เข้าวันใหม่จนได้ ลงตอนนี้ไปก็ง่วงสุดๆเลยก๊าบ 
ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ให้การติดตามเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ อย่างที่เคยเกริ่น เรื่องนี้อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วล่ะเน้อ (ถ้าคนเขียนไม่คิดแทรกพล็อตอะไรเข้ามานะ เพราะเริ่มเห็นแววเรื่องที่ 3 มาแพลมๆ)
ไปอ่านตอนต่อไปกันดีกว่านิตอนที่ 8: ริ้วคลื่นในใจ
“ก็น่าจะได้ วันนี้เรากับนะสอบเสร็จช่วงเช้าเหมือนกัน งั้นนัดเจอกันซักบ่ายโมงก็ได้มั้ง”ผมกรอกเสียงใส่หูโทรศัพท์ หลังจากคนตัวเล็กที่กำลังนั่งทานโจ๊กใส่ไข่อยู่ตรงข้ามพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าไม่มีปัญหา
“หือ? ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกลางวันก็เจอกันแล้ว อีกอย่างตอนนี้นะกินข้าวอยู่”
ผมบอกปัดเมื่อได้ยินคำขอจากเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็ก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแม่เจ้าประคุณกรี๊ดเสียงแหลมอย่างขัดใจจนผมต้องรีบยกโทรศัพท์ออกห่าง แต่ก็ยังไม่วายรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ้งๆในหูยังกับกระดูกทั่ง ค้อน โกลนแข่งกันเต้นระบำอยู่อย่างนั้นแหละ
นะส่งสายตาแสดงคำถามมาให้จากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ผมเลยเอามือปิดลำโพงโทรศัพท์เพื่อไม่ให้ปลายสายได้ยินก่อนจะถามความเห็นเจ้าตัว
“มุ้ยอยากคุยด้วย แต่ถ้านะไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่บอกมุ้ยให้เอง ไหนๆกลางวันนี้ก็จะไปกินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว”
คนตัวเล็กยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วส่งยิ้มให้ “ไม่เป็นไรหรอก พี่อ๊อฟเอาโทรศัพท์มาสิ”
คำตอบรับง่ายดายทำเอาผมอดเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจไม่ได้ “จะคุยจริงๆเหรอ?”
“ก็คุยสิ ไม่เห็นเป็นไร พี่มุ้ยก็เคยช่วยดูแลนะเหมือนกันนี่”
พอเห็นว่าเจ้าตัวไม่แสดงท่าทางอิดออดผมเลยยกโทรศัพท์ขึ้นบอกมุ้ยแล้วก็ยื่นให้คนตัวเล็กที่รับไปแต่โดยดี
“สวัสดีครับพี่มุ้ย”
“ก็เรื่อยๆนะครับ เพื่อนๆกับอาจารย์ที่คณะก็น่ารักทุกคน”
“อ๋อ...ก็ดีครับ”
คำตอบรับของคนตัวเล็กที่ทิ้งช่วงห่างบอกให้รู้ว่าเพื่อนผมคงเอาแต่พูดฝ่ายเดียวเป็นต่อยหอย แต่ก็ไม่น่าแปลกหรอก มุ้ยชอบคุยกับผมก็เพราะส่วนใหญ่ผมจะเอาแต่ฟังแล้วก็ไม่คุยแข่งนี่แหละ
ผมปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกันไปแล้วก็หันมาสนใจอาหารตรงหน้าตัวเองบ้าง วันนี้ผมกับนะมีสอบช่วงเวลาเดียวกันเราเลยรีบมามหาวิทยาลัยเพื่อทานอาหารและเตรียมตัวสอบกันแต่เช้า สักพักผมจับสังเกตได้ว่าประโยคสนทนาของนะเริ่มสั้นขึ้นเรื่อยๆ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนตัวเล็กนั่งหน้าแดงพลางมองผมเหมือนจะขอความช่วยเหลือ ผมเลยรีบกลืนโจ๊กแล้วรับโทรศัพท์มาคุยเอง
“...แล้วยังไม่หมดนะ ตอนพี่บอกมันว่าจะให้ยืมหนังสอนเทคนิคของเพื่อนพี่มันก็ไม่ยอมเอา นี่อ๊อฟมันคงไม่เผลอทำตัวเป็นไก่อ่อนให้ขายหน้าใช่มั้ยจ๊ะ”
“ไอ้มุ้ย!!”
ผมลืมตัวเรียกชื่อเพื่อนเสียงดัง แต่พอเห็นคนที่นั่งโต๊ะรอบๆพากันหันมามองผมเลยลดเสียงลงแต่ไม่วายทำเสียงเขียวใส่คนที่มองไม่เห็นหน้าตอนนี้
“เคยบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้เราขอ รู้มั้ยว่าแกทำนะอายจนพูดไม่ออกแล้ว”
“อ้าวจริงเหรอ ตายแล้ว~ น่ารักจริงๆเลยน้องเขยชั้น เอ๊ะ หรือต้องเรียกว่าน้องสะใภ้ถึงจะถูกวะ ฮะๆๆ งั้นฝากขอโทษน้องนะด้วยแล้วกัน เอาเป็นว่าเดี๋ยวบ่ายโมงเจอกันที่ท่าน้ำนะอ๊อฟ อย่าลืมล่ะว่าแกต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงชั้นวันนี้ แค่นี้ก่อนนะยะ”
มุ้ยไม่รอฟังคำตอบผมแล้วก็ชิงวางสายไปเลย ผมฟังเสียงสัญญาณที่โดนตัดไปแล้วก็นึกอยากจะขอถอนคำพูดขึ้นมา จะโทรกลับไปยกเลิกนัดตอนนี้ได้ไหมเนี่ย!?
“นะ มุ้ยมันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ต้องคิดมากนะ”
ผมหันไปบอกคนตัวเล็กที่นั่งก้มหน้าคนโจ๊กในถ้วยโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองผมอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกพี่อ๊อฟ แค่โดนถามตรงๆเลย...มันแปลกๆ”
นะพูดแล้วก็ยิ่งก้มหน้างุด ผมอดยิ้มแล้วยกมือไปลูบผมนิ่มๆนั่นไม่ได้ เดี๋ยววันนี้เจอมุ้ยตอนกลางวันคงต้องเตือนกันซะหน่อยแล้วเรื่องชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัว ทั้งที่ผมก็เคยห้ามไว้แล้วแท้ๆเชียว
เสียงเก้าอี้ข้างตัวผมเลื่อนออกพร้อมกับมีใครบางคนนั่งลงแล้วก็ตบไหล่ผมไม่เบามือนัก พอหันไปมองก็ต้องตกใจที่เห็นรุ่นพี่ชุมนุมที่ใบหน้าไม่ได้โกนหนวดเครามานานนั่งยิ้มให้อยู่
“อ้าวพี่หล่ง ไปไงมาไงเนี่ยพี่”
“พอดีเดินผ่านเลยมาทักทายซะหน่อยว่ะ เดี๋ยวนี้ไม่ขึ้นชุมนุมเลยนะมึง”
รุ่นพี่ของผมเอ่ยขึ้นแล้วก็มองผมกับนะสลับกันไปมา ผมเลยแนะนำคนตัวเล็กให้รู้จัก
“นะครับ นี่พี่หล่งอยู่ปีสี่ เป็นรุ่นพี่ที่ชุมนุมพี่”
พี่หล่งรับไหว้คนตัวเล็กตรงข้ามผมแล้วก็มองกลับยิ้มๆ “เคยเจอกันแล้วละ น้องเค้าเอาเสื้อบอลมึงมาคืนที่ห้องชุมนุมเมื่อวันที่มึงโดดเรียนไง”
“เฮ่ยพี่ วันนั้นผมป่วยจริงหรอก เปล่าโดดซะหน่อย”
“ป่วยจริงหรือไม่จริงก็ช่างมึงเหอะ กูจะไปอ่านหนังสือต่อละ ว่างๆก็แวะขึ้นไปมั่งละกัน”
ผมหัวเราะแห้งๆ เพราะตั้งแต่วันที่ผมหยุดเรียนเพราะป่วยผมก็ไม่ได้แวะไปชุมนุมเลยจริงๆนั่นแหละ แต่ก่อนพี่หล่งจะเดินกลับไปคณะตัวเองที่อยู่ตรงข้ามโรงอาหาร เจ้าตัวก็หันกลับมาสำทับอีกทีเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“อ้อ ลืมไป จะพาแฟนขึ้นมาเที่ยวห้องชุมนุมด้วยก็ได้นะ เด็กน่ารักๆพี่ยินดีต้อนรับ”
รุ่นพี่ของผมหันมามองเราสองคนด้วยนัยน์ตาเป็นประกายเหมือนรู้ทันก่อนจะเดินจากไป ผมหันไปสบตากับนะแล้วก็เห็นคนตัวเล็กทำหน้าตกใจเหมือนกัน นี่พวกเราสองคนดูออกง่ายหรือพี่หล่งแกเซนส์ดีกันแน่เนี่ย?
++------++
“สวัสดีค่าน้องนะ~”
เพื่อนวัยเด็กของผมทักแฟนผมและอดีตรุ่นน้องตัวเองเสียงหวานจนน่าหมั่นไส้ตอนที่เราสองคนไปหาที่ท่าน้ำตามเวลาที่นัดไว้เมื่อเช้า นะยกมือไหว้มุ้ยพลางยิ้มแย้มตอบแม้จะยังดูเขินๆอยู่บ้างเพราะตัวเองเคยเข้าใจมุ้ยผิดว่าเป็นแฟนผม
“หวัดดีครับพี่มุ้ย”
มุ้ยรับไหว้พลางมองนะอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง แถมยังถือวิสาสะคว้ามือของนะไปจับเสียด้วย ผมเลยรีบดึงนะกลับมาแล้วกอดไหล่ไว้จนมุ้ยส่งสายตาแสดงความขัดใจให้
“ไอ้อ๊อฟ! ชั้นแค่แตะนิดแตะหน่อยน้องเค้าไม่สึกหรอหรอกน่ะ ถ้าน้องเค้าจะสึกก็เป็นเพราะแกน่ะแหละ”
ผมถลึงตามองเพื่อนทั้งที่รู้สึกร้อนวูบที่หน้า แต่คนพูดทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สา ดูเหมือนคนตัวเล็กจะเข้าใจว่าถ้าไม่พูดอะไรบ้างสักพักต้องโดนวกเข้าตัวอีกแน่ๆเลยรีบกระตุกเสื้อผมแล้วเงยหน้าถาม
“พี่อ๊อฟ แล้วนี่ตกลงจะไปกินอะไรที่ฝั่งโน้นเหรอ”
“อ๋อ....อ๊อฟมันสัญญาว่าจะเลี้ยงแบล็คแคนยอนพี่น่ะค่ะ นี่พี่ใจดีมากเลยนะถึงยอมให้มันเลี้ยงแค่นี้ ไม่งั้นแม่จะบังคับให้พาไปกินบุฟเฟต์ที่โอเรียนเต็ลให้รู้แล้วรู้รอด”
“เฮ่ย น้อยๆหน่อย ต่อให้ทำงานมีเงินเดือนแล้วเราก็ยอมเลี้ยงแกมากสุดแค่เอ็มเคเท่านั้นแหละ”
นะหัวเราะเมื่อเห็นมุ้ยทำท่าจิ๊ปากด้วยความขัดใจ จากนั้นพวกเราก็เดินไปลงเรือข้ามฟากเพื่อไปทานอาหารที่ร้านฝั่งตรงข้ามแม่น้ำกัน ช่วงกลางวันในฤดูสอบแบบนี้ไม่ค่อยมีคนใช้บริการเท่าไหร่เราเลยได้ที่นั่งบนเรือกันทั้งสามคน ระหว่างที่นั่งเรือมุ้ยก็ยังชวนนะคุยเจื้อยแจ้วได้เรื่อยๆจนผมชักเริ่มสงสัยว่าตอนน้าเหมียวอุ้มท้องมุ้ยนี่น้าแกฝันเห็นนกขุนทองหรือเปล่า
“เห...งั้นตอนนี้คณะของน้องนะก็กำลังสอบปลายภาคอยู่งั้นเหรอ”
คนตัวเล็กที่นั่งข้างผมพยักหน้ารับ ตอนนี้พวกเรานั่งทานอาหารกันอยู่บนชั้นสองของร้านซึ่งติดกับกระจกหน้าต่าง ทำให้สามารถมองกลับไปเห็นมหาวิทยาลัยของผมได้อย่างชัดเจน โชคดีที่ตอนเรามาถึงลูกค้าที่นั่งอยู่ก่อนเรียกเก็บเงินพอดีทำให้ได้โต๊ะที่วิวดีแบบนี้
“คณะของนะใช้ระบบเปิดภาคการศึกษาเหมือนเมืองนอกน่ะครับ เพราะงั้นเวลาสอบมันเลยจะดูสลับๆกับของภาคปกติ ของนะจะได้ปิดเทอมใหญ่ช้ากว่า แต่ก็เปิดเทอมช้ากว่าด้วย”
“งั้นเหรอ ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย”
มุ้ยเอ่ยอย่างประหลาดใจ ก่อนจะหันมาถามผมบ้าง
“ว่าแต่ปีใหม่นี้แกจะอยู่บ้านหรือเปล่าวะอ๊อฟ”
พอได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองผมเลยเงยหน้าขึ้นจากเท็กซ์ที่กำลังอ่านอยู่ ผมเหลือสอบวิชาสุดท้ายในช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น แถมเป็นวิชาที่ไม่ถนัดที่สุดเสียด้วยเลยค่อนข้างกังวลเป็นพิเศษ
“ช่วงปีใหม่อาจอยู่กรุงเทพฯเพราะจะเคลียร์หอว่ะ แต่กะว่าสอบมิดเทอมเสร็จจะกลับบ้านให้แม่เค้าเห็นหน้าซะหน่อย พอดีว่านะก็สอบเสร็จวันมะรืนนี้พอดี จะได้กลับรถตู้ไปพร้อมกัน”
“งั้นเหรอ แต่ชั้นกะว่าปีใหม่จะกลับบ้านว่ะ พี่สะใภ้ชั้นเพิ่งคลอดลูก กะจะไปช่วยเลี้ยงหลาน”
“ไปเลี้ยงหรือไปเล่นวะ ระวังพี่เม่นจะไล่ตะเพิดเพราะแกอุ้มหลานแล้วทำหล่นล่ะ”
ผมแซวเพราะรู้ดีว่ามุ้ยชอบทำเปิ่นจนโดนพี่ชายตัวเองดุอยู่บ่อยๆ เพื่อนผมเลยทำท่าส่งมะเหงกให้ก่อนจะหันไปรับอาหารของพวกเราสามคนที่พนักงานลำเลียงมาเสิร์ฟ ผมรับจานผัดไทยกุ้งสดของตัวเองแล้วก็ก้มลงจัดการ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนข้างตัวกำลังเขี่ยผักกาดออกจากผัดมักกะโรนีของตัวเองอยู่
“นะครับ ไม่ยอมกินผักอีกแล้วนะเรา”
คนโดนทักหันมามองผมแล้วทำหน้ามุ่ย “ก็มันเหม็นเขียวนี่นา แต่นะกินข้าวโพดอ่อนกับมะเขือเทศแล้วนะ”
“เพราะเลือกกินอย่างนี้ไงถึงได้ตัวเล็กไม่ยอมโตซักที”
ผมพูดยิ้มๆ คนโดนแหย่เลยหันมาค้อนให้แต่ก็ไม่ยอมกินผักกาดเหมือนเดิม ความจริงผมก็รู้อยู่แล้วว่านะไม่ชอบกินผักเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่อยากบังคับให้กินหรอก แต่เวลาเห็นแฟนทำท่าเหมือนเด็กๆแบบนี้ทีไรอดแกล้งไม่ได้ทุกที
“ไม่ต้องไปฟังเสียงนกเสียงกานะคะน้องนะ ตัวเล็กๆอย่างนี้แหละดีแล้ว อ๊อฟมันชอบแบบนี้แหละ”
เสียงแทรกจากอีกคนในวงสนทนาทำเอาผมสะดุ้ง เกือบลืมไปแล้วว่ามีมุ้ยนั่งกินข้าวอยู่ด้วย
“ยุ่งจริงแกนี่ รีบๆกินข้าวตัวเองไปเลย”
“ย่ะพ่อคุณ ว่าแต่กลับไปคราวนี้ตั้งใจจะพากันไปแนะนำกับที่บ้านเลยหรือเปล่าเนี่ย”
คำถามที่พวกเราไม่เคยเอามาปรึกษากันอย่างจริงจังทำให้ผมกับนะหันมาสบตากันโดยอัตโนมัติ จริงอยู่หรอกว่าเราตั้งใจจะกลับบ้านพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันได้คิดกันเลยว่ากลับไปแล้วจะบอกกับคนในครอบครัวเลยดีหรือเปล่าเรื่องที่พวกเราคบกันอยู่
ผมรู้ว่าตั้งแต่นะตัดสินใจย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับผมเจ้าตัวก็บอกกับที่บ้านให้รับรู้แล้ว เพราะถ้าหากจะให้หลอกพ่อกับแม่ด้วยการเช่าอีกห้องทิ้งไว้ก็สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แถมยังไงห้องของนะก็จะมีคนมาเช่าต่ออยู่แล้วด้วย ส่วนเหตุผลนั้นก็ยังพอกล้อมแกล้มไปได้ว่าเพราะเราเคยเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวกันมาก่อน จึงไม่แปลกเท่าไหร่ถ้าหากจะเช่าห้องอยู่ด้วยกันเพื่อประหยัดเงินของทางบ้าน ส่วนแม่ของผมก็ค่อนข้างจะปล่อยผมให้เป็นอิสระพอสมควรอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาอะไร แต่ถึงกระนั้น การจะให้จู่ๆก็จูงมือกันไปเปิดตัวกับผู้ใหญ่ว่าความจริงเราคบกันในสถานะไหนยังไม่เคยอยู่ในบทสนทนาของเราเลย แม้ผมจะรู้ดีว่าหากผมกับนะคบกันไปเรื่อยๆสักวันก็ต้องบอกกับที่บ้านอยู่ดีก็ตาม
นะก้มหน้าลงจัดการกับอาหารกลางวันของตัวเองต่อเงียบๆ ส่วนผมก็เขี่ยเส้นผัดไทยไปมา อยู่ๆก็รู้สึกตื้อขึ้นมาจนไม่อยากกินต่อ
“นะไปห้องน้ำแป๊บนึงนะพี่อ๊อฟ”
คนตัวเล็กหันมายิ้มให้ผมแล้วก็ลุกไป ผมมองตามก่อนจะหันไปส่งตาดุให้ตัวต้นเหตุที่มองผมด้วยหน้าตาเหลอหลา
“เฮ้ย นี่ชั้นทำให้น้องเค้ารู้สึกไม่ดีหรือเปล่าวะ แค่ถามดูเฉยๆเองนะ”
“ทีหลังก็คิดก่อนถามมั่งสิ ถึงกับเพื่อนๆจะไม่เป็นไร แต่กับคนที่บ้านมันไม่เหมือนกันนะเว่ย”
มุ้ยยกแก้วน้ำส้มของตัวเองขึ้นดูดแล้วก็ขมวดคิ้ว “แต่ชั้นว่าถ้าเป็นน้าอ้อมน่าจะเข้าใจแกนะ แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้อาจารย์วรรณีเข้มงวดกับลูกแกแค่ไหน น้องเค้าเป็นลูกคนเดียวใช่มั้ย”
ผมพยักหน้า จริงอยู่ว่าแม่ผมไม่ถึงกับมองคนที่ชอบเพศเดียวกันในแง่ลบไปเสียหมด แต่กับลูกชายตัวเองผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าบอกตรงๆแม่จะรับได้แค่ไหน ส่วนของนะไม่ต้องพูดถึง อาจารย์ที่ปรึกษาผมเคยเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ทำเด็กในโรงเรียนแขยงกันมาแล้วกับความเจ้าระเบียบ แม้นอกเวลาท่านจะเป็นคนใจดีก็ตาม ผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นสาเหตุให้นะมีปัญหากับที่บ้าน ถ้าคนตัวเล็กไม่พร้อมจะบอกกับครอบครัวผมก็ไม่ติดใจอะไรอยู่แล้ว
สีหน้าผมคงแสดงความยุ่งยากใจพอดูมุ้ยเลยเอื้อมมือมาตบแขนผมเบาๆ
“เอาวะแก อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ขอโทษทีที่ชั้นพูดอะไรไม่ทันคิด ยังไงชั้นก็เป็นกำลังใจให้แกกับน้องเค้านะ”
ผมหยักหน้ารับแล้วก็ตอบไปอย่างแกนๆ “ขอบใจนะมุ้ย ยังไงอย่าเพิ่งคิดถึงมันเลย เราไม่อยากรีบกังวลกับอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้นว่ะ”
“พี่อ๊อฟกับพี่มุ้ยกินอิ่มกันหรือยัง นะอยากไปเดินเล่นแล้วละ”
คนตัวเล็กเดินกลับมาจากห้องน้ำแล้วก็ส่งยิ้มให้พวกผมสองคน แต่ถึงนะจะทำท่าทางสดชื่นแค่ไหนผมก็ดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังฝืน และอาหารกลางวันที่เจ้าตัวทานเหลือก็พร่องไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ท่าทางคำถามของมุ้ยเมื่อกี้จะทำให้นะกังวลใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ผมยิ้มตอบก่อนจะดึงข้อมือเรียวให้ร่างเล็กนั่งลงที่เดิมแล้วก็ลูบผมนิ่มๆนั่น ได้แต่หวังว่าการทำแบบนั้นจะช่วยให้อีกฝ่ายคลายความเครียดลงได้บ้าง
“เอาสิ พี่ก็ชักอิ่มแล้วเหมือนกัน”
“ดีเหมือนกันค่าน้องนะ พี่กำลังอยากไปดูกระเป๋าใหม่พอดีเลย เดี๋ยวนะต้องไปช่วยพี่เลือกนะ น้องจ๊ะน้อง คิดเงินโต๊ะนี้ด้วยค่า”
เหมือนมุ้ยจะสัมผัสอารมณ์ของนะได้เหมือนกันเลยรีบทำตัวร่าเริง ซึ่งผมก็นึกขอบคุณอยู่ในใจ เพราะถ้าลำพังผมคนเดียวอาจไม่พอจะเบนความสนใจของคนตัวเล็กในตอนนี้ก็ได้
เราเดินเล่นในตลาดกันอยู่พักใหญ่ มุ้ยพาผมกับนะเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้แล้วก็ทักคนขายไปทั่วอย่างคุ้นเคยจนผมชักสงสัยว่าเพื่อนตัวเองเป็นขาช้อปไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอผมถามเจ้าตัวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่าหรอกแก ปกติชั้นมากับเพื่อนแล้วจะเป็นคนคอยเชียร์ให้พวกมันซื้อของไง ป้าคนขายเค้าเลยพากันชอบชั้นน่ะสิ”
ก่อนผมกับนะจะพากันกลับมุ้ยก็ซื้อเสื้อยืดให้นะตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวที่เจ้าตัวหยิบดูแล้วทำท่าสนใจ ผมมองแล้วก็เห็นว่าเข้ากับนะอยู่เหมือนกัน แต่พอผมบอกว่าจะซื้อให้มุ้ยก็รีบเสนอตัวขึ้นมาก่อนและบอกว่าขอจ่ายเองจะได้ถือเป็นของขวัญในโอกาสที่ได้เจอรุ่นน้องอีกครั้ง นะยิ้มแล้วก็ขอบคุณมุ้ยอย่างดีใจ ผมเองเมื่อได้เห็นว่าแฟนเริ่มจะผ่อนคลายแล้วก็เริ่มยิ้มออกได้บ้าง เพราะเวลาเห็นใบหน้าหวานนั่นขมวดคิ้วหรือทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่แล้วผมไม่สบายใจเลยจริงๆ
++------++
“พี่อ๊อฟ ตีสามแล้วนะ ยังไม่นอนอีกเหรอ”
ผมหันไปตามเสียงงัวเงียที่เอ่ยทักจากบนเตียงแล้วก็หันไปยิ้มให้อย่างเพลียๆ ความจริงก็อยากนอนแล้วเหมือนกัน แต่อยากอ่านเท็กซ์ให้จบอย่างน้อยสักรอบก่อน พรุ่งนี้เช้าจะได้ให้เป้กับวิวช่วยทวนให้อีกครั้งก่อนเข้าสอบ โชคดีว่าวิชานี้แฟนเพื่อนผมลงเรียนด้วยเลยหายห่วงเพราะวิวเก็งข้อสอบได้ค่อนข้างแม่น แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ก็วิวเป็นถึงว่าที่เกียรตินิยมเหรียญทองนี่นา
“พี่เหลืออีกไม่กี่หน้าก็จะจบแล้วล่ะ นะนอนต่อเถอะ”
ผมหันกลับไปที่หนังสือบนโต๊ะแล้วก็ปรับโคมไฟให้เอียงลงมากขึ้นจะได้ไม่แยงตาคนนอน แต่นะกลับเอาผ้าห่มคลุมตัวแล้วลุกจากเตียงมานั่งที่พื้นข้างๆผม คนตัวเล็กพิงต้นขาผมแล้วก็ทำท่าจะหลับทั้งอย่างนั้นจริงๆ
“นะครับ ง่วงก็ไปนอนที่เตียงดีๆสิ”
ผมพูดไปก็สางผมนิ่มๆของคนที่นั่งพิงขาตัวเองไปด้วย แต่นะส่ายหน้าแล้วก็ตอบผมเสียงง่วง
“ไม่เอา นอนคนเดียวหนาว ถ้าพี่อ๊อฟยังนั่งอยู่ตรงนี้นะก็จะนอนตรงนี้นี่แหละ”
ประโยคเอาแต่ใจนั่นทำเอาผมถอนหายใจก่อนจะยกนิ้วขึ้นคลึงที่หว่างคิ้ว ความจริงก็เริ่มรู้สึกว่าเนื้อหาไม่เข้าหัวมาพักใหญ่ๆได้แล้ว แต่คิดว่าอย่างน้อยอ่านให้ผ่านตาไว้ก่อนเผื่อตอนสอบอาจพอนึกเนื้อหาได้บ้าง ทว่าพอก้มลงมองคนตัวเล็กที่นั่งสัปหงกอยู่ข้างๆก็เริ่มรู้สึกง่วงตามจนต้องยอมแพ้ ผมหยิบโทรศัพท์มากดตั้งเวลาปลุกก่อนจะเขย่าไหล่บางเบาๆ
“นะครับ พี่จะนอนแล้วนะ ลุกไปที่เตียงกันเร็ว”
“อื้อ…”
คนตัวเล็กผงกหัวขึ้นยิ้มให้แล้วก็ลุกกลับไปที่เตียงพร้อมกับผ้าห่ม ผมเลยคั่นหน้าหนังสือแล้วปิดโคมไฟก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนฝั่งของตัวเองบ้าง นะขยับตัวเข้ามาซุกอกผมแล้วไม่นานก็ผล็อยหลับไปจนได้ยินเสียงกรนขึ้นจมูกเบาๆ
มือเล็กที่กำเสื้อผมแน่นทำให้ผมยิ้มก่อนจะโอบคนในอ้อมแขนไว้แล้วหลับตาตามอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกหวงแหนช่วงเวลานี้จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากที่บ้านของเราสองคนรู้เรื่องที่เราคบกันแล้วรับไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง
ผมได้แต่ภาวนาว่า หากถึงเวลานั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าได้มีใครทำให้คนตัวเล็กของผมต้องเสียน้ำตาก็พอ...
++------++