●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8  (อ่าน 30243 ครั้ง)

ออฟไลน์ mony

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่ทัชคะ พี่อยู่กับน้องมากเกินไปแล้ว กลายเป็นคนแบบนี้เลย 555

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
แผนอิพี่นี่มันช่าง .. รอบคอบดีเหลือเกิน ปัดโธ่! 55555

นี่พี่ทัชเราจะเริ่มใช้พลัง x men ออกปราบเหล่าอธรรมแล้ววว  ถถถถ ชีวิตที่แสนเงียบและราบเรียบของอิพี่กำลังจะเปลีายนไปเพราะอิน้องตัวแสบ

เราจิ้นเห็ดเปิ้ล ได้ไหม? จะมีหวังไหมนะ? หนือจะเป็นเห็ดชบา เอิ่มมม ท่าจะยากหนักกว่าเนอะ  :mew4:

ชอบค่าาาายังตามให้กำลังใจอยู่น้าาา มาต่อเร็วๆนะจ๊ะ

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านมากๆ เลยนะคะ
ดีใจมากๆ เลย
ฝากแฮชแท็ก #ณTouch ไว้ด้วยนะคะ :D


แตะต้องครั้งที่ 14
จับบบ…Lie ปุ๊บรู้ปั๊บจับมือลองของดอกทอง 4P I Like Me Better แกะพลาสเตอร์ช้าๆ



ผมนั่งอยู่ในมินิคูเปอร์ของพี่ทัช ตื่นเต้นจนครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ ตั้งแต่เกิดมานี่คือการพรีเซนต์งานแบบเอ็กคลูซีฟที่สุดแล้ว

“พี่ไม่ต้องกังวล” ผมพูด “ผมเตรียมตัวมาดีแล้ว”

พี่ทัชเหลือบมองผมขณะขับรถอยู่ “บอกตัวเองมั้ย ดูมึงกังวลกว่ากูเยอะ”

“บ้า ผมนี่โคตรชิลล์ ดูยังไงว่ากังวล”

“ก็มึงพูดคำว่า ‘ไม่ต้องกังวล’ มาสิบกว่ารอบแล้วมั้ง”

“ผมแค่จะย้ำให้พี่สบายใจแค่นั้นแหละ”

“เอาจริงๆ กูควรสบายใจมั้ย”

“สบายหายห่วง นี่ ผมทำรูปประกอบการพรีเซนส์มาด้วย ดู” ผมเอียงหน้าจอมือถือให้เขาดู พี่ทัชเหลือบมองแล้วทำท่าเหมือนจะกลั้นหัวเราะ “เอ่า ขำ ไม่ใช่มีแค่นี้ คำพรีเซนส์โดนๆ มันอยู่ในนี้” ผมเคาะขมับตัวเอง “อิงตามหลักหัวใจการตลาดพื้นฐานเลย รับรอง ผ่านฉลุย”

“ยังไง”

“อะ คณะจิตวิทยาไม่สอนอะดิ” ผมพูดเป็นการเป็นงาน “หัวใจการตลาด จำง่ายๆ เลย 4P คือ Price, Place, Product, Promotion”

“แล้วไง” 

“เอ้า เราก็เอาหลักการนี้มาปรับใช้ไง เหมือนจะขายสินค้าสักอย่างอะ ตัว Product ก็คือพลังเอ็กซ์เมนของพี่”

“อย่าใช้คำนั้น”

“รู้น่า อันนี้พูดกันสองคนไง แต่ตอนพรีเซนส์จะใช้คำอื่น” ผมพูดเป็นการเป็นงาน “ต่อนะ Price ราคา อันนี้ยังไม่ได้ตั้ง แต่ต้องราคาสูงแน่นอน เพราะเป็นสินค้าชนิดเดียวที่มีในโลก ส่วน Place สถานที่ที่จะขายนี่ คืออิสระอีก ไปได้ทุกที่ สุดท้าย Promotion ตอนนี้เราก็จัดไปเลย ฟรี ยังไงน้าเกดก็ต้องโอเคอยู่แล้ว”

“จะพูดให้ยุ่งยากทำไม เราก็แค่บอกน้าว่าจะช่วย”

“เรียนมาแล้วก็ต้องเอามาปรับใช้ดิ” ผมพูด แล้วไอเดียก็ผุดวาบอย่างกับฟ้าผ่า “เฮ้ยพี่ คิดไปคิดมา นี่เราตั้งบริษัทเป็นเรื่องเป็นราวได้เลยนะ บริษัทกำจัดคำลวง อะไรงี้”

“...”

“แล้วก็โปรโมทด้วยสโลแกนเก๋ๆ แบบ...เรียกหาความจริง เรียกหาเรา”

“...”

“ถูกหลอกบอกเรา หรือแค่เหงาก็โทรมาได้...แต่ไว้ค่อยคิด...เฮ้ยๆ คิดได้ละ อันนี้ต้องจดเลย Lie ปุ๊บรู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง Lie ที่แปลว่าโกหกอะ เจ๋งมะ จดๆ” ผมพิมพ์โน้ตลงไปบนมือถือ พลางพูดไปด้วย “เดี๋ยวผมทำการตลาดเอง หาลูกค้าด้วย ทำบัญชีด้วย ทำทุกอย่างเลย ส่วนพี่ไม่ต้องทำอะไร แค่เป็นโปรดักต์ของผมก็พอ”

“ฟังดูเหมือนกูไม่ใช่คน”

“งั้นพี่เป็นแค่คนของผมก็พอ เคปะ”

พี่ทัชหันมามองเหมือนจะไม่เชื่อหูตัวเอง แล้วก็ทำเสียงในคอ “หึ”

ชิบ

พูดอะไรออกไปวะ

อะไรเข้าสิงให้พูดแบบนั้นออกไป แม่ย่านางในรถเข้าสิงเหรอ

“ก็พี่บอกฟังเหมือนไม่ใช่คน ผมก็ใช้คำว่าคนไง” ผมพูดเสริม “เป็นทรัพยากรมนุษย์อะ”

“อืม”

“อืมนี่คือเข้าใจที่จะสื่อปะ”

“เปิดเพลงดิ๊”

เออ ดีเหมือนกัน เลิกคุยดีกว่า

ผมกดปุ่มเปิดเพลง เพลง I Like Me Better ดังขึ้นเพราะมันถูกตั้งเป็นเพลงแรกในลิสต์ไปแล้ว พี่ทัชไม่ได้ขอให้ผมร้องเหมือนตอนนั้น แต่ผมยังกรีดกระเดือกร้องตามอยู่ดี พอเพลงนี้จบเราก็ฟังเพลงอื่นๆ ของ Lauv ต่อเนื่องไปจนสุดทาง

คำว่า ‘สุดทาง’ ในที่นี้ก็คือ ร้านดอกไม้ของแม่นี่เอง มีรถหรูๆ มันดีอย่างนี้เองสินะ พี่ รปภ. บริการดี๊ดี แทบจะกราบรถอยู่ละ หลังจากจอดรถได้เสร็จสรรพ ผมเลยกระโดดลงไปทำท่าตะเบ๊ะให้พี่แกอย่างแข็งขัน “ขอบคุณคับผม!” จากนั้นก็เดินนำพี่ทัชไปที่ร้าน

“หมอนเน่าอยู่นี่มั้ย” พี่ทัชถาม

“อยู่ แม่จับมันนั่งตะกร้ามอไซค์มาด้วยทุกวัน ปล่อยให้อยู่บ้านไม่ได้อะ มันพังของ”

“นั่งตะกร้าหน้ามอไซค์อะนะ”

“ใช่”

“ใส่หมวกกันน็อกมั้ย”

“เอ้า ใส่ดิ กะโหลกแม่ผมไม่ได้ทำจากอะลูมิเนียมนะ”

“หมายถึงหมอนนิ่ม”

“มันมีหมวกกันน็อกแมวที่ไหนล่ะพี่”

“อืม”

พูดถึงตรงนี้เราก็เดินมาถึงร้านพอดี แม่กำลังหันหลังจัดดอกไม้อยู่หน้าร้าน ผมส่งสัญญาณให้พี่ทัชเดินเงียบๆ แล้วย่องเข้าไปดัดเสียงพูดใกล้ๆ แม่ “เหมาหมดนี่เท่าไหร่ครับ”

แม่หันขวับ “เอ้า นะฑีนี่ เล่นไร...ทัชก็มา”

“สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้

“หวัดดีจ้ะ”

“พาป๋าทัชมาเหมาดอกไม้อะแม่”

“ไปเรียกพี่เขาอย่างนั้นได้ยังไง” แม่ฟาดไหล่ผมด้วยความเอ็นดู...ซึ่งก็เป็นความเอ็นดูที่ค่อนข้างจะแรงอยู่ “นะฑีเล่าให้ฟังว่าทัชให้ยืมมือถือใช้ ขอบใจมากนะ”

“ไม่เป็นไรครับ” พี่ทัชตอบอย่างรวดเร็ว “ร้านน่ารักดีนะครับ แม่จัดเองหมดเลยเหรอครับ”

“อันนั้นผมจัด” ผมชี้บอก

น่ะ อึ้งไปเลยดิ

เห็นงี้แต่ก็มีฝี…

“แม่จัดใหม่แล้ว” เอ้าแม่ จากที่จะบอกว่ามีฝีมือ กลายเป็นมีฝีในไส้แล้วมั้ย “นะฑีชอบทำเละอยู่เรื่อย”

“โอ๊ย ร้อน”

“ห้องแอร์ยังร้อนอีกเหรอ” แม่ถามอย่างงงๆ แต่พี่ทัชดูขำนิดๆ เพราะเข้าใจมุกนี้ตั้งแต่ตอนกินบุฟเฟ่ต์กับเจ๊แคลแล้ว

“ชื่อร้านนี่ผมคิดเอง” ผมโม้ต่อ

“อ้อ ก็คิดว่างั้นแหละ...แล้วหมอนนิ่มล่ะครับ” พี่ทัชถามแม่

“หมอนนิ่มเหรอ นั่นไง พูดถึงก็ออกมาเลย”

ไอ้หมอนเน่าเดินต้วมเตี้ยมออกมาจากซอกกระถางตรงมุมร้าน หน้าตาง่วงๆ เหวี่ยงๆ เหมือนไม่พอใจที่มีใครมาส่งเสียงดังในอาณาเขตของมัน ดูจากแววตานี่ มันอาจจะวางแผนเผาร้านอยู่ก็ได้ แต่พี่ทัชคงไม่คิดอย่างนั้น

“หมอนนิ่ม กินหนมมั้ย” เขานั่งลง ล้วงสิ่งที่เรียกว่าขนมออกมาจากกระเป๋า ลักษณะเป็นซองเล็กๆ ฉลากเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งข้างในน่าจะเป็นอาหารเหลว เขาโบกไปมาก่อนจะฉีกซองเปิดออก ไอ้หมอนเน่าทำจมูกฟุดฟิดแล้วเข้ามาเลียกินอย่างเสียไม่ได้ ส่วนพี่ทัชก็เกาเหนียงมันพร้อมกับเรียกชื่อไปด้วย “หมอนนิ่มๆๆ”

เวลาคุยกับผมเรียกมันหมอนเน่า พออยู่ต่อหน้าแม่เรียกหมอนนิ่ม

แหม ละเอียดไปอีก

“นี่พี่แอบเอาขนมแมวมาด้วยเหรอ” ผมถาม

“ไม่ได้แอบ ก็เอาใส่กระเป๋ามาปกติ”

กวน

คำเดียวเลย กวนตีน

“ดูท่าจะชอบนะนั่น” แม่ว่า ซึ่งก็จริง จากที่ดูเหมือนจะเลียกินเหมือนเสียไม่ได้ ตอนนี้ไอ้หมอนเน่าเข้าขั้นสวาปามแล้ว มีการยกขาหน้ากดมือพี่ทัชไว้เพื่อไม่ให้ดึงกลับด้วย ทำเอาเจ้าตัวหลุดเสียงขำเบาๆ

เขาหัวเราะ

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะแบบนี้

“หมดแล้วกั๊บ” พี่ทัชพูดกับมัน “เดี๋ยววันหลังจะเอามาฝากเยอะๆ นะ”

“มานั่งในร้านกันก่อนมั้ย นะฑีเอาเก้าอี้ให้พี่เขานั่ง…”

“ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวพาป๋าไปนั่งร้านกาแฟตรงนี้”

“อ้อ โอเค”

ผมพาพี่ทัชเดินไปที่ร้านกาแฟข้างๆ “โกโก้เย็นครับ” ผมบอกพนักงานสาวที่เตรียมรับออเดอร์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเสียงเข้าหูหรือเปล่า ดูเหมือนเจ้าตัวจะอึ้งๆ กับรัศมีของพี่ทัชอยู่ ส่วนรายนี้ก็ไม่รู้คิดนานหรือว่าจงใจยืนให้อีกฝ่ายโลมเลียด้วยสายตา “อะ คิดนาน เดี๋ยวผมสั่งให้ซะเลย” ความจริงก็คงไม่ทันนานหรอกในความรู้สึกคนทั่วไป แต่สำหรับผมคือนานละ

พี่ทัชละสายตาจากเมนูที่เขียนแปะไว้บนบอร์ดด้านหลังเคาน์เตอร์ “ก็ดีนะ สั่งให้หน่อย”

“งั้นจัดไป อเมริกาโน่...น้องครับ ฮัลโหลครับโผม” ก็ไม่รู้หรอกว่าพนักงานอายุเท่าไหร่ น่าจะแก่กว่าผม แต่เรียกน้องเป็นการข่มขวัญไว้ก่อน

“อ้อ ค่ะ โกโก้เย็นนะคะ แล้วก็…”

“อเมริกาโน่” ผมย้ำ

“ได้ค่ะ”

พี่ทัชล้วงกระเป๋าเงินออกมาไว้รอแล้ว พอพนักงานรับออเดอร์เสร็จเขาก็ส่งแบงค์ห้าร้อยให้ทันที แต่น้องนี่ไม่รู้ว่าจินตนาการเห็นเป็นช่อดอกไม้หรือแหวนแต่งงาน ปากงี้ฉีกยิ้มไปถึงหูละมั้ง

“งี้ดิป๋า” ผมแซว

เรารอจนพนักงานคิดเงินเสร็จ แล้วไปหาที่นั่งด้านใน พี่ทัชไม่พูดอะไร เขานั่งเงียบๆ ตามแบบฉบับผู้ดี ส่วนผมควักมือถือออกมาเช็กความเคลื่อนไหวในโซเชียลแบบเร็วๆ แชตกับแก๊ง ไม่ส(า)มประกอบ อีกนิดหน่อย แล้วค่อยเงยหน้าขึ้น

“เหมือนในไฮกุเลยนะ อยู่ในร้านกาแฟ ไม่มีคนพูดเรื่องกาแฟ” ผมพูด

“ไม่มีคนเลยมากกว่า”

ก็จริง คงเพราะตอนนี้ใกล้ค่ำเลยเวลากินกาแฟของคนทั่วไปแล้ว

“ก็ดีแล้วอะ จะได้คุยธุรกิจสะดวกๆ”

“นี่แม่รู้เรื่องรึเปล่า”

“เรื่อง?”

“ที่เราจะช่วยน้าเกด”

“ต้องไม่รู้อยู่แล้ว คิดว่าผมจะเอาเรื่องพลังเอ็กซ์เมนของพี่ไปพูดมั่วซั่วเหรอ”

“ตอนนี้แหละ มึงพูดมั่วซั่วอยู่”

อ่อ เพิ่งรู้ตัว

“เพราะไม่มีคนไง ถึงได้พูด…” ผมพยายามแก้ตัว พนักงานยกเมนูที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี ผมเลยหยุดกลางคันและนั่งแอ๊คท่าเคร่งขรึม รอจนพนักงานออกไปแล้วค่อยพูดต่อ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงผมก็ไม่ขายความลับพี่หรอก”

“อืม” พี่ทัชทำเสียงในคอ เขาลองจิบกาแฟตรงหน้า จิบนิดเดียวจริงๆ จากนั้นก็หยิบน้ำตาลฉีกเทใส่ หนึ่งซอง สองซอง…

พอจะหยิบซองที่สามผมก็ทัก “คือขมว่างั้น”

เขาวางซองน้ำตาลลง เปลี่ยนเป็นหยิบช้อนคนกาแฟแทน

“พี่บอกให้ผมสั่งเองนะ โทษผมไม่ได้”

“ทำไมมึงสั่งอันนี้ให้กู”

“ก็สั่งมั่วๆ อะ ชื่อมันเพราะดี”

“...”

ผมยืดคอมองสิ่งที่อยู่ในถ้วยของเขา ใช่ ชื่อมันเพราะ แต่พูดภาษาบ้านๆ ก็คงเรียกว่ากาแฟดำดีๆ นี่เอง “ไม่อร่อยก็อย่ากินดิ อยากกินของอร่อยก็ไปสั่งใหม่ เนี่ย โกโก้ สุดๆ แล้วร้านนี้ เอาปะล่ะ...อะ ให้ลองชิม เอาช้อนจิ้มไป อย่าดูดหลอดผม”

พี่ทัชมองแก้วโกโก้ของผมด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนมองเศษดินเศษหญ้า แล้วก็ยกแก้วกาแฟดำขึ้นจิบ สีหน้ามีอาการเล็กน้อย

“เอ้า พี่นี่กวนตีนนะ ไม่อร่อยจะกินทำไม”

“กินเพราะมึงสั่งให้”

“...”

เอาซะไปไม่เป็น

คือยังไงวะ กินเพราะผมสั่ง...นี่เหรอเหตุผล ทำไมฟังแล้วมันหวิวๆ แปลกๆ วะ

“กินประชดไรงี้?”

พี่ทัชมองหน้าผม “เทอมที่แล้วเกรดเฉลี่ยมึงเท่าไหร่”

“ทำไม”

“ก็ถามดู”

“จำไม่ได้ 2.7 มั้ง”

“อ่อ”

อ่อ? คือไรวะ แล้วยิ้มมุมปากทำไม

“อะไร เหยียดเหรอ 2.7 นี่ก็ท็อปฟอร์มแล้ว แล้วพี่อะ เกรดเท่าไหร่”

“3.92”

เชร้ด

ปวดหัวจี๊ดเลย

“ขี้โม้ ถ้าขนาดนั้นไม่เกียรตินิยมเหรียญทองแล้วเหรอ”

“กี่โมงแล้ว”

บทจะเปลี่ยนเรื่องก็เปลี่ยนดื้อๆ แบบนี้แหละ เริ่มจะชินกับการตัดบทแบบนี้ของเขาแล้ว ผมดูหน้าจอมือถือ เลยเวลานัดมานิดหน่อย “หวังว่าคงไม่ใช่ผัวซ้อมจนมาไม่ได้นะ เดี๋ยวโทรหาแกก่อน...ฮัลโหลครับน้า อ้อ กำลังหาที่จอดรถ...ครับ งั้นก็เข้ามาที่ร้านได้เลยนะ”

พี่ทัชแกะพลาสเตอร์ออกช้าๆ

ทีละนิ้ว…

“แกะออกหมดเลยเหรอ” ผมถาม

“ใช่”

“ทำไมอะ”

“จะได้ดูเหมือนคนปกติ”

“ทีตอนกับผมทำไมแกะออกแค่นิ้วเดียวอะ จะได้ดูพิเศษเหรอ”

ดวงตาสีเข้มเหลือบมองหน้าผม แล้วก็หลุบต่ำลง เหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรขำๆ อยู่คนเดียว

“เอ้า แล้วก็ไม่พูด”

“เพราะกูไม่มีเวลาเตรียมตัว” เขาแกะพลาสเตอร์ออกจนหมด จากนั้นหยิบทิชชู่เปียกจากกระเป๋าออกมาเช็ดมือ เช็ดเอาคราบกาวเหนียวๆ ที่ปลายนิ้วออกทีละนิ้ว

“มาแล้ว”

ผมหันขวับไปมอง น้าเกดเข้ามาถึงที่โต๊ะและเลื่อนเก้าอี้นั่งทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ทัชใช้ทิชชู่เปียกกวาดเศษพลาสเตอร์ลงจากโต๊ะพอดี ดูแนบเนียน ไม่ตื่นเต้น เหมือนว่าแค่เก็บเศษขยะเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งน้าเกดอาจไม่ทันได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้

“หวัดดีจ้ะ รอกันนานมั้ย”

“รอเป็นชาติละน้า / ไม่นานครับ”

ผมกับพี่ทัชพูดพร้อมกัน แต่ภาษาที่ใช้นี่อย่างกับมาจากคนละโลก ก่อนจะได้พูดอะไรต่อ พนักงานก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้น้าเกด แค่ชาร้อนธรรมดาซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะไม่สนใจเลย เหมือนว่าสั่งพอเป็นพิธีไปอย่างนั้น

“ถ้างั้นก็เริ่มเลย” น้าเกดพูดหลังจากพนักงานเดินออกไป “ไหน เป็นยังไง ไอ้วิธีที่ว่า” ก่อนนัดกันมาเจอที่นี่ ผมโม้ไปบางส่วนแล้วน้าเกดถึงได้พูดแบบนี้

“เอางั้นเลยนะ” ผมเริ่ม “น้าต้องตั้งสติหน่อยนะ นี่เป็นนวัตกรรมใหม่ระดับโลกเลยก็ว่าได้”

“ขนาดนั้น”

“เอ้า พูดแล้วจะหาว่าโม้”

“งั้นก็อย่าโม้เยอะ เข้าเรื่องเลย มันคืออะไร”

“มันคือ...จิตวิทยาแนวใหม่แบบคูลๆ ยังไม่มีชื่อเป็นทางการนะ แต่ไอ้ที่เด็ดมันอยู่ตรงสโลแกนนี่แหละ ฟังนะ...Lie ปุ๊บรู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง Lie ที่แปลว่าโกหกน่ะ เจ๋งมะ”

“ก็คือวิธีจับโกหกด้วยจิตวิทยา?”

“ผมว่าละ น้าต้องไม่เข้าใจ ผมเลยทำพรีเซนส์เทชั่นมา นี่ดู…” ผมเปิดไฟล์ภาพในมือถือวางลงตรงหน้าน้าเกด และนี่ก็คือแผนภาพประกอบสุดอลังการของผม

เป็นแผนภาพง่ายๆ

ทางซ้ายวาดเป็นเส้นยุ่งเหยิงเหมือนก้อนไหมพรม เขียนคำเล็กๆ ประกอบว่า ‘สารพัดเรื่องโกหก’ แล้วก็มีลูกศร >>> ชี้ต่อไปที่รูปคน หัวกลม ลำตัวเป็นเส้นตรง มีแง่งเฉียงๆ แทนแขนขา โดยที่วาดองศาแขนขาสื่อว่ากำลังเต้นอยู่ นี่คือ ‘พี่ทัช’ แล้วลูกศร >>> ก็ชี้ต่อไปทางขวาหาคำที่เขียนโตๆ ว่า ‘ความจริงล้วนๆ’

“มีสามส่วนง่ายๆ แค่นี้แหละ” ผมพูดอย่างภูมิใจ

“นี่ให้เด็กที่ไหนวาด” น้าเกดย้อน

ผ่าม!

“ผมเนี่ยวาด”

“นี่คือทัชเหรอ ถ้าไม่เขียนบอกไว้นี่นึกว่ากิ่งไม้”

“กิ่งไม้ไร คนชัดๆ”

“แล้วยังไงล่ะ วิธีที่ว่า ในรูปนี่ถือแก้วอย่างกับจะสาดน้ำกรด”

“ก็…”

“เดี๋ยวผมสาธิตให้ดูเลยดีกว่าครับ” พี่ทัชตัดบท

นี่ก็อีกคน

ไม่สวยตรงไหน นี่แก้ตั้งสามรอบนะเฮ้ยกว่าจะออกมาได้แบบนี้ แล้วที่สำคัญกว่ารูปคือคำอธิบายต่างหาก

“นะฑีเก็บมือถือดิ” โอเค้ ผมไม่ต้องอธิบายอะไรละ โชว์ออฟไปเลยเพ่ ผมเก็บมือถือให้พ้นหูพ้นตาแล้วหุบตูดอยู่เงียบๆ “น้าเกดทำใจให้สบายๆ นะ แล้วก็รบกวนแบมือหน่อยครับ…” พี่ทัชล้วงหยิบของบางอย่างจากกระเป๋า แล้ววางลงบนมือน้าเกด 

“อะไรเหรอ”

“ถ่านนาฬิกา” ผมโพล่งออกไป เพราะมันเป็นถ่านกลมๆ แบนๆ ที่ใช้ใส่นาฬิกาจริงๆ

พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม “ดูเหมือนถ่าน แต่ไม่ใช่”

“อ้อ...นั่นดิ ต้องไม่ใช่ถ่านอยู่แล้ว นี่มันสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำโคตรๆ ทำให้มันดูเหมือนถ่านธรรมดาๆ เพื่อไม่ให้คนรู้ไง แต่ข้างในนี่วงจรซับซ้อนสุดๆ อะไรนะที่พี่บอก ลืมละ มันจะแผ่รังสีหรือคลื่นอะไรสักอย่าง…”

“เงียบก่อน น้าเกดต้องใช้สมาธิ” พี่ทัชว่า “ถือไว้นิ่งๆ นะครับ”

“เหรอ แต่น้าไม่รู้สึกอะไรเลยนะ”

“ต้องใช้อันนี้ด้วยครับ” พี่ทัชหยิบไอโฟนออกมากดเลื่อนหน้าจอ จากนั้นก็เลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าน้าเกด ผมยืดตัวมอง บนหน้าจอคือแอพลิเคชั่นนาฬิกาธรรมดาๆ แค่นั้นเอง “มองเข็มนาฬิกาเดินวนไปเรื่อยๆ นะครับ”

“โอเค”

“ไม่ต้องจริงจังครับ”

“อ้อ ได้ๆ”

เงียบอยู่สักพัก น่าจะห้าวินาทีได้มั้ง พี่ทัชก็ถามอีก

“รู้สึกยังไงบ้างครับตอนนี้”

“ก็...เอาจริงๆ ก็...”

“อย่าโกหกผมนะ”

“เอาจริงๆ คือไม่รู้สึกอะไรเลย เฉยมาก”

“ตอนนี้ให้น้านึกถึงท้องฟ้ากว้างๆ นะครับ ทำใจสบายๆ”

“โอเค แล้วเข็มนาฬิกาล่ะ ต้องดูต่อมั้ย”

“ดูครับ ดูตลอดเลย”

“โอเค”

“ระหว่างนี้ผมรบกวนขอจับชีพจรหน่อยนะครับ” ว่าแล้วพี่ทัชก็เลื่อนมือไปสัมผัสตรงข้อมือน้าเกดเบาๆ ใช้สองนิ้วแปะเหมือนแพทย์แผนจีนวินิจฉัยโรคเป๊ะ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นมือเปลือยของพี่ทัชเต็มๆ มือสะอาดสะอ้านดูผู้ดีมาก นิ้วก็เรียวยาวอย่างกับนิ้วศิลปิน

น้าเกดขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเหลือบตามองมือที่โดนสัมผัส

“มองเข็มนาฬิกาไว้ครับ อย่าสนใจอย่างอื่น” พี่ทัชบอก

“น้าว่า...มันเริ่มแปลกๆ แล้วแหละ”

“หวิวๆ ใช่ปะ” ผมถาม

“ไม่รู้สิ พูดไม่ถูก…แม่ง คบกันมากี่ปี ยังทำสันดานหมาๆ อีก...เอ่อ...”

“หายใจลึกๆ จะช่วยได้ครับ” พี่ทัชบอก น้าเกดก็ทำตาม “ทีนี้ลองโกหกผมดู”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องอะไรก็ได้ครับ”

“...ก่อนมานี่ก็ร้องไห้ไปรอบนึง ถึงต้องโปะหน้ามาขาววอกขนาดนี้ไง...หน้าน้าขาวไปมั้ย ไม่สวยใช่เปล่า ผัวมันถึงไม่สนใจ คือ...”

“ใจเย็นน้า เอางี้ดีกว่า ลองบอกว่าพี่ทัชมีสี่ขาสามแขนดิ”

“ทัชมี...สะ...สองแขนสองขา แล้วก็หล่อมาก ดูผู้ดีด้วย ไม่น่ามารู้จักนะฑีเลยนะ นี่เจอกันได้ไง เอ่อ...นี่น้าพูดมากไปรึเปล่า”

“ตอนนะฑียังเด็ก ดื้อมั้ยครับ” พี่ทัชถาม เล่นเอาผมสะดุ้ง

“ดื้อสุดๆ กวนตีนมาตั้งแต่เกิดแล้ว หน้าตาก็อย่างกับด้วงไม้ไผ่ นี่พอโตเลยดูดีขึ้นมาหน่อย...น้าว่า...พะ พอแล้วดีกว่า”

กูโดนน้าเล่นแล้ว ด้วงไม้ไผ่หน้าตาไงวะ เสิร์ชแป๊บ

“เนี่ยนะหน้าตาผมตอนเด็ก” ผมโชว์รูปด้วงจากกูเกิล แต่เหมือนจะไม่มีใครสนใจ พี่ทัชเก็บอุปกรณ์ลวงโลกของเขาเรียบร้อยหมดแล้ว ส่วนน้าเกดกำลังประคองถ้วยชายกขึ้นดื่ม “ที่บอกว่าผมหน้าตาเหมือนด้วงนี่มันโกหกชัดๆ น้าพูดงี้ได้ด้วยเหรอ” ผมถามพี่ทัช

“โกหกไม่ได้” น้าเกดพูดเบาๆ

“คำเปรียบเทียบไง” พี่ทัชว่า “ถ้าน้าเกดรู้สึกว่าหน้ามึงเหมือนด้วงจริงๆ มันก็เป็นความจริงสำหรับน้า ก็เลยพูดได้”

ผมย่นจมูกใส่เขา

“ด้วงไม้ไผ่” พี่ทัชพูดเรียบๆ เป็นการโต้ตอบ

ทำไมมีลางสังหรณ์ว่าหลังจากนี้เขาจะล้อผมด้วยคำนี้ซ้ำๆ วะ

คุยกับน้าเกดดีกว่า

“ไง น้า เจ๋งใช่ปะ”

“โกหกไม่ได้” เจ้าตัวย้ำ ทำท่าจะจิบชาแต่แล้วก็วางลง “ก็ไม่เชิงแบบนั้น...มันรู้สึกเหมือนอยากพูดความจริงน่ะ”

“ต้องพูดความจริงมากกว่ามั้งผมว่า ผมเคยโดนแล้ว ฝืนไม่ได้อะ” ผมพูด

“ใช่ ต้องพูดความจริง”

“ยิ่งถูกถาม ยิ่งต้องพูดใช่มะ”

“ใช่ ทัชทำได้ไง มายากลเหรอ”

“ไม่ใช่ซะทีเดียวครับ”

“สะกดจิต?”

“ก็ไม่เชิง แต่จะพูดแบบนั้นก็ได้ เวลาคนเราจอจ่อกับอะไรมากๆ ด้วยจิตใจที่สบาย จิตใต้สำนึกจะเปิดรับคำสั่งครับ จริงๆ แล้วเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์น่ะครับ”

“ลืมบอก พี่ทัชเขาเรียนคณะจิตวิทยาน่ะ อยู่ปีสี่ ใกล้จะจบแล้ว เกรดเฉลี่ย 3.92”

“โอ้...แปลกดีนะ แล้วใช้ได้ผลทุกครั้งมั้ย”

“ตามสถิติก็ยังไม่เคยพลาดนะครับ”

“แล้วถ้าคนที่ถูกสะกดจิต หมายถึงผัวน้านี่แหละ ถ้ามันไม่ให้ความร่วมมือล่ะ จะเป็นไง”

“ไม่น่ามีปัญหาครับ” พี่ทัชพูดเรียบๆ ประสานมือไว้บนตัก “มีวิธีอื่นๆ อีก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นหลัก แล้วเอาจริงๆ ก็ใช้เวลาไม่มาก ครั้งนี้ผมแค่ทำช้าๆ เพื่อให้น้าเกดเข้าใจ”

“อ้อ”

“จำตอนเริ่มมองเข็มนาฬิกาได้มั้ยครับ ผมบอกว่า ‘อย่าโกหกผมนะ’ ตรงนั้นแหละที่สำคัญ”

พี่ทัชแม่งเล่นเนียนไปแล้ว เล่นเอาผมคล้อยตามเลยเนี่ย คันปากยิบๆ อยากจะแฉว่าความจริงคือพลังเอ็กซ์เมนต่างหาก หรือว่าพี่แกใช้วิธีสะกดจิตร่วมด้วยจริงๆ วะ

“ที่บอกอย่าโกหกนี่ คือแอบป้อนคำสั่งไว้ก่อน ไรงี้ใช่ปะ” ผมถาม

พี่ทัชไม่ตอบ แต่การไม่ตอบนั่นแหละคือคำตอบ ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเห็นเขานี่แหละ ที่ทำสีหน้านิ่งๆ ได้น่าเชื่อถือสุดๆ และกวนตีนโคตรๆ ด้วยในเวลาเดียวกัน

“อย่างนี้นี่เอง” น้าเกดว่า “สรุปว่า ทัชทำให้สามีน้าพูดความจริงได้”

“ครับ”

“ต่อให้เจ้าตัวจะขัดขืนก็ตาม”

“ครับ”

“จะยากอะไร ถ้าขัดขืน ก็จับล็อกคอทุ่มเล่นสักทีสองทีก่อนดิน้า” ผมออกความเห็น “แล้วค่อยสะกดจิต”

“ใครจะเป็นคนจับทุ่ม”

ผมชี้ไปที่พี่ทัช “เทควันโดสายดำ”

“จริงเหรอ”

“พี่ทัชนี่ตัวท็อปเลยเหอะ ใช่มะพี่” ผมเสริมเข้าไปอีก “ไม่ต้องห่วงน่า น้า พี่ทัชแกแพรวพราวอยู่แล้ว...จริงมั้ยพี่”

เราสองคนมองหน้าเขา ระหว่างนี้ผมก็แอบส่งสายตากดดันให้เขาเล่นตามน้ำด้วย

พี่ทัชยิ้มนิดๆ แล้วพูดในที่สุด “ไม่ต้องห่วงครับ”

“อืม” น้าเกดทำเสียงในลำคอลึกๆ ก่อนจะก้มหน้าลงเคาะนิ้วกับถ้วยชาเหมือนใช้ความคิด ผมทนรอไม่ไหวเลยตัดบทรวบหัวรวบหางซะเลย

“สรุปว่าโอเคนะน้า”

“อื้อ ตามนั้นแหละ เดี๋ยวน้าให้ค่าเสียเวลา เอาเป็นเท่าไหร่ดี…”

“ไม่ต้องครับ ไม่เป็นไร” พี่ทัชรีบบอก

ผมก็รีบเสริมทันที “แบบ...พี่ทัชแกช่วยเพราะคนกันเองอะ ฟรีๆ ไป ถือว่าเป็นโปรโมชั่นก็ได้”

“อ้อ ขอบใจนะ”

“น้าสะดวกจะให้ลากคอสามีวันไหนก็บอกผมละกัน ผมจะได้นัดพี่ทัชอีกที”

“เป็นนายหน้าเหรอเรา”

“ถูกต้องนะคร้าบ”

น้าเกดหัวเราะ “โอเค เดี๋ยวบอกอีกที”

“แบบนี้เขาเรียกว่าหัวเราะเครียดๆ นะ” ผมว่า “น้าไม่ต้องห่วงจริงๆ สำเร็จแน่ ให้เตรียมเลื่อยกับถุงดำไว้ด้วยก็ได้นะ ถ้าเคลียร์ไม่ลงตัวยังไงเราก็ฆ่าหั่นศพซะเลย”

คราวนี้น้าเกดหัวเราะได้เต็มเสียงมากขึ้น “ถุงดำมันขาดง่ายไป ใช้กระเป๋าเดินทางดีกว่า… เอ้อ เดี๋ยวน้าต้องไปแล้ว พอดีมีนัดต่อ ขอบใจมากนะทัช”

“สวัสดีครับ”

“หวัดเดน้า”

น้าเกดหยิบกระเป๋าคล้องแขนและลุกขึ้น “ทัชฑี ชื่อเราสองคนนี่มันพ้องเสียงกันดีนะ” แล้วก็เดินออกไป

ผมกับพี่ทัชมองตามหลังจนเจ้าตัวเดินพ้นประตูร้าน แล้วค่อยหันมามองหน้ากัน

“เทควันโดสายดำเนี่ยนะ” พี่ทัชว่า

“อะ ทำไมล่ะ ทีพี่ยังใช้ถ่านนาฬิกาเลย แล้วจริงดิ ที่ป้อนคำสั่งให้จิตใต้สำนึกอะไรนี่”

“กูนึกอะไรได้ก็พูดไปงั้น”

“โห พี่แม่ง โคตรเนียน”

“แต่มึงไม่เนียน”

“ตรงไหน ผมนี่ตัวสับขาหลอกเลย ถ้าไม่มีผมน้าเกดจับผิดพี่ได้แล้วเหอะ” ผมฉีกยิ้ม “เรื่องนี้สอนให้ผมรู้เลยนะว่า การทำงานเป็นทีมที่ดีมันเป็นยังไง”

“เรื่องนี้สอนให้กูรู้ว่ามึงหน้าเหมือนด้วง”

“หยุดเลย พี่อะ เอาดีๆ ดิ๊”

“ดีๆ ก็อืม...เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การโกหกมันเหนื่อยกว่าพูดความจริง”

คม?
ก็คมอยู่แหละ แต่อย่าไปอวยมาก เดี๋ยวพี่แกเหลิง

“อ้อเหรอ” ผมแกล้งยักไหล่ชิลล์ๆ “แต่เพราะมีผมไงพี่ถึงไม่เหนื่อยมาก ผมนี่แหกตาคนมานักต่อนักแล้ว ยกเว้นแม่คนเดียวแหละที่ผมไม่โกหก”

“ทำไม”

“ทำไมอะไร”

“ทำไมไม่โกหกแม่”

“ก็...มันเป็นกฎของผมอะ” พี่ทัชเอียงคอนิดๆ เหมือนรอฟังต่อ “อ้อ แล้วตอนนี้ก็มีพี่อีกคนแล้วที่ผมจะโกหกไม่ได้ เพราะพี่มี…” ผมยั้งปากไว้ ก่อนจะพูดต่อ “...ถ่านนาฬิกาที่ทำให้โกหกไม่ได้”

พี่ทัชมองหน้าผม

ผมมองหน้าเขา

แล้วเราก็หัวเราะพรืดใส่กันเบาๆ

หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่งผมรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก พี่ทัชสีหน้าเรียบนิ่งตามปกติแล้ว เขาล้วงเอาพลาสเตอร์อันใหม่เป็นตับออกมาจากกระเป๋า เริ่มแกะมันมาพันนิ้วทีละนิ้ว ส่วนผมไม่รู้จะทำอะไร เลยดูดโกโก้ที่กินจนหมดแล้วดังกรอดๆ

“หิว?” พี่ทัชถาม

“นิดนึง”

“แม่ปิดร้านกี่ทุ่ม”

“ก็อีกสักพัก สองทุ่มบ้างสามทุ่มบ้าง แล้วแต่อะ”

“แล้วมึงกับแม่กินข้าวเย็นยังไง”

“บางทีก็สั่งมากินที่ร้าน บางทีก็สลับกันเฝ้าร้านออกไปหาไรง่ายๆ แถวนี้กิน ไม่ก็กลับไปกินที่บ้านเลย”

“แถวนี้อะไรอร่อย”

“ของกินเยอะ ทำไม จะอยู่กินข้าวด้วยเหรอ”

“รถติด”

“ตอบไม่ตรงคำถาม”

“กูอยากเลี้ยงข้าวแม่ ตอบแทนที่วันนั้นชวนกูกินข้าวที่บ้าน”

“จริงดิ จัดเต็มปะล่ะ”

“วันนั้นแม่ก็จัดเต็ม”

“เอ้า งั้นก็จัดเลยดิ รอไร ปิดร้านๆ” ผมลุกพรวดขึ้น

“ไม่เป็นไร กูรอได้ ให้แม่ปิดร้านตามเวลาปกติแหละ”

“พี่รอได้ แต่ผมรอไม่ได้ไง หิว ไปเร็ว ลุก!” ผมจับเสื้อเขาบริเวณหัวไหล่กระตุก พี่ทัชเหลือบมองเหมือนไม่เชื่อสายตาว่าผมจะทำแบบนั้น

“กูยังพันนิ้วไม่เสร็จ”

“เหลือแค่นิ้วชี้นิ้วเดียว ไม่ต้องพิถีพิถันขนาดนั้นหรอก มา ช่วย…” แผ่นพลาสเตอร์เพิ่งพันไปได้ครึ่งหนึ่ง ประมาณว่าเขากำลังเล็งให้ขอบมันทับรอยกันเป๊ะๆ ผมเลยจับนิ้วเขามาขยุ้มๆ กดแผ่นพลาสเตอร์ปิดซะ “เสร็จ! ไปได้ยัง”

พี่ทัชพลิกนิ้วดูช้าๆ

“ตลกดี” เขาว่า แล้วลุกขึ้น







___________________

ขอบคุณจากใจที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
หวังว่าจะทำให้มีรอยยิ้มเล็กๆ ได้บ้างน้า :D

นางร้าย
29.สิงหา.2019
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2019 19:43:55 โดย นางร้าย »

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
พี่ทัชนี่สมกับเรียนจิตวิทยาจริงๆ รู้จักหลอกล่อเบี่ยงเบนความสนใจ

แต่อยากถาม ... อิพี่ มีพลังพิเศษอะไรที่ทำให้ อิน้องพูดน้อยลงบ้างได้ไหม? นี่เหนื่อยแทนนางมาก  :laugh:

จริงๆ อ่านจบตั้งแต่อัพเมื่อคืน แต่ไม่กล้าเม้นท์กลัวไปแทรกคั่นกลางโพสนิยาย เพราะไม่แน่ใจว่าคุณนางร้าย เขียนจบตอนแล้วหรือยัง? ไม่มีคำห้อยท้ายปิดตอนเหมือนทุกครั้ง ถ้าเม้นท์แล้วไปแทรกตอนนิยาย ต้องขออภัยด้วยนะคะ

ชอบนะคะ สนุก มาต่อเร็วๆน้าาา  :กอด1: :mew1:

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 15
จับบบ...ข้างๆ คูๆ หมอดูขอไถ
ไหลเข้าระยะห่างระหว่างบุคคลร้อนรนจนได้เรื่อง




NaTee(n): งานเข้า

NATOUCH: ?

NaTee(n): งานเข้าๆๆ

NaTee(n): งานเข้าแล้ว

NaTee(n): ด่วนๆ 

NATOUCH: เจอไอ้เป้เหรอ

NATOUCH: อย่าไปยุ่งกับมัน

NaTee(n): ไอ้เป้น่ะนะ

NaTee(n): ถ้าเจอตัว ผมจะเอาหนังยางดีดหูมันเลย

NaTee(n): แต่ไม่ใช่

NaTee(n): น้าเกดต่างหาก

NaTee(n): อยากให้ปฏิบัติการวันนี้

NaTee(n): ในอีก 30 นาทีนี้เลย

NaTee(n): น้าเอ๊ดแวบมาแถวมหา’ลัยเราพอดี

NaTee(n): น้าเกดก็อยู่ไม่ไกล

NaTee(n): พี่ว่างมั้ย

NATOUCH: ไม่ว่าง

NaTee(n): ง่ะ

NaTee(n): นี่เลิกเรียนแล้วนะ ทำไร

NaTee(n): งาน

NaTee(n): โปรเจ็กต์อะนะ

NATOUCH: ใช่

NaTee(n): พักไว้ก่อนไม่ได้เหรอ

NATOUCH: คุยงานกับเพื่อนอยู่

NaTee(n): ก็บอกให้เพื่อนไปนอนพักก่อน 

NaTee(n): ไปหาไรกิน หรือตบยุงเล่น ไรก็ได้

NaTee(n): น้าบอกว่านี่เป็นโอกาสดีสุดๆ แล้ว

NaTee(n): น้าเอ๊ดมาใกล้ๆ นี่เอง

NaTee(n): นะ

NaTee(n): นะๆๆ

NaTee(n): น้า

NATOUCH: น้าไร

NaTee(n): น้าไร?

NaTee(n): ก็น้าไง

NaTee(n): ไม่ได้หมายถึงน้าเกดน้าเอ๊ด

NaTee(n): แบบ น้าาาา~

NATOUCH: ห้านาที

NATOUCH: มาเจอกูที่ลานจอดละกัน



ห้านาทีต่อมา

ผมก็มานั่งอยู่ในมินิคูเปอร์ของพี่ทัชอีกครั้ง เวลาสี่โมงเย็นกว่าๆ แบบนี้ อีกหน่อยรถจะติดนรกแตกแน่นอน แต่พี่ทัชก็ขับเนิบๆ นิ่มๆ อย่างผู้ดีเหมือนเดิม ระหว่างติดไฟแดง เขาถือโอกาสละมือจากพวงมาลัยมาแกะพลาสเตอร์ออกจากนิ้ว ส่วนผมแชตกับน้าเกดยิกๆ ร้อนอกร้อนใจกลัวจะไปไม่ทัน

“ให้ช่วยมั้ย” ผมอดถามไม่ได้ เห็นแกะทีละนิ้วแบบชิลล์เกิ๊น

“ไม่ดีกว่า”

“พี่ไม่รำคาญเหรอ ต้องมาคอยพันทีละนิ้ว แล้วก็ต้องมานั่งแกะอีก ยุ่งยาก พี่ไม่ใช้ถุงมืออะ สวมทีเดียวปุ๊บ พอจะใช้งานนิ้วก็ถอดปั๊บ”

“กูชอบแบบนี้”

“ถุงมือง่ายกว่า เชื่อผมดิ”

“มึงจะให้กูสวมถุงมือเดินไปเดินมาในมหา’ลัยเหรอ”

ผมนึกภาพพี่ทัชสวมถุงมือหนังสีดำดูร็อกๆ ร้ายๆ มันก็คงแปลกๆ อยู่อย่างที่เขาว่า “แต่มันก็สะดวกกว่าจริงๆ อะ งั้นทำไมพี่ไม่เปลือยนิ้วไว้ตลอดเลยล่ะ”

“มึงไม่เข้าใจหรอก”

“อธิบายดิ”

“มันโล่งๆ เหมือนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า”

ได้ยินอย่างนี้แล้ว ก็อดนึกภาพพี่ทัชเปลือยทั้งตัวเดินไปเดินมาไม่ได้ “ก็ดีนะผมว่า โล่งๆ ดี...แต่ก็พอจะเก็ต นิ้วพี่มันเอ๊กคลูซีฟอะนะ อาจจะอ่อนไหวกับลมกับแดดง่าย ต้องหาอะไรปิดไว้สักหน่อย เหมือนใส่เสื้อ…”

“น้าเกดว่าไง” เขาพูดขัด

“กำลังซิ่งไปที่จุดนัดพบ”

“แผนว่าไง”

“ก็...เนี่ย คุยๆ อยู่ แต่โดนด่า น้าเกดขับรถอยู่อะ”

“ตั้งแต่เจอน้าเกดก็สองวันแล้ว ไม่ได้คุยกันไว้เลยเหรอ”

“ไม่นึกว่าจะด่วนขนาดนี้ไง” ผมหันมองหน้าเขา “งั้นต้องอาศัยสมองขั้นเทพของพี่แล้ว พี่คิดแผนเลย เอาให้เนียนๆ นะ”

ไฟเขียวแล้ว

พี่ทัชแกะพลาสเตอร์ชิ้นสุดท้ายหย่อนลงถังขยะใบเล็ก แล้วออกรถ

“คิดออกยัง”

“ยัง”

“ทำไมอะ เรียนได้เกรด 3.92 งี้ ต้องคิดได้แล้วดิ”

“ยังไม่ได้เริ่มคิด ผ่านมาห้าวินาที ให้กูคิดอะไร”

“งั้นพี่คิดไป ผมจะอยู่เงียบๆ จะได้มีสมาธิ”

“อืม”

ผมเงียบอยู่ประมาณนาทีกว่าๆ “เปิดเพลงนะ” พี่ทัชไม่ว่าอะไรผมก็เลยเปิด แต่มันตื่นเต้นจนฟังยังไงก็ไม่อิน ตรงข้ามกับพี่ทัชที่ดูชิลล์ๆ บางทียังเคาะนิ้วกับพวงมาลัยเล่น

ไม่น่าเชื่อ ประมาณยี่สิบนาทีต่อมาเราก็มาถึงที่หมายจนได้

ถ้าน้าเอ๊ดจะนัดเจอชู้ที่นี่ผมก็ไม่แปลกใจ มันคือโรงแรมระดับสี่ห้าดาวดีๆ นี่เอง ตรงหน้าทางเข้ามีลานน้ำพุย่อมๆ ประตูทางเข้ามีดอร์แมนสวมชุดเรียบกริบ สวมถุงมือขาวเรียบร้อย น้าเกดมาถึงก่อนไม่นาน น่าจะเข้าไปข้างในก่อนเราไม่กี่นาที

หลังจากจอดรถเสร็จ ผมกับพี่ทัชก็มุ่งตรงไปที่ล็อบบี้

“แผนว่าไง” ผมถาม

“ไม่มี”

“ชิบ”

ก่อนจะได้พูดอะไรต่อเราก็ผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้ว เหมือนหลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่งที่คนอยู่อาศัยน่าจะไม่ต้องทำอะไรเองนอกจากหายใจ กิน และนอน ทั้งโถงล็อบบี้ดูสว่างนวลตา โซฟาสีแดงกำมะหยี่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่กลางโถง ส่วนบริเวณรอบๆ มีโต๊ะเก้าอี้เข้าชุดกันหลายชุดตั้งอยู่มุมนั้นมุมนี้ มีทั้งมุมที่สว่างแจ้ง และมุมที่แสงต่ำๆ คล้ายเพื่อให้แขกนั่งพักสายตา นอกจากนั้นก็มีเสียงเพลงคลาสสิกเปิดคลออยู่เบาๆ

น้าเกดกับน้าเอ๊ดนั่งกันอยู่ที่มุมอับแสง ดูเหมือนกำลังวอร์มฝีปากกันเบาๆ

ผมกับพี่ทัชเดินเข้าไปหาทันที

“อ้าว นะฑี ณทัช” น้าเกดทำเสียงแปลกใจ “มาทำไรกันที่นี่”

น้าเกดด้นสดใส่เราทันทีเหมือนกัน

“สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้ทั้งคู่สบายๆ ผมก็ทำตามด้วยแบบเกร็งๆ “มาหาเพื่อนน่ะครับ พอดีเพื่อนกลับจากต่างประเทศ มาพักที่นี่”

“ผมก็ตามพี่ทัชมา” ผมเสริม “แบบว่า มาด้วยกันอะ ไม่มีไรทำ ก็เลยมา”

“อ้อ บังเอิญดีนะ”

“บังเอิญจนน่าแปลกเลยว่ะ” น้าเอ๊ดว่า แต่ไม่มีใครสนใจ ถ้าพูดให้ถูกคือทำเป็นไม่สนใจ

น้าเกดฉีกยิ้มพลางตบเก้าอี้ “นั่งก่อนๆ รีบไปไหนกันรึเปล่า”

เนื่องจากเป็นโต๊ะกลมขนาดไม่ใหญ่มาก พอเราสองคนนั่งลงพื้นที่เลยเต็มเอี๊ยด หัวเข่าแทบจะชนกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นการดีถ้าจำเป็นต้องกระโดดล็อกคอเหยื่อ

“แล้วพวกน้ามาทำไรกันเหรอครับ” ผมด้นสดบ้าง

“เอ่อ…” น้าเกดชะงักไป แสดงว่าหัวข้อที่ผมเปิดนี่ไม่เวิร์ก “น้ามาช้อปปิ้งแถวนี้น่ะ พอดีนัดกับเพื่อนว่าจะเจอกันที่นี่ ส่วนน้าเอ๊ดนัดคุยกับลูกค้าที่นี่เหมือนกัน เพิ่งคุยกันเสร็จ แล้วน้าเข้ามาเจอพอดี...ใช่มั้ย”

คำว่า ใช่มั้ย นี่ สัมผัสได้เลยว่าแฝงรังสีอำมหิตอยู่

“เออ”

“ก็นั่นแหละ บังเอิญเนอะ”

แล้วก็เดดแอร์กันไป

น้าเอ๊ดเหมือนจะไม่สนใจอะไร เขากำลังไถหน้าจอมือถืออยู่ ส่วนเราสามคนแอบมองหน้ากัน โดยเฉพาะผมกับน้าเกดที่แอบส่งความอัดอั้นระทมทุกข์ให้กันทางสายตา

“เอ้อ น้า จำได้ปะที่ผมเคยบอกมีเพื่อนดูลายมือแม่น” ผมเปิดหัวข้อที่แอบคิดมาตั้งแต่ในรถ “ก็นี่แหละ พี่ทัชคนนี้เลย แม่นขั้นเทพ”

“อ้าวเหรอ งั้นดูให้น้าหน่อยสิ”

“ถ้านั่งคู่กันงี้ ตามธรรมเนียมต้องดูผู้ชายก่อนอะ ถึงจะแม่น”

“อ้อ งั้น…” น้าเกดสะกิดสามี “เอ๊ด ให้น้องดูหน่อยดิ”

“ไร้สาระ”

“เรื่องแบบนี้ฟังไว้บ้างก็ดี ไม่เสียหายหรอก”

“นั่นดิน้า นี่หมอดูขั้นเทพเลยนะ จะได้รู้ไงว่าช่วงนี้จะโชคดีหรือร้าย การเงินการงานไรงี้ รับรองมีอึ้งแน่”

“งมงาย” น้าเอ๊ดเงยหน้าจากโทรศัพท์ น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เกี่ยวไรกับลายมือลายตีน ถ้าขี้เกียจแม่งก็จน ขยันก็รวย ลุงแถวบ้านเก็บขยะขายยังส่งลูกเรียนปริญญาได้ถ้าทำไม่หยุด มันมีแค่นั้นแหละ สูตรตายตัว เหมือนที่กูขยันงกๆ อยู่นี่ไง เมียถึงช้อปปิ้งได้ตลอด”

ท่ามกลางแสงไฟต่ำๆ น้าเกดเม้มปากและหลุบสายตาต่ำลง สีหน้าโคตรเจ็บปวด

แม่ง ก็พูดเกินไป เมียไม่ได้งอมืองอตีนช้อปปิ้งไปวันๆ ซะหน่อย ไม่ใช่แค่หุ้นเปิดร้านดอกไม้กับแม่ผม น้าเกดทำงานออฟฟิศด้วย ระดับผู้จัดการเลยเหอะ

“ลุงเก็บขยะที่ว่าแกแอบขายยาบ้าด้วยรึเปล่า” ผมโต้ไปดอกนึง ไม่อยากพาดพิงลุงคนนั้นหรอก แต่หมั่นไส้น้าเอ๊ด

นั่นไง มองหน้าผมเหมือนของจะขึ้นไปอีกระดับละ

“ขอโทษนะครับ น้าเอ๊ดทำงานอะไรเหรอครับ” พี่ทัชถามแทรกขึ้น สายตาทุกคู่เลยเปลี่ยนไปมองเขา

“ทำไม”

“ผมเรียนคณะจิตวิทยาน่ะครับ กำลังทำโปรเจ็กต์จบอยู่ กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยทำงานครับ ถ้าผมจะรบกวนขอทำแบบทดสอบเล็กๆ น้อยๆ สักห้านาทีได้มั้ยครับ”

“แล้วกูได้อะไร”

“ก็ได้ช่วยนักศึกษาให้เรียนจบครับ แล้วก็อาจจะได้รู้เทคนิคทางจิตวิทยานิดหน่อยที่นำไปใช้กับงานได้ เกี่ยวกับ Personal Space และการโน้มน้าวคน อะไรทำนองนี้ น้าเอ๊ดต้องทำงานที่ติดต่อกับผู้คนเยอะๆ หรือเปล่าครับ”

“กูเป็นเซลล์ขายรถหรูๆ ให้พวกคนที่ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรน่ะ เป็นนายหน้าอสังหาฯ ด้วย ต้องวุ่นวายกับลูกค้าตลอดแหละ แล้วลูกค้ารวยๆ นี่แม่งก็เรื่องมากชิบหาย”

“งั้นก็ดีเลยครับ”

“ไอ้ที่พูดเมื่อกี้ Personal Space อะไรนี่มันยังไง ใช้โน้มน้าวคนยังไง”

“มันคือระยะห่างระหว่างบุคคลในสังคมน่ะครับ ทางจิตวิทยาแบ่งเป็นสี่ระยะ ระยะส่วนตัว ระยะบุคคล ระยะสังคม แล้วก็ระยะชุมชน ผมทำโปรเจ็กต์เกี่ยวกับเรื่องนี้แหละครับ กะว่าจะให้ต่อยอดไปในเชิงธุรกิจ”

“ยังไง” เห็นได้ชัดว่าน้าเอ๊ดสนใจเต็มที่ พี่ทัชแม่งไหลไปได้ว่ะ ผมกับน้าเกดแอบมองหน้ากันและไม่พูดแทรกอะไร

“ก็สมมติอย่างคนแปลกหน้ามาเจอกัน ระยะห่างที่สบายใจต่อกันจะกว้างกว่าคนที่รู้จักกันใกล้ชิดกันอยู่แล้ว อย่างผมกับน้านี่ ไม่ค่อยสนิท พอต้องนั่งใกล้กันแบบนี้ก็จะรู้สึกอึดอัดใช่มั้ยครับ คำถามคือ…” พี่ทัชเว้นจังหวะพูด ทำให้ฟังดูลุ้นๆ “จะมีเทคนิคหรือวิธีอะไรบ้างที่ช่วยลดช่องว่างตรงนี้ เป็นการลดระยะห่างระหว่างบุคคลได้แบบฉับพลัน”

“แล้วไงต่อ”

 “ถ้าลดระยะห่างระหว่างบุคคลได้อย่างเป็นมิตร การพูดคุยก็จะง่ายขึ้น เอาไปต่อยอดเชิงธุรกิจก็คือโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้นน่ะครับ ภาษาร่างกายก็มีผลนะครับ อย่างผมนั่งแบบนี้ แค่คว่ำมือหรือหงายมือก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดไม่เท่ากันแล้ว ดูนะครับ” ว่าแล้วเขาก็สาธิตช้าๆ คว่ำมือไว้บนหน้าขา แล้วก็หงายมือขึ้น

“ไม่รู้ว่ะ รู้สึกไม่ค่อยต่าง”

“ถ้าตั้งใจสังเกตแบบนี้จะไม่ค่อยรู้สึกครับ แต่ถ้าเราทำตอนอีกฝ่ายเผลอ ไม่รู้ตัว เป็นไปโดยธรรมชาติจะมีผลมากครับ อย่างเมื่อกี้น้าเอ๊ดนั่งกอดอกอยู่ เป็นท่าที่แสดงถึงว่ายังปิดกั้น ไม่เปิดรับ ไม่อยากให้คู่สนทนาล่วงล้ำระยะบุคคล แต่ตอนนี้ลดแขนลงมาวางมืออยู่แถวๆ บริเวณหน้าขาแล้ว สื่อถึงว่าเริ่มผ่อนคลายลงและเปิดรับมากขึ้น แต่ก็ยังระวังตัวอยู่ ถ้าเกิดอะไรที่ไม่โอเคขึ้นก็พร้อมจะตอบโต้ทันที เป็นสัญชาตญาณน่ะครับ แบบเดียวกับนักมวย ถ้ายกแขนตั้งการ์ดก็คือพร้อมสู้มากกว่าปล่อยแขนลงข้างตัว”

ผมแอบมองท่าทางของแต่ละคน น้าเกดงี้นั่งตัวเกร็ง ประสานมือไว้บนตักแน่น น้าเอ๊ดนั่งอย่างที่พี่ทัชบอก ตัวพี่ทัชเองนั่งสบายๆ ตามแบบฉบับของเขา แล้วนี่ผมนั่งท่าไหนอยู่วะ ภาษากายผมกำลังสื่อสารว่าอะไรบ้าง วางตัวไม่ถูกวุ้ย งั้นนั่งเกาหัวแม่งเลยละกัน

“อย่างนะฑีตอนนี้ แสดงว่ากำลังงงอยู่ครับ ตามพวกเราไม่ทันแล้ว” พี่ทัชพูดอีก

เอ้า กูดูโง่ไปเลยทีนี้

“อืม” น้าเอ๊ดทำเสียงต่ำๆ “น่าสนใจ แล้วเทคนิคโน้มน้าวล่ะ”

“ก็ยังมีรายละเอียดอีกเยอะน่ะครับ เดี๋ยวผมรวบรวมอันที่จะเป็นประโยชน์ให้น้าทีหลังได้ ตอนนี้ผมขออนุญาตทำแบบทดสอบเล็กๆ น้อยๆ ที่จะใช้กับโปรเจ็กต์ผมได้มั้ยครับ”

“นานมั้ย กูต้องทำอะไรบ้าง”

“สักห้านาทีก็เสร็จแล้วครับ แค่ทำตามที่ผมบอกไม่กี่อย่าง”

เอาละเว้ย จะเข้าไคลแม็กซ์แล้ว

นั่นไง ถ่านนาฬิกามาละ

“ถือไว้นะครับ”

“อะไร” น้าเอ๊ดรับมาพลิกดู “ถ่านนาฬิกา?”

ดูเหมือนถ่าน แต่ไม่ใช่ถ่าน ตามบทเป๊ะ

“ใช่ครับ ถ่านนาฬิกา”

เอ้า! แทบหัวทิ่มตกเเก้าอี้

พี่ทัชเปลี่ยนมุกซะงั้น

“แล้วให้ถือทำไม” น้าเอ๊ดถาม

“ไม่บอกครับ”

“อ่าว กวนตีน”

“การให้ถือสิ่งของไว้โดยไม่บอกเหตุผล และไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรกับมัน จะทำให้ไม่สบายใจ ทำให้สงสัยและรู้สึกอึดอัดครับ” พี่ทัชอธิบาย ก็คือแถนั่นแหละ...รึเปล่าวะ เท่าที่ฟังมานี่ก็ดูมีหลักการโคตรๆ “ทีนี้ลองทำใจให้สบายครับ”

“คือมึงให้กูถือของ หาเรื่องให้กูไม่สบายใจ แล้วก็บอกให้กูทำให้ตัวเองสบายใจว่างั้น? อันนี้แถวบ้านเรียกกวนตีนนะ”

“เป็นการจำลองสถานการณ์เรื่องระยะห่างระหว่างบุคคลน่ะครับ อย่างนักธุรกิจแปลกหน้ามาเจอกัน ก็จะมีความไม่สบายใจหรือเกร็งเป็นพื้นฐาน แต่ขณะเดียวก็จะพยายามทำให้ตัวเองสบายใจด้วย เป็นภาวะที่ขัดแย้งกัน คล้ายๆ กับที่น้าเอ๊ดรู้สึกอยู่ตอนนี้แหละครับ”

“อ่อ”

“พยายามผ่อนคลายไว้นะครับ นึกถึงท้องฟ้าหรือภูเขาก็ได้”

“นึกอยู่”

“เพื่อให้มีสมาธิมากขึ้น มองเข็มนาฬิกาไว้นะครับ”

มาแล้ว แอปนาฬิกา

อันนี้ตามบทเป๊ะ

น้าเอ๊ดก้มมองเข็มนาฬิกาบนหน้าจอไอโฟนที่พี่ทัชเลื่อนมาไว้ตรงหน้า มือที่วางอยู่บนโต๊ะยังกำถ่านนาฬิกาอยู่หลวมๆ ไม่มีใครพูดอะไร พี่ทัชดูสนอกสนใจกระบวนการนี้มาก เหมือนว่ากำลังทำเคสตั๊ดดี้อยู่จริงๆ ส่วนผมกับน้าเกดแอบขยิบตาให้กัน

“รู้สึกยังไงบ้างครับ” พี่ทัชถามหลังจากผ่านไปประมาณครึ่งนาที

“ก็ปกติ”

“ยังนึกภาพท้องฟ้าอยู่ใช่มั้ยครับ”

“กูนึกภูเขา”

“ได้ครับ นึกไปเรื่อยๆ นะครับ”

“เออ แล้วถ่านล่ะ ต้องทำยังไงกับมัน”

“แค่ถือไว้ครับ ตอนนี้น้ามองเข็มไปเรื่อยๆ นะ”

ผ่านไปราวๆ ยี่สิบวินาที พี่ทัชก็ถามอีก “รู้สึกยังไงบ้างครับตอนนี้”

“ก็...เหมือนเดิม ไม่มีไร”

“ผ่อนคลายมากขึ้นมั้ย”

“มั้ง”

“เอาความจริงเลยนะครับ พูดตรงๆ ว่ารู้สึกยังไงบ้าง” พูดประโยคนี้จบ พี่ทัชก็หันมองหน้าน้าเกดนิดๆ ซึ่งทั้งน้าเกดและผมเข้าใจได้ทันทีว่า นี่คือประโยคป้อนคำสั่งให้จิตใต้สำนึกแล้ว

“ก็ไม่รู้สึกอะไรไง เฉยๆ”

“แล้วแบบนี้ล่ะครับ”

พี่ทัชเอื้อมไปจับข้อมือน้าเอ๊ดข้างที่กำถ่านนาฬิกาอยู่เต็มๆ แค่สัมผัสเบาๆ แต่เจ้าตัวก็สะดุ้งเล็กน้อย

“อะ...อะไร”

“จำลองการลดระยะห่างระหว่างบุคคลแบบฉับพลันครับ เป็นไงมั่ง”

“ไม่รู้...มันแปลกๆ”

“หายใจลึกๆ ช่วยได้ครับ”

น้าเอ๊ดหายใจแรงขึ้น ขมวดคิ้ว

ผมเห็นพี่ทัชกำข้อมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกนิด ก่อนจะพูดต่อ “ทีนี้ เดี๋ยวจะลองให้เราสามคนถามคำถามง่ายๆ ดูนะครับ...น้าเกดมีอะไรอยากถามมั้ยครับ”

น้าเกดดูตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วสายตาก็คมปราบขึ้น

“วันนี้มาหาลูกค้าจริงหรือเปล่า”

“ก็จริงดิวะ เพิ่งคุยกันเสร็จ แล้วพวกมึงก็เข้ามา”

“ลูกค้าผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้หญิง”

“คุยกันเรื่องงานหรือเรื่องอะไรแน่” น้าเกดเริ่มเสียงสั่นๆ ด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“ก็งานดิ อีป้านั่นก็เรื่องมากชิบหาย”

“ป้าเหรอ

“อีกหน่อยก็ยายแล้ว”

“แสดงว่าคุยกันแค่เรื่องงานจริงๆ เหรอ”

“เอ้า แล้วมึงจะให้กูคุยเรื่องอะไร”

น้าเกดดูโล่งอก ส่วนผมไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ก็ยินดีกับน้าเกดด้วยถ้ามันจะคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สบายใจที่น้าเอ๊ดตอบได้ไหลลื่นขนาดนี้

หรือพลังเอ็กซ์เมนใช้ไม่ได้ผล

ผมเหลือบมองพี่ทัช เขายังจับข้อมือน้าเอ๊ดอยู่ แต่หันหน้าไปทางอื่นคล้ายกับว่าปล่อยให้คนในครอบครัวเคลียร์กันเอง

“เอามือถือมาดูซิ” น้าเกดไม่พูดเปล่า แต่ล้วงเอามือถือของน้าเอ๊ดจากกระเป๋ากางเกงมาเลย เจ้าตัว ทำท่าฮึดฮัดขัดขืนแต่น้าเกดก็ได้มือถือไปแล้ว ตอนนั้นแหละผมถึงมั่นใจว่าพลังที่ทัชยังทำงานอยู่ น้าเอ๊ดยอมปล่อยมือถือให้น้าเกดไป แล้วหันมาสนใจมือตัวเอง คิ้วขมวดเป็นปม เหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองถือถ่านนาฬิกาไว้ทำไม และทำไมยังปล่อยให้พี่ทัชจับข้อมืออยู่

“รหัสปลดล็อกหน้าจออะไร” น้าเกดถาม

“อะ...อะไร”

“รหัสหน้าจออะ เลขอะไรบ้าง”

“2535 เลข พะ…”

น้าเกดกดปล็ดล็อกทันที พลางถามต่อ “อะไร พูดให้จบ”

“เลข พ.ศ. เกิดน้องมอสซี่”

เอ้า หักมุมซะงั้น

เหมือนจะไม่มีอะไร แต่สุดท้ายมันก็มีเว้ย!

“มะ...มอสซี่ไหน” น้าเกดพูดตะกุกตะกักบ้าง ตัวสั่นไปหมดแล้วตอนนี้

“เด็กกู นะ...นี่พวกมึง ทำอะไรกู…”

น้าเกดไถหน้าจอมือถือเอาเป็นเอาตาย เหมือนจะไล่ดูแชตในไลน์ แต่ดูจากสปีดการไถเหมือนกับว่าสติหลุดไปแล้ว คงอ่านอะไรไม่รู้เรื่องแน่ ผมเลยต้องแทรกแซง กดมือน้าเกดลงและกระซิบข้างหู “ไว้ค่อยดูน้า ถามให้จบก่อน”

น้าเกดเงยหน้าขึ้น ทำท่าจะพูด แต่ก็ชะงักคล้ายกับไม่กล้าคายคำนั้นออกมา

“ปะ...ปล่อยกู” เสียงน้าเอ๊ดดังแต่สั่น คงจะฝืนสู้พลังเต็มที่ เหงื่อถึงได้เปียกชุ่มขนาดนี้ ถ้าตัวน้าเอ๊ดคือระเบิดเวลา ตอนนี้ก็น่าจะเหลือเวลาไม่ถึงสิบวินาทีแล้ว

“มีเมียน้อยใช่มั้ย” น้าเกดถามออกมาจนได้

“เออ!”

“อะ...ไอ้ชั่ว! ทำไมทำแบบนี้วะ!”

“เพราะกูเบื่อไง”

น้าเกดเสียงสั่น ดูหมดเรี่ยวแรงเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม “ตอนขอแต่งงานไหนบอกจะไม่เบื่อ…”

“เออ แต่ตอนนี้กูเบื่อ...ไอ้เชี่ยนี่ก็อะไรนักหนา ปะ...ปล่อย…” น้าเอ๊ดบิดแขนไปมา จนในที่สุดก็หลุดจากมือพี่ทัชจนได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าพี่ทัชยอมปล่อยมากกว่า น้าเอ๊ดหายใจเฮือก ทิ้งถ่านนาฬิกาลงพื้นแล้วนวดมือแรงๆ

“เลว” เสียงน้าเกดกดต่ำและกำมือแน่น ถ้าเปรียบเป็นลูกโป่งตอนนี้ตัวน้าเกดก็ถูกสูบลมเข้าไปใหม่แล้ว แต่เป็นลมร้อนๆ ที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกวินาที “ไอ้เลว มีกี่คน กี่ปีแล้ว

“กี่คนก็ไม่จู้จี้จุกจิกแบบนี้หรอก” น้าเอ๊ดลุกพรวดขึ้น แล้วเดินปึงๆ ออกไป

น้าเกดลุกขึ้นยืนด้วย “จะไปไหน มาคุยกันให้รู้เรื่อง!”

“กูเบื่อ!”

“กูจะฟ้องหย่า!”

“เออ! ฟ้องเลย!”

“ไอ้ชาติชั่ว!” น้าเกดทำท่าจะขว้างโทรศัพท์ในมือตามหลัง ผมรีบคว้าไว้และแย่งจากมือได้ทัน ถึงยังไงเราก็ไม่ควรเสียโทรศัพท์ไปอีกเครื่องหรอก โดยเฉพาะเครื่องนี้ที่น่าจะมีหลักฐานการแชตกับเมียน้อยอยู่ เหมือนน้าเกดจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกแย่งของจากมือแล้ว เลยยังขว้างมือเปล่าๆ ต่อ แล้วค่อยทรุดลงนั่งซบหน้าร้องไห้   

ส่วนน้าเอ๊ดไปถึงประตูแล้ว เขาผลักประตูอย่างแรงจนขอบประตูเกือบจะฟาดหน้าดอร์แมน จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปสู่ยามค่ำคืนที่เพิ่งจะเริ่มโปรยความมืดลงมา

สายตานับสิบคู่มองมาทางเรา พนักงานที่อยู่บริเวณเคาน์เตอร์หันหน้าปรึกษากันเหมือนไม่รู้จะจัดการยังไง ส่วนแขกที่มาพัก บ้างก็ทำเป็นเมิน บ้างก็มองมาและพูดคุยซุบซิบ ผมเลิกใส่ใจคนพวกนั้น เลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ๆ น้าเกด วางมือโอบบนไหล่และตบเบาๆ ไม่รู้ว่าทำถูกต้องมั้ย ผมไม่ถนัดเรื่องทำนองนี้

หันไปมองพี่ทัชเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ก็เหมือนเขาจะไม่ถนัดเหมือนกัน คนในครอบครัวเขาอาจจะไม่เคยด่าทอกันด้วยซ้ำมั้ง ตอนนี้สีหน้าเขาอาจจะดูราบเรียบ คนอื่นอาจจะดูว่าเขาปกติ แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่าเขากำลังเจ็บปวด ในแววตาเขา...คล้ายกับมีเศษกระจกแตกชิ้นเล็กๆ แฝงอยู่ และพอต้องแสงไฟมันก็ดูเป็นประกายเด่นชัดขึ้นแวบหนึ่ง

น้าเกดยังตัวสั่นเทา เสียงสะอื้นเป็นพักๆ เคล้ากับเสียงเปียโนบรรเลงเพลงคลาสสิกที่ทางโรงแรมเปิดคลอไว้

“เอามือถือมันมา” แต่จู่ๆ น้าเกดก็ยืดตัวขึ้น ใช้หลังมือปาดน้ำหูน้ำตาทิ้ง กลับมาเป็นลูกโป่งถูกสูบลมกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง ผมเลยละแขนที่โอบอยู่ลง

“จะดีเหรอ เอาไว้ที่ผมก่อนก็ได้นะ ในนี้อาจจะมีแชตกามๆ ของน้าเอ๊ดอยู่ อาจจะมีคลิปเลยก็ได้” ผมพูด แล้วก็นึกได้ว่าไม่น่าจะขยายความขนาดนั้น “แต่อาจจะไม่มีไรก็ได้”

“เอามาเถอะ”

“ไหวเหรอ น้าชัวร์เปล่า”

“ไหวๆ”

ผมเลยส่งมือถือน้าเอ๊ดให้ น้าเกดรับไปแล้วทำท่าจะปลดล็อกหน้าจอ แต่ก็เปลี่ยนใจหย่อนมันลงกระเป๋าถือแทน ก่อนจะเงยหน้าสูดหายใจลึกๆ น้ำตาแห้งไปแล้ว แต่ตายังฉ่ำชื้นและแก้มแดงเป็นปื้น

“ขอบใจมากนะทัช” น้าเกดฝืนยิ้ม

“ไม่เป็นไรครับ”

“ขอบใจมากๆ…นะฑี คืนนี้เดี๋ยวน้าไปนอนที่บ้านด้วย”

“ได้เลย งั้นกลับกันเลยมั้ย ผมนั่งรถไปด้วย”

“คือ...น้าอยากอยู่แถวนี้สักพักน่ะ แล้วเดี๋ยวจะเข้าไป อาจจะดึกหน่อย”

“แต่…”

“เดี๋ยวไปส่ง” พี่ทัชพูด

“ทัชนี่เป็นคนดีจริงๆ” น้าเกดว่า “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะมารู้จักนะฑี”

เหมือนจะพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ผมไม่ยอมหรอก “น้าไหวแน่เหรอ กลับกันเลยดีกว่ามั้ย”

“ไหวน่า ระดับนี้แล้ว” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น “เดี๋ยวน้าจะไปห้องน้ำหน่อย แล้วแยกกันเลยก็ได้ เจอกันที่บ้าน...ขอบใจมากนะทัช” น้าเกดถึงกับเดินอ้อมไปตบไหล่พี่ทัชสองสามที “ไว้วันหลังน้าขอเลี้ยงข้าวนะ”

“ไม่เป็นไรครับน้า...สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้

เรามองตามหลังน้าเกดเดินลึกเข้าไปด้านในจนลับตา แล้วค่อยหันมามองหน้ากัน ไม่มีคำพูด ความเงียบโอบล้อมเข้ามาจนเป็นเหมือนกำแพงล่องหนบางๆ ปิดกั้นเสียงจากรอบตัวไว้ ภายใต้แสงไฟนวลสลัว ดูราวกับว่าเป็นเราสองคนซะเองที่มีปากเสียงกัน แล้วก็นั่งแตกสลายยับเยินอยู่ตรงนี้

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...” ผมทำลายความเงียบ “ความจริงมักจะโหดร้าย บางทีไม่รู้ก็ดีกว่า เหมือนที่พี่เคยบอก”

“เหมือนที่มึงพูดมากกว่า” พี่ทัชพูดบ้าง “การโกหกกันมันโหดร้ายกว่า”

เราเงียบกันไปอีก

นึกดูแล้วก็งงๆ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เราต่างหยิบคำพูดที่อีกฝ่ายเคยบอกไว้มาตอกย้ำกันแบบนี้

“อยากไปไหนมั้ย หรืออยากกลับเลย” คราวนี้พี่ทัชเป็นคนทำลายความเงียบ

“กลับดีกว่า คิดถึงแม่”

“โอเค”

“พี่ไม่ต้องไปส่งผมถึงที่บ้านก็ได้นะ แค่รถไฟฟ้าก็พอ”

“ต้องดิ”

“ทำไม ต้องรักษาคำพูด งี้เหรอ”

“กูอยากไปส่ง” เขาพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินนำออกไป

น้าสาวเพิ่งโดนผัวทำร้ายขนาดนี้ แต่ทำไมกูยิ้มวะ ก็แค่มีคนไปส่งถึงบ้านมันจะอะไรนักหนา ดีใจเพราะจะได้ประหยัดค่ารถงี้เหรอ

เออ ก็ได้ประหยัดค่ารถแหละ

แต่ก็เพราะอย่างอื่นด้วย…

ไม่กี่นาทีต่อมา เราก็มาอยู่ในรถท่ามกลางการจราจรที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าขามาซะอีก แต่ผมไม่ซีเรียส ยังไงก็มีเสียงเพลงเป็นเพื่อนอยู่ โดยเฉพาะเพลงของวง Lauv เปิดแล้วก็ร้องตามไปเรื่อยๆ

“อารมณ์ดีไปมั้ย” พี่ทัชถามขึ้น

“เอ้า จะเศร้าทำไมล่ะ ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป”

“แชตถามน้าเกดหน่อย ว่าเป็นไงบ้าง”

“ใจตรงกันเป๊ะ นี่ผมกำลังจะพิมพ์เลย” ผมควักมือถือออกมา กดเข้าไลน์ส่งข้อความเป็นห่วงเป็นใยไปตามคำแนะนำของพี่ทัช “น้าเกดตอบแล้ว บอกว่าโอเค”

“อืม”

ผมกำลังจะชวนน้าคุยต่อ แต่นึกบางอย่างได้เลยหยุดมือไว้

“พี่ ถามหน่อยดิ”

“ไร”

“ทำไมถึงยอมช่วยอะ”

พี่ทัชเหลือบมองนิดๆ “เพราะน้า”

“เพราะสงสารน้าเกดใช่มั้ย อืม…”

“แล้วก็น้า”

“น้าเอ๊ดอะนะ ไปให้ราคาทำไมคนแบบนั้น พูดแล้วของขึ้นอีกละ อยากต่อยแม่ง”

“ไม่ใช่”

“ยังไง” ผมมองหน้าเขาเต็มๆ “อธิบาย”

“ช่วยเพราะน้าเกด แล้วก็เพราะน้าาา…” พี่ทัชลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วบังคับรถเคลื่อนตัวไปจ่อท้ายรถคันหน้าที่ติดเป็นแถวอยู่ ผมรอฟังต่อ แต่เขาก็เงียบ

เพราะน้าาา?

อะไรของเขาวะ

“อ้อ” อดยิ้มไม่ได้อีกละ ผมเอียงตัวเข้าไปกระแซะและใช้นิ้วคีบแขนเสื้อเขาเบาๆ “เพราะน้าาา~ แบบนี้อะเหรอ นะๆๆ น้าาา~ พี่ทัช ช่วยหน่อย งี้ใช่ปะ”

เขาไม่ตอบ

แต่การไม่ตอบนี่แหละ คือคำตอบแล้ว

ตื่อดึ๊ง

ไลน์เด้ง นึกว่าน้าเกดพิมพ์มา ที่ไหนได้…



❤ C A L ❤: ขอคุยอะไรซีเรียสหน่อยได้ปะ



เจ๊แคลเซียม เรื่องไรอีกวะ

เมื่อกี้นี้ชีวิตกูยังซีเรียสไม่พออีกใช่มั้ย...






_____________________________



ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมานะคะ ดีใจมากเลยค่ะ
อยากให้รู้ไว้ว่า คนอ่านมีความหมายกับเรามากจริงๆ
จะพยายามตั้งใจแต่งเต็มที่เพื่อตอบแทนทุกคนนะคะ T T


นางร้าย
9.กันยา.2019




ออฟไลน์ meeyeon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พึ่งได้เข้ามาอ่าน สนุกมากๆเลยค่ะ

ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2

แตะต้องครั้งที่ 16
จับบบ…เหตุผลกับหัวใจถอดไส้ไปกินขี้
ข้อเสียก็มีข้อดีก็เหลือเฟือโปรยเกลือสามเม็ด



❤ C A L ❤: ขอคุยอะไรซีเรียสหน่อยได้ปะ

❤ C A L ❤: อย่าเล่นมุกนะ

NaTee(n): ไม่ได้

❤ C A L ❤: ทำไม

❤ C A L ❤: ได้เวลาออกไปหากบหาเขียดกินเหรอ

NaTee(n): นี่เจ๊เล่นมุกเองนะ

❤ C A L ❤: เอาดีๆ

❤ C A L ❤: ทำไมไม่ได้

NaTee(n): กำลังจะถอดไส้ออกไปหาขี้กินอะ

NaTee(n): แค่นี้ก่อน



ต่อให้แชตกันนานกว่านี้ก็คงจับความไม่ได้อยู่ดี ตอนนั้นอยู่กับพี่ทัชด้วย ผมเลยไม่อยากก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือเหมือนคนไม่มีมารยาท...โอเค อันนี้โกหก เอาจริงๆ คือ อยากคุยอยากกวนตีนพี่ทัชเล่นมากกว่า

วันนี้ผมก็เลยต้องถ่อมาหาเจ๊แคลถึงถิ่น ซึ่งก็คือคอนโดที่ถูกสายลับของพี่เห็ดแอบถ่ายคลิปไว้ได้นั่นแหละ นี่เดินไปยังหลอนๆ อยู่ อย่างกับเด็กมีปมเลย

เจ๊แคลกลับเข้ามาที่คอนโดก่อนผมไม่กี่นาที แกเลยนั่งรอที่ล็อบบี้ จนผมมาถึงค่อยขึ้นไปบนห้องด้วยกัน

“นี่ห้องหรือโกดังเก็บขยะอะเจ๊” ผมแซว

“มันจะเป็นที่เก็บขยะเพราะแกถอดรองเท้าไม่เรียบร้อยเนี่ย” เจ๊แซวกลับ

“ขอโทษครับๆ ขอโทษเจ้าที่เจ้าทางด้วยคร้าบ”

“ตีปากตัวเองสองทีเลย ช่วงนี้ยิ่งกลัวๆ อยู่”

“ไรหรอ”

“เสียงก๊อกแก๊กไรงี้”

“หนูรึเปล่า ห้องเจ๊รกไง หนูเลยแอบเข้ามาอยู่ เอ๊ะ หรือมีผีจริงๆ”

“ไม่เอา~ ไม่พูดแบบนี้~ เดี๋ยวเจ๊ขอเช็ดหน้าก่อน” เจ๊ดิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ลงมือปลอบประโลมผิวหน้าด้วยมือน้อยๆ อย่างแผ่วเบา

มาห้องเจ๊แคลทีไรผมชอบแซวในทางตรงข้ามแบบนี้แหละ เพราะห้องสะอาดเกิ๊น สะอาดจนอยากร้องขอชีวิต พื้นไม่มีฝุ่นสักเม็ด ข้าวของวางเป็นระเบียบทุกมุม ผ้าทุกผืนเป็นต้องมีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มแม้จะเป็นผืนที่ใช้แล้ว แม้แต่ผ้าขี้ริ้วยังดูดีกว่าเสื้อบางตัวของผมอีก

แล้วไม่ใช่แค่รักสะอาด ข้าวของแต่ละอย่างนี่ก็คาวาอี้สุดๆ ไม่ว่าจะเป็นแก๊งตุ๊กตาดีสนีย์ ที่รองแก้วสตูดิโอจิบลิ พวงกุญแจซานริโอ้ แล้วก็อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน

แต่เห็นสะสมของกุ๊กกิ๊กแบบนี้ เจ๊แคลก็ไม่เคยหลุดจากโผท็อปเท็นคนชอบเล่นมุกของคณะบริหารนะ จังหวะรับส่งมุกสูสีกับโอเปิ้ลเลย เพราะแบบนี้ผมถึงชอบกวนตีนแกเล่น

ไม่รู้เจ๊มีเรื่องซีเรียสอะไร กินน้ำวอร์มเส้นเสียงไว้ก่อนละกัน ผมเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำให้ตัวเอง แล้วมานั่งที่โซฟามองเจ๊แกที่กำลังเช็ดมาสคาร่าอย่างเบามือ

“เจ๊ ทำไมเจ๊ไม่ทาห้องสีชมพูไปเลยอ่ะ จะได้เข้ากับของสะสม”

“อยากอยู่ แต่พ่อไม่ให้ทำ เดี๋ยวเรียนจบแล้วปล่อยคอนโดให้เช่าต่อ... เสร็จละ” เจ๊แคลหันมาด้วยหน้าสด ซึ่งก็ดูสวยใสไม่แพ้ตอนโปะด้วยเครื่องสำอางเท่าไหร่หรอก แล้วจะแต่งทำไมวะ แวบนึงผมก็อดดีใจไม่ได้ที่เกิดเป็นผู้ชาย ไม่ต้องมานั่งวุ่นวายอะไรกับหนังหน้ามากขนาดนี้

“แล้วที่เรียกมานี่คือ…”

“เดี๋ยวนะ ล้างหน้าแป๊บ”

น่ะ ยังไม่เสร็จอีก

ผมนั่งไถมือถือเล่นรอจนเจ๊แคลประกอบพิธีกรรมปลอบโยนผิวหน้าเสร็จ เจ๊แกมานั่งที่โซฟาแล้ว เอาแต่ถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนแมวหอบแดด ไม่ยอมพูดสักที ผมเลยต้องถามเอง

“ขอเดานะ ไม่ใช่เรื่องเรียน”

“ไม่ใช่”

“ผู้ชายใช่มะ”

“อือ”

“อะ เล่ามา”

“ไม่รู้จะเล่ายังไง”

“งั้นเขียนจดหมายมัดติดขานกพิราบมาละกัน ไปละ…”

“เอ้า เดี๋ยว” เจ๊แคลคว้าแขนผมไว้ แล้วถอนหายใจอีก “คือ...ก็มีคนเข้าหาเยอะอะ”

“ก็ดีแล้วนี่เจ๊ สวยเลือกได้”

“เริ่มไม่ดี”

“สับรางไม่ถูกว่างั้น”

“ก็ไม่ใช่แบบนั้น เจ๊ไม่เคยคิดจะคบซ้อนหรือคุยหลายคนอะไรอยู่แล้ว มีคนเข้ามาทำความรู้จักแบบดีๆ ด้วย เราก็ดีกลับ”

“อัธยาศัยดี”

“ใช่ มันก็เหมือนเราได้รู้จักเพื่อน รู้จักพี่สักคนเพิ่มมาในชีวิต มันก็ดีอะ แต่หลังจากแต่ละคนเริ่มดูจริงจัง โดยเฉพาะเจมส์กับพี่เรนจิ”

“พี่เห็ดแกสายพุ่งชนนะผมว่า แต่บางทีอาจจะไม่รู้จังหวะมั้ง เลยอาจจะพุ่งแรงไปจนหัวทิ่ม”

“อื้ม”

“หลักๆ ตอนนี้คือสองคนนี้ใช่มะ แล้วไง ปัญหาคือ…”

“ไม่อยากคุยซ้อน”

“จะเทคนนึงว่างั้น”

“ไม่...ไม่รู้สิ”

“ก็น่าปวดเศียรอยู่ เอ้า ยาดม” ผมควักยาดมที่พกติดกระเป๋ามาส่งให้ เจ๊แคลรับไปเปิดฝาแล้วสูดปื๊ดเต็มที่ “ลืมบอก ไม่รู้มีขี้มูกผมติดรึเปล่านะ”

“เอ้า ไอ้นี่ เอาคืนไปเลย”

“ล้อเล่นน่า”

“ใช่เวลาเล่นมั้ยเนี่ย”

“โอเคๆ กลับสู่โหมดซีเรียส...เฮ้อออ” ผมถอนหายใจยาว อัดยาดมเข้าจมูกบ้าง “เอางี้ ลองจับมาแหกไส้ดูทีละคนเท่าที่เจ๊รู้ เริ่มจากพี่เจมส์ ลิสต์ข้อดีข้อเสียออกมาเลย เอาข้อดีก่อนนะ นึกอะไรได้พูดออกมาให้หมด”

“ก็...ดีนะ สม่ำเสมอดี ตลกนิดๆ ฉลาด แก้ปัญหาเก่ง…”

“ไรอีก”

“ก็...ประมาณนี้แหละ”

“โอเค ข้อเสียล่ะ”

“เจ๊ไม่ค่อยชอบผู้ชายพูดมากอะ แล้วเจมส์นี่พูดตลอดเวลา แล้วเราก็มีอะไรหลายอย่างที่ชอบไม่เหมือนกัน อย่างเจ๊สายกิน เจมส์สายออกกำลังกาย นึกฟีลออกใช่ปะ”

“แล้วพี่เห็ดอะ ข้อดีก่อน”

“พี่เรนจินี่...หล่อ แต่งตัวดี รสนิยมดี ไม่ติดหรูมากแต่ก็ไม่ติดดินเกินไป เทคแคร์ดีมาก ใส่ใจสุดๆ ดูชัดเจน จริงจัง

จริงใจ สายพุ่งชนอย่างที่แกว่า”

“พี่เห็ดมาวินแล้วดิแบบนี้”

“แต่…”

“แต่ข้อเสียก็เยอะใช่มะ”

“ไม่เชิง”

“ยังไงล่ะ ไหน มีข้อเสียไรบ้าง”

“อธิบายไม่ถูก ไม่ค่อยมีข้อเสียอะไรหรอกมั้ง”

“เอ้า”

“แต่เจ๊ชอบตัวเองตอนอยู่กับเจมส์มากกว่า”

เอี๊ยด!

หักมุมหัวทิ่ม

“เจ๊ ตั้งสตินะ นี่กำลังจะบอกว่าคนที่มีข้อเสียมากกว่า ดีกว่าคนที่แทบไม่มีข้อเสียอะไรงั้นเหรอ”

“...”

“เจ๊ชอบคนตลกใช่มะ”

“ใช่”

“พี่เห็ดแกฮานะเจ๊ ผมรัวมุกใส่แกก็รับทันทุกมุก แถมรัวกลับมาไม่ยั้ง”

“กับเจ๊พี่เขาไม่ขนาดนั้นนะ”

“อาจจะยังไม่สนิทมากไง อีกหน่อยคงฮากว่านี้”

“ไม่รู้สิ”

“สำคัญคือแกดูจริงจังจริงใจนี่แหละ แกเข้าใจผิดว่าผมกิ๊กกับเจ๊ นี่ถึงกับลากผมไป…” ผมยั้งปากไว้ทัน ก่อนจะเปลี่ยนคำให้เบาลง “เคลียร์กันแบบแมนๆ ผมว่าแกก็ชัดเจนดีออก”

งงตัวเอง

ทำไมตอนนี้กูเชียร์พี่เห็ดวะ

“...”

“เจ๊ คิดดีๆ”

เจ๊แคลคว้าหมอนหมีพูห์มากอด ก้มหน้าอยู่เงียบๆ ผมคันปากอยากจะกดดันอีก แต่แกพูดขึ้นซะก่อน “เจ๊เคยคิดว่าไม่ชอบคนพูดมาก แต่พออยู่ด้วยมันก็เพลินๆ ดี เจ๊ชอบกินส่วนเขาชอบออกกำลังกาย มันก็น่าหงุดหงิดนะ แต่มีคนคอยกระตุ้นให้เราดูแลสุขภาพมันก็ดี ส่วนเจ๊ก็คอยแนะนำร้านอร่อยๆ ให้เขา บางที...ความแตกต่างในบางเรื่อง มันก็ดีเหมือนกัน”

“อันนี้พูดถึงพี่เจมส์ใช่มั้ย”

“อือ”

“แล้วพี่เห็ดอะ” ผมถาม ก่อนจะย้ำอีก “คิดดีๆ นะเจ๊”

“...”

คราวนี้เจ๊เงียบไปนาน

นานจนผมนึกว่าแกจะไม่พูดอะไรแล้ว

“เอาจริงนะ ข้อดีข้อเสียมันอาจจะไม่สำคัญเท่าไหร่ก็ได้ หรือคนแบบที่เราคิดว่าเราจะชอบ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป บางทีเราก็แค่อยากอยู่กับคนที่ทำให้เราชอบตัวเองตอนอยู่กับเขา”

“...” คราวนี้ผมเงียบบ้าง

“เจ๊ว่านะ...ความดีมันไม่ใช่คำตอบของความรัก แล้วคนที่ใช่ก็อาจจะไม่ใช่คนที่ตรงสเป็กเราก็ได้”

คมไปอี๊ก

เฮ้อออ…

“เจ๊รู้จักกับพี่เห็ดนานแค่ไหนนะ”

“ไม่ถึงสามเดือนมั้ง”

“ตีไปซะว่าสองเดือน มันเร็วไปมั้ยอะที่จะตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่”

“กับคนที่ไม่ใช่แป๊บเดียวมันก็รู้สึกว่าไม่ใช่นะ”

“แล้วกับคนที่ใช่ล่ะ”

“เจ๊ยังไม่รู้หรอกว่าคนที่ใช่จริงๆ เป็นยังไง ตอนนี้รู้แค่ว่าคนนี้ยังไม่ใช่”

คมอีกละ

พี่เห็ดคงถึงคราวเคราหะห์จริงๆ เชียร์ยังไงก็ไม่ขึ้น

“...สรุปจะเทพี่เห็ดเนอะ”

“อืม คิดว่างั้น ไม่อยากให้ความหวังเขา”

“งั้นก็บอกพี่แกดิ อย่าปล่อยไว้นาน”

“ไม่กล้าอะ ที่เรียกมาก็เพราะเห็นว่าแกรู้จักพี่เขานี่แหละ บอกพี่เขายังไงดี”

“ไม่รู้ดิเจ๊ แล้วก็ไม่ต้องคิดนะว่าจะให้ผมเป็นคนไปบอก…”

“ไม่ๆ เจ๊ต้องบอกเขาเองอยู่แล้ว แต่ใช้วิธีไหนดี”

“สายพุ่งชนอย่างพี่เห็ด คงไม่ชอบให้อ้อมๆ หรอกมั้ง บอกต่อหน้าตรงๆ ไปเลยมั้ยล่ะ”

“มันไม่โหดร้ายไปเหรอ”

ผมถอนหายใจอีกเฮือก “เจ๊ ความจริงมันอาจจะโหดร้าย แต่การโกหกกันไปเรื่อยๆ มันโหดร้ายกว่านะ” เจ๊แคลทำหน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง ผมเลยเสริมไปให้ชัด “นี่คิดเองสดๆ เลยนะ ไม่ได้ลอกใครมา”

“อือ งั้นเดี๋ยวหาจังหวะบอกพี่เขาเร็วๆ นี้”

“ตามนั้น ไปห้องน้ำแป๊บนะ นั่งดราม่ากับตัวเองไปก่อน”

ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ได้ปวดชิ้งฉ่องกิงก่องแก้วอะไรหรอก แค่อยากถอนหายใจหนักๆ สักหน่อย เฮ้อออ! ผมควักมือถือออกมากดเข้าหน้าแชตและนั่งลงบนฝาชักโครก



NaTee(n): พี่

NaTee(n): มีเรื่องไม่สบายใจอะ

NaTee(n): แต่พูดไม่ได้

NATOUCH: พูดไม่ได้ก็พิมพ์

NaTee(n): พิมพ์ก็ไม่ได้

NATOUCH: อยู่ในมหาลัยรึเปล่า

NATOUCH: กูทำงานอยู่กับเพื่อน เดี๋ยวไปหา

NaTee(n): อยู่ข้างนอกอะ

NATOUCH: ที่ไหน

NaTee(n): ไม่เป็นไร

NaTee(n): พี่ทำงานกับเพื่อนไปเถอะ

NATOUCH: …



โปรยเกลือสามเม็ดอีกละ

แรกๆ ผมมักจะหงุดหงิดที่เขาโปรยเกลือแบบนี้ เพราะไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็เริ่มชินแล้ว และพักหลังๆ มานี้เขาก็โปรยเกลือน้อยลงมาก พอเริ่มคุยกันทีไรก็มักจะไหลยาวทุกที

ว่าจะคุยค้างไว้แค่นี้พอ กวนตีนให้เขาสงสัยเล่น

แต่แล้วผมก็คิดถึงเรื่องนึง



NaTee(n): พี่

NaTee(n): เรารู้จักกันนานแค่ไหนแล้ว

NaTee(n): เดือนกว่าๆ ปะ

NATOUCH: 1 เดือน 16 วัน

NaTee(n): ใช่เหรอ

NATOUCH: ทำไม

NaTee(n): ถือว่านานปะ

NATOUCH: ไม่นาน

NaTee(n): ก็ว่างั้น

NaTee(n): เอาจริงๆ แป๊บเดียวเองนะ

NATOUCH: แต่บางทีรู้สึกเหมือนนาน

NaTee(n): จริง

NaTee(n): พี่ งั้นถามไรอย่างดิ

NaTee(n): พี่ชอบตัวเองตอนอยู่กับผมปะ

NATOUCH: …

NaTee(n): แปลว่าอะไร

NaTee(n): ชอบโปรยเม็ดเกลืออะ

NATOUCH: กูทำงานละ

NATOUCH: 



พี่แกโหลดสติกเกอร์นี้มาใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แถมยังใช้ไม่ตรงวันด้วย

นี่คือกวนตีนแล้วใช่มะ

“นะฑี ฉี่หรือขี้ นานขนาดนี้” เสียงเจ๊แคลดังอยู่ข้างนอก

“เจ๊จะขี้เหรอ”

“อยากล้างมือ”

ผมเดาว่าเจ๊แคลอาจจะอยากหลบเข้ามาถอนหายใจหนักๆ ในนี้เหมือนกันมั้ง

เหมือนที่นางเอกในหนังชอบทำกันแหละ เวลาไม่สบายใจ ก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปคุยกับคนในกระจกไรงี้

“แป๊บนึงเจ๊ เสร็จแล้วๆ”

ผมลุกขึ้น

มองคนในกระจกที่ยังทำหน้าอึนๆ อยู่ เลยปลุกความสดใสในตัวเองแบบฉับพลันด้วยการวักน้ำล้างหน้า ฉีกยิ้มกว้างๆ ส่งท้าย เตรียมเปิดประตูออกไปเจอหน้าเจ๊แคล

ตื่อดึ๊ง!

นึกว่าพี่ทัชพิมพ์อะไรมาอีก แต่ไม่ใช่

★R3NJI: เฮ้ย ไอ้หน้าปลาทูเน่า

★R3NJI: ถามไรหน่อยดิ๊

★R3NJI: ช่วงนี้คณะบริหารเรียนหนักเหรอวะ
★R3NJI: แคลดูเงียบๆ

★R3NJI: ไม่ค่อยตอบแชตกู



เฮ้อออ…

หน้ากูกลับมาอึนอีกละ

สงสารพี่เห็ดว่ะ ตอบแกยังไงดีวะเนี่ย ไม่ตอบก็เดี๋ยวเซ้าซี้ยาวอีก คิดไม่ออกลอกพี่ทัชละกัน

NaTee(n): 

★R3NJI: พฤหัสบ้านป้ามึง

★R3NJI: นี่วันพุธ

NaTee(n): อ้อ ใช่ๆ

NaTee(n): เรียนหนักอะเพ่

NaTee(n): โอ๊ยๆๆๆ ปวดหัว

NaTee(n): แค่นี้ก่อนนะ

NaTee(n): 





_________________________

อยู่อ่านพี่ณทัชด้วยกันไปนานๆ นะคะ
ขอบคุณมากๆ เลยค่า :D
#ณTouch

นางร้าย
18.กันยา.19



ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
อิพี่เริ่มออกอาการ น้องเริ่มจับได้แล้วอ่าาา เดี๋ยวโดนอ้อนยาวๆแน่พี่ทัช

 :ling3:ชอบเกลือ 3 เม็ดของพี่ทัช มันแอ๊บสแตร๊กอ่ะ ลึกซึ้งแต่ไม่เข้าใจความหมาย 55555

พี่เห็ดจะโดนเทเหรอ โอ๊ยยยย สงสารนาง นางต้องมีคู่ นางต้องได้ผู้นะ fighting !


ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
น้องจะกวนทุกตอนเลยใช่มั้ย 55555555 ส่วนอิพี่เสียอาการน้า ดูออก

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
พี่เห็ดจะโดนเท สงสาร พี่สนใจเจญชบาไหมค่ะ เราแอบจิ้นพี่เห็ดกับน้องเจษชบาตั้งแต่ตอนโน้น น้องโอเปิ้ลก็จะมวยถูกคู่ แต่ได้กันไปคงฆ่ากันตายในสามวันเจ็ดวัน555555

โง้ยยย พี่ณทัชเสียอาการเพราะเจ้าตัววุ่นวายช่างจ้อจี้ แต่ก็แอบตามใจ เป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจแคร์ความรู้สึก แค่น้องมันอ้อน น้าาา~ก็ยอมแล้วอ่าา :-[ 

/ยังตามอยู่นะคะ หายไปพักนึงเห็นอีกทีอัพเพิ่มตั้งหลายตอน ขอบคุณนะคะ
ชอบชื่อแต่ล่ะตอน ตลกอ่ะ แหวกแนวดี งงๆคงเหมือนสิ่งที่ฟุ้งอยู่ในหัวนะฑีแน่ๆ55555

มุกไหลลื่นมากกกก
 ...โปรยเม็ดเกลือ ของพี่ณทัช แงงง ชอบบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2019 15:38:17 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ mony

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกดีค่ะ คอยลุ้นพี่เห็ดว่าจะโดนเทมั้ย

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2


แตะต้องครั้งที่ 17
จับบบ…ขายดอกไม้ช่วยดอกทองลองสวมหมวกกันน็อกปลดล็อกหน้าจอ



สวัสดีวันเสาร์...แบบตรงวัน

นี่ไม่ใช่วันหยุดธรรมดา นอกจากเราสองแม่ลูกกับแมวหนึ่งตัวจะมาเฝ้าร้านดอกทองนั่งมองคนเดินไปเดินมาตามปกติแล้ว วันนี้ยังมีน้าเกดมาร่วมแจมด้วย ตั้งแต่ที่ทะเลาะกับสามีวันนั้น น้าเกดก็ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนยาวมานอนบ้านผม และออกมาเฝ้าร้านเป็นเพื่อนแม่หลายวันแล้ว

ไม่ใช่แค่นั้น

วันนี้น้าเกดให้ผมชวนพี่ทัชมากินข้าว เพื่อเลี้ยงขอบคุณที่เขาช่วยไขความลับของสามีให้ ซึ่งเขาก็ตกลง ไม่รู้ว่าตอนนี้ใกล้ถึงรึยัง

“เมื่อไหร่จะถึงเวลาปิดร้านสักที หิวแล้ว เราหมุนเข็มนาฬิกาไปถึงสามทุ่มแล้วปิดร้านเลยมะ”

น้าเกดมองหน้าผม “รถติดน่ะ เดี๋ยวก็ถึง”

“ใครถึงอะไร”

“ทัชไง”

“เอ้อ...ลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเรานัดพี่ทัชไว้ นี่ผมนึกภาพปิดร้านแล้วก็รีบกลับบ้านไปนอนแล้วนะ ถ้าน้าไม่พูดขึ้นมา”

“เมื่อกี้บอกหิว”

“ก็กินก่อน แล้วก็นอนไง...มาๆ แม่ ผมช่วยจัดจะได้เสร็จเร็วๆ”

“อย่า” แม่ยกแจกันหนี “อันนี้แม่จัดไว้ดีแล้ว”

“งั้นผมทำเป็นช่อละกัน เริ่มอันใหม่…” เป๊าะ! นั่นไง “ก้านกุหลาบหักอีกแล้ว ทำไมดอกไม้ของเจ้านี้ก้านมันอ่อนจัง ไม่ทนมือทนตีนเลย”

“เขาปลูกมาให้คนจัดไง ไม่ได้ปลูกมาให้วัวให้ควายจัด” น้าเกดว่า “ไปถ่ายรูปอัพลงเพจไป น้ากับแม่ทำเอง”

“ผมอยากจัดดอกไม้ ความฝันของผมคือเป็นนักจัดดอกไม้มือหนึ่งของประเทศนะ นี่น้ากำลังทำลายความฝันของเด็กรู้ตัวรึเปล่า”

“งั้นมาจัด ถ้าไม่สวยโดนตบนะ”

“ไปถ่ายรูปก็ได้”

“ถ่ายรูปไม่สวยก็โดนตบเหมือนกัน...อ๊ะ นั่นไง ทัชมาแล้ว”

ผมหันขวับไปมอง…

ปกติผมจะเห็นเขาแต่ในชุดนักศึกษา ไม่ค่อยได้เห็นลุคอื่นๆ เท่าไหร่ วันนี้เขาสวมเชิ้ตสีฟ้า กางเกงเข้ารูปสีเข้ม ตบท้ายด้วยรองเท้าอดิดาส โดยรวมแล้วดูสบายๆ ซึ่งผมเดาว่าเขาจงใจไม่ให้หรูเกินไป ไอ้แบบนี้ก็เห็นคนอื่นแต่งกันอยู่ทั่วไป แต่พอพี่ทัชแต่งแล้วทำไมดูเท่จังวะ โคตรดูดี โคตร…

“แม่สวัสดีครับ น้าเกดสวัสดีครับ” ระหว่างที่ผมมองอยู่ พี่ทัชก็เข้ามาถึงตัวแล้ว หลังจากยกมือไหว้แม่กับน้าเขาก็หันมองหน้าผม “ไง”

“ก็เท่ดี”

พี่ทัชขมวดคิ้ว “หมายถึงมึงอะเป็นไง ได้ช่วยงานไรบ้างรึเปล่า”

“น้าว่าให้นะฑีอยู่เฉยๆ ดีกว่าทัช นี่กำลังคิดเลยนะว่าจะไปหาเชือกมามัดมือไว้” น้าเกดพูด “แล้วนี่ทำไมมาเร็วจัง นัดกันตอนเย็นไม่ใช่เหรอ”

“อยากมาเร็วครับ”

“กลัวรถติดใช่มะ”

“ครับ แล้วก็อยากมาเร็วด้วยครับ”

เขาตอบซื่อๆ นี่แหละ แต่ฟังแล้วอาจจะแปลความว่ากวนตีน ผมเลยชวนเปลี่ยนเรื่องดีกว่า

“พี่หิ้วไรมาอะ” วันนี้เขาติดพลาสเตอร์ครบทุกนิ้วตามปกติ แต่ของที่ถือมานี่ล่ะ คืออะไร

“อันนี้องุ่น เอามาฝากแม่ครับ”

“โอ้ ไม่เห็นต้องลำบากเลยทัช ขอบใจนะ” แม่รับถุงไปวางไว้บนโต๊ะ

“อีกถุงของผมใช่ปะ”

“ของหมอนนิ่ม” ว่าละ ไอ้หมอนเน่าก็หลับอยู่ตรงนี้แหละ พี่ทัชย่อตัวลงไปเกาหัวมันเบาๆ “หมอนนิ่มๆ หลับเหรอ...นี่ๆ มีของมาให้ ลองดูดิ๊” เขาหยิบบางอย่างออกจากถุงมาสวมหัวให้มัน

“อะไรอะ หมวกกันน็อก?” ที่ถาม เพราะมันดูเหมือนอย่างนั้นจริงๆ เป็นหมวกทรงกลมสีเหลืองครอบทั้งหัว มีหูแหลมคล้ายหมวกแบทแมน มีสลักเล็กๆ ล็อกใต้คาง แถมมีแว่นกันแดดด้วย

“เฮ้ย เท่อะหมอนเน่า” น้าเกดว่า

“ไม่ชอบเหรอ” พี่ทัชถามแมวนรก เพราะเห็นมันเอี้ยวตัวไปมาเหมือนพยายามจะสลัดออก

“มันแอ๊บอะดิ ไหนดูดิ๊” ผมอุ้มตัวมันขึ้นมาดูหน้าชัดๆ ขณะที่มันอยู่บนตักผม พี่ทัชยังตามมาจัดหมวกมันต่ออีก คราวนี้เหมือนมันจะโอเคขึ้น ไม่ค่อยดิ้นแล้ว “กันกระแทกได้มั้ยอะ อยากตบหัวมัน เห็นแล้วหมั่นไส้”

 “ก็ไม่ขนาดนั้นมั้ง เหมือนทำมาใส่น่ารักมากกว่า”

“ทัชได้มาจากไหนเหรอ น่ารักดี” แม่ถาม

“สั่งจากในเน็ตครับ เห็นนะฑีบอกหมอนนิ่มนั่งมอไซค์กับแม่ทุกวัน ไม่ใส่หมวกเดี๋ยวตำรวจจับ” แม่กับน้าเกดหัวเราะ แต่ผมเฉยๆ มุกผู้ดีเกิ๊น “มีขนมด้วยครับ แต่อย่าให้กินเยอะนะ เดี๋ยวอ้วน”

“ไม่ทันละมั้ง” น้าเกดว่า

“เดี๋ยววันหลังผมหาสายจูงมาลากมันไปเดินเล่น”

ผมกับพี่ทัชหันมองหน้ากัน แล้วหัวเราะเบาๆ ส่วนน้าเกดกับแม่ยังทำหน้างงอยู่ เพราะนี่เป็นมุกที่มีแค่เราสองคนกับผงซักฟอกเท่านั้นที่เข้าใจ

“นะฑี พาพี่เขาไปนั่งร้านกาแฟมั้ย” แม่บอก “จะได้นั่งกันสบายๆ ร้านเราแคบ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังอยากเล่นกับหมอนนิ่มต่อ”

“ถ้างั้นทัชช่วยขายดอกไม้ด้วยเลยดิ ใช้หน้าตาหล่อๆ เรียกลูกค้าหน่อย” น้าเกดว่า

“ได้ครับ”

“อู๊ยยย น้าล้อเล่น”

“พูดจริงได้ครับ น่าสนุกดี”

“งั้นเอาผ้ากันเปื้อนไป” น้าเกดถอดผ้ากันเปื้อนของตัวเองส่งให้ พี่ทัชรับมาสวมแล้วลูบๆ เหมือนเด็กเพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่ ผ้ากันเปื้อนที่ว่าไม่ได้ใช้กันเปื้อนอะไรจริงจังหรอก แต่มีโลโก้ของร้านเราแปะอยู่ เป็นคอนเซ็ปต์ที่ผมคิดเอง ลูกค้าจะได้รู้ว่าใครเป็นพนักงาน

“ถึงพี่ใส่ก็ดูไม่เหมือนพนักงานอะ” ผมบอก

“ทำไม”

“พี่ต้องใส่เสื้อขาดๆ อะถึงจะเหมือน หลังร้านมีเสื้อผ้าขี้ริ้วอยู่ เอาปะ”

“พูดมาก ปะ หมอนเน่า ไปเรียกลูกค้ากันดีกว่า” พี่ทัชแย่งหมอนเน่าไปจากตักผม แล้วก้าวออกไปที่หน้าร้าน ร้านเราไม่ค่อยกว้างเท่าไหร่ แต่มีเก้าอี้ทรงสูงไว้รองรับลูกค้าอยู่สี่ห้าตัว บางทีก็ใช้เก้าอี้พวกนี้เป็นที่ตั้งแจกันด้วย ผมลากเก้าอี้สองตัวตามออกไป ส่งตัวนึงให้เขา แล้วเราก็นั่งประกบประตูทางเข้าซ้ายขวา

คอมมูนิตี้มอลล์ที่ร้านเราตั้งอยู่นี้ แทบจะเรียกว่าห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมๆ ก็ได้ เพราะมีทั้งร้านอาหารสไตล์ไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง แต่ละเจ้าก็เป็นเจ้าดังทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร ยังมีซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า คลินิกความงาม ร้านขายยา หรือแม้แต่โรงเรียนสอนโยคะร้อนก็มี

ที่สำคัญ ลูกค้าที่เดินเข้าเดินออกตึกนี้ล้วนแต่กระเป๋าหนักอยากเปย์อยู่แล้ว

ปัญหาข้อเดียวคือ ดอกไม้ไม่ใช่สินค้าที่จะขายได้รัวๆ ทุกวันนี่แหละ

“ขอโทษนะคะ” นั่นไง ชินละ ถามทางไปห้องน้ำแน่ๆ “คือ สนใจดอกไม้น่ะค่ะ”

หืม?

ผมหันขวับมามองและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนพอยต์เท้าอยู่ต่อหน้าพี่ทัช หน้าสวย แต่งตัวดี กระเป๋าแบรนด์ดัง อายุน่าจะไล่ๆ กับน้าเกด

“แป๊บนึงนะครับ” พี่ทัชถอดหมวกกันน็อกให้ไอ้หมอนเน่า เอี้ยวตัวไปปล่อยมันลงกับพื้น มองดูมันยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะเข้าร้านไป แล้วค่อยหันมาหาลูกค้าพร้อมกับยืนขึ้น

“น่ารักดีนะคะ”

“เจ้าของร้านตัวจริงน่ะครับ สนใจดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“ก็…”

“ให้ใครในโอกาสพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ”

“ว่าจะเอาไปแต่งบ้านน่ะค่ะ”

“อ้อ งั้นเอาเป็นแบบไหนดีครับ”

“เลือกไม่ค่อยถูกเลยค่ะ ช่วยเลือกหน่อยได้มั้ย”

พี่ทัชหันมามองหน้าผมเหมือนขอความช่วยเหลือ แหม เห็นโต้ตอบกันไหลลื่น ทำไมไม่คุยกันต่อล่ะ แต่ถ้าไม่ช่วยก็จะดูไม่เป็นมืออาชีพอีก

“ดอกหน้าวัวมั้ยครับ” ผมเสนอ

“หน้าตาเป็นไงเหรอคะ…”

“ดอกใหญ่สีแดงครับ แต่ไม่เหมือนดอกไม้หรอก เหมือนใบเป็นสีมากกว่า ตรงกลางใบมีเดือยยาวๆ ด้วย”

“งั้นเอาเป็นกุหลาบดีกว่าค่ะ” นางตอบ แล้วหันไปยิ้มให้พี่ทัช “คิดว่าไงคะ กุหลาบดีมั้ย”

พี่ทัชหันกลับไปมองภายในร้าน “แบบที่จัดในกล่องดีมั้ยครับ แบบนี้ยกไปวางได้เลย สวยดีนะครับ”

“กำลังคิดเหมือนกันเลยค่ะ งั้นช่วยเลือกให้หน่อยได้มั้ยคะ”

“ได้ครับ”

ดอกไม้ในกล่องที่ว่านี่ เป็นคอลเล็กชั่นใหม่ที่น้าเกดกับแม่เริ่มทำเลย คือ จัดดอกไม้เป็นช่อลงในกล่องสีหวานหลายแบบ ทั้งกล่องเล็ก กล่องใหญ่ ทรงกลม และสี่เหลี่ยม ซึ่งกล่องนี่ก็เป็นเหมือนแจกันไปในตัว สามารถยกทั้งกล่องไปวางประดับได้เลย

พี่ทัชโผล่หน้าเข้าไปคุยกับแม่ เขาถือโอกาสนั้นเก็บหมวกกันน็อกของไอ้หมอนเน่าไว้ในร้านด้วย แล้วกลับออกมาพร้อมกับดอกไม้ในกล่องยื่นส่งให้ลูกค้า รับเงินสดเหนาะๆ กลับไปส่งให้แม่ รับเงินทอนกลับมาส่งให้ลูกค้าอีกที เป็นอันปิดจ๊อบ

แต่เจ๊นี่ไม่ยอมไปไหน ยังยืนพอยต์เท้ากอดกล่องดอกไม้อยู่

“นิ้วเป็นไรเหรอคะ ติดพลาสเตอร์เต็มเลย หนามกุหลาบตำเหรอ”

“เปล่าครับ ชอบติดเฉยๆ”

“อ่อ...”

“แฟชั่นอะครับ ช่วงนี้กำลังมาเลย” ผมพูดตัดบทให้ ไม่งั้นเจ๊แกถามอีกยาวแน่

“อ้อ เก๋ดีนะ” เหมือนจะพูดตอบผม แต่ตานี่ไม่หลุดโฟกัสจากพี่ทัชเลย “แล้ว...ทำงานที่นี่เหรอคะ เดินผ่านหลายที ไม่เคยเห็นเลย หรือว่าเป็นเจ้าของร้าน”

“พนักงานรายวันครับ” ผมบอก “จ้างวันละร้อยห้าสิบ”

“เล่นมุกงี้ไปไม่ถูกเลยนะเนี่ย แล้วมีเบอร์มั้ยคะ” พี่ทัชหันมองหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบเดาอารมณ์ยาก ถ้าแชตกันอยู่ก็คงโปรยเม็ดเกลือนั่นแหละ ผมมองหน้าเขาตอบ ก่อนจะเหลือบไปทางเจ๊ เจ๊เล่นงี้เลยเหรอวะ รุกแรงเวอร์ “เผื่อวันหลังจะได้โทรมาสั่งดอกไม้อีกน่ะค่ะ”

อ้อ

แต่สายตาก็ยังรุกแรงอยู่ดี

ผมควักนามบัตรของทางร้านส่งให้ แต่เจ๊ไม่ยอมหยิบไปเว้ย พี่ทัชเลยหยิบจากมือผมไปดู แล้วค่อยส่งให้ “โทรมาเบอร์นี้ได้เลยครับ” ทีงี้ล่ะคว้าเร็วเชียว

“ไว้โทรมานะคะ”

“ขอบคุณครับ”

“ค่ะ” เจ๊ยิ้มส่งท้าย แล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินขาไขว้ออกไป

ขอบคุณที่ใช้บริการร้านดอกทองนะครับ

อยากจะพูดตามหลังแบบนี้จริงๆ เน้นเสียงที่ชื่อร้านให้ชัดๆ เลย แต่เพราะลูกค้าคือพระเจ้าไงเลยพูดได้แค่ “ขอบคุณที่ใช้บริการร้าน Golden Flower นะครับ ถามหาดอกไม้ดี ถามหาดอกไม้งาม ถามหา Golden Flower ครับ”

แต่เจ๊แกเดินไปไกลละ

ทำไมปิดการขายง่ายจังวะ ผมมานั่งเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านแบบนี้ประจำ ดอกไม้มั้ยครับ ดอกไม้สวยๆ ดอกสด ดอกแห้ง ราคาไม่แรงแต่ดูแพงเวอร์นะครับ...เอาสักดอกมั้ยพี่ ดอกเดียวก็ขายนะครับ หรือให้จัดเป็นพวงหรีดก็รับนะ… พูดไปดิ ปากเปียกปากแฉะ ไม่เห็นจะได้ผลอะไรเลย มีมาถามไถ่บ้างก็คือ ห้องน้ำไปทางไหนคะ อยากจะชี้บอก โน่นเลย ปั๊มท้ายซอย

แต่ทีพี่ทัชไม่เห็นต้องทำอะไร นั่งเฉยๆ ลูกค้าตัวแม่ก็เข้ามาหาเอง

หมั่นไส้ ผมนั่งกอดอกและมองหน้าเขา “รู้ตัวปะ ว่าถูกอ่อย”

“แล้วไง”

“ก็รู้มั้ยล่ะ”

“รู้แล้วไง ไม่รู้แล้วไง สำคัญตรงไหน” เขายักไหล่ “ทำไมทำหน้าเครียด”

“อารมณ์ไม่ดี”

“มึงยังไม่ได้เล่าเรื่องในแชต”

เปลี่ยนประเด็นอีกละ

“เรื่องไหน”

“เรื่องไม่สบายใจ ที่บอกเล่าไม่ได้”

“เอ้า อย่าเริ่มดิ ก็บอกว่าเล่าไม่ได้ไง…”

พี่ทัชเหลือบมองเข้าไปในร้าน แล้วลดเสียงลง “เรื่องน้าเกดรึเปล่า น้าเป็นไงมั่ง”

ผมลดเสียงบ้าง “ไม่ใช่อะ น้าก็โอเคอยู่ ช่วงนี้นอนบ้านผม”

“อ้อ ดีแล้ว”

“แต่เรื่องนั้นอะ เล่าไม่ได้จริงๆ มันแบบ…”

“งั้นก็ไม่ต้องเล่า”

“เล่าก็ได้ คืองี้” ผมลากเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้พี่ทัช “เรื่องพี่เห็ดกับเจ๊แคลอะ”

“ทำไม เรนจิมันทำอะไรแคล”

“พี่ผิดละ เจ๊แคลต่างหากทำพี่เห็ด คือ...แกกำลังจะเทพี่เห็ดอะ”

“อ่อ”

“ดูพี่ไม่แปลกใจเลยนะ”

“เรนจิมันนิสัยเข้ากับคนได้ยากอยู่แล้ว”

“มันก็ไม่เชิงแบบนั้นอะ พี่เห็ดไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ...เจ๊แคลก็บอกว่าพี่เห็ดหล่อ แต่งตัวดี มีสไตล์ เอาใจใส่ดี อะไรก็ดีไปหมด เจ๊ชอบคนตลกด้วย แล้วพี่เห็ดนี่ก็ตัวฮาเลยเหอะ แต่เจ๊ดันบอกว่า ชอบตัวเองตอนอยู่กับพี่เจมส์มากกว่าซะงั้น พี่เจมส์นี่เรียนวิศวะอะ อยู่ปีสาม”

“อืม”

“ที่งงคือไรรู้ปะ ติพี่เจมส์สารพัด ชอบอะไรหลายอย่างไม่เหมือนกันบ้างละ เจ๊สายกินเจมส์สายออกกำลังบ้างละ ที่สำคัญ คือเจ๊แคลไม่ชอบคนพูดมาก แล้วพี่เจมส์นี่ อือหือ พูดแทบตลอดเวลา แต่สุดท้ายเป็นไง...บอกคุยๆ กันไปก็เพลินดี”

“พอเข้าใจได้” พี่ทัชพูดเรียบๆ

“เข้าใจว่าไง”

“ที่ไม่ชอบคนพูดมาก แต่คุยๆ ไปก็เพลินดี”

“ก็งงอยู่ดีอะ”

“กูก็ไม่ชอบคนพูดมาก”

“ดีที่ผมไม่ใช่คนพูดมาก” ผมบอก แต่รู้สึกว่าต้องเสริมอีกเพื่อความชัดเจน “ก็ไม่ได้พูดมากขนาดพี่เจมส์อะ เลยคุยกับพี่ได้”

“อ้อ” น้ำเสียงเหมือนประชด

“สรุปเลยนะ เจ๊แคลจะเทพี่เห็ดไปคุยกับพี่เจมส์แบบจริงจังอะ แกบอกไม่อยากคุยซ้อน”

“งั้นก็ดีแล้ว”

“สงสารพี่เห็ดไง แกจะไหวรึเปล่าวะ”

“กูนึกว่ามึงไม่กินเส้นกับเรนจิซะอีก”

อันนี้แหละที่งงตัวเองอยู่

เหมือนผมกับพี่เห็ดจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงอยู่ทีมแก อาจจะเป็นเหตุผลง่ายๆ ก็ได้ แกรับมุกดี และสำหรับผม ใครที่มีความสามารถในการรับส่งมุกคือประชากรคุณภาพที่ควรได้รับการเห็นอกเห็นใจจากสังคม ถึงพี่เห็ดแกจะมาสายมุกควายๆ เถื่อนๆ ก็เถอะ

“ก็…” ผมยักไหล่ “ถ้าเทียบโปรไฟล์กัน คือพี่เห็ดกินขาดอะ เลยสงสารแก บางทีเจ๊แคลอาจจะบ้าไปแล้ว เดี๋ยวต้องพาไปเช็กสมองหน่อย”

“มึงใช้เหตุผลตัดสินไง แต่แคลใช้ความรู้สึก”

คม

บาดไส้

“นี่จำมาจากหนังสือกลอนใช่ปะ ไฮกุอะ”

พี่ทัชทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนโปรยเม็ดเกลือกลางอากาศ ผมกำลังจะถามย้ำอีก แต่จังหวะนั้นน้าเกดเปิดประตูออกมาจากร้านพอดี

“เป็นไง หนุ่มๆ”

“สนุกดีครับ” พี่ทัชตอบ

“แป๊บเดียวขายได้เลย ทัชนี่สุดยอดจริงๆ ถ้าสนใจทำงานบอกน้านะ”

“นะฑีบอกจะจ้างวันละร้อยห้าสิบครับ”

น้าเกดหัวเราะยกใหญ่ จากนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับลดเสียงลงอย่างมีลับลมคมใน “น้ามีงานอื่นเสนอ ไม่รู้ทัชจะสนใจมั้ย ได้เงินเยอะกว่าร้อยห้าสิบแน่ๆ”

คำว่า ‘เงิน’ ดึงดูดให้ผมขยับเข้าไปสุมหัวทันที “งานไรเหรอน้า”

น้าเกดหันมองซ้ายมองขวา แล้วควักมือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ

“ดูนี่สิ”











_____________________


เวลาได้อ่านคอมเมนต์แล้วชื่นใจมากเลยค่ะ
ขอบคุณมากเลยนะคะ > < ดีใจจจจจ

นางร้าย
22.กันยา19

 

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
น้าเกดจะชวนพี่ทัชไปรับจ๊อบอะไรอ่ะ น้าหลานคู่นี้ไม่กล้าไว้ใจเลยแสบทั้งคู่

ชอบความควายน้อยของน้อง น่าเอ็นดูแบบฮาๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เด่วนะน้าเกดอย่าบอกว่า จะให้ตามไปจับกิ๊กผัวนะ ไอ้ตัวแสบหูผึ่งเลย ไม่น่าไว้ใจสุดๆ

หลุดขำแทบตาย ตอนเจ้าแสบพูดหน้าตายเฉยว่า ดีที่ผมไม่ใช่คนพูดมาก เอาความมั่นใจมาจากไหนนนน 555555555555555

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
น้องไม่ใช่คนพูดมากจริงๆค่ะ อืมๆ
 :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
สนุกมากกก รอดูว่าจะรักกันตอนไหน55

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2

แตะต้องครั้งที่ 18

จับบบ…ไม่เลือกงานไม่ยากจน
คนจริงจ่ายสองพันกัดฟันปูไต่เปลี่ยนใจรึเปล่า


เรานั่งกันอยู่ที่ป่าดงดิบ และผมกำลังนึกภาพตัวเองเอาปืนจ่อหัวพี่ทัชอยู่

แต่ในความเป็นจริง ผมกลับใช้น้ำเสียงเล็กๆ เหมือนเสียงลูกแมวที่เคลือบน้ำตาล น้ำอ้อย และตบท้ายด้วยคาราเมลอีกชั้น

“นะ พี่ ลองดูไม่เสียหาย”

“ไม่”

“น่า นะๆๆๆ”

“...”

“เหมือนพวกเอ็กซ์เมนไง ใช้พลังกอบกู้โลกกัน นี่ก็เป็นโอกาสให้พี่จะได้ช่วยทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นแล้ว”

“ช่วยให้มันเละเทะกว่าเดิมมากกว่า”

“ดีกว่าเดิมแน่ เชื่อผม น้าาา~ นะๆๆ พี่ทัช ปูไต่ๆๆ”

ปูกำลังจะไต่ขึ้นมือเลย ถูกพี่แกดีดขาปูซะเต็มเหนี่ยวจนสะท้านไปถึงตับ ดีดอย่างกับเขี่ยเห็บเหาทิ้งงั้นแหละ

“โอ๊ยยย! เจ็บ! อ๊ากกก!”

“เวอร์”

“เจ็บจริง ก็พี่พันพลาสเตอร์อะ คิดว่าดีดเบาแต่จริงๆ คือโคตรแรง” ผมก้มลงจ้องนิ้วมหัศจรรย์ของเขาอีก “แกะพลาสเตอร์ออกเหอะพี่ แล้วไปลุยกัน”

“...”

“ทำหน้าโปรยเม็ดเกลืออีกละ”

“เม็ดเกลืออะไร”

“ก็หน้างี้อะ จุดๆๆ”

“หน้ากูมีจุด?”

“ไม่ใช่แบบนั้น หน้าพี่อะเกิดมาเคยเป็นสิวรึเปล่าเหอะ หมายถึงทำหน้าเหมือนตอนแชตมาแค่จุดๆ เหมือนโรยเม็ดเกลืออะ หน้านิ่งๆ เงี้ย”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูแชตจุดๆ คือหน้านิ่ง กูอาจจะยิ้มก็ได้”

“จริงดิ จุดๆ คือพี่ยิ้มเหรอ”

“ไม่ ก็หน้าแบบนี้”

“เห็นมะ”

“แต่กูอาจจะยิ้มก็ได้ มึงจะรู้ได้ไง มีตาทิพย์เหรอ”

“เอ้า พี่นี่ ผมรู้เพราะผมฉลาดไง ไม่ต้องมีพลังตาทิพย์อะไรก็รู้” พูดแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่าถ้าตัวเองมีพลังบ้างจะเป็นยังไง “แต่ถ้าผมมีตาทิพย์นะ ผมจะมองทะลุเสื้อผ้าทุกคนเลย เริ่มจากพี่ก่อนคนแรก…” หลุดปากอีกละ “แล้วผมก็จะขู่เอาเงินพี่ให้หมดตูด ไม่งั้นจะประจานให้ว่อนโซเชียลเลย”

“งั้นก็ดีแล้วที่มึงไม่มีพลังอะไร”

“ถ้าผมมีพลังสักอย่าง ผมไม่มานั่งง้อพี่งี้หรอก”

“งั้นก็ดีแล้วที่มึงไม่มีพลัง” พูดประโยคเดิม แต่อะไรบางอย่างบนสีหน้าเปลี่ยน อย่างน้อยก็แวบนึงแหละ

“เมื่อกี้พี่ยิ้มเหรอ”

“...” กลับมาเป็นสีหน้าโปรยเม็ดเกลือตามเดิมละ

“สรุปเลยละกัน นะพี่ ลองดูสักครั้ง ถ้าไม่เวิร์กก็เลิก โอเคนะ”

“ไม่” คำตอบนี้ช่างหนักแน่นยิ่งนัก

เฮ้อออ…

ที่มานั่งง้อนั่งแงะกับพี่ทัชอยู่นี่ก็ไม่ใช่อะไรหรอก

เพราะเงินล้วนๆ

งานที่น้าเกดเสนอมาน่าสนใจสุดๆ ในความเห็นผม เรื่องของเรื่องคือ ช่วงที่น้าเกดต้องอกตรมข่มไหม้กับความต่ำตมของสามี น้าก็พยายามบำบัดตัวเองด้วยการเข้าสู่กรุ๊ปไลน์สมาคมเมียหลวง ซึ่งคล้ายๆ กลุ่มบำบัดผู้ติดสุรานิรนามยังไงยังงั้น แต่ละคนจะผลัดเปลี่ยนกันเล่าถึงความชอกช้ำที่สามีเป็นผู้ก่อให้ บางคนต้องการหลักฐานชัดๆ เพื่อฟ้องหย่า บางคนต้องการแรงผลักดันให้ตัดใจให้ได้ บางคนยอมทนแต่ต้องการคนรับฟังแล้วแต่อาการจะกำเริบวันไหน

แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ในกรุ๊ปต้องการเหมือนๆ กันคือ ความจริง

ที่สำคัญคือ แต่ละคนดูจะเป็นเมียหลวงสายเปย์เทเงินเพื่อความจริงนี้ทั้งนั้น บางคนถึงขั้นจ้างนักสืบเอกชนตามจี้ตามเช็ก แต่ถูกผัวเปย์ทับซื้อตัวนักสืบและให้ส่งหลักฐานปลอมๆ คลีนๆ ให้เมียหลวงดูซะงั้น

น้าเกดเกริ่นไปในกรุ๊ปว่า มีคนเผยความจริงให้เห็นแบบชัดๆ จนตัวเองตาสว่างแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นโฆษณาสกิลของพี่ทัชโดยพลการ น้าเลยมาถามเจ้าตัวก่อนว่าสนใจมั้ย

ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่

ผมถึงได้มาตามอ้อนวอนร้องขอพี่ทัชอยู่นี่แหละ อ้อนมาสองวันเต็มๆ แล้ว แต่จิตใจพี่แกยังไม่หวั่นไหวสั่นคลอนอะไรเลย

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมพี่ไม่ใช้พลังให้เป็นประโยชน์อะ” ผมวางฟอร์มพูดจริงจัง “ใช้มันหาเงินดิ ไม่เลือกงานไม่ยากจน เคยได้ยินเปล่า”

“กูไม่ได้ร้อนเงิน”

“พี่ไม่ร้อน แต่ผมนี่ร้อนอย่างกับอยู่ในนรกเลยเหอะ”

“ทำไม มึงเป็นหนี้นอกระบบเหรอ”

“ยังไม่เป็น แต่อีกไม่นานอาจจะเป็นก็ได้ เนี่ยดูดิ โทรศัพท์ยังยืมพี่ใช้เลย ไหนจะต้องจ่ายค่าเทอมอีก ไม่อยากรบกวนแม่อะ”

“โทรศัพท์เอาไปเลย กูยกให้”

“ไม่เอา อยากหาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง”

“น้ำพักน้ำแรงตัวเองยังไง ลากกูเข้าไปเกี่ยว”

“แบ่งหน้าที่กันไง เดี๋ยวผมเป็นคนติดต่อลูกค้าเอง วางแผนปฏิบัติการ ทำบัญชี อะไรทุกอย่าง พี่ไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลาก็แค่เอานิ้วไปแปะๆ พอ แล้วก็แบ่งเงินกัน ห้าสิบห้าสิบ เคปะ”

“...”

“ถ้าพี่ไม่ต้องการเงิน ผมเอาหมดเลยก็ได้ พี่ก็คิดซะว่าช่วยคนพวกนั้นไง ได้บุญนะ”

พี่ทัชมองหน้าผม “กูจะไปทำร้ายคนพวกนั้นมากกว่า กูเคยบอกแล้วไง บางทีความจริงมันโหดร้าย”

“ไม่เสมอไปหรอกน่า มันช่วยน้าเกดไม่เห็นเหรอ ตอนนี้น้าดีขึ้นมากแล้วนะ”

“...”

“น่า พี่ นะๆๆ ปูไต่ๆๆ”

“เครียดโว้ย!” ปูกำลังจะไต่ขึ้นแขนพี่ทัช พี่เห็ดโผล่มาจากไหนวะ เดินปึงปังเข้ามานั่งด้วยโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเลย “พวกมึงทำไรกันวะ”

ผมกระตุกขาปูที่กำลังจะไต่มือพี่ทัชกลับแบบเก้อๆ เปลี่ยนมาเกาจมูกแทน พี่ทัชเองก็เลื่อนมือข้างนั้นกลับเข้าหาตัวเล็กน้อย แต่ยังวางพักไว้ใกล้ๆ กับหนังสือที่เขาวางตั้งไว้อยู่

“ทำไมมึงมาแถวนี้บ่อยจังวะ คณะบริหารไม่มีเก้าอี้รองตูดเหรอ” ตอนนี้หน้าพี่ก็อย่างกับตูดอั้นขี้เลยนะ หรือว่าเจ๊แคลเทแกอย่างเป็นทางการแล้ววะ

“ผมดูหมอมา หมอดูบอกว่าให้พาตูดมาสูดอ๊อกซิเจนเยอะๆ แล้วจะรวย แถวนี้ต้นไม้เยอะไง ก็เลยมา”

“หมอดูบอกกูเหมือนกัน ให้เตะหมา แล้วชีวิตจะดี”

“เมี้ยว~”

“เตะแมวก็ได้เหมือนกัน”

“กะต๊ากๆๆๆ”

“ถ้าหาหมาแมวไม่ได้ สัตว์ปีกก็แทนได้”

“กระรอกๆๆ”

“ฮะ? กระรอกบ้านพ่องร้องงี้เหรอ” พี่เห็ดยังหน้าตึงอยู่ แต่พี่ทัชนี่แอบขำไปแล้ว ถึงกับต้องแกล้งหันไปมองทางอื่นเลยเหอะ ผมกำลังจะแซวพี่ทัช แต่พี่เห็ดพูดต่อซะก่อน “ถามจริง ไหนมึงบอกคณะบริหารเรียนหนัก ทำไมยังมาเสนอหน้าอยู่นี่วะ”

“ผมไม่ใช่สายเด็กเรียน”

“งั้นแคลนี่โคตรเด็กเรียนเลยดิ ทักเป็นสิบตอบคำเดียว มึงดู” ว่าแล้วพี่เห็ดก็ควักมือถือออกมา กดเข้าหน้าแชต เลื่อนมือถือมาตรงหน้าผม

 

★R3NJI: ทำไรอยู่คับ

★R3NJI: วันเสาร์นี้ว่างมั้ย

★R3NJI: ไปโยนโบว์กันป่ะ

★R3NJI: มีหนังผีเข้าใหม่ด้วยนะ

★R3NJI: หนังกุ๊กๆ กิ๊กๆ ก็มี

★R3NJI: หรือไปนั่งรถเล่นชิวๆ ก็ได้

★R3NJI: เด๋วพี่พาซิ่ง

★R3NJI: นอนแล้วเหรอ

❤ C A L ❤: อื้อ

❤ C A L ❤: zzZ

★R3NJI: งั้นฝันดีนะคับ

★R3NJI: พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน

 

น้ำตากูจะไหล

ทำไมสงสาร

ผมฮึบไว้และแกล้งทำหน้าชิลล์ๆ “พี่ไปทักเจ๊ดึกอะดิ ตีสามตีสี่ใครจะบ้าลุกมาคุยด้วย”

“ตีสามบ้านป้ามึง แหกตูดดู กูทักสองทุ่ม”

“อ้อ บางทีเจ๊แกก็งี้แหละ งีบตอนหัวค่ำไง”

พี่เห็ดจ้องหน้าผมเหมือนจะมองเข้าไปให้เห็นถึงก้อนนิ่วในท่อปัสสาวะ “มึงรู้อะไรเกี่ยวกับแคล ที่กูไม่รู้”

ผมแอบเหลือบตามองพี่ทัช ซึ่งอีกฝ่ายก็แอบส่ายหัวนิดๆ เป็นการตอบกลับมา

“ก็เยอะแยะอะ”

“งั้นบอกมาดิ๊ ทำไมแคลไม่คุยกับกู”

ผมยักไหล่ “พี่ลืมแล้วเหรอ จะถามไรเกี่ยวกับเจ๊แคลผมคิดเงินนะ ของเก่านี่พี่ก็ยังไม่เคยจ่ายเลย รวมๆ ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าห้าร้อยแล้ว”

พี่เห็ดควักกระเป๋าตังค์ หยิบแบงค์ห้าร้อยออกมาฟาดลงบนโต๊ะ “เอาไป แล้วนี่สำหรับคำถามเดียว ทำไมแคลไม่คุยกับกู” ตามด้วยแบงก์พันอีกใบ ฟาดลงมาหนักๆ เหมือนเซียนพนันทิ้งไพ่เด็ด

คนจริงเว้ย!

เอาไงดีวะ

พี่ทัชส่ายหน้าอีก ผมกลอกตาไปมาพยายามสื่อสารกับเขาว่า พันห้าเลยนะ บอกไปเลยมั้ย ยังไงพี่เห็ดก็โดนเทอยู่ดีอะ

“ตาแม่งเป็นต้อเหรอ ขยิบจัง ไอ้ทัช มึงรู้อะไรกับมัน”

ซวยละ

จังหวะพี่เห็ดหันไป พี่ทัชก็เงยหน้าขึ้นมาเหมือนกับเพิ่งละสายตาจากหนังสือที่เพิ่งปิดไป ดูเผินๆ ก็เนียนใช้ได้ แต่ผมน่าจะเนียนกว่า

“โอ๊ยๆๆ ยุงกัดตา” ขยี้ตาซะเลย “พี่ทัชจะไปรู้อะไร ผมนี่ น้องรหัส รู้หมดทุกเรื่อง...แต่เงินแค่นี้ซื้อผมไม่ได้หรอก”

ป๊าบ!

มาอีกห้าร้อยแล้ว รวมเป็นสองพัน นี่พี่แกจะพกเงินสดอะไรนักหนาวะ

ยัง ยังไม่พอ มีควักเหรียญมาวางอีกสองบาท

“บอกมา”

“คะ...คือ…ก็เรียนหนักไง เจ๊แกไม่มีเวลา”

“ไม่ใช่มั้ง”

“เป็นเมนส์มั้ง อาจจะอารมณ์ไม่ดี”

“กูว่าไม่ใช่อีก”

“งั้น...งั้นก็ไม่รู้แล้วอะ เก็บเงินพี่ไปเหอะ”

พี่เห็ดมองผมด้วยสายตาเหมือนเครื่องเอ็กซ์เรย์อีก จากนั้นหยิบแบงก์พันกับแบงค์ห้าร้อยกลับไป เหลือแบงก์ห้าร้อยกับเหรียญอีกสองบาทไว้ที่เดิม “ถือว่ามึงไม่ได้ตอบคำถามล่าสุดละกัน ส่วนห้าร้อยนั่นสำหรับคำถามเก่าๆ”

“เฮ้ย จริงดิ”

“กูเป็นเพื่อนเล่นมึงเหรอ จะเอาไม่เอา”

ผมเหลือบมองพี่ทัชอีก คราวนี้เขาทำหน้านิ่งไม่ออกความเห็น แต่ผมหยิบไม่ลง

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถือว่าผมช่วยฟรีๆ ละกัน พี่น่าสงสารอะ”

“สัด ถ้ามึงไม่เอา ตอนนี้แหละมึงจะน่าสงสารแล้ว”

“น่ะ จะเตะต่อยอีกละ” ผมหยิบแบงก์ห้าร้อยยัดใส่กระเป๋าเสื้อพี่เห็ด “เอาคืนไปเหอะ แต่เดี๋ยวเสียน้ำใจ ผมเอาสองบาทนี่ละกัน”

“อันนั้นกูเอาไว้ให้มึงใส่ปากตอนสัปเหร่อจับมึงใส่โลงนะ อาจจะได้ใช้เร็วๆ นี้แหละ”

“งั้นแบ่งคนละบาท” ผมหย่อนเหรียญนึงใส่กระเป๋าเสื้อพี่เห็ดตามแบงก์ห้าร้อยไป “เอาติดตัวไว้ตลอดเลยนะ เผื่อใครเจอศพพี่เขาก็จะได้เอาเหรียญนี้ยัดปากพี่ได้เลย”

“มึงนี่มันเหี้ยจริงๆ”

“ขอบคุณครับโผม”

พี่เห็ดถอนหายใจเหมือนอ่อนอกอ่อนใจ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “หิวว่ะ ไอ้ทัช หาไรแดกกัน”

“ไปด้วย” ผมบอก

“ใครชวนมึง”

“พี่ทัชชวน ใช่มะพี่” ผมยื่นหน้าไปทางพี่ทัช

“มึงหิวเหรอ” พี่ทัชถาม

“หิวมาก”

“อือ งั้นก็ไป”

“ทำไมมันง่ายจังวะ” พี่เห็ดโวย

“มันดื้อ”

“ดื้อ? ทำไมฟังดูแปลกๆ วะ”

“เถียงไปก็เท่านั้น ยังไงก็ไปด้วยอยู่ดี”

พี่ทัชรวบกองหนังสือลุกขึ้นยืน ผมก็รีบยืนด้วย ส่วนพี่เห็ดหันมองหน้าเราสลับไปมาเหมือนพยายามทำความเข้าใจ

“พี่ไม่ไปก็แล้วแต่นะ ผมกับพี่ทัชไปละ”

“เอ่า เฮ้ย กูต้องไปดิวะ หิว”

เราเดินกันออกจากป่าดงดิบอ้อมไปทางหน้าอาคาร พอถึงทางสะดวก ด้วยความที่เป็นคนหัวร้อน พี่เห็ดก็เริ่มก้าวยาวๆ ทิ้งห่างนำหน้าเราไปเรื่อยๆ ขณะที่พี่ทัชกับผมยังเดินด้วยจังหวะก้าวปกติ

“ทำไมมึงไม่เอาเงินเรนจิ” จู่ๆ พี่ทัชก็ถามขึ้น

“เอาได้ไง แกจะโดนเทอยู่”

“ถ้าไม่โดนเท จะเอามั้ย”

“ก็ไม่อะ กวนตีนแกเล่นไปงั้น” ผมยักไหล่

“อืม”

“อย่างที่บอกไง อยากหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองมากกว่า” ว่าแล้วผมก็ขยับไปกระแซะเขา “ว่าไงอะพี่ เรื่องช่วยสมาคมเมียหลวงอะ ยังไม่ให้คำตอบเลย”

“กูตอบไปแล้วไง ว่าไม่”

“ไม่ตอบแบบนี้ดิ น่า พี่ ปูไต่ๆๆ”

“อย่ายุ่งกับมือได้มั้ย”

“จะยุ่ง ไต่ๆ”

“เล่นไร นี่ไม่ได้อยู่กันสองคนนะ”

“ไม่สน” ผมรุกหนักขึ้นไปอีกขั้น หมับ! จับข้อมือไว้เลย แล้วใช้มืออีกข้างไต่ขึ้นลงไปตามแขน “จะไต่จนกว่าพี่จะยอม ไต่ๆๆๆ”

“นะฑี”

“ปูต่าย ไต่ๆๆ”

“เฮ้ย! พวกมึงเดินกันช้าจังวะ ทำเหี้ยอะ…” พี่เห็ดหันกลับมาแล้วหยุดชะงัก ก็น่าชะงักอยู่ เพราะภาพที่เห็นคือ...ตัวเราแทบจะแนบชิดติดกัน มือข้างหนึ่งของผมยังทำเป็นขาปูค้างเติ่งอยู่บริเวณหัวไหล่ของเขา ทั้งหมดนี้อาจจะแปลความว่าผมแทะโลมพี่ทัชอยู่

มาถึงขั้นนี้ละ

จะให้บอกไงล่ะ

“เล่นปูไต่กันอยู่เพ่ ไปก่อนเลยก็ได้”

พี่ทัชถอนหายใจแรงๆ “เดินไปก่อน ขอเคลียร์กับนะฑีแป๊บ”

พี่เห็ดขมวดคิ้ว ก่อนจะหมุนตัวเดินต่อ “เออ รีบมาละกัน”

พอพี่เห็ดเดินไป ขาปูก็เริ่มเดินตามหลังไหล่ของพี่ทัชต่อ

“นะฑี หยุด” เสียงพี่ทัชเริ่มเข้มขึ้น

ผมไม่ถึงกับหยุด แต่ขยับนิ้วเดินช้าลงด้วยสีหน้าจ๋อยๆ “พี่จะไม่รับงานนี้จริงๆ เหรอ นะพี่ เราสองคนช่วยกันต้องเวิร์กอยู่แล้ว นะ”

“แล้วจะหยุดมั้ย”

“ถ้าพี่ตกลงรับงาน อะไรก็ได้หมด สั่งอะไรผมจะเชื่อฟัง”

“งั้นก็หยุด”

“แปลว่า...พี่ตกลงเหรอ”

“อือ”

อือแบบแผ่วเบามาก จนนึกว่าเป็นเสียงถอนหายใจ

“จริงเหรอ!”

คราวนี้พี่ทัชถอนหายใจออกมาจริงๆ แล้วค่อยตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“อือ”

“เยส!” ผมกระโดดตัวลอย “พี่พูดแล้วนะ ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด พูดแล้วๆๆ เยส!”

“กูจะเปลี่ยนใจถ้ามึงไม่หยุดพูด”

“ได้ ไม่พูดแล้วครับโผม”

ผมหุบปาก

แล้วเริ่มเต้นลีลาศไปตามทาง





____________________

มาแล้วค่า :D อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้ตลอดเลยนะคะ
จะพยายามให้ดีที่สุดเลยค่ะ! ขอบคุณที่อยู่กันมาถึงตอนนี้นะคะ /กุมหัวใจจจ


นางร้าย
27.กันยา.2019

 

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
พี่ทัช ช่วยแตะมืออิน้อง ให้เลิกปูไต่พี่ที หนูเขินแทนพี่ 55555

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ชอบตอนน้องอยู่กับพี่เห็ด กวนมาก
 :laugh:

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
น้องคือกวนมาก อยากดีดหน้าผากนางสักครั้ง555

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
น้องมันมวยคู้กับพี่เห็ดจริงๆ หลุดขำแทบตาย 5555555555555555

ปูต่าย ไต่ๆๆๆๆ มันน่าดีดสักทีเจ้าตัวอแว แล้วพี่ทัชก็แพ้ปูไต่ๆจนได้  :laugh:

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
โอ้ยยยย น้องงงงงง จะฮาไปไหน555555555555555

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 19
จับบบ…ขอสายดนัยบริษัทอะไรติดต่อไม่ทราบ
เหี้ยคาบไปเลี้ยงเหรอเบลอหน้ากูด้วย




น้าเกดลากผมเข้ากรุ๊ปสมาคมเมียหลวงเรียบร้อยแล้ว หลังจากแนะนำตัวเองสั้นๆ ผมก็กระหน่ำโฆษณาลงไปรัวๆ ทันที 

ตอแหล!

เลิกสบถคำนี้อีกต่อไป

ด้วยจิตวิทยาแนวใหม่ที่จะทำให้คุณรู้ลึก รู้จริง รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับคนใกล้ตัว นกสองหัว หลัวปลาไหล ไม่ว่าแน่แค่ไหนก็ต้องสารภาพจนหมดเปลือก ภายใต้สโลแกน Lie ปุ๊บ รู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง

โทรหาเราตอนนี้ 3 สายแรก รับส่วนลด 10%

อย่าลืม ความจริงรอคุณอยู่

โทรเลย!



ผมนั่งอยู่ในรถพี่ทัช ระหว่างที่รถติดอยู่ผมก็เอียงหน้าจอมือถือให้เขาอ่านข้อความนี้ เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหัว

“โคตรมั่ว”

“ตอนนั้นผมไม่มีเวลาเรียบเรียงคำไง เลยอัดๆ ข้อความเข้าไปก่อน”

“แล้ว?”

“ก็โทรกันมาสายไหม้ดิ...ถุ้ย!” ผมถอนหายใจ “เงียบกริ๊บกันหมดอะ แต่ก็มีใจเด็ดอยู่รายนึงที่เรากำลังจะไปตามล่าความจริงให้อยู่นี่ไง”

ผมเล่าให้พี่ทัชฟังคร่าวๆ ไปแล้ว

ลูกค้ารายแรกของเราเป็นผู้หญิงชื่อรวงข้าว อายุ 27 ปี หน้าตาถือว่าดีเลย ดูจากรูปโปรไฟล์ที่ไม่รู้ว่าใช้แอพไหนแต่งรูปอะนะ ส่วนนิสัยเท่าที่สัมผัสได้ก็ออกแนวเรียบๆ พูดน้อย ดูไม่ค่อยทันคน ตามท้องเรื่องที่ผมฟังมา ประมาณว่าแต่งงานกันได้ปีกว่าๆ สามีก็เริ่มออกลายคล้ายๆ ว่าจะกิ๊กกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งดูจากโหงวเฮ้งสามีก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่งตัวเก่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์ แบบนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน

 จุดหมายที่เราจะไปก็คือตึกที่ทำงานของสามีเจ๊รวงข้าวนี่แหละ ตัวเจ๊เองไม่ได้มาด้วย พูดตามตรงดูเหมือนจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แถมพี่ทัชยังยืนว่าจะไม่พรีเซนส์ตัวเองกับใครเหมือนที่ทำกับน้าเกดด้วย เพราะมันยุ่งยากเกินไป ผมก็ไม่อยากเซ้าซี้เขามาก เดี๋ยวจะพาลยกเลิกงานทั้งหมดเอา

เอาเป็นว่าจะหมู่หรือจ่าก็ขึ้นอยู่กับผลงานแรกนี่แหละ

ตื่นเต้นว่ะ

“ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เราจะไปทันปะวะพี่” ผมถาม

“ไม่รู้”

“เฮ้ย อย่าพูดงี้ดิ งานแรกนะ พูดเอาฤกษ์เอาชัยกันหน่อย”

“ไม่น่าทัน”

“ฟังแล้วโคตรรู้สึกดี” ผมย่นจมูกใส่เขา “เปลี่ยนเรื่องๆ เราคิดเงินเท่าไหร่ดีอะ งานแรก ผมยังไม่ได้ตกลงราคานะ แค่เกริ่นไว้ว่าขึ้นอยู่กับความยากง่าย แล้วก็เป็นลูกค้าคนแรกเลยลดให้ 10%”

พี่ทัชหันมองผม แต่ไม่พูดอะไร รถเริ่มขยับตามกันไปข้างหน้าเรื่อยๆ

“สองแสนมะ”

“...”

“ล้อเล่นน่า สองหมื่น?”

“...”

“อย่าบอกว่าสองร้อย”

“ฟรี”

“อะไร เราไม่ได้ทำมูลนิธินะ งั้นเรื่องราคาเดี๋ยวผมจัดการเอง…”

ตื่อดึ๊ง!

กำลังจะพูดต่อ ไลน์ก็เด้งขึ้นมาขัดจังหวะ ผมรีบเปิดดูทันที



★R3NJI: สงสัยเพื่อนมึงจะอายุไม่ยืนนะ

★R3NJI: หน้าตาก็ดี

★R3NJI: แต่แม่งกวนตีน

★R3NJI: เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมเลี้ยงหมาไว้ในปากวะ

★R3NJI: อยากปากแดงโดยไม่ต้องทาลิปเหรอ

★R3NJI: ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงนี่กูตบปากแหกไปละนะ

★R3NJI: หรือไม่ใช่ผู้หญิงแท้?



พี่เห็ดไปเจอเปิ้ลที่ไหนวะ

อยากกวนตีนแกเล่นเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่เวลา

ผมกลับมาสนใจพี่ทัชต่อ “ผมมีของมาให้พี่” ว่าแล้วก็ควักของที่เตรียมมาจากกระเป๋ายื่นให้เขา มันคือถุงมือไหมพรมสีเหลืองลายมินเนี่ยน

“อะไร”

“ถุงมือไง น่าจะดีกว่าพลาสเตอร์อะ พอถึงเวลาต้องใช้พลังก็ถอดปุ๊บจับปั๊บได้เลย”

พี่ทัชเหลือบมองด้วยหางตา “ให้กูใส่ถุงมือสีเหลืองขนาดนี้ไปเดินข้างนอกเหรอ”

“ทีแรกผมก็ว่าจะหาแบบที่เป็นหนังสีดำดูร็อกๆ นะ แต่ไม่มี มีแต่สีดำแบบใส่แล้วเหมือนจะไปตัดอ้อยอะ อันนี้แหละดูโอเคสุดแล้วในร้าน ทำไมอะ ลายมินเนี่ยนก็ดูเข้ากับมือพี่ดีออก”

“ไม่เป็นไร กูชอบพลาสเตอร์”

ตื่อดึ๊ง!

ไลน์มาอีกละ



O: เจอพี่เห็ด

O: ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นรุ่นพี่นี่เตะปากแตกไปละนะ

O: แกเป็นบ้าไร

O: ตอนเด็กๆ เหี้ยแอบคาบไปเลี้ยงเหรอ

O: อ่านแต่ไม่ตอบ

O: อยู่ไหนวะ



ก็อยากจะตอบ แต่กำลังจะปฏิบัติภารกิจลับอยู่เนี่ย

ปิดเสียงไปก่อนละกัน

“แน่ใจเหรอว่าไม่เอา” ผมถามพี่ทัชต่อ

“ไม่เอา”

“งั้นก็ทิ้ง” ผมโยนถุงมือไปที่เบาะหลัง “ทีนี้คุยเรื่องแผน ผมคิดไว้สองแบบ แบบแรกนุ่มๆ เจ๊รวงข้าวให้เบอร์มาแล้ว เราโทรเข้าไปก่อนบอกว่ามีของมาส่ง นัดให้แกรอแถวนั้น แล้วเราก็เข้าไปจัดการเลย”

“จัดการยังไง”

“ก็...อันนี้หน้าที่พี่แล้วอะ เดินเข้าไปจับตัว พี่ถาม ผมอัดคลิป จบ”

“แบบที่สองล่ะ”

“แบบที่สอง ขั้นรุนแรงเลย เราสวมรอยเป็นพวกแก๊งทวงหนี้โหด บุกขึ้นไปที่บริษัทแกเลย ขอเจอตัวแล้วลากไปจัดการในห้องน้ำ”

“มึงกับกูเนี่ยนะ ทวงหนี้โหด”

“ทำไมอะ พี่ก็ทำหน้าให้มันโหดๆ ดิ นี่ เพื่อความสมจริง ผมพกคัตเตอร์มาด้วย” ผมควักคัตเตอร์ออกมาขยับใบมีดขึ้นลงดังแกรกๆ “ไม่เวิร์กเหรอ งั้นก็ใช้วิธีแรก ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวผมโทรไปก่อนเลยนะ ตอนนี้…”

“แหวกหญ้าให้งูตื่นรึเปล่า”

“ฮะ?”

“เขาไม่ได้สั่งของอะไร”

“เราก็โม้ไปดิ มีใครไม่รู้ส่งของมาให้ เซอร์ไพรส์ไง”

“ถ้าเขาไม่เชื่อล่ะ”

“ต้องเชื่อดิ”

“ยังไงก็ต้องสงสัย อาจจะทำให้ไหวตัวทัน”

“แปลว่าไม่ควรโทรว่างั้น”

“อือ”

“งั้นทำไง แผนนี้ผมคิดมาทั้งคืนเลยนะ”

“จะถึงแล้ว ตึกข้างหน้านี้แหละ” พี่ทัชพูดเรียบๆ

“เฮ้ย จริงดิ สรุปเอาไงอะพี่ เราจะเข้าไปโดยไม่มีแผนไม่ได้นะ...พี่คิดดิ เอาไงๆ”

“หาที่จอดรถก่อน”

“นี่แหละๆ ตึกนี้เลย เลิกงานแล้วด้วยเนี่ย พี่ เราจะเสียเครดิตไม่ได้นะ” ระหว่างที่ผมบ่นบ้าไปเรื่อยๆ พี่ทัชก็ขยับรถเข้าเทียบทางเท้า และดับเครื่อง “จอดตรงนี้ได้เหรอ”

“มึงรีบไม่ใช่เหรอ”

“จอดได้แหละ คันอื่นก็จอดกันเยอะแยะ แล้วเอาไงล่ะ”

พี่ทัชควักมือถือตัวเองออกมา กดเข้าหน้ากูเกิล “ชื่อบริษัทอะไร” ผมบอกตามที่เจ๊รวงข้าวให้ข้อมูลไว้ พี่ทัชเสิร์ชหาเบอร์โทรอย่างรวดเร็วแล้วกดโทรออก

“เปิดสปีกเกอร์ด้วย” ผมบอก ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

พี่ทัชเปิดสปีกเกอร์และลดมือถือลง เสียงสัญญาณดังต่อเนื่องอยู่หลายครั้งเหมือนจะไม่มีคนรับ แต่แล้วก็มีเสียงยกหูขึ้นจนได้

[บริษัท Alternative สวัสดีค่ะ]

“สวัสดีครับ” พี่ทัชเป็นคนพูด ส่วนผมที่กำลังอ้าปากด้วยความเคยชินต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองไว้ “ขอสายพี่ดนัยหน่อยครับ”

[ดนัยไหนคะ]

พี่ทัชมองหน้าผม ผมรีบตั้งสติและทำปากพูดโดยไม่มีเสียง ฝ่ายจัดซื้อ “พี่ดนัยฝ่ายจัดซื้อน่ะครับ”

[อ๋อ จากไหนคะ]

ผมทำปากอีก บริษัทขอทัชฑี

“จากน้องที่ดีลงานค้างอยู่น่ะครับ”

[รอสักครู่นะคะ] เสียงเงียบไป สักพักเจ๊คนที่รับสายก็กลับมาพูดต่อ [ขอโทษนะคะ พี่ดนัยเพิ่งออกจากออฟฟิศไปเมื่อกี้เองค่ะ พอดีว่าเลิกงานแล้ว]

“อ๋อ ครับ”

[ยังไงพรุ่งนี้ลองติดต่อมาใหม่นะคะ]

“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ”

พี่ทัชกดตัดสายและเก็บมือถือ ท่าทางของเขาดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร อาจจะโล่งใจด้วยซ้ำ ขณะที่ผมนี่มือไม้สั่นเหงื่อแตกเต็มหลังไปหมดแล้ว

“ซวย” ผมพูด “เลิกงานไม่กี่นาที รีบออกจากออฟฟิศเลยเหรอวะ รีบไปหาเมียน้อยเหรอ แล้วเอาไงต่ออะ”

“กลับ”

“ฮะ? มาขนาดนี้ จะกลับง่ายๆ งี้ได้ไง เดี๋ยวผมลองโทรเข้ามือถือ”

“แล้วจะบอกเขาว่าไง มาจากบริษัทขอทัชฑีเหรอ”

“ก็ทำไมอะ”

“หนักกว่าบอกว่ามีของมาส่งอีกนะ”

“งั้นก็บอกของมาส่ง ช่างแม่ง ไม่สนละ ขอให้เจอตัวละกัน…”

“เดี๋ยว” พี่ทัชใช้นิ้วกดมือผมที่กำลังจะกดโทรออกไว้เบาๆ “ใช่คนนั้นมั้ย”

“ไหน” ผมหันเลิ่กลั่ก

“ข้างหน้า กำลังจะข้ามถนน”

ผมยื่นหน้าไปแทบจะเอาคางเกยคอนโซลหน้ารถ เพ่งมองกลุ่มคนสี่ห้าคนที่กำลังรอจะข้ามถนน และหนึ่งในนั้นก็คือ ดนัย ใฝ่จิตดี เป้าหมายของเรานี่เอง ตัวจริงเขาดูไม่สูงเท่าไหร่ ตัวผอมๆ เซ็ตทรงผมเหมือนในรูปเป๊ะ

“ใช่ว่ะพี่”

“แน่ใจนะ”

“ชัวร์ คนมันจะรุ่งอะ เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย...ดูดิ นั่นไงกิ๊ก”

ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่งตัวแซ่บใช่เล่น เสื้อรัดรูป กระโปรงสั้น แขนคล้องกระเป๋าหลุยส์ที่ผมดูไม่ออกว่าของแท้หรือปลอม

“มึงด่วนสรุปเกินไป”

“ก็ไม่ใช่เจ๊รวงข้าวอะ ไม่ใช่กิ๊กแล้วจะใครล่ะ เดินใกล้กันขนาดนี้”

“ก็ยังด่วนสรุปอยู่ดี”

“เดี๋ยวก็รู้ ปะ ลุย…”

พี่ทัชรั้งไหล่ผมไว้ “ดูก่อน เขาไปไหนกัน” ระหว่างที่พูดอยู่นี้ พี่ดนัย ใฝ่จิตดี ก็เดินข้ามถนนไปได้ครึ่งทางแล้ว ตลอดทางที่เดินแกยังยกมืออีกข้างค้างไว้เป็นการเบรกรถไปด้วย ทำเป็นเท่ ทำเป็นมั่น เห็นแล้วหมั่นไส้อยากสไลด์ตัวเข้าไปเตะตัดขาให้เสียศูนย์ ให้รถเมล์เสยกระเด็นไปสักสิบเมตร แล้วให้สิบล้อแล่นทับอีกที

ทำได้แค่จินตนาการแหละ ความจริงคือสองคนนั้นข้ามไปถึงอีกฝั่งแล้ว ดูพูดคุยกันกุ๊กกิ๊กออกหน้าออกตา แล้วก็พากันเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่ตรงนั้นเอง

“เลิกงานแล้วไม่กลับบ้านกลับช่องนะ ชัดเลย ลุยได้ยังอะทีนี้”

“อือ” พี่ทัชทำเสียงเหมือนไม่เต็มใจ แต่ก็เปิดประตูลงจากรถ

เราเดินไปตรงจุดที่คนรอข้ามถนน ผมแอบสังเกตมือเขาก็ยังเห็นว่ามีพลาสเตอร์พันอยู่ครบทุกนิ้ว

“พี่ไม่แกะพลาสเตอร์เหรอ”

“ไว้ค่อย”

พี่ทัชเดินนำพาผมข้ามถนนไปแบบสบายๆ โดยไม่ต้องยกมือเบรกห้ามรถ เขาเปิดประตูเข้าร้านกาแฟแบบชิลล์ๆ ซึ่งผมก็พยายามเลียนแบบเขาทุกกระเบียดนิ้ว

“มัทฉะลาเต้ครับ” พี่ทัชสั่ง ขณะที่ผมเอาแต่สอดส่ายสายตาเข้าไปในร้าน “อีกแก้วเอาเป็นโกโก้เย็นครับ”

“ไม่เอาๆ เอาอเมริกาโน่ร้อน”

“แน่ใจ?”

“วิถีฮิปสเตอร์ไงพี่ รักสุขภาพ กาแฟเพียวๆ ไม่ต้องใส่นมอะไรเลย...ผมเลี้ยงเอง”

พี่ทัชหันมามองหน้า

“ทำไมอะ ก็คนมีตังค์อะ เนี่ยอีกหน่อยผมก็รวยละ เดี๋ยวคนในสมาคมก็เปย์รัวๆ แน่นอน”

พี่ทัชส่ายหน้า แต่ไม่ทักท้วงอะไรขณะผมควักเงินจ่าย

เห็นเป้าหมายแล้ว นั่งคุยกันหนุงหนิงอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน ซึ่งค่อนข้างลับตาคนจนน่าจะเรียกว่ามุมซ่อนชู้ก็ไม่ผิด พี่ทัชเดินนำผมไปโซนนั้น แต่นั่งถัดมาสี่โต๊ะ ผมเลือกนั่งฝั่งที่สามารถจับตาดูเป้าหมายได้ ส่วนพี่ทัชนั่งหันหลังให้พวกเขา

ระยะนี้ พอได้ยินเสียงพูดคุย แต่จับใจความไม่ได้

ผมควักมือถือขึ้นมาทันทีที่นั่งลง

“อย่า” พี่ทัชพูด

“ผมแค่จะเล่นมือถือ เนี่ยแชตเด้งมาเยอะแยะ” ผมพูดเพื่อให้เนียนขึ้น แต่ความจริงคือไม่ได้เข้าหน้าแชตเลย เปิดกล้องหลังสิครับรออะไร จับโทรศัพท์ตั้งขึ้นแบบเนียนๆ ค่อยๆ เอียงหามุมให้เป้าหมายกับชู้อยู่ในเฟรม “พี่เอาหนังสือกลอนมาปะ”

“ทำไม”

“อยากอ่าน” ผมบอก ก่อนจะลดเสียงลงเป็นเกือบกระซิบ “จะได้ดูเนียนๆ ไง ชิลล์ๆ อะ”

“อยากเนียนใช่มั้ย มีวิธีที่ง่ายกว่านั้น”

“ยังไงๆ”

“เก็บมือถือ เลิกเขย่าขา แล้วก็เลิกพูดกระซิบ”

นี่ไม่ใช่ร้านกาแฟประเภทที่ลูกค้าต้องยืนรอรับเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์ แต่จะมีพนักงานนำมาเสิร์ฟให้ถึงที่ ซึ่งน้องพนักงานผู้หญิงหน้ามนๆ ท่าทางลนๆ ก็นำเครื่องดื่มเราเข้ามาเสิร์ฟในจังหวะนี้พอดี

ที่น้องพนักงานดูตื่นๆ ก็คงเพราะรัศมีของพี่ทัชนี่แหละ

และท่าทางตื่นๆ นี่ก็เรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้โคตรดี รวมถึงเป้าหมายของภารกิจนี้ด้วย พี่ดนัย ใฝ่จิตดีชะเง้อมองมาทางเรา เล่นเอาผมถึงกับนั่งตัวตรงและรีบหันหน้าไปทางอื่น พอมั่นใจว่าเขาเลิกสนใจแล้ว ค่อยนั่งงอตัว หดคอลง คว้าทิชชู่ที่มาพร้อมกาแฟมาซับเหงื่อที่หน้าผากเร็วๆ

“ตรงนี้ด้วย” พี่ทัชพูด

“อะไร…”

เขาเคาะแก้มตัวเองเบาๆ

สีหน้าแบบนี้

แววตาแบบนี้

เข้าใจว่าที่เขาเคาะนิ้วกับแก้มคือบอกใบ้ให้ผมเช็ดเหงื่อตรงนี้ด้วย แต่ทำไมต้องขำมุมปากแบบนั้น งั้นเช็ดแม่งทั้งหน้าเลยละกัน เช็ดจนทิชชู่ม้วนเป็นก้อนเลย

“หมดยัง”

“อือ”

“รู้ปะ สายตาพี่เมื่อกี้อะ…”

“อะไร”

“เหมือนพี่กำลังมองหมาแมวอะ”

“...”

“คือไม่ใช่แบบไม่ดีนะ แบบมองยิ้มๆ เหมือนเอ็นดูหมาแมวอะ ทำไม หน้าผมเหมือนผงฟอกรึไง”

พี่ทัชนิ่งไปนิดนึง “แย่กว่าผงฟอก”

ผมเกือบจะหลุดประเด็นต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว แต่ท่าทางระริกระรี้คิกคักของเป้าหมายช่วยเตือนสติผมซะก่อน ผมเลยวางมาดฮิปสเตอร์ นั่งไขว่ห้าง ยกกาแฟขึ้นจิบ

“ถุ้ย! กินกันเข้าไปได้ไงวะ”

“มึงยังไม่ได้เติมน้ำตาล”

“อ้อ” ผมฉีกซองน้ำตาลใส่รัวๆ ประมาณสี่ห้าซองได้ ใช้ช้อนคนแรงๆ แล้วยกชิมอีกที “ก็ไม่อร่อยอยู่ดีอะ”

“มึงเคยสั่งอันนี้ให้กูเพราะชื่อมันเพราะดีจำได้มั้ย ถ้าไม่อร่อยก็ไปสั่งใหม่ดิ” พี่ทัชพูด ก่อนจะดูดชาเขียวสบายๆ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายๆ ว่ากำลังดื่มด่ำกับรสชาติ

จำได้ดิวะ ก็เลยลองสั่งมากินเองนี่ไง แต่ความร้ายของเขาคือเอาคำพูดผมมาย้อนศรประชดผมคืนนี่แหละ เอาจริงๆ พี่ทัชก็แอบมีความกวนตีนเหมือนกันนะเนี่ย

แต่ปล่อยไปก่อน

อย่าหลุดประเด็น

ผมหยิบมือถือตั้งขึ้นกับโต๊ะและกดเปิดกล้องแอบถ่ายรูปอีกครั้ง “เอาไงต่ออะพี่ สองคนนั้นกินใกล้เสร็จแล้วนะ” ที่ผมพูดแบบนี้เพราะเห็นว่าเค้กที่อยู่ตรงหน้าผู้หญิงเหลืออีกนิดเดียว ส่วนกาแฟของผู้ชายก็เหมือนจะเย็นชืดแล้ว

พี่ทัชเริ่มแกะพลาสเตอร์ออกจากนิ้วช้าๆ

ทีละนิ้ว…

“ผมบอกแล้ว ว่าให้ใช้ถุงมือ...ผมช่วยแกะมั้ย”

“ไม่เป็นไร”

“พี่เร็วดิ”

“ไม่เห็นต้องรีบ”

“เออน่า เร็วๆ”

พี่ทัชแกะพลาสเตอร์ออกทุกนิ้ว ตามด้วยควักทิชชู่เปียกออกมาเช็ดมือ เหมือนจะไม่มีอะไรมาเร่งเร้าให้เขาทำอะไรเร็วขึ้นได้ ต่อให้ร้านนี้ไฟไหม้ก็ตาม

แต่ในที่สุดเขาก็เช็ดมือเสร็จจนได้ แต่ยังจะสละเวลากวาดเศษพลาสเตอร์ใส่กระเป๋าอีกนะ

“ให้พนักงานทิ้งให้ได้” ผมบอก

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเอาไปทิ้งข้างนอกเอง”

“คนดี” ผมเบ้ปาก “ลุยยังอะ นี่ถอดหัวใจแช่ไว้ในช่องฟรีซเหรอ ใจเย็นโคตร”

พี่ทัชไม่พูดอะไร เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะเหมือนคิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นเวลาอื่นนิ้วเรียวยาวที่เคาะเป็นจังหวะเบาๆ นี่อาจจะดึงดูดสายตาผมจนถึงขั้นสะกดให้เคลิ้มได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

“พี่ ลุยยังๆ ล็อกตัวเลยมั้ย...พี่ เขาจะลุกแล้ว”

“กลับกันดีกว่า”

“ฮะ?”

พี่ทัชลุกขึ้นและหมุนตัวเดินออกไป ผมรีบลุกพรวดตาม แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่เป้าหมายลุกขึ้นจากโต๊ะพอดี

“พี่ดนัย” จู่ๆ พี่ทัชก็โพล่งขึ้น ผมหยุดตามไม่ทันเลยหัวทิ่มไปชนกับแผ่นหลังของเขา “ใช่พี่ดนัยรึเปล่าครับ”

เป้าหมายของเรากับชู้ของเขาหันมามองด้วยสีหน้างงๆ

ผมก็งงด้วย

เดี๋ยวๆ นี่เริ่มปฏิบัติการแล้วเหรอ แผนคืออะไรวะ

ผมลนลานยกมือถือขึ้นมากดบันทึกวีดีโอ ทำเป็นขยับนิ้วพิมพ์เหมือนกับแชตเล่นชิลล์ๆ แต่เหงื่อแม่งเริ่มซึมๆ ละ โคตรตื่นเต้น

“พี่ดนัยจริงๆ ด้วย” พี่ทัชก้าวเข้าไปหยุดยืนห่างจากเป้าหมายแค่ช่วงแขนเดียว “ไม่นึกว่าจะเจอพี่แถวนี้”

“ใคร…” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉีกยิ้มให้เบาๆ

“ผมณวัฒน์ไงพี่ จำไม่ได้เหรอ”

“ณวัฒน์ไหน”

จะว่าไป คงไม่มีใครยกมือถือขึ้นมาแชตสูงขนาดนี้ ผมเลยลดมือถือลง แอบเอียงกล้องเสยขึ้นกะๆ เอาว่าคลิปวีดีโอที่ได้คงจะจับภาพใบหน้าของชายชั่วหญิงชู้เอาไว้ได้ ถึงยังไงการถือโทรศัพท์ท่านี้ก็ไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี หัวใจผมเต้นโครมคราม ตับไตไส้ม้ามเหมือนจะเต้นไปด้วย งั้นเนียนๆ ร่วมวงไปด้วยเลยดีกว่า

“เฮ้ย! พี่ดนัยจริงๆ ด้วย”

“เฮ้ย! นี่พวกน้องสองคน…” เจ้าตัวสีหน้าตื่นเต้น ชี้นิ้วใส่เราสองคนสลับไปมา “เป็นใครวะเนี่ย” น้ำเสียงเขาดูขำๆ

“น้องที่เคยฝึกงานที่บริษัทเก่าพี่ไงครับ” พี่ทัชว่าต่อ

“อ้อ…” คราวนี้นายดนัยอะไรนี่เหมือนจะหน้าเสียนิดๆ ละ “พอจำได้ละๆ”   

แหลว่ะ

โคตรปลาไหล ลักษณะนี้คือดูออกเลยว่าทำเป็นจำได้เพราะกลัวเสียฟอร์ม

“ณวัฒน์ใช่มั้ย แล้วนี่ก็…ใครน้า ชื่อติดอยู่ที่ปาก”

“ผม เอ่อ...พุดตะพัดไงพี่ เป็นน้องที่ฝึกงานพร้อมกับพี่ณวัฒน์อะ บ้านก็อยู่ใกล้ๆ กันกับพี่ดนัยไง แต่พี่อาจจะจำผมไม่ได้เพราะตอนนี้ผมหน้าตาดีขึ้นกว่าตอนนั้นเยอะ แล้ว...แล้วนี่พ่อพี่เลิกกินเหล้าแทนน้ำยังอะ ตับแข็งยัง” ปากมันไหลไปเอง ตอนนี้หยุดไม่ได้แล้ว

คราวนี้พี่ดนัยขมวดคิ้วจริงจัง “เดี๋ยวนะ พ่อพี่กินเหล้าแทนน้ำเลยเหรอ”

“ก็ใช่ไง แล้วพอเมาๆ ก็ชอบมาฉี่ใส่ประตูบ้านผม บางวันก็คุ้ยขยะกินด้วย”

“มีคุ้ยขยะกินด้วย”

“โอ๊ย ประจำอะ”

“พี่ว่าไม่ใช่แล้วว่ะ พวกน้องจำคนผิด…”

“ไม่ผิดหรอกครับ” พี่ทัชขัดกลางประโยค “ว่าแต่พี่ไปทำไรมา ดูดีขึ้นจนแทบจำไม่ได้เลย...เฮ้ย พี่ นาฬิกาสวยอะ ขอดูได้มั้ยครับ โทษนะ…”

หมับ

เอาแล้วๆๆๆ

พี่ทัชจับข้อมืออีกฝ่ายยกขึ้นนิดๆ ทำทีเหมือนจะขอดูนาฬิกา แน่นอนว่าปลายนิ้วสัมผัสเป้าหมายเรียบร้อย ผมงี้ถึงกับขนลุกหวิวๆ อย่างกับถูกจับซะเอง

“สวยอะพี่ ซื้อมาเท่าไหร่เหรอครับ” พี่ทัชถาม

“มะ...ไม่ได้ซื้อ ยืมเพื่อนมา” ตอนนี้เหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดูจากการที่ปากคอสั่นนิดๆ

มาขนาดนี้แล้ว ยกมือถือขึ้นถ่ายอย่างเปิดเผยเลยละกัน

“แล้วนี่พี่มากับใครเหรอครับ” พี่ทัชถามต่อ เจ้าตัวมีอาการฮึดฮัดเล็กน้อยเหมือนจะพยายามสะบัดมือออก แต่ก็ดูสับสนและอ่อนแรง ผมสังเกตเห็นพี่ทัชรวบมือแน่นเข้ากว่าเดิม นาฬิกาบนข้อมือไม่เกี่ยวข้องอะไรแล้วตอนนี้

“มากับ…”

“เพื่อนร่วมงานเหรอครับ”

“ใช่”

“แค่เพื่อนร่วมงานเหรอ” ผมโพล่งถาม “เป็นไรกันอีกมั้ยอะ”

“เป็น...มะ...เมีย”

“เมียพี่ชื่อรวงข้าวไม่ใช่เหรอ” ผมจี้เข้าไปอีก

“ใช่”

“ถ้างั้นนี่ใครอะ”

“เมียน้อย…” พี่ดนัยปากสั่น คิ้วขมวด เหงื่อเริ่มไหลหยดจากไรผม “ก็ชู้นั่นแหละ กิ๊กกันได้สี่ห้าเดือน”

“จริงดิ พี่เล่นชู้เหรอ”

“จริง”

ผู้หญิงที่เงียบอยู่นานถึงกับผงะเหมือนถูกต่อย ปากสีแดงสดเม้มแน่น ขมวดคิ้วจนหน้าย่น ถ้าเป็นละครคงต้องมีตบสักฉาดหรือไม่ก็หยิบแก้วน้ำสาดหน้า แต่เจ๊คนนี้แค่ทำตาขวางๆ อยู่อึดใจนึง แล้วพอได้สติก็หมุนตัวจ้ำอ้าวออกจากร้านไป ฝ่ายชายทำท่าจะถลาตาม แต่มือพี่ทัชยังจับแขนเป้าหมายอยู่

ผมฉวยโอกาสนั้นยกกล้องจ่อหน้าเขาใกล้ๆ “พี่ๆ แล้วพี่รวงข้าวรู้มั้ยว่าพี่เลวแบบนี้”

“ไม่รู้ จะรู้ได้ไง โง่จะตาย...นะ...นี่ พวกมึงทำไรกู...ปล่อยนะเว้ย”

พี่ทัชปล่อยมือ

ดนัย ใฝ่จิตดีหายใจเฮือกๆ เหมือนเพิ่งวิ่งร้อยเมตรมา “พวกมึง...พวกมึงเป็นใคร”

“ขอโทษครับ ทักคนผิด” พี่ทัชพูด รู้สึกว่าจะมีความเย็นชาเจือในน้ำเสียงนิดๆ ด้วย

“อะไรของมึงวะ!”

พี่ทัชไม่ต่อปากต่อคำอีก เขาหันหลังเดินออกไปแล้ว

ผมกดปิดกล้องมือถือ เอียงหน้าไปพูดกับพี่ดนัยจิตปลาไหลเบาๆ “คนชั่ว” พูดจบก็รีบสับขาตามพี่ทัชออกไป

ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเดินไปทางไหน แต่ก็ไม่สำคัญหรอก

ถือว่าภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว

ผมกับพี่ทัชเดินข้ามถนนเร็วๆ ไปหยุดยืนกันอยู่ข้างรถมินิคูเปอร์ของเขา ตอนนี้เวลาเย็นใกล้ค่ำแล้ว รถติดหนาแน่นขึ้น และอีกไม่นานแสงไฟฟ้าก็จะรับช่วงต่อจากดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลับไป

“ถ่ายได้หมดมั้ย” พี่ทัชถาม

“ได้ดิ จ่อหน้าเต็มๆ เลย”

“อย่าส่งคลิปยาวไป ตัดตรงที่เขาบอกว่าพี่รวงข้าวโง่ออกก่อน”

“...” ผมอึ้งไปนิด ก่อนจะถามโง่ๆ ออกไป “ทำไมอะ”

พี่ทัชมองหน้าผมเหมือนกับจะถามว่า นี่โง่จริงหรือแกล้งกวนตีนกันแน่ “พี่เขาไม่จำเป็นต้องได้ยินคำนี้”

“รู้น่า เป็นห่วงสุขภาพจิตเจ๊รวงข้าวใช่มะ เดี๋ยวตัดออกให้ครับโผม”

“ถ้าถ่ายติดหน้ากู ก็เบลอหน้ากูด้วย”

“ทำไมอะ หน้าตาดีๆ ไม่ชอบเหรอ ชอบให้หน้าเป็นสี่เหลี่ยมๆ เบลอๆ ไรงี้?”

“ไม่ชอบอยู่ในคลิป”

“แต่…”

“ตามนั้น”

“โอเคๆ เดี๋ยวผมเบลอให้” แล้วผมก็ถามต่อ “แล้วเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไรอะ” เพราะนึกสงสัยขึ้นมาว่าเขาจะมีปรัชญาสอนใจอะไรมั้ยเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าอยากให้คนรู้ความจริง ก็โกหกเข้าไว้”

“ยังไง...อ้อ รู้ละ หมายถึงยิ่งโกหกมากก็ยิ่งมีพิรุธมากไรงี้ ถึงคราวเคราะห์กรรมของพี่ดนัยแกแล้วที่มาเจอเราสองคน”

“หมายถึงมึงนี่แหละ คนปกติที่ไหนจะชื่อพุดตะพัด”

ผมเงยหน้าจากคลิปในมือถือ “อ่าว นี่หลอกด่าผมเหรอ หาว่าผมโม้มากจนมีพิรุธไรงี้...”

“ตามนั้น” พี่ทัชตัดบท “ทีนี้ก็ไปสถานีตำรวจกัน”

“ฮะ? ไปทำไมอะ นี่เรื่องต้องถึงตำรวจเลยเหรอ”

“ไม่งั้นจะกลับบ้านยังไง”

พี่ทัชหลุบสายตาต่ำลง

ผมก้มลงมองตาม เลยเข้าใจว่าเวรกรรมก็เล่นงานเราเหมือนกัน

“ชิบหาย ตำรวจมาล็อกล้อตั้งแต่ตอนไหนวะ”








_____________________


คิดถึงค่า :D
ขอบคุณนะคะที่อยู่กันตรงนี้ จะพยายามไปเรื่อยๆ เลยค่ะ
ฝากรักพี่ทัชกับเด็กแสบเยอะๆ เลยน้าา


นางร้าย
7.ตุลา.2019

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด