●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8  (อ่าน 30245 ครั้ง)

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ขำทั้งคุณน้าทั้งคุณหลานเข้ากันได้ดีจริงๆ
อ่านแล้วอารมณ์ดีแต่เช้า ไม่รู้หามุกมาจากไหน อ่านแล้วยิ้มได้ ฮาตลอดเลยค่ะ

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 7

จับบบ...หลวงพ่อแดงแซงทางโค้งโล่งหนึ่งนิ้ว
มีหวิวเล็กน้อยนั่งฝอยคอยราดหน้า



สวัสดีวันจันทร์ ยามเช้าที่แสนจะสดชื่นแจ่มใส...ตรงไหน ถุ้ย!

หย่อมความกดอากาศสูงจากจีนเล่นกูแล้ว เพราะอุณหภูมิที่ลดลง 2 - 4 องศานี่แ หละ เลยนอนแหกแข้งแหกขาหลับสนิทตลอดคืน มาแหกขี้ตาตื่นได้ก็สายเกินไป

งานนี้คงต้องวินมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ซอยบ้านผมกว้างและลึกเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นถนนเส้นหนึ่ง ท้ายซอยเป็นที่ตั้งของตลาดสดขนาดใหญ่ ชื่อตลาดสดเจ๊เนียม และตรงสี่แยกหน้าตลาดก็เป็นต้นทางของวินที่ผูกขาดการให้บริการรับส่งคนทั้งซอย ป้องมือมองจากตรงนี้ยังเห็นอยู่ลิบๆ ปกติผมจะใช้บริการแค่เรียกให้ไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าหน้าปากซอย แต่วันนี้ยิงยาวถึงมหา’ลัยเลยละกัน

และนั่น พี่อี๊ดหัวหน้าวินมารับเองเลย ผมพอรู้จักมักคุ้นกับพี่แกอยู่บ้าง คนแถวนี้ชอบเรียกแกว่า พี่อี๊ด คาราบาน เพราะการแต่งเนื้อแต่งตัวของแกมาสายเพื่อชีวิตเต็มๆ ก็อปปี้แอ๊ด คาราบาวสมัยหนุ่มๆ มาจนเกือบเป๊ะ ทั้งหนวดทั้งรอยสัก บางวันมีผ้าโพกหัวด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนมีอยู่สองอย่างคือ โครงหน้าบานๆ กับพุงที่ยื่นมากไปหน่อย

“ร้อยห้าสิบ” พี่แกพูดเนือยๆ หลังจากผมบอกจุดหมายปลายทาง

“ร้อยเดียวละกันพี่”

“ชิบหาย ไกลนะเฮ้ย ถ้ามึงจะขูดเลือดขูดเนื้อกูขนาดนี้ ไปขูดหาหวยตามต้นไม้ดีกว่ามั้ย”

“ราคานักศึกษาน่าพี่ นี่ผมก็ขูดกระดูกให้พี่เลยนะ คนรุ่นผมนี่แหละที่จะเป็นกำลังของชาติต่อไป ช่วยผมวันนี้พี่ก็ได้บุญ แล้วถ้าผมได้ทำงานในรัฐบาลนะ...”

“พอๆ ขี้หูกูเต้นไปหมดแล้ว เอ้า ไป”

“โอเค ด่วนๆ เลยนะ”

บอกว่าด่วน แต่ไม่คิดว่าพี่แกจะด่วนนรกขนาดนี้ เกือบจะพาผมแหกกลางสี่แยก ทางโค้งทางแคบอะไรไม่ต้องห่วง พี่แกแซงไม่ยั้ง ลมงี้ตีปากผับๆ จนต้องเตือนตัวเองว่าถ้ามีชีวิตรอดไปได้อย่าลืมซื้อลิปมัน กลัวตายก็เกร็งพออยู่แล้ว อากาศหนาวที่พัดซอกซอนเข้าไปถึงซอกตูดยิ่งทำให้เกร็งเข้าไปใหญ่ ลอดท้องรถเมล์ไปเลยก็ได้นะพี่อี๊ด ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

แต่สุดท้ายพี่แกก็พาผมมาถึงจุดหมายจนได้

“พี่มีพระดีใช่ปะ” ผมชวนคุยระหว่างล้วงกระเป๋าตังค์

“ต้องมีดิเฮ้ย กูนี่เยอะสุดในวินแล้ว” พี่แกว่าพลางตบหน้าอกเสื้อ ทำให้เสียงกรอบพระเครื่องประมาณสองแสนองค์กระทบกันดังกราว

“ว่าละ พี่ต้องมีของดีแน่ ซิ่งซะไม่คิดถึงหน้าลูกเมียเลย”

“กลัวเหรอ วันหลังนั่งกับกูไม่ต้องกลัว ลอดท้องสิบล้อก็เคยมาแล้ว”

“จริงดิ องค์ไหนขลังอะ ขอเช่าต่อได้ปะ”

“พูดจริงพูดเล่น เล่นสายไหนล่ะ” พี่อี๊ดตวัดกระจกหน้าหมวกกันน็อกขึ้น “หน้ากวนตีนงี้เน้นสายเมตตาเลยมึง แต่กูว่า เอาแคล้วคลาดด้วยก็ดี เผื่อเมตตาเอาไม่อยู่ สนใจหลวงพ่อแดงมั้ยล่ะ องค์นี้พลังแรงครบทุกด้าน”

“อ่า…” พี่แกพูดจริงจังซะกูไปไม่เป็นเลย

“รู้จักช่างตั้มปะ ช่างที่เปิดร้านซ่อมมอไซค์อยู่ตรงตลาดเจ๊เนียมอะ”

“คุ้นๆ” ใครวะ ไม่รู้จัก

“มันสนใจหลวงพ่อแดงอยู่ ตื๊อกูมาเป็นเดือนละ เดี๋ยวกูให้ประมูลแข่งกัน ใครให้เยอะสุดกูปล่อย”

“แล้วตอนนี้ช่างตั้มให้เท่าไหร่”

“สองร้อย”

“โห ช่างตั้มใจปั้มว่ะ”

“ใจปั้มห่าไร ตอนแรกมันขอเช่ายี่สิบบาทด้วยซ้ำ ในตลาดพระ หลวงพ่อแดงนี่ราคาห้าหลักขึ้นนะเฮ้ย”

“ลองของให้ดูตอนนี้เลยได้มั้ย ถอดหมวกแล้วบวกสายแปดดิ๊ ถ้าพี่ไม่เป็นไรผมจ่ายสดๆ เลยสองร้อยห้าสิบ”

“นี่ไง กวนตีนแบบนี้ถึงต้องมีของดีติดตัว วันหลังไปคุยที่วินละกัน...แล้วจะจ่ายมั้ยค่าโดยสาร อย่าบอกว่าขอแปะไว้ก่อน”

“แปดสิบได้ปะ มีแบงก์ยี่สิบสี่ใบพอดี ลดๆ หน่อยพี่ คอพระเหมือนกันนะเนี่ย”

“ห่า ลดแล้วยังจะต่ออีก เดือนนี้ต้องกินดินละมั้งกู...นั่น แบงก์ร้อยก็มี จ่ายมา แล้วตอนเช่าพระเดี๋ยวลดให้”

“ไม่ลดแน่เหรอ” ผมหยิบแบงก์ร้อยส่งให้ด้วยมือสั่นๆ

“เร็วๆ จะรีบไปทำมาหากิน” พี่อี๊ดฉกแบงก์ไปตบๆ หน้ารถเอาฤกษ์เอาชัยเหมือนที่แม่ค้าในตลาดชอบทำกัน “ถ้าจะเอาหลวงพ่อแดงก็รีบหน่อยละกัน ไอ้ตั้มแม่งตื๊อ ไปละ” ว่าแล้วแกก็ซิ่งออกไปเหมือนอยากจะโชว์ว่ามีของดีคุ้มกะลาหัวจริงๆ

เสียเวลาชิบ ใครลือกันวะว่าพี่อี๊ดแกใจป๋า ถ้าคุยถูกคอ เผลอๆ ได้นั่งรถฟรีก็ยังมี

“บายพี่” ผมพูดตามหลัง แล้วร้องเพลงบอกลาอยู่ในใจ

กำมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูนิ้วกลางโบกไปมา~ กำมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูนิ้วกลางโบกไปมา~

พอแกเลี้ยวพ้นหัวมุม ผมก็รีบเก็บนิ้วกลางและจ้ำอ้าวไปที่คณะ เผื่อพี่แกสังเกตเห็นจากกระจกมองข้างแล้วเลี้ยวกลับมาลองของจะยุ่งเอา

ทางไปคณะผ่านหอสมุดกับซุ้มแซนด์วิชแห่งความทรงจำพอดี ว่าจะไม่กินอาหารแดกด่วนพวกนี้แล้วนะ แต่เอาซะหน่อยก็ดี เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไป

“ราดหน้าหมูเส้นใหญ่ครับ”

“ไปเล่นตรงนั้นมั้ยคะ” พนักงานสาวยิ้มเหมือนอยากจะเอาน้ำร้อนสาดหน้าผม

ผมมองตามมือเธอ “ตรงไหน”

“ข้างๆ ถังขยะตรงนั้นอะค่ะ”

“เฉียบ” ผมหันมายิ้มให้เธอ “มีอะไรอร่อยกว่าแซนด์วิชมั้ย”

“...” รอยยิ้มหายไปแล้ว แถมยังถอนหายใจด้วย

“งั้นเอาแซนด์วิชอะไรก็ได้ ด่วนๆ เลย” พอเธอสุ่มหยิบแซนด์วิชมาวางผมก็แกะห่อยัดใส่ปากเคี้ยวทันที “อ๋ออ๊ำอ่าวอ้วย”

“ฮะ?”

“เขาบอกว่าขอน้ำเปล่าด้วยน่ะ”

อ้าว คุณชายพลาสเตอร์ โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเล่นเอาแทบสำลัก

“นี่ค่ะ น้ำเปล่า เย็นๆ เลย” น้อง คนสั่งอยู่ทางนี้ แล้วก็เก็บอาการหน่อยมั้ย ตางี้เยิ้มเป็นน้ำเชื่อมแล้ว

“เขาสั่งครับ” ต้องให้พี่ทัชชี้ น้องถึงยอมเลื่อนขวดน้ำมาให้ผม “ส่วนของผมขอน้ำเบอร์รี่มิกซ์นะ แล้วก็พลาสเตอร์ยากล่องนึง”

“พลาสเตอร์หมดอะค่ะ นิ้วพี่เป็นไรเหรอคะ ติดไว้เยอะเลย”

“งั้นไม่เป็นไรครับ แค่น้ำก็พอ”

ผมรีบกลืนแซนด์วิชที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียด หยิบขวดน้ำมาเปิดกระดกตาม “แค่กๆ” รีบกินน้ำเกินไปเลยสำลัก พอเงยหน้าอีกทีพี่ทัชก็เดินออกไปแล้ว

ผมควักเงินจ่าย “ทอนด้วย เร็วๆ เลยน้อง”

“พี่คนนั้นเขาจ่ายหมดแล้วค่ะ”

“จริงดิ”

“หนูไม่ใช่เพื่อนเล่นพี่นะคะถึงจะได้ล้อเล่น”

“แรง ฝากไว้ก่อน วันหลังเดี๋ยวมาเอาคืน”

“ถ้าจะฝากอะไร ใส่ถังขยะตรงนั้นไว้ได้เลยนะคะ”

ผมเก็บเงินและรีบจ้ำตามจนไปอยู่ข้างๆ เขา “เลี้ยงเหรอครับป๋า”

“เปล่า เขาทอนมาให้เท่านี้”

“เอ้า ถ้าไม่บอกน้องจะคิดตังค์ส่วนของผมทำไม พี่ได้ทำนิ้ววนๆ งี้มั้ยล่ะ แปลว่ารวมทั้งหมด”

“ไหนบอกเบื่อแซนด์วิช”

“โคตรเบื่อ แต่จะเข้าเรียนแล้วไง เที่ยงนี้จะกินให้น้ำลายฟูมปากเลย” ว่าแล้วก็กัดอีกคำเคี้ยวเร็วๆ

“อยากกินยาเบื่อ?”

“มันเป็นสำนวนมั้ยเพ่ ใครจะกินยาเบื่อวะ รู้ละ กินราดหน้าดีกว่า แล้วพี่ก็ต้องเลี้ยงนะ จะมาตีเนียนเลี้ยงแซนด์วิชแค่นี้ไม่ได้ โตๆ กันแล้วพูดคำไหนต้องคำนั้น”

“มีเรียนแล้วมึงมาทางนี้ทำไม คณะบริหารอยู่โน่น”

“หรือว่าจะโดดดี”

“ไปเรียนซะ”

ผมส่งแซนด์วิชคำสุดท้ายเข้าปาก แล้วดื่มน้ำตาม

“นิ้วเป็นไร” ที่ถามเพราะเห็นนิ้วชี้ข้างขวาเปลือยอยู่ “นิ้วชี้อะ เข้าห้องน้ำแล้วพลาสเตอร์เปียกฉี่ใช่ปะ นี่ผมมี” ผมหยิบพลาสเตอร์ลายการ์ตูนมินเนี่ยนออกมาจากกระเป๋า เดือนก่อนผมเผลอทำมีดสอยมือตัวเองเลยซื้อมาใช้ จำได้ว่ามีเหลือติดกระเป๋าอยู่อันนึง “เอาไปดิ”

พี่ทัชเหลือบมองด้วยหางตา “กูไม่ชอบแบบนี้”

“ไอ้ที่ใช้อยู่มันดีตรงไหน สีเนื้อล้วน หยาบก็หยาบ คิดนอกกรอบบ้างดิ อันนี้กันน้ำได้ด้วยนะ มา ผมติดให้”

“อย่ายุ่งกับมือกู”

“ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว ไม่ได้อยากจับเท่าไหร่หรอก โด่…เอาไปๆ” ผมหย่อนพลาสเตอร์ใส่กระเป๋าเสื้อให้เขาและตบเบาๆ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก แต่ถือว่าพี่เป็นหนี้ผมครั้งนึงละกัน”

“จะไปเรียนได้ยัง”

“เลี้ยงข้าวนะ”

“อะไรก็ได้ที่ทำให้มึงเลิกเดินตามกูแบบนี้”

“โอเค เที่ยงนี้เจอกัน ไปละ”

หมับเข้าให้!

จังหวะที่พี่แกเผลอตอนจะเดินไปคนละทางนั่นแหละ ผมรีบใช้ความเร็วระดับปีศาจกำรวบนิ้วชี้เปลือยๆ นั่นไว้ ใครจะไม่อยากจับล่ะ โอกาสมาขนาดนี้แล้ว

“เฮ้ย!”

“ความจริงวันนี้ พี่นี่แม่งโคตรหน้าตา หะ...หะ...หล่อ! โคตรหล่อ โคตรขาว โคตร…”

“ปล่อย”

พี่ทัชสะบัดทีเดียวนิ้วก็หลุดพรืดออกไปง่ายๆ คงเพราะด้วยความตื่นเต้น คราวนี้ผมรู้สึกหวิวชัดเจน หัวใจเต้นโครมครามจนต้องก้มตัวเอาศอกค้ำกับเข่าไว้

“ผม...จะพูดว่าพี่หน้าเหี้ย แต่โกหกไม่ได้ นี่มัน...ไม่ใช่ยาป้ายแน่ๆ”

“ก็บอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับมือกู” ผมก้มหน้าอยู่เลยไม่เห็นสีหน้าเขา แต่ฟังจากเสียงดูเขาโกรธแน่ๆ

“ผม...”

“มึงห้ามทำแบบนี้อีก”

“อ่า...”

“หายใจลึกๆ” น้ำเสียงเขาอ่อนลง “แล้วก็ไปเรียนซะ”

ผมหายใจเข้าสองสามเฮือกแล้วยืดตัวขึ้น พี่ทัชเดินก้าวยาวๆ ออกไปไกลแล้ว หัวใจผมยังเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น อาการหวิวๆ ยังไหวยิบๆ อยู่ที่ปลายนิ้ว ความคิดยังกระโดดไปกระโดดมาเหมือนฝูงลูกกบ

ผมหมุนตัวเดินย้อนกลับทางเดิม ลากขาก้าวสั้นๆ ราวกับซอมบี้ติดเชื้อระยะแรก เดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงตัวเองพูดออกมา

“พี่แม่งมีพลังเอ็กซ์เมนจริงๆ ด้วย”




________________________________
แตะต้องครั้งที่ 7 Part 2
ต่อกระทู้ด้านล่าง
v
v
v


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2019 02:19:54 โดย นางร้าย »

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2



ใช้เวลาพักใหญ่ สุดท้ายผมก็เข้าห้องเรียนสายจนได้ ไม่ใช่เพราะรถไฟฟ้าเสีย ไม่ใช่เพราะมัวเต้นโบกมือลาพี่วิน ไม่ใช่เพราะแวะซื้อแซนด์วิช แต่เพราะพี่ทัชนี่แหละ ผมเอาแต่คิดฟุ้งซ่านเรื่องเขาจนเดินเลยตึกคณะไปไกล พอย้อนมาขึ้นตึกเรียนได้ก็เหมือนอาจารย์จะสอนไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว

“ไม่สบาย” ผมพูดลอยๆ หลังจากเดินผ่านประตูเข้าไป สีหน้าซีดๆ ของผมทำให้ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งอาจารย์และเพื่อนร่วมคลาสแค่มองมาระหว่างรอให้ผมลากสังขารไปนั่งที่ที่เดอะแก๊งจองไว้ให้ โอเปิ้ลนั่งกลาง เจษฎาขนาบขวา ส่วนผมขนาบซ้าย ถ้าได้เดินหรือนั่งด้วยกันก็มักจะเป็นตำแหน่งนี้เสมอ โอเปิ้ลยืนยันที่จะอยู่ตรงกลางเพื่อใช้ผมกับเจษเป็นไม้กันผู้ชายตาถั่วทั้งหลาย

พวกมึงต้องดูแลกูให้เหมือนไข่ในหิน เปิ้ลว่าอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงคือไข่ขนาบหินซะมากกว่า

“ท้องผูก?” เปิ้ลถามกระซิบหลังจากอาจารย์หันไปบรรยายต่อ

“...”

“ท้องเสีย?” เจษฎายื่นหน้ามาร่วมด้วย

“เปล่าๆ มีเรื่องนิดหน่อย”

“กูว่าละ” เปิ้ลถอนหายใจ แต่น้ำเสียงเหมือนภูมิใจ “แม่งกวนตีนเขาไปทั่ว สักวันมันต้องโดน แล้วกี่คนล่ะ”

“ฮะ?”

“พวกที่มึงมีเรื่องด้วยอะ มีกี่คน”

“ก็...คนเดียว”

“คนเดียว งั้นเราสามคนไปลุยแม่งเลย”

“เปิ้ล ใช้ความรุนแรงไม่ดีนะ” เจษฎาพูดจริงจัง แต่ถูกอีกฝ่ายผลักหัวซะจนขาเก้าอี้ครูดกับพื้นดังครืด

“กลัวไรวะ เกิดเป็นผู้ชายทั้งทีมันต้องมีเรื่องต่อยตีกันบ้าง”

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมดังมาจากอาจารย์ สายตาหลายคู่มองมาเป็นจุดเดียว เราเลยนั่งกันเงียบๆ ตามสไตล์ของตัวเอง เจษฎานั่งตัวตรง แอ๊คติ้งว่ากำลังอ่านหนังสือซะโอเวอร์ โอเปิ้ลนั่งกลอกตามองเพดาน ส่วนผม...เดาว่าตัวเองยังหน้าซีดแบบป่วยๆ อยู่ต่อไป

“ใช่คนที่ชื่อเรนจินั่นรึเปล่า” เปิ้ลหันมากระซิบอีกหลังจากทุกคนหันไปสนใจเรียนต่อได้สักพัก “ที่เรียนจิตวิทยาอะ ใช่มะ”

ขี้เกียจตอบ กูพักสายตาก่อนนะเปิ้ล

พอหลับตาปุ๊บ จิตใจก็ลอยไปที่อื่นปั๊บ เสียงอาจารย์เข้าหูซ้ายผ่านขี้เลื่อยในหัวแล้วทะลุออกหูขวา จากปกติที่ชอบมานั่งโง่ๆ ในห้องเรียนอยู่แล้ววันนี้ยิ่งอาการหนัก แล้วที่รีบนั่งวินมานี่เพื่ออะไร

เพราะพี่ทัชนั่นแหละ ที่ทำให้ผมเรียนไม่รู้เรื่อง…

มันใช่เหรอวะ

ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยวันนี้เขาก็มีส่วนผิด

ว่าแต่นอกจากจะทำให้คนที่ถูกแตะตัวพูดโกหกไม่ได้ แล้วเขายังทำอะไรได้อีกมั้ย อย่างเช่น สะกดจิต อ่านใจ หรืออาจจะถึงขั้นปล่อยพลังสายฟ้าเลยก็ได้ จะว่าไป เอาแค่เรื่องแตะตัวให้คนพูดเฉพาะความจริงเรื่องเดียวผมก็ยังเชื่อไม่ค่อยลงเลย

แต่หลังจากโดนมากับตัวถึงสองครั้ง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละมั้ง

ผมเอาแต่คิดเรื่องนี้จนหมดคาบเรียนภาคเช้า คนอื่นๆ ต่างพากันรีบลุกออกจากห้องเรียน แต่แก๊งไม่ส(า)มประกอบยังนั่งหน้ามึนกันอยู่ และผมมารู้ตัวชัดๆ เอาตอนที่เปิ้ลใช้หลังมือแตะหน้าผากนี่แหละ

“อาการหนัก” เสียงเปิ้ลพูดเรียบๆ “มะเร็งสมองแน่ๆ”

“นายโอเครึเปล่า นะฑี”

“เอ่อ...โอเคๆ เอ้า เลิกเรียนแล้ว จะสิงเก้าอี้กันเหรอ” ผมรวบของใส่กระเป๋าสะพายลุกเดินนำออกไปก่อน ทั้งสองคนรีบเดินตามเข้ามาประจำตำแหน่งไข่ขนาบหิน

“บ่ายนี้ไม่มีเรียนแล้ว ไปปล่อยผีกัน” เปิ้ลพูด “เจษ ห้ามบอกว่าจะไปห้องสมุด”

“เรากำลังจะพูดแบบนั้นเลย”

“บอกว่าห้าม ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเฮ้ย ดูหนังโยนโบลอะไรงี้ นะฑีว่าไง”

“พวกมึงไปกันสองคน วันนี้กูขอผ่าน”

“อ่าว ทำไมวะ”

“กูจะไปแส่หาเรื่องใส่ตัวต่อ ไปละ เจอกันพรุ่งนี้”

พอปลีกตัวจากแก๊งได้ผมก็รีบจ้ำไปที่คณะจิตวิทยาทันที พี่ทัชนั่งอ่านหนังสืออยู่ท่ามกลางป่าดงดิบเหมือนเดิม ศีรษะก้มนิดๆ ท่าทางการจับหนังสือดูทะนุถนอมอย่างกับนักบวชเปิดอ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์

ผมแถเข้าไปนั่ง “มาละ”

เขายกมือขึ้นนิดนึงเป็นเชิงให้หยุดพูด สายตายังตรึงอยู่ที่หน้ากระดาษเหมือนกำลังพยายามซึมซับหรือทำความเข้าใจสิ่งที่อ่าน

“อ่านไรอะ”

“...”

“กลอนเล่มใหม่?” อาจจะเป็นเล่มต่อของรวมไฮกุก็ได้ เพราะไซส์หนังสือพอๆ กัน

“...”

“แล้วไหนบอกไม่ชอบพลาสเตอร์แบบนี้” พลาสเตอร์มินเนี่ยนที่ผมยัดเยียดให้เมื่อเช้าเขาเอามาใช้แล้ว นิ้วชี้ข้างขวาเลยดูแตกต่างจากนิ้วอื่น ทำให้ผมอดที่จะยื่นมือไปแตะไม่ได้ “เห็นมะ บอกแล้วว่าใช้ดี พี่น่าจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ทั้ง…”

เขาไม่ได้กระตุกนิ้วหนีตรงๆ แต่แค่พับปิดหนังสือและเงยหน้าขึ้น เลยกลายเป็นผมซะเองที่ต้องดึงนิ้วกลับ

ยังโกรธอยู่ใช่มะ

“...”

“...”

จะพูดอะไรก็พูดดิวะเพ่ เล่นนั่งมองหน้ากันเงียบๆ งี้มันกดดันนะเฮ้ย

อาจจะสี่หรือห้าวินาทีมั้งที่เขามองหน้าผมอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ในที่สุดจะรวบกองหนังสือข้างตัวและลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป

“ไปไหน”

เขาหันกลับมา สายตาดูอ่อนอกอ่อนใจ “จะกินมั้ยล่ะข้าว”

“เอ้า แล้วก็ไม่บอก” ผมรีบลุกไปเดินข้างๆ เขา “กินไหนอะ”

“...”

“เราจะไปไหน”

“ถึงก็รู้เอง แล้วก็เดินดีๆ อย่าไปทำหน้ากวนใคร”

“รับทราบครับบอส”

ผมพยายามที่จะไม่หันล่อกแล่ก เผื่อสีหน้าที่ตามปกติก็ดูจะอ้อนบาทาอยู่แล้วเผลอไปเตะตาใครเข้า แต่ก็อดมองรอบตัวไม่ได้อยู่ดี แถวนี้คนสปีชีส์เดียวกับเจษฎาเยอะแฮะ ใส่แว่นกันตรึม

ไม่ใช่แค่ผมที่มองพวกเขา สายตาหลายคู่ก็มองมาทางเราด้วยเหมือนกัน เหลือบกันจนตาจะเป็นต้ออยู่แล้ว พี่ทัชนี่แหละคือสาเหตุ ยิ่งออกมาเดินกลางแจ้งแบบนี้เขายิ่งดูสว่างใสเรียกความสนใจประชาชนเข้าไปอีก

“คนมองพี่เต็มเลย” ผมใช้ศอกสะกิดเขา “รู้ตัวปะเนี่ย”

“แล้วไง”

“ฮอตว่ะ”

“แล้วไง”

“พี่นี่ยังไงวะ ไม่ดีเหรอที่ฮอต ทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอะ โดยเฉพาะพลัง…”

“เลี้ยวตรงนี้” เขาพูดขัดพร้อมกับใช้หลังมือกระทบไหล่ผมเบาๆ

อ้อ ตึกคณะวิทยาศาสตร์นี่เอง

พี่ทัชนำผมเข้าไปในโรงอาหารเล็กๆ ที่อยู่ด้านในตัวตึก ร้านอาหารมีไม่กี่ร้าน คนนั่งกินก็มีแค่สองหย่อม เราเลือกนั่งโต๊ะว่างที่อยู่มุมด้านในซึ่งดูห่างไกลความเจริญสุดๆ เรื่องสรรหาสถานที่ลับตาคนนี่พี่แกเก่งจริงๆ ป่าดงดิบหลังตึกงี้ โรงอาหารร้างงี้

“ทำไมดูไม่มีคนเลย”

“เดินไปอีกหน่อยก็ถึงโรงอาหารใหญ่แล้ว คนชอบไปกินที่นั่นมากกว่า”

“นั่นดิ ทำไมเราไม่ไปกินที่นั่นล่ะ ไม่ชอบคนเยอะๆ ว่างั้น”

“ที่นี่ราดหน้าอร่อยสุดแล้ว”

“หืม?”

“ร้านนั้น” เขาใช้นิ้วพลาสเตอร์มินเนี่ยนชี้

“ใครบอกว่าผมอยากกินราดหน้า”

พี่ทัชเงยหน้ามองด้วยแววตาจริงจังขึ้นเล็กน้อย เดาว่าตอนนี้สีหน้าผมคงดูกวนตีนละ

“พี่รู้ได้ไง แบบว่า...มีพลังจิตอ่านใจได้ด้วยเหรอ”

“ก็มึงพูดเมื่อเช้า ว่าจะกินราดหน้า”

“จริงดิ ผมพูดแบบนั้นเหรอ งั้นเปลี่ยนใจละ กินอย่างอื่นดีกว่า”

“ตามใจ กูสั่งละ”

ว่าแล้วเขาก็เดินด้วยมาดคุณชายไปที่ร้านอาหารตามสั่งที่ว่า คนขายเป็นป้าผอมๆ ที่น่าจะเป็นผู้ป่วยร้ายแรงมากกว่าแม่ครัวฝีมือดี

“ราดหน้าหมูเส้นใหญ่ครับป้า”

“เอาด้วย” ผมเข้าไปร่วมวง “แต่ของผมเอาเป็นเส้นหมี่กรอบ”

“ไหนบอกเปลี่ยนใจ”

“ก็เปลี่ยนใจอีกรอบไง”

“แล้วทำไมไม่นั่งเฝ้าของ”

“ไม่หายหรอกน่า ก็แค่หนังสือ นี่ไง หันไปมองได้ตลอดเวลา”

“ไปนั่งรอ เดี๋ยวกูยกไปให้”

“ไม่ อยากดูป้าทำ”

อีกละ สายตาอ่อนอกอ่อนใจ

“งั้นก็ดูไป” พี่ทัชกลับไปนั่งที่ ปล่อยให้ผมยืนเคว้งเผชิญหน้ากับป้าตามลำพัง

ป้าหันไปโซโล่ตั้งแต่เราสั่งเสร็จ ทีแรกดูป้าเนือยๆ เหมือนมีโรคแทรกซ้อนภายใน แต่พอได้จับตะหลิวเท่านั้นกลับดูคล่องแคล่วขึ้นมาทันที เห็นแล้วมีความหวังรำไรว่าราดหน้าจะหน้าตาดูไม่เหมือนอ้วกหมา

ผมดูป้าแค่แป๊บเดียวแล้วหันไปมองพี่ทัช แผ่นหลังของเขาบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง แผ่นหลังกว้างกำลังดี …

จู่ๆ เขาก็หันมา ราวกับสายตาผมไปสะกิดไหล่เขาเข้า

ผมเลยกลับไปนั่งกับเขาด้วย

“ไม่ดูป้าทำล่ะ?”

“เมื่อย เมื่อกี้รู้ได้ไงอะว่าผมมองอยู่”

“ไม่รู้”

“ถามจริงๆ นะ พี่มีพลังอะไรบ้าง นอกจากพลังนิ้วดัชนีอะ”

“ฟังกูนะ” พี่ทัชพูดจริงจัง “ข้อแรกห้ามยุ่งกับมือกู ข้อสองห้ามพูดหรือถามถึงพลังบ้าบออะไรอีก”

“ก็ได้” ผมพูดเสียงเข้มๆ บ้าง “งั้นขอถามส่งท้ายเลย พี่ตอบมาตามจริงแล้วผมจะไม่ถามอีก...พี่ทำได้จริงๆ ใช่ปะ ที่ใช้นิ้วแตะแล้วคนนั้นจะพูดความจริง ไม่ใช่ยาป้ายอะไรใช่มั้ย”

“อือ”

“ทำได้ไง”

“เป็นมาตั้งแต่เกิด”

ไม่คิดว่าเขาจะยอมรับง่ายแบบนี้ ทั้งที่ผมก็มั่นใจอยู่แล้วนะว่าเป็นเรื่องจริง แต่พอได้ฟังจากปากเขาเองใจมันก็เต้นแรงขึ้นมาอีก แฟนตาซีโคตรๆ

“แล้ว...แล้วยังทำอย่างอื่นได้อีกรึเปล่า อย่างสะกดจิตไรงี้”

“ไหนว่าไม่ถาม”

“แค่คำถามต่อเนื่องน่า มันเกี่ยวพันกัน สะกดจิตได้ปะ ตอบๆ”

“ไม่”

“อ่านใจล่ะ”

“ไม่”

“ทำนายอนาคตได้มั้ย”

“ได้แค่อย่างเดียวนั่นแหละ เลิกถามได้แล้ว”

“ชัวร์นะ โกหกผมรึเปล่า” ผมมองประเมินเขา “แกะพลาสเตอร์ออกแล้วแตะตัวเองดิ แล้วตอบคำถาม”

เขามองประเมินผม ก่อนจะแกะพลาสเตอร์ลายมินเนี่ยนออกช้าๆ ใช้นิ้วเปลือยๆ แตะแขนตัวเองและพูดชัดถ้อยชัดคำ “มึงนี่มันสมองปลาทองจริงๆ”

“ฮะ? ไม่ขนาดนั้นมั้ง”

“หน้าตาก็ขี้เหร่”

“อันนี้ไม่ใช่ละ ถึงจะไม่เทียบชั้นศิลปินเกาหลีแต่ก็ฮอตพอตัวนะเฮ้ย”

“แต่ยังดี พูดจาไพเราะ มีสัมมาคารวะ” ประชดอีก

“นะฑีมีคิ้วสามข้าง พูดดิ๊”

“นะฑีมีสองหาง แปดขา สี่ตา…”

“พอ! ชัดละ”

มุมปากกระตุกนิดนึงแต่ผมไม่แน่ใจว่าคือรอยยิ้มรึเปล่า เขาละมือจากแขนตัวเอง แล้วค่อยๆ ใช้พลาสเตอร์พันแปะรอบนิ้วไว้เหมือนเดิม

“ทำไมโกหกได้”

“มันใช้ไม่ได้ผลกับกูไง”

“เอ้าเหรอ อะไรวะ”

“พิษงูอยู่ในปากงู งูเป็นไรมั้ยล่ะ”

“อือหือ เฉียบ แล้ว…”

“ไหนบอกจะเลิกถาม”

“คำถามสุดท้ายๆ แล้วทำไมต้องเอาพลาสเตอร์แปะ”

“พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจหรอก”

“ถ้าไม่แปะจะเจ็บเหรอ”

“...”

“หรือว่าโดนอากาศแล้วเสียวนิ้ว”

“...”

“แบบเป็นจุดอ่อนไหวคล้ายๆ หัวนมไรงี้?”

“...”

“ราดหน้าได้แล้วจ้า”

พี่ทัชชี้นิ้วไปที่ร้านป้า แต่จากการเหยียดแขนจนสุดนี่เหมือนจะบอกว่าให้ผมไปเดินเล่นแถวดาวอังคารมากกว่า ป้านี่ตัวขัดโชคขัดลาภจริงๆ ผมเลยต้องลุกไปยกราดหน้ามาเสิร์ฟ นึกว่าเขาจะนั่งรอเท่ๆ เป็นคุณชายซะอีก ที่ไหนได้ เขาลุกไปซื้อน้ำแฮะ แล้วก็วกกลับมาจ่ายเงินค่าราดหน้าด้วย

“อยากกินโค้ก” ผมบอกหลังจากเขาวางน้ำเปล่าสองขวดลงบนโต๊ะ

“กินนี่แหละ”

“มันไม่ซ่าอะ กินราดหน้านี่ต้องคู่กับน้ำอัดลมไม่รู้เหรอ”

“...”

“นะ ขอกิน”

“น้ำตาลมันเยอะ”

“อยากกิน”

“ไม่มีประโยชน์”

“อยากกินๆๆๆๆ”

“ปวดหัวกับมึงจริงๆ จะกินก็ไปเอาเอง” เขาเลื่อนเงินทอนประมาณสี่ร้อยกว่าบาทที่ได้จากร้านป้ามาทางผม ป๋ามาก นี่พี่แกไม่รู้เหรอวะว่าน้ำอัดลมราคาเท่าไหร่ หรือว่ากำลังทดสอบคุณธรรมเบื้องต้นของผมอยู่ นี่มันช็อตวัดใจชัดๆ

ผมเลื่อนเงินทั้งกองกลับ มองอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนจะสะบัดหน้าหนี “อันนี้ผมจ่ายเอง” แล้วก้าวยาวๆ ไปที่ร้านขายน้ำ

ทำไมหวิวๆ วะ

หวิวทั้งที่นิ้วแห่งความจริงนั่นไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเลย

แค่จะกินโค้กทำไมผมต้องขออนุญาตเขาด้วยวะ เขาก็เหมือนกัน ทำไมต้องห้าม…

ผมกลับมานั่งพร้อมกับโค้กขวดเล็ก เปิดฝาขวดยกกระดกโชว์ “ไม่ได้ซื้อมาเผื่อนะ ก็พี่บอกมันไม่มีประโยชน์...แล้วรอไรล่ะ ทำไมไม่กิน”

เขาไม่พูดอะไร แค่ส่ายหัวนิดๆ ก่อนจะเปิดขวดน้ำดื่มบ้าง พลาสเตอร์ที่พันรอบปลายนิ้วทำให้ผมอดที่จะมองตามมือเขาไม่ได้ นิ้วเรียวยาวเหมือนมือศิลปิน ท่าจับขวดน้ำก็แบบว่า...ใช้นิ้วโป้ง ชี้ และกลาง คีบหลวมๆ บริเวณคอขวด แถมยังยกขึ้นดื่มด้วยองศาที่พอเหมาะพอดี

“พี่เคยเป็นพรีเซนเตอร์น้ำแร่ไรงี้ปะ”

“อะไร”

“ท่ายกขวดน้ำดูดีนะ รุ่งแน่”

“พูดมาก กินไป”

เรากินกันไปเงียบๆ ที่เงียบเพราะผมหยุดเคี้ยวไม่ได้ เพิ่งรู้ตัวว่าหิวแค่ไหน แถมป้าก็มีของจริง ฝีมือใช้ได้เลย แป๊บเดียวผมก็ซัดไปเกือบหมดแล้ว แต่พี่ทัชยังกินไม่ถึงครึ่ง ช่วงท้ายๆ ผมเลยลดเกียร์ขากรรไกรให้ช้าลง

“ไม่อิ่มก็ไปสั่งอีก” พี่ทัชพูดขึ้น

“อิ่มแล้ว แต่กินเป็นเพื่อนพี่ไง ช้าอะ”

“กูกินปกติ มึงมูมมามต่างหาก...แล้วถ้าจะกินขนาดนี้ก็ไปสั่งใหม่ไป”

“อร่อย” ตะแคงถ้วยซดแม่ง เอาให้หมดทุกหยด “พอ ท้องจะแตกละ”

อีกครั้งที่ผมเห็นมุมปากเขากระตุกเบาๆ เหมือนภูมิใจ ผมเลื่อนชามเปล่าไปด้านข้างแล้วกอดอกมองคนตรงหน้า ไม่ได้กดดันนะ แค่ไม่มีอะไรทำ แต่ก็ดูเหมือนเขาจะเพิ่มความเร็วการกินขึ้นอีกนิดนึง ส่วนผมก็นั่งจิบโค้กรอไปพลางๆ

แต่อยู่เฉยนานไม่ได้ มันคันไม้คันมือ

“ดูหน่อยนะ” ผมบอกพร้อมกับเอื้อมไปหยิบหนังสือรวมไฮกุของเขามา พี่ทัชเหลือบมอง แต่ไม่ว่าอะไร เล่มนี้หน้าปกเป็นสีเขียวหม่นๆ บริเวณขอบออกแบบให้ดูเหมือนพื้นสีเขียวนั้นหลุดล่อนตามกาลเวลา ชื่อหนังสือเขียนด้วยฟอนต์ตัวเล็กๆ เรียบๆ ว่า

‘ไฮกุผุพัง’

ผมลองสุ่มเปิดดู



กำแพงเก่าข้างทาง

สีขาวหลุดลอกเหมือนรอยแผล

ลมยังกระโชกแรง




“คือไร” ผมถามหลังจากอ่านบทที่สุ่มเลือกจบ เอียงกลอนบทนั้นให้เขาดู

“อ่านภาษาไทยไม่ออกเหรอ”

“ก็อ่านไปแล้วไง แต่แปลว่าไรล่ะ แบบความหมายจริงๆ อะ”

“ไม่ต้องแปล มึงเข้าใจว่าไงก็คืออย่างนั้น”

“ถ้าไม่เข้าใจล่ะ”

“กูก็ไม่แปลกใจ”

“อะเฮื้อ นี่คือด่าใช่มะ ฝากลูกแมวข้าด้วย”

“ลูกแมว…”

“ไม่เคยดูหนังจีนกำลังภายในเหรอ เวลาเจ็บปวดใกล้ตายก็ต้องร้องงี้ อะเฮื้อออ แล้วก็บอกฝากลูกแมว สรุปคืออ่านๆ ไปไม่ต้องแปลใช่มะ” ผมอ่านทวนบทเดิมอีกที แต่ก็ช่างมันเถอะ ไหนลองบทต่อไปดิ๊



ลมพัดผ่านหลังบ้าน

เอ่ยกระซิบปลอบต้นหญ้าแก่

แล้วพาเกสรไป




“อันนี้เก็ต”

“ว่า?”

“ต้นหญ้าแก่นี่หมายถึงคนแก่ใช่มะ แล้วพาเกสรไปก็คือ...เงินไง แบบว่าคนแก่ที่มีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย แล้วลูกหลานก็มาหลอกเอาเงินไปหมด เจ็บปวดโคตรๆ เลยบทนี้”

อะ ไม่ใช่เหรอ ดูจากการส่ายหน้าของพี่แกแล้วนึกถึงครูสมัยประถมตอนให้ออกไปท่องสูตรคูณหน้าชั้น “เออ ถ้ามึงเข้าใจแบบนั้น” น้ำเสียงงี้คงเกินเยียวยาแล้วใช่มะ “แต่กูขอพูดอีกทีละกัน อย่าแปลให้ซับซ้อนดีกว่า ใช้ความรู้สึกเป็นหลัก รู้สึกยังไงก็คืออันนั้น เหมือนดูภาพวาดนั่นแหละ”

“เก็ตเลย” ผมบอกพร้อมกับดีดนิ้วประกอบ ทั้งที่ยังไม่เข้าใจนั่นแหละ “ในเพื่อนรุ่นเดียวกันนะ ผมนี่เรียนรู้เร็วสุดแล้ว ถ้าแบบนี้อะหมูเลย จะให้แต่งสักบทตอนนี้ก็ยังได้”

“อย่าดีกว่า”

“บทนึงสามบรรทัดใช่มะ”

“...”

“แล้วมีเงื่อนไขไรอีก บอกมาเร็วๆ ผมจะแต่งสดตอนนี้เลย องค์กำลังลงแล้ว”

“บทนึงมี 17 พยางค์ แบ่งเขียนเป็นสามบรรทัดนับพยางค์แบบ 5 - 7 - 5”

“อะแฮ่ม...”

“...” ปากบอกว่าอย่า แต่ทำเป็นตั้งใจฟังนะ



“ลมพัดผ่านไปทางซ้าย

ลมพัดผ่านไปทางขวา

ราดหน้าอร่อยดี”




“...”

“ไงล่ะ อึ้งเลย ถึงแก่นเลยมั้ย”

“หากระดาษจดดิ”

“จะได้รวมเล่มขาย?”

“จดลงไปตัวโตๆ ว่า ‘ต่อไปนี้อย่าเขียนหรือแต่งกลอนอะไรอีก มันเปลืองกระดาษ’”

“เอาคืนไป” ผมพับหนังสือวางกลับลงบนโต๊ะ เขาเหลือบมองตามราวกับกลัวว่ามันจะเจ็บปวดเพราะผมวางแรงเกินไป ราดหน้ายังไม่หมดชาม แต่พี่ทัชเลื่อนไปด้านข้างแล้วยกน้ำดื่มด้วยท่าพรีเซนเตอร์อีก

ผมรอจังหวะจนเขาดื่มเสร็จแล้วค่อยพูด “พี่ ผมมีไอเดีย”

“อะไร”

“ใช้พลังของพี่ปล้นธนาคารกันเถอะ”






____________________________________

ขอบคุณมากเลยที่เข้ามาอ่านนะคะ > <
ส่งฟีดแบ็กได้ตลอดเลยนะคะ ชอบอ่านมากๆๆๆ เลยยยย :D

#ณTouch <<หรือฝากติดแฮชแท็กนี้ในโซเชียลเวลาพูดถึงณทัชก็ได้ค่า
ทุกครั้งที่ได้อ่านชื่นใจและมีพลังมากๆ มากๆ เลยค่ะ T////T

ชอบไม่ชอบยังไง บอกกันได้ตลอดนะคะ ^3^

ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
รักกกกก ก :D


ป.ล. ตอนเขียนบทนี้ชอบมากๆ เลยค่ะ
ชอบเวลาพี่ณทัชอยู่กับนะฑี รักเคมีบ๊องๆ ของสองคนนี้ <3

นางร้าย 5.06.19

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ฮือ มันดีมาก ชอบมุกที่นะฑีสรรหามาแต่ละคำ  อดยิ้มไม่ได้เลยค่ะ :jul3:
ปวดหัวแทนณทัชเลย เจอแบบนี้ ไม่เห็นเค้าว่าจะไปกันได้555555
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ณทัชดูแพ้ทางนะฑีจริงๆ แบบไม่ว่าจะทำเมินทำเฉยกับใครมา แต่พอเจอนะฑีคือสามารถทำให้โต้ตอบได้

จบตอนด้วยความเป็นนะฑีที่มีความคิดเหนือความคาดหมายเสมอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2019 01:13:34 โดย kingkongkaew »

ออฟไลน์ nookki.bhp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สมัครแอคมาให้กลจ.นักเขียนโดยเฉพาะเลยค่าาาา
นิยายของคุณสนุกมาก
น้องนะฑีพูดจาสะกิดบาทาได้ทุกขณะจิตเลย แต่ดูเหมือนพี่ณทัชจะชอบนะ
เอ็นดูเขาแหล่ะ รู้ ดูออก 5555555

ติดตามค่ะ รอดูเจ้านะฑีโดนพี่รวบหัวรวบหางจ้าาาา หยุดแสบได้แล้ว ฝากพี่ทัชจัดการที

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เจ้าเด็กบ้าา พูดจ้อจนพี่เขาปลง ยอมให้เข้ามาวอแว  เพ้อเจ้อ ล้นทะเล้น จนแอบกระตุกยิ้มไปหลายทีแล้วเนี่ยยย

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 8
จับบบ...ล้อมหม้อชาบูดูคนโดนเผา
ควงหนุ่มมารึเปล่าพี่เขาไม่เอาน้ำแข็ง



❤ C A L ❤: บ่ายนี้ว่างนะ

NaTee(n): เฮ้ยจริงดิ สับรางได้แล้วเหรอ

❤ C A L ❤: เวอร์ ไม่ขนาดนั้นมั้ย

NaTee(n): งั้นเราไปถีบเรือเป็ดกันนะที่รัก

❤ C A L ❤: ขอถีบคุณแทนละกันนะคะ

❤ C A L ❤: สรุปยังหิวอยู่มะ

NaTee(n): หิวเดะ

NaTee(n): เนื้อๆๆๆๆ

❤ C A L ❤: ปลวกหมดแล้วเนาะ

NaTee(n): เกลี้ยง

❤ C A L ❤: หญ้าล่ะ กินปะทังไปก่อนมั้ย

NaTee(n): กินจนเขาจะงอกแล้ว

❤ C A L ❤: งั้นก็ Happy Shabu

❤ C A L ❤: บ่ายโมงครึ่งละกัน เจ๊ออกมาเจอเพื่อนก่อน

NaTee(n): เพื่อนหรือผู้

❤ C A L ❤: เออน่ะ อย่ารู้มาก

NaTee(n): สายได้กี่ชั่วโมง

❤ C A L ❤: ห้ามสาย

NaTee(n): ลดเป็นนาทีก็ได้

NaTee(n): ยังไงก็ไม่เกิน 59 นาที

❤ C A L ❤: มาช้า 5 นาที เราขาดกัน

❤ C A L ❤: ไม่ต้องมาเป็นพี่น้องรหัสกันอีก

❤ C A L ❤: แล้วก็กลับไปกินหญ้าที่บ้านซะ

NaTee(n): โห เจ๊

❤ C A L ❤: เจอกันจ้า~

 

บ่ายมีเรียนวิชาเลือก ไม่ซีเรียสมาก ใช้สิทธิ์โดดโลด

“พักนี้หายบ่อยจังนะ” หลังจากที่ผมขอแยกตัว เปิ้ลก็พูดด้วยเสียงเย็นๆ มีความอยากรู้อยากเห็นเจือปนเล็กน้อย “เที่ยงเป็นไม่ได้ แวบหายๆ”

“เราเห็นด้วยกับเปิ้ล นายมีปัญหาอะไรรึเปล่านะฑี บอกเพื่อนได้นะ”

“อ้างว่าท้องเสียทั้งปีทั้งชาติ”

“แต่ไม่เสมอไปนะเปิ้ล บางทีนะฑีก็บอกท้องผูก เราว่าไปหาหมอดีมั้ย”

“หรือมีเรื่องอะไรกับรุ่นพี่กันแน่”

ผมกอดอกฟังพวกมันบิ๊วกันอย่างกับซ้อมละคร พอถึงประโยคนี้ผมเลยต้องแถลงความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ “กูนัดกับพี่รหัสโว้ย”

“หรา…” เปิ้ลจีบปากจีบคอลากเสียง เหมือนจะเผลอปล่อยให้ต่อมจริตเพศหญิงนำหน้า

“แหกตาดู” ผมควักโทรศัพท์มือถือเลื่อนแชตที่นัดกับเจ๊แคลให้อ่าน

“งั้นก็แล้วไป แต่อย่าให้รู้นะว่ามีลับลมคมในอะไร...ไปเจษ” ขู่เป็นมาเฟียเลยเว้ย เซลล์ผู้ชายของมันกลับมาทำงานเป็นปกติละ

“ไปไหน” เจษฎาถามเสียงซื่อ

“ไปให้ไกลจากคนทิ้งเพื่อน” ว่าแล้วเปิ้ลก็เดินออกไป

“หาน้ำแดงเซ่นไหว้มันหน่อยนะ เดี๋ยวความดันขึ้น” ผมพูดกับเจษ แล้วแยกไปคนละทาง

เจ๊แคลเซียมนัดตั้งบ่ายครึ่ง ห้างที่จะไปกินก็อยู่ใกล้แค่นี้ ยังมีเวลาเหลือ ไปกวนตีนพี่ทัชเล่นดีกว่า ถ้าเขาไม่อยู่ที่ป่าดงดิบก็อยู่ที่ห้องสมุด ผมเดาว่าน่าจะอยู่ป่ามากกว่าเพราะมันดูห่างไกลผู้คนมากที่สุดแล้ว

ใช่จริงๆ

แต่พี่ทัชไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว โจทก์เก่าผมก็นั่งโด่หัวอยู่ด้วย

“กราบสวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน” ผมย่องเข้าไปยกมือไหว้รอบทิศ

“อ้าว มึง” พี่เห็ดลุกขึ้นต้อนรับ “มาก็ดีแล้ว กูคันตีนอยู่พอดี”

“ขนจมูกผมก็ยาวอยู่พอดีพี่ ถอนให้หน่อย...เฮ้ยๆ พี่ทัชช่วยลูกช้างด้วย” ผมกระโดดหลบไปอยู่หลังพี่ทัช เกาะไหล่ไว้และใช้ตัวเขาเป็นโล่บังตีน พี่เห็ดขยับออกมาจากม้านั่งหินอ่อนแล้ว อีกแค่ก้าวสองก้าวก็ถึงตัวผมได้สบาย หวังว่าแกจะเกรงใจพี่ทัชบ้างนะ แต่ถ้ายังบังอาจเสือกตีนมายังไงก็ต้องโดนหน้าหล่อๆ ของพี่ทัชก่อน “เอาดิ เตะมาเลย”

เผียะ!

หน้าผากสะอาดเลย มีขยับหลอกว่าจะเตะแต่พี่แกเปลี่ยนเป็นเอื้อมมาตบซะงั้น

ถ้าไม่เกรงใจพี่ทัชนะ ผมถุยน้ำลายข้ามหัวเขาตอบโต้ไปแล้ว แต่เพราะเกรงใจ เลยทำแค่แลบลิ้นพอ

“นะฑี ไปนั่งดีๆ” พี่ทัชบอก

“แบร่~”

“หลบทำไม มานี่ กูจะถอนขนจมูกให้ เอาเลือดกำเดาออกให้ด้วย”

“พอเลย ทั้งคู่”

“เตะดิ โดนหน้าพี่ทัชนะ”

“ไอ้ทัชหลบดิ๊”

“เก่งแต่ปากอะ”

“มึง”

สงสัยจะไม่มีอะไรหยุดยั้งพี่เห็ดได้ละ งัดไม้ตายเลยละกัน

“เจ๊แคล ช่วยด้วยยยย”

ทั้งคู่หันไปมองทางเดียวกัน พอหันกลับมาแต่ละคนก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พี่ทัชสีหน้าเกือบจะนิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะแววตาที่ดูยิ้มนิดๆ ปนสงสัยนั่น ส่วนพี่เห็ดก็แน่นอนว่าหัวร้อนขึ้นไปอีกระดับ

“ไหนวะ แคล”

“ผมส่งกระแสจิตเว้ย”

“ฮะ?”

“ผมกับเจ๊แคลอะสนิทกันถึงขั้นส่งกระแสจิตถึงกันได้...ทำไม คิดว่าพี่ทัชมีพลังคนเดียวเหรอ ผมนี่โคตรคนพลังจิตเลยนะ”

“พลังจิตตีนกูนี่”

“เตะเดะ ผมจะฟ้องเจ๊แคล แล้วก็ไม่ช่วยอะไรพี่อีก”

“ถึงไงมึงก็ช่วยเหี้ยไรกูไม่ได้อยู่แล้ว”

“ใครบอกไม่ได้ จะให้พี่ไปนั่งกินข้าวกับเจ๊แคลตอนนี้ยังได้เลย”

“ถุ้ย!”

“ถุยๆๆๆ...อุ๊บ โทษๆ พี่ทัช น้ำลายหก”

พี่ทัชสะบัดหัวหลบ “พูดจริงพูดเล่น ไปนั่งเลย...เรนจิ มึงก็พอได้ละ”

“พี่ เมื่อกี้ล้อเล่นนะเรื่องน้ำลาย” ผมพูดกับพี่ทัช “ไม่โดนๆ”

“ตอแหล กูเห็นลงหัวไอ้ทัชเต็มๆ”

พี่ทัชถอนหายใจพร้อมกับยกมือยอมแพ้ “เอาเลย ตีกันเลย”

ผมกับพี่เห็ดมองหน้าเจ้าของเสียง แล้วเงยขึ้นมองหน้ากัน รอยยิ้มโรคจิตของพี่เห็ดมาแล้ว แทนที่จะสำนึกว่าพี่ทัชประชด นี่คิดจะเล่นงานผมต่ออีกเหรอวะ

“ผมพาพี่ไปกินข้าวกับเจ๊แคลได้จริงๆ” ผมรีบยกมือเบรกตีนแกไว้ก่อน “ตอนนี้เลย ภายในสิบนาทีนี้”

พี่เห็ดทำหน้านิ่ง เอียงคอมองประเมินผม

ผมตีสีหน้านิ่งกลับไปเหมือนกัน ถึงหน้าพี่แกยังดูอำมหิตอยู่นิดๆ แต่ก็คูลดาวน์เยอะแล้ว มีแววว่าจะออกมาดี ไม่ควรพูดกวนน้ำให้ขุ่นอะไรอีก แต่มันก็อดไม่ได้

“งานนี้คิดค่านายหน้าสองร้อยนะ”

“ถ้ามึงทำได้อย่างที่ตูดพูด นอกจากค่านายหน้าแล้วกูจะเป็นเจ้ามือด้วย”

“เจ้ามือป๊อกเด้งเหรอ เอาดิ พี่หมดตูดแน่”

“เจ้ามือเลี้ยงข้าวสิวะ เนี่ย สมองมึงได้แค่นี้แหละ”

ผิดคาดแฮะ “รู้หรอกน่า สมองพี่ก็ได้แค่นี้แหละถึงไม่เข้าใจว่าเป็นมุก แต่พูดแล้วนะ งั้นก็จัดไป”

“มึงนี่อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดเลยนะ” พี่ทัชพูด

“อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา พี่ไม่เคยได้ยินเหรอ”

“อ้าว บอกจัดไปแล้วนั่งทำแป๊ะไร มึงบอกภายในสิบนาทีนี้ไม่ใช่รึไง” พี่เห็ดโวยวายขึ้นอีก

“ก็แบบ…” ที่มานี่คือตั้งใจมากวนตีนพี่ทัชนะ แต่ดันมารบกับพี่เห็ดจนผิดวัตถุประสงค์ไปเลย “งั้นให้พี่ทัชไปด้วย”

“กูไปเกี่ยวอะไร”

“พี่จะให้ผมไปกับฆาตกรโรคจิตตามลำพังเหรอ เผื่อผมโดนฆ่าหมกถังขยะทำไง”

“มีวิธีเอาตัวรอดง่ายๆ นะ พูดให้น้อยลง”

“ไม่แน่ กูอาจจะเผลอกระทืบแม่งตายจริงๆ ก็ได้” พี่เห็ดพูด “ต่อให้มันไม่พูด แค่เห็นหน้าก็คันตีนยิบๆ ละ”

“เดี๋ยวผมซื้อโทนาฟให้ สงสาร”

“ซื้อมายัดปากมึงเหอะ ไปได้แล้ว”

“พี่ทัช” ผมหันมาตบไหล่พี่แกเบาๆ “ไป ลุก”

“ไม่” เขาหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน

“พี่จะให้ผมไปนั่งเป็นก้างขวางคองี้เหรอ”

“เออ จริงของมัน” พี่เห็ดหันกลับมา “ไอ้ทัช มึงต้องมาด้วย ถ้าจังหวะดีมึงจะได้พามันออกไปเดินเล่นให้พ้นหูพ้นตากู กูจะได้อยู่กับแคลสองคน”

“กูไม่เกี่ยวอะไรเลย”

“มึง หยิบกระเป๋ามันมาเลย”

อ่าว ตอนนี้กลายเป็นพันธมิตรกันซะงั้น พอพี่เห็ดให้ท้ายแบบนี้ผมก็คว้ากระเป๋าสะพายของพี่ทัชลุกออกมาทันที

“รถกูอยู่ทางนี้” พี่ทัชคว้าหนังสือเดินตามมา

“รถมึงแคบ ไปรถกู”

เราถกเรื่องนี้กันอีกนิดหน่อย สุดท้ายก็มาจบที่รถพี่เห็ดซึ่งสภาพรถบ่งบอกความเป็นพี่เห็ดได้ชัดเจนมากๆ ทีแรกผมแทบนึกไม่ออกว่ารุ่นอะไร จากการสอบถามเลยถึงบางอ้อ มันคือฮอนด้าซีวิคที่เอาไปแต่งแทบทุกจุด กลายเป็นรถสีดำดุทั้งคัน มีสีแดงแทรกเป็นหย่อมๆ ซึ่งได้แก่ ล้อแม็กทั้งสี่ โลโก้ตัว H หน้าหลัง และแถบสีแดงที่ขอบล่างรอบคัน สปอยเลอร์หลังโคตรเฟี้ยว กระโปรงหน้ามีช่องระบายลม และสุดท้าย กระจังหน้าดูหนาเตอะเหมือนทำไว้ชนหมาให้ทรมาน

“ลุยเลยแบทแมน!” ผมตะโกนจากเบาะหลัง พี่เห็ดเป็นคนขับและพี่ทัชนั่งข้างหน้า

“เป็นบ้าไรอีก”

“อ้าว นี่ไม่ใช่รถแบทแมนเหรอ ถ้าติดจรวดสักลูกสองลูกผมว่าเหมือนเลยนะ กฎหมายไทยให้ติดได้ปะ”

“คงได้หรอก”

“งั้นติดบั้งไฟแทนดิ ใช้ของไทยตำรวจน่าจะหยวนๆ”

“เดี๋ยวกูขับไปโรงบาลก่อนมั้ย ยามึงขาดรึเปล่า”

“รถพี่โยกได้ปะ”

“โยกไงวะ”

“ก็จอดไว้เปิดเพลงดังๆ กดปุ่มสักปุ่ม ปึ๊บ...แล้วรถก็โยกๆ”

“กูจะทำไปเพื่อไร”

“แล้วพี่ทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อไร ทำแล้วก็ไปให้สุดดิ”

“นะฑี” พี่ทัชแทรกขึ้น “อย่าชวนคุยเยอะ เดี๋ยวเรนจิมันขับชน ปกติก็ชนบ่อยอยู่แล้ว”

“ชนเลยๆๆๆๆ” ผมตบมือเชียร์ให้จังหวะ

“ลงไปยืนหน้ารถดิ กูจะชนให้ดู”

“นะฑี” น้ำเสียงพี่ทัชเปลี่ยนเป็นเข้มอีกหนึ่งเลเวล ผมเลยทำมือตะเบ๊ะและรูดซิปปาก

เรามาถึงห้างเป้าหมายในห้านาทีต่อมา ผมไลน์คุยกับเจ๊แคลอย่างรวดเร็วและได้ความว่า เจ๊แกอยู่ที่ห้างแล้ว...กับผู้ชาย! แถมยังบอกว่าถ้าผมมาถึงแล้วให้ขึ้นไปหาได้เลย

ชิบหายละ

ผมยังไม่ได้บอกว่ามีพี่ทัชกับพี่เห็ดมาด้วย ขี้เกียจอธิบายยาว เลยบอกเจ๊แกไปว่าไม่อยากขึ้นไปเจอให้เป็นก้างขวางคอ ให้รีบๆ แยกกับผู้ชายได้แล้ว ผมหิว

จากนั้นก็พยายามดึงเกมอยู่ที่ชั้นล่างไปก่อน โชคดีพี่ทัชอยากแวะร้านหนังสือที่อยู่ตรงนี้พอดี ผมเลยเข้าไปดูหนังสือกับพี่ทัชด้วย โดยมีพี่เห็ดยืนเขย่าขากระวนกระวายรออยู่ที่หน้าร้าน ผมหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดอ่านดวง ซึ่งสถานการณ์เดือนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนพี่ทัชเดินลึกเข้าไปในร้าน เห็นพี่แกกวาดตามองนิยายแปลอยู่แป๊บนึง ก่อนจะไปวนเวียนอยู่แถวๆ หมวดเรื่องสั้น บทกวี และแนวประสบการณ์ชีวิต

สักพักหนึ่งเจ๊แคลก็ไลน์มาบอก



❤ C A L ❤: พร้อม

NaTee(n): พี่เจมส์กลับแล้วเหรอ

❤ C A L ❤: ทำไม อยากเจอเหรอ

NaTee(n): ไม่อะ เหม็นขี้หน้า

NaTee(n): สรุปพี่แกกลับยัง

NaTee(n): ไม่ใช่ขึ้นไปจ๊ะเอ๋กันนะ

❤ C A L ❤: กลับไม่กลับสำคัญตรงไหน

❤ C A L ❤: ไม่กลับก็กินด้วยกันได้

❤ C A L ❤: รีบมา

❤ C A L ❤: หิวๆ



ยังไงวะ

พี่เจมส์กลับหรือไม่กลับกันแน่

“พี่” ผมเข้าไปแตะไหล่พี่ทัช “ถ้าพี่จะดูหนังสือ เดี๋ยวผมขึ้นไปก่อนนะ แล้วพี่กับพี่เห็ดค่อยตามขึ้นไปก็ได้”

พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม แววตาเหมือนอ่านผมได้ทะลุปรุโปร่ง “เรื่องแบบนี้น่ะ ไม่ควรโกหกหรอก”

“ฮะ? ผมโกหกอะไร” ผมเอียงหัวมองนิ้วเขาที่จับหนังสืออยู่ ทุกนิ้วยังแปะพลาสเตอร์ครบถ้วน แถมเขาก็ไม่ได้โดนตัวผมด้วย

“ถ้าเรนจิมันจะเห็นอะไรก็ให้มันเห็นไปเถอะ เจ็บแรงแต่จบเร็ว ดีกว่าเจ็บร้าวแบบเรื้อรัง”

“โห” ฟังแล้วจุกเลยว่ะ

“อ่านเจอพอดี นี่ไง” เขาเอียงหน้าหนังสือในมือให้ดู “ไม่ว่ายังไง โกหกกันมันก็ไม่ดีอยู่ดี”

“พี่...พี่รู้ได้ไง นิ้วก็ไม่ได้แตะ”

“ดูหน้าก็รู้แล้ว ไปกัน” พี่ทัชพับปิดหนังสือในมือ และถือมันออกไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ เสร็จแล้วเราสามคนก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปที่โซนร้านอาหารด้วยกัน…

เอาละเว้ย ร้านแตกแน่

จะต่อยกันรึเปล่าวะ

พี่เห็ดหัวร้อนจนไหม้แน่

ที่สำคัญ กูนี่แหละที่จะโดนพี่แกล่อจนเละ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ กูโดนแน่ๆ

หาทางชิ่งไงดีวะ

ผมคิดวนๆ เวียนๆ และหันล่อกแล่กมาตลอดทาง จนในที่สุดก็เดินกันมาจนถึงหน้าร้านที่นัดไว้ ปรากฏว่า…เห็นเจ๊แคลนั่งกดมือถือเล่นอยู่คนเดียวที่เก้าอี้รอคิว โล่งไปเปลาะนึง แต่พี่เจมส์อาจไปเข้าห้องน้ำก็ได้

เจ๊แคลยังดูเป็นเจ๊แคลเซียมคนเดิม คือผู้หญิงตัวเล็ก ผมยาวประบ่ากับหน้าม้าซีทรู ใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย ผิวเนียนละเอียดเหมือนก้นเด็ก หน้าสดแกก็ดูดีอยู่แล้ว ยิ่งบวกกับสกิลการแต่งหน้าขั้นเทพสไตล์เกาหลีที่แต่งเหมือนไม่แต่งเข้าไปอีก เลยยิ่งไปกันใหญ่ หนุ่มญี่ปุ่นเห็นคงจะบอกว่าคาวาอี้ หนุ่มเกาหลีเห็นอาจจะเต้นโชว์สองสามท่าและบอกซารางเฮโย ส่วนชายไทยก็มักจะร้องโอ้โห และตบเท้าเข้ามาอยู่ในสต๊อกของเจ๊แกแบบง่ายๆ เหมือนพี่เห็ดนี่แหละ

เราชะลอฝีเท้าลงเมื่อเข้าไปใกล้ ขณะที่ผมหันซ้ายหันขวาอยู่พี่เห็ดก็ใช้ศอกกระทุ้งผมจนแทบหน้าทิ่ม พอจะหันไปโวย พี่แกก็ทั้งขยิบตาทั้งสะบัดหัวให้ผมเข้าไป

“เอ่อ...เจ๊”

“โอ๊ย มาสักที นี่รอจนไส้ติ่งจะขะ…อ้าว” เจ๊แคลเงยหน้าขึ้น 

“อ่า…” พี่เห็ดยืดตัวตรง สงสัยโดนความน่ารักบีบคอจนพูดอะไรไม่ออก

นี่คือกิจกรรมผันเสียง อ.อ่าง แข่งกันเหรอ

มีพี่ทัชคนเดียวที่ดูไม่เข้าพวก นอกจากไม่ออกเสียง อ.อ่าง แล้ว เขายังดูสุขุมนุ่มลึกไม่มีอาการกระอักกระอ่วนปั่นป่วนแต่อย่างใด

พี่เห็ดแอบเอาศอกถองผมอีก แต่คนที่พูดก่อนคือเจ๊แคล

“พี่เรนจิ นี่มาได้ไงอะ”

“เอ้อ แคล…” เสียงพี่เห็ดขึ้นสูง ดูประหม่าขั้นสุด ชวนให้นึกถึงนักแสดงละครเวทีที่ท่องบทมาไม่ดีพอ “ก็พอดีเดินๆ อยู่แล้วเจอน้องน่ะ ก็เลย...เลย…” พี่แม่งน่าสงสารว่ะ หูแดงแล้วนั่น มือไม้นี่ก็ขยับซะจนกูนึกว่าจะเล่นกลให้เจ๊ดู “นั่นแหละ เดินคุยกันขึ้นมาด้วยกันครับ...ใช่มั้ย นะฑี”

นี่พี่เห็ดพูดคำว่า ‘ครับ’ เหรอ

หูไม่ฝาดใช่มั้ย

“ใช่ซะที่ไหน” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ ตอนนี้กลับเป็นตัวของตัวเองเต็มที่แล้ว “ผมบอกว่านัดเจ๊กินข้าว พอพี่แกรู้ ก็จับผมมัดขู่ว่าจะเคาะรังมดแดงใส่ ถ้าไม่พาแกมาด้วย”

เสียงหายใจพี่ทัชเปลี่ยนจังหวะ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเขาหลุดยิ้มขำ ส่วนพี่เห็ดนี่ถึงกับเบือนหน้าไปทางอื่น หน้าที่แดงอยู่แล้ว ตอนนี้แดงลามมาถึงคอละ ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือว่าเขินกันแน่ แต่คงทั้งสองอย่าง

“พี่เรน” เจ๊แคลตั้งหลักได้แล้วเหมือนกัน เสียงสองมาแล้ว “วันหลังใช้รังปลวกสิ นะฑีชอบกิน”

“อะ...เหรอ โอเคครับ”

“โอ๊ยยย ร้อนนน อย่าเผา ร้อนนน” ผมทำท่ากรีดร้อง เรียกเสียงหัวเราะแกนๆ จากเจ๊แคลกับพี่เห็ดได้นิดหน่อย ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นมา ส่วนพี่ทัชก็เหมือนจะยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอยู่เหมือนเดิม

“แล้ว…” เจ๊แคลสบตาผม ก่อนจะเหลือบไปด้านข้าง

“ชื่อณทัชครับ” พี่ทัชพูด “เรียกทัชเฉยๆ ก็ได้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเรนจิ เรียนปีเดียวกัน คณะเดียวกัน พอดีนะฑีลากตัวมาด้วยน่ะ”

“สวัสดีค่ะ ชื่อแคลนะคะ เป็นพี่รหัสนะฑีค่ะ”

“ครับ นะฑีเล่าแล้ว”

“โอ๊ย ร้อนนน” เจ๊แคลแอ๊คติ้งกรีดร้องบ้าง

“เอ้า นี่พี่สองคนเป็นญาติกันเหรอ ไม่เห็นบอกเลย” ผมหันไปมองทั่งคู่ “...แล้วดูไม่คล้ายกันเลยนะ แสดงว่าพี่เห็ดนี่ได้ยีนด้อยของวงศ์ตระกูลมาแน่ๆ”

“นี่มึง…” เกือบจะหลุดโวยวายแล้ว แต่แกยั้งไว้ได้ทันก่อนจะหันไปดัดเสียงสองใส่เจ๊แคลแทน “เมื่อกี้แคลบอกหิวจนไส้จะขาดแล้วใช่มั้ยครับ”

“ฮ่าๆ ก็นิดหน่อยค่ะพี่เรนจิ”

“ถ้างั้น…”

“เข้าไปกันเลยมั้ยคะ”

“หมายความว่า…”

“ก็กินข้าวกันไง หมดนี่เลย หรือว่าจะมีใครมาเพิ่มอีกรึเปล่าคะ”

“ไม่มีแล้วๆ เข้าไปกันเลยครับ” พี่เห็ดกุลีกุจอไปคว้าก้านจับประตูเพื่อจะดึงเปิด

กึก!

เล่นเอาประตูร้านเขาแทบพัง เพราะนี่เป็นประตูแบบเลื่อนจ้า แต่พี่แกดึงซะเกือบเต็มเหนี่ยว ครั้งเดียวไม่พอ ยังดึงๆ ผลักๆ ซ้ำอีกหลายทีกว่าจะเรียนรู้และเข้าใจ ค่อยเลื่อนเปิดได้ในที่สุด ซึ่งถ้าช้ากว่านี้อีกนิดพนักงานคงจะเข้ามาช่วยเปิดทำให้แกหน้าแตกยิ่งกว่าเดิม

“ใครออกแบบวะเนี่ย...มุกนะครับแคล เชิญครับๆ” พี่เห็ดผายมืออย่างสุภาพจนพนักงานยังอาย เจ๊แคลยิ้มพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป พอลับหลังเท่านั้นมือข้างที่ผายอยู่ก็ยกขึ้นปาดเหงื่อ

อยู่ลับหลังนี่เบ่งโคตรๆ คนนี้กูจองๆ แต่พออยู่ต่อหน้าคือ...เอิ่ม นี่มันเด็ก ม.2 รึเปล่า สกิลการจีบสาวคือต่ำสุดๆ อย่าใช้คำว่าไม่เป็นงานเลย เรียกว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยจะดีกว่า คิดเข้าข้างแกหน่อยละกันว่าคงยังประหม่าอยู่

จังหวะที่แกรีบปาดเหงื่ออยู่ ผมกับพี่ทัชก็เดินตามเข้าไป ว่าจะไม่แซวแล้วนะ แต่ใครจะอดใจไหว

“บริการได้สุภาพมากน้อง สามที่นะ มากับผู้หญิงคนที่เดินเข้าไปเมื่อกี้อะ”

เผียะ!

“สัด” หน้าผากสะอาดไปตามระเบียบ “อย่าทำเสียเรื่องนะมึง”

“นี่พี่วิ่งมาราธอนมาเหรอ เหงื่อเยอะขนาดนี้”

“เออ แม่ง”

“ไปห้องน้ำดิ” พี่ทัชตบไหล่เพื่อน ไม่สิ ตบไหล่ลูกพี่ลูกน้อง “ล้างหน้าล้างตาหน่อย”

“เออๆ เดี๋ยวกูมา”

พี่เห็ดแทบจะวิ่งร้อยเมตรออกไป ปล่อยให้ผมกับพี่ทัชเดินชิลล์เข้าไปกับสมทบกับเจ๊แคลที่โต๊ะด้านใน ผ่านไปไม่ถึงสองนาที พี่เห็ดกลับมาพร้อมกับทรงผมที่เซ็ตใหม่ บนหน้าผากแทบจะมีคำว่า ‘กูประหม่าโว้ย’ แปะอยู่จางๆ

“บุ๊ฟเฟ่ต์พรีเมี่ยมสี่ที่ครับ” ผมประกาศทันทีที่พนักงานจะนำเมนูมาแจก “อันนี้คือแพงที่สุดแล้วเนอะ งั้นคอนเฟิร์มเลยครับโผม” เจ๊แคลหันมองหน้า ผมเลยขยายความให้ต่อ “พี่เห็ดเลี้ยง”

“ใช่ พี่เลี้ยงเองแคล” พี่เห็ดยิ้มเกร็งๆ ส่วนเจ๊แคลก็ได้แต่ยิ้มแกนๆ กลับไป

“เครื่องดื่มรับเป็นอะไรดีคะ” พนักงานถาม

“แคล เอาอะไรครับ”

“ชาเขียวเย็นก็ได้ค่ะ”

“ผมเอาด้วย” ผมบอก

พี่เห็ดชี้ไปที่พี่ทัช เจ้าตัวก็พยักหน้าเงียบๆ “งั้นเอาชาเขียวเย็นสามครับ แล้วก็ชาเขียวร้อนหนึ่ง”

“พี่กินชาร้อนเหรอ ทำไมอะ” ผมพูดกับพี่เห็ด “อยากทำตัวแตกต่าง ไรงี้”

“กูไม่ได้กิน ไอ้ทัชโน่น มันไม่กินน้ำแข็ง”

“เอ้า เหรอ” ผมหันไปหาพี่ทัช “ทำไมอะ”

เขายักไหล่ “กินแบบนี้มานานแล้ว”

“ทำไมไม่กินน้ำแข็ง”

“ไม่ชอบ”

“งั้นผมเปลี่ยน เป็นชาร้อนด้วย”

“จะลอกทำไม”

“ใครบอกลอก นี่คิดเองสดๆ วิถีของฮิปเตอร์เลย กินชาร้อน”

“ได้ค่ะ ชาร้อนสอง ชาเย็นสอง” พนักงานพูดพลางติ๊กเมนูในเครื่องบนฝ่ามือ “สั่งอาหารได้เลยนะคะ แบบพรีเมี่ยมคือสั่งได้ทุกอย่าง ตามเมนูหน้านี้เลย”

เราเลยสั่งอาหารกันอย่าง...ผู้ดี๊ผู้ดี แต่ละคนสั่งมาดมเหรอ มีผมคนเดียวที่สั่งจัดหนักจัดเต็มเหมือนปอบลง แบบว่า...เนื้อมันนุ่ม มันแน่น มัน...โอ๊ย น้อง! เอาเนื้อมาเยอะๆ

ประมาณห้านาทีผ่านไป

“นี่ครับ แคล เห็ดออรินจิ” พี่เห็ดบริหารตักเห็ดให้เจ๊แกประมาณสองแสนชิ้นได้แล้วมั้ง ตักไปกองหมักหมมกันจนแทบล้นถ้วยแล้ว

“ขะ...ขอบคุณค่ะพี่ แต่ยังกินไม่หมดเลย เอาไว้ก่อน เอ้อ แคลอยากรู้เรื่องนึง...ทำไมนะฑีเรียกพี่เรนจิว่า…”

“พี่เห็ด” สงสัยเจ๊แกจะเกรงใจ ผมเลยพูดต่อให้แทน

“อื้อ ทำไมอะ”

“หน้าพี่เขาเหมือนเห็ดอะ หน้าตลกๆ ไม่เห็นเหรอ”

“อะแฮ่ม” เจ้าตัวกระแอมเหมือนมีอะไรติดคอ “นะฑีบอกชื่อพี่คล้ายๆ เห็ดออรินจิน่ะ เลยเรียกแบบนี้”

“อ้อ” เจ๊แคลมองหน้าผม หน้าตาเหมือนซีเรียสแต่ผมดูออกว่าแกก็แอบอมยิ้มอยู่ “ไปเรียกพี่เขางี้ได้ไง นิสัย”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่โกรธครับ”

“พี่เห็ดๆๆ” ผมเรียกซ้ำๆ “เห็นมะ พี่เขาไม่โกรธ ชอบให้เรียกด้วยเหอะ ชื่อเหมือนเห็ดที่เจ๊ชอบกินด้วยนะเนี่ย” ชงไปงี้พี่เห็ดถึงกับยิ้มหน้าบาน

“หืม?”

“เห็ดออรินจิไง ที่เจ๊ชอบกิน”

“ใครบอกว่าชอบ”

เดดแอร์ไปสองวินาทีเต็มๆ

นี่เจ๊ไม่รู้ตัวเหรอว่าชอบกิน ชอบดิ เจ๊ต้องชอบ!

“แคล...ไม่ได้ชอบเห็ดออรินจิเหรอครับ” พี่เห็ดถามเสียงเจื่อนๆ

เจ๊แคลก็ยิ้มเจื่อนพอกัน แค่นั้นไม่พอ ยังเอาตะเกียบจิ้มๆ เห็ดในถ้วยตรงหน้าคล้ายกับจะดูพะอืดพะอม “ก็...เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยอะค่ะ มันเหนียว ชอบเห็ดเข็มทองมากกว่า นิ่มดี”

เจ๊ไม่รับมุก

กูซวยละ

ทนๆ กินไปหน่อยก็ไม่ได้นะเจ๊ ก็ตอนนั้นมันนึกอะไรไม่ออกอะ

“แล้วแคลชอบกินปูผัดผงกะหรี่มั้ย”

“ไม่ค่ะ”

“ทับทิมกรอบล่ะ”

“ที่พูดมานี่ของชอบนะฑีหมดเลยนะคะ”

กูตายละ ใครจะมางานศพไม่ต้องสวมชุดดำก็ได้นะ ไม่ซีเรียส ไม่ต้องขอดูหน้าศพเป็นครั้งสุดท้ายด้วย เอาแค่รู้ว่าผมโดนกระทืบจนหน้าเละก็พอ

จากเมื่อกี้ที่ยิ้มหน้าบาน ตอนนี้รอยยิ้มพี่เห็ดเปลี่ยนเป็นยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้ว “น้องครับ น้อง...ขอสั่งเห็ดเข็มทองเพิ่ม…”

“พี่ ไม่เป็นไรๆ” เจ๊แคลรีบเบรก “ที่มีอยู่ก็ยังไม่หมดเลย เอาไว้ก่อนก็ได้”

เดดแอร์กันไปอีกรอบ แล้วเห็ดออรินจิประมาณสองกิโลที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในหม้อนี่ใครจะกินวะ ผมไม่กินนะ ผมสายเนื้อ

แล้วระหว่างที่ยังนั่งอึนกันอยู่นั้น สายตาทุกคู่ก็มองตามนิ้วพลาสเตอร์ที่เอื้อมมาโกยเห็ดออรินจิออกจากหม้อไปใส่ถ้วยตัวเอง สายตาที่พี่เขามองเห็ดในถ้วยบวกกับรอยยิ้มน้อยๆ นั่น แทบจะดูเหมือนกำลังปลอบประโลมพวกมัน

พระเอกขี่ม้าขาวชัดๆ

“พี่ชอบกินเหรอ” ผมถาม

“ก็ในหม้อมีอันนี้ ก็กินอันนี้แหละ” เขาตอบหน้าตาย แล้วคีบกินด้วยมาดคุณชาย

“ขอโทษนะคะ แล้วมือพี่ทัชเป็นอะไรเหรอคะ เห็นติดพลาสเตอร์ทุกนิ้วเลย” นั่นไง ในที่สุดเจ๊แกก็ถามจนได้ หลังจากเห็นเหลือบๆ อยู่หลายที

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ ชอบติดเฉยๆ”

เป็นคำตอบที่คนถามไม่รู้จะไปยังไงต่อ ผมเลยลองแหย่ไปดอกนึง

“น้ำร้อนลวกรึเปล่า”   

“เปล่า แค่ชอบติด” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงยังเรียบนิ่ง ราวกับว่าเขาตอบคำถามนี้มาเป็นพันๆ ครั้งแล้ว ซึ่งใครจะถามซอกแซกหรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้ล่ะ ถึงมันจะดูแปลกๆ ก็เถอะ แต่ถ้าคนเราบอกว่า ชอบ มันก็คือจบแล้ว

“พี่บ้าปะ” ผมแหย่ไปอีกดอก “คนดีๆ ที่ไหนจะเอาพลาสเตอร์มาติดนิ้วเล่น ถ้าไม่ได้เป็นแผลอะไร”

“คนดีๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้แหละ กินไป อย่าพูดเยอะ”

ดูตอบเข้า หมั่นไส้โว้ย!

“จะพูดอะ อยากพูด”

“นี่รู้จักกันนานแล้วเหรอ ดูสนิทกันจัง” เจ๊แคลขัดขึ้น

“ไม่นานครับ เรนจิพานะฑีมาแนะนำให้รู้จัก” พี่ทัชตอบ

“พี่เรนจิรู้จักนะฑีได้ไงคะ”

“ก็…นั่นสิ โลกกลมเนอะ” พี่เห็ดตอบอ้อมแอ้ม ยกน้ำชาขึ้นจิบ “เดินอยู่ดีๆ ก็มารู้จักกันเฉยเลย”

“เดินอยู่ดีๆ ซะที่ไหน ผมกำลังจะเข้าห้องน้ำ แต่พี่ลากผมไปตบไม่ใช่เหรอ” พี่เห็ดหน้าเหวอไปเลย ก็พี่ทัชบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรโกหกกันอะ ผมก็เลยพูดความจริงไง “พี่เห็ดคิดว่าผมเป็นแฟนเจ๊อะ”

เจ๊แคลสำลักเบาๆ แบบผู้ดี ถือว่ายังรักษาภาพลักษณ์ได้ดี ถ้าอยู่กับผมสองคนแกอาจจะพรวดออกมาแรงๆ จนวุ้นเส้นโผล่ทางจมูกก็ได้ “นะฑีเนี่ยนะ แฟน”

“นั่นดิเจ๊ ตาถั่วเนอะ”

“หมายถึงคนที่จะมาเป็นแฟนแกในอนาคตอะเหรอ ตาถั่ว?” เจ๊แคลพูดยิ้มๆ

พี่ทัชกระแอมเล็กน้อยก่อนจะหยิบชาร้อนขึ้นจิบ ผมเห็นแบบนั้นก็จิบตามบ้าง...เวรกรรม กูสั่งชาร้อนทำไมวะ อากาศเมืองไทยยังร้อนไม่พอเหรอ น้ำซุปชาบูก็ลวกลิ้นจะตายห่าอยู่แล้ว ยังสั่งชาร้อนมาทรมานตัวเองอีก

“ก็ทิ้งไว้สักพักก่อน ค่อยกิน” พี่ทัชคงเห็นผมทำหน้าเบ้เลยหันมาบอกเรียบๆ

ผมวางถ้วยชาลง แล้วหันไปพูดต่อ “หมายถึงพี่เห็ดต่างหากที่ตาถั่ว แค่นี้ก็มองไม่ออกว่าเป็นไรกัน แต่พี่แกลากผมไปตบจริงๆ นะเจ๊ โคตรเถื่อน”

“ก็พูดเกินไป” พี่เห็ดพูดขำๆ

“ทั้งตบทั้งเตะ ถ้าตอนนั้นมีปืน ผมคงตายไปแล้ว หัวร้อนสุดๆ”

“พูดเกินไปแล้ว” ยังขำๆ อยู่ แต่เสียงเข้มขึ้นเยอะ

“นี่ผมยังนึกเลยนะ ถ้าเจ๊เป็นแฟนพี่แก วันดีคืนดีต้องได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่ๆ”

“โอ๊ย ร้อนๆๆ โดนเผา” พี่เห็ดทำท่ากรีดร้อง เจ๊แคลที่กำลังยิ้มขำๆ อยู่ถึงกับหัวเราะพรวด โอเค มุกนี้ถือว่าพอเอาตัวรอดไปได้

“ยังไง นี่แกเปลี่ยนจากน้องรหัสเป็นพ่อสื่อแล้วเหรอ ฮึ” เจ๊แคลย่นจมูกใส่ผม

“ก็ไม่ได้อยากเป็นอะ โดนบังคับ พี่เห็ดบอกว่าถ้าไม่ช่วยจีบเจ๊จะทรมานลูกแมวผม แล้วก็จะเอาเงินฟาดหัวผมด้วย ดีนะที่ผมมีจรรยาบรรณพอไม่เห็นแก่เงิน”

“มั่วแล้วมึง”

“น่ะๆ หัวร้อน”

“นี่กูใจเย็นอยู่”

“เย็นทำไมเสียงเข้ม ขึ้นกูขึ้นมึง”

“พี่นี่ใจเย็นสุดๆ แล้วครับน้องนะฑี”

“เขย่าขาทำไม อยากเตะเหรอ”

“เปล่า แค่คันๆ ตะ...เอ๊ย เท้า”

“พี่ตบผมจริงปะล่ะ”

“แค่หยอกๆ น่า”

“ตบจริงเหอะ ไม่เชื่อถามพี่ทัชดู ใช้นิ้วพี่ทัชแตะทั้งตัวผมเลยก็ได้…”

“มึง หยุดๆๆ” พี่เห็ดลดเสียงต่ำ

“...แตะทั้งสิบนิ้วเลย แบบนี้ผมไม่มีทางโกหกได้แน่นอน…”

“หยุด!”

อุ๊บ!

สีหน้าและน้ำเสียงพี่เห็ดทำให้ผมชะงัก เวรละ นี่ผมพูดอะไรเกี่ยวกับพลังพี่ทัชไปหรือเปล่า พี่ทัชและพี่เห็ดต่างชะงักไปตามๆ กัน โดยเฉพาะพี่เห็ดนี่ถึงกับหน้าถอดสี

เจ๊แคลมองหน้าเราสลับไปมา ก่อนจะยื่นหน้านิดๆ มองไปที่นิ้วพลาสเตอร์ของพี่ทัช “ยังไงนะ ถ้าพี่ทัชใช้นิ้วแตะ แล้วจะโกหกไม่ได้?”

ซวยแล้วๆๆๆ

ผมนั่งตัวเกร็ง ค่อยๆ เหลือบตาไปทางพี่ทัช นึกว่าเขาจะซ่อนมือไว้ใต้โต๊ะนั่งเงียบๆ หรือไม่ก็ลุกขึ้นเดินหนีไปเลย แต่กลับเป็นตรงกันข้าม

“ใช่ครับ” พี่ทัชยิ้มพร้อมกับกางนิ้วให้ดู “พี่มีพลังเหมือนเอ็กซ์เมนน่ะ”









__________________________

นะฑี! 5 5 5 5 + แง สงสารพี่ณทัชชชช
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่มาอ่านกัน
อ่านแล้วเป็นยังไงบ้างคะ ชอบไม่ชอบบอกกันได้ตลอดเลยนะคะ > <

ยักๆ เยิฟๆ เจอกันตอนต่อไปฮะ <3

นางร้าย
09.06.2019

ออฟไลน์ mony

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พูดมากเกินไปก็ไม่น่ารักนะน้อง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
นะฑี เดวพี่ทัชโกรธ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
นึกแล้ววว สักวันไอ้ตัวเเสบต้องพูดพร่ำจนหลุดปาก
สงสารณทัช  กรรมเวรตัวนี้เพราะพี่เห็ดคนเดียวพามา 55555555

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 9
จับบบ...คนจริงลิงรูดเสากลัวเขาจะเคือง
ตามเรื่องของหายขอร้องสไตล์เสียงเป็ด




NaTee(n): พี่

NaTee(n): โกรธเหรอ

NaTee(n): โกรธมั้ยอะ

NaTee(n): { สวัสดีวันจันทร์ }

NaTee(n): ฮัลโหล

NATOUCH: ไม่โกรธมั้ง

NaTee(n): จริงดิ

NaTee(n): แต่ยังดีนะ เจ๊แคลไม่เชื่อ

NATOUCH: รู้ได้ไงว่าไม่เชื่อ

NaTee(n): คนบ้าที่ไหนจะมีพลังเอ็กซ์เมนอะ

NaTee(n): มีแต่ในหนังนั่นแหละ

NATOUCH: คนบ้าที่นี่ไง

NaTee(n): โทษๆ

NaTee(n): แต่ผมถามย้ำหลายครั้งแล้ว

NaTee(n): เจ๊แคลบอกไม่เชื่อ

NATOUCH: ยิ่งถามย้ำนั่นแหละ

NATOUCH: เค้าจะเชื่อ

NaTee(n): ไม่หรอกน่า เชื่อผม

NaTee(n): ผมซี้กับเจ๊แก รับรอง ไม่มีปัญหาอะไร

NaTee(n): โกรธหรือไม่โกรธอะ

NaTee(n): เอาดีๆ

NATOUCH: โกรธแล้วได้อะไร

NaTee(n): ก็…

NaTee(n): ที่แน่ๆ คือ ไม่ได้เงิน 

NaTee(n): ก็ได้แค่โกรธผมแหละ

NaTee(n): แต่ก็เข้าใจได้ ถ้าพี่จะโกรธ

NaTee(n): เพราะผมเผลอพูดความลับสุดยอดของพี่ออกไป

NATOUCH: เออ งั้นก็โกรธ

NaTee(n): อ่า

NaTee(n): งั้นก็ง้อ

NaTee(n): เต้นท่าจ้ำบ๊ะ (สติกเกอร์)

NaTee(n): เต้นท่าเมียงู (สติกเกอร์)

NaTee(n): เต้นท่ารูดเสา (สติกเกอร์)

NATOUCH: อะไรของมึง

NaTee(n): เต้นให้ดูไง

NaTee(n): ง้อๆๆ

NATOUCH: คิดว่ากูจะหายโกรธด้วยสติกเกอร์ต๊องๆ พวกนี้เหรอ

NaTee(n): ยังโกรธอยู่?

NATOUCH: เออ

NaTee(n): แต่หน้าพี่เหมือนหายแล้วนะ

ผมเก็บมือถือแล้วเดินเข้าไปในป่าดงดิบ พี่ทัชที่เมื่อกี้เห็นยิ้มอยู่เงยขึ้นมาทำหน้าตึงทันที เป็นส่วนผสมของอารมณ์เซ็งๆ เบื่อๆ และอ่อนอกอ่อนใจ เห็นแล้วอยากกวนตีนเล่น แต่ช่วงนี้ผมต้องยับยั้งชั่งใจไว้หน่อย สองวันแล้วที่พี่แกหลบหน้าผม แชตไปรัวๆ ก็สภาพอย่างที่เห็น ถามสิบตอบสอง หรือบางทีก็ไม่ตอบเลย

จะว่าไปปกติแกก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่สองวันนี้อาการหนักกว่าเดิม

“โล่งไปที ผมนึกว่าพี่เดินตกท่อตายแล้ว” ผมนั่งลง ฉีกยิ้มกว้าง

“นี่ปากเหรอ”

“ตูดครับ”

“...”

“พี่เห็ดบอกว่าตูดอะ แต่ไม่เหม็นนะ นี่ๆ ดมดู…”

“เอาออกไปห่างๆ” พี่ทัชใช้มือดันหัวผมเบาๆ “แล้วก็ตูดมึงเนี่ย หุบซะบ้าง พูดน้อยๆ หน่อย”

“พี่ไม่ตอบแชตอะ”

“ก็ตอบแล้วไง”

“เมื่อคืนไม่ตอบ”

“ใครบอกให้มึงแชตมาตอนตีสาม”

“ก็นอนไม่หลับอะ”

“แต่กูหลับไง”

“หลับทำไมขึ้นว่าอ่านข้อความอะ พี่อ่านแต่ไม่ตอบ”

“เสียสายตา”

“งั้นสายตาผมก็เสียดิ ถึงว่า หน้าพี่เบลอๆ ไหนดู…”

“กูบอกให้ออกไปห่างๆ” โดนดันจนหัวแทบคะมำไปอีกรอบ แหม หยอกนิดหยอกหน่อยทำเป็นสะดิ้งไปได้

“โอเคๆ แล้วหายโกรธยังอะ”

“ยัง”

“อ่าว แต่เมื่อกี้ตอนอ่านแชตพี่ยิ้มนะ”

“กูอาจจะยิ้มเพราะอย่างอื่นมั้ย”

“ไรอะ คลิปโป๊เหรอ ดูมั่งดิ”

พี่ทัชสูดหายใจเข้าลึก แล้วระบายลมออกช้าๆ “มึงมีไร” จากนั้นก็พูดเสียงเรียบเป็นปกติ หายใจทีเดียวคือหายเลย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เซ็ง เบื่อ หรืออะไรก็ตาม นี่พี่แกไปฝึกสมาธิชั้นสูงกับฤๅษีมาเหรอ หรือว่าเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาชั้นสูง

“ไปกินราดหน้ากัน วันนี้ผมเลี้ยงเอง”

“นี่กำลังจะห้าโมง มึงกินมื้อไหน”

“กินเล่นๆ ก่อนมื้อเย็นไง”

“กูยังไม่หิว”

“ทำไงถึงจะหายโกรธอะ” ผมเอานิ้วเคาะขมับตัวเอง “รู้ละ ผมเต้นท่าลิงตีฉาบให้ดูปะ”

“อย่า กูขอร้อง”

“โอเค” ผมลุกขึ้นยืนตรง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “สาม...สี่...ไป”

“...”

“อุๆ อะๆ” ยาวไป ยาวปายย “อะๆๆ อุๆๆ เจี๊ยกกก~”

นั่นไง มุมปากกระตุกละ

จะเส้นลึกแค่ไหนก็ตาม เจอท่านี้เข้าไปยังไงก็ไม่รอด ยิ้มเต็มๆ เลยก็ได้เพ่ จะกลั้นทำไม เอ้า ยาวปาย ยาวปายยย…

“มาเต้นเป็นลิงรูดเสาอยู่นี่เอง”

เสียงนี้นี่มัน…

กูว่าละ

โอเปิ้ลเดินยิ้มกว้างตรงเข้ามา โดยมีเจษฎาทำสีหน้าครึ่งๆ กลางๆ เหมือนจะอยากรั้งตัวไว้ แต่ก็ยังเดินตามมาข้างหลัง

“ว่าละ ทำไมชอบหายแวบบ่อยๆ” เปิ้ลยืนกอดอกแอ่นตัวไปข้างหลัง ไม่รู้ว่าเพื่อความเท่หรือว่าเพื่อถ่วงสมดุลไม่ให้น้ำหนักเนื้องอกฉุดไม่ให้หัวทิ่ม “ที่แท้ก็แอบมาอยู่กับ...”

“เปิ้ล ไปเถอะ” เจษฎาสะกิดไหล่เปิ้ล แต่เจ้าของเนื้องอกหาได้แคร์ไม่

“นี่พวกมึงมาได้ไง”

“ถามไม่คิดอีกละ เอาตาตุ่มไถพื้นมามั้ง แขนขาดีก็เดินดิ”

“สะกดรอยตาม?”

“ถ้าไม่ตามจะรู้เหรอ ว่าแอบมาทำลับๆ ล่อๆ ที่นี่” เปิ้ลเอียงคอมองเลยผมไปถึงพี่ทัช “แล้วไม่คิดจะแนะนำเหรอ”

“นี่พี่ทัช” ผมบอก “พี่ทัช นี่เพื่อนผม โอเปิ้ล แล้วก็นั่น เจษฎา เพื่อนที่คณะอะ”

ทั้งคู่ยกมือไหว้ทักทายตามสไตล์ตัวเอง

“หวัดดีเพ่” เปิ้ลไหว้ท่วมหัว

“สวัสดีครับ” เจษฎาประนมมือทรงดอกบัวตูม ค้อมหัวสวยงามจนน่าจะประกวดมารยาทไทยโบราณได้

ส่วนพี่ทัชได้แต่ยกมือรับไหว้อย่างงงๆ

“ว่าแต่แนะนำสั้นๆ แค่เนี้ย” เปิ้ลถามเสียงขึ้นจมูก

“งั้นเอาใหม่” ผมกระแอม แนะนำใหม่เป็นช็อตๆ “พวกมึง นี่พี่ทัช ลักษณะทางภูมิศาสตร์คือ ผิวขาวสูงยาวเข่าดี ดูเกาหลีทั้งตัวแต่กูลองทัวร์ดูแล้วเขาเป็นคนไทย ส่วนลักษณะนิสัยก็...ชอบอ่านบทกลอนบ้าๆ บอๆ ชอบอยู่กับยุง ไม่ชอบยุ่งกับคน พูดน้อยแต่อ่อยเยอะ”

“อ่อยเยอะอะไร” พี่ทัชถาม

“อ่อยเหยื่อไง พี่แค่นั่งเฉยๆ ก็อ่อยคนไปทั่วแล้ว”

“...” พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม รอให้เขาพูด แต่สุดท้ายก็แค่ส่ายหน้าปลงๆ

“เป็นไรกับพี่เขาเหรอ” เปิ้ลถามจี้ต่อ

ถามง่าย แต่ทำไมไม่รู้ตอบยาก นั่นดิ...ผมกับพี่ทัชเป็นอะไรกัน โยนให้พี่ทัชตอบละกัน “พี่บอกดิ เราเป็นไรกัน” แต่แทนที่จะตอบเขากลับลุกขึ้นและพูดเรียบๆ

“ไปยัง”

“ไปไหน” ผมถาม

“กินข้าวไง”

“พี่บอกไม่หิวไม่ใช่เหรอ”

“ก็มึงบอกจะกิน”

“กินไรกันอะ ไปด้วยดิ” เปิ้ลพูดทันควัน ผมมองหน้าเดอะแก๊ง หลังจากนั้นเราทุกคนก็หันไปมองพี่ทัชที่รวบหนังสือใส่กระเป๋าและยกขึ้นสะพายไหล่เรียบร้อยแล้ว

“...” เขามองกลับด้วยสายตาอ่านยาก มีความสงบนิ่งอยู่ในแววตา ขณะเดียวกันก็ดูราวกับกำลังมองทะลุทะลวงดูต่อมใต้สมองหรือไม่ก็ตับอ่อนของทุกคน แล้วสุดท้ายเขาก็ยักไหล่ “ถ้าหิวก็ไป”

เจษฎาทำท่าจะปฏิเสธขณะพี่ทัชหันหลังเดินนำออกไป แต่ถูกเปิ้ลกระชากคอเสื้อมาข่มขู่เงียบๆ

เราสี่คนเดินออกจากป่ามาสู่สายตาประชาชนที่ส่วนมากเลิกเรียนภาคบ่ายแล้ว ผู้คนเดินสวนไปมา บ้างก็จับกลุ่มเฮฮาตามซุ้มข้างทาง แต่ก็มีไม่น้อยที่นั่งอ่านหนังสืออย่างจริงจัง ซึ่งดึงดูดความสนใจเจษฎาได้เป็นอย่างดี

“ฉี่แป๊บนะ เดี๋ยวตามไป” ผมแวบเข้าห้องน้ำรวมตรงริมทางก่อนถึงตึกคณะวิทย์ นึกว่าพี่ทัชจะพาเดอะแก๊งเดินนำไปก่อน แต่เขากลับแวะเข้าห้องน้ำด้วย โดยที่เปิ้ลกับเจษฎาหยอกล้อเล่นหัวกันแรงๆ รออยู่ข้างนอก

ห้องน้ำรวมก็ดูเหมือนกันทุกที่ บนพื้นมีรอยโคลนจากรองเท้า กระจกอ่างล้างหน้าสกปรก ก๊อกล้างมือบางอันบิดเอียง และมีกลิ่นไม่น่าพิสมัยอบอวลอยู่นิดๆ นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับคุณชายอย่างพี่ทัชเลย ดูขัดตาสุดๆ ที่เห็นเขาเดินเข้ามาในนี้ แต่เขาก็ดูไม่เก้อเขินหรือแสดงท่าทีรังเกียจอะไร

แค่ว่า...เดินเลี่ยงไปฉี่ตรงโถในสุด

“ไปฉี่ซะไกล กลัวผมแอบดูเหรอ” ผมอดแซวไม่ได้ เพราะตอนนี้มีเราอยู่แค่สองคน

“ตรงนั้นโถฉี่มันรั่ว”

“เอ้า!” แล้วไม่บอกแต่แรก ดีนะที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติการปล่อยของเสีย ผมเลยฮึบไว้ เปลี่ยนไปยืนที่โถฉี่ข้างเขา

“จำเป็นต้องใกล้ขนาดนี้มั้ย”

“ตรงนั้นโถมันรั่ว” ผมตอบหน้าตาย “รั่วทุกโถเลย”

ผมแกล้งทำท่าจะชะโงก จังหวะเดียวกันเขาก็รีบเบี่ยงไหล่มาบังทันทีเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าผมจะทำแบบนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เสร็จกิจ แล้วเดินออกไป ผมเร่งปล่อยระลอกสุดท้ายเพื่อจะตามไปกวนตีนต่อ ก็พอดีมีสายโทรเข้ามา ใครวะ เปิ้ลโทรมาแกล้งแน่ๆ กูฉี่อยู่โว้ย!

ต้องยอมให้มันสั่นครืดๆ อยู่ในกระเป๋ากางเกงจนฉี่เสร็จนั่นแหละ ค่อยล้วงออกมาดู

อ้อ แม่โทรมา

ผมกดรับสาย “ว่าไงแม่”

[เลิกเรียนยัง]

“เลิกละ มีอะไรรึเปล่า” ผมเดินไปหยุดที่หน้าอ่างล้างมือ ระหว่างนี้ผมก็จับตามองพี่ทัชที่ผมคิดว่าเขาจะล้างมือ แต่กลับเห็นว่าเขาใช้หยิบทิชชู่เปียกจากกระเป๋าออกมาเช็ดมือแทน น่าจะเป็นสูตรฆ่าแบคทีเรียด้วยนะนั่น เขาคงกลัวพลาสเตอร์เปียกนั่นแหละ เลยใช้วิธีนี้แทน ดูไฮโซไปอีก

เขาเหลือบมองผมแวบนึง ก่อนจะทิ้งทิชชู่ลงถังแล้วออกไปรอข้างนอก

[...ฟังอยู่รึเปล่า]

“อือๆ ว่าไงนะ”

[แม่บอกว่าอย่าเพิ่งกินอะไรหนักๆ จากข้างนอกนะ เย็นนี้น้าเกดกับน้าเอ๊ดจะมากินข้าวด้วย นี่แม่กำลังทำกับข้าวอยู่]

“อ้อ โอเคๆ จะกลับไปกินให้พุงกางเลย”

ผมกดตัดสาย ล้างมือลวกๆ แล้วรีบเดินออกไป ซึ่งเห็นว่าพี่ทัชเดินนำไปก่อนแล้ว ขณะที่เพื่อนสองหน่อของผมดูละล้าละลังว่าจะตามพี่แกไปหรือว่ารอผมก่อนดี พอผมออกมาสมทบ เราทั้งสามเลยก้าวยาวๆ ตามทันที เปิ้ลกับเจษฎาเหมือนจะเถียงกันต่อว่า สภาพห้องน้ำหญิงกับห้องน้ำชายต่างกันแค่ไหน แต่ผมไม่ได้ใส่ใจฟัง

เราเลี้ยวเข้าตัวตึกคณะวิทย์ตามหลังพี่ทัช เดินทะลุไปถึงโรงอาหารเล็กๆ ด้านหลัง ตอนกลางวันสภาพก็ดูเกือบจะร้างอยู่แล้ว ยิ่งตอนหลังเลิกเรียนนี่ยิ่งชวนให้นึกถึงป่าช้าเข้าไปอีก เผลอๆ ป้าที่กำลังทำเสียงก๊องๆ แก๊งๆ อยู่นั่นอาจจะเก็บของเตรียมกลับบ้านอยู่ก็ได้

พี่ทัชเลือกนั่งลงที่โต๊ะตัวด้านในสุด เปิ้ลกับเจษฎาเข้าไปนั่งลงข้างๆ กัน ส่วนผมเดินอ้อมมานั่งข้างพี่ทัช แต่ตูดยังไม่ทันจะถึงเก้าอี้…

“เฮ้ย!” ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้น ใจหล่นแวบไปอยู่ตาตุ่ม “ลืมมือถือ” พูดได้แค่นั้นก็พุ่งตัวออกไปทันที ผมวางไว้ข้างอ่างล้างมือแน่ๆ ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงห้องน้ำอาจจะไม่ถึงห้าสิบเมตร แต่รู้สึกเหมือนไกลเป็นกิโลเลย

แค่สองสามนาที คงไม่หายไปไหนหรอก

ปรากฏว่ามันหาย

ไอโฟนที่แม่ซื้อให้ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว!

ผมไม่เชื่อตาตัวเอง จนถึงกับเอามือถูสำรวจรอบอ่างล้างหน้า ก้มดูตามพื้น และตบกระเป๋ากางเกงที่แบนแฟบอีก

ไม่มี

หายไปแล้ว!

แต่เมื่อกี้ตอนพุ่งเข้ามาเห็นคนนึงเดินสวนออกไปพอดี ผมรีบออกไปหน้าห้องน้ำ มองซ้ายมองขวา ห่างไปทางขวาระยะห้าเมตรก็เห็นคนนั้นเหมือนจะเร่งฝีเท้าไปตามทาง ตัวสูงใหญ่ สะพายกระเป๋าข้างสีดำแบบนี้ ไม่ผิดคนแน่

“พี่” ผมเร่งฝีเท้าตามไป “พี่! เดี๋ยวก่อน”

เขาหยุดหันมามอง ซึ่งแวบแรกที่เห็นก็ทำให้นึกถึงโจรแล้ว คิ้วดก หน้าดุ โกนหนวดไม่เรียบร้อย ไม่ว่าจะดูมุมไหนก็ไม่น่าใช่คนดี

“เมื่อกี้พี่เห็นมือถือตรงอ่างล่างมือมั้ย”

“มือถือไร”

“ไอโฟนอะ ผมลืมไว้ตรงอ่างล้างมือ”

“ไม่เห็นนะ”

“เดี๋ยวดิ” ผมคว้าสายกระเป๋าเขาไว้ “ถ้าพี่เอาไปก็คืนผมมาเถอะ”

เขาปัดมือผมออก “เฮ้ย น้อง พูดอะไรระวังปากหน่อยนะ ใครเอาของมึง”

“ถ้าไม่ได้เอาไปจะกลัวอะไร”

“กูไม่ได้เอา”

“งั้นก็เปิดกระเป๋าดิวะ ขอดูหน่อย”

“เอาหน้าไปให้พ้นส้นตีนกูเลย กูจะรีบไปธุระ อารมณ์ไม่ดี”

“เดี๋ยว” คราวนี้ผมคว้าสายกระเป๋าไว้แน่น และรูดซิปเปิด

“เฮ้ย! พูดไม่รู้เรื่องเหรอวะ” เจ้าตัวสะบัดออกอย่างแรง เบี่ยงกระเป๋าไปไว้ด้านหลังพร้อมกับหันมาเผชิญหน้ากับผม “มึงจะเอาใช่ปะ ฮะ”

ปึก!

ยังไม่ทันได้พูดโต้ตอบอะไร อีกฝ่ายก็ผลักอกผมซะเต็มแรงจนกระเด็นถอยหลัง และคงจะลงไปนอนกับพื้นแล้วถ้าไม่ได้ใครสักคนรวบตัวไว้ได้ทัน

พี่ทัชนั่นเอง

เจษฎากับเปิ้ลก็ตามมาสมทบด้วย

“เฮ้ยๆ มีเรื่อง!” เปิ้ลก้าวพรวดไปข้างหน้า ลักษณะกึ่งๆ จะเตะ “ทำคนไม่มีทางสู้เหรอวะ”

อีกฝ่ายถึงกับกระโดดถอย มองเปิ้ลตั้งแต่หัวจดเท้าและผายมือใส่เหมือนจะถามว่า เชี่ยไรเนี่ย

สายตาทุกคู่มองมาที่ผม

“เอามือถือผมคืนมา แล้วก็จบๆ กันไป” ผมพูด

“สัด กูบอกว่ากูไม่ได้เอา กูไม่ได้ไปตรงอ่างล้างมือด้วยซ้ำ กูรีบ ตอนกูฉี่ก็มีคนอื่นเข้ามาตั้งสองสามคน”

“ฉี่ไม่ล้างมือเหรอ” เปิ้ลขยับไปข้างหน้าอีก “ฟังไม่ขึ้นว่ะ คนเชี่ยไรฉี่ไม่ล้าง”

“เอ่า น้อง ถือว่าปากหมานะแบบนี้”

“เปิดกระเป๋าดิ๊ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครหมา”

“ถอยไปดีกว่า กูไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิง”

“กูไม่ใช่ผู้หญิง”

“แล้วนี่อะไร…” มันผายมือใส่เนื้องอกและทำตาถลนใส่ “ซิลิโคนล้วนๆ เหรอ”

“เหี้ยเอ๊ย” ผมโดดใส่อย่างเหลืออด แต่พี่ทัชก็เร็วพอที่จะคว้าตัวผมไว้ “ขโมยของไม่พอยังปากหมาอีกเหรอวะ มีแค่เพื่อนสนิทเว้ยที่บูลลี่เรื่องนี้ได้ พี่ทัชปล่อยผม”

พี่ทัชไม่ปล่อย ขณะเดียวกันเจษฎาก็กำลังล็อกตัวเปิ้ลไว้เหมือนกัน เปิ้ลเลยออกฤทธิ์ได้แค่ฮึดฮัดและเตะอากาศ

“แม่ง บ้าว่ะ กูไปละ”

“เดี๋ยว” เสียงนุ่มทุ้มของพี่ทัชดังขึ้น อีกฝ่ายชะงักกึก หันกลับมาอีกรอบ

พี่ทัชควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมายัดใส่มือผม มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด “โทรเข้าเบอร์ตัวเองดู”

“รหัสปลดล็อกหน้าจออะไร”

“ไม่มี”

โคตรแปลก มือถือก็แพง ระบบอะไรก็สุดยอด แต่ไม่ใส่รหัสป้องกันอะไรเลย แต่ไม่ใช่เวลาใส่ใจเรื่องอื่น ผมปาดหน้าจอมือถือพี่ทัชซึ่งภาพแบ็กกราวด์ยังเป็นลายเดิมๆ ที่แอปเปิ้ลให้มา แล้วกดเบอร์ตัวเองเพื่อโทรออก…

ฝากข้อความ

ไม่ว่าใครเอาไปก็ตาม มันปิดเครื่องแล้ว

“ไง” คู่กรณีเอียงคอมอง “ถ้าไม่มีเหี้ยไรแล้ว กูไปละ ถ้าอยากมีเรื่องก็ไปเจอกูที่หลังคณะได้ กูอยู่ตลอด”

ผมก้าวขาตามโดยอัตโนมัติ แต่ถูกพี่ทัชดึงข้อศอกไว้แรงๆ อีก

“ช่างมันเถอะ”

“แต่…”

“กูไม่อยากให้มึงยุ่งกับคนแบบนี้”

“ก็มันเอาของผมไปอะ”

“อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้”

“มันนี่แหละ ไม่เห็นมีใครเลย ปล่อยผม”

พี่ทัชยังจับผมค้างอยู่สามหรือสี่วินาที แล้วก็ปล่อย

ผมมองตามมือเขาที่ปล่อยลงข้างตัว พอเงยหน้ามองทางอีกที ไอ้หมอนั่นก็เดินลับตาไปแล้ว โอเปิ้ลอยู่ห่างจากจุดเดิมออกไปอีกสองสามก้าว อยู่ในท่ายืนจังก้าและชูนิ้วกลางเหนือหัว ส่วนเจษฎาปาดเหงื่อซ้ำไปซ้ำมา

ผมอดคิดต่อไม่ได้ว่า ถ้าเมื่อกี้มีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง แวบนึงผมเห็นภาพเปิ้ลถูกตบปากแตก ส่วนเจษฎาก็คงถูกจับทุ่มหัวโหม่งพื้น ไม่ว่าจะยังไง สองคนนี้ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่นอน

“เอาไงต่อวะ” เปิ้ลเดินย้อนกลับมา

“ไปแจ้งความกัน กูพาไปเอง” พี่ทัชพูดพร้อมกับตบไหล่ผม ซึ่งคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้

จากแผนเดิมที่จะกินราดหน้ากันเลยเป็นอันต้องยกเลิก พี่ทัชเดินนำเราสามคนไปที่ลานจอดรถแถวๆ คณะจิตวิทยา พอเขากดรีโมตปลดล็อกเปิ้ลก็ถึงกับร้อง

“เจ๋งอะ รถพี่เหรอ”

“ญาติเราก็มีรถคันเล็กๆ คล้ายๆ แบบนี้นะ ฮอนด้าแจ๊ส” เจษฎาพูดเสริม

“แจ๊สพ่อง เจษ นี่มินิคูเปอร์ S”

ใช่ อย่างที่เปิ้ลว่า มันคือมินิคูเปอร์ S สีฟ้าอมเขียวซีดๆ ดูเดิมๆ ไม่ได้ปรับแต่งส่วนไหนเหมือนรถพี่เห็ด ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถเท่าไหร่ แต่อะไรหลายๆ อย่างบอกผมว่านี่คือรุ่นใหม่ล่าสุด

“ข้างหลังนั่งเบียดๆ กันนิดนึงนะ” พี่ทัชบอกขณะสองคนนั้นเบียดตัวกันเข้าไปนั่งเพราะรถคันนี้มีแค่สองประตู หลังจากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นมองผมที่ยังยืนมึนซึมอยู่ พี่ทัชไม่พูดอะไร เขาแค่ตะแคงศีรษะเป็นเชิงให้ขึ้นรถ

ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งเงียบๆ

เงียบกันอยู่นาน จนกระทั่งพี่ทัชขับออกจากมหา’ลัยถึงถนนเส้นหลัก เปิ้ลก็เอื้อมมือมาตบไหล่ผม “เฮ้ย อย่าคิดมาก แจ้งความแล้วเดี๋ยวก็ได้คืน”

“เราว่ายากนะ” เจษฎาพูด “ของญาติเราก็เคยหาย แจ้งความไปก็แบบ เงียบเลย”

“เจษ ปากมึงกินขี้มาเหรอ”

“ฮะ? เราเปล่า”

“งั้นก็หุบๆ ไว้หน่อย กูเหม็น”

“อ้อ หมายถึง เราพูดไม่เหมาะสมใช่มั้ย”

“เออ ไอ้นะฑีมันยิ่งเครียดๆ อยู่”

“นะฑี” เจษฎาเอื้อมมาตบไหล่ผม “คิดมากไปก็คงไม่ได้คืนตอนนี้หรอก ถึงแจ้งความอาจจะไม่ค่อยช่วย แต่นายอาจจะมีโชคก็ได้ คนเอาไปอาจจะเปลี่ยนใจเอามาวางไว้ที่เดิมก็ได้”

“อย่างที่เจษว่าแหละ” เปิ้ลพูดเสียงนุ่มลง “อาจจะโชคดีได้คืนแบบไม่ยากก็ได้ อย่าเพิ่งคิดมาก”

“เออ แต๊งกิ้วๆ เรื่องแค่นี้เอาคนอย่างกูไม่ลงหรอกน่า พวกมึงสองคนไม่ต้องไปที่ สน. ด้วยก็ได้นะ” ผมพูดบ้าง “รีบกลับบ้านเถอะ นี่เย็นวันศุกร์นะ เดี๋ยวรถติดหนักกว่านี้”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูกลับรถไฟฟ้า” เปิ้ลบอก

“แต่อีกแป๊บก็จะมืดแล้ว ซอยบ้านมึงเปลี่ยวไม่ใช่เหรอ มันอันตราย เผื่อมีใครลากตัวมึงไปตัดเนื้องอกทิ้งทำไง”

“ก็เป็นบุญหัวกูเลยแบบนั้น”

“กลับไปๆ ไอ้เจษก็ด้วย”

“เอางั้นเหรอ” เจษฎาพูด “เราขอโทษทีนะ ที่แบบพูดอะไรแล้วฟังดูเป็นการบั่นทอน”

“เฮ้ย กูไม่ได้โกรธอะไรมึง ขอโทษทำไมวะ”

“เราไม่รู้ว่ามือถือเครื่องนั้นมีความหมายกับนายแค่ไหน แต่ดูนายไม่โอเคเลย บาดแผลทางใจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าได้นะ นายไหวรึเปล่า”

“เจษ กูไหว แล้วก็นี่มีพี่ทัชอยู่ทั้งคน พวกมึงกลับไปเลย...พี่ทัชส่งพวกมันลงสถานีรถไฟฟ้าข้างหน้านี้แหละ”

พี่ทัชตีไฟเลี้ยว ก่อนจะชะลอจอดชิดริมทางเท้าอย่างนุ่มนวล

ผมลงจากรถมาพับเบาะหน้าเพื่อให้เปิ้ลกับเจษฎาออกได้ ก่อนจะกลับขึ้นรถตามเดิม โดยที่เปิ้ลแสดงอาการอาลัยอาวรณ์หน่อยๆ

“ขอบคุณนะพี่ รถเจ๋งมาก” เปิ้ลยกมือไหว้พี่ทัช “ฝากเพื่อนด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ” เจษฎาไหว้ตาม และลอกคำเกือบเป๊ะๆ “ฝากนะฑีด้วยครับ”

พี่ทัชรับไหว้พร้อมกับบอกว่า “กลับกันดีๆ”

“ขอบคุณครับ” เจษฎาไหว้อีกรอบ แล้วโน้มตัวลงมาพูดกับผม “นายไหวแน่นะ นะฑี ถ้าไม่โอเคยังไง โทรมาได้ตลอดเลยนะ”

เผียะ!

โดนเปิ้ลโบกกะโหลกไปที

“โทรพ่อง มือถือมันเพิ่งหาย”

“เอ้อ จริงด้วย งั้นก็เอาเครื่องแม่โทรมา หรือจะใช้ตู้หยอดเหรียญก็ได้นะ ได้หมด”

“เออๆ” ผมโบกมือปัดๆ “ไปละ วันจันทร์เจอกัน”

จากนั้นพี่ทัชก็ออกรถไปอย่างนุ่มนวลพอๆ กับตอนจอด การจราจรเย็นวันศุกร์คือนรกของแท้ มีเวลาเยอะแยะให้สำรวจข้าวของในรถ แต่ใจผมฟุ้งกระจายจนไม่จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน รับรู้แค่ว่าภายในรถค่อนข้างจะโล่ง และดีไซน์สิ่งต่างๆ ดูเป็นทรงกลม ในหัวผมเหมือนจะมีเรื่องให้พูดให้ถามเยอะแยะ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งซึมกระทืออยู่เฉยๆ

“เพื่อนเฮฮาดี” จู่ๆ พี่ทัชก็พูดขึ้น

“อือ ก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้แหละ”

ไม่มีใครพูดอะไรต่ออยู่นาน

รถหรูนี่มันนุ่มนวลจริงๆ กระจกก็ปิดกั้นเสียงจากภายนอกได้ดีสุดๆ

“เงียบ” พี่ทัชพูด อย่างกับผมไม่รู้จักว่าความเงียบคืออะไร

“...”

“เปิดเพลงฟังได้”

“ถ้าพี่จะฟังก็เปิด”

“มึงอยากฟังรึเปล่าล่ะ”

“ไม่รู้ อยากมั้ง”

“งั้นก็เปิด”

ผมถอนหายยาวๆ ไล่ความอึดอัดออกจากปอด ปลุกตัวเองให้คึกคักสดใสสมกับความเป็นนะฑี แล้วเอื้อมมือไปที่วิทยุ…

“เปิดยังไง”

พี่ทัชละมือมากดปุ่มเปิดให้ เสียงเพลงแนวป๊อปฟังสบายๆ ดังขึ้นด้วยระดับเสียงที่พอดี “เลื่อนเพลงตรงนี้ เพิ่มลดเสียงตรงนี้”

ผมอาจจะโง่เรื่องรถกับเครื่องเสียง แต่เรื่องเพลงนี่ผมไม่เป็นรองใครแน่นอน

“เฮ้ย พี่ฟังเพลงแบบนี้เหรอ นึกว่าหน้าอย่างพี่นี่จะฟังลูกทุ่งหมอลำอะไรแบบนี้ซะอีก”

แต่นี่คือเพลง I Like Me Better ของ Lauv หนึ่งในนักร้องเสียงหลบขั้นเทพ เสียงหลบบาดเข้าไปในไส้ หลบจนบีบกระเดือกร้องตามก็ยังควานหาคีย์ไม่เจอ

ผมแตะปุ่มเพิ่มเสียงสองสามทีแล้วเอนหลังพิงเบาะ ฟีลนี้ต้องใช้เพลงเยียวยาแล้ว หลับตา ฟังอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไร แต่อาจจะด้วยเครื่องเสียงโคตรดี พอถึงท่อนฮุคผมเลยเผลอร้องตามอย่างลืมตัว

“I like me better when I'm with you

I like me better when I'm with you

I knew from the first time, I'd stay for a long time cause

I like me better when I'm with you...”

“ชอบเพลงนี้” พี่ทัชพูดขึ้นหลังจากเพลงจบ

“นี่คือประโยคบอกเล่าหรือคำถามอะ”

“ถาม”

“ไม่ชอบจะร้องตามได้เหรอ ไงล่ะ เจอลูกคอระดับเทพเข้าไปช็อกเลยอะดิ”

“นิดนึง” เขากดปุ่มย้อนกลับไปเล่นซ้ำเพลงเดิม “ชอบเพลงนี้”

“อันนี้คือ...”

“ประโยคบอกเล่า”

เราเลยฟังซ้ำอีกรอบ ผมขยับกระเดือกเทวดาร้องตามด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ส่วนพี่ทัชจากที่นิ่งๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นเคาะนิ้วพลาสเตอร์กับพวงมาลัยเบาๆ

ราวกับว่า…

เสียงเพลงพาเราหลุดไปอยู่อีกโลก

โลกที่อากาศสดชื่น ไม่มีความหดหู่ซึมเซา

โลกที่มีแค่เราสองคนกับเสียงเพลง และผมรู้สึกชอบตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆๆ ตามความหมายในเนื้อเพลง

แต่พอเพลงจบลงเราก็เด้งกลับมาอยู่ในโลกใบเดิม พี่ทัชเลิกเคาะนิ้วตามจังหวะ กลับไปจับพวงมาลัยอย่างมั่นคง ส่วนผมก็ถูกความหดหู่แทรกซึมเข้ามาเกาะกินอีกครั้ง เพลงอื่นเล่นต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอน แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่ามันดังเกินไป เลยกดปุ่มลดเสียงลงหลายที

แล้วเราก็ฟังเพลงกันไปเงียบๆ

คนเราจะฟังเพลงเงียบๆ ได้ไง ก็ในเมื่อเพลงมันทำให้ไม่เงียบ แต่ในความรู้สึกผมมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

เพลงแนวสากลนิยมเพลงอื่นๆ เล่นต่อเนื่องไปประมาณสิบกว่าเพลงได้กว่าเราจะมาถึง สน. ท้องที่ ใช้เวลาแจ้งความอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ตอนเราเดินกลับมาที่รถก็ปาไปทุ่มกว่าแล้ว

“เดี๋ยวกูไปส่งบ้าน” พี่ทัชบอก

“รถติดนะ”

“พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่รีบ”

“ไม่เป็นไรๆ ส่งแค่รถไฟฟ้าก็พอ”

“บ้านอยู่ไหน” แค่ชี้มือ ยังไม่ทันได้บอกพิกัดเขาก็พูดต่อ “ทางผ่านบ้านกู” พูดแค่นั้นแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งทันที

ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งโดยไม่พูดอะไร พี่ทัชออกรถนิ่มๆ อย่างผู้ดี เพื่อออกไปพบกับการจราจรที่ติดนรกยิ่งกว่าเดิม “พี่เลือกจะไปส่งผมเองนะ ห้ามบ่น”

“กูยังไม่ได้บ่นอะไร”

“ก็ดักไว้ก่อน”

เขาหันมามองผม ปกติสายตาเขาก็อ่านยากอยู่แล้ว ภายใต้แสงสลัวแบบนี้ผมยิ่งเดาไม่ออก “เปิดเพลงหน่อย”

“ไม่อยากฟัง” ผมลองแหย่เขาเล่น

“เปิด”

“ครับผม ได้ครับท่าน” ผมกดปุ่มเปิดตามคำสั่ง

“เอาเพลงนั้นนะ”

“I Like Me Better น่ะเหรอ ได้”

ผมกดปุ่มเลื่อนย้อนกลับจนถึงเพลงที่ต้องการ “จะให้กดปุ่มเล่นซ้ำเลยมั้ยล่ะ ถ้าจะว้อนต์ขนาดนั้น”

“อืม”

“จัดไป”

ผมกดปุ่มเล่นซ้ำ เอนหลังฟังไปเงียบๆ พอถึงท่อนฮุคพี่ทัชก็พูดขึ้น “ไม่ร้องตามแบบตอนแรกล่ะ”

“หืม?”

“ร้องดิ”

“ทำไม ติดใจเสียงเทวดาของผมว่างั้น”

“ตลกดี” พี่ทัชพูดเสียงเรียบ “นานๆ จะมีเป็ดขึ้นมาร้องเพลงให้ฟัง”

 



____________________________

มาแล้วค่า XD
ขอโทษทีค่ะ มาอัพซะช้าเลย T T

พอดีเจอเดดไลน์เรื่องใหม่เอามีดจี้คออยู่ค่ะ (แง)
อ่านแล้วโอเคกันมั้ยคะ > <
ขอบคุณมากๆ ที่อ่านแล้วส่งคอมเมนต์มาให้นะคะ ยัก!

ลึกๆ แอบกังวลว่ามันแย่รึเปล่า อ่านแล้วชอบไม่ชอบตรงไหนบอกได้ตลอดนะคะ
จะพยายามตั้งใจพัฒนาเต็มที่เลย > <//

ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาอ่านนะคะ T T
ขอให้มีความสุขมากๆ นะคับบบบ
ฝากรักพี่ณทัชเยอะๆ นะคะ ส่วนนะฑีปล่อยไปฮะ คิ


นางร้าย
21.06.2019

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
นะฑีดูซึมไปเลย เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด ขอให้กลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิมในตอนหน้าน่้าน้องฑี

ออฟไลน์ mony

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เขียนเล่าได้เป็นธรรมชาติดีจังค่ะ รู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศเงียบลง

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เป็ดหงอย  :laugh: :laugh: :laugh:

ขำเดอะแก๊ง แต่ล่ะคนบ้าบอ ไม่ขาดก็เกิน

ชอบบบมากค่ะ มุกไหลลื่น ปากนะฑีไม่น่ารอดจนโตมาได้จริงๆ พี่ทัชคือเทพแห่งความสยบที่มีเจ้ากรรมนายเวรมาในรูปเด็กผีจ้อจี้   :hao3:

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
แงงง คนเขียนหายยยย :z3:

รอนะคะ

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
รอออออออออออ

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
ขอโทษที่หายไปนานอีกแล้วค่ะ พอเคลียร์ต้นฉบับที่จะออกงานหนังสือจบ
กำลังจะได้หายใจหายคอ ก็มีเรื่องต่างๆ ให้ต้องเคลียร์เข้ามาอีกเยอะเลยค่ะ /น้ำตาาา
สัตว์เลี้ยงที่บ้านก็มาป่วยหนักด้วยค่ะ วิ่งเข้าๆ ออกๆ รพ.หลายครั้งเลย
แต่ตอนนี้น้องไปสบายแล้ว T T แงงง ตั้งสติเพิ่งได้ค่ะ ฟื้นมาได้แล้ว

ตอนนี้นี้มาอัพให้ 2 ตอนนะคะ ตอนที่ 10 - 11

ขอบคุณมากๆ เลยค่า :D
เดี๋ยวช่วง 3-4 ทุ่ม มาลงตอนที่ 12 ให้นะคะ ^__^


_______________________________________


แตะต้องครั้งที่ 10
จับบบ…สุขสันต์วันครอบครัวผัวจะตบคบทำไมผมไม่อยากเจอพี่แล้ว

 

เราเคยมีบ้านเดี่ยวอยู่แถบชานเมือง บรรยากาศดี อากาศสดชื่น ผู้คนเป็นมิตร และหมาไม่กัด แต่นั่นก็นานมาแล้ว แต่วันดีคืนดีผมก็ยังคิดถึงมันอยู่

พี่ทัชชะลอรถจอดหน้าบ้านซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายมือตามที่ผมบอก ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีที่ว่างให้จอดหรอก เพราะถัดไปไม่ไกลก็จะถึงท้ายซอยซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดสดเจ๊เนียม ศูนย์รวมของสดและความวุ่นวายระดับสิบ นักช้อปขั้นเทพบางคนมักละเมิดสิทธิ์ชาวบ้าน จอดรถไว้เรี่ยราดตามริมทางแถวนี้แล้วเดินไปที่ตลาดแทน

ทั้งที่ค่ำวันศุกร์แบบนี้เป็นเวลาไพร์มไทม์ของตลาดเจ๊เนียมเลย แถมตอนนี้รถราใหญ่น้อยก็ยังวิ่งสวนกันอยู่แทบไม่ขาดสาย แต่พี่ทัชคงจะแต้มบุญเยอะ เลยมีที่ว่างสำหรับมินิคูเปอร์ของเขาตรงหน้าบ้านผมพอดี

“ขอบคุณที่มาส่งพี่ บาย”

“หิวน้ำ”

“นี่ไง” ผมเคาะขวดน้ำที่ตั้งอยู่ในรถ

“ไม่เย็น”

“พี่ไม่กินน้ำเย็นไม่ใช่เหรอ”

“กินน้ำเย็น แต่ไม่กินน้ำแข็ง”

“ขับเลยไปหน่อย มีเซเว่น”

แทนที่จะออกรถ เขากลับดับเครื่อง “อยากกินตอนนี้”

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งลง” ผมตะปบไหล่รั้งตัวเขาไว้ โน้มตัวมองลอดกระจกไปรอบๆ

“อะไร”

“แถวนี้หมาแม่งโหด กล้าเอาตูดมาเสี่ยงเหรอ”

“...”

“อย่างน้อยก็อาจจะน่องเหวอะอะ ใจปะล่ะ”

“...” พี่ทัชเปิดประตูลงจากรถ ผมรีบลงตามและเตรียมใช้บารมีเจ้าถิ่นฟัดกับไอ้พวกหมาโหด ห่างไประยะไม่ถึงสิบเมตร มีขาประจำตัวนึงเห่าเสียงเล็กเสียงน้อยทำท่าจะปรี่เข้ามา ยังดีที่เจ้าของซึ่งเป็นอาม่าหน้าตามึนๆ ผูกสายจูงรั้งคอมันไว้

“นั่นน่ะเหรอ หมาโหด พันธุ์ชิสุรึเปล่า”

“ถึงจะตัวเล็ก แต่มันโหดกว่าล็อตไวเลอร์อีกนะไอ้ตัวนี้...พี่เดินระวังๆ ด้วย มันชอบมาขี้หน้าบ้านผม”

พี่ทัชหัวเราะเหมือนจะเอ็นดูมัน เขาเดินอ้อมท้ายรถมาหาผมโดยไม่มีท่าทีหวั่นกลัวกองขี้หมาที่อาจจะดักทำร้ายจากภาคพื้นดินอยู่ตรงจุดไหนก็ได้

ผมกับพี่ทัชยืนอยู่ข้างกัน ทางขวามือคือมินิคูเปอร์ราคาหลายล้านของเขา ตรงหน้าคือห้องแถวโทรมๆ หนึ่งคูหาสองชั้นที่ผมกับแม่อยู่กันมาหลายปี ทางเข้าบ้านเป็นประตูเหล็กยืดแบบเลื่อนเปิดปิดจากด้านข้าง ซึ่งตอนนี้เปิดแง้มอยู่นิดๆ ให้ฟีลเดียวกับโกดังใกล้ร้าง

“ไง อึ้งเลยดิ”

“อึ้งเรื่องไร” พี่ทัชถามเสียงเรียบ

“นี่ไง” ผมผายมือใส่วิมานตรงหน้า “คนอย่างพี่อาจจะไม่เคยเสพสถาปัตยกรรมร่วมสมัยสไตล์นี้ไง”

“สวยดี”

“ถ้าพี่เข้าไปอาจจะผื่นขึ้นนะ หรือชักตายเลยก็ได้”

ครืดดด

“นะฑี” ยังไม่ทันที่พี่ทัชจะได้พูดอะไร แม่ก็เลื่อนประตูโผล่ออกมา หน้าตาตื่นเหมือนไม่เชื่อว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ “นะฑี ทำไมโทรไปไม่รับล่ะ”

“...”

“เกิดอะไรขึ้น” เสียงแม่เร่งร้อนขึ้น คงเพราะสีหน้าแย่ๆ ของผม

“โทรศัพท์หายน่ะแม่”

“เอ้า หายที่ไหน”

“เดี๋ยวค่อยเล่านะแม่ มัน…” เฮ้อ อย่างย้อนเวลาได้จริงๆ

ชั่วขณะหนึ่งผมคิดว่าแม่จะเข้ามากอดผม แต่แล้วก็ชะงัก เหมือนจะนึกได้ว่าโทรศัพท์หายไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น หรือไม่ก็เพราะมีพี่ทัชอยู่ด้วย

“พี่คนนี้เป็นพลเมืองดี เลยพาไปแจ้งความมาน่ะ แล้วก็พามาส่งด้วย” ผมเหลือบมองพี่ทัช คิดว่าเขาจะแนะนำตัวเอง แต่เขาก็มองผมอยู่เหมือนว่าผมยังพูดไม่จบ “ชื่อพี่ณทัช เป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย...พี่ นี่แม่บังเกิดเกล้าผม”

“สวัสดีครับ” พี่ทัชยกมือไหว้ แม่ก็รับไหว้ตามประเพณีอันดีงามของชาวสยาม

“ณธัชเหรอ ชื่อคล้ายๆ นะฑีเลย”

“คล้ายตรงไหน ชื่อเขาสะกดด้วย ณ.เณร ไม่มีสระอะด้วย” ผมแย้ง “ทัช ก็สะกดด้วย ท.ทหารอีก ไม่ใช่ ฑ.นางมณโฑแบบผม”

“ณทัช แปลกดีนะ แม่นึกว่าธัช ธ.ธง”

“เรียกทัชเฉยๆ ก็ได้แม่...หรืออยากให้แม่เรียกยังไง สุดหล่อ เทพบุตร หรืออะไรก็แล้วแต่นะ”

พี่ทัชมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนแม่นี่ตาเขียวปั้ดเลยทีเดียว

“เรียกทัชก็ได้ครับ”

“ทัช” แม่ทวนคำพลางยิ้ม “เข้าบ้านไปกินน้ำกินท่าก่อนมั้ย”

“เมื่อกี้นะฑีไล่ผมให้ไปซื้อน้ำที่เซเว่นกินครับ”

“เอ้า ไปพูดกับพี่เขาแบบนั้นได้ไง มาๆ เข้าบ้านก่อน”

“รบกวนด้วยนะครับ”

เราสามคนเข้าไปในบ้านโดยมีแม่เดินนำหน้านิดๆ พอเดินพ้นประตูเหล็กยืดเก่าๆ เข้าไปผมก็ลนลานเหมือนคนสติแตก เหมือนว่านี่ไม่ใช่ บ้าน ที่ผมอยู่มาหลายปี

“ทัชรีบกลับหรือเปล่า ถ้าไม่รีบ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ วันนี้แม่ทำกับข้าวเยอะเลย”

“ไม่รีบมากครับ ขอบคุณครับแม่”

“ตามสบายนะ...นะฑี ไปวุ่นวายกับชั้นรองเท้าทำไม แม่เรียงไว้ดีแล้ว หาน้ำให้พี่เขาสิ”

“แป๊บนึง” ใช่ แม่เรียงไว้ดีแล้ว ผมมาทำให้มันดูเละกว่าเดิม ตอนนี้ก็เลยเรียงใหม่ลวกๆ แล้วพุ่งไปที่ตู้เย็น ขณะที่แม่เดินหายเข้าไปในครัว “พี่จะนั่งตรงไหนก็เลือกเอานะ แล้วแต่ จะไปนั่งบนชั้นรองเท้าก็ตามใจ” ผมพูดโดยไม่หันไปมอง มือจัดดอกไม้ในแจกันบนหลังตู้เย็นอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วก็ลามไปจัดของจุกจิกบนชั้นวางด้านข้าง จัดทำไมก็ไม่รู้ ทั้งที่ตำแหน่งสิ่งของก็อยู่ที่ที่ควรอยู่ดีแล้ว

“เอาจานไปจัดนะ” แม่ออกมาจากครัว ยื่นจานที่ซ้อนเป็นตั้งใส่มือผม “เอ่า ยังไม่เอาน้ำให้พี่เขาอีกเหรอ”

“รู้แล้วน่า”

พี่ทัชนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว ผมเอาจานไปวางบนโต๊ะ เอาน้ำมาเสิร์ฟ แล้วก็เริ่มจัดจาน “ทำไมเลือกตรงนี้อะ นี่ที่นั่งประจำผมเลยนะ”

พี่ทัชย้ายไปนั่งตำแหน่งถัดไปโดยไม่พูดอะไร

“ไม่ต้องย้ายก็ได้ แค่ถามเฉยๆ ว่าทำไมเลือกตรงนี้” พูดจบปุ๊บ เขาก็ย้ายมานั่งที่เดิม “นี่คือพี่กวนตีนหรืออะไร”

“กูเปล่า”

ผมมองหน้าเขา “หิวน้ำไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นกินอะ”

พี่ทัชยกน้ำขึ้นจิบนิดๆ เหมือนแมวดม แล้วมองหน้าผมกลับ

“อันนี้คือกวนตีนของจริงละ” ผมพูดพลางเดินอ้อมโต๊ะไปจัดจานอีกฝั่ง อาจจะมีความสงสัยเจือในแววตาเขานิดๆ ผมเลยอธิบาย “จัดห้าที่ เดี๋ยวน้าเกดกับผัวแกจะมากินด้วย”

“อ้อ” เขาบอก ก่อนจะใช้นิ้วพลาสเตอร์เรียวๆ เอื้อมไปขยับช้อนส้อมด้านข้างให้องศามันเป๊ะ ยอมใจความคุณชายของพี่แกจริงๆ นี่เรากำลังจะดินเนอร์ในภัตตาคารกันเหรอ เล่นเอาผมต้องจัดเรียงช้อนส้อมฝั่งนี้ใหม่ให้เป๊ะไปด้วย

“เปิดพัดลมมั้ยล่ะ ร้อนเปล่า”

“เปิดดิ มึงร้อน”

“ผมไม่ได้ร้อน ผมถามพี่อะ”

“มึงเหงื่อออก”

เออ ใช่ ผมเหงื่อออก แต่ไม่ใช่เพราะอากาศร้อน เพราะทำตัวไม่ถูกเฟ้ย

ผมตัดสินใจเปิดพัดลมเบอร์เบาๆ และย้ายตำแหน่งพัดลมให้มันส่ายถึงเขา “อะ โอเคยัง”

“มึงโอเค กูก็โอเค”

นี่คือคำตอบ? เออ ผมรู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นะตอนนี้ ไม่รู้ว่าทำไม เห็นหน้าเขาแล้วมันทั้งประหม่า หมั่นไส้ แล้วก็...อะไรอีกบ้างก็ไม่รู้

“ห้องแถวก็งี้แหละ ร้อนก็ทน” ทำไมฟังดูเหมือนขยี้ตัวเองวะ

“กูไม่ได้ร้อน”

“มีแอร์แค่ชั้นบน ถ้าอยากเย็นกว่านี้ก็ต้องไปรอข้างบน เอาปะล่ะ หรือถ้าอยากหายใจโล่งๆ ก็ดาดฟ้าเลย”

“ไว้ค่อยวันหลัง”

“วันหลังไร ก็พูดๆ ไปงั้นอะ ใครจะให้พี่ขึ้นไปบนห้องนอนผมวะ”

“กูหมายถึงดาดฟ้า”

เพล้ง!

ไม่ใช่เสียงจานที่ไหนแตก เสียงหน้ากูเนี่ย

“มาช่วยแม่ยกกับข้าวออกไปหน่อย น้าใกล้จะถึงแล้ว...” แม่เดินยกของออกมาจากครัว โดยมีไอ้หมอนเน่าร้องแง้วๆ คลอเคลียขาออกมาด้วย “โอ๊ะๆ ทัชไม่ต้อง เป็นแขกนั่งเฉยๆ เลย แม่เรียกนะฑีน่ะ”

พี่ทัชที่กำลังจะลุกเลยนั่งลงตามเดิม แม่วางกับข้าวลงบนโต๊ะและกลับเข้าไปใหม่ ผมกำลังจะตามเข้าไปช่วยในครัว แต่เสียงนุ่มๆ ดังขึ้นซะก่อน “หมอนเน่า”

ไอ้แมวนรกทำหูผึ่ง มองหน้าแขกเหมือนจะสแกนระดับความอ่อนโยน...แล้วมันก็ร้องแง้วๆ เข้าไปเอาหัวถูขาเขาเลยจ้า

“ทำไมรู้ชื่อมันอะ”

“มึงเคยบอกในแชต” พี่ทัชบอกพลางเกาเหนียงมัน

“เอ้าเหรอ ทำไมผมจำไม่ได้”

“เพราะมึงความจำไม่ดี”

ด่าปวดตับอีกละ อยู่กับแมวไปละกัน

ผมเข้าไปในครัวช่วยแม่ลำเลียงเสบียงออกมาวางบนโต๊ะ จังหวะที่ผมจะตามแม่เข้าครัวไปอีกรอบ พี่ทัชก็พูดขึ้นอีก

“หิว”

“ถ้าคนจริงก็กินก่อนเลย เดี๋ยวตักข้าวให้”

“ไม่ใช่กู หมอนเน่าอะ หิว”

“เมี้ยว~”

“นี่ไง แมวจริง ขอกินก่อน” พี่ทัชยิ้ม และก้มลงไปเกาหัวมันเล่นต่อ

“ถ้าคุยกับมันรู้เรื่องก็บอกให้มันรอก่อน อย่าเหิมเกริมให้มาก” ผมเข้าไปในครัวอีก แต่อดที่จะหยุดเอี้ยวตัวชะเง้อมองไม่ได้ และก็เห็นพี่ทัชพยายามสื่อสารกับไอ้หมอนเน่าอยู่ มันนั่งอยู่บนพื้นแหงนหน้ามองเขา ส่วนเขากางมือไว้ตรงหน้ามันและพูดเบาๆ ว่า คอย คอย คอย…

นี่มันท่าฝึกหมาไม่ใช่เหรอ

ไอ้แมวนรกคงจะรู้เรื่องหรอก แต่ทำไมมันรับมุกวะ นั่งนิ่งมองหน้าเขาเฉ้ย บางทีมันอาจจะงงมากจนทำอะไรไม่ถูกก็ได้

ผมช่วยแม่ขนกับข้าวออกมาจนครบ จัดขึ้นโต๊ะเรียบร้อย แต่น้าเกดกับสามีก็ยังไม่โผล่มา ผมมองออกว่าแม่กำลังดึงเกมทำอะไรช้าๆ อยู่ ขณะที่ไอ้หมอนเน่าพอได้กลิ่นอาหารก็เริ่มโวยวายครวญครางอีกรอบ เลยเข้าทางการดึงเกมของแม่ไป

“หมอนนิ่ม หิวเหรอลูก” นั่นแหละ เสียงสองมาละ “มานี่มา มากินตรงนี้ เดี๋ยวแม่เอาข้าวให้”

แทนที่พี่ทัชจะปล่อยมัน เขากลับอุ้มมันไปตรงมุมบ้านที่มีถ้วยอาหารวางอยู่และขอแม่เป็นคนเทอาหารเม็ดให้มันเอง

แม่ถือโอกาสนั้นเดินกลับมาหาผม “น้าเกดอยู่ไหนแล้ว”

“ให้ผมลองโทรตามมั้ย”

“เอาสิ”

แล้วผมก็นึกได้ว่า ไอโฟนของผมไม่อยู่กับตัวแล้ว แม่ยิ้มขื่นๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์รุ่นโบราณที่ใช้อยู่ออกมา แต่ยังไม่ทันได้โทรหูก็ได้ยินเสียงน้าเกดแว่วๆ จากข้างนอก ต่อมเผือกของผมจับสัญญาณดราม่าได้ทันที

“เดี๋ยวผมไปดูเอง”

ผมปราดไปที่ประตู เอาตัวขวางตรงช่องแง้มระหว่างประตูไว้ แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ห่างไปไม่เท่าไหร่ น้าลูกเกดกับน้าเอ๊ดสามีศรีประเสริฐกำลังยืนโต้คารมกันอยู่ ฟังสามสี่ประโยคก็พอจับความได้ว่า ทะเลาะกันเรื่องว่าผัวไม่อยากมา แต่เมียบังคับให้มา แถมยังจู้จี้จุกจิกไปซะทุกเรื่อง

ทั้งคู่หันมาเห็นผม เลยหยุดชะงัก

“เข้ามา แล้วก็ทำตัวดีๆ” น้าเกดกดเสียงต่ำ ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มปลอมๆ และเดินนำหน้าสามี

“ไม่บอกให้กูแดกนมก่อนนอน แล้วก็ใส่ผ้าอ้อมให้กูด้วยล่ะ” น้าเอ๊ดบอก ตามด้วยคำสบถสั้นๆ ระดับเรตสิบแปดบวก

ผมเปิดทางให้ทั้งคู่เดินเข้าบ้าน น้าเกดสวมหน้ากากรอยยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่เนียน ส่วนน้าเอ๊ด หน้าตึงอย่างเปิดเผย แถมยังเอาไหล่ชนผมจนเกือบล้มด้วย

“รถใครจอดหน้าบ้านเหรอ” น้าเกดดัดเสียงแจ่มใส “สวยอะ”

ตรงข้ามกับสามีที่ภาษาข้างถนนมาเต็ม “ห่า รถคนรวยแม่งก็งี้แหละ อยากจอดไหนก็จอด”

“รถเพื่อนผม” ผมพูดเสียงต่ำ

“เพื่อน? นั่นน่ะเหรอ” น้าเอ๊ดมองพี่ทัชที่ตอนนี้ยืนอยู่ที่มุมบ้านกับไอ้หมอนเน่า แล้วก็หันมาเผชิญหน้ากับผม “อายมั้ยพาเพื่อนมาเห็นสภาพบ้านแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะหาที่อยู่ใหม่วะ จอดรถโคตรยาก...อะไร มองหน้า”

ปึก!

“พูดจาให้มันดีๆ ดิ๊” น้าเกดเข้ามาผลักหน้าอกสามี ดีแล้วที่น้าเกดเข้ามาผลัก ไม่งั้นผมอาจจะเผลอต่อยหน้าแกไปแล้ว

“พูดไม่ดีตรงไหน ต้องให้เทศน์เหมือนพระเหรอ แล้วไหนอะกินข้าว จะได้รีบกินรีบกลับ”

เงียบกริบกันหมด

แต่ละคนทำตัวไม่ถูก

ในที่สุดแม่ก็เป็นคนพูดขึ้นก่อน “เอ้อ นั่นสิ กินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมด...ทัช มาๆ”

เราทุกคนมานั่งที่โต๊ะทานข้าว

แม่นั่งหัวโต๊ะ น้าเกดกับผัวปากหมานั่งข้างกันที่ฝั่งหนึ่ง ส่วนผมกับพี่ทัชนั่งอีกฝั่ง ทีแรกผมจะนั่งเก้าอี้ตัวไกลสุดเพื่อจะได้เผชิญหน้ากับน้าเอ๊ดจังๆ แต่พี่ทัชดันตัวผมให้ไปนั่งใกล้กับแม่ ส่วนเขานั่งตำแหน่งถัดมาซึ่งตรงข้ามกับน้าเอ๊ดแทน

ต่อมาผมค่อยตระหนักว่า นี่คือเก้าอี้ตำแหน่งประจำของผมเอง

แม่แนะนำพี่ทัชให้รู้จักคู่ผัวเมีย ซึ่งน้าเกดกับพี่ทัชไหว้กันอย่างดี แต่คนเป็นผัวนี่รับไหว้เหมือนคนไม่มีการศึกษา

“ทีนี้ก็กินกันได้เลย” แม่บอก ยังคงเงียบกันทั้งโต๊ะ บรรยากาศอึมครึมราวกับเมฆฝนก่อตัวขึ้นภายในบ้าน

พี่ทัชไม่พูดอะไร ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะเขาเป็นแขก และนิสัยก็พูดน้อยอยู่แล้ว

น้าเกดที่ปกติพอเจอหน้ากันจะแข่งกันปล่อยมุกกับผม ตอนนี้ได้แต่นั่งหน้าตึงเหมือนจะกินข้าวไม่ลง ตรงข้ามกับน้าเอ๊ดที่ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่สนใจใคร ท่าทางคงอยากกลับบ้านเต็มทน

ผ่านไปสองสามนาที เป็นแม่อีกที่พูดขึ้น “เอ้อ แม่ว่าจะถาม ทัช มือไปโดนอะไรมา เห็นติดพลาสเตอร์ทุกนิ้วเลย”

“เปล่าครับ ชอบติดเฉยๆ” พี่ทัชตอบสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ

“แฟชั่นอะแม่” ผมช่วยแก้ตัวให้ ซึ่งพี่ทัชไม่ว่าอะไร น้าเกดกับน้าเอ๊ดก็แค่เหลือบมอง

“อ้อ” แม่ยิ้มให้เขา ก่อนจะหันมาทางผม “แล้วนะฑี เรื่องที่โทรศัพท์หาย...”

“ผมลืมไว้ในห้องน้ำน่ะ กลับไปอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว”

“ในมหา’ลัยน่ะเหรอ”

“อื้อ”

“แล้วได้ดูกล้องวงจรปิดมั้ยว่าใครเอาไป”

“ตรงนั้นมันไม่มีกล้องอะแม่” ผมถอนหายใจ “จริงๆ ก็สงสัยอยู่คนนึงแหละ แต่…เอาเถอะ ยังไงมันก็เป็นความผิดผมเอง”

ผมมองหน้าแม่ พยายามแล้วที่จะไม่แสดงสีหน้าแย่ๆ ออกไป แต่ก็ทำไม่ได้

“ขอโทษนะแม่ แม่อุตส่าห์ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด แต่ดันรักษาของไม่ดีเอง”

“ไม่เป็นไรๆ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ คนที่ไม่ดีน่ะคือคนที่เอาไปต่างหาก งั้นเอาของแม่ไปใช้ก่อนมั้ย” แม่ควักมือถือรุ่นแทบจะยุคแรกเริ่มของหน้าจอทัชสกรีนขึ้นมา “เก่าหน่อย แต่ก็ยังใช้ดีอยู่นะ”

“ไม่เอาอะ เครื่องแม่เอาไว้ติดต่อกับลูกค้าที่โทรมา”

“งั้นเดี๋ยวแม่จ่ายค่าเช่าร้านเดือนนี้ แล้วเดี๋ยวซื้อให้ใหม่นะ เดี๋ยวนี้มันเท่าไหร่ รุ่นที่ใช้อยู่น่ะ”

“ไม่เป็นไรแม่ ผมยังไม่ใช้ก็ได้ ไม่จำเป็นอะ เดี๋ยวผมหาทางเอง”

“เดี๋ยวน้าดูๆ ให้” น้าเกดพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอกน้า เกรงใจ”

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ น้าเอ๊ดก็ควักมือถือออกมาเลื่อนอ่านข้อความใหม่ที่เพิ่งเข้ามา “ต้องไปละ”

“ผู้หญิงใช่มั้ย” น้าเกดสวนทันที

“ลูกค้า”

“ลูกค้าอะไร นี่เลิกงานแล้ว พรุ่งนี้ก็วันหยุด”

“ธุรกิจเดี๋ยวนี้มีวันหยุดเหรอวะ โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว แหกตาดูบ้าง ลูกค้านัดตอนไหนก็ต้องไปตอนนั้น กูก็บอกแล้วไงว่าติดงานๆ ไม่อยากมา แม่งก็จะลากมาให้ได้”

ขึ้นมึงขึ้นกูแล้ว

เหมือนกับว่าเราสามคนไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย ถ้าเราไม่ได้อยู่ตรงนี้จริงๆ ก็คงดี โดยเฉพาะพี่ทัช ผมพยายามนึกภาพหลอกตัวเองว่าตอนนี้มีแค่คนในครอบครัวเรา แต่พี่ทัชกลับตบขาผมเบาๆ อยู่ใต้โต๊ะ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าความจริงคือเขานั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่เอง

“เอามือถือมาดู” น้าเกดยังพยายามพูดเรียบๆ แต่มือกำช้อนส้อมแน่น

“ประสาท มึงนี่ดูละครมากไปแล้ว”

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องไป”

น้าเอ๊ดยกน้ำดื่ม แล้วลุกจากโต๊ะ “กลับแท็กซี่เองละกัน”

น้าเกดลุกพรวดเข้าไปดึงเสื้อไว้ “กูบอกไม่ให้ไปไง”

“ไรของมึงเนี่ย กูจะไปทำงาน”

“กลับมากินข้าว”

“นี่เมียหรือแม่วะ ปล่อย”

“ไม่”

ตอนนี้เราลุกจากที่นั่งกันหมด ผมยืนก้มหน้ามองมือตัวเองที่กำส้อมแน่นอยู่บนโต๊ะ พี่ทัชขยับเข้าใกล้ผมและเลื่อนมือมากำข้อมือผมไว้ คงเพื่อดึงสติผมกลับมา แต่แทนที่มือผมจะคลายส้อมออกกลับกำมันแน่นกว่าเดิม

ความเงียบกดดันลงมา

“...”

“...”

ทั้งคู่มองหน้ากันระยะประชิดโดยไม่พูดอะไรต่อ น้าเกดยังขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นจนชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกง ส้อมในมือผมสั่น นึกเห็นภาพตัวเองพุ่งเข้าไปใช้มันเสียบน้าเอ๊ดแล้วด้วยซ้ำ ยังดีที่มีมือพลาสเตอร์ของพี่ทัชกำรอบข้อมือผมอยู่ เขาแค่กำหลวมๆ แต่กลับช่วยให้ผมรู้สึกมั่นคงจนยืนเฉยอยู่ได้

“จะปล่อยไม่ปล่อย” น้าเอ๊ดทำลายความเงียบ

“ไม่”

“แม่ง!”

สุดท้ายฝ่ายสามีก็สะบัดออกเต็มแรงจนน้าเกดเซถอยหลัง และเป็นแม่ที่ปราดเข้าไปช้อนตัวไว้ได้ทัน ไม่งั้นอาจจะล้มหัวฟาดไปแล้ว

“เออ! อยากไปก็ไป” น้าเกดขืนตัวออกจากแม่ คว้าจานข้าวของน้าเอ๊ดที่ยังกินไม่หมดปาตามหลังเจ้าตัวที่เดินหุนหันออกไป “ไปเลย ไป๊!”

จานข้าวลอยออกนอกบ้านแตกดังเพล้ง เม็ดข้าวหกเรี่ยราดสาดกระจาย

แล้วน้าเกดก็ซบหน้ากับฝ่ามือปล่อยโฮเสียงดัง

ถ้าก่อนหน้านี้มีเมฆฝนก่อตัวในบ้านจริง ตอนนี้ฝนก็ตกแล้ว เป็นฝนล่องหนที่ชวนให้รู้สึกเย็นเฉียบและรอบตัวมืดหม่นลง ผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกหวิวเล็กน้อยตอนพี่ทัชปล่อยมือและผละออกไป

เขาผละไปเล่นกับไอ้หมอนเน่า คล้ายกับว่าอยากเว้นพื้นที่ให้คนในครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน

น้าเกดยังร้องไห้ โดยมีแม่ประคองพาไปนั่งที่โซฟา

ผมยืนเงียบอยู่เกือบนาที ก่อนจะขยับตัวเดินเข้าไปหาพี่ทัชที่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเกาหัวหมอนเน่าอยู่ “พี่…” เขาอุ้มหมอนเน่าขึ้นยืนเต็มความสูง “พี่อยากกลับรึยัง”

“ได้” พี่ทัชตอบสั้นๆ หันไปพูดกับหมอนเน่าพร้อมกับเกาคางมัน “กลับแล้วนะ” แล้วก็ปล่อยมันลงพื้น

ผมเดินนำพี่ทัชมาที่โซฟา จงใจพูดเสียงดังเพื่อให้ทั้งคู่รู้ตัวก่อน “แม่ น้าเกด เดี๋ยวพี่ทัชกลับแล้วครับ” พี่ทัชยกมือไหว้ลาทั้งคู่ มีแค่แม่คนเดียวที่รับไหว้ ส่วนน้าเกดยังสะอึกสะอื้นเหมือนจะไม่รับรู้อะไร

เราก้าวผ่านช่องแง้มประตูเหล็กยืดเก่าๆ ออกมาข้างนอก

ออกมาสู่โลกกว้าง แต่ยังก็ชวนให้อึดอัดไม่แตกต่างกับภายในบ้าน

ผมก้าวข้ามจานแตกๆ นำพี่ทัชไปหยุดอยู่ข้างมินิคูเปอร์ของเขา เขาหยุดยืนอยู่ข้างผม เรามองเลยหลังคามินิคูเปอร์ไปยังอีกฝั่งของถนนโดยมีห้องแถวโทรมๆ ที่เป็นบ้านของผมอยู่เบื้องหลัง ผมมองตึกฝั่งตรงข้าม แต่ไม่รู้จะโฟกัสสายตาที่จุดไหน ส่วนพี่ทัชอาจจะมองเลยไปไกลกว่านั้น

ไม่มีใครพูดอะไร

ไฟข้างถนนเก่าจนทำให้ทุกอย่างดูเป็นสีเหลืองซีด ลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวหอบกลิ่นขยะโชยมาจากทางท้ายซอย ห่างไปสักสองสามช่วงตึก มีเสียงผัวเมียหรืออาจจะเป็นแม่กับลูกตะโกนด่ากันแบบที่เกิดขึ้นอยู่ประจำดังแว่วมา

“ชื่อหมอนนิ่มต่างหาก” ในที่สุดพี่ทัชก็พูดขึ้น “ไม่ใช่หมอนเน่า”

เสียงทุ้มนุ่มของเขาน่าฟังมาก แต่ตอนนี้มันกลับเป็นเหมือนมีดคมๆ กรีดเปิดแผลอักเสบในใจผม จนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“ขอโทษ”

“เรื่องอะไร”

“...”

ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองขอโทษเรื่องอะไร

มันก็แค่…

พี่ทัชไม่ควรจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้

“ไปช่วยหมอนเน่าเก็บโต๊ะไป” พี่ทัชตบไหล่ผมสองที แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตู “เจอกันวันจันทร์” เขาบอกส่งท้ายก่อนจะสอดตัวเข้าไปนั่งในรถ

“...”

ผมพูดไม่ออก ขณะที่ในใจมีเสียงตะโกนว่า

ไม่

ผมไม่อยากเจอพี่แล้ว




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 11

จับบบ…ไม่มี Mr.Slip เลยไม่ Sleep รีบเดินไม่หันกลับ ถ้าพี่จะจับน้องขอสับขาวิ่ง



เสาร์อาทิตย์ผมไปช่วยงานแม่ที่ร้านดอกไม้ทั้งวัน และเวลาก็ผ่านไปโคตรเร็ว

จนตอนนี้เวลาห้าทุ่มครึ่งของคืนวันอาทิตย์ ผมอาบน้ำ สวมกางเกงนอนเรียบร้อย แล้วมาทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียง พยายามข่มตานอนให้หลับเพื่อพรุ่งนี้จะได้เป็นเด็กไทยใส่ใจการศึกษา พาชาติมั่นคง ตามที่คำขวัญวันเด็กปีนี้...หรืออาจจะปีก่อนนี่แหละกล่าวไว้

ไปช่วยหมอนเน่าเก็บโต๊ะไป

เจอกันวันจันทร์


พอๆ เลิกคิด

นอน

อยากรู้จริงๆ ใครเป็นคนพูดว่าการนอนหลับคือการพักผ่อนและผ่อนคลายที่ดีที่สุด

ผมเรียนรู้ตั้งแต่มัธยมแล้วว่ามันไม่จริง เพราะต่อให้นอนหลับ เรื่องเฮงซวยก็ยังตามมาป่วนในฝันจนสะดุ้งตื่นมานั่งเหงื่อแตกได้

วิธีผ่อนคลายที่ดีที่สุด คือการหัวเราะต่างหาก

และผมมีท่าไม้ตายเป็นของตัวเองอยู่ ถ้าอยากหัวเราะแบบเร่งด่วน ผมจะเข้ายูทูบ พิมพ์ในช่องค้นหาว่า The Best Snow Shoveling Fail of All Time แล้วจิ้มที่คลิปแรก ในคลิปไม่ได้มีอะไรมากมาย มีแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมตั้งชื่อให้ว่า Mr. Slip กำลังใช้พลั่วโกยหิมะออกจากถนน แต่เฮียแกดันลื่นซ้ำๆ ต่อเนื่องอย่างกับเต้นบีบอย ก่อนที่สุดท้ายจะเหวี่ยงพลั่วทิ้งด้วยฟีลแบบว่า ช่างแม่ม

ผมรู้ คนเราไม่ควรจะหัวเราะความผิดพลาดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่คลิปนี้มันสุดจริง ความยาวคลิปก็แค่สิบวินาที แต่ฮาได้ฮาดี ฮาขี้แตกแหกไส้ ดูทีไรก็ไม่เบื่อ

คืนนี้ผมนอนไม่หลับ

จะดู Mr. Slip ก็ไม่มีมือถือ

เอางี้ละกัน ลุกขึ้นมาเต้นท่า  Mr. Slip แล้วแกล้งหัวเราะดังๆ จากนั้นก็นอนหลับปุ๋ยไปอย่างมีความสุข...ถุย! นอนมองเพดานเป็นชาติแล้วก็ยังไม่หลับ ลองหลายวิธีแล้ว สุดท้ายใช้วิธีบ้านๆ ละกัน นับลูกแมวกระโดดข้ามคลอง...ไม่เอา นับลูกแมวกระโดดข่วนหน้าพี่เห็ดดีกว่า แต่ก็นึกภาพยาก ใจผมคอยแต่จะนึกถึงพี่ทัช นึกเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของเขาในสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่น้าเอ๊ดเผาบ้านเผาเมืองเมื่อตอนเย็นวันศุกร์

ไม่

ผมยังไม่พร้อมเจอเขาพรุ่งนี้ คราวนี้เป็นผมที่จะหลบหน้าบ้าง

ตามนั้นแหละ

โอเค นอน

ลูกแมวข้ามหัวพี่เห็ด ตัวที่หนึ่ง…

ลูกแมวข่วนหน้าพี่เห็ด ตัวที่สอง…

ลูกแมวซุกในอกพี่ทัช ตัวที่สาม…

ห่า!

ลูกแมวจกตาพี่เห็ด ตัวที่สี่…

ลูกแมวทำท่าบ้าๆ บอๆ อีกประมาณ...สองร้อยตัวได้มั้ง ใครเป็นคนคิดวิธีนี้วะ ยิ่งต้องมาคอยจำว่านับไปกี่ตัวนั่นแหละยิ่งจะทำให้ไม่หลับ จากที่เห็นแมวลอยแวบผ่านไปๆ นี่ คิดแบบเหมาๆ เลยละกันว่าประมาณห้าแสนกว่าตัว

ในที่สุดผมก็ผล็อยหลับไปจนได้ ซึ่งน่าจะด้วยความเหนื่อยมากกว่าวิธีนับแมว

มารู้ตัวอีกทีเพราะเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้า กริ๊งงง! ต้องใช้รุ่นโบราณแบบนี้แหละ ไม่งั้นไม่ตื่น ผมเอื้อมไปหยิบมากดปิด ขอนอนต่ออีกห้านาที...แล้วก็เลยเถิดปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เลยต้องลนลานลุกมาอาบน้ำแต่งตัวและงดมื้อเช้าไปตามระเบียบ ผมเต้นท่าลื่นน็อนสต๊อปของ Mr. Slip เพื่อตุนพลังบวก แล้วค่อยพุ่งตัวออกจากบ้าน เพราะยังไงชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อ

แต่จะมามัวเดินทอดน่องทอดปลาอยู่ไม่ทันแน่นอน ผมตัดสินใจวิ่งไปวินตลาดเจ๊เนียม แล้วขอให้พี่อี๊ดแว้นไปส่งที่มหา’ลัยเหมือนวันนั้น ปรากฏว่าเข้าห้องเรียนภาคเช้าทันอย่างฉิวเฉียดพอดี

อาจารย์ก็เทศนาไปตามปกติ

แต่แปลกที่วันนี้ผมตั้งใจฟัง ไม่หลับเลยตลอดทั้งคาบ แถมยังจดเลกเชอร์เนื้อหาบางช่วงที่น่าจะเอาไปปรับใช้กับร้านดอกไม้ได้ด้วย

จนถึงเวลาพักเที่ยง ผมกับเดอะแก๊งก็เดินไปที่โรงอาหารคณะด้วยกัน

“เป็นไง นะฑี ได้เรื่องยัง” เปิ้ลถาม

“มึงจะเอาเรื่องไหน กูเรื่องเยอะ”

“มือถือดิวะ”

“ก็แจ้งความ ทำทุกอย่างตามที่เทพทั้งหลายในเน็ตบอกอะ แต่ไอ้พี่จ่าที่รับแจ้งความบอกว่ายังไงก็ตามยาก”

“ไม่ใช่จ่าหรอกมั้ง ต้องเป็นตำรวจยศนายร้อยขึ้นไปนะ ถึงจะรับแจ้งความและมีอำนาจสอบสวนได้” เจษฎาให้ข้อมูล

“กูไม่รู้อะ ก็หน้าตาเหมือนจ่า”

“อย่าตัดสินคนที่หน้าตาสิครับ”

“ครับ เพื่อนเจษ” ผมยกมือไหว้ “กูขอโทษครับ”

แล้วก็เสือกรับไหว้ด้วยนะ “ไม่เป็นไร ไหว้เราทำไม เดี๋ยวอายุสั้น”

“กูว่าป่านนี้มือถือมึงโดนแยกชิ้นส่วนไปขายมาเลย์แล้วมั้ง” เปิ้ลว่า

“มือถือหรือมอไซค์วะนั่น”

“เอาเถอะ” เปิ้ลตบไหล่ผม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่พี่ทัชไปส่งบ้านเป็นไงมั่งอะ”

ผมสะดุดเกือบหัวทิ่ม “ก็ดี”

“ดียังไง เล่าดิ๊”

“ก็...บันเทิงดี กินข้าว เล่นกับแมว ดูคนตบกันตลาดแตก” คิดไม่ทัน เลยพูดเลียบๆ เคียงๆ ความจริงไป แต่ก็ดี บางทีความจริงนั่นแหละที่ดูไม่น่าจริงที่สุด

“มีคนตบกันด้วยเหรอ” เจษฎาถาม

“เออ แถวบ้านกูแม่งเถื่อน ตบกันบ่อย”

“แล้ววันนี้ไม่แวบไปหาพี่เขาเหรอ” เปิ้ลถามอีก

“ไม่อะ กูหิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย ตั้งแต่เช้ายังไม่มีปลวกตกถึงท้องสักตัว พวกมึงเดินเร็วๆ ดิ๊”

เราหาที่นั่งในโรงอาหารแล้วสั่งกะเพราไข่ดาวอย่างด่วน ผมบังคับพวกมันให้สั่งเหมือนกันจะได้ทำทีเดียวเร็วๆ ระหว่างที่รอก็ไปสอยลูกชิ้นปิ้งมาเยียวยากระเพาะก่อน

“กูว่ามึงไม่ต้องแวบไปแล้วว่ะ” เปิ้ลพูดขึ้น “พี่แกมานั่นแล้ว”

ผมหันขวับไปมอง ลูกชิ้นที่เพิ่งถูกงับร่วงจากปากกลิ้งขลุกๆ ไปบนพื้น พี่ทัชกำลังเดินสบายๆ มาทางนี้ ไม่ใช่แค่โต๊ะเราที่มอง สายตานับสิบๆ คู่ของชนเผ่าชาวบริหารก็เหลือบไปมองด้วย

“มากับกูหน่อย” พี่ทัชพูดเสียงเรียบทันทีที่มาถึง

ผมรีบยกขวดน้ำกระดกจนเลอะปากและคาง “พี่มาทำไรที่นี่อะ”

“มาหามึงไง”

เปิ้ลกับเจษฎาเหมือนจะหาจังหวะยกมือไหว้สวัสดีไม่ถูก ทั้งคู่เลยทำมือเหมือนจะเตรียมเซิ้งหมอลำ “หวัดดีครับ” พี่ทัชเป็นฝ่ายทักทายก่อน ทั้งคู่เลยได้จังหวะประกบมือไหว้สักที แต่พี่ทัชรับไหว้อย่างไม่ติดขัด “ขอยืมตัวนะฑีหน่อยนะ”

“ไปไหน” ผมถาม ยังไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ

“มาเถอะ”

“พาไปฆ่าหมกป่าเหรอ”

“เดี๋ยวค่อยบอก”

“รู้ละ จะจับไปขังใส่กุญแจมือ แล้วก็ให้ใช้เลื่อยหั่นขาตัวเองใช่ปะ เหมือนในหนังอะ งั้นไม่ไปละ ผมกินข้าวอยู่นี่ดีกว่า”

พี่ทัชมองหน้าผม แวบนึงสายตาเขาแทบจะเหมือนคนโตๆ มองเด็กสองขวบ “ตามใจ” เขาพูดแค่นั้นแล้วก็หันหลังเดินออกไปเลย

ไม่รับมุกเลยวะ

เอาไงล่ะทีนี้

“กูควรตามไปใช่มะ” ผมถามลอยๆ

“ถ้าโดนฆ่าหมกป่าก็มาเข้าฝันกูละกัน ว่าศพถูกทิ้งไว้ที่ไหน” เปิ้ลบอก

“ถ้าถูกเลื่อยอวัยวะจนขาด ให้หาถุงใส่นะ” เจษฎาเสริม “แล้วก็เอาใส่ถังน้ำแข็งที่ผสมน้ำด้วย ไม่งั้นเนื้อจะตาย แล้วรีบไปโรงพยาบาล หมออาจช่วยต่ออวัยวะคืนได้”

“กูคงตายตั้งแต่หาถุงมาใส่มือหรือตีนที่ถูกตัดแล้วล่ะเจษ”

“ยังไงก็ต้องพยายามดูอะ แต่เราว่า ถ้าพี่เขาเป็นโรคจิตจริง อาจจะแค่ตัดนิ้วล่ะมั้ง”

“พวกมึงกินกันไปละกัน” ผมตัดสินใจตามพี่ทัชไป

เปิ้ลร้องตามหลังเสียงดัง “แล้วใครจะจ่ายค่าข้าวมึงวะ เฮ้ย นี่ป้าทำจะเสร็จแล้ว”

“เอาไปคืนป้า”

“มึงจะบ้าเหรอ”

“ไม่งั้นก็เทให้หมามันกิน”

“กูถามว่าใครจะจ่ายเงินโว้ย ไอ้นะฑี…”

ใครจ่ายไม่รู้ละ ผมเดินพ้นโรงอาหารออกมาแล้ว มองซ้ายมองขวา ก็ยังไม่เห็นแผ่นหลังกว้างๆ ของคุณชาย ผมเลยตัดสินใจเดินย้อนรอยไปตามทิศอันเป็นที่ตั้งของตึกคณะจิตวิทยา แล้วก็พบเขาเดินอยู่ระหว่างทางตามคาด แต่นั่นคือกำลังทำอะไร เขาจะใช้มือแตะระพุ่มไม้ประดับตรงริมทางเดินเล่นไปด้วย ราวกับกำลังแปะมือทักทายพวกมัน

ผมจับตามองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปเดินประกบด้านข้าง พี่ทัชชักมือกลับมาปัดฝุ่นสองสามที

“อารมณ์ศิลปินเหรอ”

เขามองหน้าผม “อะไร”

“แตะมือไฮไฟว์กับต้นไม้ใบหญ้าไรงี้”

“ไหนบอกจะกินข้าว” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ก็พี่จะพาไปไหนล่ะ” ส่วนผมดึงกลับเข้าเรื่องสำคัญ

เขาเงียบไปอึดใจ “กูพอจะรู้จักมัน”

“ใคร”

“คนที่มึงบอกเอามือถือไป ชื่อเป้ ตอนรับน้องปีหนึ่งมันกับเพื่อนชอบมีเรื่อง”

“ยังไง”

“ก็เรื่องต่อยตีน่ะ กูถึงไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับคนแบบนั้น”

“ผมไม่กลัวหรอก ถ้าเจอตัวจะเตะให้แม่งริดสีดวงแตกเลย ตอนนั้นผมไม่อยากให้เปิ้ลกับเจษมาเดือดร้อนไปด้วยแค่นั้นแหละ”

“ไปมีเรื่องกับมัน เดี๋ยวมันก็ตามมารังควานไม่เลิก”

“ช่างแม่งดิ...แล้วนี่จะไปไหน”

“คณะวิทย์” พี่ทัชตอบเรียบๆ “ไปคุยกับมันหน่อย”

“เอ้า เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่ให้ยุ่ง”

“กูไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับมันตอนกูไม่อยู่ด้วย”

ช็อก

นี่อารมณ์ไหนวะ

หรือว่าความจริงพี่แกเป็นคาราเต้สายดำ แค่คิดก็มันส์แล้ว อยากจะหยุดผูกเชือกรองเท้าให้แน่นกว่านี้จริงๆ เผื่อสถานการณ์ไม่ดีจะได้ใส่เกียร์หมาหนีได้ทัน

ไม่กี่นาทีต่อมาเราก็มาถึงตึกคณะวิทย์ ผมจำได้ มันบอกว่าถ้าอยากมีเรื่องก็มาที่หลังตึกได้ เราก็เดินอ้อมไปหลังตึก และก็เจอตัวจริงๆ ไอ้เป้กับเพื่อนอีกสามคนนั่งสุมหัวอยู่ที่ม้าหินอ่อน

พี่ทัชหยุดยืนกระทันหัน ท่าทางสงบอย่างกับจะเดินเข้าวัด ส่วนผมนี่ยืนไม่ติดจนต้องเขย่าขาดิ๊กๆ

“เอาไงต่อ” ผมถาม

พี่ทัชไม่ตอบ แต่มือที่กำรวบเป็นกำปั้นหลวมๆ อยู่ข้างตัวนี่ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดพอแล้ว

“หาหินหรือไม้ก่อนมั้ย อย่างน้อยก็ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น…” แต่พี่แกหาได้ฟังไม่ เดินกำมือดุ่ยๆ เข้าไปแล้ว

ชิบ!

จะมัวมาโอ้เอ้อยู่ตรงนี้คนเดียวก็เสียวสันหลังโว้ย ลุยเป็นลุยวะ

ผมก้าวตามพี่ทัชไปติดๆ ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากพวกนั้นประมาณ...สี่ห้าก้าวได้ ส่วนพี่ทัช เข้าไปประชิดตัวไอ้เป้และจับแขนมันทันที

หมับ!

เอาแล้วๆ

เอ้า! นั่น มือที่จับแขนไอ้เป้มีพลาสเตอร์ไม่ครบทุกนิ้วด้วย

นิ้วกลางเขาเปลือยโล่งเลย

กล้ามเนื้อผมตื่นตัวเต็มที่ ระบบประสาททำงานเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะหู จากเดิมที่หูตื้อๆ ตันๆ ฟังอาจารย์สอนไม่ค่อยได้ยิน ตอนนี้กลายเป็นหูทิพย์ขึ้นมาเฉย

“กูมีคำถาม” พี่ทัชพูด

“อะ…” ไอ้เป้ถึงกับอึกอัก มันยืดตัวตรง มองหน้าพี่ทัชแบบมึนๆ เพื่อนอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยมองหน้ากันเหมือนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ตอนเย็นวันศุกร์ มึงเอามือถือที่คนลืมไว้ในห้องน้ำไปใช่มั้ย”

“ชะ...ใช่”

“ได้เปิดดูอะไรในเครื่องมั้ย”

“ไม่ มันล็อก” ไอ้เป้เหงื่อแตกพลั่ก หันมองเลิ่กลั่กอย่างมีพิรุธ มันพยายามจะแกะมือพี่ทัชออก แต่เขาจับแขนมันไว้แน่นกว่าเดิม หรือมองเผินๆ อาจจะเหมือนว่ามันไม่กล้าแกะออกแรงๆ ก็ได้ ทำให้เพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับอึ้ง ไม่ว่าตอนปีหนึ่งมันจะเคยก่อวีรกรรมอะไรก็ตาม ตอนนี้มันดูแตกตื่นโคตรๆ

“แล้วตอนนี้มือถืออยู่ไหน”

“ขายแล้ว”

“ที่ไหน”

“มาบุญครอง”

“ชื่อร้านอะไร”

“กะ...กูจำไม่ได้ มึง...ทำอะไรกูวะ”

พี่ทัชปล่อยมือกึ่งผลัก ทำให้มันทรุดลงนั่งอย่างมึนงง ถ้าไม่ได้เพื่อนจับไหล่ไว้อาจจะหงายหลังร่วงจากม้านั่งก็ได้ “พวกมึงคบกับโจรก็ระวังตัวไว้หน่อยละกัน” เขาพูดเรียบๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกมา สีหน้าสุขุมเยือกเย็นเหมือนนักฆ่าที่เพิ่งเดินออกจากรังโจรหลังสังหารพวกมันเรียงตัว

“พี่…”

“อย่าเพิ่งพูด” เขาบอกผม “เดินไป แล้วอย่าหันไปมองพวกมัน”

ผมหันไปมองพวกมัน แล้วค่อยเร่งฝีเท้าตามพี่ทัชไป พอก้าวตามจนทันผมรู้สึกว่าพี่ทัชก้าวเนิบๆ เกินไป ซึ่งไอ้พวกนั้นอาจตั้งสติได้และวิ่งตามมาพร้อมกับก้อนหิน มีดพก หรือปืนปากกาไทยประดิษฐ์ก็ได้

แล้วจะเดินทำไมวะ วิ่งดิ วิ่ง!

อาจเป็นสัญชาตญาณหรือความผูกพันระยะสั้น ที่ทำให้ผมสับขาเลี้ยวเข้ามาที่ป่าดงดิบหลังตึกคณะจิตวิทยา ระยะทางไม่ไกล แต่ตื่นเต้นจนหอบแฮ่กๆ เชือกรองเท้าหลุดลุ่ยจนต้องผูกใหม่

ผ่านไปประมาณห้านาที

พี่ทัชยังไม่โผล่มา

แม่ง พี่แกโดนเล่นแล้วรึเปล่าวะ จะแชตหรือโทรถาม มือถือก็ไม่มีอีก

ผมผุดลุกผุดนั่งอยู่สักพัก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเดินกลับไปกลับมา อย่างกับคุณพ่อมือใหม่รอฟังข่าวหน้าห้องคลอด แต่ขืนมัวก้มๆ เงยๆ เหมือนหาเห็ดอยู่ในป่าแบบนี้คงไม่ได้ข่าวอะไร สุดท้ายเลยตัดสินใจสวมหัวใจหมาดำเดินย้อนกลับทางเดิม

“เอ้า พี่...”

พี่ทัชเดินเข้ามาสบายๆ หน้ายังใสกิ๊ก เนื้อตัวไม่มีร่องรอยขีดข่วนใดๆ ในมือถือขวดน้ำเปล่า “ไปซื้อน้ำกิน พูดมาก คอแห้ง”

“ผมนึกว่าพี่สลบคาตีนไปแล้ว ปล่อยให้ผมรองี้ได้ไง”

“กูนึกว่ามึงกลับคณะไปแล้ว”

“ผมจะทิ้งพี่ได้ไง”

“มึงวิ่ง”

“พี่เดินช้าไง ผมเลยวิ่งมาตั้งหลักก่อน จะได้หาอาวุธด้วย นี่กำลังจะกลับไปช่วยอยู่แล้ว”

“อ้อ งั้นไม่ต้องแล้ว”

พี่ทัชกระตุกยิ้ม นั่งลงบนม้านั่งหินอ่อน

ผมนั่งตาม “แล้วพวกมันเป็นไงมั่งอะ”

“ก็ไม่เป็นไง”

“หน้ามันอย่างกับจะฉี่ราดเลยนะ”

“เวอร์ไป”

“พี่ทำแบบนั้นได้ปะ แบบว่า อัดพลังเข้าไปหนักๆ ล่อให้แม่งฉี่แตกไรงี้ หรือให้ขี้ไหลเลยยิ่งดี” ผมพูดพร้อมกับชกลมแรงๆ เป็นจังหวะที่พี่ทัชเปิดขวดน้ำจะยกดื่มพอดี “กินมั่งดิ” พอผมบอกอย่างนั้น เขาก็ยกดื่มโดยไม่ให้ขวดโดนปากแล้วส่งให้ผม ผมรับขวดมายกซดแบบโดนปากเต็มๆ ซัดไปเกินครึ่งขวด

“ไม่คิดว่ากูจะกินต่อเลยเหรอ”

“อ่าว ก็ไม่บอกก่อนอะ ต่อๆ ทำไมไม่ล่อให้พวกมันขี้แตกล่ะ”

“ปฏิกิริยาแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างมากก็ทำให้ตกใจในช่วงแรกๆ แค่นั้นแหละ หรือบางคนอาจจะแทบไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้”

“วันแรกที่พี่แตะตัวผม ผมปวดขี้นะ”

“มึงปวดอยู่แล้วรึเปล่า”

“ก็จริง”

“ดีแล้วล่ะที่มันไม่มีอาการอะไรมาก ถ้ามันขายหน้าต่อหน้าเพื่อน เดี๋ยวจะตามมาวุ่นวายกับเราไม่เลิก”

“กลัวซะที่ไหน”

“กูกลัว”

“ฮะ? แต่หน้าพี่โคตรไม่กลัวเลยนะ เก็บอาการเหรอ”

“กูกลัวว่าวันหลังมันจะตามมากระทืบมึง จนมึงนี่แหละที่เป็นฝ่ายขี้แตกซะเอง”

“...”

ได้ยินได้ฟังดังนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก อยากจะถามว่า นี่พี่เป็นห่วงผมจริงๆ ดิ แต่ก็ไม่กล้า

“เก็ต” ผมยกขวดน้ำขึ้นจิบอีก “ว่าแต่ ผมถามจริงๆ นะ คือมันคาใจไม่หายสักที พี่ทำได้ไงวะ นิ้วพี่มีอะไรวิเศษนักหนา”

พี่ทัชนิ่งไป เขามองฝ่ามือตัวเองคล้ายกับนึกหาคำพูดเพื่ออธิบาย “กูไม่ได้ทำอะไร”

“เอ้า อุตส่าห์ตั้งใจฟัง หาไม่ได้ง่ายๆ นะเฮ้ยที่คนอย่างนะฑีจะตั้งใจฟังอะ แล้วตอบมาแค่เนี้ย? ขยายความหน่อยดิ”

“มันติดตัวมาแต่เกิด กูไม่ได้ทำอะไร แล้วก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ด้วย มันก็แค่...เวลาปลายนิ้วกูแตะตัวใครคนนั้นจะพูดความจริง กูไม่รู้ด้วยว่าคนที่ถูกแตะตัวรู้สึกยังไง”

“ตอนพี่จับมือผม ถ้าไม่นับเรื่องปวดขี้ ผมก็รู้สึกหวิวๆ นะ” พูดแค่นี้เดี๋ยวพี่แกเข้าใจผิดว่าหวิวแบบไหน เลยเสริมไปอีก “คันๆ อะ เหมือนมดไต่”

“อืม”

“นั่นแหละ แล้วก็อยากพูดความจริงในหัวออกมา ยิ่งตอนถูกถามยิ่งแบบ...ไม่รู้ดิ ต้องพูดอะ ฝืนไม่ได้เลย”

“ยิ่งฝืน ยิ่งไม่โอเค”

“ใช่ๆ พอได้พูดออกมาค่อยโล่งขึ้นหน่อย” ตอนนี้ทั้งสิบนิ้วของมีพลาสเตอร์พันไว้เรียบร้อย เห็นแล้วก็นึกสงสัยต่อ “เคยมีคนที่ใช้ไม่ได้ผลมั้ย จับตัวแล้วยังโกหกได้อะ”

“ไม่เคย” พี่ทัชตอบ “อาจจะมีคนแบบนั้นอยู่ก็ได้ กูไม่ได้แตะตัวใครพร่ำเพรื่อขนาดนั้น”

“งั้นเท่าที่ผ่านมา มีคนทนได้นานสุดแค่ไหน กว่าจะพูด”

“ไม่เกินสิบวิ”

“เจ๋งว่ะ พี่แม่งปีศาจชัดๆ”

“...” พี่ทัชไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ สายตานิ่งๆ มองหน้าผมอยู่ สายตาที่โคตรจะอ่านยาก ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร รู้แต่ว่าเห็นแล้วรู้สึกคอแห้งแปลกๆ

“ไอ้เป้มันคงฝืนสุดๆ” ผมพูดต่อ “มันถึงได้หน้าซีดเหงื่อแตกขนาดนั้น”

“คงเพราะตกใจด้วย”

“สมมตินะสมมติ ถ้าเจอพวกใจหินๆ อย่างสายลับอะ CIA ไรงี้ ถ้าพี่แตะตัวแล้วคนพวกนี้ฝืนที่จะไม่บอกความจริงอะไรเลย ทนไปเรื่อยๆ จะเป็นไง”

“กูไม่รู้”

“แบบ จะถึงตายเลยปะ หัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตกไรงี้”

“กูคงโดนฆ่าตายก่อนมากกว่า”

“ฮ่าๆ” ผมหลุดหัวเราะ “ทีแรกผมนึกว่าพี่จะเข้าไปอัดไอ้เป้มันนะ ไม่นึกว่าจะใช้พลังเอ็กซ์เมน...” พอพูดปุ๊บตะหงิดๆ เอง ไม่รู้ว่าตอนนี้เหมาะที่จะใช้คำนี้มั้ย แต่สีหน้าเขาก็ยังเรียบๆ ตามปกติ “...ก็นั่นแหละ ไม่คิดว่าพี่จะทำแบบนั้น”

“มึงจะได้หายคาใจ”

“พี่แกะพลาสเตอร์ออกตอนไหนอะ”

“ตอนที่มึงไม่เห็น”

ผ่าม!

ก็ถูกของเขา

“แล้วไม่กลัวมันแฉเรื่องพลังของพี่เหรอ”

“ไม่มีใครเชื่อหรอก”

“อาจจะมีก็ได้”

“ก็คุ้มที่จะเสี่ยง”

“...” ทำไมคอแห้งวะ จิบน้ำอีกดิ๊ “คุ้มยังไง”

“ดีกว่าปล่อยให้มึงสงสัย แล้วคอยไปหาเรื่องมัน”

“แต่มันก็เอาไปจริงๆ อะ รู้งี้แล้ว เราจะปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเหรอ เราต้องผดุงความยุติธรรมดิ พี่จะเป็นฮีโร่หรือเป็นปีศาจอะ นี่ถ้าเอาชีวิตพี่ไปสร้างเป็นหนัง ช็อตนี้คือถึงเวลาต้องเลือกแล้วนะ”

“มึงนี่มันจริงๆ เลยว่ะ”

“อะแน่นอน ผมคนจริงอยู่แล้ว”

“ปล่อยมันไปเถอะ เลิกยุ่ง”

“แต่…”

“เอาของกูไปใช้ก่อน” พี่ทัชหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าวางบนโต๊ะ มันคือไอโฟนรุ่นเดียวกับของผมเป๊ะ “เครื่องเก่ากู สภาพยังโอเคอยู่”

“ให้เลยเหรอ” ผมทำตาโต

“เข้าใจคำว่าเอาไปใช้ก่อนมั้ย”

ผมหยิบขึ้นมาพลิกดู เครื่องปิดอยู่ ดูจากภายนอกคือสภาพใหม่กว่าเครื่องผมที่โดนไอ้เป้สอยไปอีก “มีรูปโป๊เปล่า แน่ใจนะว่าพี่ลบออกหมดแล้ว คลิปหวิวๆ ที่พี่ถ่ายตัวเองอะ”

“ไม่ได้ลบ”

“จริงดิ”

“เพราะมันไม่มี”

“น่าเสียดาย” เผลอพูดอะไรที่จะทำให้เขาเข้าใจผิดอีกละ ต้องเสริมๆ “ถ้ายังไม่ลบ ผมจะได้เอาไว้แบล็กเมล์พี่ แต่เอาจริงๆ ผมเกรงใจนะ อยากหาเงินซื้อด้วยตัวเองมากกว่า”

“งั้นก็ไปทำงานหารายได้เสริม”

“ที่ไหนอะ เคเอฟซี สตาร์บัคไรงี้เหรอ”

“ก็แล้วแต่”

“แค่เรียนอย่างเดียวก็จะตายแล้ว วิชาปีสองโคตรโหด”

“รอขึ้นปีสี่ก่อนเถอะ แล้วจะรู้”

“ปีสี่ยังโหดอีกเหรอ เห็นพี่โคตรชิลล์ วันๆ นั่งเล่นกับยุงงี้ อ่านกลอนงี้”

“หึ” พี่ทัชหัวเราะในคอ และไม่ขยายความอะไร แต่แค่หึคำเดียวก็เหมือนจะครอบคลุมความโหดร้ายทั้งปวงของการเรียนปีสี่ไว้แล้ว เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

“ใช้พลังพี่ไปหาเงินกัน เอามะ จิ๊กบัตรเอทีเอ็มคนแล้วเค้นถามรหัสก็ไม่เลวนะความคิดนี้ ง่ายเลย”

“เมื่อกี้มึงบอก ผดุงความยุติธรรมอะไร”

“เราก็เลือกจิ๊กแต่คนเลวๆ ดิ เหมือนโรบินฮู้ดอะ แบบ...”

“สรุปตามนั้นละกัน” โม้ยังไม่จบก็ถูกตัดบทซะก่อน “เอาเครื่องนี้ไปใช้ก่อน แล้วก็อย่าไปยุ่งกับไอ้เป้อีก”

“ก็คือให้เลยมั้ย”

พี่ทัชขำ “ถ้าชอบก็เอา”

ผมก้มมองโอโฟนในมืออีกครั้งพลางชั่งใจ “ไม่เอาอะ ของเก่า ขอแค่ยืมใช้ละกัน” แล้วก็ยกมือไหว้ท่วมหัว “ขอบคุณที่เมตตาครับ แต่ไอ้เป้นี่ ถ้าผมเจอมันเดินเดี่ยวๆ ที่ไหน ก็ไม่แน่อะ แล้วแต่ว่าตอนนั้นของจะขึ้นเบอร์ไหน”

พี่ทัชถอนหายใจ “บ่ายมีเรียนรึเปล่า”

“มีดิ วันจันทร์งี้ จะเหลือเหรอ”

“งั้นก็ไปเรียน”

“พูดแล้วนึกได้ วันนี้ตื่นสายเลยไม่ได้กินข้าวเช้า ข้าวเที่ยงกำลังจะกินพี่ก็ลากผมมาก่อน ความผิดพี่อะ”

“แซนด์วิชมั้ย”

“ไม่อิ่ม ราดหน้าดีกว่า”

“แซนด์วิชสองอัน”

“ไม่อร่อย”

“มึงไปเรียนไม่ทันไง” พี่ทัชควักมือถือมาดูหน้าจอ

“โดดได้ มีเจษฎาเลกเชอร์ให้อยู่ คนนี้เชื่อมือได้ จดเร็วระดับโลก”

“ไปเรียนซะ กูก็มีงานที่ต้องทำ”

“โอ๊ย หิว” ผมนั่งโงนเงน “จะเป็นลม ช่วยด้วย”

“นะฑี”

ผมก้มหน้าลง แล้วเริ่มร้องเพลง “โหยหา ความรักความเมตตา หิวความ ศรัทธาความมั่นใจ ไขว่คว้า ความสุขความสดใส ขอเพียง มีใครเอื้ออาทร...~”

พี่ทัชถอนหายใจยืดยาว ยาวสุดๆ กว่าทุกครั้งที่เคยเห็น จากนั้นก็ลุกขึ้นหันหลังอย่างไม่ไยดี “ไป”

“เรียนไม่ไหว หิว”

“ราดหน้าก็ราดหน้า”

“เยส!”




______________________________


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ขอบคุณที่คอมเมนต์หากัน ได้อ่านทุกข้อความเลยนะคะ
มีค่ากับใจมากๆ เลย T T


นางร้าย
16.สิงหา.2019

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เสียใจกับเรื่องสัตว์เลี้ยงด้วยนะคะ

นะฑีเวลาหงอยนี่หงอยจริงๆ แต่โชคดีที่น้องไม่หงอยนานกลับมากวนๆได้เหมือนเดิมอีก กวนจนพี่ทัชต้องยอมให้เลย

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 12
จับบบ…เปิดตัวนะเธอเจอผงซักฟอกทำไม บอกเรื่องกรวยไต เกี่ยวอะไรกับบทกลอน

 

NaTee(n): ลื่น

NATOUCH: ล้ม?

NaTee(n): มือถือใหม่อะ ลื่น

NATOUCH: มึงบอกของเก่า

NaTee(n): แต่เทสแล้ว เหมือนใหม่เลยนะ

NaTee(n): เครื่องสะอาด ลื่นปร๊าด

NaTee(n): ถ้าไม่มีคลิปโป๊นี่นึกว่าตั้งค่าคืนโรงงาน

NATOUCH: …

               

น่ะ ถึงกับโปรยเม็ดเกลือ

               

NaTee(n): ล้อเล่น

NaTee(n): คลิปทารุณสัตว์ต่างหาก

NATOUCH: กูกำลังช่วยมันต่างหาก

 

คลิปทารุณสัตว์ที่ว่าก็คือ คลิปเดียวที่ยังเหลือในเครื่อง เป็นคลิปหมาถูกลากไปกับพื้น แล้วหน้าตาหมาคือโคตรฮา ทั้งง่วงทั้งขืน ทิ้งตัวนอนแข็งทื่อ แต่ยังถูกเจ้าของลากสายจูงไปเรื่อย และตอนนี้ก็ชัดแล้วว่าคนลากคือพี่ทัชนี่เอง

 

NaTee(n): ช่วยยังไง

NaTee(n): มันจะนอน พี่ไปลากมัน

NaTee(n): บาป

NATOUCH: หมอให้ลดน้ำหนัก

NaTee(n): (สติกเกอร์หัวเราะ)

NaTee(n): พันธุ์ไรอะ

NATOUCH: ชิบะ

NaTee(n): ชื่อ

NATOUCH: ผงซักฟอก

NaTee(n): (สติกเกอร์โคตรฮา)

NaTee(n): (สติกเกอร์หัวเราะน้ำตาไหล)

NaTee(n): ใครตั้งให้

NATOUCH: แม่

NaTee(n): น่ะ ว่าละ

NaTee(n): แมวผมแม่ก็ตั้งชื่อ หมอนนิ่ม

NaTee(n): แต่ผมไม่เรียกตามอะ

NaTee(n): แมวนรก สมควรชื่อหมอนเน่าไป

NaTee(n): ทำไมแม่พี่ตั้งว่าผงซักฟอก

NATOUCH: รับมาวันแรกก็เอาผงซักฟอกไปฟัดเล่น

NATOUCH: ต้องพาไปอาบน้ำหาหมอ

NaTee(n): (สติกเกอร์หัวเราะ)

NaTee(n): แสบดี

NaTee(n): แล้วเวลาเรียกชื่อมัน เรียกไงอะ

NaTee(n): ผงซักฟอกมานี่ งี้เหรอ

NaTee(n): เรียกเต็มๆ เลย?

NATOUCH: แม่เรียกน้องผง

NATOUCH: พ่อเรียกไอ้ฟอก

NATOUCH: กูเรียกผงฟอก ถ้าดื้อมากก็เรียกคุณผงฟอก

NATOUCH: ส่วนพี่สาว เปลี่ยนชื่อมันไปเรื่อยๆ แล้วแต่อารมณ์

NATOUCH: บรีสเอ็กเซล อะไรพวกนั้น

NaTee(n): 555

NaTee(n): น้องมึนมั้ยนั่น

NATOUCH: หน้ามึนมากกว่า

NaTee(n): พี่มีพี่น้องด้วยเหรอ

NaTee(n): กี่คนอะ

NATOUCH: 1 คน

NATOUCH: พี่สาว

NaTee(n): ชื่อไร

NATOUCH: ณเทอ

NaTee(n): เฮ้ย เก๋เวอร์

NaTee(n): ออกเสียงว่า นะเธอ

NaTee(n): เวลาเพื่อนชวนคุยก็ ณเทอๆ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ นะเธอนะ

NaTee(n): งงไปอี๊ก

NATOUCH: ก็เคยมีคนงงบ้าง

NaTee(n): ชื่อแปลกหนักกว่าพี่อีกนะเนี่ย

NaTee(n): แล้วสวยปะ

NATOUCH: สวย

NaTee(n): สวยแบบไหน

NATOUCH: ก็สวย

NaTee(n): แบบเซ็กซี่ เปรี้ยวแสบไส้ หรือเรียบร้อยนุ่มนิ่มไรงี้

NATOUCH: หมวยๆ

NATOUCH: ก็เรียบร้อย

NATOUCH: มั้ง

NaTee(n): มีมั้งด้วย

NaTee(n): แบบ เรียบร้อยกับคนแปลกหน้า ซ่ากับคนในบ้านงี้?

NATOUCH: อืม

NaTee(n): เก็ต

NaTee(n): แล้วคนที่บ้านรู้ปะว่าพี่เป็นเอ็กซ์เมน

NATOUCH: ทุกคนรู้

NaTee(n): ก็คิดว่างั้นแหละ

NaTee(n): แม่พี่ต้องรู้คนแรกแน่ๆ

NaTee(n): ก็พี่บอกว่าเป็นตั้งแต่เกิดแล้วนิ ใช่มะ

NaTee(n): เวลาแม่ให้กินนม พี่เอามือไปแปะนมแม่งี้

NaTee(n): เสร็จเลย แม่โกหกไม่ได้

NATOUCH: …

NaTee(n): แล้วพ่อกับพี่สาวรู้ตอนไหนอะ

NATOUCH: ตอนกูเด็กๆ

NATOUCH: นานแล้ว

NaTee(n): อะฮะ 

NaTee(n): พี่ณเทอห่างจากพี่กี่ปีอะ

NATOUCH: 4

NATOUCH: มีแฟนแล้ว

NaTee(n): อะ มีคนค้ำประกันซะละ

NaTee(n): แต่สวยๆ อายุรุ่นนี้ก็ไม่น่ารอดอยู่แล้ว

NaTee(n): เออ แต่ผมไม่ได้ถามนะว่าพี่สาวพี่มีแฟนหรืออะไร

NaTee(n): ทำไมบอกอะ

NATOUCH: อ่อ

NaTee(n): เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่พี่บอกอะไรโดยไม่ได้ถาม

NATOUCH: อ่อ

NaTee(n): แล้วรู้ปะ

NaTee(n): น่าจะเป็นครั้งแรกด้วยที่แชตกันไหลแบบไม่มีติดขัดขนาดนี้

NATOUCH: งั้นก็แค่นี้

NATOUCH: กูนอนละ

NaTee(n): เอ้า เดี๋ยวสิ

NaTee(n): พี่

NaTee(n): เพ่

NaTee(n): มีคลิปทารุณผงฟอกอีกมั้ย

NaTee(n): อยากดูอีก

NaTee(n): {สวัสดีวันพุธ}

 
อ่านแต่ไม่ตอบ

นอนอะไรของพี่แกวะ นี่บ่ายสาม อยู่มหา’ลัย   

แล้วผมก็ไม่ได้ส่งสติ๊กสวัสดีมั่วซั่วด้วย วันนี้คือวันพุธจริงๆ

“เบื่อคนเห่อมือถือใหม่เว้ย” เปิ้ลพูดลอยๆ

“ใหม่อะไร มือสอง แล้วก็ไม่ใช่ของกู” ผมเงยหน้าขึ้นมามองโลก บ่ายวันพุธมันก็จะสบายๆ หน่อย ตอนนี้เราสามหน่อนั่งสุมหัวกันอยู่ที่ซุ้มม้านั่งข้างคณะ ถึงจะนั่งด้วยกันแต่คล้ายจะต่างวัตถุประสงค์ ผมเล่นมือถือ เจษฎาเล่นหมากล้อมออนไลน์ ส่วนเปิ้ลสอดส่ายสายตาหาเหยื่อหน้าตาเอ๊าะๆ

“แชตไรวะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไหนดูซิ”

“เปิ้ล ถ้าว่างๆ มึงก็เปิดกูเกิลนะ แล้วก็ค้นหาความหมายคำว่า ‘มารยาท’ อ่านซะ จะได้ฉลาดขึ้น”

“ไม่ต้องค้นหรอก เรารู้ความหมายคำนี้” เจษฎาสอดปาก

“พอ เจษ ไม่ต้องอธิบาย” เปิ้ลตัดบท “ส่วนมึงนะฑี ถ้าจะก้มหน้าก้มตาเล่นแต่มือถือขนาดนั้น มึงก็เปิดกูเกิลค้นความหมายคำว่า ‘ไม่สนใจเพื่อนฝูง’ บ้างนะ”

“ไอ้เจษก็เล่น ทำไมไม่ว่ามัน”

“เราเล่นโกะ นี่ ดูๆ ใกล้ชนะแล้ว”

“ล้ำลึกมากเจษ นี่คือแก่นแท้ของหยินหยางเลยนะกูว่า” ผมบอก “มึงบรรลุสมดุลแห่งจักรวาลแล้ว”

“เราหมากขาว เห็นมุมขวาบนมั้ย เรากำลังจะฆ่าหมากดำกลุ่มใหญ่เลย ทางนั้นพลาดโดนเราตัดหมากเป็นสองกลุ่มอะ แล้วกลุ่มใหญ่คือไม่เหลือห้องแท้ๆ เลย”

“ก็ไปจองโรงแรมดิ”

“ฮะ?”

“อยากได้ห้องแท้ๆ ก็ต้องไปโรงแรม”

“ไม่ใช่แบบนั้น ห้องแท้ หมายถึงพื้นที่ในกระดาษที่หมากเราล้อมได้อะ หมากแต่ละกลุ่มต้องมีห้องแท้อย่างน้อยสองห้องถึงจะรอด...”

“เจษ เอาเป็นว่ากูดูไม่รู้เรื่อง”

“อะ เปิ้ลดู…”

“ตั้งใจเล่นไปเจษ” เปิ้ลบอก “ถ้าชนะเลี้ยงน้ำด้วย”

“โอเค ได้ๆ”

“ไง นะฑี เจอความหมายรึยัง ความไม่สนใจเพื่อนฝูงอะ”

ผมยังก้มอ่านทวนแชตพี่ทัชอยู่ แต่สงสัยเปิ้ลจะงอนจริงๆ ละ เลยกดพักหน้าจอไว้ก่อน “เจอแต่คำว่า ‘เจ้ากรรมนายเวร’ อะ ล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าเป็นตูดดิ ไม่สวยนะ”

“กูไม่ได้อยากสวย”

“ทำไมชีวิตมึงน่าสงสารจังวะ ไม่อยากสวยดันสวย ไม่อยากได้นมแต่ดันมีซะเยอะแยะ”

“วกมาที่เนื้องอกกูอีกละ”

“ไม่วกได้ไง นี่เครื่องหมายการค้ามึง”

“อย่ากวนส้น”

“ทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์วะ แต่งหน้าหน่อย ใส่เสื้อคอกว้างๆ ไลฟ์สดเต้นบ้างไรบ้าง พอคนดูเยอะก็ขายครีม รวยไม่รู้เรื่องอะ ลองปะ กูหุ้นด้วย”

“หุ้นนี่คือทำหน้าที่ไร”

“เดี๋ยวกูเต้นโชว์ขนหน้าแข้ง”

“แค่คิดก็จะอ้วกละ”

“เอ่า มึงไม่รู้อะไร ช่วงนี้สายฮากำลังมา ส่วนไอ้เจษก็รับหน้าที่กรรมกรไป แพ็คของ เคปะ เจษ”

“โอเค” เจษว่า “วางตรงนี้ โอเค...ชนะแล้ว” อ่อ โอเคนี่คือเพ้อกับหมากล้อมหยินหยาง

เปิ้ลปรบมือแปะๆ “ชนะแล้วทำไง”

“อ้อ เลี้ยงน้ำๆ โอเค…” แต่ยังไม่ทันที่เจษจะได้ลุก ใครคนหนึ่งก็แถเข้ามา

“เฮีย หวัดดีค่ะ”

“ซะ...เซ็ก” เจษอ้ำอึ้ง

“เซ็กซี่ค่ะ เรียกให้เต็มๆ ดิเฮีย...พี่นะฑี หวัดดีค่ะ”

“หวัดดีน้อง” ผมรับไหว้โดยหันไปอีกทาง

“ตึงโป๊ะ ทางนี้ค่ะพี่” น้องรับมุกรวดเร็วทันควัน “แล้วก็พี่โอเปิ้ล หวัดดีค่ะ”

“หวัดดีน้องเซ็กซี่~” เปิ้ลออกเสียงชื่อน้องสั่นๆ เหมือนเสียงตัว Z ก่อนจะตามด้วยยิ้มหวาน

นี่คือน้องรหัสเจษ ผมรับพนันร้อยนึงเอาบาทเดียวว่า ‘เซ็กซี่’ เป็นชื่อที่น้องตั้งเองหลังจากแตกเนื้อสาวแน่นอน เพราะไม่น่าจะมีพ่อแม่คนไหนจิตใจแข็งแกร่งและล่วงรู้อนาคตว่าลูกสาวจะมาสายนี้ ลักษณะน้องคือ ชุดคับติ้ว คิ้วโก่ง ดั้งโด่ง หน้าเป๊ะ เรียกว่าได้แซ่บแสบทรวงตั้งแต่หัวจดเท้า

คณะเราใช้วิธีจับคู่พี่น้องรหัสแบบแรนด้อมตามยถากรรม และสงสัยปีนี้กรรมคงจะให้ผลจริงๆ พี่น้องรหัสหลายคู่เลยดูผิดฝาผิดตัวกันไปหมด

น้องรหัสผมเป็นเด็กสาวหน้าตาปานกลาง ตบมุกพอใช้ ชอบของกุ๊กกิ๊ก พูดเกาหลีได้เล็กน้อย และไม่นิยมคำหยาบ น้องรหัสเปิ้ลเป็นหนุ่มตี๋ที่น่าจะแพ้ทางสาวทรงโต เวลาคุยกับเปิ้ลเลยมักจะสายตาล่อกแล่กและหน้าแดงตลอดเวลา เลยถูกเปิ้ลจิกหัวด่าประจำ

ส่วนน้องรหัสเจษ ก็สภาพอย่างที่เห็น ดูไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่องสุดๆ แล้วในบรรดาคู่พี่น้องรหัสของเราสามคน แต่กลายเป็นว่า หลังจากช่วงรับน้องเข้มข้นผ่านไป น้องรหัสของผมกับเปิ้ลดันค่อยๆ หายหน้าหายตาไป มีเหลือแค่น้องเซ็กซี่นี่แหละที่โผล่หน้ามาทักทายแก๊งเราบ้าง

“ทำไรกันอยู่เหรอคะ”

“หายใจทิ้งเล่นๆ” ผมบอก “น้องมีไรจะคุยกับเจษรึเปล่า ลากตัวมันไปได้นะ”

“มีค่ะ”

เจษนั่งตัวตรง “ไรเหรอ”

“เฮีย ติวให้หน่อยดิ”

“วิชาไร” เจษถามเสียงเบา

น้องเซ็กซี่นั่งกระแซะข้างเจษ พร้อมกับกางหนังสือให้ดู “เนี่ย ไม่เข้าใจตรงนี้” พูดเสียงสองเหมือนเด็กสาวอ้อนป๋าอยากได้คอนโด ที่ผ่านมาน้องก็มีท่าทีใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวเจษแบบนี้ตลอด ไม่รู้ว่าคิดจริง หรือว่าอยากแกล้งเล่น หรือเป็นไลฟ์สไตล์ตามปกติของสาวแซ่บ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

“ตรงไหน”

“ทั้งหมดเลย นะ...เฮีย” ว่าแล้วก็เกาะแขน แก้มแทบจะซบไหล่ เล่นเอาเจษหน้าแดงแปร๊ด

“ดะ...เดี๋ยวพี่หาชีทสรุปให้”

“แล้วเซ็กซี่จะเข้าใจเหรอ”

“เข้าใจๆ ถึงเรียกว่าชีทสรุปไง ปะ...ปล่อยแขนพี่เถอะ คนมอง”

“เอาชีทให้วันไหน”

“พรุ่งนี้ก็ได้ อือ พรุ่งนี้ๆ”

“เย้ จุ๊บ~”

จุ๊บที่ว่าคือ น้องเอามือแตะปากตัวเอง แล้วเอาไปแตะที่แก้มเจษฎาต่อ น่าสงสาร ถ้ามุดดินได้เจษมันคงมุดดินกลับบ้านแล้วตอนนี้

“พี่ติวให้ได้นะ” เปิ้ลพูด

“แหม พี่ก็” เซ็กซี่ยิ้มสู้ “เรื่องเรียนรบกวนเฮียคนเดียวพอค่ะ เกรงใจ เซ็กซี่อยากรบกวนพี่โอเปิ้ลเรื่องอื่นมากกว่า”

“ว่า?”

“พอดีเปิดแชแนลยูทูบใหม่อะค่ะ แนวบิวตี้บล็อกเกอร์ สอนแต่งหน้าไรงี้ อยากให้พี่เป็นนางแบบให้หน่อย หน้าพี่สวยอะ”

“...” เปิ้ลถอนหายใจเหมือนปลงชีวิต “น้องแหกหูฟังนะ ถ้าไม่อยากตบรองพื้นใหม่ มาทางไหนรีบไปทางนั้นเลย”

“ดุจัง ค่ะๆ ไปแล้ว...ขอบคุณนะเฮีย จุ๊บ~”

แล้วน้องก็เยื้องย่างออกไป

“นี่น้องคิดไรกับมึงจริงรึเปล่าวะเจษ” เปิ้ลถาม

“เราไม่...ไม่รู้”

“ถ้าคิดจริงนี่ผิดผีเลยนะมึง” ผมพูดเสริม “มันมีอาถรรพ์นะเว้ย ถ้าสายรหัสกินกันเองมักจะไม่รอด เห็นหลายคู่แล้ว”

“เราไม่คิดอะไรอยู่แล้ว”

“จริงรึ” ผมถาม

“จริงสิ”

“แน่นะ”

“แน่สิ”

“ไม่ยั่วนะ”

“ยั่วไรเหรอ”

เปิ้ลหัวเราะพรืด ส่วนผมทำหน้าเศร้าและตบไหล่ปลอบเบาๆ ต้องใช้เวลาอยู่ประมาณสามวินาที เจษถึงค่อยเข้าใจ “อ้อ เล่นต่อเนื้อเพลง”

“ช่างมันเถอะ” ผมบอก “กูว่าจะถามเรื่องนึง เพิ่งนึกได้ มึงรู้จักไฮกุปะ”

“ก็รู้จักนะ ไฮกุมีรากฐานมาจากบทกวีดั้งเดิมของญี่ปุ่น ถ้าจำไม่ผิด ในสมัยเอโดะมีปรมจารย์ท่านหนึ่งที่เก่งๆ อะ เดี๋ยวค้นแป๊บ…”

“ไม่ต้องลงลึกขนาดนั้น กูปวดหัว”

“อ้อ แล้วไฮกุทำไมเหรอ”

“แต่งสดให้กูฟังสักบทดิ๊ ขอคมๆ” ผมบอก “เอาที่เกี่ยวกับความง่วงๆ หรือหลับๆ ไรงี้”

“เหรอ ทำไมล่ะ”

“เออ ลองแต่งดู”

“อืม...คิดไม่ออกอะ”

“กูก็สงสัย” เปิ้ลพูดโดยที่ยังก้มหน้าก้มตาเลื่อนจอมือถืออยู่ “นี่ เจอละ...ไฮกุ กลอนญี่ปุ่น เขียนสามวรรค 5-7-5 พยางค์” แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาถามแบบเดียวกับเจษฎา “ทำไมวะ”

“ช่างมันเถอะ”

“งั้นกูค้นต่อ ความหมายคำว่า ‘มีลับลมคมในกับเพื่อน’...อือหือ คำนี้ความหมายเชิงลบพอๆ กับด่าว่าเหี้ยเลยนะเนี่ย”

“ไม่มีไร ช่วงนี้อยากอ่านหนังสือนอกเวลา กลอนสั้นๆ ไรพวกนี้น่าจะดี”

“มึงเนี่ยนะอยากอ่านหนังสือนอกเวลา” เปิ้ลทำตาโต “เอาหนังสือเรียนในเวลาให้รอดก่อนมั้ย”

“นี่ๆ ดูเล่มนี้สิ” เจษเอียงหน้าจอมือถือให้เราดู “วันนั้นที่นะฑีแนะนำให้รู้จักพี่ทัช เราเห็นเล่มนี้วางอยู่บนกองหนังสือพี่เขาด้วยนะ เราจำหน้าปกได้ ถ้าอยากอ่านลองถามพี่เขาดูดิ”

ตึ่ง!

เจษ

มึง

“เอ้า เหรอวะ เดี๋ยวไว้ถามดู” ผมตามไปน้ำขุ่นๆ “มีอันอื่นอีกมะ”

“เดี๋ยวนะ หาแป๊บ”

เจษฎากลับไปค้นข้อมูล ส่วนเปิ้ลนั่งกอดอกและเอียงคอมองผม ไม่พูดไม่จา แต่สายตาเหมือนอยากถามว่า ‘มึงเป็นใคร เอานะฑีตัวจริงไปซ่อนไว้ไหน’

“เจอบทนึงในเพจกลอนเปล่าอะ เกี่ยวกับกาแฟ”

“ไหนส่งมา” ผมบอก

เจษก็อปปี้จากเพจนั้นแล้วส่งมาให้ผมทางไลน์

 

นั่งในร้านกาแฟ
ฟังเสียงคนพูดคุยรอบตัว
ไม่มีเรื่องกาแฟ


#แอดมินทอย

 

“เกี่ยวกับหลับๆ ยังไงวะเจษ”

“ก็กาแฟไง แก้ง่วง”

“เหรอวะ”

พอได้อยู่มั้ง ผมกดก็อปปี้ไปวางในช่องแชตกับพี่ทัช กดลบชื่อแอดมินทอยออก แล้วส่งไป

เขาตอบกลับมาแทบจะทันที

 

NATOUCH: อืม

NATOUCH: กูตามเพจนี้อยู่

 

ผ่าง!

ดีนะ ยังไม่ได้เคลมว่าเขียนเอง

เลิกๆ คุยเรื่องอื่น

 

NaTee(n): ติดเชื้อขี้เซาจากผงฟอกเหรอ

NATOUCH: ...     

NaTee(n): ตื่นยัง

NATOUCH: ยัง

NaTee(n): ไม่ตื่น ทำไมพิมพ์ตอบได้

NATOUCH: ละเมอ

NaTee(n): เก่งนะเนี่ย

NaTee(n): ไหนดู เก่งกว่าผงฟอกเปล่า

NaTee(n): ไปคาบไม้มา!

               

เขาไม่ตอบ

ไม่สิ น่าจะกำลังพิมพ์อยู่

ผมรออยู่อึดใจหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าสิ่งที่เขาตอบกลับมาไม่ใช่ข้อความ แต่เป็นไฟล์รูปภาพ...รูปมือข้างซ้ายถือดินสอแท่งสีน้ำตาลแบบไม่มียางลบไว้ เป็นมือเขาแน่นอนเพราะมีพลาสเตอร์พันอยู่ครบทุกนิ้ว

               

NaTee(n): อันนี้คือไม้ที่พี่ไปคาบมาว่างั้น?

NATOUCH: อือ

 

“นะฑี” เปิ้ลเรียก

ผมเงยหน้าขึ้น

“ยิ้มไรวะ”

“ซึ้งกับไฮกุเหรอ” เจษพูด “ยังมีของแอดมินคนนี้อีกเยอะเลยนะ เดี๋ยวเราส่งให้”

“ไม่ต้องละเจษ กูว่ามึงค้นความหมายคำว่า ‘ยิ้มเหมือนคนบ้า’ แล้วอ่านให้นะฑีมันฟังดีกว่า”

“อืม เราก็ว่างั้น”

ผมมองหน้าเพื่อนสองคนสลับไปมา “ไฮกุแม่งโคตรดี คนไม่มีศิลปะในกรวยไตอย่างพวกมึงไม่มีวันเข้าใจหรอก”

“เราว่ากรวยไตกับศิลปะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยนะ” เจษท้วง “อะ นี่ เราจะอ่านให้ฟัง...กรวยไตคือ ส่วนของไตที่เป็นช่องหรือเป็นโพรง มีลักษณะเป็นรูปกรวย ทำหน้าที่เก็บกักหรือพักน้ำปัสสาวะ…”

เจษอ่านเสียงแจ้วๆ

ผมได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง

ใจลอยไปไกลแล้ว...อุ๊ย แบบนี้พอจะเป็นไฮกุได้มั้ยเนี่ย






___________________


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค
แค่เข้ามาอ่านก็มีความหมายกับเรามากๆ แล้วค่ะ ^ ^


นางร้าย
16.สิงหา.2019

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
อ่านชื่อตอนกี่ทีๆก็ยังงงทุกทีว่ามันเข้ากันได้ยังไง5555

กรี๊ดแ คิดถึงมากค่ะ มาต่อแล้วดีใจจัง เสียใจกับน้องด้วยนะคะ น้องไปสบายแล้ว :heaven

พูดถึงคลิป เรานี่ไปเสริชดูคลิปเลย ฮาจริง555555  :m20:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เราชอบชื่อตอน โคตรจะเป็นเอกลักษณ์ อ่านแล้วเดาทางเนื้อหาในตอนไม่เคยถูกเลย 55555

นะฑี นี่ต้องเป็นคนชีวิตคิดบวกขนาดไหนนะ? ถึงได้ใช้ชีวิตสดใส กวนบาทาเพื่อนร่วมโลกได้ทุก 10 วินาทีอย่างฮาเฮขนาดนี้ เอ๊ะ! หรือว่าจริงๆแล้วนี่เป็นเนื้อแท้ของคนเขียนปลอมตัวมาเป็นนะฑีเองคะ?  :laugh:

ร.เรือ ว่าสนุกแล้ว เรื่องนี้ยิ่งสนุก ชอบมากเลยอ่ะค่ะ มาต่อบ่อยๆนะคะ อย่าทิ้งกันน๊าาา  :mew1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mony

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านเรื่องนี้แล้วอารมณ์ดีตลอดเลย

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 13

จับบบ…สันดานตัวผู้มวยถูกคู่แล้วไง
ญาติใครมากินข้าว
สาธุ99ครับเจษสาเหตุหั่นศพ



น้าเกดทะเลาะกับสามีบังเกิดเกล้าอีกชัวร์

ผมไม่ต้องเป็นคนคุยเองก็รู้ ดูจากที่แม่คุยโทรศัพท์อยู่ราวๆ ยี่สิบนาทีแล้ว ทำหน้าที่พี่สาวที่ดี รับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ แต่ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านั้น

“เมี้ยว~”

“ไรมึง ไม่ต้องมาออเซาะ”

ผมเดินขึ้นห้องนอน ไอ้หมอนเน่าเดินตามขึ้นมา ร้องเมี้ยวๆ ด้วยเสียงสองเหมือนอยากเล่นด้วย “ถ้ากูให้เข้าห้อง ห้ามปีนนั่นปีนนี่นะมึง”

“เมี้ยว”

“กูเดาว่ามึงโอเคละกัน”

ผมเปิดประตูให้มันเข้าห้องไปด้วย เท่านั้นแหละ โดดขึ้นโต๊ะหนังสือไปตบปากกาเล่นกระจุยกระจาย “นั่นไง มึง” ทำหน้าทำตาโคตรเลวอีก มานี่เลย ผมรวบตัวมันลงมาบนเตียง ล็อกตัวมันไว้ แล้วจัดการทำสปาแมว เห็นแมวคนอื่นมีแต่นวดให้เจ้าของ แต่นี่กูต้องนวดให้มันแทน

พอไอ้หมอนเน่าเริ่มสงบ ผมก็หยิบมือถือมากดเข้าห้องแชต 



NaTee(n): ทำไมผู้ชายแม่งเลว

NATOUCH: ไร

NaTee(n): เกลียด

NaTee(n): เบื่อ

NaTee(n): เซ็ง

NATOUCH: …

NaTee(n): สันดานตัวผู้

NaTee(n): เลว

NATOUCH: ตัวผู้ตัวนี้ไม่เลวนะคับ

NATOUCH: ป๋มเป็นเด็กดี



พี่ทัชไม่พูดจาแบบนี้แน่ๆ นั่นไง เขาส่งรูปผงฟอกตามมาแล้ว ไม่นึกว่าหมาจะแสดงสีหน้าอารมณ์ดีได้ชัดเจนขนาดนี้ ยิ้มแบบว่าตาหยีและแลบลิ้นนิดๆ เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ อารมณ์ขุ่นๆ เมื่อกี้สลายไปเลย



NaTee(n): หน้ากวนมาก

NaTee(n): ขออีก

NATOUCH: ยื่นหมายื่นแมว

NaTee(n): ฮะ?

NATOUCH: รูปหมอนเน่า



ผมจับได้หมอนเน่ามากดแชะกันสดๆ รูปที่ได้คือหน้าหมอนเน่าที่เหวี่ยงขั้นสุด แล้วก็ส่งไปในห้องแชต



NATOUCH: หน้าเซ็งๆ

NATOUCH: ใครทำไร

NaTee(n): มันก็หน้างี้ตลอดอะ

NaTee(n): อยากจะฟาด

NATOUCH: สงสัยอารมณ์ไม่ดี

NaTee(n): มันแอ๊บ

NaTee(n): เมื่อกี้แอบทำลายของด้วย

NATOUCH: หมายถึงมึงอะ อารมณ์ไม่ดี

NATOUCH: ใครทำไร



ผมก็ไม่อยากพูดถึงคนในครอบครัวให้คนอื่นฟังหรอก

แต่อัดอั้นโคตรๆ

ไม่ไหวแล้วว่ะ



NaTee(n): ผัวน้าเกดอะ

NaTee(n): แม่ง

NaTee(n): เลว

NATOUCH: เขาทำไรมึง

NaTee(n): ไม่ได้ทำผม

NaTee(n): ทำน้า

NATOUCH: อ้อ

NATOUCH: เขาทำไร

NaTee(n): อย่างที่พี่เห็นวันนั้นแหละ

NaTee(n): เหมือนจะมีกิ๊ก

NaTee(n): ระแวง

NaTee(n): ทะเลาะรายวัน

NATOUCH: อืม

NaTee(n): ถ้าผมมีพลังแบบพี่นะ

NaTee(n): จะจับล็อกตัวให้แม่งแฉความเลวตัวเองให้หมดเลย



ผมชั่งใจอยู่สักพักว่าจะพิมพ์ต่อดีมั้ย

แต่ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลองดูละกัน



NaTee(n): พี่ช่วยน้าเกดหน่อยดิ

NaTee(n): ทำให้สามีแกสารภาพความจริง

NaTee(n): น้าเกดจะได้ตาสว่าง

NaTee(n): หรือถ้าแกไม่มีเมียน้อยจริง

NaTee(n): น้าเกดก็จะได้เลิกระแวง



พี่ทัชอ่านข้อความแล้ว ผมรออยู่สักพักแต่เขาไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่มีสัญญาณว่ากำลังพิมพ์ด้วย

ผมเลยตัดสินใจพิมพ์เพิ่มไปอีก



NaTee(n): ช่างมันพี่

NaTee(n): ผมนอนละ



ผมลุกไปเปิดประตูเชิญไอ้หมอนเน่าออกจากห้อง เพราะตามปกติแม่จะเป็นคนส่งมันเข้านอนในบ้านแมวที่อยู่ชั้นล่างทุกคืน ซึ่งมันก็ดูจะเข้าใจดี แต่ด้วยความที่เป็นแมวนรก มันเลยแอบตะปบขาผมสองสามทีก่อนค่อยเดินบิดตูดออกไป

จากนั้นผมก็ไปแปรงฟัน ปิดไฟ กลับขึ้นมาบนเตียง หยิบมือถือมาดูอีกครั้ง

พี่ทัชตอบแล้ว



NATOUCH: ตามประสบการณ์ของกู

NATOUCH: ความจริงมักจะโหดร้ายนะ

NATOUCH: บางที ไม่รู้ก็ดีกว่า



ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว นอนแผ่มองเพดานมืดๆ ก็ไม่ถึงกับมืดสนิท ผ้าม่านตรงหน้าต่างไม่หนาพอจะปิดกั้นแสงจากด้านนอกไว้ได้ทั้งหมด ผ้าม่านทั้งผืนเลยดูโปร่งแสงและทำให้ห้องมืดสลัวๆ บางครั้งมันก็ดูคล้ายประตูเวทมนต์ที่เปิดไปสู่มิติอื่นที่สว่างสดใสกว่ากว่าตรงนี้ ผมถึงกับเคยลุกขึ้นไปแหวกดูด้วยซ้ำ แต่มันก็คือผ้าม่านเก่าๆ ธรรมดาๆ นั่นแหละ

นอกจากห้องไม่มืดสนิท แถวนี้ยังไม่ค่อยเงียบด้วย หลักๆ คือเสียงรถวิ่งผ่านหน้าบ้านแทบตลอดเวลา รองลงมาก็เป็นเสียงหมาเห่า นอกนั้นก็เป็นเสียงอื่นๆ ของสังคมเมืองที่ผสมผสานกันจนเกิดเป็นเสียงหึ่งๆ แว่วมาจากที่ไกล

เพราะสภาพแวดล้อมแบบนี้แหละ ยิ่งทำให้ผมเป็นคนสมาธิสั้น นี่ความคิดก็เริ่มฟุ้งซ่านตีกันยุ่งอีกแล้ว

ตอบอะไรพี่ทัชดีล่ะ

หรือไม่ตอบดีกว่า

ใช่ ไม่ต้องตอบไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก ไม่ช่วยก็ไม่ช่วย ไม่ง้อ!

นอนดีกว่า

ห้านาทีผ่านไป ทนไม่ไหว ต้องหยิบมือถือมากดเข้าห้องแชตอีกครั้ง



NaTee(n): ตามประสบการณ์ของผม

NaTee(n): การโกหกกันแม่งโหดร้ายกว่าเยอะ



ผมคิดว่าตัวเองจะนอนไม่หลับอีกตามเคย แต่น่าแปลก พอพูดไปแบบนั้นแล้วกลับหลับง่ายขึ้น เช้านี้เลยไม่ต้องตาเหลือกเรียกใช้บริการวินพี่อี๊ดให้ยิงยาวถึงหน้าประตูมหา’ลัยอีก

วันนี้อากาศเย็น เมฆสีเทาเต็มฟ้า ดูเงียบเหงาซึมเซา

พี่ทัชไม่พิมพ์อะไรกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เช้าก็แล้ว สายก็แล้ว จนตอนนี้ถึงเวลาพักเที่ยงก็แล้ว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะเดินตกท่อหรือไม่ก็โดนหมาแถวบ้านกัดตายไปแล้วมั้ง แต่คิดอีกที แถวบ้านเขาคงไม่มีฝาท่อพังๆ หรือหมาจรจัดหรอก

เขาก็แค่ไม่อยากตอบแค่นั้นแหละ

แล้วทำไมกูไม่ถามไป เฮ้ย เพ่ ทำไร ตกส้วมตายแล้วเหรอ แค่นี้ ง่ายๆ แค่ตวัดปลายนิ้ว แต่ไม่เอาอะ ศักดิ์ศรีเว้ย! ถ้าไม่อยากคุยกันก็เงียบไปแบบนั้นแหละ จบ!

แต่ทำไมกูไม่จบวะ นี่อึนมาตั้งแต่เช้าละ

หรือว่าเป็นเพราะอากาศที่ชวนให้หดหู่…

“เป็นไรวะนะฑี” เปิ้ลพูดขึ้น “ปวดขี้ก็ไปขี้”

“ญาติเป็นพยาธิเหรอ ถึงรู้ว่าไส้กูต้องการขี้”

“หน้ามึงปวด”

“ถ้าปวดเดี๋ยวกูขี้เอง”

“เอ่อ…” เจษฎาแทรก “เรากำลังจะกินข้าวกันไม่ใช่เหรอ โดยมารยาทแล้ว ไม่ควรพูดถึงสิ่งปฏิกูลตอนนี้นะครับ” ถ้าว่ากันโดยมารยาทเจษก็พูดถูก เพราะตอนนี้เรานั่งกันอยู่ที่โรงอาหาร กำลังรอข้าวตามสั่งที่แม่ค้าทำอยู่

“เปิ้ล มึงเริ่ม กราบขอโทษเจษดิ”

“กูถามเพราะเป็นห่วง ถ้าผิดก็ผิดที่มึง”

“โอเค กูผิด...ขอโทษครับเจษ”

“ไม่เป็นไรๆ ทำไมชอบไหว้เราจัง เดี๋ยวอายุสั้น แค่ไม่ต้องพูดถึงขี้อีกก็พอ”

“อะ มึงพูดเองนะ” ผมชี้หน้า เล่นเอาเจ้าตัวอ้ำอึ้งไปไม่เป็น ผมเลยตบไหล่ให้กำลังใจพร้อมกับพูดต่อ “ไม่เป็นไรหรอกเจษ สังคมให้อภัยมึงแล้ว...เออ กูลืมถาม วันนั้นใครจ่ายค่าข้าวกะเพราให้กู เดี๋ยวกูเลี้ยงคืน”

“เราจ่าย” เจษว่า “แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องคืนเงินเรานะ แค่อนุโมทนาก็พอ”

“ฮะ?”

“เจษมันเอาไปเทให้หมากินอะ” เปิ้ลบอก

“ใช่ ตามที่นายแนะนำไง เป็นความคิดที่ดีมากนะ ทำแล้วสบายใจ”

“เอ้า รออะไร สาธุดิ” เปิ้ลบอกอีก

ผมยกมือท่วมหัว “สาธุ 99” ถึงงั้นก็เถอะ เอาข้าวกูไปให้หมากิน ทำไมฟังแล้วมันจุกๆ วะ “มึงนี่พ่อพระจริงๆ ว่ะเจษ ขอให้เจริญๆ นะ”

“ขอบใจนะ”

“เฮ้ย นั่นข้าวที่เราสั่งได้แล้ว หรือว่านางกวักสิงป้าวะ” ผมถาม

“เราว่าน่าจะได้แล้ว นะฑีไปช่วยเรายกหน่อย”

ผมกับเจษกำลังจะลุกจากที่นั่ง แต่เปิ้ลพูดขึ้นซะก่อน “นะฑี ญาติมึงมาว่ะ”

“หืม? แม่กูมาเหรอ”

“พ่อมึงมากกว่า มากับใครไม่รู้”

ผมหันขวับไปมอง แล้วก็เห็นตัวพ่อมาจริงๆ ด้วย ไม่ได้หมายถึงพี่ทัชนะ แต่อีกคนที่เดินตีคู่มาด้วยนี่แหละ พ่อทุกสถาบันแล้ว

พี่ทัชเดินสบายๆ ตรงเข้ามา เขาสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยเหมือนเดิม แต่วันนี้มีสวมเสื้อคาร์ดิแกนสีเทาทับไว้ข้างนอกด้วย แค่เสื้อสีเทาเรียบๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงโคตรดูดีดูเกาหลีขนาดนั้น ส่วนอีกคนนี่ ทั้งสีหน้าท่าทางกูนึกว่าคนทวงหนี้นอกระบบแฝงตัวมาในคราบนักศึกษา

“พี่มาทำไร” ผมถามเสียงเบา เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาถึงโต๊ะ

“เอ่า โตแล้วจะไปไหนก็ได้รึเปล่าวะ” คนตอบคือพี่เห็ด ส่วนพี่ทัชแค่มองหน้าผมคล้ายกับจะสำรวจว่าทุกอย่างยังปกติดีหรือเปล่า “ทีมึงยังไปกวนตีนแถวคณะกูเลย”

“ได้ข่าวว่าผมถูกลากตัวไปนะ”

“ทีแรกอะใช่ แต่หลังจากนั้นได้ข่าวว่ามึงไปเองนะ”

“วันนี้เลยจะมากวนตีนกลับว่างั้น”

“มาหาข้าวแดก”

“อ้าว โรงอาหารคณะพี่ไฟไหม้เหรอ ถึงไม่มีข้าวกินอะ”

พี่เห็ดกระตุกยิ้ม “แคลไม่น่ามีมึงเป็นน้องรหัสเลยจริงๆ ว่ะ...แล้วนี่อะไร เพื่อน? แนะนำดิ”

“นี่โอเปิ้ล นั่นเจษฎา” ผมชี้เรียงตัว “เฮ้ย พวกมึง นี่พี่เห็ด”

“เปิ้ล เจษ” พี่เห็ดทวนคำ “เรียกพี่ว่าเรนจิดีกว่าน้อง”

“งั้นก็เรียกว่าโอดีกว่า อย่าเรียกเปิ้ล”

“เอ่อ ส่วนผม เรียกผมเจษเฉยๆ ก็ได้ครับ”

พี่เห็ดมองทั้งคู่สลับไปมา ก่อนจะหันมาเอียงคอมองเปิ้ลเป็นพิเศษ ซึ่งไอ้เปิ้ลก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด แถมเอียงคอมองกลับด้วย

“เรียกพี่เห็ดตามเพื่อนละกัน” เปิ้ลบอก

“เฮ้ย เปิ้ล ไม่ดีมั้ง” เจษกระตุกแขนเสื้อเปิ้ล แต่เจ้าตัวไม่สนใจ

“กูไม่แปลกใจเลยที่มาคบกับนะฑี”

“แต่น่าแปลกใจนะ ที่พี่มาคบกับพี่ทัช” เปิ้ลเหน็บกลับทันที แล้วก็หันมาพูดกับผมเหมือนว่าพี่เห็ดไม่ได้ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ “คนนี้ปะ ที่มึงบอกว่ามีเรื่องด้วย”

“เออ” ผมตอบส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง ตอนนี้ความสนใจผมพุ่งไปอยู่ที่พี่ทัชมากกว่า เขาไม่แสดงท่าทีอะไรเลย แค่ยืนเฉยราวกับว่าสามารถรออยู่แบบนี้ได้ทั้งวัน

“งั้นก็ไม่น่าแปลกใจนะ ท่าทางเหมือนจะมีเรื่องไปทั่วอยู่แล้วอะ”

“อ่าวน้อง” พี่เห็ดเอียงคออีกข้าง “ยาว แบบนี้นั่งคุยกันยาว ไหนแนะนำดิ๊ ร้านไหนอร่อย”

“ก็ขึ้นอยู่กับเป็นคนจริงแค่ไหน”

“น้องเปิ้ลครับ พี่นี่คนจริงสุดแล้ว” พี่เห็ดทำเสียงยียวน

“บอกว่าให้เรียกโอ”

“ขอเรียกเปิ้ลตามที่เพื่อนเรียกละกัน”

มวยถูกคู่ว่ะ

ไม่มีใครยอมใครจริงๆ นี่จ้องกันเหมือนอยากจะกระทืบเล็บขบกันแล้ว

“พี่คนนี้เรียกแกเปิ้ลอะ ตบเลยมั้ย” ผมเชียร์อัพเบาๆ

เปิ้ลหันมองผม ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ เหมือนสื่อว่าปลงไปแล้วกับเรื่องชื่อ จากนั้นก็หันไปหาพี่เห็ดอีกที “คนจริงใช่มะ งั้นกินร้านเจ้น้อย”

“พาพี่ไปซื้อดิครับน้องเปิ้ล...ไม่ดิ เจษชบาพาไปดีกว่า เผื่อแคลหรือคนรู้จักแคลมาเห็นจะเข้าใจผิด”

“เจษฎาครับ” เจษพูดเบาๆ “เรียกเจษเฉยๆ ก็ได้”

“เออ เจษชบา ไหนล่ะร้านที่ว่า”

“ครับ...งั้นก็ได้ ทางนี้ครับ เปิ้ลนั่งรอนี่แหละ เดี๋ยวเรายกข้าวมาให้”

“เฮ้ย ไม่ดิ นี่พวกมึงกินข้าวหรือกินหญ้า ไอ้ทัชมีเรื่องจะคุยกับไอ้ตัวแสบแบบส่วนตัวไม่เห็นเหรอ เราสามคนต้องไปหาโต๊ะอื่นนั่งกัน ไป”

เปิ้ลมองหน้าผมเป็นเชิงถาม ผมพยักหน้า สะบัดมือไล่แบบ ชิ่วๆ พอทั้งสามคนปลีกตัวออกไปผมก็หันกลับมาหาพี่ทัช เขาขยับตัวมานั่งลงฝั่งตรงข้ามผม

“สรุปว่าพี่มาทำไร”

“มึงไม่ไปที่สวน”

“สวนไหน ป่าดงดิบอะนะ”

พี่ทัชหัวเราะ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ “อือ ป่าหลังคณะ”

“ก็ไม่รู้จะไปทำไม”

“แล้วเมื่อก่อนไปทำไม” เขาพูดพลางประสานนิ้วพลาสเตอร์พักไว้บนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้านิดๆ

ชิบ

ถามงี้ตอบไงวะ

เปิ้ลที่ตอนนี้นั่งอยู่ทางซ้ายถัดไปอีกสองโต๊ะมองมาด้วยสายตาสงสัย ส่วนพี่เห็ดกับเจษยังยืนถกกันอยู่ที่หน้าร้านข้าวแกง หรือจะเรียกว่าพี่เห็ดกำลังโวยเจษอยู่น่าจะตรงกว่า ผมคิดว่าจะตัดบทพี่ทัชและขอไปนั่งกับพวกนั้น แต่อะไรบางอย่างในแววตาของคนตรงหน้าทำให้ผมพูดไม่ออก ราวกับว่าดวงตาสีน้ำตาลอัลมอนด์ของเขามีพลังพิเศษสามารถสร้างโดมล่องหนขึ้นมาปิดกั้นโลกภายนอกไว้ จนเหมือนว่าตอนนี้มีแค่เราสองคนที่นั่งอยู่ตรงนี้

“ก็พี่เห็ดลากไป” ผมพูดในที่สุด

“โดนลากไปวันเดียว แล้ววันอื่นๆ ล่ะ”

ยังจะถามจี้อีก

กูไปน้ำขุ่นๆ เลยละกัน

“ยุงเยอะดีไง ไปศึกษาเรื่องยุง กะไว้ว่าอาจจะใช้เป็นหัวข้อทำโปรเจ็กต์จบตอนปีสี่”

“คณะบริหารน่ะนะ ทำโปรเจกต์เรื่องยุง”

“ใช่ ทำไมอะ นี่ประเทศเสรี มีอิสระเลือกเต็มที่”

มุมปากเขากระตุกยิ้ม “งั้นทำไมไม่ไปเก็บข้อมูลยุงอีก”

“น่าเบื่อ ว่าจะเปลี่ยนหัวข้อละ”

“เปลี่ยนเป็น?”

“ยังไม่คิด”

“ลองหัวข้อนี้ดิ การบริหารจัดการชีวิตเมื่อถูกโน้มน้าว ทำหัวข้อนี้ เผื่อกูจะได้จำไปปรับใช้”

อะไรของเขาวะ

ใครโน้มน้าวอะไรตอนไหน

ไม่รู้จะใช่เรื่องที่คิดรึเปล่า งั้นลองตามน้ำไปก่อน “ถ้างั้นอันนี้ดีกว่า การบริหารจัดการกับอารมณ์เมื่อถูกปฏิเสธ”

“หึ”

“หะ”

“หะอะไร”

“ก็พี่หึอะไรล่ะ”

ไม่รู้เว้ย รู้แค่ว่าตอนนี้หน้าพี่แม่งกวนตีนละ ถ้าจะยิ้มทำไมไม่ยิ้มเต็มๆ วะ ทำหน้าทำตาโคตรมีลับลมคมใน

“กูยังไม่ได้ปฏิเสธ”

“เรื่องไรล่ะ”

“ก็เรื่องนั้นแหละ”

“น้าเกด?”

“อืม” ท่าทีเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อยแสดงว่าคือเรื่องนี้จริงๆ ขณะที่ผมยังอยู่ในโหมดกวนตีนอยู่ ซึ่งคือโหมดปกติของผมอยู่แล้ว

“อ้อ เหรอ ผมบอกไปแล้วไงว่าช่างมัน ไม่ได้โน้มน้าวซะหน่อย”

“มีแผนว่าไง”

“แผนอะไร ไม่มีแผนไรทั้งนั้นอะ”

“มึงคงไม่คิดว่า อยู่ดีๆ จะให้กูเดินเข้าไปจับล็อกตัวเขาเลยหรอกนะ”

“ทีงี้จะช่วยแล้วเหรอ”

“กูยังไม่ได้ปฏิเสธ ขอฟังแผนก่อน”

“ไม่เป็นไรอะ ไม่ต้องใช้พลังเอ็กซ์เมนของพี่หรอก ผมจะไปลุยกับมันเอง” เดี๋ยวนะ นี่กูพูดอะไรออกไป เขาจะช่วยก็ดีแล้ว แต่...นั่นแหละ ศักดิ์ศรีแม่งค้ำปาก

“ไปลุยยังไง”

“ก็ลุยอะ ซ้อมมัน”

“มึงคงโดนซ้อมมากกว่า”

“งั้นก็พกมีดไปสักเล่ม ถ้าแม่งสู้ก็เสียบ”

“กูกลัวมึงจะเดินสะดุดทำมีดเสียบตัวเองตายก่อน”

“ช่างผมเถอะน่า”

“ช่างได้ไง”

“ทำไม” ผมถามแบบไม่ต้องการคำตอบ “เมื่อคืนทำเป็นเงียบ ทีงี้จะมาช่วย”

“กูแค่ใช้เวลาคิด”

“คิดว่า?”

“ก็เหมือนกับเรื่องไอ้เป้แหละ กูไม่อยากให้มึงไปทำอะไรโง่ๆ โดยที่ไม่มีกูอยู่ด้วย”

“นี่คือกำลังด่าว่าผมโง่?”

“ไม่ได้ด่า พูดความจริง”

นี่แหละด่าแล้ว ปวดไปถึงไส้เลย

ผมกอดอกและมองหน้าเขา “งั้นบอกหน่อยดิ๊ แผนของคนฉลาดเป็นไง”

พี่ทัชเปลี่ยนเป็นนั่งกอดอกแทบจะเหมือนล้อเลียนท่าผม สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นไปอีกระดับ คิ้วขมวดนิดๆ เล่นเอาผมลุ้นไปด้วย แล้วสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจอย่างปลงๆ

“แค่มีดอาจจะไม่พอ เอาเลื่อยกับถุงดำไปด้วยดีกว่า ถ้าเกิดเคลียร์ไม่ลงตัวยังไงเราจะได้หั่นศพปกปิดหลักฐานได้เลย”







____________________________



ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณมากเลยที่ยังอยู่ด้วยกัน T__T

#ณTouch แฮชแท็กเผื่ออยากพูดคุยในโซเชียลค่า

ฝากแชร์ฝากเมนต์ให้นักเขียนตาดำๆ คนนี้ด้วยนะคับ /ส่งสายตาปิ๊งๆ



รักมากๆ เลย


นางร้าย

24.สิงหา.2019

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
รอดูต่อไปปปปปปปปป

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด