แฮ่กๆ ตอนใหม่มาแล้วจ้า อยากบอกว่าตอนนี้อีโมตัวนี้โดนใจมากๆเลย สะท้อนภาพคนเขียนสุดๆ วะฮะฮ่า -->
ส่วนใครที่รอติดตามพี่อ๊อฟน้องนะอยู่ ก็เลื่อนลงไปอ่านข้างล่างเลยคับ หวังว่าจะยาวสะใจสมกับที่หายไปนานเน้ 
++------++ตอนที่ 9: คนสำคัญกับน้ำตา
“เป็นไงมั่งวะอ๊อฟ หน้าซีดเชียวมึง”ผมก้าวออกจากห้องสอบอย่างหมดแรงก่อนจะทิ้งตัวลงข้างคนถามบนม้านั่งติดระเบียง เป้ทำข้อสอบเสร็จก่อนและออกมานั่งรออยู่นานแล้ว มือแข็งแรงยื่นขวดน้ำที่ตัวเองดื่มค้างไว้ให้ผมจึงรับมาดื่มอย่างกระหาย หางตาเหลือบไปเห็นขวดน้ำอีกขวดที่ยังไม่ได้เปิดฝาซีลตั้งอยู่ข้างๆ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าขวดนั้นเพื่อนซื้อไว้ให้ใคร
“คงเพราะเมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อยว่ะ ดีนะเนี่ยว่านี่วิชาสุดท้ายแล้ว”
ผมเทน้ำจากขวดหน่อยหนึ่งลงบนฝ่ามือแล้ววักขึ้นลูบหน้า เป้รับขวดน้ำกลับไปแล้วก็หัวเราะ “อะไรของมึงวะ กูเห็นคนอื่นสอบเสร็จมีแต่จะโล่งอก มีแต่มึงเนี่ยอึมครึมมาเชียว เพิ่งมิดเทอมเองโว้ยอย่าคิดมาก เดี๋ยววิวออกมาแล้วไปกินข้าวกันดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกัน เมื่อกลางวันกูไม่ค่อยได้กินอะไร แสบท้องชิบ”
ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับหน้าตัวเองก่อนจะมองไปรอบๆ เหลืออีกประมาณสิบห้านาทีจะหมดเวลาสอบ รอบตัวเราสองคนจอแจไปด้วยเสียงถามไถ่กันเกี่ยวกับเรื่องข้อสอบที่เพิ่งทำเสร็จไปบ้าง เรื่องแผนนัดปาร์ตี้เลี้ยงฉลองบ้าง เรื่องสถานที่ที่จะไปเที่ยวเคานท์ดาวน์บ้าง และแล้วก่อนจะหมดเวลาสอบไม่นานนักคนที่รออยู่ก็เปิดประตูห้องสอบออกมา ผมกับเป้จึงพากันลุกเพื่อเตรียมย้ายที่
“แล้วตกลงทำข้อสอบได้มั้ยอ๊อฟ”
วิวหันมาถามผมระหว่างเดินลงจากตึกคณะ เพราะก่อนเข้าห้องสอบเราสามคนนั่งติวด้วยกันจนถึงนาทีสุดท้าย หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือผมขอให้วิวช่วยติวให้ ส่วนเป้เพียงนั่งฟังเหมือนให้ผ่านหู เพราะเพื่อนผมเป็นคนความจำค่อนข้างดีเลยไม่ค่อยซีเรียสเท่าผมที่ชอบสับสนเรื่องทฤษฎีอยู่เรื่อย
“ก็พอไหว ขอบคุณมากนะวิว สองข้อสุดท้ายถ้าไม่เพราะวิวสรุปให้เมื่อกลางวันเราเขียนคำตอบไม่ออกแหงๆ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่วันนี้น้องนะไม่มาเหรอ”
“วันนี้นะหยุด แต่พรุ่งนี้มีสอบวันสุดท้าย เลยไปติวหนังสือที่บ้านเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้ว”
ผมรู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อสั่น พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าพ่อหนูน้อยของตัวเองโทรมา
“เฮ้ยเป้ เดี๋ยวกูตามไปที่ร้านนะ ขอรับโทรศัพท์ก่อน”
“โอเค เจอกันชั้นสองเลยแล้วกัน”
เป้ชี้ไปที่ร้านอาหารติดแอร์เยื้องกับประตูมหาวิทยาลัย ผมจึงพยักหน้าให้ก่อนจะรั้งอยู่ที่ม้านั่งใกล้กับประตูทางออกแล้วกดรับโทรศัพท์ที่ยังสั่นไม่หยุด
“ไงครับ นะ”
“เป็นไงบ้างพี่อ๊อฟ ทำข้อสอบได้หรือเปล่า?”
เสียงที่ถามผ่านหูโทรศัพท์เจือด้วยความตื่นเต้นจนผมต้องยิ้ม ความรู้สึกอ่อนเพลียที่ตกค้างอยู่ในตัวเมื่อครู่เหมือนโดนพลังงานของอีกฝ่ายหลั่งไหลเข้ามาแทนที่จนร่างกายเบาขึ้นแทบจะทันตา ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าความรู้สึกอบอุ่นหัวใจของการมีคนคอยเป็นห่วงในเรื่องจุกจิกแบบนี้เป็นยังไง
“ก็น่าจะทำได้เพราะพี่วิวเค้าช่วยติวเข้มให้ นะล่ะติวหนังสือกับเพื่อนไปถึงไหนแล้ว?”
“ก็เกือบจบบทที่อาจารย์บอกไว้แล้ว ตอนนี้เลยพากันเบรกแล้วสั่งพิซซามากินกันก่อน ว่าแต่คืนนี้พี่อ๊อฟจะกลับหอค่ำหรือเปล่า?”
ผมยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาแล้วก็เห็นว่าเพิ่งจะบ่ายแก่ๆเท่านั้น “คงไม่ค่ำหรอก เดี๋ยวพี่กินข้าวกับเพื่อนแล้วคงกลับเลย ไม่เกินหกโมงก็น่าจะถึงหอ แล้วนะจะกลับกี่โมง”
“นะกะว่าติวกันเสร็จเมื่อไหร่ก็จะกลับ แต่เชนบอกว่าจะขับรถไปส่งให้ที่หอ...อ้าวเชน ขอบคุณนะ ที่จริงเดี๋ยวเราไปหยิบเองก็ได้”
ชื่อที่ได้ยินกระตุกความทรงจำส่วนลึกขึ้นมา ชื่อของคนที่นะเรียกคุ้นราวกับเคยผ่านหูมาก่อน แต่สถานที่ที่คนตัวเล็กบอกว่าจะไปติวหนังสือวันนี้คือบ้านของเพื่อนที่ชื่อกิ๊ฟท์นี่นา
“นะ เชนนี่ใคร?”
“หือ? ก็เพื่อนที่มาติวหนังสือด้วยกันที่บ้านกิ๊ฟท์นี่แหละ ความจริงคืนนี้คนอื่นเค้าจะค้างกันที่นี่ด้วยนะ แต่นะจะกลับหอ เชนเลยอาสาจะขับรถไปส่งเพราะเคยไปแล้วทีนึง”
“ใช่คนที่เคยมาส่งคืนที่นะเมามากๆตอนนั้นหรือเปล่า?”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด “เอ่อ...ใช่ เชนน่ะแหละ เพราะปกตินะไม่เคยให้เพื่อนไปส่งที่หอ”
คำตอบที่ได้ทำเอาต่อมโมโหพุ่งปรี๊ด ไม่ใช่ว่าผมโมโหแฟนตัวเอง แต่โมโหไอ้เด็กบ้านั่นต่างหาก
“ไม่ต้องให้เชนมาส่ง บ้านกิ๊ฟท์อยู่แถวไหน เดี๋ยวคืนนี้พี่ไปรับเอง”
“เอ๋? แต่บ้านกิ๊ฟท์ไกลหอเรามากเลยนะพี่อ๊อฟ เปลืองค่าแท็กซี่เปล่าๆ”
คนตัวเล็กแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ จะด้วยเกรงใจหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ใครจะไปยอมปล่อยแฟนตัวเองเข้าปากเสือง่ายๆกันเล่า!
“ไม่เป็นไรหรอก บอกมาแล้วกันว่าแถวไหน เดี๋ยวใกล้ถึงเมื่อไหร่พี่จะโทรหาอีกที”
ผมจดบ้านเลขที่กับถนนตามที่อีกฝ่ายบอกลงสมุดก่อนจะกำชับอีกครั้งว่าให้รอผมไปรับ ใครจะว่าเป็นโรควิตกจริตก็ยอมล่ะ ในหัวผมยังจำสายตาโลมเลียที่ไอ้หนุ่มหน้าตี๋ใช้มองนะคืนที่เราทะเลาะกันเพราะคนตัวเล็กเข้าใจผมผิดได้แม่น พอคิดว่าถ้าคืนนั้นผมไม่วิ่งลงไปขวางไว้ก่อนจะเกิดอะไรขึ้นทีหลังก็ยิ่งนึกเหม็นหน้าเพื่อนร่วมคณะของแฟนตัวเองมากเข้าไปอีก
ผมเกี่ยวสายกระเป๋าขึ้นสะพายก่อนจะตามไปสมทบเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งรออยู่ที่ร้านอาหาร เป้หันมาทักเมื่อเห็นผมเดินพ้นขอบบันไดขึ้นไปที่ชั้นสอง
“ไงวะ รอตั้งนานจนนึกว่าหนีกลับไปแล้วซะอีก”
“โทษที พอดีคุยธุระอยู่”
ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าตึง เสียงก็ห้วนทั้งที่พยายามจะทำบังคับให้เป็นปกติเพราะเป้เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัย ผมหันไปรับเมนูจากพนักงานเสิร์ฟแล้วก็จิ้มที่รูปอาหารจานเดียวแบบส่งๆไปก่อนจะหันไปมองด้านนอกร้าน หูได้ยินเสียงเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสองคุยอะไรกันแว่วๆแต่ยังไม่อยู่ในอารมณ์จะร่วมวงสนทนาด้วยเลยไม่ได้หันไปสนใจ
“เฮ้ยอ๊อฟ...อ๊อฟเว้ย...
ไอ้อ๊อฟ!”“หือ? มีอะไรวะเรียกซะดัง นั่งอยู่ใกล้กันแค่นี้” ผมสะดุ้งหันไปตามเสียงเรียกของเพื่อนตัวเองทั้งที่นั่งห่างกันแค่ระยะโต๊ะกั้น เป้มองผมอย่างระอาใจหน่อยๆ
“ก็เรียกตั้งหลายครั้งแล้วมึงไม่หันมาเองนี่ ไม่กินข้าวรึไงวะ เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก”
พอโดนทักผมถึงได้สังเกตว่าอาหารของตัวเองวางอยู่ตรงหน้า จะว่าไปตอนที่สั่งก็ไม่ทันได้ดูรูปในเมนูด้วยซ้ำว่าตัวเองชี้ภาพไหนไป เลยได้ข้าวผัดอเมริกันมาทั้งที่ผมไม่ค่อยชอบลูกเกดแท้ๆ
“อ๊อฟ เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเหม่อๆพิกล”
“เปล่าหรอกวิว พอดีเพลียเพราะเมื่อคืนอ่านหนังสือดึกน่ะ”
ผมพยายามตัดบทเพื่อไม่ให้เพื่อนทั้งสองต้องเป็นกังวลขณะเขี่ยลูกเกดออกจากข้าวผัดไปด้วย การเอาเรื่องขุ่นข้องหมองใจของตัวเองมาแบ่งปันให้เพื่อนฟังไม่ใช่นิสัยผม และโชคดีที่ทั้งสองคนก็ไม่ถามอะไรซอกแซกแม้สีหน้าจะยังแสดงอาการสงสัยพฤติกรรมของผมอยู่ก็ตาม
ขณะกำลังตักข้าวเข้าปากความคิดหนึ่งก็วาบขึ้นในหัวจนทำให้นึกอยากเสยตัวเองที่ไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้ ผมทำแบบนั้นก็ได้นี่นา ติดอยู่แต่ว่าเจ้าตัวจะให้ความร่วมมือหรือเปล่าก็เท่านั้น...
“เฮ้ยเป้ คืนนี้มีแผนจะไปไหนหรือเปล่า”
คนโดนถามเหลือบตาขึ้นจากจานข้าวตัวเองแล้วมองผมงงๆ “ก็เปล่า ว่าจะกลับไปหอกับวิว แต่หลังจากนั้นยังไม่ได้วางแผนจะไปไหน ทำไมวะ”
“งั้นก็พอดีเลย ถ้ามึงไม่ว่าอะไรกูขอยืมรถหน่อยสิ”
พอหลุดปากขอไปแล้วก็ให้กลั้นใจรอคำตอบ เป้เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นมองผมอย่างมีคำถาม
“มีอะไรหรือเปล่าวะอ๊อฟ ถ้าอยากไปไหนเดี๋ยวกูขับไปส่งให้ก็ได้นะ”
“เฮ่ย...เรื่องส่วนตัวว่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้กูอยากเป็นคนขับเองมากกว่า”
ผมอึกอัก ความจริงก็รู้ตัวดีว่าเสียมารยาทที่ไม่บอกเหตุผล แต่ถ้าไม่ยืมเพื่อนสนิทคนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปขอยืมของสำคัญแบบนี้จากใครได้อีก
“พอดีมีเรื่องจำเป็นต้องใช้จริงๆ ขอยืมแค่คืนนี้เท่านั้นแหละ ได้มั้ยวะเป้”
เป้กอดอกมองตาผมนิ่ง แต่ไม่นานใบหน้าคมก็ยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปากอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเวลานึกสนุก ตามมาด้วยประโยคที่ทำให้ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะยิ้มออกบ้าง
“ตั้งแต่ถอยคันนี้มากูยังไม่เคยยอมให้ใครแตะพวงมาลัยเลยนะ แต่เอาเถอะ นี่ให้ยืมเพราะเห็นว่าเป็นมึงหรอกนะอ๊อฟ อย่าให้รถกูมีรอยก็แล้วกัน”
++------++
หลังทานข้าวเสร็จเป้ขอพาวิวกลับหอก่อน หลังจากเลี้ยวรถเข้าเทียบหน้าหอพักขนาดความสูงสิบชั้นในย่านที่ค่อนข้างเงียบสงบกว่าหอของผม เป้ก็ดับเครื่องก่อนจะเดินลงไปหยิบของของตัวเองกับวิวออกจากกระโปรงท้ายรถแล้วหันมายื่นกุญแจให้พลางสำทับยิ้มๆ
“ยังไงเอามาคืนก่อนเที่ยงพรุ่งนี้แล้วกัน ขับรถระวังล่ะมึง”
ผมโบกมือให้ทั้งสองคนแล้วก็นึกขอบคุณที่ทั้งคู่ไม่ถามเซ้าซี้ว่าผมยืมรถไปเพื่ออะไร ทั้งที่ถ้าได้รู้แล้วอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระก็ได้ อันที่จริงผมจะนั่งแท็กซี่ไปเลยก็ได้อยู่ แต่แค่ได้ยินว่ามีผู้ชายคนอื่นอาสาจะขับรถมาส่งพ่อหนูน้อยของผมเท่านั้นเส้นประสาทก็เหมือนจะขาดผึงขึ้นมาทันที
เอาวะ ให้มันรู้กันไปว่าถึงจะไม่มีรถของตัวเองผมก็ยืมรถคนอื่นไปรับแฟนได้เหมือนกัน!
ผมเปิดประตูขึ้นนั่งที่คนขับแล้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นกดถามเส้นทางจากนะอีกรอบหนึ่ง น้ำเสียงของคนตัวเล็กที่แสดงความตื่นเต้นเมื่อได้รู้ว่าผมจะขับรถไปรับทำให้อดยิ้มไม่ได้
“ถึงถนนตัดใหม่แล้วขึ้นวงแหวน...จากนั้นเลี้ยวซ้ายตรงสะพานลอยที่สาม...แล้วพอเข้าหมู่บ้านแล้วไปยังไงต่อ...ซอยสิบเอ็ดหลังแรกทางขวามือ ได้ๆ ถ้าหาไม่เจอเดี๋ยวพี่โทรไปอีกที แล้วเจอกันครับ”
ผมกดตัดสายโทรศัพท์ก่อนจะถอยรถออกจากลานจอด โชคดีว่าปกติเวลากลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดผมจะเป็นสารถีพาแม่ไปซื้อของหรือทำธุระอยู่แล้วทำให้ค่อนข้างคุ้นกับการขับรถ ต่างกันตรงที่รถของแม่ผมเป็นรถโคโรลลาอายุการใช้งานมากกว่าสิบปี ขณะที่รถยาริสของเป้เพิ่งโดนเจ้าของถอยมาแค่ปีกว่า เวลาขับเลยอดเกร็งไม่ได้เพราะถ้าโดนเฉี่ยวเป็นริ้วรอยอะไรขึ้นมาผมคงมองหน้าเพื่อนไม่ติดแน่
แถบชานเมืองที่ผมต้องไปรับคนตัวเล็กนับว่าไกลจากมหาวิทยาลัยและหอของพวกเรามากทีเดียว หลังผ่านการจราจรที่ติดขัดกลางตัวเมืองออกมาถนนรอบนอกได้แล้วจำนวนรถก็เริ่มบางตาลง แต่ขณะเดียวกันป้ายหมู่บ้านจัดสรรหรูหราที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งมาจัดตั้งได้ไม่นานก็เพิ่มจำนวนถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผมเลี้ยวรถเข้าหมู่บ้านชื่อเดียวกับที่จดไว้ แล้วก็หาบ้านหลังที่ต้องการเจออย่างง่ายดายเพราะบริเวณด้านหน้าเต็มไปด้วยรถยนต์ที่จอดเต็มเป็นพรืดราวกับกำลังจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ขณะกำลังคิดว่าจะโทรหาคนที่มารับให้ออกมาหรือเดินเข้าไปกดกริ่งเรียกตรงๆดีโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้นราวกับรู้ใจ
“พี่อ๊อฟ ตอนนี้อยู่ไหน?”
“อยู่หน้าซอยบ้านกิ๊ฟท์นี่แหละ พอดีพี่เข้าไปหน้าบ้านไม่ได้เพราะรถจอดเต็มแล้ว แล้วนะพร้อมจะกลับหรือยัง”
“งั้นขอนะเก็บของแป๊บนึง อีกสามนาทีจะออกไป”
พอได้ยินแบบนั้นผมเลยดับเครื่องรอ ไม่นานคนตัวเล็กก็เดินกึ่งวิ่งออกมาจากรั้วบ้านแล้วส่งยิ้มกว้างให้ ผมยิ้มตอบไปพลางเปิดประตูรถฝั่งตัวเองเพื่อลงไปรับ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนที่เดินตามมาด้วย นะหันไปขอบคุณคนที่ผมเหม็นขี้หน้าเหลือแสนเมื่อเดินมาใกล้ถึงรถแล้ว
“ขอบคุณนะเชน จริงๆไม่ต้องออกมาส่งก็ได้”
“ไม่ได้หรอก ข้างในหมู่บ้านนี้ตอนกลางคืนมันเปลี่ยว ตัวเล็กๆอย่างนะเดินคนเดียวมันอันตราย”
อีกฝ่ายพูดแล้วก็วางมือลงบนบ่าบาง ผมเลยรีบจ้ำไปดึงคนตัวเล็กมาไว้ข้างตัวแล้วถลึงตาใส่ไอ้มือดีจอมฉวยโอกาสจนหมอนั่นมองกลับผมแหยงๆ
“เอ่อ...เชน นี่พี่อ๊อฟ”
นะคงงงกับการกระทำของผมอยู่บ้าง แต่ไม่ลืมหันไปแนะนำผมให้กับเพื่อนตัวเอง อาจจะเพราะพ่อหนูน้อยของผมไม่ได้ขยายความต่อว่าเราเป็นอะไรกัน อีกฝ่ายที่สูงแค่ปลายคางผมเลยมองผมกลับหัวจดเท้าแล้วก็ยิ้มเหยียดๆ
“อ๋อ พี่ข้างห้องของนะใช่มั้ย สนิทกันดีนี่ ความจริงไม่น่าต้องลำบากมาเลยนะ เดี๋ยวเราพานะกลับไปส่งเองก็ได้”
“ไม่เป็นไร ยังไงพี่มีหน้าที่ดูแลนะอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนอื่นหรอก”
ผมโต้กลับไปทันควันพร้อมกับเน้นเสียงคำว่า
“คนอื่น” ช้าๆชัดๆ รู้สึกสะใจขึ้นมาหน่อยเมื่อเห็นคนตรงหน้าขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แต่แล้วไอ้ตัวมารกวนอารมณ์ก็หันไปยิ้มให้คนที่ผมโอบไหล่ไว้แทน
“งั้นก็ช่างเถอะ ว่าแต่ปาร์ตี้ฉลองสอบเสร็จที่บ้านเชนคืนพรุ่งนี้ นะจะไปด้วยใช่มั้ย”
“พรุ่งนี้...คือว่าเรา...”
“ขอบคุณที่ชวน แต่พรุ่งนี้นะต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดตอนเย็น ไม่ว่างไปปาร์ตี้”
ผมรีบตอบแทนคนตัวเล็กที่ยังอึกอักอยู่จนโดนเจ้าของคำชวนมองกลับตาขวางอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องเหลือบตาลงมองคนข้างตัวเมื่อรู้สึกว่าโดนกระตุกเบาๆที่ชายเสื้อ
“อะไรครับ”
“เรากลับกันดีกว่าพี่อ๊อฟ มันดึกแล้ว” คนตัวเล็กว่าก่อนจะหันไปหาเพื่อนตัวเอง “ขอโทษนะเชนที่พรุ่งนี้เราคงไปไม่ได้ เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน”
หน้าตาที่ดูมีความหวังเมื่อกี้สลดแทบจะทันที ผมพ่นหัวเราะออกทางจมูกทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้คนตัวเล็กขึ้นรถ แต่ท่าทางคนที่ตามมาส่งจะไม่สำเหนียกเสียทีว่าตัวเองหมดหน้าที่แล้วเลยเดินมาเคาะกระจกฝั่งของนะ พอคนตัวเล็กเลื่อนกระจกลงไอ้หน้าตี๋ก็ทำยิ้มร่าเริงใส่
“เรื่องคืนพรุ่งนี้ไม่เป็นไรหรอก ยังไงคืนนี้นะกลับไปนอนพักผ่อนให้เต็มที่แล้วกัน แล้วก็อย่าลืมที่เราติวให้ล่ะ พรุ่งนี้จะได้ทำข้อสอบได้คะแนนดีๆ”
“อื้อ เชนก็ไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ขอบคุณมาก”
“คุยธุระกันเสร็จหรือยัง”ผมอดไม่ไหวต้องสอดขึ้นเมื่อเห็นว่าบทร่ำลาของทั้งสองคนดูจะไม่สิ้นสุดเสียที นะหันกลับมามองผมก่อนจะหันไปโบกมือลาเพื่อน ผมเลยปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วกระชากเกียร์ออกรถอย่างแรง อดคิดไม่ได้ว่าถ้าล้อรถทับเท้าไอ้เด็กเปรตนั่นได้คงสะใจพิลึก
เราออกจากหมู่บ้านหรูชานเมืองมาได้สักพักแต่ภายในรถเงียบจนน่าอึดอัด นะคงสังเกตอาการผมออกเลยหันมาถาม
“พี่อ๊อฟ เป็นอะไร?”
“เปล่า”
ผมเผลอตอบเสียงห้วน แต่แล้วก็รู้สึกตัวเลยรีบพูดต่อ “พี่แค่เพลียนิดหน่อย ไม่มีอะไร”
คนข้างตัวเงียบไป ผมเลยพยายามชวนคุยบ้าง “นะรู้จักกับเชนมาก่อนเข้าเรียนที่นี่หรือเปล่า?”
“หือ? เปล่า...เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ที่คณะนี่แหละ เชนเค้าหัวดี เลยคอยติวหนังสือให้นะบ่อยๆ”
คำพูดแสดงความชื่นชมทำให้ผมอดน้อยใจไม่ได้ โชคไม่ดีที่ผมดันไม่รู้เรื่องเนื้อหาของคณะที่แฟนตัวเองเรียนอยู่จนถึงขั้นจะอาสาเป็นคนติวให้เองเสียด้วย
“หลังจากนี้สนิทกับหมอนั่นน้อยลงได้ไหม”
นะหันขวับมามองผมทันทีที่จบประโยค แต่ผมพยายามบังคับสายตาให้อยู่กับถนน
“ทำไมล่ะพี่อ๊อฟ เชนก็เพื่อนของนะ ทำไมต้องห้ามสนิทด้วยล่ะ”
ผมเหลือบมองคนข้างตัวแล้วก็ตัดสินใจหักพวงมาลัยเข้าจอดใกล้กับปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งเพราะท่าทางคงต้องคุยกันยาว พอบิดกุญแจดับเครื่องเสร็จก็หันไปสบนัยน์ตากลมโตที่เต็มไปด้วยความสงสัยตรงๆ
“นี่นะดูไม่ออกจริงๆเหรอว่าตัวเองโดนไอ้หมอนั่นมองแบบไหน”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น “มองแบบไหน? เชนเค้าไม่ได้มาจีบนะสักหน่อย พี่อ๊อฟคิดมากเกินไปแล้ว”
“หึ แววตาส่อออกขนาดนั้นเนี่ยนะไม่ได้จีบ นะจำได้มั้ยว่าตัวเองเกือบไปกับมันเมื่อตอนที่เมามากกลับมาหนโน้นน่ะ ถ้าพี่ไม่ไปตามเรากลับขึ้นห้องก่อนจะโดนพาไปทำอะไรก็ไม่รู้”
พ่อหนูน้อยของผมทำสีหน้าไม่เข้าใจ แต่แล้วไม่นานก็ทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกตามได้ “พี่อ๊อฟจะบอกว่า... แต่เชนมีแฟนแล้วนะ”
ข้อมูลใหม่ที่ได้รู้ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดหนักเข้าไปใหญ่ มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วยังจะมาทำท่าก้อร่อก้อติกใส่คนอื่นอีก!?
“เชนจะมีแฟนหรือยังพี่ไม่รู้ แต่พี่เชื่อว่าสายตาแบบนั้นน่ะเจตนาไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าหากนะจะโกรธเพราะพี่เป็นห่วงเราพี่จะได้รู้ไว้”
ผมพูดจบก็เปิดประตูแล้วออกมายืนพิงท้ายรถเพื่อสงบอารมณ์ ลมที่พัดตึงจากการไม่มีตึกสูงกีดขวางของย่านชานเมืองทำให้หัวเย็นลงบ้าง สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินมายืนข้างๆ
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาก่อนเป็นครู่ใหญ่
“พี่อ๊อฟ โกรธเหรอ”
เสียงถามอ่อยๆทำให้ผมเริ่มรู้สึกผิดที่เผลอขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายเมื่อครู่ แต่ทิฐิบางอย่างทำให้เอ่ยย้อนกลับไปโดยที่ยังไม่ยอมหันไปสบตา
“พี่มีสิทธิ์โกรธที่ไหนล่ะ นะต่างหากที่โกรธพี่”
“นะไม่ได้โกรธ แค่ไม่เข้าใจ พี่อ๊อฟไม่เคยเป็นแบบนี้นี่”
เสียงเครือท้ายประโยคทำให้ผมหันกลับไปมองอย่างตกใจ แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนโดนใครเอาของหนักๆทุบหัวเมื่อเห็นว่านัยน์ตากลมโตกำลังมีน้ำตาคลอหน่วย ริมฝีปากแดงเม้มแน่นและสั่นน้อยๆเหมือนคนที่กำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อยู่
“นะ! ไม่เอาอย่าร้องไห้สิ พี่ขอโทษ”
ผมรีบจูงมือคนตัวเล็กเข้าไปนั่งที่เบาะหลังด้วยกันแล้วก็ดึงร่างที่กำลังสะอื้นเข้ามากอด ไม่รู้เลยว่าการเอาแต่ใจของตัวเองที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่จะทำให้คนตัวเล็กลำบากใจขนาดนี้
“นะครับ พี่ขอโทษ พี่ไม่อยากให้คนอื่นมาอยู่ใกล้ๆนะตอนที่พี่ไม่ได้อยู่ด้วยเลยลืมคิดถึงความรู้สึกของเราไป พี่อ๊อฟผิดเอง หยุดร้องเถอะนะ”
ร่างเล็กที่สั่นเพราะแรงสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนทำให้ปวดแปลบที่หัวใจ ความจริงผมไม่ควรทำให้นะต้องไม่สบายใจเลย อีกฝ่ายมีสอบวันพรุ่งนี้แท้ๆ ตอนนี้ผมควรพาอีกฝ่ายกลับไปพักผ่อนโดยไม่ให้มีเรื่องอะไรกวนใจถึงจะถูก แต่กับเรื่องแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากลงโทษตัวเองมากขึ้นทุกที
คนในอ้อมแขนไม่ยอมพูดอะไรตอบเป็นนาน มีเพียงเสียงสูดน้ำมูกที่เล็ดลอดออกมาเป็นระยะกับอาการสั่นที่สัมผัสได้จนผมต้องกระชับวงแขนแน่นขึ้นแล้วลูบหลังบางขึ้นลงไปมา สักพักมือเรียวสองข้างก็ดันมาที่อกก่อนใบหน้าชุ่มน้ำตาจะแหงนขึ้นมองผม
“พี่อ๊อฟนี่หึงไม่เข้าเรื่องจริงๆเลย”
ใบหน้าหวานส่งยิ้มเจือจางให้ทั้งที่คราบน้ำตายังติดอยู่ที่แก้ม ผมใช้ปลายนิ้วกรีดหยาดน้ำจากแก้มใสก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อเบาๆ
“พี่ขอโทษ จะไม่ให้หึงได้ไง นะมีอยู่คนเดียว ถ้าใครขโมยไปพี่จะไปหาอีกได้จากที่ไหน”
พอได้ยินผมพูดแบบนั้นคนตัวเล็กก็หัวเราะออกมา “ใครจะยอมให้ตัวเองโดนขโมย พี่อ๊อฟจำอัลบัมรูปที่นะเคยเอาให้ดูไม่ได้เหรอ คนที่นะยอมให้ก็มีแต่คนนั้นคนเดียวแหละ”
คำพูดเอาใจแบบนั้นทำเอาผมหุบยิ้มไม่อยู่ สองแขนรวบร่างเล็กมากอดแน่นจนโดนคนในอ้อมแขนทุบอกประท้วง
“พี่อ๊อฟ! จะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”
เสียงตัดพ้อทำให้ผมหัวเราะก่อนจะคลายวงแขนออกแล้วโอบอีกฝ่ายไว้หลวมๆแทน “ขอโทษที ก็ใครใช้ให้แฟนพี่น่ารักแบบนี้ล่ะ คราวนี้ทีหลังอย่าไปอยู่ใกล้ๆไอ้หมอนั่นสองต่อสองอีกนะ หรือถ้ามีใครทำท่าจะเข้ามาสนิทสนมด้วยแบบไม่น่าไว้ใจก็ต้องรีบเล่าให้พี่ฟัง เข้าใจมั้ย”
นัยน์ตาหวานช้อนขึ้นมองตาผมขณะใช้อุ้งมือข้างหนึ่งเช็ดหน้าตัวเองไปด้วย ผมเลยหยิบทิชชู่จากกล่องหลังรถขึ้นซับคราบน้ำตากับน้ำมูกให้แทน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังปลอบเด็กตัวเล็กๆอยู่ แต่ถ้าเด็กคนนั้นคือคนที่ได้หัวใจผมไปก็ไม่เป็นไรหรอก
“นะจะไปรู้หมดได้ไงว่าใครเข้ามาแบบไหน แต่ของเชนคงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ จะทำตามที่พี่อ๊อฟบอกก็แล้วกัน”
ท้ายประโยคคนตัวเล็กมองค้อนผมงอนๆ ริมฝีปากอิ่มแดงยื่นออกเหมือนเด็กที่ขัดใจเพราะถูกบังคับดึงดูดให้ก้มลงจูบเร็วๆด้วยความมันเขี้ยว “ถ้างั้นก็ดีแล้ว เอาเป็นว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า คราวหลังพี่อ๊อฟจะไม่ใช้อารมณ์แบบนี้อีกแล้ว นะก็หายโกรธพี่นะครับ”
ใบหน้าหวานหันไปมองปั๊มน้ำมันข้างหน้าแล้วก็หันกลับมาหาผมด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
“หายโกรธก็ได้ ถ้าพี่อ๊อฟยอมเลี้ยงไอติมก่อนกลับหอ ให้ได้มั้ยล่ะ”
น้ำเสียงหลอกล่ออย่างเด็กเจ้าเล่ห์ทำให้ผมอดหัวเราะแล้วลูบผมนิ่มเล่นไม่ได้ “เอ้า เอาก็เอา ความจริงกินของหวานตอนดึกไม่ดีหรอกนะ แต่คืนนี้ยอมให้ก็ได้”
ผมรีบตอบเอาใจเพราะอยากให้คนตัวเล็กรู้สึกดี ตอนนี้ถ้าโดนขออะไรผมก็พร้อมให้ได้หมดแลกกับการที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียน้ำตา ทั้งที่เคยคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากเห็นคนตัวเล็กร้องไห้ แต่สุดท้ายก็กลับเป็นตัวเองที่เป็นต้นเหตุ นึกแล้วก็อยากเตะตัวเองหลายๆทีให้สาสมจริงๆ
เราสองคนลุกกลับที่นั่งก่อนที่ผมจะขับรถเลี้ยวไปจอดหน้าร้านไอศกรีมในปั๊มน้ำมัน เราสั่งซันเดย์ถ้วยใหญ่มาทานด้วยกันสองคน นัยน์ตากลมโตยังแดงช้ำหน่อยๆแต่รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าหวานทำให้ผมเบาใจลงบ้าง โชคดีว่าในเวลาใกล้ปิดร้านแบบนี้ไม่มีลูกค้าคนอื่นผมเลยถือโอกาสกุมมือคนตัวเล็กได้ตลอดเวลา แถมบังคับป้อนไอศกรีมให้อีกฝ่ายได้อีกต่างหาก
พอกลับมาถึงห้องปุ๊บพ่อหนูน้อยของผมก็หลับไปแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอนหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ อาจเป็นเพราะเพลียกับการติวหนังสือมาตลอดทั้งวัน แถมก่อนกลับยังต้องมาทะเลาะกับผมให้เสียพลังงานเพิ่มอีก
ผมจัดการปิดไฟในห้องจนเหลือแค่โคมไฟหัวเตียงก่อนจะกลับมานั่งข้างร่างเล็กบนฟูกนุ่ม รอบดวงตาที่หลับพริ้มมีร่องรอยบวมช้ำจางๆ ถึงแม้จะรู้ดีว่ารอยช้ำนั้นจะหายไปในวันรุ่งขึ้น แต่ความสำนึกผิดในใจว่าตัวเองเป็นสาเหตุก็ไม่ได้น้อยลงเลย ผมก้มลงแตะริมฝีปากบนเปลือกตาที่ปิดสนิทช้าๆก่อนจะกระซิบเสียงเบาแม้รู้ดีว่าคนฟังจะไม่ได้ยินก็ตาม
"คราวนี้พี่อ๊อฟไม่ดีเอง แต่ต่อไปจะไม่ยอมให้คนสำคัญของพี่ต้องร้องไห้เพราะพี่แล้วนะครับ"++------++