แตะต้องครั้งที่ 25
จับบบ…ความสากอยู่ที่นิ้วความ cute อยู่ที่ใจ
ใครอยากกินราดหน้า เฮ้ยนี่แอบสนทนากันตอนไหน (วะ)
“นะฑี เป็นไรรึเปล่า” เจษฎาถาม
“เป็นสายลม”
“หือ?”
“เป็นท้องฟ้า”
“อะไรเหรอ”
“เป็นใบไม้ทั้งป่า”
“เอ่อ…”
“ฟีลนี้อยากแต่งกลอนเลยว่ะ ไหนเจษ มึงเริ่มให้กูสักท่อนดิ๊”
เจษฎาเอียงหน้าเข้ามาพูดอย่างจริงจัง “นายแบบว่า...เสพกัญชามารึเปล่า มีปัญหาอะไรคุยกันได้นะ”
“ทำไมคิดงั้นวะ”
“ก็ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เห็นนายอารมณ์ดี ยิ้มทั้งวัน จากที่เราอ่านเจออาการคนเสพกัญชาอาการก็คล้ายๆ แบบนี้ ช่วงนี้กำลังมีกระแสกัญชาเสรีด้วย”
“จริงดิ น่าลองนะถ้างั้น ลองหามาพี้กันมะเจษ รู้จักใครขายรึเปล่า”
“มันไม่ดีนะ”
“ทำให้อารมณ์ดี มันไม่ดียังไง”
“มันออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้ร่าเริงผิดปกติ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าเสพปริมาณมากจะทำให้หลอน แล้วก็ร่างกายทรุดโทรมด้วย ถามจริงๆ นายไม่ได้เสพมันใช่มั้ย”
“งั้นกูคงเสพอะไรที่แรงกว่ากัญชามามั้ง”
“ยาบ้าเหรอ!”
ผมยิ้ม ตั้งแต่พี่ทัชมาส่งที่บ้านวันก่อนผมก็เป็นอาการนี้เลย เป็นมาเกือบสองวันแล้วยังไม่หาย นึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไรปากก็บานออกกลายเป็นรอยยิ้มอัตโนมัติ และเหมือนว่ารอยยิ้มมันมีน้ำหนักจริงๆ จนปวดแก้มไปหมด
“นะฑี” เจษฎาโบกมือขึ้นลงตรงหน้าผม
“ครับเจษ สงสัยกูจะโดนยาป้ายอะไรงี้ แต่กูโอเคแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ยาป้ายไม่มีจริงนะ”
“เออ ช่างมันเถอะ ว่าแต่…” ว่าแต่ทำไมเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดไปวะ ตอนนี้ไม่มีเรียนเราเลยมาสุมหัวกันอยู่ที่ข้างตึกคณะ นั่งกันอยู่สามคน แต่ทำไมคุยกันอยู่แค่สองคนวะ “กูว่าคนที่มีปัญหาคือคนนี้มากกว่า เฮ้ย เปิ้ล ทำไรวะ”
โอเปิ้ลที่กำลังก้มหน้าก้มตาหมกมุ่นกับโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้น “ด่าคน”
“ใครวะ”
“คนชั่ว”
“ใช่พี่เรนจิหรือเปล่า” เจษฎาถาม
“หือ? นี่แกแชตกับพี่เห็ดเหรอ กูตกข่าวอะไรไป เจษ มึงเล่าดิ๊”
“ก็พี่เรนจิได้ไลน์เปิ้ลไปสักพักแล้ว เลยพิมพ์มาก่อกวน ใช่มั้ยเปิ้ล”
“ได้ไลน์ไปยังไง” ผมถาม
“เปิ้ลให้”
“เอ้า แล้วไปให้ทำไมอะ เปิ้ล เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดิ๊”
เปิ้ลเงยหน้าตึงๆ ขึ้นมา “พี่แม่งกวนตีนไง ท้าทายกูขนาดนั้น กูก็ให้ๆ ไป”
“ไหนเอาแชตมาดูดิ๊ เดี๋ยวกูช่วยด่า”
“ไม่เป็นไร”
“เออน่ะ เอามาดู”
“กูด่าจบไปแล้ว ช่างแม่งเหอะ”
“เรามีภาพแคปหน้าจอแชตครั้งก่อนๆ ที่เปิ้ลส่งให้” เจษควักมือถือออกมา
“เจษ ไม่ต้องขุดมา” เปิ้ลเบรกไว้ แล้วหันมาคุยกับผม “ทีมึงแยกตัวไปสุงสิงกับพี่ทัช กูกับเจษไม่เห็นจะว่าอะไร”
“เกี่ยวไรกับพี่ทัช นี่...พวกมึงสองคนโกรธอะไรกูรึเปล่า”
“เราไม่ได้โกรธ” เจษตอบอย่างใสซื่อ
“กูก็เปล่า” เปิ้ลบอก
“ไม่โกรธแต่หน้าตึงเป็นตูด”
“ก็บอกว่าเพิ่งด่าคน กูอารมณ์ไม่ดี”
ผมนั่งกอดอกเอียงคอจ้องหน้าโอเปิ้ล เอาดิ ใช้สายตากดดันไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ
“นี่โกรธกันเหรอ อย่าโกรธกันเลยนะ” เจษพูด
โอเปิ้ลกอดอกและมองหน้าผมกลับ แต่หลังจากจ้องอยู่สักพักก็เบือนหน้าไปมองทางอื่น แล้วในที่สุดก็ถอนหายใจ “อึดอัดชิบหาย อยากดูก็เอาไป” เจ้าตัวปลดล็อกหน้าจอมือถือแล้วส่งให้ผม
ผมกดเข้าห้องแชตไลน์ของเปิ้ลกับพี่เห็ด แชตกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ นี่ไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ด่ากันแสบๆ มันส์ๆ ทั้งนั้น แต่มันเยอะจนผมต้องเลื่อนผ่านๆ แล้วมาโฟสกัสแค่ช่วงท้ายๆ
★R3NJI: ทำไร
O: ทำชีวิตให้ดีขึ้น
★R3NJI: สมควรแล้ว
★R3NJI: ชีวิตยังเหี้ยอยู่นิ
O: จ้ะ
O: แล้วพี่ไม่เอาเวลาไปปรับปรุงตัวอะ
O: ได้ข่าวว่านิสัยโคตรเหี้ยไม่ใช่เหรอ
★R3NJI: กูไม่แปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนนะฑี
O: โคตรแปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนพี่ทัช
★R3NJI: เลว
O: ชั่ว
★R3NJI: พูดกับรุ่นพี่งี้เหรอ
O: พูดกับรุ่นน้องงี้เหรอ
★R3NJI: อยู่ไหน บอกมาดิ๊
O: อยากรู้ทำไมไม่ดมกลิ่นเอาล่ะ จมูกดีกว่าคนไม่ใช่เหรอ
★R3NJI: หิวมั้ย
★R3NJI: เดี๋ยวเอาตีนไปฝาก
★R3NJI: จะได้กินอะไรดีๆ บ้าง
O: ไม่เป็นไร
O: ของดีๆ ไม่เก็บไว้กินเองล่ะ
O: ปกติได้กินแต่ตะไคร่น้ำตามขอบสระไม่ใช่เหรอ
★R3NJI: ตัวเหี้ยไรวะนั่น
O: กวางมั้ง
★R3NJI: ไม่ไหวแล้วนะเว้ย
O: ปวดขี้ก็ไปขี้
★R3NJI: นะฑี นั่นมึงพิมพ์ใช่มั้ย
O: นะฑีเกี่ยวไรด้วย
★R3NJI: ถ้าไม่ใช่นะฑีจะกล้าพูดอะไรทุเรศๆ งี้เหรอ
O: ทำไมจะไม่กล้าอะ
O: คุยกับคนแบบนี้ นี่ถือว่าพูดดีสุดๆ แล้ว
★R3NJI: ถ้าเจอตัวขอให้ปากดีงี้ตลอดนะ
O: ก็ดีตลอดนะ พูดได้ กินข้าวได้
★R3NJI: งั้นเดี๋ยวเจอตอนนี้เลย
★R3NJI: อยู่ข้างตึกคณะใช่มะ
O: ไม่ได้อยู่บนหัวพี่ละกัน
★R3NJI: เจอกูแน่
O: ออกมาจากต้นมะขามได้เหรอ
O: ระวังคนขโมยผ้าสามสีนะ
★R3NJI: กินไรมั้ย
★R3NJI: จะกรวดน้ำให้ แต่แม่งคงไม่ถึง ภพภูมิต่ำเกินไป
O: มาทำไม
O: ไปผุดไปเกิดได้แล้ว
★R3NJI: จะไปดูหน้าคนปากดีซะหน่อย
★R3NJI: สรุปแดกไร
★R3NJI: อยู่โรงอาหารบริหารแล้ว
O: ซื้อข้าวให้หมาแถวนั้นกินเถอะ
O: จะได้มีบุญติดตัวบ้าง
★R3NJI: งั้นหลักๆ ก็แดกตีนละกัน
★R3NJI: แน่จริงอย่าหนีนะ
O: จ้ะ
O: เดี๋ยวไปตักน้ำคอห่านมาไว้ให้กินนะ
O: เผื่อเดินมาร้อนๆ จะได้ชื่นใจ
“คืออะไรวะ”
“อ่านไม่ออกเหรอ” เจษฎาหันหน้ามา
“กูก็เรียนหนังสือมานะเจษ ขอบคุณที่เป็นห่วง อ่านออกหมดครับ กูแค่ไม่เข้าใจ”
“อ่านออกหมด แต่ไม่เข้าใจ” เจษทวนคำอย่างครุ่นคิด “ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ”
“กูไม่เข้าใจว่าสองคนนี้ไปคุยกันตั้งแต่ตอนไหน ตีสองยังแหกขี้ตามาด่ากัน…”
ฟึ่บ!
กำลังจะเลื่อนอ่านซ้ำ แต่เปิ้ลแย่งมือถือกลับไปแล้ว
ผมโน้มตัวไปจ้องหน้าโอเปิ้ล ซึ่งเจ้าตัวก็มองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“มึงกอดอก” ผมว่า
“ยุ่งไรกับเนื้องอกกูอีกล่ะ”
“ไม่ใช่เว้ย ในทางจิตวิทยาท่ากอดอกนี่แสดงว่ากำลังปกป้องตัวเอง แล้วก็ปิดบังอะไรอยู่”
“มั่ว”
“นี่กูจำมาจากพี่ทัชเลย”
“อ๋อเหรอ”
“หรือจะบอกว่าเมื่อยนมเลยประคองไว้เล่นๆ”
“เออ อันนี้ยังฟังมีเหตุผลกว่า”
คราวนี้ผมกอดอกบ้าง “พี่เห็ดมายุ่งกับมึงทำไมวะ”
“เป็นบ้าไง”
“พี่เห็ดแกสมองไม่ค่อยปกติหรอก แต่มึงไปบ้าตามแกทำไม”
“จะให้เขาด่ากูฝ่ายเดียวเหรอ”
“ไม่รู้ว่ะ ก็ไม่เห็นต้องด่ากลับอะไร”
“จะให้กูพูดคะขารึไง”
“อย่าเลย ขนลุก”
“เราว่าก็ดีนะ” เจษฎาแทรก “ผู้หญิงพูดคะขาก็เพราะดี”
“เจษ กูไม่ใช่ผู้หญิง!”
“อะ...โอเค”
“มึงก็จริงจังซะ เจษมันหงอไปเลยเนี่ย เห็นมั้ย…” ผมหันไปตบหลังเจษเบาๆ “ไม่เป็นไรนะหนู คืนนี้อย่ากินน้ำเยอะนะ เดี๋ยวฉี่รดที่นอน”
“เราโตแล้ว ไม่ฉี่รดที่นอนหรอก”
“ดีมากครับ เด็กดี” แล้วผมก็หันไปคุยกับเปิ้ลต่อ “เป็นไรวะ เมนส์มา?”
“เปล่า”
“มันอาจจะมานิดๆ แล้วมึงไม่รู้ตัวหรือเปล่า”
“กูไม่ได้เป็นไร มึงนี่”
“เออ ไม่เป็นก็ดี แต่มึงต้องพูดอะไรกับเจษหน่อยมะ””
“โทษทีเจษ”
“เฮ้ยเปิ้ล ไม่เป็นไรเลย เราชินกับการพูดหยาบๆ ของพวกนายอยู่แล้ว ไม่โกรธๆ”
“เพื่อนกันต้องงี้ดิ กลับมาเรื่องพี่เห็ดต่อ…”
“ไม่ต่อ รำคาญ” เปิ้ลตัดบท
ผมชั่งใจอยู่สักพัก แล้วสุดท้ายก็ยักไหล่ “ไม่ต่อก็ไม่ต่อ พี่เห็ดแกจะมานี่ไม่ใช่เหรอ ถ้ามาจริงเดี๋ยวกูสัมภาษณ์เอง” ผมหยิบมือถือตัวเองมาไถเล่นบ้าง เพิ่งเห็นว่ามีข้อความไลน์เข้ามาใหม่เมื่อห้านาทีที่แล้ว
ข้อความสำคัญอีกต่างหาก
“ชิบ กูต้องไปแล้วว่ะ”
“ไปไหน” เจษถาม
“เจษ ถ้าพี่เห็ดมาจริงมึงก็คอยห้ามอย่าให้สองคนนี้กัดกันละกัน”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง”
เราสองคนมองโอเปิ้ลที่ยังหน้าหงิกเป็นแง่งขิงขาดปุ๋ยอยู่ แถมตอนนี้ยังกลับไปพิมพ์แชตต่อแล้ว “โทรเรียกมูลนิธิเก็บศพเลยดีกว่ามั้งเจษ”
“อันนี้เรารู้ นายเล่นมุก” เจษพูดก่อนจะหันมองเปิ้ล “เอ่อ...ถ้าเกิดไรขึ้นจริงๆ เดี๋ยวเราให้คนแถวนี้ช่วย” อยากอยู่ดูมวยคู่เด็ดจริงๆ ไม่รู้ใครจะน็อกใครแต่ต้องมันส์แน่ๆ แต่เอาเถอะ ไว้รอฟังผลละกัน
“เออ จะร้องดังๆ หรือแก้ผ้าวิ่งก็ได้ ให้คนมามุงเยอะๆ ไว้ก่อน กูไปละ”
พอปลีกตัวออกมาจากแก๊งสามหน่อได้ผมก็ควักมือถือขึ้นมาดูอีก ข้อความสำคัญที่ฝ่ายนั้นส่งมาคือ อยากกินราดหน้า งั้นก็ต้องสนองซะหน่อย
NATOUCH: อยากกินราดหน้า
NaTee(n): ไปกินดิ
NaTee(n): ใครมัดขาพี่ไว้อะ
NATOUCH: ไม่กินละ
NATOUCH: เดี๋ยวไปทำงานกับเพื่อน
NaTee(n): เฮ้ยยย
NaTee(n): เดี๋ยวดิ
NaTee(n): ล้อเล่นน่า
NaTee(n): นี่ผมกำลังไปหาพี่เลย
NaTee(n): พี่ทัช
NaTee(n): เฮ้ย ใจเยนนนน
NaTee(n): พี่ รอก่อนนน
NATOUCH: มึงนั่นแหละใจเย็น
NATOUCH: พิมพ์รัวอะไรขนาดนี้
NATOUCH: เว้นช่องให้กูตอบบ้างมั้ย
NaTee(n): ก็กลัวพี่ไม่รอไง
NaTee(n): ผมกำลังไป
NaTee(n): พี่อยู่ไหนอะ
NATOUCH: แล้วมึงกำลังจะไปไหนล่ะ
เอาล่ะสิ
ช่วงหลังๆ พี่ทัชทำงานกับเพื่อนเยอะ ไม่ค่อยอยู่ป่าดงดิบเท่าไหร่ด้วย ถามให้ชัดๆ ก่อนไปดีกว่า
NaTee(n): ก็พี่อยู่ไหนล่ะ
NaTee(n): ห้องสมุดเหรอ
NaTee(n): หรือว่าจะไปที่ร้านราดหน้าเลย
NATOUCH: กูไม่อยากกินราดหน้าละ
NATOUCH: เดี๋ยวหาแซนด์วิชกินแล้วทำงาน
NaTee(n): เฮ้ย พี่
NaTee(n): ผมแยกตัวจากเพื่อนแล้ว กำลังไปหาจริงๆ
NaTee(n): อย่างอนดิ
พอบอกจะกินแซนด์วิชแล้วก็เก็บมือถือเลยมั้งเนี่ย ไม่อ่านข้อความซะแล้ว ผมเลยเก็บมือถือ เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหน่อย และระหว่างนี้ก็ถือโอกาสจัดการบางสิ่งบางอย่างไปด้วยเพื่อจะได้เข้าใจพี่ทัชมากขึ้น
ใช้เวลาประมาณห้านาทีถึงได้มาถึงป่าดงดิบ
“มาแล้วๆ เฮ้ย นั่นพี่จะไปไหนน่ะ” ผมรีบออกแถลงการณ์ เพราะมาถึงจังหวะที่พี่ทัชกำลังรวบหนังสือลุกขึ้นพอดี “นี่ผมสับขาแบบสี่คูณร้อยมาเลยนะ เหนื่อยโคตร นั่งก่อนๆ”
พี่ทัชถอนหายใจนิดๆ แล้วนั่งลง
ผมเข้าไปนั่งตรงข้ามเขา “นี่พี่เคืองอะไรรึเปล่า หน้าตึงโคตร หรือว่าไปแอบทำศัลยกรรมดึงหน้ามา”
“รู้ได้ไงล่ะว่ากูอยู่นี่”
“เพราะผมเก่งไง รู้ใจพี่อะ”
“เพราะมึงไม่เก่งมากกว่า ถ้ากูไม่อยู่นี่มึงจะหาเจอเหรอ”
“พี่อยู่ไม่กี่ที่หรอกน่า หรือต่อให้ไปซ่อนในหลืบไหนของมหา’ลัยผมก็หาเจอแน่นอน ขอเวลาครึ่งวันพอ”
“เอาเวลาขนาดนั้นไปอ่านหนังสือเถอะ”
“ถ้าพี่อยู่นี่เพราะอยากให้ผมเจอ แล้วจะไปไหนอะเมื่อกี้”
“กูอยู่นี่เพราะมันเงียบแล้วก็อากาศดี”
“เหรอออ~”
“มึงพันพลาสเตอร์ทำไม”
“เอ้า นี่ๆ ดู...ผ่าม!” ผมชูนิ้วทั้งสิบที่พันพลาสเตอร์ไว้เรียบร้อยขึ้น อันที่จริงเรียกว่าพันลวกๆ มากกว่า เพราะต้องทำระหว่างเดินมานี่ “โคตรลำบากเลยกว่าจะพันครบ”
“เพื่อ?”
“อยากรู้สึกอย่างที่พี่รู้สึกไง เคยพันตอนไปบ้านพี่ทีนึงละ แต่ครั้งนี้จะลองพันไว้นานๆ ดู” ผมลองบี้ปลายนิ้วดู ลองเอามาลูบๆ เล่น “สากอะ นี่พี่หยิบจับของถนัดได้ไง”
“เอามาเล่นให้เปลือง”
“นี่ผมกะให้เป็นแฟชั่นบูมแตกเลยนะ เอามือพี่มาดิ๊” ผมยกกล้องมือถือขึ้นเพื่อจะถ่ายรูป แต่พี่ทัชกระตุกมือหนีทันที “งั้นมือผมก็ได้ คอยดูนะ ไม่ถึงห้านาทีคนไลค์เป็นหมื่นแน่นอน”
“อย่า”
แชะ~
อัปเดตสเตตัสอย่างไว แปะรูปพร้อมแคปชั่น ความสากอยู่ที่นิ้ว ความ cute อยู่ที่ใจ #แฟชั่นกำลังมา
“นั่นไง มาแล้วหนึ่งไลก์...เจษฎาแฟนคลับอันดับหนึ่ง ต้องงี้ดิ”
พี่ทัชถอนหายใจ ก่อนจะถามไปอีกเรื่อง “แม่ชอบของขวัญรึเปล่า” เปลี่ยนเรื่องก็ดี ไม่อยากจะโม้เรื่องโซเชียลต่อ เพราะแทบทุกสเตตัสของผมก็มีแค่เจษฎากับเปิ้ลนี่แหละที่กดไลค์
“กระเป๋าตังค์อะนะ ชอบดิ ของฟรีใครไม่ชอบบ้าง”
“เอาดีๆ”
“แม่ชวนพี่ไปกินข้าวที่บ้านอะ ผมบอกว่าพี่ช่วยออกเงินค่าของขวัญ แม่เลยอยากขอบคุณ”
“อืม ได้”
“ว่างวันไหนอะ”
“ไว้ดูก่อน” พี่ทัชลุกขึ้น
“เอ้า ไปไหน”
“มึงอยากกินราดหน้าไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่พี่เหรอ คนอยากกินอะ”
“ตกลงมึงจะกินหรือไม่กิน ไม่งั้นกูจะกินแซนด์วิช”
“กินดิ มาขนาดนี้แล้ว”
“กูกินเพราะมึงชอบกินนั่นแหละ อย่าพูดมาก”
“ยังไงนะ พี่ชอบกินตามผมเหรอ แต่พี่ไม่ชอบกินคะน้าไม่ใช่เหรอ...ไม่ต้องกินก็ได้นะ...พี่ทัช ถามจริงๆ นะ ตอนฉี่ถ้าฉี่เปื้อนพลาสเตอร์ที่นิ้วพี่ทำไง…รอด้วยดิ เดินโคตรเร็ว...โมโหหิวเหรอ…” ผมถามนั่นถามนี่ขณะเร่งฝีเท้าตาม แต่พี่ทัชไม่พูดอะไรแล้ว
จนกระทั่งมาถึงโรงอาหารและสั่งราดหน้ามานั่งกันเรียบร้อย
แกล้งพี่แกซะหน่อย ตักคะน้าจากชามผมเพิ่มให้ซะเลย “ถือว่ากินชดเชยไง ตอนเด็กพี่ไม่ค่อยกินผัก”
พี่ทัชกะพริบตาสองสามที แล้วตักหมูนุ่มมาให้ผมชิ้นนึง
“ให้ผมทำไมอะ หมูพี่ก็ไม่กินเหรอ นี่สุดยอดความอร่อยเริ่ดเลยนะ”
“มึงกินเถอะ จะได้ฉลาด”
“หรือว่าพี่เป็นริดสีดวง ไม่อยากกินเนื้อเยอะเพราะมันทำให้ท้องผูก แล้วก็…”
“หุบปาก แล้วกินไป”
“ปลายนิ้วด้านๆ อะ จับช้อนไม่ถนัดเลย”
“ก็แกะพลาสเตอร์ออก”
“ไม่เอา ไว้งี้แหละ”
“แล้วไง จะใช้ให้กูป้อนเหรอ”
“ว่าจะก้มกินเหมือนหมา” ผมฉีกยิ้ม “เฮ้ย แต่ให้พี่ป้อนก็ดีนะ สบาย”
“กินๆ ไป เดี๋ยวเย็นซะก่อน”
“เออ จริงด้วย”
ผมก็หาเรื่องแกล้งพี่ทัชไปงั้นแหละ ได้แกล้งแล้วน้ำย่อยหลั่งโคตรดี ถึงจะจับช้อนไม่ค่อยถนัดเพราะปลายนิ้วสาก แต่ความเร็วปากยังเหมือนเดิม พอวอร์มอัพขากรรไกรได้ที่ก็ยาวเลย แป๊บเดียวเกือบหมดชาม ขณะที่พี่ทัชยังกินไปไม่ถึงครึ่ง ผมลดสปีดลงหน่อยด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาไถเล่น
สเตตัสล่าสุดยังมีแค่เจษฎากดไลก์คนเดียว
ลองเช็กกับเจษหน่อยดีกว่าว่ามีใครเลือดตกยางออกรึยัง
NaTee(n): เจษ เป็นไงมั่ง
Jessada: สบายดีนะ
Jessada: ตอนนี้อากาศไม่ค่อยร้อน
NaTee(n): ไม่ใช่เว้ย
NaTee(n): พี่เห็ดอะ มาจริงรึเปล่า
Jessada: มาจริง
Jessada: ซื้อขนมมาเต็มเลย มีตีนไก่ทอดด้วย
NaTee(n): ที่บอกจะให้แดกตีน คือตีนไก่ทอดเหรอวะ
Jessada: คิดว่างั้น
NaTee(n): แล้วไงต่อ สองคนนั้นตีกันยัง
Jessada: ก็เถียงๆ กันนะ
Jessada: เราทำตัวไม่ค่อยถูก เลยกินอย่างเดียว
Jessada: ไม่รู้ว่าเราควรนั่งอยู่ตรงนี้มั้ย
“เล่นไร” พี่ทัชถามขึ้น
“ก็พี่กินช้าอะ เลยเล่นรอ”
“มึงมูมมามมากกว่า”
ผมพิมพ์ส่งท้ายบอกเจษว่า นั่งเป็นหัวตออยู่นั่นแหละเจษ จำรายละเอียดให้ได้เยอะๆ เดี๋ยวกูจะถามทีหลัง จากนั้นก็วางมือถือ ขุดความเป็นผู้ดีในส่วนลึกออกมาโชว์ด้วยการคีบช้อนส้อมด้วยนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง จีบปากจีบคอซดราดหน้าเบาๆ
“เอ้อพี่ ช่วงนี้พี่เห็ดเป็นไงบ้างอะ”
“ก็ดีมั้ง”
“หายเฮิร์ทยัง”
“ไม่รู้”
“พี่รู้อะไรบ้างเนี่ย”
“รู้บางเรื่องที่ควรรู้”
“นี่แหละเรื่องที่ผมควรรู้” พี่ทัชเลิกคิ้ว ผมเลยขยายความต่อ “ก็ตอนนี้พี่เห็ดไปกวนเปิ้ลกับเจษอยู่อะ ไม่รู้แกเป็นบ้าไร หรือคิดวางแผนอะไรอยู่”
“อ่อ ปกติเรนจิมันไม่คิดอะไรซับซ้อนหรอก”
“หมายความว่าเซลล์สมองแกน้อยใช่มะ”
“หมายความว่าเป็นคนตรงๆ ไม่คิดมาก”
“ผมจะบอกพี่เห็ดว่าพี่ทัชด่าว่าแกโง่ คิดไรซับซ้อนไม่ได้ แล้วนี่กินเสร็จพี่ทำไรต่ออะ”
“ทำงาน”
“ไปเดินห้างชิลล์ๆ หรือหาหนังดูกันดีกว่า ไปมะ”
“กูต้องทำงาน”
“งั้นไปด้วยดิ”
“จะไปทำไม มึงก็ไปอ่านหนังสือทำงานอะไรของมึงไป คณะบริหารไม่มีไรให้ทำเหรอ”
“ขี้เกียจอะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปฉีกยิ้ม “ไปด้วย นะๆๆ”
“มึงไปอยู่ด้วยกูไม่มีสมาธิ”
“ผมไม่กวนหรอกน่า จะอยู่เงียบๆ”
“มึงเนี่ยนะอยู่เงียบๆ” พี่ทัชถอนหายใจแบบปลงๆ แต่ก่อนจะได้พูดต่อ ปากผมก็ชิงตัดหน้าซะก่อน
“งั้นวันหลังพี่ต้องพาผมไปบ้านพี่อีก อยากเล่นกับผงฟอกอะ”
“อืม”
“เลี้ยงหนังด้วย”
“อือ”
“ต้องงี้ดิ งั้นพี่ไปทำงาน ผมจะไปสุมหัวกับเพื่อนต่อละ ดูว่าพี่เห็ดแกมาป่วนไร”
“อ่านหนังสือมั้ย”
“อ่านๆ ไม่ต้องห่วงครับโผม พี่รีบกินดิ”
“มึงนี่จริงๆ เลย”
หลังจากกินกันเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินย้อนกลับทางเดิม แล้วแยกย้ายกันตรงหน้าตึกคณะจิตวิทยา พี่ทัชไปตั้งใจทำงานเพื่ออนาคตที่ดี ส่วนผมจะไปวอนหาตีนเพื่อเติมสีสันให้ชีวิต ระหว่างที่เร่งฝีเท้าอยู่ก็มีข้อความไลน์เด้งเข้ามาใหม่ นึกว่าเป็นเจษฎาแจ้งความคืบหน้าอะไร แต่กลับเป็นพี่ทัชพิมพ์มาว่า
หายแล้ว
อะไรวะ
ผมกำลังจะพิมพ์ถามกลับไป แต่ข้อความเก่าๆ ที่อยู่เหนือขึ้นไปทำให้ต้องยั้งมือไว้
NATOUCH: เดี๋ยวหาแซนด์วิชกินแล้วทำงาน
NaTee(n): เฮ้ย พี่
NaTee(n): ผมแยกตัวจากเพื่อนแล้ว กำลังไปหาจริงๆ
NaTee(n): อย่างอนดิNATOUCH: หายแล้ว
พออ่านต่อเนื่องกันก็ไม่สงสัยแล้วว่าข้อความที่เพิ่งตอบกลับมาหมายถึงอะไร แต่ปากผมยังเผลอพึมพำออกมาอยู่ดี “อะไรวะ”
ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจว่าแค่คำสั้นๆ ทำไมทำให้ผมกลับมายิ้มเหมือนคนเมากัญชาอีกแล้ว
ปึก!
เชี่ย ใครใช้ให้เอาเสาไฟมาตั้งชิดทางเดินขนาดนี้วะ หัวแตกรึเปล่าเนี่ย!
_______________________________
รักทุกคนที่เข้ามาอ่านมากเลยค่ะ T___T
โชคดีมากเลยที่ได้เจอคนที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่
ขอบคุณจริงๆ นะคะ
นางร้าย
18.ธันวา.2019