อู่ซ่อมรัก. 10
มิ่งกำลังเลือกมะนาวไปเรื่อย ๆ และนึกถึงคนที่กำลังจะได้เจอ คนที่ช่วยแก้ปัญหาให้ทุกอย่าง คนที่อยู่จัดการเรื่องแย่ ๆ ให้มิ่งจนจบ คนที่ทำให้รู้สึกเกรงใจ
“กลับมาแล้วเหรอ”
เงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินมาหาและคุณทัศนัยก็ส่งยิ้มให้หลังจากไม่ได้เจอกันหลายวัน
“คุณทัศ”
แค่เห็นหน้ามิ่งก็ก้มลงและหลบสายตาทันที มือที่กำลังเลือกมะนาวหยุดนิ่งค้างอยู่แบบนั้นและคุณทัศนัยก็เดินมาที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ช่างมิ่งชอบทำเหมือนไม่ชอบผมเรื่อยเลย”
โดนทักแบบนี้อีกแล้ว และมิ่งก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า พยายามจะมองหน้าของคุณทัศนัยให้ชัด ๆ แต่เมื่อสบตากันก็ต้องรีบก้มหน้าลงหลบสายตาของคนที่มองมา
“ผม...เอ่อ...ไม่ใช่ว่าผม...”
ไม่รู้ทำไมถึงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกัน
“ผมทำอะไรให้ช่างมิ่งไม่พอใจอีกแล้วหรือเปล่า”
ไม่ใช่ว่าทำอะไรให้ไม่พอใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงแค่นั้น
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่ได้ไม่พอใจคุณทัศ อันนี้พอดีผมไม่มีอะไรจะให้ ที่บ้านคุณทัศทำกับข้าวหรือเปล่าครับ ผมเลือกมะนาวไว้ให้แล้ว”
แล้วคุณทัศนัยก็หัวเราะออกมาด้วยความขำ ถามเรื่องที่อยากรู้แต่มิ่งไปพูดเรื่องที่ไม่ได้ถาม มะนาวในถุงที่มิ่งส่งให้ทำให้คุณทัศนัยรับเอาไว้และยังหัวเราะไม่หยุด
“นี่ของผมทั้งหมดเลยเหรอ”
“ใช่ครับ ผมคัดลูกที่ดี ๆ ไว้ให้คุณทัศแล้ว เอาไว้ทำกับข้าว”
รับถุงมะนาวมาเปิดดูและคุณทัศนัยก็มองหน้าคนที่เลือกมะนาวให้แล้วก็ยิ้มกว้าง
“ผมดีใจนะ ได้ของฝากเป็นมะนาวจากช่างมิ่งด้วย”
แค่มะนาวหนึ่งถุงคุณทัศนัยไม่น่าต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้น
“เรื่องที่บ้านเรียบร้อยดีมั้ย”
“ครับ เรียบร้อยแล้ว”
“ดีแล้ว”
“คุณทัศครับเรื่องเงิน...”
กำลังจะพูดเรื่องเงินที่ติดค้างเอาไว้ แล้วคุณทัศนัยก็ลุกขึ้นและชวนให้ไปกินข้าวด้วยกัน
“ไว้ไปคุยกันตอนกินข้าวนะ”
ไม่เข้าใจที่คุณทัศนัยบอกและมิ่งก็เงยหน้าขึ้นมองและทำหน้าสงสัย
“เนี่ยผมทำงานทั้งวันเลย ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้กินข้าว ช่างมิ่งไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยเถอะนะ”
ถ้าตอบว่าไม่ได้ก็คงไม่ดี
“ผม...เอ่อ...”
“ไม่ได้หรอกเหรอ”
โดนพูดดักคอแบบนั้นแล้วจะทำอะไรได้
“ไม่ใช่ไม่ได้ครับ คือว่าผม...”
กำลังจะอธิบายแล้วคุณทัศนัยก็ช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
“งั้นก็ไปกันเถอะ ผมหิวแล้ว ไปกินข้าวกันนะ เรื่องเงินเดี๋ยวกินไปคุยไปก็ได้ ถ้าหิวแล้วสมองผมไม่ค่อยแล่น คุยอะไรก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง”
แปลว่าต้องไปกินข้าวด้วยกันสินะ และมิ่งก็ยอมลุกขึ้นเดินตามไปที่รถของคุณทัศนัยที่จอดอยู่และขึ้นมานั่งบนรถด้วยกัน
“ช่างมิ่งจะกลับบ้านอีกครั้งเมื่อไหร่ล่ะ”
ไม่กล้าตอบและมิ่งก็กำลังคิดหาข้ออ้างแต่คุณทัศนัยก็หันมายิ้มให้
“วันไหนก็ได้นะ ผมไม่มีปัญหา ผมซื้อพวกเสื้อผ้าเด็ก ตุ๊กตาของเล่นและซื้อสมุดระบายสีให้หนูพิมพาไว้เรียบร้อยแล้ว ช่างมิ่งลองหันไปดูข้างหลังรถสิตอนแรกว่าจะไปเลือกด้วยกัน แต่พอดีผมเห็นก่อนเลยซื้อเอาไว้หมดแล้ว”
หันไปมองที่เบาะหลังรถตามที่คุณทัศนัยบอกแล้วก็ตกใจกับถุงใส่ของสำหรับเด็กมากมายที่วางอยู่
“คุณทัศซื้อมาทำไมเยอะแยะมากมายครับ”
แล้วคุณทัศนัยก็บอกสิ่งที่ทำให้มิ่งปฏิเสธไม่ให้คุณทัศนัยไปที่บ้านไม่ได้
“ดูเหมือนช่างมิ่งต้องบอกผมว่าจะกลับบ้านวันไหนแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเบาะหลังรถผมก็ไม่มีที่จะวางของแล้ว เพราะมีแต่ของใช้ของหนูพิมพาเต็มไปหมด”
แล้วจะปฏิเสธยังไง มองหน้าของคุณทัศนัยแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก
“สัปดาห์หน้าเลยเป็นไง พาหนูพิมพาไปเที่ยวด้วย”
ดูเหมือนคุณทัศนัยจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษและมิ่งก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
“ถ้าที่อู่ไม่มีงานเร่งก็คงได้ครับ”
“อ๋อ ที่อู่ไม่มีงานเร่งหรอก ผมบอกเฮียไว้แล้วว่าสัปดาห์หน้าผมจะชวนช่างมิ่งกลับบ้าน เฮียบอกว่าไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร”
ชัดเจนพอแล้ว และมิ่งก็ได้แต่แอบลอบถอนหายใจ ถึงขนาดนี้แล้วจะไปทำอะไรได้ ก็คงต้องแล้วแต่คุณทัศนัยเลยแล้วกัน
+++
“ร้านนี้ตำปูปลาร้าแซ่บมาก เสือร้องไห้ก็เด็ด”
ทั้งที่กังวลใจกับการต้องมากินข้าวกับคุณทัศนัย เพราะไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงแต่เมื่อได้มากินข้าวด้วยกันจริง ๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่เคยกังวลใจ
คุณทัศนัยเลือกร้านอาหารอีสานที่มีเมนูต่าง ๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างคุณทัศนัยจะกินได้ คุณทัศนัยดูเป็นคนเรียบง่ายมาก ทั้งก่อนหน้านี้และตอนนี้ก็ทำให้มิ่งรู้สึกดีด้วยกับการเป็นคนสบาย ๆ ไม่เรื่องมาก กินง่ายอยู่ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
ร้านอาหารอีสานที่คุณทัศนัยพามาเป็นร้านเล็ก ๆ ที่สามารถนั่งพูดคุยกันได้เรื่อย ๆ และไม่ทำให้มิ่งรู้สึกเกร็งจนทำตัวไม่ถูกอย่างที่คิด
“เมนูนี้ก็เด็ดนะ ช่างมิ่งลองกินหรือยัง เป็นไง ต้มแซ่บกระดูกอ่อน พอกินได้มั้ย”
ถ้วยแบ่งเล็ก ๆ ที่คุณทัศนัยตักแบ่งให้วางอยู่ข้างจานข้าวของมิ่งและมิ่งก็ยกมือไหว้ขอบคุณคนที่ตักอาหารให้
“ไหว้จนผมจะเป็นศาลพระภูมิอยู่แล้ว”
เพราะว่าโดนล้อมิ่งก็เลยก้มหน้าก้มตาลงและไม่รู้จะพูดกับคนที่อยู่ตรงหน้ายังไงอีกและคุณทัศนัยที่สังเกตท่าทางของมิ่งมาตลอดก็พยายามชวนคุยเพื่อให้ผ่อนคลายมากขึ้น
“ช่างมิ่งนี่ถามคำตอบคำจริง ๆ นะ เป็นผมซะอีกที่พูดน้ำไหลไฟดับ ช่างมิ่งคงจะรำคาญผมแย่เลย”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้รำคาญ”
“แต่ก็ไม่ยอมคุยด้วย ผมพูดอะไรก็ฟัง แต่ไม่ค่อยจะยอมตอบอะไรเลย”
เพราะไม่รู้จะตอบยังไง เลยเลือกที่จะเงียบมากกว่า และมิ่งก็แอบลอบถอนหายใจ เมื่อพยายามแล้วแต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถทำตัวให้เป็นปกติได้
“ผมแค่ไม่รู้จะคุยอะไรครับ”
บอกไปตามตรง และคุณทัศนัยก็ยิ้มกว้างเพราะถึงจะบอกว่าไม่รู้จะคุยอะไรแต่ครั้งนี้ก็ถือว่าพูดมากกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้ว
“แค่มากินข้าวเป็นเพื่อนกัน แค่ช่างมิ่งไม่วิ่งหนีผมเวลาเจอหน้ากันนี่ก็นับว่าดีมากสำหรับผมแล้วล่ะ”
“ผมไม่ได้วิ่งหนีคุณทัศนะครับ”
“แต่ก็หลบหน้าตลอด ไม่อยากมองหน้าด้วยใช่มั้ย”
ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไง ได้แต่พูดออกไปเสียงเบา เพราะไม่อยากให้คนฟังต้องเสียความรู้สึก
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่รู้จะคุยอะไรจริง ๆ”
ยังยืนยันคำเดิมและคุณทัศนัยก็พยักหน้าตาม
“ผมล้อเล่นน่ะ กินข้าวเถอะ เย็นหมดแล้วเดี๋ยวจะไม่อร่อย ช่างมิ่งอย่าถือสาอะไรผมเลย ผมก็พูดไปเรื่อยแบบนี้แหละ”
ชวนให้กินข้าวด้วยกันและมิ่งก็ยอมกินด้วยท่าทางเกร็ง ๆ อย่างเห็นได้ชัดแต่สำหรับคุณทัศนัยแล้วมันดูน่ามองมาก และทำให้มองเพลินเมื่อเห็นท่าทางของคนที่อยู่ตรงหน้า
อย่างน้อยก็เริ่มยอมพูดคุยกันบ้างแล้ว ดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่ว่าเจอหน้ากันกี่ครั้งก็ไม่ยอมสบตา เอาแต่หลบหน้าและบางครั้งก็วิ่งหนีไปดื้อ ๆ ถ้าครั้งนี้ไม่หาข้ออ้างชวนออกมากินข้าวด้วยกัน ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้คุยกันจริงจังแบบนี้สักที
+++
“ผมขอผ่อนจ่ายเงินที่ผมยืมคุณทัศเป็นรายเดือนได้มั้ยครับ”
ที่ยอมมากินข้าวด้วยก็เพราะอยากจะคุยเรื่องนี้ และคุณทัศนัยก็เงยหน้าขึ้นมองและทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
“ได้สิ”
แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมให้ผ่อนจ่ายได้ ก็ทำให้สบายใจขึ้นแล้ว
“ทุก ๆ สิ้นเดือนผมจะแวะเข้าไปรับเป็นเงินสดจากช่างมิ่งที่อู่แล้วกันนะ”
“คุณทัศให้ผมโอนเข้าบัญชีให้ก็ได้ครับ หรือจะให้ผมเอาเงินไปให้ที่บริษัทก็ได้ ผมไม่อยากให้คุณทัศต้องยุ่งยากลำบากเพราะผม แค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้ว”
เพราะดูเหมือนว่ากำลังสร้างปัญหาให้เกิดความยุ่งยาก เลยทำให้ไม่สบายใจ และคุณทัศนัยก็อธิบายว่าเพราะอะไรถึงต้องเข้ามารับเงินสดด้วยตัวเอง
“บัญชีของผมมันผูกติดกับบัญชีบริษัท อีกอย่างผมก็เข้าไปที่อู่อยู่บ่อย ๆ ช่างมิ่งเจอหน้าผมก็ค่อยเอามาให้ก็ได้ แบบนี้ผมว่าดีกว่านะ”
“ดีเหรอครับ”
“ดีสิ”
“ผมทำให้คุณทัศลำบากหรือเปล่าครับ”
มิ่งมีสีหน้าลำบากใจ แต่คุณทัศนัยมองหน้าของมิ่งแล้วหัวเราะ พูดจาหยอกล้อในแบบที่มิ่งต้องรีบก้มหน้าหนีไม่กล้าสบตาคนที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่ลำบากหรอก ต่อไปนี้ช่างมิ่งจะได้เลิกวิ่งหนีผมทุกครั้งที่เจอหน้ากันยังไงล่ะ”
ที่หลบหน้าไม่ใช่เพราะอยากหลบ แต่คุณทัศนัยคงไม่รู้ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันดูเหมือนหัวใจของมิ่งจะเต้นแรงมากขึ้นทุกที
“ผมไม่ได้จะหลบหน้าหรอกครับ”
“แต่ก็เมินหน้าหนีตลอดไม่ใช่เหรอ”
ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เพราะสิ่งที่คุณทัศนัยพูดเป็นเรื่องจริง เลยได้แต่เลี่ยงด้วยการตักข้าวเข้าปากกินไปเงียบ ๆ และคุณทัศนัยก็อมยิ้มเมื่อเห็นสิ่งที่มิ่งทำ
“แบบที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เรียกว่าหลบหน้านะช่างมิ่ง”
ช้อนที่กำลังตักกับข้าวนิ่งชะงักค้างไปชั่วขณะ และมิ่งก็ขบริมฝีปากแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของคุณทัศนัยแบบตรง ๆ โดยไม่หลบตาอีก
“จะให้ผมจ้องหน้าคุณทัศแบบนี้จริง ๆ เหรอครับ”
พูดไปโดยที่ดวงตาสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย และคุณทัศนัยก็ไม่ได้เมินหน้าหนีแต่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนทำให้คนที่พยายามที่จะสบตาด้วยใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“ดีสิ”
คำตอบเรียบง่ายแต่ทำให้มิ่งรู้สึกเหมือนกำลังจะละลาย
“ไม่ดีหรอกครับ”
รีบหลบสายตาทันทีเพราะรู้แล้วว่าคงต้านทานสายตาของคนที่มองมาไม่ไหว
“ผมจะรอวันที่ช่างมิ่งอยากจะมองหน้าผมแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็แล้วกันนะ”
คุณทัศนัยพูดไปยิ้มไป แต่มิ่งกำมือแน่นและพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็น ๆ และไม่แสดงความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมา
...ใจเย็น ๆ ไอ้มิ่ง ใจเย็น ๆ คุณทัศเขาคงไม่ได้คิดอะไร เขาก็แค่แกล้งพูดแหย่เล่นแค่นั้นเอง...
TBC.