♣ พนันท้ารัก ♣ The Fountain Casino || วงล้อที่สามสิบแปด (END) UP!! 02/04/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ พนันท้ารัก ♣ The Fountain Casino || วงล้อที่สามสิบแปด (END) UP!! 02/04/2020  (อ่าน 65632 ครั้ง)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
 อะไรยังไงสิ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

วงล้อที่สิบเจ็ด




ภาสกรกำลังจะขาดใจตาย


            ไม่ใช่เพราะความเคลิบเคลิ้มพิศวาสของการถูกจูบแต่เขากำลังจะตายเพราะขาดอากาศหายใจ ทำไมเวลามันช่างยาวนานเช่นนี้ ชายหนุ่มนั่งเกร็ง หลังตรง มือจิกเข้ากับที่เท้าแขนเก้าอี้โซฟาแน่นทั้งสองข้าง


            จังหวะที่ภาสกรคิดจะขอลาโลกไป ฉับพลันได้อากาศคืนกลับมา เจ้าตัวรีบโกยอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ  จากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า         

            “บะ..บอสเมาใช่ไหม คิดว่าผมเป็นคุณอลันใช่ไหม” เขาเดาว่าตัวเองต้องหน้าแดงแน่ ๆ  มันรู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนฉ่าไปทั่ว

            “ฉันไม่ได้เมาและก็ไม่ได้เห็นเธอเป็นอลัน”

            “ถ้าอย่างนั้น...” ภาสกรลดเสียงเบาลงอัตโนมัติ เขาเขินอายที่จะต้องพูดเรื่องพวกนี้ แต่สุดท้ายก็กลั้นใจพูดต่อไปให้จบ ๆ  “บอสจูบผมทำไม”

            “ฉันพูดไปแล้วว่าจูบของเธอทำให้ฉันรู้สึกดี”

            “ผม?” ภาสกรชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนจะทำหน้าเหลอหลาก่อนจะส่ายหน้าเต็มแรง “เป็นไปไม่ได้ บอสเมาใช่ไหมครับ”

            “เธอได้กลิ่นเหล้าจากตัวฉันหรือเปล่า”

            คนถูกถามทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะตอบ “ไม่ครับ”

            “แล้วฉันจะเมาได้ยังไง”

            “...” ถูกต้องตามที่อรรควัสบอกทำให้ภาสกรไร้สิ้นจะโต้ตอบ เขาจึงเลือกเงียบไปเสียเฉย ๆ

            “ฉันต้องขอโทษเธอด้วย” ภาสกรเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ มองหน้าคนตรงหน้า ไม่เข้าใจว่าอรรควัสพูดขอโทษเพราะอะไร

            “ครับ?”

            “เธอคงตกใจ”

            “ครับ เป็นใครก็ต้องตกใจที่ถูกทำแบบนั้น” ภาสกรยอมรับง่ายดาย

            “อันที่จริงฉันเองไม่ได้อยากใช้เหตุผลส่วนตัวเป็นข้ออ้างเรื่องที่ฉันทำกับเธอไปเมื่อครู่นี้หรอกนะ”

            “อ่า..ครับ” ภาสกรรับคำ เขาไม่รู้จะต้องพูดอะไร

            “แต่เธอทำให้ฉันสบายใจขึ้นมาก”

            “...” ภาสกรไม่ได้ตอบเพราะเขาหลับตาปี๋ในจังหวะที่เห็นอรรควัสค้อมตัวลงพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ภาสกร เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้โซฟา แถมยังถูกอรรควัสยืนขวางอยู่ตรงหน้าทำให้เขาไร้ซึ่งหนทางที่จะหนีเอาตัวรอด แล้วเขาจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากหลับตาเท่านั้น


            เขาคิดว่าอรรควัสคงจะกระทำกับเขาเหมือนอย่างเมื่อสักครู่นี้อีกครั้ง ทว่าผิดคาด เจ้าตัวกลับรู้สึกอุ่นที่แก้มด้านซ้ายของตัวเองแทนก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู


“โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะพาย” เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดภาสกรก็ลืมตาขึ้นมาทันทีจึงเห็นว่าอรรควัสถอยกลับไปนั่งที่ตำแหน่งเดิมของเจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว

            “บอสรู้จักผม?” ภาสกรติดใจกับคำพูดปริศนาของอีกฝ่าย

            “ฉันก็ต้องรู้จักเธออยู่แล้ว”

            “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมหมายถึงบอสเคยรู้จักผมมาก่อนหรือเปล่า”

            “แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ”

            “บอสจะไปรู้จักผมได้ยังไง”

            “นั่นสิ ฉันจะไปรู้จักเธอได้ยังไง” อรรควัสพูดตามประโยคของอีกคน

            “บอสรู้จักผมมาก่อนใช่ไหมครับ” ภาสกรยังไม่ยอม เขาดึงดันถามอีกฝ่ายต่อ

            “รู้จักหรือไม่รู้จัก มันสำคัญกับเธอตรงไหน” อรรควัสย้อนถาม

            “ก็ถ้าบอสรู้จักผม..” พูดมาถึงคำสุดท้าย ภาสกรกลับอึกอักพูดต่อไม่ได้


            ‘นั่นสิ รู้จักหรือไม่รู้จักแล้วมันสำคัญกับเขาตรงไหน’


            “ถ้าฉันรู้จักเธอแล้วมันยังไง”

            “ก็...เอ่อ..ไม่มีอะไรครับ” ภาสกรตัดสินใจล้มเลิกความอยากรู้ของตัวเอง

            “ทำงานที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง” อรรควัสเองก็เช่นกัน เจ้าของผับไม่คิดจะถามอีกฝ่ายกลับว่าทำไมจึงเปลี่ยนใจไม่ถามเขาแล้ว ในเมื่อภาสกรเปลี่ยนใจ เขาจึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น

            “ก็ดีครับ”

            “ชินกับงานที่นี่หรือยัง”

            “เริ่มชินแล้วครับ”

            “อืม ดีแล้ว ระหว่างที่ฉันยังหาตัวคนร้ายไม่เจอ เธอก็ทำงานที่นี่ไปพลาง ๆ  ก่อน”

            “เอ๊ะ? ไปพลาง ๆ  ?”

            “อยากกลับไปทำงานที่คาสิโนไหม”

            “อยากสิครับ ผมกลับไปได้เหรอ” ภาสกรมองอีกฝ่ายด้วยตาเป็นประกาย ทำงานที่ผับก็ไม่ได้แย่ แต่เขาชอบงานที่คาสิโนมากกว่า กระนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่มีทางเลือกมากนัก

            “...”

            “เพื่อนผมบอกว่าบอสติดประกาศไล่ผมออกแล้ว” ชายหนุ่มหน้าม่อยลงเมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนได้

            “ใช่ ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อให้คนร้ายคิดว่ามีแพะรับบาปแทนเขาไปแล้ว”

            “ถ้างั้นผมคงไม่มีทางกลับไปทำงานที่คาสิโนได้อีก”

            “ใช่ว่าจะกลับไปไม่ได้”

            “จริงเหรอครับ ผมกลับไปได้เหรอ” ภาสกรดีใจ ความหวังถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้ง

            “อืม แต่ต้องรอเวลาอีกสักหน่อย”

            “ได้ครับ นานแค่ไหนผมก็จะรอ”

            “รอให้ได้อย่างปากว่าก็แล้วกัน”

            “แน่นอนครับ” ภาสกรรับปากอย่างแข็งขัน ถ้าได้กลับไปทำงานที่คาสิโน เขาก็จะได้กลับไปที่ที่เขาชอบมากกว่า ได้เงินมากกว่า และมีคนรักเขามากกว่าที่ผับ

            “อืม”

            “แล้วระหว่างที่รอ ผมต้องทำอะไรบ้างครับนอกจากงานที่ทำอยู่”

            “ง่าย ๆ  แค่นอนกับฉัน”

            “ห๊ะ! อะไรนะครับ” ไม่ทันไรภาสกรก็เสียงดังขึ้นอีกครั้ง เขาคิดว่าหัวใจของเขาเดี๋ยวเต้นช้า เดี๋ยวเต้นเร็ว ไม่ช้าไม่นานเขาอาจจะหัวใจวายเข้าจริง ๆ

            “นอนกับฉัน” อรรควัสพูดจบก็รีบยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูด “ฟังให้จบ นอนกับฉันเหมือนเมื่อคืนก่อน”

            “เมื่อคืน เอ๊ย เมื่อเช้าวาน” ภาสกรอดไม่ได้ที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง นี่เข้าเช้าวันจันทร์แล้ว และเขานอนกับอรรควัสในเช้าวันอาทิตย์ แสดงว่าผ่านมาหนึ่งวันแล้ว

            “วันไหนก็ช่างแล้วแต่เธอจะเรียก เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ ขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องของเธอแล้วกลับมาที่ห้องนี้”

            “แต่ผมยังไม่ได้ตอบตกลง”

            “...”

            “ผมขอปฏิเสธได้ไหม ผมคิดว่าไม่..” ภาสกรตั้งใจจะพูดคำว่าไม่เหมาะแต่กลับถูกอรรควัสแทรกขึ้นมาเสียก่อน

            “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ขอโทษที่ฉันทำตามใจโดยลืมถามความสมัครใจของเธอ”

            “ผม..คือ..”

            “คืนนี้เธอเหนื่อยมามากแล้วกลับไปพักเถอะ” อรรควัสพูดจบก็หยิบขวดเหล้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมา

            “ครับ” ภาสกรลุกขึ้นยืน ลังเลเล็กน้อย คราแรกคิดว่าอรรควัสจะโกรธที่เขาปฏิเสธเสียอีก หากไม่ใช่ อีกฝ่ายกลับยอมรับอย่างสงบและปล่อยให้เขากลับห้องแต่โดยดี

            “เดี๋ยวก่อน” ภาสกรชะงักเล็กน้อย จังหวะที่เขากำลังจะเปิดประตูห้องพอดี

            “ครับ”

            “เธอไปบอกใครให้หน่อยว่าเอาแก้วเหล้ามาให้ฉันทีสองใบ”

            “สองใบ บอสจะดื่มกับใครครับ” ภาสกรห้ามปากตัวเองไม่ทัน

            “แก้วสองใบ ภาสกร”

            “ครับ”






 
            แม้จะอาบน้ำจนร่างกายรู้สึกสดชื่นคลายความเหน็ดเหนื่อยพร้อมที่จะเข้านอนอย่างสบายใจแล้ว หากภาสกรยังไม่สามารถสลัดความคิดถึงคนที่อยู่ในห้องห้าสิบสองไม่เลิกรา ทั้งที่เจ้าตัวอยู่ในห้องเพียงลำพังคนเดียว ไม่เข้าใจว่าอรรควัสต้องการแก้วเหล้าสองใบไปทำไม ครั้นจะคิดว่าชวนคนอื่นมาดื่มด้วย ภาสกรเดาว่ามันไม่ใช่ลักษณะนิสัยของอีกฝ่าย อีกทั้งเวลานี้ก็เช้าตรู่ คงไม่มีใครอยากมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเจ้าของผับเป็นแน่


            ดูเหมือนว่าพนักงานหน้าใหม่คนนี้ยังตัดสินใจไม่ตกว่าควรนำแก้วเหล้าไปให้อรรควัสด้วยตัวเองดีหรือไม่ ทว่าในใจลึก ๆ  ของภาสกรแล้วกลับรู้ดีว่าตนเองได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่บอกให้ใครนำแก้วไปให้คนในห้องหรือการที่พาร่างกายของตัวเองมาหยุดยืนหน้าห้องห้าสิบสองอีกครั้งหนึ่งก็ตาม


            เขาเลือกที่จะทำตามคำขอร้องแกมคำสั่งของอรรควัส


            ก๊อก..ก๊อก


            ภาสกรยืนสงบนิ่ง แต่ใจกลับเต้นโครมคราม ไม่รู้ว่าถ้าอรรควัสเห็นเขากลับมาที่นี่จะคิดอย่างไร คนในห้องไม่เปิดประตูออกมาเสียทีนอกจากส่งน้ำเสียงหนักแน่นที่เขาได้ยินอยู่เป็นนิจ บอกให้คนที่เคาะประตูเปิดเข้าไปได้

            “วางแก้วไว้บนโต๊ะแล้วออกไปได้เลย” คนออกคำสั่งมองปลายเท้าของผู้มาเยือน ไม่แม้แต่จะมองหน้าเลยด้วยซ้ำ

            “...” ภาสกรยืนนิ่ง ไม่ได้ทำตามคำสั่งอีกฝ่ายเพราะไม่ได้มีแก้วติดมือมาด้วย เขาเห็นเจ้าของผับนั่งเท้าแขนวางไว้บนหน้าขาของตัวเอง ในมือถือขวดเหล้าเอาไว้ ดวงตาหวานทว่าดุดันจ้องมองแต่ขวดแก้วเจียระไนเนื้อดีนั้น ไม่รู้ว่าขวดแก้วนั้นมีดีอะไร

            “มีอะไร ทำไมถึงยังไม่วางแก้ว”

            “เอ่อ..บอสครับ”

            “ภาสกร?” เจ้าของห้องเงยหน้ามองคนเรียก “ทำไมยังไม่ไปนอนอีก แล้วได้บอกใครเอาแก้วมาให้ฉันหรือเปล่า”

            “ถ้าผมนอนกับคุณ..หมายถึงนอนเฉย ๆ  ตามที่คุณบอก คุณจะไม่เครียด ไม่ดื่มเหล้าใช่ไหมครับ”

            “ฉันคงไม่หายเครียดหรอก แต่อย่างน้อยก็คืนนี้มันก็จะช่วยให้ฉันลืมปัญหาของฉันไปได้”

            “งั้นเข้านอนกันเถอะครับ”

            “ทำไมถึงเลือกเปลี่ยนใจ” อรรควัสยืนขึ้นไม่อิดออดแต่ก็ไม่รั้งรอที่จะถามสิ่งที่สงสัย

            “บอสเป็นแบบนี้ จะให้ผมนิ่งดูดายได้ยังไง”

            “เธอก็เป็นเสียอย่างนี้ ความใจดีของเธอมันจะเป็นเครื่องมือมาทำร้ายเธอเข้าสักวัน” อรรควัสพูดพลางเดินนำขึ้นบันไดไปที่เตียงนอนหลังใหญ่

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

            “หึ ยังพูดว่าไม่เป็นไรอยู่อีกก็เพราะความใจดีของเธอไม่ใช่หรือไงที่ทำให้เธอต้องมาทำงานอยู่ที่ผับ”

            “แต่อย่างน้อยบอสก็ช่วยผมแล้วนี่ครับ มันก็ไม่แย่เสียหน่อย” เจ้าของห้องนอนลงบนเตียงปราศจากท่าทีเคอะเขิน ผิดกับเขาที่กำลังทำตัวไม่ถูก

            “ไปปิดไฟแล้วขึ้นมานอนข้าง ๆ  ฉัน”

            “บะ..บอสจะไม่ทำอะไรผมจริง ๆ  ใช่ไหม”

            “ฉันไม่สนคนอย่างเธอหรอกน่ะ ไปปิดไฟเร็ว ๆ  เข้า ไม่ง่วงหรือไง”

            “ครับ” ภาสกรกระวีกระวาดไปปิดสวิตช์ไฟก่อนจะหย่อนตัวลงนอนบนเตียงอย่างระวังให้เตียงยวบน้อยที่สุด

            “พลิกตัวหันหลังให้ฉัน” คำสั่งของอรรควัสทำให้ภาสกรตาโตผุดลุกขึ้นนั่งทันที

            “บอสให้ผมทำอะไร” เขาละล่ำละลักถามเสียงสั่น ท่าทางที่อีกฝ่ายบอกมันชวนให้ไม่น่าไว้วางใจ

            “เป็นอะไรภาสกร เธอกลัวอะไร”

            “บอสบอกว่าจะไม่ทำอะไรผม”

            “ใช่ แล้วเธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอ”

            “เอ่อ..” ภาสกรไม่กล้าตอบว่าความคิดของเขามันเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว ท่าทางที่อีกฝ่ายบอกให้เขาทำมันดูสุ่มเสี่ยงแค่ไหน ทำไมจะเดาไม่ได้

            “ฉันบอกว่าไม่ทำก็แปลว่าไม่ทำ หรือเธออยากให้ฉันทำ”

            “ไม่ครับ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น” ภาสกรรีบพูดกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจเขาผิด

            “ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่ฉันบอกเร็ว ๆ” อรรควัสออกคำสั่งน้ำเสียงของเขาเริ่มขุ่นมัว


            ภาสกรพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังโดยไม่รอช้า กลัวว่าอรรควัสจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ ดีไม่ดี เขาอาจถูกไล่ตะเพิดออกไปจากห้อง พอดีพอร้ายอาจจะถูกไล่ออกจากงานเลยด้วยซ้ำจึงทำตามอย่างว่าง่าย

            “อยู่เฉย ๆ” ภาสกรได้ยินเสียงอีกฝ่ายจากด้านหลัง เสียงของอรรควัสฟังดูเหนื่อยและอ่อนล้าผิดกับเมื่อครู่ เขารู้สึกถึงไออุ่นของอีกฝ่ายซ้อนอยู่ที่หลังของตัวเอง


            ร่างกายของอรรควัสใกล้กับเขามากจนชายหนุ่มสัมผัสได้ รู้สึกเหมือนมีศีรษะเจ้าของห้องซุกอยู่ที่หลังของเขา ภาสกรไม่รู้ว่าปัญหาของบอสคืออะไร ทั้งที่ห้องมืดมิด ไฟทุกดวงถูกปิดสนิท แต่ทำไมเขาถึงรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทุกข์ใจ ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

            ภาสกรไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เอาเสียเลย

            “บอสครับ” ภาสกรลองหยั่งเชิงเรียกชื่ออีกฝ่าย

            “นอนได้แล้ว” อรรควัสยังไม่หลับและออกคำสั่งอย่างรวดเดียว

            “ผมไม่รู้ว่าบอสไม่สบายใจเรื่องอะไร แต่ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ ผมก็ยินดีช่วยนะครับ”

            “แค่นี้ก็พอ ตอนนี้เธอนอนได้แล้ว” อรรควัสกล่าวซ้ำอีกครั้ง

            ภาสกรขยับตัวถอยเข้าไปชิดคนด้านหลัง

            “กอดผมได้นะครับ ถ้ามันจะทำให้บอสสบายใจขึ้น”

            “...”

            “ผมหมายถึงจะได้หลับเร็ว ๆ  ลืมเรื่องแย่ ๆ  ของวันนี้ไป” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากอีกคน ภาสกรจึงรีบพูดเสียใหม่พูดจบก็เม้มปากแน่นพลางลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ท่ามกลางความมืด


            ใจเขาเต้นตึกตักไม่รู้ว่าเมื่อได้ฟังที่เขาพูดคนด้านหลังจะคิดอย่างไร แต่ยังไงก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มพูดไปจนหมดสิ้น

            “ขอบใจ”


            เจ้าของเตียงขยับเข้ามาซ้อนหลังก่อนจะดึงภาสกรให้เข้าไปชิดอีกฝ่ายด้วย ภาสกรนอนตัวเกร็ง ทว่าเพียงไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอจึงรู้ว่าอรรควัสเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว


            ยังคงเหลือแต่เขาที่แม้จะหลับตาเตรียมนอนแล้วแต่ยังไม่ยอมหลับเสียที เขาเผลอวางมือบนแขนอีกฝ่ายที่กอดเอวเขาไว้หลวม ๆ  สัมผัสถึงรอยบางอย่างที่ไม่สม่ำเสมอ นึกแปลกใจแต่ไม่ได้สนใจมันมากนักตอนนี้ภาสกรเอาแต่เฝ้าถามวนเวียนในหัวตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับบอสที่ใคร ๆ  ก็ต่างพากันกลัว




           
ตั้งแต่รู้จักกับอีกฝ่ายมาหกเดือน ครั้งนี้อรรควัสดูอ่อนโยนและอ่อนแอมากที่สุดแล้ว...






========================================



ขอบคุณทุกการติดตามเสมอนะคะ

HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
พายน่ารักจริงๆนะ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
พายจิตใจดีมาก กล้าเผชิญปัญหา อ่อนน้อม คงได้ความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัวมาเต็มที่

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
รู้จักมาก่อนแน่ๆ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ต้องเคยเจอกันมาก่อนแน่

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ไหวมั้ยบอส

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บอสจีบพายสักทีสิ!!!

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 o18 ยอมใจอ่อนจนได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5


รู้จักกันมาก่อนแน่ๆ

ข้าวมันไก่น้ำพริกเผา

ต้องเกี่ยวกันแน่นอน

เดาๆ

 :mew1:

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

วงล้อที่สิบแปด



             เสียงฝีเท้ากระทบพื้นเสียงดังสองคู่ วิ่งตามกันมาอย่างรวดเร็วก่อนจะหยุดลง สายตาสอดส่ายมองหาบุคคลที่ต้องการนั้นไปมา สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดเมื่อเป้าหมายที่ไล่ตามมานั้น จู่ ๆ  ก็อันตรธานหายไป

                “เฮ้ย มันหายไปไหนแล้ววะ!” น้ำเสียงหงุดหงิดไม่สบอารมณ์จากชายผู้หนึ่งที่มีหนวดรุงรังบนใบหน้าส่งเสียงดังขึ้น

                “เห็นตัวผอม ๆ  ทำไมวิ่งเร็วชะมัด” เป็นเสียงชายอ่อนวัยกว่าวิ่งตามมาสบทบพูดขึ้นอย่างกระหืดกระหอบ

                “หรือมันจะวิ่งไปทางซ้าย” ชายมีหนวดเดา

                “ไม่น่าเป็นไปได้ ผมเพิ่งออกมาจากทางซ้ายเองลูกพี่”

                “ยังงั้นรึ แล้วมันหนีจะไปทางไหนวะ”

                “ผมเห็นทางขวามีตรอกเล็ก ๆ  อยู่ ไม่แน่มันอาจจะหนีไปตรงนั้นก็ได้” ลูกน้องลองเสนอความเห็น

                “งั้นรีบเข้าไปดู ยังไงก็ต้องลากคอมันกลับไปให้หัวหน้าแทนพ่อมันให้ได้”

                คล้อยหลังลูกพี่หน้าโหดและลูกน้องหายเข้าไปในตรอกทางขวาแล้ว ปรากฏร่างหนึ่งแอบหลบอยู่ในซอกหลืบเล็กหลืบหนึ่งเยื้องที่สองคนยืนคุยกันอยู่เมื่อสักครู่นี้ เขาอาศัยถังขยะใบใหญ่ช่วยบังร่างตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกตามล่า ชายหนุ่มที่เพิ่งจะย่างเข้าวัยยี่สิบปีลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถ้าเขาหนีสองคนนั่นไม่พ้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชะตาชีวิตในค่ำคืนนี้จะเป็นเช่นไร

                “นี่..พี่ชายมายืนทำอะไรตรงนี้” น้ำเสียงที่ยังไม่แตกเข้าสู่วัยหนุ่มของเด็กชายดังขึ้นพร้อมมือที่สะกิดแขนอีกฝ่ายให้รู้ตัว ทำให้คนที่เพิ่งรอดตายสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

                “เปล่า” ชายหนุ่มหันกลับไปมองด้านหลังตนเอง เด็กคนนี้อยู่ในชุดนักเรียนคาดว่าน่าจะเพิ่งเลิกเรียน ประมาณจากสายตาแล้วคงจะอายุสิบสองสิบสามปีไม่เกินนี้

                “หลบใครอยู่ใช่ไหม โดนเพื่อนแกล้งมาล่ะสิ” เด็กชายว่าพลางยิ้มกว้าง

                “เปล่า”

                “แล้วพี่มายืนอยู่ตรงนี้ทำไม หรือว่าหิว อย่าบอกนะว่ามาคุ้ยขยะกิน”

                “เปล่า” คนถูกกล่าวหายังปฏิเสธคำเดิม

                “ถ้าพี่หิว ที่บ้านผมมีของกินนะ วันนี้แม่ทำข้าวมันไก่ไว้เยอะเลย แต่พี่ต้องนั่งรออยู่หน้าบ้าน ถ้าแม่กับพี่สาวผมรู้ว่าพาคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน ผมจะต้องถูกพี่หยิกแน่ ๆ”

                “ไม่ต้อง ฉันจะไปแล้ว”

                “เอ้า แต่พี่หิวไม่ใช่เหรอ บ้านผมอยู่ใกล้ ๆ  นี่เอง หน้าบ้านมีม้านั่งนะ พี่ไม่ต้องยืนกินให้เมื่อย” เด็กชายไม่สนใจคำพูดอีกฝ่าย เจ้าตัวเชื่อมั่นในความคิดตนเอง เขายื่นมือซ้ายมาจับแขนขวาอีกคนพลางออกแรงดึงเพื่อพาอีกฝ่ายไปยังบ้านตนเอง

                “ปล่อย อย่าดึง บอกว่าไม่ต้องไง” ชายหนุ่มออกแรงสะบัดอย่างแรงทำให้เด็กชายเสียหลักล้มลงกับพื้น

                “โอ๊ย ผมเจ็บนะพี่ พูดกันดี ๆ  ก็ได้ ทำไมต้องรุนแรงด้วย หิวก็ยอมรับว่าหิวสิพี่ ไม่เห็นต้องอายเลย” เด็กชายโวยวายเล็กน้อยพลางค่อย ๆ  ยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วปัดคราบดินที่เปรอะเปื้อนกางเกง

                “เลิกเรียนแล้วก็กลับบ้านไป เถลไถลเดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง” ชายหนุ่มปรายตามองชุดนักเรียนที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ก่อนจะออกปากไล่ตะเพิด

                “แม่กับพี่สาวยังไม่กลับ เขาไม่รู้หรอกน่า”

                “ไปได้แล้ว ตรงนี้มันไม่ปลอดภัย” ชายหนุ่มมองเด็กชายด้วยสายตาขึงขังพร้อมพูดอย่างอ่อนใจ เด็กนี่ทำไมดื้อด้านเช่นนี้

                “ตาออกจะสวย ทำไมต้องทำตาดุใส่ด้วย”

                “ไป..ให้..พ้น..หน้า..ฉัน” ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวออกมาทีละคำหมายจะให้อีกคนกลัว

                “ก็ได้ ๆ  ไปก็ได้ ไม่เห็นต้องดุใส่กันขนาดนี้เลย” เด็กชายยู่ปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปจากซอกเล็ก ๆ นี้ จังหวะนั้นหูพลันได้ยินเสียงใครสักคนเรียกเขาไว้

                “ไอ้หนู”

                “ครับลุง”

                “เห็นผู้ชายตัวผอม ๆ  สูง ๆ  ผ่านมาทางนี้บ้างไหม”

                “ผู้ชายเหรอครับ” เขาทำท่านึกคิดแต่หางตากลับลอบมองไปยังคนในซอกเล็ก โชคดีที่เด็กชายหัวไว รู้แจ้งแน่แล้วว่าชายหนุ่มที่หลบหลังถังขยะใบใหญ่คือคนที่ชายหน้าดุคนนี้กำลังตามหาอยู่แน่ ๆ

                “ใช่ เห็นไหม”

                “แล้วตัวผอม ๆ  สูง ๆ  ด้วย” เด็กชายทวนซ้ำ

                “ใช่ ๆ  ไอ้หนูเอ็งเห็นใช่ไหม”

                “ใช่ครับ ผมเห็น” คนที่ยืนหลบหลังถังขยะกลืนน้ำลายเหนียว ๆ  ด้วยความตกใจ เจ้าเด็กนี่เล่นเขาแล้วไหมล่ะ

                “มันไปทางไหน”

                “ทางนั้นครับ ผมเห็นเขาวิ่งไปทางนั้น” เด็กชายชี้ไปยังด้านหลังตัวเองซึ่งเป็นทางตรงข้ามกับบ้านของเขา

                “ขอบใจมากนะไอ้หนู” คนมีหนวดกล่าวขอบคุณพลางเรียกลูกน้องให้วิ่งตามไปยังทางที่รู้มาทันที

                เมื่อเห็นสองคนนั้นวิ่งไปแล้ว เด็กชายรีบเข้าไปในตรอกเดิมอย่างร้อนรน

                “คนนั้นที่เขาถามหาใช่พี่ชายไหม”

                “...”

                “บอกมาเถอะ พี่ก็เห็นว่าตะกี้ผมช่วยพี่นะ”

                “ใช่ คนนั้นคือฉันเอง”

                “งั้นไปหลบบ้านผมก่อน”

                “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน เธอรีบกลับบ้านไป ตอนนี้เย็นมากแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยปากไล่อีกครั้ง เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องเดือดร้อนพลอยซวยไปกับเขาด้วย

                “หน้าพี่ไม่คุ้นเลย ไม่ใช่คนที่นี่แน่ ๆ  พี่ไม่รู้ทางดีเท่าผมหรอก ตามผมมาทางนี้ดีกว่า”

                “อย่ามายุ่งกับฉัน”

                “พี่จะรอให้พวกมันกลับมาหรือไง มาเร็ว ไปกับผม” คราวนี้ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ตอนที่คว้าแขนชายหนุ่มไปถึงมีแรงเยอะมากขนาดนี้

                ชายหนุ่มถูกเด็กชายลากออกไปจากตรอกที่ซ่อนตัวและวิ่งไปยังทิศทางตรงข้ามกับคนที่ตามล่าเขา แต่คนหน้าโหดกับลูกน้องเมื่อวิ่งไปได้ครู่หนึ่งกลับเฉลียวใจว่าอาจจะถูกเด็กหลอกจึงตัดสินใจย้อนกลับมาทางเดิม และให้ลูกน้องไปยังทางเดิมต่อไป เขาจึงมาทันได้เห็นเด็กชายตัวแสบกำลังวิ่งไปพร้อมกับคนที่พวกเขาออกตามหา

                “พวกมึงสองคนหยุดเดี๋ยวนี้นะ! หน็อย ไอ้เด็กเวรนี่ กล้าหลอกกูงั้นรึ” ชายหนุ่มหันไปตามเสียงตะโกนเรียกโดยไม่ชะลอฝีเท้า ยิ่งเห็นว่าคนเรียกเป็นใคร เขายิ่งเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก จากที่เป็นฝ่ายถูกดึง กลับเปลี่ยนเป็นคนออกแรงดึงเด็กชายให้วิ่งตามตัวเองเสียอย่างนั้น


                จะถูกจับไม่ได้ ลำพังตัวเขาไม่เป็นไรแต่เด็กนี่ต้องแย่แน่


                “พี่ชายวิ่งช้าหน่อย ผมตามไม่ทัน” เด็กชายพูดเสียงกระท่อนกระแท่น

                “วิ่งเร็ว ๆ  ไอ้ตัวเล็ก”

                “ผมไม่ไหวแล้ว”

                “อยากถูกจับหรือไง”

                “ไม่อยากหรอก แต่ผมวิ่งไม่ไหวแล้ว” เด็กชายชะลอฝีเท้าลงทำให้ชายหนุ่มเกือบเสียหลัก ผู้ตามล่าหน้าโหดวิ่งตามใกล้เข้ามาทุกที

                “ไม่ได้ แข็งใจหน่อย เร็ว! วิ่ง!” ชายหนุ่มออกแรงดึงพลางออกคำสั่ง

                “ไม่ไหวจริง ๆ  พี่ปล่อยผมไว้ตรงนี้เถอะ ผมเหนื่อย”

                “ไม่ได้” ชายหนุ่มออกแรงดึงแต่เหมือนกับลากเจ้าเด็กชายนี่ให้ตามไปมากกว่า

                “ปล่อยผมเถอะพี่ ผมไม่ไหวแล้ว” เด็กชายไม่พูดเปล่า สะบัดแขนให้พ้นจากการเกาะกุม

                สุดท้ายเหตุการณ์ก็เป็นอย่างที่ชายหนุ่มคิด มนุษย์หน้าโหดไล่ตามพวกเขามาทันจนได้ คนมีหนวดรุงรังหยิบเอามีดสปาต้าจากด้านหลังตนเองออกมา

                “หนีเก่งนักใช่ไหม ถ้าโดนฟันสักแผลคงจะดี” ชายหนุ่มตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นอาวุธเงาวับในมือคนพูดกำลังจะฟาดฟันลงมาที่พวกเขา

                “เฮ้ย พี่ชาย ระวัง!” ด้วยความตกใจไม่น้อย เด็กชายจึงทะเล่อทะล่ายื่นมือซ้ายมาจับแขนขวาของชายหนุ่มเพื่อจะพาอีกฝ่ายหนี

                เพราะเด็กชายจับแขนคนพี่ทำให้คมมีดฟาดฟันลงมาบนแขนของทั้งสองคนเป็นทางยาว เลือดไหลออกมาทันตาเห็น ทว่าทั้งสองคนกลับไม่สนใจ ชายหนุ่มถีบท้องคนหน้าโหดเข้าอย่างแรงจนเจ้าของมีดเสียหลักล้ม

                “ตามผมมาทางนี้พี่” อารามตกใจจนลืมเจ็บ เด็กชายเห็นว่าได้จังหวะพอดี จึงพาชายหนุ่มเข้าซอยเล็ก ๆ  ข้างหน้า ข้างในซอยนั้นมีซอกเล็กซอกน้อยอีก เขาพาพี่ชายลัดเลาะมาเรื่อย ๆ  กระทั่งมาถึงปลายทางที่เป็นบ้านของเขาในที่สุด

                “ที่นี่คือ?”

                “บ้านผมเอง” เด็กหนุ่มบอกพลางชะโงกมองเข้าไปในบ้าน “โชคดียังไม่มีใครกลับ มาพี่ เข้ามาข้างในก่อน”

                “ไม่เป็นไร ฉันไปก่อนดีกว่า”

                “เลือดออกขนาดนี้จะกลับได้ยังไง” เด็กหนุ่มเห็นเลือดออกมาจากแขนตัวเองและพี่ชายอีกคน

                “ไม่เป็นไร”

                “แต่ผมเป็น ถ้าพี่ไปแล้วใครจะช่วยทำแผลให้ผม ถ้าแม่กลับบ้านมาเห็นผมสภาพนี้ ต้องถูกแม่ตีแน่ ๆ”

                “...”

                “ผมอุตส่าห์ช่วยนะ พี่จะให้ผมถูกแม่ตีเหรอ” เด็กชายว่าพร้อมกับหน้าเศร้า

                “อืม ก็ได้”

                “เย่ เข้ามาเลย ๆ” เด็กชายดีใจลิงโลดก่อนจะรีบไขกุญแจแล้วล็อกลงกลอนแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย

                เมื่อเข้ามาในบ้านเด็กชายรีบพาอีกฝ่ายไปล้างแผลให้สะอาดก่อนจะผลัดกันทำแผลให้กันอย่างเรียบร้อย โชคยังเข้าข้างพวกเขาอยู่บ้าง แผลที่โดนฟันไม่ได้ลึกถึงขนาดต้องเย็บ ไม่งั้นพวกเขาสองคนต้องลำบากแน่นอน ชายหนุ่มเห็นว่าทุกอย่างดูปลอดภัยดีแล้วจึงเอ่ยขอตัวอีกครั้ง ทว่าเด็กชายก็รั้งเขาไว้อีก

                “กินอะไรก่อนไหมพี่”

                “ไม่ละ ขอบใจ”

                “แต่ผมหิว”

                “ก็ไปทำกินสิ ฉันไปละ”

                “ไม่ได้พี่ ผมปวดแขนอะ พี่ช่วยผมหน่อย”

                ชายหนุ่มถอนหายใจ “ครัวอยู่ทางไหน”

                “พี่รู้ไหมว่าข้าวมันไก่กับน้ำพริกเผาคือเมนูโปรดผมเลย” เด็กชายชวนคุยเมื่อยกจานข้าวมันไก่ด้วยมือข้างเดียวมาที่โต๊ะอาหารก่อนจะหย่อนก้นลงนั่ง

                “...”

                “พี่ถืออีกจานออกมาจากครัวให้ผมด้วย”

                “ฉันไม่หิว”

                “ไหน ๆ  ก็ทำแล้วพี่กิน ๆ  ไปเถอะน่า”

                “...”

                สุดท้ายกลายเป็นว่าในอ่างล้างจานกลับมีจานเปล่า ๆ  วางอยู่ในนั้นสองใบด้วยกัน

                “ขอบใจเธอมากนะ ฉันต้องไปแล้ว” ชายหนุ่มตัดสินใจอำลาเพราะคิดได้ว่าอยู่ที่บ้านของเด็กชายคนนี้นานเกินไปแล้ว อีกฝ่ายอาจจะได้รับความเดือดร้อน

                “แล้วพี่จะออกไปทั้งที่เสื้อขาดวิ่นแบบนั้นหรือไง” ชายหนุ่มจับชายเสื้อขึ้นมา คงจะถูกเกี่ยวขาดตอนไหนสักแห่ง

                “ไม่เป็นไร”

                “เอาเสื้อผมไปใส่สิ” ชายหนุ่มมองคนตัวเล็กกว่าแล้วอดที่จะยิ้มออกมานิดหน่อยไม่ได้

                “ตัวเท่าลูกหมา ฉันจะไปใส่เสื้อเธอได้ยังไง”

                “เอ่อจริงด้วยแฮะ” เด็กชายเกาหัวแก้เขินเมื่อถูกทัก ทว่าทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ผมมีเสื้อคลุมตัวหนึ่ง ตัวใหญ่มาก พี่ต้องใส่ได้แน่ ๆ”

พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งตึง ๆ  ขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ครู่เดียวก็ลงมาพร้อมกับเสื้อคลุมในมือ

                “...”

                “อะ..พี่”

                “หืม?”

                “เสื้อคลุมไง เห็นไหมมันตัวใหญ่มาก แม่ซื้อให้ผมใส่เผื่อมอหกเลยอะ แต่มันเป็นเสื้อโรงเรียนเลยมีชื่อผมปักอยู่ พี่คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม” เด็กชายพูดเสร็จก็ยื่นเสื้อให้ตรงหน้าอีกฝ่าย

                “ไม่เป็นไร เก็บไว้เถอะ”

                “เอาไปเถอะพี่”

                “แม่เธอจะดุเอาได้ถ้ารู้ว่าเสื้อหายไป”

                “ไม่รู้หรอกน่า ผมบอกแม่ให้ซื้อใหม่แล้วด้วย มันตัวใหญ่เกินกว่าที่ผมจะใส่ได้”

                “...”

                “รับไปเถอะน่า” เด็กชายเอาเสื้อวางใส่มืออีกฝ่ายก่อนจะเดินนำไปส่งชายหนุ่มที่หน้าประตู

                “ขอบใจมาก” ชายหนุ่มบอกเมื่อออกไปยืนหน้ารั้วบ้านเรียบร้อยแล้ว

                “ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่ทำอะไรมาถึงถูกตามล่าแบบนั้น ถ้าพี่เป็นขโมยก็อย่าขโมยอีกเลยนะ แต่ถ้าพี่ไม่ใช่ขโมยแล้วไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงก็ลองพุ่งเข้าชนปัญหาดูไหม”

“...”

“อ้อ เกือบลืม ในเสื้อคลุมนั่นผมใส่เงินไว้ด้วยห้าร้อย ผมรู้ว่าเงินมันอาจจะน้อยไปหน่อยแต่นั่นเป็นเงินเก็บของผมเลยนะ”

                “หืม?”

                “โชคดีนะพี่ ผมเข้าบ้านก่อน” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างแต่ก่อนจะลับหายเข้าไปในตัวบ้าน

                ชายหนุ่มมองตามหลังของเจ้าบ้านพลางส่ายหน้าเบา ๆ  ช่างเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดีและใจดีเกินไป ถ้าเขาเป็นโจรผู้ร้าย ป่านนี้เด็กนี่คงถูกฆ่าทิ้งกลางบ้านไปแล้ว

                เขาล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมเจอเงินห้าร้อยบาทที่อีกฝ่ายว่าพร้อมกับคลี่เสื้อคลุมออกดู ยกยิ้มมุมปากให้กับความซื่อไร้เดียงสาของเด็กคนนี้

 





ด.ช. ภาสกร เจริญชัย









========================================

ตอนนี้พาย้อนอดีตนิดนึงงง

ขอบคุณทุกการติดตามเสมอนะคะ

HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
พูดเป็นต่อยหอยเลยอ่ะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขออีกกกกก

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao3: มีความหลังด้วยกันนี่เอง

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไงหล่ะ   เคยเจอกันมาก่อนจริง ๆ ดัวะ

ไม่งั้นตอนรู้ชื่อในใบสมัครอ่ะ  ไม่จำเป็นต้องรับมาทำงานก็ได้

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
น้องเป็นคนดีจริงๆๆๆ

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5


นั้นไง..ว่าละ

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เขาเคยเจอกันด้วยแหละแก~ กรีดร้อง :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
น้องพายน่ารัก

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อย่างนี้นี่เอง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
นิสัยน้องพายเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่คิดหน้าคิดหลังสินะ

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
มีที่มาที่ไปจริงๆด้วย

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
รู้จักกันมาก่อนจริงๆด้วย พรหมลิขิตชัดๆ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
คนดีจริงๆ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


วงล้อที่สิบเก้า




            เมื่ออรรควัสตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวันเดียวกัน เห็นภาสกรยังนอนหลับอยู่ ท่วงท่านอนที่ดูสบายนั้นทำให้เขาอดยิ้มออกมานิดหน่อยอย่างเสียไม่ได้


            เจ้านายหนุ่มหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอกับอีกฝ่ายครั้งแรก ในตอนนั้นเขากำลังหลบหนีลูกน้องของเจ้าของคาสิโนแห่งหนึ่งให้ตามมาจับตัวเขากลับไปที่คาสิโนให้ได้ คาสิโนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตประเทศเพื่อนบ้าน เขาอุตส่าห์คิดว่าเมื่อกลับเข้าสู่ประเทศบ้านเกิดของตนเองก็น่าจะหนีรอด แต่ดันคิดผิดเพราะคนเหล่านั้นต้องการตัวเขาอย่างไม่ลดละ


            สาเหตุที่ทางนั้นไม่ยอมลดราวาศอกที่จะจับตัวเขาก็เพราะบิดาของเขาสร้างหนี้เอาไว้ไม่น้อย เขาที่ตั้งใจไปตามบิดากลับบ้านกลายเป็นต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน สุดท้ายซวยทุกอย่าง พ่อก็ไม่เจอแถมยังต้องหนีอีกจนได้เลือด


            หากไม่ได้เงินที่เจ้าหนูนี่ให้ไว้ เขาคงไม่มีเงินและคงไม่พุ่งเข้าหาปัญหาตามที่เด็กนั่นพูด


            ถ้าหากจะบอกว่าภาสกรเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขามีวันนี้ก็คงไม่ผิดนัก คนที่กว่าจะมีวันนี้จึงไม่เคยลืมเลยสักครั้งว่าอย่างน้อยเขามีวันนี้ได้เพราะใคร


            เด็กชายตัวเล็ก ๆ  คนหนึ่งแท้ ๆ


            อรรควัสเอื้อมมือไปปัดเส้นผมให้พ้นใบหน้าของอีกฝ่ายเบา ๆ  เกรงว่าคนที่หลับอยู่จะตื่น พลางทอดสายตามองภาสกรด้วยความเอ็นดู แววตาอ่อนโยนที่ไม่มีใครเคยได้เห็น


            ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ภาสกรก็ยังเป็นเด็กที่จิตใจดีและมักจะเข้ามาช่วยเหลือเขาในเวลาที่กำลังทุกข์อยู่เสมอ

            “ขอบใจมาก”


            อรรควัสลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเขาลงลิฟต์มาที่ชั้นหนึ่งของผับเจออาเฉินกับอาคุณยืนรออยู่ก่อนแล้ว

            “บอสครับ” สองเสียงบอดี้การ์ดประสานเรียกเจ้านายพร้อมเพรียงกัน

            “อืม มารอนานแล้วหรือยัง”

            “ไม่นานครับ”

            “กินอะไรมาหรือยังล่ะ”

            “ยังครับ”

            “ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาอะไรกินก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องคุยกับจิณณ์นิดหน่อย”

            “ครับ”

            “จิณณ์ล่ะอาเฉิน” อรรควัสมองเจ้าของชื่อ

            “คุณจิณณ์อยู่ชั้นห้าครับ”

            “เดี๋ยวฉันมา” อรรควัสบอกก่อนจะเดินกลับไปเข้าลิฟต์ตัวเดิม ไม่นานลิฟต์ก็ทะยานขึ้นไปสู่ชั้นห้า


            ลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเขาก็อยู่ชั้นที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวเดินไปที่ห้องหนึ่งอย่างอัตโนมัติ เมื่อไปถึงหน้าห้องดังกล่าวเห็นประตูห้องถูกเปิดทิ้งไว้ มีร่างใครคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้ประตู คนนั้นยืนอยู่ที่หน้าตู้เอกสาร นิ้วมือเรียวสวยกำลังพลิกแฟ้มในมืออย่างขะมักเขม้น

            ภาสกรเคาะประตูให้อีกฝ่ายรู้ตัวพอเป็นพิธี “จิณณ์”

            “อ้าว อรรค ทำไมตื่นเร็วจัง ฉันคิดว่านายน่าจะตื่นสักบ่าย ๆ  เสียอีก” อีกฝ่ายหันกลับมาตามเสียงเรียกด้วยความแปลกใจ เขาจึงวางแฟ้มลงบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ เจ้านายอุตส่าห์ขึ้นมาหาทั้งทีตอนนี้คงต้องพักเรื่องงานเอาไว้ก่อน

            “วันนี้มีแขกวีไอพีมาคาสิโนตอนเที่ยง ฉันต้องไปต้อนรับเขา เลยว่าจะออกไปเร็วหน่อย”

            “แขกวีไอพีคนนี้ ต้องระดับใหญ่แค่ไหนกันที่ทำให้คุณอรรควัสบอสใหญ่ต้องไปต้อนรับด้วยตัวเอง”

            “ลูกสาวท่านนายพลที่ไทย”

            “ใหญ่จริงเสียด้วย” จิณณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

            “เผื่อเอาไว้ วันหน้าอาจจะได้พึ่งพาอาศัยกัน”

            “จะมีสักเรื่องไหมที่นายจะทำอะไรโดยไม่หวังผล” จิณณ์ถาม มีน้อยคนนักที่จะกล้าย้อนถามกับอรรควัสตรง ๆ

            “มีสิ”

            “อะไรบ้าง เช่น?”

            “เช่นให้นายมาเป็นผู้จัดการผับน่ะสิ” อรรควัสพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย

            “พูดเสียตรง เล่นเอาเจ็บปวดเลย”

            “ไม่ต้องมาทำหน้าเสียใจ นายเองก็รู้ดีว่าไม่ใช่ ผู้จัดการผับที่ไหนจะมีหุ้นในผับเกือบครึ่งบ้างล่ะ”

            “ผู้จัดการผับคนนี้ไงล่ะครับคุณอรรควัส” จิณณ์ไม่ได้ถ่อมตัวแต่อย่างใดเมื่ออรรควัสเปรยขึ้น เขายืดอกรับโดยไม่อิดออด จิณณ์ดันแฟ้มให้เข้าไปกลางโต๊ะมากขึ้นเมื่อเห็นว่ามันวางหมิ่นเหม่จวนตก

            อรรควัสมองตามการกระทำอีกฝ่ายจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “แล้วนี่ขึ้นมาทำอะไรบนนี้ตั้งแต่เช้า นอนหรือยัง แล้วไม่ให้อาเฉินขึ้นมาช่วยนาย”
       
            “อาเฉินน่ะเหรอ เฮอะ” จิณณ์แค่นเสียง “หมอนั่นไม่มีทางขึ้นมากับฉันแน่นอน อาเฉินเห็นฉันทีไรทำอย่างกับเห็นผีทุกที”

            “พูดเกินไป”

            “ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจเรื่องฉันหรอก ว่าแต่นายเถอะมาหาฉันเช้าขนาดนี้มีเรื่องอะไร” จิณณ์เปลี่ยนเรื่อง

            “นายคิดจะทำอะไรกันแน่” อรรควัสเข้าเรื่อง

            “ทำอะไร เปล่าสักหน่อย” จิณณ์ทำหน้าเหรอหรา แสร้งไม่เข้าใจคำพูดของอรรควัสเลยแม้แต่น้อย

            “จิณณ์..ฉันรู้จักนายดี นายจงใจให้ภาสกรมาที่ห้องฉันตั้งแต่คืนแรก”

            “ภาสกร?..เอ๊ะ..อ้อ..พาย ใช่ไหม” จิณณ์ยังเล่นลูกไม้ต่อประหนึ่งว่าชื่อนี้ไม่คุ้นหูเขาเสียเลย

            “...”

            “โอเค ๆ  ลืมไปว่าคุณอรรควัสไม่ชอบคนพูดไม่รู้เรื่อง ก็ได้ ๆ  ฉันจะกลายเป็นคนที่พูดรู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย” จิณณ์ไม่ได้กลัว เขายังยียวนอีกฝ่ายเล็กน้อยพอให้ชุ่มชื่นจิตใจ

            “พูดมาได้แล้ว อย่าประชด”

            “คืนนั้นไม่มีอะไรสักหน่อย ฉันขี้เกียจดูแลนายก็เท่านั้นเอง ใครใช้ให้นายไม่พาบอดี้การ์ดคู่ใจมาช่วยตอนที่นายเมากันล่ะ”

            “จะให้ฉันคิดว่าภาสกรเข้ามาที่ห้องฉันเพราะบังเอิญ?”

            “นี่..นายไม่คิดว่าชื่อภาสกรมันยาวไปหรือเปล่า เรียกพายสั้น ๆ  ไม่ง่ายกว่าเหรอ” จิณณ์จงใจเย้าแหย่อีกฝ่ายไม่หยุดหย่อนจนทำให้อรรควัสเม้มปากด้วยความไม่พอใจ “คืองี้...มันก็ไม่ได้บังเอิญสักทีเดียว แต่เวลานั้นเขาเดินมาถามฉันเองว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ฉันก็แค่ให้เขาช่วยเท่านั้นเอง แล้วคืนนั้นฉันก็ง่วงนอนมาก ๆ  อีกอย่างนายสองคนก็รู้จักกันอยู่แล้วนี่ ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไรถ้าให้พายไปช่วย”

            “แต่ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องเวลาที่ฉันเมา”

            “เรื่องที่นายจะจำอะไรไม่ได้ใช่ไหมล่ะ แล้วนายคิดว่าเด็กของนายปากโป้งมากน้อยแค่ไหน ไว้ใจได้ไหม อีกอย่างพายน่ะเป็นคนอื่นสำหรับนายหรือไง”

            “ภาสกรไม่ใช่คนพูดมากและเขาไม่ใช่เด็กของฉัน” อรรควัสแย้ง

            “นายแหกกฎของผับใช้เส้นรับเขาเข้ามาทำงาน ทั้งที่นายไม่ชอบเรื่องเส้นสายในที่ทำงานแท้ ๆ  แล้วจะไม่ให้ฉันเรียกเขาว่าเป็นเด็กของนายได้อย่างไร”

            “มันจำเป็น นายไม่พอใจเรื่องนี้เลยอยากเอาคืนฉัน?”

            “ยอมรับว่าคราวแรกฉันเองก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ใครใช้ให้อาเฉินเป็นคนพาเขามาที่นี่ด้วยตนเองกันล่ะ ดีนะว่านายโทรศัพท์มาบอกฉันก่อน ไม่งั้นฉันคงไม่มีทางรับเขาไว้”

            “อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน”

            “แล้วนายล่ะ อรรค? ครั้งนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” จิณณ์ไม่ยอมแพ้

            “ไม่เหมือนกัน ที่ฉันให้เขามาทำงานนี้เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคาสิโนมันไม่ใช่ความผิดของภาสกร” อรรควัสไม่ได้เท้าความถึงสาเหตุก่อนหน้านี้เพราะจิณณ์รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาสกร

            “ตกลงว่าที่นายมาหาฉันก็เพราะเรื่องนี้งั้นหรือ ผิดวิสัยคุณอรรควัสไปหน่อยมั้ง”

            “จิณณ์”

            “ฉันขอพูดตรง ๆ  เลยนะอรรค” จิณณ์ปรับสีหน้าเข้าสู่ความจริงจังไม่มีหยอกล้ออีกต่อไป “นอกจากทำหน้าโหด ตาดุใส่คนอื่นแล้ว นอกเหนือจากนี้นายแสดงออกไม่เก่งเลย ถามจริงเถอะแล้วแบบนี้ภาสกรจะยอมเดินเข้าหานายได้อย่างไรวะ”

            “ไม่เห็นเป็นไร” อรรควัสตอบอย่างไม่ยี่หระ

            “นายแน่ใจว่าไม่เป็นไรจริง ๆ ?” จิณณ์ลงท้ายประโยคด้วยเสียงที่สูงกว่าปกติเล็กน้อย “ถ้าไม่เป็นไรแล้วนายจะช่วยเขาไปทำไม ปล่อยให้กลับไปไทยก็ได้นี่หว่า นายมีเงินเยอะแค่ไหนใคร ๆ  ก็รู้ กะอีแค่ออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้คนป่วยคนหนึ่งทำไมจะทำไม่ได้ อ๊ะ ๆ .. อย่าบอกว่าไม่ได้ทำ”


            จิณณ์รีบดักทางบอสใหญ่เมื่ออรรควัสเตรียมจะอ้าปากปฏิเสธ เขารีบชิงพูดต่ออย่างรวดเร็ว “อย่าลืมว่าใครคือคนที่ดูแลบัญชีการเงินของนาย..ฉันใช่ไหมล่ะ ฉันรู้ว่านายไปติดต่อโรง’บาลที่ไทยและออกค่ารักษาพยาบาลให้แม่ของภาสกร”

            “ภาสกรเคยช่วยฉันไว้”

            “ฉันรู้...ก็ไม่ได้ว่าอะไรที่นายจะอยากตอบแทนผู้มีพระคุณ แค่ทำตัวเป็นผู้ประสงค์ไม่ออกนามก็พอแล้วมั้ง ไม่เห็นจำเป็นต้องกลับไทยตอนช่วงนี้ของทุกปี คงไม่ต้องให้ฉันพูดใช่ไหมว่าทำไมนายต้องไปไทยช่วงนี้เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะไปเจอคน ๆ  หนึ่ง แล้วคงไม่ให้ฉันต้องพูดต่อใช่ไหมว่าทำไมปีนี้นายถึงไม่กลับไทย เพราะเขาคนนั้นอยู่ที่..”

            “พูดมากไปแล้วจิณณ์” อรรควัสปรามเสียงขรึมเมื่อเพื่อนสนิทพูดทุกอย่างออกมาได้อย่างถูกต้องจนเขาเถียงไม่ออก

            “เขาเดินเข้ามาในชีวิตของนายแล้วแท้ ๆ  นายยังทำตัวเฉยอยู่อีกคอยทำหน้ายักษ์ใส่เขาไปวัน ๆ  ไม่รู้หรือไงว่าเด็กของนายน่ะชอบคนที่อยู่ชั้นยี่สิบเก้ามากกว่านายเสียอีก”

            “ถ้าภาสกรจะชอบใครมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา”

            “ไม่ยักรู้ว่าบอสใหญ่อยากเป็นพ่อพระกับเขาด้วย” จิณณ์ประชดเพื่อนเข้าให้

            “...”

            “ฉันเลยต้องยื่นมือเข้ามาไง ถ้าฉันไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย”

            “ขอบใจที่นายหวังดี แต่ไม่ยุ่งจะดีกว่า”

            “หมดกัน คนอุตส่าห์ตั้งใจช่วยแท้ ๆ” จิณณ์ทำเสียงเศร้านิดหน่อยแล้วจึงถามถึงบุคคลที่สาม “แล้วนี่ภาสกรอยู่ไหน”

            “ห้องฉัน”

            จิณณ์ผิวปากเล็กน้อย “ก็ไม่เลว นึกว่าเพื่อนฉันจะซื่อบื้อจนไม่คว้าโอกาสไว้เสียอีก”

            “บางทีฉันก็คิดว่านายไม่อยากมีปากไว้พูดแล้วนะจิณณ์ ถ้าเก่งนักทำไมไม่จัดการเรื่องของตัวเองล่ะ” อรรควัสปรายตามองเพื่อนของตน

            “ขอโทษที ๆ” จิณณ์ก้มหัวปลก ๆ  แต่เขาไม่ได้กลัวคำพูดอีกฝ่ายจริงอย่างปากว่าหรอก แสร้งทำเท่านั้น แต่ที่ไม่ต่อความยาวสาวความยืดเพราะอรรควัสเล่นใช้คำพูดแทงใจดำเขากลับมาน่ะสิที่ทำให้จิณณ์เถียงไม่ออกบ้าง

            “ไม่มีอะไรเกินเลยอย่างที่นายคิดหรอก นายก็รู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลานี้คือช่วงที่ไม่ปกติของฉัน”

            “ไม่มีอะไรเกินเลยเหรอ อ้อ..แล้วเป็นไงนอนกอดภาสกรตัวจริงคงดีกว่าหาใครสักคนมากอดเป็นตัวแทนเขาอยู่แล้วล่ะมั้ง” จิณณ์ทำเสียงไม่เชื่อแล้วก็รีบเปลี่ยนอารมณ์มาจริงจังมากขึ้น “ว่าก็ว่านะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าภาสกรจะยอมนอนกับนาย”

            “เขาจิตใจดี...ไม่เหมือนนาย” ประโยคสุดท้ายอรรควัสจงใจมอบให้จิณณ์ด้วยความเต็มใจ

            “ขอบใจที่ชมนะ ช่วยไม่ได้ที่ฉันมันคนใจร้าย” จิณณ์น้อมรับคำชมเชยนั้น “ตกลงว่าเรื่องที่จะคุยกับฉันมีแค่นี้?”

            “เปล่า ยังมีอีกเรื่อง”

            “อะไร”

            “ฉันตั้งใจจะให้ภาสกรกลับไปทำงานที่คาสิโนเหมือนเดิม”

            “แต่นายไล่เขาออกไปแล้วไม่ใช่หรือ” จิณณ์สงสัย

            “ใช่ เพราะฉะนั้นเขาจะกลับไปทำงานที่นั่นอย่างเงียบเชียบที่สุด”

            “อย่าบอกนะว่า...ชั้นวีไอพี?” จิณณ์คาดเดาเพราะชั้นนั้นคือชั้นที่เงียบมาก แทบไม่มีใครรู้เลยว่ามีพนักงานหรือมีแขกคนไหนอยู่บนนั้นบ้าง

            “อืม”

            “นายแน่ใจนะอรรค ชั้นวีไอพีมีกฎมากมาย ซ้ำยังเข้มงวดอีกทั้งยังต้องมีการบริการที่ดีให้ได้ตามมาตรฐาน” จิณณ์พูดอย่างไม่ไว้ใจ

            “ใช่ ดังนั้นฉันเลยต้องรบกวนนาย”

            “รบกง รบกวนอะไรกัน ฉันก็แค่ลูกจ้างคนหนึ่ง” จิณณ์แกล้งแหย่อีกฝ่ายกลับ “แล้วจะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ”

            “สอนภาสกรให้หน่อย”

            “สอนอะไรวะ?”

            “ก็ที่นายพูดมาไงมาตรฐานวีไอพีต้องเป็นยังไง ก็สอนเขาให้เป็นแบบนั้นภายในหนึ่งสัปดาห์”

            “เฮ้ย จะบ้าเหรออรรค อาทิตย์เดียวจะไปพออะไร คนอื่นยังเรียนรู้เป็นเดือน บางคนเป็นปี”

            “อาทิตย์เดียวสำหรับภาสกร”

            “แล้วนี่นายได้ถามเขาหรือยัง เผื่อเขาไม่อยากเรียนล่ะ” จิณณ์ถามอย่างอ่อนใจ

            “สอนไปเถอะน่า เขาจะมาเรียนแน่นอน”

            “สักแต่สอนได้ไหมล่ะ” จิณณ์ย้อนกลับ

            “อย่าถามอะไรที่มันไม่มีประโยชน์ได้ไหมจิณณ์”

            “เออ ๆ  ก็ได้ ไม่รับปากนะว่าจะได้ผลแค่ไหน แต่จะสอนให้ดีก็แล้วกัน”

            “ตามนั้น ยังไงฉันมั่นใจว่านายจะสอนเขาออกมาได้ดี”

            “ครับเจ้านาย”

            “ขอบใจมาก” อรรควัสไม่สนใจคำประชดของเพื่อน


            อรรควัสรู้จักกับอีกฝ่ายมานานจนรู้ว่าจิณณ์เป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี ยินดีช่วยเหลือและพร้อมจะทำอย่างเต็มที่ด้วย ไม่ได้สักแต่ทำเหมือนที่เจ้าตัวขู่ไว้ งานนี้ภาสกรคงจะถูกจิณณ์เคี่ยวกรำอย่างยากลำบากมากแน่ ๆ  และไม่ต้องรอลุ้นผลลัพธ์ อรรควัสเชื่อมือจิณณ์ว่าจะสามารถทำให้ภาสกรขึ้นไปทำงานบนชั้นวีไอพีได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน




 
           
            ทางด้านภาสกร เขาตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายด้วยความงัวเงีย เจ้าตัวยังนอนไม่เต็มอิ่มแต่ต้องมาตื่นเพราะความฝันที่เกิดจากความทรงจำในวัยเด็ก


            ชายหนุ่มยกแขนซ้ายของตัวเองขึ้นมาดู บนแขนมีรอยแผลเป็นจาง ๆ  รอยในอดีตกระตุ้นความทรงจำของเขาอีกครั้ง อันที่จริงภาสกรมักไม่ได้สนใจรอยแผลเป็นนี้สักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่เพราะความฝันเมื่อเช้านี้


            ในความฝันเขาจำใบหน้าผู้ชายอีกคนไม่ได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงลืมใบหน้าผู้ชายคนนั้นไป อาจจะเป็นได้ว่าในช่วงวัยนั้น เขาทำอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมโรงเรียน ไปเรียนพิเศษ เล่นกีฬา ยามว่างก็อดไม่ได้ที่จะตามนวพลไปเที่ยวซนตามประสาเด็ก แอบเข้าไปดูคนเล่นการพนันก็เคยทำ ทุกอย่างเป็นไปเพราะความคึกคะนองและยังขาดการไตร่ตรองที่ดี


            รู้ตัวอีกทีก็จำคนนั้นไม่ได้เสียแล้ว


            แต่เขากลับจำใบหน้าอีกคนได้อย่างแม่นยำ คนที่นอนข้าง ๆ  กันเมื่อคืน คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าขาวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นด้วยความเขินอายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ  ห้อง ทว่าไม่พบเงาใครคนนั้นทำให้เขาโล่งอก ถ้าอรรควัสมาเห็นเขาในสภาพนี้คงต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ  และเขาคงตอบไม่ได้


            ใครจะกล้าตอบไปว่าคิดถึงเรื่องเมื่อคืนจนตัวเองต้องเขินจนหน้าแดงแบบนี้กันเล่า


            จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าทำไมอรรควัสต้องขอแก้วเหล้าสองใบและสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียศูนย์ไร้การควบคุมนี้เพราะอะไร เขารู้ดีว่าเรื่องนี้คงยังไม่ได้คำตอบเร็ว ๆ  นี้ แต่เขาจะต้องไม่พลาดที่จะรู้เรื่องให้นี้ให้จงได้ ไม่ใช่ว่าต้องการรู้อดีตของอีกฝ่ายเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็น หากภาสกรต้องการรู้เผื่อว่าจะช่วยอะไรคนนั้นได้บ้างต่างหาก


            แววตาว่างเปล่าของอรรควัสตอนที่ขอแก้วเหล้าทำให้เขาไม่สบายใจเลย


            ภาสกรลุกขึ้นจัดเตียงให้เรียบร้อยแล้วกลับห้องของตัวเองเพื่อไปจัดการธุระส่วนตัว


            เมื่อถึงเวลาทำงานคืนนั้นเขาก็มาถึงชั้นล่างของผับ ระหว่างที่กำลังเตรียมโต๊ะให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะให้บริการลูกค้าก็มีคนมาสะกิดไหล่เขา

            “ครับ?” ภาสกรหันไปมองคนที่มาเรียก

            “ผมมีเรื่องมาแจ้งให้คุณทราบ”

            “ครับผู้จัดการ”

            “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเมื่อถึงเวลาตีสามให้คุณขึ้นไปหาผมที่ชั้นห้า”

            “เอ๊ะ? ชั้นห้า” ภาสกรมุ่นคิ้ว เขาไม่เคยขึ้นไปที่ชั้นนั้นเลยสักครั้ง

            “ได้ยินไม่ผิดหรอก”

            “มีอะไรหรือเปล่าครับ” พนักงานหนุ่มเกิดความสงสัย

            “ผมได้รับคำสั่งให้เป็นคนสอนคุณทำงาน”

            “ทำงานอะไรเหรอครับ” ภาสกรยิ่งได้ฟังก็ยิ่งแปลกใจกับคำพูดกำกวมนั้น

            “ไม่ต้องงง เดี๋ยวตอนตีสามคุณก็รู้เอง”

            “อ่า..ก็ได้ครับ”

            “เตรียมใจไว้ด้วยล่ะ” ผู้จัดการพูดจบก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยราวกับมีเลศนัยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวหลังร้าน ท่วงท่านั้นทำให้ภาสกรไม่ไว้ใจเลย




            แล้วเขาเลือกอะไรได้ไหม เลือกไม่ไปได้หรือเปล่า...








========================================


Happy Halloween ค่ะ

ขอบคุณทุกการติดตามเสมอนะคะ

HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
คุณอรรคกะเอาน้องไปไว้ใกล้ๆตัวเลยล่ะซิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด