-25 -
โรงอาหารวิศวะ
“ไง ทำไมเดี๋ยวนี้แดกข้าวที่คณะได้ ไม่ต้องไปแดกกับพี่เหนือแล้วหรือไง”
ถามได้จี้ใจดำผมเหลือเกิน กี่วันแล้วนะที่ผมไม่ได้เจอพี่เหนือ ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน ไม่ได้โทรหากันบ่อยเหมือนช่วงแรกๆ พี่เหนือบอกผมว่าติดสอบ ต้องอยู่ติวกับเพื่อนเลยไม่มีเวลามากินข้าวกับผม ตอนนั้นที่ผมบอกว่าไม่เป็นไร เพราะผมไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้ไง
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น หรือว่าพวกมึงทะเลาะกัน”
ไอเผือกสันนิษฐานแต่ผมส่ายหน้ายิ้มๆให้
“แล้วมึงเป็นอะไรข้าวจานนี้กูเห็นมึงเขี่ยเล่นมาซักพักแล้ว ตกลงจะแดกไหม”
ไอเจงหลี่ตามองไอเผือก ราวกับรับรู้ได้ถึงจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่าง
“ถ้ามันไม่แดกแล้วมึงจะทำไม”
“เอาน่องไก่มาให้กู”
ผมหลุดขำออกมาเบาๆ ไอเหี้ยพวกนี้ต่อให้ผมกำลังไม่สบายใจยังไงมันก็หาเรื่องให้ผมขำได้ทุกที
“กูว่าแล้วคนอย่างมึงหรือจะห่วงเรื่องปากท้องคนอื่น”
“กูเสียดาย เหลือตั้งสี่น่อง”
ไอเผือกว่าพลางตักน่องไก่ใส่จานตัวเองจนหมด
“มึงกับพี่เหนือช่วงนี้เป็นไงบ้าง อัพเดทมาซิพวกกูรอเผือกอยู่”
ไอเจงเปิดประเด็น ผมเลยยอมเล่าให้พวกมันฟัง
“ช่วงนี้พี่เหนือบอกติดสอบต้องอยู่ติวกับเพื่อน จะว่าไงดีเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่เหนือแทบจะไม่ติดต่อกูเลย เหมือนลืมไปว่ามีกูอยู่”
ผมเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ เกลียดที่อ่อนไหวเหมือนผู้หญิง เกลียดที่คิดมาก เกลียดที่บางครั้งผมรู้สึกเหมือนผมกำลังถูกทิ้ง
ผมไม่ชอบอะไรก็แล้วแต่ที่ผมเป็นอยู่ มันทำให้ผมดูอ่อนแอ ผมไม่ชอบเลย
“ถึงกูบอกว่าอย่าคิดมาก ใจจริงกูก็รู้สึกโมโหพี่เหนือแม่งอยู่ดี จะติวเหี้ยอะไรขนาดนั้น ติวจนไม่มีเวลาให้แฟนเลยเนี่ยนะ กูว่าแม่งไม่ใช่แล้ว”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี อยากตามไปดูแต่ก็กลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็น อยากโทรหาแต่ก็กลัวว่าจะไปกวนเวลาของพี่เขา ผมเคยโทรไปครั้งหนึ่งมีผู้หญิงรับและบอกว่าพี่เหนือพักสายตาอยู่จะให้โทรกลับ แต่ก็ไม่โทร ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่กล้าโทรไปอีก บอกตามตรงว่าผมกลัว
“กูควรทำยังไงดีวะ”
รู้สึกอยากร้องไห้ แต่น้ำตากลับไม่ยอมไหลออกมาตามที่ใจนึก มันอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก มันจุกแน่นอกไปหมด ผมไม่รู้จะทำยังไงให้หาย ยิ่งคิดว่าพี่เหนืออาจจะมีคนใหม่ใจของผมยิ่งเจ็บ
“ถ้ามึงอยากร้องไห้ ไม่จำเป็นต้องทนนะ มึงร้องได้เท่าที่ต้องการ กูสองคนจะอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง”
“ขออย่างเดียวมึงอย่าทำหน้าเหมือนโลกจะสลายแบบนี้ได้ไหม กูขอร้องกูไม่ชอบเลยจริง”
ไอเผือกพูดเสียงสั่นตาทั้งสองข้างของมันแดงก่ำ ไม่นานผมก็เห็นของเหลวไหลออกจากตาคู่นั้น
“มึงจะร้องทำไม ไอเหี้ยเดี๋ยวกูก็ร้องตาม”
“ก็มันไม่ร้อง มันอยากร้องแต่ไม่ไม่ร้องกูก็ต้องร้องแทนซิวะ”
ผมหัวเราะให้กับตรรกะบ้าๆของมัน ผมพยายามชวนพวกมันคุยเรื่องอื่น เบี่ยงประเด็นไปที่อื่น ตกเย็นผมทิ้งความกลัวทั้งหมดที่มี แอบไปหาพี่เหนือที่คณะ ผมเห็นพี่เขานั่งอ่านหนังสือจริงๆ ใบหน้าอิดโรยของพี่เหนือยืนยันกับผมได้อย่างหนึ่งว่าพี่เขาอ่านหนังสือหนักอย่างที่พูดจริง ผมเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแต่พอจะก้าวไปให้ถึงผมกลับต้องหยุดเท้าไว้แค่นั้น
“มึงไม่ไปหาน้องเขาแบบนั้นมันจะดีหรอวะ สองอาทิตย์แล้วนะเว้ยเป็นกูคงคิดว่าถูกทิ้ง”
“มึงควรจะสงสารกูนะ กูเป็นฝ่ายต้องทน มึงไม่เป็นกูไม่รู้หรอกว่าอึดอัดแค่ไหน”
“แล้วคนโน่นล่ะ นมแน่นๆแบบนั้นไม่รู้สึกอะไรบ้างหรอ”
แค่นั้นผมทนฟังได้แค่นั้นจริงๆ สองขาก้าวถอยหลังช้าๆ ภาพตรงหน้าผมพล่ามัวไปหมด ผมกระพริบตาช้าๆไล่ม่านน้ำตาให้หายไป มองภาพคนสองคนที่นั่งเบียดกันแทบจะเป็นเนื้อเดียวให้ชัดเจนอีกครั้งเป็นการตอกย้ำความเจ็บที่หน้าอกข้างซ้าย มองแล้วทบทวนดูอีกครั้งว่าผมควรจะตัดสินใจยังไง คงไม่ต้องคิดให้ปวดหัวแล้วว่าจะโดนทิ้งหรือเปล่า คำตอบทั้งหมดอยู่ตรงหน้าของผมแล้ว
ผมให้เวลาตัวเองหนึ่งวันเต็มๆทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทบทวนความรู้สึกของตัวเองดูดีๆอีกที ผมปล่อยให้ตัวเองเศร้า เสียใจ ร้องไห้ ปล่อยให้มันได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ ผมจะยอกมให้มันเป็นแบบนี้แค่วันเดียว พรุ่งนี้ผมจะต้องกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมให้ได้
เช้าวันต่อมาผมมาเรียนตามปกติ มือถือที่ปิดไปตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เปิดเครื่องอยู่ดี ตอนนี้ผมยังไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
“ไอเทียน มึงหายไปไหนมาวะ โทรไปก็ปิดเครื่อง”
ไอเจงโวยวายเป็นคนแรกมองหน้าผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ มองเลยไปก็เห็นพวกพี่เพลิงนั่งดีดกีตาร์เล่นกันอยู่
“กูไม่ค่อยสบายเลยหยุด ทำไมคิดถึงกูจนทนไม่ได้”
ผมแกล้งแหย่ก่อนจะยกมือไหว้พวกพี่ๆที่นั่งอยู่ แล้วเดินไปนั่งกับพี่ๆเขาบ้าง
“มึงคิดว่าพวกกูโง่หรือไง”
“พอเถอะ กูยังไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น นะถือว่าช่วยกู”
เจอประโยคนี้เข้าไปไอเจงจึงยอมหยุดพูดในสิ่งที่อยากจะพูดไปดื้อๆ ผมหันไปหาพี่เพลิงที่กำลังเรียกผมอยู่
“โห พี่ให้ผมร้องเพลงแต่เช้าแบบนี้จะจีบใครป่าว”
ผมแกล้งแซว แกล้งแยบเล่นไม่คิดเลยว่าจะจริง ทำหน้าเขินเบอร์นั้นกูดูแวบเดียวรู้เลยครับพี่ ไม่ต้องมาส่ายหน้ากูไม่เชื่อ แต่ส่องแปปใครคือผู้โชคร้าย
“คนนั้นหรอพี่คาดผมสีชมพู”
ยิ่งผมแหย่พี่ๆที่อยู่ในกลุ่มนั้นก็ยิ่งพากันหัวเราะ บ้างก็ส่งเสียงแซวทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือผู้โชคร้ายคนนั้น
“ไม่มีในนี้หรอกเว้ย ยังไม่มา”
“ตอแหลเปล่าพี่”
ไอเจงแซวทั้งน้ำเสียงและท่าทาง พี่เพลิงแม่งแทบจะม้วนลงไปกลิ่นกับพื้น
“ไหนๆเพลงไหนที่จะให้ผมร้อง”
“ให้รักปรากฏ”
“อะไรนะพี่ อะไรรักๆนะ”
ผมแกล้งต่อ สนุกเว้ยแกล้งพี่แบบนี้ จริงๆได้ยินแล้วแหละครับว่าพี่เขาจะให้ผมร้องเพลงอะไร
“ถ้ามึงแกล้งกูอีกกูสั่งซ่อม”
“โอ๋ๆพี่เค้ากลัวแล้ว จะให้ร้องตอนไหนบอกนะ เค้าจะตั้งใจร้องให้ทะลุใจคนฟังเลย”
ผมแหย่พี่เพลิงอีกครั้งแล้วหันไปเตี้ยมกับพี่ปราบมือกีตาร์ ระหว่างที่ผมกำลังคุยกับพี่ปราบพี่เพลิงก็สะกิดเรียก
“มาแล้วๆ ตอนนี้เลย”
รอยยิ้มของผมหายไปแล้ว หายไปพร้อมกับคนที่พึ่งเดินเข้ามา
“ร้องดิวะ เร็วๆ”
อยู่ตรงนี้ไง เห็นฉันบ้างหรือเปล่า
อยู่ในทุกเรื่องราว โอบล้อมเธอไว้ด้วยรักอย่างนี้
เป็นเงาจางๆจางใครคนหนึ่ง ที่หวังดี
แต่ต้องทำยังไงให้เธอได้มองเห็น
หากว่าฉันทำได้ขอเพียงเธอได้สัมผัสรักฉัน
ฝันว่าเรานั้นได้รักกันมากกว่าการแค่มองฉันผ่านไป
อยากให้ความรัก ได้ปรากฏตัวจะได้ไหม
อยากมีซักครั้งที่ได้บอกเธอ
ความรักฉันเป็นของเธอ ไม่ว่าอย่างไร
ผมร้องจบพอดีกับที่เธอคนนั้นนั่งลง เสียงปรบมือ เสียงร้องโห แซวยังดังตามมาไม่หยุด แม้เพลงจะจบไปแล้วก็ตาม
“เพราะทะลุใจไหมพี่”
ผมแกล้งถามพี่เพลิง ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นพี่เหนือที่กำลังเดินเข้ามาทางผม เร็วกว่าความคิดผมรีบหยิบกระเป๋าพาดบ่าแล้ววิ่งออกไปทันที
“พี่ผมไปก่อนนะ ผมปวดขี้”
ผมไม่ได้มองว่าพี่เหนือทำหน้ายังไง ไม่อยากรู้ว่าที่เดินมา มาหาผมหรือมาหาใครกันแน่ ผมรู้อย่างเดียวว่าผมยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าเขาตอนนี้จริงๆ
หมดคลาสไอเจงเดินกอดคอผมลงไปยังโรงอาหารที่เดิมที่ประจำที่เด็กวิศวะอย่างเราๆชอบมาสิงสถิตเวลาที่ไม่มีอะไรทำเช่นนี้
“พี่เพลิงแม่งคิดจะสอยดาวหว่ะ พี่พิงค์โคตรสวย มึงน่าจะเห็นว่าพี่เพลิงทำหน้ายังไง คิดแล้วกูยังขำอยู่เลย”
“แล้วพี่เขาทำไงต่อวะ ได้คุยกับพี่พิงค์ไหม”
ผมถามด้วยความอยากรู้ และเริ่มจะสนุกตามพวกมันไปแล้วเวลาที่แอบนินทาเพลิง
“คุยเหี้ยอะไร วิ่งปวดขี้ตามมึงไปอีกคน”
ได้ยินแบบนั้นเป็นใครจะไม่ขำบ้างครับ หน้าตาโหดแสนโหดมาป๊อดเพราะไม่กล้าจีบหญิง เห็นเรื่องอื่นนี้ถนัดดีเหลือเกิน
ผมคุยเล่นกับไปซักพักมองนาฬิกาเกือบจะหกโมงแล้ว เห็นทีคงจะต้องกลับบ้านเสียที ใกล้เวลากลับบ้านทีไรหน่วงใจทุกที
ผมเดินไปยังที่จอดรถตัวเอง ก็เห็นใครบางคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุดยืนพิงอยู่ที่รถของผม สมองผมกำลังประมวลผลว่าจะเอายังไงดี จะทิ้งรถไว้นี่แล้วกลับแท็กซี่หรือดับเครื่องชนไปเลยจะได้ไม่ต้องมานั่งหลบหน้ากันให้ลำบากใจ ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเดินไปยังรถที่จอดอยู่ของตัวเอง
“หวัดดีครับพี่”
ผมทักทาย แต่อีกฝ่ายทำเพียงหลีตามองผมแปลกๆ
“เมื่อเช้ามึงหลบหน้ากูทำไม”
พี่เหนือกอดอดมองผมนิ่ง มองผมเหมือนผมเป็นคนผิด ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป อยากมองอยากคิดอะไรของเขาก็ช่างผมไม่สน ผมกดรีโมทเตรียมเปิดประตูขึ้นรถ แต่ก็ถูกพี่เหนือมันจับประตูปิดลงเหมือนเดิม
“มึงเป็นอะไร ทำไมจู่ๆเป็นแบบนี้”
“เป็นแบบไหนครับ”
ผมย้อนถามด้วยเสียงที่เริ่มดังขึ้น ระดับความอดทนของผมมันเริ่มเกินขีดจำกัดขึ้นเรื่อยๆ
“ก็ที่เมินกูแบบนี้ มึงเป็นอะไร”
“หลบครับ ผมจะกลับบ้าน”
ผมไม่ได้งี่เง่า แต่ถ้าเราคุยกันด้วยอารมณ์แบบนี้ก็มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ผมไม่อยากเกลียดพี่ อย่างน้อยถ้าเราต้องจบกันจริงๆ ผมก็ยังยากมองหน้าพี่อยู่
“เทียนหันมาคุยกันดีๆ กูไม่ได้อยากทะเลาะกับมึงนะ”
“ก็เพราะผมไม่อยากทะเลาะกับพี่ไงผมเลยต้องไป”
“ไม่เอาเทียนเราชักคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว หยุดมองกูก่อน”
พี่เหนือจับแขนทั้งสองข้างของผมให้หยุดนิ่ง สายตาดุดันเมื่อครู่เต็มไปด้วยความกังวลใจ มือหนาลูบแขนผมเบาๆคล้ายกำลังปลอบให้ผมใจเย็นลง
“ทีนี้บอกกูได้หรือยัง ว่ามึงเป็นอะไรโกรธอะไรกู”
ผมเม้มปากแน่น น้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้ของพี่เหนือทำให้ผมอยากที่จะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ
“กูโทรหามึงตั้งแต่เมื่อวาน แต่มึงก็ปิดเครื่องตลอด รู้ไหมกูเป็นห่วงมากแค่ไหน”
ผมยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม ถ้าผมไม่ได้ยินสิ่งที่พี่เหนือพูดกับเพื่อนเขาในวันนั้น ผมอาจจะเชื่อก็ได้ว่าเขาเป็นห่วงผมจริงๆ
“วันนี้กูเลยรีบมาหาเราแต่เช้าทั้งๆที่กูมีสอบตัวสุดท้ายตอนเก้าโมง กูต้องขับรถไปขับรถมาเพียงแค่อยากรู้ว่ามึงสบายดีจริงๆ แต่มึงกลับหนีกู”
ถึงตรงนี้ผมควรต้องพูดอะไรซักอย่าง พี่เหนืออาจจะเหนื่อยที่ต้องสรรหาคำพูดมาปลอบเพื่อให้ผมสบายใจ ทั้งๆที่ผมรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว
“พอเถอะครับพี่ ผมรู้แล้ว ผมเข้าใจว่าพี่รู้สึกยังไง พี่ไม่ต้องทนอะไรอีกแล้ว ที่ผ่านมาผมขอโทษ ผมไม่เคยรู้เลยว่าผมทำให้พี่อึดอัด”
ผมพูดมันออกไปแล้ว และผมก็ดีใจที่พูดถึงตรงนี้แล้วน้ำตาผมยังไม่ไหลออกมาทำให้ผมต้องขายหน้า พี่เหนือขมวดคิ้วแน่น เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มมุมปากซึ่งมันเป็นยิ้มที่ผมไม่รู้ความหมายของมันเลยแม้แต่น้อย
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่บอกให้กูไม่ต้องทน”
แทนที่พี่เหนือจะเดินจากไปอย่างที่ผมคิด พี่เขากลับดึงกุญแจในมือผมไขประตูรถจับผมขึ้นไปนั่งอย่างงงๆ
“พี่จะพาผมไปไหน”
“มึงว่ากูจะพามึงไปที่ไหนดีล่ะ ที่ที่ทำให้กูไม่ต้องทนอีกต่อไป”
ผมไม่เข้าใจว่าพี่เหนือกำลังพูดถึงอะไร พี่เหนือพาผมมาที่คอนโดตัวเอง เปิดห้องเข้ามาได้ผมก็ถูกพี่เหนือประกบจูบทันที
“อื้ออ ปะ ปล่อยพี่ ปล่อยผม”
ผมทั้งตีทั้งทุบเพื่อให้หลุดจากการปล้ำจูบอย่างไม่ตั้งตัวในครั้งนี้ พี่เหนือยอมละปากเขาออกจากผม ในตาคมหวานเชื่อมจนผมก้มหน้าหลบแทบไม่ทัน
“มึงไปได้ยินอะไรมาบอกกูมาซิ”
ปากพูดแต่ปลายจมูกพี่เหนือกลับไม่หยุดซุกซน ปัดปายไปมาแถวๆต้นคอผมทำให้ผมอดที่จะย่นคอหนีไม่ได้
“จะบอกดีๆหรือต้องให้กูปล้ำมึงจริงๆ”
ไม่ทำแค่พูดพี่เหนือลากผมมาที่เตียงกว้างกลางห้อง ผลักผมลงนอนบนเตียงก่อนจะปลดกระดุมเสื้อตัวเองออกตามลำดับ ทุกอย่างมันเกินขึ้นเร็วมา รู้สึกได้อีกทีคือทั้งผมและพี่เหนือส่วนบนเปลือยเปล่าทั้งคู่ พี่เหนือนั่งคล่อมผมทั้งตัว มองผมด้วยสายตาโลมเลีย ตอนนี้ผมรู้สึกแปลกๆกับร่างกาย เหมือนจะหน้ามืด ไปพร้อมๆกับความวาบหวามที่เกิดขึ้นในอก
“ว่าไง กูให้โอกาสอีกครั้งไม่พูดกูจะถือว่ามึงอนุญาตให้กูปล้ำมึงนะ”
“พะ พูดแล้วครับ พูดแล้ว”
“หึ”
พี่เหนือมองผมพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เจ้าตัวชอบทำ
“ว่ามากูรอฟังอยู่”
ผมสูดหายใจเข้าปอดแรงๆหนึ่งครั้งก่อนจะพูดความจริงทั้งหมดให้พี่เหนือฟัง
“ห๊า!! ไปตีความหมายแบบนั้นเอาเองได้ยังไง แล้วถ้าวันนี้กูไม่ได้คุยกับมึง ไม่ได้กลายเป็นกูหรอที่จะถูกมึงทิ้ง”
พี่เหนือทำหน้าช็อค ในขณะที่ผมยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอยู่ดี
“แล้วมันไม่ใช่หรอครับ พี่ไม่ได้ต้องทนอยู่กับผม ไม่ได้อึดอัดเวลาอยู่กับผมหรอครับ”
“มันจะใช่ได้ยังไงล่ะ กูไม่ค่อยโทรหามึงเพราะเวลากูได้ยินเสียงมึงทีไรกูอยากจะพุ่งตัวไปบ้านมึงทุกทีสุดท้ายหนังสือกูก็จะไม่ได้อ่าน เลวร้ายกว่านั้นกูอาจจะชวนมึงทำอะไรแปลกๆก็ได้อย่างเช่น”
พี่เหนือพูดแล้วเว้นไปซักพักหันกลับมาอีกทีก็หน้าแดง จนผมต้องเป็นฝ่ายเร่งรัดฟังประโยคถัดไป
“sex phone ไง”
“เฮ้ย!!”
“กูกลายเป็นคนต่ำตรม อยู่ใกล้มึงทีไรก็คิดแต่เรื่องไม่ดี เห็นหัวนมมึงอารมณ์กูยังขึ้นเลย”
“เฮ้ยพี่!!”
ความจริงที่ผมได้ยินจากปากบอกตรงๆว่าทำให้ผมแทบจะช็อคตายกลางอากาศ ตัวผมมันไปกระตุ้นต่อมหื่นอะไรพี่เหนือเขาขนาดนั้นวะ
“ที่กูบอกว่ากูต้องทนเพราะกูกลัวจะเผลอปล้ำมึง กูไม่อยากทำอย่างนั้นกูอยากให้เซ็กซ์ของเราเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ที่กูบอกว่าอึดอัด เป็นเพราะเวลาที่กูคิดอกุศลกับมึงทีไรกูทำอะไรไม่ได้เลยซักอย่างได้แต่บอกให้มันสงบลงไปเองทุกครั้ง มึงคิดว่ามันง่ายหรือไง”
ผมมองหน้าพี่เหนือนิ่งจะว่ายังดีล่ะ ปลื้มปริ่มหรอถ้าใช่ก็เหี้ยมากอ่ะ เขาจ้องแต่จะปล้ำผมนะเว้ย จะให้ปลื้มลงยังไงไหว ความรู้สึกของผมตอนนี้คงมีแต่ขอบคุณล่ะมั้ง ขอบคุณที่ทนกับเรื่องพวกนี้มาตลอด ผมมองเข้าไปในตาพี่เหนือ พอพี่เหนือทำท่าจะลุกไปจากตัวผม กลับเป็นผมเสียเองที่พลิกพี่เหนือให้นอนอยู่ใต้ร่าง
“เพี้ยนอย่ายั่วกู”
พี่เหนือกัดฟันแน่จนเห็นเส้นเลือดปูดโปนบริเวณกรามทั้งสองข้าง ยิ่งเห็นว่ากำลังอดกลั้นขนาดนั้นผมก็ยิ่งได้ใจ ผมก้มลงแลบเลียตุ่มไตสีสวยที่วางเด่นอยู่ตรงหน้า ทั้งขบเม้นทั้งกัด ส่วนมือผมก็ล็อกแขนของพี่เหนือไว้แน่นที่เหนือหัว พี่เหนือหน้าแดงมาก ผมได้ยินเสียงครางต่ำเล็ดลอดออกมาจากลำคอของคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง ผมอยากได้ยินเสียงมากกว่านี้ ผมเลยเลื่อนตัวต่ำลงไปอีก รูดซิปกางเกงของคนที่นอนอยู่ด้วยปาก จงใจให้ฟันขบโดนแท่งเอ็นที่แข็งจนแทบจะโผล่พ้นขอบกางเกงในอยู่แล้ว แค่สัมผัสผ่านเพียงเบาๆก็สามารถทำให้คนที่นอนอยู่ถึงกับหลุดเสียงน่าอายออกมา
“ซี๊ดด....อ๋า....ยะ หยุด”
พี่เหนือพยายามขอให้ผมหยุดด้วยสีหน้าทรมาน
“หยุดทำไมครับ พี่ไม่อยากให้ผมเล่นกับมันหรอ”
ไม่ว่าเปล่าผมก้มลงเลียแทงร้อนผ่านเนื้อผ้าสีขาวบาง ก่อนจะดูดเน้นบนปลายหัวสีสวยแรงบ้างเบาบ้างตามการตอบสนองของคนใต้ร่าง
“ถะ ถ้ามึงไม่หยุด กูจะไม่ทนจริงๆแล้วนะ”
พี่เหนือพูดด้วยเสียงกระเส่าขบกรามแนบจนเห็นสันนูนชัดเจน ผมลากลิ้นจากส่วนล่างไปยังกกหูของพี่เหนือกัดเบาๆแค่พอได้ยินเสียงครางเป็นที่น่าพอใจ ก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหูของพี่เหนือ
“ผมก็ไม่เคยบอกให้พี่ทนหนิ”
เพียงเท่านั้นบนบาทเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปแทบจะทันทีโดยพี่เหนือเป็นคนคุมเกมส์ต่อจนจบ
“กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อกี้คือมึง”
“อย่าแซวไม่งั้นพี่จะไม่เห็นผมในมุมนั้นอีกเลย”
ถามว่าอายไหมบอกเลยว่าอายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะผมเห็นว่าพี่เหนือต้องทนกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ผมคงไม่ยอมทำเรื่องน่าอายแบบนั้นเพียงเพื่อต้องการเอาใจพี่เหนือหรอก
“ขอบคุณนะกูไม่คิดว่ามึงจะยอมเพื่อกูขนาดนี้”
“ขอบคุณเหมือนกันครับที่คิดถึงความรู้สึกผม ขอบคุณที่ทำให้ผมเห็นมุมต่ำตรมของพี่”
พุดแล้วผมก็อดหัวเราะเองเสียไม่ได้ ใครจะเชื่อว่าพี่เหนือผู้ชายที่แสนจะเพอร์เฟคที่หลายๆคนอยากครอบครอง จะมีอารมณ์กับอกแบบเรียบของผู้ชายอย่างผม
“ล้อเลียนกู”
“ผมรักพี่นะครับ ขอโทษที่ผมคิดจะจบเรื่องของเรา”
“มึงจะทำได้แค่คิด มึงนึกหรอว่ากูจะยอมปล่อยมึงไปง่ายๆ”
พี่เหนือพูดพลางกระชับผมให้ซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกเปลือยเปล่าของพี่เขามากขึ้น ก่อนที่พี่เหนือจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวผมป้องกันลมหนาวจากเครื่องปรับอากาศ
“ผมรักพี่”
“กูรู้แล้ว”
“ผมรักพี่”
“เอ๊ะไอเหี้ยนี่กูบอกว่ารู้แล้ว”
พี่เหนือเถียงขำๆ ดูดิจะจบเรื่องแล้วพี่มันยังไม่พูกับผมเพราะๆเลย
“ผมรักพี่นะครับ”
“พี่ก็รักเทียนเหมือนกัน”
-จบ-
------------------------------------------------------------------------
จบเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะสำหรับเรื่องราวความรักของน้องเพี้ยนและพี่เหนือ ขอบคุณสำหรับทุก Comment ทุกกำลังใจ ทุกคำติชมที่มอบให้กันมาตั้งแต่ต้นเรื่องยันถึงตอนจบ นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่ได้สนุกที่สุดเท่าที่ผู้อ่านทุกคนเคยอ่านมา ไม่ได้เขียนด้วยภาษาสวยหรู แต่เราอยากจะบอกวาเราตั้งใจเขียนมันมาก ขอบคุณทุกคนจริงๆที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ สำหรับตอนพิเศษ เราไม่เคยเขียนมาก่อน อย่างไรจะลองพยายามดูนะคะ
ขอบคุณที่สุด ขอบคุณจากใจค่ะ