ตอนที่ 11: ปัญหาที่ต้องฝ่าฟัน
“น้องนะ แม่บอกว่าให้ขึ้นไปบนห้องก่อนไง”อาจารย์วรรณีหันไปสั่งเสียงเฉียบขาดกับคนตัวเล็กหลังจากที่ยกจานชามไปไว้ในอ่างล้างแล้ว มื้ออาหารเย็นที่เพิ่งสิ้นสุดเต็มไปด้วยบรรยากาศฝืดเฝือเพราะทั้งผมทั้งนะต่างทานอะไรไม่ลงด้วยความเกร็ง นะหันมาประสานสายตากับผมแล้วก็หันไปต่อรองกับแม่ตัวเองเสียงแห้ง
“แต่ว่าแม่ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับนะด้วยนะ”
“นะครับ ขึ้นไปบนห้องตามที่อาจารย์บอกเถอะ”
ผมพยักหน้าให้ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความกังวลเพราะไม่อยากให้อาจารย์วรรณีขัดใจมากไปกว่านี้ และถ้าอาจารย์มีเรื่องอะไรที่ต้องถามจากผม ผมก็อยากจะรีบตอบให้เสร็จไปมากกว่าจะปล่อยให้คาราคาซัง แม้ว่าจะไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเพราะไม่คิดว่าความจะแตกเร็วขนาดนี้ก็ตาม
ริมฝีปากอิ่มแดงเม้มแน่นขณะที่เราสบตากันก่อนเจ้าตัวจะหันไปมองแม่ตัวเองอีกครั้ง ร่างเล็กหมุนตัวเดินขึ้นไปบนห้องอย่างเงียบๆโดยมีเจ้ากุ๊งกิ๊งวิ่งตามขึ้นไปด้วย ผมฟังเสียงประตูปิดที่ดังแว่วมาจากชั้นบนแล้วก็ถอนหายใจ อย่างน้อยเจ้าลูกหมาขนฟูคงพอเป็นเพื่อนปลอบใจนะในตอนนี้ได้
“เอาล่ะ...”
เสียงเรียบเย็นจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะปลุกผมจากภวังค์ สายตาที่จ้องเขม็งมาทำให้อดขยับนั่งตัวตรงขึ้นไม่ได้
ในสายตาของอาจารย์ตอนนี้ผมคงดูเหมือนผู้ร้ายอุกฉกรรจ์เลยกระมัง
“ไหนอธิบายมาซิ ว่าที่ครูเห็นเมื่อกี้น่ะมันอะไร”
ผมอึกอัก แม้คำถามนั้นจะฟังดูง่ายแต่กลับครอบคลุมเนื้อความกว้างขวางจนไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ถูกคืออะไร หรือแม้แต่ว่ามีคำตอบที่ถูกหรือเปล่าในกรณีนี้ ผมเลยเลือกถามกลับเพื่อประวิงเวลาไปก่อน
“อาจารย์เห็นตอนไหนล่ะครับ”
นัยน์ตาหลังกรอบแว่นมองผมตาเขียว “ก็ทันตอนที่พวกเธอนั่งทำอะไรกันอยู่ใต้ต้นไม้นั่นแหละ ครูขอถามหน่อยเถอะ พวกเธอสองคนเริ่มคบกันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!?”
“...ก็ตั้งแต่เราย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันครับ”
“ตั้งแต่น้องนะย้ายไปอยู่ห้องเธอ? อะไรกัน…”
อาจารย์วรรณีอุทานแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบอก ผมเห็นสีหน้าตกใจนั้นแล้วก็รู้สึกเห็นใจอาจารย์ขึ้นมา ถ้าผมเล่าให้แม่ฟังบ้างแม่จะแสดงอาการแบบเดียวกันหรือเปล่านะ
“อาจารย์ครับ คือว่า...พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนะครับ เพียงแต่คิดว่ายังไม่ถึงเวลาจะบอก”
“แล้วพวกเธอคิดว่าจะบอกครูเมื่อไหร่? ไม่ต้องรอจนลูกครูเรียนจบเลยงั้นเหรอ!?”
น้ำเสียงที่เริ่มกราดเกรี้ยวทำให้ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆทั้งที่เริ่มอยากขึ้นเสียงตามอยู่รอมร่อ ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกว่าตัวเองถูกต้อนให้จนมุมทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดขนาดนี้เลย
“พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดนานขนาดนั้น เพียงแต่พวกเราเองก็ยังคบกันได้ไม่นาน เลยยังไม่อยากทำอะไรกระโตกกระตาก”
“แต่ก็ย้ายไปอยู่ห้องเดียวกันแล้ว?”
“ผมยอมรับว่าผมเป็นคนชวนนะให้มาอยู่ห้องเดียวกับผมเอง แต่ว่าเพราะผมอยากให้เราได้ใช้เวลาด้วยกัน ผมคบกับนะด้วยความจริงใจนะครับ”
ผมย้ำทุกคำพูดด้วยเสียงหนักแน่นและสบตากับผู้ให้กำเนิดของคนที่ผมรักตรงๆ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะยังไม่มีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์สิ่งที่เพิ่งพูดไปก็ตาม อย่างน้อยผมก็ใส่ความจริงใจกับทุกคำที่ถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายจะยอมเปิดใจบ้างหรือเปล่าเท่านั้น
อาจารย์วรรณีถอดแว่นออกแล้วก็นวดขมับก่อนจะเงียบไปนานจนผมรู้สึกว่าเสียงหรีดหริ่งเรไรในสวนดังระงมจนหูอื้อ มือผอมบางที่เริ่มมีริ้วรอยและใสจนเห็นเส้นเลือดยกแว่นขึ้นสวมตามเดิมก่อนจะประสานมือเข้าด้วยกันบนโต๊ะ ใบหน้าที่ละม้ายกับคนสำคัญของผมเงยขึ้นสบตากับผมตรงๆหลังจากที่อาจารย์ไม่ยอมหันมามองอยู่เป็นนาน
“ไม่ใช่ว่าครูไม่เคยเห็นเด็กที่เป็นแบบนี้มาก่อนหรอกนะ แต่สมัยที่เธอยังเรียนอยู่กับครู ครูก็ไม่เห็นว่าเธอจะแสดงท่าทางว่าจะเป็นแบบนี้เลยนี่”
น้ำเสียงที่ทักนั้นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มสงบสติอารมณ์ลงมากแล้ว ทว่าสายตาที่มองมาทำให้ผมอดรู้สึกร้อนที่หน้าไม่ได้
“นะเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของผมครับที่เป็นผู้ชาย และจะไม่มีคนอื่นอีกแล้วด้วย”
ผมตอบเสียงนิ่งจนอาจารย์ผงะนิดๆ พอเห็นท่าทางแบบนั้นผมเลยรีบพูดต่อ “อาจารย์ครับ ที่เราสองคนคบกันไม่ใช่ว่าเพราะอยากรู้อยากลองนะครับ อาจารย์เชื่อใจผมเถอะครับ”
“อรรถพล ทั้งเธอทั้งลูกครูยังอายุน้อยกันอยู่ บางทีสิ่งที่เธอคิดว่าใช่ในตอนนี้มันอาจจะเปลี่ยนแปลงในอนาคตก็ได้นะ ถ้าได้ห่างกันสักพักอาจจะทำให้พวกเธอเข้าใจตัวเองมากขึ้นก็ได้”
การแสดงความเห็นแบบไม่ยึดติดกับอารมณ์นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกว่ามือเท้าเย็นไปหมด “อาจารย์หมายความว่าไงครับ”
“ครูพอจะจำได้ว่าตอนม.ปลาย น้องนะค่อนข้างจะชื่นชมเธอมาก แต่บางทีเค้าอาจจะแค่หลงไปเพราะเห็นว่าเธอเป็นรุ่นพี่ที่พึ่งพาได้ ถ้าเกิดวันหนึ่งในอนาคตเค้าไปเจอคนอื่นแล้วขอเลิกกับเธอขึ้นมาล่ะ? ถ้าถึงวันนั้นคนเจ็บก็จะเป็นเธอเองนะ สู้หยุดซะตั้งแต่ตอนนี้จะไม่เจ็บน้อยกว่าเหรอ”
เหมือนโดนอะไรตีลงมากลางแสกหน้าจนผมนึกคำพูดโต้ตอบไม่ออก อาจารย์ยังคงมองผมด้วยสายตาเหมือนเห็นใจ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้เลยสักนิด ผมเห็นอาจารย์อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่ก็โดนแทรกด้วยเสียงตะโกนจากด้านหลังเสียก่อน
“แม่! พูดอะไรน่ะ!”
เสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากประตูเชื่อมห้องนั่งเล่นกับห้องทานอาหารทำเอาผมกับอาจารย์วรรณีสะดุ้ง พอหันไปก็เห็นคนที่กำลังถูกพูดถึงยืนตาแดงๆอยู่ พอเห็นใบหน้าที่ดูราวกับน้ำตาจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อแบบนั้นผมก็เผลอตัวจะลุกเข้าไปหา แต่แล้วก็โดนเสียงดุตวาดขึ้นจนผมชะงัก
“น้องนะ!! แม่บอกว่าให้อยู่ในห้องไง!”
“ทำไมแม่ถึงไม่ฟังอะไรก่อนเลยล่ะ นะไม่ใช่เด็กๆที่แค่ชื่นชมใครก็จะเผลอคบด้วยนะ”
“แม่กำลังชี้ทางที่ถูกให้ลูกอยู่นะ คิดบ้างหรือเปล่าว่าการคบกันของพวกเธอมันจะส่งผลกระทบกับใครบ้าง!”
จบคำของอาจารย์นะก็หันมามองผมด้วยนัยน์ตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าก่อนจะหันมองแม่ตัวเอง ร่างเล็กหันหลังแล้วก็วิ่งตึงตังขึ้นไปชั้นบน ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมรีบลุกขึ้นเพื่อจะตามไปแต่โดนมือผอมบางยื้อไว้เสียก่อน
“เธอกลับไปก่อน...”
“อาจารย์ครับ! แต่ว่า...”
นัยน์ตาหลังขอบแว่นที่เริ่มแดงช้ำขึ้นแม้จะไม่ได้สบตากับผมโดยตรงทำให้อะไรที่กำลังจะพูดไหลกลับลงคอ มือเล็กเรียวค่อยๆปล่อยมือก่อนจะเดินผ่านผมไปแล้วก็หันหลังให้ เสียงที่ลอดออกมาให้ได้ยินเบาหวิวทว่าเนื้อหาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
“ถือว่าครูขอร้อง วันนี้เธอกลับไปก่อนเถอะ”
++------++
“ช้าจัง”
ผมพยักหน้าเนือยๆให้แม่ แล้วก็ต้องฝืนยิ้มไหว้พวกป้าๆน้าๆที่นัดกันมาปาร์ตี้คาราโอเกะที่บ้านของป้าเพ็ญซึ่งเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของแม่ หลังยืนเป็นตุ๊กตาให้ป้าทั้งหลายลูบหัวลูบไหล่ตามประสาลูกเพื่อนที่เคยเห็นแต่อ้อนแต่ออกอยู่สักพักผมก็ขอแม่ออกไปสตาร์ทรถรอที่หน้าบ้านเพราะเริ่มฝืนไม่ไหว สักพักแม่ก็เดินตามมาขึ้นรถ
“อ๊อฟเป็นไรหรือเปล่าลูก หน้าตาไม่ค่อยดีเลย”
แม่ยื่นมือมาลูบหัวผมหลังเราออกจากบ้านป้าเพ็ญมาได้สักพัก สัมผัสอันอบอุ่นนั้นทำให้รู้สึกว่าขอบตาร้อนเหมือนน้ำตาจะไหล แต่ผมพยายามฝืนหายใจเข้าลึกๆแล้วก็เสไปกดเปิดเพลงวิทยุก่อนจะหันไปยิ้มให้แม่
“ง่วงอะแม่ เมื่อเช้าแม่ปลุกอ๊อฟมาตั้งแต่เช้านี่นา”
“เอ๊า! ก็จะไปตักบาตรก็ต้องตื่นแต่เช้าซิ แต่แค่นอนไม่พอนิดหน่อยจะทำลูกแม่ซึมกะทือขนาดนี้รึ มีอะไรหรือเปล่าอ๊อฟ บอกแม่ได้ไหม”
ผมชำเลืองมองแม่นิดหนึ่ง ความคิดในใจขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างจะเล่าหรือไม่เล่าเรื่องที่ผมเพิ่งเผชิญมาหยกๆให้ฟัง แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าถ้าหากแม่ปลอบใจผมด้วยการสนับสนุนความเห็นของอาจารย์ผมคงทนไม่ไหวแน่ หลังจากคิดตกแล้วผมเลยตัดสินใจว่าไม่เล่าดีกว่า
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกแม่ เอาเป็นว่าถ้าอ๊อฟแก้ปัญหาได้เมื่อไหร่อ๊อฟจะเล่าให้ฟังเองนะ”
ผมยื่นมือไปจับมือแม่แล้วบีบไว้แน่นแต่ไม่กล้าหันไปหา แม่ถอนหายใจก่อนอุ้งมือนิ่มๆอุ่นๆจะบีบผมตอบ
“เอางั้นก็เอา แต่อย่าลืมนะว่าแม่พร้อมจะฟังอ๊อฟทุกเรื่อง ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่อ๊อฟพร้อมจะเล่าล่ะก็นะ”
++------++
พอกลับถึงบ้านปุ๊บผมก็รีบโทรศัพท์หานะทันทีเพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังผมออกมาแล้ว แต่ไม่ว่าโทรศัพท์จะดังกี่ครั้งก็ไม่มีคนรับผมเลยส่งเมสเซจไปหาแทน ผมรอแล้วรออีกจนเกือบตีสามก็ยังไม่มีข้อความอะไรตอบกลับจนผมเผลอหลับไป แต่ไม่ว่าจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากดดูโทรศัพท์กี่ครั้งก็ยังไม่ได้รับข้อความตอบรับจากคนที่ผมส่งไปหาอยู่ดี
“อ๊อฟ อ๊อฟเอ้ย นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ ไม่สบายหรือเปล่าลูก”
ผมได้ยินเสียงแม่เคาะประตูเลยผงกหัวขึ้นอย่างงัวเงีย แต่พอรู้สึกตัวก็รีบหันไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้หมอนขึ้นดู ทว่าก็ยังคงไม่มีข้อความหรือมิสคอลกลับมาจนผมเริ่มกังวล ตกลงเมื่อคืนอาจารย์วรรณีได้คุยอะไรกับนะต่อหรือเปล่า หรือว่านั่นจะเป็นเหตุผลที่คนตัวเล็กไม่รับโทรศัพท์และไม่ตอบเมสเซจของผมจนป่านนี้?
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูอีกรอบและเสียงแม่ที่เหมือนจะร้อนใจกว่าเดิม “อ๊อฟ เป็นอะไรหรือเปล่า ให้แม่เข้าไปได้มั้ย”
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกแม่ ขออาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวอ๊อฟลงไป”
ผมรอจนได้ยินเสียงแม่เดินลงบันไดไปแล้วถึงค่อยลุกขึ้นบิดขี้เกียจ อาจเพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิททำให้รู้สึกปวดเมื่อยจนได้ยินเสียงข้อต่อลั่นดังเปรี๊ยะไปทั้งตัว พอคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำแล้วก็ต้องตกใจกับหน้าตัวเองที่เห็นในกระจกเพราะนัยน์ตาแดงไปหมดและเหมือนจะบวมหน่อยๆ แถมเพราะไม่ได้โกนหนวดมาสองสามวันแล้วตอนนี้เลยเริ่มเห็นเคราขึ้นเป็นตอแข็งๆจนลูบแล้วจั๊กกะจี้ปลายนิ้วไปหมด
“พี่อ๊อฟทำไมโกนหนวดบ่อยจัง”
“ก็พี่เป็นคนหนวดขึ้นเร็วนี่ นะน่ะแหละทำไมไม่เห็นเคยโกนเลย”
“ก็หนวดมันไม่ขึ้นจะให้นะโกนยังไงล่ะ”ผมนึกถึงบทสนทนาครั้งหนึ่งตอนเราแปรงฟันด้วยกันในห้องน้ำที่หอ ตอนนั้นคนตัวเล็กยิ้มก่อนจะแย่งที่โกนหนวดแบบใส่ถ่านจากมือผมไปแล้วก็พยายามจะโกนหนวดให้แบบเก้ๆกังๆเพราะตัวเองไม่เคยใช้ พอนึกถึงเสียงหัวเราะตอนนั้นแล้วก็พาลให้นึกถึงหน้าของนะตอนที่โดนอาจารย์ตวาดเมื่อคืนนี้ แล้วก็คิดว่าผมคงปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้โดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้
ผมอาบน้ำสระผมแล้วก็แต่งตัวลวกๆก่อนจะวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง กะว่ายังไงวันนี้ก็ต้องไปบ้านของนะและขอคุยกับอาจารย์วรรณีให้รู้เรื่อง ในเมื่อเราสองคนไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมจะต้องโดนสั่งให้แยกกันด้วยล่ะ
“อ้าวอ๊อฟ จะออกไปไหนล่ะลูก กินข้าวก่อนสิ”
“อ๊อฟยังไม่หิวน่ะแม่ วันนี้แม่ไม่มีธุระใช่มั้ย อ๊อฟขอยืมรถไปข้างนอกหน่อย”
แม่มองหน้าผมงงๆก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจให้ แต่พอผมยื่นมือไปจะรับกุญแจแม่ก็ดึงกลับไปซะก่อน
“แม่ อ๊อฟรีบนะครับ”
แม่มองท่าทางร้อนรนของผมแล้วก็ถอนหายใจ “จริงๆนะเราเนี่ย ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มีอะไรทำไมไม่เล่าให้แม่ฟังมั่งฮึ ไม่แน่แม่อาจช่วยเราได้ก็ได้นะ”
แวบหนึ่งผมนึกขึ้นมาว่าถ้าขอให้แม่ไปช่วยคุยกับอาจารย์วรรณีจะดีไหม แต่ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเล่าเรื่องจากฝ่ายผมให้แม่ฟังก่อน แล้วถ้าแม่เกิดไม่เห็นด้วยขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ ตอนนี้ใช่เวลามาอธิบายอะไรเสียที่ไหน อีกอย่างนี่มันก็ปัญหาส่วนตัวของผมเอง จะดึงแม่มาปวดหัวด้วยก็ใช่ที่
“แม่ อ๊อฟสัญญาว่าจะเล่าให้ฟังทีหลังแน่ๆ ยังไงตอนนี้ขอกุญแจรถให้อ๊อฟก่อนเถอะนะ”
เสียงรถจักรยานยนต์ที่ขับเข้ามาจอดหน้าบ้านดึงความสนใจของผมกับแม่ไปที่ประตู แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นเพื่อนสนิทเดินถือถุงพะรุงพะรังเข้ามา
“มุ้ย!”
“หวัดดีค่ะน้าอ้อม แม่ให้หนูเอาขนมมาฝาก ไงอ๊อฟ ชั้นนึกว่าแกจะไปขลุกอยู่บ้านน้องนะซะอีก”
แม่เลิกคิ้วหันมามองผมอย่างมีคำถาม ผมเลยรีบดึงถุงขนมจากมือมุ้ยไปวางบนโต๊ะแล้วก็ลากเพื่อนปากมากให้หลบไปคุยกันในครัว
“แกนี่มันโดนผีเจาะปากมาพูดหรือเปล่าเนี่ย แม่เรายังไม่รู้เรื่องของนะเว่ย แล้วอีกอย่างตอนนี้มันเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
มุ้ยทำตาโตแล้วก็ปิดปากเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดมากอีกแล้ว พอเห็นเพื่อนทำหน้าตาแบบนี้แล้วอยากเขกกะโหลกจริงๆ
“อ้าว ขอโทษๆ ชั้นก็นึกว่าแกเปิดตัวกับน้าอ้อมไปแล้วซะอีก ว่าแต่เรื่องใหญ่ของแกนี่เรื่องอะไร อย่าบอกนะว่าอาจารย์วรรณีรู้เรื่องแล้วเลยสั่งให้แกกับน้องเค้าเลิกคบกันน่ะ”
ไม่รู้ว่าผมโชคดีหรือโชคร้ายที่มีเพื่อนผูกเรื่องเก่งแบบนี้แถมดันชอบถูกอีก พอเห็นผมไม่ตอบยายตัวดีเลยจ้องผมแล้วก็ทำตาโตยิ่งกว่าเดิม “เฮ้ยจริงดิ้!! นี่ชั้นเดาเล่นๆนะ แล้วงี้จะทำไงกันล่ะ อาจารย์เค้ารู้เรื่องได้ไงวะอ๊อฟ”
ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นนิดหน่อย จะให้บอกได้ไงว่าไปทำอีท่าไหนเข้าถึงโดนจับได้ เลยรีบตัดบทก่อนจะโดนซักไซ้ไล่เลียงมากกว่านี้
“เอาเป็นว่าไอ้ที่แกเดามาน่ะมันถูกหมด ตอนนี้เราเลยจะไปขอคุยกับอาจารย์เค้าอีกทีเพราะเมื่อคืนเค้าไม่ฟังเราเลย จะไปด้วยหรือจะไม่ไป”
“อ้าว นี่ถามหรือท้าวะ ชั้นก็ผู้สมรู้ร่วมคิดคนนึงนะ งั้นไปด้วยดีกว่าจะได้ช่วยเผื่ออาจารย์เค้าว่าอะไรแกอีก”
คำว่าสมรู้ร่วมคิดของมุ้ยทำให้ผมรู้สึกเหมือนพวกเราเป็นผู้ก่อการร้ายยังไงก็ไม่รู้ แต่ไม่ทันจะทักขึ้นมาโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ส่งเสียงดังผมเลยรีบหยิบออกดู
รูปของคนที่คิดถึงมาตลอดทั้งคืนโชว์หราอยู่บนหน้าจอทำให้ผมรีบกดรับสายอย่างละล่ำละลัก
“ครับนะ เป็นไงบ้าง พี่โทรไปตั้งหลายรอบ เราได้เมสเซจของพี่หรือเปล่า”
ปลายสายเงียบไปนาน ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนคนสะอึกเบาๆผมเลยถามซ้ำ “นะครับ นะอยู่หรือเปล่า”
คราวนี้คนปลายสายยอมพูดแล้ว แต่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของคนที่ผมอยากฟัง และสิ่งที่ได้ยินก็ทำเอาผมแทบปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือ
“อรรถพลเหรอ มาที่บ้านครูหน่อย น้องนะ น้องนะเค้า...” ++------++
เอาล่ะสิ น้องนะ...น้องนะเป็นอร้าย!! อาจารย์แม่ไม่เคลียร์นะคะแบบนี้ 
เอ่อ ป้าไม่ได้ทำคนอ่านค้างใช่ไหมค้าาาาาาา ไม่หรอกเน้อ ฮิๆๆ ยังไงมาลุ้นตอนหน้ากันต่อละกันนะ 