ตอนที่ 11
“เสาร์นี้พวกมึงว่างป่ะ” พี่เอ็มถามตอนที่พวกเรากำลังรอลิฟต์ลงไปข้างล่าง “ไปไหว้พระกัน”
“ควรเป็นอีแมนม้ะ ที่ชวน” ต้าร์แขวะ
“อีห้าบาป อี sin city อี silent hill” พี่เอ็มเท้าสะเอว “มึงกับกูก็คาวโลกีย์พอกันนั่นแหละ”
“พวกมึงนี่โหวกเหวกตั้งแต่เช้ายันตะวันจะตกเลยนะคะ” เอเดินเข้ามาร่วมวง “มิน่าถึงได้ไม่มีผัว”
“ค่า อีมีผัว อีปลีกตัวออกจากเพื่อน” พี่เอ็มกับต้าร์หันมาประสานเสียงกัน
“เอ๊า ถ้าพวกมึงมีผัว มึงก็เลือกผัวมากกว่าเพื่อนเหมือนกันนั่นแหละ” เอเชิดหน้า
“ก็จริงของมันนะ อาม่า” ต้าร์ว่าอย่างออกตัว
“สรุปจะไปกันมั้ยคะ” พี่เอ็มทวนรอบวงกึ่งบังคับกลายๆ แล้วจึงหันไปเจาะจงกับเอ “ทริปนี้พาพี่โอ้ผัวมึงไปด้วยก็ได้”
ทุกคนพยักหน้าหงึกหงัก เหลือแต่ผมคนเดียวที่บอกว่า “วันเสาร์กูกลับบ้านที่ราชบุรี กลับมาอีกทีก็เย็นๆ วันอาทิตย์เลยอ่ะ”
“ตอแหลเพราะไม่อยากไปป่ะคะ” ต้าร์ดักคอ
“ไปด้วยกันเถอะเหนือ ทำบุญไม่ต้องใช้ตังค์ก็ได้บุญ ทำแค่บาทเดียวก็ได้บุญ” แม่ชีของเดอะแก๊งพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบชุ่มเย็น
“มึงต้องเชื่อคำอีแมนนะ ในแก๊งเรามันใกล้เคียงกับโสดาบันที่สุดละ” พี่เอ็มว่า
“กูไม่ได้กังวลเรื่องเงินแต่เสาร์นี้กลับบ้านจริงๆ” ผมยืนยัน
“ตามใจ ไว้พวกกูจะทำบุญให้มึงก็ละกัน”
“อีดอก ไม่กรวดน้ำให้กูด้วยเลยล่ะงั้น”
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวกเราเงียบลงทันทีเมื่อออกจากประตูเข้าตึกออฟฟิศมาเจอกับรถบีเอ็มดับบลิวสีดำเคลื่อนมาจอดเทียบ แค่เห็นกระจกรถเลื่อนลงผมก็แทบจะปั้นหน้าไม่ถูกละ นี่ในรถยังมีผู้หญิงอีกคนนั่งคู่กับพี่วินอยู่ด้วย มันรู้สึกเหมือนโดนชกแรงๆ ที่อกแบบนั้นเลย
“ไฮ!” มายด์ยื่นหน้าระรื่นออกมาทัก
“อ้าวมายด์” ผมต้องแอ๊กติ้งไปตามเรื่อง “เจอกันอีกแล้วเนาะ”
“มายด์มาทำเล็บแถวนี้ พอจะกลับรถก็พังซะงั้น ตะกี้ก็เลยโทรขอความช่วยเหลือจากพี่วิน แต่นี่ก็ว่าจะไปหาอะไรกินกันน่ะ”
ผมว่าผมเริ่มคุ้นกับวิธีพูดคุยโวของมายด์แล้วนะ ถามอย่างเดียวหรือไม่ต้องถามก็ได้ข้อมูลครบถ้วน ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง ที่สำคัญบอกให้เรารู้สึกจี๊ดๆ อยู่ฝ่ายเดียวด้วยสิ
“อ้อ ขอให้อร่อยนะ” ผมยิ้มแห้งๆ เริ่มจะสวมหน้ากากไม่ไหว
“ไปละ บายจ้า” แล้วกระจกก็เลื่อนขึ้นพร้อมกับรถเคลื่อนออกไปจนลับสายตา
พี่วินไม่ได้หันมามองผมเลยครับ
“นั่นน่ะเหรออีมายด์ ตอแล๊ตอแหล อุตส่าห์จอดรถบอกเลยเชียว ชวนเป็นมารยาทสักนิดก็ไม่มี” พี่เอ็มหันมาถามผม “นางดูมารยาอ่ะมึง”
“แต่ว่าไม่ได้นะ นางสวยจริงอะไรจริง ไม่งั้นไอ้พี่วินไม่ยอมรีเทิร์นด้วยง่ายๆ หรอก” ต้าร์ว่า
“สรุปคือเขารีเทิร์นกันแล้วเหรอ?” เอถาม
“โอ๊ย น้อยไปสิคะ ชะนีทำหน้าระริกยังกะปลากระดี่ได้น้ำขนาดนั้น กูว่าพากันรีเทิร์นไปหลายโค้งแล้วค่ะ อุ๊บบบส์…” ต้าร์โพล่งออกมาก่อนจะรีบรูดซิบปาก “กูเดา กูไม่รู้จริงหรอก อาจจะกลับมาคุยกันประสาคนรู้จักอ่ะแหละเนอะ”
“กูว่ามึงควรไปทำบุญกับพวกกู เอาสิบเก้าวัดไปเลยค่ะ” พี่เอ็มเข้ามาโอบที่เอวผมอย่างปลอบใจ
“ถวายของเป็นคู่เสริมดวงความรักได้นะ” แมนบอก “อย่างพวกแจกันคู่ เทียนคู่ ผลไม้แพ๊กคู่ไรพวกนี้”
“อีแมน กูก็ถวายของเป็นคู่ตามที่มึงบอกมาเป็นปีละนะ ไม่เห็นกูจะมีผัวสักที” ต้าร์หันไปแขวะ “ถวายจนหลวงพ่อท่านรู้ละว่ากูอยากมีผัวจนตัวสี้ตัวสั่น”
“ใจเย็นๆ สิ คนที่ใช่จะมาในเวลาที่เหมาะสมนะ” แมนหัวเราะ
“ค่า ถ้าคนที่ใช่ของกูโผล่หัวมาตอนอายุห้าสิบนู่นล่ะคะ กูอยากกินกล้วยงาช้างนะไม่ใช่มะเขือเผา”
“เบื้องบนอาจจะลงมติให้คนบาปอย่างมึงอยู่เป็นโสดจนยานคาคานก็เป็นได้นะคะ”
ผมก็เนียนๆ ทำเป็นเฮฮาไปแหละครับ ไม่อยากให้พวกมันรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังอ่อนแอเหลือเกิน…
เดินซึมกะทือกลับมาถึงแมนชั่นก็เกือบสองทุ่มละครับ มือข้างหนึ่งหิ้วข้าวกล่องจากร้านตามสั่งหน้าปากซอยมาด้วยซึ่งข้างในเป็นอะไรผมก็จำไม่ได้แล้วล่ะ ไม่รู้ด้วยว่าจะกินรึเปล่า มันอิ่มๆ ตื้อๆ แม้ว่าตอนเย็นยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง อาการแบบนี้มันเหมือนตอนเลิกกับพี่ป๊อปไม่มีผิด…ทั้งที่ผมกับพี่วินก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ทำไมถึงได้รู้สึกมากขนาดนี้ก็ไม่รู้
“คุณเหนือ” ลุงยามเรียกก่อนที่ผมจะเดินเลยเข้าไปกดลิฟต์
“ครับ?”
“อย่าหาว่าลุงยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณเหนือเลยนะ” ลุงยามถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเปิดเผย “ลุงดูกล้องวงจรปิดตรงทางเดิน เห็นคุณเหนือเอากล่องเสื้อผ้ามาทิ้งก็เลยเก็บไว้ให้”
“เอาทิ้งไปเถอะครับ เหนือไม่เอาแล้ว”
“เมื่อเช้าแฟนคุณเหนือมาหา บอกว่าเมื่อคืนคุณเหนือน่าจะเมาก็เลยจะแวะรับไปส่งที่ทำงาน เขาเห็นกล่องนั้นพอดี ลุงก็เลยเอาให้เขาไป”
“ครับ เอาคืนเขาไปก็ได้”
ลุงยามถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ทะเลาะกันอีกแล้วล่ะสิ”
“ที่จริงเราไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกครับ”
“แน่เหรอว่าที่หน้างอเป็นหมาหงอยเนี่ยไม่ใช่เพราะคุณวิน” พูดจี้ใจผมพร้อมกับอมยิ้มไปด้วย
อีลุงยามนี่ชักจะรู้ลึกรู้จริงเกินไปละ ใต้เตียงผมมีเครื่องดักฟังอยู่รึเปล่าวะ
“อย่าว่างั้นงี้เลยนะ ลุงเอ็นดูคุณเหนือก็เลยอยากบอกว่าถ้าเจอคนที่ใช่แล้วก็อย่าปล่อยให้เขาหลุดไปง่ายๆ” ลุงยามทำสีหน้าปลงๆ “ลุงก็เคยมีแฟนอยู่คนนึง สมัยก่อนคนไม่ยอมรับเท่าตอนนี้ ต่างคนต่างก็กลัวคำพูดกลัวสายตาคนอื่นก็เลยหลบๆ ซ่อนๆ พอเขาอึดอัดก็เลยหนีไปคบผู้หญิง”
“แล้วลุงไม่ตามเขาเหรอครับ”
ลุงยามส่ายหน้า “ลุงไม่กล้าหรอกเพราะคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เท่าเทียมกับผู้หญิงคนนั้น… ก็เลยมานั่งเสียใจอยู่จนวันนี้”
“เสียใจด้วยนะลุง” ฟังแล้วก็น้ำตาคลอ ทำไมถึงได้คล้ายกับเรื่องของผมจัง
“ช่างมันเถอะ เรื่องก็ผ่านมานานละ” ลุงยามตบที่บ่าผมเบาๆ “ของที่เป็นของเรายังไงก็เป็นของเรา… แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเขาก็อาจจะไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นของเรา”
หลังจากเช้าวันจันทร์ผมกับพี่วินก็ไม่ได้พูดกันเลยแม้แต่คำเดียวจนถึงเย็นวันศุกร์
ผมถือว่าเป็นสัปดาห์ที่ผมอึดอัดมากจริงๆ มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่เราถูกคนรู้จักละเลยหรือเวลาที่ทะเลาะกับเพื่อนแล้วไม่มีใครยอมอ่อนให้ทั้งที่ก็อยากจะกลับมาพูดคุยกันเหมือนเดิมน่ะครับ แต่เหตุการณ์ของผมกับพี่วินมันบอกในตัวอยู่แล้วว่าไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องพูดคุยกัน แล้วก็…ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาเขาก่อนด้วยล่ะ
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอมึง” พี่เอ็มกับเดอะแก๊งเดินมาหาที่โต๊ะ “ให้พวกกูอยู่เป็นเพื่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไร กลับไปก่อนเลย พรุ่งนี้ไปไหว้พระกันแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” ผมโบกมือไล่
“อยู่ได้แน่นะ” ต้าร์ถามย้ำพลางเหล่ตาไปทางโต๊ะพี่วินซึ่งเจ้าตัวไม่อยู่ตั้งแต่สองชั่วโมงก่อน
“กูบอบบางขนาดนั้น?” ผมหัวเราะ “กูคือนางเอกสมัยใหม่ที่สู้คน เข้มแข็ง หัวรั้น จิกกัด ตบตี ด่าทอไฟแลบ แซ่บสุดในเรื่อง นางร้ายหน้าไหนเป็นอันต้องพ่ายกระเจิง”
“แต่กูก็เห็นอีนางเอกสมัยใหม่ทุกรายแพ้ทางพระเอกหล่อๆ ทุกที น้ำเน้าน้ำเน่า”
“เออน่า พวกมึงกลับไปเถอะ” ผมบุ้ยปากไปทางโต๊ะพี่วินก่อนจะบอกว่า “มันคงกลับไปแล้วล่ะ”
“ตามใจ”
ผมนั่งทำงานต่ออีกเกือบชั่วโมงก็เสร็จ ปิดคอมฯ แล้วก็เดินไปห้องน้ำก่อนจะกลับมากดลิฟต์ ตอนที่รอลิฟต์มารับก็เริ่มเล่นมือถือไปด้วย พอประตูเปิดก็เดินเข้าไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูอย่างอื่นเลย
“รอด้วยครับ” เสียงอีกคนบอกจากนอกลิฟต์
“ครับ” ผมขานรับพลางกดให้ประตูเปิดรอโดยที่ก็ยังไม่ได้เงยหน้าอีกแต่พอเขาเข้ามาอยู่ในลิฟต์เรียบร้อยนั่นแหละ กลิ่นน้ำหอมนั่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาได้
พี่วินยืนอยู่ข้างๆ ผม แต่เราก็ยังไม่พูดกันแม้แต่คำเดียว…
จังหวะนั้นเหมือนเวลาเดินช้ากว่าเดิมครับเพราะยืนอึดอัดอยู่นานแล้วนานอีกแต่ลิฟต์ไม่ถึงชั้นล่างสักที จนกระทั่งพี่วินยื่นมือไปกดนั่นแหละถึงได้รู้ว่าลืมกด
ลิฟต์เลื่อนลงมาได้ชั้นเดียว ทุกอย่างก็ดับพรึ่บ!
“เชี่ย!” ผมสะดุ้งมากเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์ไฟดับแล้วติดอยู่ในลิฟต์มาก่อน
ผ่านไปหลายอึดใจอยู่เหมือนกันกว่าจะหายตระหนก แล้วจึงพบว่าตัวเองโผมาเกาะแขนทั้งยังเอาหน้าซุกหลังพี่วินได้ยังไงกันวะครับ
“เชี่ย!” ผมอุทานอีกรอบก่อนจะรีบดีดตัวออกมา
“ไม่ตายหรอกน่า” พี่วินถอนหายใจเพลียๆ “เดี๋ยวไฟก็ติด”
“ก็ถ้าอยู่ๆ มันหลุดลงไปกระแทกข้างล่าง ไม่ตายไหวเหรอ” คือพอได้คุยกันก็อย่างที่เห็นแหละครับ อ้าปากเป็นเถียง
พี่วินถอนหายใจเพลียๆ อีกรอบแล้วจึงกดปุ่มฉุกเฉิน ไม่นานก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ข้างนอกได้
“ใจเย็น เขารู้แล้วว่ามีคนติดอยู่ในลิฟต์”
ผ่านไปสักสิบนาทีผมก็เริ่มชินกับกล่องเหล็กมืดๆ แคบๆ และเริ่มจะร้อนอบนี่ละ เห็นพี่วินนั่งลงกับพื้นก็เลยนั่งลงบ้าง
“รู้ด้วยเหรอว่ามายด์เป็นแฟนเก่าพี่” พี่วินเริ่มคุยเหมือนไม่มีอะไรให้ทำแล้ว
ไม่เอามือถือมากดเล่นเหมือนผมล่ะ
“อือ…เคยเห็นรูปในตู้เสื้อผ้า” ผมเม้มปาก ปิดแชทรายงานสถานการณ์ในกลุ่มไลน์เดอะแก๊ง ลังเลว่าจะพูดดีมั้ย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจถาม “กลับมาคบกันเหรอ?”
“แค่คุย” พี่วินตอบสั้นๆ แต่ไม่กระจ่างสำหรับผมนะ แต่แค่นั้นผมก็รู้ละครับว่าโอกาสที่พี่วินกับมายด์จะกลับมาคบกันมีสูงมาก ผมว่าผมรู้นะว่าพี่วินเป็นคนยังไง ถ้าไม่ก็คือไม่ แต่ลองพูดแบบกึ่งๆ แบบนี้ก็คงจะตัดไม่ขาดอยู่นั่นเอง
คงรักมันมากสินะ (ขอเรียกอีมายด์ว่า ‘มัน’ เพื่อนความไม่สุภาพกับเพศแม่)
“ตอนนั้นขอโทษนะ…ที่พูดไม่ดี” ผมมองหน้าพี่วินอย่างสำนึกผิดจริงๆ
“ตอนไหน มีหลายตอน” พี่วินถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
กำลังจะดีอยู่แล้วเชียว พูดซะความสำนึกผิดของผมปลิวหายไปหมด ผมได้แต่มองหน้าพี่วินเคืองๆ จากนั้นก็บอกเพิ่มเติม “สมัยเรียน ที่มายด์ยื่นมือถือให้คุย”
“อ้อ”
“คือตอนนั้นกำลังทำรายงานกลุ่มแล้วเหนือก็หงุดหงิดที่มายด์เอาแต่คุยโทรศัพท์ เหนือก็เลย…” นึกถึงสิ่งที่เคยทำเอาไว้แล้วก็อยากตีปากตัวเอง “เหนือไม่รู้ว่าเป็นพี่อ่ะครับ ถ้าคำพูดพวกนั้นมันทำให้พี่โกรธ เหนือก็ขอโทษ”
พูดจบไฟก็ติด ลิฟต์กลับมาทำงานแล้วค่อยๆ เลื่อนลงไป พอประตูเปิดผมรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูกครับ อาจเป็นเพราะได้คลี่ปมที่ค้างคามายาวนานหลายปีของพี่วินซึ่งผมมีส่วนร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้ผมยังรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่วินก็คงจะจบลงแล้วด้วยเช่นกัน อย่างนั้นผมก็จะทิ้งเรื่องราวว้าวุ่นใจให้อยู่ในกล่องมืดๆ ที่เพิ่งก้าวออกมานั่นแหละครับ
“แล้วเจอกันครับพี่” ผมหันไปยิ้มโบกมือให้พี่วิน
เรื่องของลุงยามที่เล่าให้ฟังเหมือนจะย้อนกลับมาให้ได้ทำความเข้าใจในตอนนี้…
‘ของที่เป็นของเรายังไงก็เป็นของเรา แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเขาก็อาจจะไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นของเรา’
ผมรู้แล้วครับว่าพี่วินคงไม่ใช่คนของผม…
“อืม เจ้าเด็กปากดี”
ผมว่าผมทันเห็นรอยยิ้มของพี่วินแวบนึงนะ ก่อนที่เขาจะเดินแยกไปอีกทาง
จากกรุงเทพฯ มาถึงทางเข้าบ้านที่ราชบุรีผมต้องนั่งรถสองต่อ รวมแล้วใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงนะครับ
“เหนือใช่ไหมนั่น” เสียงป้าทองดังมาจากในร้านก๋วยเตี๋ยวที่มีรถมอเตอร์ไซค์ของลูกค้าจอดเรียงอยู่เกือบสิบคัน “เข้ามาหลบแดดข้างในก่อนเร็ว”
“หวัดดีครับป้า” ผมยกมือไหว้ นั่งลงปุ๊บป้าทองก็ยกชามก๋วยเตี๋ยวต้มยำกับลูกชิ้นลวกวางให้ตรงหน้าปั๊บ ผมเห็นสายตาลูกค้าที่มาก่อนมองอย่างเคืองๆ ด้วยแหละ แต่นี่แหละครับคืออภิสิทธิ์สำหรับลูกชายเจ้าของที่ดินที่ป้าทองเช่าเพื่อตั้งร้านขายก๋วยเตี๋ยว “ขอบคุณครับ”
ผมกินไปก็มองออกไปทางหลังร้านซึ่งเป็นแปลงผักกะหล่ำทอดยาวไปจนถึงตัวบ้านที่เห็นอยู่ลิบๆ สายตานู่น นั่นแหละครับบ้านผม แต่อย่าเพิ่งอุทานว่าโอ้โหรวยนะครับ เรียกว่าแค่พอมีพอกินไม่อับจนเท่านั้นก็พอ แล้วก็อย่าเพิ่งบอกว่าผมน่าจะอยู่บ้านมากกว่าไปเป็นมนุษย์เงินเดือนในเมืองกรุงเลยนะ สิ่งที่ผมเป็นอยู่ผมเลือกของผมแล้วครับ
“ตั้งแต่เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยกลับบ้านเลยนะ” ป้าทองลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวไปก็คุยกับผมไป “ป้าเกือบจะลืมหน้าตาเราไปละ”
“นานๆ กลับทีครับ” อันที่จริงผมกลับมาปีละห้าหกครั้งอยู่นะ แต่นั่นคงไม่บ่อยพอที่ป้าทองจะชินตา
“มีแฟนรึยังล่ะ” จู่ๆ ป้าทองก็ยิงคำถามมาพลอยทำให้ลูกค้าคนอื่นในร้านพากันมองผมอย่างรอฟังคำตอบด้วย
“ยังไม่มีหรอกครับ” เรื่องจริง ผมยังโสด
“เป็นแฟนกับไอ้เด่นลูกป้ามั้ยล่ะ”
“ป้า!” ผมแทบจะพรวดน้ำต้มยำออกมา
“แน่ะ แซวหน่อยล่ะสำลัก” ป้าทองหัวเราะจนล้ำลายกระเด็นลงหม้อต้มน้ำก๋วยเตี๋ยว
“มีไรแม่ เรียกเหรอ”
คนที่ชะโงกหน้ามาคงเป็นไอ้เด่นนั่นแหละ ครั้งล่าสุดที่เจอหน้ากันมันยังเด็กอยู่เลยอ่ะครับ แต่ตอนนี้น้องเด่นโตเป็นหนุ่มน้อยแล้ว คงสิบเจ็ดสิบแปดแล้วล่ะมั้ง ผิวแทนนิดๆ แต่หน้าเนียนดี ผอมไปหน่อยแต่ก็ดูมีกล้ามซุกซ่อนอยู่บ้างนะ
กรี๊ด หล่อใช้ได้นะ
“อ้าวพี่เหนือ” น้องเด่นยกมือไหว้ก่อนจะหันไปถามป้าทอง “มีไร”
“อย่าเพิ่งไปไหน รอพี่เขากินเสร็จแล้วเอ็งขับรถไปส่งพี่เขาเข้าบ้านที” ป้าทองสั่ง
น้องเด่นพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปสนใจกับมือถือต่อ
ผมกินเสร็จ พอจะจ่ายเงินป้าทองก็โบกมือไล่ “ไอ้เด่นรีบพาพี่เขาไปเร็ว”
ผมยืนกรานจะจ่ายให้ได้แต่ก็ไม่ทันอ่ะครับ น้องเด่นคว้าข้อมือผมแล้วดึงออกร้านมาตรงที่จอดมอเตอร์ไซค์ ผมรู้สึกบอบบางมากสู้แรงน้องเขาไม่ได้เลยจริงๆ
“ขึ้นมาเลยพี่เหนือ” น้องเด่นบอกอย่างเชื้อเชิญ “กอดเอวผมได้เลยพี่”
รู้สึกฟินดีจังเวลาที่มีผู้ชายเอาใจ 555
“เรียนชั้นไหนแล้วล่ะ” ผมชวนคุยไปตามเรื่องแหละครับ
“ม. หกแล้วพี่”
“มีแฟนยังอ่ะ”
“มีแล้ว”
ชิ เหม็นสาบความรัก ผมเบ้ปากใส่ท้ายทอยมัน
คุยกันได้เท่านั้นแหละครับเพราะจากร้านป้าทองมาถึงบ้านผมก็ไม่ไกลมากเมื่อน้องเด่นพาซิ่งเข้ามาซะขนาดนี้
“อ่ะ พี่ให้” ผมยื่นตังค์ให้สองร้อย ถือว่าเป็นค่าก๋วยเตี๋ยวเมื่อกี้ละกัน
“ไม่เอาหรอกพี่ แม่ห้ามเด็ดขาด”
ปากบอกไม่แต่ตาน้องเด่นอยากได้นะ ผมรู้
“ป้าทองไม่รู้หรอก” ผมยัดใส่มือน้องเด่น เรียกว่าลงทุนไว้เผื่อคราวหลังใช้ให้ทำอะไรจะได้ว่าง่ายๆ อิอิ
“ขอบคุณครับพี่ น่ารักที่สุด” น้องเด่นยกมือไหว้ “มาบ่อยๆ นะพี่”
“เออ ขอบใจมาก”
พอน้องเด่นซิ่งมอเตอร์ไซค์ออกไปแล้วผมก็เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาละ เฮ้อ
“จำทางกลับบ้านถูกด้วยเหรอ” เสียงทักทายจากพ่อผมเองครับ
ผมยกมือไหว้พอเป็นพิธีแล้วก็เดินผ่านแคร่ไม้ใต้ต้นมะม่วงที่พ่อกำลังนั่งเล่นอยู่กับลูกหมาสองตัวเข้าไปในบ้าน
บ้านของผมก็คล้ายกับบ้านส่วนใหญ่ตามต่างจังหวัด ไม่ได้สวยแต่ร่มรื่น ไม่ได้ดูแพงหรือทันสมัยแต่ก็มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันนะครับ เรียกว่าสมถะมากแบบไม่เตะตาโจรอ่ะครับ แต่คงไม่มีโจรมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านผมหรอก คนทั้งตำบลรู้ดีว่าพ่อผมโหด
ถึงตรงนี้ก็คงอยากรู้กันแล้วใช่มั้ยครับว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยอยากกลับบ้านสักเท่าไหร่ เรื่องมันเริ่มตอนที่ผมเรียนปีหนึ่งเทอมสองครับ ตอนนั้นผมพาเพื่อนคนนึงกลับมาเที่ยวบ้านด้วย ที่จริงเราก็ถือว่ากำลังอยู่ในช่วงศึกษาดูใจกันนะ เกือบจะตกล่องปล่องชิ้นได้เป็นแฟนคนแรกของผมละ ถ้าตอนที่เราจูบกันอยู่ในห้อง (ย้ำว่าอยู่ในห้องส่วนตัวของผม) แล้วพ่อไม่เปิดประตูผลัวะเข้ามา ว่าที่แฟนของผมโดนพ่อต่อยจนฟันโยกไปทั้งแถบ หลังจากที่กลับมากรุงเทพฯ เขาก็ไม่คุยกับผมอีกเลยครับ
“ไม่หอบใครมาด้วยเหรอ” พ่อผมตามเข้ามากระแนะกระแหนถึงในบ้าน
“อยากให้พาใครมาล่ะ” ผมย้อน
“ผัวมึงไง”
“พ่อ!”
“เออ กูพูดผิดตรงไหน หรือว่าเปลี่ยนใจเอาเมีย”
“ก็ถ้าเหนือจะมีผัวมันผิดมากนักเหรอ” ผมอยากกลับกรุงเทพฯ ทั้งที่เพิ่งเข้าบ้านมาได้ไม่ถึงสิบนาทีนี่ล่ะ
“เถียงฉอดๆ เหมือนแม่มึงไม่มีผิด” เสียงพ่อดังกว่าเดิมละครับ “ก็ถ้ามึงมี…ตื๊ด…(เสียงเซนเซอร์แทนคำว่าหอสระอี) แล้วจะมีผัวกูก็ไม่ขัดโว้ย”
“พ่อ! เราเคยคุยกันแล้วนะ” ผมยกเป้ที่เพิ่งวางกลับขึ้นบ่าละ ไม่เอาละ
“หยุด! พี่เดชออกไปข้างนอกเลย เหนือมันก็เคยบอกแล้วว่ามันไม่ชอบผู้หญิง จะไปอะไรกับมันนัก” คนที่โผล่มาห้ามศึกคือน้ายา…แม่เลี้ยงของผมเองครับ “ออกไปเลยนะ ลูกอุตส่าห์กลับมาบ้าน”
สิ้นคำขาดของน้ายา พ่อก็เดินออกไปข้างนอกอย่างหงุดหงิดโดยมีลูกหมาวิ่งพันแข้งพันขาตามไปด้วย
นี่แหละครับสาเหตุที่ผมไม่ค่อยอยากกลับมาบ้าน พ่อแท้ๆ เข้าใจผมได้น้อยกว่าแม่เลี้ยงอีก กลับมาทีไรเป็นต้องทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ ทุกที นึกแล้วอยากจะมีผัวจะพามาเอาให้พ่อดูต่อหน้าให้รู้แล้วรู้แรด
“กินอะไรมารึยังล่ะเหนือ เดี๋ยวน้าหาให้กิน” น้ายายึดเป้ผมไว้ก่อนเลยครับ กลัวว่าผมจะหนีกลับ
“กินก๋วยเตี๋ยวป้าทองมาละครับ”
“อย่าไปถือพ่อเอ็งเลย คงจะเครียด เมื่อเช้าเพิ่งเจอว่ากะหล่ำโดนหนอนกินซะเหี้ยนไปเกือบแปลง”
ผมมองตามออกไปข้างนอกก็เห็นว่าพ่อเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือแต่ลูกหมาสองตัววิ่งกัดกันไปมา
“บ้านเราเลี้ยงหมาแล้วเหรอ” ผมถาม
“พ่อเอ็งไปเก็บมาจากถนนเมื่อวาน เห็นว่ามีคนใส่กระสอบฟางมาทิ้ง” น้ายาบอก
ผมเดินออกไปที่ประตูแล้วทำเสียงเรียกมันก็มาหาครับ หมาเด็กนี่หลอกง่ายดีจัง ตัวแรกส่ายหางดุกดิกเข้ามาเล่นเลยครับ แต่อีกตัวยืนทำคิ้วย่นตาขวางไม่ยอมเข้ามา ท่าทีไว้เชิง ขี้เก๊ก ไว้ใจคนอื่นยากแบบนั้นเห็นแล้วนึกถึงใครบางคน
“พวกมันมีชื่อยังอ่ะครับ”
“ยัง เหนือตั้งชื่อให้มันเลย”
“สิบทิศ” ผมลูบหัวหมาตัวแรกพร้อมกับตั้งชื่อ ดูเหมือนมันจะชอบชื่อนะ ยิ้มร่าเชียว “ส่วนแกชื่อวิน” ผมชี้ไปที่ลูกหมาอีกตัว