วงล้อที่เก้า
“เหอะ ใจดีไม่เปลี่ยน”
อรรควัสก้าวเดินตามหลังบอดี้การ์ดสองคนไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ วันนี้เขาลงมาหน้าคาสิโนเพื่อมาส่งแขกคนสำคัญด้วยตนเอง จึงถือโอกาสตรวจตราบริเวณด้านหน้าของคาสิโนไปด้วย ไม่นึกว่าจะมาเจอภาพอะไรแบบนี้เข้า
เจ้าของคาสิโนเห็นภาสกรนั่งอยู่ที่ตรงม้านั่งตั้งแต่แรก เขาไม่ได้คิดจะเข้าไปคุยเพราะไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมาพูดคุยกับพนักงานคนนี้ แต่ก่อนที่เขาจะหันกลับเข้าไปทำงานต่อ หูพลันได้ยินเสียงเจ้าเด็กนั่นโวยวายดังขึ้นเสียก่อน
เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแต่ไม่ได้ยินคำพูดอีกฝ่าย หากเดาไม่ยากว่าภาสกรคงจะพยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้คนคนนั้นคิดสั้น
ทำไมต้องพาตัวเองไปวุ่นวายทุกเรื่องด้วย
“อย่าเลยนะครับ ลูกเมียคุณต้องเสียใจแน่ๆ” ภาสกรพยายามกล่อมอีกฝ่ายไม่หยุด
“ปล่อย!บอกให้ปล่อยได้ยินไหม กูอยากตาย” คนคิดสั้นสะบัดแขน ออกแรงดิ้นอย่างเต็มที่ ภาสกรเริ่มต้านทานแรงอีกฝ่ายไม่อยู่
“อย่าเลยครับ”
“ถ้าเขาอยากตายก็ปล่อยเขาไปสิ” เสียงใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับมือที่จับแขนของภาสกรเอาไว้ ชายหนุ่มหันไปมองด้านข้าง
“อาเฉิน?”
“ปล่อยมือผมครับ ผมต้องช่วยเขา” ภาสกรบอก ขืนเป็นแบบนี้ คนนั้นต้องโดดลงไปแน่นอน
“เขาไม่ต้องการให้ช่วย ไม่เห็นหรือไง” อาคุณพูดขึ้นบ้างก่อนจะจับแขนอีกข้างของภาสกรไว้
“ไม่ได้ครับ” ภาสกรโต้เถียง พยายามสลัดแขนให้หลุดจากการถูกเกาะกุม แต่ก็ไม่สำเร็จ ส่วนผู้ชายคิดสั้นกำลังงงที่เห็นผู้ชายตัวใหญ่สองคนมาดึงภาสกรออกไป
“ปล่อยผมนะครับ เราควรช่วยเขา” ภาสกรมองใบหน้าสองคนสลับกันซ้ายขวา
“อย่าเข้าไปวุ่นวายเรื่องของคนอื่น” อาเฉินบอกเสียงเข้ม
“ถ้าเราเห็นคนจะฆ่าตัวตายแล้วไม่ช่วยมันผิดกฎหมายนะครับ” ชายหนุ่มเอากฎหมายขึ้นมาอ้าง
“ที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทย” ภาสกรหมดหนทางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้กฎหมายของบ้านเกิดเขาด้วย
“ผมขอร้อง ช่วยเขาเถอะครับ” ภาสกรอ้อนวอน เขาทำใจเห็นคนตายไปต่อหน้าไม่ได้จริงๆ แล้วคนอื่นๆ ทำไมไม่ช่วยผู้ชายคนนี้ล่ะ ยืนดูอยู่เฉยๆ ทำไม
“คุณ อย่าโดดนะ” ภาสกรตัดสินใจตะโกนบอก ชายคิดสั้นเริ่มถอยหลังออกไปเรื่อยๆ จนใกล้ขอบฝั่งเข้าไปทุกที ทุกที
“...”
“ชีวิตมีค่ามากนะครับ” ภาสกรเกลี้ยกล่อมหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมฟังเขา
“ไม่เหลืออะไรก็ไร้ค่า” เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลังภาสกร ชายหนุ่มตกใจแต่มองไม่เห็นคนพูด เขาไม่ต้องสงสัยนาน อาเฉินก็เฉลยบุคคลปริศนานั้นให้ภาสกรได้ทราบ
“บอสครับ”
“อืม”
“เราจะทำยังไงกับพนักงานนี่ดีครับ”
“วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง”
“ขอร้องล่ะครับ ช่วยเขาเถอะ” ภาสกรอ้อนวอน
“ทำไมต้องเป็นทุกข์ร้อนเรื่องคนอื่น เอาตัวเองให้รอดก่อน ไม่ดีกว่าหรือไง”
“ถ้าเราช่วยเขาได้ ทำไมเราถึงไม่ช่วยเขา ผมขอร้อง ช่วยเขาด้วยเถอะครับ” ภาสกรอยากทรุดลงไปกับพื้น แต่แขนของเขาถูกดึงเอาไว้ทำให้เขายืนเหมือนคนหมดแรง
“วันนี้ช่วยได้คนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ แล้ววันต่อๆ ไป ต้องมาช่วยอีกไหม” อรรควัสถามกลับ
“ผมไม่รู้หรอก รู้แค่วันนี้เราช่วยได้เท่านั้นก็พอ”
“ช่วยคนติดการพนัน หึ!ไร้ประโยชน์ ไม่เห็นหรือไงว่าเขาไม่อยากอยู่”
“...”
“อาเฉิน พาภาสกรขึ้นไปห้องฉัน” อรรควัสออกคำสั่ง เขาไม่อยากฟังเสียงคร่ำครวญของอีกฝ่ายมากไปกว่านี้
“ครับบอส” สองบอดี้การ์ดรับคำก่อนจะดึงหรือแทบจะเรียกว่าลากชายหนุ่มออกไปตามคำสั่ง
“ปล่อยผมนะครับ ช่วยเขาด้วยนะครับ” ภาสกรโวยวาย
อรรควัสส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อเสียงอ้อนวอนของภาสกรหายเงียบไปแล้ว นัยน์ตาหวานแต่ไร้ความเมตตามองไปที่คนกำลังจะฆ่าตัวตาย
“นายน่ะ อยากตายมากเหรอ”
“ใช่ แกใช่ไหมที่เป็นเจ้าของคาสิโนนี่”
“อืม”
“แกมันหน้าเลือด แกมันโกง” คนคิดสั้นชี้หน้าด่าอรรควัสอย่างอัดอั้น
“คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อคนฉลาด” อรรควัสไม่ได้โกรธ ตลอดเวลาที่เขาอยู่แวดวงนี้ ใครๆ ก็พากันสรรเสริญเขามากมาย จนคำพวกนั้นเหมือนเป็นคำพูดของแมลงหวี่แมลงวันไปเท่านั้น ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ
“ถ้ายังอยากตาย ปล่อยให้ลูกเมียลำบากก็โดดไป แต่ถ้าอยากทำงาน มีเงินใช้ ดูแลลูกเมียที่บ้านได้ก็ตามฉันมา”
“...”
“ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน ชีวิตของใคร คนนั้นก็รับผิดชอบเอง” อรรควัสพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องคนสนิทที่ยังยืนอยู่อีกหนึ่งคน
“อาคุณ”
“ครับ”
“รอดูทีท่าเขา ถ้าอยากตายก็ปล่อยไปแต่ถ้าไม่ ก็หางานให้เขาทำด้วย”
“ครับ” อาคุณรับคำ วันนี้บอสคงจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
...
“รออยู่บนนี้ แล้วทำตัวดีๆ อย่าทำให้บอสต้องโมโห” อาเฉินสั่งทิ้งท้ายก่อนจะออกไปจากห้อง ภาสกรอยากจะลงไปที่ท่าเรืออีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าป่านนี้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นอย่างไร
ชีวิตคนทั้งคน อย่าทำให้มันไร้ค่าแบบนี้สิ
ชายหนุ่มนั่งบีบมือไปมา จิตใจกระสับกระส่าย ใจหนึ่งก็อยากจะออกไปจากที่นี่ อีกใจหนึ่งก็กลัวบอสจะมาไล่ออก โทษฐานขัดคำสั่ง ทำไมมันยุ่งยากแบบนี้
เอายังไงดี?
เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ภาสกรลืมอาการฟุ้งซ่านไปชั่วคราว เขาหันไปมองผู้มาใหม่ คนนั้นเป็นเจ้าของห้องนี้และยังเป็นเจ้าของคาสิโนแห่งนี้ด้วย ใบหน้าของคนที่เพิ่งเข้ามาถมึงทึง ไม่ยิ้มแย้ม ภาสกรกลืนน้ำลายอย่างหวาดๆ อรรควัสกลับเข้าไปนั่งที่ประจำตัวเอง ภาสกรเดินมายืนที่หน้าโต๊ะอีกฝ่ายโดยไม่ต้องสั่ง
“สงบสติอารมณ์ได้หรือยัง” นั่นคือประโยคแรกที่เจ้าของห้องถามขึ้น
“เอ่อ...แล้ว” ภาสกรเตรียมจะถามถึงคนคิดสั้น แต่สมองสั่งให้หยุดไว้ถ้ายังอยากอยู่รอดปลอดภัย เมื่อที่บอสถาม เขาต้องตอบ คำนี้มันผุดขึ้นมาช่วยเขาได้ทัน
“ครับ” เขาตอบรับอย่างสงบเสงี่ยม
“ดี”
“บอสครับ” ในเมื่อเขาตอบคำถามแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะถามหรือเปล่า
“ฉันยังไม่อนุญาตให้ถาม”
“ครับ” ภาสกรก้มหน้าลง มองมือที่ยังบีบกันแน่น
“รู้ไหมท่าเรือตรงนั้น วันวันหนึ่งมีคนฆ่าตัวตายกี่คน”
“เอ๊ะ เหรอครับ” ภาสกรตกใจ เงยหน้ามองคนพูด
อรรควัสเหลือบมองคนที่ทำราวกับไม่รู้เรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิตแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยความเบื่อหน่าย
“วันหนึ่งมีคนคิดสั้นไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่เธอพยายามดิ้นรนจะช่วยเขาแทบเป็นแทบตายเป็นคนที่เท่าไหร่ของวัน”
“...”
“ฉันไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าการช่วยเหลือคนที่จะตายมันเป็นสิ่งที่ดี แต่หยุดเข้าไปวุ่นวายเรื่องของคนอื่นจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะครับ”
“มนุษย์ทุกคนล้วนมีความโลภ และยิ่งเป็นคนจนตรอกไร้หนทาง ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกล้าทำอะไรบ้าง ถ้าวันนี้เธอช่วยเขาสำเร็จ แต่พ้นจากตรงนี้ไปแล้วเขาไปฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์ล่ะ เธอจะดีใจไหม”
ภาสกรส่ายหน้า
“แน่นอนไม่มีใครดีใจหรอก เธอคงอยากจะเถียงฉันว่าเขาคงไม่ทำอย่างที่ฉันคิดก็ได้ ถูกไหม”
“ผมเปล่า” ภาสกรรีบบอกปัด ทั้งที่ในใจเพิ่งนึกเถียงอีกฝ่ายอยู่เมื่อสักครู่นี้
“หน้าเธอมันฟ้องว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูด”
“แล้วตอนนี้เขายังอยู่ไหมครับ” ภาสกรเลี่ยงคำว่าตายเอาไว้ เขาไม่อยากให้คนนั้นตายเลย
“ฉันอนุญาตให้ถามตั้งแต่เมื่อไหร่” อรรควัสบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ขอโทษครับ” ภาสกรยกมือไหว้ตามความเคยชิน “แต่ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไง”
“ฉันไม่รู้” คำตอบของอรรควัสทำให้ภาสกรแปลกใจ จะไม่รู้ได้อย่างไร ก็อรรควัสอยู่ในเหตุการณ์เหมือนกันไม่ใช่หรือไง
“แต่...บอส”
“ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่หรือตาย เพราะฉันเดินออกมาก่อน” อรรควัสเฉลย
“ถ้างั้นผม...”
ก๊อก..ก๊อก..
“เข้ามา” อรรควัสอนุญาต เป็นอาคุณที่เดินเข้ามายืนข้างๆ กับภาสกร
“ว่าไง”
“เขายอมทำงานกับเราแล้วครับ”
“อืม” อรรควัสเปลี่ยนมามองภาสกรอีกครั้ง “ได้ยินหรือเปล่า”
“ครับ?” ภาสกรดูยังไม่เข้าใจ
“อาคุณ” บอสขี้เกียจเป็นคนพูดจึงให้อาคุณพูดแทนตัวเอง
“คนที่นายตั้งใจจะช่วย เขายังไม่ตายและยอมทำงานกับเรา”
“จริงเหรอครับ!!ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ” ภาสกรทั้งไหว้ ทั้งโค้งตัวเป็นการใหญ่เพื่อแสดงความขอบคุณคนทั้งคู่
“ไม่ต้องขอบคุณ เพราะเธอจะต้องเป็นคนดูแลหมอนั่นเอง”
“ได้ครับๆ” ภาสกรรีบรับปากผงกหัวทันทีโดยไม่อิดออด
...
“พี่แอนดี้กำลังจะออกกะเหรอครับ” ภาสกรถามคนที่กำลังจะสแกนนิ้วเลิกงาน
“ใช่” แอนดี้ หลิน หรือหลินจื่ออิง คือชายหนุ่มอายุสามสิบปีที่ภาสกรช่วยเขาไว้ไม่ให้กระโดดน้ำตาย ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นแอนดี้ก็เข้ามาทำงานในคาสิโนนับแต่นั้นมาและได้ภาสกรคอยช่วยแนะนำงานให้
“แล้วนายล่ะ”
“เหมือนเดิมครับ” เหมือนเดิมของภาสกรคือชายหนุ่มกำลังแสกนนิ้วเข้างานในกะบ่ายของตน ก่อนจะถามต่อเมื่อเห็นล็อกบันทึกเข้างานเรียบร้อยแล้ว “พี่เริ่มปรับตัวได้หรือยังครับ”
“เริ่มชินขึ้นบ้างแล้วล่ะ ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วนี่นะ” แอนดี้หัวเราะ
“ถ้าพี่ไม่รีบกลับ ไปกินข้าวกับผมก่อนไหม จะได้เอาปิ่นโตไปฝากเด็กๆ ที่บ้านด้วย” ภาสกรเอ่ยชวน
“เอาสิ เริ่มหิวนิดๆ เหมือนกัน”
ภาสกรกับแอนดี้เดินเข้ามาในโรงอาหารใหญ่ด้วยกัน พวกเขาแยกย้ายไปเลือกอาหารที่ตนเองต้องการก่อนจะกลับมาหาที่ว่างนั่งอยู่บริเวณนั้น
“หน้าพี่ดูสดใสขึ้นแล้วนะเนี่ย” ภาสกรแซวเพราะเห็นคนตรงข้ามมีรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าอยู่แทบตลอดเวลา
“อืม ขอบใจพายมาก ถ้าไม่ได้พายช่วยวันนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่จะเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรครับ แค่พี่โอเค ผมก็ดีใจมากๆ แล้ว” ภาสกรบอกพลางยิ้มตาแทบปิดส่งกลับไปให้ เขารู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งที่ช่วยเหลือคนได้ และยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าคนที่เขาช่วยไว้กำลังจะมีชีวิตหรืออนาคตที่ดีต่อจากนี้
“เอ๊ะ พาย นั่นรอยอะไร” แอนดี้สังเกตเห็นที่แขนซ้ายของภาสกรมีรอยขีดสีขาวจางๆ
“อ๋อ” คนถูกถามยกแขนขึ้นมาเล็กน้อย “รอบแผลเป็นน่ะครับ”
“จะไม่เป็นไรใช่ไหม” แอนดี้ทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะลดเสียงเบาลง “พี่หมายถึงกฎระเบียบ”
“ไม่ต้องห่วงครับ เวลาทำงาน ปกติผมจะดึงแขนเสื้อมาปิดอยู่แล้ว แต่วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนผมเลยถกแขนเสื้อขึ้นมา”
“อืม ระวังหน่อยล่ะ พี่ไม่อยากให้คนเห็นเยอะ กลัวคนจะพูดในทางที่ไม่ดี”
“ขอบคุณมากครับ” ภาสกรบอกจากใจ ก่อนจะทำตัวเป็นเด็กว่าง่ายดึงแขนเสื้อลงมาแล้วกลัดกระดุมที่ข้อมืออย่างเรียบร้อย
“โอเคหรือยังครับ” ภาสกรถาม
“ดีแล้วล่ะ”
“พี่ชอบงานที่นี่ไหม” ภาสกรถามขึ้นเมื่อข้าวบนจานพร่องไปครึ่งจาน
“ก็ไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียดล่ะนะ ยังไงก็มีงานทำ”
“จริงครับ” ภาสกรพยักหน้าเห็นด้วย
“พายล่ะ ชอบงานที่นี่เหรอ” ชายหนุ่มส่ายหน้า
“ไม่เชิงหรอกครับ แต่ที่นี่ได้เงินเยอะ ถ้าผมอยู่ที่เมืองไทย เงินเดือนก็คงจะไม่กี่บาทเท่านั้น ไม่พอใช้”
“พี่ไม่ยักรู้ว่าพายจะใช้เงินเก่ง” แอนดี้หัวเราะเล็กน้อยระหว่างถามคำถาม
“เปล่าครับ เห็นผมเป็นคนยังไง คือแม่ผมป่วย ก็เลยอยากหาเงินให้ได้เยอะๆ มารักษาแม่ก็เท่านั้นเอง”
“น่านับถือๆ” แอนดี้พยักหน้าด้วยความชื่นชม “ลูกกตัญญู ดีแล้วละ ดีแล้ว เก่งมาก”
“พี่พูดเสียจนผมเขินเลย” ภาสกรก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความอาย พอถูกชมตรงๆ แบบนี้เขาก็แสดงสีหน้าไม่ถูกเลย
“เขินทำไมกันเล่า ทำดีต้องชื่นชม”
“ไม่เอาแล้วครับ พี่อย่าชมผมอีกเลย”
“ตกลงๆ แล้วแม่พายป่วยเป็นอะไรล่ะ”
“โรคไตน่ะครับ ต้องฟอกไตบ่อยๆ”
“ที่นั่น เอ่อ เมืองไทยใช่ไหม ค่ารักษาคงแพงมากใช่ไหม” แอนดี้ถามอย่างไม่แน่ใจเพราะเขาไม่ค่อยรู้จักประเทศไทยมากมายนัก
“ก็ประมาณนั้นครับ” ภาสกรแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่รู้ว่าค่ารักษาที่เมืองไทยพอเทียบเป็นสกุลเงินที่นี้แล้วจะยังถือว่าแพงหรือเปล่า
“ถ้าพายขาดเงินล่ะก็” แอนดี้ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกใครบางคนขัดแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลังของตนเองเสียก่อน
“อ้าว พายมาทำงานแล้วเหรอ เรานั่งกินข้าวด้วยคนสิ สวัสดีครับพี่แอนดี้” เจหรือเจษฎาเป็นเพื่อนกับนวพลมาก่อน เมื่อภาสกรเข้ามาทำงานที่นี่ นวพลจึงแนะนำเพื่อนที่เขาค่อนข้างสนิทด้วยให้รู้จัก
“หวัดดี”
“เอาสิ” ภาสกรตอบพลางตบที่นั่งข้างตัวให้อีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ
“งั้นเดี๋ยวเราไปเอาข้าวก่อน”
“อืม” ภาสกรรับคำเพื่อนก่อนจะถามแอนดี้ “ตะกี้พี่พูดอะไรนะครับ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก งั้นพี่ไปก่อนนะ”
“อิ่มแล้วเหรอพี่”
“ใช่”
“พี่จะไปรับลูกเหรอ” ภาสกรถามต่อ
“อืม”
“ครับ พี่แอนดี้อย่าลืมเอาปิ่นโตไปนะครับ”
“ไม่ลืมหรอก พี่ไปนะ” แอนดี้โบกมือให้ก่อนจะเดินออกไป
“ครับ แล้วเจอกัน”
เมื่อเจษฎากลับมาอีกทีก็เห็นเพียงเพื่อนใหม่ของตนนั่งอยู่คนเดียว “พี่แอนดี้ล่ะ?”
“กลับไปแล้ว บอกว่าจะไปรับลูก”
“ลูก?ลูกที่ไหน”
“ทำไมเหรอ” ภาสกรถามด้วยความแปลกใจ
“วันก่อนเพิ่งเห็นพี่แอนดี้บอกกับพนักงานอีกคนว่ายังไม่มีครอบครัวเสียหน่อย”
“ใช่เหรอ แต่พี่เขาบอกเราเองเลยนะว่ามีลูกมีเมียแล้ว”
“พายแน่ใจ?”
“แน่ใจสิ”
“งั้นเราอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้ ไม่ต้องสนใจที่เราพูดไปก่อนหน้านี้แล้วกัน” เจษฎาตัดบทเมื่อเห็นภาสกรมีสีหน้าสงสัยพลางขมวดคิ้ว
“เจอย่าคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก”
========================
บ้าน่า ไม่มีอะไรหรอก
HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ