อู่ซ่อมรัก. 4
“มิ่ง เดี๋ยวช่วงเย็น ๆ เอารถไปส่งให้คุณทัศที่บริษัทหน่อยนะ”
อยู่ดี ๆ เฮียก็บอกให้เอารถไปส่งคุณทัศนัยที่บริษัทรถเช่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนมิ่งคงไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้แค่คิดว่าจะต้องเจอหน้ากันก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาแล้ว
“ไอ้เต๋อนะ บอกมันไปก็เท่านั้น อ้างนู่นอ้างนี่ ช่างนัยก็ติดทำรถอีกคัน ก็รู้หรอกว่ามึงไม่ค่อยอยากจะเจอคุณทัศเท่าไหร่ นี่ถ้าไปส่งเองได้กูก็คงไปแล้ว แต่ติดพาพัฒน์ไปหาหมอ มันไม่ค่อยสบาย”
เจ้าของอู่มาขอร้องด้วยตัวเอง มิ่งเป็นลูกจ้างจะทำตัวเรื่องมาก เลือกงานคงไม่ได้ เจ้าของอู่บอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นใครจะอยากจ้าง แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมเฮียถึงรู้ว่าไม่ค่อยอยากเจอคุณทัศนัย หรือว่าคนอื่น ๆ ก็รู้ว่าทุกวันนี้หลบเลี่ยงไม่ยอมเจอกับคุณทัศนัยจริง ๆ
“เดี๋ยวผมไปส่งรถให้ครับ เฮียครับผมไม่ได้ไม่ชอบคุณทัศหรอกครับ ผมแค่กลัวไปทำอะไรไม่ดีให้คุณทัศไม่พอใจแค่นั้น”
รีบบอกให้เจ้าของอู่เข้าใจและเฮียก็พยักหน้ารับ
“กูก็นึกว่ามึงไม่ชอบคุณทัศ กูเห็นคุณทัศมาทีไร มึงก็วิ่งหนีทุกที ถ้าคุณทัศมาทำอะไรไม่ดีกับมึง ต้องบอกกูนะ จะได้ไม่ต้องลำบากใจกัน”
คุณทัศไม่เคยทำอะไรไม่ดีด้วย มีแค่มองแล้วก็ส่งยิ้มให้ บางครั้งยังเดินเข้ามาทักทายบ้าง กับช่างหรือเด็กในอู่คนอื่น ๆ ก็ไม่เคยถือตัว ทั้งหมดมันผิดที่มิ่งเองที่เอาแต่คิดเรื่องไม่ดี เพราะไอ้เต๋อแท้ ๆ เลยทำให้กลายเป็นแบบนี้
“ขอโทษครับเฮีย บางทีผมก็คิดเรื่องที่บ้านด้วยเลยอาจจะทำให้คนอื่น ๆ เข้าใจผิด”
หาข้อแก้ตัวที่ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุดและบารมีก็เข้าใจที่มิ่งพูด
“เออ เข้าใจว่ะ เรื่องที่บ้านเรื่องครอบครัวมันก็ต้องสำคัญที่สุดสำหรับทุกคนนั่นแหละ มึงก็อย่าไปคิดมาก อะไรปล่อยวางได้มึงก็ต้องปล่อยวางนะ มึงก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว อย่าไปกดดันตัวเองให้มาก”
ฟังที่เฮียบัสสอนแล้วก็คิดตาม บางทีก็อยากให้เป็นแบบนั้น อยากจะปล่อยวางบ้าง แต่เมื่อคิดขึ้นมาทีไร มันก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองทุกที
“ผมมันไม่ดีเองแหละครับ ถ้าสมัยก่อนตั้งใจเรียน ไม่หาเรื่องใส่ตัวจนทำให้พ่อแม่เดือดร้อนคงได้เป็นหลักให้ครอบครัวมากกว่านี้”
สีหน้าของคนพูดบ่งบอกให้รู้ว่ายังเสียใจกับเรื่องเดิม ๆ ในชีวิตที่ผ่านไปแล้ว และบารมีก็เข้าใจดีว่าช่างในอู่รู้สึกยังไง
“มึงต้องอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็คิดให้ได้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่และทำเพื่อใคร”
“ผม...ก็ทำทุกวันนี้เพื่อลูก แล้วก็คนที่บ้านนั่นแหละครับเฮีย”
บารมีตบไหล่ของมิ่งเบา ๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้ และมิ่งก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอู่และยกมือไหว้ นอกจากจะเป็นเจ้านายแล้วยังคอยสอนคอยเตือนสติให้ไม่คิดอะไรฟุ้งซ่านไปไกล
“เออ มึงรู้ตัวเองแบบนี้ก็ดีแล้ว ตอนนี้มึงคิดแค่เรื่องหน้าที่ ที่มึงต้องทำก็พอ”
+++
[นี่ใช่ไลน์ช่างมิ่งหรือเปล่าครับ]
[ใช่ครับ]
[ผมทัศนัยเองนะ เฮียบอกแล้วใช่มั้ยเรื่องที่ผมจะรบกวนช่างมิ่งหน่อย]
[บอกแล้วครับ]
มีข้อความส่งเข้ามาหาและแค่เห็นว่าเป็นข้อความของใครมิ่งก็ลนลานจนต้องตั้งสติอยู่นาน และพิมพ์ตอบข้อความที่คุณทัศนัยส่งมาหา
[เดี๋ยวผมจะแชร์โลเคชั่นให้ ช่างมิ่งขับรถมาจอดไว้หน้าบริษัทผมเลยก็ได้]
[ได้ครับ]
[ขอบคุณมากนะ]
คิดว่าบทสนทนาที่พิมพ์ตอบโต้กันจะจบเพียงแค่นั้น แต่อยู่ดี ๆ ก็มีข้อความเข้ามาอีก
[รูปโปรไฟล์นี่ลูกช่างมิ่งเหรอ]
[ครับ]
ข้อความเงียบหายไปพักใหญ่ แล้วคุณทัศนัยก็ทักกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยประโยคที่ทำให้มิ่งต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ
[น่ารักดี]
คุณทัศนัยคงหมายถึงรูปโปรไฟล์ที่มิ่งตั้งเอาไว้เป็นรูปของตัวเองกำลังอุ้มลูกและคุณทัศนัยคงหมายถึงลูกสาวที่มิ่งอุ้มอยู่ไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น
[จะเข้าโรงเรียนแล้วครับ]
[น่าเหมือนพ่อ]
อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ บางทีคุณทัศนัยคงพิมพ์ผิด และมิ่งก็ช่วยแก้ข้อความให้
[หมายถึง หน้าเหมือนผมใช่มั้ยครับ]
[เปล่า หมายถึงน่ารักเหมือนพ่อ]
แค่เห็นข้อความที่ได้รับ ก็ถึงกับชะงักนิ่งงันไปชั่วขณะ เรื่องที่เต๋อเคยพูดเอาไว้ย้อนกลับมาในหัวอีกครั้ง และมิ่งก็รู้สึกลำบากใจเพราะข้อความที่ได้อ่าน ไม่รู้ว่าคุณทัศนัยพิมพ์ข้อความแบบนี้ส่งมาทำไม แต่มิ่งคิดว่าควรจะตอบไปตามมารยาทและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
[อ่อ ครับ]
ตอบกลับไปแบบนั้นและคุณทัศนัยก็ส่งข้อความกลับมาหาอีกครั้ง
[ผมแซวเล่น ไม่ได้โกรธกันใช่มั้ย]
[ไม่ครับ]
[ผมว่าช่างมิ่งดูเหมือนโกรธผมเลยนะ]
[เปล่าครับ ไม่ได้โกรธ คุณทัศส่งโลเคชั่นมาเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปส่งรถให้]
ตั้งใจจะตัดบทสนทนาแค่นั้นแต่เมื่อเห็นข้อความที่คุณทัศนัยส่งมาอีกก็ยิ่งทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
[เวลาเจอหน้ากันแล้วช่างมิ่งคุยกับผมเยอะ ๆ เหมือนแบบนี้ก็คงดีมากเลยนะ]
[ครับ]
ตอบกลับไปแล้ว และมิ่งกำลังจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้อแต่คุณทัศนัยก็ยังส่งข้อความตอบกลับมา
[ครับก็ครับ ยังไงก็ขอบคุณช่างมิ่งมากนะ ผมรบกวนช่างมิ่งเป็นธุระเรื่องนี้ให้ผมด้วย]
[ครับ]
[ขากลับเดี๋ยวผมมาส่งช่างมิ่งเอง]
[ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเองดีกว่า]
[ไม่ได้สิ ผมรับปากเฮียไว้แล้ว ว่าจะมาส่ง ถ้าผมไม่มาส่งน่าเกลียดตายเลย เฮียจะคิดยังไง ผมเสียเครดิตเลยนะ วันหลังผมคงไม่กล้ารบกวนลูกน้องเฮียแล้ว]
[มันใกล้นิดเดียวเองนะครับ]
พยายามปฏิเสธแล้ว แต่ดูเหมือนคุณทัศนัยก็ยังยืนยันจะมาส่งให้ได้
[ยังโกรธเรื่องที่ผมแซวเหรอ]
[ผมไม่ได้โกรธครับ]
[งั้นเดี๋ยวเจอกัน ผมจะได้รู้ว่าช่างมิ่งไม่ได้โกรธผมแล้วจริง]
หลังจากนั้นไม่มีข้อความอะไรส่งมาอีก และมิ่งก็มองโทรศัพท์ในมือและถอนใจยาว ปกติก็ไม่ค่อยกล้าจะพูดคุยด้วยอยู่แล้ว แต่นี่ต้องไปเจอหน้ากันตรง ๆ แล้วจะทำหน้ายังไงตอนที่เจอกัน
มิ่งกำลังเครียดทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่เอารถไปส่งที่บริษัทรถเช่าของคุณทัศนัยแค่นั้น แต่แค่คิดว่าจะต้องเจอหน้าและพูดคุยกัน แค่นี้ก็ทำให้หนักใจจนไม่รู้จะทำยังไงดี
+++
จอดรถเพื่อตั้งสติอยู่หน้าบริษัทรถเช่าของคุณทัศนัยอยู่นานแต่ไม่กล้าเข้าไปหาคุณทัศนัยที่ออฟฟิศ ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาเจอสถานการณ์ชวนอึดอัดใจแบบนี้ด้วย แต่เมื่อเป็นหน้าที่และเป็นงานที่เฮียมอบหมายให้ทำก็ต้องทำให้สำเร็จเรียบร้อย
ในที่สุดหลังจากทำใจอยู่นาน มิ่งก็ก้าวขาลงจากรถและค่อย ๆ เดินไปที่หน้าออฟฟิศของบริษัทรถเช่าของคุณทัศนัย กำลังจะเปิดประตูเข้าไปแต่คุณทัศนัยที่รออยู่ก่อนแล้วก็เปิดประตูออกมาทักซะก่อน
“มาแล้วเหรอช่างมิ่ง เข้ามาก่อนสิ”
“เอ่อ ครับ ผมมาส่งรถครับ”
มิ่งยกมือไหว้เจ้าของบริษัทและกำลังจะถอดรองเท้าผ้าใบที่สวมอยู่ออกแต่คุณทัศนัยก็ห้ามเอาไว้
“ไม่เป็นไรใส่รองเท้าเข้ามาก็ได้”
ทำตามที่คุณทัศนัยบอกและเดินตามเข้ามาในห้องทำงาน และคุณทัศนัยก็เชื้อเชิญให้นั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน มิ่งยื่นกุญแจรถให้กับคนที่นั่งเอนหลังในท่าสบาย ๆ อยู่บนเก้าอี้ คุณทัศนัยรับกุญแจรถมาวางไว้บนโต๊ะและมิ่งก็รายงานเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้ทำ
“ผมลองรถให้แล้วนะครับ ไม่มีปัญหาอะไร งั้นผมกลับนะครับ”
พูดเหมือนท่อง ยังไม่ทันที่คุณทัศนัยจะตอบ มิ่งก็รีบยกมือไหว้เพื่อจะได้รีบกลับ แต่ก็ถูกคุณทัศนัยรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ อยู่ก่อนจะรีบไปไหนล่ะช่างมิ่ง ผมมีเช็คจะฝากไปให้คุณพัฒน์ด้วย”
มิ่งที่เตรียมจะหนี ต้องหยุดชะงักและรู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง พยายามรวบรวมสติและบังคับหน้าของตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกอะไรออกไป
“เอ่อ ครับ”
“ช่างมิ่งนั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวผมจัดการให้ ขอเคลียร์งานอีกหน่อย”
แล้วจะทำอะไรได้ มิ่งได้แต่นั่งรอด้วยท่าทางอึดอัดใจ ดูเหมือนคุณทัศนัยจะกำลังตรวจเช็กเอกสารบางอย่างอยู่และสายตาของมิ่งก็มองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนัง เข็มนาฬิกาทุกเข็มดูจะเดินช้ากว่าปกติและมิ่งก็รู้สึกอึดอัดใจที่ต้องนั่งอยู่ในห้องเงียบ ๆ กับคุณทัศนัยสองคน ยังดีที่มีโทรศัพท์เลยหยิบออกมากดเล่นรอเวลา และคุณทัศนัยที่แอบเหลือบสายตามองคนที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อย ๆ ก็แอบยิ้มกับตัวเองเงียบ ๆ
ไม่ได้อยากจะแกล้งหรอกนะ แต่แค่อยากรู้ว่าถ้าต้องอยู่ด้วยกัน แบบนี้แค่สองคน มิ่งจะทำยังไง
+++
“ขอโทษทีนะนานไปหน่อย พอดีผมต้องตรวจเอกสารหลายใบ ช่างมิ่งเลยต้องมาเสียเวลารอนานเลย”
มิ่งเงยหน้าจากโทรศัพท์ที่อยู่ในมือและมองมาที่คุณทัศนัยที่ดูเหมือนจะทำเช็คให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว รับเช็คที่คุณทัศนัยยื่นส่งให้และรู้สึกโล่งใจที่จะได้กลับแต่ดูเหมือนคุณทัศนัยจะไม่ยอมให้กลับง่าย ๆ
“เดี๋ยวช่างมิ่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ มีของฝากไปให้เฮียด้วย”
คุณทัศนัยลุกขึ้นเดินไปด้านหลังของออฟฟิศและมิ่งก็มองตาม ในเวลาไม่นานคุณทัศนัยก็หิ้วถุงใบใหญ่เดินออกมาและชวนให้มิ่งออกมาด้วยกัน
“ช่างมิ่งกินข้าวมาหรือยัง”
“เอ่อ เดี๋ยว...เดี๋ยวผมกลับไปกินครับ”
“แปลว่ายังไม่ได้กินใช่มั้ย”
มิ่งไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปยังไงดี และคุณทัศนัยก็ชวนให้ไปกินข้าวด้วยกัน
“ผมก็ยังไม่ได้กินข้าว ช่างมิ่งไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
แบบนี้คงจะไม่ดี แค่นั่งอยู่ด้วยกันที่ออฟฟิศก็เหมือนจะหายใจไม่ออกแล้ว ถ้าต้องไปกินข้าวด้วยกันอีกคงจะไม่ไหว
“ผม คือว่าผม...”
คุณทัศนัยหันมามองคนที่พูดจาติด ๆ ขัด ๆ แล้วก็นึกสงสัยว่ามิ่งจะพูดอะไร
“ผมขอโทษจริง ๆ ครับคุณทัศ ผมไปกินข้าวกับคุณทัศไม่ได้หรอก ผมต้องรีบกลับจริง ๆ”
มิ่งตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดออกไป ไม่ว่ายังไงก็คงไม่สามารถไปอยู่ในสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดใจกับคุณทัศนัยได้จริง ๆ และคุณทัศนัยก็เลิกคิ้วขึ้นและมองหน้าของมิ่งที่มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
...การไล่ต้อนให้อีกฝ่ายจนมุมดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดี...
“ไม่เป็นไรหรอกช่างมิ่ง อย่าคิดมากเลย ผมไม่ได้ซีเรียสอะไร ไม่ต้องขอโทษผมหรอก พอดีเห็นว่าช่างมิ่งนั่งคอยนานแล้ว ผมก็เกรงใจ เลยอยากให้ไปกินข้าวด้วยกันแค่นั้น แต่ถ้าช่างมิ่งไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรนะ”
โชคดีที่คุณทัศนัยยอมเข้าใจง่าย ๆ และมิ่งก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจที่คุณทัศนัยไม่ติดใจถือสาหาความกับสิ่งที่พูดออกไป
“ผมขอโทษจริง ๆ ครับคุณทัศอย่าโกรธผมเลยนะครับ”
แล้วมิ่งก็ยกมือไหว้พร้อมกับขอโทษไม่หยุด เห็นแบบนั้นแล้วยิ่งทำให้คุณทัศนัยยิ้มกว้างเพราะสิ่งที่มิ่งทำ
“ช่างมิ่งไม่ได้เกลียดผมใช่มั้ย”
“เปล่าครับ ไม่ได้เกลียดครับ ผมไม่ได้เกลียดคุณทัศจริง ๆ”
รีบปฏิเสธและมิ่งก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง และหัวใจก็เริ่มต้นในจังหวะแปลก ๆ เวลาที่คุณทัศนัยมองมา แค่เจอกันในอู่ไกล ๆ ก็ว่าแย่แล้ว นี่ต้องมาพูดคุยกันจริง ๆ จัง ๆ มิ่งเลยไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง
“แค่ช่างมิ่งไม่โกรธไม่เกลียดกัน ผมก็ดีใจแล้วล่ะ เดี๋ยวผมไปส่งช่างมิ่งที่อู่นะ ขอโทษทีที่ผมทำให้ช่างมิ่งต้องนั่งรออยู่ตั้งนาน”
+++
“เมื่อก่อนตอนที่เราเจอกันแรก ๆ ช่างมิ่งยังชวนผมคุยแล้วก็ยังชวนเล่นหมากฮอสเลย จำได้มั้ย”
อยู่ดี ๆ คุณทัศนัยก็เริ่มรื้อฟื้นความหลังเมื่อนานมาแล้วขึ้นมา และมิ่งที่นั่งหลังเกร็งก็แกล้งเมินหน้ามองไปนอกหน้าต่างรถ ถึงจะจำได้แต่ก็ไม่รู้จะตอบออกไปยังไง
“ตอนนั้นช่างมิ่งมาทำงานที่อู่ใหม่ ๆ ใช่มั้ยผมจำได้”
“ครับ”
ถามคำตอบคำ พูดด้วยหลายคำ ตอบกลับมาหนึ่งคำ และคุณทัศนัยก็ไม่ได้เร่งรัดให้มิ่งต้องพูดอะไรอีก ขับรถพามาส่งจนรถมาจอดที่หน้าอู่
“อย่าลืมของฝากนะ”
กำลังจะลงจากรถแต่คุณทัศนัยก็เรียกเอาไว้และมิ่งก็หันกลับมาอีกครั้ง
“ถุงใหญ่ของเฮีย ถุงเล็กของช่างมิ่งนะ”
ฟังสิ่งที่คุณทัศนัยบอกและมิ่งก็มองของที่วางอยู่ที่เบาะรถด้านหลัง
“ทำไมถึงให้ผมล่ะครับ”
เอ่ยถามด้วยความสงสัยและคุณทัศนัยก็ตอบสิ่งที่มิ่งถาม
“ช่างมิ่งอุตส่าห์ขับรถมาส่งให้ผมที่บริษัท ก็ถือว่าแทนคำขอบคุณจากผมแล้วกันนะ”
“อ่อ...ขอบคุณครับคุณทัศ”
ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็เลยยกมือไหว้ขอบคุณและลงจากรถเพื่อมาหยิบถุงของฝากที่วางอยู่ที่เบาะด้านหลังรถ
“ช่างมิ่ง”
“ครับ”
“ผมดีใจนะ ที่วันนี้ช่างมิ่งยอมคุยกับผมและไม่หลบหน้าผมเหมือนที่ผ่านมา”
TBC.