อู่ซ่อมรัก. 14
“ผมขอโทษที่มารบกวนนะครับ ผมรู้ว่าคุณทัศยุ่งมากเลยไม่มีเวลาแวะไปที่อู่ผมก็เลยเอาเงินมาให้ ผมกลัวว่าตัวเองจะเอาเงินไปใช้หมดซะก่อนครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ช่างมิ่งจะเก็บเงินไว้ใช้ทำอะไรก่อนก็ใช้เถอะ ผมไม่มีปัญหาอะไร”
แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี ยิ่งคุณทัศนัยบอกให้เก็บเงินไว้ใช้ก่อนก็ยิ่งทำไม่ได้
“ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่อยากเบี้ยวหนี้คุณทัศ”
“ช่างมิ่งเป็นคนตรงไปตรงมากับผมตลอดเลยนะ”
คุณทัศนัยวางมือจากงานที่ค้างอยู่และพูดคุยกับมิ่งอย่างเป็นกันเองเสมอ
“นี่ครับ ที่ผมค้างไว้”
“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ว่าช่างมิ่งค้างเอาไว้ เป็นผมเองที่ไม่มีเวลาไปรับเงิน เอง ความผิดผมต่างหากล่ะ”
ทำไมถึงได้เป็นคนที่พูดแต่สิ่งดี ๆ และทำให้รู้สึกดีได้ด้วยตลอดเวลาขนาดนี้ ทั้งรอยยิ้มละมุนที่มีให้เสมอ คำพูดที่สุภาพไม่เคยทำให้รู้สึกถึงความห่างของชนชั้น ทั้งที่เป็นแค่ช่างในอู่ซ่อมรถธรรมดา เทียบไม่ได้กับเจ้าของธุรกิจรถเช่าที่มีเงินทองมากกว่าไม่รู้กี่เท่า
มิ่งส่งเงินสดที่นับมาเรียบร้อยให้และคุณทัศนัยก็รับเอาไว้และใส่ลงในลิ้นชักโต๊ะทำงาน
“งั้นผม...ไม่รบกวนแล้วนะครับ”
“ไม่รบกวนเลย แล้ววันนี้ช่างมิ่งต้องรีบกลับเหรอ”
ทำไมถึงได้รู้สึกถึงน้ำเสียงที่ดูออดอ้อนชวนให้รู้สึกหวั่นไหว ไม่ใช่แค่น้ำเสียงแต่ยังเป็นสีหน้าและแววตาของคุณทัศนัยที่ส่งความรู้สึกบางอย่างมาด้วย
“คุณทัศยุ่งอยู่ ผมไม่อยากรบกวนนานครับ”
“ผมไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น ช่างมิ่งนั่งเล่นอยู่ที่นี่ก่อนอีกนิดได้มั้ย”
ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คุณทัศนัยก็พูดแบบนั้น แต่มันทำให้คนฟังรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อเผลอสบตากับคนพูดและคุณทัศนัยก็รีบนั่งตัวตรงและรีบอธิบายสิ่งที่ตัวเองพูดทันที
“พอดีผมจะถามเรื่องหนูพิมพาว่าเป็นยังไงบ้าง ชอบพวกเครื่องเขียนแล้วก็ของที่ผมซื้อไปฝากคราวก่อนหรือเปล่า”
หาข้ออ้างที่ดูสมเหตุสมผลในการคุยเพื่อทำให้มิ่งยอมอยู่ต่ออีกนิด ครั้งก่อนคุณทัศนัยซื้อทั้งอุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้าชุดนักเรียนและของเล่นให้กับพิมพา และมิ่งไม่รู้ว่าต้องพูดคำว่าขอบคุณอีกกี่ครั้งถึงจะพอ และเมื่อพูดถึงเรื่องลูกสาว มิ่งก็รู้สึกผ่อนคลายทันที
“พิมพาชอบของที่คุณทัศซื้อให้ครับ ผมกลับบ้านไปคราวก่อนพิมพาก็ถามถึงคุณทัศอยู่ตลอด”
“จริงเหรอ ผมดีใจมากเลยนะ ที่หนูพิมพาถามถึงผมด้วย”
“ครับ ชอบตุ๊กตาเจ้าหญิงที่ซื้อให้เป็นพิเศษแล้วก็ชอบสมุดระบายสีด้วยครับ”
แค่พูดถึงเรื่องลูก ดวงตาของคนพูดก็มีประกายระยิบระยับและคุณทัศนัยก็ฟังสิ่งที่มิ่งพูดและยิ้มตาม
“แล้วคุณทัศไม่มีลูกเหรอครับ”
อยู่ดี ๆ ก็ถูกถามและคุณทัศนัยก็เลิกคิ้วขึ้นสูงและครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ผมเองก็มีลูกสาวเหมือนกัน ลูกสาวผมโตแล้วล่ะ ตอนนี้ก็อยู่ต่างประเทศกับคุณแม่เขา”
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกหัวใจห่อเหี่ยวลงหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่คุณทัศนัยบอก ได้แต่รับฟังเงียบ ๆ และคุณทัศนัยก็พูดถึงเรื่องของตัวเองให้มิ่งฟังบ้าง
“ผมไม่ใช่พ่อที่ดีเท่าไหร่หรอก เมื่อก่อนผมทำแต่งานตอนนี้ผมก็ยังทำแต่งาน เวลาของผมกับลูกที่ควรได้ใช้ด้วยกันหายไปเยอะมาก นึกขึ้นได้อีกทีเขาก็โตเป็นสาวแล้ว นาน ๆ ถึงจะได้เจอกันบ้าง”
“แล้วคุณทัศกับ...”
“ผมหย่ากับภรรยาหลายปีแล้ว ตอนนี้แม่ของลูกสาวผมเขาก็มีชีวิตใหม่ของเขา ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ ผมเองก็อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนเหมือนกันนะ”
คำพูดที่เหมือนเป็นแค่คำบอกเล่า แต่สายตาของคนพูดมองตรงมาที่คนที่กำลังตั้งใจฟัง และเพียงแค่สบตากับดวงตาของคนที่มองมา มิ่งก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงมากขึ้นทุกที
“ผมอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนจริง ๆ นะ”
อีกครั้งที่คำพูดของคุณทัศนัยทำให้คนฟังลมหายใจสะดุดและมิ่งก็พยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“แล้วช่างมิ่งล่ะ ไม่คิดอยากจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนบ้างเหรอ”
มิ่งก้มหน้าลงและตอบสิ่งที่ถูกถามไปเสียงเบา
“ตัวผมเอง...ยังเอาไม่รอดเลยครับ”
คุณทัศนัยพยักหน้ารับสิ่งที่มิ่งบอก และพูดเรื่องที่ทำให้มิ่งไม่เข้าใจ
“แล้วถ้าคนที่อยากเริ่มต้นกับช่างมิ่งเขาเอาตัวรอดได้แล้วโดยที่ช่างมิ่งไม่ต้องไปกังวลเรื่องฐานะของเขา แบบนี้พอจะคิดเรื่องเริ่มต้นใหม่กับเขาได้มั้ย”
ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณทัศนัยพูดหมายถึงอะไร และเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่พูดไปยิ้มไปอีกครั้งมิ่งก็ต้องรีบเมินหน้าหนีทันที
“ผมอยากรู้ว่าช่างมิ่งคิดยังไง เราก็เคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ผมคิดว่าช่างมิ่งน่าจะเข้าใจความรู้สึกผมดี”
มิ่งไม่รู้ว่าควรตอบยังไงดี และทำได้เพียงแค่นั่งฟังเงียบ ๆ และหาทางหลีกเลี่ยงความรู้สึกแปลก ๆ ของตัวเองที่มีต่อคุณทัศนัยที่นับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ผมต้องกลับแล้วครับ รบกวนเวลาคุณทัศมาเยอะแล้ว”
เลี่ยงที่จะตอบคำถามด้วยการหนี และคุณทัศนัยก็ส่งยิ้มให้และพยักหน้ารับ
“ให้ผมไปส่งช่างมิ่งนะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณทัศกำลังยุ่ง”
“ให้ผมไปส่งเถอะ ผมกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี แล้วก็ต้องผ่านหน้าอู่ด้วย ช่างมิ่งติดรถไปกับผมดีกว่านะ”
“แต่ว่าผม...”
“ช่างมิ่งไม่อยากให้ผมไปส่งใช่มั้ย”
“เปล่านะครับ ไม่ใช่แบบนั้น”
“งั้นก็ไปด้วยกันเลยสิ”
ตอนมาก็มาเอง แต่ตอนกลับต้องรบกวนให้คุณทัศนัยไปส่งจนถึงหน้าอู่ ทั้งที่มิ่งไม่อยากรบกวนเลยสักนิด
“คุณทัศครับ”
เรียกคนที่ลุกขึ้นเดินนำหน้าและพร้อมจะไปส่ง และคุณทัศนัยก็หันกลับมามองคนที่เรียกเอาไว้
“ขอบคุณนะครับ”
ยกมือไหว้ด้วยความเกรงใจ และคุณทัศนัยก็ยิ้มกว้างเพราะสิ่งที่มิ่งทำ มิ่งเป็นคนมีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตน และขี้เกรงใจ ความเป็นตัวเองในแง่ดีแบบนี้ นับวันยิ่งทำให้รู้สึกดีด้วยมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ผมเองก็ดีใจที่ช่างมิ่งยอมให้ผมไปส่งเหมือนกัน”
+++
รถเข้ามาจอดที่หน้าอู่ มิ่งกำลังจะลงจากรถแต่ก็ถูกคุณทัศนัยรั้งเอาไว้
“ช่างมิ่งอย่าเพิ่งลงไปเลย”
หันกลับมามองด้วยความสงสัยและคุณทัศนัยก็บอกบางอย่างให้มิ่งรู้
“ผมว่าช่างมิ่งลงไปตอนนี้คงไม่น่าจะดี”
ไม่เข้าใจสิ่งที่คุณทัศนัยพูดและเมื่อมองตรงไปตามที่คุณทัศนัยพยักหน้าบอก มิ่งก็ได้รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ควรลงจากรถไปตอนนี้
“ไอ้เต๋อ!”
ไม่มีใครใส่ชุดนักศึกษานอกจากเต๋อที่เป็นหลานเจ้าของอู่ เดาได้ไม่ยากว่าคนที่กำลังจูบกันอยู่ที่เก้าอี้ข้างอู่คือใคร ทำไมไม่ระวังตัวบ้างหรือเห็นว่ามืดค่ำแล้วเลยนึกว่าไม่มีใครเห็น
พอจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเต๋อกับช่างวินัยอยู่บ้าง เคยเห็นเวลาที่เต๋อกับช่างวินัยหยอกล้อกันแต่ไม่ได้ชัดเจนมากขนาดนี้ และคุณทัศนัยที่นั่งอยู่ด้วยกันบนรถก็หันมามองมิ่งยิ้ม ๆ
“เอายังไงดีช่างมิ่ง”
ไม่รู้จะเอายังไงเหมือนกัน และมิ่งก็ได้แต่ทำหน้าลำบากใจและคงต้องรอแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ คุณทัศนัยไม่ได้พูดอะไรอีกและมิ่งก็ได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ ในรถแบบนั้น มองไปที่คนที่กำลังกอดจูบกันอยู่ก็ได้แต่เบือนหน้าหนี เห็นแล้วก็นึกอายที่ได้เห็นสิ่งที่เต๋อทำกับช่างวินัยอย่างชัดเจน
“ช่างมิ่ง”
“อ่ะ ครับ ๆ เอ่อ ครับคุณทัศ”
“จะรอก่อนมั้ย หรือยังไงดี”
คิดอะไรไม่ออกและมิ่งก็ขมวดคิ้วมุ่นและถอนใจยาวตอนที่หันมามองหน้าคุณทัศนัย
“เอ่อ คุณทัศรีบกลับหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก ผมไม่รีบ มีเวลาอยู่กับช่างมิ่งได้ทั้งคืน”
“คุณทัศอย่าล้อผมเล่นเลยครับ”
“ผมไม่เคยล้อเล่นกับช่างมิ่งเลยนะ ทุกครั้งที่ผมพูดอะไรออกมา ผมจริงจัง”
ไม่รู้ว่าคุณทัศนัยคิดอะไรอยู่ แต่ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน มิ่งรู้สึกว่าความเป็นตัวเองลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ
“มิ่ง”
ไม่ใช่ช่างมิ่งเหมือนที่เคยเรียก แต่เป็นการเรียกชื่อเล่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนคนฟังหวั่นไหว
“ครับคุณทัศ”
“ผมเรียกแบบนี้ได้ใช่มั้ย”
มิ่งค่อย ๆ พยักหน้าและตอบรับเสียงเบา
“ได้ เอ่อ ได้ครับ”
“มิ่ง”
“ครับ”
“มิ่ง...”
คุณทัศนัยแกล้งเรียกชื่อเล่นของมิ่งซ้ำไปซ้ำมาและมิ่งก็กำมือแน่นและเงยหน้ามองคนเรียก
“ครับ คุณทัศ”
ไม่ว่าจะถูกเรียกอีกกี่ครั้งก็ขานรับ และคุณทัศนัยก็มองหน้าของมิ่งนิ่ง ๆ สายตาที่มองมาบ่งบอกความรู้สึกที่มีให้และมิ่งก็เมินหน้าหนีไปอีกทางไม่กล้าจะสบสายตาของคนที่มองมาแบบตรง ๆ
มิ่งไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงในสถานการณ์ชวนอึดอัดใจแบบนี้ จะลงจากรถก็ไม่ได้ อยู่ต่อก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“ผมอยากเรียกแบบนี้มานานแล้ว ดีกว่าเรียกว่าช่างมิ่งเยอะเลยว่ามั้ย”
มิ่งไม่ได้ตอบอะไรออกไปได้แต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น คุณทัศนัยทำให้รู้สึกแปลก ๆ มากขึ้นทุกวันเวลาอยู่ใกล้กัน และเมื่อมองไปที่คนสองคนที่ทำให้มิ่งต้องตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดใจก็เห็นว่าทั้งสองคนลุกขึ้นเดินออกไปจากเก้าอี้ข้างอู่แล้ว
“ผมไปก่อนนะครับ”
รีบร่ำลาทันทีเมื่อมีโอกาสและคุณทัศนัยก็หัวเราะออกมาด้วยความขำ
“กลัวว่าจะต้องอยู่กับผมทั้งคืนจริง ๆ สินะ”
“ผมไม่ได้กลัวครับ ผมแค่ไม่อยากให้คุณทัศเสียเวลา”
เป็นคำแก้ตัวที่ดี และมิ่งก็พยายามทำหน้าเฉยทั้งที่จริงใจสั่น
“ผมไม่เห็นรู้สึกเสียเวลาเลย ผมมีเวลาให้มิ่งตลอดชีวิตนะ แต่มิ่งเอาแต่หลบหน้าไม่ยอมให้ผมใช้เวลาร่วมกับมิ่งเลย จนผมไม่รู้ว่าจะทำยังไง มิ่งถึงจะยอมใช้เวลาร่วมกับผมสักที”
TBC.