ตอนที่ 7: เปิดตัว เปิดใจ
“ไงเป้ หายป่วยแล้วเหรอวะ”
ผมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะม้าหินที่เพื่อนผมนั่งกับแฟนประจำแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม คนถูกถามเพียงเหลือบตาขึ้นมองผมนิดหนึ่งก่อนจะก้มลงอ่านปึกซีร๊อกซ์เลคเชอร์ต่อ นานๆทีผมจะเห็นเพื่อนทำท่าสนใจการเรียนสักที แต่ปกติเป้ก็หัวดีอยู่แล้วไม่งั้นตอนเอ็นท์คงไม่ได้คะแนนอันดับต้นๆของคณะ
“สบายมาก ได้พยาบาลดีซะอย่าง”
น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ทำให้ผมกลอกตาเพราะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนพูดถึงใคร จะว่าไปตั้งแต่มาถึงผมยังไม่เห็นแฟนเพื่อนเลย
“วิวไปไหนล่ะ”
“ไปซื้อเครื่องเขียนที่ศูนย์หนังสือ เดี๋ยวคงมา”
“อ้อ”
ผมออกเสียงรับรู้ก่อนจะเปิดฝากระป๋องกาแฟเย็นขึ้นดื่มแล้วเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ผมมองเพื่อนที่ก้มอ่านเลคเชอร์อยู่แล้วก็ให้นึกสงสัยว่าวิวเล่าเรื่องผมกับนะให้เป้ฟังหรือยัง แล้วผมควรจะเปิดประเด็นตอนไหนดีเพราะยังไม่ได้ถามนะเลยว่าพร้อมจะให้ผมพามาแนะนำกับเพื่อนเมื่อไหร่
“มีอะไรที่กูควรจะรู้มั้ยอ๊อฟ”
คำถามที่ดังขึ้นตรงจังหวะกับความคิดในหัวทำเอาผมสะดุ้ง หรือว่าวิวจะเล่าไปแล้ว?
“เฮ่ย อยู่ๆก็ถามกันเลยเหรอ กูยังไม่ได้เตรียมใจเลยมึง”
เป้ละสายตาจากเลคเชอร์ขึ้นมองผมแล้วก็ขมวดคิ้ว
“ความจริงกูก็ตั้งใจจะบอกมึงเร็วๆนี้อยู่แล้วแหละ แต่ว่านะเค้าขี้อาย กูเลยยังไม่ได้ถามว่าเค้าพร้อมจะให้กูพามาแนะนำหรือยัง”
“เดี๋ยวนะอ๊อฟ กูแค่จะถามว่า FN331 อาจารย์สั่งงานวันที่กูหยุดรึเปล่า พอดีวิชานั้นวิวไม่ได้ลงด้วยเลยไม่รู้ แล้วนี่มึงพูดเรื่องอะไรของมึงเนี่ย”
เราสองคนเงียบไปแล้วก็มองหน้ากันอย่างงงๆ
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่วิวยังไม่ได้เล่าให้มึงฟังเหรอ กูก็นึกว่ามึงถามเรื่องของนะซะอีก”
“นะไหน วิวยังไม่เห็นเล่าอะไรให้กูฟังเลย”
จบประโยคของเป้คนที่พูดถึงก็มาพอดี แฟนเพื่อนผมมองหน้าเราสองคนสลับกันไปมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง
“วิวมาขัดจังหวะหรือเปล่า ทำไมทั้งสองคนทำหน้าแปลกๆ”
“วิว อ๊อฟมันมีความลับอะไรที่วิวรู้แล้วไม่บอกเป้ด้วยเหรอ”
วิวกระพริบตาแล้วก็หันมามองผม ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มก่อนจะหันกลับไปตอบแฟนตัวเอง
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเอง ก็วิวคิดว่าอ๊อฟคงอยากเล่าให้เป้ฟังเองมากกว่า ยังไงถ้ากำลังคุยกันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ถามอ๊อฟไปเลยสิ”
“เฮ่ย...ตกลงวิวยังไม่ได้บอกเป้มันจริงๆอะ?”
คนถูกถามส่ายหน้า นัยน์ตาบ่งบอกว่าไม่ได้โกหกจริงๆ เป้เลยท้วงแฟนตัวเองเสียงงอนจนผมหมั่นไส้
“อะไรเนี่ย เดี๋ยวนี้มีเรื่องที่ไม่ยอมบอกเป้ด้วยเหรอครับ”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวของอ๊อฟก็ต้องให้อ๊อฟเล่าเองสิ จะงอแงทำไม”
“ก็เกริ่นๆกันหน่อยก็ได้นี่”
ผมเริ่มเวียนหัวกับบทสนทนาที่วนไปมาเหมือนงูกินหางเลยรีบเบรกเสียเอง “ใจเย็นเป้ กูเข้าใจผิดเองที่นึกว่ามึงถามเรื่องนะ ไม่ต้องไปว่าวิวเลย”
“กูไม่ได้ว่าวิว กูแค่ทักขึ้นมาเฉยๆ”
เพื่อนผมหันมามองผมหน้าเครียด เป้เคยยอมเสียที่ไหนถ้าหากมีใครมาว่าแฟนตัวเองหรือหาว่าเป้ดูแลแฟนไม่ดี ผมเลยยกมือทำท่ายอมแพ้เพื่อตัดปัญหา
“ครับๆคุณชาย ผมผิดเองที่ใช้คำไม่ดูตาม้าตาเรือ ข้าน้อยสมควรตาย แค่นี้พอไหมครับ”
เป้ยังทำตาดุ แต่แล้วใบหน้าคมก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์แบบคนที่รู้ความลับสุดยอดที่คนอื่นไม่รู้จนผมเริ่มระแวง
“แล้วตกลง หนุ่มน้อยหน้าใสที่มึงเดินจูงมือแถวป้ายรถเมล์เมื่อเช้านั่นใคร พอจะเล่าให้กูฟังได้มั้ยอ๊อฟ”
ผมอ้าปากค้าง แต่วิวกลั้นหัวเราะจนไหล่กระเพื่อม
“โทษทีนะอ๊อฟ เราไม่ได้เล่าเรื่องวันนั้นจริงๆนะ แต่พอดีเมื่อเช้าเป้ขับรถผ่านป้ายหน้ามหา’ลัยพวกเราเลยเห็นอ๊อฟกับน้องเค้าพร้อมกันเลย ยังไงเล่าให้เป้ฟังตอนนี้เลยก็ได้มั้ง”
++------++
สรุปแล้ว ตอนเย็นหลังเลิกเรียนวันนั้นผมก็นัดทานข้าวเย็นกับเป้และวิวพร้อมให้สัญญาว่าจะพานะมาแนะนำให้รู้จักจนได้ ตอนแรกคนตัวเล็กก็อิดออดอยู่บ้างหลังจากผมเล่าแผนการของช่วงเย็นให้ฟัง แต่พอได้รู้ว่าเพื่อนผมก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันเลยยอมตกลงแต่โดยดี
ร้านอาหารที่พวกเรานัดกันเป็นร้านอาหารแนวอิตาเลียนฟิวชันเล็กๆซึ่งดัดแปลงจากบ้านเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ผนังรอบด้านที่กรุกระจกทำให้ร้านดูโปร่งและสบายตา เนื่องจากช่วงเย็นต่อหัวค่ำแบบนี้ยังไม่มีลูกค้าคนอื่น และพนักงานเสริฟที่มีไม่กี่คนก็อยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านในกันหมดเพราะผมบอกไปว่าจะรอเพื่อนมาก่อนจึงจะสั่งอาหาร ทั้งร้านจึงเหมือนมีเพียงผมกับนะที่นั่งฟังเสียงดนตรีคลอเบาๆกันอยู่สองคน
พ่อหนูน้อยดูจะตื่นเต้นกับการจะได้พบเพื่อนผมจนนั่งยุกยิกอยู่ไม่สุขตลอดเวลา เดี๋ยวก็หยิบป้ายเมนูที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาพลิกอ่านแล้วอ่านอีก เดี๋ยวก็พับกระดาษทิชชูบนโต๊ะเล่นจนหมดแก้ว เดี๋ยวก็นั่งโยกเก้าอี้ ผมเลยตัดปัญหาด้วยการจับมือของคนที่นั่งข้างตัวขึ้นมากุมไว้ข้างหนึ่งเผื่อจะทำให้สงบลงได้บ้าง
“มานะเป็นอะไรครับ วันนี้ซนจังนะเรา”
นัยน์ตาหวานช้อนขึ้นมองผมแล้วก็ก้มลงมองแก้วชอกโกแลตเย็นของตัวเองพลางเอาหลอดคนไปเรื่อยๆแต่ไม่ได้ตอบ ผมเลยเหลือบขึ้นมองเข้าไปในร้านว่าพนักงานไม่ได้มองพวกผมอยู่ก่อนจะก้มลงหอมแก้มนิ่มของคนข้างตัวเร็วๆ
“เอ้า ตกลงเป็นอะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าเครียดที่จะมาเจอเพื่อนพี่น่ะ”
คราวนี้คนโดนแหย่หันมาค้อนผมหน้าแดงก่อนจะสะบัดหน้าพรืด ผมมองแก้มป่องๆนั่นแล้วก็ต้องยิ้มขำเพราะดูแล้วมันเขี้ยวน่าจิ้มเล่นเป็นบ้า แต่ไม่รู้ถ้าทำเข้าจริงๆจะโดนโวยใส่หรือเปล่า
“ก็เพื่อนพี่อ๊อฟ แต่นะไม่ได้รู้จักเค้ามาก่อนนี่ ไม่รู้ว่าจะโดนมองแบบไหนนี่นา”
เสียงงอนๆของคนที่พูดโดยไม่ยอมหันมามองหน้าทำให้ผมอมยิ้ม
“อย่าไปกังวลสิ นะเป็นแบบนี้แหละดีแล้วรู้มั้ย”
ผมยกมือขึ้นบีบต้นคอเรียวด้านหลังเบาๆเผื่อจะช่วยให้นะผ่อนคลายลงบ้าง แต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวทำท่าจั๊กกะจี้พลางย่นคอหนีจนผมต้องหัวเราะ ก็ถ้านะไม่เป็นแบบนี้มีเหรอผมจะหลงขนาดนี้ พอนึกถึงที่วิวเคยทักว่าดูไม่ออกว่าผมชอบสไตล์แบบนี้ก็ต้องเห็นด้วยขึ้นมา ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบคนท่าทางเด็กๆแบบนี้มาก่อนจริงๆน่ะแหละ
เสียงประตูเปิดทำให้ผมกับนะหันไปมองพร้อมกันแล้วก็พบว่าเป้กับวิวมาถึงร้านแล้ว พอคนตัวเล็กเห็นเพื่อนผมทั้งสองคนก็ขยับเก้าอี้มานั่งเบียดผมทันที
“โทษทีว่ะอ๊อฟ มัวไปเลื่อนรถอยู่เลยมาช้าไปหน่อย”
เป้เอ่ยขึ้นก่อนแล้วก็หันไปส่งสัญญาณขอเมนูจากพนักงาน วิวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับนะ ท่าทางแฟนเพื่อนผมจะสังเกตอาการของคนข้างตัวผมออกเลยยิ้มให้ก่อนจะทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีครับ น้องนะใช่มั้ย ได้เจอกันซักทีเนอะ”
ผมกระทุ้งไหล่คนที่นั่งเบียดผมเบาๆ “นะครับ นี่พี่วิว เรียนอยู่คณะเดียวกับพี่ ส่วนคนนี้ชื่อพี่เป้ เป็นเพื่อนสนิทพี่ที่เอก”
“แล้วก็เป็นแฟนพี่วิวด้วยครับ”
เป้แนะนำตัวเองต่อแบบไม่ให้เสียจังหวะเลยโดนวิวมองเหล่แบบยิ้มๆ นะยกมือไหว้ทั้งสองคนแล้วก็ลดมือลงมาจับมือผมเหมือนเดิม พนักงานเสริฟเดินเข้ามาพร้อมเมนูเมื่อเห็นว่าพวกผมนั่งกันเรียบร้อยแล้วเราสี่คนเลยง่วนกับการสั่งอาหารอยู่ครู่หนึ่ง
ระหว่างนั่งรออาหารเป้นั่งกอดอกพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบคาง นัยน์ตาก็จับจ้องคนข้างตัวผมด้วยใบหน้าครุ่นคิด ผมเห็นนะเหลือบตาขึ้นมองเพื่อนผมแล้วก็ก้มหลบสายตาเป็นระยะจนวิวต้องทักขึ้นมา
“เป้ ทำไมไปจ้องน้องเค้าอย่างนั้นล่ะ เสียมารยาทนะ”
คนถูกทักหันไปมองหน้าแฟนตัวเองแล้วก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งรู้ตัว
“หือ? อ้อโทษที พอดีได้เห็นใกล้ๆแล้วรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอกันมาก่อน นะเรียนจบมาจากที่ไหนครับ”
นะบอกชื่อโรงเรียนมัธยมที่จบมาซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับผมที่ต่างจังหวัดแล้วเป้ก็ขมวดคิ้ว
“แปลกจัง แต่พี่ว่าพี่เคยเจอนะที่ไหนมาก่อนแน่ๆ”
“มึงเดินสวนนะที่มหา’ลัยเลยคุ้นหน้าหรือเปล่า ยังไงคณะพวกเราก็อยู่ใกล้ๆกัน”
ผมเสนอความเห็นเผื่อจะคลายข้อสงสัยได้ แต่เพื่อนผมก็ยังส่ายหน้า
“ไม่น่าใช่ ถ้าแค่เดินสวนกูไม่รู้สึกคุ้นงี้หรอก งั้นนะเคยไปซัมเมอร์หรือเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศหรือเปล่า”
คราวนี้คนที่นั่งเบียดผมอยู่สะดุ้งหน่อยๆ นะก้มหน้าตอบงึมงำเสียงเบาผมเลยพูดซ้ำให้ คราวนี้เป้ดีดนิ้วทำตาโต
“นึกออกแล้ว น้องมานะที่ไปแลกเปลี่ยนตอนม.ปลายรุ่นหลังพี่สองปีนี่เอง เคยเจอกันที่ค่ายปฐมนิเทศ มิน่าถึงได้คุ้นหน้า ตอนนั้นทำเพื่อนพี่ช้ำในเลยนะเรา”
เป้พูดแล้วก็หัวเราะขำ ผมกับวิวมองหน้ากันอย่างงงๆ ส่วนนะเปลี่ยนมาดึงชายเสื้อผมแล้วก้มหน้างุด แต่หน้าใสๆแดงก่ำไปถึงหูแล้ว
“ตอนนั้นมีอะไรเหรอ”
วิวถามขึ้นอย่างสงสัย เป้เลยหันไปมองแฟนตัวเองยิ้มๆก่อนจะพยักหน้ามาทางคนตัวเล็กข้างผม “ก็ปกติพวกเด็กแลกเปลี่ยนที่ได้ตอบรับแล้ว ทางโครงการจะจัดค่ายปฐมนิเทศให้โดยให้พวกศิษย์เก่ามาช่วยให้คำแนะนำ พอดีเป้เป็นประธานรุ่นก็เลยกลับไปช่วยดูด้วย ตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงชื่อไอ้เบนซ์ มันชอบนะตั้งแต่เจอกันทีแรกเลยหาทางจีบทุกวิถีทาง เวลาเล่นเกมที่ต้องถึงเนื้อถึงตัวก็แต๊ะอั๋งน้องเค้าใหญ่แต่นะไม่เล่นด้วยสักที ทีนี้คืนสุดท้ายแต่ละกลุ่มต้องมีการแสดง เบนซ์มันก็ขึ้นไปร้องเพลงประกาศจีบน้องเค้าบนเวทีจนคนทั้งค่ายกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แต่พอมันเดินลงมาปุ๊บนะก็ลุกไปบนเวทีแล้วคว้าไมค์มาประกาศว่าตัวเองมีแฟนแล้วแถมเท่ห์กว่าไอ้เบนซ์ร้อยเท่า เล่นเอามันหน้าแหกไปเลย”
ผมอ้าปากค้างแล้วก็หันไปมองนะที่เหลือบตากลมโตและหน้าที่แดงก่ำขึ้นมองผมก่อนจะก้มหน้าลงไปใหม่ด้วยความเขิน คนขี้อายอย่างนี้น่ะเหรอจะกล้าทำอะไรแบบนั้น
“คนที่เข้าค่ายครั้งนั้นเห็นเหตุการณ์กันทุกคน ทุกวันนี้เรื่องนี้ก็ยังเป็นมุกที่รุ่นพี่เล่าให้รุ่นน้องฟังต่อๆกันอยู่เลย”
เป้พูดไปแล้วก็หัวเราะไป ผมเลยเอื้อมมือไปกอดไหล่คนตัวเล็กแล้วดึงเข้าหาตัวก่อนจะปรามเพื่อนเพราะแค่นี้ก็ท่าทางแฟนผมจะอายจนแทบมุดดินหนีแล้ว
“พอได้แล้วมึง ขุดคุ้ยซะแฟนกูเขินหมดแล้ว ตกลงกูพานะมาแนะนำนะโว้ยไม่ได้เอามาให้มึงเผา”
“ขอโทษที แต่นึกถึงแล้วมันอดไม่ได้จริงๆว่ะ น้องนะอย่าโกรธพี่นะครับ”
เจ้าเพื่อนตัวป่วนพูดแล้วยิ้มทะเล้นจนคนนั่งข้างๆต้องถองศอกเข้าที่เอว “พอได้แล้วเป้ นะไม่ต้องไปสนใจนะ พี่รับรองว่าถ้าพี่เป้ยังไม่เลิกพูดอีกเดี๋ยวเจอดีแน่”
ท้ายประโยคคนพูดหันไปทำตาดุใส่เพื่อนผม แต่เจ้าตัวกลับยิ้มตอบเหมือนไม่รู้สึกรู้สา
“โอเค ไม่พูดแล้วก็ได้ครับ เดี๋ยวคืนนี้โดนแฟนไล่ให้กลับไปนอนที่บ้านล่ะเซ็งแน่เลย”
ผมได้ยินเสียงกึกกักจากใต้โต๊ะ ไม่รู้ว่าสองคนตรงข้ามผมทำอะไรกันแต่วิวหันไปมองแฟนตัวเองตาเขียวทั้งที่หน้าแดง ส่วนเป้ก็ยิ้มหวานอ้อนแฟนตัวเองเหมือนลืมว่าพวกผมนั่งอยู่ด้วยจนผมต้องส่ายหน้า ตกลงนี่จะให้ผมพานะมาแนะนำหรือพามาดูพวกตัวเองสวีทกันแน่เนี่ย
หลังทานอาหารเย็นเสร็จพวกเราทั้งสี่คนไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตรงป้อมเก่าริมแม่น้ำฆ่าเวลาต่ออีกนิดหน่อย สายลมอ่อนๆที่โชยมาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วกำลังเย็นสบาย ตรงส่วนที่เป็นลานกว้างริมแม่น้ำมีคนมาออกกำลังกายและนักท่องเที่ยวนั่งพักผ่อนกันประปราย ผมค่อนข้างโล่งอกที่นะเข้ากับเพื่อนๆผมได้ดีแม้จะยังดูประหม่าอยู่บ้าง คงเพราะบุคลิกที่ดูคล้ายเด็กของเจ้าตัวทำให้ใครๆที่ได้รู้จักนะก็ให้ความเอ็นดูได้ไม่ยาก ผมมองนะที่ยิ้มแย้มเวลาคุยกับเพื่อนผมทั้งสองคนแล้วก็ต้องยิ้มตามไปด้วย เจ้าตัวจะรู้บ้างไหมนะว่าตัวเองมีเสน่ห์แค่ไหนทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรนอกจากการเป็นตัวของตัวเองเลย
++------++
“พี่อ๊อฟ งั้นขอนะอาบน้ำก่อนนะ”
“อื้อ”
ผมวางกุญแจห้องหลังตู้วางรองเท้าขณะที่คนตัวเล็กคว้าเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อตอนเย็นหลังพวกเราเดินเล่นกันจนได้เวลาสักพักเป้อาสาจะขับรถมาส่งผมกับนะ แต่ผมปฏิเสธเพราะถ้าเรียกแท็กซี่จากแถวป้อมจะกลับถึงหอผมได้เร็วกว่า แล้วอีกอย่างหอของวิวก็อยู่คนละทางกับผมด้วย
ผมเลื่อนบานหน้าต่างกระจกให้ลมเย็นภายนอกได้ผ่านเข้ามา ข้าวของส่วนใหญ่ของนะได้รับการขนย้ายมาห้องผมเกือบหมดแล้ว แต่เนื่องจากผมเองยังไม่มีเวลาเคลียร์ห้องตัวเอง ของบางอย่างของนะเลยยังต้องอยู่ในกล่องไปก่อน สงสัยช่วงปีใหม่คงได้มีโปรแกรมทำความสะอาดกันยาว
ผมหยิบกีตาร์มานั่งดีดเล่นฆ่าเวลาเพราะไม่นึกอยากดูโทรทัศน์ อยู่ดีๆก็นึกถึงเรื่องวีรกรรมของนะที่เป้เล่าให้ฟังขึ้นมา จะว่าไปก็น่าสงสารเจ้าคนชื่อเบนซ์ที่โดนนะหักอกต่อหน้าเพื่อนๆอยู่เหมือนกัน แต่พอนึกภาพที่คนตัวเล็กข่มความอายขึ้นไปพูดปฏิเสธออกไมค์บนเวทีแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ถึงตอนนั้นนะจะยังไม่น่ารักเท่าตอนนี้ แต่ก็โทษเจ้าเบนซ์นั่นไม่ได้หรอกที่จะมาหลงชอบ
ทว่าพอคิดถึงเรื่องที่นะประกาศออกไมค์ว่ามีแฟนที่เท่ห์กว่าหมอนั่นเป็นร้อยเท่าแล้วก็ให้นึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะโกรธคนในอดีตที่ได้คบกับนะช่วงที่ตัวเองไม่ได้สนใจอีกฝ่ายก็ตาม แต่ก็อดเคืองขึ้นมาไม่ได้ว่าไอ้หมอนั่นเป็นใคร นะไปรู้จักด้วยตั้งแต่ตอนไหนและคบกันจนถึงเมื่อไหร่...
...แล้วทำไมผมจะต้องมาหงุดหงิดกับเรื่องนี้ด้วย?
“พี่อ๊อฟเป็นอะไร ทำไมหน้าบึ้งเชียว”
ผมสะดุ้งเมื่อโดนนิ้วมือเย็นๆจิ้มเบาๆลงที่หน้าผาก พอเงยหน้าก็เห็นคนตัวเล็กที่ใส่ชุดนอนกางเกงขายาวมีผ้าขนหนูคล้องคออยู่ ผมที่ยังซับน้ำไม่หมาดเป็นปอยยุ่งมีหยดน้ำเกาะพราวไปทั้งหัว
“ไม่มีอะไรหรอก สระผมแล้วทำไมไม่เช็ดให้แห้งล่ะครับ มานั่งนี่มาเดี๋ยวพี่เช็ดให้”
ผมวางกีตาร์แล้วชี้ให้นะนั่งลงหันหลังพิงเตียง ส่วนตัวเองขยับไปนั่งขอบเตียงคร่อมหลังนะไว้จะได้เช็ดผมให้ได้ถนัด
เราสองคนนั่งเงียบกันไประหว่างที่ผมเอาผ้าขนหนูซับผมให้คนตัวเล็กจนอีกฝ่ายคงชักเริ่มแปลกใจเลยถามผมขึ้นอีก
“พี่อ๊อฟไม่ได้เป็นอะไรจริงๆนะ?”
“ทำไมถามงั้นล่ะ”
“ก็ตั้งแต่กลับมาห้องก็เงียบๆไป มีอะไรหรือเปล่า”
ผมหยุดมือที่ขยำผ้าขนหนูเช็ดผมให้คนตัวเล็กจนอีกฝ่ายหันมามองอย่างสงสัย พอเห็นตากลมโตไร้เดียงสานั่นแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะลงมือเช็ดผมให้ต่อ
“พี่แค่กำลังคิดว่า แฟนพี่น่ารักขนาดนี้ แฟนเก่าของนะคงเสียใจน่าดูที่ปล่อยนะไป”
“เห? แฟนเก่าของนะ? แฟนที่ไหน?”
เสียงถามอย่างงงๆของเจ้าตัวทำให้ผมขมวดคิ้วอีกรอบ
“อะไร เป็นเด็กเป็นเล็กก็เริ่มความจำไม่ดีแล้วเหรอ ก็ที่เป้เล่าให้ฟังเมื่อเย็นว่านะเคยหักอกเพื่อนมันเพราะมีแฟนอยู่แล้วไง”
คนตัวเล็กเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด ครู่เดียวก็หันหน้ากลับมามองผมแล้วยิ้มจนตาหยี ร่างเล็กปีนขึ้นเตียงมานั่งกอดเอวผมไว้จนได้กลิ่นสบู่กับแชมพูที่เจ้าตัวใช้ลอยกรุ่นเข้าจมูก
“ทำไมล่ะ พี่อ๊อฟหึงเหรอ?”
คำถามจี้ใจดำแม่นยำซะจนผมรู้สึกร้อนที่หน้า นี่ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?!
“เปล่า!! เรื่องอะไรต้องหึง ก็แค่แฟนเก่าไม่ใช่เหรอ ถ้าจบกันแล้วก็จบไปสิ พี่แค่...คาใจ.... เอ้า! หึง!! ใช่ ยอมรับก็ได้ พี่หึงไอ้หมอนั่น!”
ผมพยายามพูดแก้ตัวรัวเร็วจนลิ้นแทบพันกัน แต่เพราะคนที่กอดเอวอยู่ส่งยิ้มให้แบบรู้ทัน สุดท้ายผมเลยตกม้าตายต้องยอมรับความจริงจนได้
นะยิ้มดีใจแล้วก็หอมแก้มผมโดยที่ไม่ปล่อยอ้อมแขนที่กอดเอวผมอยู่ พอโดนลูกอ้อนอย่างนี้ผมเลยต้องยอมแพ้ หันไปจูบผมหอมๆของคนตัวเล็กคืนแล้วก็กอดไหล่บางกลับ ถ้าคิดดูให้ดีผมไม่น่าจะต้องมาคิดมากกับเรื่องในอดีตแบบนี้เหมือนเด็กๆในเมื่อตัวเองก็เคยมีแฟนมาก่อน แต่สาเหตุที่ทำให้หงุดหงิดคงเพราะแฟนเก่าของนะดันเป็นผู้ชายเหมือนผมนี่แหละ
“ความจริงนะมีรูปเค้าเก็บไว้ด้วยนะ พี่อ๊อฟอยากดูมั้ย”
อารมณ์หวานๆเมื่อครู่แทบเหือดหายทันที ผมก้มมองคนในอ้อมแขนที่เงยหน้าขึ้นยิ้มให้แล้วก็รู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี นี่ผมโดนยั่วอยู่หรือเปล่าเนี่ย?
“ไม่เอาหรอก จะดูทำไม เดี๋ยวเห็นว่าคนเก่าเค้าเท่ห์กว่าแค่ไหนแล้วพี่เสียเซลฟ์ขึ้นมานะจะทำยังไง”
ผมปฏิเสธแล้วก็ดันคนตัวเล็กออกจากอกก่อนจะหันหนีไปอีกทาง รู้หรอกว่าตัวเองทำตัวไม่มีเหตุผล แต่พอโดนแกล้งมากๆเข้าก็ชักอยากทำตัวงี่เง่าขึ้นมาเหมือนกัน
ผมได้ยินเสียงนะขยับตัวลุกจากเตียงตามด้วยเสียงกุกกักจากด้านหลังเพราะคนตัวเล็กลงไปนั่งรื้ออัลบัมรูปจากกล่องตรงมุมห้อง ผมชำเลืองดูนิดหนึ่งแล้วก็รู้สึกเสียดแทงใจจนต้องหันหนีกับภาพคนหน้าหวานที่ยิ้มอย่างมีความสุขตอนเปิดเจออัลบัมที่ตัวเองหาอยู่
“ทั้งอัลบัมนี่รูปเค้าหมดเลย พี่อ๊อฟเปิดดูสิ”
ผมสะอึกเมื่อนะโถมตัวมากอดคอจากข้างหลังแล้วก็ยื่นอัลบัมมาให้ตรงหน้า ลมหายใจอุ่นจากคนตัวเล็กที่ระอยู่ข้างใบหูทำให้จั๊กจี้ ผมมองอัลบัมที่นะชูแกว่งไปมา รู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างเล็กที่แนบหลังตัวเองอยู่แล้วก็อดค้านเสียงอ่อนไม่ได้
“จำเป็นต้องดูด้วยเหรอ”
“ก็นะอยากให้พี่อ๊อฟดูนี่ ดูแค่รูปแรกก่อนก็ได้ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดูที่เหลือ”
แค่รูปแรกรูปเดียวก็เกินจะพอแล้ว ผมจะไปชอบขี้หน้าคนที่เคยเป็นอดีตของแฟนตัวเองจนทนดูรูปหมดอัลบัมไหวได้ยังไง แต่คนตัวเล็กที่รบเร้าไม่หยุดทำให้ผมต้องยอมตามใจ
“เอ้า ดูก็ดู รูปเดียวก็พอนะ”
ผมรับอัลบัมมาถือไว้ในมือ อดหวั่นๆไม่ได้ว่าพอเห็นรูปแล้วจะเกิดเปรียบเทียบตัวเองกับคนในรูปขึ้นมา รู้สึกได้ว่าคนตัวเล็กกำลังลุ้นปฏิกิริยาผมด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อได้พลิกดูรูปแรกก็ต้องงงเพราะคนในรูปคือคนที่ผมรู้จักและคุ้นหน้าเป็นอย่างดี ผมรีบพลิกดูรูปอื่นๆจนหมดอัลบัมอย่างไม่อยากเชื่อสายตา คนตัวเล็กที่กอดคอผมอยู่หัวเราะคิกคัก
“ไหนบอกจะดูรูปเดียวไงพี่อ๊อฟ”
ทั้งอัลบัมอัดแน่นไปด้วยรูปเดี่ยวและรูปหมู่ของผมจากกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนสมัยเรียนอยู่ม.6 ทั้งรูปในชุดนักกีฬาตอนไปแข่งบาสกับโรงเรียนอื่น รูปตอนเป็นตัวแทนถือพานวันไหว้ครู รูปตอนงานแข่งกีฬาสีที่ผมเป็นประธานสี รูปตอนไปทัศนศึกษา รูปวันจบการศึกษาแล้วก็รูปปลีกย่อยอื่นๆที่ผมก็จำไม่ได้ว่าเคยโดนถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“หมายความว่าไงเนี่ย”
ผมหันไปถามพ่อหนูน้อยที่เกาะหลังตัวเองอยู่ด้วยความสงสัย ใจหนึ่งก็อดปลื้มไม่ได้ที่คนตัวเล็กเก็บอัลบัมที่มีแต่รูปของผมไว้เป็นอย่างดี อีกใจก็ยังตะขิดตะขวงใจว่าแล้วตกลงคนที่ผมเข้าใจว่าเป็นแฟนเก่าของนะคือใครกัน
คนตัวเล็กเลื่อนตัวจากหลังผมมานั่งข้างๆแทนแล้วก็หยิบอัลบัมไปพลิกดูเล่น
“ก็หมายความว่าพี่อ๊อฟก็คือแฟนคนแรกและคนเดียวที่นะเคยมีไง”
ผมมองหน้าด้านข้างของคนหน้าหวานที่ตอนนี้แก้มเป็นสีแดงระเรื่อและไม่ยอมหันมาสบตาผมแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่แล้วพอเริ่มคิดลำดับความในหัวได้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ถึงบางอ้อ เลยฉุดคนตัวเล็กให้ล้มลงบนเตียงแล้วลุกขึ้นคร่อมทับก่อนจะตะโบมหอมแก้มพ่อหนูน้อยจอมเจ้าเล่ห์อย่างมันเขี้ยว
“เล่นงี้เลยนะเรา นี่ทึกทักให้พี่เป็นแฟนตั้งแต่ยังไม่ได้ตกลงกันเลยเหรอ”
คนโดนแกล้งหัวเราะเสียงใสทั้งที่พยายามดิ้นหนีผมไปด้วย ผมมองคนในอ้อมแขนที่หัวเราะจนหน้าแดงไปทั้งหน้าแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ ความรู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อครู่ปลิวหายไปจนหมดเมื่อได้รู้ว่าคนที่ตัวเองนึกหึงหวงที่แท้ก็คือตัวเองนั่นเอง
ผมล้มตัวลงนอนตะแคงข้างคนตัวเล็กแล้วเท้าศอกพลางยื่นมือขึ้นปัดผมที่ลงมาปรกหน้าผากเนียนออกให้พ้นทาง นะยังคงนอนหงายท่าเดิมแต่นัยน์ตาหวานหลับลง มุมปากยังมีรอยยิ้มติดอยู่
“ตอนยังเรียนอยู่ม.ปลายพี่อ๊อฟก็ชอบลูบหัวนะแบบนี้เหมือนกัน”
ผมขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้หยุดมือที่ลูบผมนิ่มอยู่ นะลืมตาแล้วมองผมด้วยนัยน์ตากลมโตที่เป็นประกายสุกใส
“ตอนที่ย้ายโรงเรียนมาเมื่อตอนม. 4 ใหม่ๆนะเคยโดนแกล้งเพราะเป็นลูกอาจารย์แล้วก็ตัวเล็ก นะไม่เคยฟ้องแม่หรอกแต่อาจมีคนไปบอก เค้าเลยขอให้พี่อ๊อฟกับพี่มุ้ยมาช่วยดูแลเพราะเห็นว่าเป็นเด็กม. 6 คนอื่นคงไม่กล้ามายุ่ง ความจริงตอนแรกนะก็ไม่ค่อยชอบที่แม่ทำเหมือนนะดูแลตัวเองไม่ได้ แต่มีครั้งนึงนะโดนแกล้งขัดขาล้มในโรงอาหารจนเข่าแตกแล้วพี่อ๊อฟเข้ามาช่วยอุ้มพาไปห้องพยาบาล ตอนนั้นพี่อ๊อฟลูบหัวนะแล้วชมว่านะเก่งที่ไม่ร้องไห้ด้วยล่ะ”
ผมคงทำหน้าตาเหรอหราออกไปเพราะนะมองหน้าผมแล้วก็หัวเราะ แต่ผมจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลยจริงๆ
“ตั้งแต่ตอนนั้นเวลาพวกเด็กเกเรเห็นนะอยู่กับพี่อ๊อฟก็ไม่กล้าเข้ามาแกล้งเพราะพี่อ๊อฟตัวโตแถมเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย ตอนแรกๆนะก็ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าพี่อ๊อฟเป็นรุ่นพี่ที่ดี แต่หลังได้เห็นว่ามีพวกผู้หญิงกรี๊ดพี่อ๊อฟกันเยอะแค่ไหนเลยทำให้เริ่มรู้ตัวว่าอิจฉาเวลาเห็นพวกนั้นขอถ่ายรูปคู่กับพี่อ๊อฟเวลาแข่งบาสหรือมีงานโรงเรียน”
“ที่เค้ากรี๊ดๆกันก็ไม่ใช่พี่คนเดียวซักหน่อย เพื่อนในทีมคนอื่นๆก็โดนเหมือนกันนั่นแหละ” ผมแย้ง เรื่องที่เด็กนักกีฬาจะมีเด็กสาวมาชื่นชมเป็นเรื่องปกติของทุกโรงเรียนอยู่แล้ว นะฟังแล้วก็ย่นจมูก
“ก็ตอนนั้นพี่อ๊อฟไม่ค่อยสนใจใครนี่ นะเคยเลียบๆเคียงๆถามแม่เพราะเค้าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาพี่อ๊อฟใช่มั้ยล่ะ แม่บอกว่าครอบครัวของพี่อ๊อฟมีปัญหาอยู่แต่พี่อ๊อฟก็ยังตั้งใจเรียนกับทำกิจกรรม ไม่ทำตัวเป็นเด็กเกเร นะก็เลยยิ่งอยากอยู่ใกล้ๆพี่อ๊อฟมากขึ้นถึงจะโดนมองว่าเป็นแค่รุ่นน้องก็เถอะ พอพี่อ๊อฟเรียนจบออกไป เวลามีใครทำท่าจะเข้ามาจีบนะเลยบอกไปว่านะเป็นแฟนพี่อ๊อฟเพื่อตัดปัญหาซะเลย”
“อะไรนะ! ทำไมไม่เห็นมีใครเคยบอกพี่เลย”
“พี่อ๊อฟกับพี่มุ้ยไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมบ้านเองนี่ แล้วเด็กโรงเรียนเราพอจบแล้วก็กระจัดกระจายกันไปหมด นะก็แปลกใจเหมือนกันแหละที่พี่อ๊อฟไม่รู้ แถมตอนเจอกันอีกครั้งยังจำนะไม่ได้อีกต่างหาก”
ท้ายประโยคคนตัวเล็กตวัดเสียงงอนๆจนผมต้องหัวเราะแล้วก็รั้งเอวบางเข้าหา “ไม่ยักรู้เลยนะเนี่ยว่าพี่ได้เป็นแฟนนะตั้งแต่ก่อนจะขอคบกับเราซะอีก”
“ใช่สิ ก็นะไม่เคยอยู่ในสายตานี่”
คนในอ้อมแขนแกล้งตัดพ้อ แต่นัยน์ตาที่ส่งยิ้มให้ทำให้ผมรู้ว่าคนตัวเล็กไม่ติดใจเรื่องที่ผมเคยจำตัวเองไม่ได้อีกแล้ว จะว่าไปถ้าผมโดนแบบเดียวกันก็คงโมโหเหมือนกันแหละ
“ตอนนี้ไม่เหมือนกัน มานะทำให้พี่มองคนอื่นไม่ได้แล้วรู้ตัวหรือเปล่า”
ใบหน้าหวานเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา ผมยอมรับว่าตัวเองโรคจิตหน่อยๆที่ชอบแกล้งให้แฟนตัวเองเขิน ก็มันแสดงให้เห็นว่าคนตัวเล็กชอบผมแค่ไหนนี่นา ผมก้มลงประทับริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากอิ่มแดงตรงหน้าเร็วๆแล้วถอยออกยิ้มให้
“นะยังไม่ง่วงนอนใช่มั้ยครับ”
“ก็ยัง...เอ๊ะ...พี่อ๊อฟ จะทำอะไร”
ท้ายประโยคเจ้าของคำถามเสียงขาดห้วงเมื่อผมเลื่อนมือเข้าไปลูบผิวเนื้อเนียนใต้เสื้อนอนแล้วก็ก้มลงสูดกลิ่นสบู่ที่ซอกคอขาวแรงๆ
“ก็เท้าความหลังกันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้พี่จะได้ชดใช้โทษฐานที่ปล่อยให้นะเหงามาตลอดสองปีไง”
“ใครเหงา! พี่อ๊อฟหลงตัวเอง”
คนในอ้อมแขนแย้งผมเขินๆแต่ก็ไม่ได้ดิ้นหนีอย่างจริงจังนัก รู้ตัวมั่งมั้ยเนี่ยว่าทำแบบนี้แล้วยิ่งทำให้อยากกอดมากขึ้นไปอีก ถ้าไม่รักไม่หลงคนตัวเล็กคนนี้ก็ไม่รู้จะไปรักไปหลงใครอีกแล้ว
“เด็กดื้อ ปากแข็งด้วย งั้นคืนนี้พี่ต้องชดใช้หลายๆรอบจะได้ปากตรงกับใจซักที เตรียมตัวไว้เลยนะ”
++------++