^
^
^
จิ้มเอ คิดถึงเน้อ และคิดถึงนักอ่านที่น่ารักทุกคนด้วยจ้า แม้ไม่เอ่ยนามแต่เอาเป็นว่าเรารู้กันเนอะ
สัปดาห์นี้งานยุ่งตลอดไม่มีเวลาพิมพ์ตอนต่อแบบเต็มๆเลย มาเปิดคอมดูปรากฏว่ามีตอนพิเศษที่พิมพ์ไว้กะลงเมื่อตอนวันพ่อ แต่เนื่องจากต้องรีบแว้บไปเที่ยวเลยเขียนทิ้งไว้แบบรีบๆ แต่ว่าตอนนี้รีไรท์ใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว แม้จะเลยวันพ่อมาหลายวันแล้ว แต่หวังว่าคนอ่านจะเอ็นจอยตอนนี้เหมือนตอนอื่นๆนะจ๊ะ
++------++ ตอนพิเศษ: คำแนะนำของพ่อ เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นจากแท่นชาร์จข้างเตียงปลุกผมให้หรี่ตาขึ้นดูนาฬิกาอย่างงัวเงีย ปรกติเวลานี้เป็นเวลาที่ผมต้องอยู่ที่มหา'ลัยแล้ว แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสำคัญของปีซึ่งต่อกับวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี แถมคนตัวเล็กที่เป็นแฟนผมก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ผมเลยตั้งใจว่าจะนอนให้เต็มอิ่มหลังอ่านหนังสือจนดึกดื่นติดต่อกันมาหลายคืนเสียที
ผมหลับตาลงใหม่แล้วหยิบหมอนใบเล็กขึ้นปิดหู หวังว่าใครก็ตามที่โทรมาจะวางสายไปเอง ทว่าปลายสายดูจะไม่ยอมให้ผมกลับไปนอนต่อง่ายๆเพราะเสียงโทรศัพท์ยังร้องดังไม่หยุดจนผมต้องยอมแพ้กับความพยายามของคนโทร
“ใครวะ...ยิ่งง่วงๆอยู่”
ผมเอื้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดรับโดยไม่ทันดูชื่อว่าเป็นหมายเลขของใครด้วยซ้ำแล้วหลับตาลง จะใครก็ตามรีบๆคุยให้เสร็จแล้วปิดโทรศัพท์หนีจะได้นอนต่อดีกว่า
“...อ๊อฟ? อ๊อฟรึเปล่า?”
ผมขมวดคิ้วกับเสียงคุ้นหูแล้วก็ยกมือถือขึ้นดูชื่อคนโทรเข้าก่อนจะตอบรับเมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร
“หวัดดีพี่อิม ไม่ได้คุยกันตั้งนาน”
“หยุดยาวสามวันนี้ไม่กลับมาบ้านเหรอ นี่พี่อุตส่าห์แลกเวรกับเพื่อนจะได้กลับมาเยี่ยมแม่เลยนะ”
ผมเสยผมแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พี่สาวโทรหาทั้งทีจะไม่คุยด้วยก็เสียมารยาทไปหน่อย ตั้งแต่พี่อิมย้ายไปทำงานเป็นหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือและผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯเราก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านตรงกันเท่าไหร่
“ขี้เกียจอะพี่อิม แล้วเมื่อตอนปิดเทอมคราวที่แล้วก็กลับไปอยู่บ้านยาวมาทีนึงแล้ว แม่เค้าคงไม่คิดถึงอ๊อฟมากเท่าพี่อิมหรอก”
คนปลายสายหัวเราะกับประโยคแสร้งทำเป็นงอนของผม “ยังไงอ๊อฟก็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนะ ถึงแม่เค้าจะไม่พูดแต่เค้าก็ต้องอยากเห็นหน้าอยู่แล้วล่ะ”
“ที่จริงก็ตั้งใจจะกลับบ้านหลังสอบมิดเทอมเสร็จนะพี่อิม ว่าแต่เมื่อไหร่พี่จะแต่งงานซะทีเนี่ย ยังคบกับสารวัตรคนนั้นอยู่รึเปล่า”
“อุ้ย พี่ธัญเค้ายังไม่ได้ขอเลย สงสัยต้องรอให้แกได้เลื่อนขั้นเป็นผู้กำกับก่อนมั้ง”
ผมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสดชื่นของพี่สาว เพราะตั้งแต่พี่ผมเลิกกับแฟนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเนื่องจากฝ่ายชายถูกที่บ้านคลุมถุงชนเมื่อสี่ปีก่อนพี่ก็ไม่ร่าเริงอีกเลย จนกระทั่งได้พบแฟนใหม่คนนี้ที่มาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลของพี่หลังการปะทะกับผู้ร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเมื่อสองปีก่อน ใครๆที่ได้ฟังเรื่องราวการพบกันครั้งแรกของพี่อิมกับพี่ธัญก็บอกว่าเหมือนเรื่องในนิยายกันทั้งนั้น โชคดีที่ถึงแม้คนรอบตัวจะตักเตือนว่าชายในเครื่องแบบไม่น่าไว้ใจ แต่พี่ธัญก็ไม่เคยทำตัวเจ้าออกนอกลู่นอกทางให้เห็น แถมยังแสดงความจริงใจด้วยการตามจีบพี่อิมอยู่หนึ่งปีเต็มๆกว่าพี่สาวผมจะยอมตกลงคบด้วย
“ยังไงปีใหม่พี่จะหาโอกาสชวนพี่ธัญมาเยี่ยมด้วยแล้วกัน ว่าแต่อ๊อฟมีแฟนใหม่รึยัง ตั้งแต่เลิกกับคนก่อนก็เป็นโสดมานานแล้วนะ”
ผมหันไปมองรูปถ่ายคู่กันของผมกับแฟนตัวเองที่ใส่กรอบตั้งอยู่บนโต๊ะหนังสือแล้วก็ยิ้ม “ว่าไงดี ก็มีแล้วแหละพี่ ทั้งขี้งอนทั้งขี้อ้อนจนผมปวดหัวบ่อยๆเลยแหละ”
“อื้อหือ ฟังดูแล้วน่าจะน่ารักนะ ยังไงส่งรูปมาให้ดูหรือพามาแนะนำกับแม่เค้ามั่งสิ”
ผมหัวเราะแห้งๆ ชักเริ่มกังวลขึ้นมาว่าถ้าพาคนตัวเล็กหน้าหวานไปแนะนำกับสมาชิกครอบครัวจะเป็นยังไง
“ถ้าเค้าพร้อมผมจะพาไปแล้วกันพี่อิม ว่าแต่นี่แม่ไม่อยู่บ้านเหรอ”
“ขานั้นออกไปบ้านเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้ว เย็นๆโน่นมั้งคงกลับ ว่าแต่อ๊อฟได้โทรหาพ่อหรือยัง”
พอโดนพี่สาวทักผมก็เหลือบมองนาฬิกาแล้วคำนวณเวลาในใจ “ตอนนี้พ่อคงหลับอยู่มั้งพี่อิม เดี๋ยวเย็นๆค่อยโทรดีกว่า นี่พี่อิมโทรไปแล้วเหรอ”
“ยังเลย พี่ก็ว่าจะโทรหาตอนดึกๆเหมือนกัน จะว่าไปก็คิดถึงพ่อนะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีแล้ว”
“นั่นสิ ยังไงพี่อิมแต่งงานแล้วไปฮันนีมูนที่โน่นสิจะได้ไปเยี่ยมพ่อ รับรองได้ซองช่วยเป็นดอลลาร์เต็มซองแน่”
พี่ผมหัวเราะแล้วเราก็คุยอะไรกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย พอมองนาฬิกาอีกทีก็อดจะชื่นชมตัวเองไม่ได้ที่หลับได้มาราธอนขนาดนี้เพราะเลยเวลาอาหารกลางวันไปนานแล้ว
ผมล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็หอบเสื้อผ้าส่วนของผมกับคนร่วมห้องใส่ตะกร้าลงไปซักที่ตู้หยอดเหรียญด้านล่าง พอกลับขึ้นมาบนห้องอีกทีก็เสียบสายกระติกน้ำร้อนสำหรับต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นมื้อกลางวัน ระหว่างกินบะหมี่ก็เริ่มจะคิดถึงคนตัวเล็กขึ้นมาทั้งที่เพิ่งห่างกันได้ไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ
ผมหยิบโทรศัพท์มากดหาเบอร์ของคนที่กำลังคิดถึงแล้วก็ชั่งใจ ใจหนึ่งก็อยากได้ยินเสียง แต่พอคิดได้ว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่แฟนของตัวเองได้ใช้เวลากับครอบครัวที่บ้านอย่างเต็มที่ก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนเตียงเหมือนเดิม ยังไงค่ำๆค่อยโทรหาคงไม่เป็นไร
ผมกลับลงไปเอาเสื้อผ้าที่อบแห้งแล้วขึ้นมาบนห้องแล้วก็นั่งพับผ้าไปดูหนังจากช่องเคเบิ้ลรอเวลาไป พอกะว่าน่าจะได้เวลาที่คนที่ตั้งใจจะโทรหาตื่นแล้วก็หยิบนามบัตรที่มีเบอร์โทรพร้อมรหัสประเทศยาวเหยียดมาดูก่อนจะกดต่อสาย
“Hello? Dan speaking.”
“ฮัลโหล นี่อ๊อฟเองนะ หวัดดีครับพ่อ”
ปลายสายทำเสียงอุทานตกใจแบบที่พวกฝรั่งชอบทำกัน แต่ผมชินแล้วเพราะพ่อผมไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่หลังหย่าขาดจากแม่ไม่นานทำให้ติดนิสัยแบบชาวตะวันตกมาหลายอย่าง แถมเมื่อปีที่แล้วพ่อยังเพิ่งแต่งงานกับสาวผมทองที่โน่นอีกต่างหาก
“ไงอ๊อฟ! ไม่ได้คุยกันตั้งนานแน่ะ สบายดีมั้ยไอ้ลูกชาย”
“ก็ดีครับ ตอนนี้อ๊อฟเรียนปีสามแล้วนะพ่อ อีกปีกว่าก็จบแล้ว”
“เออดีๆ ปีสามแล้วเหรอเนี่ย เวลาผ่านไปเร็วจริงแฮะ แล้วที่บ้านเป็นไงมั่ง”
“พี่อิมกับแม่ก็สบายดี เมื่อเช้าเพิ่งถามพี่อิมไปว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่ แต่เค้าบอกว่าท่านสารวัตรยังไม่ขอเลยยังไม่รู้”
“อุวะ! อย่างงี้มันต้องให้พ่อคุยเองซะแล้ว อ๊อฟไปสืบหาเบอร์ของไอ้หมอนั่นมาเดี๋ยวพ่อโทรไปจัดการเอง”
“อย่าเลยพ่อ แทนที่จะดีกลับกลายเป็นว่าเค้าจะแหยงเอาซะมากกว่า”
เราหัวเราะให้กัน ผมถามถึงสภาพอากาศกับครอบครัวใหม่ของพ่อว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วพ่อก็วกถามเรื่องผมอีกครั้ง
“ว่าแต่ตอนนี้อ๊อฟมีแฟนหรือยัง”
รู้อยู่แล้วละว่าต้องโดนถาม เพราะคุยกันทีไรนี่ก็เป็นคำถามยอดฮิตทุกครั้ง แต่ปีนี้ผมมีคำตอบแล้ว แล้วไหนๆก็เกริ่นกับพี่อิมไปแล้ว ก็บอกพ่ออีกคนเสียเลยจะได้เลิกถามเสียที
“มีแล้วครับ เพิ่งเริ่มคบกันเมื่อเร็วๆนี้เอง”
เสียงหัวเราะในคอของพ่อดังมาตามสาย “ว่าแล้วเชียว พ่อรู้ว่าลูกพ่อเสน่ห์แรง ว่าแต่แฟนเป็นไงน่ารักมั้ย ไว้พ่อกลับไปเมืองไทยคราวหน้าพามาแนะนำให้พ่อรู้จักหน่อยเป็นไง”
ผมหัวเราะอย่างไม่เต็มเสียงนัก คำถามแรกน่ะยังพอตอบได้ แต่คำถามที่สองนี่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าถ้าพานะไปแนะนำจริงๆพ่อผมจะแสดงปฏิกิริยาแบบไหน ถึงผมจะมั่นใจว่าไม่ว่าใครที่ได้เจอพ่อหนูน้อยของผมก็ต้องเอ็นดูกันทั้งนั้นก็ตามเถอะ
“เอาไว้พ่อกลับมาเมื่อไหร่ผมจะถามเจ้าตัวให้แล้วกัน พอดีนะเค้าขี้อายน่ะครับพ่อ”
“ชื่อน้องนะเหรอ ชื่อน่ารักดีนี่ ชื่อจริงชื่ออะไรล่ะ”
ทั้งที่แอร์ในห้องก็ออกจะเย็น แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเหงื่อกำลังซึมออกมาที่ฝ่ามือยังไงพิกล
“เอ่อ...นะจาก...มานะครับ”
“หือ...มานะเหรอ ชื่อเหมือนผู้ชายเลยแฮะ”
พ่อทักขึ้นแล้วก็เงียบไป ส่วนผมก็ไม่ได้แย้ง เราต่างคนต่างเงียบกันครู่ใหญ่ก่อนพ่อจะทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“อ๊อฟ มีอะไรอยากบอกพ่อหรือเปล่า เราลูกผู้ชาย มีอะไรก็พูดกันตรงๆได้นะ”
ผมถอนหายใจ บ่ายเบี่ยงไปก็คงเปล่าประโยชน์ แล้วผมก็ไม่ได้อยากปิดบังพ่อเรื่องนี้ด้วย
“ก็ตามที่พ่อเข้าใจแหละครับ แฟนผมชื่อมานะ เป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัย ตอนนี้อยู่ปี 1…”
“ปี 1 เหรอ!? Shit! แล้วน้องเค้าอายุเกิน 18 หรือยัง?”
ผมฟังคำถามแล้วก็ขมวดคิ้ว นี่พ่อผมกังวลเรื่องอะไรอยู่เนี่ย?!
“เกินแล้วพ่อ! แล้วถึงยังไงนะเค้าก็เรียนมหา’ลัยแล้ว ไม่ใช่เด็กๆแล้วครับ”
ถึงบางครั้งจะชอบทำตัวเหมือนเด็กเจ้าอารมณ์ไปบ้างก็เถอะ ผมละประโยคนั้นไว้ในใจแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าของคนที่กำลังโดนพูดถึงขึ้นมา
ปลายสายเงียบไปนานก่อนพ่อจะเอ่ยขึ้นช้าๆอีกครั้ง
“อ๊อฟ พ่อไม่ค่อยได้ใช้เวลากับลูกเท่าไหร่ พ่อก็ไม่รู้ว่าพ่อมีสิทธิ์ออกความเห็นหรือเปล่า แต่อ๊อฟรู้ใช่มั้ยว่าการคบกับผู้ชายด้วยกันอาจโดนมองจากคนอื่นยังไง แล้วยังครอบครัวของ...เอ่อ...ของนะเค้าอีก ทางนั้นยังไม่รู้เรื่องใช่ไหม แล้วนี่เราเริ่มคบกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีเพื่อนรู้บ้างหรือเปล่า”
คราวนี้พ่อยิงคำถามรัวเป็นชุดจนผมไม่รู้จะตอบคำถามไหนดี ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอกว่าพ่อเป็นห่วง แต่ตอนนี้ปัญหามันยังไม่เกิด ก็ไม่รู้จะรีบกังวลไปทำไม
“ใจเย็นก่อนพ่อ พวกเราเพิ่งเริ่มคบกันได้ไม่นาน ทางบ้านนะน่าจะยังไม่รู้ ส่วนแม่กับพี่อิมผมก็ยังไม่ได้บอกรายละเอียด ส่วนเพื่อนผม ถ้าใครถามผมก็บอกแหละครับ”
ผมได้ยินเสียงพ่อถอนหายใจดังมาตามสายเลยรีบพูดต่อ “พ่อครับ การที่เราสองคนคบกันไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย พ่อเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
ถึงจะไม่พูดตรงๆแต่พ่อก็คงรู้ว่าความหมายของผมคือการที่ผมจะเลือกคบใครเป็นสิทธิ์ส่วนตัวที่ผมตัดสินใจได้เอง พ่อคงสับสนพอดูที่จู่ๆก็มาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับแฟนของลูกที่เป็นผู้ชายเหมือนกันในวันพ่อแบบนี้ แต่ผมอยากให้พ่อรับรู้ว่ายังไงผมก็ยังเป็นผมเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“อ๊อฟ พ่อเชื่อว่าลูกไม่ใช่คนที่คบใครแค่เพราะอยากรู้อยากลอง ถ้าเราจริงใจกับเด็กคนนี้ ยังไงก็ขอให้คบกันด้วยความเข้าใจนะ”
ผมเงียบไปหลังได้ยินคำแนะนำนั้น พ่อคงยังไม่ลืมประสบการณ์ความผิดพลาดในอดีตจากชีวิตสมรสของตัวเองกับแม่ ผมยังจำได้ดีถึงวันคืนที่พวกเราสมาชิกครอบครัวทั้งสี่คนมีความสุขกันพร้อมหน้า แต่โดยที่ไม่รู้ตัว รอยปริร้าวเล็กๆก็คืบคลานเข้ามารังควานความสัมพันธ์ของผู้นำครอบครัวทั้งสอง จากรอยเล็กๆก็ค่อยๆขยายใหญ่จนสุดท้ายก็จบลงด้วยการแตกหัก การหย่าร้างที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันทำเอาผมสับสนกับชีวิตตัวเองไปพักใหญ่ แต่เมื่อถึงตอนนี้ ผมเข้าใจแล้วว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง และเรื่องที่ผ่านมาก็ถือเป็นเพียงประสบการณ์ให้จดจำและเรียนรู้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาหวาดกลัวว่าตัวเองจะดำเนินรอยตามความผิดพลาดนั้น
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับพ่อ ยังไงพ่อรักษาสุขภาพด้วยนะครับ แล้วก็ฝากสวัสดีครอบครัวที่โน่นด้วย”
“เราก็ดูแลแม่กับพี่เค้าดีๆล่ะ แล้วถ้าอยากมาเที่ยวเมื่อไหร่ก็โทรหาพ่อได้ตลอดเลยนะ ตั้งใจเรียนล่ะอ๊อฟ”
ปลายสายยังคงเอ่ยเสียงทุ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง ผมหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นนั้น จะดีแค่ไหนถ้าชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ครอบครัวที่หายไปได้กลับมาวางต่อกันเป็นภาพใหญ่ที่สมบูรณ์ดังเดิม แต่เปล่าประโยชน์ที่จะเรียกร้องสิ่งที่สูญเสียไปแล้วให้คืนกลับมา
“ครับ สุขสันต์วันพ่อนะครับ”
ผมวางสายแล้วก็นอนแผ่ลงบนเตียง จู่ๆก็รู้สึกโหวงเหวงในอกจนพาลคิดถึงคนที่นอนกอดทุกคืนขึ้นมาตงิดๆ ไม่รู้ตอนนี้พ่อหนูน้อยของผมทำอะไรอยู่ จะกินข้าวแล้วหรือยัง หรือว่าออกไปดูหนังกับที่บ้าน ใจผมอยากจะโทรหาแต่ก็ไม่อยากทำลายเวลาครอบครัวของคนที่รัก
เสียงร้องประท้วงของน้ำย่อยในกระเพาะฉุดผมให้กลับจากภวังค์ผมเลยลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจไปมา ขณะกำลังคิดว่าจะลงไปเดินหาอะไรกินที่ตลาดโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพอดี พอผมเห็นรูปของคนโทรเข้าที่แสดงอยู่บนหน้าจอก็อดยิ้มไม่ได้
“ว่าไงครับ นะ”
“พี่อ๊อฟ ทำอะไรอยู่”
“เมื่อกี้พี่เพิ่งโทรทางไกลไปหาพ่อ นี่ก็ว่าจะโทรหานะต่ออยู่พอดีเลยเนี่ย”
“ก็แล้วทำไมไม่โทรมาตั้งแต่ตอนกลางวันล่ะ”
ผมขมวดคิ้ว ลองฝ่ายนั้นทำเสียงกระเง้ากระงอดมาอย่างนี้ก็เดาได้เลยว่าท่าทางผมจะโดนงอนอีกแล้ว
“ก็นะจะได้ใช้เวลากับครอบครัวได้เต็มที่ไงครับ อุตส่าห์กลับไปหาพ่อกับแม่เค้าทั้งทีจะให้พี่โทรไปกวนได้ไง”
“...ถึงงั้นก็เมสเซจมาบ้างก็ได้นี่นา”
ปลายสายเสียงอ่อนลงนิดหน่อย ผมนึกภาพคนหน้าหวานที่คงกำลังทำแก้มอูมอยู่แล้วก็เสียดายที่คนตัวเล็กไม่ได้อยู่ใกล้ๆไม่งั้นจะจับหยิกแก้มให้รู้แล้วรู้รอด เด็กเอ๋ยเด็ก....ไม่ได้รู้ตัวบ้างเลยว่าคนทางนี้คิดถึงแทบบ้า แต่เพราะผมเข้าใจดีถึงความอ้างว้างของการมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ผมเลยอยากให้นะให้ความสำคัญกับครอบครัวของตัวเองมากกว่า
“เข้าใจแล้วครับคนเก่ง ต่อไปจะไม่หายเงียบแบบนี้แล้ว ว่าแต่ตอนนี้นะทำอะไรอยู่ กินข้าวเย็นหรือยัง?”
“ยัง แล้วพี่อ๊อฟกินยังล่ะ”
ผมหนีบหูโทรศัพท์กับไหล่แล้วก็เปิดตู้เสื้อผ้าหากางเกงสำหรับใส่เปลี่ยนไปด้วย “ยังเลย แต่เดี๋ยวกำลังจะไปหาอะไรกินที่ตลาด ว่าแต่ทำไมบ้านนะกินข้าวเย็นกันช้าจัง นี่จะสองทุ่มแล้วนะ”
“ก็ไม่ได้อยู่กับที่บ้านนี่ งั้นถ้าพี่อ๊อฟยังไม่ได้กินข้าวก็รีบลงมาหน้าหอเลย เดี๋ยวไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
ประโยคชักชวนของคนตัวเล็กทำให้ผมชะงักมือ “เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าตอนนี้ไม่ได้อยู่กับที่บ้านแล้วนะอยู่ที่ไหนเนี่ย?”
ปลายสายหัวเราะเสียงใสหลังได้ยินคำถามของผม “อยู่บนแท็กซี่ นี่เลี้ยวเข้ามาจากปากซอยแล้ว อย่าลืมลงมาเจอกันหน้าหอนะพี่อ๊อฟ แค่นี้แหละ”
ผมมองโทรศัพท์ในมืออย่างงงๆก่อนจะรีบหันไปคว้ากุญแจห้องกับประเป๋าสตางค์แล้ววิ่งลงลิฟต์ไปที่ชั้นล่าง พอออกไปที่หน้าทางเข้าหอก็พบว่าพ่อหนูน้อยของผมยืนสะพายกระเป๋ารออยู่แล้ว
“ทำไมรีบกลับมาล่ะ ไหนเมื่อวานบอกว่าจะกลับมาวันอาทิตย์ไง”
นะทำหน้ามุ่ยทันทีที่โดนผมทัก “ก็กลับไปแล้วก็ไม่เห็นพ่อกับแม่จะตื่นเต้นดีใจกันเลยนี่นา แค่พาไปดูหนังกินข้าวเมื่อกลางวัน พอกลับถึงบ้านก็เอาแต่สนใจไอ้กุ๊งกิ๊ง จะให้อยู่บ้านต่อก็เซ็งเลยกลับมาดีกว่า หรือพี่อ๊อฟยังไม่อยากเจอนะ จะได้เรียกแท็กซี่ไปขึ้นรถตู้กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย”
ผมรีบคว้าข้อมือเรียวของคนที่ทำท่าจะเดินหนีไปจริงๆแล้วดึงกลับมากอดไว้ แต่พ่อหนูน้อยตัวดีดิ้นจะออกจากอ้อมแขนผมให้ได้ลูกเดียวผมเลยแกล้งทำเสียงเข้มใส่
“อะไรเนี่ย พี่ถามคำเดียวใส่มาเป็นชุดเลยเหรอ จะขี้งอนไปไหนฮึเรา”
“ไม่ได้งอน! ปล่อยนะพี่อ๊อฟเดี๋ยวใครมาเห็น!”
คนตัวเล็กเถียงไปก็ดิ้นขลุกขลักไม่หยุด แก้มสองข้างเริ่มเรื่อเป็นสีชมพู ขี้งอนแล้วยังจะขี้อายอีกนะคนเรา ผมเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจูงมือนะให้เดินตามไปที่ซอกข้างตึก
“โอเค งั้นตามมานี่”
พอผมพาคนตัวเล็กเดินตามเข้าไปในมุมอับสายตาข้างตึกแล้วก็ดึงร่างเล็กๆเข้าประชิดตัวก่อนจะก้มลงปิดปากคนที่เงยหน้าขึ้นเตรียมจะอ้าปากถามด้วยความสงสัย นะยืนตัวแข็งทื่อในตอนแรกด้วยความตกใจ แต่แล้วเมื่อผมเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นประคองตรงท้ายทอยของศีรษะเล็กพร้อมกับแทรกลิ้นเข้าในริมฝีปากอุ่น นัยน์ตากลมโตก็ค่อยๆพริ้มหลับ ริมฝีปากนิ่มเผยอขึ้นและตอบรับจูบของผมอย่างเต็มใจ เราแลกเปลี่ยนความคิดถึงกันผ่านปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดไปมาอย่างเปี่ยมด้วยความรู้สึกโหยหา ผมขบกลีบปากล่างของนะเบาๆก่อนจะถอนริมฝีปากออกแล้วจ้องนัยน์ตาหวานที่ค่อยๆปรือขึ้นมองผม แผ่นอกบางกระเพื่อมขณะพยายามปรับลมหายใจของตัวเอง ริมฝีปากที่อิ่มแดงและฉ่ำเยิ้มนั้นเผยอนิดหน่อยดูเชิญชวนจนผมต้องก้มลงไปจูบเร็วๆซ้ำอีกรอบ
“นะรู้ตัวมั้ยว่าทำให้คนเค้าคิดถึงมาทั้งวันเลย ทีนี้จะหายงอนพี่ได้หรือยังครับ”
แม้มุมที่เรายืนอยู่จะมืดสลัวเพราะมีเพียงแสงไฟที่ส่องลอดหน้าต่างมาจากห้องข้างบน แต่ผมก็เห็นได้ว่าหน้าของคนในอ้อมแขนมีสีเข้มขึ้น นะซุกหน้าลงกับอกผมก่อนจะพูดเสียงอู้อี้
“นะก็คิดถึง วันนี้ก็นั่งรอโทรศัพท์ทั้งวันพี่อ๊อฟก็ไม่โทรมาเลยรีบกลับมาซะเลย แต่ว่าตอนอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่ก็เอาแต่สนใจไอ้กุ๊งกิ๊งมากกว่าจริงๆนะ”
น้ำเสียงท้ายประโยคที่รัวเร็วเหมือนอยากระบายความน้อยใจที่คนในครอบครัวสนใจลูกหมามากกว่าตัวเองทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้
“งั้นไม่เป็นไร ถ้าพ่อกับแม่ไม่สนใจนะเดี๋ยวพี่สนเอง ว่าแต่เราไปตลาดกันดีกว่า ตั้งแต่บ่ายมาพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
ผมจูงมือพาคนตัวเล็กเดินออกมาจากซอกข้างตึก คราวนี้ใบหน้าหวานยิ้มออกแล้ว มือเล็กบีบกระชับมือผมที่กุมมือตัวเองอยู่แน่น
“นะอยากกินอะไร”
คนถูกถามส่ายหน้าแล้วก็ส่งยิ้มเอาใจแบบที่เจ้าตัวชอบทำเวลาอ้อนมาให้ “แล้วแต่พี่อ๊อฟแหละ นะกินอะไรก็ได้”
ผมยิ้มแล้วก็บีบมือบางตอบขณะเดินไปที่ตลาดด้วยกัน รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดให้กันผ่านทางมือที่กุมกันอยู่จนซ่านเข้าไปถึงข้างในหัวใจ ผมหันไปแกล้งทำตาเชื่อมใส่คนตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างๆ
“เล่นตามใจกันแบบนี้ งั้นขอพี่กินนะก่อนดีมั้ย”
“อย่าแหย่กันสิพี่อ๊อฟ ไปกินข้าวก่อน นะหิวแล้ว”
คนตัวเล็กเร่งฝีเท้าเดินนำไปก่อนด้วยความเขิน ผมหัวเราะก่อนจะก้าวยาวๆจนตามทันแล้วคว้ามือบางมากุมไว้อีกครั้ง คราวนี้นะไม่ได้สะบัดมือหนีอีก แต่ถึงเจ้าตัวจะยังไม่ยอมหันมาหาผมก็เห็นว่าหน้าของนะแดงไปถึงใบหูแล้ว
โชคดีของผมที่แต่ละวันได้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเพราะมีคนน่ารักคนนี้อยู่ใกล้ๆ ถึงจะคอยทำให้เวียนหัวกับการต้องง้องอนบ้าง แต่ก็เพราะคนตัวเล็กคนนี้ที่ทำให้หัวใจผมได้สัมผัสกับความสุขของการมีความรักอีกครั้ง และต่อให้อนาคตเราอาจต้องเจอเรื่องยุ่งยากจากการที่เราคบกัน แต่ผมเชื่อว่าความรู้สึกที่เรามีให้กันจะทำให้เราฝ่าฟันอุปสรรคพวกนั้นไปได้แน่นอน ก็เหมือนที่พ่อผมให้คำแนะนำไว้กระมัง
‘ถ้าเราจริงใจกับเด็กคนนี้ ยังไงก็ขอให้คบกันด้วยความเข้าใจนะ’“ไม่ต้องห่วงนะครับพ่อ ผมตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้ว”++------++
สุขสันต์วันพ่อย้อนหลังเน้ (ย้อนนานไปไหมนี่)