♣ พนันท้ารัก ♣ The Fountain Casino || วงล้อที่สามสิบแปด (END) UP!! 02/04/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ พนันท้ารัก ♣ The Fountain Casino || วงล้อที่สามสิบแปด (END) UP!! 02/04/2020  (อ่าน 64968 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หายไปนานจังเลย

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

วงล้อที่สิบสาม





        ภาสกรถือจานข้าวมันไก่มาทั้งสองมือพอมาถึงโต๊ะที่แอนดี้นั่งอยู่เจ้าตัวก็ขยับนั่งลงตรงข้ามแล้วบอกอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น

   “พี่แอนดี้ พายเอาอาหารรสเลิศมาให้พี่ลองกินดู รับรองว่าพี่ต้องชอบ”

   “มั่นใจขนาดนั้นเชียว” แอนดี้มองจานตรงหน้าของตนเองแล้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

   “ครับ ลองกินดู”

   “ข้าวกับไก่?”

   “อะไรกันพี่ ที่ไทยเรียกมันว่าข้าวมันไก่ครับ”

   “อย่างนั้นเหรอ ทำไมต้องทำหน้าภูมิใจอะไรขนาดนั้น”

   “ก็มันอร่อยมากเลยนะครับ ผมไม่ได้โม้ด้วย ถ้าพี่ได้กินต้องติดใจเหมือนผมแน่ ๆ”

   “ขนาดนั้นเชียว ก็ได้ ๆ  จะลองกินดูแล้วกัน” แอนดี้ว่าพลางตักคำแรกเข้าปากก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้นให้อีกฝ่ายดูว่าอร่อยไม่หยอก ภาสกรที่รอผลด้วยความตื่นเต้นถึงกับยิ้มหน้าบานไม่หุบเลยทีเดียว

   ใช้เวลาไม่นานคนทั้งคู่ก็จัดการอาหารจนหมด ภาสกรเดินกลับเข้าไปทำงานด้วยใบหน้าที่สดใสมีความสุขเพราะถูกอกถูกใจที่แอนดี้ก็ชื่นชอบเมนูโปรดที่ตนเองชื่นชอบนั้นนักหนา





 
     “มาแล้วเหรอ” พนักงานบาร์เทนเดอร์เอ่ยทักเมื่อเห็นภาสกรเดินเข้ามาเพื่อมารับถาดไปทำตามหน้าที่ของตนเองต่อ

     “ครับ ผมไปก่อนนะพี่” ภาสกรตอบรับแล้วก็ยกถาดขึ้นมาถืออย่างทะมัดทะแมง

     “อืม เดินดี ๆ  ระวังลูกค้าด้วย” คนเอ่ยทักพูดขึ้นด้วยความหวังดี

     “ครับ”


     ภาสกรปฏิบัติตามหน้าที่อย่างตั้งใจ เขาเดินโฉบเข้าไปใกล้โต๊ะต่าง ๆ  ที่ลูกค้ามากหน้าหลายตาพากันเสี่ยงโชค บ้างก็หัวเสีย บ้างก็ยิ้มร่า ทุกเส้นทางการเดินไปตลอดทาง ถาดของเขาไม่เคยว่างเว้นแก้วที่ถูกหยิบออกไปหรือถูกวางคืนเมื่อน้ำในแก้วนั้นหมด


     กระทั่งใกล้เวลาเลิกงานนั้นเกือบจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ภาสกรหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อมีคุณผู้ชายท่านหนึ่งโผล่พรวดเข้ามาทางเขาโดยไม่ทันตั้งตัวจนเกือบทำให้ถาดหลุดออกไปจากมือ โชคดีว่าคุณผู้ชายคนดังกล่าวช่วยประคองถาดของภาสกรไว้ได้ทัน

     “ขอบคุณครับ” ภาสกรเอ่ยขอบคุณคนที่ช่วยให้เขาไม่ต้องขึ้นไปพบกับบอสใหญ่ของคาสิโนเป็นภาษาอังกฤษ

     “ไม่เป็นไร”

     “ขอโทษด้วยครับ”

     “อืม ทีหน้าทีหลังก็ระวังหน่อย” คุณผู้ชายเอ่ยเตือนก่อนจะเดินจากไป ภาสกรได้แต่รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจอีกครั้งก่อนจะกลับไปที่เคาต์เตอร์บาร์เพื่อเปลี่ยนแก้วในถาดเป็นชุดใหม่


     ทว่าวันนี้ภาสกรคงก้าวเท้าออกมาจากห้องผิดข้างแน่ ๆ  เพิ่งรอดตายไม่เกิดเรื่องอยู่หยก ๆ  เพียงครู่เดียวบอดี้การ์ดคู่ใจของอรรควัสก็ก้าวมาประชิดตัวพลางจับข้อมือทั้งสองข้างของเขาไว้แน่นจนภาสกรตกใจ

     “อะไรครับพี่เฉิน พี่คุณ”

     “พาย..” อาเฉินเรียกชื่อคนอายุน้อยกว่าด้วยความลำบากใจ

     “ครับ?”

     “บอสมีคำสั่งให้พี่พาพายขึ้นไปที่ห้อง”

     “มีอะไรครับ ผมทำอะไรผิดอีกหรือว่าตะกี้พี่เห็น..”

     “เห็นอะไร” อาคุณถามกลับ

     “ก็ที่ผมเกือบจะชนลูกค้าน่ะสิครับ พี่สองคนเห็นใช่ไหม”

     “ไม่ใช่พาย ไม่ใช่เรื่องนี้” อาเฉินส่ายหน้า สีหน้าไม่สู้ดี

     “แล้วเรื่องอะไรครับ ทำไมพี่ต้องทำหน้าเหมือนเกิดเรื่องขึ้นร้ายแรง”

     “...” หัวใจของภาสกรเต้นตึกตักอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอฟังคำตอบ เขาก็รู้ว่าเรื่องใหญ่มากแน่นอน

     ภาสกรนึกฉงน เขาทำอะไรผิดล่ะ แค่เหตุการณ์เกือบเดินชนลูกค้าถึงกับทำให้อาเฉินและอาคุณต้องทำสีหน้ายุ่งยากแบบนี้เลยหรือ

     “ขึ้นไปกับพี่เถอะพาย” อาคุณพูดเสียงเรียบ

     “ครับ”
 


     ภาสกรถูกอาเฉินและอาคุณประกบข้างซ้ายและขวาระหว่างถูกนำตัวขึ้นมาจนเข้ามาในห้องของเจ้าของคาสิโนแห่งนี้ ภาสกรยังใจเต้นรัวด้วยความกลัวไม่หยุด ยิ่งเห็นสายตาของอรรควัสด้วยแล้วยิ่งทำให้เขากลัวเพิ่มขึ้นไปอีก ถึงเขาจะเคยทำผิดเพราะความไม่รู้หรือเพราะอะไรก็ตามแต่บอสใหญ่ก็ไม่เคยทำสายตาเย็นชากึ่งผิดหวังเช่นนี้เลย

     “มาแล้วครับบอส” อาคุณเอ่ยขึ้นอย่างไม่จำเป็น

     “อืม พวกนายสองคนออกไปรอข้างนอก”
     
     “ครับ” อรรควัสรอกระทั่งทั้งคู่ออกไปแล้วจึงพูดขึ้นใหม่

     “ภาสกร..”

     “ครับ” ภาสกรกลืนน้ำลายก่อนจะขานรับ

     “รู้ไหมว่าฉันเรียกเธอขึ้นมาทำไม”

     “ไม่ทราบครับ”

     “งั้นฉันขอถามเธอหน่อยว่าที่นี่ให้เงินเดือนเธอไม่ดีหรือ” อรรควัสจ้องมองคนตรงหน้าก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

     “ไม่ใช่ครับ” ภาสกรรีบปฏิเสธทันที ในใจก็นึกสงสัยบอสถามเขาแบบนี้ทำไม

     “หรือว่าสวัสดิการไม่ดี?”

     “ไม่ใช่ครับ”

     “บอกฉันมาตามตรงเงินไม่พอใช้ใช่ไหม”

     “ไม่ใช่ครับ”

     “ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงกล้าลักลอบส่งยาในคาสิโนของฉัน!” อรรควัสตวาดภาสกรเสียงดังในประโยคสุดท้าย เสียงนั้นทำให้ภาสกรกลัวจนก้าวเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

     “ผม..ผมไม่ได้ทำ บะ..บอสพูดอะไร ผม..ไม่รู้เรื่อง” ภาสกรละล่ำละลักบอกด้วยความตื่นตระหนก

     “ฉันไม่ชอบคนโกหก ยานั่นมันอยู่ใต้ถาดของเธอจะบอกว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้”

     “ผมไม่ได้โกหก ผมไม่ได้ทำจริง ๆ” เขาทั้งกลัวและตกใจจึงเสียงดังขึ้นอย่างลืมตัว

     “ภาสกร!” อรรควัสเรียกชื่ออีกฝ่ายหมายจะให้ภาสกรยอมรับสารภาพ

     “เชื่อผมนะครับ ผมไม่เคยคิดที่จะทำเลย ผมรู้ว่าบอสเกลียดเรื่องยาเสพติดมากแค่ไหน ผมไม่กล้าทำจริง ๆ  เชื่อผมนะครับ ผมไม่ได้ทำ” เขาพูดคำเดิม ๆ  วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาที่ไหลออกมาไม่ถูกเวลากลับไหลลงมาเป็นทางไม่หยุด ภาวนาให้เจ้าของคาสิโนเชื่อเขาแม้เพียงนิดเดียวก็ยังดี

     อรรควัสหันหลังให้ภาสกรก่อนจะพูดขึ้น “กฎก็คือกฎ เธอจำได้ไหมภาสกร”

     “จะ..จำได้ครับ” เขาสะอื้นเล็กน้อยจังหวะที่ตอบ

     “บอกฉันสิว่าฉันต้องทำยังไงกับเธอ”

     “ถ้าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โทษก็คือไล่ออก” ภาสกรเสียงเบาลงเมื่อตอบอีกฝ่าย

     “ใช่ ไล่ออก ฉันไล่เธอออก ภาสกร”

     “ฮึก..ครับ ต่อให้บอสจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตาม แต่ผมไม่ได้ทำจริง ๆ”

     “ออกไปได้แล้ว เก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อยด้วย พรุ่งนี้ฉันจะให้อาเฉินไปส่งเธอกลับไทย”

     “ครับ” ภาสกรรับคำแล้วพูดกับแผ่นหลังคนตรงหน้าก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่าย “สวัสดีครับบอส ขอบคุณมากครับ”


     ภาสกรลงลิฟต์โดยที่ไม่พูดอะไรกับอาเฉินเลยแม้แต่คำเดียว จนเมื่อถึงห้องพักของเขาแล้ว เขาจึงยกมือไหว้อีกฝ่ายเหมือนที่เพิ่งทำมาเมื่อครู่ก่อน เอ่ยลาและกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเช่นกัน


     อาเฉินเองก็ไม่มั่นใจว่าภาสกรจะเป็นคนทำจริงแต่หลักฐานและภาพวงจรปิดก็ชัดเจนอยู่ ถาดที่ภาสกรถือนั้นมียาซุกซ่อนไว้ใต้ถาดจริง ๆ  ไม่รู้ว่ายานี้ถูกนำมาตอนไหน แต่ภาสกรก็เป็นคนที่ถือถาดนั้นไปเสียแล้ว


     คืนนั้นภาสกรนอนร้องไห้เกือบทั้งคืนโดยมีนวพลคอยอยู่เป็นเพื่อน อีกฝ่ายก็เครียดไม่ต่างจากภาสกรเพราะรู้จักนิสัยของเพื่อนรักดีว่าไม่มีทางไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างแน่นอน แต่ใครกันเล่าที่ทำกับเพื่อนของเขาได้ลงคอ


     ไอ้พายเอ๊ยไอ้พาย ซวยได้ตลอดศกจริง ๆ
 


     “บอสครับเรื่องพาย เอ่อ ภาสกร” อาคุณพูดกับเจ้าของห้องขึ้นเมื่ออาเฉินกลับมาถึงเรียบร้อย

     “ทำไม”

     “บอสจะไล่ภาสกรออกจริง ๆ เหรอครับ”

     “ไม่ใช่ ‘จะ’เพราะฉันไล่เขาออกไปแล้ว”

     “ผมขอแสดงความคิดเห็นหน่อยได้ไหมครับ” อาเฉินพูดขึ้นบ้าง

     “ว่ามา”
     
     “ผมอาจจะยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดแต่ผมไม่คิดว่าภาสกรจะทำจริงครับ”

     “รู้จักภาสกรดีถึงขนาดนั้นเลยงั้นรึ” อรรควัสแค่นเสียงถาม

     “ครับ” สองบอดี้การ์ดประสานเสียงพร้อมกันจนทำให้อรรควัสถึงกับเลิกคิ้วที่สองคนนี้เชื่อมั่นภาสกร

     อรรควัสถอนหายใจเล็กน้อย “อันที่จริง ฉันก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนทำหรอก”

     “อย่างนั้นหรือครับ” นัยน์ตาของอาเฉินเปล่งประกายด้วยความดีใจ

     “อืม แต่เพราะเราไม่มีหลักฐานอย่างที่นายเพิ่งพูดไป”

     “ครับ”

     “และที่ฉันไล่เขาออกก็เพราะต้องการให้คนที่ลงมือนั้นวางใจว่ามีคนรับโทษแทนไปแล้ว”

     “หลอกให้ตายใจเหรอครับ” อาคุณบอก

     “ใช่ ตอนนี้พวกนายสองคนสงสัยใครบ้างหรือเปล่า” อรรควัสมองคนทั้งคู่

     “แอนดี้”

     “แอนดี้ก็หนึ่งในผู้ต้องสงสัย แต่ที่ฉันแปลกใจก็คือคน ๆ นี้ต้องรู้มุมกล้องและการทำงานของภาสกรเป็นอย่างดี เขาสามารถหลบมุมกล้องจนทำให้กล้องไม่สามารถจับภาพได้ว่ายาพวกนั้นมาอยู่ที่ถาดของภาสกรตอนไหน อาเฉิน”

     “ครับบอส”

     “เริ่มจากจับตาทั้งแอนดี้และคนที่ภาสกรคุยด้วยบ่อย ๆ ก่อนก็แล้วกัน”

     “รับทราบครับ”

     “ส่วนนาย อาคุณ” ภาสกรหันไปมองเจ้าของชื่อ

     “ครับบอส”

     “ให้คนรีกล้องวงจรปิดวันนี้ทั้งหมด รู้ใช่ไหมว่าเวลาไหนที่ต้องดูละเอียดเป็นพิเศษ”

     “รับทราบครับ”

     “อ้อ ส่วนอาหารของอลันให้คนอื่นทำหน้าที่นี้แทนภาสกรไปก่อน”

     “ได้ครับ ถ้าบอสไม่ว่าอะไร ผมขอรับหน้าที่นี้เอง” อาคุณรับอาสาเอง

     “เอาอย่างนั้นเหรอ” เป็นอีกครั้งที่อรรควัสประหลาดใจลูกน้องของตัวเอง

     “ครับ”

     “อืมตามนั้น”

     “ขอบคุณครับบอส”

     “แยกย้ายได้”

     “เดี๋ยวครับบอส” อาเฉินเรียกอรรควัสไว้อย่างรวดเร็ว

     “อะไร”

     “แล้วจะให้ภาสกรตกงานไปแบบนี้เหรอครับ เพราะเรื่องเงิน...”

     “เป็นห่วงกันเหลือเกิน ฉันล่ะอยากรู้เสียจริงว่าภาสกรทำอะไรให้พวกนายถึงเป็นห่วงเขามากขนาดนี้” ไม่ใช่ครั้งแรกที่อรรควัสพูดประโยคนี้

     “พาย เอ่อ ภาสกรเป็นคนดีครับ” และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาเฉินตอบอีกฝ่ายด้วยประโยคนี้เช่นกัน


     เช้าวันรุ่งขึ้นภาสกรกำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเมื่อมีคนมาเคาะประตูที่หน้าห้อง นวพลที่อยู่ใกล้ประตูมากกว่าจึงออกไปเปิดประตูให้เอง

     “เอ่อ..อาเฉิน..” นวพลเรียกชื่ออีกฝ่ายเพราะไม่คิดว่าจะเห็นบอดี้การ์ดคู่ใจของบอสมาที่ห้อง
     
     “พายล่ะ”

     “อยู่ในห้องครับ”

     “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม” อีกฝ่ายขออนุญาตตามมารยาท

     “เชิญครับ” นวพลเปิดประตูออกให้กว้างขึ้นก่อนจะให้ผู้มาเยือนเข้ามาในห้อง

     “อ้าว พี่เฉิน มาได้ไงครับ” ภาสกรทักผู้มาใหม่เสียงใสก่อนที่ใบหน้าจะสลดลง “อ่อ..พี่คงมารับผมไปสนามบินใช่ไหมครับ พี่รอแป๊บหนึ่งได้ไหม ผมยังเก็บของไม่เสร็จเลย ของมีไม่เยอะครับ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ”

     “อืม” อาเฉินพยักหน้าก่อนจะหันไปทางนวพล “ผมขอคุยกับพายหน่อยได้ไหม”

     นวพลประมวลผลในสมองอยู่ชั่วครู่ก็เข้าใจ “ได้ครับ เอ่อ..พาย กูเริ่มหิวแล้วอะเดี๋ยวกูออกไปหาอะไรกินหน่อย เดี๋ยวมา”

     “พี่เฉินมีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” ภาสกรรอจนนวพลออกไปแล้วจึงถามอีกฝ่าย

     “พายอยากกลับไทยเลยหรือยังอยากทำงานต่อ”

     “อยากทำงานสิครับ กลับไปไทยตอนนี้ผมไม่รู้จะไปหาเงินจากที่ไหนมารักษาแม่เลย”

     “พี่มีงานหนึ่งเป็นพนักงานเสิร์ฟ”

     “ได้ครับ ถ้าไม่ผิดกฎหมาย งานอะไรผมก็ยินดีทำหมด” ดวงตาของภาสกรสดใสขึ้นมันเต็มไปด้วยความหวัง

     “อืม ดี ๆ”

     “ว่าแต่งานอะไรเหรอครับ”

     “พนักงานเสิร์ฟไม่ต่างจากที่ทำที่คาสิโนหรอกแต่เป็นที่ผับ ทำได้ไหม” อาเฉินถามอีก

     “ทำได้ครับ ผมทำได้” ภาสกรตอบแล้วรีบเร่งมือเก็บข้าวเก็บของลงกระเป๋าเดินทางก่อนที่มือขาว ๆ นั้นจะชะงักลง “ผมเพิ่งนึกได้”

     “อะไร ไม่ทำแล้ว?”

     “ไม่ใช่ครับ ผมยังไม่มีที่อยู่ใหม่เลย พี่เฉินพอจะมีที่พักแนะนำให้ผมไหมครับ ที่มันราคาถูก ๆ  ไม่แพงขอให้นอนได้ก็พอ”

     “นึกว่าอะไร เรื่องแค่นี้ ไม่ต้องกังวลไป ที่ผับมีที่พักให้พนักงานทุกคน”

     “ดีจัง โอย พี่เฉิน..ผมดีใจมาก ๆ  เลย แต่เดี๋ยวครับ”

     “หืม อะไรอีกล่ะเรา” อาเฉินทำเสียงระอาระคนเอ็นดู

     “ผับที่พี่บอก แน่ใจเหรอว่าเขาจะรับผมเข้าทำงานเหรอครับ”

     “รับสิ”

     “จริงเหรอครับ”

     “อืม เชื่อพี่ ที่ผับเขาจะรับพายแน่นอน”

     “แสดงว่าพี่เฉินนี่เส้นใหญ่ใช้ได้เลยนะเนี่ย” ภาสกรเอ่ยแซว เมื่อความหนักอึ้งในใจได้ถูกขจัดออกไปบางส่วน

     “ไม่ใช่พี่เสียหน่อย”

     “ถ้าไม่ใช่พี่ แล้วใครล่ะครับ” ภาสกรถามด้วยความสงสัย

     “พี่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวบ่าย ๆ พี่จะมารับเราแล้วกัน ตอนนี้ก็พักเอาแรงก่อน เพราะอาจจะต้องเริ่มงานคืนนี้เลย”

     “ครับ ๆ ขอบคุณนะครับพี่เฉิน” ภาสกรรีบพยักหน้า

     “ไม่เป็นไร พี่ไปละ”

     “ครับ”


     คล้อยหลังที่อาเฉินกลับออกไป วงหน้าของภาสกรก็เต็มเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ภาสกรนั่งลงบนเตียงพลางคิดถึงนวพลเพื่อนรัก ถ้าอีกฝ่ายกลับมาเมื่อไหร่ เขาจะรีบเล่าให้ฟังว่าเขาไม่ใช่คนตกงานอีกต่อไปแล้วและนวพลก็ไม่ต้องเป็นห่วงเขาแล้วด้วย



 
“พาย เอ่อ ภาสกรเป็นคนดีครับ”
“ให้เขาไปทำงานที่ผับนั่น”
“ครับ?” อาเฉินไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินถูกต้องหรือเปล่า
“ให้พายไปทำงานที่ผับนั่น”










========================



มาแบบไวๆ กะทันหัน เซอร์ไพรส์มั้ยยย แต่เหนืออื่นใดน้องพาย โถลูกกกก งานเข้าเสมอเลย

ปล ชอบไม่ชอบบอกเขมได้น้าาาา #พนันท้ารัก แท็กนี้เลยค่า เขมชอบอ่านความคิดทุกคนเลยค่า

ขอบคุณค่า

รักกกก

เขมกันต์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2019 20:46:25 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ใครช่างทำร้ายน้องได้ลงคอ

ออฟไลน์ ohanaeo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องพาย งานเข้าอีกแล้วลูก

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ดีใจ น้ำตาหยดติ๋งๆ ในที่สุด คุณเขม ก็ว่าง ลงน้องพายให้อ่าน ปลื้มปริ่ม

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
แอนดี้อ่ะน่าสงสัย คนเคยหมดตัวเพราะการพนัน แต่ที่ติดใจคืออลันเนี่ยเหมือนจะอ่อยๆพายอยู่ แต่เพราะอะไร - -?

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ต้องหาให้เจอ คนแกล้งน้อง ..

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เด็กดีมีแต่คนรักนะ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


วงล้อที่สิบสี่



            ภาสกรเริ่มงานใหม่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ช่วงสองสามวันแรกพนักงานที่ผับต่างมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ  เจ้าตัวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เดาว่าสาเหตุอาจจะมาจากที่เขาเข้ามาทำงานในฐานะเด็กเส้นหรือเด็กฝากก็เป็นได้ ทว่าภาสกรสามารถทำได้แค่คิด ไม่สามารถทำอะไรได้ เขามีเป้าหมายต้องการหาเงินไปให้แม่จึงก้มหน้าก้มตาทำงานและยิ่งต้องทำงานให้ดีกว่าเดิมเป็นพิเศษเพราะไม่อยากให้อาเฉิน คนที่ฝากเขาทำงานต้องถูกมองไม่ดีตามไปด้วย


            แต่เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าภาสกรคิดไปเองหรือเปล่าที่พนักงานหลายคนเข้ามาคุยกับเขาบ้างและเหมือนจะคุยกับเขาในทิศทางที่ดีขึ้น ภาสกรเองก็พูดคุยกลับไปอย่างสุภาพ ไม่ได้ตั้งแง่โกรธเคือง เขามองว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี ยังไงก็ย่อมดีกว่าการถูกมองไม่ดีหรือถูกเกลียดอยู่แล้ว


            ถ้าเอ่ยถึงลักษณะงานที่นี่ไม่แตกต่างจากลักษณะงานในคาสิโนนักในแง่ของการเสิร์ฟเครื่องดื่มหรืออาหารที่ภาสกรเคยทำมาก่อน หากงานจะต่างจากที่คาสิโนก็คงเป็นที่เขาต้องดูแลทุกชั้นในผับนี้ ไม่ได้ดูเพียงชั้นใดชั้นหนึ่งในแต่ละวัน และถึงแม้ว่าแต่ละชั้นจะมีพนักงานประจำอยู่แล้วแต่ความที่เขาเป็นพนักงานใหม่จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ทุกชั้นและทุกโซนของผับ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกพนักงานคนนั้นคนนี้ไหว้วานให้ทำตามความต้องการของลูกค้า


            และที่สำคัญที่ภาสกรรู้สึกว่างานที่ผับนี้ไม่ง่ายเอาเสียเลยนั่นก็คือคำว่า “ผับ” ขึ้นชื่อด้วยคำนี้แล้วลองจินตนาการดู ภาพที่ได้คงไม่พ้นจากเสียงดัง คนเมา แอลกอฮอล์ การแสดงหรือแสงสีเสียงต่าง ๆ  ตอนนี้ภาสกรกำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ แล้วปัญหาคืออะไรล่ะ


            ช่วงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ภาสกรไปเที่ยวผับไม่บ่อยหรือถ้าไปนั้นส่วนใหญ่แล้วก็เป็นร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปในผับหรูหราหรือผับขนาดใหญ่เหมือนสถานที่ที่เขาทำงานอยู่ในขณะนี้ มันจึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับภาสกรพอสมควร


            ชั้นที่หนึ่งของผับคือส่วนแรกหรือด่านหน้าที่จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากที่สุดกล่าวคือชั้นแรกนั้นหมายถึงเมื่อพ้นประตูจากทางด้านหน้าผับแล้วทุกคนต้องเจอเข้ากับชั้นนี้ก่อน โดยชั้นนี้จะมีโต๊ะทรงสูงให้สำหรับสายเต้นได้มาจับจองเรียกว่ายกแก้วไป ยืนเต้นไป ไม่ต้องพักทั้งคืน อีกทั้งด้านหน้าจะมีเวทีการแสดงไม่ซ้ำกันในแต่ละคืนและมีมุมเปิดเพลงจากดีเจชื่อดัง


            หากใครไม่ชอบยืน อารมณ์ประมาณว่าอยากนั่งฟังเพลง จิบเหล้า มองคนเต้น ก็จะมีชั้นสองเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า อันที่จริงสำหรับภาสกรนั้นมักจะเรียกว่าชั้นลอยมากกว่าเพราะมันมีขนาดพื้นที่อยู่เพียงครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับชั้นหนึ่ง การที่มีพื้นที่เพียงครึ่งเดียวจะทำให้คนที่นั่งข้างบนสามารถเห็นบริเวณชั้นล่างได้อย่างชัดเจน


            ภาสกรเคยคิดว่าการถือถาดที่เขาทำได้ค่อนข้างทำดีแล้วเมื่อตอนที่ทำงานอยู่ที่คาสิโนนั้นกลับใช้กับที่ผับนี้ไม่ได้ เขาต้องใช้ความระมัดระวังและต้องเพิ่มทักษะมากกว่าเดิม จะถือถาดอย่างไรให้แทรกผ่านกลุ่มคนที่กำลังเต้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยได้ ซ้ำยังต้องมีหูที่ดีสำหรับการฟังเสียงของลูกค้าที่ถูกแทรกด้วยเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม ไม่นับที่เขาต้องขึ้นลงระหว่างชั้นที่หนึ่งและชั้นลอยอยู่ตลอดทั้งคืน

            “คุณยกออเดอร์นี้ไปให้ลูกค้าชั้นใต้ดินหน่อย โต๊ะบีศูนย์ศูนย์หนึ่ง”

            “ได้ครับ” ภาสกรพยักหน้าและรับคำถึงแม้จะไม่ค่อยอยากเดินลงไปชั้นใต้ดินเท่าไหร่นักแต่เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

            “รีบไปรีบมา ออเดอร์ค้างเยอะ” อีกฝ่ายกำชับ

            “ครับ” ภาสกรรับคำอีกครั้งและรีบยกถาดมาถืออย่างคล่องแคล่วทันที ผู้จัดการร้านถึงกับออกปากเองเขาคงจะรีรอทำร่ำไรไม่ได้เสียแล้ว


            ภาสกรเดินลงบันไดมาจากชั้นหนึ่งทีละขั้นไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไปเพราะต้องระวังถาดในมือ ทันที่ที่ประตูอัตโนมัติที่กั้นจากชั้นหนึ่งเปิดและปิดเมื่อภาสกรเดินผ่านเข้าจุดเชื่อมลงไปชั้นใต้ดินนั้น เขาก็ไม่ได้ยินเสียงเพลงจากชั้นหนึ่งอีกเลย ทำให้รู้สึกราวกับได้พบอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากด้านบนเลยก็ว่าได้


            ชั้นใต้ดินหรือ Basement เป็นชั้นที่มีไว้เพื่อลูกค้าที่ต้องการมาเพื่อผ่อนคลาย ให้สายน้ำเย็นหรืออุ่นช่วยบำบัดความเครียดหรือบรรเทาความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งวัน ชั้นใต้ดินคือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ตอนที่ภาสกรเห็นครั้งแรกเขาถึงกับตกตะลึงในความโอ่อ่าและสวยงามของมัน แทบไม่เชื่อเลยว่าจะมีใครกล้ายกสระว่ายน้ำมาไว้ในผับแบบนี้


            โต๊ะที่นั่งของชั้นนี้จะตั้งอยู่กลางสระน้ำ ผู้ใช้บริการสามารถขึ้นจากสระแล้วเข้ามานั่งที่โต๊ะของตัวเองได้เลยซึ่งทำให้สะดวกสบายเป็นอย่างมาก ภาสกรเดินไปตามทางเดินที่ถูกกั้นด้วยกระจก เหมือนกำลังเดินอยู่ในน้ำ ทำให้มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน


            เพลงที่เปิดก็ต่างจากชั้นหนึ่งเช่นกัน อย่างที่บอกว่าชั้นนี้มีไว้เพื่อบำบัด เพลงก็จะเน้นเป็นเพลงบรรเลงยิ่งได้ฟังยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย เงียบสงบจนอยากจะนั่งอยู่ในนี้นาน ๆ  ทว่าภาสกรกลับไม่รู้สึกอยากนั่งอยู่ในนี้เลย อย่าว่าจะให้มานั่ง แค่ลงมาเสิร์ฟอาหารหรือเครื่องดื่มเขายังไม่อยากมาเลย


            เพราะอะไรน่ะหรือ


            ภาพลูกค้าที่มาเที่ยวที่นี่ต่างหาก ขึ้นชื่อว่าสระว่ายน้ำแสดงว่าต้องเต็มไปด้วยชุดว่ายน้ำทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าภาสกรจะไม่เคยเห็นคนใส่ชุดว่ายน้ำ แต่เขาไม่เคยชินกับการที่เห็นคนใส่ชุดว่ายน้ำพลอดรักกับคู่ที่ตนพามา ใช่แล้วล่ะการผ่อนคลายหรือบรรเทาความเครียดไม่จำเป็นต้องเป็นแค่มาที่นี่เพื่อว่ายน้ำเท่านั้น


            ภาสกรพยายามก้มหน้าก้มตาเดินมองบรรยากาศรอบ ๆ  ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่สุดท้ายเมื่อต้องไปเสิร์ฟตามโต๊ะเขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะไม่มองหน้าลูกค้าได้เลย จำต้องสบตาและยิ้มให้อีกฝ่ายในจังหวะที่เสิร์ฟด้วย

            “ขออภัยที่ให้รอ อาหารที่สั่งได้แล้วครับ” ภาสกรพูดตามที่ได้รับการอบรมมา เขาเสิร์ฟจานสลัดแซลมอนและเครื่องดื่มโมฮิโต้ลงบนโต๊ะพลางยิ้มให้เจ้าของโต๊ะเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ความรู้สึกว่าพนักงานคนนี้มีสีหน้าบึ้งตึงจนทำให้ภาพลักษณ์ของผับแห่งนี้ดูไม่ดี

            “มาแล้วเหรอ ช้าจริง” คนที่สั่งพูดด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจเล็กน้อย

            “อย่าอารมณ์เสียเลยครับ ยังไงอาหารก็มาแล้ว” ผู้ชายอีกคนที่นั่งข้างกายคนไม่พอใจ ขยับตัวเข้าหาอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้นเบา ๆ อย่างนุ่มนวล

            “ขออภัยด้วยครับ” ภาสกรรีบขอโทษอย่างรวดเร็วแล้วรีบก้มหน้าลงทันทีเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าเริ่มไม่เหมาะที่เขาควรจะเห็น ภาพที่คนหงุดหงิดก้มลงสูดดมที่ซอกคออีกฝ่าย อีกทั้งคนทั้งคู่ตอนนี้สวมใส่เพียงกางเกงว่ายน้ำเท่านั้น

            “ยังยืนอยู่อีกทำไม เสร็จแล้วก็ไปสิ” ลูกค้าที่ไม่พอใจเอ่ยปากไล่ภาสกร ซึ่งเขาไม่รู้สึกโกรธที่ถูกไล่แต่กลับดีใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินคำนี้


            ภาสกรรีบกลับขึ้นมาที่ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทันทีที่วางถาดลงบนเคาต์เตอร์ ผู้จัดการคนเดิมก็บอกให้เขาช่วยถือถาดไปชั้นเจ็ดกับอีกฝ่ายหน่อย ซึ่งภาสกรก็รับคำตามถือถาดไปโดยไม่อิดออด


            เขายืนอยู่ในลิฟต์กับผู้จัดการเงียบ ๆ  คนนี้คือคนที่มองเขาอย่างไม่เป็นมิตรในวันแรกที่มาทำงานและก็เป็นคนเดียวกับคนที่เริ่มพูดจากับเขาอย่างเป็นมิตรมากขึ้น

            “คุณรู้จักอาเฉินนานหรือยัง” เมื่อถึงชั้นเจ็ดประตูลิฟต์เปิดออก อีกฝ่ายก็ถามเขาขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

            “ประมาณหกเดือนครับ”

            “รู้จักกันมาสักพักแล้วเหมือนกันนนะ ผมเห็นอาเฉินดูเป็นห่วงคุณมาก ถึงกับพามาสมัครงานที่นี่ด้วยตนเอง”

            “พี่เฉินคงสงสารผมครับ พอดีผมมีปัญหากับที่เก่านิดหน่อยเลยตกงานกะทันหัน” ภาสกรเลี่ยงไม่พูดถึงปัญหาว่าคืออะไรและคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ถามด้วยเช่นกัน

            “อย่างนั้นหรือ คงลำบากแย่สินะ” เขาลอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อคนที่เดินนำทางไม่ถามถึงปัญหาดังกล่าว

            “ผมโชคดีที่พี่เฉินเสนองานและพามาทำงานที่นี่ครับ”

            “อืม แล้วเคยขึ้นมาชั้นเจ็ดหรือยัง” ผู้จัดการเปลี่ยนเรื่องใหม่ ภาสกรก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร

            “ยังไม่เคยครับ”

            “ชั้นนี้คือชั้นลูกค้าวีไอพี พนักงานที่นี่ทุกคนต้องสามารถดูแลแขกวีไอพีได้ เพราะคำว่าวีไอพี ทางผับเลยให้ห้องวีไอพีอยู่ชั้นบน ๆ  หน่อยจะได้เงียบสงบ เป็นสัดส่วนและคนไม่พลุกพล่าน ครั้งนี้ผมเลยพาคุณมาสังเกตการณ์คร่าว ๆ  แล้วพอครั้งต่อไปคุณจะได้รู้ขั้นตอนการทำงานและทำเองได้”

            “ครับ”

            “ถึงแล้ว” ผู้จัดการบอกอย่างไม่จำเป็น ภาสกรเงยหน้ามองเลขห้องบนประตู ห้องที่ผู้จัดการพาเขามาคือวีเจ็ดศูนย์หก


            ผับแห่งนี้จะแบ่งการเรียกชื่อโต๊ะหรือชื่อห้องเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายและลดปัญหาความเข้าใจผิดในการสื่อสาร เช่นตอนที่เขาไปที่ชั้นใต้ดินคือโต๊ะ โต๊ะบีศูนย์ศูนย์หนึ่ง มีความหมายดังนี้ บี หมายถึง Basement ศูนย์ตัวที่หนึ่งคือชั้นที่ศูนย์ และศูนย์หนึ่งคือโต๊ะเลขที่หนึ่ง กรณีเดียวกับห้องนี้คือวีไอพีเจ็ดศูนย์หกคือวี คือห้องวีไอพี เจ็ดคือชั้นเจ็ดและศูนย์หกคือห้องที่หก


            ผู้จัดการเคาะประตูห้องเป็นสัญญาณบ่งบอกให้คนในห้องรับรู้ว่ามีผู้มาเยือน เมื่อเคาะเสร็จแล้วผู้จัดการกลับยืนนิ่งไม่ได้เปิดประตูเข้าไป ภาสกรมองด้านหลังอีกฝ่ายด้วยความสงสัยแต่เลือกไม่ถาม หากอีกฝ่ายคงคาดเดาได้หรือไม่ก็คงเป็นประสบการณ์ที่เคยสอนพนักงานจึงทำให้รู้ว่าเด็กใหม่คงมีคำถามอยู่ในใจจึงพูดขึ้นเสียงเรียบ

            “เราจะทำเพียงแค่เคาะประตูลูกค้าเท่านั้น ไม่เปิดประตูเข้าไปเอง เพื่ออะไรรู้ไหม”

            “ไม่ทราบครับ” ภาสกรตอบตามตรง

            “เพื่อที่เราจะได้ไม่เปิดเข้าไปเห็นภาพที่ไม่ควรเห็น เข้าใจไหม”

            “เข้าใจครับ” ภาสกรพยักหน้ารัว ๆ  เขาหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเข้าใจความหมาย


            ภาสกรและผู้จัดการยืนรออยู่เพียงอึดใจคนในห้องก็เปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าที่แดงเพราะพิษสุรา ภาสกรได้ยินเสียงเพลงอึกทึกผนวกกับเสียงคนที่คุยกันโหวกเหวก คนด้านในกวักมือให้พวกเขาทั้งคู่เข้าไปในห้อง ภาสกรใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น เขาเดินตามผู้จัดการโดยแทบไม่ทิ้งระยะห่างมากจนเกินไป เมื่ออีกฝ่ายเสิร์ฟอาหาร เขาเองก็ทำตามเช่นกันก่อนจะลอบสังเกตสภาพและบรรยากาศในห้องไปด้วย


            ห้องนี้มีขนาดใหญ่พอสมควรสามารถจุคนได้เจ็ดถึงสิบคนได้อย่างสบาย ๆ  มีโทรทัศน์หลังใหญ่ตรงผนังหน้าห้องและมีโทรทัศน์ขนาดเล็กกว่าเครื่องแรกอีกสองเครื่องที่ผนังห้องด้านข้างฝั่งซ้ายและขวา แสงไฟในห้องเน้นโทนมืดสลัวแต่มองเห็นได้ชัดเจนประมาณหนึ่งไม่ถึงต้องคลำทาง แต่ไม่ชัดเจนเท่าแสงไฟปกติ


            ในห้องยังมีโซฟาหลายขนาดทั้งโซฟายาวหรือโซฟาเก้าอี้เดี่ยวสำหรับนั่งคนเดียว และความพิเศษในห้องยังไม่หมดเพียงแค่นี้ ดูเหมือนที่นี่จะเน้นอะไรที่เป็นสองชั้นเหลือเกิน ห้องนี้ก็มีสองชั้นเช่นเดียวกัน โดยจะมีบันไดเตี้ย ๆ  ประมาณเจ็ดขั้นให้เดินขึ้นไปนั่งข้างบนได้ และยังมีเคาต์เตอร์ขนาดยาวให้ชงเครื่องดื่มหรือวางของโดยไม่หวงพื้นที่เลยแม้แต่น้อยอีกด้วย


            ภาสกรมองวิธีปฏิบัติงานของผู้จัดการแล้วก็จดจำเอาไว้กระทั่งพวกเขากลับออกมาจากในห้อง

            “เห็นห้องวีไอพีแล้วใช่ไหม” ผู้จัดการพูดกับภาสกรถึงชั้นวีไอพีนี้อีกระหว่างทางที่กลับ

            “ครับ เห็นแล้ว ห้องใหญ่มากเลย”

            “ห้องที่นี่จะมีขนาดเดียวกันทั้งหมดทุกห้อง”

            “แล้วถ้าลูกค้ามาเพียงคนเดียวหรือสองคนล่ะครับ จะทำยังไง”

            “ก็ใช้ห้องนี้พวกนี้ เพราะเจ้านายของเราต้องการให้ความวีไอพีนี้เป็นมาตรฐานสำหรับทุกคน” เจ้านายที่ผู้จัดการเอ่ยถึงคือเจ้าของผับแห่งนี้

            “แล้วถ้ามีลูกค้าที่กลุ่มใหญ่มากกว่านี้ล่ะครับ”

            “เข้าใจถาม” ผู้จัดการยิ้มให้ภาสกรเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ถ้าหากมีลูกค้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ ที่ชั้นแปดเราจะมีห้องวีไอพีสำหรับลูกค้าที่มาตั้งแต่สิบคนขึ้นไป แต่สามารถรองรับได้สูงสุดสามสิบคนเท่านั้น ถ้ามากกว่านั้นก็เหมาผับทั้งคืนไปเลยดีกว่า เอาไปเลยทุกชั้น” ผู้จัดการพูดอย่างมีอารมณ์ขันในตอนท้ายทำให้ภาสกรผ่อนคลายและยิ้มตามอีกฝ่าย






 
            ภาสกรเพิ่งลงบันไดเลื่อนจากชั้นสี่หรือชั้นคาราโอเกะมาที่สาม ชั้นนี้จะถูกแบ่งเป็นห้องคล้ายกับชั้นวีไอพีและมีขนาดห้องตามจำนวนผู้เข้าใช้งาน แต่ถ้าหากมาสองคนแต่อยากได้ห้องใหญ่ขนาดหกคนหรือสิบคนทางผับก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด บรรยากาศในชั้นสี่นั้นค่อนข้างเงียบคล้ายกับชั้นวีไอพี แต่เมื่อคนในห้องเปิดประตูออกมาเท่านั้นแหละเสียงเพลงจากข้างในดังกระหึ่มจนเขาตกใจทีเดียว ทั้งตกใจที่เสียงดังและตกใจที่ห้องคาราโอเกะเก็บเสียงได้ดีมากจนคนที่อยู่ด้านนอกไม่ได้ยินเสียงเลย


            ส่วนการตกแต่งนั้นแทบจะคล้ายคลึงกับชั้นวีไอพีเลยเพียงแต่ภายในห้องจะไม่มีเคาต์เตอร์บาร์และไม่มีชั้นบน ส่วนเฟอร์นิเจอร์จำพวกโซฟาก็จะถูกปรับให้มีจำนวนให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง เช่นห้องขนาดสองถึงสี่คนจะมีโซฟาตัวยาวและโซฟาเดียวอีกสองตัว


            ภาสกรยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดูตอนนี้ใกล้หกโมงแล้ว อีกไม่กี่อึดใจเขาก็จะเลิกงานและไปนอนได้เสียที วันนี้เป็นคืนวันเสาร์ทำให้มีนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่มาเที่ยวกันมากกว่าวันธรรมดา


            ผับที่นี่จะเปิดตั้งแต่สองทุ่มถึงหกโมงเช้าซึ่งภาสกรและพนักงานคนอื่น ๆ  จะต้องมาเข้างานก่อนถึงเวลาเปิดและกลับหลังจากเวลาปิดผับเล็กน้อยเพื่อเก็บร้านให้เรียบร้อยสำหรับคืนถัดมา


            วันนี้เขาวิ่งวุ่นมาทั้งคืนจนใกล้เช้าคนจึงเริ่มบางตาลง ภาสกรอาศัยจังหวะนี้หลบมานั่งพักขาเสียหน่อย แต่พอนั่งได้เพียงห้านาทีก็มีคนมาแตะไหล่ เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นผู้จัดการคนเดิม

            “คืนนี้เหนื่อยหน่อยนะ”

            “อ่า..ครับ พี่มีอะไรให้ผม..”

            “ไม่มีแล้วนั่งพักเถอะ จะไปหาอะไรกินในครัวก่อนกลับก็ได้นะ”

            “ครับ” ผู้จัดการตบบ่าเขาสองสามสีก่อนจะเดินออกไป


            ส่วนชั้นสามที่ภาสกรแอบมานั่งหลบมุมพักอยู่คือชั้นที่เป็นบาร์หรือเลาจน์ขนาดใหญ่ มีทั้งโต๊ะและเคาต์เตอร์บาร์ตามแต่ลูกค้าจะเลือกใช้บริการ ชั้นนี้ก็เป็นชั้นที่จะเปิดเพลงคลอเบา ๆ  เน้นจิบเหล้าหรือเครื่องดื่มต่าง ๆ  ฟังเพลงผ่อนคลาย ในบรรดาแต่ละชั้นของผับนี้ ภาสกรค่อนข้างชื่นชอบชั้นนี้มากที่สุด มันทั้งเงียบและวุ่นวายน้อยที่สุดแล้ว


            กระทั่งถึงเวลาปิดร้าน เมื่อลูกค้าพาทยอยกันกลับไปจนหมดเรียบร้อยแล้ว ภาสกรเองก็เตรียมตัวที่จะกลับแล้วเช่นกัน แต่จังหวะที่ภาสกรกำลังถอดเสื้อกั๊กสีดำตัวนอกออกจากตัว หางตาเขาก็เห็นผู้จัดการเดินไปเดินมาให้วนไปเวียนมาอยู่ที่ชั้นสาม

            “หายไปไหนนะ ร้านก็ปิดแล้ว” ภาสกรได้ยินเสียงผู้จัดการบ่นพึมพำเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้

            “มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ”

            อีกฝ่ายมีสีหน้าเซ็งมากกว่าจะลำบากใจแล้วตอบเขาว่า “ก็ไม่เชิงหรอก พอดีมีคนหายน่ะ”

            “...”

            เมื่อพูดจบคนหน้ามุ่ยก็บ่นต่อกับตัวเองอีก “บอกแล้วช่วงเวลานี้ให้ไปพักร้อน ปีนี้ทำไมไม่ไปเนี่ย เห็นไหมเดือดร้อนวุ่นวายให้ตามหาอีก”

            “เอ่อ..หมายถึงใครครับ ใครหาย?”

            “คุณยังไม่กลับก็ดีแล้ว ผมรบกวนหน่อยได้ไหม คุณช่วยขึ้นไปชั้นวีไอพีแล้วไปดูหน่อยสิว่าห้องไหนยังมีไฟสีแดงขึ้นอยู่บ้าง” ภาสกรพยักหน้าเข้าใจเพราะหน้าห้องวีไอพีจะแสดงสัญญาณของไฟให้พนักงานได้รับรู้ด้วย ถ้ามีคนใช้งานอยู่จะขึ้นไฟสีแดง ถ้าไม่มีผู้ใช้งานจะแสดงเป็นสีเขียว

            “ครับ แล้วถ้ามีสีแดงล่ะครับ”

            “เปิดประตูเข้าไปเลย”

            “แล้วผมต้องทำยังไงต่อ”

            “ไปดูให้ผมก่อนแล้วกัน เขาไม่น่าอยู่ที่นั่นหรอก แต่ก็ควรไปดูเพื่อความแน่ใจ เฮ้อ..เดี๋ยวผมจะดูที่ชั้นอื่นอีกทาง”

            “ครับ”

            “เอ่อ ห้องห้าสิบสองนะ”

            “อะไรนะครับ?” ภาสกรงงกับเลขห้องที่อีกฝ่ายบอกมา ผับที่นี่มีขนาดใหญ่ก็จริงแต่เขามั่นใจว่าคงไม่น่ามีจำนวนห้องถึงห้าสิบห้องแน่นอน ทว่าเมื่อเขาจะถามอีกครั้ง คนที่บอกก็หายไปจากบริเวณนั้นแล้ว

            แล้วห้องที่ว่าเนี่ยมันอยู่ไหนกันเล่า?


            ภาสกรขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นเจ็ดและเริ่มไล่เลขหน้าห้องไปทีละห้องพลางดูแสงไฟด้วยว่าทุกห้องควรเป็นสีเขียว ไล่เลขห้องไปเรื่อย ๆ  จนถึงห้องที่สิบก็ครบหมด เขายืนงงเป็นไก่ตาแตกว่าได้ยินมาผิดหรืออีกฝ่ายพูดผิดกันแน่ หากภาสกรก็มั่นใจว่าอย่างหลังคงไม่ใช่อยู่แล้วเพราะอีกฝ่ายทำงานที่นี่มานาน ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นเขาเองที่ฟังผิด

            แย่ละ!?

            ภาสกรกำลังคิดไม่ตกเมื่อเห็นว่าตรงมุมผนังถัดจากห้องวีเจ็ดหนึ่งศูนย์ มีทางเดินเข้าไปด้านในอีก เขาเดินไปตามทางที่ว่าจนเจอประตูห้องหนึ่งและพบว่ามันคือห้องห้าสิบสอง


            บิงโก!?


            เขาเจอห้องที่ว่าแล้ว มีห้องนี้อยู่จริง ๆ  ด้วย แต่เดี๋ยวก่อน ไฟหน้าห้องแสดงเป็นสีแดง แปลว่า..มีคนอยู่อย่างนั้นหรือ เขาควรทำอย่างไรต่อไปดี ลงไปบอกผู้จัดการดีกว่าไหม ยังไงก็ไม่กล้าเปิดประตูเข้าไปเองหรอก เขาอยากจะถามอีกฝ่ายแต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของทางนั้น จึงตัดสินใจกลับลงไปหาผู้จัดการอีกที แต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับพูดเหมือนเดิมให้เขาขึ้นมาที่ห้องนี้แล้วเปิดประตูเข้าไปได้เลย


            ภาสกรบอกผู้จัดการเพราะไม่แน่ใจว่าคนในห้องจะเป็นคนที่ถูกตามหาหรือไม่และเขาก็ไม่เคยเจอคนที่กำลังตามหาด้วย แต่ผู้จัดการกลับบอกว่าภาสกรไม่ต้องเป็นกังวล ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายหรอกซ้ำยังบอกให้เขาอีกว่าคนในห้องจะเป็นคนบอกต่อเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อพูดจบอีกฝ่ายก็รีบเอ่ยลาเขาทำท่าเหมือนจะเตรียมหนีอย่างไรอย่างนั้น


            ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้จัดการถึงไม่มาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เขาได้แต่เดินคอตกไปที่ชั้นเจ็ดห้องห้าสิบสองอีกครั้ง ในหัวได้แต่สงสัยว่าคนในห้องเป็นใครและทำไมห้องนี้ถึงถูกตั้งว่าห้าสิบสอง ทำไมไม่ใช่ห้องสิบเอ็ดต่อจากห้องที่สิบกัน










========================



ตอนนี้ขอบรรยายยาว ๆ หน่อยนะคะ ปูเรื่องนิดนึงงงง

แล้วเจอกันพฤหัสหน้าค่ะ



ขอบคุณทุกคนเลย ร้ากกกก



HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ




ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
รัก น้องพาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao4: ใครกันน้า

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
ผู้จัดการดูมีความลับนะ ส่งน้องพายไปห้องนั้นต้องมีอะไรแน่ๆ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ใครอยู่ในห้องอ่ะ?

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ทำไมอ่านได้แค่ 3 บรรทัด แล้วเป็นขีดเส้นใต้เลย ..

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

วงล้อที่สิบห้า



ภาสกรยืนจด ๆ  จ้อง ๆ  มองบานประตูด้วยความลังเล เขาไม่รู้ว่าคนในห้องคือใครและข้างในจะมีอันตรายหรือไม่ แต่คิดว่าผู้จัดการคงไม่ใจร้ายกับเขาขนาดนั้นและที่สำคัญตอนนี้ก็หกโมงกว่าใกล้เจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาง่วงเต็มที ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ สุดท้ายความง่วงก็เอาชนะความกลัวให้ภาสกรเคาะประตูเป็นสัญญาณบอกคนในห้องให้รู้ตัว ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับเขาจึงตัดสินใจทำตามที่ผู้จัดการบอกที่ให้เปิดประตูเข้าไปเลย


ชายหนุ่มค่อย ๆ  เปิดประตูออกอย่างระวัง ความรู้สึกแรกเมื่อเข้ามาในห้องรับรู้ได้ถึงความเงียบที่ผิดปกติ ทั้งห้องมืดมิด ไฟไม่ได้ถูกเปิด ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงพูดคุยใด ๆ  เขาขมวดคิ้วหรือว่าสัญญาณไฟหน้าห้องจะเสีย ภาสกรจึงลองเปิดไฟในห้องดู ใจเต้นถี่รัวกลัวจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า ถ้าเห็นคนน่ะเขาไม่กลัว แค่กลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่ใช่คนต่างหาก


ห้องสว่างวาบด้วยแสงไฟสีขาว ไม่ใช่แสงไฟสลัวเหมือนห้องวีไอพีที่เคยเห็น เขามองเห็นทุกอย่างในห้องชัดเจน  ห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องวีไอพีห้องอื่นกว่าเป็นเท่าตัว แล้วทำไมผู้จัดการบอกว่ามีขนาดห้องเท่ากันหมดล่ะ ภาสกรกวาดตามองไปรอบ ๆ  ห้อง ทว่ากลับไม่เห็นใครเลย ในห้องนี้ไม่มีคนอยู่จริง ๆ  สงสัยไฟหน้าห้องคงจะเสียแน่ ๆ  เขาเตรียมจะปิดไฟและกลับออกไป พลางคิดในหัวว่าจะบอกผู้จัดการอย่างไรดีว่าเขาไม่เจอคนที่อีกฝ่ายกำลังตามหา แต่แล้วจังหวะที่เขาหมุนตัวกำลังจะออกจากห้อง สายตากลับเห็นบางอย่างที่มีสีดำลักษณะคล้ายเส้นผมอยู่ข้างโซฟา


ภาสกรตาโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ อย่าบอกนะว่าเจอของดีเข้าให้แล้ว มือเท้าแข็งค้างขยับเขยื้อนไม่ได้ด้วยความกลัวสุดขีด อยากจะเปล่งเสียงร้องแต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ  ออกมา ทันใดนั้นเขาก็เห็นเส้นผมสีดำนั้นขยับได้ ความคิดของมนุษย์นั้นล้ำลึกเสมอ เขาจินตนาการต่อไปแล้วว่าถ้าเส้นผมสีดำนั้นมีใบหน้าซ่อนอยู่ จะเป็นอย่างไร ภาสกรยิ่งตกใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณชายหนุ่มมั่นใจว่าถ้ามีใบหน้าใต้เส้นผมนั้นจริง ๆ  เขาต้องเป็นลมหมดสติเพราะช็อกแน่นอน


หากเหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เขาเห็นมือหนึ่งวางแหมะหงายลงที่พื้นพรมพร้อมกับแก้วเปล่าที่กลิ้งออกมาจากมือข้างนั้น เอ..หรือว่าจะเป็นคน ภาสกรทำใจกล้าเดินเข้าไป เมื่อเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นจึงเห็นว่าคนคนนี้นั่งอยู่ที่พื้นหลังพิงโซฟาอยู่ ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนที่เขามองหาคนในห้องเร็ว ๆ  ในทีแรกจึงทำให้เขาไม่สังเกตเห็นอีกฝ่าย คราวนี้ภาสกรสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมบอกตัวเองว่าคนที่เห็นเขาเห็นคือคนจริง ๆ  ไม่ใช่อย่างอื่นที่เขานึกกลัว


ภาสกรเดินเข้าไปนั่งยอง ๆ  ตรงหน้าคนที่คิดเขาคิดว่าคนก่อนที่เขาจะผงะหงายหลังก้นจ้ำเบ้าด้วยความตกใจ


นี่มันยิ่งกว่าผีอีก!


บอสไม่ใช่หรือ


คุณอรรควัสมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วคุณอรรควัสใช่คนที่ผู้จัดการตามหาอยู่หรือเปล่า ความคิดของภาสกรตีกันวุ่นไปหมดในหัว ทำไมคนตรงหน้าถึงมีอาการหลับใหลไม่ได้สติซ้ำยังมีกลิ่นเหล้าโชยออกมาจากร่างกายอย่างแรงจนเขาต้องย่นจมูก


ภาสกรไม่เคยเห็นอรรควัสเมามายเลยสักครั้ง ควรทำอย่างไรดี ภาสกรทวนความจำที่ผู้จัดการบอกไว้ว่าคนในห้องจะบอกเขาเองว่าควรทำอย่างไรต่อไป

“บอสครับ” ภาสกรลองเรียกชื่ออีกฝ่ายดู

“...”

“บอสครับ” เขาลองเรียกซ้ำ

“อืม ว่าไง”

“บอสครับ ผับปิดแล้วบอสจะให้ผมทำยังไง เอ่อ..พาไปที่ไหนครับ”

“...” อีกฝ่ายไม่ตอบนอกจากชี้มือขึ้นไปข้างบน ภาสกรมองตามจึงเห็นว่าห้องนี้ก็มีชั้นสองเหมือนกับห้องวีไอพีห้องอื่น เพียงแต่ว่าด้านบนนั้นไม่ใช่โซฟาแต่กลับเป็นเตียงนอนหลังใหญ่แทน

“ให้ผมพาบอสขึ้นไปนอนบนนั้นเหรอครับ” ภาสกรคิดอย่างหวาด ๆ  ประเมินขนาดตัวเขาและของบอสแล้วมันแตกต่างกันจนเกินไป

“...”

“ผมคิดว่าไม่น่าจะพาบอสขึ้นไปไหว ยังไงให้ผมตามพี่เฉินหรือพี่คุณมาพาบอสไปดีกว่าไหมครับ”

“ไม่ต้อง” อีกฝ่ายตอบแล้วลืมตาขึ้น “เธอเป็นใคร”

ภาสกรเม้มปากด้วยเพราะไม่รู้อีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร “ผม เอ่อ.. ภาสกรครับ”

“ใคร..จำไม่ได้ ช่างเถอะ ช่วยพยุงหน่อย” อีกฝ่ายพูดด้วยเสียงที่มั่นคงไม่ใช่เสียงอ้อแอ้ ยามที่มองเขาก็มองด้วยสายตาเหมือนเวลาที่เรียกภาสกรขึ้นไปดุทุกครั้ง


ถ้าภาสกรไม่ได้กลิ่นเหล้ารุนแรงคงไม่เชื่อว่าอรรควัสจะเมามาย


และถ้าไม่ได้มาเห็นภาพบอสหลับอยู่ข้างโซฟา เขาจะไม่มีวันเชื่อเลยว่าเคยมีเหตุการณ์นี้จริง


“ครับ” ภาสกรเข้าไปประคองแขนอีกฝ่ายให้มาคล้องคอเขาไว้ และค่อย ๆ  พยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน


เขาคิดว่าตนเองจะต้องเกร็งตัวรับน้ำหนักอีกฝ่ายให้มากที่สุด ภายนอกอาจดูไม่เมาแต่อาจจะออกอาการเวลาเดินก็เป็นได้ หากกลับต้องประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ถ่ายน้ำหนักมาทางเขามากอย่างที่คาดการณ์ไว้และยังต้องแปลกใจเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อจังหวะก้าวเดินของอีกฝ่ายค่อนข้างมั่นคงแต่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ก็คืออรรควัสก้าวเดินค่อนข้างช้าไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนอย่างทุกที


ระยะทางไม่กี่ก้าวกลับทำให้ภาสกรเหงื่อตกท่ามกลางความเย็นภายในห้อง ถึงจะบอกว่าอีกฝ่ายประคองตัวได้เก่งแต่ก็คือคนเมาอยู่ดี ยิ่งต้องก้าวขึ้นบันไดด้วยแล้วยิ่งทุลักทุเลและต้องระวังให้มากพอควร เขายังไม่อยากกลิ้งตกบันไดไปหรอกนะ ตกบันไดคนเดียวยังไม่เท่าไหร่แต่ถ้าพาอีกคนตกไปด้วยล่ะก็ เขาคอขาดแน่ ๆ


ภาสกรแทบจะถอนหายใจออกมาเสียงดังเมื่อพาอรรควัสมาถึงเตียงหลังใหญ่ได้ เขาพาอีกฝ่ายให้นอนลง คิดว่าคงจะหมดเรื่องแล้วเตรียมจะขอตัวกลับออกไปพักผ่อนบ้างเหมือนกัน แต่กลับถูกอีกฝ่ายเรียกเอาไว้ได้ทัน

“เธอน่ะ”

“ครับ?”

“ปิดไฟให้หน่อย แสงมันสว่างเกินไป” คนพูดพูดทั้งที่ยังหลับตา

“ได้ครับ เดี๋ยวก่อนออกจากห้องผมจะปิดไฟให้ที่หน้าประตูครับ” ภาสกรรับคำแล้วเตรียมจะลงบันได

“ไม่ต้อง มีรีโมทอยู่ตรงมุมนั้น” อรรควัสชี้นิ้วไปที่มุมห้อง ภาสกรมองตามไปแต่ไม่เจอ เขาเลยเดินเข้าไปที่บริเวณนั้นจึงเห็นรีโมทตกอยู่ที่พื้นพรม เจ้าตัวจึงหยิบขึ้นมาก่อนจะปิดไฟแล้วนำรีโมทกลับไปวางในที่ที่มันควรอยู่

“เรียบร้อยแล้ว ผมกลับก่อนนะครับ” ภาสกรปรับสายตาในความมืดชั่วครู่แล้วเดินไปข้างเตียงบอกอีกฝ่ายให้รับรู้


จริง ๆ  เขาไม่คาดหวังว่าอรรควัสจะได้ยิน คิดว่าอีกฝ่ายคงหลับไปแล้วด้วยซ้ำ แต่แล้วเขากลับต้องตกใจเมื่อแขนของตนเองถูกกระชากเต็มแรง ภาสกรตกใจเริ่มทำตัวไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น อรรควัสดึงเขาให้ลงมานอนด้วยกันที่เตียงทำไม

“นอนที่นี่”

“ผมอยากกลับไปนอนที่ห้อง”

“...” อรรควัสไม่ตอบ มือที่จับแขนภาสกรไว้ก็ยังไม่ปล่อย

“บอสครับ ผมคือภาสกร” ชายหนุ่มบอกให้อีกฝ่ายรู้ตัว

“ไม่รู้จัก” คนเมายังยืนยันคำเดิม

“ผมไม่ใช่คุณอลันนะครับ”

“ไม่รู้จัก” ภาสกรได้ยินคำตอบแล้วคิดว่าอรรควัสในคราบคนเมาคือคนที่ลืมทุกสิ่งทุกอย่างเลยใช่หรือไม่

“ขอผมกลับไปนอนที่ห้องผมเถอะครับ ถ้าบอสสร่างเมาแล้วตื่นขึ้นมาเห็นผม มันคงไม่ดีหรอกครับ บอสต้องตกใจแน่ ๆ  เลย”

“ช่างมัน นอนที่นี่” คนดื้อด้านไม่พูดเปล่ายังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีกกว่าเดิม จนจมูกของภาสกรชนเข้ากับหน้าอกอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง เขากลั้นหายใจเพราะเหม็นกลิ่นเหล้าและอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้เขาคงจะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจ

“ปล่อยผะ..ผม..ผม..หายใจ..ไม่ออก”

“...” คนเมาไม่ตอบแต่ยอมคลายแรงลง พอให้ภาสกรเขยิบตัวถอยห่างออกมาได้บ้าง

“นอนนิ่ง ๆ  อย่าขยุกขยิก”

“ผมนอนไม่สบาย” ภาสกรพูดตามใจคิด


เขาไม่อยากนอนที่นี่ ข้อแรก ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเขา ข้อสอง เขาไม่ควรนอนที่นี่เพราะอรรควัสอาจจะโมโหเอาได้เมื่อหายเมา ข้อสาม ใจเขามันเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เขาไม่อยากใจเต้นด้วยความรู้สึกแปลก ๆ  เพราะถูกกอดจากคนเมา ข้อสี่ ตอนนี้เขาง่วงและเหนื่อยมาก

“นอนเฉย ๆ  อย่าดื้อ ฉันไม่ชอบคนดื้อ ฟังไม่รู้ความ” ภาสกรชักฉุน อะไรกัน เขาสิต้องเป็นฝ่ายพูดประโยคนี้

“แต่ผม..ไม่ใช่”

“นอนได้แล้ว ฉันเหนื่อย อยากพัก” เขาอยากจะตอกกลับคนพูด วันนี้เขาเองก็เหนื่อยจะตาย ยังต้องมาเจอคนรับมือยากอย่างอรรควัสอีก คิดว่าเหนื่อยเป็นคนเดียวหรือไง


แต่แล้วความคิดที่จะโวยวายกลับหยุดชะงักลงเมื่อเขารู้สึกถึงความนุ่มและอุ่นที่ถูกทาบลงมาที่หน้าผากก่อนจะละเรื่อยลงมาที่ปลายจมูกและปิดท้ายที่ริมฝีปากของภาสกร


ภาสกรตาเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าคืนนี้เขาต้องตกใจเพราะเรื่องอะไรบ้าง และกี่ครั้งแล้ว จะไม่ให้ตกใจยังไงไหว บอสที่ดุที่สุดในโลกกำลังจูบเขา และความตกใจยังไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อกระดุมเสื้อของเขากำลังถูกปลดทีละเม็ด ๆ  อย่างไม่ทันตั้งตัว ต่อให้เขาไม่เคยนอนกับใครมาก่อนก็พอจะคาดเดาได้ว่าการกระทำแบบนี้อีกฝ่ายหมายถึงอะไร

ภาสกรคว้ามืออรรควัสเอาไว้ได้ทันแล้วรีบละล่ำละลักพูด “นอนครับ นอนแล้ว”

“อืม ดี” อีกฝ่ายครึมครางในลำคออย่างพึงพอใจก่อนจะลูบศีรษะทุยของภาสกรเบา ๆ  เป็นเชิงกล่อมให้หลับ เพราะความเหนื่อย ผนวกกับความง่วงและอากาศเย็น ๆ  ที่นอนนุ่ม ๆ  ซ้ำยังได้การกระทำดังกล่าวจึงทำให้คนที่ทำงานมาทั้งคืนหลับไปได้โดยง่าย






 
บ่ายในวันเดียวกัน ภาสกรสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดในกระเป๋ากางเกง เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมารับ

“พายอยู่ไหนแล้ว” ภาสกรได้ยินเสียงคนโทรมาก็ตื่นเต็มตาทันที

“อ่อ..โทษที เราเพิ่งตื่นอะนน”

“เหรอ เมื่อคืนคนเยอะเหรอ ได้นอนกี่โมงน่ะ”

“จำไม่ได้ว่านอนตอนกี่โมงเหมือนกัน เมื่อคืนคนมาเที่ยวเยอะมหาศาลเลยล่ะ รอเราสักครึ่งชั่วโมงนะ เราจะรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปเดี๋ยวนี้” ภาสกรพูดจบก็ดีดตัวออกจากเตียงทันที อารามเร่งรีบเจ้าตัวเลยเกือบหน้าคะมำจังหวะที่ลงจากเตียง คนปลายสายได้ยินเสียงกุกกักผ่านทางโทรศัพท์จึงนึกเป็นห่วง

“เฮ้ย ไม่ต้องรีบ ๆ  เราให้เวลาแกชั่วโมงหนึ่งค่อย ๆ  มา”

“ขอบใจนะ”


วันนี้เป็นวันหยุดของนวพลและพวกเขาทั้งคู่ก็มีนัดกัน เมื่อตั้งสติได้ภาสกรลุกขึ้นหมายจะคว้าผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำแต่กลับชะงักเมื่อเห็นว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องเขาและความทรงจำเช้านี้ย้อนกลับเข้ามาสู่ในความทรงจำว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาตบหน้าผากตัวเองเสียงดัง พลางสอดส่ายสายตามองหาคนที่นอนด้วยกันแต่กลับไม่เห็นร่างของอีกฝ่าย


อรรควัสคงออกไปแล้ว แปลว่าอีกฝ่ายคงเห็นแล้วว่านอนร่วมเตียงกับเขาที่ชื่อนายภาสกร ไม่ใช่อลัน


งานจะเข้าไหมเนี่ย!


ภาสกรกระวีกระวาดออกจากห้องนี้แล้วไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองที่ห้องจนเรียบร้อยเสร็จแล้วจึงมุ่งหน้าไปหานวพลตามที่นัดไว้

“มาแล้ว ๆ  ขอโทษทีที่มาสาย” เมื่อมาถึงจุดนัด ภาสกรก็รีบเอ่ยขอโทษขอโพย

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เรารู้ว่างานที่ผับมันหนัก แล้วนี่แกกินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลย แต่งตัวเสร็จก็รีบออกมาเลย”

“งั้นกินข้าวก่อนจะได้มีแรง”

“อืม”

“งานเป็นไงบ้าง” นวพลชวนคุยเมื่อภาสกรเริ่มลงมือกินข้าวที่นับเป็นมื้อเช้าของตัวเองแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายสองแล้วก็ตาม

“ก็ดี แต่เสียงในผับดังเป็นบ้า เราว่าชั้นปาจิงโกะในคาสิโนเสียงดังมากแล้วนะ ที่ผับก็ไม่ต่างกันเลย”

“เดี๋ยวก็ชินน่า อดทนไว้เพื่อเงิน”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

“เออ ที่คาสิโนน่ะเขาประกาศออกมาว่าไล่แกออกแล้ว” นวพลเอ่ยเสียงเครียดปนเศร้า

“เหรอ...ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ถูกต้องแล้วละ” ภาสกรชะงักช้อนที่เตรียมจะตักเข้าปากก่อนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รับรู้ได้ไม่น้อยว่านวพลก็ไม่สบายใจกับเรื่องนี้ไม่ต่างกับเขา

“แกสงสัยใครบ้างหรือเปล่า มีใครที่เข้ามาคุยกับแกบ้างหรือมีใครที่ไม่ชอบหน้าแก มีไหมวะ”

“ถ้าเขาไม่ได้แสดงออกมาชัดเจน เราจะไปรู้ได้ไงว่าใครชอบหรือไม่ชอบหน้าเราบ้าง” ภาสกรแค่นเสียงหัวเราะจังหวะที่ตอบเพื่อนสนิท

“งั้น..เอาใหม่ วันนั้นมีใครเข้ามาคุยกับแกบ้าง”

“วันนั้นเหรอ” ภาสกรทวนคำพูดอีกฝ่าย

“อืม”

“หลังจากที่เรากินข้าวกับพี่แอนดี้เสร็จ ก็กลับเข้ามาทำงานพร้อมกันที่ชั้นสอง มีบาร์เทนเดอร์ทักเรา แล้วก่อนจะเกิดเรื่องพี่แอนดี้เข้ามาคุยกับเรานิดหน่อยเพราะเดินสวนกัน ส่วนคนอื่น ๆ  ก็มี พี่เฉิน พี่คุณ เจ แล้วก็แกด้วย คนรู้จักทั้งนั้น”

“ไม่มีคนอื่นนอกเหนือจากนี้แล้วเหรอ”

ภาสกรทำหน้าคิดต่ออีกครู่จึงส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”

“ถ้างั้นพี่แอนดี้ก็น่าสงสัยสุด”

“ทำไมถึงเป็นพี่แอนดี้วะ เขาทำอะไรน่าสงสัย พี่แกก็เข้ามาคุยกับเราเฉย ๆ เหมือนแก เจ คนอื่น ๆ  นั่นล่ะ คิดมากไปแล้วนะนน” ภาสกรหรี่ตาลงมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อว่าแอนดี้จะทำเรื่องแบบนี้ได้

“ถ้าไม่ใช่แล้วใครล่ะ แกคิดดูว่าเราสองคนเคยเห็นเขาขึ้นลิฟต์ไปห้องของบอสอาจมีอะไรก็ได้”

“ไม่ใช่อย่างที่แกคิด วันนั้นเราถามพี่แอนดี้แล้วเขาก็ขึ้นไปส่งอาหารให้คุณอลันเหมือนเรา เอ้อ..พูดถึงคุณอลันแล้วนึกขึ้นได้ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง”

“เวลาอย่างนี้ยังจะไปนึกถึงคนอื่นอีก เขาไม่เป็นอะไรหรอกแต่แกน่ะสิเป็น ยังไงก็ต้องเป็นพี่แอนดี้ เรามั่นใจ เขาดูมีพิรุธ ทำตัวแปลกๆ”

 “คิดมากไปแล้ว ช่างมันเถอะนน ยังไงเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เราได้งานใหม่ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” ภาสกรยักไหล่

“จะช่างมันได้ไงวะพาย แกถูกไล่ออกนะเว้ย มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ  สักหน่อย” นวพลพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย

“แกจะโมโหทำไม เราคือคนที่ถูกใส่ร้ายนะไม่ใช่แก”

“แกเป็นเพื่อนเรานะพาย แกถูกใส่ร้าย ซวย โดนไล่ออก มันสมควรแล้วเหรอ”

ภาสกรรีบวางช้อนแล้วตบบ่าเพื่อนรัก “ใจเย็นก่อนนะนน ขอบใจแกมากที่โมโหแทนเรา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยคิดว่าใครเป็นคนทำ เราพยายามคิดหัวแทบแตกแล้วแต่ก็นึกไม่ออกจริง ๆ  วันนั้นคนพลุกพล่านเยอะมากจนเราจำไม่ได้”

“ให้ตายสิ เราทำอะไรเพื่อแกได้บ้างไหมวะเนี่ย” นวพลยังหัวเสียอยู่

“หวังว่ากล้องวงจรปิดจะช่วยเราได้” ภาสกรบอกอย่างปลง ๆ

“ถ้ากล้องมันช่วยได้ ป่านนี้ก็คงรู้ตัวคนทำแล้ว”

“เอาน่า ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่เหรอ แกก็เห็นว่าเราได้งานใหม่แล้ว ถึงเงินจะได้น้อยลงแต่ก็ดีกว่าตกงานนะเว้ย ไม่เอาดิ อย่าอารมณ์เสียเลยวันนี้อุตส่าห์ได้มาเจอกันทั้งที” ภาสกรยิ้มให้อีกฝ่ายหวังจะให้นวพลอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“แกก็เป็นเสียอย่างนี้ มองโลกในแง่ดีเกินไป”

“เราไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างที่แกเข้าใจหรอก แต่เราทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้ เรารู้ว่าพี่เฉินกับพี่คุณรวมทั้งแกด้วยนะนน ที่พยายามช่วยเหลือเรา แล้วพี่เฉิน พี่คุณ พวกเขาคงรีกล้องดูไม่รู้กี่ร้อยรอบ ยังไงบอสคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ  หรอก แต่เช็กขนาดนั้นตอนนี้เขาก็ยังไม่เจออะไรเลยไม่ใช่เหรอ”

“...”

“หลักฐานที่น่าจะเป็นชิ้นสำคัญชิ้นเดียวยังช่วยเราไม่ได้เลย”

“มันต้องมีทางออกสิวะ”

“เรารู้ แต่เราค่อย ๆ  คิดกันดีไหม ตอนนี้มันอาจจะยังคิดไม่ทัน นึกไม่ออก ให้เวลาสักหน่อยอาจจะคิดออกก็ได้ เราเองก็ไม่ได้อยากมีความผิดติดตัวตลอดไปเสียหน่อย”

“อืม แต่ก็เป็นอย่างที่แกพูด ตอนนี้บอสสั่งคนเข้มงวดตรวจตรามากขึ้นกว่าเดิมอีก แกรู้ไหมพอแกออกไปนะกล้องวงจรปิดถูกนำมาติดมากขึ้นกว่าเดิมอีก จนตอนนี้มีกล้องแทบจะทุกก้าวที่เดินแล้วมั้ง”

“แกก็พูดเกินไป”

“เราพูดจริง บอสหัวเสียกับเรื่องนี้มาก ช่วงนี้ของทุกปีปกติแล้วเป็นช่วงที่บอสจะไม่อยู่ที่คาสิโนเพราะบอสมีธุระที่ต้องไปทำ แกลองคิดดูนะบอสให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากแค่ไหนถึงขนาดยกเลิกธุระที่ต้องไปน่ะ”

“ธุระอะไร” ภาสกรนิ่วหน้าพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ไม่รู้ว่ะ พนักงานอย่างพวกเราจะรับรู้เพียงว่าช่วงเวลานี้บอสจะไม่อยู่เพราะไปทำธุระ”

“งั้นเหรอ”

“แกถามทำไม”

“เมื่อคืน..ไม่ใช่สิ เมื่อเช้าตอนเราเลิกงานน่ะ” ภาสกรครุ่นคิดระหว่างที่บอกเล่าให้เพื่อนฟัง

“มีอะไร ทำไมทำหน้าแปลก ๆ”

“เราเจอบอสที่ผับว่ะ” ภาสกรพูดเสียงเบาลงจนแทบจะกระซิบ

“หา!! เจอบอสที่ผับ”

“เบา ๆ  เสียงสิวะจะเรียกพ่อมาเหรอ”

“โทษที ๆ  ตกใจมากไปหน่อย” นวพลขอลุแก่โทษทันที “บอสไปที่ผับทำไมวะ”

“ไม่รู้ แต่ที่รู้คือบอสเมามาก”

“เมา!”

“ชู่ว! บอกให้เสียงเบา ๆ”

“ก็คนมันตกใจนี่หว่า บอสเนี่ยนะเมา แกทำงานหนักจนตาลายมองเห็นคนอื่นเป็นบอสหรือเปล่าวะไอ้พาย”

“บ้าหรือไง บอสนะเว้ย หน้าตาแบบนั้นยังมีใครเหมือนอีกหรือไง” ภาสกรย้อนกลับอย่างรวดเร็ว

“ก็จริง ตกลงว่าแกเห็นว่าบอสเมา”

“ใช่ และไม่ใช่เมาธรรมดา แต่เมามากจนจำใครไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

“อย่าบอกนะว่าจำแกไม่ได้ด้วย”

“ใช่ บอสจำเราไม่ได้” ภาสกรพยักหน้า

“ทำไมบอสถึงเมาได้วะ”

“นั่นละคือคำถาม”

“หรือว่าบอสอกหัก” นวพลคาดเดา

“ไม่รู้ว่ะ แต่ตอนที่เจอ บอสมีแก้วเหล้าสองแก้ว แก้วหนึ่งน่ะของบอส แต่อีกแก้วหนึ่งน่ะของใครที่ทำให้บอสเมา”

“ตอนบอสเมาเป็นยังไงวะ” นวพลถามต่อด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่ทำงานที่นี่คาสิโนมาเจ้าตัวก็ไม่เคยเห็นคนที่ถูกพูดถึงเมาเลยสักครั้ง

“หมายถึงยังไง”

“ก็อาการ ท่าทางนอกเหนือจากที่แกบอกว่าบอสจำใครไม่ได้”

“ปกตินะ เหมือนไม่ใช่คนเมา”

“อย่างนั้นเชียว ดูไม่ออกเลยเหรอ”

“อืม ถ้าไม่ได้กลิ่นเหล้าหึ่งหรือเพราะบอสเดินช้าลง คงดูไม่ออกเลยล่ะ”

“แกบอกว่าบอสจำแกไม่ได้ แล้วบอสทำอะไรแกเปล่า”

“ทำอะไรวะ” ภาสกรเลิ่กลั่กดวงตากลิ้งไปมาอย่างมีพิรุธ รู้สึกถึงความเห่อร้อนบนใบหน้าขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ

“ทำไมหน้าแดง ๆ  วะ เราหมายถึงทำร้ายแกหรือเปล่า อะไรแบบนี้ โวะ! นี่คิดไปถึงไหน”

“ไม่มี ๆ  เลย บอสจะทำอะไรเราวะ บอสเมาแล้วนิ่งมาก” ภาสกรรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“เหรอ แล้วคนที่ทำให้บอสเมาได้แบบนั้นต้องเป็นคนแบบไหนยังไงวะ” นวพลมองเพื่อนรักอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง




“นั่นสิคน ๆ  นั้นคือใคร”



========================


เจ้าพายจะมาลงทุกวันพฤหัสน้าทุกคน

เอาละค่ะ เริ่มเข้าสู่เรื่องราวอะไรบ้างแล้วเนอะ สิบห้าตอนเข้าเรื่องสักที????

อ่านตอนนี้แล้วเป็นยังไงบ้างบอกเขมบ้างน้าา

HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ

รักกกก

เขมกันต์


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แอบใจร้อน อยากรู้อยากเห็นมาก เรื่องดูมีลับลมคมใน

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao6: บอสจำพายไม่ได้ แต่ก็นอนกอดน้อง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บอสปิดบังอะไรอยู่นะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ใกล้จะ เข้าเรื่อง พระนาย แล้ว

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
บอสเหมือนไม่ใช่บอส

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

วงล้อที่สิบหก




            ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งในวันเดียวกับที่ภาสกรเจออรรควัสที่ผับ ภาสกรมาถึงที่ทำงานเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะถึงเวลาเปิดให้บริการ คืนนี้เป็นคืนวันอาทิตย์ เขาคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาน้อยกว่าเมื่อคืนเพราะคนท้องถิ่นคงต้องพักผ่อนสำหรับการทำงานในเช้าวันจันทร์

            “ไง มาเร็วเหมือนกันนะคุณ” ผู้จัดการเอ่ยทักเมื่อภาสกรกำลังสวมผ้ากันเปื้อนที่ตัว

            “สวัสดีครับ” ภาสกรผูกสายผ้ากันเปื้อนที่เอวไปด้วยพลางตอบอีกฝ่ายกลับ

            “เมื่อคืนขอบใจมากนะที่ช่วย”

            “อ่อ..ไม่เป็นไรครับ” เมื่อผู้จัดการพูดถึงเรื่องเมื่อคืน ภาสกรก็เข้าใจความหมายว่าอีกฝ่ายขอบคุณเขาเรื่องอะไรแต่อันที่จริงต้องเรียกว่าเช้าต่างหาก ทว่าเขายังมีเรื่องไม่เข้าใจบางอย่าง “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

            “ว่ามาสิ” ผู้จัดการตอบระหว่างที่มือเปิดล็อกเกอร์เพื่อเก็บของใช้ส่วนตัว

            “ผมเข้าใจว่าปกติคุณน่าจะเป็นคนดูแลเจ้านายเองใช่ไหมครับ” ภาสกรเปลี่ยนสรรพนามจากบอสเป็นเจ้านายเพื่อให้เข้ากับคำพูดของคนที่นี่

            “ไม่ผิด ปกติผมเป็นคนดูแล แม้ว่าจะไม่บ่อยก็เถอะ”

            “ทำไมคุณถึงให้ผมไปดูแลเจ้านายแทนล่ะครับ”

            “เข้าเรื่องแล้วสินะ ผมก็นึกว่าคุณอยากถามอะไรเสียอีก”

            “ครับ”

            “จริง ๆ  ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีเมื่อคืนผมรีบแล้วอีกอย่างผมเบื่อน่ะ”

            “ครับ?” ภาสกรได้ฟังอีกฝ่ายพูดแล้วก็คิดว่าตนเองฟังผิด “เบื่อ?”

            “ใช่” ผู้จัดการหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดต่อว่า “ถึงเจ้านายจะเมาไม่บ่อยแต่ถ้าต้องไปดูแลเขาทุกครั้งจะเบื่อบ้างก็ไม่แปลก”

            “แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงครับว่าผมจะช่วยถูกคนไม่ใช่ลูกค้าที่เผลอหลับหรือยังตกค้างอยู่”

            “จะไม่ถูกคนได้ยังไง คุณรู้จักเจ้านายอยู่แล้วนี่ หรือผมเข้าใจผิด”

            “อ่า..ครับ ผมรู้จักเขา” ภาสกรพยักหน้า

            “ผมก็ว่าอย่างนั้น อาเฉินพาคุณมาฝากงานที่นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของเจ้านายให้รับคุณ มีหรือที่ผมจะรับคุณมาทำงานปุบปับ” ผู้จัดการหยุดพูดแล้วมองหน้าภาสกร “หรือคุณคิดว่าที่คุณได้งานนี้เพราะคุณโชคดี?”

            “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมคิดว่าที่คุณรับผมไว้เพราะเกรงใจพี่เฉิน”

            “เกรงใจมันก็เกรงใจอยู่บ้าง แต่ผมไม่ได้มีอำนาจการตัดสินใจขนาดนั้น”

            “เจ้านายเป็นคนรับผม?” ภาสกรถามอีกฝ่ายแต่ก็เพื่อทวนความเข้าใจของตัวเองไปด้วย

            “อืม คุณเข้าใจไม่ผิด”

            “งั้นที่คนอื่นหรือคุณเองมองผมไม่ค่อยดีวันแรก ๆ  เพราะเรื่องนี้ใช่หรือเปล่า”

            “เข้าใจถูกแล้วพาย ที่นี่ไม่มีระบบเส้นสายและเจ้านายไม่เคยรับคนเพราะเรื่องส่วนตัว”

            “...”

            “แต่ช่วงที่ผ่านมา คุณพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนรวมทั้งผมเห็นแล้วว่าคุณไม่ใช่คนจับจด หยิบโหย่ง ทำงานแข็งขันกระตือรือร้นดี ทุกคนเลยไม่ได้ตั้งแง่กับคุณอีก” ผู้จัดการตัดสินใจอธิบายให้ภาสกรเข้าใจเพิ่มขึ้น

            “ขอบคุณครับ แล้วผู้จัดการทราบไหมครับว่าเจ้านายรับผมทำไม”

            “ไม่รู้สิ เรื่องนี้ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ด้วยตัวเองนะ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้อยู่ดี ก็คงต้องไปถามคนนั้น คนที่ให้คำตอบคุณได้คงมีแค่คนเดียว ส่วนคนนั้นคือใครผมคงไม่ต้องบอกนะ”

            “ครับ”

            “แต่ผมว่าคุณคงไม่ค้างคาใจนานหรอก”

            “หมายความว่าไงครับ” ผู้จัดการพูดจากำกวมทำให้ภาสกรสะดุดหู

            “คุณกำลังจะได้เจอคนนั้นแล้ว เดี๋ยวตอนตีห้าก่อนเลิกงานคุณขึ้นไปหาเจ้านายที่ห้องด้วย ห้องเดิม”

            “ครับ? มีอะไรหรือเปล่า”

            ผู้จัดการไม่ตอบนอกจากแสดงท่าทีว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน




            ค่ำคืนวันนั้นภาสกรเดินขาแทบขวิด เนื่องจากเป็นผับชื่อดังจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นักท่องราตรีไม่น้อยเลยเมื่อเทียบกับคืนวันเสาร์ เขาเหนื่อยกายและอยากกลับไปนอนพักมากที่สุดในเวลานี้ แต่เมื่อถึงตอนตีห้า ภาสกรก็ต้องขึ้นไปห้องห้าสิบสองตามคำสั่ง


            ภาสกรเคาะประตูตามมารยาทและเป็นข้อปฏิบัติของพนักงานที่นี่ เขารออยู่เพียงอึดใจประตูก็ถูกเปิดออก เห็นใบหน้าคุ้นเคยของอรรควัสก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนตัวกลับเข้าไปข้างในห้อง

            “นั่งสิ” อรรควัสนั่งอยู่ที่โซฟายาวเมื่อออกคำสั่งกึ่งคำเชิญให้ภาสกรนั่งที่เก้าอี้เดี่ยวใกล้ ๆ  กัน

            “ขอบคุณครับ” ภาสกรนั่งลงโดยไม่อิดออด เขาปวดขาจะตายชัก “ผู้จัดการบอกว่าบอสเรียกผม”

            “ใช่” คำตอบของอรรควัสทำให้ภาสกรลอบกลืนน้ำลาย หรืออีกฝ่ายจะเอาเรื่องเขาเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้

            “เอ่อ..ผม”

            “เมื่อคืนเข้ามาที่ห้องนี้ได้ยังไง” ภาสกรฟังเสร็จแล้วทวนคำถามในใจเพราะทำงานกลางคืนเลยเรียกกลางคืนกลางวันมั่วไปหมด เขาเข้าใจว่าเมื่อคืนของอรรควัสก็คือเช้าวันอาทิตย์นั่นแหละ และตอนนี้เป็นเวลาตีห้าของเช้าวันจันทร์แล้ว

            “ผู้จัดการตามหาบอสอยู่ ผมอยู่แถวนั้นพอดีเลยให้ผมช่วยครับ”

            “เมื่อไหร่เธอจะหยุดยุ่งเรื่องคนอื่น” น้ำเสียงเรียบนิ่งของอรรควัสทำให้ภาสกรอยากจะกลั้นหายใจและหายตัวออกไปจากห้องนี้

            “ผมไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของบอส แต่..” จู่ ๆ  ภาสกรก็รู้สึกว่าเสียงตนเองขาดหายไปในลำคอเสียเฉย ๆ  เมื่อเห็นสายตาดุดันของคนตรงหน้า

            “แต่อะไร พูดต่อสิ”

            “เอ่อ..คือ..แต่..”

            “พูดมาเร็ว ๆ  ภาสกร”

            “คือ..ผม” ภาสกรอึกอักเพราะเกรงกลัวสายตาที่จ้องมองว่า

            “อ้ำอึ้งอะไร”

            “บอสเล่นจ้องผมแบบนี้ผมก็กลัว ไม่กล้าพูด” ภาสกรอ้อมแอ้มบอก

            “ฉันก็แค่มองหน้าคนที่ฉันพูดด้วยซึ่งก็คือเธอ ไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอ”

            “ก็ผมกลัว”

            “พูดมาเถอะ ฉันไม่ได้ตั้งใจดุหรือทำให้เธอกลัวหรอกพาย” ภาสกรรู้สึกว่าประโยคสุดท้ายของอีกฝ่ายน้ำเสียงดูจะอ่อนลงเล็กน้อย เขาจึงใจชื้นขึ้นมาบ้าง

            “ผมไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของบอส” ภาสกรพูดทวนประโยคที่ค้างไว้อีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “แต่ผู้จัดการขอร้องผม แล้วตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเป็นบอส ผมก็เลยไม่ได้ปฏิเสธ”

            “ถ้าเธอรู้ว่าเป็นฉัน ก็จะไม่ช่วย?”

            “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย” ภาสกรรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

            “หึ ฉันรู้”

            “ครับ?”

            “ไม่มีอะไร เอาละ ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอเข้ามาได้อย่างไรเท่านั้น”

            “อ่า..ครับ งั้นเสร็จแล้วใช่ไหมครับ ผมกลับได้เลยไหมครับ”

            “ฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่ง อันที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องมาอธิบายกับเธอ ถ้าการกระทำของฉันมันจะเป็นการกระทำที่ตรงไปตรงมา”

            “...” ภาสกรไม่เข้าใจแต่ไม่กล้าถาม รอให้อีกฝ่ายอธิบายเอง

            “เธอโกรธหรือไม่พอใจฉันหรือเปล่าที่ไล่เธอออก”

            “ผม..”

            “ตอบมาตามตรงภาสกร ฉันไม่ชอบคนโกหก” อรรควัสมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุที่ใช้อยู่เป็นประจำ

            “ผมไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจบอสเลยครับ” ภาสกรสูดหายใจเข้าราวกับเรียกขวัญและกำลังใจให้กับตัวเอง “ผมแค่..แค่เสียใจมากกว่า”

            “เสียใจเพราะฉัน?”

            “ไม่ใช่ครับ ผมเสียใจที่ความจริงใจหรือความซื่อสัตย์ในการทำงานของผม สุดท้ายมันไม่มีค่าอะไรเลย”

            “ผิดแล้วภาสกร”

            “ผมเข้าใจผิดเหรอครับ”

            “ถ้ามันไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้เธอคงไม่ได้มาทำงานอยู่ที่นี่หรอก”

            “ผมเพิ่งรู้มาจากผู้จัดการว่าคุณเป็นคนรับผมเข้ามาทำงานที่นี่”

            “อืม” อรรควัสไม่ปฏิเสธ

            “เพราะอะไรครับ”

            “อาเฉินกับอาคุณ สองคนนั่นเป็นห่วงเธอมากและถ้าฉันยังไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเธออีก ฉันคงถูกพวกเขาประณามหาว่าฉันใจร้ายกับเธอไปจนวันตาย”

            “ไม่หรอกครับพี่เฉินกับพี่คุณ เคารพและนับถือบอสมากนะครับ”

            “ฉันรู้ แต่ลึก ๆ  พวกเขากลับไม่พอใจในการตัดสินใจของฉัน หลายต่อหลายครั้งที่ฉันสงสัยว่าเธอไปทำอะไรให้  พวกเขาถึงเป็นห่วงและหวังดีกับเธอมากถึงเพียงนี้”

            “ผมไม่ได้ทำอะไร” ภาสกรพูดเสียงเบาเพราะเขาเองก็นึกไม่ออกว่าไปทำอะไรให้กับอาเฉินและอาคุณ

            “เอาเถอะ ฉันก็พูดไปอย่างนั้น อันที่จริงฉันก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไร” อรรควัสหัวเราะแผ่วเบาซึ่งภาสกรไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหัวเราะทำไม

            “แล้วเพราะอะไรครับ” แววตาภาสกรสงสัยด้วยความอยากรู้

            “ถามฉัน?”

            “ปะ..เปล่า ขอโทษครับบอส” ภาสกรรีบขอโทษและหลบตาอีกฝ่ายทันทีพลางคิดในใจก็ใช่น่ะสิ เขาถามบอสแต่เขาไม่กล้ายอมรับเพราะเขาขี้ขลาดเกินไป



            ‘คนอะไรตาหวานเจี๊ยบแต่ทำไมสายตาดูดุได้ขนาดนั้น’


            “ที่ฉันรับเธอเข้ามาทำงานเพราะความจริงใจและความซื่อสัตย์ของเธอ”

            “ครับ? ขอบคุณครับ” ภาสกรคิดว่าเขาหูฝาดไปเสียอีกจู่ ๆ  อรรควัสก็พูดขึ้นมาแบบนั้น

            “ขอบคุณการกระทำของตัวเธอเองเถอะ ฉันแค่ไม่อยากใจร้ายกับคนที่ไม่ได้ทำผิด”

            “ยังไงผมก็ต้องขอบคุณบอสอยู่ดีที่เชื่อผม”

            “ว่าแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ที่ฉันให้เธอออกในตอนนั้นฉันเองก็มีเหตุผล และฉันคิดว่าเธอไม่มีทางทำเรื่องพวกนั้นได้”

            “คุณเชื่อผมใช่ไหมครับ คุณเชื่อผมใช่ไหมครับว่าผมไม่ได้ทำจริง ๆ” ภาสกรดีใจสุดขีดจนลืมสงวนท่าที พูดประโยคซ้ำ ๆ  เขาโผเข้าไปจับแขนอีกฝ่าย แต่สายตาของอรรควัสที่มองลงมานั้นทำให้ภาสกรยิ้มแหยก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับพลางยกมือไหว้ขอโทษ

            “ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ทำ แต่ไม่ใช่เพราะตัวเธอเพียงอย่างเดียวแต่กล้องวงจรปิดที่ชั้นสองไม่เห็นว่าเธอทำอะไรผิด เธอแค่เป็นแพะเท่านั้น ฉันถึงเรียกเธอมาวันนี้เพราะอยากให้เธอเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฉันฟังอย่างละเอียด”

            “ครับ” ภาสกรพยักหน้าด้วยใบหน้ามุ่งมั่นก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์นั้นตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความเต็มใจ

            เมื่ออรรควัสฟังจนจบโดยไม่ขัดอีกฝ่ายกระทั่งภาสกรเล่าจนจบเขาก็พูดขึ้น

            “ขอบใจเธอมากภาสกร คนที่เธอเอ่ยชื่อมาทั้งหมดน่าจะเป็นประโยชน์กับฉันมากทีเดียว”

            “จะเป็นประโยชน์กับบอสได้ยังไงครับ ถ้าบอสรู้ตัวคนร้าย ผมสิครับที่เป็นคนได้รับประโยชน์”

            “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ แต่ทุกครั้งเราไม่เคยจับตัวคนร้ายได้เลย ทั้งที่เรามีกล้องวงจรปิดมากมายทำให้ ฉันไม่สามารถสืบหาต้นตอได้เลยว่าใครกันแน่คือคนที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนี้และทำไปเพราะอะไร มันจะใช่อย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า เรื่องพวกนี้มันยังเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อไม่เสร็จและตอนนี้ฉันต้องการต่อให้มันเสร็จเสียที ฉันเบื่อเล่นเกมนี้แล้ว”

            “คุณพอรู้ตัวคนร้ายแล้วเหรอครับ”

            “คนที่ใส่ร้ายเธอน่ะ ฉันยังไม่รู้ แต่คนที่อยู่เบื้องหลังน่ะพอเดาได้ ขอแค่มีหลักฐานที่ชัดเจนเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องให้คนที่คาสิโนทุกคนรู้ว่าเธอถูกไล่ออกเพราะเธอแอบส่งยาในคาสิโนของฉันเพื่อให้คนที่ทำนั้นตายใจและคิดว่าตัวเองรอดแล้ว”

            “อ่อ..อย่างนี้นี่เอง” ภาสกรพยักหน้าหงึกหงัก “แล้วจะไม่มีคนรู้เหรอครับว่าบอสให้ผมมาทำงานที่ผับนี้”

            “นอกจากอาเฉินกับอาคุณ คนที่คาสิโนไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้มีเธอรู้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว” อรรควัสปรายตามองภาสกรเล็กน้อยที่พูดประโยคสุดท้าย

            “ผมจะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร จะปิดปากให้สนิทเลยครับ” ภาสกรพูดจบก็เม้มปากแน่นพลางด่าตัวเองในใจเพราะเขาเพิ่งปากพล่อยหลุดปากเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนสนิทของตนเอง สัญญาเลยว่าตื่นนอนมาเมื่อไหร่เขาจะต้องบอกนวพลว่าห้ามบอกใคร

            เขาจะไม่ลืมบอกนวพลเด็ดขาด

            “เรื่องเมื่อคืน...”

            “เมื่อเช้าวานครับ” บางทีภาสกรคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะแก้ให้ถูกต้องเสียที

            “อืม ฉันเมามาก”

            “ใช่ครับ บอสเมามาก แต่ดูไม่เหมือนคนเมาเลยนะครับ” ภาสกรลอบมองโต๊ะเล็กหน้าโซฟา บนโต๊ะมีขวดเหล้าตั้งอยู่ แต่ไม่เห็นแก้วเหล้าเลยไม่แน่ใจว่าวันนี้บอสดื่มหรือเปล่า

            “และนอนกับเธอ” อรรควัสพูดจบคนฟังถึงกับสำลักไอจนหน้าดำหน้าแดง เขาไม่คิดว่าเจ้าของผับคนนี้จะพูดโพล่งตรง ๆ  ออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อหยุดไอได้เขาจึงพูดขึ้น

            “เราแค่นอนเฉย ๆ  ครับ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น และตอนนั้นบอสก็เมามาก บอสคงคิดว่าผมเป็นคุณอลัน” ภาสกรได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะแผ่วเบา

            “ฉันรู้ว่าเมื่อคืนนอนกับใคร”

            “แต่บอสบอกว่าจำผมไม่ได้”

            “ฉันจำไม่ได้ แปลว่าฉันก็จำอลันไม่ได้ด้วยเช่นกัน”

            “แล้วทำไมบอสถึง..” ภาสกรกระดากปากจะพูดต่อให้จบประโยคว่าแล้วทำไมอีกฝ่ายถึงดึงเขาให้ลงไปนอนด้วยกัน

            “มันจำเป็น”

            “จำเป็น?”

            “อืม และคืนนี้ก็จำเป็นเช่นกัน”

            “จำเป็น?” ภาสกรคิดว่าตัวเองกำลังกลายเป็นเด็กเพิ่งหัดพูดถึงพูดเป็นอยู่แค่คำเดียว

            “ใช่ คืนนี้ฉันอยากให้เธอนอนกับฉันด้วยกันที่นี่” ภาสกรเหนื่อยใจที่แก้ไขคำพูดอีกฝ่ายว่ามันไม่ใช่คืนนี้ แต่มันคือเช้านี้ต่างหาก แต่เรื่องนั้นน่ะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับการที่บอสเอ่ยปากชวนให้เขานอนด้วยกันในขณะที่เจ้าตัวมีสติครบถ้วน

            “คือผม..” ภาสกรส่ายหน้าเล็กน้อย เขาคิดว่าควรปฏิเสธอีกฝ่ายออกไป ทว่าอรรควัสกลับลุกขึ้นมาหยุดยืนตรงหน้าเขาก่อนจะก้มหน้าเข้ามาใกล้

            “ฉันสัญญาว่าจะไม่มีอะไรเกินเลย ฉันแค่ต้องการคนมานอนด้วยเท่านั้น”

            “ละ..แล้วทำไมถึงเป็นผม”

            “ข้อแรกเพราะฉันรู้จักเธอ”

            “...”

            “ข้อสองฉันรู้ว่าเธอจะช่วยฉัน”

            “...”

            “ข้อสามตอนฉันกอดเธอเมื่อคืนนี้ ฉันรู้สึกสบายใจ

            “ครับ”

            “และข้อสุดท้าย...” ใบหน้าของอรรควัสเคลื่อนเข้ามาใกล้ภาสกรมากกว่าเดิม จนชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเอนตัวจนหลังชนเข้ากับพนักเก้าอี้ที่ตนเองนั่งอยู่

            “บอส..”

            “จูบของเธอทำให้ฉันรู้สึกดี”


            ดวงตาของภาสกรเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ เมื่ออรรควัสปฏิบัติตามคำพูดของเจ้าตัวทันที เขาไม่รู้จะต้องตกใจกับคำพูดหรือการกระทำของอีกฝ่ายก่อนดี แต่ที่แน่ ๆ  คือเขาตกใจจนใจเต้นรัวไปหมดแล้ว



            ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะจูบกับบอสโดยมีสติสมบูรณ์ทั้งสองฝ่าย


 


========================================



อาการเป็นยังไงคะบอส ไหนบอกหน่อยซิ!?




ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แหม ชอบจูบกับพายด้วย

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
บอสขาดความอบอุ่น น้องพาย กลาบเป็นผ้าห่มเหรอคร้าบ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อันนี้คือจีบใช่ป่ะ?555

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
คิดว่าเป็นบอสแล้วสั่งได้ทุกอย่างหรอ มาขโมยจูบอีกต่างหาก

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao6: ติดใจจูบหรอบอส

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด