ตอนใหม่ของพี่อ๊อฟกับน้องนะมาแล้วจ้า ขอบคุณสำหรับทุกคำอวยพรปีใหม่และความห่วงใยนะคะ ตอนนี้ป้าก็ยังคัดจมูกกับมึนๆหัวบ้างนิดหน่อยแต่คาดว่าน่าจะใกล้หายแล้วละ (หวังว่า เหอะๆ)
ปล. ว่าแต่ในที่สุดเรื่องนี้ก็ขึ้นตอนที่ 10 แล้ว ควรเปลี่ยนสถานะจาก [เรื่องสั้น] เป็น [นิยาย] ไหมเนี่ย? ไม่มีใครจำกัดความให้ด้วยสิว่าเรื่องสั้นพอยาวขนาดไหนแล้วจะไม่เป็นเรื่องสั้น ใครตอบได้มาบอกหน่อยนะจ๊ะ
มาลุ้นกับตอนต่อไปกันเลยนะ~
++------++ตอนที่ 10: กลับบ้าน“อีกสิบห้านาทีก็คงถึงท่ารถแล้วแม่ เดี๋ยวออกมารอเลยก็ได้”ผมกดตัดสายโทรศัพท์แล้วก็หันไปมองคนข้างตัวที่นั่งหลับพิงไหล่ตัวเองอยู่ นัยน์ตากลมโตปิดสนิทจนเห็นแพขนตางอนยาวได้ลางๆจากแสงสลัวของไฟข้างถนนที่รถตู้วิ่งผ่าน เราออกจากกรุงเทพฯกันค่อนข้างช้าเพราะว่าหลังนะสอบเสร็จพวกเราพากันไปดูหนังแล้วก็เดินเล่นในห้างกันก่อน กว่าจะกลับไปเอาของที่หอและไปถึงที่ท่ารถตู้ก็เย็นมากแล้ว พอมาถึงตัวเมืองนครสวรรค์ท้องฟ้าภายนอกจึงมืดสนิท
“นะครับ ใกล้ถึงแล้ว ตื่นเร็ว”
พ่อหนูน้อยของผมสะดุ้งก่อนจะปรือตาขึ้นเมื่อผมเขย่าไหล่เบาๆ นิ้วเรียวยกขึ้นขยี้ตาก่อนใบหน้าหวานจะหันออกไปมองนอกหน้าต่าง
“ฟ้ามืดเร็วจัง”
พอได้ยินเสียงพึมพำอย่างงัวเงียผมก็อดหัวเราะไม่ได้ “ไม่มืดเร็วได้ไงล่ะ ขึ้นรถปุ๊บนะก็หลับปั๊บเลยนี่นา”
คนโดนแซวมองค้อนผมวงใหญ่ก่อนจะหาวแล้วเอนหัวลงพิงไหล่อีกรอบ “แล้วแม่พี่อ๊อฟต้องไปส่งนะที่บ้านต่ออย่างงี้ ไม่รบกวนเหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ว่าจะอยู่ห่างกันมากมาย แล้วเดี๋ยวพี่คงเป็นคนขับรถเองแหละ”
เรานั่งต่ออีกไม่นานคนขับก็เปิดไฟในรถเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงที่หมาย หลังจากรถจอดสนิทผมกับนะก็รอจนผู้โดยสารคนอื่นทยอยลงกันหมดแล้วจึงเดินลงบ้างเนื่องจากเรานั่งกันแถวหลังสุด ขณะกำลังมองหาว่าแม่ผมอยู่ไหนก็โดนมืออุ่นแตะที่หลังเบาๆ
“มองไปไหนจ๊ะ แม่อยู่นี่”
“อ้าวแม่! อ๊อฟนึกว่าแม่ยังมาไม่ถึงซะอีก”
“แหม ก็พอเราบอกว่าอีกสิบห้านาทีจะถึงแม่เลยออกมาจากบ้านเลยน่ะสิ โชคดีว่ารถไม่ติดเลยมารอก่อนนานแล้วเนี่ย”
แม้น้ำเสียงจะออกแนวค่อนขอดแต่แม่ผมก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ผมเลยหันไปแนะนำคนข้างตัวที่เมื่อกี้โดนผมยืนบังซะมิดให้แม่รู้จัก
“แม่ นี่น้องนะที่ตอนนี้แชร์ห้องอยู่กับอ๊อฟ นะครับ นี่แม่พี่”
แม่รับไหว้คนตัวเล็กข้างตัวผมแล้วก็ยิ้มจนแก้มบุ๋ม “อ๊อฟบอกแม่แล้วละว่าเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อนใช่มั้ยลูก หน้าตาน่ารักจัง มาๆเดี๋ยวแม่ไปส่งที่บ้าน”
คนตัวเล็กหน้าแดงขึ้นนิดหน่อยที่โดนชม ผมเลยตบบ่านะเบาๆก่อนจะรุนหลังให้เดินตามไปที่รถด้วยกัน ส่วนตัวเองรับกุญแจที่แม่ยื่นให้แล้วก็เข้านั่งที่คนขับ หลังออกจากท่าได้สักพักแม่ก็หันไปถามพ่อหนูน้อยของผมที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“น้องนะหิวข้าวไหมลูก แวะกินอะไรด้วยกันก่อนมั้ย”
“ชวนแบบนี้ แม่ไม่ได้ทำกับข้าวไว้ล่ะสิเนี่ย”
“แหม รู้ทันไปหมดเชียวพ่อคุณ”
แม่ผมหันมาตีไหล่ผมเบาๆหลังโดนแซว เนื่องจากหลังพี่อิมไปเป็นหมอประจำโรงพยาบาลที่จังหวัดทางเหนือและผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯแล้วแม่ก็อยู่บ้านคนเดียว บางครั้งเลยไม่ได้ทำอาหารอะไรเพราะมักซื้ออาหารตามสั่งไปทานที่บ้าน หรือถ้าทำก็จะทำแต่อะไรง่ายๆแค่พอสำหรับทานในมื้อนั้น
ผมสบตากับนะผ่านทางกระจกมองหลัง “นะแวะกินข้าวด้วยกันได้หรือเปล่า หรือว่าต้องรีบกลับบ้าน?”
คนตัวเล็กเงียบไปนิดหนึ่งเหมือนชั่งใจก่อนจะส่ายหน้า “ช้าไปแป๊บนึงแม่คงไม่ว่า นะไปด้วยก็ได้”
เมื่อได้ความเห็นตรงกันพวกเราก็เลยแวะทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในตัวเมือง ตลอดเวลาแม่ผมก็คอยชวนคนตัวเล็กคุยไม่หยุด อาจเพราะตั้งแต่ผมไปอยู่หอแล้วก็ไม่เคยพาเพื่อนมาแนะนำเลย แถมตอนนี้นะยังเป็นรูมเมทกับผมด้วยแม่เลยยิ่งให้ความสนใจเข้าไปใหญ่
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้พวกเรามองหน้ากันไปมาโดยอัตโนมัติ นะดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกจากช่องหน้ากระเป๋าเป้แล้วก็กดรับสาย
“ฮะแม่ ถึงแล้ว ตอนนี้แวะกินก๋วยเตี๋ยวกันอยู่ แม่จะฝากซื้ออะไรมั้ย อื้อๆเดี๋ยวกลับแล้ว หวัดดีฮะ"
“แม่น้องนะโทรมาตามแล้วสิ แม่ก็เผลอชวนคุยซะตั้งนาน เดี๋ยวคิดเงินแล้วไปส่งน้องเค้าเลยแล้วกันอ๊อฟ”
แม่ผมเดินไปจ่ายเงินแล้วก็คุยทักทายเจ้าของร้านเพราะรู้จักกันดี ระหว่างนั่งรอเลยกระซิบถามนะเบาๆ
“ให้พี่เข้าไปไหว้อาจารย์คืนนี้มั้ย”
“ไปวันพรุ่งนี้ดีกว่าพี่อ๊อฟ เกิดแม่เค้าชวนคุยนาน เกรงใจแม่พี่อ๊อฟ”
หลังพวกเราออกมาจากร้านผมก็ขับรถพาคนตัวเล็กไปส่งตามเส้นทางที่เจ้าตัวบอก ทางเข้าบ้านของนะเป็นถนนซอยส่วนบุคคลแคบๆที่มีสวนผลไม้ขนาบทั้งสองด้าน ถ้าเป็นตอนกลางวันคงร่มรื่น แต่ตอนกลางคืนดูแล้ววังเวงน่ากลัวไม่ใช่เล่น
นะไหว้แม่ผมแล้วก็สะพายกระเป๋าลงจากรถ ผมรีบไขกระจกฝั่งตัวเองลงแล้วเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อน ความจริงอยากหอมแก้มลาด้วยซ้ำแต่ติดว่าแม่นั่งอยู่ข้างๆเลยทำไม่ได้
“ฝากสวัสดีอาจารย์ด้วยนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาหา”
ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้ก่อนจะโบกมือแล้วก็เปิดประตูรั้วเข้าไป หลังจากเห็นว่าคนตัวเล็กเดินเข้าบ้านเรียบร้อยแล้วผมจึงถอยรถออกเพื่อกลับบ้านตัวเองบ้าง
“น้องเค้าน่ารักดีนะ ลูกอาจารย์ของอ๊อฟสมัยม.ปลายเหรอลูก ตัวเล้กเล็กยังกับเด็กผู้หญิง”
ผมยิ้มกับความเห็นของแม่ เพราะบ้านผมตัวสูงกันทั้งบ้าน แม่เองก็สูงตั้ง 174 เซนติเมตร เวลาเดินกับใครเลยรู้สึกว่าคนรอบข้างตัวเล็กกันไปหมด แต่เรื่องความน่ารักแม่ก็พูดถูกจริงๆแหละ
“พอดีแม่ของนะเค้าก็ตัวเล็กน่ะแม่ เลยได้เชื้อแม่เค้ามาละมั้ง”
“เหรอ นี่ถ้ามีลูกน่ารักอย่างนี้บ้างแม่หวงตายเลย”
“อ้าวแม่ แล้วอ๊อฟไม่น่าหวงเหรอ”
แม่ผมหันมาค้อนให้ “กับคุณลูกคนนี้แม่ไม่ต้องหวงหรอกมั้ง จะกลับมาบ้านทั้งทีก็มาแค่ไม่กี่วัน ว่าแต่พี่อิมเค้าบอกแม่แล้วนะว่าอ๊อฟมีแฟนใหม่แล้ว แล้วเมื่อไหร่จะพามาแนะนำกับแม่สักที”
พอโดนจี้ใจดำผมเลยหัวเราะแห้งๆ ใจหนึ่งก็อยากจะบอกแม่อยู่เหมือนกันว่าก็คนที่เพิ่งไปส่งที่บ้านมาเมื่อกี้น่ะแหละ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรอถามนะก่อน ถ้าจะบอกกับที่บ้านจริงๆผมก็อยากให้ทั้งผมและแฟนพร้อมกันแล้วทั้งคู่มากกว่า
“รอก่อนแล้วกันแม่ เค้าพร้อมเมื่อไหร่อ๊อฟพามาแนะนำแน่ๆ”
++------++
เช้าวันถัดมาผมโดนแม่ปลุกแต่เช้าให้ไปตักบาตรด้วยกันก่อนจะกลับบ้านมาช่วยกันทำความสะอาดบ้านและโยกย้ายกระถางต้นไม้ในสวนด้านหลัง แดดยามสายกับการออกกำลังกลางแจ้งเล่นเอาเหงื่อท่วมไปทั้งตัวเพราะดูท่าแม่จะตั้งใจรอผมกลับมาช่วยโดยเฉพาะ หลังอาบน้ำเสร็จเลยขึ้นมานอนเล่นอ่านหนังสืออยู่บนห้อง แต่พอกำลังเคลิ้มๆจะหลับอีกรอบก็โดนแม่เคาะประตูเรียกให้ไปซื้อของที่ห้างเป็นเพื่อน
“ช่วงนี้อ๊อฟเรียนหนักมั้ย”
แม่ถามขึ้นระหว่างผมผลักรถเข็นเลาะไปตามชั้นวางของในห้าง เพราะปกติแม่อยู่บ้านคนเดียวเลยไม่ค่อยได้ซื้อของใช้อะไร แต่ถ้าซื้อทีก็จะซื้อตุนทีละเยอะชนิดไม่ต้องซื้ออะไรไปอีกหลายเดือน
“ก็เรื่อยๆน่ะแม่ ตอนเทอมสองอาจต้องมีฝึกงาน แต่อ๊อฟคงดูก่อนว่าจะไปฝึกที่ไหน”
“เหรอ แล้วพี่อิมเค้าได้โทรไปหาอ๊อฟบ้างหรือเปล่า”
ผมหยิบห่อมาม่ารสใหม่ขึ้นดูก่อนจะวางที่ชั้นตามเดิม “ก็เพิ่งคุยกันไปเมื่อวันพ่อ เห็นว่าพี่อิมเค้าลงมาหาแม่นี่”
“อืม แม่ก็ถามว่าเมื่อไหร่เค้าจะพาแฟนมาเจอแม่ซักที เพราะท่าทางแม่จะได้ลูกเขยเป็นคนในเครื่องแบบแน่แล้ว”
พอได้ยินแม่พูดแบบนั้นผมก็อดหัวเราะไม่ได้ “ไม่ดีเหรอแม่ ทีนี้มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกังวล ลูกสาวก็เป็นหมอ ลูกเขยก็เป็นตำรวจ สบายดีออก”
“พูดอย่างกับอ๊อฟไม่ต้องช่วยดูแลแม่แน่ะ” แม่ค้อนให้ก่อนจะหันมาคล้องแขนผมไว้แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“นี่อ๊อฟ”
“ครับผม”
“ถ้าหากว่าตอนนี้มีคนมาขอแม่แต่งงาน อ๊อฟจะว่ายังไง”
“หือ!?”
ประโยคที่ไม่คาดคิดเล่นเอาผมอึ้งไป เพราะความจริงก็พอรู้อยู่ว่ามีผู้ชายมาจีบแม่บ้างหลังจากแยกทางกับพ่อแล้ว แต่เพราะว่าไม่เคยเห็นแม่ตกลงคบกับใครเลยไม่เคยคิดมาก่อนว่าจู่ๆจะโดนชวนคุยเรื่องนี้
“ใครเหรอแม่”
ผมถามเสียงเบา จะบอกไม่ช็อคเลยก็คงไม่เชิง เพราะถ้าหากแม่มาถามความเห็นผมก็แสดงว่าแม่คงจริงจังกับคนนี้พอสมควร
“เพื่อนสมัยเรียนน่ะ ความจริงเค้าทำงานอยู่ที่อื่นแต่ว่าเพิ่งกลับมางานศพพ่อตัวเองเมื่อครึ่งปีก่อนเลยได้เจอกัน แฟนเค้าเสียไปหลายปีแล้ว ลูกสาวคนเดียวก็เพิ่งแต่งงานไป ตอนนี้เลยเหมือนคนโสด”
แม่ว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพาผมออกเดินต่อ “หลังจากเจอกันตอนนั้นก็ติดต่อกันแล้วก็นัดทานข้าวด้วยกันบ้างตามประสาเพื่อนเก่า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆวันนึงเค้าก็ถามเรื่องแต่งงานขึ้นมาเฉยเลย”
“แล้วแม่ตอบตกลงไปหรือยัง”
“ยัง แม่อยากคบกันไปเรื่อยๆให้แน่ใจก่อนว่าไม่ใช่เพราะเค้าอารมณ์ชั่ววูบ ถ้าต้องแต่งแล้วหย่าอีกรอบก็คงไม่สนุกเท่าไหร่ แต่ถ้าวันนึงแม่แน่ใจขึ้นมาแม่ก็อยากให้ลูกๆรู้ไว้ นี่ก็บอกพี่อิมไปแล้ว”
ผมมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของแม่เวลาพูดถึงเขาคนนั้น ถึงจะยังรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้รู้แต่เมื่อคิดให้ดีก็เข้าใจว่าแม่เองก็คงเหงาเพราะลูกๆโตกันหมดแล้ว ถ้าหากมีคนที่พร้อมจะดูแลและให้ความสุขกับแม่ในเวลาที่ผมไม่ได้อยู่ด้วยก็น่าจะดีกว่า ผมตบหลังมืออุ่นที่คล้องแขนตัวเองอยู่แล้วก็ยิ้มให้ แม้จะรู้สึกว่าในอกโหวงๆและรอยยิ้มของตัวเองนั้นค่อนข้างจะฝืดฝืนก็ตาม
“ถ้าแม่มีความสุขอ๊อฟก็ไม่มีปัญหา”
++------++
บ่ายคล้อยมากแล้ว ผมจอดรถเทียบที่หน้ารั้วเหล็กดัดจุดเดียวกับที่เพิ่งมาจอดเมื่อคืนแล้วก็กดกริ่ง หลังจากที่กลับบ้านเพื่อเก็บของที่ซื้อมาจากห้างและพาแม่ไปส่งที่บ้านเพื่อนแล้วผมก็ขอเอารถออกมาหานะ ไม่รู้ทำไมหลังจากที่แม่เปรยเรื่องแต่งงานใหม่ขึ้นมาผมก็อยากเจอหน้าคนตัวเล็กจนแทบทนไม่ไหว
ผมยืนรอไม่นานหญิงสาววัยกลางคนร่างเล็กสวมแว่นก็เดินมาที่ประตูรั้ว พอร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ผมก็รีบยกมือไหว้ทันทีด้วยความคุ้นเคย
“สวัสดีครับอาจารย์”
“ว่าไงอรรถพล ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ไหว้พระเถอะจ้ะ”
ใบหน้าของอดีตอาจารย์ยังคงดูใจดีไม่ต่างจากที่เคยเห็นเมื่อสองปีก่อน ยกเว้นก็แต่เส้นผมที่เริ่มมีสีเทาแซมแม้ว่าอาจารย์จะอายุไม่ต่างจากแม่ผมนัก มือผอมบางเปิดประตูรั้วให้ก่อนจะเบี่ยงตัวให้ผมเข้าไปข้างใน พอชะเง้อมองเข้าไปในบ้านแล้วไม่เห็นคนที่ผมตั้งใจมาหาก็อดแปลกใจไม่ได้
“นะไม่อยู่เหรอครับ เมื่อกี้ผมโทรมาเห็นบอกว่าอยู่บ้าน”
“พอดีครูเพิ่งให้ออกไปซื้อของที่ตลาดหน้าวัดเมื่อกี้นี้เอง ยังไงเข้ามารอก่อนสิจ๊ะ”
อาจารย์วรรณีเดินนำผมเข้าไปในห้องรับแขกในตัวบ้าน ผมรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสามีของอาจารย์ไม่อยู่เพราะไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด ดังนั้นพอต้องเผชิญหน้ากับอดีตอาจารย์และแม่ของแฟนตามลำพังก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้
ผมรีบรับแก้วน้ำเย็นที่อาจารย์รินมาส่งให้ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ “ขอบคุณครับอาจารย์ ที่จริงไม่ต้องก็ได้”
“ได้ยังไงกัน ลูกศิษย์กลับมาเยี่ยมทั้งที แถมตอนนี้ยังเป็นรูมเมทกับลูกครูอีก ต้องให้เธอดูแลน้องนะอยู่เรื่อย ขอบใจมากนะ”
ผมลูบต้นคอด้วยความเขิน ก็ถึงแม้เหตุผลที่ช่วยดูแลลูกอาจารย์เมื่อตอนม.ปลายจะเป็นเพราะถูกฝากฝังไว้ก็จริง แต่มันต่างกับเหตุผลตอนนี้เป็นคนละเรื่องเลยนี่นา
เสียงกระดิ่งและเสียงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆวิ่งมาจากใต้บันไดแล้วก็เข้ามาคลอเคลียอยู่ที่ขาผม พอก้มลงมองก็เห็นว่าเป็นลูกหมาปอมเมเรเนียนขนฟูสีน้ำตาล นัยน์ตากลมโตจ้องผมด้วยความอยากรู้อยากเห็นขณะที่พวงหางพองฟูส่ายไปมา พอผมยื่นมือลงไปหาลิ้นสีชมพูเล็กๆก็แลบออกมาเลียจนจั๊กกะจี้
“จุ๊ๆ กุ๊งกิ๊ง มานี่มะ”
อาจารย์วรรณีเรียกแล้วก็ตบโซฟาข้างตัวเบาๆ เจ้าลูกหมาตัวน้อยจึงผละจากผมแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งตรงที่ที่โดนสั่งอย่างแสนรู้จนผมอดทักไม่ได้
“ฉลาดจังเลยนะครับ”
“ใช่มั้ยล่ะ ตั้งแต่น้องนะเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯครูกับพ่อเค้าก็ได้เจ้านี่แหละมาทำให้หายเหงา เอ้าๆกุ๊งกิ๊งหิวเหรอลูก เดี๋ยวครูไปเอาอะไรให้มันกินก่อนนะอรรถพล ตามสบายนะจ๊ะ”
ท่าทางของอาจารย์ที่ประคบประหงมลูกหมาขนฟูตัวน้อยทำให้ผมต้องยิ้ม ไม่น่าแปลกใจหรอกที่นะจะน้อยใจที่พ่อกับแม่โอ๋เจ้าหนูนี่มากกว่าตัวเองตอนกลับมาเยี่ยมบ้านคราวที่แล้ว
ผมนั่งจิบน้ำเย็นรอในห้องรับแขกคนเดียวสักพักก็ได้ยินเสียงประตูรั้วเปิด พอหันไปมองก็เห็นคนที่ตั้งใจมาหากำลังจูงจักรยานเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพอดี
“แม่! เมื่อกี้ยางจักรยานมันแตกนะเลยแวะไปเปลี่ยนยางมาแล้วนะ อ้าว...พี่อ๊อฟ”
แก้มสองข้างของคนตัวเล็กเป็นสีเรื่อขึ้นพอเห็นว่าผมนั่งอยู่ในบ้านเพราะเผลอตะโกนเสียงดัง เออแฮะ เวลาอยู่บ้านนี่ท่าทางเป็นคนละคนกับเวลาอยู่ที่มหา’ลัยเลย อาจารย์วรรณีเดินออกมารับของที่สั่งซื้อแล้วก็หันมาหาผม
“งั้นเดี๋ยวขอครูทำกับข้าวก่อน ถ้าเธอไม่มีธุระก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันสิ หรือว่าต้องกลับไปทานกับที่บ้าน”
“อ๋อ เย็นนี้แม่ผมไปกินเลี้ยงกับพวกเพื่อนๆเค้าน่ะครับ งั้นเดี๋ยวผมช่วยอาจารย์นะครับ”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะพ่อคุณ น้องนะพาพี่เค้าไปเดินเล่นในสวนสิลูก เดี๋ยวข้าวเย็นเสร็จแล้วแม่จะไปเรียก”
คล้อยหลังอาจารย์นะก็เดินนำผมไปที่รั้วด้านหลัง เมื่อเปิดประตูรั้วออกไปก็พบสวนผลไม้ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางพอสมควร ใบไม้แห้งร่วงหล่นเต็มพื้นจนได้ยินเสียงดังกรอบแกรบยามย่ำเท้าลงไป
“พี่อ๊อฟมานานหรือยัง?”
“มาถึงก่อนนะกลับมาแป๊บเดียวแหละ ไม่โทรไปบอกล่ะว่าจะไปซื้อของ พี่จะได้แวะซื้อเข้ามาให้”
คนตัวเล็กย่นจมูก “ก็แม่เค้าเพิ่งสั่งหลังนะวางหูจากพี่อ๊อฟแป๊บเดียวเอง เห็นว่าตลาดมันอยู่ใกล้ๆคงไปแป๊บเดียว ไม่คิดว่ายางล้อรถมันจะแตกกลางทางเลยเสียเวลา”
ผมคว้ามือเล็กมากุมไว้หลังเดินห่างรั้วบ้านมาได้สักพัก นะเงยหน้ามองผมแล้วก็กระตุกมือก่อนจะนำไปนั่งที่แคร่เก่าๆใต้ต้นทองหลางขนาดใหญ่ที่ทำไว้สำหรับนั่งได้สองคนพอดี บรรยากาศสงบชวนให้น่านอนผมเลยเอนหัวลงพิงไหล่บางไว้แล้วคลึงนิ้วมือที่ตัวเองกุมอยู่เล่น
“พี่อ๊อฟเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมท่าทางซึมๆ”
“เหรอ พี่ว่าพี่ก็ปกตินี่” ผมยกหัวขึ้นสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่นัยน์ตากลมโตจ้องกลับเขม็ง
“นะดูออกนะ มีอะไรไม่สบายใจบอกกันก็ได้นี่”
พอโดนทักผมเลยทิ้งตัวลงนอนตักของนะเสียเลย โชคดีว่าบ่ายมากแล้วและมีลมพัดแผ่วๆทำให้อากาศเย็นสบาย มือเล็กยื่นมาลูบผมให้เบาๆผมเลยหลับตาลง
“เมื่อเช้าตอนพี่ออกไปซื้อของกับแม่ แม่เค้าบอกว่าอาจจะแต่งงานใหม่ล่ะ”
มือเล็กชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะลูบผมให้ต่อ “เหรอ แล้วพี่อ๊อฟคิดว่าไง?”
“จะว่าไงดี พี่ยังไม่เคยเจอว่าที่พ่อเลี้ยงคนนี้น่ะสิ จะว่าไม่ห่วงแม่เลยก็ไม่ได้”
ผมพูดแล้วก็นึกถึงพ่อ ถึงพ่อจะแต่งงานใหม่เหมือนกัน แต่ความที่เจ้าตัวอยู่ต่างประเทศทำให้ไม่ค่อยรู้สึกอะไรนัก แต่กับแม่ซึ่งเป็นคนดูแลผมกับพี่สาวมาตลอดหลังจากแยกทางกับพ่อทำให้ความรู้สึกสนิทสนมและห่วงใยมีมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด ถึงผมจะบรรลุนิติภาวะแล้วก็เถอะ พอคิดว่าตัวเองจะได้พ่อใหม่ก็อดใจหายหน่อยๆไม่ได้
นะเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังเรียบเรียงความคิดก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “นะว่าวัยขนาดพ่อแม่ของพวกเราเค้าผ่านอะไรมาตั้งเยอะแล้ว ถ้าหากพูดเรื่องชีวิตคู่ก็คงไม่พูดกันเล่นๆหรอก”
“...ก็คงอย่างนั้น” เรื่องนั้นก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้
“มองในแง่ดีสิพี่อ๊อฟ ถ้าแม่เค้ามาบอกอย่างนี้แสดงว่าเค้าก็คิดถึงความรู้สึกพี่อ๊อฟเหมือนกันนะ”
ผมคิดทบทวนตามสิ่งที่คนตัวเล็กพูด แล้วก็นึกถึงท่าทางของแม่ตอนที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สายตาที่มองผมอาบไปด้วยความเป็นห่วงอย่างเต็มเปี่ยม ถึงอย่างไรแม่ก็ยังเป็นแม่ของผมนี่นะ
“อืม...จะว่าไปก็ใช่ แฟนพี่ก็พูดอะไรมีหลักการเหมือนผู้ใหญ่ได้เหมือนกันนะเนี่ย”
“พูดงี้หมายความว่าไง นะไม่ได้เป็นเด็กแล้วนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตัวเองหนุนตักอยู่แล้วก็หัวเราะก่อนจะดีดตัวขึ้นนั่ง เวลาเห็นคนตัวเล็กทำแก้มป่องเพราะไม่พอใจแบบนี้ทีไรอารมณ์ที่ขมุกขมัวอยู่จะดีขึ้นทุกที
“รู้แล้วน่าว่าไม่ได้เป็นเด็กแล้ว ไม่งั้นจะทำแบบนี้กับพี่ได้เหรอ”
ผมโน้มศีรษะทุยเข้าหาก่อนจะแตะริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากนิ่มเบาๆแล้วผละออก นะกระพริบตามองผมก่อนจะเอื้อมแขนเรียวสองข้างมากอดคอผมไว้ นัยน์ตากลมโตที่เชื่อมแสงเป็นประกายกับริมฝีปากแดงๆดึงดูดให้ก้มลงไปบดเบียดริมฝีปากอีกครั้งอย่างอดใจไม่อยู่ แล้วคนขี้อายก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจเมื่อปลายลิ้นเล็กๆยื่นออกมาไล้เลียอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากของผมก่อนจนผมต้องเผยอปากรับ ถึงแม้จะรู้ว่าแม่ของนะอาจจะออกมาตามเราได้ทุกเมื่อ แต่รสสัมผัสอันหวานซ่านตรงหน้าก็ทำให้ผมผลักความคิดนั้นออกไปจากหัว ร่างบางๆของนะแนบชิดกับผมจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของอีกฝ่ายผ่านเสื้อที่สวมอยู่
ผมค่อยๆถอนริมฝีปากออกก่อนจะกอดคนตัวเล็กไว้กับอกแล้วก็ถอนหายใจ “อยากกลับหอจัง อยู่ที่บ้านแบบนี้ทำอะไรไม่ถนัดเลย”
“พี่อ๊อฟทะลึ่ง”
คนในอ้อมแขนงึมงำเสียงเบาแล้วก็เอากำปั้นทุบผมทีหนึ่ง แต่ถึงปากจะพูดอย่างนั้นผมก็พอจะรู้แหละว่าอีกฝ่ายก็คงคิดเหมือนกัน เราสองคนนั่งฟังเสียงลมพัดยอดไม้จนแดดเริ่มอ่อนแสงจึงพากันเดินกลับบ้าน
“ชักหิวแล้วสิ นะรู้มั้ยว่าอาจารย์เค้าจะทำกับข้าวอะไร”
“น่าจะแกงข่าไก่กับผัดกุยช่ายมั้ง ถ้าดูจากของที่แม่ให้ซื้อนะ ว่าแต่แปลกจัง บอกว่าจะออกมาตามแต่ไม่เห็นมาเลย”
พอเดินใกล้ถึงประตูรั้วหลังบ้านนะก็ผละจากผมแล้วเดินนำไปที่รั้ว อย่างว่าละ ถึงจะอึดอัดที่เวลาอยู่บ้านเราทำตัวใกล้ชิดกันออกนอกหน้าไม่ได้ แต่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ยังไงก็ต้องสำรวม แล้วพวกเราก็ยังไม่ได้บอกที่บ้านเรื่องที่เราคบกันอยู่ด้วยสิ
“แม่ มีกับข้าวอะไรมั่ง”
คนตัวเล็กเดินเข้าไปในครัวแล้วก็กอดเอวแม่ตัวเองที่กำลังวุ่นอยู่กับหม้อแกงหน้าเตาแก๊ส ผมมองแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ พอจะรู้แล้วละว่าทำไมพ่อหนูน้อยของผมถึงขี้อ้อนนัก ติดนิสัยมาจากที่บ้านนี่เอง
“เอ้าๆ ไปล้างมือแล้วช่วยแม่เอาจานชามไปตั้งที่โต๊ะก่อนสิน้องนะ เดี๋ยวแม่ยกกับข้าวออกไป”
“อาจารย์ให้ผมช่วยมั้ยครับ”
“ขอบใจ เธอไปนั่งรอที่โต๊ะเฉยๆก็พอ”
เสียงของอาจารย์สั้นห้วนจนผมนึกถึงสมัยตัวเองโดนดุตอนอยู่ ม.ปลาย แถมนัยน์ตาหลังกรอบแว่นสีเงินยังไม่แม้แต่จะชายตามามองด้วยซ้ำจนอดแปลกใจไม่ได้ ผมเผลอไปทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่านะ?
“พี่อ๊อฟ ช่วยหยิบแก้วน้ำมาให้หน่อยสิ”
“หือ? อ้อได้ เดี๋ยวนะ”
ผมหันไปหยิบแก้วน้ำสามใบจากถาดบนหลังตู้เย็นแล้วก็เดินตามคนตัวเล็กไปที่โต๊ะ ยังสงสัยไม่หายว่าทำไมจู่ๆท่าทางของอาจารย์ก็เปลี่ยนไปกะทันหันเพราะเมื่อกี้ยังคุยกับผมดีๆอยู่เลย
เราสามคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารโดยผมนั่งตรงข้ามกับนะและอาจารย์วรรณีนั่งหัวโต๊ะ มื้ออาหารเริ่มขึ้นอย่างเงียบๆเมื่ออาจารย์เริ่มตักกับข้าวประเดิมก่อนพวกผมจึงเริ่มทานบ้าง
“เอ้านะ”
ผมตักปีกไก่บนพร้อมน้ำแกงต้มข่าไก่ให้คนที่นั่งตรงข้ามเพราะรู้ว่าคนตัวเล็กชอบ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
นะหันไปมองแม่แล้วก็หันกลับมามองผมงงๆ ผมคาดว่าสีหน้าตัวเองก็คงแสดงอาการเดียวกัน เพราะนึกไม่ออกจริงๆว่าไปทำอะไรขัดใจอาจารย์ตอนไหน
“แม่ฮะ พรุ่งนี้พ่อเค้าจะกลับมากี่โมง”
คนตัวเล็กเริ่มชวนคุยเมื่อสังเกตได้ว่าโต๊ะอาหารเงียบผิดปกติ
“น่าจะตอนสายๆ ยังไงก็น่าจะทันก่อนน้องนะกลับกรุงเทพฯนั่นล่ะ หรือว่ามีธุระอะไรต้องรีบกลับจนรอเจอพ่อเค้าก่อนไม่ได้?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อยแม่ก็ พอดีนะต้องกลับไปช่วยพี่อ๊อฟจัดห้องใหม่ ตอนนี้มันรกๆอยู่”
“เหรอ สงสัยจะรกมากเลยสินะ”
ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าน้ำเสียงนั้นฟังประชดประชันยังไงชอบกล แต่แล้วอาจารย์วรรณีก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะมองพวกผมสองคนสลับกันไปมา สายตาหลังกรอบแว่นแฝงแววไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ครูมีเรื่องจะพูดเกี่ยวกับความสนิทสนมของพวกเธอสองคน ทานข้าวเสร็จแล้วอยู่คุยกันหน่อยนะ อรรถพล”
“เอ่อ...ครับ”
น้ำเสียงเฉียบขาดทำเอาผมขนลุก พอชำเลืองมองคนตรงข้ามก็เห็นนะทำหน้าตื่นๆเหมือนกัน ท่าทางเรื่องที่อาจารย์จะคุยด้วยจะเป็นเรื่องที่ผมกับคนตัวเล็กต่างกังวลกันเสียแล้ว
“เมื่อกี้ในสวนทำอะไรกัน ครูเห็นนะ”++------++