พิมพ์หน้านี้ - ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: นางร้าย ที่ 12-10-2018 21:16:20

หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 12-10-2018 21:16:20
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17


เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁☁

● ณ Touch ●

เขาเป็นรุ่นพี่...ที่มีพลังพิเศษ
ส่วนผมเป็นรุ่นน้องผีๆ ที่ชอบไปจุ้นจ้านเจ๊าะแจ๊ะกับพลังของเขา คือว่างไง สนุกกกกก

_____________________________

คนนึงมีพลังพิเศษระดับเอกซ์เมน แต่พยายามปิดมันเป็นความลับ
อีกคนพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ไม่รู้จักระงับยิ่งกว่าผีเจาะปาก

แล้วความซวยก็ชักพาให้ทั้งคู่มาพบกัน
ทุกอย่างเลย...บู้ม
เละเทะไม่ต่างจากอ้วกหมา

_____________________________

กฎการอ่านนิยายเรื่องนี้
1. ยิ้มเยอะๆ
2. มีความสุขมากๆ
3. แล้วเรามา Touch กัน

หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้มีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากได้บ้างนะคะ :D

_____________________________

แฮชแท็ก
#ณTouch
อ่านแล้วเป็นยังไงแนะนำกันได้ตลอดนะคะ
ไม่ต้องเกรงใจเลย :D


สารบัญเรื่องนี้
(จิ้มตรงนี้ได้เลยค่า) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3932839#msg3932839)

_____________________________

นิยายที่เขียนจบแล้ว :D
ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66925.0)

_____________________________

ฝากเนื้อ ฝากตัว ฝากกาย ฝากใจ
ได้โปรดอ่อนโยนกับคนเขียนด้วยนะกั๊บ : ))

มาพูดคุยกันที่ Twitter ได้นะคะ XD
จิ้มๆ >> นางร้าย (https://twitter.com/nangraii)
หัวข้อ: Re: ●____ขอ Touch ที____●
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 12-10-2018 22:46:43
 :pig2: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: ●____ขอ Touch ที____●
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 12-10-2018 22:52:53
เจิ้มค่า
หัวข้อ: Re: ●____ขอ Touch ที____●
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 13-10-2018 01:28:12
โอมมมมมม จงมา :call:
หัวข้อ: Re: ●____ขอ Touch ที____●
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 16-10-2018 14:28:56
ตามมาจากป้ายบอกทางบ้านพี่เรือค่าาาาาา เรื่องโน้นพลาดไม่ทันได้เกาะออนแอร์ ขอแก้ตัวที่เรื่องนี้นะคะ สู้ๆค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ

คนนึงเงียบ คนนึงพูดไม่หยุด เขาจะคบกันแบบไหนน้อออ เรารอติดตามอยู่น้าา  o13
หัวข้อ: Re: ●____ขอ Touch ที____●
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 17-10-2018 01:59:44
เจิมค่า :hao3:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (สารบัญ)
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 11-01-2019 22:04:46
สารบัญ


แตะต้องครั้งที่ 1
จับบบ...ตบถากปากไม่มีหูรูด แหกตูดมองหน้าเข้าป่า พาไปล้วงลับฉบับคุณชายพลาสเตอร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3932877#msg3932877)

แตะต้องครั้งที่ 2
จับบบ...นมสวยซวยเสน่ห์ โดนเทตลอด เหลือรอดแค่สามหน่อ (http://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3963540#msg3963540)

แตะต้องครั้งที่ 3
จับบบ...พุดตะพัด เฮ้ย! เปิดเผยรูปนม ดมยากันยุง มุ่งแฉความลับ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3973859#msg3973859)

แตะต้องครั้งที่ 4
จับบบ...ความจริงวันนี้พี่ขอร้องน้องจะโดด โอดครวญภาษามือสื่อสารไม่เป็นคำ นี่รำทำไม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3975682#msg3975682)

แตะต้องครั้งที่ 5
จับบบ...หมอนเน่าเฝ้าดอกทอง น้าลองทุกท่าแค่แบงก์ห้าร้อย สอยผมไม่ได้หรอก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3978303#msg3978303)

แตะต้องครั้งที่ 6
จับบบ...วันว่างอ้างอาบน้ำให้หมา ข้าฝากลูกแมวด้วยช่วยใส่ไฟชาวบ้าน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3978308#msg3978308)

แตะต้องครั้งที่ 7
จับบบ...หลวงพ่อแดงแซงทางโค้ง โล่งหนึ่งนิ้วมีหวิวเล็กน้อยนั่งฝอยคอยราดหน้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3980042#msg3980042)

แตะต้องครั้งที่ 8
จับบบ...ล้อมหม้อชาบูดูคนโดนเผา ควงหนุ่มมารึเปล่าพี่เขาไม่เอาน้ำแข็ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3981252#msg3981252)

แตะต้องครั้งที่ 9
จับบบ...คนจริงลิงรูดเสากลัวเขาจะเคือง ตามเรื่องของหายขอร้องสไตล์เสียงเป็ด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3984412#msg3984412)

แตะต้องครั้งที่ 10
จับบบ…สุขสันต์วันครอบครัวผัวจะตบคบทำไมผมไม่อยากเจอพี่แล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3997264#msg3997264)

แตะต้องครั้งที่ 11
จับบบ…ไม่มี Mr.Slip เลยไม่ Sleep รีบเดินไม่หันกลับ ถ้าพี่จะจับน้องขอสับขาวิ่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3997266#msg3997266)

แตะต้องครั้งที่ 12
จับบบ…เปิดตัวนะเธอเจอผงซักฟอกทำไม บอกเรื่องกรวยไต เกี่ยวอะไรกับบทกลอน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3997313#msg3997313)

แตะต้องครั้งที่ 13
จับบบ…สันดานตัวผู้มวยถูกคู่แล้วไง ญาติใครมากินข้าว สาธุ99ครับเจษสาเหตุหั่นศพ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3999284#msg3999284)

แตะต้องครั้งที่ 14
จับบบ…Lie ปุ๊บรู้ปั๊บจับมือลองของดอกทอง 4P I Like Me Better แกะพลาสเตอร์ช้าๆ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg4000307#msg4000307)

แตะต้องครั้งที่ 15
จับบบ...ข้างๆ คูๆ หมอดูขอไถไหลเข้าระยะห่างระหว่างบุคคลร้อนรนจนได้เรื่อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg4002481#msg4002481)
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 1) |▌11.มกรา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 11-01-2019 22:59:57
แตะต้องครั้งที่ 1

จับบบบ...ตบถากปากไม่มีหูรูด
แหกตูดมองหน้าเข้าป่า
พาไปล้วงลับฉบับคุณชายพลาสเตอร์



“เฮ้ย ไรวะ!”

“ขอคุยด้วยหน่อย”

“เดี๋ยวๆ เป็นใครวะเนี่ย”

“...”

“จะทำอะไร จะพาไปไหน พวกขายตรงเหรอ”

“...”

“โอ๊ย แขน เจ็บนะเว้ย...ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย โจรปล้น...ปล่อย...บ้านเมืองมีขื่อมีคานนะเฮ้ย อย่ามาเผด็จการแถวนี้...ช่วยด้วย คุณ ช่วยที...”

โวยวายไปดิ

ร้องไปดิ

นอกจากไม่มีใครช่วยแล้ว แต่ละคนถอยห่างและมองด้วยสายตาแปลกๆ อีก

“ช่วยด้วยครับ ไอ้นี่จะลากผมไปปล้น”

“กูแค่จะคุยด้วยเฉยๆ”

“ช่วยด้วยยย…”

“เงียบ”

“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วยยย…!”

ผัวะ!

“หุบปาก”

โดนโบกกบาลไปที เล่นเอาผมหยุดกึกและนึกเสียใจ ถ้ารู้ว่าชีวิตจะเฮงซวยแบบนี้ไปเรียนคาราเต้หรือมวยไทยตั้งแต่อนุบาลเลยซะก็ดี แต่อย่าเพิ่งคิดย้อนไปไกลขนาดนั้น เอาแค่ย้อนไปสักหนึ่งนาทีก่อนหน้านี้ก็พอ เรื่องของเรื่องคือ ท้องไส้เริ่มปวดหน่วงๆ ตั้งแต่ตอนนั่งเรียนแล้ว พอเลิกคลาสเลยแถมาที่ห้องน้ำก่อนเป็นอันดับแรก กะจะบรรเลงเพลงแจ๊สให้สบายใจ มีห้องว่างอยู่พอดี กำลังจะผลักประตูเข้าไปอินโทรทรัมเป็ดแล้วด้วย

แต่จู่ๆ ก็มีบุรุษลึกลับตรงเข้ามาถามชื่อแซ่ผม

พอบอกไปเท่านั้นอีกฝ่ายก็ลากตัวออกมาเลย และตอนนี้มือที่น่าจะก่อกรรมทำเข็ญมาอย่างโชกโชนก็กระชากคอเสื้อผมค้างไว้ ใบหน้ายื่นเข้ามาใกล้จนมองเห็นเส้นเลือดในตาได้ ไปโดนตัวไหนมาวะ ถ้าโกรธอีกนิดก็แปลงร่างเป็นพี่ยักษ์เขียวได้แล้วนะ

“อ้าปากทำเหี้ยไร”

“มึงสั่งให้กูหุบปาก แต่กูจะอ้า ทำไม ประเทศเสรีโว้ย! ได้เลือกตั้งแล้ว!”

“ล่อแม่งตรงนี้เลยดีมั้ย” เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับผม

“นี่มหา’ลัยนะ ไม่ใช่ตะวันออกกลาง”

“ระวังปากหน่อย กูรุ่นพี่นะ ปีสี่”

“รุ่นพี่แล้วไง สัด! ไม่ใช่พ่อ”

ผัวะ!

โดนโบกกะโหลกไปอีกที

“ขอโทษครับพี่ มีเรื่องไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ค่อยๆ เคลียร์กัน”

“กูก็จะเคลียร์กับมึงนี่แหละ มานี่”

แล้วผมก็ถูกฉุดกระชากลากตัวต่อ เส้นทางที่พาไปก็ดูซับซ้อน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เลี้ยวขวาอีกที และเดินย้อนกลับมาเลี้ยวซ้าย ถ้าปักหมุดให้ Grab มาส่งก็อาจจะหลง แต่ดูจากโลเกชั่นแล้วน่าจะเป็นตึกคณะรัฐศาสตร์ แถวนี้ต้นไม้เยอะ คนก็น้อยซะด้วย

“พี่ เบาๆ...จะเอาเงินใช่มั้ย เดี๋ยวไปกดเอทีเอ็มให้ สองร้อยพอเปล่า...หรือเอาลูกอมไปกินก่อนมั้ย ผมมีอยู่ในกระเป๋าสองเม็ด จะได้ใจเย็นๆ”

“...”

“ผมรู้จักอธิการนะ บอกไว้ก่อน”

“...”

คนบ้าแน่ๆ

โวยวายก็แล้ว ขอร้องก็แล้ว อ้างตำแหน่งก็แล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าผมจะรอดพ้นโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เลย เอาไงดี สุดท้ายแล้วคงต้องล่อที่ไข่ รอจังหวะเหมาะแล้วซัดให้หนักๆ ไปเลย

แต่ก่อนถึงตอนนั้น ลองใช้อีกตัวช่วยก่อนดีกว่า

“คร่อก...ครึ่กๆๆ โอ๊ย...คร่อก”

“เป็นเชี่ยไร”

“องค์...องค์ลงแล้ว คร่อกๆ”

“องค์เชี่ยไร อย่างมึงนี่สัมภเวสียังไม่เข้าใกล้เลย”

ผมหันขวับมองตาขวาง ดัดเสียงเข้มเหมือนพ่อปู่ “...อยากลองดีกับกูใช่มั้ย”

ผัวะ!

“นี่ไง ลองดี”

หัวทิ่มไปดิ โบกเก่งจัง อิจฉาเพื่อนฝูงพี่ป้าน้าอาของแกจริงๆ ฝนตกรถติดอยู่ที่ไหนนี่ขอให้แกมาโบกแท็กซี่ให้ได้สบายเลย

“ครึ่กๆ”

“ยัง ยังไม่ออก เอาอีกทีมั้ย”

“ออกแล้วครับ” ดีเหมือนกัน ทำตาเหลือกจนเมื่อยไปหมดละ ผมเพิ่งตระหนักว่าเราหยุดเดินกันแล้ว และพอลืมตาให้เป็นปกติผมก็แปลกใจสุดๆ ที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในคุกใต้ดินหรือห้องโทรมๆ ที่อัดแน่นไปด้วยซีดีหนังโป๊และรอยเลือดบนกำแพง

เรียนมาปีกว่าๆ ผมยังไม่เคยข้ามถิ่นมาแถวนี้เลย นี่หลังตึกคณะหรือป่าดงดิบ ต้นไม้ใหญ่ใบดกเกือบจะบังแสงแดดได้หมด ไม้ประดับก็ดูเหมือนป่าละเมาะเหมาะจะลากคนมาทำมิดีมิร้ายมากกว่า ตอนนี้ปลอดคนอยู่ด้วย

แต่ก็มีนั่งหัวโด่หน้าใสอยู่นี่คนนึง

ใสกระจ่างอย่างมีออร่า ใสจนอยากแดกกลูต้ารัวๆ ให้สิ้นใจแล้วไปเกิดใหม่เผื่อจะได้แบบนี้

“นั่งลง” มือที่น่าจะฆ่าคนมาไม่ต่ำกว่าสิบศพกดไหล่ผมลง

ผมยืน

เผียะ!

เปลี่ยนมาตบถากกบาลด้านหน้าบ้าง ดีมาก คนรุ่นใหม่ต้องแบบนี้ หัวคนมีหลายจุดที่น่าตบ จะล่อแต่ท้ายทอยไปทำไม ออกจากคอมฟอร์ดโซนซะบ้าง

“แม่งจะกวนตีนไปถึงไหน จะนั่งไม่นั่ง”

คราวนี้ผมยอมนั่งลง เพราะขี้เกียจทำเรื่องเคลมประกันค่ารักษาพยาบาล ครับ นั่งแล้ว ให้ผมก้มลงกราบตีนด้วยมั้ย ความคิดดังแจ้วๆ อยู่ในหัว แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะ...

อะไรหลายอย่างของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าดึงความสนใจผมไปหมด

ผิวขาว หน้าใส ทรงผมรากไทรเซ็ตเหมือนไม่ตั้งใจ จมูกคิ้วคางอะไรก็ดูดีไปหมด คนแบบนี้น่าจะยืนอยู่บนเวทีศิลปินเกาหลีมากกว่ามานั่งหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในป่าแบบนี้

แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือ...นิ้วเรียวยาวนั่น 

ที่ปลายนิ้วทั้งสิบมีพลาสเตอร์ยาอย่างหนาพันรอบอยู่

“ช่วยหน่อย” คนที่ลักพาตัวผมมายังยืนหัวโด่อยู่เหมือนเดิม ถ้าไม่เป็นเพราะริดสีดวงกำเริบก็คงเพราะหงุดหงิดจนนั่งไม่ติด มีแค่ผมกับบุรุษหน้าใสที่นั่งเผชิญหน้ากันอยู่บนม้านั่งหินอ่อน ไม่สิ เรียกว่าเผชิญหน้าไม่ได้ เขาไม่สนใจเราเลย สายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าหนังสือเล่มเล็กๆ ในมือ ดูจากหน้าปกน่าจะเป็นบทกวีหรือไม่ก็ปรัชญา ประเภทที่หยอดคำกำกวมไม่กี่คำลงไปและเหลือพื้นที่ว่างไว้เยอะๆ เหมือนจะเยาะเย้ยเราว่า งงอะดิ สมองมึงก็ว่างๆ เหมือนหน้ากระดาษนี่แหละ

“ได้ยินมั้ยวะ ช่วยกูหน่อย”

“ช่วยตัวเองมั้ย ไม่ไหวก็ไปห้องน้ำดิ” ผมสอดปาก

“กูไม่ได้คุยกับมึง”

“อ้อเหรอ” ผมใช้เสียงสองแบบกวนๆ แล้วหันไปใช้เสียงสามกับอีกคน “อันยอง~”

ดวงตาสีน้ำตาลที่ชวนให้นึกถึงสีของลูกอัลมอนด์ละจากหน้าหนังสือ เหลือบมองมาที่ผมเหมือนมองหินกรวดสักก้อน แล้วเหลือบต่อไปที่คนร้ายลักพาตัวเหมือนมองขี้หมาแห้ง

“Can you speak Thai?”

“ไม่” คำเดียวสั้นๆ หลุดจากปากเขา เสียงเหมือนดังออกมาจากลำโพงชั้นดี

“พูดได้นิดหน่อยเหรอ”

“เขาไม่ได้พูดกับมึงโว้ย” คนนี้ก็โวยวายไม่เลิกจริงๆ หัวร้อนจนไหม้ละมั้ง “ช่วยหน่อยไม่ได้เหรอวะ ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”

“อยากรู้อะไร ไม่ถามกันเองล่ะ” เขาพูดยาวขึ้น เปลี่ยนใจละ เสียงไม่ใช่แค่เหมือนดังออกจากลำโพงชั้นดี แต่เป็นลำโพงชั้นดีและโคตรแพง ฟังลื่นหูและดูมีสกุลรุนชาติสุดๆ เรียกว่าคุณชายเลยก็ยังได้

ที่สำคัญ ไม่ได้มาจากเกาหลี

“หน้าแม่งตอแหลแถมกวนตีนขนาดนี้ มึงคิดว่าจะได้คำตอบว่าไงวะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ กลับไปอ่านหนังสือต่อ

“นิ้วเป็นไรอะ” เห็นแล้วผมอดเจ๋อไม่ได้

“...”

“เป็นโรคเรื้อนเหรอ”

คิ้วหนายกขึ้นเล็กน้อย ตาเหลือบมองปลายนิ้วตัวเองเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ามีพลาสเตอร์แปะอยู่ แต่ก็แค่นั้น เขาไม่พูดอะไร

“หรือหัดเล่นกีตาร์แล้วเจ็บ...ไม่ดิ ติดพลาสเตอร์ทั้งสิบนิ้วขนาดนี้”

“...”

“หรือติดเอาเท่”

“...”

“ที่บ้านทำโรงงานพลาสเตอร์แน่ๆ ใช่มะ”

“...”

“เห็นมั้ย กูบอกแล้ว แม่งกวนตีน” คุณพี่หัวโด่สอดปาก

เจ้าของนิ้วพลาสเตอร์เหลือบมองก้อนกรวดและขี้หมาแห้งอีกครั้ง “ลองถามดิ ผีเจาะปากขนาดนี้ มึงอาจจะรู้อะไรเยอะกว่าที่คิดก็ได้”

“ได้ แล้วมึงจะได้เห็นความตอของมัน”

“ถามจริงๆ นะ นิ้วเป็นไร...”

“มองหน้ากูนี่” พี่ขี้หมาแห้งจับหัวผมหันขวับไป ถ้าแรงกว่านี้อีกนิดก็คอหักละ “กูคุยกับมึงอยู่ หันมา”

“เอ๊ะ พี่หน้าคุ้นๆ นะ” ผมว่า จะว่าไปพี่ขี้หมาก็หน้าตาดีใช้ได้เลย แต่เมื่อเทียบกับคุณชายที่นั่งอ่านบทวีอยู่นี่ ใช้คำว่าขี้เหร่ก็อาจจะเบาไป “พี่เป็นพระเอกหนังโป๊ปะ เหมือนเคยดู”

“ไอ้ห่า”

“นึกออกแล้ว!” ผมทำตาโต “พี่ขวดใช่มั้ย ลูกตาขามที่บ้านอยู่ข้างวัด ตอนเด็กๆ พี่ชอบไปคุ้ยขยะกินแถวๆ หลังโรงเรียน”

“มึงนี่แม่ง”

“เอ๊ะ ไม่ดิ พี่ประกอบ ลูกลุงประเสริฐต่างหาก ตอนเด็กๆ เพื่อนชอบล้อว่าไม่สมประกอบอะ ใช่มะ เฮ้ย! พี่ ผมนึกว่าพี่ตายโหงไปแล้ว นี่พี่หน้าตาดีขึ้นมากนะเนี่ย”

เผียะ!

เขาผลักหัวผมออก และตามด้วยตบเช็ดเบาๆ

“ไอ้เวร กูชื่อเรนจิ”

“เรนจิ...เห็ดอะนะ”

“เห็ดเหี้ยไรอีก”

“เห็ดที่มากับชุดผักชาบูไง”

“นั่นออรินจิมั้ย”

“นั่นแหละ อะไรจิๆ ฟังยาก เรียกพี่เห็ดละกัน”

เอาแล้ว จะแปลงร่างเป็นยักษ์เขียวแล้วใช่มะ ถึงจุดแล้วววว...แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็แค่ถอนหายใจ และพูดแบบข่มอารมณ์สุดๆ “มึงดูนี่” เขาควักโทรศัพท์มือถือออกมาและยื่นมาตรงหน้าผม “นี่อะไร”

“ถ้าตอบว่ารถไฟ...ก็ไม่ถูกใช่ปะ”

“จะกวนตีนไปถึงไหน”

“โอเค ผมขอใช้ตัวช่วยถามเพื่อนครับ...พี่ๆ พี่พลาสเตอร์ ช่วยหน่อย ไอ้ที่เห็นอยู่นี่เรียกว่าอะไรครับ”

“กูให้มึงดูคลิปนี่!”

“อ้อ” ผมเลยดูคลิป แล้วก็ต้องเบิกตาขึ้น “โรคจิต ใครแอบถ่ายวะ...พี่เหรอ”

“เพื่อนส่งให้กู”

“เลวมาก”

“มึงดิเลว”

“ฮะ?”

“ก็เบิกเนตรถั่วๆ ของมึงดูให้จบสิวะ”

ใครว่าถั่วล่ะ ผมเบิกเนตรดวงงามของตัวเองดูให้ชัดๆ และเห็นตัวเองเดินตามหลังผู้หญิงคนหนึ่งหายเข้าไปในตัวตึกซึ่งเป็นคอนโดหรู “ดูจบแล้ว แล้วไงอะ”

“มึงแหกรูจมูกฟังให้ชัดๆ นะ คนนี้กูจองโว้ย คุยกันได้สองอาทิตย์แล้ว”

ผมจับรูจมูกถ่างค้างไว้ “ใช้จมูกฟังได้ด้วยเหรอ พูดอีกทีซิ”

พี่เห็ดหายใจฮึดฮัด เขามองหน้าเพื่อนพร้อมกับแบมือทั้งสองข้างใส่ผม เป็นภาษาร่างกายที่เหมือนกับจะพรีเซนส์กองอ้วกหมาและบอกโดยไม่ใช้คำพูดว่า มึงดูความเหี้ยของมัน

คุณชายละสายตาจากหนังสือมาดูความเหี้ยของผม และถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมว่ามุมปากเขาแอบยิ้มนะ “มึงก็ถามเข้าเรื่องสักทีดิ”

“ได้! เข้าเรื่องเลย” พี่เห็ดจับหัวผมหันไปหาเขาอีก “มึงกับแคลเป็นอะไรกัน”

“แคลไหน”

“แคลคณะบริหารปีสาม”

“พี่แคลเซียมอะนะ”

“แคลให้มึงเรียกงี้เหรอวะ”

“ไม่อะ ผมเรียกเอง”

“มึงเป็นใครวะถึงขึ้นคอนโดแคลได้ อย่าบอกว่าเป็นแฟน เท่าที่กูรู้แคลยังไม่ได้คบใคร”

ผมยักไหล่ “ก็คนสำคัญอะ ขึ้นได้”

“ขึ้นไปทำไร”

“ก็ไปทำโน่นทำนี่ เยอะแยะ”

พี่เห็ดหลับตาสูดหายใจ หน้าเบ้นิดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหรือเตรียมรับมือกับความเจ็บปวด “มึงนอนกับแคลแล้วใช่มั้ย”

“ตอนรับน้องนี่นอนหัวซุกกันเลย นั่งด้วยกันก็บ่อย กินด้วยกัน เดินด้วยกัน...”

“กูจะถามใหม่ชัดๆ มึงได้กับแคลยัง”

“ก็มีได้บ้างเสียบ้าง นี่ผมยังติดข้าวพี่แกอยู่มื้อนึง...เอ๊ะ หมายถึงได้เสียเป็นเมียผัวน่ะเหรอ อันนั้นไม่เคยอะ”

“ตอแหล”

“แต่เสื้อนงเสื้อในแกผมเห็นหมดนะ เดาคัพได้เลย แต่ไม่ใช่สเป๊ก”

“แม่ง! กูไม่ไหวแล้วเว้ย”

ใจผมหล่นวูบไปถึงตาตุ่มทันทีที่ถูกกระชากคอเสื้อให้ลุกขึ้น สงสัยจะล้ำเส้นมากไป หมัดเขวี้ยงควายเงื้อเต็มเหยียดแล้ว จะยกสองมือไหว้ปะหลกๆ แสดงความอ่อนน้อมก็คงไม่ทัน

ฟึ่บ!

แต่เดชะบุญ มือเรียวยาวที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ได้ทัน “ใจเย็นๆ” เขาใช้มืออีกข้างตบไหล่เพื่อนเหมือนปลอบหมาให้สงบ แล้วหันมองหน้าผม “ก็ได้ มาฟังความจริงกัน”

พี่เห็ดยอมลดกำปั้นลง ขณะที่มือกำลังจะยกพนมของผมค้างเติ่งอยู่ระหว่างอก ผมเลยยกมันขึ้นเป็นท่าไหว้ท่วมหัวเป็นการขอบคุณฟ้าดินไป

“นับเลขในใจยัง”

“เออ นับอยู่ แต่มันกวนตีนไง ดูหน้าแม่งดิ”

“อืม นับไปเรื่อยๆ” มือพลาสเตอร์ตบไหล่เพื่อนอีก จากนั้นก็ย้ายมาตบไหล่ผมบ้าง หรือเรียกว่าเคาะจะเหมาะกว่า “นั่งลง”

ผมเลยนั่งลง พูดเสียงนุ่มขนาดนี้ถ้าไม่นั่งก็ดูจะเป็นคนไร้การศึกษาเกินไป ตัวเขาเองก็นั่งด้วย เหลือแค่พี่เห็ดคนเดียวที่ยังยืนเป็นคนริดสีดวงแตกอยู่เหมือนเดิม ผมอยากจะพูดจะถามต่อ แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของคุณชายดึงความสนใจผมไปจนหมดอีกแล้ว

เขาลอกพลาสเตอร์ที่พันรอบนิ้วชี้ข้างขวาออกช้าๆ

“ไม่มีแผล” ผมว่า “ว่าแล้ว ที่บ้านต้องทำโรงงานผลิตพลาสเตอร์”

“ขอมือหน่อย” เขาพูดไปอีกเรื่อง

ผมหดมือแนบไว้กับตัว “ถ้าให้ผมก็พิการดิ ขอกันง่ายๆ งี้ได้ไง มีคนละสองข้างแล้ว...จะทำไรอะ คนแปลกหน้ามาจับมือกันงี้ไม่ได้นะ มันผิดผี...”

หมับ!

เขาเอื้อมมาจับมือซ้ายของผมวางลงบนโต๊ะม้าหินอ่อน และกุมไว้เบาๆ นิ้วชี้ที่ลอกพลาสเตอร์ออกแล้วซุกอยู่ตรงอุ้งมือผม

สปาร์คเลย

สัมผัสนี้มีหวิว

“ปวดขี้” แล้วสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวผมมาตลอดก็โพล่งผ่านปากออกมาเอง “แล้วรู้ปะ ตอนเลิกคลาสลงลิฟต์มาคนโคตรเยอะ อาจารย์ก็อยู่ด้วย เลยตดแม่งเลย...”

อะไรวะ! กูพูดอะไรออกไป!

แล้วก็ยังไม่หยุดอีก

“...แล้วเมื่อเช้านี้ก็กินแค่แอปเปิลลูกเดียว ทั้งหิวทั้งปวดขี้ ชีวิตโคตรบันเทิง...ข้าวร้านเจ๊น้อยบูดประจำ ที่โรงอาหารคณะบริหารอะ อย่าไปกิน...เอไอเอสออกโปรใหม่แล้วนะ...”

“เงียบ!” พี่เห็ดตะโกนขัดขึ้น

“พรุ่งนี้วันพระ”

“เงียบดิ๊!”

“ปูอัดไม่ได้ทำจากเนื้อปูนะ รู้ยัง”

“หุบปาก!”

“พยากรณ์อากาศวันนี้บอกว่า อากาศแจ่มใส มีเมฆบางส่วน...”

“สัด! หยุดพูด! เฮ้ย ปล่อยมือแม่งก่อนดิ๊”

คุณชายปล่อยมือ เล่นเอาแขนข้างนั้นของผมชาวาบคล้ายกับตอนเป็นเหน็บแล้วมีคนมาแกล้งเอานิ้วจิ้ม หัวใจเต้นรัว ในหัวสับสน ไม่ต่างจากเด็กสาววัยแรกรุ่นเพิ่งถูกผู้ชายหลอกจับมือ

เผียะ!

“สติ” พี่เห็ดตบถากที่สมองส่วนหน้าผมเบาๆ หรือว่าที่งงๆ อยู่นี่เพราะโดนตบเยอะเกินไปวะ “มึงฟัง แล้วตอบแค่ที่กูจะถามก็พอ เข้าใจมั้ย”

“อะ...โอเค”

“เดี๋ยวกูถามให้เอง” คุณชายว่า แล้ว...จับมือผมอีกครั้งอย่างนุ่มนวล

รอบนี้หวิวกว่าเดิมอีก

“ชื่ออะไร” 

“นะฑี” ปากผมตอบทันทีเหมือนไม่ได้ผ่านสมองก่อน “ไม่ใช่นทีที่แปลว่าแม่น้ำนะ แม่จะให้ชื่อนี้ แต่หลวงพ่อแถวบ้านบอก ท.ทหารเป็นกาลกิณี ก็เลยเปลี่ยนเป็น น.หนู สระอะ แล้วก็ ฑ.นางมณโฑ สระอี เท่ใช่ปะ ชื่อนี้ยังไม่มีใครซ้ำเลยนะ”

“เรียนคณะอะไร”

“บริหาร สาขาการจัดการ”

“มึงรู้จักอธิการบดีจริงรึเปล่า” พี่เห็ดยื่นหน้าเข้ามาพูดขัด

“ใครไม่รู้จักบ้าง ตอนปฐมนิเทศแกก็ออกมาแนะนำตัว”

“กูว่าละ แม่งลักไก่...”

คุณชายยกมือเป็นเชิงปรามให้เพื่อนเงียบ แล้วถามต่อ

“ปีไหน”

“เอาปี พ.ศ. หรือ ค.ศ.”

“หมายถึง เรียนอยู่ปีไหนแล้ว”

“ปีสอง เห็นหน้างี้อย่าคิดว่าอายุสิบหกสิบเจ็ดนะเฮ้ย ดีนะที่กรรมพันธุ์ดี หน้าเลยเนียนเป็นตูดเด็กแบบนี้ ไม่งั้นตีนกาแม่งเต็มหน้าแล้ว วิชาปีสองโหดชิบหาย...”

เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ ทำไมห้ามปากตัวเองไม่ได้ มันเหมือนกับ...ท้องเสียแล้วขมิบหูรูดไม่อยู่ ยิ่งตอนถูกถามอาการยิ่งหนักจนข้าศึกไหลพร็อดแพร็ดออกมาเอง

“ปกติเป็นคนพูดจาแบบนี้รึเปล่า”

“ปกติก็งี้อะ”

“กับทุกคนเลย?”

“ใช่”

“กูอยากรู้จริงๆ มึงเอาชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ไงวะ” พี่เห็ดสอดปาก

“ก็กินข้าวให้ครบห้าหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แล้วก็อย่าไปกวนตีนใคร”

“เนี่ย มึงกวนตีนกูอยู่”

“พี่ก็กวนตีนผมครับ คือ...นี่ ทะ...ทำอะไรผม ทำไม...”

“หายใจเข้าลึกๆ ช่วยได้” คุณชายบอก

ผมหายใจเข้าลึก แต่มันไม่ช่วยอะไร ยังคงรู้สึกแปลกๆ ปั่นป่วนมวนท้องอยู่เหมือนเดิม วิธีเดียวที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นคือ พูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา “รู้ปะ ทีแรกนึกว่าพี่เห็ดจะลากผมมาปล้นนะ”

“กูเนี่ยนะจะปล้นมึง กูไม่กระทืบมึงให้ขี้แตกก็ดีแค่ไหนแล้ว...เฮ้ย ถามเข้าเรื่องสักทีดิวะ”

คุณชายยกมือเป็นเชิงให้พี่เห็ดหยุดพูด ขณะที่สายตายังมองหน้าผมอยู่ “ดีขึ้นมั้ย”

“ไม่ดี จะอ้วก”

“เวียนหัวเหรอ”

“นิดๆ แต่ปวดขี้มากกว่า”

นิ้วเรียวยาวบีบมือผมแน่นขึ้น ขยับเปลี่ยนตำแหน่งนิ้วชี้เล็กน้อย “แบบนี้ล่ะ เป็นไง”

“ดีขึ้นมั้ง”

มุมปากเขากระตุกนิดๆ ก่อนจะพูดต่อ “ต่อนะ เป็นอะไรกับแคล”

“พี่รหัส น้องรหัส” ผมก็ไม่แน่ใจว่ารู้สึกดีขึ้นมั้ย ตอนนี้รู้สึกตัวลอยชอบกล และมือข้างที่เขาจับอยู่ก็อ่อนแรงอย่างกับเป็นอัมพาต ไม่มีแรงจะดึงกลับ แต่ตรงกันข้ามการที่เขาจับไว้ช่วยให้รู้สึกมั่นคงขึ้น

มั่นคง แต่ก็อันตราย

“เป็นมากกว่านั้นมั้ย”

“เป็น”

“ยังไง”

“เป็นลูกหนี้แกอะดิ ติดเลี้ยงข้าวแกอยู่”

“กูถามเอง” พี่เห็ดยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม “มึงขึ้นคอนโดแคลไปทำอะไร”

“ก็ขึ้นไปทำโน่นทำนี่”

“อะไรบ้าง”

“ติว นอนเล่น กินขนม ขี้ เยี่ยว ล่าสุดก็ขึ้นไปเอาชีทติว”

“มึงชอบแคลรึเปล่า”

“ชอบดิ เจ๊แกกันเองดี”

“กูหมายถึงชอบแบบชู้สาว”

“ไม่ใช่สเป๊ก”

“มึงได้เสียกับแคลรึยัง”

“ก็ได้บ้าง เสียบ้าง แต่เสียมากกว่า เจ๊แคลเซียมนี่เซียนป๊อกเด้งเลยนะ ไม่รู้เหรอ”

“แม่ง ได้เสียเป็นเมียผัวแบบที่มึงว่าอะ”

“ไม่เคย สายรหัสจะกินกันเองทำไม มันผิดผี”

“มึงบอก เสื้อนงเสื้อในเห็นหมดแล้ว”

“ก็เห็นจริงอะ แกลืมไว้ในห้องน้ำ”

“สรุปมึงเป็นแค่น้องรหัส ไม่ได้มีสัมพันธ์แบบชู้สาวกับแคลใช่มั้ย”

“ถูกต้อง”

“เออ ก็แค่นี้ กูนึกว่าแฟน”

“เจ๊แกไม่มีแฟนหรอก มีแต่ผู้ชายในสต๊อกอะ เป็นสิบเลยมั้ง”

“ว่าไงนะ” พี่เห็ดรวบคอเสื้อผมอีก

“จะจีบเจ๊แคลเหรอ นี่ไม่รู้เลยใช่ปะว่าคู่แข่งเยอะ ไหนก้มหัวดิ๊มีเขารึเปล่า”

“มีคนจีบแคลเยอะเหรอ...แม่งมีใครบ้างวะ กูจะไปล่อมัน”

“เท่าที่รู้ก็มีพี่เจมส์วิศวะ คนนี้คุยกันเป็นปีละมั้ง อีกคนที่กำลังมาแรงสุดๆ ก็เดือนคณะเศรษฐศาสตร์”

“แม่ง”

“หัวร้อนไปก็เท่านั้น ตัดใจเหอะ อย่างพี่อะปลายแถว”

“กูเนี่ยนะปลายแถว” พี่เห็ดทำหน้าเบ้ “บอกดิ๊ กูไม่ดีตรงไหน”

“ทุกตรง” ผมบอก “หน้าก็เหี้ย นิสัยก็เถื่อน ไม่ใช่สเป๊กเจ๊แกหรอก”

“สัด”

“เหี้ย” ด่ามาก็ด่ากลับ ไม่โกง

“มึง ปล่อยมือมันได้แล้ว กูไม่อยากฟังแม่งละ”

“กูปล่อยนานแล้ว” คุณชายพูดเสียงเนิบๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่รู้ว่าเขากลับไปอ่านหนังสือต่อตั้งแต่เมื่อไหร่ นิ้วชี้ก็มีพลาสเตอร์พันไว้ตามเดิมเรียบร้อย

ผมกะพริบตาปริบๆ แล้วดึงมือที่เป็นอิสระของตัวเองมานวดเบาๆ

“อ้าว มึงปล่อยตั้งแต่ตอนไหนวะ แล้วไอ้ที่มันพูดมาทั้งหมดนี่จริงแค่ไหน” พี่เห็ดโวยวาย แต่คุณชายไม่หือไม่อืออะไร เขากลับไปอยู่ในโลกส่วนตัวแล้ว และเราก็กลายเป็นก้อนกรวดกับขี้หมาแห้งอีกครั้ง คงเพราะอย่างนั้นพี่เห็ดเลยหันมาเล่นงานผมแทน “งั้นมึงตอบ ปล่อยตอนไหน”

“...”

คุณชายปล่อยมือช่วงก่อนที่ผมจะด่าว่าพี่เห็ดหน้าเหี้ยนั่นแหละ รู้ได้ทันที เพราะมันจะมีอาการชาวาบนิดๆ เหมือนถูกจิ้มตอนเป็นเหน็บ และตอนนี้ก็ยังมึนๆ อยู่จนพูดอะไรไม่ออก

“แล้วที่พูดมาจริงหรือเปล่า” ถึงกับจับตัวผมเขย่าแล้ว “จริงมั้ยวะ ตอบ!”

“จริง” ผมตอบหลังจากรวบรวมสติได้ แล้วก็ตระหนักอย่างแจ่มชัดว่า ตั้งแต่ถูกจับมือสิ่งที่ผ่านปากออกไปนั้นล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น “ใช่...จริงทั้งหมดเลย จะโกหกทำไมล่ะ”

“เหี้ย”

“สัด” ด่ามาก็ด่ากลับอีกที

พี่เห็ดสบถพร้อมกับถอยหลังไปก้าวนึง หันมองผมกับคุณชายสลับไปมา สายตาที่มองคุณชายดูผิดหวังและมีความนับถืออยู่ในที อาจจะเหมือนสายตาของเด็กชายมองพ่อ หลังจากพ่อบอกว่าดวงจันทร์เป็นแค่หินก้อนใหญ่และไม่ได้มีกระต่ายอยู่บนนั้น แต่สายตาที่มองผมนั้น ดูไม่ต่างจากมองกองขยะเปียกสักเท่าไหร่

ผมเลยยิ้มให้แก และยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแนบขมับ กระดิกนิ้วชี้ดุ๊กดิ๊กทำเป็นเขาแบบน่ารักๆ

“แม่งเอ๊ย” พี่เห็ดสบถอีก

“พ่องเอ๊ย” ผมก็เอาบ้าง จะน้อยหน้าได้ไงล่ะ

“ไปให้พ้นหน้ากูเลยไป”

“ทีงี้ทำเป็นไล่นะ ไปก็ได้ ว่าแต่ห้องน้ำคณะรัฐศาสตร์อยู่ตรงไหนอะ พวกพี่เข้าห้องน้ำตรงไหนกัน”

“รัฐศาสตร์อยู่โน่น ไปดิ”

“อ้าว ตึกนี้ไม่ใช่รัฐศาสตร์เหรอ”

“มึงเดินอ้อมไปข้างหน้าแล้วแหกตูดดูให้ชัดๆ ป้ายเขียนว่าไง”

“ไม่ไปละ ขี้เกียจ”

“เออ! งั้นกูไปเอง” ว่าแล้วพี่เห็ดก็เดินจ้ำๆ ออกไปเลย

“ไปไหนอะ ที่ชอบๆ เหรอ” ผมพูดตามหลัง

“เสือก”

พี่เห็ดไปแล้ว เหลือแค่เราสองคน

คุณชายพลาสเตอร์อ่านหนังสืออยู่เหมือนตอนแรกที่ผมถูกลากตัวมา ผมตะแคงศีรษะพยายามอ่านชื่อหนังสือบนหน้าปก แต่เขาลดมันลงจนเกือบแนบกับโต๊ะหินอ่อน

“เมื่อกี้ทำอะไรผมอะ” ผมถามเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

“...” เงียบ

“ยาป้ายเหรอ”

“...” นิ่ง

“แต่ยาป้ายไม่มีจริงนี่ ใช่มะ หรือว่ามี”

“...”

หนักกว่าขยะเปียกอีก นี่กูเป็นอากาศธาตุไปแล้วเหรอ

“พี่ชื่อไร”

“...”

“หยิ่งใช่ปะ ด้ายยย เดี๋ยวได้คุยยาวแน่ ไปปล่อยภาระทางลำไส้แป๊บ”

“ณทัช”

“ฮะ?”

“ณทัช” เขาพูดซ้ำ พร้อมกับกระดกปลายหนังสือเข้าหาตัว “ณ.เณร ท.ทหาร ไม้หันกาศ ช.ช้าง”

นี่เขาเพิ่งแนะนำตัวเองเหรอ

ผมรอฟังต่อแต่เขาไม่พูดอะไรอีก มีแค่ ณทัช คำเดียวแค่นี้เลย ราวกับว่าคำนี้เป็นผลของการตกผลึกของปรัชญาทั้งมวลและไม่ต้องมีคำอธิบายขยายความอะไรอีก

ขนลุกเลยอะ

ไม่ใช่เพราะชื่อเขาหรอก แต่ปวดขี้นี่แหละ

“เดี๋ยวมา” ผมให้เขาแค่คำเดียวเหมือนกัน แล้วก้าวฉับๆ อ้อมมาด้านหน้าตึก

ถึงจะรีบแค่ไหน แต่ก็อดที่จะแหกตูดใส่ป้ายหน้าคณะและอ่านออกมาดังๆ ไม่ได้ “คณะจิตวิทยา” จากนั้นก็ออกแสวงหาห้องสุขาต่อไป เพื่อให้ตูดได้ทำหน้าที่ที่แท้จริงของมัน


 

___________________________

สวัสดีค่าทุกคน
ขอฝากนิยายเรื่อง #ขอTouchที ไว้ด้วยนะคะ

หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้มีความสุขและยิ้มได้นะคะ
2019 นี้ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยนะคับผมมม

อ่านแล้วเป็นยังไงคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ *กอด*

ขอบคุณมากเลยค่า
เยิฟฟฟฟ :D

นางร้าย
11.01.2019
หัวข้อ: Re: ●____ขอ Touch ที____● (แตะต้องครั้งที่ 1) |▌11.มกรา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 13-01-2019 16:58:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ขอ Touch ที____● (แตะต้องครั้งที่ 1) |▌11.มกรา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: YNS ที่ 11-02-2019 09:28:17
ติดตามเลยคับผม! ชอบคนกวน** แบบนี้มาก ยิ่งสไตล์เด็กผีกับรุ่นพี่ซึนๆ(เดาไว้ก่อนว่าใช่)
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ●____ขอ Touch ที____● (แตะต้องครั้งที่ 1) |▌11.มกรา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 11-02-2019 21:15:15
 :pig4: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 2) |▌10.เมษา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 10-04-2019 19:46:17
แตะต้องครั้งที่ 2
จับบบ...นมสวยซวยเสน่ห์
โดนเทตลอด
เหลือรอดแค่สามหน่อ

 

วันนี้ผมมาถึงมหา’ลัยเช้าเป็นพิเศษ มาถึงก็เดินลับๆ ล่อๆ ไปแถวโรงอาหารคณะ จังหวะนั้นก็เห็นสาวผมสั้นเอวคอดนมตู้มๆ เข้าพอดี เดินเดี่ยวมาแต่ไกลอย่างกับลูกแกะหลงฝูงแบบนี้ ยังไงก็ต้องเข้าไปแทะโลมสักหน่อย

ผมแอบเดินเข้าไปประกบจากทางด้านหลังและทักทายเธอเบาๆ

“นมสวย”

เจ้าตัวสะบัดหน้ามามองตาขวาง “สัด”

ไม่ใช่ลูกแกะละ หมาป่าชัดๆ

“พูดเพราะจัง ขอเบอร์ได้ปะ”

“สามเก้า”

“ไซส์นมเหรอ”

“ไซส์ตีน”

“งั้นขอไลน์”

“มีแต่ลายตีนเอามั้ย”

“เอาๆ ถอดรองเท้าดิ จะได้ถ่ายรูป เอาไว้ดูก่อนนอน”

“ไม่ต้องถ่ายหรอก ยื่นหน้ามาเดี๋ยวประทับให้เลย”

“ปากหวาน ขอเฟซก็ได้ถ้างั้น ชอบไลฟ์เต้นสดทางเฟซปะ นมงี้ขายครีมได้นะ รับรองรวย”

“ว่างๆ ซื้อน้ำยาล้างส้วมมาบ้วนปากบ้างนะ”

“ความคิดดี นี่เพิ่งแดกขี้มา มันเลยจะเหม็นๆ หน่อย”

“โรคจิตเอ๊ย”

“ขอบคุณ” ผมฉีกยิ้ม และอดที่จะมองหน้าอกหน้าใจของเธอไม่ได้ “เดินกระแทกเท้าแบบนี้นมก็เด้งดิ เห็นมะ คนมองจนตาจะเป็นต้อแล้ว”

“เสือก”

“ฮ่าๆ” การปล่อยมุกก็เหมือนได้ดีท็อกซ์ของเสียออกจากสมองนั่นแหละ หยอดวันละยี่สิบหรือสามสิบมุกจะได้โล่งๆ ตอนนี้เริ่มสบายหัวขึ้นมาหน่อยละ “เฮ้ย แล้วมือเป็นไรวะ ติดพลาสเตอร์ทำไม”

ช่วงนี้เทรนด์พลาสเตอร์กำลังมาเหรอ

“ต่อยคนมา”

“รุนแรง”

“ต่อยคนที่แซวเนื้องอกกูแบบมึงนี่แหละ”

นั่นไง ถ้าเป็นคนอื่นผมคงปากแตกไปละ

“เป็นไร เมนส์มา?”

“เหี้ย”

ชัดเจน

“เฮ้ย เดี๋ยวนี้เขามีผ้าอนามัยแบบเย็นแล้วไม่ใช่เหรอ ไปหามาใช้ดิ จะได้อารมณ์เย็นๆ”

“เลิกพูดสักทีได้ป้ะ รำคาญ”

“โอเคครับน้องเปิ้ล กูจะหุบตูดสองนาทีนะ เพื่อเห็นแก่วันสังเวยเลือดของมึง”

“เออ”

ทุกวันนี้ผมยังงงว่าอะไรหล่อหลอมให้คุณเธอเป็นแบบนี้ ถ้าจะให้นิยามง่ายๆ ก็คือ ทอมเถื่อน แต่หน้าตาดีระดับพริตตี้ แถมยังมีฮอร์โมนเพศหญิงอยู่เต็มเปี่ยมจนนมล้นทะลักโดยไม่ต้องศัลยกรรม นมที่สาวๆ ครึ่งมหา’ลัยใฝ่ฝันถึง แต่เจ้าตัวกลับเรียกมันว่าเนื้องอก

ชื่อเสียเรียงนามก็น่าหยิกน่าหยอก ‘โอเปิ้ล’ ซึ่งมีไม่กี่คนที่กล้าหาญพอจะเรียกน้องเปิ้ล แต่สำหรับคนส่วนใหญ่เธอยืนยันให้เรียกไอ้โอ และด้วยระเบียบมหา’ลัยที่ไม่อนุญาตให้นักศึกษาหญิงสวมกางเกง โอเปิ้ลเลยแต่งตัวไม่สุดสักทาง คือ เปลือยหน้าสด ตัดผมสั้น เสื้อตัวโคร่ง กระโปรงบานยาวโดยสวมบ็อกเซอร์ซ้อนไว้ข้างใน ตบท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบมอมๆ แต่ขนาดนั้นก็ยังมีผู้ชายวิ่งตามมาขายขนมจีบอยู่ไม่ขาด และก็มีผู้หญิงที่มันตามจีบวิ่งหน้าเหวอหนีอยู่เป็นประจำด้วยค่าเฉลี่ยพอๆ กัน

เราเดินเข้ามาในโรงอาหารคณะแล้ว ครบสองนาที ผมเลยแถเข้าไปหาหนุ่มคนนึงที่นั่งอยู่ตามลำพังและเผยอตูดเอ่ยคำทักทายทันที “อ้าว คุณเจษฏา สวัสดีครับโผม” ผมยกมือไหว้ ก้มต่ำจนหัวแทบชนเข่า

“เอ่อ...หวัดดีครับๆ” ไอ้นี่ก็เสือกรับไหว้เฉย รับไหว้แบบจริงใจด้วยนะ “โอเปิ้ล หวัดดี นี่มาพร้อมกันเลย เชิญนั่งเลยครับ”

“กูบอกกี่ครั้งละ อย่าพูดครับกับเพื่อน ฟังแล้วขี้หูมันเคลื่อน” ผมบอก

“อ่อ โอเคๆ เชิญนั่ง”

เรานั่งลง โดยที่เปิ้ลเผลอทิ้งตูดอย่างแรงแบบไม่เกรงใจว่าเมนส์จะทะลัก เล่นเอาโต๊ะข้างๆ หันมองกันเป็นแถบ

“เมื่อกี้รู้ใช่ปะ ที่กูไหว้คือมุก”

“เหรอ”

“กูว่าละ ไม่รู้”

“งั้น...ที่เรารับไหว้ถือว่าเป็นมุกได้มั้ย”

“อ่อเหรออออ ไหนการบ้าน” ผมประชด เจ้าตัวทำท่าจะล้วงหนังสือในกระเป๋า ผมเลยขยายความให้ชัด “การบ้านที่ให้พูดคำหยาบวันละคำอะ”

“อ่า...”

“ด่าไอ้เปิ้ลดิ๊ พูดคำว่าสัดให้ได้อารมณ์ที่สุด”

“เปิ้ล เรา...” อย่างกับบอกให้มันไปฆ่าคนงั้นแหละ “...ขอด่านะ สัด”

“ว่างๆ ไปตามวัดนะ แล้วก็ไปขอออดิชั่นสวดมนต์กับมัคทายก ใช้เสียงแบบนี้แหละ รับรอง ผ่าน” เปิ้ลบอกพร้อมกับตบไหล่ปลอบเบาๆ

“เปิ้ลไม่โกรธใช่มั้ย”

น่ะ เอากับมันสิ

“กูจะโกรธเพราะเรียกเปิ้ลนี่แหละ”

“ขอโทษที แต่นะฑีเรียกว่าเปิ้ลตลอด ทำไมไม่โกรธอะ”

“กูไม่โกรธขี้มูกแห้ง”

แรงสาดดด

เจษฎาขมวดคิ้วก่อนจะเบิกตา “โห คิดได้ไง แล้วแบบนี้นะฑีโกรธมั้ย”

“กูก็ไม่โกรธเศษปุ๋ยคอก”

“อือหือ ทำไมคิดกันได้”

“เมื่อไหร่มึงจะตามมุกเพื่อนทันวะ” ผมถอนหายใจแรงๆ

เจษฎาเกาหน้าผาก “ขี้มูกแห้ง ปุ๋ยคอก โอเค...งั้นเรียกเราด้วยชื่อแย่ๆ สักอย่างสิ จะได้ดูเป็นพวกเดียวกัน เอาเป็น…แก้วมังกรดีมั้ย”

“แก้วมังกรเนี่ยนะ”

“รสชาติมันแย่นะ เราไม่ชอบกิน”

“เออ ไอ้แก้วมังกรดิบ ไอ้แก้วมังกรสามโลยี่สิบ ฟังแล้วเจ็บไปถึงไส้ติ่งเลยมั้ยล่ะมึง”

เฮ้อ...

นี่แหละเจษฎา ถ้าให้นิยามตัวตนสั้นๆ ก็คือ เด็กเนิร์ดโคตรคุณธรรม เต็มร้อยเรื่องวิชาการ แต่วิชามารคะแนนติดลบ และแน่นอนว่าภาพลักษณ์คือ หน้าตี๋ สวมแว่น แต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจดเท้า พร้อมจะขึ้นรับโล่รางวัลนักศึกษาแต่งกายดีเด่นได้ตลอดเวลา

“เอาเป็นว่ากูพูดเพราะๆ กับมึงดีกว่า เจษฎาครับ เลกเชอร์ที่ฝากจดเป็นไงมั่งครับ”

“เราซีรอกซ์ไว้ให้แล้วครับ นี่ไง” เจษฎาโยนกระดาษปึกย่อมๆ มาให้ผม

“โคตรเยอะ นี่เลกเชอร์หรือประวัติศาสตร์อยุธยาวะ”

“รวมของเก่าที่ฝากเราไว้ด้วย”

“อ่านเป็นเดือนมั้งเนี่ย”

“ถ้าตั้งใจสองชั่วโมงก็จบ แต่อ่านจบอย่างเดียวไม่ได้นะ นายต้องทบทวนทำความเข้าใจด้วย ไม่งั้น...”

“พอๆ กูจะเอาไปปั่นกินละ” ผมตัดบท และมองน้องเปิ้ลที่ยังนั่งทำหน้าเป็นปลาตีนเกยตื้นไม่พูดไม่จา สงสัยต้องหาเรื่องแหย่มันเล่นสักหน่อย “เฮ้ย เจษฎา กูมีคำถาม”

“ไม่เข้าใจตรงไหน”

“มึงคิดว่านมไอ้เปิ้ลของจริงหรือปลอม”

“...”

“ไอ้พวกผู้ชายนี่เป็นอะไรกับเนื้องอกกูมากปะ” นั่นไง สะกิดถูกจุด

ผมหันไปคุยกับเจ้าตัว “มึงแน่ใจนะว่า ก่อนเข้ามหา’ลัยไม่ได้บินไปเกาหลี”

“อยากรู้นักมึงก็จับดู”

“เอางั้นเลย”

“กะอีแค่ก้อนไขมัน”

“แล้วกูจะแยกออกได้ไงว่าจริงหรือปลอม”

“ของจริงแม่งก็เด้งแบบนี้” ไม่พูดเปล่า เขย่านมตัวเองต่อหน้าประชาชนเฉ้ย เจษฎาถึงกับหน้าเหวอและรีบหันไปทางอื่น ส่วนเปิ้ลแอ่นอกขึ้นท้าทายต่อ “เอาดิ”

ผมยื่นนิ้วชี้ออกไปอย่างลังเลทำท่าจะจิ้ม แต่แล้วก็ดึงกลับ “ไม่ดีกว่า เดี๋ยวติดเชื้อมือกูเป็นเนื้องอก”

“สัด อะ เจษงั้นมึงจับ” โอเปิ้ลคว้าข้อมือเจษฎาหมับดึงมาที่หน้าอกตัวเอง

“เฮ้ยๆ เราไม่...ไม่เอา”

“จับ!”

“มันอนาจารนะ ผิดกฎหมาย ไม่เอาครับ เปิ้ล หยุด” ไอ้เจษกำมือไว้แน่น ฝืนไว้เต็มที่พร้อมกับหันมองทางอื่น หัวหูงี้แดงเป็นปื้นไปหมด

“เรียกกูว่าไงนะ”

“โอเปิ้ล...โอก็ได้ เรียกโอๆๆๆ แต่เราไม่โอเค”

“มึงรังเกียจไขมันกูเหรอเจษ กางมือออก”

“คืนนี้นอนไม่หลับแน่เจษฎา” ผมช่วยสุมไฟให้

“ไม่...เราไม่โอ๊! ปล่อยๆ”

“เออ แบบนี้ทั้งชาติมึงก็หาเมียไม่ได้หรอกเจษ” ไอ้เปิ้ลยอมปล่อยมือ

แล้วเราก็หัวเราะครืนกันทั้งโต๊ะ โดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง

“เราไปซื้อข้าวดีกว่า” เจษฎาลุกออกไปพลางลูบหน้าลูบตาตัวเองเหมือนเรียกสติ เรารอจนมันกลับมานั่งเฝ้าของ ผมกับเปิ้ลเลยไปซื้อบ้าง จากนั้นเราก็นั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เหมือนครอบครัวขาดๆ เกินๆ ที่ผมยังหาคำนิยามเหมาะๆ ไม่ได้

“เฮ้ย เคยคิดมั้ยว่าทำไมกลุ่มเรามีกันอยู่แค่นี้วะ” ผมเปิดประเด็นระหว่างกินข้าว

“ไม่มีคนคบ” เปิ้ลบอก

“นั่นดิ ทำไม”

“เพราะปากมึงงี้ไง”

ผมชูสองมือเป็นเชิงยอมรับ “แล้วคนปากดีๆ อย่างน้องเปิ้ลเนี่ย ผู้ชายมารุมเยอะแยะไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลากเข้ากลุ่มเราบ้าง”

“ก็มันจีบกู”

“งั้นผู้หญิงล่ะ”

“ไอ้พวกนั้นก็กลัวกูจีบ บางคนพยายามจับกูแต่งหน้าอีก บายดีกว่า”

“เพื่อนเจษฎาล่ะ ชวนมากินข้าวด้วยกันบ้างดิเฮ้ย”

“เอ่อ...เราไม่ค่อยมีเพื่อน”

“ก็วันๆ หมกตัวอยู่แต่ห้องสมุดไง” เปิ้ลว่า

ผมมองหน้าทั้งคู่สลับไปมา “คำถามสำคัญเลยนะ แล้วเรามาคบกันได้ไงวะ”

โอเปิ้ลมองหน้าผมเหมือนเป็นไอ้ปัญญาอ่อน แล้วย้ำอีก “เพราะไม่มีคนคบไง”

ผมฉีกยิ้ม อันที่จริงก็รู้คำตอบอย่างที่เปิ้ลบอกอยู่แล้วแหละ แค่ชวนคุยเพื่อจะหาคำนิยามกลุ่มเราให้ได้เท่านั้น แต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อน พลาสเตอร์ที่แปะอยู่บนข้อนิ้วของโอเปิ้ลทำให้ผมอดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานไม่ได้

“เฮ้ย มีอีกเรื่อง มีใครรู้จักคนหล่อๆ คณะจิตวิทยามะ”

ทั้งสองเงยขึ้นจากจานข้าว ทำหน้าทำตาเป็นหมาขี้สงสัย

“ชื่อเรนจิ”

“...”

“...”

“กับอีกคนชื่อ...” อะไรบางอย่างทำให้ผมยั้งปากไว้ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่ผมจะหยุดพูดกลางประโยคได้แบบนี้ แต่นั่นแหละ อย่าเพิ่งเอ่ยชื่อเขาให้พวกนี้รู้ดีกว่า

“คณะจิตวิทยาเรารู้จัก” เจษฎาว่า “แต่ไม่รู้จักใครที่เรียน”

“ขอบคุณครับเจษ”

“ทำไม ไปยุ่งกับเด็กคณะจิตทำไม แล้วก็ต้องคนหล่อๆ ด้วย?” เปิ้ลถาม

“มันจีบพี่รหัสกูอะ แล้วก็มามีเรื่องกับกูนิดหน่อย”

“มีเรื่อง” เปิ้ลตาโต “ยังไง”

“มันตบหัวกู”

“อ่าว งี้ก็สวยดิ ไปลุยเลยป้ะล่ะ”

“ลุยเหี้ยไร มึงเป็นวันเดอร์วูแมนเหรอ ดูตัวเองซะก่อน แค่แบกนมเดินเฉยๆ ยังจะหัวทิ่มเลย แขนก็ลีบอย่างกับไม้เสียบผี”

“กูมีผู้ชายในสต๊อก กล่อมให้ไปดักตีหัวมันได้”

“แบบนั้นไม่ดีนะครับเปิ้ล” เจษฎาออกความเห็น “ผิดกฎหมายข้อหาทำร้ายร่างกาย แล้วเราก็ถือว่าเป็นตัวการผู้ใช้ รับโทษเท่าๆ กับคนลงมือ และถ้าผู้ถูกกระทำเกิดตายขึ้นมา เราก็จะ...”

ผมตีแขนเจษฎาเบาๆ เพื่อสกัดข้อมูลวิชาการที่กำลังพรั่งพรูเป็นสาย แล้วหันมาพูดกับเปิ้ลต่อ “ไว้ก่อน กูแค่ถามเฉยๆ เผื่อจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง”

“ไว้กูถามๆ ให้ แล้วถ้าพร้อมลุยวันไหนก็บอก”

“ทุกคน รีบกินเหอะ จะเข้าเรียนแล้ว” เจษเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ยังเป็นเรื่องวิชาการนั่นแหละ

“อีกตั้งยี่สิบนาทีนะครับเจษ”

“รีบไปนั่งไง จะได้ทำสมาธิแล้วก็ทบทวนเนื้อหา”

“กูละยอมใจมึงจริงๆ”

“เมื่อกี้บอกว่ามีอีกคนใช่ปะ” เปิ้ลพูดกับผม “ชื่ออะไร”

ผมพูดพลางเกาจมูก “ไม่เป็นไร ไอ้คนนี้กูจัดการเอง ว่าจะไปดักตีหัวมันเร็วๆ นี้แหละ”





___________________________

สวัสดีค่าทุกคน กลับมาแล้วค่า T__T
พอดีช่วงที่ผ่านมาหายไปเพราะป่วยหนักต่อเนื่องมาหลายเดือนเลยค่ะ
จนอาการเพิ่งกลับมาดีขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เองค่ะ ฮื่อ ;-;

ตอนนี้คิดว่าน่าจะกลับมาอัพแบบต่อเนื่องได้แล้วค่า ตัวต้นฉบับก็ใกล้จบแล้วด้วยค่ะ เฮ้ XD
ถ้าอ่านแล้วเป็นยังไงแชร์ความคิดเห็นให้ฟังได้ตลอดเลยนะคะ :D

ฝากแฮชแท็ก #ณTouch ไว้ด้วยนะคะ (เปลี่ยนจาก #ขอTouchที มาเป็น #ณTouch แทนแล้วค่า > <)
ขอบคุณมากเลยนะคะ คิดถึงการอัพนิยายให้อ่านกันมากๆ เลย
รักมั่กกก :D

นางร้าย
10.04.19




หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 2) |▌10.เมษา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 11-04-2019 05:58:35
นะฑี กวนตรีนจริงจริง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 3) |▌10.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 14-05-2019 20:14:36
แตะต้องครั้งที่ 3
จับบบ...พุดตะพัด เฮ้ย!
เปิดเผยรูปนม
ดมยากันยุง
มุ่งแฉความลับ

 

พักเที่ยง เวลานี้ที่รอคอย

ลำพังวิชาปีสองก็โหดแสบไส้พออยู่แล้ว ไหนจะปริศนาที่ยังค้างคาในตับอ่อนอีก ผมเลยไม่เป็นอันเรียนเลย ตลอดช่วงเช้าได้แต่นั่งคันง่ามตีนยิบๆ อยากจะก้าวออกจากห้องเรียนไวๆ จนถึงเวลาพักเที่ยงนั่นแหละผมเลยพุ่งตัวทันทีอย่างกับจะกางปีกบินทันที

เจษฎากับโอเปิ้ลตกลงกันไปตั้งหลักที่โรงอาหาร ส่วนผมขอชิ่งไปอีกทางโดยยกปัญหาลำไส้ใหญ่มาอ้าง

“ไปกินขี้ในห้องน้ำเหรอ” เปิ้ลถาม

“เออ ลองกินตั้งแต่เมื่อวานแล้วติดใจ ถุย!”

“นายไหวรึเปล่า เรามียานะ” เจษฎาถามบ้าง

“นี่มึงมาเรียนหรือเข้าค่ายวะ”

“ท้องเสียหรือท้องผูก”

“มึงมีทั้งสองอย่างเลยเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ถ้าท้องผูกไม่ต้องใช้ยาหรอก กินข้าวร้านเจ๊น้อยเดี๋ยวก็ขี้” เปิ้ลออกความเห็น

“พวกมึงกินเผื่อกูด้วยละกัน ไปละ แล้วก็ไม่ต้องรอนะ กินไปเลย”

ผมรีบเดินจากมาโดยไม่เหลือเยื่อใยหรือจังหวะให้โต้แย้งใดๆ

พอคล้อยหลังพวกมันก็แวะซื้อแซนด์วิชกับน้ำส้มคั้นที่ซุ้มขายอาหาร จากนั้นก็เตร่ไปแถวคณะจิตวิทยาพลางเคี้ยวแซนด์วิชไปด้วย เมื่อวานหลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จ ผมย้อนกลับมาที่ป่าดงดิบหลังตึกอีกครั้ง แต่คุณชายขายพลาสเตอร์ไม่อยู่ซะแล้ว

หวังว่าวันนี้จะเจอตัวนะ

ว่าแต่คณะจิตวิทยาไปทางไหนใกล้สุดวะ

อ้อ เลี้ยวซ้าย...

ขวา

แล้วก็ขวาอีกที

ห่า มาโผล่ตึกอธิการ

สงสัยว่างๆ ต้องเดินลาดตระเวนให้ทั่วมหา’ลัยละ ตอนนี้ไปตั้งต้นใหม่จากเสาธงเลยละกัน ใช้เวลาอยู่ประมาณห้านาทีกว่าจะพาตัวเองกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องจนได้

แซนด์วิชวาร์ปไปอยู่ในกระเพาะเรียบร้อย ผมยกขวดน้ำส้มคั้นกระดกแดกตามจนหมด ปาขวดทิ้งลงถังขยะแถวนั้น

จากนั้นก็ลุย

ลุยกับยุงดิ ชิบหาย นี่มันมอสกีโตโอซอรัสเหรอ ตัวอย่างควาย รู้ละว่าทำไมไม่ค่อยมีคนมานั่งแถวนี้ เพราะมันเป็นแหล่งส้องสุมกองกำลังโคตรยุงลายนี่เอง

แต่ก็มีนั่งอยู่นี่คนนึง

ผมแถเข้าไปนั่งตรงข้ามทันที

“พี่ณวัฒน์...เอ๊ะ ไม่ใช่”

“...”

“พี่พุดตะพัด...แฮ่!”

“...”

“พี่พัดตะพิด...แฮ่!”

“...”

“พี่นงณภัส...เฮ้ย! นั่นชื่อผู้หญิง”

“...”

“พี่มาวัด...ผ่าม! จะมาไหว้พระเหรอ”

“...”

“พี่ณทัช...เฮ้ย!”

“...”

ผมพยักหน้าและวนนิ้วเป็นการกระตุ้นเขา

“อะไร” อีกฝ่ายถามเรียบๆ

“พี่ต้องพูดดิว่า ถูกแล้ว! ไรว้า ไม่รับมุกเลย”

“เลอะเทอะ”

ผมฉีกยิ้ม ยิงคำถามง่ายๆ เพื่อหักเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางสายมิตรภาพ “เรียกทัชเฉยๆ ได้มั้ย”

   “ตามใจ”

“ต้องงี้ดิ เรียกเต็มๆ มันยาวไป ขี้เกียจพูดเยอะ...แล้วทำไรอะ”

“อยู่กับตัวเอง”

อยู่กับตัวเองในที่นี้คืออ่านหนังสือ เล่มเดียวกับเมื่อวานเลย ปกซีดๆ หม่นๆ และมีคำว่า ‘รวมไฮกุ’ แปะอยู่ ทุกอย่างแทบจะเหมือนเมื่อวาน ทั้งพลาสเตอร์ที่พันรอบปลายนิ้วทุกนิ้ว เนกไทคลายปม กางเกงสีดำเข้ารูป กับสีหน้าเรียบนิ่งมาดคุณชาย ต่างแค่ว่าข้างตัวเขามีหนังสือวิชาการของคณะจิตวิทยากองอยู่สามเล่ม และไม่มีพี่เห็ดออรินจิเข้ามาเกี่ยวข้อง

ราวกับว่านี่คือเหตุการณ์ในโลกคู่ขนาน ที่พี่เห็ดเป็นฝ่ายปวดขี้ซะเองและกำลังบรรเลงเพลงร็อกอยู่ในส้วม

อ้อ แล้วก็มีแซนด์วิชกับน้ำองุ่นวางอยู่ข้างกองหนังสือด้วย นี่คงจะเป็นมื้อกลางวันที่เขายังไม่ลงมือกินแน่ๆ

“ช้าอะ หนังสือเล่มแค่นี้ทำไมอ่านไม่จบสักที” ผมแซะไปเบาๆ

“หนังสือบางเล่มต้องค่อยๆ อ่าน”

“ผมค่อยๆ อ่านทุกเล่มอยู่แล้ว หนังสือเรียนงี้ สองเดือนละ อ่านได้สองหน้า”

เขาพับหนังสือลงพร้อมกับเงยขึ้นมองหน้าผม “เมื่อกี้กูคงพูดไม่ชัด ฟังนะ กูอยากอยู่กับตัวเอง” แล้วก็กางหนังสือออกอ่านต่อ

“จะอยู่กับตัวเองทำไม ผมอยู่นี่แล้ว”

“...” เหลือบมองนิดนึง

“ผมเหงา”

“...” เหลือบมองอีกหน่อย

“คอนโดที่บอกจะซื้อให้ ลืมแล้วใช่มั้ย”

“...” คราวนี้หันมาเต็มๆ เหมือนทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก

ไงล่ะ เจอมุกเด็กเสี่ยเข้าไปถึงกับไปไม่เป็น

“ค่าผ่อนรถด้วยนะป๋า ค้างมางวดนึงแล้ว”

“เงียบๆ ได้มั้ย”

ผมยกมือยอมแพ้ “โอเค้ เงียบ” ตะแคงศีรษะเพื่อจะจ้องหน้าเขา ระหว่างนี้ก็แลบลิ้นยิงฟันไปด้วย เขาเบี่ยงตัวไปอีกทางผมก็ตามไปทำหน้าทุเรศๆ ใส่อีก

เอาดิ อยู่กับตัวเองไปเล้ย

ผมก็อยู่กับตัวเองเหมือนกัน นี่หน้าไก่ หน้าแมว แล้วก็หน้าลิง ยาวไป ยาวปายยย...

“ทำไร” เห็นมะ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว

“อยู่กับตัวเอง”

“ไปเล่นตรงโน้นไป” นิ้วพลาสเตอร์ชี้เข้าไปในป่าดงดิบ น่าจะเลยป่าดงดิบไปไกลเป็นกิโลมากกว่า

“ไม่ จะเล่นตรงนี้”

คุณชายถอนหายใจพร้อมกับพับปิดหนังสือ “มึงมีอะไรก็รีบว่ามา”

ผมยืดตัวตรง ถอนหายใจหนักหน่วงกว่าเขาหลายเท่า “โอเค เข้าเรื่องนะ ผมมาทวงความจริงและความยุติธรรม...เมื่อวานพี่ทำผมหวิว”

“ฮะ?”

“พี่จับมือผม”

“แล้วไง”

“แล้วก็หวิวไง ใจมันสั่นๆ แล้ว...แล้วผมก็พูดพรวดๆ หยุดไม่ได้”

อะไรบางอย่างฉายวาบบนใบหน้าเขา อาจเป็นอาการขำ หรือไม่ก็เหนื่อยหน่าย “มึงก็พูดจาเลอะเทอะอยู่แล้ว”

“มันไม่เหมือนกัน พอพี่จับผมห้ามตัวเองไม่ได้”

“...” เขากลับไปอ่านหนังสืออีกแล้ว

“ยาป้ายใช่ปะ สรุป”

“...”

“หรือว่าเล่นกล...โอ๊ย!” เผียะ! “ตายซะ มอสกีโตซอรัสใช่มั้ยมึง แม่ง กูนึกว่าค้างคาว”

ผมดีดซากยุงทิ้ง ตามด้วยปาดหย่อมเลือดบนแขนมาเช็ดกับโต๊ะหินอ่อน คนตรงข้ามผมจับตามองเงียบๆ ก่อนจะหยิบขวดยาฉีดกันยุงจากกระเป๋าขึ้นมาวางบนโต๊ะโดยไม่พูดไม่จา

“มีของดีก็ไม่บอกซะตั้งแต่แรก ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับพี่” ผมประชด

“กูเป็นห่วงยุง”

   “ทำไม จะพูดว่าไม่อยากให้มันกินเลือดชั่วๆ งี้เหรอ”

   “มึงพูดเองนะ”

“สัด”

“ด่ากู?”

“เปล่าๆ ด่ายุงครับพี่ พี่นี่ใจบุญจริงๆ เห็นคุณค่าของชีวิตสัตว์เล็กสัตว์น้อยด้วย สาธุ” ผมยกขวดยากันยุงขึ้นประนมท่วมหัว แล้วระดมฉีดแบบจัดหนักไล่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา “แค่กๆๆ...เข้าปาก แค่ก...ถุย!”

ชิบ ไม่คิดว่าสเปรย์จะกระจายตัวดีขนาดนี้

“ถ้าจะฉีดขนาดนี้ เปิดฝาเทกรอกปากไปเลยก็ได้มั้ง” พี่ทัชใช้หนังสือโบกไปมา

“วาจาช่างเราะร้าย”

คงจะทนเห็นท่าถุยน้ำลายแห้งๆ ของผมไม่ไหว เขาเลยหยิบขวดน้ำองุ่นที่ยังดูใหม่เอี่ยมมาตั้งตรงหน้าผม

“ได้เหรอ”

“ยังจะถามอีก”

“งั้นไม่เกรงใจละนะ”

“มึงก็ไม่เกรงใจกูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

งั้นก็จัดไป ยกซดแบบปากโดนขวดด้วย “โอเค ต่อ ผมรู้ละ พี่เป็นเอ็กซ์เมนใช่ปะ”

“...”

“มีพลังจิตอ่านใจอะไรงี้”

“...”

“พี่บังคับเหล็กได้ด้วยรึเปล่า เหมือนแม็กนีโตอะ หรือแปลงร่างได้”

“มึงคงดูหนังมากไป”

“ถ้างั้น...เล่นคุณไสยแน่ๆ แบบ พวกวิชาสาลิกาลิ้นทองขั้นแอดวานซ์บังคับให้คนพูดเป็นน้ำไหลไฟดับอะไรแบบนั้น ใช่มะ...แล้วก็ต้องเกี่ยวกับพลาสเตอร์พวกนี้ด้วย ติดไว้เพื่อเป็นเคล็ดป้องกันของย้อนเข้าตัวเหรอ” ผมลองยื่นไปแตะนิ้วเขา

“อย่ายุ่งกับมือกู” พี่ทัชกระตุกมือหนีทันที

“นั่นไง ชัดเจน สรุปว่าเมื่อวานพี่ทำอะไรผม และทำได้ยังไง บอกมาเดี๋ยวนี้เลย”

“กูไม่มีอะไรจะบอกทั้งนั้น”

“ผมเป็นเหยื่อนะ เป็นผู้ถูกกระทำย่ำยี มีสิทธิ์ที่จะรู้สิ่งที่ตัวเองโดน

เขาส่ายหัว และถอนหายใจอีก

“ถ้าพี่ไม่บอก ผมจะแฉพี่ให้ทั่วเลย”

“ว่า?”

“ว่าพี่เป็นพวกโรคจิต แบบ...ชอบขโมยตะเกียบโรงอาหารกลับบ้าน”

“อย่าบอกว่ามึงเคยทำ?”

“เคยทำก็แย่ละ งั้นแฉตรงๆ เลย ผมจะบอกว่าพี่มีพลังจิตทำให้คนพูดน้ำไหลไฟดับได้เหมือนขี้แตก นี่ผมพูดจริงนะ พี่ถูกจับไปเป็นหนูทดลองในห้องขังจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอีกแน่”

“เวอร์ไป”

“พูดจริง”

“ไม่มีใครเชื่อมึงหรอก”

“อย่างน้อยต้องมีคนมารุมถามนั่นถามนี่ชัวร์ แล้วพี่ก็จะไม่มีความสุขอีกเลยไปตลอดชีวิต ไม่เชื่อก็ลองดู”

“มึงนี่มันพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ กูไปละ” ว่าแล้วเขาก็รวบกองหนังสือลุกออกไปเลย

“เอ้า เดี๋ยวสิ คุยกันก่อน แล้วไม่เอายากันยุงเหรอ”

“มึงเก็บไว้เถอะ”

“เฮ้ย! ไอ้ทัช ไปไหนวะ” พี่เห็ดออรินจินั่นเอง ไม่รู้โผล่มาจากไหน ผมเลยลังเลระหว่างจะตามไปกดดันพี่ทัชหรืออยู่กวนตีนคนมาใหม่ดี ขณะที่พี่ทัชแค่ชูมือเร็วๆ ข้างศีรษะเป็นเชิงรับรู้ แต่ไม่หันกลับมา และสองเท้ายังเดินไม่หยุด

สุดท้ายผมเลยกระโดดเข้าขวางทางพี่เห็ดและเอามือยันหน้าอกแกไว้ “ไปไหนพี่”

พี่เห็ดทำหน้าเหมือนผมเพิ่งวาร์ปมาจากดาวอังคาร “มึงมาทำเหี้ยไรแถวนี้วะ”

“ก็โตแล้ว จะไปไหนก็ได้” ผมก้าวถอยหลังยาวๆ ให้พ้นระยะอันตราย เผื่อแกจะเหวี่ยงหมัดหรือล็อกคอผมไปตบอีก

“กวนตีน มึงจะเอาใช่ปะ”

“ใจเย็นดิ พี่เห็ด”

“กูไม่ได้ชื่อเห็ด”

“น่า ใจเย็นๆ คุยกันก่อน นั่งๆๆ ทำหน้าเป็นตูดไปได้ เอ๊ะ หรือว่าหน้าพี่ก็เหมือนตูดตลอดอยู่แล้ว”

“ไอ้เวร”

“ได้คุยกับเจ๊แคลยัง” ชื่อแคลนี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มือที่ทำท่าเงื้อจะตบนี่ถึงกับหยุดกึก ผมเลยรีบหยอดต่อไปอีก “น่ะ หน้าตึงงี้แสดงว่าไม่โอเค ให้ผมช่วยปะล่ะ”

“ช่วยไร”

ผมนั่งลง วางมาดสบายๆ “จีบเจ๊แคลไง ผมช่วยได้”

พี่เห็ดนั่งตามโดยไม่รู้ตัว “มึงเนี่ยนะ ช่วยยังไง”

“เอ้า นี่ใคร น้องรหัสนะครับ วงในสุดๆ แล้ว”

“...” เงียบไปเลยดิคราวนี้ ยังไงก็ต้องสนใจอยู่แล้ว ไอเดียบรรเจิดขนาดนี้

“แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ”

“อะไร”

“พี่เล่าเรื่องพี่ทัชมาให้หมด ว่าเมื่อวานเขาทำอะไรผม ทำไมจับมือผมแล้วผมมีอาการแปลกๆ แบบนั้น”

“...” หน้าเครียดเลยแฮะ แสดงว่านี่เป็นเรื่องซีเรียสสุดๆ

“ว่าไงพี่”

“มึงไม่ถามไอ้ทัชเองล่ะ”

“กำลังคุยกันอยู่เลยเมื่อกี้ แต่พี่ก็โผล่มาพอดีไง สงสัยเขาเหม็นหน้าพี่อะเลยเดินหนีไปเลย ฉะนั้นพี่ต้องรับผิดชอบ ตอบคำถามนี้แทน”

หน้าเครียดกว่าเดิมอีก เหมือนกับว่าสมองกำลังทำงานอย่างหนัก สุดท้ายแกก็บอกว่า...

“ไม่”

“โห่ ไรว้า”

“แคลกูจีบเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างมึงช่วย”

“แน่ใจเหรอ ตอนนี้เดือนคณะเศรษฐศาสตร์คะแนนนำโด่งเลยนะ”

“แม่ง”

“จริงๆ ผมจะถามพี่ทัชเองก็ได้ ตามตื๊อหนักๆ หน่อยเดี๋ยวแกก็บอก แค่ต้องใช้เวลาหน่อย”

“ตามสบาย กูไปละ”

“เดี๋ยวดิ เจ๊แคลชอบกินอะไรรู้ปะ”

“ไรวะ” พี่เห็ดนั่งลงอีก

“เห็ดออรินจิ”

“แม่ง กวนตีนซ้ำซาก”

“ไม่ๆๆ อันนี้พูดจริง เวลากินชาบูกันนะ แกโกยเห็ดนี่ลงไปเต็มหม้อเลย แต่ถ้าเป็นอาหารเป็นจานๆ ก็นี่เลย ปูผัดผงกะหรี่ ถ้าไปกินข้าวด้วยกันแล้วพี่สั่งเมนูนี้นะ รับรอง คะแนนมาเต็ม”

“จริงดิ แล้วอะไรอีก”

“ถ้าของหวานก็ต้องทับทิมกรอบ”

“อืม”

“นี่แค่บางส่วนนะ ถ้าพี่เล่าเรื่องพี่ทัช อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเจ๊แคลอีก ถามได้”

“...”

   “นะฑีเอ๊ยยย...เอ๊ย! แคลชอบดอกไม้อะไรรู้มั้ย...รู้!”

   “...”

   “นะฑีเอ๊ยยย...เอ๊ย! แคลชอบของขวัญสไตล์ไหนรู้มั้ย...รู้!”

   “ผีลูกกรอกสิงมึงเหรอ แม่งดัดเสียงซะเหมือน”

   ผมฉีกยิ้ม “หรือจะให้น้องรหัสช่วยพูดเชียร์ก็ยังได้น้า”

ดอกนี้เล่นเอาพี่เห็ดถึงกับเม้มปาก เหงื่อตรงไรผมเริ่มมานิดๆ เส้นเลือดแถวขมับนูนขึ้นหน่อยๆ

“หรือจะใส่ไฟคู่แข่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

“แม่ง ไอ้ทัชฆ่ากูแน่” พี่เห็ดก้มหน้าถูขมับแรงๆ นี่แหละไคลแม็กซ์แล้ว พูดต่อสักทีดิวะพี่ กูลุ้นเยี่ยวเหนียวแล้ว “กูตัดสินใจละ”

“ดีมากพี่ ต้องงี้ดิถึงจะเรียกว่าคนมีสมอง...”

“กูไม่บอกเหี้ยไรมึงดีกว่า”

หักมุมสัด!

“...” เหวอเลยกู ไอ้พี่เห็ด ทำงี้ได้ไงวะ

“กูไปละ”

หมับ!

“พี่” ผมคว้าแขนอีกฝ่ายไว้โดยอัตโนมัติ พอแกหันมาด้วยหน้าดุๆ ผมก็รู้ทันทีว่าแกตัดสินใจอย่างแน่วแน่ไปแล้ว

“ไรอีก”

ถ้างั้นต้องเล่นทีเด็ดสุดๆ ไปเลย ผมฝืนคลี่ยิ้ม แล้วทิ้งไพ่ตายใบสุดท้าย “อยากดูรูปนมเจ๊แคลปะล่ะ ผมมี”
   
ผัวะ!


_________________________________

มาแล้วค่า :D
หวังว่าตอนนี้จะทำให้มีรอยยิ้มได้บ้างนะคะ
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่เข้ามาอ่าน ดีใจมากจริงๆ ค่ะ
คิดเห็นยังไงแชร์มาบอกได้ตลอดเลยนะคะ
หรือไปคุยกันที่แท็ก #ณTouch ก็ได้ค่า
ทางนี้ได้อ่านทุกคอมเมนต์เลยนะคะ ตื้นตันมากๆ เลย T___T

ขอให้วันพรุ่งนี้มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นนะคะ


นางร้าย
14.06.2019





หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 3) |▌14.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 14-05-2019 20:34:44
พี่คนแต่งกลับมาต่อแล้ว เย้  :mew1:
จิ้มไว้ก่อยน๊าาา  :z13:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 3) |▌14.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 15-05-2019 00:20:14
นะฑีวอนตายซะละ :hao7: พี่ทัชก็เอือมเลย ฮ่าๆๆ ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 3) |▌14.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 15-05-2019 01:22:37
น้องนะฑีทำไมมุกเยอะจังคะ น้องมุกรื่นไหลไปเรื่อยๆเลยค่ะ กลุ่มเพื่อนน้องแต่ละคนก็ไม่ธรรมดาเลย

จริงๆรู้สึกว่าณทัชก็ยังโดนน้องกวนจนพูดมากกว่าปกติ

สนุกมากค่ะ ในชีวิตจริงเจอคนกวนๆอย่างนะฑีคงทนไม่ไหว แต่ในนิยายนะฑีฮามากจริงๆค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 3) |▌14.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 15-05-2019 05:50:24
โหย ลืมไปเลยว่าตั้งเตือนเรื่องนี้ไว้ด้วย
ดีใจที่มีตอนใหม่ค่ะ อ่านแล้วสนุกไหลลื่นดี
สงสารพี่ ๆ น้องกวนได้ใจมาก
แต่เอาแต่พอดีเนอะ เวลาคนเรามีเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครมารู้ แล้วโดนเซ้าซี้ มันน่ารำคาญสุด ๆ

แอบเชียร์ ไม่ให้พี่เห็ด ขายเพื่อนเพราะจะจีบหญิง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 3) |▌14.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 17-05-2019 13:41:01
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องใหม่นะคะ แล้วก็ได้แต่อุทาน นะฑี!! ปากไม่น่ารอดมาจนโตมาได้เลยยย เจ้าเด็กปากดี กวนตรีนนน แต่ความเพ้อเจ้อ พร่ำไปเรื่อยก็ทำให้ ณทัช พูดเยอะขึ้นได้ รำคาญจนต้องหนี 555555

พี่เห็ดยอมขายเพื่อน เพื่อผู้หญิงแน่ๆ ดูออก  :hao3:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 3) |▌14.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 19-05-2019 08:19:19
แวะมาติดตามเรื่องใหม่ค่าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 3) |▌14.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 19-05-2019 16:01:26
น้อนนนน 5555555 โง้ยยยย เอ็นดู
หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 4) |▌20.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 20-05-2019 20:37:06
แตะต้องครั้งที่ 4

จับบบ...ความจริงวันนี้
พี่ขอร้องน้องจะโดด
โอดครวญภาษามือ
สื่อสารไม่เป็นคำ
นี่รำทำไม

 

สองวันแล้วที่คุณชายณทัชไม่มานั่งแถวป่าดงดิบ ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าหรือตอนเที่ยง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาหัว แบบนี้เข้าตำราแหวกหญ้าให้งูตื่นชัดๆ

มีคนนึงที่พอจะช่วยได้

ผมหยิบมือถือขึ้นมากดเข้าแอพไลน์ แล้วส่งคำคูลๆ ไป

NaTee(n): พี่เชื้อรา

รูปโปรไฟล์ไลน์เข้ากับหนังหน้าเจ้าตัวแฮะ เป็นรูปสปอยเลอร์ท้ายรถเก๋งสีดำ ดูร็อกๆ ร้ายๆ เหมือนสมาชิกแก๊งอันธพาลอะไรแบบนี้

★R3NJI: เหี้ยอะไรของมึง

NaTee(n): เห็ดก็เกิดจากเชื้อราไง

★R3NJI: คันตีนว่ะ

NaTee(n): เป็นน้ำกัดเท้าเหรอ

★R3NJI: อยากเตะปากมึงอะ

NaTee(n): ใครอยู่ใกล้ๆ ขอเตะเขาไปก่อนนะ ไว้เจอผมแล้วจะเอาปากไปบรรเทาอาการคันให้

★R3NJI: มึงได้เจอกูแน่

NaTee(n): ครับ อยากเจอๆ

★R3NJI: สัส

NaTee(n): แต่ตอนนี้อยากเจอเพื่อนพี่มากกว่า

NaTee(n): รู้ปะว่าเขาอยู่ไหน

★R3NJI: ส้นตีนไม่ได้ติดกัน

NaTee(n): น่าพี่ บอกหน่อยๆๆ

★R3NJI: กูไม่รู้

NaTee(n): เขาไม่อยู่ที่ป่าดงดิบอะ

★R3NJI: ป่าดงดิบเหี้ยไรอีก

NaTee(n): ก็หลังตึกคณะพี่ไง

NaTee(n): ยุงเยอะขนาดนั้นจะให้เรียกไร ป่าชายเลนเหรอ

★R3NJI: แคลชอบกินน้ำไร

NaTee(n): คงไม่ใช่น้ำคลองแสนแสบหรอกมั้ง

NaTee(n): ทำไมอะ

★R3NJI: แคลอยู่โรงอาหารคณะมึง

★R3NJI: บอกมาเร็วๆ ก่อนเค้าจะสั่งน้ำ

NaTee(n): อ๋อ เก็ตละ อยากแสดงความป๋าเลี้ยงน้ำสาวไรงี้

NaTee(n): น้ำไรน้า

★R3NJI: อย่ากวนตีน

★R3NJI: บอกมา กูจะลุยละ

NaTee(n): คำถามนี้มูลค่า 100 บาท

★R3NJI: เออ

★R3NJI: เร็วๆ

NaTee(n): บอกก่อนว่าพี่ทัชอยู่ไหน

★R3NJI: ไอ้ทัชมันอยู่ไม่กี่ที่หรอก

★R3NJI: ไม่หลังคณะก็หอสมุด

NaTee(n): ขอบคุณพี่ ไปละ

★R3NJI: เหี้ยนที บอกมา!

NaTee(n): ผมชื่อ นะฑี

NaTee(n): มีสระอะ แล้วก็สะกดด้วย ฑ ไม่ใช่ ท

★R3NJI: นะตีนห่าอะไรก็ช่าง เร็วๆ

NaTee(n): ก็ได้ ถือว่าเห็นแก่ก้อนเชื้อราดำๆ ละกัน

NaTee(n): พี่จัดเมนูนี้เลย โกโก้เย็นหวานน้อย

★R3NJI: ชัวร์เหรอวะ

★R3NJI: ผู้หญิงจะชอบเหรอ

NaTee(n): ผมลงบัญชีไว้แล้วนะ 100 บาท

NaTee(n): ไปละ


ผมตัดบทแค่นั้น แล้วเดินทางออกจากป่าดงดิบมุ่งหน้าไปยังหอสมุดของมหา’ลัย

นึกย้อนไปถึงตอนได้ไลน์พี่เห็ด จนตอนนี้ผมยังงงว่าตัวเองรอดมาแบบครบสามสิบสองได้ไง

“อยากดูรูปนมเจ๊แคลปะล่ะ ผมมี”

ผัวะ!

หัวทิ่มไปดิ ดีนะ ที่พี่แกนิยมความรุนแรงด้วยการตบกะโหลก ผมเลยโดนล่อท้ายทอยพอแค่รู้สึกชาๆ ถ้าแกชอบเตะต่อย ผมอาจจะเบ้าตาปูดหรือม้ามแตกไปแล้ว 

“มึงมีรูปนมแคลได้ไง!”

“ผมเซฟไว้แบล็กเมลแกอะ”

“แม่งเอ๊ย!”

“เดี๋ยวๆ” ผมขยับหลบไปด้านข้างและอาศัยโต๊ะม้าหินอ่อนเป็นเครื่องกั้นตีนที่จะลอยตามมา ต้องขยับหลอกล่อพลางล้วงโทรศัพท์ออกมากดไปด้วย “ใจเย็นก่อนพี่ นี่ดูๆๆๆ”

“มานี่ กูจะอัดมึงให้เละ”

“นี่ นมเจ๊แคล ดูฟรีเลยก็ได้”

โชคดีที่ผมเซฟรูปไว้ในอัลบั้มที่กดหาง่าย พอกดเลือกรูปได้ก็ยื่นมือถือออกไปเหมือนยันต์กันผี รูปที่ว่าคือ รูปเจ๊แคลตอนอายุสามขวบสวมบิกินี่ยืนอยู่ข้างสระน้ำเป่าลม เจ๊แกโพสต์รูปนี้ทางเฟซบุ๊กตอนวันเด็กปีที่แล้ว โพสต์แป๊บนึงแล้วลบ แต่ผมเซฟทันเผื่อไว้แบล็กเมลเรียกค่าไถ่เป็นหมูกระทะอะไรแบบนี้ พี่เห็ดชะงักไปสองสามวินาทีแล้วถอนหายใจ

“เนี่ยนะรูปนมของมึง”

“รูปนมของเจ๊แคลต่างหาก เต็มตาเลยมั้ยล่ะ อยากได้อะดิ แต่ผมไม่ขายพี่รหัสตัวเองขนาดส่งรูปโป๊ของแกให้คนอย่างพี่หรอก”

“นี่คือยังไม่ขายเหรอวะ” พี่เห็ดหัวเราะ “แต่กูอะไม่ขายไอ้ทัชแน่ๆ วันนั้นกูไม่น่าหัวร้อน คิดอะไรสั้นๆ ลากมึงมาเจอไอ้ทัชเลย”

“ไม่น่าหัวร้อนอะเห็นด้วย แต่ลากมาเจอพี่ทัชเนี่ย ทำดีแล้ว”

“ดีห่าไร มึงไม่ต้องมาถามอะไรเรื่องไอ้ทัชมันอีกนะ”

ผมทิ้งไพ่ตายไปแล้ว ก็เลยไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากพยายามผูกมิตรกับแกไว้ “โอเค้ ไม่ถามก็ไม่ถาม งั้นเรื่องเจ๊แคลพี่ก็อย่า…”

“มึงต้องช่วยกู”

“ทำไมต้องช่วย” เห็นทำสีหน้าครุ่นคิด ผมเลยหยอดต่อเป็นไกด์ไลน์ให้ “จะใช้เงินซื้อผมว่างั้น”

“เท่าไหร่”

เข้าทาง แต่ต้องแกล้งทำหน้าเซ็งๆ หน่อย “ไลน์พี่อะไร”

ขอชาบูเจ๊แคลเซียม นอกจากผมไม่ดั้งหักหรือตาแตกแล้ว ยังได้คอนเน็กชั่นเผื่อเอาไว้หาเรื่องรีดไถในอนาคตเพิ่มด้วย


ตัดภาพมาปัจจุบัน

ผมมาถึงหอสมุดกลางของมหา’ลัย ซึ่งเปรียบเสมือนวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเนิร์ดแล้ว และก็เดินผ่านประตูเข้าไปเลยโดยไม่ยอมเสียเวลาล่ำเวลา อู๊ว เย็น~ ข้อดีอย่างเดียวของที่นี่คือเปิดแอร์เย็นโคตรๆ จนรู้สึกได้ว่าจั๊กแร้แทบจะแห้งในทันใด ตั้งแต่เปิดเทอมมา ผมเคยเข้ามาเดินแกร่วเล่นสองสามครั้งได้มั้ง ก็เข้ามาตากจั๊กแร้นั่นแหละ จำได้ว่าครั้งนึงเกือบถูกป้าบรรณารักษ์ลากคอไปตบด้วย

โคตรไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนนั่งกันเงียบๆ ได้นานขนาดนั้น

ตึกนี้สูงเจ็ดชั้น มีลิฟต์บริการเสร็จสรรพ แต่ผมคงต้องเดินบริหารปอดสำรวจไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าคุณชายทัชนั่งอยู่ในหลืบไหน

ชั้นแรกเป็นส่วนของนวนิยายและหนังสืออ่านนอกเวลา ส่วนชั้นอื่นๆ เต็มไปด้วยสิ่งที่ดูใหม่กว่าคัมภีร์ใบลานนิดหน่อย โต๊ะเก้าอี้สำหรับให้นั่งอ่านหนังสือถูกยึดครองเกือบหมด ส่วนมากเป็นคนจากชนเผ่านิติศาสตร์ สังเกตได้จากประมวลกฎหมายที่เหมือนถือมาข่มกันว่าของใครจะดูยับเยินมากกว่ากัน

ตื๊อดึ่ง!

อุ๊ย ไลน์เข้า

ไม่ได้ปิดเสียงมือถือด้วย พออยู่ในที่เงียบๆ แล้วเสียงดังลั่นเลยแฮะ

ชนเผ่าเนิร์ดต่างเงยขึ้นมาทำหน้าเหมือนท้องผูก ผมโปรยยิ้มสดใสไปรอบตัวแล้วควักมือถือขึ้นมากดปิดเสียง ชูขึ้นโชว์รอบตัวเพื่อสื่อให้คนรอบข้างเห็นชัดๆ ว่า โทษที นี่ๆ ทุกคนดู จะปิดเสียงจริงๆ ละนะ...ปึ๊บ ปิดละ

จากนั้นค่อยกดเข้าไปดูข้อความใหม่ในไลน์



★R3NJI: สัส

★R3NJI: แคลไม่กินโกโก้

★R3NJI: เค้าชอบน้ำแดงโซดาเว้ย

★R3NJI: มึงนี่วอนตีนแล้ว!!!



ซวย

เจ๊แคลนี่ก็ไม่ช่วยกันเล้ย แกล้งๆ กินไปหน่อยก็ไม่ได้ เอาไว้แก้ตัวกับพี่เห็ดทีหลังละกัน

เฮ้อ…

ผมผายลมทิ้งทางจมูก ค่อยๆ ลาดตระเวณจากชั้นเจ็ดย้อนกลับลงมา

ณทัช ณทัช ณ...นั่น

พิกัดชั้นห้า สิบนาฬิกา เดินแผ่ออร่ามาจากห้องน้ำก่อนจะเลี้ยวไปนั่งหลบมุมที่โต๊ะด้านในของห้อง มีเก้าอี้ว่างอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย ทั้งที่หน้าตาโคตรดี ทำไมเขาถึงหามุมสงบๆ นั่งได้โดยไม่มีใครมาขายขนมจีบได้วะ

เดี๋ยว! นั่นๆ เพศตรงข้ามนางนึงเดินมั่นหน้าเข้าไปแล้ว แขนขายาวระดับน้องๆ ยีราฟเลย สีหน้าดูดี๊ด๊ามาก หนังสือที่หยิบติดมือมาเล่มเดียวก็ดูเฟคสุดๆ เด็กป.2 ยังดูออกเลยว่าตั้งใจมาอ่อย

ไม่ได้การละ

“ขอโทษนะคะ ตรงนี้มีใคร…”

“มีครับ ผมนี่ไง” ผมพุ่งเข้าไปเอาตูดประทับนั่งได้อย่างเฉียดฉิว ไงล่ะ เจอแชมป์เก้าอี้ดนตรีตั้งแต่สมัยอนุบาลเข้าไป หน้าเหวอไปเลย

เสียงพูดระดับปกติของผมทำให้หนอนหนังสือละแวกนี้ต่างผงกหัวขึ้นมาดู ผมฉีกยิ้มทั่วๆ แล้วหันมายิ้มหวานให้น้องยีราฟ เจ้าตัวยังหน้าเหวอไม่หาย คอยาวเหมือนกระสือจะถอดหัว ท่าทางอึกอักเหมือนจะโต้แย้ง แต่สุดท้ายก็ยอมล่าถอยไป

พอผมหันกลับมา ก็ต้องเจอเข้ากับสายตาคมกริบที่สื่อสารอย่างชัดเจนว่า มึงมาทำบ้าอะไรที่นี่

มีโอกาสได้ใช้ภาษามือสักที แบบเดียวกับที่คุณจะได้เห็นในทีวีตรงมุมจอตอนคนใหญ่คนโตในรัฐบาลแถลงอะไรสักอย่างนั่นแหละ

ผมใช้ภาษามือตอบไปว่า

ก็พี่ไม่อยู่ที่ป่าดงดิบอะ

รู้ปะ ครอบครัวยุงลายคิดถึงพี่จะแย่ละ

นี่มันฝากตุ่มน่ารักๆ มาให้พี่ดูด้วยนะ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ นี่ด้วย

นี่ผมจะเป็นไข้เลือดออกเปล่าวะ

แล้วนี่กินข้าวยัง หรือว่ากินแซนด์วิชโง่ๆ แบบวันนั้นอีก

หิวว่ะ ไปหาไรกินกันมั้ย

อะ งง ทำหน้างง…


ไม่งงก็แปลก

เพราะนี่เป็นภาษามือที่ผมคิดเอง

ไม่ใช่แค่เหมือนงงๆ เขายังทำหน้าดุด้วย หรือว่าเขากินรังแตนเป็นข้าวเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ผมยังไม่รู้จะทำยังไงต่อ เลยฉีกยิ้มกว้างๆ เป็นการลดอุณหภูมิความสัมพันธ์ไว้ก่อน

พี่ทัชส่ายหน้านิดนึง นิดเดียวจริงๆ จนแทบสังเกตไม่ได้ ก่อนจะกลับไปก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ สิ่งที่เขาอ่านอยู่เป็นชีทเล่มบางๆ ในขณะที่ด้านข้างมีตำราเล่มโตวางอยู่ มีหนังสือรวมไฮกุเล่มนั้นวางอยู่ด้านบนสุดด้วย

ผมจับตามองเขาเงียบๆ แต่พอเห็นนิ้วพันพลาสเตอร์ของเขาจับปากกาไฮไลต์ลากปาดไปบนหน้ากระดาษ นิ้วผมก็เริ่มอยู่ไม่สุข ค่อยๆ ทำเป็นปูไต่เข้าไปหาเขา

พี่ทัชกระตุกนิ้วหนี ทำอย่างกับมือผมเป็นตะขาบหรือกิ้งกือ

“แต่ละวันพันนานมั้ยอะ กว่าจะครบสิบนิ้ว” ผมถามออกเสียง

พี่ทัชยื่นหน้าเข้ามาพูดเสียงกระซิบ “มึงจะพูดทำไม”

“ก็ภาษามือพี่ไม่เข้าใจอะ งั้นดูอีกที…”

“เลิกรำได้แล้ว คนมอง”

“น่ะ เห็นมะ ภาษามือผมเหมือนเซิ้งหมอลำใช่ปะ”

“เบาๆ”

“เบาแค่นี้พอมั้ย” ผมลดเสียงลงนิดนึง

“หยุดพูดเลย”

“อะไรนะ ไม่ได้ยิน”

“กูบอกให้หยุดพูด”

“ผมถามว่า แต่ละวันพันพลาสเตอร์นานมั้ย”

“นะฑี”

“พันวันละกี่ครั้ง แล้วตอนเข้าห้องน้ำทำไงอะ ถ้ามันเปียกทำไง”

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมดังขัดจังหวะ เราสองคนเงยหน้าและเห็นสายตานับสิบคู่จ้องมาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ พี่ทัชค้อมหัวนิดๆ เป็นเชิงขอโทษ ส่วนผมยิ้มเล็กน้อย พยายามฝืนไม่ยกมือโบกไปรอบๆ เพราะจังหวะนี้น่าจะมีคนเริ่มคิดว่าผมกวนตีนละ

พี่ทัชแตะปากตัวเอง ทำมือไขว้กันเป็นตัว X เป็นภาษามือที่แปลความได้ง่ายๆ ว่า หุบปาก! ไม่สิ ดูจากสีหน้าแววตาแบบผู้ดีน่าจะสื่อว่า เลิกพูด ซึ่งเป็นคำที่เบากว่า

แต่ผมก็พูดต่อ “ผมรู้ความจริงหมดละ พี่เห็ดบอกผม...อุ๊บ”

ปากกาไฮไลต์สีเขียวแตะปากผม พร้อมกับสายตาดุๆ มองในระยะประชิด อันนี้น่าจะแปลว่า ถ้ายังไม่หยุดพูด กูจะไปเผาบ้านมึงซะ หรือไม่ก็อาจจะแค่ บอกให้หยุด

หยุดก็ได้

ให้ตายเถอะ ช่างเป็นคนที่อ่านสีหน้าท่าทางได้ยากจริงๆ

นึกว่าจะกลับไปก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ เขากลับรวบกองหนังสือและลุกออกไปเลย ดีมาก ผมรีบสะบัดตูดตามไปโดยไม่ต้องคิด ด้วยความหวังดี ไอ้เราก็รีบบริการกดเรียกลิฟต์ให้ แต่คุณชายเดินลงบันไดเฉ้ย

“ทำไมไม่ลงลิฟต์อะ” ผมตามไปเดินประกบข้าง

“มีขาเดิน”

“เอ้า มีขาน่ะใช่ แต่ก็มีลิฟต์ไง สบายกว่า”

“งั้นก็หัดลำบากซะบ้าง”

“งั้นเอาขาชี้ฟ้า ใช้มือเดินลงมะ”

“...”

“หรือเดินถอยหลังแบบนี้…”

พรืด!

ตีนลื่นแบบนี้ก็หงายหลังสิครับ โชคดีที่คนข้างๆ ดึงแขนเสื้อผมทัน ทำให้พลิกตัวมาคว้าราวบันไดทรงตัวไว้ได้ ซีนนี้คือละครหลังข่าวโคตรๆ

“โห มือไวนะเนี่ย”

“...”

“มือไวแบบนี้ชอบชิงสุกก่อนห่ามปะ”

“...”

“ผมเป็นหนี้ชีวิตพี่แล้วใช่มะ ต่อไปนี้จะจิกหัวใช้ยังไงก็ได้ ผมต้องยอมทุกอย่าง”

“...”

เจ้าตัวไม่พูดอะไร แค่ถอนหายใจนิดๆ 

เราลงมาถึงชั้นล่างจนเดินออกประตู อากาศร้อนพุ่งมาปะทะหน้าราวกับเดินออกมาเจอนรก นี่จะเข้าฤดูหนาวแล้วนะ แต่แดดเมืองไทยเหมือนมันอยากให้เราก้มลงคุกเข่าร้องขอชีวิต หรือไม่ก็อ้อนวอนขอน้ำแข็งสักคันรถ หรือที่ง่ายกว่านั้นคือกลับเข้าไปในหอสมุดดีกว่า แต่พี่ทัชเดินอ้อมไปด้านข้างตัวตึกแล้ว ตรงนั้นมีซุ้มขายกาแฟสดกับเบเกอรี่อยู่

“ขอแซนด์วิชอันนี้ครับ แล้วก็น้ำองุ่นขวดนึง” พี่ทัชสั่งเสียงนุ่ม พนักงานสาวยิ้มแฉ่งและเหล่ตามองนิ้วพลาสเตอร์ที่ชี้อยู่หน้าตู้เบเกอรี่ เป็นใครก็ต้องมองแหละ

“น้ำองุ่นมีแบบเพียวๆ กับผสมเยลลี่ เอาเป็นอันไหนดีคะ”

“เยลลี่ครับ”

“ได้ค่ะ รวมเป็น…”

“เอาเป็นแซนด์วิชอันนี้สองเลย” ผมพูดแทรก “ว่าแต่มันคือไส้อะไร”

“แฮมไซส์ใหญ่ค่ะ”

“โอเค ไซส์ใหญ่ๆ เนี่ยของชอบ แต่ไม่เอาน้ำม่วงๆ นั่นนะ เอาเป็นโกโก้เย็นหวานน้อยดีกว่า พี่คนนี้จ่ายนะ”

พี่ทัชที่กำลังจะหยิบเงินจากกระเป๋าหยุดชะงัก ผมแค่จะแกล้งแหย่เขาเล่นเฉยๆ แต่ผิดคาด ป๋าว่ะ เขาเปลี่ยนใจหยิบแบงก์ส่งให้เพิ่มไปอีก

“เลี้ยงจริงดิ”

“ถ้ามันทำให้มึงหยุดพูดได้”

“เงินแค่นี้ซื้อผมไม่ได้หรอก แต่ก็ขอบคุณ”

“อืม อย่างน้อยมึงก็พูดคำนั้นเป็น”

จึ้ก~ เจ็บนะเนี่ย

“ขอบคุณ ขอโทษ ขอตังค์ พูดเป็นหมดอะ แม่สอนมาดี”

“ดีใจกับคุณแม่ด้วย”

โดนไปอีกดอก นี่เรียกว่าการด่าอย่างผู้ดีใช่มั้ย ทำไมวาจาช่างร้ายกาจยิ่งนัก

ขณะผมตั้งสติอยู่พนักงานก็ยื่นของที่สั่งมาให้ พี่ทัชรับส่วนของตัวเองเดินไปนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้างตึก ส่วนของผมยังไม่ได้ เพราะโกโก้เย็นต้องผ่านกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่าน้ำองุ่นที่ใส่ขวดแช่เย็นไว้อยู่แล้ว ทำไมช้า ต้องคั่วเม็ดโกโก้เองหรือว่าอะไร

“เร็วหน่อยครับ”

“คะ?”

“เร็วๆ ครับ ไม่ต้องปิดฝาก็ได้ โอ๊ย จะลงแดงแล้ว”

“ค่ะๆ ได้แล้ว นี่ค่ะ”

ผมคว้าเอาเสบียงตัวเองเดินตามไป ถ้าไม่รีบเดี๋ยวก็มีสาวน้อยสาวใหญ่มานั่งขายขนมจีบอีกแหละ แต่โชคดีที่เราได้นั่งกันสองคนเหมือนเดิม

“ไม่มีเรียนรึไง ถึงได้มาตามวุ่นวายอยู่นี่”

“มี แต่โดดได้”

“ไปเรียนซะ”

“อยากโดดอะ”

“เมื่อกี้บอกเป็นหนี้ชีวิตกู จะสั่งอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ งั้นกูขอสั่งให้มึงไปเรียน”

“อ่า…” ผมดูดโกโก้อึกใหญ่เพื่อให้สมองแล่น “ขอเป็นหนี้ชีวิตต่ออีกหน่อยละกัน ต้องตามล่าหาความจริงกับพี่ก่อน”

“อะไร”

“เอ๊ะ หรือไม่ต้องตามล่าแล้ว พี่เห็ดบอกผมหมดแล้ว”

ลองลักไก่ดูก่อน และดูจากการที่เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ นั่นก็ถือว่าน่าจะคลำมาถูกทางแล้ว

“เรนจิไม่บอกอะไรมึงหรอก”

“บอกดิ คุยกันเยอะด้วย”

“ว่า?”

จะลักไก่หรือปล่อยไก่ก็คือช็อตต่อจากนี้แหละ

แต่เวลาสี่วันมานี้ผมได้ทบทวนไปประมาณแปดแสนรอบเห็นจะได้ ทั้งนั่งคิด นอนคิด คลานเข่าคิด แล้วสมองอันปราดเปรื่องของผมก็สรุปแบบโน้มเอียงไปในทางว่า พี่ณทัชคนนี้มีวิธีทำให้คนพูดความจริงได้แบบชัวร์ๆ ทีแรกผมคิดว่าแค่ทำให้พูดมาก พูดไม่หยุดเหมือนขี้แตก แต่ดูจากการที่พี่เห็ดลากตัวผมมาให้พี่ทัชช่วย นี่มันคือการรีดเค้นเอาความจริงชัดๆ

ต้องเป็นการเค้นเอาความจริงด้วยวิธีประหลาดๆ ที่มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

“ว่า...พี่มีพลังแบบเอ็กซ์เมนทำให้คนพูดความจริงได้” ผมพูดเสียงเบา

“...”

สีหน้าเขายังคงเรียบเฉย อ่านได้ยาก จากนั้นก็ส่ายหัวนิดๆ ราวกับผิดหวังกับข้อสรุปของผม “กูเคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่ามึงดูหนังมากไป” เขากัดแซนด์วิชคำเล็กๆ

“วิธีการก็คือ ต้องแตะตัวคนนั้น”

“อ้อ”

“คนที่ถูกแตะก็จะพูดแต่ความจริง”

“อือฮึ”

ไม่ใช่เหรอ นี่กูปล่อยไก่ไปหมดเล้าหรือยัง แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปให้สุดเลยละกัน

“ผมแฉพี่ได้นะ”

“ตามสบาย”

“หรือผมจะไม่แฉก็ได้ ถ้าพี่ทำให้ผมดูอีกที ผมจะเก็บเป็นความลับ โอเคปะ”

“ไปเรียนได้แล้วไป”

“งั้นเอางี้เลยละกัน”

หมับ!

ผมคว้ามือเขาและกุมไว้แน่น พยายามปรับมุมการจับให้ใกล้เคียงกับที่ถูกจับวันนั้น พี่ทัชไม่ได้ชักมือกลับอย่างที่คิด เขาแค่เหลือบมองด้วยสายตาดุๆ

หวิวเลย...ไม่ใช่หวิวแบบวันนั้น แต่ก็หวิวนิดๆ

“ความจริงวันนี้” ผมพูดเต็มเสียง “หน้าพี่แม่งโคตรเหี้ยเลย”

“...”

“ผมยังโกหกได้ แสดงว่ายังไม่โดนจุด…” ผมมองมือตัวเองที่กุมมือเขาอยู่ เออใช่ ลืมไป “แน่จริงก็แกะพลาสเตอร์ที่นิ้วออกเหมือนตอนนั้นดิ”

“อย่ายุ่งกับนิ้วกู” คราวนี้เขากระตุกมือกลับ

“นั่งไง ต้องใช้ปลายนิ้วแตะใช่มะ” ใช่เลย จุดสัมผัสสำคัญอยู่ที่นิ้วตรงที่เขาพันพลาสเตอร์ไว้นั่นแหละ “แล้วทำได้เฉพาะนิ้วมือเหรอ นิ้วตีนทำได้ด้วยมั้ย”

“...”

“ข้อศอกหรือตาตุ่มไรงี้ ทำได้เปล่า”

“...”

“แล้วช้างน้อยของพี่ล่ะ”

“ลามปาม”

ความตื่นเต้นทำให้ผมพูดรัวเร็ว สมองตื่นตัวเต็มที่จนมองเห็นภาพในหัวเป็นฉากๆ

“เฮ้ย สุดยอดอะ นี่พี่รู้ตัวปะว่าพลังนี้เปลี่ยนโลกได้เลยนะ อย่างถ้าเราอยากได้เกรดสวยๆ ก็แค่หาจังหวะเหมาะ ย่องไปแตะตัวอาจารย์แล้วก็ถามเลย ‘จารย์ เทอมนี้ออกข้อสอบอะไร’ แค่นี้ก็เรียบร้อย”

“นี่คือใช้สมองคิดแล้ว?”

“ก็ใช่ไง แล้วลองนึกดูนะ ถ้าอยากได้เงินจะทำไง ก็เดินไปดักรอตามตู้เอทีเอ็ม พอมีคนมากดเงินก็ไปแย่งบัตรมาและล็อกตัวถามรหัสเลย โอ๊ย เศรษฐีข้ามคืน”

“...”

“ก็แค่ให้ลองคิดดู ไม่ได้จะให้ทำจริงๆ ซะหน่อย” ผมมองหน้าเขาที่ตอนนี้ไม่ดูดุเท่าไหร่แล้ว ออกจะดูผ่อนคลายด้วย “รู้ละ พี่ถือคติแบบสไปเดอร์แมนใช่ปะ พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง ว่าแต่ผมดูหนังเยอะ ตัวเองก็เหมือนกันรึเปล่า”

“ทำยังไงกูถึงจะได้อยู่คนเดียว”

“ขอไลน์หน่อยดิ”

“นี่ฟังกูพูดอยู่รึเปล่า”

“หรือเบอร์โทรก็ได้”

“จะไปเรียนยัง”

“ไลน์ชื่ออะไร” ผมควักมือถือออกมาเตรียมพิมพ์

เขาหยุดนิ่งและเป็นฝ่ายมองหน้าผมบ้าง

“ชื่อไลน์ว่า…” ผมกระตุ้น

“ถ้าให้แล้วจะไป?”

“จะรีบไปเลย เร็วๆ ดิ เดี๋ยวเปลี่ยนใจโดดเรียนนะ”

“เอามือถือมึงมา”

ผมส่งมือถือให้เขาเหมือนขี้ข้าส่งของให้เจ้าขุนมูลนาย เขารับมันไป จากนั้นก็กดพิมพ์ด้วยปลายนิ้ว เรียกว่าปลายนิ้วสุดๆ จะตรงกว่า เพราะบริเวณที่เป็นลายนิ้วมือนั้นมีพลาสเตอร์พันอยู่ ท่าทางไม่คล่องเหมือนไม่ใช่คนชอบขลุกอยู่กับหน้าจอมือถือ ซึ่งดูจากหนังสืออ่านฆ่าเวลาของเขาแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่

พอเขาพิมพ์เสร็จผมก็รับมือถือกลับมาดู ผมค่อนข้างผิดหวังนะ เขาใช้ชื่อไลน์ตรงตัวเลย

NATOUCH

รูปโปรไฟล์ก็เป็นสีหม่นๆ เรียบๆ ซึ่งน่าจะถ่ายจากปกหนังสือนอกเวลาที่เขาอ่านอยู่นี่แหละ

“ไปได้ยัง”

“ก่อนจากกันวันนี้ ขอถามคำถามสุดท้าย ทำไมพี่ไม่ใช้ชื่อไลน์ให้มันเฟี้ยวกว่านี้หน่อยล่ะ อย่างณทัชเอ็กซ์เมน หรือไม่ก็สไปดี้ทัชอะไรงี้...เปลี่ยนใจละ ผมโดดดีกว่า”

“นะฑี” เขาพูดเสียงเข้ม เล่นเอาผมตื่นเต้น

“ครับ” ผมโน้มตัวเข้าไปพูดเสียงเบา “พี่ยังมีพลังอะไรอีกเหรอ บอกผมได้ รับรองผมเก็บเป็นความลับแน่นอน”

พี่ทัชโน้มตัวมาตบเบ่าผมเบาๆ พร้อมกับพูดเสียงนุ่มที่สุดเท่าที่เคยได้ยินจากปากเขา “กูขอร้องล่ะ ไปเรียน”







________________________

ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้กันนะคะ :D
ดีใจมากๆ เลยค่ะ
ได้อ่านทุกคอมเมนต์เลยนะคะ T__T อ่านซ้ำๆ วนๆ
สามารถไปพูดคุยกันในแท็ก #ณTouch ที่ทวิตเตอร์ได้นะคะ

แชร์ความคิดเห็นให้ฟังกันได้ตลอดเลยนะคะะะะ <3
ขอบคุณมากๆ เลยค่า T^T/// *อยากกอดไว้*


นางร้าย
20.05.2019

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 4) |▌20.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 20-05-2019 23:31:07
นะฑีคือกวนได้ใจมากๆ น้องดูไหลลื่นพูดไปเรื่อยไม่ติดขัดจริงๆ

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 4) |▌20.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 21-05-2019 18:06:54
ติดตามอยู่นะคะ น้องยังพูดได้ไหลลื่นและกวนตีนราวผีเจาะปากเหมือนเดิม

ทั้งขำทั้งสงสารพี่ทัชมาก ณ จุดนี้
...ขออยู่คนเดียวได้ไหม ขอร้อง...

พี่เห็ดก็สู้ ๆ นะคะ แต่แนะนำว่า หาคนช่วยคนอื่นเหอะ
รู้สึกว่าพี่ก็ช่างซื่อ หัวร้อน อย่างนี้โดนจีบเอาเองนี่คงไม่รู้ตัวเลย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 4) |▌20.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 22-05-2019 13:15:09
โอ๊ยยยยยยย เด่วนะ 555555555555555555 ทั้งขำทั้งสงสาร ณทัข เจอเด็กผีเจาะปากมาวอแว ชีวิตหาความสงบไม่ได้แล้ว 555555555555555555555 เพราะพี่เห็ดคนเดียว พาไอ้ตัวดีมาป่วนเนี่ยย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 4) |▌20.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 24-05-2019 10:56:43
นะฑีแกกวนทีนมากว่ะ ตอนพี่เขาโน้มตัวมาพูดเพราะๆใจคือนึกว่าพี่แกจะกางมือแล้วตบเกรียนสักที :hao7: รอพี่เรนจิมาเล่นงานให้ล่ะกัน ขอบคุณมากนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 4) |▌20.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-05-2019 08:06:59
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 5) |▌30.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 30-05-2019 19:23:53
แตะต้องครั้งที่ 5
จับบบ...หมอนเน่าเฝ้าดอกทอง
น้าลองทุกท่าแค่แบงก์ห้าร้อยสอยผมไม่ได้หรอก



“หมอนเน่า มานี่...จะแดกไม่แดก เร็วเข้า เมี้ยวๆๆ”

มันฟังซะที่ไหน แถมยังมองหน้าแบบหยิ่งๆ อีก มาดผู้ดีมีตระกูลมาก แต่การเลียตีนแล้วเอาไปลูบหน้าต่อนี่คือคิดดีแล้วใช่มะ

“ไอ้แมวหัวเน่า นี่อาหารเปียกโคตรไฮโซนะเว้ย หรือมึงจะกินขยะเปียก...บอกให้มากิน อะ ดมดู”

ฟ่อ~

อิแมวผี แค่จับขาเอง มึงจะฆ่ากูเหรอ

“คุยกับมันดีๆ ดิ มานี่แม่เอง” แม่ฉวยชามอาหารเปียกชูขึ้นเหนือหัวเหมือนท่าถวายของให้เทพเจ้า “หมอนนิ่ม ลงมานี่มา นี่ อร่อยน้า...ไม่ชอบเหรอ มาเร้วๆๆ”

หมอนนิ่มคือชื่อที่แม่เสนอในญัตติการประชุมของเรา ส่วนผมเสนอชื่อหมอนเน่า เราตัดสินกันด้วยวิธีการโหวต เนื่องจากเรามีกันอยู่แค่สองคนเสียงเลยเสมอกัน แต่แม่ก็ชนะไปด้วยความที่แม่เป็นแม่ แม่บอกว่าโดยหลักการแล้วแม่เป็นทั้งพ่อและแม่เลยมีสองเสียง ห้ามคัดค้าน ห้ามเถียง เอาเป็นว่าแม่ชนะ

โคตรประชาธิปไตยเลย

แต่ผมก็ยังแอบเรียกมันว่าไอ้หมอนเน่าอยู่ดี

ไอ้หมอนเน่าเป็นแมวเพศเมียลายสลิด ตัวสีเทา ตาสีเหลือง แถมปลายหางคดหน่อยๆ ด้วย พูดให้ชัดคือเป็นแมวเกรดต่ำหน้าตาบ้านๆ นั่นแหละ เมื่อสองปีก่อนมันหลงทางมาจากไหนไม่รู้ ขนเกรอะกรัง แววตาโหยหาความรักความเมตตา ผมกับแม่เลยชุบเลี้ยงมันไว้ ให้ข้าวให้น้ำ อาบน้ำแต่งขน แถมยังพาไปหาหมอตามนัด แววตาที่เคยร้องขอความเมตตาเริ่มมีความหยิ่งผยองเจือปน ไม่ทันไรมันก็สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นราชินีและปกครองข้าทาสบริวารอย่างเราด้วยความโหดร้าย

ดูอย่างตอนนี้เป็นต้น ทำไมต้องยกอาหารถวายมันขนาดนี้ ก็มันดันขึ้นไปนอนเอกเขนกอยู่บนหลังตู้โชว์ไม่ยอมลงมาสักที ซึ่งดูจากสถิติความชั่วของมันแล้วก็มีแววว่ามันจะแอบปัดแจกันดอกไม้บนนั้นลงมาตกแตกแน่ๆ

“ผมว่าฟาดมันเลยดีกว่า จะได้หลาบจำ เอามะ”

“อย่า แม่ว่าเอาแจกันลงมาก่อนเถอะ ช่วงนี้มันคงอยากนอนตรงนี้แหละ เห็นขึ้นไปหลายที”

“แต่ตั้งตรงนี้มันสวยแล้วนะ แล้วข้างล่างนี่ก็จะไม่มีที่วางแล้ว”

“ก็หาที่วางสักที่ละกัน ตามใจมันหน่อย”

“ผมกับแมวรักใครมากกว่ากัน”

“แมว”

“โหย ทำไมอะ นี่ลูกนะ”

“เพราะมันไม่เคยเถียงแม่ไง”

“เนี่ยนะไม่เถียง ดูตามัน”

“มันก็ไม่ได้เถียงนะ แค่ไม่ค่อยทำตามที่บอกเฉยๆ แต่ใครบางคนนี่เถียงเก่งจริง”

“คร้าบ เอาแจกันลงมาเดี๋ยวนี้ครับแม่” ผมเขย่งเอื้อมไปหยิบแจกัน ไอ้หมอนเน่าขู่ฟ่อและตะปบเบาๆ มาทีนึง แต่ก็ทำเอาผมเกือบทำแจกันร่วง “ไอ้แมวผีเอ๊ย”

“นะฑี บอกให้พูดกับมันดีๆ...หมอนนิ่ม อย่าทำพี่เค้าลูก”

“เมี้ยว~”

จ้ะ ร้องเสียงอ้อน หน้าตาตอแหลมาก

แล้วจู่ๆ มันก็กระโดดจากหลังตู้มาที่ชั้นวางระดับกลาง โดดต่อมาที่เก้าอี้ สุดท้ายก็ลงมากินอาหารในชามที่แม่วางให้

กวนตีน

แมวนรกเลิกสร้างปัญหาแล้ว แต่ยังไงผมก็ต้องหาที่วางแจกันใหม่อยู่ดี

นี่คือร้านดอกไม้ที่แม่ผมกับน้าลูกเกดน้องสาวในไส้ของแม่เข้าหุ้นกันเปิดเมื่อปีก่อน ดำเนินกิจการอยู่ในคอมมูนิตี้มอลล์ย่านคนรวย โดยใช้ชื่อร้านสุดเก๋ว่า Golden Flower ซึ่งผมอยากจะเขียนคำเตือนไว้บนนามบัตรเหมือนกันว่า ถ้าจะฝากเพื่อนสั่งดอกไม้ร้านนี้อย่าแปลชื่อร้านเป็นภาษาไทย เดี๋ยวเพื่อนจะตบเอา

เมื่อก่อนแม่เปิดร้านอาหารตามสั่ง เงินดีแต่เหนื่อยเกินไป เลยเปลี่ยนแนวดีกว่า ถึงร้านดอกไม้จะไม่ค่อยหวือหวามาก แต่เมื่อคำนวณรายได้กับเงินเก็บแล้วก็เพียงพอที่จะส่งลูกชายหัวแก้วหัวกรวดคนเดียวเรียนปริญญา และเลี้ยงแมวที่ทำตัวไฮโซเกินกำพืดตามสายพันธุ์ตัวเองได้สบาย นี่คือคำพูดของแม่นะ แต่ผมก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก ร้านดอกไม้มันดูเหมาะกับธุรกิจฟอกเงินของคนรวยมากกว่า

ผมเลยตกลงใจเรียนสาขาการจัดการ เพื่อจะได้นำความรู้มาช่วยแม่บริหารร้าน แถมยังต่อยอดทำธุรกิจอื่นๆ ในอนาคตได้อีก

เรื่องง่ายๆ ที่ผมต้องจัดการตอนนี้ก็คือหาที่เหมาะๆ วางแจกันดอกไม้ให้ได้

มุนนี้ละกัน วางแล้วดูสูงโปร่งเด่นเป็นสง่าเลย

“เอาไปวางข้างถังขยะทำไม เดี๋ยวก็เผลอเตะล้มอีก” แม่บอก “เอามาวางหน้าร้านตรงนี้มา จะได้โชว์ลูกค้าด้วย อันนี้แม่จัดเป็นชั่วโมงเลยนะ”

“แม่ไม่เข้าใจศิลปะอะ แต่ก็ตามใจ...แล้วช่อที่กำลังจัดนี่ล่ะ ผมช่วยมะ”

“ไม่ต้องๆ ของลูกค้าประจำ จะเสร็จแล้ว”

“อ้อ ของร้านนิตยาบลาๆ อะไรสักอย่างนั่นใช่ปะ ที่สั่งประจำ”

“ร้านนัชชา” แม่แก้ให้

“เออ ใช่ ลืมทุกที ร้านนี้เป็นอะไรกับดอกไม้มากปะ สั่งได้สั่งดี”

“เป็นร้านอาหาร น่าจะใช้ตกแต่งมั้ง เขาสั่งประจำก็ดีแล้ว”

“ผมไปส่งให้เอามะ เบื่ออยู่ร้าน”

“ไม่ต้องหรอก มันไกล เมสเซนเจอร์ที่ไปส่งให้ประจำก็จะได้มีงานทำ นี่คงใกล้จะมารับแล้วละ”

“สบายจริงโว้ย ไม่มีไรทำ งั้นนั่งกินนอนกินละนะ”

ปกติแล้วแม่จะอยู่เฝ้าร้านกับไอ้หมอนเน่า น้าลูกเกดจะเข้ามาตอนไหนแล้วแต่อารมณ์ ส่วนผมก็ได้ช่วยนิดหน่อยในวันที่ไม่มีเรียนอย่างวันนี้นี่แหละ

“เป็นไงมั่งแม่ลูกคู่นี้”

คิดถึงปุ๊บก็โผล่หน้ามาเลย ท่าทางจะอายุยืน วันนี้อยู่ครบหน้าเลยแฮะ

“โย่ว น้องสาว” ผมชูมือเพื่อตีไฮไฟว์ น้าเกดทำท่าจะตีมือด้วยแต่เปลี่ยนเป็นขยี้หัวผมแทน “โหย น้า ผมเสียทรง”

“ยังไงก็หล่อน่า เป็นไงมั่งเรา”

“ก็ดี กินอิ่ม นอนหลับ ตดดังเหมือนเดิม”

“ไหนขอฟัง”

“วันนี้ยังไม่ถึงรอบการแสดงอะ เอาไว้ช่วงบ่ายๆ นะ รอให้ท้องอืดก่อน แล้วนี่น้าไปทำไรมา ไม่เจอกันอาทิตย์นึง นมโตขึ้นเป็นกอง อัพไซส์มาเหรอ”

“ยังไซส์เดิม เพิ่มเติมคือผอมลงและดันทรงนิดหน่อย”

“ฟังดูชีวิตดีอะ”

“ก็พอใช้ได้ ยังกินอิ่ม นอนหลับ ตดดี มีเมนส์ตามกำหนด”

“เยี่ยม”

“เฮ้อ...นึกว่าจะเป็นแค่น้องคนเดียว มีลูกก็ดันมาเป็นเหมือนกันอีก” แม่บ่นลอยๆ ขณะที่มือจัดดอกไม้ไปด้วย “ว่างๆ ก็ไปเช็กสมองกันบ้างนะ สงสัยจะเป็นโรคทางพันธุกรรม”

ผมกับน้าลูกเกดยิ้มให้กัน ผมชูมือค้างไว้อีกครั้ง และคราวนี้น้าเกดยกมือมาฟาดด้วยดังป๊าบ

“คุยกับแม่ไปนะ ผมไปขี้ละ”

ผมปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล ไม่ได้จะจัดการธุระหนักอะไร แค่เป็นคำพูดติดปาก อันที่จริงผมแค่จะมาฉี่และส่องกระจกเช็กหนังหน้าตัวเองนิดหน่อย

พอกลับออกมา น้าเกดกับแม่ก็ยังยืนคุยกันอยู่ที่หน้าร้าน ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอก แต่เกิดมาหูดีเลยได้ยินชัดแจ๋ว

“...ถ้ารู้งี้ไม่เอามันทำพันธุ์ซะตั้งแต่แรกก็ดี”

“ใจเย็นๆ ลองมีลูกมั้ย เผื่ออะไรๆ อาจจะดีขึ้น”

“ลองทุกท่าละ ไม่ติด แต่ไม่เกี่ยวหรอก คนมันจะชั่ว”

รู้ละ เรื่องอะไร “ผู้ชายรวยๆ ชอบทำตัวเฮงซวยแบบนี้แหละน้า” ผมเสนอหน้าเขาไปร่วมด้วย “นอกใจใช่มะ”

พี่สาวกับน้องสาวยืนอึ้งไปชั่วอึดใจ

แล้วคนเป็นน้องก็กระตุกยิ้มมุมปาก “คิดว่างั้นแหละ”

“ฮุบสมบัติดิ แล้วก็ฟ้องหย่า”

“ไอเดียดี แค่ยังหาหลักฐานไม่ได้ แต่อย่าเข้าใจผิด ผัวน้าไม่ได้รวยอะไรขนาดนั้นหรอก”

“ให้ผมยกพวกไปดักกระทืบไข่ให้มั้ย”

“ฮ่าๆ ก็น่าจะดีนะ”

“นะฑี อย่าเลอะเทอะ ไปที่อื่นก่อนไป ผู้ใหญ่จะคุยกัน” แม่ดุนหลังผมออกไป

“ไม่อะ ผมจะทำงาน”

แม่กำลังจะพูดต่อ แต่น้าเกดควักแบงค์ห้าร้อยออกมาซะก่อน “ไปกินกาแฟเล่นมั้ย เดี๋ยวน้าตามไปเมาด้วย”

“คิดว่าเงินซื้อคนอย่างนะฑีได้เหรอน้า โด่ คนมีอุดมการณ์นะครับ”

แล้วแบงค์ห้าร้อยก็ถูกเก็บไป แบงค์พันกลับชูขึ้นมาแทน

“ขอบคุณคร้าบ” ผมฉกเงินมาถือไว้แล้วก้มกราบงามๆ “ถ้าน้าลง ส.ส. แล้วทำแบบนี้นะ ผมจะเอาไม้บรรทัดเข้าคูหาไปทาบกากบาทให้เต็มช่องเลย ไปละ” ผมรีบชิ่ง ครึ้มอกครึ้มใจจนแทบจะเต้นลีลาศเข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ กิเลสมาละ มากันใหญ่เลย ความรุนแรงระดับนี้ต้องสั่งโกโก้ปั่นเท่านั้นถึงจะเอาอยู่     

ระหว่างรอก็ควักมือถือออกมาเช็กความเคลื่อนไหวซะหน่อย

ดูแชตไลน์กับคุณชายพลาสเตอร์เป็นอันดับแรกเลย ตอนเช้าผมทักทายไปเซ็ตใหญ่ประมาณสิบข้อความทั้งตัวอักษรทั้งสติกเกอร์ ดูซิ พี่แกจะตอบว่าไง

เชี่ย ไอ้พี่ทัช ทำไมทำงี้วะ




_________________________

ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามอ่านกันนะคะ T^T ดีใจมากๆ เลยค่ะ
#ณTouch

นางร้าย 30.05.19
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 5-6) |▌30.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 30-05-2019 19:44:31
แตะต้องครั้งที่ 6

จับบบ...วันว่างอ้างอาบน้ำให้หมา
ข้าฝากลูกแมวด้วยช่วยใส่ไฟชาวบ้าน



NATOUCH: …


นี่หรือคือคำตอบ

ทักไปเป็นสิบ ตอบมาแค่หยิบเม็ดเกลือ จะอินดี้ไปไหน ปล่อยละ คุยกับคนอื่นดีกว่า

แล้วดูพี่เห็ด รายนี้รัวข้อความมาเป็นล้าน แถมเป็นคำด่าล้วนๆ จ้า ถ้าไม่ตอบแกสักหน่อยเจอกันคราวหน้าผมคงต้องได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่


NaTee(n): เพ่ ใจเยนนน

NaTee(n): ไม่มีอะไรดีๆ ในชีวิตทำเลยเหรอ ถึงได้มีเวลามาพิมพ์อะไรเยอะขนาดนี้

★R3NJI: เอ้า ยังอยู่เหรอวะ กูนึกว่าตายห่าคาตีนหมาแถวบ้านไปแล้ว

NaTee(n): อะเฮื้อออ~

NaTee(n): ฝากลูกแมวข้าด้วย

★R3NJI: ฝากดิ กูจะเอาลูกแมวมึงไปถ่วงน้ำ

NaTee(n): โหดแท้

NaTee(n): เจ๊แคลไม่ชอบโกโก้ใช่มะ

NaTee(n): แกเพิ่งมาเปลี่ยนแนวทีหลังอะดิ เมื่อก่อนเห็นกินบ่อยจะตาย

★R3NJI: แคลบอกไม่กินมาแต่ไหนแต่ไรแล้วโว้ย



เอ่า เวร

เรื่องของเรื่องคือ ผมจำไม่ได้หรอกว่าเจ๊แคลแกชอบกินน้ำอะไร ใครจะไปสนใจจำวะ ตอนนั้นก็เลยบอกพี่เห็ดไปว่าโกโก้เพราะเป็นเมนูเดียวที่ผุดขึ้นในหัว แต่ตอนนี้ก็นึกออกแล้ว เจ๊แกชอบน้ำแดงโซดานั่นแหละ

โกโก้ปั่นมาเสิร์ฟจังหวะนี้พอดี เลยจัดไปสองสามอึกใหญ่ๆ เพื่อหัวจะได้แล่น



NaTee(n): มันเป็นแผนผมเอง

NaTee(n): ทำให้พี่เข้าไปคุยกับเจ๊แกอย่างเป็นธรรมชาติไง

★R3NJI: แผนเชี่ยไร

★R3NJI: กูหน้าแตก

NaTee(n): แต่ก็ได้ผลใช่มั้ยล่ะ

NaTee(n): ได้เข้าหาอย่างเนียนๆ แล้วสุดท้ายพี่ก็รู้ว่าเจ๊แกชอบกินน้ำอะไรด้วยตัวเอง

NaTee(n): คิดดูดิ ถ้าพี่เข้าไปแบบรู้ใจทันทีเลยจะเป็นไง

NaTee(n): เจ๊แกคงระแวงมากกว่า

NaTee(n): มีแต่ผู้ชายเจ้าชู้เดาใจเก่ง หรือไม่ก็พวกโรคจิตที่ลากคนใกล้ตัวเจ๊ไปทรมานเท่านั้นแหละที่จะรู้ข้อมูลวงในแบบนั้น

★R3NJI: ไม่ต้องมาหลอกด่ากู

NaTee(n): ไม่ได้หลอกนะ ด่าตรงๆ

★R3NJI: เจอตัวอีกทีขอให้ปากดีแบบนี้นะ

NaTee(n): แต่ก็เอาเถอะ

NaTee(n): ผมไม่ได้รู้สึกทรมานขนาดนั้น วันนั้นอะ

NaTee(n): แค่ลากไปตบหัวไม่กี่ที สนุกดี

★R3NJI: เดี๋ยวได้สนุกอีกแน่

NaTee(n): ใจเยนนน

★R3NJI: บ้านมึงอยู่ไหน

★R3NJI: กูจะไปเยี่ยม

NaTee(n): ก็อยู่บนดินเหมือนบ้านคนทั่วไปอะ

NaTee(n): เดี๋ยวผมโยนไก่ดิบไว้หน้าบ้านละกัน พี่จะได้ตามกลิ่นมาถูก

★R3NJI: อยากย้ายบ้านไปอยู่ในหลุมมั้ย



ยกรางวัลคนหัวร้อนแห่งปีให้เลยพี่คนนี้

เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า



NaTee(n): เอาน่า

NaTee(n): ผมเป็นน้องรหัสแฟนในอนาคตของพี่นะ

NaTee(n): ต้องอ่อนโยนกับผม เคปะ

★R3NJI: เออ กูจะลดให้เหลือสักยี่สิบแผลละกัน

NaTee(n): ขอบคุณค้าบ

NaTee(n): เอ้อ พูดถึงพี่ทัช ผมรู้แล้วนะ

★R3NJI: กูพูดถึงไอ้ทัชตอนไหนวะ

NaTee(n): ก็ผมพูดถึงอยู่นี่ไง

NaTee(n): ผมรู้หมดแล้ว เขาเป็นคนบอกเอง

★R3NJI: ว่า

NaTee(n): ว่าเขามีวิธีทำให้คนพูดความจริง

★R3NJI: ไอ้ทัชเนี่ยนะ จะบอกมึงง่ายๆ 



โป๊ะเชะ

แสดงว่าชัวร์แหละ ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแค่ไหนก็ตาม



NaTee(n): ช่าย ก็เขาบอกอะ

NaTee(n): ถ้าเอานิ้วแตะตัวใคร คนนั้นจะพูดความจริง



ผมพิมพ์ย้ำไป แต่พี่เห็ดไม่ตอบอะไรกลับมาอีก

ทำไมเงียบวะ

อ๊ะ ตอบแล้ว



★R3NJI: กูคุยกับไอ้ทัชแล้ว

★R3NJI: กูไม่ได้บอกอะไรมึง แต่มึงพูดกับไอ้ทัชกว่ากูบอก

★R3NJI: ไอ้ทัชก็ไม่ได้บอกอะไร แต่มึงมาตอแหลกับกูว่ามันบอก

★R3NJI: เหี้ยจริงๆ



อ่า…

เขาเพื่อนกันนี่นะ ต้องคุยไลน์กันอยู่แล้ว



NaTee(n): ไม่บอกก็เหมือนบอกอะ

NaTee(n): บอกด้วยวิธีอ้อมๆ ไง

NaTee(n): แล้วผมก็เข้าใจถูกใช่มั้ยล่ะ

★R3NJI: กูจะไม่พูดอะไรเรื่องนี้

NaTee(n): ครับๆ

NaTee(n): เอาเป็นว่าเรื่องเจ๊แคลผมเชียร์เต็มที่

★R3NJI: คนอย่างมึงแม่งเชื่อไรไม่ได้หรอก

NaTee(n): พูดจริงๆ

★R3NJI: ถุ้ยยยย

NaTee(n): ถ้าไม่เชื่อก็ให้พี่ทัชมาแตะตัวผมอีกดิ

NaTee(n): หรือไม่ก็มีอีกวิธีนึง พี่เปย์มาหนักๆ

NaTee(n): โดยเฉพาะวิธีหลังนี่ รับรอง เปิดเผยทุกความจริงแน่นอน

★R3NJI: ได้

★R3NJI: ถ้าเจอตัวกูจะเอาเหรียญยัดปากมึง

★R3NJI: เอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าให้ด้วย

NaTee(n): ขอบคุณค้าบ

NaTee(n): เดี๋ยวผมไปคุยกับเจ๊แคลก่อนนะพี่

NaTee(n): คนสำคัญอะ ก็งี้แหละ คุยกันบ่อย

NaTee(n): บาย~



ไม่ได้พูดเล่น ผมจะคุยกับเจ๊แคลเซียมจริงๆ

ไม่ได้เจอกันหลายวันละ ต้องอัปเดตข้อมูลสำคัญๆ ไว้บ้างซะแล้ว



NaTee(n): เจ๊

NaTee(n): หิว

❤ C A L ❤: ปลวกที่บ้านหมดแล้วเหรอ

NaTee(n): ฟาดเรียบละ

NaTee(n): แมงกุดจี่ก็ไม่เหลือ

❤ C A L ❤: แมงกุดจี่คือไร

NaTee(n): ก็ตัวที่อยู่ในกองขี้ควายไง

❤ C A L ❤: 555 แถวบ้านเลี้ยงควายซะด้วย

NaTee(n): เออ เบื่อของกินแถวนี้ อยากกินบุ๊ฟเฟ่ต์อะ

NaTee(n): ไปกินกัน

❤ C A L ❤: เอาดิ ไว้ว่างแล้วเดี๋ยวนัด

NaTee(n): เจ๊เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าฮอต

❤ C A L ❤: หืม?

NaTee(n): มีหนุ่มจิตวิทยามาตามจีบไม่ใช่เหรอ

❤ C A L ❤: นี่ไปรู้มาจากไหน

NaTee(n): มีพรายกระซิบ

NaTee(n): ฟ้าดินรู้ นะฑีรู้

❤ C A L ❤: 5555

❤ C A L ❤: ทันข่าวจริงๆ

NaTee(n): แล้วเป็นไงมั่งอะ คนนี้

❤ C A L ❤: ก็ หล่อดีนะ แต่ดูขี้อาย



นั่นไง

พี่เห็ด กับผู้ชายด้วยกันนี่โวยวายเป็นหมาบ้า

พออยู่ต่อหน้าสาวเป็นได้แค่ลูกแมว



NaTee(n): หล่อเหรอ ผมว่าเจ๊ก็ระวังๆ หน่อยดีกว่านะ

❤ C A L ❤: ทำไมอะ

NaTee(n): อืม…

NaTee(n): ไม่รู้ดิ

NaTee(n): ผมว่าหน้าตาแกไม่น่าไว้ใจอะ ดูโรคจิตๆ ไงไม่รู้

❤ C A L ❤: ก็พูดไป

NaTee(n): คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจเจ๊

❤ C A L ❤: เคๆ เดี๋ยวจะดูดีๆ

NaTee(n): ว่างวันไหนแล้วรีบนัดเลยนะ

NaTee(n): หิวบุ๊ฟเฟ่ต์

❤ C A L ❤: ได้เลย



ไม่ใช่อะไรหรอก วางยาพี่เห็ดซะหน่อย ง่ายไปเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น จะได้มีเรื่องที่แกต้องมาก้มกราบสักการะผม แล้วก็มีช่องให้เข้าถึงตัวพี่ทัชได้ง่ายขึ้นด้วย อย่างหลังนี่สำคัญสุดเลย

ระหว่างนี้ในห้องแชตรวม ไม่ส(า)มประกอบ ที่ประกอบด้วยผม เจษฎา และโอเปิ้ล ก็มีข้อความเด้งรัวๆ ผมกดเข้าไปเลื่อนดูผ่านๆ ดูเหมือนโอเปิ้ลจะพยายามยั่วให้เจษฎาพูดคำหยาบ ขณะที่เจษฎาพยายามจะชวนคุยเรื่องมนุษย์ต่างดาว

เอาไว้ค่อยมาร่วมวงยาวๆ ละกัน



NaTee(n): แมงสาบคือเอเลี่ยนนะ รู้ยัง



ตอนนี้จัดไปแค่นี้พอ กลับไปดูห้องแชตกับพี่ทัชก่อน ข้อความล่าสุดก็ยังเป็นเม็ดเกลือสามจุดเหมือนเดิม

ตอนนี้เขาจะทำอะไรอยู่นะ

อาจจะกำลังนั่งจิบชาชิลล์ๆ อยู่ในสวน อ่านหนังสือรวมไฮกุอะไรนั่น หรืออาจจะกำลังกินมื้อกลางวันที่เริ่มเร็วหน่อย เพราะคุณชายอย่างเขาคงกินอย่างพิถีพิถันค่อยเป็นค่อยไป อาจจะกินคลีนด้วยซ้ำ หรือไม่ก็อาจจะเพิ่งตื่นงัวเงียและกำลังแกะพลาสเตอร์ออกจากนิ้ว

ผมนึกเห็นภาพเขาทำกิจกรรมพวกนั้นได้ชัดเจน แต่มันก็อาจจะไม่เป็นจริงสักอย่าง

ใครจะไปรู้

หน้าตาอ่านใจยากขนาดนั้น

ผมมองหน้าจออยู่อึดใจ แล้วตัดสินใจพิมพ์ส่งสติกเกอร์สุดฮอตไปหยั่งเชิงดู



NaTee(n): {สวัสดีวันจันทร์}



เงียบ

ลองโปรยเม็ดเกลือลงไปบ้าง



NaTee(n): ………..

NaTee(n): …..



สงัด วิเวก วังเวง

นี่มันป่าช้าชัดๆ



NaTee(n): ไม่ตอบขอให้ท้องผูกสามวันเจ็ดวัน

NaTee(n): ไม่ตอบก็อย่าตอบ

NaTee(n): ชิ



ตื๊อดึ่ง!

ผมกดปิดหน้าจอไปแล้ว เสียงเตือนล่าสุดนึกว่ามาจากห้อง ไม่ส(า)มประกอบ แต่พอเหลือบมองก็ต้องกดเข้าไปดูใหม่ให้ชัดๆ



NATOUCH: วันนี้วันอาทิตย์



ผมมองข้อความนี้อยู่สามวินาทีเต็ม แล้วค่อยพิมพ์กลับไป



NaTee(n): งั้นเอาใหม่

NaTee(n): {สวัสดีวันอาทิตย์}

NaTee(n): ทำไรอยู่อะ ทักไปไม่ตอบ

NaTee(n): ขี้เหรอ

NATOUCH: อาบน้ำให้หมา

NaTee(n): เลี้ยงหมาด้วย

NaTee(n): พันธุ์ไรอะ

NaTee(n): ชื่อไร

NaTee(n): ผมเลี้ยงแมวนะ ชื่อหมอนเน่า

NaTee(n): อะ เงียบ

NATOUCH: มีไร มือกูไม่ว่าง

NaTee(n): ทำไมเลี้ยงหมาอะ

NaTee(n): ชอบไรในตัวมัน

NATOUCH: หมามันซื่อสัตว์ ไม่โกหกเหมือนคน



แสบซี้ดไปถึงไส้

นี่พี่แกกำลังด่าเรื่องที่ผมพูดกับพี่เห็ดอย่างพูดกับแกอีกอย่างใช่มั้ย



NaTee(n): ผมไม่เคยโกหกอะไรที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

NATOUCH: ก็ดี

NATOUCH: บอกทำไม

NaTee(n): แต่ความจริงที่ผมรู้ตอนนี้ ทำให้พี่เดือดร้อนได้แน่

NaTee(n): ผมแฉพี่ได้ตลอดเวลานะ

NaTee(n): อย่ากดดันผม

NATOUCH: ตอนไหน

NaTee(n): ตอนไหนก็ช่าง อย่าทำให้ผมไม่พอใจ

NaTee(n): ผมถือไพ่เหนือกว่า

NATOUCH: อ่อ

NaTee(n): เก็ต?

NATOUCH: อือ

NaTee(n): ดี

NaTee(n): งั้นพรุ่งนี้จะไปสวัสดีวันจันทร์ต่อหน้านะ

NATOUCH: อือ

NaTee(n): พาไปหาข้าวกินด้วย เบื่อแซนด์วิช

NATOUCH: อือ

NaTee(n): ทำไมตอบสั้น

NATOUCH: ขี้เกียจ

NaTee(n): แล้วทำไมตามใจ

NATOUCH: กูคงไม่มีทางเลือกมั้ง

NaTee(n): ดีมาก

NaTee(n): พี่ไม่มีทางเลือกหรอก

NaTee(n): อย่าลืมว่าผมกุมความลับพี่อยู่



“ไง เมายัง นี่สั่งไรมากิน” น้าลูกเกดเดินสวยๆ เข้ามาในร้าน ผมฉีกยิ้มกว้างให้ก่อนจะก้มลงพิมพ์ตัดบท



NaTee(n): แค่นี้แหละ

NaTee(n): {สวัสดีวันพุธ}





_____________________

วันนี้อัพให้ 2 ตอนค่า เพราะรู้สึกว่าตอนก่อนหน้าสั้นไปนิดนึง ^ ^
ทางนี้ได้อ่านทุกๆ คอมเมนต์เลยนะคะ ทั้งจากเด็กดีและในแฮชแท็ก #ณTouch
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ หวังว่าจะมีรอยยิ้มกันเยอะๆ นะคะ :D

นางร้าย 30.05.19


หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 5-6) |▌30.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 31-05-2019 00:45:26
 :pig4:
 :katai2-1:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 5-6) |▌30.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 31-05-2019 08:10:31
ขำทั้งคุณน้าทั้งคุณหลานเข้ากันได้ดีจริงๆ
อ่านแล้วอารมณ์ดีแต่เช้า ไม่รู้หามุกมาจากไหน อ่านแล้วยิ้มได้ ฮาตลอดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 5-6) |▌30.พฤษภา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 31-05-2019 11:32:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 7) |▌05.มิถุนา.2019
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 05-06-2019 20:06:09
แตะต้องครั้งที่ 7

จับบบ...หลวงพ่อแดงแซงทางโค้งโล่งหนึ่งนิ้ว
มีหวิวเล็กน้อยนั่งฝอยคอยราดหน้า



สวัสดีวันจันทร์ ยามเช้าที่แสนจะสดชื่นแจ่มใส...ตรงไหน ถุ้ย!

หย่อมความกดอากาศสูงจากจีนเล่นกูแล้ว เพราะอุณหภูมิที่ลดลง 2 - 4 องศานี่แ หละ เลยนอนแหกแข้งแหกขาหลับสนิทตลอดคืน มาแหกขี้ตาตื่นได้ก็สายเกินไป

งานนี้คงต้องวินมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ซอยบ้านผมกว้างและลึกเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นถนนเส้นหนึ่ง ท้ายซอยเป็นที่ตั้งของตลาดสดขนาดใหญ่ ชื่อตลาดสดเจ๊เนียม และตรงสี่แยกหน้าตลาดก็เป็นต้นทางของวินที่ผูกขาดการให้บริการรับส่งคนทั้งซอย ป้องมือมองจากตรงนี้ยังเห็นอยู่ลิบๆ ปกติผมจะใช้บริการแค่เรียกให้ไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าหน้าปากซอย แต่วันนี้ยิงยาวถึงมหา’ลัยเลยละกัน

และนั่น พี่อี๊ดหัวหน้าวินมารับเองเลย ผมพอรู้จักมักคุ้นกับพี่แกอยู่บ้าง คนแถวนี้ชอบเรียกแกว่า พี่อี๊ด คาราบาน เพราะการแต่งเนื้อแต่งตัวของแกมาสายเพื่อชีวิตเต็มๆ ก็อปปี้แอ๊ด คาราบาวสมัยหนุ่มๆ มาจนเกือบเป๊ะ ทั้งหนวดทั้งรอยสัก บางวันมีผ้าโพกหัวด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนมีอยู่สองอย่างคือ โครงหน้าบานๆ กับพุงที่ยื่นมากไปหน่อย

“ร้อยห้าสิบ” พี่แกพูดเนือยๆ หลังจากผมบอกจุดหมายปลายทาง

“ร้อยเดียวละกันพี่”

“ชิบหาย ไกลนะเฮ้ย ถ้ามึงจะขูดเลือดขูดเนื้อกูขนาดนี้ ไปขูดหาหวยตามต้นไม้ดีกว่ามั้ย”

“ราคานักศึกษาน่าพี่ นี่ผมก็ขูดกระดูกให้พี่เลยนะ คนรุ่นผมนี่แหละที่จะเป็นกำลังของชาติต่อไป ช่วยผมวันนี้พี่ก็ได้บุญ แล้วถ้าผมได้ทำงานในรัฐบาลนะ...”

“พอๆ ขี้หูกูเต้นไปหมดแล้ว เอ้า ไป”

“โอเค ด่วนๆ เลยนะ”

บอกว่าด่วน แต่ไม่คิดว่าพี่แกจะด่วนนรกขนาดนี้ เกือบจะพาผมแหกกลางสี่แยก ทางโค้งทางแคบอะไรไม่ต้องห่วง พี่แกแซงไม่ยั้ง ลมงี้ตีปากผับๆ จนต้องเตือนตัวเองว่าถ้ามีชีวิตรอดไปได้อย่าลืมซื้อลิปมัน กลัวตายก็เกร็งพออยู่แล้ว อากาศหนาวที่พัดซอกซอนเข้าไปถึงซอกตูดยิ่งทำให้เกร็งเข้าไปใหญ่ ลอดท้องรถเมล์ไปเลยก็ได้นะพี่อี๊ด ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

แต่สุดท้ายพี่แกก็พาผมมาถึงจุดหมายจนได้

“พี่มีพระดีใช่ปะ” ผมชวนคุยระหว่างล้วงกระเป๋าตังค์

“ต้องมีดิเฮ้ย กูนี่เยอะสุดในวินแล้ว” พี่แกว่าพลางตบหน้าอกเสื้อ ทำให้เสียงกรอบพระเครื่องประมาณสองแสนองค์กระทบกันดังกราว

“ว่าละ พี่ต้องมีของดีแน่ ซิ่งซะไม่คิดถึงหน้าลูกเมียเลย”

“กลัวเหรอ วันหลังนั่งกับกูไม่ต้องกลัว ลอดท้องสิบล้อก็เคยมาแล้ว”

“จริงดิ องค์ไหนขลังอะ ขอเช่าต่อได้ปะ”

“พูดจริงพูดเล่น เล่นสายไหนล่ะ” พี่อี๊ดตวัดกระจกหน้าหมวกกันน็อกขึ้น “หน้ากวนตีนงี้เน้นสายเมตตาเลยมึง แต่กูว่า เอาแคล้วคลาดด้วยก็ดี เผื่อเมตตาเอาไม่อยู่ สนใจหลวงพ่อแดงมั้ยล่ะ องค์นี้พลังแรงครบทุกด้าน”

“อ่า…” พี่แกพูดจริงจังซะกูไปไม่เป็นเลย

“รู้จักช่างตั้มปะ ช่างที่เปิดร้านซ่อมมอไซค์อยู่ตรงตลาดเจ๊เนียมอะ”

“คุ้นๆ” ใครวะ ไม่รู้จัก

“มันสนใจหลวงพ่อแดงอยู่ ตื๊อกูมาเป็นเดือนละ เดี๋ยวกูให้ประมูลแข่งกัน ใครให้เยอะสุดกูปล่อย”

“แล้วตอนนี้ช่างตั้มให้เท่าไหร่”

“สองร้อย”

“โห ช่างตั้มใจปั้มว่ะ”

“ใจปั้มห่าไร ตอนแรกมันขอเช่ายี่สิบบาทด้วยซ้ำ ในตลาดพระ หลวงพ่อแดงนี่ราคาห้าหลักขึ้นนะเฮ้ย”

“ลองของให้ดูตอนนี้เลยได้มั้ย ถอดหมวกแล้วบวกสายแปดดิ๊ ถ้าพี่ไม่เป็นไรผมจ่ายสดๆ เลยสองร้อยห้าสิบ”

“นี่ไง กวนตีนแบบนี้ถึงต้องมีของดีติดตัว วันหลังไปคุยที่วินละกัน...แล้วจะจ่ายมั้ยค่าโดยสาร อย่าบอกว่าขอแปะไว้ก่อน”

“แปดสิบได้ปะ มีแบงก์ยี่สิบสี่ใบพอดี ลดๆ หน่อยพี่ คอพระเหมือนกันนะเนี่ย”

“ห่า ลดแล้วยังจะต่ออีก เดือนนี้ต้องกินดินละมั้งกู...นั่น แบงก์ร้อยก็มี จ่ายมา แล้วตอนเช่าพระเดี๋ยวลดให้”

“ไม่ลดแน่เหรอ” ผมหยิบแบงก์ร้อยส่งให้ด้วยมือสั่นๆ

“เร็วๆ จะรีบไปทำมาหากิน” พี่อี๊ดฉกแบงก์ไปตบๆ หน้ารถเอาฤกษ์เอาชัยเหมือนที่แม่ค้าในตลาดชอบทำกัน “ถ้าจะเอาหลวงพ่อแดงก็รีบหน่อยละกัน ไอ้ตั้มแม่งตื๊อ ไปละ” ว่าแล้วแกก็ซิ่งออกไปเหมือนอยากจะโชว์ว่ามีของดีคุ้มกะลาหัวจริงๆ

เสียเวลาชิบ ใครลือกันวะว่าพี่อี๊ดแกใจป๋า ถ้าคุยถูกคอ เผลอๆ ได้นั่งรถฟรีก็ยังมี

“บายพี่” ผมพูดตามหลัง แล้วร้องเพลงบอกลาอยู่ในใจ

กำมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูนิ้วกลางโบกไปมา~ กำมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูนิ้วกลางโบกไปมา~

พอแกเลี้ยวพ้นหัวมุม ผมก็รีบเก็บนิ้วกลางและจ้ำอ้าวไปที่คณะ เผื่อพี่แกสังเกตเห็นจากกระจกมองข้างแล้วเลี้ยวกลับมาลองของจะยุ่งเอา

ทางไปคณะผ่านหอสมุดกับซุ้มแซนด์วิชแห่งความทรงจำพอดี ว่าจะไม่กินอาหารแดกด่วนพวกนี้แล้วนะ แต่เอาซะหน่อยก็ดี เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไป

“ราดหน้าหมูเส้นใหญ่ครับ”

“ไปเล่นตรงนั้นมั้ยคะ” พนักงานสาวยิ้มเหมือนอยากจะเอาน้ำร้อนสาดหน้าผม

ผมมองตามมือเธอ “ตรงไหน”

“ข้างๆ ถังขยะตรงนั้นอะค่ะ”

“เฉียบ” ผมหันมายิ้มให้เธอ “มีอะไรอร่อยกว่าแซนด์วิชมั้ย”

“...” รอยยิ้มหายไปแล้ว แถมยังถอนหายใจด้วย

“งั้นเอาแซนด์วิชอะไรก็ได้ ด่วนๆ เลย” พอเธอสุ่มหยิบแซนด์วิชมาวางผมก็แกะห่อยัดใส่ปากเคี้ยวทันที “อ๋ออ๊ำอ่าวอ้วย”

“ฮะ?”

“เขาบอกว่าขอน้ำเปล่าด้วยน่ะ”

อ้าว คุณชายพลาสเตอร์ โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเล่นเอาแทบสำลัก

“นี่ค่ะ น้ำเปล่า เย็นๆ เลย” น้อง คนสั่งอยู่ทางนี้ แล้วก็เก็บอาการหน่อยมั้ย ตางี้เยิ้มเป็นน้ำเชื่อมแล้ว

“เขาสั่งครับ” ต้องให้พี่ทัชชี้ น้องถึงยอมเลื่อนขวดน้ำมาให้ผม “ส่วนของผมขอน้ำเบอร์รี่มิกซ์นะ แล้วก็พลาสเตอร์ยากล่องนึง”

“พลาสเตอร์หมดอะค่ะ นิ้วพี่เป็นไรเหรอคะ ติดไว้เยอะเลย”

“งั้นไม่เป็นไรครับ แค่น้ำก็พอ”

ผมรีบกลืนแซนด์วิชที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียด หยิบขวดน้ำมาเปิดกระดกตาม “แค่กๆ” รีบกินน้ำเกินไปเลยสำลัก พอเงยหน้าอีกทีพี่ทัชก็เดินออกไปแล้ว

ผมควักเงินจ่าย “ทอนด้วย เร็วๆ เลยน้อง”

“พี่คนนั้นเขาจ่ายหมดแล้วค่ะ”

“จริงดิ”

“หนูไม่ใช่เพื่อนเล่นพี่นะคะถึงจะได้ล้อเล่น”

“แรง ฝากไว้ก่อน วันหลังเดี๋ยวมาเอาคืน”

“ถ้าจะฝากอะไร ใส่ถังขยะตรงนั้นไว้ได้เลยนะคะ”

ผมเก็บเงินและรีบจ้ำตามจนไปอยู่ข้างๆ เขา “เลี้ยงเหรอครับป๋า”

“เปล่า เขาทอนมาให้เท่านี้”

“เอ้า ถ้าไม่บอกน้องจะคิดตังค์ส่วนของผมทำไม พี่ได้ทำนิ้ววนๆ งี้มั้ยล่ะ แปลว่ารวมทั้งหมด”

“ไหนบอกเบื่อแซนด์วิช”

“โคตรเบื่อ แต่จะเข้าเรียนแล้วไง เที่ยงนี้จะกินให้น้ำลายฟูมปากเลย” ว่าแล้วก็กัดอีกคำเคี้ยวเร็วๆ

“อยากกินยาเบื่อ?”

“มันเป็นสำนวนมั้ยเพ่ ใครจะกินยาเบื่อวะ รู้ละ กินราดหน้าดีกว่า แล้วพี่ก็ต้องเลี้ยงนะ จะมาตีเนียนเลี้ยงแซนด์วิชแค่นี้ไม่ได้ โตๆ กันแล้วพูดคำไหนต้องคำนั้น”

“มีเรียนแล้วมึงมาทางนี้ทำไม คณะบริหารอยู่โน่น”

“หรือว่าจะโดดดี”

“ไปเรียนซะ”

ผมส่งแซนด์วิชคำสุดท้ายเข้าปาก แล้วดื่มน้ำตาม

“นิ้วเป็นไร” ที่ถามเพราะเห็นนิ้วชี้ข้างขวาเปลือยอยู่ “นิ้วชี้อะ เข้าห้องน้ำแล้วพลาสเตอร์เปียกฉี่ใช่ปะ นี่ผมมี” ผมหยิบพลาสเตอร์ลายการ์ตูนมินเนี่ยนออกมาจากกระเป๋า เดือนก่อนผมเผลอทำมีดสอยมือตัวเองเลยซื้อมาใช้ จำได้ว่ามีเหลือติดกระเป๋าอยู่อันนึง “เอาไปดิ”

พี่ทัชเหลือบมองด้วยหางตา “กูไม่ชอบแบบนี้”

“ไอ้ที่ใช้อยู่มันดีตรงไหน สีเนื้อล้วน หยาบก็หยาบ คิดนอกกรอบบ้างดิ อันนี้กันน้ำได้ด้วยนะ มา ผมติดให้”

“อย่ายุ่งกับมือกู”

“ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว ไม่ได้อยากจับเท่าไหร่หรอก โด่…เอาไปๆ” ผมหย่อนพลาสเตอร์ใส่กระเป๋าเสื้อให้เขาและตบเบาๆ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก แต่ถือว่าพี่เป็นหนี้ผมครั้งนึงละกัน”

“จะไปเรียนได้ยัง”

“เลี้ยงข้าวนะ”

“อะไรก็ได้ที่ทำให้มึงเลิกเดินตามกูแบบนี้”

“โอเค เที่ยงนี้เจอกัน ไปละ”

หมับเข้าให้!

จังหวะที่พี่แกเผลอตอนจะเดินไปคนละทางนั่นแหละ ผมรีบใช้ความเร็วระดับปีศาจกำรวบนิ้วชี้เปลือยๆ นั่นไว้ ใครจะไม่อยากจับล่ะ โอกาสมาขนาดนี้แล้ว

“เฮ้ย!”

“ความจริงวันนี้ พี่นี่แม่งโคตรหน้าตา หะ...หะ...หล่อ! โคตรหล่อ โคตรขาว โคตร…”

“ปล่อย”

พี่ทัชสะบัดทีเดียวนิ้วก็หลุดพรืดออกไปง่ายๆ คงเพราะด้วยความตื่นเต้น คราวนี้ผมรู้สึกหวิวชัดเจน หัวใจเต้นโครมครามจนต้องก้มตัวเอาศอกค้ำกับเข่าไว้

“ผม...จะพูดว่าพี่หน้าเหี้ย แต่โกหกไม่ได้ นี่มัน...ไม่ใช่ยาป้ายแน่ๆ”

“ก็บอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับมือกู” ผมก้มหน้าอยู่เลยไม่เห็นสีหน้าเขา แต่ฟังจากเสียงดูเขาโกรธแน่ๆ

“ผม...”

“มึงห้ามทำแบบนี้อีก”

“อ่า...”

“หายใจลึกๆ” น้ำเสียงเขาอ่อนลง “แล้วก็ไปเรียนซะ”

ผมหายใจเข้าสองสามเฮือกแล้วยืดตัวขึ้น พี่ทัชเดินก้าวยาวๆ ออกไปไกลแล้ว หัวใจผมยังเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น อาการหวิวๆ ยังไหวยิบๆ อยู่ที่ปลายนิ้ว ความคิดยังกระโดดไปกระโดดมาเหมือนฝูงลูกกบ

ผมหมุนตัวเดินย้อนกลับทางเดิม ลากขาก้าวสั้นๆ ราวกับซอมบี้ติดเชื้อระยะแรก เดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงตัวเองพูดออกมา

“พี่แม่งมีพลังเอ็กซ์เมนจริงๆ ด้วย”




________________________________
แตะต้องครั้งที่ 7 Part 2
ต่อกระทู้ด้านล่าง
v
v
v


หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 7) |▌5.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 05-06-2019 20:10:26



ใช้เวลาพักใหญ่ สุดท้ายผมก็เข้าห้องเรียนสายจนได้ ไม่ใช่เพราะรถไฟฟ้าเสีย ไม่ใช่เพราะมัวเต้นโบกมือลาพี่วิน ไม่ใช่เพราะแวะซื้อแซนด์วิช แต่เพราะพี่ทัชนี่แหละ ผมเอาแต่คิดฟุ้งซ่านเรื่องเขาจนเดินเลยตึกคณะไปไกล พอย้อนมาขึ้นตึกเรียนได้ก็เหมือนอาจารย์จะสอนไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว

“ไม่สบาย” ผมพูดลอยๆ หลังจากเดินผ่านประตูเข้าไป สีหน้าซีดๆ ของผมทำให้ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งอาจารย์และเพื่อนร่วมคลาสแค่มองมาระหว่างรอให้ผมลากสังขารไปนั่งที่ที่เดอะแก๊งจองไว้ให้ โอเปิ้ลนั่งกลาง เจษฎาขนาบขวา ส่วนผมขนาบซ้าย ถ้าได้เดินหรือนั่งด้วยกันก็มักจะเป็นตำแหน่งนี้เสมอ โอเปิ้ลยืนยันที่จะอยู่ตรงกลางเพื่อใช้ผมกับเจษเป็นไม้กันผู้ชายตาถั่วทั้งหลาย

พวกมึงต้องดูแลกูให้เหมือนไข่ในหิน เปิ้ลว่าอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงคือไข่ขนาบหินซะมากกว่า

“ท้องผูก?” เปิ้ลถามกระซิบหลังจากอาจารย์หันไปบรรยายต่อ

“...”

“ท้องเสีย?” เจษฎายื่นหน้ามาร่วมด้วย

“เปล่าๆ มีเรื่องนิดหน่อย”

“กูว่าละ” เปิ้ลถอนหายใจ แต่น้ำเสียงเหมือนภูมิใจ “แม่งกวนตีนเขาไปทั่ว สักวันมันต้องโดน แล้วกี่คนล่ะ”

“ฮะ?”

“พวกที่มึงมีเรื่องด้วยอะ มีกี่คน”

“ก็...คนเดียว”

“คนเดียว งั้นเราสามคนไปลุยแม่งเลย”

“เปิ้ล ใช้ความรุนแรงไม่ดีนะ” เจษฎาพูดจริงจัง แต่ถูกอีกฝ่ายผลักหัวซะจนขาเก้าอี้ครูดกับพื้นดังครืด

“กลัวไรวะ เกิดเป็นผู้ชายทั้งทีมันต้องมีเรื่องต่อยตีกันบ้าง”

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมดังมาจากอาจารย์ สายตาหลายคู่มองมาเป็นจุดเดียว เราเลยนั่งกันเงียบๆ ตามสไตล์ของตัวเอง เจษฎานั่งตัวตรง แอ๊คติ้งว่ากำลังอ่านหนังสือซะโอเวอร์ โอเปิ้ลนั่งกลอกตามองเพดาน ส่วนผม...เดาว่าตัวเองยังหน้าซีดแบบป่วยๆ อยู่ต่อไป

“ใช่คนที่ชื่อเรนจินั่นรึเปล่า” เปิ้ลหันมากระซิบอีกหลังจากทุกคนหันไปสนใจเรียนต่อได้สักพัก “ที่เรียนจิตวิทยาอะ ใช่มะ”

ขี้เกียจตอบ กูพักสายตาก่อนนะเปิ้ล

พอหลับตาปุ๊บ จิตใจก็ลอยไปที่อื่นปั๊บ เสียงอาจารย์เข้าหูซ้ายผ่านขี้เลื่อยในหัวแล้วทะลุออกหูขวา จากปกติที่ชอบมานั่งโง่ๆ ในห้องเรียนอยู่แล้ววันนี้ยิ่งอาการหนัก แล้วที่รีบนั่งวินมานี่เพื่ออะไร

เพราะพี่ทัชนั่นแหละ ที่ทำให้ผมเรียนไม่รู้เรื่อง…

มันใช่เหรอวะ

ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยวันนี้เขาก็มีส่วนผิด

ว่าแต่นอกจากจะทำให้คนที่ถูกแตะตัวพูดโกหกไม่ได้ แล้วเขายังทำอะไรได้อีกมั้ย อย่างเช่น สะกดจิต อ่านใจ หรืออาจจะถึงขั้นปล่อยพลังสายฟ้าเลยก็ได้ จะว่าไป เอาแค่เรื่องแตะตัวให้คนพูดเฉพาะความจริงเรื่องเดียวผมก็ยังเชื่อไม่ค่อยลงเลย

แต่หลังจากโดนมากับตัวถึงสองครั้ง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละมั้ง

ผมเอาแต่คิดเรื่องนี้จนหมดคาบเรียนภาคเช้า คนอื่นๆ ต่างพากันรีบลุกออกจากห้องเรียน แต่แก๊งไม่ส(า)มประกอบยังนั่งหน้ามึนกันอยู่ และผมมารู้ตัวชัดๆ เอาตอนที่เปิ้ลใช้หลังมือแตะหน้าผากนี่แหละ

“อาการหนัก” เสียงเปิ้ลพูดเรียบๆ “มะเร็งสมองแน่ๆ”

“นายโอเครึเปล่า นะฑี”

“เอ่อ...โอเคๆ เอ้า เลิกเรียนแล้ว จะสิงเก้าอี้กันเหรอ” ผมรวบของใส่กระเป๋าสะพายลุกเดินนำออกไปก่อน ทั้งสองคนรีบเดินตามเข้ามาประจำตำแหน่งไข่ขนาบหิน

“บ่ายนี้ไม่มีเรียนแล้ว ไปปล่อยผีกัน” เปิ้ลพูด “เจษ ห้ามบอกว่าจะไปห้องสมุด”

“เรากำลังจะพูดแบบนั้นเลย”

“บอกว่าห้าม ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเฮ้ย ดูหนังโยนโบลอะไรงี้ นะฑีว่าไง”

“พวกมึงไปกันสองคน วันนี้กูขอผ่าน”

“อ่าว ทำไมวะ”

“กูจะไปแส่หาเรื่องใส่ตัวต่อ ไปละ เจอกันพรุ่งนี้”

พอปลีกตัวจากแก๊งได้ผมก็รีบจ้ำไปที่คณะจิตวิทยาทันที พี่ทัชนั่งอ่านหนังสืออยู่ท่ามกลางป่าดงดิบเหมือนเดิม ศีรษะก้มนิดๆ ท่าทางการจับหนังสือดูทะนุถนอมอย่างกับนักบวชเปิดอ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์

ผมแถเข้าไปนั่ง “มาละ”

เขายกมือขึ้นนิดนึงเป็นเชิงให้หยุดพูด สายตายังตรึงอยู่ที่หน้ากระดาษเหมือนกำลังพยายามซึมซับหรือทำความเข้าใจสิ่งที่อ่าน

“อ่านไรอะ”

“...”

“กลอนเล่มใหม่?” อาจจะเป็นเล่มต่อของรวมไฮกุก็ได้ เพราะไซส์หนังสือพอๆ กัน

“...”

“แล้วไหนบอกไม่ชอบพลาสเตอร์แบบนี้” พลาสเตอร์มินเนี่ยนที่ผมยัดเยียดให้เมื่อเช้าเขาเอามาใช้แล้ว นิ้วชี้ข้างขวาเลยดูแตกต่างจากนิ้วอื่น ทำให้ผมอดที่จะยื่นมือไปแตะไม่ได้ “เห็นมะ บอกแล้วว่าใช้ดี พี่น่าจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ทั้ง…”

เขาไม่ได้กระตุกนิ้วหนีตรงๆ แต่แค่พับปิดหนังสือและเงยหน้าขึ้น เลยกลายเป็นผมซะเองที่ต้องดึงนิ้วกลับ

ยังโกรธอยู่ใช่มะ

“...”

“...”

จะพูดอะไรก็พูดดิวะเพ่ เล่นนั่งมองหน้ากันเงียบๆ งี้มันกดดันนะเฮ้ย

อาจจะสี่หรือห้าวินาทีมั้งที่เขามองหน้าผมอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ในที่สุดจะรวบกองหนังสือข้างตัวและลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป

“ไปไหน”

เขาหันกลับมา สายตาดูอ่อนอกอ่อนใจ “จะกินมั้ยล่ะข้าว”

“เอ้า แล้วก็ไม่บอก” ผมรีบลุกไปเดินข้างๆ เขา “กินไหนอะ”

“...”

“เราจะไปไหน”

“ถึงก็รู้เอง แล้วก็เดินดีๆ อย่าไปทำหน้ากวนใคร”

“รับทราบครับบอส”

ผมพยายามที่จะไม่หันล่อกแล่ก เผื่อสีหน้าที่ตามปกติก็ดูจะอ้อนบาทาอยู่แล้วเผลอไปเตะตาใครเข้า แต่ก็อดมองรอบตัวไม่ได้อยู่ดี แถวนี้คนสปีชีส์เดียวกับเจษฎาเยอะแฮะ ใส่แว่นกันตรึม

ไม่ใช่แค่ผมที่มองพวกเขา สายตาหลายคู่ก็มองมาทางเราด้วยเหมือนกัน เหลือบกันจนตาจะเป็นต้ออยู่แล้ว พี่ทัชนี่แหละคือสาเหตุ ยิ่งออกมาเดินกลางแจ้งแบบนี้เขายิ่งดูสว่างใสเรียกความสนใจประชาชนเข้าไปอีก

“คนมองพี่เต็มเลย” ผมใช้ศอกสะกิดเขา “รู้ตัวปะเนี่ย”

“แล้วไง”

“ฮอตว่ะ”

“แล้วไง”

“พี่นี่ยังไงวะ ไม่ดีเหรอที่ฮอต ทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอะ โดยเฉพาะพลัง…”

“เลี้ยวตรงนี้” เขาพูดขัดพร้อมกับใช้หลังมือกระทบไหล่ผมเบาๆ

อ้อ ตึกคณะวิทยาศาสตร์นี่เอง

พี่ทัชนำผมเข้าไปในโรงอาหารเล็กๆ ที่อยู่ด้านในตัวตึก ร้านอาหารมีไม่กี่ร้าน คนนั่งกินก็มีแค่สองหย่อม เราเลือกนั่งโต๊ะว่างที่อยู่มุมด้านในซึ่งดูห่างไกลความเจริญสุดๆ เรื่องสรรหาสถานที่ลับตาคนนี่พี่แกเก่งจริงๆ ป่าดงดิบหลังตึกงี้ โรงอาหารร้างงี้

“ทำไมดูไม่มีคนเลย”

“เดินไปอีกหน่อยก็ถึงโรงอาหารใหญ่แล้ว คนชอบไปกินที่นั่นมากกว่า”

“นั่นดิ ทำไมเราไม่ไปกินที่นั่นล่ะ ไม่ชอบคนเยอะๆ ว่างั้น”

“ที่นี่ราดหน้าอร่อยสุดแล้ว”

“หืม?”

“ร้านนั้น” เขาใช้นิ้วพลาสเตอร์มินเนี่ยนชี้

“ใครบอกว่าผมอยากกินราดหน้า”

พี่ทัชเงยหน้ามองด้วยแววตาจริงจังขึ้นเล็กน้อย เดาว่าตอนนี้สีหน้าผมคงดูกวนตีนละ

“พี่รู้ได้ไง แบบว่า...มีพลังจิตอ่านใจได้ด้วยเหรอ”

“ก็มึงพูดเมื่อเช้า ว่าจะกินราดหน้า”

“จริงดิ ผมพูดแบบนั้นเหรอ งั้นเปลี่ยนใจละ กินอย่างอื่นดีกว่า”

“ตามใจ กูสั่งละ”

ว่าแล้วเขาก็เดินด้วยมาดคุณชายไปที่ร้านอาหารตามสั่งที่ว่า คนขายเป็นป้าผอมๆ ที่น่าจะเป็นผู้ป่วยร้ายแรงมากกว่าแม่ครัวฝีมือดี

“ราดหน้าหมูเส้นใหญ่ครับป้า”

“เอาด้วย” ผมเข้าไปร่วมวง “แต่ของผมเอาเป็นเส้นหมี่กรอบ”

“ไหนบอกเปลี่ยนใจ”

“ก็เปลี่ยนใจอีกรอบไง”

“แล้วทำไมไม่นั่งเฝ้าของ”

“ไม่หายหรอกน่า ก็แค่หนังสือ นี่ไง หันไปมองได้ตลอดเวลา”

“ไปนั่งรอ เดี๋ยวกูยกไปให้”

“ไม่ อยากดูป้าทำ”

อีกละ สายตาอ่อนอกอ่อนใจ

“งั้นก็ดูไป” พี่ทัชกลับไปนั่งที่ ปล่อยให้ผมยืนเคว้งเผชิญหน้ากับป้าตามลำพัง

ป้าหันไปโซโล่ตั้งแต่เราสั่งเสร็จ ทีแรกดูป้าเนือยๆ เหมือนมีโรคแทรกซ้อนภายใน แต่พอได้จับตะหลิวเท่านั้นกลับดูคล่องแคล่วขึ้นมาทันที เห็นแล้วมีความหวังรำไรว่าราดหน้าจะหน้าตาดูไม่เหมือนอ้วกหมา

ผมดูป้าแค่แป๊บเดียวแล้วหันไปมองพี่ทัช แผ่นหลังของเขาบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง แผ่นหลังกว้างกำลังดี …

จู่ๆ เขาก็หันมา ราวกับสายตาผมไปสะกิดไหล่เขาเข้า

ผมเลยกลับไปนั่งกับเขาด้วย

“ไม่ดูป้าทำล่ะ?”

“เมื่อย เมื่อกี้รู้ได้ไงอะว่าผมมองอยู่”

“ไม่รู้”

“ถามจริงๆ นะ พี่มีพลังอะไรบ้าง นอกจากพลังนิ้วดัชนีอะ”

“ฟังกูนะ” พี่ทัชพูดจริงจัง “ข้อแรกห้ามยุ่งกับมือกู ข้อสองห้ามพูดหรือถามถึงพลังบ้าบออะไรอีก”

“ก็ได้” ผมพูดเสียงเข้มๆ บ้าง “งั้นขอถามส่งท้ายเลย พี่ตอบมาตามจริงแล้วผมจะไม่ถามอีก...พี่ทำได้จริงๆ ใช่ปะ ที่ใช้นิ้วแตะแล้วคนนั้นจะพูดความจริง ไม่ใช่ยาป้ายอะไรใช่มั้ย”

“อือ”

“ทำได้ไง”

“เป็นมาตั้งแต่เกิด”

ไม่คิดว่าเขาจะยอมรับง่ายแบบนี้ ทั้งที่ผมก็มั่นใจอยู่แล้วนะว่าเป็นเรื่องจริง แต่พอได้ฟังจากปากเขาเองใจมันก็เต้นแรงขึ้นมาอีก แฟนตาซีโคตรๆ

“แล้ว...แล้วยังทำอย่างอื่นได้อีกรึเปล่า อย่างสะกดจิตไรงี้”

“ไหนว่าไม่ถาม”

“แค่คำถามต่อเนื่องน่า มันเกี่ยวพันกัน สะกดจิตได้ปะ ตอบๆ”

“ไม่”

“อ่านใจล่ะ”

“ไม่”

“ทำนายอนาคตได้มั้ย”

“ได้แค่อย่างเดียวนั่นแหละ เลิกถามได้แล้ว”

“ชัวร์นะ โกหกผมรึเปล่า” ผมมองประเมินเขา “แกะพลาสเตอร์ออกแล้วแตะตัวเองดิ แล้วตอบคำถาม”

เขามองประเมินผม ก่อนจะแกะพลาสเตอร์ลายมินเนี่ยนออกช้าๆ ใช้นิ้วเปลือยๆ แตะแขนตัวเองและพูดชัดถ้อยชัดคำ “มึงนี่มันสมองปลาทองจริงๆ”

“ฮะ? ไม่ขนาดนั้นมั้ง”

“หน้าตาก็ขี้เหร่”

“อันนี้ไม่ใช่ละ ถึงจะไม่เทียบชั้นศิลปินเกาหลีแต่ก็ฮอตพอตัวนะเฮ้ย”

“แต่ยังดี พูดจาไพเราะ มีสัมมาคารวะ” ประชดอีก

“นะฑีมีคิ้วสามข้าง พูดดิ๊”

“นะฑีมีสองหาง แปดขา สี่ตา…”

“พอ! ชัดละ”

มุมปากกระตุกนิดนึงแต่ผมไม่แน่ใจว่าคือรอยยิ้มรึเปล่า เขาละมือจากแขนตัวเอง แล้วค่อยๆ ใช้พลาสเตอร์พันแปะรอบนิ้วไว้เหมือนเดิม

“ทำไมโกหกได้”

“มันใช้ไม่ได้ผลกับกูไง”

“เอ้าเหรอ อะไรวะ”

“พิษงูอยู่ในปากงู งูเป็นไรมั้ยล่ะ”

“อือหือ เฉียบ แล้ว…”

“ไหนบอกจะเลิกถาม”

“คำถามสุดท้ายๆ แล้วทำไมต้องเอาพลาสเตอร์แปะ”

“พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจหรอก”

“ถ้าไม่แปะจะเจ็บเหรอ”

“...”

“หรือว่าโดนอากาศแล้วเสียวนิ้ว”

“...”

“แบบเป็นจุดอ่อนไหวคล้ายๆ หัวนมไรงี้?”

“...”

“ราดหน้าได้แล้วจ้า”

พี่ทัชชี้นิ้วไปที่ร้านป้า แต่จากการเหยียดแขนจนสุดนี่เหมือนจะบอกว่าให้ผมไปเดินเล่นแถวดาวอังคารมากกว่า ป้านี่ตัวขัดโชคขัดลาภจริงๆ ผมเลยต้องลุกไปยกราดหน้ามาเสิร์ฟ นึกว่าเขาจะนั่งรอเท่ๆ เป็นคุณชายซะอีก ที่ไหนได้ เขาลุกไปซื้อน้ำแฮะ แล้วก็วกกลับมาจ่ายเงินค่าราดหน้าด้วย

“อยากกินโค้ก” ผมบอกหลังจากเขาวางน้ำเปล่าสองขวดลงบนโต๊ะ

“กินนี่แหละ”

“มันไม่ซ่าอะ กินราดหน้านี่ต้องคู่กับน้ำอัดลมไม่รู้เหรอ”

“...”

“นะ ขอกิน”

“น้ำตาลมันเยอะ”

“อยากกิน”

“ไม่มีประโยชน์”

“อยากกินๆๆๆๆ”

“ปวดหัวกับมึงจริงๆ จะกินก็ไปเอาเอง” เขาเลื่อนเงินทอนประมาณสี่ร้อยกว่าบาทที่ได้จากร้านป้ามาทางผม ป๋ามาก นี่พี่แกไม่รู้เหรอวะว่าน้ำอัดลมราคาเท่าไหร่ หรือว่ากำลังทดสอบคุณธรรมเบื้องต้นของผมอยู่ นี่มันช็อตวัดใจชัดๆ

ผมเลื่อนเงินทั้งกองกลับ มองอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนจะสะบัดหน้าหนี “อันนี้ผมจ่ายเอง” แล้วก้าวยาวๆ ไปที่ร้านขายน้ำ

ทำไมหวิวๆ วะ

หวิวทั้งที่นิ้วแห่งความจริงนั่นไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเลย

แค่จะกินโค้กทำไมผมต้องขออนุญาตเขาด้วยวะ เขาก็เหมือนกัน ทำไมต้องห้าม…

ผมกลับมานั่งพร้อมกับโค้กขวดเล็ก เปิดฝาขวดยกกระดกโชว์ “ไม่ได้ซื้อมาเผื่อนะ ก็พี่บอกมันไม่มีประโยชน์...แล้วรอไรล่ะ ทำไมไม่กิน”

เขาไม่พูดอะไร แค่ส่ายหัวนิดๆ ก่อนจะเปิดขวดน้ำดื่มบ้าง พลาสเตอร์ที่พันรอบปลายนิ้วทำให้ผมอดที่จะมองตามมือเขาไม่ได้ นิ้วเรียวยาวเหมือนมือศิลปิน ท่าจับขวดน้ำก็แบบว่า...ใช้นิ้วโป้ง ชี้ และกลาง คีบหลวมๆ บริเวณคอขวด แถมยังยกขึ้นดื่มด้วยองศาที่พอเหมาะพอดี

“พี่เคยเป็นพรีเซนเตอร์น้ำแร่ไรงี้ปะ”

“อะไร”

“ท่ายกขวดน้ำดูดีนะ รุ่งแน่”

“พูดมาก กินไป”

เรากินกันไปเงียบๆ ที่เงียบเพราะผมหยุดเคี้ยวไม่ได้ เพิ่งรู้ตัวว่าหิวแค่ไหน แถมป้าก็มีของจริง ฝีมือใช้ได้เลย แป๊บเดียวผมก็ซัดไปเกือบหมดแล้ว แต่พี่ทัชยังกินไม่ถึงครึ่ง ช่วงท้ายๆ ผมเลยลดเกียร์ขากรรไกรให้ช้าลง

“ไม่อิ่มก็ไปสั่งอีก” พี่ทัชพูดขึ้น

“อิ่มแล้ว แต่กินเป็นเพื่อนพี่ไง ช้าอะ”

“กูกินปกติ มึงมูมมามต่างหาก...แล้วถ้าจะกินขนาดนี้ก็ไปสั่งใหม่ไป”

“อร่อย” ตะแคงถ้วยซดแม่ง เอาให้หมดทุกหยด “พอ ท้องจะแตกละ”

อีกครั้งที่ผมเห็นมุมปากเขากระตุกเบาๆ เหมือนภูมิใจ ผมเลื่อนชามเปล่าไปด้านข้างแล้วกอดอกมองคนตรงหน้า ไม่ได้กดดันนะ แค่ไม่มีอะไรทำ แต่ก็ดูเหมือนเขาจะเพิ่มความเร็วการกินขึ้นอีกนิดนึง ส่วนผมก็นั่งจิบโค้กรอไปพลางๆ

แต่อยู่เฉยนานไม่ได้ มันคันไม้คันมือ

“ดูหน่อยนะ” ผมบอกพร้อมกับเอื้อมไปหยิบหนังสือรวมไฮกุของเขามา พี่ทัชเหลือบมอง แต่ไม่ว่าอะไร เล่มนี้หน้าปกเป็นสีเขียวหม่นๆ บริเวณขอบออกแบบให้ดูเหมือนพื้นสีเขียวนั้นหลุดล่อนตามกาลเวลา ชื่อหนังสือเขียนด้วยฟอนต์ตัวเล็กๆ เรียบๆ ว่า

‘ไฮกุผุพัง’

ผมลองสุ่มเปิดดู



กำแพงเก่าข้างทาง

สีขาวหลุดลอกเหมือนรอยแผล

ลมยังกระโชกแรง




“คือไร” ผมถามหลังจากอ่านบทที่สุ่มเลือกจบ เอียงกลอนบทนั้นให้เขาดู

“อ่านภาษาไทยไม่ออกเหรอ”

“ก็อ่านไปแล้วไง แต่แปลว่าไรล่ะ แบบความหมายจริงๆ อะ”

“ไม่ต้องแปล มึงเข้าใจว่าไงก็คืออย่างนั้น”

“ถ้าไม่เข้าใจล่ะ”

“กูก็ไม่แปลกใจ”

“อะเฮื้อ นี่คือด่าใช่มะ ฝากลูกแมวข้าด้วย”

“ลูกแมว…”

“ไม่เคยดูหนังจีนกำลังภายในเหรอ เวลาเจ็บปวดใกล้ตายก็ต้องร้องงี้ อะเฮื้อออ แล้วก็บอกฝากลูกแมว สรุปคืออ่านๆ ไปไม่ต้องแปลใช่มะ” ผมอ่านทวนบทเดิมอีกที แต่ก็ช่างมันเถอะ ไหนลองบทต่อไปดิ๊



ลมพัดผ่านหลังบ้าน

เอ่ยกระซิบปลอบต้นหญ้าแก่

แล้วพาเกสรไป




“อันนี้เก็ต”

“ว่า?”

“ต้นหญ้าแก่นี่หมายถึงคนแก่ใช่มะ แล้วพาเกสรไปก็คือ...เงินไง แบบว่าคนแก่ที่มีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย แล้วลูกหลานก็มาหลอกเอาเงินไปหมด เจ็บปวดโคตรๆ เลยบทนี้”

อะ ไม่ใช่เหรอ ดูจากการส่ายหน้าของพี่แกแล้วนึกถึงครูสมัยประถมตอนให้ออกไปท่องสูตรคูณหน้าชั้น “เออ ถ้ามึงเข้าใจแบบนั้น” น้ำเสียงงี้คงเกินเยียวยาแล้วใช่มะ “แต่กูขอพูดอีกทีละกัน อย่าแปลให้ซับซ้อนดีกว่า ใช้ความรู้สึกเป็นหลัก รู้สึกยังไงก็คืออันนั้น เหมือนดูภาพวาดนั่นแหละ”

“เก็ตเลย” ผมบอกพร้อมกับดีดนิ้วประกอบ ทั้งที่ยังไม่เข้าใจนั่นแหละ “ในเพื่อนรุ่นเดียวกันนะ ผมนี่เรียนรู้เร็วสุดแล้ว ถ้าแบบนี้อะหมูเลย จะให้แต่งสักบทตอนนี้ก็ยังได้”

“อย่าดีกว่า”

“บทนึงสามบรรทัดใช่มะ”

“...”

“แล้วมีเงื่อนไขไรอีก บอกมาเร็วๆ ผมจะแต่งสดตอนนี้เลย องค์กำลังลงแล้ว”

“บทนึงมี 17 พยางค์ แบ่งเขียนเป็นสามบรรทัดนับพยางค์แบบ 5 - 7 - 5”

“อะแฮ่ม...”

“...” ปากบอกว่าอย่า แต่ทำเป็นตั้งใจฟังนะ



“ลมพัดผ่านไปทางซ้าย

ลมพัดผ่านไปทางขวา

ราดหน้าอร่อยดี”




“...”

“ไงล่ะ อึ้งเลย ถึงแก่นเลยมั้ย”

“หากระดาษจดดิ”

“จะได้รวมเล่มขาย?”

“จดลงไปตัวโตๆ ว่า ‘ต่อไปนี้อย่าเขียนหรือแต่งกลอนอะไรอีก มันเปลืองกระดาษ’”

“เอาคืนไป” ผมพับหนังสือวางกลับลงบนโต๊ะ เขาเหลือบมองตามราวกับกลัวว่ามันจะเจ็บปวดเพราะผมวางแรงเกินไป ราดหน้ายังไม่หมดชาม แต่พี่ทัชเลื่อนไปด้านข้างแล้วยกน้ำดื่มด้วยท่าพรีเซนเตอร์อีก

ผมรอจังหวะจนเขาดื่มเสร็จแล้วค่อยพูด “พี่ ผมมีไอเดีย”

“อะไร”

“ใช้พลังของพี่ปล้นธนาคารกันเถอะ”






____________________________________

ขอบคุณมากเลยที่เข้ามาอ่านนะคะ > <
ส่งฟีดแบ็กได้ตลอดเลยนะคะ ชอบอ่านมากๆๆๆ เลยยยย :D

#ณTouch <<หรือฝากติดแฮชแท็กนี้ในโซเชียลเวลาพูดถึงณทัชก็ได้ค่า
ทุกครั้งที่ได้อ่านชื่นใจและมีพลังมากๆ มากๆ เลยค่ะ T////T

ชอบไม่ชอบยังไง บอกกันได้ตลอดนะคะ ^3^

ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
รักกกกก ก :D


ป.ล. ตอนเขียนบทนี้ชอบมากๆ เลยค่ะ
ชอบเวลาพี่ณทัชอยู่กับนะฑี รักเคมีบ๊องๆ ของสองคนนี้ <3

นางร้าย 5.06.19
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 7) |▌5.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 05-06-2019 21:52:36
ฮือ มันดีมาก ชอบมุกที่นะฑีสรรหามาแต่ละคำ  อดยิ้มไม่ได้เลยค่ะ :jul3:
ปวดหัวแทนณทัชเลย เจอแบบนี้ ไม่เห็นเค้าว่าจะไปกันได้555555
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 7) |▌5.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 06-06-2019 01:09:35
ณทัชดูแพ้ทางนะฑีจริงๆ แบบไม่ว่าจะทำเมินทำเฉยกับใครมา แต่พอเจอนะฑีคือสามารถทำให้โต้ตอบได้

จบตอนด้วยความเป็นนะฑีที่มีความคิดเหนือความคาดหมายเสมอ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 7) |▌5.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: nookki.bhp ที่ 07-06-2019 18:30:31
สมัครแอคมาให้กลจ.นักเขียนโดยเฉพาะเลยค่าาาา
นิยายของคุณสนุกมาก
น้องนะฑีพูดจาสะกิดบาทาได้ทุกขณะจิตเลย แต่ดูเหมือนพี่ณทัชจะชอบนะ
เอ็นดูเขาแหล่ะ รู้ ดูออก 5555555

ติดตามค่ะ รอดูเจ้านะฑีโดนพี่รวบหัวรวบหางจ้าาาา หยุดแสบได้แล้ว ฝากพี่ทัชจัดการที
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 7) |▌5.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 08-06-2019 09:23:04
เจ้าเด็กบ้าา พูดจ้อจนพี่เขาปลง ยอมให้เข้ามาวอแว  เพ้อเจ้อ ล้นทะเล้น จนแอบกระตุกยิ้มไปหลายทีแล้วเนี่ยยย
หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 8) |▌9.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 09-06-2019 20:24:56
แตะต้องครั้งที่ 8
จับบบ...ล้อมหม้อชาบูดูคนโดนเผา
ควงหนุ่มมารึเปล่าพี่เขาไม่เอาน้ำแข็ง



❤ C A L ❤: บ่ายนี้ว่างนะ

NaTee(n): เฮ้ยจริงดิ สับรางได้แล้วเหรอ

❤ C A L ❤: เวอร์ ไม่ขนาดนั้นมั้ย

NaTee(n): งั้นเราไปถีบเรือเป็ดกันนะที่รัก

❤ C A L ❤: ขอถีบคุณแทนละกันนะคะ

❤ C A L ❤: สรุปยังหิวอยู่มะ

NaTee(n): หิวเดะ

NaTee(n): เนื้อๆๆๆๆ

❤ C A L ❤: ปลวกหมดแล้วเนาะ

NaTee(n): เกลี้ยง

❤ C A L ❤: หญ้าล่ะ กินปะทังไปก่อนมั้ย

NaTee(n): กินจนเขาจะงอกแล้ว

❤ C A L ❤: งั้นก็ Happy Shabu

❤ C A L ❤: บ่ายโมงครึ่งละกัน เจ๊ออกมาเจอเพื่อนก่อน

NaTee(n): เพื่อนหรือผู้

❤ C A L ❤: เออน่ะ อย่ารู้มาก

NaTee(n): สายได้กี่ชั่วโมง

❤ C A L ❤: ห้ามสาย

NaTee(n): ลดเป็นนาทีก็ได้

NaTee(n): ยังไงก็ไม่เกิน 59 นาที

❤ C A L ❤: มาช้า 5 นาที เราขาดกัน

❤ C A L ❤: ไม่ต้องมาเป็นพี่น้องรหัสกันอีก

❤ C A L ❤: แล้วก็กลับไปกินหญ้าที่บ้านซะ

NaTee(n): โห เจ๊

❤ C A L ❤: เจอกันจ้า~

 

บ่ายมีเรียนวิชาเลือก ไม่ซีเรียสมาก ใช้สิทธิ์โดดโลด

“พักนี้หายบ่อยจังนะ” หลังจากที่ผมขอแยกตัว เปิ้ลก็พูดด้วยเสียงเย็นๆ มีความอยากรู้อยากเห็นเจือปนเล็กน้อย “เที่ยงเป็นไม่ได้ แวบหายๆ”

“เราเห็นด้วยกับเปิ้ล นายมีปัญหาอะไรรึเปล่านะฑี บอกเพื่อนได้นะ”

“อ้างว่าท้องเสียทั้งปีทั้งชาติ”

“แต่ไม่เสมอไปนะเปิ้ล บางทีนะฑีก็บอกท้องผูก เราว่าไปหาหมอดีมั้ย”

“หรือมีเรื่องอะไรกับรุ่นพี่กันแน่”

ผมกอดอกฟังพวกมันบิ๊วกันอย่างกับซ้อมละคร พอถึงประโยคนี้ผมเลยต้องแถลงความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ “กูนัดกับพี่รหัสโว้ย”

“หรา…” เปิ้ลจีบปากจีบคอลากเสียง เหมือนจะเผลอปล่อยให้ต่อมจริตเพศหญิงนำหน้า

“แหกตาดู” ผมควักโทรศัพท์มือถือเลื่อนแชตที่นัดกับเจ๊แคลให้อ่าน

“งั้นก็แล้วไป แต่อย่าให้รู้นะว่ามีลับลมคมในอะไร...ไปเจษ” ขู่เป็นมาเฟียเลยเว้ย เซลล์ผู้ชายของมันกลับมาทำงานเป็นปกติละ

“ไปไหน” เจษฎาถามเสียงซื่อ

“ไปให้ไกลจากคนทิ้งเพื่อน” ว่าแล้วเปิ้ลก็เดินออกไป

“หาน้ำแดงเซ่นไหว้มันหน่อยนะ เดี๋ยวความดันขึ้น” ผมพูดกับเจษ แล้วแยกไปคนละทาง

เจ๊แคลเซียมนัดตั้งบ่ายครึ่ง ห้างที่จะไปกินก็อยู่ใกล้แค่นี้ ยังมีเวลาเหลือ ไปกวนตีนพี่ทัชเล่นดีกว่า ถ้าเขาไม่อยู่ที่ป่าดงดิบก็อยู่ที่ห้องสมุด ผมเดาว่าน่าจะอยู่ป่ามากกว่าเพราะมันดูห่างไกลผู้คนมากที่สุดแล้ว

ใช่จริงๆ

แต่พี่ทัชไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว โจทก์เก่าผมก็นั่งโด่หัวอยู่ด้วย

“กราบสวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน” ผมย่องเข้าไปยกมือไหว้รอบทิศ

“อ้าว มึง” พี่เห็ดลุกขึ้นต้อนรับ “มาก็ดีแล้ว กูคันตีนอยู่พอดี”

“ขนจมูกผมก็ยาวอยู่พอดีพี่ ถอนให้หน่อย...เฮ้ยๆ พี่ทัชช่วยลูกช้างด้วย” ผมกระโดดหลบไปอยู่หลังพี่ทัช เกาะไหล่ไว้และใช้ตัวเขาเป็นโล่บังตีน พี่เห็ดขยับออกมาจากม้านั่งหินอ่อนแล้ว อีกแค่ก้าวสองก้าวก็ถึงตัวผมได้สบาย หวังว่าแกจะเกรงใจพี่ทัชบ้างนะ แต่ถ้ายังบังอาจเสือกตีนมายังไงก็ต้องโดนหน้าหล่อๆ ของพี่ทัชก่อน “เอาดิ เตะมาเลย”

เผียะ!

หน้าผากสะอาดเลย มีขยับหลอกว่าจะเตะแต่พี่แกเปลี่ยนเป็นเอื้อมมาตบซะงั้น

ถ้าไม่เกรงใจพี่ทัชนะ ผมถุยน้ำลายข้ามหัวเขาตอบโต้ไปแล้ว แต่เพราะเกรงใจ เลยทำแค่แลบลิ้นพอ

“นะฑี ไปนั่งดีๆ” พี่ทัชบอก

“แบร่~”

“หลบทำไม มานี่ กูจะถอนขนจมูกให้ เอาเลือดกำเดาออกให้ด้วย”

“พอเลย ทั้งคู่”

“เตะดิ โดนหน้าพี่ทัชนะ”

“ไอ้ทัชหลบดิ๊”

“เก่งแต่ปากอะ”

“มึง”

สงสัยจะไม่มีอะไรหยุดยั้งพี่เห็ดได้ละ งัดไม้ตายเลยละกัน

“เจ๊แคล ช่วยด้วยยยย”

ทั้งคู่หันไปมองทางเดียวกัน พอหันกลับมาแต่ละคนก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พี่ทัชสีหน้าเกือบจะนิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะแววตาที่ดูยิ้มนิดๆ ปนสงสัยนั่น ส่วนพี่เห็ดก็แน่นอนว่าหัวร้อนขึ้นไปอีกระดับ

“ไหนวะ แคล”

“ผมส่งกระแสจิตเว้ย”

“ฮะ?”

“ผมกับเจ๊แคลอะสนิทกันถึงขั้นส่งกระแสจิตถึงกันได้...ทำไม คิดว่าพี่ทัชมีพลังคนเดียวเหรอ ผมนี่โคตรคนพลังจิตเลยนะ”

“พลังจิตตีนกูนี่”

“เตะเดะ ผมจะฟ้องเจ๊แคล แล้วก็ไม่ช่วยอะไรพี่อีก”

“ถึงไงมึงก็ช่วยเหี้ยไรกูไม่ได้อยู่แล้ว”

“ใครบอกไม่ได้ จะให้พี่ไปนั่งกินข้าวกับเจ๊แคลตอนนี้ยังได้เลย”

“ถุ้ย!”

“ถุยๆๆๆ...อุ๊บ โทษๆ พี่ทัช น้ำลายหก”

พี่ทัชสะบัดหัวหลบ “พูดจริงพูดเล่น ไปนั่งเลย...เรนจิ มึงก็พอได้ละ”

“พี่ เมื่อกี้ล้อเล่นนะเรื่องน้ำลาย” ผมพูดกับพี่ทัช “ไม่โดนๆ”

“ตอแหล กูเห็นลงหัวไอ้ทัชเต็มๆ”

พี่ทัชถอนหายใจพร้อมกับยกมือยอมแพ้ “เอาเลย ตีกันเลย”

ผมกับพี่เห็ดมองหน้าเจ้าของเสียง แล้วเงยขึ้นมองหน้ากัน รอยยิ้มโรคจิตของพี่เห็ดมาแล้ว แทนที่จะสำนึกว่าพี่ทัชประชด นี่คิดจะเล่นงานผมต่ออีกเหรอวะ

“ผมพาพี่ไปกินข้าวกับเจ๊แคลได้จริงๆ” ผมรีบยกมือเบรกตีนแกไว้ก่อน “ตอนนี้เลย ภายในสิบนาทีนี้”

พี่เห็ดทำหน้านิ่ง เอียงคอมองประเมินผม

ผมตีสีหน้านิ่งกลับไปเหมือนกัน ถึงหน้าพี่แกยังดูอำมหิตอยู่นิดๆ แต่ก็คูลดาวน์เยอะแล้ว มีแววว่าจะออกมาดี ไม่ควรพูดกวนน้ำให้ขุ่นอะไรอีก แต่มันก็อดไม่ได้

“งานนี้คิดค่านายหน้าสองร้อยนะ”

“ถ้ามึงทำได้อย่างที่ตูดพูด นอกจากค่านายหน้าแล้วกูจะเป็นเจ้ามือด้วย”

“เจ้ามือป๊อกเด้งเหรอ เอาดิ พี่หมดตูดแน่”

“เจ้ามือเลี้ยงข้าวสิวะ เนี่ย สมองมึงได้แค่นี้แหละ”

ผิดคาดแฮะ “รู้หรอกน่า สมองพี่ก็ได้แค่นี้แหละถึงไม่เข้าใจว่าเป็นมุก แต่พูดแล้วนะ งั้นก็จัดไป”

“มึงนี่อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดเลยนะ” พี่ทัชพูด

“อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา พี่ไม่เคยได้ยินเหรอ”

“อ้าว บอกจัดไปแล้วนั่งทำแป๊ะไร มึงบอกภายในสิบนาทีนี้ไม่ใช่รึไง” พี่เห็ดโวยวายขึ้นอีก

“ก็แบบ…” ที่มานี่คือตั้งใจมากวนตีนพี่ทัชนะ แต่ดันมารบกับพี่เห็ดจนผิดวัตถุประสงค์ไปเลย “งั้นให้พี่ทัชไปด้วย”

“กูไปเกี่ยวอะไร”

“พี่จะให้ผมไปกับฆาตกรโรคจิตตามลำพังเหรอ เผื่อผมโดนฆ่าหมกถังขยะทำไง”

“มีวิธีเอาตัวรอดง่ายๆ นะ พูดให้น้อยลง”

“ไม่แน่ กูอาจจะเผลอกระทืบแม่งตายจริงๆ ก็ได้” พี่เห็ดพูด “ต่อให้มันไม่พูด แค่เห็นหน้าก็คันตีนยิบๆ ละ”

“เดี๋ยวผมซื้อโทนาฟให้ สงสาร”

“ซื้อมายัดปากมึงเหอะ ไปได้แล้ว”

“พี่ทัช” ผมหันมาตบไหล่พี่แกเบาๆ “ไป ลุก”

“ไม่” เขาหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน

“พี่จะให้ผมไปนั่งเป็นก้างขวางคองี้เหรอ”

“เออ จริงของมัน” พี่เห็ดหันกลับมา “ไอ้ทัช มึงต้องมาด้วย ถ้าจังหวะดีมึงจะได้พามันออกไปเดินเล่นให้พ้นหูพ้นตากู กูจะได้อยู่กับแคลสองคน”

“กูไม่เกี่ยวอะไรเลย”

“มึง หยิบกระเป๋ามันมาเลย”

อ่าว ตอนนี้กลายเป็นพันธมิตรกันซะงั้น พอพี่เห็ดให้ท้ายแบบนี้ผมก็คว้ากระเป๋าสะพายของพี่ทัชลุกออกมาทันที

“รถกูอยู่ทางนี้” พี่ทัชคว้าหนังสือเดินตามมา

“รถมึงแคบ ไปรถกู”

เราถกเรื่องนี้กันอีกนิดหน่อย สุดท้ายก็มาจบที่รถพี่เห็ดซึ่งสภาพรถบ่งบอกความเป็นพี่เห็ดได้ชัดเจนมากๆ ทีแรกผมแทบนึกไม่ออกว่ารุ่นอะไร จากการสอบถามเลยถึงบางอ้อ มันคือฮอนด้าซีวิคที่เอาไปแต่งแทบทุกจุด กลายเป็นรถสีดำดุทั้งคัน มีสีแดงแทรกเป็นหย่อมๆ ซึ่งได้แก่ ล้อแม็กทั้งสี่ โลโก้ตัว H หน้าหลัง และแถบสีแดงที่ขอบล่างรอบคัน สปอยเลอร์หลังโคตรเฟี้ยว กระโปรงหน้ามีช่องระบายลม และสุดท้าย กระจังหน้าดูหนาเตอะเหมือนทำไว้ชนหมาให้ทรมาน

“ลุยเลยแบทแมน!” ผมตะโกนจากเบาะหลัง พี่เห็ดเป็นคนขับและพี่ทัชนั่งข้างหน้า

“เป็นบ้าไรอีก”

“อ้าว นี่ไม่ใช่รถแบทแมนเหรอ ถ้าติดจรวดสักลูกสองลูกผมว่าเหมือนเลยนะ กฎหมายไทยให้ติดได้ปะ”

“คงได้หรอก”

“งั้นติดบั้งไฟแทนดิ ใช้ของไทยตำรวจน่าจะหยวนๆ”

“เดี๋ยวกูขับไปโรงบาลก่อนมั้ย ยามึงขาดรึเปล่า”

“รถพี่โยกได้ปะ”

“โยกไงวะ”

“ก็จอดไว้เปิดเพลงดังๆ กดปุ่มสักปุ่ม ปึ๊บ...แล้วรถก็โยกๆ”

“กูจะทำไปเพื่อไร”

“แล้วพี่ทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อไร ทำแล้วก็ไปให้สุดดิ”

“นะฑี” พี่ทัชแทรกขึ้น “อย่าชวนคุยเยอะ เดี๋ยวเรนจิมันขับชน ปกติก็ชนบ่อยอยู่แล้ว”

“ชนเลยๆๆๆๆ” ผมตบมือเชียร์ให้จังหวะ

“ลงไปยืนหน้ารถดิ กูจะชนให้ดู”

“นะฑี” น้ำเสียงพี่ทัชเปลี่ยนเป็นเข้มอีกหนึ่งเลเวล ผมเลยทำมือตะเบ๊ะและรูดซิปปาก

เรามาถึงห้างเป้าหมายในห้านาทีต่อมา ผมไลน์คุยกับเจ๊แคลอย่างรวดเร็วและได้ความว่า เจ๊แกอยู่ที่ห้างแล้ว...กับผู้ชาย! แถมยังบอกว่าถ้าผมมาถึงแล้วให้ขึ้นไปหาได้เลย

ชิบหายละ

ผมยังไม่ได้บอกว่ามีพี่ทัชกับพี่เห็ดมาด้วย ขี้เกียจอธิบายยาว เลยบอกเจ๊แกไปว่าไม่อยากขึ้นไปเจอให้เป็นก้างขวางคอ ให้รีบๆ แยกกับผู้ชายได้แล้ว ผมหิว

จากนั้นก็พยายามดึงเกมอยู่ที่ชั้นล่างไปก่อน โชคดีพี่ทัชอยากแวะร้านหนังสือที่อยู่ตรงนี้พอดี ผมเลยเข้าไปดูหนังสือกับพี่ทัชด้วย โดยมีพี่เห็ดยืนเขย่าขากระวนกระวายรออยู่ที่หน้าร้าน ผมหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดอ่านดวง ซึ่งสถานการณ์เดือนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนพี่ทัชเดินลึกเข้าไปในร้าน เห็นพี่แกกวาดตามองนิยายแปลอยู่แป๊บนึง ก่อนจะไปวนเวียนอยู่แถวๆ หมวดเรื่องสั้น บทกวี และแนวประสบการณ์ชีวิต

สักพักหนึ่งเจ๊แคลก็ไลน์มาบอก



❤ C A L ❤: พร้อม

NaTee(n): พี่เจมส์กลับแล้วเหรอ

❤ C A L ❤: ทำไม อยากเจอเหรอ

NaTee(n): ไม่อะ เหม็นขี้หน้า

NaTee(n): สรุปพี่แกกลับยัง

NaTee(n): ไม่ใช่ขึ้นไปจ๊ะเอ๋กันนะ

❤ C A L ❤: กลับไม่กลับสำคัญตรงไหน

❤ C A L ❤: ไม่กลับก็กินด้วยกันได้

❤ C A L ❤: รีบมา

❤ C A L ❤: หิวๆ



ยังไงวะ

พี่เจมส์กลับหรือไม่กลับกันแน่

“พี่” ผมเข้าไปแตะไหล่พี่ทัช “ถ้าพี่จะดูหนังสือ เดี๋ยวผมขึ้นไปก่อนนะ แล้วพี่กับพี่เห็ดค่อยตามขึ้นไปก็ได้”

พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม แววตาเหมือนอ่านผมได้ทะลุปรุโปร่ง “เรื่องแบบนี้น่ะ ไม่ควรโกหกหรอก”

“ฮะ? ผมโกหกอะไร” ผมเอียงหัวมองนิ้วเขาที่จับหนังสืออยู่ ทุกนิ้วยังแปะพลาสเตอร์ครบถ้วน แถมเขาก็ไม่ได้โดนตัวผมด้วย

“ถ้าเรนจิมันจะเห็นอะไรก็ให้มันเห็นไปเถอะ เจ็บแรงแต่จบเร็ว ดีกว่าเจ็บร้าวแบบเรื้อรัง”

“โห” ฟังแล้วจุกเลยว่ะ

“อ่านเจอพอดี นี่ไง” เขาเอียงหน้าหนังสือในมือให้ดู “ไม่ว่ายังไง โกหกกันมันก็ไม่ดีอยู่ดี”

“พี่...พี่รู้ได้ไง นิ้วก็ไม่ได้แตะ”

“ดูหน้าก็รู้แล้ว ไปกัน” พี่ทัชพับปิดหนังสือในมือ และถือมันออกไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ เสร็จแล้วเราสามคนก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปที่โซนร้านอาหารด้วยกัน…

เอาละเว้ย ร้านแตกแน่

จะต่อยกันรึเปล่าวะ

พี่เห็ดหัวร้อนจนไหม้แน่

ที่สำคัญ กูนี่แหละที่จะโดนพี่แกล่อจนเละ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ กูโดนแน่ๆ

หาทางชิ่งไงดีวะ

ผมคิดวนๆ เวียนๆ และหันล่อกแล่กมาตลอดทาง จนในที่สุดก็เดินกันมาจนถึงหน้าร้านที่นัดไว้ ปรากฏว่า…เห็นเจ๊แคลนั่งกดมือถือเล่นอยู่คนเดียวที่เก้าอี้รอคิว โล่งไปเปลาะนึง แต่พี่เจมส์อาจไปเข้าห้องน้ำก็ได้

เจ๊แคลยังดูเป็นเจ๊แคลเซียมคนเดิม คือผู้หญิงตัวเล็ก ผมยาวประบ่ากับหน้าม้าซีทรู ใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย ผิวเนียนละเอียดเหมือนก้นเด็ก หน้าสดแกก็ดูดีอยู่แล้ว ยิ่งบวกกับสกิลการแต่งหน้าขั้นเทพสไตล์เกาหลีที่แต่งเหมือนไม่แต่งเข้าไปอีก เลยยิ่งไปกันใหญ่ หนุ่มญี่ปุ่นเห็นคงจะบอกว่าคาวาอี้ หนุ่มเกาหลีเห็นอาจจะเต้นโชว์สองสามท่าและบอกซารางเฮโย ส่วนชายไทยก็มักจะร้องโอ้โห และตบเท้าเข้ามาอยู่ในสต๊อกของเจ๊แกแบบง่ายๆ เหมือนพี่เห็ดนี่แหละ

เราชะลอฝีเท้าลงเมื่อเข้าไปใกล้ ขณะที่ผมหันซ้ายหันขวาอยู่พี่เห็ดก็ใช้ศอกกระทุ้งผมจนแทบหน้าทิ่ม พอจะหันไปโวย พี่แกก็ทั้งขยิบตาทั้งสะบัดหัวให้ผมเข้าไป

“เอ่อ...เจ๊”

“โอ๊ย มาสักที นี่รอจนไส้ติ่งจะขะ…อ้าว” เจ๊แคลเงยหน้าขึ้น 

“อ่า…” พี่เห็ดยืดตัวตรง สงสัยโดนความน่ารักบีบคอจนพูดอะไรไม่ออก

นี่คือกิจกรรมผันเสียง อ.อ่าง แข่งกันเหรอ

มีพี่ทัชคนเดียวที่ดูไม่เข้าพวก นอกจากไม่ออกเสียง อ.อ่าง แล้ว เขายังดูสุขุมนุ่มลึกไม่มีอาการกระอักกระอ่วนปั่นป่วนแต่อย่างใด

พี่เห็ดแอบเอาศอกถองผมอีก แต่คนที่พูดก่อนคือเจ๊แคล

“พี่เรนจิ นี่มาได้ไงอะ”

“เอ้อ แคล…” เสียงพี่เห็ดขึ้นสูง ดูประหม่าขั้นสุด ชวนให้นึกถึงนักแสดงละครเวทีที่ท่องบทมาไม่ดีพอ “ก็พอดีเดินๆ อยู่แล้วเจอน้องน่ะ ก็เลย...เลย…” พี่แม่งน่าสงสารว่ะ หูแดงแล้วนั่น มือไม้นี่ก็ขยับซะจนกูนึกว่าจะเล่นกลให้เจ๊ดู “นั่นแหละ เดินคุยกันขึ้นมาด้วยกันครับ...ใช่มั้ย นะฑี”

นี่พี่เห็ดพูดคำว่า ‘ครับ’ เหรอ

หูไม่ฝาดใช่มั้ย

“ใช่ซะที่ไหน” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ ตอนนี้กลับเป็นตัวของตัวเองเต็มที่แล้ว “ผมบอกว่านัดเจ๊กินข้าว พอพี่แกรู้ ก็จับผมมัดขู่ว่าจะเคาะรังมดแดงใส่ ถ้าไม่พาแกมาด้วย”

เสียงหายใจพี่ทัชเปลี่ยนจังหวะ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเขาหลุดยิ้มขำ ส่วนพี่เห็ดนี่ถึงกับเบือนหน้าไปทางอื่น หน้าที่แดงอยู่แล้ว ตอนนี้แดงลามมาถึงคอละ ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือว่าเขินกันแน่ แต่คงทั้งสองอย่าง

“พี่เรน” เจ๊แคลตั้งหลักได้แล้วเหมือนกัน เสียงสองมาแล้ว “วันหลังใช้รังปลวกสิ นะฑีชอบกิน”

“อะ...เหรอ โอเคครับ”

“โอ๊ยยย ร้อนนน อย่าเผา ร้อนนน” ผมทำท่ากรีดร้อง เรียกเสียงหัวเราะแกนๆ จากเจ๊แคลกับพี่เห็ดได้นิดหน่อย ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นมา ส่วนพี่ทัชก็เหมือนจะยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอยู่เหมือนเดิม

“แล้ว…” เจ๊แคลสบตาผม ก่อนจะเหลือบไปด้านข้าง

“ชื่อณทัชครับ” พี่ทัชพูด “เรียกทัชเฉยๆ ก็ได้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเรนจิ เรียนปีเดียวกัน คณะเดียวกัน พอดีนะฑีลากตัวมาด้วยน่ะ”

“สวัสดีค่ะ ชื่อแคลนะคะ เป็นพี่รหัสนะฑีค่ะ”

“ครับ นะฑีเล่าแล้ว”

“โอ๊ย ร้อนนน” เจ๊แคลแอ๊คติ้งกรีดร้องบ้าง

“เอ้า นี่พี่สองคนเป็นญาติกันเหรอ ไม่เห็นบอกเลย” ผมหันไปมองทั่งคู่ “...แล้วดูไม่คล้ายกันเลยนะ แสดงว่าพี่เห็ดนี่ได้ยีนด้อยของวงศ์ตระกูลมาแน่ๆ”

“นี่มึง…” เกือบจะหลุดโวยวายแล้ว แต่แกยั้งไว้ได้ทันก่อนจะหันไปดัดเสียงสองใส่เจ๊แคลแทน “เมื่อกี้แคลบอกหิวจนไส้จะขาดแล้วใช่มั้ยครับ”

“ฮ่าๆ ก็นิดหน่อยค่ะพี่เรนจิ”

“ถ้างั้น…”

“เข้าไปกันเลยมั้ยคะ”

“หมายความว่า…”

“ก็กินข้าวกันไง หมดนี่เลย หรือว่าจะมีใครมาเพิ่มอีกรึเปล่าคะ”

“ไม่มีแล้วๆ เข้าไปกันเลยครับ” พี่เห็ดกุลีกุจอไปคว้าก้านจับประตูเพื่อจะดึงเปิด

กึก!

เล่นเอาประตูร้านเขาแทบพัง เพราะนี่เป็นประตูแบบเลื่อนจ้า แต่พี่แกดึงซะเกือบเต็มเหนี่ยว ครั้งเดียวไม่พอ ยังดึงๆ ผลักๆ ซ้ำอีกหลายทีกว่าจะเรียนรู้และเข้าใจ ค่อยเลื่อนเปิดได้ในที่สุด ซึ่งถ้าช้ากว่านี้อีกนิดพนักงานคงจะเข้ามาช่วยเปิดทำให้แกหน้าแตกยิ่งกว่าเดิม

“ใครออกแบบวะเนี่ย...มุกนะครับแคล เชิญครับๆ” พี่เห็ดผายมืออย่างสุภาพจนพนักงานยังอาย เจ๊แคลยิ้มพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป พอลับหลังเท่านั้นมือข้างที่ผายอยู่ก็ยกขึ้นปาดเหงื่อ

อยู่ลับหลังนี่เบ่งโคตรๆ คนนี้กูจองๆ แต่พออยู่ต่อหน้าคือ...เอิ่ม นี่มันเด็ก ม.2 รึเปล่า สกิลการจีบสาวคือต่ำสุดๆ อย่าใช้คำว่าไม่เป็นงานเลย เรียกว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยจะดีกว่า คิดเข้าข้างแกหน่อยละกันว่าคงยังประหม่าอยู่

จังหวะที่แกรีบปาดเหงื่ออยู่ ผมกับพี่ทัชก็เดินตามเข้าไป ว่าจะไม่แซวแล้วนะ แต่ใครจะอดใจไหว

“บริการได้สุภาพมากน้อง สามที่นะ มากับผู้หญิงคนที่เดินเข้าไปเมื่อกี้อะ”

เผียะ!

“สัด” หน้าผากสะอาดไปตามระเบียบ “อย่าทำเสียเรื่องนะมึง”

“นี่พี่วิ่งมาราธอนมาเหรอ เหงื่อเยอะขนาดนี้”

“เออ แม่ง”

“ไปห้องน้ำดิ” พี่ทัชตบไหล่เพื่อน ไม่สิ ตบไหล่ลูกพี่ลูกน้อง “ล้างหน้าล้างตาหน่อย”

“เออๆ เดี๋ยวกูมา”

พี่เห็ดแทบจะวิ่งร้อยเมตรออกไป ปล่อยให้ผมกับพี่ทัชเดินชิลล์เข้าไปกับสมทบกับเจ๊แคลที่โต๊ะด้านใน ผ่านไปไม่ถึงสองนาที พี่เห็ดกลับมาพร้อมกับทรงผมที่เซ็ตใหม่ บนหน้าผากแทบจะมีคำว่า ‘กูประหม่าโว้ย’ แปะอยู่จางๆ

“บุ๊ฟเฟ่ต์พรีเมี่ยมสี่ที่ครับ” ผมประกาศทันทีที่พนักงานจะนำเมนูมาแจก “อันนี้คือแพงที่สุดแล้วเนอะ งั้นคอนเฟิร์มเลยครับโผม” เจ๊แคลหันมองหน้า ผมเลยขยายความให้ต่อ “พี่เห็ดเลี้ยง”

“ใช่ พี่เลี้ยงเองแคล” พี่เห็ดยิ้มเกร็งๆ ส่วนเจ๊แคลก็ได้แต่ยิ้มแกนๆ กลับไป

“เครื่องดื่มรับเป็นอะไรดีคะ” พนักงานถาม

“แคล เอาอะไรครับ”

“ชาเขียวเย็นก็ได้ค่ะ”

“ผมเอาด้วย” ผมบอก

พี่เห็ดชี้ไปที่พี่ทัช เจ้าตัวก็พยักหน้าเงียบๆ “งั้นเอาชาเขียวเย็นสามครับ แล้วก็ชาเขียวร้อนหนึ่ง”

“พี่กินชาร้อนเหรอ ทำไมอะ” ผมพูดกับพี่เห็ด “อยากทำตัวแตกต่าง ไรงี้”

“กูไม่ได้กิน ไอ้ทัชโน่น มันไม่กินน้ำแข็ง”

“เอ้า เหรอ” ผมหันไปหาพี่ทัช “ทำไมอะ”

เขายักไหล่ “กินแบบนี้มานานแล้ว”

“ทำไมไม่กินน้ำแข็ง”

“ไม่ชอบ”

“งั้นผมเปลี่ยน เป็นชาร้อนด้วย”

“จะลอกทำไม”

“ใครบอกลอก นี่คิดเองสดๆ วิถีของฮิปเตอร์เลย กินชาร้อน”

“ได้ค่ะ ชาร้อนสอง ชาเย็นสอง” พนักงานพูดพลางติ๊กเมนูในเครื่องบนฝ่ามือ “สั่งอาหารได้เลยนะคะ แบบพรีเมี่ยมคือสั่งได้ทุกอย่าง ตามเมนูหน้านี้เลย”

เราเลยสั่งอาหารกันอย่าง...ผู้ดี๊ผู้ดี แต่ละคนสั่งมาดมเหรอ มีผมคนเดียวที่สั่งจัดหนักจัดเต็มเหมือนปอบลง แบบว่า...เนื้อมันนุ่ม มันแน่น มัน...โอ๊ย น้อง! เอาเนื้อมาเยอะๆ

ประมาณห้านาทีผ่านไป

“นี่ครับ แคล เห็ดออรินจิ” พี่เห็ดบริหารตักเห็ดให้เจ๊แกประมาณสองแสนชิ้นได้แล้วมั้ง ตักไปกองหมักหมมกันจนแทบล้นถ้วยแล้ว

“ขะ...ขอบคุณค่ะพี่ แต่ยังกินไม่หมดเลย เอาไว้ก่อน เอ้อ แคลอยากรู้เรื่องนึง...ทำไมนะฑีเรียกพี่เรนจิว่า…”

“พี่เห็ด” สงสัยเจ๊แกจะเกรงใจ ผมเลยพูดต่อให้แทน

“อื้อ ทำไมอะ”

“หน้าพี่เขาเหมือนเห็ดอะ หน้าตลกๆ ไม่เห็นเหรอ”

“อะแฮ่ม” เจ้าตัวกระแอมเหมือนมีอะไรติดคอ “นะฑีบอกชื่อพี่คล้ายๆ เห็ดออรินจิน่ะ เลยเรียกแบบนี้”

“อ้อ” เจ๊แคลมองหน้าผม หน้าตาเหมือนซีเรียสแต่ผมดูออกว่าแกก็แอบอมยิ้มอยู่ “ไปเรียกพี่เขางี้ได้ไง นิสัย”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่โกรธครับ”

“พี่เห็ดๆๆ” ผมเรียกซ้ำๆ “เห็นมะ พี่เขาไม่โกรธ ชอบให้เรียกด้วยเหอะ ชื่อเหมือนเห็ดที่เจ๊ชอบกินด้วยนะเนี่ย” ชงไปงี้พี่เห็ดถึงกับยิ้มหน้าบาน

“หืม?”

“เห็ดออรินจิไง ที่เจ๊ชอบกิน”

“ใครบอกว่าชอบ”

เดดแอร์ไปสองวินาทีเต็มๆ

นี่เจ๊ไม่รู้ตัวเหรอว่าชอบกิน ชอบดิ เจ๊ต้องชอบ!

“แคล...ไม่ได้ชอบเห็ดออรินจิเหรอครับ” พี่เห็ดถามเสียงเจื่อนๆ

เจ๊แคลก็ยิ้มเจื่อนพอกัน แค่นั้นไม่พอ ยังเอาตะเกียบจิ้มๆ เห็ดในถ้วยตรงหน้าคล้ายกับจะดูพะอืดพะอม “ก็...เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยอะค่ะ มันเหนียว ชอบเห็ดเข็มทองมากกว่า นิ่มดี”

เจ๊ไม่รับมุก

กูซวยละ

ทนๆ กินไปหน่อยก็ไม่ได้นะเจ๊ ก็ตอนนั้นมันนึกอะไรไม่ออกอะ

“แล้วแคลชอบกินปูผัดผงกะหรี่มั้ย”

“ไม่ค่ะ”

“ทับทิมกรอบล่ะ”

“ที่พูดมานี่ของชอบนะฑีหมดเลยนะคะ”

กูตายละ ใครจะมางานศพไม่ต้องสวมชุดดำก็ได้นะ ไม่ซีเรียส ไม่ต้องขอดูหน้าศพเป็นครั้งสุดท้ายด้วย เอาแค่รู้ว่าผมโดนกระทืบจนหน้าเละก็พอ

จากเมื่อกี้ที่ยิ้มหน้าบาน ตอนนี้รอยยิ้มพี่เห็ดเปลี่ยนเป็นยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้ว “น้องครับ น้อง...ขอสั่งเห็ดเข็มทองเพิ่ม…”

“พี่ ไม่เป็นไรๆ” เจ๊แคลรีบเบรก “ที่มีอยู่ก็ยังไม่หมดเลย เอาไว้ก่อนก็ได้”

เดดแอร์กันไปอีกรอบ แล้วเห็ดออรินจิประมาณสองกิโลที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในหม้อนี่ใครจะกินวะ ผมไม่กินนะ ผมสายเนื้อ

แล้วระหว่างที่ยังนั่งอึนกันอยู่นั้น สายตาทุกคู่ก็มองตามนิ้วพลาสเตอร์ที่เอื้อมมาโกยเห็ดออรินจิออกจากหม้อไปใส่ถ้วยตัวเอง สายตาที่พี่เขามองเห็ดในถ้วยบวกกับรอยยิ้มน้อยๆ นั่น แทบจะดูเหมือนกำลังปลอบประโลมพวกมัน

พระเอกขี่ม้าขาวชัดๆ

“พี่ชอบกินเหรอ” ผมถาม

“ก็ในหม้อมีอันนี้ ก็กินอันนี้แหละ” เขาตอบหน้าตาย แล้วคีบกินด้วยมาดคุณชาย

“ขอโทษนะคะ แล้วมือพี่ทัชเป็นอะไรเหรอคะ เห็นติดพลาสเตอร์ทุกนิ้วเลย” นั่นไง ในที่สุดเจ๊แกก็ถามจนได้ หลังจากเห็นเหลือบๆ อยู่หลายที

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ ชอบติดเฉยๆ”

เป็นคำตอบที่คนถามไม่รู้จะไปยังไงต่อ ผมเลยลองแหย่ไปดอกนึง

“น้ำร้อนลวกรึเปล่า”   

“เปล่า แค่ชอบติด” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงยังเรียบนิ่ง ราวกับว่าเขาตอบคำถามนี้มาเป็นพันๆ ครั้งแล้ว ซึ่งใครจะถามซอกแซกหรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้ล่ะ ถึงมันจะดูแปลกๆ ก็เถอะ แต่ถ้าคนเราบอกว่า ชอบ มันก็คือจบแล้ว

“พี่บ้าปะ” ผมแหย่ไปอีกดอก “คนดีๆ ที่ไหนจะเอาพลาสเตอร์มาติดนิ้วเล่น ถ้าไม่ได้เป็นแผลอะไร”

“คนดีๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้แหละ กินไป อย่าพูดเยอะ”

ดูตอบเข้า หมั่นไส้โว้ย!

“จะพูดอะ อยากพูด”

“นี่รู้จักกันนานแล้วเหรอ ดูสนิทกันจัง” เจ๊แคลขัดขึ้น

“ไม่นานครับ เรนจิพานะฑีมาแนะนำให้รู้จัก” พี่ทัชตอบ

“พี่เรนจิรู้จักนะฑีได้ไงคะ”

“ก็…นั่นสิ โลกกลมเนอะ” พี่เห็ดตอบอ้อมแอ้ม ยกน้ำชาขึ้นจิบ “เดินอยู่ดีๆ ก็มารู้จักกันเฉยเลย”

“เดินอยู่ดีๆ ซะที่ไหน ผมกำลังจะเข้าห้องน้ำ แต่พี่ลากผมไปตบไม่ใช่เหรอ” พี่เห็ดหน้าเหวอไปเลย ก็พี่ทัชบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรโกหกกันอะ ผมก็เลยพูดความจริงไง “พี่เห็ดคิดว่าผมเป็นแฟนเจ๊อะ”

เจ๊แคลสำลักเบาๆ แบบผู้ดี ถือว่ายังรักษาภาพลักษณ์ได้ดี ถ้าอยู่กับผมสองคนแกอาจจะพรวดออกมาแรงๆ จนวุ้นเส้นโผล่ทางจมูกก็ได้ “นะฑีเนี่ยนะ แฟน”

“นั่นดิเจ๊ ตาถั่วเนอะ”

“หมายถึงคนที่จะมาเป็นแฟนแกในอนาคตอะเหรอ ตาถั่ว?” เจ๊แคลพูดยิ้มๆ

พี่ทัชกระแอมเล็กน้อยก่อนจะหยิบชาร้อนขึ้นจิบ ผมเห็นแบบนั้นก็จิบตามบ้าง...เวรกรรม กูสั่งชาร้อนทำไมวะ อากาศเมืองไทยยังร้อนไม่พอเหรอ น้ำซุปชาบูก็ลวกลิ้นจะตายห่าอยู่แล้ว ยังสั่งชาร้อนมาทรมานตัวเองอีก

“ก็ทิ้งไว้สักพักก่อน ค่อยกิน” พี่ทัชคงเห็นผมทำหน้าเบ้เลยหันมาบอกเรียบๆ

ผมวางถ้วยชาลง แล้วหันไปพูดต่อ “หมายถึงพี่เห็ดต่างหากที่ตาถั่ว แค่นี้ก็มองไม่ออกว่าเป็นไรกัน แต่พี่แกลากผมไปตบจริงๆ นะเจ๊ โคตรเถื่อน”

“ก็พูดเกินไป” พี่เห็ดพูดขำๆ

“ทั้งตบทั้งเตะ ถ้าตอนนั้นมีปืน ผมคงตายไปแล้ว หัวร้อนสุดๆ”

“พูดเกินไปแล้ว” ยังขำๆ อยู่ แต่เสียงเข้มขึ้นเยอะ

“นี่ผมยังนึกเลยนะ ถ้าเจ๊เป็นแฟนพี่แก วันดีคืนดีต้องได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่ๆ”

“โอ๊ย ร้อนๆๆ โดนเผา” พี่เห็ดทำท่ากรีดร้อง เจ๊แคลที่กำลังยิ้มขำๆ อยู่ถึงกับหัวเราะพรวด โอเค มุกนี้ถือว่าพอเอาตัวรอดไปได้

“ยังไง นี่แกเปลี่ยนจากน้องรหัสเป็นพ่อสื่อแล้วเหรอ ฮึ” เจ๊แคลย่นจมูกใส่ผม

“ก็ไม่ได้อยากเป็นอะ โดนบังคับ พี่เห็ดบอกว่าถ้าไม่ช่วยจีบเจ๊จะทรมานลูกแมวผม แล้วก็จะเอาเงินฟาดหัวผมด้วย ดีนะที่ผมมีจรรยาบรรณพอไม่เห็นแก่เงิน”

“มั่วแล้วมึง”

“น่ะๆ หัวร้อน”

“นี่กูใจเย็นอยู่”

“เย็นทำไมเสียงเข้ม ขึ้นกูขึ้นมึง”

“พี่นี่ใจเย็นสุดๆ แล้วครับน้องนะฑี”

“เขย่าขาทำไม อยากเตะเหรอ”

“เปล่า แค่คันๆ ตะ...เอ๊ย เท้า”

“พี่ตบผมจริงปะล่ะ”

“แค่หยอกๆ น่า”

“ตบจริงเหอะ ไม่เชื่อถามพี่ทัชดู ใช้นิ้วพี่ทัชแตะทั้งตัวผมเลยก็ได้…”

“มึง หยุดๆๆ” พี่เห็ดลดเสียงต่ำ

“...แตะทั้งสิบนิ้วเลย แบบนี้ผมไม่มีทางโกหกได้แน่นอน…”

“หยุด!”

อุ๊บ!

สีหน้าและน้ำเสียงพี่เห็ดทำให้ผมชะงัก เวรละ นี่ผมพูดอะไรเกี่ยวกับพลังพี่ทัชไปหรือเปล่า พี่ทัชและพี่เห็ดต่างชะงักไปตามๆ กัน โดยเฉพาะพี่เห็ดนี่ถึงกับหน้าถอดสี

เจ๊แคลมองหน้าเราสลับไปมา ก่อนจะยื่นหน้านิดๆ มองไปที่นิ้วพลาสเตอร์ของพี่ทัช “ยังไงนะ ถ้าพี่ทัชใช้นิ้วแตะ แล้วจะโกหกไม่ได้?”

ซวยแล้วๆๆๆ

ผมนั่งตัวเกร็ง ค่อยๆ เหลือบตาไปทางพี่ทัช นึกว่าเขาจะซ่อนมือไว้ใต้โต๊ะนั่งเงียบๆ หรือไม่ก็ลุกขึ้นเดินหนีไปเลย แต่กลับเป็นตรงกันข้าม

“ใช่ครับ” พี่ทัชยิ้มพร้อมกับกางนิ้วให้ดู “พี่มีพลังเหมือนเอ็กซ์เมนน่ะ”









__________________________

นะฑี! 5 5 5 5 + แง สงสารพี่ณทัชชชช
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่มาอ่านกัน
อ่านแล้วเป็นยังไงบ้างคะ ชอบไม่ชอบบอกกันได้ตลอดเลยนะคะ > <

ยักๆ เยิฟๆ เจอกันตอนต่อไปฮะ <3

นางร้าย
09.06.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 8) |▌9.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 09-06-2019 21:11:03
พูดมากเกินไปก็ไม่น่ารักนะน้อง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 8) |▌9.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 10-06-2019 08:39:51
นะฑี เดวพี่ทัชโกรธ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 8) |▌9.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 10-06-2019 13:00:38
นึกแล้ววว สักวันไอ้ตัวเเสบต้องพูดพร่ำจนหลุดปาก
สงสารณทัช  กรรมเวรตัวนี้เพราะพี่เห็ดคนเดียวพามา 55555555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 9) |▌21.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 21-06-2019 21:40:56
แตะต้องครั้งที่ 9
จับบบ...คนจริงลิงรูดเสากลัวเขาจะเคือง
ตามเรื่องของหายขอร้องสไตล์เสียงเป็ด




NaTee(n): พี่

NaTee(n): โกรธเหรอ

NaTee(n): โกรธมั้ยอะ

NaTee(n): { สวัสดีวันจันทร์ }

NaTee(n): ฮัลโหล

NATOUCH: ไม่โกรธมั้ง

NaTee(n): จริงดิ

NaTee(n): แต่ยังดีนะ เจ๊แคลไม่เชื่อ

NATOUCH: รู้ได้ไงว่าไม่เชื่อ

NaTee(n): คนบ้าที่ไหนจะมีพลังเอ็กซ์เมนอะ

NaTee(n): มีแต่ในหนังนั่นแหละ

NATOUCH: คนบ้าที่นี่ไง

NaTee(n): โทษๆ

NaTee(n): แต่ผมถามย้ำหลายครั้งแล้ว

NaTee(n): เจ๊แคลบอกไม่เชื่อ

NATOUCH: ยิ่งถามย้ำนั่นแหละ

NATOUCH: เค้าจะเชื่อ

NaTee(n): ไม่หรอกน่า เชื่อผม

NaTee(n): ผมซี้กับเจ๊แก รับรอง ไม่มีปัญหาอะไร

NaTee(n): โกรธหรือไม่โกรธอะ

NaTee(n): เอาดีๆ

NATOUCH: โกรธแล้วได้อะไร

NaTee(n): ก็…

NaTee(n): ที่แน่ๆ คือ ไม่ได้เงิน 

NaTee(n): ก็ได้แค่โกรธผมแหละ

NaTee(n): แต่ก็เข้าใจได้ ถ้าพี่จะโกรธ

NaTee(n): เพราะผมเผลอพูดความลับสุดยอดของพี่ออกไป

NATOUCH: เออ งั้นก็โกรธ

NaTee(n): อ่า

NaTee(n): งั้นก็ง้อ

NaTee(n): เต้นท่าจ้ำบ๊ะ (สติกเกอร์)

NaTee(n): เต้นท่าเมียงู (สติกเกอร์)

NaTee(n): เต้นท่ารูดเสา (สติกเกอร์)

NATOUCH: อะไรของมึง

NaTee(n): เต้นให้ดูไง

NaTee(n): ง้อๆๆ

NATOUCH: คิดว่ากูจะหายโกรธด้วยสติกเกอร์ต๊องๆ พวกนี้เหรอ

NaTee(n): ยังโกรธอยู่?

NATOUCH: เออ

NaTee(n): แต่หน้าพี่เหมือนหายแล้วนะ

ผมเก็บมือถือแล้วเดินเข้าไปในป่าดงดิบ พี่ทัชที่เมื่อกี้เห็นยิ้มอยู่เงยขึ้นมาทำหน้าตึงทันที เป็นส่วนผสมของอารมณ์เซ็งๆ เบื่อๆ และอ่อนอกอ่อนใจ เห็นแล้วอยากกวนตีนเล่น แต่ช่วงนี้ผมต้องยับยั้งชั่งใจไว้หน่อย สองวันแล้วที่พี่แกหลบหน้าผม แชตไปรัวๆ ก็สภาพอย่างที่เห็น ถามสิบตอบสอง หรือบางทีก็ไม่ตอบเลย

จะว่าไปปกติแกก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่สองวันนี้อาการหนักกว่าเดิม

“โล่งไปที ผมนึกว่าพี่เดินตกท่อตายแล้ว” ผมนั่งลง ฉีกยิ้มกว้าง

“นี่ปากเหรอ”

“ตูดครับ”

“...”

“พี่เห็ดบอกว่าตูดอะ แต่ไม่เหม็นนะ นี่ๆ ดมดู…”

“เอาออกไปห่างๆ” พี่ทัชใช้มือดันหัวผมเบาๆ “แล้วก็ตูดมึงเนี่ย หุบซะบ้าง พูดน้อยๆ หน่อย”

“พี่ไม่ตอบแชตอะ”

“ก็ตอบแล้วไง”

“เมื่อคืนไม่ตอบ”

“ใครบอกให้มึงแชตมาตอนตีสาม”

“ก็นอนไม่หลับอะ”

“แต่กูหลับไง”

“หลับทำไมขึ้นว่าอ่านข้อความอะ พี่อ่านแต่ไม่ตอบ”

“เสียสายตา”

“งั้นสายตาผมก็เสียดิ ถึงว่า หน้าพี่เบลอๆ ไหนดู…”

“กูบอกให้ออกไปห่างๆ” โดนดันจนหัวแทบคะมำไปอีกรอบ แหม หยอกนิดหยอกหน่อยทำเป็นสะดิ้งไปได้

“โอเคๆ แล้วหายโกรธยังอะ”

“ยัง”

“อ่าว แต่เมื่อกี้ตอนอ่านแชตพี่ยิ้มนะ”

“กูอาจจะยิ้มเพราะอย่างอื่นมั้ย”

“ไรอะ คลิปโป๊เหรอ ดูมั่งดิ”

พี่ทัชสูดหายใจเข้าลึก แล้วระบายลมออกช้าๆ “มึงมีไร” จากนั้นก็พูดเสียงเรียบเป็นปกติ หายใจทีเดียวคือหายเลย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เซ็ง เบื่อ หรืออะไรก็ตาม นี่พี่แกไปฝึกสมาธิชั้นสูงกับฤๅษีมาเหรอ หรือว่าเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาชั้นสูง

“ไปกินราดหน้ากัน วันนี้ผมเลี้ยงเอง”

“นี่กำลังจะห้าโมง มึงกินมื้อไหน”

“กินเล่นๆ ก่อนมื้อเย็นไง”

“กูยังไม่หิว”

“ทำไงถึงจะหายโกรธอะ” ผมเอานิ้วเคาะขมับตัวเอง “รู้ละ ผมเต้นท่าลิงตีฉาบให้ดูปะ”

“อย่า กูขอร้อง”

“โอเค” ผมลุกขึ้นยืนตรง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “สาม...สี่...ไป”

“...”

“อุๆ อะๆ” ยาวไป ยาวปายย “อะๆๆ อุๆๆ เจี๊ยกกก~”

นั่นไง มุมปากกระตุกละ

จะเส้นลึกแค่ไหนก็ตาม เจอท่านี้เข้าไปยังไงก็ไม่รอด ยิ้มเต็มๆ เลยก็ได้เพ่ จะกลั้นทำไม เอ้า ยาวปาย ยาวปายยย…

“มาเต้นเป็นลิงรูดเสาอยู่นี่เอง”

เสียงนี้นี่มัน…

กูว่าละ

โอเปิ้ลเดินยิ้มกว้างตรงเข้ามา โดยมีเจษฎาทำสีหน้าครึ่งๆ กลางๆ เหมือนจะอยากรั้งตัวไว้ แต่ก็ยังเดินตามมาข้างหลัง

“ว่าละ ทำไมชอบหายแวบบ่อยๆ” เปิ้ลยืนกอดอกแอ่นตัวไปข้างหลัง ไม่รู้ว่าเพื่อความเท่หรือว่าเพื่อถ่วงสมดุลไม่ให้น้ำหนักเนื้องอกฉุดไม่ให้หัวทิ่ม “ที่แท้ก็แอบมาอยู่กับ...”

“เปิ้ล ไปเถอะ” เจษฎาสะกิดไหล่เปิ้ล แต่เจ้าของเนื้องอกหาได้แคร์ไม่

“นี่พวกมึงมาได้ไง”

“ถามไม่คิดอีกละ เอาตาตุ่มไถพื้นมามั้ง แขนขาดีก็เดินดิ”

“สะกดรอยตาม?”

“ถ้าไม่ตามจะรู้เหรอ ว่าแอบมาทำลับๆ ล่อๆ ที่นี่” เปิ้ลเอียงคอมองเลยผมไปถึงพี่ทัช “แล้วไม่คิดจะแนะนำเหรอ”

“นี่พี่ทัช” ผมบอก “พี่ทัช นี่เพื่อนผม โอเปิ้ล แล้วก็นั่น เจษฎา เพื่อนที่คณะอะ”

ทั้งคู่ยกมือไหว้ทักทายตามสไตล์ตัวเอง

“หวัดดีเพ่” เปิ้ลไหว้ท่วมหัว

“สวัสดีครับ” เจษฎาประนมมือทรงดอกบัวตูม ค้อมหัวสวยงามจนน่าจะประกวดมารยาทไทยโบราณได้

ส่วนพี่ทัชได้แต่ยกมือรับไหว้อย่างงงๆ

“ว่าแต่แนะนำสั้นๆ แค่เนี้ย” เปิ้ลถามเสียงขึ้นจมูก

“งั้นเอาใหม่” ผมกระแอม แนะนำใหม่เป็นช็อตๆ “พวกมึง นี่พี่ทัช ลักษณะทางภูมิศาสตร์คือ ผิวขาวสูงยาวเข่าดี ดูเกาหลีทั้งตัวแต่กูลองทัวร์ดูแล้วเขาเป็นคนไทย ส่วนลักษณะนิสัยก็...ชอบอ่านบทกลอนบ้าๆ บอๆ ชอบอยู่กับยุง ไม่ชอบยุ่งกับคน พูดน้อยแต่อ่อยเยอะ”

“อ่อยเยอะอะไร” พี่ทัชถาม

“อ่อยเหยื่อไง พี่แค่นั่งเฉยๆ ก็อ่อยคนไปทั่วแล้ว”

“...” พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม รอให้เขาพูด แต่สุดท้ายก็แค่ส่ายหน้าปลงๆ

“เป็นไรกับพี่เขาเหรอ” เปิ้ลถามจี้ต่อ

ถามง่าย แต่ทำไมไม่รู้ตอบยาก นั่นดิ...ผมกับพี่ทัชเป็นอะไรกัน โยนให้พี่ทัชตอบละกัน “พี่บอกดิ เราเป็นไรกัน” แต่แทนที่จะตอบเขากลับลุกขึ้นและพูดเรียบๆ

“ไปยัง”

“ไปไหน” ผมถาม

“กินข้าวไง”

“พี่บอกไม่หิวไม่ใช่เหรอ”

“ก็มึงบอกจะกิน”

“กินไรกันอะ ไปด้วยดิ” เปิ้ลพูดทันควัน ผมมองหน้าเดอะแก๊ง หลังจากนั้นเราทุกคนก็หันไปมองพี่ทัชที่รวบหนังสือใส่กระเป๋าและยกขึ้นสะพายไหล่เรียบร้อยแล้ว

“...” เขามองกลับด้วยสายตาอ่านยาก มีความสงบนิ่งอยู่ในแววตา ขณะเดียวกันก็ดูราวกับกำลังมองทะลุทะลวงดูต่อมใต้สมองหรือไม่ก็ตับอ่อนของทุกคน แล้วสุดท้ายเขาก็ยักไหล่ “ถ้าหิวก็ไป”

เจษฎาทำท่าจะปฏิเสธขณะพี่ทัชหันหลังเดินนำออกไป แต่ถูกเปิ้ลกระชากคอเสื้อมาข่มขู่เงียบๆ

เราสี่คนเดินออกจากป่ามาสู่สายตาประชาชนที่ส่วนมากเลิกเรียนภาคบ่ายแล้ว ผู้คนเดินสวนไปมา บ้างก็จับกลุ่มเฮฮาตามซุ้มข้างทาง แต่ก็มีไม่น้อยที่นั่งอ่านหนังสืออย่างจริงจัง ซึ่งดึงดูดความสนใจเจษฎาได้เป็นอย่างดี

“ฉี่แป๊บนะ เดี๋ยวตามไป” ผมแวบเข้าห้องน้ำรวมตรงริมทางก่อนถึงตึกคณะวิทย์ นึกว่าพี่ทัชจะพาเดอะแก๊งเดินนำไปก่อน แต่เขากลับแวะเข้าห้องน้ำด้วย โดยที่เปิ้ลกับเจษฎาหยอกล้อเล่นหัวกันแรงๆ รออยู่ข้างนอก

ห้องน้ำรวมก็ดูเหมือนกันทุกที่ บนพื้นมีรอยโคลนจากรองเท้า กระจกอ่างล้างหน้าสกปรก ก๊อกล้างมือบางอันบิดเอียง และมีกลิ่นไม่น่าพิสมัยอบอวลอยู่นิดๆ นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับคุณชายอย่างพี่ทัชเลย ดูขัดตาสุดๆ ที่เห็นเขาเดินเข้ามาในนี้ แต่เขาก็ดูไม่เก้อเขินหรือแสดงท่าทีรังเกียจอะไร

แค่ว่า...เดินเลี่ยงไปฉี่ตรงโถในสุด

“ไปฉี่ซะไกล กลัวผมแอบดูเหรอ” ผมอดแซวไม่ได้ เพราะตอนนี้มีเราอยู่แค่สองคน

“ตรงนั้นโถฉี่มันรั่ว”

“เอ้า!” แล้วไม่บอกแต่แรก ดีนะที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติการปล่อยของเสีย ผมเลยฮึบไว้ เปลี่ยนไปยืนที่โถฉี่ข้างเขา

“จำเป็นต้องใกล้ขนาดนี้มั้ย”

“ตรงนั้นโถมันรั่ว” ผมตอบหน้าตาย “รั่วทุกโถเลย”

ผมแกล้งทำท่าจะชะโงก จังหวะเดียวกันเขาก็รีบเบี่ยงไหล่มาบังทันทีเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าผมจะทำแบบนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เสร็จกิจ แล้วเดินออกไป ผมเร่งปล่อยระลอกสุดท้ายเพื่อจะตามไปกวนตีนต่อ ก็พอดีมีสายโทรเข้ามา ใครวะ เปิ้ลโทรมาแกล้งแน่ๆ กูฉี่อยู่โว้ย!

ต้องยอมให้มันสั่นครืดๆ อยู่ในกระเป๋ากางเกงจนฉี่เสร็จนั่นแหละ ค่อยล้วงออกมาดู

อ้อ แม่โทรมา

ผมกดรับสาย “ว่าไงแม่”

[เลิกเรียนยัง]

“เลิกละ มีอะไรรึเปล่า” ผมเดินไปหยุดที่หน้าอ่างล้างมือ ระหว่างนี้ผมก็จับตามองพี่ทัชที่ผมคิดว่าเขาจะล้างมือ แต่กลับเห็นว่าเขาใช้หยิบทิชชู่เปียกจากกระเป๋าออกมาเช็ดมือแทน น่าจะเป็นสูตรฆ่าแบคทีเรียด้วยนะนั่น เขาคงกลัวพลาสเตอร์เปียกนั่นแหละ เลยใช้วิธีนี้แทน ดูไฮโซไปอีก

เขาเหลือบมองผมแวบนึง ก่อนจะทิ้งทิชชู่ลงถังแล้วออกไปรอข้างนอก

[...ฟังอยู่รึเปล่า]

“อือๆ ว่าไงนะ”

[แม่บอกว่าอย่าเพิ่งกินอะไรหนักๆ จากข้างนอกนะ เย็นนี้น้าเกดกับน้าเอ๊ดจะมากินข้าวด้วย นี่แม่กำลังทำกับข้าวอยู่]

“อ้อ โอเคๆ จะกลับไปกินให้พุงกางเลย”

ผมกดตัดสาย ล้างมือลวกๆ แล้วรีบเดินออกไป ซึ่งเห็นว่าพี่ทัชเดินนำไปก่อนแล้ว ขณะที่เพื่อนสองหน่อของผมดูละล้าละลังว่าจะตามพี่แกไปหรือว่ารอผมก่อนดี พอผมออกมาสมทบ เราทั้งสามเลยก้าวยาวๆ ตามทันที เปิ้ลกับเจษฎาเหมือนจะเถียงกันต่อว่า สภาพห้องน้ำหญิงกับห้องน้ำชายต่างกันแค่ไหน แต่ผมไม่ได้ใส่ใจฟัง

เราเลี้ยวเข้าตัวตึกคณะวิทย์ตามหลังพี่ทัช เดินทะลุไปถึงโรงอาหารเล็กๆ ด้านหลัง ตอนกลางวันสภาพก็ดูเกือบจะร้างอยู่แล้ว ยิ่งตอนหลังเลิกเรียนนี่ยิ่งชวนให้นึกถึงป่าช้าเข้าไปอีก เผลอๆ ป้าที่กำลังทำเสียงก๊องๆ แก๊งๆ อยู่นั่นอาจจะเก็บของเตรียมกลับบ้านอยู่ก็ได้

พี่ทัชเลือกนั่งลงที่โต๊ะตัวด้านในสุด เปิ้ลกับเจษฎาเข้าไปนั่งลงข้างๆ กัน ส่วนผมเดินอ้อมมานั่งข้างพี่ทัช แต่ตูดยังไม่ทันจะถึงเก้าอี้…

“เฮ้ย!” ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้น ใจหล่นแวบไปอยู่ตาตุ่ม “ลืมมือถือ” พูดได้แค่นั้นก็พุ่งตัวออกไปทันที ผมวางไว้ข้างอ่างล้างมือแน่ๆ ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงห้องน้ำอาจจะไม่ถึงห้าสิบเมตร แต่รู้สึกเหมือนไกลเป็นกิโลเลย

แค่สองสามนาที คงไม่หายไปไหนหรอก

ปรากฏว่ามันหาย

ไอโฟนที่แม่ซื้อให้ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว!

ผมไม่เชื่อตาตัวเอง จนถึงกับเอามือถูสำรวจรอบอ่างล้างหน้า ก้มดูตามพื้น และตบกระเป๋ากางเกงที่แบนแฟบอีก

ไม่มี

หายไปแล้ว!

แต่เมื่อกี้ตอนพุ่งเข้ามาเห็นคนนึงเดินสวนออกไปพอดี ผมรีบออกไปหน้าห้องน้ำ มองซ้ายมองขวา ห่างไปทางขวาระยะห้าเมตรก็เห็นคนนั้นเหมือนจะเร่งฝีเท้าไปตามทาง ตัวสูงใหญ่ สะพายกระเป๋าข้างสีดำแบบนี้ ไม่ผิดคนแน่

“พี่” ผมเร่งฝีเท้าตามไป “พี่! เดี๋ยวก่อน”

เขาหยุดหันมามอง ซึ่งแวบแรกที่เห็นก็ทำให้นึกถึงโจรแล้ว คิ้วดก หน้าดุ โกนหนวดไม่เรียบร้อย ไม่ว่าจะดูมุมไหนก็ไม่น่าใช่คนดี

“เมื่อกี้พี่เห็นมือถือตรงอ่างล่างมือมั้ย”

“มือถือไร”

“ไอโฟนอะ ผมลืมไว้ตรงอ่างล้างมือ”

“ไม่เห็นนะ”

“เดี๋ยวดิ” ผมคว้าสายกระเป๋าเขาไว้ “ถ้าพี่เอาไปก็คืนผมมาเถอะ”

เขาปัดมือผมออก “เฮ้ย น้อง พูดอะไรระวังปากหน่อยนะ ใครเอาของมึง”

“ถ้าไม่ได้เอาไปจะกลัวอะไร”

“กูไม่ได้เอา”

“งั้นก็เปิดกระเป๋าดิวะ ขอดูหน่อย”

“เอาหน้าไปให้พ้นส้นตีนกูเลย กูจะรีบไปธุระ อารมณ์ไม่ดี”

“เดี๋ยว” คราวนี้ผมคว้าสายกระเป๋าไว้แน่น และรูดซิปเปิด

“เฮ้ย! พูดไม่รู้เรื่องเหรอวะ” เจ้าตัวสะบัดออกอย่างแรง เบี่ยงกระเป๋าไปไว้ด้านหลังพร้อมกับหันมาเผชิญหน้ากับผม “มึงจะเอาใช่ปะ ฮะ”

ปึก!

ยังไม่ทันได้พูดโต้ตอบอะไร อีกฝ่ายก็ผลักอกผมซะเต็มแรงจนกระเด็นถอยหลัง และคงจะลงไปนอนกับพื้นแล้วถ้าไม่ได้ใครสักคนรวบตัวไว้ได้ทัน

พี่ทัชนั่นเอง

เจษฎากับเปิ้ลก็ตามมาสมทบด้วย

“เฮ้ยๆ มีเรื่อง!” เปิ้ลก้าวพรวดไปข้างหน้า ลักษณะกึ่งๆ จะเตะ “ทำคนไม่มีทางสู้เหรอวะ”

อีกฝ่ายถึงกับกระโดดถอย มองเปิ้ลตั้งแต่หัวจดเท้าและผายมือใส่เหมือนจะถามว่า เชี่ยไรเนี่ย

สายตาทุกคู่มองมาที่ผม

“เอามือถือผมคืนมา แล้วก็จบๆ กันไป” ผมพูด

“สัด กูบอกว่ากูไม่ได้เอา กูไม่ได้ไปตรงอ่างล้างมือด้วยซ้ำ กูรีบ ตอนกูฉี่ก็มีคนอื่นเข้ามาตั้งสองสามคน”

“ฉี่ไม่ล้างมือเหรอ” เปิ้ลขยับไปข้างหน้าอีก “ฟังไม่ขึ้นว่ะ คนเชี่ยไรฉี่ไม่ล้าง”

“เอ่า น้อง ถือว่าปากหมานะแบบนี้”

“เปิดกระเป๋าดิ๊ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครหมา”

“ถอยไปดีกว่า กูไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิง”

“กูไม่ใช่ผู้หญิง”

“แล้วนี่อะไร…” มันผายมือใส่เนื้องอกและทำตาถลนใส่ “ซิลิโคนล้วนๆ เหรอ”

“เหี้ยเอ๊ย” ผมโดดใส่อย่างเหลืออด แต่พี่ทัชก็เร็วพอที่จะคว้าตัวผมไว้ “ขโมยของไม่พอยังปากหมาอีกเหรอวะ มีแค่เพื่อนสนิทเว้ยที่บูลลี่เรื่องนี้ได้ พี่ทัชปล่อยผม”

พี่ทัชไม่ปล่อย ขณะเดียวกันเจษฎาก็กำลังล็อกตัวเปิ้ลไว้เหมือนกัน เปิ้ลเลยออกฤทธิ์ได้แค่ฮึดฮัดและเตะอากาศ

“แม่ง บ้าว่ะ กูไปละ”

“เดี๋ยว” เสียงนุ่มทุ้มของพี่ทัชดังขึ้น อีกฝ่ายชะงักกึก หันกลับมาอีกรอบ

พี่ทัชควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมายัดใส่มือผม มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด “โทรเข้าเบอร์ตัวเองดู”

“รหัสปลดล็อกหน้าจออะไร”

“ไม่มี”

โคตรแปลก มือถือก็แพง ระบบอะไรก็สุดยอด แต่ไม่ใส่รหัสป้องกันอะไรเลย แต่ไม่ใช่เวลาใส่ใจเรื่องอื่น ผมปาดหน้าจอมือถือพี่ทัชซึ่งภาพแบ็กกราวด์ยังเป็นลายเดิมๆ ที่แอปเปิ้ลให้มา แล้วกดเบอร์ตัวเองเพื่อโทรออก…

ฝากข้อความ

ไม่ว่าใครเอาไปก็ตาม มันปิดเครื่องแล้ว

“ไง” คู่กรณีเอียงคอมอง “ถ้าไม่มีเหี้ยไรแล้ว กูไปละ ถ้าอยากมีเรื่องก็ไปเจอกูที่หลังคณะได้ กูอยู่ตลอด”

ผมก้าวขาตามโดยอัตโนมัติ แต่ถูกพี่ทัชดึงข้อศอกไว้แรงๆ อีก

“ช่างมันเถอะ”

“แต่…”

“กูไม่อยากให้มึงยุ่งกับคนแบบนี้”

“ก็มันเอาของผมไปอะ”

“อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้”

“มันนี่แหละ ไม่เห็นมีใครเลย ปล่อยผม”

พี่ทัชยังจับผมค้างอยู่สามหรือสี่วินาที แล้วก็ปล่อย

ผมมองตามมือเขาที่ปล่อยลงข้างตัว พอเงยหน้ามองทางอีกที ไอ้หมอนั่นก็เดินลับตาไปแล้ว โอเปิ้ลอยู่ห่างจากจุดเดิมออกไปอีกสองสามก้าว อยู่ในท่ายืนจังก้าและชูนิ้วกลางเหนือหัว ส่วนเจษฎาปาดเหงื่อซ้ำไปซ้ำมา

ผมอดคิดต่อไม่ได้ว่า ถ้าเมื่อกี้มีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง แวบนึงผมเห็นภาพเปิ้ลถูกตบปากแตก ส่วนเจษฎาก็คงถูกจับทุ่มหัวโหม่งพื้น ไม่ว่าจะยังไง สองคนนี้ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่นอน

“เอาไงต่อวะ” เปิ้ลเดินย้อนกลับมา

“ไปแจ้งความกัน กูพาไปเอง” พี่ทัชพูดพร้อมกับตบไหล่ผม ซึ่งคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้

จากแผนเดิมที่จะกินราดหน้ากันเลยเป็นอันต้องยกเลิก พี่ทัชเดินนำเราสามคนไปที่ลานจอดรถแถวๆ คณะจิตวิทยา พอเขากดรีโมตปลดล็อกเปิ้ลก็ถึงกับร้อง

“เจ๋งอะ รถพี่เหรอ”

“ญาติเราก็มีรถคันเล็กๆ คล้ายๆ แบบนี้นะ ฮอนด้าแจ๊ส” เจษฎาพูดเสริม

“แจ๊สพ่อง เจษ นี่มินิคูเปอร์ S”

ใช่ อย่างที่เปิ้ลว่า มันคือมินิคูเปอร์ S สีฟ้าอมเขียวซีดๆ ดูเดิมๆ ไม่ได้ปรับแต่งส่วนไหนเหมือนรถพี่เห็ด ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถเท่าไหร่ แต่อะไรหลายๆ อย่างบอกผมว่านี่คือรุ่นใหม่ล่าสุด

“ข้างหลังนั่งเบียดๆ กันนิดนึงนะ” พี่ทัชบอกขณะสองคนนั้นเบียดตัวกันเข้าไปนั่งเพราะรถคันนี้มีแค่สองประตู หลังจากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นมองผมที่ยังยืนมึนซึมอยู่ พี่ทัชไม่พูดอะไร เขาแค่ตะแคงศีรษะเป็นเชิงให้ขึ้นรถ

ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งเงียบๆ

เงียบกันอยู่นาน จนกระทั่งพี่ทัชขับออกจากมหา’ลัยถึงถนนเส้นหลัก เปิ้ลก็เอื้อมมือมาตบไหล่ผม “เฮ้ย อย่าคิดมาก แจ้งความแล้วเดี๋ยวก็ได้คืน”

“เราว่ายากนะ” เจษฎาพูด “ของญาติเราก็เคยหาย แจ้งความไปก็แบบ เงียบเลย”

“เจษ ปากมึงกินขี้มาเหรอ”

“ฮะ? เราเปล่า”

“งั้นก็หุบๆ ไว้หน่อย กูเหม็น”

“อ้อ หมายถึง เราพูดไม่เหมาะสมใช่มั้ย”

“เออ ไอ้นะฑีมันยิ่งเครียดๆ อยู่”

“นะฑี” เจษฎาเอื้อมมาตบไหล่ผม “คิดมากไปก็คงไม่ได้คืนตอนนี้หรอก ถึงแจ้งความอาจจะไม่ค่อยช่วย แต่นายอาจจะมีโชคก็ได้ คนเอาไปอาจจะเปลี่ยนใจเอามาวางไว้ที่เดิมก็ได้”

“อย่างที่เจษว่าแหละ” เปิ้ลพูดเสียงนุ่มลง “อาจจะโชคดีได้คืนแบบไม่ยากก็ได้ อย่าเพิ่งคิดมาก”

“เออ แต๊งกิ้วๆ เรื่องแค่นี้เอาคนอย่างกูไม่ลงหรอกน่า พวกมึงสองคนไม่ต้องไปที่ สน. ด้วยก็ได้นะ” ผมพูดบ้าง “รีบกลับบ้านเถอะ นี่เย็นวันศุกร์นะ เดี๋ยวรถติดหนักกว่านี้”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูกลับรถไฟฟ้า” เปิ้ลบอก

“แต่อีกแป๊บก็จะมืดแล้ว ซอยบ้านมึงเปลี่ยวไม่ใช่เหรอ มันอันตราย เผื่อมีใครลากตัวมึงไปตัดเนื้องอกทิ้งทำไง”

“ก็เป็นบุญหัวกูเลยแบบนั้น”

“กลับไปๆ ไอ้เจษก็ด้วย”

“เอางั้นเหรอ” เจษฎาพูด “เราขอโทษทีนะ ที่แบบพูดอะไรแล้วฟังดูเป็นการบั่นทอน”

“เฮ้ย กูไม่ได้โกรธอะไรมึง ขอโทษทำไมวะ”

“เราไม่รู้ว่ามือถือเครื่องนั้นมีความหมายกับนายแค่ไหน แต่ดูนายไม่โอเคเลย บาดแผลทางใจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าได้นะ นายไหวรึเปล่า”

“เจษ กูไหว แล้วก็นี่มีพี่ทัชอยู่ทั้งคน พวกมึงกลับไปเลย...พี่ทัชส่งพวกมันลงสถานีรถไฟฟ้าข้างหน้านี้แหละ”

พี่ทัชตีไฟเลี้ยว ก่อนจะชะลอจอดชิดริมทางเท้าอย่างนุ่มนวล

ผมลงจากรถมาพับเบาะหน้าเพื่อให้เปิ้ลกับเจษฎาออกได้ ก่อนจะกลับขึ้นรถตามเดิม โดยที่เปิ้ลแสดงอาการอาลัยอาวรณ์หน่อยๆ

“ขอบคุณนะพี่ รถเจ๋งมาก” เปิ้ลยกมือไหว้พี่ทัช “ฝากเพื่อนด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ” เจษฎาไหว้ตาม และลอกคำเกือบเป๊ะๆ “ฝากนะฑีด้วยครับ”

พี่ทัชรับไหว้พร้อมกับบอกว่า “กลับกันดีๆ”

“ขอบคุณครับ” เจษฎาไหว้อีกรอบ แล้วโน้มตัวลงมาพูดกับผม “นายไหวแน่นะ นะฑี ถ้าไม่โอเคยังไง โทรมาได้ตลอดเลยนะ”

เผียะ!

โดนเปิ้ลโบกกะโหลกไปที

“โทรพ่อง มือถือมันเพิ่งหาย”

“เอ้อ จริงด้วย งั้นก็เอาเครื่องแม่โทรมา หรือจะใช้ตู้หยอดเหรียญก็ได้นะ ได้หมด”

“เออๆ” ผมโบกมือปัดๆ “ไปละ วันจันทร์เจอกัน”

จากนั้นพี่ทัชก็ออกรถไปอย่างนุ่มนวลพอๆ กับตอนจอด การจราจรเย็นวันศุกร์คือนรกของแท้ มีเวลาเยอะแยะให้สำรวจข้าวของในรถ แต่ใจผมฟุ้งกระจายจนไม่จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน รับรู้แค่ว่าภายในรถค่อนข้างจะโล่ง และดีไซน์สิ่งต่างๆ ดูเป็นทรงกลม ในหัวผมเหมือนจะมีเรื่องให้พูดให้ถามเยอะแยะ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งซึมกระทืออยู่เฉยๆ

“เพื่อนเฮฮาดี” จู่ๆ พี่ทัชก็พูดขึ้น

“อือ ก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้แหละ”

ไม่มีใครพูดอะไรต่ออยู่นาน

รถหรูนี่มันนุ่มนวลจริงๆ กระจกก็ปิดกั้นเสียงจากภายนอกได้ดีสุดๆ

“เงียบ” พี่ทัชพูด อย่างกับผมไม่รู้จักว่าความเงียบคืออะไร

“...”

“เปิดเพลงฟังได้”

“ถ้าพี่จะฟังก็เปิด”

“มึงอยากฟังรึเปล่าล่ะ”

“ไม่รู้ อยากมั้ง”

“งั้นก็เปิด”

ผมถอนหายยาวๆ ไล่ความอึดอัดออกจากปอด ปลุกตัวเองให้คึกคักสดใสสมกับความเป็นนะฑี แล้วเอื้อมมือไปที่วิทยุ…

“เปิดยังไง”

พี่ทัชละมือมากดปุ่มเปิดให้ เสียงเพลงแนวป๊อปฟังสบายๆ ดังขึ้นด้วยระดับเสียงที่พอดี “เลื่อนเพลงตรงนี้ เพิ่มลดเสียงตรงนี้”

ผมอาจจะโง่เรื่องรถกับเครื่องเสียง แต่เรื่องเพลงนี่ผมไม่เป็นรองใครแน่นอน

“เฮ้ย พี่ฟังเพลงแบบนี้เหรอ นึกว่าหน้าอย่างพี่นี่จะฟังลูกทุ่งหมอลำอะไรแบบนี้ซะอีก”

แต่นี่คือเพลง I Like Me Better ของ Lauv หนึ่งในนักร้องเสียงหลบขั้นเทพ เสียงหลบบาดเข้าไปในไส้ หลบจนบีบกระเดือกร้องตามก็ยังควานหาคีย์ไม่เจอ

ผมแตะปุ่มเพิ่มเสียงสองสามทีแล้วเอนหลังพิงเบาะ ฟีลนี้ต้องใช้เพลงเยียวยาแล้ว หลับตา ฟังอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไร แต่อาจจะด้วยเครื่องเสียงโคตรดี พอถึงท่อนฮุคผมเลยเผลอร้องตามอย่างลืมตัว

“I like me better when I'm with you

I like me better when I'm with you

I knew from the first time, I'd stay for a long time cause

I like me better when I'm with you...”

“ชอบเพลงนี้” พี่ทัชพูดขึ้นหลังจากเพลงจบ

“นี่คือประโยคบอกเล่าหรือคำถามอะ”

“ถาม”

“ไม่ชอบจะร้องตามได้เหรอ ไงล่ะ เจอลูกคอระดับเทพเข้าไปช็อกเลยอะดิ”

“นิดนึง” เขากดปุ่มย้อนกลับไปเล่นซ้ำเพลงเดิม “ชอบเพลงนี้”

“อันนี้คือ...”

“ประโยคบอกเล่า”

เราเลยฟังซ้ำอีกรอบ ผมขยับกระเดือกเทวดาร้องตามด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ส่วนพี่ทัชจากที่นิ่งๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นเคาะนิ้วพลาสเตอร์กับพวงมาลัยเบาๆ

ราวกับว่า…

เสียงเพลงพาเราหลุดไปอยู่อีกโลก

โลกที่อากาศสดชื่น ไม่มีความหดหู่ซึมเซา

โลกที่มีแค่เราสองคนกับเสียงเพลง และผมรู้สึกชอบตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆๆ ตามความหมายในเนื้อเพลง

แต่พอเพลงจบลงเราก็เด้งกลับมาอยู่ในโลกใบเดิม พี่ทัชเลิกเคาะนิ้วตามจังหวะ กลับไปจับพวงมาลัยอย่างมั่นคง ส่วนผมก็ถูกความหดหู่แทรกซึมเข้ามาเกาะกินอีกครั้ง เพลงอื่นเล่นต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอน แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่ามันดังเกินไป เลยกดปุ่มลดเสียงลงหลายที

แล้วเราก็ฟังเพลงกันไปเงียบๆ

คนเราจะฟังเพลงเงียบๆ ได้ไง ก็ในเมื่อเพลงมันทำให้ไม่เงียบ แต่ในความรู้สึกผมมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

เพลงแนวสากลนิยมเพลงอื่นๆ เล่นต่อเนื่องไปประมาณสิบกว่าเพลงได้กว่าเราจะมาถึง สน. ท้องที่ ใช้เวลาแจ้งความอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ตอนเราเดินกลับมาที่รถก็ปาไปทุ่มกว่าแล้ว

“เดี๋ยวกูไปส่งบ้าน” พี่ทัชบอก

“รถติดนะ”

“พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่รีบ”

“ไม่เป็นไรๆ ส่งแค่รถไฟฟ้าก็พอ”

“บ้านอยู่ไหน” แค่ชี้มือ ยังไม่ทันได้บอกพิกัดเขาก็พูดต่อ “ทางผ่านบ้านกู” พูดแค่นั้นแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งทันที

ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งโดยไม่พูดอะไร พี่ทัชออกรถนิ่มๆ อย่างผู้ดี เพื่อออกไปพบกับการจราจรที่ติดนรกยิ่งกว่าเดิม “พี่เลือกจะไปส่งผมเองนะ ห้ามบ่น”

“กูยังไม่ได้บ่นอะไร”

“ก็ดักไว้ก่อน”

เขาหันมามองผม ปกติสายตาเขาก็อ่านยากอยู่แล้ว ภายใต้แสงสลัวแบบนี้ผมยิ่งเดาไม่ออก “เปิดเพลงหน่อย”

“ไม่อยากฟัง” ผมลองแหย่เขาเล่น

“เปิด”

“ครับผม ได้ครับท่าน” ผมกดปุ่มเปิดตามคำสั่ง

“เอาเพลงนั้นนะ”

“I Like Me Better น่ะเหรอ ได้”

ผมกดปุ่มเลื่อนย้อนกลับจนถึงเพลงที่ต้องการ “จะให้กดปุ่มเล่นซ้ำเลยมั้ยล่ะ ถ้าจะว้อนต์ขนาดนั้น”

“อืม”

“จัดไป”

ผมกดปุ่มเล่นซ้ำ เอนหลังฟังไปเงียบๆ พอถึงท่อนฮุคพี่ทัชก็พูดขึ้น “ไม่ร้องตามแบบตอนแรกล่ะ”

“หืม?”

“ร้องดิ”

“ทำไม ติดใจเสียงเทวดาของผมว่างั้น”

“ตลกดี” พี่ทัชพูดเสียงเรียบ “นานๆ จะมีเป็ดขึ้นมาร้องเพลงให้ฟัง”

 



____________________________

มาแล้วค่า XD
ขอโทษทีค่ะ มาอัพซะช้าเลย T T

พอดีเจอเดดไลน์เรื่องใหม่เอามีดจี้คออยู่ค่ะ (แง)
อ่านแล้วโอเคกันมั้ยคะ > <
ขอบคุณมากๆ ที่อ่านแล้วส่งคอมเมนต์มาให้นะคะ ยัก!

ลึกๆ แอบกังวลว่ามันแย่รึเปล่า อ่านแล้วชอบไม่ชอบตรงไหนบอกได้ตลอดนะคะ
จะพยายามตั้งใจพัฒนาเต็มที่เลย > <//

ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาอ่านนะคะ T T
ขอให้มีความสุขมากๆ นะคับบบบ
ฝากรักพี่ณทัชเยอะๆ นะคะ ส่วนนะฑีปล่อยไปฮะ คิ


นางร้าย
21.06.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 9) |▌21.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 21-06-2019 22:43:50
นะฑีดูซึมไปเลย เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด ขอให้กลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิมในตอนหน้าน่้าน้องฑี
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 9) |▌21.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 22-06-2019 08:58:29
เขียนเล่าได้เป็นธรรมชาติดีจังค่ะ รู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศเงียบลง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 9) |▌21.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 25-06-2019 12:30:13
เป็ดหงอย  :laugh: :laugh: :laugh:

ขำเดอะแก๊ง แต่ล่ะคนบ้าบอ ไม่ขาดก็เกิน

ชอบบบมากค่ะ มุกไหลลื่น ปากนะฑีไม่น่ารอดจนโตมาได้จริงๆ พี่ทัชคือเทพแห่งความสยบที่มีเจ้ากรรมนายเวรมาในรูปเด็กผีจ้อจี้   :hao3:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 9) |▌21.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 29-06-2019 16:47:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 9) |▌21.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 16-07-2019 23:00:19
แงงง คนเขียนหายยยย :z3:

รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 9) |▌21.มิถุนา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 01-08-2019 12:30:20
รอออออออออออ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 10-11) |▌16.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 16-08-2019 19:11:24
ขอโทษที่หายไปนานอีกแล้วค่ะ พอเคลียร์ต้นฉบับที่จะออกงานหนังสือจบ
กำลังจะได้หายใจหายคอ ก็มีเรื่องต่างๆ ให้ต้องเคลียร์เข้ามาอีกเยอะเลยค่ะ /น้ำตาาา
สัตว์เลี้ยงที่บ้านก็มาป่วยหนักด้วยค่ะ วิ่งเข้าๆ ออกๆ รพ.หลายครั้งเลย
แต่ตอนนี้น้องไปสบายแล้ว T T แงงง ตั้งสติเพิ่งได้ค่ะ ฟื้นมาได้แล้ว

ตอนนี้นี้มาอัพให้ 2 ตอนนะคะ ตอนที่ 10 - 11

ขอบคุณมากๆ เลยค่า :D
เดี๋ยวช่วง 3-4 ทุ่ม มาลงตอนที่ 12 ให้นะคะ ^__^


_______________________________________


แตะต้องครั้งที่ 10
จับบบ…สุขสันต์วันครอบครัวผัวจะตบคบทำไมผมไม่อยากเจอพี่แล้ว

 

เราเคยมีบ้านเดี่ยวอยู่แถบชานเมือง บรรยากาศดี อากาศสดชื่น ผู้คนเป็นมิตร และหมาไม่กัด แต่นั่นก็นานมาแล้ว แต่วันดีคืนดีผมก็ยังคิดถึงมันอยู่

พี่ทัชชะลอรถจอดหน้าบ้านซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายมือตามที่ผมบอก ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีที่ว่างให้จอดหรอก เพราะถัดไปไม่ไกลก็จะถึงท้ายซอยซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดสดเจ๊เนียม ศูนย์รวมของสดและความวุ่นวายระดับสิบ นักช้อปขั้นเทพบางคนมักละเมิดสิทธิ์ชาวบ้าน จอดรถไว้เรี่ยราดตามริมทางแถวนี้แล้วเดินไปที่ตลาดแทน

ทั้งที่ค่ำวันศุกร์แบบนี้เป็นเวลาไพร์มไทม์ของตลาดเจ๊เนียมเลย แถมตอนนี้รถราใหญ่น้อยก็ยังวิ่งสวนกันอยู่แทบไม่ขาดสาย แต่พี่ทัชคงจะแต้มบุญเยอะ เลยมีที่ว่างสำหรับมินิคูเปอร์ของเขาตรงหน้าบ้านผมพอดี

“ขอบคุณที่มาส่งพี่ บาย”

“หิวน้ำ”

“นี่ไง” ผมเคาะขวดน้ำที่ตั้งอยู่ในรถ

“ไม่เย็น”

“พี่ไม่กินน้ำเย็นไม่ใช่เหรอ”

“กินน้ำเย็น แต่ไม่กินน้ำแข็ง”

“ขับเลยไปหน่อย มีเซเว่น”

แทนที่จะออกรถ เขากลับดับเครื่อง “อยากกินตอนนี้”

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งลง” ผมตะปบไหล่รั้งตัวเขาไว้ โน้มตัวมองลอดกระจกไปรอบๆ

“อะไร”

“แถวนี้หมาแม่งโหด กล้าเอาตูดมาเสี่ยงเหรอ”

“...”

“อย่างน้อยก็อาจจะน่องเหวอะอะ ใจปะล่ะ”

“...” พี่ทัชเปิดประตูลงจากรถ ผมรีบลงตามและเตรียมใช้บารมีเจ้าถิ่นฟัดกับไอ้พวกหมาโหด ห่างไประยะไม่ถึงสิบเมตร มีขาประจำตัวนึงเห่าเสียงเล็กเสียงน้อยทำท่าจะปรี่เข้ามา ยังดีที่เจ้าของซึ่งเป็นอาม่าหน้าตามึนๆ ผูกสายจูงรั้งคอมันไว้

“นั่นน่ะเหรอ หมาโหด พันธุ์ชิสุรึเปล่า”

“ถึงจะตัวเล็ก แต่มันโหดกว่าล็อตไวเลอร์อีกนะไอ้ตัวนี้...พี่เดินระวังๆ ด้วย มันชอบมาขี้หน้าบ้านผม”

พี่ทัชหัวเราะเหมือนจะเอ็นดูมัน เขาเดินอ้อมท้ายรถมาหาผมโดยไม่มีท่าทีหวั่นกลัวกองขี้หมาที่อาจจะดักทำร้ายจากภาคพื้นดินอยู่ตรงจุดไหนก็ได้

ผมกับพี่ทัชยืนอยู่ข้างกัน ทางขวามือคือมินิคูเปอร์ราคาหลายล้านของเขา ตรงหน้าคือห้องแถวโทรมๆ หนึ่งคูหาสองชั้นที่ผมกับแม่อยู่กันมาหลายปี ทางเข้าบ้านเป็นประตูเหล็กยืดแบบเลื่อนเปิดปิดจากด้านข้าง ซึ่งตอนนี้เปิดแง้มอยู่นิดๆ ให้ฟีลเดียวกับโกดังใกล้ร้าง

“ไง อึ้งเลยดิ”

“อึ้งเรื่องไร” พี่ทัชถามเสียงเรียบ

“นี่ไง” ผมผายมือใส่วิมานตรงหน้า “คนอย่างพี่อาจจะไม่เคยเสพสถาปัตยกรรมร่วมสมัยสไตล์นี้ไง”

“สวยดี”

“ถ้าพี่เข้าไปอาจจะผื่นขึ้นนะ หรือชักตายเลยก็ได้”

ครืดดด

“นะฑี” ยังไม่ทันที่พี่ทัชจะได้พูดอะไร แม่ก็เลื่อนประตูโผล่ออกมา หน้าตาตื่นเหมือนไม่เชื่อว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ “นะฑี ทำไมโทรไปไม่รับล่ะ”

“...”

“เกิดอะไรขึ้น” เสียงแม่เร่งร้อนขึ้น คงเพราะสีหน้าแย่ๆ ของผม

“โทรศัพท์หายน่ะแม่”

“เอ้า หายที่ไหน”

“เดี๋ยวค่อยเล่านะแม่ มัน…” เฮ้อ อย่างย้อนเวลาได้จริงๆ

ชั่วขณะหนึ่งผมคิดว่าแม่จะเข้ามากอดผม แต่แล้วก็ชะงัก เหมือนจะนึกได้ว่าโทรศัพท์หายไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น หรือไม่ก็เพราะมีพี่ทัชอยู่ด้วย

“พี่คนนี้เป็นพลเมืองดี เลยพาไปแจ้งความมาน่ะ แล้วก็พามาส่งด้วย” ผมเหลือบมองพี่ทัช คิดว่าเขาจะแนะนำตัวเอง แต่เขาก็มองผมอยู่เหมือนว่าผมยังพูดไม่จบ “ชื่อพี่ณทัช เป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย...พี่ นี่แม่บังเกิดเกล้าผม”

“สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้ แม่ก็รับไหว้ตามประเพณีอันดีงามของชาวสยาม

“ณธัชเหรอ ชื่อคล้ายๆ นะฑีเลย”

“คล้ายตรงไหน ชื่อเขาสะกดด้วย ณ.เณร ไม่มีสระอะด้วย” ผมแย้ง “ทัช ก็สะกดด้วย ท.ทหารอีก ไม่ใช่ ฑ.นางมณโฑแบบผม”

“ณทัช แปลกดีนะ แม่นึกว่าธัช ธ.ธง”

“เรียกทัชเฉยๆ ก็ได้แม่...หรืออยากให้แม่เรียกยังไง สุดหล่อ เทพบุตร หรืออะไรก็แล้วแต่นะ”

พี่ทัชมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนแม่นี่ตาเขียวปั้ดเลยทีเดียว

“เรียกทัชก็ได้ครับ”

“ทัช” แม่ทวนคำพลางยิ้ม “เข้าบ้านไปกินน้ำกินท่าก่อนมั้ย”

“เมื่อกี้นะฑีไล่ผมให้ไปซื้อน้ำที่เซเว่นกินครับ”

“เอ้า ไปพูดกับพี่เขาแบบนั้นได้ไง มาๆ เข้าบ้านก่อน”

“รบกวนด้วยนะครับ”

เราสามคนเข้าไปในบ้านโดยมีแม่เดินนำหน้านิดๆ พอเดินพ้นประตูเหล็กยืดเก่าๆ เข้าไปผมก็ลนลานเหมือนคนสติแตก เหมือนว่านี่ไม่ใช่ บ้าน ที่ผมอยู่มาหลายปี

“ทัชรีบกลับหรือเปล่า ถ้าไม่รีบ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ วันนี้แม่ทำกับข้าวเยอะเลย”

“ไม่รีบมากครับ ขอบคุณครับแม่”

“ตามสบายนะ...นะฑี ไปวุ่นวายกับชั้นรองเท้าทำไม แม่เรียงไว้ดีแล้ว หาน้ำให้พี่เขาสิ”

“แป๊บนึง” ใช่ แม่เรียงไว้ดีแล้ว ผมมาทำให้มันดูเละกว่าเดิม ตอนนี้ก็เลยเรียงใหม่ลวกๆ แล้วพุ่งไปที่ตู้เย็น ขณะที่แม่เดินหายเข้าไปในครัว “พี่จะนั่งตรงไหนก็เลือกเอานะ แล้วแต่ จะไปนั่งบนชั้นรองเท้าก็ตามใจ” ผมพูดโดยไม่หันไปมอง มือจัดดอกไม้ในแจกันบนหลังตู้เย็นอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วก็ลามไปจัดของจุกจิกบนชั้นวางด้านข้าง จัดทำไมก็ไม่รู้ ทั้งที่ตำแหน่งสิ่งของก็อยู่ที่ที่ควรอยู่ดีแล้ว

“เอาจานไปจัดนะ” แม่ออกมาจากครัว ยื่นจานที่ซ้อนเป็นตั้งใส่มือผม “เอ่า ยังไม่เอาน้ำให้พี่เขาอีกเหรอ”

“รู้แล้วน่า”

พี่ทัชนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว ผมเอาจานไปวางบนโต๊ะ เอาน้ำมาเสิร์ฟ แล้วก็เริ่มจัดจาน “ทำไมเลือกตรงนี้อะ นี่ที่นั่งประจำผมเลยนะ”

พี่ทัชย้ายไปนั่งตำแหน่งถัดไปโดยไม่พูดอะไร

“ไม่ต้องย้ายก็ได้ แค่ถามเฉยๆ ว่าทำไมเลือกตรงนี้” พูดจบปุ๊บ เขาก็ย้ายมานั่งที่เดิม “นี่คือพี่กวนตีนหรืออะไร”

“กูเปล่า”

ผมมองหน้าเขา “หิวน้ำไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นกินอะ”

พี่ทัชยกน้ำขึ้นจิบนิดๆ เหมือนแมวดม แล้วมองหน้าผมกลับ

“อันนี้คือกวนตีนของจริงละ” ผมพูดพลางเดินอ้อมโต๊ะไปจัดจานอีกฝั่ง อาจจะมีความสงสัยเจือในแววตาเขานิดๆ ผมเลยอธิบาย “จัดห้าที่ เดี๋ยวน้าเกดกับผัวแกจะมากินด้วย”

“อ้อ” เขาบอก ก่อนจะใช้นิ้วพลาสเตอร์เรียวๆ เอื้อมไปขยับช้อนส้อมด้านข้างให้องศามันเป๊ะ ยอมใจความคุณชายของพี่แกจริงๆ นี่เรากำลังจะดินเนอร์ในภัตตาคารกันเหรอ เล่นเอาผมต้องจัดเรียงช้อนส้อมฝั่งนี้ใหม่ให้เป๊ะไปด้วย

“เปิดพัดลมมั้ยล่ะ ร้อนเปล่า”

“เปิดดิ มึงร้อน”

“ผมไม่ได้ร้อน ผมถามพี่อะ”

“มึงเหงื่อออก”

เออ ใช่ ผมเหงื่อออก แต่ไม่ใช่เพราะอากาศร้อน เพราะทำตัวไม่ถูกเฟ้ย

ผมตัดสินใจเปิดพัดลมเบอร์เบาๆ และย้ายตำแหน่งพัดลมให้มันส่ายถึงเขา “อะ โอเคยัง”

“มึงโอเค กูก็โอเค”

นี่คือคำตอบ? เออ ผมรู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นะตอนนี้ ไม่รู้ว่าทำไม เห็นหน้าเขาแล้วมันทั้งประหม่า หมั่นไส้ แล้วก็...อะไรอีกบ้างก็ไม่รู้

“ห้องแถวก็งี้แหละ ร้อนก็ทน” ทำไมฟังดูเหมือนขยี้ตัวเองวะ

“กูไม่ได้ร้อน”

“มีแอร์แค่ชั้นบน ถ้าอยากเย็นกว่านี้ก็ต้องไปรอข้างบน เอาปะล่ะ หรือถ้าอยากหายใจโล่งๆ ก็ดาดฟ้าเลย”

“ไว้ค่อยวันหลัง”

“วันหลังไร ก็พูดๆ ไปงั้นอะ ใครจะให้พี่ขึ้นไปบนห้องนอนผมวะ”

“กูหมายถึงดาดฟ้า”

เพล้ง!

ไม่ใช่เสียงจานที่ไหนแตก เสียงหน้ากูเนี่ย

“มาช่วยแม่ยกกับข้าวออกไปหน่อย น้าใกล้จะถึงแล้ว...” แม่เดินยกของออกมาจากครัว โดยมีไอ้หมอนเน่าร้องแง้วๆ คลอเคลียขาออกมาด้วย “โอ๊ะๆ ทัชไม่ต้อง เป็นแขกนั่งเฉยๆ เลย แม่เรียกนะฑีน่ะ”

พี่ทัชที่กำลังจะลุกเลยนั่งลงตามเดิม แม่วางกับข้าวลงบนโต๊ะและกลับเข้าไปใหม่ ผมกำลังจะตามเข้าไปช่วยในครัว แต่เสียงนุ่มๆ ดังขึ้นซะก่อน “หมอนเน่า”

ไอ้แมวนรกทำหูผึ่ง มองหน้าแขกเหมือนจะสแกนระดับความอ่อนโยน...แล้วมันก็ร้องแง้วๆ เข้าไปเอาหัวถูขาเขาเลยจ้า

“ทำไมรู้ชื่อมันอะ”

“มึงเคยบอกในแชต” พี่ทัชบอกพลางเกาเหนียงมัน

“เอ้าเหรอ ทำไมผมจำไม่ได้”

“เพราะมึงความจำไม่ดี”

ด่าปวดตับอีกละ อยู่กับแมวไปละกัน

ผมเข้าไปในครัวช่วยแม่ลำเลียงเสบียงออกมาวางบนโต๊ะ จังหวะที่ผมจะตามแม่เข้าครัวไปอีกรอบ พี่ทัชก็พูดขึ้นอีก

“หิว”

“ถ้าคนจริงก็กินก่อนเลย เดี๋ยวตักข้าวให้”

“ไม่ใช่กู หมอนเน่าอะ หิว”

“เมี้ยว~”

“นี่ไง แมวจริง ขอกินก่อน” พี่ทัชยิ้ม และก้มลงไปเกาหัวมันเล่นต่อ

“ถ้าคุยกับมันรู้เรื่องก็บอกให้มันรอก่อน อย่าเหิมเกริมให้มาก” ผมเข้าไปในครัวอีก แต่อดที่จะหยุดเอี้ยวตัวชะเง้อมองไม่ได้ และก็เห็นพี่ทัชพยายามสื่อสารกับไอ้หมอนเน่าอยู่ มันนั่งอยู่บนพื้นแหงนหน้ามองเขา ส่วนเขากางมือไว้ตรงหน้ามันและพูดเบาๆ ว่า คอย คอย คอย…

นี่มันท่าฝึกหมาไม่ใช่เหรอ

ไอ้แมวนรกคงจะรู้เรื่องหรอก แต่ทำไมมันรับมุกวะ นั่งนิ่งมองหน้าเขาเฉ้ย บางทีมันอาจจะงงมากจนทำอะไรไม่ถูกก็ได้

ผมช่วยแม่ขนกับข้าวออกมาจนครบ จัดขึ้นโต๊ะเรียบร้อย แต่น้าเกดกับสามีก็ยังไม่โผล่มา ผมมองออกว่าแม่กำลังดึงเกมทำอะไรช้าๆ อยู่ ขณะที่ไอ้หมอนเน่าพอได้กลิ่นอาหารก็เริ่มโวยวายครวญครางอีกรอบ เลยเข้าทางการดึงเกมของแม่ไป

“หมอนนิ่ม หิวเหรอลูก” นั่นแหละ เสียงสองมาละ “มานี่มา มากินตรงนี้ เดี๋ยวแม่เอาข้าวให้”

แทนที่พี่ทัชจะปล่อยมัน เขากลับอุ้มมันไปตรงมุมบ้านที่มีถ้วยอาหารวางอยู่และขอแม่เป็นคนเทอาหารเม็ดให้มันเอง

แม่ถือโอกาสนั้นเดินกลับมาหาผม “น้าเกดอยู่ไหนแล้ว”

“ให้ผมลองโทรตามมั้ย”

“เอาสิ”

แล้วผมก็นึกได้ว่า ไอโฟนของผมไม่อยู่กับตัวแล้ว แม่ยิ้มขื่นๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์รุ่นโบราณที่ใช้อยู่ออกมา แต่ยังไม่ทันได้โทรหูก็ได้ยินเสียงน้าเกดแว่วๆ จากข้างนอก ต่อมเผือกของผมจับสัญญาณดราม่าได้ทันที

“เดี๋ยวผมไปดูเอง”

ผมปราดไปที่ประตู เอาตัวขวางตรงช่องแง้มระหว่างประตูไว้ แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ห่างไปไม่เท่าไหร่ น้าลูกเกดกับน้าเอ๊ดสามีศรีประเสริฐกำลังยืนโต้คารมกันอยู่ ฟังสามสี่ประโยคก็พอจับความได้ว่า ทะเลาะกันเรื่องว่าผัวไม่อยากมา แต่เมียบังคับให้มา แถมยังจู้จี้จุกจิกไปซะทุกเรื่อง

ทั้งคู่หันมาเห็นผม เลยหยุดชะงัก

“เข้ามา แล้วก็ทำตัวดีๆ” น้าเกดกดเสียงต่ำ ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มปลอมๆ และเดินนำหน้าสามี

“ไม่บอกให้กูแดกนมก่อนนอน แล้วก็ใส่ผ้าอ้อมให้กูด้วยล่ะ” น้าเอ๊ดบอก ตามด้วยคำสบถสั้นๆ ระดับเรตสิบแปดบวก

ผมเปิดทางให้ทั้งคู่เดินเข้าบ้าน น้าเกดสวมหน้ากากรอยยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่เนียน ส่วนน้าเอ๊ด หน้าตึงอย่างเปิดเผย แถมยังเอาไหล่ชนผมจนเกือบล้มด้วย

“รถใครจอดหน้าบ้านเหรอ” น้าเกดดัดเสียงแจ่มใส “สวยอะ”

ตรงข้ามกับสามีที่ภาษาข้างถนนมาเต็ม “ห่า รถคนรวยแม่งก็งี้แหละ อยากจอดไหนก็จอด”

“รถเพื่อนผม” ผมพูดเสียงต่ำ

“เพื่อน? นั่นน่ะเหรอ” น้าเอ๊ดมองพี่ทัชที่ตอนนี้ยืนอยู่ที่มุมบ้านกับไอ้หมอนเน่า แล้วก็หันมาเผชิญหน้ากับผม “อายมั้ยพาเพื่อนมาเห็นสภาพบ้านแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะหาที่อยู่ใหม่วะ จอดรถโคตรยาก...อะไร มองหน้า”

ปึก!

“พูดจาให้มันดีๆ ดิ๊” น้าเกดเข้ามาผลักหน้าอกสามี ดีแล้วที่น้าเกดเข้ามาผลัก ไม่งั้นผมอาจจะเผลอต่อยหน้าแกไปแล้ว

“พูดไม่ดีตรงไหน ต้องให้เทศน์เหมือนพระเหรอ แล้วไหนอะกินข้าว จะได้รีบกินรีบกลับ”

เงียบกริบกันหมด

แต่ละคนทำตัวไม่ถูก

ในที่สุดแม่ก็เป็นคนพูดขึ้นก่อน “เอ้อ นั่นสิ กินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมด...ทัช มาๆ”

เราทุกคนมานั่งที่โต๊ะทานข้าว

แม่นั่งหัวโต๊ะ น้าเกดกับผัวปากหมานั่งข้างกันที่ฝั่งหนึ่ง ส่วนผมกับพี่ทัชนั่งอีกฝั่ง ทีแรกผมจะนั่งเก้าอี้ตัวไกลสุดเพื่อจะได้เผชิญหน้ากับน้าเอ๊ดจังๆ แต่พี่ทัชดันตัวผมให้ไปนั่งใกล้กับแม่ ส่วนเขานั่งตำแหน่งถัดมาซึ่งตรงข้ามกับน้าเอ๊ดแทน

ต่อมาผมค่อยตระหนักว่า นี่คือเก้าอี้ตำแหน่งประจำของผมเอง

แม่แนะนำพี่ทัชให้รู้จักคู่ผัวเมีย ซึ่งน้าเกดกับพี่ทัชไหว้กันอย่างดี แต่คนเป็นผัวนี่รับไหว้เหมือนคนไม่มีการศึกษา

“ทีนี้ก็กินกันได้เลย” แม่บอก ยังคงเงียบกันทั้งโต๊ะ บรรยากาศอึมครึมราวกับเมฆฝนก่อตัวขึ้นภายในบ้าน

พี่ทัชไม่พูดอะไร ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะเขาเป็นแขก และนิสัยก็พูดน้อยอยู่แล้ว

น้าเกดที่ปกติพอเจอหน้ากันจะแข่งกันปล่อยมุกกับผม ตอนนี้ได้แต่นั่งหน้าตึงเหมือนจะกินข้าวไม่ลง ตรงข้ามกับน้าเอ๊ดที่ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่สนใจใคร ท่าทางคงอยากกลับบ้านเต็มทน

ผ่านไปสองสามนาที เป็นแม่อีกที่พูดขึ้น “เอ้อ แม่ว่าจะถาม ทัช มือไปโดนอะไรมา เห็นติดพลาสเตอร์ทุกนิ้วเลย”

“เปล่าครับ ชอบติดเฉยๆ” พี่ทัชตอบสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ

“แฟชั่นอะแม่” ผมช่วยแก้ตัวให้ ซึ่งพี่ทัชไม่ว่าอะไร น้าเกดกับน้าเอ๊ดก็แค่เหลือบมอง

“อ้อ” แม่ยิ้มให้เขา ก่อนจะหันมาทางผม “แล้วนะฑี เรื่องที่โทรศัพท์หาย...”

“ผมลืมไว้ในห้องน้ำน่ะ กลับไปอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว”

“ในมหา’ลัยน่ะเหรอ”

“อื้อ”

“แล้วได้ดูกล้องวงจรปิดมั้ยว่าใครเอาไป”

“ตรงนั้นมันไม่มีกล้องอะแม่” ผมถอนหายใจ “จริงๆ ก็สงสัยอยู่คนนึงแหละ แต่…เอาเถอะ ยังไงมันก็เป็นความผิดผมเอง”

ผมมองหน้าแม่ พยายามแล้วที่จะไม่แสดงสีหน้าแย่ๆ ออกไป แต่ก็ทำไม่ได้

“ขอโทษนะแม่ แม่อุตส่าห์ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด แต่ดันรักษาของไม่ดีเอง”

“ไม่เป็นไรๆ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ คนที่ไม่ดีน่ะคือคนที่เอาไปต่างหาก งั้นเอาของแม่ไปใช้ก่อนมั้ย” แม่ควักมือถือรุ่นแทบจะยุคแรกเริ่มของหน้าจอทัชสกรีนขึ้นมา “เก่าหน่อย แต่ก็ยังใช้ดีอยู่นะ”

“ไม่เอาอะ เครื่องแม่เอาไว้ติดต่อกับลูกค้าที่โทรมา”

“งั้นเดี๋ยวแม่จ่ายค่าเช่าร้านเดือนนี้ แล้วเดี๋ยวซื้อให้ใหม่นะ เดี๋ยวนี้มันเท่าไหร่ รุ่นที่ใช้อยู่น่ะ”

“ไม่เป็นไรแม่ ผมยังไม่ใช้ก็ได้ ไม่จำเป็นอะ เดี๋ยวผมหาทางเอง”

“เดี๋ยวน้าดูๆ ให้” น้าเกดพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอกน้า เกรงใจ”

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ น้าเอ๊ดก็ควักมือถือออกมาเลื่อนอ่านข้อความใหม่ที่เพิ่งเข้ามา “ต้องไปละ”

“ผู้หญิงใช่มั้ย” น้าเกดสวนทันที

“ลูกค้า”

“ลูกค้าอะไร นี่เลิกงานแล้ว พรุ่งนี้ก็วันหยุด”

“ธุรกิจเดี๋ยวนี้มีวันหยุดเหรอวะ โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว แหกตาดูบ้าง ลูกค้านัดตอนไหนก็ต้องไปตอนนั้น กูก็บอกแล้วไงว่าติดงานๆ ไม่อยากมา แม่งก็จะลากมาให้ได้”

ขึ้นมึงขึ้นกูแล้ว

เหมือนกับว่าเราสามคนไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย ถ้าเราไม่ได้อยู่ตรงนี้จริงๆ ก็คงดี โดยเฉพาะพี่ทัช ผมพยายามนึกภาพหลอกตัวเองว่าตอนนี้มีแค่คนในครอบครัวเรา แต่พี่ทัชกลับตบขาผมเบาๆ อยู่ใต้โต๊ะ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าความจริงคือเขานั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่เอง

“เอามือถือมาดู” น้าเกดยังพยายามพูดเรียบๆ แต่มือกำช้อนส้อมแน่น

“ประสาท มึงนี่ดูละครมากไปแล้ว”

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องไป”

น้าเอ๊ดยกน้ำดื่ม แล้วลุกจากโต๊ะ “กลับแท็กซี่เองละกัน”

น้าเกดลุกพรวดเข้าไปดึงเสื้อไว้ “กูบอกไม่ให้ไปไง”

“ไรของมึงเนี่ย กูจะไปทำงาน”

“กลับมากินข้าว”

“นี่เมียหรือแม่วะ ปล่อย”

“ไม่”

ตอนนี้เราลุกจากที่นั่งกันหมด ผมยืนก้มหน้ามองมือตัวเองที่กำส้อมแน่นอยู่บนโต๊ะ พี่ทัชขยับเข้าใกล้ผมและเลื่อนมือมากำข้อมือผมไว้ คงเพื่อดึงสติผมกลับมา แต่แทนที่มือผมจะคลายส้อมออกกลับกำมันแน่นกว่าเดิม

ความเงียบกดดันลงมา

“...”

“...”

ทั้งคู่มองหน้ากันระยะประชิดโดยไม่พูดอะไรต่อ น้าเกดยังขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นจนชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกง ส้อมในมือผมสั่น นึกเห็นภาพตัวเองพุ่งเข้าไปใช้มันเสียบน้าเอ๊ดแล้วด้วยซ้ำ ยังดีที่มีมือพลาสเตอร์ของพี่ทัชกำรอบข้อมือผมอยู่ เขาแค่กำหลวมๆ แต่กลับช่วยให้ผมรู้สึกมั่นคงจนยืนเฉยอยู่ได้

“จะปล่อยไม่ปล่อย” น้าเอ๊ดทำลายความเงียบ

“ไม่”

“แม่ง!”

สุดท้ายฝ่ายสามีก็สะบัดออกเต็มแรงจนน้าเกดเซถอยหลัง และเป็นแม่ที่ปราดเข้าไปช้อนตัวไว้ได้ทัน ไม่งั้นอาจจะล้มหัวฟาดไปแล้ว

“เออ! อยากไปก็ไป” น้าเกดขืนตัวออกจากแม่ คว้าจานข้าวของน้าเอ๊ดที่ยังกินไม่หมดปาตามหลังเจ้าตัวที่เดินหุนหันออกไป “ไปเลย ไป๊!”

จานข้าวลอยออกนอกบ้านแตกดังเพล้ง เม็ดข้าวหกเรี่ยราดสาดกระจาย

แล้วน้าเกดก็ซบหน้ากับฝ่ามือปล่อยโฮเสียงดัง

ถ้าก่อนหน้านี้มีเมฆฝนก่อตัวในบ้านจริง ตอนนี้ฝนก็ตกแล้ว เป็นฝนล่องหนที่ชวนให้รู้สึกเย็นเฉียบและรอบตัวมืดหม่นลง ผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกหวิวเล็กน้อยตอนพี่ทัชปล่อยมือและผละออกไป

เขาผละไปเล่นกับไอ้หมอนเน่า คล้ายกับว่าอยากเว้นพื้นที่ให้คนในครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน

น้าเกดยังร้องไห้ โดยมีแม่ประคองพาไปนั่งที่โซฟา

ผมยืนเงียบอยู่เกือบนาที ก่อนจะขยับตัวเดินเข้าไปหาพี่ทัชที่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเกาหัวหมอนเน่าอยู่ “พี่…” เขาอุ้มหมอนเน่าขึ้นยืนเต็มความสูง “พี่อยากกลับรึยัง”

“ได้” พี่ทัชตอบสั้นๆ หันไปพูดกับหมอนเน่าพร้อมกับเกาคางมัน “กลับแล้วนะ” แล้วก็ปล่อยมันลงพื้น

ผมเดินนำพี่ทัชมาที่โซฟา จงใจพูดเสียงดังเพื่อให้ทั้งคู่รู้ตัวก่อน “แม่ น้าเกด เดี๋ยวพี่ทัชกลับแล้วครับ” พี่ทัชยกมือไหว้ลาทั้งคู่ มีแค่แม่คนเดียวที่รับไหว้ ส่วนน้าเกดยังสะอึกสะอื้นเหมือนจะไม่รับรู้อะไร

เราก้าวผ่านช่องแง้มประตูเหล็กยืดเก่าๆ ออกมาข้างนอก

ออกมาสู่โลกกว้าง แต่ยังก็ชวนให้อึดอัดไม่แตกต่างกับภายในบ้าน

ผมก้าวข้ามจานแตกๆ นำพี่ทัชไปหยุดอยู่ข้างมินิคูเปอร์ของเขา เขาหยุดยืนอยู่ข้างผม เรามองเลยหลังคามินิคูเปอร์ไปยังอีกฝั่งของถนนโดยมีห้องแถวโทรมๆ ที่เป็นบ้านของผมอยู่เบื้องหลัง ผมมองตึกฝั่งตรงข้าม แต่ไม่รู้จะโฟกัสสายตาที่จุดไหน ส่วนพี่ทัชอาจจะมองเลยไปไกลกว่านั้น

ไม่มีใครพูดอะไร

ไฟข้างถนนเก่าจนทำให้ทุกอย่างดูเป็นสีเหลืองซีด ลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวหอบกลิ่นขยะโชยมาจากทางท้ายซอย ห่างไปสักสองสามช่วงตึก มีเสียงผัวเมียหรืออาจจะเป็นแม่กับลูกตะโกนด่ากันแบบที่เกิดขึ้นอยู่ประจำดังแว่วมา

“ชื่อหมอนนิ่มต่างหาก” ในที่สุดพี่ทัชก็พูดขึ้น “ไม่ใช่หมอนเน่า”

เสียงทุ้มนุ่มของเขาน่าฟังมาก แต่ตอนนี้มันกลับเป็นเหมือนมีดคมๆ กรีดเปิดแผลอักเสบในใจผม จนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“ขอโทษ”

“เรื่องอะไร”

“...”

ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองขอโทษเรื่องอะไร

มันก็แค่…

พี่ทัชไม่ควรจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้

“ไปช่วยหมอนเน่าเก็บโต๊ะไป” พี่ทัชตบไหล่ผมสองที แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตู “เจอกันวันจันทร์” เขาบอกส่งท้ายก่อนจะสอดตัวเข้าไปนั่งในรถ

“...”

ผมพูดไม่ออก ขณะที่ในใจมีเสียงตะโกนว่า

ไม่

ผมไม่อยากเจอพี่แล้ว



หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 10-11) |▌16.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 16-08-2019 19:13:17
แตะต้องครั้งที่ 11

จับบบ…ไม่มี Mr.Slip เลยไม่ Sleep รีบเดินไม่หันกลับ ถ้าพี่จะจับน้องขอสับขาวิ่ง



เสาร์อาทิตย์ผมไปช่วยงานแม่ที่ร้านดอกไม้ทั้งวัน และเวลาก็ผ่านไปโคตรเร็ว

จนตอนนี้เวลาห้าทุ่มครึ่งของคืนวันอาทิตย์ ผมอาบน้ำ สวมกางเกงนอนเรียบร้อย แล้วมาทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียง พยายามข่มตานอนให้หลับเพื่อพรุ่งนี้จะได้เป็นเด็กไทยใส่ใจการศึกษา พาชาติมั่นคง ตามที่คำขวัญวันเด็กปีนี้...หรืออาจจะปีก่อนนี่แหละกล่าวไว้

ไปช่วยหมอนเน่าเก็บโต๊ะไป

เจอกันวันจันทร์


พอๆ เลิกคิด

นอน

อยากรู้จริงๆ ใครเป็นคนพูดว่าการนอนหลับคือการพักผ่อนและผ่อนคลายที่ดีที่สุด

ผมเรียนรู้ตั้งแต่มัธยมแล้วว่ามันไม่จริง เพราะต่อให้นอนหลับ เรื่องเฮงซวยก็ยังตามมาป่วนในฝันจนสะดุ้งตื่นมานั่งเหงื่อแตกได้

วิธีผ่อนคลายที่ดีที่สุด คือการหัวเราะต่างหาก

และผมมีท่าไม้ตายเป็นของตัวเองอยู่ ถ้าอยากหัวเราะแบบเร่งด่วน ผมจะเข้ายูทูบ พิมพ์ในช่องค้นหาว่า The Best Snow Shoveling Fail of All Time แล้วจิ้มที่คลิปแรก ในคลิปไม่ได้มีอะไรมากมาย มีแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมตั้งชื่อให้ว่า Mr. Slip กำลังใช้พลั่วโกยหิมะออกจากถนน แต่เฮียแกดันลื่นซ้ำๆ ต่อเนื่องอย่างกับเต้นบีบอย ก่อนที่สุดท้ายจะเหวี่ยงพลั่วทิ้งด้วยฟีลแบบว่า ช่างแม่ม

ผมรู้ คนเราไม่ควรจะหัวเราะความผิดพลาดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่คลิปนี้มันสุดจริง ความยาวคลิปก็แค่สิบวินาที แต่ฮาได้ฮาดี ฮาขี้แตกแหกไส้ ดูทีไรก็ไม่เบื่อ

คืนนี้ผมนอนไม่หลับ

จะดู Mr. Slip ก็ไม่มีมือถือ

เอางี้ละกัน ลุกขึ้นมาเต้นท่า  Mr. Slip แล้วแกล้งหัวเราะดังๆ จากนั้นก็นอนหลับปุ๋ยไปอย่างมีความสุข...ถุย! นอนมองเพดานเป็นชาติแล้วก็ยังไม่หลับ ลองหลายวิธีแล้ว สุดท้ายใช้วิธีบ้านๆ ละกัน นับลูกแมวกระโดดข้ามคลอง...ไม่เอา นับลูกแมวกระโดดข่วนหน้าพี่เห็ดดีกว่า แต่ก็นึกภาพยาก ใจผมคอยแต่จะนึกถึงพี่ทัช นึกเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของเขาในสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่น้าเอ๊ดเผาบ้านเผาเมืองเมื่อตอนเย็นวันศุกร์

ไม่

ผมยังไม่พร้อมเจอเขาพรุ่งนี้ คราวนี้เป็นผมที่จะหลบหน้าบ้าง

ตามนั้นแหละ

โอเค นอน

ลูกแมวข้ามหัวพี่เห็ด ตัวที่หนึ่ง…

ลูกแมวข่วนหน้าพี่เห็ด ตัวที่สอง…

ลูกแมวซุกในอกพี่ทัช ตัวที่สาม…

ห่า!

ลูกแมวจกตาพี่เห็ด ตัวที่สี่…

ลูกแมวทำท่าบ้าๆ บอๆ อีกประมาณ...สองร้อยตัวได้มั้ง ใครเป็นคนคิดวิธีนี้วะ ยิ่งต้องมาคอยจำว่านับไปกี่ตัวนั่นแหละยิ่งจะทำให้ไม่หลับ จากที่เห็นแมวลอยแวบผ่านไปๆ นี่ คิดแบบเหมาๆ เลยละกันว่าประมาณห้าแสนกว่าตัว

ในที่สุดผมก็ผล็อยหลับไปจนได้ ซึ่งน่าจะด้วยความเหนื่อยมากกว่าวิธีนับแมว

มารู้ตัวอีกทีเพราะเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้า กริ๊งงง! ต้องใช้รุ่นโบราณแบบนี้แหละ ไม่งั้นไม่ตื่น ผมเอื้อมไปหยิบมากดปิด ขอนอนต่ออีกห้านาที...แล้วก็เลยเถิดปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เลยต้องลนลานลุกมาอาบน้ำแต่งตัวและงดมื้อเช้าไปตามระเบียบ ผมเต้นท่าลื่นน็อนสต๊อปของ Mr. Slip เพื่อตุนพลังบวก แล้วค่อยพุ่งตัวออกจากบ้าน เพราะยังไงชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อ

แต่จะมามัวเดินทอดน่องทอดปลาอยู่ไม่ทันแน่นอน ผมตัดสินใจวิ่งไปวินตลาดเจ๊เนียม แล้วขอให้พี่อี๊ดแว้นไปส่งที่มหา’ลัยเหมือนวันนั้น ปรากฏว่าเข้าห้องเรียนภาคเช้าทันอย่างฉิวเฉียดพอดี

อาจารย์ก็เทศนาไปตามปกติ

แต่แปลกที่วันนี้ผมตั้งใจฟัง ไม่หลับเลยตลอดทั้งคาบ แถมยังจดเลกเชอร์เนื้อหาบางช่วงที่น่าจะเอาไปปรับใช้กับร้านดอกไม้ได้ด้วย

จนถึงเวลาพักเที่ยง ผมกับเดอะแก๊งก็เดินไปที่โรงอาหารคณะด้วยกัน

“เป็นไง นะฑี ได้เรื่องยัง” เปิ้ลถาม

“มึงจะเอาเรื่องไหน กูเรื่องเยอะ”

“มือถือดิวะ”

“ก็แจ้งความ ทำทุกอย่างตามที่เทพทั้งหลายในเน็ตบอกอะ แต่ไอ้พี่จ่าที่รับแจ้งความบอกว่ายังไงก็ตามยาก”

“ไม่ใช่จ่าหรอกมั้ง ต้องเป็นตำรวจยศนายร้อยขึ้นไปนะ ถึงจะรับแจ้งความและมีอำนาจสอบสวนได้” เจษฎาให้ข้อมูล

“กูไม่รู้อะ ก็หน้าตาเหมือนจ่า”

“อย่าตัดสินคนที่หน้าตาสิครับ”

“ครับ เพื่อนเจษ” ผมยกมือไหว้ “กูขอโทษครับ”

แล้วก็เสือกรับไหว้ด้วยนะ “ไม่เป็นไร ไหว้เราทำไม เดี๋ยวอายุสั้น”

“กูว่าป่านนี้มือถือมึงโดนแยกชิ้นส่วนไปขายมาเลย์แล้วมั้ง” เปิ้ลว่า

“มือถือหรือมอไซค์วะนั่น”

“เอาเถอะ” เปิ้ลตบไหล่ผม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่พี่ทัชไปส่งบ้านเป็นไงมั่งอะ”

ผมสะดุดเกือบหัวทิ่ม “ก็ดี”

“ดียังไง เล่าดิ๊”

“ก็...บันเทิงดี กินข้าว เล่นกับแมว ดูคนตบกันตลาดแตก” คิดไม่ทัน เลยพูดเลียบๆ เคียงๆ ความจริงไป แต่ก็ดี บางทีความจริงนั่นแหละที่ดูไม่น่าจริงที่สุด

“มีคนตบกันด้วยเหรอ” เจษฎาถาม

“เออ แถวบ้านกูแม่งเถื่อน ตบกันบ่อย”

“แล้ววันนี้ไม่แวบไปหาพี่เขาเหรอ” เปิ้ลถามอีก

“ไม่อะ กูหิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย ตั้งแต่เช้ายังไม่มีปลวกตกถึงท้องสักตัว พวกมึงเดินเร็วๆ ดิ๊”

เราหาที่นั่งในโรงอาหารแล้วสั่งกะเพราไข่ดาวอย่างด่วน ผมบังคับพวกมันให้สั่งเหมือนกันจะได้ทำทีเดียวเร็วๆ ระหว่างที่รอก็ไปสอยลูกชิ้นปิ้งมาเยียวยากระเพาะก่อน

“กูว่ามึงไม่ต้องแวบไปแล้วว่ะ” เปิ้ลพูดขึ้น “พี่แกมานั่นแล้ว”

ผมหันขวับไปมอง ลูกชิ้นที่เพิ่งถูกงับร่วงจากปากกลิ้งขลุกๆ ไปบนพื้น พี่ทัชกำลังเดินสบายๆ มาทางนี้ ไม่ใช่แค่โต๊ะเราที่มอง สายตานับสิบๆ คู่ของชนเผ่าชาวบริหารก็เหลือบไปมองด้วย

“มากับกูหน่อย” พี่ทัชพูดเสียงเรียบทันทีที่มาถึง

ผมรีบยกขวดน้ำกระดกจนเลอะปากและคาง “พี่มาทำไรที่นี่อะ”

“มาหามึงไง”

เปิ้ลกับเจษฎาเหมือนจะหาจังหวะยกมือไหว้สวัสดีไม่ถูก ทั้งคู่เลยทำมือเหมือนจะเตรียมเซิ้งหมอลำ “หวัดดีครับ” พี่ทัชเป็นฝ่ายทักทายก่อน ทั้งคู่เลยได้จังหวะประกบมือไหว้สักที แต่พี่ทัชรับไหว้อย่างไม่ติดขัด “ขอยืมตัวนะฑีหน่อยนะ”

“ไปไหน” ผมถาม ยังไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ

“มาเถอะ”

“พาไปฆ่าหมกป่าเหรอ”

“เดี๋ยวค่อยบอก”

“รู้ละ จะจับไปขังใส่กุญแจมือ แล้วก็ให้ใช้เลื่อยหั่นขาตัวเองใช่ปะ เหมือนในหนังอะ งั้นไม่ไปละ ผมกินข้าวอยู่นี่ดีกว่า”

พี่ทัชมองหน้าผม แวบนึงสายตาเขาแทบจะเหมือนคนโตๆ มองเด็กสองขวบ “ตามใจ” เขาพูดแค่นั้นแล้วก็หันหลังเดินออกไปเลย

ไม่รับมุกเลยวะ

เอาไงล่ะทีนี้

“กูควรตามไปใช่มะ” ผมถามลอยๆ

“ถ้าโดนฆ่าหมกป่าก็มาเข้าฝันกูละกัน ว่าศพถูกทิ้งไว้ที่ไหน” เปิ้ลบอก

“ถ้าถูกเลื่อยอวัยวะจนขาด ให้หาถุงใส่นะ” เจษฎาเสริม “แล้วก็เอาใส่ถังน้ำแข็งที่ผสมน้ำด้วย ไม่งั้นเนื้อจะตาย แล้วรีบไปโรงพยาบาล หมออาจช่วยต่ออวัยวะคืนได้”

“กูคงตายตั้งแต่หาถุงมาใส่มือหรือตีนที่ถูกตัดแล้วล่ะเจษ”

“ยังไงก็ต้องพยายามดูอะ แต่เราว่า ถ้าพี่เขาเป็นโรคจิตจริง อาจจะแค่ตัดนิ้วล่ะมั้ง”

“พวกมึงกินกันไปละกัน” ผมตัดสินใจตามพี่ทัชไป

เปิ้ลร้องตามหลังเสียงดัง “แล้วใครจะจ่ายค่าข้าวมึงวะ เฮ้ย นี่ป้าทำจะเสร็จแล้ว”

“เอาไปคืนป้า”

“มึงจะบ้าเหรอ”

“ไม่งั้นก็เทให้หมามันกิน”

“กูถามว่าใครจะจ่ายเงินโว้ย ไอ้นะฑี…”

ใครจ่ายไม่รู้ละ ผมเดินพ้นโรงอาหารออกมาแล้ว มองซ้ายมองขวา ก็ยังไม่เห็นแผ่นหลังกว้างๆ ของคุณชาย ผมเลยตัดสินใจเดินย้อนรอยไปตามทิศอันเป็นที่ตั้งของตึกคณะจิตวิทยา แล้วก็พบเขาเดินอยู่ระหว่างทางตามคาด แต่นั่นคือกำลังทำอะไร เขาจะใช้มือแตะระพุ่มไม้ประดับตรงริมทางเดินเล่นไปด้วย ราวกับกำลังแปะมือทักทายพวกมัน

ผมจับตามองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปเดินประกบด้านข้าง พี่ทัชชักมือกลับมาปัดฝุ่นสองสามที

“อารมณ์ศิลปินเหรอ”

เขามองหน้าผม “อะไร”

“แตะมือไฮไฟว์กับต้นไม้ใบหญ้าไรงี้”

“ไหนบอกจะกินข้าว” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ก็พี่จะพาไปไหนล่ะ” ส่วนผมดึงกลับเข้าเรื่องสำคัญ

เขาเงียบไปอึดใจ “กูพอจะรู้จักมัน”

“ใคร”

“คนที่มึงบอกเอามือถือไป ชื่อเป้ ตอนรับน้องปีหนึ่งมันกับเพื่อนชอบมีเรื่อง”

“ยังไง”

“ก็เรื่องต่อยตีน่ะ กูถึงไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับคนแบบนั้น”

“ผมไม่กลัวหรอก ถ้าเจอตัวจะเตะให้แม่งริดสีดวงแตกเลย ตอนนั้นผมไม่อยากให้เปิ้ลกับเจษมาเดือดร้อนไปด้วยแค่นั้นแหละ”

“ไปมีเรื่องกับมัน เดี๋ยวมันก็ตามมารังควานไม่เลิก”

“ช่างแม่งดิ...แล้วนี่จะไปไหน”

“คณะวิทย์” พี่ทัชตอบเรียบๆ “ไปคุยกับมันหน่อย”

“เอ้า เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่ให้ยุ่ง”

“กูไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับมันตอนกูไม่อยู่ด้วย”

ช็อก

นี่อารมณ์ไหนวะ

หรือว่าความจริงพี่แกเป็นคาราเต้สายดำ แค่คิดก็มันส์แล้ว อยากจะหยุดผูกเชือกรองเท้าให้แน่นกว่านี้จริงๆ เผื่อสถานการณ์ไม่ดีจะได้ใส่เกียร์หมาหนีได้ทัน

ไม่กี่นาทีต่อมาเราก็มาถึงตึกคณะวิทย์ ผมจำได้ มันบอกว่าถ้าอยากมีเรื่องก็มาที่หลังตึกได้ เราก็เดินอ้อมไปหลังตึก และก็เจอตัวจริงๆ ไอ้เป้กับเพื่อนอีกสามคนนั่งสุมหัวอยู่ที่ม้าหินอ่อน

พี่ทัชหยุดยืนกระทันหัน ท่าทางสงบอย่างกับจะเดินเข้าวัด ส่วนผมนี่ยืนไม่ติดจนต้องเขย่าขาดิ๊กๆ

“เอาไงต่อ” ผมถาม

พี่ทัชไม่ตอบ แต่มือที่กำรวบเป็นกำปั้นหลวมๆ อยู่ข้างตัวนี่ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดพอแล้ว

“หาหินหรือไม้ก่อนมั้ย อย่างน้อยก็ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น…” แต่พี่แกหาได้ฟังไม่ เดินกำมือดุ่ยๆ เข้าไปแล้ว

ชิบ!

จะมัวมาโอ้เอ้อยู่ตรงนี้คนเดียวก็เสียวสันหลังโว้ย ลุยเป็นลุยวะ

ผมก้าวตามพี่ทัชไปติดๆ ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากพวกนั้นประมาณ...สี่ห้าก้าวได้ ส่วนพี่ทัช เข้าไปประชิดตัวไอ้เป้และจับแขนมันทันที

หมับ!

เอาแล้วๆ

เอ้า! นั่น มือที่จับแขนไอ้เป้มีพลาสเตอร์ไม่ครบทุกนิ้วด้วย

นิ้วกลางเขาเปลือยโล่งเลย

กล้ามเนื้อผมตื่นตัวเต็มที่ ระบบประสาททำงานเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะหู จากเดิมที่หูตื้อๆ ตันๆ ฟังอาจารย์สอนไม่ค่อยได้ยิน ตอนนี้กลายเป็นหูทิพย์ขึ้นมาเฉย

“กูมีคำถาม” พี่ทัชพูด

“อะ…” ไอ้เป้ถึงกับอึกอัก มันยืดตัวตรง มองหน้าพี่ทัชแบบมึนๆ เพื่อนอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยมองหน้ากันเหมือนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ตอนเย็นวันศุกร์ มึงเอามือถือที่คนลืมไว้ในห้องน้ำไปใช่มั้ย”

“ชะ...ใช่”

“ได้เปิดดูอะไรในเครื่องมั้ย”

“ไม่ มันล็อก” ไอ้เป้เหงื่อแตกพลั่ก หันมองเลิ่กลั่กอย่างมีพิรุธ มันพยายามจะแกะมือพี่ทัชออก แต่เขาจับแขนมันไว้แน่นกว่าเดิม หรือมองเผินๆ อาจจะเหมือนว่ามันไม่กล้าแกะออกแรงๆ ก็ได้ ทำให้เพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับอึ้ง ไม่ว่าตอนปีหนึ่งมันจะเคยก่อวีรกรรมอะไรก็ตาม ตอนนี้มันดูแตกตื่นโคตรๆ

“แล้วตอนนี้มือถืออยู่ไหน”

“ขายแล้ว”

“ที่ไหน”

“มาบุญครอง”

“ชื่อร้านอะไร”

“กะ...กูจำไม่ได้ มึง...ทำอะไรกูวะ”

พี่ทัชปล่อยมือกึ่งผลัก ทำให้มันทรุดลงนั่งอย่างมึนงง ถ้าไม่ได้เพื่อนจับไหล่ไว้อาจจะหงายหลังร่วงจากม้านั่งก็ได้ “พวกมึงคบกับโจรก็ระวังตัวไว้หน่อยละกัน” เขาพูดเรียบๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกมา สีหน้าสุขุมเยือกเย็นเหมือนนักฆ่าที่เพิ่งเดินออกจากรังโจรหลังสังหารพวกมันเรียงตัว

“พี่…”

“อย่าเพิ่งพูด” เขาบอกผม “เดินไป แล้วอย่าหันไปมองพวกมัน”

ผมหันไปมองพวกมัน แล้วค่อยเร่งฝีเท้าตามพี่ทัชไป พอก้าวตามจนทันผมรู้สึกว่าพี่ทัชก้าวเนิบๆ เกินไป ซึ่งไอ้พวกนั้นอาจตั้งสติได้และวิ่งตามมาพร้อมกับก้อนหิน มีดพก หรือปืนปากกาไทยประดิษฐ์ก็ได้

แล้วจะเดินทำไมวะ วิ่งดิ วิ่ง!

อาจเป็นสัญชาตญาณหรือความผูกพันระยะสั้น ที่ทำให้ผมสับขาเลี้ยวเข้ามาที่ป่าดงดิบหลังตึกคณะจิตวิทยา ระยะทางไม่ไกล แต่ตื่นเต้นจนหอบแฮ่กๆ เชือกรองเท้าหลุดลุ่ยจนต้องผูกใหม่

ผ่านไปประมาณห้านาที

พี่ทัชยังไม่โผล่มา

แม่ง พี่แกโดนเล่นแล้วรึเปล่าวะ จะแชตหรือโทรถาม มือถือก็ไม่มีอีก

ผมผุดลุกผุดนั่งอยู่สักพัก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเดินกลับไปกลับมา อย่างกับคุณพ่อมือใหม่รอฟังข่าวหน้าห้องคลอด แต่ขืนมัวก้มๆ เงยๆ เหมือนหาเห็ดอยู่ในป่าแบบนี้คงไม่ได้ข่าวอะไร สุดท้ายเลยตัดสินใจสวมหัวใจหมาดำเดินย้อนกลับทางเดิม

“เอ้า พี่...”

พี่ทัชเดินเข้ามาสบายๆ หน้ายังใสกิ๊ก เนื้อตัวไม่มีร่องรอยขีดข่วนใดๆ ในมือถือขวดน้ำเปล่า “ไปซื้อน้ำกิน พูดมาก คอแห้ง”

“ผมนึกว่าพี่สลบคาตีนไปแล้ว ปล่อยให้ผมรองี้ได้ไง”

“กูนึกว่ามึงกลับคณะไปแล้ว”

“ผมจะทิ้งพี่ได้ไง”

“มึงวิ่ง”

“พี่เดินช้าไง ผมเลยวิ่งมาตั้งหลักก่อน จะได้หาอาวุธด้วย นี่กำลังจะกลับไปช่วยอยู่แล้ว”

“อ้อ งั้นไม่ต้องแล้ว”

พี่ทัชกระตุกยิ้ม นั่งลงบนม้านั่งหินอ่อน

ผมนั่งตาม “แล้วพวกมันเป็นไงมั่งอะ”

“ก็ไม่เป็นไง”

“หน้ามันอย่างกับจะฉี่ราดเลยนะ”

“เวอร์ไป”

“พี่ทำแบบนั้นได้ปะ แบบว่า อัดพลังเข้าไปหนักๆ ล่อให้แม่งฉี่แตกไรงี้ หรือให้ขี้ไหลเลยยิ่งดี” ผมพูดพร้อมกับชกลมแรงๆ เป็นจังหวะที่พี่ทัชเปิดขวดน้ำจะยกดื่มพอดี “กินมั่งดิ” พอผมบอกอย่างนั้น เขาก็ยกดื่มโดยไม่ให้ขวดโดนปากแล้วส่งให้ผม ผมรับขวดมายกซดแบบโดนปากเต็มๆ ซัดไปเกินครึ่งขวด

“ไม่คิดว่ากูจะกินต่อเลยเหรอ”

“อ่าว ก็ไม่บอกก่อนอะ ต่อๆ ทำไมไม่ล่อให้พวกมันขี้แตกล่ะ”

“ปฏิกิริยาแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างมากก็ทำให้ตกใจในช่วงแรกๆ แค่นั้นแหละ หรือบางคนอาจจะแทบไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้”

“วันแรกที่พี่แตะตัวผม ผมปวดขี้นะ”

“มึงปวดอยู่แล้วรึเปล่า”

“ก็จริง”

“ดีแล้วล่ะที่มันไม่มีอาการอะไรมาก ถ้ามันขายหน้าต่อหน้าเพื่อน เดี๋ยวจะตามมาวุ่นวายกับเราไม่เลิก”

“กลัวซะที่ไหน”

“กูกลัว”

“ฮะ? แต่หน้าพี่โคตรไม่กลัวเลยนะ เก็บอาการเหรอ”

“กูกลัวว่าวันหลังมันจะตามมากระทืบมึง จนมึงนี่แหละที่เป็นฝ่ายขี้แตกซะเอง”

“...”

ได้ยินได้ฟังดังนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก อยากจะถามว่า นี่พี่เป็นห่วงผมจริงๆ ดิ แต่ก็ไม่กล้า

“เก็ต” ผมยกขวดน้ำขึ้นจิบอีก “ว่าแต่ ผมถามจริงๆ นะ คือมันคาใจไม่หายสักที พี่ทำได้ไงวะ นิ้วพี่มีอะไรวิเศษนักหนา”

พี่ทัชนิ่งไป เขามองฝ่ามือตัวเองคล้ายกับนึกหาคำพูดเพื่ออธิบาย “กูไม่ได้ทำอะไร”

“เอ้า อุตส่าห์ตั้งใจฟัง หาไม่ได้ง่ายๆ นะเฮ้ยที่คนอย่างนะฑีจะตั้งใจฟังอะ แล้วตอบมาแค่เนี้ย? ขยายความหน่อยดิ”

“มันติดตัวมาแต่เกิด กูไม่ได้ทำอะไร แล้วก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ด้วย มันก็แค่...เวลาปลายนิ้วกูแตะตัวใครคนนั้นจะพูดความจริง กูไม่รู้ด้วยว่าคนที่ถูกแตะตัวรู้สึกยังไง”

“ตอนพี่จับมือผม ถ้าไม่นับเรื่องปวดขี้ ผมก็รู้สึกหวิวๆ นะ” พูดแค่นี้เดี๋ยวพี่แกเข้าใจผิดว่าหวิวแบบไหน เลยเสริมไปอีก “คันๆ อะ เหมือนมดไต่”

“อืม”

“นั่นแหละ แล้วก็อยากพูดความจริงในหัวออกมา ยิ่งตอนถูกถามยิ่งแบบ...ไม่รู้ดิ ต้องพูดอะ ฝืนไม่ได้เลย”

“ยิ่งฝืน ยิ่งไม่โอเค”

“ใช่ๆ พอได้พูดออกมาค่อยโล่งขึ้นหน่อย” ตอนนี้ทั้งสิบนิ้วของมีพลาสเตอร์พันไว้เรียบร้อย เห็นแล้วก็นึกสงสัยต่อ “เคยมีคนที่ใช้ไม่ได้ผลมั้ย จับตัวแล้วยังโกหกได้อะ”

“ไม่เคย” พี่ทัชตอบ “อาจจะมีคนแบบนั้นอยู่ก็ได้ กูไม่ได้แตะตัวใครพร่ำเพรื่อขนาดนั้น”

“งั้นเท่าที่ผ่านมา มีคนทนได้นานสุดแค่ไหน กว่าจะพูด”

“ไม่เกินสิบวิ”

“เจ๋งว่ะ พี่แม่งปีศาจชัดๆ”

“...” พี่ทัชไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ สายตานิ่งๆ มองหน้าผมอยู่ สายตาที่โคตรจะอ่านยาก ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร รู้แต่ว่าเห็นแล้วรู้สึกคอแห้งแปลกๆ

“ไอ้เป้มันคงฝืนสุดๆ” ผมพูดต่อ “มันถึงได้หน้าซีดเหงื่อแตกขนาดนั้น”

“คงเพราะตกใจด้วย”

“สมมตินะสมมติ ถ้าเจอพวกใจหินๆ อย่างสายลับอะ CIA ไรงี้ ถ้าพี่แตะตัวแล้วคนพวกนี้ฝืนที่จะไม่บอกความจริงอะไรเลย ทนไปเรื่อยๆ จะเป็นไง”

“กูไม่รู้”

“แบบ จะถึงตายเลยปะ หัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตกไรงี้”

“กูคงโดนฆ่าตายก่อนมากกว่า”

“ฮ่าๆ” ผมหลุดหัวเราะ “ทีแรกผมนึกว่าพี่จะเข้าไปอัดไอ้เป้มันนะ ไม่นึกว่าจะใช้พลังเอ็กซ์เมน...” พอพูดปุ๊บตะหงิดๆ เอง ไม่รู้ว่าตอนนี้เหมาะที่จะใช้คำนี้มั้ย แต่สีหน้าเขาก็ยังเรียบๆ ตามปกติ “...ก็นั่นแหละ ไม่คิดว่าพี่จะทำแบบนั้น”

“มึงจะได้หายคาใจ”

“พี่แกะพลาสเตอร์ออกตอนไหนอะ”

“ตอนที่มึงไม่เห็น”

ผ่าม!

ก็ถูกของเขา

“แล้วไม่กลัวมันแฉเรื่องพลังของพี่เหรอ”

“ไม่มีใครเชื่อหรอก”

“อาจจะมีก็ได้”

“ก็คุ้มที่จะเสี่ยง”

“...” ทำไมคอแห้งวะ จิบน้ำอีกดิ๊ “คุ้มยังไง”

“ดีกว่าปล่อยให้มึงสงสัย แล้วคอยไปหาเรื่องมัน”

“แต่มันก็เอาไปจริงๆ อะ รู้งี้แล้ว เราจะปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเหรอ เราต้องผดุงความยุติธรรมดิ พี่จะเป็นฮีโร่หรือเป็นปีศาจอะ นี่ถ้าเอาชีวิตพี่ไปสร้างเป็นหนัง ช็อตนี้คือถึงเวลาต้องเลือกแล้วนะ”

“มึงนี่มันจริงๆ เลยว่ะ”

“อะแน่นอน ผมคนจริงอยู่แล้ว”

“ปล่อยมันไปเถอะ เลิกยุ่ง”

“แต่…”

“เอาของกูไปใช้ก่อน” พี่ทัชหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าวางบนโต๊ะ มันคือไอโฟนรุ่นเดียวกับของผมเป๊ะ “เครื่องเก่ากู สภาพยังโอเคอยู่”

“ให้เลยเหรอ” ผมทำตาโต

“เข้าใจคำว่าเอาไปใช้ก่อนมั้ย”

ผมหยิบขึ้นมาพลิกดู เครื่องปิดอยู่ ดูจากภายนอกคือสภาพใหม่กว่าเครื่องผมที่โดนไอ้เป้สอยไปอีก “มีรูปโป๊เปล่า แน่ใจนะว่าพี่ลบออกหมดแล้ว คลิปหวิวๆ ที่พี่ถ่ายตัวเองอะ”

“ไม่ได้ลบ”

“จริงดิ”

“เพราะมันไม่มี”

“น่าเสียดาย” เผลอพูดอะไรที่จะทำให้เขาเข้าใจผิดอีกละ ต้องเสริมๆ “ถ้ายังไม่ลบ ผมจะได้เอาไว้แบล็กเมล์พี่ แต่เอาจริงๆ ผมเกรงใจนะ อยากหาเงินซื้อด้วยตัวเองมากกว่า”

“งั้นก็ไปทำงานหารายได้เสริม”

“ที่ไหนอะ เคเอฟซี สตาร์บัคไรงี้เหรอ”

“ก็แล้วแต่”

“แค่เรียนอย่างเดียวก็จะตายแล้ว วิชาปีสองโคตรโหด”

“รอขึ้นปีสี่ก่อนเถอะ แล้วจะรู้”

“ปีสี่ยังโหดอีกเหรอ เห็นพี่โคตรชิลล์ วันๆ นั่งเล่นกับยุงงี้ อ่านกลอนงี้”

“หึ” พี่ทัชหัวเราะในคอ และไม่ขยายความอะไร แต่แค่หึคำเดียวก็เหมือนจะครอบคลุมความโหดร้ายทั้งปวงของการเรียนปีสี่ไว้แล้ว เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

“ใช้พลังพี่ไปหาเงินกัน เอามะ จิ๊กบัตรเอทีเอ็มคนแล้วเค้นถามรหัสก็ไม่เลวนะความคิดนี้ ง่ายเลย”

“เมื่อกี้มึงบอก ผดุงความยุติธรรมอะไร”

“เราก็เลือกจิ๊กแต่คนเลวๆ ดิ เหมือนโรบินฮู้ดอะ แบบ...”

“สรุปตามนั้นละกัน” โม้ยังไม่จบก็ถูกตัดบทซะก่อน “เอาเครื่องนี้ไปใช้ก่อน แล้วก็อย่าไปยุ่งกับไอ้เป้อีก”

“ก็คือให้เลยมั้ย”

พี่ทัชขำ “ถ้าชอบก็เอา”

ผมก้มมองโอโฟนในมืออีกครั้งพลางชั่งใจ “ไม่เอาอะ ของเก่า ขอแค่ยืมใช้ละกัน” แล้วก็ยกมือไหว้ท่วมหัว “ขอบคุณที่เมตตาครับ แต่ไอ้เป้นี่ ถ้าผมเจอมันเดินเดี่ยวๆ ที่ไหน ก็ไม่แน่อะ แล้วแต่ว่าตอนนั้นของจะขึ้นเบอร์ไหน”

พี่ทัชถอนหายใจ “บ่ายมีเรียนรึเปล่า”

“มีดิ วันจันทร์งี้ จะเหลือเหรอ”

“งั้นก็ไปเรียน”

“พูดแล้วนึกได้ วันนี้ตื่นสายเลยไม่ได้กินข้าวเช้า ข้าวเที่ยงกำลังจะกินพี่ก็ลากผมมาก่อน ความผิดพี่อะ”

“แซนด์วิชมั้ย”

“ไม่อิ่ม ราดหน้าดีกว่า”

“แซนด์วิชสองอัน”

“ไม่อร่อย”

“มึงไปเรียนไม่ทันไง” พี่ทัชควักมือถือมาดูหน้าจอ

“โดดได้ มีเจษฎาเลกเชอร์ให้อยู่ คนนี้เชื่อมือได้ จดเร็วระดับโลก”

“ไปเรียนซะ กูก็มีงานที่ต้องทำ”

“โอ๊ย หิว” ผมนั่งโงนเงน “จะเป็นลม ช่วยด้วย”

“นะฑี”

ผมก้มหน้าลง แล้วเริ่มร้องเพลง “โหยหา ความรักความเมตตา หิวความ ศรัทธาความมั่นใจ ไขว่คว้า ความสุขความสดใส ขอเพียง มีใครเอื้ออาทร...~”

พี่ทัชถอนหายใจยืดยาว ยาวสุดๆ กว่าทุกครั้งที่เคยเห็น จากนั้นก็ลุกขึ้นหันหลังอย่างไม่ไยดี “ไป”

“เรียนไม่ไหว หิว”

“ราดหน้าก็ราดหน้า”

“เยส!”




______________________________


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ขอบคุณที่คอมเมนต์หากัน ได้อ่านทุกข้อความเลยนะคะ
มีค่ากับใจมากๆ เลย T T


นางร้าย
16.สิงหา.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 10-11) |▌16.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 16-08-2019 20:02:05
เสียใจกับเรื่องสัตว์เลี้ยงด้วยนะคะ

นะฑีเวลาหงอยนี่หงอยจริงๆ แต่โชคดีที่น้องไม่หงอยนานกลับมากวนๆได้เหมือนเดิมอีก กวนจนพี่ทัชต้องยอมให้เลย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 10-12) |▌16.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 16-08-2019 22:45:17
แตะต้องครั้งที่ 12
จับบบ…เปิดตัวนะเธอเจอผงซักฟอกทำไม บอกเรื่องกรวยไต เกี่ยวอะไรกับบทกลอน

 

NaTee(n): ลื่น

NATOUCH: ล้ม?

NaTee(n): มือถือใหม่อะ ลื่น

NATOUCH: มึงบอกของเก่า

NaTee(n): แต่เทสแล้ว เหมือนใหม่เลยนะ

NaTee(n): เครื่องสะอาด ลื่นปร๊าด

NaTee(n): ถ้าไม่มีคลิปโป๊นี่นึกว่าตั้งค่าคืนโรงงาน

NATOUCH: …

               

น่ะ ถึงกับโปรยเม็ดเกลือ

               

NaTee(n): ล้อเล่น

NaTee(n): คลิปทารุณสัตว์ต่างหาก

NATOUCH: กูกำลังช่วยมันต่างหาก

 

คลิปทารุณสัตว์ที่ว่าก็คือ คลิปเดียวที่ยังเหลือในเครื่อง เป็นคลิปหมาถูกลากไปกับพื้น แล้วหน้าตาหมาคือโคตรฮา ทั้งง่วงทั้งขืน ทิ้งตัวนอนแข็งทื่อ แต่ยังถูกเจ้าของลากสายจูงไปเรื่อย และตอนนี้ก็ชัดแล้วว่าคนลากคือพี่ทัชนี่เอง

 

NaTee(n): ช่วยยังไง

NaTee(n): มันจะนอน พี่ไปลากมัน

NaTee(n): บาป

NATOUCH: หมอให้ลดน้ำหนัก

NaTee(n): (สติกเกอร์หัวเราะ)

NaTee(n): พันธุ์ไรอะ

NATOUCH: ชิบะ

NaTee(n): ชื่อ

NATOUCH: ผงซักฟอก

NaTee(n): (สติกเกอร์โคตรฮา)

NaTee(n): (สติกเกอร์หัวเราะน้ำตาไหล)

NaTee(n): ใครตั้งให้

NATOUCH: แม่

NaTee(n): น่ะ ว่าละ

NaTee(n): แมวผมแม่ก็ตั้งชื่อ หมอนนิ่ม

NaTee(n): แต่ผมไม่เรียกตามอะ

NaTee(n): แมวนรก สมควรชื่อหมอนเน่าไป

NaTee(n): ทำไมแม่พี่ตั้งว่าผงซักฟอก

NATOUCH: รับมาวันแรกก็เอาผงซักฟอกไปฟัดเล่น

NATOUCH: ต้องพาไปอาบน้ำหาหมอ

NaTee(n): (สติกเกอร์หัวเราะ)

NaTee(n): แสบดี

NaTee(n): แล้วเวลาเรียกชื่อมัน เรียกไงอะ

NaTee(n): ผงซักฟอกมานี่ งี้เหรอ

NaTee(n): เรียกเต็มๆ เลย?

NATOUCH: แม่เรียกน้องผง

NATOUCH: พ่อเรียกไอ้ฟอก

NATOUCH: กูเรียกผงฟอก ถ้าดื้อมากก็เรียกคุณผงฟอก

NATOUCH: ส่วนพี่สาว เปลี่ยนชื่อมันไปเรื่อยๆ แล้วแต่อารมณ์

NATOUCH: บรีสเอ็กเซล อะไรพวกนั้น

NaTee(n): 555

NaTee(n): น้องมึนมั้ยนั่น

NATOUCH: หน้ามึนมากกว่า

NaTee(n): พี่มีพี่น้องด้วยเหรอ

NaTee(n): กี่คนอะ

NATOUCH: 1 คน

NATOUCH: พี่สาว

NaTee(n): ชื่อไร

NATOUCH: ณเทอ

NaTee(n): เฮ้ย เก๋เวอร์

NaTee(n): ออกเสียงว่า นะเธอ

NaTee(n): เวลาเพื่อนชวนคุยก็ ณเทอๆ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ นะเธอนะ

NaTee(n): งงไปอี๊ก

NATOUCH: ก็เคยมีคนงงบ้าง

NaTee(n): ชื่อแปลกหนักกว่าพี่อีกนะเนี่ย

NaTee(n): แล้วสวยปะ

NATOUCH: สวย

NaTee(n): สวยแบบไหน

NATOUCH: ก็สวย

NaTee(n): แบบเซ็กซี่ เปรี้ยวแสบไส้ หรือเรียบร้อยนุ่มนิ่มไรงี้

NATOUCH: หมวยๆ

NATOUCH: ก็เรียบร้อย

NATOUCH: มั้ง

NaTee(n): มีมั้งด้วย

NaTee(n): แบบ เรียบร้อยกับคนแปลกหน้า ซ่ากับคนในบ้านงี้?

NATOUCH: อืม

NaTee(n): เก็ต

NaTee(n): แล้วคนที่บ้านรู้ปะว่าพี่เป็นเอ็กซ์เมน

NATOUCH: ทุกคนรู้

NaTee(n): ก็คิดว่างั้นแหละ

NaTee(n): แม่พี่ต้องรู้คนแรกแน่ๆ

NaTee(n): ก็พี่บอกว่าเป็นตั้งแต่เกิดแล้วนิ ใช่มะ

NaTee(n): เวลาแม่ให้กินนม พี่เอามือไปแปะนมแม่งี้

NaTee(n): เสร็จเลย แม่โกหกไม่ได้

NATOUCH: …

NaTee(n): แล้วพ่อกับพี่สาวรู้ตอนไหนอะ

NATOUCH: ตอนกูเด็กๆ

NATOUCH: นานแล้ว

NaTee(n): อะฮะ 

NaTee(n): พี่ณเทอห่างจากพี่กี่ปีอะ

NATOUCH: 4

NATOUCH: มีแฟนแล้ว

NaTee(n): อะ มีคนค้ำประกันซะละ

NaTee(n): แต่สวยๆ อายุรุ่นนี้ก็ไม่น่ารอดอยู่แล้ว

NaTee(n): เออ แต่ผมไม่ได้ถามนะว่าพี่สาวพี่มีแฟนหรืออะไร

NaTee(n): ทำไมบอกอะ

NATOUCH: อ่อ

NaTee(n): เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่พี่บอกอะไรโดยไม่ได้ถาม

NATOUCH: อ่อ

NaTee(n): แล้วรู้ปะ

NaTee(n): น่าจะเป็นครั้งแรกด้วยที่แชตกันไหลแบบไม่มีติดขัดขนาดนี้

NATOUCH: งั้นก็แค่นี้

NATOUCH: กูนอนละ

NaTee(n): เอ้า เดี๋ยวสิ

NaTee(n): พี่

NaTee(n): เพ่

NaTee(n): มีคลิปทารุณผงฟอกอีกมั้ย

NaTee(n): อยากดูอีก

NaTee(n): {สวัสดีวันพุธ}

 
อ่านแต่ไม่ตอบ

นอนอะไรของพี่แกวะ นี่บ่ายสาม อยู่มหา’ลัย   

แล้วผมก็ไม่ได้ส่งสติ๊กสวัสดีมั่วซั่วด้วย วันนี้คือวันพุธจริงๆ

“เบื่อคนเห่อมือถือใหม่เว้ย” เปิ้ลพูดลอยๆ

“ใหม่อะไร มือสอง แล้วก็ไม่ใช่ของกู” ผมเงยหน้าขึ้นมามองโลก บ่ายวันพุธมันก็จะสบายๆ หน่อย ตอนนี้เราสามหน่อนั่งสุมหัวกันอยู่ที่ซุ้มม้านั่งข้างคณะ ถึงจะนั่งด้วยกันแต่คล้ายจะต่างวัตถุประสงค์ ผมเล่นมือถือ เจษฎาเล่นหมากล้อมออนไลน์ ส่วนเปิ้ลสอดส่ายสายตาหาเหยื่อหน้าตาเอ๊าะๆ

“แชตไรวะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไหนดูซิ”

“เปิ้ล ถ้าว่างๆ มึงก็เปิดกูเกิลนะ แล้วก็ค้นหาความหมายคำว่า ‘มารยาท’ อ่านซะ จะได้ฉลาดขึ้น”

“ไม่ต้องค้นหรอก เรารู้ความหมายคำนี้” เจษฎาสอดปาก

“พอ เจษ ไม่ต้องอธิบาย” เปิ้ลตัดบท “ส่วนมึงนะฑี ถ้าจะก้มหน้าก้มตาเล่นแต่มือถือขนาดนั้น มึงก็เปิดกูเกิลค้นความหมายคำว่า ‘ไม่สนใจเพื่อนฝูง’ บ้างนะ”

“ไอ้เจษก็เล่น ทำไมไม่ว่ามัน”

“เราเล่นโกะ นี่ ดูๆ ใกล้ชนะแล้ว”

“ล้ำลึกมากเจษ นี่คือแก่นแท้ของหยินหยางเลยนะกูว่า” ผมบอก “มึงบรรลุสมดุลแห่งจักรวาลแล้ว”

“เราหมากขาว เห็นมุมขวาบนมั้ย เรากำลังจะฆ่าหมากดำกลุ่มใหญ่เลย ทางนั้นพลาดโดนเราตัดหมากเป็นสองกลุ่มอะ แล้วกลุ่มใหญ่คือไม่เหลือห้องแท้ๆ เลย”

“ก็ไปจองโรงแรมดิ”

“ฮะ?”

“อยากได้ห้องแท้ๆ ก็ต้องไปโรงแรม”

“ไม่ใช่แบบนั้น ห้องแท้ หมายถึงพื้นที่ในกระดาษที่หมากเราล้อมได้อะ หมากแต่ละกลุ่มต้องมีห้องแท้อย่างน้อยสองห้องถึงจะรอด...”

“เจษ เอาเป็นว่ากูดูไม่รู้เรื่อง”

“อะ เปิ้ลดู…”

“ตั้งใจเล่นไปเจษ” เปิ้ลบอก “ถ้าชนะเลี้ยงน้ำด้วย”

“โอเค ได้ๆ”

“ไง นะฑี เจอความหมายรึยัง ความไม่สนใจเพื่อนฝูงอะ”

ผมยังก้มอ่านทวนแชตพี่ทัชอยู่ แต่สงสัยเปิ้ลจะงอนจริงๆ ละ เลยกดพักหน้าจอไว้ก่อน “เจอแต่คำว่า ‘เจ้ากรรมนายเวร’ อะ ล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าเป็นตูดดิ ไม่สวยนะ”

“กูไม่ได้อยากสวย”

“ทำไมชีวิตมึงน่าสงสารจังวะ ไม่อยากสวยดันสวย ไม่อยากได้นมแต่ดันมีซะเยอะแยะ”

“วกมาที่เนื้องอกกูอีกละ”

“ไม่วกได้ไง นี่เครื่องหมายการค้ามึง”

“อย่ากวนส้น”

“ทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์วะ แต่งหน้าหน่อย ใส่เสื้อคอกว้างๆ ไลฟ์สดเต้นบ้างไรบ้าง พอคนดูเยอะก็ขายครีม รวยไม่รู้เรื่องอะ ลองปะ กูหุ้นด้วย”

“หุ้นนี่คือทำหน้าที่ไร”

“เดี๋ยวกูเต้นโชว์ขนหน้าแข้ง”

“แค่คิดก็จะอ้วกละ”

“เอ่า มึงไม่รู้อะไร ช่วงนี้สายฮากำลังมา ส่วนไอ้เจษก็รับหน้าที่กรรมกรไป แพ็คของ เคปะ เจษ”

“โอเค” เจษว่า “วางตรงนี้ โอเค...ชนะแล้ว” อ่อ โอเคนี่คือเพ้อกับหมากล้อมหยินหยาง

เปิ้ลปรบมือแปะๆ “ชนะแล้วทำไง”

“อ้อ เลี้ยงน้ำๆ โอเค…” แต่ยังไม่ทันที่เจษจะได้ลุก ใครคนหนึ่งก็แถเข้ามา

“เฮีย หวัดดีค่ะ”

“ซะ...เซ็ก” เจษอ้ำอึ้ง

“เซ็กซี่ค่ะ เรียกให้เต็มๆ ดิเฮีย...พี่นะฑี หวัดดีค่ะ”

“หวัดดีน้อง” ผมรับไหว้โดยหันไปอีกทาง

“ตึงโป๊ะ ทางนี้ค่ะพี่” น้องรับมุกรวดเร็วทันควัน “แล้วก็พี่โอเปิ้ล หวัดดีค่ะ”

“หวัดดีน้องเซ็กซี่~” เปิ้ลออกเสียงชื่อน้องสั่นๆ เหมือนเสียงตัว Z ก่อนจะตามด้วยยิ้มหวาน

นี่คือน้องรหัสเจษ ผมรับพนันร้อยนึงเอาบาทเดียวว่า ‘เซ็กซี่’ เป็นชื่อที่น้องตั้งเองหลังจากแตกเนื้อสาวแน่นอน เพราะไม่น่าจะมีพ่อแม่คนไหนจิตใจแข็งแกร่งและล่วงรู้อนาคตว่าลูกสาวจะมาสายนี้ ลักษณะน้องคือ ชุดคับติ้ว คิ้วโก่ง ดั้งโด่ง หน้าเป๊ะ เรียกว่าได้แซ่บแสบทรวงตั้งแต่หัวจดเท้า

คณะเราใช้วิธีจับคู่พี่น้องรหัสแบบแรนด้อมตามยถากรรม และสงสัยปีนี้กรรมคงจะให้ผลจริงๆ พี่น้องรหัสหลายคู่เลยดูผิดฝาผิดตัวกันไปหมด

น้องรหัสผมเป็นเด็กสาวหน้าตาปานกลาง ตบมุกพอใช้ ชอบของกุ๊กกิ๊ก พูดเกาหลีได้เล็กน้อย และไม่นิยมคำหยาบ น้องรหัสเปิ้ลเป็นหนุ่มตี๋ที่น่าจะแพ้ทางสาวทรงโต เวลาคุยกับเปิ้ลเลยมักจะสายตาล่อกแล่กและหน้าแดงตลอดเวลา เลยถูกเปิ้ลจิกหัวด่าประจำ

ส่วนน้องรหัสเจษ ก็สภาพอย่างที่เห็น ดูไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่องสุดๆ แล้วในบรรดาคู่พี่น้องรหัสของเราสามคน แต่กลายเป็นว่า หลังจากช่วงรับน้องเข้มข้นผ่านไป น้องรหัสของผมกับเปิ้ลดันค่อยๆ หายหน้าหายตาไป มีเหลือแค่น้องเซ็กซี่นี่แหละที่โผล่หน้ามาทักทายแก๊งเราบ้าง

“ทำไรกันอยู่เหรอคะ”

“หายใจทิ้งเล่นๆ” ผมบอก “น้องมีไรจะคุยกับเจษรึเปล่า ลากตัวมันไปได้นะ”

“มีค่ะ”

เจษนั่งตัวตรง “ไรเหรอ”

“เฮีย ติวให้หน่อยดิ”

“วิชาไร” เจษถามเสียงเบา

น้องเซ็กซี่นั่งกระแซะข้างเจษ พร้อมกับกางหนังสือให้ดู “เนี่ย ไม่เข้าใจตรงนี้” พูดเสียงสองเหมือนเด็กสาวอ้อนป๋าอยากได้คอนโด ที่ผ่านมาน้องก็มีท่าทีใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวเจษแบบนี้ตลอด ไม่รู้ว่าคิดจริง หรือว่าอยากแกล้งเล่น หรือเป็นไลฟ์สไตล์ตามปกติของสาวแซ่บ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

“ตรงไหน”

“ทั้งหมดเลย นะ...เฮีย” ว่าแล้วก็เกาะแขน แก้มแทบจะซบไหล่ เล่นเอาเจษหน้าแดงแปร๊ด

“ดะ...เดี๋ยวพี่หาชีทสรุปให้”

“แล้วเซ็กซี่จะเข้าใจเหรอ”

“เข้าใจๆ ถึงเรียกว่าชีทสรุปไง ปะ...ปล่อยแขนพี่เถอะ คนมอง”

“เอาชีทให้วันไหน”

“พรุ่งนี้ก็ได้ อือ พรุ่งนี้ๆ”

“เย้ จุ๊บ~”

จุ๊บที่ว่าคือ น้องเอามือแตะปากตัวเอง แล้วเอาไปแตะที่แก้มเจษฎาต่อ น่าสงสาร ถ้ามุดดินได้เจษมันคงมุดดินกลับบ้านแล้วตอนนี้

“พี่ติวให้ได้นะ” เปิ้ลพูด

“แหม พี่ก็” เซ็กซี่ยิ้มสู้ “เรื่องเรียนรบกวนเฮียคนเดียวพอค่ะ เกรงใจ เซ็กซี่อยากรบกวนพี่โอเปิ้ลเรื่องอื่นมากกว่า”

“ว่า?”

“พอดีเปิดแชแนลยูทูบใหม่อะค่ะ แนวบิวตี้บล็อกเกอร์ สอนแต่งหน้าไรงี้ อยากให้พี่เป็นนางแบบให้หน่อย หน้าพี่สวยอะ”

“...” เปิ้ลถอนหายใจเหมือนปลงชีวิต “น้องแหกหูฟังนะ ถ้าไม่อยากตบรองพื้นใหม่ มาทางไหนรีบไปทางนั้นเลย”

“ดุจัง ค่ะๆ ไปแล้ว...ขอบคุณนะเฮีย จุ๊บ~”

แล้วน้องก็เยื้องย่างออกไป

“นี่น้องคิดไรกับมึงจริงรึเปล่าวะเจษ” เปิ้ลถาม

“เราไม่...ไม่รู้”

“ถ้าคิดจริงนี่ผิดผีเลยนะมึง” ผมพูดเสริม “มันมีอาถรรพ์นะเว้ย ถ้าสายรหัสกินกันเองมักจะไม่รอด เห็นหลายคู่แล้ว”

“เราไม่คิดอะไรอยู่แล้ว”

“จริงรึ” ผมถาม

“จริงสิ”

“แน่นะ”

“แน่สิ”

“ไม่ยั่วนะ”

“ยั่วไรเหรอ”

เปิ้ลหัวเราะพรืด ส่วนผมทำหน้าเศร้าและตบไหล่ปลอบเบาๆ ต้องใช้เวลาอยู่ประมาณสามวินาที เจษถึงค่อยเข้าใจ “อ้อ เล่นต่อเนื้อเพลง”

“ช่างมันเถอะ” ผมบอก “กูว่าจะถามเรื่องนึง เพิ่งนึกได้ มึงรู้จักไฮกุปะ”

“ก็รู้จักนะ ไฮกุมีรากฐานมาจากบทกวีดั้งเดิมของญี่ปุ่น ถ้าจำไม่ผิด ในสมัยเอโดะมีปรมจารย์ท่านหนึ่งที่เก่งๆ อะ เดี๋ยวค้นแป๊บ…”

“ไม่ต้องลงลึกขนาดนั้น กูปวดหัว”

“อ้อ แล้วไฮกุทำไมเหรอ”

“แต่งสดให้กูฟังสักบทดิ๊ ขอคมๆ” ผมบอก “เอาที่เกี่ยวกับความง่วงๆ หรือหลับๆ ไรงี้”

“เหรอ ทำไมล่ะ”

“เออ ลองแต่งดู”

“อืม...คิดไม่ออกอะ”

“กูก็สงสัย” เปิ้ลพูดโดยที่ยังก้มหน้าก้มตาเลื่อนจอมือถืออยู่ “นี่ เจอละ...ไฮกุ กลอนญี่ปุ่น เขียนสามวรรค 5-7-5 พยางค์” แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาถามแบบเดียวกับเจษฎา “ทำไมวะ”

“ช่างมันเถอะ”

“งั้นกูค้นต่อ ความหมายคำว่า ‘มีลับลมคมในกับเพื่อน’...อือหือ คำนี้ความหมายเชิงลบพอๆ กับด่าว่าเหี้ยเลยนะเนี่ย”

“ไม่มีไร ช่วงนี้อยากอ่านหนังสือนอกเวลา กลอนสั้นๆ ไรพวกนี้น่าจะดี”

“มึงเนี่ยนะอยากอ่านหนังสือนอกเวลา” เปิ้ลทำตาโต “เอาหนังสือเรียนในเวลาให้รอดก่อนมั้ย”

“นี่ๆ ดูเล่มนี้สิ” เจษเอียงหน้าจอมือถือให้เราดู “วันนั้นที่นะฑีแนะนำให้รู้จักพี่ทัช เราเห็นเล่มนี้วางอยู่บนกองหนังสือพี่เขาด้วยนะ เราจำหน้าปกได้ ถ้าอยากอ่านลองถามพี่เขาดูดิ”

ตึ่ง!

เจษ

มึง

“เอ้า เหรอวะ เดี๋ยวไว้ถามดู” ผมตามไปน้ำขุ่นๆ “มีอันอื่นอีกมะ”

“เดี๋ยวนะ หาแป๊บ”

เจษฎากลับไปค้นข้อมูล ส่วนเปิ้ลนั่งกอดอกและเอียงคอมองผม ไม่พูดไม่จา แต่สายตาเหมือนอยากถามว่า ‘มึงเป็นใคร เอานะฑีตัวจริงไปซ่อนไว้ไหน’

“เจอบทนึงในเพจกลอนเปล่าอะ เกี่ยวกับกาแฟ”

“ไหนส่งมา” ผมบอก

เจษก็อปปี้จากเพจนั้นแล้วส่งมาให้ผมทางไลน์

 

นั่งในร้านกาแฟ
ฟังเสียงคนพูดคุยรอบตัว
ไม่มีเรื่องกาแฟ


#แอดมินทอย

 

“เกี่ยวกับหลับๆ ยังไงวะเจษ”

“ก็กาแฟไง แก้ง่วง”

“เหรอวะ”

พอได้อยู่มั้ง ผมกดก็อปปี้ไปวางในช่องแชตกับพี่ทัช กดลบชื่อแอดมินทอยออก แล้วส่งไป

เขาตอบกลับมาแทบจะทันที

 

NATOUCH: อืม

NATOUCH: กูตามเพจนี้อยู่

 

ผ่าง!

ดีนะ ยังไม่ได้เคลมว่าเขียนเอง

เลิกๆ คุยเรื่องอื่น

 

NaTee(n): ติดเชื้อขี้เซาจากผงฟอกเหรอ

NATOUCH: ...     

NaTee(n): ตื่นยัง

NATOUCH: ยัง

NaTee(n): ไม่ตื่น ทำไมพิมพ์ตอบได้

NATOUCH: ละเมอ

NaTee(n): เก่งนะเนี่ย

NaTee(n): ไหนดู เก่งกว่าผงฟอกเปล่า

NaTee(n): ไปคาบไม้มา!

               

เขาไม่ตอบ

ไม่สิ น่าจะกำลังพิมพ์อยู่

ผมรออยู่อึดใจหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าสิ่งที่เขาตอบกลับมาไม่ใช่ข้อความ แต่เป็นไฟล์รูปภาพ...รูปมือข้างซ้ายถือดินสอแท่งสีน้ำตาลแบบไม่มียางลบไว้ เป็นมือเขาแน่นอนเพราะมีพลาสเตอร์พันอยู่ครบทุกนิ้ว

               

NaTee(n): อันนี้คือไม้ที่พี่ไปคาบมาว่างั้น?

NATOUCH: อือ

 

“นะฑี” เปิ้ลเรียก

ผมเงยหน้าขึ้น

“ยิ้มไรวะ”

“ซึ้งกับไฮกุเหรอ” เจษพูด “ยังมีของแอดมินคนนี้อีกเยอะเลยนะ เดี๋ยวเราส่งให้”

“ไม่ต้องละเจษ กูว่ามึงค้นความหมายคำว่า ‘ยิ้มเหมือนคนบ้า’ แล้วอ่านให้นะฑีมันฟังดีกว่า”

“อืม เราก็ว่างั้น”

ผมมองหน้าเพื่อนสองคนสลับไปมา “ไฮกุแม่งโคตรดี คนไม่มีศิลปะในกรวยไตอย่างพวกมึงไม่มีวันเข้าใจหรอก”

“เราว่ากรวยไตกับศิลปะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยนะ” เจษท้วง “อะ นี่ เราจะอ่านให้ฟัง...กรวยไตคือ ส่วนของไตที่เป็นช่องหรือเป็นโพรง มีลักษณะเป็นรูปกรวย ทำหน้าที่เก็บกักหรือพักน้ำปัสสาวะ…”

เจษอ่านเสียงแจ้วๆ

ผมได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง

ใจลอยไปไกลแล้ว...อุ๊ย แบบนี้พอจะเป็นไฮกุได้มั้ยเนี่ย






___________________


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค
แค่เข้ามาอ่านก็มีความหมายกับเรามากๆ แล้วค่ะ ^ ^


นางร้าย
16.สิงหา.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 10-12) |▌16.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 16-08-2019 23:00:37
อ่านชื่อตอนกี่ทีๆก็ยังงงทุกทีว่ามันเข้ากันได้ยังไง5555

กรี๊ดแ คิดถึงมากค่ะ มาต่อแล้วดีใจจัง เสียใจกับน้องด้วยนะคะ น้องไปสบายแล้ว :heaven

พูดถึงคลิป เรานี่ไปเสริชดูคลิปเลย ฮาจริง555555  :m20:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 10-12) |▌16.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 17-08-2019 23:07:43
เราชอบชื่อตอน โคตรจะเป็นเอกลักษณ์ อ่านแล้วเดาทางเนื้อหาในตอนไม่เคยถูกเลย 55555

นะฑี นี่ต้องเป็นคนชีวิตคิดบวกขนาดไหนนะ? ถึงได้ใช้ชีวิตสดใส กวนบาทาเพื่อนร่วมโลกได้ทุก 10 วินาทีอย่างฮาเฮขนาดนี้ เอ๊ะ! หรือว่าจริงๆแล้วนี่เป็นเนื้อแท้ของคนเขียนปลอมตัวมาเป็นนะฑีเองคะ?  :laugh:

ร.เรือ ว่าสนุกแล้ว เรื่องนี้ยิ่งสนุก ชอบมากเลยอ่ะค่ะ มาต่อบ่อยๆนะคะ อย่าทิ้งกันน๊าาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 10-12) |▌16.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-08-2019 10:00:01
 :katai2-1:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 10-12) |▌16.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 24-08-2019 17:58:33
อ่านเรื่องนี้แล้วอารมณ์ดีตลอดเลย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 13) |▌24.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 24-08-2019 22:15:20
แตะต้องครั้งที่ 13

จับบบ…สันดานตัวผู้มวยถูกคู่แล้วไง
ญาติใครมากินข้าว
สาธุ99ครับเจษสาเหตุหั่นศพ



น้าเกดทะเลาะกับสามีบังเกิดเกล้าอีกชัวร์

ผมไม่ต้องเป็นคนคุยเองก็รู้ ดูจากที่แม่คุยโทรศัพท์อยู่ราวๆ ยี่สิบนาทีแล้ว ทำหน้าที่พี่สาวที่ดี รับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ แต่ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านั้น

“เมี้ยว~”

“ไรมึง ไม่ต้องมาออเซาะ”

ผมเดินขึ้นห้องนอน ไอ้หมอนเน่าเดินตามขึ้นมา ร้องเมี้ยวๆ ด้วยเสียงสองเหมือนอยากเล่นด้วย “ถ้ากูให้เข้าห้อง ห้ามปีนนั่นปีนนี่นะมึง”

“เมี้ยว”

“กูเดาว่ามึงโอเคละกัน”

ผมเปิดประตูให้มันเข้าห้องไปด้วย เท่านั้นแหละ โดดขึ้นโต๊ะหนังสือไปตบปากกาเล่นกระจุยกระจาย “นั่นไง มึง” ทำหน้าทำตาโคตรเลวอีก มานี่เลย ผมรวบตัวมันลงมาบนเตียง ล็อกตัวมันไว้ แล้วจัดการทำสปาแมว เห็นแมวคนอื่นมีแต่นวดให้เจ้าของ แต่นี่กูต้องนวดให้มันแทน

พอไอ้หมอนเน่าเริ่มสงบ ผมก็หยิบมือถือมากดเข้าห้องแชต 



NaTee(n): ทำไมผู้ชายแม่งเลว

NATOUCH: ไร

NaTee(n): เกลียด

NaTee(n): เบื่อ

NaTee(n): เซ็ง

NATOUCH: …

NaTee(n): สันดานตัวผู้

NaTee(n): เลว

NATOUCH: ตัวผู้ตัวนี้ไม่เลวนะคับ

NATOUCH: ป๋มเป็นเด็กดี



พี่ทัชไม่พูดจาแบบนี้แน่ๆ นั่นไง เขาส่งรูปผงฟอกตามมาแล้ว ไม่นึกว่าหมาจะแสดงสีหน้าอารมณ์ดีได้ชัดเจนขนาดนี้ ยิ้มแบบว่าตาหยีและแลบลิ้นนิดๆ เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ อารมณ์ขุ่นๆ เมื่อกี้สลายไปเลย



NaTee(n): หน้ากวนมาก

NaTee(n): ขออีก

NATOUCH: ยื่นหมายื่นแมว

NaTee(n): ฮะ?

NATOUCH: รูปหมอนเน่า



ผมจับได้หมอนเน่ามากดแชะกันสดๆ รูปที่ได้คือหน้าหมอนเน่าที่เหวี่ยงขั้นสุด แล้วก็ส่งไปในห้องแชต



NATOUCH: หน้าเซ็งๆ

NATOUCH: ใครทำไร

NaTee(n): มันก็หน้างี้ตลอดอะ

NaTee(n): อยากจะฟาด

NATOUCH: สงสัยอารมณ์ไม่ดี

NaTee(n): มันแอ๊บ

NaTee(n): เมื่อกี้แอบทำลายของด้วย

NATOUCH: หมายถึงมึงอะ อารมณ์ไม่ดี

NATOUCH: ใครทำไร



ผมก็ไม่อยากพูดถึงคนในครอบครัวให้คนอื่นฟังหรอก

แต่อัดอั้นโคตรๆ

ไม่ไหวแล้วว่ะ



NaTee(n): ผัวน้าเกดอะ

NaTee(n): แม่ง

NaTee(n): เลว

NATOUCH: เขาทำไรมึง

NaTee(n): ไม่ได้ทำผม

NaTee(n): ทำน้า

NATOUCH: อ้อ

NATOUCH: เขาทำไร

NaTee(n): อย่างที่พี่เห็นวันนั้นแหละ

NaTee(n): เหมือนจะมีกิ๊ก

NaTee(n): ระแวง

NaTee(n): ทะเลาะรายวัน

NATOUCH: อืม

NaTee(n): ถ้าผมมีพลังแบบพี่นะ

NaTee(n): จะจับล็อกตัวให้แม่งแฉความเลวตัวเองให้หมดเลย



ผมชั่งใจอยู่สักพักว่าจะพิมพ์ต่อดีมั้ย

แต่ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลองดูละกัน



NaTee(n): พี่ช่วยน้าเกดหน่อยดิ

NaTee(n): ทำให้สามีแกสารภาพความจริง

NaTee(n): น้าเกดจะได้ตาสว่าง

NaTee(n): หรือถ้าแกไม่มีเมียน้อยจริง

NaTee(n): น้าเกดก็จะได้เลิกระแวง



พี่ทัชอ่านข้อความแล้ว ผมรออยู่สักพักแต่เขาไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่มีสัญญาณว่ากำลังพิมพ์ด้วย

ผมเลยตัดสินใจพิมพ์เพิ่มไปอีก



NaTee(n): ช่างมันพี่

NaTee(n): ผมนอนละ



ผมลุกไปเปิดประตูเชิญไอ้หมอนเน่าออกจากห้อง เพราะตามปกติแม่จะเป็นคนส่งมันเข้านอนในบ้านแมวที่อยู่ชั้นล่างทุกคืน ซึ่งมันก็ดูจะเข้าใจดี แต่ด้วยความที่เป็นแมวนรก มันเลยแอบตะปบขาผมสองสามทีก่อนค่อยเดินบิดตูดออกไป

จากนั้นผมก็ไปแปรงฟัน ปิดไฟ กลับขึ้นมาบนเตียง หยิบมือถือมาดูอีกครั้ง

พี่ทัชตอบแล้ว



NATOUCH: ตามประสบการณ์ของกู

NATOUCH: ความจริงมักจะโหดร้ายนะ

NATOUCH: บางที ไม่รู้ก็ดีกว่า



ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว นอนแผ่มองเพดานมืดๆ ก็ไม่ถึงกับมืดสนิท ผ้าม่านตรงหน้าต่างไม่หนาพอจะปิดกั้นแสงจากด้านนอกไว้ได้ทั้งหมด ผ้าม่านทั้งผืนเลยดูโปร่งแสงและทำให้ห้องมืดสลัวๆ บางครั้งมันก็ดูคล้ายประตูเวทมนต์ที่เปิดไปสู่มิติอื่นที่สว่างสดใสกว่ากว่าตรงนี้ ผมถึงกับเคยลุกขึ้นไปแหวกดูด้วยซ้ำ แต่มันก็คือผ้าม่านเก่าๆ ธรรมดาๆ นั่นแหละ

นอกจากห้องไม่มืดสนิท แถวนี้ยังไม่ค่อยเงียบด้วย หลักๆ คือเสียงรถวิ่งผ่านหน้าบ้านแทบตลอดเวลา รองลงมาก็เป็นเสียงหมาเห่า นอกนั้นก็เป็นเสียงอื่นๆ ของสังคมเมืองที่ผสมผสานกันจนเกิดเป็นเสียงหึ่งๆ แว่วมาจากที่ไกล

เพราะสภาพแวดล้อมแบบนี้แหละ ยิ่งทำให้ผมเป็นคนสมาธิสั้น นี่ความคิดก็เริ่มฟุ้งซ่านตีกันยุ่งอีกแล้ว

ตอบอะไรพี่ทัชดีล่ะ

หรือไม่ตอบดีกว่า

ใช่ ไม่ต้องตอบไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก ไม่ช่วยก็ไม่ช่วย ไม่ง้อ!

นอนดีกว่า

ห้านาทีผ่านไป ทนไม่ไหว ต้องหยิบมือถือมากดเข้าห้องแชตอีกครั้ง



NaTee(n): ตามประสบการณ์ของผม

NaTee(n): การโกหกกันแม่งโหดร้ายกว่าเยอะ



ผมคิดว่าตัวเองจะนอนไม่หลับอีกตามเคย แต่น่าแปลก พอพูดไปแบบนั้นแล้วกลับหลับง่ายขึ้น เช้านี้เลยไม่ต้องตาเหลือกเรียกใช้บริการวินพี่อี๊ดให้ยิงยาวถึงหน้าประตูมหา’ลัยอีก

วันนี้อากาศเย็น เมฆสีเทาเต็มฟ้า ดูเงียบเหงาซึมเซา

พี่ทัชไม่พิมพ์อะไรกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เช้าก็แล้ว สายก็แล้ว จนตอนนี้ถึงเวลาพักเที่ยงก็แล้ว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะเดินตกท่อหรือไม่ก็โดนหมาแถวบ้านกัดตายไปแล้วมั้ง แต่คิดอีกที แถวบ้านเขาคงไม่มีฝาท่อพังๆ หรือหมาจรจัดหรอก

เขาก็แค่ไม่อยากตอบแค่นั้นแหละ

แล้วทำไมกูไม่ถามไป เฮ้ย เพ่ ทำไร ตกส้วมตายแล้วเหรอ แค่นี้ ง่ายๆ แค่ตวัดปลายนิ้ว แต่ไม่เอาอะ ศักดิ์ศรีเว้ย! ถ้าไม่อยากคุยกันก็เงียบไปแบบนั้นแหละ จบ!

แต่ทำไมกูไม่จบวะ นี่อึนมาตั้งแต่เช้าละ

หรือว่าเป็นเพราะอากาศที่ชวนให้หดหู่…

“เป็นไรวะนะฑี” เปิ้ลพูดขึ้น “ปวดขี้ก็ไปขี้”

“ญาติเป็นพยาธิเหรอ ถึงรู้ว่าไส้กูต้องการขี้”

“หน้ามึงปวด”

“ถ้าปวดเดี๋ยวกูขี้เอง”

“เอ่อ…” เจษฎาแทรก “เรากำลังจะกินข้าวกันไม่ใช่เหรอ โดยมารยาทแล้ว ไม่ควรพูดถึงสิ่งปฏิกูลตอนนี้นะครับ” ถ้าว่ากันโดยมารยาทเจษก็พูดถูก เพราะตอนนี้เรานั่งกันอยู่ที่โรงอาหาร กำลังรอข้าวตามสั่งที่แม่ค้าทำอยู่

“เปิ้ล มึงเริ่ม กราบขอโทษเจษดิ”

“กูถามเพราะเป็นห่วง ถ้าผิดก็ผิดที่มึง”

“โอเค กูผิด...ขอโทษครับเจษ”

“ไม่เป็นไรๆ ทำไมชอบไหว้เราจัง เดี๋ยวอายุสั้น แค่ไม่ต้องพูดถึงขี้อีกก็พอ”

“อะ มึงพูดเองนะ” ผมชี้หน้า เล่นเอาเจ้าตัวอ้ำอึ้งไปไม่เป็น ผมเลยตบไหล่ให้กำลังใจพร้อมกับพูดต่อ “ไม่เป็นไรหรอกเจษ สังคมให้อภัยมึงแล้ว...เออ กูลืมถาม วันนั้นใครจ่ายค่าข้าวกะเพราให้กู เดี๋ยวกูเลี้ยงคืน”

“เราจ่าย” เจษว่า “แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องคืนเงินเรานะ แค่อนุโมทนาก็พอ”

“ฮะ?”

“เจษมันเอาไปเทให้หมากินอะ” เปิ้ลบอก

“ใช่ ตามที่นายแนะนำไง เป็นความคิดที่ดีมากนะ ทำแล้วสบายใจ”

“เอ้า รออะไร สาธุดิ” เปิ้ลบอกอีก

ผมยกมือท่วมหัว “สาธุ 99” ถึงงั้นก็เถอะ เอาข้าวกูไปให้หมากิน ทำไมฟังแล้วมันจุกๆ วะ “มึงนี่พ่อพระจริงๆ ว่ะเจษ ขอให้เจริญๆ นะ”

“ขอบใจนะ”

“เฮ้ย นั่นข้าวที่เราสั่งได้แล้ว หรือว่านางกวักสิงป้าวะ” ผมถาม

“เราว่าน่าจะได้แล้ว นะฑีไปช่วยเรายกหน่อย”

ผมกับเจษกำลังจะลุกจากที่นั่ง แต่เปิ้ลพูดขึ้นซะก่อน “นะฑี ญาติมึงมาว่ะ”

“หืม? แม่กูมาเหรอ”

“พ่อมึงมากกว่า มากับใครไม่รู้”

ผมหันขวับไปมอง แล้วก็เห็นตัวพ่อมาจริงๆ ด้วย ไม่ได้หมายถึงพี่ทัชนะ แต่อีกคนที่เดินตีคู่มาด้วยนี่แหละ พ่อทุกสถาบันแล้ว

พี่ทัชเดินสบายๆ ตรงเข้ามา เขาสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยเหมือนเดิม แต่วันนี้มีสวมเสื้อคาร์ดิแกนสีเทาทับไว้ข้างนอกด้วย แค่เสื้อสีเทาเรียบๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงโคตรดูดีดูเกาหลีขนาดนั้น ส่วนอีกคนนี่ ทั้งสีหน้าท่าทางกูนึกว่าคนทวงหนี้นอกระบบแฝงตัวมาในคราบนักศึกษา

“พี่มาทำไร” ผมถามเสียงเบา เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาถึงโต๊ะ

“เอ่า โตแล้วจะไปไหนก็ได้รึเปล่าวะ” คนตอบคือพี่เห็ด ส่วนพี่ทัชแค่มองหน้าผมคล้ายกับจะสำรวจว่าทุกอย่างยังปกติดีหรือเปล่า “ทีมึงยังไปกวนตีนแถวคณะกูเลย”

“ได้ข่าวว่าผมถูกลากตัวไปนะ”

“ทีแรกอะใช่ แต่หลังจากนั้นได้ข่าวว่ามึงไปเองนะ”

“วันนี้เลยจะมากวนตีนกลับว่างั้น”

“มาหาข้าวแดก”

“อ้าว โรงอาหารคณะพี่ไฟไหม้เหรอ ถึงไม่มีข้าวกินอะ”

พี่เห็ดกระตุกยิ้ม “แคลไม่น่ามีมึงเป็นน้องรหัสเลยจริงๆ ว่ะ...แล้วนี่อะไร เพื่อน? แนะนำดิ”

“นี่โอเปิ้ล นั่นเจษฎา” ผมชี้เรียงตัว “เฮ้ย พวกมึง นี่พี่เห็ด”

“เปิ้ล เจษ” พี่เห็ดทวนคำ “เรียกพี่ว่าเรนจิดีกว่าน้อง”

“งั้นก็เรียกว่าโอดีกว่า อย่าเรียกเปิ้ล”

“เอ่อ ส่วนผม เรียกผมเจษเฉยๆ ก็ได้ครับ”

พี่เห็ดมองทั้งคู่สลับไปมา ก่อนจะหันมาเอียงคอมองเปิ้ลเป็นพิเศษ ซึ่งไอ้เปิ้ลก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด แถมเอียงคอมองกลับด้วย

“เรียกพี่เห็ดตามเพื่อนละกัน” เปิ้ลบอก

“เฮ้ย เปิ้ล ไม่ดีมั้ง” เจษกระตุกแขนเสื้อเปิ้ล แต่เจ้าตัวไม่สนใจ

“กูไม่แปลกใจเลยที่มาคบกับนะฑี”

“แต่น่าแปลกใจนะ ที่พี่มาคบกับพี่ทัช” เปิ้ลเหน็บกลับทันที แล้วก็หันมาพูดกับผมเหมือนว่าพี่เห็ดไม่ได้ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ “คนนี้ปะ ที่มึงบอกว่ามีเรื่องด้วย”

“เออ” ผมตอบส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง ตอนนี้ความสนใจผมพุ่งไปอยู่ที่พี่ทัชมากกว่า เขาไม่แสดงท่าทีอะไรเลย แค่ยืนเฉยราวกับว่าสามารถรออยู่แบบนี้ได้ทั้งวัน

“งั้นก็ไม่น่าแปลกใจนะ ท่าทางเหมือนจะมีเรื่องไปทั่วอยู่แล้วอะ”

“อ่าวน้อง” พี่เห็ดเอียงคออีกข้าง “ยาว แบบนี้นั่งคุยกันยาว ไหนแนะนำดิ๊ ร้านไหนอร่อย”

“ก็ขึ้นอยู่กับเป็นคนจริงแค่ไหน”

“น้องเปิ้ลครับ พี่นี่คนจริงสุดแล้ว” พี่เห็ดทำเสียงยียวน

“บอกว่าให้เรียกโอ”

“ขอเรียกเปิ้ลตามที่เพื่อนเรียกละกัน”

มวยถูกคู่ว่ะ

ไม่มีใครยอมใครจริงๆ นี่จ้องกันเหมือนอยากจะกระทืบเล็บขบกันแล้ว

“พี่คนนี้เรียกแกเปิ้ลอะ ตบเลยมั้ย” ผมเชียร์อัพเบาๆ

เปิ้ลหันมองผม ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ เหมือนสื่อว่าปลงไปแล้วกับเรื่องชื่อ จากนั้นก็หันไปหาพี่เห็ดอีกที “คนจริงใช่มะ งั้นกินร้านเจ้น้อย”

“พาพี่ไปซื้อดิครับน้องเปิ้ล...ไม่ดิ เจษชบาพาไปดีกว่า เผื่อแคลหรือคนรู้จักแคลมาเห็นจะเข้าใจผิด”

“เจษฎาครับ” เจษพูดเบาๆ “เรียกเจษเฉยๆ ก็ได้”

“เออ เจษชบา ไหนล่ะร้านที่ว่า”

“ครับ...งั้นก็ได้ ทางนี้ครับ เปิ้ลนั่งรอนี่แหละ เดี๋ยวเรายกข้าวมาให้”

“เฮ้ย ไม่ดิ นี่พวกมึงกินข้าวหรือกินหญ้า ไอ้ทัชมีเรื่องจะคุยกับไอ้ตัวแสบแบบส่วนตัวไม่เห็นเหรอ เราสามคนต้องไปหาโต๊ะอื่นนั่งกัน ไป”

เปิ้ลมองหน้าผมเป็นเชิงถาม ผมพยักหน้า สะบัดมือไล่แบบ ชิ่วๆ พอทั้งสามคนปลีกตัวออกไปผมก็หันกลับมาหาพี่ทัช เขาขยับตัวมานั่งลงฝั่งตรงข้ามผม

“สรุปว่าพี่มาทำไร”

“มึงไม่ไปที่สวน”

“สวนไหน ป่าดงดิบอะนะ”

พี่ทัชหัวเราะ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ “อือ ป่าหลังคณะ”

“ก็ไม่รู้จะไปทำไม”

“แล้วเมื่อก่อนไปทำไม” เขาพูดพลางประสานนิ้วพลาสเตอร์พักไว้บนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้านิดๆ

ชิบ

ถามงี้ตอบไงวะ

เปิ้ลที่ตอนนี้นั่งอยู่ทางซ้ายถัดไปอีกสองโต๊ะมองมาด้วยสายตาสงสัย ส่วนพี่เห็ดกับเจษยังยืนถกกันอยู่ที่หน้าร้านข้าวแกง หรือจะเรียกว่าพี่เห็ดกำลังโวยเจษอยู่น่าจะตรงกว่า ผมคิดว่าจะตัดบทพี่ทัชและขอไปนั่งกับพวกนั้น แต่อะไรบางอย่างในแววตาของคนตรงหน้าทำให้ผมพูดไม่ออก ราวกับว่าดวงตาสีน้ำตาลอัลมอนด์ของเขามีพลังพิเศษสามารถสร้างโดมล่องหนขึ้นมาปิดกั้นโลกภายนอกไว้ จนเหมือนว่าตอนนี้มีแค่เราสองคนที่นั่งอยู่ตรงนี้

“ก็พี่เห็ดลากไป” ผมพูดในที่สุด

“โดนลากไปวันเดียว แล้ววันอื่นๆ ล่ะ”

ยังจะถามจี้อีก

กูไปน้ำขุ่นๆ เลยละกัน

“ยุงเยอะดีไง ไปศึกษาเรื่องยุง กะไว้ว่าอาจจะใช้เป็นหัวข้อทำโปรเจ็กต์จบตอนปีสี่”

“คณะบริหารน่ะนะ ทำโปรเจกต์เรื่องยุง”

“ใช่ ทำไมอะ นี่ประเทศเสรี มีอิสระเลือกเต็มที่”

มุมปากเขากระตุกยิ้ม “งั้นทำไมไม่ไปเก็บข้อมูลยุงอีก”

“น่าเบื่อ ว่าจะเปลี่ยนหัวข้อละ”

“เปลี่ยนเป็น?”

“ยังไม่คิด”

“ลองหัวข้อนี้ดิ การบริหารจัดการชีวิตเมื่อถูกโน้มน้าว ทำหัวข้อนี้ เผื่อกูจะได้จำไปปรับใช้”

อะไรของเขาวะ

ใครโน้มน้าวอะไรตอนไหน

ไม่รู้จะใช่เรื่องที่คิดรึเปล่า งั้นลองตามน้ำไปก่อน “ถ้างั้นอันนี้ดีกว่า การบริหารจัดการกับอารมณ์เมื่อถูกปฏิเสธ”

“หึ”

“หะ”

“หะอะไร”

“ก็พี่หึอะไรล่ะ”

ไม่รู้เว้ย รู้แค่ว่าตอนนี้หน้าพี่แม่งกวนตีนละ ถ้าจะยิ้มทำไมไม่ยิ้มเต็มๆ วะ ทำหน้าทำตาโคตรมีลับลมคมใน

“กูยังไม่ได้ปฏิเสธ”

“เรื่องไรล่ะ”

“ก็เรื่องนั้นแหละ”

“น้าเกด?”

“อืม” ท่าทีเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อยแสดงว่าคือเรื่องนี้จริงๆ ขณะที่ผมยังอยู่ในโหมดกวนตีนอยู่ ซึ่งคือโหมดปกติของผมอยู่แล้ว

“อ้อ เหรอ ผมบอกไปแล้วไงว่าช่างมัน ไม่ได้โน้มน้าวซะหน่อย”

“มีแผนว่าไง”

“แผนอะไร ไม่มีแผนไรทั้งนั้นอะ”

“มึงคงไม่คิดว่า อยู่ดีๆ จะให้กูเดินเข้าไปจับล็อกตัวเขาเลยหรอกนะ”

“ทีงี้จะช่วยแล้วเหรอ”

“กูยังไม่ได้ปฏิเสธ ขอฟังแผนก่อน”

“ไม่เป็นไรอะ ไม่ต้องใช้พลังเอ็กซ์เมนของพี่หรอก ผมจะไปลุยกับมันเอง” เดี๋ยวนะ นี่กูพูดอะไรออกไป เขาจะช่วยก็ดีแล้ว แต่...นั่นแหละ ศักดิ์ศรีแม่งค้ำปาก

“ไปลุยยังไง”

“ก็ลุยอะ ซ้อมมัน”

“มึงคงโดนซ้อมมากกว่า”

“งั้นก็พกมีดไปสักเล่ม ถ้าแม่งสู้ก็เสียบ”

“กูกลัวมึงจะเดินสะดุดทำมีดเสียบตัวเองตายก่อน”

“ช่างผมเถอะน่า”

“ช่างได้ไง”

“ทำไม” ผมถามแบบไม่ต้องการคำตอบ “เมื่อคืนทำเป็นเงียบ ทีงี้จะมาช่วย”

“กูแค่ใช้เวลาคิด”

“คิดว่า?”

“ก็เหมือนกับเรื่องไอ้เป้แหละ กูไม่อยากให้มึงไปทำอะไรโง่ๆ โดยที่ไม่มีกูอยู่ด้วย”

“นี่คือกำลังด่าว่าผมโง่?”

“ไม่ได้ด่า พูดความจริง”

นี่แหละด่าแล้ว ปวดไปถึงไส้เลย

ผมกอดอกและมองหน้าเขา “งั้นบอกหน่อยดิ๊ แผนของคนฉลาดเป็นไง”

พี่ทัชเปลี่ยนเป็นนั่งกอดอกแทบจะเหมือนล้อเลียนท่าผม สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นไปอีกระดับ คิ้วขมวดนิดๆ เล่นเอาผมลุ้นไปด้วย แล้วสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจอย่างปลงๆ

“แค่มีดอาจจะไม่พอ เอาเลื่อยกับถุงดำไปด้วยดีกว่า ถ้าเกิดเคลียร์ไม่ลงตัวยังไงเราจะได้หั่นศพปกปิดหลักฐานได้เลย”







____________________________



ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณมากเลยที่ยังอยู่ด้วยกัน T__T

#ณTouch แฮชแท็กเผื่ออยากพูดคุยในโซเชียลค่า

ฝากแชร์ฝากเมนต์ให้นักเขียนตาดำๆ คนนี้ด้วยนะคับ /ส่งสายตาปิ๊งๆ



รักมากๆ เลย


นางร้าย

24.สิงหา.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 13) |▌24.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 24-08-2019 22:37:17
รอดูต่อไปปปปปปปปป
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 13) |▌24.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 25-08-2019 13:20:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 13) |▌24.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 26-08-2019 06:30:21
พี่ทัชคะ พี่อยู่กับน้องมากเกินไปแล้ว กลายเป็นคนแบบนี้เลย 555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 13) |▌24.สิงหา.2019 // Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 26-08-2019 07:23:57
แผนอิพี่นี่มันช่าง .. รอบคอบดีเหลือเกิน ปัดโธ่! 55555

นี่พี่ทัชเราจะเริ่มใช้พลัง x men ออกปราบเหล่าอธรรมแล้ววว  ถถถถ ชีวิตที่แสนเงียบและราบเรียบของอิพี่กำลังจะเปลีายนไปเพราะอิน้องตัวแสบ

เราจิ้นเห็ดเปิ้ล ได้ไหม? จะมีหวังไหมนะ? หนือจะเป็นเห็ดชบา เอิ่มมม ท่าจะยากหนักกว่าเนอะ  :mew4:

ชอบค่าาาายังตามให้กำลังใจอยู่น้าาา มาต่อเร็วๆนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 14) |▌29.สิงหา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 29-08-2019 19:44:27
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านมากๆ เลยนะคะ
ดีใจมากๆ เลย
ฝากแฮชแท็ก #ณTouch ไว้ด้วยนะคะ :D


แตะต้องครั้งที่ 14
จับบบ…Lie ปุ๊บรู้ปั๊บจับมือลองของดอกทอง 4P I Like Me Better แกะพลาสเตอร์ช้าๆ



ผมนั่งอยู่ในมินิคูเปอร์ของพี่ทัช ตื่นเต้นจนครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ ตั้งแต่เกิดมานี่คือการพรีเซนต์งานแบบเอ็กคลูซีฟที่สุดแล้ว

“พี่ไม่ต้องกังวล” ผมพูด “ผมเตรียมตัวมาดีแล้ว”

พี่ทัชเหลือบมองผมขณะขับรถอยู่ “บอกตัวเองมั้ย ดูมึงกังวลกว่ากูเยอะ”

“บ้า ผมนี่โคตรชิลล์ ดูยังไงว่ากังวล”

“ก็มึงพูดคำว่า ‘ไม่ต้องกังวล’ มาสิบกว่ารอบแล้วมั้ง”

“ผมแค่จะย้ำให้พี่สบายใจแค่นั้นแหละ”

“เอาจริงๆ กูควรสบายใจมั้ย”

“สบายหายห่วง นี่ ผมทำรูปประกอบการพรีเซนส์มาด้วย ดู” ผมเอียงหน้าจอมือถือให้เขาดู พี่ทัชเหลือบมองแล้วทำท่าเหมือนจะกลั้นหัวเราะ “เอ่า ขำ ไม่ใช่มีแค่นี้ คำพรีเซนส์โดนๆ มันอยู่ในนี้” ผมเคาะขมับตัวเอง “อิงตามหลักหัวใจการตลาดพื้นฐานเลย รับรอง ผ่านฉลุย”

“ยังไง”

“อะ คณะจิตวิทยาไม่สอนอะดิ” ผมพูดเป็นการเป็นงาน “หัวใจการตลาด จำง่ายๆ เลย 4P คือ Price, Place, Product, Promotion”

“แล้วไง” 

“เอ้า เราก็เอาหลักการนี้มาปรับใช้ไง เหมือนจะขายสินค้าสักอย่างอะ ตัว Product ก็คือพลังเอ็กซ์เมนของพี่”

“อย่าใช้คำนั้น”

“รู้น่า อันนี้พูดกันสองคนไง แต่ตอนพรีเซนส์จะใช้คำอื่น” ผมพูดเป็นการเป็นงาน “ต่อนะ Price ราคา อันนี้ยังไม่ได้ตั้ง แต่ต้องราคาสูงแน่นอน เพราะเป็นสินค้าชนิดเดียวที่มีในโลก ส่วน Place สถานที่ที่จะขายนี่ คืออิสระอีก ไปได้ทุกที่ สุดท้าย Promotion ตอนนี้เราก็จัดไปเลย ฟรี ยังไงน้าเกดก็ต้องโอเคอยู่แล้ว”

“จะพูดให้ยุ่งยากทำไม เราก็แค่บอกน้าว่าจะช่วย”

“เรียนมาแล้วก็ต้องเอามาปรับใช้ดิ” ผมพูด แล้วไอเดียก็ผุดวาบอย่างกับฟ้าผ่า “เฮ้ยพี่ คิดไปคิดมา นี่เราตั้งบริษัทเป็นเรื่องเป็นราวได้เลยนะ บริษัทกำจัดคำลวง อะไรงี้”

“...”

“แล้วก็โปรโมทด้วยสโลแกนเก๋ๆ แบบ...เรียกหาความจริง เรียกหาเรา”

“...”

“ถูกหลอกบอกเรา หรือแค่เหงาก็โทรมาได้...แต่ไว้ค่อยคิด...เฮ้ยๆ คิดได้ละ อันนี้ต้องจดเลย Lie ปุ๊บรู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง Lie ที่แปลว่าโกหกอะ เจ๋งมะ จดๆ” ผมพิมพ์โน้ตลงไปบนมือถือ พลางพูดไปด้วย “เดี๋ยวผมทำการตลาดเอง หาลูกค้าด้วย ทำบัญชีด้วย ทำทุกอย่างเลย ส่วนพี่ไม่ต้องทำอะไร แค่เป็นโปรดักต์ของผมก็พอ”

“ฟังดูเหมือนกูไม่ใช่คน”

“งั้นพี่เป็นแค่คนของผมก็พอ เคปะ”

พี่ทัชหันมามองเหมือนจะไม่เชื่อหูตัวเอง แล้วก็ทำเสียงในคอ “หึ”

ชิบ

พูดอะไรออกไปวะ

อะไรเข้าสิงให้พูดแบบนั้นออกไป แม่ย่านางในรถเข้าสิงเหรอ

“ก็พี่บอกฟังเหมือนไม่ใช่คน ผมก็ใช้คำว่าคนไง” ผมพูดเสริม “เป็นทรัพยากรมนุษย์อะ”

“อืม”

“อืมนี่คือเข้าใจที่จะสื่อปะ”

“เปิดเพลงดิ๊”

เออ ดีเหมือนกัน เลิกคุยดีกว่า

ผมกดปุ่มเปิดเพลง เพลง I Like Me Better ดังขึ้นเพราะมันถูกตั้งเป็นเพลงแรกในลิสต์ไปแล้ว พี่ทัชไม่ได้ขอให้ผมร้องเหมือนตอนนั้น แต่ผมยังกรีดกระเดือกร้องตามอยู่ดี พอเพลงนี้จบเราก็ฟังเพลงอื่นๆ ของ Lauv ต่อเนื่องไปจนสุดทาง

คำว่า ‘สุดทาง’ ในที่นี้ก็คือ ร้านดอกไม้ของแม่นี่เอง มีรถหรูๆ มันดีอย่างนี้เองสินะ พี่ รปภ. บริการดี๊ดี แทบจะกราบรถอยู่ละ หลังจากจอดรถได้เสร็จสรรพ ผมเลยกระโดดลงไปทำท่าตะเบ๊ะให้พี่แกอย่างแข็งขัน “ขอบคุณคับผม!” จากนั้นก็เดินนำพี่ทัชไปที่ร้าน

“หมอนเน่าอยู่นี่มั้ย” พี่ทัชถาม

“อยู่ แม่จับมันนั่งตะกร้ามอไซค์มาด้วยทุกวัน ปล่อยให้อยู่บ้านไม่ได้อะ มันพังของ”

“นั่งตะกร้าหน้ามอไซค์อะนะ”

“ใช่”

“ใส่หมวกกันน็อกมั้ย”

“เอ้า ใส่ดิ กะโหลกแม่ผมไม่ได้ทำจากอะลูมิเนียมนะ”

“หมายถึงหมอนนิ่ม”

“มันมีหมวกกันน็อกแมวที่ไหนล่ะพี่”

“อืม”

พูดถึงตรงนี้เราก็เดินมาถึงร้านพอดี แม่กำลังหันหลังจัดดอกไม้อยู่หน้าร้าน ผมส่งสัญญาณให้พี่ทัชเดินเงียบๆ แล้วย่องเข้าไปดัดเสียงพูดใกล้ๆ แม่ “เหมาหมดนี่เท่าไหร่ครับ”

แม่หันขวับ “เอ้า นะฑีนี่ เล่นไร...ทัชก็มา”

“สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้

“หวัดดีจ้ะ”

“พาป๋าทัชมาเหมาดอกไม้อะแม่”

“ไปเรียกพี่เขาอย่างนั้นได้ยังไง” แม่ฟาดไหล่ผมด้วยความเอ็นดู...ซึ่งก็เป็นความเอ็นดูที่ค่อนข้างจะแรงอยู่ “นะฑีเล่าให้ฟังว่าทัชให้ยืมมือถือใช้ ขอบใจมากนะ”

“ไม่เป็นไรครับ” พี่ทัชตอบอย่างรวดเร็ว “ร้านน่ารักดีนะครับ แม่จัดเองหมดเลยเหรอครับ”

“อันนั้นผมจัด” ผมชี้บอก

น่ะ อึ้งไปเลยดิ

เห็นงี้แต่ก็มีฝี…

“แม่จัดใหม่แล้ว” เอ้าแม่ จากที่จะบอกว่ามีฝีมือ กลายเป็นมีฝีในไส้แล้วมั้ย “นะฑีชอบทำเละอยู่เรื่อย”

“โอ๊ย ร้อน”

“ห้องแอร์ยังร้อนอีกเหรอ” แม่ถามอย่างงงๆ แต่พี่ทัชดูขำนิดๆ เพราะเข้าใจมุกนี้ตั้งแต่ตอนกินบุฟเฟ่ต์กับเจ๊แคลแล้ว

“ชื่อร้านนี่ผมคิดเอง” ผมโม้ต่อ

“อ้อ ก็คิดว่างั้นแหละ...แล้วหมอนนิ่มล่ะครับ” พี่ทัชถามแม่

“หมอนนิ่มเหรอ นั่นไง พูดถึงก็ออกมาเลย”

ไอ้หมอนเน่าเดินต้วมเตี้ยมออกมาจากซอกกระถางตรงมุมร้าน หน้าตาง่วงๆ เหวี่ยงๆ เหมือนไม่พอใจที่มีใครมาส่งเสียงดังในอาณาเขตของมัน ดูจากแววตานี่ มันอาจจะวางแผนเผาร้านอยู่ก็ได้ แต่พี่ทัชคงไม่คิดอย่างนั้น

“หมอนนิ่ม กินหนมมั้ย” เขานั่งลง ล้วงสิ่งที่เรียกว่าขนมออกมาจากกระเป๋า ลักษณะเป็นซองเล็กๆ ฉลากเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งข้างในน่าจะเป็นอาหารเหลว เขาโบกไปมาก่อนจะฉีกซองเปิดออก ไอ้หมอนเน่าทำจมูกฟุดฟิดแล้วเข้ามาเลียกินอย่างเสียไม่ได้ ส่วนพี่ทัชก็เกาเหนียงมันพร้อมกับเรียกชื่อไปด้วย “หมอนนิ่มๆๆ”

เวลาคุยกับผมเรียกมันหมอนเน่า พออยู่ต่อหน้าแม่เรียกหมอนนิ่ม

แหม ละเอียดไปอีก

“นี่พี่แอบเอาขนมแมวมาด้วยเหรอ” ผมถาม

“ไม่ได้แอบ ก็เอาใส่กระเป๋ามาปกติ”

กวน

คำเดียวเลย กวนตีน

“ดูท่าจะชอบนะนั่น” แม่ว่า ซึ่งก็จริง จากที่ดูเหมือนจะเลียกินเหมือนเสียไม่ได้ ตอนนี้ไอ้หมอนเน่าเข้าขั้นสวาปามแล้ว มีการยกขาหน้ากดมือพี่ทัชไว้เพื่อไม่ให้ดึงกลับด้วย ทำเอาเจ้าตัวหลุดเสียงขำเบาๆ

เขาหัวเราะ

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะแบบนี้

“หมดแล้วกั๊บ” พี่ทัชพูดกับมัน “เดี๋ยววันหลังจะเอามาฝากเยอะๆ นะ”

“มานั่งในร้านกันก่อนมั้ย นะฑีเอาเก้าอี้ให้พี่เขานั่ง…”

“ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวพาป๋าไปนั่งร้านกาแฟตรงนี้”

“อ้อ โอเค”

ผมพาพี่ทัชเดินไปที่ร้านกาแฟข้างๆ “โกโก้เย็นครับ” ผมบอกพนักงานสาวที่เตรียมรับออเดอร์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเสียงเข้าหูหรือเปล่า ดูเหมือนเจ้าตัวจะอึ้งๆ กับรัศมีของพี่ทัชอยู่ ส่วนรายนี้ก็ไม่รู้คิดนานหรือว่าจงใจยืนให้อีกฝ่ายโลมเลียด้วยสายตา “อะ คิดนาน เดี๋ยวผมสั่งให้ซะเลย” ความจริงก็คงไม่ทันนานหรอกในความรู้สึกคนทั่วไป แต่สำหรับผมคือนานละ

พี่ทัชละสายตาจากเมนูที่เขียนแปะไว้บนบอร์ดด้านหลังเคาน์เตอร์ “ก็ดีนะ สั่งให้หน่อย”

“งั้นจัดไป อเมริกาโน่...น้องครับ ฮัลโหลครับโผม” ก็ไม่รู้หรอกว่าพนักงานอายุเท่าไหร่ น่าจะแก่กว่าผม แต่เรียกน้องเป็นการข่มขวัญไว้ก่อน

“อ้อ ค่ะ โกโก้เย็นนะคะ แล้วก็…”

“อเมริกาโน่” ผมย้ำ

“ได้ค่ะ”

พี่ทัชล้วงกระเป๋าเงินออกมาไว้รอแล้ว พอพนักงานรับออเดอร์เสร็จเขาก็ส่งแบงค์ห้าร้อยให้ทันที แต่น้องนี่ไม่รู้ว่าจินตนาการเห็นเป็นช่อดอกไม้หรือแหวนแต่งงาน ปากงี้ฉีกยิ้มไปถึงหูละมั้ง

“งี้ดิป๋า” ผมแซว

เรารอจนพนักงานคิดเงินเสร็จ แล้วไปหาที่นั่งด้านใน พี่ทัชไม่พูดอะไร เขานั่งเงียบๆ ตามแบบฉบับผู้ดี ส่วนผมควักมือถือออกมาเช็กความเคลื่อนไหวในโซเชียลแบบเร็วๆ แชตกับแก๊ง ไม่ส(า)มประกอบ อีกนิดหน่อย แล้วค่อยเงยหน้าขึ้น

“เหมือนในไฮกุเลยนะ อยู่ในร้านกาแฟ ไม่มีคนพูดเรื่องกาแฟ” ผมพูด

“ไม่มีคนเลยมากกว่า”

ก็จริง คงเพราะตอนนี้ใกล้ค่ำเลยเวลากินกาแฟของคนทั่วไปแล้ว

“ก็ดีแล้วอะ จะได้คุยธุรกิจสะดวกๆ”

“นี่แม่รู้เรื่องรึเปล่า”

“เรื่อง?”

“ที่เราจะช่วยน้าเกด”

“ต้องไม่รู้อยู่แล้ว คิดว่าผมจะเอาเรื่องพลังเอ็กซ์เมนของพี่ไปพูดมั่วซั่วเหรอ”

“ตอนนี้แหละ มึงพูดมั่วซั่วอยู่”

อ่อ เพิ่งรู้ตัว

“เพราะไม่มีคนไง ถึงได้พูด…” ผมพยายามแก้ตัว พนักงานยกเมนูที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี ผมเลยหยุดกลางคันและนั่งแอ๊คท่าเคร่งขรึม รอจนพนักงานออกไปแล้วค่อยพูดต่อ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงผมก็ไม่ขายความลับพี่หรอก”

“อืม” พี่ทัชทำเสียงในคอ เขาลองจิบกาแฟตรงหน้า จิบนิดเดียวจริงๆ จากนั้นก็หยิบน้ำตาลฉีกเทใส่ หนึ่งซอง สองซอง…

พอจะหยิบซองที่สามผมก็ทัก “คือขมว่างั้น”

เขาวางซองน้ำตาลลง เปลี่ยนเป็นหยิบช้อนคนกาแฟแทน

“พี่บอกให้ผมสั่งเองนะ โทษผมไม่ได้”

“ทำไมมึงสั่งอันนี้ให้กู”

“ก็สั่งมั่วๆ อะ ชื่อมันเพราะดี”

“...”

ผมยืดคอมองสิ่งที่อยู่ในถ้วยของเขา ใช่ ชื่อมันเพราะ แต่พูดภาษาบ้านๆ ก็คงเรียกว่ากาแฟดำดีๆ นี่เอง “ไม่อร่อยก็อย่ากินดิ อยากกินของอร่อยก็ไปสั่งใหม่ เนี่ย โกโก้ สุดๆ แล้วร้านนี้ เอาปะล่ะ...อะ ให้ลองชิม เอาช้อนจิ้มไป อย่าดูดหลอดผม”

พี่ทัชมองแก้วโกโก้ของผมด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนมองเศษดินเศษหญ้า แล้วก็ยกแก้วกาแฟดำขึ้นจิบ สีหน้ามีอาการเล็กน้อย

“เอ้า พี่นี่กวนตีนนะ ไม่อร่อยจะกินทำไม”

“กินเพราะมึงสั่งให้”

“...”

เอาซะไปไม่เป็น

คือยังไงวะ กินเพราะผมสั่ง...นี่เหรอเหตุผล ทำไมฟังแล้วมันหวิวๆ แปลกๆ วะ

“กินประชดไรงี้?”

พี่ทัชมองหน้าผม “เทอมที่แล้วเกรดเฉลี่ยมึงเท่าไหร่”

“ทำไม”

“ก็ถามดู”

“จำไม่ได้ 2.7 มั้ง”

“อ่อ”

อ่อ? คือไรวะ แล้วยิ้มมุมปากทำไม

“อะไร เหยียดเหรอ 2.7 นี่ก็ท็อปฟอร์มแล้ว แล้วพี่อะ เกรดเท่าไหร่”

“3.92”

เชร้ด

ปวดหัวจี๊ดเลย

“ขี้โม้ ถ้าขนาดนั้นไม่เกียรตินิยมเหรียญทองแล้วเหรอ”

“กี่โมงแล้ว”

บทจะเปลี่ยนเรื่องก็เปลี่ยนดื้อๆ แบบนี้แหละ เริ่มจะชินกับการตัดบทแบบนี้ของเขาแล้ว ผมดูหน้าจอมือถือ เลยเวลานัดมานิดหน่อย “หวังว่าคงไม่ใช่ผัวซ้อมจนมาไม่ได้นะ เดี๋ยวโทรหาแกก่อน...ฮัลโหลครับน้า อ้อ กำลังหาที่จอดรถ...ครับ งั้นก็เข้ามาที่ร้านได้เลยนะ”

พี่ทัชแกะพลาสเตอร์ออกช้าๆ

ทีละนิ้ว…

“แกะออกหมดเลยเหรอ” ผมถาม

“ใช่”

“ทำไมอะ”

“จะได้ดูเหมือนคนปกติ”

“ทีตอนกับผมทำไมแกะออกแค่นิ้วเดียวอะ จะได้ดูพิเศษเหรอ”

ดวงตาสีเข้มเหลือบมองหน้าผม แล้วก็หลุบต่ำลง เหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรขำๆ อยู่คนเดียว

“เอ้า แล้วก็ไม่พูด”

“เพราะกูไม่มีเวลาเตรียมตัว” เขาแกะพลาสเตอร์ออกจนหมด จากนั้นหยิบทิชชู่เปียกจากกระเป๋าออกมาเช็ดมือ เช็ดเอาคราบกาวเหนียวๆ ที่ปลายนิ้วออกทีละนิ้ว

“มาแล้ว”

ผมหันขวับไปมอง น้าเกดเข้ามาถึงที่โต๊ะและเลื่อนเก้าอี้นั่งทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ทัชใช้ทิชชู่เปียกกวาดเศษพลาสเตอร์ลงจากโต๊ะพอดี ดูแนบเนียน ไม่ตื่นเต้น เหมือนว่าแค่เก็บเศษขยะเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งน้าเกดอาจไม่ทันได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้

“หวัดดีจ้ะ รอกันนานมั้ย”

“รอเป็นชาติละน้า / ไม่นานครับ”

ผมกับพี่ทัชพูดพร้อมกัน แต่ภาษาที่ใช้นี่อย่างกับมาจากคนละโลก ก่อนจะได้พูดอะไรต่อ พนักงานก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้น้าเกด แค่ชาร้อนธรรมดาซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะไม่สนใจเลย เหมือนว่าสั่งพอเป็นพิธีไปอย่างนั้น

“ถ้างั้นก็เริ่มเลย” น้าเกดพูดหลังจากพนักงานเดินออกไป “ไหน เป็นยังไง ไอ้วิธีที่ว่า” ก่อนนัดกันมาเจอที่นี่ ผมโม้ไปบางส่วนแล้วน้าเกดถึงได้พูดแบบนี้

“เอางั้นเลยนะ” ผมเริ่ม “น้าต้องตั้งสติหน่อยนะ นี่เป็นนวัตกรรมใหม่ระดับโลกเลยก็ว่าได้”

“ขนาดนั้น”

“เอ้า พูดแล้วจะหาว่าโม้”

“งั้นก็อย่าโม้เยอะ เข้าเรื่องเลย มันคืออะไร”

“มันคือ...จิตวิทยาแนวใหม่แบบคูลๆ ยังไม่มีชื่อเป็นทางการนะ แต่ไอ้ที่เด็ดมันอยู่ตรงสโลแกนนี่แหละ ฟังนะ...Lie ปุ๊บรู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง Lie ที่แปลว่าโกหกน่ะ เจ๋งมะ”

“ก็คือวิธีจับโกหกด้วยจิตวิทยา?”

“ผมว่าละ น้าต้องไม่เข้าใจ ผมเลยทำพรีเซนส์เทชั่นมา นี่ดู…” ผมเปิดไฟล์ภาพในมือถือวางลงตรงหน้าน้าเกด และนี่ก็คือแผนภาพประกอบสุดอลังการของผม

เป็นแผนภาพง่ายๆ

ทางซ้ายวาดเป็นเส้นยุ่งเหยิงเหมือนก้อนไหมพรม เขียนคำเล็กๆ ประกอบว่า ‘สารพัดเรื่องโกหก’ แล้วก็มีลูกศร >>> ชี้ต่อไปที่รูปคน หัวกลม ลำตัวเป็นเส้นตรง มีแง่งเฉียงๆ แทนแขนขา โดยที่วาดองศาแขนขาสื่อว่ากำลังเต้นอยู่ นี่คือ ‘พี่ทัช’ แล้วลูกศร >>> ก็ชี้ต่อไปทางขวาหาคำที่เขียนโตๆ ว่า ‘ความจริงล้วนๆ’

“มีสามส่วนง่ายๆ แค่นี้แหละ” ผมพูดอย่างภูมิใจ

“นี่ให้เด็กที่ไหนวาด” น้าเกดย้อน

ผ่าม!

“ผมเนี่ยวาด”

“นี่คือทัชเหรอ ถ้าไม่เขียนบอกไว้นี่นึกว่ากิ่งไม้”

“กิ่งไม้ไร คนชัดๆ”

“แล้วยังไงล่ะ วิธีที่ว่า ในรูปนี่ถือแก้วอย่างกับจะสาดน้ำกรด”

“ก็…”

“เดี๋ยวผมสาธิตให้ดูเลยดีกว่าครับ” พี่ทัชตัดบท

นี่ก็อีกคน

ไม่สวยตรงไหน นี่แก้ตั้งสามรอบนะเฮ้ยกว่าจะออกมาได้แบบนี้ แล้วที่สำคัญกว่ารูปคือคำอธิบายต่างหาก

“นะฑีเก็บมือถือดิ” โอเค้ ผมไม่ต้องอธิบายอะไรละ โชว์ออฟไปเลยเพ่ ผมเก็บมือถือให้พ้นหูพ้นตาแล้วหุบตูดอยู่เงียบๆ “น้าเกดทำใจให้สบายๆ นะ แล้วก็รบกวนแบมือหน่อยครับ…” พี่ทัชล้วงหยิบของบางอย่างจากกระเป๋า แล้ววางลงบนมือน้าเกด 

“อะไรเหรอ”

“ถ่านนาฬิกา” ผมโพล่งออกไป เพราะมันเป็นถ่านกลมๆ แบนๆ ที่ใช้ใส่นาฬิกาจริงๆ

พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม “ดูเหมือนถ่าน แต่ไม่ใช่”

“อ้อ...นั่นดิ ต้องไม่ใช่ถ่านอยู่แล้ว นี่มันสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำโคตรๆ ทำให้มันดูเหมือนถ่านธรรมดาๆ เพื่อไม่ให้คนรู้ไง แต่ข้างในนี่วงจรซับซ้อนสุดๆ อะไรนะที่พี่บอก ลืมละ มันจะแผ่รังสีหรือคลื่นอะไรสักอย่าง…”

“เงียบก่อน น้าเกดต้องใช้สมาธิ” พี่ทัชว่า “ถือไว้นิ่งๆ นะครับ”

“เหรอ แต่น้าไม่รู้สึกอะไรเลยนะ”

“ต้องใช้อันนี้ด้วยครับ” พี่ทัชหยิบไอโฟนออกมากดเลื่อนหน้าจอ จากนั้นก็เลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าน้าเกด ผมยืดตัวมอง บนหน้าจอคือแอพลิเคชั่นนาฬิกาธรรมดาๆ แค่นั้นเอง “มองเข็มนาฬิกาเดินวนไปเรื่อยๆ นะครับ”

“โอเค”

“ไม่ต้องจริงจังครับ”

“อ้อ ได้ๆ”

เงียบอยู่สักพัก น่าจะห้าวินาทีได้มั้ง พี่ทัชก็ถามอีก

“รู้สึกยังไงบ้างครับตอนนี้”

“ก็...เอาจริงๆ ก็...”

“อย่าโกหกผมนะ”

“เอาจริงๆ คือไม่รู้สึกอะไรเลย เฉยมาก”

“ตอนนี้ให้น้านึกถึงท้องฟ้ากว้างๆ นะครับ ทำใจสบายๆ”

“โอเค แล้วเข็มนาฬิกาล่ะ ต้องดูต่อมั้ย”

“ดูครับ ดูตลอดเลย”

“โอเค”

“ระหว่างนี้ผมรบกวนขอจับชีพจรหน่อยนะครับ” ว่าแล้วพี่ทัชก็เลื่อนมือไปสัมผัสตรงข้อมือน้าเกดเบาๆ ใช้สองนิ้วแปะเหมือนแพทย์แผนจีนวินิจฉัยโรคเป๊ะ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นมือเปลือยของพี่ทัชเต็มๆ มือสะอาดสะอ้านดูผู้ดีมาก นิ้วก็เรียวยาวอย่างกับนิ้วศิลปิน

น้าเกดขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเหลือบตามองมือที่โดนสัมผัส

“มองเข็มนาฬิกาไว้ครับ อย่าสนใจอย่างอื่น” พี่ทัชบอก

“น้าว่า...มันเริ่มแปลกๆ แล้วแหละ”

“หวิวๆ ใช่ปะ” ผมถาม

“ไม่รู้สิ พูดไม่ถูก…แม่ง คบกันมากี่ปี ยังทำสันดานหมาๆ อีก...เอ่อ...”

“หายใจลึกๆ จะช่วยได้ครับ” พี่ทัชบอก น้าเกดก็ทำตาม “ทีนี้ลองโกหกผมดู”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องอะไรก็ได้ครับ”

“...ก่อนมานี่ก็ร้องไห้ไปรอบนึง ถึงต้องโปะหน้ามาขาววอกขนาดนี้ไง...หน้าน้าขาวไปมั้ย ไม่สวยใช่เปล่า ผัวมันถึงไม่สนใจ คือ...”

“ใจเย็นน้า เอางี้ดีกว่า ลองบอกว่าพี่ทัชมีสี่ขาสามแขนดิ”

“ทัชมี...สะ...สองแขนสองขา แล้วก็หล่อมาก ดูผู้ดีด้วย ไม่น่ามารู้จักนะฑีเลยนะ นี่เจอกันได้ไง เอ่อ...นี่น้าพูดมากไปรึเปล่า”

“ตอนนะฑียังเด็ก ดื้อมั้ยครับ” พี่ทัชถาม เล่นเอาผมสะดุ้ง

“ดื้อสุดๆ กวนตีนมาตั้งแต่เกิดแล้ว หน้าตาก็อย่างกับด้วงไม้ไผ่ นี่พอโตเลยดูดีขึ้นมาหน่อย...น้าว่า...พะ พอแล้วดีกว่า”

กูโดนน้าเล่นแล้ว ด้วงไม้ไผ่หน้าตาไงวะ เสิร์ชแป๊บ

“เนี่ยนะหน้าตาผมตอนเด็ก” ผมโชว์รูปด้วงจากกูเกิล แต่เหมือนจะไม่มีใครสนใจ พี่ทัชเก็บอุปกรณ์ลวงโลกของเขาเรียบร้อยหมดแล้ว ส่วนน้าเกดกำลังประคองถ้วยชายกขึ้นดื่ม “ที่บอกว่าผมหน้าตาเหมือนด้วงนี่มันโกหกชัดๆ น้าพูดงี้ได้ด้วยเหรอ” ผมถามพี่ทัช

“โกหกไม่ได้” น้าเกดพูดเบาๆ

“คำเปรียบเทียบไง” พี่ทัชว่า “ถ้าน้าเกดรู้สึกว่าหน้ามึงเหมือนด้วงจริงๆ มันก็เป็นความจริงสำหรับน้า ก็เลยพูดได้”

ผมย่นจมูกใส่เขา

“ด้วงไม้ไผ่” พี่ทัชพูดเรียบๆ เป็นการโต้ตอบ

ทำไมมีลางสังหรณ์ว่าหลังจากนี้เขาจะล้อผมด้วยคำนี้ซ้ำๆ วะ

คุยกับน้าเกดดีกว่า

“ไง น้า เจ๋งใช่ปะ”

“โกหกไม่ได้” เจ้าตัวย้ำ ทำท่าจะจิบชาแต่แล้วก็วางลง “ก็ไม่เชิงแบบนั้น...มันรู้สึกเหมือนอยากพูดความจริงน่ะ”

“ต้องพูดความจริงมากกว่ามั้งผมว่า ผมเคยโดนแล้ว ฝืนไม่ได้อะ” ผมพูด

“ใช่ ต้องพูดความจริง”

“ยิ่งถูกถาม ยิ่งต้องพูดใช่มะ”

“ใช่ ทัชทำได้ไง มายากลเหรอ”

“ไม่ใช่ซะทีเดียวครับ”

“สะกดจิต?”

“ก็ไม่เชิง แต่จะพูดแบบนั้นก็ได้ เวลาคนเราจอจ่อกับอะไรมากๆ ด้วยจิตใจที่สบาย จิตใต้สำนึกจะเปิดรับคำสั่งครับ จริงๆ แล้วเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์น่ะครับ”

“ลืมบอก พี่ทัชเขาเรียนคณะจิตวิทยาน่ะ อยู่ปีสี่ ใกล้จะจบแล้ว เกรดเฉลี่ย 3.92”

“โอ้...แปลกดีนะ แล้วใช้ได้ผลทุกครั้งมั้ย”

“ตามสถิติก็ยังไม่เคยพลาดนะครับ”

“แล้วถ้าคนที่ถูกสะกดจิต หมายถึงผัวน้านี่แหละ ถ้ามันไม่ให้ความร่วมมือล่ะ จะเป็นไง”

“ไม่น่ามีปัญหาครับ” พี่ทัชพูดเรียบๆ ประสานมือไว้บนตัก “มีวิธีอื่นๆ อีก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นหลัก แล้วเอาจริงๆ ก็ใช้เวลาไม่มาก ครั้งนี้ผมแค่ทำช้าๆ เพื่อให้น้าเกดเข้าใจ”

“อ้อ”

“จำตอนเริ่มมองเข็มนาฬิกาได้มั้ยครับ ผมบอกว่า ‘อย่าโกหกผมนะ’ ตรงนั้นแหละที่สำคัญ”

พี่ทัชแม่งเล่นเนียนไปแล้ว เล่นเอาผมคล้อยตามเลยเนี่ย คันปากยิบๆ อยากจะแฉว่าความจริงคือพลังเอ็กซ์เมนต่างหาก หรือว่าพี่แกใช้วิธีสะกดจิตร่วมด้วยจริงๆ วะ

“ที่บอกอย่าโกหกนี่ คือแอบป้อนคำสั่งไว้ก่อน ไรงี้ใช่ปะ” ผมถาม

พี่ทัชไม่ตอบ แต่การไม่ตอบนั่นแหละคือคำตอบ ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเห็นเขานี่แหละ ที่ทำสีหน้านิ่งๆ ได้น่าเชื่อถือสุดๆ และกวนตีนโคตรๆ ด้วยในเวลาเดียวกัน

“อย่างนี้นี่เอง” น้าเกดว่า “สรุปว่า ทัชทำให้สามีน้าพูดความจริงได้”

“ครับ”

“ต่อให้เจ้าตัวจะขัดขืนก็ตาม”

“ครับ”

“จะยากอะไร ถ้าขัดขืน ก็จับล็อกคอทุ่มเล่นสักทีสองทีก่อนดิน้า” ผมออกความเห็น “แล้วค่อยสะกดจิต”

“ใครจะเป็นคนจับทุ่ม”

ผมชี้ไปที่พี่ทัช “เทควันโดสายดำ”

“จริงเหรอ”

“พี่ทัชนี่ตัวท็อปเลยเหอะ ใช่มะพี่” ผมเสริมเข้าไปอีก “ไม่ต้องห่วงน่า น้า พี่ทัชแกแพรวพราวอยู่แล้ว...จริงมั้ยพี่”

เราสองคนมองหน้าเขา ระหว่างนี้ผมก็แอบส่งสายตากดดันให้เขาเล่นตามน้ำด้วย

พี่ทัชยิ้มนิดๆ แล้วพูดในที่สุด “ไม่ต้องห่วงครับ”

“อืม” น้าเกดทำเสียงในลำคอลึกๆ ก่อนจะก้มหน้าลงเคาะนิ้วกับถ้วยชาเหมือนใช้ความคิด ผมทนรอไม่ไหวเลยตัดบทรวบหัวรวบหางซะเลย

“สรุปว่าโอเคนะน้า”

“อื้อ ตามนั้นแหละ เดี๋ยวน้าให้ค่าเสียเวลา เอาเป็นเท่าไหร่ดี…”

“ไม่ต้องครับ ไม่เป็นไร” พี่ทัชรีบบอก

ผมก็รีบเสริมทันที “แบบ...พี่ทัชแกช่วยเพราะคนกันเองอะ ฟรีๆ ไป ถือว่าเป็นโปรโมชั่นก็ได้”

“อ้อ ขอบใจนะ”

“น้าสะดวกจะให้ลากคอสามีวันไหนก็บอกผมละกัน ผมจะได้นัดพี่ทัชอีกที”

“เป็นนายหน้าเหรอเรา”

“ถูกต้องนะคร้าบ”

น้าเกดหัวเราะ “โอเค เดี๋ยวบอกอีกที”

“แบบนี้เขาเรียกว่าหัวเราะเครียดๆ นะ” ผมว่า “น้าไม่ต้องห่วงจริงๆ สำเร็จแน่ ให้เตรียมเลื่อยกับถุงดำไว้ด้วยก็ได้นะ ถ้าเคลียร์ไม่ลงตัวยังไงเราก็ฆ่าหั่นศพซะเลย”

คราวนี้น้าเกดหัวเราะได้เต็มเสียงมากขึ้น “ถุงดำมันขาดง่ายไป ใช้กระเป๋าเดินทางดีกว่า… เอ้อ เดี๋ยวน้าต้องไปแล้ว พอดีมีนัดต่อ ขอบใจมากนะทัช”

“สวัสดีครับ”

“หวัดเดน้า”

น้าเกดหยิบกระเป๋าคล้องแขนและลุกขึ้น “ทัชฑี ชื่อเราสองคนนี่มันพ้องเสียงกันดีนะ” แล้วก็เดินออกไป

ผมกับพี่ทัชมองตามหลังจนเจ้าตัวเดินพ้นประตูร้าน แล้วค่อยหันมามองหน้ากัน

“เทควันโดสายดำเนี่ยนะ” พี่ทัชว่า

“อะ ทำไมล่ะ ทีพี่ยังใช้ถ่านนาฬิกาเลย แล้วจริงดิ ที่ป้อนคำสั่งให้จิตใต้สำนึกอะไรนี่”

“กูนึกอะไรได้ก็พูดไปงั้น”

“โห พี่แม่ง โคตรเนียน”

“แต่มึงไม่เนียน”

“ตรงไหน ผมนี่ตัวสับขาหลอกเลย ถ้าไม่มีผมน้าเกดจับผิดพี่ได้แล้วเหอะ” ผมฉีกยิ้ม “เรื่องนี้สอนให้ผมรู้เลยนะว่า การทำงานเป็นทีมที่ดีมันเป็นยังไง”

“เรื่องนี้สอนให้กูรู้ว่ามึงหน้าเหมือนด้วง”

“หยุดเลย พี่อะ เอาดีๆ ดิ๊”

“ดีๆ ก็อืม...เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การโกหกมันเหนื่อยกว่าพูดความจริง”

คม?
ก็คมอยู่แหละ แต่อย่าไปอวยมาก เดี๋ยวพี่แกเหลิง

“อ้อเหรอ” ผมแกล้งยักไหล่ชิลล์ๆ “แต่เพราะมีผมไงพี่ถึงไม่เหนื่อยมาก ผมนี่แหกตาคนมานักต่อนักแล้ว ยกเว้นแม่คนเดียวแหละที่ผมไม่โกหก”

“ทำไม”

“ทำไมอะไร”

“ทำไมไม่โกหกแม่”

“ก็...มันเป็นกฎของผมอะ” พี่ทัชเอียงคอนิดๆ เหมือนรอฟังต่อ “อ้อ แล้วตอนนี้ก็มีพี่อีกคนแล้วที่ผมจะโกหกไม่ได้ เพราะพี่มี…” ผมยั้งปากไว้ ก่อนจะพูดต่อ “...ถ่านนาฬิกาที่ทำให้โกหกไม่ได้”

พี่ทัชมองหน้าผม

ผมมองหน้าเขา

แล้วเราก็หัวเราะพรืดใส่กันเบาๆ

หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่งผมรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก พี่ทัชสีหน้าเรียบนิ่งตามปกติแล้ว เขาล้วงเอาพลาสเตอร์อันใหม่เป็นตับออกมาจากกระเป๋า เริ่มแกะมันมาพันนิ้วทีละนิ้ว ส่วนผมไม่รู้จะทำอะไร เลยดูดโกโก้ที่กินจนหมดแล้วดังกรอดๆ

“หิว?” พี่ทัชถาม

“นิดนึง”

“แม่ปิดร้านกี่ทุ่ม”

“ก็อีกสักพัก สองทุ่มบ้างสามทุ่มบ้าง แล้วแต่อะ”

“แล้วมึงกับแม่กินข้าวเย็นยังไง”

“บางทีก็สั่งมากินที่ร้าน บางทีก็สลับกันเฝ้าร้านออกไปหาไรง่ายๆ แถวนี้กิน ไม่ก็กลับไปกินที่บ้านเลย”

“แถวนี้อะไรอร่อย”

“ของกินเยอะ ทำไม จะอยู่กินข้าวด้วยเหรอ”

“รถติด”

“ตอบไม่ตรงคำถาม”

“กูอยากเลี้ยงข้าวแม่ ตอบแทนที่วันนั้นชวนกูกินข้าวที่บ้าน”

“จริงดิ จัดเต็มปะล่ะ”

“วันนั้นแม่ก็จัดเต็ม”

“เอ้า งั้นก็จัดเลยดิ รอไร ปิดร้านๆ” ผมลุกพรวดขึ้น

“ไม่เป็นไร กูรอได้ ให้แม่ปิดร้านตามเวลาปกติแหละ”

“พี่รอได้ แต่ผมรอไม่ได้ไง หิว ไปเร็ว ลุก!” ผมจับเสื้อเขาบริเวณหัวไหล่กระตุก พี่ทัชเหลือบมองเหมือนไม่เชื่อสายตาว่าผมจะทำแบบนั้น

“กูยังพันนิ้วไม่เสร็จ”

“เหลือแค่นิ้วชี้นิ้วเดียว ไม่ต้องพิถีพิถันขนาดนั้นหรอก มา ช่วย…” แผ่นพลาสเตอร์เพิ่งพันไปได้ครึ่งหนึ่ง ประมาณว่าเขากำลังเล็งให้ขอบมันทับรอยกันเป๊ะๆ ผมเลยจับนิ้วเขามาขยุ้มๆ กดแผ่นพลาสเตอร์ปิดซะ “เสร็จ! ไปได้ยัง”

พี่ทัชพลิกนิ้วดูช้าๆ

“ตลกดี” เขาว่า แล้วลุกขึ้น







___________________

ขอบคุณจากใจที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
หวังว่าจะทำให้มีรอยยิ้มเล็กๆ ได้บ้างน้า :D

นางร้าย
29.สิงหา.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 14) |▌29.สิงหา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 30-08-2019 13:35:59
พี่ทัชนี่สมกับเรียนจิตวิทยาจริงๆ รู้จักหลอกล่อเบี่ยงเบนความสนใจ

แต่อยากถาม ... อิพี่ มีพลังพิเศษอะไรที่ทำให้ อิน้องพูดน้อยลงบ้างได้ไหม? นี่เหนื่อยแทนนางมาก  :laugh:

จริงๆ อ่านจบตั้งแต่อัพเมื่อคืน แต่ไม่กล้าเม้นท์กลัวไปแทรกคั่นกลางโพสนิยาย เพราะไม่แน่ใจว่าคุณนางร้าย เขียนจบตอนแล้วหรือยัง? ไม่มีคำห้อยท้ายปิดตอนเหมือนทุกครั้ง ถ้าเม้นท์แล้วไปแทรกตอนนิยาย ต้องขออภัยด้วยนะคะ

ชอบนะคะ สนุก มาต่อเร็วๆน้าาา  :กอด1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 15) |▌9.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 09-09-2019 20:55:01
แตะต้องครั้งที่ 15
จับบบ...ข้างๆ คูๆ หมอดูขอไถ
ไหลเข้าระยะห่างระหว่างบุคคลร้อนรนจนได้เรื่อง




NaTee(n): งานเข้า

NATOUCH: ?

NaTee(n): งานเข้าๆๆ

NaTee(n): งานเข้าแล้ว

NaTee(n): ด่วนๆ 

NATOUCH: เจอไอ้เป้เหรอ

NATOUCH: อย่าไปยุ่งกับมัน

NaTee(n): ไอ้เป้น่ะนะ

NaTee(n): ถ้าเจอตัว ผมจะเอาหนังยางดีดหูมันเลย

NaTee(n): แต่ไม่ใช่

NaTee(n): น้าเกดต่างหาก

NaTee(n): อยากให้ปฏิบัติการวันนี้

NaTee(n): ในอีก 30 นาทีนี้เลย

NaTee(n): น้าเอ๊ดแวบมาแถวมหา’ลัยเราพอดี

NaTee(n): น้าเกดก็อยู่ไม่ไกล

NaTee(n): พี่ว่างมั้ย

NATOUCH: ไม่ว่าง

NaTee(n): ง่ะ

NaTee(n): นี่เลิกเรียนแล้วนะ ทำไร

NaTee(n): งาน

NaTee(n): โปรเจ็กต์อะนะ

NATOUCH: ใช่

NaTee(n): พักไว้ก่อนไม่ได้เหรอ

NATOUCH: คุยงานกับเพื่อนอยู่

NaTee(n): ก็บอกให้เพื่อนไปนอนพักก่อน 

NaTee(n): ไปหาไรกิน หรือตบยุงเล่น ไรก็ได้

NaTee(n): น้าบอกว่านี่เป็นโอกาสดีสุดๆ แล้ว

NaTee(n): น้าเอ๊ดมาใกล้ๆ นี่เอง

NaTee(n): นะ

NaTee(n): นะๆๆ

NaTee(n): น้า

NATOUCH: น้าไร

NaTee(n): น้าไร?

NaTee(n): ก็น้าไง

NaTee(n): ไม่ได้หมายถึงน้าเกดน้าเอ๊ด

NaTee(n): แบบ น้าาาา~

NATOUCH: ห้านาที

NATOUCH: มาเจอกูที่ลานจอดละกัน



ห้านาทีต่อมา

ผมก็มานั่งอยู่ในมินิคูเปอร์ของพี่ทัชอีกครั้ง เวลาสี่โมงเย็นกว่าๆ แบบนี้ อีกหน่อยรถจะติดนรกแตกแน่นอน แต่พี่ทัชก็ขับเนิบๆ นิ่มๆ อย่างผู้ดีเหมือนเดิม ระหว่างติดไฟแดง เขาถือโอกาสละมือจากพวงมาลัยมาแกะพลาสเตอร์ออกจากนิ้ว ส่วนผมแชตกับน้าเกดยิกๆ ร้อนอกร้อนใจกลัวจะไปไม่ทัน

“ให้ช่วยมั้ย” ผมอดถามไม่ได้ เห็นแกะทีละนิ้วแบบชิลล์เกิ๊น

“ไม่ดีกว่า”

“พี่ไม่รำคาญเหรอ ต้องมาคอยพันทีละนิ้ว แล้วก็ต้องมานั่งแกะอีก ยุ่งยาก พี่ไม่ใช้ถุงมืออะ สวมทีเดียวปุ๊บ พอจะใช้งานนิ้วก็ถอดปั๊บ”

“กูชอบแบบนี้”

“ถุงมือง่ายกว่า เชื่อผมดิ”

“มึงจะให้กูสวมถุงมือเดินไปเดินมาในมหา’ลัยเหรอ”

ผมนึกภาพพี่ทัชสวมถุงมือหนังสีดำดูร็อกๆ ร้ายๆ มันก็คงแปลกๆ อยู่อย่างที่เขาว่า “แต่มันก็สะดวกกว่าจริงๆ อะ งั้นทำไมพี่ไม่เปลือยนิ้วไว้ตลอดเลยล่ะ”

“มึงไม่เข้าใจหรอก”

“อธิบายดิ”

“มันโล่งๆ เหมือนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า”

ได้ยินอย่างนี้แล้ว ก็อดนึกภาพพี่ทัชเปลือยทั้งตัวเดินไปเดินมาไม่ได้ “ก็ดีนะผมว่า โล่งๆ ดี...แต่ก็พอจะเก็ต นิ้วพี่มันเอ๊กคลูซีฟอะนะ อาจจะอ่อนไหวกับลมกับแดดง่าย ต้องหาอะไรปิดไว้สักหน่อย เหมือนใส่เสื้อ…”

“น้าเกดว่าไง” เขาพูดขัด

“กำลังซิ่งไปที่จุดนัดพบ”

“แผนว่าไง”

“ก็...เนี่ย คุยๆ อยู่ แต่โดนด่า น้าเกดขับรถอยู่อะ”

“ตั้งแต่เจอน้าเกดก็สองวันแล้ว ไม่ได้คุยกันไว้เลยเหรอ”

“ไม่นึกว่าจะด่วนขนาดนี้ไง” ผมหันมองหน้าเขา “งั้นต้องอาศัยสมองขั้นเทพของพี่แล้ว พี่คิดแผนเลย เอาให้เนียนๆ นะ”

ไฟเขียวแล้ว

พี่ทัชแกะพลาสเตอร์ชิ้นสุดท้ายหย่อนลงถังขยะใบเล็ก แล้วออกรถ

“คิดออกยัง”

“ยัง”

“ทำไมอะ เรียนได้เกรด 3.92 งี้ ต้องคิดได้แล้วดิ”

“ยังไม่ได้เริ่มคิด ผ่านมาห้าวินาที ให้กูคิดอะไร”

“งั้นพี่คิดไป ผมจะอยู่เงียบๆ จะได้มีสมาธิ”

“อืม”

ผมเงียบอยู่ประมาณนาทีกว่าๆ “เปิดเพลงนะ” พี่ทัชไม่ว่าอะไรผมก็เลยเปิด แต่มันตื่นเต้นจนฟังยังไงก็ไม่อิน ตรงข้ามกับพี่ทัชที่ดูชิลล์ๆ บางทียังเคาะนิ้วกับพวงมาลัยเล่น

ไม่น่าเชื่อ ประมาณยี่สิบนาทีต่อมาเราก็มาถึงที่หมายจนได้

ถ้าน้าเอ๊ดจะนัดเจอชู้ที่นี่ผมก็ไม่แปลกใจ มันคือโรงแรมระดับสี่ห้าดาวดีๆ นี่เอง ตรงหน้าทางเข้ามีลานน้ำพุย่อมๆ ประตูทางเข้ามีดอร์แมนสวมชุดเรียบกริบ สวมถุงมือขาวเรียบร้อย น้าเกดมาถึงก่อนไม่นาน น่าจะเข้าไปข้างในก่อนเราไม่กี่นาที

หลังจากจอดรถเสร็จ ผมกับพี่ทัชก็มุ่งตรงไปที่ล็อบบี้

“แผนว่าไง” ผมถาม

“ไม่มี”

“ชิบ”

ก่อนจะได้พูดอะไรต่อเราก็ผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้ว เหมือนหลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่งที่คนอยู่อาศัยน่าจะไม่ต้องทำอะไรเองนอกจากหายใจ กิน และนอน ทั้งโถงล็อบบี้ดูสว่างนวลตา โซฟาสีแดงกำมะหยี่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่กลางโถง ส่วนบริเวณรอบๆ มีโต๊ะเก้าอี้เข้าชุดกันหลายชุดตั้งอยู่มุมนั้นมุมนี้ มีทั้งมุมที่สว่างแจ้ง และมุมที่แสงต่ำๆ คล้ายเพื่อให้แขกนั่งพักสายตา นอกจากนั้นก็มีเสียงเพลงคลาสสิกเปิดคลออยู่เบาๆ

น้าเกดกับน้าเอ๊ดนั่งกันอยู่ที่มุมอับแสง ดูเหมือนกำลังวอร์มฝีปากกันเบาๆ

ผมกับพี่ทัชเดินเข้าไปหาทันที

“อ้าว นะฑี ณทัช” น้าเกดทำเสียงแปลกใจ “มาทำไรกันที่นี่”

น้าเกดด้นสดใส่เราทันทีเหมือนกัน

“สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้ทั้งคู่สบายๆ ผมก็ทำตามด้วยแบบเกร็งๆ “มาหาเพื่อนน่ะครับ พอดีเพื่อนกลับจากต่างประเทศ มาพักที่นี่”

“ผมก็ตามพี่ทัชมา” ผมเสริม “แบบว่า มาด้วยกันอะ ไม่มีไรทำ ก็เลยมา”

“อ้อ บังเอิญดีนะ”

“บังเอิญจนน่าแปลกเลยว่ะ” น้าเอ๊ดว่า แต่ไม่มีใครสนใจ ถ้าพูดให้ถูกคือทำเป็นไม่สนใจ

น้าเกดฉีกยิ้มพลางตบเก้าอี้ “นั่งก่อนๆ รีบไปไหนกันรึเปล่า”

เนื่องจากเป็นโต๊ะกลมขนาดไม่ใหญ่มาก พอเราสองคนนั่งลงพื้นที่เลยเต็มเอี๊ยด หัวเข่าแทบจะชนกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นการดีถ้าจำเป็นต้องกระโดดล็อกคอเหยื่อ

“แล้วพวกน้ามาทำไรกันเหรอครับ” ผมด้นสดบ้าง

“เอ่อ…” น้าเกดชะงักไป แสดงว่าหัวข้อที่ผมเปิดนี่ไม่เวิร์ก “น้ามาช้อปปิ้งแถวนี้น่ะ พอดีนัดกับเพื่อนว่าจะเจอกันที่นี่ ส่วนน้าเอ๊ดนัดคุยกับลูกค้าที่นี่เหมือนกัน เพิ่งคุยกันเสร็จ แล้วน้าเข้ามาเจอพอดี...ใช่มั้ย”

คำว่า ใช่มั้ย นี่ สัมผัสได้เลยว่าแฝงรังสีอำมหิตอยู่

“เออ”

“ก็นั่นแหละ บังเอิญเนอะ”

แล้วก็เดดแอร์กันไป

น้าเอ๊ดเหมือนจะไม่สนใจอะไร เขากำลังไถหน้าจอมือถืออยู่ ส่วนเราสามคนแอบมองหน้ากัน โดยเฉพาะผมกับน้าเกดที่แอบส่งความอัดอั้นระทมทุกข์ให้กันทางสายตา

“เอ้อ น้า จำได้ปะที่ผมเคยบอกมีเพื่อนดูลายมือแม่น” ผมเปิดหัวข้อที่แอบคิดมาตั้งแต่ในรถ “ก็นี่แหละ พี่ทัชคนนี้เลย แม่นขั้นเทพ”

“อ้าวเหรอ งั้นดูให้น้าหน่อยสิ”

“ถ้านั่งคู่กันงี้ ตามธรรมเนียมต้องดูผู้ชายก่อนอะ ถึงจะแม่น”

“อ้อ งั้น…” น้าเกดสะกิดสามี “เอ๊ด ให้น้องดูหน่อยดิ”

“ไร้สาระ”

“เรื่องแบบนี้ฟังไว้บ้างก็ดี ไม่เสียหายหรอก”

“นั่นดิน้า นี่หมอดูขั้นเทพเลยนะ จะได้รู้ไงว่าช่วงนี้จะโชคดีหรือร้าย การเงินการงานไรงี้ รับรองมีอึ้งแน่”

“งมงาย” น้าเอ๊ดเงยหน้าจากโทรศัพท์ น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เกี่ยวไรกับลายมือลายตีน ถ้าขี้เกียจแม่งก็จน ขยันก็รวย ลุงแถวบ้านเก็บขยะขายยังส่งลูกเรียนปริญญาได้ถ้าทำไม่หยุด มันมีแค่นั้นแหละ สูตรตายตัว เหมือนที่กูขยันงกๆ อยู่นี่ไง เมียถึงช้อปปิ้งได้ตลอด”

ท่ามกลางแสงไฟต่ำๆ น้าเกดเม้มปากและหลุบสายตาต่ำลง สีหน้าโคตรเจ็บปวด

แม่ง ก็พูดเกินไป เมียไม่ได้งอมืองอตีนช้อปปิ้งไปวันๆ ซะหน่อย ไม่ใช่แค่หุ้นเปิดร้านดอกไม้กับแม่ผม น้าเกดทำงานออฟฟิศด้วย ระดับผู้จัดการเลยเหอะ

“ลุงเก็บขยะที่ว่าแกแอบขายยาบ้าด้วยรึเปล่า” ผมโต้ไปดอกนึง ไม่อยากพาดพิงลุงคนนั้นหรอก แต่หมั่นไส้น้าเอ๊ด

นั่นไง มองหน้าผมเหมือนของจะขึ้นไปอีกระดับละ

“ขอโทษนะครับ น้าเอ๊ดทำงานอะไรเหรอครับ” พี่ทัชถามแทรกขึ้น สายตาทุกคู่เลยเปลี่ยนไปมองเขา

“ทำไม”

“ผมเรียนคณะจิตวิทยาน่ะครับ กำลังทำโปรเจ็กต์จบอยู่ กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยทำงานครับ ถ้าผมจะรบกวนขอทำแบบทดสอบเล็กๆ น้อยๆ สักห้านาทีได้มั้ยครับ”

“แล้วกูได้อะไร”

“ก็ได้ช่วยนักศึกษาให้เรียนจบครับ แล้วก็อาจจะได้รู้เทคนิคทางจิตวิทยานิดหน่อยที่นำไปใช้กับงานได้ เกี่ยวกับ Personal Space และการโน้มน้าวคน อะไรทำนองนี้ น้าเอ๊ดต้องทำงานที่ติดต่อกับผู้คนเยอะๆ หรือเปล่าครับ”

“กูเป็นเซลล์ขายรถหรูๆ ให้พวกคนที่ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรน่ะ เป็นนายหน้าอสังหาฯ ด้วย ต้องวุ่นวายกับลูกค้าตลอดแหละ แล้วลูกค้ารวยๆ นี่แม่งก็เรื่องมากชิบหาย”

“งั้นก็ดีเลยครับ”

“ไอ้ที่พูดเมื่อกี้ Personal Space อะไรนี่มันยังไง ใช้โน้มน้าวคนยังไง”

“มันคือระยะห่างระหว่างบุคคลในสังคมน่ะครับ ทางจิตวิทยาแบ่งเป็นสี่ระยะ ระยะส่วนตัว ระยะบุคคล ระยะสังคม แล้วก็ระยะชุมชน ผมทำโปรเจ็กต์เกี่ยวกับเรื่องนี้แหละครับ กะว่าจะให้ต่อยอดไปในเชิงธุรกิจ”

“ยังไง” เห็นได้ชัดว่าน้าเอ๊ดสนใจเต็มที่ พี่ทัชแม่งไหลไปได้ว่ะ ผมกับน้าเกดแอบมองหน้ากันและไม่พูดแทรกอะไร

“ก็สมมติอย่างคนแปลกหน้ามาเจอกัน ระยะห่างที่สบายใจต่อกันจะกว้างกว่าคนที่รู้จักกันใกล้ชิดกันอยู่แล้ว อย่างผมกับน้านี่ ไม่ค่อยสนิท พอต้องนั่งใกล้กันแบบนี้ก็จะรู้สึกอึดอัดใช่มั้ยครับ คำถามคือ…” พี่ทัชเว้นจังหวะพูด ทำให้ฟังดูลุ้นๆ “จะมีเทคนิคหรือวิธีอะไรบ้างที่ช่วยลดช่องว่างตรงนี้ เป็นการลดระยะห่างระหว่างบุคคลได้แบบฉับพลัน”

“แล้วไงต่อ”

 “ถ้าลดระยะห่างระหว่างบุคคลได้อย่างเป็นมิตร การพูดคุยก็จะง่ายขึ้น เอาไปต่อยอดเชิงธุรกิจก็คือโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้นน่ะครับ ภาษาร่างกายก็มีผลนะครับ อย่างผมนั่งแบบนี้ แค่คว่ำมือหรือหงายมือก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดไม่เท่ากันแล้ว ดูนะครับ” ว่าแล้วเขาก็สาธิตช้าๆ คว่ำมือไว้บนหน้าขา แล้วก็หงายมือขึ้น

“ไม่รู้ว่ะ รู้สึกไม่ค่อยต่าง”

“ถ้าตั้งใจสังเกตแบบนี้จะไม่ค่อยรู้สึกครับ แต่ถ้าเราทำตอนอีกฝ่ายเผลอ ไม่รู้ตัว เป็นไปโดยธรรมชาติจะมีผลมากครับ อย่างเมื่อกี้น้าเอ๊ดนั่งกอดอกอยู่ เป็นท่าที่แสดงถึงว่ายังปิดกั้น ไม่เปิดรับ ไม่อยากให้คู่สนทนาล่วงล้ำระยะบุคคล แต่ตอนนี้ลดแขนลงมาวางมืออยู่แถวๆ บริเวณหน้าขาแล้ว สื่อถึงว่าเริ่มผ่อนคลายลงและเปิดรับมากขึ้น แต่ก็ยังระวังตัวอยู่ ถ้าเกิดอะไรที่ไม่โอเคขึ้นก็พร้อมจะตอบโต้ทันที เป็นสัญชาตญาณน่ะครับ แบบเดียวกับนักมวย ถ้ายกแขนตั้งการ์ดก็คือพร้อมสู้มากกว่าปล่อยแขนลงข้างตัว”

ผมแอบมองท่าทางของแต่ละคน น้าเกดงี้นั่งตัวเกร็ง ประสานมือไว้บนตักแน่น น้าเอ๊ดนั่งอย่างที่พี่ทัชบอก ตัวพี่ทัชเองนั่งสบายๆ ตามแบบฉบับของเขา แล้วนี่ผมนั่งท่าไหนอยู่วะ ภาษากายผมกำลังสื่อสารว่าอะไรบ้าง วางตัวไม่ถูกวุ้ย งั้นนั่งเกาหัวแม่งเลยละกัน

“อย่างนะฑีตอนนี้ แสดงว่ากำลังงงอยู่ครับ ตามพวกเราไม่ทันแล้ว” พี่ทัชพูดอีก

เอ้า กูดูโง่ไปเลยทีนี้

“อืม” น้าเอ๊ดทำเสียงต่ำๆ “น่าสนใจ แล้วเทคนิคโน้มน้าวล่ะ”

“ก็ยังมีรายละเอียดอีกเยอะน่ะครับ เดี๋ยวผมรวบรวมอันที่จะเป็นประโยชน์ให้น้าทีหลังได้ ตอนนี้ผมขออนุญาตทำแบบทดสอบเล็กๆ น้อยๆ ที่จะใช้กับโปรเจ็กต์ผมได้มั้ยครับ”

“นานมั้ย กูต้องทำอะไรบ้าง”

“สักห้านาทีก็เสร็จแล้วครับ แค่ทำตามที่ผมบอกไม่กี่อย่าง”

เอาละเว้ย จะเข้าไคลแม็กซ์แล้ว

นั่นไง ถ่านนาฬิกามาละ

“ถือไว้นะครับ”

“อะไร” น้าเอ๊ดรับมาพลิกดู “ถ่านนาฬิกา?”

ดูเหมือนถ่าน แต่ไม่ใช่ถ่าน ตามบทเป๊ะ

“ใช่ครับ ถ่านนาฬิกา”

เอ้า! แทบหัวทิ่มตกเเก้าอี้

พี่ทัชเปลี่ยนมุกซะงั้น

“แล้วให้ถือทำไม” น้าเอ๊ดถาม

“ไม่บอกครับ”

“อ่าว กวนตีน”

“การให้ถือสิ่งของไว้โดยไม่บอกเหตุผล และไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรกับมัน จะทำให้ไม่สบายใจ ทำให้สงสัยและรู้สึกอึดอัดครับ” พี่ทัชอธิบาย ก็คือแถนั่นแหละ...รึเปล่าวะ เท่าที่ฟังมานี่ก็ดูมีหลักการโคตรๆ “ทีนี้ลองทำใจให้สบายครับ”

“คือมึงให้กูถือของ หาเรื่องให้กูไม่สบายใจ แล้วก็บอกให้กูทำให้ตัวเองสบายใจว่างั้น? อันนี้แถวบ้านเรียกกวนตีนนะ”

“เป็นการจำลองสถานการณ์เรื่องระยะห่างระหว่างบุคคลน่ะครับ อย่างนักธุรกิจแปลกหน้ามาเจอกัน ก็จะมีความไม่สบายใจหรือเกร็งเป็นพื้นฐาน แต่ขณะเดียวก็จะพยายามทำให้ตัวเองสบายใจด้วย เป็นภาวะที่ขัดแย้งกัน คล้ายๆ กับที่น้าเอ๊ดรู้สึกอยู่ตอนนี้แหละครับ”

“อ่อ”

“พยายามผ่อนคลายไว้นะครับ นึกถึงท้องฟ้าหรือภูเขาก็ได้”

“นึกอยู่”

“เพื่อให้มีสมาธิมากขึ้น มองเข็มนาฬิกาไว้นะครับ”

มาแล้ว แอปนาฬิกา

อันนี้ตามบทเป๊ะ

น้าเอ๊ดก้มมองเข็มนาฬิกาบนหน้าจอไอโฟนที่พี่ทัชเลื่อนมาไว้ตรงหน้า มือที่วางอยู่บนโต๊ะยังกำถ่านนาฬิกาอยู่หลวมๆ ไม่มีใครพูดอะไร พี่ทัชดูสนอกสนใจกระบวนการนี้มาก เหมือนว่ากำลังทำเคสตั๊ดดี้อยู่จริงๆ ส่วนผมกับน้าเกดแอบขยิบตาให้กัน

“รู้สึกยังไงบ้างครับ” พี่ทัชถามหลังจากผ่านไปประมาณครึ่งนาที

“ก็ปกติ”

“ยังนึกภาพท้องฟ้าอยู่ใช่มั้ยครับ”

“กูนึกภูเขา”

“ได้ครับ นึกไปเรื่อยๆ นะครับ”

“เออ แล้วถ่านล่ะ ต้องทำยังไงกับมัน”

“แค่ถือไว้ครับ ตอนนี้น้ามองเข็มไปเรื่อยๆ นะ”

ผ่านไปราวๆ ยี่สิบวินาที พี่ทัชก็ถามอีก “รู้สึกยังไงบ้างครับตอนนี้”

“ก็...เหมือนเดิม ไม่มีไร”

“ผ่อนคลายมากขึ้นมั้ย”

“มั้ง”

“เอาความจริงเลยนะครับ พูดตรงๆ ว่ารู้สึกยังไงบ้าง” พูดประโยคนี้จบ พี่ทัชก็หันมองหน้าน้าเกดนิดๆ ซึ่งทั้งน้าเกดและผมเข้าใจได้ทันทีว่า นี่คือประโยคป้อนคำสั่งให้จิตใต้สำนึกแล้ว

“ก็ไม่รู้สึกอะไรไง เฉยๆ”

“แล้วแบบนี้ล่ะครับ”

พี่ทัชเอื้อมไปจับข้อมือน้าเอ๊ดข้างที่กำถ่านนาฬิกาอยู่เต็มๆ แค่สัมผัสเบาๆ แต่เจ้าตัวก็สะดุ้งเล็กน้อย

“อะ...อะไร”

“จำลองการลดระยะห่างระหว่างบุคคลแบบฉับพลันครับ เป็นไงมั่ง”

“ไม่รู้...มันแปลกๆ”

“หายใจลึกๆ ช่วยได้ครับ”

น้าเอ๊ดหายใจแรงขึ้น ขมวดคิ้ว

ผมเห็นพี่ทัชกำข้อมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกนิด ก่อนจะพูดต่อ “ทีนี้ เดี๋ยวจะลองให้เราสามคนถามคำถามง่ายๆ ดูนะครับ...น้าเกดมีอะไรอยากถามมั้ยครับ”

น้าเกดดูตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วสายตาก็คมปราบขึ้น

“วันนี้มาหาลูกค้าจริงหรือเปล่า”

“ก็จริงดิวะ เพิ่งคุยกันเสร็จ แล้วพวกมึงก็เข้ามา”

“ลูกค้าผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้หญิง”

“คุยกันเรื่องงานหรือเรื่องอะไรแน่” น้าเกดเริ่มเสียงสั่นๆ ด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“ก็งานดิ อีป้านั่นก็เรื่องมากชิบหาย”

“ป้าเหรอ

“อีกหน่อยก็ยายแล้ว”

“แสดงว่าคุยกันแค่เรื่องงานจริงๆ เหรอ”

“เอ้า แล้วมึงจะให้กูคุยเรื่องอะไร”

น้าเกดดูโล่งอก ส่วนผมไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ก็ยินดีกับน้าเกดด้วยถ้ามันจะคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สบายใจที่น้าเอ๊ดตอบได้ไหลลื่นขนาดนี้

หรือพลังเอ็กซ์เมนใช้ไม่ได้ผล

ผมเหลือบมองพี่ทัช เขายังจับข้อมือน้าเอ๊ดอยู่ แต่หันหน้าไปทางอื่นคล้ายกับว่าปล่อยให้คนในครอบครัวเคลียร์กันเอง

“เอามือถือมาดูซิ” น้าเกดไม่พูดเปล่า แต่ล้วงเอามือถือของน้าเอ๊ดจากกระเป๋ากางเกงมาเลย เจ้าตัว ทำท่าฮึดฮัดขัดขืนแต่น้าเกดก็ได้มือถือไปแล้ว ตอนนั้นแหละผมถึงมั่นใจว่าพลังที่ทัชยังทำงานอยู่ น้าเอ๊ดยอมปล่อยมือถือให้น้าเกดไป แล้วหันมาสนใจมือตัวเอง คิ้วขมวดเป็นปม เหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองถือถ่านนาฬิกาไว้ทำไม และทำไมยังปล่อยให้พี่ทัชจับข้อมืออยู่

“รหัสปลดล็อกหน้าจออะไร” น้าเกดถาม

“อะ...อะไร”

“รหัสหน้าจออะ เลขอะไรบ้าง”

“2535 เลข พะ…”

น้าเกดกดปล็ดล็อกทันที พลางถามต่อ “อะไร พูดให้จบ”

“เลข พ.ศ. เกิดน้องมอสซี่”

เอ้า หักมุมซะงั้น

เหมือนจะไม่มีอะไร แต่สุดท้ายมันก็มีเว้ย!

“มะ...มอสซี่ไหน” น้าเกดพูดตะกุกตะกักบ้าง ตัวสั่นไปหมดแล้วตอนนี้

“เด็กกู นะ...นี่พวกมึง ทำอะไรกู…”

น้าเกดไถหน้าจอมือถือเอาเป็นเอาตาย เหมือนจะไล่ดูแชตในไลน์ แต่ดูจากสปีดการไถเหมือนกับว่าสติหลุดไปแล้ว คงอ่านอะไรไม่รู้เรื่องแน่ ผมเลยต้องแทรกแซง กดมือน้าเกดลงและกระซิบข้างหู “ไว้ค่อยดูน้า ถามให้จบก่อน”

น้าเกดเงยหน้าขึ้น ทำท่าจะพูด แต่ก็ชะงักคล้ายกับไม่กล้าคายคำนั้นออกมา

“ปะ...ปล่อยกู” เสียงน้าเอ๊ดดังแต่สั่น คงจะฝืนสู้พลังเต็มที่ เหงื่อถึงได้เปียกชุ่มขนาดนี้ ถ้าตัวน้าเอ๊ดคือระเบิดเวลา ตอนนี้ก็น่าจะเหลือเวลาไม่ถึงสิบวินาทีแล้ว

“มีเมียน้อยใช่มั้ย” น้าเกดถามออกมาจนได้

“เออ!”

“อะ...ไอ้ชั่ว! ทำไมทำแบบนี้วะ!”

“เพราะกูเบื่อไง”

น้าเกดเสียงสั่น ดูหมดเรี่ยวแรงเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม “ตอนขอแต่งงานไหนบอกจะไม่เบื่อ…”

“เออ แต่ตอนนี้กูเบื่อ...ไอ้เชี่ยนี่ก็อะไรนักหนา ปะ...ปล่อย…” น้าเอ๊ดบิดแขนไปมา จนในที่สุดก็หลุดจากมือพี่ทัชจนได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าพี่ทัชยอมปล่อยมากกว่า น้าเอ๊ดหายใจเฮือก ทิ้งถ่านนาฬิกาลงพื้นแล้วนวดมือแรงๆ

“เลว” เสียงน้าเกดกดต่ำและกำมือแน่น ถ้าเปรียบเป็นลูกโป่งตอนนี้ตัวน้าเกดก็ถูกสูบลมเข้าไปใหม่แล้ว แต่เป็นลมร้อนๆ ที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกวินาที “ไอ้เลว มีกี่คน กี่ปีแล้ว

“กี่คนก็ไม่จู้จี้จุกจิกแบบนี้หรอก” น้าเอ๊ดลุกพรวดขึ้น แล้วเดินปึงๆ ออกไป

น้าเกดลุกขึ้นยืนด้วย “จะไปไหน มาคุยกันให้รู้เรื่อง!”

“กูเบื่อ!”

“กูจะฟ้องหย่า!”

“เออ! ฟ้องเลย!”

“ไอ้ชาติชั่ว!” น้าเกดทำท่าจะขว้างโทรศัพท์ในมือตามหลัง ผมรีบคว้าไว้และแย่งจากมือได้ทัน ถึงยังไงเราก็ไม่ควรเสียโทรศัพท์ไปอีกเครื่องหรอก โดยเฉพาะเครื่องนี้ที่น่าจะมีหลักฐานการแชตกับเมียน้อยอยู่ เหมือนน้าเกดจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกแย่งของจากมือแล้ว เลยยังขว้างมือเปล่าๆ ต่อ แล้วค่อยทรุดลงนั่งซบหน้าร้องไห้   

ส่วนน้าเอ๊ดไปถึงประตูแล้ว เขาผลักประตูอย่างแรงจนขอบประตูเกือบจะฟาดหน้าดอร์แมน จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปสู่ยามค่ำคืนที่เพิ่งจะเริ่มโปรยความมืดลงมา

สายตานับสิบคู่มองมาทางเรา พนักงานที่อยู่บริเวณเคาน์เตอร์หันหน้าปรึกษากันเหมือนไม่รู้จะจัดการยังไง ส่วนแขกที่มาพัก บ้างก็ทำเป็นเมิน บ้างก็มองมาและพูดคุยซุบซิบ ผมเลิกใส่ใจคนพวกนั้น เลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ๆ น้าเกด วางมือโอบบนไหล่และตบเบาๆ ไม่รู้ว่าทำถูกต้องมั้ย ผมไม่ถนัดเรื่องทำนองนี้

หันไปมองพี่ทัชเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ก็เหมือนเขาจะไม่ถนัดเหมือนกัน คนในครอบครัวเขาอาจจะไม่เคยด่าทอกันด้วยซ้ำมั้ง ตอนนี้สีหน้าเขาอาจจะดูราบเรียบ คนอื่นอาจจะดูว่าเขาปกติ แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่าเขากำลังเจ็บปวด ในแววตาเขา...คล้ายกับมีเศษกระจกแตกชิ้นเล็กๆ แฝงอยู่ และพอต้องแสงไฟมันก็ดูเป็นประกายเด่นชัดขึ้นแวบหนึ่ง

น้าเกดยังตัวสั่นเทา เสียงสะอื้นเป็นพักๆ เคล้ากับเสียงเปียโนบรรเลงเพลงคลาสสิกที่ทางโรงแรมเปิดคลอไว้

“เอามือถือมันมา” แต่จู่ๆ น้าเกดก็ยืดตัวขึ้น ใช้หลังมือปาดน้ำหูน้ำตาทิ้ง กลับมาเป็นลูกโป่งถูกสูบลมกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง ผมเลยละแขนที่โอบอยู่ลง

“จะดีเหรอ เอาไว้ที่ผมก่อนก็ได้นะ ในนี้อาจจะมีแชตกามๆ ของน้าเอ๊ดอยู่ อาจจะมีคลิปเลยก็ได้” ผมพูด แล้วก็นึกได้ว่าไม่น่าจะขยายความขนาดนั้น “แต่อาจจะไม่มีไรก็ได้”

“เอามาเถอะ”

“ไหวเหรอ น้าชัวร์เปล่า”

“ไหวๆ”

ผมเลยส่งมือถือน้าเอ๊ดให้ น้าเกดรับไปแล้วทำท่าจะปลดล็อกหน้าจอ แต่ก็เปลี่ยนใจหย่อนมันลงกระเป๋าถือแทน ก่อนจะเงยหน้าสูดหายใจลึกๆ น้ำตาแห้งไปแล้ว แต่ตายังฉ่ำชื้นและแก้มแดงเป็นปื้น

“ขอบใจมากนะทัช” น้าเกดฝืนยิ้ม

“ไม่เป็นไรครับ”

“ขอบใจมากๆ…นะฑี คืนนี้เดี๋ยวน้าไปนอนที่บ้านด้วย”

“ได้เลย งั้นกลับกันเลยมั้ย ผมนั่งรถไปด้วย”

“คือ...น้าอยากอยู่แถวนี้สักพักน่ะ แล้วเดี๋ยวจะเข้าไป อาจจะดึกหน่อย”

“แต่…”

“เดี๋ยวไปส่ง” พี่ทัชพูด

“ทัชนี่เป็นคนดีจริงๆ” น้าเกดว่า “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะมารู้จักนะฑี”

เหมือนจะพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ผมไม่ยอมหรอก “น้าไหวแน่เหรอ กลับกันเลยดีกว่ามั้ย”

“ไหวน่า ระดับนี้แล้ว” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น “เดี๋ยวน้าจะไปห้องน้ำหน่อย แล้วแยกกันเลยก็ได้ เจอกันที่บ้าน...ขอบใจมากนะทัช” น้าเกดถึงกับเดินอ้อมไปตบไหล่พี่ทัชสองสามที “ไว้วันหลังน้าขอเลี้ยงข้าวนะ”

“ไม่เป็นไรครับน้า...สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้

เรามองตามหลังน้าเกดเดินลึกเข้าไปด้านในจนลับตา แล้วค่อยหันมามองหน้ากัน ไม่มีคำพูด ความเงียบโอบล้อมเข้ามาจนเป็นเหมือนกำแพงล่องหนบางๆ ปิดกั้นเสียงจากรอบตัวไว้ ภายใต้แสงไฟนวลสลัว ดูราวกับว่าเป็นเราสองคนซะเองที่มีปากเสียงกัน แล้วก็นั่งแตกสลายยับเยินอยู่ตรงนี้

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...” ผมทำลายความเงียบ “ความจริงมักจะโหดร้าย บางทีไม่รู้ก็ดีกว่า เหมือนที่พี่เคยบอก”

“เหมือนที่มึงพูดมากกว่า” พี่ทัชพูดบ้าง “การโกหกกันมันโหดร้ายกว่า”

เราเงียบกันไปอีก

นึกดูแล้วก็งงๆ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เราต่างหยิบคำพูดที่อีกฝ่ายเคยบอกไว้มาตอกย้ำกันแบบนี้

“อยากไปไหนมั้ย หรืออยากกลับเลย” คราวนี้พี่ทัชเป็นคนทำลายความเงียบ

“กลับดีกว่า คิดถึงแม่”

“โอเค”

“พี่ไม่ต้องไปส่งผมถึงที่บ้านก็ได้นะ แค่รถไฟฟ้าก็พอ”

“ต้องดิ”

“ทำไม ต้องรักษาคำพูด งี้เหรอ”

“กูอยากไปส่ง” เขาพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินนำออกไป

น้าสาวเพิ่งโดนผัวทำร้ายขนาดนี้ แต่ทำไมกูยิ้มวะ ก็แค่มีคนไปส่งถึงบ้านมันจะอะไรนักหนา ดีใจเพราะจะได้ประหยัดค่ารถงี้เหรอ

เออ ก็ได้ประหยัดค่ารถแหละ

แต่ก็เพราะอย่างอื่นด้วย…

ไม่กี่นาทีต่อมา เราก็มาอยู่ในรถท่ามกลางการจราจรที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าขามาซะอีก แต่ผมไม่ซีเรียส ยังไงก็มีเสียงเพลงเป็นเพื่อนอยู่ โดยเฉพาะเพลงของวง Lauv เปิดแล้วก็ร้องตามไปเรื่อยๆ

“อารมณ์ดีไปมั้ย” พี่ทัชถามขึ้น

“เอ้า จะเศร้าทำไมล่ะ ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป”

“แชตถามน้าเกดหน่อย ว่าเป็นไงบ้าง”

“ใจตรงกันเป๊ะ นี่ผมกำลังจะพิมพ์เลย” ผมควักมือถือออกมา กดเข้าไลน์ส่งข้อความเป็นห่วงเป็นใยไปตามคำแนะนำของพี่ทัช “น้าเกดตอบแล้ว บอกว่าโอเค”

“อืม”

ผมกำลังจะชวนน้าคุยต่อ แต่นึกบางอย่างได้เลยหยุดมือไว้

“พี่ ถามหน่อยดิ”

“ไร”

“ทำไมถึงยอมช่วยอะ”

พี่ทัชเหลือบมองนิดๆ “เพราะน้า”

“เพราะสงสารน้าเกดใช่มั้ย อืม…”

“แล้วก็น้า”

“น้าเอ๊ดอะนะ ไปให้ราคาทำไมคนแบบนั้น พูดแล้วของขึ้นอีกละ อยากต่อยแม่ง”

“ไม่ใช่”

“ยังไง” ผมมองหน้าเขาเต็มๆ “อธิบาย”

“ช่วยเพราะน้าเกด แล้วก็เพราะน้าาา…” พี่ทัชลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วบังคับรถเคลื่อนตัวไปจ่อท้ายรถคันหน้าที่ติดเป็นแถวอยู่ ผมรอฟังต่อ แต่เขาก็เงียบ

เพราะน้าาา?

อะไรของเขาวะ

“อ้อ” อดยิ้มไม่ได้อีกละ ผมเอียงตัวเข้าไปกระแซะและใช้นิ้วคีบแขนเสื้อเขาเบาๆ “เพราะน้าาา~ แบบนี้อะเหรอ นะๆๆ น้าาา~ พี่ทัช ช่วยหน่อย งี้ใช่ปะ”

เขาไม่ตอบ

แต่การไม่ตอบนี่แหละ คือคำตอบแล้ว

ตื่อดึ๊ง

ไลน์เด้ง นึกว่าน้าเกดพิมพ์มา ที่ไหนได้…



❤ C A L ❤: ขอคุยอะไรซีเรียสหน่อยได้ปะ



เจ๊แคลเซียม เรื่องไรอีกวะ

เมื่อกี้นี้ชีวิตกูยังซีเรียสไม่พออีกใช่มั้ย...






_____________________________



ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมานะคะ ดีใจมากเลยค่ะ
อยากให้รู้ไว้ว่า คนอ่านมีความหมายกับเรามากจริงๆ
จะพยายามตั้งใจแต่งเต็มที่เพื่อตอบแทนทุกคนนะคะ T T


นางร้าย
9.กันยา.2019



หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 15) |▌9.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: meeyeon ที่ 10-09-2019 09:34:54
พึ่งได้เข้ามาอ่าน สนุกมากๆเลยค่ะ

ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 15) |▌9.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 10-09-2019 20:10:27
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 16) |▌18.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 18-09-2019 20:39:50

แตะต้องครั้งที่ 16
จับบบ…เหตุผลกับหัวใจถอดไส้ไปกินขี้
ข้อเสียก็มีข้อดีก็เหลือเฟือโปรยเกลือสามเม็ด



❤ C A L ❤: ขอคุยอะไรซีเรียสหน่อยได้ปะ

❤ C A L ❤: อย่าเล่นมุกนะ

NaTee(n): ไม่ได้

❤ C A L ❤: ทำไม

❤ C A L ❤: ได้เวลาออกไปหากบหาเขียดกินเหรอ

NaTee(n): นี่เจ๊เล่นมุกเองนะ

❤ C A L ❤: เอาดีๆ

❤ C A L ❤: ทำไมไม่ได้

NaTee(n): กำลังจะถอดไส้ออกไปหาขี้กินอะ

NaTee(n): แค่นี้ก่อน



ต่อให้แชตกันนานกว่านี้ก็คงจับความไม่ได้อยู่ดี ตอนนั้นอยู่กับพี่ทัชด้วย ผมเลยไม่อยากก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือเหมือนคนไม่มีมารยาท...โอเค อันนี้โกหก เอาจริงๆ คือ อยากคุยอยากกวนตีนพี่ทัชเล่นมากกว่า

วันนี้ผมก็เลยต้องถ่อมาหาเจ๊แคลถึงถิ่น ซึ่งก็คือคอนโดที่ถูกสายลับของพี่เห็ดแอบถ่ายคลิปไว้ได้นั่นแหละ นี่เดินไปยังหลอนๆ อยู่ อย่างกับเด็กมีปมเลย

เจ๊แคลกลับเข้ามาที่คอนโดก่อนผมไม่กี่นาที แกเลยนั่งรอที่ล็อบบี้ จนผมมาถึงค่อยขึ้นไปบนห้องด้วยกัน

“นี่ห้องหรือโกดังเก็บขยะอะเจ๊” ผมแซว

“มันจะเป็นที่เก็บขยะเพราะแกถอดรองเท้าไม่เรียบร้อยเนี่ย” เจ๊แซวกลับ

“ขอโทษครับๆ ขอโทษเจ้าที่เจ้าทางด้วยคร้าบ”

“ตีปากตัวเองสองทีเลย ช่วงนี้ยิ่งกลัวๆ อยู่”

“ไรหรอ”

“เสียงก๊อกแก๊กไรงี้”

“หนูรึเปล่า ห้องเจ๊รกไง หนูเลยแอบเข้ามาอยู่ เอ๊ะ หรือมีผีจริงๆ”

“ไม่เอา~ ไม่พูดแบบนี้~ เดี๋ยวเจ๊ขอเช็ดหน้าก่อน” เจ๊ดิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ลงมือปลอบประโลมผิวหน้าด้วยมือน้อยๆ อย่างแผ่วเบา

มาห้องเจ๊แคลทีไรผมชอบแซวในทางตรงข้ามแบบนี้แหละ เพราะห้องสะอาดเกิ๊น สะอาดจนอยากร้องขอชีวิต พื้นไม่มีฝุ่นสักเม็ด ข้าวของวางเป็นระเบียบทุกมุม ผ้าทุกผืนเป็นต้องมีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มแม้จะเป็นผืนที่ใช้แล้ว แม้แต่ผ้าขี้ริ้วยังดูดีกว่าเสื้อบางตัวของผมอีก

แล้วไม่ใช่แค่รักสะอาด ข้าวของแต่ละอย่างนี่ก็คาวาอี้สุดๆ ไม่ว่าจะเป็นแก๊งตุ๊กตาดีสนีย์ ที่รองแก้วสตูดิโอจิบลิ พวงกุญแจซานริโอ้ แล้วก็อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน

แต่เห็นสะสมของกุ๊กกิ๊กแบบนี้ เจ๊แคลก็ไม่เคยหลุดจากโผท็อปเท็นคนชอบเล่นมุกของคณะบริหารนะ จังหวะรับส่งมุกสูสีกับโอเปิ้ลเลย เพราะแบบนี้ผมถึงชอบกวนตีนแกเล่น

ไม่รู้เจ๊มีเรื่องซีเรียสอะไร กินน้ำวอร์มเส้นเสียงไว้ก่อนละกัน ผมเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำให้ตัวเอง แล้วมานั่งที่โซฟามองเจ๊แกที่กำลังเช็ดมาสคาร่าอย่างเบามือ

“เจ๊ ทำไมเจ๊ไม่ทาห้องสีชมพูไปเลยอ่ะ จะได้เข้ากับของสะสม”

“อยากอยู่ แต่พ่อไม่ให้ทำ เดี๋ยวเรียนจบแล้วปล่อยคอนโดให้เช่าต่อ... เสร็จละ” เจ๊แคลหันมาด้วยหน้าสด ซึ่งก็ดูสวยใสไม่แพ้ตอนโปะด้วยเครื่องสำอางเท่าไหร่หรอก แล้วจะแต่งทำไมวะ แวบนึงผมก็อดดีใจไม่ได้ที่เกิดเป็นผู้ชาย ไม่ต้องมานั่งวุ่นวายอะไรกับหนังหน้ามากขนาดนี้

“แล้วที่เรียกมานี่คือ…”

“เดี๋ยวนะ ล้างหน้าแป๊บ”

น่ะ ยังไม่เสร็จอีก

ผมนั่งไถมือถือเล่นรอจนเจ๊แคลประกอบพิธีกรรมปลอบโยนผิวหน้าเสร็จ เจ๊แกมานั่งที่โซฟาแล้ว เอาแต่ถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนแมวหอบแดด ไม่ยอมพูดสักที ผมเลยต้องถามเอง

“ขอเดานะ ไม่ใช่เรื่องเรียน”

“ไม่ใช่”

“ผู้ชายใช่มะ”

“อือ”

“อะ เล่ามา”

“ไม่รู้จะเล่ายังไง”

“งั้นเขียนจดหมายมัดติดขานกพิราบมาละกัน ไปละ…”

“เอ้า เดี๋ยว” เจ๊แคลคว้าแขนผมไว้ แล้วถอนหายใจอีก “คือ...ก็มีคนเข้าหาเยอะอะ”

“ก็ดีแล้วนี่เจ๊ สวยเลือกได้”

“เริ่มไม่ดี”

“สับรางไม่ถูกว่างั้น”

“ก็ไม่ใช่แบบนั้น เจ๊ไม่เคยคิดจะคบซ้อนหรือคุยหลายคนอะไรอยู่แล้ว มีคนเข้ามาทำความรู้จักแบบดีๆ ด้วย เราก็ดีกลับ”

“อัธยาศัยดี”

“ใช่ มันก็เหมือนเราได้รู้จักเพื่อน รู้จักพี่สักคนเพิ่มมาในชีวิต มันก็ดีอะ แต่หลังจากแต่ละคนเริ่มดูจริงจัง โดยเฉพาะเจมส์กับพี่เรนจิ”

“พี่เห็ดแกสายพุ่งชนนะผมว่า แต่บางทีอาจจะไม่รู้จังหวะมั้ง เลยอาจจะพุ่งแรงไปจนหัวทิ่ม”

“อื้ม”

“หลักๆ ตอนนี้คือสองคนนี้ใช่มะ แล้วไง ปัญหาคือ…”

“ไม่อยากคุยซ้อน”

“จะเทคนนึงว่างั้น”

“ไม่...ไม่รู้สิ”

“ก็น่าปวดเศียรอยู่ เอ้า ยาดม” ผมควักยาดมที่พกติดกระเป๋ามาส่งให้ เจ๊แคลรับไปเปิดฝาแล้วสูดปื๊ดเต็มที่ “ลืมบอก ไม่รู้มีขี้มูกผมติดรึเปล่านะ”

“เอ้า ไอ้นี่ เอาคืนไปเลย”

“ล้อเล่นน่า”

“ใช่เวลาเล่นมั้ยเนี่ย”

“โอเคๆ กลับสู่โหมดซีเรียส...เฮ้อออ” ผมถอนหายใจยาว อัดยาดมเข้าจมูกบ้าง “เอางี้ ลองจับมาแหกไส้ดูทีละคนเท่าที่เจ๊รู้ เริ่มจากพี่เจมส์ ลิสต์ข้อดีข้อเสียออกมาเลย เอาข้อดีก่อนนะ นึกอะไรได้พูดออกมาให้หมด”

“ก็...ดีนะ สม่ำเสมอดี ตลกนิดๆ ฉลาด แก้ปัญหาเก่ง…”

“ไรอีก”

“ก็...ประมาณนี้แหละ”

“โอเค ข้อเสียล่ะ”

“เจ๊ไม่ค่อยชอบผู้ชายพูดมากอะ แล้วเจมส์นี่พูดตลอดเวลา แล้วเราก็มีอะไรหลายอย่างที่ชอบไม่เหมือนกัน อย่างเจ๊สายกิน เจมส์สายออกกำลังกาย นึกฟีลออกใช่ปะ”

“แล้วพี่เห็ดอะ ข้อดีก่อน”

“พี่เรนจินี่...หล่อ แต่งตัวดี รสนิยมดี ไม่ติดหรูมากแต่ก็ไม่ติดดินเกินไป เทคแคร์ดีมาก ใส่ใจสุดๆ ดูชัดเจน จริงจัง

จริงใจ สายพุ่งชนอย่างที่แกว่า”

“พี่เห็ดมาวินแล้วดิแบบนี้”

“แต่…”

“แต่ข้อเสียก็เยอะใช่มะ”

“ไม่เชิง”

“ยังไงล่ะ ไหน มีข้อเสียไรบ้าง”

“อธิบายไม่ถูก ไม่ค่อยมีข้อเสียอะไรหรอกมั้ง”

“เอ้า”

“แต่เจ๊ชอบตัวเองตอนอยู่กับเจมส์มากกว่า”

เอี๊ยด!

หักมุมหัวทิ่ม

“เจ๊ ตั้งสตินะ นี่กำลังจะบอกว่าคนที่มีข้อเสียมากกว่า ดีกว่าคนที่แทบไม่มีข้อเสียอะไรงั้นเหรอ”

“...”

“เจ๊ชอบคนตลกใช่มะ”

“ใช่”

“พี่เห็ดแกฮานะเจ๊ ผมรัวมุกใส่แกก็รับทันทุกมุก แถมรัวกลับมาไม่ยั้ง”

“กับเจ๊พี่เขาไม่ขนาดนั้นนะ”

“อาจจะยังไม่สนิทมากไง อีกหน่อยคงฮากว่านี้”

“ไม่รู้สิ”

“สำคัญคือแกดูจริงจังจริงใจนี่แหละ แกเข้าใจผิดว่าผมกิ๊กกับเจ๊ นี่ถึงกับลากผมไป…” ผมยั้งปากไว้ทัน ก่อนจะเปลี่ยนคำให้เบาลง “เคลียร์กันแบบแมนๆ ผมว่าแกก็ชัดเจนดีออก”

งงตัวเอง

ทำไมตอนนี้กูเชียร์พี่เห็ดวะ

“...”

“เจ๊ คิดดีๆ”

เจ๊แคลคว้าหมอนหมีพูห์มากอด ก้มหน้าอยู่เงียบๆ ผมคันปากอยากจะกดดันอีก แต่แกพูดขึ้นซะก่อน “เจ๊เคยคิดว่าไม่ชอบคนพูดมาก แต่พออยู่ด้วยมันก็เพลินๆ ดี เจ๊ชอบกินส่วนเขาชอบออกกำลังกาย มันก็น่าหงุดหงิดนะ แต่มีคนคอยกระตุ้นให้เราดูแลสุขภาพมันก็ดี ส่วนเจ๊ก็คอยแนะนำร้านอร่อยๆ ให้เขา บางที...ความแตกต่างในบางเรื่อง มันก็ดีเหมือนกัน”

“อันนี้พูดถึงพี่เจมส์ใช่มั้ย”

“อือ”

“แล้วพี่เห็ดอะ” ผมถาม ก่อนจะย้ำอีก “คิดดีๆ นะเจ๊”

“...”

คราวนี้เจ๊เงียบไปนาน

นานจนผมนึกว่าแกจะไม่พูดอะไรแล้ว

“เอาจริงนะ ข้อดีข้อเสียมันอาจจะไม่สำคัญเท่าไหร่ก็ได้ หรือคนแบบที่เราคิดว่าเราจะชอบ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป บางทีเราก็แค่อยากอยู่กับคนที่ทำให้เราชอบตัวเองตอนอยู่กับเขา”

“...” คราวนี้ผมเงียบบ้าง

“เจ๊ว่านะ...ความดีมันไม่ใช่คำตอบของความรัก แล้วคนที่ใช่ก็อาจจะไม่ใช่คนที่ตรงสเป็กเราก็ได้”

คมไปอี๊ก

เฮ้อออ…

“เจ๊รู้จักกับพี่เห็ดนานแค่ไหนนะ”

“ไม่ถึงสามเดือนมั้ง”

“ตีไปซะว่าสองเดือน มันเร็วไปมั้ยอะที่จะตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่”

“กับคนที่ไม่ใช่แป๊บเดียวมันก็รู้สึกว่าไม่ใช่นะ”

“แล้วกับคนที่ใช่ล่ะ”

“เจ๊ยังไม่รู้หรอกว่าคนที่ใช่จริงๆ เป็นยังไง ตอนนี้รู้แค่ว่าคนนี้ยังไม่ใช่”

คมอีกละ

พี่เห็ดคงถึงคราวเคราหะห์จริงๆ เชียร์ยังไงก็ไม่ขึ้น

“...สรุปจะเทพี่เห็ดเนอะ”

“อืม คิดว่างั้น ไม่อยากให้ความหวังเขา”

“งั้นก็บอกพี่แกดิ อย่าปล่อยไว้นาน”

“ไม่กล้าอะ ที่เรียกมาก็เพราะเห็นว่าแกรู้จักพี่เขานี่แหละ บอกพี่เขายังไงดี”

“ไม่รู้ดิเจ๊ แล้วก็ไม่ต้องคิดนะว่าจะให้ผมเป็นคนไปบอก…”

“ไม่ๆ เจ๊ต้องบอกเขาเองอยู่แล้ว แต่ใช้วิธีไหนดี”

“สายพุ่งชนอย่างพี่เห็ด คงไม่ชอบให้อ้อมๆ หรอกมั้ง บอกต่อหน้าตรงๆ ไปเลยมั้ยล่ะ”

“มันไม่โหดร้ายไปเหรอ”

ผมถอนหายใจอีกเฮือก “เจ๊ ความจริงมันอาจจะโหดร้าย แต่การโกหกกันไปเรื่อยๆ มันโหดร้ายกว่านะ” เจ๊แคลทำหน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง ผมเลยเสริมไปให้ชัด “นี่คิดเองสดๆ เลยนะ ไม่ได้ลอกใครมา”

“อือ งั้นเดี๋ยวหาจังหวะบอกพี่เขาเร็วๆ นี้”

“ตามนั้น ไปห้องน้ำแป๊บนะ นั่งดราม่ากับตัวเองไปก่อน”

ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ได้ปวดชิ้งฉ่องกิงก่องแก้วอะไรหรอก แค่อยากถอนหายใจหนักๆ สักหน่อย เฮ้อออ! ผมควักมือถือออกมากดเข้าหน้าแชตและนั่งลงบนฝาชักโครก



NaTee(n): พี่

NaTee(n): มีเรื่องไม่สบายใจอะ

NaTee(n): แต่พูดไม่ได้

NATOUCH: พูดไม่ได้ก็พิมพ์

NaTee(n): พิมพ์ก็ไม่ได้

NATOUCH: อยู่ในมหาลัยรึเปล่า

NATOUCH: กูทำงานอยู่กับเพื่อน เดี๋ยวไปหา

NaTee(n): อยู่ข้างนอกอะ

NATOUCH: ที่ไหน

NaTee(n): ไม่เป็นไร

NaTee(n): พี่ทำงานกับเพื่อนไปเถอะ

NATOUCH: …



โปรยเกลือสามเม็ดอีกละ

แรกๆ ผมมักจะหงุดหงิดที่เขาโปรยเกลือแบบนี้ เพราะไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็เริ่มชินแล้ว และพักหลังๆ มานี้เขาก็โปรยเกลือน้อยลงมาก พอเริ่มคุยกันทีไรก็มักจะไหลยาวทุกที

ว่าจะคุยค้างไว้แค่นี้พอ กวนตีนให้เขาสงสัยเล่น

แต่แล้วผมก็คิดถึงเรื่องนึง



NaTee(n): พี่

NaTee(n): เรารู้จักกันนานแค่ไหนแล้ว

NaTee(n): เดือนกว่าๆ ปะ

NATOUCH: 1 เดือน 16 วัน

NaTee(n): ใช่เหรอ

NATOUCH: ทำไม

NaTee(n): ถือว่านานปะ

NATOUCH: ไม่นาน

NaTee(n): ก็ว่างั้น

NaTee(n): เอาจริงๆ แป๊บเดียวเองนะ

NATOUCH: แต่บางทีรู้สึกเหมือนนาน

NaTee(n): จริง

NaTee(n): พี่ งั้นถามไรอย่างดิ

NaTee(n): พี่ชอบตัวเองตอนอยู่กับผมปะ

NATOUCH: …

NaTee(n): แปลว่าอะไร

NaTee(n): ชอบโปรยเม็ดเกลืออะ

NATOUCH: กูทำงานละ

NATOUCH:  (https://sv1.picz.in.th/images/2019/09/19/c4coqk.jpg)



พี่แกโหลดสติกเกอร์นี้มาใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แถมยังใช้ไม่ตรงวันด้วย

นี่คือกวนตีนแล้วใช่มะ

“นะฑี ฉี่หรือขี้ นานขนาดนี้” เสียงเจ๊แคลดังอยู่ข้างนอก

“เจ๊จะขี้เหรอ”

“อยากล้างมือ”

ผมเดาว่าเจ๊แคลอาจจะอยากหลบเข้ามาถอนหายใจหนักๆ ในนี้เหมือนกันมั้ง

เหมือนที่นางเอกในหนังชอบทำกันแหละ เวลาไม่สบายใจ ก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปคุยกับคนในกระจกไรงี้

“แป๊บนึงเจ๊ เสร็จแล้วๆ”

ผมลุกขึ้น

มองคนในกระจกที่ยังทำหน้าอึนๆ อยู่ เลยปลุกความสดใสในตัวเองแบบฉับพลันด้วยการวักน้ำล้างหน้า ฉีกยิ้มกว้างๆ ส่งท้าย เตรียมเปิดประตูออกไปเจอหน้าเจ๊แคล

ตื่อดึ๊ง!

นึกว่าพี่ทัชพิมพ์อะไรมาอีก แต่ไม่ใช่

★R3NJI: เฮ้ย ไอ้หน้าปลาทูเน่า

★R3NJI: ถามไรหน่อยดิ๊

★R3NJI: ช่วงนี้คณะบริหารเรียนหนักเหรอวะ
★R3NJI: แคลดูเงียบๆ

★R3NJI: ไม่ค่อยตอบแชตกู



เฮ้อออ…

หน้ากูกลับมาอึนอีกละ

สงสารพี่เห็ดว่ะ ตอบแกยังไงดีวะเนี่ย ไม่ตอบก็เดี๋ยวเซ้าซี้ยาวอีก คิดไม่ออกลอกพี่ทัชละกัน

NaTee(n):  (https://sv1.picz.in.th/images/2019/09/19/c4coqk.jpg)

★R3NJI: พฤหัสบ้านป้ามึง

★R3NJI: นี่วันพุธ

NaTee(n): อ้อ ใช่ๆ

NaTee(n): เรียนหนักอะเพ่

NaTee(n): โอ๊ยๆๆๆ ปวดหัว

NaTee(n): แค่นี้ก่อนนะ

NaTee(n):  (https://sv1.picz.in.th/images/2019/09/19/c4cD8v.jpg)





_________________________

อยู่อ่านพี่ณทัชด้วยกันไปนานๆ นะคะ
ขอบคุณมากๆ เลยค่า :D
#ณTouch

นางร้าย
18.กันยา.19


หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 16) |▌18.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 18-09-2019 21:29:48
อิพี่เริ่มออกอาการ น้องเริ่มจับได้แล้วอ่าาา เดี๋ยวโดนอ้อนยาวๆแน่พี่ทัช

 :ling3:ชอบเกลือ 3 เม็ดของพี่ทัช มันแอ๊บสแตร๊กอ่ะ ลึกซึ้งแต่ไม่เข้าใจความหมาย 55555

พี่เห็ดจะโดนเทเหรอ โอ๊ยยยย สงสารนาง นางต้องมีคู่ นางต้องได้ผู้นะ fighting !

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 16) |▌18.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 19-09-2019 12:29:48
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 16) |▌18.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-09-2019 00:11:36
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 16) |▌18.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 20-09-2019 08:29:45
น้องจะกวนทุกตอนเลยใช่มั้ย 55555555 ส่วนอิพี่เสียอาการน้า ดูออก
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 16) |▌18.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 21-09-2019 15:25:48
พี่เห็ดจะโดนเท สงสาร พี่สนใจเจญชบาไหมค่ะ เราแอบจิ้นพี่เห็ดกับน้องเจษชบาตั้งแต่ตอนโน้น น้องโอเปิ้ลก็จะมวยถูกคู่ แต่ได้กันไปคงฆ่ากันตายในสามวันเจ็ดวัน555555

โง้ยยย พี่ณทัชเสียอาการเพราะเจ้าตัววุ่นวายช่างจ้อจี้ แต่ก็แอบตามใจ เป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจแคร์ความรู้สึก แค่น้องมันอ้อน น้าาา~ก็ยอมแล้วอ่าา :-[ 

/ยังตามอยู่นะคะ หายไปพักนึงเห็นอีกทีอัพเพิ่มตั้งหลายตอน ขอบคุณนะคะ
ชอบชื่อแต่ล่ะตอน ตลกอ่ะ แหวกแนวดี งงๆคงเหมือนสิ่งที่ฟุ้งอยู่ในหัวนะฑีแน่ๆ55555

มุกไหลลื่นมากกกก
 ...โปรยเม็ดเกลือ ของพี่ณทัช แงงง ชอบบบ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 16) |▌18.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 21-09-2019 19:25:27
สนุกดีค่ะ คอยลุ้นพี่เห็ดว่าจะโดนเทมั้ย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 17) |▌22.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 22-09-2019 21:48:50


แตะต้องครั้งที่ 17
จับบบ…ขายดอกไม้ช่วยดอกทองลองสวมหมวกกันน็อกปลดล็อกหน้าจอ



สวัสดีวันเสาร์...แบบตรงวัน

นี่ไม่ใช่วันหยุดธรรมดา นอกจากเราสองแม่ลูกกับแมวหนึ่งตัวจะมาเฝ้าร้านดอกทองนั่งมองคนเดินไปเดินมาตามปกติแล้ว วันนี้ยังมีน้าเกดมาร่วมแจมด้วย ตั้งแต่ที่ทะเลาะกับสามีวันนั้น น้าเกดก็ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนยาวมานอนบ้านผม และออกมาเฝ้าร้านเป็นเพื่อนแม่หลายวันแล้ว

ไม่ใช่แค่นั้น

วันนี้น้าเกดให้ผมชวนพี่ทัชมากินข้าว เพื่อเลี้ยงขอบคุณที่เขาช่วยไขความลับของสามีให้ ซึ่งเขาก็ตกลง ไม่รู้ว่าตอนนี้ใกล้ถึงรึยัง

“เมื่อไหร่จะถึงเวลาปิดร้านสักที หิวแล้ว เราหมุนเข็มนาฬิกาไปถึงสามทุ่มแล้วปิดร้านเลยมะ”

น้าเกดมองหน้าผม “รถติดน่ะ เดี๋ยวก็ถึง”

“ใครถึงอะไร”

“ทัชไง”

“เอ้อ...ลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเรานัดพี่ทัชไว้ นี่ผมนึกภาพปิดร้านแล้วก็รีบกลับบ้านไปนอนแล้วนะ ถ้าน้าไม่พูดขึ้นมา”

“เมื่อกี้บอกหิว”

“ก็กินก่อน แล้วก็นอนไง...มาๆ แม่ ผมช่วยจัดจะได้เสร็จเร็วๆ”

“อย่า” แม่ยกแจกันหนี “อันนี้แม่จัดไว้ดีแล้ว”

“งั้นผมทำเป็นช่อละกัน เริ่มอันใหม่…” เป๊าะ! นั่นไง “ก้านกุหลาบหักอีกแล้ว ทำไมดอกไม้ของเจ้านี้ก้านมันอ่อนจัง ไม่ทนมือทนตีนเลย”

“เขาปลูกมาให้คนจัดไง ไม่ได้ปลูกมาให้วัวให้ควายจัด” น้าเกดว่า “ไปถ่ายรูปอัพลงเพจไป น้ากับแม่ทำเอง”

“ผมอยากจัดดอกไม้ ความฝันของผมคือเป็นนักจัดดอกไม้มือหนึ่งของประเทศนะ นี่น้ากำลังทำลายความฝันของเด็กรู้ตัวรึเปล่า”

“งั้นมาจัด ถ้าไม่สวยโดนตบนะ”

“ไปถ่ายรูปก็ได้”

“ถ่ายรูปไม่สวยก็โดนตบเหมือนกัน...อ๊ะ นั่นไง ทัชมาแล้ว”

ผมหันขวับไปมอง…

ปกติผมจะเห็นเขาแต่ในชุดนักศึกษา ไม่ค่อยได้เห็นลุคอื่นๆ เท่าไหร่ วันนี้เขาสวมเชิ้ตสีฟ้า กางเกงเข้ารูปสีเข้ม ตบท้ายด้วยรองเท้าอดิดาส โดยรวมแล้วดูสบายๆ ซึ่งผมเดาว่าเขาจงใจไม่ให้หรูเกินไป ไอ้แบบนี้ก็เห็นคนอื่นแต่งกันอยู่ทั่วไป แต่พอพี่ทัชแต่งแล้วทำไมดูเท่จังวะ โคตรดูดี โคตร…

“แม่สวัสดีครับ น้าเกดสวัสดีครับ” ระหว่างที่ผมมองอยู่ พี่ทัชก็เข้ามาถึงตัวแล้ว หลังจากยกมือไหว้แม่กับน้าเขาก็หันมองหน้าผม “ไง”

“ก็เท่ดี”

พี่ทัชขมวดคิ้ว “หมายถึงมึงอะเป็นไง ได้ช่วยงานไรบ้างรึเปล่า”

“น้าว่าให้นะฑีอยู่เฉยๆ ดีกว่าทัช นี่กำลังคิดเลยนะว่าจะไปหาเชือกมามัดมือไว้” น้าเกดพูด “แล้วนี่ทำไมมาเร็วจัง นัดกันตอนเย็นไม่ใช่เหรอ”

“อยากมาเร็วครับ”

“กลัวรถติดใช่มะ”

“ครับ แล้วก็อยากมาเร็วด้วยครับ”

เขาตอบซื่อๆ นี่แหละ แต่ฟังแล้วอาจจะแปลความว่ากวนตีน ผมเลยชวนเปลี่ยนเรื่องดีกว่า

“พี่หิ้วไรมาอะ” วันนี้เขาติดพลาสเตอร์ครบทุกนิ้วตามปกติ แต่ของที่ถือมานี่ล่ะ คืออะไร

“อันนี้องุ่น เอามาฝากแม่ครับ”

“โอ้ ไม่เห็นต้องลำบากเลยทัช ขอบใจนะ” แม่รับถุงไปวางไว้บนโต๊ะ

“อีกถุงของผมใช่ปะ”

“ของหมอนนิ่ม” ว่าละ ไอ้หมอนเน่าก็หลับอยู่ตรงนี้แหละ พี่ทัชย่อตัวลงไปเกาหัวมันเบาๆ “หมอนนิ่มๆ หลับเหรอ...นี่ๆ มีของมาให้ ลองดูดิ๊” เขาหยิบบางอย่างออกจากถุงมาสวมหัวให้มัน

“อะไรอะ หมวกกันน็อก?” ที่ถาม เพราะมันดูเหมือนอย่างนั้นจริงๆ เป็นหมวกทรงกลมสีเหลืองครอบทั้งหัว มีหูแหลมคล้ายหมวกแบทแมน มีสลักเล็กๆ ล็อกใต้คาง แถมมีแว่นกันแดดด้วย

“เฮ้ย เท่อะหมอนเน่า” น้าเกดว่า

“ไม่ชอบเหรอ” พี่ทัชถามแมวนรก เพราะเห็นมันเอี้ยวตัวไปมาเหมือนพยายามจะสลัดออก

“มันแอ๊บอะดิ ไหนดูดิ๊” ผมอุ้มตัวมันขึ้นมาดูหน้าชัดๆ ขณะที่มันอยู่บนตักผม พี่ทัชยังตามมาจัดหมวกมันต่ออีก คราวนี้เหมือนมันจะโอเคขึ้น ไม่ค่อยดิ้นแล้ว “กันกระแทกได้มั้ยอะ อยากตบหัวมัน เห็นแล้วหมั่นไส้”

 “ก็ไม่ขนาดนั้นมั้ง เหมือนทำมาใส่น่ารักมากกว่า”

“ทัชได้มาจากไหนเหรอ น่ารักดี” แม่ถาม

“สั่งจากในเน็ตครับ เห็นนะฑีบอกหมอนนิ่มนั่งมอไซค์กับแม่ทุกวัน ไม่ใส่หมวกเดี๋ยวตำรวจจับ” แม่กับน้าเกดหัวเราะ แต่ผมเฉยๆ มุกผู้ดีเกิ๊น “มีขนมด้วยครับ แต่อย่าให้กินเยอะนะ เดี๋ยวอ้วน”

“ไม่ทันละมั้ง” น้าเกดว่า

“เดี๋ยววันหลังผมหาสายจูงมาลากมันไปเดินเล่น”

ผมกับพี่ทัชหันมองหน้ากัน แล้วหัวเราะเบาๆ ส่วนน้าเกดกับแม่ยังทำหน้างงอยู่ เพราะนี่เป็นมุกที่มีแค่เราสองคนกับผงซักฟอกเท่านั้นที่เข้าใจ

“นะฑี พาพี่เขาไปนั่งร้านกาแฟมั้ย” แม่บอก “จะได้นั่งกันสบายๆ ร้านเราแคบ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังอยากเล่นกับหมอนนิ่มต่อ”

“ถ้างั้นทัชช่วยขายดอกไม้ด้วยเลยดิ ใช้หน้าตาหล่อๆ เรียกลูกค้าหน่อย” น้าเกดว่า

“ได้ครับ”

“อู๊ยยย น้าล้อเล่น”

“พูดจริงได้ครับ น่าสนุกดี”

“งั้นเอาผ้ากันเปื้อนไป” น้าเกดถอดผ้ากันเปื้อนของตัวเองส่งให้ พี่ทัชรับมาสวมแล้วลูบๆ เหมือนเด็กเพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่ ผ้ากันเปื้อนที่ว่าไม่ได้ใช้กันเปื้อนอะไรจริงจังหรอก แต่มีโลโก้ของร้านเราแปะอยู่ เป็นคอนเซ็ปต์ที่ผมคิดเอง ลูกค้าจะได้รู้ว่าใครเป็นพนักงาน

“ถึงพี่ใส่ก็ดูไม่เหมือนพนักงานอะ” ผมบอก

“ทำไม”

“พี่ต้องใส่เสื้อขาดๆ อะถึงจะเหมือน หลังร้านมีเสื้อผ้าขี้ริ้วอยู่ เอาปะ”

“พูดมาก ปะ หมอนเน่า ไปเรียกลูกค้ากันดีกว่า” พี่ทัชแย่งหมอนเน่าไปจากตักผม แล้วก้าวออกไปที่หน้าร้าน ร้านเราไม่ค่อยกว้างเท่าไหร่ แต่มีเก้าอี้ทรงสูงไว้รองรับลูกค้าอยู่สี่ห้าตัว บางทีก็ใช้เก้าอี้พวกนี้เป็นที่ตั้งแจกันด้วย ผมลากเก้าอี้สองตัวตามออกไป ส่งตัวนึงให้เขา แล้วเราก็นั่งประกบประตูทางเข้าซ้ายขวา

คอมมูนิตี้มอลล์ที่ร้านเราตั้งอยู่นี้ แทบจะเรียกว่าห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมๆ ก็ได้ เพราะมีทั้งร้านอาหารสไตล์ไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง แต่ละเจ้าก็เป็นเจ้าดังทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร ยังมีซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า คลินิกความงาม ร้านขายยา หรือแม้แต่โรงเรียนสอนโยคะร้อนก็มี

ที่สำคัญ ลูกค้าที่เดินเข้าเดินออกตึกนี้ล้วนแต่กระเป๋าหนักอยากเปย์อยู่แล้ว

ปัญหาข้อเดียวคือ ดอกไม้ไม่ใช่สินค้าที่จะขายได้รัวๆ ทุกวันนี่แหละ

“ขอโทษนะคะ” นั่นไง ชินละ ถามทางไปห้องน้ำแน่ๆ “คือ สนใจดอกไม้น่ะค่ะ”

หืม?

ผมหันขวับมามองและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนพอยต์เท้าอยู่ต่อหน้าพี่ทัช หน้าสวย แต่งตัวดี กระเป๋าแบรนด์ดัง อายุน่าจะไล่ๆ กับน้าเกด

“แป๊บนึงนะครับ” พี่ทัชถอดหมวกกันน็อกให้ไอ้หมอนเน่า เอี้ยวตัวไปปล่อยมันลงกับพื้น มองดูมันยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะเข้าร้านไป แล้วค่อยหันมาหาลูกค้าพร้อมกับยืนขึ้น

“น่ารักดีนะคะ”

“เจ้าของร้านตัวจริงน่ะครับ สนใจดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“ก็…”

“ให้ใครในโอกาสพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ”

“ว่าจะเอาไปแต่งบ้านน่ะค่ะ”

“อ้อ งั้นเอาเป็นแบบไหนดีครับ”

“เลือกไม่ค่อยถูกเลยค่ะ ช่วยเลือกหน่อยได้มั้ย”

พี่ทัชหันมามองหน้าผมเหมือนขอความช่วยเหลือ แหม เห็นโต้ตอบกันไหลลื่น ทำไมไม่คุยกันต่อล่ะ แต่ถ้าไม่ช่วยก็จะดูไม่เป็นมืออาชีพอีก

“ดอกหน้าวัวมั้ยครับ” ผมเสนอ

“หน้าตาเป็นไงเหรอคะ…”

“ดอกใหญ่สีแดงครับ แต่ไม่เหมือนดอกไม้หรอก เหมือนใบเป็นสีมากกว่า ตรงกลางใบมีเดือยยาวๆ ด้วย”

“งั้นเอาเป็นกุหลาบดีกว่าค่ะ” นางตอบ แล้วหันไปยิ้มให้พี่ทัช “คิดว่าไงคะ กุหลาบดีมั้ย”

พี่ทัชหันกลับไปมองภายในร้าน “แบบที่จัดในกล่องดีมั้ยครับ แบบนี้ยกไปวางได้เลย สวยดีนะครับ”

“กำลังคิดเหมือนกันเลยค่ะ งั้นช่วยเลือกให้หน่อยได้มั้ยคะ”

“ได้ครับ”

ดอกไม้ในกล่องที่ว่านี่ เป็นคอลเล็กชั่นใหม่ที่น้าเกดกับแม่เริ่มทำเลย คือ จัดดอกไม้เป็นช่อลงในกล่องสีหวานหลายแบบ ทั้งกล่องเล็ก กล่องใหญ่ ทรงกลม และสี่เหลี่ยม ซึ่งกล่องนี่ก็เป็นเหมือนแจกันไปในตัว สามารถยกทั้งกล่องไปวางประดับได้เลย

พี่ทัชโผล่หน้าเข้าไปคุยกับแม่ เขาถือโอกาสนั้นเก็บหมวกกันน็อกของไอ้หมอนเน่าไว้ในร้านด้วย แล้วกลับออกมาพร้อมกับดอกไม้ในกล่องยื่นส่งให้ลูกค้า รับเงินสดเหนาะๆ กลับไปส่งให้แม่ รับเงินทอนกลับมาส่งให้ลูกค้าอีกที เป็นอันปิดจ๊อบ

แต่เจ๊นี่ไม่ยอมไปไหน ยังยืนพอยต์เท้ากอดกล่องดอกไม้อยู่

“นิ้วเป็นไรเหรอคะ ติดพลาสเตอร์เต็มเลย หนามกุหลาบตำเหรอ”

“เปล่าครับ ชอบติดเฉยๆ”

“อ่อ...”

“แฟชั่นอะครับ ช่วงนี้กำลังมาเลย” ผมพูดตัดบทให้ ไม่งั้นเจ๊แกถามอีกยาวแน่

“อ้อ เก๋ดีนะ” เหมือนจะพูดตอบผม แต่ตานี่ไม่หลุดโฟกัสจากพี่ทัชเลย “แล้ว...ทำงานที่นี่เหรอคะ เดินผ่านหลายที ไม่เคยเห็นเลย หรือว่าเป็นเจ้าของร้าน”

“พนักงานรายวันครับ” ผมบอก “จ้างวันละร้อยห้าสิบ”

“เล่นมุกงี้ไปไม่ถูกเลยนะเนี่ย แล้วมีเบอร์มั้ยคะ” พี่ทัชหันมองหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบเดาอารมณ์ยาก ถ้าแชตกันอยู่ก็คงโปรยเม็ดเกลือนั่นแหละ ผมมองหน้าเขาตอบ ก่อนจะเหลือบไปทางเจ๊ เจ๊เล่นงี้เลยเหรอวะ รุกแรงเวอร์ “เผื่อวันหลังจะได้โทรมาสั่งดอกไม้อีกน่ะค่ะ”

อ้อ

แต่สายตาก็ยังรุกแรงอยู่ดี

ผมควักนามบัตรของทางร้านส่งให้ แต่เจ๊ไม่ยอมหยิบไปเว้ย พี่ทัชเลยหยิบจากมือผมไปดู แล้วค่อยส่งให้ “โทรมาเบอร์นี้ได้เลยครับ” ทีงี้ล่ะคว้าเร็วเชียว

“ไว้โทรมานะคะ”

“ขอบคุณครับ”

“ค่ะ” เจ๊ยิ้มส่งท้าย แล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินขาไขว้ออกไป

ขอบคุณที่ใช้บริการร้านดอกทองนะครับ

อยากจะพูดตามหลังแบบนี้จริงๆ เน้นเสียงที่ชื่อร้านให้ชัดๆ เลย แต่เพราะลูกค้าคือพระเจ้าไงเลยพูดได้แค่ “ขอบคุณที่ใช้บริการร้าน Golden Flower นะครับ ถามหาดอกไม้ดี ถามหาดอกไม้งาม ถามหา Golden Flower ครับ”

แต่เจ๊แกเดินไปไกลละ

ทำไมปิดการขายง่ายจังวะ ผมมานั่งเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านแบบนี้ประจำ ดอกไม้มั้ยครับ ดอกไม้สวยๆ ดอกสด ดอกแห้ง ราคาไม่แรงแต่ดูแพงเวอร์นะครับ...เอาสักดอกมั้ยพี่ ดอกเดียวก็ขายนะครับ หรือให้จัดเป็นพวงหรีดก็รับนะ… พูดไปดิ ปากเปียกปากแฉะ ไม่เห็นจะได้ผลอะไรเลย มีมาถามไถ่บ้างก็คือ ห้องน้ำไปทางไหนคะ อยากจะชี้บอก โน่นเลย ปั๊มท้ายซอย

แต่ทีพี่ทัชไม่เห็นต้องทำอะไร นั่งเฉยๆ ลูกค้าตัวแม่ก็เข้ามาหาเอง

หมั่นไส้ ผมนั่งกอดอกและมองหน้าเขา “รู้ตัวปะ ว่าถูกอ่อย”

“แล้วไง”

“ก็รู้มั้ยล่ะ”

“รู้แล้วไง ไม่รู้แล้วไง สำคัญตรงไหน” เขายักไหล่ “ทำไมทำหน้าเครียด”

“อารมณ์ไม่ดี”

“มึงยังไม่ได้เล่าเรื่องในแชต”

เปลี่ยนประเด็นอีกละ

“เรื่องไหน”

“เรื่องไม่สบายใจ ที่บอกเล่าไม่ได้”

“เอ้า อย่าเริ่มดิ ก็บอกว่าเล่าไม่ได้ไง…”

พี่ทัชเหลือบมองเข้าไปในร้าน แล้วลดเสียงลง “เรื่องน้าเกดรึเปล่า น้าเป็นไงมั่ง”

ผมลดเสียงบ้าง “ไม่ใช่อะ น้าก็โอเคอยู่ ช่วงนี้นอนบ้านผม”

“อ้อ ดีแล้ว”

“แต่เรื่องนั้นอะ เล่าไม่ได้จริงๆ มันแบบ…”

“งั้นก็ไม่ต้องเล่า”

“เล่าก็ได้ คืองี้” ผมลากเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้พี่ทัช “เรื่องพี่เห็ดกับเจ๊แคลอะ”

“ทำไม เรนจิมันทำอะไรแคล”

“พี่ผิดละ เจ๊แคลต่างหากทำพี่เห็ด คือ...แกกำลังจะเทพี่เห็ดอะ”

“อ่อ”

“ดูพี่ไม่แปลกใจเลยนะ”

“เรนจิมันนิสัยเข้ากับคนได้ยากอยู่แล้ว”

“มันก็ไม่เชิงแบบนั้นอะ พี่เห็ดไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ...เจ๊แคลก็บอกว่าพี่เห็ดหล่อ แต่งตัวดี มีสไตล์ เอาใจใส่ดี อะไรก็ดีไปหมด เจ๊ชอบคนตลกด้วย แล้วพี่เห็ดนี่ก็ตัวฮาเลยเหอะ แต่เจ๊ดันบอกว่า ชอบตัวเองตอนอยู่กับพี่เจมส์มากกว่าซะงั้น พี่เจมส์นี่เรียนวิศวะอะ อยู่ปีสาม”

“อืม”

“ที่งงคือไรรู้ปะ ติพี่เจมส์สารพัด ชอบอะไรหลายอย่างไม่เหมือนกันบ้างละ เจ๊สายกินเจมส์สายออกกำลังบ้างละ ที่สำคัญ คือเจ๊แคลไม่ชอบคนพูดมาก แล้วพี่เจมส์นี่ อือหือ พูดแทบตลอดเวลา แต่สุดท้ายเป็นไง...บอกคุยๆ กันไปก็เพลินดี”

“พอเข้าใจได้” พี่ทัชพูดเรียบๆ

“เข้าใจว่าไง”

“ที่ไม่ชอบคนพูดมาก แต่คุยๆ ไปก็เพลินดี”

“ก็งงอยู่ดีอะ”

“กูก็ไม่ชอบคนพูดมาก”

“ดีที่ผมไม่ใช่คนพูดมาก” ผมบอก แต่รู้สึกว่าต้องเสริมอีกเพื่อความชัดเจน “ก็ไม่ได้พูดมากขนาดพี่เจมส์อะ เลยคุยกับพี่ได้”

“อ้อ” น้ำเสียงเหมือนประชด

“สรุปเลยนะ เจ๊แคลจะเทพี่เห็ดไปคุยกับพี่เจมส์แบบจริงจังอะ แกบอกไม่อยากคุยซ้อน”

“งั้นก็ดีแล้ว”

“สงสารพี่เห็ดไง แกจะไหวรึเปล่าวะ”

“กูนึกว่ามึงไม่กินเส้นกับเรนจิซะอีก”

อันนี้แหละที่งงตัวเองอยู่

เหมือนผมกับพี่เห็ดจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงอยู่ทีมแก อาจจะเป็นเหตุผลง่ายๆ ก็ได้ แกรับมุกดี และสำหรับผม ใครที่มีความสามารถในการรับส่งมุกคือประชากรคุณภาพที่ควรได้รับการเห็นอกเห็นใจจากสังคม ถึงพี่เห็ดแกจะมาสายมุกควายๆ เถื่อนๆ ก็เถอะ

“ก็…” ผมยักไหล่ “ถ้าเทียบโปรไฟล์กัน คือพี่เห็ดกินขาดอะ เลยสงสารแก บางทีเจ๊แคลอาจจะบ้าไปแล้ว เดี๋ยวต้องพาไปเช็กสมองหน่อย”

“มึงใช้เหตุผลตัดสินไง แต่แคลใช้ความรู้สึก”

คม

บาดไส้

“นี่จำมาจากหนังสือกลอนใช่ปะ ไฮกุอะ”

พี่ทัชทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนโปรยเม็ดเกลือกลางอากาศ ผมกำลังจะถามย้ำอีก แต่จังหวะนั้นน้าเกดเปิดประตูออกมาจากร้านพอดี

“เป็นไง หนุ่มๆ”

“สนุกดีครับ” พี่ทัชตอบ

“แป๊บเดียวขายได้เลย ทัชนี่สุดยอดจริงๆ ถ้าสนใจทำงานบอกน้านะ”

“นะฑีบอกจะจ้างวันละร้อยห้าสิบครับ”

น้าเกดหัวเราะยกใหญ่ จากนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับลดเสียงลงอย่างมีลับลมคมใน “น้ามีงานอื่นเสนอ ไม่รู้ทัชจะสนใจมั้ย ได้เงินเยอะกว่าร้อยห้าสิบแน่ๆ”

คำว่า ‘เงิน’ ดึงดูดให้ผมขยับเข้าไปสุมหัวทันที “งานไรเหรอน้า”

น้าเกดหันมองซ้ายมองขวา แล้วควักมือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ

“ดูนี่สิ”











_____________________


เวลาได้อ่านคอมเมนต์แล้วชื่นใจมากเลยค่ะ
ขอบคุณมากเลยนะคะ > < ดีใจจจจจ

นางร้าย
22.กันยา19

 
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 17) |▌22.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 23-09-2019 07:01:06
น้าเกดจะชวนพี่ทัชไปรับจ๊อบอะไรอ่ะ น้าหลานคู่นี้ไม่กล้าไว้ใจเลยแสบทั้งคู่

ชอบความควายน้อยของน้อง น่าเอ็นดูแบบฮาๆ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 17) |▌22.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-09-2019 12:00:32
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 17) |▌22.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 23-09-2019 13:13:18
เด่วนะน้าเกดอย่าบอกว่า จะให้ตามไปจับกิ๊กผัวนะ ไอ้ตัวแสบหูผึ่งเลย ไม่น่าไว้ใจสุดๆ

หลุดขำแทบตาย ตอนเจ้าแสบพูดหน้าตายเฉยว่า ดีที่ผมไม่ใช่คนพูดมาก เอาความมั่นใจมาจากไหนนนน 555555555555555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 17) |▌22.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 23-09-2019 17:44:57
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 17) |▌22.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 23-09-2019 22:15:47
น้องไม่ใช่คนพูดมากจริงๆค่ะ อืมๆ
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌27.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 29-09-2019 00:18:12
สนุกมากกก รอดูว่าจะรักกันตอนไหน55
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌27.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 29-09-2019 10:54:13

แตะต้องครั้งที่ 18

จับบบ…ไม่เลือกงานไม่ยากจน
คนจริงจ่ายสองพันกัดฟันปูไต่เปลี่ยนใจรึเปล่า


เรานั่งกันอยู่ที่ป่าดงดิบ และผมกำลังนึกภาพตัวเองเอาปืนจ่อหัวพี่ทัชอยู่

แต่ในความเป็นจริง ผมกลับใช้น้ำเสียงเล็กๆ เหมือนเสียงลูกแมวที่เคลือบน้ำตาล น้ำอ้อย และตบท้ายด้วยคาราเมลอีกชั้น

“นะ พี่ ลองดูไม่เสียหาย”

“ไม่”

“น่า นะๆๆๆ”

“...”

“เหมือนพวกเอ็กซ์เมนไง ใช้พลังกอบกู้โลกกัน นี่ก็เป็นโอกาสให้พี่จะได้ช่วยทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นแล้ว”

“ช่วยให้มันเละเทะกว่าเดิมมากกว่า”

“ดีกว่าเดิมแน่ เชื่อผม น้าาา~ นะๆๆ พี่ทัช ปูไต่ๆๆ”

ปูกำลังจะไต่ขึ้นมือเลย ถูกพี่แกดีดขาปูซะเต็มเหนี่ยวจนสะท้านไปถึงตับ ดีดอย่างกับเขี่ยเห็บเหาทิ้งงั้นแหละ

“โอ๊ยยย! เจ็บ! อ๊ากกก!”

“เวอร์”

“เจ็บจริง ก็พี่พันพลาสเตอร์อะ คิดว่าดีดเบาแต่จริงๆ คือโคตรแรง” ผมก้มลงจ้องนิ้วมหัศจรรย์ของเขาอีก “แกะพลาสเตอร์ออกเหอะพี่ แล้วไปลุยกัน”

“...”

“ทำหน้าโปรยเม็ดเกลืออีกละ”

“เม็ดเกลืออะไร”

“ก็หน้างี้อะ จุดๆๆ”

“หน้ากูมีจุด?”

“ไม่ใช่แบบนั้น หน้าพี่อะเกิดมาเคยเป็นสิวรึเปล่าเหอะ หมายถึงทำหน้าเหมือนตอนแชตมาแค่จุดๆ เหมือนโรยเม็ดเกลืออะ หน้านิ่งๆ เงี้ย”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูแชตจุดๆ คือหน้านิ่ง กูอาจจะยิ้มก็ได้”

“จริงดิ จุดๆ คือพี่ยิ้มเหรอ”

“ไม่ ก็หน้าแบบนี้”

“เห็นมะ”

“แต่กูอาจจะยิ้มก็ได้ มึงจะรู้ได้ไง มีตาทิพย์เหรอ”

“เอ้า พี่นี่ ผมรู้เพราะผมฉลาดไง ไม่ต้องมีพลังตาทิพย์อะไรก็รู้” พูดแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่าถ้าตัวเองมีพลังบ้างจะเป็นยังไง “แต่ถ้าผมมีตาทิพย์นะ ผมจะมองทะลุเสื้อผ้าทุกคนเลย เริ่มจากพี่ก่อนคนแรก…” หลุดปากอีกละ “แล้วผมก็จะขู่เอาเงินพี่ให้หมดตูด ไม่งั้นจะประจานให้ว่อนโซเชียลเลย”

“งั้นก็ดีแล้วที่มึงไม่มีพลังอะไร”

“ถ้าผมมีพลังสักอย่าง ผมไม่มานั่งง้อพี่งี้หรอก”

“งั้นก็ดีแล้วที่มึงไม่มีพลัง” พูดประโยคเดิม แต่อะไรบางอย่างบนสีหน้าเปลี่ยน อย่างน้อยก็แวบนึงแหละ

“เมื่อกี้พี่ยิ้มเหรอ”

“...” กลับมาเป็นสีหน้าโปรยเม็ดเกลือตามเดิมละ

“สรุปเลยละกัน นะพี่ ลองดูสักครั้ง ถ้าไม่เวิร์กก็เลิก โอเคนะ”

“ไม่” คำตอบนี้ช่างหนักแน่นยิ่งนัก

เฮ้อออ…

ที่มานั่งง้อนั่งแงะกับพี่ทัชอยู่นี่ก็ไม่ใช่อะไรหรอก

เพราะเงินล้วนๆ

งานที่น้าเกดเสนอมาน่าสนใจสุดๆ ในความเห็นผม เรื่องของเรื่องคือ ช่วงที่น้าเกดต้องอกตรมข่มไหม้กับความต่ำตมของสามี น้าก็พยายามบำบัดตัวเองด้วยการเข้าสู่กรุ๊ปไลน์สมาคมเมียหลวง ซึ่งคล้ายๆ กลุ่มบำบัดผู้ติดสุรานิรนามยังไงยังงั้น แต่ละคนจะผลัดเปลี่ยนกันเล่าถึงความชอกช้ำที่สามีเป็นผู้ก่อให้ บางคนต้องการหลักฐานชัดๆ เพื่อฟ้องหย่า บางคนต้องการแรงผลักดันให้ตัดใจให้ได้ บางคนยอมทนแต่ต้องการคนรับฟังแล้วแต่อาการจะกำเริบวันไหน

แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ในกรุ๊ปต้องการเหมือนๆ กันคือ ความจริง

ที่สำคัญคือ แต่ละคนดูจะเป็นเมียหลวงสายเปย์เทเงินเพื่อความจริงนี้ทั้งนั้น บางคนถึงขั้นจ้างนักสืบเอกชนตามจี้ตามเช็ก แต่ถูกผัวเปย์ทับซื้อตัวนักสืบและให้ส่งหลักฐานปลอมๆ คลีนๆ ให้เมียหลวงดูซะงั้น

น้าเกดเกริ่นไปในกรุ๊ปว่า มีคนเผยความจริงให้เห็นแบบชัดๆ จนตัวเองตาสว่างแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นโฆษณาสกิลของพี่ทัชโดยพลการ น้าเลยมาถามเจ้าตัวก่อนว่าสนใจมั้ย

ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่

ผมถึงได้มาตามอ้อนวอนร้องขอพี่ทัชอยู่นี่แหละ อ้อนมาสองวันเต็มๆ แล้ว แต่จิตใจพี่แกยังไม่หวั่นไหวสั่นคลอนอะไรเลย

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมพี่ไม่ใช้พลังให้เป็นประโยชน์อะ” ผมวางฟอร์มพูดจริงจัง “ใช้มันหาเงินดิ ไม่เลือกงานไม่ยากจน เคยได้ยินเปล่า”

“กูไม่ได้ร้อนเงิน”

“พี่ไม่ร้อน แต่ผมนี่ร้อนอย่างกับอยู่ในนรกเลยเหอะ”

“ทำไม มึงเป็นหนี้นอกระบบเหรอ”

“ยังไม่เป็น แต่อีกไม่นานอาจจะเป็นก็ได้ เนี่ยดูดิ โทรศัพท์ยังยืมพี่ใช้เลย ไหนจะต้องจ่ายค่าเทอมอีก ไม่อยากรบกวนแม่อะ”

“โทรศัพท์เอาไปเลย กูยกให้”

“ไม่เอา อยากหาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง”

“น้ำพักน้ำแรงตัวเองยังไง ลากกูเข้าไปเกี่ยว”

“แบ่งหน้าที่กันไง เดี๋ยวผมเป็นคนติดต่อลูกค้าเอง วางแผนปฏิบัติการ ทำบัญชี อะไรทุกอย่าง พี่ไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลาก็แค่เอานิ้วไปแปะๆ พอ แล้วก็แบ่งเงินกัน ห้าสิบห้าสิบ เคปะ”

“...”

“ถ้าพี่ไม่ต้องการเงิน ผมเอาหมดเลยก็ได้ พี่ก็คิดซะว่าช่วยคนพวกนั้นไง ได้บุญนะ”

พี่ทัชมองหน้าผม “กูจะไปทำร้ายคนพวกนั้นมากกว่า กูเคยบอกแล้วไง บางทีความจริงมันโหดร้าย”

“ไม่เสมอไปหรอกน่า มันช่วยน้าเกดไม่เห็นเหรอ ตอนนี้น้าดีขึ้นมากแล้วนะ”

“...”

“น่า พี่ นะๆๆ ปูไต่ๆๆ”

“เครียดโว้ย!” ปูกำลังจะไต่ขึ้นแขนพี่ทัช พี่เห็ดโผล่มาจากไหนวะ เดินปึงปังเข้ามานั่งด้วยโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเลย “พวกมึงทำไรกันวะ”

ผมกระตุกขาปูที่กำลังจะไต่มือพี่ทัชกลับแบบเก้อๆ เปลี่ยนมาเกาจมูกแทน พี่ทัชเองก็เลื่อนมือข้างนั้นกลับเข้าหาตัวเล็กน้อย แต่ยังวางพักไว้ใกล้ๆ กับหนังสือที่เขาวางตั้งไว้อยู่

“ทำไมมึงมาแถวนี้บ่อยจังวะ คณะบริหารไม่มีเก้าอี้รองตูดเหรอ” ตอนนี้หน้าพี่ก็อย่างกับตูดอั้นขี้เลยนะ หรือว่าเจ๊แคลเทแกอย่างเป็นทางการแล้ววะ

“ผมดูหมอมา หมอดูบอกว่าให้พาตูดมาสูดอ๊อกซิเจนเยอะๆ แล้วจะรวย แถวนี้ต้นไม้เยอะไง ก็เลยมา”

“หมอดูบอกกูเหมือนกัน ให้เตะหมา แล้วชีวิตจะดี”

“เมี้ยว~”

“เตะแมวก็ได้เหมือนกัน”

“กะต๊ากๆๆๆ”

“ถ้าหาหมาแมวไม่ได้ สัตว์ปีกก็แทนได้”

“กระรอกๆๆ”

“ฮะ? กระรอกบ้านพ่องร้องงี้เหรอ” พี่เห็ดยังหน้าตึงอยู่ แต่พี่ทัชนี่แอบขำไปแล้ว ถึงกับต้องแกล้งหันไปมองทางอื่นเลยเหอะ ผมกำลังจะแซวพี่ทัช แต่พี่เห็ดพูดต่อซะก่อน “ถามจริง ไหนมึงบอกคณะบริหารเรียนหนัก ทำไมยังมาเสนอหน้าอยู่นี่วะ”

“ผมไม่ใช่สายเด็กเรียน”

“งั้นแคลนี่โคตรเด็กเรียนเลยดิ ทักเป็นสิบตอบคำเดียว มึงดู” ว่าแล้วพี่เห็ดก็ควักมือถือออกมา กดเข้าหน้าแชต เลื่อนมือถือมาตรงหน้าผม

 

★R3NJI: ทำไรอยู่คับ

★R3NJI: วันเสาร์นี้ว่างมั้ย

★R3NJI: ไปโยนโบว์กันป่ะ

★R3NJI: มีหนังผีเข้าใหม่ด้วยนะ

★R3NJI: หนังกุ๊กๆ กิ๊กๆ ก็มี

★R3NJI: หรือไปนั่งรถเล่นชิวๆ ก็ได้

★R3NJI: เด๋วพี่พาซิ่ง

★R3NJI: นอนแล้วเหรอ

❤ C A L ❤: อื้อ

❤ C A L ❤: zzZ

★R3NJI: งั้นฝันดีนะคับ

★R3NJI: พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน

 

น้ำตากูจะไหล

ทำไมสงสาร

ผมฮึบไว้และแกล้งทำหน้าชิลล์ๆ “พี่ไปทักเจ๊ดึกอะดิ ตีสามตีสี่ใครจะบ้าลุกมาคุยด้วย”

“ตีสามบ้านป้ามึง แหกตูดดู กูทักสองทุ่ม”

“อ้อ บางทีเจ๊แกก็งี้แหละ งีบตอนหัวค่ำไง”

พี่เห็ดจ้องหน้าผมเหมือนจะมองเข้าไปให้เห็นถึงก้อนนิ่วในท่อปัสสาวะ “มึงรู้อะไรเกี่ยวกับแคล ที่กูไม่รู้”

ผมแอบเหลือบตามองพี่ทัช ซึ่งอีกฝ่ายก็แอบส่ายหัวนิดๆ เป็นการตอบกลับมา

“ก็เยอะแยะอะ”

“งั้นบอกมาดิ๊ ทำไมแคลไม่คุยกับกู”

ผมยักไหล่ “พี่ลืมแล้วเหรอ จะถามไรเกี่ยวกับเจ๊แคลผมคิดเงินนะ ของเก่านี่พี่ก็ยังไม่เคยจ่ายเลย รวมๆ ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าห้าร้อยแล้ว”

พี่เห็ดควักกระเป๋าตังค์ หยิบแบงค์ห้าร้อยออกมาฟาดลงบนโต๊ะ “เอาไป แล้วนี่สำหรับคำถามเดียว ทำไมแคลไม่คุยกับกู” ตามด้วยแบงก์พันอีกใบ ฟาดลงมาหนักๆ เหมือนเซียนพนันทิ้งไพ่เด็ด

คนจริงเว้ย!

เอาไงดีวะ

พี่ทัชส่ายหน้าอีก ผมกลอกตาไปมาพยายามสื่อสารกับเขาว่า พันห้าเลยนะ บอกไปเลยมั้ย ยังไงพี่เห็ดก็โดนเทอยู่ดีอะ

“ตาแม่งเป็นต้อเหรอ ขยิบจัง ไอ้ทัช มึงรู้อะไรกับมัน”

ซวยละ

จังหวะพี่เห็ดหันไป พี่ทัชก็เงยหน้าขึ้นมาเหมือนกับเพิ่งละสายตาจากหนังสือที่เพิ่งปิดไป ดูเผินๆ ก็เนียนใช้ได้ แต่ผมน่าจะเนียนกว่า

“โอ๊ยๆๆ ยุงกัดตา” ขยี้ตาซะเลย “พี่ทัชจะไปรู้อะไร ผมนี่ น้องรหัส รู้หมดทุกเรื่อง...แต่เงินแค่นี้ซื้อผมไม่ได้หรอก”

ป๊าบ!

มาอีกห้าร้อยแล้ว รวมเป็นสองพัน นี่พี่แกจะพกเงินสดอะไรนักหนาวะ

ยัง ยังไม่พอ มีควักเหรียญมาวางอีกสองบาท

“บอกมา”

“คะ...คือ…ก็เรียนหนักไง เจ๊แกไม่มีเวลา”

“ไม่ใช่มั้ง”

“เป็นเมนส์มั้ง อาจจะอารมณ์ไม่ดี”

“กูว่าไม่ใช่อีก”

“งั้น...งั้นก็ไม่รู้แล้วอะ เก็บเงินพี่ไปเหอะ”

พี่เห็ดมองผมด้วยสายตาเหมือนเครื่องเอ็กซ์เรย์อีก จากนั้นหยิบแบงก์พันกับแบงค์ห้าร้อยกลับไป เหลือแบงก์ห้าร้อยกับเหรียญอีกสองบาทไว้ที่เดิม “ถือว่ามึงไม่ได้ตอบคำถามล่าสุดละกัน ส่วนห้าร้อยนั่นสำหรับคำถามเก่าๆ”

“เฮ้ย จริงดิ”

“กูเป็นเพื่อนเล่นมึงเหรอ จะเอาไม่เอา”

ผมเหลือบมองพี่ทัชอีก คราวนี้เขาทำหน้านิ่งไม่ออกความเห็น แต่ผมหยิบไม่ลง

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถือว่าผมช่วยฟรีๆ ละกัน พี่น่าสงสารอะ”

“สัด ถ้ามึงไม่เอา ตอนนี้แหละมึงจะน่าสงสารแล้ว”

“น่ะ จะเตะต่อยอีกละ” ผมหยิบแบงก์ห้าร้อยยัดใส่กระเป๋าเสื้อพี่เห็ด “เอาคืนไปเหอะ แต่เดี๋ยวเสียน้ำใจ ผมเอาสองบาทนี่ละกัน”

“อันนั้นกูเอาไว้ให้มึงใส่ปากตอนสัปเหร่อจับมึงใส่โลงนะ อาจจะได้ใช้เร็วๆ นี้แหละ”

“งั้นแบ่งคนละบาท” ผมหย่อนเหรียญนึงใส่กระเป๋าเสื้อพี่เห็ดตามแบงก์ห้าร้อยไป “เอาติดตัวไว้ตลอดเลยนะ เผื่อใครเจอศพพี่เขาก็จะได้เอาเหรียญนี้ยัดปากพี่ได้เลย”

“มึงนี่มันเหี้ยจริงๆ”

“ขอบคุณครับโผม”

พี่เห็ดถอนหายใจเหมือนอ่อนอกอ่อนใจ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “หิวว่ะ ไอ้ทัช หาไรแดกกัน”

“ไปด้วย” ผมบอก

“ใครชวนมึง”

“พี่ทัชชวน ใช่มะพี่” ผมยื่นหน้าไปทางพี่ทัช

“มึงหิวเหรอ” พี่ทัชถาม

“หิวมาก”

“อือ งั้นก็ไป”

“ทำไมมันง่ายจังวะ” พี่เห็ดโวย

“มันดื้อ”

“ดื้อ? ทำไมฟังดูแปลกๆ วะ”

“เถียงไปก็เท่านั้น ยังไงก็ไปด้วยอยู่ดี”

พี่ทัชรวบกองหนังสือลุกขึ้นยืน ผมก็รีบยืนด้วย ส่วนพี่เห็ดหันมองหน้าเราสลับไปมาเหมือนพยายามทำความเข้าใจ

“พี่ไม่ไปก็แล้วแต่นะ ผมกับพี่ทัชไปละ”

“เอ่า เฮ้ย กูต้องไปดิวะ หิว”

เราเดินกันออกจากป่าดงดิบอ้อมไปทางหน้าอาคาร พอถึงทางสะดวก ด้วยความที่เป็นคนหัวร้อน พี่เห็ดก็เริ่มก้าวยาวๆ ทิ้งห่างนำหน้าเราไปเรื่อยๆ ขณะที่พี่ทัชกับผมยังเดินด้วยจังหวะก้าวปกติ

“ทำไมมึงไม่เอาเงินเรนจิ” จู่ๆ พี่ทัชก็ถามขึ้น

“เอาได้ไง แกจะโดนเทอยู่”

“ถ้าไม่โดนเท จะเอามั้ย”

“ก็ไม่อะ กวนตีนแกเล่นไปงั้น” ผมยักไหล่

“อืม”

“อย่างที่บอกไง อยากหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองมากกว่า” ว่าแล้วผมก็ขยับไปกระแซะเขา “ว่าไงอะพี่ เรื่องช่วยสมาคมเมียหลวงอะ ยังไม่ให้คำตอบเลย”

“กูตอบไปแล้วไง ว่าไม่”

“ไม่ตอบแบบนี้ดิ น่า พี่ ปูไต่ๆๆ”

“อย่ายุ่งกับมือได้มั้ย”

“จะยุ่ง ไต่ๆ”

“เล่นไร นี่ไม่ได้อยู่กันสองคนนะ”

“ไม่สน” ผมรุกหนักขึ้นไปอีกขั้น หมับ! จับข้อมือไว้เลย แล้วใช้มืออีกข้างไต่ขึ้นลงไปตามแขน “จะไต่จนกว่าพี่จะยอม ไต่ๆๆๆ”

“นะฑี”

“ปูต่าย ไต่ๆๆ”

“เฮ้ย! พวกมึงเดินกันช้าจังวะ ทำเหี้ยอะ…” พี่เห็ดหันกลับมาแล้วหยุดชะงัก ก็น่าชะงักอยู่ เพราะภาพที่เห็นคือ...ตัวเราแทบจะแนบชิดติดกัน มือข้างหนึ่งของผมยังทำเป็นขาปูค้างเติ่งอยู่บริเวณหัวไหล่ของเขา ทั้งหมดนี้อาจจะแปลความว่าผมแทะโลมพี่ทัชอยู่

มาถึงขั้นนี้ละ

จะให้บอกไงล่ะ

“เล่นปูไต่กันอยู่เพ่ ไปก่อนเลยก็ได้”

พี่ทัชถอนหายใจแรงๆ “เดินไปก่อน ขอเคลียร์กับนะฑีแป๊บ”

พี่เห็ดขมวดคิ้ว ก่อนจะหมุนตัวเดินต่อ “เออ รีบมาละกัน”

พอพี่เห็ดเดินไป ขาปูก็เริ่มเดินตามหลังไหล่ของพี่ทัชต่อ

“นะฑี หยุด” เสียงพี่ทัชเริ่มเข้มขึ้น

ผมไม่ถึงกับหยุด แต่ขยับนิ้วเดินช้าลงด้วยสีหน้าจ๋อยๆ “พี่จะไม่รับงานนี้จริงๆ เหรอ นะพี่ เราสองคนช่วยกันต้องเวิร์กอยู่แล้ว นะ”

“แล้วจะหยุดมั้ย”

“ถ้าพี่ตกลงรับงาน อะไรก็ได้หมด สั่งอะไรผมจะเชื่อฟัง”

“งั้นก็หยุด”

“แปลว่า...พี่ตกลงเหรอ”

“อือ”

อือแบบแผ่วเบามาก จนนึกว่าเป็นเสียงถอนหายใจ

“จริงเหรอ!”

คราวนี้พี่ทัชถอนหายใจออกมาจริงๆ แล้วค่อยตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“อือ”

“เยส!” ผมกระโดดตัวลอย “พี่พูดแล้วนะ ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด พูดแล้วๆๆ เยส!”

“กูจะเปลี่ยนใจถ้ามึงไม่หยุดพูด”

“ได้ ไม่พูดแล้วครับโผม”

ผมหุบปาก

แล้วเริ่มเต้นลีลาศไปตามทาง





____________________

มาแล้วค่า :D อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้ตลอดเลยนะคะ
จะพยายามให้ดีที่สุดเลยค่ะ! ขอบคุณที่อยู่กันมาถึงตอนนี้นะคะ /กุมหัวใจจจ


นางร้าย
27.กันยา.2019

 
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌29.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-09-2019 12:20:31
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌29.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 29-09-2019 18:17:56
พี่ทัช ช่วยแตะมืออิน้อง ให้เลิกปูไต่พี่ที หนูเขินแทนพี่ 55555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌29.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 29-09-2019 18:24:43
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌29.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 29-09-2019 21:36:13
ชอบตอนน้องอยู่กับพี่เห็ด กวนมาก
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌29.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 30-09-2019 01:30:02
น้องคือกวนมาก อยากดีดหน้าผากนางสักครั้ง555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌29.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 30-09-2019 13:15:38
น้องมันมวยคู้กับพี่เห็ดจริงๆ หลุดขำแทบตาย 5555555555555555

ปูต่าย ไต่ๆๆๆๆ มันน่าดีดสักทีเจ้าตัวอแว แล้วพี่ทัชก็แพ้ปูไต่ๆจนได้  :laugh:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 18) |▌29.กันยา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 01-10-2019 07:34:32
โอ้ยยยย น้องงงงงง จะฮาไปไหน555555555555555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ!! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 07-10-2019 20:24:44
แตะต้องครั้งที่ 19
จับบบ…ขอสายดนัยบริษัทอะไรติดต่อไม่ทราบ
เหี้ยคาบไปเลี้ยงเหรอเบลอหน้ากูด้วย




น้าเกดลากผมเข้ากรุ๊ปสมาคมเมียหลวงเรียบร้อยแล้ว หลังจากแนะนำตัวเองสั้นๆ ผมก็กระหน่ำโฆษณาลงไปรัวๆ ทันที 

ตอแหล!

เลิกสบถคำนี้อีกต่อไป

ด้วยจิตวิทยาแนวใหม่ที่จะทำให้คุณรู้ลึก รู้จริง รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับคนใกล้ตัว นกสองหัว หลัวปลาไหล ไม่ว่าแน่แค่ไหนก็ต้องสารภาพจนหมดเปลือก ภายใต้สโลแกน Lie ปุ๊บ รู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง

โทรหาเราตอนนี้ 3 สายแรก รับส่วนลด 10%

อย่าลืม ความจริงรอคุณอยู่

โทรเลย!



ผมนั่งอยู่ในรถพี่ทัช ระหว่างที่รถติดอยู่ผมก็เอียงหน้าจอมือถือให้เขาอ่านข้อความนี้ เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหัว

“โคตรมั่ว”

“ตอนนั้นผมไม่มีเวลาเรียบเรียงคำไง เลยอัดๆ ข้อความเข้าไปก่อน”

“แล้ว?”

“ก็โทรกันมาสายไหม้ดิ...ถุ้ย!” ผมถอนหายใจ “เงียบกริ๊บกันหมดอะ แต่ก็มีใจเด็ดอยู่รายนึงที่เรากำลังจะไปตามล่าความจริงให้อยู่นี่ไง”

ผมเล่าให้พี่ทัชฟังคร่าวๆ ไปแล้ว

ลูกค้ารายแรกของเราเป็นผู้หญิงชื่อรวงข้าว อายุ 27 ปี หน้าตาถือว่าดีเลย ดูจากรูปโปรไฟล์ที่ไม่รู้ว่าใช้แอพไหนแต่งรูปอะนะ ส่วนนิสัยเท่าที่สัมผัสได้ก็ออกแนวเรียบๆ พูดน้อย ดูไม่ค่อยทันคน ตามท้องเรื่องที่ผมฟังมา ประมาณว่าแต่งงานกันได้ปีกว่าๆ สามีก็เริ่มออกลายคล้ายๆ ว่าจะกิ๊กกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งดูจากโหงวเฮ้งสามีก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่งตัวเก่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์ แบบนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน

 จุดหมายที่เราจะไปก็คือตึกที่ทำงานของสามีเจ๊รวงข้าวนี่แหละ ตัวเจ๊เองไม่ได้มาด้วย พูดตามตรงดูเหมือนจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แถมพี่ทัชยังยืนว่าจะไม่พรีเซนส์ตัวเองกับใครเหมือนที่ทำกับน้าเกดด้วย เพราะมันยุ่งยากเกินไป ผมก็ไม่อยากเซ้าซี้เขามาก เดี๋ยวจะพาลยกเลิกงานทั้งหมดเอา

เอาเป็นว่าจะหมู่หรือจ่าก็ขึ้นอยู่กับผลงานแรกนี่แหละ

ตื่นเต้นว่ะ

“ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เราจะไปทันปะวะพี่” ผมถาม

“ไม่รู้”

“เฮ้ย อย่าพูดงี้ดิ งานแรกนะ พูดเอาฤกษ์เอาชัยกันหน่อย”

“ไม่น่าทัน”

“ฟังแล้วโคตรรู้สึกดี” ผมย่นจมูกใส่เขา “เปลี่ยนเรื่องๆ เราคิดเงินเท่าไหร่ดีอะ งานแรก ผมยังไม่ได้ตกลงราคานะ แค่เกริ่นไว้ว่าขึ้นอยู่กับความยากง่าย แล้วก็เป็นลูกค้าคนแรกเลยลดให้ 10%”

พี่ทัชหันมองผม แต่ไม่พูดอะไร รถเริ่มขยับตามกันไปข้างหน้าเรื่อยๆ

“สองแสนมะ”

“...”

“ล้อเล่นน่า สองหมื่น?”

“...”

“อย่าบอกว่าสองร้อย”

“ฟรี”

“อะไร เราไม่ได้ทำมูลนิธินะ งั้นเรื่องราคาเดี๋ยวผมจัดการเอง…”

ตื่อดึ๊ง!

กำลังจะพูดต่อ ไลน์ก็เด้งขึ้นมาขัดจังหวะ ผมรีบเปิดดูทันที



★R3NJI: สงสัยเพื่อนมึงจะอายุไม่ยืนนะ

★R3NJI: หน้าตาก็ดี

★R3NJI: แต่แม่งกวนตีน

★R3NJI: เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมเลี้ยงหมาไว้ในปากวะ

★R3NJI: อยากปากแดงโดยไม่ต้องทาลิปเหรอ

★R3NJI: ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงนี่กูตบปากแหกไปละนะ

★R3NJI: หรือไม่ใช่ผู้หญิงแท้?



พี่เห็ดไปเจอเปิ้ลที่ไหนวะ

อยากกวนตีนแกเล่นเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่เวลา

ผมกลับมาสนใจพี่ทัชต่อ “ผมมีของมาให้พี่” ว่าแล้วก็ควักของที่เตรียมมาจากกระเป๋ายื่นให้เขา มันคือถุงมือไหมพรมสีเหลืองลายมินเนี่ยน

“อะไร”

“ถุงมือไง น่าจะดีกว่าพลาสเตอร์อะ พอถึงเวลาต้องใช้พลังก็ถอดปุ๊บจับปั๊บได้เลย”

พี่ทัชเหลือบมองด้วยหางตา “ให้กูใส่ถุงมือสีเหลืองขนาดนี้ไปเดินข้างนอกเหรอ”

“ทีแรกผมก็ว่าจะหาแบบที่เป็นหนังสีดำดูร็อกๆ นะ แต่ไม่มี มีแต่สีดำแบบใส่แล้วเหมือนจะไปตัดอ้อยอะ อันนี้แหละดูโอเคสุดแล้วในร้าน ทำไมอะ ลายมินเนี่ยนก็ดูเข้ากับมือพี่ดีออก”

“ไม่เป็นไร กูชอบพลาสเตอร์”

ตื่อดึ๊ง!

ไลน์มาอีกละ



O: เจอพี่เห็ด

O: ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นรุ่นพี่นี่เตะปากแตกไปละนะ

O: แกเป็นบ้าไร

O: ตอนเด็กๆ เหี้ยแอบคาบไปเลี้ยงเหรอ

O: อ่านแต่ไม่ตอบ

O: อยู่ไหนวะ



ก็อยากจะตอบ แต่กำลังจะปฏิบัติภารกิจลับอยู่เนี่ย

ปิดเสียงไปก่อนละกัน

“แน่ใจเหรอว่าไม่เอา” ผมถามพี่ทัชต่อ

“ไม่เอา”

“งั้นก็ทิ้ง” ผมโยนถุงมือไปที่เบาะหลัง “ทีนี้คุยเรื่องแผน ผมคิดไว้สองแบบ แบบแรกนุ่มๆ เจ๊รวงข้าวให้เบอร์มาแล้ว เราโทรเข้าไปก่อนบอกว่ามีของมาส่ง นัดให้แกรอแถวนั้น แล้วเราก็เข้าไปจัดการเลย”

“จัดการยังไง”

“ก็...อันนี้หน้าที่พี่แล้วอะ เดินเข้าไปจับตัว พี่ถาม ผมอัดคลิป จบ”

“แบบที่สองล่ะ”

“แบบที่สอง ขั้นรุนแรงเลย เราสวมรอยเป็นพวกแก๊งทวงหนี้โหด บุกขึ้นไปที่บริษัทแกเลย ขอเจอตัวแล้วลากไปจัดการในห้องน้ำ”

“มึงกับกูเนี่ยนะ ทวงหนี้โหด”

“ทำไมอะ พี่ก็ทำหน้าให้มันโหดๆ ดิ นี่ เพื่อความสมจริง ผมพกคัตเตอร์มาด้วย” ผมควักคัตเตอร์ออกมาขยับใบมีดขึ้นลงดังแกรกๆ “ไม่เวิร์กเหรอ งั้นก็ใช้วิธีแรก ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวผมโทรไปก่อนเลยนะ ตอนนี้…”

“แหวกหญ้าให้งูตื่นรึเปล่า”

“ฮะ?”

“เขาไม่ได้สั่งของอะไร”

“เราก็โม้ไปดิ มีใครไม่รู้ส่งของมาให้ เซอร์ไพรส์ไง”

“ถ้าเขาไม่เชื่อล่ะ”

“ต้องเชื่อดิ”

“ยังไงก็ต้องสงสัย อาจจะทำให้ไหวตัวทัน”

“แปลว่าไม่ควรโทรว่างั้น”

“อือ”

“งั้นทำไง แผนนี้ผมคิดมาทั้งคืนเลยนะ”

“จะถึงแล้ว ตึกข้างหน้านี้แหละ” พี่ทัชพูดเรียบๆ

“เฮ้ย จริงดิ สรุปเอาไงอะพี่ เราจะเข้าไปโดยไม่มีแผนไม่ได้นะ...พี่คิดดิ เอาไงๆ”

“หาที่จอดรถก่อน”

“นี่แหละๆ ตึกนี้เลย เลิกงานแล้วด้วยเนี่ย พี่ เราจะเสียเครดิตไม่ได้นะ” ระหว่างที่ผมบ่นบ้าไปเรื่อยๆ พี่ทัชก็ขยับรถเข้าเทียบทางเท้า และดับเครื่อง “จอดตรงนี้ได้เหรอ”

“มึงรีบไม่ใช่เหรอ”

“จอดได้แหละ คันอื่นก็จอดกันเยอะแยะ แล้วเอาไงล่ะ”

พี่ทัชควักมือถือตัวเองออกมา กดเข้าหน้ากูเกิล “ชื่อบริษัทอะไร” ผมบอกตามที่เจ๊รวงข้าวให้ข้อมูลไว้ พี่ทัชเสิร์ชหาเบอร์โทรอย่างรวดเร็วแล้วกดโทรออก

“เปิดสปีกเกอร์ด้วย” ผมบอก ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

พี่ทัชเปิดสปีกเกอร์และลดมือถือลง เสียงสัญญาณดังต่อเนื่องอยู่หลายครั้งเหมือนจะไม่มีคนรับ แต่แล้วก็มีเสียงยกหูขึ้นจนได้

[บริษัท Alternative สวัสดีค่ะ]

“สวัสดีครับ” พี่ทัชเป็นคนพูด ส่วนผมที่กำลังอ้าปากด้วยความเคยชินต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองไว้ “ขอสายพี่ดนัยหน่อยครับ”

[ดนัยไหนคะ]

พี่ทัชมองหน้าผม ผมรีบตั้งสติและทำปากพูดโดยไม่มีเสียง ฝ่ายจัดซื้อ “พี่ดนัยฝ่ายจัดซื้อน่ะครับ”

[อ๋อ จากไหนคะ]

ผมทำปากอีก บริษัทขอทัชฑี

“จากน้องที่ดีลงานค้างอยู่น่ะครับ”

[รอสักครู่นะคะ] เสียงเงียบไป สักพักเจ๊คนที่รับสายก็กลับมาพูดต่อ [ขอโทษนะคะ พี่ดนัยเพิ่งออกจากออฟฟิศไปเมื่อกี้เองค่ะ พอดีว่าเลิกงานแล้ว]

“อ๋อ ครับ”

[ยังไงพรุ่งนี้ลองติดต่อมาใหม่นะคะ]

“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ”

พี่ทัชกดตัดสายและเก็บมือถือ ท่าทางของเขาดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร อาจจะโล่งใจด้วยซ้ำ ขณะที่ผมนี่มือไม้สั่นเหงื่อแตกเต็มหลังไปหมดแล้ว

“ซวย” ผมพูด “เลิกงานไม่กี่นาที รีบออกจากออฟฟิศเลยเหรอวะ รีบไปหาเมียน้อยเหรอ แล้วเอาไงต่ออะ”

“กลับ”

“ฮะ? มาขนาดนี้ จะกลับง่ายๆ งี้ได้ไง เดี๋ยวผมลองโทรเข้ามือถือ”

“แล้วจะบอกเขาว่าไง มาจากบริษัทขอทัชฑีเหรอ”

“ก็ทำไมอะ”

“หนักกว่าบอกว่ามีของมาส่งอีกนะ”

“งั้นก็บอกของมาส่ง ช่างแม่ง ไม่สนละ ขอให้เจอตัวละกัน…”

“เดี๋ยว” พี่ทัชใช้นิ้วกดมือผมที่กำลังจะกดโทรออกไว้เบาๆ “ใช่คนนั้นมั้ย”

“ไหน” ผมหันเลิ่กลั่ก

“ข้างหน้า กำลังจะข้ามถนน”

ผมยื่นหน้าไปแทบจะเอาคางเกยคอนโซลหน้ารถ เพ่งมองกลุ่มคนสี่ห้าคนที่กำลังรอจะข้ามถนน และหนึ่งในนั้นก็คือ ดนัย ใฝ่จิตดี เป้าหมายของเรานี่เอง ตัวจริงเขาดูไม่สูงเท่าไหร่ ตัวผอมๆ เซ็ตทรงผมเหมือนในรูปเป๊ะ

“ใช่ว่ะพี่”

“แน่ใจนะ”

“ชัวร์ คนมันจะรุ่งอะ เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย...ดูดิ นั่นไงกิ๊ก”

ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่งตัวแซ่บใช่เล่น เสื้อรัดรูป กระโปรงสั้น แขนคล้องกระเป๋าหลุยส์ที่ผมดูไม่ออกว่าของแท้หรือปลอม

“มึงด่วนสรุปเกินไป”

“ก็ไม่ใช่เจ๊รวงข้าวอะ ไม่ใช่กิ๊กแล้วจะใครล่ะ เดินใกล้กันขนาดนี้”

“ก็ยังด่วนสรุปอยู่ดี”

“เดี๋ยวก็รู้ ปะ ลุย…”

พี่ทัชรั้งไหล่ผมไว้ “ดูก่อน เขาไปไหนกัน” ระหว่างที่พูดอยู่นี้ พี่ดนัย ใฝ่จิตดี ก็เดินข้ามถนนไปได้ครึ่งทางแล้ว ตลอดทางที่เดินแกยังยกมืออีกข้างค้างไว้เป็นการเบรกรถไปด้วย ทำเป็นเท่ ทำเป็นมั่น เห็นแล้วหมั่นไส้อยากสไลด์ตัวเข้าไปเตะตัดขาให้เสียศูนย์ ให้รถเมล์เสยกระเด็นไปสักสิบเมตร แล้วให้สิบล้อแล่นทับอีกที

ทำได้แค่จินตนาการแหละ ความจริงคือสองคนนั้นข้ามไปถึงอีกฝั่งแล้ว ดูพูดคุยกันกุ๊กกิ๊กออกหน้าออกตา แล้วก็พากันเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่ตรงนั้นเอง

“เลิกงานแล้วไม่กลับบ้านกลับช่องนะ ชัดเลย ลุยได้ยังอะทีนี้”

“อือ” พี่ทัชทำเสียงเหมือนไม่เต็มใจ แต่ก็เปิดประตูลงจากรถ

เราเดินไปตรงจุดที่คนรอข้ามถนน ผมแอบสังเกตมือเขาก็ยังเห็นว่ามีพลาสเตอร์พันอยู่ครบทุกนิ้ว

“พี่ไม่แกะพลาสเตอร์เหรอ”

“ไว้ค่อย”

พี่ทัชเดินนำพาผมข้ามถนนไปแบบสบายๆ โดยไม่ต้องยกมือเบรกห้ามรถ เขาเปิดประตูเข้าร้านกาแฟแบบชิลล์ๆ ซึ่งผมก็พยายามเลียนแบบเขาทุกกระเบียดนิ้ว

“มัทฉะลาเต้ครับ” พี่ทัชสั่ง ขณะที่ผมเอาแต่สอดส่ายสายตาเข้าไปในร้าน “อีกแก้วเอาเป็นโกโก้เย็นครับ”

“ไม่เอาๆ เอาอเมริกาโน่ร้อน”

“แน่ใจ?”

“วิถีฮิปสเตอร์ไงพี่ รักสุขภาพ กาแฟเพียวๆ ไม่ต้องใส่นมอะไรเลย...ผมเลี้ยงเอง”

พี่ทัชหันมามองหน้า

“ทำไมอะ ก็คนมีตังค์อะ เนี่ยอีกหน่อยผมก็รวยละ เดี๋ยวคนในสมาคมก็เปย์รัวๆ แน่นอน”

พี่ทัชส่ายหน้า แต่ไม่ทักท้วงอะไรขณะผมควักเงินจ่าย

เห็นเป้าหมายแล้ว นั่งคุยกันหนุงหนิงอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน ซึ่งค่อนข้างลับตาคนจนน่าจะเรียกว่ามุมซ่อนชู้ก็ไม่ผิด พี่ทัชเดินนำผมไปโซนนั้น แต่นั่งถัดมาสี่โต๊ะ ผมเลือกนั่งฝั่งที่สามารถจับตาดูเป้าหมายได้ ส่วนพี่ทัชนั่งหันหลังให้พวกเขา

ระยะนี้ พอได้ยินเสียงพูดคุย แต่จับใจความไม่ได้

ผมควักมือถือขึ้นมาทันทีที่นั่งลง

“อย่า” พี่ทัชพูด

“ผมแค่จะเล่นมือถือ เนี่ยแชตเด้งมาเยอะแยะ” ผมพูดเพื่อให้เนียนขึ้น แต่ความจริงคือไม่ได้เข้าหน้าแชตเลย เปิดกล้องหลังสิครับรออะไร จับโทรศัพท์ตั้งขึ้นแบบเนียนๆ ค่อยๆ เอียงหามุมให้เป้าหมายกับชู้อยู่ในเฟรม “พี่เอาหนังสือกลอนมาปะ”

“ทำไม”

“อยากอ่าน” ผมบอก ก่อนจะลดเสียงลงเป็นเกือบกระซิบ “จะได้ดูเนียนๆ ไง ชิลล์ๆ อะ”

“อยากเนียนใช่มั้ย มีวิธีที่ง่ายกว่านั้น”

“ยังไงๆ”

“เก็บมือถือ เลิกเขย่าขา แล้วก็เลิกพูดกระซิบ”

นี่ไม่ใช่ร้านกาแฟประเภทที่ลูกค้าต้องยืนรอรับเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์ แต่จะมีพนักงานนำมาเสิร์ฟให้ถึงที่ ซึ่งน้องพนักงานผู้หญิงหน้ามนๆ ท่าทางลนๆ ก็นำเครื่องดื่มเราเข้ามาเสิร์ฟในจังหวะนี้พอดี

ที่น้องพนักงานดูตื่นๆ ก็คงเพราะรัศมีของพี่ทัชนี่แหละ

และท่าทางตื่นๆ นี่ก็เรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้โคตรดี รวมถึงเป้าหมายของภารกิจนี้ด้วย พี่ดนัย ใฝ่จิตดีชะเง้อมองมาทางเรา เล่นเอาผมถึงกับนั่งตัวตรงและรีบหันหน้าไปทางอื่น พอมั่นใจว่าเขาเลิกสนใจแล้ว ค่อยนั่งงอตัว หดคอลง คว้าทิชชู่ที่มาพร้อมกาแฟมาซับเหงื่อที่หน้าผากเร็วๆ

“ตรงนี้ด้วย” พี่ทัชพูด

“อะไร…”

เขาเคาะแก้มตัวเองเบาๆ

สีหน้าแบบนี้

แววตาแบบนี้

เข้าใจว่าที่เขาเคาะนิ้วกับแก้มคือบอกใบ้ให้ผมเช็ดเหงื่อตรงนี้ด้วย แต่ทำไมต้องขำมุมปากแบบนั้น งั้นเช็ดแม่งทั้งหน้าเลยละกัน เช็ดจนทิชชู่ม้วนเป็นก้อนเลย

“หมดยัง”

“อือ”

“รู้ปะ สายตาพี่เมื่อกี้อะ…”

“อะไร”

“เหมือนพี่กำลังมองหมาแมวอะ”

“...”

“คือไม่ใช่แบบไม่ดีนะ แบบมองยิ้มๆ เหมือนเอ็นดูหมาแมวอะ ทำไม หน้าผมเหมือนผงฟอกรึไง”

พี่ทัชนิ่งไปนิดนึง “แย่กว่าผงฟอก”

ผมเกือบจะหลุดประเด็นต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว แต่ท่าทางระริกระรี้คิกคักของเป้าหมายช่วยเตือนสติผมซะก่อน ผมเลยวางมาดฮิปสเตอร์ นั่งไขว่ห้าง ยกกาแฟขึ้นจิบ

“ถุ้ย! กินกันเข้าไปได้ไงวะ”

“มึงยังไม่ได้เติมน้ำตาล”

“อ้อ” ผมฉีกซองน้ำตาลใส่รัวๆ ประมาณสี่ห้าซองได้ ใช้ช้อนคนแรงๆ แล้วยกชิมอีกที “ก็ไม่อร่อยอยู่ดีอะ”

“มึงเคยสั่งอันนี้ให้กูเพราะชื่อมันเพราะดีจำได้มั้ย ถ้าไม่อร่อยก็ไปสั่งใหม่ดิ” พี่ทัชพูด ก่อนจะดูดชาเขียวสบายๆ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายๆ ว่ากำลังดื่มด่ำกับรสชาติ

จำได้ดิวะ ก็เลยลองสั่งมากินเองนี่ไง แต่ความร้ายของเขาคือเอาคำพูดผมมาย้อนศรประชดผมคืนนี่แหละ เอาจริงๆ พี่ทัชก็แอบมีความกวนตีนเหมือนกันนะเนี่ย

แต่ปล่อยไปก่อน

อย่าหลุดประเด็น

ผมหยิบมือถือตั้งขึ้นกับโต๊ะและกดเปิดกล้องแอบถ่ายรูปอีกครั้ง “เอาไงต่ออะพี่ สองคนนั้นกินใกล้เสร็จแล้วนะ” ที่ผมพูดแบบนี้เพราะเห็นว่าเค้กที่อยู่ตรงหน้าผู้หญิงเหลืออีกนิดเดียว ส่วนกาแฟของผู้ชายก็เหมือนจะเย็นชืดแล้ว

พี่ทัชเริ่มแกะพลาสเตอร์ออกจากนิ้วช้าๆ

ทีละนิ้ว…

“ผมบอกแล้ว ว่าให้ใช้ถุงมือ...ผมช่วยแกะมั้ย”

“ไม่เป็นไร”

“พี่เร็วดิ”

“ไม่เห็นต้องรีบ”

“เออน่า เร็วๆ”

พี่ทัชแกะพลาสเตอร์ออกทุกนิ้ว ตามด้วยควักทิชชู่เปียกออกมาเช็ดมือ เหมือนจะไม่มีอะไรมาเร่งเร้าให้เขาทำอะไรเร็วขึ้นได้ ต่อให้ร้านนี้ไฟไหม้ก็ตาม

แต่ในที่สุดเขาก็เช็ดมือเสร็จจนได้ แต่ยังจะสละเวลากวาดเศษพลาสเตอร์ใส่กระเป๋าอีกนะ

“ให้พนักงานทิ้งให้ได้” ผมบอก

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเอาไปทิ้งข้างนอกเอง”

“คนดี” ผมเบ้ปาก “ลุยยังอะ นี่ถอดหัวใจแช่ไว้ในช่องฟรีซเหรอ ใจเย็นโคตร”

พี่ทัชไม่พูดอะไร เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะเหมือนคิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นเวลาอื่นนิ้วเรียวยาวที่เคาะเป็นจังหวะเบาๆ นี่อาจจะดึงดูดสายตาผมจนถึงขั้นสะกดให้เคลิ้มได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

“พี่ ลุยยังๆ ล็อกตัวเลยมั้ย...พี่ เขาจะลุกแล้ว”

“กลับกันดีกว่า”

“ฮะ?”

พี่ทัชลุกขึ้นและหมุนตัวเดินออกไป ผมรีบลุกพรวดตาม แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่เป้าหมายลุกขึ้นจากโต๊ะพอดี

“พี่ดนัย” จู่ๆ พี่ทัชก็โพล่งขึ้น ผมหยุดตามไม่ทันเลยหัวทิ่มไปชนกับแผ่นหลังของเขา “ใช่พี่ดนัยรึเปล่าครับ”

เป้าหมายของเรากับชู้ของเขาหันมามองด้วยสีหน้างงๆ

ผมก็งงด้วย

เดี๋ยวๆ นี่เริ่มปฏิบัติการแล้วเหรอ แผนคืออะไรวะ

ผมลนลานยกมือถือขึ้นมากดบันทึกวีดีโอ ทำเป็นขยับนิ้วพิมพ์เหมือนกับแชตเล่นชิลล์ๆ แต่เหงื่อแม่งเริ่มซึมๆ ละ โคตรตื่นเต้น

“พี่ดนัยจริงๆ ด้วย” พี่ทัชก้าวเข้าไปหยุดยืนห่างจากเป้าหมายแค่ช่วงแขนเดียว “ไม่นึกว่าจะเจอพี่แถวนี้”

“ใคร…” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉีกยิ้มให้เบาๆ

“ผมณวัฒน์ไงพี่ จำไม่ได้เหรอ”

“ณวัฒน์ไหน”

จะว่าไป คงไม่มีใครยกมือถือขึ้นมาแชตสูงขนาดนี้ ผมเลยลดมือถือลง แอบเอียงกล้องเสยขึ้นกะๆ เอาว่าคลิปวีดีโอที่ได้คงจะจับภาพใบหน้าของชายชั่วหญิงชู้เอาไว้ได้ ถึงยังไงการถือโทรศัพท์ท่านี้ก็ไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี หัวใจผมเต้นโครมคราม ตับไตไส้ม้ามเหมือนจะเต้นไปด้วย งั้นเนียนๆ ร่วมวงไปด้วยเลยดีกว่า

“เฮ้ย! พี่ดนัยจริงๆ ด้วย”

“เฮ้ย! นี่พวกน้องสองคน…” เจ้าตัวสีหน้าตื่นเต้น ชี้นิ้วใส่เราสองคนสลับไปมา “เป็นใครวะเนี่ย” น้ำเสียงเขาดูขำๆ

“น้องที่เคยฝึกงานที่บริษัทเก่าพี่ไงครับ” พี่ทัชว่าต่อ

“อ้อ…” คราวนี้นายดนัยอะไรนี่เหมือนจะหน้าเสียนิดๆ ละ “พอจำได้ละๆ”   

แหลว่ะ

โคตรปลาไหล ลักษณะนี้คือดูออกเลยว่าทำเป็นจำได้เพราะกลัวเสียฟอร์ม

“ณวัฒน์ใช่มั้ย แล้วนี่ก็…ใครน้า ชื่อติดอยู่ที่ปาก”

“ผม เอ่อ...พุดตะพัดไงพี่ เป็นน้องที่ฝึกงานพร้อมกับพี่ณวัฒน์อะ บ้านก็อยู่ใกล้ๆ กันกับพี่ดนัยไง แต่พี่อาจจะจำผมไม่ได้เพราะตอนนี้ผมหน้าตาดีขึ้นกว่าตอนนั้นเยอะ แล้ว...แล้วนี่พ่อพี่เลิกกินเหล้าแทนน้ำยังอะ ตับแข็งยัง” ปากมันไหลไปเอง ตอนนี้หยุดไม่ได้แล้ว

คราวนี้พี่ดนัยขมวดคิ้วจริงจัง “เดี๋ยวนะ พ่อพี่กินเหล้าแทนน้ำเลยเหรอ”

“ก็ใช่ไง แล้วพอเมาๆ ก็ชอบมาฉี่ใส่ประตูบ้านผม บางวันก็คุ้ยขยะกินด้วย”

“มีคุ้ยขยะกินด้วย”

“โอ๊ย ประจำอะ”

“พี่ว่าไม่ใช่แล้วว่ะ พวกน้องจำคนผิด…”

“ไม่ผิดหรอกครับ” พี่ทัชขัดกลางประโยค “ว่าแต่พี่ไปทำไรมา ดูดีขึ้นจนแทบจำไม่ได้เลย...เฮ้ย พี่ นาฬิกาสวยอะ ขอดูได้มั้ยครับ โทษนะ…”

หมับ

เอาแล้วๆๆๆ

พี่ทัชจับข้อมืออีกฝ่ายยกขึ้นนิดๆ ทำทีเหมือนจะขอดูนาฬิกา แน่นอนว่าปลายนิ้วสัมผัสเป้าหมายเรียบร้อย ผมงี้ถึงกับขนลุกหวิวๆ อย่างกับถูกจับซะเอง

“สวยอะพี่ ซื้อมาเท่าไหร่เหรอครับ” พี่ทัชถาม

“มะ...ไม่ได้ซื้อ ยืมเพื่อนมา” ตอนนี้เหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดูจากการที่ปากคอสั่นนิดๆ

มาขนาดนี้แล้ว ยกมือถือขึ้นถ่ายอย่างเปิดเผยเลยละกัน

“แล้วนี่พี่มากับใครเหรอครับ” พี่ทัชถามต่อ เจ้าตัวมีอาการฮึดฮัดเล็กน้อยเหมือนจะพยายามสะบัดมือออก แต่ก็ดูสับสนและอ่อนแรง ผมสังเกตเห็นพี่ทัชรวบมือแน่นเข้ากว่าเดิม นาฬิกาบนข้อมือไม่เกี่ยวข้องอะไรแล้วตอนนี้

“มากับ…”

“เพื่อนร่วมงานเหรอครับ”

“ใช่”

“แค่เพื่อนร่วมงานเหรอ” ผมโพล่งถาม “เป็นไรกันอีกมั้ยอะ”

“เป็น...มะ...เมีย”

“เมียพี่ชื่อรวงข้าวไม่ใช่เหรอ” ผมจี้เข้าไปอีก

“ใช่”

“ถ้างั้นนี่ใครอะ”

“เมียน้อย…” พี่ดนัยปากสั่น คิ้วขมวด เหงื่อเริ่มไหลหยดจากไรผม “ก็ชู้นั่นแหละ กิ๊กกันได้สี่ห้าเดือน”

“จริงดิ พี่เล่นชู้เหรอ”

“จริง”

ผู้หญิงที่เงียบอยู่นานถึงกับผงะเหมือนถูกต่อย ปากสีแดงสดเม้มแน่น ขมวดคิ้วจนหน้าย่น ถ้าเป็นละครคงต้องมีตบสักฉาดหรือไม่ก็หยิบแก้วน้ำสาดหน้า แต่เจ๊คนนี้แค่ทำตาขวางๆ อยู่อึดใจนึง แล้วพอได้สติก็หมุนตัวจ้ำอ้าวออกจากร้านไป ฝ่ายชายทำท่าจะถลาตาม แต่มือพี่ทัชยังจับแขนเป้าหมายอยู่

ผมฉวยโอกาสนั้นยกกล้องจ่อหน้าเขาใกล้ๆ “พี่ๆ แล้วพี่รวงข้าวรู้มั้ยว่าพี่เลวแบบนี้”

“ไม่รู้ จะรู้ได้ไง โง่จะตาย...นะ...นี่ พวกมึงทำไรกู...ปล่อยนะเว้ย”

พี่ทัชปล่อยมือ

ดนัย ใฝ่จิตดีหายใจเฮือกๆ เหมือนเพิ่งวิ่งร้อยเมตรมา “พวกมึง...พวกมึงเป็นใคร”

“ขอโทษครับ ทักคนผิด” พี่ทัชพูด รู้สึกว่าจะมีความเย็นชาเจือในน้ำเสียงนิดๆ ด้วย

“อะไรของมึงวะ!”

พี่ทัชไม่ต่อปากต่อคำอีก เขาหันหลังเดินออกไปแล้ว

ผมกดปิดกล้องมือถือ เอียงหน้าไปพูดกับพี่ดนัยจิตปลาไหลเบาๆ “คนชั่ว” พูดจบก็รีบสับขาตามพี่ทัชออกไป

ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเดินไปทางไหน แต่ก็ไม่สำคัญหรอก

ถือว่าภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว

ผมกับพี่ทัชเดินข้ามถนนเร็วๆ ไปหยุดยืนกันอยู่ข้างรถมินิคูเปอร์ของเขา ตอนนี้เวลาเย็นใกล้ค่ำแล้ว รถติดหนาแน่นขึ้น และอีกไม่นานแสงไฟฟ้าก็จะรับช่วงต่อจากดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลับไป

“ถ่ายได้หมดมั้ย” พี่ทัชถาม

“ได้ดิ จ่อหน้าเต็มๆ เลย”

“อย่าส่งคลิปยาวไป ตัดตรงที่เขาบอกว่าพี่รวงข้าวโง่ออกก่อน”

“...” ผมอึ้งไปนิด ก่อนจะถามโง่ๆ ออกไป “ทำไมอะ”

พี่ทัชมองหน้าผมเหมือนกับจะถามว่า นี่โง่จริงหรือแกล้งกวนตีนกันแน่ “พี่เขาไม่จำเป็นต้องได้ยินคำนี้”

“รู้น่า เป็นห่วงสุขภาพจิตเจ๊รวงข้าวใช่มะ เดี๋ยวตัดออกให้ครับโผม”

“ถ้าถ่ายติดหน้ากู ก็เบลอหน้ากูด้วย”

“ทำไมอะ หน้าตาดีๆ ไม่ชอบเหรอ ชอบให้หน้าเป็นสี่เหลี่ยมๆ เบลอๆ ไรงี้?”

“ไม่ชอบอยู่ในคลิป”

“แต่…”

“ตามนั้น”

“โอเคๆ เดี๋ยวผมเบลอให้” แล้วผมก็ถามต่อ “แล้วเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไรอะ” เพราะนึกสงสัยขึ้นมาว่าเขาจะมีปรัชญาสอนใจอะไรมั้ยเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าอยากให้คนรู้ความจริง ก็โกหกเข้าไว้”

“ยังไง...อ้อ รู้ละ หมายถึงยิ่งโกหกมากก็ยิ่งมีพิรุธมากไรงี้ ถึงคราวเคราะห์กรรมของพี่ดนัยแกแล้วที่มาเจอเราสองคน”

“หมายถึงมึงนี่แหละ คนปกติที่ไหนจะชื่อพุดตะพัด”

ผมเงยหน้าจากคลิปในมือถือ “อ่าว นี่หลอกด่าผมเหรอ หาว่าผมโม้มากจนมีพิรุธไรงี้...”

“ตามนั้น” พี่ทัชตัดบท “ทีนี้ก็ไปสถานีตำรวจกัน”

“ฮะ? ไปทำไมอะ นี่เรื่องต้องถึงตำรวจเลยเหรอ”

“ไม่งั้นจะกลับบ้านยังไง”

พี่ทัชหลุบสายตาต่ำลง

ผมก้มลงมองตาม เลยเข้าใจว่าเวรกรรมก็เล่นงานเราเหมือนกัน

“ชิบหาย ตำรวจมาล็อกล้อตั้งแต่ตอนไหนวะ”








_____________________


คิดถึงค่า :D
ขอบคุณนะคะที่อยู่กันตรงนี้ จะพยายามไปเรื่อยๆ เลยค่ะ
ฝากรักพี่ทัชกับเด็กแสบเยอะๆ เลยน้าา


นางร้าย
7.ตุลา.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 07-10-2019 21:09:49
โอ๊ยยย ปวดหัวกับอิน้องพุดตะพัด มันจะล้นไปไหน? 55555  :jul3: พี่ทัชเปลี่ยนคนเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะพี่ หาเด็กใหม่เถอะ เมื่อยหูแทนพี่จริงๆ 555555

เห็ดเปิ้ลใช่ไหม? เย้ มวยถูกคู่จริงๆๆ ขอคู่นี้ลงนวมกันสักยกสองยกนะคะ 5555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 08-10-2019 00:05:13
ทัชไม่เผลอเขกหัวน้องมันซักทีหน่อยหรอ กวนมาก555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 08-10-2019 12:49:43
โอ้ยยย อิน้องพุดตะพัด เลิ่กลั่ก จนเกือบเสียเรื่อง ปวดหัวแทนพี่ทัช พี่ถ้าเลือกได้พี่คง อยากมีพลังทำให้น้องหยุดพูดบ้างสินะ 555555 จะรอดไหม บริษัทขอทัชฑี เนี่ยยยย

เรือเห็ดเปิ้ลมาสินะ เห็ดเจษชบา เราล่มแล้ววว  :laugh:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 08-10-2019 19:12:01
นิยายเรื่องนี้จะไม่ตลกสักตอนได้มั้ยนะ 5555555555 ฮา เจ้าคนน้องมันน่ารักกก แต่โกหกไม่เคยจะเนียน
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-10-2019 21:26:51
 :laugh:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 11-10-2019 16:18:28
โอ่ยยยยย ปวดหัวกับนะฑี ฝอยเก่งจริง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 12-10-2019 15:29:26
 :laugh: :hao7: :ling1:
ขำอะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 19) |▌7.ตุลา.2019 // Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 13-10-2019 05:28:04
 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 20) |▌17.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 17-10-2019 19:40:53
แตะต้องครั้งที่ 20

จับบบ…ลูบๆ คลำๆ ทำให้พี่ฟรีของดีบอกต่อ
ขอแจ้งข่าวร้ายตะกายหลังด้วยน้องปู


ดนัย ใฝ่จิตดี...เหรอวะ

นั่นคือชื่อคลิป ผมตัดต่อเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเบลอหน้าพี่ทัชเพราะใบหน้าเขาไม่โผล่มาในเฟรมเลย ไม่รู้ว่าโคตรโชคดีหรือรู้มุมกล้องกันแน่ สิ่งที่ต้องทำเลยมีแค่ ตัดคลิปให้กระชับและใส่ซับไตเติล สองอย่างแค่นี้แต่ใช้เวลาถึงเช้า เหตุผลเดียวเลยที่เป็นแบบนั้นก็คือ ในสมองผมไม่มียีนเด่นเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีเลย ยังดีที่สมัยนี้มีแอพตัดต่อคลิปแบบง่ายๆ ให้โหลดใช้ฟรี เลยพอลูบๆ คลำๆ ทำไปได้

ทำเสร็จก็ส่งให้เจ๊รวงข้าวทันที ตั้งแต่เช้าเลย ผมอดนึกไม่ได้ว่า เจ๊คงตื่นมานั่งหัวฟูร้องไห้ฟูมฟายอยู่ข้างซิงค์ล้างจานหรือถังขยะ หรือไม่ก็เปิดฝักบัวราดหัวเล่นอยู่ เพราะผมทักไปอีกหลายรอบ เจ๊ก็ยังเงียบอยู่

ยังไงก็หวังว่าเจ๊แกจะโอเคแหละ อดหลับอดนอนตัดคลิปให้ขนาดนี้

ว่าแล้วก็หาวรอบที่ล้าน ทั้งที่ข้าวยังคาปากอยู่

“กลับไปนอนบ้านมั้ย สักสามวันค่อยตื่น” เปิ้ลพูดลอยๆ

“ธุรกิจมันรัดตัว ก็งี้แหละ”

“ธุรกิจพันล้านเหรอวะ ถึงไม่หลับไม่นอน”

“เออ ประมาณนั้นล่ะ”

“มึงค้ายาเหรอ”

“เออ เพิ่งส่งไปแสนเม็ดเมื่อกี้...ถุ้ย!”

“สรุปคืองานไรวะ”

“ช่างมัน ปวดหัวละ”

“เราเคยอ่านเจอ ระหว่างกินข้าวแล้วทำอย่างอื่นที่ต้องใช้ความคิดไปด้วย จะทำให้ระบบย่อยไม่ดีนะ เพราะเลือดจะไปเลี้ยงสมองแทนที่จะมาเลี้ยงระบบย่อย” เจษฎาเมตตาให้ข้อมูลอีกตามเคย

“ขอบคุณครับเจษ ต่อไปนี้ตอนกินข้าวกูจะทำตัวให้เหมือนตอนเรียนละกัน”

“หือ?”

“ไม่ต้องใช้ความคิดอะไรไง”

“แต่ตอนเรียนควรใช้ความคิดนะ”

“กูประชดครับ”

“อ้อ เข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดครับก็ได้”

“ครับ กูไม่พูดละ”

ตื่อดึ๊ง!

น่ะ เงียบอยู่ตั้งนาน พอจะตั้งใจกินข้าวปุ๊บก็ขัดจังหวะเลย ว่าจะไม่หยิบมาดูมันก็อดไม่ได้อีก

พี่ทัชรึเปล่า



✿ รวงข้าว: พี่ดูคลิปแล้ว

✿ รวงข้าว: ขอบใจมากนะ

✿ รวงข้าว: จะได้เลิกคิดมากสักที

NaTee(n): อ้อ ครับ

NaTee(n): เป็นไงมั่งครับ

✿ รวงข้าว: ชั่วจริงๆ

✿ รวงข้าว: แม่ง

✿ รวงข้าว: ด่าใครโง่วะ



อ่าว เฮ้ย!

ท่อนที่เจ๊รวงข้าวถูกด่าว่าโง่ตัดออกแล้วนะ ย้อนกลับไปดูแป๊บ เวรแท้ๆ สงสัยง่วงมาก ตอนส่งเลยดันไปจิ้มคลิปต้นฉบับแทนซะงั้น แล้วที่อดหลับอดนอนคือทำไปเพื่ออะไร แก้ไขตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย งั้นก็เลยตามเลยละกันนะเจ๊



NaTee(n): เอ่อ…

NaTee(n): เสียงในคลิปชัดมั้ยครับ

✿ รวงข้าว: เวรรร

✿ รวงข้าว: เต็มสองหูทุกคำ

NaTee(n): ใจเย็นครับ

NaTee(n): เจ๊ไหวมั้ยเนี่ย

✿ รวงข้าว: โทษที

✿ รวงข้าว: ไหวๆ

✿ รวงข้าว: ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

✿ รวงข้าว: เดี๋ยวพี่โอนให้

NaTee(n): อ้อ

NaTee(n): เรื่องนั้น...



ยากละ

ความยากมันอยู่ตรงนี้แหละ จะบอกว่าเท่าไหร่ดีวะ เกิดมายังไม่เคยทำงานแบบนี้อะดิ ถ้าคิดว่าความสามารถพี่ทัชมีแค่หนึ่งเดียวในโลกนี่ ราคาอาจจะปาไปหกหลักเลยนะ แต่ถ้าคิดตามเนื้องานมันก็แค่งานง่ายๆ แค่ไปดักเจอเป้าหมาย แตะตัว ถ่ายคลิปสารภาพ แถมยังใช้เวลาไม่นานด้วย ค่าเหนื่อยคงจะแค่หลักพันรึเปล่า

แวบนึง คำพูดพี่ทัชก็พุ่งเข้ามาในหัวผม

ฟรี

ตอนนั้นผมค้านทันทีว่าเราไม่ได้ทำมูลนิธิ ในเมื่อใช้ชื่อว่าบริษัทขอทัชฑีมันก็ต้องมีกำไรดิ แต่พอถึงตอนนี้ก็แบบ...เฮ้อ เจ๊เสียใจเรื่องผัวนอกใจก็หนักพอแล้ว จะไปคิดเงินได้ไง แต่ก่อนผมจะได้พิมพ์ตอบ เจ๊รวงข้าวก็พิมพ์มาซะก่อน



✿ รวงข้าว: ห้าพันพอมั้ย

NaTee(n): กำลังจะบอกเลย

NaTee(n): ไม่เป็นไรครับเจ๊ 

✿ รวงข้าว: เอ๊ะ แต่เรามีกันสองคนนี่นะ

✿ รวงข้าว: งั้นหมื่นนึงละกัน

NaTee(n): ไม่ๆ

NaTee(n): ฟรีครับ

✿ รวงข้าว: ได้ไง

✿ รวงข้าว: ทำงานก็ต้องได้เงินสิ

✿ รวงข้าว: ถ้าจ้างนักสืบเอกชน แพงกว่านี้เยอะ

NaTee(n): เก็ต

NaTee(n): แต่ถือว่าเป็นโปรโมชั่นละกันครับ

NaTee(n): ครั้งนี้ฟรี

✿ รวงข้าว: เอาเลขบัญชีมา

✿ รวงข้าว: เดี๋ยวโอนจากบัญชีผัวให้

✿ รวงข้าว: แม่ง

✿ รวงข้าว: เดี๋ยวจะเอาเงินมันไปช้อปให้หมดเลย

✿ รวงข้าว: เร็วๆ สิ

✿ รวงข้าว: เวรเอ๊ยยยย

NaTee(n): ครับๆ



ผมรีบส่งเลขบัญชีไป เพราะถ้ายังทำเป็นลีลาหรือขัดใจอะไรอีกเจ๊แกอาจจะเส้นเลือดในสมองแตกได้ ตอนอยู่ในกรุ๊ปเมียหลวงเห็นเป็นคนเงียบๆ นิ่มๆ ไม่นึกว่าเอาเข้าจริงจะดุดันขนาดนี้

ผ่านไปไม่ถึงนาที เจ๊ก็โอนมาจริงๆ หนึ่งหมื่นบาทเน้นๆ เล่นเอาผมตัวชาวูบด้วยความรู้สึกผิด ขณะที่กำลังอึ้งๆ อยู่ เจ้าตัวก็แชตมาอีก



✿ รวงข้าว: ทีนี้เล่าซิ

✿ รวงข้าว: ไปทำยังไง

✿ รวงข้าว: ไอ้เฮงซวยนั่นถึงสารภาพได้

NaTee(n): ก็อย่างที่ผมโพสต์ไปในกลุ่มอะครับ

NaTee(n): จิตวิทยาแนวใหม่

NaTee(n): แต่ถ้าให้เล่ารายละเอียด

NaTee(n): มันคงยาวและซับซ้อนไปน่ะครับ

NaTee(n): แต่ผมรับรองได้ว่า สิ่งที่สามีเจ๊พูดเป็นความจริงแน่นอน

✿ รวงข้าว: นี่มันเรื่องจริงๆ ใช่มั้ย

NaTee(n): ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ

✿ รวงข้าว: แม่ง



ใจผมหายวาบอีกรอบ

นึกเห็นภาพเจ๊ปามือถืออัดผนังจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วถือมีดซุ่มรอผัวกลับบ้าน หรือไม่ก็ทำร้ายตัวเอง…

ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง



NaTee(n): เจ๊

NaTee(n): ไหวรึเปล่าครับ

NaTee(n): เรื่องเงิน ขอบคุณมากนะครับ

NaTee(n): แต่ผมพูดจริงๆ นะ ไม่ต้องให้ก็ได้

NaTee(n): ช่วยฟรีเลย

NaTee(n): พี่รวงข้าว…

✿ รวงข้าว: ไหวๆ

✿ รวงข้าว: เจ๊ดูเว็บช็อปปิ้งอยู่

✿ รวงข้าว: จะไถเงินแม่งให้หมด

✿ รวงข้าว: ไว้ค่อยคุยนะ



ค่อยโล่งหน่อย แต่จะว่าโล่งก็ไม่เชิงหรอก ตอนแรกคิดไปไกลแล้วว่าจะหาเงินจากงานนี้ได้ง่ายๆ เป็นกอบเป็นกำ แต่เอาเข้าจริงทำไมรู้สึกผิดวะ บางทีความจริงมันก็โหดร้ายอย่างที่พี่ทัชว่าจริงๆ



“จบยัง” เปิ้ลถาม

“คงไม่จบง่ายๆ หรอกมั้ง เจ๊คงตบกับผัวต่อ”

“ฮะ?”

“ช่างเถอะ คุยเรื่องนี้ดีกว่า แกเจอพี่เห็ดเหรอ เล่าดิ๊ เจอที่ไหนยังไง”

“อย่าพูดถึงดีกว่า พูดแล้วหัวร้อน”

“งั้นเจษ มึงเล่า” 

“ทำไมต้องเป็นเรา”

“ก็เปิ้ลมันไม่เล่า ก็ต้องเป็นมึงดิ จะให้แมงหวี่ที่ไหนเล่าวะ มึงก็อยู่กับเปิ้ลด้วยใช่มั้ย”

“เราอยู่”

“งั้นก็เล่าไป เอาแบบละเอียดนะ”

“ก็ได้” เจษฎายกน้ำขึ้นจิบ กระแอมเบาๆ อย่างเป็นการเป็นงาน “หลังจากนะฑีแยกตัวไป เรากับเปิ้ลก็นั่งเล่นกันอยู่ที่คณะสักพัก แล้วพอจะกลับบ้านก็เดินออกมาที่หน้าคณะ ตอนนั้นเย็นแล้ว เวลาประมาณสี่โมงสี่สิบห้านาที…”

“เจษ ถ้าจะขนาดนั้น ทำไมไม่เล่าตั้งแต่ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านเลยล่ะ”

“เอาละเอียดตั้งแต่ตอนออกจากบ้านเลยเหรอ เราว่าไม่จำเป็นนะ”

ผมยกมือไหว้ “ขอโทษครับ มึงเล่าแบบที่มึงสบายใจละกัน ต่อๆ”

เจษกระแอมอีกครั้ง “หลังจากนะฑีแยกตัวไป ตอนนั้นเย็นมากแล้ว เรากับเปิ้ลเดินออกมาที่หน้าคณะกำลังจะกลับบ้าน พี่เห็ด...พี่เรนจิน่ะ ไม่รู้โผล่มาจากไหน เข้ามาทัก แล้วก็เถียงกับเปิ้ลไปมา แล้วก็แยกย้ายกันไป แค่นี้แหละ”

“ฮะ? แค่เนี้ย!”

“ใช่ ก็...แค่นี้ไง ทำไมเหรอ”

“ก็พี่เห็ดแกพูดอะไรบ้างไง”

“เราจำไม่ได้” เจษตอบหน้าตาย “อ้อ...นึกออกอันนึง พี่เขาบอกว่าเปิ้ลปากสวยดี น่าจะมีสีแดงแต้มสักหน่อย แล้วก็อาสาจะสงเคราะห์ให้ด้วย แวบแรกเรานึกว่าพี่เขาจะซื้อลิปสติกให้นะ แต่นึกอีกที น่าจะหมายถึงทำให้เปิ้ลปากแตกมากกว่า”

“แรงนะเนี่ย” ผมทำเสียงตกใจเกินจริง

“มีหลายคำที่น่าจะแรงกว่านี้นะ เอ้อ แล้วก็บอกว่าเปิ้ลเตี้ยด้วย”

“พอละเจษ กูกินข้าวไม่ลง” เปิ้ลว่า

“แต่เปิ้ลก็แรงเหมือนกันนะ บอกให้พี่เขาเอาน้ำในคอห่านบ้วนปากจะได้หอมขึ้น อันนี้เราว่าแรง”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะพรืด

“เจษ ถ้ายังไม่หยุดพูด ปากแกนี่แหละที่จะได้บ้วนน้ำล้างส้วม เงียบๆ แล้วก็แดกข้าวไป”

เจษฎามองหน้าผมคล้ายกับขอคำปรึกษาว่าควรพูดต่อหรือเปล่า

“เออ ไม่ต้องเล่าละ กูพอนึกออก” ผมมองนาฬิกา “ยังมีเวลาเยอะกว่าจะเข้าเรียน งั้นพวกมึงกินแล้วก็เข้าห้องเรียนไปก่อนละกัน กูขอตัวแป๊บ”

“ไปไหน ขี้เหรอ” เปิ้ลถาม

“เออน่ะ เดี๋ยวมา” ผมตักข้าวเข้าปากอีกคำ เอาจานไปเก็บที่จุดพักจาน แล้วก็ชิ่ง

ผมไม่ได้แชตหรือโทรไปถามพี่ทัชก่อนว่าเขาอยู่ที่ป่าดงดิบมั้ย ใจนึงก็อยากให้เขาอยู่ที่นั่น อีกใจก็คิดว่าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องเงินของเจ๊รวงข้าวยังไงดีเหมือนกัน ผมเลยเดินเตร่ๆ ไปที่นั่นแบบเสี่ยงดวงเอา

ปรากฏว่าเขาอยู่

เขากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเรียนอยู่ ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นอ่านกลอนแล้ว สงสัยการเรียนจะรัดตัว ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปเหมือนนินจากะจะทำให้เขาตกใจ แต่พี่ทัชก็เงยหน้าขึ้นตั้งแต่ระยะสามสี่เมตรก่อนผมจะเข้าถึงตัว

“เฮ้ย พี่รู้ได้ไงอะ นี่ผมมาเงียบๆ แล้วนะ มีหูทิพย์เหรอ ผมไม่ได้เหยียบกิ่งไม้นะ”

“เปล่า”

“หรือว่าจมูกดีเหมือนผงฟอก ได้กลิ่นผมมาแต่ไกลเลยใช่ปะ พี่มีพลังจมูกหมาอีกอย่างใช่มั้ย”

“เห็นหน้ากูเหมือนผงฟอกเหรอ”

“ก็เหมือนนะ ไม่เคยได้ยินเหรอ เจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจะหน้าตาคล้ายๆ กัน”

“งั้นทำไมหมอนเน่าหน้าตาดีกว่ามึง”

“พี่ต้องไปตัดแว่นแล้วนะ สายตาเริ่มไปแล้วเนี่ย”

“มึงหุบเล็บเหมือนหมอนเน่าได้มั้ย”

“ได้ นี่ไง”

“นั่นเรียกกำมือ”

“เอ้า คนบ้าที่ไหนจะหุบเล็บได้เหมือนแมว”

“งั้นกูก็ดมกลิ่นเหมือนผงฟอกไม่ได้”

“อ๋อ นี่คือตอบคำถาม งั้นทำไมรู้อะว่าผมมา”

เขามองหน้าผม “ก็แค่รู้สึก”

“รู้สึกว่า?”

“รู้สึกว่ากำลังจะซวย”

“นั่นไง เขาเรียกซิกเซ้นส์ เป็นพลังอย่างนึงนะ”

“แล้วมาทำไม บ่ายมีเรียนไม่ใช่เหรอ”

“พี่รู้ได้ไง มีตารางเรียนผมเหรอ”

“จำได้”

“เฮ้ย จริงดิ ฟังดูโรคจิตอะ แล้วรู้ปะผมใส่กางเกงในสีอะไร”

พี่ทัชส่ายหน้านิดๆ “อย่าบอกว่าจะหาเรื่องโดดเรียนอีก”

“ไม่โดดหรอกน่า แวบมาสูดอากาศแป๊บเดียว”

“อากาศคณะมึงก็มี”

“อยากมาสูดแถวนี้ ทำไมอะ ผมเป็นนักศึกษาของที่นี่อย่างเต็มภาคภูมิเหมือนกันนะ มีสิทธิ์จะสูดตรงไหนก็ได้”

“มีไรก็ว่ามา”

“มีไร ไม่มี้ มาสูดอากาศอย่าเดียว”

พี่ทัชมองหน้าผม คล้ายกับหยุดคิดอะไรนิดๆ “เออ งั้นก็สูดๆ เข้า แล้วก็ไปเรียนได้แล้ว”

“มีก็ได้”

เขาที่กำลังจะก้มหน้าอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้นมาอีก “อะไร”

ผมเอียงคอมองเขา “ทำไมหน้าพี่นิ่งๆ แต่เหมือนไม่นิ่งอะ”

“ฮะ?”

“เหมือนพี่ฝืนให้หน้านิ่งอะ อยากยิ้มก็ยิ้มดิ ทำไมต้องฝืน”

“กูไม่ได้อยากยิ้ม”

“จริงเหรอ”

“หน้ากูก็เป็นงี้ ปกติ มีอะไรก็รีบว่ามา”

“รีบทำไม ไม่ต้องรีบ บ่ายนี้พี่ไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ”

“มึงจะมารู้ตารางเรียนกูได้ไง”

“ผมจำได้”

พี่ทัชควักมือถือออกมา แล้วเปิดไฟล์ภาพตารางเรียนของเขาให้ดู

ผมใช้นิ้วซูมดูให้ชัดๆ “มีเรียนจริงด้วย จำผิดๆ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ต้องรีบหรอกน่า พี่เคยโดดเรียนบ้างปะ”

“ไม่เคย”

“งั้นลองดิ ตื่นเต้นดีนะ เอาบ่ายนี้เลยมั้ย เดี๋ยวผมโดดเป็นเพื่อน”

“นะฑี”

“ล้อเล่นน่า โอเคๆ เข้าเรื่อง...เรื่องเจ๊รวงข้าวอะ ผมตัดต่อคลิปทั้งคืนเลยนะ ตัดตรงเจ๊แกถูกด่าว่าโง่ทิ้งและใส่ซับเรียบร้อย แทบไม่ได้นอนอะ แล้วก็ส่งคลิปไปให้เจ๊แกดูตั้งแต่เช้า…”

“แล้ว?”

“เอ่อ คือ สงสัยง่วงมากผมเลยกดผิด เป็นส่งคลิปต้นฉบับที่ยังไม่ได้ตัดต่อไป ก็...นั่นแหละ แต่เรื่องถ่ายติดหน้าพี่ไม่ต้องห่วงนะ ทั้งคลิปไม่เห็นหน้าพี่ชัดๆ เลย”

“อืม” หน้าเขายังนิ่งอยู่ แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่าเขาดูโล่งใจมากกว่ากังวล “แล้วพี่เขาเป็นไงมั่ง”

“เจ๊รวงข้าวน่ะนะ ก็ดูโอเคอยู่” ผมสูดหายใจลึกๆ เพื่อเปิดประเด็นต่อไป “แต่ที่พีกมันอยู่ตรงนี้ ผมบอกเจ๊แกไปว่าไม่ต้องให้ตังค์ ช่วยฟรีเลย แต่ก็ยังโอนมาอะ”

“มึงไม่คิดเงิน?” พี่ทัชเลิกคิ้ว

“ก็อยากคิด แต่เอาเข้าจริงก็สงสาร ไหนจะมาเสียเงินแล้วยังต้องทะเลาะกับผัวต่ออีก ผมก็เลยทำตามอย่างที่พี่บอก นี่ดูแชต” ผมควักมือถือออกมาเปิดหน้าแชตเลื่อนให้พี่ทัชดู

เขาเหลือบตามามอง และพูดเรียบๆ “หมื่นนึง”

“ใช่ รู้สึกผิดอะ เอาไงดี”

“มึงก็เก็บไว้ดิ พี่เขาให้”

“สรุปว่าเราคิดค่าจ้างเหรอ งั้นเอาบัญชีพี่มา ผมโอนให้ครึ่งนึง”

“กูไม่เอา”

“ได้ไง ถ้าบาปก็ต้องบาปด้วยกัน พี่ต้องลงนรกไปกับผม”

“งั้นก็เอาไปทำบุญให้หมด”

“ทำหมดนี่เลยเหรอ ขนาดมูลนิธิเขาจะทำบุญยังมีการหักค่าใช้จ่ายเลยนะ”

“แล้วแต่มึงละกัน แต่กูไม่เอา”

ตัวเลขห้าหลักทำให้หัวผมหมุนติ้ว ไม่ใช่ว่ามันเป็นเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น แต่เป็นเพราะที่มาที่ไปของมันมากกว่าที่ชวนให้กระอักกระอ่วน จะเก็บไว้ก็รู้สึกไม่ดี จะยกให้คนอื่นก็เสียดาย

“งั้นทิ้งมันไว้ในบัญชีแบบนี้ไปก่อนละกัน ถือว่าเป็นเงินของเราร่วมกันนะ” ผมพูดพลางเลื่อนอ่านแชตกับเจ๊รวงข้าวผ่านๆ ซ้ำอีกรอบ

ตื่อดึ๊ง!

ตื่อดึ๊ง!

กำลังจะกดปิดหน้าจอพอดี ก็มีข้อความใหม่เด้งเข้ามาซ้อนๆ กัน

ผมกดเปิดอ่านแล้วถอนหายใจเบาๆ “มีข่าวดีและข่าวร้าย พี่อยากฟังข่าวไหนก่อน”

“กูจำเป็นต้องรู้มั้ย”

“จำเป็นดิ เป็นสองเรื่องที่พี่ต้องเกี่ยวข้องแน่นอน”

“งั้นข่าวร้ายก่อน”

“เจ๊แคลไลน์มาอะ แกบอกเทพี่เห็ดต่อหน้าเรียบร้อยแล้ว ที่พี่บอกว่ารู้สึกจะมีเรื่องซวยๆ นี่เกือบแม่นนะ เรื่องซวยจริง แต่มันดันไปเกิดกับพี่เห็ดไง ไม่รู้ตอนนี้ไปหัวร้อนฟัดกับหมาที่ไหนอยู่รึเปล่า”

“อืม แล้วข่าวดีล่ะ”

“มีงานใหม่จากกลุ่มเมียหลวงให้บริษัทขอทัชฑีทำ”

“นี่เหรอข่าวดี”

“เราจะทำมั้ย”

“ยังจะถามอีกเหรอ”

“เยส! คนจริงต้องงี้ดิ งั้นเดี๋ยวผมคุยรายละเอียดแล้วจะมาบอกนะ”

“ไม่ทำ”

“อ่าว ทำไมอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว” ผมกระแซะเข้าไปนั่งใกล้เขา “ลองคุยดูก่อนก็ได้ว่ามันจะยากง่ายแค่ไหน ถ้าออกแนวน่าสงสารก็ช่วยฟรีเลยก็ได้ เหมือนเจ๊รวงข้าวไง ช่วยคนได้บุญนะพี่”

“ไม่”

“น่า นะๆๆ ปูไต่ๆๆ”

“อย่า ไม่เล่น”

“ปูต่ายยย~ ไต่ๆๆ”

พี่ทัชไม่ได้สะบัดมือออก เขามองตามขาปูสมมติไต่กลับไปกลับมาบนหลังมือ ไต่ขึ้นแขน ขึ้นไหล่ แล้วพอลามไปที่ต้นคอเขาก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ “อย่าไต่มาที่หน้านะ”

“ใครบอกจะไต่หน้า ขึ้นหัวต่างหาก”

“นะฑี”

“ที่หน้าด้วยก็ได้ ไต่ๆๆ”




______________________

ขอบคุณค่ะ

นางร้าย
17.ตุลา.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 20) |▌17.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-10-2019 23:13:57
 :laugh: 


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 20) |▌17.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 18-10-2019 00:31:45
ไปปูไต่ๆ ระวังโดนเค้าไต่กลับบ้างจะหนาวนะ555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 20) |▌17.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 18-10-2019 12:55:14
โอ้้ยย พี่ทัชฝากดีดเหม่งน้องมันที มันเข้วว
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 20) |▌17.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 18-10-2019 14:02:00
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 20) |▌17.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 18-10-2019 22:08:49
เด็กมันวอน ไต่ๆๆๆๆๆๆ อยู่นั่น สักทีเหอะพี่ / ตบหัว 555555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 20) |▌17.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 28-10-2019 17:00:53
เกลียดปูต่ายยยยยจริงๆ  :laugh:
หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) *Part 1* |▌29.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 29-10-2019 19:40:37
ตอนนี้ขออนุญาตแบ่งเป็น 2 พาร์ทนะคะ
เพราะว่าตอนนี้ค่อนข้างยาวค่า :D



แตะต้องครั้งที่ 21
จับบบ…พี่เรือใบร่วมแจมแถมเหล้าเคล้าควันปืน
แตกตื่นหนีตายสุดท้ายถึงกับร้อง Oh My Ass



ถ้าผมเป็นนักเขียน เน็ตไอดอล หรือไลฟ์โค้ชสไตล์ฮิปเตอร์อย่างที่เห็นเกลื่อนกลาดในสมัยนี้ ผมอาจอัปเดตสเตตัสสั้นๆ ประมาณว่า



มีความลับมันไม่ดี

แต่ตอนนี้กำลังดี๊ด๊ากับเรื่องลับๆ

ปล. อย่าให้ใครโกหกคุณว่าคุณไม่เก่งพอที่จะทำความฝันให้เป็นจริง ชิบหายตายห่าป่าอะเมซอน! ให้ตายเถอะ คนพวกนั้นจะไปรู้อะไรวะ ลุกขึ้นมา ออกไปใช้ชีวิตซะ แล้วก็พิสูจน์ให้พวกมันเห็น!

ปล. 2 ใบ้เรื่องลับๆ ให้นิดนึงว่า ‘ปูไต่’ ถ้าอยากให้เล่าละเอียด ช่วยกันกดโพสต์นี้ให้ถึงสองพันไลก์ดิ อิ ^^



แต่เพราะผมเป็นแค่คนธรรมดา เลยไม่จำเป็นต้องอัปเดตอะไร แถมเรื่องลับๆ ที่จะทำตอนนี้ก็ไม่ควรเอาไปเล่าให้ใครฟังด้วย

ส่วน ‘ปูไต่’ นี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์เร้าใจอะไรหรอก ออกแนวหวาดเสียวแบบน่ากังวลมากกว่า พอใกล้มาถึงสถานที่จริง จู่ๆ พี่ทัชก็เกิดเปลี่ยนใจอยากจะเลี้ยวกลับท่าเดียว ผมต้องใช้มุกปูไต่แบบหนักๆ อีกรอบเขาถึงยอมโอนอ่อนตาม

ตอนนี้เวลาสามทุ่มนิดๆ

เรานั่งกันอยู่ในมินิคูเปอร์ที่กำลังขยับตามคันหน้าช้าๆ ซอยนี้คือดงผับบาร์เลย เวลากลางคืนรถเลยติดเป็นแถวยาวแบบนี้

“นั่นไงพี่ร้านโอเมก้า ที่ที่เราจะมาอะ”

พี่ทัชเอียงคอมองผ่านกระจก “อืม ไม่มีที่จอด กลับดีกว่า”

“กลับไรล่ะ มาขนาดนี้แล้ว แกล้งว่ารถเสียแล้วจอดทิ้งไว้ตรงนี้เลยมะ”

“เดี๋ยวออกจากซอยแล้วหาที่จอดข้างหน้า”

เป็นจังหวะรถไหลได้ยาวๆ พอดี ขับไปได้อีกหน่อยพี่ทัชก็เลี้ยวซ้ายออกจากซอยเข้าถนนเส้นหลัก บริเวณนี้มีรถหลายคันจอดชิดฟุตบาทเรียงต่อกันไปเลย โชคดีมีที่ว่างอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่

“ชื่อร้านดีเนอะ โอเมก้า” ผมพูดขณะพี่ทัชถอยรถเข้าชิดริมฟุตบาท “ฟังดูฉลาด โอเมก้าสามไรงี้ สงสัยคนมาเที่ยวจะชอบเต้นท่าปลาเกยตื้นกัน”

“โอเมก้าสามนั่นมันกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัว แต่นี่โอเมก้า ชื่อตัวอักษรตัวสุดท้ายภาษากรีก มักใช้สื่อความหมายถึงจุดสิ้นสุด”

“จริงดิ ฟังดูไม่เป็นมงคลเลยนะ ไฟอาจจะไหม้คืนนี้ก็ได้”

พี่ทัชจอดรถสนิท แล้วดับเครื่อง

“หรือเราอาจจะโดนยำเละ หรือไม่ก็โดนยิงตายเลยก็ได้”

“กูมาทำอะไรที่นี่วะ” พี่ทัชพึมพำ

ต่อมอยากกลับบ้านทำงานอีกละ

“ล้อเล่นน่า ใครจะมายิงกันในที่แบบนี้ บ้านเมืองมีขื่อมีแป…” ก่อนผมจะได้พูดต่อ พี่ทัชก็ควักมือถือที่กำลังสั่นครืดๆ ออกมา “...ใครโทรมาเหรอ”

เขากดรับสายแล้ว ยกมือเป็นเชิงปรามให้ผมหยุดพูดพร้อมกับยกมือถือแนบหู “...อืม อยู่ไม่ไกล งั้นมาหากูที่ผับโอเมก้าดิ...พูดจริง อือ...มาได้ ไว้เจอกัน”

“ใครอะ” ผมถามย้ำหลังจากพี่ทัชกดวางสาย “ขอเดานะ เมียน้อยพี่ใช่ปะ”

“เรนจิ”

“เอ้า พี่เห็ดมาทำไรแถวนี้...อ๋อ รู้ละ แกอกหักไง ออกมาทำตัวเละเทะตามประสาคนถูกเท ดีเลย เกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวให้พี่เห็ดจัดการ พี่…”

พี่ทัชก้มหน้านิ่งคล้ายกับจมอยู่ในความคิดตัวเอง ผมเลยพยายามหุบปากไว้อีกครั้งและนั่งรอนิ่งๆ

ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “เงยหน้าจากตำราเรียนบ้าง”

“อะไรนะ”

“วอลต์ วิตแมนกล่าวไว้” พูดจบเขาก็เปิดประตูลงจากรถ ผมรีบลงตามไปทันที

“วอลต์ วิตามินคือใคร”

“กวี”

“เยี่ยม ผมนี่เงยหน้าจากตำราเรียนตลอดเวลาอยู่แล้ว แล้วไงต่อ”

“เอารูปเป้าหมายมาดูอีกทีดิ๊”

“รู้ปะ พี่แต่งตัวโคตรดี” ผมอดมองเขาตั้งแต่หัวจดเท้าไม่ได้ คืนนี้พี่ทัชสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้ม กางเกงผ้าชิโน่เข้ารูป และรองเท้าหนัง ทุกอย่างดูดี ดูแพงไปหมด “ผมก็ใส่เชิ้ตกับกางเกงยีนนะ ทำไมไม่ดูดีเหมือนพี่อะ หรือเป็นที่รองเท้า ผมใส่ผ้าใบมาเพราะคิดว่าถ้าเกิดเรื่องจะได้วิ่งหนีทันไง”

“เอารูปมาดู” พี่ทัชย้ำ “ไม่งั้นก็กลับบ้าน”

ผมหุบปาก ควักมือถือออกมากดรูปเป้าหมายส่งให้เขา

เป้าหมายที่ว่าคือ นายวิวัฒน์ เจนจบ หนุ่มใหญ่อายุ 36 ปี หน้าตาหล่อ ล่ำ กล้ามบึ้ก แต่งงานกับเจ๊นุ่มภรรยาคู่สร้างคู่สมมาแล้วสามปี มีลูกสาววัยขวบกว่าๆ ด้วยกันหนึ่งหน่วยถ้วน เจ๊นุ่มอายุอ่อนกว่าสามีสองปี ทั้งคู่หน้าตาดี การงานมั่นคง เป็นเจ้าของบริษัทขายอุปกรณ์กีฬา ทุกอย่างดูดีหมด ติดแค่ว่าช่วงหลังๆ มานี้สามีเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ เริ่มกลับบ้านดึก พูดจาน้อย พลังงานเพศชายลดฮวบฮาบจนไม่ค่อยทำการบ้าน ซึ่งเจ๊นุ่มสันนิษฐานตามสไตล์เมียหลวงว่า...แอบกินมาจากข้างนอกบ้านแน่ๆ

เพราะลูกยังเล็ก ผู้เป็นเมียจึงไม่สามารถกระโดดลงมาสืบเสาะเองได้เต็มตัว แต่ไม่รู้ไปสืบมาอีท่าไหนจนรู้ว่าคืนนี้สามีจะมาปล่อยผีที่นี่ เพราะเคสแรกของเราประสบความสำเร็จอย่างสวยงามจนเป็นที่ฮือฮาในกลุ่มสมาคมเมียหลวง เจ๊นุ่มเลยมอบความไว้วางใจให้บริษัทขอทัชฑีออกปฏิบัติการในคืนนี้

ซ้อมมันให้เละ เจ๊กำชับหลังคุยกันเสร็จ แน่นอนว่าผมกับพี่ทัชไม่คิดจะให้เลยเถิดไปถึงขั้นนั้นหรอก เหตุผลเดียวเลยก็คือ กลัวจะเป็นฝ่ายเราเองมากกว่าที่เละ เพราะเจ๊นุ่มบอกว่าผัวแกเป็นนักกีฬาเก่า งานอดิเรกปัจจุบันคือต่อยมวย

แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว เดี๋ยวจะมีพี่เห็ดมาแจมด้วย ไม่แน่นะ สามรุมหนึ่งอาจจะเป็นไปได้

“แผนว่าไง” ผมถาม

“ข้างในคงเสียงดัง ถ้าเจอตัวแล้วก็หาวิธีพาตัวออกมาคุยข้างนอก ยังไงก็หาตัวให้เจอก่อนละกัน เปิดหูเปิดตาไว้” พี่ทัชดูรูปเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะส่งมือถือคืนให้ผม

“รอพี่เห็ดก่อนมั้ย”

“รีบจัดการให้เสร็จก่อนเรนจิจะมาดีกว่า”

พี่ทัชก้าวสบายๆ เดินนำเข้าไปในซอยจนถึงหน้าร้านโอเมก้า ข้างในน่าจะคึกคัก ผมนี่วอร์มเต้นไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย

ปึ่ก!

จู่ๆ หัวผมก็ฟาดเข้ากับแผ่นหลังพี่ทัช

“หยุดทำไมอะ พี่”

“นั่น…”

บริเวณทางเข้าร้านมีคนจับกลุ่มยืนอยู่ประปรายทั้งชายทั้งหญิง แต่ละคนก็แต่งตัวแบบจัดเต็มตามสไตล์คนเที่ยวกลางคืน บ้างยืนสูบบุหรี่ บ้างยืนคุยกัน มีสาวกลุ่มหนึ่งพูดคุยเสียงดังดี๊ด๊า…

ผมมองตามสายตาพี่ทัชไป กำลังจะถามเขาซ้ำว่ามีอะไร ก็พอดีสายตาปะทะเข้ากับร่างหนึ่งที่กำลังหลบมุมคุยโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าร้าน

ตัวใหญ่ล่ำแบบนี้ หน้าตาคมคายแบบนี้

วิวัฒน์สามีเจ๊นุ่มไม่ผิดแน่

บอกแล้วว่าคนเราจะรวยมีแค่พรสวรรค์อย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย พี่ทัชกับผมมองหน้ากัน แล้วสาวเท้าตรงเข้าไปทันที แต่ประมาณอีกสองสามก้าวก่อนเราจะเข้าถึงเจ้าตัว ไม่รู้มีผู้ชายจากไหนเข้ามาทักทายเขาซะก่อน

พี่ทัชหยุดทันควัน ควักมือถือออกมากดเล่น ดูแนบเนียนเหมือนแค่คนมาเที่ยวออกมาสูดอากาศเล่น

ส่วนผมก็…

“มึงกระโดดตบทำไม” พี่ทัชถาม

ก็นั่นแหละ เวลาตื่นเต้นร่างกายมันก็เป็นไปเอง

“โดดตบที่ไหน แค่ยืดเส้นยืดสาย วอร์มก่อนเข้าไปเต้นไง”

“พอได้แล้ว”

ผมหยุดกระโดดแล้วทำท่าบิดตัวไปมาแบบพื้นๆ “โอ๊ย วอร์มจนเมื่อยเลย” ก่อนที่ผมจะได้ทำอะไรต่อ พี่วิวัฒน์กับเพื่อนเขาที่มาใหม่ก็พากันเดินตรงเข้ามา…

แล้วก็เฉียดผ่านเราสองคนไป

นึกว่าจะโดนจับได้ซะแล้ว จริงๆ ก็ไม่มีทางที่พี่แกจะรู้จักเราสองคนหรอก แต่มาใกล้ขนาดนี้มันก็อดเกร็งจนตัวแข็งไม่ได้

ผมกับพี่ทัชค่อยๆ หันมองตามหลัง

ผู้ชายที่มาใหม่ดูอ่อนกว่าเป้าหมาย อาจจะเป็นรุ่นน้องที่ทำงานก็ได้ ทั้งคู่เดินข้ามถนนไปยังผับที่อยู่อีกฝั่ง

“ทำไมไปโน่นอะ เจ๊แกบอกว่าร้านชื่อโอเมก้านะ”

“แน่ใจรึเปล่า”

“แน่ใจดิ...รู้ละ แกสับขาหลอกเมียแน่ๆ เป็นมาตราการป้องกันอีกชั้นไง ร้ายนะเนี่ย…” ผมชะเง้อมองตามจนสองคนนั้นเข้าไปข้างในร้านที่อยู่ฝั่งนั้น เห็นชื่อร้านแล้วผมก็อดอ่านออกเสียงดังๆ ไม่ได้ “Oh My Ass...ใครตั้งชื่อวะ แล้วยังไงล่ะทีนี้ ลุยเลยปะ”

ขณะที่ผมพูดไปเรื่อย พี่ทัชก็ดูหน้าจอมือถืออยู่

“อะไรเหรอ”

“เรนจิน่ะ กำลังจะมาถึงแล้ว”

“งั้นรอพี่เห็ดก่อนมั้ย”

พี่ทัชไม่ตอบ แต่เดินนำไปแล้ว

บอกตามตรง ผมไม่รู้ว่าเส้นแบ่งของคำว่า ผับ, บาร์, ร้านอาหารกลางคืนอยู่ตรงไหน บอกได้ว่าบรรยากาศร้าน Oh My Ass ดูคึกคักมาก ป้ายชื่อร้านทำจากไฟนีออน ผนังร้านด้านนอกทาสีเข้ม และมีของตกแต่งหลายอย่างที่เอนไปทางร็อกๆ

มีการ์ดยืนทำหน้าเหี้ยมๆ เฝ้าทางเข้าอยู่ด้วย แต่เราก็ผ่านเข้าไปแบบฉลุย บรรยากาศภายในร้านก็ไม่ต่างจากที่ผมนึกไว้เท่าไหร่ คือ มืด แสงไฟวูบวาบ เปิดเพลงแดนซ์เสียงดัง มีชุดโต๊ะเก้าอี้เล็กๆ ตั้งอยู่บริเวณรอบๆ ห้อง ส่วนตรงกลางเหมือนเว้นพื้นที่ไว้สำหรับเต้น

ตอนนี้คนค่อนข้างแน่นทีเดียว แถมยังมืดอีก แบบนี้คงจะมองหาเป้าหมายยากแน่ๆ

พี่ทัชเดินนำผมไปที่เคาน์เตอร์บาร์ บริเวณนี้ไฟสว่างกว่าจุดอื่นหน่อย แต่ก็ยังมืดสลัวอยู่นั่นแหละ

“ยังมีโต๊ะว่างมั้ยครับ” พี่ทัชพูดกับบาร์เทนเดอร์ที่กำลังง่วนจัดของอยู่ เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นและเอียงหูมาเป็นการบอกใบ้ว่าให้พูดอีกที “มาใหม่ครับ อยากได้โต๊ะ ไม่รู้ยังมีมั้ย”

“ชิบหาย มาถามหาโต๊ะเอาป่านนี้ ไม่มีแล้ว สั่งเครื่องดื่มแล้วไปยืนเบียดๆ ตามซอกตามหลืบเอา”

สะดุ้งเลย นี่คือคำพูดที่ใช้กับลูกค้าเหรอ ต้องเตือนสติพี่แกหน่อยแล้ว

“พี่ พูดจากระรอกๆ งี้ได้ไง ลูกค้าคือพระเจ้านะเฮ้ย ต้อนรับลูกค้าแบบนี้ได้เหรอ”

“เออ ถ้าไม่ใช่ลูกค้านี่กูเอาขวดตีปากละนะ อย่านะมึง กำลังอารมณ์ไม่ดี”

แกคนจริงว่ะ หน้าตาพี่แกก็ดี แต่ปากน่าจะสูสีกับพี่เห็ด

แบบนี้ต้องเปลี่ยนแผนด่วน

“ขอโทษครับพี่” ผมยกมือไหว้ “แต่เห็นโต๊ะว่างอยู่ตัวนึงนะครับ นี่ไง” ผมชี้ไปที่โต๊ะตรงมุมใกล้กับเคาน์เตอร์

เพล้ง!

เสียงแก้วแตกจากตรงไหนสักที่ เราหันขวับไปมอง นึกว่ามีใครล่อกันซะแล้ว แต่น่าจะเป็นแค่คนทำแก้วหลุดมือ พี่บาร์เทนเดอร์ที่เราคุยด้วยเดินอ้อมเคาน์เตอร์ออกมา แล้วออกคำสั่งโหวกเหวก “เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งเต้น...พวกมึง รีบไปเคลียร์ดิเฮ้ย แม่งเมากันแต่หัววันเลยวะ” ผู้ชายสองคนที่น่าจะเป็นการ์ดรีบปรี่เข้าไปจัดการ

จากนั้นพี่แกก็หันมองเราสองคน “อยากนั่งจริงดิ”

“อยากครับ” พี่ทัชตอบ “แต่ถ้ามีคนจองแล้วก็ไม่เป็นไร”

“งั้นนั่งไปก่อน เจ้าของมันมาแล้วค่อยลุก จะสั่งอะไรว่ามา”

พี่ทัชมองหน้าผม

“ไม่มีโกโก้เย็นแน่ๆ ใช่ปะ” ผมหยั่งเชิง

“นั่นไง กูว่าละ แม่งกวนตีน”

“ล้อเล่นครับ ผมไม่กล้ากวนพี่หรอก พี่ต้องไม่ใช่บาร์เทนเดอร์ธรรมดาแน่ๆ เห็นสั่งการ์ดได้ด้วยอะ ใช่ปะ”

“ที่นี่กูคุม”

“ว่าแล้ว มาดมาเฟียโคตรๆ เห็นแล้วนึกถึงพวกรับจ้างทวงหนี้โหดไรงี้เลย หน้าพี่โคตรได้…”

“เฮ้ยแม่ง!” เขาตะคอกเสียงดังจนผมสะดุ้ง ปากพาซวยแล้วกู ขางี้สั่นพั่บๆ เตรียมวิ่งเลย “ปากมึงนี่อ้อนตีนใช้ได้เลยนะ เห็นแล้วนึกถึงเพื่อน ก็ไอ้คนที่จองโต๊ะนี้ไว้นี่แหละ แต่พวกมึงต้องสั่งอะไรแดกก่อนตอนนี้ รีบๆ ว่ามา”

เป็นงั้นไป พี่เขาเดินกลับเข้าไปอยู่หลังเคาน์เตอร์แล้ว

“มีอะไรแรงๆ มั้ยพี่ แบบที่จุดไฟติดพรึ่บ หรือออนเดอะร็อกไรเงี้ย”

“ขออะไรเบาๆ ดีกว่าครับ” พี่ทัชโน้มตัวเข้าไปคุยกับพี่บาร์เทนเดอร์ ซึ่งผมฟังไม่ถนัด แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเครื่องดื่มที่ว่าก็มาอยู่ในมือเราแล้ว

ของพี่ทัชเป็นว็อดก้ามิกซ์โค้ก เสิร์ฟมาในแก้วที่ดูคูลๆ

ส่วนของผมเป็นค็อกเทลสีหวานอย่างกับน้ำใบเตย ลองชิมดู ไม่รู้ว่าใส่แอลกอฮอลล์ไปกี่หยด แทบไม่รู้สึกเลย

“อย่าบ่น” พี่ทัชพูดดักไว้ขณะผมจะอ้าปาก “เปิดหูเปิดตาไว้”

โอเค จะจำไว้ว่าภารกิจสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ผมเลยหุบปาก หันไปกวาดตามองพลางโยกหัวตามจังหวะเพลง จะให้มองหาเป้าหมายจากใบหน้าคงยาก ผมเลยพยายามดูรูปร่างและสีเสื้อแทน

“มองยากอะพี่ มืด”

“อืม ก็มองๆ ไป”

“มองอยู่คร้าบ แสงไฟนี่ก็วูบวาบจัง ตาจะเป็นต้อมั้ยเนี่ย…”

“ไอ้ทัช!” พี่เห็ดมาแล้ว เดินเซิ้งมาเลย ท่าทางเหมือนกับซดเหล้าจากที่อื่นมาพอสมควรแล้ว “กูไม่นึกว่ามึงจะออกมาเที่ยวจริงๆ นะเนี่ย...อ้าว มึงมาด้วยเหรอ”

“หวัดดีครับเพ่” ผมยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วเซิ้งตามอีกเล็กน้อย “วู้วๆ”

“วู้วเชี่ยไร” พี่เห็ดทำท่าจะคว้าคอเสื้อผม แต่ตัวแกเซจนเป็นผมซะเองที่ต้องคว้าตัวเขาไว้

“เฮ้ย เพ่ ใจเย็น ไหวปะเนี่ย”

“มึง...พี่รหัสมึง…”

ดราม่ามาแล้ว ไม่รู้ว่าท่าทางพี่จะอยากต่อยผมหรือว่าอะไร แต่อารมณ์พลุ่งพล่านที่เขาส่งมาเล่นเอาผมถึงกับพูดไม่ออก จังหวะนั้นเองที่พี่ทัชยื่นมือมาตบไหล่พี่เห็ดเบาๆ ตบแบบชิลล์มาก แถมยังไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ แต่หลังจากเขาหันไปมองพี่ทัชอึดใจหนึ่งก็เหมือนจะได้สติ

“ช่างแม่ง แดกเหล้าดีกว่า” พี่เห็ดปล่อยตัวผม ผละไปที่เคาน์เตอร์บาร์ แล้วกลับมาพร้อมกับชุดเครื่องดื่มที่ดูไม่ธรรมดา “กูสั่งเปิดจอห์นนี่แบล็ก ไอ้ทัช มึงต้องแดกเป็นเพื่อนกู ไม่เมาไม่เลิก มึงด้วยไอ้ตัวแสบ”

“ผะ...ผมมีแล้ว นี่ไง ของโคตรแรง” ผมยกค็อกเทลตัวเองขึ้นจิบ เซิ้งอีกรอบ

“รีบแดกให้หมด แล้วแดกเหล้ากับกู...แล้วนี่มึงชวนกูมาร้านเชี่ยไรวะ เสียงดังชิบหาย กูอยากนั่งแดกเหล้าเคล้าเพลงเศร้ามึงไม่รู้เหรอ หนวกหูโว้ย!”

“โวยวายอะไร” เสียงเข้มๆ ของคนแปลกหน้าดังขึ้นด้านหลังพี่เห็ดในระยะประชิด

เราสามคนหันไปมอง

เขาเป็นคนร่างสูง ไหล่กว้าง สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม สวมแจ็กเก็ตสีดำทับข้างนอก รูดแขนเสื้อขึ้นไปถึงข้อศอก ใบหน้าหล่อเข้มและแววตาคมกริบ ไม่ใช่หล่อแบบธรรมดาๆ แต่หล่อมาก แถมเหมือนจะมีอะไรบางอย่างข่มให้คนอื่นตัวเล็กลีบลงด้วย เห็นแล้วชวนให้นึกถึงพระเอกในหนังสายลับอะไรประมาณนั้น

ข้างๆ เขามีผู้ชายหน้าตาดีอีกคนอยู่ด้วย อายุน่าจะใกล้ๆ กับพี่ทัช หรืออาจจะมากกว่านิดหน่อย ตัวเล็กกว่าพี่ทัชแต่สูงกว่าผม ดูเขาหน้ามุ่ยเล็กน้อยเพราะมีแขนของคนตัวสูงกว่าพาดไหล่อยู่...อาจจะดูเหมือนเพื่อนรุ่นน้องหรือพี่ชายน้องชายก็ได้ แต่ในเมื่ออยู่ในโอ้มายแอส ผมเหมาไปเลยละกันว่านี่คือการพาดแขนอย่างแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

“กูถามว่า โวยวายอะไร มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เจ้าตัวย้ำ

“มาซะทีนะมึง” พี่บาร์เทนเดอร์คนเดิมเข้ามาแจมก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไรต่อ “เฮ้ย เป็นไงมั่งวะ”

ทั้งคู่ชนกำปั้นกัน

“ก็ดี กินอิ่มนอนหลับ มีเด็กงอแงกวนใจ” คุณพี่ตัวสูงตอบ

คนที่อยู่ข้างๆ ทำเสียงจิ๊ปากพร้อมกับกระตุกศอกเบาๆ ถ้าเป็นผมถูกศอกแบบนี้คงจุกตัวงอไปละ แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะหน้าตาเฉย จากนั้นเจ้าของศอกก็ยกมือไหว้พี่บาร์เทนเดอร์ “หวัดดีครับพี่โอม”

“หวัดดีครับน้องสายธาร ไม่เจอกันนาน คิดถึ้งคิดถึง มากอดทีดิ๊”

แขนคนตัวสูงยังพาดไหล่อยู่เหมือนเดิม แต่มือข้างนั้นยกขึ้นเป็นเชิงห้าม พี่บาร์เทนเดอร์ขยับศีรษะหลอกล่อ แต่อีกฝ่ายก็เอียงตัวตาม

“ขี้หวงว่ะ”

“เออ หวง แล้วไหนอะโต๊ะกู”

“ก็โต๊ะนี้แหละ” พี่บาร์เทนเดอร์หันมองโต๊ะที่ตอนนี้มีเครื่องดื่มตั้งจนเต็มพื้นที่

“แต่เหมือนจะไม่ว่างแล้วว่ะ” จู่ๆ พี่เห็ดก็สอดปาก หาเรื่องละมึงเอ๊ย

“อ่าว มึง”

“ไรวะ อยากมีเรื่องเหรอ” พี่เห็ด มึง อย่าบิ๊วพี่เขา คุณพี่ตัวสูงเอียงคอมองด้วยสีหน้านิ่งๆ ท่าทางแบบนี้น่ากลัวกว่าคนที่โวยวายๆ ซะอีก “ทำไม มองหน้า ก็นี่โต๊ะมีคนนั่งแล้ว” ยังไม่หยุดอี๊ก

แขนที่พาดไหล่คนที่ชื่อสายธารอยู่ตกลงมาข้างตัวแล้ว

“เฮ้ยๆ ใจเย็นกันก่อน” พี่บาร์เทนเดอร์รีบเบรกไว้ “ใจเย็นน่ามึง ผับเพิ่งเปิดใหม่มันยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ งั้นก็แจมกับน้องๆ เลยดิ ไอ้เด็กนี่กวนตีนใช้ได้นะ”

“ทำไมต้องแจม” พี่เห็ดเอาอีกละ

“เดี๋ยวกูตบปากแตก” พี่บาร์เทนเดอร์บอก คราวนี้ทำเอาพี่เห็ดอึ้งไปเลย คงไม่คิดว่าพนักงานจะบริการลูกค้าแบบนี้ เลยทำให้ผมนึกได้ว่าเขาคือคนคุมที่นี่ “มารู้จักกันแบบเป็นทางการดีกว่า กูชื่อโอม นี่เรือใบ แล้วก็นี่สายธาร แล้วพวกน้องชื่อไรกันบ้าง...มึง กวนตีนสุด แนะนำดิ๊”

“ผม...อ่า หวัดดีครับผม” ผมไหว้ท่วมหัว “ผมชื่อนะฑีครับ ส่วนนี่พี่ทัช แล้วก็พี่เรนจิ ครับโผม”

พี่ทัชกับพี่เห็ดยกมือไหว้ตามจังหวะที่ผมแนะนำ ก็ยังดีนะที่พี่เห็ดยอมไหว้ แต่พี่แกหันมองผมเหมือนแปลกใจที่ไม่แนะนำชื่อเขาว่าเห็ด ก็อยากอยู่หรอก แต่กลัวจะบานปลาย

แต่แล้วพี่เห็ดก็พูดขึ้นอีก “เดี๋ยวนะ คืองง นี่เรารู้จักกันแล้วเหรอ รู้จักกันทำไม ถ้าโต๊ะมันเต็มแล้วพวกพี่ก็ไป…”

ฟึ่บ!

มันเกิดขึ้นเร็วมาก พี่เรือใบขยับตัวฟึ่บเดียว...ก็มาอยู่ในท่าจับแขนพี่เห็ดขัดไพล่หลังแล้ว น่าจะบิดแรงด้วย จนพี่เห็ดหลุดปากร้องออกมา

พี่ทัชลุกพรวดและคว้าข้อมือพี่เรือใบข้างที่ดัดแขนพี่เห็ดอยู่

ดะ...เดี๋ยวดิพี่ทัช

“กูว่ามึงเมาแล้ว ยืดเส้นยืดสายซะหน่อย จะได้สร่าง” น้ำเสียงพี่เรือใบมั่นคงไม่มีติดขัด สายตาคมกริบแต่ดูเบื่อๆ เหลือบมามองพี่ทัช

“ปล่อยเถอะ” พี่ทัชบอก

“สายธารเด็กกู ใครก็ห้ามยุ่ง…” พี่เรือพูดไปคนละเรื่อง แล้วก็เอี้ยวศีรษะนิดๆ ไปมองเจ้าของชื่อ “มึงเตรียมตัวไว้เลย คืนนี้ไม่ได้หลับได้นอนแน่”

“พี่!” พี่สายธารกระตุกศอกไปที “เลิกแกล้งน้องเขาได้แล้ว” แต่เจ้าตัวก็ไม่สะดุ้งสะเทือนเหมือนเดิม

พี่ทัชรีบปล่อยมือ ราวกับเขาเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้ไม่มีพลาสเตอร์แปะอยู่

ในจังหวะไล่ๆ กันพี่เรือใบก็ปล่อยมือจากพี่เห็ด “เห็นแก่สายธารนะมึง”

พี่เห็ดถึงกับหน้าเบ้ นวดไหล่อย่างเงอะๆ งะๆ

ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่มตั้งแต่พี่ทัชจับแขนพี่เรือใบแล้ว จนตอนนี้ใจก็ยังเต้นตุบๆ ไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่าพลังของพี่ทัชไม่มีผลอะไรกับพี่เรือใบเลย น้ำเสียงเขายังหนักแน่น ไหลลื่นไม่ติดขัด และความจริงที่พูดออกมาก็ดูไม่กระดากอะไรสักนิด เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่สิ...เขาต้องรู้สึกแน่ เพราะหลังจากปล่อยมือกันแล้ว เขายังเหลือบมองมือพี่ทัชต่อด้วย แต่เขาแค่ไม่ใส่ใจเท่านั้น

“เอ่อ…” ผมต้องพูดอะไรสักอย่าง ไม่งั้นจะเดดแอร์นานเกินไป “พี่อย่าถือสาพี่เรนจิเลยนะครับ แกเพิ่งโดนสาวเทมาอะ เลยอาจจะพูดจาเลอะเทอะหน่อย ทำหน้าทำตากวนตีนไปบ้าง นี่ก็สงสัยจะเริ่มเมาแล้วด้วย ต้องขอโทษขออภัยด้วยนะครับโผม”

“อ้อ” คราวนี้พี่เรือตบบ่าพี่เห็ดเบาๆ “อกหักเหรอมึง งั้นแจมโต๊ะได้ เดี๋ยวกูแดกเป็นเพื่อน...ไอ้โอม”

“ได้ จัดให้” พี่โอมแวบไปที่เคาน์เตอร์ แล้วกลับออกมาพร้อมกับแก้วสามใบ พี่โอมรินเหล้าแบบออนเดอะร็อกที่มีน้ำแข็งก้อนใหญ่ให้ตัวเองกับพี่เรือใบคนละแก้ว ส่วนของพี่สายธารพี่โอมชงผสมโซดาให้

“เหล้าผมสั่งเปิด”

“เอ้า น้อง” พี่โอมพูด “นี่แจมโต๊ะกับใคร ป๋าเรือนะ”

พี่เห็ดมองหน้าพี่เรือ

“เออ” พี่เรือตบไหล่พี่เห็ดเบาๆ “คนอกหักมีหน้าที่แดกอย่างเดียวพอ...มึงสองคนด้วย อยากกินไรสั่งเลย ตามสบาย”

“ขอบคุณครับป๋า” ผมยกมือไหว้

พี่เรือใบหัวเราะ “มึงนี่อยู่เป็นนะ” เขาชูแก้วมากลางวง เราทุกคนยกแก้วของตัวเองไปชนด้วย หลังจากนั้นแต่ละคนก็ดื่มตามสไตล์ตัวเอง

พี่เห็ดตั้งหน้าตั้งตาซดเอาๆ โดยไม่สนใจใคร

พี่เรือใบกับพี่โอมดื่มไปพลางคุยอัปเดตชีวิตกันตามประสาเพื่อน โดยมีพี่สายธารคอยแทรกเป็นระยะ

พี่ทัชจิบช้าๆ ดูคูลๆ ตามสไตล์เขา ส่วนผมซดค็อกเทลจนเกือบหมดแก้ว แล้วก็โยกหัวบ้างเซิ้งบ้างสลับกันไป ระหว่างที่คนอื่นๆ คุยกันอยู่นี่เอง ผมก็กระแซะเข้าหาพี่ทัชพูดกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน จะว่ากระซิบก็ไม่เชิงหรอก เพราะเสียงเพลงดังจนต้องป้องปากพูดใกล้ๆ หูมากกว่า

“เจอเป้าหมายยังพี่”

“ยัง มองหาอยู่”

“งั้นไปแดนซ์กัน ไปเต้นมั่วๆ แถวนั้นเดี๋ยวก็เจอ”

“มึงไปดิ”

“ไปด้วยกันดิ เต้นไม่เป็นเหรอ เดี๋ยวผมสอนท่าเด็ดๆ ให้”

“มึงไปเลย กูอยู่ตรงนี้โอเคแล้ว มองเห็นมุมกว้างดี จะได้ช่วยกันดู”

“ก็ได้”

“อย่าไปเต้นกวนใครล่ะ”

“รับทราบครับโผม”

ผมยกค็อกเทลขึ้นซดย้อมใจอึกนึง หรือเอาตรงๆ น่าจะเรียกว่าน้ำผลไม้รวมมากกว่า ขอไปแดนซ์สักหน่อยก่อน แล้วค่อยกลับมาออนเดอะร็อกแบบพี่เรือใบดีกว่า ว่าแล้วก็กางปีกแถเข้าไปกลางวง ตามด้วยสเต็ปท่าลิงรูดเสาแบบรัวๆ

แต่เต้นแบบนี้สักพักน่าจะโดนตีนแน่นอน เลยผ่อนลงหน่อย เปลี่ยนเป็นโยกแรงๆ แทนพร้อมกับกวาดตามองไปด้วย

เดชะบุญ…

ใช่เป้าหมายรึเปล่าวะ

ใช่แหละ เขากำลังปลีกตัวเดินไปทางห้องน้ำแล้ว ผมรีบแถกลับไปหาพี่ทัช ป้องมือพูดข้างหูเพื่อบอกพิกัด จากนั้นก็พากันขอปลีกตัวออกมาจากชาวคณะ

เราเดินแหวกผู้คนตรงไปยังห้องน้ำ พอเข้าไปก็เห็นเป้าหมายอยู่ในนั้นจริงๆ แถมอยู่คนเดียวด้วย เขากำลังยืนฉี่อยู่ ผมก้าวเข้าไปฉี่ที่โถข้างๆ ไม่ได้แกล้งเข้าไปประกบเล่นๆ แต่ฉี่จริงๆ ส่วนพี่ทัชแค่ล้างมือและจัดทรงผมอยู่หน้ากระจก

เป้าหมายฉี่เสร็จแล้ว เขากำลังจะไปล้างมือ

ผมรีบฉี่สุดชีวิตละ แต่ก็น่าจะอีกนาน ไม่นึกว่ากระเพาะปัสสาวะตัวเองจะเก็บกักน้ำไว้ได้มากขนาดนี้

“สบู่ตรงนั้นหมดครับพี่” พี่ทัชชวนคุยแล้ว “อันนี้เลย ยังมีอยู่”

ผมชะเง้อมอง เห็นเป้าหมายยิ้มเชิงขอบคุณให้พี่ทัชและเอื้อมไปกดสบู่เหลว แล้วทั้งคู่ก็ล้างมือไปพร้อมกัน “ปกติที่นี่คนเยอะแบบนี้ตลอดรึเปล่าครับ”

“เอ้อ ไม่รู้สิ” เป้าหมายตอบ “พี่ก็เพิ่งเคยมานี่แหละ เห็นว่าเพิ่งเปิดไม่นาน”

“อ๋อ แล้วมาคนเดียวเหรอครับ”

“เปล่า มากับน้องน่ะ พามาปล่อยผีหน่อย” เขาล้างมือเรียบร้อย สะบัดมือในอ่างเบาๆ แล้วดึงทิชชู่ที่อยู่ด้านข้างมาซับมือ อีกไม่กี่วินาทีนี้ก็คงจะหันหลังเดินออกไปแล้ว

ผมเค้นฉี่ก๊อกสุดท้ายแล้วรูดซิป มือเมอไม่ล้างแม่งละ

“เฮ้ย พี่ กล้ามสวยอะ” ผมก้าวเข้าไปสมทบกับทั้งคู่ “ฟิตเนสที่ไหนเหรอครับ แนะนำหน่อยดิ”

“...”

“พี่ๆ ช่วยเบ่งกล้ามให้ดูหน่อยได้ปะ...น่า นิดนึงๆ”

พี่วิวัฒน์มองหน้าผม ก่อนจะงอข้อศอกขึ้นให้ดูอย่างงงๆ

“โทษนะพี่ ขอจิ้มหน่อยนะ อือหือ แข็งปั๊กเลย...พี่ทัชๆ ลองแตะดู”

“รู้จักกันเหรอ”

พี่ทัชยิ้มแทนคำตอบ “ขอโทษนะครับ ขอจับดูหน่อย”

“เอาดิ ถ้าน้องสองคนอยากเล่นกล้ามนะ พี่แนะนำว่า...”

พี่ทัชไม่ได้แตะที่กล้ามเหมือนผม แต่เลือกจับที่ข้อมือแทน จับอย่างนุ่มนวลและดึงข้อมืออีกฝ่ายลงมาเบาๆ ซึ่งเป้าเหมือนจะยังงงๆ เพราะไม่ทันตั้งตัว ผมเดาว่าตอนนี้เจ้าตัวน่าจะรู้สึกหวิวนิดๆ

“พี่ชื่ออะไรครับ”

“วิ...วัฒน์”

ผมลนลานควักมือถือออกมากดเปิดกล้อง แต่พอจะยกขึ้นถ่ายเท่านั้นแหละ ไม่รู้ชีวิตติดกรรมอะไร จู่ๆ ประตูห้องน้ำก็เปิดผลัวะออก

และคนที่ก้าวเข้ามาก็คือพี่เรือใบกับพี่สายธารนี่เอง

“อ้าว พวกมึง” พี่เรือพูด “ฉี่เสร็จแล้วไปดูเพื่อนหน่อยนะ หัวจะทิ่มอยู่แล้ว” ส่วนพี่สายธารไม่พูดอะไร แค่ยิ้มเฉยๆ

พี่ทัชปล่อยมือจากเป้าหมายแล้ว ส่วนผมก็ทำตัวไม่ถูก

“งั้นพี่ไปก่อนนะ” พี่วิวัฒน์เป้าหมายของเราตั้งท่าจะเดินออกไป ขณะเดียวกันพี่เรือใบกับพี่สายธารก็เบี่ยงตัวหลบจะเดินไปที่โถฉี่ แต่แล้ว…

ผลัวะ!

ประตูเปิดออกอย่างแรง ผู้ชายสองสามคนกรูกันเข้ามา ทำเอาทั้งผม พี่ทัช และพี่วิวัฒน์ถอยกรูดจนหลังติดขอบอ่างล้างมือ ส่วนพี่เรือใบกับพี่สายธารหันขวับ ในพริบตาเดียวพี่เรือคนตัวสูงก็ปราดไปจับประตูห้องน้ำให้มันอยู่ในลักษณะเปิดแง้ม ท่าทางเขาเหมือนพร้อมจะถีบหรือหักคอใครก็ตามที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาอีก

ผู้ชายสามคนที่กรูเข้ามาก่อนหน้านี้หน้าตาตื่น ไปยืนออกันอยู่แถวๆ โถฉี่

ชิบหาย เกิดไรขึ้นวะ




_________________________


มาแล้วค่า :D เผื่อใครสงสัยว่าพี่เรือใบกับน้องสายธารคือใคร
เป็นตัวละครจากเรื่อง ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์ ค่า
สามารถหาอ่านได้ในเล้าเป็ดนะคะ อัพจนจบแล้วค่ะ : ))

ขอบคุณที่ยังอ่านกันอยู่นะคะ อุแง้ ดีใจ
จริงๆ เวลาอัพไม่ค่อยจะแน่นอนเท่าไหร่เลยค่ะ สามารถสะกิดมาทวงได้ตลอดนะคะ
บางทีทำนู่นนี่จนปล่อยไว้นาน ชอบมานึกได้ตอนมีคนมาทวงมาสะกิดทุกที ;-;
เพราะงั้นสามารถทวงยิกๆ ได้นะคะ XD

เจอกันพาร์ท 2 คับบบ!

นางร้าย
29.ตุลา.2019

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) |▌29.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 30-10-2019 11:10:26
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) |▌29.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 30-10-2019 13:44:39
กรี๊ดดดดดดดดดดดด  พี่เรือ น้องสายธาร คิดถึงๆๆๆๆๆๆ ค่าตัวแพงไหมหรือฟรีค่ะป๊า  :laugh:

หายห่วงนะเด็กๆไม่โดนยำตีนแน่นอน  :katai5:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) |▌29.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 30-10-2019 22:03:48
พี่เรือคนโหด โดนพี่ทัชปล่อยเลเซอร์ยังไม่สตั้นเลย 5555

รอตอน2 เขากรูกันมาฉี่เฉยๆ หรือมาบวกใครนะ?
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) |▌29.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-10-2019 23:16:48
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) |▌29.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 01-11-2019 19:06:08
พี่เรืออออทำไมโหดจัง555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) |▌29.ตุลา.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 02-11-2019 11:25:32
มีพี่เรือมาแจมด้วย คิดถึงนะคะะะะะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) PART 2 |▌7.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 07-11-2019 19:31:10

แตะต้องครั้งที่ 21

จับบบ…พี่เรือใบร่วมแจมแถมเหล้าเคล้าควันปืน
แตกตื่นหนีตายสุดท้ายถึงกับร้อง Oh My Ass [Part 2]



ชิบหาย เกิดไรขึ้นวะ

เสียงเพลงเงียบไปแล้ว แทนด้วยเสียงคนร้องโวยวาย เสียงโต๊ะล้ม เสียงแก้วเสียงขวดแตกกระจาย ผสมผสานกับเสียงดังปังๆ เป็นชุด คงเพราะเสียงนี้แหละ พี่เรือเลยสะบัดมือฟึ่บมาแถวๆ ด้านหลังเสื้อแจ็กเก็ต แล้วปืนกระบอกนึงก็โผล่มาอยู่ในมือเขาราวกับเล่นกล

แกร๊ก!

ตามด้วยดึงสไลด์ปืนอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน แต่ตอนลดปืนลงข้างตัวนั้นทำช้าๆ จนน่าขนลุก ช้าจนเกือบจะเข้าขั้นภาพสโลว์โมชั่น

โคตรเท่เลย!

นี่เราหลงมาอยู่ในกองถ่ายเหรอวะ

ปืนปลอมใช่มั้ย!

“เกิดอะไรขึ้น” พี่สายธารก้าวเข้าไปชิดเจ้าของปืน

“เกิดเรื่องสักอย่างแหละ”

“เสียงปืนเหรอ”

“กูฟังอยู่” พี่เรือตะแคงศีรษะนิดๆ ตรงช่องแง้มประตู กึ่งมองกึ่งฟัง อย่างกับแฟนพันธุ์แท้พยายามแยกแยะเสียงปืนว่ามีชนิดไหนบ้าง พูดไม่ทันขาดคำ เสียงรัวปังๆ ก็ดังแทรกเสียงความโกลหลขึ้นอีกชุด

ปืนกลแบบที่พวกมาเฟียในหนังใช้กันแน่ๆ

พี่ทัชขยับมายืนขวางๆ ตัวผมไว้ ถ้าเกิดมีกระสุนทะลุประตูห้องน้ำเข้ามาก็คงโดนพี่ทัชก่อน ผมเลย...ขยับเบี่ยงตัวไปยืนหลังพี่ทัชให้มิดมากกว่าเดิม

ไม่ได้เห็นแก่ตัวนะ แต่ขามันขยับไปเอง นี่ถ้าไม่ได้ฉี่ไว้ก่อนผมอาจจะฉี่ราดกางเกงไปแล้ว

ปังๆๆๆ!

เอาอีกแล้ว

จู่ๆ พี่ทัชก็ก้าวพรวดไปที่ประตู แต่ถูกพี่เรือขวางไว้

“ผมจะไปหาเรนจิ”

“มันอยู่กับไอ้โอม ไม่เป็นไรหรอก” พี่เรือบอก ทำเอาพี่ทัชลังเล ผมเลยเอื้อมไปฉุดตัวเขากลับมายืนบังวิถีกระสุนไว้เหมือนเดิม กลัวก็กลัว แต่ก็สงสัยด้วย ยอมโผล่หัวออกไปด้านข้างตัวพี่ทัชนิดๆ ละกัน

“มึงอยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูออกไปช่วยไอ้โอม” พี่เรือใบพูดกับพี่สายธาร น้ำเสียงเหมือนบอกว่าจะออกไปหากาแฟกินแก้เซ็งสักแก้ว

พี่สายธารตะปบแขนอีกฝ่ายไว้ทันที “พี่…”

“เออน่ะ กูไม่เป็นไรหรอก” เขาทำท่าจะออกไป แต่ก็ชะงักแล้วยัดปืนใส่มือพี่สายธาร “เอางี้ มึงเอาปืนไป พาไอ้พวกนี้ออกประตูหลัง แล้วไปรอกูที่โอเมก้า ปืนขึ้นลำแล้วนะ ระวัง แต่ถ้าเจอใครหน้าเถื่อนๆ ถือปืนเหมือนกันก็ชวนมันเล่นป๊อกเด้งเลย เข้าใจนะ”

“ไม่ดิ พี่เอาปืนไปดีกว่า”

“เดี๋ยวกูไปหาเอาข้างหน้า ไป”

“พี่” พี่สายธารตะปบแขนไว้อีก “ระวังตัวนะ”

เจ้าตัวยิ้ม “มึงนั่นแหละต้องระวัง เสร็จจากเรื่องนี้แล้วกลับบ้าน ยิ่งต้องระวังหนักเลย ไปได้แล้ว” พี่เรือพูดอย่างอารมณ์ดี หันไปมองผ่านช่องแง้ม แล้วยืนเต็มความสูงแทรกตัวออกไป

พี่สายธารจับปืนด้วยสองมือชี้ปลายกระบอกลงพื้น สายตาที่มองพวกเราดูจริงจัง เหมือนจู่ๆ ก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกหลายปี “ไปประตูหลังกัน พร้อมมั้ย”

ไม่พร้อม!

ใครจะพร้อมวะ หน้าแต่ละคนนี่ก็ซีดเป็นไก่ต้มไปแล้ว ขอนอนแกล้งตายอยู่ในส้วมได้มั้ยพี่สายธาร แต่พี่ทัชก้าวออกไปข้างหน้าซะงั้น ขาผมเลยก้าวตามโดยอัตโนมัติ จังหวะนั้นผมรู้สึกว่าไหล่ของพี่ทัชกว้างขึ้นกว่าปกติด้วย

“อยู่ข้างหลังกูไว้” พี่ทัชบอก

“ไม่ต้องห่วง ผมอยู่ข้างหลังพี่ตลอดอยู่แล้ว...เฮ้ย พี่ด้วย ตัวใหญ่อะมาข้างหน้าเลย” ผมเอื้อมไปฉุดแขนพี่วิวัฒน์ให้มาอยู่ข้างพี่ทัช แบบนี้ค่อยบังมิดขึ้นหน่อย

“ก้มต่ำๆ ไว้นะ ไปกัน”

พี่สายธารนำออกไปก่อนคนแรก พี่ทัช พี่วิวัฒน์ แล้วก็ผมย่อตัวต่ำเกาะกลุ่มตามไปติดๆ และสุดท้ายก็เป็นนักเที่ยวสามคนนั้นที่ขยับตามมาอย่างเงอะงะ คำว่าก้มต่ำในที่นี้ ไม่รู้ว่าควรจะต่ำสักแค่ไหน ผมอยากจะคลานเอาหน้าไถพื้นไปเลย แต่กลัวตามไม่ทัน

สภาพนอกห้องน้ำอย่างกับวันโลกแตก เสียงเพลงดับไปแล้ว แต่ยังไม่มีใครไปยุ่งกับระบบไฟ ภายในผับเลยยังมืดสลัวและมีแสงไฟหลากสีส่ายวูบวาบ โต๊ะเก้าอี้ล้มกระจาย บางคนซุกอยู่ตามมุม บางคนผุดลุกผุดนั่ง คนกลุ่มหนึ่งต่อสู้นัวเนียกันอยู่บริเวณประตูหน้า คนอีกกลุ่มเบียดออกันมาทางประตูหลัง

และระหว่างนี้ก็ยังมีทั้งเสียงปืนเสียงกรีดร้องดังจากมุมโน้นมุมนี้

ประตูหลังอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำมาก พี่สายธารนำเราเบียดฝ่าผู้คนออกมาจนได้

รอดแล้วๆๆ

ที่ไหนได้ ด้านนอกข้างๆ ผับนี่ก็มีคนซัดกันนัวเนียอยู่เป็นสิบ ทั้งนักเที่ยวทั้งอะไรปนกันมั่วไปหมด บางคนวิ่งกระเจิง บางคนย้อนกลับมาแทรกตัวจะเข้าไปในผับ รถยังติดเป็นแถว มีบางคันกำลังกดแตรเป็นบ้าเป็นหลัง มอเตอร์ไซค์บางคันพยายามซิกแซกไปทั้งที่มีกลุ่มคนรำมวยใส่กันอยู่ บางคันก็ล้มคว่ำไปแล้ว มีคนถูกจับเหวี่ยงขึ้นไปนอนแผ่บนกระโปรงหน้ารถด้วย

“ทางนี้” พี่สายธารนำออกไปพร้อมกับชี้ปืนลงต่ำ

อะไร คิดว่าเราเป็นหน่วยคอมมานโดเหรอ ไม่อะ กลับเข้าไปข้างในดีกว่า

หมับ!

แต่พี่ทัชฉุดแขนผมพาวิ่งลงไปที่ถนนแล้ว

หวิวเลย “ค็อกเทลผมไม่มีแอลกอฮอล์ รถเมล์ขึ้นราคา รถไฟฟ้าก็ชอบเสีย…” เพราะนิ้วพี่ทัช ความจริงไร้สาระเลยล้นปากออกมา “หวิวอะพี่ พี่ทัช เดี๋ยววว…” ผมรู้สึกว่ากำลังวิ่งแบบตัวลอยๆ ไม่รู้พี่ทัชฉุดแรง หรือว่าเป็นภาวะวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว ผู้คนทั้งเบียดทั้งชนผมจนเซซ้ายเซขวา แต่พี่ทัชยังจับผมไว้แน่น เสียงปืนก็ยังดังอยู่รอบตัว ลูกปืนเฉี่ยวหัวไปดังฟิ้วๆ “โอ๊ยยย โดนแล้วๆ ผมโดนแล้ว ตูดผม...”

“โดนอะไร”

“โดนยิง จะตายแล้ว โอ๊ยยย พี่ทัชๆ ไม่ไหว”

“มึงจะไปไหน มาทางนี้”

“แม่ ผมรักแม่นะ พี่ๆ ผมฝากหมอนเน่าด้วย…”

พี่ทัชลากผมออกมาจากจุดชุลมุนจนได้ แล้วพาข้ามถนนไปอีกฝั่ง มาที่หน้าร้านโอเมก้าที่เราจะเข้าไปกันตอนแรก พอหันมองข้างหลัง บริเวณหน้าทางเข้าผับโอ้มายแอสยังมีคนต่อยกันนัวอยู่ ควันปืนหรืออาจจะควันไฟไหม้ฟุ้งอบอวลจนเห็นคนเป็นเงาวูบวาบ

ปังๆๆๆ!

หน้าร้านโอเมก้าก็มีคนจับกลุ่มกันอยู่มั่วๆ บ้างชะเง้อมอง บ้างนั่งลงเอามือกุมหัวแต่อีกมือยังยกโทรศัพท์ถ่ายคลิป พรุ่งนี้คลิปว่อนโซเชียลแน่

ใครจะดูก็ดูไปนะ ผมสับขาละ พอตั้งหลักได้ คราวนี้เป็นผมที่วิ่งออกนำหน้าและลากตัวพี่ทัช แซงพี่สายธารด้วย พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองวิ่งเข้ามาที่ซอยเล็กๆ แคบๆ ข้างร้านโอเมก้าแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นทางตัน อันที่จริงคงไม่ใช่ซอยหรอก เรียกว่าหลืบข้างร้านน่าจะเหมาะกว่า

มีคนบางส่วนหนีตายเข้ามาในหลืบนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีใครจับจองที่ข้างถังขยะ ผมเลยฉุดแขนพี่ทัชไปนั่งตรงนั้น พี่สายธารเข้ามานั่งลงสมทบด้วย

“เราจะตายมั้ย พวกแม่งเป็นใคร ผู้ก่อการร้ายเหรอ บ้านเมืองมีขื่อมีแปทำไมมันกล้าขนาดนี้ กฎหมายไทยอ่อนใช่มะ นี่เราตายยัง ขาผมชาไปหมดแล้ว พี่ ผมโดนยิง หายใจไม่ออก...”

“มึงไม่ได้เป็นอะไรเลย”

“ไม่ๆ ขาชาจริงๆ โอ๊ย กระสุนฝังในรึเปล่า พี่ทัช ผมจะตายมั้ย ฝากหมอนเน่าด้วยนะ ผงฟอกจะกัดมันรึเปล่า พี่ บอกแม่ผมด้วยว่าผมรักแม่...ผมยังไม่อยากตาย...ผมยังอยากกินราดหน้าร้านป้าอยู่...โอ๊ย วันจันทร์สีเหลือง”

“นะฑี หยุดพูด”

“ไม่ได้ พะ...พี่จับแขนผมอยู่”

พี่ทัชรีบปล่อยมือ เปลี่ยนมาเป็นกดหลังผมไว้แทน ปลายนิ้วเปลือยๆ ของเขาไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวผมโดยตรงเพราะมีเนื้อผ้ากั้นอยู่ แต่ผมก็พูดต่ออยู่ดี

“วัยรุ่นตีกันเหรอ หรือว่าพวกระเบิดพลีชีพ มันมาทางนี้ยัง พี่ ขาผมไม่รู้สึกแล้ว…”

“นะฑี บอกให้หยุด”

“แต่…”

“ตั้งสติหน่อยก็ดี” พี่สายธารพูดเรียบๆ น้ำเสียงเขาอาจจะไม่ได้หนักแน่นน่ากลัวเท่าพี่เรือใบ แต่ก็ทำให้ผมเกรงใจจนปากหยุดชะงักได้

ผมเงยขึ้นมองหน้าเขา

พี่สายธารนั่งคุกเข่าข้างเดียว เขามองเหลือบมาสบตาผมแวบนึง ก่อนจะถอดกระสุนออกจากตูดด้ามปืน ดึงสไลด์ดังกึกทำให้กระสุนอีกหนึ่งนัดกระเด็นออกมาตกอยู่ที่พื้น เขาดึงสไลด์ซ้ำสองสามที ตามด้วยลั่นไกใส่พื้นเสียงดัง แชะ! จากนั้นเขาก็เก็บกระสุนทั้งหมดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ถือไว้แต่ปืนเปล่าๆ

“ทำไมพี่เรือมีปืนอะ พกปืนเข้าผับได้เฉย” ผมถาม

“เขาเป็นสายตำรวจน่ะ” พี่สายธารตอบ “แล้วก็เป็นเพื่อนกับพี่โอม เลยพกเข้าได้”

“อ้อ แล้วพี่ทำงั้นทำไมอะ เอาลูกปืนออกทำไม”

“จะได้ไม่ยิงใครตาย”

“เฮ้ย ต้องยิงดิพี่ ใครเดินมั่วๆ เข้ามาต้องยิงไว้ก่อน” ผมพยายามนึกถึงคำพูดพี่เรือ แต่ก็นึกไม่ค่อยออก “พี่เรือบอกอะไรนะ ป๊อกๆ อะไร”

“ป๊อกเด้ง แบบนี้ไง” พี่สายธารกระดกปืนประกอบคำพูด “แล้วก็เด้งไปนอนอยู่ที่พื้น”

“นั่นไง ป๊อกเก้าสองเด้งรัวๆ ไปเลย ผมยังไม่อยากตาย”

“คงไม่มีอะไรแล้วละ” พี่ทัชพูดพร้อมกับยืนขึ้น

พี่สายธารยืนด้วย

เสียงปืนสงบไปแล้วก็จริง แต่ผมยังนั่งเอามือกุมหัวอยู่ข้างถังขยะต่อ ผมเห็นมาเยอะแล้ว ในหนังหลายๆ เรื่องพวกตัวประกอบมักจะตายจังหวะนี้แหละ ชอบประมาทคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว สุดท้ายก็...ป๊อก เด้งมานอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้น

“เป็นไงมั่ง” เสียงแบบนี้ คงเป็นพี่เรือ

ผมเอียงศีรษะมองมุมเสย เพราะพี่เรือยืนเต็มความสูงอย่างสบายๆ นี่แหละ เลยทำให้ผมกล้าลุกขึ้นยืนด้วย แต่ขาดันอ่อนแรงจนผมต้องเกาะไหล่พี่ทัชไว้ จากมุมนี้ถ้ายังมีใครยิงมาจากทางผับโอ้มายแอสก็ต้องโดนเข้ากลางหลังพี่เรือก่อนละ

“โอเคดี” พี่สายธารพูดตอบและส่งปืนคืนให้เขา พี่เรือใบรับไปถือไว้โดยไม่ตรวจดูอะไรเลย แต่เขาก็แบมืออีกข้างออกมาเป็นเชิงรู้ทันว่ามันไม่มีลูก พี่สายธารแอบถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะหยิบที่ใส่กระสุนจากกระเป๋าเสื้อส่งคืนให้เขา เจ้าตัวรับไปตบมันใส่ด้ามปืนโดยไม่มองอีกตามเคย แล้วอ้อมมือไปเหน็บปืนไว้ด้านหลังเข็มขัดใต้ชายเสื้อแจ็กเก็ต

“เรนจิเป็นไงบ้างครับ” พี่ทัชถาม

“ไอ้โอมลากมันเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ ตอนนี้หลับสบายอยู่”

หลับสบาย…?

“พี่เห็ดตายแล้วเหรอ!” ผมโพล่งขึ้น

“เห็ดไหน”

“พี่เรนจิอะ ไม่นะ แกตายจริงๆ เหรอ”

“ตายอะไร มันเมา”

“อ้อ ค่อยยังชั่ว แล้วนอกนั้นกี่ศพอะพี่ ได้นับยัง”

“ศพอะไร ไม่มีใครตาย”

“เฮ้ยจริงดิ นี่ห้อยพระดีกันทุกคนเลยเหรอ กราดยิงขนาดนั้นมันต้องโดนใครบ้างดิ แล้วไอ้คนถือเอ็ม 16 อะ หนีไปแล้วใช่มั้ย”

“เอ็ม 16 อะไรของมึงอีก ไอ้ที่เสียงดังๆ นี่ประทัด”

“ประทัดอะไร คิดว่างานเชงเม้งเหรอ ลูกปืนนี่ฟิ้วๆ เฉียดหัวผมไปเลยนะ ผมเห็นคนถือปืนยิงกราดตรงหน้าผับด้วย…” หรือไม่ใช่วะ ตรงนั้นควันเยอะด้วย

“เด็กวัยรุ่นเหรอ” พี่สายธารถาม

“อืม แก๊งปะทะกัน แต่ไอ้โอมคิดว่าน่าจะเป็นคู่แข่งธุรกิจจ้างคนมาป่วนมากกว่า”

“พี่ไม่ได้อัดคนสลบหรือหักแขนใครใช่มั้ย”

พี่เรือหัวเราะ “นิดหน่อยน่า”

“โห พี่อัดคนสลบเลยเหรอ” ผมถามอีก “แล้วไม่มีใครตายจริงดิ”

“เฮ้ย มึงจูนหัวให้มันดิ๊” พี่เรือพูดกับพี่ทัช

แต่ผมจูนตัวเองละ นวดขมับแรงๆ แล้วพูดออกมาดังๆ “นี่ผมคิดไปเองเหรอ ไอ้ที่เจ็บๆ ขานี่ก็ไม่ใช่โดนลูกปืน แต่คือ…” คงจะออกตัววิ่งแรงไปหน่อยเลยเป็นตะคริว ตอนนี้โอเคแล้ว “เฮ้ย ไม่เป็นไรจริงด้วย รอดว่ะ พี่ทัช เรารอดตายแล้ว!”

ฟึ่บ!

ผมกระโดดตัวลอยใส่พี่ทัช พร้อมกับตวัดแขนรอบคอ ตวัดขารอบเอว พี่ทัชคงไม่ทันได้ตั้งตัวเลยถึงกับเซ

“อะไรเนี่ย นะฑี”

“รอดแล้วพี่! รอดๆๆ ผมไม่ต้องฝากแมวแล้ว”

“นะฑี...!”

แล้วเราก็ล้มคว่ำไปด้วยกันที่ข้างถังขยะ พี่ทัชอยู่ล่าง ตัวผมคร่อมอยู่ข้างบนโดยที่หน้าซบอยู่ตรงช่วงไหล่เขา “พี่...หวิวเลย…”

“อะไรของมึงเนี่ย ลุกขึ้นเร็ว คนมอง”

“มะ...ไม่มีแรง”

“นะฑี ลุก”

“ไม่ไหว ก็พี่กอดผมอยู่อะ นิ้วพี่โดนคอผม มันหวิว ไม่มีแรง”

“ไม่ได้โดน กูกำมืออยู่”

“เอ้าจริงดิ ทำไมผมรู้สึก”

“นะฑี”

มือพี่ทัชไม่ได้โดนตัว ไม่ได้กอด ปลายนิ้วเอ็กซ์เมนก็ไม่ได้สัมผัส แต่ก็ยังหวิวอยู่ดี ผมค่อยๆ ค้ำมือข้างตัวเขาเพื่อยันตัวลุกขึ้นยืน พี่ทัชก็รีบค้ำตัวลุกขึ้นตามทันที

โอ๊ยๆ ตะคริวเล่นงานผมอีกเล็กน้อยจนต้องเกาะไหล่เขาไว้อีก เขาไม่ว่าอะไร แต่เห็นแอบซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง

“ล้มทับกันข้างถังขยะแบบนี้นะ รับรอง งานยาว” พี่เรือพูด ทำเอาพี่สายธารกระตุกศอกใส่หน้าท้องที่โคตรจะแข็งแกร่งนั่นอีกที ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะตามเคย

“พี่สองคนเคยล้มทับกันข้างถังขยะเหรอ” ผมถาม ดูเหมือนสองคนนี้ต้องมีความหลังเกี่ยวกับถังขยะแน่ๆ

พี่เรือตวัดแขนรอบคอพี่สายธารไว้และหัวเราะดังกว่าเดิม ทีนี้กลายเป็นพี่ทัชที่กระตุกศอกใส่ผมแทน ถึงจะแค่เบาๆ แต่ก็เล่นเอารู้สึกจุก

“ขอบคุณพี่สองคนมากนะครับ” พี่ทัชพูด

“ทุกคนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” พี่สายธารบอก

“ผมก็ขอบคุณพวกพี่มากนะครับโผม เป็นบุญกะลาหัวจริงๆ ที่ได้พี่สองคนช่วยไว้” ผมยกมือไหว้งามๆ พี่ทัชก็ไหว้ด้วย พี่สายธารรับไหว้อย่างดี ส่วนพี่เรือแค่ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง เพราะมืออีกข้างยังพาดคอคนข้างๆ อยู่

“กูไปละ ถ้าพวกมึงไม่อยากเดือดร้อนก็รีบกลับบ้านซะ เดี๋ยวพ่อมึงก็มาแล้ว” พูดจบพี่เรือก็รวบคอพี่สายธารพาเดินออกไป

ผมกับพี่ทัชมองตามหลังพวกเขาจนเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วผมค่อยพูดขึ้น “โคตรเท่เลย ว่าแต่เขาพูดถึงพ่อเราทำไมอะ คือยังไง”

“เขาหมายถึงตำรวจ” พี่ทัชบอก

“อ้อ ผมรู้น่า แกล้งถามไปงั้นแหละ”

“เหรอ”

“เฮ้ยๆ เพิ่งนึกออก เซนส์ผมแรงนะเนี่ย บอกแล้วว่าโอเมก้าจุดสิ้นสุดอะไรนี่ชื่อไม่เป็นมงคล เกือบโดนยิงตายแล้วมั้ยล่ะ ไปดิพี่ กลับ เราจะอยู่รอพ่อมาเหรอ”

“เป้าหมายล่ะ”

“เออ ใช่ ลืมไปเลย แต่ก็ช่างเถอะ รอดตายก็ดีแล้ว…”

พี่ทัชใช้หลังมือแตะตัวผมเป็นเชิงให้หยุดพูด ผมมองตามสายตาเขา เป้าหมายของเรานั่งอยู่ตรงทางเข้าโอเมก้านี่เอง เขาคงวิ่งตามเรามาแหละ เลยยังไม่ได้ไปไหนไกล

พี่ทัชเดินสบายๆ ตรงเข้าไปหาเขา ผมรีบก้าวตาม แอบควักมือถือออกมาเปิดกล้องเตรียมไว้

ที่ฝั่งผับโอ้มายแอสกลุ่มควันปะทัดจางไปแล้ว คนยังเดินไปมาพูดคุยกันจอแจ น่าจะเป็นพวกพี่โอมกับทีมการ์ดเร่งเคลียร์พื้นที่อยู่ ส่วนทางฝั่งร้านโอเมก้าก็ยังมีคนจับกลุ่มคุยกันอยู่ประปราย พี่วิวัฒน์นั่งอยู่ที่ขั้นบันไดเตี้ยตรงทางเข้าประตู อยู่ในท่าก้มหน้า มองมือตัวเองที่ถลอกเลือดซิบหลายจุด

“พี่เป็นไรรึเปล่าครับ” พี่ทัชถาม

พี่วิวัฒน์เงยหน้าขึ้น “เอ้า น้องสองคน”

“มือเป็นไรพี่”

“หกล้มน่ะ ได้แผลเลย เหมือนจะซ้นนิดๆ”

“พี่ทัชดูให้พี่เขาหน่อยดิ” ผมบอก “พี่เป็นหมอจัดกระดูกไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นแมวจรจัดโดนรถทับขาแทบหักพี่ยังจัดให้เข้าที่ได้เลย กระตุกทีเดียวเอง”

“จริงเหรอ” พี่วิวัฒน์ถาม

“เดี๋ยวผมขอดูหน่อยนะครับ” พี่ทัชถามพร้อมกับจับที่ข้อมือเขาช้าๆ ถ้ามองด้วยสายตาคนทั่วไป ก็เหมือนคนขอจับเพื่อดูแผลแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกัน “เจ็บมั้ยครับ”

“นะ...นิดหน่อยน่ะ” พี่วิวัฒน์สะดุ้งนิดๆ

ผมแอบยกมือถือขึ้นถ่ายคลิป

“แล้วพี่มาที่นี่ทำไมครับ” เอ้า ยิงคำถามเข้าเป้าเลยวุ้ย

“มาเที่ยวไง รู้ตัวปะ น้องหน้าตาดีนะ ทั้งสองคนเลย...เอ่อ…”

“มากับใครครับ”

“พี่…” เจ้าตัวอึกอัก ก่อนจะหลุบสายตาลงมองมือที่ถูกพี่ทัชจับอยู่ “แปลกดีนะ”

“แปลกอะไรเหรอ” ผมสอดปาก

“พี่ไม่รู้จักน้องสองคน แต่เหมือนอยากระบายให้ฟัง”

“ระบายได้ครับ” พี่ทัชกระตุ้น

“คือ...เจ็บข้อมือจัง ไม่รู้เป็นไรมากรึเปล่า”

เอ้า คนฟังก็ลุ้นอยู่เนี่ย มาวกเข้าเรื่องมือทำไม

พี่ทัชทำทีเป็นจับๆ คลำๆ “คิดว่าไม่หนักเท่าไหร่นะครับ”

“พี่รู้สึกแปล๊บๆ นะ”

“อาจจะเส้นพลิกน่ะครับ”

เส้นพลิกจริงรึเปล่าไม่รู้ ความรู้สึกแปล๊บๆ อาจจะเป็นเพราะปลายนิ้วพี่ทัชก็ได้ เหมือนที่ผมรู้สึกหวิวๆ นั่นแหละ ไม่รู้ละ ดึงเข้าประเด็นดีกว่า “พี่ๆ เมื่อกี้อยากจะระบายเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”

“ก็…”

“เล่าได้ครับ” พี่ทัชบอก จับข้อมืออีกฝ่ายพลิกหงายไว้นิ่งๆ

“คือ...พี่มาเที่ยวกับน้องที่...ที่เขาเป็นเกย์น่ะ ความจริงพี่แต่งงานแล้วนะ มีลูกมีเมีย แต่…” พี่วิวัฒนสั่นเทิ้ม ไม่ทันไรน้ำตาลูกผู้ชายไหลหยดออกมา “ไม่รู้เหมือนกัน พี่สับสน พี่ตั้งใจจะบอกเมียอยู่ แต่ก็กลัวเขาเสียใจ…”

เอ้า! พี่วิวัฒน์ ทำไมวิวัฒนาการไปเส้นทางนั้นเอาป่านนี้ หักมุมไปอีก

“เมียก็เริ่มสงสัยแล้ว ไม่รู้จะบอกยังไง ทุกวันนี้ก็มองหน้าไม่ติดแล้ว...แล้วนี่พี่พูดให้น้องฟังทำไม พี่ไม่…”

“พี่วัฒน์” เสียงใครคนหนึ่งดังจากด้านหลัง ผู้ชายที่มากับพี่วิวัฒน์นั่นเอง พี่ทัชปล่อยมือช้าๆ ส่วนผมก็ลดกล้องลง “เป็นไรพี่…” คนมาใหม่เข้ามาลูบหลังพี่วิวัฒน์ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ “พวกคุณทำอะไรพี่วัฒน์”

“พี่เขาหกล้มน่ะครับเลยมาช่วย เราก็กำลังจะไปพอดี งั้นขอตัวก่อนนะครับ”

“รีบไปหาหมอนะพี่ กระดูกอาจจะร้าวก็ได้นะ” ผมพูดส่งท้าย ก่อนจะก้าวเร็วๆ ตามหลังพี่ทัชที่เดินนำออกไปก่อนแล้ว

เราข้ามฝั่งไปที่ผับโอ้มายแอส เดินฝ่าสมรภูมิที่มีกลิ่นควันปะทัดจางๆ รวมถึงคนที่ได้รับบาดเจ็บกลุ่มเล็กๆ พี่โอมกับทีมการ์ดกำลังยุ่งกันมาก เราเข้าไปขอบคุณพี่เขาและขอรับตัวพี่เห็ดที่นอนซุกอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ออกมา สภาพร่างกายยังครบสามสิบสองดี แต่สติไปแล้ว พูดเสียงอ้อแอ้ ตัวอ่อนปวกเปียกอย่างกับตุ๊กตายาง

ผมกับพี่ทัชช่วยกันแบกพี่เห็ดเดินย้อนมาตามทางเพื่อกลับไปยังรถพี่ทัชที่จอดอยู่ริมถนนเส้นหลัก ซึ่งก็สวนทางกับรถตำรวจที่เลี้ยวเข้าซอยมาพอดี ถือว่าคลาดกันนิดเดียว

เราจับพี่เห็ดซุกเข้าหลังรถ แล้วมานั่งที่เบาะหน้ากัน หลังจากปิดประตูเรียบร้อยต่างคนก็ต่างถอนหายใจออกมายาวๆ

“มันคืนนรกแตกอะไรวะเนี่ย” ผมบ่น “โคตรป่วนเลย นี่ผมนึกว่าโดนยิงขาจริงๆ นะ ไม่ได้ล้อเล่น มันแบบแปล๊บเลยอะ ผมไม่ค่อยเป็นตะคริวไง เลยคิดว่าโดนสอยเข้าให้แล้ว ผมขอสรุปเลยนะ...”

“อะไร”

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องโกหกสามารถฆ่าคนได้ เป็นไง คมมะ”

“ก็โอเค”

“คมกริบเหอะ ก็เนี่ย ต้องมาหนีตายกันงี้ก็เพราะเรื่องโกหกไง งั้นเอาแบบดีๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...”

“...”

“เอ่า พี่ต่อดิ”

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความจริงบางอย่างเหมือนน้ำกรด ยิ่งเก็บไว้นานมันยิ่งกัดกร่อนคนนั้น”

“เชร้ด”

“ลบคลิปเถอะ” พี่ทัชพูดต่อไปอีกเรื่อง

“ฮะ?”

“เราไม่ต้องยุ่งหรอก ให้พี่เขาบอกเอง”

“เอางั้นเหรอ”

“อืม”

“แต่...คลิปนี่เก็บไว้แบล็กเมล์ได้นะ”

พี่ทัชหันมองหน้าผม

“ล้อเล่นน่า อะ ลบๆ นี่ดู…” ผมเอียงหน้าจอมือถือให้เขาดู กัดฟันลบคลิปล่าสุดทิ้ง “แล้วเราจะบอกเมียแกยังไงอะ คนจ้างเรา”

“บอกว่าหาตัวพี่วิวัฒน์ไม่เจอ”

“อ่อ ก็ได้อยู่ เพราะที่ผับเกิดเหตุวุ่นวายไรงี้ แต่ยังถือว่างานไม่จบนะ ถ้าวันหลังแกนัดให้ไปจับโป๊ะใหม่ล่ะ”

“บอกไม่ว่าง”

“ง่ายๆ แบบนั้นเลยนะ โอเค้ งั้นก็จบข่าว” ไม่ต้องทำอะไรแล้วกับเคสนี้ “ว่าแต่มันคือผับเกย์ใช่มั้ยพี่”

“ดูจากชื่อก็คงงั้น”

“ว่าละ ตะหงิดๆ ตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมมีแต่ผู้ชาย”

“คงงั้น” พี่ทัชสตาร์ทรถ เปิดไฟเลี้ยวไว้เพื่อรอจังหวะขับออกไป เหตุวุ่นวายจากผับในซอยทำให้การจราจรที่ถนนเส้นหลักสาหัสไปด้วยแล้วตอนนี้

“พี่เรือใบนี่โคตรแมนเลยนะ ไม่นึกว่าจะชอบผู้ชาย”

“ความชอบมันเลือกไม่ได้หรอก ถ้าชอบก็คือชอบ ไม่เกี่ยวกับเพศไหน”

“อือหือ ผมบรรลุละ สาธุ” ผมยกมือไหว้พี่ทัช “จะว่าไป...ก็สงสารพี่วิวัฒน์อะ คงอึดอัดแล้วก็สับสนจริงๆ ร้องไห้เลย...เฮ้ย พี่ ผมก็สับสนนะ ตอนล้มลงข้างถังขยะผมแยกไม่ออกเลยว่าพี่จับตัวผมอยู่รึเปล่า มันหวิวๆ งงๆ ไปหมด พี่จับตัวผมดูอีกทีได้ปะ”

พี่ทัชมองผมด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายจากเบาะหลังที่พี่เห็ดนอนทับอยู่ ได้มาแล้วก็รูดซิปเปิดหาของ

“หาอะไร พลาสเตอร์เหรอ”

“อือ มันหมด”

“ก็ใช้ทีละสิบแผ่นขนาดนั้น ไม่หมดก็แปลก แต่จะติดทำไมอีก นี่จะกลับบ้านแล้ว...ไหนๆ ตอนนี้นิ้วก็โล่งอยู่แล้ว แตะตัวผมดูดิ๊ คราวนี้ผมจะแยกให้ออกว่ามันหวิวยังไง”

จู่ๆ เขาก็ทำสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน พี่ทัชควักถุงมือลายมินเนี่ยนที่ผมซื้อให้ออกมา สวมมันเข้ากับมือทีละข้าง แล้วก็บังคับรถออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ









______________________

แง ส่วนตัวชอบตอนนี้มากเลยค่ะ
ความบ้าบอของน้องมันไปไกลมากแล้ว XD

ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่ยังอ่านอยู่ด้วยกัน
ทั้งคอมเมนต์ ทั้งกดหัวใจให้ ทั้งกดเข้ามาอ่าน
อยู่กันเป็นครอบครัวเล็กๆ อบอุ่นๆ แบบนี้ไปนานๆ เลยนะคะ > <

คนอ่านทุกๆ คนสำคัญมากเลยค่ะ รัก! ที่! สุด!


นางร้าย
7.พฤษจิ.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) PART 2 |▌7.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 07-11-2019 21:46:52
อิน้องนี่มันตัวป่วนของแท้มากแม่ พี่ทัชจะมาโมเม้นท์ทนไม่ไหวจับน้องกดทิ้งมั่งไหม? 5555  :laugh: 

พี่เรือ ขโมยซีนมากอลืมไปเลยว่าเรื่องนี้พี่ทัชเป็นพระเอก  :jul3:

สนุกค่ะ ชอบมาก มาต่อเรื่อยๆนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) PART 2 |▌7.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 07-11-2019 23:59:22
อิน้องมันบ้ามาก 55555 โอ้ย ใครก็ได้เขกหัวนางที
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) PART 2 |▌7.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 12-11-2019 21:53:59
อะไรคือเป็นตะคริวแล้วโวยวายจ้างร้อยเล่นล้านว่าโดนยิง -"-
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 21) PART 2 |▌7.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-11-2019 15:43:48
 :m20:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 1 |▌15.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 16-11-2019 19:49:25

ตอนนี้เนื้อหาค่อนข้างยาว
ขออนุญาตแบ่งเป็น 2 พาร์ทนะคะ :D





แตะต้องครั้งที่22

จับบบ…ดึงหัวไม่ออกตอกไข่ใส่ด้วย
น้องช่วยอาบน้ำลองถามเสี่ยงๆ ขอเล่นเด้งเตียงได้มั้ย



พรุ่งนี้วันสำคัญ

วันนี้เกือบทั้งวันผมเลยคอยแต่จะหมกมุ่นอยู่กับการวางแผน โชคดีตอนบ่ายเลิกเรียนเร็ว และหลังจากตื๊ออยู่สักพักพี่ทัชก็ยอมเข้าร่วมอุดมการณ์จนได้

คราวนี้เราไม่ได้ไปบุกโรงแรมหรือหนีตายกันในผับที่ไหน

แค่มาเดินห้าง

“พี่เห็ดเป็นไงบ้างอะ” ผมถามระหว่างที่เราเดินขึ้นบันไดเลื่อน

“โอเคดี”

“เหรอ ทักแชตไปกวนตีนแกเล่น ไม่เห็นตอบเลย แน่ใจนะว่าแกไม่ได้กินน้ำยาล้างส้วมไรงี้”

“ไม่เป็นไรหรอก สรุปจะซื้ออะไรให้แม่”

วันสำคัญที่ว่าคือวันเกิดแม่ผมเอง ที่เรามานี่ก็เพื่อจะเลือกซื้อของขวัญเก๋ๆ สักอย่างนี่แหละ

“คิดว่าจะซื้อเรือดำน้ำอะ แม่เหนื่อยมาเยอะแล้ว ให้แม่ไปขับไล่ตามปลาวาฬเล่นน่าจะเพลินดี”

“ไม่เอาเครื่องบินล่ะ ขับไล่ตามนกสนุกกว่า”

“เฮ้ย!” ผมหันขวับจนเกือบล้ม เล่นเอาพี่ทัชเลิกคิ้ว “เดี๋ยวนี้พี่เล่นมุกเหรอ เริ่มติดเชื้อผมแล้วดิ…”

“จะซื้ออะไร เร็วๆ” เขาตัดบท ตอนนี้เราขึ้นมาอยู่บนชั้นที่เต็มไปด้วยร้านค้าแบบผู้หญิงๆ แล้ว

“เรือดำน้ำไง”

“ไม่ขำ เลิกเล่นได้แล้ว”

“ก็คิดไม่ออกอะ พี่ช่วยคิดหน่อยดิ”

“คิดอะไรไว้บ้าง”

“ก็มีพวกของผู้หญิงๆ อะ ลิปสติก ตุ้มหู แล้วก็เสื้อในดีๆ สักสองสามตัว นมแม่เริ่มยานละนะ จะเข้าวัยทอง…”

“พอ”

“ไม่เวิร์กเหรอ”

“กระเป๋าตังค์เป็นไง”

ผมมองตามสายตาพี่ทัชไป แล้วดีดนิ้วดังเป๊าะ “เด็ด นี่แหละที่แม่ต้องการ” เราเดินเข้าไปในร้าน แต่เดี๋ยวนะ ขอเวลามึนแป๊บ กระเป๋าผู้หญิงประมาณล้านแบบรายล้อมอยู่รอบตัว ทั้งกระเป๋าเป้กระเป๋าสะพาย ใบใหญ่ใบเล็ก สายโซ่สายหนัง รวมถึงกระเป๋าสตางค์แบบสั้นแบบยาว แถมยังมีใบจิ๋วๆ แยกออกมาวางอยู่ข้างๆ อย่างกับคลอดลูกได้อีก

“ของเยอะดีอะร้านนี้ แบบนี้คือขายดีหรือขายไม่ออกอะ”

“ของผู้หญิงก็มีหลายแบบเป็นธรรมดา”

“พี่ใช้กระเป๋าตังค์แบบไหนยังไง”

“แบบเรียบๆ”

“ยังไงอีก”

“ของบอตเตก้า”

“แบรนด์เนมใช่ปะ อะไรก้าๆ นะ”

“ช่างมันเถอะ ลองดูร้านนี้ก่อน ชอบใบไหน”

“ไหน พี่เลือกดิ๊”

พี่ทัชพาเดินย้อนออกมาบริเวณตู้โชว์ใกล้ประตูร้าน เขาเลือกหยิบกระเป๋าสตางค์แบบยาวใบหนึ่งส่งให้ผม สีน้ำตาลเรียบๆ แต่ดูดี

“สวย” ผมพลิกไปมา แล้วดูป้ายราคา “ไม่สวยละ กะโหลกกะลา”

“...”

ผมวางคืนที่เดิมอย่างเบามือเหมือนวางระเบิด ลองหยิบอีกใบข้างๆ กันมาดูป้ายราคาเทียบกัน “ใบนี้ก็ไม่สวย ออกแนวทุเรศเลยนะเนี่ย ไม่เอาละ”

“ถ้าชอบก็เอา”

“ราคานี้ ขืนเอาไปแม่ได้ฆ่าผมตาย”

“ก็อย่าบอกราคา”

“ถ้าแม่ถามจี้ล่ะ กฎเหล็กของผมคือแหลกับใครก็ได้นะ แต่จะไม่แหลกับแม่เด็ดขาด”

“เงินที่เราหามาได้ มึงบอกจะให้กูครึ่งนึงใช่มั้ย งั้นก็ใช้ครึ่งของกูซื้อ”

“แม่ผม ต้องใช้ครึ่งของผมซื้อดิ” ผมเถียง “หมายถึงถ้าจะซื้ออะนะ แต่คิดอีกทีเก็บเงินไว้กินข้าวดีกว่ามั้ย”

“ของพวกนี้มันทน ดีกว่าซื้อของถูกแล้วต้องเปลี่ยนบ่อยๆ”

“จริงเหรอ” ผมหยิบกระเป๋าใบแรกที่พี่ทัชเลือกอีกที เม้มปากครุ่นคิด

“เงินหาใหม่ก็ได้ มีงานให้บริษัทขอทัชฑีทำอีกมั้ยล่ะ”

“พี่พูดแล้วนะ ถ้ากลับคำนี่หมาเลยนะ”

“เออ”

“งั้นซื้อ” ผมตอบเฉียบขาด แล้วรีบเสริมเพื่อให้เข้าใจตรงกัน “เอาครึ่งนึงของพี่ซื้อนะ”

ผมกำลังจะโบกมือเรียกพนักงาน จังหวะนั้นพี่ทัชก็ควักมือถือที่กำลังสั่นครืดๆ ออกมากดรับสายพอดี ผมเลยยั้งมือไว้ก่อน

“เจ๊เทอ… อ้าว แล้วเป็นอะไรมากมั้ย…โอเค จะรีบไป”

“เกิดอะไรขึ้น พี่ เป็นไร”

“ผงฟอกน่ะ”

“ผงฟอกทำไม”

“มึงรีบซื้อกระเป๋าดิ กูต้องไปแล้ว”

“งั้นไม่ซื้อละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาซื้อเองแล้วเอาให้แม่ตอนเย็น”

เรากลับไปหาเจ้ามินิคูเปอร์ที่ท่าทางเหมือนกำลังงีบหลับรอเจ้าของอยู่ที่ลานจอดรถ พี่ทัชสตาร์ทเครื่องปลุกมัน แล้วขับออกมาจากห้างอย่างรวดเร็ว

ก่อนจะมาติดแหง็กอยู่ที่ไฟแดงหน้าห้าง

“เดี๋ยวกูส่งมึงที่รถไฟฟ้าได้มั้ย”

“ไม่เอา ขอไปด้วย” ผมบอก พี่ทัชมองหน้าคล้ายจะถามว่าไปทำไม“ผมจะไปหาผงฟอก”

“มันไกล”

“ไกลก็ไกลดิ ผมไม่ได้เดินไป”

“...” เขาเงียบ

แบบนี้ต้องกดดันอีก

“ผมจะไป ผมจะไป ผมจะปายยย”

“เออๆ ไปก็ไป”

“ก็ผมเป็นห่วงผงฟอกอะ ขอไปด้วย” ดูจากสีหน้าพี่ทัชผมก็พอเดาได้ว่าไม่ใช่เรื่องดี “ว่าแต่ ผงฟอกเป็นไร”

“หวังว่าคงจะไม่เป็นไร”

เป็นครั้งแรกที่ปากผมเงียบไปเองดื้อๆ ถึงอยากถามต่อ แต่ปากผมไม่ยอมขยับ คงทำนองเดียวกับที่พี่ทัชเคยพูด...ความจริงบางอย่างอย่ารู้ดีกว่า บางทีมันอาจจะโหดร้ายเกินกว่าจะพูดออกมา

ผมเลยได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบๆ

สักพัก พี่ทัชก็พาเจ้ามินิคูเปอร์ฝ่าการจราจรออกมายังถนนเส้นที่วิ่งได้สะดวกขึ้น ไม่อยากจะถาม แต่เหมือนว่าปากผมกลับมาเปล่งเสียงได้เป็นปกติแล้ว

“ทำไมไปทางนี้อะพี่ เลี่ยงรถติดเหรอ”

“เปล่า บ้านอยู่ทางนี้”

“อ้าว พี่เคยบอกว่าบ้านพี่ไปทางเดียวกับบ้านผมไม่ใช่เหรอ ก็ต้องไปทางนั้นดิ นี่มาคนละทิศเลยนะ”

พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม “กูพูดตอนไหน”

“วันนั้นไง วันที่พาผมไปแจ้งความอะ บอกว่าบ้านทางเดียวกัน พี่เลยขับไปส่งผมที่บ้าน”

“มึงจำผิดแล้ว”

“พี่นั่นแหละ จำผิด”

“กินโอเมก้าสามบ้างนะ แล้วก็นอนให้พอ ทำสมาธิบ้าง สมองจะได้ดีๆ”

“พี่จำผิดจริงๆ เรื่องนี้ผมชัวร์มาก”

หรือผมจำผิดวะ

เริ่มไม่ชัวร์ละ

“กูไม่เถียงละ” พี่ทัชพูดเรียบๆ “เปิดเพลงหน่อย”

“เฮ้ยพี่ พูดถึงโอเมก้า ไว้เราไปกันอีกนะ ไปโอ้มายแอสด้วย เขาจะเจ๊งรึเปล่าวะ โดนถล่มเละขนาดนั้น”

พี่ทัชไม่ตอบอะไร เขาเอื้อมมือมากดเปิดเพลงเอง ซึ่งก็เป็นเพลงสากลของคนคูลๆ เหมือนเดิม นี่พยายามชวนคุยให้สบายใจนะ แต่ไม่คุยก็ไม่คุย ฟังเพลงก็ได้ ผมชั่งใจอยู่ว่าจะกรีดกระเดือกร้องเพลงตามหรือนั่งฟังเฉยๆ ดี เอาเป็นว่า ร้องแบบงึมงำดำน้ำไปละกัน

บรรยากาศในรถเริ่มตึงเครียดมากขึ้นตอนที่พี่ทัชเลี้ยวรถเข้าโครงการหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทางเข้ามีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่เบิ้ม มีสวนหย่อม ป้อมยาม และต้นไม้เรียงราย

แค่นี้ก็รู้แล้วว่าโคตรรวย

ผมหันไปเกาะกระจกรถเหมือนเด็กที่หลุดเข้ามาในอีกมิติ จนกระทั่งพี่ทัชชะลอรถจอดริมถนนหน้าบ้านหลังหนึ่งและเปิดประตูลงไป ผมถึงได้รู้สึกตัวแล้วลงจากรถด้วย

“ผงฟอก” เสียงพี่ทัชร้อนรน

เจ้าผงซักฟอกอยู่ตรงนี้เอง ในสภาพ...หัวติดกับรั้วประตูบ้าน รั้วประตูใหญ่ที่เป็นทางให้รถเข้าออกดูหรูหราและไม่มีปัญหาอะไร แต่ประตูรั้วเล็กๆ สำหรับให้คนเปิดเข้าออกนี่แหละ ขอบด้านล่างเป็นเหล็กดัดให้เป็นห่วงกลมเรียงต่อกัน ซึ่งขนาดห่วงใหญ่พอให้ผงฟอกสอดหัวเข้าไปได้ แต่ดึงกลับไม่ได้ ลักษณะนี้คงตั้งใจจะมุดประตูหนีเที่ยวแน่ๆ

มีผู้หญิงสองคนอยู่ด้วย ต้องเป็นแม่กับพี่สาวแน่นอน

“ทัชมาแล้ว” คนเป็นแม่หน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้

“เป็นไงบ้าง ผงฟอก” พี่ทัชเข้านั่งใกล้ๆ เจ้าผงซักฟอกและลูบหัวมัน ทำให้มันครางหงิงๆ ดิ้นรนพยายามจะดึงหัวออกอีก “เข้าไปได้ไงเนี่ย”

“แม่ผิดเอง แม่ไม่น่าเปลี่ยนประตูใหม่เลย ตอนช่างเอามาทำก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีห่วงกลมจนมุดได้แบบนี้…”

“แม่ไม่ผิดหรอก อุบัติเหตุน่ะ” พี่ทัชพูดเสียงนุ่ม “หัวเปียกเลย ผงฟอก”

“แม่เอาน้ำมันพืชทาน่ะ”

“เจ๊ตอกไข่ใส่ด้วย มันจะได้ลื่นๆ”

ผมก็จินตนาการไว้ซะร้ายแรง นึกว่าโดนรถชนไส้ไหลอะไรแบบนี้ แต่เห็นสภาพแล้ว...ก็ไม่ถึงกับขำหรอก แต่ปากหมาๆ ของผมก็เผลอโพล่งออกไปจนได้ “นี่ผงฟอกหรือกระทะทอดไข่อะครับ” โชคดี เหมือนจะไม่มีใครได้ยิน หรืออาจได้ยินแต่ไม่สนใจ

“น่าจะใช้แชมพูมากกว่าใช่มั้ย แต่ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกอะ” เจ๊ณเทอพูดอีก “แต่โทรหากู้ภัยแล้วนะ กำลังมา”

“ป๊ากลับมายัง”

“แม่โทรบอกแล้ว”

“อืม ไหนผมขอลองหน่อย”

“เจ๊ว่ารอกู้ภัยดีกว่ามั้ยทัช”

พี่ทัชเลื่อนเปิดประตูรั้วใหญ่แล้วเข้าไปสมทบกับแม่และพี่สาวที่ประตูรั้วเล็กด้านใน มีแค่ผมคนเดียวที่ยืนเคว้งอยู่นอกบ้าน ผมเป็นใครวะ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ วูบหนึ่งรู้สึกแน่นหน้าอกจนอยากหันหลังวิ่งปาดน้ำตาไปตามทางเหมือนในมิวสิกวีดีโอ แต่ตอนนี้ชีวิตผงฟอกสำคัญกว่าเรื่องอื่น

“ผงฟอก นิ่งๆ” พี่ทัชจับตัวมัน โดยมีพี่ณเทอช่วยอีกแรง

“รอกู้ภัยดีกว่าทัช ไม่ไหวหรอก เดี๋ยวมันคอหัก”

“คอหักเลยเหรอ!” คุณแม่แทบจะลุกขึ้นมาเต้น “เจ็บมั้ยลูก ผงซักฟอก ทัช พอแล้ว”

ใจเย็นครับคุณแม่ สิ่งที่พี่ทัชทำนี่คือนิยามของความอ่อนโยนเลยเหอะ เขากดใบหูมันพับไปข้างหน้า แล้วค่อยๆ เขี่ยให้ลอดห่วงเหล็กมาข้างหลังทีละข้าง ซึ่งก็ยากเอาการ แต่พี่ทัชทำสำเร็จจนได้ หลังจากนั้นก็แค่ประคองศีรษะมันตะแคงเล็กน้อยพร้อมกับดึงออกเบาๆ

“ผงซักฟอก! หลุดแล้ว!” คนเป็นแม่ถึงกับถลาเข้าไปกอด

“เฮ้ย เส้นผมบังภูเขานะเนี่ย” เจ๊ณเทอว่า “แค่เอาหูออกมาก่อนเอง”

“ไอ้หัวไข่เอ๊ย รอดแล้ว” ผมหลุดปากผสมโรงด้วย แต่ทันทีที่พูดออกไป คนทั้งสามกับหมาอีกหนึ่งตัวก็มองผ่านรั้วประตูออกมานอกบ้าน เล่นเอาผมที่ยืนเคว้งๆ อยู่ทำตัวไม่ถูกเข้าไปอีก “ก็...หัวไข่ไง ไข่บนหัวอะครับ มีน้ำมันพืชด้วย ถ้าอุ้มลงกระทะนี่เป็นหมาไข่ดาวเลยนะเนี่ย”

อึ้ง

อึ้งกันหมดทั้งคนทั้งหมา

“นะฑี มานี่ดิ” พี่ทัชเรียก

ผมขยับไปข้างหน้าสองสามก้าวราวกับมีผีผลัก ตอนนี้เรามายืนเผชิญหน้ากันแล้ว พวกเขาสามคนอยู่ในบ้านอันแสนสุข ส่วนผมอยู่ข้างนอก โดยมีรั้วประตูเหล็กดัดหรูๆ คั่นกลาง

“นี่แม่ แล้วก็นี่พี่ณเทอ”

“สวัสดีครับคุณแม่ สวัสดีครับเจ๊” ผมยกมือไหว้งามๆ ก้มหัวแทบติดเข่า ขณะที่ทั้งคู่รับไหว้แล้วยิ้มให้นิดหน่อย “ผมชื่อนะฑีครับ เป็นรุ่นน้องพี่ทัช รู้จักกันมาได้สักพักแล้ว ผมเลยตามพี่ทัชมาดูผงฟอกด้วย แบบว่าเป็นห่วงน่ะครับ...หวัดดีผงฟอก”

“แฮ่~” อ่าว มีแยกเขี้ยวขู่

“ผงฟอก อย่า” พี่ทัชทำเสียงดุ เจ้าผงฟอกหันมองหน้าเขาและส่ายหางดิ๊กๆ แต่พอมันหันมองผมอีกก็นิ่งไปเหมือนกำลังคิดว่าจะงับผมส่วนไหนดี “มาจับหัวมันดิ ไม่เป็นไรหรอก”

“จะดีเหรอ”

“ไม่กัดหรอก รับรอง แค่ยังไม่คุ้น” พี่ทัชบอก “เข้ามาในบ้านเลย”

“โอเค” ผมเดินผ่านประตูใหญ่ที่เปิดแง้มอยู่เข้าไป เจ้าผงฟอกดูตื่นตัวเต็มที่ สาบานได้ว่าผมเห็นริมฝีปากมันแสยะนิดๆ ตอนมองหน้าผม แต่เอาวะ เป็นไงเป็นกัน “ใจเย็นนะผงฟอก พวกเดียวกันนะเฮ้ย…” ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปช้าๆ

“ระวังมือขาดนะ” เจ๊ณเทอพูดสวนขึ้น ชิบหาย ผมกระตุกมือกลับโดยอัตโนมัติ เจ้าผงฟอกก็กระตุกตามด้วย

“ผงซักฟอกฉีดยาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” คุณแม่ว่า

ครับแม่ ฉีดยาแล้ว แต่ถ้ามันกัดก็คือเจ็บไง

“วันก่อนก็ไล่กัดบุรุษไปรษณีย์นะ เลือดสาดเลย” เจ๊ณเทอเสริม “ได้ข่าวว่าเย็บเป็นสิบเข็ม ใช่มั้ยแม่”

“เอ้อ ไม่แน่ใจนะ พ่อเป็นคนจ่ายค่าชดเชยให้ฝ่ายนั้น แต่เลือดเยอะจริงๆ”

“นั่นสิ สงสัยเป็นช่วงตกมันอะ”

“ตกมันนั่นมันช้างรึเปล่าครับเจ๊” ผมถาม

เจ้าตัวยักไหล่ “แล้วแต่นะ เจ้านี่มันหมาปีศาจ ถ้าจะเล่นด้วยต้องระวังๆ หน่อย”

“ไม่ต้องกลัวหรอก ผงฟอกมานี่” พี่ทัชจับตัวมันมาข้างหน้าอีกนิด “นะฑี นั่งลง แล้วยื่นมือมาให้มันดม”

“ไม่เอาละพี่”

“นั่งลง”

“ไม่อะ ยืนแบบนี้ลมเย็นดี”

พี่ทัชที่นั่งอยู่กับผงฟอกเงยขึ้นมองหน้าผม สายตานิ่งๆ แบบอ่านยาก เหมือนไม่ได้กล่าวหาหรือสื่อสารอะไรเป็นพิเศษ แต่ทำไมรู้สึกผิดวะ

“ก็ได้ ถือว่าผมเชื่อใจพี่ละกัน”

แววตานิ่งๆ เปลี่ยนเป็นแววตาที่เจือรอยยิ้มนิดๆ “เออ”

ผมค่อยๆ นั่งลง ยื่นมือออกไปช้าๆ “ผงฟอก หวัดดี”

“แฮ่~~~”

“พี่ จับตัวมันไว้นะ อย่าปล่อยมา…”

พูดไม่ทันขาดคำพี่ทัชก็ปล่อยมือทั้งสองข้าง พอเจ้าผงฟอกเป็นอิสระมันก็ขยับมาข้างหน้าทันที “เฮ้ยๆ พี่…” จะชักมือกลับก็ไม่กล้า ได้แต่นั่งตัวเกร็งอยู่เฉยๆ แต่ในหัวนี่เห็นภาพตัวเองถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินเรียบร้อยแล้ว

ผงซักฟอก ฉายาหมาปีศาจตามที่เจ๊ณเทอเรียกเข้ามาดมมือผมฟุดฟิดๆ เยื้องย่างช้าๆ อ้อมไปดมก้นผม แล้วก็อ้อมมาข้างหน้าอีก จากนั้นก็…

“โฮ่ง!”

“โอ๊ยยย” เละ กระโจนเข้าใส่ทั้งตัวแบบนี้ มีเลือดสาดเละเทะแน่นอน “พี่ทัช ช่วยด้วยยย โอ๊ยยย”

แทนที่จะช่วย สามแม่ลูกกลับพากันยืนหัวเราะเฉย โดยเฉพาะเจ๊ณเทอนี่หัวเราะเสียงดังสุด สติพุ่งวาบเข้าร่างผม เลยรู้ว่าตอนนี้ตัวเองล้มหงายอยู่บนพื้นโดยมีเจ้าผงฟอกตะกายขึ้นตัว พยายามเข้ามาเลียหน้าเลียตา สลับกับถอยออกไปกระโดดหลอกล่อเหมือนจะชวนให้เล่นด้วย

พี่ทัชเข้ามาจับตัวเจ้าผงฟอกไว้ “โทษที ช่วยไม่ทัน หมาปีศาจมันเร็วน่ะ”

ผมลุกขึ้นนั่งและยกมือขึ้นมาสำรวจก่อนอันดับแรก ไม่มีเลือด ไม่มีแผล หน้าก็ยังหล่อเหมือนเดิม แต่เสื้อนี่เละ ทั้งรอยเท้า ทั้งคราบไข่และน้ำมันพืช แต่เจ้าผงฟอกดูเหมือนจะไม่สำนึก ยังส่ายหางดิ๊กๆ จะเข้ามาเล่นงานผมอีก

“พี่แกล้งผม”

“กูเปล่า ผงฟอกต่างหาก”

“ไอ้หมาหัวไข่ มานี่เลย” คราวนี้ผมเข้าไปลุยกับมันเต็มๆ ขยี้ขยำไปทั่วตัวจนมันทิ้งตัวนอนแผ่ทำลิ้นห้อย ส่วนผมน่ะเหรอ เละ เสื้อผ้าเละหนักกว่าเดิม “แล้วทำไงอะทีนี้”

“ต้องโดนแชมพูไง ทั้งคนทั้งหมานี่แหละ ลุกขึ้น” พี่ทัชยื่นมือมาให้ผมจับ ผมคว้ามือเขาและเหนี่ยวตัวลุกขึ้นยืน พอหันไปด้านข้างก็เห็นสองแม่ลูกยืนมองเราอยู่ แถมยังกลอกตาไปมาเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่เห็นด้วย

“อะไรเหรอครับ” ผมถาม

พี่ทัชปล่อยมือผม แล้วกางนิ้วให้แม่กับพี่สาวดูคล้ายกับจะบอกว่าเขายังแปะพลาสเตอร์อยู่ครบทุกนิ้ว “แต่ก็หวิวนิดๆ อยู่ดีนะ” ผมพูดลอยๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อพี่ทัชก็ตัดบทซะก่อน

“ขอเอารถเข้าบ้านก่อน เดี๋ยวพาไปอาบน้ำ” เขาบอก “เอ้อ แม่ แล้วประตูนี่ยังไง เดี๋ยวผงฟอกมันเข้าไปติดอีก”

“เดี๋ยวเปลี่ยนใหม่อีกรอบ คราวนี้แม่จะเลือกดีๆ เลย”

“แค่ให้ช่างมาอ๊อกเหล็กเสริมหน่อยก็ได้มั้ง”

“แบบนั้นก็ไม่สวยดิทัช เปลี่ยนยกชุดเลย” เจ๊ณเทอพูด จังหวะนี้รถกู้ภัยก็ขับมาชะลอๆ จอดพอดี “ทุกคนเข้าบ้านไป เดี๋ยวคนสวยรับหน้าเอง”

“นที ผงฟอก ไป เข้าบ้านกัน” น้ำเสียงคุณแม่ดูเป็นกันเองมาก มากจนผมเดินตามไปด้วยความเกรงใจ เจ้าผงฟอกก็ตามมาเคล้าแข้งขาไม่ห่าง ไหนๆ ก็รู้จักกันแล้ว ผมเลยอาศัยจังหวะนี้อธิบายกับคุณแม่ว่าชื่อผมคือ นะฑี ไม่ใช่ นที แบบที่คนทั่วไปมักเข้าใจ

“เอ้าเหรอ ชื่อแปลกดีนะ” คุณแม่ว่า “น้องผงๆ อย่าแทะขาพี่เค้า ปล่อยให้แขกเข้าบ้านสิลูก”

ผมหัวเราะแล้วย่อตัวลงไปขยี้เจ้าผงฟอกเล่นอีก “เดี๋ยวผมรอเข้าพร้อมพี่ทัชครับ”

“เอางั้นก็ได้จ้ะ งั้นแม่เข้าก่อนนะ”

คุณแม่เข้าไปในบ้านแล้ว พี่ทัชขับรถไปจอด เจ๊ณเทอยังคุยกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยอยู่หน้าบ้าน ส่วนผมก็เล่นกับผงฟอกต่อ และถือโอกาสมองสำรวจรอบตัวไปด้วย

นี่คือบ้านเดี่ยวงามๆ สามชั้นสไตล์โมเดิร์น ดูพอเหมาะกับครอบครัวสี่คน สนามหญ้ากว้างพอสำหรับหมาซนๆ หนึ่งตัว นอกจากนั้นก็ยังมีสวนหย่อมเล็กๆ กับซุ้มนั่งเล่น ที่สำคัญคือมีต้นไม้เยอะ โดยเฉพาะบริเวณทางเดินไปหลังบ้านนี่มีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านเขียวครึ้มสูงท่วมหลังคาเลย คงเพราะแบบนี้พี่ทัชเลยชอบไปนั่งในป่าดงดิบที่มหา’ลัย

ทั้งหมดนี้บอกผมว่านี่ไม่ใช่แค่บ้านคนรวย แต่เป็นบ้านที่อบอุ่นมากๆ อุ่นจนหน้าอกผมร้อน และสงสัยว่าตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

ผมมองไปทางโรงรถที่พี่ทัชกำลังถอยมินิคูเปอร์เข้าไปจอด ตรงนั้นมีรถแวนคันเบ้อเริ่มจอดอยู่แล้วหนึ่งคันกับรถบีเอ็มสีขาว แถมยังมีที่ว่างสำหรับอีกคัน ซึ่งน่าจะเป็นที่จอดรถของคุณพ่อที่ยังอยู่นอกบ้าน พี่ณเทอส่งกู้ภัยกลับไปเรียบร้อยแล้วตอนนี้ และกำลังเดินจากรั้วประตูบ้านเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้ม

“บอกแล้ว เจ้านี่มันหมาปีศาจ” เจ๊ว่า

“ถ้าปีศาจแบบนี้โอเคครับ แต่บ้านผมมีแมวนรกอยู่ตัวนึง อันนั้นนรกของแท้เลย”

“ฮ่าๆ จริงๆ ผงฟอกมันกัดใครไม่เป็นหรอก ทัชกับเจ๊แกล้งเราแค่นั้นแหละ” เจ๊แกยิ้มอีกและตบไหล่ผมเบาๆ “ตามสบายนะ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง นั่นไง ทัชมาแล้ว เดี๋ยวเจ๊ขอเข้าบ้านก่อน”

พี่ทัชเข้ามายืนข้างผม แล้วมองตามหลังพี่สาวที่กำลังเดินเข้าบ้านไป “เจ๊ณเทอมาคุยอะไร”

“เจ๊บอกว่าผมหล่อ”

“เอาดีๆ”

“เอ้า จริงๆ ไม่เชื่อก็แกะพลาสเตอร์จับตัวผมดูดิ”

“เรื่องนี้ไม่ต้องใช้พลังหรอก มองด้วยตาก็รู้”

“...” หมายถึงอะไรวะ “อะไรนะ คือยังไง เรื่องที่ผมหล่อน่ะเหรอ”

“ไป ผงฟอก อาบน้ำ”

“เดี๋ยวดิ พี่ งงนะเนี่ย คือยังไง”

“มึงไม่รู้ตัวเหรอว่าหน้าตาตัวเองเป็นไง”

“รู้ดิ ก็หล่อไง แล้วพี่ว่าผมหล่อปะ”

“ขี้เหร่”

“โกหก”

พี่ทัชแกะพลาสเตอร์นิ้วชี้ออกแล้วจับแขนตัวเอง “นะ...นะ...นะฑีขี้เหร่”

“ตลกแล้ว พี่เคยบอกว่าพลังใช้กับตัวเองไม่ได้ผลนี่ พิษงูอยู่ในปากงู ไม่เป็นไรอะ”

“งั้นนะฑีหล่อ พอใจยัง”

“จริงดิ อย่าประชดได้ป่ะ”

“มึงนี่ น่าจะมีอะไรสักอย่างในสมองผิดปกตินะ...เอ้า ผงฟอกไปโน่นแล้ว ผงฟอก มานี่! ผงฟอก!”

ผงฟอกคงนึกว่าเราอยากเล่นด้วยเลยต้องวิ่งไล่จับตัวกันอีกยก พอจับตัวได้พี่ทัชก็พามันไปอาบน้ำที่ข้างๆ โรงจอดรถโดยมีผมช่วยอาบให้ด้วยอีกแรง

“แม่พี่ยังสวยอยู่เลย” ผมชวนคุยระหว่างช่วยกันฟอกแชมพูให้หมาปีศาจ

“อือ”

“ไม่นมยานเหมือนแม่ผม แม่พี่อายุเท่าไหร่แล้วอะ”

“...”

“เจ๊ณเทอก็สวย แล้วแฟนเจ๊แกหล่อปะ”

“หล่อ ผงฟอกนิ่งๆ”

“เอ้อ เจ๊บอกว่าผงฟอกไม่กัดอะ แต่พี่แกล้งผม คือแกล้งยังไงอะ”

“หึ แบบนี้น่ะเหรอ”








_____________________


มาแล้วค่าา หวังว่าจะชอบกันนะคะ :D
ขอบคุณมากๆ เลยที่เข้ามาอ่าน และคอมเมนต์ให้กันตลอดๆ นะคะ
ทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเมนต์ มีความสุขมากจริงๆ ค่า

เจอกันพาร์ท 2 นะคะ! รักกกก

นางร้าย
15.พฤศจิ.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 1 |▌15.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 16-11-2019 20:10:40
บ้านพี่ทัชน่ารักอ่าาา ขี้แกล้งทั้งแม่ทั้งเจ๊เลย  แต่พี่ทัชพูดน้อยนี่เหมือนใครคุณป๊ะหรอ?

ชอบที่บอกว่ากระเป๋าคลอดลูกได้ มันใช่อ่าาา / หันไปมองกระเป๋าตัวเอง 55555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 1 |▌15.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-11-2019 20:32:32
 :laugh:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 1 |▌15.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 18-11-2019 00:43:35
ขอบคุณนะครับ รอเจอกันพาร์ท2
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 1 |▌15.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 18-11-2019 05:29:03
 :laugh: :pigha2: :pigha2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 1 |▌15.พฤศจิ.2019 // Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 20-11-2019 13:49:28
21/Part2 เสียดายมาส่งพี่เรือสุดเท่กับน้องธารแบบเรียลไทม์ไม่ทัน  อย่าหักโหมกับน้องธารมากนักนะพี่ แก่แล้วเด่วหัวใจวายตายครอกเมียอายเขา 5555555555/วิ่งหลบกระสุนพี่เรือ ฟิ้วววว

... พี่ทัชขยับมายืนขวางๆ ตัวผมไว้ ถ้าเกิดมีกระสุนทะลุประตูห้องน้ำเข้ามาก็คงโดนพี่ทัชก่อน ผมเลย...ขยับเบี่ยงตัวไปยืนหลังพี่ทัชให้มิดมากกว่าเดิม...
โอ้ยยย ขำ ไอ้ตัวดีมันเอาพี่ทัชเป็นโล่ได้แบบไม่คิดสักนิด สมเป็นไอ้ตัวป่วนคือไปต้องมาหวังอะไรกับนะฑี จบนะ!
กลัวกระเจิดกระเจิงสติ มันน้องหลุด! หลุดไปจากโลกนี้ :laugh:

22/ ไอ้เเสบเผานมแม่ ให้พี่เขาฟังตั้ง2รอบ อิเด็กเวง 555555555555555 

สนุกมากกกกค่ะ ทำเราหัวเราะได้ฟุ่มเฟือยมาก :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 2|▌15.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 22-11-2019 21:23:17



แตะต้องครั้งที่ 22

จับบบ…ดึงหัวไม่ออกตอกไข่ใส่ด้วยน้องช่วยอาบน้ำ

ลองถามเสี่ยงๆ ขอเล่นเด้งเตียงได้มั้ย [PART 2]





            “หึ แบบนี้น่ะเหรอ”

            “แฮ่!”

            “รู้ละ ตอนที่บอกให้ผมยื่นมือให้มันดม พี่แอบหยิกต้นคอมัน”

            “ใช่ จับต้นคอทีไรมันก็ทำเป็นขู่แบบนี้แหละ ไม่กัดหรอก”

            “ตอแหลนะเนี่ยเรา ผงฟอก ไหนลองดิ๊” ผมลองขยุ้มคอมันดู แล้วแอ๊คติ้งโอเวอร์ก็มาตามคาด

            “แฮ่~~~”

            “เอ้อพี่ พลังพี่ใช้กับสัตว์ได้ผลมั้ยอะ เคยลองกับผงฟอกมะ”

            “สัตว์ไม่โกหกหรอก”

            “น้อยไปดิ ผมเคยดูคลิปในยูทูบนะ หมาทำท่าเดินขาลากขอความเห็นใจ แล้วสักพักก็ลุกขึ้นวิ่งสี่ขาเฉย”

            “ผงฟอกไม่โกหก”

            “แล้วไอ้เสียงแฮ่ๆ นี่อะไร”

            “แค่โดนจุดอ่อนไหวมัน...พอละ อาบนานเดี๋ยวตัวเปื่อย มาผงฟอก ล้างตัวๆ”

            หลังล้างตัวเสร็จ พี่ทัชก็พามันมาส่งให้คุณแม่บ้านชื่อพี่บัวจัดการเช็ดตัวให้มันต่อ ส่วนเราเข้าไปข้างเพื่อจะขึ้นไปที่ห้องพี่ทัช บรรยกาศภายในบ้านทำให้หน้าอกผมพองฟูและร้อนยิ่งกว่าอยู่ข้างนอกซะอีก ถ้าเจ๊แคลเซียมได้มาเห็นคงกรีดร้องแน่ เพราะนอกจากข้าวของจะดูมีสไตล์สบายตาแล้ว ทุกซอกทุกมุมยังสะอาดสะอ้านจนฝุ่นน่าจะรู้สึกผิดถ้าเผลอปลิวเข้ามาในนี้

            ห้องพี่ทัชก็เป็นระเบียบเหมือนกัน ผ้าปูเตียงขาวสะอาด ผ้าห่มพับเรียบร้อย ข้าวของส่วนใหญ่อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่บ้านหรือของเจ้าของห้องเอง แต่มีของบางอย่างที่คล้ายกับจะแหกคอกนิดๆ อย่างสมุดโน้ตที่เปิดกางอยู่ และดินสอที่ชวนให้คิดว่าแอบปีนจากแก้วทรงสูงมาอยู่บนโต๊ะตอนเจ้าของไม่อยู่บ้าน

            “ห้องหอมอะ” หลังจากพี่ทัชปิดประตู ผมก็หมุนตัวพร้อมกับสูดกลิ่นไปรอบๆ “แล้วนั่นพี่เขียนไรอะ กลอนเหรอ”

            พี่ทัชรีบเก็บดินสอกับสมุดเล่มนั้นใส่ลิ้นชัก ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปอย่างอื่น

            “พี่เล่นกีตาร์ด้วยเหรอ เฮ้ย เจ๋งอะ” ผมหยิบกีตาร์โปร่งที่มุมห้องมาเทสเสียง ดีดสายเปล่ามั่วๆ ไปนั่นแหละ แต่คนมันมีพรสวรรค์อะ ร้องเป็นเพลงได้ “I like me better when I'm with you I like me better when I'm with you...”

            “ไปอาบน้ำ” พี่ทัชเข้ามาแย่งกีตาร์ไปจากมือผม แล้วยัดเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูให้แทน

            “พี่เล่นให้ฟังหน่อยดิ”

            “ไปอาบ”

            “ถ้าอาบเสร็จแล้ว พี่เล่น…”

            ผมพูดไม่จบประโยคเพราะถูกดันหลังเข้ามาในห้องน้ำแล้ว แถมเขายังปิดประตูตามเรียบร้อย “เฮ้ยพี่ เจ๋งอะ ฝักบัวใหญ่โคตร มีห้องกระจกด้วย”

            “นะฑี รีบอาบ”

            “ถ้ารีบมากก็มาอาบให้ผมดิ”

            ผมเงี่ยหูรอฟัง แต่พี่ทัชไม่พูดอะไรแล้ว ผมเลยเปลือยตัวตนและเข้าห้องกระจกไปยืนใต้ฝักบัว ใช้เวลาอยู่ในนี้ราวๆ ห้านาทีก่อนจะกลับออกมาในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว

            “ทำไมไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย”

            “ก็เจ๊ณเทอบอกให้ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองนะ อยู่บ้านผมก็งี้แหละ ชอบแต่งตัวข้างนอก” เจ้าของห้องถึงกับถอนหายใจ ในมือเขามีผ้าขนหนูผืนใหม่กับเสื้อผ้าอีกชุด “พี่อาบต่อใช่ปะ ไม่รอเอาผ้าขนหนูที่ผมอะ นี่ ยังใหม่ๆ” ผมพูดพร้อมกับจับผ้าขนหนูที่นุ่งอยู่เช็ดก้นไปด้วย

            “มึงนี่มันจริงๆ เลย”

            “เอ้อ ผมทำสบู่ติดกระจก ฝากล้างด้วยนะ ลืมๆ”

            เดินเข้าห้องน้ำไปละ แกล้งนิดแกล้งหน่อยทำเป็นรับไม่ได้

            ผมอาศัยจังหวะนี้แต่งตัวให้เรียบร้อย เสื้อผ้าใหม่หอมฟุ้ง ซึ่งเป็นกางเกงขาสั้นที่ใส่ได้พอดี กับเสื้อยืดสีขาวล้วนเรียบๆ ไม่ใช่เสื้อที่ซื้อยกโหลแบบที่ผมเคยเห็นในตลาดเจ๊เนียมแน่นอน เพราะเนื้อผ้าดีกว่าเยอะ แล้วชุดนักศึกษาเลอะๆ ของผมนี่เอาไงวะ ไม่รู้จะเก็บยังไงเลยเขี่ยไปกองไว้ที่มุมห้องก่อนละกัน

            จากนั้นผมก็ถือวิสาสะนั่งลงบนเตียงเขา เช็ดผมไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้ก็อดนึกภาพพี่ทัชในห้องน้ำไม่ได้ รวมถึงภาพการใช้ชีวิตในจังหวะต่างๆ ในห้องนี้ด้วย

            แต่ไหนๆ ก็มาถึงรังเสือทั้งทีแล้ว ต้องสำรวจกันหน่อย

            ผมลุกขึ้นเดินสอดส่องไปทั่ว ไม่มีฝุ่นเลยจริงๆ ชั้นหนังสือเป็นระเบียบโคตร โต๊ะทำงานก็เหมือนกัน พอเขาเก็บสมุดโน้ตเล่มนั้นใส่ลิ้นชักแล้ว ก็ดูจะไม่มีอะไรอยู่ผิดที่ผิดทางเลย คันมือว่ะ อยากจะเปิดลิ้นชักเอาสมุดออกมาอ่าน แต่ไม่ดีหรอก มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไปดูตู้เสื้อผ้าดีกว่า

            ตู้เสื้อผ้าคุณชายมาก แขวนเสื้อไล่โทนสีจากสีอ่อนไปสีเข้ม แบ่งโซนเสื้อแขนสั้นแขนยาว ส่วนพวกกางเกงกับบ็อกเซอร์รวมถึงผ้าขนหนูนี่พับอยู่ในลิ้นชักเรียบร้อย

            น่าเบื่อ

            ผมปิดตู้เสื้อผ้าแล้วกลับมาเลียบๆ เคียงๆ อยู่แถวโต๊ะทำงานอีก มีหนังสือรวมไฮกุอยู่ตรงนี้ด้วย อันนี้ผมเคยเปิดดูแล้ว คงไม่เป็นไรถ้าจะดูอีก ผมเลยหยิบมันขึ้นมากรีดหน้ากระดาษผ่านๆ กะจะสุ่มอ่านสักบท มาสะดุดอยู่ที่หน้าหนึ่งเพราะมีบางอย่างคั่นอยู่

            แผ่นพลาสเตอร์สีเหลืองลายมินเนี่ยน

            ถ้าพูดให้ถูกคือ ซากพลาสเตอร์ที่ผมเคยให้เขานี่ เขาเก็บไว้ด้วย…

            พูดถึงพลาสเตอร์ เมื่อกี้ผมเห็นกล่องเบ้อเริ่มวางอยู่ที่โต๊ะหน้ากระจก ไหน ลองสวมบทคุณชายดูหน่อยว่าแต่ละวันเขาทำยังไง ผมวางหนังสือลง แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง คิดวางแผนอะไรนิดหน่อย ก่อนจะหยิบพลาสเตอร์สิบแผ่นมานั่งที่เตียง ฉีกมันออกมาพันนิ้วทีละนิ้ว

            “ทำอะไร” พี่ทัชออกจากห้องน้ำแล้ว เขาแต่งตัวเรียบร้อยมาตั้งแต่อยู่ข้างในเลย คือสวมกางขาสั้นที่สีเข้มกว่าของผม แต่เสื้อยืดสีขาวแบบเดียวกันเป๊ะ หรือว่าพี่ทัชซื้อเสื้อยกโหลจริงๆ

            “ช็อตนี้พี่ต้องเปลือยท่อยบนโชว์ซิกซ์แพ็กส์เดินออกมาดิ ไม่เคยดูหนังเหรอ”

            “...”

            “ทำไมอะ เขินเหรอ หรือว่าปกติก็แต่งตัวอยู่ในห้องน้ำแบบนี้”

            พี่ทัชก้าวมาหยุดตรงหน้าผม ผ้าขนหนูยังพาดอยู่บนไหล่และเส้นผมยังเปียกชื้นไม่เป็นทรง แต่ก็ยังดูดีสุดๆ หนังหน้างี้ก็ไม่รู้จะใสไปไหน

            “ถามจริง เกิดมาพี่เคยเป็นสิวปะ”

            “นี่มึงเล่นอะไร”

            ผมกางนิ้วทั้งสิบที่เพิ่งพันพลาสเตอร์เสร็จให้เขาดู “ก็ลองดูเฉยๆ เป็นไงมั่ง เข้ากับผมปะ” พยายามประณีตที่สุดแล้ว แต่พลาสเตอร์บนปลายนิ้วก็ยังยับๆ ยู่ๆ อยู่ดี “นี่พี่ทนทำแบบนี้ทุกวันได้ไง รุงรังมาก” ผมลองใช้นิ้วพลาสเตอร์ลูบแก้มตัวเอง “แถมสากโคตรๆ”

            “กล่องพลาสเตอร์ไปไหน”

            “ก็เห็นมั้ยล่ะ”

            “ไม่เห็นไง ถึงถาม”

            “งั้นไม่น่าถาม ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่าผมเอาไปซ่อนไง”

            “นะฑี”

            “ทำไมพี่อาบน้ำนานอะ สนุกสนานสนามหลวงเหรอ”

            “สนามหลวงอะไร”

            “ทำเป็นใสซื่อนะ ก็การละเล่นพื้นบ้านที่ชอบไปเล่นกันที่สนามหลวงไง…” ผมเหลือบตามองบน ทำหน้าฟินแบบแอ๊คติ้งโอเวอร์ และทำท่ากระตุกเชือกล่องหนที่ผูกติดกับว่าวปักเป้าในจินตนาการ ถ้าขนาดนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะว่าไงละ

            “บางทีกูก็สงสัยนะ ลิมิตความทุเรศของมึงจะไปสุดที่จุดไหน”

            “ไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย~” ผมฉีกยิ้ม “ถ้าพี่ไม่ได้ช่วยตัวเอง ทำไมนานล่ะ”

            “กูอาบน้ำ ไม่ได้วิ่งผ่านฝักบัวเหมือนมึง กล่องพลาสเตอร์อยู่ไหน”

            “อยู่บ้านพี่ยังจะติดพลาสเตอร์อีกเหรอ”

            “ปกติก็ไม่ แต่มึงอยู่นี่ด้วยแหละเลยต้องติด”

            “ทำไมอะ”

            “เดี๋ยวโดนตัวมึงแล้วมึงจะพูดอะไรทุเรศๆ”

            “ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ไปกินเกลือบ้านตาแป๊ะ ไปนอนเปาะแปะ ให้ตาแป๊ะเลียตูด...เห็นมะ พี่ไม่จับตัวก็พูดทุเรศได้”

            “เอาที่มึงสบายใจ”

            “ครับโผม”

            พี่ทัชมองไปรอบๆ ห้องพลางขมวดคิ้ว

            “หาดิ ไม่เจอง่ายๆ หรอก”

            เขาทำท่าจะเปิดลิ้นชักโต๊ะหน้ากระจก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไปหยิบชุดนักศึกษาเลอะๆ ของผมขึ้น ซึ่งกล่องพลาสเตอร์ก็อยู่ใต้กองเสื้อนั่นแหละ

            “เฮ้ย ทำไมรู้อะว่าอยู่ตรงนั้น”

            “ให้พี่บัวซักก่อน แล้วเดี๋ยวกูเอาไปให้” พี่ทัชพูดไปอีกเรื่อง เขาเอาเสื้อผ้าของผมใส่ลงไปในตะกร้าผ้ารวมกับเสื้อผ้าชุดเก่าๆ ของตัวเอง เอากล่องพลาสเตอร์มาวางที่โต๊ะเครื่องแป้งเหมือนเดิม แล้วก็มานั่งบนเตียงห่างจากผมราวๆ หนึ่งช่วงแขน

            ผมกระแซะเข้าไปใกล้เขาอีกนิด “ไม่ติดนิ้วอะ”

            “ก็มึงเอามาติดเล่นจนมันใกล้หมดแล้ว ที่เหลือนั่นเอาไว้ติดไปมหา’ลัยพรุ่งนี้”

            “งี้ก็เสร็จผมดิ ผมจะจับนิ้วพี่ตอนไหนก็ได้”

            พี่ทัชหันมาทำหน้าดุ “กล้าเหรอ”

            ผมเม้มปากชั่งใจ “รู้ปะ ผมเป็นด้านตรงข้ามของพี่นะ พี่เปลือยนิ้วแล้วใช้พลังใช่ปะ ส่วนผม ถ้าติดพลาสเตอร์แบบนี้จะมีพลังสามารถทำให้พี่พูดความจริงได้”

            “...”

            หมับ!

            ผมคว้าที่ข้อมือเขา “บอกมา เก็บซากพลาสเตอร์ที่ผมให้ไว้ทำไม”

            “อะไรของมึง”

            “พลาสเตอร์ลายมินเนี่ยนอะ ในหนังสือกลอน ทำไมไม่ทิ้ง”

            “นี่มึงแอบดูของส่วนตัวกูเหรอ”

            “จะเก็บเอาไว้ทำคุณไสยใส่ผมใช่มั้ย บอกความจริงมา”

            “กูใช้คั่นหนังสือ ตอนนั้นมันไม่มีอะไรคั่น”

            “จริงดิ”

            พี่ทัชสะบัดมือออกเบาๆ ซึ่งผมก็ไม่ขัดขืน “นี่มึงค้นข้าวของอะไรกูอีก”

            “ไม่บอก อยากรู้ก็จับตัวดิ”

            “งั้นก็ช่างมัน ไม่อยากรู้”

            “ไม่หนุกเลย บอกให้ก็ได้ ผมดูกางเกงในพี่ พับไว้เป็นระเบียบโคตรๆ”

            “นะฑี”

            “ขอเล่นเด้งเตียงได้ปะ”

            “เด้งอะไรของมึง”

            “เด้งเตียงไง แบบนี้” ผมลุกขึ้นถอยไปสองสามก้าวเพื่อตั้งหลัก “หลบหน่อยๆ” แล้วก็พุ่งไปทิ้งตัวลงบนเตียงในท่าคว่ำหน้ากางแขนกางขา ดึ๋ง~ ของโคตรดี หลังจากช็อตแรกยังมีเด้งดึ๋งๆ อีกสองสามทีเหมือนช็อกเวฟ ส่งแรงสะเทือนที่แสนอ่อนโยนแผ่ซ่านไปทั้งตัว “ฟินอะ ขออีกที…”

            ผมลุกไปตั้งท่า แล้วพุ่งตัวอีกที

            อีกที

            และอีกที…

            ครั้งหลังนี่พี่ทัชถึงกับต้องขยับหลบไปนั่งปลายเตียง

            “มึงกี่ขวบแล้ว เล่นอะไรเป็นเด็กๆ”

            “ชดเชยวัยเด็กไง ที่บ้านไม่เคยมี ตอนนี้ก็ยังไม่มี”

            “...”

            “แต่ไม่มีก็ดี ถ้าผมมีเตียงนุ่มขนาดนี้นะ คงเรียนไม่จบอะ นอนแต่เช้ายันเย็นแน่...เฮ้ย พี่” ผมพลิกตัวขึ้นมานั่ง “เล่นสงครามหมอนกัน”

            “ฮะ?”

            “สงครามหมอนไง เหมือนในซีรี่ส์วัยรุ่นอะ” ขณะที่พี่ทัชงงๆ อยู่ ผมก็คว้าหมอนฟาดเขาซะเต็มเหนี่ยว “แบบนี้”

            “เฮ้ย” เฮ้ยไร เปิดก่อนได้เปรียบ กระหน่ำฟาดเข้าไปอย่างไม่ยั้ง “นะฑี หยุด! ไม่เล่น เฮ้ย...เล่นงี้ใช่มั้ย ได้!”

            พี่ทัชยกแขนข้างหนึ่งป้องกันใบหน้าไว้ พร้อมกับก้มหน้าก้มตาเข้ามาคว้าหมอนข้างไปได้ คราวนี้เราต่างก็มีอาวุธในมือเท่ากันแล้ว...ไม่เท่าดิ ของพี่แกยาวกว่า ทำไมผมไม่คว้าหมอนข้างตั้งแต่แรกวะ

            “มึงโดนแน่”

            “มาดิ ไม่กลัวหรอก”

            ผัวะๆๆ

            “โอ๊ย พี่โกงอะ หมอนข้างมันแข็งกว่า”

            “มึงเริ่มก่อน”

            “ตายซะ”

            “เฮ้ย เล่นทีเผลอเหรอ”

            ผัวะๆๆ ตับๆๆ

            เราไล่ฟาดกันไปรอบห้อง ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ราวๆ สิบนาทีน่าจะได้ สุดท้ายก็มานอนแผ่หอบหายใจอยู่บนเตียงด้วยกันทั้งคู่ โดยเหยียดเท้าออกไปที่ขอบเตียงคนละฝั่ง และศีรษะวางอยู่ใกล้ๆ กันบริเวณกลางเตียง

            “เหงื่อซึมขนาดนี้ ต้องอาบน้ำใหม่อีก” พี่ทัชพูด

            “อาบด้วยกันปะ จะได้ประหยัดน้ำ”

            “หุบปากไป”

            “พี่ ผมมีเรื่องจะสารภาพ”

            “อะไร”

            “พี่อย่าโกรธนะ”

            “...” พี่ทัชนิ่งไปนิดนึง “ถ้ากลัวกูโกรธก็อย่าพูด”

            “ผมทำปลอกหมอนพี่ขาดอะ ฟาดแรงไปหน่อย”

            “นึกว่าอะไร ช่างมัน”

            “มีอีกเรื่อง”

            “เมื่อกี้ผมแอบตด”

            “นะฑี มึง”

            “เอ๊ะๆ เสียงรถมา ใช่พ่อพี่ปะ พ่อพี่กลับมาแล้วแน่ๆ”

            พี่ทัชถอนหายใจ ก่อนจะพูดสั้นๆ “เออ"

            “ดีเนอะ มีพ่อ ครอบครัวพี่อบอุ่นมากรู้เปล่า”

            “พูดเหมือน...”

            เขาไม่พูดต่อ ผมเลยต่อให้ “พ่อผมไปสบายแล้วอะ”

            พี่ทัชนิ่งไปนิดนึง ก่อนจะพูดเบาๆ “กูขอโทษ”

            “เฮ้ย ไม่เป็นไร มันนานแล้ว ตอนนี้ชิลล์...พี่เล่นกีตาร์ให้ฟังหน่อยดิ”

            “ขี้เกียจ”

            “เล่นเป็นรึเปล่าเหอะ หรือเอามาวางประดับห้องให้ดูเท่เฉยๆ”

            “ไปหยิบมา”

            ผมเด้งดึ๋งจากเตียงไปหยิบกีตาร์มา ดูจากโลโก้ยี่ห้อถ้าผมอ่านไม่ผิดน่าจะเป็นคำว่า Martin พี่ทัชรับกีตาร์ไปแล้วลุกขึ้นนั่งไว้ในท่าพร้อมเล่น ส่วนผมทิ้งตัวนอนคว่ำเอาหมอนซุกใต้อก

            “พี่เล่น ผมร้อง”

            “เพลงไร”

            “เอาง่ายๆ ก่อนเลย ของวง Lauv”

            “ได้”

            นิ้วเรียวยาวและเปลือยเปล่าของเขาขยับคล่องแคล่วไปตามคอกีตาร์ เมโลดี้ที่ดังขึ้นผมก็รู้ทันทีว่าคือเพลง I Like Me Better ที่เราฟังกันจนนับรอบไม่ถูกแล้วนี่เอง พอเป็นเวอร์ชั่นอะคูสติกก็แปลกดีแฮะ ฟังเพลินเลย

            “ไป” พี่ทัชพูดขึ้น

            “ไปไหน”

            “ก็ร้องไง จังหวะนี้มึงต้องร้องแล้ว”

            “อ้าวเหรอ นี่พี่เล่นเป็นจริงป้ะ ถ้าจะให้ร้องพี่ต้องบอกว่า สาม สี่ ไป...แบบนี้”

            “งั้นเอาใหม่”

            พี่ทัชเล่นอินโทรอีกครั้ง “สาม สี่ ไป…”

            “To be young and in love in New York City…” ผมร้อง จากนั้นก็อือๆ อาๆ ดำน้ำไปครับ รอไปขยี้ดังๆ ตรงท่อนฮุคเอา แล้วก็ดำน้ำต่อจนจบเพลง “วู้ววว สุดยอด นี่ถ้าอัดคลิปลงยูทูบยอดไลก์เป็นแสนเลยนะ”

            “มึงร้องมั่ว”

            “แล้วไง เพราะก็แล้วกัน”

            “ถ้าร้องงี้ ให้กูเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์เลยก็ได้”

            “ยังไง”

            “ก็เล่นแค่กีตาร์อย่างเดียว ให้กีตาร์ร้องเพลงแทน คนไม่ต้องร้อง”

            “นึกออกละ เคยดูในยูทูบ มีคนนึงเก่งๆ ที่เป็นคนเกาหลีใช่ปะ...พี่ขี้โม้อะ เล่นแบบนั้นคือเทพเกินไปแล้ว ไหนเล่นให้ฟังดิ๊”

            “ไว้วันหลัง เดี๋ยวลงไปหาพ่อกันก่อน”

            “จริงด้วย เข้าถ้ำเสือต้องไปหวัดดีพ่อเสือก่อน จะมาขลุกอยู่แต่กับลูกเสือมันดูไม่งาม”

            “จะเย็นแล้ว มึงอยู่กินข้าวด้วยเลยละกัน”

            “จะดีเหรอ”

            “กูยังไปกินข้าวบ้านมึงเลย”

            “มีล็อบสเตอร์ปะ หรือสเต๊กเนื้อโกเบอะไรงี้”

            “เลิกเพ้อเจ้อได้ละ ไป”

            “เดี๋ยวๆ แล้วพ่อพี่เป็นคนยังไง ดุหรือเปล่า”

            “ก็ทำตัวดีๆ ละกัน อย่ากวน”

            พี่ทัชลุกไปเปิดประตูห้อง ส่วนผมก็รีบเด้งตัวขึ้นมาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสยผมให้เป็นทรง แอบสูดหายใจลึกๆ จากนั้นก็เดินตามเขาต้อยๆ มาที่บันได

            แม่กับพี่สาวนี่ผมคิดว่าเข้าหน้ากันได้ไม่มีปัญหา แต่กับพ่อไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง

            ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมาก็เหมือนจะได้รู้แล้ว เพราะพ่อยืนกอดอกรออยู่ที่เชิงบันไดชั้นล่างนี่เอง สีหน้าเครียดเชียว ถ้าพูดตรงๆ ก็คือมองเราตาเขียวแบบไม่พอใจสุดๆ

            “เดี๋ยวนี้พาผู้ชายมานอนกกที่บ้านขนาดนี้ นี่มึงยังเห็นหัวพ่ออยู่มั้ย”

            พรืดดด

            ลื่นเกือบหัวทิ่มลงบันได

            “สะ...สวัสดีครับคุณพ่อ”

            “ไม่ต้องไหว้หรอก กูไม่ใช่พ่อมึง”

            เอ่า พูดงี้ ถอนหงอกสักเส้นสองเส้นแล้วเดี่ยวกันเลยดีกว่ามั้ย





____________________________



ขอบคุณทุกคนที่อ่านมากเลยค่า
ขอบคุณคอมเมนต์น่ารักๆ ที่ทำให้ยิ้มได้ตลอดเลย

ฝากรักฝากเอ็นดูเด็กแสบกับพี่ณทัชคนดีด้วยนะคะ :D

นางร้าย
22.พฤศจิ.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 2|▌15.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 22-11-2019 22:48:04
นะฑี~~เธอมันคนล้น ล้นไปมาก มากจนฉันกลัวว่าเธอจะกลับมาไม่ได้ 55555 คนบ้า! ตดแล้วจำเป็นต้องบอกไหม?  :jul3:

อิพี่นี่ก็แพ้ทางน้องจริงๆ น้องยุ น้องหลอกล่อยังไง รู้ก็รู้ แต่ก็ยังบ้าจี้ทำตาม หลายทีละ 5555 / หรือจริงๆแค่อยากตามใจน้องใช่ไหม? อ๊ายยย

ตอนก่อนลุ้นให้พี่ทัชอาบน้ำให้ทั้งหมาทั้งคน ปรากฏ อิน้องกวักมือเรียกให้อาบให้เองเลยจ้าาาา 55555 หมดกันความรอฟินของฉัน

เอาแล้ววว พี่ทัชมีดราม่ากับพ่อ ฉันขอแนะนำ เอาอิน้องไปขังไว้ในห้องเก็บของก่อน อย่าเพิ่งปล่อยออกมา เดี๋ยวจะป่วนจนคุณพ่อพี่ทัชจะเกรี้ยวกราดเบอร์ใหญ่มากกว่านี้  :laugh:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 2 |▌22.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 23-11-2019 21:53:11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 2 |▌22.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-11-2019 10:55:51
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 22) PART 2 |▌22.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 25-11-2019 18:48:27
พ่อแกล้งหรือว่าวีนจริงๆ55
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 23) |▌27.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 27-11-2019 19:40:17

แตะต้องครั้งที่ 23

จับบบ…อยากบวกกับพ่อผมขอโยนขี้
ผีเจ้าที่ก็มาป้าร่างทรงก็มีเรื่องนี้เรื่องนั้น แล้วก็เรื่องโน้นนน



เห็นลูกชายมาดอย่างกับคุณชาย นึกว่าคนเป็นพ่อจะกิริยามารยาทเหมือนเจ้าพระยา ที่ไหนได้ คำพูดคำจาอย่างกับลุงแถวบ้าน นี่ถ้าเป็นลุงแถวบ้านจริงๆ ผมอาจจะพุ่งเข้าไปบวกแล้ว

แต่เห็นว่าเป็นพ่อพี่ทัชไง แถมผมยังอยู่ในบ้านเขาด้วย ตอนนี้เลยทำได้แค่ก้าวถอยกลับขึ้นบันไดไปหนึ่งขั้น แล้วขยับไปหลบข้างหลังพี่ทัช

“ผมต้องทำไง” ผมกระซิบเบาๆ

“ทำตัวตามปกติ” พี่ทัชตอบ

“ซุบซิบอะไรกัน” คุณพ่อพูดเสียงเข้ม “แล้วยืนทำซากไรกันอยู่ ไม่ลงมาสักทีวะ”

“ป๊า…”

“อะไร!”

นี่ป๊าพี่ทัชหรือป๊าผงฟอกวะ ดุชิบหาย

พี่ทัชทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่ก็เปลี่ยนเป็นยักไหล่และถอนหายใจแทน ผมรวบรวมความกล้าก้าวเบี่ยงตัวไปด้านข้าง ยืดอกขึ้นอย่างลูกผู้ชาย แล้วชี้มือใส่พี่ทัช

“ไอเดียพี่ทัชครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”

“นะฑี”

“ก็พี่บอกให้ทำตัวตามปกติไง...พี่ทัชผิดครับ เขาชวนผมขึ้นห้องเอง”

ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะร้ายแรงแค่ไหน แต่โยนขี้ไว้ก่อน ยังไงพ่อกับลูกก็น่าจะเคลียร์กันไม่ยาก

พี่ทัชมองหน้าผมพลางถอนหายใจ ก่อนจะเดินลงบันไดช้าๆ แต่มั่นคง

ผมทำไงล่ะ จะให้ยืนหัวโด่อยู่คนเดียวก็คงแปลกๆ เลยย่องตามเขาไปแบบตัวลีบๆ จนลงมาถึงชั้นล่าง เผชิญหน้ากับคุณพ่อที่ตอนนี้หน้าแดงไปหมดแล้ว หัวคงกำลังร้อนได้ที่ นี่ถ้าเย็นนี้จะกินหมูกระทะกันก็เอาเตามาตั้งบนหัวพ่อแล้วแจกตะเกียบมานั่งล้อมวงได้เลย

“พอได้ละป๊า” พี่ทัชพูดเรียบๆ

“…หึ” พ่นลมผ่านไรฟันกะปริบกะปรอยแบบนี้ เตรียมหูชาได้เลย ด่ากระจายแน่นอน “ฮึ...ฮ่าๆๆ” เอ้า หัวเราะซะงั้น “โดน! เสร็จป๊าละ”

พี่ทัชยังหน้านิ่งเป็นปกติ คนที่เหวอคือผมนี่แหละ

เกิดอะไรขึ้น ป๊าพี่ทัชเป็นโรคประสาทอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหัวเราะ แล้วก็ไล่ทำร้ายคนในครอบครัวไรงี้ ต้องจับมัดมือมัดเท้ามั้ย

“เพื่อนทัชเหรอ สวัสดีนะ” คุณพ่อพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้

เดี๋ยวๆ ผมนี่ยกมือประนมแทบไม่ทัน “อย่าไหว้ผมครับ เดี๋ยวอายุสั้น”

“เปล่าๆ อันนี้คือรับไหว้เรา ที่สวัสดีตั้งแต่อยู่บนบันไดไง”

ครับ รับไหว้โคตรดีเลย์เลย กลายเป็นว่าตอนนี้พ่อนั่นแหละที่ไหว้ผม และผมคือคนรับไหว้

“เอ่อ...ครับ ผมชื่อนะฑีนะครับ เป็นเพื่อนรุ่นน้องของพี่ทัช”

“อ่า...ครับ เป็นพ่อของทัชนะ แต่จะเรียกป๊าก็ได้”

“ครับ...ป๊า”

“ครับ...นะฑี” ป๊าฉีกยิ้ม ก่อนจะรีบเสริม “มีสระอะ และสะกดด้วย ฑ.นางมณโฑ ณเทอบอกป๊าแล้ว”

“อ้อครับ ใช่”

“แม่บอกมาอีกทีน่ะ” เจ๊ณเทอโผล่หน้ามาทางซ้าย “ป๊าแสดงละครจบแล้วเหรอ กำลังจะเตรียมป๊อปคอร์นเลย”

“กะจะแสดงยาวๆ นะ แต่หลุดขำก่อน”

“แสดงเสร็จแล้วก็ขอโทษน้องด้วย อย่าเสียมารยาท” คุณแม่โผล่มาจากทางขวา

“ขอโทษครับ นะฑี” ป๊ายกมือขึ้นจะไหว้อีกแล้ว

“ไม่ครับ ไม่ต้อง…”

แต่เจ้าตัวไม่ได้ไหว้ แค่ยกมือหลอกๆ แล้วเปลี่ยนเป็นเสยผมแทน “อะ โดนไปอีกดอก”

ส่วนผมรับไหว้ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้จะรับมุกยังไง งั้นก็ยกมือท่วมหัวสูงๆ ไปเลยละกัน “สาธุ ถือว่าผมไหว้พระก็แล้วกันนะครับ”

“ฮ่าๆ เป็นคนตลกนะเนี่ย อยู่กินข้าวด้วยกันสิ นานๆ ทัชจะพาเพื่อนมาบ้านสักที”

นั่นละครับท่านผู้ชม

ขอพักกองไปทบทวนชีวิตแป๊บ ผมขอตัวโทรบอกแม่ ซึ่งถือว่าโชคดีที่วันนี้แม่มีน้าเกดอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนด้วย จากนั้นผมก็มานั่งแกล้งทำตัวตามสบายอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านพี่ทัช โดยมีพี่ทัช ป๊า แล้วก็เจ๊ณเทอนั่งทำตัวตามสบายกันจริงๆ อยู่ด้วย โดยเฉพาะป๊า ท่าเอนหลังนี่นึกว่านอนแผ่อยู่ในสปาส่วนตัว ส่วนคุณแม่น่าจะขลุกอยู่กับพี่บัวในครัว

จากการคุยกันเบื้องต้น ผมก็ได้ข้อมูลซุกไว้ในกลีบสมองแบบคร่าวๆ แม่เป็นคนใจดีอยู่แล้ว ผมสัมผัสได้ตั้งแต่นาทีแรกที่เจอ ส่วนพ่อเป็นผู้ชายอารมณ์ดีประเภทตลกร้ายแบบหาตัวจับยากคนหนึ่ง เขามีเชื้อจีนเลยให้ลูกทั้งสองคนเรียกตัวเองว่าป๊า ส่วนแม่เป็นคนไทยแท้ๆ เลยห้ามเรียกหม่าม้า ให้เรียกแม่แบบคนไทย เจ๊ณเทอเป็นคนให้เหตุผลในเรื่องนี้ว่า เพื่อรักษาวัฒนธรรมของทั้งสองชาติเอาไว้ให้ยืนยาวชั่วลูกชั่วหลาน

พูดถึงเจ๊ณเทอ รายนี้น่าจะเป็นคนอารมณ์ดี คุยเก่ง แถมเวลาได้พูดแจมสักทีก็มีแต่มุกเด็ดๆ แสบๆ ทั้งนั้น น่าจะได้เชื้อตลกร้ายมาจากพ่อ แล้วไปตกผลึกเป็นสไตล์ของตัวเองอีกที

หลังจากคุยกันอยู่สักพักก็ได้เวลามื้อเย็น เราทุกคนย้ายก้นกันไปที่โต๊ะอาหาร คุณแม่นั่งหัวโต๊ะ ป๊ากับเจ๊ณเทอนั่งฝั่งซ้าย ส่วนผมกับพี่ทัชนั่งข้างกันที่ฝั่งขวา เราต่างช่วยกันจัดจานชามโดยมีพี่บัวเป็นแม่งาน จากที่สังเกตดู ทุกคนให้ความเป็นกันเองกับพี่บัวมาก เหมือนไม่ใช่แม่บ้านที่จ้างมา แต่เหมือนเป็นญาติคนหนึ่งมากกว่า บางวันอาจร่วมกินข้าวด้วยกันด้วยซ้ำ แต่วันนี้มีแขก พี่บัวเลยขอปลีกตัวออกไป

จัดโต๊ะเสร็จแล้ว กับข้าวแต่ละอย่างดูผู้ดี๊ผู้ดี ช้อนส้อมในมือนี่สั่นไปหมด

จ๊อกกก~

เสียงโคตรดัง

“ใคร” ป๊าถาม

“พี่ทัชครับ” ผมโยนขี้ไปอีก อันที่จริงคือท้องผมนี่แหละที่ร้อง

พี่ทัชไม่พูดอะไร เขาตักไข่เจียวชะอมมาใส่จานให้ผมด้วยสีหน้านิ่งๆ นี่ไงล่ะคนจริง ไม่ต้องพูดมาก แต่ลงมือทำเลย จากนั้นทั้งคุณแม่ ป๊า แล้วก็เจ๊ณเทอ ต่างก็ตักกับข้าวคนละนิดละหน่อยมาสุมในจานผม อย่างกับไหว้สัมภเวสี

น้ำตาจะไหล ทำไมทุกคนรักผมขนาดนี้

“ขะ...ขอบคุณครับ”

ทุกคนเป็นกันเองมาก ไม่มีใครใส่ใจกับคำขอบคุณอย่างเป็นทางการของผมเลย จนเหมือนว่าตักกับข้าวไหว้เจ้าที่เสร็จก็หันไปสนใจอย่างอื่น

“นะฑีรู้จักกับทัชนานยัง” เจ๊ณเทอถามขึ้น

“ก็ไม่นานครับ”

“นึกว่านาน เห็นดูสนิทกัน ปกติทัชไม่ค่อยพาใครมาบ้านนะ ครั้งล่าสุดนี่ก็...ตอนไหนนะป๊า”

“น้องเนยไง แฟนตอนปีหนึ่ง”

“นานขนาดนั้น ลืมไปแล้วนะเนี่ย”

“มีอีกคนนานกว่านั้นอีก”

“ใช่ๆ ใครนะ”

“น้องแพม ตอนม.2” คราวนี้แม่เป็นคนตอบ

“พี่ทัชเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงด้วยเหรอ” ปากผมสว่างทันที “ผมนึกว่าพี่เป็นเกย์นะเนี่ย”

เหมือนกับว่าความแปลกใจกระโดดงับคอทุกคนพร้อมกัน โดยเฉพาะคุณแม่นี่ถึงกับหลับตาเอียงคอคล้ายกับฟังไม่ถนัด ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ทุกคนตกอกตกใจนะ แค่จะแซวเล่นๆ แล้วมันก็หลุดปากพูดไปเองอะ ลืมไปว่าตอนนี้คืออยู่ต่อหน้าพ่อแม่และพี่สาวของเขา

“ล้อเล่นน่า ก็เห็นอยู่มหา’ลัยไม่เห็นสนใจผู้หญิงเลยอะ” หลุดปากแล้วก็ต้องกลบเกลื่อน แต่ก็ไม่เห็นพี่ทัชสนใจผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ

“หรือว่าใช่จริงๆ ทัชเป็นเกย์เหรอ” ป๊าพูดขึ้นอย่างร่าเริง “เฮ้ย ก็ดีนะ ตระกูลเรายังไม่เคยมีใครเป็นเลย ทัชอาจจะเหมาะกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงก็ได้ ใช่มั้ยแม่”

“จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ทัชสิ” แม่บอก

“เดี๋ยวนี้โลกเปิดกว้างแล้ว ถ้านิยมแนวนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก ทัชปรึกษาเจ๊ได้ตลอดนะ” เจ๊ณเทอพูดเหมือนจะปลอบ แต่ประโยคต่อมานี่สิ “ข้อแรกเลยนะ ควรพกถุงยางกับเจลติดไว้ตลอด” พูดไปนั่น

โดนต้อนขนาดนี้ยังรักษามาดคุณชายไว้ได้หน้าตาเฉย “ไร้สาระน่า” เขาพูดแค่นั้น แล้วกินข้าวต่อชิลล์ๆ เห็นแล้วก็หมั่นไส้ อดที่จะโยนคำถามลงกลางวงไม่ได้

“แล้วตอนพี่ทัชคบกับแฟนเป็นยังไงบ้างเหรอครับ”

“จะเรียกว่าแฟนก็ยังไงอยู่นะ เพราะคบแค่แป๊บๆ” คุณแม่ว่า

“ใครจะคบได้นานล่ะ ก็…” เจ๊ณเทอเสริม แต่ชะงักคล้ายกับฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ แล้วค่อยพูดต่อ “เป็นคนติสต์แตกโลกส่วนตัวสูงขนาดนั้น”

“ร้อน” พี่ทัชพูดหน้าตาเฉย

คนอื่นๆ กะพริบตากันปริบๆ มีแค่ผมคนเดียวที่หลุดหัวเราะพรืด

“อะไรเหรอ” แม่ถาม

“พี่ทัชเขาเล่นมุกอะครับ แบบว่า โดนเผาเลยร้อน”

“ทัชเล่นมุกเหรอ” เจ๊ณเทอทำเสียงตกใจ

“จริงดิ!” ป๊านี่ก็แอ๊คติ้งโอเวอร์ไปอีก ถึงกับยื่นหน้าเข้ามามองลูกชายใกล้ๆ “แกเป็นใคร ต้องการอะไร มาสิงทัชทำไม”

“ฮ่าๆ มุกผีสิงนี่ เหมือนน้องแพมเลยนะป๊า…” เจ๊ณเทอชะงักอีก เหมือนเกือบจะหลุดพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด

เกิดจังหวะเดดแอร์สั้นๆ ผมเลยพูดต่อ “พี่ทัชแกติดเชื้อผมน่ะ มุกโดนเผานี่ผมคิดเอง”

“แล้วนะฑีรู้จักทัชได้ไง เรียนคณะเดียวกันเหรอ” คุณแม่ถาม

“เปล่าครับ ผมเรียนบริหาร รู้จักพี่ทัชเพราะพี่เห็ดน่ะครับ”

“ใครนะ” เจ๊ณเทอถาม

“อ้อ พี่เรนจิครับ ผมเรียกเขาว่าพี่เห็ดเพราะชื่อเหมือนเห็ดออรินจิน่ะ”

“อ๋อ”

“วันนั้นพี่เห็ดหัวร้อนครับ นึกว่าผมจะไปเป็นคู่แข่งจีบสาว เลยลากตัวผมไปให้พี่ทัชใช้พลังเค้นความลับ ก็เลยได้รู้จักกัน”

เงียบกริบกันทั้งโต๊ะ

อึ้งอะไรกัน ทุกคนก็รู้เรื่องอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

“เอ่อ...ก็พลังเอ๊กซ์เมนของพี่ทัชไง แตะปุ๊บรู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง”

“นะฑีรู้เรื่องพลังเหรอ” เจ๊ณเทอเปิดประเด็น 

“พี่ทัชบอกผมครับ ผมไม่ได้ตื๊อหรือว่าอะไรเลยนะ”

ตอนนี้สายตาทุกคู่หันไปมองพี่ทัชกันหมด

“ใช่ ผมบอกนะฑี”

อือหือ ลูกผู้ชายตัวจริง เสียงนิ่งมาก เล่นเอาผมรู้สึกผิดเลยนะเนี่ย ขอโทษนะพี่ทัชที่ผมโยนขี้ให้พี่ตลอด ทั้งโต๊ะยังเงียบกริบกันอยู่ แต่สายตาทุกคู่ที่มองพี่ทัชอยู่เปลี่ยนเป็นมองมาทางผมแล้ว

ผมต้องทำไงล่ะ ลุกขึ้นเต้นท่าลิงเลยดีมั้ย

“พี่ทัชบอกเองครับ” ย้ำไปอีกทีละกัน ทุกคนยังมองหน้าผม ป๊าถึงกับชี้นิ้วแล้วด้วย “จริงๆ นะ ผมแค่ถามเฉยๆ ว่านิ้วเป็นอะไร พี่ทัชก็บอกเลย ทีแรกผมก็ไม่เชื่อนะ หน้าตาขี้โม้อะ พอลองจับมือหลายๆ ครั้งก็แบบ เฮ้ย ของจริงว่ะ หรือว่าพี่แกเป็นเอเลี่ยนวะไรงี้…ก็ นั่นแหละ สรุปคือพี่ทัชผิดครับ”

นิ้วของป๊าที่ชี้ผมอยู่กระดกขึ้นลงนิดๆ “คนแรกเลยนะเนี่ย”

“คนแรกอะไรเหรอครับ”

“คนแรกที่ทัชยอมรับตรงๆ ว่าเป็นคนบอกเอง” คุณแม่เป็นคนพูด

“แล้วก็อาจจะเป็นคนแรกที่รู้แล้วยังคบกับทัชต่อ ถ้าไม่นับเรนจิที่เป็นญาติกันน่ะนะ” เจ๊ณเทอเสริม “นอกนั้นนี่ แทบจะหนีกระเจิดกระเจิงกันหมด”

“ขนาดนั้นเลย” ผมนี่นึกภาพคนวิ่งแตกฮือเหมือนพี่ทัชเป็นตัวประหลาดเลย

“ใช่ แต่ก็มีไม่กี่คนหรอก แถมแต่ละคนยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ”

“รวมถึงแฟนเก่าพี่ทัชด้วย?”

“รวมดิ น้องแพมนี่ถึงกับบอกว่าตัวเองโดนผีเจ้าที่บ้านเราสิง แทบจะวิ่งเลย อย่างฮา...ส่วนน้องเนย เป็นยังไงนะแม่”

คุณแม่ไม่ตอบ ตาแอบมองไปที่พี่ทัชเหมือนเป็นห่วง

แต่ป๊านี่พูดสวนขึ้นมาทันทีเลย “น้องเนยนี่มาบ้านเราหลายครั้ง ครั้งนึงแอบไปถามแม่ไงว่าทัชทำของใส่เขารึเปล่า แม่ก็มาเล่าให้ป๊าฟัง แบบนี้ก็เสร็จดิ พอมาบ้านเราอีก ป๊าเลยไปนั่งท่องชื่อเครื่องปรุงอยู่ที่มุมห้องตรงนั้น”

“ฮะ? ยังไงนะครับ”

“ก็ถ้าพูดกระซิบแบบเร็วๆ มันฟังดูคล้ายๆ ภาษาขอมโบราณอยู่นะ แบบนี้...ขิงดองตะไคร้ผักชี ซี้อิ๊วดำซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำๆๆๆๆ งาคั่วงาป่น ซี้อิ๊วๆๆๆ…”

เอ่า ฮา! ฮากันเข้าไป

โดยเฉพาะเจ๊ณเทอนี่ถ้าเป็นจังหวะเคี้ยวอยู่คงมีข้าวพุ่งกันบ้าง “ฮ่าๆๆๆๆ เสียดายไม่ได้อยู่ด้วย อยู่นะ จะวิ่งไปกำข้าวสารเสกมาปาใส่ป๊าเลย ฮ่าๆ”

เอ่า ฮาครืนกันไปอีกยก แถมยังมียกมือมาตีไฮไฟว์กันด้วย เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยดีมากสองพ่อลูกคู่นี้

นี่พี่ทัชเติบโตมาแบบไหนวะ

ผมหันไปมองเขาที่ยังสีหน้านิ่งๆ ตามปกติ

“อะ ให้” ผมตักอาหารในจานผมไปใส่จานพี่ทัช แล้วก็ตบหลังเขาเบาๆ “ไม่ต้องคิดมากน่า เรื่องมันผ่านมานานแล้ว กินเยอะๆ จะได้หัวใจแข็งแรง”

“อะไร” พี่ทัชก้มมองสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในจานตัวเอง “เศษคะน้า”

“พูดว่าเศษก็แรงไป ผมยังไม่ได้กินซะหน่อย นี่ยกให้ด้วยความเป็นห่วงเลยนะ”

“มีรอยฟันกัดแล้ว”

“ผมลองชิมให้ไง ชิ้นนี้อร่อย กินไปน่า ไม่กินเสียน้ำใจนะ” ผมตบหลังเขาอีก พี่ทัชมองหน้าผมพร้อมกับถอนหายใจ แต่ก็ยอมใช้ส้อมจิ้มคะน้าชิ้นนั้นส่งเข้าปาก โดยเหลือตรงโคนที่ผมเคยกัดไปแล้วไว้นิดนึง แล้วค่อยเขี่ยมันไปไว้ที่ขอบจาน “ต้องงี้ดิเด็กชายณทัช กินผักเยอะๆ”

“มึงก็กินไข่เจียวซะ”

“ครับโผม ถึงพี่จะตักก้อนหินให้ผมก็กินอยู่แล้ว เพราะผมเป็นคนดี”

ทำไมสามพ่อแม่ลูกมองเราตาปริบๆ วะ

เกิดอะไรขึ้น ครอบครัวนี้ตาจะเป็นต้อพร้อมกันเหรอ

“พี่ทัชเริ่มก่อนครับ” ไม่รู้ละ โยนไว้ก่อน

“ทัชกินคะน้าตั้งแต่เมื่อไหร่” เจ๊ณเทอถาม น้ำเสียงอย่างกับถามว่าพี่ทัชมีแขนสามข้างรึเปล่า

“เอ้า พี่ไม่ชอบกินคะน้าเหรอ ตอนกินราดหน้าก็เห็นกินนี่”

“กินได้”

“ไม่ชอบก็ไม่ต้องกินดิ ฝืนทำไมอะ กลัวผมล้อเหรอ”

“กินๆ ไปก็โอเค” ว่าแล้วพี่แกก็ใช้ส้อมจิ้มคะน้ายอดเล็กๆ จากเมนูคะน้าหมูกรอบมาส่งเข้าปากเคี้ยวโชว์ ถ้าจะกินชิ้นเล็กขนาดนั้นก็อย่าเลยเหอะ ก่อนจะกลืนนี่เคี้ยวโดนรึเปล่าก็ไม่รู้

“ดื้อนะพี่อะ...ตอนเด็กๆ พี่ทัชดื้อมั้ยครับ เลี้ยงยากมั้ย แล้วก็ไม่กินอะไรอีก” ผมหันไปถามคุณแม่

“ไม่กินอะไรบ้างเหรอ ก็มี...คะน้า ถั่วฝักยาว ถั่วงอก อะไรอีกนะ”

“ไม่ค่อยกินผักเกือบทั้งหมดนั่นแหละ” เจ๊ณเทอว่า

“อย่าลืมมังคุดด้วย” พ่อเสริม

“ร้อน” พี่ทัชพูดเรียบๆ อีก คราวนี้ทุกคนเข้าใจมุกแล้วเลยหัวเราะเยาะเย้ยทันที ใช้คำนี้เลยนะ หัวเราะเยาะเย้ย

ผมมองหน้าเขา “ถ้างั้นถามว่าพี่กินอะไรได้บ้างดีกว่า เพราะงี้ใช่มะ อยู่มหา’ลัยเลยกินแต่แซนด์วิช เลี้ยงยากนะเรา”

“ไม่ใช่ด้วงไม้ไผ่ไง จะได้กินไม่เลือก”

นั่นไง ผมโดนเล่นกลับบ้างละ

“ก็กินอะไรได้บ้างล่ะ”

“กินได้หมด แค่ไม่ชอบบางอย่าง”

“แต่แม่ว่าตอนเด็กๆ ทัชก็ไม่ได้เลี้ยงยากเท่าไหร่นะ แค่ไม่กินของบางอย่าง แต่ไม่ค่อยงอแง ไม่ซน ชอบอยู่เงียบๆ เรื่องที่ยากก็มีแค่...เรื่องนิ้วนั่นแหละ”

“ผมว่าจะถามอยู่พอดี ทุกคนรู้เรื่องพลังเอ๊กซ์เมนของพี่ทัชตอนไหนเหรอครับ คุณแม่ต้องรู้คนแรกแน่เลย ตอนพี่ทัชกินนมแล้วเอามือมาแปะๆ ไรงี้ ใช่มั้ย”

“ฮ่าๆ” คุณแม่หัวเราะได้น่ารักมาก “แม่รู้ก่อน ใช่ แต่รู้ตอนที่จับนิ้วทัชเล่นน่ะ”

“พอนึกออกครับ จับนิ้วเล่นแล้วก็โกหกว่าถ้าไม่กินนมตำรวจจับนะ หรือแบบ ถ้าดื้อแม่จะโยนทัชลงคลองนะ ไรงี้”

“ฮ่าๆ ก็ไม่โหดขนาดนั้นจ้ะ ทีแรกก็งงๆ อยู่ แต่พอทดสอบซ้ำหลายครั้งเลยแน่ใจ”

“แล้วป๊ากับเจ๊ณเทอรู้ตอนไหนครับ”

“เจ๊ก็รู้ใกล้ๆ กับแม่มั้ง จำไม่ค่อยได้”

“ป๊ารู้หลังสุดเพราะสองคนนี้ปิดเป็นความลับ” ป๊าพูดน่าสนใจจนผมหยุดเคี้ยวข้าว “แม่นี่แหละตัวดี เวลาป๊าอุ้มทัชทีไรก็จะคอยดูว่ามือทัชโดนตัวจังหวะไหนก็จะถามโน่นถามนี่ ซ่อนเงินไว้ไหน แอบซื้ออะไร ทำไมกลับดึก โอ๊ย เยอะ หลังๆ เลยจับทางได้”

“มันนานแล้วเลยจำไม่ค่อยได้กัน” แม่พูด “แต่ช่วงเริ่มเรียนประถมพอจำได้นะ วีรกรรมเยอะ”

“จริงเหรอครับ เล่าหน่อยๆ ผมซื้อเรื่องละสิบบาท”

“ฮ่าๆ เล่าไม่ถูกเลยแบบนี้ ส่วนมากก็เรื่องป่วนๆ ที่เกิดกับเพื่อนแหละ จนทัชไม่อยากไปโรงเรียน แม่เลยต้องใช้พลาสเตอร์พันนิ้วให้ถึงยอมไป”

“อ้อ พันนิ้วมาตั้งแต่เด็กเลย แล้ววีรกรรมเด็ดๆ อะครับ มีมั้ย”

“เด็ดๆ ก็ตอนตระเวณพาไปหาหมอละมั้ง” เจ๊ณเทอเป็นคนตอบ “ใช่มั้ยป๊า”

“ไปหาหลายหมอเลย หมอแผนปัจจุบัน หมอดู ซินแส ร่างทรง ไปมาหมด”

“โห แล้วเป็นไงบ้างครับ”

“พอแล้วมั้ง นะฑี รีบกินข้าว…”

“พี่ทัชอย่าขัดดิ กำลังมันส์ ไปหาหมอเป็นไงครับแม่”

“หมอแผนปัจจุบันหาสาเหตุไม่ได้ แต่ดูท่าทางเหมือนอยากจะจับทัชไปเป็นเคสงานวิจัยซะมากกว่า แม่เลยถอย”

“หมอดูบอกเป็นคนมีบุญ” ป๊าพูด “ดูฤกษ์วันเกิดตกฟากอะไรเยอะแยะนะ แต่พอจับมือไปดูลายมือปุ๊บ ดันพูดแต่เรื่องตัวเองว่าไม่ใช่หมอดูจริง บ้านเป็นหนี้ไรงี้ ฮ่าๆ ซินแสก็พอกัน บอกโหงวเฮ้งดีมาก พอให้จับมือดันบอกว่าให้ไปสะเดาะเคราะห์ซะงั้น”

“แต่ฮาสุดก็ร่างทรงนี่แหละ ตอนนั้นเจ๊ไปด้วย พีกมาก”

ถ้าเสียงเจ๊จะบิ๊วขนาดนี้ รีบเล่าเลยเหอะ “ยังไงเจ๊”

“เราไปถึงนี่ร่างกำลังรำเลย เทพอะไรไม่รู้มาประทับทรง ประมาณว่าเบอร์สูงๆ อะ พอถึงคิวเราก็พาทัชเข้าไป ให้องค์เทพเป่ากระหม่อมซะหน่อย แล้วก็ให้ดูลายมือด้วย เท่านั้นแหละ ได้เรื่อง...ร่างทรงบอกเลยจ้ะ เดี๋ยวจะขึ้นค่าบูชาเป็นพันนึงละนะ ดัดเสียงจนเมื่อยแล้ว แล้วก็เหมือนตกใจตัวเองที่พูดแบบนั้น เลยตาเหลือกล้มตึงไปเลย ฮ่าๆ”

“ฮ่าๆ ไงต่อๆ”

“คนแตกฮือดิ พวกลูกศิษย์ก็เข้าไปรุม แต่เจ๊นี่แหละดึงมือทัชไปจับตัวป้าแกต่อและเขย่าตัวถามเป็นไรรึเปล่า ป้าผงกหัวขึ้นมาตอบเลย ‘ไม่ได้เป็นไร แกล้งหลับเฉยๆ’ พีกมั้ยล่ะ ฮ่าๆ”

พีกที่เจ๊ดัดเสียงเป็นป้านี่แหละ ฮ่าๆ

ตอนนี้ทุกคนหัวเราะกันหมด ยกเว้นพี่ทัชคนเดียว พอเหลือบไปเห็นสีหน้านิ่งๆ ของพี่แก ความฮาที่กำลังดันขึ้นมาจากลำไส้ของผมก็ลดระดับลง ผมเลยตบไหล่เขาแทน “ถ้าพี่จะร้องไห้ก็เอาเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“กูจะร้องทำไม”

“มีปมไง โดนมาเยอะอะ”

“กูไม่ได้เป็นไร”

ก็ดูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ทุกคนในครอบครัวก็ยังครึกครื้นกันดี เหมือนว่าการรื้อฟื้นความหลังและหัวเราะกันไม่ได้กระทบจิตใจพี่ทัช ราวกับว่า...พี่ทัชก็เป็นคนปกติธรรมดาในสายตาพวกเขา

“ลูกศิษย์ป้าแทบจะรุมงับหัวเราเลยนะ” ป๊ายังพูดติดตลก “ต้องรีบลากกันออกมา ค่าบูชาครูก็ไม่ได้จ่ายสักบาท ใช่มั้ยแม่ ต้องจ่ายเท่าไหร่นะ”

“เก้าสิบเก้ามั้ง”

“ใช่ๆ บาปแล้วเรา ไปใช้บริการเทพฟรี”

“มีคนตะโกนด้วยนะว่า องค์เทพไปเข้าร่างทัชแทนแล้ว” เจ๊ณเทอเสริมเข้าไปอีก เรียกเสียงหัวเราะได้อีกยก

ผมรอจนกระทั่งความฮาซาลง แล้วค่อยถามรวบยอด “แล้วสรุปได้เรื่องมั้ยครับ ว่าพี่ทัชเป็นอะไร”

ทุกคนคล้ายกับจะหยุดคิดหาคำตอบ ก่อนเจ๊ณเทอจะเป็นคนพูด “ทัชก็เป็นอย่างที่ทัชเป็นนั่นแหละ”

“ทัชเป็นอย่างที่ทัชเป็น อือหือ คมกริบเลยนะเนี่ย แล้วปกติพี่ทัชขี้แกล้งมั้ยครับ อยากรู้ความจริงอะไรก็พุ่งเข้ามาล็อกตัวไรงี้…”

“อยากรู้อะไรก็ไว้ถามกูตอนอยู่สองคนได้” พี่ทัชใช้หลังมือแตะไหล่ผม “กินก่อน กับข้าวเย็นหมดแล้ว”

“ทำไมต้องรีบอะ”

“กินกันจะอิ่มหมดแล้ว เหลือมึงคนเดียว เต็มจานอยู่”

“อ้อ”

“นะฑี ไม่ต้องรีบหรอก กินสบายๆ” คุณแม่บอก ผมก็ยิ้มรับ แล้วหันไปพูดกับพี่ทัชต่อ

“พี่พูดแล้วนะ อยู่สองคนผมถามอะไรพี่ต้องตอบทุกเรื่อง”

“ตอบแค่บางเรื่องที่คนปกติทั่วไปจะถาม”

“ผมเป็นคนปกติทั่วไปเหรอ”

“ไม่”

“นั่นไง ผมไม่ใช่แค่คนปกติทั่วไปสำหรับพี่ งั้นก็ถามได้ทุกเรื่อง”

“กูหมายถึง สมองมึงต่างหากที่ไม่ปกติ”

“ถามไรตอบได้ ตอบทุกเรื่อง โอเคนะ กินข้าวละ จัดไปครับโผม”

ผมตั้งหน้าตั้งตากินข้าวในจานให้หมด ความคิดว่าจะได้ถามอะไรพี่ทัชก็ได้ทำให้กับข้าวในปากอร่อยขึ้น ระหว่างเคี้ยวสมองที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ปกติของผมก็เริ่มทำงาน ถ้าอยู่กันสองคนจะถามอะไร…

พี่ช่วยตัวเองบ่อยป้ะ

นั่นแหละคำถามแรกที่แวบเข้ามา

ผมถามแน่!










________________________



ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ที่ให้กันตลอด
ขอบคุณที่อ่านนะคะ ไม่รู้จะพูดยังไง ดีใจมากจริงๆ ค่า ^ ^

อันนี้แท็กเรื่องนะคะ #ณTouch เผื่อใครอยากแชร์อะไร ไปลงในแท็กได้นะคะ
ชอบสะสมความรู้สึกดีๆ ไว้ในนั้นนน <3

เจอกันตอนต่อไปค่า :D
นางร้าย

27.พฤศจิ.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 23) |▌27.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-11-2019 20:16:58
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 23) |▌27.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 27-11-2019 22:01:24
ชีวิตพี่ทัชก็ไม่ได้ขาดสีสันอะไรนะคะ ครอบครัวก็ครื้นเครงมาก จำเป็นไหมที่ต้องเอาคน “ล้น” เบอร์ใหญ่มากกกมาไว้ใกล้ตัวอีกคน 5555555  เอ๊ะ หรือพี่ทัชเห็นความคล้ายของอิน้องกับครอบครัวตัวเองคะ  บั่บว่าความคุ้นเคยที่คุ้นชิน แะไรแบบนั้นใช่ไหใหมพี่?  :jul3:

เราโดนป๊าต้มซะเปื่อยเลย แสบมากบ้านนี้ ไม่ธรรมดากันจริงๆ 55555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 23) |▌27.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 27-11-2019 22:29:39
อือ พี่ทัช ชินกะคนในครอบครัวใช่มั้ย
เลยเผลอชินกับน้องไปเลย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 23) |▌27.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 28-11-2019 09:22:23
สงสารอิพี่ทัช :z3: :z2: :z2: 5555 ชอบอ่ะ

พี่ทัชแกเติบโตมาแบบไหนนะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 23) |▌27.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-11-2019 12:24:56
 :laugh:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 23) |▌27.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 29-11-2019 01:19:50
รอดูตอนน้องถามคำถาม555 นังน้องบ้า
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 23) |▌27.พฤศจิ.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 29-11-2019 18:05:13
เจ้าตัวป่วน ดูสิมาบ้านผู้ชายครั้งแรกก็ดันแอบดู กกน.เขา ชวนเล่นตีหมอน อ้อร้อให้เล่นกีตาร์ให้ฟัง ไอ้ตัวดีมันทำให้พี่เขาเล่นจนได้5555
พี่ทัชเหมือนเอือมระอาแต่จริงๆก็ตามใจน้องมัน ดูออก :laugh:

ป๊าเล่นใหญ่มากอ่ะ ฮากันทั้งบ้าน เหมือนการแหย่พี่ทัช คือภาระกิจหลักแต่ไม่เคยสำเร็จ พอเจอพี่ทัชเล่นมุข ถึงกับสตั้น! :laugh:
ไอ้แสบมันโยนขี้เก่งงง
อะไรคือคำถามแรกที่อยากถาม 'พี่ช่วยตัวเองบ่อยป่ะ' เจ้าเด็กทะลึ่ง 5555555555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 24) |▌8.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 08-12-2019 18:51:50
แตะต้องครั้งที่ 24
จับบบ…ทำไมขับช้าเหมือนแก้ผ้ายังไง
อะไรนะเรื่องนู้นขอจูนหัวแป๊บ



“...ไม่ต้องห่วงแม่ พี่ทัชกำลังไปส่งบ้าน นี่อยู่ระหว่างทางเลย...แต่ถ้าแท็กซี่ลากผมไปปล้นทำไงล่ะ...แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ทัชอะ เดี๋ยวนี้สนิทกัน...ก็เฮฮาทั้งครอบครัวเลย เดี๋ยวถึงบ้านแล้วเมาท์ให้ฟังนะ หรือแม่จะนอนก่อนเลยก็ได้...เคๆ” ผมกดวางสายจากแม่ แล้วพยายามสะกดกลั้นลมที่คล้ายกับจะดิ้นขลุกขลิกอยู่ในลำไส้

“เรอในรถพี่ได้ปะ” ผมถาม

“ถ้าจะขนาดนั้น มึงไม่ตดเลยล่ะ”

“ได้เหรอ! กำลังปวดเลย”

“ไม่ได้ทั้งสองอย่าง”

“เรื่องธรรมชาติห้ามได้เหรอ”

“ทนดิ”

“ถ้าค่อยๆ ตดแบบไม่มีเสียงล่ะ แต่อาจจะมีกลิ่นนิดหน่อย”

“นะฑี”

“วัดใจพี่เล่นเฉยๆ น่า ว่าคนจริงพอเปล่า แต่ถ้าผมเผลอเรอหรือตดก็เป็นความผิดพี่อะ พี่บังคับให้ผมกินเร็ว”

“กูไม่ได้บัง…”

“แถมยังตักใส่จานผมเยอะด้วย กินเยอะ กินเร็ว เลยไม่ย่อยแบบนี้ไง แก๊สเต็มท้อง”

“กู…”

“ไม่ตดละ คุยเรื่องพี่ดีกว่า ผมมีคำถาม”

“อะไร”

“พี่ช่วยตัวเองบ่อยปะ”

เบรกแทบหัวทิ่ม ดีนะเนี่ยที่คาดเข็มขัด “ขับยังไงของพี่เนี่ย ถ้าผมไม่คาดเข็มขัดนี่หัวฟาดไปแล้ว ถ้าไม่ตายก็ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราแน่ๆ…” ตอนนี้รถติดไฟแดงอยู่ ไฟท้ายคันหน้าเปล่งแสงสีแดงแทงเข้าไปในตาเลย เพราะมันใกล้มาก “อีกนิดเดียวจะชนแล้ว”

“ชนอะไร เขาก็จอดกันระยะนี้แหละ”

“แต่พี่ก็เบรกแรงจริงๆ อะ เป็นคนชอบความรุนแรงเหรอ”

“พูดเยอะ”

“กลับมาที่คำถาม ช่วยตัวเองบ่อยปะ”

“ถามอะไรของมึง”

“ฟังภาษาไทยไม่ออกเหรอ ก็พี่บอกอยากรู้อะไรให้ถามตอนอยู่สองคน ผมอยากรู้เรื่องนี้ไง บ่อยปะ อาทิตย์ละครั้ง?...วันเว้นวัน?...หรือทุกวันเลย? จริงดิ ทุกวันเลยเหรอ”

“ทำไมในหัวมึงมีแต่เรื่องทุเรศๆ วะ”

“ทุเรศยังไง เรื่องธรรมชาติ นี่แมนๆ คุยกัน ผมเคยอ่านเจอนะ ช่วยตัวเองบ่อยทำให้ลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย ผมว่าผมไม่เป็นโรคนี้แน่นอน…”

“ฟังเพลงละ”

“พี่ยังไม่ตอบเลย”

เขาคงไม่ตอบแล้วละเพราะเสียงเพลงดังขึ้นแล้ว

และอีกหลายเพลงที่แรนดอมมาผมก็ยังร้องตามไม่ได้ ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ลิปซิงค์ไป

จนกระทั่งถึงเพลง I Like Me Better นี่แหละที่พอจะขยับกระเดือกเกลือกกลั้วเนื้อร้องไปได้ หลังจากที่เงียบมานาน พอเพลงนี้จบผมก็หรี่เสียงลงนิดๆ แล้วพูดขึ้น

“อยากฟังพี่เล่นกีตาร์เพลงนี้อีกอะ”

“อืม”

“ถึงพี่จะเล่นกากๆ ก็เหอะ แต่อยากฟัง”

พี่ทัชมองหน้าผม ก่อนจะเลี้ยวรถ “จะถึงแล้ว”

“จริงดิ...จริงด้วย เลี้ยวเข้าซอยบ้านผมแล้ว ทำไมเร็วจังวะ”

“ความสุขมันก็สั้นงี้แหละ”

ผมมองหน้าเขาบ้าง “อยู่กับผมมีความสุขอะดิ”

“กูมีความสุขเพราะฟังเพลงต่างหาก”

“อ้อเหรอ แต่อยู่กับพี่ผมมีความสุขนะ”

“อือ”

“เพราะสปีดปากพี่ต่ำอะ แย่งพูดก็ไม่เป็น ผมเลยได้พูดคนเดียวเต็มๆ ตลอด ตอนเด็กๆ พี่มีปมเรื่องคำพูดปะ เวลาเถียงกับเจ๊ณเทอแล้วโดนเจ๊เอายางดีดปากไรงี้”

“เกือบดีแล้ว”

“อะไรเกือบดี”

“มึงเกือบพูดอะไรดีๆ เป็นเหมือนคนทั่วไปแล้ว”

“เกือบยังไง ผมพูดดีตลอดอยู่แล้ว ใครก็บอกผมปากดี...เดี๋ยวๆ เลยบ้านผมแล้ว พี่จำบ้านผมไม่ได้เหรอ”

“จำได้”

“ทำไมไม่จอด”

“เพราะมึงนั่นแหละพูดเยอะ งั้นกูเลยไปหาที่กลับรถก่อนละกัน แล้วค่อยวนมา”

“ไปกลับแถวตลาดเจ๊เนียมได้”

“อืม”

“ทำไมขับช้าอะ”

“มึงมาขับเองมั้ย”

“จริงดิ มาๆ”

“เอาเป็นว่าต่อไปกูจะไม่ประชดมึงแล้ว นั่งเฉยๆ”

ตอนนี้เวลาสามทุ่มกว่าๆ ถนนเริ่มโล่งแล้ว แต่พี่ทัชยังขับช้าๆ ไปจนถึงสี่แยกหน้าตลาดเจ๊เนียม หาที่กลับรถแถวนั้น และขับย้อนกลับมาด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าเดิม

“มึงเข้ากับที่บ้านกูได้ดีนะ” จู่ๆ พี่ทัชก็พูดขึ้น “ไม่นึกว่าจะขนาดนี้”

“นั่นดิ ผมก็ไม่นึกว่าพ่อพี่จะบ้าๆ บอๆ แบบนี้”

นึกว่าพี่ทัชจะด่า หรืออย่างน้อยก็เรียกชื่อผม นะฑี ด้วยเสียงเข้มๆ เรียบๆ แบบที่เขาชอบทำเวลาจะปรามหมาในปากผม แต่พี่แกเงียบ ผมเลยพูดต่อ

“คุณแม่กับเจ๊ณเทอก็ไม่เบาเหอะ ช่วยกันรุมเผาพี่จนตูดไหม้เลยมั้ยล่ะ”

“นอกจากพ่อ แม่ เจ๊เทอ เรนจิ แล้วก็มีมึงนี่แหละที่ทำให้กูรู้สึกเป็นคนธรรมดา”

“เฮ้ย ผมมองว่าพี่พิเศษตลอดเลยนะ พี่มีพลังขนาดนี้จะเป็นคนธรรมดาได้ไง”

“ถ้าไม่พันพลาสเตอร์…กูจะแก้ผ้าต่อหน้ามึง”

“จะแก้ผ้าต่อหน้าผมเหรอ เอาดิ อยากเห็น” เพราะเสียงเพลงเลยทำให้ผมฟังไม่ถนัด แต่ก็จับความได้ว่าอย่างนั้น

พี่ทัชเหลือบมองผมแวบนึง และเบาเสียงเพลงลงจนเกือบสุด “กูพันพลาสเตอร์ตั้งแต่เด็กจนชินแล้ว เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นถ้าไม่พันพลาสเตอร์กูจะรู้สึกเหมือนแก้ผ้าอยู่ แต่กับมึงไม่ใช่”

“อ้อ พันนิ้วจนเหมือนสวมกางเกงในไรงี้ แล้วทำไมกับผมไม่รู้สึกงั้นล่ะ เพราะอยากแก้ผ้าต่อหน้าผม?”

“ตรรกะอะไรของมึง” พี่ทัชนิ่วหน้า แล้วกลับมาใช้น้ำเสียงเรียบๆ แบบเดิม “คนอื่นทำให้กูรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด ไม่กล้าเข้าใกล้กู แต่มึงกลับเป็นตรงกันข้าม”

“นี่พี่ท่องสคริปมาป้ะ”

“อยู่กับมึงกูรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง”

“แต่อยู่กับพี่ผมไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเลยนะ มันหวิวๆ ดีอะ ชอบ”

“มึงพูดมาก”

“อะฮะ”

“ร้องเพลงก็เสียงเหมือนเป็ด”

“อือฮึ”

“แต่ฟังๆ ไปก็เพลินดี”

“เอเฮะ”

“แต่ก่อนกูคิดว่านิ้วกูเป็นปมด้อยอย่างเดียว แต่มึงก็พากูไปทำเรื่องบ้าๆ บอๆ ที่ดันได้ใช้นิ้วให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น”

“พี่ใช้นิ้วให้เป็นประโยชน์กับผมได้นะ” ผมตั้งใจทำเสียงกระเส่าแบบกามๆ เพื่อกวนตีน แต่พี่ทัชไม่สนใจ

“คนที่ไม่รู้เรื่องนิ้วกูก็จะมองพลาสเตอร์ด้วยสายตาแปลกๆ คนที่รู้ก็กลัวกูแตะตัวแล้วจะเผลอพูดความจริงอะไรออกมา แต่มึงไม่กลัว”

“ถามจริง พี่ท่องมาจากบ้านใช่มะ เสียงเรียบโคตร”

พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม

ก็อยากจ้องตาด้วยสักแป๊บอยู่หรอกนะ แต่ผมต้องมองข้างทางก่อน “ถึงแล้วพี่ ชิดซ้ายเลย เดี๋ยวผมเดินข้าม”

“เดี๋ยวรถชน”

“ใครจะกล้าชน นี่มันถิ่นผม”

“กูยังพูดไม่จบ”

วันนี้มาแปลกเว้ย อะไรของพี่เขาวะ

“พี่ติดเชื้อพูดมากจากผมแล้วนะเนี่ย แล้วไม่จอดรถพูดให้จบอะ ขับเลยไปอีกทำไม”

“กลับรถ”

“จะส่งผมหน้าบ้านเลยใช่มะ ต้องงี้เดะ สังคมต้องการคนแบบนี้!” ผมเอียงคอมองหน้าเขา “พ่อแม่พี่สอนมาดีจริงๆ ขอให้พี่รักษาคุณงามความดีนี้ไว้ตลอดไปนะ ประเทศเราจะได้เจริญ...ข้างหน้ามีจุดให้กลับรถอยู่ เห็นใช่มะ” ผมชี้มือบอก “แล้วไหนอะ ที่พูดยังไม่จบ”

รถยังเคลื่อนไปช้าๆ

พี่ทัชเงียบอยู่สักพัก จนผมเกือบจะตัดสินใจเขย่าตัวเขาแล้วเพราะนึกว่าหลับใน แต่ในที่สุดเขาก็พูด

“อย่างนึงที่กูชอบเกี่ยวกับมึงคืออะไรรู้มั้ย”

“รู้ดิ เพราะผมเก่ง ฉลาด หน้าตาดี มีสไตล์...รักสัตว์ ไม่เลือกกิน ไม่เรื่องมาก ไม่เจ้าชู้...ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ไม่คอร์รัปชั่น…” ใส่ๆ ไปให้เยอะก่อน ต้องโดนสักข้อแหละ “โอ๊ยเยอะ รวมความคือเป็นคนดีอะ”

ทำไมรู้สึกประหม่าวะ ปากพูดไม่หยุดอย่างกับโดนพี่แกแตะตัวอยู่

“เอ่า เงียบ แล้วชอบผมเพราะไรล่ะ...ไม่ดิ ต้องพูดว่า ชอบไอ้อย่างนึงที่เกี่ยวกับผมน่ะคืออะไร”

“กูชอบเพราะ ก่อนแตะตัวมึงกับหลังแตะตัวมึง มึงก็พูดไม่ต่างกัน”

“ฮะ?”

“มึงไม่กลัวที่จะโดนกูแตะตัว…”

มาถึงจุดกลับรถพอดี พี่ทัชชะลอรถจนเกือบหยุดแล้วก็เลี้ยวเนิบๆ แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวรถเหวี่ยงแรงกว่านั้น หรืออาจจะเป็นแผ่นโลกที่เอียงไปชั่ววูบ

กูชอบเพราะ...

อันนี้หมายถึงชอบไอ้สิ่งที่เกี่ยวกับตัวผมใช่มั้ย

ไม่ใช่ชอบผม

แล้วมันต่างกันยังไงวะ

“จูนหัวแป๊บ” ผมนวดขมับแรงๆ “พี่ ขอเมื่อกี้อีกทีดิ๊ ยังไงนะ ผมจะกลัวพี่แตะตัวทำไมอะ ก็มันหวิวดีไง”

“ก็เท่ากับมึงไม่กลัวที่จะพูดความจริง”

“อ๋อ”

“อืม” พี่ทัชทำเสียงต่ำในคอ “กับแพมน่ะไม่อะไรหรอก ตอนนั้นยังเด็กอยู่” แล้วประโยคต่อมาคือเปลี่ยนเรื่องไปเลย “แต่กับเนย แรกๆ ก็เห็นว่าไม่ซีเรียสเรื่องพันพลาสเตอร์อะไร คิดว่าน่าจะเข้ากันได้เลยเปิดใจคบดู แต่พออีกฝ่ายรู้ความจริงเรื่องนิ้วกู อะไรๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด บอกว่าพันนิ้วมันดูประหลาด อยากจับมือแต่ก็ไม่อยากให้กูรู้ความคิด ไปๆ มาๆ ก็...นั่นแหละ ช่างมันเถอะ”

“อ่อ...อา...อืม” ผมยังจูนหัวอยู่

“ถึงแล้ว”

“อ้อ”

มินิคูเปอร์มาจอดสนิทอยู่ที่หน้าบ้านผม โลกไม่ได้เอียงวูบวาบแล้ว แต่เหมือนสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน เกิดความเงียบขึ้นโดยที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี ระหว่างนี้สายตาผมก็เหลือบไปเห็นนิ้วเรียวยาวของพี่ทัชที่วางสบายๆ อยู่บนพวงมาลัย

นิ้วของเขาที่ไม่ได้พันพลาสเตอร์

“นิ้วเปลือยๆ ของพี่ดูเร้าใจดีนะ”

“...”

“ผมไม่กลัวพี่แตะตัวอะ งั้นเวลาอยู่กับผมไม่ต้องพันนิ้วก็ได้ เปลือง เอ๊ะ แต่พี่ต้องพันดิ เพราะพี่กลัวผมจับ ใช่มะ”

“อยากจับมั้ยล่ะ” พี่ทัชพูดพร้อมกับยื่นมือมา

“จริงดิ โม้เปล่า”

“แต่ห้ามพูดอะไรทุเรศ”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรีบตะครุบนิ้วเขา ปล่อยให้ความจริงสารพัดสิ่งพรั่งพรูออกจากปาก แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงชะงัก และกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ

แต่ยื่นมือมาขนาดนี้ จะไม่สัมผัสก็ยังไงอยู่

ผมตั้งสติ นึกถึงคุณงามความดีที่เคยทำทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ แล้วยื่นมือออกไป…

“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ก็ว่าผมทุเรศอีก” ผมชักมือกลับ “ไม่ยุติธรรมอะ พี่อยากรู้ความจริงอะไรเกี่ยวกับผมก็แค่แหย่นิ้วมาวุ่นวายกับตัวผม แต่ถ้าผมอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับพี่บ้างล่ะ”

“อยากรู้ความจริงใช่มั้ย”

“ใช่”

“กูไม่ได้ขับเพลินจนเลยบ้านมึง”

“ฮะ? อะไร ยังไง”

“ไปหาวิตามินบำรุงสมองกินแล้วก็นอนซะ เดี๋ยวชุดนักศึกษามึงถ้าซักเสร็จแล้วกูเอามาให้”

“เอ้อ ลืมเอาชุดกลับมาด้วยเลย”

“ก็เดี๋ยวเอามาให้”

“เออๆ ผมไปละ เดี๋ยวแม่รอ ส่วนเสื้อผ้าพี่ผมถอดคืนให้ตอนนี้เลยได้ปะ...อะ ล้อเล่นน่า เดี๋ยวซักให้เหมือนกัน” ผมก้มมองเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ แล้วก็ดึงคอเสื้อขึ้นมาสูดกลิ่นแรงๆ “ต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นไร”

“ไม่ต้อง”

“เดี๋ยวเอาสบู่นกแก้วซักให้ ไปละ” ผมเปิดประตูก้าวลงจากรถ แต่ไม่ได้ปิดกลับทันที ยังมีเรื่องที่ผมอยากพูดต่ออีกหน่อย “ผมมีความจริงจะบอก พี่ลดกระจกลงสักพักก็ดีนะ เมื่อกี้ผมเผลอตด”

“นะฑี”

“บายพี่ ขับรถดีๆ นะ”

ปึก!

ผมปิดประตูกลับจนแน่นสนิท แล้วหมุนตัวเดินไปที่ประตูบ้าน โดยขณะที่เดินก็แกล้งเอามือปัดๆ แถวก้นให้พี่ทัชเห็นชัดๆ ด้วย พอแทรกตัวผ่านประตูเหล็กยืดเก่าๆ เข้าไปในบ้าน ผมยังยืนแอบอยู่ตรงนั้น เงี่ยหูฟังเสียงรถมินิคูเปอร์ขับห่างออกไปจนไม่ได้ยิน

หลังจากนั้นก็เดินแบกรอยยิ้มที่น่าจะหนักสักตันขึ้นไปชั้นบนด้วย

วันนี้มันวันอะไรกันวะ











___________________________

ขอบคุณมากเลยนะคะทุกคน หวังว่าจะชอบตอนนี้กันนะคะ
รักจริงๆ ค่ะ ขอบคุณที่คอมเมนต์ ที่เข้ามาอ่านมากเลยค่ะ

ช่วยเยียวยาหัวใจมากๆ เลย T///T
ช่วงนี้อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับการเขียนเท่าไหร่ค่ะ แฮ่
แต่จะพยายามนะคะ! :D


นางร้าย
8.ธันวา.2019
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 24) |▌8.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 08-12-2019 20:41:07
น้องคะ หวั่นไหวกับพี่ทัชเหรอคะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 24) |▌8.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-12-2019 23:25:53
 :L2:.....ให้กำลังใจครับ...เท่าที่ได้อ่านมาก็เขียนได้ดีพอสมควรนะครับ   :L2:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 24) |▌8.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 09-12-2019 00:09:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 24) |▌8.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 09-12-2019 01:53:25
พี่เค้าดูเปิดใจมากกก แอบคิดไรกับน้องแล้วปะเนี่ยยยย :z1:

เป็นกำลังใจให้ค่าา แต่งดีแล้ว อย่ากดดันตัวเองมากไปเน้อออ คนเขียนๆยังไง เราก็ชอบบบบบ สุ้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 24) |▌8.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 09-12-2019 19:29:55
ทั้งตอนคือแค่ขับรถจากบ้านพี่มาส่งน้อง แถมยูเทิร์นให้อีก 2 รอบ ถถถถถ คือเข้าใจอิพี่นะ บางครั้งถ้าพูดอะไรไปตรงๆ ก็กลัวอิน้องจะไม่เก็ทอะไรแบบนั้นไหม ถึงได้อ้อมไปอ้อมมา 55555 วงวารร

ไม่คิดมากนะคะคุณ สิ่งที่คุณเขียนมันดีมากและเป็นซิกเนเจอร์ของคุณอยู่แล้ว ทั้งสำนวนการเขียน การใช้คำ เราก็อาจจะไม่ใช่นักวิจารณ์นิยายที่ดีอะไร เราก็เป็นแค่คนที่ชอบอ่านนิยาย และแฮปปี้มากที่ได้อ่านและติดตามนิยายคุณนะคะ อะไรก็ตามที่ทำให้คุณนางร้ายหวั่นไหว ขาดความมั่นใจไป ทิ้งมันไปค่ะ กลับมาถามหัวใจคุณแล้วเขียนออกมาในแบบของคุณเลย ถ้ามันไม่โอเค เราหนึ่งคนที่จะคอยบอกและให้กำลังใจคุณให้แก้ไขมัน สู้ๆนะคะ ไม่มีใครเพอร์เฟคในทุกวันค่ะ เหนื่อยบ้าง เพ้อบ้าง ท้อบ้าง ไร้สาระบ้าง แฮปปี้บ้าง สลับกันไป มันคือรสชาดของการใช้ชีวิตที่แสนจะคุ้มค่าค่ะ

สู้ๆนะคะ ฮึบค่ะ ฮึบ!! :man1:

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 24) |▌8.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 11-12-2019 13:15:09
เด่วนะะะะ เป็นตอนที่ทัชเปิดใจและพูดเยอะสุด พี่ยูเทรน 2รอบ! แถมขับช้าๆโอ้ยยย พี่ทัช หลวมตัวไปกับไอ้เเสบนี่แล้วใช่มั้ยย :hao7:

แล้วก็นะ เหมือนจะรู้ตัวรู้ใจอยู่นิดๆไอ้ตัวดี เกิดไม่กล้าจับมือเขาขึ้นมาเชียว เลี่ยงเก่ง เลี่ยงให้ได้ตลอดนะ  :laugh:

/อยากบอกว่าเราเป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ ชอบงานคุณมาก ถ้ามีอะไรที่ทำให้กังวลไม่ว่าจะเรื่องอะไร อย่าเก็บเอากังวล จนบั่นทอนใจตัวเองเลยนะคะ ทำอย่างที่ใจอยากเขียน เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด ทุกคนมีสไตล์การเขียนเป็นของตัวเอง มีความสุขในการเขียนและคนอ่านอย่างเราก็มีความสุขที่จะอ่านค่ะ สู้ๆค่ะ กอดดดดดดดด :กอด1:


หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 24) |▌8.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 13-12-2019 01:07:08
คนพี่คือชอบน้องใช่ป่าว555 ส่วนอิน้องนังรู้เรื่องอะไรบ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 25) |▌17.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 17-12-2019 20:29:12


แตะต้องครั้งที่ 25

จับบบ…ความสากอยู่ที่นิ้วความ cute อยู่ที่ใจ
ใครอยากกินราดหน้า เฮ้ยนี่แอบสนทนากันตอนไหน (วะ)



“นะฑี เป็นไรรึเปล่า” เจษฎาถาม

“เป็นสายลม”

“หือ?”

“เป็นท้องฟ้า”

“อะไรเหรอ”

“เป็นใบไม้ทั้งป่า”

“เอ่อ…”

“ฟีลนี้อยากแต่งกลอนเลยว่ะ ไหนเจษ มึงเริ่มให้กูสักท่อนดิ๊”

เจษฎาเอียงหน้าเข้ามาพูดอย่างจริงจัง “นายแบบว่า...เสพกัญชามารึเปล่า มีปัญหาอะไรคุยกันได้นะ”

“ทำไมคิดงั้นวะ”

“ก็ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เห็นนายอารมณ์ดี ยิ้มทั้งวัน จากที่เราอ่านเจออาการคนเสพกัญชาอาการก็คล้ายๆ แบบนี้ ช่วงนี้กำลังมีกระแสกัญชาเสรีด้วย”

“จริงดิ น่าลองนะถ้างั้น ลองหามาพี้กันมะเจษ รู้จักใครขายรึเปล่า”

“มันไม่ดีนะ”

“ทำให้อารมณ์ดี มันไม่ดียังไง”

“มันออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้ร่าเริงผิดปกติ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าเสพปริมาณมากจะทำให้หลอน แล้วก็ร่างกายทรุดโทรมด้วย ถามจริงๆ นายไม่ได้เสพมันใช่มั้ย”

“งั้นกูคงเสพอะไรที่แรงกว่ากัญชามามั้ง”

“ยาบ้าเหรอ!”

ผมยิ้ม ตั้งแต่พี่ทัชมาส่งที่บ้านวันก่อนผมก็เป็นอาการนี้เลย เป็นมาเกือบสองวันแล้วยังไม่หาย นึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไรปากก็บานออกกลายเป็นรอยยิ้มอัตโนมัติ และเหมือนว่ารอยยิ้มมันมีน้ำหนักจริงๆ จนปวดแก้มไปหมด

“นะฑี” เจษฎาโบกมือขึ้นลงตรงหน้าผม

“ครับเจษ สงสัยกูจะโดนยาป้ายอะไรงี้ แต่กูโอเคแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง”

“ยาป้ายไม่มีจริงนะ”

“เออ ช่างมันเถอะ ว่าแต่…” ว่าแต่ทำไมเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดไปวะ ตอนนี้ไม่มีเรียนเราเลยมาสุมหัวกันอยู่ที่ข้างตึกคณะ นั่งกันอยู่สามคน แต่ทำไมคุยกันอยู่แค่สองคนวะ “กูว่าคนที่มีปัญหาคือคนนี้มากกว่า เฮ้ย เปิ้ล ทำไรวะ”

โอเปิ้ลที่กำลังก้มหน้าก้มตาหมกมุ่นกับโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้น “ด่าคน”

“ใครวะ”

“คนชั่ว”

“ใช่พี่เรนจิหรือเปล่า” เจษฎาถาม

“หือ? นี่แกแชตกับพี่เห็ดเหรอ กูตกข่าวอะไรไป เจษ มึงเล่าดิ๊”

“ก็พี่เรนจิได้ไลน์เปิ้ลไปสักพักแล้ว เลยพิมพ์มาก่อกวน ใช่มั้ยเปิ้ล”

“ได้ไลน์ไปยังไง” ผมถาม

“เปิ้ลให้”

“เอ้า แล้วไปให้ทำไมอะ เปิ้ล เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดิ๊”

เปิ้ลเงยหน้าตึงๆ ขึ้นมา “พี่แม่งกวนตีนไง ท้าทายกูขนาดนั้น กูก็ให้ๆ ไป”

“ไหนเอาแชตมาดูดิ๊ เดี๋ยวกูช่วยด่า”

“ไม่เป็นไร”

“เออน่ะ เอามาดู”

“กูด่าจบไปแล้ว ช่างแม่งเหอะ”

“เรามีภาพแคปหน้าจอแชตครั้งก่อนๆ ที่เปิ้ลส่งให้” เจษควักมือถือออกมา

“เจษ ไม่ต้องขุดมา” เปิ้ลเบรกไว้ แล้วหันมาคุยกับผม “ทีมึงแยกตัวไปสุงสิงกับพี่ทัช กูกับเจษไม่เห็นจะว่าอะไร”

“เกี่ยวไรกับพี่ทัช นี่...พวกมึงสองคนโกรธอะไรกูรึเปล่า”

“เราไม่ได้โกรธ” เจษตอบอย่างใสซื่อ

“กูก็เปล่า” เปิ้ลบอก

“ไม่โกรธแต่หน้าตึงเป็นตูด”

“ก็บอกว่าเพิ่งด่าคน กูอารมณ์ไม่ดี”

ผมนั่งกอดอกเอียงคอจ้องหน้าโอเปิ้ล เอาดิ ใช้สายตากดดันไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ

“นี่โกรธกันเหรอ อย่าโกรธกันเลยนะ” เจษพูด

โอเปิ้ลกอดอกและมองหน้าผมกลับ แต่หลังจากจ้องอยู่สักพักก็เบือนหน้าไปมองทางอื่น แล้วในที่สุดก็ถอนหายใจ “อึดอัดชิบหาย อยากดูก็เอาไป” เจ้าตัวปลดล็อกหน้าจอมือถือแล้วส่งให้ผม

ผมกดเข้าห้องแชตไลน์ของเปิ้ลกับพี่เห็ด แชตกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ นี่ไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ด่ากันแสบๆ มันส์ๆ ทั้งนั้น แต่มันเยอะจนผมต้องเลื่อนผ่านๆ แล้วมาโฟสกัสแค่ช่วงท้ายๆ



★R3NJI: ทำไร

O: ทำชีวิตให้ดีขึ้น

★R3NJI: สมควรแล้ว

★R3NJI: ชีวิตยังเหี้ยอยู่นิ

O: จ้ะ

O: แล้วพี่ไม่เอาเวลาไปปรับปรุงตัวอะ

O: ได้ข่าวว่านิสัยโคตรเหี้ยไม่ใช่เหรอ

★R3NJI: กูไม่แปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนนะฑี

O: โคตรแปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนพี่ทัช

★R3NJI: เลว

O: ชั่ว

★R3NJI: พูดกับรุ่นพี่งี้เหรอ

O: พูดกับรุ่นน้องงี้เหรอ

★R3NJI: อยู่ไหน บอกมาดิ๊

O: อยากรู้ทำไมไม่ดมกลิ่นเอาล่ะ จมูกดีกว่าคนไม่ใช่เหรอ

★R3NJI: หิวมั้ย

★R3NJI: เดี๋ยวเอาตีนไปฝาก

★R3NJI: จะได้กินอะไรดีๆ บ้าง

O: ไม่เป็นไร

O: ของดีๆ ไม่เก็บไว้กินเองล่ะ

O: ปกติได้กินแต่ตะไคร่น้ำตามขอบสระไม่ใช่เหรอ

★R3NJI: ตัวเหี้ยไรวะนั่น

O: กวางมั้ง

★R3NJI: ไม่ไหวแล้วนะเว้ย

O: ปวดขี้ก็ไปขี้

★R3NJI: นะฑี นั่นมึงพิมพ์ใช่มั้ย

O: นะฑีเกี่ยวไรด้วย

★R3NJI: ถ้าไม่ใช่นะฑีจะกล้าพูดอะไรทุเรศๆ งี้เหรอ

O: ทำไมจะไม่กล้าอะ

O: คุยกับคนแบบนี้ นี่ถือว่าพูดดีสุดๆ แล้ว

★R3NJI: ถ้าเจอตัวขอให้ปากดีงี้ตลอดนะ

O: ก็ดีตลอดนะ พูดได้ กินข้าวได้

★R3NJI: งั้นเดี๋ยวเจอตอนนี้เลย

★R3NJI: อยู่ข้างตึกคณะใช่มะ

O: ไม่ได้อยู่บนหัวพี่ละกัน

★R3NJI: เจอกูแน่

O: ออกมาจากต้นมะขามได้เหรอ

O: ระวังคนขโมยผ้าสามสีนะ

★R3NJI: กินไรมั้ย

★R3NJI: จะกรวดน้ำให้ แต่แม่งคงไม่ถึง ภพภูมิต่ำเกินไป

O: มาทำไม

O: ไปผุดไปเกิดได้แล้ว

★R3NJI: จะไปดูหน้าคนปากดีซะหน่อย

★R3NJI: สรุปแดกไร

★R3NJI: อยู่โรงอาหารบริหารแล้ว

O: ซื้อข้าวให้หมาแถวนั้นกินเถอะ

O: จะได้มีบุญติดตัวบ้าง

★R3NJI: งั้นหลักๆ ก็แดกตีนละกัน

★R3NJI: แน่จริงอย่าหนีนะ

O: จ้ะ

O: เดี๋ยวไปตักน้ำคอห่านมาไว้ให้กินนะ

O: เผื่อเดินมาร้อนๆ จะได้ชื่นใจ



“คืออะไรวะ”

“อ่านไม่ออกเหรอ” เจษฎาหันหน้ามา

“กูก็เรียนหนังสือมานะเจษ ขอบคุณที่เป็นห่วง อ่านออกหมดครับ กูแค่ไม่เข้าใจ”

“อ่านออกหมด แต่ไม่เข้าใจ” เจษทวนคำอย่างครุ่นคิด “ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ”

“กูไม่เข้าใจว่าสองคนนี้ไปคุยกันตั้งแต่ตอนไหน ตีสองยังแหกขี้ตามาด่ากัน…”

ฟึ่บ!

กำลังจะเลื่อนอ่านซ้ำ แต่เปิ้ลแย่งมือถือกลับไปแล้ว

ผมโน้มตัวไปจ้องหน้าโอเปิ้ล ซึ่งเจ้าตัวก็มองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน

“มึงกอดอก” ผมว่า

“ยุ่งไรกับเนื้องอกกูอีกล่ะ”

“ไม่ใช่เว้ย ในทางจิตวิทยาท่ากอดอกนี่แสดงว่ากำลังปกป้องตัวเอง แล้วก็ปิดบังอะไรอยู่”

“มั่ว”

“นี่กูจำมาจากพี่ทัชเลย”

“อ๋อเหรอ”

“หรือจะบอกว่าเมื่อยนมเลยประคองไว้เล่นๆ”

“เออ อันนี้ยังฟังมีเหตุผลกว่า”

คราวนี้ผมกอดอกบ้าง “พี่เห็ดมายุ่งกับมึงทำไมวะ”

“เป็นบ้าไง”

“พี่เห็ดแกสมองไม่ค่อยปกติหรอก แต่มึงไปบ้าตามแกทำไม”

“จะให้เขาด่ากูฝ่ายเดียวเหรอ”

“ไม่รู้ว่ะ ก็ไม่เห็นต้องด่ากลับอะไร”

“จะให้กูพูดคะขารึไง”

“อย่าเลย ขนลุก”

“เราว่าก็ดีนะ” เจษฎาแทรก “ผู้หญิงพูดคะขาก็เพราะดี”

“เจษ กูไม่ใช่ผู้หญิง!”

“อะ...โอเค”

“มึงก็จริงจังซะ เจษมันหงอไปเลยเนี่ย เห็นมั้ย…” ผมหันไปตบหลังเจษเบาๆ “ไม่เป็นไรนะหนู คืนนี้อย่ากินน้ำเยอะนะ เดี๋ยวฉี่รดที่นอน”

“เราโตแล้ว ไม่ฉี่รดที่นอนหรอก”

“ดีมากครับ เด็กดี” แล้วผมก็หันไปคุยกับเปิ้ลต่อ “เป็นไรวะ เมนส์มา?”

“เปล่า”

“มันอาจจะมานิดๆ แล้วมึงไม่รู้ตัวหรือเปล่า”

“กูไม่ได้เป็นไร มึงนี่”

“เออ ไม่เป็นก็ดี แต่มึงต้องพูดอะไรกับเจษหน่อยมะ””

“โทษทีเจษ”

“เฮ้ยเปิ้ล ไม่เป็นไรเลย เราชินกับการพูดหยาบๆ ของพวกนายอยู่แล้ว ไม่โกรธๆ”

“เพื่อนกันต้องงี้ดิ กลับมาเรื่องพี่เห็ดต่อ…”

“ไม่ต่อ รำคาญ” เปิ้ลตัดบท

ผมชั่งใจอยู่สักพัก แล้วสุดท้ายก็ยักไหล่ “ไม่ต่อก็ไม่ต่อ พี่เห็ดแกจะมานี่ไม่ใช่เหรอ ถ้ามาจริงเดี๋ยวกูสัมภาษณ์เอง” ผมหยิบมือถือตัวเองมาไถเล่นบ้าง เพิ่งเห็นว่ามีข้อความไลน์เข้ามาใหม่เมื่อห้านาทีที่แล้ว

ข้อความสำคัญอีกต่างหาก

“ชิบ กูต้องไปแล้วว่ะ”

“ไปไหน” เจษถาม

“เจษ ถ้าพี่เห็ดมาจริงมึงก็คอยห้ามอย่าให้สองคนนี้กัดกันละกัน”

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง”

เราสองคนมองโอเปิ้ลที่ยังหน้าหงิกเป็นแง่งขิงขาดปุ๋ยอยู่ แถมตอนนี้ยังกลับไปพิมพ์แชตต่อแล้ว “โทรเรียกมูลนิธิเก็บศพเลยดีกว่ามั้งเจษ”

“อันนี้เรารู้ นายเล่นมุก” เจษพูดก่อนจะหันมองเปิ้ล “เอ่อ...ถ้าเกิดไรขึ้นจริงๆ เดี๋ยวเราให้คนแถวนี้ช่วย” อยากอยู่ดูมวยคู่เด็ดจริงๆ ไม่รู้ใครจะน็อกใครแต่ต้องมันส์แน่ๆ แต่เอาเถอะ ไว้รอฟังผลละกัน

“เออ จะร้องดังๆ หรือแก้ผ้าวิ่งก็ได้ ให้คนมามุงเยอะๆ ไว้ก่อน กูไปละ”

พอปลีกตัวออกมาจากแก๊งสามหน่อได้ผมก็ควักมือถือขึ้นมาดูอีก ข้อความสำคัญที่ฝ่ายนั้นส่งมาคือ อยากกินราดหน้า งั้นก็ต้องสนองซะหน่อย



NATOUCH: อยากกินราดหน้า

NaTee(n): ไปกินดิ

NaTee(n): ใครมัดขาพี่ไว้อะ

NATOUCH: ไม่กินละ

NATOUCH: เดี๋ยวไปทำงานกับเพื่อน

NaTee(n): เฮ้ยยย

NaTee(n): เดี๋ยวดิ

NaTee(n): ล้อเล่นน่า

NaTee(n): นี่ผมกำลังไปหาพี่เลย

NaTee(n): พี่ทัช

NaTee(n): เฮ้ย ใจเยนนนน

NaTee(n): พี่ รอก่อนนน

NATOUCH: มึงนั่นแหละใจเย็น

NATOUCH: พิมพ์รัวอะไรขนาดนี้

NATOUCH: เว้นช่องให้กูตอบบ้างมั้ย

NaTee(n): ก็กลัวพี่ไม่รอไง

NaTee(n): ผมกำลังไป

NaTee(n): พี่อยู่ไหนอะ

NATOUCH: แล้วมึงกำลังจะไปไหนล่ะ



เอาล่ะสิ

ช่วงหลังๆ พี่ทัชทำงานกับเพื่อนเยอะ ไม่ค่อยอยู่ป่าดงดิบเท่าไหร่ด้วย ถามให้ชัดๆ ก่อนไปดีกว่า



NaTee(n): ก็พี่อยู่ไหนล่ะ

NaTee(n): ห้องสมุดเหรอ 

NaTee(n): หรือว่าจะไปที่ร้านราดหน้าเลย

NATOUCH: กูไม่อยากกินราดหน้าละ

NATOUCH: เดี๋ยวหาแซนด์วิชกินแล้วทำงาน

NaTee(n): เฮ้ย พี่

NaTee(n): ผมแยกตัวจากเพื่อนแล้ว กำลังไปหาจริงๆ

NaTee(n): อย่างอนดิ



พอบอกจะกินแซนด์วิชแล้วก็เก็บมือถือเลยมั้งเนี่ย ไม่อ่านข้อความซะแล้ว ผมเลยเก็บมือถือ เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหน่อย และระหว่างนี้ก็ถือโอกาสจัดการบางสิ่งบางอย่างไปด้วยเพื่อจะได้เข้าใจพี่ทัชมากขึ้น

ใช้เวลาประมาณห้านาทีถึงได้มาถึงป่าดงดิบ

“มาแล้วๆ เฮ้ย นั่นพี่จะไปไหนน่ะ” ผมรีบออกแถลงการณ์ เพราะมาถึงจังหวะที่พี่ทัชกำลังรวบหนังสือลุกขึ้นพอดี “นี่ผมสับขาแบบสี่คูณร้อยมาเลยนะ เหนื่อยโคตร นั่งก่อนๆ”

พี่ทัชถอนหายใจนิดๆ แล้วนั่งลง

ผมเข้าไปนั่งตรงข้ามเขา “นี่พี่เคืองอะไรรึเปล่า หน้าตึงโคตร หรือว่าไปแอบทำศัลยกรรมดึงหน้ามา”

“รู้ได้ไงล่ะว่ากูอยู่นี่”

“เพราะผมเก่งไง รู้ใจพี่อะ”

“เพราะมึงไม่เก่งมากกว่า ถ้ากูไม่อยู่นี่มึงจะหาเจอเหรอ”

“พี่อยู่ไม่กี่ที่หรอกน่า หรือต่อให้ไปซ่อนในหลืบไหนของมหา’ลัยผมก็หาเจอแน่นอน ขอเวลาครึ่งวันพอ”

“เอาเวลาขนาดนั้นไปอ่านหนังสือเถอะ”

“ถ้าพี่อยู่นี่เพราะอยากให้ผมเจอ แล้วจะไปไหนอะเมื่อกี้”

“กูอยู่นี่เพราะมันเงียบแล้วก็อากาศดี”

“เหรอออ~”

“มึงพันพลาสเตอร์ทำไม”

“เอ้า นี่ๆ ดู...ผ่าม!” ผมชูนิ้วทั้งสิบที่พันพลาสเตอร์ไว้เรียบร้อยขึ้น อันที่จริงเรียกว่าพันลวกๆ มากกว่า เพราะต้องทำระหว่างเดินมานี่ “โคตรลำบากเลยกว่าจะพันครบ”

“เพื่อ?”

“อยากรู้สึกอย่างที่พี่รู้สึกไง เคยพันตอนไปบ้านพี่ทีนึงละ แต่ครั้งนี้จะลองพันไว้นานๆ ดู” ผมลองบี้ปลายนิ้วดู ลองเอามาลูบๆ เล่น “สากอะ นี่พี่หยิบจับของถนัดได้ไง”

“เอามาเล่นให้เปลือง”

“นี่ผมกะให้เป็นแฟชั่นบูมแตกเลยนะ เอามือพี่มาดิ๊” ผมยกกล้องมือถือขึ้นเพื่อจะถ่ายรูป แต่พี่ทัชกระตุกมือหนีทันที “งั้นมือผมก็ได้ คอยดูนะ ไม่ถึงห้านาทีคนไลค์เป็นหมื่นแน่นอน”

“อย่า”

แชะ~

อัปเดตสเตตัสอย่างไว แปะรูปพร้อมแคปชั่น ความสากอยู่ที่นิ้ว ความ cute อยู่ที่ใจ #แฟชั่นกำลังมา

“นั่นไง มาแล้วหนึ่งไลก์...เจษฎาแฟนคลับอันดับหนึ่ง ต้องงี้ดิ”

พี่ทัชถอนหายใจ ก่อนจะถามไปอีกเรื่อง “แม่ชอบของขวัญรึเปล่า” เปลี่ยนเรื่องก็ดี ไม่อยากจะโม้เรื่องโซเชียลต่อ เพราะแทบทุกสเตตัสของผมก็มีแค่เจษฎากับเปิ้ลนี่แหละที่กดไลค์

“กระเป๋าตังค์อะนะ ชอบดิ ของฟรีใครไม่ชอบบ้าง”

“เอาดีๆ”

“แม่ชวนพี่ไปกินข้าวที่บ้านอะ ผมบอกว่าพี่ช่วยออกเงินค่าของขวัญ แม่เลยอยากขอบคุณ”

“อืม ได้”

“ว่างวันไหนอะ”

“ไว้ดูก่อน” พี่ทัชลุกขึ้น

“เอ้า ไปไหน”

“มึงอยากกินราดหน้าไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่พี่เหรอ คนอยากกินอะ”

“ตกลงมึงจะกินหรือไม่กิน ไม่งั้นกูจะกินแซนด์วิช”

“กินดิ มาขนาดนี้แล้ว”

“กูกินเพราะมึงชอบกินนั่นแหละ อย่าพูดมาก”

“ยังไงนะ พี่ชอบกินตามผมเหรอ แต่พี่ไม่ชอบกินคะน้าไม่ใช่เหรอ...ไม่ต้องกินก็ได้นะ...พี่ทัช ถามจริงๆ นะ ตอนฉี่ถ้าฉี่เปื้อนพลาสเตอร์ที่นิ้วพี่ทำไง…รอด้วยดิ เดินโคตรเร็ว...โมโหหิวเหรอ…” ผมถามนั่นถามนี่ขณะเร่งฝีเท้าตาม แต่พี่ทัชไม่พูดอะไรแล้ว

จนกระทั่งมาถึงโรงอาหารและสั่งราดหน้ามานั่งกันเรียบร้อย

แกล้งพี่แกซะหน่อย ตักคะน้าจากชามผมเพิ่มให้ซะเลย “ถือว่ากินชดเชยไง ตอนเด็กพี่ไม่ค่อยกินผัก”

พี่ทัชกะพริบตาสองสามที แล้วตักหมูนุ่มมาให้ผมชิ้นนึง

“ให้ผมทำไมอะ หมูพี่ก็ไม่กินเหรอ นี่สุดยอดความอร่อยเริ่ดเลยนะ”

“มึงกินเถอะ จะได้ฉลาด”

“หรือว่าพี่เป็นริดสีดวง ไม่อยากกินเนื้อเยอะเพราะมันทำให้ท้องผูก แล้วก็…”

“หุบปาก แล้วกินไป”

“ปลายนิ้วด้านๆ อะ จับช้อนไม่ถนัดเลย”

“ก็แกะพลาสเตอร์ออก”

“ไม่เอา ไว้งี้แหละ”

“แล้วไง จะใช้ให้กูป้อนเหรอ”

“ว่าจะก้มกินเหมือนหมา” ผมฉีกยิ้ม “เฮ้ย แต่ให้พี่ป้อนก็ดีนะ สบาย”

“กินๆ ไป เดี๋ยวเย็นซะก่อน”

“เออ จริงด้วย”

ผมก็หาเรื่องแกล้งพี่ทัชไปงั้นแหละ ได้แกล้งแล้วน้ำย่อยหลั่งโคตรดี ถึงจะจับช้อนไม่ค่อยถนัดเพราะปลายนิ้วสาก แต่ความเร็วปากยังเหมือนเดิม พอวอร์มอัพขากรรไกรได้ที่ก็ยาวเลย แป๊บเดียวเกือบหมดชาม ขณะที่พี่ทัชยังกินไปไม่ถึงครึ่ง ผมลดสปีดลงหน่อยด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาไถเล่น

สเตตัสล่าสุดยังมีแค่เจษฎากดไลก์คนเดียว

ลองเช็กกับเจษหน่อยดีกว่าว่ามีใครเลือดตกยางออกรึยัง



NaTee(n): เจษ เป็นไงมั่ง

Jessada: สบายดีนะ

Jessada: ตอนนี้อากาศไม่ค่อยร้อน

NaTee(n): ไม่ใช่เว้ย

NaTee(n): พี่เห็ดอะ มาจริงรึเปล่า

Jessada: มาจริง

Jessada: ซื้อขนมมาเต็มเลย มีตีนไก่ทอดด้วย

NaTee(n): ที่บอกจะให้แดกตีน คือตีนไก่ทอดเหรอวะ

Jessada: คิดว่างั้น

NaTee(n): แล้วไงต่อ สองคนนั้นตีกันยัง

Jessada: ก็เถียงๆ กันนะ

Jessada: เราทำตัวไม่ค่อยถูก เลยกินอย่างเดียว

Jessada: ไม่รู้ว่าเราควรนั่งอยู่ตรงนี้มั้ย



“เล่นไร” พี่ทัชถามขึ้น

“ก็พี่กินช้าอะ เลยเล่นรอ”

“มึงมูมมามมากกว่า”

ผมพิมพ์ส่งท้ายบอกเจษว่า นั่งเป็นหัวตออยู่นั่นแหละเจษ จำรายละเอียดให้ได้เยอะๆ เดี๋ยวกูจะถามทีหลัง จากนั้นก็วางมือถือ ขุดความเป็นผู้ดีในส่วนลึกออกมาโชว์ด้วยการคีบช้อนส้อมด้วยนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง จีบปากจีบคอซดราดหน้าเบาๆ

“เอ้อพี่ ช่วงนี้พี่เห็ดเป็นไงบ้างอะ”

“ก็ดีมั้ง”

“หายเฮิร์ทยัง”

“ไม่รู้”

“พี่รู้อะไรบ้างเนี่ย”

“รู้บางเรื่องที่ควรรู้”

“นี่แหละเรื่องที่ผมควรรู้” พี่ทัชเลิกคิ้ว ผมเลยขยายความต่อ “ก็ตอนนี้พี่เห็ดไปกวนเปิ้ลกับเจษอยู่อะ ไม่รู้แกเป็นบ้าไร หรือคิดวางแผนอะไรอยู่”

“อ่อ ปกติเรนจิมันไม่คิดอะไรซับซ้อนหรอก”

“หมายความว่าเซลล์สมองแกน้อยใช่มะ”

“หมายความว่าเป็นคนตรงๆ ไม่คิดมาก”

“ผมจะบอกพี่เห็ดว่าพี่ทัชด่าว่าแกโง่ คิดไรซับซ้อนไม่ได้ แล้วนี่กินเสร็จพี่ทำไรต่ออะ”

“ทำงาน”

“ไปเดินห้างชิลล์ๆ หรือหาหนังดูกันดีกว่า ไปมะ”

“กูต้องทำงาน”

“งั้นไปด้วยดิ”

“จะไปทำไม มึงก็ไปอ่านหนังสือทำงานอะไรของมึงไป คณะบริหารไม่มีไรให้ทำเหรอ”

“ขี้เกียจอะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปฉีกยิ้ม “ไปด้วย นะๆๆ”

“มึงไปอยู่ด้วยกูไม่มีสมาธิ”

“ผมไม่กวนหรอกน่า จะอยู่เงียบๆ”

“มึงเนี่ยนะอยู่เงียบๆ” พี่ทัชถอนหายใจแบบปลงๆ แต่ก่อนจะได้พูดต่อ ปากผมก็ชิงตัดหน้าซะก่อน

“งั้นวันหลังพี่ต้องพาผมไปบ้านพี่อีก อยากเล่นกับผงฟอกอะ”

“อืม”

“เลี้ยงหนังด้วย”

“อือ”

“ต้องงี้ดิ งั้นพี่ไปทำงาน ผมจะไปสุมหัวกับเพื่อนต่อละ ดูว่าพี่เห็ดแกมาป่วนไร”

“อ่านหนังสือมั้ย”

“อ่านๆ ไม่ต้องห่วงครับโผม พี่รีบกินดิ”

“มึงนี่จริงๆ เลย”

หลังจากกินกันเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินย้อนกลับทางเดิม แล้วแยกย้ายกันตรงหน้าตึกคณะจิตวิทยา พี่ทัชไปตั้งใจทำงานเพื่ออนาคตที่ดี ส่วนผมจะไปวอนหาตีนเพื่อเติมสีสันให้ชีวิต ระหว่างที่เร่งฝีเท้าอยู่ก็มีข้อความไลน์เด้งเข้ามาใหม่ นึกว่าเป็นเจษฎาแจ้งความคืบหน้าอะไร แต่กลับเป็นพี่ทัชพิมพ์มาว่า

หายแล้ว

อะไรวะ

ผมกำลังจะพิมพ์ถามกลับไป แต่ข้อความเก่าๆ ที่อยู่เหนือขึ้นไปทำให้ต้องยั้งมือไว้



NATOUCH: เดี๋ยวหาแซนด์วิชกินแล้วทำงาน

NaTee(n): เฮ้ย พี่

NaTee(n): ผมแยกตัวจากเพื่อนแล้ว กำลังไปหาจริงๆ

NaTee(n): อย่างอนดิ


NATOUCH: หายแล้ว



พออ่านต่อเนื่องกันก็ไม่สงสัยแล้วว่าข้อความที่เพิ่งตอบกลับมาหมายถึงอะไร แต่ปากผมยังเผลอพึมพำออกมาอยู่ดี “อะไรวะ”

ไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจว่าแค่คำสั้นๆ ทำไมทำให้ผมกลับมายิ้มเหมือนคนเมากัญชาอีกแล้ว

ปึก!

เชี่ย ใครใช้ให้เอาเสาไฟมาตั้งชิดทางเดินขนาดนี้วะ หัวแตกรึเปล่าเนี่ย!









_______________________________

รักทุกคนที่เข้ามาอ่านมากเลยค่ะ T___T
โชคดีมากเลยที่ได้เจอคนที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่
ขอบคุณจริงๆ นะคะ


นางร้าย
18.ธันวา.2019

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 25) |▌17.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 17-12-2019 20:39:42
น้องยังคงความน้อง5555555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 25) |▌17.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ohanaeo ที่ 17-12-2019 21:14:44
น้องโดนแอทแทคอย่างจัง5555
ถึงกลับชนเสาเลย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 25) |▌17.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 17-12-2019 22:09:09
ยังคงสงสารพี่ทัชในทุกตอน นางควรไปตกหลุมรักคนอื่นที่เพี้ยนน้อยกว่านะฑี ~~  :laugh:

Welcome back นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 25) |▌17.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-12-2019 23:07:53
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 25) |▌17.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 18-12-2019 13:11:51
โอ้ยยยยย พี่ทัช!!!!!!! พี่จะน่ารักแบบนี้ไม่ได้ พี่กำลังจะให้ไอ้แสบเมารักจนโคม่า 55555555555555555

/พระเจ้าช่วยเหวี้ยงคู่ มาน้องเจษสักคน อย่าปล่อยน้องให้เฉาอยู่คนเดียว
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 25) |▌17.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: PHENOMENAL ที่ 18-12-2019 22:13:43
อ่านแล้วยิ้มตลอดเลย พี่ทัชน่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 25) |▌17.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 19-12-2019 23:35:35
เกลียดความใสๆของน้องงง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 26) |▌25.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 25-12-2019 19:52:26


แตะต้องครั้งที่ 26

จับบบ…ระวังคุณไสยอะไรคือเต๊าะหัวเราะไม่เป็น
เห็นชัดหรือต้องเดางานเข้าแง่นแง้น



โชคดีเกิดมาหัวแข็งพอเลยไม่เป็นอะไร แต่ก็บุญน้อยด้อยวาสนาจนมาไม่ทันมวยคู่เด็ด เจษฎาบอกว่าผมคลาดกับพี่เห็ดนิดเดียว แกไปแล้ว สภาพที่เห็นอยู่ก็คือซองขนมขบเคี้ยวหลากยี่ห้อ กระดูกตีนไก่ทอดกองพูน เจษยังแทะชิ้นนึงติดพันอยู่อย่างเมามัน ส่วนเปิ้ลกำลังใช้ทิชชู่ซับปากที่มันแผล็บไม่แพ้กัน

“เฮ้ยเปิ้ล มึงกินของพี่เห็ดเหรอ”

“ไม่กินก็ถือว่ากลัวดิ”

“กินนี่แหละน่ากลัว แกอาจจะใส่ยาถ่ายก็ได้นะเว้ย”

“จริงเหรอ” เจษฎาหยุดชะงัก ตีนไก่ค้างเติ่งอยู่ในมือ

“งั้นก็ถ่ายกันหมดนี่แหละ ตัวแกเองก็กิน” เปิ้ลบอก

“หรือแกจะใส่คุณไสย กินเสร็จมีหนังควายในท้องทำไงวะ”

เจษฎาถึงกับหน้าเสียและทิ้งตีนไก่อย่างรวดเร็ว มึงหัววิชาการไม่ใช่เหรอวะเจษ ไม่น่าจะกลัวเรื่องพวกนี้นะ ตรงข้ามกับเปิ้ลที่คว้าเอาตีนไก่ชิ้นใหม่ในถุงไปแทะต่อ “ใครกลัวก็อย่ากิน”

ตอนนี้ตีนไก่เหลือแค่ชิ้นเดียวด้วย

ผมกับเจษสบตากันแวบนึง ก่อนที่ผมจะฉกมาแทะบ้าง

“นายไม่กลัวเหรอ” เจษถาม

“กูเป็นคนรักเพื่อนไงเจษ ถ้าเพื่อนโดนวางยาคุณไสยไร กูขอโดนด้วย...อร่อยดีว่ะ ไปซื้อมากินอีกมั้ย”

“เรารู้สึกเลี่ยนมากแล้วอะ” เจษบอก

เจษ เมื่อกี้กูเห็นแววตามึงเหมือนจะอยากแย่งชิ้นสุดท้ายนะ แต่ไม่กินก็ได้ ขอสัมภาษณ์พวกมึงก่อน

ผมพยายามดึงให้ทั้งคู่ถกแถลงถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของพี่เห็ด แต่เหมือนจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เปิ้ลออกแนวไม่ออกความเห็น บอกแค่ว่าพี่แกก็ยังปากหมาหน้าตากวนตีนเหมือนเดิม ไม่แปลกอะไร ส่วนเจษพยายามอธิบายด้วยหลักการต่างๆ ซึ่งฟังไม่เข้าเรื่องเข้าราวเท่าไหร่

เมาท์แตกประเด็นไปมั่วซั่ว จนถึงเวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน

ผมถามพี่เห็ดเองเลยดีกว่า ทนไม่ไหวละ



NaTee(n): ที่คณะจิตไม่ค่อยมีคนกรวดน้ำเหรอ

★R3NJI: เหี้ยไรของมึง

NaTee(n): พักนี้เห็นลอยไปลอยมาแถวตึกบริหาร

NaTee(n): อยากได้ส่วนบุญเหรอ

NaTee(n): ไม่มาเข้าฝันผมอะ จะได้ทำบุญให้

★R3NJI: มึงสะกดรอยตามดูกูเหรอ

NaTee(n): ใครจะเหมือนพี่อะ

NaTee(n): ตามแอบถ่ายผมถึงคอนโดเจ๊แคลเลย

NaTee(n): โอ๊ะๆ โทษที

NaTee(n): พูดชื่อนี้สะเทือนใจมั้ยอะ

★R3NJI: แค่นี้สิวๆ โว้ย

★R3NJI: ไม่ระคายกูหรอก

NaTee(n): โห ด้านจัง

★R3NJI: คนกำลังอารมณ์ดีๆ

★R3NJI: มึงทักมาทำเหี้ยไรเนี่ย

NaTee(n): งั้นเข้าเรื่องเลยละกันนะ

NaTee(n): พี่มาวุ่นวายกับเพื่อนผมทำไม

★R3NJI: วุ่นวายตรงไหน

★R3NJI: เจอหน้าก็ด่า

NaTee(n): ไม่เจอหน้ายังขอไลน์ไปด่าเพลินเลยนี่

★R3NJI: มึงแอบอ่านไลน์เปิ้ลเหรอ

NaTee(n): แหม เพื่อนกันก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดแหละพี่

NaTee(n): แต่ไม่เข้าใจ พี่มาวุ่นวายกับเปิ้ลทำไม

NaTee(n): รู้ละ

NaTee(n): พี่เข้าทางเปิ้ลเพื่อจะเต๊าะเจษใช่ปะ

NaTee(n): เป็นคนรุนแรงเลยหาอะไรเนิร์ดๆ นุ่มๆ มาเติมเต็มไรงี้

★R3NJI:  เติมเหี้ยไร ชีวิตกูเต็มอยู่แล้ว

NaTee(n): เต็มจนล้นเลยอะดิ

NaTee(n): หรือว่ามาเต๊าะเปิ้ลโดยตรง

NaTee(n): เฮ้ยพี่ เปิ้ลมันไม่ใช่ผู้หญิงแท้นะพี่ ถึงจะเห็นหน้าตาใสๆ หน้าอกหน้าใจงี้ก็เถอะ

★R3NJI: แปลงเพศ?

NaTee(n): เปล่า

NaTee(n): หมายถึงใจมันอะ ไม่ใช่ผู้หญิง

NaTee(n): สเป๊กเปิ้ลนี่ สวยใสวัยหวานนะ ก็คือชอบผู้หญิงเหมือนกันอะ

★R3NJI: เออ กูรู้

★R3NJI: ไม่มีผู้หญิงแท้ๆ ที่ไหนปากหมาเหมือนมึงหรอก

NaTee(n): ยิงมุกนัดเดียวโดนหงส์สองตัวเลยนะเนี่ย

NaTee(n): ถ้าไม่เต๊าะใครแล้วมายุ่งกับเพื่อนผมทำไมอะ

★R3NJI: เห็นน่าสงสาร ใกล้จะเหลือกันแค่สองคนแล้วนี่

NaTee(n): ว่าผมทิ้งเพื่อนเหรอ

★R3NJI: มึงจะโดนกระทืบตายต่างหาก

★R3NJI: ถ้าไม่เห็นแก่ไอ้ทัช กูเตะแม่งขี้แตกตายตั้งแต่วันแรกแล้ว

NaTee(n): อุ๊ย กลัวจัง

★R3NJI: หุบตูดไป รำคาญ

★R3NJI: หลังจากนี้ถ้าไม่อยากแอดมิดก็หลบหน้ากูดีๆ ละกัน



ผมพิมพ์กวนๆ ไปอีก แต่พี่เห็ดไม่ตอบอะไรแล้ว

ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ หลังจากอาบน้ำจัดการอะไรทุกอย่างเสร็จ ผมก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วอ่านแชตนี้ซ้ำอีกรอบ แต่ก็ยังไขปริศนาของพี่เห็ดไม่ออก ถ้าแกไม่ใช่คนคิดซับซ้อนอย่างที่พี่ทัชว่า ก็อาจจะเพราะแกเถียงสู้ผมไม่ได้ เลยสนองความเถื่อนของตัวเองด้วยการไปลงกับเพื่อนผมแทน หรือไม่ก็มาลับฝีปากกับเปิ้ลเพื่ออัพสกิลไว้เล่นงานผมทีหลัง

ช่างแกเถอะ ไปเสือกเรื่องอื่นดีกว่า

ลองเข้าไปดูในกรุ๊ปเมียหลวง เหล่าภรรยาผู้ชอกช้ำระกำทรวงยังถกกันเรื่องความน่าเชื่อถือของบริษัทขอทัชฑีอยู่ประปราย ผมอ่านผ่านๆ แล้วแปะคำโฆษณาไปอีกรอบ

ไลน์ปุ๊บรู้ปั๊บ ล้วงตับควักไส้ ไขทุกปัญหาคาใจ

อย่าลืม ความจริงรอคุณอยู่

จากนั้นก็เปิดหน้าแชตกับพี่ทัชขึ้นมาแทน ทุกวันนี้ต้องคุยก่อนนอน ไม่งั้นนอนไม่หลับ



NaTee(n): เพ่ ทำไร

NATOUCH: งาน

NaTee(n): เย็นชาอะ

NATOUCH: ทำงานครับน้อง ว่าไง

NaTee(n): ผ่าม!

NaTee(n): พี่เล่นมุก

NaTee(n): ฟังแล้วจั๊กแร้เลย

NATOUCH: จั๊กจี้

NaTee(n): ผ่าม! ผ่าม! ผ่าม!

NaTee(n): วันไรเนี่ย ปกติไม่ค่อยได้ยินพี่เล่นมุก

NATOUCH: นี่กูพิมพ์ ไม่ได้พูด

NaTee(n): แต่อ่านแล้วได้ยินเสียงพี่ในหัวไง

NATOUCH: มีไรล่ะ

NaTee(n): อันนี้ฟังดูเย็นชาน้อยกว่าตอนแรกนิดนึง

NATOUCH: เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วมึง

NaTee(n): นั่นดิ

NaTee(n): พักนี้ชอบได้ยินเสียงพี่พูดนั่นพูดนี่ในหัวอะ

NATOUCH: กูพูดอะไร

NaTee(n): ก็นะฑีอย่างนั้น... นะฑีอย่างนี้...

NATOUCH: ทำไมฟังดูทุเรศวะ

NaTee(n): ก็มีบ้างนะ

NATOUCH: หยุดเลย

NaTee(n): แต่ไม่ค่อยมีเสียงพี่หัวเราะเท่าไหร่

NaTee(n): หัวเราะให้ฟังหน่อยดิ

NATOUCH: เล่นไรของมึง

NaTee(n): หัวเราะเป็นรึเปล่าพี่อะ

NaTee(n): เกิดมาเคยหัวเราะมั้ย



อีกฝ่ายเว้นจังหวะไปแป๊บนึง ก่อนจะส่งข้อความมาเป็นคลิปเสียงความยาวประมาณห้าวินาที ผมกดเล่นคลิปและตั้งใจฟัง

หึ

สั้นๆ แค่นี้เลย ไอ้ความยาวอีกสี่วินาทีที่เหลือนี่ก็เป็นแค่เสียงของความว่างเปล่าระหว่างรอเวลาให้กดหยุดตอนอัดเสียงเท่านั้น



NaTee(n): พี่ตดเหรอ

NATOUCH: คิดว่าไงล่ะ

NaTee(n): ล้อเล่นน่า

NaTee(n): แต่แค่นี้ไม่เรียกว่าหัวเราะหรอกมั้ง

NaTee(n): อยากเห็นพี่หัวเราะเยอะๆ

NATOUCH: นี่กูหัวเราะเยอะกว่าเมื่อก่อนแล้ว

NaTee(n): จริงดิ

NaTee(n): เมื่อก่อนพี่เป็นก้อนหินเหรอ

NaTee(n): ผมยิงมุกอะไรไปไม่เคยจะเห็นพี่หัวเราะ ยิ้มก็แทบไม่เห็น

NATOUCH: มึงตาไม่ดีไงถึงไม่เห็น

NaTee(n): พี่ยิ้มลับหลังผมเหรอ

NATOUCH: บางครั้ง

NaTee(n): อะจริงดิ ทำไมอะ

NATOUCH: ได้ยินเสียงมึงในหัว

NaTee(n): แอบเอาผมไปจินตนาการลับหลังเหรอเนี่ย

NaTee(n): จินตนาการว่าไงมั่ง เล่าๆ

NATOUCH: ก็พี่ทัชอย่างนั้น... พี่ทัชอย่างนี้...

NaTee(n): ทำไมฟังดูทุเรศอะ

NATOUCH: ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดหรอก

NaTee(n): รู้เหรอ ผมคิดไร

NATOUCH: ก็อะไรที่ทุเรศๆ แบบที่คนทั่วไปไม่คิดกัน

NaTee(n): พี่ลอกอะ

NaTee(n): แล้ว ‘พี่ทัชอย่างนั้น พี่ทัชอย่างนี้’ แบบที่คนทั่วไปคิดกันนี่คือยังไง

NaTee(n): จงอภิปราย 10 คะแนน

NATOUCH: แค่กวนตีนกูอย่างนั้นอย่างนี้เฉยๆ

NaTee(n): ไอ้แบบนั้นผมก็เป็นปกติอยู่แล้วนี่

NATOUCH: เออ แค่นั้น

NaTee(n): แค่นั้นอะไร

NATOUCH: แค่นั้นแหละที่ทำให้กูยิ้ม



ไปต่อไม่เป็นเลยวุ้ย

มันคันอกคันใจ อะไรยังไงวะ

ผมพลิกตัวนอนหงายอ่านข้อความแชตซ้ำทั้งหมด แล้วลดมือถือวางไว้บนอก ตามองฝ้าเพดาน แค่นั้นแหละที่ทำให้กูยิ้ม เสียงของพี่ทัชโคตรจะนุ่ม หมายถึงเสียงที่ดังในหัวผมน่ะ และมันก็ทำให้ผมยิ้มเหมือนกัน ว่าจะตัดบทแล้วเข้านอนไปพร้อมความรู้สึกนี้ แต่สุดท้าย ตัดสินใจแชตต่อดีกว่า



NaTee(n): พี่

NaTee(n): ลองอ่านแชตเราซ้ำดิ

NaTee(n): มันยังไงวะ

NATOUCH: มึงไม่เข้าใจตรงไหนล่ะ

NaTee(n): มันแปลกๆ มั้ย

NATOUCH: ?

NaTee(n): นี่เราเป็นไรกันอะ

NATOUCH: …

NaTee(n): โปรยเม็ดเกลือคือไร

NATOUCH: คิดดิ

NaTee(n): ให้คิดว่า?

NATOUCH: สมองมึงคิดได้ว่าไงล่ะ

NaTee(n): ถ้าคิดมากนะ

NaTee(n): นึกว่าพี่เต๊าะผม

NATOUCH: มึงคิดน้อยกับทุกเรื่องไง

NATOUCH: ชีวิตถึงได้เป็นแบบนี้

NaTee(n): กับบางเรื่องผมก็คิดมากเหอะ

NATOUCH: เช่น?

NaTee(n): เช่นเรื่องที่เราคุยกันนี่ไง

NATOUCH: เออ

NaTee(n): เออไร

NATOUCH: คิดมากก็คิดไป

NATOUCH: ใครจะไปห้ามสมองมึงได้

NATOUCH: กูไปทำงานละ

NaTee(n): เอ้า เดี๋ยวดิ

NaTee(n): ยังไม่รู้เรื่องเลย

NATOUCH: ไม่รู้เรื่องก็ไปคิดเยอะๆ จะได้ฉลาด

NaTee(n): ปวดหัว

NaTee(n): อยากดูคลิปผงฟอกอะ

NaTee(n): พี่

NATOUCH: กูทำงานก่อน

NATOUCH: สิบนาที

NaTee(n): สิบนาที งั้นผมรอ

NaTee(n): เคๆ



แล้วผมก็นั่งคิด นอนคิด ห้อยหัวคิด อ่านแชตซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งถ้าให้คิดมาก มันก็พอคัดเฉพาะประโยคสำคัญๆ ออกมาได้เนื้อความประมาณว่า…



NaTee(n): ถ้าคิดมากนะ

NaTee(n): นึกว่าพี่เต๊าะผม

NATOUCH: เออ

NATOUCH: คิดมากก็คิดไป



ใช่เหรอ

ไม่อยากคิดไปในมุมนั้น

แต่มันก็คิดไปแล้ว ทำไมชอบพูดอะไรคลุมเครือวะ

ถามอีกทีดิ๊



NaTee(n): พี่

NaTee(n): ขอชัดๆ นะ

NaTee(n): พี่เต๊าะผมรึเปล่า



พี่ทัชอ่านข้อความแล้ว แต่ยังไม่ตอบ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ หรือว่าต้องรอจนครบสิบนาทีเป๊ะๆ วะ งั้นก็นอนกลิ้งรอวนไป พอครบเวลาเป๊ะผมก็รีบพิมพ์ไปทันที



NaTee(n): ครบสิบนาทีแล้ว

NATOUCH: เออ

NaTee(n): เออ นี่คือตอบคำถาม?

NATOUCH: เออ คือรู้แล้วว่าครบสิบนาที

NaTee(n): โวะ แล้วที่ถามอะ

NATOUCH: ถามว่า?

NaTee(n): ก็เต๊าะผมรึเปล่าไง

NATOUCH: งั้นกูถามไรหน่อย

NaTee(n): ว่า?

NATOUCH: เต๊าะคืออะไร

NaTee(n): เงิบบบ

NaTee(n): ผ่ามๆๆๆ

NaTee(n): ไรของพี่วะ

NaTee(n): พี่เกิดสมัยสงครามโลกเหรอ ถึงไม่รู้จักคำนี้อะ

NaTee(n): ไปเสิร์ชกูเกิลไป

NATOUCH: เออ

NATOUCH: ไว้ว่างๆ เดี๋ยวเสิร์ชดู

NATOUCH: ขอทำงานก่อน

NaTee(n): เออๆ

NaTee(n): งั้นผมไม่กวนละ

NaTee(n): นอน

NATOUCH: อีกแป๊บจะเสร็จแล้ว



ผมลุกไปแปรงฟัน กลับมาปิดไฟและกระโดดขึ้นเตียง มองเพดานมืดๆ พร้อมกับฟังเสียงมอเตอร์ไซค์เด็กแว้นที่เริ่มออกปฏิบัติการแสวงหาคำสาปแช่งมาเติมเต็มชีวิต ยิ่งได้ยินเสียงเบิ้ลเครื่องใจผมยิ่งหงุดหงิด สับสน และขุ่นมัว เกือบจะได้หลับไปพร้อมความรู้สึกดีๆ แล้วเชียว ไม่น่าชวนพี่ทัชคุยเรื่องซับซ้อนคลุมเครือเล้ย

จะว่าไปมันก็ไม่ซับซ้อนนะ แต่ถามตรงๆ เลยต่างหาก พี่ทัชแหละทำให้มันยุ่งยาก หรือว่าผมไม่ควรถามตอนนี้วะ ที่สำคัญ คือผมอยากรู้จริงๆ หรือว่าผีเจาะปากพล่ามไปเรื่อยเหมือนเรื่องอื่นๆ

ช่างมันเถอะ ไม่คิดเยอะละ นอน

ตื๊อดึ่ง!

ไลน์เด้ง

ว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่ก็อดหยิบมาดูไม่ได้ พี่ทัชส่งมา ไม่ใช่พิมพ์เป็นข้อความ มาเป็นคลิปเลยทีนี้ ยาวหลายนาทีด้วย ใจผมคล้ายกับจะกระเด้งกระดอนอยู่ในอก จนต้องกลั้นลมหายใจไว้แล้วค่อยจิ้มนิ้วกดเพลย์ที่คลิป

และสิ่งที่เห็นคือ…

พี่ทัชนั่งอยู่บนเตียงกับกีตาร์ในท่าพร้อมเล่น มีผงฟอกนอนหมอบอยู่ข้างหน้าด้วย กล้องจับภาพแค่ครึ่งตัว เลยทำให้เห็นแค่ผงฟอก กีตาร์ และนิ้วเรียวยาวที่ไม่มีพลาสเตอร์พันสักแผ่น

พี่ทัชยีหัวผงฟอกทีนึง แล้วเริ่มเล่นกีตาร์ แค่ขึ้นอินโทรมาก็รู้แล้วว่าคือเพลง I Like Me Better คล้ายกับที่ผมบังคับให้เขาเล่นตอนผมไปเที่ยวบ้านเขาเลย ต่างแค่ว่าไม่มีเสียงเป็ดๆ ของผมร้องให้คร่อมจังหวะ ผมนี่เงี่ยหูรอฟังเสียงเขาร้องเลย แต่กลายเป็นว่าพอจบอินโทร พี่ทัชกลับให้กีตาร์ร้องแทน คือบรรเลงเมโลดี้เนื้อร้องต่อไปเลย แถมยังเกาคลุมจังหวะไปด้วย

อือหือ กีตาร์ตัวเดียว อย่างกับมาทั้งวง

ผมตั้งใจฟังพลางมองนิ้วที่ขยับอย่างคล่องแคล่วไปด้วย พอจบเพลง เขาก็ยีหัวผงฟอกอีก ก่อนจะจับหัวมันหันมาหากล้องคล้ายๆ จะทำให้มันยิ้มให้กล้อง รอยยิ้มมาแล้ว รอยยิ้มกูเนี่ย โอ๊ย ทำไมคลิปสั้นจังวะ

ผมพุ่งลงจากเตียงไปควานหาหูฟังในกระเป๋า ทั้งที่ม้วนไว้ดิบดีแต่มันก็พันกันยุ่งทุกที รีบพุ่งกลับขึ้นเตียงและเสียบหูฟังทั้งที่สายยุ่งๆ นั่นแหละ แล้วเปิดคลิปตั้งใจฟังอีกรอบ

โห เล่นโคตรดี เก็บรายละเอียดทุกเม็ด ขนาดผงฟอกยังทำหน้าเคลิ้มเลย

นอนหลับฝันดีละคืนนี้ แต่ก่อนจะนอนก็ขอแชตอีกหน่อย



NaTee(n): เฮ้ย พี่

NaTee(n): สุดยอดดด

NaTee(n): ไหนบอกเมื่อกี้ทำงาน

NATOUCH: ก็นี่ไงงาน

NaTee(n): เอ้า เหรอ

NaTee(n): สับขาหลอกเฉย

NaTee(n): พี่ไม่ร้องด้วยอะ อยากฟัง

NATOUCH: กูร้องเสียงเป็ดแบบมึงไม่ได้

NaTee(n): 5555

NaTee(n): เสียงเป็ดกว่าผมอะดิ ถึงไม่กล้าร้อง

NATOUCH: คิดตามที่มึงอยากคิดเลย

NaTee(n): เออ ไม่ต้องร้องหรอก เดี๋ยวผมฝันร้าย

NaTee(n): แล้วไอ้การเล่นแบบนี้มันเรียกว่าไรนะ

NaTee(n): คุ้นๆ นึกไม่ออก

NATOUCH: fingerstyle

NaTee(n): เออ ใช่ๆ

NaTee(n): พี่เอาลงยูทูบดิ ไลก์กระจายแน่

NATOUCH: ไม่

NaTee(n): งั้นผมเอาลงนะ

NATOUCH: อืม

NaTee(n): เปลี่ยนใจละ ไม่เอาลงดีกว่า

NaTee(n): ผมจะเก็บไว้ดูคนเดียว

NATOUCH: หึ

NaTee(n): ก็พี่เล่นให้ผมฟังนี่ ใช่มะ

NaTee(n): งั้นคนอื่นก็ไม่ต้องฟัง

NATOUCH: กูนอนละ

NaTee(n): อยากเม้าท์ต่ออะ

NaTee(n): แต่นอนก็ได้

NaTee(n): เคๆ

NaTee(n): ฝันดีผีเต็มเตียง



ผมวางมือถือไว้หัวเตียง พลิกตัวนอนหงาย หลับตาพริ้มพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

ตื่อดึ๊ง!

ไม่ทันถึงนาทีข้อความใหม่ก็เด้งมาอีก อะไรอีกล่ะพี่ทัช จะบอกฝันดีก็ให้มันเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้เนอะ คนกำลังจะเริ่มฝันแล้วเมื่อกี้ แต่พอหยิบมาดูเท่านั้นแหละ

งานเข้าแล้วมั้ยล่ะ

งานเข้าบริษัทขอทัชฑีแล้ว เพราะเป็นข้อความจากกรุ๊ปเมียหลวง เพื่อรักษาเครดิตและน้ำใจลูกค้าไว้ก็ต้องแหกตาขึ้นมาแชตคุยรายละเอียดกันหน่อย แต่ไม่ทันจะได้คุยอะไรหรอก ไอ้พวกเด็กแว้นมันเอาอีกแล้ว ชอบจัง ชอบมาแง้นๆ อยู่หน้าบ้านกูเนี่ย ต้องโทรไปคลายทุกข์ที่ไหน สวพ.91 หรือศูนย์ดำรงธรรม หรือว่าคลับฟรายเดย์

แง่น! แง่นๆ แงนแง่นแง้นนนน~

โว้ยยย คืนนี้จะได้นอนมั้ย






_______________



ล่าสุดได้ผลต้นฉบับมาแล้วค่า
ไว้จะมาบอกนะคะ > <
Merry Kiss Mast คับทุกคนนน


นางร้าย
25.12.19I
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 26) |▌25.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 25-12-2019 21:33:52
ข่าวดีแน่ๆเลย จุดพลุรอเลยไหมคะ

อ่านเขาเตาะกันแล้วก็ขำ น้องมันซื่อหรือพี่มันร้ายคะ? 5555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 26) |▌25.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-12-2019 22:42:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 26) |▌25.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 27-12-2019 12:34:24
โง้ยย ทัชมีเล่นเพลงกล่อมให้ไอ้แสบนอนด้วย  :hao7:

พี่แอบไปเสิร์ชมาแล้วใช่มั้ยว่า เตาะ แปลว่าอะไร  :laugh:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 26) |▌25.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 28-12-2019 18:16:09
ยังไงคะพรี่ทัช สรุปเต๊าะคือ?
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 26) |▌25.ธันวา.2019 // Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 06-01-2020 02:26:24
เริ่มจีบกันจริงจังแล้วววว
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 27) |▌7.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 07-01-2020 20:11:17


แตะต้องครั้งที่ 27
จับบบ…สัมผัสชัช-เจนขอเค้นเรื่องลับกลับบ้าน
ไม่ต้องกินถ้ากูยังได้ยินโอ้มายก็อด



“ทำไมพี่แต่งตัวดีจังวะ”

“ดียังไง ปกติ”

ใช่ ปกตินั่นแหละ แค่เสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนกับกางเกงสีเข้มเข้ารูป แล้วก็รองเท้าหนังสีน้ำตาล แต่พออยู่บนตัวพี่ทัช ทำไมมันดูดีดูแพงขนาดนี้วะ ตัดภาพมาดูสภาพตัวเอง เครื่องนุ่งห่มชิ้นหลักๆ บนตัวผมตอนนี้คือ เสื้อเชิ้ตโทนสีส้มแขนสั้น กางเกงยีนผ้ายืด กับรองเท้าผ้าใบยอดฮิต ก่อนออกจากบ้านก็คิดว่าดีแล้วนะ แต่หลังจากพี่ทัชจอดรถและเราลงมายืนคู่กัน มันก็อดที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้ ณ จุดนี้ ผมนึกว่าตัวเองจะไปเล่นสงกรานต์แถวสีลม ถ้าเสื้อเชิ้ตมีลายดอกสักหน่อยนี่เป๊ะเลย

“ไม่คิดว่าโรงแรมจะหรูขนาดนี้อะ รู้งี้ผมจัดทักซิโดมาแล้ว” ผมบ่นอีกขณะเราเดินไปตามทาง

“คิดมาก มึงดูดีแล้ว”

“จริงดิ พี่ทัช เอาดีๆ หันมาดู”

“ในสายตากูมึงดูดีแล้ว”

“พี่ยังไม่ได้หันเลย”

ปึก!

หน้าฟาดแผ่นหลังเขาเต็มๆ ดิครับ ก็เล่นหยุดดื้อๆ แบบนี้   

“ต้องมองทำไม กูรู้อยู่แล้ว” เขาพูดโดยเหลือบมาแค่หางตา

น้ำเสียงเรียบๆ แทบไม่ต่างจากเดิม แต่ทำไมฟังแล้วเหมือนโลกหยุดหมุน กลิ่นตัวพี่แกก็โคตรหอม แค่บังเอิญหน้าฟาดหลังไปเบาๆ ได้สูดกลิ่นแค่ปื๊ดเดียวยังพาเคลิ้มได้ขนาดนี้

“แล้วพี่หยุดทำไม ถ้าพี่เดินงี้แถวตลาดเจ๊เนียมบ้านผมนะ ไม่โดนไม้หน้าสามก็มีดสับหมูอะ อย่างน้อยยางรถพี่ก็ต้องรั่ว…”

“อืม โทษที” ทำไมต้องเสียงทุ้ม ทำไมต้องตาเป็นประกาย                 
แล้วทำไมรู้สึกว่าสบตาเขาไม่ได้เลยวะ

“แล้ว...แล้วในสายตาคนอื่นล่ะ สภาพผมดูเป็นไง เหมือนจะไปเล่นสงกรานต์มั้ย”

“กูไม่ใช่คนอื่น”

“งั้นเดี๋ยวผมถามยาม ไปๆ พยาธิในไส้ผมเริ่มก่อม็อบเรียกร้องของกินแล้ว”

เรื่องของเรื่องคือ เจ๊เจนนี่ลูกค้าจากกรุ๊ปเมียหลวงกำลังต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่เรื่องสามี เพราะคุณพี่ชัชวาลย์คู่กรณีนี่ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่เป็นแฟนคบกันมาได้ประมาณห้าปี แค่ชื่อก็ขนลุกแล้ว ชัช-เจน ฟังแล้วโคตรจะเป็นมงคล น่าจะไปกันได้ไกล แต่เจ๊บอกว่าพักหลังๆ มานี้อะไรที่เคยชัดเจนกลับดูคลุมเครือซะงั้น พี่ชัชเริ่มทำตัวหวงโทรศัพท์ กลับดึก คึกแค่ครึ่งๆ กลางๆ ชอบปล่อยเจ๊ลงข้างทางแห่งความฟิน...

แล้วอะไรอีกวะ เจ๊แกท่องให้ฟังยืดยาว แต่จำได้แค่นี้แหละ

สรุปคือมีปัญหาหนักใจจนอยากขอใช้บริการบริษัทขอทัชฑีของเรา วันนี้เจ๊เจนนี่นัดกินข้าวมื้อค่ำสุดหรูกับพี่ชัชวาลย์ที่นี่ เลยนัดให้เรามาจับโป๊ะแตกต่อหน้าเลย นี่ไงล่ะ คนจริง ตาต่อตาฟันต่อฟันไปเลย! ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเจอความจริงฟันกลับเละเทะแค่ไหน

“พี่เขานัดกี่โมง” พี่ทัชถาม

“ดูแป๊บ” ผมหยิบมือถือขึ้นมากดดูห้องแชต “ชิบ เจ๊มาถึงสักพักแล้วอะ…”

ผมหยุดปากไว้เพราะเราเดินมาถึงประตูทางเข้าพอดี ดอร์แมนยิ้มทักทายแล้วเปิดประตูให้ พี่ทัชเดินนำเข้าไป ส่วนผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินตาม

“คนเปิดประตูแต่งตัวดีกว่าผมอีก เลยไม่ถามละ ทำใจ” ผมบ่นอุบอิบ “แล้วเอาไงต่ออะ เรานัดแผนกันหน่อยมั้ย”

“มึงคุยกับพี่เจนนี่ไว้ว่าไงบ้าง”

“ก็โม้ไปเยอะอะ จิตวิทยาแนวใหม่ที่โคตรจะมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องทำอะไรมากมาย ขอแค่คุยนิดหน่อยและได้สัมผัสตัว แล้วก็ปิ๊ง ความจริงปรากฏ”

“งั้นแผนก็ง่ายๆ ละกัน”

“ซี้ดดด ตื่นเต้น ยังไงๆ เข้าไปบวกตรงๆ เลยปะ ล็อกคอเลย ถ้ากวนตีนมากก็ตบสั่งสอน สองรุมหนึ่งยังไงก็เอาอยู่”

“หมายถึงดูจากสถานการณ์แล้วใช้วิธีอะไรง่ายๆ”

ดูจากสถานการณ์แล้วใช้วิธีง่ายๆ ?

“ง่ายยังไง”

“มึงอย่าพูดมากแล้วก็ทำตัวให้เป็นปกติก็พอ”

นี่เหรอแผน ทำไมฟังดูเหมือนไม่มีแผนอะไรเลยวะ แล้วให้ผมทำตัวปกติแต่อย่าพูดมากคืออะไร ฟังแล้วโคตรขัดแย้งเลย เพราะทำตัวปกติของผมก็คือพูดมากไง

“ช่างมันก่อนละกัน หิว”

“มึงจะไปไหน”

“หาไรกินดิ พี่ไม่หิวเหรอ”

“นั่นทางไปห้องน้ำ ห้องอาหารทางนี้”

“อ่าว...ก็จะไปล้างมือไง ตอนเรียนอนุบาลครูไม่สอนให้พี่ล้างมือก่อนกินข้าวเหรอ ไปๆ”

พี่ทัชตามผมเข้าห้องน้ำมาโดยไม่พูดอะไร โรงแรมใหญ่ๆ มันเป็นงี้เอง นั่นประตูห้องน้ำเหรอวะ หรูเกิ๊น ส่วนข้างในนี้ก็สะอาดจนลงไปนอนกลิ้งเล่นได้มั้ง ผมล้างมือแก้เก้อ ส่วนพี่ทัชถือโอกาสนี้แกะพลาสเตอร์ออกจนครบทุกนิ้วแล้วค่อยล้างมือ

“ฉี่ปะ” ผมถาม

“ไม่”

“เผื่อไว้ดีกว่า” ผมพูดพลางขยับไปที่โถฉี่ “เผื่อเจ๊แกเล่นบทโหดชักปืนออกมารัวทำไง จำไม่ได้เหรอที่ผับโอ้มายแอสอะ...งั้นก็แล้วแต่พี่นะ ถ้าฉี่แตกขึ้นมาแล้วจะเสียใจ” ผมจัดยาวๆ ไปจนหมดก๊อก แล้วมาล้างมือข้างๆ เขา “โอเค พร้อม”

เราออกจากห้องน้ำมาที่ห้องอาหาร ตาลายจะเป็นลม นี่โรงแรมหรือสวรรค์ ของกินเยอะไปหมด น่าจะมีครบทุกสัญชาติเลยมั้งเนี่ย ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง

“นี่งานบวชงานแต่งใครรึเปล่า จัดเต็มซะ”

“มันเป็นบุฟเฟ่ต์ มึงไปหาโต๊ะนั่งก่อน อยากกินไรก็กิน กูเลี้ยง แต่อย่าเพิ่งตักเยอะ มันมีเมนูดีๆ ให้สั่งต่างหากได้”

พูดไรก็พูดไป ไม่ได้ยินอะไรแล้วตอนนี้ ระหว่างที่พี่ทัชแยกตัวไปบอกพนักงานว่ามีคนหนึ่งคนกับปอบอีกตนต้องการกินอาหาร ผมก็เดินตาลอยๆ เหมือนคนละเมอไปที่ซูชิบาร์

“อ้าว! น้องนะฑี มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย บังเอิญมาก เกือบเดินชนกันแล้ว” โคตรเนียนเลยครับเจ๊เจนนี่ เกือบเดินชนซะที่ไหน เจ๊แถมาจากฟากโน้นไม่ใช่เหรอ แถมส่งเสียงซะไม่เกรงใจความหรูของสถานที่อีกต่างหาก “เจ๊รอนานแล้ว ไปนั่งกัน เร็วๆ”

“หวัดดีครับเจ๊ หิวอะ ขอกินก่อน”

“เออน่า เดี๋ยวค่อยกิน”

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะเจ๊”

“รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ยิ่งรู้เร็วยิ่งดี แล้วเพื่อนเราอีกคนอยู่ไหน” อะไรของเจ๊วะ มาเปิดตำราสงครามอะไรตอนนี้ “ใช่คนนี้หรือเปล่า...ทัชใช่มั้ยจ๊ะ”

พี่ทัชเดินเข้ามาสมทบพอดี “สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้

“หวัดดีจ้ะ ไปนั่งกันเร็วๆ”

ห่าน! ตับห่านอยู่ใกล้แค่เอื้อม!

แต่ผมกับพี่ทัชก็ถูกลากตัวมาที่โต๊ะเจ๊แล้ว จิตใจทำด้วยอะไร ขอกินหน่อยก็ไม่ได้ พอมาถึงโต๊ะก็จีบปากจีบคอแนะนำตัวเราสองคนกับพี่ชัชวาลย์แฟนหัวแก้วหัวแหวนทันที

“พี่ๆ นี่ไปเจอน้องที่รู้จักพอดี นี่น้องนะฑี แล้วก็นี่น้องทัช ส่วนนี่พี่ชัช แฟนพี่เอง”

“สวัสดีครับ/หวัดดีครับพี่” เราสองคนยกมือไหว้ เจ้าตัวก็รับไหว้อย่างดี

“ให้น้องนั่งด้วยนะ”

“อ่า…”

“นั่งกันๆ เอาเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาเลย” บอกอย่างนั้น แต่เจ๊เป็นคนลากเก้าอี้มาเองทั้งสองตัว กดไหล่ผมกับพี่ทัชให้นั่งลงเสร็จสรรพ

แล้วไงต่อ

เดดแอร์เต็มๆ

“เฮ้ย นะฑี ไม่ได้เจอกันนาน เป็นไงบ้างเนี่ย” เจ๊เขย่าตัวผมแรงๆ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องหาเรื่องมาคุย

“สบายดีเจ๊ กินอิ่ม นอนหลับ ลำไส้ตับไตทำงานคล่อง ลองตดก็ดัง” ผมเขย่าตัวเจ๊แรงๆ บ้าง “แล้วเจ๊เป็นไง ดูเฟิร์มขึ้นนะเนี่ย” ว่าแล้วก็จับเหนียงต้นแขนเจ๊แกว่งๆ ให้ไขมันกระเพื่อมเล่น

ไม่อยากเสียมารยาทนะ แต่นี่คือผลกรรมของเจ๊ไง ที่ทำให้ผมกับซูชิตับห่านพลัดพรากกัน

“เอ่อ…”

“เอ่ออ่าไรล่ะเจ๊ พูดอะไรก็พูด มีความลับเหรอ”

“ความลับไร ไม่มี เจ๊ไม่เคยมีความลับ”

“ทำไมผมรู้สึกแถวนี้มีอะไรลับๆ อะ ผมเซนส์ดีนะเจ๊จะบอกให้”

“แค่กๆ” พี่ชัชวาลย์สำลักน้ำ เราทุกคนเลยหันไปมองหน้าเขา “เอ่อ...เจนรู้จักน้องมานานแล้วเหรอ”

“โอ๊ย นานแล้วดิพี่ ตั้งแต่สมัยที่เจ๊อยู่โรงเรียนบ้านหนองเขียดชุมแล้ว” ผมตอบให้แทน

“ตอนเด็กเจนเรียนนานาชาติไม่ใช่เหรอ”               
 
“ก็...ก่อนเจนมาเรียนนานาชาติ ก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนต่างจังหวัดพักนึงน่ะพี่”

“อ้อเหรอ ไม่เห็นเจนเคยเล่าเลย”

“มันนานแล้วน่ะพี่ ตั้งแต่เด็กๆ เลย”

“คิดถึงสมัยนั้นเนอะเจ๊” ผมเสริมไฟเข้าไปอีก “ตอนนั้นเจ๊ไล่ปล้ำผมยับทุกวันนี่”

“แค่กๆ” คราวนี้เจ๊เจนนี่สำลักบ้าง ส่วนพี่ชัชตาเหลือกเล็กน้อย

“ตอนเด็กพี่ชัชไม่เคยเล่นพ่อแม่ลูกเหรอครับ” ผมถาม “ผมกับเจ๊นี่ไล่ปล้ำกันทุกวัน สนุก บางวันมีชู้มาแจมด้วยนะ คนนี้เลย” ผมชี้ใส่พี่ทัช

“น้องคนนี้ก็ด้วยเหรอ”

“โหย พี่ไม่รู้ไร พี่ทัชนี่ชู้เบอร์หนึ่งเลยนะ ท่าไม้ตายคือย่องเข้ามาจากข้างหลัง”

พี่ทัชไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แค่ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเบื่อหน่าย แต่ผมติดลมแล้วตอนนี้ เหมือนจะหยุดปากตัวเองไม่ได้

“เรื่องมันนานแล้ว เจ๊ว่าคุยเรื่องปัจจุบันดีกว่า เป็นไงมั่งช่วงนี้”

“ก็อย่างที่บอกไง ลำไส้ตับไต…”

“สุขภาพดี ดีแล้วๆ แล้วการเรียนเป็นไง”

“เกียรตินิยมเหรียญทองแน่นอน”

“การเงิน”

“ก็ไหลมาเทมา”

“ขนาดนั้นเลย”

“ขนานนั้นดิ”

“น่าอิจฉา ชีวิตจะดีเกินไปมั้ยเนี่ย แล้วความรักล่ะ”

“โอ๊ยยย” ร้องไว้ก่อน ไม่รู้จะต่อยังไง ไหลลื่นมาตลอดแต่มาสะดุดเอาตรงนี้แหละ “อย่าให้พูดเลยเจ๊ ไม่อยากจะเมาท์”

“แหม ถ้าเกริ่นมาแบบนี้ไม่เมาท์นี่บาปหนักเลยนะ เป็นไงๆ เด็ดใช่มะ”

“เด็ดมากคนนี้”

“ยังไงบ้าง”

“ก็ปากเปิกไม่เคยแห้งอะ”

“โห คิดไปไกลเลยนะเนี่ย”

เพียะ!

อยากจะตบปากเจ๊รัวๆ แต่ก็ทำได้แค่ตีไหล่ “หมายถึงคุยกันเยอะจนปากเปียกปากแฉะน่ะเจ๊ คิดไปถึงไหนเนี่ย”

“อ๋อเหรอ~” เกลียดการลากเสียงของเจ๊จริงๆ

“นะฑี”

ผมหันขวับไปมอง คิดว่าคงจะเป็นแค่การเรียกชื่อให้หยุดเพ้อเจ้อตามปกติ

แต่สายตาพี่ทัชเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น ไม่รู้เป็นเพราะอะไรผมกลับเข้าใจมันได้แทบจะในทันทีราวกับคนคบหากันมานาน

“มันน่าจะดีนะ” ผมว่าพลางขยิบตาแล้วพูดกับเขาเสียงเบา

“อืม”

“ก็โอเคอะ ได้อยู่ เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว”

“...” พี่ทัชนิ่งเหมือนครุ่นคิด

“งั้นผมเปิดเลยนะ”

“คุยไรกันเหรอ” ต่อมเผือกเจ๊เจนนี่ทำงาน ผมแอบขยิบตาให้เจ๊รัวๆ เป็นการส่งสัญญาณ แล้วหันไปหาพี่ชัชที่คล้ายกับจะถูกตัดออกจากวงสนทนาไปแล้ว เขากำลังนั่งเขี่ยของกินเล่นอยู่

“เอ่อ...พี่ชัชครับ”

“หืม?”

“พี่ทัช พูดไปเลย” ผมบอก ซึ่งเจ้าตัวก็ออกอาการเกรงอกเกรงใจได้อย่างแนบเนียน แต่ไม่พูดอะไร

“มีอะไรเหรอ” พี่ชัชวาลย์ถาม

“นาฬิกาพี่ชัชสวยครับ พี่ทัชชอบมาก...ดูดิ มองตาเป็นประกายปิ๊งๆ ขนาดนี้ ไม่ต้องเกรงใจแล้วมั้งพี่”

“อ๋อ นาฬิกานี่เหรอ”

“ครับ” พี่ทัชพูดนิ่มๆ “พอดีช่วงนี้ผมกำลังดูๆ นาฬิกาสักเรือนอยู่น่ะครับ เห็นของพี่สวยดี ขอดูได้มั้ยครับ”

“ได้สิ”

“ไม่เป็นไรพี่ ไม่ต้องถอดก็ได้ครับ”

เอาแล้ว

เริ่มแล้ววว!

ผมหยิกขาเจ๊เจนนี่จนเจ้าตัวร้องซี้ด เจ๊ดูเหมือนจะเข้าใจได้ทันทีเหมือนกัน มือพี่ชัชยื่นมาข้างหน้านิดๆ พี่ทัชยื่นไปจับอย่างช้าๆ โดยที่นิ้วโป้งแตะขอบเรือนนาฬิกา ส่วนนิ้วชี้คงแตะที่ผิวใต้ข้อมือแน่นอน

“ซื้อมานานรึยังครับ” พี่ทัชถาม

“ก็ไม่นานนะ ก็อปเกรดเอเลย คนขายบอกว่าเหมือนทุกอย่าง ต่างแค่ราคา…” พี่ชัชขมวดคิ้ว เหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรออกไป แต่ยังไม่ทันตั้งตัวพี่ทัชก็รัวต่อ

“อ้อ ใช้ดีมั้ยครับ”

“กะ...ก็ดี”

“แล้วพี่มีความลับอะไรมั้ย” จู่ๆ พี่ทัชก็ยิงคำถามแบบนี้เลย เหมือนจะถามต่อเนื่องเรื่องนาฬิกา แต่มันไม่ใช่ ผมรู้ซึ้งดี ถ้าโดนพี่ทัชแตะตัวและถามจี้เข้าประเด็นแบบนี้ เหยื่อจะรีบคายความลับออกมาเหมือนคนท้องเสียนั่นแหละ

“มี”

นั่นไง!

“มีคนอื่นใช่มั้ย!” เจ๊เจนนี่เปิดฉาก

“มะ...ไม่”

“โกหก!”

“เปล่า”

“งั้นมีความลับอะไร พูด!”

“ก็...พี่นัดแนะกับน้องเขาไว้ เจนอย่ารู้เลย” พี่ชัชอึกอัก พยายามชักมือกลับแต่ก็ถูกจับไว้แน่น

“เจนต้องรู้ทุกเรื่อง นัดกับน้องไหน มันเป็นใคร” เริ่มเดือดแล้ว เจ๊เจนนี่จะลุกขึ้นยืนผมเลยรีบกดไหล่ให้นั่ง ส่วนพี่ชัชถึงกับหน้าซีดเป็นกระดาษ เหงื่อคงซึมไปถึงร่องตูดแล้วมั้ง “พี่ชัช บอกเจนมาเดี๋ยวนี้!”

“ก็ถ้าพี่ทำมือโอเคแบบนี้ คือพร้อม”

“อะไรของพี่ โอเคอะไร”

“เดี๋ยวก่อน นี่เกิดอะไรขึ้น น้องทำอะ...อะไร…”

“อย่ามาแกล้งโง่ มองหน้าเจนนี่ พี่ชัช! บอกมาเดี๋ยวนี้!”

ไปกันใหญ่แล้วตอนนี้ เจ๊เจนนี่ลุกพรวดขึ้นโน้มตัวไปข้างหน้า ส่วนพี่ชัชก็กำลังเหวอๆ มึนๆ แต่ในสายตาของเจ๊น่าจะเหมือนกำลังแกล้งโง่อย่างที่ว่า

จังหวะที่อึกๆ อักๆ อยู่นี้เอง ก็มีพนักงานผู้ชายนำเครื่องดื่มสองแก้วมาเสิร์ฟ

“แชมเปญครับ”

“ไม่ได้สั่งค่ะ”

“ครับ แต่…”

“เฮ้ยๆ เอามาตอนนี้ทำไม อย่าเพิ่งสิวะ” พี่ชัชโวยวาย

“แต่พี่ทำมือโอเคแล้วนะครับ ผมเลยนึกว่า…”

“พี่ชัชสั่งเหรอ คือไรอะพี่…”

“ก็จะขอแต่งงานไงเจน”

“...”

“แหวนอยู่ในแก้ว เห็นมั้ย...นี่พูดอะไรไปวะ...”

พี่ทัชกระตุกมือกลับอย่างกับแตะถูกของร้อน คำพูดของแต่ละคนที่สวนกันไปมาจนไม่จบประโยคก็เงียบลง พนักงานชิ่งไปแล้ว เจ๊เจนนี่ทรุดตัวลงนั่งอ้าปากค้าง ส่วนพี่ชัชนั่งก้มหน้าเอามือกุมหัว ปากสบถงึมงำ

อะไรวะ หักมุมอีกแล้วเหรอ ทำไมชีวิตคนเราซับซ้อนขนาดนี้

“นี่...นี่พี่จะขอเจนแต่งงานเหรอ”

“พัง พังหมด…”

“ความลับของพี่คือเรื่องนี้เหรอ”

“ใช่ แต่มันไม่ควรเป็นแบบนี้...” พี่ชัชยังไม่ยอมเงยหน้า ปากยังบ่นพึมพำเหมือนสาปแช่ง

“ที่ประหยัดเงินก็เพราะงี้เหรอ พี่…” เจ๊ยกแชมเปญขึ้นกระดกจนหมด แล้วเทสิ่งที่เหลืออยู่ตรงก้นแก้วใส่ฝ่ามือ “แหวน! พี่ชัช โอ๊ย พี่!”

เอ้า สวมแหวนให้ตัวเองเลยเหรอ

เจ๊ อาการเหมือนได้ครอบครองแหวนจากเดอะลอร์ดออฟเดอะริงอะ ถ้าพูดว่า ‘ของรักของข้า’ นี่เจ๊คือกอลลั่มเลยนะ

“ฮือ พี่ชัช แหวนสวยมากเลย”

แค่แหวนในแก้วแชมเปญยังไม่พอ ตอนนี้ยังมีมือสีไวโอลินโผล่มาจากด้านหลังเจ๊ด้วย แต่ท่าทางยังลังเลว่าจะเอาไงกับชีวิต ผมเลยทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้เขาเริ่มบรรเลง พอเสียงโน้ตตัวแรกดังขึ้นเท่านั้น เจ๊เจนนี่ผู้ได้ครอบครองแหวนแห่งอำนาจก็เอามือปิดหน้าปล่อยโฮ

พี่ชัชวาลย์เงยหน้าขึ้น จังหวะนี้ควรจะได้สบตากันหวานซึ้งแบบส่วนตัว แต่กลายเป็นว่าเจ๊เจนนี่ร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้ว ส่วนพี่ชัชก็หน้าแดงและตาขวางๆ เหมือนคนเมายาบ้า

แบบนี้ก็โอเคนะ โรแมนติกดีออก

หรือไม่ดีวะ

“ขอโทษนะครับ แล้วก็ยินดีกับพี่สองคนด้วยครับ” พี่ทัชพูดแค่นั้น แล้วลุกออกไปเลย

ผมลุกพรวดตามและเขย่าตัวเจ๊แรงๆ “เฮ้ย เจ๊เจนนี่ ไม่ต้องขึ้นคานแล้ว สุดยอดเลย ไม่นึกว่าจะหักมุมแบบนี้เลยนะเนี่ย...”

“นะฑี ไปได้แล้ว”

“ยินดีด้วยนะเจ๊ จะลดน้ำหนักทันงานแต่งมั้ยเนี่ย” ผมจับเหนียงใต้แขนเจ๊เขย่า “สู้ๆ นะ ไปละเจ๊ พี่ชัชหวัดดีครับ”

จากนั้นก็ชิ่งอย่างไวไปหาพี่ทัชที่ยืนคอยอยู่ห่างๆ

“นั่งโต๊ะไหน”

“ไม่นั่งแล้ว ไป”

“หิว”

“ทำงานพี่เขาพังขนาดนี้…”

“เออๆ รีบไปดีกว่า ดูหน้าที่ชัชแล้ว ขืนอยู่ต่อแกได้กินหัวผมแน่”

ไม่รู้เวรกรรมอะไรที่ทำให้ผมต้องพลัดพรากจากตับห่านอีกครั้ง เราสองคนรีบเหาะออกจากโรงแรมกลับมาที่รถ พอเปิดประตูเข้ามานั่งได้ผมนี่ถึงกับถอนหายใจเฮือก

“พี่แกดูละครมากไปรึเปล่า แหวนในแก้วแชมเปญกับไวโอลินนี่มุกเก่ามากนะ”

“ทำไมมึงไม่ถามให้ดีๆ ก่อน”

“โหย ผมถามแล้วถามอีก เจ๊มั่นใจมากว่าโดนนอกใจแน่ๆ ”

“ช่างมันเถอะ” พี่สตาร์ทรถ ขับถอยหลังออก

“งั้นสรุปนะ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...ว่าไรอะ”

“ความจริงบางอย่างไม่ควรถูกเปิดเผยก่อนเวลา” ประโยคนี้พี่ทัชพูดจริงจัง

แต่ผมยังเล่นต่อ “สุดยอด! คมกริ๊บ แล้วแบบนี้จะได้เงินมั้ยวะ”

“ยังจะคิดเรื่องเงินอีก พี่เขาไม่เอาตะเกียบจิ้มตาก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“ถ้าจิ้มก็จิ้มตาพี่อะ พี่เป็นคนทำให้ความลับพี่เขาแตก”

“...” พี่ทัชมองผมอย่างทึ่งๆ

“แต่ไม่ต้องห่วง” ผมตบไหล่เขาเป็นเชิงปลอบ “ผมไม่ปล่อยให้พี่ตาบอดฟรีๆ หรอก ผมจะอัดพี่ชัชให้เละเลย”

“...”               

“หักแขน หักขา”

“...”

“ถ้ายังไม่สาสม หั่นศพยัดท่อเลยก็ได้”

“...”

จากที่มองทึ่งๆ เปลี่ยนเป็นสีหน้าเหนื่อยใจแทน งั้นเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า

“โอ๊ย หิว” ผมเอามือกุมท้อง

“ก็จะพาไปกินนี่แหละ”

“จริงเหรอ! กินไร”

“เลือก”

“ญี่ปุ่นๆ นะ กระเพาะผมอยากย่อยซูชิ ดูหนังด้วยได้ปะ ผมเลือกของกิน พี่เลือกหนัง”

“อือ”

“หนังเรื่องไร แนวไหน ไม่เอาผีนะ”

“อนิเมชั่นของพิกซาร์”

“เฮ้ย ใจตรงกันเลย ผมอยากดูเรื่องนี้...ถึงว่า วันนี้ทำงานเข้าขากันมาก มองตาปุ๊บเข้าใจเลย” 

“อะไร” 

“ก็นาฬิกาพี่ชัชไง ที่พี่ส่งสายตาบอกผมอะ มุกง่ายๆ แต่เนียนเลย”

“กูไม่ได้หมายถึงนาฬิกา...ช่างมันเถอะ” พี่ทัชมองผมแวบ ก่อนจะชะลอรถตามคันหน้าที่ติดไฟแดงอยู่

“เดี๋ยวนะ” ผมขยับตัวหันไปมองเขาเต็มๆ “พี่ไม่ได้ส่งสัญญาณบอกผมเรื่องนาฬิกาเหรอ ที่สบตาอะ”

“...”

เอ๊ะ ยังไง

ก็ตอนนั้นผมเล่นมุก 18+ กับเจ๊เจนนี่อยู่ แล้วพี่ก็ทัชก็เรียกชื่อผม ผมหันไปสบตาด้วย และคุยกันว่า...

“มันน่าจะดีนะ”

“อืม”

“ก็โอเคอะ ได้อยู่ เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว”


“ถ้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนาฬิกา งั้น...พี่หมายถึงเรื่องปากเปียกปากแฉะอะไรนั่นเหรอเนี่ย”

“...”

“นี่พี่คิด 18+ กับผมเหรอ”

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วมึง”

“สารภาพมา ใช่มั้ย”

“...”

“เฮ้ย พี่ทัช จริงปะเนี่ย หันมาคุยกันดีๆ ดิ๊”

“กูขับรถอยู่”

“ขับอะไร รถติดไฟแดง”

“...”

ผมตะแคงศรีษะเพื่อมองหน้าเขา เขาเหลือบมาแวบนึงด้วยสีหน้าเบื่อๆ แค่แวบเดียวแล้วหันไปมองไฟแดงต่อ

“น่ะๆๆๆ”

“อะไรของมึง กูเบรกเพื่อให้มึงหยุดพูดเพ้อเจ้อนั่นแหละ แต่มึงเข้าใจว่าหมายถึงนาฬิกาพี่ชัชก็ดี เลยได้เริ่มทำงานสักที”

ผมตะแคงศีรษะมากกว่าเดิม จากนั้นร่างกายผมก็ดีดกลับมานั่งยืดตัวตรงเอง “โอ้มายก็อดๆๆ”

“อะไรอีก”

“ก็พี่คิดแบบนั้นจริงๆ”

“กูไม่ได้คิดอะไรเลย”

“โอ้มายก็อดๆๆ”

“เปลี่ยนใจแล้ว กูจะดูหนังผี”

“โอ้มายก็อดๆๆๆๆ”

“ถ้ายังไม่หยุด กูจะเลี้ยวไปส่งมึงที่บ้านเดี๋ยวนี้แหละ ข้าวก็ไม่ต้องกิน”

ผมเม้มปากไว้ เป็นจังหวะที่ไฟเขียวพอดี รถค่อยๆ เคลื่อนตามกันผ่านแยกไป ภาพในหัวผมชัดเจนจนโลกรอบตัวพร่าเลือนไป ไฟท้ายรถตรงหน้าไหวพริบพราวดูคล้ายหมู่ดาวในความฝัน

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ผมก็หันมองเขาอีก

พี่ทัชยังมองตรงด้วยสีหน้านิ่งๆ

ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิด ไม่ให้พูดอะไรอีก

แต่…

“มันน่าจะดีนะ”

“อืม”


“โอ้มายก็อดๆๆๆๆๆ”







__________________________________

คิดถึงนะคะ!
ขอใช้โอกาสนี้ HNY2020 ย้อนหลังด้วยนะคะ!
ขอให้เส้นทางที่ทุกคนกำลังเลือกเดินนำพาไปเจอความสุขนะคะ :D


นางร้าย
7.มกรา.2020



หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 27) |▌7.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-01-2020 20:24:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 27) |▌7.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-01-2020 22:11:48
 :laugh:

 :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 27) |▌7.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 07-01-2020 23:58:58
55555ปวดหัวกับน้อง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 27) |▌7.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 08-01-2020 12:00:13
เพราะฉันไม่ใช่พี่ทัชใช่ไหม? ฉันถึงไม่เข้าใจว่าอิน้องมันหมายถึงอะไร? โอ้มายก้อดๆๆๆๆ  :jul3:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 27) |▌7.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 08-01-2020 13:15:34
โอ้มายก๊อดดดด :hao7:
พี่ทัชอาจจะเข้าใจ แต่ถ้าเลือกได้คงไม่อยากเข้าใจ 55555555555555555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 27) |▌7.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 09-01-2020 10:23:01
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 27) |▌7.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-01-2020 10:56:57
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 28) |▌16.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 16-01-2020 20:36:29
แตะต้องครั้งที่ 28
จับบบ…ทักบ่อยอ่อยนานรำคาญโลกกลม
ล้มตัววันเสาร์เอ้า? อุ๊ย! ระวังครับ



สองวันแล้วที่ไม่ได้เมาท์กับพี่ทัชแบบชิลล์ๆ ยาวๆ

ทักแชตไปทีไรก็โปรยแต่เม็ดเกลือกลับมา พอถามจี้รัวๆ หน่อยก็เจอแต่ข้ออ้างคลาสสิกว่ากำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหรือไม่ก็อาบน้ำให้หมา



NaTee(n): ทำไร

NATOUCH: อาบน้ำให้ผงฟอก

NaTee(n): อีกละ ตัวเปื่อยแล้วมั้งผงฟอก

NATOUCH: มึงมีไร

NATOUCH: ทักบ่อย

NaTee(n): ผงฟอกจะอาบน้ำไร สามทุ่ม

NATOUCH: มันร้อน

NaTee(n): นี่หน้าหนาว

NATOUCH: มันเล่นซนมา

NATOUCH: เหนื่อย

NaTee(n): เหนื่อยนี่คือพี่หรือผงฟอก

NATOUCH: กูด้วย

NaTee(n): ทำไรเหนื่อยอะ ลามกนะเรา

NATOUCH: บอกว่าอาบน้ำให้ผงฟอก เหนื่อย

NaTee(n): (สติกเกอร์big kiss)

NaTee(n): หายเหนื่อยยัง

NATOUCH: (สติกเกอร์ อ้วก)

NaTee(n): ฮ่าๆ อาบน้ำแค่นี้มันจะเหนื่อยไร

NATOUCH: มันดื้อ

NaTee(n): อ่อ ต้องดุกันปากเปียกปากแฉะเลยดิ

NATOUCH: …

NaTee(n): โปรยเม็ดเกลืออีกละ

NaTee(n): พี่ ไปไหนแล้ว

NaTee(n): อะโหลๆๆ1 2 3 4

NaTee(n): ประกาศ ใครเอารองเท้าเจ้าอาวาสไป ให้เอามาคืนที่ศาลา2 ด้วย

NaTee(n): อะโหล



ตามระเบียบเดิม โปรยเกลือสามเม็ดแล้วก็หาย ไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่มีคลิปเสียงอื้อหืออืออาอะไร ไรว้า ยังคุยไม่สาแก่ใจเลย ช่วงนี้ผมเรียนหนักขึ้นด้วย (เหรอ?) ก็หนักพอที่เจษฎากับเปิ้ลจะกักขังหน่วงเหนี่ยวผมไว้ไม่ให้ไปแสวงบุญที่ไหนนอกจากแถวๆ คณะนั่นแหละ

แต่ใจมันคัน อยากคุย ทำไงวะ

เอ้อ เพิ่งนึกออก



NaTee(n): พี่ เสาร์นี้ๆ

NaTee(n): แม่ชวนมากินข้าวที่บ้าน

NaTee(n): จำได้ปะ ที่พี่ช่วยออกค่าของขวัญให้แม่

NaTee(n): แล้วแม่ก็อยากเลี้ยงข้าวตอบแทนอะ



ผ่านไปประมาณสองชาติกว่าๆ พี่แกค่อยตอบกลับมา



NATOUCH: ได้



คำเดียวรู้เรื่อง

ผมแจ้งความประสงค์นี้ให้แม่ทราบ แต่ก็เหมือนโยนภาระอันยิ่งใหญ่ไปให้แทน เพราะช่วงนี้แม่ป่วยเป็นไข้หวัดอยู่ ด้วยความที่เป็นลูกกตัญญูผมเลยจะยกเลิกนัดพี่ทัชไปก่อน แต่ก็ด้วยความที่แม่คงจะอยากได้โล่ห์รางวัลแม่ดีเด่นแห่งชาติมาประดับวงศ์ตระกูล แม่เลยรีบยกมือห้ามไว้ ยืนยันว่าไหว

โอเค ไหวก็ไหว

ที่ผมยอมเพราะมีน้าเกดเป็นลูกมือทำกับข้าวด้วย ช่วงนี้น้าเกดกลับไปนอนที่บ้านสัปดาห์ละครั้งสองครั้งเอง ไม่ต้องถามอะไรมากก็เดาได้ว่าสถานะทางครอบครัวใกล้ถึงจุดแตกหักแล้ว

ตัดภาพมาวันเสาร์

ผมก็อยากอยู่เป็นลูกมือช่วยด้วยนะ แต่อย่างที่บอก ช่วงนี้เรียนหนัก เลยต้องแหกขี้ตาตื่นไปสุมหัวติวหนังสือกับ แก๊งไม่ส(า)มประกอบ ที่มหา’ลัย พอไปถึงม้านั่งหินอ่อนข้างตึกคณะที่ประจำของเราผมก็แทบจะแหกปากร้องออกมา

“เฮ้ย! โลกกลมว่ะ พี่มาอยู่นี่ได้ไง” เซอร์ไพรส์นะเนี่ย

“เวร” พี่เห็ดหันมาช้าๆ “มึงเชื่อว่าโลกแบนไม่ใช่เหรอ จะมาโลกกลมอะไร”

“พี่เห็ดจริงๆ ด้วย!” ผมทำท่าขยี้ตา “ไหนข่าวว่าพี่โดนหมาแถวบ้านรุมกัดตายแล้วอะ นี่ผมดีใจเก้อเลยนะเนี่ย”

“แล้วมึงรอดมาได้ไง วันก่อนเห็นเหี้ยลากไปแดกแล้วไม่ใช่เหรอ”

มุกแรงๆ ก็เหมือนกระทิงแดงนั่นแหละ ฟังแล้วเลือดลมไหลเวียนดี

ผมยิ้มหวาน “มาขอส่วนบุญแถวนี้ใช่มะ แถวคณะพี่คนใจบาปเยอะอะดิ”

“ถ้ายังไม่เลิกกวนตีน มึงนี่แหละจะได้ขอส่วนบุญจริงๆ”

“วาจาเกรี้ยวกราด ไม่นุ่มนวลเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอให้ช่วยจีบพี่รหัสเลย”

“คันตีนว่ะ”

“มีวิธีแก้นะ ตัดทิ้งดิ”

“ไปละ เดี๋ยวได้เตะคน” พี่เห็ดตบบ่าเจษฎาแล้วลุกหนีไปเลย เจษที่กำลังกินติดพันอยู่ถึงกับต้องยกตีนไก่ทอดขึ้นไหว้ ส่วนเปิ้ลเล่นมือถือชิลล์ๆ ไม่สนใจมารยาทไทยอันดีงามอะไร

“เอ้าพี่ รีบไปไหน” ผมมองตามหลังเจ้าตัว แล้วนั่งลงแทนที่ “อะไรของพี่แกวะ”

“นะฑี นายเชื่อว่าโลกแบนจริงๆ เหรอ” เจษฎาถามทั้งที่แทะตีนไก่อยู่

“ใช่เจษ แล้วกูก็เชื่อว่าโลกตีลังการอบตัวเองวันละแปดตลบด้วย พี่เห็ดแกมานานยัง แล้วมาทำไร” ผมรีบถามเข้าเรื่องเพื่อดักทางไม่ให้เจษสาธยายเรื่องโลกและจักรวาล

“ก็…” เจษยักไหล่ “มาประมาณสิบนาทีได้มั้ง”

“มาทำไร”

“พี่เขาบอกมาหาตีนแดก...เอ่อ พี่เขาใช้คำนั้นน่ะ”

“อ๋อ ตีนไก่ทอด งั้นที่แดกอยู่นี่ก็ของพี่แกซื้อมาดิ”

“ใช่”

“มึงไม่กลัวคุณไสยเหรอเจษ”

เจษฎากะพริบตาปริบๆ มองซากตีนไก่ในมือ “กินของพี่เค้าครั้งก่อน ก็ไม่เป็นไรนะ”

“ของดำบางอย่างมันต้องใช้เวลาไง หนังควายเข้าท้องแน่มึง แต่ยังไงก็ไม่ทันแล้วล่ะ กินๆ ไปเถอะ” ผมตบไหล่เจษเบาๆ “เฮ้ย เอาจริงๆ นะ พี่เห็ดแกจะจีบเจษรึเปล่าวะ”

“หา! เราเหรอ”

เปิ้ลเงยหน้าจากมือถือ “ไหนว่าเขาจีบเจ๊แคลอยู่”

“จีบแล้ว และโดนเจ๊แคลเทแล้วเรียบร้อย”

“เออ สมควร ก็ปากหมาซะขนาดนี้”

“กูเลยสงสัยว่าแกจะเปลี่ยนแนวมาเต๊าะเด็กเนิร์ดแบบเจษนี่ไง เห็นมองมึงตาเยิ้มเลยเจษ” น่าสงสาร ตีนไก่ร่วงจากมือเลย

ผมกับเปิ้ลมองสบตากัน ต่างพยายามทำสีหน้าให้ขึงขังจริงจังที่สุด แต่พอเจษพูดด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “เราไม่เล่นด้วยหรอก” เราสองคนก็ปล่อยก๊ากทันที กูยอมแล้วเจษ ทำไมมึงฮาธรรมชาติขนาดนี้

“หัวเราะไรกัน” ยัง ยังไม่หยุดเหวออีก

“กูว่ามึงไม่รอดแน่เจษ ก็มึงแดกตีนไก่พี่แกไปแล้วอะ มึงโดนคุณไสยแน่ๆ น่าจะไม่ใช่หนังควายเข้าท้องหรอกถ้างั้น แต่เป็นน้ำมันพรายมากกว่า”

“นะฑีอย่างมงายสิ”

“ก็ถ้ามันมีจริงล่ะ ของงี้อย่าทำเป็นเล่นนะมึง”

“เราไปล้วงคออ้วกทิ้งยังทันมั้ย”

“ฮ่าๆ”

ก็เป็นซะอย่างนี้ไม่ให้แซวต่อได้ไง ทั้งแซวทั้งอำจนปากเปียกปากแฉะ กว่าจะได้ติวหนังสือกันจริงๆ จังๆ ก็ปาไปเกือบชั่วโมง ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อ กูนอนละ

แต่นอนไม่ได้

ชาติก่อนๆ เปิ้ลต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมแน่ๆ ถึงได้จิกหัวผมแรงขนาดนี้ นี่ก็อีกคน เจษ นี่มึงติวหรือสวดมนต์แผ่ส่วนบุญกุศลให้กูกันแน่ ทำไมกูรู้สึกสงบร่มเย็นจนลืมตาไม่ขึ้นขนาดนี้ พอจะเคลิ้มๆ หน่อย เปิ้ลก็จิกหัวอีกแล้ว ยิ่งหลังจากพักกินข้าวแล้วมาฟังเสียงเทศนาของอาจารย์เจษต่อนี่ มันสุดจริงๆ

สามชั่วโมงต่อจากนั้นยาวนานเหมือนสามปี พวกมึงจะติวไปแข่งโอลิมปิกวิชาการเหรอ ไม่ไหวแล้ว แอบก้มหน้าหลับก็ได้วะ

ผัวะ!

เจอเปิ้ลตบถาก “เดี๋ยวน้ำลายยืดใส่หนังสือ”

“เออๆ” งั้นกูซบแก้มกับหนังสือละกัน

“ยังจะนอนอีก ตื่น”

“ขอสิบนาที ใครปลุกกูเผาบ้านแน่”

“อ้าว พี่ทัช” มุกเก่าว่ะเปิ้ล กูไม่หลงกลหรอก

“พี่ทัช สวัสดีครับ” ตื่นเลย เจษมันโกหกเป็นซะที่ไหนล่ะ

ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่งและเห็นพี่ทัชยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ มองไล่ขึ้นไปตั้งแต่เท้าจดปลายเส้นผม ยีนขาเดฟ เสื้อยืด สวมทับด้วยเสื้อฮู้ดสีเทาอ่อนโดยมีมือทั้งสองข้างซุกในกระเป๋าเสื้อ เส้นผมเซ็ตนิดๆ เหมือนไม่จงใจ หน้าใสกิ๊กเหมือนเกิดมาไม่มีต่อมเหงื่อ

“พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“จะเย็นแล้ว”

“เฮ้ย จริงดิ อ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาเลยเนี่ย”

“กูเห็นมึงหลับ”

“ก็ติวหนักมากจนเพลียไง เลยงีบห้านาที”

“กูเห็นมึงหลับมาจะครึ่งวันแล้ว” มึงเป็นเพื่อนที่จริงใจมากเปิ้ล

“เราว่าหลับไม่เยอะขนาดนั้นนะ แต่นะฑีชอบคุยนอกเรื่องมากกว่า” ขอบคุณครับเจษ

“เออ จริง อ่านหนังสือไปสองหน้าเองมั้งทั้งวันอะ”

“ร้อนๆ” ผมโวยวายพร้อมกับเก็บข้าวของ “ฉลาดแล้ว อ่านไรเยอะแยะล่ะ ไปๆ กลับบ้าน”

“อ้าว รีบไปไหน” เปิ้ลถาม

“พวกมึงจะค้างที่นี่ก็ได้ ห้องน้ำยังว่างเยอะแยะ กูกับพี่ทัชไปละ เดี๋ยวรถติด”

ว่าแล้วผมก็รีบคว้าแขนพี่ทัชลากออกมา โดยมีเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญของเปิ้ลดังตามหลัง พี่ทัชไม่พูดอะไรเลยแม้ว่าเราจะเดินพ้นระยะมาแล้ว แต่ผมแอบเห็นว่ามุมปากเขายิ้มนิดๆ

“พี่ยิ้มไร”

“กูเปล่า”

“ผมเห็น เมื่อกี้พี่ยิ้ม คิดไรอยู่อะ”

“งั้นก็คงคิดไรดีๆ อยู่มั้ง”

เขาเหลือบตามาแวบนึง ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมเพิ่งตระหนักว่าตลอดทางที่เดินมาผมยังเกาะแขนเขาอยู่ ผมเลยปล่อยมือ คราวนี้พี่ทัชเหลือบมองแขนตัวเองด้วยสีหน้าเรียบๆ “มาติวกับเพื่อนทั้งที น่าจะตั้งใจให้มากกว่านี้” เขาพูดไปอีกเรื่อง

“คนฉลาดไม่ต้องอ่านเยอะหรอก” ผมลองจับแขนเขาอีกครั้ง

สายตาเหลือบมาอีก “อะไร”

“ชัดเลย พี่ยิ้มเพราะผมเกาะแขน อะไรดีๆ ที่ว่านี่คือผมเกาะแขนใช่มะ”

“อะไรของมึง”

ผมปล่อยมือ “น่ะ พอปล่อยก็หน้าเซ็ง”

“หน้ากูก็เป็นอย่างนี้ ปกติ”

ผมจับอีก “นั่นไง พอจับก็ยิ้ม”

“มึงมองยังไงว่ากูยิ้ม”

“แหม ชอบให้เกาะก็ไม่บอก มาๆ” ผมสอดแขนคล้องที่ข้อศอกพี่ทัช ทำท่าเอาหน้าซบแบบเวอร์ๆ จนตัวเราเซไปด้วยกัน

“นะฑี ปล่อย เดี๋ยวล้ม”

“ไม่ล้ม”

“คนมอง”

“คนมีตาก็ต้องมองแหละ”

“เฮ้อ กูละยอมมึงจริงๆ”

“ยอมก็ดีแล้ว อย่าดื้อ”

ผมเอาหัวซุกๆ ต้นแขนพี่ทัช พาเขาเดินเซไปเซมา แต่รู้สึกว่าไปได้ไม่ไกลพี่ทัชก็พาผมหยุด

“หยุดทำไม เดินดิ กำลังเพลิน”

“มึงจะเดินกลับบ้านเหรอ ถึงรถแล้ว ปล่อยได้แล้ว...นะฑี”

“พี่ ขอไรอย่างได้ปะ”

“อะไร”

“เห็นก้นพี่แล้วอยากตีอะ ขอฟาดแรงๆ สักทีได้ปะ มันเขี้ยว”

“ไปขึ้นรถ!”

กลายเป็นผมโดนผลักหัวแรงๆ แทน จะหันกลับไปแหย่เล่นอีกพี่ทัชก็ชิ่งไปเปิดประตูรถอีกฝั่งแล้ว ผมเลยเข้ามานั่งฝั่งข้างคนขับพร้อมกับยิ้มให้เขา

“ยิ้มไร”

“ยิ้มเพราะคิดไรดีๆ อยู่มั้ง”

“กวนละ”

“พี่ไม่ถามต่อล่ะว่าผมคิดไร”

“ไม่ถาม”

“ก้นน่าหยิก”

เพียะ!

ที่โดนฟาดนี่ไม่ใช่ก้นพี่ทัช มือผมนี่แหละ “อย่ามือซน นั่งเฉยๆ ไปกูจะขับรถ” ไม่ยอมเสียเวลาเลยนะ สตาร์ทรถแล้วขับออกไปกันเลยทีเดียว “คาดเข็มขัดด้วย ไม่มีไรทำก็เปิดเพลง”

“แหม เกรี้ยวกราด” ผมคาดเข็มขัดตามคำสั่ง “เอาเพลงไร ลูกทุ่งหมอลำมะ”

พี่ทัชหันมาหรี่ตา “ตามใจ”

“จัดไป”

ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่เพลงแรกที่ผมเปิดคือเพลงI Like Me Better ซึ่งเป็นเพลงที่ผมอยากฟังมากที่สุดตอนนี้ เพราะมันจะเพราะกว่าปกติตอนฟังในรถพี่ทัช

“ร้องเสียงเป็ดด้วย” พี่ทัชบอกทันทีที่อินโทรดังขึ้น

ได้! จัดไปเลยสิบกว่ารอบ ฟังกันให้หลอนไปเลย พอผมเริ่มหลอนได้ที่จนแงะท่อนฮุคออกจากหัวไม่ได้ ผมก็เปลี่ยนไปเปิดสุ่มลูกทุ่งหมอลำตามที่ลั่นวาจาไว้

“พี่บอกเองนะว่าตามใจผม”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

เขาไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ แค่ขมวดคิ้วบางจังหวะ แต่บางจังหวะก็หลุดขำกับท่าเซิ้งของผม ส่วนผมเองน่ะเหรอ ฟังไม่ออกหรอก แถมยังเป็นเมดเลย์หมอลำฉบับรีมิกซ์ในจังหวะโจ๊ะๆ ด้วยก็เลยเซิ้งเอามันส์อย่างเดียว ทำเป็นเล่นไป แค่นั่งเต้นนี่ทำเอาเหงื่อซึมๆ เหมือนจะไหลลงร่องตูดเหมือนกันนะ โชคดีที่แอร์รถพี่ทัชเย็น

เสียงเพลงช่วยฆ่าเวลาได้ดี รู้สึกว่าไม่นานเท่าไหร่ก็มาถึงซอยเข้าบ้านผม

บุญพี่ทัชนี่มันมากมายมหาศาลจริงๆ ได้ที่จอดรถใกล้บ้านอีกแล้ว นี่ขนาดวันเสาร์นะเนี่ย

“ร้อนๆ หิวน้ำ” ผมรำพึงรำพันแล้วรีบเปิดประตูลงจากรถ ไม่ใช่อะไรหรอก อยากเข้าไปดูสภาพในบ้านก่อนว่าเป็นยังไงบ้าง ก่อนหน้านี้ผมไลน์บอกน้าเกดแล้ว แต่ก็ยังอยากเห็นกับตาตัวเองก่อนพี่ทัชจะเข้าไป

ปรากฏว่าเรียบร้อยดี น้าเกดกับแม่กำลังช่วยกันจัดกับข้าวขึ้นโต๊ะเลย

“สวัสดีครับ” พี่ทัชเข้าบ้านมาก็ไหว้แม่กับน้าเกดเป็นอันดับแรก “มีส้มมาฝากด้วยครับ” อ้อ ไอ้ถุงกระดาษที่อยู่เบาะหลังนี่คือส้มนี่เอง พ่อแม่สอนมาดีจริงๆ

“อู๊ย ไม่เห็นต้องลำบากเลย” น้าเกดว่า

“นิดหน่อยเองครับ ไม่ลำบากอะไร”

“ขอบใจนะทัช” แม่บอก

หลังสนทนากันอย่างผู้ดีเหมือนในละคร พี่ทัชก็นั่งลงไปทักทายไอ้แมวนรกที่วอแวอยู่ใกล้ๆ โต๊ะอาหาร

“หวัดดี หมอนนิ่ม” ไอ้นี่ก็อ้อนเลย เอาหัวถูไถคลอเคลียขางามๆ ของพี่ทัชทันที คงคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะได้กินของอร่อยๆ สนองกิเลสแบบแมวๆ ของมัน ฝันไปเถอะมึง อาหารเม็ดอยู่มุมบ้านโน่น “นี่ มีขนมอร่อยๆ มาฝากด้วยนะ”

ซะงั้น

“พี่อย่าไปเอาใจมันมาก แค่นี้มันก็เหิมเกริมพอแล้ว...ดูหน้ามันดิ ไอ้แมวนรกเอ๊ย”

เพียะ!

แม่ตีผม “พูดจาให้มันดีๆ แล้วก็เอาส้มไปใส่จานไป”

“ขี้เกียจอะ”

แม่ถอนหายใจอย่างปลงๆ “ทัชหิวยัง กินกันเลยมั้ย”

“ได้ครับ”

“กินเลยเนาะ” แม่พยักหน้าให้น้าเกด แล้วคว้าถุงส้มปลีกตัวออกไปเพื่อจัดใส่จานเอง

“ถึงเวลาอร่อยแล้วครับ ถึงเวลาอร่อยแล้วคร้าบ” น้าเกดที่กำลังจัดจานทำเสียงเหมือนโฆษณาร้านปิ้งย่าง “นะฑีทำตัวให้เป็นประโยชน์ซิ ไปยกหม้อข้าวมา”

“เดี๋ยวผมช่วยครับ”

ผัวะ!

ผมตีพี่ทัช กดไหล่เขาให้นั่งลง “พี่เป็นแขก นั่งเฉยๆ...แม่ จัดส้มเสร็จแล้วยกหม้อข้าวมาด้วยนะ” หันขวับกันหมดเลย “ล้อเล่นน่า ยกหม้อข้าวนี่คืองานโปรดผมเลยนะ ถ้าใครมาแย่งยกคือโกรธอะ ทุกคนนั่งเฉยๆ ไป ผมจัดการเอง”

ห้านาทีต่อมาทุกอย่างก็พร้อม

“ทัช แม่ขอบใจมากนะเรื่องของขวัญ” แม่พูดหลังจากเราเริ่มลงมือกิน “น่าจะแพง ถามราคานะฑีก็ไม่ยอมบอก”

พี่ทัชหันไปพูด “แล้วคุณแม่ชอบของขวัญมั้ยครับ”

“ชอบจ้ะ”

“งั้นก็ถือว่าไม่แพงครับ” ตอบได้ดีนะเนี่ย ผมว่าจะหยอดมุกขัดคอสักหน่อย แต่ฟังต่อดีกว่า

แม่พยักหน้ายิ้มๆ และตักทอดมันใส่จานพี่ทัช “กับข้าวเป็นไง พอกินได้รึเปล่า”

“อร่อยมากครับ”

“อดีตแม่ครัวก็งี้แหละ” น้าเกดว่า “ทัชไม่รู้ล่ะสิว่าเคยเปิดร้านอาหาร นี่น้ามาอยู่ด้วยแป๊บเดียวน้ำหนักพุ่งเลย”

“อ๋อ ครับ”

“น้าต้องขอบคุณทัชอีกครั้งจริงๆ นะ ที่ช่วยเรื่องนั้น”

“ไม่เป็นไรครับ”

จู่ๆ น้าเกดก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ปากงี้คันยิบๆ ว่าจะไม่เผือก แต่ไม่ทนมันละ

“แล้วตอนนี้เป็นไงบ้างอะ แอบฆ่าน้าเอ๊ดยัดท่อไปยัง”

“คนชั่วมันไม่ตายง่ายๆ หรอก ตอนนี้ให้ทนายยื่นเรื่องฟ้องหย่าไปแล้ว”

“ต้องงี้สิน้า แต่แค่หย่ามันไม่สาสมอะ อยากให้แกนอนเน่าอยู่ในถังขยะมากกว่า”

น้าเกดตบถากหัวผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “พูดไร เดี๋ยวกินข้าวไม่ลง”

“งั้นคุยเรื่องข้าว ทำไมแม่ไม่ทำเมนูคะน้าอะ ที่ผมบอกไงว่าพี่ทัชชอบกิน”

“ไม่ต้องมาหลอกแม่หรอก แม่ดูออกว่าทัชไม่ชอบกินผัก”

“จริงดิ! พี่ทัชไม่กินผักเหรอ นี่อายุกี่ขวบแล้วอะ” ผมแกล้งถามเสียงดัง สีหน้าโอเวอร์สุดๆ

แต่พี่ทัชหันไปพูดกับแม่ด้วยสีหน้านิ่งๆ “กินได้ครับ”

“งั้นก็กินเยอะๆ” ว่าแล้วแม่ก็ตักปลาทับทิมนึ่งชิ้นเบ้อเริ่มใส่จานพี่ทัช เฮ้ย! นั่นพุงปลาเลยนะ เนื้อตรงนี้อร่อยสุดแล้ว

“กินคนเดียวได้ไง ของดีมีน้อย” ผมรีบเอาช้อนตักแย่งมาครึ่งนึง

พี่ทัชกับน้าเกดหัวเราะ แม้แต่แม่ที่เอาแต่ส่ายหัวก็ยังแอบยิ้มมุมปาก เห็นมะ เพราะมีผมอยู่ด้วย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเลยผ่อนคลายและเป็นกันเองขนาดนี้ ขำกันเข้าไป งั้นผมแอบจิ๊กพุงปลาของพี่ทัชมาหมดเลยละกัน

อร่อย

ฝีมือของแม่ทำให้เราขยับปากอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาไม่นานดินเนอร์เวอร์วังมื้อนี้ก็จบลง พร้อมกับเสียงเรอของผมที่เผลอปล่อยออกมาสั้นๆ

“มีมารยาทหน่อยนะฑี” แม่พูด

“การเรอถือเป็นคำชมคนทำอาหาร แม่ไม่รู้เหรอ ถ้าไม่เรอนี่เสียมารยาทเลยนะ...เดี๋ยวพี่ทัชก็เรอ คอยดูดิ” กูหาพวกละ ส่งสายตากดดันไปให้เขาด้วย

“เดี๋ยวผมช่วยเก็บจานครับ” นอกจากไม่เรอแล้วยังทำนิสัยผู้ดีอีก

“ไม่เป็นไร อย่างที่นะฑีว่าแหละ ทัชเป็นแขกนั่งเฉยๆ ดีกว่า”

“ผมอยากช่วยครับ”

เขาไม่รอให้ใครแย้งอะไรแล้ว นิ้วเรียวยาวที่ติดพลาสเตอร์ทั้งสิบเริ่มรวบจานชามทันที

“ใครได้ทัชเป็นแฟนนี่คงโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ” น้าเกดแซว ซึ่งเจ้าตัวก็แค่ยิ้มรับ

ทุกคนช่วยกันเคลียร์โต๊ะ ผมเลยต้องตามน้ำทำเป็นขยันขันแข็งไปด้วย โดยน้าเกดกับแม่จัดการเก็บอาหารที่ยังกินไม่หมด ส่วนผมกับพี่ทัชเน้นไปที่เขี่ยเศษอาหารทิ้ง ก่อนจะช่วยกันยกจานชามเปล่าไปที่ซิงก์ล้างจาน

“ล้างกัน” พี่ทัชพูดหลังจากเราเก็บจานมาวางที่ซิงก์จนหมด

“ขี้เกียจ แช่ไว้ก่อน”

“ไม่เอา ล้างเลย”

“พี่ทำเป็นเหรอ”

“เป็น”

“งั้นพี่ทำคนเดียว”

“แม่ครับ เดี๋ยวผมกับนะฑีช่วยกันล้างจานเลยนะ” เขาหันไปพูดกับแม่ พลางแกะพลาสเตอร์ออกทีละนิ้ว

แม่ละจากโต๊ะอาหารมาที่ส่วนครัว “ให้นะฑีทำก็ได้ทัช”

“ผมอยากทำครับ”

“งั้นก็ได้ แป๊บนึงนะ แม่หาสก๊อตไบรท์อันใหม่ให้...นะฑี ไม่ต้องพูดอะไร ช่วยพี่เขา” พอดักทางผมเสร็จแม่ก็ผละไปเปิดตู้หาของ

“เกิดมาเคยล้างจานรึเปล่าพี่อะ นี่ ดูเป็นบุญตา”

ผมเปิดน้ำ หยิบจานเพื่อจะล้างคราบบางส่วนออกก่อน

“อุ๊ย!”

“ระวังครับ! เป็นอะไรรึเปล่า”

แม่เดินสะดุดคะมำมาข้างหน้า แต่เคราะห์ดีพี่ทัชหันไปคว้าแขนประคองไว้ได้ทัน แหม สะดุดเหมือนนางเอกละครเลยนะแม่ นี่แหละ ผลกรรมจากที่ตีผมบ่อยๆ ผมกำลังพ่นคำในหัวออกไป แต่แม่พูดขึ้นซะก่อน

“แม่เป็นมะเร็งน่ะ”

“...”

“...”

เสียงแม่ราบเรียบ ราวกับว่าเป็นแค่ความคิดลอยๆ ที่ล้นออกมาเป็นเสียง สมองผมไม่แปลคำนั้น พี่ทัชเองก็ยืนนิ่งไปเหมือนไม่เข้าใจความหมาย จนกระทั่งสายตาผมโฟกัสไปที่นิ้วเรียวยาวของพี่ทัช นิ้วที่ปราศจากพลาสเตอร์จับใต้ข้อศอกแม่อยู่ เขายังจับแขนแม่ต่ออีกสองสามวินาที ก่อนจะดึงมือกลับราวกับแตะถูกของร้อน

เพล้ง!

จานร่วงจากมือผม

โลกทั้งใบถล่มตามลงมา

มันรุนแรงซะจนทำให้กลไกของจักรวาลแปรปรวน หรืออาจจถึงขั้นเหวี่ยงตัวตนผมไปในมิติอื่นที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ ผมเห็นสีหน้าซีดเผือดและตื่นตระหนกของแม่ เห็นน้าเกดเข้ามาประคองแม่ไปที่โซฟา เสียงน้าเกดพูดหรือถามอะไรเยอะแยะ แต่ผมจับความไม่ได้

ทั้งหมดนั้นเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง

“นะฑี” พี่ทัชวางมือลงบนไหล่ผมเบาๆ แต่ทำไมมันหนักนะ หนักจนผมต้องค้ำมือทั้งสองข้างกับขอบซิงก์ไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น

“พี่ไม่เคยล้างจานอะดิ ผมจะทำให้ดูเป็นบุญตา”

“...”

“อันดับแรกต้องเปิดน้ำก่อน”“ระวังเหยียบเศษจาน”

“แล้วก็ใช้สก็อตไบรท์...เปลี่ยนใจแล้ว ไว้ค่อยทำ พี่กลับไปก่อนเถอะ”

“นะฑี เดี๋ยวเหยียบเศษจาน” เขาดึงตัวผมเบาๆ แต่ก็ทำให้ผมถึงกับเซ “กูช่วยเก็บ”

“ไม่ต้อง พี่กลับเถอะ”

“กู…”

ผมรวบรวมเรี่ยวแรงฉุดตัวเขาออกมาจากส่วนครัว พาเดินผ่านน้าเกดกับแม่นั่งกันอยู่ที่โซฟา ซึ่งสำหรับผมตอนนี้ทั้งคู่ดูเหมือนภาพซีดจางที่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย และพูดคุยกันแผ่วเบา

“ใส่รองเท้าครับ” ผมบอก

พี่ทัชยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะทำตาม จากนั้นผมก็ดันตัวเขาผ่านประตูบ้านออกไปด้วยกัน

“นะฑี”

“พี่กลับไปก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกัน”

“กูขอโทษ”

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ขอโทษที่…” เรามองสบตากัน หัวใจผมสั่นระริกให้กับสิ่งที่เขาจะพูดออกมาไม่ว่ามันจะเป็นคำไหนก็ตาม “ขอโทษที่ดื้อจะไปช่วยมึงล้างจาน กูไม่น่าไปยืนตรงนั้นเลย”

“อือ พี่แม่งดื้อ”

“...”

“แต่ช่างมันเถอะ แค่จะล้างจานเอง เรื่องเล็ก พี่กลับไปได้แล้ว”

ผมจำได้แล้ว พี่ทัชเคยบอกว่าปฏิกิริยาของคนที่ถูกเขาสัมผัสตัวจะแตกต่างกัน ตอนจับโกหกน้าเอ๊ด และพี่วิวัฒน์ นอกจากจะสัมผัสตัว เรายังต้องใช้อุบายและถามจี้เข้าเรื่องด้วยกว่าพวกเขาจะยอมคายความจริงออกมา

แต่กับแม่…

แค่พี่ทัชแตะตัวด้วยความบังเอิญแค่แป๊บเดียว แม่ก็คายมันออกมาแล้ว

บางทีมันอาจจะเป็นความจริงที่เอ่อขึ้นมาท่วมปากคอแม่อยู่นานแล้วก็ได้ พอถูกกระตุ้นนิดเดียว มันเลยหลุดพรวดออกมาเลย

“นะฑี…”

“หืม?”

“มึงโอเครึเปล่า”

“โอเคครับ”

พี่ทัชขยับเข้ามาและยกมือจะแตะแก้มผม

ปึก!

ผมผลักอกเขาพร้อมกับก้าวถอยครึ่งก้าว เป็นการตอบสนองทันควันโดยไม่ต้องคิด ไม่! ผมไม่อยากให้ใครแตะตัวตอนนี้ โดยเฉพาะนิ้วเรียวยาวที่ไม่มีพลาสเตอร์พันรอบนั่น

“...”

“...”

เรายืนนิ่งกันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางความเงียบ รถรายังวิ่งสวนกันไปมาอยู่เบื้องหลังพี่ทัช เสียงความวุ่นวายแบบสังคมเมืองยังแว่วมาจากทุกทิศ แต่ในโลกของผมมันเงียบ

เงียบและหนาวเย็น

อีกทั้งกาลเวลาก็คล้ายกับจะหยุดนิ่งลง

“นะฑี” ในที่สุดพี่ทัชก็พูดขึ้นอีก

ผมฝืนยิ้ม สวมรอยยิ้มปลอมๆ ไว้บนใบหน้า “กลับไปได้แล้วครับ ผมจะได้เข้าบ้าน”

กาลเวลาหยุดทำงานอีกชั่วครู่

จากนั้นพี่ทัชก็ยอมผละออกไป “รีบเข้าบ้านนะ ไว้คุยกัน”

ผมมองตามหลังเขาไปเปิดประตูรถเพื่อจะเข้าไปนั่ง ขับรถดีๆ นะพี่ ผมอยากบอกเขา แต่ปากไม่ขยับ ทำได้แค่ยิ้มและหันมองเท่านั้น

จนเขาขับออกไป

จนรถคันนั้นหายลับตา

รอยยิ้มปลอมๆ นั่นถึงได้หายไปจากใบหน้าผม

ผมยังไม่เข้าบ้าน ยังไม่กล้าเข้าไปเจอหน้าแม่ แต่การยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวก็ทำให้ตกเป็นเป้านิ่ง ความจริง ที่นิ้ววิเศษของพี่ทัชเพิ่งปลดปล่อยออกมาพุ่งเข้าจู่โจมผมอีกครั้ง อาการมวนท้องตีรวนขึ้นมา เหมือนมีตัวอ่อนสัตว์ประหลาดดิ้นขลุกขลักอยู่ในท้อง ผมยืดตัวหายใจ พ่นลมแรงๆ หวังให้ไอ้ความจริงนั่นหลุดออกมาพรวดเดียว

ได้ผล

มันผ่านปากผมออกมาแล้ว

“มะเร็ง”










________________

รักคนอ่านทุกๆ คนเลยนะคะ TT TT


นางร้าย
16.มกรา.2020

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 28) |▌16.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-01-2020 21:50:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...นะฑีจะไปดราม่าใส่พี่ทัชทำไมอ่ะ?
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 28) |▌16.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 16-01-2020 21:50:50
ความจริง ถ้ามันตัองรู้ก่อนเวลา มันก็น่ากลัวเนอะ

เพราะงี้ละมั้ง พี่ทัชถึงไม่ค่อยอยากใช้พลังพิเศษที่มี
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 28) |▌16.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 18-01-2020 15:19:22
ความจริงมันเจ็บปวด

นะฑีตั้งสติดีๆนะ พี่ทัชอย่าเพิ่งคิดมาก เพราะแบบนี้พี่ทัชถึงเจ็บปวดมาตลอด เฮ้ออ แต่ไอ้ตัวดีมันตั้งตัวไม่ทันนั้นล่ะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 28) |▌16.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 24-01-2020 18:32:34
เศร้าจัง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 28-01-2020 18:37:48



แตะต้องครั้งที่ 29
จับบบ…บุกถึงเตียงเหลือเพียงแค่ตัวแล้วยังมัวแต่นอนอยากถอนความจริง



เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความจริงบางอย่างฆ่าคนได้ทั้งเป็น

มันกำลังพยายามฆ่าผมอยู่

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

นั่นคือชื่อเต็มๆ ของปีศาจตนนี้ มันทำให้ผมอดนึกถึงหนังแนวเอเลี่ยนสมัยก่อนไม่ได้ ไม่รู้มันแอบเจริญเติบโตอยู่ในตัวแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วแม่รู้ตัวนานแค่ไหนแล้วก่อนพี่ทัชจะแตะตัว

ทำไมแม่ไม่ถุยมันทิ้งตั้งแต่เนิ่นๆ วะ แค่พ่นแรงๆ หน่อยมันก็หลุดแล้ว

แม่ง!

ผมเกลียดแม่ที่ปิดบังผม ทั้งที่ผมเองยึดกฎเหล็กมาตลอดว่าจะไม่โกหกกับแม่ เกลียดที่หลังจากพี่ทัชกลับไปแล้วแม่ยังทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้ายังเรียบๆ ยิ้มน้อยๆ ราวกับตัวเองเป็นแค่ไข้หวัด

เกลียดพี่ทัชที่เอาความจริงฟาดหัวผมโดยไม่ให้ตั้งตัว

เกลียดน้าเกดที่ร้องไห้เป็นเด็กๆ

และเกลียดตัวเองที่เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง ไม่กล้าเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับ ความจริง ถ้ามะเร็งกำลังจะฆ่าแม่ ความจริงที่พี่ทัชปลดปล่อยออกมาก็กำลังจะฆ่าผมเหมือนกัน

ผมเกลียดโลกใบนี้!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“นะฑี” เสียงแม่

ผมเด้งตัวจากเตียงรีบมาส่องกระจก เสยผมลวกๆ สวมรอยยิ้มน้อยๆ แล้วไปเปิดประตู “ว่าไงแม่”

“ตาคล้ำเชียว ได้นอนบ้างรึเปล่า”

“นอนดิแม่ นอนยาวเลย” นี่ไง ผมทำลายกฎเหล็กของตัวเองแล้ว ผมโกหกแม่แล้ว ความจริงคือผมอาจจะเผลองีบไปช่วงสั้นๆ แค่นั้นแหละ

“...”

“...”

“นี่กี่โมงแล้วอะ” ผมยิ้มปลอมๆ ต่อ

“สายแล้วละ ไปกินข้าวกัน แม่จะได้ไปเปิดร้าน”

“ยังจะไปทำงานอีกเหรอ!” ความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นหัวจนเผลอพูดเสียงดัง จะตายอยู่แล้วยังจะไปทำงานอีกเหรอแม่ แต่ผมรีบผ่อนเสียงลง “แม่พักบ้างเถอะ”

“นี่วันอาทิตย์นะ ลูกค้าเยอะ”

“ช่างมัน”

“เสียโอกาสเลย ขายวันอาทิตย์นี่เผลอๆ ได้ค่ากับข้าวไปครึ่งเดือนเลยนะ”

“เราไม่ได้จนขนาดนั้น”

เหี้ยชิบหาย ความจริงคือเราจนนั่นแหละ เราไม่ได้มีเงินเก็บมากมายพอจะรักษาแม่หรอก คำพูดมันก็สะท้อนอยู่แล้วว่าแค่หาเงินมาซื้อข้าวกินรายวันรายเดือนไปเท่านั้น

“งั้นวันนี้แม่พักก็ได้” ที่พูดแบบนั้นคงเพราะอ่านแววตาผมออก มือที่เลี้ยงผมมาเอื้อมมาจับแขนผม เพราะยังหลอนกับนิ้วพี่ทัชอยู่ ผมเลยต้องฝืนตัวเองไม่ให้ถอยหนี “ไปกินข้าวกับแม่หน่อยนะ”

“แม่ อย่า”

“หืม?”

“อย่าพูดอย่างนั้น”

อย่าพูดเหมือนจะตายเร็วๆ นี้

แม่ไม่พูดอะไรอีก แค่ยิ้มอ่อนโยนและดึงแขนผมเบาๆ คราวนี้ผมยอมเดินตามอย่างว่าง่าย

“น้าเกดล่ะ”

“ออกไปแต่เช้าแล้ว กลับบ้านน่ะ”

นี่ก็อีกคน พี่สาวเป็นมะเร็งยังจะหายหน้าไปอีก

แม่คงจะสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งระริกในแขนของผม มือข้างนั้นเลยเปลี่ยนจากจับแขนมาเป็นตบหลังเบาๆ กลายเป็นว่าดูเหมือนคนที่ป่วยไม่ใช่แม่ แต่เป็นผมซะเอง

พอลงมาข้างล่างก็เห็นกับข้าวเต็มโต๊ะ มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้น

“แม่ทำอะไรเยอะแยะ ไม่เห็นต้องขนาดนี้เลย”

“แม่ไม่ได้ทำหรอก แกงถุงจากตลาดเจ๊เนียมน่ะ”

“อ้อ”

“ล้อเล่น แม่ทำเอง จำลีลาการลงโทษคะน้าแบบนี้ไม่ได้เหรอ”

ผมเกลียดตัวเองที่ไม่ขำ ต่อมตลกของผมมันพังไปแล้ว อย่างดีที่สุดก็ได้แค่เล่นตามไปอย่างฝืดๆ“ผมจะลืมได้ไง ไม่มีใครหั่นก้านคะน้าบางขนาดนี้หรอก”

“ดีแล้ว กินเยอะๆ นะ”

พูดเหมือนจะตายพรุ่งนี้อีกแล้ว

ผมกินไม่ลง แต่ต้องฝืน ต้องแกล้งทำเป็นว่าทุกอย่างปกติดี

แม่เป็นมานานแค่ไหนแล้ว

ระยะไหน

หมอบอกว่าจะอยู่ได้นานกี่ปี หรือกี่เดือน…

คำถามเหล่านี้เต้นยิบๆ อยู่ที่ริมฝีปากผม แต่ผมกัดฟันไว้ ผมยังไม่พร้อมที่จะรู้รายละเอียดอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘มะเร็ง’ แค่มองหน้าแม่ตอนนี้ก็ยากเย็นเกินไปแล้ว บางทีแม่อาจจะยังไม่พร้อมเหมือนกัน เราเลยแค่กินข้าวกันไปเงียบๆ

แม่กินน้อยกว่าปกติ

ผมบังคับตัวเองกินให้หมดจาน แล้วรีบบอก “ผมล้างเอง แม่ไปพักเถอะ”

“ก็ได้ แล้ววันนี้เราจะทำอะไรบ้าง ไปมหา’ลัยรึเปล่า”

ไปก็แย่แล้ว

“วันอาทิตย์น่ะแม่ ผมจะอยู่บ้านนี่แหละ ตั้งใจอ่านหนังสือจะได้เกรดดีๆ รีบจบ รีบทำงานหาเงินมา…” ปกติปากไม่มีหูรูดของผมจะพูดทุกอย่างจนสุดประโยค แต่ตอนนี้มันหยุดอยู่กลางคัน ไม่สามารถพ่นคำว่า หาเงินมารักษาแม่ ออกมาได้

แต่แม่รู้ว่าผมหมายถึงอะไร

รอยยิ้มเอ็นดูผุดขึ้นบนใบหน้าแม่ ยิ้มเหมือนว่าผมอายุเจ็ดขวบ และเพิ่งบอกแม่ว่าจะเอากระต่ายบนดวงจันทร์มาเลี้ยง

“แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก”

“...”

อย่า! อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ตอนนี้

“แม่ก็ยังงงนะว่าทำไมเมื่อวานจู่ๆ ก็พูดออกมา”

“ผมไปล้างจานละ” ถ้าไม่รีบตัดบทคงจะคุยกันยาว และน้ำตาต้องมาแน่ๆ ผมยังไม่อยากร้องไห้ตอนนี้ เลยรวบรวมจานไปล้าง ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เสร็จ พอกลับมาก็เห็นว่าแม่นั่งคอตกคล้ายเคลิ้มหลับอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี

แม่อาจจะแกล้งหลับเพื่อให้ผมสบายใจว่านี่คือพักผ่อนตามที่ผมขอแล้ว

หรือแม่อาจจะเหนื่อยจริงๆ

ผมลังเลว่าจะย่องขึ้นห้องไปเลย หรือว่าบอกแม่ให้รู้สักหน่อย สุดท้ายผมก็เลือกที่จะสะกิดเพื่อคุยกับแม่ เพราะถ้าปล่อยผ่านไป แล้วมาสะกิดหลังจากนี้แม่อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาคุยกับผมแล้ว

“แม่ แม่...”

“อือ นี่แม่เผลอหลับเหรอ ว่าไง”

“เปล่า แม่งีบต่อเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปอ่านหนังสือบนห้องนะ”

ผมปล่อยให้แม่ต่อสู้กับเพชฌฆาตเงียบตามลำพัง แล้วขึ้นไปชั้นบน ปิดประตูห้องขังตัวเองไว้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เวลาอยู่ในห้องนี้ผมมักจะใช้จินตนาการอย่างสุดเหวี่ยง ชอบนึกภาพว่าตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นคนรวย เป็นคนเก่ง เป็นยอดมนุษย์ที่เหาะออกไปเตะเด็กแว้นให้ลอยโด่งถึงดวงจันทร์ มีตาทิพย์มองทะลุเสื้อผ้า มีวิชาเดินทะลุกำแพง หรือแม้แต่มีนิ้ววิเศษแบบพี่ทัช

ผมเคยจินตนาการอะไรบ้าๆ บอๆ สารพัด บางครั้งก็สมจริงจนยิ้มออกมา

แต่ตอนนี้ผมลองจินตนาการง่ายๆ นึกว่าห้องนี้คือพื้นที่ปลอดภัยของผม ไม่มีอะไรเข้ามาทำร้ายผมได้ในห้องนี้ แม้แต่ความจริงที่ว่าแม่กำลังจะจากผมไปแล้ว

ไม่ได้ผล

ผมกลับนึกเห็นภาพ ไอ้ความจริงนั่น เป็นหมอกควันพิษที่แทรกซึมเข้ามาในห้องจากทุกทิศทาง และมันสมจริงซะจนทำให้ผมหายใจไม่สะดวก

ผมฟุบหน้าลงกับหมอน พยายามกลั้นน้ำตาไว้ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมเพิ่งละเมิดกฎเหล็กตอแหลกับแม่ไปอีกแล้ว บอกว่าจะอ่านหนังสือ แต่ความจริงคือผมแค่อยากจะหลบหน้าแม่เท่านั้น

แล้วไงล่ะ ก็แม่เริ่มก่อน แม่ปิดบังผมเรื่องมะเร็ง ก็ต้องโดนผมตอแหลใส่ซะบ้าง

ทำไมมึงเป็นลูกที่เลวขนาดนี้นะ นะฑี

แม่ง! แม่ง! แม่ง!

นอกจากไม่อ่านหนังสือ ไม่พัฒนาตัวเองเพื่อจะได้เป็นคนเก่งคนรวยอย่างที่เคยคิด ผมยังซ้ำเติมตัวเองด้วยความคิดลบๆ สารพัด เดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่น จนเวลาล่วงเลยไปไม่รู้ว่านานแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีตอนเคลิ้มๆ จะหลับอีกรอบ แต่มีเสียงเคาะประตูซะก่อน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมแกล้งหลับต่อในท่านอนคว่ำ

เสียงประตูเปิดออก ซึ่งดีแล้วที่ผมไม่ได้ล็อกไว้ ไม่งั้นแม่อาจจะเคาะจนรอให้ผมไปเปิด แต่แบบนี้ถ้าแม่เข้ามาเห็นว่าผมหลับอยู่ก็คงย่องกลับลงไปเอง

เสียงเคลื่อนไหวบอกให้รู้ว่าแม่เข้ามาในห้อง น่าจะหยุดยืนมองผมอยู่อึดใจใหญ่ๆ ก่อนจะเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อกลับออกไป...ไม่สิ ไม่ได้ออกไป แต่เดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ มีเสียงก๊อกแก๊กคล้ายจัดของให้เป็นระเบียบ แล้วตามด้วยชักเก้าอี้เบาๆ เพื่อจะนั่งลง

ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมานิ่งๆ

งั้นแกล้งกรนละกัน

ซัดไปสามคร่อกแบบเน้นๆ ยาวๆ แต่ยังไม่มีเสียงขยับไปไหน ผมรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่แม่ต้องกล่อมนอนและเฝ้ามองอยู่แม้ว่าจะหลับไปแล้ว

“อืม แม่…” ผมแกล้งตื่นงัวเงียเพราะทนแสดงต่อไปไม่ไหว

“ขนาดเสียงกรนยังเหมือนเป็ด”

“พี่ทัช!” ผมเด้งตัวขึ้นมาทันที

“อืม กูเอง”

“พี่มาได้ไงอะ”

“ก็เดินขึ้นมา” ท่าทีเขาเหมือนจะสื่อว่าทำไมคำถามโง่ขนาดนี้ “เห็นมึงแกล้งหลับอยู่ เลยนั่งรอ”

“ผมหลับจริง!”

“โกหกไม่เก่ง”

“แล้วพี่มาทำไม”

“...”

คำถามนี้ทำเอาพี่ทัชนิ่งไป ผมนึกว่าเขาจะถอนหายใจ แต่ก็เปล่า สีหน้ายังราบเรียบขณะเอียงคอน้อยๆ มองผม จากนั้นก็ลุกมานั่งที่เตียงข้างๆ ผม นิ้วมหาภัยที่ตอนนี้แปะพลาสเตอร์ไว้ทั้งสิบนิ้วกุมประสานกันไว้ระหว่างหัวเข่า

“พี่มาทำไม” ผมถามย้ำ

“มึงไม่อ่านแชต ไม่รับสาย”

“ผมไม่สบาย”

พี่ทัชยกมือแปะหน้าผากผมเบาๆ ถึงแม้ว่าจะมีพลาสเตอร์พันนิ้วอยู่แต่ผมก็อดสะดุ้งไม่ได้ “ตัวไม่ร้อน”

“เป็นโรคขี้เกียจไง อยากนอน”

“ไหนบอกจะอ่านหนังสือ”

“ผมบอกพี่ตอนไหน”

“มึงบอกแม่”

ไม่รู้ว่าก่อนขึ้นมาข้างบนพี่ทัชคุยอะไรกับแม่บ้าง ขอให้เป็นแค่เรื่องนินทาผมละกัน

“พี่ไปกวนแม่ทำไม แม่นอนอยู่”

“ตอนกูมาถึงแม่ไม่ได้นอน”

“นี่กี่โมงแล้วอะ”

“จะเย็นแล้ว”

นานขนาดนั้นเลย? แต่มันก็ไม่นานพอ ผมยังอยากทรมานตัวเองด้วยความคิดแสบๆ อีก

“งั้นพี่ก็กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวรถติด” ผมล้มตัวลงนอนตะแคง หันหลังให้เขา

“นะฑี นี่มึงกำลังหนีความจริงอยู่ใช่มั้ย”

“ความจริงที่พี่ปล่อยมันออกมาไง”

“กูขอโทษ…” เสียงเขาขาดห้วงเหมือนคิดหาถ้อยคำ “กูไม่ได้ตั้งใจ”

ผมเกลียดพี่! ความคิดนั้นพุ่งขึ้นมาจนผมเองก็กลัว แต่ผมยับยั้งไว้ทันก่อนมันจะผ่านปากออกไป

“ช่างมันเถอะ”

“มันรักษาได้นะ”

“ไม่!”

“กูหาข้อมูลมา มะเร็งชนิดนี้มีโอกาสหายขาดสูงกว่า…”

“ไม่ฟัง! ไม่อยากฟังตอนนี้ หยุดพูด!”

“นะฑี”

“เงียบไปเลย!” ผมเอามือปิดหู นอนคุดคู้จนเข่าแนบชิดอก แล้วน้ำตาก็มาจนได้ แม่ง อดทนมาได้ตั้งนาน ทำไมต้องมาร้องตอนนี้ด้วยวะ

ผมละมือจากท่าปิดหูมาปาดน้ำตาเร็วๆ ซึ่งพี่ทัชก็พูดต่อจังหวะนั้นราวกับรออยู่

“นะฑี แม่ต้องการมึงนะ”

“...”

“นอนหนีความจริงไปเรื่อยๆ แบบนี้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร”

น้ำเสียงพี่ทัชราบเรียบ ฟังดูไม่ได้ประชดประชันหรือสั่งสอน ออกแนวหวังดีซะด้วยซ้ำ แต่มันก็แทงเข้าไปในอกผมเหมือนแท่งเหล็กร้อนๆ

ผมปาดน้ำตา ลุกขึ้นนั่งตัวตรงและหันไปเผชิญหน้ากับเขา

“อยากให้ผมรับรู้ความจริงเหี้ยๆ นี่มากใช่มั้ย ได้! บอกมาดิ แม่อยู่ได้อีกนานแค่ไหน จะตายเมื่อไหร่”

“กูเพิ่งบอกไปว่ามีทางรักษาได้”

“เหรอ” น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีก ปากผมสั่นระริกขณะบังคับให้ตัวเองพูด “ตอนเข้ามาพี่ได้สังเกตอะไรมั้ย เห็นสนิมที่ประตูเหล็กยืดหน้าบ้านรึเปล่า น่าจะอยู่มานานก่อนผมเกิดอีกมั้ง”

“...”

“เห็นรองเท้าแม่มั้ย เยินจนไม่รู้จะเยินยังไงแล้ว”

“...”

“ได้ดูเสื้อที่แม่สวมรึเปล่า ถ้าเป็นบ้านพี่ แม่บ้านคงเอาทำผ้าขี้ริ้วนานแล้ว”

“...”

“ดูโน้ตบุ๊กผม” ผมชี้ไปที่โต๊ะหนังสือ แต่พี่ทัชไม่ได้หันตาม เขายังมองหน้าผมนิ่งๆ “เกินห้าปีแล้ว แบตเสื่อมจนต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเหมือนคอมตั้งโต๊ะ หน้าจอมีรอยร้าวนิดๆ ด้วย”

“...”

“หรือจะดูอะไรก็ได้” ผมผายมือไปรอบๆ “สภาพงี้เหรอ มีทางรักษาแม่ได้”

“เดี๋ยวกูช่วย”

“เออ พี่รวยนี่ จะเอาเงินมาให้ผมเฉยๆ น่ะเหรอ ไม่เอาอะ” ผมเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้ามือถือบนหัวเตียงมายัดใส่มือเขา “โทรศัพท์พี่ เอาคืนไป”

“มึงเอาไว้ใช้ดีแล้ว กูยกให้” เขายัดใส่มือผมคืน

“งั้นผมจะเอาไปขาย แล้วซื้อรุ่นกากๆ ถูกๆ มาใช้”

“แม่มีประกันสุขภาพรึเปล่า” พี่ทัชเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่ครอบคลุมเรื่องมะเร็ง”

“อืม”

“หยุดคิดเลย” ผมดักทาง “ผมไม่เอาเงินพี่ฟรีๆ หรอก”

“ไม่ได้ฟรี ให้ยืม”

“ให้ยืมก็ไม่เอา ไม่มีปัญญาใช้”

“กูนึกอยู่แล้วว่ามึงจะไม่ยอม กูเลยรับงานมาแล้วสองสามงาน”

“งานไร”

“บริษัทขอทัชฑีไง น้าเกดลากกูเข้ากลุ่มแล้ว”

“มันแค่ค่าขนม จะเอามาทำอะไรได้”

“ก็ขึ้นค่าตัว รับงานเยอะๆ”

“...”

“แล้วไหนจะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาลอีก มันอาจจะไม่ได้ใช้เงินเยอะอย่างที่มึงคิดก็ได้”

“...”

“นะฑี”

“แม่ต้องตายแน่” ผมพ่นคำที่อัดแน่นอยู่ในอกออกมา เป็นความจริงที่ไม่ต้องอาศัยนิ้วมือเขาช่วยอะไรเลย มันหลุดพรวดออกมาเองเพราะผมทนเก็บไว้ไม่ไหวแล้ว

“แม่ตายแน่ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง” น้ำเสียงยังเรียบๆ ตามแบบของเขา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนมีแท่งเหล็กร้อนเสียบเข้ามาในอก

น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีก

พี่ทัชนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนเขาจะแกะพลาสเตอร์ที่นิ้วโป้งข้างขวาออก

“พี่จะทำไร” ผมยกหัวไหล่เช็ดน้ำตา

“หันมาดีๆ ได้มั้ย”

ใจไม่ได้อยากจะหัน แต่หน้าผมมันหมุนไปเอง แค่เสียงนุ่มๆ เรียบๆ ทำไมถึงสั่งร่างกายผมได้อย่างกับมีเวทมนตร์ขนาดนี้วะ

“กูไม่ได้อยากจะรู้ความจริงอะไร” เขาพูดต่อ พร้อมกับยกนิ้วโป้งข้างขวาขึ้นช้าๆ มาแตะที่ขอบตาผม “กูแค่อยากจะเช็ดน้ำตาให้มึงด้วยนิ้วเปล่าๆ”

“...”

“ไม่ได้มีแค่แม่นะที่ต้องการมึง...กูก็ด้วย” เขายิ้มนิดๆ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เวลาหมุนช้าลง “ถ้าไม่มีมึง บริษัทขอทัชฑีก็อยู่ไม่ได้ รู้มั้ย”

ตัวผมกลายเป็นหินไปแล้ว แทนที่จะเบือนหน้าหนีตามที่สมองสั่ง มันยังนั่งนิ่งปล่อยให้นิ้วเปลือยเปล่าของพี่ทัชปาดไล้ขอบตาอยู่อย่างนั้น ปลายนิ้วที่คล้ายมีกระแสไฟอ่อนๆ พาให้รู้สึกวูบหวิว ปลายนิ้วที่ดึงดูดความจริงทั้งหลายทั้งปวงให้เลื่อนไหลตรงมาที่ริมฝีปาก...

แม่จะตายแล้ว

ยังไงก็อยู่ต่ออีกไม่ถึงปีหรอก

ดอกไม้แม่งแดกไม่ได้ ใครจะมาซื้อทุกวัน

พี่แตะตัวแม่ทำไมวะ

มายุ่งกับแม่ผมทำไม

นิ้วเปลือยเปล่าของเขายังปาดเช็ดน้ำตาให้ซ้ำๆ เพราะมันยังไหลไม่หยุด และดูเหมือนว่าพี่ทัชจะลืมไปแล้วว่านิ้วตัวเองทำร้ายคนอื่นได้มากแค่ไหน

“ผมเกลียดพี่!”

ในที่สุดคำพูดก็หลุดจากปากผม พี่ทัชชะงัก แล้วชักมือกลับช้าๆ ดวงตาสีเข้มมองลึกเข้ามาในดวงตาที่พร่าพรายของผม ผมรีบใช้หัวไหล่เช็ดน้ำตาออกแล้วมองหน้าเขาอีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้าก็ยังพร่ามัวอยู่ดี

ความเงียบฉีกช่องว่างระหว่างเราให้กว้างขึ้น ทั้งที่ตัวยังนั่งติดกันอยู่

น้ำตาผมแห้งไปแล้ว

พี่ทัชพันพลาสเตอร์กลับที่นิ้วโป้งช้าๆ โดยไม่มอง สายตาเขายังจับอยู่ที่หน้าผมตลอดเวลา “หายใจลึกๆ ช่วยได้” เขาบอกพร้อมกับยกมือที่มีพลาสเตอร์ครบทุกนิ้วแล้วบีบไหล่ผม

จากนั้นก็ลุกออกจากห้องไป

แท่งเหล็กร้อนที่เสียบคาอกผมอยู่ก่อนหน้านี้ถูกดึงออกไปด้วย และมันเจ็บโคตรๆ เจ็บกว่าตอนถูกมันเสียบซะอีก ข้างในผมร้องโวยวาย อยากจะถลาตามไปคว้าแขนเขาไว้ พูดอะไรดีๆ สักคำ หรือไม่ก็ต่อยเขาให้หน้าสะบัด

อะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่จากกันเงียบๆ แบบนี้

แต่ร่างกายผมแม่งไม่ยอมขยับ











________________________

ขอบคณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ TT


นางร้าย
28.มกรา.2020



หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 28-01-2020 19:46:53
 :katai1: :katai1:  :katai1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 28-01-2020 19:53:18
โอยยยย พี่ทัชเสียใจจจจจจจ น้องมันกำลังฟุ้งซ่าน พี่เข้าใจน้อง ให้เวลาน้องนิดนะ   :o12:  น้องมันก็ปากหมางี้แหละ พี่ทัชต้องชินสิ

พี่ทัชแบไพ่มาเกือบหมดแล้วนะ เหลือแต่บอกตรงๆแล้วคราวนี้ อิน้องยังไม่เก็ทอีก แถมพูดให้พี่เสียใจด้วย ย้ายอิน้องไปเป็นตัวประกอบแทนบทนายเอกได้มะ เคืองใจ :ling1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-01-2020 20:23:08
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่เข้าใจนะฑีเลยอ่ะ

ปกตินิสัยไม่ใช่แบบนี้นิ

ทำไมตอนนี้งี่เง่า?  ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

ทำหมางเมินกับแม่ได้ไง?   นิสัยไม่ดี
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: PHENOMENAL ที่ 28-01-2020 22:12:06
ปวดใจจจจจไปหมดเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 28-01-2020 23:33:35
ประทับใจในความนิ่งของพี่ทัชมาก พี่ทัชเช้าใจนะฑี ยิ่งกว่านะฑีเข้าใจตัว้เเองอีก ความความมั่นคงและอบอุ่นของพี่ทัชจะช่วยให้นะฑีผ่านไปได้อย่างมีสติ น่าเสียดายที่ความหวังดีถูกปัดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี สงสารพี่ทัชที่ต้องเจอแบบนี้อีกแล้ว T T

อยากตีไอ้ตัวดีนะ แต่ก็สงสารเด็กมันกำลังหลงทางไร้สติ กลัวในสิ่งต้องเผชิญ เลือกที่หนีความจริงด้วยความหวาดกลัว จนทำร้ายคนที่พยายามเข้าใกล้และหวังดี รีบตั้งสติได้แล้วแม่รอกำลังใจจากนะฑีอยู่
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-01-2020 16:53:56
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-01-2020 20:43:08
เศร้ามาก
ทั้งทัชทั้งฑี คงเหมือนระเบิดลง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 29) |▌28.มกรา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 30-01-2020 23:52:32
นะฑีตั้งสติก่อน
พี่อย่าเพิ่งโกรธน้องนะ ดึงนางขึ้นมาก่อน นางดิ่ง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30) |▌2.กุมภา.2020// Page 6
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 02-02-2020 19:27:00
แตะต้องครั้งที่ 30
จับบบ...นึกว่าเปลี่ยนเบอร์ไปเจอที่เดิมเพิ่มเติมตามนั้นคาดคั้นอุฟุฟวย



แม่ตายแน่ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง พี่ทัชพูดอย่างนั้น

ใจผมแย้งว่าต่อให้ลุกขึ้นมาทำอะไรแม่ก็ตายอยู่ดี แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็นอนซมนอนซึมอยู่ในห้องตลอดไปไม่ได้อยู่แล้ว

วันจันทร์ ผมเลยตื่นขึ้นมาโดยพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ลงมายิ้มทักทายแม่ กินไรรองท้องนิดหน่อย แล้วไปมหา’ลัย ตอนพักกลางวันก็โทรหาแม่รอบนึง ซึ่งทำให้ผมตระหนักว่าที่ผ่านมาผมละเลยการโทรหาแม่มากแค่ไหน น้ำเสียงแม่สดใสดี ดูปกติทุกอย่าง

แต่ยิ่งเราทำเป็นปกติมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดูไม่ปกติมากเท่านั้น

“เป็นไรวะนะฑี ป้าร้านน้ำเอาเยี่ยวหมาให้แดกเหรอ ที่เหลืองๆ ในแก้วนี่ไม่ใช่เก๊กฮวยใช่มะ” เปิ้ลถามระหว่างเรากินข้าวกัน

“เปล่า”

“หรือท้องผูก เรามียานะ” เจษฎาแสดงความห่วงใย

“เปล่า”

“หน้างี้คงฝีใต้จั๊กแร้แตกมากกว่ามั้ง ใช่มะ”

“เพิ่งคุยกับแม่”

“เออ เห็นอยู่ คุยกับแม่ทำเสียงเล็กเสียงน้อย พอวางสายทำหน้าเป็นตูดใส่เพื่อน กูเลยอยากรู้ว่า…”

“แม่กูเป็นมะเร็ง” ผมขัดกลางประโยค

“มะเร็งที่ส้นตีนหรือตาตุ่มล่ะ”

“มะเร็งต่อมน้ำเหลือง”

“...”

“...”

“คราวนี้พวกมึงทำหน้าเป็นตูดใส่กูซะงั้น”

“จริงเหรอวะ เรื่องงี้พูดเล่นไม่ได้นะเว้ย” เปิ้ลเสียงอ่อนบ่งบอกว่าเชื่อไปแล้ว ปกติมันไม่เชื่ออะไรที่ออกจากปากผมง่ายๆ หรอก แต่ครั้งนี้คงจับความจริงจังในน้ำเสียงได้ ส่วนเจษน่ะ พูดอะไรก็เชื่ออยู่แล้ว

“กูก็อยากให้แม่งไม่จริงเหมือนกัน”

“นายโอเครึเปล่า นะฑี เอ่อ...มีอะไรเล่าให้เราฟังได้นะ”

กูเพิ่งเล่าไปไงเจษ แม่กูเป็นมะเร็ง!

แต่ผมฉีกยิ้มพร้อมกับตบไหล่เจษเบาๆ “ขอบคุณครับเจษ ที่จะเล่าตอนนี้ก็คือ กูปวดขี้ พวกมึงกินกันไปนะ กูขอตัวไปขี้ก่อน”

“นะฑี” เปิ้ลเรียก

ผมยกมือขึ้นระดับไหล่โดยไม่หันไป “ขี้จะแตก ไว้ค่อยคุย”

พอมาถึงห้องน้ำผมก็เข้าส้วมไปขังตัวเองไว้ในนั้น ควักมือถือออกมาไถหน้าจอดู พี่ทัชยังไม่ติดต่อมา ไม่ว่าจะด้วยการโทรหรือแชต ผมเองก็ยังไม่ได้ติดต่ออะไรไปเหมือนกัน

แชตไปดีมั้ย...

อึดอัดจนหายใจไม่ออกเลยว่ะ แม่ง ออกไปดีกว่า

ออกมาข้างนอกค่อยหายใจโล่งขึ้นหน่อย ว่าจะแชตไป แต่รู้ตัวอีกทีขาทั้งสองข้างก็กำลังพาตัวเองไปที่คณะจิตวิทยาแล้ว ปล่อยเลยตามเลยละกัน แต่ใจนึงก็หวังว่าเขาจะไม่อยู่ที่ป่าดงดิบหรอก เพราะช่วงนี้เขาน่าจะงานเยอะ

ปรากฏว่าเขาอยู่ นั่งอ่านหนังสือและมีแซนด์วิชวางข้างๆ เหมือนวันแรกที่เจอกัน

“แซนด์วิชอีกแล้ว” ผมนั่งลง บังคับตัวเองให้ฉีกยิ้ม

พี่ทัชยกมือขึ้นเป็นเชิงว่ารอแป๊บนึง เขาจ้องหน้าหนังสือไฮกุอยู่สักพักคล้ายกับครุ่นคิดหาความหมายที่แท้จริงของมัน แล้วค่อยปิดหนังสือ เงยหน้าขึ้น

“มึงยิ้ม” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขาราบเรียบ

“ผมยิ้มแล้วไง”

“ก็ดี”

มีประกวดคนหน้านิ่งแห่งชาติรึเปล่าวะ จะส่งพี่ทัชเข้าประกวด แถมพี่แกยังมองหน้าผมต่อเหมือนว่าจะเล่นแข่งจ้องตากัน

อึดอัดว่ะ

เอาไงต่อวะ

“เหมือนวันแรกที่เราเจอกันเลยนะ” ผมเสี่ยงหงายการ์ดความหลังไปดู

“กูไม่เห็นมีอะไรเหมือนเดิมสักอย่าง” 

“ผมเห็นอยู่สองสามอย่างนะ พี่นั่งอ่านกลอนอยู่แบบนี้ มีแซนด์วิชแบบนี้ แล้วก็หน้านิ่งแบบนี้”

“แต่มึงไม่ได้ยิ้มปลอมๆ แบบนี้”

แม่เป็นมะเร็งจะให้ยิ้มจริงๆ ได้ไงวะ

ผมถอนหายใจทิ้งยาวๆ เพื่อสลัดรอยยิ้มนั่นทิ้งไป

“มึงโกรธ”

“เปล่า”

“มองหน้ากูดิ”

ผมเพิ่งรู้ตัวว่าหลบตาเขา รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะเงยขึ้นมองเขาตรงๆ แต่ผมก็ฝืนทำจนได้

“กูอยากให้มึงแสดงความรู้สึกจริงๆ กับกู”

“...”

“ไม่อยากยิ้ม ก็ไม่ต้องยิ้มดิ”

“...”

“อยากร้องไห้ ก็ร้องเลย”

ผมรีบเงยหน้ามองฟ้า บังคับให้น้ำตาที่กำลังเอ่อขึ้นมาไหลย้อนกลับไป “ผมไม่ได้อยากร้อง” ว่าแล้วก็สูดขี้มูกฟืดๆ “ไม่ต้องมาบิ๊วผม”

“อืม” ตอบแค่นั้น ไม่บิ๊วต่อ ไม่อะไรเลย แค่นั่งนิ่งๆ เหมือนว่ารอได้เป็นวันๆ

อึดอัดโว้ยยย

“พี่แม่ง!”

“อะไร”

“พี่โกรธใช่ปะ ถึงได้เงียบๆ ไป”

“กูเปล่า”

“งั้นทำไมไม่แชตไม่โทรมาเลย”

“มึงบอกว่าจะเอามือถือไปขาย”

“พี่อย่าประชดได้ปะ คิดว่าผมจะเอาของที่พี่ให้ไปขายจริงๆ ดิ”

“เห็นมึงพูดจริงจัง”

“ถึงขายเครื่องผมก็ใช้เบอร์เดิม ทำไมไม่โทรล่ะ”

“กูไม่อยากให้มึงเกลียดกูมากกว่านี้”

“...”

“มึงอยากให้คนที่มึงเกลียดโทรหาเหรอ”

“...”

เหี้ย

ทำไมจุกขนาดนี้

“ตอบกูดิ”

“อยาก” ผมพูดเสียงเบา

พี่ทัชหยิบมือถือของเขาขึ้นมา เลื่อนไถหน้าจอ แล้วก็กด ไม่ทันไรมือถือเครื่องเก่าของเขาที่อยู่ในกระเป๋าผมก็สั่นครืดๆ

ผมควักมันออกมา แล้วกดรับสาย

“ฮัลโหล ขอสายนะฑีหน่อยครับ” เสียงเขาดังมาตามสาย แต่ไม่ต่างจากคุยต่อหน้าเท่าไหร่หรอก เพราะตัวจริงเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้เอง

ผมยกมือถือแนบหูและเล่นตามน้ำไป “พูดอยู่”

“อ้อ นึกว่ามึงเปลี่ยนเบอร์แล้ว”

“ก็ว่าจะเปลี่ยนแหละ หาเบอร์มงคลมาใช้ ชีวิตจะได้ดีๆ เจอคนดีๆ”

“คนที่เจออยู่ทุกวันนี้ไม่ดีเหรอ”

“ไม่รู้ดิ ส่วนมากก็แย่มั้ง”

“อ่อ งั้นถ้าเปลี่ยนเบอร์บอกหน่อยนะ”

“คิดดูก่อน”

“ให้เวลาคิดห้าวินาที”

“...” ผมมองหน้าเขา เขาก็มองตอบด้วยแววตาเรียบๆ แต่คล้ายกับจะมีรอยยิ้มมุมปากนิดๆ ทำไมเขาถึงทำให้อารมณ์ผมแกว่งขึ้นแกว่งลงได้ขนาดนี้วะ หรือบางทีต่อมอะไรสักอย่างในสมองผมอาจจะผิดปกติจริงๆ

“หมดเวลา ถ้าเปลี่ยนเบอร์จะบอกมั้ย”

“บอกทำไม ขนาดเบอร์เดิมยังไม่โทรเลย”

“ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรหา”

“...”

“กูไม่อยากให้มึงเกลียดกูมากกว่าเดิม เลยไม่ได้โทร”

“...”

“โกรธรึเปล่า” เขาเอียงหน้ามองผม สายตาคล้ายกับจะขุดค้นเข้าไปส่วนที่ลึกที่สุดในใจผม จนผมต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“พี่แม่ง”

“แสดงว่าโกรธ”

“ช่างมันเถอะ”

“ช่างมันได้ไง ยังไม่ได้ง้อเลย”            “...”

“ต้องง้อยังไงถึงจะหาย...เอ๊ะ แต่มึงยิ้มแล้วนะ”

ผมรีบทำหน้าบึ้ง “นี่คุยโทรกันอยู่ พี่จะรู้ได้ไงผมยิ้มหรือไม่ยิ้ม”

“เสียงมึงเหมือนยิ้ม”

“มั่ว”

“เนี่ย ตอนนี้เสียงก็ยิ้ม หายโกรธแล้วใช่มั้ย”

ไอ้พี่ทัช มึง กูกลั้นยิ้มจะไม่ไหวแล้ว

“เออๆ ไม่ได้โกรธ”

“ดีแล้ว ไม่โกรธก็จะได้ไม่ง้อ” อ่าว กวนตีนแล้ว “แล้วชีวิตเป็นไงบ้างครับช่วงนี้” เขาถามต่อ

“คิดว่าเป็นไงล่ะ"

“ก็คิดว่า...น่าจะกินน้อย นอนน้อย น้ำหนักลด แต่ตดยังดัง...มั้ง”

ขนลุก! พี่ทัชกล้าเล่นมุกนี้เหรอวะ

เวลาคนบุคลิกดีๆ มาพูดแบบนี้ฟังแล้วโคตรแปลกเลย

“ไม่เล่นละ” ผมกดวางสาย

พี่ทัชมองมือถือตัวเอง แล้วเอาแนบหูอีก “ฮัลโหลๆ” จากนั้นก็ยอมวางมือถือและยิ้มให้ผม “วางไปละ”

“พี่ไปตั้งคณะตลกมั้ย”

“เอาดิ ให้มึงเป็นหัวหน้า”

“เหอะ เอาบริษัทขอทัชฑีให้รอดก่อนเถอะ”

คราวนี้พี่ทัชยิ้มนิดๆ โดยไม่พูดอะไร และทุกครั้งที่เขาเงียบ ผมก็ทนไม่ไหวที่จะต้องพูดอะไรสักอย่าง นี่ต้องเป็นเทคนิคจิตวิทยาแน่ๆ

“ที่ผมมาหาพี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ บริษัทขอทัชฑี”

“อือฮึ”

“ผมเข้าไปดูในกลุ่มเมียหลวงแล้ว ตกลงรับนะ ไม่น่ายากอะไร เดี๋ยวผมนัดวันอีกที”

“ทำไมถึงอยากทำ”

“เงินไง” คำนั้นพุ่งออกจากปากผมแทบไม่ต้องคิด “ก็แม่ผม...ป่วย”

“อืม” เขาหันมองหน้าผมตรงๆ “แต่มึงเกลียดกูแล้ว จะร่วมงานกันได้เหรอ”

“...” ชิบหาย ต้องวนมาเรื่องนี้จนได้สินะ

“กูเคยบอกมึงใช่มั้ยว่า ตามประสบการณ์กูความจริงมักจะโหดร้าย บางทีไม่รู้ก็ดีกว่า แต่มึงเถียงว่าตามประสบการณ์มึงการโกหกกันมันโหดร้ายกว่า...เรื่องแม่มึงมันเป็นความจริงที่โหดร้าย แล้วเรื่องนั้นล่ะ จริงหรือโกหก”

“เรื่องอะไร”

“ที่มึงเกลียดกู”

“เอาเป็นว่า...ผมขอโทษละกัน”

“ไม่จริงใจ”

“ผม ขอ โทษ” ผมเน้นชัดถ้อยชัดคำ

“เสียงแข็ง”

“ผมขอโทษครับพี่ทัช”

“จะบอกว่าไม่ตั้งใจหรือโกหกล่ะ”

“ผม...ไม่รู้อะ ก็ตอนนั้นนิ้วพี่…”

บรรยากาศแบบอมยิ้มๆ ก่อนหน้านี้หายไปไหน หายไปตั้งแต่ตอนไหน

ทำไมมันกลับมาอึมครึมอีกแล้ว

“ความจริงบางอย่างนานแค่ไหนก็ไม่เปลี่ยน แต่ความจริงบางอย่างแป๊บเดียวก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” เสียงพี่ทัชเรียบเรื่อย และคล้ายกับครุ่นคิดไปด้วย “ตอนนั้นมึงอาจจะรู้สึกเกลียดกูจริงๆ ก็ได้ หรือบางที…”

“อะไร”

“อาจเป็นจังหวะที่นิ้วกูไม่โดนผิวมึง”

“ไม่โดนเหรอ”

“มั้ง ไม่รู้ดิ”

“พี่อะ เอาดีๆ ผมงงไปหมดแล้ว”

“อืม งั้นเอาใหม่” เขาเอียงคอนิดๆ มองผม “กูจะไม่แตะตัวมึง ทีนี้มึงจะบอกความจริงหรือโกหกอะไรกูก็ได้ กูจะเชื่อตามนั้น”

“ไม่เอาอะ”

“งั้นกูก็จะเชื่อตามคำพูดเดิมของมึง”

“อะไรของพี่วะ จะมาคาดคั้นไร”

“กูไม่ได้คาดคั้น ก็ตามนั้นไง”

“พี่แม่ง”

“ด่ากูทำไม”

“โอ๊ย ไรเนี่ย ไม่ได้ด่า มันแบบ...” ผมอ้าปาก แล้วก็หุบ แล้วอ้าอีก “อยากฟังนักใช่ปะ งั้นเอาเป็นว่าผมอุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาสกับพี่ละกัน”

“อะไร”

“ก็บอกให้ผมพูดไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

พี่ทัชเอนหลังและกอดอก สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แววตาสีน้ำตาลมองมาตรงๆ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกคันยุกยิกในอกอย่างบอกไม่ถูก “อืม เข้าใจแล้ว”

“ฮะ?”

“ตามนั้น”

“เฮ้ย ตามนั้นไรวะ เข้าใจว่าไง…ทำไมต้องทำหน้างั้นด้วย”

“หน้ายังไง”

“หน้ายิ้มๆ เหมือนรู้ทันอะ”

“ก็กูรู้แล้วไง เข้าใจแล้ว”

“พี่เข้าใจว่าไง”

“เข้าใจว่ามึงอุฟุฟวยฟ่วยฟวยนอนยันทวยหล่วยลวย อ่า...โอเอ็มจีลวยลวยโอซาสกับกู นั่นแหละ ตามนั้น”

โคตรกวนเลย

อะไรของเขาวะเนี่ย!








________________________


ฝากแฮชแท็ก #ณTouch ไว้ด้วยน้า
แฮ่ ชอบที่ได้รวมความรู้สึกทุกคนเอาไว้ด้วยกัน ❤️
ขอบคุณมากนะคะ


นางร้าย
2.กุมภา.2020






หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30 |▌2.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-02-2020 19:59:31
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30 |▌2.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-02-2020 20:26:03
 :katai2-1:  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30 |▌2.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 03-02-2020 08:14:44
55555เหนื่อยใจกับนะฑี
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30 |▌2.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 03-02-2020 13:06:53
พีทัช!!!555555555555555555555555555

ไอ้ตัวดีไปไม่เป็นเลย นอกจากไม่โกรธยังเข้าใจ ง้อ เล่นมุก กวนมากวนกลับไม่โกงอีก พี่แม่ง! 55555555555555555555555555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30 |▌2.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-02-2020 16:52:43
 :laugh:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30 |▌2.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-02-2020 21:52:30
เฮ้อ....
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30 |▌2.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 03-02-2020 21:56:02
พี่ทัชคะ อะไรไม่ดี บุ๋มก็บอกว่าไม่ดีค่ะ  อิน้องมันเพี้ยนปล่อยมันไปนะคะ อย่าเอามันเป็นเยี่ยงอย่าง (เป็นเมียพอไหว) แค่คนเดียวแม่ก็ปวดเฮดมากแล้วค่าาา ได้โปรดดด  :ling3:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 30 |▌2.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-02-2020 21:18:01
ร้องไห้แบบฮาๆ
สงสารพี่ทัชโดนน้องบอกเกลียด
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 12-02-2020 20:47:13

แตะต้องครั้งที่31
จับบบ…เจอร้านน้องจอยนั่งคอยผ่าม! ผ่าม! ผ่าม! ลามปามในความมืดยืดอกในซอย



ผมหมกมุ่นกับอุฟุฟวยฟวยอะไรของพี่ทัชนี่อยู่เป็นวันๆ อะไรของเขาวะ ถามเซ้าซี้ก็ไม่ยอมอธิบาย บอกแค่ว่าอุฟุฟวยของผมหมายความว่าไง อุฟุฟวยของเขาก็หมายความแบบนั้น

คือผมพูดมั่วไง แต่ของเขาน่ะต้องหมายถึงอะไรสักอย่างแน่ ดูจากตาที่เป็นประกายกับสีหน้าขำๆ นั่น

พี่ทัชลามกว่ะ

ไม่คิดละ เกิดเป็นคนต้องวางให้ลงปลงให้เป็น เรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่เห็นจะต้องเก็บมาคิด แต่คำว่า ‘ฟวยฟวย’ มันก็ออกไปทางลามกรึเปล่าวะ…

ช่างเถอะ

พอ

เลิกคิด

เรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือ...แม่ ผ่านมาอีกหนึ่งสัปดาห์ ผมเริ่มจะปรับตัวให้กินและนอนได้มากขึ้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็มีอัปเดตบ้างนิดหน่อยตามสภาพ

แม่นัดหมอแล้ว จะเข้าไปคุยเร็วๆ นี้ว่าอาการร้ายแรงแค่ไหน แนวทางการรักษาอย่างไร ซึ่งปัญหาใหญ่สุดก็หนีไม่พ้นเรื่องเงินนั่นแหละ

น้าเกดเปิดเผยเรื่องนี้ในกรุ๊ปไลน์เมียหลวง ไม่น่าเชื่อว่าหลายคนจะอินถึงขนาดช่วยกันบริจาคสมทบทุนค่ารักษามาให้ ถึงไม่ได้มากมาย แต่น้ำใจคนไทยนี่ก็เล่นเอาผมขนลุกขนชัน โดยเฉพาะเจ๊เจนนี่ พิมพ์รัวๆ อย่างกับว่าแม่ผมตายแล้ว แต่ในห้องแชตส่วนตัวนี่คือ เจ๊ขอลดค่าบริการครึ่งราคาได้มั้ย ข้อหาที่เราดันไปทำแผนขอแต่งงานพัง แถมยังขอเลื่อนไปก่อนเพราะแกต้องใช้เงินไปฮันนีมูนก่อน ผมตอบเลย ไม่เป็นไรครับเจ๊ งานนี้ฟรี ขอให้มีความสุขครับ

ส่วนงานต่อๆ มาอีกสองงานที่พี่ทัชรับปากไว้ อันนี้คิดเงิน แต่ก็นั่นแหละ ถือว่าได้มากกว่าค่าขนมนิดหน่อย เพราะงานไม่ยากเย็นอะไร และเราก็จัดการให้แบบมาเร็วเคลมเร็วไปเลย แค่ให้พี่ทัชแกล้งเข้าไปทักคนผิด จับแขน ยิงคำถามเข้าเป้า อัดคลิป แล้วก็ชิ่ง กลับมานั่งตบยุงกันต่อที่ป่าดงดิบ

แต่จู่ๆ ก็มีผู้ใหญ่ใจดีเสนองานมาให้ทำ โดยยินดีจ่ายสองหมื่นถ้างานสำเร็จ และตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างทางที่จะไปจัดการให้มันสำเร็จนี่แหละ

เวลาสามทุ่มกว่าๆ รถยังเยอะอย่างกับปลวก พี่ทัชขับไปเงียบๆ ส่วนผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

“โพสต์รับบริจาคทางโซเชียลดีมะ” ผมทำลายความเงียบ “จับแม่ใส่เสื้อผ้าขาดๆ อยู่ในกระต๊อบไรงี้ ถ่ายรูปมาโพสต์ พอได้เงินบริจาคเยอะก็ปิดเพจ”

“เอาดิ กูจะบริจาค”

“บอกแล้วไงว่าผมไม่เอาเงินพี่”

“แล้วทำไมคนอื่นบริจาคได้”

“ก็นั่นมันคนอื่นไง แต่พี่ไม่ใช่”

“อ้อ”

“อ้ออะไร”

“อ้อ กูไม่ใช่คนอื่น” ทำไมเสียงเปลี่ยนโทนวะ

“เอ้า ก็คนรู้จักกันอะ ก็ต้องเกรงใจดิ”

“อ๋อ”

“อ๋อไรอีกอะ”

“อ๋อ กูเป็นแค่คนรู้จัก”

“เดี๋ยวนี้พี่เป็นคนกวนตีนนะ รู้ตัวปะ”

“อ๋อเหรอ”

“เลิกพูดอ้ออ๋ออะไรนี่ได้ปะ”

“อ่อ” เขาหันมาและรีบพูด “โทษที ไม่พูดอ๋อแล้ว งั้นมึงก็คิดซะว่ากูเป็นคนอื่นดิ กูจะได้บริจาค”

“พี่อยากเป็นคนอื่นเหรอ”

“มึงคิดว่ากูอยากมั้ยล่ะ”

“เนี่ย กวนตีน” ผมมองหน้าเขาบ้าง “แล้วก็ไม่เปิดรับบริจาคอะไรทั้งนั้นอะ ผมแค่ประชด หาเรื่องพูดกวนตีนไปงั้น ผมไม่เอาเงินใครฟรีๆ หรอก จะหาด้วยลำแข้งตัวเองละ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องเล่นมุกนะว่าหาด้วยลำแข้งคือให้ไปต่อยมวย”

“มึงพูดอ้อ”

“ออ อ่อ อ้อ อ๊อ อ๋อ ผมพูดได้ พี่ห้ามพูด เข้าใจปะ”

“จะถึงแล้ว” เสียงพี่ทัชจริงจังขึ้นปุบปับ

“จริงดิ” ผมหันขวับ ควักมือถือออกมาเตรียมพร้อม

จุดหมายของเราคือร้านคาราโอเกะที่ชื่อว่า ‘น้องJoy’ พี่ทัชขับรถเลยไปจอดค่อนข้างไกล แล้วเราค่อยลงเดินย้อนกลับมา เคสนี้ค่อนข้างแปลก ไม่ใช่เมียตามจับผิดผัว แต่เป็นผัวที่จ้างให้เรามาตามจับผิดเมีย ซึ่งคนเป็นเมียก็เป็นเจ้าของร้านนี้แหละ แถมเอาชื่อตัวเองมาตั้งเป็นชื่อร้านตรงๆ เลย

ดูจากป้ายไฟกับสภาพร้านแล้วก็นึกถึงตลาดเจ๊เนียม ถ้าร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้ตลาด แก๊งวินของพี่อี๊ดคงเมาหัวราน้ำกันไม่เว้นวันแน่

เรามาหยุดที่หน้าร้าน เด็กๆ ของเจ๊จอยสามนางกำลังนั่งเมาท์มอยกันอยู่ แน่นอนว่าแต่ละคนก็นุ่งน้อยห่มน้อยและโบ๊ะหน้าจัดเต็มกันสุดๆ พอทั้งสามหันมาเห็นเราก็ถึงกับชะงัก พูดให้ชัดกว่านั้นคือ ชะงักเพราะเห็นพี่ทัชนี่แหละ

“สองที่น้อง” ผมเรียกร้องความสนใจ

“อะ...มาเที่ยวเหรอคะ”

“ทำไมอะ คิดว่ามาขายเครื่องกรองน้ำเหรอ”

เท่านั้นแหละ ทั้งสามคนเหมือนจะได้สติ รีบลุกจากเก้าอี้มาล้อมเราไว้เหมือนจะจับเป็นตัวประกัน

“เชิญค่ะๆ”

“ถ้าหน้าอย่างพี่ขายเครื่องกรองนะ หนูจะนั่งกรองน้ำเล่นทั้งวันเลยค่ะ”

“พี่สูงจัง ดูดิ หน้าอกหนูอยู่แค่เอวพี่เอง”

ช่วยด้วย ทำไมรุนแรงกันขนาดนี้ ต้องป่าเถื่อนแค่ไหนถึงจะเทียบระดับความสูงคนไม่รู้จักด้วยนม ไหนจะเอามุกเครื่องกรองน้ำผมไปปู้ยี่ปู้ยำอีก แล้วแทนตัวเองด้วยหนูด้วย อายุนี่น่าจะน้องๆ น้าเกดแล้วมั้ย

“เจ๊จอยอยู่มั้ยครับ” พี่ทัชถามเรียบๆ

ทั้งสามนางมองหน้ากัน

“ลูกค้าเจ๊ว่ะ”

“เจ๊ยังไม่มา เราก็แทะไปก่อน”

“เดี๋ยวเจ๊ก็ตบหรอกมึง”

“เอ้า ตบเป็นตบนะคะงานนี้”

นี่คือละครซิดคอมเหรอ ทำไมคุยกันด้วยเสียงปกติขนาดนั้น หรือว่าเพราะทำงานในร้านแบบนี้เลยต้องพูดแข่งกับเสียงเพลงจนชิน หรือว่าประสาทหูเริ่มเสียไปแล้ว

“อะแฮ่ม” ผมกระแอม

“เชิญจ้ะรูปหล่อ”

แล้วเราสองคนก็ถูกลากเข้าไปในโรงเชือด มันดูเหมือนโรงเชือดในหนังสยองขวัญเกรดบีจริงๆ นั่นแหละ แสงไฟมัวๆ กับครัวเล็กๆ ส่วนห้องโถงมีโต๊ะอยู่สี่ห้าโต๊ะพร้อมกับตู้คาราโอเกะให้เวียนกันร้อง เดี๋ยวนะ มีห้องVIP ด้วยอีกสองห้อง

เราถูกลากเข้าห้องVIP ห้องในสุดโดยไม่มีการถามไถ่ ภายในห้องก็มีโต๊ะยาวสำหรับวางอาหารการกิน หน้าจอ ลำโพง และโซฟาที่ดูไม่น่าจะอ่อนโยนกับตูดเท่าไหร่ เราถูกกดให้นั่งลง ทั้งสามตามประกบทันทีอย่างกับจะคุมตัวนักโทษ หลังจากถามชื่อแซ่กันเรียบร้อยก็ได้ความว่า

คนที่นั่งทางซ้ายของพี่ทัชชื่อนีน่า คนนี้หุ่นดีเลย หน้าอกหน้าใจก็น้องๆ โอเปิ้ลได้ แต่ก็มีความขัดแย้งในตัวเองชัดเจน คือชื่อฝรั่ง แต่โครงดั้งกับใบหน้าผมว่าไม่ใช่ ต่อให้ย้อมผมทองมันก็ไม่ใช่อะ

ถัดมาคนที่นั่งตรงกลางชื่อชาช่า แต่เพื่อนอีกสองคนขอให้เราเรียกเจ้าตัวว่าชะชะช่า นี่ก็เป็นโรคปอดบวมอีกคน แต่หุ่นอวบๆ กว่าคนแรกหน่อย

คนสุดท้าย เกาะแขนขวาผมเป็นลูกลิงอยู่นี่ชื่อปาร์ตี้ ปาร์ตี้ ทำไมไม่อัพไซส์มาสู้กับเพื่อนอะ แล้วนี่วันๆ กินข้าวบ้างรึเปล่า ทำไมถึงผอมขนาดนี้

“กินไรดีคะพี่ เอ๊ะ เมนูอยู่ไหนน้า อ๊ะ เจอแล้ว…” กินไรก็ได้ ปาร์ตี้ อย่ากินกูก็พอ

“แนะนำเครื่องดื่มพี่เขาก่อนสิยัยปาร์...ข้ามหน้าเบียร์อาชาไปเลย หล่อๆ อย่างพี่เขานี่ต้องเหล้าแพงๆ” ชะชะช่าบิ๊ว

ส่วนนีน่าไม่พูดอะไร ท่าทางเหมือนจะอยากแทะแขนพี่ทัชเป็นของว่างแล้ว

“เจ๊จอยล่ะครับ” พี่ทัชถาม

“น่าจะใกล้ถึงแล้วนะ ปกติเจ๊ก็มาเวลานี้แหละ” ชะชะช่าตอบ

“อ้อ”

เออ รีบๆ มาหน่อยเถอะเจ๊ อยากกลับบ้านแล้ว

ผมเลือกสั่งกับแกล้มมั่วๆ มาสองสามอย่าง แล้วก็สั่งเบียร์อาชาเป็นการย้อนศรชะชะช่า รวมถึงเครื่องดื่มของสาวๆ ที่อ้อนให้เราจ่ายแต่ก็สั่งกันเองเสร็จสรรพ ซึ่งผมไม่ใส่ใจจะจำชื่อเมนู แต่จำได้อันนึง ปาร์ตี้สั่งน้ำส้มคั้น อยากจะหันไปถาม ปาร์ตี้เปลี่ยนเป็นเหล้าขาวมั้ย

หลังจากอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟได้ไม่นาน สามสาวก็เหมือนจะอยากมอมเราให้ล้มพับ เชียร์ให้ยกหมดแก้วอยู่ไม่ขาดระยะ พอเชียร์ไม่ขึ้น ไปๆ มาๆ ทั้งสามเลยรินยกซดกันเอง

ผมเอาตัวรอดด้วยการลุกไปแดนซ์ โดยมีปาร์ตี้เป็นวิญญาณตามติดจะเอาผมเป็นเสา บอกเลยว่าอ่อน สกิลเต้นได้แค่นี้ทำงานในสถานบันเทิงได้ไงลูก~ มานี่ พี่นะฑีจะสอน ผ่าม! ผ่าม! ผ่าม! เด้งเข้าไป เด้งเข้าปายยย~

ส่วนวิธีเอาตัวรอดของพี่ทัชน่ะเหรอ นั่งเป็นท่อนไม้ กอดอกและเก็บมือเรียบร้อย ขณะที่สองสาวนั้นก็แทะโลมไม่ได้หยุดหย่อน นีน่ายังไม่เท่าไหร่ แค่ซบไหล่ทำหน้าเคลิ้ม แต่ชะชะช่านี่ดูท่าจะเอาจริง หันไปทีไรเห็นเอาเนื้องอกเบียดแขนพี่ทัชตลอด แถมยังชวนคุยไม่หยุดปาก บางจังหวะยังยื่นหน้าใกล้ๆ เหมือนจะหอมแก้มด้วย

ขัดหูขัดตาว่ะ รายนั้นก็นั่งเป็นท่อนไม้อยู่ได้ ไม่ขัดขืนสักหน่อยเหรอวะ

เริ่มเซ็งละ

แล้วเจ๊จอยหอยสังข์นี่เมื่อไหร่จะมา ไหนบอกแป๊บเดียว บอกให้ปาร์ตี้ออกไปดูหลายรอบแล้วก็ยังไม่เห็นหัว

“ปาร์ตี้ ปาตี้ครับ ออกไปดูให้หน่อยว่าเจ๊จอยมารึยัง”

“อีกแล้วเหรอ”

“ขออีกที”

“สอนท่าเด้งสามชั้นเมื่อกี้อีกทีสิ กำลังจะได้ละ”

“ไว้ก่อนน่า ถ้าไม่ไปผมจะร้องเพลงนะ”

“ก็ได้ๆ อย่าร้องนะ”

นี่คือคำขู่ที่อันตรายมากสินะ คงมีแค่พี่ทัชแหละที่ทนเสียงร้องเป็ดๆ ของผมได้ เพราะหลังจากผมขอร้องได้ไม่ถึงสองเพลง ทั้งสามสาวก็ทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วกให้ได้ ด้วยความสงสาร ผมเลยเปลี่ยนเป็นมาเปิดเพลงแดนซ์แทนนั่นแหละ

ปาร์ตี้สะบัดตูดจะไปเปิดประตู แต่จังหวะนั้นประตูก็ถูกเลื่อนเปิดจากข้างนอกซะก่อน

ผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามา “อยู่นี่กันเอง...ขอโทษที่รบกวนนะคะ”

“เจ๊” ปาร์ตี้ผงะนิดๆ

สองสาวที่พยายามสิงร่างพี่ทัชอยู่รีบนั่งตัวตรง จัดเผ้าผมให้เรียบร้อยพร้อมกับฉีกยิ้ม

“ลูกค้าเจ๊ เราเลยดูแลให้อย่างดีเลยจ้ะ” ชะชะช่าบอก

“ใช่ๆ เราไม่ได้แทะนะเจ๊” นีน่าดูตื่นตัวกว่าปกติ

บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน เจ๊กวาดสายตามองเราก่อนจะมองไปที่หน้าจอ ผมรีบกดเบาเสียงเพลงลง หรือว่าเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นเพื่อกวนตีนเจ๊แกนะ แต่ยอมรับเลย ตาเจ๊แม่งโคตรดุ เลยปล่อยๆ ไปก่อน

“ขอโทษนะคะ ได้เหมาเด็กๆ มั้ย”

“เปล่าครับ” พี่ทัชตอบ

“อ้อ ไม่ได้เหมา” คราวนี้เจ๊จอยก้าวเข้ามาในห้อง โดยมีผู้ชายหุ่นล่ำบึ้กคนนึงก้าวตามเข้ามาด้วย “แล้วทำไมพวกมึงไม่ไปนั่งแซะแขกคนอื่นบ้าง ไอ้พวกข้างนอกนั่งแห้งกันหมดแล้ว”

เท่านั้นแหละ สามสาวรีบสะบัดก้นออกจากห้องไปทันที ชะชะช่า ไหนแกบอกตบเป็นตบไงวะ

ผมไม่ได้พูดแทรกอะไร เพราะมัวจับตาดูสถานการณ์อยู่ โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตาเจ๊ ดูเหมือนไม่ค่อยจะตรงปกกับที่ผัวแกส่งให้ดูทางไลน์เท่าไหร่นะ ตัวจริงดูแซ่บมาก เป็นสาวใหญ่ หุ่นสะบึม จมูกและคางน่าจะเรียวเด่นด้วยมีดหมอแน่นอน แถมยังแต่งหน้าจัดระดับพริกสิบเม็ด ส่วนพ่อหนุ่มข้างๆ นี่ถ้าไม่ใช่ชู้ก็คงเป็นบอร์ดี้การ์ด หรือน่าจะทั้งสองอย่าง หรือถ้าว่างๆ อาจจะรับงานขับสิบล้อด้วยก็ได้

เอาเป็นว่า คำนิยามที่ผมพอจะนึกออกตอนนี้คือ แม่เล้าตัวร้าย กับนายหน้าโหดโคตรอันตราย

“ขอโทษนะคะ ถ้าไม่ได้เหมาตัวเด็กๆ ก็คงต้องให้พวกน้องไปดูแลลูกค้าคนอื่นบ้าง” นี่เสียงเจ๊อ่อนลงแล้วนะ แต่ก็ยังฟังออกว่าหงุดหงิด “ถ้าขาดเหลืออะไรก็กดกริ่งเรียกเด็กเสิร์ฟนะคะ”

“พี่จอย!” พี่ทัชลุกพรวดขึ้น ทำให้อีกฝ่ายที่กำลังจะก้าวออกไปหันขวับมา “พี่จอยจำผมได้มั้ยครับ”

เอาแล้ว!

ผมรีบควักมือถือออกมากดเข้าเมนูกล้อง

เจ๊จอยก้าวเข้ามาสองสามก้าว สีหน้าเหมือนเพิ่งตระหนักว่าพี่ทัชหน้าตาดีขนาดไหน “เรารู้จักกันเหรอ”

“จำไม่ได้เหรอครับ”

“ก็...คุ้นๆ อยู่นะ”

เจอรอยยิ้มคนหล่อเข้าไปหน่อย ทำเป็นคุ้นหน้าเลยนะเจ๊

“นึกออกมั้ยครับ” พี่ทัชหยอดไปอีก เขาเหลือบมองผมว่าเตรียมกล้องพร้อมรึยัง ผมแอบทำมือโอเค และขยับปรับมุมกล้องที่ถือไว้ต่ำๆ เพื่อไม่ให้ดูว่าจงใจเกินไป

เจ๊ขมวดคิ้ว แต่ก็ฝืนยิ้ม

จังหวะนั้นเอง พี่ทัชก้าวยาวๆ เข้าไปประชิดตัวพร้อมกับจับข้อมืออีกฝ่าย หมับ! “พี่จอย ผมณวัฒน์ไงพี่!”

“เอ่อ…”

“เป็นไงบ้างครับ สบายดีมั้ย”

“ก็...ไม่ค่อย เครียดอยู่”

“พี่จอยไปไหนมากับพี่คนนี้เหรอครับ เขาเป็นใคร”

เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรแล้ว ขอแค่นิ้วพี่ทัชแตะตัวเหยื่อปุ๊บเราก็ถามเข้าเป้าเลย และมุกทักคนผิดนี่ก็ใช้ได้ผลดีมาก แค่เรื่องง่ายๆ แต่โคตรมีประสิทธิภาพ

ผมรีบยกกล้องขึ้นถ่ายหน้าเจ๊ชัดๆ

“เพิ่งไปเก็บหนี้มา มันไม่ยอมจ่ายก็เลย...ฆะ...ฆ่าล้างหนี้แม่ง ยังไม่ได้จัดการศพ แวบมาดูร้านก่อน ร้านนี้ก็เปิดบังหน้าฟอกเงินไปงั้น”

เหี้ย

เดี๋ยว เจ๊ฆ่าคนเหรอวะ แถมยังเปิดร้านฟอกเงินอีก

ความจริงจากปากเจ๊ทำเอาเราชะงักกันไปหมด โดยเฉพาะพ่อหนุ่มหน้าโหดที่ตัวกระตุกราวกับคำพูดเจ๊ฟาดหัวเข้าให้ ส่วนตัวเจ๊เองเหมือนยังมึนๆ และหน้าซีดนิดๆ

พี่ทัชปล่อยมือ เปลี่ยนเป็นตบไหล่เจ๊เป็นเชิงหยอกเย้า “พี่นี่มุกเยอะเหมือนเดิมเลยนะครับ” ใช่! ต้องกลบเกลื่อนไปแบบนั้นแหละ แต่เจ๊จอยเหมือนจะไม่สนุกด้วยนี่สิ แค่ตบบ่าเบาๆ ยังทำเอาสะดุ้ง แถมยังหน้าเสียกว่าเดิมอีก

“เราชื่ออะไรนะ”

“ณวัฒน์ครับ” พี่ทัชยิ้มเป็นกันเอง ต้องยอมรับว่าเขาเก็บอาการได้ดีมาก

“แล้วอีกคนล่ะ...ทำไร ถ่ายคลิปเหรอ”

ชิบหาย

“เปล่าๆ ไม่ได้ถ่ายอะไรเลยเจ๊ เมื่อกี้คือ...เมื่อกี้อะ ผมจะถ่ายตัวเองตอนร้องเพลง แต่เจ๊ก็เข้ามาพอดี” ผมลดโทรศัพท์มือถือลงแล้ว แต่ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหนเลยโว้ย “เจ๊มุกเด็ดเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ เจ๊เนี่ยนะไปฆ่าคนมา ฆ่าล้างหนี้เหรอเจ๊ ฮ่าๆ แล้วยังไม่ได้จัดการศพด้วย ตอนนี้ศพอยู่ไหนอะ ท้ายรถหรอ เหมือนในหนังไรงี้”

“...”

เงียบกริบ อย่าบอกว่าเจ๊แม่งทำงั้นจริงนะ

“แล้วเอ่อ...นี่เจ๊จำผมได้มั้ยอะ ผมอ่า...พิดตะพุด”

“อะไรนะ”

“อะไรนะอะไรเหรอ”

“ชื่ออะไร”

“อ้อ ก็ที่บอกไปไง”

เจ๊ มึงอย่าจี้ สมองกูคิดไม่ทัน นี่ปากคอสั่นไปหมดแล้ว

“วิทยาไงครับเจ๊” พี่ทัชตอบให้แทน “เพื่อนๆ ชอบล้อว่าวิทยายุทธ์น่ะ”

“ใช่ นั่นแหละผมเลย”

ไอ้หนุ่มหน้าโหดที่ยืนอยู่ข้างๆ โน้มศีรษะมากระซิบอะไรไม่รู้ที่ข้างหูเจ๊ จากที่เจ๊สีหน้ามึนๆ เบลอๆ อยู่ กลายเป็นหน้าตึงขึ้นมาทันที แต่ก่อนที่เจ๊จะได้พูดออกมาว่าไม่รู้จักเรา หรือพูดอะไรก็ตาม พี่ทัชก็สวนขึ้นซะก่อน

“ปวดฉี่ กำลังจะไปห้องน้ำอยู่พอดีเมื่อกี้ แล้วเดี๋ยวกลับมาคุยยาวๆ นะเจ๊ ไว้คุยกันครับ” พี่ทัชหันมาขยิบตาให้ผม ทำทีเป็นยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบสบายๆ “วิทยายุทธ์”

“ฮะ?”

“เห็นบ่นปวดฉี่ไม่ใช่เหรอ จะไปมั้ย”

“ไปๆ ไปด้วยดิ ท่อจะแตกแล้วเนี่ย”

คือไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่คิดอะไรอยู่ เจ๊จอยจ้องเราไม่วางตาเหมือนจะส่องเข้าไปให้เห็นถึงขดไส้ ส่วนคุณหน้าโหดก็ยืนนิ่งขวางประตูอยู่ครึ่งนึง ในเมื่อพี่เขาไม่ขยับเราก็ต้องเบียดแทรกตัวออกไป เบียดจนหน้าผมงี้ถูกับนมของพี่แกที่ใหญ่กว่าของผู้หญิงบางคนซะอีก

แต่ในที่สุดผมก็ตามพี่ทัชออกมาจนได้

รอด! รอดเว้ยเฮ้ย!

แหมะ

แต่แล้วมือหนาใหญ่ก็วางลงที่ไหล่ผมเบาๆ

“เดี๋ยว”

“อะ...อะไรเหรอ”

“กูว่ามึงถ่ายคลิปเจ๊ เอามือถือมาดูซิ”

“เฮ้ยบ้า ผมจะถ่ายเจ๊ทำไม เจ๊เป็นดารารึเปล่า ก็ไม่ใช่ จริงมะ แล้ว...แล้วไอ้ที่ว่าฆ่าคนฟอกเงินอะไรนี่ก็แค่มุกเฉยๆ ถ้าเจ๊ไม่ได้ทำก็ไม่เห็นต้องร้อนตัวอะ”

“กูไม่รู้จักพวกมึง” เจ๊จอยขยับเข้ามาใกล้

“อ่า…”

“แล้วมันก็มีอะไรแปลกๆ”

“คิดมากไปแล้วเจ๊”

“กูบอกให้เอามือถือมาดู” พี่โหด ใจเย็นครับพี่

“ก็ได้ๆ งั้นก็ดูไปเลย” ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาด้วยมือสั่นๆ มือที่บีบไหล่อยู่เปลี่ยนเป็นรวบคอเสื้อผมอย่างปุบปับ

“เร็วๆ”

“เฮ้ย ไรวะ ใจเย็นดิ...พี่ทัช” ใจกูหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้ว แม่งเอ๊ย พี่ทัชช่วยกูด้วย!

ผมดิ้นรนพร้อมกับเอี้ยวตัวไปมอง จังหวะเดียวกันนั้นก็เห็นพี่ทัชสาดเบียร์เข้าหน้าไอ้โหดเต็มๆ มันละมือจากคอเสื้อผมไปกุมหน้าตัวเอง ยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไรก็โดนพี่ทัชโถมตัวผลักสุดแรงจนมันล้มหงายหลัง

“วิ่ง!”



** ต่อด้านล่าง **
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 12-02-2020 20:48:15
ไม่ต้องบอกก็วิ่งอยู่แล้ว ผมสะบัดแขนเจ๊ที่พยายามจะคว้าตัวผมอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็สับขาวิ่ง ทิ้งพี่ทัชไว้ข้างหลัง

วิ่งไม่กี่ก้าวก็มาถึงห้องโถง บริเวณที่ตั้งโต๊ะสำหรับให้ลูกค้าผลัดกันร้องเพลง ตอนนี้แขกเต็มทุกโต๊ะ สามสาวนั่งเจ๊าะแจ๊ะอยู่ตรงนี้ด้วย เด็กเสิร์ฟก็เดินเกะกะชิบหาย ผมผลักใครสักคนให้พ้นทางและกะจะวิ่งไม่คิดชีวิต แต่ต้องชะงักเพราะมีเสียงโครมใหญ่ข้างหลัง

พี่ทัชล้มโต๊ะขวางทางไอ้หน้าโหดที่กำลังตามมาติดๆ ดีมาก เดี๋ยวช่วย ผมคว้าแก้วจากโต๊ะใกล้ๆ ขว้างใส่ไอ้โหดทันที

“โอ๊ย!”

โดน!

โดนหลังพี่ทัชอะ ทำไมไม่หลบวะ

ผมเลยล้มโต๊ะแม่งอีกสองโต๊ะทั้งจากทางซ้ายและขวา ทั้งแก้วทั้งขวดเทลงมาแตกเกลื่อน ฝูงแขกแตกฮือโวยวาย ความโกลาหลระเบิดเต็มร้านทันที ไมโครโฟนที่หลุดจากมือใครไม่รู้ กลิ้งไปตามพื้นและส่งเสียงหอนเหมือนหมาถูกรถทับ

“พี่ทัช เร็ว!”

“มึงล้มโต๊ะขวางทางกู!”

“ส่งมือมา!”

ผมดึงแขนพี่ทัชให้กระโดดข้ามเศษซากแก้วแตก มือใครต่อใครพยายามคว้าตัวเราไว้อย่างกับมือผี ผมหลับหูหลับตาสะบัดแรงๆ จนหลุด แล้วพุ่งไปที่ประตู

ออกจากนรกมาจนได้โว้ย!

ผมสลัดมือพี่ทัชทิ้งเพื่อจะได้วิ่งถนัด ทีนี้ก็ตัวใครตัวมันนะ ผมจะทำลายสถิติวิ่งร้อยเมตรของโอลิมปิกแล้ว

ปึก!

แม่ง ออกตัวแรงไปหน่อย ขาเลยสะดุดล้มคว่ำเอาหน้าฟาดกับฟุตบาท

“เอ้า! เป็นไรรึเปล่า”

“เจ็บเหี้ยๆ”

“ลุกเร็ว”

“มือถือหล่น”

“ช่างมัน เร็วๆ เข้า”

“ไม่!”

พี่ทัชเข้ามาฉุดผมแต่ผมขืนตัวไว้ หันมองรอบตัวก่อนจะเอื้อมคว้ามือถือที่สไลด์ไปนอนแผ่อยู่บนถนน แล้วค่อยยอมให้เขาดึงตัวขึ้น

“จะไปไหน ทางนี้”

“ก็รถพี่จอดไว้ทางนั้น”

“ทางมันโล่งไป หลบทางนี้ก่อน...มันตามออกมาแล้ว เร็ว วิ่ง!”

แทนที่จะได้วิ่งแบบเดอะแฟลช กลับต้องวิ่งกะเผลกๆ หัวเข่าซ้ายของผมที่กระแทกพื้นเมื่อกี้ออกอาการทันตาเห็น จนพี่ทัชต้องฉุดแขนให้วิ่ง ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องลดสปีดลง

“พี่ ไม่ไหว ขอพักก่อน”

“ทนหน่อย”

ถ้าไม่เจ็บคงวิ่งไปถึงดาวอังคารแล้ว แต่สภาพนี้ หันหลังมองแล้วโคตรเจ็บปวด เพิ่งห่างจากหน้าร้านออกมาประมาณสิบกว่าเมตรเอง แถมไอ้หน้าโหดก็ตามออกมาแล้วตอนนี้

และไอ้ที่มันชักออกมาจากเอวนั่นก็คือปืนแน่ๆ

“หยุดนะโว้ย!”

“ไป!” พี่ทัชกระตุกตัวผม

ปัง!

โดน!

ต้องโดนตรงไหนสักที่บนตัวกูแน่ ตอนนี้แม่งไม่รู้ว่าเจ็บหรือชาตรงไหนบ้าง เข่าจะเป็นไงไม่สนแล้ว เอาชีวิตรอดก่อน ผมสะบัดมือพี่ทัชอีกที แล้วอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายวิ่งนำหน้าเขา แต่พี่ทัชก็ใช่ย่อย เขาเร็วพอจนวิ่งมาตามประกบได้

“ทางนี้! เข้าซอย” พี่ทัชบอก

เข้าก็เข้า

ซอยที่ว่าไม่ถึงกับกว้างมาก มีเซเว่นตั้งหัวมุม ริมทางมีร้านอาหารสไตล์รถเข็นตั้งเรียงราย ทั้งชายสี่หมี่เกี๊ยว ข้าวมันไก่ และก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น มีลูกค้านั่งเต็มเกือบทุกโต๊ะ แถมผู้คนนับสิบยังเดินกันพลุกพล่าน มันน่าจะเป็นซอยเข้าอพาร์ตเมนต์สักอย่าง เพราะข้างหน้ามีตึกสูงอยู่

ผมวิ่งฝ่าฝูงชน พี่ทัชวิ่งตามคว้าตัวไว้

“ช้าหน่อย”

“พี่อยากตายก็ช้าดิ ผมโดนยิงเข้ากลางหลังแน่ๆ ตอนนี้เริ่มเจ็บแล้ว เรียกรถพยาบาลหน่อย”

“โดนอะไร มันยิงขึ้นฟ้า”

“เอ้า เหรอ...งั้นทำไมเจ็บ เส้นยึดหรือตะคริวเหมือนตอนนั้นเหรอ”

“เงียบๆ ก่อน”

พี่ทัชรวบต้นแขนผมไว้แน่น บังคับให้เดินตีคู่กันไป “เดินเนียนๆ ปนไปกับคนดีกว่า” พยายามทำตัวเนียนแล้ว แต่ผมยังอดกึ่งวิ่งกึ่งเดินและมองเหลียวหลังเป็นระยะไม่ได้

เราเดินลึกเข้ามาในซอยจนถึงทางแยก แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามกลุ่มคนโดยไม่ต้องคิด ทางนี้เป็นซอยย่อยที่แคบลงไปอีก และทั้งสองข้างทางก็เป็นตัวตึกอพาร์ตเมนต์ตั้งเรียงกันไปนับหลายสิบเมตร แต่ละตึกมีรถจอดกันแน่น ตามข้างทางยังมีล้นมาจอดเรี่ยราด บริเวณนี้ไม่ค่อยสว่างนัก ยังมีคนเดินสวนมาบ้างนิดหน่อย ส่วนกลุ่มคนที่เราเดินตามมาเริ่มบางตาลงเพราะต่างทะยอยแยกย้ายกันเข้าตึกไปเรื่อยๆ

กลุ่มคนข้างหน้าเราเหลือแค่ผู้หญิงสองคนแล้ว น่าจะเป็นนักศึกษาที่เป็นเพื่อนกัน พอทั้งคู่เลี้ยวขวา เราก็เลี้ยวตาม อพาร์ตเมนต์ส่วนใหญ่แถวนี้คนเช่าน่าจะเป็นพวกนักศึกษานี่แหละ ข้างหน้าเป็นทางตันแล้ว สองสาวเลี้ยวเข้าตึกหลังรองสุดท้ายโดยไม่รู้ว่ามีเราเดินตามอยู่

พี่ทัชพาผมเดินเนียนๆ เลยไป ก่อนจะเลี้ยวแวบเข้าซอกแคบๆ ระหว่างตัวตึกหลังนี้กับหลังสุดท้าย

ไม่มีที่ให้ไปต่อแล้ว แถมยังมีถังขยะตั้งเรียงกันอยู่ตรงนี้อีก ชีวิตนี้เป็นอะไรกับถังขยะและซอกมืดๆ มากเปล่าวะ ตอนที่ผับโอเมก้าก็ทีนึงแล้ว แล้วก็มาตอนนี้อีก

ถ้าไอ้โหดนั่นตามมาได้โดยไม่หลงทาง มันคงยิงเราทิ้งให้ตายเหมือนหมาในซอกนี่แหละ

“เหี้ย เกือบตาย” ปากผมเริ่มทำงาน

“...”

“งานก็ล่ม แถมยังจะตายอีก เงินสองหมื่นนี่ก็ชวดแล้วใช่มั้ย”

“...”

“ลูกปืนนี่เฉียดหูเลยแม่ง มันต้องเป็นงั้นแน่ๆ เพราะในหนังทุกเรื่อง ฉากหนีตายแบบนี้ยังไงลูกปืนก็ต้องเฉียดหูหรือไม่ก็ถากแก้มอะ”

“มึงดูหนังมากไปแล้ว กูบอกแล้วไงว่ามันยิงขู่ขึ้นฟ้า”

“ฟิ้วผ่านหูเลย หรือว่าหลอนไปเองวะ”

“เงียบหน่อย”

“ปากดีนะพี่อะ ปากน่าจูบโคตร”

พี่ทัชหันกลับมา

เดี๋ยว! นี่กูพูดอะไรออกไปวะ

นั่นไงสาเหตุ เพิ่งรู้ตัวว่ามือพี่ทัชกุมมือผมอยู่ นิ้วโป้งเปลือยๆ ที่เขาแกะพลาสเตอร์ออกเพื่อจัดการเจ๊จอยตอนนี้คือโดนอุ้งมือผมเน้นๆ

“ปะ...ปล่อย” ผมแกะมือตัวเองออก ซึ่งเขาก็ปล่อยอย่างไม่เต็มใจ “เมื่อกี้คือมุกนะ อย่าคิดเยอะ”

พี่ทัชละสายตาจากถนนมาผมเต็มๆ “มึงล้ม เป็นไงบ้าง” ทำไมต้องเสียงนุ่มลงด้วยวะ ทำตัวไม่ถูกเว้ย

“ก็เจ็บดิถามได้ เข่ากระแทก หน้าก็ฟาด”

“หน้ามึงเลือดออก”

“จริงเหรอ”

“อย่า” พี่ทัชตะปบมือผมที่กำลังจะยกขึ้นลูบหน้าตา ผมเลยรีบแกะมือออกอีก กลัวนิ้วโป้งเปลือยๆ นี่ชิบหาย

“คิ้วผมแตกใช่มั้ย ต้องเย็บกี่เข็ม”

“ไม่เยอะหรอก ตรงหางคิ้วขวาเป็นรอยถลอกเลือดซิบ เดี๋ยวกูเช็ดให้ อยู่นิ่งๆ”

คืนนี้พี่ทัชสวมเสื้อไหมพรมแขนยาว เขาดึงปลายแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นมาคลุมอุ้งมือและงอนิ้วกดชายเสื้อไว้ จากนั้นก็ใช้มันซับที่หางคิ้วผมเบาๆ มีรอยเลือดเปื้อนเนื้อผ้าอยู่นิดนึงจริงๆ โคตรโชคดีแล้วที่ไม่แตก ไม่งั้นหน้าหล่อๆ เสียราคาหมด

“แล้ว...แล้วพี่เป็นไงล่ะ ผมเห็นคนแอบต่อยหลังพี่”

“มึงปาแก้วใส่กูไม่ใช่เหรอ”

“ผมจะขว้างใส่ไอ้โหดนั่นต่างหาก ตรงเป้าเป๊ะแล้ว แต่พี่ดันขยับตัวมาบังซะก่อน...เดี๋ยวๆ พี่จะทำอะไร” ที่ต้องถามเพราะพี่ทัชเริ่มแกะพลาสเตอร์ออกจากนิ้วโป้งอีกข้างแล้ว

“ปิดแผลให้มึงไง”

“ไม่เอา ไปโรงบาลดีกว่า”

“แผลแค่นี้ไปให้หมอด่าเหรอ”

“งั้นก็ปล่อยไว้ ผมไม่เป็นไร ผมโอเค”

“นิ่งๆ”

“จริงๆ”

“นะฑี”

เสียงนุ่มพิฆาตมารอีกแล้ว แล้วทำไมผมต้องยอมน้ำเสียงแบบนี้ทุกทีวะ

“อย่าให้นิ้วเปลือยๆ ของพี่โดนตัวผม”

“เดี๋ยวนี้กลัวนิ้วกูแล้วเหรอ เมื่อก่อนเห็นอยากจับ”

“ไม่ได้กลัว ผมแค่ยังไม่อยากด่าพี่ ความจริงในหัวผมตอนนี้มีแต่คำด่าพี่ล้วนๆ เลย”

“อ่อ”

“บอกว่าอย่าโดน”

“เออ ไม่โดน นิ่งๆ”

ผมยืนนิ่ง กลอกตาล่อกแล่ก ขณะที่สายตาพี่ทัชจ้องผมนิ่งพลางโน้มใบหน้าเข้ามาช้าๆ

“ทำไมต้องใกล้ขนาดนี้…” ผมพึมพำเหมือนความคิดล้นปากออกไป

“มันมืด” ก็จริงของเขา เจ้าของอพาร์ตเมนต์แม่งประหยัด ติดไฟแค่หลอดสองหลอดมันจะไปสว่างอะไร ไม่กลัวโจรขโมยรถคนอยู่อาศัยเหรอ “กูบอกให้ทิ้งมือถือ ทำไมมึงไม่ทิ้ง จะได้วิ่งหนีเร็วกว่านี้”

“ก็ของพี่ให้ผมอะ จะทิ้งได้ไง”

“อืม”

“พูดผิด ของพี่ให้ยืม ก็ถ้า...ถ้าไม่เก็บมา ผมจะเอาปัญญาที่ไหนหามาคืน จริงมั้ย ตอนนี้ยิ่งจนๆ อยู่...แปะแผลเสร็จยัง”

“ยัง”

ทำไมนานจังวะ ก็แปะทับรอยแผลแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังรีดซ้ำไปซ้ำมา แล้วที่บอกไม่ให้นิ้วเปลือยโดนผิวนี่ คือไม่โดนจริงรึเปล่า ทำไมรู้สึกหวิวๆ ในใจ

“เอ้อ เพิ่งนึกได้” ผมพูด “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไงอะ” ที่ต้องพูดเพราะมันเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว

“เรื่องไหน”

“ก็เคสนี้ไง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความจริงบางอย่าง...ไรงี้”

“มันสอนมึงว่าไงล่ะ”

“ไม่รู้ ช่างมัน”

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความจริงบางอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด” ย้อนถามผมแต่ตอบเองซะงั้น ก็จริงอย่างเขาว่า เรากะไปจับโป๊ะเจ๊จอยเรื่องชู้ แต่ไอ้ที่รู้ดันเป็นเรื่องฆ่าคนฟอกเงินอะไรไปโน่น แต่น้ำเสียงพี่ทัชนี่หมายถึงเรื่องนี้แน่เหรอวะ

“คมกริบใช้ได้ ตามนั้นแหละ” ผมพูดต่อ “แล้วแปะแผลเสร็จยังเนี่ย”

“เสร็จแล้ว”

“โอเค”

“เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ” จู่ๆ เขาก็ถาม

“ฮะ? พูดอะไร ก็โอเคไง อยากให้พูดอะไรอีก...อ้อ ขอบคุณที่แปะแผลให้ครับโผม”

“ดูปากกูอีกทีดิ”

“ดูปาก ดูทำไม…”

“งั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว”

โลกรอบตัวผมคล้ายกับจะตีลังกาในฉับพลัน น่าจะผ่านไปสองหรือสามวินาทีแล้ว สมองผมถึงค่อยแปลความว่า...พี่ทัชดึงตัวผมไปจูบ!

มือซ้ายของเขาประคองกรามผมให้เงยขึ้น เขาตะแคงศีรษะโน้มลงมา ปากเราประกบกัน ตาผมมองฟ้ามืดๆ เหนือยอดตึก และจากหางตา เห็นนิ้วโป้งเปลือยเปล่าของเขายกค้างไว้โดยไม่ได้แตะโดนผิวของผมอย่างที่เขาบอก แต่สัมผัสตรงริมฝีปากก็ทำให้รู้สึกวูบหวิวแผ่ซ่านไปทั้งตัว

ริมฝีปากพี่ทัชนุ่ม อุ่น และชื้น

เหี้ยๆๆๆ ลิ้นเขาขยับด้วยอะ ขยับไล้ช้าๆ สัมผัสริมฝีปากด้านในของผม ส่วนริมฝีปากของเขาก็เม้มบดเพิ่มแรงเข้ามาอีก

หัวใจผมเต้นถี่อย่างกับคนแก่เป็นโรคความดันสูง มือไม้อ่อน ตับไตสั่นสะท้านจนท้องน้อยไหวหวิว เอาเข้าจริงผมไม่รู้ว่าร่างกายผมมีปฏิกิริยายังไงบ้าง เหมือนกับว่ามันเป็นอัมพาตไปแล้ว ทั้งที่กล้ามเนื้อทุกส่วนพากันกรีดร้องอยู่

นี่แหละอาการช็อก จะไม่ให้ช็อกได้ไง เพราะพี่ทัชก็เป็นผู้ชายด้วยกัน

และนี่มันก็คือจูบแบบจูบจริงๆ

อาจจะนานราวๆ สิบกว่าวินาที หรือไม่ก็สิบกว่าปีเขาถึงค่อยๆ ผละริมฝีปากออก ตาผมยังมองท้องฟ้า ก่อนจะตระหนักว่าตัวเองกลั้นหายใจอยู่นานมาก ร่างกายเลยสูดลมเข้าเฮือกด้วยตัวมันเอง

“มึงบอกปากกูน่าจูบ” เสียงพี่ทัชดึงสติผมกลับมา

“พะ...พี่ทำไรวะ”

“กูก็เลยจูบมึง”

“ผมไม่…” ผมกัดมุมปากไว้ ไม่ไว้ใจให้คำไหนเล็ดลอดออกมา

“มึงไม่...โอเค” พี่ทัชพูดแบบเว้นจังหวะ คล้ายกับจะเป็นเชิงถาม

ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

ผมไม่รู้จะพูดอะไร

ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้ว

ตอนนี้เลยได้แต่ยืนนิ่ง กะพริบตาปริบๆ มองเขาในระยะประชิด และพยายามปรับลมหายใจตัวเองไม่ให้คร่อมจังหวะ มือขวาพี่ทัชละจากผมไปอยู่ข้างตัวแล้ว แต่มือซ้ายยังประคองใบหน้าผมอยู่

ในที่สุดนิ้วโป้งเปลือยเปล่านั่นก็ขยับไล้ผิวแก้มผมคล้ายกับเขาอดใจไม่อยู่

นิ้วที่มีพลังรีดเค้นความจริงได้ สัมผัสของมันพาให้รู้สึกสั่นซ่านิดๆ เหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆ หล่อเลี้ยงอยู่

คงเห็นว่าผมสะดุ้ง เขาเลยยกนิ้วขึ้น แล้วเลื่อนทั้งมือไปที่ท้ายทอยแทน จังหวะเดียวกันใบหน้าก็เลื่อนเข้ามาใกล้อีกนิด ตาสบตา แม้จะมืดสลัวแต่ผมก็คิดว่าเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในนั้น

“เพื่อเป็นการไม่เอาเปรียบ กูจะบอกความจริงมึงอย่างนึง...ปากมึงก็น่าจูบเหมือนกัน”

เขาตะแคงศีรษะ แต่ชะงักค้างไว้คล้ายให้โอกาสว่า ถ้าผมไม่โอเคก็สามารถผลักเขาออกได้

แต่ผมนิ่ง

แล้วริมฝีของเขาก็ประกบลงมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นไปอย่างนุ่มนวลแผ่วเบากว่าเดิม จูบสองครั้งติดๆ โดยผมไม่มีปากมีเสียงนี่คือไม่เอาเปรียบเหรอวะ รู้จักผมน้อยไปแล้ว คนอย่างนะฑีไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบหรอกเว้ย! แล้วนี่จูบเป็นจริงรึเปล่า มานี่ จะสอนให้!

ผมดันตัวเขาถอยจนหลังติดกำแพง ตอบโต้ทันทีด้วยการเม้มปาก งับริมฝีปากเขานิดๆ แล้วสอดลิ้นเข้าไปบ้าง

ไงล่ะ อึ้งเลยดิ

นี่แค่เบสิกนะ เดี๋ยวเจอขั้นแอดวานซ์แล้วจะหนาว

“นั่นใครน่ะ ทำอะไรกัน!”

ไอ้โหดตามมาจนได้เหรอวะ

เราผละออกจากกันทันที เงาของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดห่างจากเราสามสี่ก้าว แม้จะมืดสลัวแต่ในระยะนี้ก็มองเห็นกันได้ชัด เขาสวมเครื่องแบบเต็มยศ ในมือถือถุงก็อปแก็ปที่อัดแน่นไปด้วยเศษซากต่างๆ

เหี้ย ลุงยาม ลุงจะมาทิ้งขยะอะไรตอนนี้!









____________________

:D หวังว่าตอนนี้จะทำให้ทุกๆ คนมีความสุขนะคะ <3


นางร้าย
12.กุมภา.2020
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-02-2020 21:57:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออกทำงานแต่ละครั้ง ทำไมมีแต่เรื่องที่ไม่เป็นไปตามคาดทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 12-02-2020 22:16:21
 :laugh: :laugh: :laugh: อ่านตอนนี้จบ ฉันควรรู้สึกยังไง? ช่วยบอกฉันทีค่ะ  ฮาน้ำหูน้ำตาไหลกับน้องปาร์ตี้? ตื่นเต้น ลุ้นว่าพี่ทัชจะเสียพรหมจรรย์ให้ 2 นางไปไหม?  อิน้องนะฑีจะพาพี่ไปเจ็บตัวหรือเปล่า (จนได้ นี่ถูกยิงไหมก็ไม่รู้) หรือจะ ฟินตอนเขาจูบกัน2 ทีดี?   

คือโมเม้นท์มาเต็มมากอ่ะค่ะตอนนี้ ครบทุกรสจริงๆ (ตอนนี้ขาดเศร้าดราม่านะ แต่...พอละ ได้โปรด) ยอมใจคุณคนเขียนจริงๆ ต้องอยู่ฟีลไหนคะ? ถึงเขียนได้ขนาดนี้ ยกนิ้วให้เลย สนุกมากค่ะ ปรบมือรัวๆๆๆๆ   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-02-2020 11:26:00
ลุงยามมมมม ความโรเมนติกหนูหายหมดเลย 55555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 13-02-2020 12:34:11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 13-02-2020 13:12:40
อ๊ากกกก ลุงยามมมมมมมม!!

เด่วนะตั้งสติแป๊บ ทำไมขึ้นต้นเหมือนจะชิล อยู่ดีๅงานงอกวิ่งหนีตาย โดนไล่ยิงอีกแล้วลู๊กกช้าน ลุ้นก็ลุ้น ขำก็ขำ ไอ้ตัวดีเทพี่ทัช2ทีติดๆสะบัดพี่ทิ้งไม่พอ ปาแก้วใส่หลังพี่เขาอีก โอ้ยยยจะบ้าตาย55555555555555
ตัดภาพมาอีกที เข้าโหมดฟินเฉย พี่ทัชเอาคืนจูบ2ทีติด กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 14-02-2020 00:23:11
นะฑีนางเม้าท์เด็กที่ร้านได้ร้ายมากกก555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 14-02-2020 01:00:21
แง๊ ลุงย้ามมมม :z3:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 31 |▌12.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-02-2020 19:13:01
 :laugh:


 o13 :pig4: o13
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 32 |▌25.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 25-02-2020 20:28:53

แตะต้องครั้งที่ 32
จับบบ…เด็กดีของแม่มิตรแท้ของเพื่อนไหนเลื่อนอ่านแชตคนแมนๆ ขอเป็นแฟนละกัน



ผมชื่อนะฑี

เป็นเด็กดีของแม่ เป็นมิตรแท้ของเพื่อน

เป็นคนสนุกสนานเฮฮา ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม

แชมป์เก้าอี้ดนตรีระดับประถมห้าสมัยซ้อน ชนะเลิศโต้วาทีสามปี ดาวเด่นกีฬาสีสองครั้ง และเป็นเจ้าแห่งสแตนด์เชียร์ทุกสมัย จนใครต่อใครออกปากว่าคนแบบนี้จะได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้า

แล้วโตมา…

ผมก็เสียจูบแรกให้กับผู้ชายที่ข้างถังขยะ

แม่ง พี่ทัชทำกูเสียประวัติหมดแล้ว อะไรดีๆ ที่เอาไว้เล่าอวดชาวบ้านต้องมาด่างพร้อยตรงจูบแรกนี่เอง เรียกว่าจูบแรกได้รึเปล่า ก็ใช่อะ นึกย้อนไปก็มีแค่ตอนอนุบาลที่ผมไล่จุ๊บเด็กผู้หญิงที่ชื่อน้องแป้งร่ำ แต่ตอนนั้นคือได้แค่หอมแก้มฟอดนึง คือการเอาจมูกชนแก้มเบาๆ แค่นั้น แต่การเอาปากประกบกับปากมนุษย์ด้วยกันนี่ก็คือกับพี่ทัชเลย

ดีนะที่ผมดูหนังโป๊มาเยอะ เลยใช้ลีลาขั้นสุดยอดเอาตัวรอดมาได้ ไม่ใช่แค่เอาตัวรอดดิ ถือว่าข่มให้หงอเลยเหอะ

แต่จูบแรกมันควรจะโรแมนติกรึเปล่า แค่อยู่ข้างถังขยะไม่พอ ยังมีลุงยามแก่ๆ เป็นพยานด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือเราทั้งคู่ดันเป็นผู้ชายด้วยกันนี่แหละ

สับสนว่ะ

เครียด

ปวดหัว

ตอนนี้เราเป็นอะไรกันวะ

“นะฑี หัวไปโดนอะไรมาเหรอ”

“หัวกูฟาดประตู”

“เหรอ ที่ไหนอะ”

“ช่างมันเถอะเจษ”

“แล้วปากเป็นไร เห็นเอามือถูตลอด”

“อยากด่าคน”

“ที่ผ่านมานายก็ด่า แต่ไม่เห็นถูปากแบบนี้นะ” เจษฎามองผมจริงจัง “นายไม่ได้เป็นแบบว่า...โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อะไรทำนองนั้นใช่มั้ย

“ฮะ?”

“พวกเริม ซิฟิลิสไรงี้ มันเกิดขึ้นที่ปากได้นะ คือเราไม่ได้จะว่านายนะ แค่เป็นห่วงและบอกข้อมูลทางวิชาการเฉยๆ เห็นพักนี้นายบอกว่าชอบออกจากบ้านตอนกลางคืน ถ้านายจะเที่ยว นายต้องป้องกันตัวเองด้วยนะ”

เจษ กูไม่ได้ไปเที่ยวแรดที่ไหน กูไปทำงานของบริษัทขอทัชฑี

แล้วที่ถูปากนี่ก็เพราะ…

ช่างมันเถอะ

“เจษ ปากกูติดเชื้ออุฟุฟวยฟ่วยฟวยลวยทวยโอเอ็มจีบีเอ็มอัสซุสเรียบร้อยแล้ว จบนะ”

“เชื้ออะไรนะ”

“มึงอย่ารู้เลย กูเครียดอยู่ อย่าถามไรอีกนะ”

“เครียดเหรอ แต่...ตอนถูปาก นายดูยิ้มอารมณ์ดีนะ”

“มึงต้องการอะไรจากกูเนี่ย นั่น เปิ้ลกำลังหน้าตาตอแหลกว่ากูอีก ทำไมไม่ว่ามัน”

เปิ้ลเงยหน้าจากโทรศัพท์ “ขอบใจที่ชมนะ กูซึ้งมาก”

“แสดงว่าเมื่อกี้นายตอแหลกับเราเหรอ”

ผมมองเจษอย่างจริงจังบ้าง “วันนี้พูดมากผิดปกตินะมึง เป็นไร แดกยาผิดขนานเหรอ”

“คือ...จริงๆ ก็มีปัญหานิดหน่อยน่ะ”

“นั่นไง ทำไม ท้องผูกก็กินยาที่พกมาดิ”

“ร่างกายก็สบายดี แต่มีเรื่องเครียดที่ต้องการคำปรึกษา คือ…”

“เฮ้ย มีไรก็ว่ามาดิเจษ อย่าลีลา” เปิ้ลกระตุ้น จากที่สนใจแต่เล่นมือถือ ตอนนี้ดูเหมือนเปิ้ลก็มาลุ้นกับเจษจนตัวสั่นแล้ว

“เรื่องพี่เห็ด เอ๊ย พี่เรนจิน่ะ”

“...”                “...”

“พี่เห็ดลวนลามมึงเหรอ!” หน้าเจษแม่งก็เครียดจริงๆ ผมเลยถามแบบเล่นใหญ่ไปก่อน

“ไม่ๆๆ ไม่ใช่แบบนั้น”

“ทำไม พี่เห็ดจับแมวมึงเรียกค่าไถ่?”

“เราไม่ได้เลี้ยงแมว”

“นะฑี มึงก็อย่าขัดเพื่อนดิ ปล่อยให้เจษมันพูด”

เจษพยักหน้าให้เปิ้ลแทนคำขอบคุณ “เราคิดว่าอาจจะเป็นอย่างที่นะฑีเคยพูดน่ะ”

“เจษ มึงนี่ลีลาดีจริงๆ แต่ถ้ายังไม่พูดเข้าเรื่องสักทีกูจะถีบละนะ” ผมบอกเรียบๆ

“เหมือนพี่เขาจะจีบเราน่ะ”

ผมกับเปิ้ลมองหน้ากัน สื่อสารกันผ่านพลังจิตจนเข้าอกเข้าใจกัน ก่อนที่เปิ้ลจะหัวเราะเต็มเสียง หรือว่าเข้าใจไปคนละทางวะ เปิ้ลเห็นว่าน่าขำ แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้น และก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกยังไง

“มึงเอาสมองส่วนไหนคิดวะเจษ” ผมถาม

“เราไม่ได้คิด”

“จะบอกว่าใช้ความรู้สึกวัดเอา ไรงี้?”

“เปล่า พี่เขาบอกอะ”

“ว่า?”

“บอกในแชตน่ะ นี่ไง”

“เอามาดูซิ” เปิ้ลแย่งมือถือเจษไปหน้าตาเฉย พอกดเลื่อนอ่านแล้วก็ขำหนักกว่าเดิมอีก ผมแย่งจากมือเปิ้ลเอามาดูบ้าง

ในหน้าแชตไม่มีข้อความตอบโต้อะไรกันเลย หรือถ้าเคยมีเจษมันก็คงลบแชตทิ้งไปแล้ว

ตอนนี้มีแค่ข้อความสั้นๆ ว่า



★R3NJI: เอาแบบแมนๆ

★R3NJI: ขอเป็นแฟนละกัน



เฮ้ย จริงดิ

พี่เห็ดเพี้ยนไปแล้วหรืออะไร พออกหักจากเจ๊แคลก็ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเองงี้เหรอ ที่สงสัยตะหงิดๆ ก่อนหน้านี้คือความจริงเหรอวะ

ขณะที่เปิ้ลยังขำคิกคักอยู่ผมก็หันไปขมวดคิ้วใส่เจษ

“แล้วมึงไม่ตอบเขาล่ะเจษ”

“เราไม่รู้จะตอบยังไง”

“เอ้า ถ้าจะเล่นด้วยก็ตอบว่าเตง ถ้าไม่สนใจก็ตอบว่าตีน แค่นั้นแหละ”

“เตงคือไร”

“ย่อมาจากตัวเองไง”

“อ่า...คือเราไม่ใช่เกย์”

“เกย์แล้วไงวะ” ผมแปลกใจที่ตัวเองตบไหล่เจษฎาเป็นเชิงปลอบ “ลองของใหม่ๆ อาจจะดีก็ได้นะ...แต่ก็เข้าใจ พี่เห็ดอาจจะแปลกจนน่าเกลียดไปหน่อย เลยลองไม่ลง”

“ไม่นะ พี่เขาก็หน้าตาดีออก แล้วเราก็ไม่ได้รังเกียจคนเป็นเกย์ด้วย”

“เอ้า งั้นก็จัดไป”

“แต่เราไม่ได้มีรสนิยมรักร่วมเพศไง ถ้าจะให้คบกับพี่เขามันก็เหมือนบังคับให้ปลาปีนต้นไม้ หรือไม่ก็คล้ายๆ กับบังคับให้แมวกินแครอท…”

“พอละเจษ กูไม่อยากฟังปรัชญา”

“ฮ่าๆ” เปิ้ลยังขำไม่เลิก ทำให้ผมยิ่งแปลกใจตัวเองว่าทำไมไม่ขำไปกับเปิ้ลวะ “ยังไงเจษมันก็ไม่มีทางชอบผู้ชายหรอก มันชอบสิ่งมีชีวิตที่มีเนื้องอกแบบกูนี่แหละ”

“เนื้องอก...หมายถึงหน้าอกน่ะเหรอ เปิ้ล เราไม่ได้คิด…”

หมับ!

เปิ้ลคว้ามือเจษดึงเข้าหาตัว “ถ้ามึงไม่คิดไรงั้นก็จับ”

“ไม่! เฮ้ยๆ ไม่เอา เปิ้ล หยุด!”

“ฮ่าๆๆๆ”

ให้จับนมอย่างกับจะให้จับกระทะทองแดง ดึงมือกลับจนเกือบหงายหลัง แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ขำด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ทำไม เลยพูดต่อไปตรงๆ “งั้นก็ปฏิเสธไปดิวะ”

“นี่แหละปัญหา เราไม่รู้จะปฏิเสธยังไง”

“ก็พิมพ์ไปว่าตีนไง จะยากไร มานี่กูพิมพ์ให้”

“ไม่ๆ ไม่เอาสิ แบบนั้นมันเสียมารยาท”

“ไม่ต้องมีมารยาทไรมากมายหรอกกับพี่เห็ดอะ”

“ก็เปิดตัวสักทีดิวะเจษ” เปิ้ลพูดเสียงหวาน เดี๋ยวๆ ผมตกข่าวอะไรไปรึเปล่า แต่ยังไม่อยากปล่อยไก่ให้เสียฟอร์ม เลยทำเป็นเงียบๆ ไว้ก่อนรอให้พวกมันพูดต่อ

“ปะ...เปิดตัวอะไรเหรอ” เจษเสียงสั่น

“คิดว่าเราไม่รู้เหรอ นะฑีเฉลยดิ๊”

เหี้ย มึงอย่าโยนขี้มาให้กูเปิ้ล กูไม่รู้เรื่อง

“เรื่องงี้ให้เจ้าตัวสารภาพเองดีกว่าว่ะ” ผมตีหน้าซื่อ

“พูดถึงอะไรกันเหรอ” เจษหน้าซื่อตามธรรมชาติ แต่ผมจับแรงสั่นสะเทือนนิดๆ ในน้ำเสียงได้

“มึงแอบเคลมน้องรหัสตัวเองอยู่ไงเจษฎา น้องเซ็กซี่อะ”

“เรา...เราเปล่าซะหน่อย!”

“ฮ่าๆ เปล่าหรา เอามือถือมาดูดิ๊”

“ไม่เอา เปิ้ล อย่า...เรากับน้องไม่ได้อะไรกันเลย แค่คุยกันนิดหน่อย”

อ้อ น้องเซ็กซี่นี่เอง

ต้องยอมรับว่าพักหลังๆ ผมคงไปขลุกกับพี่ทัชมากไปจนไม่ได้อัปเดตเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้เห็นน้องมาหยอกเย้าเจษเล่นตามประสาพี่น้อง ซึ่งคงเพราะเห็นว่าเจษแม่งเป็นคนซื่อจนน่าตลก เลยชอบมากวนตีน เจษก็ดูเขินๆ เพราะรับมือกับผู้หญิงไม่เป็น

แต่ดูอาการตอนนี้ หัวหูนี่แดงเป็นปื้นไปหมด แถมยังหวงมือถือไม่ให้เปิ้ลแย่งยิ่งกว่างูหวงไข่ขนาดนี้ ก็คงจะใช่แล้วล่ะ

เจษแม่งแอบร้ายว่ะ

หลังจากเปิ้ลหยุดแย่งมือถือแบบหยอกๆ แล้ว ผมก็ตบไหล่เจษอีกครั้ง “ทำตามที่ไอ้เปิ้ลบอกแหละ ถ้ามึงไม่อยากให้เสนียดอย่างพี่เห็ดมาแปดเปื้อนชีวิตก็เปิดตัวน้องเซ็กซี่ซะ กูกลับบ้านละ”

“เอ้า รีบไปไหน” เปิ้ลถาม

“กูเลิกแรดแล้ว เลิกเรียนแล้วก็รีบกลับไปหาแม่ดีกว่า ไว้เจอกัน”

พอพูดถึงแม่ สองคนนี้ก็ไม่ปริปากทัดทานอะไรสักคำ

ระหว่างเดินทางกลับบ้านผมพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ แต่หันไปครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ที่เพิ่งรับรู้มาแทน ซึ่งก็ได้แก่ เรื่องคำสารภาพแมนๆ ของผู้ชายชื่อเห็ด, เรื่องเผ็ดๆ ของยัยเซ็กซี่กับรุ่นพี่ขี้เขิน, เรื่องน้องทอมผู้น่ารักกับเนื้องอกของเธอ รวมไปถึงเรื่องความสวยงามของความรัก ความหลากหลายทางเพศ และสาเหตุของเชื้อซิฟิลิส

อีกเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงแต่ก็อดไม่ได้ นั่นคือ…

จูบแรกของเรากับกลิ่นบางเบาจากถังขยะ

ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นผมกับพี่ทัชก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก เราคุยกันเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น ลมฟ้าอากาศ การงาน การเรียน เรื่องผงฟอกกับหมอนเน่า หรือแม้แต่เรื่องว่าพี่ทัชอาสาจะขับรถพาแม่ไปหาหมอในทุกๆ ครั้งที่หมอนัด

แต่ไม่มีเรื่องจูบของเรา

มันกระอักกระอ่วนเกินไปที่จะพูดออกมา หรือไม่ก็เพราะไม่มีคำไหนที่ดีพอจะยกมาพูด

ผมคิดเรื่องนี้วนๆ เวียนๆ อยู่นานจนกระทั่งมาถึงซอยเข้าบ้าน นี่คนรอวินมอไซค์หรือปลวก ไม่รู้จะเยอะไปไหน งั้นเดินเข้าบ้านละกัน ดีเหมือนกันเผื่อหัวจะได้โล่งๆ

เดินไปสักพัก มันก็คันอกคันใจขั้นสุดจนทนไม่ไหว

ทักแชตไปก็ได้วะ



NaTee(n): เราเป็นไรกัน

NATOUCH: มึงคิดว่าไงล่ะ

NaTee(n): ผมถามพี่

NATOUCH: กูก็ถามมึง

NaTee(n): เอ้า ผมถามก่อน

NaTee(n): ห้ามถามกลับอีกนะ

NaTee(n): ตอบ!!!

NATOUCH: อ่อ 

NATOUCH: มึงคิดว่าเราเป็นอะไรกัน

NATOUCH: กูก็คิดแบบนั้นแหละ



พี่ทัชเป็นคนกวนตีนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เอาจริงๆ นะ ตอนนี้กวนตีนยิ่งกว่าผมกับพี่เห็ดรวมกันอีก

งั้นลองเปลี่ยนคำถาม



NaTee(n): พี่จูบผมทำไม

NATOUCH: จูบครั้งแรกเพราะตามใจมึง

NaTee(n): …

NATOUCH: จูบครั้งสองเพราะตามใจกูเอง

NaTee(n): …

NATOUCH: โปรยเม็ดเกลือทำไม

NATOUCH: ติดเชื้อกูเหรอ

NaTee(n): เอ้า อย่ากวนตีนดิ

NaTee(n): ผมถามพี่อยู่

NATOUCH: กูตอบไปแล้ว

NATOUCH: แล้วมึงล่ะ จูบกูทำไม

NaTee(n): อ้าว!

NaTee(n): ก็พี่จูบไม่ได้เรื่องไง ผมเลยต้องสั่งสอนให้

NaTee(n): เป็นไงล่ะ เจอเทคนิคชั้นสูงเข้าไป

NATOUCH: กูนึกว่ามึงจะกินหัวกู

NATOUCH: ถ้าจูบไม่เป็นก็ไม่ต้องกลบเกลื่อนหรอก

NATOUCH: ไม่เป็นไร กูไม่ถือ

NaTee(n): พี่ดิจูบไม่เป็น

NaTee(n): หุบตูดไปเลย

NaTee(n): พี่นั่นแหละเป็นคนเริ่ม

NaTee(n): ไม่ได้เป็นไรกัน ทำงี้ได้ด้วย?

NATOUCH: เอ้า เหรอ

NaTee(n): เอ้าเหรอไรล่ะ

NATOUCH: เอ้า ไม่ได้เป็นไรกันเหรอ



พรืด!

เหี้ย ก้าวพลาด เหยียบขอบฟุตบาทจนเกือบหัวทิ่มลงไปให้รถเสยแล้วมั้ยล่ะ ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นผมคงด่าไล่หลังมอเตอร์ไซค์คันเมื่อกี้แล้ว แม่งขับใกล้ฟุตบาทซะเหลือเกิน แต่ตอนนี้ทำไมผมเอาแต่ยิ้มไม่หุบวะ



NaTee(n): เอ้า ก็แล้วเป็นอะไรกันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ

NATOUCH: เอ้า เข้าใจผิดเหรอ

NaTee(n): เอ้า อะไรของพี่เนี่ย

NATOUCH: เราเลิกพิมพ์คำว่าเอ้ากันดีมั้ย

NaTee(n): พี่อย่ากวนตีนได้ปะ

NATOUCH: กูถามมึงแล้วโดยที่ไม่ได้ใช้นิ้วแตะตัวมึง

NATOUCH: ไม่ว่ามึงจะพูดความจริงหรือโกหกกูก็จะเชื่อ

NATOUCH: แล้วมึงก็บอกว่า อุฟุฟวยฯ กับกู

NATOUCH: งั้นกูก็ อุฟุฟวยฯ กับมึงนั่นแหละ



เกลียดการใช้ครื่องหมาย ฯ จังโว้ย



NaTee(n): แล้วพี่คิดว่าอุฟุฟวยคืออะไรล่ะ

NATOUCH: แล้วมันคืออะไรล่ะ

NaTee(n): ก็พูดมั่วๆ ไปงั้น

NATOUCH: มึงพูดมั่วเหรอ

NaTee(n): ก็ไม่ได้มั่วแบบนั้น

NATOUCH: แล้วแบบไหน

NaTee(n): ทำไมพี่เป็นฝ่ายมาถามจี้ผมอีกแล้ววะ

NATOUCH: อ้อ

NaTee(n): ผมนี่ต้องเป็นฝ่ายถาม

NaTee(n): พี่เข้าใจว่าอุฟุฟวยคืออะไร

NaTee(n): ตอบ!!!

NATOUCH: เข้าใจว่ามึงเขิน

NaTee(n): ฟวยยยยย

NATOUCH: โอเค

NATOUCH: ฟวยก็ฟวยไง

NaTee(n): พอๆ ไม่คุยละ

NATOUCH: ไม่คุยแล้วเหรอ

NaTee(n): ผมกำลังจะถึงบ้านแล้ว

NaTee(n): ไว้ค่อยคุย

NATOUCH: ก็ได้

NATOUCH: เข้าบ้านดีๆ ครับโผม



อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส!

ฟวยๆๆๆ

ไอ้คุณพี่ณทัชทำไมกลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้ววะ

อีกไม่กี่เมตรจะถึงหน้าบ้าน รอยยิ้มผมค่อยๆ หุบลงเมื่อนึกว่าแม่กำลังต่อสู้กับมะเร็งอยู่ตามลำพัง และตอนนี้เหมือนไม่ใช่แค่แม่ที่ป่วย เห็นสภาพอิฐปูนโทรมๆ นั่นแล้วก็ชวนให้รู้สึกว่าบ้านหลังนี้กำลังป่วยหนักใกล้ตายด้วยเหมือนกัน

ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้าน สูดหายใจแรงๆ บังคับตัวเองให้ยิ้ม แล้วแทรกตัวผ่านประตูสนิมเขลอะเข้าไป

“กลับมาแล้ว อาจารย์สอนโคตรดีอะวันนี้ เรียนเข้าหัวปรี๊ดๆ เลย นี่แม่ได้กินไรยัง วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะ เดี๋ยวผมไปซื้อที่ตลาดเจ๊เนียม…”

ปากผมชะงักไปเองเมื่อหันไปเห็นแม่

แม่กำลังร้องไห้อยู่

ผมทำอะไรไม่ถูกขณะมองแม่ที่รีบปาดน้ำตาทิ้ง ไหล่ของแม่ค้อมลู่ลง แผ่นหลังดูเล็กจ้อยเหลือเกิน ทุกส่วนในร่างกายของแม่ดูเปราะบางจนหัวใจผมปวดไปหมด น้ำตาเอ่อขึ้นมา แต่ผมกลั้นไว้ บอกตัวเองว่าห้ามร้องไห้แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งลงข้างแม่ที่โซฟา

“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” แม่ทำทีเป็นเพิ่งรู้ เหมือนหลอกตัวเองว่าผมไม่เห็นแม่ร้องไห้ ทั้งที่ตอนนี้น้ำตายังเปรอะแก้มและตาแดงๆ ทำอย่างกับว่ารอยยิ้มปลอมๆ นี้จะหลอกผมได้

“กลับมาแล้ว ” ผมยิ้มหลอกแม่เหมือนกัน

“แม่ทำกับข้าวไว้”

“แม่ไม่น่าต้องเหนื่อยเลย ผมไปซื้อที่ตลาดได้”

“เหนื่อยอะไร นอนทั้งวัน”

“แม่…” ผมไม่ไหวแล้ว ผมทนทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ “แม่เป็นอะไรรึเปล่า”

“...”

ผมโผเข้ากอดแม่เหมือนเด็กๆ น้ำตาแม่งก็ไหลออกมาอย่างรวดเร็วทั้งที่กลั้นไว้เต็มที่แล้ว ส่วนแม่ก็ตัวสั่นๆ และน่าจะพยายามกลั้นน้ำตาอยู่

“พี่ทัชบอกว่ามันหายได้นะ แม่ต้องไม่เป็นไร”

“...”

“แม่ต้องอยู่กับผม”

“...”

“ผมไม่เหลือใครแล้ว”

“นะฑี”

แม่ผลักตัวผมออกเบาๆ ผมขืนตัวไว้ก่อนจะยอมผละออกตามแรง มือของแม่ลูบหน้าผากผมกึ่งปาดน้ำตา แล้วประคองใบหน้าไว้ ตาแดงก่ำมองเหมือนตั้งใจจดจำใบหน้าผมให้ขึ้นใจ

“แม่เพิ่งเห็นชัดๆ ตอนนี้แหละ ว่าเหมือนกันมาก…”

ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังหมายถึงอะไร พอแม่ไม่พูดต่อ ผมก็ต้องพูดอะไรสักอย่าง “แม่ต้องหายน่า เชื่อดิ”

“...”

“แต่โรคนี้ต้องใช้กำลังใจ ต้องอารมณ์ดีๆ”

“...”

“ตอนนี้แม่เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

แม่ส่ายหน้าแทนคำตอบ

“แล้วร้องไห้ทำไม” ผมจับไหล่แม่ กึ่งประคองกึ่งคาดคั้นเอาความจริง “เจ็บตรงไหนรึเปล่า...บอกผมดิ”

“แม่ไม่ได้เป็นไร แต่เขาน่ะ…”

“เขา?”

“พ่อ”

“...”

“พ่อตายแล้ว”

“...”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งเงียบ มือที่จับไหล่แม่อยู่ค่อยๆ เลื่อนตกลงมาเอง ผมหดมือกลับและไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน

ทำไมชีวิตคนเราถึงมีอะไรพลิกผันปุบปับขนาดนี้ เช้าอารมณ์นึง ตอนเย็นอีกอารมณ์ เอาเข้าจริงเราไม่มีทางรู้เลยว่าหนึ่งหรือสองนาทีข้างหน้านี้แม่งจะเกิดไรขึ้นกับชีวิตบ้าง

และนาทีนี้ ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองควรรู้สึกยังไง

“นะฑี…” แม่วางมือบนไหล่ผม ใจผมนึกไปถึงนิ้ววิเศษของพี่ทัช เพราะมันทำให้ข้างในผมหวั่นหวิวสั่นสะเทือนคล้ายๆ แบบนี้ ไม่สิ...ไม่คล้ายหรอก

ผมหันไปมองแม่ช้าๆ “แม่ร้องไห้เพราะเรื่องนี้เหรอ”

“...”

“เมื่อกี้นี้ที่บอกว่า ‘เหมือนกันมาก’ หมายถึงหน้าผมเหมือนเขามากงั้นดิ”

“ไปงานศพกัน”

ปากผมสั่นระริก ก่อนจะได้ยินเสียงตัวเองพูดออกมาในโทนต่ำๆ “งานศพใครที่ไหน พ่อผมตายตั้งแต่ผมอยู่มัธยมแล้ว”

ชั่วแวบนึงผมเห็นรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากแม่ ก่อนแววตาจะสั่นไหวคล้ายเจ็บปวด ราวกับว่าข้างในตัวแม่มีกระแสอารมณ์หลากหลายซัดโถมใส่กันอยู่ จากนั้นมือของแม่ก็เลื่อนตกจากไหล่ผม เปลี่ยนไปปาดหางตาตัวเองที่น้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมาอีกครั้ง

ผมไม่เหลือใครแล้ว

แม่ที่ผมรู้จักไม่อยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้แล้ว นี่ใครกัน แม่แท้ๆ ของผมไม่ไปงานศพผู้ชายคนนั้นหรอก

ความจริงเรื่องนี้ซัดเข้าใส่ผมเหมือนคลื่นเย็นเฉียบ แต่ตอนนี้ใบหน้าผมกลับเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ไม่มีรอยยิ้มจางๆ ไม่มีกล้ามเนื้อส่วนใดสั่นไหว

ไม่มีแม้น้ำใสๆ สักหยดจากหางตา






________________________________

ขอบคุณมากนะคะที่ยังอยู่ด้วยกัน รัก
#ณTouch

นางร้าย
25.กุมภา.2020

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 32 |▌25.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-02-2020 21:12:57
อีกเด้ง
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 32 |▌25.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 25-02-2020 21:54:30
คนอารมณ์ดี สนุก พูดไม่หยุด เวลาโดนดราม่าซัดเข้ามาซ้ำอีก ซ้ำอีก ไม่ให้ได้พักแบบนี้ มันก็ปรับโหมดกลายเป็นคนเครียดๆได้เหมือนกันเนอะ

ก็คนเหมือนกัน แค่หงายเหรียญด้านไหนเท่านั้นเอง สู้ต่อไป นะฑี
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 32 |▌25.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-02-2020 22:16:47
สงสารอารมณ์นะฑี ขึ้นๆลงๆ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 32 |▌25.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-02-2020 23:23:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไงกัน?

นี่แม่ไม่ปกติเหรอ?

นอกจากมะเร็งแล้วมีอัลไซเมอร์พ่วงมาด้วยเหรอ?
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 32 |▌25.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 26-02-2020 13:34:41
นะฑี นี่มันเวรกรรมที่ไปทำไว้กับพี่เห็ดใช่มั้ยย
สึนามิโหมกระหน่ำชีวิตเหลือเกินลูก กุ๊กกิ๊กขะยุกขะยิกใจกับพี่ทัชแป๊บๆ ดราม่าถล่มใสอีกแล้ว  :ling3:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 32 |▌25.กุมภา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 26-02-2020 23:35:19
ดราม่ามาอีกแล้ววววส
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 33) |▌6.มีนา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 06-03-2020 19:07:39



แตะต้องครั้งที่ 33
จับบบ…ก๊อกก๊อกอย่ามาหลอกอยากจะบอกผู้ชายคนนั้นเรื่องฉันเรื่องเธอ


 ผู้ชายคนนั้นจากไปแล้ว

 แล้วไง มันมีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเหรอ สองวันมานี้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมก็ยังเป็นปกติดี ตัวผมเองก็ยังไปเรียน เมาท์แตกกับเพื่อน และกลับมาข่มตาหลับได้สบายๆ

 แต่แม่กลับทำมันเป็นเรื่องใหญ่โต

 “ไปเถอะนะ ถือว่าไปลาเขาครั้งสุดท้าย”

 “ลาเรียบร้อยตั้งแต่ผมม.2 แล้ว”

 “แต่เขาตายแล้วนะ”

 “แล้วไงล่ะแม่”

 “นะฑี”

 “แม่ไปเถอะ ให้น้าเกดพาไป ผมอยู่เฝ้าบ้านดีกว่า”


 ผมตัดบทแล้วปิดประตูขังตัวเองไว้ในห้อง ส่วนแม่ก็ตามนั้นแหละ ให้น้าเกดขับรถพาไปเพื่อร่วมงานสวดศพคืนสุดท้าย ถ้าเป็นเมื่อก่อนน้าเกดคงอยู่ข้างผมและอาจถึงขั้นเทศนาสั่งสอนแม่ด้วยซ้ำ แต่มะเร็งทำให้แม่ได้สิทธิ์ที่จะทำอะไรได้ตามใจทุกอย่าง ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเตรียมตัวอยู่ข้างล่าง อีกไม่นานก็คงออกไปกันแล้ว

 ก็ดี บ้านจะได้เงียบๆ จะได้อ่านหนังสือให้เต็มที่ แต่ตอนนี้ขอนอนคว่ำหน้าโง่ๆ ก่อนละกัน ซึ่งก็อดที่จะเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างไม่ได้

 สักพักนึงก็มีเสียงรถเคลื่อนออกไป น้าเกดกับแม่ไปแล้ว

 บ้านทั้งหลังเงียบเชียบ

 และมันทำให้ผมอดนึกถึงบรรยากาศของงานที่ทุกคนสวมชุดขาวดำไม่ได้ งานที่เจ้าของงานออกเดินทางไปไกลแล้ว แต่คนร่วมงานยังนั่งคร่ำครวญเงียบเหงากันอยู่ ผมพยายามนึกถึงหน้า ผู้ชายคนนั้น ที่ตอนนี้นอนอยู่ในกล่องแคบๆ มืดๆ ไม่ใช่แค่สีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านเหมือนสีหน้าผมในวินาทีแรกที่ได้ยินข่าวจากปากแม่ แต่เป็นสีหน้าที่ไม่อาจแสดงอารมณ์ใดๆ ได้อีกแล้ว...ตลอดกาล

 นะฑีหน้าเหมือนพ่อนะ แม่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ อย่างนั้น แต่เสียงแม่ก็ดังในหัวผมอยู่ดี

 ผมคิดอะไรอยู่วะ ถึงยังไงตอนนี้มันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

 เขาตายไปแล้ว

 ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 หืม!

 ใครมาเคาะ แม่กับน้าเกดออกไปแล้วนี่

 ก๊อก ก๊อก 

 “มาตามถึงนี่ แต่...แต่ผมก็ไม่ไปหรอก”

 ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 “คิดว่าจะกลัวเหรอ”

 ก๊อกๆๆๆ

 “ไปให้พ้น!”

 “เปิดหน่อย”

 “อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา…”

 “เปิดให้กูหน่อย”

 เสียงพูดแผ่วๆ และแหบพร่า ผมนิ่งเงี่ยหูฟัง แต่ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไรต่อ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเจอกับตัวเองจังๆ ก็ตอนนี้แหละ 

 ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 เป็นไงเป็นกันวะ รู้จักคนอย่างนะฑีน้อยไปแล้ว!

 ผมบังคับขาสั่นๆ ให้ก้าวไปที่ประตู กลั้นหายใจแล้วเปิดประตูผลัวะ “ออกไปนะโว้ย!”

 “เพิ่งมาก็จะไล่เลย”

 “พะ...พี่ทัช”

 “มึงสวดมนต์ทำไม”

 “สวดมนต์อะไร”

 “กูได้ยิน”

 “เอ้า...ก็เป็นคนดีอะ สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน ทำไม แปลกตรงไหน”

 “นึกว่ากลัวผี หน้าซีดๆ นะ”

 “ผมเนี่ยนะกลัวผี! ลองโผล่มาดิเดี๋ยวเตะปากแตก ว่าแต่พี่อะ มาได้ไง แล้วเคาะทำไมเยอะแยะ แถมยังจะพูดเสียงแหบอีก ทำไม เส้นเสียงอักเสบหรือว่าเป็นฝีในหลอดลมเหรอ” ผมรัวเป็นชุดเพื่อระบายความเครียด ความตื่นเต้น หรืออะไรก็ตามที

 ได้ผล ค่อยรู้สึกเป็นตัวของตัวเองหน่อย

 ส่วนพี่ทัชกะพริบตาปริบๆ แล้วชูกล่องขนมในมือขึ้นเป็นเชิงตอบคำถาม “มันหวานแสบคอ” มันคือขนมป๊อกกี้รสช็อกโกแลต ว่าแล้วเขาก็หยิบแท่งใหม่ออกมากัดคำเล็กๆ “ปวดขา”

 “สมน้ำหน้า”

 “กูจะสื่อว่า มึงควรเชิญกูเข้าไปนั่ง”

 “ไม่พูดตรงๆ ล่ะ อ้อมค้อมทำไม”

 “ขอเข้าไปได้มั้ยครับ”

 เออ เสียงสอง กูยอม

 ผมสะบัดตูดกลับไปนั่งที่เตียง พี่ทัชตามเข้ามานั่งลงข้างๆ ผม แล้วก็ไม่พูดไม่จา แค่มานั่งลงและกินขนมป๊อกกี้ต่อ

 “พี่มาทำไมไม่บอกก่อนอะ” ผมถาม

 “เซอร์ไพรส์” เขาตอบเรียบๆ พร้อมกับยื่นกล่องขนมมาตรงหน้าผม

 “ไม่เอา”

 พี่ทัชหยิบออกมาแท่งนึงยื่นมาจ่อปากผม

 “บอกไม่เอาไง”

 “กิน”

 “ทำไมต้องบังคับ”

 คราวนี้เขาไม่พูด ปลายแท่งขนมที่เคลือบช็อกโกแล็ตเริ่มถูกับริมฝีปากผม ยิ่งเม้มปากเขาก็ยิ่งถูมันจริงจังมากขึ้น ที่เม้มปากนี่คือไม่เกี่ยวกับกินหรือไม่กินแล้ว แต่คือกลั้นยิ้มอยู่ สุดท้ายผมเลยยอมงับขนมเพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มไว้

 “กินเข้าไป”

 เออ กินก็กิน

 “เดี๋ยวนี้ไม่พันพลาสเตอร์แล้ว?” ผมสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าเขาไม่พันสักนิ้ว

 “อยู่กับมึงไม่ต้องก็ได้”

 “ทำไม ก็พี่เคยบอกถ้าไม่พันนิ้วแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไม่ใช่เหรอ...จะบอกว่าอยู่กับผมแล้วอยากเปลือยอะไรงี้?”

 “ถ้ามึงอยากคิดทุเรศๆ แบบนั้นกูก็ห้ามไม่ได้”

 “เอ้า ก็ไม่อยากเอาความคิดตัวเองเป็นหลักไง ถึงถามพี่”

 “อยู่กับมึงกูรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง เลยไม่ต้องพันนิ้วก็ได้” บทจะตอบจริงจังก็ตอบขึ้นมาซะงั้น เล่นเอาไปไม่เป็นเลย

“แล้ว...แล้วพี่มาทำไมอะ แค่มาเซอร์ไพรส์เล่นๆ เนี่ยนะ”

 “มาพามึงไปงาน”

 “งานบริษัทขอทัชฑีเหรอ ผมไม่ได้ดูในกรุ๊ปเลย”

 “งานที่วัด”

 “...”

 อ้อ ถึงว่าสินะ เขาถึงสวมเสื้อเชิ้ตดำเรียบร้อยขนาดนี้

 “พี่รู้”

 “อือ กูคุยกับแม่”

 “งั้นก็รู้ว่า..”

 “รู้แค่ว่าเขาเสีย” พี่ทัชพูดขัดกลางประโยค “ส่วนรายละเอียดอื่นๆ กูรอให้มึงเล่าเอง”

 “ผมไม่มีอะไรจะเล่าทั้งนั้นอะ”

 พี่ทัชขยับเบี่ยงตัวหันมาทางผมตรงๆ ส่วนผมจงใจบังคับตัวเองให้ตรึงสายตาไว้กับพื้น “ไม่เล่าก็ไม่เป็นไร แต่มึงควรไปงานนะ”

 “ไม่อะ ทำไมผมต้องไป”

 “ก็เขาเป็น…”

 “เขาไม่ใช่พ่อผม พ่อจริงๆ ของผมตายไปนานแล้ว”

 “ถ้าไม่ไป มึงอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตนะ” เสียงพี่ทัชอ่อนลง

 “ผมก็เสียใจมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว!” ตรงข้ามกับเสียงผมที่ดังขึ้น

 “...”

 “...”

 “ไม่ไปก็ไม่ไป” พี่ทัชพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ หลังจากเงียบกันไปพักนึง เขาทิ้งตัวลงนอน เพราะเตียงหลังเล็ก ศีรษะเขาเลยเกือบพ้นขอบเตียงออกไป

 “พี่ทำไร” ผมเหลือบมองเขา

 “กินขนม” เขาหยิบป๊อกกี้ชิ้นใหม่ออกมางับคำเล็กๆ

 “ไม่ใช่แบบนั้น หมายถึง…” ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองหมายถึงอะไร หรืออยากพูดอะไร

 “กูก็อยู่เป็นเพื่อนมึงจนกว่าแม่กับน้าเกดจะกลับ”

 “แม่เป็นคนโทรหาพี่ บอกให้มาชวนผมไปงานให้ได้สินะ”

 “ประมาณนั้น”

 “ผมไม่ไป”

 “รู้แล้ว ถึงได้อยู่เป็นเพื่อนไง”

 ผมเอี้ยวตัวไปมองเขา “ทำไมไม่ตื๊อล่ะ ยอมง่ายไปมั้ย”

 เขาหยิบป๊อกกี้มาถูๆ ปากผมอีก และดูเหมือนจะไม่ยอมพูดอะไรจนกว่าผมจะกิน ผมเลยอ้าปากงับมาทั้งชิ้น

 “กูตามใจมึง”

 “ทำไมอะ”

 “คนตายรู้สึกอะไรไม่ได้แล้ว คนที่ยังอยู่ต่างหากที่รู้สึก กูเอาความรู้สึกมึงเป็นหลัก”

 ผมหันกลับมามองพื้นตามเดิม “เหี้ย มาคมอะไรตอนนี้”

 “ด่าทำไม”

 “ด่าอะไร ผมพึมพำกับตัวเอง”

 “งั้นถือว่ากูไม่ได้ยินละกัน” พี่ทัชเว้นจังหวะนิดนึง ก่อนจะพูดต่อ “ถ้ามึงยังรู้สึกอะไรๆ กับเขาอยู่จะไม่ไปงาน ก็ไม่แปลกหรอก”

 ผมหันขวับ “รู้สึกอะไร ผมไม่รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว”

 “ถ้าไม่รู้สึกอะไร ไปหรือไม่ไปงานมันก็ไม่แตกต่าง”

 “ก็ใช่ไง”

 “งั้นก็ไปดิ”

 “...”

 “ถ้าไม่ไป แสดงว่ารู้สึกอยู่”

 “...”

 “ถ้ายังรู้สึกอยู่แล้วไม่ไป มันก็น่าเสียดาย”

 “...”

 นี่ต้องเป็นกลลวงหรือลูกเล่นเชิงจิตวิทยาอะไรแน่ๆ ผมไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ หรอก

 “ผมไม่รู้สึกอะไร และขี้เกียจไป จบมั้ย”

 “งั้นก็จบ”

 จบแล้วเหรอ

 ไม่ตื๊ออีกแล้วใช่มั้ย ก็ดี ผมชนะ ผมไม่ตกหลุมพราง

 แต่ทำไมรู้สึกเซ็งๆ วะ

 “แล้วเราจะทำอะไรกัน” ผมถามทำลายความเงียบ

 “ก็ไม่ทำไร นอนมองเพดานไปเรื่อยๆ จนน้าเกดกับแม่กลับมา เราก็เข้าไปปลอบแม่...ก็คงแค่นั้นมั้ง”

 เราเงียบกันไปอีก โดยที่มีภาพแม่ร้องไห้ฉายชัดอยู่ในหัวผม

 “แม่ผมเป็นไงบ้าง ตอนคุยกับพี่”

 “ก็ร้องไห้ มึงอาจจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่แม่คงรู้สึกอยู่”

 “ไม่ แม่ไม่รู้สึกหรอก” ผมรีบปฏิเสธ ไม่แน่ใจว่าเชื่อแบบนั้นจริงๆ หรือเป็นผมเองที่ไม่อยากให้แม่รู้สึก “มันนานแล้ว พี่ไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า”

 “อืม กูไม่รู้อะไรมากหรอก รู้แค่ว่าแม่มึงร้องไห้ แล้วก็รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้มึงควรจะอยู่ข้างๆ แม่มากกว่าอะไรทั้งหมด”

 นี่ไม่ใช่กลลวงหรือลูกเล่นทางจิตวิทยาอะไรหรอก

แต่เป็นความจริงล้วนๆ

 แม่ง เหมือนไม้หน้าสามฟาดหน้าเลย เสียงพูดก็เรียบๆ ไม่ทุกข์ร้อนอะไรตามแบบพี่ทัชนั่นแหละ แต่มันแรงพอจนทำให้ผมตาสว่าง ผมเป็นลูกประสาอะไรวะ ลูกชายคนเดียวด้วย แต่ยังปล่อยให้แม่ไปงานนี้ตามลำพัง งานที่ไม่รู้ว่าพวกญาติๆ ของผู้ชายคนนั้นจะพูดจาหรือใช้สายตาแบบไหนกับแม่บ้าง

 “ไปก็ไป”

 “ดีมาก รีบแต่งตัวเลย กูไปรอที่รถ”

 เอ้า เด้งตัวขึ้นแล้วก็เปิดประตูออกไปเลย ถ้างั้นไอ้ที่ทำเป็นใจเย็นนี่ก็คือลูกเล่นเชิงจิตวิทยาจริงๆ ใช่มั้ย หรือยังไง แต่เอาเถอะ ถ้าไปถามเซ้าซี้เดี๋ยวเราจะดูโง่ไปอีก

 ผมลุกไปล้างหน้าล้างตา หยิบกางเกงสีดำสนิทมาสวม พอจะเลือกเสื้อสีดำหรือขาวมือมันก็ชะงักไปเอง ตอนนั้นแหละ ผมเปลี่ยนใจเป็นหยิบเสื้อยืดคอกลมสีส้มเก่าๆ แถมไม่ได้รีดด้วยมาสวมแทน จากนั้นก็ลงมาข้างล่าง ปิดประตูบ้าน ขึ้นไปนั่งรถพี่ทัชที่ติดเครื่องรออยู่

 “ไปสภาพนี้เหรอ” พี่ทัชถาม ตอนนี้เขาพันนิ้วครบทั้งสิบนิ้วเรียบร้อยแล้ว

 “ผมไม่ได้ไปงานศพ ผมไปหาแม่”

 “...”

 “ถ้าพี่จะบอกให้ผมเปลี่ยนเสื้อ งั้นก็ไม่ไป ผมจะขึ้นไปนอนละ”

 “เปล่า แค่จะบอกว่ามึงใส่เสื้อกลับด้าน”

 เหี้ย! จริงด้วย

 “ก็พี่นั่นแหละบอกให้รีบ แล้วมองไรล่ะ ขับรถก็มองทางไปดิ”

 “โอเค” พี่ทัชขับรถออกไป แต่จังหวะผมถอดเสื้อเพื่อจะกลับด้านมาสวมเขาก็หันมองอีก

 ผัวะ!

 ฟาดไหล่เข้าให้ “ขับรถไป”

 “กูทำไรผิด ก็แค่มอง”

 “ทำไม พิศวาสหัวนมผมเหรอ”

 “เคยเห็นแล้วตอนมึงอาบน้ำที่ห้องกู มันก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดที่จะใช้คำนั้นนะ”

 ผัวะ! ผัวะ!

 ไอ้พี่ทัช แม่ง เออ ตอนนั้นผมนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัว และต่อให้ตีลังกาล้อเกวียนในสภาพนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ทำไมตอนนี้แค่ถอดเสื้อแป๊บเดียวถึงรู้สึกจั๊กจี้วะ เลยฟาดไปอีกสองดอกเน้นๆ ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นพี่ทัชคงหัวเราะยกใหญ่ แต่คงเพราะเรากำลังจะไปงานศพนี่แหละ เขาเลยแค่มองเฉยๆ

 “คาดเข็มขัดด้วย” พี่ทัชบอกหลังจากผมสวมเสื้อเรียบร้อยแล้ว “กูจะขับเร็วแล้ว”

 “อือ เหยียบเลย”

 จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ถึงจะพยายามขับเร็วแล้วแต่สภาพการจราจรไม่ค่อยเป็นใจ จากเดิมที่ไม่อยากจะมา ตอนนี้ผมกลับร้อนรนจนอยากจะหายตัวไปอยู่ที่วัดเลย แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่รู้ว่างานจัดที่วัดไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายด้วยสาเหตุอะไร ตอนนี้เลยทำได้แค่แกล้งนั่งหลับตาทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว

 จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าประตูวัดมาจอดที่ลานจอด

 พี่ทัชปลดเข็มขัดและดับเครื่องยนต์ แต่ยังไม่เปิดประตูลงไป คงเพื่อให้ผมได้เตรียมใจจนกว่าจะพร้อมก่อน เป็นเวลาหลายสิบวินาทีที่เรานั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้น

 ในที่สุดผมก็ยอมพูด “เขามีเมียน้อย”

 “หืม?”

 “เขามีเมียน้อยตั้งแต่ผมยังเด็กๆ แล้วมาความแตกเอาตอนผมอยู่ม.2 หลังจากนั้นยื้อกันอยู่สักพักบ้านก็แตก เขาหนีไปอยู่กับเมียน้อยและไม่กลับมาอีก แม่ต้องลำบากเลี้ยงผมมาคนเดียว ทำงานหลายอย่าง เป็นแม่ครัวก็ทำอยู่ตั้งนาน แต่นั่นแหละ จากชีวิตดีๆ อยู่บ้านเดี่ยวสองชั้นก็ต้องย้ายมาอยู่ห้องแถวเน่าๆ อย่างที่พี่เห็น รายละเอียดก็แค่นี้ จบแล้ว”

 “เพราะงี้มึงเลยอยากให้บริษัทขอทัชฑีรับงานแนวๆ นั้น”

 “ไม่เกี่ยว...มั้ง ไม่รู้ดิ”

 “อืม” พี่ทัชมองหน้าผมเงียบๆ อยู่อึดใจ “พร้อมยัง เตรียมใจอีกสักพักมั้ย”

 “ทำไมต้องเตรียมใจ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว”

 ผมปลดเข็มขัดแล้วเปิดประตูลงจากรถ พี่ทัชตามลงมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นเขาก็มาเดินประกบผมกึ่งนำทางนิดๆ ไปยังศาลาหมายเลขสอง มีชื่อสกุลของผู้ตายเขียนไว้บนกระดานดำเล็กๆ ผมเหลือบมองแวบเดียวก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น เรามาช้า คนสวมชุดดำนั่งกันแน่นศาลาแล้ว และพระกำลังสวดอยู่             

 “ไปนั่งกัน” พี่ทัชแตะหลังผมเบาๆ เรียกสติผมกลับมา

 “อืม”

 คนมากันเยอะจนนั่งล้นศาลาออกมา แต่ละคนก็แต่งตัวดีๆ กันทั้งนั้น พี่ทัชกับผมเดินอ้อมมาด้านหลังสุด นั่งลงที่เก้าอี้พลาสติกที่ว่างอยู่ ยกมือไหว้พระ พนมมือฟังเสียงสวดไป ผมยังไม่เห็นว่าน้าเกดกับแม่นั่งอยู่ตรงไหน น่าจะอยู่แถวๆ ด้านหน้าเลยมั้ง

 ไม่ได้จะสำรวจอะไรมากมาย บอกตัวเองให้ก้มต่ำๆ ไว้ด้วยซ้ำ แต่สายตาก็อดที่จะเลื่อนไปมองกล่องใบนั้นไม่ได้

เขานอนอยู่ในนั้นสินะ

 นอนนิ่ง หลับตา ใบหน้าเรียบเฉย และต่อให้ผมจะแหวกผู้คนเข้าไปตะโกนด่าว่าใกล้ๆ เขาก็คงไม่ได้ยิน ไม่มีทางที่จะได้รับรู้ความรู้สึกใดๆ ของผมอีกแล้ว

 สักพักหนึ่งพระก็สวดจบ ผมรู้ตัวเพราะเสียงผู้คนขยับตัวหลังจากพระท่านเดินออกจากศาลากันไปแล้ว ผู้มาร่วมงานสลายตัวออกมานอกศาลา บ้างไปห้องน้ำ บ้างจับกลุ่มคุยกัน บ้างก็มากินข้าวต้มอยู่ด้านข้างศาลา ส่วนผมกับพี่ทัชยังนั่งอยู่ เรียกว่าพี่ทัชนั่งเป็นเพื่อนผมที่ยังนั่งเหม่ออยู่มากกว่า

 จังหวะนั้นเองมีคนสะกิดไหล่ผม

 “นะฑี”

 “อ้าว เปิ้ล เจษ พี่เห็ด…” ผมลุกขึ้นยืน พี่ทัชก็ลุกตาม “มาได้ไงอะ”

 “ทัชบอก” พี่เห็ดตอบ “แล้วกูก็ไปรับเปิ้ลกับเจษมา”

 “...” เปิ้ลยิ้มนิดๆ พร้อมกับตบบ่าผมเป็นเชิงให้กำลังใจ

 เจษตบบ่าอีกข้าง “เสียใจด้วยนะ”

 ส่วนพี่เห็ดวางมือบนไหล่ผมแรงๆ ทีนึง “ไหวนะ”

 หลังจากนั้นเราทุกคนก็เหมือนจะทำตัวกันไม่ถูก เพราะผมไม่เคยพูดถึงพ่อให้เปิ้ลกับเจษฟังเลย กับพี่เห็ดยิ่งแล้วใหญ่ ทุกคนสวมชุดดำเรียบร้อยกันหมด ยกเว้นผมที่สวมเสื้อยืดสีส้มแปร๊ดอยู่คนเดียว แต่ไม่มีใครทักเรื่องนี้ อาจจะคิดกันว่าผมเป็นลูกที่ไม่เอาไหน หรืออาจจะคิดว่าผมเสียใจจนเสียสติไปแล้วก็ได้

 “ขอบ...ขอบคุณทุกคนนะ ที่มา” ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยวะ ไม่ชอบเสียงตัวเองแบบนี้เลย

 “ไปหวัดดีแม่กับน้ากันก่อนดีกว่า” คราวนี้เป็นพี่ทัชพูด เราทุกคนมองตามเขาเข้าไปในศาลา เห็นน้าเกดกับแม่นั่งปะปนอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นญาติๆ ของคนที่นอนอยู่ในกล่องนั่นแหละ

 ผมกำลังจะเดินนำไป แต่ถูกพี่ทัชแตะไหล่ไว้

 “อย่าลืมเสื้อ” เขายื่นเสื้อสูทสีดำมาให้ “ถือไว้ให้จนเมื่อยแล้ว”

 ผมก็เพิ่งสังเกตว่าเขามีสูทด้วย สงสัยคงหยิบติดมือมาตอนลงจากรถ แล้วก็พูดให้คนอื่นเข้าใจว่ามันคือเสื้อของผมเองแต่ฝากเขาถือไว้

 “ไม่เป็นไร พี่ช่วยถือไว้ให้ก่อนนะ” ขอบคุณนะพี่ แต่ไม่ดีกว่า ผมเดินนำทุกคนไปที่ด้านหน้าศาลาตรงจุดที่เป็นประตูเปิดโล่ง กำลังจะเรียกแม่ให้หันมาแต่ก็ต้องชะงัก เพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งคลานเข้าหาแม่พอดี โดยที่ในมือถือพวงมาลัยดอกมะลิด้วย ไม่สิ ผู้หญิงสองคนต่างหาก คนหนึ่งวัยกลางคน อีกคนยังวัยรุ่น ทั้งคู่ก้มกราบแม่ที่ตัก แม่รับไหว้ก่อนจะจับไหล่ของผู้หญิงวัยกลางคนไว้ ทั้งคู่พูดคุยกันเบาๆ ซึ่งถ้าผมไม่หูอื้อหรือเข้าใกล้กว่านี้คงได้ยินว่าคุยเรื่องอะไรกัน

 “อ้าว นะฑี” น้าเกดที่นั่งอยู่ข้างแม่หันมาเห็นผม

 สายตาทุกคู่มองมา

 แม่กับน้าเกดลุกเดินออกมาก่อน โดยมีผู้หญิงสองคนนั้นลุกตามมายืนเยื้องนิดๆ อยู่ด้านหลัง เรายืนประจันหน้ากันในระยะแค่สองก้าว โดยทั้งสี่คนนั้นอยู่ด้านในศาลา ส่วนผมกับเพื่อนๆ ยืนอยู่ข้างนอก

 “ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ” น้าเกดถาม

 แม่ขยับเข้ามาจับชายเสื้อผม ลูบคลำมันราวกับเป็นของล้ำค่า “นี่สีโปรดของพ่อเลยนะ ของนะฑีด้วย ตอนเด็กๆ พ่อลูกคู่นี้ซื้อเสื้อสีส้มบ่อยจนเต็มตู้ไปหมด” ผมอยากให้ใครสักคนพูดแทรก แต่ก็ไม่มี แล้วแม่ก็เงยหน้าขึ้น “หวัดดีน้าเค้าหน่อยสิ”

 น้า?

 นี่สินะ เมียน้อยของเขา ผมเคยเจอแค่ครั้งเดียวตอนเขาพามาเปิดตัวที่บ้าน ซึ่งผมจำหน้าไม่ได้แล้ว

 คนนี้สินะ

 “โตเป็นหนุ่มแล้ว” อีกฝ่ายพูดเสียงเบา ริมฝีปากขยับเหมือนไม่แน่ใจว่าควรยิ้มดีมั้ย

 “...” ผมไม่ไหว้ให้เสียมือหรอก

 แล้วที่ยืนตาแดงก่ำอยู่นี่ก็ลูกสาวอีกคนของเขา?

 แต่…

 “พี่นะฑี” เด็กสาวคนนั้นโผเข้ามารวบกอดผมพร้อมกับปล่อยโฮ

 “น้อง...”

 ไม่ใช่เพราะโดนกอดฉับพลันที่ทำให้ผมตกใจ แต่เพราะนี่คือ...น้องรหัสเจษฎา

 “นัชชาค่ะ หนูเอง หนูเป็นน้องสาวพี่นะ...พ่อพูดถึงพี่ตลอดเลย”

 “...”

 “หนูหาเรื่องไปกวนกลุ่มพี่ แต่ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นใคร หนูขอโทษ”

 “...”

 ผมหันมองข้างหลังด้วยความรู้สึกอยากขอความช่วยเหลือจากเปิ้ลและเจษ แต่ทั้งหมดถอยไปจับกลุ่มกันอยู่ห่างๆ เหมือนจะเว้นระยะห่างเพื่อให้คนในครอบครัวคุยกัน

 “นัชชา?” ผมหันกลับมามองหน้าแม่ตัวเอง “ร้านที่สั่งดอกไม้ประจำ?”

 แม่พยักหน้า

 เท่านั้นแหละ ความจริง ก็หล่นโครมลงบดขยี้ผม มีกี่เรื่องวะที่ผมไม่รู้ กี่เรื่องราวที่วนเวียนอยู่รอบตัวผมและมันไม่จริง อ้อมกอดที่รัดตัวผมอยู่นี่แม่งก็ปลอมด้วยรึเปล่า ผมไม่ได้ยกแขนขึ้นโอบกอดตอบ เพราะแค่จะทรงตัวให้อยู่ก็ยังยาก

 ผมทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนตัวสั่นเทาอยู่เฉยๆ

 แล้วในพริบตานั้นอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็น ความเกลียดชัง ก็ระเบิดตูมตามอยู่ในตัวผม

 ผมเกลียดที่แม่พูดถึงเสื้อสีส้ม

 เกลียดอ้อมกอดของน้องสาวต่างแม่ที่ทำราวกับว่าเราสนิทสนมกันมานานปี

 เกลียดแววตาของเมียน้อยที่ทำเป็นเหมือนสำนึกผิด

 เกลียดคนในโลงที่ก่อเรื่องไว้ แล้วตอนนี้ก็จัดการอะไรไม่ได้สักอย่าง

 เกลียดสายตาทุกคู่ที่มองมาเป็นจุดเดียว

 เกลียดโลกใบนี้

 ผมเกลียดทุกคน!

 “ดะ...เดี๋ยว” ผมขืนตัวเบาๆ น้องรหัสเจษที่ชื่อเซ็กซี่หรือตอนนี้ควรจะเรียกว่าน้องนัชชายอมผละอ้อมกอดออก ผมจับไหล่อีกฝ่ายเหยียดออกสุดแขน หลักๆ ก็ทำไปเพื่อทรงตัวให้อยู่มากกว่า

 ผมมองกวาดรอบตัว

 สายตาทุกคู่ยังคงมองมา...เหมือนว่าผมเป็นตัวตลก หรือเหมือนว่าเป็นตัวอะไรก็ช่างเถอะ

 “เดี๋ยวมานะ”

 ผมบอกแค่นั้นก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป สับขาเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง จนพาตัวเองออกมาถึงหน้าประตูวัด จากนั้นก็พ่นสิ่งที่ระเบิดอยู่ข้างในผ่านปากออกไปด้วยคำเดียวเน้นๆ

 “เหี้ยยย!!”

 จนหมาวัดสองสามตัวที่นอนอยู่ตรงนั้นลุกขึ้นมาเห่าขู่

 “เห่าเหี้ยไร อยากโดนตีนเหรอ สัส!...แม่ง โอ๊ยยย...!!”













____________________________

ช่วงนี้รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน
รักมากที่สุดในโลกเลย


นางร้าย
6.กุมภา.2020

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 33) |▌6.มีนา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 06-03-2020 23:49:50
เฮ้อ เป็นใครก็ตั้งรับไม่ทันแน่
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 33) |▌6.มีนา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-03-2020 11:36:00
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังงงงงอยู่   เข้าใจแค่ว่าสองบ้านนี้ยังติดต่อกันอยู่ตลอดเว 

เพียงแค่นะฑีไม่รู้สี่รู้แปดอะไรกับเขาสักเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 33) |▌6.มีนา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 07-03-2020 15:12:28
เรายังตั้งรับไม่ทันเลย ทำใจยังไม่ได้อ่ะ
จะว่าเราใจดำใจแคบก็ได้นะ แต่ยังรับไม่ไหวจริงๆ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 33) |▌6.มีนา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 09-03-2020 13:18:12
เป็นใครก็ตั้งรับไม่ได้  เข้าใจความรู้สึกนะฑีตรงนี้ เหตุผลร้อยแปดจะยังไงก็ช่างมันไปก่อน
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 33) |▌6.มีนา.2020// Page 7
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 10-03-2020 00:15:14
ตายๆ ใครเจอก็เบลอไปหมดนะ สถานการณ์แบบนี้
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 34) |▌13.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 13-03-2020 19:35:29
แตะต้องครั้งที่ 34
จับบบ…ดอกไม้สีส้มผมตั้งใจทำถ้อยคำไม่สมควรรบกวนช่วยหน่อย



สองแผล

นั่นคือผลจากการฟัดกับหมา แผลแรกที่น่องซ้าย ไม่ค่อยเป็นไรเพราะมีกางเกงอยู่ แผลสองที่ใต้ข้อศอกขวา อันนี้ได้เลือดซิบๆ เพราะสวมเสื้อแขนสั้น เป็นพี่ทัชที่วิ่งมาถึงก่อนใคร เขาจัดการแยกผมกับหมาออกจากกันโดยใช้ที่ตักขยะของทางวัดเป็นอาวุธ ไม่ได้ฟาดหรือตี แค่เขี่ยๆ แล้วแกว่งเป็นเชิงชู่

พวกมันครางแฮ่ๆ แบบวัดใจ ก่อนจะยอมเลิกราไป

โคตรเสียฟอร์มเลย ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเป็นเด็กผมโดนตั้งฉายาอะไรที่เกี่ยวกับหมาแน่นอน แล้วก็จะโดนล้อยันจบมหา’ลัยเป็นอย่างน้อย

ความห่วงใยยิงมาจากทุกทิศทาง ผมพยายามรักษาภาพลักษณ์เท่าที่เหลืออยู่โดยเชิดหน้าขึ้น บอกว่าแค่นี้สบายมาก ยังไกลหัวใจเยอะ แต่หลายคนทำเหมือนว่าผมโดนกัดไส้ไหลงั้นแหละ พี่เห็ดนี่ตัวดีเลย ถามซ้ำๆ อยู่ได้ว่าไปฟัดกับหมาทำไม ส่วนพี่ทัชไม่พูดไรมาก ออกแนวใช้กำลังจนสุดท้ายเขาก็ลากผมขึ้นรถขับพาไปโรงพยาบาลจนได้ แล้วก็นั่นแหละ โดนเข็มจิ้มไปดิ วัดซีนบาดทะยักกับพิษสุนัขบ้า กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยและกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน

หายบ้าเลยทีนี้

ความปวดทางกายไม่เท่าไหร่ แต่ความปวดแบบหนึบๆ ตุ่ยๆ ในใจทำให้นอนไม่หลับ เผลองีบไปนิดหน่อย ก่อนจะขุดตัวเองขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว แล้วย่องออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืดโดยไม่ได้บอกแม่หรือน้าเกด

ผมมาหมกตัวอยู่ที่ร้าน Golden Flower ตามลำพัง มีแค่ความเงียบกับความว้าวุ่นใจอยู่เป็นเพื่อน

สมองเอาแต่คิดเรื่องต่างๆ วนไปเวียนมาไม่มีหยุดพัก ระหว่างนี้ผมก็ทำสิ่งที่ตั้งใจไปด้วย คือใช้กระดาษสีส้มพับเป็นดอกไม้เล็กๆ จัดเข้าช่อด้วยดอกหญ้าแห้ง แต่ทำแล้วก็รื้อ รื้อแล้วก็ทำ ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นหลายรอบเพราะมันดูไม่ลงตัวสักที

หลายคนเริ่มโทรและทักแชตหาผม

ผมไม่ตอบใครเลย ยกเว้นพี่ทัชคนเดียว



NATOUCH: ตอนนี้มึงอยู่ไหน

NATOUCH: ไหวรึเปล่า

NaTee(n): ไม่ต้องห่วง

NaTee(n): เดี๋ยวเจอกันที่วัด



เขาพิมพ์มาอีกหลายข้อความ ผมแค่อ่าน แต่ไม่ได้ตอบ

เว้นไปสักพักเขาก็พิมพ์มาอีก



NATOUCH: ก็ได้ เจอกันที่วัด



หลังจากนั้นโทรศัพท์ผมก็ค่อยๆ สงบไป คงเพราะพี่ทัชกระจายข่าวให้ว่าผมยังหายใจอยู่

ผมกลับมาโฟกัสกับงานประดิษฐ์อีกครั้ง ทำแล้วรื้อ รื้อแล้วทำ ถึงจุดนึงต้องสั่งให้ตัวเองหยุด เพราะยิ่งรื้อหลายรอบมันยิ่งช้ำ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือดอกไม้กระดาษเล็กๆ สามดอกมัดเป็นช่อรวมกับดอกหญ้าแห้ง

พอมือว่าง เรื่องราวต่างๆ ก็กลับเข้ามาสุมหัวผมอีก ท่ามกลางมวลดอกไม้กับอากาศนิ่งงันภายในร้าน นึกไปก็คล้ายกับว่าผมขังตัวเองไว้ในห้องกระจกเล็กๆ ที่กาลเวลาหยุดนิ่ง ผมโคตรอยากให้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ในความเป็นจริงคือมีแค่เจ้าของงานวันนี้เท่านั้นที่กาลเวลาไม่มีผลกับเขาแล้ว สำหรับผมเวลาก็ยังเดินไปเรื่อยๆ

ตอนนี้เกือบจะเก้าโมง ถ้าไปช้ากว่านี้ก็อาจจะไม่ทันแล้ว

ผมออกมาเรียกแท็กให้ไปส่งที่วัด การจราจรไม่ได้โหดร้ายอะไร แต่ลุงคนขับนี่แหละ อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เลยขับช้าไปโดยสภาพ ดีเหมือนกัน ไปไม่ทันงานเลยยิ่งดี

ตอนรถมาจอดหน้าวัดผมไม่ได้ดูเวลา แค่เปิดประตูแล้วเดินลงไป

เป็นพี่ทัชอีกตามเคยที่สังเกตผมเป็นคนแรก

“มาแล้ว” พี่ทัชเดินเข้ามาหาผม

“ทันมั้ย”

“ไม่สวมเสื้อสีส้มแล้วเหรอ”

ผมส่ายหน้า วันนี้ผมสวมชุดดำเรียบร้อย

“โอเครึเปล่า” สีหน้าพี่ทัชเรียบเฉย แต่แววตายิ้มนิดๆ

“ผมดูโอเคมั้ยล่ะ”

“ก็...ถือว่าดูดี”

“สรุปผมมาทันรึเปล่า”

“เพิ่งเริ่มพอดี มาเถอะ”

งานเริ่มแล้ว คนมาร่วมงานกำลังต่อแถวเพื่อขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์บนเมรุ ทุกคนที่ผมรู้จักอยู่พร้อมหน้ากันหมด ทั้งแม่ น้าเกด และแม่กับลูกสาว (ผมยังหาสรรพนามเหมาะๆ สำหรับสองคนนี้ไม่ได้) ทั้งพี่ทัช พี่เห็ด เปิ้ล เจษ แม้แต่เจ๊แคลก็มาด้วย

กลุ่มเพื่อนๆ ของผมอยู่ท้ายแถวกัน ซึ่งดีแล้ว

ผมเดินเข้าไปสะกิดไหล่เจ๊แคล

“เจ๊”

“นะฑี” เจ๊แคลหันมาบีบไหล่ผม จากสีหน้าเรียบๆ เปลี่ยนเป็นจะร้องไห้ “ขอโทษนะ เจ๊เพิ่งรู้ข่าวเลยได้มาแค่วันนี้ นี่ร้องไห้รึเปล่า”

“เปล่า” ผมไม่ได้ร้องจริงๆ ที่เห็นตาแดงๆ นี่คืออดนอน

“ดีแล้วๆ แต่จะร้องก็ได้นะ”

“ไม่ร้องดีกว่า”

“อื้อ”

“เจ๊ก็อย่าพาผมร้องดิ” ผมบอกยิ้มๆ เจ๊แคลเลยรีบทำหน้าฮึบๆ พยายามยิ้มด้วย “ขอโทษนะเจ๊ที่ไม่ได้บอก มัวยุ่งๆ อยู่ แล้วนี่เจ๊รู้ข่าวได้ไง...อย่าบอกนะว่ามีเงาดำๆ ไปเข้าฝัน”

เจ๊แคลตีผมเบาๆ “อย่าตลกสิ พี่เรนจิบอก”

สองคนนี้คุยกันแล้วเหรอ ผมหันมองพี่เห็ดที่ยืนเกาะหลังเจษฎาอยู่ในลำดับถัดไป หน้าแกไม่แสดงอารมณ์อะไร ขณะที่เจษคล้ายกับส่งสายตาขอความช่วยเหลืออยู่เล็กน้อย ทนๆ ไปก่อนละกันเจษ ยังไม่ใช่เวลาเหมาะ

“ขอบคุณที่มานะเจ๊” ผมบอกเจ๊แคล แล้วขยับมาต่อท้ายแถว

พี่ทัชเข้ามายืนต่อจากผมราวกับจะคอยระวังหลังให้

“ผมขอเป็นคนสุดท้ายนะ”

“เข้าใจ งั้นก็ระวังหมาหน่อยละกัน”

พี่ทัชเปลี่ยนมายืนตรงหน้าผม สักพักก็มีคนมาช้ามาต่อหลังผมอีก ผมออกปากขอต่อคิวเป็นคนสุดท้ายตามความตั้งใจ พี่ทัชก็ขอถอยมาเป็นคนรองสุดท้ายตามด้วย

“ทำไมอะ เป็นคนรองสุดท้ายแล้วจะได้รางวัลเหรอ” ผมถาม

“มึงมีรางวัลให้มั้ยล่ะ”

“ไม่มี”

“ไม่แปลกใจ”

“...” อ้าว นี่คือหลอกด่าหรืออะไร

“แต่ไม่ต้องมีรางวัลอะไรหรอก ได้อยู่ใกล้ๆ มึงในวันแบบนี้ กูพอแล้ว” 

“...”

ผมก็อยากต่อปากต่อคำกวนไส้ติ่งแกเล่นหรอก แต่แถวเริ่มสั้นลงมากแล้ว ภาพความทรงจำระหว่างผมกับ ผู้ชายคนนั้น ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ทั้งตอนที่เขาหัดให้ผมขี่จักรยาน เตะบอล ว่ายน้ำ ตอนเลือกซื้อเสื้อสีส้มด้วยกัน ทั้งตอนหัวเราะและร้องไห้…

ทำไมมันเยอะขนาดนี้นะ ทั้งที่หลายเหตุการณ์ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

แถวสั้นมากๆ แล้ว

เจ๊แคล เปิ้ล เจษ พี่เห็ด ทั้งหมดขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์และลงมาเรียบร้อย อึดใจต่อมาพี่ทัชก็ก้าวขึ้นบันไดเมรุ หยิบดอกไม้จันทน์ที่มีเตรียมไว้ให้ตรงนั้น แล้ววางลงเบาๆ บนพาน ผมมองตามหลังพี่ทัชแต่ก้าวขาตามขั้นไปไม่ได้

“นะฑี” พี่ทัชเรียก

“...”

“มาเถอะ”

ต้องสูดหายใจเข้าลึก ถึงมีแรงก้าวขึ้นบันไดไปสมทบกับพี่ทัชได้ ผมไม่หยิบดอกไม้จันทน์ที่วางวัดเตรียมไว้ให้ เพราะผมทำมาเองแล้วจากร้าน  Golden Flower นี่คือดอกไม้จันทน์ในแบบของผม

ผมตั้งใจทำนะ

ถ้าไม่ชอบก็...ช่างมันเถอะ


ผมพูดในใจ วางดอกไม้ดอกสุดท้ายที่ไม่เหมือนใครบนพาน จากนั้นก็ก้าวเร็วๆ ลงจากเมรุโดยมีพี่ทัชตามหลังมาด้วย แม่ง ผมพลาดแล้ว ไม่น่าวางดอกไม้เป็นคนสุดท้ายเลย ถ้าอยู่ในลำดับกลางๆ เรื่องนี้อาจจะเลือนหายไปในเวลาไม่กี่ปีก็ได้ แต่พอเป็นคนสุดท้าย กลายเป็นว่ามันจะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต

พิธีวางดอกไม้จันทน์เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ของวัดแจ้งว่าจะเปิดฝาโลงเพื่อให้ญาติได้เห็นหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเผาจริง

“ไม่ขึ้นไปเหรอ” พี่ทัชถาม เพราะเห็นว่าผมไม่มีทีท่าจะเดินขึ้นเมรุไปสมทบกับแม่และน้าเกด

“ไม่” ผมตอบเรียบๆ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้วิ่งออกไปฟัดกับหมาอีกรอบ “รีบๆ เผาให้จบไปเถอะ ผมเบื่อแล้ว”

พี่ทัชฉลาดพอที่จะเงียบ แล้วสักพักค่อยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

“แผลเป็นไงบ้าง”

“สบายมาก เหมือนมดกัด”

“ถ้าหมาตัวเท่ามดกูก็ไม่ห่วงแบบนี้หรอก” ถ้อยคำเสียดสีเล็กน้อย แต่เสียงนุ่ม

“นี่คือห่วงจริงๆ หรือกวน”

“กวนด้วย ห่วงด้วย...ทุกอย่าง”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมโอเค”

“ห่วง”

“ดะ...เดี๋ยวผมมา”

ที่ขอชิ่งไม่ใช่อะไร จังหวะที่หันหน้าหลบสายตาพี่ทัช ผมก็เหลือบไปเห็นน้องสาวต่างแม่พอดี ดูเหมือนน้องจะไม่ขึ้นไปดูหน้าเจ้าของงานเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน แต่ปลีกตัวออกมายืนหน้าซึมๆ อยู่คนเดียว

ผมเดินเข้าไปหาช้าๆ และหยุดตรงหน้าอีกฝ่ายห่างสองสามก้าว เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองหน้าผม ดวงตาฉ่ำชื้นสั่นระริกทำท่าจะร้องไห้อีก

คราวนี้ผมบอกให้ตัวเองยิ้ม พร้อมกับกางแขนออก

น้องดูลังเล

“มาให้แก้ตัวหน่อย”

“...”

“พี่ไม่กัดหรอกน่า กัดกับหมาจนเละแล้ว”

น้องโผเข้ามากอดผมและปล่อยโฮแทบจะเหมือนเมื่อวาน ที่ไม่เหมือนคือคราวนี้ผมกอดตอบด้วย กอดแบบพี่ชายน้องสาวที่ต่างคนต่างถูกความจริงบดขยี้มา อ้อ กรณีของผมมีคำโกหกหลอกลวงช่วยซ้ำเติมด้วย

ผมรอจนน้องสะอื้นเบาลง แล้วค่อยๆ ผละอ้อมกอดออก

“แล้วทีนี้จะให้พี่เรียกว่าเซ็กซี่หรือนัชชาล่ะ”

น้องขำทั้งน้ำตา “ยังไงก็ได้ค่ะ”

“เราตั้งเองอะดิ ชื่อเซ็กซี่”

“เปล่านะคะ เป็นฉายาที่ได้มาตอนรับน้องอะ แสดงว่าตอนนั้นพี่นะฑีไม่อยู่ ก็พี่เจษนั่นแหละ ครั้งแรกที่เห็นหนูก็อุทานซะดังเลย เพื่อนๆ เลยเอามาล้อจนกลายเป็นชื่อไปซะงั้น”

“อ้าว เหรอ” เจษ มึงแอบร้ายนะเนี่ย “ตอนนั้นสงสัยพี่จะไปขี้แน่ๆ ช่วงรับน้องมีปัญหาลำไส้บ่อย”

“หนูก็ขี้แตกบ่อยนะคะช่วงนั้น กินมั่ว”

เออ เปรี้ยวซ่าแบบนี้ น้องกูแน่นอน

“พูดคำว่าขี้แตกได้เพราะมาก” ผมขยี้หัวน้อง “งั้นพี่จะเรียกสองชื่อแล้วแต่อารมณ์นะ แต่ต่อหน้าเจษนี่จะเรียกเซ็กซี่เน้นๆ เลย”

“ฮ่าๆ ค่ะ”

เสียงหัวเราะสั้นๆ นั่นช่วยให้บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นเป็นกอง แต่ก็ไม่นาน เกิดเดดแอร์ช่วงสั้นๆ ก่อนนัชชาจะพยักพเยิดไปทางเมรุ “เผาแล้วค่ะ”

ผมหันมองตาม เหล่าญาติๆ ของเขา รวมถึงแม่กับน้าเกดลงมากันหมดแล้ว และต่างหันไปมองที่เมรุกันหมด เราสองคนยืนปลีกตัวอยู่ห่างจากกลุ่มคน โดยผมสังเกตเห็นว่าพี่ทัชยืนอยู่เดี่ยวๆ ไม่ห่างจากตรงนี้นัก เขามีเหลือบมองมาด้วย แต่คงตั้งใจปล่อยให้ผมอยู่กับน้องสองคน

เจ้าหน้าที่คงจุดไฟก่อนหน้านี้สักครู่ ตอนนี้ควันเริ่มลอยขึ้นทางปล่องแล้ว

“เขาเสียยังไง” ผมถามลอยๆ โดยที่ตายังมองตามควันเหนือปล่องเมรุ

“ยังไม่มีใครเล่าให้พี่ฟังเหรอคะ”

“พี่แค่ยังไม่พร้อมน่ะ ตอนนี้พร้อมแล้ว”

“หลับในน่ะค่ะ เลยชนกับ...เรียกอะไรนะ ขอบทางที่จะขึ้นสะพานข้ามแยกน่ะ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะขับรถมาเยี่ยมหนูที่หอนี่แหละ คุณพ่อ…” นัชชาทำท่าจะร้องไห้อีก

“พอแล้ว” ผมขยี้หัวน้อง “ไม่ต้องเล่าแล้วละ พอนึกออก”

แสดงว่าไม่ใช่สีหน้าเรียบเฉยเหมือนคนนอนหลับน่ะสิ แต่อาจจะปากฉีก จมูกหัก หรืออาจถึงขั้นคอหมุนได้รอบเลยก็ได้ เขาคาดเข็มขัดรึเปล่านะ ช่างเถอะ ไม่อยากรู้แล้ว

ไม่อยากรู้อะไรแล้ว

“แล้ว…” ผมเม้มปากไว้ แต่ไม่สำเร็จ “ที่บอกว่าเขาพูดถึงพี่บ่อย พูดว่าไงบ้าง”

“เยอะเลยค่ะ เอาไว้หนูจะเล่าให้ฟังนะ”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้น พี่ก็ถามๆ ไปงั้น”

“อ้อ เรื่องนึง เรื่องชื่อของเรา พ่อบอกว่าจะตั้งชื่อพี่ว่านที แปลว่าแม่น้ำ”

“แต่ชื่อพี่สะกดด้วย ฑ.นางมณโฑนะ”

“ค่ะ เพราะติดปัญหามีตัวอักษรกาลกิณีใช่มั้ย เลยเปลี่ยนวิธีสะกด ทีนี้พอหนูเกิดพ่อเลยแก้ตัวใหม่ ตั้งชื่อหนูว่านัชชาที่แปลว่าแม่น้ำเหมือนกัน แต่เป็นชื่อผู้หญิง”

“อ่อ แล้วนี่รู้ว่าเป็นพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่าบอกนะว่าตั้งใจมาเรียนคณะนี้ตามพี่”

“เปล่าค่ะ มาเห็นพี่ตอนรับน้องนี่แหละ เห็นชื่อนามสกุลแล้วคิดว่าต้องใช่แน่ๆ”

“อาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“ชื่อสะกดแบบนี้น่าจะมีคนเดียวนะ แล้วไหนหน้าตาพี่จะคล้ายๆ พ่ออีก” อีกคนแล้วที่พูดแบบนี้ “ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอพี่ที่คณะ โลกกลมเนอะ”

ผิดแล้วน้อง โลกนี้มันบิดๆ เบี้ยวๆ และมีแต่เรื่องบัดซบต่างหาก

“นั่นดิ กลมจนงงไปหมดแล้ว”

แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันต่อก็มีใครคนนึงเดินเข้ามาสมทบกับเราซะก่อน แม่ของน้องนัชชานั่นเอง คราวนี้ผมยกมือไหว้ ซึ่งอีกฝ่ายรีบรับไหว้ทันทีด้วยท่าทีแปลกใจ

“หวัดดีครับ”

“หวัดดีจ้ะ” ยิ้มบางๆ โดยที่สีหน้ายังเศร้าๆ “เผาใกล้เสร็จแล้วนะ”

“ครับ ก็ดี...แล้วแม่ผมอยู่ไหน” ผมมองกวาดแต่ไม่เห็น

“นั่งพักกันอยู่ข้างศาลาน่ะ...น้องนัชไปดูแลแม่พี่นะฑีกับน้าเกดหน่อยสิ เผื่อขาดเหลืออะไร”

ผมไม่ชอบสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เลย ฟังดูสนิทสนมกันเกินไปมั้ย แต่จะว่าไป ไม่ว่าจะเรียกแบบไหนผมก็คงไม่ชอบทั้งนั้นแหละ ประเด็นสำคัญคือ ดูไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว ผมเลยนิ่งๆ ไว้ก่อน

 ตอนอยู่ต่อหน้าแม่ นัชชาดูเป็นเด็กว่าง่าย แค่พยักหน้าแล้วก็เดินไปที่ศาลาเลย

 “แล้ว...นะฑีเป็นไงบ้าง”

 “ก็โอเคครับ”

 “อือ ดีแล้ว”

 “อยากพูดอะไรกับผม เอาตรงๆ เลยก็ได้” น้ำเสียงผมกระด้างเกินกว่าที่ตั้งใจ

 “คือ...น้าอยากขอโทษน่ะ”

 “เรื่องอะไรครับ”

 “ทุกเรื่อง”

 “เรื่องอะไรบ้างครับ”                “...”

 “เรื่องที่เข้ามาทำให้ครอบครัวผมแตกแยก ทำให้แม่ต้องลำบากเลี้ยงผมคนเดียว ทำให้ผมเป็นลูกไม่มี…” ผมพูดคำนั้นออกมาไม่ได้ ปากสั่นระริก รู้สึกอยากจะวิ่งหนีออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ที่ผ่านมาผมใช้วิธีนี้ตลอด ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรผมก็จะแก้ด้วยการทิ้งมันไว้ข้างหลัง

 แต่ผมวิ่งหนีมาทั้งชีวิตแล้ว

 ครั้งนี้ผมจะยืนสู้กับมัน

 “น้าขอโทษ” เสียงอีกฝ่ายแผ่วลง สายตาหลุบต่ำ ท่าทีแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกเย็นลงได้นิดนึง

 “เมื่อวานเห็นคุยกับแม่ผม”

 “ใช่จ้ะ น้าพานัชมากราบขอขมาน่ะ”

 “น้องไม่ได้ผิดไรด้วย”

“ใช่ น้าผิดเองคนเดียวเลย”

 “ไม่ใช่ครับ ตัวเขาก็ผิดด้วย” ผมพยักพเยิดไปทางเมรุ ซึ่งตอนนี้ควันจางๆ ใกล้จะสลายไปหมดแล้ว

 “อื้อ น้าขอขมาคุณแม่แล้ว เลยอยากมาขอโทษนะฑีด้วย น้า...ขอโทษนะ” สายตาหลุบต่ำลงไปอีก “นะฑีจะไม่ยกโทษให้น้าก็ได้ น้าเข้าใจ แต่กับนัช อย่าโกรธน้องเลยนะ”

 “รู้รึเปล่าว่าแม่ผมเป็นมะเร็ง”

 “อือ” อีกฝ่ายพยักหน้า “ได้คุยกันแล้วจ้ะ ก็เรื่องนี้แหละที่น้าอยากคุยกับนะฑี”

 “คุยกับผมทำไม”

 “พ่อเขาทำประกันชีวิตไว้นะ ระบุชื่อนะฑีเป็นผู้รับประโยชน์”

 “...” ผมพูดอะไรไม่ออกอยู่หลายวินาที ก่อนจะพ่นคำถามน่าเกลียดออกไป “เท่าไหร่”

 “น้ายังไม่ได้ดูเป๊ะๆ นะ น่าจะหกหลัก”

 “...”

 แม่ง ทำไมเขาต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ แค่ตายไปเฉยๆ ไม่ได้รึไง

 โคตรเกลียดเลย

 ผมเกลียดเขา!

 “น้ารู้ว่ามันไม่ได้มากพอที่จะอุ่นใจ แต่น้าก็จะช่วยค่ารักษาด้วยนะ พอมีเก็บอยู่บ้าง”

 “ไม่...ไม่ต้องครับ ผมไม่อยากให้น้องลำบากเหมือนผม”

 “...”

 “ขอโทษนะครับ จะให้ผมเรียกน้าว่าไง” ผมเปลี่ยนเรื่อง

 “เรียกน้านุชก็ได้จ้ะ”

 “ครับ น้านุช งั้นเดี๋ยวผมขอตัวนะ ไว้คุยกัน” ผมหันหลังผละออกมา แต่ก็นึกขึ้นได้เลยหันไปพูดส่งท้าย “อ้อ ไม่ต้องห่วงว่าผมจะไม่ดีกับน้องนะ ผมรู้ดีว่าการที่ทั้งชีวิตเหลือแม่เพียงคนเดียวมันเป็นยังไง”

 พี่ทัชยืนสังเกตการณ์อยู่ในระยะที่ไม่น่าจะได้ยินเสียงพูดคุย ผมบังคับให้ตัวเองเดินอย่างมั่นคงเข้าไปหาเขา จับแขนเสื้อกระตุกเบาๆ

 “มากับผมหน่อย”

 “ไปไหน”

 “มาเถอะ”

 ผมไม่ได้จะพาไปไหน แค่พาเดินปลีกตัวออกมาจากผู้คนเพื่อหามุมที่เป็นส่วนตัวสักหน่อย เรามาหยุดอยู่ข้างศาลาอีกหลัง ซึ่งไม่ใช่ซอกมุมลึกลับอะไร ถ้ามีคนมองมาก็ยังเห็นเราได้ชัดเจน

 “ช่วยหน่อยดิ” ผมมองหน้าพี่ทัช หันหลังให้เมรุ

 “...”

 ผมหวังว่าเขาจะไม่เข้าใจ ไม่ต้องเข้าใจก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องทำอย่างที่คิด แต่หลังจากมองตาผมอยู่ชั่วอึดใจเขาก็รู้จนได้ เรียกว่ามองปุ๊บรู้ปั๊บเลยดีกว่า

 พี่ทัชแกะพลาสเตอร์นิ้วชี้ข้างขวาออก หย่อนแผ่นพลาสเตอร์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วลดมือลงช้าๆ โดยที่สายตายังมองหน้าผมอยู่ตลอดเวลา

 มือที่ทรงพลังข้างนั้นช้อนจับมือผมอย่างนุ่มนวล

 นิ้วชี้เปลือยเปล่าแตะอุ้งมือ

 นิ้วโป้งลูบวนบนหลังมือเบาๆ

 อาการหวิวไหวเกิดขึ้นตรงจุดสัมผัส แต่มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ซะทีเดียว ผมไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกหรือถูกคุกคาม ไม่มีคำพูดไหลพรวดพราดออกจากปาก ตรงกันข้าม กระแสสั่นไหวนั้นคล้ายจะปลอบประโลมผมมากกว่า

 “มึงระบายกับกูได้”

 “...”

 แรงกระตุ้นเบาๆ จากพี่ทัชเป็นอะไรบางอย่างที่คล้ายกับมือลึกลับ มือที่มองไม่เห็นซึ่งย่องเงียบเข้ามาจูงความจริงทั้งหลายในใจเราออกไปสู่แสงสว่าง แต่นาทีนี้ผมไม่ได้รู้สึกว่ามือนั้นเข้ามาบังคับลากจูง มันแค่เข้ามาชักชวน แต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นเบาๆจากส่วนที่ลึกที่สุดในตัวผม

 ผมบีบมือพี่ทัชไว้   

แรงสั่นสะเทือนค่อยๆ เพิ่มขึ้น แรงขึ้น จนลุกลามไปทั่วตัว

ผมพลันตระหนักในวินาทีนี้เองว่า แก่นแท้ของความจริง ไม่ได้อยู่ในรูปของถ้อยคำ แต่มันเป็นความรู้สึกล้วนๆ ซึ่งมันรุนแรงจนทำให้ผมหัวไหล่โยกไหว

แล้วในที่สุดผมก็ร้องไห้ออกมา

พี่ทัชดึงตัวผมเข้ามากอด ใช้แผ่นอกกว้างๆ ซับแรงสะเทือนและน้ำตาไว้

ผมปล่อยมือ แล้วเปลี่ยนเป็นโอบรอบตัวเขาแทน

“พูดออกมาเถอะ”

นิ้วเปลือยเปล่าไม่ได้สัมผัสผิวเนื้อส่วนไหนของผมแล้ว ไม่มีพลังวิเศษใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ผมก็หยุดมันไม่ได้ ความรู้สึกที่แท้จริงของผมสั่นสะเทือนจากกลางหน้าอก ขึ้นมาถึงลำคอ แล้วแปรสภาพออกมาเป็นถ้อยคำจนได้

“พ่อ...พ่อผมตายแล้ว...พ่อผมตายแล้วจริงๆ...ผมรักพ่อ”















___________________________

รักษาตัวกันด้วยนะคะ รัก..

#ณTouch


นางร้าย
13.มีนา.2020
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 34) |▌13.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 13-03-2020 19:54:52
สายใยสายเลือด มันตัดกันไม่ขาดจริงๆ เราก็เชื่อแบบนั้น

อย่ารอ จนใครอีกคนต้องจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้ยินคำบอกรักจากเรานะคะ  :o11:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 34) |▌13.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-03-2020 20:51:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 34) |▌13.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-03-2020 07:52:59
คนก็ตายไปแล้วนี่เนอะ
เอาเงินมารักษาแม่เลยนะนฑี
เงินนั้นอาจเป็นเงินชดเชยที่เขาปล่อยให้แม่
เลี้ยงลูกมาคนเดียว ค่าใช้จ่ายกับเด็กหนึ่งคนมันเยอะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 34) |▌13.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-03-2020 15:24:27
บางครั้งการยอมรับความจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 34) |▌13.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 14-03-2020 22:21:38
เก่งแล้วนฑี กอดดดด
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 34) |▌13.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 16-03-2020 23:28:07
จะร้องไห้ตามนะฑี
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 35) |▌22.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 22-03-2020 20:22:43
แตะต้องครั้งที่35
จับบบ…นัชชาพาเพลินนั่งเกินเวลาใครวะบุกถึงที่คนดีฝีคุ้ม


งานศพพ่อจบไปแล้ว

เขาตายไปแล้วจริงๆ ตายอย่างสนิทจนตอนนี้ไม่เหลืออะไรนอกจากขี้เถ้า...แต่เขากลับเกิดใหม่ในใจผม หลายวันมานี้สมองผมเอาแต่คิดวนเวียนเรื่องพ่อ คิดถึงอดีตที่ผมพยายามลืมมาตลอด นึกถึงฝันถึงอนาคตที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

คิดว่าถ้าพ่อไม่มีเมียน้อยตั้งแต่แรกชีวิตเราจะเป็นยังไง

คิดว่าตอนนี้พ่อจะดูเราอยู่ หรือมัวแต่วุ่นวายปีนต้นงิ้วอยู่ในนรก

คิดว่าเราสี่คนที่เหลือจะเป็นยังไงต่อไป ตอนนี้คือสองครอบครัว หรือว่ากลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว หรือว่ายังมียาพิษหรือเหลี่ยมคมของคำโกหกซุกซ่อนอยู่ตรงไหนอีก

บางคำถามอาจได้คำตอบเร็วๆ นี้ก็ได้

ผมหวังอย่างนั้นขณะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในรถน้าเกดที่กำลังขับไปตามถนนเส้นเลียบทางด่วน เวลาบ่ายแก่ๆ เกือบเย็นรถยังพอวิ่งได้สะดวก เราทั้งสามคนแทบไม่ได้คุยอะไรกันมาตลอดทาง

“จะถึงแล้ว ข้างหน้านี่แหละ” น้าเกดพูด

“ดูเหมือนจะใหญ่เหมือนกันนะ” แม่ซึ่งนั่งเบาะข้างคนขับตั้งข้อสังเกต

ส่วนผมอยู่ข้างหลังเลยต้องโผล่หัวไปตรงกลางระหว่างทั้งคู่ เห็นไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ จนกระทั่งไม่กี่นาทีต่อมาน้าเกดก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ลานจอด

เราทั้งสามลงจากรถมายืนมองเต็มๆ

ปกติใครออกความเห็นอะไรผมมักจะแย้งไว้ก่อน แต่แม่พูดถูก มันใหญ่

“มากันแล้ว!” น้องสาวเลือดสีโคลนของผมวิ่งดุ๊กๆ เข้ามาหา ราวกับดักซุ่มอยู่ตรงไหนสักที่แถวนี้ “สวัสดีค่ะคุณป้า สวัสดีค่ะคุณน้า แล้วก็...เพ่น่าเท~ หวาดเดค่ะ”

นี่เล่นมุกลากเสียงเพื่อจะเปลี่ยนชื่อ นะฑี เป็น น่าเท ว่างั้น

ถ้าดีดหน้าผากแรงๆ สักทีตอนนี้จะเป็นไรมั้ย

“มุกนี้เอาไปสองคะแนนพอ” ผมบอก

“แหะๆ ร้านนัชชาพาเพลินยินดีต้อนรับค่ะ”

“อ้าว ชื่อร้านครัวนัชชาไม่ใช่เหรอ”

เราสามคนหันไปมองแม่ เหมือนว่าแม่เพิ่งเดินทางมาจากดาวดวงอื่น ก็ครัวนัชชานั่นแหละแม่ ป้ายเบ้อเริ่มขนาดนั้น ถ้าเจษฎาอยู่ตรงนี้ด้วยคงคุยกับแม่ผมถูกคอกันสุดๆ ไปเลย แต่ก็ถือว่าแม่เก็ตเร็วพอสมควร “อ้อ” แม่พูดต่อแค่นั้นแล้วส่ายหน้าเอือมๆ ด้วยความเคารพเราสามคนเลยฮากันเบาๆ อย่างพอเพียง

“แสบเหมือนนะฑีเลยนะเนี่ย” น้าเกดตั้งข้อสังเกต

“ไม่ได้ครึ่งผมหรอก” ผมแย้ง อย่างที่บอก ใครออกความเห็นอะไรผมจะแย้งไว้ก่อน

“จริงค่ะ หนูเคยได้ยินพี่นะฑีคุยกับเพื่อนตอนรับน้องนะ จิกกัดแต่ละทีนี่ หูยยย ขนหัวลุกเลยค่ะ หนูละกลัวแทนเลยว่าเพื่อนจะลุกมาตบหน้าแหก...พี่นะฑีไม่กลัวเหรอคะ”

“กลัวอะไร คนดีฝีคุ้ม”

“ไหนคะฝี”

“อยู่ที่ตูดสองตุ่ม จะดูมั้ยล่ะ”

“ฮ่าๆ พี่นี่ตลกจัง...แล้วดอกไม้นี่…” หัวเราะอยู่ดีๆ น้องกูเปลี่ยนเป็นทางการอย่างปุบปับซะงั้น เหมือนกับว่าอยากจะทักเรื่องช่อดอกไม้ในมือแม่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่หาจังหวะไม่ได้ หรือว่าไม่คิดจะหาจังหวะเลยก็ไม่รู้ ผมว่าสมองน้องสาวผมต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่างแน่

“อ๋อ ป้าเอามาฝากน่ะ เห็นทางร้านไม่สั่งหลายวันแล้ว”

“ขอบคุณนะคะ” มีไหว้อย่างสวยงามก่อนจะรับช่อดอกไม้ไปถือ ช็อตนี้นางสาวไทยยังต้องอาย แต่ช็อตต่อมาพอกระแซะมาควงแขนผมเท่านั้นแหละ ก็กลับไปเป็นเด็กที่น่าดีดหน้าผากอีก “เข้าข้างในกันเถอะค่ะ มาค่ะ พี่ฝี~”

ขอเปลี่ยนคำนิดนึง ครัวนัชชาไม่ใช่ร้านอาหารขนาดใหญ่ แต่เป็นร้านที่แม่งใหญ่เอาเรื่อง โต๊ะไม่ต่ำกว่ายี่สิบหรืออาจจะมากกว่านั้นเรียงรายอยู่ภายใต้อาคารมุงหลังคาสูงและผนังเปิดโล่งทุกด้าน อีกโซนนึงเป็นห้องVIP ติดแอร์ ตรงกลางร้านค่อนไปด้านหลังมีเวทีสำหรับแสดงดนตรีสด นอกจากนั้นก็มีบ่อปลาคาร์ฟ น้ำพุ และสวนหย่อมที่จัดเป็นมุมให้ถ่ายรูปเก๋ๆ

ตอนนี้พนักงานกำลังเดินกันวุ่นไปหมดเพื่อจัดเตรียมข้าวของ

ผมรู้สึกโกรธขึ้นมาวูบหนึ่ง นี่คืออาณาจักรที่พ่อมาสร้างกับเมียน้อยเหรอ ขณะที่ผมกับแม่ถูกทิ้งให้ซุกหัวอยู่ในห้องแถวเน่าๆ

“นี่เป็นร้านแนวไหน หมูกระทะ199 เหรอ” ผมถามไปงั้น สภาพโดยรวมดูดีกว่านั้นเยอะ

“ร้านอาหารไทยๆ นี่แหละค่ะ แต่เด่นเรื่องซีฟู้ด...แม่คะ คุณป้ามาแล้ว!”

น้านุชกุลีกะจอออกมาจากด้านในร้าน ทุกคนยกมือไหว้ทักทายกันอย่างเป็นทางการ ผมก็ไหว้ด้วย แต่รู้สึกมือตัวเองยังแข็งๆ อยู่

“คุณป้าเอาดอกไม้มาฝากค่ะ” นัชชาส่งดอกไม้ให้แม่ตัวเอง

“โอ้ ขอบคุณนะคะคุณพี่ สวยจัง”

“ไม่เป็นไรจ้ะ งานประจำอยู่แล้ว”

“ปกติใครเป็นคนสั่งเหรอครับ” ผมถามสวนขึ้น

“คุณพ่อสั่งค่ะ”

ดูจากสีหน้าทุกคนรอบตัว ผมบอกได้เลยว่ามีแค่ผมกับน้าเกดนี่แหละที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร นี่คือความจริงอีกอย่าง พ่อ เมียหลวง เมียน้อย และลูกเมียน้อย แอบติดต่อสื่อสารกันอย่างลับๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว อย่างน้อยก็สื่อกันผ่านดอกไม้ที่ส่งให้วันละช่อนี่แหละ

“ไปหาหญ้ากินกันมั้ย” ผมหันไปพูดกับน้าเกด

“ไม่เป็นไร น้าชอบเคี้ยวฟางมากกว่า”

เป็นไงล่ะ น้าโผมมม

อึ้งแดกกันไปเลยดิ ดีมาก กระอักกระอ่วนกันเข้าไป

“ปกติพ่อจะเป็นคนเปลี่ยนเองกับมือทุกวัน ที่แจกันตรงนี้น่ะ” น้านุชชี้ไปที่แจกันใบใหญ่บนเคาน์เตอร์หน้าออฟฟิศ ซึ่งเป็นจุดที่รับออเดอร์และคิดเงิน ดอกไม้ในแจกันเฉาจนเน่าแล้ว แต่ยังไม่มีใครแตะต้องมัน “แต่ตอนนี้...งั้นนะฑีช่วยเปลี่ยนให้ได้มั้ยจ๊ะ”

“...” ไม่อะ ทำเองดิ ก็ร้านตัวเองไม่ใช่เหรอ

“พี่เป็นผู้ชายคนเดียวของบ้านเราแล้วนะคะ”

ไม่ต้องบิ๊วกูเลยนัชชา แอ๊คติ้งเก่งนะเรา

แม่นี่ก็อีกคน บีบไหล่ทำไม สายตาวิงวอนอะไรขนาดนั้น

งั้นก็เหลือทีมนะฑีแค่คนเดียวแล้ว ผมหันไปมองน้าเกดเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ เอาเลยน้า จิกกัดแสบๆ สักดอกสองดอกดิ๊

“มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ทำนี่เลวเลยนะ”

เอ้าน้า ไอ้ที่ว่าแสบๆ สักดอกนี่ให้จัดใส่ฝ่ายโน้น ไม่ใช่ผม น้าฟ้องหย่าผัวก็เพราะเมียน้อยไม่ใช่เหรอ

สายตาแต่ละคนทำไมต้องกดดันกูขนาดนี้…

แม่ง ก็ได้วะ!

“ต้องสวดคาถาไหว้เจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรด้วยมะ หรือคาถาเงินล้าน หรือชินบัญชร”

“ไม่ต้องจ้ะ แค่เปลี่ยนดอกไม้เฉยๆ เพื่อให้ดูสดชื่น”

“เอ้า แล้วมันจะยากเย็นอะไรล่ะถ้างั้น เอามาๆ ทำให้มันจบไป”

ผมฉวยดอกไม้จากมือน้านุชในลักษณะขอไปที พอหันหลังเดินไปที่แจกันปุ๊บ ผมเดาออกเลยว่าแต่ละคนมีท่าทางยังไงลับหลังผม

สองศรีภรรยาคงจะยิ้มน้อยๆ ให้กัน

น้องสาวตัวดีอาจจะส่ายตูดดุ๊กดิ๊กหรือไม่ก็ถึงขั้นเต้นบัลเล่ย์

ส่วนน้าเกดคงกอดอกและส่ายหน้า

ถ้าหันกลับไปมองแบบปุบปับผมพนันว่าต้องเห็นภาพแบบนั้นแน่ๆ แต่อย่าหันดีกว่า เดี๋ยวจะดูเหมือนเด็กอมมือที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ผมเลยโฟกัสกับการเปลี่ยนดอกไม้แทน โดยทำอย่างช้าๆ เพื่อว่าให้ทุกคนได้หัวเราะเยาะผมจนพอใจ

แต่แล้วการทำช้าๆ ก็เปิดโอกาสให้คำถามที่ผมไม่อาจตอบได้วาบผ่านเข้ามาอีก

พ่อคิดอะไรอยู่ระหว่างจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน ความรู้สึกอะไรที่อยู่เบื้องหลังการสั่งดอกไม้ประจำแบบนี้ แล้วแม่คิดอะไรระหว่างที่จัดดอกไม้ทุกช่อที่ส่งมาให้พ่อ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ที่แน่ๆ คือสองคนนี้ยังคิดถึงกันอยู่...คิดถึงในบางแง่มุมที่ดีๆ หรืออาจเป็นความสวยงามเลยด้วยซ้ำ ดอกไม้แทนค่าอะไรที่สวยงามเสมอนั่นแหละ

ถ้ายังรู้สึกอย่างนั้น ทำไมไม่คืนดีกันวะ

แล้วคนเป็นเมียน้อยจะรู้สึกยังไงบ้าง ที่เห็นคนที่นอนข้างกันทุกคืน แต่ตื่นเช้ามาก็เห็นเขารับช่อดอกไม้จากเมียเก่าทุกวัน ถือมาจัดเองกับมือตรงนี้ด้วยท่าทีเหม่อๆ หรืออาจจะเผลอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว...ทุกวัน

ถ้าเห็นภาพนี้ทุกวัน ทำไมไม่เลิกกัน ทนมาได้ยังไงนานขนาดนี้

ไม่ว่าจะคิดมุมไหนแม่งก็น่าเจ็บปวดไปหมดเลย กระอักกระอ่วนชิบหาย

มันเป็นอย่างที่พี่ทัชเคยบอกจริงๆ ความจริงบางอย่างอย่ารู้ดีกว่า ปล่อยให้มันเป็นความลับต่อไปเถอะ

“พี่คิดถึงพ่อเหรอคะ” มือบางๆ เข้ามาเกาะไหล่ผมจากด้านหลัง

นัชชา อย่าจู่โจมกูแบบนี้ กูหลอน

“เปล่า”

“พี่ร้องไห้”

อ้าว ไม่รู้ตัวเลย ตั้งแต่ตอนไหนวะ

“ใช่ซะที่ไหน” ผมเงยหน้ากะพริบตารัวๆ บังคับให้น้ำตาไหลย้อนกลับ แต่มันเอ่อขนาดนี้แล้วใช้หลังมือปาดเลยง่ายกว่า “ไม่ได้ร้อง พี่แพ้เกสรดอกไม้น่ะ”

“ตอนอยู่วัดหนูเห็นพี่ร้องกับพี่ทัชนะ ได้ยินพี่พูดด้วย”

“...” นัชชา อย่า

“ฟอร์มเยอะ แพ้เกสรไรล่ะ ตอนอยู่ร้านเห็นดมเรียงดอกบอกว่าขอเปิดซิงก่อนลูกค้า”

“...” น้าเกด ถ้าปากว่างมากก็ไปหาฟางมาเคี้ยวไป

“ฮัดชิ่ว” ผมจามแบบลวงโลก “แม่ใส่ดอกไรมาเนี่ย เหม็น สงสัยเพิ่งจะแพ้...แล้วไหนอะ น้านุช ชวนมากินข้าวไม่ใช่เหรอ หิว พยาธิผมก่อม็อบลามมาถึงหูรูดกระเพาะแล้ว”

“งั้นไปนั่งข้างในกันเถอะ มาค่ะคุณพี่” น้านุชเข้ามาแตะข้อศอกแม่ผม กึ่งจะประคองพาเดินทั้งที่แม่ยังเดินเหินเองได้

“ไปค่ะพี่ฝี” ส่วนผมก็ถูกน้องสาวเลือดผสมเกาะแขนพาเดิน ราวกับว่าผมเดินเองไม่เป็น

“มันแค่มุก โอเคปะ พี่ไม่ได้เป็นฝีจริง”

“เหรอคะ หนูนึกว่าจริงนะเนี่ย งั้นจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ”

“ก็เรียกนะฑีสุดหล่อ”

“หรือเรียกว่าพี่นะฑีตีกับหมา”

นั่นไง กูว่าแล้วต้องโดนตั้งฉายาอะไรหมาๆ แน่นอน แล้วคนที่เล่นกูก็ดันเป็นน้องสาวกูนี่เอง

“หยุดเลย อย่าไปพูดให้ใครฟังล่ะ เดี๋ยวจะลือกันเสียๆ หายๆ”

“ได้ค่ะ หนูจะเก็บไว้เรียกแบบนี้คนเดียว”

“แล้วแทนตัวเองว่าหนูนี่แอ๊บเด็กไปมั้ย เรียกตัวเองว่านัชก็พอมั้ง เราห่างกันแค่สองปี”

“ไม่เอา เรียกแบบนี้แหละ ก็หนูอยากมีพี่ชายมาตั้งนานแล้วนี่”

“ตามใจๆ”

“ขอขี่หลังได้มั้ยคะ”

“อายุสองขวบเหรอ”

“นะๆๆ”

“จะเต้นทำไม”

“ฮื่อ ขัดใจอะ นะๆๆ ขี่หลัง”

“เออๆ ไว้วันหลังละกัน วันนี้ไม่มีแรง ขอแดกข้าวก่อน”

“เย้”

เราเข้ามานั่งกันในห้อง VIP เรียบร้อย อาจจะไม่ถึงขั้นหรูหราหมาเห่า แต่เอาเป็นว่าของแต่ละอย่างดูดีมีสไตล์ ทั้งโต๊ะเก้าอี้ วอลล์เปเปอร์ จานชาม หรือแม้แต่ทัพพีตักข้าว

พนักงานทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟทีละอย่างสองอย่างจนผมเริ่มใจคอไม่ดี น้องกุ้งน้องปูมีแต่ไซส์อวบๆ ทั้งนั้น น้องหอยนี่ก็นอนเกยกันหน้าสลอนยั่วน้ำลายซะเหลือเกิน มีน้องกระพงนึ่งมะนาวด้วย! ไหนจะน้องปลาที่นอนแผ่อยู่ในอ่างหม้อไฟนั่นอีก

ก็ได้ เรื่องอดีตที่เคยๆ ขุ่นเคืองกันผมจะลืมไปก่อน

“นี่จ้ะ” ยังไม่ทันไร น้านุชก็ตักน้องกุ้งตัวเบ้อเริ่มใส่จานผม ตัวนี้ผมเล็งไว้อยู่แล้วด้วยนะ สงสัยจะบังเอิญ แต่ก็คันปากอยากถาม

“รู้ได้ไงว่าผมชอบกิน”

“พ่อเราพูดตลอดเลย”

อ๋อ เหรออออ~ อยากจะลากเสียง อ.อ่าง ให้ยาวถึงดาวอังคาร ถ้าจะขนาดนี้ไม่แกะด้วยเลยล่ะ ไม่รู้เหรอว่าผมไม่ชอบทำ ชอบกินอย่างเดียว

“เป็นอะไรรึเปล่า หรือว่าเดี๋ยวนี้ไม่ชอบกินแล้ว หรือ...ให้น้าแกะให้มั้ย” น้านุช จะจริงจังไปไหนเนี่ย นี่ผมพยายามปรับตัวให้เฮฮาแล้วนะ

“ขอบคุณครับ ไม่เป็นไร ผมแกะเองได้”

ผมใช้ส้อมถอดเสื้อผ้าแข็งๆ ของน้องกุ้งออก จนเหลือแต่เนื้อแน่นขาวอวบ ถ้าแม่ไม่ป่วยผมคงส่งเข้าปากตัวเองไปแล้ว

“นี่ครับแม่...อ่าว”

“ไม่ทันแล้วค่ะพี่ฝี” ในจานแม่มีกุ้งอยู่ตัวนึงแล้ว น้องสาวป้ายแดงย่นจมูกใส่ผมพร้อมกับวางกุ้งที่แกะเรียบร้อยเพิ่มลงไปอีกตัว “ช้าๆ อย่างพี่อะเก็บไว้กินเองเถอะ หนูดูแลป้าเอง”

“ได้ งั้นน้าเอาไป” ผมเลยวางกุ้งในจานน้านุชแทน

“อุ๊ย น้าตักให้นะฑีนะ ไม่ใช่ให้มาแกะให้น้า”

“นัชทำร้ายแม่ผมด้วยกุ้ง ผมก็จะทำร้ายน้าด้วยกุ้งเหมือนกัน”

“หนูกำลังจะทำร้ายป้าด้วยปูนะ แกะเรียบร้อย”

“งั้นน้าเจอเหนียงน้องกระพงหน่อยเป็นไง”

“สู้แก้มไอ้ช่อนได้เหรอ ไงล่ะ เน้นๆ”

“เฮ้ย นั่นพี่เล็งไว้แล้ว หยุดเลย”

“หนูเล็งก่อน”

ผมกับน้องข่มกันด้วยการตักอาหารใส่จานของแม่อีกคน ก่อนจะกลายเป็นสงครามแย่งยื้อกันตักของดีๆ จนผู้ใหญ่ทั้งสองเบรกกันวุ่นวาย แต่เราก็ไม่ฟัง มาหยุดชะงักเอาตอนที่น้าเกดพูดขึ้นนี่แหละ

“อยากโดนทำร้ายบ้างจังเฮ้ย”

“น้าอยากโดนเหรอ” ผมหันไปควานๆ ในหม้อไฟ แล้วตักตะไคร้ชิ้นเล็กๆ ให้ “อะ โดนมะ”

“เออ อันนี้ทำร้ายจริง...งั้นทำร้ายจริงบ้างดิ” ว่าแล้วน้าเกดก็ฉกกุ้งมาจากจานน้านุชหน้าตาเฉย

โห มารยาทน้าสาวผม ถ้าแรงกว่านี้คือยกน้ำแกงสาดหน้าแล้วมั้ย เล่นแบบนี้ก็อึ้งกันเป็นแถบดิ ขนาดผมยังนึกไม่ถึงเลยนะเนี่ย

“ทำไม แค่กุ้งตัวเดียวยังโดนทำร้ายไม่พอเหรอ” ยัง ยังจะไปฉกเพิ่มอีก

ผมจับมือน้าเกดไว้ “น้านุชรีบเอาปากรูดๆ ของในจานให้หมดเร็ว เดี๋ยวก็โดนแย่งมากกว่านี้หรอก”

อึ้งกันไปอีกรอบ

เรามองหน้ากัน...แล้วเสียงหัวเราะก็ดังครืนรอบโต๊ะ

คนที่เขาอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่รู้สึกกันอย่างนี้สินะ มีฉกชิง จิกตี แล้วก็หัวเราะกันแบบนี้…

วูบนึง ผมรู้สึกว่าครอบครัวที่ขาดๆ เกินๆ ของเราสมบูรณ์แบบอย่างประหลาด เกือบจะเหมือนครอบครัวพี่ทัชเลยละ ถ้าพ่อนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยจะเป็นยังไงนะ

อาจจะได้ยกน้ำแกงสาดหน้ากันจริงๆ เพราะผมคงจะโกรธพ่อจนตัวสั่น

แต่สมมติว่าผมไม่โกรธล่ะ

สมมติว่าผมอารมณ์เหมือนตอนนี้ และเราทั้งหมดนั่งกันอยู่พร้อมหน้า…

“นี่ค่ะ หนูทำร้าย” นัชชาตักบางอย่างที่ดูเละๆ แต่น่ากินให้ผม ทำให้สติผมกลับมา และตระหนักว่าเสียงหัวเราะซาลงแล้ว ทุกคนกำลังกิน ผมตักอะไรบางอย่างที่เละๆ พอกันคืนให้น้อง แล้วเริ่มตีสนิทกับน้องปลากระพงอย่างจริงจัง

เรากินกันไปเงียบๆ แต่ละคนดูเจริญอาหารน่าดู

จนสักพักน้านุชก็พูดทำลายความเงียบ

“เป็นไงบ้างคะคุณพี่ รสชาติแต่ละอย่างพอไหวมั้ย”

“ทำอร่อยเลยนะ แต่อันนี้ออกเค็มไปนิด ส่วนอันนี้พริกกับมะนาวยังไม่ถึง แต่ก็นิดเดียว”

“แล้วนะฑีกับน้าเกดล่ะ”

“ของฟรีอร่อยหมดแหละ” เป็นไงล่ะ น้าโผมมม แรงดีไม่มีตกจริงๆ คนนี้

“ส่วนผมก็…” ผมยักไหล่ “แม่ว่าไงผมก็ว่างั้น” ตอบแบบลูกกตัญญูไปก่อน ไม่รู้ว่าเจตนาที่แท้จริงของน้านุชคืออะไร ไม่แน่ใจด้วยว่าแม่ตอบจริงๆ หรือประชด

น้านุชยิ้มขำๆ ก่อนหันไปคุยกับแม่ต่อ “ที่นุชถามนี่คือ...เพราะคุณพี่เก่งเรื่องครัว นุชเลยอยากชวนให้มาดูแลร้านด้วยกัน”

ขึ้นเลย แม่ไม่ได้เป็นไข้หวัดนะโว้ย

“แม่ผมป่วยอยู่”

“น้ารู้ หมายถึงหลังจากที่หายป่วยแล้วสิ แล้วก็ไม่ได้จะให้มาทำครัวเอง แค่มาถ่ายทอดวิชาให้พวกแม่ครัวที่มีอยู่แล้วน่ะ คิดว่าเป็นบ้านอีกหลังก็ได้ นะฑีก็ด้วยนะ…”

พูดอะไรไม่รู้ ผมไม่ได้ยินแล้ว

หมายถึงหลังจากที่หายป่วยแล้วสิ

สติผมเริ่มเลือนๆ ตั้งแต่ตรงนี้แล้ว ผมชอบน้ำเสียงน้านุชตอนพูดประโยคนี้ มันฟังดูไม่ได้เสียดสีหรือประชด ไม่ได้พูดติดตลกเทียบโรคนี้กับไข้หวัด แต่...น้ำเสียงเป็นธรรมชาติ ดูมั่นใจจริงๆ ว่าแม่จะหายได้

ถึงไม่อยากยอมรับ แต่ผมก็ชอบน้ำเสียงแบบนี้จริงๆ จนผมรู้สึกนั่งต่อไม่ไหว

“เดี๋ยวมานะ”




**ต่อด้านล่าง**



หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 35) |▌22.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 22-03-2020 20:23:11


“อ้าว พี่ไปไหน”

ผมชี้ใส่ตูดแล้วเดินออกจากห้องVIP ตอนนี้มืดแล้ว มีลูกค้านั่งกันหลายโต๊ะ วงดนตรีสดเริ่มเล่นแล้วด้วย เล่นเพลงอะไรไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง

อยากฟังเพลงI Like Me Better ของLauv

ผมเดินเลี่ยงผู้คนไปแถวๆ บ่อปลาคาร์ฟ โต๊ะของแขกอยู่ถัดไปห่างพอสมควร แถมมีมุมมืดพอให้ซ่อนอะไรก็ตามที่ปรากฏทางสีหน้า แสงไฟในบ่อปลาล้อกับฟองอากาศวิบวับชวนให้ดราม่าดีจริงๆ ไม่ไหวละ โทรหาพี่ทัชดีกว่า

“ผมอยู่กับคนที่บ้าน” ผมพูดทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย

[อ้อ ก็ดีแล้ว]

“อยู่ร้านอาหาร”

[ฟังดูดี]

“ไม่ค่อยอะ...ไม่รู้ดิ แล้วพี่อยู่ไหน ดาวอังคารเหรอ เงียบไปเลยนะ”

[ตอนนี้อยู่แถวๆ ดาวเสาร์ กำลังจะเปิดระบบสกิปไดรฟ์วาร์ปไปกาแล็กซี่อื่นพอดี ดีนะที่โทรมาก่อน ไม่งั้นไม่มีสัญญาณ]

“ตลกเหรอ”

[พยายามอยู่...มึงอยู่ร้านไหน]

“ช่างมันเถอะ”

[ร้านไหน]

“ทำไม บอกแล้วจะมาเหรอ”

[ก็อาจจะ นี่มึงโอเครึเปล่า]

“พี่ พี่เคยโกรธนานๆ ปะ”

[เคย]

“ใคร”

[อย่ารู้เลย]

“ทำไมอะ ผมรู้ไม่ได้เหรอ ไม่สำคัญพอที่จะรู้เรื่องพี่ใช่ปะ”

[ถ้าบอกไปตอนนี้ มึงอาจจะหงุดหงิด]

“ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะพี่ลีลานี่แหละ ถ้าไม่บอกจะวางละ”

[บอกก็ได้]

“โกรธใคร”

[ผงฟอก]

“...” เอาซะไปไม่เป็นเลย ปรับอารมณ์ไม่ทันว่ะ “โกรธมันทำไม นานแค่ไหน”

[มันแทะรองเท้าคู่ใหม่ เลยงอนมันอยู่สองวัน]

“แล้วทำไงถึงหาย”

[ชอบทำตาน่าสงสาร เลยใจแข็งไม่ไหว ต้องลงไปฟัดกับมันอยู่ดี]

“พอมันทำดีด้วยหน่อยก็หายโกรธใช่มะ”

[อือ]

“งั้นคนกับหมาก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่อะดิ ทำดีนิดๆ หน่อยๆ ก็ควรหายโกรธแล้วงี้เหรอ”

[มึงโกรธใคร...หมายถึงพ่อเหรอ มึงไม่ควรเอาพ่อมาเปรียบเทียบกับผงฟอกนะ]

“ไม่ได้หมายถึงพ่อ”

[งั้นใคร กูเหรอ]

ไม่ใช่พ่อ เมียน้อยพ่อต่างหาก ผมเคยโกรธมาก แต่ทำไมตอนนี้ใจแม่งอ่อนยวบเป็นเทียนลนไฟเลยวะ นี่อาหารที่กูกินใส่น้ำมันพรายหรือคุณไสยอะไรหรือเปล่า ผมควรโกรธเมียน้อยพ่อต่อมั้ย ทำตัวไม่ถูกเว้ย

เหมือนตอนนี้ความโกรธจะย้อนเข้าตัวผมอีกต่างหาก ผมโกรธตัวเองที่ยังใช้คำว่า ‘เมียน้อย’ แทนที่จะเป็น ‘น้านุช’

[นะฑี อย่าเงียบ ยังอยู่รึเปล่า]

“ผมโกรธ”

[โกรธใคร]

“โกรธพี่แหละ” ไม่รู้จะไปลงที่ใคร ก็โยนขี้ให้พี่ทัชนี่แหละ “แค่นี้นะ ไปแดกข้าวละ”

[เอ้า เดี๋ยว…]

ตัดสายเรียบร้อย

ผมกลับเข้าไปข้างในแบบกรุ่นๆ จากอารมณ์ที่หลากหลายจนผมปั้นหน้าไม่ถูก แต่ก็พยายามยิ้มหัวเราะเข้าไว้ มีปล่อยมุกแป้กด้วยอีกสองสามมุก คนอื่นๆ กินกันเกือบอิ่มแล้ว ผมเลยเร่งสปีดตามจนทัน

สักพักนึงเราก็กินกันเสร็จ

น้านุชให้เราเลือกเมนูของหวาน ก่อนจะบอกให้เด็กเสิร์ฟมาช่วยกันเคลียร์โต๊ะ ระหว่างนี้ทุกคนก็คุยสัพเพเหระกัน ผู้ใหญ่ทั้งสามคนคุยกันเรื่องร้านอาหารและร้านดอกไม้ โดยมีนัชชาคอยสอดแทรกประจบประแจงแม่ผมอยู่ ส่วนผมยังนั่งเงียบ จัดการกับอารมณ์ตัวเองต่อไป

ของหวานเริ่มมาเสิร์ฟแล้ว เออ มาซะที ปากจะได้ไม่ว่าง

ของคนอื่นได้กันหมดแล้ว แต่ทำไมบัวลอยของผมยังไม่…

“ไข่หวาน” ถ้วยใบเล็กวางลงตรงหน้าผม

“หืม?” ผมหันขวับ “พี่ทัช!”

“อะไร บัวลอยไข่หวานตามที่สั่งไง”

“พี่มาได้ไงเนี่ย”

“บอกแล้วไง เปิดวาร์ปมา” เขายิ้มอ่อน ก่อนจะหันไปสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสามคนแบบเรียงตัว นัชชารอจนถึงคิวสุดท้ายแล้วค่อยยกมือไหว้

“สวัสดีค่ะพี่ทัช ว่าแล้ว ทำไมพนักงานที่ร้านหล่อจัง”

“พี่มาถูกได้ไง” ผมถามย้ำ

“หนูบอกเองค่ะ”

“เอ้า ตั้งแต่ตอนไหน”

“ตอนพี่นะฑีไปขี้”

“นัชชา” เพียะ! นัชชาเจอฝ่ามือแม่ตัวเองฟาดที่ไหล่เบาๆ คนเป็นแม่ดูจะซีเรียส แต่แม่ผมกับน้าเกดเห็นเป็นเรื่องขำ คงไม่นึกว่าน้องสาวกับพี่ชายจะเหมือนกันขนาดนี้

ผมหันกลับไปมองพี่ทัช “แล้วพี่มาทำไม”

“ก็มาดูหน่อย ได้ข่าวว่าคนแถวนี้โกรธ”

“พี่นะฑีโกรธพี่ทัชเหรอ” นัชชาพูด

“อ้าว นะฑีไปโกรธอะไรพี่เขาล่ะ” แม่ผมถาม

“แปลกนะ ทัชน่าจะโกรธนะฑีมากกว่า อย่างนะฑีนี่ยั่วโมโหคนได้ทุกห้านาทีอยู่แล้ว” น้าเกดใส่ไฟตามทันที “แล้วทัชกินมารึยัง นั่งก่อนๆ”

“ใช่ นั่งก่อน เดี๋ยวน้าเรียกเด็กมารับออร์เดอร์”

“อย่าเพิ่งนั่ง” ผมลุกพรวดขึ้น “ขอตัวแป๊บนึงนะครับทุกคน พี่ มานี่ดิ๊”

“อยากนั่งนะครับ แต่มีคนโกรธอยู่”

ถูกลากตัวออกมายังเอี้ยวคอไปคุยกับคนอื่นอีกนะ ฟังจากน้ำเสียงนี่สีหน้าคงจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แน่ๆ จะโกรธจริงแล้วนะเว้ย เห็นเป็นเรื่องตลกเหรอ

ผมลากเขาออกมาถึงลานจอดรถ สะบัดมือออกแรงๆ เหมือนฉากดราม่าในละคร

“อะไรของพี่เนี่ย”

“ไปคุยในรถดีกว่า เมื่อย” พี่ทัชหมุนตัวเดินชิลล์ๆ ไปที่มินิคูเปอร์ของเขาที่จอดอยู่ห่างไปสามสี่ก้าว

มีทางเลือกไรล่ะ ผมก็ตามเข้าไปนั่งในรถดิ

“พี่เปลี่ยนอาชีพเป็นเด็กเสิร์ฟแล้วเหรอ แล้วพี่มาจากไหน ทำไมมาเร็วขนาดนี้ มาถูกได้ไง แล้วยังจะมาทำแบบนั้นต่อหน้าแม่ผมอีก สนุกเหรอ อะไรของพี่วะ”

“ให้กูตอบคำถามไหนก่อน”

“ก็ตอบมาดิ” ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไร ทำตัวไม่ถูกตั้งแต่ที่โต๊ะอาหารแล้ว แล้วพี่ทัชยังโผล่มาไม่บอกไม่กล่าวอีก “รถพี่มียาพารามะ หรือยากันยุงยาฆ่าหญ้าไรก็ได้ ที่แดกแล้วหัวโล่งๆ อะ”

“ใจเย็นๆ หายใจลึกๆ”

“มียามั้ย”

“ไม่มี”

เออ งั้นก็ทำได้แค่หายใจลึกๆ นั่นแหละ

พี่ทัชหันมามองผมตรงๆ รอยยิ้มของเขาผุดขึ้นท่ามกลางความมืดสลัวในรถ แสงจางๆ จากไฟบริเวณหน้าร้านสาดทาบที่กระจกรถ ทำให้มองเห็นประกายวิบวับในดวงตาเขา

“คำตอบแรก กูเห็นเด็กเสิร์ฟกำลังเข้าไปเสิร์ฟพอดี เลยถามว่าถ้วยไหนของมึง กูจะได้เสิร์ฟเอง”

“...”

“คำตอบที่สอง ที่มาเร็วเพราะกูมาคุยงานที่บ้านเพื่อนแถวนี้พอดี”

“...”

“คำตอบที่สาม ที่มาถูกเพราะกูถามน้องนัชชา”

“ไปรู้จักกันสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“กูควรทำความรู้จักคนที่สำคัญๆ รอบตัวมึงไว้ จริงมั้ย ก็เหมือนที่มึงรู้จักเจ๊ณเทอ”

“แล้ว…”

“แล้วทำไมพูดแบบนั้นต่อหน้าแม่น่ะเหรอ แบบไหนล่ะ”

“ก็...แบบที่จะทำให้แม่กับคนอื่นๆ เข้าใจผิดอะ”

“เข้าใจผิดว่าไง” เสียงก็นุ่มๆ ทำไมรู้สึกกดดันวะ

“ก็เข้าใจผิดว่า...เราเป็นไรกันไง พี่ทำอย่างกับจะมาง้อแบบคนที่คบกัน”

“งั้นมีแต่มึงแหละที่เข้าใจผิด”

“ฮะ?”

“คนอื่นเข้าใจถูกแล้ว”

“อะ…”

อะไรนะ!

สมองไม่แปลความแล้ว หัวใจจะระเบิด อะไรของเขาวะ

“มึงกำลังช็อกหรือเป็นอะไร”

“บ้า ช็อกไร ปกติ”

“หน้าอย่างกับเห็นผี”

“เออ สงสัยผี ผมเห็นเงาแวบๆ อยู่นอกรถเมื่อกี้อะ”

“นะฑี” อย่า อย่าเรียกเสียงนุ่มได้มั้ย~ “โกรธกูเรื่องไร”

“โกรธไร เปล่าซะหน่อย”

“มึงบอกทางโทรศัพท์ว่าโกรธ”

“ผมก็พูดไปงั้นอะ”

“สรุปคือโกหก มาใกล้ๆ ซิ”

“อะไร ไม่เอา”

“มาให้กูดูหน้าคนขี้โกหกใกล้ๆ หน่อย”

มันจะดูถูกกันเกินไปแล้ว คนอย่างนะฑีไม่กลัวใครนะเว้ย ผมเลยโน้มตัวข้ามคันเกียร์ไปใกล้เขา ใกล้จนให้รู้ว่านี่คือการประชด

“เอ้า ดูซะให้เต็มตา ทำไม พี่มีปัญหาอะ…”

หมับ

มือซ้ายของเขาจับที่ต้นคอผม ไม่ใช่การเคลื่อนไหวรวดเร็วอะไร แต่ผมก็สะดุ้ง ตามด้วยความรู้สึกเหมือนร่วงลงไปในเหวเมื่อเขาประกบริมฝีปากเข้ามา

เขาจูบผมอีกแล้ว

มันเกิดขึ้นอยู่ราวๆ สิบวินาทีหรืออาจจะนานกว่านั้น ก่อนเขาจะผละออก

“กูไม่เคยพูดอะไรกับมึงไปงั้นๆ”

“...” ผมดึงตัวกลับมานั่งห่อตัวอยู่ที่เบาะฝั่งตัวเอง ก้มหน้า เม้มริมฝีปากไว้

“แล้วนี่ก็ไม่ใช่จูบแบบงั้นๆ”

“...” อือ รู้ๆ “ทะ...ทำไม”

“กูอุฟุฟวยมึงไง หรือต้องให้กูพูดตรงๆ”

“ไม่ต้อง” อุฟุฟวยลวยชวยช่วยด้วยยย

“เอาเข้าจริงมึงนี่ขี้เขินเหมือนกันนะ แล้วก็ยังจูบไม่เป็นเหมือนเดิม”

“...” เชี่ย พี่ทัช เอาเข้าจริงพี่แม่งร้ายโคตร นี่มันลบเหลี่ยมกันเกินไปแล้วนะเว้ย ผมกำลังงงๆ กับเรื่องครอบครัวอยู่ต่างหาก ถ้าตั้งหลักได้เมื่อไหร่จะล่อให้ปากเจ่อเลย คอยดู

“นะฑี”

“ผมเครียดเรื่องครอบครัวอยู่”

“เครียดหรือเขิน”

“ก็บอกแล้วไง ปวดหัวเนี่ย” นวดขมับโชว์ “ถามว่ามียามั้ย”

“กูบอกแล้วว่าไมมี” เสียงพี่ทัชจริงจังขึ้นเล็กน้อย “อยากกลับเข้าข้างในมั้ย”

“ไม่ค่อยอยาก” คือไม่อยากเอาหน้าไปเจอใครตอนนี้ หน้าแม่งร้อนไปหมด

“ไม่ทันละ นั่นออกมากันพอดี” ว่าแล้วพี่ทัชก็เปิดประตูลงไป

ผมเปิดประตูก้าวลงตาม แอบสูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยเดินตีคู่พี่ทัชเข้าไปสมทบกับทุกคนที่เดินออกมา

“อ้าว ผมกำลังจะเข้าไปซดบัวลอยเลยนะเนี่ย” ฟอร์มทำเสียงร่าเริงไว้ก่อน หวังว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติของผมนะ

“เรากลับกันดีกว่า ลูกค้าเริ่มเยอะแล้ว น้านุชกับน้องจะได้ดูแลร้านกันต่อ” แม่บอก

“น้าห่อบัวลอยให้แล้ว มีของอื่นๆ ที่นะฑีน่าจะชอบด้วยนะ” น้านุชว่า ดูจากที่น้าเกดกับแม่หอบหิ้วอยู่ก็เยอะจริงๆ และถ้าผมไม่พูดอะไรก็คงจะเสียมายาทน่าดู

“ต้องงี้ดิน้า ขอบคุณครับ”

“พี่นะฑีเป็นอะไร ทำหน้าแปลกๆ”

นั่นไง นัชชา อย่าจุดประเด็นดิวะ

“ไม่มีไร ออกมาข้างนอกแล้วมันร้อน”

“ร้อนเหรอ อากาศออกจะเย็น”

“พี่เป็นคนขี้ร้อนไงนัช เคนะ...แล้วเรากลับกันเลยใช่ปะแม่ น้าเกด งั้นก็กลับดิ รออะไรกันอีกรึเปล่า”

“กลับตอนนี้แหละ” แม่พูดแล้วหันไปหาน้านุช “ไว้ว่างๆ ไปเยี่ยมร้านดอกไม้บ้างนะ”

“ค่ะพี่ กลับกันดีๆ นะ”

จากนั้นเราก็ต่างไหว้ร่ำลากัน น้านุชกับนัชชากลับเข้าข้างในไป เหลือเรายืนกันอยู่สี่คน แล้วก็เป็นแม่อีกที่พูดกับพี่ทัช

“แล้วนี่ทัชมายังไงนะ”

“พอดีมาทำงานบ้านเพื่อนแถวนี้ครับ น้องนัชบอกว่าอยู่นี่กัน ผมเลยแวะเข้ามา”

“อ๋อ ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันเลยนะ ก็ต้องกลับซะแล้ว”

“งั้นผมขับรถไปส่งนะฑีนะครับ”

“จะดีเหรอ ไกลนะ”

“ผมมีเรื่องจะคุยกับนะฑีด้วยครับ”

“อ๋อ”

“คุณแม่อนุญาตใช่มั้ยครับ” พี่ทัช เอาอีกแล้ว อย่าพูดแบบนี้ดิเฮ้ย

“อนุญาตสิ ทำไมเหรอ”

“ขอบคุณครับ”

“จะไปส่งถึงบ้านมั้ยเนี่ย” น้าเกดก็อีกคน อะไรเนี่ย ระแคะระคายแล้วใช่มั้ย

“ถึงแน่นอนครับ รับรอง”

“น้าห่วงว่านะฑีจะพาทัชเถลไถลน่ะสิ ถ้านะฑีดื้อมากน้าอนุญาตให้จับมัดแขนมัดขายัดใส่ท้ายรถได้เลยนะ”

“ครับ ท้ายรถมีเชือกอยู่พอดี”

“ฮ่าๆ ไป กลับบ้านๆ”

คุยกันสนุกปากเลยนะ นี่คือมุกแบบผู้ดีใช่มะ หยอดน้อยๆ พองามอะไรแบบนี้ แต่ก็เกรงใจคนที่ตกเป็นเป้าหน่อยมั้ย ยืนอ้ำอึ้งอยู่นี่ ตอนนี้ไม่ต้องแดกยาอะไรทั้งนั้น หัวโล่งไปหมดแล้ว แค่จะปล่อยสักมุกมากลบเกลื่อนสถานการณ์ก็ยังทำไม่ได้

น้าเกดกับแม่ขึ้นรถและขับออกไปแล้ว

ผมกับพี่ทัชกลับเข้ามาอยู่ในมินิคูเปอร์อีกครั้ง

“พี่มีเรื่องจะคุยอะไรกับผม ยังไม่คุยนะ ปวดหัว” ไม่ได้ปวดหรอก แต่ยังไม่พร้อม “ฟังเพลงดีกว่า ขอฟังI Like Me Better นะ”

“ถ้าฟังเพลงนี้ไม่ต้องคุยอะไรแล้วก็ได้”

“หืม?”

“เพราะเนื้อเพลงพูดแทนกูแล้ว” พี่ทัชพูดเสียงนุ่มๆ แล้วขับรถออกไปนิ่มๆ “ก้มหน้า เป็นไร ปวดหัวเหรอ”

“อือ”

“หรือเขิน”

ถ้าจะจี้ขนาดนี้ละก็...

“เออ เขินก็เขิน พี่หุบตูดได้แล้ว ผมจะฟังเพลง”








______________________

คิดถึงมากเลยค่ะ TT รักษาสุขภาพให้มากๆนะคะ โนโควิด โนโคม่าค่า
(เหมือนเดิม)ฝากแฮชแท็กไว้ด้วยนะคะ อิอิ #ณTouch
แชร์ความเห็นผ่านแท็กได้ตลอดเลยค่า อยากเก็บความรู้สึกดีๆไว้ที่เดียวกันน 3

นางร้าย
22.มีนา.2020

หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 35) |▌22.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-03-2020 21:30:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 35) |▌22.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-03-2020 23:53:38
มันก็แปลกอย่างที่นะฑีรู้สึกแหละ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 35) |▌22.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 23-03-2020 14:46:19
หายโกรธแล้วเนอะนะฑี
แต่ก็ยังอยากรู้ปมเรื่องพ่อ แม่ น้านุช อยู่นะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 35) |▌22.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 23-03-2020 22:31:00
นะฑีลูกกกกกก
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 35) |▌22.มีนา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 24-03-2020 23:12:52
ไม่โกรธแล้วเนอะ จูบง้อแล้วว เป็นไงล่ะไอ้ตัวเด่! เขินเบลอไปไม่เป็นเลย พี่ทัชคนจริง!   :laugh:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 36) |▌3.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 03-04-2020 23:15:18


แตะต้องครั้งที่36[/u]

จับบบ…หิวข้าวตามัวแถลงมั่วอย่างเป็นทางการโอ๊ยรำคาญใครๆ ก็อุฟุฟวย
[/b]



ท้องฟ้าเป็นสีชมพู

ไม่ใช่อินเลิฟนะ หิวข้าว! ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เที่ยง เลยหน้ามืดจะเป็นลม เห็นท้องฟ้าสีส้มๆ ยามเย็นกลายเป็นสีชมพูไปแล้ว ที่ไม่กินข้าวเพราะล้างท้องไว้รอบุฟเฟ่ต์ชาบูโดยเฉพาะเลย แล้วที่ต้องมาฟาดบุฟเฟ่ต์นี่ก็เพราะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีล้วนๆ

เหตุมันเกิดจากช่วงนี้คุยจิ๊จ๊ะกับพี่ทัชบ่อยมาก มีอยู่ตอนนึงไม่รู้คุยกันอีท่าไหนผลสุดท้ายถึงมาเป็นแบบนี้

ขอย้อนอ่านแชตแป๊บ



NaTee(n): คถ

NATOUCH: อะไร

NaTee(n): มันเป็นตัวย่อ

NATOUCH: ตัวย่อทำไมไม่มีจุด

NaTee(n): ขี้เกียจใส่

NATOUCH: อืม ไม่แปลกใจ

NaTee(n): นี่ด่าใช่มั้ย

NATOUCH: คิดว่าไงล่ะ

NaTee(n): โอ๊ย เอ้า ใส่ให้

NaTee(n): ค.ถ.

NATOUCH: แปลว่า?

NaTee(n): ค.ว.ย.

NATOUCH: อะไรอีก

NaTee(n): คิดวิเคราะห์แยกแยะ

NATOUCH: แล้ว ค.ถ. คือ?

NaTee(n): ก็ให้คิดวิเคราะห์แยกแยะเอาไง

NaTee(n): นี่พี่ได้เกรด3.92 จริงปะ ของง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้

NATOUCH: ก็แค่คำง่ายๆ จะย่อทำไม

NATOUCH: ถ้าพิมพ์ยาวๆ แบบนี้ค่อยย่อ

NATOUCH: จ.บ.ค.ถ.ก.บ.ม.ท.ม.ต.ย.

NaTee(n): โห อะไรวะนั่น

NATOUCH: ย่อมาจาก ‘จะบอกคิดถึงก็บอกมาทำไมต้องย่อ’

NaTee(n): ไม่เล่นละ เบื่อ

NATOUCH: เบื่อหรือเขิน

NaTee(n): ผมเนี่ยนะเขิน

NaTee(n): รู้จักคนอย่างนะฑีน้อยไปแล้ว

NATOUCH: ก็คิดว่ารู้จักพอสมควรนะ

NATOUCH: อย่างน้อยก็รู้ว่าตอนนี้มึงเขิน

NaTee(n): ไม่ได้เขินเว้ยยยย

NaTee(n): เลิกแซวเรื่องนี้ได้ละ

NATOUCH: ก็มึงเขินจริง

NaTee(n): บอก

NaTee(n): ว่า

NaTee(n): ไม่

NaTee(n): ได้

NaTee(n): เขิน

NaTee(n): ไง!

NATOUCH: อือ ไม่เขินก็ไม่เขิน

NaTee(n): ทำไงถึงจะเชื่อ ให้ยืนตะโกนกลางมหา’ลัยเลยมั้ย

NATOUCH: มึงไม่กล้าหรอก

NaTee(n): นี่ใคร นะฑีนะ

NATOUCH: แค่จะบอกเพื่อนสนิทยังไม่กล้าเลยมั้ง

NaTee(n): นัดพวกมันเลย!

NaTee(n): บอกให้มันแคะหูมาด้วย

NATOUCH: ได้



นั่นละครับท่านผู้ชม หวังว่าจะเป็นการคุยข่มกันเล่นๆ แต่พี่ทัชดันเป็นคนจริงซะงั้น จัดการนัดทุกคนมารวมพลกันที่ร้านHappy Shabu วันนี้ แล้วคนอย่างผมคือแบบ...เสียท่าไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ จะปฏิเสธยังไงวะ แกล้งเมาน้ำชาแล้วทำเป็นลืมได้มั้ยวะ

ผมกับพี่ทัชมาถึงก่อนเวลา เราเลยเดินเล่นกันพลางๆ

โอเค ยอมรับก็ได้ว่าแม่งเขินชิบหาย เมื่อก่อนเดินคู่กันแทบจะขี่คอเขาเล่นอยู่แล้วยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร ทำไมตอนนี้ถึงเกิดอาการขนลุกซู่ซ่าตลอดเวลา

เพราะแววตาเข้มๆ ลุ่มลึกนั่นเหรอ

หรือเพราะหน้าที่โคตรหล่อ

หรือเพราะแผ่นหลังกว้างๆ

หรือจะเพราะอะไรก็ตาม มันไม่เกี่ยวกับนิ้ววิเศษของเขาเลย ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าพี่ทัชมีพลังเอกซ์เมนรีดเค้นความจริงได้เพียงแค่ใช้ปลายนิ้ว ทำไมอยู่ดีๆ เรื่องนี้ถึงดูพิเศษน้อยกว่ารอยยิ้มธรรมดาๆ ของเขาวะ

“ไปร้านหนังสือมั้ย” ผมถาม

“ไม่สบายรึเปล่า”

“อะไรล่ะ สบายดี”

“ก็เห็นมึงชวนไปร้านหนังสือ”

“เอ้า...นี่หลอกด่าอีกแล้วใช่มะ”

“ก็มึงไม่อ่านหนังสือ”

“อ่านดิ ไม่อ่านจะชวนเหรอ” ผมก็ไม่ชอบอ่านอยู่ดีนั่นแหละ แต่ชวนไปเพราะรู้ว่าพี่ทัชชอบ ให้เขาไปโฟกัสกับหนังสือฆ่าเวลา แววตาเข้มๆ นั่นจะได้เลิกพุ่งเป้ามาที่ผมแบบนี้ซะที

“งั้นก็ไปดิ”

เราเข้ามาในร้านหนังสือแล้ว แต่แทนที่พี่ทัชจะแยกตัวไปดูหนังสือที่ชอบ อย่างพวกปรัชญา กวี หรืออะไรก็ตาม เขากลับเดินเอามือล้วงกระเป๋าตามหลังผม

“พจนานุกรม” ทำไมต้องพูดใกล้หูขนาดนี้วะ ผมพลิกหน้าปกหนังสือในมือตัวเองดู เพิ่งตระหนักว่ามันคือพจนานุกรมภาษาอังกฤษ

“แล้วไง”

“มึงอ่านหน้าเดิมนานแล้ว”

“ไม่รีบอะ เป็นคนใจเย็น”

“ใครอ่านพจนานุกรมกัน เขามีไว้ค้น”

“คนฉลาดอ่านไรก็ได้หมดแหละ แล้วนี่พี่เป็นลูกเป็ดเหรอ ตามผมต้อยๆ ขนาดนี้”

“มึงเป็นแม่เป็ดเหรอ”

“กวนตีน แค่เปรียบเทียบมั้ย...แล้วทำไมต้องยืนใกล้ขนาดนี้ ถอยหน่อย” ผมเอาพจนานุกรมดันหน้าอกเขา แต่เขาขืนตัวไว้

“ขยับหลบคนไม่เห็นเหรอ”

“อ้อ” มีคนจะเดินแทรกผ่านหลังพี่ทัช แต่กูหน้ามืดตามัวไปหมดละ มองไม่เห็นอะไรแล้ว “แล้วไม่ไปหาไรอ่านอะ ไปดิ”

“กูหาเจอแล้ว”

“อะไร”

“อะไรที่น่าอ่านไง”

ไม่ใช่พจนานุกรมเล่มนี้แน่ๆ

สายตาแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะเล่นมุกเปรียบเทียบอ่านคนเหมือนอ่านหนังสือ อย่าพูดออกมานะเว้ย แค่นึกก็จั๊กจี้แล้ว

พี่ทัชไม่พูด และสายตากำลังอ่านผมอยู่

“มึงหลบดิ กูจะหยิบหนังสือเล่มนี้”

เอ่า เวรกรรม คือเขาเจอหนังสือที่น่าสนใจจริงๆ?

ไอ้ที่คิดเปรียบเทียบว่าเขาจะอ่านผมเหมือนอ่านหนังสืออะไรนี่ คือผมเพ้อเจ้อไปเองล้วนๆ ช้ะ?

“งั้นก็อ่านไป” ผมเบี่ยงตัวหลบ “พวกนั้นมายังวะ หิวไส้จะขาดละ” ผมเก็บพจนานุกรมคืนชั้น ควักมือถือมาโทรหาเจษ ปรากฏว่าพวกนั้นอยู่ที่ร้านแล้ว เสียงคุยที่แทรกเข้ามานี่คือกำลังสั่งเนื้อกันรัวๆ เลย “อ้าว นิสัย มาถึงนานแล้วทำไมไม่บอกวะ”

[บอกแล้ว] คนที่พูดตอบมากลับเป็นเปิ้ล ผมนึกภาพออกเลยว่าเปิ้ลแย่งมือถือเจษไปคุยยังไง [แหกตาดูแชตด้วย ทั้งคู่เลย รีบไสตูดมาได้แล้ว]

ผมรีบพาพี่ทัชไสตูดไปตามเสียงเรียกร้อง

ตอนเราไปถึง พวกกุ้งไก่สไลด์เนื้อก็ลงไปดำผุดดำว่ายกันอยู่ในหม้อกันแล้ว บางคนกินไปก่อนแล้วด้วย โดยเฉพาะพี่เห็ดนี่เคี้ยวคาปากเห็นๆ

อ้อ สมาชิกที่มาพร้อมหน้ากันวันนี้ นอกจากผมกับพี่ทัชแล้วก็มีรายนามดังต่อไปนี้ พี่เห็ด เจษฎา โอเปิ้ล และมีน้องสาวป้ายแดงของผมติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกคน ขาดเจ๊แคลไปคนนึง ก็อย่างที่รู้ๆ กัน เจ๊เคยมีบาดแผลทางใจกับพี่เห็ด ถึงในงานศพพ่อผมเห็นสองคนนี้คุยกันแล้วก็เถอะ แต่ร้านนี้มีความหลังกับทั้งคู่ งั้นอย่าเพิ่งให้มาเจอกันดีกว่า

หลังจากทุกคนทักทายกันด้วยมารยาทอันงาม เปิ้ลก็ถามว่า “ทำไรอยู่ถึงช้าวะนะฑี ขี้เหรอ”

“เปิ้ล” ผมพูดเสียงเบา “เดี๋ยวโต๊ะข้างๆ ก็ลุกมาเอาเบค่อนฟาดหน้าหรอก นี่ร้านอาหารนะมึง”

“ก็เห็นมึงมีปัญหากับท้องไส้ตลอด ถ้าหายไปนานๆ นี่คือไปขี้ ใช่มั้ยเจษ”

“ใช่”

“ถ้ามึงพูดคำนั้นอีกครั้งเดียว กูจับมึงกดหัวกับหม้อจริงๆ นะ เจษ มึงก็ด้วย หุบปากไปเลย”

“พี่นะฑีอย่าว่า นี่พี่รหัสหนู”

“จ้ะ น้องสาว...นั่งๆ พี่ทัช หิว” เราสองคนนั่งลงข้างกัน พี่ทัชสั่งชาร้อนเหมือนครั้งก่อนโน้น แต่คราวนี้ผมไม่เอาด้วยแล้ว ขอชาเย็นเท่านั้น

เข้าใจนะว่าพี่เห็ดอาจจะยังเฮิร์ท แกเลยเน้นกินไม่เน้นคุย แต่ไม่ได้ยินเสียงแกแล้ว เหมือนเหงือกผมจะคันยิบๆ จนอยู่เฉยไม่ได้

“อ้าวเฮ้ย นี่พี่เห็ดก็มาเหรอ แหม เคี้ยวเต็มปากไม่พูดไม่จาเลยนะ ไม่มีใครทำบุญให้นานแล้วอะดิ”

“กูก็ว่าจะไม่พูดแล้วนะ แล้วมึงอะใครกรวดน้ำให้ เคยปากเท่ารูเข็มไม่ใช่เหรอ หายได้ไง”

“ยังปากบางแก้วเหมือนเดิมนะพี่ แต่ไม่เถียงด้วยแล้วนะ จะกินละ หิว”

“เออ แดกซะ จะได้เงียบ”

เรากินกันไปเงียบๆ จริงๆ นั่นแหละ ทั้งที่มีคนปากหมาอยู่นี่ถึงสามคน

ผมน่ะเงียบเพราะมีความลับและพยายามตีมึนทำเป็นลืมๆ อยู่ พี่เห็ดน่าจะเงียบเพราะยังเจ็บปวดในทรวงเรื่องเจ๊แคล ส่วนเปิ้ลไม่รู้เงียบเพราะอะไร กลายเป็นว่าคนชวนคุยเยอะสุดคือนัชชา แต่ทุกคนก็แทบจะถามคำตอบคำอยู่แล้ว

หรือว่าพวกนี้รู้เรื่องกันหมดแล้ววะ เลยทำเป็นเงียบเพื่ออำผมอยู่แล้วค่อยหัวเราะเยาะทีหลังว่าผมป๊อด หันไปดูพี่ทัช เขาก็สีหน้าเรียบๆ ตามแบบฉบับของเขา แต่สีหน้าแบบนี้แหละ เห็นแล้วกดดันโคตร

เอาวะ แม่ง

ผมซดน้ำชาย้อมใจ รอจังหวะเหมาะๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหมาะจริงมั้ย แล้วใช้ตะเกียบเคาะ

แก๊งๆ แก๊งๆ

“มีเรื่องประกาศ” ผมพูดเสียงเบา

“ทำไม ต้องกลับอบายภูมิแล้วเหรอ” พี่เห็ด อย่าเพิ่งกวนตอนนี้ได้มั้ยวะ

“เรื่องใหญ่กว่านั้น”

เท่านั้นแหละ บรรยากาศเปลี่ยนทันที สีหน้าแต่ละคนจริงจังขึ้นโดยเฉพาะนัชชา คงจะคิดว่าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับอาการของแม่ผมแน่ๆ

ผมยืดอกขึ้น “เราสองคน” ชี้นิ้วใส่ตัวเองกับพี่ทัช “ตอนนี้...อุฟุฟวยกันแล้ว”

“อะไรฟวยๆ นะ” คราวนี้เป็นเปิ้ลถาม

“อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส”

“คือห่าอะไรวะนั่น” พี่เห็ดอะเกน

“เรารู้” เจษยกมือเสมอหู ทุกคนหันไปมองกันหมด “เดี๋ยวนะ…”

โอเคเจษ มึงเสิร์ชไป ทุกคนรออยู่

“เจอแล้ว นี่ไงบทความ คือมันมาจากคลิปดังในยูทูบจนเป็นไวรัลอยู่พักนึง เป็นชื่อของผู้ชายคนนึงที่ถูกสัมภาษณ์เรื่องบ้านพังๆ ของเขา เขาต้องพูดชื่อตัวเองซ้ำๆ เพราะมันยาวมาก จนคนสัมภาษณ์ยอมแพ้ปิดกล้องไปเลย แต่คลิปนี้คือการแสดงนะ ความจริงแล้วผู้ชายในคลิปชื่อDavid Igwe เป็นนักแสดงตลกและยูทูบเบอร์ชาวไนจีเรีย”

แน่นเปรี๊ยะ ขอบคุณครับเจษ

“มึงจะรู้ละเอียดขนาดนี้ไปเพื่อไรเนี่ย” พี่เห็ดถาม

“ก็…” เจษยักไหล่ “ประดับสมองครับ”

“ฟวยๆ ไรนะ พูดอีกทีซิ” พี่เห็ดหันมาทางผม

“อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส” โคตรภูมิใจเลยที่พูดได้เหมือนเดิมเป๊ะ นี่ฝึกอยู่สองวันนะถึงจะไหลลื่นแบบนี้

“แล้วจะสื่อว่าอะไรวะ มึงกับไอ้ทัชเป็นฟวยอะไร”

“นะฑีจะสื่อว่า เราตกลงคบกันน่ะ”

พี่ทัช!

เงียบๆ อยู่แบบเดิมก็ดีแล้ว บทจะพูดขึ้นมานี่ก็เอาซะตรงเลย อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณขอให้ตั้งหลักปรับสีหน้าหน่อยได้มั้ย แล้วเป็นไงล่ะ อึ้งทึ่งเสียวกันไปหมด

เอ๊ะ หรือว่าไม่ถึงกับอึ้งขนาดนั้น เหมือนจะมีแค่ผมนี่แหละอึ้งสุด

“ว่าแล้ว” หลังจากเงียบกันไปนานเปิ้ลคือคนแรกที่พูด น้ำเสียงเหมือนสังเวช

“ไรเปิ้ล”

“สงสารพี่ทัชน่ะ...พี่ทัช ถ้ามีพระเครื่องหรือของดีอะไรก็พกติดตัวบ้างนะ ต่อไปพี่ดวงตกรัวๆ แน่”

“ขอบคุณนะโอเปิ้ล พี่จะลองหาๆ ดู”

เอ้า ไปรับมุกมันทำไม เดี๋ยวฟาดเลย

“เฮ้ย” พี่เห็ดเหมือนเพิ่งตั้งสติได้ “ไอ้ทัช เรื่องจริงเหรอวะ”

พี่ทัชแค่มองด้วยหางตา คล้ายจะสื่อว่าถามอะไรไม่คิดหรือสื่อว่าอะไรก็ตามเถอะ แต่พี่เห็ดขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเอื้อนภาษาดอกไม้ออกมา

“ชิบหายแล้วมั้ยล่ะมึง คบกับ…” พี่เห็ดผายมือใส่ผมเหมือนไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย “เนี่ยนะ มึงไม่ได้ตกบันไดหัวกระแทกอะไรงี้ใช่มั้ย”

พี่ทัชยังไม่ตอบ พี่เห็ดเลยหันมาหาผม “มึงใช้น้ำมันพรายใช่ปะ”

ผมยืดอก “ระดับนี้อะ แค่ขยิบตาก็พอแล้ว”

ดอกนี้ทำเอาพี่ทัชขำนิดๆ

“เฮ้ยทัช เอาดีๆ กูขอเหตุผล”

“เรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผลหรอก” เฉียบไปอีก สงสัยผมต้องอ่านปรัชญาบ้าง

“ไม่มีสักนิดเลยเหรอวะ อะไรก็ได้ ที่ทำให้กูเข้าใจง่ายขึ้น”

“นะฑีพูดเยอะ ฟังๆ ไปก็เพลินดี”

นี่หรือคือเหตุผล!

“เพราะผมพูดเยอะเนี่ยนะ” ผมแทบจะลุกขึ้นยืน “นี่คือคำชมใช่ปะ”

“ถ้าคิดว่าเป็นคำชมแล้วสบายใจ ก็แล้วแต่”

“เอ้าพี่ทัช เอาดีๆ ดิ” ผมยืนขึ้นละตอนนี้

พี่ทัชมองหน้าผม “ก็ได้ เพราะมึงทำให้กูเลิกกลัวที่จะฟังความจริง”

อ่า...

ผมค่อยๆ นั่งลง ไม่รู้จะจัดการมือไม้ยังไงจนเผลอปัดตะเกียบเกือบหล่นจากโต๊ะ

“นะฑีหน้าแดง ร้อนเหรอ เบาไฟที่หม้อลงหน่อยมั้ย”

“กูโอเคเจษ มึงแดกๆ ไป อย่าพูดเยอะ”

ตอนนี้ผมไม่กล้าสบตาใครตรงๆ แล้ว แต่จากหางตาเห็นได้ชัดว่าพี่เห็ดส่ายหน้าอย่างปลงๆ “กูว่าไม่เกินสามเดือน ฟันธงเลย”

“แหม พี่ทำเป็นพูดดี ดูตัวเองก่อนเถอะ”

“กูทำไม”

“เปล๊า” จะพูดก็ได้แหละว่าทีตัวเองยังมาวอแวกับเจษ แต่ไม่อยากเอาเพื่อนมาเป็นเครื่องมือในการโต้วาทีกับแก เจษเป็นคนดี เดี๋ยวผมบาปหนา

“หึ งั้นกูประกาศบ้าง ให้มันรู้กันไป...โอ๊ะ อย่าหยิก” ใครหยิกพี่เห็ดวะ ไม่ทันมอง “เอาเถอะน่า ยังไงเดี๋ยวก็รู้กันอยู่ดี จังหวะนี้แหละเหมาะ จะให้นะฑีปีจอมันข่มอยู่ฝ่ายเดียวได้ไง”

“ผมเกิดปีวอก”

“หมายถึงปากมึงอะ เอ้าประกาศๆ” แก๊งๆๆ พี่เห็ดเคาะตะเกียบรัว “แหกหูฟังนะทุกคน กูกับโอเปิ้ล...อุฟุฟวยฟ่วยฟวยใจระทวยอ่วยอ๊วยเลยเป็นแฟนแฟ่นแฟนกันแล้วเว้ยไอ้ซัส”

นั่นไง โดนแล้วมึงเจษ...เดี๋ยวๆ ไม่ใช่เจษ

เปิ้ลเหรอ?

อึ้งกันไปทั้งโต๊ะ แม้แต่ตัวเปิ้ลยังเงียบ มีแต่พี่เห็ดที่ยืดอกจน

“นี่เรื่องจริงเหรอ” ผมถาม

“จริงดิวะ”

“เปิ้ล ว่าไง”

เปิ้ลถอนหายใจแล้วยักไหล่เป็นคำตอบ

“ว่าแล้ว” ผมได้ยินเสียงแผ่วเบาหลุดจากปากตัวเอง ว่าแล้วมันแปลกๆ ตั้งแต่พี่เห็ดมาวอแวกับกลุ่มเราแล้ว เห็นเข้าทางเปิ้ลนึกว่าจะเคลมเจษ แต่จริงๆ ก็คือกะสอยเปิ้ลตรงๆ เลย อย่างที่พี่ทัชเคยบอกจริงๆ ด้วย ว่าพี่เห็ดไม่ใช่คนซับซ้อน “เดี๋ยวนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมถามต่อ

“สักพักแล้วเว้ย” ดูภูมิใจเหลือเกินนะพี่เห็ด

“แต่ๆๆ พี่แชตบอกเจษไม่ใช่เหรอว่าจะจีบเจษ”

“กูจะส่งให้เปิ้ล แต่ส่งผิดคน”

“เฮ้ย จะมาหักมุมง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้”

“แล้วมึงจะให้ยากแค่ไหน เห็นชีวิตกูเป็นหนังสยองขวัญซ่อนเงื่อนเหรอ”

แต่เรื่องนี้ทำผมสยองนะ

ผมมองหน้าเจษ “เจษ นี่มึงร่วมมือกับพี่เห็ดแกล้งกูรึเปล่า”

“เปล่าๆ พี่เขาส่งผิดจริงๆ แต่ตอนนั้นพี่เขามัวแต่ตื่นเต้นที่จะคุยกับเปิ้ลต่อ เลยไม่ได้บอกเราว่าส่งผิด นี่เพิ่งได้คุยกันจนเข้าใจเมื่อกี้เอง”

พี่เห็ดตบหลังเจษเบาๆ “กูไม่ได้ตื่นเต้น กูแค่ขี้เกียจบอก”

“อ้อ ครับ”

แกตื่นเต้นนั่นแหละ ทำเป็นฟอร์ม ผมยังจำวันนั้นได้รางๆ ถึงว่าดิ เปิ้ลแย่งมือถือเจษไปดูแล้วหัวเราะขนาดนั้น แล้วตำแหน่งการนั่งวันนี้คือพี่เห็ดคั่นกลางระหว่างเจษกับเปิ้ล ทีแรกนึกว่าพี่แกเจตนากระแซะเจษ แต่ที่แท้กลายเป็นเปิ้ลซะงั้น

แต่…

พี่เห็ดกับเปิ้ลเนี่ยนะ!

ผมมองหน้าทั้งคู่สลับไปมา “จูนหัวแป๊บ” ต้องนวดขมับแรงๆ แล้วหันไปมองอีก “โอเค ขอเหตุผล”

“เรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผลหรอกโว้ย”

“พี่ไม่ต้องก็อปคำพูดพี่ทัชเลย คิดเองดิ มีสมองรึเปล่า”

“ปากมึงนี่น่าเตะจริงๆ ว่ะ”

“บอกมาดิ ทำไม เปิ้ลมีดีอะไร”

“เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานมึงยังไม่รู้อีกเหรอว่าเปิ้ลมีดีอะไร”

ผัวะ!

ฝ่ามือน้อยๆ ของโอเปิ้ลฟาดลงกลางหลังพี่เห็ด

“ตีพี่ทำไมครับ พี่หมายถึงนิสัย” โห พี่เห็ดพูดเสียงสอง ขนลุกเว้ยยย เปิ้ลไม่พูดตอบอะไร แค่เบะปากใส่แล้วหันไปจิบน้ำชา พี่เห็ดเลยพูดกับผมต่อ “นั่นแหละ เปิ้ลนิสัยดีแล้วก็โสดอยู่ จบ”

“จริงดิ หน้าอย่างพี่เนี่ยนะ คิดแบบนี้”

“ก็เออดิวะ” พี่เห็ดหันมองเปิ้ล “คนดีใครไม่ชอบบ้าง อีกอย่าง ขาวๆ คิวท์ๆ มีริ้วตรงคอแบบนี้แหละสเป๊กพี่~” ว่าแล้วก็ปากว่ามือถึง เกาเหนียงเปิ้ลเฉย นี่จะคบเป็นแฟนหรือเลี้ยงเป็นหมาวะ

ผัวะ!

เออ แบบนั้นแหละเปิ้ล ฟาดเข้าไป

แทนที่จะสำนึก พี่เห็ดกลับซี้ดปากกึ่งหัวเราะ ดูโรคจิตสุดๆ แต่ก็ทำให้เปิ้ลยิ้มได้ซะงั้น นี่ก็ดูโรคจิตพอกัน

“เฮ้ยเปิ้ล มึงชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอวะ”

“ถูก”

“แล้วทำไม…” ผมผายมือใส่พี่เห็ด เหมือนผายใส่กองขยะเปียก

เปิ้ลทำเหมือนจะคิดอยู่แป๊บนึง แล้วก็ยักไหล่

“ทำไม” ผมถามย้ำ “มึงเปลี่ยนแนวเหรอ”

“ตกลงกันแล้วว่ากูไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ไม่ต้องแต่งหน้าไม่ต้องแต่งตัว เป็นแบบที่เป็นอยู่ เพิ่มเติมคืออยากไปไหนก็มีคนไปรับไปส่ง เวลาเซ็งๆ ก็มีคนให้ด่า จบ”

นี่หรือคือเหตุผล

ผมมองหน้าสองคนสลับไปมาอีก ยังไงมันก็ไม่ใช่อะ “เห็นแล้วปวดหัวเลยว่ะ”

มือข้างนึงตบไหล่ผมเบาๆ พี่ทัชนั่นเอง “ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวหรอก บางทีความสัมพันธ์ของคนเราก็ลงตัวในแบบของมัน”

“ไอ้ทัชพูดถูก/ถูก” พี่เห็ดกับเปิ้ลพูดพร้อมกัน จากนั้นพี่เห็ดก็หันไปยิ้มให้ ส่วนเปิ้ลแกล้งทำหน้าเซ็ง

“คำว่าลงตัวแหละใช่เลย อยู่กับเปิ้ลกูเป็นตัวของตัวเอง จะพูดหยาบยังไงก็ได้...แล้วก็ไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวอะไรมากมายหรอก แบบนี้ก็น่ารักอยู่แล้ว”

“ลองมาวุ่นวายกับการแต่งตัวดิ เจอกระโดดถีบขาคู่แน่”

“น่ารัก ขอเกาเหนียงหน่อย”

ผัวะ!

ฟาดไปอีกที ถึงจะดูโหดๆ ห้าวๆ ก็เถอะ สองคนนี้อาจพัฒนาไปจน (เกือบ) เป็นความสัมพันธ์แบบชายหญิงก็ได้ หรือไม่ก็เป็นอะไรแบบนี้แหละไปเรื่อยๆ

นี่คือความลงตัวแบบที่พี่ทัชว่าสินะ

“เอาเป็นว่าจะพยายามเข้าใจละกัน” ผมส่ายหัว “แต่ทั้งสองคนเลยนะ หาเวลาไปรดน้ำมนต์ซะบ้าง โคตรซวยอะที่มาเจอกัน แล้วก็ไม่ต้องเหน็บกลับละนะ จะกินต่อ”

แก๊งๆๆ

อะไรอีกวะนั่น

“หนูขอประกาศบ้างได้มั้ยคะ”

“ได้ดิน้อง มีอะไรประกาศให้โลกรู้ว่าไป” พี่เห็ดยุส่ง

“เป็นอะไรที่เกี่ยวกับความเลวหรือความโง่ของนะฑีรึเปล่า ถ้าใช่ รีบๆ ว่ามาเลย” เปิ้ล ตอนนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ

“เกี่ยวกับหนูเองค่ะ อะฮึ่ม…”

เจษส่ายหน้ารัวทำไม ไม่นะ

“หนูกับพี่เจษตกลง อุฟุฟวยฟ่วยฟวยมะระรวยอ่วยอวยมามุ้งมิ้งจุ๊บุจิ๊บิกันแล้วค่ะ”

นั่นไง

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมรีบถาม

“ไม่นานค่ะ”

“เจษ น้องกู แล้วนี่ก็น้องรหัสมึง มันผิดผีนะ”

“เรา เอ่อ...ขอโทษที” ไม่ปฏิเสธซะด้วย

“พี่นะฑีหวงน้องเหรอคะ”

“...”

“พูดค่ะ”

“เออ ก็ควรหวงมั้ย มีน้องคนเดียว”

“ดีค่ะ หวงเยอะๆ น้า หนูชอบให้คนหวง” ไม่พูดเปล่า มีเกาะแขนซบไหล่เจษเป็นการท้าทายพี่ชายอย่างผมด้วย “ตอนนี้หนูคบกับพี่เจษละ”

หน้าระรื่นมากน้องสาวกู แต่เจษนี่ไม่ใช่แค่พยายามแกะมืออีกฝ่ายออก แต่หน้าไปหมดละ เมื่อกี้ยังแซวผมว่าร้อนรึเปล่า พอถึงคราวตัวเองหน้าแดงเป็นปื้นลามมาถึงคอละ

“ขอเหตุผลที่คบกันหน่อย ทำไมคบ”

“พี่เจษเป็นคนดีค่ะ แล้วก็เนิร์ด จบ”

“เจษล่ะ มึง”

“อ่า ก็…”

“พี่เจษบอกไปเลย เหมือนที่บอกหนูอะ พูด”

“คือ…”

“พูดค่ะ”

“เพราะเซ็กซี่ แล้วก็น่ารัก” หน้าจากที่แดงอยู่แล้ว ตอนนี้แดงเถือกไปเลย

“เห็นมะ แค่นี้เอง พูดคำว่าจบต่อท้ายด้วยค่ะ”

“เซ็กซี่และน่ารักครับ จบ”

“เจษ กูถามหน่อย มึงแยกคำว่าเซ็กซี่กับน่ารักออกมั้ยวะ มันไม่เหมือนกันนะเว้ย” ผมถาม

“แยกออก แต่น้องนัชชามีทั้งสองอย่าง เราก็เลย...ชอบ นะฑี ขอโทษนะ เราไม่ควรรู้สึกอะไรกับน้องรหัส และยังเป็นน้องเพื่อนด้วย แต่เราก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้”

เจษ มึงมันร้าย! พูดยาวกว่าเพื่อนเลยนะ

ผมถอนหายใจอีกรอบ “เออๆ คบกันไปเถอะ ตอนนี้กูเลือกไม่ถูกเลยว่าจะห่วงน้องหรือเพื่อนดี”

จู่ๆ พี่เห็ดก็ยกแก้วน้ำชาชูมาตรงกลางวงโดยไม่พูดไม่จา

“อะไรพี่เห็ด จะเติมน้ำชาทำไมยังเต็มแก้วอยู่ หรือขอส่วนบุญ” ผมเหน็บไปดอกนึงเพื่อระบายความอัดอั้น

“มึงนี่มันสมองมดจริงๆ” แกเหน็บกลับ “ก็ตอนนี้อุฟุฟวยกันหมด ต้องชนแก้วหน่อยดิวะ มาทุกคน”

ทุกคนยกแก้วของตัวเองมาชนกันตรงกลางโต๊ะ แม้แต่พี่ทัชก็ยกชาร้อนของตัวเองมาแตะด้วย เหลือแค่ผมที่ยังปรับตัวกับความจริงเรื่องนี้ไม่ทัน เลยนั่งกะพริบตาเล่นอยู่

“นะฑีมึงอย่านอกรีต เร็วๆ กูเมื่อย” เปิ้ลหน้าเซ็ง

ผมเลยยอมยกแก้วชนด้วย “เออ ฟวยก็ฟวย จบ”

หลังจากแก้วทุกใบชนกันดังกิ๊ง ต่างคนต่างก็จิบน้ำชาราวกับว่าเป็นพิธีร่วมสาบานของลัทธิประหลาดสักอย่าง เหมือนการอวยพรให้ความสัมพันธ์ฟวยๆ ของเราทั้งสามคู่

“ยังไม่จบค่ะ” นัชชาพูดหลังจากวางแก้ว “ทุกคนบอกเหตุผลกันหมด แต่พี่นะฑียังไม่ได้บอกเลยว่าทำไมตัดสินใจคบพี่ทัช”

“เออจริง ซวยละมึง คนสุดท้ายห้ามลอกคำตอบคนอื่นนะเว่ย” พี่เห็ดดักคอไว้ก่อน “ห้ามบอกนะว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผล”

“พูดค่ะ” นัชชาย้ำ

สายตาทุกคู่ส่งแรงกดดันมาที่ผม ไม่เว้นแม้แต่พี่ทัช ถึงเขาจะไม่ได้จ้องมองอย่างเอาจริงเอาจังก็เถอะ แต่มีแววความอยากรู้จางๆ เจืออยู่ในดวงตาสีน้ำตาลนั่น เป็นแววตาที่ผมไม่เคยเห็นบนใบหน้าพี่ทัชมาก่อน ผมตัดสินใจรวบรวมพลังใจมองหน้าเขาตรงๆ นึกหลอกตัวเองว่าตอนนี้มีแค่เรานั่งกันอยู่สองคน แล้วปล่อยให้ความจริงไหลผ่านปากออกไป

“เพราะพี่ทำให้ผมเลิกเกลียดที่จะนึกถึงคำโกหก”

“กูเปล่า ถ้ามึงก้าวข้ามความรู้สึกนั้นได้ก็เป็นเพราะตัวมึงเองมากกว่า” พี่ทัชพูด ท่าทีเหมือนว่ามีแค่เราสองคนด้วยเหมือนกัน

“เพราะมีพี่อยู่ด้วยต่างหาก”

“...”

“...”

พี่ทัชเลื่อนมือมากุมมือผมอยู่ใต้โต๊ะ และพาไปวางพักไว้บนต้นขาของเขาโดยไม่มีใครมองเห็น ผมรู้สึกได้ถึงผิวของพลาสเตอร์ที่นิ้วเขา แต่ในความรู้สึกเหมือนว่าไม่มีอะไรขวางกั้นเลย พี่เห็ดชวนชนแก้วอีกรอบ คราวนี้ผมกับพี่ทัชไม่ได้ยกแก้วร่วมด้วย แต่พวกนั้นก็ยังชนและดื่ม ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการอวยพรให้เราสองคนมากกว่า

ชนแก้วเสร็จก็ชวนกันคุยต่อ

พี่ทัชไม่พูดอะไร

ผมไม่พูดอะไร

มือยังกุมกันอยู่ จนผมรู้สึกขึ้นมาแวบนึงว่าทั้งโลกใบนี้มีเรานั่งกันอยู่แค่สองคน อยู่ไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดีนะ โคตรดีเลย แต่…

“พี่ ปล่อยเถอะ” ผมกระซิบ

“...” พี่ทัชเลิกคิ้วนิดๆ

“พี่เห็ดแย่งกินเบค่อนหมดแล้ว ผมหิว”













____________________________________________

ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

ได้อ่านทุกคอมเมนต์เลยนะคะ อยากบอกว่ารู้สึกดีมากเลยที่ทำให้หลายคนหัวเราะ+ยิ้มได้ในช่วงเวลาเครียดๆ แบบนี้

ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้ทุกแบบเลยนะคะไม่ต้องเกรงใจเลย
รับได้หมดเลยค่า ชอบมากๆเลยที่ได้รับฟังความคิดของทุกๆคนค่ะ

รักมากเลยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งที่ให้เกียรติและสละเวลาเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ มันมีค่าต่อใจมากเลยค่ะ T^T
โชคดีมากเลยค่ะที่ได้มารู้จักทุกคน <3


นางร้าย
3.เมษา.2020





หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 36) |▌3.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-04-2020 00:37:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 36) |▌3.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 04-04-2020 09:50:32
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 36) |▌3.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 04-04-2020 18:00:02
อุฟุฟวยกันถ้วนหน้า  เห็นไหม เราว่าแล้ว เห็ดเปิ้ลมันเคมีผิดผีแปลกๆ แฮปปี้~~
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 36) |▌3.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-04-2020 21:36:32
แหม ..... อุฟุฟวยฟวย....กันถ้วนหน้า
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 36) |▌3.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: PHENOMENAL ที่ 05-04-2020 03:14:52
ยินดีกับความรักของทุกคนเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 36) |▌3.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 09-04-2020 23:47:01
เจษ ร้ายยยยยย555
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 36) |▌3.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 10-04-2020 16:50:10
อุฟวยฟวยสามคู่ชู่ชื่นนนน

เจษเงียบๆ แต่ร้ายยนะพ่อหนุ่มเนิร์ด   :katai5:


หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: นางร้าย ที่ 18-04-2020 21:27:58

สำหรับตอนนี้ขออนุญาตแบ่งลงทีละ 50% นะคะ ^ ^
พอดีเนื้อหาค่อนข้างยาวนิดนึงค่า




(50%)

แตะต้องครั้งที่ 37
จับบบ…นี่หรือคือเดตสังเกตโต๊ะข้างๆ
ระยะทางระหว่างกลับบ้านระยะห่างระหว่างกลับไป


ท้องฟ้าดูเป็นสีชมพู

ไม่ใช่หิวข้าวหรือหน้ามืดจะเป็นลมนะ

อินเลิฟ

วันนี้วันหยุด เราควรจะอยู่บ้านหรือไม่ก็ติวหนังสือกับแก๊ง แต่ผมกับพี่ทัชยังชวนกันออกมาตะลอนข้างนอก ไม่ใช่เพราะบริษัทขอทัชฑีมีงานเข้า แค่ออกมาเฉยๆ

“สวนสาธารณะมั้ย สูดอากาศกันหน่อย สดชื่น แล้วก็แบบ...ถีบเรือเป็ดไรงี้” ผมเสนอไปทางโทรศัพท์

[มึงได้ตามข่าวบ้างมั้ย]

“ข่าวไร คนรุ่นใหม่ไม่ดูทีวีนะ”

[ทางเฟซบุ๊กนั่นแหละ เลื่อนดู]

“เลื่อนอยู่ ทำไมเหรอ ดาราคนไหนโดนเท หรือท้องก่อนแต่ง”

[ไม่มีเรื่องฝุ่นเด้งขึ้นหน้าฟีดมึงเลยเหรอ ตอนนี้ฝุ่นคลุมเมืองอยู่]

“อ้อ งั้นไปไหนอะ ดาวอังคารมั้ย”

[ห้าง]

“งั้นดูหนังกับกินติมนะ”

[ได้หมด]

“ได้ทุกอย่างเลยเหรอ”

[อือ]

“งั้นเราปล้นกันมั้ย ล็อกคอคนที่กำลังกดเงิน แย่งบัตรเอทีเอ็มมาแล้วใช้นิ้วพี่เค้นเอารหัส”

[ไปอาบน้ำเตรียมตัวซะ แค่นี้นะ]

ตู๊ดดด

สายตัดไปแล้ว

ตกลงตามนั้น ไปห้างกัน แต่ผมยังไม่ได้ลุกไปเตรียมตัวทันที ยังนอนกลิ้งไปมาไถหน้าจอมือถือเล่นอยู่นาน กว่าจะขุดตัวเองไปอาบน้ำได้ก็ปาไปเป็นชั่วโมง โชคดี พอผมแต่งตัวเสร็จและลงมาข้างล่างพี่ทัชก็มาถึงพอดี เขาเลยไม่ต้องรอนาน กลายเป็นผมนี่แหละที่ต้องรอเขา เพราะแค่เข้ามาสวัสดีแม่ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา

“หมอนนิ่มๆๆๆๆ” นั่นแหละ จกพุงมันเข้าไป นวดมันเข้าไป ไอ้แมวนรกนี่ก็ยังไง ปกติจะหวงเนื้อหวงตัว นี่นอนแผ่อ้าซ่าให้เขาขยี้เฉ้ย “หมอนๆๆๆ นิ่มๆๆๆ”

จะได้ไปมั้ยวันนี้

“พี่ ขอกุญแจรถหน่อย”

“หืม?”

“อยากลองรถพี่กับเสาไฟอะ ดูว่าจะแกร่งแค่ไหน”

เขามองผมแวบนึง ก่อนจะไปขยี้แมวต่อ “แป๊บนึงดิ”

“ไม่รีบๆ เอาเลย ตามสบาย ผมรอจนเมื่อยละ”

“นิ่มๆๆๆ” มีขยี้ส่งท้ายชุดใหญ่กว่าจะยอมลุก “โอเค ไปกัน...คุณแม่หวัดดีครับ แล้วจะรีบพานะฑีมาส่งนะครับ”

“จ้า หวัดดีจ้ะ ทัชอย่าให้นะฑีขับนะ”

“ครับผม”

“ไม่ต้องห่วงน่าแม่ ผมเซียนอยู่แล้ว ไปละนะ”

เราออกจากห้องแถวโทรมๆ เข้ามานั่งในรถมินิคูเปอร์ จากนั้นพี่ทัชก็เปิดระบบสกิปไดรฟ์พาเราออกเดินทางสู่ห้วงอวกาศแห่งความสุขอันไกลโพ้น

แป๊บเดียวก็มาถึงจุดหมาย

ที่ถึงเร็ว เพราะตอนมีความสุขเวลามันสั้นนั่นแหละ

โชคดีช่วงนี้ไม่มีหนังผีเข้าโรง เลยไม่ต้องเถียงหรือเหน็บกัน และเพื่อเป็นการรำลึกความหลังที่หนีตายมาด้วยกัน จัดหนังบู๊แหลกกระจายไปเลย เลือกหนังได้แล้วก็ไปกินราเมนเจ้าดัง สุดท้ายมาตบท้ายที่ร้านไอศกรีมเพื่อฆ่าเวลารอดูหนัง

พี่ทัชสั่งช็อกโกแลตชิพ ไซส์ที่ดูผู้ดี๊ผู้ดี

ผมสั่งวานิลลาและอื่นๆ ไซส์ขนาดกินได้ทั้งหมู่บ้าน เพราะผมถือคติที่ว่า เหลือดีกว่าขาด สองบาทยังไงก็ดีกว่าบาทเดียว

“ทำไมพี่สั่งช็อกโกแลตชิพอะ ชื่อไม่เป็นมงคล” ผมพูดหลังจากพนักงานนำออเดอร์มาเสิร์ฟ

“ทำไม”

“ถ้าชิพหายล่ะ ซวยเลยนะ”

“อันนี้คือคิดมาดีแล้ว?”

“ฮ่าๆ ห้าบาทสิบบาทก็ขำๆ ไปเถอะ ซีเรียสอะไร”

“หึ”

“นี่คือขำแล้ว”

“ห้าบาทสิบบาท ขำแค่นี้ก็บุญแล้ว”

“...”

“...”

เรามองหน้ากัน...เดดแอร์...แล้วขำพรืดออกมาพร้อมๆ กันจนโต๊ะข้างๆ หันมองอย่างใจคอไม่ดี เรายังมองหน้ากันอยู่ตลอดเวลาระหว่างที่เสียงหัวเราะแบบช็อกเวฟตามมาอีกหลายระลอก จนกระทั่งเงียบไปในที่สุด

เราเริ่มกินไอศกรีมตรงหน้าตัวเองต่อ บนโต๊ะมีแจกันใสทรงสูงกับกุหลาบสีแดงเสียบอยู่ด้วยหนึ่งดอก โรแมนติกไปอีก ถ้ามีกล้องมาถ่ายนี่เอาไปตัดต่อเป็นเอ็มวีระดับร้อยล้านวิวได้สบายเลยนะ

“คิดไรอยู่” ผมทำลายความเงียบ

“คิดถึงวันแรกที่เจอมึง” บอกแล้ว เอาไปทำเอ็มวีได้

“คิดว่าไงมั่ง”

“สงสัยว่ามึงรอดมาจนโตได้ไง” กำลังบิ๊วมาดีๆ เริ่มจะเป็นเอ็มวีไม่ได้ละ

“ผมน่าจะได้กินยำตีนตั้งแต่เด็กจนตายไปแล้ว ไรงี้? นี่พี่พูดจาเหมือนพี่เห็ดขึ้นทุกวันละนะ”

“อือ”

“เพราะผมเก่งไง”

“แล้วตอนนี้กูก็สงสัยว่า ในเวลาไม่ถึงปีเรามานั่งกันอยู่ตรงนี้ได้ไง”

“ก็พี่ขับรถพาผมมา วันหลังให้ผมขับมะ พี่จะได้หลับสบายๆ แบบ….สบายยาวววววไปเลย”

“อันนี้คือจะเล่นมุกหรืออะไร”

“มุกดิ แค่นี้ไม่รู้เหรอ”

“มึงเขิน”

“...” เกลียดการที่จู่ๆ ก็แซวเข้าเป้าแบบนี้ชิบหาย “อะไร ใครเขิน”

“มึงกำลังเขิน”

“พี่นี่มั่วจริงๆ”

“จูบครั้งล่าสุดเป็นไง ถือว่ากูจูบเป็นรึยัง”

“...” เกลียดโว้ยยยย

“น่ะ เงียบ”

“พี่ก็ยังจูบห่วยเหมือนเดิมอะ ไปเรียนมาใหม่นะ” ผมกัดฟันตอบแล้วจ้วงไอศกรีมเข้าปาก ไม่คุยละ แดกๆ เข้าไปปากจะได้ไม่ว่าง

“ขอกินหน่อย” จู่ๆ พี่ทัชก็ตักวานิลลาของผมไปกิน “อืม...ของโคตรดี”

“โอ๊ย พี่อย่าพูดไรงี้ได้ปะ มันไม่เข้ากับหน้า”

“พูดยังไง”

“ก็แบบ ก็อปคำพูดผมอะ...ช่างมัน ไหนกินบ้าง” ผมตักเอาช็อกโกแลตชิพของเขาบ้าง “ก็โอเคนี่ ไหนลองอีกที”

“เยอะไปมั้ย”

“พี่ก็ตักของผมเยอะ”

จากนั้นเราก็ตักไปๆ มาๆ แบบไม่ยอมกัน

“ถ้าจะกินขนาดนั้นก็แลกกันเลย”

“ไม่เอาดิ เฮ้ย”

แต่พี่ทัชสลับถ้วยเรียบร้อยแล้ว ช็อกโกแลตชิพที่เกือบจะหายไปหมดแล้วมาอยู่ตรงหน้าผม ส่วนวานิลลาไซส์หมู่บ้านไปอยู่ที่เขา แต่ถึงอย่างนั้น พี่ทัชก็ยังตามมาจ้วงช็อกโกแลตชิพไปกินต่อ คนอย่างนะฑียอมได้ที่ไหนล่ะ เราเลยข่มกันด้วยการจ้วงไอศกรีมถ้วยที่อยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายกินไม่ยั้ง

“อร่อย” พี่ทัชพูดยิ้มๆ

“นี่คือแลกกันแล้วเหรอ”

“กูแค่อยากกินของมึง”

“...”

“แล้วกูก็อยากให้มึงกินถ้วยของกู”

“ฟังดูโรคจิตนะเนี่ย ผมไม่แย่งช็อกโกแลตพี่ละ นั่นไง เหลือคำนึง กินดิ”

“มึงกิน”

“ไม่เอาอะ”

“จะกินเองหรือให้ป้อน”

“ป้อนไร พี่นี่อ่านนิยายมากไปละ...เฮ้ยๆ ไม่ต้อง”

ไม่เอาดิเฮ้ย กินเองก็ได้วะ กินๆ ให้มันจบไป เพราะท่าทางแกจะทำจริง ไม่ใช่ไม่อยากให้ทำ แต่ยังปรับตัวไม่ทันเว้ย เพิ่งจะอุฟุฟวยกันไปไม่กี่วันเอง

“ก็แค่นั้นแหละ แค่นี้ทำเป็นเขิน”

ช็อกโกแลตชิพหายไปหมดแล้ว เหลือแค่วานิลลาถ้วยใหญ่ เราเลยเลื่อนมันมาตรงกลางจ้วงกินด้วยกัน

“พี่นี่ปากดีจริงๆ ลองให้ผมป้อนบ้างปะล่ะ”

“ไม่ เดี๋ยวทำหน้ากูเลอะ”

“พี่เขินอะดิ”

“มึงดูละครมากไปแล้ว”

“อะ งั้นกิน” ผมตักขึ้นมาคำนึงยื่นไปตรงหน้าเขา จริงๆ ผมนี่แหละเริ่มเขินอีกแล้ว ต่อให้เป็นคนป้อนก็เถอะ แต่อยากเล่นงานเขากลับบ้าง “ไม่ต้องมาแกล้งทำหน้านิ่ง เขินใช่มะ”

“ระวังมันหยด ตักคำใหญ่ขนาดนี้ ทำหน้ากูเลอะแน่ๆ”

“ไม่หรอกน่า รีบกินเร็วๆ ละลายแล้ว”

“ถือไว้นิ่งๆ”

ผมแกล้งส่ายช้อนไปมา พี่ทัชเลยรวบข้อมือผมไว้แล้วยื่นหน้ามางับช้าๆ เม้มปากกับช้อนเนิบๆ อย่างผู้ดี ไม่รู้ว่าผู้หญิงโต๊ะข้างๆ แอบมองตั้งเมื่อไหร่ ช็อตนี้เล่นเอาคุณเธอหน้าเหวอไปเลย อย่ามองดิวะ ทำตัวไม่ถูก

“มึงบ้าง”

“ฮะ?”

“กิน” ไอติมคำเล็กๆ มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

“ไม่เอา คนมอง”

“คนก็มองนานแล้ว”

ก็เออดิวะ แล้วพี่แม่งทำหน้านิ่งขนาดนี้ได้ไง

“อะ พี่คิดดูนะ” ผมกระซิบ “ถ้าโดนแอบถ่ายไปลงโซเชียลทำไง วันนี้เซ็ตผมไม่ค่อยดีด้วย แล้วไม่รู้ว่ากล้องที่แอบถ่ายจะคุณภาพต่ำรึเปล่า”

“สรุปคือมึงเขินนั่นแหละ เสียชื่อคนอย่างนะฑีหมด”

“เอ้า พูดงี้” คนอย่างนะฑี เสียท่าไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้เว้ย “ถือไว้นิ่งๆ”

พี่ทัชยิ้ม แกล้งส่ายช้อนไปมา ผมเลยทำแบบเดียวกับเขา คือตะปบข้อมือเขจับไว้นิ่งๆ แต่ตอนยื่นหน้าไปงับกินนี่แทบจะไวเท่าความเร็วแสง

“ฮ่าๆ”

“ขำอะไร”

“มึงเหมือนเด็ก เลยตลก”

ขำอะไรก็ขำไปเถอะ ผมเร่งสปีดกินต่อละ

“ไฟไหม้เหรอ”

“ไฟไหม้อะไรของพี่อีกเนี่ย”

“งั้นจะรีบทำไม กินช้าๆ”

“หนังจะเริ่มแล้ว”

“อีกตั้งเกือบชั่วโมง”

“ผมจะไปขี้” ว่าแล้วก็ตักเข้าปากรัวๆ เท่านั้นแหละ ซี้ดเลย เย็นจนปวดหัว

พี่ทัชขำอีก “ทำไมมึงไม่ยอมรับว่าเขิน”

เขาเป็นอะไรกับคำนี้มากเปล่าวะ พูดจัง “ผมปวดขี้จริงๆ ไม่ได้ยินเปิ้ลบอกวันที่กินชาบูเหรอ ว่าผมมีปัญหากับท้องไส้ตลอด พี่รีบกินเร็วๆ”

“มึงกินเลย กูชอบดูมึงกิน”

“กินจนปวดหัวแล้วเนี่ย พี่ช่วยกินดิ”

“ครับ กินก็กิน” ตูมมม เสียงนุ่มระดับทำลายล้าง “ดีเหมือนกัน จะได้รีบเข้าไปอยู่ในโรงหนังมืดๆ กัน”

เหี้ย พี่ทัช!

ทนสายตาโต๊ะข้างๆ ไม่ไหวแล้วโว้ย ลุกไปขี้เลยดีรึเปล่า ความจริงก็ปวดนิดๆ อยู่นะ แต่ไม่ดีกว่า แบบนั้นมันดูอ่อนเกินไป ทางออกคือรีบทำใจให้ชินกับความรู้สึกนี้จะดีกว่า มันก็แค่อาการทำตัวไม่ถูกกับไม่กล้าสบตาใครแค่นั้นแหละวะ แค่นี้ทำอะไรคนอย่างนะฑีไม่ได้หรอก

ผมปลุกความหน้าด้านในตัวเอง ตักไอติมป้อนพี่ทัชอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ยอมงับไปอย่างแปลกใจ ช็อตนี้แหละหันไปขยิบตาให้โต๊ะข้างๆ ซะเลย เป็นไงล่ะ อิจฉาอะดิ ให้ช่วยเอาน้ำสาดตามั้ย

แค่นั้นไม่พอ หลังจากกินหมด ตอนเราลุกจากโต๊ะผมยังแอบส่ายตูดดุ๊กดิ๊กด้วย คืนนี้หลับฝันร้ายแน่ๆ

เราออกจากร้านไอศกรีมแล้ว ผมเข้าห้องน้ำไปบรรเลงเพลงแจ๊สเล็กน้อย จากนั้นก็ยอมให้ทางโรงหนังขูดเลือดขูดเนื้อด้วยป๊อปคอร์นเซ็ตใหญ่ เรียบร้อยแล้วเข้าไปนั่งในโรงหนังมืดๆ ด้วยกัน

เอาเข้าจริงพี่ทัชก็ไม่ได้ทำอะไรน่าขนลุกหรอก มีแต่ผมนี่แหละที่คิดอกุศลจนดูหนังไม่รู้เรื่อง ทำไมเขาตัวหอมจังวะ อยากโดดเข้าไปฟัดเข้าไปสูดให้ไซนัสอักเสบ ใช้น้ำหอมอะไร หรือว่าเป็นกลิ่นผู้ดีติดตัวมาแต่กำเนิด แม่ง แดกป๊อปคอร์นแก้กลุ้มละ

หนังจบแล้ว

ห้างก็ใกล้จะปิด เลยเดินเล่นต่อไม่ได้ หมดแล้วเวลาแห่งความสุข และผมจะจดจำวันนี้ไว้ว่าเป็นเดตแรกอย่างเป็นทางการของเรา ถ้าไม่ใช่เดตแล้วจะเรียกอะไร จริงมั้ย

“ตอนอยู่ในโรงหนังมึงเป็นอะไร” พี่ทัชถามขึ้นหลังจากเข้ามานั่งในรถ

“ปะ...เป็นอะไร”

“เห็นยุกยิกตลอด”

“คันอะ” พอพูดแล้วก็สะดุ้งเอง ต้องรีบขยายความ “ไม่ใช่คันแบบนั้นนะ หมายถึงคันตามเนื้อตามตัวจริงๆ สงสัยเบาะแม่งสกปรก โรงหนังนานแล้วอะดิ ไม่ทำความสะอาดกันเลย”

“กูไม่เป็น”

“พี่โชคดีอะดิ พนักงานคงขี้เกียจแน่ๆ ดูดฝุ่นมาถึงแค่เบาะพี่แล้วก็เลิกไรงี้”

“กูนึกว่ามึงอยากกอดกูซะอีก”

“...” เชี่ย พี่ทัช มีรายการโชว์อะไรที่แข่งกันด้วยการยิงคำพูดขวานผ่าซากรึเปล่าวะ จะส่งเขาเข้าประกวด

“เราอุฟุฟวยกันแล้ว มึงจะกอดกูตอนไหนก็ได้”

“ผมไม่ได้อยากซะหน่อย”

“กูเคยบอกรึยังว่ามึงโกหกไม่เก่ง”

“...”

“มานี่” พี่ทัชกางแขนออกนิดๆ เป็นเชิงให้ผมสวมกอด

“ไม่เอา นี่ลานจอดรถนะพี่”

“มาใกล้ๆ”

“...” ต้องเม้มปากข่มใจสู้ แต่ทำไมเสียงต้องนุ่มขนาดนี้ ทำไมหน้าถึงไม่มีสิวริ้วรอยอะไรเลย แล้วกลิ่นตัวนี่ก็มีพลังทำลายล้างโคตรๆ จนร่างกายผมโน้มเข้าไปหาเขาเองอย่างห้ามไม่ได้ ตัวมันไปเองนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ

พี่ทัชโน้มเข้ามา สอดแขนซ้ายรอบด้านหลังผมโอบไว้ เพราะมีคันเกียร์ขวางอยู่เลยกอดแนบชิดไม่ได้

แต่…

ปลายจมูกเขาแตะที่ร่องแก้มผม มือขวายกมาประคองใบหน้า แล้วริมฝีปากก็เลื่อนมาประกบริมฝีปากผมเบาๆ

ลิ้น

ลิ้นอุ่นๆ ตามมาแล้ว

แบบนี้ไม่เรียกว่าเดตจะเรียกอะไรจริงมั้ย ผมรีบตั้งสติ คราวนี้ไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียวหรอกเว้ย ต้องมีตอบโต้ไปบ้าง ริมฝีปากขอองเขาทำแบบไหนผมก็เลียนแบบตอบโต้ไปแบบนั้นแหละ บดมาก็บดสู้ ดุนมาก็ดุนไป มาดิวะพี่ทัช ไม่ยอมหรอก

โว้ย

ฟิน

เคลิ้ม

กูโดนป้ายยาอะไรรึเปล่าวะเนี่ย แต่กำลังเพลินๆ พี่ทัชก็ถอนริมฝีปากออก ผมบังคับตัวเองให้ถ่างตาและตีสีหน้านิ่ง แต่ก็อดที่จะยกหลังมือกดกับริมฝีปากไม่ได้

“มึงเริ่มจูบเป็นแล้วนี่”

“ผมเนี่ยเซียนอยู่แล้ว พี่นั่นแหละยังห่วยเหมือนเดิม”

“หึ”

พี่ทัชยิ้ม แล้วสตาร์ทรถขับออกจากลานจอด ผมรีบเปิดเพลงกลบเกลื่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องคุยเรื่องนี้กันต่อ ยังดีที่พี่ทัชไม่ซักไซ้ แต่หลังจากเงียบกันอยู่นาน กลายเป็นผมนี่แหละที่อยากชวนคุยซะเอง

จังหวะติดไฟแดงผมเลยตัดสินใจพูด

“พี่ มีคำถาม”

“ว่า”

“ที่พี่บอกว่าผมทำให้พี่เลิกกลัวที่จะฟังความจริง คือยังไงนะ”

พี่ทัชมองหน้าผม เงียบอยู่สักอึดใจก่อนจะพูดขึ้น “ที่ผ่านมากูกลัวการแตะตัวคนอื่น กลัวจะรู้ความจริงอะไรที่ไม่ควรรู้ จนมันกลายเป็นทำให้กูกลัว...กลัวตัวเอง”

คำพูดสะดุดนิดนึง แค่ขาดช่วงไปนิดเดียวจริงๆ แต่กลับทำให้ผมเห็นภาพว่าเขาใช้ชีวิตและเติบโตมายังไง

“พูดอย่างกับพี่แตะตัวคนอื่นบ่อย”

“เมื่อก่อนก็บ่อยกว่านี้” เขายังพูดด้วยโทนเสียงเรียบๆ “ตอนประถม มัธยม บางทีกูก็หลอกตัวเองพยายามทำตัวเป็นคนปกติ แกล้งลืมพันนิ้วบ้าง ลืมจริงบ้าง แล้วพอไปเล่นกับเพื่อนมีจังหวะที่มีกูแตะถูกตัวคนอื่น กูก็จะได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินตลอด เคยทำให้กลุ่มเพื่อนผิดใจกันเองก็หลายครั้งตอนมือกูไปโดนตัว นานๆ ไปกูเลยเลือกที่จะพันนิ้วทุกวัน และไม่โดนตัวใครเลยดีกว่า”

“...” ผมพูดไม่ออกเลย มันจุก “งี้ตั้งแต่เด็กๆ พี่ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนอะดิ”

“มีเรนจิ”

“คนอื่นๆ ล่ะ”

“มีบ้าง...” เขาเว้นจังหวะ “แต่ไม่สนิท”

เสียงสะดุดอีกครั้ง ยิ่งทำให้เห็นภาพชีวิตเขาชัดขึ้นไปอีก ถึงครอบครัวเขาจะอยู่กันพร้อมหน้าดูอบอุ่นก็เถอะ แต่ไม่มีใครเป็นแบบเขา แค่ลองคิดว่าทั้งโลกมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นแบบนี้ และไม่มีใครเลยสักคนที่จะจับมือเขาโดยไม่รู้สึกหวาดระแวง...คิดแค่นี้ ผมก็แสบอกไปหมดแล้ว

“แล้ว…” คำพูดผมสะดุดบ้าง “มีเพื่อนคนไหนรู้เรื่องพลังของพี่บ้างอะ”

“เรนจิ”

“นอกจากพี่เห็ดที่เป็นญาติ ผม แล้วก็คนที่บ้าน มีอีกมั้ย”

“ที่ผ่านๆ มาคนอื่นก็แค่สงสัย”

“อ่า…” เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี “งั้นคนสงสัยน่าจะเยอะอะ ใช่ปะ คนต้องมองพลาสเตอร์ที่นิ้วพี่ตลอดเลยดิ”

“ตลอด”

“แล้วทำไง”

“ก็ทำเป็นไม่สนใจ ถ้ามีคนถามก็บอกว่าชอบ”

คำตอบว่า ‘ชอบ’ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเขาตอบกวนๆ แบบกำปั้นทุบดิน แต่ทำไมตอนนี้มันฟังดูเป็นคำตอบแบบจนตรอกวะ แต่มันก็คงดีที่สุดแล้ว เขาคิดมาดีแล้ว หรือเขาอาจจะไม่ได้คิดเลยก็ได้ เพราะมันไม่มีคำไหนให้เลือกแล้ว

“พี่เหงาปะ ที่ไม่ค่อยมีเพื่อน”

“กูก็มาอยู่กับหนังสือ เล่นกีตาร์”

“เอ้อ พูดถึงกีตาร์ ทำไมเลือกเล่นกีตาร์อะ ทำไมไม่เปียโนหรือเปิงมางคอกไรงี้” ผมรู้สึกว่าตัวเองเน้นคำว่า ‘เลือก’ โดยไม่ตั้งใจ มันแบบ...ดีใจแทน ที่เขาได้มีทางเลือก

ไฟเขียวแล้ว

พี่ทัชขับข้ามแยกไปอย่างไม่รีบร้อน ตายังมองถนนตรงหน้า แต่ในแววตาคล้ายกับมองเข้าไปในอดีต

“เคยอ่านเจอว่าเล่นกีตาร์จะเจ็บนิ้วมาก เล่นไปนานๆ นิ้วก็จะด้าน เลยลองดู เผื่อว่าจะทำให้พลังมันหายไปบ้าง อย่างน้อยก็ที่มือซ้ายสักสี่นิ้ว แต่มันก็ไม่ได้ผลหรอก มาจบที่พันพลาสเตอร์ไว้แบบนี้แหละดีสุด”

เชี่ย ปวดอกชิบหาย

เข้าใจแล้วว่า ช่วงแรกๆ ที่รู้จักกันเขาถึงชอบพูดว่า ‘อย่ายุ่งกับมือกู’

เข้าใจแล้วว่า ที่กินชาบูกันวันนั้น ทำไมเขาถึงเลื่อนมือมากุมมือผมอยู่ใต้โต๊ะเงียบๆ

“แล้ว...แล้ว…” แล้วกูจะพูดอะไรต่อวะ

“แล้วกูก็ได้รู้จักมึง” พี่ทัชพูดต่อให้ “อย่างที่บอก ที่ผ่านมากูกลัวตัวเอง กลัวที่จะฟังแม้แต่ความจริงในใจตัวเอง…” เขาหันมองผม ราวกับเพื่อให้แน่ใจว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยจริงๆ “...แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว”

“อ่า…”

“ที่กูคิดแบบนี้ได้ก็เพราะมึงแหละ”

“ผมทำไม อะ…อธิบาย10 คะแนน”

“เพราะมึงไม่เหมือนคนอื่น มึงมองพลาสเตอร์ที่มือกูเต็มๆ แต่คนอื่นจะแอบเหลือบมอง มึงไม่กลัวที่จะถูกกูแตะตัว ไม่กลัวที่จะจับมือกูทั้งที่รู้ว่าจับแล้วต้องเปิดเผยความจริงของตัวเอง จนกูรู้สึกว่ามึงไม่กลัวอะไรเลย”

“อือหือ”

“ได้เต็มสิบคะแนน?”

“เอาไปเลยสิบเอ็ดคะแนน แถมให้คะแนนนึงที่บอกว่าผมไม่กลัวอะไรเลย จำที่ผับโอ้มายแอสกับร้านเจ๊จอยไม่ได้เหรอ ได้ยินเสียงปังๆ ปุ๊บ ผมนี่วิ่งเข้าไปบวกเลย” คนจะได้เกียรตินิยมต้องเข้าใจแหละ ว่าอันนี้คือประชด

“กูไม่ได้หมายถึงความกลัวแบบนั้น”

“อ่อ”

“ส่วนที่เราไปลุยกันก็เพราะมึง มึงทำให้กูรู้ว่ามือของกูก็มีประโยชน์ การเปิดเผยความจริงบางอย่างก็ช่วยบางคนได้”

“แต่กับบางคนก็ไม่ อย่างกับแม่ผม…” ผมหยุดปากตัวเองไว้ นึกโกรธตัวเองที่วกเข้าเรื่องนี้

“...”

พี่ทัชเงียบไป ผมไม่เห็นว่าสีหน้าเขาเป็นยังไงเพราะตัวเองก็ก้มหน้าลง แต่ดูจากความเร็วรถที่ลดลงนิดนึงก็พอจะบอกได้ว่าเขาเจ็บปวด เขาอาจจะรู้สึกเหมือนถูกมีดปักกลางอก และต้องผ่อนคันเร่งเพื่อประคองรถให้วิ่งได้ตรงทาง

“เรื่องแม่ กูขอโทษ” ในที่สุดเขาก็พูด “กูทำให้มึงโกรธ”

“ผมไม่ได้โกรธพี่...โกรธสถานการณ์มากกว่า” ผมสูดหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองทางตรงๆ โดยไม่ได้โฟกัสจุดไหน “แต่ก็ดีแหละที่พี่แตะตัวแม่วันนั้น ไม่งั้นแม่คงปิดบังผมไปเรื่อยๆ จนอาการหนักกว่านี้”

“อืม”

“แม่เป็นคนแบบนั้นแหละ ชอบเก็บความทุกข์ไว้กับตัวเอง แต่ไม่จริงหรอกที่พี่บอกว่าผมไม่กลัวความจริงอะ ผมกลัวชิบหายเลยต่างหาก บางวันผมก็หลอกตัวเองว่าแม่ยังสบายดีด้วยซ้ำ”

“กูบอกว่ามึงไม่กลัวที่จะพูดความจริง ไม่ใช่ไม่กลัวความจริง เรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่...ไม่ว่าเกิดขึ้นกับใครคนรอบข้างก็กลัวด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่มึงก็รับมือได้ดีมากนะ”

“ไม่รู้ดิ ที่ยังโอเคเพราะมีพี่อยู่ด้วยมั้ง”

เขาหันมองหน้าผม

ผมก็รวบรวมความกล้าหันมองเขาเหมือนกัน แต่ถือว่าโชคดีที่เขาขับรถอยู่ ทำให้ต้องหันกลับไปมองทางต่อจนเขาไม่น่าจะทันได้เห็นอะไรที่ไหววิบวับอยู่ในตาผม ทำให้ผมกล้าที่จะถามเรื่องนี้

“แล้วที่แตะตัวแม่ผมวันนั้น…มันทำให้พี่กลับไปกลัวตัวเอง หรือกลัวที่จะฟังความจริงอะไรแบบเดิมรึเปล่า”

พี่ทัชเงียบไปอีกสักพัก “ไม่”

“อ่า...ฮะ” ผมลากเสียงเป็นเชิงให้เขาอธิบายต่อ

“เรื่องแม่ ทำให้กูรู้ว่าความจริงบางอย่างก็รอจังหวะเล่นงานเราโดยไม่ทันให้ตั้งตัว”

“มีดโกนเลย”

“...” เขาเหลือบมองผม

“ก็มีดโกนไง คมกริบ”

ความขี้เล่นเล็กๆ ผุดขึ้นในใจผม ก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่พี่ทัชยังมีท่าทีจริงจังอยู่ อาจเป็นพลังลึกลับอีกอย่างหนึ่งของเขาก็ได้

“พอมึงบอกว่าไม่โกรธเรื่องแม่ กูก็รู้สึกว่า คงไม่กลัวที่จะฟังความจริงเรื่องไหนอีกแล้ว”

ผมยิ้มละตอนนี้

“ผมมีความจริงจะบอก” ผมดัดเสียงเข้ม

“ว่า?”

“ผมอุฟุฟวยพี่”

เขายิ้ม

“กูก็มีความจริงจะบอก” เขาเสียงนุ่มโดยไม่ต้องดัด

“ว่า?”

“กูอุฟุฟวยมึง”

“ก็อปคำพูดอีกละ”

พี่ทัชเอื้อมมือมาบีบแขนผม บีบค้างอยู่หลายวินาที แล้วละมือไปกุมพวงมาลัยต่อ “กูบอกเรื่องเรากับที่บ้านแล้ว”

“ฮะ?”

“กูบอกเรื่องเรากับทุกคนที่บ้านแล้ว”

“อะไรนะ!” ตื่นเลย จากที่ยิ้มน้อยๆ เขินๆ กูตื่นแล้วตอนนี้!

“ต้องให้กูพูดกี่รอบ”

“เวลาจะพูดอะไรแบบนี้ คราวหลังพี่เกริ่นบ้างอะไรบ้างนะ นี่จู่ๆ ก็พูดเลย”

“ก็เกริ่นไปแล้วว่ามึงทำให้กูเลิกกลัวที่จะฟังความจริง กูเลยโอเคที่จะฟัง ไม่ว่าที่บ้านจะคิดเห็นเรื่องเราว่ายังไงก็ตาม”

“ชิบหาย แล้วเป็นไงบ้างอะ เล่าๆ”

“ก็โอเค”

“พี่อย่างี้ดิ เล่ามา ขอละเอียด เร็วๆ อะไรวะ พี่อย่าเงียบ”

“มึงพูดรัวขนาดนี้กูจะเล่าตอนไหน”

“ตอนนี้เลย เร็ว”

“กูก็บอกตอนกินข้าวกันพร้อมหน้า แม่เข้าใจ ไม่ว่าอะไรเลย เจ๊ณเทอบอกว่าดูออกตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนพ่อลุกขึ้นมาเต้น แล้วพ่อก็โยนภาระไปที่เจ๊เทอว่าพอแต่งงานแล้วต้องปั๊มหลานให้พ่อสามคนขึ้นไป เพราะกูเลือกทางนี้แล้ว จากนั้นก็เถียงกันเรื่องลูกเจ๊ณเทอต่อ แค่นี้แหละ”

“...” พอนึกภาพออก ครอบครัวพี่ทัชแม่งโคตรดี พ่อกับแม่พี่ทัชเติบโตมายังไงวะ เทวดารับไปเป็นลูกบุญธรรมเหรอ

“เราควรบอกแม่มึงด้วย มึงคิดว่าแม่จะว่าไง”

“ไม่รู้ดิ” ผมคิดอย่างจริงจัง แล้วก็พูดซ้ำ “ไม่รู้จริงๆ ว่าแม่จะคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“ให้กูคุยกับแม่ก็ได้ เอาไว้ให้มีจังหวะเหมาะๆ ก่อน”

“ไม่รู้อะพี่ เอาไว้ก่อนละกัน”

“อืม กูขอถามบ้าง ที่มึงว่ากูทำให้มึงเลิกเกลียดคำโกหก คือยังไง”

“ก็...จะเริ่มไงดีล่ะ”











____________________________


คิดถึงมากเลยค่ะทุกคน ^ ^!
หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ยิ้มออกได้บ้างในช่วงที่บ้านเมืองไม่ค่อยสดใสแบบนี้นะคะ

แล้วก็...มีเรื่องจะรบกวนสอบถามทุกคนหน่อยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาถามแยกไว้ในอีกตอนค่า
แต่ว่าไม่ได้เป็นคำถามที่ซับซ้อนอะไรนะคะ ไม่มีเก็บคะแนนจิตพิสัยนะคะไม่ต้องกลัววว (ฮ่ะๆ)
ถามเกี่ยวกับ Ebook นิดหน่อยค่า อาจจะต้องรบกวนหน่อยนะคะ T T (ไหว้โค้งงง)

รักษาตัว รักษาใจ ยิ้มเยอะๆ นะคะ ส่งกำลังใจให้ทุกคนในช่วงเวลาแบบนี้นะคะ!



นางร้าย
18.เมษา.2020
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-04-2020 23:22:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 19-04-2020 04:23:17
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-04-2020 16:01:51
นะฑีดูหน้าด้าน แต่ขี้เขินนะ
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 19-04-2020 23:35:48
อยากกอดก็กอดเลยจ้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 23-04-2020 12:04:24
 :pig4: ยิ้มไปอ่านไป ก็เพราะเขาอุฟุฟวยกันไปมานี่ล๊าาา มันกร๊าวใจดีแท้  :-[