หวัดดีค้าบมิตรรักนักอ่านทุกคน เทศกาลพิเศษทั้งทีแถมช่วงนี้งานไม่เยอะ แต่ป้าบิ๊วท์อ๊อฟกับนะไปได้แค่ครึ่งตอน เลยขอเข็นตอนพิเศษเป้-วิวมากำนัลเนื่องในวันคริสต์มาสก่อนแล้วกัน แม้จะยังไม่ถึงวาเลนไทน์ แต่ก็ช่างเป็นเทศกาลที่ชวนให้คู่รักสวีทวิ้ดวิ้วกันดีแท้ จริงม้าย (หาเรื่องเอาน้ำตาลมาเพิ่มให้คนอ่านอีกแระ)
Merry Christmas แก่ทุกคนอีกทีจ๊ะ

++------++
ตอนพิเศษ: งานฉลองของสองเราบ่ายคล้อยแล้ว ผมเหลือบสายตาอันเมื่อยล้าขึ้นมองท้องฟ้าสีหม่นเนื่องจากเมฆหนาบดบังพระอาทิตย์ผ่านกระจกหน้าต่าง ก่อนจะหันความสนใจกลับมายังเนื้อหาของหนังสือเรียนที่กางอยู่บนโต๊ะตามเดิม เหลือสอบมิดเทอมอีกวิชาเดียวเท่านั้นผมก็จะได้หยุดพักและเตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านช่วงปีใหม่เสียที
เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะที่คุ้นเคยเรียกให้ผมลุกไปเปิดเพราะรู้ดีว่าคนที่มารบกวนเวลานี้คือใคร ความจริงเจ้าตัวก็ขอปั๊มกุญแจห้องไปเก็บไว้เองแล้วแท้ๆแต่ทำไมถึงไม่ไขเข้ามาเลยก็ไม่รู้
“เอ้า”
กล่องของขวัญห่อกระดาษสีทองผูกริบบิ้นสีแดงสดที่ถูกยื่นให้ทำให้ผมต้องเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนยิ้มอยู่หน้าประตูอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรเหรอเป้”
พ่อตัวดียิ้ม ก่อนจะปิดประตูห้องแล้วก็ดึงผมเข้าไปกอดพลางกดจมูกลงมาที่แก้มแรงๆทีหนึ่ง “เมอร์รีคริสมาสต์ นี่วิวอ่านหนังสือจนลืมไปเลยเหรอ?”
พอโดนทักผมเลยนึกขึ้นได้ วันนี้วันที่ 25 ธันวานี่นา แต่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้สักทีเพราะที่บ้านเป็นพุทธกันหมดแถมอยู่ต่างจังหวัดอีกต่างหาก ไม่เหมือนเป้ที่เคยเรียนโรงเรียนคาธอลิกมาก่อนจึงคุ้นเคยกับเทศกาลเฉลิมฉลองของตะวันตกแบบนี้ดี
“อ้อ ลืมไปเลย งั้นก็...เมอร์รีคริสต์มาส”
เอ่ยไปแล้วก็ให้รู้สึกเขินปนกระดากปากแปลกๆ เพราะผมไม่เคยพูดแบบนี้หรือได้รับของขวัญเทศกาลนี้จากใครมาก่อนในชีวิต นี่เป้ตั้งใจจะขโมยครั้งแรกของผมไปอีกกี่ครั้งกัน?
“แกะของขวัญสิ”
คนตัวโตจูงมือผมไปนั่งที่เตียงแล้วก็คะยั้นคะยอให้แกะห่อของขวัญในมือ น้ำหนักของกล่องไม่มากแต่ก็ไม่เบาเสียทีเดียวจึงเดาไม่ถูกว่าของข้างในเป็นอะไร แต่เมื่อผมปลดริบบิ้นและกระดาษห่อแล้วดึงของที่อยู่ข้างในออกมาก็อดแปลกใจไม่ได้ คนข้างตัวที่รอลุ้นปฏิกิริยาของผมอยู่คลี่ยิ้มให้พลางช่วยหยิบของแต่ละชิ้นออกวางลงบนเตียง
“ชุดนี้เป็นไง? ตอนแรกเป้ก็ดูสูทสีเทาอยู่เหมือนกันแต่คิดว่าวิวน่าจะเหมาะกับสีอ่อนๆแบบนี้มากกว่า เดี๋ยวคืนนี้ใส่ชุดนี้ไปดินเนอร์ด้วยกันนะ”
สิ่งที่วางเรียงอยู่บนเตียงคือชุดสูทผ้าเนื้อดีสีครีมกับรองเท้าหนังสีดำเป็นเงามันและเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ถึงแม้ชื่อยี่ห้อที่เห็นจะไม่คุ้นตาแต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าของขวัญกล่องนี้ต้องมีราคารวมกันเป็นเลขหลายหลักแน่นอน
“เป้ ของฟุ่มเฟือยแบบนี้...”
“อ๊ะๆ ห้ามบ่นนะ นี่น่ะจากบัญชีเงินเก็บของเป้ที่ไปช่วยงานบริษัทพ่อ ทั้งชุดนี่เป้จองไว้นานแล้วแต่เพิ่งไปเอา กะให้วิวใส่คืนนี้โดยเฉพาะเลย”
เจ้าของของขวัญพูดดักทางซะก่อนเพราะรู้ดีว่าผมไม่นิยมการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ถึงแม้จะรู้ดีว่าฐานะที่บ้านของเป้ดีมากแล้วเจ้าตัวก็ค่อนข้างชินกับการใช้เงินก็เถอะ ว่าแต่ตาคนนี้ลืมอะไรไปหรือเปล่า?
“เป้ เป้สอบเสร็จแล้วก็จริง แต่พรุ่งนี้วิวยังเหลืออีกวิชานึงนะ”
พ่อตัวดีย่นจมูกใส่ผม “จำได้อยู่แล้วน่า แต่ตัวสุดท้ายของวิวมันสอบตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ เป้รู้นะว่าวิวอ่านหนังสือจบไปตั้งหลายรอบแล้ว อย่าลืมสิว่าปีใหม่นี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน คืนนี้ทำหัวโล่งๆแล้วออกไปพักผ่อนสักวันเถอะ”
ทั้งที่ทักไปประโยคเดียวแต่โดนใส่กลับมาเป็นชุดจนผมต้องค้อนคนพูด ก็ไม่ผิดหรอกว่าผมอ่านหนังสือจบไปหลายรอบแล้ว แล้วก็ทั้งที่ปีนี้จะเป็นปีใหม่แรกตั้งแต่เราคบกันมา แต่เนื่องจากครอบครัวของเป้จะพากันไปเยี่ยมพี่ชายคนรองที่กำลังเรียนต่ออยู่ที่อังกฤษในอีกไม่กี่วันนี้ ส่วนผมเองก็ตั้งใจจะกลับบ้านไปใช้เวลากับครอบครัว โปรแกรมเค้าท์ดาวน์สิ้นปีที่เคยคุยกันไว้จึงเป็นอันต้องพับไปโดยปริยาย
พอเห็นผมไม่ตอบ เป้เลยลุกขึ้นแล้วรุนหลังผมเข้าไปในห้องน้ำทั้งที่ผมยังไม่ทันจะเออออด้วยเลย
“เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้บอกซักคำว่าจะไปด้วย”
“ถ้าวิวยังดื้ออีกเป้จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เองแล้วนะ แล้วจะอุ้มลงไปถึงที่รถด้วย จะเอาแบบนั้นมั้ย?”
ไม่ขู่เปล่า มือใหญ่จับชายเสื้อยืดผมแล้วทำท่าจะเลิกขึ้นจริงๆ ผมเลยรีบผลักอกกว้างออกก่อนจะหนีเข้าห้องน้ำปิดประตูลงกลอนอย่างแรง แล้วก็ต้องหันไปตะโกนเสียงดังเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากคนที่ยืนอยู่ข้างนอก
“ไอ้โรคจิต!!”
++------++
สุดท้ายหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็โดนพ่อตัวดีจับเซ็ทผมแล้วก็พาลงไปที่รถจนได้ คนอื่นๆในหอหันมามองผมด้วยความสนใจเนื่องจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่จนต้องเร่งฝีเท้านำคนเจ้ากี้เจ้าการไปที่รถ เสื้อสูทสีดำของเป้แขวนอยู่ที่ด้านหลัง เจ้าตัวที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงสแล็คเลยดูไม่เป็นเป้าสายตามากเท่าผมที่ใส่สูทเต็มยศ ยังดีว่าไม่ต้องผูกเน็คไทไม่งั้นคงยิ่งเรียกร้องความสนใจมากขึ้นไปอีกเพราะใครๆในหอก็รู้ว่าผมยังเป็นนักศึกษาอยู่
หลังเข้านั่งประจำที่ตัวเองและดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดแล้วเป้ก็หันมามองผม พลันมือใหญ่ก็เอื้อมมาแถวปกเสื้อจนผมต้องรีบคว้าไว้ด้วยความตกใจ จะทำอะไรในรถกลางลานจอดแบบนี้เนี่ย!?
“อะไร คิดว่าเป้จะทำอะไร แค่จะปลดกระดุมให้เอง วิวเล่นติดซะครบทุกเม็ดแบบนั้นไม่อึดอัดมั่งเหรอ”
เจ้าของใบหน้าคมยิ้มทะเล้นแต่นัยน์ตาไม่ได้ไปทางเดียวกับคำพูดจนผมต้องทำตาดุใส่ แต่เจ้าตัวก็เพียงจับคอเสื้อผมแบะออกหลังปลดกระดุมเม็ดบนให้ นิ้วแข็งแรงยื่นมาเกี่ยวสร้อยเงินซึ่งห้อยแหวนที่เป้เคยให้เมื่อตอนวันเกิดออกมานอกเสื้อเชิ้ตแล้วก็จับพลิกดูไปมา
“แฟนอุตส่าห์ซื้อให้ทั้งทีก็เอาออกมาโชว์มั่งสิ เค้าจะได้รู้ว่าคนนี้น่ะมีเจ้าของแล้ว”
คนตัวโตพูดแล้วก็หันไปสตาร์ทรถก่อนจะออกตัวจากลานจอด ประโยคเมื่อกี้ทำเอาผมรู้สึกร้อนวาบที่หน้าจนต้องหันไปมองนอกหน้าต่างฝั่งตัวเองแทน รู้สึกหมั่นไส้คนขับรถที่หัวเราะในคอขึ้นมาติดหมัด เป้ยื่นมือมาจับมือผมไปกุมไว้หลังเราออกมาถึงถนนใหญ่แต่ผมไม่ได้ชักมือหนี
“ว่าแต่ นี่จะพาไปดินเนอร์ที่ไหน ทำไมต้องแต่งตัวเต็มยศขนาดนี้”
ผมหันไปถามหลังเราออกมาจากหอได้สักพักและผมเริ่มเบื่อกับภาพการจราจรที่ติดขัดด้านนอกรถ เป้หันมาเลิกคิ้วมองผมแวบหนึ่งแล้วก็หันกลับไปมองถนนต่อ “นึกว่าจะไม่ถามซะอีก พอดีที่นี่เค้าบังคับเดรสโค้ดน่ะ ทนแป๊บนึง เดี๋ยวผ่านไฟแดงหน้าก็ถึงแล้ว”
จบประโยคไฟจราจรก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี เป้เร่งเกียร์ผ่านสี่แยกตรงไปถนนใหญ่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นย่านที่เรียงรายไปด้วยโรงแรมชื่อดังก่อนจะหักเลี้ยวเข้าชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งหนึ่ง ผมหันขึ้นไปมองโดมสีทองบนดาดฟ้าโรงแรมที่ถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นแล้วก็อดหันไปมองคนข้างตัวที่กำลังฮัมเพลงตามเสียงเพลงในวิทยุไม่ได้ พวกลูกคุณหนูนี่ช่างสรรหาสถานที่เปลี่ยนบรรยากาศกันเสียจริงๆ
เป้เดินนำผมออกจากลิฟต์ไปยังชั้นลอยซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารชื่อดังที่ขึ้นชื่อทั้งเรื่องรสชาติอาหารและราคา ผมเคยได้ยินเพื่อนๆพูดถึงร้านนี้อยู่บ้างจึงเพิ่งเข้าใจว่าทำไมต้องใส่สูท คนตัวโตเดินนำผมผ่านโต๊ะที่จองไว้ไปยังโซนของบาร์ซึ่งทอดตัวแยกออกจากโซนสำหรับทานอาหาร รอบด้านของบาร์รูปครึ่งวงกลมกรุไว้ด้วยกระจกใสที่สูงขึ้นมาเหนือระดับเอวเล็กน้อยทำให้ดูราวกับลอยอยู่กลางอากาศ ส่วนเคาน์เตอร์บาร์ทรงกลมที่ตั้งอยู่ตรงกลางก็ซ่อนไฟที่เปลี่ยนสีได้เอาไว้ทำให้ดูโดดเด่นจับสายตา
ลมบนดาดฟ้าชั้นที่ห้าสิบกว่าในช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกค่อนข้างแรง ผมยืนเท้าราวระเบียงซึ่งเป็นกระจกใสทว่าได้รับการติดตั้งอย่างแข็งแรงแล้วก็กวาดตามองทิวทัศน์โดยรอบ ทุกอย่างดูน่าตื่นตาไปหมดเพราะผมไม่เคยได้ขึ้นมาบนอาคารสูงกลางกรุงแบบนี้มาก่อน
มือใหญ่ข้างหนึ่งแตะที่เอวด้านหลังจนผมสะดุ้งก่อนจะได้ยินเสียงห้าวที่คุ้นเคยกระซิบใกล้หู “ชอบมั้ย จากบนนี้เห็นพระอาทิตย์ตกชัดดีนะ มองเห็นมหา’ลัยเราได้ด้วย”
ลมหายใจของคนตัวโตที่ระอยู่ข้างแก้มเหมือนจะถ่ายทอดความอบอุ่นมาที่ผิวหน้า ผมหันไปยิ้มตอบพ่อคนจอมวางแผนก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่เกาะราวอยู่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“เอ่อ...เป้ วิวขอโทษนะ”
“หืม? ขอโทษเรื่องอะไร?”
มือใหญ่บีบมือผมที่จับราวระเบียงอยู่ ผมเลยเหลือบตาขึ้นสบกับเจ้าของใบหน้าคมที่กำลังขมวดคิ้วมองผมอย่างกังวล “ก็เป้อุตส่าห์ซื้อสูทให้ แถมยังจองร้านหรูขนาดนี้ให้เราสองคนมาทานข้าวด้วยกัน แต่วิวไม่ได้คิดเตรียมอะไรไว้ให้เป้เลยสักอย่าง”
“โธ่เอ๊ย! นึกว่าเรื่องอะไร”
เป้ยิ้มโล่งอกก่อนจะดึงมือผมไปแล้วประทับริมฝีปากลงที่หลังมืออย่างแผ่วเบา “ไม่เห็นต้องคิดมากเลย วิวยอมตามใจเป้วันนี้ก็เป็นของขวัญพอแล้ว”
นัยน์ตาวิบวับที่มองตรงมาทำเอาผมต้องรีบชักมือกลับแล้วขยับตัวออกห่างคนพูด สายตาที่ส่งมาให้สื่อความหมายชัดเจนจนรู้ได้จากประสบการณ์ว่าถ้ายังยืนอยู่ข้างแฟนตัวเองล่ะก็แขกคนอื่นๆได้ดูหนังสดประกอบดินเนอร์แน่
“ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า คืนนี้ยังอีกยาว เป้ไม่ยอมให้วิวกลับหอหรอกนะ เปิดห้องสวีทไว้แล้ว”
คนเป็นเจ้ามือทิ้งท้ายยิ้มๆก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังโต๊ะที่จองไว้ ผมมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก็ให้นึกอยากถองพ่อคุณชายจอมเอาแต่ใจขึ้นมา คิดดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองตกลงยอมเป็นแฟนกับตาหื่นแบบนี้ได้ยังไง ตอนที่เรายังไม่ได้คบกันเป้ดูเป็นคนนิ่งเฉยจนเกือบเหมือนจะหยิ่งด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ผมตามใจมากเกินไปหรือเปล่าพักหลังๆนี้พ่อเจ้าประคุณถึงชักได้ใจมากขึ้นทุกที
++------++
หลังจบมื้อค่ำที่เต็มไปด้วยอาหารคอร์สรสชาติไม่คุ้นลิ้นและไวน์แดงที่ทำให้ผมเริ่มจะมึนหัวนิดหน่อย เป้ก็ทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวพาไปห้องพักที่จองไว้ซึ่งมีระเบียงสำหรับเปิดรับสายลมเย็นและชมทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องให้ใครบอกก็พอจะเดาได้ว่าห้องตำแหน่งพิเศษในคืนเทศกาลอย่างนี้คงต้องถูกจองล่วงหน้านานพอสมควรทีเดียว
เตียงใหญ่กลางห้องซึ่งมีผ้าห่มนวมสีขาวสะอาดคลุมอยู่ทำให้ผมรีบเบนสายตาแล้วก้าวออกไปที่ระเบียง ภาพแม่น้ำสายหลักของเมืองหลวงที่คดเคี้ยวและทอดยาวสุดสายตาตัดกับสะพานข้ามแม่น้ำเป็นระยะและแสงไฟจากบ้านเรือนที่แผ่ตัวออกบรรจบกับผืนฟ้าสีเข้มดึงดูดสายตาให้มองได้ไม่รู้เบื่อ แต่ขณะที่กำลังเพลินอยู่กับการมองภาพกรุงเทพฯจากมุมที่ไม่เคยเห็น ผมก็ต้องสะดุ้งเมื่ออ้อมแขนใหญ่เข้ามาโอบรัดจากข้างหลัง ริมฝีปากอุ่นก้มลงคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอจนขนอ่อนที่ท้ายทอยลุกชัน แต่พอจะหันกลับไปแขนแกร่งสองข้างก็หมุนตัวผมเข้าหาก่อนริมฝีปากหยุ่นจะบดเบียดลงกับริมฝีปากผมอย่างร้อนแรงจนผมทำให้แทบสำลัก
“เป้...อื๊อ”
ผมหลุดปากได้เพียงคำเดียว มือแข็งแรงก็ประคองที่ท้ายทอยก่อนใบหน้าคมจะหันเปลี่ยนมุม ลิ้นอุ่นที่เจือด้วยรสไวน์แดงจางๆรุกไล้อย่างดื้อดึงและเร่งเร้าทำให้ผมต้องเผยอปากรับอย่างขัดขืนไม่ได้ แม้จูบนั้นจะเร่าร้อนแต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนโยนและเรียกร้องการสนองตอบ ความหวามหวานที่ได้รับแล่นพล่านไปทั่วร่างจนรู้สึกว่าขาสองข้างอ่อนยวบแทบยืนไม่อยู่หากไม่ยึดเกาะบ่ากว้างตรงหน้าไว้
ผมไม่รู้ว่าตัวเองโดนอีกฝ่ายตักตวงความหวานจากตัวเองไปนานแค่ไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีริมฝีปากก็เริ่มชาจากการถูกจูบบดเบียดซ้ำๆ เป้เม้มริมฝีปากล่างผมแผ่วเบาก่อนจะไล่จูบขึ้นไปที่เปลือกตาและหน้าผาก ทั้งที่ลมตรงระเบียงไม่ได้แรงนักและผมยังอยู่ในเสื้อสูทแต่ก็ยังรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“ชื่นใจละ ตอนอยู่ที่บาร์ต้องอดทนแทบแย่”
คนตัวโตกว่าพูดแล้วก็กดคอผมให้ซุกหน้าลงกับบ่าตัวเอง ผมพยายามปรับลมหายใจที่หอบระรัวให้เป็นปกติก่อนจะเอื้อมแขนไปโอบรอบเอวอีกฝ่ายตอบอย่างช้าๆ อย่างน้อยเสียงหัวใจที่เต้นแรงคงถ่ายทอดให้เป้รับรู้ได้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไรมากกว่าการบอกออกมาเป็นคำพูด
“เสียดายจัง ปีใหม่ทั้งทีเป้กลับต้องไปเยี่ยมพี่ชายกับที่บ้าน”
เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขึ้นตามด้วยเสียงถอนหายใจ ผมหัวเราะก่อนจะถอยออกแล้วยิ้มให้คนรักที่ทำหน้าเหงาๆ แต่กลับดูแล้วน่าหมั่นไส้มากกว่า
“ไม่เห็นเป็นไร ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันช่วงปีใหม่แต่เป้ก็ใช้เวลาอยู่กับวิวมากกว่าที่บ้านอยู่แล้ว สิ้นปีทั้งทีได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวบ้างก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
ผมไล้ปลายนิ้วบนผิวแก้มของคนตรงหน้า เป้เลยจับมือผมยึดไว้ให้แนบแก้มตัวเองแล้วก็หลับตาลง พอเห็นผู้ชายตัวโตๆทำท่าอ้อนอย่างนี้ก็อดจะยิ้มไม่ได้ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นผู้ชายที่ชื่อภูริปรัชญ์คือคนที่มีความเป็นผู้นำ เจ้าคารมและพึ่งพาได้ แต่เวลาอยู่ต่อหน้าผมเท่านั้นที่เป้จะยอมเผยอีกด้านที่เหมือนเด็กชายตัวน้อยผู้โหยหาความรักและการเอาใจใส่ออกมา พอคิดว่าตัวเองเป็นที่วางใจของคนที่ใครๆก็อยากอยู่เคียงข้างแล้วก็อดจะรู้สึกว่าหัวใจพองโตจนคับอกไม่ได้
เรายืนนิ่งในอ้อมแขนของกันและกันได้ไม่นานนัก มือร้อนที่โอบผมอยู่ก็เริ่มขยับและลากเลื้อยเข้าไปใต้เสื้อสูทเนื้อดีที่ตัวเองเป็นคนเลือกมาให้ ผมหลับตาแล้วแกล้งทำเป็นปิดปากหาวก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้อง
“เป้ วิวง่วงนอนแล้วล่ะ”
ไม่มีทางที่คำพูดแค่นี้จะหยุดคุณชายได้ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามมาประชิดแล้วจู่ๆก็โดนอ้อมแขนแข็งแรงช้อนอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้นทั้งที่เพิ่งเดินหนีได้ไม่กี่ก้าว
“เฮ้ย!!”
ผมเผลอร้องอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายโยนผมลงบนเตียงไม่เบานักก่อนร่างสูงใหญ่จะทาบทับตามลงมา พอพยายามจะดิ้นหนีข้อมือทั้งสองข้างก็โดนยึดแล้วกดลงกับเตียงแน่นจนสะบัดไม่หลุด ผมตวัดสายตาขึ้นมองใบหน้าคมที่กำลังส่งยิ้มกวนให้อย่างฉุนๆ
“ไปหัดมาจากไหนฮึ ยั่วกันอย่างนี้ไม่ดีเลยนะ อยากเห็นแฟนอกแตกตายรึไงครับ”
เป้พูดไปก็เบียดร่างกายท่อนล่างของตัวเองลงกับหน้าขาของผมจนลมหายใจสะดุด ไม่ต้องให้เจ้าตัวพูดซ้ำก็รู้ว่าค่ำคืนนี้จะจบลงในรูปแบบไหน
“เค้าว่าการที่ผู้ชายซื้อเสื้อผ้าให้แฟนก็เพื่อจะได้เป็นคนถอดให้ งั้นเป้ไม่เกรงใจล่ะนะ”
มือแกร่งข้างหนึ่งละจากมือผมแล้วไล้เข้าไปคลึงเบาๆบนยอดอกผ่านเสื้อเชิ้ตเนื้อนิ่ม ขณะที่ลิ้นอุ่นไล้เลียที่ติ่งหูอย่างหยอกเย้าจนผมต้องหลับตาปี๋ ท่าทางคืนนี้เป้คงไม่เกรงใจผมทั้งคืนแน่ๆ
ไหนๆก็ตกกระไดพลอยโจนมาจนถึงขนาดนี้ ยอมตามใจคุณชายเค้าหน่อยแล้วกัน...
++------++