16th Sunday #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์
เป็นไฟล์ทที่อึดอัดที่สุดเท่าที่เคยบินมา หลังจากที่พวกเขามีบทสนทนาอันน่าอึดอัดนั้น หัวหน้าแผนกก็แกล้งหลับตลอดไฟล์ท แม้กระทั่งตอนที่เสิร์ฟอาหารสองรอบกฤติก็ปฏิเสธทั้งคู่ สิบกว่าชั่วโมงจนกระทั่งลงเครื่องในตอนเช้า เขามีเพียงผ้าเย็นในมือที่ได้จากแอร์ก่อนจะลงเครื่องเท่านั้น
“เดี๋ยวผมไปติดต่อรถให้”
นี่คือประโยคแรกที่นรินทร์พูดกับกฤติอีกครั้งหลังจากลงเครื่อง เลขาของหัวหน้าแผนกก็ทำหน้าที่ของตัวเองตั้งแต่ลงเครื่อง ทั้งที่เพิ่งมาเยอรมันครั้งแรก แต่เขาก็สามารถหารถและจัดการจ่ายเงินให้ทั้งตัวเองและกฤติได้อย่างดีและรวดเร็ว
เก่ง
กฤติชมอีกฝ่ายอยู่ในใจ ตอนนี้เขาอยู่ที่ที่นั่งรอรถออก จากคำบอกเล่าของพนักงานคือพวกเขาต้องรออีกประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อรอให้คนที่จองรถทั้งหมดมาเพื่อออกตามรอบ กฤตินั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้แถวยาวที่พนักพิงเป็นพลาสติกแข็งๆ มันไม่สบาย แต่เขาไม่อยากเรื่องมาก อะไรก็ได้ ขอแค่รีบๆ ไปถึงโรงแรมเพื่อนอนสักที
อันที่จริงพวกเขาควรจะจองรถขับกัน แต่เพราะกฤติไม่ชอบขับรถในต่างประเทศ และนรินทร์ที่มาด้วยกันก็ไม่มีใบขับขี่สากล พวกเขาจึงต้องอาศัยรถเช่า และแท็กซี่ในทริปนี้
“คุณ”
เสียงภาษาไทยที่ดังมาให้ได้ยินเรียกให้กฤติปรือตาขึ้นมอง นรินทร์เดินกลับมาพร้อมกับถุงและแก้วกระดาษในมือในมือ
“ผมไปซื้อโกโก้ร้อนมาให้ จิบหน่อยมั้ยคุณ”
“...”
“แซนด์วิชก็มีนะครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าซื้ออะไรมา แค่จิ้มอันที่น่ากินมาสองชิ้น”
“...”
“ถ้าคุณไม่อยากทานอะไร ผมดื่มสองแก้วก็ได้นะ”
“ขอบคุณครับ”
ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในความรู้สึกที่พร้อมจะกินอาหารเท่าไหร่ แต่กฤติก็รับแก้วโกโก้นั้นมา เขาบอกตัวเองว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต้องไปหักหาญน้ำใจอีกฝ่าย ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาเพียงแค่ไม่ชอบหน้าตาจ๋อยๆ ของนรินทร์ชะมัด
ยังไม่ทันที่จะเริ่มกิน พนักงานก็เดินมาบอกพวกเขาว่ารถพร้อมแล้ว ชายไทยสองคนจึงเดินไปขึ้นรถที่ทางบริษัทจองเอาไว้ให้ เดินทางเพียงชั่วโมงครึ่งก็ถึงโรงแรม ยังดีที่พักกันคนละห้อง เขาเลยไม่ต้องทนอึดอัดใจมากนัก อีกทั้งพวกเขาบินมาถึงที่นี่เช้าวันเสาร์ เลยไม่ต้องรีบร้อนไปเตรียมตัวเข้าประชุม ยังมีเวลาพักผ่อนเสาร์อาทิตย์ก่อนที่จะเริ่มทำงานในเช้าวันจันทร์
‘ก๊อกๆ’
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร กฤติที่เพิ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดคลุมเตรียมนอนเดินไปที่ประตูห้อง เพื่อพบว่านรินทร์ยืนยิ้มแห้งอยู่ตรงนั้น
“ผมคิดว่าผมจะไปเดินเล่นในเมือง คุณจะไปด้วยกันมั้ย?”
“คุณจะไปเดินเล่นตอนนี้?” กฤติเลิกคิ้วพร้อมก้มมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า ตัวเวลาไม่เท่าไหร่ แต่อากาศ 4 องศาด้านนอกนั่นไม่น่ารักเลยจริงๆ
“ใช่ครับ”
“แถวนี้มีอะไรให้เดินด้วยหรือไง?”
พวกเขาพักอยู่ที่ละแวก Obertroubling ซึ่งเป็นละแวกที่อยู่อาศัย ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูเท่าไหร่นัก ชนบททั่วไป ส่วนบริษัทของพวกเขาตั้งอยู่ในละแวกข้างเคียงที่ชื่อว่า Neutraubling ที่ไม่มีอะไรดูยิ่งกว่า สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นที่มีอาหารสดและพวกอาหารฟาสต์ฟู๊ดขาย
“ผมว่าจะเข้าไป Regensburg”
Regensburg เป็นเมืองเก่าแก่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว กฤติไม่ได้สนใจมากนัก ไม่เคยไปเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่จำได้เพราะว่าตลอดเวลาที่คุยกับคนเยอรมันที่บริษัท ทุกคนมักจะแนะนำและพูดถึงเมืองนี้ให้ฟังอยู่เรื่อย ตัวเขาที่ไม่ได้ชอบเที่ยวไปมากกว่าทำงานจึงทำแค่ยิ้มแล้วรับปากว่าจะไปแต่โยนความคิดนั้นทิ้งไปเท่านั้น
“เชิญเลยครับ ผมจะนอน”
“ไม่ไปด้วยกันเหรอ?”
“ไม่เอาครับ ผมจะนอน”
“คุณ… ผมไม่เคยอยู่ต่างประเทศคนเดียวเลย ไปเดินเล่นด้วยกันนะครับ”
กฤติที่ตั้งใจว่าจะปฏิเสธลูกเดียวนั้น เมื่อเจออีกคนที่ทำหน้าตาหงอยลงเหมือนกับเด็กโค่งที่โโดนผู้ปกครองยึดขนมก็อดสงสารไม่ได้
จนกว่าจะรู้ตัว เขาก็ดันตอบตกลงและเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมหยิบของจำเป็นเดินตามอีกฝ่ายไปขึ้นรถไฟเสียแล้ว
รอไม่นานรถไฟเข้าเมืองก็มา พวกเขานั่งในที่นั่งคู่หนึ่ง รถไฟที่นี่ต่างจากรถไฟไทยราวฟ้ากับเหว กฤติไม่ได้ขึ้นขนส่งสาธารณะที่ไทยบ่อยมากนัก แต่เขาก็พอจะจำได้ว่าบนบีทีเอสไม่ที่เสียบปลั๊กสำหรับชาร์จแบตโทรศัพท์ในทุกที่นั่ง พร้อมทั้งเก้าอี้สบายๆ แบบที่เผลอแป๊บเดียวก็นั่งข้ามเขตเข้ามาในตัวเมืองเรียบร้อย
“คุณเคยขึ้น Flixbus ป้ะ?”
“ไม่อ่ะ”
“เอ้า แล้วที่มาตั้งหลายรอบไม่ได้ไปประเทศอื่นเลยเหรอ?”
“ไม่ครับ ผมทำงานแล้วก็กลับ”
“โหย เสียดาย”
พวกเขายืนคุยกันที่สถานีรถไฟหลักของ Regensburg ผู้คนมากมายที่เดินสวนไปมาไม่ได้ให้ความรู้สึกเร่งรีบเหมือนเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ แถมตัวอาคารก็ปลูกสร้างไม่ได้หรูหราแต่ให้ความรู้สึกเก่าแก่ ตัวอาคารเป็นสีเหลืองแปลกตา ดูแล้วเพลินตาดีเหมือนกัน
“แล้วไอ้ฟลิกซ์อะไรนั่นมันคืออะไร?”
กฤติถามอีกคน ตอนนี้เขาห่อตัวเองอยู่ในเสื้อโค้ตตัวใหญ่กับผ้าพันคอสีกรม ให้ตายสิ ไม่เข้าใจว่าทำไมไ้อสิงโตข้างๆ ถึงได้ดูไม่หนาวเลยสักนิด ทั้งที่เขารู้สึกเหมือนขาจะแข็งอยู่รอมร่อ นรินทร์ยังคงหล่อเหมือนเดิมในเสื้อโค้ตกับรองเท้าหนังสีน้ำตาล เขานึกอยากให้อีกฝ่ายหน้าตาดีน้อยลงหน่อย จะได้ไม่ต้องรู้สึกวูบโหวงในท้องเวลาที่อีกคนสบตาพร้อมส่งยิ้มให้
“รถบัสนั่งข้ามเมืองไงคุณ ถูกด้วยดีด้วยนะ ผมอ่านในพันทิปมา”
นรินทร์ทำตาเป็นประกายแบบเดียวกับตอนที่จะชวนเขาเข้ามา Regensburg นี่ กฤติรู้สึกเหมือนคิ้วตัวเองกระตุกเล็กน้อย ขออย่าให้เป็นอย่างที่สังหรณ์ใจละกัน
“คุณ! จากที่นี่เรานั่งรถไปปรากได้เลยนะ”
“ครับ”
กฤติไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนัก ตอนนี้พวกเขาเดินข้ามถนนเพื่อไปยังโบสถ์ขึ้นชื่ออะไรสักอย่างที่นรินทร์พูดตลอดทางว่าอยากมา
มาถึงตอนนี้กฤติเริ่มเข้าใจว่าทำไมนรินทร์ถึงได้ดูกระตือรือร้นอยากจะมาที่นี่นัก เมืองนี้สวยมาก มีความเป็นเมืองเก่าแต่ดูน่าเดิน มีสวนสาธารณะแล้วก็ต้นไม้ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ตึกรามบ้านช่องเป็นสีสันสวยงาม กฤติว่าตัวเองหลุดเข้ามาในนิทานพื้นบ้านตะวันตกเสียด้วยซ้ำ
“ไปเที่ยวกัน ไปเช้าเย็นกลับ หรือไม่ก็กลับวันพรุ่งนี้ก็ได้”
พวกเขาต่อคิวเข้าโบสถ์ ถึงแม้จะไม่ได้สนใจศิลปะอะไร แต่ว่าบรรยากาศข้างในมันก็สวยดี ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าคนสมัยก่อนสร้างสิ่งนี้ไปเพื่ออะไรก็ตาม
หลังจากพวกเขาเดินอยู่ในโบสถ์กันเสร็จเรียบร้อย นรินทร์ที่ทำการบ้านสถานที่นี้มาดีเกินไปก็พาเขาข้ามแม่น้ำเก่าแก่ มันไม่มีอะไรพิเศษนอกจากเดินข้ามธรรมดา แต่ถนนหนทางที่ต่างจากประเทศไทยทำให้กฤติมองนั่นมองนี่ด้วยความสนใจ
‘แชะ’
“อ่าว โดนจับได้”
กฤติไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรตอนที่เห็นว่าอีกคนยกโทรศัพท์มาถ่ายเขา แต่มันคงแย่มากเพราะอีกคนหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ผมแค่ดีใจที่ได้เที่ยวกับคุณ เลยอยากถ่ายเก็บไว้”
“ผมว่าเลขาไม่ต้องมีรูปหัวหน้าก็ได้”
“ถ้าหัวหน้าผมไม่ใช่คุณ ผมก็ไม่ถ่ายเก็บไว้หรอก”
กฤติพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงสีหน้าอะไร ชายหนุ่มหันหน้าไปมองวิวอีกข้างหนึ่งแทน แม่น้ำที่มองไปไกลสุดลูกหูลูกตากับบ้านเมืองสีสันสดใสทำให้ดูแปลกตาแล้วก็น่ามองไปพร้อมๆ กัน
พวกเขาเดินมาเรื่อยๆ จนถึงอาคารโบราณโอ่อ่า นรินทร์พูดแว่วๆ ให้กฤติได้ยินว่าตรงนี้คือวิหารประจำเมือง มันใหญ่โตเสียจนพวกเขาต้องเงยหน้ามองจากที่ไกลๆ ดูแตกต่างจากบรรดาสิ่งปลูกสร้างร่วมสมัยสีสันสวยงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้
“คุณหิวหรือยัง?”
กฤติมองหน้าคนถามข้างๆ
“คุณหิวแล้วเหรอ?”
“ก็นิดนึง”
“งั้นทานก็ได้”
“น่ารัก”
กฤติทำเป็นไม่ได้ยินแล้วมองไปทางอื่น แต่ถึงแม้เป็นแบบนั้น เขากลับไม่ได้ถอยหลังหนีเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองเผลอกลั้นหายใจเมื่ออีกคนยกมือขึ้นมาแตะข้างแก้ม แค่นั้นกฤติก็เกร็งไปถึงปลายเท้า
“คุณยังคงน่ารักเหมือนเคย”
“คุณก็หน้าด้านเหมือนเดิม”
“ใช่ ผมยังเป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“...”
“อยากจูบคุณเหมือนเดิม คิดถึงคุณเหมือนเดิม”
“...”
“ผมก็ยังรักคุณเหมือนเดิม”
“...”
“ไม่สิ ผมรักคุณมากกว่าเดิมอีก”
หน้าด้าน!
ในขณะที่สมองกำลังคิดว่าทำไมนรินทร์ถึงได้หน้าด้านหน้าทนขนาดที่สามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย แต่หัวใจของกฤติกลับเต้นรัวเร็วเหมือนกลองชุด ทั้งที่นี่ไม่ใช่การสารภาพรักครั้งแรกด้วยซ้ำ
ไม่เคยชินเลย พอเป็นนรินทร์ ไม่มีอะไรที่เขาสามารถรับมือได้เลยสักนิด
เมื่อไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร กฤติจึงเดินหนีเข้าไปในโบสถ์คนเดียว โดยไม่ได้มองไปทางด้านหลังอีก กฤติเดินไปเรื่อยๆ อาจจะเพราะช่วงนี้เป็นช่วง High Season คนเลยมีอยู่ทุกมุมของโบสถ์ ตัวเขาเดินนำนรินทร์มาโดยที่ไม่ได้หันไปพูดอะไรกับอีกคน ซึ่งนรินทร์เองก็ไม่ได้กวนประสาทกฤติอีก
ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่มันก็เหงาปากเล็กน้อย
“คุณ…”
ชายหนุ่มหน้าเหวอ กฤติที่จะหันไปคุยกับผู้ร่วมทางอีกคนดันพบเพียงแต่ความว่างเปล่า มีเพียงครอบครัวชาวจีนที่น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกันอยู่ด้านหลัง ถัดไปเป็นกลุ่มวัยรุ่นยุโรป ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาอยู่หลายรอบ
ไม่ว่าจะมองกี่ครั้ง เขาก็ไม่เจอคนที่มาด้วยกัน
หายไปไหน!?
เขาเดินวนรอบโบสถ์อยู่สองสามรอบ พยายามหาทุกที่ที่คนคนหนึ่งควรจะอยู่ แต่ไม่ว่าจะเดินอย่างไร ความจริงที่ตีแซกหน้าในตอนนี้คือเขาเป็นเพียงคนไทยคนเดียวในที่นี้เท่านั้น
นรินทร์หายไปไหน?!
กฤติใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขารู้สึกคล้ายกับเด็กที่ผู้ปกครองหายตอนที่อยู่ซุปอเปอร์มาร์เก็ตคนเดียว ใบหน้าภายใต้แว่นตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด มือที่ชื้นเหงื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ในใจหมายมั่นว่าจะส่งข้อความหาอีกคน
No Signal
เฮ็งซวย!
ชายหนุ่มใจเสีย เขาสบถในใจหลายสิบคำ คนที่มักจะควบคุมตัวเองได้ดีในทุกสถานการณ์ ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาไม่สามารถรวมรวบสติของตัวเองได้เลย ความคิดแย่ๆ มากมายไหลเข้ามาในหัว
หากนรินทร์หายไป เขาจะทำอย่างไร?
ถ้าหากเมื่อกี้เขายอมลดทิฐิแล้วบอกว่าตัวเองก็รักอีกคนเหมือนกัน ตอนนี้พวกเขาจะเดินจับมือข้างกันหรือไม่?
ทำไมเขาถึงไม่ควงแขนนรินทร์เอาไว้ให้แน่นๆ
เขาน่าจะ…
“คุณกฤติ!”
เสียงคุ้นเคยที่เรียกมาจากทางด้านหลังเรียกให้เจ้าของชื่อหันกลับไปมอง นรินทร์ที่เดินหน้าตาตื่นมาหาเขาเป็นหลักฐานชั้นดีที่ว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้มีเพียงแค่เขาประสาทไปเองคนเดียว ทั้งที่ตัโบสถ์เองก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นนรินทร์ แล้วตัวนรินทร์เองก็คงหาเขาไม่เจอเช่นเดียวกัน
“ไอ้โน้ต! ไอ้คุณโน้ต! คุณหายไปไหนมา!”
ไม่มีฉากกอดกันด้วยความรัก มีเพียงกฤติที่ถามอีกคนเสียงเขียว ความใจหายแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้ครอบครัวคนจีนด้านหลังจะมองเขาอย่างไร รู้แต่ว่าตอนนี้เขาจะต้องเอาเลือดหัวอีกคนออกให้ได้
“ผมหันหลังไปถ่ายรูปแป๊บเดียว หันมาอีกทีคุณหายไปแล้ว”
“วันหลังจะถ่ายรูปก็บอกกันมั่งสิ!”
นรินทร์มองตาปริบ แต่กฤติไม่สนใจ เขายังคงระบายความอัดอั้นตันใจของตัวเองต่อ
“ผมไม่คิดว่าคุณจะหายไปเลย…”
“อย่าเพิ่งเถียง!”
กฤติพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว นรินทร์ถึงกับยอมปิดปากสนิทเมื่ออีกคนไม่ได้มีท่าทีเล่นๆ อยู่เลย เหมือนกฤติจะลืมไปแล้วว่าเขาไม่ใช่น้องนิ้งที่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้น
“คุณไม่รู้หรอกว่าผมแม่งประสาทเสียแค่ไหนตอนหาคุณไม่เจอน่ะ โบสถ์ก็ไม่ได้ใหญ่เลย ตัวคุณก็ไม่ใช่เล็กๆ ไม่รู้ทำไมถึงได้หายไปเฉย”
“...”
“ต่อจากนี้ห้ามเดินห่างผมเลยนะ ไม่ว่ายังไงก็ห้าม จะถ่ายรูปทำอะไรก็บอกกันก่อน ผมรอได้อยู่แล้ว”
“กลัวผมหายเหรอคุณ”
“เออสิวะ!”
นรินทร์ถึงกับหลุดยิ้มเมื่ออีกคนพูดรัวๆ ยาวๆ ติดกันหลายประโยคทั้งที่ไม่ใช่นิสัย อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ที่พูดคุยกันครั้งสุดท้ายวันนั้น
“ผมดีใจนะที่คุณห่วงผม”
เป็นกฤติแทนที่เงียบลง คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้างเม้มปาก ในใจมัวแต่หงุดหงิดตัวเองที่ตกใจเหมือนนรินทร์ตัวโตเป็นเด็กประถม ตอนนั้นเขาคิดแต่เพียงว่าจะให้อีกฝ่ายหายไปไม่ได้ อยากจะย้อนเวลากลับไปหยิกตัวเองเรียกสติชะมัด
ถึงแม้จะพยายามทำหน้านิ่งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถปิดใบหูที่เริ่มแดงของตัวเองได้
“ไม่ต้องห่วงนะครับ”
“...”
“ไม่มีทางที่ผมจะทิ้งคุณไปอยู่แล้ว”
คล้ายโลกหยุดหมุน หัวใจของกฤติเต้นแรงจนคล้ายกับมันจะทะลุออกมานอกอก หัวหน้าหนุ่มเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง
การใจเต้นทั้งที่ครอบครองไม่ได้นี่มันทรมานหัวใจชะมัด
“คุณ…”
เสียงทุ้มของนรินทร์เรียกความสนใจของกฤติอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขาออกมายืนกันหน้าโบสถ์ อากาศติดลบนั้นไม่ได้ช่วยให้กฤติรู้สึกร้อนใบหูน้อยลงเลยสักนิด
“ครับ?”
“เรื่องที่ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไปน่ะ ผมพูดจริงนะ”
ชายคนนี้จะทำให้เขาใจเต้นแรงจนตายเลยหรือไง?
เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองจะแก้อาการร้อนหูเพราะความไร้สาระของนรินทร์ได้อย่างไร กฤติจึงทำเพียงแค่พูดปัดออกอย่างที่ทำเป็นประจำเท่านั้น
“อย่าไร้สาระ”
“ผมพูดจริง”
ท่าทีจริงจังของนรินทร์นอกเหนือจากเรื่องงานทำให้กฤติเลือกที่จะนิ่ง อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้บ่อยมากนัก หรือไม่ก็หัวใจของเขาอาจจะเหนื่อยเกินกว่าที่จะวิ่งหนีนรินทร์อีกต่อไปแล้วก็ได้
“ตอนนั้นน่ะ อันที่จริงแล้ว...“มีคนไปเป่าหูน้องนิ้งให้พูดแบบนั้น”
“...”
“ผมจะไม่แก้ตัวให้ลูกเพราะน้องก็พูดแบบนั้นจริงๆ แต่ผมอยากขอโอกาสให้คุณฟังที่แกจะพูดหน่อย”
“...”
“ไม่ต้องฟังผมก็ได้ ฟังลูกผมหน่อยเถอะนะ”
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ กฤติก็พ่ายแพ้ต่อผู้ชายคนนี้เสมอ
นรินทร์เลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง เขาใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ได้ว่าอะไร เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดเฟสไทม์หาลูกสาวที่น่าจะกำลังเพิ่งเลิกเรียนพิเศษทั้งหมดเสร็จแล้วรอให้เนตรมารับไปบ้านย่า
‘อากฤติ สวัสดีค่ะ’
เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงที่ชายหนุ่มเอ็นดูมาพร้อมกับใบหน้าน่ารักของเด็กประถมที่กฤติไม่ได้เจอหน้ามาหลายเดือน น้องนิ้งยังคงดูน่ารักเหมือนเดิม เพียงแต่หน้าตาของเด็กน้อยไม่ได้ยิ้มแย้มเหมือนกับน้องนิ้งในความทรงจำที่เขาเคยมี
“สวัสดีครับน้องนิ้ง” หัวหน้าหนุ่มรับโทรศัพท์จากอีกฝ่ายมาถือไว้เองเพื่อที่จะมองหน้าคนด้านในให้ชัด “สบายดีมั้ยครับ?”
‘ไม่เลยค่ะ’ เด็กน้อยพูดตอบกลับมาทันที ‘ทุกวันนี้หนูเปิดเทอมแล้ว การบ้านเยอะมากๆ เลยค่ะ คุณพ่อก็ไม่อยู่ด้วย’
“คุณพ่อมาทำงานแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้วครับ”
‘อากฤติกลับมาด้วยได้มั้ยคะ?’
ชายหนุ่มเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบเด็กหญิงที่มองมาด้วยแววตาใสซื่อได้อย่างไร
“คงไม่ครับ อาแค่มาทำงานแป๊บเดียว บังเอิญต้องมากับคุณพ่อของหนูเท่านั้นครับ”
กฤติเลือกตอบความจริงออกไป เขาตบท้ายคำพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่คล้ายกับการบังคับกล้ามเนื้อมุมปากให้เปลี่ยนรูปเสียมากกว่า
‘อากฤติกลับมาพร้อมกับคุณพ่อนะคะ’
“...”
‘ตั้งแต่วันนั้นคุณพ่อไม่มีความสุขอีกเลยค่ะ’
“...”
‘นิ้งขอโทษที่พูดแบบนั้นออกไปนะคะ นิ้งไม่ได้ตั้งใจ นิ้งไม่ได้หมยาความว่าแบบนั้น นิ้งชอบอากฤติมากๆ ชอบที่สุดในโลกเลยค่ะ’
“...”
‘อากฤติไม่โกรธนิ้งได้มั้ย? นิ้งขอโทษค่ะ’
“อากฤติไม่เคยโกรธน้องนิ้งเลยครับ อาเข้าใจ”
‘ตอนนั้นนิ้งกลัว’
“...”
‘นิ้งกลัวเพื่อนล้อ กลัวแปลกถ้าไม่ได้มีพ่อเป็นผู้ชาย แม่เป็นผู้หญิง แบบคนอื่นเขา’
เด็กหญิงยังคงพูดต่อไป ใบหน้ากลมของเด็กหญิงเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่นิ้งพยายามฮึบไว้ คุณพ่อบอกว่าคนเก่งจะต้องไม่ร้องไห้ตอนที่คุณพ่อมาปลอบไม่ได้
‘แต่ตอนนี้นิ้งไม่เอาแล้ว นิ้งแค่อยากได้คุณพ่อกับคุณแม่ที่รักกัน อยากได้คนที่คนที่คุณพ่อรัก’
เด็กหญิงพยายามสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย ใบหน้าเหยเกเหมือนคนที่แทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
‘นิ้งอยากได้อากฤติเป็นอากฤติของน้องนิ้งเหมือนเดิมได้มั้ยคะ?’
กฤติรู้สึกเหมือนมีใครมาจุดพลุเอาไว้ข้างในอก เขาร้อนที่ใบหน้ากับท้ายทอย กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์ก็มีน้ำหยดหนึ่งไหลลงมาเปื้อนเสียแล้ว
‘อากฤติไม่ระ.. ฮึก ร้อง.. ไม่ร้องนะ.. ฮึก คะ’
เด็กหญิงในจอเริ่มปล่อยโฮตามเมื่อเห็นว่าคนที่เธอคุยด้วยเริ่มร้องไห้ ตอนนี้เหมือนจะร้องหนักกว่าชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าเสียแล้วด้วย
‘ฮะฮึก … ถึงเพื่อนจะล้อนิ้งก็ไม่สนแล้ว ใครทำอากฤติร้องไห้นิ้งจะต่อยให้หมดเลย ฮือ!’
คำพูดใสซื่อของเด็กประถมคล้ายกับค้อนที่มาทุบกำแพงในใจเขาเสียแหลกละเอียด
เขายอมแล้ว ยอมทั้งหมดแล้ว
มันเป็นความรู้สึกเต็มตื้นเกินบรรยาย เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่บนสวรรค์หรือเปล่า มันเกินที่จะคิดและรู้สึกอะไรอีกแล้ว ทั้งหมดมีเพียงแค่ความรู้สึกอุ่นวาบบริเวณหัวใจเท่านั้น
เขารู้สึกว่าตัวเองได้รับความรัก
‘ตายแล้วน้องนิ้ง!’ เสียงของผู้หญิงที่กฤติจำได้ว่าเป็นแม่ของเด็กน้อยลอดเข้ามาในสาย ‘เป็นเด็กผู้หญิงไปต่อยตีกับคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงกันคะลูก?’
“...”
‘คุณแม่บอกแล้วใช่มั้ยคะว่าเวลาคุณพ่อพูดอะไรที่มันไร้สาระไม่ต้องฟังก็ได้ค่ะ ดูสิเนี่ย ติดอะไรมาก็ไม่รู้แล้ว’
“...”
‘คอยดูนะคะถ้าคุณพ่อกลับมาเมื่อไหร่นะแม่จะดุแน่นอน ทั้งสองคนนั่นแหละ ตัวพ่อโดนหนักเลย ดูสิเนี่ยชอบใช้กำลังจนลูกติดนิสัยต่อยตีมาแล้ว นี่เป็นเลขาหรือเป็นคนบ้ากำลัง น้องนิ้งอย่าไปทำตามนะคะ มันไม่ดี...’
ภาพหน้าจอหายไปเพราะคนตัวสูงด้านหลังแย่งโทรศัพท์มือถือจากมือของเขาไปแล้วกดวางสาย โดยไม่ใส่ใจว่าตัวเนตรยังบ่นไม่จบหรืออะไร แต่ช่างมันเถอะ เพราะตอนนี้กฤติไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เขาซบหน้าลงบน่ามือของตัวเองแล้วร้องไห้ออกมา ความอัดอั้นตันใจหลายปีที่ผ่านมาถูกคลายออกไปหมดแล้ว
“คุณ… ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องร้องแล้วนะ”
สัมผัสอบอุ่นบนศีรษะนั้นเดาไม่ยากเลยว่าเป็นของใคร ภายใต้อากาศติดลบของเยอรมัน มีมือที่อบอุ่นของผู้ชายที่หัวใจเขาร้องเรียกทุกวันลูบหัวเบาๆ เพียงแค่นั้นกฤติก็รู้สึกว่าหัวใจเขาแทบจะเต็มล้นไปด้วยความสุขแบบที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
“คุณ…”
“พอแล้วครับ”
นรินทร์พูดเบาๆ แต่หนักแน่น เขากอดหัวหน้าตัวเองไว้เหมือนตอนที่กอดลูกสาวตอนที่กำลังร้องไห้ คนตรงหน้าเขานั้นเปราะบางมากกว่าที่เคยเห็น
“ผมจะถามอีกครั้งนะคุณ”
“...”
“มาเป็นครอบครัวของผมนะครับ”
เพียงแค่ประโยคสั้นๆ ของสองพ่อลูกเท่านั้น หัวใจของชายหนุ่มก็เหมือนได้รับการปลดกลอนออก
ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนโต กฤติตัวคนเดียวมาโดยตลอด ไม่มีครอบครัวให้หันหน้าไปหา ไม่มีคนรักและลูกเล็กๆ แบบที่เพื่อนวัยเดียวกันมักจะมี เขามีเพียงแค่ห้องว่างเปล่าและคู่นอนไม่ซ้ำหน้าในแต่ละสัปดาห์
เขาคิดว่าตัวเองคงจะต้องอยู่คนเดียวตลอดไป
จนกระทั่งนรินทร์เข้ามา ทำให้คำว่าครอบครัวถูกวาดขึ้นมาอีกครั้ง และเขาก็ปล่อยมือจากอีกฝ่ายไปเพียงเพราะไม่ต้องการให้ตัวเองเข้าไปทำลายครอบครัวที่น่ารักของอีกคน
แต่ตอนนี้ครอบครัวของนรินทร์มีที่ยืนสำหรับเขาแล้ว
ที่ที่กฤติต้องการมาตลอด
“คุณ…อยากให้ผมอยู่ในครอบครัวของคุณด้วยจริงๆ เหรอ?”
“ครับ”
“แต่ผม… ผมอาจจะทำมันพัง”
“เราก็ค่อยๆ ซ่อมไปด้วยกันไง” นรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผมอาจจะทำให้คุณกับลูกทะเลาะกันอีก”
“เราก็เคลียร์กันไงคุณ แบบครั้งนี้ไง อันนี้ก็ซ้อมไว้ก่อน”
“แต่…”
“พอแล้วคุณ จังหวะนี้คุณต้องตกลงแล้วป่าว ผมหนาวเหมือนกันนะเนี่ย มาเล่นตัวอะไรตอนที่อากาศติดลบแบบนี้… โอ้ย!”
นรินทร์พูดติดตลกอย่างหวังว่าอีกฝ่ายจะหยุดโทษตัวเองเสียที ซึ่งมันก็ได้ผล กฤติผละออกจากอ้อมกอดเพื่อมาฟาดฝ่ามือลงบนแขนของเขาอย่างจัง
เชี่ย เจ็บจริงนะเนี่ย
“ไอ้… ไร้สาระ”
“ครับๆ”
นรินทร์รับคำอย่างยินดี ใบหน้าของอีกฝ่ายรื่นรมย์จนกฤติเผลอยิ้มออกมาบ้าง
“ตกลงเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
กฤติมองหน้าอีกคน รอยยิ้มกว้างของอีกคนยังประดับอยู่บนใบหน้า หากเป็นปกติเขาคงจะกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ แต่ตอนนี้เขากลับทำเพียงแค่ตอบรับอีกคนเสียงดังหนักแน่นเท่านั้น
“ครับ”
วันอาทิตย์หลังจากนี้ เขาคงไม่ต้องนอนคนเดียวอีกแล้ว
-------- TBC -------
ยังไม่จบนะแก!
#คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์