- 13 -
โรงเรียนบ้านบ่อ
ผมอ่านป้ายโรงเรียนด้วยความตื่นเต้น ลงจากรถได้ผมก็ดิ่งไปรวมตัวกับเพื่อนๆทันที และก็ตามคาดเมื่อผมเดินเข้าไปถึงก็โดนไอเผือกไอเจงผลัดกันแซวเรื่องพี่เหนือไม่ขาดปาก
“ผัวหึงหรอจ๊ะน้องเพี้ยน”
ผมเงียบทำเป็นไม่สนใจ ช่วยรุ่นพี่ยกของลงจากรถไปเรื่อย โอ้กล่องใหญ่นั่นกูมองข้ามก่อนได้ไหม ท่าจะหนัก ว่าแล้วผมก็เลี่ยงไปหยิบกล่องที่เล็กกว่าและปรากฏว่า ด๊อกกก หนักกว่ากล่องใหญ่ที่ไอเต๋อมันยกไปอี๊ก ของผมมันคือเครื่องมือช่างล้วนๆ ค้อน ตะปู ตะไบ เลื่อย ใบเลื่อย ไม่น่าเห็นแก่ความสบายเลลยกู หลังจะเดาะไหมเนี่ย ผมโอดครวญอยู่ในใจ พยายามยกกล่องใบนั้นลงจากรถด้วยท่าทีสบาย แต่ขานี่สั่นพั่บๆ
“อวดเก่ง”
กล่องในมือผมถูกกระชากออกไปอย่างง่ายดายโดยนักศึกษาแพทย์รูปงามแต่ใจทราม พี่เหนือแย่งกล่องในมือผมไปแล้วเดินลงจากรถไปด้วยท่าทีสบายๆราวกับกล่องใบนั้นเป็นเพียงกล่องเปล่าๆ แรงโคตรเยอะ สงสัยผมควรจะเลี่ยงหาเรื่องโดนตีนให้น้อยที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตัวผมเอง
หลังจากยกของไปเก็บเรียบร้อยแล้วรุ่นพี่ก็สั่งให้พวกผมยืนเข้าแถว เดินเข้าซุ้มที่น้องๆและอาจารย์จัดไว้ต้อนรับ เมื่อพวกผมเดินผ่านประตูเข้าไปน้องๆก็ยื่นช่อดอกไม้เล็กๆที่ทำเองส่งให้เหล่ารุ่นพี่ ก่อนจะกล่าวต้อนรับเป็นภาษาท้องถิ่นของตัวเอง เมื่อพวกผมเดินเข้ามานั่งยังพิธีเปิด อาจารย์ของโรงเรียนบ้านบ่อก็กล่าวต้อนรับ พร้อมกับทำพิธีเปิดค่ายสั้นๆ กำหนดการณ์หลังจากนั้นคือพวกรุ่นพี่จะต้องไปดูสถานที่ที่จะสร้างห้องสมุด และซ่อมแซมห้องเรียนให้แก่น้องๆ พวกผู้หญิงก็จะให้รับผิดชอบเรื่องฐานการเรียนการสอน กิจกรรมนัทนาการต่างๆให้น้องในวันพรุ่งนี้
“ขอประชุมทีมแปปนึงนะครับผู้ชายทั้งหมดเลย”
พี่เพลิงเลื่อนไวท์บอร์ดที่อยู่ในโถงประชุมออกมา วาดรูปสี่เหลี่ยมสองรูปห่างกันบนกระดานรูปแรกคือห้องเรียน รูปที่สองคือห้องสมุด
“ผมจะแบ่งพวกเราออกเป็นสองทีม ทีมแรกจะดูแลในการสร้างห้องสมุด ส่วนอีกทีมจะดูแลซ่อมแซมห้องเรียนของน้องๆซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 ห้อง ผมจะขอแบ่งสองทีมเท่าๆกันนะครับ เนื่องจากห้องสมุดคือการเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ห้องเรียนแค่ซ่อมแซมบางจุดเท่านั้น ใครอยากทำอะไรสามารถแจ้งได้นะครับ หรือจะให้จับกลุ่มให้ก็บอก”
พี่เพลิงพูดอย่างเป็นทางการ คนที่เหลือในห้องก็เริ่มปรึกษาหารือกับพวกของตัวเองว่าจะเลือกอะไรเช่นเดียวกับผม
“กูอยากทำห้องสมุด”
ผมพูดพลางหันไปมองหน้าไอเจงและไอเผือกเพื่อหาแนวร่วม
“งั้นกูไปซ่อมห้องเรียนดีกว่า”
สัส จำเป็นต้องทำกับกูขนาดนี้ไหม ไหนตอบ
“งั้นกูไปกับพวกมึงก็ได้”
บทสรุปคือผม ไอเจง ไอเผือก ไอเต๋อ พี่สอง และนักศึกษาแพทย์อีกหกคนชื่ออะไรบ้างผมไม่รู้ ตกลงเลือกซ่อมห้องเรียน อีกฝั่งจำนวนคนมากกว่าสองคน เลือกทำห้องสมุด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพี่เพลิงจึงนำพวกผมไปยังห้องเรียนที่จะทำการซ่อมแซม พี่ปราบพาอีกกลุ่มไปดูโลเคชั่นที่จะทำห้องสมุด
ห้องเรียนของน้องๆเป็นห้องเรียนไม้เก่าๆเล็กๆที่ดูแล้วไม่น่าจะจุคนได้เกินกว่า ยี่สิบคน พื้นห้องเป็นรูผุ ผมยืนอยู่ชั้นสองยังสามารถมองทะลุลงไปห้องข้างล่างได้ผ่านรูผุๆรูนั้น โต๊ะเก้าอี้ ก็มีไม่พอใช้ ไอที่พอใช้ได้ก็พิการอีกเหลือใช้งานได้จริงๆไม่ถึงสิบตัวเท่าที่ผมเห็นน่ะนะ
“พี่ว่าเราแยกกันทำคนละห้องไหมแบ่งๆกันไปเลย”
พี่สองเสนอระหว่างที่สายตาก็กวาดมองไปรอบๆห้อง
“มีสีห้อง เรามีสิบคนต้องมีสองห้อง สามคน อีกสองห้องสองคน ห้องที่รายละเอียดน้องก็ทำกันสองคน ส่วนห้องที่ต้องทำอะไรหลายอย่างก็สามคนดีไหมครับ”
พี่นักเรียนหมอคนหนึ่งเสนอขึ้น พี่สองก็พยักหน้ารับเห็นด้วย
“เริ่มจากห้องนี้สิ่งที่ผมเห็นว่าต้องซ่อมแซมอย่างแรกคือพื้นที่เป็นรูกว้างตรงกลางห้อง บานประตูที่บานพับหลุดทั้งสองฝั่ง เก้าอี้ที่ขาหัก โต๊ะที่ชำรุด ผมว่าห้องนี้น่าจะใช้คนสามคน”
พี่สองกล่าวต่อ พี่หมอรวมทั้งรุ่นน้องวิศวะคนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ส่วนอีกห้องที่เดินผ่านมาชั้นนี้ มีแค่เก้าอี้ กับโต๊ะที่ต้องซ่อม เอ้อ แล้วก็พื้นห้องคงต้องลงสแลคให้เงาอีกหน่อย เพราะพื้นดูสกปรกมากเท่าที่ผมเห็น”
พี่นักเรียนแพทย์คนเดิมกล่าวเมื่อตกลงกันได้ลงตัวก็แบ่งกลุ่มและแยกย้ายกันไป กลุ่มผมมีพี่สอง ไอเผือก ผม ส่วนไอเจงขอไปอยู่กับทีมนักศึกษาแพทย์เพราะมันคิดว่านักศึกษาแพทย์อาจจะไม่ถนัดงานพวกนี้เท่าไหร่
“เดี๋ยวเราเริ่มจากงานใหญ่ก่อนนะ พี่ว่าจะรื้อไม้สองแผ่นนี้ออก”
พี่สองชี้ไม้สองแผ่นที่เป็นรูกว้าง มองทอดไปตามความยาวของไม้ซึ่งความยาวมันสุดขอบของประตูห้องพอดี
“งั้นเดี๋ยวผมกับไอเทียนไปยกไม้ขึ้นมานะครับ”
ไอเผือกเสนอ พี่สองพยักหน้ารับพวกผมจึงตรงไปยังลานห้องประชุมมองหาไม้ที่พอจะใช้ได้ยกกลับขึ้นไปที่ห้องเรียน เราสามคนช่วยกันรื้อไม้สองแผ่นนั้นออกได้จนสำเร็จ มองลงไปข้างล่างก็เห็นเพื่อนในคณะและนักศึกษาแพยท์อีกสองคนกำลังช่วยกันซ่อมเก้าอี้หลายตัวในห้องเรียน
ตกเย็น
เหล่าวิศวะเดินขาลากกลับมารวมตัวกันที่ลานห้องประชุม เมื่อมาถึงผมก็เจอกับทีมห้องสมุดนั่งอยู่ก่อนแล้ว รวมไปถึงพี่เหนือด้วย พี่เหนือนั่งทำหน้าเบื่อโลกอยู่ข้างพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาโคตรสวยอ่ะ สาวเจ้าพยายามเอาอกเอาใจพี่เหนือยกใหญ่ ทั้งพัดทั้งเช็ดหน้าให้คนนี้คงจะเป็นแฟนพี่มันสินะ หวานกันขนาดนี้กูว่าเผลอๆอาจจะต้องฉีดมดเพิ่มด้วย ผมกำลังจะเดินเข้าไปนั่งร่วมกับเพื่อนก็เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เหนือมันหันมา พี่เหนือมองหน้าผมทำท่าเหมือนจะลุกมาหาแต่ทว่า
“ไงเหนื่อยไหมเรา”
ผมผละหน้าออกจากขวดน้ำเย็นที่พี่สองเอามาแนบแก้มผม ก่อนจะกล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจ
“นิดหน่อยพี่ แล้วน้ำพี่ล่ะ”
“ก็ขวดนี้ไง พี่ให้เรากินก่อน”
พี่สองโคตรใจดีมีเสียสละให้น้องกินก่อนด้วย ตัดภาพไปที่ไอเผือก ขานั้นได้น้ำมาขวดนึงตอนเดินเข้ามานอกจากไม่คิดจะหยิบเผื่อผมแล้วมันยังแดกคนเดียวหมดขวดอีก ผมเปิดฝากระดกน้ำในขวดพร่องไปกว่าครึ่งก็ส่งให้พี่สองดื่มต่อ วิศวะแมนๆครับน้ำลงน้ำลายเราไม่ถือกันอยู่แล้ว ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าตลอดเวลาที่อยู่ในลานประชุมผมรู้สึกเหมือนโดนพี่เหนือมันจ้องตลอดสีหน้ามันบ่งบอกถึงความไม่พอใจถึงขีดสุดแต่ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจ
“ก่อนจะแยกย้ายวันนี้กระเทยขอนัดซ้อมละครค่ายที่จะแสดงในวันพรุ่งนี้ด้วย ใครรู้ตัวก็ออกมาเลยอย่าให้มันไปกระชากตัวถึงที่พักนะ”
โอ้ยยยย ไม่อยากไป ผมโอดครวญอยู่ในใจสุดท้ายก็ต้องเดินคอตกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่อยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกัน
“เซ็ง กูนึกว่าจะได้พักแล้วนะเนี่ย”
ไอเผือกบ่นอุบ นั่งขัดสมาธิมองกระเทยที่พล่ามเรื่องละครค่ายอยู่หน้าแถว
“กูก็เซ็งง่วงแล้วด้วย”
การซ้อมละครเริ่มขึ้นเปิดฉากโดยคำคอยสาวน้อยผู้น่าสงสารของเรื่องโดนแม่เลี้ยงและน้องสาวโขกสับใช้งานสารพัดสารพัน
“เอาเสื้อผ้าฉันไปซักด้วย ซักให้สะอาดอย่าให้มีกลิ่นอับเชียวล่ะ”
“ของฉันด้วย เอาตัวนี้ไปซักแล้วก็เอาเสื้อตัวนี้ไปเย็บกระดุมให้ฉันด้วย”
คำดอยถูกน้องสาวทั้งสองโยนกองเสื้อผ้าใส่หน้า เดี๋ยวๆผ้าที่มึงโยนมาใส่กูนั่นเอามาจากทีใด ทำไมทั้งดำทั้งเหม็นแบบนั้นวะ ระหว่างที่เล่นตามบทผมแอบก็สังเกตุเสื้อผ้าที่อยู่ตรงหน้าไปด้วยชัดเลย นี่มันผ้าขี้ริ้วที่ผมใช้ถูกพื้นเมื่อตอนมาถึงค่ายนี่หว่า แล้วแม่งโยนใส่หน้าผมเต็มๆเลยเนี่ยนะ ระยำแมนจริงๆ
“จ่ะเดี๋ยวพี่จะไปซักให้ใหม่เดี๋ยวนี้เลย”
ผมดัดเสียงให้เล็กตามที่กระเทยมันสั่ง หอบผ้าไปยังจุดที่เซ็ทไว้ว่าเป็นท่าน้ำ คำดอยซักเสื้อของเหล่าน้องสาวไปพลางปาดเหงื่อไปพลาง ทันใดนั้นระหว่างที่เธอกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบโอโม่มือเธอดันเผลอปัดแปรงซักผ้าหล่นลงไปในท่าน้ำ คำดอยใจเสียไม่รู้ว่าจะเก็บแปรงนั้นขึ้นมาอย่างไรดี หากเธอไม่ใช้แปรงในการแปรงผ้าเสื้อของน้องสาวเธอต้องไม่สะอาดแน่ คำดอยสะอื้นไห้อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ทันใดนั้นน้ำในท่าน้ำก็เกิดแตกเป็นฟองกระจายวงกว้าง ชายในชุดแปลกประหลาดโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมกันแปรงทองคำในมือ (เนื้อเรื่องคุ้นๆไหมครับ เหมือนกระเทยมันเอาซินเดอร์เรล่ามาประยุกต์เข้ากับชายตัดฝืนเลย)
“อันนี้ใช้แปรงซักผ้าของเจ้าหรือไม่”
“ไม่เจ้าคะ ของข้าเป็นเพียงแปรงเก่าๆกากๆธรรมดา”
คำดอยตอบเทพแห่งสายน้ำ(รับบทโดยไอเต๋อ)หายกลับลงไปในน้ำโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับแปรงทองคำขาว ณ วินาทีนั้นคำดอยไม่ได้คิดถึงมูลค่าของแปรงที่เธอเห็นเลย เธอคิดแต่เพียงว่าเธอต้องซักผ้าของน้องสาวให้เสร็จทันคืนงานเต้นรำวันพรุ่งนี้เท่านั้น
“งั้นหรือ”
เทพแห่งสายน้ำมุดหายกลับไปในน้ำอีกครั้ง ครั้งนี้เทพแห่งสายน้ำกลับขึ้นมาพร้อมกับแปรงซักผ้าเก่าๆ ทันทีที่คำดอยเห็นก็ยิ้มอย่างดีใจ
“อันนี้แหละเจ้าค่ะแปรงของข้า”
เธอรับแปรงคืนเจ้าเทพแห่งสายน้ำด้วยความยินดีจากนั้นก็กล่าวขอบคุณเทพแห่งสายน้ำยกใหญ่ หากไม่ได้เทพแห่งสายน้ำเธอคงโดนน้องสาวของเธอด่าเป็นแน่
“เจ้าเป็นคนซื่อตรงซักวันหนึ่งชีวิตเจ้าจะพบกับความเปลี่ยนแปลง”
คำดอยไม่ได้สนใจฟังคำของเทพสายน้ำนักเธอรีบจัดการซักผ้าจนเสร็จก่อนจะไปหุงหาอาหารให้แม่และน้องสาวกิน
ระหว่างมื้อค่ำ
“ขุ่นแม่ขา คืนพรุ่งนี้เราสามคนถูกเชิญไปงานเต้นรำชิมิคะ”
“ถูกต้องคะขุ่นลู๊ก ขุ่นแม่จัดเตรียมเสื้อผ้าในเราสองคนเรียบร้อยแล้วนะ”
แม้จะเป็นการแสดงละครเล็กๆกระเทยมันก็ตีบทแตกกระจาย จริตมันมาเต็มเลยครับนับถือๆ
“แล้วนังนี่ล่ะคะขุ่นแม่”
“ปล่อยมันไปซิ ฉันไม่เอานังเด็กสกปรกนี่ไปด้วยคนหรอกอายขายขี้หน้าเขา”
ผมในฐานะคำดอยตีหน้าเศร้าเสียใจที่แม่เลี้ยงและน้องสาวไม่ให้ไปงานเต้นรำด้วยแต่คำดอยก็ไม่มีสิทธิ์ค้าน
วันงาน
หลังจากที่แม่และน้องสาวไปงานเต้นรำแล้ว คำดอยก็ปิดประตูนั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านบานหน้าต่างผุพัง
“คำดอยย่อเข้าใจ๋ เหตุใดแม่ใหญ่ถึงไม่รักคำดอยบ้าง”
เธอสะอื้นไห้ ทันนใดนั้นเทพแห่งดวงจันทร์ก็ปรากฏกายขึ้น
“จะโศกเศร้าไปใย รับชุดนี้ไปแล้วแต่งตัวให้งานเสีย ข้าจะเป็นคนพาเจ้าไปงานเต้นรำเอง”
คำดอยตกใจในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจ นี่เธอกำลังจะได้ไปงานเต้นรำจริงๆหรือ แต่หากเธอไปแล้วแม่เธอจับได้ เธออาจจะต้องโดนเฆี่ยนจนหลังลายเป็นแน่
“ข้าไปได้จริงหรือ”
“อย่าเสียเวลาอยู่เลย ข้าสัญญาว่าจะไม่มีใครจำเจ้าได้นอกเสียจากคนคนนั้นจะคือเนื้อคู่ของเจ้า”
คำดอยพยักหน้ารับ เธอใช้เวลาแต่งตัวไม่นานโดยได้เวทย์มนต์จากเทพแห่งดวงจันทร์ช่วย
ในงานเต้นรำ
หญิงสาวในชุดราตรีสีน้ำทะเลปรากฏกายขึ้นพร้อมกับหน้ากากแฟนตาซีเล็กๆปิดแค่ช่วงกรอบตา เจ้าชายเมื่อเห็นหญิงงามปรากฎก็ได้เข้าไปชวนเต้น
“เธอช่างงามเหลือเกิน”
“ขอบพระทัยเจ้าค่ะ”
“ข้าขอเต้นรำกับเจ้าซักเพลงได้หรือไม่”
คำดอยมีท่าทีรังเลเธอไม่เคยเต้นรำเลยซักครั้งในชีวิต แล้วจะเต้นรำกับเจ้าชายได้อย่างไร
“หม่อนฉันเต้นรำไม่เป็นเจ้าค่ะ ขอหม่อมฉันเต้นแบบที่ถนัดได้หรือไม่”
เจ้าชายยิ้มกว้าง นึกว่าตัวเองจะโดยสาวงามปฏิเสธเสียแล้ว
“เอาซิ”
เจ้าชายกล่าว คำดอยช้อนสายตามองเจ้าชายพร้อมยิ้มเขินอาย ก่อนจะหันไปส่งซิกขอเพลงจากคนคุมเครื่องเสียง
และเพลงเดิมกับบนรถทัวร์ก็ถูกเปิดขึ้น คำดอยถลกกระโปรงขึ้นเหนือเข่า ยกมือขึ้นดึงดาวอย่างไม่เกรงใจสายตาเจ้าชาย
(เล่นถึงตรงนี้ผมล่ะอายเด็กๆที่ต้องมาดูอะไรแบบนี้จริงๆ)
จบเพลง
“ช่างเป็นท่าเต้นที่ตรึงใจยิ่งนัก”
เจ้าชายเอ่ยชม คำดอยยิ้มรับอายๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงข้างฝา เธอก็รีบวิ่งออกจากงานโดยไม่กล่าวลาเจ้าชายเลยซักคำ
หลายวันต่อมาเจ้าชายส่งทหารไปตามบ้านของให้หญิงสาวที่ไปร่วมงานเต้นรำทุกคนเต้นท่าดึงดาวให้ทหารดู หากเจอคนที่เต้นเหมือนเธอทุกกิริยาบทเมื่อไหร่ให้พากลับวังทันที
และก็มาถึงบ้านของคำดอยหลังสุดท้าย
“อุ้ยตายเกิดมาเดี๊ยนยังไม่เคยเต้นอะไรแบบนั้นเลย”
คำสร้อยผู้เป็นแม่กล่าวกับทหารพร้อมกับโชวร์ลีลาการเต้นให้นายทหารดู กระเทยมันงัดทุกท่าที่เคยไปเต้นในพับมาจนหมดทหารส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่าไม่ใช่ก่อนจะให้คนเป็นลูกลองเต้นดูบ้าง ในระหว่างที่น้องสาวของเธอกำลังเต้นให้ทหารดู คำดอยก็เอาน้ำมาเสริฟให้กับนายทหาร นายทหารจึงขอให้เธอเต้นให้ดูบ้าง คำดอยลังเลอยู่ซักครู่ก็ยอมเต้นให้ทหารดู ทุกคนต่างพากันตกตะลึ่งกับท่าเต้นที่เหมือนราวกับต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน ทหารจึงนำตัวเธอไปที่วังด้วย เมื่อเจ้าชายเห็นท่าเต้นเธอจึงตกลงแต่งงานด้วยทันที คำดอยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแต่ทว่าก็ไม่ลืมครอบครัวของตน เธอส่งเงินให้ที่บ้านใช้บ่อยครั้ง แต่ให้เท่าไหร่ก็ไม่พอเสียทีเนื่องจากน้องสาวและแม่ของเธอติดการพนัน
“โอเคเลิศมาก พรุ่งนี้ขอแบบนี้เลยนะจ๊ะน้องเทียน”
“คร้าบบ”
ตาผมจะปิดเต็มที่แล้วพอเลิกซ้อมก็เดินกลับที่พักทันที พวกผู้ชายถูกจัดให้นอนในห้องพระ ส่วนพวกผู้หญิงนอนอีกตึกเลยห่างไกลจากตึกที่ตัวผู้นอนอยู่มากพวกผู้หญิงนอนในห้องเรียนของเด็กอนุบาลซึ่งมีพร้อมห้องน้ำในตัวสองห้อง ส่วนผู้ชายหรอทางโรงเรียนเขาสร้างโรงอาบน้ำกลางแจ้งพิเศษให้แต่ต้องเดินลึกเข้าไปในป่าเล็กน้อย
“กูไม่อาบน้ำได้ไหมวะ เหี้ยโคตรง่วง”
ผมบ่นระหว่างรื้อซื้อผ้าในกระเป๋าออกมาพาดไว้บนบ่า กระเป๋าผมถูกวางชิดกับกระเป๋าของใครอีกคนซึ่งผมไม่รู้ว่าใคร ในห้องนี้ไม่ได้มีแบ่งว่าวิศวะต้องนอนกับวิศวะ แพทย์ต้องนอนกับแพทย์เพื่อความยุติธรรมพี่เพลิงมันเลยวานป้าแม่บ้านเอากระเป๋าไปวางตามที่นอนให้ กระเป๋าวางตรงไหนต้องนอนตรงนั้นไม่มีข้อแม้ โชคดีหน่อยที่กระเป๋าผมอยู่ติดกับไอเผือกพอดี ข้างๆผมอีกใบไม่รู้ว่าเป็นของใครกระเป๋าของเขาช่างดูดีมีชาติตระกูลผิดกับพวกผมลิบ
“อย่าสกปรกเห็นใจคนอื่นที่ต้องนอนข้างมึงด้วย”
ผมพนักหน้ารับอย่างปลงตกก่อนจะยอมลงเดินตามไอเผือกไปอาบน้ำ ทางเดินเข้าป่ามันช่าง avenger เสียจริงผมกระชับกอดขันในมือแน่น เสียงลมพัดกรรโชกพร้อมกับใบไม้แห้งที่ปลิวว่อนทำให้ผมอยากจะกลับหลังหันแล้ววิ่งขึ้นที่พักแทนไม่อาบแม่งแล้วน้ำ
“กลัวผีจับหัวหรอวะ”
ไอเผือกถามด้วยเสียงติดหัวเราะ เพื่อนๆที่เดินตามหลังมาประปรายก็ร่วมขำด้วย
“ไม่เอากูไม่ชอบให้ผีจับหัว หรือจับเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละกูกลัว”
ผมบอกพลางเดินเบียดชิดไอเผือกเรียกได้ว่าถ้าผมสิงมันได้คงจะสิงมันไปแล้วบรรยากาศมึงจะวังเวงไปไหนกูไม่ได้มาเล่นเกมส์ล่าท้าผีนะเว้ย
หลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จก็ถึงเวลานอนเสียที ผมทิ้งตัวนอนทั้งๆหัวเปียกๆ ไม่เช็ดมันแล้วครับอีกฝั่งหนึ่งของห้องเขาปิดไฟไปนานแล้ว ผมไม่อยากรบกวนใครเลยทิ้งตัวนอนไปทั้งแบบนั้น ผมขยับตัวนอนในท่าที่สบายที่สุดตะแคงหันหน้าไปยังที่ว่างข้างตัว เจ้าของที่ข้างๆผมยังไม่กลับเข้ามานอนแม้จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วก็ตาม ผมนอนคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยจนในที่สุดก็เคลิ้มหลับไป
“หลับทั้งหัวเปียกๆแบบนี้ได้ไง หวัดแดกขึ้นมาก็เป็นภาระคนอื่นเขาอีก”
เสียงบ่นแผ่วกับแรงขยี้เบาๆบนหัวทำให้ผมรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก จากเคลิ้มก็กลายเป็นหลับลึกไปในที่สุด