะประสบความสำเร็จ ได้รับเรทติ้งสูงก็ตามที แต่การแสดงของเธอกลับไม่เข้าตาผู้จัด ยังดีที่เธอได้รางวัลคู่จิ้นแห่งปีร่วมกันทัชชา ทำให้เธอยังพออยู่ในกระแสได้บ้าง

.........................................................................

   ทาวน์โฮมทรงทันสมัย ทำเลที่ตั้งติดถนนใหญ่ มีพื้นที่จอดรถสำหรับลูกค้าบริเวณหน้าอาคาร ซึ่งตอนนี้ว่างลงเพราะช่วงสาย ๆ อย่างนี้ยังไม่ค่อยมีลูกค้าเข้ามามากนัก ทำให้กรกฤตเข้ามาออกรถได้อย่างสะดวก เขาก้าวเข้าร้านมาก็พบกับต้อยติ่ง พนักงานต้อนรับนั่งประจำที่อยู่ที่เคาน์เตอร์

   “สวัสดีค่ะคุณกร วันนี้ไม่ออกกองเหรอคะ?”

   “วันนี้ฉันปล่อยให้ชาญกับเอมไปทำแทนนะ แล้วนี่เจ้านายเธอไปไหนซะละ?”

   “คุณพัสอยู่ห้องด้านในกับคุณโบตั๋นค่ะ”

   “อ่าว แม่มาทำอะไรละเนี่ย ไม่ได้ไปเยี่ยมลุงหยกที่ไร่อย่างหรอกเหรอ?”

   “เพิ่งบินกลับมาเมื่อวานนี้ค่ะ วันนี้เลยเข้ามาหาคุณพัส”

   “ไอ้ม่อนมันไม่กลับบ้านอีกแล้วสิ แม่ถึงได้มาตามเอาถึงนี่”

   “ก็อย่างที่คุณกรว่านั่นแหละค่ะ” ต้อยติ่งตอบยิ้ม ๆ

   “อืม งั้นดูหน้าร้านดี ๆ ฉันจะเข้าไปสวัสดีแม่หน่อย อะนี่ ของฝาก”

   “ขนมปั้นสิบอีกแล้ว?”

   “เออน่า สุดท้ายแล้ว ละครปิดกองไปแล้ว คงไม่มีมาฝากแล้วละ”

   “ค้า...”

   กรกฤตวางขนมไว้บนเคาน์เตอร์ จากนั้นก็เดินเข้ามายังห้องส่วนในสุด คาดเดาว่าคนทั้งสองน่าจะอยู่ที่ห้องไหน เขาจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปยังห้องสตูดิโอก่อน เมื่อเปิดเข้าไปกลับพบเพียงโบตั๋น ที่ยืนดูผ้าอยู่ภายใน

   “สวัสดีครับคุณแม่”

   “อ่าว ตากร วันนี้ไม่มีงานเหรอ ถึงได้แวะมาที่ร้านได้”

   “มีครับ แต่ให้ลูกน้องไปทำแทน พอดีมีธุระกับไอ้ม่อนมัน”

   “รายนั้นอยู่ในห้องทำงานโน่น เห็นว่ากำลังทำใบเสนอราคาให้ลูกค้าอยู่ แม่เลยมานั่งเล่นที่ห้องนี้”

   “นี่ผมเดาผิดอีกแล้วเหรอครับ เดาไม่เคยถูกจริง ๆ”

   “ก็เรามันไม่มีเซ้นส์เอาซะเลยนี่ ว่าแต่ เราได้นัดเจ้าม่อนไว้ก่อนรึเปล่าละ ว่าจะมาวันนี้”

   “ไม่ได้นัดหรอกครับ เพราะถึงยังไงม่อนมันก็ไม่เคยออกไปไหนอยู่แล้ว”

   “หึ รู้ใจกันจริง ๆ นะ”

   “ว่าแต่ ทำไมแม่กลับเร็วจังเลยละครับ นึกว่าจะอยู่กับลุงหยกนานกว่านี้ซะอีก”

   “ไม่ไหว ๆ อยู่หลาย ๆ วันคงได้เลี่ยนตาย”

   “ท่าทางลุงเสือกับลุงหยกจะหวานกันไม่เลิกนะครับ อายุปูนนี้แล้ว”

   “ว่ากระทบแม่ด้วยรึเปล่าจ้า”

   “ไม่ครับ ๆ ผมไม่ได้หมายถึงแม่สักหน่อย”

   “เอาเถอะ ๆ ว่าแต่กรจะรอม่อนที่นี่ หรือจะเข้าไปหาที่ห้องทำงานละ?”

   “งั้นผมขอตัวไปหาม่อนที่ห้องทำงานก่อนก็แล้วกันนะครับ คุยงานเสร็จผมต้องไปรับแหม่มเขาที่กองถ่ายด้วย”

   “จริงสิ ว่าง ๆ ก็ชวนหนูแหม่มไปทานข้าวที่บ้านด้วยนะ ฝากบอกด้วยว่าแม่คิดถึง”

   “ครับ แล้วผมจะบอกให้”

   กรกฤตว่าแล้วก็รีบเดินออกจากห้องมา เมื่อปิดประตูห้องลงก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา นี่เขาเผลอหลุดปากพูดถึงชาริสาต่อหน้าโบตั๋นอีกแล้ว นี่ท่าทางแม่ของพัสกาญคงยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะจับคู่ดาราสาวให้กับลูกชายของตัวเองเป็นแน่

   ‘ขอโทษด้วยนะไอ้ม่อน กูปากพล่อยไปหน่อย’ กรกฤตได้แต่ขอโทษพัสกาญอยู่ในใจ

.........................................................................

   ภายในห้องทำงานที่กรุไปด้วยหินอ่อนไวน์วีนัสสีขาวสะอาดตา แต่ก็ยังคงไว้ด้วยลวดลายเส้นแร่สีเทาอ่อนพาดผ่านเป็นริ้วในแนวทแยง พื้นห้องปูหินคริสตัลไวน์สีเดียวกันแต่กลับมีเกล็ดแวววาวสีขาวฝังตัวอยู่ภายใน กลางห้องมีโต๊ะทำงานตั้งเด่นอยู่

   ศีรษะทุยของเจ้าของห้อง ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่หน้าจอไอแมกขนาดใหญ่ จนคนที่เข้ามาในห้องไม่สามารถเห็นใบหน้าเรียวภายใต้กรอบแว่นทรงกลมได้เลย

   “ทำอะไรอยู่!!”

   “เฮ้ย...” เจ้าของห้องตกใจเสียงทักทายของเพื่อนรัก ที่ไม่ทักทายเปล่า แต่กลับตบลงบนโต๊ะทำงานของเขาราวกับว่ามันเป็นเบาะนุ่ม “ไอ้กร มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”

   “ถามจริง ฉันเปิดประตูเข้ามาเนี่ย ไม่ได้ยินเลยหรือไง?”

   “...”

   “เงียบ!! แสดงว่าไม่ได้ยิน แก้ไม่หายนะ กับไอ้อาการหายเข้าไปอยู่ในหัวของตัวเองเนี่ย”

   “มึงมีอะไรรึเปล่า กูเร่งเสนอราคาให้ลูกค้าอยู่”

   “ซื้อหรือเช่า”

   “เช่า”

   “เท่าไร ตรีมอะไร”

   “ละครเวที ประมาณ 150 ชุดรวมพร๊อพ”

   “งานก็ไม่ใหญ่นี่ แค่ 150 ชุด”

   “เออ แต่งานเร่ง ลูกค้าจะเอาวันนี้”

   “มา กูช่วย”

   “มึงว่าง?”

   “ไม่ว่าง แต่ถ้ามึงไม่เสร็จ ก็จะคุยงานกับมึงต่อได้ไง”

   “งานอะไร?”

   “ไว้ค่อยว่ากัน กูออกไปเอาโน้ตบุ๊คที่รถแป๊บ”

   วันนี้เหมือนเป็นวันที่แสนจะวุ่นวายที่สุดวันหนึ่ง ไหนจะแม่ที่อยู่ ๆ ก็แวะมาหาถึงร้าน มาถึงก็บ่นเรื่องที่เขาไม่กลับบ้านหลายวัน ไหนจะลูกค้างานด่วน นี่ก็เพื่อนเขาอีก กรกฤตอาสาช่วยงานเขาแบบนี้ คาดเดาไม่ยากเลยว่างานที่เขาจะต้องทำตอบแทนนั้น อาจจะเหนื่อยกว่าเป็นสิบเท่าทีเดียว

   พัสกาญอาศัยจังหวะนี้พักสายตาเขาถอดแว่นวางลงบนโต๊ะ ก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และหลับตาลง เขาไม่ได้มีปัญหาทางด้านสายตา เพียงแต่ใส่เพื่อป้องกันแสงจากจอคอมพิวเตอร์ ดังนั้นแว่นของเขาจึงเป็นเพียงแค่เลนส์ตัดแสงธรรมดาเท่านั้น

   เสียงเปิดประตูที่เปิดออก ทำให้เขาลืมตาก่อนคว้าแว่นกลับมาสวมดังเดิม กรกฤตไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่แม่ของเขากลับตามเข้ามาด้วย

   “แม่”

   “งานหนักมากเลยเหรอไงตัวแสบ ถึงได้ให้ตากรมาช่วย”

   “กรมันอาสาเองต่างหากล่ะ”

   “ครับแม่ ผมอาสาช่วยไอ้ม่อนมันเอง ไม่อย่างนั้นงานของผมคงไม่ได้คุยวันนี้แน่”

   “งานของกรก็งานด่วนเหรอลูก”

   “ยิ่งเร็วยิ่งดีครับแม่”

   “ถ้าอย่างนั้นแม่ไม่กวนแล้ว ถ้าอยากได้อะไร ก็เรียกต้อยติ่งได้นะ”

   “ครับ”

   “ม่อนเองก็เหมือนกัน งานเสร็จแล้วก็กลับบ้านด้วย แม่จะรอที่บ้าน”

   “ถ้าไม่เสร็จ ม่อนก็นอนนี่ได้ใช่ไหม”

   “ไม่ได้จ้า แม่ไม่ได้ใช้ประโยคบอกเล่า แต่เป็นประโยคคำสั่ง”

   “โถ่...แม่”

   “แม่ไปก่อนนะตากร อย่าลืม ว่าง ๆ แวะไปทานข้าวที่บ้านบ้าง”

   “ครับแม่ สวัสดีครับ” หลังจากแม่ออกไปจากห้องแล้วคนช่างอาสาก็ปล่อยหมาที่เลี้ยงไว้ออกมาเที่ยวเพ่นพ่านเต็มห้องทำงาน “แม่มึงนี่ ขี้หวงไม่เปลี่ยนเลยนะ”

   “เรื่องของแม่กู มึงมาช่วยกูทำงานดีกว่า มาเร็วๆ เลย”

   “ก็มาช่วยอยู่นี่แล้วไง ไหนเอาคอนเซปมาสิ เดี๋ยวกูช่วยจัดชุดให้”

   เขาส่งเอกสารของลูกค้าให้กรกฤตรับไป ก่อนที่เจ้าตัวจะไปนั่งอยู่มุมหนึ่งของโซฟารับรองและตั้งหน้าตั้งตาช่วยงานเขา ส่วนเขาก็มาจัดรูปชุดที่เลือกไว้แล้วเพื่อแนบเอกสารเสนอราคา
   
.........................................................................

   ทัชชาจอดรถบนอาคารจอด ซึ่งเมื่อเดินออกมาก็จะเจอทางเชื่อมเพื่อตรงไปยังโซนของร้านอาหารต่าง ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาอ้อมไปมา เมื่อลงจากรถแล้วเขาก็เดินเคียงคู่กับพราววริศาไปยังโซนร้านอาหารต่าง ๆ

   “พราวอยากทานอะไรละ?”

   “เอาอะไรเบา ๆ ดีกว่า เดี๋ยวพราวต้องทำงานต่อ”

   “อืม...เอาร้านนั้นดีไหม อาหารเวียดนาม”

   “ก็ดีนะ เน้นผัก จะได้ไม่หนักท้อง ไม่อ้วนด้วย”

   “พราวทานเท่าไรก็ไม่อ้วนหรอกน่า”

   “ไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องคุม ยิ่งตอนนี้พราวเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของอาหารเสริมด้วย ยิ่งต้องคุม”

   “งานนั้น ตกลงว่าเขาเซ็นต์สัญญากับพราวแล้วสินะ ไม่เห็นพราวบอกผมเลย”

   “ก็ว่าจะบอกแหละ แต่ช่วงนี้ทั้งทัชและพราวต่างก็งานยุ่งนี่นา”

   “อืม ก็จริง แต่ยังไงผมก็ยินดีด้วยนะ”

   “ขอบใจจ้า”

   ทั้งสองคนเดินเข้าร้านมาก็เป็นจุดสนใจ มีบางโต๊ะถึงขั้นยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพ ซึ่งพวกเขาต่างก็ชินแล้ว พราววริศาเดินเข้าไปหาที่นั่งมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมที่ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว และนั่งห่างออกไปจากลูกค้ารายอื่น ๆ เมื่อได้โต๊ะแล้วพวกเข้าเลือกเมนูกันไม่นานก็สั่งอาหารตามที่ตนเองต้องการ

   “เรื่องที่พราวจะคุยกับผม คงไม่ใช่เรื่องแบรนด์ แอมบาสเดอร์นี่หรอกใช่ไหม?”

   “นั่นก็ส่วนหนึ่งนะ”

   “แล้วพราวมีเรื่องอะไรจะคุยกับผม คงไม่ใช่เรื่องที่ผมให้สัมภาษณ์กับนักข่าวไปเมื่อคราวก่อนหรอกนะ”

   “ถ้าพราวบอกว่าใช่ละ”

   “พราวไม่พอใจที่ผมให้สัมภาษณ์ไปแบบนั้นเหรอ?”

   “ทัชก็รู้ ว่าพราวไม่พร้อม และที่เราไปไหนมาไหนด้วยกันก่อนหน้านั้น ก็เพื่อเป็นการโปรโมทละคร”

   “ผมเข้าใจ ในเมื่อเราก็คุยกันถูกคอ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหน ถ้าเราจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้มันเดินหน้าต่อไป”

   “เรื่องนั้นพราวรู้ เพราะพราวก็เคยให้สัมภาษณ์ไปในทำนองนี้เหมือนกัน แต่ระยะหลังนี้ ตั้งแต่มนต์รักปั้นสิบปิดกล้องไป พราวก็ไม่เคยให้สัมภาษณ์ในทำนองนี้อีกเลย ทัชอย่าบีบบังคับพราวด้วยวิธีนี้เลย”

   “แต่คืนงานรับรางวัล...”

   “เท่าที่พราวจำได้ พราวยินดีที่จะมีเพื่อนอย่างทัช และทุกอย่างก็อยู่ที่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์”

   “หมายความว่า”

   “หมายความว่า พราวอยากให้ทัชเลิกคิดกับพราวในแง่นั้น และเราควรจะเลิกทำตัวจิ้นกันได้แล้ว อีกอย่าง ละครเรื่องนี้ พราวเป็นแค่นักแสดงสมทบเท่านั้น  ทางผู้ใหญ่ก็เพิ่งเรียกพราวไปคุย เรื่องของเรา พราวไม่อยากให้มีปัญหา พราวเลยขอทางผู้ใหญ่เพื่อคุยกับทัชเอง”

   “ทำไมไม่เห็นมีใครบอกผมเรื่องนี้เลย”

   “ทางผู้ใหญ่คงจะรอให้ตัวอย่างละครเรื่องนี้ปล่อยออกไปก่อน จะได้ดูว่าทัชกับแหม่มจะจิ้นกันได้รึเปล่า เคมีเข้ากันไหม?”

   “พราว...ไม่แคร์ความสัมพันธ์ของเราเลยหรือไง?”

   “พราวคิดเสมอว่า เวลาดีๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำร่วมกันนั้น มันเป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อโปรโมทละครเท่านั้น”

   “แต่ผมจริงใจกับพราวนะ”

   “พราวรู้ค่ะ พราวถึงอยากคุยกับทัชด้วยตัวเองยังไงละ พราวไม่อยากเห็นทัชจะถลำตัวไปมากกว่านี้”

   “พราว...”

   “เรายังเป็นเพื่อนกันได้นะทัช”

   “...”

   ทัชชาได้แต่นั่งนิ่งหลังอาหารถูกนำมาวางเรียงรายบนโต๊ะ พราววริศาก็ยังคงละเลียดทานอาหารตรงหน้าเหมือนเรื่องที่คุยก่อนหน้าไม่ได้มีผลกระทบอะไร ผิดกับเขาที่ความอยากอาหารหายไปจนหมดสิ้น นี่สินะ อาการขแงคนอกหัก เขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

   
To Be Continued...
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 2 : 9.May'19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 09-05-2019 22:11:53
ตอนที่ 2




      กรกฤตขับรถมารับพัสกาญที่บ้านตั้งแต่ตีสาม เนื่องจากวันนี้ทางกองถ่ายมีซีนที่ต้องถ่ายทำช่วงเช้าตรู่ ทำให้คอสตูมอย่างเขาต้องรีบไปเตรียมงานเพื่อรอนักแสดง

     เขาเลือกจะจอดรถรออยู่นอกรั้วบ้านมากกว่าจับเข้าไปรับในบ้านให้ยุ่งยาก ไม่นานพัสกาญก็เดินออกมาหาเขา โดยมีชายอีกคนช่วยหิ้วของตามมาส่งถึงรถ ทำให้เขาต้องลงไปรอรับ

     “น้ากล้า สวัสดีครับ”

     “สวัสดีครับคุณกร กระเป๋านี่น้าเอาไว้ท้ายรถเลยนะครับ”

     “ครับ”

     “อ่ะนี่ กูให้น้านิลทำเผื่อมึงด้วย” ในมือของพัสกาญมีกาแฟและแซนด์วิช 2 ชุด

     “แดกตอนตีสามกว่าๆ เนี่ยนะ กูยังกินไม่ลง อีกอย่างกูต้องขับรถ”

     “มึงอยากกินตอนไหนก็เรื่องของมึงเถอะ”

     “เออ ๆ ไปขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวสาย” เขาพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงน้ากล้าปิดกระโปรงหลังรถเรียบร้อย “ไปก่อนนะครับน้ากล้า”

     “ขับรถดี ๆ นะคุณกร ฝากคุณม่อนด้วย”

     “ครับผม” เขาก้าวขึ้นรถในตำแหน่งที่นั่งคนขับ “คุณหนูไม่เปลี่ยนเลยนะมึง”

     “มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้คุณหนูอะไรขนาดนั้น พวกน้า ๆ เขาแค่เป็นห่วง”

     “เออ กูแม่งก็ไม่ชินกับคนที่บ้านมึงสักที แม่ก็ขี้หวง คนในบ้านก็ขี้ห่วง ถามจริง พี่น้องคนอื่นของมึง เขาถูกประคบประหงมแบบมึงบ้างรึเปล่า”

     “ก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเฮียเจมส์ อ่อ! ...ยกเว้นตั่วเฮียไว้คน”

     “เออ ตั่วเฮียของมึงก็โคตรน่ากลัว”

     “เฮียเขาแค่พูดน้อย”

     “มึงนอนไปก่อนเลย กูขี้เกียจมาเถียงเรื่องเฮีย ๆ ของมึง ถึงเมื่อไรกูจะปลุก”

     “ขอบใจ”

     กรกฤตได้แต่ส่ายหน้าให้กับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อก่อนพัสกาญร่าเริงกว่านี้ ถ้าไม่เป็นเพราะวันนั้น เพื่อนรักของเขาคนนี้ คงจะไม่ทำตัวเป็นเก็บเนื้อเก็บตัว เฝ้าอยู่แต่ที่ร้าน คุยกับลูกค้าทางโทรศัพท์ และขายงานผ่านระบบออนไลน์ ไม่ยอมออกไปพบปะผู้คนข้างนอก หวังว่างานครั้งนี้ จะช่วยให้เพื่อนของเขากลับมาร่าเริงขึ้นบ้าง

.........................................................................

     ทัชชาขับรถเข้ามาที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง บ้านหลังนี้ทางทีมงานติดต่อขอเช่าเพื่อใช้ในการถ่ายละคร ดังนั้น คนในบ้านจึงหลบไปอยู่เรือนหลังเล็กที่ด้านหลังส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจ้าของบ้านเองกลับไปพักผ่อนที่ตึกแถวด้านหน้าทางเข้า ซึ่งเป็นทั้งที่พักและที่ทำงานของเจ้าของบ้านนี้

     ทีมงานโบกให้เขาไปจอดรถที่มุมหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างหลบจากสายตาผู้คน และเป็นมุมอับ ในขณะถ่ายละครจะได้มองไม่เห็น เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว อามันต์ก็เดินมาหาเขาที่รถ

     “ฉันคุยกับพี่กวินทร์แล้วนะ วันนี้เราจะถ่ายตอนที่ 5 9 แล้วก็ 16 ของทัชจะมีซีนที่ 7 และ 10 ในตอนที่ 5 ซีนที่ 12 22 23 25 ในตอนที่ 9 แล้วก็...”

     “พอก่อน ๆ ฉันรู้ว่าวันนี้ต้องถ่ายเยอะ เอาทีละซีนแล้วกัน”

     “โทษที ว่าแต่นายมีของแค่นี้เหรอ?”

     “ปกติฉันก็ไม่ได้มีอะไรมาก” เขาเห็นท่าทางแปลกใจขออามันต์ “มันยังเช้าอยู่ ฉันเลยไม่รู้จะซื้ออะไรมาฝากพราวเขาดี”

     “นายน่าจะหาอะไรติดไม้ติดมือมาฝากน้องแหม่มบ้าง ไม่ใช่คิดถึงแต่พราว ยังไงแกกับน้องแหม่มก็ต้องทำงานด้วยกัน”

     “ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันไปทักทายคนในกองก่อน แล้วจะตามไป”

     “อืม ฉันจัดที่นั่งให้นายมุมเดิมนะ”

     เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนที่อามันต์จะเดินกลับไปยังมุมที่บอกว่าจัดที่นั่งไว้ให้กับเขา จากนั้นทัชชาก็มองหาคนที่เขาอยากพบ เขาเดินทักทายทีมงานไปรอบ ๆ กองแต่ก็ไม่เห็นพราววริศา หรือแม้กระทั่งผู้จัดการส่วนตัวของเธออย่างหลิน

     “พี่ทัชมองหาใครรึเปล่าครับ ถ้าเป็นพี่กวินทร์ ตอนนี้ดูทางทีมงานจัดพร๊อพกันอยู่ในห้องรับแขก” ทีมงานคนหนึ่งเห็นเขามองหาพราววริศา ก็เดินเข้ามาทัก

     “ไม่ใช่หรอก พี่มองหาพราว”

     “อ๋อ พี่พราว รู้สึกว่าวันนี้จะไม่มีคิวนะครับ พี่อามันต์ไม่ได้บอกเหรอครับว่าตอนที่เราจะถ่าย ไม่มีซีนของพี่พราวเลย”

     “พี่คุยกับมันต์แค่นิดหน่อย ยังไม่ได้คุยรายละเอียด” หรือถึงอามันต์บอก เขาก็จำไม่ได้ว่ามีซีนไหนที่ได้แสดงร่วมกับพราววริศา

     “ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”

     ทัชชาเดินกลับไปทางเดิม เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดที่อามันต์จัดให้เขาพักระหว่างรอถ่าย ซึ่งเมื่อไปถึง เขาก็เห็นอามันต์ยกกาแฟกับปาท่องโก๋มาให้แล้ว ส่วนเจ้าตัวก็นั่งดื่มน้ำเต้าหู้ของตัวเองไป

     “ฉันเอากาแฟมาให้แล้วนะ รองท้องก่อน เดี๋ยวตอนถ่ายจะได้มีแรง” อามันต์เงยหน้าจากเครื่องดื่มตรงหน้า หันมาบอกเขา

     “อืม” เขานั่งลงที่เก้าอี้ผ้าใบ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาจิบ เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้คงยังเช้าเกินไปที่จะโทรหาใครบางคน จึงได้แต่ส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันไปแทน

.........................................................................

     พัสกาญเดินตามกรกฤตเข้ามาในบ้านหนังหนึ่ง เนื่องจากวันนี้จะมีคิวถ่ายบริเวณสวนหน้าบ้าน และมุมสระว่ายน้ำ ดังนั้นรถของทางทีมงานทั้งหมด รวมไปถึงนักแสดง จึงต้องเลี่ยงไปจอดในมุมอับ ส่วนเขากับกรกฤต...

     “นี่ขนาดกูไปรับมึงตั้งแต่ตีสามนะ มาถึงนี่ยังไม่ทันจะตีห้าเลยด้วยซ้ำ ยังต้องไปจอดถึงท้ายซอย”

     “เอาน่า แค่นี้ทำเป็นบ่นไปได้ เดินนิดเดินหน่อยเอง”

     “นิดหน่อยก็จริง แต่นี่ต้องขนของกันอีกตั้งหลายรอบ”

     “มึงก็ให้ชาญกับเอมมาช่วยสิ ของที่รถนายก็ไม่ได้เยอะ อีกรอบก็น่าจะหมดแล้ว”

     “ไอ้สองตัวนั้นไม่รู้ว่าไปจอดรถที่ไหน จอดไกลได้ขนของกันหลังอานเลยล่ะ”

     “เวลานี้น้องมันก็น่าจะมาแล้ว มึงก็โทรไปถามดูสิ”

     “หึ!! มึงคิดว่ากูไม่อยากโทรเหรอ? ดูสารรูปมึงกับเซตก่อน จะเอามือที่ไหนลวงหยิบโทรศัพท์” เขามองกรกฤตก็ได้แต่ยิ้มให้

     การที่เขาต้องมาหอบเสื้อผ้าอีกหลายชุดนั่นก็เพราะกรกฤตเองที่หลังจากช่วยงานเขาแล้ว ถูกใจชุดหลายเซต และเห็นว่าน่าจะเหมาะให้ใส่เข้าฉาก จึงได้ยืมมาจากร้านของเขา

     “ทั้งหมดนี่ มึงเป็นคนเลือกเองไม่ใช่เหรอ รีบเดินไปเถอะ อย่าบ่นให้มากนัก”

     “เฮ้อ...” กรกฤตถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะเดินนำเข้าสู่รั้วบ้านไป

     “พี่กร มาผมช่วย” ชาญที่เห็นกรเดินผ่านรั้วเข้ามา รีบเข้ามาช่วยแต่ก็ยังมีแก่ใจหันมาทักทายเขา “สวัสดีครับพี่ม่อน” เขาจึงได้แต่ยิ้มให้

     “แล้วเอมละ?”

     “เข็นราวผ้าเข้าไปที่ห้องแต่งตัวครับ”

     “อืม เดี๋ยวนายกับเอมไปที่รถฉันนะ ไปขนเสื้อที่เหลือลงมาด้วย”

     “นี่ต้องเป็นชุดจากร้านพี่ม่อนแน่ ๆ เลย” ชาญมองเสื้อผ้าในมือของตัวเอง

     “รู้แล้วยังจะถาม” กรกฤตบ่นเล็กน้อยก่อนหันมาแบ่งชุดที่เขาถืออยู่ไปบ้าง

     “กูถือไหว”

     “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปที่ห้องแต่งตัวกัน แล้วมึงก็ช่วยงานเอมที่นั่นแล้วกัน ที่เหลือเดี๋ยวกูกับชาญช่วยกันขนเอง มึงจะได้ไม่ต้องเดินไกลหลายรอบ”

     “พี่กรจอดรถที่ไหนเหรอพี่?” ชาญถามขณะเดินนำไปยังห้องแต่งตัว

     “สุดซอยเลย ข้างกำแพงบ้านนี่แหละ”

     “อ่าว!! ... แล้วทำไมพี่ไม่เข้าทางประตูหลังละ ถ้าแค่เสื้อผ้า มันเดินผ่านประตูเล็กหลังบ้านเข้ามาได้นะ”

     “ประตูหลังบ้าน?”

     “ใช่พี่ เดินใกล้ เขามาก็เกือบถึงห้องแต่งตัวด้วยนะ”

     “แล้วทำไม ไม่รีบบอกว่ะ?”

     “อ่าว? นี่พี่ไม่รู้เหรอ?”

     “เออ กูไม่รู้!”

     “ไอ้กร เบาๆ หน่อย เดี๋ยวคนอื่นเขาก็ได้แตกตื่นกันทั้งกอง มึงก็ใจเย็น ๆ หน่อยน่า เรื่องแค่นี้เอง”

     “พี่ม่อนยังใจดีไม่เปลี่ยนเลยนะ” ชาญไม่สนใจลูกพี่ตัวเองที่กำลังอารมณ์ไม่ดี หันมาชวนเขาคุย

     “พี่ไม่ได้ใจดีอะไรหรอก เรื่องมันเล็กน้อยจนจริง ๆ”

     “พี่ม่อนกินอะไรมารึยัง เช้านี้ทางกองมีกาแฟ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้นะ พี่ม่อนชอบอะไร เดี๋ยวผมไม่เอาให้”

     “ไม่ต้องเลยไอ้ชาญ หาเรื่องอู้งานนะมึง”
 
     “พี่กรเอาอะไรละ ผมจะได้ไปเอามาให้ไง”

     “กูมีกาแฟกับแซนด์วิชแล้ว เดี๋ยวค่อยไปเอาที่รถ มึงนี่ก็ไหลไปได้เรื่อยนะ”

     “เปล่าซะหน่อย” ชาญพูดพร้อมกับเดินลิ่วไปยังห้อง ๆ หนึ่งซึ่งเขาคาดว่าจะเป็นห้องแต่งตัว บริเวณนี้คนค่อนข้างเยอะ คงเป็นโซนที่พวกทำงานเบื้องหลังอยู่กัน

     “พี่กร พี่ม่อนสวัสดีค่ะ” เอมที่กำลังรีดผ้าอยู่หันมาทักทายเขา

     “เจษฏ์เอาคิวมาให้แล้วใช่ไหม?” กรกฤตเอาชุดในมือไปแขวนไว้บนราวผ้า

     “ค่ะพี่กร เดี๋ยวเอมหยิบให้นะคะ” เอมวางมือจากงาน เดินไปยังกองกระเป๋า หยิบเอกสารชุดหนึ่งมายื่นให้

     “เช้านี้เขาจะถ่ายตอนที่ 5 กันก่อน ตอนนี้มีอยู่ 11 ซีน มึงเอาไปอ่านดูแล้วกัน คอนเซ็ปก็ตามภาพฟิตติ้งที่กูส่งให้” กรส่งเอกสารในมือให้เขา

     “พี่ม่อนจะมาเป็นผู้ช่วยพี่กรในกองนี้เหรอคะ?”

     “อืม”

     “เอมดีใจจัง แล้วนี่พี่ต้อยติ่งมาด้วยรึเปล่าค่ะ?”

     “พี่สาวเราเขาไม่ได้มาด้วยหรอก พี่มาช่วยแค่บางซีนน่ะ”

     “อ้าวทำไมอย่างนั้นละครับ” ชาญหันมาถามอย่างสงสัย

     “พี่มาช่วยเฉพาะซีนที่แหม่มต้องแสดงน่ะ”

     “อ๋อ...” ทั้งชาญและเอมอุทานออกมาพร้อมกัน ทั้งยังมองไปยังกรกฤตเจ้าของความคิด

     “แล้วไม่ต้องพูดมากให้แหม่มได้ยินละ” กรกฤตกำชับลูกน้องทั้งสอง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับโดยการพยักหน้า “มึงก็อยู่ที่นี่แหละ ไปชาญ ไปเอาของที่รถกันได้แล้ว”

     “ครับ” ชาญเดินตามกรกฤตออกจากห้องไป

     “พี่ม่อนค่ะ เอมขอไปเตรียมงานที่ห้องโน้นก่อนนะคะ ห้องแต่งตัวหญิงอยู่ห้องถัดไปนี่เอง เอมฝากที่นี่ด้วย”

     “อืม ได้สิ เอมไปทำงานของเอมเถอะ”

     เมื่อเอมออกไปแล้วเข้าก็นั่งอ่านสรุปคิวถ่ายในตอนที่ 5 และรายชื่อนักแสดงที่เข้าฉาก ก่อนเดินไปจัดชุดให้นักแสดงแต่ละคน

.........................................................................

     ชันดาขับรถพาชาริสาที่นั่งอ่านบท ทำหน้าบึ้งอยู่ข้าง ๆ กันเข้าสู่ตัวบ้าน เธอขับรถไปจนถึงทางเข้าหน้าบ้านเพื่อส่งดาราสาวก่อนจะไปหาที่จอดรถ

     “ถึงแล้วพี่แหม่ม พี่ลงไปก่อนนะ เดี๋ยวดาไปหาที่จอดได้แล้วจะตามเข้าไป”

     “อืม”

     “เดี๋ยวพี่ กระเป๋าพี่ เดี๋ยวดาถือลงไปให้ก็ได้ พี่เอาไปแต่บทกับโทรศัพท์เถอะ”

     “ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันถือเองได้ เธอยังไม่รู้เลยว่าจะจอดรถไกลรึเปล่า ตอนเดินเข้ามาจะได้ไม่ต้องถือของเยอะ”

     “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจพี่แล้วกัน ดาเอารถไปจอดก่อน อ่อ วันนี้ที่กองมีน้ำเต้าหู้ ดาให้เขาเตรียมให้พี่แบบหวานน้อยให้แล้วนะ”

     “ขอบใจ”

     “พี่แหม่ม”

     “อะไรอีกละ”

     “ตอนดาไม่อยู่ พี่อย่าเพิ่งไปกินหัวใครเขานะ”

     “นี่เธอเห็นฉันเป็นคนยังไง”

     “ก็เห็นเช้านี้พี่ดูอารมณ์ไม่ดีนี่ นั่งอ่านบนหน้าบึ้งเชียว”

     “ฉันทำอารมณ์ตามบทย่ะ แล้วจะอารมณ์เสียก็เพราะเธอนั่นแหละยัยดา”

     “ขอโทษๆ ดาไปแล้ว เดี๋ยวตามเข้าไป”

     ชาริสาเดินลงจากรถ มุ่งหน้าเข้าตัวบ้านไป เธอมาถ่ายละครที่บ้านหลังนี้ 2-3 ครั้งแล้ว และรู้สึกว่าทางกองถ่ายมักจะจัดมุมให้เธอนั่งที่มุมเดิม ๆ ตลอด ดังนั้นเธอจึงเดินไปยังตำแหน่งที่เธอมักจะนั่งเป็นประจำทันที

     ระหว่างทางชาริสาไม่ค่อยได้ทักทายใครมากนัก ถ้าไม่มีใครทักทายเธอก่อน จนกระทั่งเธอพบกรกฤตยืนคุยกับกะทิ ช่างทำผมสาวประเภทสองอยู่

     “นี่กรไม่รู้อะไร น้องพราวเขาจงใจ ฉันได้ยินนะว่า นางให้หลินเข้าไปคุยคิวกับพี่กวินทร์เลยนะ”

     “พราวนี่ก็เล่นแรงเหมือนกันนะ”

     “ฉันบังเอิญได้ยินเจ้าตาลมันพูดกับหัวหน้ามันอยู่ว่า เมื่อเช้าพอทัชมาถึง ก็ถามหาแต่พราว”

     “สองคนนั้นน่าจะต้องทะเลาะอะไรกันแน่ ๆ พราวนี่ก็เกินไป เลี่ยงกันแบบนี้ไม่เกรงใจคนทำงานเลย”

     “เอาน่า เราเป็นลูกจ้างเขาก็ทน ๆ ทำไปเถอะ” ชาริสาเดินเข้ามาก็ได้ยินช่างแต่งหน้ากับหัวหน้าคอสตูมกำลังเม้าท์เรื่องพระนางคู่จิ้นกันอย่างสนุกปาก

     “แล้วคุณกรกฤตละคะ งานการไปถึงไหนแล้วคะ เรียบร้อยแล้วใช่ไหมถึงได้มาเที่ยวทักทายคนนั้นที คนโน้นที”

     “ยัยแหม่ม แกนะแก พูดจาอะไรระวังปากไว้มั่ง พี่กะทิก็ยื่นอยู่นี่ทั้งคน”

     “ฉันพูดอะไรผิด พี่กะทิ แหม่มพูดอะไรไม่ดีรึเปล่าคะ?”

     “เออ...ไม่จ้า ...เอิ่ม...งั้นพี่ไปเตรียมงานก่อนนะ แล้วก็ถ้าแหม่มพร้อม ให้น้องดามาตามพี่ไปทำผมให้ก็ได้คะ” กะทิพูดเสร็จก็เดินเลี่ยงออกไป

     “เห็นไหม? ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

     “ก็เพราะปากแกเป็นอย่างนี้แหละน้า...ฉันรู้ว่าแกแค่หยอกแรง แต่พูดแบบนั้นมันก็เหมือนกระทบพี่กะทิเขา”

     “แต่ฉันคุยกับแก”

     “แต่คนอื่นเขาก็คิด”

     “เอาน่า ๆ แกนี่ขี้บ่นไม่เปลี่ยนเลยนะ”

     “แล้วนี่น้องดาไปไหนซะละ”

     “เอารถไปจอด เดี๋ยวคงเข้ามา”

     “อืม งั้นแกก็ไปเปลี่ยนชุดเลยแล้วกัน”

     “ห้องไหนละวันนี้”

     “ห้องเดิมนั่นแหละ หรือแกไปตามเอากับม่อนมันก็ได้”

     “ให้เอมเอามาให้สิ จะฉันไปตามเอากับม่อน แล้วงานการฉันก็ไม่ต้องทำกันพอดี”

     “นี่ยัยแหม่ม แกเป็นนางเอกเรื่องแรก แค่เรื่องขี้วีน พูดแรงแล้ว แกยังจะทำตัวเรื่องเยอะอีกเหรอไง”

     “ไอ้กร แกพูดดีๆ นะ ใครเรื่องเยอะ ฉันไม่ใช้ยัยพราววริศานั่นสักหน่อย”

      “ยัยแหม่มนี่ แกจะไปพูดพาดพิงคนอื่นเขาทำไม”

     “ก็แกมาว่าฉันเรื่องเยอะก่อนนี่นา”

     “ก็ฉันแค่ให้ไปตามเอาชุดกับม่อน แกก็ไม่ไป แบบนี้จะไม่ให้ว่าแกเรื่องเยอะได้ยังไง”

     “จากนี่ไปร้านม่อน ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เดี๋ยวฉันมีคิวถ่ายตอน 6 โมงเช้า แล้วมันจะทันตรงไหน”

     “ฉันบอกแกเมื่อไรให้ไปเอากับม่อนที่ร้าน มันอยู่ที่ห้องแต่งตัวชายโน่น”

     “ม่อนมาที่กองเหรอ?”

     “อืม เฮ้ยเดี๋ยว แกจะรีบวิ่งไปไหน”

      ชาริสาไม่อยู่ฟังกรกฤตแล้ว เธอรีบเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องแต่งตัวชายทันที เธอดีใจมากที่รู้ว่าพัสกาญมาที่กองถ่าย และเธอคาดว่า หากพัสกาญอยู่ในห้องแต่งตัว เป็นไปได้มากกว่า เขาน่าจะมาช่วยงานกรกฤตทั้งวัน หรือถ้าไม่ เธอนี่แหละจะเป็นคนที่ทำให้พัสกาญอยู่จนเสร็จงานวันนี้


To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 2 : 9.May'19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-05-2019 01:10:56
 :pig2:
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 3 : 30.May'19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 30-05-2019 20:50:38
3


      ทัชชาเดินตามอามันต์ไปยังห้องแต่งตัว หลังจากแต่งหน้าทำผมเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแอปพลิเคชันที่ส่งข้อความไปหาพราววริศา ซึ่งจากที่เห็นเธอได้อ่านข้อความของเขาแล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบกลับ แม้กระทั่งสติกเกอร์การ์ตูนก็ไม่มี

      “เฮ้ย!!” เสียงอามันต์เรียกความสนใจเขา ให้ละจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วหันไปมองตาม

      “ชาริสา?” ภาพที่เห็นที่หน้าห้องแต่งตัว... ดาราสาวกำลังกอดกับหนุ่มแว่นคนหนึ่ง

      “ผู้ชายคนนั้นใครวะ?” อามันต์เปรยกับเขา ซึ่งเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ “มายืนกอดกันแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้เป็นข่าวกันพอดี”

      “ชาริสาคงไม่คิดอะไร”

      “นั่นคุณกรนี่” เขาและอามันต์เห็นกรกฤตเดินตามมาทางด้านหนัง ทั้งสามออกันอยู่ที่หน้าประตูห้องแต่งตัวของฝ่ายชาย

      “เราก็อย่าไปยุ่งเรื่องของเขาเลย เข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน เดี๋ยวเจษฏ์ก็มาตามแล้ว”

      “นายคนเดียวที่ไหน เดี๋ยวเขาก็ต้องมาตามน้องแหม่มด้วย”

      “หึงน้องแหม่ม?”

      “เฮ้ย! บ้า นายพูดอะไรระวังปากหน่อย เดี๋ยวน้องแหม่มเขาก็เสียหาย”

      “ไปๆ จะได้เปลี่ยนชุดสักที” เขาเปลี่ยนเป็นเดินนำอามันต์เข้าไปหากลุ่มคนทั้งสาม กรกฤตเป็นฝ่ายเห็นเขาเป็นคนแรก

      “คุณทัช คุณมันต์ จะเปลี่ยนชุดแล้วใช่ไหมครับ เชิญๆ” กรกฤตเปิดประตูให้เขาทั้งสอง

      “สวัสดีค่ะพี่ทัช พี่มันต์” ชาริสากล่าวทักทายเขาเล็กน้อย ก่อนหันไปสนใจชายหนุ่มที่ยืนข้าง ๆ เธอต่อ “เดี๋ยวแหม่มไปเปลี่ยนชุดก่อน สักสิบนาทีม่อนค่อยตามเข้าไปก็แล้วกัน” ชาริสาพูดทั้ง ๆ ที่มือสองข้างยังคงกุมมือของอีกฝ่ายอยู่

      “อืม แหม่มไปเตรียมทำงานเถอะ เอมคงรออยู่แล้ว อีกอย่างเราไม่หนีไปไหนหรอก”

      “คุณทัช คุณมันต์ เชิญครับ” เป็นกรกฤตที่เร่งให้พวกเขาเข้าห้องไป โดยในห้องมีชาญคอยเตรียมชุดให้อยู่ก่อนแล้ว เพียงไม่นาน คนที่เขาได้ยินว่าชื่อม่อนก็เดินตามพวกเขาเข้ามา

      กรกฤตกับชาญช่วยเขาเรื่องแต่งตัว ส่วนอามันต์ก็คอยช่วยบอกว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และหนุ่มอีกคนที่เขาเข้าใจว่าจะมาช่วยงาน กลับนั่งรออยู่เฉย ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

.........................................................................

      ระหว่างการถ่ายทำละคร พัสกาญช่วยกรกฤตดูแลเรื่องเสื้อผ้าให้นักแสดง ไม่ต่างจากชาญและเอม เพียงแต่หน้าที่สำคัญของเขาคือการดูแลชาริสา รวมไปถึงค่อยให้คำปรึกษาเรื่องการแต่งหน้าและทรงผมอีกด้วย ซึ่งชาริสาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

      “โชคดีจัง ที่วันนี้ได้พี่ม่อนมาช่วย ไม่อย่างนั้นดากับพี่กรคงต้องรับมือกันหนักแน่ ๆ เลย” ชันดายืนอยู่ข้าง ๆ เขาระหว่างดูสองพระนางซ้อมบทกันพูดขึ้น

      “แหม่มเขาแค่ขาดความมั่นใจเท่านั้นแหละ เลยแสดงออกมาแบบนั้น”

      “นี่ถ้าพี่ม่อนมาช่วยคุณกรจนปิดกล้องก็ดีนะคะ ดาจะได้สบายขึ้นหน่อย”

      “กรมันยังไม่ได้บอกดาเหรอ ว่ามันให้พี่มาเป็นผู้ช่วย”

      “จริงเหรอคะ ดาดีใจจัง แต่...แล้วงานพี่ม่อนละ มาช่วยงานที่กองแบบนี้ จะไหวเหรอคะ”

      “พี่พอแบ่งเวลาได้ อีกอย่าง” เขาลดเสียงลง “มันให้พี่มาดูแหม่มโดยเฉพาะ”

      “ถ้าอย่างนั้นซีนอื่นๆ ที่ไม่มีพี่แหม่มก็...”

      “อืม ก็อย่างที่ดาเข้าใจนั่นแหละ แต่อย่าไปบอกแหม่มนะ” เขาได้รับคำตอบจากรอยยิ้มหวาน ๆ มาให้

      หลังจากที่แหม่มถ่ายซีนนี้จบ เธอก็ได้พัก เพื่อให้นักแสดงคนอื่น ๆ ถ่ายในซีนถัดไป พัสกาญจึงมีเวลาได้คุยกับเธอมากกว่าเมื่อเช้าตรู่ที่เจอกัน ทั้งสองเดินมานั่งในมุมที่ทางทีมงานจัดไว้ให้ชาริสาพักผ่อน

      “เดี๋ยวม่อนแวะมากินข้าวเที่ยงกับแหม่มนะ”

      “เอาสิ แล้วนี่ดาไปไหนละ?”

      “ก็น่าจะไปดูเรื่องอาหารการกินนั่นแหละ ว่าทางกองเตรียมอะไรไว้ให้ เผื่อทานไม่ได้ ยัยดาจะได้ไปหาซื้อร้านแถว ๆ นี้มาให้”

      “อ่อ แหม่มน่าจะทานง่ายอยู่นะ มีอะไรที่ทานไม่ได้หรือไง ทำไมเราไม่เห็นรู้เลย”

      “ใครว่า แหม่มทานได้หมด ไม่ได้เรื่องมากสักหน่อย เพียงแต่โค้ชเขาให้คุมเรื่องอาหารนะ เลยอดกินไปหลายอย่างเลย”

      “จริงสินะ แหม่มเป็นดาราดังแล้วนี่นา”

      “ม่อนก็รู้ว่าแหม่มมาอยู่ตรงนี้ได้เพราะใคร”

      “เพราะตัวแหม่มเอง ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น มั่นใจในตัวเองหน่อย”

      “ม่อนยังเห็น...อยู่ไหม” เขารู้ว่าเธอละคำบางคำไว้ มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้

      “อืม ก็ยังเห็นอยู่แหละ เรารู้ว่าตอนนี้แหม่มมีความสุขแค่ไหน แต่แหม่มยังขาดความมั่นใจ ใช่ไหม”

      “อืม”

      “แต่เราว่า...แหม่มไม่ควรจะแสดงออกมาด้วยอารมณ์ วันนี้เราได้ยินคนในกองพูดถึงแหม่มแล้วเราไม่สบายเลย”

      “บางทีแหม่มก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ พอเวลาพูดออกไปตรงๆ แล้วมันได้ผล ม่อนก็รู้ แหม่มก็เลยติดจะใช้วิธีนี้ตลอด”

      “แหม่มขึ้นแท่นนางเอกแล้วนะ ยิ่งได้เล่นคู่กับพระเอกอย่างคุณทัชชา ที่มีรางวัลการันตีแบบนี้ด้วย แหม่มต้องระวังเรื่องอารมณ์ให้ดี เป็นข่าวขึ้นมามันจะไม่ดีกับอาชีพที่แหม่มทำอยู่”

      “แหม่มจะพยายามแล้วกัน ว่าแต่... ม่อนนี่ก็ทำการบ้านมาดีนะ อย่างนี้ก็คงไม่ต้องขอคำแนะนำจากแหม่มแล้วสิ เรื่องที่ว่า ใครเป็นใครบ้างในกองถ่าย”

      “ชาญกับเองช่วยแนะนำให้แล้ว ถ้่ามีอะไรให้เราคิดว่าช่วยกรได้ เราก็จะช่วยเต็มที่”

      “ถ้าม่อนมาช่วยงานกรแบบนี้ได้ทุกวันก็ดีสิ เวลาม่อนอยู่ใกล้แบบนี้ แหม่มก็อุ่นใจ”

      “อืม ก็จะพยายามมาทุกครั้งที่แหม่มมีคิวแล้วกัน ถ้าไม่ติดงานนะ”

      “จริงเหรอ ม่อนไม่ได้พูดเล่นนะ”

      “จริงสิ เมื่อวานกรไปเอาชุดที่ร้าน เราก็เลยอยากมาดูนะ แต่แหม่มอย่าไปบอกใครเรื่องชุดของเรานะ”

      “อืม เข้าใจแล้ว งานนี้ยังไงมันก็ต้องเป็นเครดิตเจ้าของงานอย่างกร”

      “เราไปช่วยงานกรก่อนนะ แหม่มเองจะได้พัก และทบทวนบทในคิวต่อไป”

      “จ้า แล้วเดี๋ยวเจอกันนะ”

      พัสการเดินจากมุมที่แหม่มนั่ง ผ่านชายคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด ชาญบอกว่าชายคนนี้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของทัชชา ออร่าที่ออกมาจากชายคนนั้นมีแต่ความขุ่นเคือง เขาจึงเร่งฝีเท้าเดินผ่านมา และไม่เข้าใจว่า เพราะอะไร ชายคนนั้นถึงได้โกรธเขา

.........................................................................

      กรกฤตกำลังเข้าไปจัดเสื้อผ้าให้นักแสดงสมทบคนหนึ่งให้กลับมาเรียบร้อยอีกครั้ง หลังจากกวินทร์สั่งคัทเพื่อถ่ายเทคถัดไป ไลลาก็เดินเข้ามาซับเหงื่อและเติมแป้งให้ เมื่อกล้องพร้อม พวกเขาก็รีบเดินไปยังตำแหน่งเดิมที่เคยยืนอยู่

      “พี่กร วันนี้พี่พาใครมา?” ไลลา ช่วงแต่งหน้ารูปร่างเล็กกระซิบถาม

      “ซู้ววว”

      “อยู่ตรงนี้เสียงไม่เข้าหรอก ไกลจะตายไป”

      “แล้วเธอลดเสียงทำไมละ?”

      “เผื่อไว้”

      “ฉันขี้เกียจกระซิบ”

      “ถ้าอย่างนั้นพี่มานี่เลย” เขาโดนสาวร่างเล็ก ลากออกไปยังเต็นท์ด้านหลัง ที่เป็นส่วนของช่างแต่งหน้าและช่างผม

      “ถ่ายจบแล้วเหรอ?” กะทิถามหลังจากเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์

      “ยังแต่ฉันอยากรู้เรื่องหนุ่มแว่นตาหวานนั่น”

      “นั่นสิ ใครเหรอคุณกร แฟนนอกวงการของน้องแหม่มรึเปล่า”

      “ใช่ที่ไหนละกะทิ เพื่อนกันต่างหาก เพียงแต่สองคนนั้นเขาไม่ได้เจอกันนานแล้วต่างหาก”

      “ฉันแค่สงสัย เห็นวันนี้น้องแหม่มไม่เหวี่ยง ไม่วีน แต่ทำไมพี่ทิถึงมองว่าน้องตาหวานนั่นเป็นแฟนน้องแหม่มละ”

      “จะไม่ให้คิดแบบนั้นได้ยังไงละ พอนางรู้ว่าน้องตาหวานมาเท่านั้นแหละ นางบุกไปหาถึงห้อง แถมกระโดดเข้ากอดเขาไม่อายเก้ง กวาง บ่าง ชะนีที่ไหนเลย ขนาดคุณกรเดินตามมานางยังไม่ปล่อยมือนะ จับไว้อย่างกับกลัวหายแหนะ”

      “จริงเหรอพี่กร”

      “ก็บอกแล้วไง ว่าเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ไม่มีอะไรหรอก”

      “แล้วน้องตาหวานเขาชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน มาช่วยงานพี่กรเหรอ?”

      “โห ยัยไลลา มาเป็นชุด”

      “ก็ฉันอยากรู้นี่ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ตาหวาน ปากบางอมชมพู จมูกโด่ง โอ๊ยหล่อน่ารักสเปกอีไลลาเลยค่ะ”

      “ฉันไม่ทันสังเกตนะ แต่รวม ๆ แล้ว ถ้าเอาไอ้แว่นทึนทึกนั่นออกไป ก็นับว่าหน้าตาดีอยู่นะ”

      “เห็นไหมละพี่ทิ พี่ลองดูดี ๆ สิ ผิวนี่ก็อย่างเนียน อยากรู้นักว่าไปส่องใกล้ๆ จะเห็นรูขุมขนบนหน้าบ้างรึเปล่า ถ้ายิ่งได้จับ ได้ลูบ ได้คลำนะ โอ๊ย อีไลลาเหมือนได้ขึ้นสวรรค์”

      “นี่ให้มันน้อย ๆ หน่อย เป็นสาวเป็นนาง พูดจาแบบนี้ได้ที่ไหน ถ้าเป็นกะทิก็ว่าไปอย่าง”

      “อ่าว อีคุณกร พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”

      “ไม่มีอะไร ล้อเล่นนะ อ่าว พี่กวินทร์สั่งคัทแล้ว” ว่าแล้วเขาก็รีบวิ่งกลับเข้าไป โดยมีไลลาวิ่งตาม เมื่อมาถึงเจษฏ์ก็แจ้งว่าซีนนี้ผ่านแล้ว ให้เตรียมถ่ายซีนถัดไป

      “ตกลงน้องตาหวานเขาเป็นใคร” ไลลายังคงจี้ถามเขาไม่เลิก ขณะที่เขาเดินกลับมาห้องแต่งตัว

      “เพื่อน”

      “ชื่อ?”

      “ม่อน”

      “ว้าย...ว่าที่สามีในอนาคต... ชื่อน่ารักอ่ะ”

      “แล้วน้องม่อนเขามาช่วยพี่กรทำงานใช่ไหม?”

      “นี่ไลลา ฉันบอกแล้วว่าเขาเป็นเพื่อน ทำไมไปเรียกเป็นน้อง ทีฉันเรียกพี่ ฉันไม่ได้แก่กว่ามันเลยนะ”

      “ก็เขาเป็นเพื่อนน้องแหม่ม เลยจะเรียกน้อง”

      “หา”

      “ทำไม ก็ฉันพอใจนี่”

      “เออ จะเอาไงก็เอา ม่อนมาช่วยงานฉันชั่วคราว ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องมาถาม อยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเองโน่น”

      เขาพูดตัดบทพร้อมกับเดินหนีไปยังห้องแต่งตัว เพื่อเตรียมงานสำหรับถ่ายซีนถัดไป และจากที่ได้ยินไลลาพูดถึงชาริสาในทางที่ดีขึ้น แสดงว่าวิธีของเขาได้ผลเกินคาด ติดตรงที่กะทิมองต่างไป เขาคงต้องเตือนชาริสาสักหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเกิดเป็นข่าวขึ้นมา คงไม่เป็นผลดีทั้งกับตัวเธอเอง แล้วยังอาจจะมีผลกระทบไปถึงละครที่กำลังถ่ายอยู่ด้วย

........................................................................

      การที่ชายคนนั้นหลบหน้าเขา มันยิ่งทำให้อามันต์เกิดความสงสัย และยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่ เขาที่กำลังจะเดินเข้าไปเครียคิวถ่ายละครกับทางผู้จัดให้กับทัชชา ก็บังเอิญไปได้ยินเรื่องที่ไม่สบอารมณ์เข้าไปอีกจากทีมงาน จนต้องเปลี่ยนใจเดินกลับมาหาทัชชาเพื่อสงบสติอารมณ์

      “นายเครียคิวกับพี่กวินทร์เสร็จแล้วเหรอ?” ทัชชาเงยหน้าขึ้นจากบทที่กำลังอ่านอยู่

      “ยัง”

      “พี่กวินทร์ยังไม่ว่างละสิ เดี๋ยวอีกสักพักนายค่อยไปก็ได้”

      “ไม่ใช่อย่างนั้น นี่ทัช นายว่าผู้ชายคนนั้นเขาเป็นอะไรกับน้องแหม่ม?”

      “ผู้ชายคนไหน?”

      “ก็คนที่กอดกับน้องแหม่มที่หน้าห้องแต่งตัวยังไงละ”

      “ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้สนใจ”

      “มันหลบหน้าฉันด้วย เหมือนเลี่ยงฉันยังไงก็ไม่รู้”

      “นายไปหึงน้องแหม่มเขาจนออกนอกหน้ารึเปล่าละ เขาถึงได้กลัวนาย”

      “นายก็พูดบ้าๆ ฉันแค่หมั่นไส้”

      “นายจะไปหมั่นไส้อะไรเขา แค่เขากอดกับน้องแหม่มของนายเนี่ยนะ ทีฉันละ ทั้งกอด ทั้งหอม”

      “ก็นั่นฉันเข้าใจว่ามันเป็นมันการแสดง”

      “ฉันอาจจะคิดอะไรกับน้องแหม่มจริง ๆ ก็ได้นะ”

      “นายมีพราวอยู่แล้วทั้งคน นายไม่มาสนใจเด็กใหม่อย่างน้องแหม่มหรอก” อามันต์พูดแล้วก็ต้องชะงัก เพราะลืมตัวพูดถึงพราววริศา ส่วนทัชชาก็หน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

      “เขาไม่รับสายฉันเลย ไลน์อ่านนะ แต่ก็ไม่ตอบ”

      “นายอย่าคิดมาก พราวเขาอาจจะยุ่งอยู่ก็ได้ เออนี่ นายมาสนใจเรื่องที่ฉันจะเล่าดีกว่า ฉันได้ยินพี่กะทิ คุยกับไลลา ว่าหมอนั่นเอาชุดไหนให้น้องแหม่มใส่ น้องแหม่มก็ยอม ฉันว่ามันแปลก ๆ นะสองคนนี้ นายว่าไหม?” เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อไม่ให้ทัชชาคิดถึงพราววริศา

      “คงจะบังเอิญที่แหม่มเขาอารมณ์ดีมากกว่า”

      “ฉันจะรอดู ยังไงวันนี้มันต้องมีบ้างละ ที่น้องแหม่มจะอารมณ์ไม่ดี”

      “ถ้านายอยากรู้ นายไม่ลองถามคุณกรละ เขามาด้วยกันนี่”

      “ก็จริง ไว้ฉันจะหาโอกาสถามดู”

      “พี่ทัชค่ะ พี่กวินทร์ให้มาตามค่ะ” ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาตามเขา

      “จะถ่ายซีนถัดไปแล้วใช่ไหม?”

      “ค่ะพี่ พี่กวินทร์จะคุยเรื่องมุมกล้องกับพี่ค่ะ”

      “ครับ”

      เมื่อทัชชาเดินตามทีมงานไป เขาก็คิดหาวิธีจับสังเกตไอ้หมอนั่น ดันมากอดกับนางเอกของเขา ตอนทัชชากอดกับชาริสาในซีน เขายังไม่หงุดหงิดขนาดนี้เลย

      “คุยเรื่องมุมกล้อง? ...เฮ้ย เลิฟซีนนี่หว่า!!” เมื่อนึกได้ถึงคำพูดของทีมงาน ทำให้เขาจำได้ว่าซีนถัดไปเป็นซีนไหน จึงรีบลุกตามคนทั้งสองไปทันที

.........................................................................

      พัสกาญ กรกฤต ตามชาริสามาบริเวณที่จะถ่ายซีนถัดไป เนื่องจากผู้กำกับต้องการจะคุยเรื่องมุมกล้องกับคู่พระนางของเรื่อง ซึ่งฉากนี้จะมีบทเลิฟซีนเบา ๆ ทางคุณกวินทร์ผู้กำกับจึงต้องการคุยกับนักแสดงทั้งสอง

      ระหว่างที่เขายืนรอคนทั้งหมดคุยงานกันอยู่นั้น พัสกาญมองคนรอบ ๆ กองถ่ายที่ต่างทำงานของตัวเองไป เขาเห็นออร่าแผ่ออกมาจากร่างของชาริสา สีที่เปลี่ยนไปของออร่านั้นมันทำให้เขารู้ว่าเธอกังวล แต่สักพักมันก็ปรับเป็นสีปกติ

      ความสามารถนี้เขามีมาตั้งแต่เกิด แม่ของเขาบอกว่า มันอาจจะเป็นผลกระทบมาจากที่แม่ได้ถือครองของวิเศษอย่างหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว จะว่าไปแล้ว ครอบครัวของเขาแต่ละคนก็มันจะมีเรื่องราวแปลก ๆ ทั้งนั้น อย่างเขาเองก็สามารถเห็นออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างกายของมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคน

      เขามักจะเห็นออร่าออกมาจากคนที่มีใจผูกพันเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะในทางดีหรือร้ายก็ตาม อย่างเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ชาริสามีออร่าสีม่วงสลับดำเมื่อพบกับเขา นั่นเป็นเพราะเธออิจฉา และรู้สึกไม่ดีกับเขา แต่เมื่อเขาและเธอปรับความเข้าใจกันได้แล้วก็ตาม จนถึงปัจจุบันนี้เขาก็ยังคงเห็นออร่าที่แผ่มาจากตัวเธออยู่ตลอด มันมีสีเหลืองที่ดูสดใสและมีความสุข

      ต่างจากอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขายังไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผู้จัดการส่วนตัวคนนั้นถึงได้แผ่ออร่าสีแดงสลับดำออกมา เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าไปทำอะไรให้เขาโกรธ

      “ม่อน เสร็จแล้ว ไปเปลี่ยนชุดกัน” ชาริสาที่คุยกับผู้กำกับเสร็จแล้ว เดินมาเรียกเขา “เป็นอะไรรึเปล่า?”

      “เราเห็น...จากคนคนนั้น”

      “อ่อ สีอะไร?”

      “แดงสลับดำ”

      “ถ้าจำไม่ผิด สีดำคือความรู้สึกเชิงลบใช่ไหม ส่วนสีแดง...อันตรายสินะ”

      “อืม เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรให้เขาไม่พอใจ”

      “ไม่ต้องไปสนใจหมอนั่นหรอก เราไปกันเถอะ” ชาริสาคล้องแขนเขา แล้วลากเขาออกมาจากกลุ่มคนตรงนั้น โดยไม่แคร์สายตาใครต่อใครเลย “นี่ม่อน อย่าทำตาโตอย่างนั้นสิ แค่นี้ก็น่ารักจะแย่แล้ว” เธอพูดพร้อมทั้งดึงแก้มเขาเบา ๆ

      “แหม่ม ออร่าของคนนั้นแผ่ออกมาแรงกว่าเมื่อกี้อีก หรือว่าเพราะแหม่ม”

      เขาไม่ได้รับคำตอบจากคนที่คล้องแขนเขาอยู่นอกจากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มาพร้อมกับออร่าสีม่วงที่เปล่งออกมาแว๊บหนึ่ง

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 4 : 6,Jun '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 06-06-2019 21:46:54
4



          ทัชชาพิมพ์ข้อความหาพราววริศาอีกครั้ง สิ่งที่ได้รับก็ยังเหมือนเดิม เธออ่านข้อความเขาแต่ไม่ตอบกลับ ซึ่งวันนี้ทั้งวันเขาทั้งพยายามโทรหา ส่งข้อความไป ไลน์ไป แต่ไม่ได้ผลสักที

          “พี่ทัชส่งข้อความหาน้องพราวเหรอคะ คิวไม่ตรงกันแค่วันเดียว ทำเอาพี่ทัชของกะทิอาการหนักขนาดนี้เลยนะคะเนี่ย เริ่มอิจฉาน้องพราวแล้วสิ”

          กะทิที่กำลังเซ็ทผมให้เขาพูดขึ้น คงจะเห็นตอนเขากดโทรศัพท์ส่งข้อความ เขาได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร

          “น่าสงสารน้องพราวนะคะ ไม่รู้ไปมีเรื่องอะไรกับน้องแหม่มรึเปล่า”

          “เรื่องอะไรครับ” สิ่งที่กะทิพูด เรียกความสนใจของเขาได้ดีทีเดียว

          “นี่คุณมันต์ยังไม่ได้บอกพี่ทัชเหรอคะ ว่าน้องพราวให้หลินมาเคลียร์คิวใหม่กับทางพี่กวินทร์ นี่ก็เพิ่งกลับไป”

          “เคลียร์คิวใหม่?”

          “ใช่ค่ะ รายละเอียดเป็นยังไงกะทิไม่รู้หรอกนะคะ แต่ที่รู้ ๆ คือน้องพราวขอให้จัดคิวใหม่ ซีนไหนที่ต้องถ่ายเข้าฉากร่วมกับพี่ทัชและน้องแหม่ม เธอขอให้จัดไปไว้ท้าย ๆ ค่ะ ถ้าไม่ได้ทะเลาะกับน้องแหม่ม หรือจะเป็นกับพี่ทัชละคะ น้องเขาถึงได้เลี่ยงไม่อยากจะเข้าฉากด้วย”

          “เลี่ยงคิวที่จะต้องเจอกับผม?”

          “กะทิว่านะคะ น้องแหม่มน่าจะไปพูดอะไรให้น้องพราวไม่พอใจมากกว่า น้องแหม่มก็เหลือเกิน ปากคอเราะร้ายจะตาย ไหนจะเรื่องเหวี่ยงวีนอีก”

          “อย่างนั้นเหรอครับ”

          “พี่ทัช พี่ทิ เสร็จรึยังครับ กล้องพร้อมแล้วนะ”

          “เสร็จแล้ว ๆ” กะทิหันไปร้องบอกทีมงาน ก่อนจะเอาผ้าคลุมออกจากไหล่ของเขา “พี่ทัช เสร็จแล้วค่ะ ซีนสุดท้ายแล้ว สู้ๆ นะค่ะ”

          “ครับ”

          ทัชชาเดินออกจากห้องแต่งตัวมาอย่างไม่มีสมาธิสักเท่าไร เขาไม่คิดว่าพราววริศาจะพยายามเลี่ยงเขาขนาดนี้

.........................................................................

          เนื่องจากห้องแต่งตัวไม่ได้ใหญ่มาก และยังต้องร่วมใช้กับนักแสดงชายคนอื่น ทำให้สิ่งที่ทัชชาคุยกับกะทินั้น ได้ยินไปถึงหูของชาญ เอม และพัสกาญ

          “พี่กะทิไม่น่าพูดแบบนั้นเลย แบบนี้พี่แหม่มก็กลายเป็นนางมารร้ายไปเลย” เอมพูดออกมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก

          “นั่นสิ พี่ม่อน พี่ช่วยกู้ภาพลักษณ์พี่แหม่มกลับมาด้วยนะ” ชาญที่เห็นด้วยหันมาขอความช่วยเหลือจากเขา

          “พี่ไปจะช่วยอะไรได้”

          “ก็ถ้าพี่มาที่นี่ทุกครั้งที่พี่แหม่มมีคิว อย่างน้อยก็ช่วยให้พี่แหม่มอารมณ์ยังไงละ” ชาญออกความเห็น

          “นี่เอมเองก็ได้ยินว่า คนในกองเขาลือกัน แต่เป็นเรื่องพี่ม่อน กับพี่แหม่ม”

          “ลือเรื่องอะไรกัน พี่เพิ่งมาที่กองนี้เป็นครั้งแรก อีกอย่างยังไงพี่ก็ช่วยเรื่องแหม่มอยู่แล้ว แหม่มเขาก็เพื่อนพี่”

          “พี่ต้องคอยห้ามพี่แหม่มด้วยนะ กับพี่กร พี่แหม่มเคยฟังที่ไหน”

          “เป็นพี่ก็ไม่ฟังหรอก ขี้บ่นจะตาย ไอ้กรน่ะ” สิ่งที่เขาพูดเรียกเสียงหัวเราะจากเอมและชาญได้ไม่ยาก ทำให้บรรยากาศในห้องดีขึ้น เขาไม่อยากให้ทั้งสองมีปัญหากับคนอื่น ๆ ในกองถ่าย เดี๋ยวจะพาลทำงานกันอย่างเคร่งเครียด ส่วนเรื่องที่เขาลือกันในกอง เขาก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องอะไร

          “เดี๋ยวเอมไปเก็บของที่ห้องโน้นก่อนนะ”

          “อ่อ นี่ซีนสุดท้ายแล้วสินะ”

          “ใช่ค่ะ ของฝ่ายหญิงเสร็จหมดแล้ว เอมว่าจะไปเก็บของก่อน”

          “งั้นพี่ไปช่วย ชาญอยู่ดูแลที่ห้องนี้ไปก่อนก็แล้วกัน”

          “ครับพี่ม่อน”

          เขาและเอมเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ก็เจอกับชาริสาและชันดาที่เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กำลังเก็บของใช้ส่วนตัวกันอยู่

          “ดาเก็บของเสร็จก็กลับได้เลยนะ พี่จะกลับพร้อมม่อน”

          “แหม่มจะกลับพร้อมเรา?”

          “อืม”

          “แต่เรามากับกร ไม่ได้เอารถมานะ”

          “แหม่มคุยกับกรแล้ว เดี๋ยวเสร็จจากที่นี่ จะไปทานข้าวกัน งานที่เหลือชาญกับเอมดูแลกันได้ ใช่ไหมเอม?”

          “ใช่ค่ะ ถ้าอย่างนั้น พี่แหม่มกับพี่ม่อนไปรอพี่กรก่อนไหมคะ”

          “ไม่เป็นไร ระหว่างรอพี่ช่วยงานเอมก่อน”

          “อืม งั้นเดี๋ยวแหม่มช่วยเก็บพร๊อพพวกนี้ก็แล้วกัน” เขาเห็นสีหน้าแปลกใจของเอม จึงได้แต่แอบยิ้มเล็กน้อย “ยิ้มอะไร” แล้วก็ต้องหุบยิ้ม

          “ไม่มีอะไร แหม่มเก็บของไปเถอะ”

          “แหม่มแค่จะบอกว่า ม่อนไม่ต้องยิ้มบาง แอบยิ้มหรอก ม่อนนะยิ้มสวยจะตาย น่าจะยิ้มกว้างๆ ยิ้มบ่อยๆ จนตาเป็นสระอิเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเรื่องที่ม่อนยิ้ม หรือขำ เป็นเรื่องของแหม่ม ก็ยิ้มเลย แหม่มไม่ว่าหรอก”

          “นึกหน้าพี่ม่อนยิ้มไม่ออกเลยค่ะพี่แหม่ม เห็นหน้านิ่ง ๆ เฉย ๆ เต็มที่ก็แค่อมยิ้ม”

          “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องยิ้มล่ะ พี่หวง ให้พี่เห็นคนเดียวก็พอ เดี๋ยวเอมจะหลงพี่ม่อนของพี่”

          “โห...พี่แหม่มอ่ะ งก”

          พัสกาญเห็นสองสาวคุยกันได้ไม่เกร็งอย่างแต่ก่อน เขาก็ดีใจ อย่างน้อยแหม่มก็สามารถปรับตัวและเข้ากับเอมได้อีกคน

.........................................................................

          กรกฤตแปลกใจมากที่เห็นทัชชาไม่มีสมาธิกับการทำงาน จนถึงขั้นที่พี่กวินทร์ให้พักกอง เพื่อปล่อยให้ทัชชาได้มีเวลาทำสมาธิสักพัก เขาเห็นอามันต์พาทัชชาไปนั่งหลบมุมหนึ่งในห้องที่ใช้ถ่ายซีนสุดท้ายของวันนี้

          “กร”

          “ครับพี่วินทร์”

          “วันนี้พี่พอได้ยินข่าวในกองเขาซุบซิบกันเรื่องของแหม่ม”
         
          “เรื่องอะไรครับพี่”

          “พี่จะรบกวนเราหน่อย ไม่รู้ว่าที่ทัชสติแตกแบบนี้เป็นเพราะแหม่มเขารึเปล่า”

          “ไม่น่าจะใช่นะครับ วันนี้นอกจากช่วงที่เข้าฉากแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลย”

          “อย่างนั้นหรอกเหรอ”

          “อะไรทำให้พี่วินทร์คิดว่าเป็นเพราะแหม่ม”

          “วันนี้มีเรื่องแหม่มเข้าหูพี่หลายเรื่อง ส่วนใหญ่ก็พูดว่าทำตัวไม่เหมาะสม ไม่น่ารัก ยังไงก็คอย ๆ เตือนเพื่อนเราหน่อยแล้วกัน อยู่ในกองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าถึงหูนักข่าว กรก็รู้ว่าผลที่ตามมามันคาดเดายาก”

          “ครับ แต่ผมยืนยันได้ ว่าเรื่องที่ทัชสติแตก ไม่ใช่เพราะแหม่มแน่นอน”

          “ถ้าอย่างนั้น พี่จะลองไปคุยกับทัชดู ว่าเกิดอะไรขึ้น”

          กรกฤตมองตามกวินทร์ที่เดินเข้าไปคุยกับทัชชา โดยมีอามันต์นั่งอยู่ด้วย เขาเห็นทั้งสองคุยกันอยู่ไม่นาน พี่กวินทร์ก็ประกาศเลิกกอง เก็บของกลับ ส่วนซีนสุดท้าย ค่อยหาคิวแทรกทีหลัง ได้ยินดังนั้น เขาจึงกลับไปยังห้องแต่งตัวเพื่อเก็บของ

........................................................................

          ภายในร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง บริเวณโต๊ะริมระเบียง มีเทียนเล่มใหญ่ครอบด้วยแก้ววางอยู่กลางโต๊ะ บรรยากาศโดยรอบดูโรแมนติก ผิดกับบรรยากาศในโต๊ะที่ดูเฮฮา ครื้นเครง

          “ใช่ ๆ ฉันจำเรื่องนั้นได้ ตอนนั้นกรเข้าใจผิด คิดว่าอาจารย์จะจีบม่อน ก็เลยเสียสระเอาตัวเองไปกันท่าเขา กันไปกันมาแล้วเป็นยังไงละ สุดท้ายเกือบโดนเคลมซะเอง”

          “พอเลย จะหัวเราะอะไรนักหนา แกเองเมื่อก่อนเป็นแบบนี้ที่ไหน ตอนนี้เหรอ เป็นถึงนางเอก ดาวรุ่ง ฉันแทบไม่อยากเชื่อ”

          “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อย่ะ”

          “เราไม่ได้มาทานข้าวกัน 3 คนแบบนี้นานแล้วนะ คิดถึงสมัยก่อนจัง”

          “ทำตัวเป็นคนแก่ไปได้ มานั่งนึกถึงความหลัง”

          “แกไม่นึกหรือไง”

          “ก็...มีบ้างอ่ะนะ”

          “เชอะ!! แต่ว่าก็ดีนะ ที่ม่อนมาช่วยงานกรจนปิดกล้อง แหม่มจะได้เจอกับม่อนได้บ่อย ๆ ก่อนไปนิวยอร์ก” ชาริสาหันไปคุยกับพัสกาญบ้าง

          “แหม่มจะไปทำอะไรที่นิวยอร์ก?”

          “มีผู้จัดทาบทามละครเรื่องใหม่เข้ามา บทไม่ได้เด่นอะไร แล้วก็ไม่ใช่นางเอกหรอกนะ เป็นซีรีย์ที่ร่วมทุนสร้างกับทางโน้นน่ะ”

          “ก็ดีสิ ถือว่าเป็นโอกาสดีนะ”

          “แหม่มยังไม่ได้ตัดสินใจหรอก พูดเผื่อๆ ไว้”

          “จนป่านนี้แล้ว แกยังไม่มั่นใจในตัวเองอีกรึไง จะต้องให้ไอ้ม่อนมันตามไปดูแลแกทุกทีที่แกไปถ่ายหนัง ถ่ายละครกันเลยหรือไง?” กรกฤตไม่วายพูดแขวะ

          “บ้า แกก็พูดไป เรื่องไม่มั่นใจนั่นก็ใช่ คิดไม่ตก สรุปไม่ได้จริงๆ ฉันก็อาจจะไม่ไปก็ได้ อีกอย่างขึ้นชื่อว่าเป็นซีรีย์ เขาก็ถ่ายกันเป็นปีๆ ถ้าดังมีภาคต่อก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร”

          “เราไม่อยากให้แหม่มทิ้งโอกาสดี ๆ อย่างนี้ไปนะ เราว่าแหม่มไม่ได้ติดที่เรื่องนี้อย่างเดียวใช่ไหม เพราะคนคนนั้นรึเปล่า”

          “ม่อน” ชาริสามองไปทางกรกฤต

          “นี่ พวกแกมีเรื่องอะไรปิดบังฉันใช่ไหม?”

          “ไม่มี” ชาริสารีบตอบเสียงห้วน แต่ออร่าที่เปล่งออกมามันไม่ใช่

          “ไว้แหม่มเขาพร้อมจะบอกมึงเมื่อไร เขาก็บอกเองแหละ มึงไม่ต้องไปเซ้าซี้เขามาก”

          “ไอ้ม่อน แสดงว่ามึงต้องรู้อะไรมาแน่ ๆ นี่กูทำงานกับมันมาจะครบอาทิตย์ กูยังไม่เจออะไรผิดสังเกต นี่มึงมาแค่วันเดียว...มึงนะมึง อย่าให้รู้ว่ามีเรื่องปิดบังกู”

          “ถ้าแกไม่ไปเม้าท์กับคนในกองบ่อย ๆ ฉันคงจะไว้ใจแก่กว่านี้”

          “เออ จริงสิ พี่วินทร์เขาให้ฉันมาเตือนแก เรื่องไอ้ม่อน”

          “เรื่องฉันกับม่อน”

          “แกอย่าไปเกาะแกะมันมากสิ นี่กะทิยังคิดว่า ม่อนมันเป็นแฟนนอกวงการของแกเลย”

          “ฉันกับม่อนก็แค่เพื่อนกัน”

          “ฉันรู้ แต่คนอื่นไม่รู้นี่ ไหนจะกอดกัน จับมือกัน ยิ่งแกไปคล้องแขนออดอ้อนไอ้ม่อนอีกสารพัด”

          “เออ...มันชินนี่”

          “แกก็ระวังตัวให้มากหน่อย ไอ้ม่อน มึงก็เหมือนกัน อย่าไปตามใจแหม่มมันมากนัก”

          “ขอโทษทีนะแหม่ม ที่เราทำให้แหม่มเดือดร้อน”

          “ไม่ขอโทษกูมั่งละ วันนี้มีสาว ๆ มาจีบมึงผ่านกูเพียบ จนกูไม่รู้จะตอบยังไง”

          “แกก็อย่าให้หลุดไปแล้วกันว่าม่อนเป็นใคร รู้อยู่ว่าม่อนไม่ชอบ”

          “ฉันรู้น่า ฉันก็บอกแค่ว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียน อยากรู้อย่างอื่นให้มาถามมันเอาเอง ยังดีที่แกเกาะติดมันตลอด คนอื่นเลยไม่กล้าเข้าไปถาม”

          “ถ้าแบบนั้น แหม่มจะช่วยม่อนเอง”

          “ช่วยกันไปช่วยกันมา ก็ระวังเรื่องข่าวด้วย วางตัวดี ๆ แล้วกันนะแม่นางเอกดาวรุ่ง”

.........................................................................

          สถานที่ถ่ายละครวันนี้เป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่งใจกลางเมือง กรกฤตยังคงไปรับพัสการถึงที่บ้านเหมือนอย่างเคย และตอนกลับ เจ้าตัวจะไปนอนที่ร้าน ทั้งที่เพิ่งกลับไปนอนบ้านได้แค่ 2 คืนเท่านั้น

          “แม่ไม่บ่นเหรอว่ะ มึงไม่กลับบ้านอีกแล้ว”

          “ก็อยู่บ้านมันทำงานไม่สะดวกนี่นา”

          “ที่บ้านแกก็มีสตูดิโอเหอะ”

          “มึงก็รู้ ว่านั่นสตูดิโอของแม่ แล้วไหนจะป้าเพ็ญอีก”

          “เดี๋ยวแม่ก็ได้มาตามถึงที่ร้านอีกหรอก”

          “กูคุยกับแม่แล้ว ว่ากูมีงานต้องทำ จะกลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง”

          “นี่มึงอย่าบอกนะว่าเอากูไปอ้างกับแม่”

          “เปล่า กูไม่ได้หมายถึงงานมึง งานกูเองนี่แหละ กูกำลังจะทำคอลเล็กชั่นใหม่”

          “อ่อ ก็แล้วไป... ว่าแต่คอลแล็กชั่นใหม่นี่ แบรนด์ไหนวะ พัสกาญหรือ YNW”

          “ถ้าแม่กูอนุญาต คิดว่าจะแบรนด์ไหนละ”

          “เออจริงของมึง แล้วมึงจะไหวรึเปล่า ไหนจะงานกู งาน YNW”

          “กูพอแบ่งเวลาได้”

          “ไว้ครั้งหน้ามึงก็เอาแม็คบุ๊คติดมาทำงานด้วยสิ แล้วเรื่องงานที่กอง อย่างรีดผ้า จัดพร็อพ งานเล็ก ๆ น้อยๆ พวกนั้นก็ไม่ต้องช่วย มึงจะได้ทำงานของมึงไป เดี๋ยวกูให้น้องดาช่วยจัดให้มึงไปนั่งกับแหม่ม จะได้มีสมาธิทำงาน”

          “ไม่เป็นไร มึงกลัวกูเป็นข่าวกับแหม่ม ทำแบบนี้ก็ยิ่งเป็นจุดสนใจ กูนั่งทำงานร่วมกับพวกมึงได้”

          “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูให้ชาญช่วยดูแลมึง”

          “เฮ้ย น้องมันก็งานเยอะแล้ว จะให้มาดูแลกูทำไม”

          “ห้องแต่งตัวคนเข้าออกเยอะ ทั้งดารา ช่างผม ช่างแต่งหน้า มึงไม่กลัวงานมึงหลุดหรือความลับแตกหรือไง”

          “เอาเป็นว่าถ้าแหม่มเข้าฉาก เดี๋ยวกูจะไปหาที่นั่งทำงานเงียบ ๆ ก็แล้วกัน”

          “อือ ระวังตัวด้วยแล้วกัน”

          “ขอบใจ”



To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 4 : 6,Jun '19
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 14-06-2019 08:38:34
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 4 : 6,Jun '19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-06-2019 11:03:27
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 4 : 6,Jun '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-06-2019 14:19:46
ลุ้นพระนายมากบอกเลย
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 5 : 14,Jun '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 14-06-2019 21:16:21
5





   ชาริสาเดินเข้ามาที่กองถ่ายพร้อมกับชันดา ทั้งสองช่วยกันถือขนมมาหลายถุง ดูพลุงพลัง จนทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามา

   “น้องแหม่ม น้องดา หิ้วอะไรมากันเยอะแยะคะ มาพี่ช่วยถือค่ะ”

   “ขอบคุณค่ะ ถ้าอย่างนั้นถุงพวกนี้ ดาฝากพี่เอาไปแจกทีมงานในกองหน่อยนะคะ” ชันดายื่นถุงขนมทั้งหมดให้กับทางทีมงาน โดยพยายามไม่สนใจสีหน้าแปลกใจของอีกฝ่าย จากนั้นก็ช่วยหิ้วถุงขนมในมือของชาริสาแทน

   “พี่ค่ะ พี่กรอยู่ตรงไหนคะ?”

   “อ่อ คุณกรอยู่ตรงเต็นท์นั่นค่ะ” ทีมงานคนนั้นหันหน้าไปทางเต็นท์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก

   “ขอบคุณค่ะ”

   ชาริสาและชันดาเดินมุ่งหน้าไปยังเต็นท์ของคอสตูมที่ตั้งไว้ทั้งหมด 3 เต็นท์ติดกัน โดยเต็นท์หลังหนึ่งถูกกั้นเป็นส่วน ๆ สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า และส่วนแต่งหน้า ทำผม

   “พี่แหม่ม พี่ดา สวัสดีครับ” ชาญทักทายชาริสาอย่างเกร็ง ๆ

   “ม่อนกับกรยังไม่มาเหรอ?”

   “กำลังมาครับ พี่แหม่มมาหาพี่ม่อนใช่ไหมครับ”

   “อืม เอาขนมมาฝากด้วย ร้านนี้ม่อนเขาชอบ เอาเป็นว่าพี่ฝากให้ม่อนหน่อยแล้วกันนะ”

   “พี่แหม่ม พี่รออยู่กับชาญตรงนี้ก่อนไหม เดี๋ยวดาไปถามทีมงานให้ ว่าเขาจัดที่ให้พี่ตรงไหน”

   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเราก็นั่งกันตรงม้าหินตรงนั้นก็ได้ ร่มรื่นดี”

   “ถ้าอย่างนั้นพี่ไปนั่งรอดาก่อนแล้วกัน เดี๋ยวดาไปเอาของที่รถให้”

   “อืม”

   เธอกำลังจะเดินไป ก็พอดีเห็นว่ากรกฤตกับพัสกาญกำลังเดินตรงมาที่เต็นท์พอดี จึงรออยู่ก่อน เธอเห็นชันดาแวะทักทายคนทั้งสองเล็กน้อยก่อนเดินไปเอาของที่รถ

   “วันนี้อารมณ์ไหนละเนี่ย แม่ดาราแสนหยิ่งถึงได้ซื้อขนมแจกคนทั้งกองถ่าย” กรกฤตถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึงตัวเธอเลยด้วยซ้ำ

   “ความคิดยัยดา ฉันแค่จะแวะซื้อฝากม่อน” ชาริสาตอบก่อนจะหันไปคล้องแขนพัสกาญ

   “อ่ะแฮ่ม!!” เธอหันไปค้อนเจ้าของเสียงอย่างกรกฤต ก่อนจะคลายวงแขนออก

   “แหม่มซื้อขนมร้านที่ม่อนชอบมาฝากด้วยล่ะ”

   “ร้านนั่นอยู่ตั้งไกล แหม่มคงไม่ได้ตั้งใจขับรถไปซื้อที่นั่นหรอกนะ”

   “ม่อนนี่ รู้ทันแหม่มเรื่อยเลย”

   “แหม่มไปเตรียมทำงานเถอะ เดี๋ยวเรากับกรก็ต้องเริ่มงานแล้วเหมือนกัน”

   “อื้ม อย่าลืมขนมแหม่มนะ”

   “มีแต่ของไอ้ม่อน แล้วของฉันละ?”

   “ก็อยู่รวม ๆ กันนั่นแหละ”

   “ก็แกเล่นบอกว่าซื้อมาฝากมัน แล้วใครจะกล้ากิน”

   “นี่แกจงใจจะเหน็บฉันหรือว่าไม่รู้นิสัยม่อนกันแน่”

   “แหม่ม พอเถอะ อย่าเสียงดัง มึงเองก็เหมือนกันไอ้กร แยกย้ายไปทำงานได้แล้ว”

   พัสกาญพูดยังไม่ทันขาดคำ ชันดาก็เดินเข้ามาหลังจากกลับไปเอาของที่รถพอดี เธอจึงเดินไปยังเก้าอี้ม้านั่งที่มองไว้ตั้งแต่แรกพร้อมกันกับชันดา

.........................................................................

   ระหว่างที่นักแสดงสมทบคนอื่น ๆ กำลังซ้อมบทกันอยู่ ชาริสาออกมายืนดูอยู่ด้านข้าง เนื่องจากทัชชายังมาไม่ถึงที่กองถ่าย ชันดาที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังคอยกางร่มคันใหญ่ให้ดาราสาว

   “มา พี่ถือให้ดีกว่า ดาคงจะไม่ถนัด” กรกฤตที่ยืนอยู่ห่างออกไป เดินเข้ามาช่วยชันดา เนื่องจากความสูงของสองสาวที่ค่อนข้างต่างกัน

   “ขอบคุณค่ะ พี่กร” ชันดาส่งร่มให้กรกฤต

   “ดาไปพักเถอะ ยังไงพี่ก็ต้องรอพระเอกของเรื่องอยู่ดี” ชาริสาที่เริ่มจะหงุดหงิดพระเอกอย่างทัชชาที่ยังไม่มาสักที เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ

   “ดาไปเถอะ ทางนี้พี่ดูแลเอง” กรกฤตและชันดา ต่างรู้จักนิสัยของชาริสาดี เมื่อกรกฤตเอ่ยปากจะรับมือเอง เธอจึงไม่ปฏิเสธความหวังดีนั้น

   “งั้นดาขอตัวก่อนนะคะ พี่แหม่มมีอะไรก็ให้คนไปตามได้นะ”

   “แกเริ่มหงุดหงิดคุณทัชเขาแล้วล่ะสิ เขาไม่มีประวัติเรื่องมาสาย ที่วันนี้สาย เขาอาจจะมีเหตุจำเป็นก็ได้นะ”

   “ฉันก็แค่อยากไปนั่งคุยกับม่อน ดีกว่ามายืนขาแข็งรอนายพระเอกนั่นอยู่อย่างนี้”

   “เรื่องแค่นี้เองอ่ะนะ ที่ทำให้แกหงุดหงิด?”

   “อืม”

   “นี่ ที่เมื่อวานฉันเตือนแก มันเข้าหู เข้าหัวบ้างไหม”

   “ถ้าไม่เข้าหู เข้าสมอง ฉันคงจะไปนั่งรอกับม่อน ไม่มายืนรอตากแดด ตากลมแบบนี้หรอก”

   “ฉันจะเตือนแกอีกที แกต้องวางตัวดีๆ ถ้าแกเป็นข่าวกับม่อน ใครที่จะมีปัญหามากที่สุด”

   “ฉันรู้ ๆ ฉันมีปัญหาก็ไม่เท่ากับสภาพจิตใจของม่อน เอาเป็นว่าฉันจะระวังก็แล้วกัน”

   “รับปากแล้วทำให้ได้ด้วยล่ะ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่แกต้องรู้” กรกฤตลดเสียงลง “ม่อนมันต้องเอางานมาทำที่กองด้วย ฉันจะจัดที่ทางให้มันทำงาน มันก็ไม่เอาเกรงใจโน่น เกรงใจนี่ เห็นว่าจะไปหามุมทำงานเอง”

   “พูดดักแบบนี้ แกกำลังจะบอกให้ฉันไปต้องไปกวนม่อนใช่ไหม?”

   “งานม่อนมันเยอะ นี่ก็แทบจะกินนอนที่ร้านอยู่แล้ว”

   “ถามจริง ๆ เถอะ ม่อนงานเยอะขนาดนี้ ทำไมแกยังดึงม่อนมาช่วยงานแกอีก”

   “ฉันอยากให้มันเลิกเก็บตัว อยากให้ออกมาพบปะผู้คนข้างนอกบ้าง หรือถ้าโชคดี...ฉันก็อยากให้ม่อนมันเจอคนที่ทำให้มันลืม...”

   “พอแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว และไม่ต้องเอ่ยชื่อยัยนั่นให้ฉันได้ยิน อารมณ์เสีย”

   “แกเข้าใจ ก็ดีแล้ว จะให้ดีกว่านี้ แกก็ควรจะช่วยฉันด้วย”

   “ช่วยได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเป็นแม่สื่อ”

   “ทำไมละ?”

   “ก็แกดูในกองนี้ซะก่อน มีใครที่เหมาะสมกับม่อนบ้าง”

   “เหมาะไม่เหมาะไม่เกี่ยวเลยแก ขอให้ม่อนคนเดิมกลับมาได้ก็โอเค”

   “ที่จริง แกน่าจะพาม่อนออกมาเปิดหูเปิดตาตั้งนานแล้วนะ ทำไมเพิ่งจะมาคิดได้เอาตอนนี้”

   “ก็กองนี้มีแก มีน้องดาไง ฉันถึงกล้าชวนมา กองอื่น ๆ ม่อนรู้จักใครที่ไหน มีแค่ฉันคนเดียว ที่สนิทหน่อยก็เห็นจะมีแค่เอม”

   “อืม ก็จริง เดี๋ยวยิ่งจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องแต่งตัว”

   “ใช่ไหมล่ะ?”

   “เออ ๆ นึกถึงตอนสมัยเรียนนะ”

   ...


   ..


   .
   
   การคัดเลือกดาวเดือนคณะจบลงและเป็นไปตามคาด ตำแหน่งดาวคณะตกเป็นของลูกครึ่งสาวสวย ส่วนเดือนคณะก็ไม่พ้นตัวเก็งอย่างพัสกาญที่โดดเด่นมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามารายงานตัวที่คณะ

   ชาริสาได้แต่มองดูอยู่ไกล เธอเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ร่วมชั้นเรียนกับคนทั้งสอง ต่างกันตรงที่เธอมักจะเป็นคนที่เพื่อน ๆ ลืม และยิ่งเมื่อเธอเห็นพัสกาญอยู่ในวงล้อมของเพื่อน ๆ รุ่นพี่ที่ต่างคอยเข้าหา จากความชื่นชมในคราแรกได้เปลี่ยนเป็นความริษยาไปตั้งแต่เมื่อไร เธอเองก็ไม่รู้ได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป


   ถนนภายในมหาวิทยาลัย มีรถวิ่งไม่มาก ทำให้รถจักรยานยนต์ของนักศึกษา 2 คันที่ขี่ประกบตามกันมาสามารถหยอกล้อกันกลางถนนกันได้อย่างไม่กลัวอุบัติเหตุ แต่อุบัติเหตุก็คืออุบัติเหตุ มันมาโดยไม่คาดคิด รถคันหนึ่งตกหลุมเล็ก ๆ ทำให้รถแฉลบมาข้างทาง

   “ระวัง!!”


   ชาริสาที่เดินก้มหน้าก้มตา ไม่ได้มองว่าอันตรายกำลังจะมาถึงตัว ได้ยินเสียงตะโกนเตือน และมารู้สึกตัวอีกที ตนเองก็ตกมาอยู่ในวงแขนของใครคนหนึ่ง แรงคว้า กับความวูบไหวรวดเร็ว ทำให้เธอไม่สามารถจะตั้งสติได้ทันที

   “เป็นอะไรไหม? ...บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า? ...ชาริสา? ....”

   “หา?”


   “เราถามว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?” เธอมองหน้าคนถาม นั่นทำให้เธอที่ยังคงตกใจ กลับตกตะลึงกว่าเดิม

   “เธอจำเราได้...เหรอ?”

   “จำได้สิ แล้วเธอเป็นอะไรไหม ต้องไปห้องพยาบาลรึเปล่า?”

   “มะ ไม่ ไม่เป็นไร เราแค่ตกใจนิดหน่อย”


   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

   “ขอบใจนะ”

   “ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกันนี่”

   “เพื่อน?”


   “ใช่ เพื่อน หรือว่าเธอรังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับเรา”

   “เธอเองก็มีเพื่อนเยอะแล้ว”

   “มีเพิ่มอีกหลาย ๆ คนก็ดีออก”

   “คนอย่างเราไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนกับเธอหรอก”

   “เธอเอาอะไรมาตัดสินละ”

   “...”

   “เราไม่รู้ว่าเธอเห็นเราเป็นคนแบบไหน...แต่เราอยากให้เธอรู้ว่าเราไม่ใช่คนอย่างที่เธอคิด”

   และตั้งแต่วันนั้น เธอกับพัสกาญก็เริ่มทำความรู้จัก และเป็นเพื่อนกันตลอดมา


   ...


   ..


   .

   “ไม่คิดเลยนะว่า นักศึกษาเฉิ่มๆ คนหนึ่ง วันนี้จะกลายเป็นนางเอกหน้าใหม่ได้”

   “นั่นสิ เพราะม่อนนั่นแหละ ม่อนคอยอยู่เคียงข้างฉัน คอยผลักดัน สร้างความมั่นใจให้”

   “ฉันยังตกใจไม่หายเลย ที่ตอนนั้น อยู่ดี ๆ แกก็บอกว่าจะไปออดิชั่นงานละครของคณะสถาปัตย์”

   “ถ้าไม่ได้ม่อน ก็ไม่มีฉันในวันนี้หรอก”

   “แกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ม่อนนี่สิ”

   “ฉันโคตรเกลียดยัยนั่นเลย อย่าให้ได้เจอนะ”

   “เจอไป แกก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เขามีเหตุผลของเขาที่จะเลิกกับม่อน”

   “เหตุผลงี่เง่าสิไม่ว่า ตัวเองก็เป็นถึงดาวคณะ ชาติตระกูลก็ใช่ว่าจะดี หวังคบม่อนเพื่อสร้างกระแสให้ตัวเอง ที่ม่อนคบด้วยก็ดีเท่าไรแล้ว”

   “จะโทษเขาแต่ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ไอ้ม่อนของเราตัวบาง ร่างขาว ตาหวานยิ่งกว่าผู้หญิง”

   “ก็หล่อดีออก ผู้ชายหรือผู้หญิงมองก็ไม่เห็นจะแปลก ก็คนมันหน้าตาดี”

   “ไอ้ม่อนมันมีดวงตาเป็นอาวุธเลยนะ ตาหวาน ๆ ของมันนี่ใครได้มองแล้วละสายตาไม่ได้เลย แกก็รู้”

   “ยังไงก็เป็นเหตุผลงี่เง่าอยู่ดี มาเลิกกันเพราะไม่ชอบ เวลาที่เดินด้วยกันแล้วคนอื่นเขามองม่อนมากกว่าตัวเอง ไร้สาระ”

   “เอาน่าๆ อย่าอารมณ์ขึ้น เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิด คิดว่าแกกำลังอารมณ์เสียเพราะคุณทัชชา”

   “นั่น พอพูดถึง พ่อพระเอกของเราก็มาโน่นแล้ว” ทั้งเขาและเธอ มองไปยังคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังกองถ่าย

........................................................................

   อามันต์เดินนำทัชชาเข้ายังกองถ่ายละคร พร้อมทั้งขอโทษขอโพยทีมงานมาตลอดทาง ส่วนคนที่ทำผิดได้แต่เดินตามมาอย่างอิดโรย มีขอโทษคนนั้น คนนี้บ้าง ตามแต่สติจะพึงมี

   “มาถึงกันก็ดีแล้ว กรๆ พาทัชไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว” เจษฎ์เรียกกรกฤตให้เข้าไปหา ชาริสาจึงถือร่มเอง “เราจะถ่ายตอนที่ 21 ซีนที่ 8 กันก่อน” เจษฎ์ชี้ไปที่บทละครให้ทั้งกร และทัชชาดู ทั้งสองก็พยักหน้ารับ และเดินไปเตรียมตัว

   “มันต์ มาทางนี้หน่อย” อามันต์ที่กำลังจะเดินตามทั้งสองคนไป ต้องหยุดชะงัก

   “ครับ”

   “เกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้ถึงมาสาย มีอุบัติเหตุอะไรระหว่างที่มารึเปล่า”

   “ไม่มีครับทุกอย่างเรียบร้อยดี เมื่อเช้าทัชเขาแค่ปวดหัวนิดหน่อย”

   “แล้วเจ้าตัวเขาจะไหวรึเปล่า”

   “ไหวครับไหว”

   “ยังไงๆ ก็ดูแลกันหน่อยก็แล้วกัน งานตรงนี่ร่างกายสำคัญที่สุด แต่ถ้าเห็นท่าทีของทัชไม่ไหวก็รีบบอกพวกพี่ จะได้สลับซีนให้ทัชได้พัก”

   “ครับ ๆ ขอบคุณ คุณเจษฎ์มากนะครับ ผมขอตัวไปดูทัชก่อน”

   “อืม”

   อามันต์เร่งเดินตามทัชชาและกรกฤตไป จนถึงเต็นท์ที่ทางทีมงานจัดไว้ให้ เขาเห็นหนุ่มแว่นเลี่ยงออกมานั่งทำงานอยู่มุมหนึ่ง ไม่ได้เข้าไปช่วยกรกฤตทำงาน ทำให้เขาเกิดอาการไม่พอใจ เมื่อเข้าไปในเต็นท์ทัชชาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว กะทิและไลลากำลังช่วยกันแต่งหน้าและทำผมให้พระเอกของเรื่องอยู่

   “ผู้ช่วยใหม่ของนายนี่เขาคงมีโลกส่วนตัวสูงนะ ทัชมาแล้วยังนั่งนิ่งไม่มาช่วยงาน” กรกฤตหันไปมองพัสกาญเล็กน้อย

   “ทัชชาไม่ใช่งานของม่อน ม่อนมาช่วยผมดูแลงานในส่วนของแหม่ม การที่ม่อนเขาช่วยงานส่วนอื่น ๆ ด้วยก็ถือว่าเป็นน้ำใจของเขา ถ้าเขาจะแยกไปทำงานส่วนตัวในช่วงที่ว่างจากงานหลักก็เป็นเรื่องของเขา”

   “นายม่อนคนนี้เป็นใคร ถึงได้ดูสนิทสนมกับคุณแหม่ม”

   “เขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของผมกับแหม่ม พวกเราเรียนรุ่นเดียวกัน”

   “เขาเป็นแฟนแหม่ม”

   “นายคิดว่าเขาเหมาะสมกันสินะ?”

   “ไม่คู่ควรกันสักนิด” อามันต์บอกไปตามใจคิด นางเอกสาวสวยจะไปเหมาะกับหนุ่มเฉิ่มแว่นโตได้อย่างไรกัน

   เขามองกรกฤตที่ดูจะมีท่าทางเห็นด้วยกับเขา โดยไม่รู้เลยว่ากรกฤตมองกันคนละมุม

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 5 : 14,Jun '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-06-2019 21:37:36
ลุ้นๆ  ว่าอะไรที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มต้นคุยกัน
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 6 : 20,Jun '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 20-06-2019 20:52:07
6





   ทัชชาไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงานเท่าไร ผิดคิวก็บ่อย พูดบทผิดก็หลายครั้ง อารมณ์ที่สื่อออกมายังไม่ได้ก็มี กว่าจะจบแต่ละซีนก็ต้องเหนื่อยกันไปหลายคัท กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาทีมงานเหนื่อยกันเป็นแถบ ๆ

   “เป็นยังไงบ้างทัช ยังปวดหัวอยู่เหรอ” อามันต์รีบเดินเข้ามาถามเขาทันทีที่พี่กวินทร์สั่งคัท

   “ฉัน”

   “นายไปพักสักเดี๋ยว ฉันจะไปเอายามาให้ อย่าทำให้ทุกคนเป็นห่วง” อามันต์รีบตัดบทก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา

   “อืม ขอบใจนายมาก เรื่องยา” เขาพูดเพียงเท่านี้ ซึ่งอามันต์ก็รับรู้ได้

   ทั้งสองเดินมายังจุดที่พวกเขานั่งพัก ทีมงานหลายคนที่รู้ว่าเขาไม่สบายก็เอาของมาฝากอย่างซุปไก่สกัด รังนกสำเร็จรูป วางเรียงรายอยู่ที่โต๊ะของเขาหลายขวด

   “ฝีมือนายสินะ” ทัชมองสิ่งของเหล่านั้นก่อนนั่งลง

   “จะให้คนในกองรู้เหรอว่านายสติแตกเพราะผู้หญิงคนเดียว”

   “ฉันอยากเคลียร์กับเขา”

   “นายก็เห็น ว่าเขาไม่อยากเคลียร์กับนาย แล้วนายก็เห็นข่าวแล้วนี่”

   “นั่นเป็นคำพูดที่พวกเรามักให้จะให้กับนักข่าวอยู่แล้ว”

   “ฉันว่าเธอคิดจริงๆ นะ นายอย่าได้หลอกตัวเองต่อไปเลย นายก็รู้ว่าเธอใช้นายเป็นบันไดไปสู่ชื่อเสียง”

   “เธอไม่ได้ใช้ฉันเป็นบันได เธอไม่เห็นได้อะไรจากฉันเลย”

   “ได้สิ อย่างน้อยก็รางวัลคู่จิ้นแห่งปี”

   “...นายว่าเธอร้กฉันบ้างไหม?”

   “นายอย่าไปเสียเวลารักคนแบบนั้นเลย รีบๆ กลับมาเป็นทัชคนเดิม ปล่อยว่าเรื่องของเธอซะ ยิ่งนายเป็นแบบนี้ จะมีคนที่เหนื่อยเพราะนายอีกหลายคน ไม่ใช่ฉันเพียงคนเดียว คนในกองเขาก็ต้องเสียเวลาไปเพราะนาย”

   “...” เขารู้ว่าช่างเช้านี้เขาทำงานพลาดมาเยอะ และจริงอย่างที่อามันต์ว่าทุกอย่าง “ฉัน...จะพยายามก็แล้ว”

   “อืม เดี๋ยวฉันจะเดินไปของยาจากทีมงานมาให้ นายก็สงบสติอารมณ์หน่อยก็แล้วกัน”

   “ขอบใจนายมาก”

   อามันต์เดินออกมาหาทีมงานเพื่อทำทีไปขอยามาให้เขา ส่วนเขาก็เปิดข่าวที่ทำให้เขาถึงกับช็อกเมื่อเช้าขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

   นางเอกสาวคู่จิ้นแห่งปี ทิ้งคู่จิ้น เพื่อตามหาคู่จริง ยืนยันหนักแน่น หัวใจย้งว่าง...

   พาดหัวข่าวกับภาพที่เธอถูกปาปารัสซี่ถ่ายไว้ได้ในร้านอาหารหรูพร้อมกับหนุ่มทายาทนักธุรกิจ จนพราววริศาออกมายอมรับว่าหัวใจยังว่างและปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่ได้คบกับทัชชา อีกทั้งยังพร้อมเปิดโอกาสรับคนที่จะเข้ามาทำความรู้จัก มันทำให้เขาไม่อยากจะเข้าไปอ่านเนื้อข่าวข้างใน ได้แต่ดูรูปคู่ของคนทั้งสอง จนกระทั่งตัดสินใจได้ในที่สุด เขาพอตัดสินใจพิมพ์ข้อความไปหาเธอ ยินดีด้วยนะ ขอให้พราวพบคนที่ดีกว่าทัช

   
.........................................................................

   พัสกาญเดินตรงมายังจุดที่ทีมงานกำลังถ่ายทำละครกันอยู่ เพราะรู้สึกว่าซีนนี้ใช้เวลานานกว่าปกติ เกรงว่าชาริสาจะเกิดเรื่องจึงต้องมาดูสักหน่อย แต่เมื่อมาถึงทางทีมงานกำลังจะเปลี่ยนซีนกันพอดี เขาจึงเดินเข้าไปหาชาริสา

   “เหนื่อยไหมแหม่ม”

   “เหนื่อยสิ ไม่รู้ว่าพ่อพระเอกของเราเป็นอะไร วันนี้ถึงได้ขยันหลุดจัง สงสัยกลัวคนอื่นทำงานไม่คุ้มค่าตัว”

   “แหม่ม เบาๆ”

   “เราก็พูดไปอย่างนั้นเอง ว่าแต่ม่อนเห็นออร่าจะเขาไหม?”

   “จะไปเห็นได้ยังไง เขาไม่ได้คิดอะไรกับเราสักหน่อย เราไม่เห็นหรอก”

   “เออ จริงสินะ เผลอ ๆ บางทีเขาคงไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาหรอก อย่างเขาน่ะ คงมีแต่ยัยพราวคนเดียว”

   “พูดอะไรระวังปากด้วย ที่นี่คนน้อยซะที่ไหน”

   “เห็นว่าเป็นม่อนหรอกนะ ถ้าเป็นคนอื่นหรือแม้แต่กร จ้างให้แหม่มก็ไม่พูดไปหรอก”

   “แล้วสรุปว่าที่ซีนนี้เพิ่งเสร็จ เป็นเพราะคุณทัชอย่างนั้นสินะ”

   “ใช่สิ มาก็สาย สมาธิยังแย่อีก”

   “ได้ยินมาว่าเขาไม่สบายนะ เดี๋ยวได้พักสักหน่อยก็ดีขึ้น”

   “แต่แหม่มว่าไม่ใช่ น่าจะมีเรื่องอื่นมากกว่า”

   “เรื่องอื่น?”

   “อืม แต่แหม่มไม่แน่ใจ และไม่อยากพูดถึงด้วย เราไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วทำงานของเราดีกว่า เรื่องคนอื่นก็อย่าไปยุ่งเลย”

   “แหม่มคิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว”

   “เออ แล้วนี่ เห็นกรบอกว่าม่อนเอางานม่อนมาทำด้วย ระหว่างนี้ได้ทำงานตัวเองบ้างรึเปล่า”

   “ทำสิ แต่เรารู้สึกห่วงแหม่มเลยเดินออกมาดู”

   “หูย...น่ารักที่สุดอ่ะ แต่ทีหลังม่อนไม่ต้องห่วงนะ ถึงเวลาเดี๋ยวดาก็ไปตามม่อนเองแหละ ม่อนทำงานของม่อนไปเถอะ จะว่าไป...การที่นายทัชนั่นสติแตกก็ดีเหมือนกันนะ ม่อนจะได้มีเวลาทำงานเยอะขึ้นไง”

   “แหม่มก็พูดเป็นเล่น เราทำงานได้มากขึ้นแค่คนเดียว แต่คนเป็นสิบเสียกลับมาเสียเวลา มันดีตรงไหน”

   “แหม่มพูดเล่นน่ะ ไม่อยากให้ม่อนเครียดนี่”

   “พูดแบบนี้สิยิ่งเครียด”

   “อ่าวเหรอ? ถ้าอย่างนั้นแหม่มไม่พูดแล้ว เรารีบไปเปลี่ยนเสื้อกันเถอะ”

   “อืม”

   พัสกาญเดินเคียงคู่ไปกับชาริสา และดูเหมือนเธอจะวางตัวดีขึ้น ไม่คล้องแขนเขาเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ส่วนเขาก็หันไปมองต้นเหตุของความล่าช้าในงานวันนี้ ชายหนุ่มเดินคู่ไปกับผู้จัดการส่วนตัว ออร่าที่ออกมาจากคุณอามันต์บ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิด ทำให้เขานึกแปลกใจ ว่าเหตุใดดาราในความดูแลของตัวเองไม่สบาย แทนที่จะมีอารมณ์เป็นห่วงกลับมาหงุดหงิดไปเสียได้

........................................................................

   กรกฤตขับรถมาส่งพัสกาญที่ร้านก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ค่อนข้างโหดสำหรับคนในกองถ่ายวันหนึ่งทีเดียว งานที่ล่าช้าและผิดพลาดเพราะคนเพียงคนเดียว

   ทั้ง ๆ ที่คนทั้งกองถ่ายต่างเป็นห่วงทัชชา เพราะพระเอกหนุ่มไม่ค่อยจะป่วยให้ได้เห็นบ่อยนัก อีกทั้งยังสู้มาทำงานถึงแม้จะผิดพลาดแต่ทุกคนก็ล้วนให้อภัย ผิดกับชาริสาที่ไม่เชื่อว่าทัชชาป่วยจริง ๆ เขาลองถามความเห็นกรกฤต รายนั้นกลับไม่พูดอะไร

   “ที่มึงนิ่งไม่ตอบนี่ แสดงว่าจริงอย่างที่แหม่มว่าใช่ไหม ว่าคุณทัชป่วยการเมือง”

   “เรื่องบางเรื่องกูคุยเล่นได้ แต่เรื่องนี้กูขอไม่วิจารณ์”

   “แสดงว่ามึงกับแหม่มรู้อะไรมาละสิ”

   “ก็นิดหน่อย แต่ก็ไม่เกี่ยวกับมึง มึงก็ทำงานของมึงไปเถอะ”

   “กูไม่ได้อยากยุ่ง แต่กูกลัวแหม่มจะมีปัญหา”

   “แหม่มมีมึงอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ ไม่มีปัญหาหรอก ไม่อย่างนั้นนะ นางคงเหวี่ยงวีนกองแตก แยกย้ายกลับบ้านกันไปตั้งแต่เที่ยงวัน ไม่ใช่มากลับเอาเที่ยงคืนแบบนี้หรอก”

   “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี”

   “มึงกังวลเรื่องอะไร”

   “กูไม่รู้ แต่กูไม่ค่อยชอบสายตาคุณอามันต์เวลาเขามองกูสักเท่าไร”

   “อามันต์เกี่ยวอะไรด้วย”

   “มึงไม่ต้องรู้หรอก ถ้าเขาไม่พาลหาเรื่องกูเพราะหงุดหงิดคุณทัชก็โอเคแล้ว”

   “มึงนี่ก็แปลก มัวแต่กังวลเรื่องอามันต์ แต่ไม่กังวลเก้ง กวาง บ่าง ชะนี ในกองถ่ายที่เขาแอบมองมึงจนน้ำลายสอไปตาม ๆ กัน”

   “คนอื่น ๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไร?”

   “นี่...มึงเอาไปดู”

   “อะไร? ไลน์กลุ่มกองถ่าย?”

   “เออ ส่วนใหญ่ก็ทีมงานเล็กๆ แหละ”

   “รูปพวกนี้”

   “ก็เออสิ คนแอบถ่ายรูปมึงเพียบ ปกติจะเห็นแต่ถ่ายรูปดารา”

   “กูไม่ทันเห็น”

   “ถ้าเห็น เขาจะถ่ายรูปมึงได้ไหมล่ะ ยังดีที่ไม่มีรูปมึงกับแหม่ม เพราะถ้ารูปหลุดออกไป มึงได้เป็นข่าวแน่ ทีนี้คุณหญิงยายได้มาแหกอกกูตายคากองถ่าย ไร้ที่ฝังเลยมึง แล้วไหนจะแม่มึงอีก ที่อยากให้มึงแต่งกับแหม่มซะเหลือเกิน”

   “แม่ไม่ได้คิดกับแหม่มอย่างนั้น แม่แค่เอ็นดูแหม่มเฉย ๆ ไม่ได้คิดจะจับคู่ให้กูสักหน่อย มึงเข้าใจผิดไปเอง”

   “กูว่ากูไม่ได้เข้าใจผิด ไว้มึงคอยดูต่อไปก็แล้วกัน เอาถึงแล้ว ไว้พรุ่งนี้เจอกัน” เมื่อจอดรถที่หน้าร้านแล้ว กรกฤตก็ไล่เขาลงทันที

   “อืม ขับรถดี ๆ นะมึง”

   เขาลงจากรถ ยืนรอส่งกรกฤตขับรถออกไปจากบริเวณร้านแล้ว เขาจึงไขกุญแจเข้าร้านและเดินขึ้นมาชั้น 3 ซึ่งเป็นส่วนของห้องพักโดนไม่ได้เปิดไฟสักดวง ด้วยความเคยชินกับเส้นทาง

   เมื่อเข้ามาในห้องส่วนตัว แต่กลับยังตาสว่างไม่ง่วงงุน หรือเหนื่อยล้าเท่าไร อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้ทำอะไรสักเท่าไรนอกจากนั่งรอ เขาจึงเลือกที่จะมานั่งค้นข่าวดาราที่เขาร่วมงานด้วยวันนี้

   ตั้งแต่เขาเข้ามาช่วยงานกรกฤตที่กองถ่ายก็ร่วมสัปดาห์แล้ว แต่เพิ่งจะรู้ว่าดาราสาวมากความสามารถอย่างพราววริศาเป็นหนึ่งในนักแสดงนำของเรื่องนี้ด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงคู่รองแต่ก็มีบทบาทเด่นไม่น้อย

   ในอินเทอร์เน็ตมีข่าวว่าเธอและทัชชาเป็นคู่จิ้นจากละครเรื่องก่อน อีกทั้งยังลือกันว่าเขาคบกับเธอนอกจอ จนกระทั่งข่าวล่าสุดที่ดาราสาวเพิ่งออกมายอมรับว่าหัวใจยังว่าง นั่นทำให้พัสกาญพอจะเดาสาเหตุที่แท้จริง ทัชชาน่าจะมีใจให้กลับดาราสาวซึ่งมันทำให้เขาเกิดความเห็นใจทัชชา พาลให้นึกถึงเรื่องในอดีตแฟนสาว โมนิก้า

   “เฮ้อ...”

   พัสกาญได้แต่ถอนหายใจ กำลังจะวางโทรศัพท์ลงแต่กลับมีอีเมลจากนิตยสารหัวนอกฉบับหนึ่งส่งเข้ามา เขาจึงเข้าไปเปิดอ่าน

   “งานเยอะแบบนี้ดีกว่าสินะ” เขาเปรยกับตัวเองก็จะกดพิมพ์ข้อความตอบอีเมลฉบับนั้นกลับไป

........................................................................

   ชาริสาลงมารอชันดาที่ห้องรับแขก ทำให้ชันไหมคะค่อนข้างจะแปลกใจ เพราะปกติเธอต้องเป็นผู้ที่รอคอยพี่สาวเธอถึงจะถูก

   “ว้าย...พี่แหม่ม รอดานานไหมคะ? นี่ดาตื่นสายเหรอเนี่ย?”

   “พอๆ ยัยดา ไม่ต้องตื่นตูม ดาไม่ได้สายหรอก พี่ตั้งใจลงมารอดาต่างหาก”

   “พี่แหม่มมีอะไรก็คุยกันบนรถก็ได้นี่ค่ะ ทำแบบนี้ดาตกใจนะ”

   “แค่พี่ลงมารอเธอก่อน แค่นี้ทำตกใจ?”

   “ว่าแต่พี่แหม่มมีเรื่องอะไรจะคุยกับดาค่ะ?”

   “เปลี่ยนเส้นทาง”

   “หา?”

   “วันนี้เราไปรับม่อนกันก่อนค่อยตรงไปที่สตูดิโอนะ”

   “เรื่องแค่นี้บอกกันบนรถก็ได้”

   “เราไม่ได้ไปบ้านใหญ่ ม่อนเขาพักอยู่ที่ร้าน มันคนละทางกับสตูฯ พี่เลยอยากบอกไว้ก่อนแต่เนิ่นๆ”

   “ค่ะๆ เข้าใจแล้วค่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปกันก่อนเถอะ ต้องรีบไปให้ถึงก่อนกรให้ได้”

   “อ่าว ทำไมพี่แหม่มไม่แจ้งพี่กรละคะ ว่าเราจะไปรับพี่ม่อน”

   “ถ้าบอก นายนั่นก็จะบอกว่า ไม่ดี ไม่ได้ ไม่งาม พี่ควรจะวางตัวกับม่อนดี

   “เอ่อ...ไม่เห็นต้องเลียนแบบท่าทางพี่กรเลย เห็นภาพเลยนะเนี่ย”

   “อ่าวพี่เป็นอะไร พี่เป็นนักแสดงนะคะ”

   “ค่ะๆ ไปกันได้แล้วค่ะ เดี๋ยวไม่ทันพี่กรนะคะ”

   ชาริสารีบเดินนำชันดาไปที่รถเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่เธอตั้งใจ แต่เมื่อไปถึงร้านของพัสกาญกลับเห็นรถของกรกฤตจอดรออยู่ เมื่อชันดาจอดรถเรียบร้อยดีแล้ว เธอจึงรีบเดินตรงไปที่รถของกรกฤต พร้อมเคาะกระจกรถของเขาทันที

   “เฮ้ย!!” กรกฤตลดกระจกรถลง “มาได้ไงว่ะเนี่ย”

   “ยัยดาขับพามาสิ”

   “ฉันอุทาน แกไม่ต้องตอบก็ได้” กรกฤตเปิดประตูและก้าวลงจากรถ “ฉันหมายถึงว่า แกมาทำอะไรที่นี่”

   “ฉันก็จะมารับม่อนไปที่กองถ่ายพร้อมกับฉันไง”

   “เฮ้ย ไม่ดีๆ ไม่ได้ มันไม่งาม แกควรจะวางตัวกับม่อนให้มันดี ๆ หน่อย”

   “โหย เป๊ะมากอ่ะพี่แหม่ม” ชันดาที่เดินตามมาสมทบได้ยินประโยคที่กรกฤตพูดพอดี

   “เห็นไหมล่ะ ผิดอย่างที่ว่าไว้ที่ไหนละยัยดา” ชันดาพยักหน้าให้ยิ้ม

   “อะไรกัน พี่น้องคู่นี้” กรกฤตได้แต่ยืนงง

   “วันนี้คึกคักกันแต่เช้าเลยนะ” พัสกาญเดินออกจากร้านมาโดยมีต้อยติ่งเดินตามมาส่ง

   “แหม่มตั้งใจมารับม่อนไปที่สตูฯ ด้วยกันน่ะ”

   “อ่อ ปกติเราไปกับกรอยู่แล้ว แหม่มไม่เห็นต้องลำบากเลย”

   “ลำบงลำบากที่ไหน แหม่มอยากมารับนะ แต่เราลืมบอกกร เลยมาเจอกันที่หน้าร้านนี่แหละ”

   “ถ้าแกบอก ฉันก็ไม่ให้แกมาหรอก”

   “เออ...ไม่เอา ไม่ทะเลาะกันแต่เช้า วันนี้ยังมีงานต้องทำอีกตั้งเยอะนะ อามาเสียอารมณ์เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”

   “ถ้าอย่างนั้นม่อนก็ไปรถแหม่มสิ กรก็ไปเจอที่สตูฯ เลย ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย ดาก็อยู่ด้วย”

   “อืม แต่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ครั้งหน้าแหม่มไม่ควรทำแบบนี้อีก”

   “ก็ได้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”

   “กร กูไปกับแหม่มนะ เดียวเจอกันที่สตูฯ”

   “อืม”

   “ไปก่อนนะต้อยติ่ง ไว้คราวหน้าพี่จะซื้อขนมมาฝาก” ชาริสายิ้มอย่างผู้ชนะให้กับกรกฤตก่อนที่จะเผื่อแผ่ความดีใจไปให้ต้อยติ่งที่ยืนยิ้มอยู่หน้าร้านด้วย

   ระหว่างทางที่ชันดาเป็นผู้ขับรถ พัสกาญนั่งคู่หน้าข้างชันดา เธอมองกระจกมองหลังเห็นใบหน้าชันดาที่กำลังตั้งใจขับรถอยู่ ก่อนตัดสินใจเอ่ยกับพัสกาญ

   “ม่อน” พัสกาญเหลียวหลังกลับมามองทางเธอที่นั่งอยู่บนเบาะหลัง

   “แหม่มมีอะไรรึเปล่า” เธอลังเลที่จะพูดเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองไปยังชันดา ซึ่งก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร นอกจากยังคงตั้งใจขับรถเหมือนเดิม

   “เรื่องงานที่นิวยอร์ก ถ้าแหม่มจะขอให้ม่อนไปเป็นสไตล์ลิสส่วนตัวให้แหม่ม ม่อนช่วยแหม่มได้ไหม?”

   “แหม่ม...เรา...”

   “ม่อนไม่ต้องรีบตอบเราตอนนี้ก็ได้ ม่อนเก็บเอาไปคิดดูก่อน แล้วค่อยมาตอบแหม่มที่หลัง” เธอรีบตัดบทเพราะพอจะรู้คำตอบจากพัสกาญ และการที่เธอถ่วงเวลาไว้ก็ใช่ว่าจะได้คำตอบ เพราะการเงียบนั่นก็เป็นการตอบอีกแบบหนึ่งของพัสกาญ

To Be Continued

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 6 : 20,Jun '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 20-06-2019 22:05:03
6 ตอนแล้ว พระนายยังไม่ได้คุยกันเลย
ลุ้นจนเครียดแล้วนี่ 5555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 7 : 15.Jul '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 15-07-2019 16:28:08
7




   กรกฤตขับรถเข้ามาจอดข้างสตูดิโอที่จะถ่ายละครกันวันนี้ โดยระหว่างที่ขับรถเข้ามา เขาก็สอดส่ายสายตามมองหารถของชาริสาไปด้วย ทั้งที่เขาขับตามรถของดาราสาวมาติด ๆ แต่กลับคลาดกับบนทางด่วนเสียได้ เขาไม่อยากจะให้ใครเห็นว่าพัสกาญมาพร้อมกับชาริสา

   เมื่อได้ที่จอดรถเรียบร้อย กรกฤตก็โทรตามให้ชาญและเอมมาช่วยเขาขนของในรถ รออยู่ไม่นานเด็กทั้งสองก็เดินเข้ามาพร้อมเปิดท้ายรถอย่างรู้หน้าที่

   “เอมเห็นแหม่มกับม่อนไหม?”

   “ยังไม่เห็นค่ะ ว่าแต่พี่ม่อนขับรถมาเองอย่างนั้นเหรอคะ?”

   “ขืนมันเอารถมา คนได้แตกตื่นกันทั้งกอง”

   “เอมก็ว่าอยู่ รถเด่นขนาดนั้นไม่น่าจะรอดสายตาคนชอบรถอย่างพี่เจษฏ์ไปได้หรอก”

   “ไอ้ม่อนมันมารถชันดาน่ะ”

   “หือ พี่แหม่มให้ดาไปรับพี่ม่อนเหรอคะ?”

   “ก็ใช่นะสิ ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่เป็นห่วงแบบนี้หรอก”

   “ไม่เห็นจะมีอะไรน่าห่วงเลย ก็เพื่อน ๆ กันทั้งนั้น ดีซะอีก พี่แหม่มจะได้อารมณ์ดี”

   “พวกเราน่ะรู้ ว่าเขาเป็นเพื่อนกัน แต่คนอื่นกับนักข่าวเขาไม่รู้นี่”

   “นี่ ยัยเอม จะยืนโม้อีกนานไหม มาช่วยฉันทีสิ” ชาญที่ยืนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่ท้ายรถตะโกนออกมา

   “เอมไปช่วยชาญเถอะ พี่เข้าไปก่อนนะ ฝากล็อกรถด้วย” เขายื่นกุญแจรถให้เอม ก่อนเดินตรงเขาสตูดิโอ

   กรกฤตเดินตามหาคนทั้งสามภายในสตูดิโอ เห็นกะทิเพิ่งจะมาถึงพร้อมทีมช่างทำผม ส่วนไลลาที่มาถึงนานแล้วกำลังนั่งดูหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างตั้งใจ จนกระทั่งเดินมาถึงส่วนของกวินทร์และเจษฏ์ เขาก็บังเอิญได้ยินทั้งสองคุยกันและยังพาดพิงถึงเขาอีกด้วย

   “ถ้ามันจริงอย่างที่ไอ้กรมันว่านะไอ้เจษฏ์ บางทีเราอาจจะสร้างกระแสคู่จิ้นคู่ใหม่จากเรื่องนี้ได้ ทัชกับแหม่มเล่นละครด้วยกัน จากตอนที่ผ่าน ๆ มาเคมีมันก็เข้ากันได้อยู่”

   “แค่เรื่องที่น้องแหม่มไม่วีนก็ดีเท่าไรแล้ว พี่วินทร์จะจับคู่เธอกับทัชอีก มันจะไหวเหรอ?”

   “ทีเซอร์ของละครก็เลือกฉากที่มันดูจิ้น ๆ หน่อยก็น่าจะได้ ถ้าคนดูคล้อยตามแล้ว กระแสมันก็มาเอง”

   “จะไหวเหรอพี่ ทัชชาเป็นคู่จิ้นกับพราววริศาอยู่นะ เรื่องนี้เขาก็ยังเล่นด้วยกัน แล้วไหนจะมีรางวัลการันตีความจิ้นอีก”

   “ฉันว่าฉันเห็นข่าวอยู่นะ ที่พราวออกมาให้ข่าวว่าหัวใจยังว่างนั่นน่ะ”

   “ไอ้เรื่องนี้อีก ผมว่าที่ทัชรวนเมื่อวานอาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ได้”

   “ใช่ที่ไหน เรื่องมนต์รักปั้นสิบ ผู้ใหญ่ก็จับคู่ให้เขาจิ้นกันเพื่อสร้างกระแสให้ละคร จนทัชได้รางวัลแต่พราวนี่สิเล่นได้ไม่ถึง ไม่อย่างนั้นรางวัลนักแสดงหญิงคงไม่ตกไปเป็นของคนอื่น”

   “พอไม่ได้รางวัล เรื่องนี้เลยให้แหม่มขึ้นเป็นนางเอกแทนสินะ”

   “ชู่วร์...”

   “โทษที มันเผลอ”

   “พี่ว่าที่แหม่มไม่วีนอาจจะเป็นเพราะทัชชาก็ได้ หรือแหม่มอาจจะมีใจให้กับทัชจริง ๆ ถึงได้ทำตัวดีขึ้น ใครจะรู้ ถ้าดันให้ทั้งคู่จิ้นกันได้ ไม่แน่นะ ละครเรื่องนี้อาจจะเรทติ้งดีกว่าเรื่องมนต์รักปั้นสิบก็เป็นได้”

   กรกฤตรีบเดินเลี่ยงออกมา เมื่อคิดว่าเรื่องที่ทั้งสองคุยกันนั้นไม่น่าจะมีอะไรเพิ่มเติม เพราะสิ่งที่เขาได้ยินมานั้น มันก็ทำให้เขากังวลมากพออยู่แล้ว ชาริสาไม่ชอบให้ใครมาจับคู่มากที่สุด

   เขาเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามหาชาริสาและพัสกาญ แต่ดันไปเจอเข้ากับทัชชาที่เดินเข้ามาภายในสูดิโอซะก่อน เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมาย

   “คุณทัช” เขาเรียกทัชชาที่กำลังเดินทักทายและขอบคุณทีมงานที่นำของไปให้เขาเมื่อวาน

   “กร?”

   “พอจะมีเวลาให้ผมสักเล็กน้อยไหม ผมมีเรื่องปรึกษาคุณหน่อย”

   “ได้สิ”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมรบกวนเชิญทางนี้หน่อย”

   กรกฤตเดินนำทัชชาออกไปด้านนอกสตูดิโอ โดยมีทัชชาเดินตามออกมา ส่วนอามันต์ที่เพิ่งจะเดินสวนเข้าสตูฯ กำลังอ้าปากจะถาม แต่กับเงียบไว้ และเดินตามทั้งสองไป

   “คุณคงรู้ว่าผมนิสัยเป็นอย่างไง” กรกฤตเริ่มเกริ่น

   “อืม ที่กรให้ผมออกมาคุยที่นี่ แสดงว่าเรื่องที่จะคุยเป็นเรื่องที่คุณซีเรียสสินะ”

   “คุณกับพราวแอบคบกันรึเปล่า” คำถามที่ตรงประเด็นนั่นทำให้ทั้งทัชชาและอามันต์ถึงกับนิ่งไป “ถึงผมจะชอบไปคุยกับคนนั้นคนนี้ในกอง แต่ผมก็แยกแยะได้ว่าเรื่องไหนเรื่องจริง ไม่จริง”

   “เรื่องมนต์รักปั้นสิบ ทางผู้ใหญ่เป็นคนปล่อยข่าวให้ทั้งสองจิ้นกัน พวกเขาเลือกที่จะให้พราวและทัชรับงานคู่กันตลอด เพื่อสร้างให้ทั้งสองจิ้นกัน จนเป็นกระแสให้ละครเป็นที่นิยม” อามันต์เป็นฝ่ายยืนยันความจริง แต่กรกฤตกลับจ้องทัชชาอย่างจับสังเกต “อีกอย่าง เรื่องนี้พราวเล่นเป็นดาราสมทบ จะรับงานคู่กันเพื่อสร้างกระแส คนคงไม่สนใจแล้วล่ะ”

   “ที่กรมาถามผมแบบนี้เพราะเรื่องเด็กของคุณกับชาริสาใช่ไหม?” ทัชชาเป็นฝ่ายถามบ้าง

   “ผมยอมรับว่าผมค่อนข้างเป็นห่วงเพื่อนของผมสองคนนี้มาก เลยไม่อยากให้เกิดเรื่อง ถ้าคุณยืนยันว่าคุณไม่เคยคบกับพราว ผมก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล”

   “พราวมาเกี่ยวอะไรด้วย” เป็นอามันต์ที่ถาม

   “ผมบังเอิญได้ยินพี่กวินทร์คุยกับเจษฎ์ว่าจะสร้างกระแสให้คุณจิ้นกับแหม่ม ผมแค่ไม่อยากให้แหม่มมีปัญหา หากว่าพวกคุณคบกันจริง ๆ แล้วมาเลิกกัน แหม่มจะกลายเป็นมือที่สามทันที แฟนคลับจะแอนตี้เธอ”

   “ผมไม่รู้ว่าคุณรู้อะไรมา แต่อย่างที่ผมยืนยันไปแล้ว ว่าเรื่องของทัชกับพราวเป็นเพียงแค่การสร้างกระแสเท่านั้น”

   “ผมเชื่อคุณ คุณมันต์ และหวังว่าวันนี้คุณจะมีสมาธิในการทำงานนะคุณทัช”

   กรกฤตเดินเลี่ยงคนทั้งสองออกมา เขารู้ว่าอามันต์พูดความจริง เพราะเรื่องนั้นเขารู้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่ดาราหนุ่มยังคงปิดบังและไม่ยอมรับนั้น เขาก็สามารถวิเคราะห์ได้ ทัชชามีใจให้พราววริศาจริง ไม่อย่างนั้นเมื่อวานที่มีข่าวออกมา ทัชชาคงไม่เสียศูนย์ขนาดนั้น ในขณะที่พราววริศาไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่าย

   เขาหวังเพียงแต่ว่า พราววริศาจะไม่ให้ข่าวอะไรที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับชาริสา หลายคนอาจจะไม่รู้ถึงฉากหลังของเธอ แต่เขารู้ดี

.........................................................................

   ทัชชาและอามันต์เดินเข้ามาในสตูดิโออีกครั้ง แต่สายตาของเขายังคงจับตามองไปยังแผ่นหลังของกรกฤตที่เดินอ้อมไปเข้าอีกประตูหนึ่ง เขาหยุดยืนมองทำให้อามันต์ที่เดินเคียงกันมาชะงัก

   “นายเป็นอะไรรึเปล่า?”

   “ไม่คิดว่าคนอย่างกรจะรู้อะไรมากขนาดนี้”

   “ถ้านายไม่ยอมรับอะไร และทำตัวดี ๆ มันก็ไม่มีอะไร”

   “เขาดูจะห่วงนางเอกของนายนะ”

   “ที่กรพูดก็น่าคิด แฟนคลับไม่ใช่น้อยที่อยากให้นายกับพราวลงเอ่ยกันจริง ๆ”

   “ฉันก็อยาก”

   “ทัชชา”

   “ฉันรู้ ว่าฉันต้องตัดใจ”

   “ฉันถามนายจริง ๆ วันนี้นายพร้อมทำงานไหม?”

   “อืม นายก็รู้ว่าฉันพยายามทำใจอยู่”

   “นายก็อย่าใช้เวลาทำใจให้มันนานนักล่ะ”

   “พูดง่ายนี่ เอาไว้นายอกหักจากน้องแหม่มเมื่อไร นายจะรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย”

   “เหมือนจะได้ยินพี่ทัชพูดถึงแหม่ม”

   เขาหันไปมองที่ต้นเสียง ชาริสาเดินมาพร้อมชันดาและเด็กใหม่ของกรกฤต เขาเห็นอามันต์หงุดหงิดเล็กน้อย ที่พบว่าเด็กคนนั้นเดินตามมา

   “เพิ่งมาถึงเหรอครับน้องแหม่ม”

   “ค่ะ แล้วพี่ทัชมายืนอะไรตรงนี้ ไม่เข้าไปในสตูฯ เหรอคะ หรือมีความลับอะไรที่ต้องคุยกันข้างนอก”

   “แหม่ม...”

   “อ่าว แหม่มก็พูดไปตามที่คิด แล้วยิ่งได้ยินพี่ทัชพูดถึงแหม่มอีก” เธอหันไปพูดกับหนุ่มแว่นที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของชันดา

   “พี่ดากับพี่ม่อนคุยกับพี่ทัช พี่มันต์ไปก่อนนะคะ เดี๋ยวดาขอไปดูด้านในหน่อย ว่าเขาจัดที่ทางไว้ยังไงบ้าง” ชันดาพูดจบก็เดินเลี่ยงออกไป

   “แล้วนายละ จะยืนฟังหาอะไร ป่านนี้คอสตูมเขาคงตั้งร้านกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” อามันต์พูดเสียงนิ่ง ๆ แต่แฝงไปด้วยความประชดประชัน

   “ม่อนเขาเป็นสไตล์ลิสส่วนตัวให้แหม่ม งานตรงนั้นชาญกับเอมเขาจัดการกันได้”

   “สไตล์ลิสส่วนตัวให้แหม่ม?” เขาแอบขำอามันเป็นพืดที่หน้าเหวอ ทวนคำของชาริสา

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ผมแค่มาเรียนรู้งานในกองถ่ายกับกรเท่านั้น ไม่ใช่สไตล์ลิสอะไรอย่างที่แหม่มว่า” หนุ่มแว่นคนนั้นเพิ่งจะเอ่ยปากพูดกับพวกเขาเป็นครั้งแรก “แหม่มเองก็เหมือนกัน ไม่ควรพูดแบบนั้นนะ”

   “หึ” ชาริสากลับค้อนให้อามันต์วงใหญ่แทนที่จะหันไปโกรธคนข้าง ๆ ที่ปราบเธอ

   “แหม่ม ม่อน” กรกฤตที่ดูจะเดินวุ่นวายไปมา กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาพวกเขา “แล้วดาล่ะ?”

   “เข้าไปในสตูฯ แล้ว”

   “แหม่ม งั้นแกไปเตรียมตัวได้แล้ว ส่วนม่อน มึงมากับกูเลย”

   ทัชชามองกรกฤตลากคอเพื่อนตัวเล็กไป ส่วนหนุ่มแว่นนั้นก็ดูจะไม่ขัดขืนอะไร เดินตามไปแต่โดยดี

   “เพื่อนของน้องแหม่มคนนี้ดูเฟอะฟะ เฉิ่มจะตาย เขาจะมาช่วยงานอะไรกรได้”

   “พี่มันต์ค่ะ พี่ก็ไม่ควรจะดูคนแค่เปลือกนอก ม่อนเขามีดีกว่าที่พี่คิดเยอะ” สิ่งที่อามันต์พูดคงจะไม่เข้าหูชาริสาสุดๆ เธอถึงได้พูดแล้วสะบัดหน้าเดินเข้าสตูดิโอไป

   “ปากหาเรื่องนะ ดูสิน้องแหม่มของแกงอนใหญ่แล้ว”

   “ก็ฉันพูดจริงนี่หว่า เมื่อวานตอนคนอื่นทำงานกัน ไอ้เฉิ่มนั่นก็แอบหลบไปนั่งเงียบ ๆ สงสัยจะทำงานส่วนตัว”

   “นายดูจะจับผิดเด็กคนนั้นมากไปหน่อยไหม?”

   “ฉันไม่ได้จับผิด ฉันก็แค่หมั่นไส้ ไม่เห็นจะมีดีตรงไหน ทำไมน้องแหม่มถึงได้ติดมันขนาดนั้น”

   “ก็อย่างที่น้องแหม่มเขาว่า นายยังไม่รู้จักเขาเลย นายก็ไปตัดสินเขาซะแล้ว”

   “เออ ๆ เข้าข้างกันเขาไป ไปทำงานได้แล้ว สายมากแล้ว”

   “อืม”

   เขาสองคนเดินเข้าไปในสตูดิโอ ที่ตอนนี้เริ่มวุ่นวายเพราะทุกคนต่างเริ่มทำงานของตัวเอง อามันต์แยกตัวออกไปหาเจษฎ์ ส่วนเขาก็มีทีมงานเดินพาไปเตรียมตัว ระหว่างที่จะไปยังห้องแต่งตัว เขาก็บังเอิญไปสบตากับหนุ่มแว่นนั่นพอดี

........................................................................

   เมื่อช่วยงานชาญกับเอมเรียบร้อยแล้ว พัสกาญก็มาหามุมนั่งทำงานเงียบ ๆ นอกสตูดิโอ รอบนอกมีหลายส่วนที่เป็นมุมให้นั่งรับลมพักผ่อน อากาศไม่ร้อนมาก เขาจึงเลือกมุมที่ร่มรื่นมุมหนึ่ง

   เขานั่งอ่านอีเมลของคุณอิงลิช อยู่เงียบ ๆ เนื้อหาของอีเมลสรุปได้ว่า ทางนิตยสารต้องการนำเสื้อแบรนด์พัสกาญไปลงนิตยสาร ซึ่งเดิมทีเขาได้ตอบรับไปแล้วและให้ทางสไตล์ลิสของนิตยสารเข้าไปเลือกชุดที่ต้องการได้เลย โดยให้ประสานงานกับต้อยติ่ง เพียงแต่คุณอิงลิชต้องการให้เขาออกแบบชุดพิเศษ 1 ชุดให้กับนายแบบ ที่จะขึ้นปกนิตยสาร เขาไม่ได้ติดใจอะไรในเรื่องนี้ ยกเว้นเรื่องที่ทางนั้นรู้ว่าเขากำลังออกแบบคอลเลคชั่นใหม่ให้ YNW และต้องการขอสัมภาษณ์เขาลงนิตยสาร

   “เฮ้อ...” เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

   “น้องตาหวานเป็นอะไรไปค่ะ?” พัสกาญตกใจรีบหันไปทางต้นเสียงทันที เขาพบกับสาวร่างเล็กคนหนึ่ง เข้ามานั่งอยู่ข้าง ๆ เขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

   “คุณไลลา?”

   “อุ๊ย ไลลาดีใจจังเลยค่ะที่น้องม่อนจำไลลาได้ อ่อ แล้วไม่ต้องเรียกคุณเคินอะไรหรอกค่ะ เรียกไลลาเฉย ๆ ก็ได้”

   “ครับ ไลลามีอะไรรึเปล่า หรือว่าข้างใน” เขาเตรียมเก็บงานตรงหน้า แต่ไลลายื้อไว้

   “ไม่ใช่หรอกค่ะ ไลลาเห็นว่าน้องม่อนนั่งอยู่คนเดียว เลยเดินมาทำความรู้จัก”

   “เรียกผมว่าม่อนเฉย ๆ ดีกว่าครับ ยังไงผมกับกรก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน”

   “ค่ะ แล้วนี่ม่อนทำอะไรอยู่คะ? แค่เห็นภาษาอังกฤษยาวเป็นพืดไลลาก็เวียนหัวแล้ว”

   “ผมกำลังตอบเมลเพื่อนอยู่น่ะครับ”

   “นี่ม่อนเป็นนักเรียนนอกเหรอคะ?” เขาเริ่มสังเกตเห็นออร่าที่ค่อย ๆ เปล่งออกมาจากร่างกายเธอ

   “ผมเคยไปเรียนซัมเมอร์บ้าง แต่ผมจบที่ไทยนี่แหละครับ”

   “เก่งจังเลยนะคะ พี่กรบอกกับพวกเราว่า ม่อนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับพี่กรแล้วก็น้องแหม่ม”

   “พวกเรา?” เขาเห็นแต่ไลลาคนเดียว

   “พวกเราไม่กล้าเข้ามาทักม่อน เลยส่งไลลามาเป็นตัวแทน พวกเขากลัวน้องแหม่มจะหึงแล้ววีนใส่พวกเรา”

   “หึง?”

   “ใช่ค่ะ ก็ม่อนเป็นแฟนน้องแหม่มไม่ใช่เหรอคะ?”

   “ไลลาเข้าใจผิดแล้วครับ ผมกับแหม่ม เราเป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้นเอง”

   “กรี๊ด...” อยู่ ๆ ไลลาก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา “พวกแก๊...เขาว่าเขาเป็นเพื่อนกัน” หลังจากที่ตั้งสติได้ก็ยังตะโกนออกมาอีก เขาหันไปมองในทิศทางที่ไลลาตะโกนออกไป ก็พบกลุ่มคนอีกกลุ่มยืนแอบอยู่ไม่ไกล

   “เอ่อ...คนพวกนั้น...” เขายังพูดไม่ทันจบ คนที่แอบอยู่ก็เดินเร็วๆ ตรงเข้ามา

   “เขาว่า เรียกเขาว่าม่อนเฉย ๆ ก็พอ” ไลล่าพูดขึ้นทันทีที่กลุ่มคนเหล่านั้นเดินมาถึง “เขารู้จักชื่อฉันด้วยนะโว้ย”

   “จริงเหรออีลา แล้วม่อนรู้จักพี่ไหมคะ?” เขาพยักหน้าให้

   “เออ...พี่กะทิ เป็นช่างทำผมครับ”

   “กรี๊ด...เขารู้ด้วยว่าฉันเป็นช่างทำผม”

   “พี่ทิ ใครๆ ก็รู้ว่าพี่เป็นช่างทำผม ไม่ต้องทำมาดีใจเล่นใหญ่ขนาดนี้” ชายที่ดูเด็กที่สุดพูดขึ้นมา

   “ผิวของม่อนเนี๊ยน เนียน แก้มก็อมชมพู วัน ๆ เคยได้ออกแดดบ้างรึเปล่าค่ะ”

   “ก็มีบ้างครับ” เขาตอบไลลา

   “เดี๋ยว ๆ อีลาแกอย่าเพิ่งประจบ และเอามือสากๆ ของแกออกจากผิวเนียนๆ ของน้องม่อนด้วย” พี่กะทิคว้ามือของไลลา ที่แตะอยู่บนแขนของเขา “ฉันจะขอถามเรื่องที่คาใจก่อน” พี่กะทิเข้ามานั่งเบียดอีกข้างที่ยังว่างอยู่ “นี่น้องม่อน ถ้าน้องบอกว่า น้องกับน้องแหม่มเป็นเพื่อนสนิทกัน แน่ใจเหรอว่าน้องแหม่มเขาคิดแบบนั้นกับน้องจริง ๆ”

   “ครับ แหม่มกับผมเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เรียนปี 1 จนกระทั่งตอนนี้ เราสนิทกันมาก แต่ปี 2 ปีหลังที่แหม่มเข้าวงการมา เธองานยุ่งมาก ผมเลยไม่ค่อยได้เจอเธอ พอมาเจอกันก็เลยเป็นอย่างที่พวกพี่เห็น”

   “เฮ้อ...โล่งอก” พี่กะทิพูดขึ้นมา

   “ถ้าอย่างนั้นที่ผมเห็นพี่ม่อนเข้ามาช่วยงานคุณกรเฉพาะซีนที่มีพี่แหม่มนี่ เป็นแผนของคุณกรใช่ไหมครับ” ทุกคนหันมามองหน้าเขา เพื่อรอคำตอบ

   “อย่าเงียบแบบนี้สิม่อน ไอ้ตาล แกก็เหมือนกัน พูดอะไรไม่คิด เล่นพาดพิงเพื่อนเขา”

   “อ่า...พี่ไลลา ก็ผมสังเกตเห็นจริง ๆ นี่ แล้วเวลาที่พี่ม่อนอยู่กับพี่แหม่มนะ พี่แหม่มมักจะอารมณ์ดี ดูซิตั้งแต่ถ่ายทำเรื่องนี้มา พี่แหม่มไม่เคยวีนเลย”

   “จริงสิ เห็นจะมีหงุดหงิดบ้างเวลาที่พี่ทัชมาช้า แล้วก็เล่นหลุด”

   “ใช่ไหมล่ะครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อน กองแตกไปตั้งแต่พม่ายังไม่ทันตั้งทัพเลยแหละ”

   เขาได้แต่ฟังทั้งสามคนคุยกันเรื่องชาริสา และกรกฤตอย่างออกรส โดยไม่ได้มีส่วนร่วมกับบทสนทนาเลยแม้แต่น้อย เรื่องแล้วเรื่องเล่าจนเขาไม่รู้ว่าจะก้าวออกสถานการณ์นี้ได้อย่างไร จึงได้แต่นั่งฟังคนทั้งสามคุยกันพร้อมกับการเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อย ๆ จนดูเหมือนจะไม่มีจุดจบ

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 7 : 15.Jul '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-07-2019 17:43:21
ลุ้นพระนายเรื่องนี้หนักมาก
เหมือนเป็นตัวประกอบของกันและกัน 555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 8 : 18.Jul '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 18-07-2019 10:52:43
8




   กรกฤตรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ผู้ช่วยตากล้องอย่างเด็กตาลหายไปไหน ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เขากำลังถ่ายละครกันอยู่ และไหนจะไลลา กะทิ

   “ดา พี่จะออกไปดูม่อนมันหน่อยนะ ถ้ามีอะไรโทรตามพี่ก็แล้วกัน” เขากระซิบข้างหูชันดา อีกผ่านพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

   เขาจึงเดินออกมานอกสตูดิโอ จากนั้นเดินวนอยู่รอบ ๆ เพื่อมองหาว่าพัสกาญนั่งทำงานอยู่มุมไหน แต่กลับเจอกับพวกของกะทิที่นั่งคุยกัน มาอู้งานกันอยู่แถว ๆ นั้นพอดี เขาจึงเดินเลยไป จนกระทั่งมาถึงสตูดิโอถัดไป เขาเห็นพราววริศากำลังเดินเข้าสตูฯ นั้นไปพร้อมกับหลิน

   เธอและหลินมองเห็นเขา แต่มีเพียงหลินคนเดียวที่ก้มหัวให้เขาเป็นเชิญทักทาย เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ พบกับทีมคอสตูมที่ดูแลงานที่นี่

   “ไงกีกี้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะแก”

   “อ่าวนังกร ออกกองเหรอมึง”

   “อืม เขากำลังถ่ายกันอยู่ ฉันเลยเดินออกมาตามหาไอ้ม่อนมัน”

   “ม่อน? ... ไอ้พัสอ่ะนะ”

   “เออ แกก็ไม่ต้องเสียงดังไป”

   “นี่มันยอมออกจากเซฟโซนของมันตั้งแต่เมื่อไรว่ะเนี่ย”

   “กูลากมันออกมาเอง แต่นี่ไม่รู้มันไปหลบอยู่ไหน”

   “เฮ้ย ฉันก็อยากจะช่วยนะ แต่แกคงทันเห็นว่าพวกฉันต้องดูแลใคร”

   “อืม ฝาแฝดยัยโมนิกชัด ๆ”

   “คนนี้อ่ะ เยอะกว่าโมนิกหลายขุม นี่ถ้าฉันงานเสร็จจะรีบแวะไปหา อยากเจอไอ้พัสมันเหมือนกัน”

   “อืม กูอยู่สตูฯ 3 น่าจะเสร็จดึก”

   “ได้ ๆ ขอให้เจอให้พัสไวไวนะ” กีกี้ สาวห้าวรีบเดินเข้าไปในสตูดิโอทันที ส่วนเขาได้แต่เดินกลับทางเก่า และจากทางที่เดินย้อนไปนี่เอง ทำให้เขาเห็นพัสกาญอยู่กลางดงของเก้ง กวาง บาง ชะนี

   “ไอ้ม่อนเอ้ย สุดท้ายมึงก็หนีพวกมันไม่พ้น” เขาบ่นกับตัวเองก่อนเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่มานั่งคุยอู้งานกันอยู่ตรงนั้น

   “วันนี้พี่ทัชดูจะอาการดีขึ้นแล้วนะ ฉันละเป็นห๊วงเป็นห่วง” เขาได้ยินกะทิพูดถึงทัชชาพอดี “อ่าว พวกแกเงียบกันทำไม” กะทิที่เหมือนจะรู้ตัว จึงหันมามองเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง

   “งานที่ให้ทำ ได้เรื่องไหมไอ้ม่อน”

   “เออ พี่กรอย่าเพิ่งว่าม่อนนะ เป็นพวกเราเองที่มาชวนม่อนคุย” ไลลารีบออกตัวปกป้องเพื่อนของเขาทันที

   “นี่มึงก็สนอกสนใจเรื่องของคุณทัชชาเขาเหมือนกันเหรอ” เขายังคงไม่สนใจใคร เจาะจงถามแต่พัสกาญ

   “เออ..กู”

   “โหย จะขี้บ่นไปถึงไหนกันย่ะ ไอ้คุณกร ทำอย่างกับแกไม่เคย มีเด็กใหม่มาช่วยงานทำเป็นข่มนะแก” กะทิลุกขึ้นหันมามองหน้าเขา

   “ฉันแค่ถามไอ้ม่อนมัน”

   “เออ ๆ เป็นพวกฉันเองนั่นแหละ ที่เผือกมานั่งเม้าท์กันอยู่ตรงนี้” กะทิพูดประชดก่อนหันกลับไปหาพัสกาญ “พวกเราเข้าไปทำงานข้างในก่อนนะ ไว้ว่าง ๆ จะมาคุยด้วยใหม่” กะทิเดินออกไปพร้อมทั้งค้อนให้เขาวงใหญ่ ส่วนไลลาและตาลก็วิ่งตามไปติด ๆ

   “ไอ้กร มึงก็ทำเกินไป”

   “กูทำอะไร?”

   “มึงนี่นะ”

   “แล้วเป็นไง งานการได้ทำบ้างรึเปล่า”

   “เพิ่งจะอ่านเมลจบ ยังไม่ทันได้ตอบ”

   “เมลอะไรวะ?”

   “มึงมาก็ดี กูมีเรื่องปรึกษา”

   “คนอย่างมึงเนี่ยนะ จะมาขอคำปรึกษาจากกู กูหูฝาดไปรึเปล่า”

   “ไอ้กร...”

   “เออๆ ๆ ว่ามา”

   “เมื่อกี้ตาลเล่าว่า คุณเจษฎ์จะจับคู่ทัชกับแหม่ม”

   “มึงจะปรึกษากับกูเรื่องนี้เนี่ยนะ?”

   “มึงฟังกูก่อน แล้วค่ะพอรู้มาว่าคุณทัชเขาเคยคบกับคุณพราว แต่สองคนนี้จบกันไปไม่นานนี้เอง แล้วถ้าแหม่มกับคุณทัช”

   “เออ เรื่องนั้นกูรู้แล้ว แต่ไม่ต้องห่วงการที่จะจิ้นกันได้ไม่ใช่แค่เล่นละครคู่กันเท่านั้น แต่สองคนนั้นยังต้องทำกิจกรรม รับงาน และไปไหนมาไหนด้วยกัน ซึ่งมึงก็รู้ว่าไม่มีใครบังคับแหม่มมันได้”

   “แต่กูก็ยังกังวลอยู่ดี”

   “อืม กูก็เป็นห่วงเรื่องนี้เหมือนกัน ยังไงพวกเราคงต้องคอยประกบแหม่มมันแล้วละ งานของมึงก็จะมากขึ้น ถ้าไม่เป็นมึง ก็เป็นกูที่ต้องตามประกบมัน”

   “กูเข้าใจ แล้ววันนี้คุณทัชเป็นยังไงบ้าง”

   “นี่กูเพิ่งรู้นะว่ามึงเองก็เป็นแฟนคลับคุณทัชเขา”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น กูแค่ไม่อยากเห็นแหม่มหงุดหงิด แล้วมึงดูนี่” พัสกาญหันจอคอมให้เขาดู

   “เฮ้ย!!”

   “กูเพิ่งจะเห็นมันขึ้นฟรีดข่าวมาเมื่อกี้ ตอนที่มึงเดินมาพอดี”

   “กูเพิ่งเจอเขาเข้าสตูฯ 5 ไปเอง”

   “ไม่รู้คุณทัชจะรู้สึกยังไงกับข่าวนี้”

   “ฉิบหายละ มึงเก็บของแล้วรีบตามไปประกบแหม่มเลย” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วช่วยพัสกาญเก็บของก่อนเดินเข้าไปที่สตูดิโอ

.........................................................................

   ด้วยความช่วยเหลือจากกรกฤต ทำให้ตลอดการถ่ายละคร ทัชชาไม่มีโอกาสได้จับโทรศัพท์ อามันต์รู้ดีว่าคงไม่สามารถเก็บความลับของทัชชากับกรกฤตได้

   “กร” เขาเดินเข้าไปคุยกับกรกฤตที่กำลังเก็บของอยู่ ทางนั้นก็หันมาหาเขา “ขอบใจนายมาก เรื่องของวันนี้”

   “คุณไม่ต้องพูดอะไรหรอก ผมทำเพื่อแหม่ม”

   “ยังไงฉันก็ขอบใจนายมาก”

   “คุณกลับไปดูแลคนของคุณเถอะ พรุ่งนี้ยังมีคิวถ่ายที่พัทยาอีก หวังว่า...จะไม่มีผลกระทบกับงาน”

   เมื่อพูดจบกรกฤตก็เดินจากไป เขาจึงเดินกลับไปหาทัชชาที่ห้องแต่งตัว ทางนั้นก็ก้ม ๆ เงยๆ มองหาโทรศัพท์ของตัวเองอยู่

   “มันต์ เห็นโทรศัพท์ฉันรึเปล่า”

   “อ่อ เห็นมันตกอยู่ในรถตั้งแต่เช้า ฉันเห็นว่าวันนี้คิวถ่ายแน่น เลยไม่ได้เอาลงมาให้นาย”

   “อืม ไม่เป็นไร แล้วมีใครโทรหาฉันไหม?”

   “วันนี้คุณรุธโทรมา เรื่องถ่ายแบบลงนิตยสาร”

   “อืม นายดูคิวไปเลย ถ้างานคุณรุธ ฉันโอเคหมด”

   “ฉันรู้ และตอบตกลงพร้อมให้คิวไปแล้ว”

   “ขอบใจ ถ้าอย่างนั้น เรากลับกันเถอะพรุ่งนี้ยังต้องไปถ่ายงานที่พัทยาอีก”

   “ทัช นายดีขึ้นแล้วใช่ไหม เรื่องนั้น”

   “หึ ถ้าบอกว่าดีขึ้น ฉันคงโกหก”

   “ไป กลับไปพักผ่อนเถอะ แล้วก็...ทำใจให้สบาย ถ้ามีปัญหาอะไร ก็โทรหาฉันได้ตลอดเวลา”

   “ขอบใจนายมาก”

   เขาเดินนำทัชชาไปที่รถ เมื่อทั้งสองนั่งประจำที่ เขาก็ขับรถไปส่งทัชชาที่คอนโด ระหว่างทางเขาก็คอยลอบมองคนที่นั่งข้าง ๆ เป็นระยะๆ ทัชชาเองก็ไม่ได้สนใจจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

   “นายมีอะไรรึเปล่า” ทัชชาถามทั้ง ๆ ที่ยังมองออกไปนอกหน้าต่าง

   “เฮ้อ...ฉันแค่ห่วงนาย”

   “ถึงฉันจะยังไม่ได้อ่านข่าวนั้น ฉันก็ได้ยินที่คนในกองคุยกัน”

   “คุยเรื่องอะไร?”

   “วันนี้พราวมาถ่ายโฆษณาที่สตูฯ ข้าง ๆ”

   “อืม”

   “แล้วหนุ่มคนที่เคยเป็นข่าวกับพราวก็ยังตามมานั่งเฝ้า”

   “นายรู้”

   “ใช่ ฉันพอรู้มาบ้าง”

   “แล้วที่นายมองหาโทรศัพท์”

   “อืม ก็อย่างที่นายรู้นั่นแหละ ฉันอยากเห็นข่าวของเธอ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่า...ไม่อ่านน่าจะดีกว่า”

   “นายต้องพยายามตัดใจ สู้กับความรู้สึกนี้นะทัช”

   “ฝากขอบคุณกรด้วย”

   “อืม ฉันพูดไปแล้ว ไม่คิดว่าคนอย่างกร จะรู้เรื่องนี้ได้”

   “ฉันเห็นเด็กคนนั้นคอยประกบแหม่มตลอด”

   “ก็ไม่เด็กนะ รุ่นเดียวกันกับกรและน้องแหม่ม”

   “เด็กนั่นคงช่วยให้น้องแหม่มของนายไม่วีน ไม่เหวี่ยง ฉันเริ่มเข้าใจความคิดของกรแล้ว”

   “ยังไงฉันก็ไม่ชอบนายเฉิ่มนั่นอยู่ดี”

   “เฮ้อ...” เขาเห็นทัชชาถอนหายใจออกมา สีหน้ายังคงเรียบเฉย

   “ทัช นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

   “ฉันบอกไม่ถูก มันไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้แต่ว่า มันเจ็บเป็นบ้าเลยว่ะ”

   “ทัช...”

   “มันต์ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปจัดของ แล้วเราไปพัทยากันคืนนี้เลย”

   “หา? นายจะไปทำอะไรคืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้”

   “ฉันก็แค่...อยากดื่ม”

   “เฮ้อ...ก็ได้ ฉันตามใจนาย แต่ห้ามเกินครึ่งโหล ถ้านายตกลง ฉันก็จะยอมนาย”

   “Deal!!”

   อามันต์ได้รับคำตอบที่พอใจ เขาก็ทำตามสัญญา ทัชชาใช้เวลาเก็บไม่นานก็ลงมาพร้อมกระเป๋าเดินทางใบย่อม ระหว่างรอเขาก็จองที่พักไว้เรียบร้อย ส่วนเรื่องเสื้อผ้า เขามีพร้อมอยู่ในรถตลอด

........................................................................

   กรกฤตมารับพัสกาญที่บ้านใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะจอดรถ ก็เห็นน้ากล้ายืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าน เขาจึงเข้าไปจอดเทียบ ก่อนลดกระจกลง

   “ม่อนเป็นอะไรรึเปล่าครับน้ากล้า”

   “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ พอดีคุณหญิงบังเอิญทราบว่าคุณหนูจะไปพัทยา เลยอยากให้คุณกรเปลี่ยนรถ”

   “หา?”

   “คุณหญิงต้องการให้คุณขับรถของที่บ้านไปครับ”

   “คันไหนครับ”

   “คุณกรไม่ต้องกังวลครับ รถของผมเอง”

   “อ่อ ค่อยยังชัวร์หน่อย”

   “ถ้าอย่างนั้นคุณกรขับรถเข้าไปจอดในบ้านเถอะครับ คุณโบตั๋นกับคุณหนูรออยู่”

   “หา?” เขาต้องตกใจเป็นครั้งที่สอง ได้แต่คิดว่า แม่ของพัสกาญจะมีเรื่องอะไรมาแกล้งเขารึเปล่า

   กรกฤตจอดรถเรียบร้อย กำลังจะเดินเข้าบ้าน คนในบ้านก็เอารถของน้ากล้ามาจอดเทียบไว้ให้ที่หน้าบ้าน ถึงจะเป็นรถน้ากล้า แต่รถบ้านนี้ก็ไม่ได้มีรถญี่ปุ่นถูก ๆ เลย เขาเดินเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย จนไปถึงส่วนห้องพักผ่อน

   “สวัสดีครับคุณแม่” เขายกมือไหว้แม่ของอีกฝ่าย แต่ไม่วายเหลือบมองไปไอ้คุณหนูของบ้าน

   “เหนื่อยไหมเรา ช่วงนี้?”

   “เป็นปกติของงานแบบนี้ครับแม่”

   “อืม ทานอะไรก่อนค่อยไปไหม?”

   “ไม่เป็นไรครับ ทางกองถ่ายน่าจะเตรียมเสบียงไว้ให้แล้ว”

   “ยังไงก็ติดไปหน่อยแล้วกัน” แม่ของพัสกาญยิ้มก่อนจะเรียกคนในบ้าน “พี่นิล พร้อมรึยัง”

   “ค่ะคุณโบตั๋น มาแล้วค่ะ” ในมือพี่นิล มีกาแฟสดชงใหม่ๆ กลิ่นหอมกรุ่น กับแซนด์วิชที่ถูกจัดเรียงไว้เป็นชุด ๆ อย่างกับไปซื้อมาจากร้านหรู

   “ไปกันเถอะ จะได้ไม่สาย” แม่ของพัสกาญลุกขึ้นยืน เดินนำพวกเขาไปที่รถ

   “ไอ้ม่อน แม่มึงเดินไปโน่นแล้ว นี่มันหมายความว่ายังไง?”

   “แม่จะไปด้วย”

   “ฉิบหายแล้ว!!”

   “เฮ้ย!! แต่ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด แม่จะติดรถไปด้วย เพราะโรงแรมที่ใช้เป็นโลเคชั่น เพิ่งถูกเยี่ยนหวอเทคโอเวอร์มา”

   “หา?”

   “อืม แม่เลยจะไปดูงานสักหน่อยน่ะ แล้วก็” พัสกาญลดเสียงลง “แม่จะไปแกล้งลุงเถิง”

   “กูละปวดหัวกับแม่มึงจริง ๆ แม่มึงเนี่ย ถามจริงอายุเท่าไรว่ะ ขี้แกล้งไม่เปลี่ยนเลย”

   “เฉพาะลุงเถิงเท่านั้นแหละ คนอื่นไม่เห็นแม่จะแกล้งเลย”

   “กูนี่ไงละ”

   “เขาเอ็นดูมึงเหอะ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาเอ็นดูกูมากก็ได้”

   “มึงนี่ ไปได้แล้ว แล้วก็ ขับรถดีๆ ละมึง”

   “ว่าแต่ แล้วแม่มึงเขาจะกลับเมื่อไร ตอนไหน”

   “มึงไม่ต้องห่วง เดี๋ยวบ่าย ๆ พ่อไปรับ”

   “เฮ้อ...โล่งอก”

   เขาเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน น้ากล้าส่งกุญแจรถให้เขา ก่อนที่เด็กในบ้านอีกคนจะเปิดประตูให้แม่ของพัสกาญก้าวขึ้นไปนั่ง เขาเองก็เดินไปนั่งประจำที่คนขับ ก่อนขับรถไปด้วยอาการเกร็งๆ จนกระทั่งถึงโรงแรม

........................................................................

   ทัชชาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว ไม่แปลกใจเลยที่จะเกิดอาการแบบนี้ เพราะเมื่อคืน หลังจากที่เขากับอามันต์เข้ามาถึงที่พัก พวกเขาก็ไปนั่งดื่มเบียร์กันที่ริมหาด และอามันต์ก็ซื้อเบียร์มาเพียง 6 ขวดจริง ๆ แต่หลังจากที่เขาสองคนแยกย้ายกันไปพักแล้ว เป็นเขาเองที่นอนไม่หลับ ดังนั้นเขาจึงออกไปดื่มเหล้าที่บาร์ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ฝรั่ง ไม่มีใครมาสนใจเขา

   เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมาที่ห้องพักนอนไหน เมื่อไร และอย่างไร เขาค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น นั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู

   เขาตะเกียกตะกายไปเปิดประตูให้ เป็นอามันต์ที่แต่งตัวพร้อมจะออกไปทำงานแล้ว

   “เฮ้ย!! ทัช ทำไมนายมีสภาพอย่างนี้”

   “ฉันปวดหัวนิดหน่อย”

   “กลิ่นเหล้า? นี่นายออกไปอีกเมื่อคืนใช่ไหม ดูสารรูปสิ เมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำละสิท่า”

   “อืม”

   “ไปเลย รีบลุกเลย เรามีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงไปให้ถึงโรงแรม แล้วทางกองถ่ายได้ดิวกับโรงแรมวันแค่วันเดียวนะ”

   “อืม”

   เขาพยายามจะทำอะไรๆ ให้ไวขึ้น แต่มันยิ่งทำให้เขาปวดหัวมากขึ้น หลังจากเขาออกจากห้องน้ำ ในห้องก็ว่างเปล่า อามันต์ไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จอามันต์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับขวดแก้วเล็ก ๆ ในมือ

   “เอ้า ดื่มซะ แก้เมาค้าง”

   “ขอบใจ” เขาเปิดขวด แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

   “นายรู้ไหม ว่าสภาพนายตอนนี้ มันแย่เอามาก ๆ”

   “อืม”

   “เดี๋ยวนายไปงีบเอาบนรถอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

   อามันต์พูดแล้วก็เร่งเดินออกจากห้องไป ส่วนเขาก็พยายามจะเดินตามให้ทัน เมื่อดูที่นาฬิกาข้อมือก็เข้าใจว่าเหตุใดอามันต์ถึงได้เร่งรีบขนาดนี้ เขาสายอีกแล้ว

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 8 : 18.Jul '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-07-2019 21:23:24
ชักไม่อยากลุ้นพระนายแล้ว
8 ตอนยังแทบไม่คุยไม่เจอกันเลย
แล้วกว่าจะปิ๊งกัน กว่าจะชอบกันรักกัน

ลุ้นให้พระเอกทำตัวดีๆดีกว่า
อะไรจะชอบพราวขนาดนั้น แฟนกันก็ไม่ใช่
หรือจะแอบชอบมานานหลายปีเลยฝังใจ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 9 : 25.Jul '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-07-2019 10:47:17
9





   พัสกาญเดินมาสมทบกับกรกฤตหลังจากที่เดินไปส่งแม่ของเขาเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกก็อยากจะอยู่เจอลุงเถิง แต่ด้วยงานที่ต้องรับผิดชอบ เขาจึงตัดสินใจว่าจะไปทักทายลุงของเขาหลังจากเสร็จงานน่าจะดีกว่า

   เมื่อมาถึงเขาก็เจอกับความวุ่นวาย ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร จึงรีบเดินเข้าไปหากรกฤตทันทีที่เห็นเจ้าตัว

   “ไอ้กร เกิดอะไรขึ้น ยังตั้งร้านไม่เสร็จเหรอว่ะ?”

   “ใช่ที่ไหน พี่กวินทร์สั่งให้สลับซีน”

   “ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

   “ทัชยังไม่มา”

   “หรือว่า ข่าวเมื่อวาน”

   “ฉันก็ว่าอย่างนั้น”

   “ถ้าไม่ถ่ายซีนที่ 8 แล้วเขาจะถ่ายซีนไหนก่อน ในเมื่อซีนส่วนใหญ่มีแต่คู่พระนาง”

   “ซีนที่ 26”

   “นั่นมันซีนที่จะถ่ายตอนบ่ายเลยนะ แล้วนักแสดงละ”

   “มากันเกือบครบแล้ว”

   “อืม ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมาได้นะ”

   “นายไปดูแหม่มเถอะ กลัวใจมันจริง ๆ”

   “ได้ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันดูแลให้”

   พัสกาญรีบเดินตรงไปยังชาริสาที่กำลังทำผมอยู่กับพี่กะทิทันที เป็นชันดาที่เห็นเขาเดินเข้ามาเป็นคนแรก

   “พี่ม่อน ไปไหนมาค่ะ?”

   “พี่ก็ตั้งใจเดินมานี่แหละ พี่กะทิสวัสดีครับ”

   “ไงจ๊ะน้องม่อน มาดูแลเพื่อนเหรอเรา”

   “ครับ”

   “พี่กะทิดูจะสนิทกับม่อนดีนะคะ”

   “ก็นิดหน่อยค่ะ”

   “บอกไว้ก่อนนะคะ เพื่อนคนนี้ของแหม่ม แหม่มหวงมาก”

   “น้องแหม่มขา มีเพื่อนงานดีๆ ก็ผลัดกันชมสิคะ”

   “หืม งานดี? ตรงไหนกันค่ะ? แหม่มได้ยินแต่คนนินทา ว่าม่อนของแหม่มเฉิ่มบ้างละ เป็นตาแว่นบ้างละ”

   “ใครกันคะที่พูดแบบนั้น เดี๋ยวพี่จะเป็นคนไปจัดการมันเอง”

   “หืม นี่ดาเพิ่งจะรู้นะคะ ว่ากองนี้ นอกจากจะมีทีมทัช ทีมอาทิตย์แล้ว ในกองยังมีทีมม่อนอีก”

   “เดี๋ยวอีกหน่อยทีมม่อนจะแรง แซงทีมพระเอก และพระรองค่ะ ถ้ามีนางเอกสนับสนุนขนาดนี้” พี่กะทิพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

   พัสกาญเห็นทั้งสามคนคุยกันไป ไม่ได้มีอารมณ์หงุดหงิดก็โล่งใจ และออร่าที่ออกมาจากชาริสาก็ดูจะผ่อนคลายขึ้น ทำให้เขาแน่ใจว่า เธอเริ่มเปิดใจรับกะทิเขามาได้อีกคน แต่ความสนุกสนานเฮฮานั้นก็ต้องยุติลงเมื่อได้ยินเสียงตะคอกอย่างหัวเสียจากคุณกวินทร์ ทุกคนต่างหันมองไปตามเสียง

   บริเวณด้านข้าง ๆ สระน้ำคุณกวินทร์กำลังต่อว่าทัชชาอยู่ โดยมีคุณเจษฎ์คอยห้าม ส่วนคนที่ถูกตำหนิได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร เป็นอามันต์ที่ได้แต่ก้มหัวเป็นเชิงขอโทษแล้วขอโทษเล่า

   “พี่ทัชมาสายแค่นี้ ทำไมพี่วินทร์ต้องโมโหขนาดนี้นะ” กะทิละมือจากการทำผมให้ชาริสาออกความเห็น

   “นั่นสิคะ ดูจากเวลา เราก็น่าจะถ่ายทำทันโดยไม่ต้องสลับซีนด้วย แล้วมันเกิดอะไรขึ้น” ชันดาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาดูจะเห็นด้วยกับพี่กะทิ

   “เราอย่าไปยุ่งเรื่องของเขาเลย พี่กะทิค่ะ เสร็จรึยังค่ะ?” ชาริสาที่นั่งอยู่หน้ากระจก มองไปที่เงาสะท้อนของกะทิ

   “เสร็จแล้วจ้า” พี่กะทิเอาผ้าคลุมออก ก่อนจับผมให้เข้าที่อีกสองสามปอย

   “เราไปหาอะไรรองท้องกันเถอะ” ชาริสาหันมาบอกเขา “ไปกันยัยดา”

   “เราไปดูอาหารเช้าในโรงแรมกันไหมคะ?” ชันดาเสนอ

   “ก็ดีนะ”

   “ถ้าอย่างนั้น แหม่มกับดาไปกันก่อนนะ เดี๋ยวเราขอเดินไปดูกรสักหน่อย เผื่อมีอะไรให้ช่วย”

   “ม่อนทานอะไรไหม แหม่มจะได้สั่งเผื่อ”

   “ไม่ดีกว่า น้านิลเตรียมมาให้เราแล้ว”

   “ไว้ต้องไปฝากท้องรสมือน้านิลสักหน่อยแล้ว คิดถึงอาหารที่น้านิลทำจัง”

   “เอาสิ น้านิลคงดีใจที่แหม่มไปที่บ้าน”

   “ม่อนอย่าลืมตามมานะ”

   “ได้ๆ” ชาริสากับชันดาเดินห่างไปไม่ไกล พี่กะทิก็แซว

   “ท่าทางจะสนิทกันจริง ๆ แบบนี้ระวังแฟนคลับน้องแหม่มเข้าใจผิดนะคะ”

   “ผมจะระวังตัวครับ”

   “ว๊าย อะไรจะว่าง่ายขนาดนี้” พี่กะทิดูจะชื่นชมเขาเกินไป ยกมือขึ้ยหยิกแก้มเขาเบา ๆ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหากรกฤต

   “แหม่มละ?”

   “ไปห้องอาหารกับชันดา แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณกวินทร์ถึงได้โมโหขนาดนี้”

   “ทัชชาเมาค้าง”

   “หา?”

   “มึงได้ยินไม่ผิดหรอก พ่อพระเอกของเราเมาค้าง”

   “เฮ้อ...แล้วนี่ พี่กวินทร์ว่าไง”

   “จะว่าอะไรได้ ก็ต้องสลับซีนตามนั้นแหละ ได้ยินว่าให้เวลาทัช 2 ชั่วโมง ถ้าไม่ฟื้นก็ต้องเลิกกอง”

   “อาการหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ฉันเองก็ไม่แน่ใจ เดี๋ยวฉันไปเตรียมชุดให้นักแสดงตามซีนที่ปรับก่อน มึงก็คอยประกบแหม่มมันไว้ก็แล้วกัน”

   “ได้” พัสกาญแยกย้ายจากกรกฤต เขาที่กำลังจะเดินเข้าไปยังห้องอาหารของโรงแรม เห็นทัชชาและอามันต์เดินแยกไปทางลานจอดรถ เขานึกถึงแซนด์วิชและกาแฟที่แม่ให้น้านนิลเตรียมไว้ขึ้นมาได้ จึงเดินตามไปที่ลานจอด

   เนื่องจากกรกฤตกลัวว่าแม่ของเขาจะแกล้ง เลยฝากกุญแจรถไว้กับเขา และบางทีกรกฤตอาจจะกลับรถชาญกับเอมก็เป็นได้ แล้วปล่อยให้เขาขับรถคันนี้กลับบ้านไปเองคนเดียว ทำให้เขาสามารถเปิดรถหยิบของที่ต้องการ

   ที่เบาะด้านหลังมีเพียงกาแฟของเขาที่พร่องไปเล็กน้อย ส่วนชุดของแม่และกรกฤต ยังไม่ได้แตะต้องเลย เขาจึงคว้าชุดกาแฟและแซนด์วิชนั้นไปให้ทัชชากับอามันต์ เขามองหาทั่วลานจอดและพบรถของคนทั้งสองจอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ กลับไม่เห็นใครอยู่ที่รถ

   “ก็เห็นเดินมาที่นี่นี่หว่า?”

   พัสกาญยืนรอและมองหาอยู่ 2-3 นาที ยังไม่เห็นใครเดินมา

   “คงไม่ถึงกับเปิดห้องพักหรอกนะ มีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเอง” เขาบ่นกับตัวเอง ก่อนจะหยิบดินสอสเกตภาพที่มักจะพกติดตัวตลอดขึ้นมา แล้วเขียนข้อความบางอย่างไว้บนแก้วกาแฟใบหนึ่ง





   Dear, Touchcha

The past can hurt.

But the way I see it,

you can either run from it … or learn from it.





   จากนั้นก็วางกาแฟและแซนด์วิชไว้บนหลังคารถ ก่อนจะเดินเข้าไปหาชาริสาและชันดาในห้องอาหารของโรงแรม

.........................................................................

   อามันต์ได้แต่ทำใจลูบหลังให้ทัชชาที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างพุ่มไม้ด้านหนึ่ง จนคนที่เมาค้างอาการดีขึ้น แต่ใบหน้ายังคงซีดเซียว เขาส่งทิชชูให้

   “เดี๋ยวค่อยเดินไปเอาน้ำที่รถ นายจะได้บ้วนปากสักหน่อย”

   “อือ”

   เขาเดินนำทัชชามายังรถก็ต้องแปลกใจที่เห็นชุดกาแฟและแซนด์วิชวางทิ้งไว้บนหลังรถ 2 ชุด

   “สงสัยฉันคงไม่ต้องไปหาอาหารเช้าที่ไหนให้นายแล้วมั้ง ดูนั่น” เขาชี้ไปยังของที่ตั้งอยู่บนหลังคารถ ก่อนจะเปิดประตูให้ทัชชาเขาไปนอนพัก จากนั้นจึงเดินอ้อมมาเอาแก้วกาแฟที่วางอยู่ในถาดหลุมกระดาษ

   “แก้วนี้คงจะเป็นของนาย” เขาส่งแก้วนั้นให้ ทัชชาก็รับมันไว้ แก้วกาแฟยังคงอุ่น ๆ อยู่

   “...” ตอนแรกทัชชาดูจะไม่สนใจแก้วกาแฟนั้น กำลังจะวางมันลงที่วางแก้วข้างตัว แต่ก็ต้องชะงัก

   “ทัช...นาย...” ทัชชาคงได้อ่านข้อความบนแก้วนั้นแล้ว เขาถึงได้ก้มหน้าร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ โดยประคองแก้วกาแฟนั้นด้วยมือทั้งสองข้างอย่างกับแก้วกาแฟเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทัชชาได้ในตอนนี้

   เขาเห็นข้อความนั้นแล้ว มันไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งเลยสำหรับเขา แต่มันกลับปลดปล่อยความรู้สึกของทัชชาออกมา ของพวกนี้เป็นของใครกัน คนที่รู้เรื่องราวของทัชชามีเพียงคนเดียวที่เขานึกออกในตอนนี้ กรกฤต

........................................................................

   พัสกาญกำลังช่วยเอมจัดเสื้อผ้าให้ชาริสาอยู่ที่ริมชายหาดเป็นรอบสุดท้าย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ชันดาก็กางร่มคันโตเดินไปส่งชาริสาที่จุดถ่ายทำ

   “ม่อน มึงเสร็จแล้วใช่ไหม?”

   “อืม มึงมีอะไรให้กูช่วยรึเปล่า?”

   “กูจะวานมึงเอาชุดนี้ไปให้คุณทัชเขาที่รถหน่อย อามันต์บอกว่าทัชจะเปลี่ยนในรถก่อนแล้วค่อยมาแต่งหน้าทำผมที่นี่”

   “เขาฟื้นแล้วเหรอว่ะ?”

   “คงงั้น ก็ดีงานจะได้ไม่พัง”

   “กร ให้กูขอลุงเถิงให้ไหม?”

   “กูรู้ว่ามึงมีน้ำใจ แต่งานก็คืองาน ต้องทำให้เต็มที่ก่อน หรือถ้าไม่ไหว กูว่า มันก็ไม่ควรที่มึงจะยื่นมือเข้าไปช่วย”

   “แต่...”

   “ค้าขายยังมีกำไรขาดทุน เป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นครั้งนี้ก็ขอให้มันเป็นบทเรียนสำหรับทัชชาก็แล้วกัน” ถึงฟังดูใจร้าย แต่มันก็จริงอย่างที่กรกฤตว่า เขาจึงไม่พูดอะไรอีก เดินถือชุดไปให้พระเอกหนุ่มที่รถ
   
   เมื่อเดินมายังลานจอดรถ เขาเห็นรถของทัชชาจอดอยู่ที่เดิม ประตูรถถูกเปิดทิ้งเอาไว้ บนหลังคารถว่างเปล่า พัสกาญหวังว่าคนทั้งสองคงจะไม่ทิ้งมันไปหรือ มีใครแอบหยิบไปก่อน

   “คุณอามันต์ กรให้ผมเอาชุดมาให้คุณทัชเปลี่ยน”

   “อืม นายก็ไปช่วยเขาที่ด้านหลังสิ”

   “ช่วย?”

   “ทำไม หรือนายเลือกจะดูแลแค่น้องแหม่มคนเดียว?”

   “เอ่อ ไม่ใช่ครับ” เขาเห็นออร่าที่แผ่ออกมาแสดงถึงความไม่ชอบใจ จึงหิ้วเสื้อไปให้ทัชชาที่ด้านหลัง

   รถของทัชชาเป็นรถตู้ VIP ที่ค่อนข้างกว้างขวาง เขาจึงขึ้นไปบนรถ เห็นทัชชากำลังนั่งทานแซนด์วิชของเขาอยู่ออร่าที่แผ่ออกมาแสดงถึงความผ่อนคลาย เป็นสีเขียวอ่อนดูสบายตา จนเขาลดอาการเกร็งลง

   ทัชชาเหลือบมองดูเขาเล็กน้อย ออร่ามีสีที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ทัชชากำลังรำคาญที่เขามาขัดจังหวะการทานอาหารเช้า เขาเห็นออร่าของทัชชาตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเช้ายังไม่เห็นเลยไม่ใช่เหรอ? คิดแล้วเขาก็ตกใจ

   “นายไม่ต้องไปฟังมันต์มันพูดหรอก ฉันเปลี่ยนของฉันเองได้ ไม่ต้องกลัวลนลานขนาดนั้น” ทัชชาพูดขึ้นเสียงเรียบ

   “คะ ครับ” เขาที่กำลังทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับออร่าที่แผ่กระจายออกมา ถึงจะเป็นสีเขียวอ่อนดูสบายตา แต่การที่เพิ่งจะเห็นแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ทำให้เขาอดตกใจไม่ได้

   “เฮ้อ...เอาเถอะ นายเอาชุดไว้ตรงนั้น แล้วก็ไปช่วยงานกรต่อเถอะ” ทัชชาชี้ไปที่เบาะนั่งด้านหน้าที่ว่างอยู่ เขาก็รีบทำตามแล้ววิ่งออกจากรถมาทันที โดยไม่สนใจทั้งสายตาของอามันต์และทัชชา

........................................................................

   งานวันนี้ผ่านไปด้วยดี ถึงแม้จะล่าช้าและขลุกขลักไปบ้างก็ตาม ชาริสาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินตามชันดาเข้าไปในโรงแรม และตรงไปยังห้องอาหารญี่ปุ่น

   “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามากี่ท่านครับ?”

   “จองไว้แล้วค่ะ” เธอตอบก่อนนึกขึ้นได้ว่า เธอไม่รู้ว่าใครเป็นผู้จอง จึงหันไปถามชันดา “ชื่อม่อนหรือแม่นะยัยดา”

   “น่าจะเป็นพี่ม่อนนะ”

   “จองไว้ด้วยชื่อพัสกาญค่ะ”

   “เชิญทางนี้ครับ”

   เธอและชันดาเดินตามบริกรเข้าไปในร้าน พาไปยังโต๊ะในมุมหนึ่งที่ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว

   “สั่งอาหารเลยไหมครับ”

   “ยังดีกว่าค่ะ เดี๋ยวรอเพื่อนก่อน”

   “ครับ”

   “เพิ่งรู้นะคะเนี่ย ว่าโรงแรมนี้กลายเป็นธุรกิจของที่บ้านพี่ม่อนไปแล้ว”

   “พี่ก็เพิ่งจะรู้จากกรเมื่อก่อนเลิกกองไม่นานนี่แหละ แม่ของม่อนเขาชวนทานอาหารค่ำ”

   “แล้วพี่กรทำไมไม่มาด้วยละคะ หรือว่ากลัวว่าคนในกองจะรู้ว่าพี่ม่อนเป็นใคร?”

   “กรมันกลัวแม่แกล้ง มันขยาดตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”

   “ทำไมละคะ?”

   “ก็ตอนนั้นแม่คิดว่าตากรจะมาขายขนมจีบให้ลูกชายแม่นะสิ” เธอได้ยินคำตอบจากเจ้าภาพอาหารค่ำมื้อนี้เดินมาพร้อมกับชายอีกคนที่ดูอายุต่างกันมาก เธอจึงลุกขึ้นมาต้อนรับ

   “สวัสดีค่ะ คุณแม่ คุณพ่อ”

   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะน้องแหม่ม น้องดา” ทั้งสองยิ้มรับ

   “คุณพ่อ คุณแม่สบายดีไหมคะ?”

   “พ่อสบายดี ส่วนแม่เขาดูจะผิดหวังที่ตากรไม่ยอมมาทานมื้อค่ำด้วย” ทั้งสี่นั่งลงจากนั้น วิฑูรย์ก็สั่งอาหารโดยไม่รอพัสกาญ

   “ม่อนมาทำงานด้วย เป็นยังไงบ้างลูก”

   “ก็เหมือนเดิมค่ะ ยังเก็บตัวเงียบ อยู่แต่กับตัวเองเหมือนเดิม” เธอตอบ

   “แต่วันนี้ ดาเห็นพี่ม่อนอาการแปลก ๆ ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยังไงก็ไม่รู้”

   “หืม อยู่กับพี่ก็ปกตินี่”

   “ดาเห็นจริง ๆ นะ แต่เพิ่งจะเป็นแบบนี้ก็ช่วงบ่าย หลังจากที่คุณทัชกลับมาถ่ายได้”

   “หรือม่อนจะเจอใครเข้า?” โบตั๋นพูดถึงคนที่สามารถทำให้พัสกาญจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ ซึ่งมีอยู่คนเดียว

   “เป็นไปไม่ได้หรอกตั๋น เธอคนนั้นตอนนี้ยังอยู่ต่างประเทศ ถ้ากลับมาเมืองไทยเมื่อไร ผมก็ต้องรู้สิ” วิฑูรย์หันไปบอกภรรยา โบตั๋นพยักรับยิ้มๆ

   “แม่ดีใจนะที่ม่อนยอมออกไปทำงานกับกร บางครั้งม่อนเองก็คลุกตัวอยู่ที่ร้านไม่ยอมกลับบ้าน จนบางทีแม่ก็ต้องไปตาม”

   “แล้วพี่ ๆ เป็นยังไงบ้างคะ สบายดีไหม?”

   “แต่ละคนเขาก็สบายดี เป็นห่วงม่อนกันทุกคน แต่เวลามาหาหรือมาเจอม่อน เฮีย ๆ เขาไม่ได้มาคนเดียวนี่สิ แม่เห็นจากสายตาของม่อนนะ เพื่อนของเราคนนี้ขี้เหงา”
   
   “แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ แหม่มจะดูแลม่อนเต็มที่ กรเองก็เหมือนกัน ยังไงพวกเราก็เพื่อนรักกัน ม่อนเขาก็รู้ว่ามีคนรักเขาอีกมาก”

   “แต่ดาเข้าใจพี่ม่อนนะ เพื่อน ครอบครัว ถึงแม้จะรักพี่ม่อนมากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเติมเต็มความรักฉันท์คู่รักได้หรอกพี่แหม่ม”

   “พ่อเข้าใจที่น้องดาพูด แต่มันก็ติดตรงที่ม่อนของเราคนเดียวนั่นแหละ”

   “ถ้าแหม่มเจอใครที่ดีพอสำหรับม่อน แหม่มจะช่วยดันเต็มที่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”

   “แม่ก็อยากจะดันอย่างที่น้องแหม่มว่ามาตั้งนานแล้ว ติดที่ลูกชายแม่ไม่ยอมไปเจอใครเลยนะสิ”

   “น้องแหม่ม แล้วหนูพราวละลูก คนนี้ม่อนได้เจอบ้างรึยัง?” สองพี่น้องมองหน้ากันหลังได้ยินคำถามจากวิฑูรย์

   “คนนี้แหม่มว่าไม่ค่อยจะเหมาะค่ะคุณพ่อ แล้วตั้งแต่ถ่ายละครมา เรายังไม่ได้คิวจากพราววริศาเลย”

   “แม่ก็เห็นด้วยนะว่าคนนี้ไม่เหมาะ ดูจากข่าวคราวล่าสุดแล้วทำให้นึกถึงโมนิกา”

   “คุณแม่คิดเหมือนแหม่มเลยค่ะ”

   “สงสัยเรื่องหาคู่ของลูก พ่อคงไม่สู้แม่กับน้องแหม่ม จริงไหมน้องดา”

   “จริงค่ะคุณพ่อ เซ็นส์ผู้หญิงยังไงก็ไวกว่าผู้ชาย”

   ทั้งหมดนั่งทานอาหารค่ำกันไปโดยไม่รอพัสกาญ เพราะทั้งหมดรู้ดีว่า พัสกาญยังไงก็ต้องการเลี่ยงคนในกองถ่าย รอให้เหลือคนน้อยที่สุดก่อนค่อยกลับเข้ามาร่วมทานอาหารด้วย

To Be Continued

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 9 : 25.Jul '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-07-2019 11:34:52
กระดึ๊บไปอีกนิดพระนาย แต่ดันมาเข้าใจผิดไปอีก
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 10 : 8.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 08-08-2019 21:01:48
10







   ตามหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์เริ่มลงข่าวพระนางคู่ใหม่ที่กำลังถ่ายละครร่วมกัน ข่าวของทัชชากับชาริสา และยังมีภาพบรรยากาศสนุกสนานในงานแถลงข่าวอีกด้วย ทำให้แฟนละครหลายคนชื่นชอบและติดตามคู่พระนางทั้งสอง แต่ก็มีบางส่วนบ่นเสียดายที่ทัชชาไม่ได้เล่นคู่กับพราววริศา

   “กูเดาไม่ผิดว่าต้องมีกระแสดราม่าตามมา”

   กรกฤตที่อ่านข่าวในโทรศัพท์พูดขึ้นทั้ง ๆ ที่สายตายังไม่ได้ละไปจากหน้าจอ และเมื่อพูดจบกลับไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เขาพูดด้วยเลยทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง

   พัสกาญยังคงเหม่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาจึงเดินเข้าไปด้านหลัง เพื่อดูว่าคนที่เข้าไปอยู่ในความคิดของตัวเองกำลังร่างแบบเสื้ออย่างไรอยู่ แต่ปรากฏว่าหน้าจอว่างเปล่า มีเพียงลายเส้นสองสามเส้นขีดค้างไว้

   “ไอ้ม่อน” เขาเรียก แต่คนตรงหน้ายังคงนิ่ง “ไอ้ม่อน” ครั้งนี้เขาเอามือแตะไหล่เบา ๆ

   “อะ กร”

   “มึงเป็นอะไร กูเห็นมึงเหม่อมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

   “กู...” พัสกาญมีท่าทางสับสน คล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง

   “มึงไปเจออะไรมา” กรกฤตถามออกมาอย่างนึกเป็นห่วง

   “กูเปล่า กูแค่...”

   “ม่อน”

   “คุณทัช...” พัสกาญมีท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ

   “คุณทัช ทัชชา เขาทำไม?”

   “กู...ไม่รู้”

   “อ่าว ไอ้นี่ ตกลงมึงเป็นอะไร แล้วเขาทำอะไรมึง”

   “วันนี้แหม่มไปไหน กูอยากเจอแหม่ม” สีหน้าของพัสกาญอยู่ก็เปลี่ยนไป

   “เดี๋ยวไอ้ม่อน มึงใจเย็น ๆ มึงเป็นอะไรของมึง แล้วเรื่องที่มึงจะคุยกับแหม่มเนี่ย มึงคุยกับกูก่อนไม่ได้หรือไง?”

   “มึงไปหาแหม่มกับกู แล้วกูจะเล่าให้มึงฟังพร้อม ๆ กัน” เขางงกับท่าทีของพัสกาญมาก ที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปจากตอนแรกที่ลังเล ไม่สามารถอธิบายอะไรออกมาได้ กลายเป็นรีบร้อน

   “ม่อน มึงจะเอารถมึงไปเหรอไง?” เมื่อเดินตามพัสกาญออกมาเจ้าตัวยังเดินไปที่รถของตนอีก เจ้าของรถไม่ฟังอะไร ก้าวขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว “เอาก็เอาว่ะ” เขารีบขึ้นไปที่นั่งข้างคนขับทันที และยังไม่ทันได้คาดเข็มขัด เจ้าของรถก็ออกรถโดยที่ยังไม่รู้เป้าหมาย

.........................................................................

   พัสกาญขับรถเข้ามาที่ลานจอดรถของสถานีทีวีชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาไม่ได้ขับรถด้วยความเร็วแบบนี้มานาน พอเวลาผ่านไปจิตใจเริ่มสงบลง เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่า เขาควรจะฟังกรกฤตสักนิด

   “เพิ่งคิดได้ละสิมึง”

   “กูขอโทษ”

   “ไม่ทันแล้ว คราวนี้มึงจะแก้ปัญหายังไง รถนักข่าวจอดกันเต็มไปหมด”

   “กู... นั่งรอในรถได้ไหม?”

   “หึ นั่งรอ พอแหม่มมามึงจะให้แหม่มนั่งที่ไหน ไล่กูลงแล้วให้แหม่มมานั่งแทนกู”

   “ไม่ได้ดิ กูขอโทษ มึงไปกับแหม่มได้ไหม เราไปเจอกันร้านพี่นนท์”

   “เฮ้อ...เออ” กรกฤตกระแทกเสียงใส่ น้ำเสียงไม่ได้จริงจังนัก

   พัสกาญมองดูกรกฤตเดินตรงเข้าไปยังจุดที่มีงานกิจกรรมแฟนมิตติ้งที่ทางผู้จัดละครจัดขึ้นเพื่อโปรโมทละครเรื่องนี้ ภายในงานดารานำทั้งชายหญิงอยู่กันครบทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพราววริศา

........................................................................

   ทางช่องร่วมกับผู้จัดได้จัดกิจกรรมแฟนมิตติ้งเล็กๆ เพื่อเป็นการโปรโมทละคร ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดี งานนี้ชาริสาต้องคอยประกบคู่กับทัชชา ส่วนพราววริศาประกบคู่กับอาทิตย์ แต่ก็มีแฟนละครไม่น้อยที่ขอให้พวกเขาสลับคู่กับ ซึ่งถ้าอยู่บนเวทีที่มีนักข่าวคอยถ่ายรูป พวกเขาก็ไม่สามารถทำตามที่แฟนละครต้องการได้

   กระทั่งทั้งสองคู่แยกกันไปถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ขณะลงจากเวทีชาริสาเห็นคอนติเนนตัล ทีจีสีขาวของพัสกาญจอดอยู่ที่ลานจอดรถ ทำให้หลายคนมองตามเธอไป

   “มีอะไรรึเปล่าครับน้องแหม่ม” ทัชชาถามขณะที่เดินตามเธอลงจากเวที

   “ไม่มีค่ะ เราไปให้สัมภาษณ์นักข่าวกันเถอะค่ะ” เธอนึกอุ่นใจที่มีพัสกาญมาคอยเฝ้าอยู่ใกล้ ทำให้เธอมีความมั่นใจขึ้น แต่เมื่อพิจารณาดี ๆ ถ้าไม่มีเรื่องเร่งรีบ พัสกาญไม่มีทางขับรถมากลางดงนักข่าวแบบนี้เป็นแน่ พัสกาญกำลังมีปัญหา

   เธอและทัชชาต่างผลัดกันให้สัมภาษณ์แล้วแต่คำถามว่านักข่าวจะถามถึงประเด็นไหน ซึ่งทัชชาก็ตอบได้ดีสมกับที่เป็นรุ่นพี่ในวงการ ส่วนเธอเลือกจะตอบตามความจริง พยายามตอบให้สั้นและกระชับที่สุด เพราะใจเธอเริ่มกังวลเรื่องของพัสกาญ จนมาถึงคำถามที่เธอไม่คิดว่าจะมีนักข่าวมาถามกับเธอ

   “ถามน้องแหม่มค่ะ ตอนนี้กระแสค่อนข้างมาแรง แฟนคลับไม่น้อยหวังให้น้องแหม่มเป็นคู่จิ้นกับพี่ทัช น้องแหม่มกังวลกับข่าวนี้ไหมคะ?”

   “ไม่ค่ะ การที่แฟนละครชื่นชอบและจับคู่จิ้นให้แหม่มกับพี่ทัชชา แสดงว่าเราสองคนเล่นละครแล้วเข้ากันได้ดี คนดูอินไปกับเรา แหม่มถือว่าผลตอบรับค่อนข้างดีทั้งๆ ที่ละครยังไม่ออนแอร์”

   “ถามน้องแหม่มครับ จะมีเหตุดราม่าเกี่ยวกับการแย่งคู่จิ้นไหมครับ เรื่องนี้ถึงน้องพราวจะเล่นคู่กับพี่อาร์ม แต่หลาย ๆ คนก็ยังอยากให้น้องพราวกับพี่ทัชเป็นคู่จิ้นกันอยู่”

   “เรื่องดราม่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแหม่ม ขึ้นอยู่กับคนดูพิจารณามากกว่า เขาชื่นชอบคุณพราวกับพี่ทัช เราก็บังคับให้เขามาชอบเราไม่ได้หรอกค่ะ”

   “ถามพี่ทัชค่ะ มีหลายคนเข้าใจว่า พี่ทัชมีปัญหากับน้องพราว จนถึงขั้นน้องพราวประชดให้ข่าวว่าเธอกำลังตามหาคู่รักตัวจริง ไม่ใช่แต่ในจินตนาการ พี่ทัชมีความคิดเห็นยังไงครับเกี่ยวกับเรื่องนี้”

   “ผมกับพราวเป็นพี่น้องร่วมวงการกัน เราทำงานมาด้วยกันนานพอสมควร สนิทกันมากแต่ไม่มีอะไรเกินเลย เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนนี้พราวเขาแค่งานยุ่ง เราเลยไม่ค่อยได้คุยกันหรือไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนแต่ก่อน”

   “ทัชจะปฏิเสธว่าน้องแหม่มไม่ใช่มือที่สามใช่ไหมคะ?”

   “เราเป็นเพื่อนร่วมวงการที่ดีต่อกันค่ะ ส่วนเรื่องมือที่สาม แหม่มว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนกระแสคู่จิ้นระหว่างแหม่มกับพี่ทัชนั้นน่าจะเป็นเพราะแฟนละครชื่นชอบงานของพวกเรามากกว่า ไม่น่าจะใช้คำว่ามือที่สามได้นะคะพี่” เธอเริ่มฉุนกับคำถามไร้สาระนี่เต็มที

   “ใช่ครับ ผมกับแหม่ม เราเป็นพี่น้องร่วมวงการเช่นกัน การที่มีข่าวออกมาแบบนี้ หากผมเปลี่ยนนางเอกอีก จะไม่กลายเป็นว่า น้องนางเอกใหม่คนนั้นเป็นมือที่สามอีกเหรอครับ” ทัชชาหยุดพูดเล็กน้อยเพื่อสังเกตอากัปกิริยาของนักข่าว “ยังไงผมก็ต้องขอบคุณแฟนละครที่ติดตามและให้กำลังใจทั้งผม พราว และแหม่ม เอาไว้ถ้าผมมีตัวจริงเมื่อไร ผมจะรีบแจ้งพี่ ๆ นักข่าวทันที”

   “อย่าบอกนะคะ ว่าพี่ทัชก็กำลังจะตามหาตัวจริงอย่างน้องพราว”

   “ตอนนี้ผมยังไม่คิดเรื่องนั้น ผมแค่อยากจะทำงานตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน”

   หลังจากนั้นประเด็นที่นักข่าวถามส่วนใหญ่ก็จะเป็นสเป็กของเธอ หรือไม่ก็ทัชชา ซึ่งเธอก็ตอบไปตามความจริง ส่วนทัชชาดูจะมีลูกล่อลูกชนกับนักข่าวได้มากกว่าเธอนัก จนกระทั่งเธอเห็นคอนติเนนตัลขับออกไปจากลานจอด แต่กรกฤตกลับก้าวเข้ามาในงาน

   “น้องแหม่มค่ะ พี่เห็นน้องมองรถเบนท์ลี่ย์สีขาวนั่นอยู่หลายครั้ง นั่นคงไม่ใช่ตัวจริงของน้องแหม่มหรอกนะคะ”

   นักข่าวคนหนึ่งถามขึ้นเรียกความสนใจจากนักข่าวคนอื่น ๆ ให้หันไปมอง แต่ก็ไม่ทันได้เห็นแม้กระทั่งเลขทะเบียน ส่วนเธอก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร

   นอกจากชาริสาและเหล่านักข่าวแล้ว ยังมีพราววริศาที่สนใจรถคันนั้นไม่ต่างกัน ซึ่งนักข่าวตาไวยังนำประเด็นนี้มาถามเธออีกด้วยว่า เจ้าของรถหรูคันนั้นใช่ทายาทนักธุรกิจหนุ่มที่ตามไปขายขนมจีบให้เธอที่สตูดิโอเมื่อวันก่อนหรือไม่

........................................................................

   พัสกาญเข้ามาจอดรถยังลานจอดของร้านอาหารที่เขาและเพื่อน ๆ มักจะมาทานกันเป็นประจำ จนเป็นที่คุ้นเคยกับพนักงานในร้าน เด็กรับรถค่อนข้างแปลกใจที่มีรถหรูเข้ามาจอดในขณะที่ร้านยังไม่ได้เปิดทำการ จนกระทั่งเห็นพัสกาญลงมาจากรถ

   “พี่ม่อน สวัสดีครับ ผมก็นึกว่ารถใครซะอีก ที่แท้รถพี่ม่อนนั่นเอง ผมเข้าใจว่าพี่ม่อนขับรถไม่เป็นซะอีก”

   “พี่ขอเข้าไปนั่งรอกรกับแหม่มในร้านนะ”

   “ตอนนี้ในร้านกำลังวุ่นวายเลยครับ ของเพิ่งมาส่ง เดี๋ยวผมหาโต๊ะเงียบ ๆ ให้พี่ก็แล้วกันนะครับ”

   “ขอบใจ” พัสกาญเดินตามเด็กรับรถเข้าไปในร้าน ก่อนยืนรอให้เด็กหาโต๊ะให้ อานนท์ก็เดินเข้ามาในร้านพอดี

   “อ่าว คุณม่อน”

   “สวัสดีครับพี่นนท์”

   “มาที่ร้านเวลานี้ มีอะไรรึเปล่าครับ”

   “ผมนัดกับเพื่อนไว้ครับ เลยจะขอยืมใช้สถานที่หน่อย”

   “อ่อ ตอนนี้ร้านกำลังวุ่นวายเลย เอาอย่างนี้ไหมครับ คุณม่อนเข้าไปใช้ห้องด้านหลังดีกว่า”

   “ไม่เป็นไรครับพี่นนท์ เด็กไปหาโต๊ะให้ผมแล้ว”

   “อย่าเกรงใจเลยครับ นั่งข้างนอกมันวุ่นวาย เชิญทางนี้ครับ”

   พัสกาญจึงเดินตามอานนท์เข้าไปที่ด้านหลังผ่านสวนย่อมเล็กๆ ที่กั้นส่วนออฟฟิศไว้จากสายตาลูกค้าในร้าน ด้านในแบ่งเป็นส่วนอานนท์นั่งทำงาน ข้าง ๆ มีห้องพักผ่อนเล็กๆ ที่จัดไว้เผื่อเวลาที่น้านิลและน้ากล้าจะมาเยี่ยมที่ร้าน

   “ขอบคุณครับพี่นนท์”

   อานนท์เดินออกไปจากห้องไม่นาน ก็มีเด็กเอาเครื่องดื่มมาให้เขา พัสกาญรออยู่ราวครึ่งชั่วโมง เด็กคนเดิมก็พากรกฤต ชาริสา และชันดาเข้ามาในห้อง จากนั้นอาหาร ของว่างต่าง ๆ ก็ถูกยกเข้ามาให้

   “พี่ม่อน ใครน่ะ” ชันดาชี้ไปที่อานนท์ที่มาคุมเด็กยกอาหารด้วยตัวเอง

   “พี่นนท์ ลูกน้ากล้ากับน้านิล”

   “อ่อ...เขาเป็นเจ้าของร้านนี้เหรอ?”

   “อืม”

   “พอก่อนยัยดา อย่าเพิ่งบ้าผู้ชาย”

   “พี่แหม่ม...” ชันดาหน้าแดง แต่ก็เงียบลงไปพูดอะไรอีก

   “ม่อนมีเรื่องอะไรกังวลใจ ถึงได้ขับรถออกไปที่สถานีแบบนั้น” ชาริสาหันมาถามเขา

   “เราเห็นสิ่งนั้นจากคุณทัชชา”

   “เขาคิดอะไร ๆ กับม่อนอย่างนั้นเหรอ?”

   “ไม่รู้ ตั้งแต่เราเข้ามาช่วยงานกร เราไม่เคยพูดคุยอะไรกับเขามากไปกว่าเรื่องงาน”

   “เดี๋ยว ๆ สองคนนี้พูดเรื่องอะไรกัน ไหนมึงบอกว่ามึงจะเล่าให้กูฟัง แล้วทำไมมึงถึงพูดแต่เรื่องที่มึงกับแหม่มรู้กันอยู่ 2 คน ยังมีเรื่องคุณทัชอีก”

   “ไอ้กร อย่าเพิ่งขัด เรื่องนี้ม่อนมันซีเรียสนะ”

   “แหม่ม ไม่เป็นไร เรารับปากกรแล้วว่าเราจะบอกเรื่องนี้กับกร”

   “ถ้าอย่างนั้น ดาไปรอพี่แหม่มที่สวนด้านหน้านะคะ”

   “อืม” ชาริสารับคำอย่างไม่ใส่ใจ

   “น้องดาอยู่ด้วยก็ได้” เขารีบรั้งชันดาเอาไว้

   “ให้ยัยดาไปอ่อยผู้ชายเถอะ”

   “พี่แหม่มอ่า....” ชันดาหน้าแดง แล้วรีบเดินออกจากห้องไป

   “เรื่องนี้ให้กรมันรับรู้เพิ่มอีกคนก็พอ” ชาริสาก็ยังคงไม่สนใจชันดาเช่นเดิม

   “แหม่มพูดกับน้องดาแรงไปรึเปล่า”

   “แรงที่ไหน ความจริงทั้งนั้น พี่นนท์อะไรนั่นน่ะ สเป็กยัยดาชัด ๆ”

   “พอ ๆ เข้าเรื่อง ไอ้ม่อน มึงมีปัญหาอะไรกันแน่ แล้วคุณทัชมาเกี่ยวอะไรด้วย”

   “ม่อนมันเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น”

   “แกจะบอกว่า มันมีสัมผัสที่หก อย่างการเห็นผีอย่างนั้นเหรอ ไอ้ม่อนมึงบอกว่ามึงเห็นสิ่งนั้นจากคุณทัช วิญญาณประเภทไหนตามรังควานพระเอกของเราอยู่ว่ะ? เฮี้ยนมากรึเปล่า”

   “มันไม่ใช่อย่างที่มึงคิด กูไม่ได้เห็นผีหรือวิญญาณ”

   “อ่าว ตกลงแล้วมันคืออะไรกันแน่?”

   “ม่อนเขาเห็นเหมือนรัศมีแผ่กระจายออกมาจากคน ฉันเลยเรียกไอ้รัศมีสีแสงนั่นว่าออร่า” ชาริสาพยายามใจเย็นอธิบาย

   “รัศมีสีแสง มันคืออะไร?”

   “กูก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่กูเห็นมันมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่จำความได้คนที่รายล้อมกูมักจะมีออร่าแผ่ออกมารอบ ๆ ตัว สีสันที่แผ่ออกมามันจะเปลี่ยนไปตามอารมณ์”

   “อ่อ...”

   “แต่พอกูโตพอจะเข้าโรงเรียน กูกลับไม่เห็นของคนอื่นเลยนอกจากคนที่บ้านกูเลย ตอนเด็ก ๆ กูสับสนมาก จนกูสังเกตได้ว่า หากคนไหนมีความรู้สึกกับกู กูก็จะสามารถเห็นออร่าที่แผ่ออกมาจากคนคนนั้นได้”

   “หมายความว่ายังไง คนที่มีความรู้สึกกับมึง รัก หลง อะไรแบบนี้เหรอ?”

   “ก็ประมาณนั้น”

   “แล้วแหม่มรู้เรื่องนี้ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าแกก็หลงรักไอ้ม่อนมัน”

   “ใช่ที่ไหน สมัยเรียนฉันแค่อิจฉาม่อนที่มีเพื่อนห้อมล้อมต่างหาก ส่วนฉันเพื่อนสักคนยังไม่มีเลย”

   “แล้วกูละ มึงเห็นไหม?”

   “ไม่”

   “อ่าว? เฮ้ยกูก็รักมึงนะเว้ย”

   “พอ ๆ สรุปก็คือ ม่อนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเห็นออร่าจากพี่ทัชใช่ไหม” เขาพยักหน้ารับในสิ่งที่ชาริสาพูด

   “เขาก็แทบจะไม่ได้สุงสิงกับมึงเลย แล้วจะมีความรู้สึกอะไรได้ว่ะ..” กรกฤตครุ่นคิด “ว่าแต่ ในกองมึงเห็นออร่าออกมาจากใครบ้าง”

   “ก็มีคุณไลลา พี่กะทิ คุณอามันต์ แหม่ม แล้วก็คุณทัชชา”

   “อามันต์?” เขาพยักหน้าให้ “ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกกับมึงได้?”

   “เขาไม่พอใจที่กูสนิทสนมกับแหม่ม”

   “หรือคุณทัชเขาคิดอะไรๆ กับแกว่ะแหม่ม เขาถึงไม่พอใจไอ้ม่อนที่สนิทสนมกับแกเหมือนกับอามันต์”

   “ไม่ใช่ คุณทัชไม่ได้มีความรู้สึกไม่พอใจ”

   “มึงรู้ได้ยังไง ว่าเขารู้สึกอะไรกับมึง”

   “ม่อนเขาก็บอกอยู่ว่าสีของออร่าออกมามันต่างกัน แกได้ฟังบ้างไหม” ชาริสาบ่นกรกฤต ก่อนจะหันมาถามเขา “จริงสิ สีออร่าของคุณทัชเป็นสีอะไร”

   “สีเขียว”

   “มันหมายถึงอะไร?” กรกฤตทำหน้างง

   “แกไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าสีพวกนี้สื่ออารมณ์อะไร”

   “มันใช้หลักการเดียวกันอย่างนั้นเหรอ” เขาพยักหน้าให้กรกฤต อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจ “พัฒนา เติบโต เจริญงอกงาม เขากำลังรู้สึกดีกับมึง ไอ้ม่อน”

   “กูรู้ว่ามึงรักกูอย่างเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง แต่ที่กูไม่เห็นออร่าของมึง กูเดาว่า เพราะมันไม่แรงพอ”

   “หมายความว่ายังไงวะ กูต้องตายแทนมึงได้เลยรึไง มึงถึงจะเห็นออร่าจากตัวกู”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น แกรักม่อน หวังดีกับม่อน แต่แกไม่ได้ปรารถนาที่จะครอบครองหรือทำลาย”

   “เออ อย่างของกะทิกับไลลา สองคนนี้ก็อยากได้ผู้ชายในกองเกือบทั้งหมด มึงเลยเห็นออร่าของสองคนนี้ ส่วนอามันต์ เขาไม่พอใจนี่ยังไง?”

   “เมื่อก่อนที่ฉันอิจฉาม่อน ฉันเคยคิดถึงขนาดที่อยากให้ม่อนหายไปจากโลกนี้เลย”

   “นี่แกเป็นคนอาฆาตขนาดนั้นเลย”

   “นี่แหละ ถึงเป็นสาเหตุให้กูเห็นอาร่าของแหม่มกับคุณอามันต์”

   “กูชักจะเป็นห่วงมึงแล้วสิ เกิดเขาทำร้ายมึงขึ้นมาจะทำยังไง”

   “แทนที่แกจะห่วงเรื่องนั้น มาห่วงเรื่องความคิดพี่ทัชก่อนดีไหม?”

   “ทัชชาเพิ่งอกหักจากยัยพราวมา ช่วงนี้เป็นช่วงอ่อนแอของเขา ถ้าใครผ่านเข้ามา มันก็คือที่พึงทางใจของเขาเลย ว่าแต่มึง ไปทำอะไรให้เขาซึ้งใจรึเปล่า”
   
   “กูก็บอกแล้วว่ากูไม่เคยคุยอะไรกับเขามากไปกว่าเรื่องงาน”

   “เอาเป็นว่าตอนนี้ม่อนก็ทำตัวปกติก็แล้วกัน แหม่มจะคอยอยู่ข้าง ๆ”

   “ขอบใจมากนะแหม่ม”

   พวกเขาทั้งสามคนนั่งคุยกันต่อไปอีกสักพัก ก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน กรกฤตตามเขากลับไปที่ร้าน ส่วนชาริสามีงานต่อในช่วงหัวค่ำ ระหว่างที่เขาขับรถกลับ อยู่ ๆ กรกฤตก็พูดขึ้น

   “ม่อน มึงไม่ต้องคิดมาก หรือกังวลอะไร คิดซะว่ามีคนรักอย่างจริงใจก็ดีกว่ามีคนเกลียด”

To Be Continued

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 10 : 8.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-08-2019 00:07:35
 o13
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 10 : 8.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-08-2019 02:39:55
ว้าวววว หรือคุณทัชจะรู้
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 11 : 15.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 15-08-2019 21:31:56
11







   หลังจากงานแถลงข่าวเปิดตัวละคร กระแสตอบรับค่อนข้างดีจนผู้จัดและผู้กำกับอย่างกวินทร์พอใจ ภายในกองถ่ายละครมีแฟน ๆ มาให้กำลังใจกันไม่ขาดสาย และยังมีแฟนคลับส่วนหนึ่งที่มาเพื่อให้กำลังใจพราววริศาแต่กลับไม่พบเธอต่างก็พากันหงุดหงิด ลือกันไปต่าง ๆ นานา

   “นี่ อีคุณกร แกได้ยินพวกแฟนคลับเขาลือกันไหม?” กะทิหันมาถามเขาระหว่างที่เดินมาเอาข้าวกล่องไปทานกลางวัน

   “เขาลือกันว่ายังไง?”

   “นี่แกพลาดข่าวนี้ไปได้ยังไงกัน?”

   “ตั้งแต่เช้ามาฉันทำงานยังไม่ได้หยุดเลยเหอะ จะเอาเวลาที่ไหนไปเผือก”

   “เออๆ ไม่ต้องเหน็บ จะฟังไหม?”

   “ว่ามา”

   “ฉันได้ยินว่า แฟนคลับพวกนั้นแอนตี้น้องแหม่มของเราอยู่แล้ว ที่ทำให้พี่ทัชกับน้องพราวเลิกจิ้นกัน”

   “มันใช่เรื่องเปล่าว่ะ?”

   “ก็นั่นน่ะสิ แต่เพราะวันนั้นมีรถหรูไปจอดที่หน้าสถานี มันก็มีข่าวอีกว่า เจ้าของรถคันนั้นเป็นตัวจริงของน้องแหม่ม หลายคนก็เลยเลิกโจมตีประเด็นนี้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่บอกว่าเจ้าของรถคันนั้นเป็นคนที่ไปเฝ้าน้องพราวที่สตูดิโอเมื่อคราวก่อน”

   “คนพวกนั้นก็ลือกันไปเรื่อย ใช่เรื่องจริงรึเปล่าก็ไม่รู้”

   “ก็จริง แต่แฟนคลับกลุ่มนี้ดันเอาไปพูด ไปโพสต่างโซเชียลฯ กันอีกน่ะสิว่า มาให้กำลังใจน้องพราวที่กองถ่าย แต่กลับไม่เคยเจอเลย”

   “จะไปเจอได้ยังไง ก็เขาไม่ให้คิวพวกเราเลยนี่ กว่าจะได้คิวก็โน่น อีกสองเดือน”

   “ก็เออสิ แต่พวกนางทั้งหลายดันไปเล่าลือกันว่าเป็นเพราะนางเอกกับนางรองมีปัญหากันนะสิ”

   “เฮ้ย!! ...”

   “ฉันละเป็นห่วงน้องม่อนจริง ๆ”

   “ม่อนเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”

   “แกอย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าแกใช้น้องม่อนเป็นคนมาเบรกอารมณ์น้องแหม่มน่ะ? แล้วแบบนี้ฉันจะไม่ห่วงได้ยังไง”

   “แกไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก แหม่มมันเป็นคนตรง เรื่องไหนไม่จริงเธอไม่สนใจหรอก”

   “อ่าว แล้วน้องแหม่มจะปล่อยผ่านเรื่องนี้เหรอ”

   “คนอย่างแหม่มถ้าไม่มีคนไปถามอะไรเธอ เธอก็จะอยู่ของเธอเฉย ๆ แกทำงานกับแหม่มมาตั้งนาน ลองสังเกตดีๆ สิ เวลาแหม่มเหวี่ยง ส่วนใหญ่เป็นเพราะอะไร”

   กรกฤตพูดทิ้งท้ายให้กะทิได้คิด ก่อนจะเดินเลี่ยงไปหาชาริสาและชันดา ที่กำลังนั่งทานอาหารเที่ยงอยู่มุมหนึ่งของกองถ่าย

........................................................................

   หลังจากพักกองเพื่อทานอาหารกลางวัน ชาริสายังไม่มีโอกาสได้ทานข้าวเลย เนื่องจากมีนักข่าวเขามารอขอสัมภาษณ์อยู่ไม่น้อย เธอก็ไม่คิดจะหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด

   “น้องแหม่มค่ะ มีข่าวออกมาว่า น้องพราวขอเปลี่ยนคิวเพราะน้องแหม่มกับน้องพราวมีปากเสียงกันในกอง เป็นเรื่องจริงรึเปล่าค่ะ?”

   “เรื่องมีปากเสียงกันนั้นไม่จริงค่ะ แหม่มกับพราวเราคุยกันปกติดี ส่วนเรื่องที่พราวขอเปลี่ยนคิวนั้น สาเหตุมาจากอะไรคงต้องไปถามกับพราวเอาเอง เรื่องนี้แหม่มไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ”

   “หากจะต้องร่วมงานกันในครั้งถัดๆ ไป น้องแหม่มจะรับงานร่วมกับน้องพราวไหมครับ?”

   “ก็อย่างที่บอกพี่ๆ นักข่าวไปนะคะ ว่าแหม่มกับพราว เราไม่ได้มีเรื่องอะไรผิดใจกัน เราคุยกันปกติ ดังนั้นหากต้องร่วมงานด้วยกันอีก แหม่มก็ยินดีค่ะ”

   นักข่าวถามคำถามเดิม ๆ เรื่องการเป็นคู่จิ้นกับทัชชาอีกทั้งเรื่องที่ทั้งสองจะรับงานโฆษณาร่วมกัน ชาริสาก็ตอบทุกคำถามไปตามความจริง อย่างตรงไปตรงมา จนกระทั่งนักข่าวยอมรามือ ไม่มีคำถามเพิ่มเติม เธอจึงไปหาชันดา ซึ่งมีพัสกาญยืนรออยู่ข้าง ๆ อย่างเป็นห่วง เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อย

   “ดื่มน้ำก่อน จะได้สดชื่น” พัสกาญส่งขวดน้ำให้กับเธอ “เหนื่อยไหม?”

   “ไม่หรอก หิวมากกว่า ไม่รู้ว่าวันนี้มีอะไรให้ทาน”

   “ทางกองเตรียมก๋วยเตี๋ยวไก่มะระไว้ให้ค่ะ แต่ของพี่แหม่มคงจะเย็นชืดหมดแล้ว” ชันดาบอกเสียงอ่อย เพราะเธอเป็นคนไปจัดเตรียมมาให้ตั้งแต่ก่อนพักกอง

   “ไม่เป็นไร พี่กินได้ เกาเหลา ใส่มะระเยอะ ๆ ใช่ไหม?”

   “ค่ะพี่ ไม่ใส่ถั่วงอก”

   “ดีมากน้องรัก” ชาริสานั่งลงและทานเกาเหลาของเธอไปเงียบ ๆ โดยมีชันดาและพัสกาญนั่งค่อยบริการอยู่ไม่ห่าง

   การกระทำทุกอย่างของชาริสาในขณะนี้ ต่างตกอยู่ในสายตาของนักข่าวหลายคน ไม่เว้นแม้แต่ภาริช ที่เอาแต่จ้องมองคนทั้งสามอย่างสนอกสนใจ

   “พี่ภาริช ยังคาใจอะไรอีกเหรอ เห็นจ้องน้องแหม่มไม่วางตาเลย”

   “ไม่มีอะไรแล้ว เพียงแต่...พี่คุ้น ๆ หน้าหนุ่มแว่นคนนั้น”

   “อ่อ นายเฉิ่มนั่น น้องเห็นทำงานในกองนี้แหละ เหมือนจะเป็นผู้ช่วยของทีมคอสตูมนะ”

   “น้องรู้จักเหรอ?”

   “ไม่รู้จักหรอก ได้ยินคนในกองเขาพูดถึงน่ะ ว่านิสัยน่ารัก แต่ชอบเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว แต่เท่าที่เห็นตอนนี้...” หญิงสาวมองตรงไปยังกลุ่มคนทั้งสาม “ไม่รู้ว่าต้องการจะเกาะกระแสนางเอกดัง เพื่อหวังผลรึเปล่า หลัง ๆ น้องเห็นเขาตามติดน้องแหม่มอยู่ ยิ่งกว่าน้องดาผู้จัดการส่วนตัวเสียอีก”

   “...”

   “พี่ภาริชไม่ต้องไปสนใจคนประเภทนี้หรอก พี่ก็รู้ คนแบบนี้มีอยู่เยอะไปหมด เขาก็คงเรียกร้องความสนใจจนกว่านักข่าวอย่างเราจะสนใจเขานั่นแหละ”

   “น้องคิดอย่างนั้นเหรอ?”

   “ใช่ ไม่เชื่อพี่ก็คอยดูต่อไปสิ จบงานนี้ หมอนั่นก็คงจะไปเกาะกระแสดาราคนอื่นต่อนั่นแหละ ก็จนกว่าตัวเองจะเกิดนั่นแหละน้า...” นักข่าวรุ่นน้องส่ายหน้า ก่อนจะเดินจากไป แต่ภาริชกลับไม่ได้คิดแบบนั้น หนุ่มแว่นคนนั้น เหมือนเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

.........................................................................

   พัสกาญช่วยกรกฤตเก็บของเรียบร้อยก็เตรียมกลับไปพักผ่อน โดยมีกรกฤตไปส่งดังเดิม ระหว่างที่รอกรกฤตที่ลานจอดรถ ก็พบกับชาริสาและชันดาที่กำลังจะกลับเช่นกัน

   “ไอ้กรไปไหนละ ถึงให้ม่อนมารออยู่คนเดียวในที่มืด ๆ แบบนี้” ชาริสาบ่นกับเขาอย่างหัวเสีย

   “ถึงมันจะมืด มันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นสักหน่อย แหม่มก็อย่าไปว่ากรมันเลย”

   “เข้าข้างกันตลอด”

   “พรุ่งนี้เราไม่ได้มาที่กองถ่ายนะ ตอนนี้แหม่มมีเอมกับพี่กะทิคอยช่วยดูแลอยู่ เราก็เบาใจ”

   “อืม ไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้รู้สึกว่าแหม่มจะมีถ่ายอยู่นิดหน่อยเท่านั้น ใช่ไหมยัยดา”

   “ค่ะ พรุ่งนี้พี่แหม่มมีถ่ายแค่ 2 ตอน รวมแล้วแค่ 3 ซีนเท่านั้นเอง แต่บ่ายมีงานโชว์ตัวนะคะ”

   “อืม เรารอกรเป็นเพื่อนม่อนก่อนค่อยกลับก็แล้วกันนะ”

   “ค่ะ” ชันดาพยักหน้าเห็นด้วย

   “ไม่ต้องหรอก เรารอกรคนเดียวได้ เดี๋ยวกรก็มา”

   “นี่ แหม่มให้ยัยดาลองสังเกตพี่ทัช ยัยดาบอกว่า เขาก็แอบมอง ๆ ม่อนอยู่เหมือนกันนะ” ชาริสาไม่สนใจคำปฏิเสธของเขา

   “ใช่ค่ะพี่ม่อน ดามักจะเห็นพี่เขามองตามพี่ม่อนไป ตอนที่ม่อนปลีกตัวออกไปนั่งทำงานคนเดียว”

   “ม่อนไปทำอะไรให้นายพระเอกนั่นติดใจ ถึงได้คอยแอบมองม่อนแบบนี้”

   “พี่แหม่ม พูดน่าเกลียด ดาก็ไม่เคยเห็นพี่ม่อนจะไปสุงสิงกับเขาเลย แต่ก็น่าแปลกที่เขาคอยจับตาดูพี่ม่อนแบบนี้”

   “ไว้ดาลองถามพี่กะทิดูสิ นางอาจจะพอรู้อะไรก็ได้นะ”

   “อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เราเองก็ตั้งใจว่าจะอยู่ห่าง ๆ เขาไว้”

   “ทำไมละ ในเมื่อเขารู้สึกดีกับม่อน คบหาเป็นเพื่อนกันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่เหมือนอีตาบ้ามันต์ ถึงจะต้องไปหลบเลี่ยง”

   “ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะเขาเป็นพระเอกดังก็ได้ แล้วสีของสิ่งนั้นอีก”

   “พี่ม่อนก็ไม่ใช่ไก่กาที่ไหนสักหน่อย” ชันดาบ่นเบา ๆ แต่เขาก็ได้ยิน

   “มายืนเม้าท์อะไรกันมืด ๆ แบบนี้?” กรกฤตเดินเข้ามาบริเวณที่พวกเขายืนอยู่

   “รู้ด้วยเหรอว่าลานจอดรถมันมืดน่ะ แล้วปล่อยให้ม่อนมายืนรอคนเดียวแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน?”

   “อ่าว ไอ้ม่อนมันเป็นผู้ชายไหม ใครจะมาทำอะไรมัน”

   “เฮียเจมส์ก็เป็นผู้ชาย”

   “เรื่องที่เกิดกับเฮียเจมส์มันเป็นอุบัติเหตุเหอะ”

   “ไม่รู้แหละ แต่แกไม่ควรจะปล่อยม่อนมายืนรอมืด ๆ แบบนี้คนเดียว”

   “ก่อนแกจะว่าฉันแกถามมันซะก่อน ว่ามันหนีออกมาทำไม ฉันกับเอมตามหามันให้ควัก”

   “ม่อน?”

   “เราแค่อึดอัดสายตาของคุณทัชน่ะ”

   “ทำไม ม่อนเห็นอะไร?”

   “ไม่รู้สิ... ออร่าของเขามัน...โหยหา คาดหวัง คิดถึง มันหลากหลายไปหมด จนบางทีเราก็ตามเขาไม่ทัน”

   “มึงก็ไม่ต้องไปสนใจเขาสิ”

   “กูพยายามอยู่ แต่บางทีกูก็อึดอัด”

   “ม่อนทำใจให้สบายเถอะ เราก็อยู่ของเราไป เขาก็อยู่ส่วนเขา ถ้าเขาไม่มาระรานม่อนก็ไม่ต้องไปสนใจเขา”

   “ใช่ มึงอย่าเพิ่งคิดอะไรมาก งานมึงยังมีอีกเยอะแยะ เอาหัวเอาสมองไปนั่งคิดงานเถอะ”

   “ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ พี่ๆ อย่าเพิ่งไปกดดันพี่ม่อนเลย พี่ม่อนทำอะไรแล้วสบายใจ ดาสนับสนุนเต็มที่” ชันดาสรุป จากนั้นคนทั้งหมดก็ต่างแยกย้ายกลับไปขึ้นรถของตนเอง

   การพบเจอของคนทั้ง 4 อยู่ในสายตาของนักข่าวอย่างภาริช เพราะตั้งแต่วันงานแฟนมิตติ้ง เขาก็คอยติดตามดูชาริสาตลอด และตอนนี้เขากลับอยากรู้ว่าหนุ่มแว่นนั่นเป็นใครกันแน่มากกว่า ถึงได้คุ้นหน้าเช่นนี้

........................................................................

   หลังจากเสร็จงานที่กองถ่าย ทัชชาก็เข้ามายังบริษัทของคุณอธิรุธ เพื่อลองเสื้อผ้าหรูภายใต้ชื่อแบรนด์พัสกาญ ซึ่งเป็นแบรนด์ดังและได้รับความนิยมมากไม่แพ้แบรนด์จากต่างประเทศเลยทีเดียว

   “คุณรุธนี่ก็สุดยอดนะ ที่สามารถติดต่อเจ้าของแบรนด์พัสกาญได้ นี่ถือว่าเป็นนิตยสารสัญชาติไทยเล่มแรกเลยนะที่ได้ถ่ายภาพแฟชั่นเสื้อแบรนด์นี้” อามันต์ชวนคุยระหว่างที่เดินเข้าไปยังสตูดิโอของบริษัทฯ

   “ฉันก็เคยเห็นแบรนด์นี้ลงปกต้องหลายเล่ม ไม่เห็นจะแปลกเลย”

   “นายเคยเห็น แล้วเคยสังเกตไหมล่ะ ว่ามันเป็นนิตยสารหัวนอกทั้งหมด”

   “ถึงจะหัวนอก แต่ยังไงบรรณาธิการก็เป็นคนไทย”

   “มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ ที่ได้ลงเพราะสำนักงานใหญ่ติดต่อให้ต่างหาก”

   “ฉันจำได้ว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ไทยไม่ใช่เหรอไง แล้วทำไมคนไทยด้วยกันถึงติดต่อกันยาก”

   “เท่าที่ฉันรู้มา เจ้าของแบรนด์พัสกาญเป็นไฮโซตระกูลดัง แต่ตระกูลไหน ยังไงฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ เพราะเขาค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว และดูเหมือนว่าจะอยู่เมืองนอกมากกว่าประเทศไทย”

   “เขาคงเป็นดีไซเนอร์ระดับอินเตอร์สินะ”

   “ใช่ พัสกาญนี่เป็นแบรนด์ลูกของแบรนด์ YNW นะ ที่ออกแบบและผลิตเพื่อจำหน่ายในไทยเท่านั้น”

   “แปลกนะ ทำเพื่อขายที่นี่ แต่ไปลงนิตยสารที่อื่น”

   “ก็เพื่อโปรโมทแบรนด์ไทยยังไงล่ะ”

   “ดูนายจะชื่นชมดีไซเนอร์คนนี้มากเลยนะ”

   “อืม ก็เขาทำให้ประเทศเราเป็นที่รู้จักนี่ ทั้งที่ตัวเองอยู่เมืองนอกแท้ ๆ”

   “ถ้ารักบ้านเกิดจริง จะไปอยู่เมืองนอกทำไม”

   “นี่ทัช นายดูจะไม่ค่อยชอบเจ้าของแบรนด์นี้เลยนะ”

   “ไม่ใช่ไม่ชอบ แค่ฟังแล้วหมั่นไส้”

   “เอาเถอะ ๆ นายโชคดีแค่ไหนที่ได้งานนี้”

   “ที่ได้ใส่ชุดของพัสกาญนี่นะ?”

   “ใช่ นายเป็นนายแบบคนไทยคนแรก และคนเดียวของงานนี้เลยนะ”

   “หมายความว่ายังไง”

   “ก็พี่รุธเขาใช้นายแบบจาก 4 คนจาก 4 ประเทศในเอเชียยังไงละ”

   “อ่อ ฉันเป็นตัวแทนคนไทย?”

   “ใช่ ที่สำคัญพี่รุจยังไม่ได้เลือกนายแบบที่จะใส่ชุดพิเศษของพัสกาญนะ”

   “โห่...ต้องมีชุดพิเศษด้วย”

   “ไอเดียวของคุณอิงลิช เขาอยากให้ออกแบบชุดพิเศษสำหรับนิตยสารของเขา”

   “อ่อ”

   “วันนี้หลังจากลองชุดแล้ว พี่รุธกับทีมงานเขาจะเลือกนายแบบที่ใส่ชุดนี้อีกที”

   “อืม มันก็แค่ชุดพิเศษ”

   “นี่นายไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ”

   “ไม่”

   ทัชชาพูดจบก็เดินมาถึงส่วนที่อธิรุธกำลังคุยงานอยู่กับทางทีม อามันต์จึงรีบก้าวเข้าไปทักทาย ก่อนที่ทัชชาจะเริ่มงานพร้อมกับนายแบบคนอื่น ๆ

........................................................................

   อิงลิชออกมาต้อนรับพัสกาญถึงลานจอดรถภายในบริษัทฯ ซึ่งพัสกาญก็ยังเหมือนเดิม ขับรถมาด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีคนขับรถหรือคนติดตามให้วุ่นวาย

   “คุณพัส ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

   “สวัสดีครับคุณอิงลิช มายืนรอแบบนี้ผมเกรงใจ”

   “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ อิงลิชซะอีกที่ดีใจที่คุณพัสให้เกียรตินิตยสารของอิงลิช”

   “ผมเพิ่งทราบว่าคุณอิงลิชเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับนี้ด้วย”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ของรุธนะคะ คู่หมั้นของอิงเอง”

   “อ่อ”

   “เข้าไปคุยกันด้านในดีกว่าค่ะ ตรงนี้ร้อนจะแย่ อากาศที่เมืองไทยก็ร้อนมาก คุณพัสไม่ชิน เดี๋ยวจะป่วยเอา”

   “ผมแข็งแรงดีครับ แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” ทั้งสองคนเริ่มเดินกันไป คุยกันไปโดยมีเลขาของอิงลิชเดินตามอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งมาถึงบริเวณสตูดิโอที่นายแบบกำลังลองชุด และถ่ายรูปฟิตติ้งกันอยู่

   “คุณพัสจะเข้าไปดูนายแบบที่รุธเลือกไว้ใกล้ ๆ ไหมคะ?”

   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมค่อยดูรูปที่คุณอิงลิชส่งมาให้ที่หลังก็ได้ครับ เราไปจัดการเรื่องเอกสารของเรากันเถอะครับ”

   “ตายแล้ว นี่คุณพัสรีบรึเปล่าคะเนี่ย อิงขอโทษจริง ๆ นะคะ ดันพามาเถลไถล”

   “ไม่ได้รีบอะไรหรอกครับคุณอิงลิช เพียงแต่ผมไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย เดี๋ยวคุณรุธจะเสียงาน เสียเวลา”

   “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางนี้ค่ะ”

   อิงลิชพาพัสกาญเดินไปยังส่วนออฟฟิศ เพื่อคุยรายละเอียดและเซ็นต์สัญญา เพราะชุดที่พัสกาญออกแบบให้กับนิตยสาร จะไม่มีวางจำหน่ายที่ไหน นอกจากสั่งซื้อผ้านิตยสารของอธิรุธเท่านั้น

........................................................................

   พัสกาญรอดตัวอย่างหวุดหวิด อันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะเสียมารยาทกับคุณอิงลิช แต่เพราะเห็นว่าทัชชาเป็นหนึ่งในนายแบบที่อยู่ตรงนั้น มันทำให้เขาจำเป็นต้องเลี่ยงออกมา

   “อ่านสัญญาแล้ว คุณพัสติดประเด็นไหนไหมคะ?”

   “ไม่ครับ ไม่ทราบว่าให้ผมเซ็นต์ไหน?”

   “ตรงนี้ค่ะ” อิงลิชเปิดไปยังหน้าที่เขาจะต้องเซ็นต์ เมื่อเซ็นต์เอกสารเสร็จ ประตูห้องก็เปิดออกมาพร้อมด้วยบรรณาธิการนิตยสารตัวจริง เขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้

   “สวัสดีครับคุณพัส เชิญนั่ง ไม่ต้องเกรงใจ” อธิรุธเดินเข้ามายืนข้าง ๆ อิงลิช ก่อนที่ทั้งหมดจะนั่งลง

   “สวัสดีครับ คุณรุธ”

   “เมื่อครู่ผมเห็นคุณพัสเข้าไปที่สตูฯ ทำไมอิงไม่พาคุณพัสเขาไปดูนายแบบของเราล่ะ?”

   “อิงชวนแล้วค่ะ แต่คุณพัสเกรงว่าจะไปรบกวนงานของคุณ”

   “แล้วนี่คุยกันไปถึงไหนแล้วละครับ”

   “ผมเซ็นต์สัญญาเรียบร้อยแล้วครับ”

   “อ่อ ผมเพิ่งจะพบคุณพัสเป็นครั้งแรก ขอโทษนะครับ คุณพัสอายุเท่าไรครับ เห็นคุณยังเด็กอยู่เลย”

   “26 ครับ”

   “หืม...อายุเท่านี้ มีแบรนด์เสื้อเป็นของตัวเองแล้ว เก่งจังเลยนะคะ เอ่อ...คุณพัสค่ะ อิงได้ยินมาว่า คอลเล็กชั่นใหม่ของ YNW คุณพัสได้ร่วมออกแบบด้วยใช่ไหมคะ?”

   “ก็นิดหน่อยครับ”

   “ผมนี่โชคดีนะครับ ที่ได้อิงช่วยติดต่อคุณให้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสได้เจอตัวคุณแน่ ๆ ท่าทางงานจะยุ่ง แล้วนี่คุณพัสต้องเดินทางไปฮ่องกงเมื่อไรครับ”

   “ผมยังไม่ได้แพลนเอาไว้ครับ”

   “แต่สิ้นเดือนนี้ ก็จะถึงงานแฟชั่นวีคของ YNW ที่จะจัดที่ญี่ปุ่นแล้วนะคะ คุณพัสจะทำงานทันเหรอคะ?”

   “ของที่ญี่ปุ่น ผมส่งงานไปแล้วครับ”

   “เด็กรุ่นใหม่นี่เก่งจริง ๆ เลยนะคุณอิง”

   “จริงค่ะ เดิมทีอิงก็พอทราบว่าคุณพัสมีความสามารถมากอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะทำงานเก่งขนาดนี้”

   “เอ่อ คุณพัสครับ ถ้าผมจะขอสัมภาษณ์คุณพัสลงนิตยสาร ไม่ทราบว่าคุณพัสพอจะให้โอกาสนิตยสารของเราได้ไหมครับ”

   “ผมไม่สะดวกในเรื่องนั้นจริง ๆ ครับ ต้องขอโทษคุณรุจด้วย แต่ถ้าหากมีงานอื่นจะให้ผมช่วยเหลือ ผมยินดีช่วยเต็มที่”

   “รุจอย่าทำให้คุณพัสลำบากใจเลยค่ะ อีกอย่างคุณพัสก็ปฏิเสธมาในอีเมลแล้ว”

   “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมตื่นเต้นไปหน่อยที่ได้ร่วมงานกับคนที่มากความสามารถอย่างคุณพัส ไม่เป็นไรครับ เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน”

   พัสกาญได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ หลังจากนั้น เขาก็คุยกับทั้งสองคนอีกสักพักก็ขอตัวกลับ เนื่องจากอธิรุธยังคงไม่ยอมแพ้ ค่อยหว่านล้อมขอสัมภาษณ์เขาทุกครั้งที่มีโอกาสได้เอ่ย

To Be Continued

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 11 : 15.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-08-2019 21:49:55
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 11 : 15.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-08-2019 21:53:22
สรุปทัชชาคงไม่ใช่พระเอกแน่เลย
หรือจะเป็นเพื่อนกร  :mew2:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 12 : 29.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 29-08-2019 23:04:37
12







   หลังจากที่ทัชชาลองชุดเสร็จเรียบร้อย เขาพร้อมทั้งกะทันหันต์จึงเดินไปยังหน้าลิฟท์ เพื่อจะขึ้นไปหาอธิรุธที่ห้องทำงาน

   “พี่รุธมีเรื่องอะไรจะคุย ถึงให้เราขึ้นไปหา แล้วไหนจะออกจากสตูดิโอไปกลางคันแบบนั้นอีก ดูไม่ใช่พี่รุธเลย”

   “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนที่นายฟิตติ้งอยู่ เหมือนเขาจะรีบตามคู่หมั้นออกไป ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกันรึเปล่า ฉันหวังว่าคงไม่ใช่เพราะข่าวของนายกับพราวช่วงนี้นะ”

   “ข่าวมันก็คือข่าว พวกเราก็รู้จักพี่รุธมานาน เขาแยกแยะออกแหละน่า”

   เมื่อลิฟต์เปิดออกมา เขาก็ก้าวเข้าไปโดยยังคงหันไปคุยกับอามันต์อยู่ ทำให้ไม่ทันได้ระวัง และเพราะไม่คิดว่าจะมีใครใช้ลิฟต์ในช่วงเวลานี้ ทีมงานส่วนใหญ่ทำงานที่สตูดิโอกันหมด ทำให้เขาชนกับใครบางคนเขา คนคนนั้นล้มลงไปนั่งกับพื้น เอกสารในมือหล่นกระจาย หญิงสาวที่มาด้วยกันร้องเสียงหลง อามันต์จึงรีบเข้ามาช่วยเก็บของพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น

   “ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่า” เขาเข้าไปช่วยพยุง และพบว่าคนตรงหน้าคือเด็กฝึกงานที่ทำงานอยู่กับกรกฤต

   แว่นที่เลื่อนหล่นออกจากใบหน้าเผยให้เห็นดวงตาสวยหวาน แพขนตาที่คาดว่าใส่แว่นกลับที่เดิม มันคงจะยาวมาจนชนกับเลนส์ของแว่น ทัชชาเพิ่งจะเห็นแววตาภายใต้แว่นตัดแสงสีฟ้านี้เป็นครั้งแรก เป็นดวงตาที่สวยมากจริง ๆ เขามองอย่างไม่อาจจะละสายตาจากดวงตาคู่นี้ได้เลย ถ้าเด็กคนนั้นไม่เอ่ยขึ้นมาซะก่อน

   “มะ มะ เป็นไรครับ” คนตรงหน้ารีบดันแว่นให้เข้าที่หลังจากยืนขึ้น จากนั้นก็หันไปรับเอกสารจากหญิงสาวและอามันต์

   “นาย!!” อามันต์ร้องทักแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเด็กคนนั้นก็พูดขัดขึ้นมาก่อน

   “คุณอิงลิชไม่ต้องไปส่งผมก็ได้ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” จากนั้นก็รีบเดินเร็วๆ หนีพวกเขาไป

   “เป็นอะไรของหมอนั่นกันว่ะ แล้วนายเป็นอะไรรึเปล่า” อามันต์หันมาถามเขาหลังจากหญิงสาวอีกคนรีบเดินตามหนุ่มแว่นนั่นไป

   “ผู้หญิงคนนั้น ใช่คู่หมั้นพี่รุธรึเปล่า?”

   “อืม ใช่ คนนี้แหละ”

   “หมอนั่นมาทำอะไรที่นี่”

   ทัชชาและอามันต์มองอย่างสงสัย ก่อนที่อามันต์จะเตือนสติให้เขาขึ้นไปพบอธิรุธที่รอพบพวกเขาอยู่ ทัชชาเก็บความสงสัยเอาไว้ แล้วเดินตามอามันต์เข้าลิฟต์ไป เมื่อมาถึงห้องของอธิรุธ พวกเขาก็นั่งคุยรายละเอียดของงานกันเพิ่มเติมจากเดิม

   “เอาเป็นว่า เรื่องถ่ายแฟชั่นทัชโอเคตามนี้นะ” อธิรุธถาม เขาก็ส่งเอกสารสัญญาจ้างงานให้อามันต์รับไปอ่าน

   “เป็นงานของพี่รุธ มีเหรอที่ผมจะไม่โอเค”

   “ดี ๆ แต่งานนี้จะให้พูดกันตามตรง ไม่มันใช่งานของพี่หรอก ต้องยกเครดิตให้อิงเขาเลย”

   “อิง?”

   “คุณอิงลิช คู่หมั้นพี่รุธไงล่ะ” อามันต์หันมาบอกเขา เขาพยักหน้ารับ

   “มันต์อ่านแล้วก็โอเคตามนั้นไหม?”

   “ในรายละเอียดมีสโคปของงานเพิ่มเติ่มเข้ามา ส่วนนี้ผมยังไม่เห็นเนื้อหา มันหมายความว่ายังไงครับ” อามันต์ถามอธิรุธ พร้อมกับส่งเอกสารคืนให้เขา และชี้ไปยังจุดที่มีการเพิ่มเติมขึ้นมา

   “ไม่ต้องตกใจ เอกสารฉบับนี้เป็นแค่ร่างสัญญา รายละเอียดตรงนั้น ที่มันยังไม่มี เพราะพี่ต้องการจะคุยกับทัชก่อนยังไงล่ะ”

   เสียงเคาะประตูทำให้การสนทนาของพวกเขาหยุดลงชั่วขณะ ก่อนที่คุณอิงลิชจะเดินเข้ามา และนั่งลงข้าง ๆ กับอธิรุธ

   “ขอโทษนะคะ ที่ปล่อยให้รอ ไม่ทราบว่าคุยกันไปถึงไหนแล้วค่ะ?”

   “กำลังจะคุยเรื่องสโคปที่เพิ่มเข้ามาพอดี” อธิรุธเป็นฝ่ายตอบคำถาม “ถ้าอิงมาแล้ว ผมให้อิงอธิบายในส่วนนี้เลยก็แล้วกัน” เธอยิ้มให้น้อย ๆ ก่อนจะหันมาคุยกับพวกเขา

   “คุณทัชน่าจะพอทราบแล้วว่า เสื้อผ้าที่นำมาถ่ายนิตยสารครั้งนี้คือแบรนด์พัสการ แล้วอิงก็ขอให้คุณพัสออกแบบชุดพิเศษเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 4 ปี ซึ่งทางคุณพัสก็ยินดี งานเซตที่เราจะถ่ายนี้ เราจะวางเดือนหน้า แต่สำหรับชุดพิเศษ เราจะวางในเดือนพฤศจิกายน”

   “มันจะเป็นเดือนที่ครบรอบ 4 ปีของนิตยสารของพี่พอดี” อธิรุธเสริม

   “ใช่ค่ะ นิตยสารฉบับนั้นจะเป็นเล่มที่รวมความพิเศษเอาไว้ ตอนนี้อิงกับพี่รุธ เราทำงานกันหนักมากเพื่อให้เล่มนั้นออกมาพิเศษจริง ๆ และหนึ่งในนั้นก็คือชุดพิเศษพร้อมบทสัมภาษณ์ของคุณพัสกาญ”

   “คุณพัสกาญ ชื่อเดียวกับชื่อแบรนด์” คุณอิงลิชพยักหน้ายิ้มๆ “แล้วเขายอมให้คุณอิงสัมภาษณ์แล้วเหรอครับ?” อามันต์ถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้นแต่กลับได้รับการส่ายหน้าของเธอเป็นคำตอบ

   “ยังคะ คุณพัสยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม แต่อิงกับพี่รุธยังพอมีเวลาที่จะหว่านล้อมคุณพัสอยู่บ้าง ที่พี่รุธเชิญคุณทัชมาคุยเพราะแผนที่เราวางไว้มันยังไม่นิ่ง เราจึงต้องมาตกลงกันก่อน”

   “มันจะต่างกันตรงไหนครับ ระหว่างมีบทสัมภาษณ์ของคุณพัสกับไม่มี”

   “พี่กับอิงวางคอนเซ็ปของคอลัมนี้ไว้ 2 แนวทาง 1 ถ้าคุณพัสให้สัมภาษณ์ พี่ก็จะให้ทัชขึ้นปก”

   “หมายความว่าทัชได้รับเลือกจากคุณพัสเหรอครับ” อามันต์แทรกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

   “คุณพัสให้พวกพี่เลือกน่ะ พี่เลยเลือกทัชเหตุผลมาจากทางเลือกที่สอง”

   “หมายความว่า ไม่ว่างานจะสรุปออกมาในแนวทางไหน พี่รุธก็ยังจะจ้างผม”

   “ใช่แล้วค่ะคุณทัช ทางเลือกอีกทางคือ เราจะสนับสนุนให้คุณเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของพัสการ”

   “จริงสิ พัสกาญยังไม่มีแบรนด์แอมบาสเดอร์เลยตั้งแต่ออกวางจำหน่ายมา” อามันต์เสริม

   “ถูกต้องแล้วค่ะ ที่พัสกาญไม่มีแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็เพราะว่าเขาใช้นายแบบและนางแบบในสังกัดที่เซ็นต์สัญญากับ YNW เท่านั้น”

   “เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเสื้อผ้าของพัสกาญถึงไม่เคยลงนิตยสารในบ้านเราเลย ลงแต่หัวนอกเท่านั้น”

   “นั่นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นค่ะ ข่าวที่อิงพอได้ยินมา ดูเหมือนว่าคุณพัสจะเป็นลูกศิษย์ของฝู่มู่ตาน เจ้าของแบรนด์ YNW เธอเลยสนับสนุนผลงานของคุณพัส”

   “คุณพัสนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ แล้วนี่คุณอิงไปติดต่อกับคุณพัสได้ยังไงครับ” อามันต์ถามอย่างชื่นชมแกมอยากรู้

   “อันที่จริง อิงก็เจอคุณพัสไม่บ่อยหรอกค่ะ ทุกครั้งที่เจอคุณพัสมักจะเป็นงานใหญ่ ๆ ได้คุยกันเพียงไม่กี่คำ ส่วนใหญ่เรามักจะคุยงานกับบนอีเมลเท่านั้น เพิ่งจะมีโอกาสได้คุยจริงจังก็คราวนี้นี่แหละค่ะ”

   “ไม่รู้ว่าคนอย่างผมจะมีโอกาสได้เจอคุณพัสบ้างรึเปล่านะครับ”

   “อิงก็ตอบไม่ได้หรอกค่ะ ว่าคุณกะทันหันจะยอมมาที่บริษัทฯ อีกเมื่อไร อิงหวังเพียงแต่ให้คุณพัสยอมให้เราสัมภาษณ์เท่านั้นแหละค่ะ”

   “ผมเอาใจช่วยนะครับ ผมนี่ก็อยากเจอคุณพัสกาญตัวจริงสักครั้งเหมือนกัน”

   “ดูเหมือนว่าทั้งอิง และคุณมันต์จะเป็นแฟนตัวยงของคุณพัสซะแล้วสิ” อธิรุธพูดยิ้ม ๆ

   “เก่ง น่ารัก นิสัยดีแบบนี้ ถ้าอิงไม่มีพี่รุธ อิงคงวิ่งไปตามจีบคุณพัสเขาแล้วละคะ”

   ทั้งอามันต์และอธิรุธต่างยิ้มขำ กับคำพูดของอิงลิช จากนั้นอธิรุธก็คุยรายละเอียดและข้อสัญญา รวมถึงเปอร์เซ็นต์ค่าตัวของทัชชาที่บริษัทของอธิรุธจะได้รับ หากพัสกาญให้ทัชชาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

   เมื่อคนทั้งหมดตกลงกันได้แล้ว อธิรุธก็เดินลงมาส่งทัชชาและอามันต์ที่หน้าตึกของบริษัท ระหว่างที่รออามันต์ก็ไปเอารถมารับเขาทัชชาจึงถามในเรื่องที่สงสัย

   “เอ่อ พี่รุธ ผมว่าจะถามตั้งแต่ตอนที่ขึ้นไปแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส”

   “เรื่องอะไรละ?”

   “ตอนที่ผมกำลังจะขึ้นไปหาพี่ ผมพบคุณอิงลงมาพร้อมกับเด็กม่อน เด็กนั่นจะมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”

   “เด็กม่อน?”

   “เด็กผู้ชายที่ใส่แว่นเลนส์สีฟ้า ที่ลงมาพร้อมกับคุณอิงน่ะครับ”

   “อ่อ คุณพัสน่ะเหรอ อืม...ที่ทัชเข้าใจผิดก็ไม่แปลก คุณพัสเขายังเด็กอยู่มาก เพิ่งอายุ 26 เท่านั้นเอง ว่าแต่ทำไมทัชถึงเรียกเขาว่าม่อนล่ะ?”

   “คุณพัส พัสกาญ...” เขาทวนชื่อออกมาเบา ๆ

   “ใช่ คุณพัส หรือคุณพัสกาญ หิรัญสิงหนิราศ ลูกนายตำรวจใหญ่คนนั้นนั่นแหละ”

   ทัชชาได้อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใด ไฮโซหนุ่มอย่างพัสกาญถึงได้มาทำงานเป็นผู้ช่วยกรกฤต เพียงเพื่อมาดูแลชาริสาเท่านั้นเหรอ หรือว่าพัสกาญมีใจให้ชาริสาอยู่ เขาสองคนอาจจะมีความสัมพันธ์กันมากกว่าความเป็นเพื่อน

.........................................................................

   พัสกาญว่างจากการดูแลชาริสา ก็ปลีกตัวออกมาหามุมเงียบ ๆ ทำงานอย่างเช่นเคย โดยจะมีนาน ๆ ทีที่ไลลา หรือกะทิจะนำขนมหรือเครื่องดื่มมาให้เขาแล้วก็กลับไปทำงานอยู่ ไม่ได้มารบกวนเขาเหมือนช่วงก่อนหน้า

   เขายังคงได้รับอีเมลจากอธิรุธและอิงลิชอยู่เรื่อย ๆ บ้างเป็นการคุยกันเรื่องแบบชุดพิเศษ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคะยั้นคะยอ หรือหว่านล้อมให้เขาสัมภาษณ์ลงนิตยสารมากกว่า

   หลังจากที่เขาบังเอิญเจอทัชชาที่สำนักงานของนิตยสาร เขาก็รู้สึกว่าทัชชาจับตาดูเขามากขึ้น ออร่าที่เปล่งออกมาก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จนเขาทั้งสงสัยและสับสนในเวลาเดียวกัน

   บางครั้งทัชชาเหมือนจะมีความรู้สึกดี ๆ กับเขา แต่บางเวลากลับเคลือบแคลงสงสัย ยิ่งตอนที่เขาถูกจับตามองอยู่แบบนี้

   “ไงมึง เหม่ออีกแล้วนะ”

   “อ่าว แหม่มเสร็จแล้วเหรอ” เขาตกใจเสียงของกรกฤต จึงรีบปิดคอม เตรียมกลับเข้าไปช่วยงาน

   “ไม่ต้อง ๆ คิวของแหม่มวันนี้จบแล้ว และคิวของวันถัด ๆ อีก 2 วันน่าจะต้องเลื่อนไปก่อน”

   “เกิดอะไรขึ้น”

   “ก็อะไรซะอีก ยัยพราวของเลื่อนคิวกะทันหันนะสิ เลยถ่ายต่อไม่ได้ พี่กวินทร์เลยสั่งพักกอง 2 วัน”

   “อ่อ”

   “ไป เก็บของกลับบ้าน เดี๋ยวฉันไปส่ง”

   “วันนี้เขายังไม่เลิกกองไม่ใช่หรอก ยังมีซีนอื่น ๆ อีกนี่”

   “ซีนที่เหลือให้ชาญกับเอมดูแลได้ ไปเถอะ เผื่อแวะไปฝากท้องร้านพี่นนท์ด้วย”

   “อืม ได้ๆ รอแป๊บหนึ่ง”

   “มึงเก็บของเสร็จแล้วตามฉันไปที่รถแล้วกัน ฉันไปบอกแหม่มกับน้องดาก่อน”

   “สองคนนั้นจะไปด้วยเหรอ?”

   “ยังไม่รู้ ยังไม่ได้ชวน แต่กูว่าน้องดาน่าจะไม่ปฏิเสธ” เขาเข้าใจความหมายของกรกฤตดี

   “อืม เสร็จแล้วเดี๋ยวกูตามไป”

   พัสกาญรีบเก็บของอย่างรวดเร็ว และรีบตามกรกฤตไปที่รถโดยไม่ทันสังเกตว่าตนเองได้ทำสิ่งของหล่นไว้ข้าง ๆ เก้าอี้ที่เขานั่งทำงานเมื่อสักครู่ และมีใครบางคนได้เก็บสิ่งของชิ้นนั้นไปแล้ว

........................................................................

   มีนักแสดงบางส่วนถูกยกเลิกคิวถ่ายในวันนี้ เนื่องจากขาดพราววริศาไป นอกจากจะมีชาริสาและ อาทิตย์ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

   “เฮ้อ...ทำไมรู้สึกว่าการถ่ายละครเรื่องนี้มันถึงได้เหนื่อยขนาดนี้นะ” อาทิตย์เปรย ๆ ขึ้นระหว่างเก็บของเตรียมตัวกลับ

   “เอาน่าอาร์ท คิดซะว่าได้พัก ช่วงนี้ได้ยินว่าคิวเต็มไม่ใช่เหรอ?”

   “ก็เพราะคิวแน่นนะสิ ไม่รู้ว่าจะหาคิวลงให้พี่กวินทร์ได้อีกทีเมื่อไร”

   “แค่ไม่กี่ซีนเอง ผู้จัดการของนายน่าจะหาเวลาได้แหละน่า”

   “ใช่ที่ไหนละทัช นี่นายคงยังไม่รู้ ว่าฉัน น้องแหม่ม แล้วก็ดาราสมทบอีกไม่รู้ตั้งกี่คน โดนยกเลิกคิวไป 2 วันครึ่งเลยนะ”

   “เฮ้ย อีก 2 วันเลยเหรอ?”

   “นายก็น่าจะโดนด้วยแหละมั้ง เปิดกองไปก็ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย สู้พักกองไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ?”

   “ฉันยังไม่ได้คุยกับอามันต์เลย เห็นว่าเจษฎ์เรียกไปคุยอยู่เหมือนกัน”

   “ถ้ามันต์โดนเรียก แสดงว่าคิวของนายคงโดนเลื่อนด้วยเหมือนแหละ”

   “แล้วทำไมพราวถึงได้เลื่อนคิวถ่ายอีกแล้ว”

   “เออ...เรื่องนี้...”

   “ไม่เป็นไร บอกมาเถอะ ฉันกับพราวก็แค่พี่น้องร่วมวงการกัน”

   “ฉันได้ยินหลินบอกว่า พราวเขาติดคุณพหลมาก ถ้าเดาไม่ผิดเขาน่าจะไปเที่ยวมันดีฟด้วยกัน?”

   “คุณพหล?”

   “ก็คนที่เป็นข่าวกับพราวนั่นแหละ เจ้าของรถหรูสีขาวคนนั้น”

   “อ่อ”

   “ทัช นายไม่ได้ชอบพราวจริง ๆ ใช่ไหม?”

   “ชอบ”

   “ทัช”

   “อาร์ท ฉันชอบพราวเพราะน้องเขานิสัยดี ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก”

   “พูดซะตกอกตกใจหมด”

   “อืม ฉันไปหาอามันต์ก่อน จะได้รู้ว่าจะได้พักไหม ฉันเองก็อยากพักนะ จำไม่ได้แล้วว่าหยุดพักครั้งล่าสุดนี่ มันเมื่อไร”

   “คิวนายก็แน่นเหมือนกันนี่ ฉันชักจะสงสารอามันต์แล้วสิที่ต้องคอยจัดคิวให้นาย”

   “ฉันกลับสงสารตัวเองมากกว่าที่โดนมันต์มันใช้งานไม่ให้ได้หยุดพักเลย”

   สองพระเอกพระรองคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่ทัชชาจะเดินออกมาตามหาอามันต์ เขาก็แอบเห็นพัสกาญกำลังเก็บของอย่างรีบร้อน จนบางสิ่งบางอย่างร่วงออกมาจากกระเป๋าโดยที่เจ้าตัวไม่ทันระวัง

   ทัชชาเดินเข้าไปที่ข้าง ๆ เก้าอี้ แล้วหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมา ดินสอกดไส้ใหญ่ที่มักจะเห็นพวกนักออกแบบพบกันด้ามหนึ่ง ดูจากสภาพน่าจะผ่านการใช้งานมาหลายปี ที่ด้ามมีสลักตัวอักษรไว้ M

   “ม่อนอย่างนั้นเหรอ หึ ทำอะไรเป็นเด็ก ๆ”

   เขามองที่ดินสอแล้วอยู่ ๆ เขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ กรกฤตไม่เคยพกดินสอแบบนี้เลย ถ้าอย่างนั้น คนที่เขียนให้กำลังใจเขา คงเป็นใครไม่ได้นอกจากเจ้าของดินสอด้ามนี้

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 12 : 29.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 29-08-2019 23:58:21
ทัชคือพระเอกจริงๆ สินะ

มาต่อไวๆๆๆน๊าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 12 : 29.Aug '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 03-09-2019 12:22:32
ถ้าชอบก็รุกเลยซิคุณทัช
แต่แอบกลัวดราม่าการเข้าใจผิดระหว่างทั้งคู่จัง
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 13 : 27.Sep '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 27-09-2019 09:15:54
13





               ภาริชเฝ้าติดตามทำข่าวของชาริสา ตามงานอีเว้นท์ต่าง ๆ แต่ก็ไม่พบชายสองคนที่มักจะตามติดเธอเมื่ออยู่ในกองถ่ายละครเลย หรือแม้กระทั่งนอกเวลาทำงาน เธอก็มักจะพบชาริสาอยู่กับผู้จัดการส่วนตัวของเธอเท่านั้น


               เขาตัดสินใจเข้ามาทำข่าวในกองถ่ายละครอีกครั้ง และก็เป็นจริงอย่างที่น้อง เพื่อนนักข่าวของเขาเคยบอกไว้ นายแว่นนั่นมักจะคอยตามดูแลชาริสาร่วมกับกรกฤตตลอดเวลา จนกระทั่งตกช่วงบ่าย ได้ยินคนในกองบอกว่าพราววริศาขอเลื่อนคิวกะทันหัน ทำให้นักข่าวหลายคนเริ่มขยับเพื่อไปหาสาเหตุที่พราววริศาเลื่อนคิวถ่าย


               ภาริชพบว่า คิวที่พราววริศาเลื่อนนั้น ต้องถ่ายร่วมกับชาริศา เมื่ออีกคนไม่มาทำให้คิวของอีกคนต้องถูกยกเลิกไปด้วย เขาเห็นคนทั้ง 4 ที่เขาเฝ้ามองออกจากกองถ่ายไปในเวลาไล่เลี่ยกัน เขาจึงเลือกจะลองตามหนุ่มแว่นนั่นไปแทน


               คนทั้ง 4 มารวมตัวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มาทานอาหารร่วมกันจนกระทั่งแยกย้ายกันไป โดยชาริสายังคงไปกับชันดาน้องสาวของเธอ ส่วนหนุ่มแว่นนั่นก็ไปกับกรกฤตเช่นเดิม ทำให้ภาริชละความสนใจคนกลุ่มนี้


               ภาริชแวะไปหาอิงลิสที่สำนักพิมพ์ของคู่หมั้นเธอ และได้มีโอกาสพบกับอธิรุธ ทั้งสามจึงได้คุยกัน


               “ภาเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยของอิงค่ะ”


               “ผมเคยได้ยินอิงเล่าเรื่องคุณภาให้ฟังอยู่บ่อยๆ เป็นยังไงบ้างครับสายงานข่าว? ”


               “ก็เรื่อย ๆ ครับ วันนี้แวะมาหาพี่อิงเพราะผมคิดอะไรไม่ออก” อธิรุธได้แต่ทำหน้างุนงง


               “คืออย่างนี้คะรุธ ภาเขามีเซ้นเรื่องข่าว แต่บางทีเขาก็อธิบายไม่ได้เลยต้องการให้อิงช่วยเรียบเรียงความคิดเขาก็เท่านั้นเอง”


               “อ่อ ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้คุณภาคงมีเรื่องสงสัยอยู่สินะครับ”


               “ครับ ผมแค่คุ้นหน้าคน ๆ หนึ่ง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน”


               “แล้วเขามีอะไรน่าสนใจให้ภาตามข่าวละ? ”


               “เขาดูสนิทสนมกับชาริสามาก อาจจะเป็นแฟนนอกวงการของเธอก็เป็นได้”


               “ทำไมภาถึงคิดแบบนั้นละ”


               “ผมว่านะพี่ หนุ่มคนนั้นอาจจะปลอมตัวมา เพื่อดูแลชาริสาเป็นพิเศษก็ได้”


               “นี่นายแต่งนิยายขายได้เลยนะ” อธิรุธแซวทำให้อิงลิชถึงกับขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่


               “ก็เพราะภาเขาคิดไม่ตกยังไงละคะ ถึงต้องได้พึ่งอิง ไหนขอพี่ดูข้อมูลหน่อยสิ”


               “ยังไม่มีข้อมูลอะไรเลย มีแต่รูป”


               “อ่าว ถ้าอย่างนั้นพี่ดูแค่รูปก็ได้”


               เขาถอดเมมโมรี่จากกล้องถ่ายรูปส่งให้อิงลิช เธอจึงโหลดรูปใส่คอมพิวเตอร์ของเธอ จากนั้นไม่นานรูปทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นมา


               “นี่เป็นรูปในกองถ่ายนี่ อ่ะ มีคุณทัชด้วยค่ะพี่รุธ”


               “ใช่ วันนี้ผมไปกองถ่ายมา พี่อิงดูรูปนี้สิ แล้วก็นี่ด้วย” เขาชี้รูปในกองถ่าย และรูปที่ร้านอาหาร”


               “นี่มัน”


               “ใช่ไหมล่ะ ชาริสาจะมีหนุ่มคนนี้คอยดูแลไม่ห่างเลยนะ แต่ผมยังไม่เคยจับได้คาหนังคาเขาว่าเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองนี่สิ”


               “พี่รุธค่ะ ถ้าเราเอารูปนี้ไปให้คุณพัส เขาอาจจะยอมให้เราสัมภาษณ์ก็ได้นะ”


               “ไม่ได้ เรายังไม่รู้ความจริงทั้งหมด เรื่องมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจก็ได้ อีกอย่างถ้าเราทำแบบนั้น ก็เท่ากับเราแบล็กเมล์คุณพัสนะ”


               “แต่ว่า”


               “ไม่ ยังไงพี่ก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้”


               “เดี๋ยว ๆ อะไรกันพี่อิง”


               “คนคนนี้ เขาคือพัสกาญ หิรัญไหมคะหนิราศ เจ้าของแบรนด์พัสกาญ”


               “พัสกาญ... พัสกาญ... เฮ้ย!! พัสกาญ หิรัญสิงหนิราศ!! เดือนมหาลัยที่เคยจะฆ่าตัวตายคนนั้นอะนะ? ”


               “เดือนมหาลัยคนนั้น กับคุณพัสเกี่ยวอะไรกัน”


               “ก็พัสกาญ หิรัญสิงหนิราศ คนนั้นไงพี่ ตอนนั้นถึงพี่จะอยู่ปีสุดท้าย แต่ข่าวดังออกจะดังพี่ไม่มีทางจะไม่รู้หรอก ถึงครอบครัวนี้จะปิดข่าวจากคนภายนอกก็เถอะ”


               “เรื่องนั้นพี่รู้ แต่พี่ไม่เข้าใจว่าเขาเกี่ยวยังไงกับคุณพัส”


               “ก็คุณพัสของพี่ หรือคุณพัสกาญ หิรัญสิงหนิราศ นี่แหละคือเดือนมหาลัยคนนั้น ตอนนั้น ในมหา'ลัย ผมเป็นคนทำข่าวนี้เองจะจำไม่ได้เชียวเหรอ ว่าอยู่ว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้า”


               “พี่พอรู้ข่าวอยู่ แต่จำไม่ได้ว่าเดือนคนนั้นชื่ออะไร หน้าตาเป็นยังไง”


               “สงสัยที่คุณพัสไม่อยากให้พวกเราสัมภาษณ์ลงนิตยสาร คงเป็นเพราะไม่อยากให้ใครไปขุดคุ้ยอดีตของเขาสินะ”


               “ภา แล้วภาจะเอายังไงต่อ”


               “พวกพี่อยากจะสัมภาษณ์พัสกาญอย่างนั้นเหรอ”


               “ใช่เพราะนอกจากเขาเป็นถึงเจ้าของแบรนด์พัสกาญ แล้วยังมีข่าวอีกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของฝู่มู่ตาน เจ้าของแบรนด์ YNW อีกด้วยนะ”


               “พี่ได้ข่าวมาผิดแล้ว ลูกศิษย์ที่ไหน ลูกชายต่างหาก ฝู่มู่ตาน หรือ โบตั๋น ชูวนาสุวรรณ เป็นแม่แท้ ๆ ของพัสการ”


               “ถ้าอย่างนั้นคุณพัสไม่เท่ากับเป็นหนึ่งในทายาทของกลุ่มธุรกิจเยี่ยหวออย่างนั้นเหรอ”


               “ก็ใช่นะสิ พวกพี่จะตื่นเต้นกันไปทำไม นายพัสคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็ชอบเก็บตัว นิสัยเหมือนพี่ชายคนโต ผิดกับคุณเจเรมี รายนั้นออกงานสังคมกับคุณกัมพลเป็นว่าเล่น”


               “ไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไงกัน จากที่คิดว่าเป็นเจ้าของแบรนด์ชื่อดัง ตอนนี้กลายเป็นทายาทกลุ่มธุรกิจที่ระดับประเทศเลยนะ”


               “ถึงผมจะอยู่สายข่าวบันเทิง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องราวพวกนี้ แล้วตระกูลเขาเคารพการตัดสินใจของคนในครอบครัว และ 3 พี่น้อง ถึงจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็รักกันมาก ปกป้องกันเสมอ”


               “นี่นายหมดความสนใจจะทำข่าวพัสกาญกับชาริศาแล้วเหรอ? ”


               “อืม ข่าวมันไม่มีอะไรน่าเล่นแล้วนี่ และที่สำคัญผมไม่อยากมีปัญหากับคนพวกนี้”


               “ทำไมง่ายแบบนั้นละ”


               “ก็คนที่ช่วยชีวิตพัสกาญในตอนนั้น คือชาริศากับกรกฤต เพื่อนรักของเขานะสิ แล้วมันจะไปมีอะไรในกอไผ่ได้ เฮ้อ...ที่เขาทำอยู่นี่คงเพื่อตอบแทนเพื่อนของเขานั่นแหละ จะมีอะไรให้เขียนข่าวได้ เขียนไม่ดีขึ้นมามีหวังอาชีพของผมได้จบกันพอดี”


               ทั้งอธิรุธและอิงริสต่างงุนงงกับภาริชที่มีข่าวใหญ่อยู่ในมือแต่กลับไม่สนใจ ต่างจากพวกเขาที่ยิ่งอยากจะสัมภาษณ์พัสกาญมากยิ่งขึ้น

........................................................................


               เช้านี้ทัชชาไม่ต้องรีบตื่นเหมือนทุกวัน เขาไม่มีตารางอะไรที่ต้องเร่งรีบให้ทำ เขาได้หยุดจากงานที่เขารัก 2 วันเต็ม ๆ หลังจากได้ดื่มกาแฟอย่างสบายอารมณ์ยามเช้าแล้ว เขาก็คิดว่าวันนี้เขาจะไปไหนดี จนเหลือบไปเห็นดินสอสเกตภาพของพัสกาญ


               ไม่ถึงชั่วโมงทัชชาก็พาตัวเองมายังทาวน์โฮมทรงทันสมัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของแบรนด์พัสกาญ ตัวร้านพื้นที่ถึง 4 คูหา ซึ่งนับว่าใหญ่เอาการ เขาค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในร้าน ภายในตกแต่งราวกับห้างสรรพสินค้า มีพนักงานคอยยืนให้บริการเป็นจุด ๆ หลายคนเห็นเขาแต่กลับไม่มีท่าทีสนใจอะไรเป็นพิเศษ


               เขาเดินดูไปรอบ ๆ มีลูกค้าอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก คงเพราะเป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุด เขาเดินวนออกมาส่วนด้านหน้าที่มีบันไดครึ่งวงกลมพาขึ้นไปสู่ชั้น 2 ที่ชั้นนี้เป็นเสื้อผ้าที่ใส่ลำลอง ทำให้เขาสนใจและอยู่นานเป็นพิเศษ


               ทั้งที่ทัชชาตั้งใจจะมาแอบดูพัสกาญทำงานที่ร้านเท่านั้น แต่เขากลับถูกใจเสื้อผ้าของที่ร้านหลายชุดจนถึงขั้นเลือกไม่ถูก จึงตัดสินใจซื้อทั้งหมดที่เขาเลือกมา เขาหอบเอาเสื้อผ้าเหล่านั้นไปยังเคาน์เตอร์สำหรับคิดเงินซึ่งดูแล้วน่าจะมีอยู่ทุกชั้น


               “สวัสดีค่ะคุณทัชชา เพิ่งมาอุดหนุนทางร้านเป็นครั้งแรกเหรอคะ? ” พนักงานสาวทักทายพร้อมกับช่วยเอาเสื้อผ้าในมือเขาไปวางไว้บนเคาน์เตอร์


               “ครับ พอดีผมผ่านมาทางนี้ ว่าจะแวะมาทักทายม่อนเขาสักหน่อย แต่ดันไปถูกใจเสื้อของเขาหลายชุด”


               “เอ่อ คุณรู้จักคุณพัสอย่างนั้นเหรอคะ? ”


               “ก็เพิ่งร่วมงานกันไม่นาน ว่าแต่วันนี้ไม่มีงานออกกอง แล้วม่อนล่ะ อยู่หรือเปล่า”


               “ไม่อยู่ค่ะ ออกไปข้างนอกกับคุณกร”


               “อ่อ ออกไปกับกรนี่เอง”


               “คุณทัชชาจะรับอะไรเพิ่มไหมคะ ชั้น 3-4 ของเรายังมีสินค้าให้เลือกอีกนะคะ”


               “ไม่ละครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อน ถ้าให้ผมเลือกคนเดียว คงได้เหมาหมดร้าน ไว้ครั้งหน้าผมค่อยให้ม่อนช่วยเลือกจะดีกว่าครับ”


               “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นนั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดการใส่ถุงให้”


               “ครับ”


               เขาเดินไปรอบ ๆ ชั้นที่ 2 อีกครั้งระหว่างที่รอให้พนักงานคิดเงิน ทำให้ทัชชาเพิ่งเห็นว่า ที่ข้าง ๆ เคาน์เตอร์ที่มุมที่นั่งไม่ใหญ่ไม่เล็กไว้ให้สำหรับคนที่มานั่งคอย ได้พักผ่อน และยังมีมุมเครื่องดื่มเล็ก ๆ ให้บริการไว้พร้อมขนมขบเคี้ยว


               ทัชชาไปสะดุดกับแก้วกาแฟกระดาษที่วางให้บริการอยู่ มันเป็นแบบเดียวกับที่เขาได้รับที่พัทยา จะต่างกันที่ขนาดของที่นี่เล็กกว่า เขาเดินสำรวจรอบ ๆ ที่นั่งพักคอย ตามมุมต่าง ๆ จะมีรูปภาพโพลารอยด์ติดไว้ เขาไล่ดูแต่ละภาพไปเรื่อย ๆ ภายในรูปส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่มีชื่อเสียงถ่ายรูปคู่กับพนักงานร้านคนที่เขาคุยด้วยเมื่อครู่ทั้งนั้น แต่ไม่ปรากฏรูปของพัสกาญเลยแม้แต่ใบเดียว


               “เรียบร้อยแล้วค่ะคุณทัชชา” พนักงานเดินเข้ามาพร้อมถือถุงกระดาษประทับตรายี่ห้อพัสกาญมาเต็มมือ


               “ขอบคุณครับ” เขายื่นมือไปรับพร้อมส่งบัตรเครดิตให้ “ในนี้มีแต่รูปคุณทั้งนั้นเลย คุณเป็นอะไรกับม่อนเหรอครับ”


               “ดิฉันเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งเท่านั้นค่ะ ส่วนรูปนี่ ดิฉันแค่อยากช่วยคุณพัสโปรโมทร้านเท่านั้นเอง”


               “เลยไม่มีรูปม่อน”


               “ค่ะ คุณพัสเขาไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไร”


               “แปลกจัง ทำไมใบนี้ถึงมีข้อความเขียนไว้ด้วยละครับ”


               “อ่อ พอดีคนในรูปเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณพัสค่ะ วันนั้นพี่ ๆ เขาเข้ามาเยี่ยมแต่ไม่เจอคุณพัส หลังจากนั้นคุณพัสเลยเขียนข้อความทั้งขอบคุณและขอโทษลงไป เผื่อพี่ ๆ มาจะได้ไม่เคืองคุณพัสอีก”


               “อ่อ นี่ลายมือม่อนสินะครับ ผมเพิ่งเคยเห็น”


               “ค่ะ เออคุณทัชชามีอะไรจะถามอีกไหมคะ”


               “ไม่มีแล้วครับ”


               “ถ้าอย่างนั้นรบกวนรออีกสักครู่นะคะ”


               พนักงานคนนั้นเดินออกไปยังส่วนของเคาน์เตอร์ เขาจึงรีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปรูปใบนั้นไว้ ดูจากลายมือแล้ว ไม่ผิดจากที่เขาคิด พัสกาญคือคนที่เอาแก้วกาแฟไปวางไว้ให้เขากับอามันต์

.........................................................................


               จากที่พราววริศาเลื่อนคิว ทำให้กรกฤตว่างและมีเวลามาเดินหาของไว้สำหรับถ่ายงานโฆษณาชิ้นหนึ่ง ภายในสัปดาห์หน้า เขาเดินหาซื้อของในส่วนของเขาเกือบจะครบแล้ว ขาดก็แต่เครื่องประดับเพียงไม่กี่ชิ้น ที่จะต้องเดินทางไปซื้อยังอีกที่หนึ่ง ระหว่างนี้เขาจึงหาร้านกาแฟเพื่อนั่งรอเอมและชาญ ที่น่าจะยังซื้อของไม่ครบ


               เขายังไม่ทันได้สั่งกาแฟ โทรศัพท์ของเขาก็โชว์เบอร์ที่ร้านของพัสกาญจึงรีบรับสายทันทีด้วยความแปลกใจ


               “เกิดอะไรขึ้น ต้อยติ่ง หรือม่อนมันเป็นอะไร”


               “คุณกรใจเย็นค่ะ คุณพัสไม่ได้เป็นอะไรคะ นั่งทำงานอยู่ในห้อง”


               “อ่อ แล้วนี่โทรหาฉันหรือว่าจะติดต่อเอม? ”


               “ไม่ใช่ค่ะ พอดีที่นี่เกิดเรื่องน่าสงสัยค่ะ”


               “เรื่องน่าสงสัย อะไร? ”


               “วันนี้คุณทัชชา พระเอกที่กำลังดังอยู่ในตอนนี้นะคะ”


               “รู้ ๆ ฉันรู้จัก แล้วยังไง”


               “เขาเข้ามาหาคุณพัสที่ร้าน”


               “มาหา? ตั้งใจมาหาไอ้ม่อนเลยอย่างนั้นเหรอ? ”


               “เขาว่า เขาผ่านมาทางนี้ เลยจะแวะมาทักทายคุณพัส แล้วก็เรียกคุณพัสว่าม่อนด้วยนะคะ”


               “น่าสงสัยจริง ๆ ด้วย”


               “ใช่ไหมล่ะค่ะ ต้อยติ่งรู้ว่าคุณพัสไปทำงานกับคุณกร แต่คนที่รู้เรื่องคุณพัสในกองถ่ายก็มีแค่คุณกร คุณแหม่ม แล้วก็คุณน้องดาเท่านั้น ถ้าคุณๆ ไม่พูดก็ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องคุณพัสนี่คะ”


               “แล้วเธอบอกเขาไปว่ายังไง ให้เขาเจอกันรึเปล่า? ”


               “ไม่ค่ะ ถึงจะหล่อ หรือดังมาจากไหน ต้อยติ่งก็ไม่ไว้ใจให้พบคุณพัสหรอกค่ะ ต้องติ่งบอกเขาไปว่าคุณพัสออกไปกับคุณกรค่ะ”


               “อืม ดีมาก แล้วเรื่องนี้เธอบอกเจ้านายของเธอรึยังล่ะ? ”


               “ยังค่ะ ต้อยติ่งโทรหาคุณก่อน แล้วเดี๋ยวจะไปแจ้งให้คุณพัสทราบ”


               “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้อง เรื่องนี้ฉันจัดการเอง แล้วก็ถ้าครั้งหน้าทัชชาไปหาม่อนมันที่ร้านอีก ไม่ว่าจะเจอตัวหรือไม่เจอ เธอก็ต้องโทรบอกฉันทุกครั้ง”


               “ได้ค่ะ แต่ว่า ทำไมละค่ะ? ”


               “ทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน เรื่องว่าทำไมเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง”


               “อ่อ ได้ค่ะ”


               หลังจากวางสายของต้อยติ่ง กรกฤตก็มัวแต่คิดเรื่องที่ทัชชารู้ได้อย่างไรว่าพัสกาญเป็นใคร แล้วที่ไปหาถึงที่ร้านแบบนั้นต้องการอะไรกันแน่ การที่พัสกาญเห็นออร่าจากคนคนนั้น ถ้าไม่เป็นเพราะความปรารถนาอย่างรุนแรง ก็จะเป็นอาฆาตแค้น ทัชชามาดีหรือมาร้ายเขาเองก็ไม่รู้ได้

To Be Continued


               ต้องขอโทษมิตรรักแฟนนิยายด้วยนะคะ ที่ช่วงนี้โม่ลงนิยายช้ามากกกกก.....

ไม่ได้ตั้งใจจะดองแต่อย่างใด แต่เจ้าคอมที่ใช้อยู่เกิดเกเรรวนเอาเสียดื้อ ๆ

ตอนนี้อาศัยพิมพ์บนโทรศัพท์เอา การจัดหน้าก็จะประหลาดๆ ไปนิสนึง


 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 13 : 27.Sep '19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-09-2019 10:31:33
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 13 : 27.Sep '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 27-09-2019 14:42:19
เริ่มแล้วๆ อยากอ่านอีกเยอะๆ จัง
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 13 : 27.Sep '19
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 27-09-2019 14:49:26
มีแววว่าจะได้เห็นน้องม่อนลงดาบ ใครบางคนกับคู่หมั้น
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 13 : 27.Sep '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-09-2019 19:20:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

กว่าพระนายจะให้ความสนใจซึ่งกันและกัน ก็ล่วงเข้าไปถึง 13 ตอน

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 13 : 27.Sep '19
เริ่มหัวข้อโดย: Brithday ที่ 27-09-2019 23:39:22
สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :sad4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 13 : 27.Sep '19
เริ่มหัวข้อโดย: Brithday ที่ 29-09-2019 12:34:45
 :z3: มาหรือยังๆ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 14 : 01.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 01-10-2019 21:47:25
14





    หลังจากที่ทัชชาได้รู้ความจริงเกี่ยวกับพัสกาญอีกทั้งยังเป็นคนที่ให้กำลังใจจนเขาผ่านพ้นเรื่องของพราววริศามาได้ พัสกาญก็อยู่ในสายตาของเขาตลอด

    ระหว่างที่ชาริศาต้องถ่ายละคร พัสกาญมักจะไปหามุมนั่งทำงานของตนอยู่เงียบ ๆ เวลาทำงานพัสกาญดูจะเป็นคนที่มุ่งมั่น และมีสมาธิอยู่กับงานจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง และเมื่อชาริศาว่างมานั่งพักหรือทบทวนบท พัสกาญก็จะคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา

    “นี่นายคงเชื่อฉันแล้วสินะ” อามันต์เดินมายืนเคียงข้างเขา และมองตรงไปยังกลุ่มของพัสกาญ

    “เรื่องอะไร?”

    “อ่าว ที่นายแอบมองอยู่ ไม่ใช่เพราะจับผิดไอ้แว่นเฉิ่มนั่นเหรอ?”

    “ทำไมฉันต้องไปจับผิดเขาด้วย เขาก็แค่ทำงานของเขา ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไร”

    “ไม่มีอะไรที่ไหน ดูสิ เอาอกเอาใจกันเข้าไป” อามันต์พูดอย่างไม่ชอบใจเมื่อเห็นพัสกาญค่อยหยิบจับโน่นนี่ส่งให้ชาริศาราวอย่างกับว่าจะเอาใจเธอตลอดเวลา

    “ปกติฉันก็เห็นน้องดาเป็นคนทำอยู่แล้ว การที่เขาจะมาช่วยน้องดาก็ไม่เห็นแปลก”

    “ดูนายเหมือนจะพูดเข้าข้างไอ้แว่นเฉิ่มนั่นนะ”

    “ฉันก็พูดไปตามความจริง อีกอย่างเขาสองคนก็ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง ดูสิไหนจะน้องดา ไหนจะกะทิ ไลลา ห้อมล้อมกันเต็มไปหมด”

    “จะว่าไปก็แปลก ปกติกะทิ กับไลล่า ไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับน้องแหม่มเท่าไร ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้มารวมกลุ่มกันอยู่ที่นี่ได้”

    “ก็เพราะไอ้แว่นเฉิ่มของนายยังไงละ” ทัชชาส่ายหน้า แล้วเดินเลี่ยงออกไป การที่เขาเห็นชาริศาพูดคุยกับพัสกาญอย่างสนุกสนานและสนิทสนมแบบนี้ มันทำให้เขาหงุดหงิดยังไงชอบกล

........................................................................

    กรกฤตและชันดาสังเกตเห็นว่าทัชชาคอยจับตามองพัสกาญตลอด จึงหลบออกมาคุยกันข้างนอกสองคน ทิ้งให้พัสกาญอยู่กับกลุ่มของเอม ชาญ ส่วนชาริศากำลังเข้าซีนกับอาทิตย์

    “พี่กร ช่วงนี้ทั้งพี่ทัชและพี่มันต์คอยจับตาดูพี่ม่อนตลอดเลยค่ะ”

    “อืม วันก่อนต้อยติ่งโทรบอกพี่ว่าคุณทัชไปหาม่อนที่ร้าน”
   
    “คุณทัชรู้เรื่องพี่ม่อนได้ยังไง แล้วพี่มันต์รู้ด้วยรึเปล่า”

    “พี่ก็ยังไม่รู้ และไม่รู้ด้วยว่า ทำไมสองคนนั่นถึงสนใจเรื่องของม่อนมันนัก”

    “ถ้าเรื่องพี่มันต์ ดาพอจะรู้ค่ะ”

    “ทำไม?”

    “พี่มันต์แอบชอบพี่แหม่มอยู่ อาจจะเป็นไปได้ว่าหึงพี่ม่อน ส่วนพี่แหม่มเองก็ฟอร์มเยอะค่ะ  แต่...พี่ทัชนี่สิ... เอ้...หรือว่าพี่ทัชจะแอบชอบพี่แหม่มขึ้นมาอีกคน”

    “แอบชอบอย่างนั้นเหรอ?”

    “ใช่ค่ะ”

    “ดาไปอยู่กับแหม่มก่อน พี่จะไปคุยกับคุณทัชหน่อย”

    “เดี๋ยวๆ พี่กร พี่คงจะไม่ถามเขาตรง ๆ ใช่ไหม ว่าเขาแอบชอบพี่แหม่มนะ?”

    “พี่ไม่ถามแบบนั้นหรอกน่า”
   
    “อ่อ ก็แล้วไป แต่คุยกันดี ๆ อย่ามีเรื่องกันนะคะ” ชันดาพูดแล้วก็เดินกลับไปยังกองถ่าย ส่วนเขาก็เดินตามหาทัชชา ซึ่งทัชชาเองก็เดินตรงมาหาเขาเช่นกัน

    “คุณทัช/กร” ทั้งสองต่างพูดขึ้นมาพร้อมกัน

    “คุณ/ผม” ทั้งสองยังคงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้ง

    “เชิญคุณก่อนเลยคุณทัช” กรกฤตบอกออกไป เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าทัชชาจะคุยอะไรกับเขา

    “ผมพอจะรู้ว่าคุณกับเด็กฝึกงานคนนั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน รวมไปถึงชาริศาด้วย”

    “ใช่ แล้วทำไมล่ะ?”

    “ผมไม่รู้ว่ามีใครเตือนพวกคุณแล้วหรือยัง เรื่องที่เพื่อนของคุณว่างตัวกับน้องแหม่ม ผมเกรงว่าจะเป็นข่าว”

    “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณสนใจเรื่องของแหม่มเขาด้วย คุณคงไม่คิดจะเป็นคู่แข่งของคุณมันต์หรอกนะ”

    “ผมพูดเพราะผมหวังดีต่างหาก ยิ่งตอนนี้มีคนแอนตี้แหม่มเพราะเข้าใจว่าเธอเป็นต้นเหตุให้พราวเลื่อนคิว”

    “คุณทัช คุณเองก็เชื่อข่าวลือพวกนั้นสินะ”

    “ผมไม่ได้เชื่อ ผมแค่ไม่อยากให้พวกคุณมีปัญหา”

    “เอาเป็นว่าผมจะคอยไปเตือนเพื่อน ๆ ของผมก็แล้วกัน ทีนี้ถึงคราวผมบ้าง”

    “ว่ามาสิ?”

    “คุณไปหาม่อนที่ร้านทำไม?”

    “ผมก็แค่ผ่านไปทางนั้นเลยแวะเข้าไปหา ว่าแต่...คุณอยากรู้ไปทำไม?”

    “คุณรู้เรื่องของม่อนมากแค่ไหน แล้วต้องการอะไรจากม่อนกันแน่?”

    “ผมก็รู้แค่ว่าม่อนเป็นเจ้าของร้านนั้น แล้วผมอยากรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับน้องแหม่ม”

    “อ่อ ที่คุณแกล้งเตือนผมก่อนหน้านี้เพราะคุณหึงแหม่ม คุณจะบอกว่าอย่างนั้น”

    “ผมไม่ได้หึงใครทั้งนั้น และผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับเธอด้วย”

    “คุณไม่คิดกับแหม่ม หรือว่าคุณคิดอะไรกับม่อน” คำถามของเขาทำให้ทัชชาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของเขาราวกับเพิ่งตัดสินใจอะไรบางอย่าง

    “มันก็ไม่แน่ หากเขาคือคนที่ใช่”

    “คุณทัช นี่คุณ!!!” กรกฤตพยายามสงบสติอารมณ์ “ม่อนเป็นผู้ชาย”

    “เรื่องนั้นผมรู้ และผมเองก็ไม่รู้หรอกนะกร ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกันแน่ เท่าที่รู้ตอนนี้ก็มีแต่ความรู้สึกขอบคุณ ถ้าเขาเป็นคนคนนั้นจริง ๆ”

    “คุณหมายความว่ายังไง”

    “ก็อย่างที่พูด ขอบคุณ”

    ทัชชาดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกจนเห็นได้ชัด แล้วก็เดินกลับไปยังส่วนพักผ่อนของเขาทันที กว่ากรกฤตจะเรียบเรียงคำพูดของทัชชาในหัวสมองได้ ทัชชาก็เดินลับสายตาเขาไปแล้ว

    “เอาไงดีว่ะกู?” เขาได้แต่บ่นกับตัวเอง ก่อนเดินกลับไปรวมกลุ่มกับพัสกาญ

.........................................................................

    ตอนนี้ข่าวที่เป็นกระแสมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นข่าวของพราววริศากับไฮโซหนุ่ม ทายาทนักธุรกิจชื่อดัง ที่ตามเอาอกเอาใจจนในที่สุดพราววริศายอมคบหาดูใจด้วย ซึ่งภาริชก็เป็นอีกหนึ่งในนักข่าวหลาย ๆ คนที่ติดตามทำข่าวของเธอ

    “น้องพราวครับ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณพราวใจอ่อนยอมคบกับคุณเตอร์ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้เดือนกว่า ๆ เท่านั้นเอง” เขาถามคำถามที่นักข่าวหลาย ๆ คนคงจะสงสัยไม่แพ้เขา

    “พี่เตอร์เป็นคนเอาใจเก่งค่ะ แล้วเราก็เข้ากันในหลาย ๆ เรื่อง”

    “น้องพราวค่ะ คุณเตอร์ใช่เจ้าของเบลลี่สีขาวที่ขับไปเฝ้าคุณพราวที่สถานีวันที่จัดงานแฟนมิตติ้งใช่ไหมค่ะ?”

    “เรื่องนี้พี่เตอร์เขายังไม่ยอมรับค่ะ”

    “แล้วน้องพราวคิดยังไงกับเรื่องนี้ค่ะ”

    “พราวก็ต้องเชื่อพี่เตอร์สิค่ะ”

    การสัมภาษณ์ยังคงดำเนินไปในประเด็นของไฮโซหนุ่มอีกสองสามหัวข้อ จนกระทั่งน้อง นักข่าวรุ่นน้องถามคำถามที่ทำให้นักข่าวทุกคนต้องเงียบเพื่อรอคำตอบ

    “น้องพราวค่ะ ที่คุณเลื่อนคิวถ่ายเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีกระแสมาว่าน้องพราวทะเลาะกับน้องแหม่ม ไม่ทราบว่าจริงไหมค่ะ?”

    “อ่อ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดคะ พราวกับแหม่มไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง ถึงบางทีแหม่มจะเป็นคนใจร้อนไปบ้าง” หลังจบประโยค นักข่าวต่างพากันแย่งถามคำถามเป็นการใหญ่

    “ตอบแบบนี้แสดงว่า น้องพราวกับน้องแหม่มเคยมีเรื่องทะเลาะกันใช่ไหมค่ะ?”

    “ทำงานร่วมกันก็ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันบ้าง เป็นเรืองปกติค่ะ แล้วพราวกับแหม่มเป็นเพื่อร่วมงานที่ดีต่อกัน เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พราวไม่เอามาใส่ใจหรอกค่ะ”

    ภาริชฟังคำให้สัมภาษณ์แล้วรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของพราววริศา หากเป็นก่อนหน้านี้ที่เขายังจำชาริศาไม่ได้ เขาคงเชื่อในคำให้ข่าวของเธอ แต่คนทั้งสามต่างเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยลัยเดียวกับเขา แล้วเขาก็เป็นคนตามทำข่าวของชาริศาตั้งแต่เธอไปออดิชั่นละครที่คณะสาปัตย์ มันทำให้เขารู้สึกว่าพราววริศาพยายามจะเลี่ยงประเด็นที่เลื่อนคิวถ่ายละครให้คนไปสนใจเรื่องชาริศาแทน

........................................................................

    หลังจากวันที่ทัชชาได้พูดคุยกับกฤกฤตแล้ว เขาก็ค่อนข้างโล่งใจไปได้ส่วนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าพัสกาญไม่ได้คบหาชอบพออยู่กับชาริศา ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น แต่จากที่เขาสังเกตดูมาตลอดสัปดาห์ เขากลับไม่แน่ใจว่าชาริศาคิดกับพัสกาญแบบเดียวกันรึเปล่า

    “เฮ้ย ทัช มายืนหลบมุมอยู่ตรงนี้เอง ฉันตามหายนายแทบแย่” อามันต์เดินมาตบไหล่เขาจากด้านหลัง

    “ตามหาฉัน? พี่วินทร์มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันรึเปล่า”

    “ไม่มีหรอก ฉันแค่เห็นว่านายหายไปก็เท่านั้น”

    “นายกลัวฉันคิดมากเรื่องคุณเตอร์อย่างนั้นเหรอ ถึงคิดว่าฉันต้องมายืนหลบมุมเพื่อเลียแผลใจ” เขาตอบทั้งที่สายตายังคงมอไปที่พัสกาญ

    “เฮ้ย!! ทัชนายพูดอะไรระวังหน่อย เดี๋ยวใครมาได้มาได้ยินเข้า”

    “ฉันรู้ ฉันแค่จะบอกกับนายว่า ฉันไม่เป็นไร”

    “แต่แปลกนะ วันนี้พราวมารถคันเดียวกับคุณเตอร์ แต่กลับไม่ใช่รถหรูคันนั้น” เขาได้ยินอามันต์บ่นเบา ๆ

    วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่พราววริศากลับมามีคิวให้กับทางกองถ่าย โดยเธอได้มีสารถีส่วนตัว ค่าตัวไม่ใช่เล่น ๆ มาส่งถึงกองถ่าย แล้วไม่ได้มาส่งนางเอกสาวมือเปล่า ยังติดขนมนมเนยต่าง ๆ มาให้คนในกองถ่ายเรียกได้ว่า จ่ายหนักพอ ๆ กับสปอนเซอร์ก็ว่าได้

    “เขาคงไม่อยากให้กองทัพนักข่าวแตกตื่นก็เป็นได้”

    “นี่รู้ไหมว่าเจษฎ์รอดูรถเบลลี่คันนั้นใกล้ ๆ ให้เป็นบุญตาเลยนะ เห็นเจษฎ์ว่า ในประเทศไทยมีเพียงไม่กี่คันเท่านั้น”

    “ถ้ามันมีน้อยขนาดนั้น เขาก็คงต้องถนอมรถ จะเอามาขับไปโน่นมานี่บ่อย ๆ มันคงน่าเสียงดาย”

    “คนรวยระดับคุณเตอร์ที่เอาของมาเปย์ให้ที่กอง ไม่น่าจะเสียดายได้นะ”

    “เขาคงมีเหตุผลของเขาแหละ” ทัชชาตอบอย่างขอไปที เพราะเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้วคุณพหลไฮโซหนุ่มจะขับหรือไม่ขับรถคันไหน ตอนนี้เขาแค่รู้สึกอิจฉาคนตรงหน้ามากกว่า

    “ทัช นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

    “อืม” เขาตอบรับทั้งที่ยังไม่บะสายตาไปจากพัสกาญและชาริศา

    “นี่นายคงไม่คิดจะมีเรื่องกับคุณเตอร์เพราะเรื่องของพราวนะ” อามันต์กระซิบถามเขา

    “ทำไมฉันต้องไปมีเรื่องกับเขา”

    “ก็เรื่องของพราว...”

    “ฉันเห็นสองคนนั่นไปด้วยกันได้ดี ฉันก็ดีใจด้วย ส่วนฉัน” ทัชชาละสายตาจากคนที่มองอยู่ เพื่อหันมาสอบตากับอามันต์ “ฉันก็อยู่ของฉันแบบนี้ ฉันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างที่นายกังวลหรอกน่า”

    “อืม ๆ ฉันพยายามจะเชื่อก็แล้ว” ทัชชาได้แต่สายหน้าให้กับความไม่เชื่อถือของอามันต์ เขาหันกับมามอง ณ จุดเดิม “นายว่า ไอ้แว่นเฉิ่มนั่นมันจะทำยังไง มันจะไปประจบพราวกับคุณเตอร์ไหม เฮ้อ...ทำไมใคร ๆ ถึงไปตามห้อมล้อมมันนะ”

    “แล้วทำไมนายถึงคิดว่าม่อนจะต้องไปประจบพราวกับคุณเตอร์เขาด้วยละ?”

    “อ่าว ไอ้หมอนั่นทำงานให้กรจะได้วันละเท่าไรกันเชียว แต่ถ้าเปลี่ยนมาทำงานให้พราว ที่มีคุณเตอร์คอยหนุนหลัง ค่าตัวต่อวันอาจจะได้ไม่ใช่น้อยน้า...”

    “ม่อนเขาอาจจะไม่ได้ทำเพื่อเงินก็ได้”

    “คนเราถ้าไม่ใช่ทำเพื่อเงิน แล้วจะทำเพื่ออะไรกัน ฉันว่าดีซะอีกหากไอ้หมอนั่นมันไปทำงานที่อื่น จะได้อยู่ห่าง ๆ จากน้องแหม่มหน่อย เกาะติดเป็นปลิงเชียว”

    “ฉันไม่เห็นว่าเขาจะเกาะติดน้องแหม่มของนายตรงไหน มีแต่น้องแหม่มนั่นแหละ ที่พอได้พักหรือมีเวลาว่างก็รีบเดินกลับไปยังส่วนพักของเธอ” ทัชชาพยายามระวังคำพูดให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหาย ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปทั้งหมด จากนั้นเขาก็เดินกลับไปยังส่วนพักของเขาเพื่อทบทวนบทและเตรียมตัวเขาฉากต่อไป

........................................................................

    อามันต์ทั้งงงทั้งแปลกใจกับท่าทางของทัชชา เขาที่อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าทัชชาจะรู้สึกไม่ดีกับการที่คุณพหลมาส่งพราววริศาถึงกองถ่าย อีกทั้งนั่งเฝ้าราวกับเป็นผู้จัดการส่วนตัวก็ไม่ปาน เมื่อเห็นทัชชามายืนหลบมุมอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เขาก็ยิ่งเป็นห่วงคิดว่าอาการหนักซะแล้ว แต่ผิดคาด

    เรื่องของพหลและพราววริศากับกลายเป็นเรื่องที่ทัชชาไม่ใส่ใจ ทั้งที่เขาเผลอหลุดปากพูดถึงเรื่องรถของคุณพหลไป กว่าจะหาเรื่องเลี่ยงประเด็นให้ไกลตัวของพราววริศามาได้ กลับกลายเป็นว่าทัชชาไม่พอใจเพราะเรื่องของไอ้แว่นเฉิ่มนั่น

    เขาสังเกตเห็นว่า ระยะหลังมานี้ทัชชามักจะแอบซุ่มดูกลุ่มของชาริศาเงียบ ๆ อยู่บ่อยครั้ง แค่ก็คาดเดาไม่ได้ว่าทัชชาสนใจอะไรกับคนกลุ่มนั้น แต่ก่อนเขาอาจจะเห็นไอ้แว่นมักจะเกาะติดกับชาริศา โดยมีชันดาอยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้กลับมีทั้งกะทิ ไลลา แล้วก็ตากล้องฝึกหัดที่เขาจำไม่ได้ว่าเด็กนั่นชื่ออะไร ไหนจะมีเอม กับชาญอีก คนกลุ่มนี้มักจะนั่งคุยหรือนั่งทานข้าวร่วมกับเสมอ แต่ก็ไม่ได้เป็นกลุ่มที่น่าสนใจและน่าจับตาเท่ากับกลุ่มของพราววริศา

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 14 : 01.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-10-2019 22:25:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิมันต์คนโง่  มองคนแค่ผิวเผิน  ทัชชายังฉลาดกว่ามากมาย

นิสัยแบบนี้นะ  บอกได้เลยว่า  นุ้งแหม่มไม่ชอบแน่นอน  เตรียมอกหักได้เลย  ชิส์
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 14 : 01.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 02-10-2019 00:24:04
อคติมันบังตาเนอะแต่ละคน บอดหมดละ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 14 : 01.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 02-10-2019 09:53:38
เอาแล้วๆๆ คุณทัชเริ่มยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้ว

หึงไม่ดูตาม้าตาเรือนะอามันส์ 555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 15 : 06.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 06-10-2019 19:52:53
15




    เมื่อกวินทร์สั่งคัท และผ่านซีนนี้มาได้ ชาริศาก็เดินกลับเข้ามายืนเคียงข้างกับชันดาที่ยืนกางร่มคอยอยู่ ไลลารีบเข้ามาซับหน้าให้ทันที

    “หืม...เดี๋ยวนี้พี่พราวเขาทำตัวราวกับเจ้าหญิงเลยนะคะ” ไลลาพูดหลังจากซับหน้าเสร็จ “เดี๋ยวพี่ขอเติมแป้งหน่อยนะคะ” ชาริศาย่อตัวลงเพื่อให้ไลลาสามารถเติมแป้งให้กับเธอได้ถนัด “ขอบใจจ้าน้องแหม่มคนสวย” เธอยิ้มให้ไลลาเล็กน้อย “เสร็จแล้วจ้า”

    “พี่ไลลาไม่ต้องไปดูแลพราวเหรอค่ะ?” ชันดาถามหลังจากที่ไลลาเติมหน้าให้เธอเสร็จ แต่กลับไม่ไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ

    “ไม่หรอกจ้าน้องดา นี่น้องดาคงยังไม่เห็นสินะ ว่าน้องพราวเขาน่ะ มีช่างแต่งหน้า ช่างทำผมส่วนตัวมาด้วย นางบอกว่า ว่าที่สามีนางเป็นคนจัดการดูแลให้” ไลลากระซิบบอกไม่เบาเลย

    “ก็คุณเตอร์เขาเปย์ซะขนาดนี้ ดีออกค่ะพี่ไลลาจะได้ไม่เหนื่อย”

    “อ่ะ พี่ทัชว่างแล้ว เดี๋ยวพี่ไปดูแลพี่ทัชก่อนนะคะ” พูดไม่ทันขาดคำไลลาก็วิ่งพร้อมกับถือกระเป๋าเครื่องสำอางค์เดินตรงไปยังจุดที่ทัชชายืนอยู่

    “พี่ทัชเขามองมาทางนี้ด้วย สงสัยจะมองหาพี่ม่อนแน่ ๆ เลย” ชันดาบอกทั้งที่ยังคงกางร่มให้กับเธอ

    “พ่อพระเอกของเราก็แปลกคน ได้แต่แอบมองอยู่นั่นแหละ พี่ละสงสัยจริง ๆ ว่าเขาคิดยังไงกับม่อนของเรา”

    “จากที่พี่แหม่มเล่าเรื่องออร่าอะไรนั่น ดาเลยไปหาอ่านเรื่องสีกับอารมณ์ ดาเดาว่า เขาน่าจะชอบพี่ม่อนของเรานะ แต่ที่ดาสงสัย ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงเกิดชอบพี่ม่อนขึ้นมาได้ล่ะ ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันเลย พี่ม่อนเองก็เลี่ยงเขาตลอด”

    “จะอะไรซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่พ่อพระเอกของเราใจง่าย นึกจะชอบก็ชอบ นึกจะเลิกชอบก็เลิกเอาง่าย ๆ”

    “มันก็ไม่ง่ายนะพี่ ครั้งที่แล้วที่พัทยา ก็เกือบ ๆ จะต้องเลิกกองกะทันหัน ดาว่าพี่ทัชเขาอาจจะแค่ทำใจได้เร็วกว่าคนอื่นก็ได้ อีกอย่างเขาอาจจะไม่มีอะไรลึกซึ้งกับคนคนนั้นด้วย”

    “พี่ไม่ชอบอะไรค้างคาแบบนี้เลย อยากจะเดินเข้าไปถามให้รู้แล้วรู้รอดไป”

    “พี่แหม่ม พี่ใจเย็น ๆ สิ เรายังไม่รู้อะไรแน่ชัด เข้าไปถามตรง ๆ เกิดหน้าแตกขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”

    “เห็นแล้วมันหงุดหงิดนี่”

    “พี่แหม่ม พอก่อน ๆ สีหน้าออกแล้วนะ ดารู้ว่าพี่หงุดหงิดพี่ทัช แต่พี่แสดงออกตรงนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวใคร ๆ เขาก็คิดว่าพี่หงุดหงิดพราวหรอก เฮ้อ...แต่นี่ยังไม่เสร็จอีกเหรอเนี่ย”

    ชาริศาสังเกตรอบ ๆ ตัวก็เห็นว่านักแสดงคนอื่นเตรียมพร้อมเข้าซีนถัดไปแล้ว กล้องก็พร้อมแล้ว ทีมงานก็พร้อมแล้ว ขาดก็แต่พราววริศาที่ยังเตรียมความพร้อมไม่เสร็จ

    “พี่ ๆ” ชันดาสะกิดเธอเบา ๆ “พี่ทัช” เธอจึงมองตามสายตาของชันดาไป ทัชชากำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอ “อย่ามีเรื่องนะ ถือว่าดาขอ”

    “เอ๊ะ ยัยดานี่ เธอเห็นพี่เป็นคนยังไง”

    “ก็พี่สาวดาคนนี้อารมณ์ร้อนเป็นที่หนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องพี่ม่อน”

    “พี่ไม่ไปกินหัวพ่อพระเอกหรอกน่า แค่นี้งานในกองก็ล่าช้าไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว”

    ชันดาเหมือนจะพูดอะไรต่อหลังจากที่มองตามสายตาเธอไปยังพราววริศา แต่ก็ไม่พูด เพราะทัชชาเดินเข้ามาใกล้พวกเธอแล้ว

    “น้องแหม่ม น้องดา”

    “พี่ทัชมีอะไรเหรอค่ะ หรือว่าเบื่อรอเลยเดินมาหาเพื่อนคุย” เธอทักทายเมื่อไม่เห็นอามันต์อยู่บริเวณนี้

    “ก็ถือซะว่าพี่มาชวนแหม่มคุยระหว่างรอนักแสดงคนอื่นก็แล้วกัน”

    “ค่ะ แล้วนี่พี่มันต์ไปไหนละคะ ถึงปล่อยให้พี่ทัชยืนอยู่คนเดียว”

    “มันต์ไปเอาของที่รถให้พี่น่ะ”

    “อ่อ ค่ะ”

    “แหม่มคงรู้เรื่องกระแสข่าวเรื่องระหว่างพี่ แหม่ม กับพราว ที่มันเกิดขึ้นอยู่ช่วงหนึ่งใช่ไหม?”

    “เรื่องมือที่สามอะไรนั่นเหรอค่ะ ข่าวก็คือข่าวค่ะ ยิ่งเป็นเรื่องที่คนพากันคิดไปเองด้วย แหม่มไม่ใส่ใจหรอกคะ”

    “ดีแล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องไม่สบายใจมารกสมอง เอาเวลามาทำงานให้เต็มที่ แต่พี่ก็อยากเตือนน้องแหม่มสักนิด”

    “เตือน เรื่องอะไรอีกละค่ะ? นี่แหม่มคงไม่ได้เผลอไปเหยียบเท้าใครเขาอีกนะคะ หรือว่าการที่พี่ทัชเดินเขามาคุยกับแหม่มแบบนี้ อาจจะสร้างความไม่พอใจให้ใครรึเปล่า”

    “ใจเย็น ๆ ก่อนครับ น้องแหม่ม พี่รู้ว่าข่าวก่อน ๆ ที่เกิดขึ้น แหม่มไม่ได้เป็นคนเริ่ม แต่ที่พี่อยากให้ระวังเพราะ...เอ่อ น้องดาครับ พกโทรศัทพ์มาด้วยรึเปล่าครับ”

    “ค่ะ แต่ดาปิดเสียงไว้นะคะ”

    “พี่ขอยืมสักครู่ได้ไหม?”

    “ได้ค่ะ” ชันดาสั่งโทรศัพท์ที่ปลดล็อกหน้าจอแล้วยื่นให้ทัชชา ก่อนที่เขาจะส่งคืนมาให้

    “นี่เป็นภาพที่แฟนละครเพิ่งอัพลงทวิสเตอร์เมื่อไม่กี่นาทีหลังพักกอง ตอนแรกพี่ก็ไม่รู้จนได้ยินไลลาพูดกับกะทิ”

    ในโพสเป็นมุมถ่ายจากไกล ๆ เห็นภาพรวม ๆ ของกองถ่าย ซึ่งติดนักแสดงหลาย ๆ คน แต่คนโพสกลับเขียนแคปชั่นกล่าวถึงเธอ

    ดูนางเอกตัวปลอมมองด้วยสายตาอิจฉานางเอกตัวจริงของเราที่มีแต่คนรายล้อม

    ในภาพเป็นจังหวะที่เธอกับชันดายืนอยู่ด้วยกันเพียงสองคนและหันไปมองกลุ่มพราววริศาพอดี เรื่องเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่นาทีมานี้

    “พี่แหม่ม” ชันดาทักขึ้นหน้าเสีย

    “ก็คงเป็นแฟนคลับของพราวนั่นแหละ แต่ก็คิดเองเออเอง ไม่เรื่องจริงสักหน่อย พี่ไม่แคร์หรอก”

    “เอาเป็นว่าทั้งน้องแหม่ม น้องดาก็รับรู้แล้วนะ พี่ก็อยากให้ระวังตัวไว้ เพราะภาพที่บรรยายด้วยข้อความจากคนที่อคติกับเรา ยังไงมันก็ออกมาในเชิงลบ”

    “ขอบคุณพี่ทัชมานะคะ ที่เข้ามาบอกพี่แหม่มกับดา”

    “แล้วนี่ม่อนกับกรไปไหนซะล่ะ ทุกทีเห็นมายืนให้กำลังใจข้าง ๆ น้องดาไม่ใช่เหรอ?”

    “พี่ม่อนไปช่วยพี่กรขนเสื้อผ้าที่รถค่ะ วันนี้พี่กรต้องออกไปหาของด่วนให้พราว ชุดที่พี่กรเตรียมมาเธอสวมไม่ได้ เห็นว่าใหญ่เกินไป” ชันดาเป็นคนตอบ

    “พี่ก็ว่าพราวคงจะผอมลง ตั้งแต่ได้เป็นแบรนด์แอมบาสเตอร์ให้สินค้าของคุณเตอร์”

    “คุณเตอร์นี่คือเจ้าของสินค้าตัวนั้นเหรอค่ะ?”

    “อันที่จริง ต้องบอกว่าเป็นของคุณแม่ของคุณเตอร์มากกว่า”

    ชาริศาฟังชันดากับทัชชาคุยกันไปเรื่อย ๆ และทัชชามักจะวกเขามาถามเรื่องม่อนอยู่บ่อยครั้ง ชันดาน้องสาวเธอก็สมกับเป็นผู้จัดการส่วนตัว มีลูกล่อลูกชนเลี่ยงตอบแบบซื่อๆ เนียนๆ ไปได้ตลอด จนทุกอย่างพร้อม พี่เจษฎ์เรียกทุกคนให้เตรียมพร้อม เธอและทัชชาจึงก้าวไปยังด้านหน้ากล้องพร้อมกับนักแสดงคนอื่น ๆ ในซีน

........................................................................

    วันนี้ถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างโหดอีกวันของกรกฤตและน้องๆ ในทีมก็ว่าได้ งานที่เตรียมไว้รวนไปหมด เขาและพัสกาญแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันแทบจะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพราววริศา

    วันนี้กว่าจะเลิกกองก็ล่วงเลยเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วโมง ชาริศาและชันดากลับไปพักผ่อนตั้งแต่ห้าทุ่มกว่า ส่วนพระเอกของเรื่องยังมีถ่ายร่วมกับพราววริศาบางซีน จึงกลับไปก่อนเลิกกองไม่นาน

    “ขืนเป็นแบบนี้ทุกวัน ผมได้ตายคากองถ่ายแน่ๆ” ชาญทิ้งตัวลงนั่งหมดสภาพอยู่ข้างๆ รถของเขา โดยมีเอมเดินมานั่งลงข้างกัน

    “พรุ่งนี้ต้องมาตั้งร้านตอนตีห้าจริงเหรอค่ะ?” เอมเงยหน้าขึ้นถามเขา

    “ก็คิวงานมันเป็นอย่างนั้น”

    “อีก 2 ชั่วโมงเอง สังสัยวันนี้พวกเราคงไม่ได้นอนกันแล้ว” ชาญหันไปบ่นกับเอม

    “ถ้านั่งจนหายเหนื่อยก็กลับไปเปลี่ยนของได้แล้ว ฉันให้คนที่ร้านจัดชุดไว้ให้แล้ว แค่ขนขึ้นรถ” เขาสั่งงานลูกน้อง ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นดินไปที่รถ ระหว่างนั้นเขาได้ยินสองคนนั้นคุยกันว่าใครจะขับรถและใครจะงีบก่อน

    พัสกาญที่เก็บของส่วนตัวเสร็จก็เดินมาสมทบกับเขาที่รถ แต่ดูสีหน้าคนที่เดินมาไม่ค่อยดีนัก
“กร มึงเห็นดินสอแท่งโปรดกูไหม?”

    “มึงทำมันหาย?”

    “กูไม่รู้ว่าไปลืมวางไว้ที่ไหน”

    “แม่ง กูโคตรดีใจเลย เอาไว้กูซื้อใหม่ให้มึงเอง กูจัดให้มึง 10 แท่งเลยเอา”

    “กร มึงก็รู้ว่าไม่เหมือนกัน”

    “เพราะกูรู้ไง กูถึงดีใจ มึงไม่ควรยึดติดกับดินสอด้ามนั้น จะได้หลุดพ้นจากยัยโมนิกสักที”

    “กูแค่ถนัดใช้ดินสอด้ามนั้น”

    “มึงอย่ามาอ้าง เดี๋ยวนี้มึงแทบจะไม่ได้ร่างงานด้วยกระดาษแล้ว ปล่อยวางเรื่องโมนิกซะ ไปได้แล้ว กูเหนื่อย”

    “เหลือเวลาไม่เท่าไร มึงจะเอาไง?”

    “กูกับมึงมีเวลาถึง 6 โมงเช้า ก่อนหน้าให้ชาญกับเอมตั้งร้านไปก่อน”

    “เอาแบบนี้ไหมมึง ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อที่บ้านกู แล้วค่อยออกไปที่กอง จอดรถนอนรอชาญกับเอม”

    “ไม่เอา กูไม่อยากเข้าบ้านมึง”

    “เวลานี้มึงจะไปเจอใคร”

    “เออ ก็จริง ถ้าอย่างนั้นก็ได้”

    เมื่อตกลงลงกันได้แล้ว กรกฤตก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของพัสกาญ โดยระหว่างทางเขาก็ให้เพื่อนหลับพักผ่อนไป จะได้มาเปลี่ยนกันขับรถตอนออกจากบ้าน

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 15 : 06.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 07-10-2019 00:18:21
สงสารน้องกรนะ คุณแม่ทำอะไรน้องเนี่ย ฝังจิตฝังใจขนาดนี้ 5555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 15 : 06.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-10-2019 01:06:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 15 : 06.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 07-10-2019 11:41:02
คุณทัชคะ ไม่ต้องเอาไปคืนน้องม่อนเลยนะคะ
ไอ้ดินสอแห่งความหลังที่เจ็บปวดของน้องม่อน
คุณทัชซื้อให้ใหม่ไปเลย เอาความทรงจำใหม่ๆที่ดีให้น้องมีอนด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 16 : 09.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 09-10-2019 08:38:14
16







          วันนี้ทางกองถ่ายนัดคิวทัชชาช่วงบ่ายถึงดึก เนื่องจากช่วงเช้าพี่กวินทร์ต้องการถ่ายเก็บคิวงานของพราววริศา ในส่วนตอนแรก ๆ ของละคร เพราะอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ละครตอนแรกก็จะออกอากาศแล้ว

          ทัชชาตื่นแต่เช้า ลงมาออกกำลังกายที่ฟิตเนสราว 2 ชั่วโมง จากนั้นก็ขึ้นมาพักบนบนห้องพร้อมนั่งดื่มกาแฟไปด้วย ข้าง ๆ กับมีบทละครที่เขาเตรียมเอาไว้ทบทวนวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ไกลกันนักมีดินสอด้ามหนึ่งเสียบอยู่ในแก้วกระดาษที่มีข้อความให้กำลังใจ

          เขาเช็ครูปที่ถ่ายจากร้านของพัสกาญ เทียบลายมือบนแก้วแล้วเป็นลายมือเดียวกันไม่มีผิด ไหนดินสอที่เป็นหลักฐานอย่างดี เขาควรจะทำอย่างไรกับพัสกาญดี...

          หนุ่มแว่นตาหวาน แว่นตาทรงที่ไม่เข้ากับใบหน้า ไหนจะเลนส์ที่สะท้อนแสงสีฟ้าบดบังสายตาหวาน ๆ นั่นจนมิดชิด แต่โดยรวมแล้วพัสกาญเมื่ออยู่ในกองถ่าย แทบจะไม่เป็นจุดสังเกตใดใดเลย แม้แต่เขาเองก็ไม่เคยเห็นพัสกาญในสายตา

          จนกระทั่งในตอนนี้ สิ่งที่พัสกาญทำก็ยังคงเป็นเช่นเดิม จะต่างก็ตรงที่เขาเองที่เปลี่ยนไป เขายังตกใจไม่หายเมื่อนึกถึงตอนที่กรกฤตมาคุยเรื่องพัสกาญราวกับจะกีดกันเขา ทำให้เขาหงุดหงิดจึงพูดไปแบบนั้น

          ครืน…ครืน...เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะสั่น ทำให้ทัชชาหลุดจากความคิดของตน เขาคว้าโทรศัพท์นั้นขึ้นมาแล้วกดรับสาย

          ‘ลงมาได้แล้ว’ เสียงอามันต์เร่งมาตามสาย

          “นายไปก่อนเลย วันนี้ฉันจะเอารถไปเอง”

          ‘นายแน่ใจนะ ว่าจะขับกลับไหว’

          “วันนี้มีไม่กี่ซีนที่จะต้องถ่ายนี่ ฉันเป็นแค่ตัวประกอบของกองถ่ายเท่านั้นแหละ”

          ‘คิดอย่างนั้นก็ตามใจ อ่อ ทัช พรุ่งนี้เลิกกองเร็ว นายพอจะแวะไปหาพี่รุธหน่อยได้ไหม ฉันต้องไปรับบรีฟงานเกมส์โชว์ที่ค่ายฯ หรือนายจะให้ฉันเลื่อน’

          “เรื่องอะไรที่พี่รุธจะคุย นายพอรู้ไหม?”

          ‘พี่รุธอยากให้นายช่วยเรื่องคุณพัสกาญ’

          “อืม ฉันไปเอง ไม่น่าจะมีอะไร”

          ‘ได้ ฉันจะแจ้งพี่รุธ แล้วนายก็รีบๆ ลงมาได้แล้ว อย่าสายละ เดี๋ยวเจอกันที่กอง’

          “อืม เดี๋ยวเจอกัน”

          ทัชชาวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหลังจากอามันต์วางสายไปแล้ว เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นานก็เดินทางไปยังกองถ่าย

          เขาว่าเขาพอจะรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรกับม่อน พัสกาญ ไม่ใช่ พัสกาญ หิรัญสิงหนิราศ


........................................................................


          ถึงแม้พัสกาญจะนอนไม่เต็มอิ่ม แต่ก็นับว่าพักผ่อนได้เพียงพอ หลังจากที่เขาพากรกฤตกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของเขา ระหว่างที่จะออกมานั้น น้านิลก็กลับเข้ามาพอดี

          น้านิลกับน้ากล้าไปส่งแม่ของเขาที่สนามบิน ส่วนพ่อไปราชการทางใต้ เมื่อกรกฤตรู้ถึงกับถอนหายใจออกมาแรงๆ

          เขาได้แซนวิชกับกาแฟฝีมือน้านิลติดไม้ติดมือมาหลายชุดเผื่อแผ่ไปถึงชาริศาด้วย ส่วนน้าก็ขับรถมาส่งพวกเขาถึงกองถ่าย ทำให้เขาได้หลับกันตลอดทาง

          น้ากล้าเพิ่งจะกลับไปเมื่อสายๆ นี่เองโดยมีพี่นนท์ขวัญใจชันดามารับ ถ้าชันดารู้คงจะเสียดายแน่ๆ ที่ไม่ได้พบหนุ่มที่แอบปลื้ม

          “มึงเป็นอะไร กินไปยิ้มไป ดีใจที่พ่อกับแม่มึงไม่อยู่บ้านทั้งคู่?” กรกฤตพูดประชด

          “กูแกนึกถึงน้องดา ที่คลาดกับพี่นนท์”

          “มึงไม่พูด น้องดาก็ไม่รู้”

          “แต่ฉันรู้!!” พี่กะทิเดินมาโอบไหล่กรกฤต พ้อยท์เท้า แล้วยื่นโทรศัพท์โชว์ให้ดู ราวกับตนเองเป็นนางแบบโฆษณาโทรศัพท์เครื่องนี้

          “เฮ้ย!!” กรกฤตหันควับไปมองหน้าพี่กะทิ

          “เหลามาค่ะคุณ หนุ่มหล่อมาดพระเอกคนนี้เป็นใคร?”

          “แกนี่เรดาร์ทั้งแรง ทั้งไวเลยนะ”

          “ไม่ได้ค่ะ สำหรับกะทิ ผู้หล่อคือที่หนึ่ง ผู้ชายน่ารักเป็นที่สอง เรื่องนี้น้องม่อนคงไม่โกรธพี่นะคะ” สาวประเภทสองอย่างกะทิหันมาส่งยิ้มให้เขา

          “เขาเป็นคนรู้จักของฉันกับไอ้ม่อนมัน”

          “หืม หล่อล่ำ น่าหม่ำมากอ่ะ ว่าแต่ว่าที่สามีในอนาคตของฉันเขามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”

          “น้อยๆ หน่อย ว่าที่สามีแกเต็มไปหมด เลือกเอาสักคนไม่ได้หรือไง”

          “จะรีบเลือกไปทำไม มีโอกาสเลือก ก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสิ เหมือนน้องพราวยังไงละ?”

          “พอเลย เดี๋ยวจะนอกเรื่องกันไปไกล แกก็อยู่เฉยๆ เถอะ”

          “รู้แล้วๆ แหม๋ จะขอเม้าส์หน่อยก็ไม่ได้ อารมณ์เสีย!!” พี่กะทิพูดเสียงสะบัดแล้วก็เดินจากไป

          “มีเรื่องอะไรอีกรึเปล่ามึง”

          “หลายคนในกองเขาหมั่นไส้น้องพราวน่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่เสียหน้าช่างผม ช่างหน้าประจำกองเท่านั้น”

          “อ่อ ก็แฟนเขาจัดหามาให้นี่นะ เราจะว่าอะไรได้”

          “ไปเถอะ ป่านนี้คงเตรียมถ่ายซีนถัดไปแล้ว”

          พัสกาญและกรกฤตได้แต่เตรียมเสื้อผ้าให้นักแสดงคนอื่นๆ ที่แสดงสมทบในซีนที่มีพราววริศาเป็นตัวหลัก ส่วนของดาราสาวนั้น คุณพหลได้จ้างสไตลิสต์ส่วนตัวมาดูแลเสื้อผ้าหน้าผมให้โดยเฉพาะ


.........................................................................


          อามันต์เข้ามาในกองถ่ายพร้อมกับทัชชา เขาสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่ดูจะมากขึ้นกว่าเมื่อวาน

          “ดีนะที่นายตัดใจจากพราวได้แล้ว ถ้านายกับพราวคบกันไปจริงๆ ไม่รู้ว่าต้องเหนื่อยเอาใจขนาดไหน?”

          “ดูแลกันเอาใจกันขนาดนี้ พราวเขาอาจจะไม่ใช่คนเรียกร้อง แต่คุณเตอร์เขาเต็มใจให้เองก็เป็นได้”

          “อืม ก็ถือว่าเป็นโชคดีของทีมงานบางคน ที่จะได้มีเวลาหลบไปทำงานของตัวเอง” อามันต์อดที่จะพูดแขวะไอ้แว่นเฉิ่มนั่นไม่ได้

          ทัชชาหันมามองเขาด้วยสายตาละอาก่อนจะเดินไปยังมุมของตนเอง ส่วนเขาก็เดินไปทักทายกวินทร์

          “พี่วิน เดี๋ยวนี้ที่กองยกระดับจากปาท่องโก๋เป็นแซนด์วิชแล้วเหรอ” เขาทักทายเมื่อเห็นกวินทร์กำลังละเลียดทานแซนวิชร่วมกับเด็กตาล ผู้ชายตากล้อง

          “ไม่ใช่ ๆ ปาท่องโก๋น่ะดีที่สุดแล้ว แต่เนี่ยไอ้ตาลมันเอามาแบ่ง”

          “ไงไอ้ตาล มึงเบื่อปาท่องโก๋ของเฮียวินทร์แล้วเหรอ?” เขาแซวเด็กที่นั่งอยู่กับพื้น

          “ป่าวครับ ผมกินได้หมดแหละ แซนด์วิชนี่ผมก็ไม่ใช่คนซื้อมา พี่ชาญแบ่งมาให้ผม ผมเลยมาแบ่งพี่ๆ เท่านั้นเอง กินคนเดียวไม่หมดหรอก”

          “มันต์ลองกินสิ พี่ว่ารสชาติใช้ได้เลยนะ เอ่อไอ้ตาล ไว้เอ็งลองถามชาญดูว่ามันซื้อมาจากร้านไหน เผื่อกูจะสั่งไปฝากเมีย”

          “ครับ”

          “มันอร่อยถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?” อามันต์ว่าแล้วก็หยิบแซนด์วิชขึ้นมาชิ้นหนึ่ง หลังจากลองชิมดูเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่พัทยา “ชาญเป็นคนเอามาให้เหรอ?”

          “ครับ พี่มันต์สนใจจะสั่งอีกคนเหรอ เอาไว้ผมถามพี่ชาญให้แล้วกัน ตอนนี้ต้องช่วยพี่วินทร์ก่อน”

          “เอ่อ ๆ” เขาตอบแบบขอไปทีก่อนจะพูดขึ้นกับกวินทร์ “พี่วินทร์ ผมไปดูทัชก่อนนะ คิวไม่มีปรับใช่ไหมพี่?”

          “ไม่มี เรียงตามที่คุยกันไว้เลย”

          เขาพยักหน้ารับก่อนเดินไปหาทัชชา แซนด์วิชนี้คือแซนด์วิชปริศนาที่มาพร้อมกาแฟแก้วนั้นแน่ๆ


........................................................................


          พราววริศากลับมานั่งพักที่มุมส่วนตัว หลักจากพักเบรคเพื่อเปลี่ยนซีนถัดไป 2-3 วันนี้เธอต้องเร่งงานจนแทบไม่ได้พักผ่อน แต่เมื่อคิดถึงผลตอบแทนที่ได้มาแล้วถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนไปทีเดียว

          พหลติดเธอเข้าแล้ว เธอยอมเสี่ยงเลื่อนคิวถ่ายทั้งละคร แฟชั่น และงานโชว์ตัวต่างๆ เพื่อไปดักพบพหล หลังจากที่เริ่มสนิทสนมกันแล้วเธอก็พยายามตามใจเขาทุกอย่าง มีเล่นตัวบ้าง เอาใจบ้าง ทำแต่พองาม สุดท้ายคุณพหลก็ขอคบกับเธอ พร้อมพาไปเที่ยวกับครอบครัวที่มัลดีฟ

          นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอคุณดาหลา คุณแม่ของพหล และเหมือนคุณดาหลาจะไม่ค่อยปลื้มใจเธอสักเท่าไรนัก ทำให้เธอต้องเล่นบทเพื่อนและคู่คิดที่ดีต่อไปอีกสักหน่อย

          “พราว ชาพีชจ๊ะ” หลินผู้จัดการส่วนตัวของเธอถึงแก้วชายี่ห้อดังมาให้

          “พี่เตอร์มาเหรอ?”

          “ไม่ใช่จ๊ะ แต่คุณเตอร์ให้คนส่งมาให้พราวโดยเฉพาะ”

          “แล้วคนพวกนั่นล่ะ” เธอหมายถึงช่างแต่งหน้าทำผม รวมถึงสไตลิสต์ที่คุณดาหลาส่งมาดูพฤติกรรมของเธอ

          “ไปพักทานอาหารเช้าของกองนะ แล้วพราวจะทานอะไรไหม เดี๋ยวหลินไปเอามาให้”

          “ไม่ต้อง ๆ มานั่งนี่เลย มาคุยกันก่อน ช่วงนี้ยิ่งหาเวลาคุยกันสองคนไม่ค่อยได้”

          “พราวมีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

          “คนที่พี่เตอร์พามาเป็นคนของแม่เขา เมื่อวานฉันได้ยินยัยสไตลิสต์คนนั้นโทรรายงานคุณดาหลา”

          “จะลูกจะแม่ส่งมาก็เหมือนกันแหละ ไม่ดีหรือยังไง ที่มีคนคอยเอาใจแบบนี้ เธอชอบไม่ใช่เหรอ?”

          “มันก็ใช่ แต่ฉันอึดอัด ตอนพี่เตอร์อยู่พวกนั้นยังพอเกรงใจกันบ้าง แต่วันนี้พี่เตอร์ไม่มา ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะแกล้งอะไรฉันรึเปล่า”

          “พราว นี่เธอคิดมากไปรึเปล่า พวกเขาจะมาแกล้งอะไรเธอ”

          “ฉันก็ไม่รู้ มันเป็นลางสังหรณ์นะ เห็นคุณดาหลานิ่งๆ แบบนั้น แต่ฉันว่าเขาไม่ชอบฉัน”

          “อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้นละ”

          “ก็หลายอย่าง ยิ่งงานแข่งรถการกุศลที่พัทยานั่นก็อีก พี่เตอร์ให้ฉันไปร่วมงานในนามของพรีเซนเตอร์ที่สนับสนุน แต่คุณดาหรากับส่งพี่เตอร์ไปทำงานที่ญี่ปุ่นแทน”

          “ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ ต่างคนต่างต้องทำงาน”

          “ใช่ที่ไหนละ พี่เตอร์วางแผนไว้ว่าหลังจากจบงานจะพาฉันไปร่องเรือกันต่อต่างหาก”

          “ก็น่าคิดนะ…”

          “หลิน เธอต้องช่วยฉันนะ หาโอกาสให้ฉันกับพี่เตอร์อยู่ด้วยกันสองต่อสอง”

          “อืม ฉันจะลอง…”

          “พวกนั้นมาแล้วๆ” เธอรีบสะกิดให้หลินหยุดพูด ก่อนจะหลุดเอ่ยถึงแผนการให้คนพวกนั้นได้ยิน

          การที่พราววริศาได้เข้าวงการบันเทิงมาก็เพราะมีหลินช่วยดัน ช่วยสนับสนุน และยังเป็นคนวางแผนให้เธอได้มีโอกาสคว้าบทนางเอกคู่กับทัชชาจะได้รับรางวัลคู่จิ้นแห่งปีอีกด้วย ส่วนเรื่องพหลไม่ต้องพูดถึง ถ้าเธอหมายตาใครไว้หลินจะช่วยดันให้เธอสมปรารถนาในทุกเรื่อง





To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 16 : 09.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-10-2019 13:41:23
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชิส์...ยัยเต้าไต่
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 16 : 09.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-10-2019 16:16:41
พราววิสาคงจะมีสักวัน ที่กลับมาป่วนน้องม่อนของฉันแน่ๆ
ดูเหมือนจะมีเรื่องหล่อนในทุกๆตอนเลย
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 16 : 09.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 09-10-2019 20:13:57
น้องม่อนขวัญใจกอง ยิ่งกว่าพระเอกอีก
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 17 : 14.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 14-10-2019 22:40:46
17







        คิวถ่ายของทัชชาเสร็จสิ้นช่วงเวลาบ่าย 3 โมง ซึ่งนับว่าโชคดีกว่านักแสดงคนอื่น ๆ ที่ต้องรอคิวถ่าย และที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นพราววริศาที่แทบไม่ได้หยุดพักเลย จะมีได้พักก็ช่วงเปลี่ยนซีนไม่กี่นาทีเท่านั้น

        “วันนี้ดูพราวเครียด ๆ นะ” เขาเปรยขึ้นกับอามันต์ที่ก้มเก็บของอยู่ใกล้ ๆ

        “อืม ก็พี่วินทร์ กับเจษฎ์เล่นอัดถ่ายซะขนาดนั้น แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ ละครใกล้จะออนแอร์แล้วด้วย ยิ่งไม่รู้ว่าพราวจะเลื่อนคิวอีกรึเปล่า”

        “แล้วนี่เขาจะเลิกกองกันกี่โมงละวันนี้”

        “ได้ยินเจษฎ์คุยกับหลินว่าจะถ่ายกันถึงตอนที่ 4 ฉากที่ 18 นะ”

        “อืม…” ทัชชาได้ยินดังนั้นก็กางบทขออกมาดู และเมื่อประเมินเวลาดูแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเลิกกราว ๆ ทุ่ม “วันนี้ฉันไม่มีงานที่ไหนต่อใช่ไหม?”

        “อืม หมดแล้ว อ่อ! ตอนนายถ่ายซีนสุดท้ายอยู่ เลขาคุณสุพรรณษาโทรมาเชิญนายไปร่วมงานแข่งรถการกุศล นายจะว่ายังไง”

        “แข่งรถ? แล้วให้ฉันไปทำอะไร”

        “เป็นพรีเซนเตอร์ขายเสื้อยืด จะมีนัดถ่ายแบบเสื้อก่อน ถ้าฉันจำไม่ผิดน่าจะถ่ายในอาทิตย์นี้นั่นแหละ ส่วนในงานก็ไปเชียร์ขายเสื้อ”

        “ฉันมีคิวว่างให้เขา...ก็ไป”

        “งานนี้ไม่มีค่าตัวนะ”

        “อืม นายช่วยจัดการบริจาคเงินให้ด้วยแล้วกัน ใช้ชื่อแม่ฉัน”

        “ได้เดี๋ยวจัดการให้”

        “นายกลับไปก่อนนะ ฉันจะไปขับรถเล่นแถวๆ นี้สักหน่อย แล้วค่อยกลับ”

        “อย่าเถลไถลจนเสียงานพรุ่งนี้ละ แล้วขับรถระวังๆ ด้วย”

        “รู้แล้วน่า…” ทัชชาเก็บของเสร็จก็เดินไปที่รถของตนเอง โดยระหว่างทางเขาก็มองพัสกาญกำลังช่วยงานกรกฤตอย่างขยันขันแข็ง

........................................................................

        วันนี้โชคดีกว่าที่พัสกาญคิดเอาไว้ ตอนที่น้านิลโทรมาบอกว่าคุณยายจะกลับเข้าบ้านใหญ่วันนี้ และมีเรื่องให้เขาช่วยงาน เขาคิดว่าคงจะไม่ได้ไปพบท่านซะแล้ว การเลิกกองเร็วแบบนี้ทำให้เขาพอมีเวลารีบกลับไปบ้านใหญ่ได้

        “กร มึงจะว่าอะไรไหม ถ้ากูไม่ได้อยู่ช่วยเก็บของ”

        “มึงจะรีบไปไหน ยังไงมึงก็ต้องรอกูไปส่งอยู่แล้ว”

        “คุณยายท่านมีเรื่องให้กูช่วยงาน ก็เลยจะแวะเข้าไปบ้านใหญ่คืนนี้”

        “แล้วมึงจะไปยังไง รอกูก่อน เดี๋ยวกูไปส่ง งานเก็บของตรงนี้ให้ชาญมันรับผิดชอบไป”

        “เฮ้ย ไม่เป็นไร กูว่าจะวานให้น้องดาไปส่ง”

        “ไม่ ๆ กูไม่ปล่อยมึงไปขึ้นรถแหม่มเด็ดขาด มึงรอกูอยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูมา แล้วอย่าเดินไปไหนละ ถ้ารีบก็อยู่เฉยๆ” ว่าแล้วกรกฤตก็เดินตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

        “โห พี่ม่อน พี่กรเป็นพ่อพี่ป่ะเนี่ย ไมโหดจัง” ตาลผู้ช่วยช่างกล้องกำลังเดินเก็บสายไฟผ่านมาได้ยินพอดี

        “กรมันก็แบบนี้แหละ ขี้บ่น”

        “นั่นสิ พี่ทิก็ว่างั้น อ่อ แล้วคุณยายพี่มาจากต่างจังหวัดเหรอ ถึงได้รีบไปเจอขนาดนั้น”

        “อืม ท่านเพิ่งมาจากเชียงราย”

        “อ่อ แม่พี่เป็นคนเหนือสินะ มิน่าละ พี่ถึงได้ดูข๊าวขาว”

        พัสการได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดของตาล แม่เขาเป็นคนเหนือจริงๆ แต่เหนือประเทศไทยขึ้นก็เท่านั้นเอง ยืนรอไม่นานกรกฤตก็เดินกลับมา

        “ป่ะมึง”

        “อืม”

        “พี่ม่อน ถ้าคุณยายพี่มีไส้อั่วมาฝาก พี่อย่าลืมติดมาแบ่งผมบ้างนะ” เด็กตาลตะโกนไล่หลังมา ทำให้คนในกองหันมาสนใจเขาไม่น้อย

        “อะไรของไอ้ตาล” กรกฤตถามขณะพากันเดินไปที่รถ

        “ตาลเข้าใจว่ากูเป็นคนเหนือ เพราะกูบอกว่าคุณยายเพิ่งกลับมาจากเชียงราย”

        “เออดี ไอ้ตาลมันก็ช่างคิดได้”

        “ตาลมันก็น่าเอ็ดดูดี ซื่อๆ”

        “ว่าแต่มึง จะให้กูเข้าไปส่งที่บ้านใหญ่เลยใช่ไหม?”

        “อืม…ไม่ดีกว่า ยังพอมีเวลา มึงไปส่งกูที่ร้านก่อน กูจะเอาของไปฝากคุณยายสักหน่อย จากร้านเดี๋ยวกูขับรถกลับบ้านเอง”

        “ได้ ฝากกราบยายมึงด้วย ไว้สะดวกกว่านี้กูค่อยเข้าไปกราบท่าน”

        “ไว้ถ้าพรุ่งนี้เลิกกองเร็ว มึงก็ค่อยแวะมาสิ”

        “พูดแบบนี้แสดงว่าคืนนี้จะนอนที่บ้านใหญ่ละสิ”

        “อืม ที่บ้านไม่มีใครอยู่นี่ กูเลยจะไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน”

        “เออ พรุ่งนี้เช้ากูไปรับมึงที่บ้านใหญ่ แล้วค่อยแวะไปทักทายท่านหน่อย”

        ระหว่างทางกลับมาร้าน พัสกาญกับกรกฤตก็คุยกับแต่เรื่องงาน จนกระทั่งรถมาจอดที่หน้าร้านของพัสกาญ

        “กูไปแระ มึงขับรถกลับบ้านใหญ่ดีๆ แล้วกัน”

        “ไม่ต้องห่วงกูหรอกน่า ขอบใจมากที่มาส่ง”

        พัสกาญลงจากรถแล้วเดินเข้าร้านไป กว่าจะถึงร้านก็ทุ่มเศษ ๆ ถ้าเขารีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยกว่านี้ คงจะไปถึงบ้านใหญ่ในเวลาละครของคุณยายพอดี

.........................................................................

        ทัชชาเห็นรถของกรกฤตขับออกมาเป็นคันแรกๆ หลังจากเขาสังเกตเห็นว่ากองถ่ายยุติการทำงานของวันนี้แล้ว เขาจึงขับรถตามกรกฤตไปห่าง เมื่อดูจากทิศทางแล้ว พัสกาญคงจะกลับไปที่ร้านแน่นอน

        พอมานึกทบทวนการกระทำของตัวเองดูแล้ว เขาก็อดที่จะขำตัวเองไม่ได้ กับแค่จะเริ่มสานความสัมพันธ์กับใครคนหนึ่งเขาถึงขั้นต้องคอยจับตาดูอยู่เป็นสัปดาห์ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ที่เขาจอดรถเพื่อดักรอพัสกาญ

        พัสกาญจัดว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงสังคมเลยทีเดียว และยังค่อนข้างเก็บตัว เท่าที่เขารับรู้มาจากพี่รุธและคุณอิง การที่คนดังระดับนี้ปกปิดตัวเองเข้ามาทำงานในกองถ่ายแสดงว่าพัสกาญคงมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ ทำให้หลายต่อหลายครั้งที่พัสกาญนั่งทำงานอยู่คนเดียวแล้วเขาอยากจะเข้าไปทักทาย แต่ก็ต้องเก็บความคิดนั้นไว้

        เท่าที่ทัชชาได้ยินคนในกองถ่ายคุยกัน ฟังดูเหมือนพัสกาญมาช่วยงานกรกฤตด้วยการช่วยดูแลชาริสา แต่เมื่อสังเกตให้ดี ทั้งกรกฤต ชาริสา และชันดา ต่างช่วยกันดูแลพัสกาญเป็นอย่างดี แสดงว่าคนทั้ง 3 รู้ว่าพัสกาญเป็นใคร

        ทัชชาขับรถเข้ามาบริเวณลานจอดด้านหน้าร้านของพัสกาญ ซี่งเวลานี้ลูกค้าค่อนข้างเยอะกว่าเวลาปกติ จนเขาวนหาที่จอดจนครบรอบก็ไม่มีช่องว่างให้เขาจอด ทำให้เขาต้องวนรถออกไปจอดฝั่งตรงข้าม ซึ่งสามาถจอดรถริมฟุตบาทได้ในวันที่จราจรกำหนด

        จอดรถได้ไม่นานเขาก็เห็นรถของกรกฤตเข้ามาจอดเทียบริมฟุตบาทฝั่งตรงข้าม และคนที่เขาเฝ้ารอจะพูดคุยมานานก็ลงจากรถมาแล้วเดินเขาร้านไป

        ครั้งที่แล้วที่เขามาหาพัสกาญ เขาก็ไม่ได้เจอตัว แต่วันรุ่งขึ้นกลับเป็นกรกฤตที่เข้ามาถามเขาถึงเรื่องนี้ ส่วนเจ้าตัวที่เพิ่งเดินเข้าร้านไป ไม่รู้ว่ารายนั้นคิดยังไง เขาควรตามเข้าไปทันที หรือทิ้งช่วงเวลาสักพัก ทัชชารู้สึกว่าไม่ควรจะรออีกต่อไป จึงเลือกที่จะก้าวลงจากรถและข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามทันที

........................................................................

        พัสกาญขึ้นไปหยิบของสองสามอย่างในห้องพักส่วนตัว จากนั้นก็ออกมารับของจากต้อยติ่ง เขาคิดว่าคุณยายน่าจะชอบอากาศที่รีสอร์ต ไม่นานคงจะเดินทางขึ้นไปที่นั่นอีกเป็นแน่ เขาจึงให้ต้อยติ่งเลือกผ้าพันคอและผ้าคลุมไหล่ในร้านมาอย่างละ 2-3 ผืน เพื่อนำไปฝากท่าน

        “วันนี้ผมไม่กลับนะ ปิดร้านได้เลย” เขาบอกพร้อมรับถุงของร้านมาไว้ในมือ

        “พรุ่งนี้เช้าคุณพัสจะเข้าร้านไหมค่ะ หรือจะไปทำงานพร้อมคุณกรเลย”

        “ผมคงไม่ได้เข้าร้านหลายวันหน่อย ว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณยายจนกว่าคุณแม่หรือคุณพ่อจะกลับ”

        “เรื่องทางร้าน คุณพัสไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวต้อยติ่งดูแลให้เอง” ต้อยติ่งเดินมาเปิดประตูหน้าร้านให้ เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินไปยังรถที่จอดไว้ข้างตึก

        พัสกาญมีที่จอดรถประจำ โดยมุมนี้จะเป็นมุมสวนย่อมเล็กๆ สำหรับนั่งพักผ่อนของยามด้วย เนื่องจากได้ร่มเงาของตึกช่วยบังแดด เมื่อเขาเดินไปจะถึงตัวรถ ยามที่นั่งปูเสื่อทานข้าวกันอยู่ก็หันมาทักทายเขา

        “วันนี้คุณพัสจะใช้รถเหรอครับ” ลุงอ๋อ ซึ่งเป็นหนึ่งในยามที่ดูแลโครงการนี้วางช้อนแล้วลุกขึ้นไปดึงผ้าคลุมรถของเขาออกและจัดการพับมันเก็บไว้

        “ครับลุงอ๋อ ขอบคุณครับ” เขาพูดพร้อมกับเปิดท้ายรถ แล้วนำถุงของต่างๆ ใส่เข้าไปด้านใน

        “นั่นเพื่อนคุณพัสรึเปล่าครับ ผมว่าเขาหน้าคุ้นๆ”

        เขาปิดท้ายรถแล้วหันมองตามสายตาของลุงอ๋อไป

        “ค...คุณ...คุณทัช” เขาเอ่ยชื่อคนตรงหน้าออกมา หรืออาจจะเรียกได้ว่าแค่ขยับปากมากกว่า เพราะเสียงของเขาหายไปตั้งแต่เห็นออร่าที่แผ่ออกมาจากตัวทัชชา

        “พี่เห็นม่อนเดินออกจากร้านมาทางนี้ พี่เลยเดินตามมา ม่อนกำลังจะออกไปข้างนอกเหรอ?” เขาเห็นทัชชามองมายังรถของเขา และมองไปที่ลุงอ๋อและเพื่อนยามอีก 2 คน

        “ครับ” สีของออร่าแสดงถึงความไม่มั่นใจ ผิดกับเวลาปกติที่ทัชชาทำงาน พัสกาญเองก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปนอกจากนี้

        ทั้งสองยิ่งเงียบไปไม่ได้พูดอะไรกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งลุงอ๋อเดินกลับไปนั่งทานข้าวกับเพื่อนต่อ พวกเขาทั้งคู่ถึงรู้สึกตัว

        “พี่ว่าจะมาดูเสื้อผ้าร้านม่อนสักหน่อย แล้วจะให้ม่อนช่วยเลือกให้พี่ด้วย แต่วันนี้ม่อนคงไม่สะดวก”

        “ครับ พอดีผมมีธุระต่อ” เขาเห็นทัชชามองไปยังท้ายรถ อีกทั้งออร่าที่แผ่ออกมายังแสดงถึงความขุ่นเคือง

        “ธุระที่ว่านี่ เกี่ยวกับถุงของฝากที่ม่อนใส่ไว้ท้ายรถรึเปล่า”

        “ครับ” พัสกาญเลือกที่จะสงวนคำพูดเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิด ถึงทำให้คนตรงหน้าไม่พอใจ ถึงทัชชาจะเก็บสีหน้าและน้ำเสียงได้ดี แต่ออร่าที่แผ่ออกมาไม่สามารถซ่อนอารมณ์จากสายตาของเขาไปได้

        “ไว้คราวหน้าพี่แวะมาใหม่แล้วกัน” ทัชชาพูดจบก็เดินจากไป ออร่าที่พัสกาญเห็นมีทั้งขุ่นเคือง หงุดหงิด ไม่มั่นใจ ผิดหวัง หลายหลากอารมณ์จนเขานึกสับสน

        การที่ทัชชามาหาเขาที่นี่ คงเป็นเพราะวันนั้นที่เจอกันตรงหน้าลิฟต์แน่ๆ นอกจากจะรู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว ตอนนี้ยังรู้เรื่องรถคันนี้อีก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าภายในกองถ่ายเขาลือกันว่าคุณพหลเป็นเจ้าของรถคันนี้ ที่ตามไปเฝ้าคุณแพรววริศา

        หรือว่า!! ทัชชาจะเข้าใจว่าเขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คิดจะไปขายขนมจีบให้กับดาราสาว ถึงได้แสดงอารมณ์ออกมาแบบนั้น





To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 17 : 14.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-10-2019 22:51:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

ม่อนกับพ่อแม่  มีประเด็นอะไรกันหรือเปล่า?

ถึงได้โล่งใจที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้านใหญ่
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 17 : 14.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 15-10-2019 03:42:21
ทำไมรู้สึกพระเอกของเราจะขี้งอน คิดเองเออเอง คิดไปเองแน่ๆ 5555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 17 : 14.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-10-2019 20:39:22
ไปง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอคะคุณทัช
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 17 : 14.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: ipookza ที่ 17-10-2019 18:21:17
มาต่อไวๆคะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 17 : 14.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 17-10-2019 22:16:24
ปล่อยให้เข้าใจผิดไปเยอะๆๆ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 18 : 25.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-10-2019 10:01:58
18







          เช้าวันรุ่งขึ้นกรกฤตมารับพัสกาญที่บ้านใหญ่ อีกทั้งได้มีโอกาสร่วมโต๊ะกับอาหารเช้ากับคุณสุพรรณษา หนึ่งในเจ้าของบ้านใหญ่หลังนี้

          บ้านหลังนี้ เดิมทีเป็นของคุณหญิงพรรณี แต่เมื่อท่านเสียชีวิตลง จึงได้ยกให้กับคุณสุพรรณี ลูกสาวเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นหม้าย ลูกชายก็เสียชีวิตเพราะเธอเลี้ยงดูลูกอย่างผิดๆ อีกคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของบ้านร่วมก็คือพ่อของพัสกาญ ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของคุณหญิงพรรณี

          “จริงสิ งานการกุศลคราวนี้ ม่อนชวนตากรไปด้วยสิ” คุณสุพรรณษาผู้มีศักดิ์เป็นยายของพัสกาญพูดขึ้นหลังจากทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว และรอของว่างที่กำลังจะเสิร์ฟ

          “งานอะไรเหรอครับคุณยาย?” เขาอดที่จะถามไม่ได้

          “คุณยายกับคนที่ไร่โน้นจัดงานแข่งรถเพื่อการกุศลขึ้นน่ะ รายได้เอาไปช่วยสร้างโรงอาหารในโรงเรียนบนเขา” พัสกาญบอกในขณะที่น้ำส้มขึ้นมาดื่มหลังทานอาการเช้าเสร็จ

          “งานช่วยโรงเรียนบนเขา ที่น้ากล้าก็จัดขึ้นทุกปีใช่ไหมครับ” เขาหันไปถามหญิงที่นั่งหัวโต๊ะ

          “ถึงกล้าจะจัดงานอาสาขึ้นทุกปี แต่ก็ไม่ได้ลงไปดูแลเองทุกครั้ง เพราะงานที่กล้าดูแลอยู่ค่อนข้างเยอะ ทำให้เงินสนับสนุนมีไม่มากนัก ยายเห็นว่าคุณภูผาอยากช่วย ยายจึงคุยกับเพื่อนๆ ดู เลยมีงานการกุศลนี้ขึ้น”

          “รายละเอียดเดี๋ยวเราเล่าให้นายฟังระหว่างทางไปกองถ่ายแล้วกันนะ” พัสกาญขัดขึ้น เมื่อน้านิลหิ้วถุงแซนวิชมารอ

          “นิล จัดหมูยอให้ม่อนไปแบ่งเพื่อนที่ทำงานด้วยก็ดีนะ” คุณสุพรรณษาหันไปบอกญาณิน

          “ค่ะ คุณษา”

          “คุณยายครับ ผมกับกรไปทำงานก่อนนะครับ ช่วงอาหารค่ำผมคงกลับมาทานด้วยไม่ทัน”

          “ไม่เป็นไร แค่อยู่ทานอาหารเข้าด้วยก็ยายก็ดีใจแล้ว พรุ่งนี้กรก็มาทานอาการเช้ากับยายอีกนะ”

          “ครับ” กรกฤตลุกขึ้นแล้วช่วยไปรับถุงขนมจากเด็กรับใช้ที่ถือตามน้านิลเข้ามา

          “ผมไปทำงานก่อนนะครับ” พัสกาญเดินเข้าไปโอบกอดผู้เป็นยายที่นั่งอยู่ที่เดิม พร้อมทั้งหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ “ม่อนรักยายนะ”

          ท่าทางออดอ้อนของพัสกาญเรียกสายตาเอ็นดูจากคุณสุพรรณษาได้เป็นอย่างดี มีเพียงเขาที่ดูจะหมั่นไส้ ไอ้ลูกคุณหนูนี่เหลือเกิน อยู่ต่อหน้ายาย คำพูดคำจา คำหยาบคายไม่มีให้ได้ระคายหูแม้แต่น้อย

          เมื่อเอาของขึ้นรถเรียบร้อย กรกฤตจึงถามเรื่องงานการกุศลที่คุณสุพรรณษาจัดขึ้น ได้ความว่า งานที่จัดขึ้นเป็นการแข่งขันแบบแรลลี่ จุดเริ่มต้นและยังเป็นสถานที่จัดงานคือหาดพัทยาจังหวัดชลบุรี ส่วนจุดสิ้นสุดจะเป็นที่ไร่ภูผาวรารักษ์ซึ่งเป็นการรวมพื้นที่ของ 2 ตระกูลใหญ่ ที่เชียงรายนั่นเอง

          “คุณยายให้พวกเราไปช่วยขายเสื้อในงาน ส่วนเสื้อยืด ท่านให้กูช่วยออกแบบให้”

          “ไปสิ ถือว่าไปพักผ่อนด้วย”

          “แต่วันนั้นกูคงไปกับที่บ้าน คุณยายให้พ่อไปเป็นประธานร่วมเปิดงาน”

          “นักข่าวน่าจะเยอะนะ แล้วมึงจะทำยังไง”

          “กูไปด้วยกันกับท่านก็จริง แต่คงหลบคนพวกนั้นออกมาที่บูธขายเสื้อเลย”

          “เออ มีอะไรให้กูช่วยก็บอก”

          “ขอบใจมึงมาก”

          กว่าเขากับพัสกาญจะเข้ามาถึงกองถ่ายก็เกือบจะ 11 โมงแล้ว ยังดีที่วันนี้ชาริสามีคิวถ่ายช่วงบ่าย ส่วนในตอนเช้า พราววริศาก็มีสไตลิสต์ส่วนตัวดูแลอยู่ กรกฤตจึงไม่ห่วงที่ให้ชาญและเอมดูแลงานกันอยู่ 2 คน



........................................................................



          ทัชชาที่อารมณ์ไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อวานจนอามันต์จับสังเกตได้ ยังดีที่วันนี้ซีนที่ทัชชาต้องถ่ายไม่ได้ยากมากนัก ทำให้การทำงานไม่ติดขัดอะไรจนโดนพี่กวินทร์ผู้กำกับตำหนิได้อีก

          “ทัช นายหงุดหงิดเรื่องอะไร ฉันเห็นนายเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว”

          “ไม่มีอะไร”

          “ไม่มีได้ยังไง ก็เห็นๆ อยู่ หรือว่าเมื่อวานที่นายไปขับรถเล่นแล้วเกิดเรื่องอะไรเข้า”

          “เฮ้อ… ก็นิดหน่อย”

          “นายก็รู้ใช่ไหม ว่านายคุยกับฉันได้ทุกเรื่อง”

          “อืม ฉันรู้ แต่เรื่องนี้ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน เอาไว้ฉันพร้อมเมื่อไร ฉันจะบอกนายอีกที”

          “พี่ทัช คุณมันต์ ทานอาหารเที่ยงรึยังค่ะ?” กะทิเดินเข้ามาหาเขา พร้อมด้วยตาลที่เดินถือถาดตามหลังมา

          “ยังเลย ว่าแต่วันนี้ที่กองทำอะไรไว้ให้กินละ?” อามันต์หันไปถาม

          “วันนี้มีพวกส้มตำที่คุณเจษฎ์เขาเหมามารสชาติถึงใจเลยค่ะ”

          “ทัชเอาอะไร เดี๋ยวฉันไปสั่งให้”

          “อะไรก็ได้ นายสั่งมาเถอะ”

          “เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนจะไปสั่งอะไรเพิ่ม กะทิขอนำเสนอ” กะทิหันไปยกถ้วยโฟมที่อยู่ในถาดมาไว้ในมือ “ยำหมูยอฝีมือกะทิเองคะ” จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะเล็ก ข้างๆ เก้าอี้ของทัชชาและอามันต์

          “ถูกหวยรึไง ถึงได้ทำยำหมูยอเลี้ยงคนทั้งกองแบบนี้” อามันต์อดไม่ได้ที่จะแซว

          “โหย คุณมันต์ อย่างพี่ทินะ ถูกหวยเขาก็ไม่บอกใครหรอก หมูยอนี่ก็ของพี่ม่อน เครื่องยำก็จากร้านส้มตำ มีลงทุนที่ไหน ลงแรงอย่างเดียวต่างหาก”

          “หุบปากไปเลยไอ้ตาล”

          “หรือคนถูกหวยจะเป็นหมอนั่น” อามันต์ยังคงเข้าใจแบบเดิม แต่ชื่อของคนที่ได้ยินนั้น ทำให้ทัชชาหันมาสนใจฟัง

          “ไม่ใช่หรอกครับ คุณยายพี่ม่อนมาจากเหนือเมื่อวาน แล้วเอาหมูยอมาฝาก เสียดายนะที่ไม่ใช่ไส้อั่ว”

          “มีของฟรีให้กินแล้วยังเรื่องมากอีกนะไอ้ตาล”

          “กะทิ พี่ขอเพิ่มอีกถ้วยได้ไหม”

          “โอ้ย...ได้สิค่ะพี่ทัช และถ้าติดใจเสน่ห์ปลายจวักของกะทิก็ไปหากะทิที่ห้องได้นะคะ หิวเมื่อไรก็แวะมา ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อ แต่เพื่อพี่ทัช น้องกะทิสะดวกทุกเวลาค่ะ” กะทิยกถ้วยยำหมูยอให้ทัชชาอีกถ้วยทั้งยังส่งให้กับมือด้วยท่าทางยั่วยวนหยอกล้อ

          เขาเข้าใจพัสกาญผิด เมื่อวานเขาคิดว่าพัสกาญคงจะรีบไปหาสาวที่ไหนสักคนพร้อมด้วยของขวัญเต็มท้ายรถ นั่นทำให้เขาหงุดหงิด แต่เมื่อได้รู้ความจริงว่าพัสกาญรีบไปหาคุณยาย มันทำให้เขาโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก

          “นายไม่ค่อยชอบกินของเปรี้ยวไม่ใช่เหรอ?” อามันต์ถามอย่างแปลกใจ หลังกะทิเดินไปแยกยำหมูยอให้กับนักแสดงคนอื่นๆ ต่อ

          “ฉันเห็นว่ามันน่ากินดี อีกอย่างนายชอบกินพวกยำนี่ ไม่ดีเหรอ ฉันจะได้ไม่ต้องไปแย่งนายกินไง”

          “แล้วส้มตำละ นายยังจะกินอยู่ไหม ฉันจะได้ไปสั่งให้”

          “ไม่เอาแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว”

          “เออ พูดถึงของกิน ฉันนึกขึ้นมาได้ นายจำแซนด์วิชปริศนาที่พัทยาได้ไหม?”

          “นายรู้แล้วเหรอว่าเป็นของใคร” ทัชชาถามอย่างสนใจ เมื่อคิดว่าอามันต์คงจะรู้แล้วว่ามันเป็นของพัสกาญ

          “ใช่ ฉันเห็นตาลเอาไปแบ่งพี่กวินทร์เมื่อวันก่อน มันว่าชาญแบ่งมาให้ ส่วนฉันเห็นกรกฤตหิ้วถุงแซนด์วิชเข้ามาบ่อยๆ ฉันว่าน่าจะเป็นของกรกฤต”

          ทัชชาได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ส่ายหน้าในความมั่วซั่วของอามันต์ คิดไปเองเข้าใจไปเอง เมื่อคิดดังนั้นเขาก็หลุดหัวเราะออกมา

          “นายเป็นอะไร หรือนายไม่เชื่อว่าเป็นกรกฤต”

          “เปล่า ไม่มีอะไร พอดีฉันคิดเรื่องอื่นอยู่” จะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คิดไปเอง ไม่ต่างจากอามันต์


.........................................................................


          ในกลุ่มที่พัสกาญนั่งอยู่ ได้มีการพูดคุยกันเรื่องงานแข่งรถการกุศลที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งผู้ที่นำข่าวนี้มาพูดคุยกันไม่ใช่พัสกาญหรือกรกฤต หากแต่เป็นกะทิกับไลลา ที่ไปได้ยินมาว่าพราววริศได้ไปร่วมงานด้วย เนื่องจากเป็นพรีเซนเตอร์ของหนึ่งในแบรนด์ที่สนับสนุนงานครั้งนี้

          “ฉันได้ยินนางโอดครวญกับคุณหลินผู้จัดการส่วนตัว ว่าคุณเตอร์ที่จะต้องไปร่วมงานนี้ด้วยกลับถูกคุณหญิงแม่ส่งให้ไปทำงานที่ประเทศไหนสักประเทศ” ไลลาพูดคุยกับกะทิอย่างออกรส

          “ดูทรงแล้ว คุณหญิงแม่ของคุณเตอร์คงจะไม่ชอบนางเท่าไร” กะทิวิจารณ์บ้าง

          “แหม๋ ก็นางออกตัวแรงขนาดนั้น เป็นธรรมดาที่ผู้หลักผู้ใหญ่จะไม่ชอบ”

          “ผมไม่เห็นพี่พราวจะออกตัวแรงตรงไหน” ตาลออกความเห็น “คนที่ออกตัวแรงน่าจะเป็นคุณเตอร์มากกว่า เห็นตามเอาอกเอาใจพี่พราวทุกอย่าง แล้วเป็นเขาไม่ใช่เหรอ ที่ขับรถหรูไปเฝ้าพี่พราวที่สถานี” ตาลถามเรื่องประเด็นรถหรู

          “แต่ที่ฉันได้ยินมานะ คุณหญิงแม่ของคุณเตอร์นะ เขาไม่ขอบให้ลูกชายขับรถแรงๆ แล้วฉันว่ามันต้องมีมูล ไม่อย่างนั้นนะ นางคงไม่ส่งลูกชายนางไปทำงานที่อื่นหรอก”

          “ถ้านางไม่ชอบพวกรถแข่ง รถแรง แล้วนางจะมาสนับสนุนงานนี้ทำไม”

          “คุณดาหราเขาเป็นเพื่อนกับคุณสุพรรณษา แล้วคุณดาหราเขาไม่ได้มีตำแหน่งเป็นคุณหญิงคุณนายอะไรสักหน่อย” พัสกาญอดไม่ได้ที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดของคนในกลุ่ม

          “น้องม่อนรู้จักคุณเขาด้วยเหรอ?” กะทิหันมาสนใจพัสกาญทันที

          “ไม่รู้จักหรอก เพียงแต่เคยได้ยินเรื่องของคุณดาหรามาบ้าง”

          “ส่งสัยพี่ม่อนจะเป็นพวกฟังแล้วเก็บข้อมูล เหมือนผมเลยใช่ไหม?”

          “ของน้องม่อนนะใช่ แต่ของแกนะไอ้ตาล แกมันซื่อบื้อ ฟังไปก็ไม่เข้าหัว ไม่ต้องเอาน้องม่อนของฉันเข้าไปเป็นพวกเลย งานดีๆ เสียของหมด”

          “โห...เจ้ทิอะ ชอบว่าผมแบบนี้ตลอด”

          ทุกคนพากันหัวเราะที่กะทิได้แกล้งตาลอย่างเคย ส่วนกรกฤตกับชาริสาก็มองมาทางเขา เหมือนต้องการจะคุยอะไรสักอย่าง สุดท้ายเขาได้แต่พยักหน้ารับอย่างขอไปที









To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 18 : 25.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-10-2019 13:28:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 18 : 25.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 25-10-2019 18:39:47
 :hao3: ติดตามน้องม่อนต่อไป  :hao5:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 18 : 25.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-10-2019 19:10:07
พระนายคุยกันกี่คำเองล่ะนี่เกือบจะ 20 ตอนแล้ว
แต่คิดอีกทีคงเป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 18 : 25.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: binggosoda ที่ 25-10-2019 19:32:41
รออ่านตอนต่อไปนะครับ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 18 : 25.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 31-10-2019 08:10:46
รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 18 : 25.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: davil01 ที่ 05-11-2019 17:49:12
รอติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 18 : 25.Oct '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-11-2019 21:13:22
หายไปนานเลยคราวนี้
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 19 : 12.Nov '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 12-11-2019 07:40:02
19





          หลังจากเลิกกอง ทัชชาขับรถมาดักรอพัสกาญที่ร้าน และวันนี้ก็เป็นวันที่ 4 ที่เขามาเก้อ พัสกาญไม่ได้กลับเข้ามาที่ร้านเลยนับตั้งแต่วันที่เขาเข้าใจผิด จากที่เขาสอบถามลุงอ๋อ ยามที่เฝ้าโครงการนี้ ทำให้รู้ว่าพัสการพักอยู่ที่ร้าน แต่กว่าจะถามได้ความก็ทำเอาลุงอ๋อเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นสายของโจรที่ไหน

          ตอนนี้ไฟในร้านดับลงแล้ว พนักงานในร้านต่างพากันออกมา เมื่อปิดร้านเสร็จก็แยกย้ายกันไป เขาเองก็คงต้องกลับไปพักเช่นกัน พรุ่งนี้เขามีถ่ายแบบลงนิตยสารของพี่รุธ

          ระหว่างที่สตาร์ทรถ สายตาเขาก็เหลือบไปเห็นรถที่คุ้นเคยขับเข้ามายังลานจอด ไม่นานคนที่เขาแอบมองอยู่เกือบเดือนก็ลงจากรถมาพร้อมทั้งยืนรอจนกระทั่งรถที่มาส่งแล่นออกไป พัสกาญจึงได้เดินตรงไปยังร้าน ทัชชาเห็นดังนั้นก็รีบลงจากรถทันที

          เมื่อเดินไปถึงหน้าร้าน พัสกาญกำลังไขกุญแจประตูร้านพอดี

          “ม่อน” เจ้าของชื่อสะดุ้ง กุญแจที่อยู่ในมือถึงกับล่วงลงพื้น พัสกาญหันมามองเขาตาโต

          “คะ...คุณ...คุณทัช” ทัชชาไม่สนใจอาการตกใจของคนตรงหน้า เขาเดินเข้าไปใกล้เพื่อก้มเก็บกุญแจให้ แต่กลับทำให้อีกคนก้าวถอยหลัง ตัวแทบจะฝั่งลงไปบนผนังกระจก

          “ทำไมกลับดึกละ กรพาไปแวะที่ไหนมารึเปล่า” เขายื่นกุญแจร้านคืนพัสกาญ

          “ปะ...ไปทานข้าวมาครับ” คนตรงหน้าเขาตอบคำถามแต่ไม่มีท่าทีจะรับกุญแจคืน เขาจึงไขกุญแจเพื่อเปิดประตูให้

          “ม่อนประหม่า เกร็ง หรือว่ากลัวพี่” เขาถามหลังจากเปิดประตูให้พัสกาญแล้ว

          ทั้งสองยืนมองกันอยู่หน้าร้านครู่หนึ่ง ทัชชาคิดว่าหากเป็นแบบนี้ เขาคงจะต้องทำให้พัสกาญชินกับเขาให้ได้โดยเร็วซะแล้ว

          “พี่จะมาซื้อเสื้อ แต่เห็นว่าร้านปิดแล้ว กำลังจะกลับพอดีเห็นม่อนลงจากรถกรซะก่อนเลยเข้ามาทัก” เขาเห็นใบหน้าสับสนระคนสงสัยจากพัสกาญจึงตอบออกไป และเดินนำเข้ามาในร้าน

          “คุณทัช” เขาหันไปตามเสียงเรียก

          “วันนี้ดึกมากแล้ว พี่ไม่กวนม่อนหรอก แค่อยากเข้ามาส่ง”

          “ครับ” พัสกาญพยักหน้าและเดินตามเข้ามา เรียกสายตาเอ็นดูจากเขาได้ไม่น้อย

          “ม่อนยังไม่ตอบคำถามพี่เลย”

          “คุณทัชถามว่าอะไรนะครับ?”

          “ทำไมม่อนถึงกลัวพี่”

          “เอ่อ…”

          “กลัวจริงๆ ด้วยสินะ”
 
          “คุณทัชครับ คือ...ผม…” ทัชชาเดินเข้าไปใกล้พัสกาญ แต่อีกฝ่ายกลับค่อยๆ ขยับถอยหลังหนี

          “ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกพี่เหมือนคนอื่นๆ เถอะ” เขาบอกทั้งที่ยังคงก้าวไปข้างหน้า

          พัสกาญที่พยายามก้าวถอยหลังเพื่อหนีเขา ไปสะดุดเข้ากับแท่นหุ่นโชว์ตัวหนึ่ง ดีที่เขาคว้าตัวไว้ได้ทัน ก่อนที่พัสกาญจะล้มลงไป

          “เห็นไหม พี่ก็มีเนื้อมีหนัง มีลมหายใจ ไม่ใช่ผีสางที่ไหน ที่ม่อนจะต้องกลัวพี่” เขาประคองพัสกาญไว้ในอ้อมกอด ถึงพัสกาญจะยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว เขาก็ไม่อยากปล่อย จะว่าเขาฉวยโอกาสก็คงไม่ผิด

          “ผม...ไม่เป็นไร...ปล่อย” พัสกาญบอกเสียงสั่น เขาไม่รู้ว่าพัสกาญกลัวหรือโกรธที่เขาฉวยโอกาสจึงรีบปล่อย

          “พรุ่งนี้พี่ต้องไปถ่ายงานให้พี่รุธ... ชุดของม่อน”

          “คุณรู้เรื่องผม แต่คุณไม่พูด คุณต้องการอะไร”

          “ถ้าพี่แค่อยากให้ม่อนเรียกพี่แทนคำว่าคุณละ ได้ไหม?”

          “ทำไม?”

          “เรื่องบางเรื่อง มันก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมารองรับหรอกนะ”

          “คุณกำลังสนุกอยู่? คุณแกล้งผมทำไม? อ่อ! ถ้าเป็นเรื่องคุณพราว ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอ คุณสบายใจได้”

          ทัชชางงกับคำพูดของพัสกาญ เรื่องแกล้งน่ะใช่ เขาแต่อยากเห็นสีหน้าแบบอื่นของพัสกาญบ้าง และรู้สึกว่ามันน่ารักดี แต่เรื่องพราว...

          “อ่อ พี่เข้าใจว่าวันนั้นม่อนคงไปส่งกรที่สถานี พี่ไม่ได้เอามาโยงเรื่องเข้ากับพราวสักหน่อย เฮ้อ...สงสัยเราต้องคุยกันยาวซะแล้ว ก่อนที่ต่างคนจะเข้าใจกันไปคนละทาง”

          “คุย?”

          “ใช่ ที่ม่อนพูดออกมาแบบนี้ ไม่ใช่เพราะคิดไปเองหรอกเหรอ?”

          “ผมเปล่า ผมเห็น…”

          “เห็น? บางทีสิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่ภาพทั้งหมดก็ได้นะ อย่างข่าวของน้องแหม่ม ม่อนที่เป็นเพื่อนน่าจะรู้ดีกว่าพี่”

          “แต่นี่มันดึกมากแล้ว”

          “พี่จะยอมกลับไปก่อนก็ได้ แต่ม่อนต้องรับปากพี่ 2 ข้อ”

          “ถ้าผมทำได้” เขายิ้มออกมาเล็กน้อย

          “เรียกพี่ ไม่เอาคุณ”

          “อืม” พัสกาญพยักหน้าพร้อมกับรับคำ

          “โทรศัพท์ของม่อน” เขาแบมือให้คนตรงหน้าที่ยังคงทำหน้างงอยู่จึงย้ำคำอีกครั้ง “โทรศัพท์”

          “คุณทัชจะโทรหาใคร ใช้โทรศัพท์ร้านตรงเคาน์เตอร์ก็ได้นะครับ”

          “ไม่ครับ แล้วเมื่อกี้ม่อนรับปากพี่แล้วนะ ขอโทรศัพท์ของม่อนด้วยครับ” พัสกาญส่งโทรศัพท์ให้เขา “ปลดล็อกด้วยครับ”

          พัสกาญทำตามอย่างงงๆ เขาจึงกดเบอร์เขาลงไป เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น จากนั้นเขาก็บันทึกเบอร์ของเขาลงเครื่องของพัสกาญแล้วส่งคืนให้เจ้าของ

          “นี่เบอร์ส่วนตัวของพี่ หวังว่าม่อนจะรับสายพี่นะ”

          ทัชชายัดกุญแจร้านใส่เข้าไปในมืออีกข้างของพัสกาญ แล้วเดินออกจากร้านมา อย่างน้อยเขาก็มีเบอร์ของพัสกาญให้ได้โทรหา ให้ส่งข้อความไป และครั้งนี้ขอให้เขาอย่าได้อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเหมือนคราวที่แล้ว

          และเขาก็ตัดสินใจแล้ว ว่าเรื่องที่พี่รุธขอให้ช่วยนั้นเขาคงต้องปฏิเสธ ในเมื่อพัสกาญไม่อยากให้สัมภาษณ์กับทางนิตยสาร เข้าก็จะไม่ช่วยหว่านล้อมให้พัสกาญไม่สบายใจ

........................................................................

          ทัชชาออกจากร้านไปได้สักพักแล้ว แต่บรรยากาศภายในร้านยังคงมีออร่าหลากสีสันลอยฟุ้งอยู่ภายใน เหมือนดังสายรุ้งที่เกิดขึ้นหลังฝนตก

          ตั้งแต่พัสกาญสามารถมองเห็นออร่ามา เขาไม่เคยเห็นมันลอยค้างอบอวนอยู่ในอากาศแบบนี้มาก่อน มันทั้งน่าตื่นเต้น และน่าแปลกใจในคราวเดียวกัน

          โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นขึ้นมาเบา ๆ เรียกสติให้พัสกาญที่ยืนตะลึงค้างกับภาพตรงหน้าก้มลงมามอง

          ‘ปิดประตูร้านแล้วขึ้นไปพักผ่อนได้แล้วครับ’

          ข้อความจากทัชชาทำให้พัสกาญรีบเดินไปปิดประตูร้าน แล้ววิ่งขึ้นไปยังห้องของตัวเองโดยไม่ได้เปิดไฟทางเดิน เมื่อเข้าห้องได้ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

          หอบหายใจอย่างหนัก หัวใจที่เต้นแรงเพียงเพราะวิ่งขึ้นมาบนห้อง รวมกับอาการตื่นเต้นที่ได้เห็นออร่าทีแปลกตาและสวยงาม พัสกาญยกมือข้างหนึ่งมาสัมผัสหน้าอกตรงตำแหน่งของหัวใจ พยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆ หวังให้มันคลายจังหวะการเต้นที่รุนแรงลง

.........................................................................

          หลังจากภาริชได้สัมภาษณ์พราววริศาไปเมื่อหลายวันก่อนร่วมกับนักข่าวคนอื่น ๆ สิ่งที่เขาได้ฟังจากปากของดาราสาว ทำให้เขาติดใจบางอย่าง จึงสืบความดู

          พราววริศาไม่เคยทำงานร่วมกับชาริสาแม้สักครั้งเดียว ถึงแม้จะถูกเชิญให้ไปร่วมงานเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ทำงานร่วมกันสักครั้ง แล้วทำไมพราววริศาถึงพูดราวกับเธอเคยมีเรื่องกับชาริศา

          “อ่าวภา ไปยังมาไงถึงมานั่งนี่ได้ละ?” อิงลิชเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วกลับพบรุ่นน้องเธอนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะรับแขก

          “ผมมายืมห้องพี่ทำงานหน่อย”

          “แล้วที่ออฟฟิศภานั่งทำงานไม่ได้รึไง?”

          “มันก็ได้อยู่ เพียงแต่ผมไม่อยากฟังความเห็นของคนในออฟฟิศ”

          “เฮ้ย...ปกติภาไม่ใช่คนแบบนี้นะ อะไรทำให้ภาไม่รับฟังความเห็นของคนอื่นแบบนี้ล่ะ” อิงลิชถามอย่างตกใจในความเปลี่ยนแปลงของรุ่นน้อง

          “หา? เฮ้ย!! ไม่ใช่อย่างที่พี่คิด ผมหมายความว่า ผมไม่อยากได้ความคิดที่มีอคติ หรือเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น มันจะทำให้ผมวิเคราะห์เรื่องราวทั้งผิดเพี้ยนไป”

          “นี่ภาย้ายมาทำข่าวการเมืองแล้วเหรอ”

          “ไม่ใช่หรอกพี่ ว่าแต่พี่ว่างป่ะ ผมอยากรู้ความคิดพี่”

          “ไหนว่า ไม่อยากรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นยังไงล่ะ”

          “แล้วพี่รู้จักชาริศา หรือ พราววริศาเป็นการส่วนตัวไหม?”

          “ไม่”

          “2 คนนี้พี่ชื่นชอบใครเป็นพิเศษไหม?”

          “ไม่ เฉยๆ นะ”

          “ถ้าอย่างนั้น พี่นั่นแหละเหมาะที่สุดแล้ว มาช่วยผมหน่อย”

          “เอ่อๆ ก็ได้ แล้วภาจะให้พี่ช่วยอะไร”

          “อ่ะ พี่อ่านข่าวนี้ก่อน” ภาริชยื่นก๊อปปี้ข่าวให้อิงลิชได้อ่าน

          “สองคนนี้เขามีเรื่องไม่ลงรอยกันเหรอ ทำไมพี่ไม่เคยเห็นข่าว”

          “ไม่เคย ไม่แม้แต่จะทำงานร่วมกันเลยด้วยซ้ำ”

          “แล้วทำไมพราวถึงพูดออกมาแบบนี้”

          “นั่นแหละที่ผมแปลกใจ ผมเลยพยายามสืบอยู่”

          “แล้วภาจะให้พี่ช่วยยังไง”

          “ในมุมมองพี่ สองคนนี้เป็นยังไง”

          “ภาเป็นนักข่าวน่าจะวิเคราะห์ได้ดีกว่าพี่นะ”

          “แต่ผมรู้จักแหม่มเป็นการส่วนตัว ถึงจะไม่ได้คุยกันนานแล้วก็เถอะ ผมรู้ว่าแหม่มเป็นคนตรงไปตรงมา พูดน้อยต่อยหนัก ผมยังไม่เห็นถึงเป็นเด็นที่แหม่มจะทะเลอะกับพราว นั่นอาจจะเป็นเพราะผมมีใจเอนเอียงมาทางแหม่ม”

          “อืม พี่เข้าใจแล้ว ภากลัวว่าภาจะลำเอียงวิเคราะห์เข้าข้างแหม่มสินะ”

          “อืม แล้วตอนที่ผมได้ยินพราวให้สัมภาษณ์แบบนั้น ผมรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เลยเกรงว่าจะคิดกับพราวด้วยใจอคติ”

          “พี่ขออ่านข้อมูลที่ภาเอามาก่อนก็แล้วกัน”

          “ขอบคุณครับ ผมขอยืมห้องพี่นอนพักสักงีบนะ”

          “เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ” อิงลิชพูดพร้อมกับโกยเอกสารไปไว้บนโต๊ะและปล่อยให้ภาริชนอนหลับบนโซฟาไปโดยไม่ว่าอะไร


To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 19 : 12.Nov '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 12-11-2019 13:14:07
ว้าววว รุ้งหลากสีในความรู้สึกของม่อน ตื่นเต้นตามเลยนี่
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 19 : 12.Nov '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-11-2019 20:05:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 19 : 12.Nov '19
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 13-11-2019 13:39:48
มาจ่ะ นักสืบโคนันภา ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ใครคือคนร้ายกันแน่ สร้างความสร้างเรื่องขนาดนี้

ผ่านมา 19 ตอน พระนายเข้าพูดกันตรงๆ โดยไม่ผ่านล่ามแล้วจ้าาา 55555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 20 : 15.Nov '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 15-11-2019 02:25:43
20







          หลังจากที่ทัชชาเข้าไปหาพัสกาญที่ร้านวันนั้น เขาก็มักจะได้รับข้อความจากพระเอกหนุ่มอยู่ตลอดเวลา แต่ทัชชาก็ไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขามากนัก นอกจากจะแอบมองเขาอยู่ไกล ๆ ดังเดิม



          ‘วันนี้พี่ไม่มีคิวถ่ายที่กอง และต้องไปถ่ายงานให้พี่รุธ ไม่ได้เห็นหน้าแต่ได้ใส่ชุดของม่อนก็ยังดี’



         ‘ภาพออกมาดูดีมากเลยนะ พี่อยากให้ม่อนได้เห็นเร็ว ๆ จัง ชุดของม่อนเหมาะกับคนเอเชียจริงๆ’



          ‘เลิกกองรึยังครับ อยากแวะไปหาที่กองจัง’



          ‘กรไปส่งม่อนที่ร้านรึยังครับ ดึกมากแล้ว หลับฝันดีนะ’



          ‘พี่ซื้อขนมเจ้าอร่อยมาฝากทีมงานด้วย หวังว่าม่อนจะได้ทานขนมที่พี่ตั้งใจซื้อมาฝากนะครับ’



          ‘พี่ซื้อขนมให้ม่อนแต่ไม่ได้เอาไปให้กับมือ พี่รู้ว่าม่อนไม่อยากให้นักข่าวมายุ่งเรื่องส่วนตัว ทำแบบนี้ม่อนคงไม่น้อยใจพี่นะครับ’



          นี่เป็นข้อความบางส่วนที่ทัชชาหมั่นส่งมาให้เขาหลายๆ ข้อความต่อวัน อย่างข้อความล่าสุดเรื่องขนมเจ้าอร่อยที่ทัชชาบอก เขารู้ว่าพระเอกหนุ่มแอบนำมาวางให้เขา มันถูกวางอยู่ข้างๆ กันกับแก้วกาแฟของเขา และที่พัสกาญรับรู้ได้ว่าเป็นทัชชาที่เป็นคนนำมันมาให้เอง ก็พระออร่าของพ่อพระเอกหนุ่มยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจนถึงตอนนี้ แม้ว่ามันจะเบาบางลงไปมากแล้วก็ตาม

          “อ่าวพี่ม่อน ได้ขนมแล้วเหรอ ผมนึกว่ายังไม่มีใครเอามาให้พี่ซะอีก” ตาลเดินถือกล่องขนมเข้ามาหาเขา ซึ่งเป็นขนมจากทัชชา

          “อืม ขอบใจนะตาล เอาไปแบ่งคนอื่นเถอะ ของพี่พอแล้ว”

          “แล้วใครเอามาให้พี่ละ พี่ชาญกับพี่เอมก็อยู่แถวหน้ากล้องนี่”

          “เอ่อ… พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาได้แต่เลี่ยงตอบ

          “อืม งั้นผมไปก่อนนะ” เมื่อตาลเดินออกไป กรกฤตก็เดินสวนเข้ามาหาเขา

          “ช่วงนี้คุณทัชอารมณ์ดีนะ” กรกฤตมองกล่องขนมที่วางอยู่ข้างแก้วกาแฟของเขา

          “อะ อืม… เหรอ?” เขาไม่รู้จะตอบกรกฤตอย่างไร

          “หึ!! มึงมีอะไรจะบอกกับกูไหม ตอนนี้ทางสะดวก พวกทีมงานก็อยู่กันที่หน้ากล้อง แหม่มก็ยังไม่มา”

          “กู…”

          “กูพอจะรู้เรื่องคุณทัช แต่กูไม่แน่ใจ”

          “มึงรู้? รู้อะไร?”

          “เขาเคยไปหามึงที่ร้าน แต่ต้อยติ่งไม่ยอมให้เขาเจอมึง ที่กูรู้เพราะต้อยติ่งไม่ไว้ใจเลยโทรมาบอกกู แล้วกูเคยคุยกับเขาเรื่องของมึง”

          “เขา...บังเอิญเจอกับกู…ที่ออฟฟิศคุณอิงลิช”

          “ไปเจอกันได้ยังไง”

          “เขาเป็นหนึ่งในนายแบบของโปรเจ็คนั้น”

          “ออร่าแสงสีเขาเป็นยังไง?”

          “มันไม่เหมือนของใครที่กูเคยเห็นมา กูอยากปรึกษาแม่แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง”

          “แล้วตอนนี้มึงกับเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว”

          “เฮ้ย! มึงพูดอะไร ขั้นไหนอะไรของมึง กูกับเขาก็เหมือนเดิม ต่างคนต่างอยู่ จะมีก็แต่…”

          “แต่อะไร?”

          พัสการยื่นโทรศัพท์ให้กรกฤตดู เพื่อนของเขานำไปปลดล็อครหัสเองแล้วก็เปิดอ่านข้อความของพัสกาญ

          “มึงคิดยังไงกับเขา”

          “กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ” พัสกาญปฏิเสธ

          “มึงรู้ไหมว่าในกองตอนนี้นอกจากเรื่องของคุณพราวที่ดูจะผิดสังเกตแล้ว ยังมีคุณทัชที่ดูอารมณ์ดีเวลามาที่กอง และสุดท้ายก็คือมึง”

          “กู?”

          “มึงอาจจะไม่รู้ตัว แต่มึงมักจะยิ้มให้กับโทรศัพท์อย่างกับคนบ้า ซึ่งคนในกองเขาไม่คอยได้เห็นรอยยิ้มของมึงมากนัก แล้วเมื่อกี้นี้อีก มึงหน้าแดงต่อหน้าไอ้ตาล ถ้ากูเดาไม่ผิด ขนมกล่องนี้คุณทัชเป็นคนเอามาให้มึงใช่ไหม?”

          “อะ...อืม” เขายอมรับเรื่องกล่องขนม “แต่กูไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆ นะ”

          “ไอ้ม่อน มึงไม่ต้องรีบปฏเสธกู กูไม่ได้ว่าอะไรมึงสักหน่อย มึงรู้ใช่ไหมว่ากูกับแหม่มอยู่ข้างมึงเสมอ”

          “อืม”

          “มึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน คุณทัชเขาถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง ถ้าเขาจริงใจกับมึง และมึงก็มีใจให้เขา กูก็ยังคงจะยืนเคียงข้างมึงเสมอ แต่ถ้ามึงไม่มีใจให้เขา กูก็พร้อมจะเข้าไปขวางเขาไม่ให้มายุ่มย่ามกับมึง”

          “กร…”

          “มึงไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป มึงยังมีกูเสมอ อ่อ!! ยกเว้นเรื่องออร่าสีแสงนั่น มึงต้องถามแม่มึงแล้วละ หรือไม่มึงก็ลองถามลุงหยกดู ยังไงลุงมึงก็คงจะเข้าใจมึง”

          “ขอบใจมึงมาก เอ่อ...เรื่องนี้...แหม่ม”

          “ไม่ต้องห่วง มันยังไม่รู้ กูก็ไม่คิดจะบอกมัน มึงก็ระวังตัวอย่าให้มันจับได้ก็แล้วกัน อ่อ...แต่น้องดาเขาพอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้างนะ”

          “แล้วน้องดา…”

          “มึงก็รู้จักนิสัยน้องดา”

          “กร เขา...กู” อยู่ ๆ พัสกาญก็พูดไม่ออก อยากจะถามก็กลายเป็นว่า ไม่สามารถที่จะเรียบเรียงคำพูดได้ ในหัวตอนนี้เขากลับคิดถึงแต่โมนิก้า กลัวการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน

          “ใจเย็น ๆ เชื่อกู อยากทำอะไรมึงก็ทำ ไม่อยากฝืนใจก็ไม่ต้องฝืน ไปอย่าคิดมาก มากินขนมสูตรลุงหยกเถอะ กูโคตรคิดถึงขนมนี่เลย”

          พัสกาญนั่งลงพร้อมกับกรกฤต จากนั้นก็เปิดกล่องขนมออก ข้างในเป็นมัฟฟินจากร้านที่ลุงหยกเป็นหุ้นส่วนอยู่

          เขาจำได้ว่าสมัยตอนที่เขายังเด็ก หลังเลิกเรียนน้ากล้าจะพาเขาไปทานขนมที่ร้านนี้เป็นประจำ เวลาที่ต้องไปค้างที่บ้านลุงเสือและลุงหยก เพราะแม่กับพ่อและคุณยายไม่อยู่ ตอนนั้นน้ากล้ากับน้านิลก็ยังอยู่ที่บ้านนี้ด้วย ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่บ้านของเขาอย่างทุกวันนี้

          จากนั้นลุงเสือก็จะมารับเขากับลุงหยก ถึงแม้เขาจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วเขาก็ยังพาเพื่อน ๆ และแม้กระทั่งแฟนสาวอย่างโมนิก้า ไปอุดหนุนเสมอ ซึ่งกรกฤตก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ชื่นชอบขนมฝีมือลุงหยก จนกระทั่งเกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็ไม่ได้ไปร้านลุงหยกอีกเลย

          “กร”

          “อะไร มึงอย่ามางกนะ”

          “ป่าว กู่แค่จะถามว่า เขาจะรู้ไหมว่าขนมที่เขาซื้อมาเป็นขนมจากร้านลุงหยก”

          “ไม่มีใครรู้หรอก เชื่อกู”

          จากนั้นทั้งสองก็เพลิดเพลินกับขนมตรงหน้าโดยไม่ได้นึกถึงคนซื้อแม้แต่นิดเดียว หากแต่พูดถึงคนทำด้วยความคิดถึงมากกว่า

........................................................................

          ทัชชาเห็นพัสกาญยิ้มทุกครั้งที่ได้รับข้อความจากเขา นั่นทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง หลังจากที่เคยโทรไปหาอีกฝ่ายแล้วกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนชวนคุยอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนพัสกาญได้แต่รับคำสั้น ๆ

          ยิ่งวันนี้เขาเห็นพัสกาญทานขนมของเขาอย่างมีความสุข เขายิ่งอารมณ์ดีเข้าไปอีก รอยยิ้มของพัสกาญช่างหน้ามองนัก

          “เฮ้อ…”

          “เป็นอะไรทัช ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ทัชชาได้ยินอาทิตย์ทักก็ตกใจที่เผลอหลุดถอนหายใจออกไป “คงไม่ใช่เพราะพราวมีปัญหาหาอยู่หรอกนะ นายถึงได้ไม่สบายใจตามไปด้วย?”

          “พราว? พราวมีปัญหาอะไร ฉันไม่รู้เรื่องนะ”

          “อ่าว นี่นายไม่รู้หรอกเหรอ เรื่องที่พราวมีปัญหากับคุณพหล จนเสียสมาธิตอนเข้าซีนนะ?”

          “ฉันไม่ทันสังเกตจริง ๆ แล้วตอนนี้เคลียร์ได้รึยัง?” เขาถามเพราะเมื่อมาถึงกองถ่าย เขาก็รีบนำขนมไปให้พัสกาญ และแอบดูอยู่พักหนึ่งถึงได้กลับมายังที่นั่งของตน

          “เห็นเจษฎ์ ให้พักกองครึ่งชั่วโมง”

          “อืม แล้วเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นได้ยินข่าว”

          “ดูเหมือนพราวจะหลุดให้สัมภาษณ์นักข่าวในเชิงน้อยใจคุณพหล เรื่องงานแรลลี่การกุศลที่จะถึงนี่แหละ ทางเจ้าของแบรนด์เขาไม่พอใจ เลยยกเลิกงานในส่วนของพราว”

          “คุณพหลไม่พอใจอย่างนั้นเหรอ?”

          “เจ้าของตัวจริงอย่างแม่ของเขาต่างหากล่ะ”

          “อืม งานนี้ฉันก็ไปช่วยขายเสื้อนะ แต่ฉันยังไม่ว่างไปรับเสื้อจากคุณเพ็ญนภาเลย”

          “ในกองก็มีคนไปช่วยงานหลายคน ทีมคอสตูมของกรเองก็ไป น้องแหม่ม และยังนักแสดงอีกหลายคนเลยละ ฉันยังร่วมลงแข่งแรลลี่ด้วยเลย”

          “นายไม่ติดคิวถ่ายรึไง แข่งตั้ง 4 วัน”

          “ฉันตั้งใจจะลงแค่สองวันแล้วค่อยขอถอนตัว อยากช่วยให้งานมีสีสันนะ แต่เรื่องถอนตัวกลางคันนายอย่าไปบอกใครละ”

          ทัชชาหัวเราะออกมาในความเจ้าเล่ห์ของพระรอง แต่มันก็เป็นความคิดที่ดี

          “ว่าแต่เมื่อกี้นายกลุ้มใจเรื่องอะไร”

          “ก็ไม่เชิงกลุ้มใจหรอก… จะว่ายังไงดี อาจจะเป็นเพราะฉันไม่เคยจีบใครก่อน เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงมั้ง”

          “หืม? ... แสดงว่าคนนี้จริงจังสินะ ขึ้นขั้นพระเอกอย่างทัชชาเป็นฝ่ายเดินหน้าเข้าไปจีบก่อนแบบนี้ เธอเป็นใคร น่ารักไหม”

          “อืม…”ทัชชานึกถึงใบหน้าที่สวมแว่นตัดแสงเชยๆ ของพัสกาญ “ดูเผินๆ ก็ธรรมดาไม่ได้สะดุดตาอะไร ฉันแค่ชอบรอยยิ้มของเขา”

          “เฮ้ย… นี่นายเป็นเอามากนะ พูดถึงเขาแค่นี้ ถึงกับยิ้มซะหน้าบานเชียว แล้วไงต่อๆ”

          “ก็ไม่ยังไง เขาดูเหมือนจะเป็นคนขี้อาย เลยไม่ค่อยกล้าคุยกับฉัน ตอนนี้ฉันเลยได้แต่ส่งข้อความไปหาเขาแทน”

          “ฉันชักอยากเห็นแล้วสิว่าเป็นใคร นายมีรูปเขาไหม?”

          “ไม่มี”

          “อ่าว แล้วมันต์ละรู้ไหม”

          “นายอย่าเพิ่งไปบอกมันต์นะ ดูเหมือนมันต์จะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร”

          “ทำไมล่ะ?”

          “อาจจะเป็นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันละมั้ง ทำให้มันต์อคติกับเขา”

          “อืม น่าหนักใจนะ นายเป็นคนดัง เธอก็ขี้อาย อามันต์ก็ดันไม่ชอบเธออีก” ทัชชาได้ฟังอาทิตย์วิเคราะห์แล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมาอีกครั้งหนึ่ง “นายจะหัวเราะทำไม”

          “ป่าวๆ ฉันไม่ได้หัวเราะนาย ฉันขำตัวฉันเอง ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดัง เลยไม่ทันได้คิดว่าที่เขาเกร็งหรือไม่กล้าคุยกับฉัน อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้รึเปล่า”

          “เออๆ ยังไงฉันก็เอาใจช่วยก็แล้วกัน ขอให้นายได้เจอคนดีๆ”

          “ดีสิ คนคนนี้เป็นคนดีที่ใครๆ ก็ชื่นชม ยกเว้นก็แต่อามันต์เท่านั้นแหละ”

          ทัชชาพูดพร้อมกับมองไปยังพัสกาญที่เดินออกมารับชาริศาและชันดาพอดี

          “โชคดีนะที่เจษฎ์ให้พักกองครึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นน้องแหม่มที่มาสายคงได้มีปัญหาจริงๆ กับน้องพราวแน่ๆ” อาทิตย์ที่มองตามสายตาของเขาไปพูดขึ้น

          “ระยะหลังนี่แพรวก็ให้ข่าวด้วยการพูดจากำกวมเกินไปนะ เดี๋ยวหลายๆ คนจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่”

          “ก็เหมือนคราวของนายยังไงละ แต่นายเจอคนใหม่แล้วก็อย่าไปรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ เลย”

          “ขอบใจนายมากนะอาท”

          “อืม”

          จากนั้นทั้งสองก็นั่งทบทวนบทกันเงียบ ๆ ไม่นานทางทีมงานก็มาเรียกอาทิตย์ไปเตรียมตัว ทัชชาเห็นว่าไม่มีใครจึงกดส่งข้อความไปอีกครั้ง

          ‘ถ้าพี่รู้ว่าม่อนชอบขนมร้านนี้ พี่คงจะซื้อมาให้มากกว่านี้ เอาไว้ครั้งหน้าพี่จะพาไปทานนะครับ ม่อนน่าจะชอบ บรรยากาศดีมาก และมีมุมที่เป็นส่วนตัวให้เลือกนั่งด้วย’





To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 20 : 15.Nov '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-11-2019 08:25:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

เขาใจตรงกันแล้วหล่ะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 20 : 15.Nov '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-11-2019 13:08:05
น่ารัก มึหน้าแดงด้วย
เพิ่งรู้ว่าพระเอกดังทัชชาโรเมนติกขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 20 : 15.Nov '19
เริ่มหัวข้อโดย: ipookza ที่ 01-12-2019 21:14:03
มาต่อหน่อยนะ รออยู่ค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 21 : 5.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 05-12-2019 21:40:55
21








          พราววริศาเดินกระวนกระวายอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของห้องชุดสุดหรูใจกลางเมือง เธอยังคงอยู่ในชุดนอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เดินไปมาราวกับหนูติดจั่น เธอคอยหันไปมองประตูทางเข้าห้อง ตลอดเวลาที่เดินไปเดินมาพราววริศาก็เผลอกัดเล็บมือไปด้วย

          จนกระทั่งเสียงแตะคีการ์ดหน้าประตูดังขึ้น เธอจึงรีบพุ่งเข้าไปคว้ามือจับประตูให้เปิดออกทันที

          “หลิน ๆๆๆๆ พราวจะทำยังไงดี” พราววริศาพูดไปก็เขย่าแขนของหลินที่ถือถุงของจากร้านสะดวกซื้อ

          “พราว… เดี๋ยวของหล่น” หลินตอบอย่างใจเย็น ก่อนปิดประตูห้อง แล้วเดินตรงไปยังส่วนของห้องครัว

          “หลิน พี่เตอร์ส่งข้อความมา หลินตอบให้พราวหน่อย พราวไม่รู้จะตอบยังไงดี” เธอเดินตามหลินเข้ามานั่งลงตรงโต๊ะอาหาร เพียงแค่เห็นหลิน เธอก็ลดความกังวลไปได้มาก

          “เอามาดูสิ” หลินยื่นมือเพื่อขอโทรศัพท์ หลังจากวางถุงของต่างๆ ลงแล้ว

          พราววริศารีบวิ่งกลับไปยังห้องนอน รื้อค้นบนเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง เธอจำไม่ได้ว่าเธอโยนมันไปตรงไหน เธอกลับมากระวนกระวายอีกครั้งก่อนจะวิ่งมาดูที่ห้องนั่งเล่น และพบโทรศัพท์ถูกทิ้งอยู่บนโซฟา

          หลังจากได้โทรศัพท์แล้ว เธอก็เอาข้อความไปให้หลินดู ผู้จัดการส่วนตัวของเธอรับไปอ่าน ไม่นานก็พิมพ์ข้อความลงไป แล้วส่งกลับมาให้เธอ เมื่ออ่านแล้วก็ยิ้มออกมา

          “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เดี๋ยวไปกองถ่ายไม่ทัน”

          “อื้ม” พราววริศาพยักหน้าให้อย่างอารมณ์ดี แล้วเดินกลับเข้าห้องไป

          ไม่นานเธอก็เดินออกมาไม่เหลือเค้าความกระเซอะกระเซิงก่อนหน้าแม้แต่น้อย เธอนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ตรงหน้ามีอาหารเช้าที่หลินเพิ่งเตรียมให้เธอเสร็จใหม่ ๆ

          “ฉันถามจริง ๆ นะพราว เธอชอบพี่เตอร์มากเลยเหรอ?”

          “อืม ก็เขาหล่อ รวย ที่สำคัญหลอกง่ายจะตาย”

          “แล้วกับพี่ทัชละ?”

          “ก็ชอบนะ แต่น่าเสียดายที่ไม่รวยเท่าพี่เตอร์”

          “สรุปแล้วเธอคิดจะจับพี่เตอร์ให้ได้จริง ๆ ใช่ไหม?”

          “ก็เฉพาะตอนนี้นะ”

          “รู้มั้ยว่าตอนนี้กระแสเธอกำลังตก เพราะคำพูดที่เธอให้ข่าวไป”

          “ก็มันน่าน้อยใจนี่ เป็นลูกแหง่ติดแม่ซะขนาดนั้น”

          “แต่เธอก็ไม่ควรจะไปประชดพี่เตอร์เขาแบบนั้น ที่เขาช่วยพูดให้แม่เขาถอดเธอออกแค่เฉพาะงานแรลลี่นี้ก็ดีเท่าไรแล้ว นี่ถ้าถอดเธอออกจากการเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ด้วย เธอแย่แน่”

          “ฉันไม่ชอบยัยคุณแม่พี่เตอร์เลย เออ!! หลิน เธอจำผู้หญิงที่มาคุยกับยัยคุณแม่ได้ไหม? วันที่เราเอาของไปฝากพี่เตอร์ที่บ้านน่ะ”

          พราววริศาวางช้อนส้อมในมือลง แล้วเลื่อนจานอาหารออกไป

          “ก็พอจะจำได้นะ ทำไม?”

          “ฉันเห็นยัยคุณแม่เกรงใจนักเกรงใจหนา ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วมีลูกมีหลานไหม?”

          “ถึงจะมีลูก ลูกก็คงจะอายุคราวพ่อของเธอแล้ว หรือถ้ามีหลานก็คงอายุไม่เกิน 20 หรอกน่า”

          “เสียดายนะ ดูท่าทางจะรวย”

          “อืม คงงั้น” หลินยกจานของพราววริศาไปล้าง “ก็เขาเป็นตัวตั้งตัวตีจัดงานแรลลี่นี้ขึ้นมาได้ ก็คงไม่ธรรมดา”

          “เหรอๆๆๆ นี่หลิน สืบเรื่องคนบ้านนี้ให้หน่อยสิ” เธอพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

          “นี่เธอเพิ่งคบกับพี่เตอร์ยังไม่ถึงสองเดือนเลยนะ จะไปหาคนใหม่แล้วเหรอ?”

          “ก็แค่หาเผื่อไว้ก่อน ใช่ว่าฉันจะเลิกกับพี่เตอร์วันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย ลงทุนไปยังได้ไม่คุ้มทุนเลย”

          “ตามใจเธอก็แล้วกัน แล้วนี่พราวพร้อมจะทำงานรึยัง?”

          “พร้อมจ๊ะ” พราววริศาเดินออกจากห้องไปโดยมีหลินเดินตามหลัง เพื่อเตรียมไปทำงานที่ทำเงินและสร้างชื่อเสียงให้กับเธอ เมื่อลงมาที่ล็อบบี้ของคอนโดหรู รถตู้ของคุณพหลพร้อมทีมงานก็มาจอดรออยู่แล้ว

........................................................................

          หลังจากเสร็จงานที่กองถ่าย กรกฤตก็ขับรถมาส่งพัสการเหมือนทุกวัน ผิดตรงที่วันนี้เพื่อนของเขาต้องเปลี่ยนเส้นทางไปที่บ้านใหญ่

          วันพรุ่งนี้งานแรลลี่ที่คุณยายกับเพื่อน ๆ ร่วมกันจัดเพื่อการกุศลจะเริ่มขึ้น ทำให้คืนนี้ที่บ้านใหญ่มีแขกมาทานอาหารค่ำมากมาย กรกฤตกรจึงขับรถมาส่งเขาที่หน้าบ้านก่อนจะกลับ

          “คุณม่อน มาแล้วเหรอค่ะ รีบเข้าบ้านเถอะค่ะ ทุกคนรออยู่” น้านิลเดินออกมารับเขาถึงหน้าบ้าน

          “ทุกคนมากันครบแล้วเหรอครับ”

          “แต่เกือบค่ะ กำลังคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น”

          พัสกาญเดินตามน้านิลไปยังห้องนั่งเลย เมื่อน้านิลเปิดประตูให้เขาก็เห็นภาพบรรยากาศครอบครัวที่อบอุ่น ที่ไม่ได้เห็นมานาน

          “อ่าว ตาม่อน กลับมาแล้วเหรอลูก เหนื่อยไหมเรา” คุณยาย หรือใครๆ เรียกกันว่าสุพรรณษาถามพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้

          “สวัสดีครับ คุณยาย ลุงเสือ ลุงหยก” เขากำลังยกมือไหว้ทักทายรอบห้อง

          “พอแล้วๆ ไม่ต้องไหว้รอบตัวอย่างกับหาเสียงเลย ทุกคนเขารักเราอยู่แล้ว” แม่ของเขาขัดขึ้นอย่างหยอกล้อ

          “มาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป เดี๋ยวคุณภูกับตาเจมส์มา จะได้ทานข้าวกัน” พ่อของเขาไล่อย่างไม่จริงจังนัก

          “เดี๋ยวๆ พี่วิทย์ ภาขอกอดหลานให้หายคิดถึงหน่อย” ไม่พูดเปล่า ป้าเพ็ญนภา ลุกจากเก้าอี้เข้ามากอดเขาแล้วหอมแก้มทั้งสองข้างอีกฟอดใหญ่

          “ป้าเพ็ญครับ เหม็นเหงื่อม่อน” เขาท้วงออกมาเมื่อป้าของเขายังกอดเขาไม่ปล่อย

          “พี่เพ็ญๆ พอแล้ว ปล่อยหลานไปอาบน้ำก่อน” แม่ของเขาพูดขึ้นอย่างหวงๆ ส่วนป้าเพ็ญก็ยังไม่ยอมปล่อยเขา สองคนนี้ชอบหยอกกันแบบนี้ประจำ

          หลังจากเขาหลุดออกจากห้องนั่งเล่นออกมาได้ เขาก็รีบขึ้นห้องไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะลงมาสมทบกับคนอื่นที่ห้องนั่งเล่น เมื่อมาถึงก็พบว่าพี่ภูผามาถึงแล้ว

          “สวัสดีครับพี่ภู” เขาลงไปนั่งกับพื้นข้าง ๆ ภูผา เนื่องจากเก้าอี้ในห้องนั่งเล่น ผู้หลักผู้ใหญ่นั่งกันเต็มห้อง “เฮียเจมส์ละครับ?”

          “เจมส์ไปช่วยลุงหยกกับน้านิลในครัวน่ะ”

          “อ่อ”

          “เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วค่อยไปคุยกับพี่เขาก็ได้ ม่อนอยู่คุยกับคุณยายเรื่องงานพรุ่งนี้ก่อน” ภูผารีบดักทางเขาไว้อย่างรู้ทัน

          “ครับ”

          จากนั้นทุกคนในห้องที่เหลือก็ต่างคุยเรื่องงานที่ตนต้องดูแลในวันพรุ่งนี้ เขาจึงนั่งฟังไปด้วย

          งานนี้คุณยายกับพี่ภูช่วยกันจัดขึ้น โดยที่คนต้นคิดมาจากพี่ภู ส่วนพ่อของเขาไปเป็นประธานเปิดงาน

          แม่ของเขากับป้าเพ็ญนภา ทั้งสองคนใช้ชื่อเสียงของตัวเองออกแบบแจ็คเก็ตเป็นคอลเลคชั่นพิเศษเพื่อจำหน่ายในงาน ส่วนเขาได้ออกแบบลายเสื้อยืดสำหรับจำหน่ายทั่วไป

          ลุงเสือจัดคนในบริษัทมาดูแลความเรียบร้อยของงาน เรียกได้ว่างานนี้คนในครอบครัวเขาร่วมแรงร่วมใจช่วยงานกันเต็มที่

          “เสร็จงานแล้วม่อนมีงานต่อที่ไหนรึเปล่า” แม่ของเขาหันมาถาม

          “ไม่มีครับแม่”

          “ถ้าอย่างนั้น เสร็จจากงานนี้แล้ว ก็แวะไปพักที่โรงแรมก่อนสักคืนค่อยกลับ ลุงเถิงทำห้องไว้ให้เราแล้ว ไปดูสักหน่อย”

          “ครับ”

          ครั้งก่อนที่เหยียนหวอมาเทคโอเวอร์โรงแรมที่พัทยา ลุงเถิงก็ได้ปรับเปลี่ยนชั้นบนสุดเป็นเพ้นท์เฮ้าส์ส่วนตัวให้คนในครอบครัวคนละห้อง โดยมีต้นแบบมาจากที่มาเก๊า

          คุยเรื่องงานกันอีกสักพักน้านิลก็เข้ามาตามพวกเขาให้ไปทานข้าว เพราะตั้งโต๊ะกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้เนื่องจากมีสมาชิกหลายคน พ่อของเขาจึงให้ย้ายไปทานที่ห้องจัดเลี้ยง

          บรรยากาศในการทานอาหารค่ำเป็นไปอย่างอบอุ่น แม้จะเข้ามาใช้ห้องที่ดูเป็นทางการ แต่ทุกคนก็เลือกนั่งในตำแหน่งที่ตามใจตนเอง คุณยายนั่งหัวโต๊ะ ด้านข้างเป็นป้าเพ็ญที่คอยดูแลและคอยตักอาหารให้บ้าง ชวนคุยบ้าง พ่อนั่งคู่ติดกับแม่ ลุงเสือนั่งข้างลุงหยก พี่ภูกับเฮียเจมส์ แล้วก็เขา ส่วนน้านิลกับน้ากล้า ไม่ว่าใครต่อใครจะคะยั้นคะยอยังไงก็ไม่ยอมร่วมโต๊ะกับพวกเราสักที

          น้านิลกับน้ากล้ามักจะให้เหตุผลว่าเขาทั้งสองเป็นแค่ลูกจ้าง ซึ่งทุกคนในบ้านไม่มีใครคิดแบบนั้นเลย เขาเองก็นับถือน้ากล้าน้านิลเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

          เมื่อทานข้าวเสร็จทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน เขากับเฮียเจมส์เลยออกมานั่งคุยกันที่ข้างสระว่ายน้ำ

          “ม่อนดูสดใสขึ้นนะ” เฮียของเขาทักระหว่างที่นอนมองดาวบนท้องฟ้า ทั้งที่มันไม่ค่อยจะมีให้เห็นมากนัก เพราะสู้แสงไฟประดิษฐ์ในเมืองไม่ได้

          “คงเป็นเพราะม่อนออกไปทำงานกับกร ได้เจอคนมากขึ้น”

          “ดีแล้วละ” เฮียเจมส์เงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “มีปัญหาอะไร ม่อนโทรหาเฮียได้ตลอด ม่อนรู้ใช่ไหม?”

          “อืม แต่ม่อนไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ”

          “เฮียรู้ว่าม่อนมีเรื่องให้คิด หรือลังเลอยู่ ม่อนปิดเฮียไม่ได้หรอก ม่อนก็รู้ แล้วอีกอย่างน้าตั๋นเป็นห่วงม่อนมากนะ รู้ใช้ไหม ถึงแม้ว่าน้าตั๋นจะแกล้งหยอกกลบเกลื่อน”

          “เรื่องหมอก”

          “หืม...ที่เพื่อนเราเรียกว่าออร่าอ่ะนะ”

          “อืม มีคนหนึ่งที่หมอกนั้นยังคงอยู่ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว”

          “แปลก”

          “ม่อนไม่รู้จะปรึกษาใครดี ม่อนไม่กล้าถามแม่ เพราะแม่ขี้หวง”

          “แสดงว่าม่อนก็มีความรู้สึกดีๆ กับเขาสินะ”

          “เฮีย ม่อนเองก็ไม่รู้ ม่อนตอบไม่ได้”

          “ชัดออกขนาดนี้”

          “อะไรชัด?”

          “ก็ม่อนไงละ ม่อนมีความรู้สึกดีๆ กับเขา ไม่อย่างนั้นที่ม่อนไม่กล้าไปปรึกษาน้าตั๋น ไม่ใช่ว่ากลัวน้าตั๋นไปแกล้งเขารึไง”

          “...”

          “นี่ก็ดึกมาแล้ว พรุ่งนี้ต้องเตรียมงานแต่เช้า ถ้างานเสร็จแล้ว เฮียแนะนำให้ม่อนไปปรึกษาป้าหงส์ที่โรงแรม”

          เฮียของเขายิ้มให้ก่อนเดินเข้าบ้านไป ส่วนพัสการก็ได้แต่นั่งทบทวนความคิดของตัวเอง กับคำพูดของเฮียเจมส์และกรกฤตไปพร้อมกัน หรือเขาจะมีใจให้ทัชชาจริงๆ แต่เขาไม่เคยคุยกันมากว่า 3 ประโยคเลยด้วยซ้ำ จะเป็นไปได้เหรอ



To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 21 : 5.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-12-2019 22:18:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

อินังพราว   อีนี่จ้องแต่จะรวยทางลัด  ชิส์

อย่านะแก ถ้าแกสืบได้ความแล้ว อย่าคิดจะมาจับนุ้งม่อนนะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 21 : 5.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 06-12-2019 01:36:52
หยุดแม้แต่จะคิดเลยนะนังพราวววววววว :z6:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 21 : 5.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-12-2019 21:46:29
เป็นเรื่องที่ ดำเนินเรื่องมาถึง 21 ตอน แต่พระนายคุยกันไม่กี่คำ แต่คนอ่านโรเมนติกอยู่นะ โดยเฉพาะตอนนี้  :o8:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 22 : 13.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 13-12-2019 22:41:32
22







          ภาริชเดินทางมาถึงสถานที่จัดงานการกุศลแต่เช้า แต่ก็ยังช้ากว่าทีมงานที่มาเตรียมความพร้อมในงาน เขาจึงเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณที่ตั้งของงานที่กินพื้นที่กว่า 5 ไร่ ริมหาดส่วนตัวของโรมแรมที่เพิ่งถูกเยี่ยนหวอกรุ๊ปเทคโอเวอร์ไปไม่นาน

          ครั้งก่อนที่เขาให้พี่อิงลิชและคู่หมั้นอ่านข่าวของพราววริศากับชาริศา ทั้งคู่กลับตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นถึงความผิดปกติใดใด ดังนั้นคนทั่วไปที่ไม่ใช่แฟนคลับหรือติ่งของคนทั้งสอง คงมองไม่เห็นเหมือนอย่างเขา

          ภาริชเดินมาถึงโซนเวทีที่จัดงานก็เห็นคนดังอย่างคุณพยัคฆ์ เจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับประเทศแฝงตัวมาตรวจสอบงานด้วยตัวเอง เขาทำทีไม่ใส่ใจและหันมาสนใจที่จะเตรียมงานของตนเองต่อ การที่ไม่ไปยุ่งกับคนในเครือเยี่ยนหวอกรุ๊ปถือว่าดีที่สุดแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะตกที่นั่งลำบากอย่างโมนิก้าก็เป็นได้

          ไม่นานขบวนนักข่าวสำนักต่างๆ ก็ทยอยกันมา รวมทั้งดารา นักแสดง อีกทั้งนางแบบนายแบบที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน ทำให้การเดินทางมาทำข่าวครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว

          ภาริชตามเก็บภาพและสัมภาษณ์นักแสดงหลายคนในงาน ทางฝ่ายเจ้าภาพเองก็ดูแลทั้งทีมนักข่าว และแขกผู้มาร่วมงานอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

          เสื้อที่เป็นคอร์เลคชั่นพิเศษถูกจำหน่ายออกไปเป็นจำนวนมากตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม เหล่าแฟนคลับเห็นดาราที่ตนชื่นชอบใส่เสื้อยืดลายไหนก็แห่กันไปซื้อตามและสวมทับเสื้อที่ใส่มาทันที สร้างให้บรรยายกาศในงานคึกคักไม่น้อย

          จนกระทั่งขบวนของผู้จัดงานเริ่มเดินทางมาถึง เขาจึงรีบเดินไปหามุมเหมาะๆ ใกล้ๆ เวทีเพื่อเก็บภาพในงานและก็พบกับคนที่ไม่คาดคิดว่าจะพบยืนอยู่บนเวที

.........................................................................

          วันนี้พวกเราออกจากบ้านกันแต่เช้า พ่อจัดแจงให้พวกเราแยกกันไปด้วยรถเอสยูวี 3 คัน คันแรกมีลุงเสือ พี่ภูผา เฮียเจมส์ และป้าเพ็ญ ที่จะไปเตรียมงานกันก่อน ส่วนคันที่สองเป็นคุณยาย แม่ ลุงหยก แล้วก็น้านิล พวกท่านต้องรับช่วยคุณยายต้อนรับแขก

          ส่วนตัวพัสกาญเองนั่งรถมากับคุณพ่อ ซึ่งจะเข้าไปรอที่โรงแรมของลุงเถิงก่อน จนกว่าจะถึงเวลาเปิดงาน ลุงเสือถึงจะให้คนมารับ ที่พ่อทำแบบนี้เพราะท่านให้เหตุผลว่า ทำตัวให้ยุ่งๆ เข้าไว้ จะได้ไม่ต้องอยู่นาน

          “ม่อนอยากจะขอไปช่วยเพื่อนขายเสื้อ” เขาถามออกมาในขณะที่นั่งเบื่ออยู่ในห้องรับรองที่ถุงเถิงจัดไว้ให้

          “ไว้เสร็จงานค่อยลอกคราบแล้วไปรวมกับเพื่อนก็ได้ หรือว่าอยู่กับพ่อแล้วอึดอัด”

          “เปล่าครับ ม่อนแค่เกรงใจเพื่อน”

          “เกรงใจเพื่อนหรืออยากไปเจอใคร”

          “จ จะ เจอใคร ม่อนนัดกรกับแหม่มไว้ อ่อ!! มีชาญกับเอมด้วย”

          “พบบุคคลเผยพิรุธ 1 ราย ต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ระดับสูง ยังกล้าพูดความเท็จ” พ่อของเขาทำท่าทางขึงขังผิดกับเสียงเอ่ยออกมา ที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังล้อเลียนเขาอยู่

          “พ่อ…”

          “ไหน บอกพ่อมาสิ ว่าไปแอบชอบพอลูกสาวบ้านไหนเข้า”

          “ไม่มี และไม่ใช่ลูกสาวบ้านไหนทั้งนั้นแหละ”

          “ไม่ต้องมาปิดพ่อหรอก ถึงพ่อจะไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่ก็คอยสังเกตเราอยู่ตลอดนะ”

          “พ่อพูดอย่างกับรู้อะไรมาอย่างนั้นแหละ”

          “ไม่รู๊… พ่อไม่ได้มีสัมผัสพิเศษอ่านใจใครได้อย่างป้าหงส์ของลูก ไม่ได้หูไวขนาดที่เข็มหล่นในสนามรถแข่งแล้วยังแยกแยะออกอย่างเฮียเจมส์ ไม่ได้มองเห็นความรู้สึกผ่านทางหมอกได้อย่างเรา แต่พ่อว่าประสบการณ์พ่อมีไม่น้อยหรอกนะ”

          “พ่อ...ม่อนแค่ไม่รู้ ม่อนไม่แน่ใจ พออย่าเพิ่งน้อยใจสิ”

          “เฮ้อ...ถ้าพ่อเดาไม่ผิด เจมส์คงให้เรามาปรึกษาป้าหงส์ของพวกเราสินะ”

          “ครับ”

          “ไม่เป็นไร เอาไว้เราพร้อมบอกพ่อเมื่อไร พ่อก็ยินดีรับฟัง”

          “พ่ออย่างเพิ่งบอกแม่นะ”

          “ท่าทางจะเป็นคนพิเศษจริงๆ ด้วย ถึงได้ไม่อยากให้แม่เราไปแกล้งเขา”

          “พ่อ…”

          “เอาๆ ไม่ล้อแล้วๆ เอาไว้เสร็จพิธีเปิดงานนั่นแล้ว ม่อนค่อยไปรวมกับเพื่อนที่หลัง นานๆ พ่อจะพาลูกชายสุดหล่อออกงานสักที”

          “ม่อนไม่เห็นอยากออกงานแบบนี้เลย”

          “เอาน่า... คุณยายท่านก็อยากอวดหลานชายคนโปรดบ้าง โดนคุณดาหลาอวดสรรพคุณลูกชายมาก็มาก ตามใจคุณยายนิดนึง นี่ก็ดีเท่าไรแล้ว ที่ไม่ต้องไปช่วยคุณยายต้อนรับแขก”

          “พ่อไม่ได้น้อยใจม่อนอยู่ใช่ไหม?”

          “ก็นิดนึง มันเจ็บจี๊ดๆ แต่ก็พอรับได้ คิดซะว่ามดกัด”

          “พ่อ…”

          “ฮ่า ฮ่า เห็นหมอกจากตัวพ่อแล้วยังจะถามทำไม”

          “ก็มีคนบอกเอาไว้ ว่าภาพที่เห็น อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราตีความเสมอไป”

          “อืม… คนคนนั้นของลูกเป็นคนบอกเหรอ?”

          “อืม เขาบอกว่าต้องคุยกันให้มากกว่านี้ เฮ้ย!! …เขาไม่ใช่คนของม่อนนะ แล้วพ่ออย่าเพิ่งคิดไปไกล มันไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อเข้าใจนะ เรา ๆ ๆ …”

          “พอๆๆ ไม่ต้องแก้ตัว ยิ่งพูดพ่อยิ่งคิด เอาเป็นว่า เราพร้อมเมื่อไรก็ค่อยพาเขามาคุยกับพ่อ”

          “พ่ออ่ะ อย่าแกล้งม่อน!”

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”

          พัสกาญได้แต่นั่งทำตัวไม่ถูก ในขณะที่พ่อของเขายังคงหัวเราะไม่หยุด จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นก็ปรากฎร่างของผู้ที่เคาะประตูเดินเข้ามา

          “สองพ่อลูกคุยอะไรกันค่ะ ดูท่าทางมีความสุขกันจัง”

          “ป้าหงส์ พ่อแกล้งม่อน”

          “ป้านึกว่ามีแต่แม่เราซะอีกที่ขี้แกล้ง นี่พี่วิทย์ก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอค่ะ?” ประโยคหลังป้ากงส์หันไปทักทายพ่อของเขา

          “นิดหน่อยครับคุณหงส์ นานๆ ที”

          ป้าหงส์ยิ้มให้พ่อเล็กน้อยก่อนเดินมานั่งข้างๆ พัสกาญ พวกเรานั่งคุยเรื่องทั่วๆ ไปอีกสักพัก คนของลุงเสือก็มาตามให้ลงไปที่ส่วนจัดงาน

          “ไว้พี่วิทย์เสร็จงานแล้ว ค่อยขึ้นไปดูห้องนะคะ ถึงเวลานั้นอาเถิงคงจะจัดการห้องให้พี่เรียบร้อยแล้ว”

          “ขอบคุณครับ คุณหงส์”

          “ม่อน”

          “ครับป้า?”

          “เรื่องที่ม่อนอยากคุยกับป้า ป้าคงให้คำตอบม่อนไม่ได้ ม่อนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพียงแต่ม่อนกลัวที่จะยอมรับมัน อย่าเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาตัดสินสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือมาปิดกั้นความนึกคิดในปัจจุบัน”

          “ป้าหงส์”

          “ป้ารู้… ว่าเราเข้าใจสิ่งที่ป้าพูด”

          “ครับ”

          “ไปเถอะ พ่อรอเราอยู่”

          พัสกาญพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเดินตามพ่อของเขาไป เมื่อพ้นประตูห้อง เขาก็พบว่าพ่อกำลังยืนรอเขาและหันกลับมามองด้วยสายตาที่อ่อนโยน

          “ป่ะ พร้อมไหม? อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด อย่าไปกลัว พ่ออยู่ตรงนี้ทั้งคน”

          พ่อพูดพร้อมโอบไหล่ของเขา ตบหนักๆ 2-3 ที ก่อนเดินนำเขาไปข้างหน้า สองสามวันมานี้เขามีทั้งเพื่อน ครอบครัว ที่คอยอยู่ข้างๆ ถ้าเป็นจริงอย่างที่ป้าหงส์พูด เขาก็จะลองดู ลองเรียก พี่ทัช สักครั้งคงจะไม่เป็นไร

........................................................................

          ทัชชาเดินทางมาถึงสถานที่จัดงานก็พบว่ามีแฟนคลับมากมายมารอตนและชาริศา บางคนถึงขั้นซื้อเสื้อยืดลายเดียวกันให้เขากับนางเอกหน้าใหม่ใส่เลยทีเดียว

          “น้องๆ ซื้อเสื้อเพื่อสมทบทุนช่วยงานการกุศล พี่ก็ดีใจ แต่พี่ไม่อยากให้น้องๆ สิ้นเปลืองเงินทอง มาซื้อเสื้อให้พี่กับน้องแหม่ม พี่ฝากบอกต่อๆ กันด้วยนะครับ” เขาพูดขึ้นเสียงดังเพื่อให้เหล่าแฟนคลับได้ยินอย่างทั่วถึง

          “น้องๆ ที่ซื้อเสื้อมาแล้วไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวให้พี่ทัชของเราพาไปเปลี่ยนไซด์ แล้วเอาไปฝากคุณพ่อคุณแม่ดีไหมครับ” อามันต์ช่วยพูดอีกแรง

          “ได้ครับ เดี๋ยวพี่จะพาไปเปลี่ยน น้องๆ จะได้นำไปให้คุณพ่อคุณแม่ ร่วมกันใส่เป็นชุดครอบครัว พี่เองก็จะซื้อไปเผื่อคุณพ่อคุณแม่ของพี่ด้วย”

          ทัชชาได้ทีรีบช่วยเชียร์ขายเสื้อจนอามันต์แอบส่งสายตาสงสัยมาทางเขา ซึ่งเขาเองก็ทำเป็นไม่สนใจ รีบพาเหล่าแฟนคลับไปยังซุ้มเสื้อที่กรกฤตดูแลอยู่ทันที

          ซุ้มขายเสื้อที่กรกฤตดูแลอยู่ ปราศจากคนที่เขาอยากจะพบ ทั้งที่ได้ยินคนในกองฯ พูดกันว่าคนคนนั้นจะมาช่วยขายเสื้อเพื่อการกุศลแท้ๆ

          “มองหาใคร” อามันต์กระซิบถามเขา

          “นักข่าว”

          “นักข่าวเนี่ยนะ?”

          “ฉันเดินมาอยู่ซุ้มเดียวกับน้องแหม่มของแก แต่ไม่เห็นนักข่าวจะตามมาเก็บภาพทำข่าวสักคน”

          “งานนี้ใหญ่กว่าที่ฉันคิดไว้มาก มีทั้งดารา เซเลป มากมาย ไหนจะพวกคุณหญิงคุณนายนักการเมืองอีก นายสบายใจได้ ไม่มีใครมาตามดูนายหรอก”

          “อืม เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี”

          “แต่นายก็อย่าลืม ว่าถึงจะไม่มีนักข่าว แต่ก็ยังมีภาพจากเหล่าแฟนคลับ ยังไงก็ระวังตัวไว้เป็นดีที่สุด”

          “อืม ขอบใจมาก นายไปช่วยน้องแหม่มขายเสื้อเถอะ จะได้ทำคะแนนซะบ้าง”

          “ว่าแต่ ทำไมวันนี้ฉันไม่เห็นนายเฉิ่มว่ะ ปกติเห็นตัวติดกับแหม่มอย่างกับตัวอะไร”

          “นั่นมันในกองถ่าย นี่มันนอกสถานที่ เขาก็คงไม่ต้องดูแลกันถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

          “เหอะ!! ให้มันจริงเถอะ”

          ทัชชาไม่ใสใจในคำพูดของอามันต์ แต่กลับช่วยคนในซุ้มขายเสื้อยืดต่อไป ไม่นานนักเสียงอึกทึกที่หน้าเวที พร้อมทั้งเสียงกรี๊ดดังสนั่นก็เรียกความสนใจของคนในซุ้ม รวมถึงคนที่กำลังต่อแถวซื้อเสื้อยืดให้หันไปมอง

          ภาพบนเวทีในมุมไกลที่ทัชชาเห็น คือพัสกาญกำลังยืนอยู่ข้างๆ นายตำรวจใหญ่ที่เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยภรรยา

          พัสกาญอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีดำซีดๆ เข้ารูป สวมเสื้อยืดลวดลายเดียวกับที่เขาใส่อยู่ สวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาลที่ออกแบบโดยห้องเสื้อเพ็ญนภา ที่สำคัญพัสกาญไม่ได้ใส่แว่นปิดบังดวงตาหวานซึ้ง ผมถูกเซทมาอย่างดี ไม่ได้ปรกหน้าตาเหมือนทุกครั้งที่เจอ

          เขาหันไปมองกรกฤตและชาริศา ทั้งสองดูไม่มีท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแต่ยืนมองสักพักก็กลับไปขายเสื้อยืดต่อ

          “ใครว่ะ ทั้งหล่อ ทั้งน่ารัก ไปอยู่ที่ไหนมา ถึงไม่มีใครทาบทามให้เข้าวงการ” อามันต์หันมาถามเขา

          “อยู่ฮ่องกง หรือไม่ก็อเมริกามั้ง”

          “นายรู้จัก?”

          “ก็รู้จักจากนายไง”

          “จากฉันเนี่ยนะ ฉันจะไปรู้จักคนระดับนี้ได้ไง”

          “ไหนว่าชื่นชมเขานักหนาไง”

          “แล้วนายจะมาอารมณ์เสียเรื่องอะไร สรุปวันนี้ฉันจะรู้ไหมว่าหมอนั่นเป็นใคร”

          “เขาก็คือคนที่นายอยากเจอไง คุณพัสกาญ”

          “เฮ้ย… จริงดิ ตัวจริงทำไมถึงดูเด็กอย่างนี้ว่ะ...”

          ทัชชาไม่ได้ฟังอามันต์พูดชื่นชมคนที่อยู่บนเวทีอีกต่อไป ในหัวคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้คนคนนั้นลงจากเวทีได้เร็วที่สุด เขารู้สึกโมโหที่มีคนให้ความสนใจพัสกาญมากจนเกินไป มากจนเขารู้สึกหึง หึงที่อีกฝ่ายทำตัวเป็นจุดเด่นในงาน

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 22 : 13.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-12-2019 23:43:40
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาแล้ว  แต่ทำไมสั้นจัง?
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 22 : 13.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-12-2019 00:46:38
55555 หึงทั้งที่ยังจีบไม่ติดนี่นะ
ถ้าเป็นแฟนสงสัยมีหวังม่อนคงจะไม่ค่อยได้แปลงโฉมแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 22 : 13.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 14-12-2019 00:56:31
ต่ออีกยาวๆได้ไหม :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 22 : 13.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: ipookza ที่ 15-12-2019 20:52:54
มาต่อเร็วๆนะ อ่านแล้วขาดช่วงงะ กำลักสนุกเลย
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 23 : 16.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 16-12-2019 16:30:44
23








          บรรยากาศในงานวันนี้ดูคึกคัก และมีผู้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทั้งกองเชียร์ของผู้เข้าแข่งขัน และเหล่าแฟนคลับของดารานักแสดงที่มาร่วมลงแรงช่วยงานการกุศลในครั้งนี้

          พัสกาญยืนมองบรรยากาศเบื้องล่างจากบนเวที ทำให้สามารถมองเห็นส่วนต่างๆ ของงานค่อนข้างชัดเจน จุดจอดรถที่จะเข้าร่วมแข่งขัน ทางทีมงานต่างเร่งรีบช่วยกันติดสติ๊กเกอร์ไว้ที่กระโปรงหน้ารถเพื่อให้ทันเวลา

          ซุ้มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่จำหน่ายเสื้อ ร้านค้าของเหล่านักแสดงที่มาร่วมออกงาน หรือแม้กระทั่งซุ้มอาหาร ก็มีคนเข้าออกกันอย่างเนืองแน่น จนเขาอดดีใจแทนน้ากล้าไม่ได้

          “ยิ้มอะไรจ๊ะลูกรัก แค่นี้สาวๆ ข้างล่างก็จะเป็นลมกันไปหมดแล้ว” แม่ของเขากระซิบถามยิ้มๆ

          “ม่อนแค่ปลื้มแทนน้ากล้าครับ ปีนี้คงได้เงินไปช่วยเหลือโรงเรียนบนดอยได้เยอะเลย”

          “แม่นึกว่าเราจะหว่านเสน่ห์ให้กับสาวที่ไหนซะอีก”

          “เปล่าซะหน่อย…” เขาตอบปฏิเสธ จากนั้นก็พยายามไม่สนใจรอยยิ้มล้อเลียนของแม่อีก

          พัสกาญมองไปรอบๆ งานแล้วเขาก็สังเกตได้ว่า ออร่าที่แผ่ออกมาจากคนด้านล่างมีมากกว่าเมื่อครู่ สีของออร่าที่แสดงออกมา เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือชื่นชอบหรือไม่ก็ชื่นชมเขา แต่สายตาของเขากลับไปสะดุดกับออกร่าของใครคนหนึ่ง ซึ่งแผ่ออกมาเป็นวงกว้าง จนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แม้จะอยู่ไกลขนาดนี้

          “โกรธอะไรของเขา?”

          “ว่ายังไงนะลูก?”

          “ปะ เปล่าครับ ม่อนเห็นหมอก”

          “อืม เยอะไหมล่ะ แล้วส่วนใหญ่มาจากสาวๆ ใช่ไหม?”

          “แม่…” เขาถอนหายใจ ให้กับรอยยิ้มล้อเลียนของแม่ “เฮ้อ...ก็เยอะกว่าเมื่อครู่ครับ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ”

          หลังจากเขาพูดจบ บนเวทีก็มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่ยืนกันอีกครั้ง หลังจากที่เขาได้รับการแนะนำไปแล้วว่าเป็นใคร และมีส่วนร่วมในงานการกุศลครั้งนี้อย่างไร

          ทีมงานที่เคยประจำจุดอยู่ข้างเวที รีบขึ้นมาช่วยกันตั้งเสาเตี้ยๆ สองด้าน จากนั้นก็ติดตั้งริบบิ้นเข้าไป ไม่นานนางแบบสาวสวยก็เดินขึ้นมาพร้อมพานที่มีกรรไกรสำหรับตัดริบบิ้นเพื่อเปิดงาน

          พัสกาญเดินมายืนอยู่ด้านหลังของพ่อและแม่ อีกด้านหนึ่งเป็นคุณดาหลาและเพื่อนๆ ของเธอ ตรงกลางเป็นคุณยายของเขา เมื่อพิธีกรส่งสัญญาณ ทุกคนก็ลงมือตัดริบบิ้น ลูกโปร่งสีสันต่าง ๆ ถูกปล่อยให้ลอยขึ้นฟ้า การเปิดงานอย่างเป็นทางการก็จบลง

          บนเวที พิธีกรยังคงดำเนินงานต่อไป ส่วนเขาตามพ่อกับแม่ที่ลงเวทีไปแล้ว เขาเดินไปสมทบกับพ่อที่คุยกับคุณยายและคุณดาหลาอยู่

          “นี่เหรอค่ะ หลานคุณพี่ น่าตาน่าเอ็นดูเชียวนะคะ แถมเก่งอีกต่างหาก นี่ถ้าน้องมีลูกสาว คงจะต้องจองตัวคุณพัสไว้ให้ลูกของน้องแน่ๆ” คุณดาหลาพูดขึ้นอย่างหยอกล้อ

          “เห็นทีจะไม่ได้ค่ะน้องดา ดูสิค่ะ ตาพัสขึ้นเวทีไปไม่เท่าไร เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้เยอะทีเดียว ขอให้ตาพัสของพี่เลือกในสิ่งที่ชอบและดีที่สุดสำหรับเขา พี่เป็นญาติผู้ใหญ่เห็นลูกหลานมีความสุข พี่ก็มีความสุขคะ” ยายของเขาพูดพร้อมทั้งส่งสายตาอ่อนโยนมาให้

          “แล้วนี่คุณวิทย์กับคุณพัสจะกลับเลยเหรอค่ะ เห็นคุณโบตั๋นแจ้งไว้เมื่อเช้า” คุณดาหลาหันมาถามพ่อของเขา

          “ผมมีงานที่อื่นต่อ แต่ค่ำๆ คงแวะมารับภรรยาเพื่อกลับพร้อมกัน ส่วนเจ้าพัสเห็นว่ามีงานต่อเหมือนกัน ผมเลยให้ไปด้วยกันเลย”

          “เสียดายจังเลยนะคะ ว่าแต่คุณพัสกลับมาไทยรอบนี้อยู่นานรึเปล่าค่ะ?”

          “สิ้นเดือนนี้ผมอาจจะตามแม่กับป้าเพ็ญไปงานแฟชั่นวีคที่ดีซีครับ” เขาเลี่ยงตอบกลาง ๆ เพราะแม่กับป้าเพ็ญรู้อยู่แล้วว่าคำว่า อาจจะ ของเขานั่นมายถึง ไม่ไปแน่นอน

          “ก็ยังมีเวลาอยู่ที่ไทยเกือบเดือน ไว้รอให้ตาเตอร์เสร็จงานที่ญี่ปุ่นก่อน แล้วเราค่อยนัดทานข้าวกัน ให้เราสองครอบครัวได้รู้จักกันให้มากกว่านี้นะคะคุณพี่” คุณดาหลาหันไปคุยกับคุณยาย ซึ่งได้แต่ยิ้มรับ ไม่ได้ว่าอะไร

          “พ่อว่าเราไปกันเถอะ” พ่อของเขาตัดทบเพื่อขอตัวกลับ

          “สวัสดีครับคุณดาหลา ผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมรีบกล่าวลาเพื่อนของคุณยายแล้วเดินตามพ่อไปติดๆ

          ระหว่างที่พวกเราเดินกลับเข้าไปในโรงแรม คนของลุงเสือดูแลพวกเราดีมาก นักข่าวเดินเข้าไม่ถึงตัวพวกเราเลย และเมื่อถึงล็อบบี้ในโรงแรม คนของลุงเถิงก็มากันไม่ให้พวกนักข่าวเข้ามา

          “พ่อว่าเราขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อน ค่อยตามไปช่วยเพื่อนของเราที่ซุ้มขายเสื้อเถอะ”

          “ครับ”

          “เสร็จงานแล้ว คืนนี้ก็ชวนหนูแหม่มกับตากรมาทานข้าวด้วยสิ เหมื่อยกันมาทั้งวัน”

          “แล้วคุณยายไม่ไปทานกับเพื่อนๆ ของท่านเหรอครับ”

          “คุณยายเขาไม่มีพลาดหรอก แต่ใช่ว่าเราจะต้องไปร่วมทานอาหารกับท่านเสียเมื่อไร”

          “เดี๋ยวม่อนถามเพื่อนๆ ก่อนนะครับ”

          “อืม”

          พัสกาญเดินตามพ่อมาถึงหน้าลิฟต์ก็พบกับลุงเถองและป้าหงส์ยืนรออยู่ เพื่อพาไปดูห้องที่พวกท่านเตรียมไว้ให้ครอบครัวของเรา

.........................................................................

          ในส่วนของลานจอดสำหรับเตรียมเข้าแข่งขัน มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเหมือนมองหาใครอยู่ หนุ่มๆ ที่เตรียมรถหลายคนหันมามองเธออย่างสนใจ

          สาวร่างบางหุ่นเพียวในชุดรัดรูปกางเกงขาสั้น อวดทรวดทรง ใบหน้ากว่าครึ่งถูกปกปิดไปด้วยแว่นกันแดดทรงโอเวอร์ไซด์ ผมยาวตรงถูกมัดแน่นเป็นหางม้า เธอมองไปรอบลานจอดรถแล้ว ก็ไม่พบใครน่าสนใจ จึงเดินกลับไปยังส่วนของชายหาด

          หลิน ผู้จัดการส่วนตัวของนางเอกสาวชื่อดัง มาในลุคที่ใครเห็นเธอก็คงจะจำไม่ได้ เธอเดินเข้างานโดยผ่านส่วนของล็อบบี้ของโรงแรม แต่แล้วเธอก็ถูกกันไว้ด้วยพนักงานรักษาความปลอดภัย เมื่อเธอจะเดินมุ่งไปทางหาด

          เธอหยุดรอดูขบวนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามา ทำให้เธอเห็นนายตำรวจใหญ่ที่เป็นประธานเปิดงาน เดินมาพร้อมกับหนุ่มหล่อน่ารักคนหนึ่ง

          “พวกเขาเป็นใคร ทำไมฉันถึงเดินผ่านไปไม่ได้” เธอแกล้งถามขึ้น แต่กลับไม่ได้รับคำตอบจากยามพวกนี้แม้แต่น้อย

          “นี่คุณไม่รู้จักผู้กำกับวิทย์เหรอ หรือว่าคุณไม่ใช่คนไทย?” สาวใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแขกของโรงแรมคนหนึ่งหันมาบอกพร้อมกับถามเธอไปด้วย

          “ฉันเป็นคนไทยค่ะ แต่เดินทางไปนั่นมานี่บ่อย เลยไม่ค่อยรู้จักใคร”

          “อ่อ แล้วนี่มางานแข่งรถการกุศล หรือว่าพักอยู่ที่โรงแรมนี้ละ?”

          “ดิฉันมาช่วยงานคุณป้าดาหลาค่ะ”เธอแอบอ้างชื่อคุณแม่แฟนหนุ่มของดาราสาวที่เธอดูแลอยู่

          “อ่อ หลานคุณดาหลาเองเหรอ แต่ทำไมไม่รู้จักผู้กำกับวิทย์ล่ะ สองครอบครัวนี้เขาสนิทกันจะตาย”

          “ลุงผู้กำกับดิฉันพอได้ยินชื่อท่านอยู่บ้าง แต่ไม่เคยได้พบ แต่อีกคนนั้นดิฉันไม่ทราบจริง ๆ ว่าเป็นใคร?”

          “เธอไม่รู้จักคุณพัสกาญก็ไม่แปลก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายผู้กำกับวิทย์ พวกฉันก็คงไม่มารอดูหน้าเขาหรอก ก็คุณพัสน่ะเป็นถึงไฮโซสองสัญชาติ ที่ไม่ว่าสื่อไหนๆ ก็หาทางเก็บภาพหรือทำข่าวได้ยาก มาเห็นตัวจริงแบบนี้ก็ถือว่าคุ้ม หล่อมาก ตาหวาน ยิ้มก็สวย ถ้าฉันมีลูกสาวนะจะรีบประเคนให้ถึงที่เลย”

          เมื่อขบวนของนายตำรวจและลูกชายเดินผ่านไป พนักงานรักษาความปลอดภัยก็โค้งเป็นเชิงขอโทษและสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกลุ่มแขกที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เดินแยกย้ายกันไป เธอจึงเดินตรงเข้าไปยังสถานที่จัดงาน

          หลินเดินชมรอบๆ งานอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมง พราววริศาก็โทรเข้ามา เธอจึงกดรับสาย

          ‘หลิน...เจอพี่เตอร์ไหม?’

          “ไม่เจอนะ ดูเหมือนว่าคุณดาหลาจะให้พี่เตอร์ไปทำงานที่ญี่ปุ่นจริงๆ”

          ‘ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ แล้วหลินจะกลับเมื่อไรล่ะ?’

          “น่าจะอีกสักพัก”

          ‘มีอะไรน่าสนใจไหม?’

          “ก็มีนะ แต่ไม่ใช่สเปคเธอ”

          ‘รวยป่ะ?’

          “ไฮโซสองสัญชาติ หนึ่งในทายาทนักธุรกิจตระกูลดังของฮ่องกง อีกสัญชาติก็ไม่น้อยหน้า เป็นลูกนายตำรวจใหญ่และเป็นหลานบุญธรรมของคุณสุพรรณษา”

          ‘โห… อย่างนั้นก็รวยมากสิ’

          “อืม แต่เธอเลิกคิดเถอะ ฉันรู้นิสัยเธอดี”

          ‘แสดงว่าไม่หล่อ’

          “ใครว่าละ หล่อหน้ารัก ตาหวานเชียว แต่ที่ฉันว่าไม่ใช่สเปคเธอก็เพราะ ถ้าเดินด้วยกันหรือมีข่าวคู่กัน เธอจะไม่ได้เกิดยังไงล่ะ”

          ‘เขาดังขนาดนั้นเลยเหรอ...แต่ก็น่าสนใจอยู่นะ ฉันก็แค่ทำตัวให้เริ่ดหรูกว่าอีกฝ่ายก็สิ้นเรื่อง’

          “ไม่ดังหรอก แต่เป็นคนมีชื่อเสียงที่มีโลกส่วนตัวสูง ขยับทีก็เป็นข่าวที เดี๋ยวบ่ายนี้ก็ได้เห็นข่าวตามหน้าเวปต่างๆ แล้ว เธอคอยดูเถอะ และฉันรู้จักเธอดี เธอน่ะไม่ชอบให้ใครมาเด่นเกินหน้าเกินตา ซึ่งคุณพัสไม่ว่ามุมไหนก็โดดเด่นกว่าเธอทั้งนั้น เธอจะทนได้เหรอ”

          ‘ชิ!! ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่เอาอ่ะ เรื่องอะไรจะไปอยู่ภายใต้เงาของคนอื่นกัน แค่ตอนนี้ ที่ฉันถูกถอดจากจากงานการกุศล ฉันก็อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ยิ่งเรทติ้งฉันก็ตกลงมาแบบนี้ มีหวังเรทติ้งของยัยแหม่มได้แซงหน้าฉันไปพอดี อ่อ! ...หลิน ยัยแหม่มไปงานนี้ด้วยรึเปล่า?’

          “มา ฉันเห็นมันขายเสื้ออยู่กับทีมคอสตูมของกองละคร และที่สำคัญ พี่ทัชยังเข้าไปช่วยมันขายด้วยนะ”

          ‘ชิ!! หวังโกยเรทติ้งอีกล่ะสิท่า นี่หลิน...เธอช่วยทำยังไงก็ได้ ให้มันไม่มากองถ่ายสัก 2-3 วันได้ไหม ให้มันเลื่อนคิวกับพี่ผู้กำกับไปสัก 2-3 วัน’

          “เขาชื่อพี่กวินทร์ แค่ชื่อผู้กำกับยังจำไม่ได้เลย ใส่ใจหน่อยสิ”

          ‘เอาน่าๆ นะ... ช่วยพราวหน่อยนะ’

          “ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะลองหาทางดู”

          ‘ขอบใจจ้า หลินคนดีที่หนึ่งเลย’

          “พอๆ ไม่ต้องมายอเลย วันนี้ฉันไม่อยู่ก็ทำตัวดีๆ กับเทรนเนอร์ล่ะ จำเวลานัดได้ใช่ไหม?”

          ‘รู้แล้วน่า บ่าย 3 ให้ไปที่ยิม รับทราบค่ะคุณแม่หลิน แค่นี้นะ’

          หลินวางสายจากพราววริศา จากนั้นก็เดินไปสำรวจรอบ ๆ งานต่อ

........................................................................

          หญิงสาววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง จากนั้นก็พลิกตัวกลับไปนอนหนุนอกแกร่งดังเดิม ปลายนิ้วที่ถูกตัดแต่งมาดีสะกิดเขี่ยลงไปที่หน้าอกกว้าง ซึ่งเจ้าของร่างกลับไม่มีทีท่าจะขยับตัวแม้แต่น้อย เธอจึงไล้ปลายนิ้วลูบวนไปยังยอดอกของอีกฝ่าย

          ร่างที่เธอคิดว่าหลับไหลไปนั้นกลับลุกพรวดขึ้นมาพร้อมพลิกตัวเธอมาไว้ใต้ร่าง จนเธอรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ขยายตัวอยู่เบื้องล่าง บดเบียดกับเนินเนื้อของเธออย่างไม่ปิดบัง

          “จะซนเกินไปแล้วนะครับ เบบี๋” ชายร่างหนาไม่พูดเปล่า แต่ลงมือกระทำเช่นเดียวกับเธอทำเพื่อปลุกเขา หญิงสาววาดแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบลำคอหนา

          “มีคนบอกให้เค้าทำตัวดีๆ กับเทรนเนอร์ แต่ตอนนี้...เค้าต้องการ… เข้ามาในตัวเค้านะ…” หญิงสาวพูดเสียงกระเซ่าไปกับการกระทำของชายหนุ่ม

          “แล้วคนของเบบี๋จะกลับเมื่อไรครับ ถ้าคำตอบถูกใจ ผมจะให้รางวัล” ชายหนุ่มไม่พูดแต่เพียงอย่างเดียว มือข้างหนึ่งกลับลูบไล้ไปตามหว่างขาของเธอ และกดเบาๆ กับจุดไวสัมผัสในร่างกาย

          “ถ้ายังไม่พอ เราค่อยออกไปต่อกันที่ยิมก็ได้ เดี๋ยวหลินคงไปรับเค้าที่ยิมตอน 5 โมงเย็น”

          “อืม...เป็นคำตอบถูกใจมากครับ” ชายหนุ่มกดนิ้วลึกเข้ามาในร่างของเธออย่างไม่ได้ตั้งตัว ทำให้เธอหลุดเสียงครางออกมา “ผมขอกินเบบี๋เป็นอาหารกลางวันนะครับ” ชายหนุ่มกระซิบเสียงแหบพร่า มองดูสายตายั่วยวนของคนใต้ร่าง

          จากนั้นภายในห้องนอนของคอนโดหรูก็ดูจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อนของบทรักที่ฝ่ายชายปรนเปรอให้กับหญิงสาว และดูเหมือนจะไม่จบเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มยังคงปรนเปรอหญิงสาวอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งถึงยิมชื่อดังแล้วก็ตาม

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 23 : 16.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 16-12-2019 21:59:09
หลินนี่น่ากลัวแฮะ
อย่าไปยุ่งกับน้องม่อนของคุณทัชนะ


หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 23 : 16.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-12-2019 14:56:04
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยัยพราวอย่ามาแตะต้องนุ้งม่อนเด็ดขาดเลยนะ  ชิส์
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 23 : 16.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-12-2019 19:25:41
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 23 : 16.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 18-12-2019 17:42:19
สนุก

รีบมาต่อนะ

เอาใจช่วยทัชกับม่อน

ยัยพราวเป็นคนสำส่อนอ่ะ คบกับเตอร์

แล้วยังแอบกินกันกับเทรนเนอร์

ยัยกลินรู้ใหมว่าพราวร้ายกว่าที่หล่อนคิด
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 23 : 16.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 18-12-2019 21:20:52
นังพราวนังหลิน :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 19-12-2019 02:27:23
24









          หลังจากมีการเปิดงานอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้คนส่วนหนึ่งที่รายล้อมอยู่รอบเวทีก็สลายตัวไปจับจองพื้นที่สำหรับรับชมการถ่ายทอดการแข่งขันผ่านจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ทางด้านหนึ่งของเวที

          ส่วนผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย รวมถึงนักข่าวที่เดินตามผู้ที่เปิดงานพร้อมบุตรชายที่พิธีกรเปิดตัวว่าเป็นผู้ที่ออกแบบลวดลายบนเสื้อยืดที่จำหน่ายในงาน และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ดังชื่อเดียวกับเจ้าตัวอีกด้วย

          ทัชชามองตามกลุ่มคนดังกล่าวไปจากระยะไกล เขาที่นึกหาทางจะเข้าไปหาอีกฝ่ายแต่โดนอามันต์รั้งไว้

          “ทัช นายจะไปไหน”

          “ไปห้องน้ำ”

          “ขืนนายจะไปห้องน้ำของโรงแรม ฉันรับรองว่านายไปไม่ถึงแน่ๆ ดีนะที่ฉันถามชาญไว้แล้ว นั่น...ด้านหลังซุ้มทางด้านนั้น มีห้องน้ำเคลื่อนที่เตรียมไว้ให้ทีมงาน ฉันว่านายไปเข้าที่นั่นเถอะ เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน” อามันต์ชี้ไปยังทางเดินด้านหลังซุ้ม

          “อ่อ ถ้าแถวๆ นี้มี เอาไว้ฉันค่อยไปแล้วกัน ไว้อีกสักพัก”

          ทัชชามองกลับไปทางด้านเวที กลุ่มคนต่างๆ ได้สลายตัวไปเกือบหมด และต่างไปหาที่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ หรือไม่ก็เดินตรงมาโซนของพวกเขาที่เป็นซุ้มขายของ

          “แหม่ม แกอยู่นี่กับพวกน้องดาไปก่อน ฉันจะเดินไปรอรับไอ้ม่อน” ทัชชาได้ยินกรกฤตคุยกับชาริศา จึงทำทีเดินเจ้าไปใกล้ๆ แต่ก็ยังช่วยอามันต์ขายเสื้อเช่นเดิม

          “อีกสัก 10 นาทีก็ได้มั้งแก กว่าม่อนจะจัดการตัวเองเสร็จ อีกอย่างแกดูรอบๆ สิ” ชาริศามองไปทางด้านหลัง ทำให้เขาอดที่จะมองตามไปไม่ได้

          “นายมองหาใครรึเปล่า ทัช”

          “อ่อ เปล่า ไม่มีอะไร”

          เขาเห็นเพียงเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อคอโปโลสีเทาสกรีนชื่องานยืนอยู่ประจำจุดต่างๆ ซึ่งไม่เห็นจะมีอะไรผิดสังเกต และเพราะโดนอามันต์ขัดขึ้นซะก่อน ทำให้เขาไม่รู้ว่ากรกฤตกับชาริศาคุยอะไรต่อจากนั้น หันมาอีกที ทั้งสองก็กลับมาช่วยกันชายเสื้อยืดดังเดิม และไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อหลังจากนั้น

.........................................................................

          พัสกาญเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเหมือนทุกวัน เขากำลังลงลิฟท์มาพร้อมกับคนของลุงเถิง 2 คน

          “เดี๋ยวถึงชั้นล่างแล้ว ไม่ต้องตามนะ ผมไม่อยากให้ใครสังเกตเห็น”

          “ไม่มีใครสนใจพวกผมหรอกครับคุณพัส ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบาย” บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งตอบ

          “ใช่ครับ ผมพวกแค่เดินไปส่งคุณพัสที่ซุ้มเสร็จก็จะรีบแยกย้ายทันที อีกอย่าง พวกผมก็แต่งตัวเหมือนคนมาช่วยงานทั่วๆ ไป คุณพัสทำใจให้สบายนะครับ”

          เขามองดูการแต่งตัวของคนทั้งสอง ซึ่งไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนที่มาช่วยขายเสื้อยืด หรือดูแลซุ้มอาหารเลย เพราะทุกคนได้รับเสื้อยืดที่เขาออกแบบ และขอความร่วมมือให้ใส่เพื่อโปรโมทเสื้อยืดอีกด้วย เขาคงจะคุ้นหน้าคุ้นตาสองคนนี้เกินไป เลยทำให้เป็นกังวล

          เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง บอร์ดี้การ์คคนหนึ่งก็เดินนำหน้าเขาไปเล็กน้อย ส่วนอีกคนเดินเคียงเขาไป ดูๆ แล้วเหมือนเพื่อนร่วมงานกันมากกว่า ทำให้เขาหายเกร็งโดยไม่รู้ตัว

          “คุณพัสครับ ดูเหมือนว่าคุณกรกำลังเดินมาทางนี้” บอร์ดี้การ์ดคนที่เดินนำหน้าหันมาบอก ทำให้เขามองตามสายตานั้นไป

          “อืม กรคงจะเดินมารับผม ตั้งแต่มาถึง ผมยังไม่รู้เลยว่ากรอยู่ซุ้มไหน” เขาพูดไปตามความจริง

          พวกเขาทั้งสามเดินมาสมทบกับกรกฤต แถวๆ เก้าอี้ที่วางเรียงรายหน้ามอนิเตอร์จอยักษ์

          “กูนึกแล้ว ว่าลุงมึงต้องให้คนตามมาส่ง แต่ไม่คิดว่าจะเนียนขนาดนี้” กรกฤตทักระหว่างเดินตามบอรี้การ์ดคนหนึ่งไป และอีกคนที่เดินเคียงกับเขา เปลี่ยนเป็นเดินรั้งท้ายแทน

          “ตอนแรกกูก็เกร็ง แต่พี่ๆ เขาเนียนอย่างที่มึงว่าจริงๆ นั่นแหละ”

          “เอ่อ… รีบไปช่วยพวกกูขายเสื้อเถอะ นี่ยังไม่ทันเที่ยง หมดไปหลายลายแล้ว บางลายไซด์ไม่พอด้วยมึง”

          “แหม่มขายเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ หรือแฟนคลับมาช่วยเหมา”

          “ใครว่า เป็นเพราะพ่อพระเอกต่างหาก มายืนขายอยู่ที่ซุ้มพวกเราด้วย แล้วยังบังเอิญใช่เสื้อลายเดียวกับแหม่มอีก เลยขายดิบขายดีเพราะแฟนคลับของทั้งสองซื้อตาม อ่อ ลายที่มึงใส่เมื่อกี้ตอนอยู่บนนั้นก็จะไม่เหลือแล้ว” พัสกาญรู้ดีว่ากรกฤตเลี่ยงที่จะพูดถึงเวที

          “ปีนี้น้ากล้าน่าจะได้เงินไปช่วยโรงเรียนบนดอยเยอะเลย”

          “อ่าว? แทนที่จะดีใจ ที่เสื้อมึงมึงขายดี”

          “มึง เบาๆ ดิว่ะ”

          “ไอ้ม่อน ไม่มีใครได้ยินกูคุยกับมึงหรอก แถวนี้เสียงดังจะตาย”

          พวกเขาเดินมาอีกสักพักก็ถึงซุ้มขายเสื้อที่กรกฤตและคนอื่นๆ รวมตัวกันอยู่ บอร์ดี้การ์ดสองคนที่เดินมาส่งก็แยกย้ายกันไปตามที่กล่าวไว้จริงๆ พัสกาญกวาดตามมองเพียงรอบเดียวก็เห็นโดยรอบของซุ้ม แต่กลับไม่เห็นคนที่โกรธเขาอยู่เมื่อตอนเช้า

          “อ่าว ทำไมเหลือกันแค่นี้ล่ะ?” กรกฤตถามคนที่เหลือ ซึ่งมีเพียงชาญ และเอมเท่านั้น

          “ทางทีมงานขอให้พี่แหม่มกับพี่ทัชไปถ่ายรูปหมู่ร่วมกับเจ้าภาพตรงจุดปล่อยรถค่ะ” เอมเป็นคนตอบ

          “อ่อ น้องดากับอามันต์เลยต้องตามไปด้วย”

          “คนแค่นี้ก็น่าจะพอช่วยกันขายน่า นี่ก็เหลือไม่เยอะแล้วนี่” พัสกาญมองไปที่ลังกระดาษด้านหลัง เหลือเสื้ออยู่ไม่มากแล้ว “ถ้าของซุ้มเราหมดแล้ว พวกเราไปช่วยขายที่ซุ้มพี่ทิต่อดีไหม” เขาเสนอความเห็น

          “ไปสิค่ะ เอมอยากไป”

          “เธออยากไปช่วยขายหรือจะไปส่องดาราที่อยู่ประจำซุ้มนั้นกันแน่” ชาญพูดดักขึ้นมา

          “แกรู้แล้วจะมาถามฉันทำไมย่ะ” พัสกาญปล่อยให้ทั้งสองคนเถียงกันไป ส่วนเขาก็หันมาตั้งคำถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

          “กร เมื่อเช้านี้เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”

          “ทำไมว่ะ? เมื่อเช้ามีอะไร?”

          “มีคนโมโหกู กูเห็น… ตอนที่อยู่บนนั้น”

          “ไม่นะ กูก็เห็นเขาปกติดี อาจจะตกใจที่เห็นมึงเมื่อเช้านิดหน่อย นี่กูเพิ่งรู้นะ ว่าอามันต์เป็นแฟนคลับคุณพัสกาญเขาด้วย” กรกฤตพูดล้อเลียนชื่อเขา

          “เฮ้ย… มึงตอบดีๆ ดิ”

          “กูก็ไม่ได้ล้อเล่น กูพูดเรื่องจริงทั้งนั้น”

          “แล้วทำไมกูถึงเห็นว่าเขากำลังโกรธกูอยู่”

          “นี่มึงแค่เปรยๆ ไม่ต้องการคำตอบ หรือจะให้กูตอบมึงตรงๆ”

          “คือกู…”

          “มึงได้คุยกับเฮียเจมส์ หรือป้าหงส์รึยัง”

          “อืม”

          “แล้วคำตอบของมึงล่ะ?”

          “กูว่า… กูจะลองดู”

          “เฮ้อ...ก็แค่นั้น แล้วคำถามของมึงเมื่อกี้นี้ล่ะ?”

          “กูก็อยากรู้คำตอบ แต่มึงไม่น่าจะรู้”

          “แม่ง!! ดูถูกกูเกินไปแระ”

          “เฮ้ย!! มึงโกรธกูจริงๆ เหรอ” เขาพยายามมองออร่ารอบๆ ตัวกรกฤต แต่กลับไม่เห็นอะไร

          “กูแค่ล้อมึงเล่น กูไม่ได้โกรธมึง”

          “มึงแม่งเล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”

          “เออๆ กูขอโทษ สรุปแล้วมึงจะฟังคำตอบจากกูไหม?” เขาพยักหน้ารับ “ที่เขาโมโหหรือโกรธ มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรก เขาโมโหที่มึงขึ้นไปโชว์ตัวบนนั้น”

          “แต่กูแค่ไปช่วยงานยายกูเองนะ”

          “มึงรู้ไหม ตอนมึงอยู่บนนั้น สาวๆ แถวนี้พอได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าด ก็พากันหันไปมอง พอเห็นมึงเท่านั้นแหละ ทิ้งเสื้อที่กำลังเลือกๆ อยู่ไปตามดูมึงถึงขอบเวทีเลยล่ะ”

          “เขาโกรธที่ถูกกูแย่งแฟนคลับอย่างนั้นเหรอ”

          “โถ่...ไอ้ม่อน ไอ้บื้อเอ้ย เขาหวงมึง เขาหึงมึงต่างหาก” กรกฤตเว้นช่วงให้เขาคิดตาม “เชี่ยล่ะ ไอ้ม่อน มึงไม่ต้องมาทำหูแดงใส่กู”

          “เอ่อ...มึงบอกว่ามี 2 ข้อ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อนี้ก็ได้ แล้วอีกข้อหนึ่งละ”

          “อีกข้อที่กูคิดได้ เขาอาจจะกำลังโมโหตัวเขาเอง ที่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยืนอยู่ตรงนี้”

          “หมายความว่าไงว่ะ?”

          “ก็หมายความว่า ตอนนี้เขายังไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปห้ามมึงไม่ให้ขึ้นไปบนนั้นไง”

          “อืม มันก็จริงของเขา เขาคงโมโหเพราะข้อนี้มากกว่า”

          “โถ่… ไอ้ม่อนเอ้ย กูไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามึงถึงจะสาสมกับความโง่ของมึง”

          “อ่าว ไมมาว่ากูอย่างนี้ว่ะ นี่กูก็คิดตามที่มึงพูดนะ ถ้าจะโง่ มันก็มาจากคนเริ่มต้นอย่างมึงนั่นแหละไอ้กร”

          “เออๆ เอาที่มึงเข้าใจเถอะไอ้คุณหนู”

          พัสกาญขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับกรกฤต จึงหันไปดูบรรยายกาศรอบๆ ซุ้มขายเสื้อ เห็นซุ้มอื่นๆ ยังมีคนมุงซื้อเสื้อกันหนาแน่น ส่วนซุ้มของเขาคนกลับบางตาลงไป คงเป็นเพราะไม่มีดารากลับเข้ามาประจำซุ้ม

          “นักแสดงคนอื่นกลับเข้าซุ้มกันหมดแล้ว ทำไมซุ้มเรายังไม่มีใครมาว่ะกร?”

          “หึ มึงถามหาไอ้แหม่มหรือคนอื่น”

          “กูก็ต้องหมายถึงแหม่มสิว่ะ”

          “เออ กูจะพยายามเชื่อ”

          เขาเลือกจะไปนั่งที่ด้านในของซุ้ม ข้างๆ ชาญกับเองที่เพิ่งจะลงมานั่งพัก ให้กรกฤตเฝ้าอยู่ด้านหน้าคนเดียว ก่อนนำโทรศัพท์ขึ้นมาอ่าน ทำให้เขาเพิ่งเห็นข้อความที่เข้ามาตั้งแต่เช้า แต่เขาไม่ได้ยินเพราะปิดเสียงไว้

........................................................................

          กรกฤตมองตามเพื่อนของเขา ที่เข้าไปนั่งข้างๆ ลูกน้องทั้งสองคน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว เขามั่นใจในระดับหนึ่งว่าทัชชาเป็นคนดี ตั้งแต่เข้าวงการมาก็ไม่เคยมีข่าวเสียหาย แต่คนธรรมดาอย่างทัชชาจะรับมือกับคนที่บ้านของเพื่อนเขาได้ไหม

          รอบๆ งานมีคนของลุงเสือเต็มไปหมด ล้วนเป็นหูเป็นตาให้กับคนที่บ้านได้เป็นอย่างดี เพื่อนของเขาถือว่าเป็นน้องเล็กที่สุดในตระกูล ทำให้ทุกคนในบ้านให้ความรักและเอ็นดูราวกับไข่ในหิน

          อย่างคราวของโมนิกา เพียงแต่เจ้าเพื่อนของเขาบอกเรื่องราวของแฟนสาวให้แม่ของมันฟัง แม่ของมันถึงขนาดให้ลุงเถิงช่วยสืบประวัติเลยทีเดียว ซึ่งเขาเพิ่งจะมานึกได้ทีหลังว่าคงหมายถึงออร่านั่นเอง แหม่มเคยเล่าให้เขาฟังว่า พัสกาญไม่เห็นออร่าจากโมนิกา

          กรกฤตหันไปเห็นทัชชาเดินมากันอามันต์พอดี เขาจึงเร่งเดินไปดัก ถ้าพัสกาญจะลองคบกับทัชชาดู ด่านแรกที่ทัชชาจะต้องเจอก็คือเขา

          “ม่อน เดี๋ยวกูมา ไปหาไรกินแป๊บ มึงเอาอะไรไหม?”

          “ไม่อ่ะ ขอบใจ”

          “พี่กร ผมไปด้วย” เสียงของชาญแทรกตามหลังมา

          “แกอยู่ช่วยเอมไปเลย จะเอาอะไรเดี๋ยวฉันซื้อมาให้”

          “งั้นไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวค่อยสลับกันไปก็ได้”

          “อืม”

          กรกฤตรีบเร่งฝีเท้าออกจากซุ้มไป จนกระทั่งเดินมาถึงตัวทัชชาและอามันต์

          “แล้วแหม่มกับน้องดาล่ะครับ” เขาถามคนทั้งสองที่ดูตกใจเล็กน้อยที่อยู่ ๆ ก็เจอเขาเดินมาดักหน้า

          “กำลังเดินตามมา นายมีอะไรรึเปล่า” อามันต์เป็นคนถามขึ้น

          “ฉันกำลังจะเดินไปเอาข้าวกล่องที่ทางเจ้าภาพจัดไว้ให้นะ แต่กลัวว่าจะถือคนเดียวไม่ไหม เลยจะชวนแหม่มไป”

          “อ่าว แล้วทำไมไม่ให้คนที่ซุ้มมาช่วยล่ะ?” อามันต์ถามออกมาติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย

          “ถ้าชาญหรือเอมมาสักคน ที่ซุ้มคงจะวุ่นวาย” ทัชชาหันไปบอกอามันต์ “เอาอย่างนี้แล้วกัน มันต์ นายไปรอที่ซุ้ม ฉันจะไปช่วยกรเอง”

          “อืม ก็ได้ แล้วน้องแหม่มกับน้องดาล่ะ?”

          “น้องแหม่มคงตามไปช่วยงานในซุ้มแหละ”

          “โอเค” อามันต์พยักหน้าเข้าใจแล้วเดินตรงไปยังซุ้มขายเสื้อ

          “เราไปกันเถอะกร ต้องไปรับอาหารกล่องที่ไหนล่ะ?”

          “อันที่จริงก็รับได้หลายจุดนะ คุณทัชจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะชวนคุณเดินไปไกลหน่อย แถวๆ ข้างเวทีใกล้ๆ กับทางเข้าโรงแรม”

          “ไปสิ ไม่มีปัญหา”

          จากนั้นกรกฤตก็เดินนำทัชชาตรงไปยังเวทีที่มีงานเมื่อเช้า แต่เดินเลยเข้ามาในส่วนของโรงแรม ซึ่งทัชชาก็ดูจะสงสัยไม่น้อย

          “ผมนึกว่าเราต้องไปเอาอาหารกล่องกันแถวๆ เวทีที่จัดงานซะอีก ไม่คิดว่าจะเข้ามาในตัวโรงแรม” ทัชชาถามขึ้นมาระหว่างที่เดินอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างหาดกับสระว่ายน้ำของโรงแรม

          “ผมอยากคุยกับคุณเรื่องม่อน” กรกฤตตอบโดยไม่หันกลับไปมองคนถามแม้แต่น้อย จนเดินมาถึงล๊อบบี้ของโรงแรม

          “อ่าว คุณกร เข้ามาตามคุณพัสรึค่ะ” คุณวรรณาเลขาของลุงเสือทักทายเมื่อเห็นเขา

          “ไม่ใช่ครับ พี่ๆ เขาพาม่อนไปส่งที่ซุ้มเรียบร้อยแล้ว พอดีผมมาหาที่เงียบๆ คุณงานนิดหน่อยครับ”

          “วรรณจัดการให้ไหมค่ะ?”

          “ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง เดี๋ยวผมไปนั่งในล๊อบบี้ก็ได้ครับ” กรกฤตปฏิเสธพัลวัน

          “วันนี้ล๊อบบี้คนแน่นค่ะ เดี๋ยววรรณให้คนพาไปที่ห้องรับรองดีกว่าค่ะ”

          “เอ่อ ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณวรรณแล้วล่ะครับ”

          เขาเดินตามคุณวรรณาไปจนพบกับพนักงานโรงแรมคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้มานั่งคุยกับทัชชาในห้องรับรองส่วนตัว พร้อมกับของว่างที่ถูกจัดมาให้

          “คุณคงแปลกใจว่าทำไมผมถึงได้ห้องรับรองง่ายๆ จากทางโรงแรมเพียงเพราะต้องการจะคุยกับคุณ” กรกฤตเริ่มบทสนทนาขึ้น

          “เมื่อครู่ที่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถึงพัส คงหมายถึงม่อนสินะ” ดูเหมือนพระเอกตรงหน้าเริ่มเดาอะไรได้บ้างแล้ว

          “ใช่ ที่ผมต้องการคุยกับคุณก็เพราะผมอยากรู้ว่าคุณรู้จักม่อนมันดีแค่ไหน หรือรู้แค่เพียงว่ามันคือ พัสกาญ หิรัญสิงหนิราศ

          “ผมก็รู้เท่าที่คุณพูดนั่นแหละ ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมยอมรับว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวม่อนเลย และผมพร้อมที่จะเรียนรู้หากม่อนเปิดโอกาสให้ผม”

          คำพูดของทัชชาที่แสนจะตรงไปตรงมา เผยให้เห็นความจริงใจ ทำให้กรกฤตถึงกับถอนหายใจ นี่เขาควรจะเป็นด่านแรกไม่ใช่หรือไง แต่ทำไมเขากลับสงสารที่พ่อพระเอกหนุ่มตรงหน้าที่รู้เรื่องเพื่อนของเขาเพียงเท่านี้

          “เฮ้อ...คุณไม่คิดจะทำการบ้าน หาข้อมูลเกี่ยวกับคนที่คุณจะจีบเลยรึไง?”

          “ผมรู้ว่าม่อนเป็นใคร เป็นคนมีชื่อเสียงแค่ไหน การที่ม่อนไม่ชอบออกสื่อแสดงว่าเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ผมสังเกตจากเวลาที่เขาแอบไปนั่งทำงานเวลาที่ว่างจากช่วยคุณ และส่วนตัวผม ผมคิดว่า ผมไม่ควรเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของม่อน หากม่อนไม่อนุญาต ผมรอได้”

          “เฮ้อ… สงสัยผมคงต้องช่วยคุณซะแล้ว คุณทัช”

          “ช่วยผม?”

          “คุณคงไม่รู้ว่าว่าการจะจีบม่อนต้องเจอกับอะไรบ้าง เอาเป็นว่า ก่อนอื่นคุณต้องรู้เรื่องเยี่ยนหวอ กรุ๊ปก่อน”

          “เยี่ยนหวอ กรุ๊ป? มันคืออะไร?”

          กรกฤตได้แตส่ายหน้า อยากจะเอามือกุมขมับนัก ขนาดเยี่ยนหวอ กรุ๊ปคืออะไรยังไม่รู้ แล้วแบบนี้จะรับมือคนที่บ้านของเพื่อนเขาได้ยังไงกัน

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 19-12-2019 05:47:22
เย้ คุณทัชมีผู้ช่วยมือดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 19-12-2019 07:43:48
แหม ตอนแรกจะเป็นด่านแรกให้เขาฝ่าอยู่เลย
ช่วยเขาซะงั้น  o18

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 19-12-2019 13:30:06
กรไหนว่าจะเป็นด่านแรกไง555555

ทัชมีผู้ช่วยแล้ว สู้ๆ น๊าาาาาาา
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-12-2019 20:53:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

ซื่อบื้อจริงนู๋ทัชชา

การบ้านก็ไม่ทำ

ต้องเป็นภาระของนุ้งกรคนดีไปอีก
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 29-12-2019 23:45:31
รอๆๆๆๆ ชอบมากค้าาา
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 30-12-2019 11:06:49
ทัชชา


เจ้าบื้อ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 25 : 03.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-01-2020 20:56:07
25








          กรกฤตเดินกลับมาที่ซุ้มพร้อมกับทัชชา ในมือก็หิ้วถุงใส่กล่องข้าวมาจำนวนหนึ่ง ชาริสาเห็นอามันต์เดินเข้าไปช่วยทัชชาหิ้วทันทีที่เห็น

          “ทำไมแกไปนานนักล่ะ หรือว่าคนไปรอรับข้าวกล่องเยอะ?” ชาริสาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนหายไปเกือบชั่วโมง

          “ไม่ใช่หรอก พอดีฉันกับคุณทัชไปช่วยงานทางโน้นนิดหน่อย ใช่ไหมคุณทัช” กรกฤตหันไปถามทัชชาที่เดินเคียงมากับอามันต์

          “ครับ”

          “แกมีอะไร?” กรกฤตถามชาริสาที่นั่งอยู่ข้างๆ พัสกาญ

          “ก็มันจะบ่ายสองแล้ว ดีนะ ที่ฉันให้ยัยดาไปหาซื้อขนมมากินกันรองท้องก่อน”

          “ขอโทษๆ งั้นมากินข้าวกัน”

          เอมกับชาญเดินมารับถุงกล่องข้าวแล้วนำไปทางที่มุมหนึ่งด้วยกัน กรกฤตยื่นกล่องหนึ่งไปให้พัสกาญ

          “กูไม่เอาแล้ว”

          “ได้ยังไงมึง กินอะไรหน่อย”

          “ก็กูอิ่มแล้วนี่ มึงรู้ไหมว่ามีซุ้มขนมของลุงหยกมาเปิดด้วยนะ”

          “มึงกินขนมอิ่มว่างั้น?”

          “ฉันก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” ชาริสารีบแทรกขึ้นเมื่อเห็นว่ากรกฤตจะยื่นข้าวกล่องนั้นมาให้เธอแทน

          “อะไรว้า… คนรึ สู้อุตส่าห์ไปเอามาให้” กรกฤตแกล้งบ่น เธอและพ้สกาญนั้นรู้ดี จึงได้แต่ยิ้มขำ

          “แกนั่งกินไปเถอะ เดี๋ยวฉันกับม่อนจะช่วยกันเก็บของไปพลางๆ ก่อน”

          “เก็บของ?” กรกฤตมองมาที่เธอและพัสกาญอย่าสงสัย

          “เสื้อที่ซุ้มเราหมดแล้ว ชาญไปดูที่ซุ้มอื่นๆ ก็หมด พวกเราเลยตกลงกันว่า เก็บของเสร็จแล้วจะไปเดินเล่นที่ริมหาดกัน” พัสกาญบอกพร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้

          “ทำไมหมดไวนักว่ะ?”

          “น้องดิว ยูทูบเบอร์เขามาร่วมงาน แล้วยังไลฟ์สดช่วยขาย นี่ได้ออร์เดอร์มาเพียบเลย น้องเขาเดินไปทุกซุ้ม โชว์ทุกลาย เลยยิ่งขายไว” อามันต์ช่วยเสริม

          “น้องดิว คนที่กำลังดังตอนนี้อ่ะนะ?”

          “คนนั้นแหละ เห็นว่าเป็นแฟนคลับน้องแหม่มด้วย เลยช่วยเชียร์ขายลายที่เหลือจนของถูกจองหมดภายในเวลาไม่กี่นาที” ชาริสาได้ยินน้พเสียงติดจะไม่ชอบใจของอามันต์ ทำให้เธอยกยิ้มขึ้นมา

          น้องดิวหรือกรกานต์ หนุ่มน้อยยูทูบเบอร์ หน้าตาหล่อเหลา จะน้อยก็แต่อายุ นอกนั้นทั้งเสน่ห์ รูปร่างหน้าตา นั้นไม่ได้น้อยตามอายุเลย หากมีสังกัดไหนทาบทามคงเป็นพระเอกได้ไม่ยากเย็น

          “ยัยแหม่ม ไอ้หนุ่มนั่นมันมาขายขนมจีบให้แกเหรอ” กรกฤตกระซิบถามให้ได้ยินกันเพียงสองคน

          “แกไม่ต้องห่วง ฉันไม่นิยมกินเด็ก”

          “อืม ยังไงก็ว่างตัวดีๆ ก็แล้วกัน”

          “รู้แล้วน่า ฉันไปช่วยม่อนเก็บของก่อน” ชาริสาว่าแล้วก็ลุกเดินไปช่วยพัสกาญเก็บของ

          ไม่นานนัก คนอื่น ๆ ที่ทานข้าวเสร็จแล้วก็เดินตามมาช่วยอีกแรง ชาริสาที่เก็บของเพลินๆ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่า ทัชชาเข้ามาช่วยพัสกาญอยู่ใกล้ๆ อีกทั้งยังชวนอีกฝ่ายคุยอยู่ไม่ห่าง

          “ดา”

          “ค่ะ พี่แหม่ม?”

          “สองคนนั่น เขาไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร?”

          “พี่แหม่มดูยังไงว่าเขาสนิทกัน ดาเห็นแต่พี่ทัชนั่นแหละเป็นฝ่ายชวนพี่ม่อนคุยเสียมากกว่า”

          “พี่ว่าพ่อพระเอกนี่มันชักจะยังไงๆ แล้ว” ชาริสาพูดไปสายตาก็มองไปที่ทั้งสองตาไม่กระพริบ

          “ไม่ดีรึไง หากม่อนมันจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้น” กรกฤตเดินเข้ามาสมทบเอ่ยขึ้น เธอเหลียวมองเพียงเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปมองที่คนทั้งสองดังเดิม จึงไม่เห็นว่ากรกฤตและชันดาแอบส่งสายตาให้กัน

          “ฉันว่าฉันดูออก พี่ทัชไม่ได้เหมือนพี่กะทิ หรือไลลา สายตาพี่ทัช...เขาดูจริงจัง”

          “อะไรทำให้พี่แหม่มคิดแบบนั้น” ชันดาเอ่ยถามอย่างสงสัย

          “พี่ทำงานกับพี่ทัชมาพักหนึ่ง พี่ว่าพี่พอจะมองแววตานั้นออก แววตาที่ไม่ได้เสแสร้งอย่างตอนที่เข้าซีน”

          “แล้ว… ถ้าคุณทัชเขาจริงจังกับม่อนละ แกจะว่ายังไง?” ชาริสาหันควับกลับไปมองกรกฤตทันที และดูเหมือนชันดาเองก็คงรับรู้เรื่องนี้ไม่ต่างกัน

          “ยัยดา เธอก็รู้เรื่องนี้มาตลอดเหรอ?”

          “พี่กรเป็นห่วงพี่ม่อน เลยให้ดาช่วยจับตาดูพี่ทัชตอนอยู่ในกองถ่าย”

          “ตั้งแต่เมื่อไร?”

          “ก่อนคุณพราวจะมีคิวให้ที่กอง” ชันดาตอบเสียงอ่อย

          “แล้วแกไม่คิดจะทำอะไรเลยรึยังไง” ชาริสาหันไปมองกรกฤตด้วยความไม่พอใจ หากแต่ไม่ได้รับคำตอบใดใดกลับมา “เงียบแบบนี้อย่าบอกนะว่าแกให้เขาผ่านแกไปง่ายๆ”

          “ก็ม่อนมันอยากลองดู”

          “เขาไม่ต่างอะไรกับยัยโมนิกเลยนะ แล้วแกมั่นใจได้ยังไงว่าพ่อพระเอกจะไม่ซ้ำรอยยัยนั่น”

          “แกอย่าลืมนะว่าม่อนมันเห็นอ่อร่าของคุณทัช”

          ชาริสาสะดุดกับคำพูดของกรกฤต ทำให้เธอลืมนึกไปว่าพัสกาญเคยมาปรึกษาเรื่องอ่อร่าของคนคนนี้ มันแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่พัสกาญเคยพบเห็น

          “ไม่รู้แหละ ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เขาผ่านฉันไปได้ง่าย ๆ เหมือนแกแน่ และยัยดา เธอต้องร่วมมือกับพี่”

          “โถ่… พี่แหม่ม เรื่องนี้ดาขอไม่ยุ่งได้ไหมค่ะ”

          “ไม่รู้แหละ ยังไงเธอก็ต้องช่วยพี่” ชาริสาพูดจบก็เดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างพัสกาญกับทัชชาทันที

.........................................................................

          พัสกาญที่เก็บพับลังกระดาษและวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ โดยมีทัชชาเป็นคนนำเชือกฟางมามัดรวมกัน ทั้งคู่ทำงานไปกันเงียบๆ มีบ้างที่ทัชชาเป็นฝ่ายชวนเขาคุย

          “ระวังโดนกล่องบาดนะครับ พี่ว่าม่อนน่าจะหาถุงมือมาใส่ไว้หน่อย”

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ เหลืออีกนิดหน่อยเอง” เขาตอบพร้อมทั้งหลบสายตาที่สื่อออกมาว่าเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง อีกทั้งอ่อร่าที่แผ่ออกมามันช่างซื่อตรงกับความรู้สึกของคนตรงหน้านัก

          “แล้วเสร็จจากเดินเล่นที่ชายหาด ม่อนกับเพื่อนๆ จะไปไหนกันต่อครับ ถ้าพี่จะขอตามไปด้วย… จะได้ไหม?”

          น้ำเสียงที่ฟังดูราวกับออดอ้อนในตอนท้ายทำให้พัสกาญต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกคนด้วยความไม่แน่ใจ แต่จากสายตาและออร่าที่เขาเห็น ทำให้ใจของเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ นึกอยากจะหลบสายตาแต่ก็กลับทำไม่ได้ นี่เขาโดนสายตาของทัชชาสะกดให้แน่นิ่งอยู่แบบนี้หรือ…

          “ม่อน ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนแหม่มหน่อยสิ” ชาริสาที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างเขาและทัชชา ทำให้เขาถึงกับสะดุ้ง ผิดจากอีกคนที่ได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ มาให้

          “น้องแหม่ม ทำไมไม่ให้น้องดาไปเป็นเพื่อนละครับ ให้ม่อนไปเป็นเพื่อนพี่ว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ยิ่งไปกันสองคน” ทัชชายังพูดไม่ทันจบชาริสาก็แทรกขึ้นมา

          “ใครว่าแหม่มจะไปกับม่อนสองคน ดาก็ไปด้วย แต่ที่แหม่มชวนม่อนไปด้วยเพราะเห็นว่ามีผู้ชายไปด้วยอีกคนน่าจะดีกว่า นะ ม่อนนะ ไปเป็นเพื่อนแหม่มหน่อย” ประโยคหลัง แหม่มเดินมาคล้องแขนเขาอย่างออดอ้อน

          “อืม ก็ได้ แต่แหม่มปล่อยแขนเราก่อน ที่นี่นักข่าวเยอะ”

          “อืม” ชาริสาทำตามอย่างว่าง่าย “งั้นเราไปกันเถอะ”

          พัสกาญพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินตามชาริสาไป ชันดาเองก็เดินเคียงไปกับชาริสาไม่ห่าง เขาจึงเดินรั้งท้าย พวกเขาเดินไปที่ห้องน้ำที่ทางผู้จัดงานเตรียมไว้ให้ตามจุดต่างๆ และจุดที่ใกล้ซุ้มของพวกเขามากที่สุดจะอยู่ไปทางด้านหลัง ติดกับรั้วตาข่ายกั้นเขตพื้นที่จัดงานและที่ดินของชาวบ้านระแวกนี้ที่ปล่อยให้รกร้าง

          “เสียดายที่ผืนนี้นะ ถ้าเจ้าของไม่ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ คงทำร้านอาหารสวยๆ ได้แน่ๆ ติดหาดขนาดนี้” ชันดาว่าเมื่อเดินผ่านที่รกร้าง

          “ดูเหมือนห้องน้ำที่มุมนี้จะไม่ค่อยมีคนมาเข้าเท่าไรนะ” ชาริสาตั้งข้อสังเกต ไม่นานก็มีคนเดินสวนออกมาปะปราย

          “เราว่า ห้องน้ำตรงนี้คงเป็นทางตัน ไม่เหมือนจุดอื่นที่เขาทางนี้แล้วเดินออกอีกด้านได้ เลยไม่ค่อยมีคนรู้ ป้ายบอกก็ไม่ชัดเจน” เขาตอบตามความคิดของเขา

          “ก็ดีนะ เงียบดี ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอแฟนคลับเยอะๆ” ชาริสาพูดอย่างอารมณ์ดี

          “ชาญเป็นคนบอกดา ว่ามีห้องน้ำตรงนี้ เพราะเมื่อเช้าชาญถามทีมงานเอาไว้ เห็นว่าไม่อยากเดินไกล”

          “จริงสิ!! แหม่ม…” อยู่ๆ แหม่มก็หันกลับมาหาเขาที่เดินรั้งท้ายอย่างกระทันหัน ทำให้ดาหยุดชะงักตามพี่สาวไปด้วย แต่พัสกาญกลับเห็นความผิดปกติตรงข้างรั้วตาข่าย

          “แหม่ม ดา ระวัง!!”

          พัสกาญเอื้อมมือทั้งสองข้างไปฉวยทั้งชันดาและชาริสามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะหันหลังให้กับสิ่งที่ล้มลงมาไม่ขาดสาย

          ไม้ไผ่ลำไม่ยาวนัก ล้มลงมากระแทกหลังของพัสกาญจำนวนไม่ใช่น้อย ถึงแม้จะล้มลงมาไม่รุนแรงแต่ด้วยจะนวนที่มากทำให้พัสกาญต้านน้ำหนักของมันไม่ไหว ล้มลงไปพร้อมกับสองสาว แต่เขาก็พยายามเอามือค้ำยันตัวเองไว้ และกักทั้งสองไว้ใต้ร่าง จนกระทั้งทุกอย่างจบลง

          “ม่อน” ชาริสาที่ได้สติขึ้นมาคนแรก เธอกอดชันดาเอาไว้แน่น หลังจากที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

          “พี่ม่อน” ชันดาที่ได้สติหลังจากได้ยินชาริสาเรียกเขา

          ทั้งสองช่วยกันผลักไม้ไผ่ที่ยังคงพาดอยู่บนแผ่นหลังของเขาออกไป พร้อมทั้งยันตัวขึ้น

          “เป็นอะไรกันไหม?” เขาถามขึ้นเมื่อหลีกให้ทั้งสองได้ลุกขึ้น ส่วนตอนนี้เขากลับชาไปทั่วแผ่นหลัง

          “แหม่มกับดาไม่เป็นไร แล้วม่อนล่ะเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า” ชาริสาที่สำรวจร่างของน้องสาวเมื่อเห็นว่าชันดาไม่เป็นอะไรจึงรีบหันมาถามพัสกาญพร้อมทั้งพยุงให้อีกฝ่ายที่ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นขึ้นมา ชันดาเองก็เข้ามาช่วยอีกแรง

          “เรา...มะ ไม่…” พัสกาญที่กำลังจะบอกว่าเขาไปมาเป็นอะไร นอกจากชาที่แผ่นหลัง หากแต่เมื่อลุกตามแรงพยุงของทั้งสองสาว กลับทำให้โลกตรงหน้าวูบดับลงไปทันที

........................................................................

          หลังจากภาริชตามไปเก็บภาพข่าวตรงจุดปล่อยรถ และมีโอกาสได้ร่วมสัมภาษณ์ดารา นักแสดง นักร้อง รวมทั้งเหล่านายแบบนางแบบมากมาย งานนี้ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว มางานเดียวได้ข่าวกลับไปเขียนเยอะทีเดียว

          ดารา เซเลปร่วมร้อยชีวิต กระจายตัวกันไปหลังจากถ่ายรูปหมู่และให้สัมภาษณ์เสร็จ ส่วนเขามีโอกาสได้สัมภาษณ์อาทิตย์หนึ่งในนักแสดงที่ตั้งใจจะลงแข่งแรลลี่ครั้งนี้ แต่กลับเกิดปัญหาหาเกี่ยวกับตัวรถเสียก่อน จึงทำให้ต้องถอนตัวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่ง

          ภาริชเดินหาเป้าหมายต่อไป นั่นก็คือ ดิว กรกานต์ ยูทูบเบอร์ที่มาร่วมงานในวันนี้ ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะมางานนี้เอง โดยไม่รับการติดต่อจากเจ้าภาพ ซึ่งทำให้ภาริชสนใจไม่น้อย แต่ก่อนจะตามหาต่อ เขาต้องการไปสถานที่แห่งหนึ่ง

          “น้องๆ ห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน?” เขาถามสต๊าฟคนหนึ่ง

          “มีทางด้านขวาจุดหนึ่งครับ ใกล้กับเวที และอีกจุดทางด้านซ้ายหลังซุ้มจำหน่ายเสื้อ”

          “ขอบใจมาก” ภาริชกึงเดินกึงวิ่งตรงไปยังห้องน้ำทางด้านซ้ายมือ เพราะเขาคิดว่าทางด้านนั้นคนคงจะไม่เยอะมากเมื่อเปรียบกับจุดที่อยู่ใกล้เวที

          เขาแปลกใจเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ใสแว่นกันแดดทรงโอเวอร์ไซด์ แต่งหน้าจัด มัดผมรวบตึงไปด้านหลัง ทั้งที่การแต่ตัวดูออกจะเป็นสาวมั่น แต่กลับเดินก้มหน้าก้มตาราวกับจะหลบใครอย่างนั้นแหละ ถึงจะติดใจสงสัย หากเขาอยากจะเข้าห้องน้ำมากกว่า

          เดินเข้ามาไม่ทันไรภาริชกลับได้ยินเสียงไม้จำนวนมากหล่นกระทบพื้น พร้อมทั้งเสียงกรี๊ดของหญิงสาว ด้วยสัญชาตญาณนักข่าวภาริชจึงรีบวิ่งสุดฝีเท้าทันที

          ภาพตรงหน้า ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเอาตัวเองกำบังหญิงสาวที่ล้มลงไปกองกับพื้น หญิงสาวคนหนึ่งกอดอีกคนที่ตัวเล็กกว่าเอาไว้ราวกับจะปกป้อง จนกระทั่งไม้ไผ่ลำสุดท้ายหล่นกระทบพื้น คนทั้งสามจึงเริ่มขยับ เขารีบวิ่งเข้าไปดูทันที

          “เฮ้ย!!” ภาริชที่ยังไปไม่ถึงผู้เคราะห์ร้ายทั้งสาม ชายหนุ่มก็ทรุดลงไปกับพื้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไป และเมื่อเข้าไปใกล้ ๆ จึงรู้ว่าบุคคลทั้งสามเป็นใคร

          “น้องแหม่ม น้องดาเป็นอะไรไหมครับ” เขารีบถามสองสาว แล้วเข้าไปประคองคนที่หมดสติแทนหญิงสาวทั้งสอง

          “คุณ!!” ชาริสาหันมามองเขาอย่างตกใจ และรีบเก็บแว่นของพัสกาญขึ้นมา

          “พี่นักข่าวค่ะ เอ่อ...พี่ม่อน…” ชันดาพยายามเอ่ยถึงคนที่หมดสติ เขาจึงเข้าใจ

          “แว่นก็แตกไปแล้ว เอานี่” เขาใช้มือข้างหนึ่งถอดหมวกของเขาออก จากนั้นก็สวมให้กับพัสกาญ และดึงลงมาปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่ง “สบายใจได้ ผมรู้ว่าน้องพัสเป็นใคร ทางที่ดี รีบพาน้องพัสไปโรงพยาบาลก่อน” ภาริชรีบสั่งการสองสาวตรงหน้าที่ยังดูงงๆ

          “ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่าคุณจะไม่เอาข่าวม่อนไปเขียน”

          ภาริชที่กำลังอุ้มร่างของพัสกาญขึ้นมาและออกเดิน กลับถูกชาริสารั้งเอาไว้

          “นี่น้องแหม่มจำพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอครับ พี่นึกว่าแหม่มแกล้งจำพี่ภาไม่ได้เสียอีก”

          “พี่ภา?”

          “ใช่ครับ พี่ภา นิเทศศาสตร์ ที่ตามทำข่าวน้องแหม่มตั้งแต่งานละครถาปัตย์ยังไงล่ะครับ”

          “พี่ภา ห่ะ!! พี่ภาติส?”

          “ภาริชครับ ไม่ใช่ภาติส”

          “พี่แหม่ม คนเริ่มมาแล้ว เรารีบออกจากตรงนี้กันเถอะ” ชันดามีสีหน้าเป็นกังวลทันที

          ภาริชเห็นคนแห่กันมาตามเสียงดังที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงต้องรีบเดินออกไป และมีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

          “มีอุบัติเหตุตรงทางเดินก่อนถึงห้องน้ำ มีคนเจ็บครับขอทางหน่อยๆ” ภาริชตะโกนออกไป เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเข้าไปดูที่เกิดเหตุ ส่วนอีกกลุ่มเคลียร์ทางให้เขาพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล




To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 25 : 03.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 03-01-2020 21:21:54
ลุ้นตั้งนาน ว่างานนี้พระเอกเราจะได้เป็นฮีโร่สักหน่อย
ดันเป็นพี่ภาติสซะงั้น 5555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 25 : 03.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-01-2020 21:39:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

คงต้องมีคนทำให้มันเกิดอุบัติเหตุแน่ ๆ อยู่ดี ๆ แผงไม้ไผ่จะล้มลงมาได้ไง?

ใครหนอคือคนทำ?  ผู้หญิงที่ภาติสเห็นใช่ป่าว?
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 25 : 03.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 03-01-2020 23:16:11
นังพราวนังหลินแน่ๆ :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 12-01-2020 21:18:35
26








          ทัชชาที่กำลังคุยกับกรกฤต หลังจากที่ชาริสาแย่งตัวพัสกาญไปจากเขา ทำให้เขาพอจะรู้ว่า ชาริศาเป็นเพื่อนที่หวงพัสกาญมากแค่ไหน

          “น้องแหม่มคงไม่คิดกับม่อนเกินเพื่อนใช่ไหม” ทัชชาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

          “คุณห่วงเรื่องคนที่บ้านของมันดีกว่า แทนที่จะมากังวลเรื่องยัยแหม่ม” กรกฤตตอบเขาอย่างไม่ทุกข์ร้อน

          จากที่คุยกันเกือบชั่วโมงทำให้เขาพอจะรู้ว่าครอบครัวของพัสกาญนั้นจัดได้ว่าเป็นครอบครัวใหญ่และมีชื่อเสียงมากทีเดียว เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่า พี่น้องทุกคนล้วนรักใคร่กลมเกลียวแม้นาน ๆ ทีที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

          พัสกาญของเขานั้นเป็นน้องคนเล็กสุดในครอบครัว มีพี่ชาย 2 คนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ทำให้เขาไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมคนทางบ้านถึงได้หวงขนาดนี้ พี่คนโตเป็นนักโบราณคดีมีดีกรีเป็นถึงดอกเตอร์ หากแต่เดินทางสำรวจขุดค้นบ่อยๆ จึงไม่ค่อยได้เจอพัสกาญ ขนาดกรกฤตเอง ตั้งแต่รู้จักกับพัสกาญมา เคยเจอพี่ชายคนนี้เพียงสองครั้งเท่านั้น

          พี่ชายคนรองเท่าที่รู้ ส่วนใหญ่จะช่วยงานธุรกิจของคนรักมากกว่าจะสานต่อธุรกิจของครอบครัว เพราะหลงใหลไปกับธรรมชาติและพืชพรรณทางเหนือ ดังนั้นธรุกิจทั้งหมดจึงอยู่ในความดูแลของเหล่าลุงป้าของพัสกาญ

          ในตอนนี้ธุรกิจต่างๆ ของทางบ้านพัสกาญ ยังไม่มีทายาทคนไหนถูกหมายมั่นให้รับช่วงต่อกิจการ นั่นยิ่งทำให้สาวๆ มากมายพยายามเข้าหาและทอดสะพานกับพี่ชายคนโตหรือแม้กระทั่งตัวพัสกาญเอง

          พัสกาญมีน้าคอยดูแลตั้งแต่เด็ก ๆ เนื่องจากพ่อแม่ต่างมีหน้าที่การงานต้องทำมากมาย ถึงกระนั้นก็ไม่เคยขาดความอบอุ่น ทัชชารู้สึกได้ว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่น่ารักทีเดียว และดูไม่มีพิษภัยอะไรให้ต้องกังวล หากแต่กรกฤตกลับไม่คิดเช่นนั้น

          กรกฤตเล่าภาพรวมให้เขาฟังเพียงเท่านี้ ที่เหลือเขาต้องไปหาข้อมูลเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเยี่ยนหวอ กลุ่มธุรกิจของตระกูลคุณคุณารักษ์ และกรกฤตไม่อาจจะบอกเล่าสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้เกี่ยวกับพันธมิตรของตระกูล เขาจึงต้องเป็นผู้ค้นหาข้อมูลเหล่านั้นด้วยตนเอง

          “พี่กร ๆ” ชาญวิ่งเข้ามาที่ซุ้มหลังจากที่ไปเดินเล่นกับเอมรอบ ๆ งาน เด็กหนุ่มตะโกนมาแต่ไกล ทำให้เขาที่กำลังคิดสงสัยอยู่ว่า กลุ่มธุรกิจของทางบ้านพัสกาญจะใหญ่โตแค่ไหนถึงกับหันไปมอง

          “จะตะโกนทำไม? มีอะไร?” กรกฤตถามออกมาท่าทีรำคาญ แต่เขาดูแล้วเหมือนกับจะแกล้งลูกน้องมากกว่า

          “แฮ่ก ๆ ๆ กะ เกิด เรื่อง แฮ่ก ๆ กะ กับ ๆ” ชาญหยุดวิ่งมายืนอยู่ตรงหน้า โน้มตัวลงแขนข้างหนึ่งยันไว้กับเข่าของตัวเองไว้ อีกข้างชี้ไปทางด้านหลัง ปากก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วง ๆ

          “ใจเย็นๆ ค่อย ๆ พูด เดี๋ยวได้ช็อกตายเพราะขาดอากาศหายใจกันพอดี” กรกฤตว่าไม่จริงจัง

          ชาญยันกายขึ้น สูดหายใจลึกๆ 2-3 ที จึงเอ่ยขึ้นมาใหม่

          “เกิดเรื่องกับพี่ม่อน ตอนนี้รถพยาบาลกำลังมารับตัวไปโรงพยาบาล”

          “อะไรนะ!! /ว่าไงนะ!!” เขาและกรกฤตถามขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็ไม่มีใครสนใจอะไร เขาวิ่งไปยังทิศทางที่ชาญชี้ทันที กรกฤตเองก็เช่นกัน

          เมื่อไปถึงด้านหน้าทางเข้าของงาน เขาก็เห็นสต๊าฟจำนวนเกือบ 20 คน กันไม่ให้นักข่าวเข้าใกล้รถพยาบาล ส่วนชาริสานั่งอยู่กับชันดาที่มุมด้านหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่กำลังปฐมพยาบาลให้

          “คุณทัช ทางนี้” กรกฤตเรียกให้เขาเดินตามไปหาชาริสา

          “แต่…”

          “เดี๋ยวเป็นข่าว” กรกฤตพูดเพียงเท่านั้น เขาซึ่งเข้าใจดีจึงเดินตามไปหาชาริศา

          “แหม่ม เกิดอะไรขึ้น แล้วแกไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?” กรกฤตถามคนที่กำลังทำแผลอยู่

          “มีแค่รอยขีดข่วนนิดหน่อย แต่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก”

          “แล้วน้องดาล่ะ เป็นอะไรไหม?” กรกฤตหันไปถามชันดา

          “พี่แหม่มช่วยไว้ ดาเลยไม่เป็นอะไรค่ะ แต่…”

          “ขอบคุณค่ะ ที่เหลือไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว คุณกลับไปทำงานต่อเถอะค่ะ” ชาริสาพูดแทรกขึ้นมาเสียงดังกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ชันดาหยุดชะงักเรื่องที่กำลังจะพูดขึ้น และปรับสีหน้าร้อนรนให้กลายเป็นปกติ

          “ที่เหลือเดี๋ยวดาดูแลพี่แหม่มเองค่ะ” เธอรีบบอกกับเจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาล อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนก้มเก็บอุปกรณ์แล้วออกจากบริเวณนั้นไป

          “คราวนี้ก็เล่าได้แล้ว เกิดอะไรขึ้นยัยแหม่ม” เมื่อไม่มีคนนอกอล้ว กรกฤตจึงตั้งคำถามเกี่ยวกับพัสกาญ

          “เพราะพี่ทัชคนเดียว ถ้าพี่ทัชไม่คิดจะจีบม่อน…”

          “แหม่ม แกอย่าพาล” ทัชชาถึงกับงง ที่อยู่ๆ ตัวเขาก็ตกเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้พัสกาญต้องขึ้นรถพยาบาลไป ดีที่กรกฤตปรามไว้ “เอาดีๆ คุณทัชเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย”

          “เกี่ยวสิ!!” ชาริศายังคงพูดอย่างไม่ยอมแพ้ อีกทั้งยังส่งสายตาไม่พอใจมาที่เขา

          “ดา เกิดอะไรขึ้น” กรกฤตเปลี่ยนเป้าหมายไปถามชันดาแทน

          “ตอนที่ดากับพี่แหม่ม พี่ม่อนเดินไปทางห้องน้ำ อยู่ ๆ ไม้ไผ่ที่มัดพิงไว้ที่ริมร้ัวตาข่ายมันก็โค่นลงมา พี่ม่อนเห็นได้ทันเลยเอาตัวเข้ากันพี่แหม่มกับดาเอาไว้”

          “แล้วตอนนี้น้องม่อนเป็นยังไงบ้างครับ พี่เข้าไปไม่ถึงรถพยาบาล” เขาถามชันดาขึ้นมาอย่างเป็นห่วงอีกคน

          “ตอนแรกพี่ม่อนดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรค่ะ พอดากับพี่แหม่มเข้าไปพยุงก็หมดสติไปเสียดื้อ ๆ ตอนนั้นดากับพี่แหม่มตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จนมีคนมาช่วยไว้”

          “ใคร? ใช่เจ้าหน้าที่ของงานไหม” กรกฤตถามออกมา พร้อมมองแว่นของพัสกาญที่แตก ซึ่งมันอยู่ในมือของชาริศา

          “ไม่ใช่ แต่เป็นนักข่าว”

          “นักข่าว!!” กรกฤตกับเขามองหน้ากันทันที

          “พี่ภาติสน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเขาจะเปิดโปงม่อน เขาคงทำไปนานแล้ว” ชาริศาที่ดูอารมณ์เย็นขึ้นแล้วเป็นผู้เอ่ยตอบ

          “พี่ภาติสเป็นใครเหรอค่ะพี่กร”

          “ไอ้พี่ภามันเคยตามจีบแหม่ม ตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยแล้ว ว่าแต่ไอ้พี่มันมาทำอะไรที่นี่” กรกฤตถามอย่างสงสัย

          “พี่ภาติสเป็นนักข่าวค่ะ ดาเคยเห็นบ่อย ๆ เวลามาสัมภาษณ์พี่แหม่ม พี่ทัช หรือนักแสดงคนอื่นๆ”

          “ทำไมพี่ไม่เคยเห็น” กรกฤตขมวดคิ้วสงสัย

          “อย่าว่าแต่แกจำพี่เขาไม่ได้เลย ฉันเองให้สัมภาษณ์กับตัวพี่มันไปตั้งหลายครั้งยังไม่รู้เลยว่าพี่มันคือพี่ภาติส”

          “อืม...ยัยแหม่ม เลิกโทษตัวเองได้แล้ว และไม่ต้องคิดจะโยนความผิดให้คุณทัชเขาเลย” กรกฤตพูดพาดพิงเขาอีกครั้ง ยิ่งทำให้เชาสงสัยขึ้นไปอีก

          “กร… นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

          “ยัยแหม่มที่รู้จากผม ว่าคุณกำลังจีบม่อน มันไม่พอใจเลยดึงม่อนออกจากคุณ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น ตอนแรกมันพาลโยนความผิดให้คุณ แต่ตอนนี้มันกำลังโทษตัวเองอยู่”

          “อืม…” เขาพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็หันไปทางชาริศา “น้องแหม่มครับ มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอกครับ ตอนนี้น้องม่อนคงไปถึงโรงพยาบาลแล้ว น้องแหม่มวางใจเถอะครับ ม่อนต้องไม่เป็นอะไร” เขาพยายามพูดปลอบใจชาริศา

          “นี่!! ถามจริงๆ เถอะค่ะพี่ทัช พี่จีบม่อนอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่เป็นห่วงม่อนเลยเหรอค่ะ?” ชาริศามองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

          “เอ่อ เว้ย เอามันเข้าไป” กรกฤตเปรยขึ้น พร้อมหันหน้าไปทางอื่น อีกทั้งเดินห่างออกไปหลายก้าว

          “พี่แหม่มค่ะ พี่ทัชเขาแค่อยากจะปลอบให้พี่ไม่คิดมาก ถ้าพี่ทัชไม่ห่วงม่อน เขาจะมาที่นี่พร้อมพี่กรทำไม” เป็นชันดาที่เข้ามาพูดกับชาริศาอย่างใจเย็น

          ทัชชาปล่อยให้สองสาวคุยกันไป ส่วนเขาเดินเข้าไปหากรกฤต เพื่อถามสิ่งที่คาใจ

          “เมื่อครู่ ทำไมคุณไม่เข้าไปหาน้องม่อน ทั้งที่คุณก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน”

          “คุณก็น่าจะเห็น ว่าถึงเราจะไปตรงนั้นก็เข้าไปหามันไม่ได้”

          “คุณเป็นเพื่อนเขา เราสามารถบอกเจ้าหน้าที่พวกนั้นได้นี่ แล้วให้คนที่ชื่อภาติสอะไรนั่นไปกับน้องม่อนสองคนได้ยังไง หากทางโรงพยาบาลต้องการข้อมูลของน้องม่อนล่ะ เขาจะให้ข้อมูลพวกนั้นได้อย่างนั้นเหรอ?”

          “คุณทัช เมื่อเช้านี้คุณก็เห็นมันอยู่บนนั้น” กรกฤตพยักพเยิดไปบนเวที “คุณไม่เอ๊ะใจอะไรบ้างรึไง?”

          “ผมรู้ว่าน้อง…เป็นดีไซด์เนอร์” ทัชชาละชื่อพัสการเอาไว้ “ที่ร่วมงานกับผู้จัดงานการกุศลนี้”

          “เฮ้อ… คุณทัช นี่ผมคุยกับคุณเป็นชั่วโมง คุณไม่เข้าใจเลยรึยังไง?”

          “เรื่องครอบครัวของน้องผมพอจะรู้ว่าทางบ้านน้องเขาหวงลูกชายคนเล็กมาก แต่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะไปโรงพยาบาล”

          “พวกที่กันนักข่าวไม่ให้เข้าใกล้รถพยาบาล เป็นคนของคุณพยัคฆ์ คุณคุณารักษณ์ ลุงเขยของมัน ตอนนี้คุณพอเข้าใจรึยัง”

          “คุณกำลังจะบอกว่า งานการกุศลครั้งนี้จัดขึ้นโดยครอบครัวของน้อง…” กรกฤตพยักหน้าเอือมๆ

          “ตอนนี้ผมกังวลมากกว่า ว่าผมกับยัยแหม่มจะโดนแม่ของมันเล่นงานแค่ไหน?”

          “แม่ของน้อง...ดุมากเลยเหรอ?”

          “ไม่ดุหรอก แต่ขี้หวงที่สุด กว่าคนในครอบครัวจะแต่งงานมีครอบครัวไปได้ ต้องผ่านแม่ของมันให้ได้ซะก่อน ไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยคุณ”

          ทัชชานอกจากจะห่วงพัสกาญแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องกังวลซะแล้ว ไหนจะครอบครัวของน้อง ไหนจะแม่ของน้อง

.........................................................................

          ภาริชที่ติดตามพัสกาญมาด้วย ได้ถูกกันตัวไว้ด้านนอกห้องฉุกเฉิน มีเพียงเจ้าหน้าที่ของงานการกุศลครั้งนี้เข้าไปดูแลเพียง 2 คนเท่านั้น

          ระหว่างที่เขาเดินไปเดินมาเพื่อรอให้ชาริศาและชันดาตามมานั้น เขากลับพบชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแทน บุคคลที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด

          ชายคนนั้นเดินผ่านเขาไปยังห้องฉุกเฉิน โดยเหลือบมองเขาเล็กน้อย ทำให้เขารู้ว่า ชายคนนี้จำเขาได้แน่นอน ไม่นานก็มีชายอีกคนเดินออกมา และมุ่งตรงมาหาเขา

          “คุณคงเป็นคุณภาริช” ชายคนนั้นถามเขา

          “ครับ ผมเอง”

          “คุณกล้าให้ผมมาแจ้งคุณ โปรดรอคุณกล้าจัดการข้างในสักครู่ เพราะท่านมีเรื่องที่ต้องการคุยกับคุณ” เขาได้แต่ลอบถอนใจ เป็นจริงอย่างที่เขาคาดไว้ไม่ผิด

          เขาเดินไปหาที่นั่ง เพื่อรอองครักษ์ผู้พิทักษ์น้องพัส เขาพอจะเดาได้ว่าคนคนนั้นต้องการพูดอะไร คงจะเป็นเรื่องไม่ต่างจากเดิม เหมือนคราวนั้น...

          ภาริชนั่งดูภาพจากกล้องถ่ายรูป เช็คดูว่าเขาได้รูปใครมาบ้าง ถึงจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ข่าวตุนเอาไว้ เสียดายที่ต้องออกจากงานมาก่อน ทำให้ไม่สามารถหาข่าวน้องดิวได้

          เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอของกล้องถ่ายรูป เมื่อได้ยินเสียฝีเท้าวิ่งผ่านหน้าเขาไป เขามองตามชายคนนั้นไปยังหน้าห้องฉุกเฉิน ชายอีกคนที่มาคุยกับเขาก่อนหน้าเดินเข้าไปรายงานทันที

          “ม่อนเป็นยังไงบ้าง”

          “คุณพัสปลอดภัยดีครับ แต่คุณกล้าไม่ไว้ใจ จึงให้หมอตรวจอย่างละเอียดอีกที”

          “อืม ก็ดี แล้วนี่น้ากล้ากับม่อนละ?”

          “คุณกล้ากำลังทำเรื่องย้ายคุณพัสไปห้องพักครับ คุณเจมส์รออยู่ด้านนอกก่อนดีไหมครับ หากได้ห้องแล้วผมจะรีบแจ้งให้ทราบ”

          “ได้ ว่าแต่นายรู้ไหมว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ลุงเสือบอกว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ”

          คำกล่าวของผู้ที่มาใหม่ ทำให้ภาริชถึงกับหันไปมอง แล้วก็นึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินสวนกับเขา ท่าทางมีพิรุธ เขาจึงละความสนใจที่จะแอบฟังว่าคนมาใหม่เป็นใคร แต่ตั้งใจมองภาพที่อยู่ในจอของกล้องถ่อยรูป เขาอาจจะถ่ายติดภาพของผู้หญิงคนนั้นก็เป็นได้

          “ภาริช” ไม่รู้ว่าเขาจดจ่อกับภาพในจอนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเรียกของอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ภาริชจึงลุกขึ้น

          “ผมไม่คิดว่าคุณกล้าจะจำผมได้” แทนที่เขาจะทักทายผู้ใหญ่กว่า เขากลับเลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ตอบคำถาม ได้แต่เงียบ “แล้วน้องพัสเป็นยังไงบ้างครับ?”

          “ปลอดภัยแล้ว ที่หมดสติไปคงเป็นเพราะทนปวดไม่ไหว”

          “ครับ” ต่างฝ่ายต่างเงียบไปจนเขาอึดอัด ส่วนอีกฝ่ายเหมือนจะรอใครบางคนอยู่ จนกระทั่งเขาทนไม่ไหวเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเสียเอง “คนของคุณบอกว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับผม”

          “ใช่ แต่ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียวแล้วละ กรุณารอสักครู่” เขาได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

          “ถ้าคุณกังวลเรื่องข่าวที่จะออกไป ผมรับรองกับได้ ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

          “อืม เป็นได้อย่างนั้นก็ดี”

          “ถ้าคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอตัว”

          “เรื่องของผมมีเท่านี้ แต่ไม่ใช่สำหรับคุณฝู่” ภาริชได้ยินแค่ชื่อก็ถึงกับสะท้านในใจ นี่เขาต้องรับมือกับคนตระกูลฝู่คนไหนกัน? แค่คนตรงหน้านี่ เขาก็ไม่อยากจะยืนเสวนาด้วยแล้ว

          พวกเขารออยู่ไม่นาน ชายคนเดิมที่บอกให้เขารอก็เดินเข้ามา

          “คุณกล้าครับ ห้องคุณพัสเรียบร้อยแล้วครับ คุณเจมส์ให้เชิญคุณและคุณภาริชไปพบ”

          “อืม ขอบใจมากโช อ่อ!! คุณกลับไปที่งานแล้วแจ้งคุณกรกับคุณแหม่มด้วย ป่านนี้คงเป็นห่วงคุณพัสแย่แล้ว หากเขาทั้งสองจะมาเยี่ยม ก็จัดการให้พวกเขามากับรถของคุณโบตั๋น ระวังเรื่องนักข่าวด้วย”

          “รับทราบครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปจัดการทันที”

          หลังจากนั้นเขาก็ตามคุณกล้าไปยังห้องพักฟื้นของพัสกาญ ซึ่งเป็นห้องวีไอพีที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้เป็นพิเศษ เมื่อก้าวเข้าห้องไป เขาเห็นพัสกาญนอนหลับคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ข้าง ๆ กันเป็นชายอีกคนหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปยังห้องฉุกเฉิน

          “นั่งก่อนสิ คุณภาริศ” ชายคนนั้นเชื้อเชิญให้เขานั่งลงตรงหน้า คุณกล้าเดินไปยืนอยู่ด้านหลังราวกับเป็นบอร์ดี้การ์ดให้อีกคน ผมเหลือบตามองคุณกล้าเล็กน้อยก่อนนั่งลง

          ชายคนนี้หน้าตาคมติดไปทางหวาน รูปร่างผอมบาง ทำให้เขานึกถึงนางฟ้าของเยี่ยนหวอขึ้นมาทันที

          “คุณเป็นลูกชายของฝู่หงส์?”

          “อืม ฉลาด” คนตรงหน้าเอ่ยชม แต่เขากลับไม่ปลื้มเอาซะเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าทายาทสายตรงแห่งตระกูลฝู่เช่นนี้ “ผม เจเรมี ฝู่ เรียกผมว่าเจมส์ก็ได้”

          “ผมคงไม่กล้า”

          “เรียกคุณหนู ตามที่เธอต้องการแหละดีแล้ว” คุณกล้าที่ยืนอยู่ด้านหลังแทรกขึ้น ทำให้เขาพยักหน้ารับอย่างแกนๆ

          “คนฉลาดอย่างคุณคงพอจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดกับม่อนไม่ใช่อุบัติเหตุ”

          “อันที่จริงผมไม่รู้หรอก จนได้ยินคุณเจมส์คุยกับคนของคุณที่หน้าห้องฉุกเฉิน”

          “และคุณคงจะพอรู้ว่ามันเป็นฝีมือของใคร”

          ภาริศได้แต่จ้องหน้าชายตรงหน้า คนคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ไม่เหมาะกับหน้าตาหวาน ๆ เลยสักนิด เขาจึงบอกในสิ่งที่เขารู้ไปตามตรง

          “ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร และยังไม่มีหลักฐานด้วยว่าเธอคนนั้นเป็นคนทำ ผมแค่เดินสวนกับเธอตอนที่จะไปห้องน้ำ แล้วก็พบกับน้องพัสที่ฟุบลงไปแล้ว”

          “คนของบริษัทคุณพยัคฆ์แจ้งว่า ในที่เกิดเหตุ สายรัดพลาสติกที่มัดลำไม้ไผ่ติดกับรั้ว มีรอยของมีคมบากไว้กว่าครึ่ง”

          “ผมพยายามหารูปผู้หญิงคนนั้นในกล้องผมอยู่” พูดยังไม่ทันจบ ภาริศพลันชะงัก เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ “คุณคงไม่ยึดเมมโมรีจากกล้องของผมหรอกนะ”

          “ไม่จำเป็น คุณแค่บอกลักษณะ ของหญิงคนนั้นก็พอ” ภาริศจึงบอกลักษณะของหญิงสาวที่เจอให้กับอีกคนได้ฟัง “น้ากล้าครับ ช่วยแจ้งลุงเก่งด้วยครับ” คุณกล้ารับคำ และเดินไปยังมุมห้องเพื่อโทรศัพท์

          “คุณรู้ได้ยังไง ว่าผมเห็นผู้ต้องสงสัย”

          “อาการของคุณเปลี่ยนไป หลังจากที่ได้ฟังผมกับโชคุยกัน”

          “คุณหันหลังให้ผมอยู่”

          “ผมแค่หูดี”

          “แต่ผมไม่ได้พูออะไรสักคำ”

          “ผมได้ยินเสียงคุณกดเลื่อนภาพในกล้อง เสียงมันฟังดูร้อนรนกว่าตอนแรกที่เดินผ่านคุณ”

          ชายตรงหน้า น่ากลัวกว่าเขาคิดมากนัก หูดีหรือหูทิพย์กันแน่ ภายในโรงพยาบาลมีเสียงประกาศต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไหนจะความวุ่นวายเพราะเป็นส่วนของห้องฉุกเฉินอีก







To Be Continued



หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 13-01-2020 02:12:22
อารมณ์มันค้างงงงงงงง กำลังมันเลย :katai1: :katai1:

นังพราวนังหลินพวกหล่อนศพไม่สวยแน่ :angry2: :fire:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-01-2020 02:58:27
อ่านเพลินเลยตอนนี้
ว่าแต่ภาติสเอ้ยภาริชคู่ใครนะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-01-2020 03:16:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...เหมือนจะได้กลิ่น ภาริชเจมส์ แฮะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 20-01-2020 09:22:29
27







    พัสกาญรู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน เขาจึงฝืนลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกไม่สบายตัว ขยับเพียงนิดก็ปวดร้าวไปทั้งแผ่นหลัง

    “ม่อน อย่างเพิ่งขยับ”

    “เฮียเจมส์เหรอ?”

    “อืม”

    “เฮีย...ม่อนเมื่อย…”

    “แต่เรานอนหงายไม่ได้นะตอนนี้ อีกสักพักค่อยเปลี่ยนท่านอนก็แล้วกัน น้ากล้าครับ ช่วยตามหมอมาดูน้องหน่อยครับ”

    “น้ากล้าก็มาด้วยเหรอ? แล้วแม่ละเฮีย”
 
   “โซ้ยอี้ยังไม่มา คงรอให้งานเรียบร้อยก่อนถึงจะตามมานั่นแหละ”
 
   “เฮียช่วยน้ากล้าด้วยนะ ม่อนไม่อยากให้น้ากล้าโดนแม่ดุ”
 
   “มัวแต่ห่วงคนอื่น แล้วเราล่ะ ปวดแผลมากไหม?” พัสกาญรู้สึกถึงฝ่ามือที่ลูบศีรษะของเขาเบา ๆ

    “ม่อนเข้าใจแล้วว่าทาสในสมัยก่อน เวลาถูโบยจะรู้สึกยังไง”

   “หึ ล้อเล่นได้แบบนี้เฮียก็หายห่วง”

    “อะแฮ่ม!!” เขาได้ยินเสียงอีกคน พยายามจะหันไปมองแต่ขยับร่างกายไม่ไหว

    “คุณภาริช เป็นคนช่วยม่อนไว้” เฮียเจมส์บอกกับเขา แต่เขาจำไม่ได้ว่าโดนคนคนนี้ช่วยไว้ตอนไหน แล้วรู้จักเขาได้ยังไง

    “ถ้าคุณเจมส์ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ พี่ไปก่อนนะน้องพัส”

    “ขอบคุณครับ คุณภาริช” เขาเอ่ยขอบคุณออกไปและได้เห็นหน้าของคนที่ช่วยเขาเสี้ยวเดียวในขณะที่ชายคนนั้นเดินกำลังออกจากห้อง แต่พอจะรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร เขาก็เอ่ยกับพี่ชายเสียงหลง “เฮีย...เขาเป็นนักข่าว”

    “ใช่ แล้วเขายังเป็นรุ่นพี่ของเราที่มหาวิทยาลัยอีกด้วย”

    “รุ่นพี่?...ภาริช...อ๋อ… พี่ภาติสนี่เอง”

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำไมม่อนไปเรียกเขาอย่างนั้นล่ะ?”

    “เฮียไม่รู้อะไร ก็พี่ภาติสสมัยเรียนไม่ได้ดูดีแบบนี้นี่ ม่อนจำได้แม่นเลย พี่เขามักจะใส่เสื้อนักศึกษาสีมอๆ กางเกงยีนส์สีดำซีดๆ หนวดไม่เคยโกน ผมเดทร็อคดูสกปรกมากกว่าเซอร์ เดินไปทางไหนก็รู้ว่าเป็นพี่เขา เพราะพี่ภาติสชอบสวมรองเท้าแตะช้างดาวที่บางราวกับกระดาษ เดินทีเสียงนี่ดังแปะ ๆ ๆ”

    “นี่ม่อนกำลังนินทารุ่นพี่ของตัวเองอยู่นะ”

    “ก็กลัวเฮียไม่เห็นภาพ” พัสกาญพูดจบ หมอกับน้ากล้าก็เดินเข้ามาพอดี

    “คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ ยังปวดแผลมากไหม?” คุณหมอเอ่ยถาม

    “ปวดเวลาขยับครับ แต่ตอนนี้เมื่อยมากเลยครับคุณหมอ” เขาตอบตามความจริง

    “น้องผมสามารถนอนหงายได้ไหมครับ”

    “หมอแนะนำให้นอนตะแคงข้างจะดีกว่าครับ อย่างเพิ่มให้แผลโดนกดทับ”

    “เฮีย… ช่วยม่อนหน่อย”

    พัสกาญรีบขอความช่วยเหลือเฮียเจมส์ทันที น้ากล้าก็เข้ามาช่วยอีกแรง จากนั้นคุณหมอขอตรวจร่างกายของเขาอีกนิดหน่อยก่อนออกจากห้องไปดูแลคนไข้รายอื่น

    “น้ากล้าโดนแม่ดุไหมครับ?”

    “ไม่ครับ คุณตั๋นเธอเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่คุณเสือนี่สิ โมโหใหญ่เลยครับ ที่ทางทีมงานดูแลความเรียบร้อยของงานได้ไม่ดี”

    “ก็มันเป็นอุบัติเหตุนี่ ม่อนไม่อยากให้ลุงเสือทำโทษพวกทีมงานเลย”

    “ถึงไม่ลงโทษก็ต้องตักเตือน หากตรงนั้นไม่ใช่ไม้ไผ่แต่เป็นโครงเหล็กนั่งร้านล่ะ อาจจะไม่ใช่ม่อนที่เจ็บคนเดียว เพื่อนม่อนก็อาจจะเจ็บตัวไปด้วย” เฮียเจมส์พูดให้เขาได้คิด

    “ป่านนี้ ไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นยังไงบ้าง” พัสกาญเปรยๆ ขึ้นมา เพราะนึกถึงทัชชา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา

    “ผมให้โชไปแจ้งคุณกรกับคุณแหม่มแล้วครับ หากทั้งสองคนจะมาเยี่ยมคุณม่อน ก็ให้อำนวยความสะดวกให้” น้ากล้าพูดถึงเพื่อนของเขา แต่ไม่มีอีกคนที่เจาอยากรู้

    “ไม่คิดเลยว่า แทนที่จะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โรงแรม กลับต้องมาเฝ้าผมที่นี่แทน” พัสกาญอดรู้สึกผิดไม่ได้

    “ม่อนอยากกลับไปพักที่โรงแรมไหม เดี๋ยวเฮียโทรบอกป๊าให้”

    “ม่อนกลับบ้านได้เหรอครับ?”

    “อืม แค่ดูแลไม่ให้แผลติดเชื้อ”

    “ม่อนอยากกลับ”

    “ถ้าอย่างนั้น ให้งานทางโน้นเสร็จเรียบร้อยก่อน ค่อยกลับกัน ม่อนเองก็หลับพักผ่อนไปก่อน ดึกๆ หน่อยก็ได้”

    “ครับเฮีย”

    พัสกาญได้ยินเฮียเจมส์โทรคุยกับลุงเถิง ไม่นานเฮียก็มานั่งชวนเขาคุย จนกระทั่งเขาหลับไปโดยไม่รู้ตัว

.........................................................................

    หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับพัสกาญ โปรแกรมที่จะไปเดินเล่นชายหาดก็เป็นอันล้มพับไปไม่เว้นแม่กระทั่งกะทิและไลลา ที่มานั่งรอฟังข่าวในล๊อบบี้ของโรงแรมด้วยกัน จะมีเพียงอามันต์เท่านั้นที่ขอตัวกลับไปก่อน คงเพราะไม่ค่อยถูกชะตากับผู้ช่วยของกรกฤตคนนี้เท่าไร

    “ชาญกับเอมจะกลับไปก่อนไหม นี่ก็เย็นมากแล้ว เหนื่อยมาตั้งแต่เช้า เดี๋ยวจะขับรถกลับไม่ไหว” กรกฤตเอ่ยกับเด็กทั้งสอง

    “ไม่เอา เอมจะอยู่รอฟังข่าวพี่ม่อน”

    “ผมด้วย”

    “ถ้างั้นก็ตามใจ”

    ไม่นานนักก็มีสต๊าฟคนหนึ่งเดินเข้ามาหากลุ่มของพวกเขา กรกฤตรีบเดินเข้าไปหาทันที ชายคนนั้นกวาดตามมองพวกเราแต่ละคน

    “เอ่อ...ผู้บาดเจ็บปลอดภัยดีครับ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล” ชายคนนั้นบอกชื่อโรงพยาบาลและเลขห้องเสร็จ กลุ่มของพวกเขาก็ลุกฮือราวกับผึ่งแตกรัง จนกรกฤตต้องห้ามไว้

    “เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งไป คุยกันก่อน”

    “อะไรของแกนังกร” พี่กะทิถามเสียงห้วน

    “ตอนนี้ม่อนมันคงยังไม่รู้สึกตัว แกจะรีบไปไหน”

    “ก็ฉันเป็นห่วงน้องม่อนของฉันนี่”

    “อย่าเพิ่งไปรบกวนมันตอนนี้เลย ไว้พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปเยี่ยมมัน นี่ก็เย็นมากแล้ว”

    “แหม่มเห็นด้วยกับกรนะ ให้ม่อนพักก่อนดีกว่าค่ะ”

    “แล้วถ้าไลลาจะขอไปเฝ้าละคะ คงไม่เป็นไรใช่ไหม?”

    “ปล่อยให้พี่ชายมันเฝ้าไปแหละ พวกเราค่อยไปกันพรุ่งนี้ จะได้มีอะไรติดไม้ติดมือไปเยี่ยมมันด้วย” กรกฤตรีบห้ามทันที ทำหให้ทัชชาสงสัยไม่น้อย

    “น้องม่อนมีพี่ชายด้วยเหรอ ใช่คนที่ขึ้นรถพยาบาลไปด้วยกันรึเปล่า?” กะทิถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

    “ไม่รู้ ฉันไม่ทันเห็น”

    “ใช่ค่ะ คนนั้นแหละ” ชานิสาเป็นฝ่ายช่วยตอบกรกฤตตอบ ทัชชารู้สึกเหมือนกับว่า ทั้งสองช่วยกันปกปิดอะไรบางอย่าง ไหนจะท่าทีที่กรกฤตเดินไปดักหน้าสต๊าฟอีก

    “ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างที่นังกรมันว่าก็แล้วกัน ไลลา เราจะพักที่ไหนกันดีล่ะคืนนี้” กะทิหันไปถามเพื่อนร่างเล็กอีกคน

    “ขับรถวน ๆ ดูก็ได้ แต่คงไม่พักที่นี่หรอก ท่าทางจะแพงน่าดู”

    “อืม งั้นฉันกับไลลาไปวนหาที่พักก่อนนะ ไปก่อนนะคะ พี่ทัช น้องแหม่ม” เมื่อสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว กรกฤตก็หันไปหาสต๊าฟคนเดิม

     “น้ากล้าฝากมาแจ้งอะไรอีกไหมครับคุณโช ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว พูดมาได้เลยครับ” การพูดคุยหลังจากนั้นทำให้เขารู้ว่า คนที่เหลือที่นี่ รู้จักผู้ที่มาแจ้งข่าวเป็นอย่างดี คุณโชหันมองมาที่เขาเล็กน้อย

    “ครับ คุณกล้าแจ้งว่า ถ้าพวกคุณจะไปเยี่ยมคุณพัส ให้ไปพร้อมกับคุณๆ และให้ผมอำนวยความสะดวกให้”

    “แล้วท่านผู้ใหญ่ท่านอื่น ๆ อยู่ไหนกันครับ”กรกฤตถามอย่างมีมารยาท

    “ตอนนี้รวมตัวกันอยู่ที่ห้องคุณฝู่เถิงที่อยู่ชั้นบนสุดครับ”

    “เดี๋ยวนะครับ ที่บอกว่ารวมตัวกันนี่คงไม่ได้อยู่กันครบทุกคนนะครับ” ชาญถามออกมาอย่างตระหนก

    “ไม่ครับ ขาดแต่คุณเจมส์และคุณกล้าที่ล่วงหน้าไปก่อน และคุณภูผาที่ยังคอยดูแลคุณดาหราเท่านั้นครับ”

    “โอ้ย… นั่นก็เกือบครบแล้วค่ะพี่โช” เอมโอดครวญ

    “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตามไปเยี่ยมพี่ม่อนพรุ่งนี้พร้อมพี่กะทิก็แล้วกันนะครับ”

    “เอมด้วยค่ะ”

    “เอ่อ...ดาด้วย...นะคะพี่แหม่ม”

    “อืม ตามใจเธอแล้วกัน” เขาเห็นชาริสาถอนหายใจเล็กน้อย

    “ถ้าอย่างนั้นผม ตามพี่ทิไปหาที่พักก่อนนะครับ” ชาญหยิบกระเป๋าของตน แล้วเดินนำเอมและชันดาไป จากนั้นจึงเหลือเพียงทัชชา กรกฤต และชาริสา

    “แล้วพวกคุณจะขึ้นไปห้องคุณฝู่เถิงเลยไหมครับ”

    “ครับ รบกวนคุณโชช่วยนำทางเลยครับ” ขณะที่พวกเราจะก้าวเดินตามอีกคนไป ชาริสากลับมารั้งกรกฤตไว้

    “กร แกจะพาพี่ทัชขึ้นไปด้วยรึไง มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”

    “คุณทัช คุณพร้อมจะเจอครอบครัวของไอ้ม่อนมันรึยัง” กรกฤตไม่ตอบชาริสาแต่หันมาถามเขาแทน

    “ผมพร้อมครับ” เขาตอบอย่างไม่ลังเล เพราะว่าว่าจะช้าเร็วอย่างไร เขาก็ต้องได้พบกับครอบครัวของพัสกาญอยู่ดี

    “ถ้าคุณขึ้นไปบนนั้น การที่คุณจะสานสัมพันธ์กับไอ้ม่อนต่อจากนี้ มันจะไม่ง่ายแล้วนะครับ”

    “ผมเชื่อว่า ถ้าผมมีความพยายามมากพอ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่อยากครับ”

    “เชอะ อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน” ชาริสาทำเหมือนไม่ได้พูดกับเขา และยังเร่งฝีเท้าออกห่างจากเขาและกรกฤตอีกด้วย

    “ผมหวังว่าคุณจะผ่านแหม่มกับคนอื่นๆ ไปได้นะครับ” กรกฤตเหมือนจะพูดให้กำลังใจเขา แต่ทำไมเขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย
    ทั้งสามก้าวออกจากลิฟท์มาที่ชั้นบนสุด ซึ่งลิฟท์ตัวที่เขาขึ้นมานี้เป็นลิฟท์ส่วนตัว หากไม่มีคนพาขึ้นมาคงจะเข้ามาในชั้นนี้ไม่ได้แน่ๆ

    ภายในชั้นนี้ตกแต่หรูหรากว่าชั้นอื่นๆ มากนัก ที่ทัชชารู้เพราะเคยมาพักที่นี่บ้าง สองข้างของทางเดินเป็นห้องพักขนาดใหณ่ราวกับบ้านหลังหนึ่ง และคั่นแต่ละห้องด้วยสวนทำให้เป็นส่วนตัวมาก

    หน้าห้องแต่ละห้องมีอักษรภาษาจีนเขียนอยู่ ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร จนกระทั่งมาถึงห้องห้องหนึ่ง คุณโชกดกริ่งที่หน้าประตู ไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งออกมาเป็นประตูให้

    “แขกของคุณม่อน” โชแจ้งแก่หญิงสาวเพียงเท่านั้น

    “เชิญด้านในค่ะ” หญิงสาวเปิดประตูให้กว้างขึ้น แล้วไปยืนหลบอยู่ด้านข้าง เป็นชาริสาที่เดินนำเข้าไปก่อน ส่วนเขาเข้ามาทีหลัง

    คุณโชไม่ได้ตามเข้ามาด้วย จึงเป็นหญิงสาวที่เดินนำพวกเขาเข้าไปในห้อง ห้องนี้ผิดกับคอนโดหรือห้องพักโดยทั่วไปที่ทางเข้าแคบ หากแต่เข้ามาแล้วเป็นห้องโล่ง สามารถมองไปยังผนังกระจกพร้อมทั้งเห็นวิวทะเล ตรงกลางเป็นชุดรับแขกที่เป็นทางการและหรูหรามากทีเดียว

    พวกเขาเดินตามหญิงสาวเข้ามาจนถึงห้องอีกห้อง มีประตูกระจกแกะลวดลายสวยงาม แต่ไม่สามารถมองทะลุเห็นได้ในได้ เห็นเพียงเงาร่างๆ ดูก็รู้ว่าภายในนั้นน่าจะมีคนอยู่ไม่น้อยทีเดียว

    ทัชชาเห็นหญิงสาวอีกคนที่สวมชุดแบบเดียวกันกับคนที่เดินนำพวกเขามา เดินออกมาจากห้องพร้อมถาดเงินอย่างดีในมือ จนเขาเริ่มรู้สึกเกร็งซะแล้ว

    “ขออนุญาตค่ะ แขกของคุณม่อนมาถึงแล้วค่ะ” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยบอกอยู่ที่หน้าประตูกระจก

    “เชิญพวกเขาเข้ามา” เสียงภาษาไทยสำเนียงแปร่งหู ทำให้เขาเผลอคิดไปว่า พัสกาญอาจจะเป็นลูกครึ่ง แต่ดูจากพ่อและแม่ตอนอยู่บนเวที ก็เป็นคนไทยทั้งคู่

    เมื่อประตูเปิดออก เขาก็พบบรรดาญาติๆ ของพัสกาญนับสิบคนเลยทีเดียว เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชันดา ชาญ และเอมถึงไม่ยอมขึ้นมาบนนี้

    “หนูแหม่ม...เป็นยังไงบ้างลูก บาดเจ็บตรงไหนไหม?”

    ทันทีที่พวกเขาเข้ามาภายในห้อง ผู้หญิงคนหนึ่งรีบวางถ้วยกาแฟในมือแล้วตรงเข้ามาหาชานิสาทันที พร้อมกับลูบเนื้อลูบตัวราวกับสำรวจ

    “แหม่มไม่เป็นไรค่ะป้าภา” เธอตอบออกไป

    “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก” หญิงอีกคนที่เขาจำได้ว่าเป็นแม่ของพัสกาญเดินมายืนอยู่เคียงข้างป้าภา

    แต่ที่ทัชชาแปลกใจ คือทางด้านหลังกลุ่มของชาริสา เขาเห็นแม่ของพัสกาญอีก 2 คน หรือว่าแม่ของพัสกาญจะมีแฝดสาม ตอนนี้เขาที่เป็นเหมือนส่วนเกินได้แต่ยืนอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครคิดจะแนะนำเขาเลย แม้กระทั่งกรกฤต ส่วนชาริสาทัขชาไม่หวังเลยว่าเธอจะเข้ามาช่วยเขาในสถานการณ์เช่นนี้

    ทางด้านกรกฤตเมื่อเช้าห้องมากก็ตรงเข้าไปหาแฝดอีกคนของแม่พัสกาญที่ยืนอยู่กับชายรูปร่างใหญ่คนหนึ่ง เขาไม่ทันได้ยินว่าทั้งสามคุยอะไรกัน แต่ก็เลือกที่จะก้าวตามไปหากรกฤต ซึ่งในขณะนั้นเอง

    “คุณเป็นเพื่อนม่อนเหรอค่ะ พวกเราไม่เคยพบคุณมาก่อน” แฝดอีกคนเดินเข้ามาหาเขาพร้อมทักทาย

    “ครับ สวัสดีครับ ผมทัชชาครับ”

    “ฉันพอจะได้เห็นคุณทางทีวีบ้าง แต่อย่าว่ากันนะคะ พอดีฉันเดินทางบ่อยเลยไม่ค่อยมีเวลาได้ดูละครเท่าไร

    “ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...คุณน้าเป็นแม่ของม่อนใช่ไหมครับ” เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าแฝดคนไหนคือแม่ของพัสกาญกันแน่

    “ไม่ใช่หรอกจ้ะ ฉันเป็นป้าของน้องม่อนน่ะ ชื่อหงส์ หรือเรียกป้าหงส์ตามน้องก็ได้นะ”

    “ครับ ป้าหงส์”

    “เพื่อนเราคงโดนลุงๆ ป้าๆ ชวนคุยอีกยาวเลยล่ะ มาเดี๋ยวป้าแนะนำทุกคนให้คุณทัชรู้จักกับคนอื่นๆ เองก็แล้วกัน”

    “เรียกผมทัชเฉยๆ ก็ได้ครับ” ป้าหงส์ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ดูแล้วไม่ได้น่ากลัวอะไรอย่าที่เขาเริ่มกังวล

    “คุณษาค่ะ เพื่อนตาม่อนค่ะ” ป้าหงส์พาเขาลงมานั่งข้างเก้าอี้โซฟานวมตัวใหญ่ “คุณสุพรรณษาเป็นพี่บุญธรรมของป้าจ้ะ ม่อนเรียกคุณษาว่าคุณยายน่ะ”

    “เอ้...เพื่อนตาม่อนหน้าตาคุ้นๆ นะ”

    “ทัชเขาเป็นนักแสดงค่ะคุณษา”

    “อ่อ ฉันนึกออกแล้ว เราก็เรียกยาย ตามตาม่อนก็ได้นะ”

    “ขอบคุณครับคุณยาย”

    “เจ่เจ้” แฝดคนหนึ่งที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าเป็นผู้หญิงเดินเข้ามาเรียกป้าหงส์

    “อืม เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ไปดูตั๋นหน่อยไป อย่าให้เอาแต่ใจจนเสียงมารยาท” อีกคนพยักหน้ารับและเดินไปยังกลุ่มของชาริสาที่จ้องมาทางพวกเขา “คนเมื่อครู่เป็นน้องชายป้า ชื่อหยก และเป็นพี่ชายของแม่น้องม่อน”

    เขาพยักหน้ารับเขาได้แต่หวังว่าจะจำบรรดาญาติๆ ของม่อนได้ทั้งหมด ที่สำคัญ หลายๆ คนเขากลับคุ้นหน้าเพราะเห็นตามสื่อต่างๆ
 
      “ความจริงใจของทัช จะช่วยให้ทัชสามารถผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้” อยู่ๆ ป้าหงส์ก็พูดขึ้นมา เขาจึงละสายตาออกจากลุ่มของชาริสา หันมามองหน้าป้าหงส์ และได้พบกับรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม

       “ฟังที่หงส์เขาแนะนำเถอะ หงส์นะมองขาดทุกสิ่ง ไม่อย่างนั้น 20 กว่าปีมานี้คงไม่สามารถสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้” คุณยายของพัสกาญย้ำพร้อมทั้งส่งยิ้มมาให้ผิดการการวางดัวที่ดูสูงส่งเมื่ออยู่บนเวทีเมื่อเช้า

       และคำพูดของป้าหงส์ที่เหมือนจะล่วงรู้ความในใจของทัชชา ทำให้เขาพอจะรับรู้ว่าคนบ้านนี้หวงหลานชายคนเล็กจริงๆ ยิ่งมองไปยังสายตาของกลุ่มคนที่ชาริสายืนอยู่ด้วยแล้ว ทำให้ทัชชาเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมายังไงไม่รู้
   
 
   
To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-01-2020 10:51:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนจะผ่านด่านป้าหงส์กะคุณยายไปได้เล็กน้อยนะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 20-01-2020 11:58:40
หายใจไม่ทั่วท้องเป็นเพื่อนคุณทัชเลยนะนี่
อีกกี่ด่านล่ะนี่ กว่าจะได้ไข่ในหินมาครอบครอง
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 20-01-2020 17:56:21
คุณทัชสู้ๆ น๊าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
เริ่มหัวข้อโดย: kakilover ที่ 29-01-2020 23:22:48
มารอดูทัชชาโดนคุณแม่แกล้ง :z13:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 28 : 12.Fab '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 12-02-2020 18:35:15
28








          หลังจากที่เดินเลี่ยงออกมาจากทัชชา กรกฤตก็ตรงไปหาลุงหยก ลุงเสือ และลุงเถิง ที่ยืนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

          “สวัสดีครับคุณลุง” ทั้งสามพยักหน้าให้กับเขา

          “ดาราคนนั้นรึเปล่า” ลุงหยกหันไปมองทัชชาที่ยืนเคว้งอยู่ในห้อง ไม่นานป้าหงส์ก็เดินเข้าไปหา ทำให้เขาหายห่วง ที่ประมุขใหญ่ของเยี่ยนหวอออกตัวต้อนรับด้วยตัวเอง

          “ครับ”

          “เจ่เจ้เข้าไปหาเขาเองแบบนี้ ลุงคงหายห่วงเรื่องดาราคนนี้แล้วล่ะ ตอนแรกยังกังวลอยู่ว่าเขาจะเข้ามาหาผลประโยชน์จากม่อนเหมือนนางแบบคนนั้นไหม” ลุงหยกยิ้มให้เขา ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่รอยยิ้มสวยๆ ของนางฟ้าแห่งเยี่ยนหวอนี่แทบจะฆ่าเขาได้เลย

          “อ่ะ แฮ่ม!!” เสียงกระแอมไอของลุงเสือเรียกสติเขาขึ้นมาทันที

          “หึ!!” ลุงเถิงเองก็เหมือนจะหัวเราะให้กับความหวงคนรักของลุงเสือ

          “ม่อนเป็นยังไงบ้างครับ” ถึงเขาจะพอรู้ว่าพัสกาญปลอดภัยแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้

          “ปลอดภัยดี แต่คงทำอะไรได้ลำบากในช่วงนี้” ลุงหยกปรายตามองลุงเสือเล็กน้อยก่อนตอบคำถามของเขา

          “แล้วเราจะไปเยี่ยมม่อนพร้อมกันเลยไหมครับ หรือทยอยกันไป” กรกฤตถามพร้อมกวาดตาไปรอบๆ ห้อง ญาติพี่น้องของเพื่อนเขามีน้อยเสียเมื่อไร

          “ไม่ต้องไปแล้วล่ะ เจมส์โทรมาบอกฉันว่าม่อนอยากกลับมาพักที่โรงแรม เดี๋ยวงานข้างล่างซาลงเมื่อไร คนของพยัคฆ์จะไปรับ” ลุงเถิงบอกแต่สายตากลับมองไปยังทัชชา “หยก เฮียว่า เราเดินไปเตือนหงส์หน่อยดีไหม?”

          กรกฤตหันไปมองตามสายตาของลุงเถิง เห็นทัชชานั่งคุยอยู่กับป้าหงส์และคุณยายสุพรรณษา นี่ถ้าเขาเห็นออร่าได้อย่างพัสกาญคงจะได้เห็นรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากชาริสา แม่โบตั๋น และป้าเพ็ญนภาเป็นแน่

          “ผมว่า วันนี้คุณทัชคงอยู่รอไอ้ม่อนไม่ได้แล้วล่ะมั้ง ถ้ายังรักชีวิตตัวเองอยู่” เขากลืนน้ำลายลงคออย่างอยากเย็นเรียกเสียงหัวเราะใสๆ จากลุงหยกได้ทีเดียว

          “กรไม่ต้องกังวลไปหรอก เอาเป็นว่าลุงจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่” ลุงหยกตบบ่าเขาเป็นเชิงปลอบจากนั้นก็เดินออกจากกลุ่มที่กำลังคุยกันอยู่

          “หยกไปแล้ว คุณมีเรื่องอะไรจะบอกกับผม” กรกฤตกำลังสังเกตการณ์ทัชชาอยู่ได้ยินลุงเถิงกำลังจะคุยงานกับลุงเสือจึงคิดจะเดินเลี่ยง และตามลุงหยกไป

          “เรื่องที่เกิดกับเจ้าม่อนไม่ใช่อุบัติเหตุเหตุ” กรกฤตยั้งเท้าทันที แล้วหันมาสนใจบทสนทนาของลุงทั้งสอง ลุงเสือมองเขาเล็กน้อยแต่ไม่คิดจะไล่เขาไป

          “ในที่เกิดเหตุ คนของคุณพบอะไรน่าสงสัยล่ะสิ”

          “ไม้ไผ่พวกนั้น ถูกมัดด้วยสายรัดพลาสติกอย่างหนาแน่น ไม่มีทางที่จะขาดเองได้ คนของผมพบเศษสายรัดเส้นหนึ่งมันถูกตัดด้วยของมีคม”

          “ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่น่าจะเป็นการสุ่มทำร้าย แต่เจาะจงต่างหาก ผมว่าเรื่องที่เกิดคราวนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเยี่ยนหวอ เจ้าม่อนเก็บตัวมาก จนแทบจะไม่มีใครจำได้อยู่แล้ว ว่าเยี่ยนหวอยังมีทายาทคนเล็กอีกคน”

          “ระยะนี้ม่อนได้ไปมีเรื่องอะไรกับใครไหม?” ลุงเสือหันมาถามเขา นี่คงเป็นเหตุผลที่พูดเรื่องพัสกาญต่อหน้าเขา

          “ที่กองถ่ายม่อนแทบจะไม่สุงสิงกับใครนอกจากพวกผมกับเพื่อนใหม่อีก 2-3 คน”

          “แล้วดาราคนนั้นล่ะ มีใครมาติดพันรึเปล่า?” ลุงเถิงถามบ้าง

          “ไม่มีครับ และเท่าที่ผมรู้ ม่อนกับคุณทัชเพิ่งจะมีโอกาสคุยกันตรงๆ ก็วันนี้แหละครับลุงเถิง คุณทัชเขาค่อนข้างระวังตัวเลยคุยกับม่อนผ่านแชท อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เพิ่งจะเริ่มต้น คนที่รู้เรื่องของทั้งสองคนในตอนนี้ มีแค่ผมกับยัยแหม่มเท่านั้น”

          “ก่อนหน้านี้แหม่มเหมือนจะมีข่าวไม่ค่อยดีเท่าไรใช่ไหม?”

          “นิดหน่อยครับลุงเสือ แต่ก็ไม่มีอะไร มันก็แค่กระแสจิ้นของคู่พระนางในละคร” กรกฤตคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับเหล่าแฟนคลับของพราววริศา เพราะระยะหลังนี้ข่าวที่ออกมาส่วนใหญ่จะเป็นข่าวดาราสาวกับแฟนหนุ่มเสียมากกว่า

          “ทางผมจะลองสืบดู แล้วจะจัดคนไปดูแลเจ้าม่อน” ลุงเสือพูดคุยกับลุงเถิงอีกสักพัก ก็เดินเข้าไปหาลุงหยก ส่วนลุงเถิงแยกไปนั่งทำงานเงียบๆ คนเดียว กรกฤตจึงเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อหาเครื่องดื่มเย็นๆ ดื่มรอเวลาพัสกาญกลับเข้ามา

.........................................................................

          รถญี่ปุ่นคันเล็กที่ไม่แตกต่างจากรถทั่วไปตามท้องถนน แล่นเข้ามาจอดที่ใต้คอนโดหรูแห่งหนึ่ง หญิงสาวเจ้าของรถเปิดประตูลงมาพร้อมกระเป๋าเดินทางใบย่อม จากนั้นเธอก็อ้อมไปยังท้ายรถ เพื่อหยิบผ้าคลุมรถและจัดการคลุมรถญี่ปุ่นคันเก่ากลางใหม่ไว้จนมิดชิด

          เมื่อจัดการกับรถส่วนตัวของเธอเสร็จ หลินจึงเดินไปยังห้องน้ำใกล้ ๆ ที่จอดรถซึ่งเป็นห้องน้ำสำหรับยามรักษาคความปลอดภัย เธอจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ทรงผม พร้อมกับลบเครื่องสำอางค์บนใบหน้าจนเกลี้ยงเกลา เมื่อเธอสำรวจความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จึงเดินออกมา

          หลินเดินตรงไปยังรถสัญชาติยุโรปคันใหญ่ที่มีสปอร์นเซอร์ใจดีให้พราววริศานำมาใช้งานฟรี ๆ เพื่อเป็นการโปรโมทสินค้า เธอจัดการเก็บกระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถก่อนขับรถออกไปรับดาราสาวที่ฟิตเนส

          ระหว่างทางเธอได้เปิดวิทยุเพื่อฟังข่าวงานการกุศลไปด้วย แต่ข่าวกลับไม่รายงานในสิ่งที่เธอได้ยินแม้แต่น้อย เธอจึงโทรไปหานักข่าวที่เธอค่อนข้างสนิทด้วย เผื่อจะได้รู้อะไรดีๆ บ้าง

          ‘สวัสดีค่ะน้องหลิน โทรมาหาพี่แบบนี้มีข่าวอะไรจะให้พี่รึเปล่าเอ่ย’ เสียงคนปลายสายดังลอดลำโพงภายในรถออกมาเมื่อเธอเชื่อมต่อบลูทูธ

          “พี่ปูก็รู้นี่ค่ะ ว่าช่วงนี้น้องพราวเขาอยู่ในช่วงเร่งถ่ายละคร ส่วนคุณเตอร์ก็ไปทำงานต่างประเทศ อีกหลายวันกว่าจะกลับ ไว้ถ้าสองคนนี้ว่างไปด้วยกันเมื่อไร หลินจะรีบส่งข่าวนะคะ”

          ‘ได้เลยจ้าน้องหลินคนดี แล้วนี่โทรหาพี่มีเรื่องอะไรจ้ะ’

          “หลินอยากรู้ว่างานแข่งรถการกุศลเป็นยังไงบ้างค่ะ?”

          ‘อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง เสียดายนะคะที่น้องพราวไม่ได้มา งานนี้ถือว่าใหญ่น่าดู คุณหญิง คุณนาย ไฮโซ เซเลปเดินชนไหล่กันเต็มไปหมด’

          “แล้วคุณแม่ของพี่เตอร์ล่ะค่ะ?” หลินถามลองหยั่งเชิงดู

          ‘คุณดาหราขึ้นเวทีช่วงเช้านิดหน่อย พอเสร็จงานตรงนั้นก็ไม่เห็นในงานแล้วนะ คนพวกนั้นพอถ่ายรูปเสร็จก็แยกย้ายกันไปแล้วล่ะ’

          “แล้วอย่างนี้พี่ปูได้ข่าวอะไรติดไม้ติดมือมาบ้างไหมค่ะ” เธอแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

          ‘มีสิจ้า หลินรู้จักดิว กรกานต์ไหม ยูทูปเบอร์ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้น่ะ’

          “เหมือนเคยได้ยินค่ะ แต่ยังไม่ค่อยรู้รายละเอียด” เธอตอบแบบขอไปที เพราะโปรไฟล์ของชายหนุ่มไม่เป็นที่น่าสนใจสำหรับเธอและพราววริศา เพราะมาจากครอบครัวบ้านๆ ดังได้เพราะหน้าตาและคารมในการรีวิวสินค้าเท่านั้น

          ‘น้องดิวเขามางานนี้ด้วย มาไลฟ์สดช่วยขายเสื้อ อ่อ! แล้วก็พี่เพิ่งเคยเห็นคุณพัสกาญตัวจริง ยังเด็กอยู่เลย แต่เก่งระดับโลกเลยล่ะ นายแบบ นางแบบที่ได้ทำงานให้คุณพัสแค่งานเดียวก็ถึงกับโกอินเตอร์ไปเลยจ้า...’

          “หลินไม่เคยเห็นงานเขาเลยค่ะ เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ?” ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพัสกาญทำให้เธอสนใจไม่น้อย

          ‘คนไทยรู้จักเขาเพราะแบรนด์พัสกาญ แต่ทั่วโลกรู้จักเขาในแบรนด์ YNW ในห้างสรรพสินค้าก็มีช้อปของแบรนด์นี้เยอะแยะไป’

          “หลินเพิ่งรู้นะคะว่าเขาเป็นเจ้าของแบรนด์นี้” เธอถามออกมาอย่างสนใจ YNW มีขายอยู่ทั่วโลก ดูเหมือนธุรกิจของพัสกาญจะได้เงินมหาศาลกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของคุณพหลเสียอีก

          ‘จะบอกว่าเป็นเจ้าของก็ไม่ถูกค่ะ ต้องบอกว่าเป็นทายาทเสียมากกว่า แต่หลังๆ มานี่ งานที่ปล่อยออกมาเป็นผลงานของคุณพัสทั้งนั้น’

          “เหรอค่ะ เก่งจังเลยนะคะคุณพัสกาญเนี่ย แล้วมีข่าวอะไรน่าสนใจอีกไหมค่ะ?’ เธอพยายามจะถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับชาริสา

          ‘นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ น้องหลินหาอ่านออนไลน์ได้เลย คะแนนของผู้ที่เข้าแข่งขัน 10 อันดับแรกก็มีข่าวปล่อยออกมาแล้ว’

          “ค่ะ ขอบคุณพี่ปูมากนะคะ เสียดายที่น้องพราวไม่ได้ไป”

          ‘นั่นสิ ไม่อย่างนั้นพี่คงได้ช่วยลงข่าวน้องพราวให้’

          “หลินขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ หลินต้องวางสายแล้วละคะ น้องพราวออกจากฟิตเนสมาแล้ว” หญิงสาวตัดบทเมื่อเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดของฟิตเนสชื่อดัง

          ‘จ้า สวัสดีจ้า’

          หลินลงจากรถเพื่อเดินเข้าไปภายในฟิตเนส เมื่อพนักงานต้อนรับเห็นเธอ ก็จัดแจงเอาเครื่องดื่มมาเสริฟทันที

          “คุณพราวเสร็จรึยัง?”

          “เพิ่งเสร็จได้สักพักค่ะ ตอนนี้น่าจะอยู่ในห้องแต่งตัว”

          “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณก่อนหยิบแมกกาซีนขึ้นมาอ่าน หน้าปกเป็นรูปกลุ่มของเหล่านายแบบและนักแสดงจากหลายประเทศ หนึ่งในนั้นมีทัชชาร่วมอยู่ด้วย

          หลินเปิดหนังสือไปเรื่อยๆ และพบว่าเสื้อผ้าคอลเลคชั่นชุดนี้ออกแบบโดยพัสกาญทั้งหมด นายแบบทุกคนบรรณาธิการเป็นผู้เลือกให้พัสกาญแอพพรูฟ

          “หลินมาแล้วเหรอ เหนื่อยไหม?” หลินเงยหน้าจากแมกกาซีนขึ้นมามองคนที่เดินมายืนค้ำหัวเธออยู่

          “อืม กลับเลยไหม หรือจะแวะทานอะไรก่อน”

          “ไม่เอาอ่ะ พราวทั้งง่วงทั้งเหนื่อย อยากนอน” พราววริศาวางกระเป๋าลงข้างๆ ที่เธอนั่งก่อนจะเดินนำออกไป หลินจึงคว้ากระเป๋าของดาราสาวแล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ ในหัวเริ่มคิดแผนการบางอย่าง

........................................................................

          พัสกาญกลับเข้ามาพักยังโรงแรม โดยที่น้ากล้ากับเฮียเจมส์เป็นผู้พาขึ้นมายังห้องพักส่วนตัวในชั้นบนสุด เขาได้มองไปรอบๆ เพียงครู่เดียว เพราะเขาเลือกที่จะเดินเอง ทำให้ต้องทนกับอาการปวดตุ้บๆ บริเวณแผ่นหลัง

          “เฮีย ม่อนขอนั่งพักที่โซฟาก่อนได้ไหม ยังไม่อยากเข้าไปนอน”

          “อืม ไหวไหมเรา”

          “ม่อนไม่ได้เป็นอะไรมาสักหน่อย แค่เจ็บหลัง”

          “ปากเก่งจริงนะเรา” เฮียเจมส์บีบจมูกของเขาไม่เบาเลย จนเขาต้องเอามือปัดออก

          “เจ็บ…”

          “ทุกคนคงเป็นห่วงม่อน” เฮียเจมส์เปรยขึ้นหลังจากหยุดแกล้งเขาแล้ว

          “แล้วตอนนี้ทุกคนอยู่ไหนกันครับ”

          “อยู่ที่ห้องป๊ากับม๊า รอเรากลับมานั่นแหละ”

          “งั้นเฮียพาม่อนไปหน่อย”

          “เมื่อกี้ยังขอพักอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”

          “ก็ทุกคนเป็นห่วง”

          “น้ากล้าคงไปบอกคนที่ห้องนู้นแล้ว นั่งรออยู่นี่แหละ”

          พัสกาญรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายเดินมาหาตนเองถึงห้อง และยังไม่ทันจะทักท้วงอะไรประตูห้องเขาก็เปิดขึ้นอีกครั้ง

          ป้าเพ็ญนภากับแม่ช่วยกันประคองคุณยายเข้ามา ตามด้วยชาริสาและก็พ่อของเขา

          “ตาม่อน เป็นยังไงบ้างลูก” คุณยายนั่งลงข้าง ๆ เขาพร้อมกับช้อนมือเขาไว้ อีกมือหนึ่งก็ตบเบาๆ ที่หลังมือเป็นเชิงปลอบ

          “ไม่เป็นอะไรมากครับคุณยาย” เขาเอนตัวไปซบไหล่คุณยาย เรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูจากคุณยายและป้าเพ็ญได้ไม่ยาก “ม่อนขอโทษนะครับที่ทำให้คุณยายเป็นห่วง”

          “อ้อนได้ขนาดนี้คงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะคะคุณษา” ป้าเพ็ญพูดเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย เขาจึงขยับนั่งตัวตรงตามเดิมโดยมีเฮียเจมส์ที่ยืนอยู่ด้านหลังโซฟาช่วยประคองพร้อมทั้งยัดหมอนใบนุ่มที่ไม่รู้ไปเอามาตั้งแต่เมื่อไร มารองหลังให้เขา

          พอนั่งดีๆ จึงได้รู้ว่านอกจากคนในครอบครัวแล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ กรกฤต รอยยิ้มของทัชชากับสีของออร่าที่ผิดแปลกไปจากคนในครอบครัว มันทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่งทีเดียว

          “เป็นอะไรรึเปล่าลูก” แม่ของเขามองไปตามสายตาเขาไปยังทัชชา

          “ไม่มีอะไรครับแม่ แค่ไม่คิดว่าคนจะเยอะแบบนี้ ม่อนขอโทษคุณลุงกับคุณป้าด้วยนะครับที่เสียมารยา จนต้องให้คุณลุงคุณป้าเป็นฝ่ายมาหาม่อนที่ห้อง” เขากระพุ่มมือไหว้ขอโทษ ลุงเถิง ป้าหงส์ ลุงเสือ ลุงหยก “ผมขอโทษนะครับพี่ภู” เขาหันไปกล่าวขอโทษภูผาที่ยืนเคียงข้างเฮียเจมส์ทางด้านหลังของเขา

          “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี่เอง” ภูผายื่นมือมายีหัวเขาจนผมยุ่งเหยิง จนโดนเฮียเจมส์ตีเขาที่มืออย่างแรงจนภูผาต้องรีบชักมือกลับ

          “อย่าแกล้งน้อง น้องเจ็บอยู่” เฮียเจมส์เอ็ดเสียงดุ

          “ม่อนยังเจ็บอยู่เหรอลูก เจ็บตรงไหนบ้างขอยายดูหน่อยซิ” คุณยายที่ได้ยินเฮียเจมส์เอ็ดภูผาถึงกับถามเขาด้วยความเป็นห่วง

          “เจ็บหลังครับ แต่คุณยายไม่ต้องดูหรอก แค่ระบมนะครับ ไม่กี่วันก็หายแล้ว”

          “ลุงถามกรแล้วนะ ว่าช่วงนี้งานที่เราไปช่วยตากรนั้นไม่มีอะไรมาก ระหว่างนี้ก็พักรักษาตัวซะที่นี่เลยก็แล้วกัน” ลุงเถิงออกความเห็น ซึ่งป้าหงส์ก็พยักหน้าเห็นด้วย

          “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมอยู่ดูแลน้องเองครับป๊า”

          “เจมส์ไม่รีบกลับไร่กับคุณภูแล้วเหรอ?” แม่ของเขาถามขึ้นมาก่อนมองหน้าภูผาเล็กน้อย

          “ไม่เป็นไรครับน้าตั๋น ถ้าหว๋ายจะอยู่ดูแลน้องม่อน อีก 2-3 วันผมค่อยลงมารับก็ได้ครับ พี่น้องเขาจะได้ใช้เวลาด้วยกันบ้าง”

          “หึ!!” ลุงเถิงเหมือนจะหัวเราะเยาะคุณภูผาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น

          “ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” พ่อของเขาบอกกับทุกคน

          “หนูแหม่มจะพักที่ไหนคืนนี้ นอนค้างกับป้าก็ได้นะ” ป้าเพ็ญหันไปถามชาริสาที่นั่งอยู่ข้างๆ

          “แหม่มจะขออนุญาตคุยกับม่อนอีกสักครู่ได้ไหมค่ะ?”

          “เอาแบบนี้แล้วกัน ให้เด็กๆ เขาอยู่คุยกันไปก่อน ส่วนเรื่องที่หลับที่นอน เดี๋ยวฉันจัดการให้คนเปิดห้องให้” ลุงเถิงพูดขึ้นมาอย่างใจดี แม่ของเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างหากแต่ถูกสายตาปราบของป้าหงส์เข้าจึงได้เงียบไป

          “ไปเถอะตั๋น ไหนว่าวันนี้จะนอนกับเฮียยังไงล่ะ?” ลุงหยกเดินเข้ามาจูงมือแม่ของเขาแล้วพาเดินออกจากห้องไป ตามด้วยลุงเสือกับลุงเถิง

          “คุณยายพักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ ม่อนขอโทษที่ไม่ได้ไปส่ง” เขาหันไปหาผู้มีศักดิ์เป็นยายอีกครั้งพร้อมทั้งน้ำเสียงออดอ้อน

          “ช่างอ้อนจริงนะเรา ยายกลับห้องเองได้ นี่ยัยเพ็ญกับยัยหงส์ก็ยังรออยู่”

          “ครับ”

          หลังจากผู้ใหญ่ออกไปกันหมดแล้ว ในห้องก็เหลือแต่เด็กๆ อย่างพวกเขา ทัชชาจึงรีบเดินหมายจะเข้ามานั่งใกล้ๆ เขา แต่กลับถูกชาริสาขวางไว้แล้วลากให้กรกฤตมานั่งแทน ส่วนด้านข้างเขามีเฮียเจมส์นั่งแทนที่คุณยาย ถัดไปเป็นภูผา

          “ให้มันน้อยๆ หน่อยยัยแหม่ม กีดกันจนออกนอกหน้า เมื่อกี้ในห้องโน้นก็ทีหนึ่งแล้ว ไปฟ้องอะไรกับแม่ไอ้ม่อนมันล่ะ เขาถึงได้มองคุณทัชซะตาแทบถลน” กรกฤตที่ถูกดึงให้นั่งลงอย่างแรงอดเอ่ยออกมาไม่ได้

          “ก็แค่เล่าเรื่องจริง”

          “อย่าบอกนะว่าแหม่มรู้แล้ว” พัสกาญถามออกมา เพื่อนทั้งสองของเขาพยักหน้าให้เป็นการยอมรับ

          “รู้เรื่องอะไรกันครับ” ภูผาหันไปถามกรกฤต

          “ก็ที่ดาราคนนี้เขาตามจีบเจ้าม่อนยังไงล่ะครับพี่ภู” เป็นเฮียเจมส์ที่เป็นผู้ตอบคุณภูผา

          “เฮีย!! ...” เขาได้แต่ร้องเสียงหลง เผลอขยับตัวแรงไปหน่อย จนกระเทือนไปถึงหลังที่บาดเจ็บอยู่ จึงถือโอกาสเอาหน้าซุกอกเฮียเจมส์เอาไว้ เพราะทั้งเจ็บทั้งอาย

          “ไอ้ม่อน มึงไม่ต้องมาทำเป็นสำออยอ้อนเฮียเจมส์เลย แค่นี้คุณทัชเขาก็ห่วงมึงจะแย่” เขาได้แต่เงยหน้าขึ้นมองกรกฤตเล็กน้อยก่อนจะเหลือบไปมองทัชชา ไม่เห็นจะมีสีหน้าเป็นห่วงเขาสักนิด มีแต่จะยิ้มขำเขาเสียมากว่า

          “เอาล่ะๆ ไม่ทะเลาะกัน” เฮียเจมส์รีบห้ามทัพเสียก่อน “น้องแหม่ม เฮียพอจะเดาออกว่าเราจะคุยอะไรกับเจ้าม่อน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้”

          “แต่พรุ่งนี้แหม่มมีงานนี่ค่ะเฮีย”

          “เฮียจะจัดคิวให้แหม่มได้คุยกับเจ้าม่อนเป็นคนแรกเลยดีไหม?”

          “ก็ได้ค่ะ” ชาริสารับปากเฮียเจมส์แต่หน้าตาติดที่ยังดูเหมือนไม่ค่อยชอบใจนัก

          “แล้วคุณทัชละครับ”

          “เอ่อ...ผมยังไงก็ได้ครับ”

          “เฮียเจมส์ห้ามให้พวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองนะคะ” ชริสารีบแทรกขึ้นมาทันที

          “ยัยแหม่มนี่แกเป็นเพื่อนมันหรือเป็นแม่มันกันแน่ หวงยังกับหมา”

          “ไอ้กร ปากแกเหรอเนี่ย”

          “พอๆ แยกย้ายได้แล้ว เจ้าม่อนจะได้พัก” เฮียเจมส์เอ่ยห้ามอีกหนก่อนช่วยประคองผมเข้าห้องนอน และไม่วายให้ภูผาช่วยส่งคนทั้งสามออกจากห้องไป

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 28 : 12.Fab '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-02-2020 22:21:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมมีแต่คนคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือการจงใจทำร้ายม่อน?

ทำไมไม่คิดว่าคนร้ายหมายทำลายหนูแหม่มมากกว่า?
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 28 : 12.Fab '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-02-2020 12:57:49
คุณทัช ทำไมถึงน่าสงสารขนาดนี้
คุยกันสักคำยังไม่ได้คุย
รันทดแทนเลยนะนี่ 5555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 28 : 12.Fab '20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 14-02-2020 01:23:28
ได้แค่มองตา แต่ไม่ได้คุยกันเลย :katai1:

วงวารคุณทัช :hao4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 29 : 28.Fab '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 28-02-2020 18:46:41
29









          เช้าวันใหม่ ชาริสาตื่นขึ้นมาอย่างเร่งรีบ แม้ไม่มีชันดาคอยปลุกเหมือนทุกครั้งก็ตาม เธอเตรียมขึ้นไปทวงสัญญากับเฮียเจมส์ เธอต้องได้คุยกับพัสกาญ ขณะที่เธอยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดีกลับได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

          ชาริสามองลอดตาแมว พบว่าเป็นชันดา เอม และชาญ จึงเปิดประตูให้พวกนั้นเข้ามาในห้อง จากนั้นเธอก็กลับไปแต่งตัวให้เสร็จ

          “ว้าว… เมื่อคืนตอนที่พี่กรโทรตาม แกไม่น่าเสียดายเงินค่าที่พักเลยชาญ ดูสิ… ห้องสวย แล้วก็ใหญ่มากเลย” เอมเดินไปรอบๆ ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย โดยมีชาญเดินตาม

          “พี่แหม่มมีอะไรให้ดาช่วยไหมค่ะ?” ชันดาเดินเข้ามาในส่วนแต่งตัว

          “ไม่มีนี่”

          “ดาเห็นพี่แหม่มดูรีบๆ”

          “พี่จะรีบขึ้นไปคุยกับม่อนเรื่องพี่ทัช”

          “โถ… พี่แหม่ม”

          “ไม่ต้องมาห้ามเลย” ชาริสาแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาเห็นเอมกับชาญนั่งดูทีวีกันอยู่

          “อ่าว พี่แหม่มจะกลับแล้วเหรอ” ชาญถามทั้งๆ ที่มือยังคงถือรีโมททีวีอยู่

          “คงจะใกล้ๆ เที่ยงนั่นแหละ พี่จะไปหาม่อนก่อน”

          “เอมไปด้วยค่ะ” ไม่ทันขาดคำของเอม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นชันดาที่เป็นผู้เปิดให้กรกฤตเข้ามาในห้อง

          “ฉันนึกแล้วว่าแกต้องรีบไปทวงสัญญากับเฮียเจมส์แต่เช้า” กรกฤตที่เข้ามาเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งเดินมานั่งลงที่โซฟา

          “สัญญาอะไรกันค่ะพี่กร” ชันดาที่ปิดประตูแล้ว เดินเข้ามานั่งใกล้ๆ

          “ก็เรื่องคุณทัชกับไอ้ม่อน” กรกฤตตอบชันดา

          “แล้วแกมาหาฉันแต่เช้า จะมาห้ามฉันรึไง”

          “เปล่า แต่จะมาเตือนสติแก จะพูดอะไรก็คิดถึงใจไอ้ม่อนบ้าง ฉันรู้ว่าแกจะเปรียบเทียบคุณทัชกับโมนิก” ชาญที่ดูทีวีกับเอมอยู่ถึงกับปิดรีโมททีวีทันทีแล้วเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

          “พี่แหม่ม พี่อย่าเอ่ยถึงพี่โมนิกเลยนะ เราไม่รู้หรอกว่าในใจของพี่ม่อนเขาคิดอะไรอยู่” ชาญรีบเข้ามาขอร้องทันที

          “ใช่ค่ะ กว่าพี่ม่อนจะเป็นพี่ม่อนอย่างทุกวันนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ เอมไม่อยากเห็นพี่ม่อนขังตัวเองอยู่แต่ในห้องอีกแล้ว”

          “พี่แหม่ม…” ชันดาเอื้อมมือมาแตะมือของเธอที่กำจนแน่นเกร็ง เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซิบแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย

          “พวกเธอก็รู้…” ชาริสาพยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้สั่น “พี่ทัชก็เป็นดารา ยัยโมนิกถึงจะเป็นแค่คนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่ก็เคยเป็นถ่ายแบบ และเล่นเอ็มวีมาก่อน ละ แล้ว...ที่เป็นนางแบบระดับโลกอยู่ตอนในนี้ ที่นางไปได้ไกลขนาดนี้ไม่ใช่เพราะเหยียบหัวใจของม่อนขึ้นไปหรือไง”

          “พี่แหม่ม ผมอาจจะไม่ได้รู้จักยัยโมนิกอะไรนั่น แต่ผมทำงานกับพี่กรมานาน หลายครั้งที่ร่วมงานกับพี่ทัช พี่ทัชไม่เหมือนยัยโมนิกอะไรนั่นแน่นอน” ชาญยืนยัน

          “เอมเข้าใจพี่แหม่มนะ เพราะเอมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่ม่อนจากพี่ต้อยติ่งมาตลอด แต่เอมไม่อยากให้พี่เสี่ยงเอ่ยถึงคนๆ นี้กับพี่ม่อน ถือว่าเอมขอเถอะนะ เอมสงสารพี่ม่อน”

          “ฉันรู้...แต่...ฉันยอมเป็นนางร้ายในวันนี้ ดีกว่าทำตัวเป็นนางเอกแล้วปล่อยให้เกิดเรื่องกับม่อนเป็นครั้งที่สอง” สุดท้ายชาริสาก็สกัดกั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหว ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่มีเสียงสะอื้นแม้แต่น้อย

          “พี่แหม่ม…” ชันดาเข้ามาโอบกอดเธอไว้ “ดารู้ ว่าพี่แหม่มรักพี่ม่อนมาก มิตรภาพระหว่างพี่ม่อน พี่กร และพี่แหม่ม แม้แต่คุณอามันต์ก็เข้ามาแทรกไม่ได้ แต่ดาอยากจะเตือนพี่แหม่มนะ ว่าพี่แหม่มคอยอยู่ปกป้องพี่ม่อนไม่ได้ตลอดไปหรอก พี่อย่าลืมสิ ปิดกองเรื่องนี้แล้ว พี่ต้องไปเซ็นต์สัญญาที่นิวยอร์ก เมื่อถึงตอนนั้นพี่จะไม่ยิ่งเป็นห่วงพี่ม่อนหรอกเหรอ”

          “ฉันรู้ว่าแกกังวลเรื่องคุณทัช แต่จากที่ฉันได้คุยกับเขา คุณทัชไม่ได้เข้ามาหาม่อนเพราะหวังผลประโยชน์หรือความโด่งดังอะไรเลย”

          “กร...แต่ภาพนั้น...มันยังติดตาฉันอยู่เลย ตอนนั้นเราสองคนช่วยอะไรม่อนไม่ได้เลย” ชาริสาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เป็นชันดาที่คอยซับน้ำตาให้

          ทุกคนภายในห้องพากันเงียบ ชาริสาเองก็พยายามตั้งสติ และหยุดร้องไห้ เธอจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยเดิม ถ้าทัชชาดีจริงอย่างที่ชาญและกรกฤตยืนยัน ทัชชาต้องผ่านเธอไปให้ได้เสียก่อน เขาต้องทำให้เธอมั่นใจให้ได้ว่าจะสามารถรักษาหัวใจของม่อนไว้ได้

          “ฉันจะไม่พูดเรื่องโมนิกกับม่อนในตอนนี้ แต่ม่อนต้องก้าวผ่านเรื่องของโมนิกไปให้ได้” ชาริสาพูดออกมาในที่สุด

          “เฮ้อ...ก็ยังดี” ทุกคนต่างพากันโล่งใจ ที่เธอตัดสินใจแบบนี้ แต่ถึงยังไง ชาริสาจะต้องทำให้พัสกาญสามารถยืนได้โดยไม่หวั่นไหวเพียงเพราะได้ยินแค่ชื่อของโมนิก้าเท่านั้น

.........................................................................

          อาการของพัสกาญดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก สามารถเดินเหินเองได้โดยไม่ต้องมีเฮียเจมส์คอยประคอง จะติดขัดก็เพียงเวลาจะนั่งหรือก้มหยิบอะไร เขาไม่สามารถงอหลังได้เท่าไรนัก มันรู้สึกตึงๆ ปวดๆ อยู่

          เมื่อคืนเฮียเจมส์นอนด้วยกันกับเขาและยังดูแลอย่างดี ตามที่รับปากกับลุงเถิงไว้ เช้านี้ยังรีบเข้าครัวทำอาหารง่าย ๆ ให้เขาทานอีก

          “มองอะไรนักหนา…” เฮียเจมส์ที่นั่งทานอาหารเช้าด้วยกันอยู่ถามเขาไม่จริงจัง

          “พี่ภูละ ไม่มาทานด้วยกันเหรอ?”

          “พี่ภูกลับไร่ไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ”

          “คืนนี้เฮียนอนกับม่อนอีกนะ”

          “ทำตัวเป็นเด็กขาดความอบอุ่นไปได้” เฮียเจมส์ส่ายหน้าเล็กน้อย

          “เปล่าสักหน่อย แค่คิดถึงตอนเด็กๆ เวลาไปเกาลูนตั่วเฮียชอบจับพวกเราให้ไปนอนด้วยกัน”

          “ได้ยินม๊าว่า ตั่วเฮียกำลังจะกลับแล้ว อาจจะมาทันงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของน้าตั๋นที่ฮองกง เราก็ไปด้วยสิ จะได้ไปเจอเฮียเขาสักหน่อย”

          “ม่อนขอคิดดูก่อนนะ งานที่ฮ่องกงมันใหญ่กว่าที่ญี่ปุ่นซะอีก เฮียก็รู้ว่าม่อนไม่ชอบคนเยอะ ๆ”

          “ช่วยไม่ได้นี่ ก็ฮ่องกงเป็นสาขาใหญ่ของ YNW แล้วเรื่องงานของเยี่ยนหวอ ม่อนเองก็ควรจะต้องออกงานบ้าง ไม่อย่างนั้น ใครๆ เขาคงคิดว่าเยี่ยนหวอมีแต่ตั๋วเฮีย กับเฮียสองพี่น้อง”

          “ยังไงเฮียก็เป็นทายาทสายตรงของฝู่ ม่อนไม่ใช่สักหน่อย”

          “หืม? กล้าพูดแบบนี้ด้วยเหรอเรา?”

          “ม่อนล้อเล่นน่ะ ตระกูลหรือนามสกุลมันไม่สำคัญเท่าสายสัมพันธ์ของพวกเราพี่น้องหรอก”

          “คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว เราเป็นหลานรักของคุณยายนะ ถ้าเผลอหลุดปากให้คุณยายได้ยิน คุณยายคงเสียใจแย่” เขาพยักหน้ารับน้อย ๆ

          “เฮีย เมื่อคืนลุงเถิงจัดให้พวกนั้นนอนห้องใครเหรอ?”

          “เพื่อนของเรานะเหรอ...ไม่ใช่ห้องใครทั้งนั้นแหละ เปิดห้องที่ชั้น 27 ให้คนละห้อง”

          “อ่อ”

          “ม่อน... ออร่าของดาราคนนั้นเขาเป็นยังไง?”

          “เฮียถามทำไมอ่ะ”

          “ก็แค่อยากรู้”

          “เอ่อ...ออร่าของเขาไม่เหมือนของใครเลย ยิ่งมารวมอยู่กับคนในบ้านมันยิ่งชัดเจน มันไม่เหมือนของแม่ ของพ่อ หรือของคุณยายที่ท่านรักม่อนมากๆ”

          “ที่ว่าไม่เหมือนที่มันยังไง สีสัน?”

          “ก็ด้วย ออร่าที่แผ่ออกมาจากพี่ทัชมันดูเข้มกว่า ที่สำคัญมันเหมือนลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ อวบอวลไปทั่ว แม้จะไม่ได้กลบออร่าของคนอื่น แต่มันเหมือนกับว่าม่อนสามารถหยิบจับมันได้”

          “มันเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

          “อืม ขนาดพี่ทัชไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ออร่าของพี่ทัชเขาก็ยังคงอยู่ มันทั้งระยิบระยับ ดูสวยงามกว่าคนอื่นๆ”

          “เฮียได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ”

          “เฮีย...ม่อนถามเรื่องของเฮียกับพี่ภูหน่อยได้ไหม?”

          “ถ้าตอบได้นะ”

          “ตอนที่เฮียบอกพี่ภูเรื่องความสามารถของเฮีย...พี่ภูเขา...มีท่าทียังไงบ้าง”

          “ม่อน...คนเราถ้ารักกัน เรื่องอะไรพวกนี้ไม่ได้สำคัญเลย หากม่อนมั่นใจในตัวคุณทัชแล้ว และอยากจะบอกถึงสิ่งที่ม่อนเห็น พี่เชื่อว่าคุณทัชจะไม่รังเกียจม่อน”

          “เฮียคิดแบบนั้นเหรอ?”

          “อืม อย่าไปกลัวอะไรที่มันยังไม่เกิดขึ้น ว่าแต่เราล่ะอิ่มรึยัง เฮียเห็นเขี่ยอาหารในจานไปมาได้สักพักแล้ว”

          “อิ่มแล้ว”

          “มา เดี๋ยวเฮียเก็บให้ จะได้โทรเรียกน้องแหม่มขึ้นมา”

          “ม่อนว่า ม่อนจะลงไปเอง ขึ้นมาบนนี้ต้องลำบากพี่โชลงไปรับ”

          “งั้นม่อนรอเฮียจัดการกับจานพวกนี้แป๊บนึง เดี๋ยวเฮียลงไปส่ง”

          เฮียเจมส์เก็บจานอาหารเช้าแล้วเดินเข้าครัวไป พัสการยังคงนั่นอยู่ที่เดิม คิดถึงเรื่องเมื่อคืน อ่อราของทัชชาสวยงามจริง ๆ แล้วความรู้สึกที่แสดงผ่านออร่านั้นจะไม่ให้เขาเขินได้อย่างไร นี่ถ้าใครเห็นอ่อราของทัชชาได้เหมือนเขา เขาคงโดนล้อไปสามวันแปดวันเป็นแน่

.........................................................................

          หลังจากสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว ชาริสาจึงชวนทุกคนขึ้นไปเยี่ยมพัสกาญที่ห้องส่วนตัว ชั้นบนสุด ในระหว่างที่พวกเธอกำลังก้าวออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์สายในก็ดังขึ้น เป็นชาญที่วิ่งกลับเข้าไปรับ

          “พี่ม่อน” เสียงของชาญที่เอ่ยออกมาทำให้ทุกคนพากันหยุดชะงัก ยืนออกันอยู่ที่หน้าประตู “ครับผมเอง... ครับ ได้ครับ… มีพี่กะทิ กับพี่ไลลาครับ แต่ยังไม่เข้ามา พวกผมมากันก่อน … ครับ”

          “พี่ม่อนว่ายังไงบ้าง” เอมรีบถามทันทีหลังจากชาญวางสาย

          “พี่ม่อนจะลงมา ให้พวกเรารอที่นี่ แล้วถามว่ายังมีใครอีก” ชาญหันมาบอกพวกเธอ

          “ไอ้ชาญ ไอ้ม่อนมันไม่ได้อยากรู้เรื่องกะทิหรือไลลาสักหน่อย ที่มันถามมันคงอยากรู้เรื่องคุณทัชมากกว่า” กรกฤตบ่นก่อนเดินกลับไปนั่งที่เดิม

          “ชาญตอบแบบนั้นละดีแล้ว” ชาริสาคิดว่าการที่ชาญตอบแบบนั้นไปน่ะดีแล้ว เรื่องอะไรต้องให้ทัชชาเข้ามาอยู่ในห้องของเธอด้วย

          “ยัยแหม่ม จบเรื่องนี้เมื่อไร แกต้องเคลียร์กับฉันเรื่องอามันต์” กรกฤตพูดกับเธอหลังจากที่เธอนั่งลงที่เดิม ทำให้เธอหันไปค้อนใส่ชันดาวงใหญ่

          “ดาขอโทษนะพี่แหม่ม ดาหลุดปากไปแล้วนี่” ชันดาทำสีหน้าออดอ้อนจนเธอโกรธไม่ลง

          พวกเธอรออยู่ในห้องไม่นาน พัสกาญและเฮียเจมส์ก็มาถึง กรกฤตรีบลุกจากเก้าอี้ของตัวเองให้พัสกาญได้นั่งลงทันที

          “พวกเราอยู่คุยกันไปนะ เฮียจะขึ้นไปหาป๊ากับม๊า”

          “ครับ/ค่ะ”

          “พี่ม่อนเป็นยังไงบ้างค่ะ เจ็บมากไหม” เอมเป็นคนแรกที่ถามออกมา หลังจากเฮียเจมส์ออกจากห้องไปแล้ว

          “พี่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว แค่ปวดตึงๆ เวลาก้มเท่านั้นแหละ”

          “โล่งอก ผมเป็นห่วงแทบแย่ ตอนที่ฟังพี่ดาเล่านะ ผมยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าตัวเล็กๆ อย่างพี่ม่อนจะกันทั้งพี่แหม่มกับพี่ดายังไง พี่นี่เจ๋งสุดๆ ไปเลย” ชาญยกนิ้วให้กับเขา

          “พวกเราสบายใจแล้วที่ได้เห็นพี่ม่อนไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวเอมกับชาญจะขอตัวไปหาอะไรทานก่อน พี่ๆ จะได้คุยกัน”

          ชาญกับเอมพยักหน้าให้กันเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องไป พัสกาญมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

          “มีอะไรที่เราไม่รู้รึเปล่า ชาญกับเอมถึงได้เลี่ยงออกไปแบบนี้”

          “แหม่มแค่อยากคุยกับม่อนเรื่องพี่ทัชเท่านั้นแหละ ส่วนที่สองคนนั้นออกไป ไม่เกี่ยวกับแหม่มนะ” ชาริสารีบแก้ตัว

          “เรื่องพี่ทัช?”

          “ใช่ ม่อนแน่ใจแล้วเหรอว่าจะคบกับพี่ทัช”

          “เอ่อ...แหม่ม คือเรา … เรายังไม่ได้คบกับพี่ทัชสักหน่อย… เราแค่… คุยๆ กันเท่านั้นเอง”

          “ม่อนไว้ใจพี่ทัชเหรอ?”

          “อืม เราแค่อยากลองดู”

          “หากลองแล้วเจ็บเหมือนคราวนั้นอีกละ?”

          “แหม่ม!!” กรกฤตเรียกเธอเสียงเข้ม แต่เธอไม่สนใจ กลับจ้องหน้าพัสกาญนิ่ง

          “เราว่าพี่ทัชหลอกเราไม่ได้หรอก ก็เราเห็นออร่าจากตัวเขานี่...ไม่เหมือนคราวนั้น” ท้ายประโยคเสียงของพัสกาญแผ่วลงไปจนใจหาย

          “พี่ม่อนอย่าคิดมากเลยนะคะ พี่ม่อนนะเข้มแข็งจะตาย ไม่อย่างนั้นคงช่วยดากับพี่แหม่มไม่ได้ อีกอย่างดาเชื่อว่าความรักไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม” ชันดาเหลือบมามองเธอครู่หนึ่ง “มันจะเป็นแรงพลักดันให้คนเราผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้แน่นอนค่ะ”

          “น้องดาพูดถูก มึงอย่าคิดมาก เอาเวลามาคิดหาวิธีช่วยคุณทัชให้รอดพ้นแม่ของมึงดูจะมีประโยชน์ซะมากกว่า”

          “อย่าเพิ่งแทรกเรื่องพี่ทัชได้ไหม ฉันยังคุยกับม่อนไม่จบ”

          “ยัยแหม่ม ไอ้ม่อนมันก็บอกแล้ว ว่ามันอยากจะลองดู แกจะอะไรกับมันนักหนา”

          “ก็ฉันยังมีเรื่องที่อยากรู้นี่”

          “แกจะไปอยากรู้เรื่องอะไรของเขาอีก เขาเพิ่งจะได้คุยกันนิด ๆ หน่อย จากนั้นก็เกิดเรื่อง จนป่านนี้พวกเขาสองคนยังไม่ได้คุยกันเลย แกคิดว่าม่อนมันจะมีเรื่องอะไรมาเล่าให้แกฟังรึไง” กรกฤตบ่นออกมายาวจนแทบลืมหายใจ

          “เอ่อน่า...นิดเดียวเอง ฉันแค่อยากรู้เรื่องออร่าของพี่ทัช”

          “หา? เรื่องออร่าของพี่ทัช?” พัสกาญทวนคำและมองหน้าเธอด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

          “ทำไม หรือม่อนไม่อยากเล่า”

          “เปล่า ๆ พอดีเฮียเจมส์ก็เพิ่งถามก่อนที่เราจะลงมาที่ห้องของแหม่มนี่แหละ”

          “ม่อนเล่าให้เฮียเจมส์ฟังได้ ก็ต้องเล่าให้แหม่มฟังได้เหมือนกัน”

          “อืมๆ เล่าก็เล่า”

To Be Continued



หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 29 : 28.Fab '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-02-2020 23:37:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 29 : 28.Fab '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-02-2020 22:14:39
งืมๆๆๆๆๆ อยากอ่านอีกอ่ะ มันไม่พอกับความรู้สึกที่รอเลย :mew2:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 30 : 3.Mar '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-03-2020 14:47:55
30








          ห้องอาหารเช้าของโรงแรมเต็มไปด้วยแขกที่มาพัก บางลงมาพร้อมครอบครัว บ้างลากกระเป๋าเตรียมที่จะเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม แต่ก็ยังรักษาผลประโยชน์ของตนเองด้วยการลงมาทานอาหารเช้าที่รวมอยู่มีแพ็กเกจที่พัก

          ทัชชาแม้จะไม่ค่อยทานอาหารเช้าเท่าไร แต่ก็ยังลงมานั่งดื่มกาแฟอยู่ในล็อบบี้ของโรงแรม เขาแต่งตัวลำลองไม่ได้เซ็ทผมเหมือนทุกครั้ง ทำให้ดูมีอายุขึ้นไปอีก จนหลาย ๆ คนแทบจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

          ระหว่างที่นั่งดื่มกาแฟเพื่อรอเวลาขึ้นไปเยี่ยมพัสกาญ เขาก็เห็นชาญและเอมเดินออกจากลิฟท์มา ทั้งสองเดินตรงไปยังห้องอาหาร ไม่นานนักชาญก็เดินตรงมานั่งร่วมโต๊ะกับเขา

          “จำพี่ได้ด้วย”

          “โห่...ผมทำงานกับพี่มาตั้งหลายเรื่องมีเหรอจะจำไม่ได้”

          “แล้วชาญมาตั้งแต่เมื่อไรล่ะ?”

          “มาพร้อมพี่ดาเมื่อเช้า ได้เจอพี่ม่อนแล้วด้วย”

          “ม่อนเป็นยังไงบ้าง?”

          “แข็งแรงดี หายห่วงได้เลย แต่คงไม่ได้ไปช่วยงานที่กองอีกสักพัก”

          “พี่พอจะรู้ว่า หลักๆ แล้ว กรต้องการให้ม่อนมาดูแลแหม่ม”

          “ใช่พี่ พี่อาจจะไม่รู้ เห็นพี่แหม่มเป็นแบบนั้น แต่พี่เขาโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความไม่มั่นใจนะ พอพี่ม่อนมาอยู่ใกล้ ๆ เขาเลยอุ่นใจ ไม่เหวี่ยงวีนยังไงล่ะ”

          “ซีนที่แหม่มต้องถ่ายก็เหลือไม่เยอะแล้วนี่ กรน่าจะหายห่วงได้”

          “แล้วพี่ทัชละ กับพี่ม่อนไปถึงไหนแล้ว?”

          “เรารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”

          “รู้สิ นี่ผมกับเอมยังเชียร์พี่ทัชเลยนะ”

          “ขอบใจมาก”

          “เอม ทางนี้” ชาญโบกไม่โบกมือเรียกเอมเข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วย

          “แกเอาอาหารมาข้างนอกแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนว่าเขาให้หรอก” เอมเอ็ดเบาๆ

          “แค่กาแฟเอง แล้วแกล่ะอิ่มแล้วเหรอ?”

          “อืม” เธอพยักหน้าก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่

          “ฉันกำลังคุยกับพี่ทัชเรื่องพี่ม่อนอยู่” ชาญหันไปบอกเพื่อนร่วมงานของตนเล็กน้อย

          “ชาญมันเชียร์พี่ทัชจนออกนอกหน้าเลยล่ะคะ”

          “ขอบใจมากนะ”

          “แต่เอมไม่เชียร์หรอกนะคะ เอมนะจะคอยเฝ้ามองพี่ทัช หากทำอะไรให้พี่ม่อนเสียงใจ เอมจะเอาเรื่องพี่ทัชให้ถึงที่สุดเลย”

          “แกอย่าโหดนักเลย ยัยเอม”

          “แกไม่เคยเห็นช่วงที่พี่ม่อนเก็บตัว แกไม่รู้หรอกว่ามันแย่แค่ไหน?”

          “เอ่อ...พี่ถามได้ไหมว่าเรื่องอะไร?” ทัชชาลองถามดู เพราะเขารู้สึกได้ว่าทั้งเพื่อนและครอบครัวของพัสกาญดูจะหวงและปกป้องจนเกินเหตุ

          “เรื่องนี้พวกผมคงเล่าให้พี่ทัชฟังไม่ได้หรอกครับ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ม่อน เอาไว้พี่รอถามพี่ม่อนเองดีกว่า”

          “อืม พี่เข้าใจ ไว้มีโอกาสพี่จะลองถามดู”

          “เอมขอเตือนพี่ไว้นิดนะคะ เรื่องของพี่ม่อน ที่เคยเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเซนซิทีฟมากสำหรับทั้งพี่ม่อนเอง และคนรอบข้าง จะถามอะไรก็ดูนิดนึง”

          “นี่ ยัยเอม ทำไมเรื่องนี้แกเยอะนักว่ะ ทำตัวเป็นพี่แหม่มไปได้”

          “ฉันก็แค่ห่วงพี่ม่อนเหอะ”

          “เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าพี่รับปากเอมนะ แล้วไม่ต้องทะเลาะกัน ใช่ว่าพี่จะมีโอกาสได้คุยกับม่อนเขาบ่อย ๆ อย่างนั้นแหละ”

          “ก็เพราะเอมเห็นว่าพี่ทัชได้คุยกับพี่ม่อนน้อยยังไงล่ะคะ เลยต้องเตือน เอมกลัวว่าพี่ทัชจะใจร้อน พี่ทัชรู้ตัวไหมว่ากับพี่ม่อนน่ะ พี่ทัชออกตัวแรงยิ่งกว่าคราวพี่พราวซะอีก”

          “พี่ว่าพี่ยังไม่ได้ทำอะไรเอิกเกริกเลยนะ”

          “นี่ขนาดไม่เอิกเกริกนะ พี่กะทิยังระแคะระคายเลยค่ะ”

          “จริงเหรอยัยเอม?”ชาญหันไปถามเพื่อนตาลุก

          “จริงสิ เรื่องพวกนี้พี่กะทิเขาไว”

          “เอาเป็นว่า จนกว่าทุกอย่างจะลงตัว พี่จะระวังตัวให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน”

          “เอาแบบนี้ เดี๋ยวพี่ทัชขึ้นไปเยี่ยมพี่ม่อน ส่วนผมกับเอมจะกันพี่กะทิกับไลลาไว้ให้ สักเที่ยง ๆ พี่แหม่มกับพี่ดาคงต้องกลับแล้ว พี่จะได้มีโอกาสคุยกับพี่ม่อนมากหน่อย”

          “เดี๋ยว ๆ นะชาญ ฉันจะร่วมมือกับแกตั้งแต่เมื่อไร?”

          “เพื่อพี่ม่อนไง หรือแกไม่ชอบรอยยิ้มของพี่ม่อน”

          “เออ...ก็ได้”

          “ก็เท่านั้น”

          “แล้วพี่จะขึ้นไปห้องม่อนยังไง ต้องติดต่อใครให้พาขึ้นไป”

          “ไม่ต้องครับ ตอนนี้พี่ม่อนอยู่ห้องพี่แหม่ม 2709”

          “อืม งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”

          “พี่ทัชค่ะ เอ่อ...ใจเย็นกับพี่แหม่มหน่อยนะคะ สิ่งที่พี่แหม่มทำไปมันมีเหตุผล อย่าไปโกรธพี่แหม่มเลยนะ”

          “พี่เข้าใจ แล้วพี่คิดว่าพี่รอได้ เพราะพี่มั่นใจแล้วว่าพี่อยากได้ม่อนมาเคียงดาวอย่างพี่”

          “แต่ผมว่าดาวอย่างพี่ต้องใช้ความพยายามมากหน่อยเพื่อจะได้อยู่เคียงคู่กับเดือนอย่างพี่ม่อนซะแล้ว”

          “อืม สงสัยจะจริงอย่างที่นายว่า แต่พี่ไม่ยอมแพ้หรอก ขอให้ม่อนใจตรงกับพี่ พี่ก็สู้ไม่ถอยแล้ว”

          “โหย...จะหล่อไปไหนเนี๊ยะพี่ทัช ถ้าไม่คิดว่าอยู่กลางล็อบบี้โรงแรม เอมคงจะกรี๊ดๆๆ ลงไปนอนดิ้น จิกหมอนกระจุยกระจายไปแล้ว”

          “เว่อร์!!”

          “ฉันฟินของฉันย่ะ”

          ทัชชาได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนทั้งสองที่ดูเหมือนจะมีเรื่องต่อล้อต่อเถียงกันได้ทุก ๆ 5 นาที จากนั้นเขาก็เดินเลี่ยงออกมา เพื่อขึ้นไปชั้น 27

.........................................................................

          หลังจากที่พัสกาญเล่าเรื่องออร่าของทัชชาให้ชาริสาฟังแล้ว เธอก็เงียบไปราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

          “ม่อน งานแฟชั่นวีคที่ญี่ปุ่นกับฮ่องกง ม่อนจะไปไหม?” อยู่ ๆ ชาริสาก็เปลี่ยนเรื่องคุยขึ้นมาจนเขาตามไม่ทัน

          “อ่อ...คือ งานที่ญี่ปุ่น เราอาจจะไปนะ แต่งานที่ฮ่องกง เราเพิ่งคุยกับเฮียเจมส์เมื่อเช้านี้เอง ว่าคงจะไม่ไป เพราะงานมันใหญ่เกินไป แล้วเราก็ไม่ชอบคนเยอะ ๆ ด้วย”

          “ถ้าม่อนยอมไปทั้งสองงาน แหม่มจะยอมรับเรื่องของม่อนกับพี่ทัช”

          “หา?”

          “กูเข้าใจความคิดของแหม่ม และกูก็เห็นด้วยที่มึงควรไปทั้งสองงาน”

          “การไปงานแฟชั่นวีคมันเกี่ยวอะไรกับพี่ทัช?”

          “ถ้ามึงจะลองคบกับคุณทัชมึงก็ต้องทำใจเรื่องที่จะมีคนจับตามึงมากขึ้น อยากรู้อยากเห็นว่ามึงเป็นใคร มาจากไหน”

          “ใช่ แล้วม่อนก็ไม่ใช่ไก่กาที่ไหน ให้แฟนคลับมาเม้าท์กันผิดๆ ถูกๆ ดังนั้นก็ต้องมีบ้างที่จะออกงานสังคมพวกนั้น แล้วสองงานนี้ก็เหมาะกับม่อนที่สุด”

          “แต่…”

          เขายังไม่ทันได้พูดปฏิเสธอะไรไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นชันดาที่นั่งฟังพวกเขาคุยกันอยู่เงียบ ๆ มาสักพักเป็นผู้เปิดประตูให้แขกผู้มาใหม่

          “เชิญค่ะพี่ทัช มาได้จังหวะพอดีเลยนะคะ” ชันดาเอ่ยแซวเล็กน้อย แต่ทัชชาที่เดินเข้ามาถึงกับทำหน้างุนงง

          “ผมไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะอะไรใช่ไหม?”

          “ไม่/ใช่ค่ะ” กรกฤตกับชาริสาเอ่ยออกมาแทบจะพร้อม ๆ กัน และเป็นชาริสาที่แย่งกรกฤตพูดขึ้นมา

          “ใช่ค่ะ แหม่มยังตกลงกับม่อนไม่เสร็จ”

          “อ่อ…” ทัชชาถึงกับหน้าเหว๋อไปเลย เนื่องจากไม่เคยเจอชาริสาเวอร์ชั่นเอาแต่ใจ

          “พอเลยยัยแหม่ม เรื่องนั้นยังไงมันก็เป็นเจ้าของงาน มันเลี่ยงไม่ได้ตลอดหรอก”

          “อืม เดี๋ยวแหม่มไปคุยกับน้าตั๋นก็ได้”

          “เฮ้ย!! /แหม่ม!!” ครั้งนี้เป็นเขาและกรกฤตตกใจอุทานขึ้นมาพร้อมกัน

          “ไม่รู้แหละ ถ้าม่อนไม่อยากให้เรื่องถึงน้าตั๋น ก็ต้องรับปากแหม่ม”

          “ก็ได้ เรารับปาก”

          “ดี ถ้าอย่างนั้นพวกม่อนก็ย้ายไปคุยห้องกรเถอะ แหม่มเตรียมกลับแล้ว บ่ายต้องไปงานโชว์ตัวอีก”

          “ทำไมต้องไปห้องฉันด้วย ห้องคุยทัชก็ได้นี่”

          “ไม่ได้!!” ชาริสาเน้นเสียงแข็ง “แกไม่ควรจะให้ม่อนกับพี่ทัชอยู่กันสองต่อสอง”

          พัสกาญอายกับอาการหวงเพื่อนของชาริสา ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขากับทัชชาก็แค่คุยกันเฉย ๆ เท่านั้น ยิ่งเห็นทัชชายิ้มเหมือนชอบใจเขาก็ยิ่งอายหนักเขาไปใหญ่ ทำไมออร่าของทัชชาถึงได้ดูมีความสุขมากขนาดนี้นะ…

          เขาเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วเตรียมลุกจากเก้าอี้ กรกฤตก็เดินเข้ามาช่วยพยุงเขาข้างหนึ่งอีกข้าง ทัชชาที่กำลังจะเข้ามาช่วยกลับโดนชาริสาตัดหน้า

          “เดี๋ยวแหม่มเดินไปส่งม่อนที่ห้องของกรด้วย”

          “เราเดินเองได้ เราไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว แค่ลุกนั่งลำบากนิดหน่อย แหม่มไม่ต้องห่วงเราหรอก กรก็อยู่”

          “ไม่ แหม่มจะไปส่ง”

          “อ่ะๆ ก็ได้”

          พัสกาญยินยอมให้ชาริสาเดินไปส่งเขาที่ห้องของกรกฤต โดยมีเจ้าของห้องเดินนำ ส่วนทัชชาเดินตามหลังเขามาใบหน้าเปื้อนยิ้ม

.........................................................................

          เมื่อชาริสากลับห้องของตัวเองไปแล้ว ทั้งพัสกาญและทัชชาก็เอาแต่เงียบ คนหนึ่งดูเหมือนจะเขินอายเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา ส่วนอีกคนหนึ่งก็เอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

          “เฮ้อ…” กรกฤตได้แต่ถอนหายใจออกมาเสียงดัง ทำให้คนทั้งสองหันมามองทางเขา

          “เอ่อ...กูขอโทษนะที่มากวนมึง แทนที่มึงจะได้พักผ่อน” พัสกาญรีบขอโทษเขาอย่างเกรงใจ

          “ช่างมันเถอะ กูไม่ได้คิดเรื่องนั้น ว่าแต่แว่นของมึงละ ตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้ที่ลงมานี่ กูยังไม่เห็นมึงใส่แว่นเลย หรือไม่ได้เอาแว่นสำรองมา”

          “อืม ไม่ได้พกติดมาด้วย ว่าแต่แว่นของกูล่ะ?”

          “มันหักตอนที่เกิดอุบัติเหตุ กูเห็นแหม่มเก็บมา แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหนแล้ว”

          “อ่อ ไม่เป็นไร ที่น้ากล้าน่าจะมีสำรองอยู่”

          “เฮ้อ...ไอ้คุณหนูเอ้ย”

          “ม่อนมีปัญหาทางสายตารึเปล่า ทำไมไม่ลองใส่คอนแท็กเลนส์ล่ะ พี่ว่าม่อนไม่ใส่แว่นดูน่ามองกว่าเยอะเลย” ทัชชาเอ่ยถามพร้อมตบท้ายด้วยคำชมจนกรกฤตได้แต่ส่ายหน้าในความออกตัวแรงของดาราหนุ่ม

          “เปล่าครับ ผมไม่ได้มีปัญหาทางสายตา แต่ใส่ไว้เฉยๆ”

          “ไอ้ม่อนมันไม่อยากให้ใครไปจ้องมองมันมาก ๆ เหมือนที่คุณทัชทำอยู่เมื่อครู่ยังไงล่ะครับ มันถึงต้องใส่แว่นบังหน้าตาของมันไว้” เขาอดที่จะเหน็บทัชชาไม่ได้ แต่อีกคนกลับยิ้มให้เฉย ๆ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

          “ช่วงนี้ม่อนไม่ได้ออกไปไหน พักอยู่แต่ที่ห้อง พี่ว่าไม่ต้องใส่ก็ได้ ไว้กลับไปทำงานที่กองถ่ายค่อยใส่ จะได้ไม่ลำบากคุณน้าด้วย”

          “อ่อ กูว่าจะถาม” กรกฤตพูดขัดจังหวะการหยอดของทัชชา “อีกไม่กี่ซีนละครก็จะปิดกล้องแล้ว มึงไม่ต้องมาช่วยงานกูแล้วก็ได้นะ กูไม่ได้ห้ามถ้ามึงอยากจะมาเจอใคร” เขาเหลือบไปมองทัชชาเล็กน้อย “กูแค่อยากให้มึงเตรียมตัวเรื่องงานที่เพิ่งคุยกัน”

          “เอ่อ… กูขอคิดดูก่อนแล้วกัน” พัสกาญมีท่าทีเขินอายจนกรกฤตอดหมั่นไส้ไม่ได้ เขาไม่ได้หมั่นไส้เพื่อนของเขา หากแต่หมั่นไส้ดาราหนุ่มที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำให้เพื่อนของเขาเสียอาการอยู่อย่างนี้มากกว่า

          “อืม มึงก็คุยกับคุณทัชเขาไปก็แล้วกัน กูมีเรื่องที่จะต้องไปทำก่อนกลับ แล้วอย่าไปหลุดปากให้ยัยแหม่มรู้ล่ะ ว่ากูปล่อยให้มึงอยู่กับคุณทัชสองคน

          “ขอบใจนะกร” อยู่ๆ ทัชชาก็หันมาขอบคุณเขา จนเขาอดหมั่นไส้ขึ้นมาอีกรอบไม่ได้ นี่เขาทำเพื่อพัสกาญเพื่อนของเขาต่างหาก

To Be Continued



หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 30 : 3.Mar '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 03-03-2020 15:57:36
รอตอนหน้าๆๆๆๆ เขาจะได้อยู่กันสองต่อสองแล้ว
เขาจะจีบกันได้เต็มที่สักทีนะนี่
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 30 : 3.Mar '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-03-2020 19:37:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 30 : 3.Mar '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-03-2020 19:26:06
ยังรออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 31 : 3.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-04-2020 00:02:44
31








    ในห้องเงียบมาก เงียบเสียจนเขาได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศเลยทีเดียว ตั้งแต่กรกฤตออกไป ทั้งเขาและทัชชาก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันแม้แต่คำเดียว อีกฝ่ายก็เอาแต่จ้องหน้าเขา จ้องเอาๆ แบบนี้หากเขาเป็นปลากัด ป่านนี้คงท้องไปแล้ว

    พัสกาญเริ่มนั่งนิ่ง ๆ ไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อเขาเริ่มขยับตัว อาการเจ็บหลังก็แล่นเข้ามาทำให้ถึงกับอุทานออกมาไม่ดังนัก แต่คนที่นั่งไม่ไกลไม่ไกลกลับได้ยินชัดเจน

    “ม่อนจะลุกไปไหน หรือต้องการอะไรบอกพี่ก็ได้นะ อย่าพึ่งลุก” ทัชชาเดินเข้ามาพร้อมหมอนอิงใบใหญ่ เอามาหนุนหลังให้กับเขา “ยังเจ็บมากไหม” อีกคนถามอย่างเป็นห่วงแล้วถือโอกาสนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน

    “ไม่ครับ ผมแค่ขยับเพราะรู้สึกเมื่อยที่ต้องนั่งท่าเดิมนานๆ”

    “แล้วแบบนี้นั่งสบายขึ้นไหม?” ทัชชาขยับหมอนอิงให้เข้าที่อีกครั้ง

    “ขอบคุณครับ”

    “ม่อนรู้ไหม ว่าพี่มีเรื่องอยากถาม อยากจะคุยกับม่อนตั้งมากมาย แต่พอได้มานั่งกันสองคนแบบนี้ พี่กลับอยากจะนั่งมองม่อนไปเรื่อยๆ”

    “ทำอย่างกับพี่ทัชไม่เคยเจอผมอย่างนั้นแหละ”

    “ไม่เคย… พี่ไม่เคยเห็นม่อนตอนถอดแว่นใกล้ ๆ แบบนี้มาก่อน รู้ไหมว่าม่อนตาสวยมาก มากซะจนพี่ไม่อยากละสายตาจากดวงตาคู่นี้เลย”

    “เอ่อ... พี่ทัช”

    “พี่ไม่ได้พูดเกินจริง แต่มันเป็นความรู้สึกของพี่ ที่อยากจะบอกกับม่อน”

    “พอได้แล้ว!!” เขาโพลงออกมาทันที ก่อนที่พ่อพระเอกหนุ่มจะหยอดอะไรไปมากกว่านี้ แค่นี้เขาก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว

    “ม่อนโกรธ?”

    “เปล่า แต่พี่ทัชช่วยหยุดพูดอะไรทำนองนี้สักแป๊บได้ไหม?”

    “พูดแบบนี้?”

    “พี่ทัชทำให้ผม...ทำตัวไม่ถูก…” ปลายประโยคเขารู้ว่าน้ำเสียงของเขาแผ่วลงแค่ไหน แต่ถ้าไม่เอ่ยออกไปตามตรง เขาคงได้พรุนเป็นเตาขนมครกแน่ๆ

    “เขิน?”

    “ก็จะอะไรอีกเล่า” เขาตวาดไปไม่ดังนัก เรียกรอยยิ้มจากพ่อดาราหนุ่ม ไหนจะออร่าที่แผ่กระจายอยู่รอบตัวอีก มันระยิบระยับจนตาเขาแทบจะพร่าไปหมดแล้ว

    “พี่ขอโทษ งั้นเอาไว้ให้ม่อนพร้อมเมื่อไร พี่ค่อยบอกความในใจของพี่ก็แล้วกัน”

    “อะ อืม” พัสกาญรับคำอย่างเสียไม่ได้ ไหนจะหน้าตาจริงจัง ไหนจะออร่าที่เห็น แค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าทัชชาคิดยังไงกับเขา

    “แล้วเรื่องงานของกร ม่อนคิดยังไง”

    “ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร”

    “ถึงพี่อยากจะเจอม่อน แต่พี่ก็อยากจะให้ม่อนพักผ่อนมากกว่า พี่ไม่อยากให้ม่อนต้องทำงานหรือยกของหนัก ๆ ช่วงนี้”

    “ขอผมคิดดูก่อน” เขาตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะเขายังไม่ได้คิดจริงๆ ห่วงก็แต่ชาริสาเท่านั้น

    “หลังจากปิดกอง ม่อนจะรับงานกองถ่ายไหนอีกไหม?”

    “คงไม่แล้วล่ะครับ คงกลับไปทำงานที่ร้านเหมือนเดิม แล้วก็ยังค้างงานของคุณอิงลิชอีกงาน”

    “ใช่คู่หมั้นพี่รุธไหม?”

    “ครับ”

    “คอลเล็คชั่นที่ม่อนเอามาถ่ายลงนิตยสารของพี่รุธก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วยังมีงานค้างอะไรอีก”

    “ฉบับพิเศษครับ”

    “อ่อ ที่ฉลองครบรอบปีของนิตยสารใช่ไหม พี่เคยได้ยินพี่รุธพูดถึงอยู่”

    “ครับ”

    “พี่ถามได้ไหม ว่าพี่รุธเขาอยากให้ม่อนออกแบบชุดแบบไหน?”

    “เขาไม่ได้อยากได้ชุด เขาอยากจะขอสัมภาษณ์ผมลงนิตยสาร”

    “พี่ได้ยินว่าม่อนปฏิเสธไม่ใช่เหรอ พี่รุธกับคุณอิงลิชยังจะให้พี่ช่วยพูดกับม่อนเรื่องนี้เลย นี่สรุปแล้วม่อนยอมให้เขาสัมภาษณ์”

    “ผมไม่ได้ตอบรับเรื่องการให้สัมภาษณ์หรอกครับ แค่กำลังคิดว่าจะเอาโปรเจ็คอะไรไปเสนอแทนการให้สัมภาษณ์ดี”

    “อืม เรื่องแฟชั่นพี่ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไร เอาเป็นว่าพี่เป็นกำลังใจให้นะ”

    “พี่ทัชไม่ถามเหรอ ว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้สัมภาษณ์”

    “พี่ไม่อยากรู้ อีกอย่างพี่ไม่ชอบเลยความรู้สึกในตอนที่ม่อนเป็นจุดสนใจบนเวทีนั่น พี่ไม่อยากยอมรับเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าพี่หึง ไม่ชอบสายตาคนอื่นที่มองไปที่ม่อน พี่หวง เพราะฉะนั้น ม่อนไม่ให้สัมภาษณ์น่ะดีแล้ว”

    “...อะ อืม” มาอีกแล้ว พัสกาญรู้สึกว่าเขาโดนทัชชาหยอดอีกแล้ว
 
    “อ่อ พี่เผลอไปหน่อย ม่อนยังไม่พร้อมรับรู้ความรู้สึกพี่นี่เนอะ” ทัชชาพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

    “รู้แล้วก็เก็บไว้ในใจก็ได้ ไม่เห็นต้องพูดออกมาเลย” เขาบ่นอุบอิบออกมาแต่พ่อดาราหนุ่มนั่นก็หูดีเกิน ยังอุตส่าห์ได้ยินอีก ไหนจะรอยยิ้มนั่นอีก

.........................................................................

     กรกฤตเดินลงมาที่เคาน์เตอร์ของโรงแรม และแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการพบใคร ไม่นานนักก็มีคนลงมารับเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม

    เขามาห้องเดียวกันกับที่มาเมื่อวาน ห้องของลุงเถิง เมื่อแม่บ้านมาเปิดประตูให้และเดินนำเขาไปยังห้องรับแขก ผู้ที่เขาอยากพบนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย ถ้าเขาเดาไม่ผิดผู้ใหญ่เหล่านี้คงจะคุยกันเรื่องพัสกาญ

    “สวัสดีครับ อยู่กันครบเลย” เขาเอ่ยขึ้นแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ เฮียเจมส์

    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ลุงคีเอ่ยทักทาย และจริงอย่างที่ลุงคีว่า เขาไม่ได้เจอลุงมาตั้งแต่เรียนจบ เจอกันครั้งสุดท้ายคงจะเป็นที่ร้านอาหารของลุงหยก

    “ครับ ลุงคีสบายดีนะครับ ดูลุงไม่เปลี่ยนไปเลย”

    “สบายดี ๆ”

    “แล้วเรามีเรื่องอยากจะพบเฮีย คงเป็นเรื่องของม่อนใช่ไหม?” เฮียเจมส์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถามเขา และดูเหมือนทุกคนจะรอฟังอยู่

    “ครับ คือผมคิดว่าเรื่องที่เกิดกับม่อน ไม่ได้เกี่ยวกับเยียนหวอ เลยอยากมาแจ้งให้พวกลุงสบายใจ”

    “นายไปรู้อะไรมา?” ลุงเสือถามผม

    “ผมเพิ่งนึกได้ตอนคุยกับเพื่อน ๆ เมื่อเช้า แหม่มมีผู้จัดทาบทามให้ไปเล่นซีรีย์ที่นิวยอร์ก เรื่องนี้ยังไม่เป็นข่าวออกไป แต่ก็มีคนพอจะรู้บ้าง จนเมื่อเช้าผมเองก็พึ่งรู้ว่าเธอตัดสินใจรับเล่นซีรี่ย์เรื่องนั้น”

    “จะบอกว่านี่อาจเป็นสาเหตุให้มีคนลอบทำร้ายหนูแหม่มอย่างนั้นเหรอ?” ลุงคีถามย้ำอีกครั้ง

    “ครับ มันมีความเป็นไปได้ อีกอย่างพวกลุงรู้จักแหม่มดี รู้ว่าแหม่นิสัยเป็นยังไง คงจะเห็นข่าวต่างๆ ของแหม่มที่ออกมาในระยะหลัง ๆ นี้”

    “อืม จะว่าไปเฮียเองก็เห็นนะ เหวี่ยงวีน ทำร้ายเพื่อนร่วมงาน แย่งซีนดาราคนอื่น แต่ละข่าวมีแต่ทางที่ไม่ดีทั้งนั้น”

    “ผมกับน้องดาพยายามจะหาคนที่ปล่อยข่าวพวกนี้อยู่ แต่ก็ยังตามหาต้นตอของมันไม่ได้”

    ระหว่างที่เขากำลังคุยกับพวกลุง ๆ อยู่นั้น แม่บ้านคนหนึ่งก็เดินเข้ามารายงาน

    “ขออนุญาตค่ะ ที่ฟร้อนโทรมาแจ้งว่า แขกที่ให้คุณโชไปพามา ตอนนี้รออยู่ด้านล่างแล้วค่ะ”

    “ให้โชพาเขาขึ้นมา” ลุงเถิงบอกแม่บ้านคนนั้น “เดี๋ยวเรารอแขกของเราก่อนค่อยคุยกันต่อ”

    ถึงแม้ว่ากรกฤตจะสงสัยว่าแขกที่ลุงเถิงให้ไปพามานั้นเป็นใคร แต่จากเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องของพัสกาญเป็นแน่ จนเมื่อแขกคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นักข่าวนี่คงไม่ใช่คนของเยี่ยนหวอหรอกนะ

    “พวกคุณให้ผมมาที่นี่ คงไม่ใช่ต้องการจะข่มขู่ผมหรอกนะ” คนที่มาใหม่เอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลยด้วยซ้ำ

    “ใจเย็น ๆ สิคุณนักข่าว เราแค่ต้องการจะขอความร่วมมือกับคุณเท่านั้น นั่งลงก่อนเถอะ” เฮียเจมส์พูดขึ้นกับอีกคน ทำให้นักข่าวคนนั้นเห็นเขา

    “น้องกร?”

    “กรรู้จักกับเขาด้วยอย่างนั้นเหรอ?” เฮียเจมส์หันมาถามเขา เขาเองก็ได้แต่ส่ายหน้า

    “เชิญนั่ง เราจะได้คุยเรื่องที่ค้างไว้กันต่อเลย” ลุงเถิงพูดขัดขึ้น ทำให้นักข่าวคนนั้นเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่

    “ผมได้ดูรูปจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดแล้ว ผู้หญิงในรูปที่คุณภาริชเห็นใช่คนนี้รึเปล่า” ลุงคียื่นแทบเล็ตไปให้นักข่าวคนนั้น

    ‘ภาริช...พี่ภาติสงั้นเหรอ’ กรกฤตเหมือนนึกขึ้นได้ว่าชาริสาเจอรุ่นพี่ที่มหาลัย และยังเป็นคนช่วยพาพัสกาญไปส่งที่โรงพยาบาลอีกด้วย

    “ใช่ ผู้หญิงคนนี้แหละที่เดินสวนกับผมตอนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ” ภาริชว่าแล้วส่งแท็บเล็ตคืนให้ลุงคี

    “ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ” ลุงคีส่งแท็บเลตให้กับเขา “ผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว”

    “กรรู้จักผู้หญิงในรูปนี้?” ลุงคีถาม ส่วนเขาก็ขยายรูปดูให้ชัด ๆ จนแน่ใจ

    “ผมไม่รู้จักเธอ แต่มักจะเห็นเธอตามสถานที่ต่างๆ ที่แหม่มไป”

    “กรแน่ใจนะ” ลุงเสือถามเขาย้ำอีกครั้ง

    “แน่ใจครับ ผมกับดาคิดว่า เธออาจจะมีส่วนรู้เห็นในการปล่อยข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับแหม่ม และสร้างเรื่องใหเหลายๆ คนเข้าใจแหม่มผิด แต่ไม่มีทั้งหลักฐาน และที่สำคัญผมยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร”

    “เอาไงดีอาเถิง” ลุงเสือถามลุงเถิงนั่งฟังเงียบ ๆ
 
    “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับม่อน เยี่ยนหวอจะไม่เขาไปยุ่งเกี่ยว แต่หนูแหม่มที่เป็นเพื่อนม่อนต้องปลอดภัย เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายก็แล้วกัน พยัคฆ์”

    “อืม ถ้างั้นเรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

    “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ผมกลับไปที่ไร่พร้อมคุณยายเลยนะป๊า” เฮียเจมส์ลุกขึ้นและบอกความต้องการของตัวเองกับลุงเถิง

    “แล้วไม่คิดจะกลับไปดูงานที่มาเก๊าเลยรึไง”   

    “ที่นั่นก็ให้ตั่วเฮียดูแลไปสิ อ่อ...แล้วงาน”

    “อะแฮ่ม” เขาแกล้งกระแอมไอเล็กน้อย “ขอโทษครับ”

    “เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมค่อยไปพร้อมพี่ภูก็แล้วกัน จะรีบกลับไปเครียงานที่ไร่ไงล่ะ” เฮียเจมส์ที่นึกขึ้นได้ว่ามีคนนอกอยู่จึงเลี่ยงพูดถึงเรื่องงานแฟชั่นวีคที่ฮ่องกง

    “อืม จะไปไหนก็ไป” ลุงเถิงโบกมือไล่ เฮียเจมส์ได้แต่ยิ้มขำแล้วเดินออกจากห้องไปเป็นคนแรก เขาเหมือนจะเห็นลุงเสือยิ้มล้อเลียนลุงเถิงเล็กน้อย

    “พวกคุณให้ผมมาแค่ดูรูปนี้เท่านั้นใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว วันนี้ผมต้องกลับกรุงเทพฯ”

    “เดี๋ยวก่อน ฉันมีข้อเสนอให้นาย เผื่อนายจะสนใจ” ลุงเสือเรียกไว้ก่อนที่ภาริชจะลุกขึ้น

    “อะไร” ไอ้ภาติสนี่ ช่างเป็นนักข่าวที่ไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่เลยจริง ๆ

    “ฉันต้องการให้นายช่วยกรกับหนูดาสืบดูว่าผู้หญิงในรูปนี้เป็นใคร”

    “แล้วผมจะได้อะไร”

    “นายทำข่าวบันเทิงสินะ” ลุงเสือถามภาริช ก่อนหันมาถามเขา “กรว่าข่าวของหนูแหม่ม กับข่าวของโมนิก้า มีค่าพอจะแลกไหม?”

    “ก็ต้องดูผลงานของคุณภาริชครับ หากทำงานดี ผมแถมข่าวของคุณทัชชาให้อีกคนก็ยังได้”

    ลุงเสือดูเหมือนจะชอบใจ ยกยิ้มมุมปากให้เขาเล็กน้อย ส่วนนายภาริชนั่นพอได้ยินชื่อทัชชาถึงกับตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

    “ได้ ตกลง น้องกรจะเป็นคนให้ข่าวพี่ใช่ไหม?”

    สรรพนามที่เอ่ยกับเขาทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ไอ้ภาติสนี่ต้องจำเขาได้แน่ๆ ถึงได้กวนเขาแบบนี้ นิสัยไม่เคยเปลี่ยน จะเพิ่มเติมขึ้นก็ตรงไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ที่เขานับถือนี่แหละ พฤติกรรมช่างไม่เหมาะกับหนังหน้าหล่อ ๆ ของมันเลยจริงๆ สภาพซกมกเมื่อสมัยเรียนดูจะเหมาะสมมากกว่าเสียอีก เสียดายหน้าตาชะมัด



To Be Continued

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 31 : 3.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-04-2020 01:06:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...เปิดตัวคู่ใหม่  ภาติช-กร  สินะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 31 : 3.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 03-04-2020 22:09:18
เขานั่งเขินกันอ่ะ

อะไรๆๆๆๆ พี่ภาติสกับน้องกรเหรอ ว้ายยยยย ลุ้นนนนน
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 32 : 4.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 04-04-2020 08:54:36
32









    จากที่ทัชชาได้คุยกับพัสกาญเพียงลำพัง เขาสังเกตุเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เป็นคนขี้อายอย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรก สิ่งไหนที่พัสกาญชื่นชอบมักจะพูดคุยและแสดงออกมาด้วยความมั่นใจเสมอ

    การที่อีกฝ่ายแสดงออกในลักษณะนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ชาญและเอมคุยกับเขาเมื่อเช้า เรื่องบางเรื่องที่มีผลกระทบกับจิตใจของอีกฝ่าย ถึงเขาจะสงสัยหรืออยากรู้มากแค่ไหน ก็ตั้งยั้งใจไว้ไม่ให้ถามออกไป

    “แล้วนี่ม่อนจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไร กลับพร้อมกับพวกกรเลยไหม?”

    “ผมกลับพร้อมน้ากล้าครับ รอน้ากล้าเสร็จงานแล้วมารับ”

    “แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ล่ะ ท่านไม่ได้กลับพร้อมกันกับม่อนเหรอ”

    “พ่อน่าจะไปราชการที่อื่นต่อ ส่วนแม่...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน” พัสดาญพูดด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า ที่น้อยครั้งนักที่ใครจะได้เห็น หรือแม้แต่เขาเองก็ตาม

    “เดี๋ยวอีกสักพักพี่คงต้องเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ แล้ว เพราะพรุ่งนี้พี่มีคิวงานตอนเช้า”

    “อ่อ แล้วนี้คุณอามันต์ไปรอพี่มัชที่ไหนล่ะครับ พักอยู่ที่นี่รึเปล่า”

    “รายนั้นกลับกรุงเทพฯ ไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ”

    “อ่าว แล้วพี่ทัชกลับยังไงครับ มีรถกลับรึเปล่า” การที่พัสกาญแสดงออกว่าเป็นห่วงเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาดีใจจนกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

    “ถ้าม่อนกลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว พี่แวะไปหาม่อนที่ร้านได้ไหม?”

    “ม่อนน่าจะไม่ได้อยู่ที่ร้านสักพัก น้ากล้าน่าจะพากลับเข้าบ้านใหญ่”

    “อืม พี่เข้าใจ ที่ร้านม่อนอยู่คนเดียว ทางบ้านคงจะเป็นห่วง”

    “ครับ”

    “ถ้าอย่างนั้น พี่เข้าไปเยี่ยมม่อนที่บ้านได้ไหม? จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับแม่ของม่อนด้วย เมื่อคืนผู้ใหญ่อยู่กันเยอะ พี่แทบจะจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร”

    “เมื่อคืนนี้...พี่ทัชได้เจอทุกคนเลยเหรอครับ”

    “ก็ไม่นะ ได้ยินชาญพูดก่อนกลับว่าเกือบครบ แต่พี่จำไม่ได้ว่าขาดใครบ้าง เพราะมัวแต่กังวลเรื่องม่อนเลยไม่ได้ฟังคนที่เดินมาพาพวกเราขึ้นไปที่ชั้นบน รอจนดึกม่อนถึงเข้ามาพร้อมกับพี่ชาย”

    “อ่อ ครับ ผมก็มัวแต่เจ็บเลยไม่ทันได้มองว่าในห้องมีใครบ้าง แล้วมีใครพูดอะไรกับพี่ทัชไหม?”

    “ส่วนใหญ่พี่นั่งคุยกับป้าหงส์และคุณยาย นอกจากนั้นก็ไม่ได้คุยกับใครเลย แต่พี่จำพ่อแม่ของม่อนได้นะ จากตอนที่ท่านขึ้นไปบนเวที”

    “ครับ ที่บ้านใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครอยู่นอกจากแม่ ถ้าพี่ทัชว่าง ๆ ก็แวะมาเที่ยวก็ได้ครับ แม่ของม่อนใจดี”

    “อืม ไว้พี่จะหาโอกาสไปสวัสดีท่าน”

    “ไว้ม่อนจะส่งโลเคชั่นที่บ้านไปให้นะครับ”

    “นอกจากโลเคชั่นแล้ว เวลาคุยกัยพี่ขอรูปของม่อนตอนที่ไม่ใส่แว่นด้วยได้ไหม?”

    “แค่คุยกันผ่านแชท จะเอารูปไปทำไม”   

    “ก็แค่อยากได้กำลังใจตอนทำงาน นี่ไม่รู้ตัวเหรอว่าตาหวาน ๆ คู่นี้ทำให้พี่หายเหนื่อยได้เลยนะ”

    “พี่ทัช…”

    “นิดหน่อยเอง เดี๋ยวก็ชิน” ทัชชายิ้มขำกับใบหน้าและท่าทางของพัสกาญที่ดูจะทำตัวไม่ถูก

    “ไม่รู้ว่าเป็นการละลาบละล้วงเกินไปไหม ถ้าผมจะถาม”

    “ถ้าม่อนไม่ถามพี่ก็ไม่รู้หรอก ถามมาเถอะ พี่ไม่มีอะไรปิดบังม่อน”

    “เรื่องของคุณพราว”

    “อืม เรื่องนี้ถามได้ แต่…” เขาทำสีหน้าหนักใจเล็กน้อยซึ่งไม่ได้ยากอะไรสำหรับนักแสดงอย่างเขา

    “เอ่อ ถ้าลำบากใจ ผมไม่ถามก็ได้ครับ”

    “ม่อน”

    “ครับ?”

    “เรียกแทนตัวเองว่าม่อน เหมือนตอนที่คุณกับพี่ชายของม่อนได้ไหม?”

    “หา?”

    “แล้วพี่จะตอบทุกคำถามที่ม่อนอยากรู้”

    “เรียกแทนตัวเองแบบไหนก็เหมือนกันนี่ครับ ไม่เห็นจะต่างเลย”

    “ต่างสิ ต่างตรงที่พี่จะได้เป็นเหมือนคนสำคัญคนหนึ่งของม่อน เพราะเท่าที่พี่สังเกตุ ม่อนเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเฉพาะกับคนในครอบครัวเท่านั้น ใช้ไหม?”

    “งั้นผมไม่อยากรู้แล้ว”

    “อ่าว นี่พี่ไม่มีความสำคัญอะไรขนาดที่ม่อนจะเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองได้เลยเหรอ?”

    “มันไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่...มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ เราเพิ่งจะได้คุยกันจริงๆ จังๆ ได้ไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ”

    “ทีม่อนยังอยากรู้เรื่องพี่กับพราวเลย”

    “ก็บอกว่าไม่อยากรู้แล้วไง”

    “แต่พี่อยากจะเล่านี่ ม่อนจะได้ไม่เข้าใจผิดเรื่องพี่กับพราว หากว่าเราต้องทำงานด้วยกัน”

    “ไม่เอาๆ ไม่ต้องเล่าก็ได้”

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น หยุดการถกเถียงระหว่างเขาและพัสกาญ มันเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าความสุขที่เขาได้คุยและหยอกล้ออีกคนกำลังจะหมดไป ทัชชาลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างอ้อยอิ่ง

    “พี่ทัช พี่กรให้ผมมาเก็บของในห้อง” ชาญเดินเข้ามาพร้อมกับเอม

    “อ่าว แล้วกรล่ะ”

    “พี่กรบอกว่ามีนักข่าวตามอยู่ เลยกลับห้องไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะมาเจอพี่ทัช และคุณพัส”

    “พี่ม่อน เอมซื้อน้ำส้มมาฝาก” เอมเดินเข้าไปนั่งแทนที่เขาเมื่อครู่ ทำให้ทัชชาอดเสียดายไม่ได้ ส่วนชาญก็เดินไปเก็บของใช้ส่วนตัว อันที่จริงเรียกว่าโกยจะดีกว่า

    “นักข่าวที่ว่า คงไม่ใช่พี่ภาติสหรอกนะ”

    “พี่ม่อนรู้ได้ยังไงค่ะ”

    “หึ พี่พาติสไม่ปล่อยกรไปง่ายๆ หรอก”

    “นี่พี่ม่อนรู้อะไรมา รีบบอกเอมมาเลยนะ”

    “ใช่ๆ ผมก็อยากรู้ ว่าใครเขาเป็นใคร ทำไมถึงทำให้พี่กรที่แสนใจเย็นหงุดหงิดได้ขนาดนี้”

    “มันเป็นเรื่องเมื่อสมัยเรียนน่ะ”

    “อ๋อ…” ทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกัน อีกทั้งยังเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อย จากสีหน้า ดูยังไงก็เหมือนอยากรู้เรื่องของกรกฤตแต่ทัชชาไม่เข้าใจแววตาลังเลของทั้งสอง

    “ชาญเสร็จยัง” เอมลุกขึ้นจากโซฟา เหมือนตัดสินใจได้

    “อืม เสร็จแล้วๆ”

    “พี่ม่อน งั้นเอมกับชาญไปก่อนนะ เรื่องพี่กรเอมฝากไว้ก่อน ตอนนี้คงต้องรีบไปหาพี่กรแล้ว ก่อนพี่กรจะทะเลาะกับนักข่าวคนนั้นไปมากกว่านี้”

    “อืม” พัสกาญยิ้มขำ เมื่อได้ยินเรื่องของเพื่อนตัวเอง สองคนนั่นก่อนออกจากห้องได้สบตาเขาเล็กน้อย เขาจึงเดินไปส่งที่ประตู

    “พี่ควรเลี่ยงการพูดเรื่องสมัยเรียนของม่อนใช่ไหม” เขาเอ่ยถามเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สามคนและได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องมาดังเดิม

    “แล้วทีนี้พี่จะทำยังไงกับมาม่อนดี” พูดจบประโยค ดูเหมือนอีกฝ่ายแทบจะสำลักน้ำส้มที่เอมนำมาฝาก

    “อะ อะไร?”

    “ม่อนคิดไปถึงไหน?”

    “เปล่า!!” เขาเดินอ้อมไปหยิบกระดาษทิชชูส่งให้อีกคนซับริมฝีปากที่เลอะน้ำส้ม เขามองตามการกระทำนั้นแล้วอยากจะใช้ตัวเองแทนทิชชูซับริมฝีปากให้พัสกาญเสียจริง

    “พี่เองก็ต้องเตรียมกลับแล้ว กรก็คงไม่ขึ้นมาที่ห้องนี้อีก แล้วม่อนจะกลับห้องยังไง?”

    “ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แค่กลับห้องแค่นี้ผมเดินไปคนเดียวได้”

    “ม่อน”

    “ครับ”

    “ใช้คำว่าม่อนไม่ได้เหรอ ที่เรียกแทนตัวเองน่ะ”

    “ไม่ได้!!”

    “ทำไมละครับ”

    “ก็ม่อนยังไม่พร้อมนี่”

    “ไม่พร้อมเรียก หรือไม่พร้อมให้พี่เป็นคนสำคัญ”

    “ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

    “พูดตรงแบบนี้ พี่เสียใจนะเนี่ย...แล้วเมื่อไรจะพร้อม”

    “พี่ทัช…”

    “ครับ?”

    “นี่ใช่พระเอกชื่อดัง พระเอกตลอดกาล สามีแห่งชาติของสาว ๆ หลายๆ คนรึเปล่าเนี่ย”

    “พระเอกชื่อดัง อันนี้พี่ไม่แน่ใจว่าพี่ดังแค่ไหน ส่วนเรื่องพระเอกตลอดกาล พี่ว่าไม่น่าจะใช่เพราะคนเรามีขึ้นมีลง อีกไม่กี่ปีคงไม่มีใครจ้างพี่เล่นบทพระเอกแล้วล่ะ ส่วนสามีแห่งชาติของสาว ๆ พี่ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย ถ้าจะอยากก็คง...อยากเป็นคนสำคัญในใจม่อนนี่แหละ แต่ม่อนไม่ยอมยกตำแหน่งนี้ให้พี่สักที”

    “พี่ทัชอ่ะ พอได้แล้ว”

    “ไม่พอ จนกว่าม่อนจะยอม”

    “กับแค่คำสรรพนามแทนตัวเอง มันไม่ได้ช่วยให้พี่ทัชเป็นคนสำคัญขึ้นมาสำหรับผมหรอกนะ”

    “แต่อย่างน้อยพี่ก็รู้สึกว่าพี่ได้รับความสำคัญจากม่อน”

    “จริงจังไหมเนี่ย”

    “จริงจังที่สุดแล้ว”

    “พี่ทัชไปบังคับคุณพราวเขาแบบนี้รึเปล่า เขาถึงได้ทิ้งพี่ทัชไป หรือเพราะความคิดไปเองของพี่แบบนี้” พัสกาญโพลงออกมาแล้วก็ต้องชะงักไปกับสิ่งที่พูด ท่าทางที่ก้มหน้าหลบสายตามและเม้มริมฝีปากตัวเองนั้น ทำให้ทัชชาคิดว่ามันน่ารักมากกว่าจะโกรธอีกฝ่ายเสียอีก

    “พี่ไม่เคยบังคับพราว กับม่อนพี่ก็ไม่ได้บังคับ แค่ของร้อง... ส่วนเรื่องที่คิดไปเองพี่บอกได้แค่ว่าพี่ไม่เคยคิดไปเอง นอกจากการกระทำของอีกฝ่ายจะแสดงออกให้พี่คิด พี่เป็นผู้ชาย และเป็นผู้ใหญ่กว่าอีกฝ่าย ดังนั้นมันไม่เหมาะสมถ้าพี่จะพูดถึงเรื่องของเธอในทางที่ไม่ดี”

    “ละ...แล้วผมแสดงออกยังไง พี่ทัชถึงได้คิดเข้าข้างตัวเองอย่างนี้”

    “ไม่รู้ตัวเหรอว่าตลอดเวลาที่คุยกับพี่ ม่อนหน้าแดงแค่ไหน”

    สิ้นคำพูดของทัชชา พัสกาญก็ขยับตัวลุกขึ้นทันที ดูจากสีหน้าเจ็บปวดของอีกคน ทำให้เขารีบเข้าไปประคอง แต่กลับถูกสะบัดมือออกไม่รุนแรงนัก จากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวฉับ ๆ ออกจากห้องไปทันที

    “เดี๋ยวสิม่อน ไม่งอนพี่นะครับ” เขารีบตามพัสกาญออกจากห้องไปทันที

    “ใครงอน!!” อีกคนพูดทั้งที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลย จนกระทั่งถึงลิฟท์

    “ม่อน”

    “พอแล้ว…” เสียงที่เอ่ยออกมาราวกับจะขอร้อง

    “ครับ ไม่แกล้งแล้ว ไว้ม่อนพร้อมเมื่อไรก็เมื่อนั้น ม่อนกลับไปพักเถอะ พี่เองก็ต้องไปเก็บของที่ห้องแล้วเหมือนกัน” พวกเขาคุยกันระหว่างที่รอลิฟท์

    “พี่ทัชกลับยังไงครับ”

    “เช่ารถของโรงแรมครับ”

    “ให้ผมช่วยจัดการให้ไหม?”

    “ไม่ต้องครับ พี่จัดการเองได้ แค่ม่อนเป็นห่วง และแสดงน้ำใจกับพี่ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว” เสียงลิฟท์หยุดลงที่ชั้นของพวกเขา “พี่ส่งแค่นี้นะครับ เอาไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ”

    พัสกาญพยักหน้าให้ทัชชาหลังจากเดินเข้าตัวลิฟท์ไปแล้ว เขายืนส่งอีกคนจนลิฟท์เคลื่อนไปหากแต่เขายังไม่อยากจะก้าวออกไปจากตรงนี้     




To Be Continued

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 32 : 4.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-04-2020 09:49:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 33 : 7.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 07-04-2020 01:16:57
33










          หลังจากงานแรลลี่การกุศลจบลงหลายวัน แต่ผู้สื่อข่าวสำนักต่าง ๆ ยังคงเขียนข่าวถึงงานดังกล่าวอยู่ เพราะบุคคลที่มีชื่อเสียงจากหลายหลายสาขาต่างไปร่วมงานกันอย่างเนืองแน่ และข่าวดังคงไม่พ้นนักแข่งหนุ่มที่เป็นเซเลบตระกูลดัง หลังชนะการแข่งขันเงินรางวัลที่ได้นั้นเจ้าตัวได้นำไปบริจาคทั้งหมด

          อีกทั้งยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายคนต่างสมทบทุนบริจาคชนิดที่ว่า เงินบริจาคนี้สามารถช่วยซ่อมแซมโรงเรียนบนเขาได้ครบทุกโรงเรียน อีกทั้งยังได้สื่อการเรียนการสอน ชุดนักเรียน และทุนการศึกษาเพิ่มมาอีกด้วย

          งานส่งมอบเงินทุนช่วยเหลือและของบริจาค มีคุณภูผา รัตนการเนตร์และคุณหว๋ายคู่รักเป็นหัวเรือใหญ่ในครั้ง

          “พี่กร ในข่าวพวกนี้ลงชื่อเฮียเจมส์กันผิดรึเปล่า?” เอมยื่นโทรศัพท์ให้กรกฤตที่กำลังนั่งรอนักแสดงพักเบรค 15 นาที ก่อนที่จะทำการถ่ายทำซีนถัดไป

          “ก็คุณภูเขาเรียกเฮียเจมส์ด้วยชื่อนั้นจนติดปาก แล้วคนที่บ้านเฮียก็เห็นดีเห็นงามที่เฮียเขาจะมีชื่อไทย”

          “แล้วแบบนี้คนอ่านจะไปรู้กันได้ยังไง ว่าคุณหว๋ายคือเฮียเจมส์” เขาเห็นเอมดูจะไม่พอใจกับข่าวนี้เท่าไร

          “ไม่มีคนรู้นะดีแล้ว เฮียเขาอุตส่าห์หนีความวุ่นวายไปอยู่ไร่กับคุณภู” ชาญออกความคิดเห็น

          “เอ่อๆ ก็เข้าใจ แต่มันเห็นแล้วอดหงุดหงิดไม่ได้ แกเห็นข่าวนี้รึยัง มีแต่คนขุดคุ้ยหาว่าคุณหว๋ายเป็นใคร มาจากไหน บ้างว่าดีแต่หน้าตา ฐานะทางสังคมสู้พ่อเลี้ยงแห่งไร่รัตนการเนตร์ไม่ได้”

          “เอาน่า แกก็คิดเสียว่าเพื่อความปลอดภัยของเฮียเจมส์เขา” ชาญบ่นออกมาอย่างรำคาญก่อนจะลุกเดินออกไป

          กรกฤตนั่งอ่านข้อความจากอีเมลในโทรศัพท์เพื่อเช็คดูว่าเขาหลุดอีเมลไหนที่อ่านแล้วยังไม่ได้ตอบลูกค้าหรือไม่ เพื่อเป็นการรอเวลาสำหรับซีนถัดไป อยู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นจนเขาถึงกับสะดุ้ง

          “สวัสดีครับ” เบอร์ที่เขารับนั้นไม่ได้เมมชื่อ จึงไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ของใครโทรเข้ามา

          ‘น้องกรอยู่ตรงไหนครับ หายไปกันหมดทั้งลูกพี่ลูกน้องเลยนะ’ เสียงที่ดังเข้ามาตามสายนั้นทำให้เขาอยากจะวางสายลงทันที

          “คุณมีธุระอะไร?”

          ‘อ่าว ถ้าไม่มีธุระ พี่โทรหาน้องกรไม่ได้เหรอ?’

          “ผมต้องเตรียมงาน อีก 5 นาทีนักแสดงจะเข้าซีนแล้ว” เขาตอบแบบเร่งรัดหวังจะให้อีกฝ่ายวางสายไปเสียที “มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา”

          ‘ยังดุเหมือนเดิมเลยนะครับ พี่หายไปตั้งหลายวันไม่คิดจะถามสารทุกข์สุขดิบพี่บ้างเหรอ?’

          “คุณภา ผมไม่มีเวลามากนัก ถ้าคุณไม่มีอะไรสำคัญตอนนี้ ก็แค่นี้นะ”

          ‘เดี๋ยว ๆ จะโหดไปไหนครับ พี่จะโทรมาบอกความคืบหน้าที่พี่สืบมาได้ แต่น้องกรมีเวลาไม่มาก ถ้าอย่างนั้นเลิกกองค่อยเจอกันดีไหมครับ’

          “ก็แล้วแต่คุณ”

          ‘พูดจาห่างเหินจังเลยนะครับ’

          “ไว้ผมเลิกกองแล้วผมโทรไป” กรกฤตที่กำลังจะวางสายถูกเรียกไว้เป็นครั้งที่สอง

          ‘เดี๋ยว ๆๆ’

          “อะไรของคุณอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญจนเอมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าเขา

          ‘คิดถึง’

          เขาที่สบตากับเอมอยู่ถึงกับนิ่งค้าง เมื่อกี้ก่อนที่ไอ้พี่ภาติสมันจะวางสาย มันบอก คิดถึง เขาอย่างนั้นเหรอ...

.........................................................................

          อิงลิชเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานของเธอหลังจากไปสรุปประเด็นที่จะเขียนคอลัมน์ในนิตยสารฉบับเดือนถัดไป แต่เมื่อเปิดประตูเขามาก็พบกับเจ้ารุ่นน้องที่มาอาศัยนอนอู้อยู่ในห้องทำงานของเธอ

          “อะไรกันนายภา ช่วงนี้พี่เห็นเธอมาอู้งานที่ห้องพี่ได้ทุกวันเลยนะ”

          “ไม่ได้อู้ นี่ก็กำลังทำงาน เพื่อสานสัมพันธ์และสร้างอนาคตอยู่”

          “อะไรของนาย แล้วไอ้อาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นี่มันอะไรกัน”

          “ก็ไม่มีอะไรหรอกพี่อิง แค่ดีใจที่ได้เจอรุ่นน้องที่มหาลัยอ่ะ”

          “ดีใจอะไรนักหนา ทุกครั้งที่นายบอกพี่ว่าเจอรุ่นน้องก็ไม่เห็นจะออกอาการดี๊ด้าขนาดนี้”

          “นี่ผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?”

          “อืม ว่าแต่ไปเจอใครอีกล่ะคราวนี้?”

          “แสดงออกขนาดนี้ น้องเขาก็ต้องรู้บ้างแหละ” ภาริชดูเหมือนจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอถามแม้แต่น้อย ทำให้เธอต้องถามย้ำอีกครั้ง

          “นี่พี่ถามจริง นายไปเจอใครมา ถึงได้เพ้อขนาดนี้”

          “น้องกรน่ะพี่”

          “น้องกร? ...อ๋อ...น้องที่นายเคยเข้าไปจีบเขาแล้วเข้าใจผิดคิดว่าไปจีบเพื่อนเขาคนนั้นอ่ะนะ”

          “อืม พี่อิงจำได้ด้วยเหรอ?”

          “จำได้สิ เวลาเลี้ยงรุ่นที่ไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเล่าเลยล่ะ”

          “อะไรกัน จนป่านนี้ยังไม่เลิกเอามาเม้าท์ในวงเหล้าอีกเหรอ? ...แต่คราวนี้นะผมไม่ปล่อยน้องกรหลุดไปแน่ๆ กว่าจะได้เจอ ไม่ใช่ง่าย ๆ”

          “เอาๆ พี่เอาใจช่วยก็แล้วกัน คราวนี้ก็อย่าให้เขาเข้าใจผิดเหมือนคราวที่แล้วอีกล่ะ”

          “ไม่มีทาง ภาริชซะอย่าง”

          “ว่าแต่ ทำไมไม่ไปทำงานที่สำนักพิมพ์ตัวเอง ขนอะไรมาที่ห้องทำงานพี่เยอะแยะ” เธอก้มลงบนโต๊ะการมีเอกสารหลายแผ่นวางอยู่

          “ทำที่นั่นไม่ได้ ผมไม่ไว้ใจคนในสำนักงาน”

          “ทำไม ความลับเหรอ”

          “พี่จำข่าวคราวก่อนที่ผมให้พี่ช่วยอ่านได้ไหม?”

          “ข่าวของน้องแหม่มน่ะเหรอ?”

          “ใช่ ทางน้องกรกับผู้จัดการส่วนตัวของน้องแหม่มกำลังสืบหาคนที่ปล่อยข่าวไม่ดีก่อนหน้านี้อยู่ ข่าวพวกนั้นมันเป็นเหตุบังเอิญที่ทำให้น้องแหม่มถูกมองว่าเป็นนักแสดงเจ้าอารมณ์”

          “ภากำลังจะบอกพี่ว่าน้องแหม่มถูกสร้างสถานการณ์หรือไม่ก็ถูกจัดฉากอย่างนั้นเหรอ”

          “ผมยังไม่รู้หรอก แต่ฟังจากน้องกรเล่าก็มีความเป็นไปได้”

          “เดี๋ยวนะ น้องกรมาเกี่ยวอะไรด้วย”

          “น้องกรเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับน้องแหม่ม และก็คุณพัสของพี่ยังไงล่ะ?”

          “แล้วคนที่น้องกรคิดว่านายไปจีบก็คือคุณพัส”

          “พี่อิงจะวกกลับมาเรื่องนี้ทำไมเนี่ย”

          “ก็มันตลกนี่” เธอหัวเราะขำอย่างอดไม่ได้ “อ่ะๆๆ ไม่ล้อแล้ว เล่าต่อๆ”

          “น้องกรกับผู้จัดการของน้องแหม่มมักจะเห็นผู้หญิงคนนึงตามสถานที่โชว์ตัว หรืองานที่น้องแหม่มได้รับเชิญเสมอ และเธอคนนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ของน้องแหม่ม”

          “จะว่าไปแล้ว พี่เพิ่งจะสังเกตนะ ว่าตอนที่น้องแหม่มยังเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์โฆษณา หรือรับแสดงบทสมทบเล็ก ๆ พี่ไม่เคยเห็นข่าวพวกนี้เลย จะเพิ่งมามีก็ตอนที่รับบทนางเอกเรื่องที่ออนแอร์พร้อมกับมนต์รักปั้นสิบนั่นแหละ แต่ดังไม่เท่ากับน้องพราวที่เป็นนางเอกของเรื่อง”

          “ก่อนที่จะเล่นละครเรื่องนี้ แหม่มเคยเป็นนางเอกเรื่องอื่นด้วยเหรอ?”

          “นี่นายภา นายเป็นนักข่าวนะ พลาดข่าวนี้ได้ไง”

          “เฮ้ย ผมก็ไม่ได้ดูละครทุกเรื่องนะพี่ ช่วงไหนกระแสใครมา ข่าวใครดัง ผมก็ต้องเกาะติดข่าวพวกนั้นสิ ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นยิ่งมีข่าวลือหนาหูว่าทัชชากับพราววริศาคบกันอยู่ด้วย”

          “จ้า ๆ พ่อนักข่าว ละครที่น้องแหม่มเล่นเป็นละครเย็น พี่เองก็จำชื่อเรื่องไม่ได้ นายลองไปค้น ๆ ดูเอาเองก็แล้วกัน”

          “พี่อิง ขอบคุณเรื่องข้อมูลนะ”

          “อืม แล้วนายจะสืบเรื่องนี้ไปทำไม หวังจะชนะใจน้องกรหรือไง”

          “ก็ส่วนหนึ่งนั่นแหละ แต่ยังไงเรื่องนี้ก็มีผมประโยชน์เห็น ๆ”

          “หวังข่าวดังล่ะสิ ถ้ามีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ”

          “พูดแบบนี้แสดงว่า พี่อิงมีข้อแลกเปลี่ยนล่ะสิ”

          “นายก็รู้นิสัยพี่”

          “พี่อยากได้ข่าวใคร?”

          “ไม่ได้อยากได้ข่าวใคร ถ้านายสมหวังกับน้องกร นายให้น้องเขาช่วยเรื่องสัมภาษณ์คุณพัสได้ไหม?”

          “ไม่มีทาง รายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ อีกอย่างผมเตือนพี่อิงไปแล้วนะ ว่าคนระดับพัสกาญอ่ะ ทางที่ดีอย่าเข้าไปยุ่งกับเขาเลย”

          “เฮ้อ...งั้นพี่คงหมดสิทธิ์แล้วสิ ภาก็ไม่ช่วยพี่ คุณทัชก็ปฏิเสธไม่ช่วย”

          “เดี๋ยวๆๆ พี่อิงว่ายังไงนะ คุณทัชไม่ช่วยอะไร?”

          “ก็ไม่ช่วยพูดเรื่องที่พวกพี่ขอสัมภาษณ์คุณพัสไงล่ะ?”

          “คุณทัชรู้จักพัสกาญอย่างนั้นเหรอ พี่ไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน?”

          “อืม เห็นว่ารู้จักกันนะ แล้วคุณทัชก็เป็นคนบอกพี่เอง”

          “เฮ้ย ทำไมผมไม่เห็นรู้”

          “ก็ไม่แปลกนี่ คุณทัชเขามาเป็นนายแบบให้เสื้อผ้าแบรนด์ของคุณพัสเมื่อเดือนที่แล้ว นี่เล่มก็เพิ่งวางแผงไปไม่กี่วัน ยอดดาวน์โหลดอีบุ๊คถึงกับแซงเล่มยอดขายรวมของเดือนก่อนไปแล้ว พี่รุจยังปลื้มใจใหญ่เลย”

          “นี่ผมคิดไม่ผิดเลยที่เข้ามาทำงานที่ห้องพี่”

          “สีหน้าเจ้าเล่ห์นี่มันอะไรกันนายภา”

          “เปล๊า!! แต่ขอบคุณนะครับสำหรับข้อมูล วันนี้ผมไม่กวนพี่อิงทำงานแล้ว”

          อิงลิชเห็นรุ่นน้องของตัวเองเก็บเอกสารลงกรเป๋าอย่างอารมณ์ดี ก่อนออกไปยังไม่วายส่งยิ้มให้เธออีก

.........................................................................

          พัสกาญกำลังนั่งอ่านข้อความผ่านแชทที่ทัชชาหมั่นส่งมาให้กับเขายามว่าง และพ่อพระเอกก็มักจะให้เขาถ่ายรูปส่งไปให้ทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเลือกรูปจากคลังภาพในโทรศัพท์ส่งไปให้ พ่อเอกก็ยังจะจับได้เสียอีก

          ทัชชาเองอยากจะวีดีโอคอลมาหาเขามากกว่าแต่ไม่สามารถทำได้เพราะอีกฝ่ายยังอยู่ที่กองถ่าย เกรงว่าจะมีใครมาเห็นเข้า และทำให้เขาไม่สบายใจ ส่วนตัวพระเอกหนุ่มนั้นไม่ได้แคร์หากจะมีใครมารับรู้ว่าตนเองกำลังพูดคุยกับพัสกาญ จะมีแต่เขาเองที่ยังไม่พร้อมในทุกๆ เรื่อง

          เสียงเคาะประตูห้องนอนทำให้พัสกาญต้องเลิกแชทกับอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปเปิดประตู

          “เป็นยังไงบ้าง ตัวแสบ ยังเจ็บอยู่ไหม?”

          “ไม่แล้วครับแม่” เข้าเปิดประตูเขาให้แม่เข้ามานั่งในห้อง เห็นแม่เหลือบมองโทรศัพท์ของเขาเล็กน้อย

          “ตั้งแต่ลูกไปทำงานกับตากร ดูสดใสขึ้นนะ”

          “คงเพราะได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ ด้วยมั้ง”

          “รวมถึงพระเอกคนนั้นรึเปล่า ที่มีข่าวว่าเพิ่งอกหักจากนางเอกที่เคยเล่นละครคู่กันน่ะ”

          “แม่…”

          “แม่ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ แค่ถาม”

          “ครับ แต่ม่อนเพิ่งจะคุยกับเขาไม่นาน”

          “แล้วเรื่องแฟนเก่าเขาล่ะ เท่าที่แม่สืบมาคุณดาหราก็ไม่ค่อยจะชอบแม่นางเอกละครคนนี้เท่าไร แม่นั่นคงจะไม่รีเทิร์นกลับมาหรอกนะ”

          “แม่อ่ะ เขาจะกลับมาหรือไม่กลับมานั่นเกี่ยวอะไรกับผมเล่า”

          “ไม่เกี่ยวจริงอ่ะ วันที่เกิดเรื่องแม่เห็นเพื่อนใหม่ของลูกคนนั้น แค่คนเดียว” แม่ย้ำคำนั้นเน้นๆ “ที่ขึ้นมารอเยี่ยมเราข้างบน”

          “ก็คนอื่นเขาไม่สะดวกรอนี่ครับ นั่นมันชลบุรีนะ ไม่ใช่กรุงเทพฯ ที่เยี่ยมเสร็จแล้วจะขับรถกลับกันได้ง่าย ๆ ไหนจะเพิ่งจะทำงานเหนื่อยกันมาทั้งวันอีก”

          “นี่ลูกพยายามหาข้อแก้ตัวอยู่ใช่ไหม?”

          “เปล่าสักหน่อย”

          “งั้นก็ดี ในเมื่อลูกพูดความจริง งั้นลูกก็ต้องบอกความจริงกับแม่ให้ตลอดนะ”

          “แม่มีอะไรรึเปล่า ทำไมแม่ดูเครียดจัง?”

          “หนูแหม่มบอกแม่ว่า พระเอกคนนั้นเขากำลังจีบม่อนอยู่”

          “เอ่อ...ครับ” พัสกาญไม่ได้ห่วงว่าแม่ของเขาจะผิดหวัง เรื่องที่มีผู้ชายมาจีบ เพราะในครอบครัวของเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีคู่รักเพศเดียวกัน

          “ม่อน”

          “ครับ”

          “ลูกแน่ใจแล้วเหรอ?”

          “ไม่เลยครับ” เขารู้ว่าแม่หมายถึงอะไร ความกลัว ความผิดหวังในใจของเขายังคงมีอยู่ “แต่ออร่าของพี่ทัช เขาแตกต่าง จากโมนิก” คำพูดแต่ละคำมันช่างออกจากปากของเขาได้ยากเย็นนัก เมื่อต้องเอ่ยชื่อของผู้หญิงอีกคน แม่ดึงเขาเข้ามากอด

          “ไม่ต้องไปเอ่ยชื่อคนคนนั้นลูก เอาเป็นว่าแม่รับรู้ว่าพระเอกของลูกแตกต่าง” เขาพยักให้อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้ แม่ของเขาใจดีที่หนึ่ง

          “ออร่าของเขาไม่เหมือนของใครๆ ที่ม่อนเคยเห็น” แม่ดันตัวเขาออกห่างเพื่อจะจ้องมองไปในดวงตาของเขา

          “มันดูเหนือกว่า ยิ่งใหญ่กว่า สวยงามกว่า อะไรทำนองนั้นใช่ไหม?”

          “เฮียเจมส์เล่าให้แม่ฟังแล้วเหรอ?” แม่สายหน้าน้อยๆ

          “เปล่าหรอก แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ก็ย่อมมีประสบการณ์อะไรพวกนี้อยู่บ้าง”

          “ม่อนควรทำยังไงดี พี่เขารุกม่อนหนักมาก ม่อนทำตัวไม่ถูก” แม่ของเขาหลุดหัวเราะออกมา

          “นี่ยกตำแหน่งที่ปรึกษาเรื่องคนรักให้กับแม่แล้วเหรอ?”

          “ไม่ใช่! พี่เขายังไม่ได้เป็นอะไรกับม่อนสักหน่อย”

          “ดี เพราะก่อนที่เขาจะได้เป็นคู่รักของลูกได้ เขาต้องพิสูจน์ตัวเองกับแม่เสียก่อน”

          “แม่จะทำอะไรอ่ะ”

          “ก็แค่พูดคุยนิดหน่อย แม่ก็ต้องอยากรู้จักว่าที่ลูกเขยตัวเองสิ”

          “แม่ไม่คิดว่าจะเป็นว่าที่ลูกสะใภ้บ้างรึไง?”

          “บ้านเราคงมีหยวนฮ่างคนเดียวแหละที่หาสะใภ้เข้าบ้าน”

          “แม่อ่ะ”

          “แม่หวังว่าสักวันหนึ่งลูกจะลืมเรื่องราวร้าย ๆ ที่ผ่านมาได้ และคนคนนี้จะดีจริงอย่างออร่าที่ลูกเห็น”

          พัสกาญพูดคุยเปิดใจเรื่องของทัชชาให้กับแม่ของเขาได้ฟัง แม้กระทั่งแชทที่ทัชชาส่งมาให้เขา แม่ของเขาก็ได้อ่านมันทุกข้อความทุกประโยคเลยทีเดียว

To Be Continued



หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 33 : 7.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-04-2020 10:10:52
 :pig4: :pig4: :pig4:

อุย ๆ  คนอื่นเรียก พี่ภาติซ  แต่นุ้งกรเรียก พี่ภา

ต้องหนิดหนมขนาดไหน จึงเรียกชื่อนั้นได้   555

อ่อ  แถมชื่อแฮชแท็กก็ช่างคล้องจองกันเลยนะ  #ภากร    555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 33 : 7.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-04-2020 21:55:25
จีบกันหนักมาก คุณทัชรุกหนักเลย

ขำพี่ภาติสนี่แหล่ะ 55555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 33 : 7.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-05-2020 08:12:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 33 : 7.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 18-05-2020 15:21:27
ไม่ค่อยชอบแม่ของม่อนตั้งแต่เรื่องของหยกแล้ว
หวังว่าเป็นแม่คนแล้ว ตัวละครคงจะโตตาม

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 33 : 7.Apr '20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 18-05-2020 20:10:53
สนุกครับ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 34 : 3.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-06-2020 18:02:03
34







          ทัชชาและพราววริศา กำลังนั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์เพื่อดูภาพจากการถ่ายทำเมื่อซีนที่ผ่านมา โดยกวินทร์ยืนค้ำหัวทั้งสองอยู่ด้านหลัง

          “เป็นยังไง พอใจกับผลงานตัวเองไหมพราว?”

          “พี่จะให้ถ่ายแก้อีกเทคก็บอกมาเถอะค่ะ ไหน ๆ ก็ซีนสุดท้ายของฉากนี้แล้ว จะได้ถ่ายฉากต่อไปสักที พราวอยากรีบกลับไปพักผ่อน” พราววริศาพูดด้วยน้ำเสียงมึนตึง

          “พราว…” หลินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พยายามปรามเสียงเบา

          “เฮ้อ...หลิน เธอช่วยดูคิวของพราวให้หน่อยก็แล้วกัน ว่าจะมีวันเข้ามาถ่ายซ่อมได้ไหม? วันนี้ถ่ายไปก็เสียเวลาเปล่าๆ” กวินทร์พูดเสียงเหนื่อยหน่าย

          พราววริศาเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยืนขึ้นก่อนเดินกระแทกเท้าดึงตังออกไปทันทีด้วยความไม่พอใจ จนคนในกองระแวกนั้นต่างมองตามกันอย่างงงงวย หลินได้แต่ยิ้มเจื่อนก่อนพยักหน้าให้กวินทร์เล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษแล้วรีบเดินตามนักแสดงสาวไป

          “ทัชกับอาร์ทพอจะมีคิวให้พี่ไหม?”

          “หลังปิดกอง ผมมีนัดไปเที่ยวกับเพื่อนทางเหนือ แต่ยังพอมีเวลาก่อนเดินทาง 2-3 วัน ยังไงพี่ให้เจษฎ์ติดต่อทางผู้จัดการของผมดูแล้วกันครับ” อาทิตย์ตอบก่อนเดินออกไปอีกคน ซึ่งแสดงสีหน้าเหนื่อหน่ายไม่ต่างกันกับผู้กำกับ

          “ทัชล่ะ” กวินทร์หันมาถามพระเอกของเรื่อง

          “อย่างกับพี่วินทร์ไม่รู้จักทัชอย่างนั้นแหละ” อามันต์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างถามขึ้นน้ำเสียงหยอกเย้า หวังคลายบรรยากาศตึงเครียด

          “รู้ แต่นั่นมันเวลาส่วนตัวของทัช พี่ก็ต้องถามความเห็นก่อนสิ”

          “คิวงานหลังจากนั้นมีอะไรรึเปล่า” ทัชชาหันไปถามอามันต์

          “ยังคุย ๆ อยู่ ฉันยังไม่ได้รับงานให้”

          “ถ้าอย่างนั้นก็จัดคิวให้พี่วินทร์สัก 2-3 วัน หลังปิดกองก็แล้วกัน เอาให้ตรงกับอาร์ทก็ได้ ส่วนเรื่องกลับไปหาแม่ก็เลื่อนออกไปก่อน”

          ใครๆ ที่รู้จักมักคุ้นกับทัชชา มักจะรู้ดีว่า หลังปิดกองละครเรื่องหนึ่ง เขาจะกลับไปเยี่ยมและอยู่กับแม่ของตนเองราวสัปดาห์ ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว

          “ขอบใจทัชมาก” กวินทร์ค่อยหายใจหายคอคล่องขึ้นมาหน่อย เพราะนักแสดงหลักในซีนนี้พอจะแบ่งเวลาให้ได้ ที่เหลือคงต้องรอนางฟ้าเจ้าปัญหาเพียงคนเดียว

          “แล้วงานเลี้ยงปิดกอง พี่วินทร์จะเลื่อนด้วยไหม?” อามันต์หันมาถามเพราะถ้าหากเลื่อน เขาคงต้องเคลียร์คิวให้ทัชชาใหม่ หรือไม่งานเลี้ยงปิดกองก็อาจจะไม่มีพระเอกของเรื่องไปร่วมงาน

          “คงต้องตามกำหนดการณ์เดิม เลื่อนไม่ได้หรอก ทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว ที่สำคัญถ้าเลื่อนงานเลี้ยงปิดกองออกไป พี่คงได้ไปนั่งกินกับเจษฎ์สองคน”

          “น้อง ๆ ทีมงานในกองมีตั้งหลายคน คงไม่ทิ้งให้พี่วินกับเจษฎ์เหงาขนาดนั้นหรอกครับ”

          “พวกนั้นถ้าไม่มีดาราในดวงใจไปร่วมงาน มีหรือจะไป สู้เอาเวลาไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายตามประสาไม่ดีเหรอ?”

          “ฮ่า ๆ ๆ นี่พี่วินทร์กำลังนึกถึงกะทิกับไลลารึเปล่า”

          “นั่นก็ด้วย”

          ระหว่างที่อามันต์ชวนกวินทร์คุยเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด โทรศัพท์ของอามันต์ก็ดังขึ้น เมื่ออามันต์ขอตัวรับโทรศัพท์ก็เสมือนเป็นสัญญาณว่าให้ทุกคนแยกย้ายกันไป

          ทัชชาเดินออกมาที่มุมส่วนต้วเพื่อเก็บของเตรียมกลับไปพักผ่อน ในระหว่างนั้น อามันต์ยังคงคุยโทรศัพท์ไปตลอดทางจนกระทั่งวางสายไป

          “ทัช มีคนโทรเข้ามาขอคุยกับนายเรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์ นายสนใจไหม?” อามันต์หันมาถามเมื่อวางสายเรียบร้อยแล้ว

          “สัญญากี่ปี?”

          “ในประเทศ 5 ปี ต่างประเทศขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของนาย เบื้องต้นต่อสัญญาปีต่อปี”

          “สินค้าอะไร?”

          “บริการต่างหาก เจเอ็กเพรส ที่เพิ่งเปิดตัวที่บ้านเราเมื่อต้นปีที่แล้ว เป็นบริษัทฯ ขนส่งสินค้า บริษัทฯ ต้นสังกัดถ้าฉันจำไม่ผิดอยู่ที่มาเก๊า สำนักงานใหญ่อยู่ฮ่องกง ง่าย ๆ ก็สัญชาตจีนนั่นแหละ”

          “นายลองไปคุยดูก่อนก็ได้ แล้วค่อยตัดสินใจ”

          “ฉันก็บอกทางนั้นไปแบบนี้นั่นแหละ แต่เขากลับบอกว่าคนที่รับผิดชอบงานนี้เขามาดูงานที่ไทยและกำลังจะบินกลับฮ่องกงวันมะรืนนี้ เขาเลยอยากคุยกับนายโดยตรง”

          “แล้วเขานัดวันไหน?”

          “พรุ่งนี้ 2 ทุ่ม”

          ทัชชาครุ่นคิดเล็กน้อย แม้พรุ่งนี้ตั้งแต่ช่วงบ่ายจะไม่มีงานอะไร แต่เขาตั้งใจว่าจะเข้าไปเยี่ยมพัสกาญที่บ้านใหญ่ เพราะได้นัดกันไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งแม่ของพัสกาญเองก็อยากจะพบเจอพูดคุยกับเขาเช่นกัน”

          “ฉันขอเวลาคิดหน่อย”

          “ฉันจำได้ว่านายไม่ได้ติดงานอะไรไม่ใช่เหรอ?”

          “ฉันมีนัดกับผู้ใหญ่ ยังไงขอคุยกับทางนั้นก่อนแล้วจะบอกนายอีกทีว่าจะเอายังไง”

          “เฮ้ย!! นี่นายนัดผู้ใหญ่ อะไร ที่ไหน ทำไมไม่บอกฉัน?”

          “เรื่องส่วนตัว ฉันไม่อยากรบกวนนาย”

          “ใคร?”

          “เอาไว้ถึงเวลาฉันจะบอก”

          “เดี๋ยวนี้นายหัดมีความลับกับฉันนะ หวังว่านายคงไม่ได้แอบไปทำอะไรไม่ดีใช่ไหม?”

          “อะไรไม่ดีของนายคืออะไร?”

          “ก็อย่าง…” อามันต์ลดเสียงลงพร้อมมองไปรอบ ๆ “เรื่องที่นายทำตัวเหมือนพราว”

          “พราวทำไม?”

          “นี่นายไม่รู้?” อามันต์มีสีหน้าสงสัย “ข่าวลือในกองออกจะลือกันสนุกปาก แล้วไหนพราวยังสติแตกตอนเขาซีนอีก นายไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเพราะอะไร” ทัชชาส่ายหน้าเป็นคำตอบ อีกทั้งยังไม่คิดจะใส่ใจ จึงเดินเลี่ยงออกไป

          ”เฮ้ยทัช เดี๋ยวสิ”

          “ฉันไปรอที่รถ ฝากเก็บของด้วย”

          ทัชชาเอ่ยบอกเพียงเท่านี้ เพราะเขาอยากหาที่เงียบ ๆ คุยกับพัสกาญมากกว่ามายืนคุยเรื่องไร้สาระกับอามันต์

.........................................................................

          ภายในกองถ่ายเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง หลังจากนักแสดงสมทบเทกองไปเสียดื้อๆ หลังผู้กำกับเรียกให้ไปดูผลงานของตัวเอง ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนคิวถ่ายกันใหม่ เพื่อที่จะได้ถ่ายงานของวันนี้ให้ได้มากที่สุด

          “พี่กร พี่เจษฎ์แจ้งเปลี่ยนคิว” ชาญเดินเข้ามาในห้องร้องบอกอย่างร้อนรน

          “อีกแล้วเหรอ?” เอมที่กำลังจัดเสื้อผ้าให้กับตัวประกอบถึงกับร้องเสียงหลง

          “อืม” ชาญหยิบรายการคิวถ่ายออกมาเปิดดู

          “เพราะอะไรอีกล่ะ?”

          “ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินตาลมันบอกว่า พี่กวินทร์เรียกคุณพราวไปคุย หลังจากนั้นก็อย่างที่เห็น”

          “ทำไมช่วงนี้นางถึงได้อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ล่ะ?” เอมอดที่จะบ่นไม่ได้

          “แล้วนี่เหลือฉากไหน ซีไหนบ้างที่ยังพอถ่ายได้” กรกฤตถามเมื่อเห็นชาญไล่ดูคิว

          “หลัก ๆ ก็เหลือฉากของพี่อาร์ทนอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”

          “นี่ ๆๆ ได้ข่าวรึยัง” กะทิรีบเดินเข้ามาในห้องก่อนงับประตูที่เปิดทิ้งไว้ตลอดลง

          “นี่มีอะไรจะมาเม้าท์อีกล่ะ ชาญกับเอมกำลังเตรียมงานอยู่นะ ยิ่งเปลี่ยนฉากกระทันหันแบบนี่ เดี๋ยวเด็กมันก็มำงานไม่ทันกันพอดี” กรกฤตไม่สนใจบ่นกะทิอีกทั้งยังก้มลงเก็บของลงกระเป๋าไปด้วย “ชาญ เอม งานที่เหลือพวกนายจัดการได้ใช่ไหม?”

          “เดี๋ยว นังกร พอฉันมาแกก็จะไปเลยเหรอ”

          “อืม ว่าจะไปธุระสักหน่อย ดีที่เสร็จงานเร็ว” กรกฤตพูออย่างไม่ใคร่จะสนใจ จนกะทิเข้ามาดึงของในมือเขาออกจากสิ่งของที่กำลังเก็บอยู่

          “หยุดเลย อย่าเพิ่งกลับ แกต้องฟังฉันเม้าท์ก่อน ไม่อย่างนั้นฉันคงได้อกแตกตาย”

          “ชาญกับเอมก็ยังอยู่”

          “เด็กสองคนนั้นได้แต่ฟัง แต่ไม่ออกความเห็น”

          “แล้วฉันออกความเห็น?”

          “ถ้าเป็นเรื่องนี้ ฉันเชื่อว่าแกไม่อยู่เฉยแน่”

          “โหย...พี่ทิ โปรยมาขนาดนี้ รีบเล่าเลยเถอะ เอมอยากรู้จะแย่แล้ว”

          “ว่าไง นังก็”

          “ก็รีบพูด ๆ มา”

          “ชิ ทำเป็นไม่สนใจ ด๊าย...อย่าให้ฉันได้ยินเสียงแกพูดแทรกก็แล้วกัน”

          กะทิไม่ใส่ใจกรกฤตอีก และหันไปตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรื่องของพราววริศา ที่ตนและไลลาบังเอิญไปรู้มา


          เนื่องจากเมื่อช่วงเช้า ไลลาเกิดอยากกินตำปลาร้าเป็นมื้อแรกของวัน ทั้งที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง พอช่วงสายจึงเกิดอาการท้องเสีย วิ่งเข้าห้องน้ำอยู่หลายรอบ ส่วนตัวกะทิเองที่เป็นห่วงเพื่อนร่วมงานจึงตามไปเฝ้าและหามเพื่อนออกมา

          ช่วงที่กำลังเข้าไปแบกช่างแต่งหน้าร่างมะขามข้อเดียวออกจากห้องน้ำ บังเอิญได้ยินเสียงโววายจากด้านนอก ทำให้ทั้งสองถึงขั้นเกือบหยุดหายใจด้วยความอยากรู้อยากเห็น

          เสียงคนวิ่งพรวดพราดเข้ามายังห้องน้ำห้องถัดไป ตามด้วยเสียงโอ้กอ้าก ดังต่อเนื่อง กับเสียงฝีเท้าของอีกคน หลังเสียงอาเจียนเงียบลงแทนที่ด้วยเสียงเหนื่อยหอบ หญิงสาวที่ตามหลังเข้ามาก็ถามขึ้นเสียงแข็ง

          “บอกฉันมาว่าเธอแอบไปทำอะไรที่ไหนมาระหว่างที่ฉันไม่อยู่”

          “ทำอะไร ไม่มีสักหน่อย” หญิงสาวอีกคนตอบเสียงเหนื่อยอ่อน

          “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ พูด!!” เสียงตะหวาดลั่นทำให้คนที่แอบฟังอยู่ในห้องน้ำข้าง ๆ ถึงกับสะดุ้ง

          “ฉัน... ฉัน...ฉันว่าฉันอาจจะพลาด” น้ำเสียงฟังดูไม่แน่ใจระคนหวาดกลัว

          “อะไรนะ?”

          “อย่างเพิ่งโมโหสิ ฉันยังไม่แน่ใจ” คนต้นเหตุรีบห้ามเสียงอ่อย

          เสียงที่เงียบหายไปนาน จนคนที่แอบฟังอยู่คิดว่าทั้งสองอาจจะออกจากห้องน้ำไปแล้ว ไลลาจึงเอื้อมมือหวังจะเปิดประตูที่แง้มค้างไว้

          “วันนี้เธอทำยังไงก็ได้ จะเทกองหรืออะไรก็แล้วแต่ ฉันจะไปซื้อที่ตรวจเตรียมไว้ให้” เสียงที่พูดออกมาติดจะหงุดหงิดและโมโหอยู่ไม่น้อย ทำให้ไลลาถึงกับรีบชักมือกลับแทบไม่ทัน

          “แบบนี้ภาพพจน์ในกองถ่ายของฉันก็แย่นะสิ”

          “มันแย่มาตั้งแต่ที่เธอเอาแต่ใจ หนีงานไปหาผู้ชายแล้วไม่ใช่เหรอ?”

          “กับคนนี้เธอก็เห็นดีด้วย”

          “หึ ถ้าแม่ของผู้ชายคนนั้น ไม่กีดกันเธอ ฉันจะไม่ว่าอะไรเธอเลย”

          “ยังไม่แน่สักหน่อย หรือถ้าใช่ก็แค่ทำเหมือนเดิม”

          “แล้วเธอคิดจะไปจับผู้ชายคนไหนอีกหา?”

          “เอาเถอะน่า เธอก็อย่าบ่นให้มาก เอาเวลามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำยังไงกับผู้ชายคนนี้” หญิงสาวพูดทั้งเดินกระแทกเท้าตึงตังออกไป พร้อมเสียงฝีเท้าอีกคู่ที่เริ่งเดินตามไปไม่ห่าง

          “พี่ทิ พี่ได้ยินอย่างที่ฉันได้ยินรึเปล่า หรือฉันเบลอเพราะอาการขาดน้ำ”




          หลังจากที่กะทิพาไลล่าที่แทบจะไม่มีแรงเดินไปส่งที่โรงพยาบาลแล้ว เมื่อกลับมาถึงกองถ่ายก็ได้ยินว่าพราววริศาเทกอง จึงรีบตรงเข้ามาหากรกฤตทันที

          “คุณพราวเขาคุยกับใครอ่ะพี่ทิ”

          “อ่าว? จะใครสะอีกถ้าไม่ใช่ผู้จัดการส่วนตัวของนาง”

          “เท่าที่ฟัง ทั้งการพูดการจา ฟังดูไม่เหมือนพี่หลินเลย พี่หลินออกจะรีบร้อย กับคุณพราวก็ดูหง๋อ ไม่กล้าต่อปากต่อคำ” ชาญให้เหตุผล

          “ยังไงก็เสียงน้องหลินแน่ ๆ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพราววริศาท้องกับใครต่างหาก”

          “ท้อง!!” เอมกับชาญอุทานขึ้นมาพร้อมกัน

          “พอเลยทั้งสองคน แกด้วยกะทิ แค่อาเจียนไม่ได้แปลว่าท้องสักหน่อย พราวอาจจะเครียดเกินไป หรืออาหารเป็นพิษหรือจะอะไรอย่างอื่น เรื่องแบบนี้แกไม่ควรเอาไปพูดถ้าไม่มีหลักฐาน คนอื่นเขาจะเสียหาย”

          “ใช่ ๆ พี่ทิ นี่เรื่องใหญ่เลยนะ”

          “ถ้าไม่ท้องแล้วหลินจะไปซื้อที่ตรวจให้ทำไม อีกอย่างอารม์ขึ้น ๆ ลง ๆ นี่มันอาการของคนท้องชัด ๆ”

          “พอเลย ๆ เรื่องที่จะเม้าท์มีแค่นี้ใช่ไหม ฉันจะได้รีบไป”

          “ฮึ้ย แต่ละคน จะไปไหนก็ไปเลย ฉันไปเม้าท์กับนังไลลาก็ได้”

          “งานน่ะเสร็จแล้วเหรอ?” กรกฤตเลิกคิ้วถาม

          “ไม่ทงไม่ทำมันแล้ว รมณ์เสีย”

          กะทิก้าวออกจากห้องไปด้วยท่าทางขัดใจ กรกฤตที่กำลังจะไปตามนัดของใครบางคนจึงหันไปสั่งงานลูกน้องทั้งสอง ไม่วายกำชับเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไป ซึ่งทั้งสองก็รับคำแต่โดยดี



To Be Continued


หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 34 : 3.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-06-2020 19:00:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

อินังพราวนี่มัน.......จริง ๆ เลย 

สงสัยคงได้ฉาวโฉ่แถมยังจับปลาตัวนี้ไม่ได้ด้วยสินะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 34 : 3.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 03-06-2020 22:10:15
คนต่อไปที่นางพราวจะจับจะใครก็ได้ แต่ขอไว้สองคนนะ
สองคนที่กำลังจีบๆกันอยู่อ่ะ อย่ายุ่งคุณทัชกับน้องม่อน
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 35 : 4.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 04-06-2020 18:14:30
35










          ชาริสาและชันดาเดินทางมาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ดีที่น้องสาวของเธอรอบคอบ จึงออกจากบ้านมาก่อนเวลากว่าชั่วโมง ทำให้มาถึงก่อนเวลานัดกับลูกค้าราว 15 นาที

          พวกเธอเดินตามบริกรเข้าไปยังห้องพิเศษที่ถูกจองไว้โดยลูกค้าของเธอ เมื่อเข้าไปก็พบเลขาส่วนตัวของลูกค้านั่งรออยู่ก่อนแล้ว

          “สวัสดีค่ะ คุณชาริสา ตัวจริงสวยกว่าในทีวีเสียอีกนะคะ” เลขาสาวเอ่ยทักทายพร้อมเชิญให้เธอนั่งลง “รอบอสสักครู่นะคะ การจราจรในกรุงเทพฯ นี่ช่างคาดเดายากจริง ๆ”

          “ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรารอได้”

          “ในระหว่างที่รอ เหมี่ยวมีเรื่องที่จะสอบถามคุณชาริสาสัก 2-3 ข้อไม่ทราบจะสะดวกไหมค่ะ?”

          “ถ้าแหม่มตอบได้ แหม่มก็ยินดีค่ะ”

          “คุณชาริสาตอบได้อยู่แล้วค่ะ เกี่ยวกับรายละเอียดของบทที่คุณชาริสานะคะ”

          “ได้ค่ะ เชิญถามมาได้เลยค่ะ”

          ชาริสาคุยเกี่ยวกับการปรับเรื่องบทให้เหมาะสมกับเธอที่เป็นคนไทย ถึงรูปร่างไม่ได้เล็ก แต่ก็ไม่สูงเท่ากับคนยุโรป ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับบทต่าง ๆ เธอและชันดาช่วยกันดูจนเห็นพ้องกันกับคุณเหมี่ยวว่าได้ข้อสรุปตามที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ และพอดีกับที่บอสของคุณเหมี่ยวเดินเข้ามาในห้องอาหาร

          “เหมี่ยวขอแนะนำนะคะ นี่คุณเควนติน แกรรี่ค่ะ เป็นผู้อำนวยการสร้างซีรี่ย์เรื่องนี้ และเจ้านายของเหมี่ยวค่ะ”

          “สวัสดีครับ เรียกผมแกรรี่ก็ได้ครับ” บอสของคุณเหมี่ยวพูดภาษาไทยได้หากแต่สำเนียงออกจะฟังแปร่ง ๆ ไปบ้าง

          ทั้งสี่สนทนาไป ทานอาหารไปจนจบลงด้วยการเซ็นต์สัญญา โดยคุณเหมี่ยวสรุปเรื่องการปรับบทก่อนหน้าให้เจ้านายของเธอได้ฟังอย่างรวบรัดแต่ชัดเจน และแจ้งกับชาริสาว่า หากทางเธอเตรียมงานเสร็จเมื่อไร จะส่งบทละครมาให้ อีกทั้งเชิญเธอไปงานแถลงข่าวที่นิวยอร์กในปลายเดือนหน้า

          ชาริสาและชันดาเดินออกมาส่งมิสเตอร์เควนติน นายจ้างคนใหม่ของเธอหลังจากการเจรจาจบลง จากนั้นชันดาจึงชวนเธอไปซื้อของเข้าบ้าน และของฝากเพื่อที่จะได้เข้าไปเยี่ยมพัสกาญในตอนเย็น พร้อมทั้งแจ้งข่าวดีไปในคราวเดียวกัน

          “พี่แหม่ม อยากได้อะไรอีกไหม?” ชันดาถามในขณะที่เข็นรถเข็นอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต

          “ไปดูผลไม้สักอย่างสองอย่างไปฝากม่อนดีกว่า”

          ทั้งสองเดินไปมุมที่ขายผลไม้ ระหว่างนั้นก็มีหญิงสาววัยรุ่นสองคนเดินเข้ามาชนชาริสา ดีที่ชันดาคว้าแขนเธอได้ทันไม่อย่างนั้นอาจจะชนถูกกองผลไม้ล้มระเนระนาดให้ได้ขายหน้าไปแล้ว

          “เด็กสมัยนี้นี่ยังไงกันนะ ชนคนอื่นแล้วยังไม่ขอโทษอีก” ชันดาอดที่จะตำหนิไม่ได้

          “ตั้งใจชนขนาดนี้ เธอคิดว่าเขาจะหันขอโทษอย่างนั้นเหรอ?”

          “ตั้งใจ?” ชาริสาพยักหน้าน้อยๆ

          “เด็กสองคนนั้นมองพี่ตอนที่พี่เซไปที่กองส้มนั่นแหละ”

          “อะไรกัน ตั้งใจจะหาเรื่องหรือยังไง เขาก็รู้ว่าพี่เป็นใคร บ้าบอที่สุด” ชันดาเริ่มโมโหจนเธอต้องรีบห้าม

          “ช่างเถอะ เรารีบซื้อแล้วรีบกลับบ้านกันดีกว่า ตอนเย็นจะได้ไปทานข้าวบ้านม่อน พี่คิดถึงอาหารฝีมือน้านิลจะแย่” ชาริสารีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากให้วันดีๆ ต้องขุ่นมัวจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง

          “งั้นเรารีบเลือกผลไม้กันเถอะ”

          ทั้งสองช่วยกันเลือกผมไม้ที่พัสกาญชอบและไม่ลืมซื้อไปฝากคนอื่น ๆ ในบ้านด้วย

.........................................................................

          ระหว่างที่รออามันต์ในรถตู้ของตัวเอง ทัชชาเลือกที่จะวิดีโอคอลหาพัสกาญ เนื่องจากหลายวันมานี้ หากไม่อยู่ในกองถ่ายที่คนพลุกพล่าน เขาก็เลิกกองดึกเกินกว่าจะโทรไปรบกวนเวลาพักผ่อนของอีกฝ่าย

          “ม่อนครับ เปิดกล้องด้วยสิครับ” ทัชชามองหน้าจอดำมืดหากแต่ได้ยินเสียงกุกกักจากปลายสาย

          ‘แปบนะครับ’ ไม่นานเขาก็ได้เห็นหน้าพัสกาญที่อยู่ในสภาพผมเปียกชื้น อีกทั้งยังไม่ได้สวมแว่นปิดดวงหวาน

          “พี่โทรมากวนเรารึเปล่า?”

          ‘ไม่ครับ ม่อนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ไม่ทันเห็นว่าพี่ทัชวีดีโอคอลมา’

          “ชอบให้ม่อนเรียกแทนตัวเองแบบนี้จัง” ถึงเขาจะพอได้ยินพัสกาญหลุดเรียกแทนตัวเองแบบนี้มาบ้างเวลาคุยหรือแชทกัน แต่เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่เอ่ยปากแซว เพราะอยากเห็นสีหน้าของอีกคน

          ‘ผมไปเป่าผมก่อนดีกว่า ไว้ผมแห้งแล้วค่อยคุยกัน ถ้าพี่ทัชไม่ว่างก็แชทกันเหมือนเดิมก็ได้ครับ’

          “ม่อนครับ อย่าเพิ่งวางนะ ถึงวางพี่ก็จะโทรไปใหม่”

          ‘พี่ทัชว่างแล้วหรือไง’

          “แล้วพี่กวนเราหรือเปล่า? แต่เมื่อกี้พี่ได้ยินม่อนบอกว่าไม่นะ”

          ‘ก็ตอนนี้กวนแล้วไง ผมจะเป่าผม’

          “ฟังแล้วงงจังครับ เปลี่ยนเป็น ม่อนจะเป่าผม ดีกว่าไหม ถ้าพูดแบบนี้พี่ก็จะไม่กวนเรา”

          ‘เจ้าเล่ห์’

          “ฮ่าฮ่า ครับ เจ้าเล่ห์ก็เจ้าเล่ห์ ที่โทรมาเพราะพี่เลิกกองแล้ว กำลังจะกลับไปพักเลยโทรมาหา...คิดถึงนะครับ”

          ‘ทำไมวันนี้เลิกกองไวจังครับ’ พัสกาญคงจะวางโทรศัพท์อิงไว้ เพราะเขาเห็นอีกคนกำลังนั่งเช็ดผมตัวเองอยู่ ไม่ได้ใช้ไดฟ์เป่าอย่างที่เจ้าตัวว่า ทั้งยังทำเมินเหมือนไม่ได้ยินคำบอกคิดถึงจากเขา

          “พราวเขาไม่ค่อยสบาย เลยกลับไปก่อน พี่เลยพลอยว่างไปด้วย”

          ‘ใกล้กำหนดปิดกองเต็มทีแล้ว ฉากของคุณพราวเหลือเยอะพอสมควร เธอคงเครียดจนไม่สบายเอา’

          “คงเป็นอย่างที่ม่อนว่า”

          ‘พี่ทัชไม่ห่วงคุณพราวเหรอครับ?’

          “อืม...ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงห่วง แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ เขามีคนดูแลอยู่ตั้งหลายคน ทั้งคนของแฟนเขา ทั้งคุณหลิน”

          ‘พี่ทัชดูต่างจากตอนที่ไปถ่ายฉากที่ชลบุรีมากเลยนะครับ’

          “ใช่ครับ พี่แข็งแรงขึ้น ก้าวผ่านช่วงนั้นมาแล้วก็ไม่คิดที่จะย้อนกลับไป อาจจะมีบ้างที่หันกลับไปมองเพราะมีคนแนะนำให้พี่เรียนรู้จากมันแทนการวิ่งหนี” เขาเห็นพัสกาญนิ่งค้างไปเล็กน้อยก่อนจะขยับผ้าซับผมต่อ

          ‘แบบนี้ละครจะปิดกล้องทันตามกำหนดเหรอครับ’

          “ตอนนี้ขึ้นอยู่กับพราวแล้วล่ะ พี่ว่าอย่าไปคุยเรื่องของคนอื่นเลย มาคุยเรื่องของเราดีกว่า” ทัชชาเห็นพัสกาญชะงักไปอีกครั้ง

          ประตูรถตู้เปิดขึ้นพร้อมด้วยกระเป๋าที่ถูกอามันต์เหวี่ยงขึ้นมา และเสื้อผ้าอีก 2-3 ชุดยื่นส่งมาให้

          “เอ้า แขวนด้วย” อามันต์เหลือบตามองหน้าจอเล็กน้อย เป็นจังหวะที่พัสกาญเอาผ้าซับผมจึงเห็นหน้าไม่ชัดนัก

          “ไปขับรถได้แล้ว” ทัชชัารับเสื้อมาแขวนไว้ ทั้งออกปากไล่ผู้จัดการส่วนตัว จากนั้นก็ย้ายตนเองและโทรศัพท์มานั่งแถวหลังสุด

          ‘คุณมันต์มาแล้วเหรอครับ’

          “อืม มันไปขับรถแล้ว ส่วนพี่ย้ายมานั่งแถวหลัง จะได้คุยกับม่อนต่อ”

          ‘ครับ’

          “พรุ่งนี้คุณแม่ของม่อนนัดให้พี่เข้าไปพบตอนกี่โมงครับ”

          ‘แม่ชวนพี่ทัชทานข้าวเย็นนะ ที่บ้านตั้งโต๊ะตอนหกโมงครึ่งครับ ปกติแม่จะคุยจริงจังหลังทานอาหารเสร็จครับ’

          “หลังคุยกับคุณแม่ของม่อนเสร็จ เราจะมีเวลาได้คุยกันส่วนตัวบ้างไหมครับ”

          ‘พี่ทัช เราก็คุยกันอยู่ทุกวัน พี่ทัชไม่กลัวจะเบื่อม่อนเสียก่อนเหรอครับ’ ทัชชายิ้มให้กับคำพูดหลุดๆ ของพัสกาญอีกครั้ง

          “แล้วม่อนล่ะ เบื่อพี่แล้วรึยัง?”

          ‘ถ้าม่อนบอกว่าเบื่อ พี่ทัชจะทำยังไงครับ’

          “พี่ก็ต้องปรับปรุงตัว เพื่อไม่ให้ม่อนเบื่อพี่ยังไงละครับ ม่อนก็รู้ว่าพี่เล่นได้ทุกบท อยากให้พี่เล่นบทไหนสั่งมาได้เลยครับ พี่ยินดีแสดงให้ม่อนดู”

          ‘ถ้าม่อนอยากให้พี่ทัชเป็นพี่ทัชเองล่ะ’

          “แล้วม่อนจะไม่เบื่อพี่ทัชคนนี้เหรอครับ?”

          ‘ยังไม่ได้บอกสักคำ’ ทัชชาเห็นอีกคนหน้าตูม

          “ม่อนครับ ไม่ว่าทางเลือกจะมีมากมายแค่ไหน จะดีแค่ไหน พี่ก็เลือกม่อน เหมือนที่ม่อนชอบที่พี่เป็นพี่ ไม่ใช่ทัชชาที่รับบทนั้นบทนี้”

          ‘ม่อนยังไม่ได้บอกสักคำว่าชอบ ขี้ตู่’ ว่าจบปลายสายก็ตัดสายจบบทสนทนาไปเสียดื้อ จนเขาอดหัวเราะอย่างเอ็นดูไม่ได้

          “อารมณ์ดีจริงน้า...นายคุยกับใคร?” อามันต์มองผ่านกระจกมองหลังมาที่เขา ทัชชาจึงขยับขึ้นไปนั่งที่เดิม เพื่อที่จะคุยกับอามันต์ได้สะดวก

          “งานแบรนด์แอมบาสเดอร์ นายไปคนเดียวก็แล้วกัน ฉันติดงานอื่น หรือถ้าเขาไม่ยอมรับให้นายคุยแทนฉัน ก็ปฏิเสธไป”

          “เฮ้ย!! แน่ใจนะ นั่นมันสัญญา 5 ปีเลยนะทัช ไหนจะงานที่จีนอีก”

          “อืม แน่ใจ ต่อให้จะกี่ปี หรือจะกี่ประเทศ หากเขาคุยผ่านนายไม่ได้ ฉันก็จนใจ”

          “ทัช เพราะคนที่นายคุยด้วยเมื่อกี้รึเปล่า?”

          “อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

          “ใคร จริงจังเหรอคนนี้”

          “จริงจัง”

          “เอ่อ ตอบก็ไม่หมด ตกลงว่าใครกันว่ะ นายคงไม่โดนหลอกอย่างคราวพราวอีกนะ”

          “มะรืนนี้ฉันจะเข้าไปพบแม่ของเขา ถึงขั้นนี้แล้วยังคิดว่าโดนหลอกอีกรึไง”

          “เฮ้ย!! เร็วไปไหม?”

          “ก็คนแม่เขาหวงลูก ก็ต้องไปแสดงความบริสุทธิ์ใจเป็นธรรมดา บอกแล้วว่าคนนี้ฉันจริงจัง”

          “ฉันไปด้วยดิ”

          “แล้วเรื่องงานล่ะ”

          “เออว่ะ... แต่นายจะบอกฉันหน่อยไม่ได้หรือไงว่ะ”

          “เอาไว้ให้อีกฝ่ายพร้อมเปิดตัวเมื่อไรค่อยว่ากัน ตอนนี้น้องเขายังไม่พร้อม”

          “ถามจริง ไปเจอกันเมื่อไร ตอนไหน”

          “เจอเมื่อไรจำไม่ได้ ตอนไหนก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่ารู้ตัวอีกทีเขาก็อยู่ในสายตาฉันแล้ว”

          “โห่... ไอ้พระเอก สำนวนพระเอกมาก…”

อามันต์ที่มีท่าทีหมั่นไส้เขาหันไปตั้งใจขับรถดังเดิมโดยไม่สนใจจะถามเขาอีกจนทัชชาอดแหย่อีกฝ่ายไม่ได้

          “มันต์ ช่วยฉันคิดหน่อยสิว่าจะซื้ออะไรไปให้แม่น้องเขาดี”

          “ไม่รู้โว้ย!!”

          ทัชชาได้แต่หัวเราะท่าทางหงุดหงิดของอามันต์ เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธที่ตนปิดบังเรื่องพัสกาญ เพียงแค่หงุดหงิดที่ไม่สามารถง้างปากเขาได้ก็เท่านั้น 

To Be Continued

หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 35 : 4.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-06-2020 18:33:53
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 35 : 4.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-06-2020 22:21:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 35 : 4.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 04-06-2020 23:22:42
เข้าตามตรอก ออกตามประตู อิอิ อ่านไว้ค้างนานจนลืมไปเลย กลับมาอ่านอีก อ๋อ เออ จำได้ละ เรื่องนี้สนุก ตามต่อเลยจ้า 55555 รอตอนต่อไปนะคะ รักจะมั่นคงต้องเชื่อใจกัน เพิ่งจะคบกัน ระวังคนนั้นคนนี้เต้าข่าวใส่ละ 555  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 36 : 6.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 06-06-2020 04:02:04
36








         ภาริชนั่งรอกรกฤตในร้านกาแฟแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พักของกรกฤตมากนัก อีกทั้งบรรยากาศดี แถมเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ยังเป็นของโปรดของอีกคน ดังนั้นเมื่อมาถึงเขาจึงไม่รีรอ รีบสั่งทีรามิสุมาวางรอเจ้าของขนมชิ้นนี้มาทาน

          ไม่นานนักคนที่เขารอก็เดินเข้ามา กรกฤตไม่ได้รูปร่างสูงโปร่งอย่างพัสกาญ แต่เป็นหนุ่มหล่อมีกล้ามเนื้อเสียมากกว่า ใบหน้าดูมีอายุขึ้นกว่าแต่ก่อน กลับดูน่ามองไม่เปลี่ยน

          “สั่งเครื่องดื่มอะไรก่อนไหม?” ภาริชถามขณะที่กรกฤตนั่งลงฝั่งตรงข้าม อีกทั้งเขายังเลื่อนจานทีรามิสุไปไว้ตรงหน้า “พี่สั่งไว้ให้” แถมด้วยรอยยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดส่งไปให้เมื่อพูดจบ

         กรกฤตพยักหน้าน้อย ๆ ไม่พูดหรือมีท่าทีอะไรกับสิ่งที่เขา นอกจากสั่งเครื่องดื่มกับบริกรในร้าน เมื่อได้เครื่องดื่มแล้วกรกฤตจึงค่อยเอ่ยปากกับเขาเป็นคำแรกตั้งแต่นั่งร่วมโต๊ะกับเขา

          “คุณได้ข้อมูลอะไรมา?”

           “แหม๋...มาถึงก็ถามเรื่องงานก่อนเลยเหรอครับ ไม่ลองชิมทีรามิสุของที่นี่ดูก่อน เมนูขึ้นชื่อของทางร้านเลยน้า…”

          “คุณภา เราเจอกันเพราะเรื่องงาน ไม่ใช่ว่าชวนกันมาทานเค้กนะครับ”

          “อ่าว พี่นึกว่าน้องกรชวนพี่นัดเดทเสียอีก”

          “คุณภาริช” เสียงกรกฤตที่พยายามกดข่มความรู้สึกหงุดหงิดจนภาริชรับรู้ได้

          “ยังโหดไม่เปลี่ยนเลยนะครับ แต่ก็ดี โหด ๆ แบบนี้พี่ชอบ”

          “ตกลงคุณไม่มีอะไรคืบหน้าใช่ไหม ผมจะได้กลับ”

          “พี่มีรูปแม่สาวหางม้าคนนั้นนะ” กรกฤตยื่นมือที่แบบมาตรงหน้า “ถ้าน้องกรยอมทานเค้กเป็นเพื่อนพี่” อีกฝ่ายยังคงยื่นมือมาข้างหน้า สีหน้านิ่งเฉย “พี่อุตส่าห์สั่งไว้ให้ ชิ้นละตั้งเป็นร้อย น้องกรจะให้พี่ทิ้งมันไปเสียดื้อ ๆ อย่างนี้เหรอครับ แล้วที่สำคัญนั่นเมนูโปรดน้องกรเลยน้า… ตัดใจทิ้งมันลงเชียวเหรอ”

          “ผมไม่ได้เป็นคนเห็นแก่กินนะคุณภา”

          “พี่ก็ไม่ได้ว่าน้องกรเห็นแก่กินเสียหน่อย นี่พี่ทั้งอ้อน ทั้งวอน ให้น้องกรช่วยกินเพราะพี่เสียดายเงินหรอกนะครับ ระหว่างรอน้องกรพี่ก็ดื่มกาแฟดำหมดไปถ้วยหนึ่งแล้ว นะครับ...ถือว่าช่วยพี่หน่อย แล้วพี่จะเอารูปให้”

          กรกฤตทำสีหน้าไม่พอใจก่อนจะยอมหยิบช้อนขึ้นมาตักเค้กชิ้นนั้นไปทาน

          “เป็นยังไงบ้างครับ อร่อยไหม?”

          “อืม”

          “อารมณ์ดีแล้วเน๊อะ อย่างนั้นก็ค่อย ๆ ทานไป คุยงานไป แบบนี้ดีกว่าคุยกันแบบเครียด ๆ เสียอีก”

          อีกฝ่ายเหล่สายตามองหน้าเขาแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ภาริชเองก็ได้แต่ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบซ่อนรอยยิ้มเล็กน้อยๆ บนใบหน้า เมื่อเห็นว่าเค้กพร่องไปกว่าครึ่งจึงควานหารูปภาพออกมาจากกระเป๋า แล้ววางมันลงบนโต๊ะ 4-5 ภาพ

          “นี่คือผู้หญิงคนที่พี่เดินสวนตรงทางเข้าห้องน้ำในวันที่น้องพัสเกิดเรื่อง” พอพูดเป็นการเป็นงาน กรกฤตที่มีท่าทีผ่อนคลายกลับมาตีหน้านิ่งอีกครั้ง

          “ผมรู้สึกคุ้น ๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน?” คนตรงหน้ากยิบรูปใบหนึ่งขึ้นไปพิจารณา มืออีกข้างยังคงถือช้อนค้างไว้อย่างลืมตัว

          “ผู้หญิงคนนี้ใช่คนเดียวกับที่คุณดาเคยเห็นรึเปล่า?”

          “ผมไม่แน่ใจ รูปพวกนี้ ถ้าผมจะขอกลับไปจะได้ไหม?”

          “น้องกรขออะไร พี่ภายินดีหามาให้น้องกรได้ทั้งนั้นแหละครับ” ภาริชพูดทั้งส่งยิ้มหวานไปให้

          “หึ!! คุณคงไม่ได้ให้ผมฟรี ๆ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบหรอกนะครับ ต้องการอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องทำมาเป็นลีลา”

          “ก็นี่ไง น้องกรช่วยพี่ทานทีรามิสุชิ้นนี้แล้ว อีกอย่าง ถ้าน้องกรจะทำท่าผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้อีกสักนิด ยิ้มให้พี่อีกสักหน่อย พี่คงหลงคิดว่าเรามาเดทกันแล้วเชียว”

          “คุณภา!!”

          “ครับ ๆ พี่รู้ครับว่าแม่ของพี่ ตั้งชื่อพี่ว่าอะไร ไม่ต้องเรียกบ่อย ๆ ก็ได้ เอ้...หรือว่าน้องกรกลัวลืมชื่อพี่ภาครับ?”

          “คุณนี่มันกะล่อนไม่เปลี่ยน”

          “น้องกรจำได้ด้วยเหรอครับ ว่าพี่นิสัยเป็นยังไง” ภาริชถามยิ้ม ๆ แต่คนตรงหน้ากลับไม่ตอบคำถาม

          “นอกจากรูปนี้แล้ว คุณมีเรื่องอะไรอีกรึเปล่า”

          “มี” ภาริชตอบอย่างจริงจัง

          “ว่ามา”

          “พัสกาญกำลังคบกับทัชชาใช่ไหม?” ท่าทางนิ่งงันของกรกฤตเป็นคำตอบให้เขาได้อย่างดี “พี่เคยบอกกรไปแล้ว ว่าพี่รับปากแล้วว่าจะไม่ทำข่าวที่เกี่ยวข้องกับพัสกาญอีก ไม่ว่าน้องพัสจะคบกับพระเอกชื่อดังอยู่ในตอนนี้ก็ตาม”

          “ใครรู้เรื่องนี้บ้าง”

          “ไม่มี พี่บังเอิญรู้ว่าคุณทัชรู้จักกับน้องพัส”

          “แค่นั้นคุณก็เอามาคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะว่าพวกเขาคบกันอย่างนั้นเหรอ”

          “พี่เปล่าน้า...พี่รู้นิสัยน้องพัสดีต่างหาก คนอย่างน้องพัสที่เปลี่ยนไปจนไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ ตั้งแต่ตอน....” ภาริชละไว้ เพราะรู้ดีว่ากรกฤตเข้าใจ “ก็ถ้าคนคนนั้นไม่ดึงดูดความสนใจของน้องพัสจริง ๆ ล่ะนะ คิดหรือว่าน้องพัสจะยอมคบหาเพื่อนใหม่ๆ ยิ่งกับคนนี้ พี่ดูยังไง ๆ ก็เหมือนจะซ้ำรอยเดิมเสียด้วยซ้ำ น้องกรว่าจริงไหม?”

          “มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้ ที่ทำให้เรื่องบังเอิญพวกนี้เกิดขึ้น”

          “สำหรับน้องกรอาจจะเห็นเป็นอุบัติเหตุ แต่พี่กลับมองว่ามันเป็นพรหมลิขิต”

          “นี่คุณไม่คิดจะเสียใจหน่อยเหรอไง ที่ม่อนจะไปคบคนอื่น ทั้งที่คุณเคยตามจีบเขาตั้งหลายปี จนคุณเรียนจบไปแล้วยังคอยมาป้วนเปี้ยนแถวๆ มหาวิทยาลัย แต่เขากลับไม่เคยเหลียวแลคุณเลย”

          “พี่เคยเสียใจ และตอนนี้ก็ยังเสียใจอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะน้องพัสไม่สนใจ ไม่เหลียวแลพี่ พี่เสียใจเพราะน้องกรต่างหาก” เขาเว้นช่วงเพื่อเฝ้ามองสีหน้าและแววตาของกรกฤตที่มีแววสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อไป “กรเข้าใจพี่ผิดมาตั้งแต่ต้น จนตอนนี้ก็ยังเข้าใจผิดอยู่ การกลับมาพบกันคราวนี้ พี่หวังว่าน้องกรจะไม่ใจร้ายกับพี่มากนัก มันจะไม่มีเรื่องของพัสกาญหรือทัชชา มันจะมีเพียง ภาริชกับกรกฤตเท่านั้น” ภาริชพูดอย่างจริงจัง และจริงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหวังว่ากรกฤตจะเห็นความจริงใจเหล่านี้

.........................................................................

          พาดหัวข่าวตามสื่อต่าง ๆ ที่ออกมาสร้างความงุนงงให้กับคนในกองถ่ายไม่น้อย แม้แต่ไลลาที่ออกจากโรงพยาบาลมาทำงานได้ปกติยังไม่เข้าใจว่าข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร

          ทีมคอสตูมที่ตั้งร้านเสร็จแต่เช้าตรู่ ระหว่างรอนักแสดงทุกคน ต่างก็มานั่งล้อมวงอ่านข่าวที่ออกมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

          “เมื่อวานตอนที่เจ้ทิไปรับไลลา ออกจากโรงพยาบาลไม่ใช่ว่าเลิกกองเร็วเพราะน้องพราวหรอกเหรอ?” ไลลาที่ทนความสงสัยไม่ไหว เพราะตนเองเป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเลิกกอง

          “เมื่อวานนี้พี่แหม่มขอยกเลิกคิวถ่ายจริงครับ แต่พี่ดาผู้จัดการแจ้งล่วงหน้าให้พี่เจษฎ์ทราบตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว” เด็กตาลที่นั่งรวมสุมหัวอยู่ด้วยพูดในสิ่งที่ตัวเองพอรู้มา

          “ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่น้องแหม่มมีคิวหรือไม่มีคิวถ่ายเมื่อวาน ก็มีแค่พี่กวินทร์ พี่เจษฎ์ แล้วก็แกน่ะสิที่รู้” กะทิเงยจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาถามย้ำกับเด็กตาล

          “ที่จริงแล้ว นอกจากผมก็มีพวกเด็กกล้องที่อยู่แถวๆ นั้น เพราะพี่ดาเดินมาบอกตอนที่เลิกกองแล้วก็จริง แต่พวกผมยังเก็บของกันไม่เสร็จ อีกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นความลับ”

          “ถึงไม่ได้เป็นความลับ แต่ช่างแต่งหน้า ช่างผม หรือแม้แต่นังกรที่เป็นเพื่อนสนิทกับน้องแหม่ม ยังไม่มีใครรู้เลยว่าน้องแหม่มยกเลิกคิวเมื่อวาน พวกฉันเข้าใจไปว่าน้องแหม่มไม่มีคิวถ่ายเสียด้วยซ้ำ แล้วข่าวพวกนี้มันออกมาได้ยังไง” กะทิพูดออกมาอย่างขัดใจ

          “นางเอกเทกอง เขียนแบบนี้ได้ยังไง แล้วไหนจะเขียนโยงไปถึงที่น้องแหม่มไปกินข้าวกับฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นอีก” ไลลาผสมโรงออกอาการหงุดหงิดตามไปด้วยอีกคน

          “พี่กรรู้เรื่องที่พี่แหม่มไปกินข้าวกับฝรั่งคนนั้นไหม?” ชาญหันไปถามกรกฤตที่เอาแต่นั่งฟังคนอื่นโวยวายนิ่ง ๆ”

          “เรื่องงานน่ะ แต่ไม่รู้รายละเอียด ที่สำคัญรูปที่ถ่ายมา เหมือนจะตัดคนอื่น ๆ ออกไป เพราะน้องดาไม่มีทางให้ยัยแหม่มไปพบลูกค้าเพียงลำพังแน่ ๆ”

          “ฮึ้ย อยากรู้นัก ว่าใครเป็นถ่ายรูปพวกนี้ ใครเป็นคนให้ข่าวไร้สาระแบบนี้” กะทิฮึดฮัดอย่างขัดใจ

          “เจ้ทิ เป็นไปได้ไหมว่าข่าวที่เรา ๆ เคยได้ยินกันมาเกี่ยวกับน้องแหม่ม ฉันหมายถึงก่อนที่เราจะสนิทกับน้องม่อนน้องแหม่มอ่ะนะ” ไลลายังพูดไม่ทันจบกะทิก็แทรกขึ้น

          “กลิ่นมันตุ ๆ เหมือนเป็นการสร้างข่าวใส่ร้ายน้องแหม่ม” คนพูดแทรกโดยไม่ฟังคนอื่น มันแต่จนจ่อกับสิ่งที่ตนเองคิด

          “ใช่ เจ้ก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?” ไลลากลับไม่โกรธเรื่องที่โดนแทรก และยังเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย

          “นังกร บอกมาเลยนะ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

          “พี่แหม่มเขาแค่อารมณ์ร้อนเท่านั้นแหละพี่ทิ ส่วนข่าวอื่น ๆ ที่ออกมาก็แค่เขียนเกินจริง ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาข่าวที่ไหนมาเล่นละ” เอมพูดอย่างคนเข้าใจเรื่องราว

          “น่าสงสารน้องแหม่มนะ เป็นฉันโดนข่าวแบบนี้ก็ยิ่งหงุดหงิด” ไลลาเปรยออกมาอย่างเห็นใจ

          คนทั้งหมดต่างพากันเงียบอย่างครุ่นคิด จนกระทั่งตาลเปรยขึ้นมา

          “เรื่องข่าวผมก็เข้าใจนะ ไม่งั้นนักข่าวคงไม่มีงานให้ทำ แต่ที่ผมไม่เข้าใจ ข่าวพวกนี้มันก็มีให้เห็นบ่อย แต่ ๆ ๆ”

          “แต่ ๆ ๆ อะไร ไอ้ตาล พูดอะไรเนี่ย คนยิ่งกลุ้ม ๆ อยู่” กะทิพูดแทรกอย่างรำคาญ

          “แล้วพี่ทิจะกลุ้มเรื่องอะไรล่ะ?” ตาลถามน้ำเสียงโอดครวญ

          “ก็กลุ้มแทนน้องแหม่มน่ะสิ”

          “แล้วพี่จะกลุ้มทำไมอ่ะ ข่าวแบบนี้มีให้เห็นตั้งเยอะแยะไป”

          “ที่กลุ้มเพราะข่าวน้องแหม่มมันไม่ใช่เรื่องจริงสักนิด ถึงจะเกี่ยวข้องกับน้องแหม่มอยู่บ้าง แต่เล่นเขียนออกนอกอ่าวไทยไปแบบนั้นจะไม่ให้กลุ้มได้ยังไง”

          “นั่นแหละ ๆ ที่ผมจะบอก ข่าวอื่นมันมีมูลความจริง แต่ข่าวพี่แหม่มไม่ใช่ไง ที่ผมสงสัย คือทำไมมากว่า”

          “อะไร ทำไม?” กะทิถามอย่างไม่เข้าใจ

          “เฮ้อ…” กรกฤตถอนใจออกมาอย่างไม่ปิดบังก่อนเดินออกจากห้องไป

          “นี่ ชาญ ลูกพี่ของนายเป็นอะไร?”

          “ก็กลุ้มเรื่องเดียวกับพี่ทินั่นแหละ พี่กรกับพี่ดาเขารู้มาตั้งนานแล้วว่าพี่แหม่มโดนเล่นงานอยู่ แค่ไม่รู้ว่าจากใคร และทำไปเพื่ออะไรเท่านั้น” ชาญตอบพร้อมกับลุกไปเตรียมงานในส่วนของตน โดยมีเอมลุกตามไปด้วย

          “สงสัยพวกเราต้องเป็นหูเป็นตาให้กับน้องแหม่มแล้ว เผื่อจะช่วยอะไรน้องแหม่มได้บ้าง”

          “แต่ละครกำลังจะปิดกล้องแล้วนะเจ้ อีกอย่างข่าวของน้องแหม่มใช่ว่าจะมีแต่ข่าวในกองนี้อย่างเดียวสักหน่อย” ไลลาออกความเห็น

          “แต่ผมจะช่วยพี่ทิ ถ้าเจอคนหน้าสงสัยคนนึง มันก็ต้องเจอคนอื่น ๆ สิ”

          “แกพูดอย่างกับว่ารู้ว่าใครเป็นคนทำอย่างนั้นแหละ”

          “ผมแค่รู้สึกว่า ตั้งแต่เริ่มถ่ายละครเรื่องนี้ พี่แหม่มมีข่าวไม่ดีเกือบทุกวัน ไหนจะกระทู้บ้าง ไหนจะทวิตเตอร์ ส่วนใหญ่ก็มาจากแฟนคลับที่แอนตี้พี่แหม่มเขาทั้งนั้น”

          “แกสังสัยแฟนคลับ?”

          “แล้วมันไม่น่าสงสัยตรงไหนล่ะ”

          “ความคิดเด็ก ๆ” กะทิอดแขวะไม่ได้

          “เอาน่าเจ้ทิ ไอ้ตาลมันก็หวังดี ตอนนี้เวลาก็มีไม่เยอะ งานก็ยุ่ง ถึงอยากจะช่วยหาว่าใครปล่อยข่าวเรื่องน้องแหม่ม แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ เอาเท่าที่ได้แล้วกัน แยกย้าย” ไลลาพูดจบก็ลุกขึ้นแยกไปทำงานของตัวเอง ตามด้วยเด็กตาล เหลือเพียงกะทิที่นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว

To Be Continued 
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 36 : 6.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-06-2020 05:05:52
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 36 : 6.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 06-06-2020 08:56:08
 :hao4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 36 : 6.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-06-2020 10:07:08
วงการบันเทิงอะนะ มันก็ต้องบรรเทิงสิ ใครเต้าข่าวละนี่ 555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 36 : 6.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-06-2020 11:07:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 36 : 6.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 06-06-2020 11:08:40
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 37 : 7.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 07-06-2020 12:51:01
37










          ทัชชากำลังเลือกซื้อของฝากติดไม้ติดเมื่อไปให้แม่ของพัสกาญ หากดูจากที่เคยพบไกลๆ ในวันงานแข่งขันแรลลี่แล้ว อายุของแม่อีกฝ่ายอายุน่าจะใกล้เคียงกับแม่ของเขา หรืออาจจะอ่อนกว่าไม่กี่ปี จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อของไปฝากผู้ใหญ่ท่านนี้ แต่ที่ยากจริง ๆ กลับเป็นของฝากที่ตั้งใจจะซื้อให้พัสกาญมากกว่า ของขวัญชิ้นแรกตั้งแต่รู้จักกันมา เขาควรจะซื้ออะไรไปฝากหนุ่มตาหวานคนนั้นดี

          เขาเดินวนอยู่ในห้างสรรพสินค้าอยู่ราวสองชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่ได้ของติดไม้ติดมือให้พัสกาญเลย ทัชชาไม่คิดว่าการหาของขวัญให้คนคนหนึ่งจะยากถึงขนาดนี้ พอนึกไปถึงคราวของพราววริศา ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายเรียกร้องเสียมากกว่า

          “พี่ทัช พี่ทัชค่ะ น้องขอเวลาสักครู่ได้ไหมค่ะ”

          ทัชชาหันไปตามเสียงหญิงสาวที่ชื่อน้อง หากเขาจำไม่ผิดดูเหมือนว่าจะเป็นนักข่าวของนิตยสารดาราฉบับหนึ่ง

          “ครับ คุณน้องมีอะไรรึเปล่าครับ”

          “บังเอิญจังเลยนะคะ ที่เจอพี่ทัชที่นี่ เอ้...วันนี้พี่ทัชไม่มีคิวที่กองถ่ายเหรอค่ะ?”

          “ครับ ไม่มี”

          “แล้วนี่คุณอามันต์ไปไหนล่ะค่ะ ไม่ได้มาด้วยเหรอค่ะ?”

          “มันต์เขาไปคุยงานแทนพี่น่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณน้องมีอะไรรึเปล่า”

          “ถ้าหากน้องจะรบกวนถามเรื่องเมื่อวานหน่อยได้ไหมค่ะ?”

          “เรื่องเมื่อวาน เรื่องอะไรครับ?”

          “พอดีมีข่าวว่า เมื่อวานทางกองถ่ายเลิกกองเร็วกว่าปกติ เลยอยากรู้ว่าเพราะอะไรเท่านั้นเองค่ะ น้องติดงานที่อื่น เลยไม่ได้แวะไปเยี่ยมที่กองถ่าย”

          “ละครใกล้ปิดกล้องแล้ว ไม่แปลกหรอกครับที่นักข่าวจะไม่เล่นข่าวนี้ อีกอย่างละครก็ออนแอร์ไปหลายตอนแล้ว คุณน้องน่าจะเล่นข่าวเกี่ยวกับฟีดแบคของละครมากว่า เรื่องนี้พี่เข้าใจครับ”

          ”พี่ทัชพูดตรงจนน้องเกรงใจเลยค่ะ แล้วเมื่อวานนี้เป็นยังไงบ้างค่ะ”

          “เอ่อ ก็ไม่มีอะไรมากครับ พราวเขาแค่ไม่ค่อยสบาย ถ่ายต่อไม่ไหว ผู้กำกับเลยให้พราวกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย”

          “แล้ว เอ่อ...น้องแหม่มล่ะคะ” คุณน้องเหมือนลังเลที่จะถามจนเขานึกแปลกใจ

          “แหม่มทำไมครับ?”

          “มะ ไม่มีอะไรค่ะ”

          “หากคุณน้องจะถามว่าแหม่มเขาวีนเหวี่ยงไหม ก็สบายใจได้ครับ เมื่อวานแหม่มเขาไม่มีคิวที่กองถ่าย” เขาเข้าใจว่าคุณน้องยังติดภาพข่าวของชาริสาที่มักจะเหวี่ยงวีนเวลาไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งตั้งแต่เขาร่วมงานกับนางเอกคนนี้มาเขาเองก็ไม่เคยเจอกับตัวเองเลย

          “วะ ว่ายังไงนะคะ”

          “แหม่มเขาไม่ได้ไปที่กองถ่ายครับ ไม่มีคิวที่เขาต้องถ่าย หากคุณน้องอยากเล่นข่าวที่น้องแหม่มวีนในกอง พี่อยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง ตั้งแต่พี่ร่วมงานกับน้องแหม่มมา พี่ยังไม่เคยเห็นแหม่มเป็นอย่างข่าวที่เขียนๆ กัน ข่าวน่ะเล่นได้ แต่ให้มีขอบเขตหน่อยนะครับ”

          “ละ แล้วข่าวที่ลงว่าน้องแหม่มเทกองละคะ”

          “เทกอง? พี่ว่าคุณน้องน่าจะเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ”

          “ขอโทษค่ะ พี่ทัชอาจจะยังไม่เห็นข่าวนี้” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาปิดหน้าข่าวให้เขาดู และมีข่าวพร้อมทั้งสาเหตุที่ชาริสาเทกอง ภาพในข่าวฟ้องชัดด้วยการที่ชาริสาไปพบฝรั่งคนหนึ่ง

          “เรื่องที่แหม่มไปพบใคร พี่ไม่ทราบ แต่เรื่องเทกองน่าจะเข้าใจผิด แหม่มเขาไม่ได้เข้ากองถ่ายเมื่อวาน เพราะไม่มีคิวของเขา อันที่จริงฉากของแหม่มก็แทบจะไม่เหลือแล้ว เหลือเพียงบางซีนเท่านั้นเอง ดังนั้น นานๆ แหม่มเขาถึงจะเข้ามาที่กองสักที”

          “จะว่าอะไรไหมค่ะ ถ้าน้องจะขอเอาคำพูดของพี่ทัชไปเขียนข่าว?”

         “เฉพาะเรื่องเทกองนะครับ ส่วนเรื่องฝรั่งคนนั้น พี่ไม่ทราบครับ แล้วอย่าเล่นข่าวจนเกินจริงล่ะครับ”

          “ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่ทัช น้องจะเขียนระวังๆ ค่ะ”

          คุณน้องนักข่าวคนนั้นเดินจากไปพร้อมทั้งกดโทรศัพท์หาใครบางคน ทัชชาเองก็รู้สึกว่าควรจะโทรศัพท์หาพัสกาญเช่นกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายรับสาย

          ‘ครับพี่ทัช’ น้ำเสียงของอีกคนสดใสฟังดูไร้ความกังวล

          “ทำอะไรอยู่ครับ”

          ‘นั่งคุยอยู่กับคุณแม่ครับ’

          “อ่อ ครับ พี่แค่กังวล” ทัชชาเลือกที่จะไม่ถามเรื่องของชาริสา เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่กับแม่ของตนเอง คงยังไม่ทันได้เห็นข่าวเพื่อนรัก

          ‘เรื่องที่จะเข้ามาหาแม่นะเหรอ?’

          “เรื่องของฝากท่านมากกว่า ไม่รู้ว่าท่านจะชอบรึเปล่า”

          ‘ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ไม่มีอะไรมาฝากแม่ก็ไม่ว่า”

          “พูดแบบนี้ต่อหน้าคุณแม่จะดีเหรอครับ”

          ‘ผมหลบออกมาตรงระเบียงแล้วครับ รับรองว่าแม่ไม่ได้ยิน’

          “ครับ งั้นไว้เย็นนี้เจอกันนะครับ”

          ‘ครับ’

          หลังจากที่ทัชชาวางสายแล้ว เขาก็ยังคงง่วนอยู่กับการมองหาของฝากที่เหมาะกับพัสกาญอีกครั้ง

.........................................................................

          ช่วงเช้าของวัน ภายในกองถ่ายของกวินทร์ ว่ามีเรื่องวุ่นว่ายแล้ว ตกบ่ายกลับวุ่นวายหนักเข้าไปอีก เมื่อพระเอกของเรื่องบังเอิญให้สัมภาษณ์นักข่าวนิตยสารฉบับหนึ่งกล่งห้างสรรพสินค้า และถูกโพสขึ้นเวปไซต์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว ถึงเรื่องที่เมื่อวานกองถ่ายเลิกกองเร็วกว่าปกติ

           ทัชชากล่าวตามความจริงทุกอย่าง เรื่องที่กวินทร์ให้พราววริศากลับไปพักก่อน ถึงอีกฝ่ายจะพูดให้เกียรตินักแสดงสาวรุ่นน้องว่าไม่สบาย ส่วนนางเอกของเรื่องนั้น รอดพ้นจากข้อกล่าวหาที่ว่าเทกองไปโดยปริยาย ไหนพระเอกหนุ่มยังกล่าวออกตัวปกป้องนางเอกของเรื่องอีก ข่าวที่ออกมาพลิกผันราวกับละครคนละเรื่อง คงมีบางฝ่าย บางคนเสียหน้าไม่น้อย

            ความวุ่นวายในกองถ่ายช่วงบ่ายที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะทีมงานต่างเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันหรือไม่มีสมาธิในการทำงานแต่อย่างใด กลับเป็นพราววริศาที่ถูกพาดพิงในข่าวจากการให้สัมภาษณ์ของทัชชาต่างหากที่โวยวายไม่พอใจ

          “พี่กวินทร์ค่ะ หลินขอให้พราวได้พักสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมค่ะ?”

          “อืม แค่ครึ่งชั่วโมงนะหลิน เธอคงรู้ว่างานพี่ยังเหลืออีกมาก”

          “ค่ะ หลินขอพาพราวไปพักก่อนนะคะ”

          ทุกสายตาต่างมองหลินอย่างเห็นใจ ผู้จัดการของนักแสดงสาวพา นางฟ้าเจ้าปัญหา ที่เคยได้ยินคนอื่นในกองเรียกลับหลังไปยังห้องส่วนตัว หลินที่เกือบจะเก็บความขุ่นเคืองไว้ไม่มิดกับการกระทำของดาราในความดูแลของตน

          เมื่อเข้ามาในห้องส่วนตัวที่ปิดมิดชิด จากมือที่จับจูงดาราสาวอยู่ก็เหวี่ยงอีกคนที่เดินตามหลังมาลงบนพื้นอย่างแรง

          “หยุดบ้าได้แล้ว” หลินกดเสียงต่ำ อย่างโมโห

          “จะ เจ็บนะ” หลินสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ พยายามระงับสติไม่ให้โมโหไปมากกว่านี้

          “มีสมาธิกับงานตรงหน้าหน่อย เรื่องอื่นฉันจัดการเอง”

          “เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะว่าเธอจัดการเหรอ เรื่องถึงได้เป็นแบบนี้” พราววริศาลุกขึ้นลูบก้นตัวเองปอยๆ เจ็บที่ถูกเหวี่ยงลงบนพื้นอย่างแรง

          “หากเธอไม่ทำเรื่องให้ฉันคอยตามล้างตามเช็ดแล้วมันจะออกมาแบบนี้ไหม!!” หลินพยายามกดข่มเสียงที่ตะคอกออกไปให้ต่ำลง เพื่อไม่ให้เสียงรอดออกไปภายนอก

          “ไม่รู้แหละ ฉันเบื่อๆๆๆๆ ทั้งเรื่องพี่เตอร์ เรื่องนังแหม่มนั่นก็ด้วย แล้วไหนพี่ทัชยังให้สัมภาษณ์อย่างกับฉันเป็นคนผิดนั่งอีก ฉันเบื่อๆๆๆ ฉันไม่อยากยุ่งแล้ว” พราววริศากระทืบเท้าอย่างไม่พอใจก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ภายในห้อง โดยไม่ระวังว่าตัวเองเจ็บก้นอยู่

          “ไม่ใช่เพราะเธออยากเป็นนางเอกเรื่องนี้คู่กับทัชชารึยังไง ฉันถึงต้องวางแผนกันนังนั่นออกไป”

          “ก็ไม่เห็นจะได้ผลเลย สุดท้ายมันก็ได้เป็นนางเอกอยู่ดี” ดาราสาวว่าเสียงอ่อนพร้อมลูบสะโพกปอยๆ หวังจะบรรเทาอาการเจ็บ

          “ใช่ แล้วมันก็ได้เป็นนางเอกเรื่องนี้เรื่องสุดท้ายด้วย”

          “อย่างนั้นก็ดีสิ”

          “ดีที่ไหนกันล่ะ มันโกอินเตอร์ไปเล่นซีรีย์ที่อเมริกาแล้วโน่น ไอ้ฝรั่งในข่าวนั่นเป็นถึงผู้อำนวยการสร้างรู้ไว้ซะด้วย นังโง่” ท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่ายทำให้หลินอดที่จะว่าแรงๆ ไม่ได้

          “ฉันไม่ได้โง่นนะ ดีจะตาย ในเมื่อมันไม่อยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะได้หมดคู่แข่ง เธอนั่นแหละที่โง่”

          “นี่เธอมันโง่เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ วัน ๆ นี่คิดแต่เรื่องบนเตียงรึไง ไม่คิดเหรอว่าเมื่อเทียบกับมันแล้ว มันที่เป็นแค่พรีเซนเตอร์ตัวเล็กๆ ขยับขึ้นมาเล่นละครเป็นนางเอกไม่กี่เรื่องก็โกอินเตอร์แล้ว ส่วนเธอมีแต่กลับแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เธอยังจะมีงานอยู่ไหม” หายใจหอบหลังจากพูดบ่นออกมายาวยืดตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น

          “คำก็โง่ สองคำก็โง่ เธอจะทำอะไรก็เรื่องของเธอเลยแม่คนฉลาด”

          “ฉันให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้ายนะ ทำตัวให้มันดีๆ หน่อย และหากครั้งนี้เธอยังขัดคำสั่งฉันอีก ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ว่าจบหลินก็เดินออกจากห้องไปทันที โดยไม่คิดจะหันกลับมามองหน้าดาราสาวแม้แต่น้อย

.........................................................................

          โบตั๋นกำลังตรวจงานเป็นครั้งสุดท้ายอยู่ภายในสตูดิโอหรือห้องทำงานส่วนตัวของเธอ ชิ้นงานทุกชิ้นเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขาดเพียงแต่ให้นางแบบมาลองสวมและแก้ไขให้เหมาะสมกับรูปร่างเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเธอตั้งใจจะเก็บไปทำก่อนวันงานสัก 2-3 วัน เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้เธอเงยหน้าจากภาพพร็อพที่เธอหาไว้สำหรับแต่ละชุด

          “แม่ครับ เกือบได้เวลาแล้วนะครับ” พัสการเดินเข้ามาตามเธอถึงในห้องทำงาน ท่าทางตื่นเต้นราวกับเด็ก ๆ ทำให้เธออดที่จะเย้าแหย่ไม่ได

          “แฟนจะมาหาแม่ที่บ้านแค่นี้ ทำเป็นตื่นเต้นไปได้”

          “ยังไม่ใช่แฟนสักหน่อย ไหนแม่บอกว่าต้องลองคุยกับเขาก่อนยังไงล่ะครับ” พัสการเข้ามากอดเอวของเธออย่างอ้อน ๆ

          “แล้วทำไมเราถึงดูตื่นเต้นแบบนี้ล่ะ หรือกลัวว่าแม่จะไม่ยอมรับพ่อพระเอกของลูก”

          “จะให้แม่ยอมรับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน มันก็ดูง่ายไปหน่อย แม่ไม่คิดจะเล่นตัว ทำท่าทางหวงลูกชายคนเดียวหน่อยหรือครับ”

          “แม่มีบททดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้รอพ่อพระเอกจองลูกอยู่แล้ว หวังว่าม่อนจะเข้าใจแม่นะ”

          “เล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แค่ไหนกันครับ”

          “เอาเป็นว่าคุ้มค่ามากสำหรับคนที่ต้องการลูกของแม่ไปเป็นคู่ชีวิต”

          “ม่อนฟังแล้วหนาว ๆ ชอบกล หรือว่าแม่เปิดแอร์แรงไปครับ” พัสการหันไปมองรีโมทแอร์อย่างต้องการจะเปลี่ยนเรื่องคุย

          “เหมือนแม่จะได้ม่อนคนเดิมกลับมาแล้ว แบบนี้ยอมลดบททดสอบให้พ่อพระเอกของลูกไปสักด่านหนึ่งก็แล้วกัน ถือเป็นรางวัล”

          “หืม ง่ายขนาดนี้เลยเหรอครับ”

          “อืม ก็ง่าย ๆ แบบนี้แหละ”

          ”แม่ของม่อนนี่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้จริง ๆ”

          พัสการส่ายหน้าอย่างล้อเลียน ก่อนผละออกจากเธอและมองไปยังงานบนโต๊ะใหญ่กลางห้องสตูดิโออย่างสนใจ

          “คอลเล็กชั่นใหม่นี่ครับ”

          “ใช่จ๊ะ เกือบเสร็จแล้ว ของม่อนล่ะ เสร็จรึยัง?”

          “เสร็จตั้งนานแล้วครับ ทางโน้นน่าจะตัดเสร็จแล้ว ม่อนยังไม่ได้เช็คว่าเขาให้นางแบบนายแบบเข้ามาลองแล้วรึยัง” พัสการตอบโดยยังคงสนใจอยู่กับงานของเธอบนโต๊ะ โบตั๋นจึงค่อย ๆ ทยอยเก็บงานในส่วนที่ตรวจสอบและจัดพร๊อพเรียบร้อยแล้ว “แม่ครับ นี่ใช่ชุดฟินาเล่ไหมครับ”

          “อืม ตอนแรกแม่ว่าจะใช้ชุดนั้น แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจน่ะ เพราะแม่กำลังคิดว่าอาจจะปรับอีกสักหน่อย”

           “ม่อนว่าชุดนี้ก็สวยดีแล้วนะครับ ทำไมต้องปรับอีกล่ะครับ”

          “พอดีแม่มีไอเดียดี ๆ ผุดขึ้นมาน่ะ”

          “อ่อ” เสียงเคาะประตูเรียกให้สองแม่ลูกหันไปมอง

          “คุณม่อนค่ะ มีแขกมาพบค่ะ” เด็กในบ้านพูดจบก็เรียกรอยยิ้มบาง ๆ จากสีหน้าลูกชายเธอ

          “แม่ ม่อนไปดูพี่ทัชก่อนนะครับ”

          “นี่ใช่ม่อนของแม่ที่เห็นแค่ออร่ารึเปล่า รู้ดีว่าใครมาหาขนาดนี้แม่นึกว่าเป็นตาเจมส์ที่หูดีได้ยินไกลเป็นกิโลซะอีก”

          ”แม่... ก็วันนี้มีแจกมาบ้านเราแค่คนเดียว ม่อนก็ต้องเดาได้สิว่าเป็นพี่ทัช” ลูกชายของเธอโอดครวญเกาะกรอบประตูราวกับลูกลิง

          “อืม แม่เชื่อก็ได้ ไปเถอะ ม่อนพาพี่เขาไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวแม่เก็บงานตรงนี้เสร็จแล้วจะตามไป”

          “ครับ”

          หลังจากพัสกาญออกจากห้องไปแล้ว โบตั๋นก็หันมาดูชุดฟินาเล่ที่เธอตั้งใจเปลี่ยนอย่างกระทันหัน และเธอยังได้อีเมลตอบตกลงจากนางแบบพิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

          โบตั๋นได้ส่งแบบร่างของชุดนี้ให้นางแบบคนหนึ่งเพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าจะรับงานด่วนจากเธอหรือไม่ เธอยอมติดต่อกับนางแบบผู้นี้ด้วยตัวของเธอเอง ไม่ได้ผ่านผู้ช่วยเหมือนอย่างเคย และยังไม่มีทีมงานคนไหนรับรู้เรื่องนางแบบผู้นี้เสียด้วยซ้ำ

          งานแฟชั่นวีคครั้งนี้ พัสกาญยอมตกลงที่จะไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะทายาทของตระกูลฝู่คนหนึ่ง เธอจึงวางแผนการลองใจว่าที่ลูกเขยนี้ขึ้นมาได้ ถึงจะเป็นแผนการที่มองดูใจร้ายไปบ้าง แต่เธอก็ยอมที่จะเป็นแม่ใจร้ายเพื่อให้ลูกชายของเธอสามารถก้าวผ่านเรื่องในอดีตไปได้

          “หึ! หวังว่าเธอคงจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ โมนิกา

To Be Continued
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 37 : 7.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-06-2020 14:34:17
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอย...คุณแม่ใจร้าย 

เอาอีนังโมนิก้าตัวแสบมาเดินแบบชุดฟินาเล่ในงาน
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 37 : 7.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 07-06-2020 15:48:00
 :mew5:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 37 : 7.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 08-06-2020 23:52:39
คูนนนนนนแม่จะทำอาร๊ายยยยยยยย :ling1:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 38 : 9.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 09-06-2020 01:32:40
38










     พัสกาญเดินออกจากสตูดิโอของแม่เพื่อตรงมายังห้องรับแขก ตลอดแนวทางเดินจากประตูบ้านเข้ามาภายใน เขาเห็นออร่าของทัชชาลอยฟุ้งมาเป็นสาย สีสันสวยงามพาลให้คิดถึง เขาไม่ได้เห็นออร่านี้มาสักพักหนึ่งแล้วตั้งแต่ไม่ได้ไปช่วยงานกรกฤตที่กองถ่าย

     ยิ่งเดินเข้าใกล้ห้องรับแขก ออร่าของทัชชาก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นจนพัสกาญอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าของออร่านี้มีความสุขมากแค่ไหน จนเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องก็พบกับทัชชาที่นั่งรออยู่ รอยยิ้มที่ส่งมาช่างแสนอบอุ่นแบบเดียวกับออร่าที่แผ่ออกมาไม่มีผิด

     “พี่เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วสิ เคยเห็นแต่นอกรั้ว ไม่คิดว่าบ้านม่อนจะใหญ่ขนาดนี้”

     “ไม่ใช่บ้านผมสักหน่อย บ้านของคุณยายต่างหาก พ่อแม่และผมมาอาศัยบ้านคุณยายท่านอยู่” เขาเห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อจากอีกฝ่ายจึงต้องย้ำ “จริง ๆ นะครับ คุณยายท่านอยู่คนเดียว พ่อเป็นห่วงเลยพาครอบครัวของผมย้ายเข้ามาเพื่อจะดูแลท่าน”

     “พี่ลืมเรื่องคุณยายของม่อนไป ไม่ได้ซื้ออะไรมาฝากท่านด้วย ทำยังไงดีล่ะทีนี้”

     “คุณยายไม่อยู่หรอกครับ ไปพักอยู่กับเฮียเจมส์ที่ไร่ตั้งแต่จบงานแรลลี่โน่น ท่านบอกว่าชอบอากาศที่ไร่มาก คงจะไม่กลับมาในเร็ววันนี้แน่ ตอนนี้แม่กับผมเลยต้องเป็นคนเฝ้าบ้าน” เขาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนชวนให้อีกคนย้ายไปยังอีกห้อง “เราย้ายไปห้องนั่งเล่นดีกว่าครับ ห้องนี้มันนั่งไม่สบายเท่าไร”

     “บ้านหลังนี้ถ่ายละครได้เลยนะครับ” ทัชชามองไปรอบ ๆ พร้อม เปรยออกมา ระหว่างเดินตามเจ้าบ้านไปห้องนั่งเล่น

     “พี่ทัชคงจะไม่เอาบ้านคุณยายไปทำโลเคชั่นสำหรับถ่ายละครหรอกนะครับ”

      “พี่เป็นแค่ดาราตัวเล็ก ๆ ไม่ใช่ผู้จัดละครนะครับ อีกอย่างพี่แค่เห็นว่าบ้านหลังนี้ตกแต่งสวยดี”

     “ครับ บ้านนี้คุณยายทวดเป็นคนตกแต่งครับ ท่านรสนิยมดีมาก ๆ ถึงเป็นคนรุ่นเก่าแต่ก็หัวสมัยใหม่ เสียดายที่ม่อนไม่มีโอกาสได้พบท่าน ท่านจากไปเสียก่อน เคยได้ยินแต่ป้าหงส์กับแม่เล่าให้ฟัง”

     “แล้วคุณแม่ละครับ?” ทัชชานั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง โดยมีพัสกาญนั่งลงที่โซฟาตัวถัดไป

     “แม่ทำงานอยู่ในสตูดิโอครับ กำลังตามมา แม่ให้ม่อนออกมารับพี่ทัชมาห้องนี้ แม่เองก็ไม่ชอบนั่งในห้องรับแขก” เขาพูดยิ้มๆ เกือบจะนินทาแม่ของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง ดีที่ยั้งปากได้ทัน

     “คุณแม่เป็นศิลปินเหรอครับ?”

     “จะเรียกแบบนั้นก็ได้ครับ ที่จริงแม่เป็นดีไซด์เนอร์ครับ ม่อนเห็นแม่คลุกคลีอยู่กับงานพวกนี้ตั้งแต่เด็ก เลยอดที่จะซึมซับและเจริญรอยตามไม่ได้”

     “วันงานแรลลี่ พี่จำได้ว่ามีแจ็คเก็ตรุ่นลิมิเต็ดฯ ที่ทางห้องเสื้อเพ็ญนภาเป็นผู้ออกแบบ ได้บรรดาลูกหลานในแวดวงไฮโซประมูลซื้อกันไปในราคาสูง นั่นใช่ผลงานของคุณแม่รึเปล่าครับ”

     “แม่กับป้าเพ็ญช่วยกันทำครับ ส่วนแม่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง”

     “ม่อนเก่งเหมือนคุณแม่นี่เอง ถึงได้มีแบรนด์เป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย”

     “อะแฮ่มๆ เห็นในข้อความ ก็ว่าช่างหยอดแล้วนะ มาอยู่ต่อหน้ายังหยอดไม่เลิก เห็นลูกชายน้าเป็นเตาขนมครกรึยังไงจ๊ะคุณพระเอก” แม่ของที่ไม่รู้ว่ามายืนฟังทั้งสองคุยกันอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไร ค่อยๆ เดินเข้ามา โดยที่พัสกาญรีบเดินเข้าไปรับ จนแม่ต้องตีมือของเขาที่เอื้อมไปประคองเบา ๆ อย่างหยอกล้อ “แม่ไม่ใช่คุณยายนะ ไม่ต้องเดินมาประคองแม่แก้เขินหรอก”

     “แม่อ่ะ…” แม่ที่รู้ทันแถมยังพูดตรงจนเขาไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร

     “สวัสดีครับคุณน้า ผมทัชชาครับ” ทัชชาลุกขึ้นยกมือไหว้

     “เมื่อกี้เห็นเรียกว่าแม่ ๆ ๆ อยู่เลย ตอนนี้เปลี่ยนเป็นน้าแล้วเหรอ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเร็วดีนี่”

     “เอ่อ…” ทัชชาเหลือบตามองมาที่พัสกาญอย่างกับต้องการความเห็น ว่าควรจะเรียกแม่ของเขาว่าอย่างไรดี “ถ้าอย่างนั้นผมฝากตัวเป็นลูกคุณแม่อีกสักคนก็แล้วกันนะครับ คุณแม่”

     “ได้สิ ตกลงว่าจะมาขอเป็นลูกใช่ไหม?” พัสกาญเห็นทัชชาถึงกับทำหน้าเหวอ กับคำหยอกเย้าของแม่

     “งั้นตอนนี้ของเรียกคุณน้าไปก่อนก็แล้วกันครับ ในฐานะที่เป็นเพื่อนกับม่อน เอาไว้เลื่อนขั้นเป็นแฟนเมื่อไรค่อยฝากตัวเป็นลูกเขยทีหลังคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

     “คุณพระเอกจะมาเป็นลูกเขย?” แม่หันมามองหน้าเขา ก่อนหันกลับไปที่ทัชชา “ไม่คิดหรือว่าคุณอาจจะมาเป็นลูกสะใภ้ของน้า”

     “ไม่คิดเลยครับ ผมเป็นฝ่ายรุกเข้ามาหาคุณน้าที่บ้านขนาดนี้ คุณน้าคงไม่คิดว่าผมจะยอมเป็นสะใภ้ให้หรอกนะครับ”

     “แม่...พี่ทัช...พูดเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย” พัสกาญโอดครวญเบาๆ กับบทสนทนาที่ทั้งสองคุยกัน

     “เรื่องม่อน/เรื่องของลูก” ทั้งสองตอบออกมาพร้อม ๆ กันจนเขาอยากจะกุมขมับ

     แม่เป็นผู้หญิงขี้เล่นเรื่องนี้เขารู้ดี แต่ทัชชานี่สิ ไม่รู้ว่าเอาความกล้าจากไหน มาต่อปากต่อคำ กับแม่ของเขาขนาดนี้ ไม่กลัวเลยหรือไง ว่าจะไม่ได้เข้ามาเหยียบบ้านนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

      “พี่ทัช แม่แค่ล้อพี่ทัชเล่นเท่านั้นเอง” ทัชชายิ้มให้เขาบางๆ

     “คุณน้าครับ นี่ของฝากเล็กๆ น้อยๆ และหวังว่าคุณน้าจะเห็นความจริงใจในคำพูดของผม”

     “ว้า...กำลังสนุกเลย แต่ก็ขอบใจสำหรับของนะ นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว เราไปที่ห้องอาหารกันเถอะ”

      พัสกาญลอบถอนใจเบา ๆ กับการต่อล้อต่อเถียงระหว่างแม่ของเขากับทัชชาผ่านไปแล้วหนึ่งยก แล้วค่อย ๆ เดินตามหลังแม่ของตังเองไป โดยแอบเหลือบมองทัชชาที่ดูจะไม่เป็นกังวลสักนิดที่โดนแม่เขาแกล้ง สีหน้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา ไหนออร่าที่ดู...สนุก? เห็นแล้วน่าหมั่นไส้จริง ๆ

.........................................................................

     ช่วงเวลาอาหารเย็นของบ้านพัสการดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ทานอาหารกันเงียบ ๆ ไม่ค่อยได้พูดคุยกันเสียเท่าไร มีบ้างที่เขาคอยตักอาหารให้พัสกาญร่วมถึงว่าที่แม่ยายอย่างเอาใจ ทัชชาไม่คิดว่าแม่ของพัสกาญที่ขี้เล่น จะกลับกลายเป็นจริงจังถือมารยาทบนโต๊ะอาหารขนาดนี้

     หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จ ทั้งหมดก็พากันกลับมายังห้องนั่งเล่น โดยมีผลไม้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำเป็นของว่าง

     “ทัชพอจะรู้เรื่องงานของม่อนบ้างแล้วใช่ไหม?” โบตั๋นเอ่ยหลังจากที่ทานผลไม้ไปเล็กน้อย

     “ครับ ผมพอจะทราบว่าม่อนเป็นดีไซน์เนอร์ และมีแบรนด์เป็นของตัวเอง”

     “แล้วงานที่ม่อนช่วยน้าอยู่ล่ะ?”

     “คุณน้าคงจะหมายถึงแบรนด์เสื้อผ้าของคุณน้าใช่ไมครับ”

     “อืม”

     “ผมขอสารภาพตามตรงว่าผมเพิ่งทราบจากม่อนเขาวันนี้เองว่าคุณน้าก็เป็นดีไซด์เนอร์ แต่ยังไม่ทราบว่าห้องเสื้อของคุณน้าชื่ออะไร”

     “ม่อนไม่ได้เล่าเรื่องงานให้พี่ทัชฟังเท่าไรครับ” พัสกาญหันไปยืนยันกับแม่ของตัวเองหลังจากที่เงียบอยู่นาน

     “คุณจะบอกว่าคุณไม่รู้เกี่ยวกับครอบครัวของม่อนเลยอย่างนั้นรึ?”

     “ผมพอจะได้ยินชื่อเสียงของคุณพ่อ เอ่อ... ผมหมายถึงคุณลุงมาบ้างครับ แล้วกรเคยเล่าเกี่ยวกับเยียนหวอ เครือข่ายธุรกิจยักษ์ใหญ่ให้ฟังบ้าง แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับการที่ผมเข้ามาทำความรู้จักกับม่อน เลยไม่ได้ใส่ใจ”

     “ไม่ใส่ใจ?” เขาเริ่มเห็นสัญญาณเปิดศึกมาจากแม่ของพัสการที่ส่งมาจากคำพูดและน้ำเสียง

     “ผมยอมรับครับว่าอาจจะทำให้คุณน้าผิดหวัง แต่ในความคิดของผม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้ทำความรู้จักและปรับตัวเข้าหากัน ระหว่างผมกับม่อนมากกว่า ทำให้ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเครือข่ายธุรกิจอะไรนั่น” ทัชชาเหลือบไปมองสีหน้าเป็นกังวลของพัสกาญที่เอาแต่นั่งเงียบเป็นระยะๆ ระหว่างที่พูดคุยกับแม่ของอีกฝ่าย

     “ถ้าหากวันหนึ่ง คุณได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา มันจะไม่ใช่เรื่องของคนสองคนอีกต่อไป คุณจะทำยังไงล่ะ?”

     “ผมทราบครับ แต่ครอบครัวของคุณน้าก็ต้องปรับตัวเข้ากับครอบครัวของผมด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอครับเมื่อถึงเวลานั้น”

     “อืม ก็แฟร์ ๆ อ่ะนะ”

     “เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าเพื่อความสุขของคนที่ผมรัก เพื่อครอบครัวของพวกเรา ผมก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน” ทัชชาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผิดกับแม่ของพัสกาญที่ดูไม่ยี่หระกับคำพูดของเขา

     แม้การสนทนาจะค่อนข้างตึงเครียดแต่ทัชชาเชื่อว่าความจริงใจของเขาที่พูดออกมา จะช่วยให้เขาผ่านด่านว่าที่แม่ยายไปได้ เพียงอึดใจเดียวบรรยายการกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

     “เฮ้อ...พอคุณไม่รู้เรื่องเยียนหวอ แล้วอย่างนี้น้าจะเอาอะไรไปแกล้งคุณได้ละ” เขาได้สายตาค้อนวงใหญ่เป็นการตอบแทน “แหย่เพื่อนของลูกคนนี้ไม่สนุกเลย สู้ตากรก็ไม่ได้”

     “แม่อ่ะ...ม่อนตกใจหมดเลย นึกว่าแม่จะทะเลาะกับพี่ทัชซะแล้ว”

     “จริงสิ ตอนแม่แกล้งเขา ออร่าเขาเป็นยังไง...” แม่ของพัสดารดูจะลุ่นกับคำตอบ ท่าทางเปลี่ยนไปจนทัชชาตามไม่ทัน “นี่! อย่าบอกนะว่าที่ไม่รู้ว่าแม่แกล้งเขา เพราะไม่เห็นออร่าของแม่”

     “ก็...ออร่าของพี่ทัชกลบออร่าของแม่หมดเลย” พัสการตอบเสียงอ่อย แต่ที่เขาสงสัยคือ สองแม่ลูกคุยเรื่องอะไรกัน และทำไมเขาโดนแม่ของพัสกาญมองค้อนเข้าให้อีกวง

     “เล่นใหญ่จริงนะพ่อคุณ...”

     “แม่...มันบังคับกันได้ที่ไหนล่ะ อารมณ์มันมายังไงสีสันมันก็ออกมาแบบนั้น มันหลอกกันไปได้สักหน่อย อีกอย่างอ่อร่าของพี่ทัชเขาหนาแน่นขนาดนี้”

     “แล้วตกลง มันเป็นยังไง”

     “มันวิ๊บๆ บลิ๊งค์ๆ อ่ะ”

     “หืม... นิยามได้น่าหมั่นไส้มาก...” แม่ของพัสกาญลากเสียงยาวอีกทั้งยังทำปากคว่ำ เขาทำอะไรผิดไป เพียงไม่ถึงนาที เขาโดนแม่ของอีกฝ่ายหมายหัวไปแล้ว 3 ครั้ง ฝ่ามือของทัชชาเริ่มชื้นเหงื่ออย่างห้ามไม่อยู่

     “แม่… พี่ทัชยังไม่รู้เรื่องนี้” นั่นสิ สองแม่ลูกนี้คุยเรื่องอะไรกัน ทำไมเขาถึงจับใจความอะไรไม่นอกจากความรู้สึกไม่พอใจของผู้เป็นแม่ที่ส่งมาให้ทางสายตา

     “ก็บอกเขาไปสิ ดูสินั่งหน้าซีด ปากสั่น เหงื่อแตกเหงื่อแตนอยู่นี่แล้ว” ทัชชาไม่ทันรู้ตัว เผลอยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง เรียกเสียงหัวเราะพอใจจากแม่ของพัสกาญ จนเขารู้สึกเสียฟอร์มไม่น้อย

     เสียงเคาะประตูหยุดเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่ในห้อง ก่อนที่จะมีคนเข้ามา

     “พี่นิล มีอะไรเหรอ?” แม่ของพัสกาญหันไปถามคนที่พึ่งขออนุญาตเข้ามา

     “กล้าให้มาแจ้งคุณตั๋นว่า งานที่ให้ไปติดต่อไม่สำเร็จนะคะ”

     “อืม ตั๋นก็ว่าน่าจะเป็นแบบนั้น”

      “แล้วคุณตั๋นจะให้กล้าติดต่อดูใหม่อีกครั้งไหมคะ?”

      “ไม่ต้องแล้วล่ะพี่นิล เดี๋ยวตั๋นจัดการเอง เออ!  พี่นิล คนที่กล้าไปคุยด้วยเขาชื่ออะไรนะ”

     “ดูเหมือนจะชื่อคุณอามันต์ค่ะ” แม่เพียงแต่พยักหน้าน้อย ๆ ไม่ว่าอะไร

      ชื่อของผู้จัดการส่วนตัวของเขา เข้ามาอยู่ในการสนทนานี้ได้ยังไง ติดต่องานไม่สำเร็จ...งานนี้คงไม่ใช่ว่า… ทัชชาหันไปมองหน้าแม่ของพัสกาญที่ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

     “เรื่องออร่า หากลูกมีโอกาสก็ควรจะบอกทัชเขา แม่ว่าเขารับได้” แม่หันไปคุยกับพัสกาญในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจอีกครั้ง

     “ครับ ผมจะหาโอกาสบอกพี่เขา แต่...เมื่อกี้ที่น้านิลพูด แม่ให้น้ากล้าไปพบคุณมันต์เหรอครับ”

     “อืม ไปติดต่องาน แม่แค่เสนอให้อาเถิงหาแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับธุรกิจที่ตาเจมส์เป็นตัวตั้งตัวตีน่ะ”

     “แม่หมายถึง... แม่เสนอพี่ทัชให้กับลุงเถิงเหรอครับ”

     “อืม แต่เพื่อนของลูกก็ปฏิเสธความหวังดีของแม่”

     “พี่ทัช...ทำไมละครับ”

     “เอ่อ...พี่ไม่รู้น่ะครับ พอดีทางคนที่ติดต่อมา บอกว่าต้องการคุยกับพี่โดยตรงไม่ผ่านมันต์ แต่พี่นัดกับม่อนไว้ก่อนแล้ว ยิ่งคุณน้าชวนพี่ทานข้าวด้วย พี่เลยให้มันต์ไปพบลูกค้าคนเดียว เพราะไม่อยากเสียมารยาทกับคุณน้า”

     “แม่...แม่แกล้งพี่ทัชนี่”

     “งั้นน้าถามคุณหน่อย น้าแกล้งคุณรึเปล่า?”

     “เอ่อ…” เห็นอยู่ว่าเขาโดนแกล้งชัด ๆ “มันเป็นการตัดสินใจของผมเองครับ”

     “เห็นไหม เพื่อนของลูกเขาเลือกแม่กับลูกเอง แม่ไปแกล้งเขาที่ไหน”

     “ที่เมื่อกี้ยังเถียงแม่อยู่เลย ทำไมคราวนี้ถึงได้ยอมง่ายๆ ล่ะ” พัสกาญบ่นอุบอิบ

     “มันเป็นการตัดสินใจของพี่จริง ๆ นี่ครับ ถึงงานนี้จะเป็นของคนอื่น พี่ก็ยังจะเลือกเหมือนเดิม เลือกมาหาม่อน เลือกที่จะมาพบคุณน้า”

     “คุณไม่เสียดายโอกาสอย่างนั้นเหรอ?”

     “สำหรับผม ถ้าไม่เลือกว่างานเล็กงานใหญ่ โอกาสในการทำงานก็ยังมีมาเรื่อย ๆ แต่โอกาสที่คุณน้าชวนผมทานข้าวเย็นด้วย ผมคาดการณ์ไม่ได้ว่าหากไม่มาในวันนี้ ผมจะมีโอกาสได้พบคุณน้าอีกทีเมื่อไร หรือคุณน้าอาจจะไม่พอใจจนไม่อยากพบผมเลยก็เป็นได้”

     “พอแล้ว ๆ ไม่ต้องพูดมาก หมั่นไส้!! ไม่สนุกเลย”

     “แม่…”

     “คุย ๆ กันไปแล้วกัน แม่จะไปทำงานต่อแล้ว ส่วนเรื่องของเจเอ็กเพรสน่ะลืมไปได้เลย”

     “เดี๋ยวสิแม่ แม่จะไม่ให้โอกาสพี่ทัชหน่อยเหรอ พี่ทัชเขาก็อยู่ที่นี่แล้ว ไหนแม่บอกน้านิลว่าแม่จะจัดการเองยังไงล่ะ?”

     “ใช่ แม่จะจัดการเอง แต่แม่จะตัดสินใจแบบนี้ หรือม่อนจะคัดค้านแม่”

     “แม่ตัดสินใจไปแล้ว ม่อนจะกล้าค้านเหรอ”

     “ดีมาก” แม่ก้มไปกระซิบกับพัสกาญพร้อมกับหยิกแก้มหนึ่งที แต่เขาก็ยังไปยินที่แม่พูด “แทนที่จะยกให้อาเถิง สู้แม่เอาเพื่อนของลูกมาจับแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าของแม่ไม่ดีกว่าเหรอ สนุกกว่ากันตั้งเยอะ” แม่ของพัสการหัวเราะคิกคักและเดินออกจากห้องไป

     “ม่อนครับ” เขาเรียกพัสกาญที่ยังคงมองแม่ของตัวเองเดินหายออกไปจากห้องนั่งเล่น “เป็นอะไรรึเปล่า”

     “มะ ไม่ครับ ม่อนแค่ชักจะกลัว ๆ แม่แทนพี่ทัชซะแล้วสิ”

To Be Continued


หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 38 : 9.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 09-06-2020 01:40:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 38 : 9.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-06-2020 10:18:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

คุณแม่โบตั๋น วางแผนไว้หลายชั้นมาก  555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 38 : 9.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 09-06-2020 15:38:58
คุณแม่ยายกับว่าที่ลูกเขยท่าทางจะเข้ากันได้ดี จับจุดรู้ทันกัน 5555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 38 : 9.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 09-06-2020 21:03:19
 :hao4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 38 : 9.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 11-06-2020 12:40:34
ด่านต่อไปเจอใครดี :hao7:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 17-06-2020 20:41:50
39










          เมื่อมีโอกาสอยู่กันเพียงลำพัง หลังจากที่แม่ของเขาออกจากห้องนั่งเล่นไปแล้ว พัสกาญได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

          “ม่อนเป็นกังวลแทนพี่อยู่เหรอครับ” ทัชชาถามขณะที่รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า

          “พี่ทัชพูดกับแม่แบบนั้น ไม่ดูกวนประสาทไปหน่อยเหรอครับ”

          “ก็พี่ไม่อยากสร้างภาพนี่ครับ เป็นตัวของตัวเองให้คุณน้าเห็น พี่ว่าดีที่สุดแล้ว”

          “พี่ทัชเป็นคนแบบนี้เองเหรอ ที่แล้ว ๆ มา สิ่งที่ผมเห็นใช่ตัวจริงของพี่ทัชรึเปล่า”

          “ก็ใช่ครับ แต่ไม่ทั้งหมด ม่อนเจอพี่เฉพาะตอนอยู่ในกองถ่าย คุยกันผ่านตัวหนังสือ เราไม่ได้พบหน้ากันบ่อย ๆ”

          “ผมเชื่อพี่ได้ใช่ไหม?”

          “ม่อนต้องพิสูจน์เองครับ อย่าเชื่อคำพูดพี่เลย”

          “ผม...เมื่อกี้...เอ่อ...ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี”

          “ไม่ต้องรีบ พี่มีเวลาให้ม่อนทั้งชีวิต”

          “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

          “อ่าว แล้วเรื่องอะไรล่ะครับ”

          “เรื่องที่แม่ถาม เรื่องออร่าของพี่ทัช”

          “อ่อ! ...ถึงพี่จะไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าม่อนคุยกับคุณน้าเรื่องอะไร แล้วพี่ก็ไม่คิดจะคาดคั้นให้ม่อนบอกกับพี่ตอนนี้ รอม่อนพร้อมเมื่อไร รู้ตอนนั้นก็ไม่สาย แต่ที่พี่อยากรู้เอามาก ๆ ก็คือ...คุณน้าไม่พอใจอะไรพี่รึเปล่า สายตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเลย”

          “แม่ก็แค่อิจฉาพี่ทัช”

          “อิจฉาพี่ พี่มีอะไรให้คุณน้าต้องอิจฉา”

          “ก็สิ่งที่ม่อนเห็น...เอ่อ...บางอย่าง...ที่คนอื่นไม่เห็น” พัสกาญนึกถึงตอนที่บอกเรื่องนี้ให้กับกรกฤต จึงรีบบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดไปไกล “แต่ไม่ใช่ผีสางอะไรนะ!!”

          “ครับๆ พี่เกือบตกใจแล้วสิ” ทัชชาดูจะขำในท่าทีของเขา

          “แหม่มเรียกมันว่าออร่า”

          “ออร่า อืม...อารมณ์ประมาณแสงเหนือ หรือรัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวคนอย่างในหนังจักรๆ วงศ์ ๆ รึเปล่า”

          “อื้ม” พัสกาญค่อย ๆ เล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองเห็น แล้วเป็นจากใครบ้าง แบบไหนบ้างให้ทัชชาฟัง และขยายความถึงออร่าของทัชชาที่ไม่เหมือนของคนอื่น

          “แบบนี้หากพี่เล่นซ่อนหากับม่อน พี่ก็แพ้นะสิ”

          “พี่ทัช ยังจะพูดเล่นอีก”

          “แล้วจะเครียดไปทำไมละครับ ม่อนเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น นั่นก็คือความสามารถพิเศษ คือพรสวรรค์ของม่อนนะ ไม่เห็นต้องกังวลเลย”

          “พี่ทัชไม่คิดว่าม่อนเป็นตัวประหลาดเหรอ?”

          “ไม่นะ พี่ว่าดีซะอีก เพราะไม่ว่าม่อนจะอยู่ที่ไหน ม่อนก็สามารถหาพี่จนเจอ และยังรับรู้ความรู้สึกของพี่โดยที่พี่ไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด”

          “หืม...คิดเข้าข้างตัวเองจนหน้าหมั่นไส้อ่ะ”

          “พี่พูดความจริงนะครับ พี่ดีใจมากเลยรู้ไหม พอนึกได้ว่าม่อนน่าจะรับรู้ความรู้สึกของพี่มาตั้งนานแล้ว ถ้ารู้แบบนี้ พี่เดินหน้าจีบม่อนไปนานแล้ว ไม่มัวแต่มาแอบมองอยู่ไกลๆ อย่างนี้ตั้งนานสองนาน”

          “พอแล้วๆ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว คนอะไรดึงเข้าเรื่องตัวเองได้ตลอด” ประโยคหลังพัสกาญอดที่จะบ่นเบา ๆ ไม่ได้

          “ครับ เปลี่ยนเรื่องก็ได้ ถึงพี่จะเสียดายก็เถอะ”

          “พี่ทัช...”

          “ครับ ๆ เอ่อ พี่ว่าจะชวนม่อนไปงานปิดกล้องละคร ม่อนจะไปกับพี่ไหม”

          “ทำไมม่อนต้องไปกับพี่ทัชล่ะ ถ้าหากม่อนจะไปม่อนควรไปกับกรมากกว่า”

          “ก็พี่อยากให้ม่อนไปกับพี่นี่ พี่อยากคบกับม่อนอย่างเปิดเผย”

          “ผมไปตกลงกับพี่ทัชตั้งแต่เมื่อไร ว่าจะคบกัน”

          “ม่อนไม่อยากให้พี่เลื่อนขั้นเรียกคุณน้าว่าแม่เร็ว ๆ เหรอ?”

          “เรื่องนี้แม่ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย อย่าโมเมสิ”

          “ม่อนครับ ม่อนก็เห็นว่าพี่รู้สึกยังไง รู้สึกมานานแค่ไหน และคงไม่ต้องบอกว่ามันมากมายขนาดไหน ถึงขั้นคุณน้าโกรธพี่ขนาดนี้ แค่เพราะอิจฉาเรื่องออร่าด้วยแล้ว ม่อนไม่สงสารพี่ ไม่เห็นความจริงใจของพี่อีกเหรอครับ?”

          พัสกาญได้แต่นิ่งเงียบ ทัชชาพูดถูกทุกอย่าง เขาเห็น เขารู้ แต่เขายังไม่พร้อม ถึงแม้จะรู้สึกดีกับอีกฝ่ายก็ตาม แต่เขายังกลัว

          “ค่อย ๆ คิดครับ พี่ไม่ได้บังคับม่อน ไม่อยากให้ม่อนต้องลำบากใจ”

          “ผมขอคิดดูก่อนนะ”

          “ม่อนไม่ต้องกลัวเรื่องข่าว ม่อนก็เป็นม่อน คบกับพี่ในฐานะผู้ช่วยของกรกฤต ไม่ใช่ฐานะของพัสกาญเจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง ดีไหมครับ?”

          “ม่อนไม่ได้กังวลเรื่องข่าว”

          “อ่าว”

          “ขอม่อนค่อย ๆ คิดก่อนนะครับ แล้วม่อนจะให้คำตอบ”

          “ครับ อ่อ!! มีอีกอย่างที่พี่ต้องบอกกับม่อน”

          “อะไรครับ”

          “เกี่ยวกับข่าวของแหม่ม”

          “แหม่มมีข่าวอยู่ทุกวัน ม่อนรู้จักแหม่มดี เลยไม่ค่อยสนใจข่าวที่ออกมาเท่าไร”

          “แต่ข่าวล่าสุดพี่ดันเอาตัวเข้าไปพัวพันด้วยน่ะสิ เลยต้องสารภาพกับม่อนก่อน พี่กลัวม่อนหึงจนไม่ยอมฟังพี่อธิบาย”

          “ใครจะไปหึงพี่ทัชกัน!!”

          “ครับ ๆ ไม่หึงก็ไม่หึง”

          “แล้วพี่ทัชจะอธิบายอะไร”

          ทัชชาเล่าเรื่องที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวคนหนึ่งในระหว่างเดินเลือกซื้อของ การพูดเพียงไม่กี่คำช่วยให้ชาริสารอดพ้นจากข้อกล่าวหาก็จริง แต่ข่าวบางสำนักกลับไปเล่นข่าวว่าเขาชอบพอกับชาริสาถึงขั้นออกปากปกป้องออกสื่อ

          “ผมเข้าใจครับ และขอบคุณที่พี่ทัชช่วยแก้ต่างให้กับแหม่ม”

          “แต่เรื่องฝรั่งคนนั้น พี่ไม่รู้ว่าแหม่มจะรับมือยังไง”

          “ไม่ต้องห่วงครับ หลังปิดกล้องละครเรื่องนี้ แหม่มคงจะออกมาพูดเรื่องฝรั่งคนนั้นได้”

          “ม่อนรู้ว่าฝรั่งคนนั้นเป็นใคร?”

          “ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อเควนติน เขามีซีรี่ย์ดัง ๆ หลายเรื่องที่นิวยอร์ก”

          “อืม พี่พอเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นคงไม่ต้องห่วงเรื่องนี้”

          พัสกาญยิ้มรับ ทั้งสองคุยเล่นหยอกล้อกันจนเขาสังเกตเห็นน้านิลเข้ามาแอบดูเป็นพัก ๆ เขาจำต้องไล่อีกฝ่ายให้กลับไปพักผ่อน ส่วนทัชชาเองก็ยอมแต่โดยดี

          “ม่อนจะกลับไปพักที่ร้านเมื่อไรครับ” ทัชชาถามเขาขณะที่เดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน

          “ช่วงนี้แม่อยู่คนเดียว ม่อนคงไปๆ กลับๆ ครับ ไม่ได้ค้าง”

          “งั้นม่อนก็เริ่มเข้าร้านแล้วสิ”

          “ผมว่าจะเข้าไปประมาณวันอังคารหน้า”

          “ครับ ไว้วันไหนพี่เสร็จงานเร็ว พี่ไปรับม่อนที่ร้านนะครับ”

          “อืม”

          เมื่อทัชชาขับรถออกไปแล้ว น้านิลก็มาบอกกับเขาว่าแม่ต้องการพบ

.........................................................................

          ระยะนี้คิวของนักแสดงในกองถ่าย หลักๆ แล้วจะเป็นคิวของพราววริศาและอาทิตย์ที่เป็นคู่รองของเรื่อง หากฉากไหนซีนไหนที่มีทัชชา หรือชาริสาร่วมด้วย ถ้าบทไม่มากนัก กวินทร์เลือกที่จะเลี่ยง ไม่รบกวนนักแสดงทั้งสอง ด้วยการถ่ายซีนของทั้งสองแยกต่างหากแล้วค่อยตัดต่อมารวมกับส่วนที่เหลือ โดยไม่ได้มีนักแสดงร่วมอยู่ในเฟรมเดียวกัน

          ระหว่างพักกอง รอนักแสดงทานอาหาร กวินทร์กับเจษฎ์ก็ปรึกษากันถึงเรื่องงานตัดต่อต่าง ๆ ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาภายหลัง ก่อนเตรียมแยกย้ายกันไปทานข้าว

          “พี่กวินทร์ เจษฏ์ ข้าวเที่ยงค่ะ” กะทิเดินนำอาหารจัดวางใส่จานอย่างเรียบร้อมเข้ามาส่งให้ถึงที่

          “ขอบใจมากนะกะทิ ผมกับพี่วินทร์กำลังจะไปทานพอดี”

          “ทิเห็นไอ้เด็กตาลมันบอกว่าพี่กวินทร์ยังไม่ไปทานข้าว คิดว่าน่าจะยังยุ่ง ๆ อยู่ ทิเลยเอามาให้น่ะ”

          “ขอบใจมากนะกะทิ”

          “ไม่เป็นไรค่ะพี่กวินทร์”

          ทั้งสองรับจานอาหารไปทานด้วยกัน กะทิที่เดินออกไปและกลับมาพร้อมกับน้ำดื่มเย็น ๆ ในมือ

          “วันนี้ในกองมีน้ำเก็กฮวยค่ะพี่”

          “อืม” กวินทร์พยักหน้าให้ก่อนรับแก้วน้ำเก็กฮวยมาวางลงบนโต๊ะ

          “เอ่อ เจษฎ์ ทิว่าจะถามอะไรหน่อย ทิกวนเจษฎ์ตอนกินข้าวไหม?”

          “ถามมาเถอะ ถ้าไม่ถามตอนนี้คงไม่มีเวลาแล้ว”

          “ทิจะถามเรื่องคิวงานน้องแหม่มน่ะ?”

          “อ่อ แหม่มเขาหมดคิวไปแล้ว น่าจะได้เจอกันอีกทีก็วันที่จัดงานเลี้ยงปิดกองโน่นนะ”

          “แล้วข่าวเรื่องที่แหม่มเทกองเมื่อวันก่อนละ?”

          “ข่าวนั้นผมก็ยังงง ๆ อยู่ไม่รู้ว่ามันมาได้ไง ยังดีที่ทัชช่วยแก้ข่าวให้แหม่มแล้ว” กะทิขยับเขาไปนั่งใกล้ ๆ เจษฎ์มากขึ้น

          “เด็กตาลบอกว่า ที่จริงแล้ว แหม่มเขามีคิวในวันนั้น แต่น้องดามาเคลียร์คิวกับเจษฏ์ใหม่ แล้วฉากที่ต้องถ่ายล่ะไม่ถ่ายแล้วเหรอ”

          “ถ่ายไปแล้ว ชันดาเข้ามาเคลียร์คิวจริง แล้วก็ให้ผมจัดคิวถ่ายแทรกให้โดยไม่กระทบกับนักแสดงคนอื่น ๆ นะ คิวของวันนั้นผมจัดแทรกให้แหม่มเขาถ่ายอยู่ 2-3 วันได้มั้ง”

          “หื้ม...เก่งนี่ เบียดคิวให้จนทีมงานไม่ทันสังเกตเลยว่างานเพิ่มขึ้น”

          “แล้วนี่อยากรู้ไปทำไม”

          “คิดถึงน้องแหม่ม”

          “เดี๋ยวก็ได้เจอกันเรื่องหน้า”

          “แหม่มจะมีเรื่องใหม่แล้วเหรอ?”

          “อืม พี่วินทร์เพิ่งจะเสนอทางผู้ใหญ่”

          “พี่กวินทร์ค่ะ เรื่องหน้าอย่าลืมเรียกใช้บริการช่างผมอย่างกะทิ ช่างหน้าอย่างไลลานะค่ะ อ่อ ทีมคอสตูมอย่างนังกรอีกคน”

          “ฮ่าๆๆ กะทิดูแลพวกพี่ดีขนาดนี้ พี่ไม่ลืมแน่นอน” กวินทร์อดหัวเราะกะทิไม่ได้ ที่ขายของยกทีมขนาดนี้ “แต่ละครเรื่องใหม่นี้อย่าเพิ่งไปหลุดพูดที่ไหนล่ะ รอให้ผู้ใหญ่เขาสรุปก่อน”

          “เรื่องหลุด ไม่มีจากกะทิแน่นอนค่ะ พี่กวินทร์กับเจฎษ์ก็ระวังจะหลุดเองอย่างเรื่องคิวของน้องแหม่มก็แล้วกัน”

          “เฮ้ย! ...เรื่องนั้นผมไม่เกี่ยวนะ” เจษฎ์รีบออกตัว”

          “ทิก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ แค่สงสารน้องแหม่ม อะไรๆ เกี่ยวกับน้องเขา แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีประเด็นอะไรก็โดนเอามาตีซะเป็นข่าวเสีย ๆ หาย ๆ หมด”

          “พี่ก็แปลกใจ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ตีข่าว เล่นข่าวกันใหญ่โต”

          “อ่อ แล้ววันนั้นมีพวกแฟนคลับอยู่แถว ๆ นั้นไหมค่ะพี่กวินทร์”

          “จะไปมีได้ยังไง นั่นมันจะตีหนึ่งแล้วนะ”

          “ทำไม ทิคิดว่าข่าวนี้หลุดมาจากแฟนคลับเหรอ?” เจษฏ์อดถามไม่ได้

          “ทิสังเกตว่าตั้งแต่แหม่มเล่นละครเรื่องนี้ ข่าวมันก็หนักขึ้น เจษฎ์จำได้ไหม ตอนเริ่มถ่ายใหม่ ๆ มีแฟนคลับแอนตี้แหม่มขนาดไหน วันงานแถลงข่าวละครก็อีก ถ้าไม่โดนข่าวคุณเตอร์ที่มาเฝ้าน้องพราวกลบไป ข่าวแหม่มคงแรงขึ้นไปอีก”

          “ผมจำได้ว่าวันนั้นหลังจากคุยกับหลินเสร็จ รอบ ๆ ก็มีแค่ผม พี่วินทร์ แล้วก็เด็กกล้องไม่กี่คน ตอนจะกลับนั่นแหละ ชันดาถึงเขามาหาผม”

          “อืม ตอนหลินคุณกับเจษฎ์คุยกัน พี่ก็ยังอยู่นะ แต่ตอนชันดามา พี่ออกมาก่อนรู้แต่ว่าชันดามาขอเคลียร์คิวกับเจษฎ์”

          “หลิน? ผู้จัดการส่วนตัวของพราววริศาเหรอค่ะ? เขามาทำอะไร?”

          “ก็มาสรุปเรื่องคิวนั่นแหละ 2-3 วันเคลียร์คิวที จนผมเริ่มชินแล้ว”

          “หา? ...”

          “พี่ล่ะสงสารผู้จัดการส่วนตัวของพราววริศาคนนี้จริง ไม่รู้ทนอยู่กับนางฟ้านางสวรรค์คนนี้ได้ยังไง”

To Be Continued



หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-06-2020 22:05:27
ม่อนกับพี่ทัชเปิดใจคุยกันแบบนี้ก็ดีแล้ว  :o8: รออีกหน่อยคงได้เรียกคุณแม่เต็มปากเต็มคำ 555  :-[ ส่วนเรื่องดาราบันเทิงนั้นตามต่อไปจ้า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-06-2020 00:28:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

กะทิจ๋า  รีบ ๆ ตรัสรู้เรื่องใครปล่อยข่าวนะจ๊ะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 18-06-2020 01:12:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 39 : 17.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 18-06-2020 06:04:09
 o13
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 40 : 18.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 18-06-2020 20:18:01
40












          หลังเลิกงานจากกองถ่าย กรกฤตให้ชาญกับเอมดูแลงานเก็บของในส่วนที่เหลือ ตัวเขานั้นเร่งขับรถออกมายังร้านกาแฟร้านเดิมที่ภาริชนัดเขาเมื่อครั้งก่อน ๆ

          เขาเพิ่งรู้ว่าร้านนี้อยู่ใกล้กับที่พักเขาของเขามาก และเขายังติดรสชาติของทีรามิสุเมนูขึ้นชื่อของร้านนี้ไม่น้อย เมื่อเขามาถึงร้านก็สั่งทีรามิสุสำหรับเอากลับบ้านด้วย 4 ชิ้น

          “เอาชาร้อนครับ ชาพีชแล้วก็ทีรามิสุ 1 ชิ้น ทานที่นี่ 4 ชิ้นใส่กล่องครับ ที่ใส่กล่องรบกวนช่วยแยกเป็น 2 ชุดและฝากแช่เย็นไว้ก่อนนะครับ”

          เมื่อสั่งเมนูที่ต้องการเสร็จ กรกฤตก็เดินมาหาที่นั่งในมุมสบาย ๆ เนื่องจากวันนี้ เขาเลิกกองเร็วกว่าทุกวัน และมาก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง

          กรกฤตนั่งทานทีรามิสุหมดชิ้น จนพนักงานเก็บจานไปได้สักพักภาริชก็เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง

          “กรมานานรึยังครับ” ภาริชเดินเข้ามาทักทันทีที่เห็น

          “สักพักแล้ว”

          “พี่ภา เอาอเมริกาโน่ ไม่ใส่น้ำตาลใช่ไหม?” หญิงสาวตะโกนถามมาจากหน้าเคาน์เตอร์

          “อืม” อีกคนขานรับทั้งที่ยังยืนอยู่ข้าง ๆ เขา “เดี๋ยวพี่ไปสั่งขนมก่อนนะ วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลย” เขายังไม่ทันได้ตอบ อีกฝ่ายก็เดินไปสมทบกับหญิงสาว

          กรกฤตเห็นภาริชถกเถียงกับหญิงสาวอย่างวุ่นวายอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ไม่นานทั้งสองก็เดินมานั่งที่โต๊ะ

          “มื้อนี้พี่ภาต้องจ่ายด้วย น้องไม่ควักสักบาท ถือว่าเป็นค่าแท็กซี่ที่ต้องจ่ายให้น้อง” หญิงสาวบ่นเมื่อนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา ข้าง ๆ กันกับภาริช

          “เออ แค่นี้ทำเป็นโมโหหิวไปได้”

          “แค่นี้ที่ไหน เล่นไปลากน้องออกมาจากกองบอ. พาตระเวนไปทั่ว ข้าวปลาก็ไม่ให้กิน ใช้งานเอา ๆ”

          “แค่นี้ทำบ่น ข่าวน่ะ จะเอาไหม?”

          กรกฤตได้แต่ฟังสองคนถกเถียงกันอย่างใจเย็นจนกระทั่งอาหารว่างมากมายทยอยยกมาวางไว้ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเครปเค้ก แพนเค้กราดด้วยน้ำผึ้ง แซนวิชคลับ พุดดิ้งสตเบอรี่ บลูเบอรี่ชีทพาย และตบท้ายด้วยทีรามิสุ ขนมที่ถูกขยับเรียงอยู่บนโต๊ะ ทำให้เขาต้องเลื่อนกาชาร้อนของเขาหลีกทางให้ขนมเหล่านั้นได้มีพื้นที่พอ ก่อนหญิงสาวจะลงมือตักทานอย่างไม่พูดไม่จา

          “หยุด ชิ้นนี้ไม่ใช่ของเธอ” ภาริชพูดพร้อมทั้งยกจานทีรามิสุออกเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจะใช้ช้อนในมือจ้วงตัก

          “ไม่เป็นไร น้องไม่ถือ” เขาเห็นภาริชถลึงตาใส่หญิงสาว และชักจานทีรามิสุให้ห่างมืออีกฝ่าย

          “งก” หญิงสาวบ่น ละความสนใจ และลงมือทานขนมบนโต๊ะ ตักจานนั้นที่ จานนี้ที

          “พี่สั่งให้กรครับ” ภาริชขยับจานขนมที่เบียดตัวอยู่บนโต๊ะให้มีที่ว่างตรงหน้าเขามากพอ ก่อนว่างทีรามิสุลง

          “คนนี้เหรอ” หญิงสาวใช่ศอกสะกิดภาริชเบา

          “กินขนมของเธอไป รีบ ๆ กินแล้วก็รีบ ๆ กลับไปซะ”

          “ทำเป็นไล่ ชิ”หญิงสาวกรอกตามองบน ก่อนแนะนำตัวเองกับเขา “สวัสดีค่ะ น้องชื่อน้องนะคะ เป็นรุ่นน้องที่เคยไปฝึกงานกับพี่ภา เรารู้จักกันเป็นพี่เป็นน้อง ไม่มีอะไรนอกจากที่น้องมักจะโดนพี่ภาหลอกใช้งานฟรี ๆ ก็เท่านั้น อ่อ!! ...แล้วก็คุยกันตามสบายนะคะ น้องจะนั่งกินเงียบ ๆ”

          หญิงสาวร่ายยาวแทบไม่ได้หายใจ อย่างกับกลัวว่าจะเสียเวลาในการกินขนจมตรงหน้า

          “กรอย่าไปใส่ใจคำพูดของยัยน้องมันมากนักนะ”

          “เรื่องไหน เรื่องเป็นพี่เป็นน้อง หรือเรื่องที่พี่ภาหลอกใช้งานน้อง” เขาเห็นภาริชถึงกับพูดไม่ออก จึงได้แต่ยิ้มขำกับคนที่โดนแขวะ

          “เอ่อๆๆ นั่งกินไปเงียบๆ เลย”

          “คุณเองทานอะไรสักหน่อยเถอะ ผมไม่รีบ” เขายกจานทีรามิสุไปสลับกับจานเครปเค้กของหญิงสาวที่หมดลงอย่างรวดเร็ว “คุณอยากทานก็ทานเถอะ ผมทานเรียบร้อยแล้ว”

          “งั้นน้องไม่เกรงใจนะคะ” เขาพยักหน้าน้อย ๆ หญิงสาวก็จ้วงช้อนลงบนทีรามิสุทันที

          “เฮ้อ…” กรกฤตเห็นภาริชลอบถอนหายใจ

          เมื่อปล่อยให้ทั้งสองทานอะไรกันไปสักพัก หญิงสาวก็ลุกขึ้นไปสั่งขนมรอบสอง ส่วนภาริชเริ่มทานอย่างเอื่อย ๆ

          “ทำไมไม่หาเวลาทานข้าวสักหน่อย” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้ เมื่อดูแล้วหญิงสาวไม่น่าจะอิ่มกับขนมเหล่านี้

          “ก่อนมาหากร พี่เกิดปัญหานิดหน่อย กลัวว่ากรจะรอนาน เลยรีบมาน่ะ”

          “ถ้าคุณมาไม่ได้ นัดผมวันอื่นก็ได้นี่”

          “ไม่เอาอ่ะ ถ้าไม่มาพี่ก็ไม่ได้เห็นหน้ากรสิ”

          “อุ้ย!! เขาเริ่มจีบกันแล้วค่ะคุณ” หญิงสาวที่กลับมานั่งที่เดิมพูดแซวเบา ๆ

          “ยัยน้อง!!” หญิงสาวทำทางรูดซิปปิดปาก แล้วค่อยๆ นั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม

          “คุณน้องไม่ต้องเกร็งก็ได้ครับ ผมกับคุณภาแค่คุยงานกันเล็กน้อย”

          “กร…”

          “เริ่มเถอะครับ จะได้ไม่เสียเวลา”

          “ไหนเมื่อกี้กรบอกพี่ว่าไม่รีบยังไงล่ะ”

          “ผมเห็นว่าคุณยังไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน แล้วนี่...ผมเห็นว่าคุณเริ่มอิ่มแล้ว”

          “แต่น้องยังไม่อิ่มนะคะ”

          “ครับ เชิญคุณน้องตามสบาย”

          หญิงสาวยิ้มให้เขา พร้อมกับเริ่มทานขนมรอบใหม่ที่เพิ่งจะถูกลำเรียงมาวางไว้บนโต๊ะ

          “เฮ้อ…” ภาริชถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างไม่คิดจะปิดบัง หญิงสาวได้แต่เหลือบมองยิ้ม ๆ ส่วนเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

          “ข่าวเทกองของแหม่ม เริ่มมาจากนักข่าวคนหนึ่งเห็น คนโพสภาพลงบนเฟสบุ๊คส่วนตัวว่าได้เจอแหม่มกับฝรั่ง ในภาพต้นฉบับมีคุณดากับผู้หญิงอีกคน พี่ถามเจ้าของเฟสบุ๊คคนนั้นแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง และไม่เกี่ยวของกับข่าวที่ลงเวป” ภาริชเริ่ม

          “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ผมสงสัยว่าข่าวที่แหม่มเทกองมันมาได้ยังไง”

          “ข่าวนี้ออกมาจากนักข่าวคนหนึ่ง ชื่อคุณปู พี่ติดต่อถามเธอไปว่าเธอได้ข่าวมาจากไหน เธอไม่ยอมบอกถึงแหล่งที่มาของข่าว และเห็นภาพของสมาชิกเฟสบุ๊คคนนี้ได้ยังไง”

          “ที่จริงแล้ว ตามตารางงานที่ผู้จัดการกองถ่ายจัดเอาไว้ ในวันนั้นต้องมีคิวของแหม่มจริงๆ แต่น้องดาเขาไปขอเลื่อนคิวถ่าย โดยที่ได้บอกกับผู้จัดการกองล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ และคนที่รู้เรื่องที่แหม่มมีคิวในวันนั้นก็มีเพียงไม่กี่คน”

          “กรจะบอกว่า ข่าวนี้หลุดมาจากคนในกอง?”

          “มีแนวโน้นว่าจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร”

          “กรพอจะรู้ไหมว่ามีใครบ้าง”

          “ตามที่ได้ยินมาก็มีผู้กำกับ ผู้จัดการกอง น้องดา และผู้ช่วยช่างกล้องไม่กี่คน”

          “แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ?”

          “ดาไปคุยกับผู้จัดการตอนเลิกกอง เกือบ ๆ ตีหนึ่งแล้ว แถว ๆ นั้นไม่มีพวกแฟนคลับหรือนักข่าวอยู่เลย”

          “เดี๋ยวนะพี่ภา ที่พี่ให้น้องบากหน้าไปคุยกับพี่ปู เพื่อจะถามที่มาของข่าวก็เพราะแหม่ม ชาริสาเหรอ แล้วแฟนพี่เขาเกี่ยวของยังไงกับแหม่ม” หญิงสาวขัดขึ้นท่าทางไม่ชอบใจ

          “เอ่อน่า...กินเงียบ ๆ ไป” ภาริชเอ็ดเบา ๆ “แล้วหลังจากที่คุณดาคุยกับผู้จัดการกองเสร็จล่ะ?”

          “ตอนนั้นก็เหลือเด็กกล้องที่เป็นเด็กฝึกงาน ผู้จัดการกอง แล้วก็น้องดาแค่ 3 คน”

          “ทำไมเด็กฝึกงานยังอยู่ล่ะ น่าสงสัย”

          “เด็กนั่นเป็นลูกไล่ของกะทิน่ะ กะทิสั่งให้มันไปรอน้องดา แล้วพากลับไปส่งที่รถ”

          “อืม”

          “ขนาดผู้จัดการยังระวังตัวขนาดนี้ ทำไมแหม่มชาริสาถึงไม่ระวังตัวเลย น่าสงสารผู้จัดการส่วนตัวของนางเนอะ”

          “ยัยน้อง เธอจะชอบใคร ไม่ชอบใครก็ไม่ต้องประกาศออกมาก็ได้ไหม?”

          “ท่าทางคุณน้องจะไม่ชอบยัยแหม่ม” กรกฤตตั้งข้อสังเกต

          “เป็นคนของประชาชน แทนที่จะทำตัวให้เป็นแบบอย่างให้กับเด็กและเยาวชน กลับทำตัวเป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน”

          “ผมจะไม่แก้ตัวแทนแหม่มเขาหรอกนะ แต่ผมอยากจะบอกแค่ว่า ข่าวของแหม่มที่ออกมาทั้งชื่นชม ทั้งตำหริ ข่าวดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ทุกข่าวก็ล้วนเกิดจากปลายปากกาของพวกคุณไม่ใช่เหรอ?”

          “ถ้าไม่มีควัน มันก็ไม่มีไฟหรอกนะคะ”

          “มันมีควัน แต่มันอาจจะเป็นแค่ยากันยุง ก็ได้ ไม่ใช่ไฟอย่างที่คิด ตัวอย่าวก็ข่าวที่คุณปูเขียนไง ยัยน้อง เธออย่าเพิ่งอคติกับน้องแหม่มจนไม่แยกแยะข่าวสาร” ภาริชรีบแทรก เกรงว่าเขาจะทะเลาะกับนักข่าวรุ่นน้อง

          “น้องขอโทษ”

          “กรคงไม่ถือสาคำพูดของยัยน้องเหรอกนะ”

          “ผมชินแล้ว คนที่แอนตี้แหม่มมีออกจะเยอะแยะไป”

          “คุณกำลังจะบอกว่า ข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแหม่มไม่เป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ?”

          “คุณน้องหมายถึงข่าวไหนล่ะครับ ข่าวที่ออกมามีทั้งจริงและไม่จริง”

          “ถ้าน้องอยากรู้เรื่องฝรั่งคนนั้น คุณจะบอกน้องได้ไหมล่ะค่ะ?”

          “แล้วผมจะได้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยน คุณรู้ไหมว่าข่าวนี้ใหญ่แค่ไหน? คุณเล่นข่าวฝรั่งคนนี้ได้หลายวันเลยนะ”

          “นี่น้องไม่ได้แย่งข่าวพี่ภาใช่ไหม?” คุณน้องหันไปถามคนข้างๆ ปากก็กัดปลายช้อนไป

          “ไม่ พี่ไม่ได้สนใจข่าวฝรั่งคนนั้น พี่สนใจข่าวของผู้หญิงคนนี้” ภาริชหยิบรูปถ่ายขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ หญิงสาวก็หยิบขึ้นมาดู

          “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”

          “พวกผมยังไม่รู้” กรกฤตบอกไปตามตรง

          “ถ้างั้น ข่าวฝรั่งคนนั้นเป็นของน้อง ข่าวผู้หญิงในรูปนี้ป็นของพี่ภา”

          “กรยังไม่ได้ให้ข่าว เธออย่ามาโมเม”

          “งั้นน้องจะช่วยสืบว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครเป็นการแลกเปลี่ยนดีไหม แต่อย่างน้อยคุณก็ควรจะบอกอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงในรูปนี้ให้น้องเป็นข้อมูลบ้าง” กรกฤตหันไปสบตากับภาริชเพื่อขอความคิดเห็น

          “ไว้ใจยัยน้องได้ ติดอยู่แค่ยัยนี่อคติกับแหม่มมากไปหน่อย และก็คลั่งไคล้พราวมากไปนิด”

          “แล้วถ้าผมบอกว่าผู้หญิงคนนี้อาจจมีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวเสีย ๆ ของแหม่มล่ะ?” กรกฤตถามคนมีอคติ

          “น้องยอมรับค่ะ ว่าน้องอคติกับแหม่ม ชาริสา แต่พี่ภายืนยันได้ ว่าน้องไม่เคยเขียนข่าวไม่ว่าจะเป็นของน้องพราว หรือของแหม่ม ชาริสา อาจารย์เคยบอกน้องว่า ถ้าคนเรามีถ้าชื่นชอบหรือเกลียดใครเป็นพิเศษ เราก็จะไม่สามารถเขียนข่าวคนเหล่านั้นได้ดี และเป็นกลาง น้องก็เลยไม่เขียน”

          “เรื่องนี้พี่ยืนยันได้ ขนาดยัยน้องสัมภาษณ์ทัชชาเองกับมือ ยังโยนข่าวให้คนอื่นเขียนหน้าตาเฉย”

          “ข่าว ข่าวไหน?”

          “ข่าวที่ทัชชาแก้ตัวให้แหม่มเรื่องเทกองไงละ” ภาริชเฉลย

          “อ่อ”

          “หึ!! แต่คนอื่นดันไปโยงว่าพี่ทัชชอบแหม่มซะงั้น จิ้นกันไม่เลิก”

          “ใครจะจิ้นใคร ไม่จิ้นกับใครเธอจะไปบังคับเขาได้ยังไง อีกอย่างพราวเขาก็มีตัวจริงอย่างคุณพหลแล้ว ทัชชาจะมีคนอื่นก็ไม่เห็นแปลก”

          “พี่ภาพูดเหมือนกับรู้ว่าพี่ทัชมีใครอย่างนั้นแหละ” ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งโต๊ะเมื่อสิ้นเสียงบ่นกระปอดกระแปดของหญิงสาว “เงียบแบบนี้อย่าบอกนะว่าพี่ทัชมีใครในใจแล้วจริง ๆ”

          “มีไม่มีเธอก็ไม่เกี่ยว”

          “นี่คุณ ถ้าฉันแลกเปลี่ยนจากข่าวฝรั่งเป็นข่าวพี่ทัชล่ะ”

          “คนที่ทัชชาคบด้วย ไม่ใช่คนที่คุณจะเอาข่าวเขามาเขียนได้ง่าย ๆ” กรกฤตพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

          ”นั่นไง” หญิงสาวตบโต๊ะอย่างเสียกิริยา อีกทั้งยังบุกขึ้นชี้หน้าเขาและภาริช

          “ยัยน้อง อายคนอื่นเขาไหม เธอเป็นนักข่าวหรือเป็นนักเลงหา? ไอ้ท่าทางแบบนี้เนี่ย” ภาริชดึงแขนให้หญิงสาวนั่งลงดีๆ

          “ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ไม่เห็นต้องโหดขนาดนี้เลย” หญิงสาวหลบสายตาเขา และเก็บรูปเข้ากระเป๋า

          “แล้วนี่เธอจะเอารูปไปไหน”

          “ไม่เอามาแล้วจะช่วยสืบได้ยังไงล่ะ?”

          “สืบแบบเงียบ ๆ อย่าเอารูปไปร่อนล่ะ”

          “รู้แล้ว ๆ ทีนี้จะบอกข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ได้รึยังล่ะ?” กรกฤตพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้ภาริชเป็นผู้เล่า ภาริชที่กำลังจะอ้าปากเล่ากลับโดนหญิงสาวแขวะ “นี่พี่มองตาก็รู้ใจ หรือว่ากลัวเมียตั้งแต่ยังไม่แต่งกันแน่”

          “ยัยน้อง!!”





To Be Continued


หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 40 : 18.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 18-06-2020 20:31:54
จะคบคนในวงการหรอคู่นี้ เคมีกันดีนะ ภาจีบกรให้ติดละ 55 ตามต่อใครปล่อยข่าว วงการมันก็นี้ละหนา มีคนชอบคนไม่ชอบ ปะปนกันไป  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 40 : 18.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 18-06-2020 22:27:07
ชักสนุกแล้วสิ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 20-06-2020 10:28:18


41















          งานเปิดตัวนาฬิกาแบรนด์ดังภายในห้างใหญ่ใจกลางเมืองจบลง เหล่าดารานักแสดงที่ถูกเชิญให้มาร่วมงานต่างพากันเดินลงมาจากเวที และแยกย้ายกันไปยืนด้านหน้าแบ็คดรอปขนาดใหญ่ มีโลโก้นาฬิกาเป็นฉากหลัง

          ทัชชาเป็นหนึ่งในผู้ถูกสัมภาษณ์และประเด็นร้อนในช่วงนี้คงไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและชาริสา ซึ่งทัชชาได้ให้คำตอบแบบเดิม ๆ ทุกครั้งว่าเขาทั้งสองเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น เรื่องช่วยแก้ข่าวที่เกิดขึ้น เขาเพียงพูดไปตามความจริงเท่านั้น

          หลังนักข่าวหมดคำถาม ทัชชาจึงกลับมายังห้องแต่งตัวรวม ที่ทางสต๊าฟเตรียมไว้ให้เหล่าดารา มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาหาเขาพร้อมกล่องใส่นาฬิกา เขาจึงถอดนาฬิกาเรือนหรูส่งคืนให้ เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงไปเก็บนาฬิกาเรือนต่อไปจากดาราคนอื่น ๆ

          ทัชชาถอดสูทที่สวมใส่อยู่และเริ่มเก็บของใช้ส่วนตัว สต๊าฟของงานคนหนึ่งจึงช่วยนำสูทของเขาไปเก็บในถุงคลุมเสื้อสูท

          “พี่ทัช ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” นักแสดงรุ่นน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย

          “นั่นสิ พี่ไม่ได้เจอกับเจตั้งแต่ละครเมื่อปลายปีมั้ง”

          “ครับ ผมไม่รับงานละครแล้ว ตอนนี้กำลังพยายามเต็มที่กับงานเพลงมากกว่า”

          “พยายามเข้าละ พี่เอาใจช่วย”

          “เอ่อ...พี่ทัช สูทเมื่อกี้ พี่ได้มาจากไหนครับ ผมสะดุดตาตั้งแต่พี่ขึ้นเวทีแล้ว”

          “มีคนส่งมาให้น่ะ” ทัชชาอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาได้มาจากคนพิเศษ

          “ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากได้บ้าง”

          “เอาสิ” ทัชชาเดินไปที่ราวแขวน และเปิดถุงคลุมเสื้อสูทออก นักแสดงรุ่นน้องจึงเดินเขามาลูบ ๆ คลำ ๆ พลิกซ้ายพลิกขวา

          “หืม? ผมเพิ่งรู้ว่า YNW มีเสื้อสูทด้วย”

          “เจรู้จักยี่ห้อนี้เหรอ พี่ไม่ค่อยคุ้น”

          “YNW มีช้อปตามห้าง แต่ส่วนใหญ่ผมเห็นก็มีแต่เสื้อผ้าของเด็ก วัยรุ่น เสื้อผ้าลำลองแบบใส่สบาย ๆ มากกว่า นี่ผมยังเป็นลูกค้าของยี่ห้อนี้เลยนะ กางเกงของ YNW ใส่สบายดี ผมชอบใส่เวลาต้องซ้อมเต้น”

          “อ่อ คงจะออกแนวสปอร์ตสินะ”

          “ก็ไม่เชิงนะพี่ ล่าสุดผมเห็นว่าเพิ่งเปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ เป็นชุดของพวกผู้หญิงวัยทำงาน แต่สูทผู้ชายนี่ ผมเพิ่งเคยเห็น”

          “อ่อ” เขาเริ่มเห็นเค้าราง ๆ ถึงที่มาที่ไปของสูทยี่ห้อนี้ หวังว่าเขาใส่มางานเปิดตัวสินค้าแบบนี้ คงจะไม่มีปัญหาตามมาทีหลังนะ

          ยังไม่ทันที่สองนักแสดงต่างวัยจะคุยอะไรกันมากไปกว่านี้ ก็มีเสียงประตูห้องเปิดพรวดพลาดเข้ามาภายใน

          “ทัช ๆๆ” อามันต์พูดเสียงปนหอบ ก่อนชะงักเมื่อเห็นนักแสดงรุ่นน้องอีกคน

          “ใจเย็น ๆ มีอะไรค่อย ๆ พูด” ทัชชาเห็นผู้จัดการของตนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา จึงหยิบขวดน้ำที่ยังไม่ได้ดื่มส่งให้

          “ขอบใจ”

          “พี่ทัช งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” นักแสดงรุ่นน้องเห็นว่ารุ่นพี่คงมีเรื่องตั้องคุยกับผู้จัดการส่วนตัว อีกอย่างตนเองก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว จึงเลี่ยงออกจากห้องแต่งตัวไป

          “นายมีอะไร ทำไมถึงรีบขนาดนี้”

          “นายต่างหากที่ต้องบอกฉัน นายไปตกลงรับงานอะไรทำไมไม่บอกฉัน”

          “รับงาน? ...” เขานิ่งคิด “ไม่มีนี่ งานทั้งหมดฉันก็รับผ่านนาย”

          “แล้วเรื่องพรีเซนเตอร์ของ YNW นายจะว่ายังไง?”

          “หา?” ชุดสูทที่พัสกาญส่งมาให้เขาท่าทางจะมีปัญหาซะแล้ว

          “ไม่ต้องมาหงมาหาเลย”

          “อืม ไปคุยกันที่รถ คุยที่นี่ไม่ค่อยเหมาะ”

          “นี่นายมีอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่ไหม?”

          “อืม”

          อามันต์ช่วยเขาเก็บของส่วนเขาก็คว้าสูทของพัสกาญ เก็บให้เรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากห้องแต่งตัวไปทันที โดยมีอามันต์เดินตามหลัง

          “นายจะบอกว่า นายได้รับสูทชุดนี้มาจากคนที่นายกำลังคบหาดูใจกันอยู่?”

          “อืม เขาส่งมาให้ฉันเมื่อวันก่อน”

          “เขาเป็นใคร?”

          “ฉันยังบอกนายไม่ได้ จนกว่าฉันจะได้คุยกับเขา”

          “ไอ้ทัชๆ นายรู้ไหมว่าสูทตัวนี้ราคาเท่าไร แล้วมันยังไม่มีขายที่ไทยด้วย” อามันต์เหมือนอยากจะบีบขอของเขาหากไม่ติดว่าขับรถอยู่ ทำให้ได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจผ่านกระจกมองหลังมาให้

          “ไม่รู้”

          “โอ้ย กูจะบ้าตาย”

          “แล้วเรื่องสูทนี่ นายรู้ได้ยังไงว่าเป็นของ YNW ขนาดเจยังเข้ามาของดูเลย”

          “เจมาขอนายดู แล้วนายก็ให้เขาดู?”

          “อืม ก็มันไม่ได้เป็นความลับอะไรนี่”

          “นายรู้ไหม ว่าสูทตัวนี้มันจะเริ่มวางขายครั้งแรกในที่ช้อปทั่วประเทศจีนพรุ่งนี้ รวมไปถึงที่ไต้หวันและฮองกง ส่วนประเทศอื่นในเอเชีย อย่างสิงค์โป ญี่ปุ่น เกาหลี จะเริ่มวางขายอาทิตย์หน้า แล้วอยู่ ๆ ก็มีสูทตัวนึงมาโพล่ที่ไทย”

          ทัชชาไม่ได้ฟังสิ่งที่อามันต์บ่นต่อหลังจากนั้น เขากำลังคิดว่า สูทตัวนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่งของครอบครัวพัสกาญแน่ ๆ และการที่เขาเลือกใส่สูทของอีกฝ่ายในงานวันนี้ ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรต่ออีกฝ่ายหรือไม่

          “เดี๋ยวๆๆ มันต์ นายอย่าเพิ่งบ่น นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่านายรู้เรื่องสูทตัวนี้ได้ยังไง”

          “ก็หลังจบงาน ระหว่างที่นายให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอยู่ มีคนโทรมาหาฉัน คนของฝู่มู่ตานโทรเข้ามา โทรตรงมาจากฮ่องกงเลยนะโว้ย…”

          “มันต์ ใจเย็น ๆ แล้วเล่ามาดีๆ” อามันต์หายใจเขาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเล่าต่อ

          “เขาบอกว่าเขาส่งตารางงานของนาย ให้กับฉันทางอีเมลแล้ว และบอกอีกว่าที่ไทยจะเปิดตัวเมนแวร์คอลเล็กชั่นนี้ที่ไทยพร้อมกับประเทศอื่นในเอเชียอาทิตย์หน้า ระหว่างนี้เขาให้นายใส่ชุดของ YNW ไปจนกว่าจะเปิดงาน เพื่อเป็นการโปรโมทสินค้า”

          “แต่ฉันได้สูทนี้มาตัวเดียว”

          “เขาบอกว่าจะส่งให้นายทีหลัง และขอที่อยู่ที่คอนโดของนาย แต่ฉันยังไม่ได้ให้ ฉันต้องการคุยกับนายก่อน”

          “นายช่วยส่งฉันที่หนึ่งก่อน จากนั้นนายก็ไปรอฉันที่คอนโด”

          “นายจะไปหาแฟนของนาย คนที่ส่งสูทให้กับนายใช่ไหม? ฉันไปด้วย ยังไงฉันก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวของนาย ฉันมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ให้นาย”

          “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ไปหาเขา...แต่ถ้านายจะไปด้วย นายห้ามพูดอะไรทั้งนั้น แค่ฟังเฉย ๆ นายทำได้รึเปล่า”

          “คนที่นายจะไปหา เขาเป็นใคร? หรือว่านายมีอะไรปิดบังฉันอีก”

          “ไม่มี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง และฉันเองยังไม่แน่ใจว่าคนคนนี้เกี่ยวข้องยังไงกับเรื่องนี้”

          “นายกลัวว่าฉันจะปากไม่ดี ทำงให้นายซวย?”

          “ฉันคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นบททดสอบอีกอย่างของฉัน”

          “บททดสอบอะไรของนาย”

          “นายยังไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่านายช่วยทำตัวดี ๆ ก็แล้วกัน แค่นี้ก็ถือว่าช่วยฉันแล้ว”

          “เอ่อๆ ความลับเยอะจริง ไหนบอกว่าไม่มีอะไรปิดบัง”

          “ขับรถของนายไปดีๆ อย่าบ่น เดี๋ยวนายขับรถไปขึ้นทางด่วนข้างหน้า วิ่งไปทางแจ้งวัฒนะ”

          “ได้ครับ คุณพระเอก”

.........................................................................

          พัสกาญจัดการงานที่คั่งค้างที่ร้านจนเสร็จ โดยมีต้อยติ่งเป็นผู้ช่วยที่ดี ทำให้งานเสร็จเร็วกว่าเวลามาก เขาจึงเตรียมออกจากร้านไปตามนัด วันนี้เขานัดสังสรรกับเพื่อน ๆ ที่ร้านอาหารของน้านิล หลังจากที่เขาไม่ได้เข้าไปยังกองถ่ายเสียหลายวัน

          “คุณพัสไม่รอคุณกรมารับเหรอคะ?”

          “ไม่อ่ะ กรน่าจะยังไม่เสร็จงาน ผมไปเองดีกว่า”

          “คุณพัสจะเอารถออกเหรอคะ?”

          “ครับ ผมไปก่อนนะ”

          พัสกาญเดินออกจากร้านไปยังที่จอดรถประจำ รปภ.บริเวณนั้นรีบลุกออกมาปิดผ้าคลุมรถให้เหมือนอย่างเคย

          “ขอบคุณครับ”

          “ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นคุณพัสมาที่ร้านเลย หรือว่าเพื่อกลับจากเมืองนอก”

          “ไม่ใช่เมืองนอกอะไรหรอกครับลุง บ้านนอกต่างหาก” พัสกาญบอกยิ้ม ๆ ลุงรปภ. ก็ยิ้มรับก่อนเอาผ้าคลุมรถไปเก็บไว้ให้

          ระหว่างทางที่ขับรถไปยังร้านของน้านิล เขาได้โทรบอกกรกฤตแล้วว่าจะเดินทางมาที่ร้านเอง จึงได้รู้ว่า นอกจากกรกฤต ชาญ เอมแล้ว ยังมีกะทิ ไลลา และตาลที่ตามมาด้วย

          “ให้กูไปรับไหม รถมึงน่าจะมาไม่หมด”

          ‘แล้วรถมึงรับคนเพิ่มกี่คนกันเชียว ไอ้คุณหนู’

          “อย่างน้อยมึงก็มากับกู ส่วนคนอื่น ๆ ก็มารถมึงไง จะได้ไม่ต้องเรียกแทกซี่”

          ‘ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวกูให้ชาญมันเอารถตู้ไปกับเอม ส่วนคนที่เหลือไปรถกูก็ได้’

          “ตามใจมึง แค่นี้นะ กูจะถึงร้านแล้ว”

          ‘เฮ้ย งานมึงเสร็จแล้วเหรอ’

          “อืม กูมีผู้ช่วยดี”

          ‘งั้นมึงก็นั่งรอไปก่อน กูจะรีบตามไป’

          เมื่อวางสายไม่นาน พัสกาญก็เลี้ยวเข้าร้านอาหารของน้านิลไป เด็กในร้านออกมารับและพาเขาไปนั่งรอในห้องด้านหลังอย่างเคยเพราะเขามาในช่วงที่ยังไม่เปิดร้านอีกเช่นเคย

          วันนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาที่ร้านแม้แต่คนเดียวไม่ว่าจะเป็นน้ากล้า น้านิล หรือแม้แต่พี่นนท์ เมื่อถามกับผู้จัดการร้าน เขาจึงได้รู้ว่า พี่นนท์ถูกน้ากล้าตามตัวให้ไปช่วยงาน

          “พี่ม่อนครับ โต๊ะพร้อมแล้ว พี่ม่อนจะรอเพื่อนก่อนหรือจะไปที่โต๊ะเลยครับ” เด็กในร้านเดินเข้ามาถาม หลังจากผู้จัดการร้านเดินออกไปไม่นาน

          “อืม เอาสิ พี่ขออาหารทานเล่นสัก 2-3 อย่างนะ ส่วนอาหารไว้เรอเพื่อนพี่มาก่อนค่อยสั่ง”

          “ครับเดี๋ยวผมให้เด็กจัดการให้”

          พัสกาญเดินตามเด็กในร้านไปยังโต๊ะพิเศษ ที่จัดไว้ในห้องปรับอากาศ เขาเลือกโต๊ะในห้องนี้เพราะคนที่มาเพิ่มดูท่าทางคงจะโหวกเหวกไม่น้อย จะได้ไม่ไปเสียงดังรบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ ของน้านิล

          เขารอไม่นานก็เห็นคนกลุ่มแรกเดินเข้ามาในร้าน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งเปิดร้านใหม่ ๆ โซนปกติจึงไม่ค่อยมีลูกค้า ทำให้กรกฤตสามารถมองเห็นเขาผ่านกระจกใสได้ตั้งแต่เดินเข้ามา

          กรกฤตเดินนำคนอื่น ๆ เข้ามาภายในห้องวีไอพี สำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือจัดเลี้ยงเล็กๆ จากในห้องสามารมองดูบรรยากาศของร้านได้โดยรอบ

          “น้องม่อน เป็นยังไงบ้างคะ คิดถึงพี่กะทิคนนี้ไหมเอ่ย” กะทิส่งเสียงทักทายเมื่อก้าวเข้ามายังไม่ทันพ้นประตู ก่อนเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เขา

          “คิดถึงครับ ไม่ได้ยินพี่ทิแล้วมันเหงา ๆ ยังไงชอบกล”

          “พี่ม่อนหายดีแล้วใช่ไหมครับ ผมไม่เห็นพี่ม่อนไปช่วยงานพี่กรที่กองเลย” เด็กตาลถามหลังจากนั่งลงถัดจากกะทิ

          “พี่หายดีแล้ว ขอบใจตาลมากที่เป็นห่วง”

          “งานจวนจะปิดกลอ้งแล้ว นังกรมันเลยไม่ให้น้องม่อนมาช่วย” กะทิบอกตาลก่อนหันไปเรียกไลลา “อีลา มานั่งสิ มัวตะลึงอะไร ไม่เคยเห็นร้านอาหารรึไง”

          “บ้าน่าพี่ทิ ฉันสนใจรถคันนั้นต่างหาก นั่นใช่รถคุณเตอร์หรือเปล่า?” ไลลาชี้ไปที่รถของเขาที่จอดแอบอยู่ด้านนอก กรกฤตหันมาทางเขาเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง

          “ใช่หรือไม่ใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหล่อนหะ” กะทิว่าให้หลังจากไลลาเลือกที่นั่งได้แล้ว

          “ถ้าคุณเตอร์อยู่นี่ แล้วเราจะไม่เจอแม่นางฟ้านางสวรรค์นั่นเหรอ”

          “เจอก็ช่าง เราก็ต่างคนต่างอยู่ไปสิ”

          “นางฟ้านางสวรรค์ที่ไหนเหรอครับ” เขาถามอย่างสงสัย

          “น้องม่อนไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้น้องพราวเขาเป็นนางฟ้านางสวรรค์ไปแล้ว อะไรๆ ก็ต้องตามใจนาง นาทีนี้นางสำคัญที่สุด”

          “กะทิ อย่าไปพูดถึงเรื่องคนอื่นเลย วันนี้แกมาฉลองปิดงานไม่ใช่เหรอ?”

          “อีลาเป็นคนเริ่ม” กะทิโบ้ยชี้ไม้ชี้มือไปที่ไลลาทันที

          “อ่าว อิพี่ทิ อยู่ ๆ ก็โยนมา” ระหว่างที่สองสาวถกเถียงกัน ชาญกับเอมก็ตามเข้ามาสมทบ

          “โห...สนุกอะไรกันอยู่ครับ”

          “สนุกบ้านป้าแกสิ” ชาญโดนลูกหลงจากกะทิถึงกับหน้าเหว๋อ รีบลงไปนั่งข้างกรกฤตทันที ตามด้วยเอม

          “มาครบแล้ว สั่งอาหารกันเลยดีไหมครับ เดี๋ยวถ้าลูกค้ามาเยอะกว่านี้ อาหารจะออกช้านะครับ” พัสกาญรีบห้ามทัพ และกวักมือเรียกเด็กในร้าน เมื่อทุกคนได้รับเมนูก็ต่างสั่งอาหารที่แต่ละคนต้องการ

          “ม่อน มึงออกมาคุยกับกูหน่อย” กรกฤตเรียกเขาออกไปคุย พวกเขาจึงเดินเลี่ยงออกมา

          “มีอะไร?”

          “เรื่องที่เกิดขึ้นที่พัทยา คนที่บ้านบอกอะไรกับมึงรึเปล่า?”

          “ไม่นี่ เฮ้อ...จะมีก็แต่เรื่องพี่ทัชที่โดนแม่กูแกล้งเข้าให้แล้ว”

          “ไม่โดนสิแปลก กูเป็นเพื่อนสนิทมึงยังโดนซะอ่วม แล้วคุณทัชนั่น จะไปเป็นลูกเขยแม่มึงมีหรือจะไม่โดน กูหวังว่าคุณทัชเขาจะไม่ถอดใจไปซะก่อน”

          “มึงไม่คิดว่าเขาจะมาเป็นสะใภ้บ้างเหรอว่ะ?” กรกฤตเดินห่างจากเขาไปก้าวหนึ่งก่อนมองตั้งแต่หัวจรดเท้า

          “เอาไว้ถ้าคนที่มาจีบมึงดูสวยกว่ามึง กูค่อยคิดว่าเขาจะมาเป็นสะใภ้ก็แล้วกัน”

          “ทำไมใครๆ ก็คิดแบบนี้”

          “มึงไม่ดูหนังหน้าตัวเอง ได้แม่ได้ป้าได้ลุงมาซะขนาดนี้”

          “อ่อ ๆ แล้วมึงลากกูออกมาคุยข้างนอกนี่ มีเรื่องอะไร?”

          “ที่มึงเจ็บตัวคราวนั้น กูคิดว่ามึงรับเคราะห์แทนยัยแหม่ม”

          “มึงพูดเหมือนมีคนจงใจทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”

          “อืม เฮียเจมส์รู้เรื่องนี้ดี แต่เฮียไม่เข้ามายุ่ง มึงคงเข้าใจนะว่าเพราะอะไร?”

          “อืม ถ้าเป้าหมายไม่ใช่กู คนที่บ้านก็จะไม่มายุ่งเกี่ยว”

          “ใช่ แต่เรื่องนี้กูกำลังตามสืบอยู่ และกูมีเรื่องจะขอร้องให้มึงช่วย”

          “อืม ถ้ากูช่วยได้ กูช่วยเต็มที่”

          “งานแฟชั่นวีคที่ฮองกง กับญี่ปุ่นมึงตัดสินใจยัง ว่าจะเอายังไง”

          “อืม กูคุยกับแม่แล้ว กูจะไป”

          “ให้แหม่มไปร่วมงานด้วยได้ไหม?”

          “เรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหา เท่าที่กูรู้ แหม่มน่าจะเซ็นต์สัญญากับทางซีดับบิวแล้ว ทางค่ายน่าจะส่งคนมาร่วมงาน”

          “อืม งั้นกูฝากมึงจัดการด้วย แล้วกูขอข่าวนี้”

          “มึงจะทำอะไร?”

          “กูแค่จะจับคนที่ทำร้ายมึง และคิดจะทำร้ายแหม่ม”

          “มันไม่อันตรายใช่ไหม?”

          “ไอ้คุณหนู มันอันตรายไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของคนที่บ้านมึงเหอะ ไปเข้าไปในห้องได้แล้ว อาหารมาแล้วนั่น” กรกฤตชี้ไปยังเด็กในร้านที่ทยอยยกอาหารเข้าไปในห้อง

To Be Continued


หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-06-2020 11:02:11
เอ้อจะจัดการยังไง รอดู ส่วนด่านพิสูจน์ว่าที่ลูกเขยนั้น.. ทัชอย่าท้อนะ 555 ต้องหาคนที่เหมาะสมและคู่ควรจริงๆกับลูกของเขา ได้ใส่สูทคนแรกของไทย โว้วๆ ไม่ใช่คนพิเศษจริงไม่ได้ใส่นะเนี้ย 55  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 20-06-2020 12:24:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-06-2020 13:39:10
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่ทัช   อาจจะไม่ได้ถูกแกล้ง

แต่ก็แค่  ถูกมัดมือชกให้รับเป็น brand ambassador ไปโดยปริยาย   โดยไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องสัญญา
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 20-06-2020 21:51:47
 o13
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: ิbmsaensuk ที่ 20-06-2020 23:24:21
บททดสอบลูกเขยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ววว พี่ทัชสู้ๆ✌
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 41 : 20.Jun '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-06-2020 16:47:36
อ่านไปลุ้นไป เอ็นดูรถขนอ้อยพ่อพระเอกทัชชาจริงๆ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 01-07-2020 11:57:30


42








          อามันต์ขับรถพาทัชชาเข้ามายังบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ที่มีพื้นที่อาณาบริเวณกว้างขวาง บ้านทรงโรมันอันแสนโอ่อ่าตั้งตระหง่านอยู่กลางร่มไม้ขนาดใหญ่ ดูแล้วน่าจะเป็นตระกูลผู้ดีเก่าแก่

          “ทัช นายรู้จักคนในบ้านนี้ด้วยเหรอ” เขาถามเมื่อจอดรถที่หน้าบ้านทั้งที่ยังคงเกาะพวงมาลัยรถ แหงนคอมองตัวบ้าน

          “อืม” ทัชชารับเขาง่าย ๆ แล้วไม่ยอมอธิบายอะไรอีก จากนั้นก็ลงจากรถไป

          “เดี๋ยวคุณเอารถไปจอดด้านหน้าโรงรถตรงนั้นนะ” ชายคนหนึ่งที่เป็นคนมาเปิดประตูรถให้ทัชชา ชี้บอกทาง “ข้าง ๆ มีห้องพักคนขับรถอยู่ กาแฟ เครื่องดื่ม ของว่างในนั้นคุณสามารถหยิบทานได้เลย”

          “ขอบคุณครับ” เขาที่มองตามมือที่ชี้ไปได้แต่กล่าวขอบคุณก่อนที่จะสะดุดกับคำพูดที่ชายคนนั้นบอก “เฮ้ย!! ผมไม่ใช่...ยังพูดไม่ทันจบ ชายคนนั้นก็ปิดประตูรถ และเดินตามทัชชาเข้าไปในบ้านเสียแล้ว

          อามันต์เคลื่อนรถไปทางโรงรถตามที่ชายคนนั้นบอก จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นห้องพักคนขับรถ

          ภายในห้องถูกเปิดแอร์เย็นฉ่ำ มีโซฟาตัวใหญ่หลายตัวท่าทางนั่งสบาย ทีวีจอใหญ่ถูกยึดติดกับผนังด้านหนึ่งพร้อมทั้งกล่องเคเบิลทีวี อีกมุมเป็นเคาน์เตอร์ มีตู้แช่อาหารสำเร็จรูปและตู้เย็นวางเคียงกันตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์หินแกรนิตมันเงา ไหนจะไมโครเวฟ เครื่องชงกาแฟสด

          นี่แค่ห้องพักคนขับรถนะ หากเป็นในบ้านจะขนาดไหน คำถามมากมายผุดขึ้นใจหัวของอามันต์ ทัชชามาหาใคร เขาควรตามทัชชาเขาไปในบ้านหรือไม่ หรือควรจะรออยู่ที่นี่ ไม่เดินเพ่นพ่านไปไหน

.........................................................................

          เมื่อทัชชาเข้ามาในบ้านของพัสกาญแล้ว เขาก็แจ้งความประสงค์กับคนในบ้านว่าเขาต้องการมาพบใคร ไม่นานน้านิลก็มาพาเขาเข้าไปยังห้องสตูดิโอที่เดินลึกเข้าไปในตัวบ้าน

          “เชิญค่ะคุณทัช”

          “ขอบคุณครับน้านิล” หญิงสาวยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนเดินออกไป

          “เป็นยังไง สูทของน้าใส่ได้พอดีตัวเลยใช่ไหม?” โบตั๋นเอ่ยทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากงานที่ทำอยู่

          “สูทตัวนั้นเป็นของคุณน้าจริง ๆ ด้วย”

          “น้าเห็นคุณใส่ไปงานเมื่อเช้า”

          “ผมไม่คิดว่าข่าวจะออกมาเร็วขนาดนี้”

          “อืม คุณใส่แล้วดูดีนะ”

          “ขอบคุณครับ”

          “คุณนั่งรอน้าสักเดี๋ยว น้าขอเคลียร์งานตรงนี้อีกหน่อย”

          ทัชชาเชื่อฟังแต่โดย ไม่สักถามอะไรเพิ่มและเดินไปนั่งรอที่โซฟาชุดเล็ก ๆ ริมหน้าต่างบานสูง ไม่นานน้านิลก็เดินเข้ามาพร้อมเครื่องดื่มและของว่าง

          “น้านิลครับ ไม่ทราบว่าคนที่มากับผม เขาไม่ได้เข้ามาด้วยเหรอครับ?”

          “น้าไม่เห็นใครเดินตามตานนท์เข้ามานะคะ เดี๋ยวน้าถามให้แล้วกัน ไม่ทราบว่าคุณทัชจะให้เพื่อนคุณไปรอที่ไหนดีค่ะ?”

          “เอ่อ แล้วแต่คุณน้าเลยครับ”

          “ค่ะ เดี๋ยวน้าดูแลให้นะคะ”

          “ขอบคุณครับ” ขณะที่น้านิลกำลังจะออกจากห้องกลับถูกโบตั๋นเรียกเอาไว้

          “เดี๋ยว พี่นิล”

          “ค่ะคุณตั๋น”

          “เรียกตานนท์เข้ามาหาตั๋นที่นี่ด้วยนะ”

          “ค่ะคุณตั๋น”

          โบตั๋นวางงานในมือก่อนเดินตรงมานั่งโซฟาอีกตัว ที่มีเพียงโต๊ะกลางตัวเล็ก ๆ กั้นไว้

          “คุณเห็นตารางงานที่ตานนท์ส่งไปให้รึยัง?”

          “ผู้จัดการส่วนตัวบอกกับผมว่า เขาได้รับการติดต่อจากคนของฝู่มู่ตาน โทรตรงมาจากฮ่องกง แล้วคุณนนท์…”

          “คนของฝู่มู่ตานน่ะใช่ แต่ที่ว่าโทรตรงมาจากฮ่องกงคงจะเข้าใจผิด”

          “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ”

          “เรื่องนี้คุณคงต้องไปถามผู้จัดการส่วนตัวของคุณเองแล้วล่ะ”

          “ผมได้ยินว่า สูทที่คุณน้าให้ผม เป็นสูทที่ยังไม่มีวางขายที่ไหน”

          “ใช่ นั่นไงล่ะต้นแบบ” โบตั๋นชี้ไปที่หุ่นผ้าตัวหนึ่ง ที่มีกระดาษขึ้นรูปเป็นชิ้นๆ แทนผ้าถูกกลัดไว้ด้วยเข็มหมุด รูปทรงคล้ายสูทที่เขาสวมเมื่อเช้า

          “ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณน้าเกี่ยวข้องกับฝู่มู่ตานใช่ไหมครับ”

          “อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

          “เรื่องพรีเซนเตอร์ YNW นี่คงเป็นหนึ่งบททดสอบจากคุณน้าใช่ไหมครับ?”

          “บททดสอบ?” เขาพยักหน้า “คุณคิดมากเกินไปแล้วคุณทัช น้าก็แค่ช่วยสนับสนุนคุณก็เท่านั้น”

          “สนับสนุนผม?”

          “ใช่ การเป็นนักแสดงเมื่อถึงเวลาหนึ่ง บทบาทที่คุณจะได้รับมันก็จะเปลี่ยนไปจริงไหม ไหนจะนิยม อายุ หรือว่าคลื่นลูกใหม่ที่เกิดขึ้นมาในทุก ๆ วัน ตอนนี้คุณกำลังโด่งดัง น้าก็แค่สนับสนุนและช่วยผลักดันคุณเพื่อไปให้สุดในอาชีพนี้”

          ทัชชาถึงกับพูดไม่ออก ไม่คิดว่าโบตั๋นจะให้การสนับสนุนเขาขนาดนี้ จนเขาเกิดความลังเล

          “คุณบอกว่าคุณไม่รู้เกี่ยวกับธุรกิจในเครือเยี่ยนหวอ งั้นน้าจะเล่าให้ฟังสั้น ๆ ก็แล้วกัน เยี่ยนหวอเป็นกลุ่มธุรกิจที่ 2 ตระกูลใหญ่ในฮ่องกงร่วมกันก่อตั้งขึ้น มีตระกูลเหมิ๋น ที่ดูแลธุรกิจทางฝั่งเกาลูน ดูแลขยายงานเรื่องวัตถุโบราณ การศึกษา และพัฒนายารักษาโรค

          ตระกูลฝู่ ดูแลธุรกิจในจีน ฮ่องกง โดยพี่ใหญ่และพี่เขยของตระกูล ดูแลเรื่องการนำเข้าส่งออก โรงแรมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงโรงแรมที่คุณพักเมื่อคราวนั้นด้วย”

          “โรงแรมที่พัทยานั่น ไม่ใช่ของคนไทยเหรอครับ”

          “ต้องบอกว่าเคยเป็น จนกระทั้งฝู่เถิงเข้ามาเทคโอเวอร์ อาเถิงเป็นเขยใหญ่ของตระกูลน่ะ คุณก็เคยเจอเขาแล้ว รวมถึงตาเจมส์ที่เป็นทายาทคนโต”

          “อ่า...ครับ” ทัชชาได้แต่นิ่งฟังต่อไป

          “อ่อ ทางนั้นยังมีกาสิโน แล้วก็ล่าสุดนะ น้าได้ยินมาว่าหยวนฮ่างเพิ่งจะเทคโอเวอร์อู่ต่อเรือ และเรือสำราญของ...เอ้...น้าจำชื่อไม่ได้แล้ว ช่างมันเถอะ

          ตระกูลฝู่มีพี่น้อง 3 คน ต่อไปพี่คนรอง ดูแลเรื่องธุรกิจอาหาร รีสอร์ทกึ่งอนุรักษ์ธรรมชาติ งานด้านการศึกษา เน้นเรื่องศิลปะการต่อสู้เพื่องานด้านการรักษาความปลอดภัย และบริษัทรักษาความปลอดภัยครบวงจร โดยมีสำนักงานหลักอยู่ที่ไทย”

          “ผมเดาว่างานนี้ผู้ดูแลคงจะเป็นลุงหยกกับลุงเสือ ใช่ไหมครับ”

          “ถูกต้อง พี่เสือเป็นเขยรองของตระกูล”

          “คุณน้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝู่มู่ตาน แต่คุณน้าคือฝู่มู่ต้าน” โบตั๋นยิ้มพอใจ

          “งานน้าก็พวกความสวยความงามต่าง ๆ นั่นแหละนะ อย่างพวกสปา เสื้อผ้าพวกนี้ อ่อ!! เกือบลืม ไอ้ห้างสรรพสินค้านั่นก็อีก พอดีงานนั้นน้าโยน ๆ ไปให้คนอื่นทำน่ะ น้าขี้เกียจดูแลอะไรเยอะแยะ”

          ทัชชาถึงกับเหวอเมื่อเห็นสีหน้าเหม็นเบื่อ ท่าทางปากคว่ำราวกับสาวรุ่นของโบตั๋น เขารีบงับปากที่ค้างไว้แทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาค้อนควับอย่างไม่พอใจ

          “ผมต้องขอบคุณคุณน้าที่ทำเพื่อสนับสนุนผม แต่คุณน้าคิดว่าผมเหมาะสมแล้วเหรอครับที่จะเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ YNW เพราะเท่าที่ผมทราบ แค่แบรนด์พัสกาญ ก็มีทั้งนายแบบหรือดาราดัง ๆ หวังที่จะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อยู่ไม่น้อย” เขาจำได้ว่าตอนไปถ่ายแบบเสื้อของพัสกาญ ทางพี่รุธและคุณอิงลิชพยายามดันเขามากแค่ไหน

          “อะไรคือเหมาะ อะไรคือไม่เหมาะ”

          “YNW ขายอยู่ทั่วเอเชีย ผมที่เป็นนักแสดงที่รู้จักกันแค่ในประเทศ ผมเกรงว่าผมอาจจะไม่เหมาะสมกับงานนี้”

          “ผิดแล้ว YNW มีขายทั่วโลกย่ะ” โบตั๋นเหมือนจะไม่ได้สนใจประโยคหลังเพียงแต่แก้ต่างประโยคแรกเท่านั้น “ที่คุณมาหาน้า จริง ๆ แล้วคุณต้องการยืนยันในสิ่งที่คุณคิดแค่นั้นใช่ไหม?”

          “ครับ เรื่องที่คุณน้าจะสนันสนุนผม นั่นมันเกินกว่าที่ผมจะคาด”

          “เฮ้อ...คุณรู้ไหมว่าน้าจะมาแพ้เพราะคุณไม่ได้”

          “หา? ....พะ พะ แพ้ เพราะผม?”

          “ใช่สิ คุณรู้ไหมเขยบ้านนี้แต่ละคนเขาเป็นยังไง เขยใหญ่อย่างอาเถิงดูแลกาสิโน สร้างธุรกิจท่าเรือ นำเข้าส่งออก เขยรองอย่างพี่เสือ มีบริษัทรักษาความปลอดภัยเป็นของตัวเอง แล้วไหนจะค่ายมวยอีก ล่าสุดไอ้หลานเขยคนนั่นอีก ชิ!! ได้หน้าจากงานแรลลี่คราวนี้ไปเต็มๆ” โบตั๋นบ่นงึมงำ แต่เขาก็ได้ยินชัดเจน “แล้วคุณละมีอะไร ถ้าไอ้ตุ๊กตาทองคำเก๊ๆ รางวัลอะไรนั่น น้าไม่นับนะ มันสร้างรายได้ให้ตระกูลไม่ได้”

          “นี่ๆ ผมต้องไปแข่งอะไรพวกนี้กับเขยของตระกูลด้วยเหรอครับ?”

          “ก็เว้นเสียแต่ คุณจะแต่งเข้าเป็นสะใภ้เหมือนเฟ่ยซานอ่ะนะ ไม่สิ พ่อของม่อนเองยังมีหน้ามีตาทางการทหารเลย ไม่ได้ๆ ฉันยอมไม่ได้ คุณจะสู้ไม่สู้”

          “เอ่อ...คุณน้าครับ ใจเย็นๆ ก่อนดีไหมครับ” ทัชชาเริ่มไม่แน่ใจนิสัยราวกับเด็กๆ โบตั๋นแสดงออกมานี่ใช่บททดสอบเขาอีกหรือไม่ แม่ของพัสกาญเริ่มทำให้เขากลัวเสียแล้ว

          “น้าตั๋น เลิกแกล้งคุณทัชเขาเถอะครับ ดูสิหน้าซีดหมดแล้ว” ชายหนุ่มที่พาเขามาในบ้าน ไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร เอ่ยอย่างขำ ๆ ดูท่าทางไม่ค่อยจะเกรงกลัวคนตรงหน้าเลย

          “ตานนท์ก็ดูพ่อพระเอกของตาม่อนสิ กับอีแค่รับปากทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ก็ไม่ได้”

          “โห่...งานของน้าตั๋นไม่เห็นจะเล็กน้อยตรงไหนเลย นี่ถ้าคุณทัชรับงานน้าตั้นคงอยู่ไม่ติดที่ไทยแน่ ๆ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ และยกเก้าอี้สตูแถว ๆ โต๊ะทำงานของโบตั๋นมานั่ง “ผมนนท์ครับ เมื่อครู่ผมเพิ่งจะคุยงานกับคุณอามันต์เสร็จ ส่วนที่เหลือคุณคงต้องตัดสินใจเอง ดูเหมือนคุณอามันต์เขาจะไม่กล้ารับงานนี้แทนคุณ” คุณนนท์ยื่นเอกสารตารางงานให้เขา

          “นี่คือตารางงานที่คุณส่งเมลให้กับมันต์ เหรอครับ”

          “ครับ เป็นเพียงตารางงานคร่าว ๆ ที่ผมร่างขึ้นมา ยังไม่ได้ลงรายละเอียดปลีกย่อย สัญญาของเราไม่มีการผูกมัดหากคุณยังต้องการจะรับงานแสดง หรืองานอื่น ๆ หากไม่กระทบกับ YNW แล้วละก็ คุณสามารถรับงานนั้นๆ ได้”

          “เรื่องงานนี้ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ผมแค่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย”

          “คุณไม่สบายใจที่จะมาทำงานให้น้า มาทำงานกับน้าอย่างนั้นเหรอ”

          “ไม่ใช่ครับคุณน้า เรื่องที่ผมไม่สบายใจ… จะว่ายังไงดี” ทัชชาพยายามนึกคำพูดที่เหมาะสม เพื่อให้โบตั๋นเข้าใจความรู้สึกของเขา “ผมไม่อยากได้งานนี้เพราะม่อน”

          “คุณคงหมายถึง คุณไม่อยากเป็นเด็กเส้น” คุณนนท์ขยายความ

          “ครับ ผมต้องการคบกับม่อนด้วยความจริงใจ ไม่ได้เห็นแก่ผลประโยชน์อะไรพวกนี้ ก่อนที่ผมจะรู้จักม่อนจริง ๆ ผมคิดแค่ว่าจะทำยังไงผมถึงจะทำให้ม่อนมายืนเคียงข้างดาราอย่างผมได้ แต่นี่มันกลับกันอย่างสิ้นเชิง จากที่ได้ฟังคุณน้าเล่า กลายเป็นผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายปีนขึ้นไปหาม่อน ซึ่งผมอยากจะขึ้นไปด้วยตัวของผมเอง”

          “ถ้าอย่างนั้นคุณก็สบายใจได้ คุณเป็นคนหนึ่งที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของห้องเสื้อพัสกาญ แต่ม่อนเขาลังเลที่จะเลือกคุณ เพราะเขารู้จักกับคุณ ทำให้เรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์ต้องล้มโปรเจคไป แต่คุณรุธเขาพยายามผลักดันคุณอยู่” โบตั๋นอธิบาย

          “คุณน้ารู้จักกับพี่รุธด้วยเหรอครับ”

          “ไม่รู้จัก”

          “อ่าว”

          “แต่เขาเมลมาก่อกวนต้นกล้าไม่หยุด ใช่ไหมตานนท์”

          “ก็ไม่เชิงก่อกวนครับ คุณรุธเขาแค่อยากจะดันแบรนด์ไทย ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลกก็เท่านั้นเอง”

          “แล้วแบรนด์ของตาม่อนไม่ดังตรงไหน”

          “ครับ ๆ มีตั้งประเทศละหนึ่งสาขาแค่นั้นเอง ดังมากครับ” เขาได้ยินน้ำเสียงประชดจากคุณนนท์

          “ตกลงยังไงคุณทัช สู้ไม่สู้” โบตั๋นยังคงคาดคั้น

          “น้าตั๋นครับ ขอผมคุยกับคุณทัชชาหน่อยไปไหมครับ”

          “ตามใจ จะคุยอะไรก็ไปคุยข้างนอก น้าจะทำงาน แล้วเอาคำตอบดีๆ มาให้หน้าเพิ่มด้วยนะ ไม่อย่างนั้นน้าจะเซ็นต์อนุมัติงานช้อปปิ้งมอลล์ในสนามบินที่สิงคโปร์เลยคอยดู” คุณนนท์พยักหน้าแหยงๆ ก่อนพยักหน้าอีกครั้งเป็นเชิงให้เขาตามออกไป

          “ผมขอตัวสักครู่นะครับ”

.........................................................................

          อามันต์นั่งตัวเกรงอยู่ในห้องรับแขกสุดอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าบ้านทรายทอง จะขยับตัวแต่ละทีก็กลัวว่าเบาะของโซฟาหลุยส์จะเสียหาย คิดแล้วก็ได้แต่นั่งถอนใจ สู้ให้เขานั่งรอในห้องพักคนขับรถยังจะดีเสียกว่า

          เสียงฝีเท้าของคนที่เดินมา ยิ่งทำให้อามันต์ยิ่งเกร็งเข้าไปอีก กาแฟแก้วน้อยแสนบอบบางที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เขาก็แทบจะไม่กล้ายกขึ้นมาดื่มด้วยซ้ำ แก้วน้ำเปล่าบ้าน ๆ ไม่มีหรืออย่างไร ทำไม่ต้องเป็นแก้วคริสตัสเนื้อดีตรงหน้านี้ด้วย

          “มันต์ นายเป็นอะไร?” เสียงของทัชชาที่พูดออกมาราวกับเสียงสวรรค์ นี่เขากำลังจะได้ออกจากบ้านหลังนี้แล้วใช่ไหม?

          “เอ่อ…” กำลังจะถาม เขากลับเจอคุณนนท์ เลขาส่วนตัวประจำประเทศไทยของฝู่มู่ต้านเดินตามหลังมา

          “ตกลงว่านายเป็นอะไร?”

          “ดูจากน้ำที่ไม่พร่อง กาแฟที่ไม่ได้ดื่ม คุณอามันต์คงจะเกร็งกับบรรยากาศในห้องนี้สินะครับ”

          “ครับ” เขาสารภาพอย่างไม่อาย ไหน ๆ ทัชชาก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว

          “ขอโทษแทนอามันต์ด้วยนะครับ มันต์เขาไม่ค่อยชินกับอะไรที่เป็นทางการมาก ๆ”

          “ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้น เราย้ายไปที่ห้องนั่งเล่นดีไหมครับ”

          “ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”

          อามันต์แทบอยากจะเข้าไปบีบคอพ่อพระเอกหนุ่มที่เกรงอกเกรงใจไม่เข้าเรื่อง ไม่สงสารคนที่นั่งเกร็งเป็นชั่วโมงอย่างเขา

          “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ สิ่งที่ผมจะคุยกับคุณ ผมพูดต่อหน้าน้าตั๋นไม่ได้ เดี๋ยวเธอจะน้อยใจเอาน่ะครับ”

          “ครับ เชิญคุณนนท์พูดเถอะครับ”

          “การที่น้าตั๋นจะยอมรับใครสักคนไม่ใช่เรื่องงาน คุณคงพอได้ยินเรื่องคุณเถิง หรือคุณเสือมาบ้าง”

          “ครับ”

          “ทั้งสองคนกว่าจะฝ่าด่านน้องสาวช่างหวงอย่างน้าตั๋นมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ แต่ละคนใช้เวลาเป็นปี คุณโชคดีที่มีออร่าเป็นสิ่งยืนยันความจริงใจของคุณ”

          “คุณน้าก็เห็น”

          ”ไม่เห็นหรอกครับ”

“อ่อ...เฮ้อ...ก็อย่างที่ผมบอกกับคุณน้าไป ผมไม่อยากเป็นเด็กเส้น”

          “คุณอย่าคิดว่าคุณเป็นเด็กเส้นสิครับ พวกเราแค่เป็นบันไดให้คุณไต่ขึ้นไปเท่านั้น ส่วนคุณจะปีนขึ้นไปได้สูงแค่ไหนนั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณเอง”

          “ทัช นี่มันเรื่องอะไรกัน” อามันต์คนทั้งสองคุยกัน ยังจับใจความอะไรแทบไม่ได้ เด็กเส้นอะไร ยอมรับอะไร คุณน้าอะไร

          “นายสัญญากับฉันว่ายังไงก่อนมา” ทัชชาทวงคำสัญญาทำให้เขาจำต้องหุบปากลงอีกครั้ง

          “คุณทัชรู้จักดอยเสมอดาวไหมครับ”

          “ดอยเสมอดาว?”

          “ดอยเสมอดาว อยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน จังหวัดน่าน”

          “ผมไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเท่าไร เลยไม่ค่อยรู้จักครับ”

          “ฮ่าๆ ครับๆ ที่ใกล้ ๆ ดอยเสมอดาวนั้นมีสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะพูดกันว่า กลางคืนเคียงดาว ตอนเช้าเคียงหมอก

          “ม่อนเคียงดาว จังหวัดน่าน” เขาลืมตัวเผลอพูดขึ้นมา จึงรีบงับปากลงทันทีที่คุณนนท์เหลือบสายตามองมาที่เขา

          “ครับ คุณอามันต์ทายถูกครับ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่มีวิวสวยงาม คนที่จะขึ้นไปเที่ยวก็แค่ขับรถไป ยานพาหนะสมัยนี้ก็มี ไม่ใช่ยอดเขาเอเวอเรสต์นะครับที่ต้องพยายามปีนขึ้นไปด้วยกำลังของตัวเอง ผมพูดแบบนี้หวังว่าคุณทัชคงจะเข้าใจ”

          “ถ้าผมมีข้อแม้ละครับ”

          “เรื่องอะไรครับ”

          “ผมไม่อยากได้ความช่วยเหลือเกินความจำเป็น”

          “แต่คุณทัชอย่าลืมนะครับ ว่าทางผมก็จ้างคุณมาทำงาน ยังไงก็ต้องใช้งานให้คุ้มค่าตัว”

          “ทัช…”

          “อะไร?”

          “ผมขอคุยกับทัชชาเป็นการส่วนตัวสักครู่นะครับ” จากนั้นอามันต์ก็ไม่รอคำตอบ ลากทัชชาออกไปคุยนอกห้อง ในมุมที่คิดว่าอับสายตาที่สุด

          “ไอ้มันต์ นายเป็นอะไร”

          “นายนั่นแหละเป็นอะไร คิดเล่นตัวเหรอไง”

          “ไม่ใช่ ฉันแค่ต้องการคุยกันให้ชัดเจน”

          “แค่นี้ยังไม่ชัดอีกเหรอ นี่ๆๆๆ” อามันต์ชี้ลงไปบนเอกสารในมือทัชชาแรง ๆ อย่างหงุดหงิด “รายละเอียดมันแทบจะทิ่มตานายอยู่แล้ว ค่าตัวก็เขียนเอาไว้ชัดเจน แค่งานโชว์ตัวอย่างงานนาฬิกาวันนี้ไม่กี่ชั่วโมง YNW ให้ค่าตัวนายมากถึง 6 หลักแล้วนะโว้ย ไอ้พระเอก”

To Be Continued


หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-07-2020 17:53:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

อามันต์  นายไม่เข้าใจ  เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น  555
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-07-2020 21:05:19
เอาก็เอาวะทัช ทำเลย มีออร่าจริงใจอยู่ พิสูจน์ให้เห็นไปเล้ย  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 02-07-2020 18:14:28
เอาน่าทัชชา ขึ้นบันไดดีกว่าโหนเชือกเป็นไหนๆ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 02-07-2020 20:45:53
 :hao4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 42 : 1.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 04-07-2020 01:52:41
พี่ทัชจะเลือกอันไหนน๊าาาาา
ระหว่างปีนขึ้นเขากับขับรถขึ้นเขา :hao7:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 18-07-2020 16:34:54
43







          หลังจากกลับจากทานข้าวเย็นกับเพื่อน ๆ พัสกาญเข้ามานั่งเย็บสูทอีกตัวในสตูดิโอ สูทตัวนี้เป็นงานที่เขาออกแบบเอง โดยใช้คอนเซปต์ตรีมเดียวกับที่แม่ของเขาให้โจทย์กับเขาไว้ ระยะสองสามปีมานี้แม่ของเขามักจะโยนงานของ YNW มาให้

          แม่จะออกแบบและขึ้นหุ่นกระดาษไว้ให้ จากนั้นก็เลือกผ้าเพียงเท่านี้ ที่เหลือก็จะโยนมาให้เขาทำทั้งคอลเลคชั่น รวมไปถึงการตัดเย็บตัวต้นแบบอีกด้วย

          หลังจากเขาเย็บชุดนั้นเสร็จ แล้วส่งไปให้แม่ตรวจสอบ เขากลับถูกแม่สั่งให้แก้งาน แม่ที่ไว้ใจในผลงานของเขา ไม่เคยสั่งให้เขาแก้งานมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะทัชชา

          สูทชุดนี้แม่ให้เขาแก้เป็นไซต์ของทัชชา ซึ่งเขาก็มีข้อมูลอยู่แล้วตั้งแต่ที่ร่วมงานกับนิตยสารของคุณอิงลิช จึงไม่ได้ยากอะไร ส่วนเหตุผลก็คือ แม่ต้องการให้ของขวัญกับทัชชา

          “คุณพัสค่ะ คุณทัชมาขอพบค่ะ” พัสกาญเงยหน้าจากจักรไฟฟ้าตรงหน้า

          “ให้พี่ทัชไปรอผมที่ห้องทำงานก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตามไป” พัสกาญค่อนข้างแปลกใจที่ทัชชามาหาเขาเสียดึก แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันจะได้ลองสูทตัวนี้เสียเลย

          “ค่ะ” ต้อยติ่งถอยหลังออกไป เมื่อรับคำสั่งจากเจ้านายแล้ว

          พัสกาญเก็บงานอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงนำสูทตัวที่ตนทำเพิ่งเสร็จติดมือออกไปหาทัชชาที่ห้องทำงานด้วย

          เมื่อเดินมาถึงห้องทำงานทัชชากลับไปไม่ได้มาคนเดียวเหมือนทุกครั้งที่มาหาเขาที่ร้าน ครั้งนี้มีอามันต์เข้ามาด้วย

          “พี่ทัช คุณอามันต์”

          “เหอะ!! นายคือพัสกาญจริง ๆ ” พัสกาญพยักหน้าให้กับคุณอามันต์ “หึๆๆ ...ฮือๆๆ ...ทัช ทำไมนายไม่บอกฉัน...ฮือๆๆ ...ปล่อยให้ฉันด่าเขามาได้ตั้งนานสองนาน” ทัชชาตบบ่าอามันต์เป็นเชิงปลอบใจเมื่อเห็นเพื่อนร้องไห้ออกมา

          “มันต์นายใจเย็น ๆ หน่อย” ทัชชาพยายามปลอมเพื่อนที่เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอาการที่เห็นคือร้องไห้หรือหัวเราะกันแน่

          พัสกาญเดินไปที่โต๊ะทำงานอย่างงุนงง ก่อนคว้าเอาไม้แขวนเสื้อมาแขวนสูท แล้วห้อยไว้กับที่แขวนด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา

          “ม่อนครับ พี่ขอโทษนะที่พามันต์มาโดยไม่บอกม่อนก่อน” พัสกาญส่ายหน้า

          “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ แล้วทำไมคุณอามันต์ถึง…” พัสกาญไม่รู้จะพูดออกมายังไง ออร่าของอามันต์นั้นแสดงถึงอารมณ์ที่สับสน โกรธ เสียใจ น้อยใจ ปนเปกันไปหมด

          “พี่เข้าไปหาคุณน้าที่บ้านมาครับ เรื่องสัญญาของ YNW ที่คุณนนท์ส่งไปให้”

          “แล้วพี่ทัชคุยอะไรกับแม่บ้างครับ”

          “พี่ขอเวลาคิด พี่อยากจะคุยกับม่อนก่อน ส่วนอามันต์เขารู้เรื่องของเราเพราะเขาตามพี่เข้าไปที่บ้านม่อนด้วยน่ะครับ”

          “เรื่องของเรา!! ” อามันต์ทวนคำเสียงดัง พร้อมสูดน้ำมูกก่อนกัดฟันพูดด้วยท่าทางตลก ๆ ที่พัสการไม่เคยเห็นมาก่อน “ทัชนายมีอะไรปิดบังฉันอีก…”

          ทัชชามองหน้าอามันต์ก่อนหันไปจ้องหน้าพัสกาญแล้วพูดว่า “ฉันกำลังจีบม่อนเขาอยู่” จากนั้นก็หันกลับไปมองอามันต์ “รู้แบบนี้แล้วนายจะช่วยฉันรึเปล่า เผื่อม่อนจะยอมใจอ่อนคบกับฉัน”

          สวบ

          ทัชชาและพัสกาญตกใจไม่น้อยที่เห็นอามันต์อยู่ๆ ก็ทรุดลงและเป็นลมไปทันที

          หลังจากช่วยกับพาอามันต์ไปนอนที่โซฟาตัวยาวในห้องทำงานแล้ว พัสกาญก็หันมาคุยกับทัชชา

          “พี่ทัชไม่อยากรับงานของ YNW รึเปล่าครับ”

          “พี่แค่ไม่อยากให้ใคร ๆ มองว่าพี่เข้าหาม่อนเพราะเรื่องนี้”

          “ม่อนรู้ครับ แม่ก็รู้ คนในบ้านม่อนทุกคนก็รู้ ส่วนคนอื่นๆ ที่พี่ทัชว่า จะคิดยังไงม่อนไม่สนใจ ขอแค่คนในครอบครัวของม่อนเข้าใจ แค่นั้นก็พอ”

          “ม่อนไม่คิดดูถูกพี่เหรอครับ”

          “ดูถูกเรื่องอะไรครับ พี่ทัชคิดมากไปเอง ม่อนเชื่อพี่ทัชไม่ใช่เพราะคำพูดเพียงอย่างเดียว ม่อนเชื่อเพราะออร่าที่ม่อนเห็น ไม่ว่าลุงเสือจะไปสืบเรื่องอะไรๆ ของพี่ทัชมาให้แม่ ม่อนก็ไม่สน”

          “คนที่บ้านม่อนส่งคนไปสืบเรื่องของพี่ด้วยเหรอครับ”

          “ครับ หวังว่าพี่ทัชจะไม่โกรธลุงของม่อนนะครับ ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุที่ชลบุรีคราวนั้น คนที่บ้านก็เป็นห่วงม่อนมาก”

          “พี่เข้าใจครับ และไม่โกรธลุงของม่อน พี่เข้าใจดีว่าท่านรักและหวังดีกับม่อน”

          “ส่วนเรื่องสัญญาของ YNW นี่อาจจะช่วยให้พี่ทัชตัดสินใจได้ง่ายขึ้น” พัสกาญเดินไปหยิบสูทที่ตนแขวนเอาไว้ในตอนแรก และปลดลงมา “พี่ทัชคงจะเห็นสูทต้นแบบในสตูดิโอของแม่แล้ว”

          “ครับ พี่เห็นกระดาษตัดเป็นชิ้น ๆ ถูกตรึงไว้ด้วยเข็มหมุด” พัสกาญเดินเข้ามาใกล้ทัชชา

          “ครับ แม่มีแค่ภาพสเกต ตัวอย่างผ้า และต้นแบบนั้น ส่วนคนที่ทำให้สูทตัวนั้นเป็นรูปเป็นร่าง และส่งไปให้พี่ทัชที่คอนโดคือม่อนเอง เหมือนสูทตัวนี้ พี่ทัชลุกขึ้นหน่อยได้ไหมครับ”

          ทัชชาลุกขึ้นสายตาก็มองไปยังสูทในมือของพัสกาญและพอจะคาดเดาอะไรได้บ้าง

          “แม่ให้โจทย์กับม่อนแค่ YNW จะเปิดตัวคอลเลคชั่นเมนแวร์ในอีกไม่นาน แม่ให้ภาพต้นแบบมา ม่อนก็ทำไปตามหน้าที่” พัสกาญจับทัชชาให้หันหลัง ก่อนค่อย ๆ สวมสูทในมือให้ “ส่วนที่เหลืออีก 4 ตัว ม่อนต้องออกแบบเอง แต่โจทย์อีกข้อคือ ของขวัญ”

          ทัชชาหันกลับมาหาพัสกาญเมื่ออีกฝ่ายสวมสูทให้เขาเสร็จแล้ว “ของขวัญ? ”

          “ครับ ของขวัญ แม่ทำคอลเลคชั่นนี้ให้กับพี่ทัช สูทตัวนี้” พัสกาญช่วยทัชชาขยับปกเสื้อให้เขาที่ “ม่อนตั้งใจทำเป็นพิเศษเป็นของขวัญเช่นกัน พี่ทัชจะรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ได้ไหมครับ”

          พัสกาญสำรวจสูทที่อยู่บนร่างของทัชชา มันสวมได้พอดีและเหมาะกับทัชชากว่าตัวที่แล้วเสียอีก

          “ใส่ได้พอดีเลยนะครับ” พัสกาญว่าก่อนละมือออกจากสูทแล้วเงยหน้าขึ้นมองทัชชาเพื่อรอคำตอบ

          “ขอบคุณครับ ขอบคุณทั้งคุณน้า และก็ม่อนด้วย พี่ดีใจมากที่รู้ว่าสูทที่พี่ใส่วันนี้เป็นฝีมือการตัดเย็บของม่อน”

          “อ่าว แล้วสูทตัวนี้ละครับ ม่อนทั้งออกแบบเองตัดเย็บเอง พี่ทัชไม่ดีใจเหรอ? ”

          “ดีใจสิครับ ยิ่งม่อนเป็นคนใส่ให้พี่เองด้วย ขอบคุณนะครับ” ทัชชายิ้มให้กอดฉวยโอกาสสวมกอดพัสกาญไว้

          “ถ้าพวกนายจะหวานกันขนาดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ช่วยแล้วล่ะ” เสียงอามันต์พูดออกมาอย่างอู้อี้ด้วยกำลังพลิกตัวหันหน้าเข้ากับพนักโซฟา ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเอาหมอนอิงที่หนุนอยู่มาปิดศีรษะอีกด้วย

          “พี่ทัช” พัสกาญรู้สึกขัดเขินจนทำตัวไม่ถูก เมื่อดันตัวออกทัชชาก็ปล่อยเขาแต่โดยดี เขาจึงทุบไปที่อกของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง กลับเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากทัชชา

          “ไม่โกรธนะครับ พี่ก็แค่ดีใจมากไปหน่อย”

          “ฉวยโอกาส” พัสกาญบ่นก่อนจะเดินซ่อนหน้าของตัวเองไปยังโต๊ะทำงาน ส่วนทัชชาก็เดินไปนั่งยังโซฟาที่อามันกลอกตานอนอยู่และตบไหล่เบาๆ ทีหนึ่ง

.........................................................................

          ในช่วงก่อนเริ่มงานกรกฤตเรียกกะทิและไลลามาคุยถึงแผนการที่อยู่ในใจของเขา ซึ่งทั้งสองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี และเมื่อกองเริ่มทำงาน หนึ่งสาวแท้และหนึ่งสาวเทียมก็เริ่มจ้อไม่หยุด

          ข่าวภายในกองถ่ายแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงหูของคนวางแผน

          “พี่กรๆ รู้ยังว่าพี่แหม่มถูกเชิญให้ไปร่วมงานแฟชั่นวีกที่ฮ่องกงด้วย” ชาญลดเสียงลง “งาน YNW ของพี่ม่อน”

          “อืม พอรู้มาบ้าง”

          “พี่กรรู้? ” เอมถามอย่างตื่นเต้น “แล้วพี่แหม่มจะได้ขึ้นเวทีเดินแบบด้วยไหม? ”

          “เรื่องนี้ฉันไม่รู้”

          “พี่ไม่ลองคุยกับพี่ม่อนล่ะ” เอมกระซิบเสียงเบา

          “มันจะไปทำอะไรได้ เรื่องนี้คนตัดสินใจไม่ใช่มันสักหน่อย”

          “มันก็จริงของพี่” เอมอดที่จะบ่นอย่างเสียดายไม่ได้

          “แค่มีโอกาสได้ไปก็ดีแค่ไหนแล้ว” ชาญช่วยปลอบใจเอมทั้งที่ตัวเองก็แอบลุ้นไม่ต่างกัน

          “นังกร...นังกร...แกรู้ยัง” กะทิวิ่งตะโกนกระหืดกระหอบเข้ามา

          “อะไรกะทิ ไหม้ที่ไหนถึงได้ตกใจขนาดนี้” กรกฤตหันไปถาม

          “ไฟไหม้ยังไม่ตกใจเท่าได้กินผู้ชายหล่อ”

          “ตกลงว่าได้กินผู้ชาย ว่างั้น? ”

          “ใช่ที่ไหนล่ะ นี่แกรู้รึยังว่าพี่ทัชเพิ่งเซ็นต์สัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเสื้อของ YNW ด้วยนะแก...อะไรมันจะปังขนาดนี้ พี่กวินทร์ที่รู้ข่าวงี้ หน้าบานเป็นจานส่งสัญญาณของช่องเลยทีเดียวนะแก” กะทิเล่าไปดีใจไปราวกับคนเซ็นต์สัญญานั้นเป็นตนเอง

          “ปังจริงพี่ทิ นางเอกได้ไปงานแฟชั่นวีก พระเอกได้เป็นพรีเซนเตอร์ ละครเรื่องนี้เรตติ้งพุ่งแรงแน่ ๆ เลยพี่” ชาญเองก็อดตื่นเต้นกับกะทิไม่ได้

          “ก็ใช่น่ะสิยะ แล้วแกรู้อะไรมั้ย งานเปิดตัวนาฬิกาเมื่อวันก่อนนะ สูทที่พี่ทัชใส่เป็นสูทของ YNW เชียวนะ เรื่องนี้แม้แต่ผู้จัดการส่วนตัวอย่างคุณอามันต์ยังไม่รู้เลย ว่าพระเอกของเราไปได้สูทชุดนั้นมาจากไหน ฉันว่าพี่ทัชต้องมีซัมติงอะไรกับเจ้าของแบรนด์นี้แน่ ๆ ”

          “ทำไมแกถึงคิดอย่างนั้น” กรกฤตเริ่มไม่ไว้ใจความแสนรู้ของกะทิจึงหลอกถามดู

          “อ้าว แกไม่สังเกตหรือว่าหลังๆ นี่พี่ทัชชอบหลบไปคุยโทรศัพท์บ่อย คุยเสร็จก็อารมณ์ดีมีออร่าสีชมพูลอยวนๆ อยู่รอบตัวราวกับคนมีความรัก”

          “แกเห็นออร่าด้วยเหรอ”

          “บ้าสิ!! ใครมันจะไปเห็น ฉันเปรียบเปรยย่ะ แกนี่เชื่อเพราะซื่อหรือโง่กันแน่หา” กะทิแอบกลอกตาบนให้กับคนวางแผน

          “ข่าวแหม่มกับคุณทัชรู้กันแค่ในกองใช่ไหม? ” กรกฤตไม่สนใจคำเหน็บแนมของกะทิ

          “ก็ไม่นะ พี่กวินทร์ที่รู้รีบโทรไปรายงานผู้ใหญ่ที่ช่องเรียบร้อยแล้วจ้า”

          “ทางผู้ใหญ่น่าจะรู้ดีว่ายังไม่ควรปล่อยข่าวออกไป ของแหม่มแม้จะยังไม่มีการคอนเฟิร์มจาก YNW หากข่าวหลุดออกไปแล้วผลไม่เป็นอย่างที่คาด มันก็จะส่งผลกระทบกับละครเรื่องนี้ ส่วนของคุณทัชยิ่งให้ข่าวหลุดไปไม่ได้ใหญ่ ไม่อย่างนั้นคุณทัชอาจจะโดนทาง YNW ฟ้องเพราะทางนั้นยังไม่เปิดตัวเมนแวร์ในไทย”

          “งานนี้ถ้าข่าวของแหม่มหลุดไป ก็คงมาจากคนในกองจริง ๆ วันนี้ไม่มีเอ็กซ์ตร้าสักคน นักแสดงสมทบก็ไม่มี มีแค่พี่อาท พี่ทัช และยัยนางฟ้าเจ้าปัญหานั่น” กะทิสรุป

          “แต่ผมเห็นแฟนคลับของพี่ทัช และก็นักข่าวสองสามคนที่ทางเข้ากองถ่ายนะครับ”

          “แฟนคลับของพี่ทัชเขากลับไปแล้วย่ะ แค่เอาขนมมาให้ ส่วนนักข่าว หนึ่งในสามเป็นนักข่าวบันเทิงของช่อง ยังไงก็คงเก็บข่าวไว้เล่นทีหลัง ส่วนที่เหลือ ฉันไม่รู้จัก”

          “เดี๋ยวฉันไปดูเอง” พูดจบกรกฤตก็เดินออกไปตรงทางเจ้ากองถ่าย ที่เป็นจุดพักของนักข่าวทันที

          “น้องกร ทางนี้ครับ” กรกฤตเห็นภาริชโบกไม้โบกมือให้ ข้างๆ กันก็เป็นคุณน้อง

          “คุณมาได้จังหวะดีจังนะ” กรกฤตอดไม่ได้ที่จะประชด

          “น้องรู้มาว่า ทางกองถ่ายมีคิวถ่ายเก็บงานวันนี้ และมีคนเขามาไม่กี่คน ถ้าไม่มาวันนี้แล้วจะมาวันไหนล่ะค่ะ”

          “ครับ วันนี้เหมาะที่สุด”

          “น้องกร พี่ได้ยินข่าวของน้องแหม่มแว่วๆ มา มีข่าวคุณทัชด้วย”

          “ข่าวของแหม่ม ผมเป็นคนปล่อยเอง ส่วนข่าวทัชชาเป็นเรื่องจริง”

          “งั้นเราก็มารอดูกันค่ะ ว่าใครจะเป็นคนปล่อยข่าวของแหม่มชาริสากัน” น้องยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก เป็นนักสืบนี่ท่าทางจะสนุกกว่าเป็นนักข่าวเสียแล้ว









To Be Continued



หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-07-2020 20:09:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 18-07-2020 20:40:20
สองคนกะหวานไปซิ  :-[ แต่วงการมายานั้น  :hao4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 18-07-2020 21:15:34
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-07-2020 04:33:01
อุ้ย เขินฉากคุณทัชดีใจกอดน้องม่อน
ตื่นเต้นฉากนักสืบจังเลย
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-08-2020 01:11:28
คิดถึงน้องม่อนค่ะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 43 : 18.Jul '20
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 21-08-2020 22:15:26
รอๆต่อไป :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 09-09-2020 15:22:16
44






   สุดท้ายแล้ว คนทั้งสามก็ต้องผิดหวัง ด้วยไม่มีข่าวอะไรหลุดออกไปแม้แต่น้อย อีกทั้งละครยังไปกล้องไปเรียบร้อย ทำให้กรกฤตจับไม่ได้เสียทีว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ของชาริสากันแน่

   เช้านี้เขามานั่งขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานของพัสกาญ ที่ช่วงนี้ดูจะสดใสและอารมณืดีอย่างยิ่ง หากเขาเห็นออร่าได้อย่างอีกฝ่าย เขาคงจะเห็นบรรยากาศสีชมพูลอยไปทั่วห้องเป็นแน่

   “กร มึงไปกับกูนะ”

   “ไปไหน”

   “งานแฟ่ชั่นวีคไง เป็นเพื่อนกูหน่อย”

   “ไม่เอาอ่ะ มึงไปของมึงเลย ไม่ต้องเอากูไปเกี่ยวด้วย”

   “มึงก็รู้ว่างานแบบนี้ไม่มีใครสนใจกูหรอก อีกอย่างถึงแหม่มจะไปด้วย แต่แหม่มก็ไปทำงาน จะมาคอยนั่งคุยกับกูได้ยังไง”

   “แล้วพี่ทัชของมึงล่ะ”

   “เขาก็ไปทำงาน”

   “คนอื่นเขาทำงานกันหมดแล้วมึงไปนั่งกินบุฟเฟ่ฟรีๆ งานการไม่ทำหรือยังไง”

   “งานกูไม่มีอะไรแล้ว ที่เหลือมึงก็รู้ว่าแม่เป็นคนจัดการ ระหว่างนั้นก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน”

   “มึงก็ไปอยู่กับเฮียเจมส์หรือตั่วเฮียสิ”

   “ไม่เอา สองคนนั้นมีแต่นักข่าวจับตามอง กูมีแต่จะอยู่ห่าง ๆ พวกเฮียเขา”

   “ไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ดี สรุปมึงต้องลากกูไปกับมึงให้ได้เลยใช่ไหม”

   “อืม ไปเป็นเพื่อนกูเถอะนะ”

   “เอ่อๆ ไปก็ได้ ออกค่าตั๋วเครื่องบินให้กูด้วย”

   “แม่ให้ลุงเถิงส่งเครื่องบินของเยี่ยนหวอมารับ”

   “เอ่อ กูลืมไปว่าบ้านมึงโคตรรวย”

   “เอ่อ กูยอมรับ แต่นั่นมันของบ้านกู ไม่ใช่ของกู มึงอย่าลืม”

   กรกฤตไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย ซึ่งดูจะพูดมากขึ้น แสดงความรู้สึกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน คงต้องยกความดีความชอบให้คุณทัชชาที่สามารถทลายกำแพงความรู้สึกที่พัสกาญสร้างขึ้นมาปกป้องตัว

   เขาก้มหน้าก้มตาเช็กเมลในโทรศัพท์ อาจจะเป็นเพราะเพิ่งจะปิดกล้อง ทำให้ระหว่างนี้ไม่มีอีเมลของลูกค้าเข้ามานอกจากอีเมลของคุณน้อง

   กรกฤตรีบกดเข้าไปดูพบเห็นข่าวของแพรววริศาที่เลิกรากับคุณพหลไฮโซหนุ่ม ข่าวนี้แรงจนกลบข่าวที่ละครปิดกล้องไปแล้วอย่างสวยงามเสียอีก

   เนื้อความในข่าวสรุปได้ว่า พราววริศาเลิกกับคุณพหลเพราะแม่ของฝ่ายชายกัดกัน และผู้ที่ส่งมาดูแลในกองถ่ายละครนั้นเป็นคนที่แม่ของฝ่ายชายส่งมาก่อกวนการทำงานของเธอทั้งสิ้น ทำให้เธอทำผลงานออกมาได้ไม่ดี

   ไม่เพียงเท่านั้น ข่าวนี้ยังส่งผลไปถึงตัวสินค้าที่เธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อยู่ คุณแม่ของคุณพหลสั่งเลิกจ้างเธอทันทีที่ทั้งสองประกาศตัดความสัมพันธ์กัน ทางฝ่ายไฮโซหนุ่มและผู้เป็นแม่ไม่ได้ออกมาให้ข่าวอะไร มีเพียงดาราสาวเพียงผู้เดียวเท่านั้น

   สุดท้ายแล้ว สิ่งที่คุณน้องตั้งข้อสังเกตนั่นก็คือพี่ปู นักข่าวสายบันเทิงผู้หนึ่งเป็นผู้เปิดประเด็นถามพราววริศาว่าจะกลับไปสานสัมพันธ์กับทัชชาหรือไม่ โดยดาราสาวกลับตอบให้ไปคิดต่อว่า แล้วแต่พระเอกหนุ่มทัชชาว่ายังเอ็นดูเธออยู่หรือไม่

   “ม่อน มึงเคยถามคุณทัชเรื่องคุณพราวรึเปล่า” กรกฤตเงยหน้าขึ้นจากข้อมูลที่เพิ่งได้รับผ่านทางอีเมล

   “ไม่ กูไม่ได้อยากรู้เรื่องของเขา”

   “แล้วมึงมั่นใจในตัวคุณทัชแค่ไหน” พัสกาญนิ่งอึ้งในคำถามของอีกฝ่าย

   “ถึงกูจะเห็นออร่าจากพี่ทัช แต่กูก็ไม่มีความมั่นใจสักนิด ลึก ๆ แล้วกูก็ยังคงกลัว”

   “ตอนนี้คุณทัชเขาดังเป็นพลุแตก ไม่ว่าใครก็อยากเข้าหา หากวันหนึ่งมึงเห็นข่าวเขาอยู่กับคนอื่น มึงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”

   “คนอื่นที่มึงว่าคือเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมวงการทำนองนั้นรึเปล่า”

   “อีกหน่อยมันจะไม่ใช่เท่านั้น ไหนจะไฮโซ เซเลป เน็ตไอดอล อย่างงานนาฬิกา คุณทัชก็ร่วมงานกับเซเลปตั้งหลายคน หากเขาได้เจอกัน คุยกัน แล้วบังเอิญมีคนถ่ายรูปไปลงเวปอย่างข่าวแหม่ม แกจะว่ายังไง”

   “กูไม่รู้ กูคงเสียใจไปก่อนแล้วตั้งแต่เห็นข่าว ใจกูมันก็แค่ก้อนเนื้อนะมึง”

   “เฮ้อ...นี่แหละนะที่กูเป็นห่วง ม่อนงานปิดกอง มึงต้องไปกับพวกกู”

   “อืม ก็ไปอยู่แล้วไง”

   “แต่มึงต้องไปอย่างไอโซชื่อดังพัสกาญ ไม่ใช่ไปอย่างม่อนลูกน้องกู”

   “เพื่ออะไร กูก็อยู่ของกูดีๆ มึงอย่ามาสร้างความลำบากให้กูเลย”

   “ลำบากที่ไหน จบงานเลี้ยง มึงอยู่ไทยอีกแค่วันเดียวมึงก็บินหนีออกนอกประเทศแล้วเหอะ”

   “กลับมาก็ต้องเจออยู่ดี”

   “กลับมาคราวนี้ชีวิตมึงจะเปลี่ยนไปก็จริง แต่เชื่อกูว่ามันจะต้องดีขึ้น”

   “มึงไม่ได้มีแผนอะไรใช่ไหม? ”

   “ไม่มี มีที่ไหนกูก็บอกอยู่ว่าให้มึงไปเปิดตัวในฐานะพัสกาญ คนจะได้เลิกดูถูกมึง หรือถ้าอนาคตมึงคบกับคุณทัช ก็ไม่มีใครจะมาว่าได้ว่ามึงไม่คู่ควรกับเขา”

   “แต่กูเป็นผู้ชาย มันจะส่งผลเสียกับงานของพี่ทัช”

   “ดาราที่มีคู่รักเพศเดียวกันก็ออกจะเยอะแยะ ละครแนวบอยเลิฟก็มีออกเกลื่อน มึงจะกลัวอะไร เผลอคุณทัชอาจจะมีละครวายติดต่อมาก็ได้ ใครจะรู้”

   “กูขอปรึกษาพี่ทัชกับแม่ก่อน”

   “เอ่อ ติดแม่ไม่พอ พอมีแฟนติดแฟนเข้าไปอีก”

   “กูไม่ได้ติดแฟน กูยังไม่ได้ตกลงคบกับพี่ทัช”

   “เหรอ…”กรกฤตลากเสียงยาวอย่างหมั่นไส้ พูดเท่านี้ทำหน้าแดง

.........................................................................

   ภาริชนั่งอ่านเมลที่รุ่นน้องของเขาส่งมาให้ แล้วรู้สึกตงิดใจบางอย่างจึงโทรไปหาอีกฝ่าย

   “กดส่งเมลไม่ถึง 10 นาทีเลย จะรีบไปไหนเนี่ยพี่ภา”

   “พี่สงสัยว่ะ ทำไมพี่ปูถึงโยงไปเรื่องทัชชา”

   “ก็เขาเคยมีซัมติงกันอยู่น่ะสิ ไม่เห็นจะแปลก”

   “ไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าทัชชาเซ็นต์สัญญากับ YNW หรอกเหรอ? ”

   “พี่ปูเขาจะไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง พี่ก็เห็นอยู่ว่าวันนั้นคนในกองมีแทบนับนิ้วได้”

   “วันนั้นพราววริศาก็เข้าไปถ่ายเก็บงานวันสุดท้ายเหมือนกันนะ”

   “พี่ภา พี่กำลังจะบอกว่าคนที่ปล่อยข่าวคนน้องพราว พราววริศาอย่างนั้นเหรอ”

   “ไม่รู้ว่ะ แค่ความรู้สึก มันบอกไม่ถูก”

   “บ้าน่า น้องพราวจะทำแบบนั้นทำไม”

   “ไม่รู้ มันแค่รู้สึกตงิดๆ เป็นพี่ พี่คงไม่ถามเรื่องของแฟนเก่า ทั้งที่ดาราเพิ่งเลิกกลับแฟนคนล่าสุดหรอก ทัชชาก็ไม่ใช่มือที่สามที่ทำให้เขาเลิกกันสักหน่อย”

   “มันก็จริง เป็นน้อง น้องก็ไม่กล้าถาม ยิ่งภาพข่าว ดูน้องพราวสะเทือนใจมาก แปลกจริงว่ะพี่”

   “เอ่อ งานเลี้ยงปิดกองละคร พี่ปูไปด้วยรึเปล่า”

   “พี่ภาถามทำไม”

   “ถามเผื่อไว้”

   “เดี๋ยวน้องไปสืบมาให้ แล้วพี่ล่ะ ไปรึเปล่า”

   “ไปสิ น้องกรไปพี่ก็ต้องไป อีกอย่างน้องกรบอกจะให้ข่าวกับพี่”

   “ข่าวใคร”

   “ไม่รู้ รู้แต่ว่า ข่าวนี้คุ้มเหนื่อยแน่นอน”

   “พี่ภา พี่เอาข่าวมาให้น้องดีกว่า ส่วนพี่ก็เอาตัวคุณกรไป เอาป่ะ น้องช่วย”

   “เฮ้ย!! อะไรวะ”

   “ไม่เอารึ รอมานานแล้วไม่ใช่เหรอคนนี้อ่ะ”

   “เธอมีแผนอะไรยัยน้อง”

   “เรื่องอะไรจะบอก พี่ภาก็ตกลงมาก่อนสิ”

   “ข่าวนั่นมันอาชีพทำมาหากินพี่เลยน่ะ”

   “ข่าวเดียว แลกกับคุณกร ยอมไม่ได้เชียวเหรอ ไม่รักจริงนี่หว่า ถ้างั้นก้แล้วไป แค่นี้นะ”

   “เฮ้ย!! เดี๋ยวๆๆ ยัยน้อง อย่าเพิ่งวางสาย เฮ้ย!! ” ไม่ทันที่ภาริชจะได้คิดอะไร รุ่นน้องของเขาก็วางสายไปเสียแล้ว

   ภาริชรุ้ดีว่าข่าวของกรกฤตนั้นต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ ๆ อีกทั้งอาจจะเกี่ยวข้องกับทัชชาและพัสกาญ หรือจะเป็นข่าวชาริสา ไม่ว่าจะเป็นข่าวไหน ก็ล้วนแต่น่าสนใจทั้งนั้น

   “โอ๊ย!! ...เอาไงดีว่ะกู”

.........................................................................

   เย็นวันนั้นกรกฤต พัสกาญ ต่างมารอชาริสาและซีรีส์ดาที่ร้านอาหารของน้ากล้า เพื่อเลี้ยงฉลองให้กับงานที่จบลงด้วยดี อีกทั้งยังคุยเรื่องงานแฟชั่นวีคที่พวกเขาทั้งหมดจะต้องไปร่วมงานกันอีกด้วย

   คราวนี้กรกฤตเลือกนั่งในห้องส่วนตัว เพราะข่าวชาริสาโกอินเตอร์ไปรับเล่นซีรีส์ถึงเมืองนอกเมืองนามีข่าวออกมาแทบทุกวัน ด้วยอีกฝ่ายเพิ่งไปงานแถลงข่าวพร้อมเซ็นต์สัญญาเมื่อไม่นานมานี้

   “แหม่ม เป็นยังไงบ้าง ทางนั้นเขาส่งบทมาให้อ่านแล้วรึยัง”

   “อืม ส่งมาแล้ว แต่ไปถึงนิวยอร์กคงต้องเรียนพวกยิงปืนเพิ่ม”

   “ตัวก็แค่นี้ เขาให้แกบู้ด้วยรึ” กรกฤตเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าชาริสาเป็นผู้หญิงเอเชียที่รูปร่างเล็กว่าพวกฝรั่งมาก

   “นิดหน่อย ไม่เยอะหรอก แต่ต้องฝึกไว้ เวลาเข้าซีนจะได้ดูไม่แข็ง”

   “อืม พวกฝรั่งเขาละเอียดอ่อนเรื่องการแสดงมากกว่าบ้านเรานะ” พัสกาญวิจารณ์

   “หลังงานแฟชั่นวีคของทางบ้านพี่ม่อน พี่แหม่มต้องอยู่ที่นั่นเพื่อแถลงข่าวซีรีส์ชุดนี้ที่ฮ่องกง ไม่ได้บินไปงานแฟชั่นวีคที่ญี่ปุ่นต่อ” ชันดาเอ่ยถึงตารางงานของพี่สาว

   “หลังจากนี้พวกเราคงกลับมาเป็เหมือเดิมเน๊อะ ที่นานๆ จะได้เจอกันสักที” พัสกาญกล่าวอย่างเสียดาย

   “อีกหน่อยมึงก็ลืมพวกกู เชื่อสิ” กรกฤตพูดดัก ซึ่งชันดาก็พยักหน้าเห็นด้วย

   “กับคนนี้ ม่อนโอเคแล้วใช่ไหม” ชาริสาเอ่ยถาม

   “คนนี้อะไรกัน คุยเรื่องพวกเราอยู่ดี ๆ ทำไมวกเข้ามาเรื่องพี่ทัชได้ล่ะ”

   “ดายังไม่เห็นได้ยินใครเอ่ยชื่อพี่ทัชเลยนะคะ พี่ม่อนคิดถึงพี่ทัชเหรอคะ”

   “เปล่าๆ พี่ไม่ได้คิดถึง” พัสกาญรีบปฏิเสธทันควัน

   “เอ่อ อีกสองวันจะถึงงานฉลองปิดกอง ฉันให้ไอ้ม่อนมันไปในฐานะพัสกาญ แกจะว่ายังไง”

   “ม่อนโอเครึเปล่า”

   “เรามาคิด ๆ ดูแล้ว คนในกองคงไม่ค่อยมีใครรู้จักพัสกาญกันหรอก เลยคิดว่ายังไงมันคงไม่ต่างกัน”

   “ดาว่าดีนะคะ บางคนที่เคยดูถูกพี่ม่อนอย่างคุณอามันต์จะได้เงียบปากไปบ้าง”

   “คุณมันต์เขารู้เรื่องพี่แล้วล่ะ”

   “รู้ได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไร” ชาริสาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “หรือว่าพี่ทัชเป็นคนบอก”

   “แม่ให้พี่นนท์โทรหาคุณมันต์น่ะ พวกเขาเข้าไปบ้านใหญ่ คุณมันต์เลยบังเอิญรู้เข้า” พัสกาญตอบตามตรง

   “เพราะแบบนี้ ฉํนถึงให้ไอ้ม่อนไปเปิดตัวในงานนี้ไง หากพวกนักข่าวเห็นม่อนกับคุณทัชอยู่ด้วยกันตอนเดินทางไปฮ่องกง พวกเขาจะได้ไม่เขียนข่าวไอ้ม่อนของเราเสีย ๆ หาย ๆ ”

   “จริงสิ ดาเห็นด้วยกับพี่กรค่ะ”

   “แล้วม่อนไม่คิดอะไรเกี่ยวกับข่าวของพี่ทัชและพราววริศาในช่วงนี้ใช่ไหม” ชาริสาเอ่ยถามอ่างเป็นห่วง

   “อืม พี่ทัชเขาคุยให้ฟังตลอดนะ แต่ช่วงนี้คุณพราวเขาเข้ามาคุยกับพี่ทัชมากขึ้นจริง ๆ ส่งข้อความทางแชทมา แต่พี่ทัชไม่ได้เปิดอ่าน”

   “พี่ม่อนรู้ได้ยังไงว่าพี่ทัชไม่ได้เปิดอ่าน”

   “ก็โทรศัพท์ของพี่ทัชอยู่กับคุณมันต์ตลอดเลยช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคุณมันต์ส่งข้อความมาอัปเดตว่าพี่ทัชอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ กับใคร”

   “นี่พอรู้ว่าม่อนเป็นใคร นายนั่นถึงกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนะ”

   “พี่แหม่ม มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แล้วหลังเท้าอะไร น่าเกลียด”

   “คุณมันต์เขาแค่สบายใจ แล้วก็โล่งใจที่เราไม่ได้เป็นคู่แข่งกับเขายังไงล่ะ”

   “คู่ขงคู่แข่งอะไร ไม่มงไม่มีมากตั้งนานแล้ว ตานั่นโ่เองต่างหาก”

   “ไอ้ม่อน มึงจะบอกเรื่องนี้กับกูได้เมื่อไร ทำไมดูเหมือนพวกมึงปิดบังอะไรอยู่”

   “ฉันบอกแกก็ได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน”

   “ข้อแลกเปลี่ยนอะไรยัยแหม่ม”

   “เรื่องของแกกับพี่ภาติส คืออะไร ฉันเห็นนะว่าแกแอบนัดเจอเขาที่ร้านกาแฟบ่อยๆ ”

   “ไม่มีอะไรทั้งนั้น งานล้วนๆ ”

   “แกไม่บอก ฉันก็ไม่บอก” ชาริสาพูดด้วยใบหน้าล้อเลียนราวกับผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า เรียกเสียงหัวเราให้แก่ชันดาและพัสกาญได้เป็นอย่างดี มื้ออาหารมื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อแห่งความสุขอีกมื้อระหว่างพวกเขาทั้งสี่
   
To Be Continued



หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-09-2020 23:02:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-09-2020 19:31:37
มีเรืีองให้ลุ้นอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-10-2020 19:46:58
คิดถึงเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-01-2021 09:15:00
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
เริ่มหัวข้อโดย: KazBadguy ที่ 06-03-2021 12:48:42
รออยู่นะคะ จะเข้ามาอ่านซ้ำๆ จนกว่าจะมาอัปตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 08-07-2021 10:14:22
 :really2: