●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8  (อ่าน 30280 ครั้ง)

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 30
จับบบ...นึกว่าเปลี่ยนเบอร์ไปเจอที่เดิมเพิ่มเติมตามนั้นคาดคั้นอุฟุฟวย



แม่ตายแน่ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง พี่ทัชพูดอย่างนั้น

ใจผมแย้งว่าต่อให้ลุกขึ้นมาทำอะไรแม่ก็ตายอยู่ดี แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็นอนซมนอนซึมอยู่ในห้องตลอดไปไม่ได้อยู่แล้ว

วันจันทร์ ผมเลยตื่นขึ้นมาโดยพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ลงมายิ้มทักทายแม่ กินไรรองท้องนิดหน่อย แล้วไปมหา’ลัย ตอนพักกลางวันก็โทรหาแม่รอบนึง ซึ่งทำให้ผมตระหนักว่าที่ผ่านมาผมละเลยการโทรหาแม่มากแค่ไหน น้ำเสียงแม่สดใสดี ดูปกติทุกอย่าง

แต่ยิ่งเราทำเป็นปกติมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดูไม่ปกติมากเท่านั้น

“เป็นไรวะนะฑี ป้าร้านน้ำเอาเยี่ยวหมาให้แดกเหรอ ที่เหลืองๆ ในแก้วนี่ไม่ใช่เก๊กฮวยใช่มะ” เปิ้ลถามระหว่างเรากินข้าวกัน

“เปล่า”

“หรือท้องผูก เรามียานะ” เจษฎาแสดงความห่วงใย

“เปล่า”

“หน้างี้คงฝีใต้จั๊กแร้แตกมากกว่ามั้ง ใช่มะ”

“เพิ่งคุยกับแม่”

“เออ เห็นอยู่ คุยกับแม่ทำเสียงเล็กเสียงน้อย พอวางสายทำหน้าเป็นตูดใส่เพื่อน กูเลยอยากรู้ว่า…”

“แม่กูเป็นมะเร็ง” ผมขัดกลางประโยค

“มะเร็งที่ส้นตีนหรือตาตุ่มล่ะ”

“มะเร็งต่อมน้ำเหลือง”

“...”

“...”

“คราวนี้พวกมึงทำหน้าเป็นตูดใส่กูซะงั้น”

“จริงเหรอวะ เรื่องงี้พูดเล่นไม่ได้นะเว้ย” เปิ้ลเสียงอ่อนบ่งบอกว่าเชื่อไปแล้ว ปกติมันไม่เชื่ออะไรที่ออกจากปากผมง่ายๆ หรอก แต่ครั้งนี้คงจับความจริงจังในน้ำเสียงได้ ส่วนเจษน่ะ พูดอะไรก็เชื่ออยู่แล้ว

“กูก็อยากให้แม่งไม่จริงเหมือนกัน”

“นายโอเครึเปล่า นะฑี เอ่อ...มีอะไรเล่าให้เราฟังได้นะ”

กูเพิ่งเล่าไปไงเจษ แม่กูเป็นมะเร็ง!

แต่ผมฉีกยิ้มพร้อมกับตบไหล่เจษเบาๆ “ขอบคุณครับเจษ ที่จะเล่าตอนนี้ก็คือ กูปวดขี้ พวกมึงกินกันไปนะ กูขอตัวไปขี้ก่อน”

“นะฑี” เปิ้ลเรียก

ผมยกมือขึ้นระดับไหล่โดยไม่หันไป “ขี้จะแตก ไว้ค่อยคุย”

พอมาถึงห้องน้ำผมก็เข้าส้วมไปขังตัวเองไว้ในนั้น ควักมือถือออกมาไถหน้าจอดู พี่ทัชยังไม่ติดต่อมา ไม่ว่าจะด้วยการโทรหรือแชต ผมเองก็ยังไม่ได้ติดต่ออะไรไปเหมือนกัน

แชตไปดีมั้ย...

อึดอัดจนหายใจไม่ออกเลยว่ะ แม่ง ออกไปดีกว่า

ออกมาข้างนอกค่อยหายใจโล่งขึ้นหน่อย ว่าจะแชตไป แต่รู้ตัวอีกทีขาทั้งสองข้างก็กำลังพาตัวเองไปที่คณะจิตวิทยาแล้ว ปล่อยเลยตามเลยละกัน แต่ใจนึงก็หวังว่าเขาจะไม่อยู่ที่ป่าดงดิบหรอก เพราะช่วงนี้เขาน่าจะงานเยอะ

ปรากฏว่าเขาอยู่ นั่งอ่านหนังสือและมีแซนด์วิชวางข้างๆ เหมือนวันแรกที่เจอกัน

“แซนด์วิชอีกแล้ว” ผมนั่งลง บังคับตัวเองให้ฉีกยิ้ม

พี่ทัชยกมือขึ้นเป็นเชิงว่ารอแป๊บนึง เขาจ้องหน้าหนังสือไฮกุอยู่สักพักคล้ายกับครุ่นคิดหาความหมายที่แท้จริงของมัน แล้วค่อยปิดหนังสือ เงยหน้าขึ้น

“มึงยิ้ม” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขาราบเรียบ

“ผมยิ้มแล้วไง”

“ก็ดี”

มีประกวดคนหน้านิ่งแห่งชาติรึเปล่าวะ จะส่งพี่ทัชเข้าประกวด แถมพี่แกยังมองหน้าผมต่อเหมือนว่าจะเล่นแข่งจ้องตากัน

อึดอัดว่ะ

เอาไงต่อวะ

“เหมือนวันแรกที่เราเจอกันเลยนะ” ผมเสี่ยงหงายการ์ดความหลังไปดู

“กูไม่เห็นมีอะไรเหมือนเดิมสักอย่าง” 

“ผมเห็นอยู่สองสามอย่างนะ พี่นั่งอ่านกลอนอยู่แบบนี้ มีแซนด์วิชแบบนี้ แล้วก็หน้านิ่งแบบนี้”

“แต่มึงไม่ได้ยิ้มปลอมๆ แบบนี้”

แม่เป็นมะเร็งจะให้ยิ้มจริงๆ ได้ไงวะ

ผมถอนหายใจทิ้งยาวๆ เพื่อสลัดรอยยิ้มนั่นทิ้งไป

“มึงโกรธ”

“เปล่า”

“มองหน้ากูดิ”

ผมเพิ่งรู้ตัวว่าหลบตาเขา รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะเงยขึ้นมองเขาตรงๆ แต่ผมก็ฝืนทำจนได้

“กูอยากให้มึงแสดงความรู้สึกจริงๆ กับกู”

“...”

“ไม่อยากยิ้ม ก็ไม่ต้องยิ้มดิ”

“...”

“อยากร้องไห้ ก็ร้องเลย”

ผมรีบเงยหน้ามองฟ้า บังคับให้น้ำตาที่กำลังเอ่อขึ้นมาไหลย้อนกลับไป “ผมไม่ได้อยากร้อง” ว่าแล้วก็สูดขี้มูกฟืดๆ “ไม่ต้องมาบิ๊วผม”

“อืม” ตอบแค่นั้น ไม่บิ๊วต่อ ไม่อะไรเลย แค่นั่งนิ่งๆ เหมือนว่ารอได้เป็นวันๆ

อึดอัดโว้ยยย

“พี่แม่ง!”

“อะไร”

“พี่โกรธใช่ปะ ถึงได้เงียบๆ ไป”

“กูเปล่า”

“งั้นทำไมไม่แชตไม่โทรมาเลย”

“มึงบอกว่าจะเอามือถือไปขาย”

“พี่อย่าประชดได้ปะ คิดว่าผมจะเอาของที่พี่ให้ไปขายจริงๆ ดิ”

“เห็นมึงพูดจริงจัง”

“ถึงขายเครื่องผมก็ใช้เบอร์เดิม ทำไมไม่โทรล่ะ”

“กูไม่อยากให้มึงเกลียดกูมากกว่านี้”

“...”

“มึงอยากให้คนที่มึงเกลียดโทรหาเหรอ”

“...”

เหี้ย

ทำไมจุกขนาดนี้

“ตอบกูดิ”

“อยาก” ผมพูดเสียงเบา

พี่ทัชหยิบมือถือของเขาขึ้นมา เลื่อนไถหน้าจอ แล้วก็กด ไม่ทันไรมือถือเครื่องเก่าของเขาที่อยู่ในกระเป๋าผมก็สั่นครืดๆ

ผมควักมันออกมา แล้วกดรับสาย

“ฮัลโหล ขอสายนะฑีหน่อยครับ” เสียงเขาดังมาตามสาย แต่ไม่ต่างจากคุยต่อหน้าเท่าไหร่หรอก เพราะตัวจริงเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้เอง

ผมยกมือถือแนบหูและเล่นตามน้ำไป “พูดอยู่”

“อ้อ นึกว่ามึงเปลี่ยนเบอร์แล้ว”

“ก็ว่าจะเปลี่ยนแหละ หาเบอร์มงคลมาใช้ ชีวิตจะได้ดีๆ เจอคนดีๆ”

“คนที่เจออยู่ทุกวันนี้ไม่ดีเหรอ”

“ไม่รู้ดิ ส่วนมากก็แย่มั้ง”

“อ่อ งั้นถ้าเปลี่ยนเบอร์บอกหน่อยนะ”

“คิดดูก่อน”

“ให้เวลาคิดห้าวินาที”

“...” ผมมองหน้าเขา เขาก็มองตอบด้วยแววตาเรียบๆ แต่คล้ายกับจะมีรอยยิ้มมุมปากนิดๆ ทำไมเขาถึงทำให้อารมณ์ผมแกว่งขึ้นแกว่งลงได้ขนาดนี้วะ หรือบางทีต่อมอะไรสักอย่างในสมองผมอาจจะผิดปกติจริงๆ

“หมดเวลา ถ้าเปลี่ยนเบอร์จะบอกมั้ย”

“บอกทำไม ขนาดเบอร์เดิมยังไม่โทรเลย”

“ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรหา”

“...”

“กูไม่อยากให้มึงเกลียดกูมากกว่าเดิม เลยไม่ได้โทร”

“...”

“โกรธรึเปล่า” เขาเอียงหน้ามองผม สายตาคล้ายกับจะขุดค้นเข้าไปส่วนที่ลึกที่สุดในใจผม จนผมต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“พี่แม่ง”

“แสดงว่าโกรธ”

“ช่างมันเถอะ”

“ช่างมันได้ไง ยังไม่ได้ง้อเลย”            “...”

“ต้องง้อยังไงถึงจะหาย...เอ๊ะ แต่มึงยิ้มแล้วนะ”

ผมรีบทำหน้าบึ้ง “นี่คุยโทรกันอยู่ พี่จะรู้ได้ไงผมยิ้มหรือไม่ยิ้ม”

“เสียงมึงเหมือนยิ้ม”

“มั่ว”

“เนี่ย ตอนนี้เสียงก็ยิ้ม หายโกรธแล้วใช่มั้ย”

ไอ้พี่ทัช มึง กูกลั้นยิ้มจะไม่ไหวแล้ว

“เออๆ ไม่ได้โกรธ”

“ดีแล้ว ไม่โกรธก็จะได้ไม่ง้อ” อ่าว กวนตีนแล้ว “แล้วชีวิตเป็นไงบ้างครับช่วงนี้” เขาถามต่อ

“คิดว่าเป็นไงล่ะ"

“ก็คิดว่า...น่าจะกินน้อย นอนน้อย น้ำหนักลด แต่ตดยังดัง...มั้ง”

ขนลุก! พี่ทัชกล้าเล่นมุกนี้เหรอวะ

เวลาคนบุคลิกดีๆ มาพูดแบบนี้ฟังแล้วโคตรแปลกเลย

“ไม่เล่นละ” ผมกดวางสาย

พี่ทัชมองมือถือตัวเอง แล้วเอาแนบหูอีก “ฮัลโหลๆ” จากนั้นก็ยอมวางมือถือและยิ้มให้ผม “วางไปละ”

“พี่ไปตั้งคณะตลกมั้ย”

“เอาดิ ให้มึงเป็นหัวหน้า”

“เหอะ เอาบริษัทขอทัชฑีให้รอดก่อนเถอะ”

คราวนี้พี่ทัชยิ้มนิดๆ โดยไม่พูดอะไร และทุกครั้งที่เขาเงียบ ผมก็ทนไม่ไหวที่จะต้องพูดอะไรสักอย่าง นี่ต้องเป็นเทคนิคจิตวิทยาแน่ๆ

“ที่ผมมาหาพี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ บริษัทขอทัชฑี”

“อือฮึ”

“ผมเข้าไปดูในกลุ่มเมียหลวงแล้ว ตกลงรับนะ ไม่น่ายากอะไร เดี๋ยวผมนัดวันอีกที”

“ทำไมถึงอยากทำ”

“เงินไง” คำนั้นพุ่งออกจากปากผมแทบไม่ต้องคิด “ก็แม่ผม...ป่วย”

“อืม” เขาหันมองหน้าผมตรงๆ “แต่มึงเกลียดกูแล้ว จะร่วมงานกันได้เหรอ”

“...” ชิบหาย ต้องวนมาเรื่องนี้จนได้สินะ

“กูเคยบอกมึงใช่มั้ยว่า ตามประสบการณ์กูความจริงมักจะโหดร้าย บางทีไม่รู้ก็ดีกว่า แต่มึงเถียงว่าตามประสบการณ์มึงการโกหกกันมันโหดร้ายกว่า...เรื่องแม่มึงมันเป็นความจริงที่โหดร้าย แล้วเรื่องนั้นล่ะ จริงหรือโกหก”

“เรื่องอะไร”

“ที่มึงเกลียดกู”

“เอาเป็นว่า...ผมขอโทษละกัน”

“ไม่จริงใจ”

“ผม ขอ โทษ” ผมเน้นชัดถ้อยชัดคำ

“เสียงแข็ง”

“ผมขอโทษครับพี่ทัช”

“จะบอกว่าไม่ตั้งใจหรือโกหกล่ะ”

“ผม...ไม่รู้อะ ก็ตอนนั้นนิ้วพี่…”

บรรยากาศแบบอมยิ้มๆ ก่อนหน้านี้หายไปไหน หายไปตั้งแต่ตอนไหน

ทำไมมันกลับมาอึมครึมอีกแล้ว

“ความจริงบางอย่างนานแค่ไหนก็ไม่เปลี่ยน แต่ความจริงบางอย่างแป๊บเดียวก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” เสียงพี่ทัชเรียบเรื่อย และคล้ายกับครุ่นคิดไปด้วย “ตอนนั้นมึงอาจจะรู้สึกเกลียดกูจริงๆ ก็ได้ หรือบางที…”

“อะไร”

“อาจเป็นจังหวะที่นิ้วกูไม่โดนผิวมึง”

“ไม่โดนเหรอ”

“มั้ง ไม่รู้ดิ”

“พี่อะ เอาดีๆ ผมงงไปหมดแล้ว”

“อืม งั้นเอาใหม่” เขาเอียงคอนิดๆ มองผม “กูจะไม่แตะตัวมึง ทีนี้มึงจะบอกความจริงหรือโกหกอะไรกูก็ได้ กูจะเชื่อตามนั้น”

“ไม่เอาอะ”

“งั้นกูก็จะเชื่อตามคำพูดเดิมของมึง”

“อะไรของพี่วะ จะมาคาดคั้นไร”

“กูไม่ได้คาดคั้น ก็ตามนั้นไง”

“พี่แม่ง”

“ด่ากูทำไม”

“โอ๊ย ไรเนี่ย ไม่ได้ด่า มันแบบ...” ผมอ้าปาก แล้วก็หุบ แล้วอ้าอีก “อยากฟังนักใช่ปะ งั้นเอาเป็นว่าผมอุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาสกับพี่ละกัน”

“อะไร”

“ก็บอกให้ผมพูดไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

พี่ทัชเอนหลังและกอดอก สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แววตาสีน้ำตาลมองมาตรงๆ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกคันยุกยิกในอกอย่างบอกไม่ถูก “อืม เข้าใจแล้ว”

“ฮะ?”

“ตามนั้น”

“เฮ้ย ตามนั้นไรวะ เข้าใจว่าไง…ทำไมต้องทำหน้างั้นด้วย”

“หน้ายังไง”

“หน้ายิ้มๆ เหมือนรู้ทันอะ”

“ก็กูรู้แล้วไง เข้าใจแล้ว”

“พี่เข้าใจว่าไง”

“เข้าใจว่ามึงอุฟุฟวยฟ่วยฟวยนอนยันทวยหล่วยลวย อ่า...โอเอ็มจีลวยลวยโอซาสกับกู นั่นแหละ ตามนั้น”

โคตรกวนเลย

อะไรของเขาวะเนี่ย!








________________________


ฝากแฮชแท็ก #ณTouch ไว้ด้วยน้า
แฮ่ ชอบที่ได้รวมความรู้สึกทุกคนเอาไว้ด้วยกัน ❤️
ขอบคุณมากนะคะ


นางร้าย
2.กุมภา.2020







ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
55555เหนื่อยใจกับนะฑี

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
พีทัช!!!555555555555555555555555555

ไอ้ตัวดีไปไม่เป็นเลย นอกจากไม่โกรธยังเข้าใจ ง้อ เล่นมุก กวนมากวนกลับไม่โกงอีก พี่แม่ง! 55555555555555555555555555555555555555555555555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2020 22:02:21 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
พี่ทัชคะ อะไรไม่ดี บุ๋มก็บอกว่าไม่ดีค่ะ  อิน้องมันเพี้ยนปล่อยมันไปนะคะ อย่าเอามันเป็นเยี่ยงอย่าง (เป็นเมียพอไหว) แค่คนเดียวแม่ก็ปวดเฮดมากแล้วค่าาา ได้โปรดดด  :ling3:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ร้องไห้แบบฮาๆ
สงสารพี่ทัชโดนน้องบอกเกลียด

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2

แตะต้องครั้งที่31
จับบบ…เจอร้านน้องจอยนั่งคอยผ่าม! ผ่าม! ผ่าม! ลามปามในความมืดยืดอกในซอย



ผมหมกมุ่นกับอุฟุฟวยฟวยอะไรของพี่ทัชนี่อยู่เป็นวันๆ อะไรของเขาวะ ถามเซ้าซี้ก็ไม่ยอมอธิบาย บอกแค่ว่าอุฟุฟวยของผมหมายความว่าไง อุฟุฟวยของเขาก็หมายความแบบนั้น

คือผมพูดมั่วไง แต่ของเขาน่ะต้องหมายถึงอะไรสักอย่างแน่ ดูจากตาที่เป็นประกายกับสีหน้าขำๆ นั่น

พี่ทัชลามกว่ะ

ไม่คิดละ เกิดเป็นคนต้องวางให้ลงปลงให้เป็น เรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่เห็นจะต้องเก็บมาคิด แต่คำว่า ‘ฟวยฟวย’ มันก็ออกไปทางลามกรึเปล่าวะ…

ช่างเถอะ

พอ

เลิกคิด

เรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือ...แม่ ผ่านมาอีกหนึ่งสัปดาห์ ผมเริ่มจะปรับตัวให้กินและนอนได้มากขึ้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็มีอัปเดตบ้างนิดหน่อยตามสภาพ

แม่นัดหมอแล้ว จะเข้าไปคุยเร็วๆ นี้ว่าอาการร้ายแรงแค่ไหน แนวทางการรักษาอย่างไร ซึ่งปัญหาใหญ่สุดก็หนีไม่พ้นเรื่องเงินนั่นแหละ

น้าเกดเปิดเผยเรื่องนี้ในกรุ๊ปไลน์เมียหลวง ไม่น่าเชื่อว่าหลายคนจะอินถึงขนาดช่วยกันบริจาคสมทบทุนค่ารักษามาให้ ถึงไม่ได้มากมาย แต่น้ำใจคนไทยนี่ก็เล่นเอาผมขนลุกขนชัน โดยเฉพาะเจ๊เจนนี่ พิมพ์รัวๆ อย่างกับว่าแม่ผมตายแล้ว แต่ในห้องแชตส่วนตัวนี่คือ เจ๊ขอลดค่าบริการครึ่งราคาได้มั้ย ข้อหาที่เราดันไปทำแผนขอแต่งงานพัง แถมยังขอเลื่อนไปก่อนเพราะแกต้องใช้เงินไปฮันนีมูนก่อน ผมตอบเลย ไม่เป็นไรครับเจ๊ งานนี้ฟรี ขอให้มีความสุขครับ

ส่วนงานต่อๆ มาอีกสองงานที่พี่ทัชรับปากไว้ อันนี้คิดเงิน แต่ก็นั่นแหละ ถือว่าได้มากกว่าค่าขนมนิดหน่อย เพราะงานไม่ยากเย็นอะไร และเราก็จัดการให้แบบมาเร็วเคลมเร็วไปเลย แค่ให้พี่ทัชแกล้งเข้าไปทักคนผิด จับแขน ยิงคำถามเข้าเป้า อัดคลิป แล้วก็ชิ่ง กลับมานั่งตบยุงกันต่อที่ป่าดงดิบ

แต่จู่ๆ ก็มีผู้ใหญ่ใจดีเสนองานมาให้ทำ โดยยินดีจ่ายสองหมื่นถ้างานสำเร็จ และตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างทางที่จะไปจัดการให้มันสำเร็จนี่แหละ

เวลาสามทุ่มกว่าๆ รถยังเยอะอย่างกับปลวก พี่ทัชขับไปเงียบๆ ส่วนผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

“โพสต์รับบริจาคทางโซเชียลดีมะ” ผมทำลายความเงียบ “จับแม่ใส่เสื้อผ้าขาดๆ อยู่ในกระต๊อบไรงี้ ถ่ายรูปมาโพสต์ พอได้เงินบริจาคเยอะก็ปิดเพจ”

“เอาดิ กูจะบริจาค”

“บอกแล้วไงว่าผมไม่เอาเงินพี่”

“แล้วทำไมคนอื่นบริจาคได้”

“ก็นั่นมันคนอื่นไง แต่พี่ไม่ใช่”

“อ้อ”

“อ้ออะไร”

“อ้อ กูไม่ใช่คนอื่น” ทำไมเสียงเปลี่ยนโทนวะ

“เอ้า ก็คนรู้จักกันอะ ก็ต้องเกรงใจดิ”

“อ๋อ”

“อ๋อไรอีกอะ”

“อ๋อ กูเป็นแค่คนรู้จัก”

“เดี๋ยวนี้พี่เป็นคนกวนตีนนะ รู้ตัวปะ”

“อ๋อเหรอ”

“เลิกพูดอ้ออ๋ออะไรนี่ได้ปะ”

“อ่อ” เขาหันมาและรีบพูด “โทษที ไม่พูดอ๋อแล้ว งั้นมึงก็คิดซะว่ากูเป็นคนอื่นดิ กูจะได้บริจาค”

“พี่อยากเป็นคนอื่นเหรอ”

“มึงคิดว่ากูอยากมั้ยล่ะ”

“เนี่ย กวนตีน” ผมมองหน้าเขาบ้าง “แล้วก็ไม่เปิดรับบริจาคอะไรทั้งนั้นอะ ผมแค่ประชด หาเรื่องพูดกวนตีนไปงั้น ผมไม่เอาเงินใครฟรีๆ หรอก จะหาด้วยลำแข้งตัวเองละ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องเล่นมุกนะว่าหาด้วยลำแข้งคือให้ไปต่อยมวย”

“มึงพูดอ้อ”

“ออ อ่อ อ้อ อ๊อ อ๋อ ผมพูดได้ พี่ห้ามพูด เข้าใจปะ”

“จะถึงแล้ว” เสียงพี่ทัชจริงจังขึ้นปุบปับ

“จริงดิ” ผมหันขวับ ควักมือถือออกมาเตรียมพร้อม

จุดหมายของเราคือร้านคาราโอเกะที่ชื่อว่า ‘น้องJoy’ พี่ทัชขับรถเลยไปจอดค่อนข้างไกล แล้วเราค่อยลงเดินย้อนกลับมา เคสนี้ค่อนข้างแปลก ไม่ใช่เมียตามจับผิดผัว แต่เป็นผัวที่จ้างให้เรามาตามจับผิดเมีย ซึ่งคนเป็นเมียก็เป็นเจ้าของร้านนี้แหละ แถมเอาชื่อตัวเองมาตั้งเป็นชื่อร้านตรงๆ เลย

ดูจากป้ายไฟกับสภาพร้านแล้วก็นึกถึงตลาดเจ๊เนียม ถ้าร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้ตลาด แก๊งวินของพี่อี๊ดคงเมาหัวราน้ำกันไม่เว้นวันแน่

เรามาหยุดที่หน้าร้าน เด็กๆ ของเจ๊จอยสามนางกำลังนั่งเมาท์มอยกันอยู่ แน่นอนว่าแต่ละคนก็นุ่งน้อยห่มน้อยและโบ๊ะหน้าจัดเต็มกันสุดๆ พอทั้งสามหันมาเห็นเราก็ถึงกับชะงัก พูดให้ชัดกว่านั้นคือ ชะงักเพราะเห็นพี่ทัชนี่แหละ

“สองที่น้อง” ผมเรียกร้องความสนใจ

“อะ...มาเที่ยวเหรอคะ”

“ทำไมอะ คิดว่ามาขายเครื่องกรองน้ำเหรอ”

เท่านั้นแหละ ทั้งสามคนเหมือนจะได้สติ รีบลุกจากเก้าอี้มาล้อมเราไว้เหมือนจะจับเป็นตัวประกัน

“เชิญค่ะๆ”

“ถ้าหน้าอย่างพี่ขายเครื่องกรองนะ หนูจะนั่งกรองน้ำเล่นทั้งวันเลยค่ะ”

“พี่สูงจัง ดูดิ หน้าอกหนูอยู่แค่เอวพี่เอง”

ช่วยด้วย ทำไมรุนแรงกันขนาดนี้ ต้องป่าเถื่อนแค่ไหนถึงจะเทียบระดับความสูงคนไม่รู้จักด้วยนม ไหนจะเอามุกเครื่องกรองน้ำผมไปปู้ยี่ปู้ยำอีก แล้วแทนตัวเองด้วยหนูด้วย อายุนี่น่าจะน้องๆ น้าเกดแล้วมั้ย

“เจ๊จอยอยู่มั้ยครับ” พี่ทัชถามเรียบๆ

ทั้งสามนางมองหน้ากัน

“ลูกค้าเจ๊ว่ะ”

“เจ๊ยังไม่มา เราก็แทะไปก่อน”

“เดี๋ยวเจ๊ก็ตบหรอกมึง”

“เอ้า ตบเป็นตบนะคะงานนี้”

นี่คือละครซิดคอมเหรอ ทำไมคุยกันด้วยเสียงปกติขนาดนั้น หรือว่าเพราะทำงานในร้านแบบนี้เลยต้องพูดแข่งกับเสียงเพลงจนชิน หรือว่าประสาทหูเริ่มเสียไปแล้ว

“อะแฮ่ม” ผมกระแอม

“เชิญจ้ะรูปหล่อ”

แล้วเราสองคนก็ถูกลากเข้าไปในโรงเชือด มันดูเหมือนโรงเชือดในหนังสยองขวัญเกรดบีจริงๆ นั่นแหละ แสงไฟมัวๆ กับครัวเล็กๆ ส่วนห้องโถงมีโต๊ะอยู่สี่ห้าโต๊ะพร้อมกับตู้คาราโอเกะให้เวียนกันร้อง เดี๋ยวนะ มีห้องVIP ด้วยอีกสองห้อง

เราถูกลากเข้าห้องVIP ห้องในสุดโดยไม่มีการถามไถ่ ภายในห้องก็มีโต๊ะยาวสำหรับวางอาหารการกิน หน้าจอ ลำโพง และโซฟาที่ดูไม่น่าจะอ่อนโยนกับตูดเท่าไหร่ เราถูกกดให้นั่งลง ทั้งสามตามประกบทันทีอย่างกับจะคุมตัวนักโทษ หลังจากถามชื่อแซ่กันเรียบร้อยก็ได้ความว่า

คนที่นั่งทางซ้ายของพี่ทัชชื่อนีน่า คนนี้หุ่นดีเลย หน้าอกหน้าใจก็น้องๆ โอเปิ้ลได้ แต่ก็มีความขัดแย้งในตัวเองชัดเจน คือชื่อฝรั่ง แต่โครงดั้งกับใบหน้าผมว่าไม่ใช่ ต่อให้ย้อมผมทองมันก็ไม่ใช่อะ

ถัดมาคนที่นั่งตรงกลางชื่อชาช่า แต่เพื่อนอีกสองคนขอให้เราเรียกเจ้าตัวว่าชะชะช่า นี่ก็เป็นโรคปอดบวมอีกคน แต่หุ่นอวบๆ กว่าคนแรกหน่อย

คนสุดท้าย เกาะแขนขวาผมเป็นลูกลิงอยู่นี่ชื่อปาร์ตี้ ปาร์ตี้ ทำไมไม่อัพไซส์มาสู้กับเพื่อนอะ แล้วนี่วันๆ กินข้าวบ้างรึเปล่า ทำไมถึงผอมขนาดนี้

“กินไรดีคะพี่ เอ๊ะ เมนูอยู่ไหนน้า อ๊ะ เจอแล้ว…” กินไรก็ได้ ปาร์ตี้ อย่ากินกูก็พอ

“แนะนำเครื่องดื่มพี่เขาก่อนสิยัยปาร์...ข้ามหน้าเบียร์อาชาไปเลย หล่อๆ อย่างพี่เขานี่ต้องเหล้าแพงๆ” ชะชะช่าบิ๊ว

ส่วนนีน่าไม่พูดอะไร ท่าทางเหมือนจะอยากแทะแขนพี่ทัชเป็นของว่างแล้ว

“เจ๊จอยล่ะครับ” พี่ทัชถาม

“น่าจะใกล้ถึงแล้วนะ ปกติเจ๊ก็มาเวลานี้แหละ” ชะชะช่าตอบ

“อ้อ”

เออ รีบๆ มาหน่อยเถอะเจ๊ อยากกลับบ้านแล้ว

ผมเลือกสั่งกับแกล้มมั่วๆ มาสองสามอย่าง แล้วก็สั่งเบียร์อาชาเป็นการย้อนศรชะชะช่า รวมถึงเครื่องดื่มของสาวๆ ที่อ้อนให้เราจ่ายแต่ก็สั่งกันเองเสร็จสรรพ ซึ่งผมไม่ใส่ใจจะจำชื่อเมนู แต่จำได้อันนึง ปาร์ตี้สั่งน้ำส้มคั้น อยากจะหันไปถาม ปาร์ตี้เปลี่ยนเป็นเหล้าขาวมั้ย

หลังจากอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟได้ไม่นาน สามสาวก็เหมือนจะอยากมอมเราให้ล้มพับ เชียร์ให้ยกหมดแก้วอยู่ไม่ขาดระยะ พอเชียร์ไม่ขึ้น ไปๆ มาๆ ทั้งสามเลยรินยกซดกันเอง

ผมเอาตัวรอดด้วยการลุกไปแดนซ์ โดยมีปาร์ตี้เป็นวิญญาณตามติดจะเอาผมเป็นเสา บอกเลยว่าอ่อน สกิลเต้นได้แค่นี้ทำงานในสถานบันเทิงได้ไงลูก~ มานี่ พี่นะฑีจะสอน ผ่าม! ผ่าม! ผ่าม! เด้งเข้าไป เด้งเข้าปายยย~

ส่วนวิธีเอาตัวรอดของพี่ทัชน่ะเหรอ นั่งเป็นท่อนไม้ กอดอกและเก็บมือเรียบร้อย ขณะที่สองสาวนั้นก็แทะโลมไม่ได้หยุดหย่อน นีน่ายังไม่เท่าไหร่ แค่ซบไหล่ทำหน้าเคลิ้ม แต่ชะชะช่านี่ดูท่าจะเอาจริง หันไปทีไรเห็นเอาเนื้องอกเบียดแขนพี่ทัชตลอด แถมยังชวนคุยไม่หยุดปาก บางจังหวะยังยื่นหน้าใกล้ๆ เหมือนจะหอมแก้มด้วย

ขัดหูขัดตาว่ะ รายนั้นก็นั่งเป็นท่อนไม้อยู่ได้ ไม่ขัดขืนสักหน่อยเหรอวะ

เริ่มเซ็งละ

แล้วเจ๊จอยหอยสังข์นี่เมื่อไหร่จะมา ไหนบอกแป๊บเดียว บอกให้ปาร์ตี้ออกไปดูหลายรอบแล้วก็ยังไม่เห็นหัว

“ปาร์ตี้ ปาตี้ครับ ออกไปดูให้หน่อยว่าเจ๊จอยมารึยัง”

“อีกแล้วเหรอ”

“ขออีกที”

“สอนท่าเด้งสามชั้นเมื่อกี้อีกทีสิ กำลังจะได้ละ”

“ไว้ก่อนน่า ถ้าไม่ไปผมจะร้องเพลงนะ”

“ก็ได้ๆ อย่าร้องนะ”

นี่คือคำขู่ที่อันตรายมากสินะ คงมีแค่พี่ทัชแหละที่ทนเสียงร้องเป็ดๆ ของผมได้ เพราะหลังจากผมขอร้องได้ไม่ถึงสองเพลง ทั้งสามสาวก็ทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วกให้ได้ ด้วยความสงสาร ผมเลยเปลี่ยนเป็นมาเปิดเพลงแดนซ์แทนนั่นแหละ

ปาร์ตี้สะบัดตูดจะไปเปิดประตู แต่จังหวะนั้นประตูก็ถูกเลื่อนเปิดจากข้างนอกซะก่อน

ผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามา “อยู่นี่กันเอง...ขอโทษที่รบกวนนะคะ”

“เจ๊” ปาร์ตี้ผงะนิดๆ

สองสาวที่พยายามสิงร่างพี่ทัชอยู่รีบนั่งตัวตรง จัดเผ้าผมให้เรียบร้อยพร้อมกับฉีกยิ้ม

“ลูกค้าเจ๊ เราเลยดูแลให้อย่างดีเลยจ้ะ” ชะชะช่าบอก

“ใช่ๆ เราไม่ได้แทะนะเจ๊” นีน่าดูตื่นตัวกว่าปกติ

บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน เจ๊กวาดสายตามองเราก่อนจะมองไปที่หน้าจอ ผมรีบกดเบาเสียงเพลงลง หรือว่าเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นเพื่อกวนตีนเจ๊แกนะ แต่ยอมรับเลย ตาเจ๊แม่งโคตรดุ เลยปล่อยๆ ไปก่อน

“ขอโทษนะคะ ได้เหมาเด็กๆ มั้ย”

“เปล่าครับ” พี่ทัชตอบ

“อ้อ ไม่ได้เหมา” คราวนี้เจ๊จอยก้าวเข้ามาในห้อง โดยมีผู้ชายหุ่นล่ำบึ้กคนนึงก้าวตามเข้ามาด้วย “แล้วทำไมพวกมึงไม่ไปนั่งแซะแขกคนอื่นบ้าง ไอ้พวกข้างนอกนั่งแห้งกันหมดแล้ว”

เท่านั้นแหละ สามสาวรีบสะบัดก้นออกจากห้องไปทันที ชะชะช่า ไหนแกบอกตบเป็นตบไงวะ

ผมไม่ได้พูดแทรกอะไร เพราะมัวจับตาดูสถานการณ์อยู่ โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตาเจ๊ ดูเหมือนไม่ค่อยจะตรงปกกับที่ผัวแกส่งให้ดูทางไลน์เท่าไหร่นะ ตัวจริงดูแซ่บมาก เป็นสาวใหญ่ หุ่นสะบึม จมูกและคางน่าจะเรียวเด่นด้วยมีดหมอแน่นอน แถมยังแต่งหน้าจัดระดับพริกสิบเม็ด ส่วนพ่อหนุ่มข้างๆ นี่ถ้าไม่ใช่ชู้ก็คงเป็นบอร์ดี้การ์ด หรือน่าจะทั้งสองอย่าง หรือถ้าว่างๆ อาจจะรับงานขับสิบล้อด้วยก็ได้

เอาเป็นว่า คำนิยามที่ผมพอจะนึกออกตอนนี้คือ แม่เล้าตัวร้าย กับนายหน้าโหดโคตรอันตราย

“ขอโทษนะคะ ถ้าไม่ได้เหมาตัวเด็กๆ ก็คงต้องให้พวกน้องไปดูแลลูกค้าคนอื่นบ้าง” นี่เสียงเจ๊อ่อนลงแล้วนะ แต่ก็ยังฟังออกว่าหงุดหงิด “ถ้าขาดเหลืออะไรก็กดกริ่งเรียกเด็กเสิร์ฟนะคะ”

“พี่จอย!” พี่ทัชลุกพรวดขึ้น ทำให้อีกฝ่ายที่กำลังจะก้าวออกไปหันขวับมา “พี่จอยจำผมได้มั้ยครับ”

เอาแล้ว!

ผมรีบควักมือถือออกมากดเข้าเมนูกล้อง

เจ๊จอยก้าวเข้ามาสองสามก้าว สีหน้าเหมือนเพิ่งตระหนักว่าพี่ทัชหน้าตาดีขนาดไหน “เรารู้จักกันเหรอ”

“จำไม่ได้เหรอครับ”

“ก็...คุ้นๆ อยู่นะ”

เจอรอยยิ้มคนหล่อเข้าไปหน่อย ทำเป็นคุ้นหน้าเลยนะเจ๊

“นึกออกมั้ยครับ” พี่ทัชหยอดไปอีก เขาเหลือบมองผมว่าเตรียมกล้องพร้อมรึยัง ผมแอบทำมือโอเค และขยับปรับมุมกล้องที่ถือไว้ต่ำๆ เพื่อไม่ให้ดูว่าจงใจเกินไป

เจ๊ขมวดคิ้ว แต่ก็ฝืนยิ้ม

จังหวะนั้นเอง พี่ทัชก้าวยาวๆ เข้าไปประชิดตัวพร้อมกับจับข้อมืออีกฝ่าย หมับ! “พี่จอย ผมณวัฒน์ไงพี่!”

“เอ่อ…”

“เป็นไงบ้างครับ สบายดีมั้ย”

“ก็...ไม่ค่อย เครียดอยู่”

“พี่จอยไปไหนมากับพี่คนนี้เหรอครับ เขาเป็นใคร”

เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรแล้ว ขอแค่นิ้วพี่ทัชแตะตัวเหยื่อปุ๊บเราก็ถามเข้าเป้าเลย และมุกทักคนผิดนี่ก็ใช้ได้ผลดีมาก แค่เรื่องง่ายๆ แต่โคตรมีประสิทธิภาพ

ผมรีบยกกล้องขึ้นถ่ายหน้าเจ๊ชัดๆ

“เพิ่งไปเก็บหนี้มา มันไม่ยอมจ่ายก็เลย...ฆะ...ฆ่าล้างหนี้แม่ง ยังไม่ได้จัดการศพ แวบมาดูร้านก่อน ร้านนี้ก็เปิดบังหน้าฟอกเงินไปงั้น”

เหี้ย

เดี๋ยว เจ๊ฆ่าคนเหรอวะ แถมยังเปิดร้านฟอกเงินอีก

ความจริงจากปากเจ๊ทำเอาเราชะงักกันไปหมด โดยเฉพาะพ่อหนุ่มหน้าโหดที่ตัวกระตุกราวกับคำพูดเจ๊ฟาดหัวเข้าให้ ส่วนตัวเจ๊เองเหมือนยังมึนๆ และหน้าซีดนิดๆ

พี่ทัชปล่อยมือ เปลี่ยนเป็นตบไหล่เจ๊เป็นเชิงหยอกเย้า “พี่นี่มุกเยอะเหมือนเดิมเลยนะครับ” ใช่! ต้องกลบเกลื่อนไปแบบนั้นแหละ แต่เจ๊จอยเหมือนจะไม่สนุกด้วยนี่สิ แค่ตบบ่าเบาๆ ยังทำเอาสะดุ้ง แถมยังหน้าเสียกว่าเดิมอีก

“เราชื่ออะไรนะ”

“ณวัฒน์ครับ” พี่ทัชยิ้มเป็นกันเอง ต้องยอมรับว่าเขาเก็บอาการได้ดีมาก

“แล้วอีกคนล่ะ...ทำไร ถ่ายคลิปเหรอ”

ชิบหาย

“เปล่าๆ ไม่ได้ถ่ายอะไรเลยเจ๊ เมื่อกี้คือ...เมื่อกี้อะ ผมจะถ่ายตัวเองตอนร้องเพลง แต่เจ๊ก็เข้ามาพอดี” ผมลดโทรศัพท์มือถือลงแล้ว แต่ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหนเลยโว้ย “เจ๊มุกเด็ดเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ เจ๊เนี่ยนะไปฆ่าคนมา ฆ่าล้างหนี้เหรอเจ๊ ฮ่าๆ แล้วยังไม่ได้จัดการศพด้วย ตอนนี้ศพอยู่ไหนอะ ท้ายรถหรอ เหมือนในหนังไรงี้”

“...”

เงียบกริบ อย่าบอกว่าเจ๊แม่งทำงั้นจริงนะ

“แล้วเอ่อ...นี่เจ๊จำผมได้มั้ยอะ ผมอ่า...พิดตะพุด”

“อะไรนะ”

“อะไรนะอะไรเหรอ”

“ชื่ออะไร”

“อ้อ ก็ที่บอกไปไง”

เจ๊ มึงอย่าจี้ สมองกูคิดไม่ทัน นี่ปากคอสั่นไปหมดแล้ว

“วิทยาไงครับเจ๊” พี่ทัชตอบให้แทน “เพื่อนๆ ชอบล้อว่าวิทยายุทธ์น่ะ”

“ใช่ นั่นแหละผมเลย”

ไอ้หนุ่มหน้าโหดที่ยืนอยู่ข้างๆ โน้มศีรษะมากระซิบอะไรไม่รู้ที่ข้างหูเจ๊ จากที่เจ๊สีหน้ามึนๆ เบลอๆ อยู่ กลายเป็นหน้าตึงขึ้นมาทันที แต่ก่อนที่เจ๊จะได้พูดออกมาว่าไม่รู้จักเรา หรือพูดอะไรก็ตาม พี่ทัชก็สวนขึ้นซะก่อน

“ปวดฉี่ กำลังจะไปห้องน้ำอยู่พอดีเมื่อกี้ แล้วเดี๋ยวกลับมาคุยยาวๆ นะเจ๊ ไว้คุยกันครับ” พี่ทัชหันมาขยิบตาให้ผม ทำทีเป็นยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบสบายๆ “วิทยายุทธ์”

“ฮะ?”

“เห็นบ่นปวดฉี่ไม่ใช่เหรอ จะไปมั้ย”

“ไปๆ ไปด้วยดิ ท่อจะแตกแล้วเนี่ย”

คือไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่คิดอะไรอยู่ เจ๊จอยจ้องเราไม่วางตาเหมือนจะส่องเข้าไปให้เห็นถึงขดไส้ ส่วนคุณหน้าโหดก็ยืนนิ่งขวางประตูอยู่ครึ่งนึง ในเมื่อพี่เขาไม่ขยับเราก็ต้องเบียดแทรกตัวออกไป เบียดจนหน้าผมงี้ถูกับนมของพี่แกที่ใหญ่กว่าของผู้หญิงบางคนซะอีก

แต่ในที่สุดผมก็ตามพี่ทัชออกมาจนได้

รอด! รอดเว้ยเฮ้ย!

แหมะ

แต่แล้วมือหนาใหญ่ก็วางลงที่ไหล่ผมเบาๆ

“เดี๋ยว”

“อะ...อะไรเหรอ”

“กูว่ามึงถ่ายคลิปเจ๊ เอามือถือมาดูซิ”

“เฮ้ยบ้า ผมจะถ่ายเจ๊ทำไม เจ๊เป็นดารารึเปล่า ก็ไม่ใช่ จริงมะ แล้ว...แล้วไอ้ที่ว่าฆ่าคนฟอกเงินอะไรนี่ก็แค่มุกเฉยๆ ถ้าเจ๊ไม่ได้ทำก็ไม่เห็นต้องร้อนตัวอะ”

“กูไม่รู้จักพวกมึง” เจ๊จอยขยับเข้ามาใกล้

“อ่า…”

“แล้วมันก็มีอะไรแปลกๆ”

“คิดมากไปแล้วเจ๊”

“กูบอกให้เอามือถือมาดู” พี่โหด ใจเย็นครับพี่

“ก็ได้ๆ งั้นก็ดูไปเลย” ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาด้วยมือสั่นๆ มือที่บีบไหล่อยู่เปลี่ยนเป็นรวบคอเสื้อผมอย่างปุบปับ

“เร็วๆ”

“เฮ้ย ไรวะ ใจเย็นดิ...พี่ทัช” ใจกูหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้ว แม่งเอ๊ย พี่ทัชช่วยกูด้วย!

ผมดิ้นรนพร้อมกับเอี้ยวตัวไปมอง จังหวะเดียวกันนั้นก็เห็นพี่ทัชสาดเบียร์เข้าหน้าไอ้โหดเต็มๆ มันละมือจากคอเสื้อผมไปกุมหน้าตัวเอง ยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไรก็โดนพี่ทัชโถมตัวผลักสุดแรงจนมันล้มหงายหลัง

“วิ่ง!”



** ต่อด้านล่าง **

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
ไม่ต้องบอกก็วิ่งอยู่แล้ว ผมสะบัดแขนเจ๊ที่พยายามจะคว้าตัวผมอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็สับขาวิ่ง ทิ้งพี่ทัชไว้ข้างหลัง

วิ่งไม่กี่ก้าวก็มาถึงห้องโถง บริเวณที่ตั้งโต๊ะสำหรับให้ลูกค้าผลัดกันร้องเพลง ตอนนี้แขกเต็มทุกโต๊ะ สามสาวนั่งเจ๊าะแจ๊ะอยู่ตรงนี้ด้วย เด็กเสิร์ฟก็เดินเกะกะชิบหาย ผมผลักใครสักคนให้พ้นทางและกะจะวิ่งไม่คิดชีวิต แต่ต้องชะงักเพราะมีเสียงโครมใหญ่ข้างหลัง

พี่ทัชล้มโต๊ะขวางทางไอ้หน้าโหดที่กำลังตามมาติดๆ ดีมาก เดี๋ยวช่วย ผมคว้าแก้วจากโต๊ะใกล้ๆ ขว้างใส่ไอ้โหดทันที

“โอ๊ย!”

โดน!

โดนหลังพี่ทัชอะ ทำไมไม่หลบวะ

ผมเลยล้มโต๊ะแม่งอีกสองโต๊ะทั้งจากทางซ้ายและขวา ทั้งแก้วทั้งขวดเทลงมาแตกเกลื่อน ฝูงแขกแตกฮือโวยวาย ความโกลาหลระเบิดเต็มร้านทันที ไมโครโฟนที่หลุดจากมือใครไม่รู้ กลิ้งไปตามพื้นและส่งเสียงหอนเหมือนหมาถูกรถทับ

“พี่ทัช เร็ว!”

“มึงล้มโต๊ะขวางทางกู!”

“ส่งมือมา!”

ผมดึงแขนพี่ทัชให้กระโดดข้ามเศษซากแก้วแตก มือใครต่อใครพยายามคว้าตัวเราไว้อย่างกับมือผี ผมหลับหูหลับตาสะบัดแรงๆ จนหลุด แล้วพุ่งไปที่ประตู

ออกจากนรกมาจนได้โว้ย!

ผมสลัดมือพี่ทัชทิ้งเพื่อจะได้วิ่งถนัด ทีนี้ก็ตัวใครตัวมันนะ ผมจะทำลายสถิติวิ่งร้อยเมตรของโอลิมปิกแล้ว

ปึก!

แม่ง ออกตัวแรงไปหน่อย ขาเลยสะดุดล้มคว่ำเอาหน้าฟาดกับฟุตบาท

“เอ้า! เป็นไรรึเปล่า”

“เจ็บเหี้ยๆ”

“ลุกเร็ว”

“มือถือหล่น”

“ช่างมัน เร็วๆ เข้า”

“ไม่!”

พี่ทัชเข้ามาฉุดผมแต่ผมขืนตัวไว้ หันมองรอบตัวก่อนจะเอื้อมคว้ามือถือที่สไลด์ไปนอนแผ่อยู่บนถนน แล้วค่อยยอมให้เขาดึงตัวขึ้น

“จะไปไหน ทางนี้”

“ก็รถพี่จอดไว้ทางนั้น”

“ทางมันโล่งไป หลบทางนี้ก่อน...มันตามออกมาแล้ว เร็ว วิ่ง!”

แทนที่จะได้วิ่งแบบเดอะแฟลช กลับต้องวิ่งกะเผลกๆ หัวเข่าซ้ายของผมที่กระแทกพื้นเมื่อกี้ออกอาการทันตาเห็น จนพี่ทัชต้องฉุดแขนให้วิ่ง ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องลดสปีดลง

“พี่ ไม่ไหว ขอพักก่อน”

“ทนหน่อย”

ถ้าไม่เจ็บคงวิ่งไปถึงดาวอังคารแล้ว แต่สภาพนี้ หันหลังมองแล้วโคตรเจ็บปวด เพิ่งห่างจากหน้าร้านออกมาประมาณสิบกว่าเมตรเอง แถมไอ้หน้าโหดก็ตามออกมาแล้วตอนนี้

และไอ้ที่มันชักออกมาจากเอวนั่นก็คือปืนแน่ๆ

“หยุดนะโว้ย!”

“ไป!” พี่ทัชกระตุกตัวผม

ปัง!

โดน!

ต้องโดนตรงไหนสักที่บนตัวกูแน่ ตอนนี้แม่งไม่รู้ว่าเจ็บหรือชาตรงไหนบ้าง เข่าจะเป็นไงไม่สนแล้ว เอาชีวิตรอดก่อน ผมสะบัดมือพี่ทัชอีกที แล้วอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายวิ่งนำหน้าเขา แต่พี่ทัชก็ใช่ย่อย เขาเร็วพอจนวิ่งมาตามประกบได้

“ทางนี้! เข้าซอย” พี่ทัชบอก

เข้าก็เข้า

ซอยที่ว่าไม่ถึงกับกว้างมาก มีเซเว่นตั้งหัวมุม ริมทางมีร้านอาหารสไตล์รถเข็นตั้งเรียงราย ทั้งชายสี่หมี่เกี๊ยว ข้าวมันไก่ และก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น มีลูกค้านั่งเต็มเกือบทุกโต๊ะ แถมผู้คนนับสิบยังเดินกันพลุกพล่าน มันน่าจะเป็นซอยเข้าอพาร์ตเมนต์สักอย่าง เพราะข้างหน้ามีตึกสูงอยู่

ผมวิ่งฝ่าฝูงชน พี่ทัชวิ่งตามคว้าตัวไว้

“ช้าหน่อย”

“พี่อยากตายก็ช้าดิ ผมโดนยิงเข้ากลางหลังแน่ๆ ตอนนี้เริ่มเจ็บแล้ว เรียกรถพยาบาลหน่อย”

“โดนอะไร มันยิงขึ้นฟ้า”

“เอ้า เหรอ...งั้นทำไมเจ็บ เส้นยึดหรือตะคริวเหมือนตอนนั้นเหรอ”

“เงียบๆ ก่อน”

พี่ทัชรวบต้นแขนผมไว้แน่น บังคับให้เดินตีคู่กันไป “เดินเนียนๆ ปนไปกับคนดีกว่า” พยายามทำตัวเนียนแล้ว แต่ผมยังอดกึ่งวิ่งกึ่งเดินและมองเหลียวหลังเป็นระยะไม่ได้

เราเดินลึกเข้ามาในซอยจนถึงทางแยก แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามกลุ่มคนโดยไม่ต้องคิด ทางนี้เป็นซอยย่อยที่แคบลงไปอีก และทั้งสองข้างทางก็เป็นตัวตึกอพาร์ตเมนต์ตั้งเรียงกันไปนับหลายสิบเมตร แต่ละตึกมีรถจอดกันแน่น ตามข้างทางยังมีล้นมาจอดเรี่ยราด บริเวณนี้ไม่ค่อยสว่างนัก ยังมีคนเดินสวนมาบ้างนิดหน่อย ส่วนกลุ่มคนที่เราเดินตามมาเริ่มบางตาลงเพราะต่างทะยอยแยกย้ายกันเข้าตึกไปเรื่อยๆ

กลุ่มคนข้างหน้าเราเหลือแค่ผู้หญิงสองคนแล้ว น่าจะเป็นนักศึกษาที่เป็นเพื่อนกัน พอทั้งคู่เลี้ยวขวา เราก็เลี้ยวตาม อพาร์ตเมนต์ส่วนใหญ่แถวนี้คนเช่าน่าจะเป็นพวกนักศึกษานี่แหละ ข้างหน้าเป็นทางตันแล้ว สองสาวเลี้ยวเข้าตึกหลังรองสุดท้ายโดยไม่รู้ว่ามีเราเดินตามอยู่

พี่ทัชพาผมเดินเนียนๆ เลยไป ก่อนจะเลี้ยวแวบเข้าซอกแคบๆ ระหว่างตัวตึกหลังนี้กับหลังสุดท้าย

ไม่มีที่ให้ไปต่อแล้ว แถมยังมีถังขยะตั้งเรียงกันอยู่ตรงนี้อีก ชีวิตนี้เป็นอะไรกับถังขยะและซอกมืดๆ มากเปล่าวะ ตอนที่ผับโอเมก้าก็ทีนึงแล้ว แล้วก็มาตอนนี้อีก

ถ้าไอ้โหดนั่นตามมาได้โดยไม่หลงทาง มันคงยิงเราทิ้งให้ตายเหมือนหมาในซอกนี่แหละ

“เหี้ย เกือบตาย” ปากผมเริ่มทำงาน

“...”

“งานก็ล่ม แถมยังจะตายอีก เงินสองหมื่นนี่ก็ชวดแล้วใช่มั้ย”

“...”

“ลูกปืนนี่เฉียดหูเลยแม่ง มันต้องเป็นงั้นแน่ๆ เพราะในหนังทุกเรื่อง ฉากหนีตายแบบนี้ยังไงลูกปืนก็ต้องเฉียดหูหรือไม่ก็ถากแก้มอะ”

“มึงดูหนังมากไปแล้ว กูบอกแล้วไงว่ามันยิงขู่ขึ้นฟ้า”

“ฟิ้วผ่านหูเลย หรือว่าหลอนไปเองวะ”

“เงียบหน่อย”

“ปากดีนะพี่อะ ปากน่าจูบโคตร”

พี่ทัชหันกลับมา

เดี๋ยว! นี่กูพูดอะไรออกไปวะ

นั่นไงสาเหตุ เพิ่งรู้ตัวว่ามือพี่ทัชกุมมือผมอยู่ นิ้วโป้งเปลือยๆ ที่เขาแกะพลาสเตอร์ออกเพื่อจัดการเจ๊จอยตอนนี้คือโดนอุ้งมือผมเน้นๆ

“ปะ...ปล่อย” ผมแกะมือตัวเองออก ซึ่งเขาก็ปล่อยอย่างไม่เต็มใจ “เมื่อกี้คือมุกนะ อย่าคิดเยอะ”

พี่ทัชละสายตาจากถนนมาผมเต็มๆ “มึงล้ม เป็นไงบ้าง” ทำไมต้องเสียงนุ่มลงด้วยวะ ทำตัวไม่ถูกเว้ย

“ก็เจ็บดิถามได้ เข่ากระแทก หน้าก็ฟาด”

“หน้ามึงเลือดออก”

“จริงเหรอ”

“อย่า” พี่ทัชตะปบมือผมที่กำลังจะยกขึ้นลูบหน้าตา ผมเลยรีบแกะมือออกอีก กลัวนิ้วโป้งเปลือยๆ นี่ชิบหาย

“คิ้วผมแตกใช่มั้ย ต้องเย็บกี่เข็ม”

“ไม่เยอะหรอก ตรงหางคิ้วขวาเป็นรอยถลอกเลือดซิบ เดี๋ยวกูเช็ดให้ อยู่นิ่งๆ”

คืนนี้พี่ทัชสวมเสื้อไหมพรมแขนยาว เขาดึงปลายแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นมาคลุมอุ้งมือและงอนิ้วกดชายเสื้อไว้ จากนั้นก็ใช้มันซับที่หางคิ้วผมเบาๆ มีรอยเลือดเปื้อนเนื้อผ้าอยู่นิดนึงจริงๆ โคตรโชคดีแล้วที่ไม่แตก ไม่งั้นหน้าหล่อๆ เสียราคาหมด

“แล้ว...แล้วพี่เป็นไงล่ะ ผมเห็นคนแอบต่อยหลังพี่”

“มึงปาแก้วใส่กูไม่ใช่เหรอ”

“ผมจะขว้างใส่ไอ้โหดนั่นต่างหาก ตรงเป้าเป๊ะแล้ว แต่พี่ดันขยับตัวมาบังซะก่อน...เดี๋ยวๆ พี่จะทำอะไร” ที่ต้องถามเพราะพี่ทัชเริ่มแกะพลาสเตอร์ออกจากนิ้วโป้งอีกข้างแล้ว

“ปิดแผลให้มึงไง”

“ไม่เอา ไปโรงบาลดีกว่า”

“แผลแค่นี้ไปให้หมอด่าเหรอ”

“งั้นก็ปล่อยไว้ ผมไม่เป็นไร ผมโอเค”

“นิ่งๆ”

“จริงๆ”

“นะฑี”

เสียงนุ่มพิฆาตมารอีกแล้ว แล้วทำไมผมต้องยอมน้ำเสียงแบบนี้ทุกทีวะ

“อย่าให้นิ้วเปลือยๆ ของพี่โดนตัวผม”

“เดี๋ยวนี้กลัวนิ้วกูแล้วเหรอ เมื่อก่อนเห็นอยากจับ”

“ไม่ได้กลัว ผมแค่ยังไม่อยากด่าพี่ ความจริงในหัวผมตอนนี้มีแต่คำด่าพี่ล้วนๆ เลย”

“อ่อ”

“บอกว่าอย่าโดน”

“เออ ไม่โดน นิ่งๆ”

ผมยืนนิ่ง กลอกตาล่อกแล่ก ขณะที่สายตาพี่ทัชจ้องผมนิ่งพลางโน้มใบหน้าเข้ามาช้าๆ

“ทำไมต้องใกล้ขนาดนี้…” ผมพึมพำเหมือนความคิดล้นปากออกไป

“มันมืด” ก็จริงของเขา เจ้าของอพาร์ตเมนต์แม่งประหยัด ติดไฟแค่หลอดสองหลอดมันจะไปสว่างอะไร ไม่กลัวโจรขโมยรถคนอยู่อาศัยเหรอ “กูบอกให้ทิ้งมือถือ ทำไมมึงไม่ทิ้ง จะได้วิ่งหนีเร็วกว่านี้”

“ก็ของพี่ให้ผมอะ จะทิ้งได้ไง”

“อืม”

“พูดผิด ของพี่ให้ยืม ก็ถ้า...ถ้าไม่เก็บมา ผมจะเอาปัญญาที่ไหนหามาคืน จริงมั้ย ตอนนี้ยิ่งจนๆ อยู่...แปะแผลเสร็จยัง”

“ยัง”

ทำไมนานจังวะ ก็แปะทับรอยแผลแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังรีดซ้ำไปซ้ำมา แล้วที่บอกไม่ให้นิ้วเปลือยโดนผิวนี่ คือไม่โดนจริงรึเปล่า ทำไมรู้สึกหวิวๆ ในใจ

“เอ้อ เพิ่งนึกได้” ผมพูด “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไงอะ” ที่ต้องพูดเพราะมันเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว

“เรื่องไหน”

“ก็เคสนี้ไง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความจริงบางอย่าง...ไรงี้”

“มันสอนมึงว่าไงล่ะ”

“ไม่รู้ ช่างมัน”

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความจริงบางอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด” ย้อนถามผมแต่ตอบเองซะงั้น ก็จริงอย่างเขาว่า เรากะไปจับโป๊ะเจ๊จอยเรื่องชู้ แต่ไอ้ที่รู้ดันเป็นเรื่องฆ่าคนฟอกเงินอะไรไปโน่น แต่น้ำเสียงพี่ทัชนี่หมายถึงเรื่องนี้แน่เหรอวะ

“คมกริบใช้ได้ ตามนั้นแหละ” ผมพูดต่อ “แล้วแปะแผลเสร็จยังเนี่ย”

“เสร็จแล้ว”

“โอเค”

“เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ” จู่ๆ เขาก็ถาม

“ฮะ? พูดอะไร ก็โอเคไง อยากให้พูดอะไรอีก...อ้อ ขอบคุณที่แปะแผลให้ครับโผม”

“ดูปากกูอีกทีดิ”

“ดูปาก ดูทำไม…”

“งั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว”

โลกรอบตัวผมคล้ายกับจะตีลังกาในฉับพลัน น่าจะผ่านไปสองหรือสามวินาทีแล้ว สมองผมถึงค่อยแปลความว่า...พี่ทัชดึงตัวผมไปจูบ!

มือซ้ายของเขาประคองกรามผมให้เงยขึ้น เขาตะแคงศีรษะโน้มลงมา ปากเราประกบกัน ตาผมมองฟ้ามืดๆ เหนือยอดตึก และจากหางตา เห็นนิ้วโป้งเปลือยเปล่าของเขายกค้างไว้โดยไม่ได้แตะโดนผิวของผมอย่างที่เขาบอก แต่สัมผัสตรงริมฝีปากก็ทำให้รู้สึกวูบหวิวแผ่ซ่านไปทั้งตัว

ริมฝีปากพี่ทัชนุ่ม อุ่น และชื้น

เหี้ยๆๆๆ ลิ้นเขาขยับด้วยอะ ขยับไล้ช้าๆ สัมผัสริมฝีปากด้านในของผม ส่วนริมฝีปากของเขาก็เม้มบดเพิ่มแรงเข้ามาอีก

หัวใจผมเต้นถี่อย่างกับคนแก่เป็นโรคความดันสูง มือไม้อ่อน ตับไตสั่นสะท้านจนท้องน้อยไหวหวิว เอาเข้าจริงผมไม่รู้ว่าร่างกายผมมีปฏิกิริยายังไงบ้าง เหมือนกับว่ามันเป็นอัมพาตไปแล้ว ทั้งที่กล้ามเนื้อทุกส่วนพากันกรีดร้องอยู่

นี่แหละอาการช็อก จะไม่ให้ช็อกได้ไง เพราะพี่ทัชก็เป็นผู้ชายด้วยกัน

และนี่มันก็คือจูบแบบจูบจริงๆ

อาจจะนานราวๆ สิบกว่าวินาที หรือไม่ก็สิบกว่าปีเขาถึงค่อยๆ ผละริมฝีปากออก ตาผมยังมองท้องฟ้า ก่อนจะตระหนักว่าตัวเองกลั้นหายใจอยู่นานมาก ร่างกายเลยสูดลมเข้าเฮือกด้วยตัวมันเอง

“มึงบอกปากกูน่าจูบ” เสียงพี่ทัชดึงสติผมกลับมา

“พะ...พี่ทำไรวะ”

“กูก็เลยจูบมึง”

“ผมไม่…” ผมกัดมุมปากไว้ ไม่ไว้ใจให้คำไหนเล็ดลอดออกมา

“มึงไม่...โอเค” พี่ทัชพูดแบบเว้นจังหวะ คล้ายกับจะเป็นเชิงถาม

ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

ผมไม่รู้จะพูดอะไร

ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้ว

ตอนนี้เลยได้แต่ยืนนิ่ง กะพริบตาปริบๆ มองเขาในระยะประชิด และพยายามปรับลมหายใจตัวเองไม่ให้คร่อมจังหวะ มือขวาพี่ทัชละจากผมไปอยู่ข้างตัวแล้ว แต่มือซ้ายยังประคองใบหน้าผมอยู่

ในที่สุดนิ้วโป้งเปลือยเปล่านั่นก็ขยับไล้ผิวแก้มผมคล้ายกับเขาอดใจไม่อยู่

นิ้วที่มีพลังรีดเค้นความจริงได้ สัมผัสของมันพาให้รู้สึกสั่นซ่านิดๆ เหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆ หล่อเลี้ยงอยู่

คงเห็นว่าผมสะดุ้ง เขาเลยยกนิ้วขึ้น แล้วเลื่อนทั้งมือไปที่ท้ายทอยแทน จังหวะเดียวกันใบหน้าก็เลื่อนเข้ามาใกล้อีกนิด ตาสบตา แม้จะมืดสลัวแต่ผมก็คิดว่าเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในนั้น

“เพื่อเป็นการไม่เอาเปรียบ กูจะบอกความจริงมึงอย่างนึง...ปากมึงก็น่าจูบเหมือนกัน”

เขาตะแคงศีรษะ แต่ชะงักค้างไว้คล้ายให้โอกาสว่า ถ้าผมไม่โอเคก็สามารถผลักเขาออกได้

แต่ผมนิ่ง

แล้วริมฝีของเขาก็ประกบลงมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นไปอย่างนุ่มนวลแผ่วเบากว่าเดิม จูบสองครั้งติดๆ โดยผมไม่มีปากมีเสียงนี่คือไม่เอาเปรียบเหรอวะ รู้จักผมน้อยไปแล้ว คนอย่างนะฑีไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบหรอกเว้ย! แล้วนี่จูบเป็นจริงรึเปล่า มานี่ จะสอนให้!

ผมดันตัวเขาถอยจนหลังติดกำแพง ตอบโต้ทันทีด้วยการเม้มปาก งับริมฝีปากเขานิดๆ แล้วสอดลิ้นเข้าไปบ้าง

ไงล่ะ อึ้งเลยดิ

นี่แค่เบสิกนะ เดี๋ยวเจอขั้นแอดวานซ์แล้วจะหนาว

“นั่นใครน่ะ ทำอะไรกัน!”

ไอ้โหดตามมาจนได้เหรอวะ

เราผละออกจากกันทันที เงาของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดห่างจากเราสามสี่ก้าว แม้จะมืดสลัวแต่ในระยะนี้ก็มองเห็นกันได้ชัด เขาสวมเครื่องแบบเต็มยศ ในมือถือถุงก็อปแก็ปที่อัดแน่นไปด้วยเศษซากต่างๆ

เหี้ย ลุงยาม ลุงจะมาทิ้งขยะอะไรตอนนี้!









____________________

:D หวังว่าตอนนี้จะทำให้ทุกๆ คนมีความสุขนะคะ <3


นางร้าย
12.กุมภา.2020

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออกทำงานแต่ละครั้ง ทำไมมีแต่เรื่องที่ไม่เป็นไปตามคาดทั้งนั้นเลย

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
 :laugh: :laugh: :laugh: อ่านตอนนี้จบ ฉันควรรู้สึกยังไง? ช่วยบอกฉันทีค่ะ  ฮาน้ำหูน้ำตาไหลกับน้องปาร์ตี้? ตื่นเต้น ลุ้นว่าพี่ทัชจะเสียพรหมจรรย์ให้ 2 นางไปไหม?  อิน้องนะฑีจะพาพี่ไปเจ็บตัวหรือเปล่า (จนได้ นี่ถูกยิงไหมก็ไม่รู้) หรือจะ ฟินตอนเขาจูบกัน2 ทีดี?   

คือโมเม้นท์มาเต็มมากอ่ะค่ะตอนนี้ ครบทุกรสจริงๆ (ตอนนี้ขาดเศร้าดราม่านะ แต่...พอละ ได้โปรด) ยอมใจคุณคนเขียนจริงๆ ต้องอยู่ฟีลไหนคะ? ถึงเขียนได้ขนาดนี้ ยกนิ้วให้เลย สนุกมากค่ะ ปรบมือรัวๆๆๆๆ   :katai2-1:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ลุงยามมมมม ความโรเมนติกหนูหายหมดเลย 55555

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
อ๊ากกกก ลุงยามมมมมมมม!!

เด่วนะตั้งสติแป๊บ ทำไมขึ้นต้นเหมือนจะชิล อยู่ดีๅงานงอกวิ่งหนีตาย โดนไล่ยิงอีกแล้วลู๊กกช้าน ลุ้นก็ลุ้น ขำก็ขำ ไอ้ตัวดีเทพี่ทัช2ทีติดๆสะบัดพี่ทิ้งไม่พอ ปาแก้วใส่หลังพี่เขาอีก โอ้ยยยจะบ้าตาย55555555555555
ตัดภาพมาอีกที เข้าโหมดฟินเฉย พี่ทัชเอาคืนจูบ2ทีติด กรี๊ดดดดดดดดดดดดด

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
นะฑีนางเม้าท์เด็กที่ร้านได้ร้ายมากกก555

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
แง๊ ลุงย้ามมมม :z3:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2

แตะต้องครั้งที่ 32
จับบบ…เด็กดีของแม่มิตรแท้ของเพื่อนไหนเลื่อนอ่านแชตคนแมนๆ ขอเป็นแฟนละกัน



ผมชื่อนะฑี

เป็นเด็กดีของแม่ เป็นมิตรแท้ของเพื่อน

เป็นคนสนุกสนานเฮฮา ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม

แชมป์เก้าอี้ดนตรีระดับประถมห้าสมัยซ้อน ชนะเลิศโต้วาทีสามปี ดาวเด่นกีฬาสีสองครั้ง และเป็นเจ้าแห่งสแตนด์เชียร์ทุกสมัย จนใครต่อใครออกปากว่าคนแบบนี้จะได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้า

แล้วโตมา…

ผมก็เสียจูบแรกให้กับผู้ชายที่ข้างถังขยะ

แม่ง พี่ทัชทำกูเสียประวัติหมดแล้ว อะไรดีๆ ที่เอาไว้เล่าอวดชาวบ้านต้องมาด่างพร้อยตรงจูบแรกนี่เอง เรียกว่าจูบแรกได้รึเปล่า ก็ใช่อะ นึกย้อนไปก็มีแค่ตอนอนุบาลที่ผมไล่จุ๊บเด็กผู้หญิงที่ชื่อน้องแป้งร่ำ แต่ตอนนั้นคือได้แค่หอมแก้มฟอดนึง คือการเอาจมูกชนแก้มเบาๆ แค่นั้น แต่การเอาปากประกบกับปากมนุษย์ด้วยกันนี่ก็คือกับพี่ทัชเลย

ดีนะที่ผมดูหนังโป๊มาเยอะ เลยใช้ลีลาขั้นสุดยอดเอาตัวรอดมาได้ ไม่ใช่แค่เอาตัวรอดดิ ถือว่าข่มให้หงอเลยเหอะ

แต่จูบแรกมันควรจะโรแมนติกรึเปล่า แค่อยู่ข้างถังขยะไม่พอ ยังมีลุงยามแก่ๆ เป็นพยานด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือเราทั้งคู่ดันเป็นผู้ชายด้วยกันนี่แหละ

สับสนว่ะ

เครียด

ปวดหัว

ตอนนี้เราเป็นอะไรกันวะ

“นะฑี หัวไปโดนอะไรมาเหรอ”

“หัวกูฟาดประตู”

“เหรอ ที่ไหนอะ”

“ช่างมันเถอะเจษ”

“แล้วปากเป็นไร เห็นเอามือถูตลอด”

“อยากด่าคน”

“ที่ผ่านมานายก็ด่า แต่ไม่เห็นถูปากแบบนี้นะ” เจษฎามองผมจริงจัง “นายไม่ได้เป็นแบบว่า...โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อะไรทำนองนั้นใช่มั้ย

“ฮะ?”

“พวกเริม ซิฟิลิสไรงี้ มันเกิดขึ้นที่ปากได้นะ คือเราไม่ได้จะว่านายนะ แค่เป็นห่วงและบอกข้อมูลทางวิชาการเฉยๆ เห็นพักนี้นายบอกว่าชอบออกจากบ้านตอนกลางคืน ถ้านายจะเที่ยว นายต้องป้องกันตัวเองด้วยนะ”

เจษ กูไม่ได้ไปเที่ยวแรดที่ไหน กูไปทำงานของบริษัทขอทัชฑี

แล้วที่ถูปากนี่ก็เพราะ…

ช่างมันเถอะ

“เจษ ปากกูติดเชื้ออุฟุฟวยฟ่วยฟวยลวยทวยโอเอ็มจีบีเอ็มอัสซุสเรียบร้อยแล้ว จบนะ”

“เชื้ออะไรนะ”

“มึงอย่ารู้เลย กูเครียดอยู่ อย่าถามไรอีกนะ”

“เครียดเหรอ แต่...ตอนถูปาก นายดูยิ้มอารมณ์ดีนะ”

“มึงต้องการอะไรจากกูเนี่ย นั่น เปิ้ลกำลังหน้าตาตอแหลกว่ากูอีก ทำไมไม่ว่ามัน”

เปิ้ลเงยหน้าจากโทรศัพท์ “ขอบใจที่ชมนะ กูซึ้งมาก”

“แสดงว่าเมื่อกี้นายตอแหลกับเราเหรอ”

ผมมองเจษอย่างจริงจังบ้าง “วันนี้พูดมากผิดปกตินะมึง เป็นไร แดกยาผิดขนานเหรอ”

“คือ...จริงๆ ก็มีปัญหานิดหน่อยน่ะ”

“นั่นไง ทำไม ท้องผูกก็กินยาที่พกมาดิ”

“ร่างกายก็สบายดี แต่มีเรื่องเครียดที่ต้องการคำปรึกษา คือ…”

“เฮ้ย มีไรก็ว่ามาดิเจษ อย่าลีลา” เปิ้ลกระตุ้น จากที่สนใจแต่เล่นมือถือ ตอนนี้ดูเหมือนเปิ้ลก็มาลุ้นกับเจษจนตัวสั่นแล้ว

“เรื่องพี่เห็ด เอ๊ย พี่เรนจิน่ะ”

“...”                “...”

“พี่เห็ดลวนลามมึงเหรอ!” หน้าเจษแม่งก็เครียดจริงๆ ผมเลยถามแบบเล่นใหญ่ไปก่อน

“ไม่ๆๆ ไม่ใช่แบบนั้น”

“ทำไม พี่เห็ดจับแมวมึงเรียกค่าไถ่?”

“เราไม่ได้เลี้ยงแมว”

“นะฑี มึงก็อย่าขัดเพื่อนดิ ปล่อยให้เจษมันพูด”

เจษพยักหน้าให้เปิ้ลแทนคำขอบคุณ “เราคิดว่าอาจจะเป็นอย่างที่นะฑีเคยพูดน่ะ”

“เจษ มึงนี่ลีลาดีจริงๆ แต่ถ้ายังไม่พูดเข้าเรื่องสักทีกูจะถีบละนะ” ผมบอกเรียบๆ

“เหมือนพี่เขาจะจีบเราน่ะ”

ผมกับเปิ้ลมองหน้ากัน สื่อสารกันผ่านพลังจิตจนเข้าอกเข้าใจกัน ก่อนที่เปิ้ลจะหัวเราะเต็มเสียง หรือว่าเข้าใจไปคนละทางวะ เปิ้ลเห็นว่าน่าขำ แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้น และก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกยังไง

“มึงเอาสมองส่วนไหนคิดวะเจษ” ผมถาม

“เราไม่ได้คิด”

“จะบอกว่าใช้ความรู้สึกวัดเอา ไรงี้?”

“เปล่า พี่เขาบอกอะ”

“ว่า?”

“บอกในแชตน่ะ นี่ไง”

“เอามาดูซิ” เปิ้ลแย่งมือถือเจษไปหน้าตาเฉย พอกดเลื่อนอ่านแล้วก็ขำหนักกว่าเดิมอีก ผมแย่งจากมือเปิ้ลเอามาดูบ้าง

ในหน้าแชตไม่มีข้อความตอบโต้อะไรกันเลย หรือถ้าเคยมีเจษมันก็คงลบแชตทิ้งไปแล้ว

ตอนนี้มีแค่ข้อความสั้นๆ ว่า



★R3NJI: เอาแบบแมนๆ

★R3NJI: ขอเป็นแฟนละกัน



เฮ้ย จริงดิ

พี่เห็ดเพี้ยนไปแล้วหรืออะไร พออกหักจากเจ๊แคลก็ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเองงี้เหรอ ที่สงสัยตะหงิดๆ ก่อนหน้านี้คือความจริงเหรอวะ

ขณะที่เปิ้ลยังขำคิกคักอยู่ผมก็หันไปขมวดคิ้วใส่เจษ

“แล้วมึงไม่ตอบเขาล่ะเจษ”

“เราไม่รู้จะตอบยังไง”

“เอ้า ถ้าจะเล่นด้วยก็ตอบว่าเตง ถ้าไม่สนใจก็ตอบว่าตีน แค่นั้นแหละ”

“เตงคือไร”

“ย่อมาจากตัวเองไง”

“อ่า...คือเราไม่ใช่เกย์”

“เกย์แล้วไงวะ” ผมแปลกใจที่ตัวเองตบไหล่เจษฎาเป็นเชิงปลอบ “ลองของใหม่ๆ อาจจะดีก็ได้นะ...แต่ก็เข้าใจ พี่เห็ดอาจจะแปลกจนน่าเกลียดไปหน่อย เลยลองไม่ลง”

“ไม่นะ พี่เขาก็หน้าตาดีออก แล้วเราก็ไม่ได้รังเกียจคนเป็นเกย์ด้วย”

“เอ้า งั้นก็จัดไป”

“แต่เราไม่ได้มีรสนิยมรักร่วมเพศไง ถ้าจะให้คบกับพี่เขามันก็เหมือนบังคับให้ปลาปีนต้นไม้ หรือไม่ก็คล้ายๆ กับบังคับให้แมวกินแครอท…”

“พอละเจษ กูไม่อยากฟังปรัชญา”

“ฮ่าๆ” เปิ้ลยังขำไม่เลิก ทำให้ผมยิ่งแปลกใจตัวเองว่าทำไมไม่ขำไปกับเปิ้ลวะ “ยังไงเจษมันก็ไม่มีทางชอบผู้ชายหรอก มันชอบสิ่งมีชีวิตที่มีเนื้องอกแบบกูนี่แหละ”

“เนื้องอก...หมายถึงหน้าอกน่ะเหรอ เปิ้ล เราไม่ได้คิด…”

หมับ!

เปิ้ลคว้ามือเจษดึงเข้าหาตัว “ถ้ามึงไม่คิดไรงั้นก็จับ”

“ไม่! เฮ้ยๆ ไม่เอา เปิ้ล หยุด!”

“ฮ่าๆๆๆ”

ให้จับนมอย่างกับจะให้จับกระทะทองแดง ดึงมือกลับจนเกือบหงายหลัง แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ขำด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ทำไม เลยพูดต่อไปตรงๆ “งั้นก็ปฏิเสธไปดิวะ”

“นี่แหละปัญหา เราไม่รู้จะปฏิเสธยังไง”

“ก็พิมพ์ไปว่าตีนไง จะยากไร มานี่กูพิมพ์ให้”

“ไม่ๆ ไม่เอาสิ แบบนั้นมันเสียมารยาท”

“ไม่ต้องมีมารยาทไรมากมายหรอกกับพี่เห็ดอะ”

“ก็เปิดตัวสักทีดิวะเจษ” เปิ้ลพูดเสียงหวาน เดี๋ยวๆ ผมตกข่าวอะไรไปรึเปล่า แต่ยังไม่อยากปล่อยไก่ให้เสียฟอร์ม เลยทำเป็นเงียบๆ ไว้ก่อนรอให้พวกมันพูดต่อ

“ปะ...เปิดตัวอะไรเหรอ” เจษเสียงสั่น

“คิดว่าเราไม่รู้เหรอ นะฑีเฉลยดิ๊”

เหี้ย มึงอย่าโยนขี้มาให้กูเปิ้ล กูไม่รู้เรื่อง

“เรื่องงี้ให้เจ้าตัวสารภาพเองดีกว่าว่ะ” ผมตีหน้าซื่อ

“พูดถึงอะไรกันเหรอ” เจษหน้าซื่อตามธรรมชาติ แต่ผมจับแรงสั่นสะเทือนนิดๆ ในน้ำเสียงได้

“มึงแอบเคลมน้องรหัสตัวเองอยู่ไงเจษฎา น้องเซ็กซี่อะ”

“เรา...เราเปล่าซะหน่อย!”

“ฮ่าๆ เปล่าหรา เอามือถือมาดูดิ๊”

“ไม่เอา เปิ้ล อย่า...เรากับน้องไม่ได้อะไรกันเลย แค่คุยกันนิดหน่อย”

อ้อ น้องเซ็กซี่นี่เอง

ต้องยอมรับว่าพักหลังๆ ผมคงไปขลุกกับพี่ทัชมากไปจนไม่ได้อัปเดตเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้เห็นน้องมาหยอกเย้าเจษเล่นตามประสาพี่น้อง ซึ่งคงเพราะเห็นว่าเจษแม่งเป็นคนซื่อจนน่าตลก เลยชอบมากวนตีน เจษก็ดูเขินๆ เพราะรับมือกับผู้หญิงไม่เป็น

แต่ดูอาการตอนนี้ หัวหูนี่แดงเป็นปื้นไปหมด แถมยังหวงมือถือไม่ให้เปิ้ลแย่งยิ่งกว่างูหวงไข่ขนาดนี้ ก็คงจะใช่แล้วล่ะ

เจษแม่งแอบร้ายว่ะ

หลังจากเปิ้ลหยุดแย่งมือถือแบบหยอกๆ แล้ว ผมก็ตบไหล่เจษอีกครั้ง “ทำตามที่ไอ้เปิ้ลบอกแหละ ถ้ามึงไม่อยากให้เสนียดอย่างพี่เห็ดมาแปดเปื้อนชีวิตก็เปิดตัวน้องเซ็กซี่ซะ กูกลับบ้านละ”

“เอ้า รีบไปไหน” เปิ้ลถาม

“กูเลิกแรดแล้ว เลิกเรียนแล้วก็รีบกลับไปหาแม่ดีกว่า ไว้เจอกัน”

พอพูดถึงแม่ สองคนนี้ก็ไม่ปริปากทัดทานอะไรสักคำ

ระหว่างเดินทางกลับบ้านผมพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ แต่หันไปครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ที่เพิ่งรับรู้มาแทน ซึ่งก็ได้แก่ เรื่องคำสารภาพแมนๆ ของผู้ชายชื่อเห็ด, เรื่องเผ็ดๆ ของยัยเซ็กซี่กับรุ่นพี่ขี้เขิน, เรื่องน้องทอมผู้น่ารักกับเนื้องอกของเธอ รวมไปถึงเรื่องความสวยงามของความรัก ความหลากหลายทางเพศ และสาเหตุของเชื้อซิฟิลิส

อีกเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงแต่ก็อดไม่ได้ นั่นคือ…

จูบแรกของเรากับกลิ่นบางเบาจากถังขยะ

ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นผมกับพี่ทัชก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก เราคุยกันเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น ลมฟ้าอากาศ การงาน การเรียน เรื่องผงฟอกกับหมอนเน่า หรือแม้แต่เรื่องว่าพี่ทัชอาสาจะขับรถพาแม่ไปหาหมอในทุกๆ ครั้งที่หมอนัด

แต่ไม่มีเรื่องจูบของเรา

มันกระอักกระอ่วนเกินไปที่จะพูดออกมา หรือไม่ก็เพราะไม่มีคำไหนที่ดีพอจะยกมาพูด

ผมคิดเรื่องนี้วนๆ เวียนๆ อยู่นานจนกระทั่งมาถึงซอยเข้าบ้าน นี่คนรอวินมอไซค์หรือปลวก ไม่รู้จะเยอะไปไหน งั้นเดินเข้าบ้านละกัน ดีเหมือนกันเผื่อหัวจะได้โล่งๆ

เดินไปสักพัก มันก็คันอกคันใจขั้นสุดจนทนไม่ไหว

ทักแชตไปก็ได้วะ



NaTee(n): เราเป็นไรกัน

NATOUCH: มึงคิดว่าไงล่ะ

NaTee(n): ผมถามพี่

NATOUCH: กูก็ถามมึง

NaTee(n): เอ้า ผมถามก่อน

NaTee(n): ห้ามถามกลับอีกนะ

NaTee(n): ตอบ!!!

NATOUCH: อ่อ 

NATOUCH: มึงคิดว่าเราเป็นอะไรกัน

NATOUCH: กูก็คิดแบบนั้นแหละ



พี่ทัชเป็นคนกวนตีนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เอาจริงๆ นะ ตอนนี้กวนตีนยิ่งกว่าผมกับพี่เห็ดรวมกันอีก

งั้นลองเปลี่ยนคำถาม



NaTee(n): พี่จูบผมทำไม

NATOUCH: จูบครั้งแรกเพราะตามใจมึง

NaTee(n): …

NATOUCH: จูบครั้งสองเพราะตามใจกูเอง

NaTee(n): …

NATOUCH: โปรยเม็ดเกลือทำไม

NATOUCH: ติดเชื้อกูเหรอ

NaTee(n): เอ้า อย่ากวนตีนดิ

NaTee(n): ผมถามพี่อยู่

NATOUCH: กูตอบไปแล้ว

NATOUCH: แล้วมึงล่ะ จูบกูทำไม

NaTee(n): อ้าว!

NaTee(n): ก็พี่จูบไม่ได้เรื่องไง ผมเลยต้องสั่งสอนให้

NaTee(n): เป็นไงล่ะ เจอเทคนิคชั้นสูงเข้าไป

NATOUCH: กูนึกว่ามึงจะกินหัวกู

NATOUCH: ถ้าจูบไม่เป็นก็ไม่ต้องกลบเกลื่อนหรอก

NATOUCH: ไม่เป็นไร กูไม่ถือ

NaTee(n): พี่ดิจูบไม่เป็น

NaTee(n): หุบตูดไปเลย

NaTee(n): พี่นั่นแหละเป็นคนเริ่ม

NaTee(n): ไม่ได้เป็นไรกัน ทำงี้ได้ด้วย?

NATOUCH: เอ้า เหรอ

NaTee(n): เอ้าเหรอไรล่ะ

NATOUCH: เอ้า ไม่ได้เป็นไรกันเหรอ



พรืด!

เหี้ย ก้าวพลาด เหยียบขอบฟุตบาทจนเกือบหัวทิ่มลงไปให้รถเสยแล้วมั้ยล่ะ ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นผมคงด่าไล่หลังมอเตอร์ไซค์คันเมื่อกี้แล้ว แม่งขับใกล้ฟุตบาทซะเหลือเกิน แต่ตอนนี้ทำไมผมเอาแต่ยิ้มไม่หุบวะ



NaTee(n): เอ้า ก็แล้วเป็นอะไรกันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ

NATOUCH: เอ้า เข้าใจผิดเหรอ

NaTee(n): เอ้า อะไรของพี่เนี่ย

NATOUCH: เราเลิกพิมพ์คำว่าเอ้ากันดีมั้ย

NaTee(n): พี่อย่ากวนตีนได้ปะ

NATOUCH: กูถามมึงแล้วโดยที่ไม่ได้ใช้นิ้วแตะตัวมึง

NATOUCH: ไม่ว่ามึงจะพูดความจริงหรือโกหกกูก็จะเชื่อ

NATOUCH: แล้วมึงก็บอกว่า อุฟุฟวยฯ กับกู

NATOUCH: งั้นกูก็ อุฟุฟวยฯ กับมึงนั่นแหละ



เกลียดการใช้ครื่องหมาย ฯ จังโว้ย



NaTee(n): แล้วพี่คิดว่าอุฟุฟวยคืออะไรล่ะ

NATOUCH: แล้วมันคืออะไรล่ะ

NaTee(n): ก็พูดมั่วๆ ไปงั้น

NATOUCH: มึงพูดมั่วเหรอ

NaTee(n): ก็ไม่ได้มั่วแบบนั้น

NATOUCH: แล้วแบบไหน

NaTee(n): ทำไมพี่เป็นฝ่ายมาถามจี้ผมอีกแล้ววะ

NATOUCH: อ้อ

NaTee(n): ผมนี่ต้องเป็นฝ่ายถาม

NaTee(n): พี่เข้าใจว่าอุฟุฟวยคืออะไร

NaTee(n): ตอบ!!!

NATOUCH: เข้าใจว่ามึงเขิน

NaTee(n): ฟวยยยยย

NATOUCH: โอเค

NATOUCH: ฟวยก็ฟวยไง

NaTee(n): พอๆ ไม่คุยละ

NATOUCH: ไม่คุยแล้วเหรอ

NaTee(n): ผมกำลังจะถึงบ้านแล้ว

NaTee(n): ไว้ค่อยคุย

NATOUCH: ก็ได้

NATOUCH: เข้าบ้านดีๆ ครับโผม



อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส!

ฟวยๆๆๆ

ไอ้คุณพี่ณทัชทำไมกลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้ววะ

อีกไม่กี่เมตรจะถึงหน้าบ้าน รอยยิ้มผมค่อยๆ หุบลงเมื่อนึกว่าแม่กำลังต่อสู้กับมะเร็งอยู่ตามลำพัง และตอนนี้เหมือนไม่ใช่แค่แม่ที่ป่วย เห็นสภาพอิฐปูนโทรมๆ นั่นแล้วก็ชวนให้รู้สึกว่าบ้านหลังนี้กำลังป่วยหนักใกล้ตายด้วยเหมือนกัน

ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้าน สูดหายใจแรงๆ บังคับตัวเองให้ยิ้ม แล้วแทรกตัวผ่านประตูสนิมเขลอะเข้าไป

“กลับมาแล้ว อาจารย์สอนโคตรดีอะวันนี้ เรียนเข้าหัวปรี๊ดๆ เลย นี่แม่ได้กินไรยัง วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะ เดี๋ยวผมไปซื้อที่ตลาดเจ๊เนียม…”

ปากผมชะงักไปเองเมื่อหันไปเห็นแม่

แม่กำลังร้องไห้อยู่

ผมทำอะไรไม่ถูกขณะมองแม่ที่รีบปาดน้ำตาทิ้ง ไหล่ของแม่ค้อมลู่ลง แผ่นหลังดูเล็กจ้อยเหลือเกิน ทุกส่วนในร่างกายของแม่ดูเปราะบางจนหัวใจผมปวดไปหมด น้ำตาเอ่อขึ้นมา แต่ผมกลั้นไว้ บอกตัวเองว่าห้ามร้องไห้แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งลงข้างแม่ที่โซฟา

“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” แม่ทำทีเป็นเพิ่งรู้ เหมือนหลอกตัวเองว่าผมไม่เห็นแม่ร้องไห้ ทั้งที่ตอนนี้น้ำตายังเปรอะแก้มและตาแดงๆ ทำอย่างกับว่ารอยยิ้มปลอมๆ นี้จะหลอกผมได้

“กลับมาแล้ว ” ผมยิ้มหลอกแม่เหมือนกัน

“แม่ทำกับข้าวไว้”

“แม่ไม่น่าต้องเหนื่อยเลย ผมไปซื้อที่ตลาดได้”

“เหนื่อยอะไร นอนทั้งวัน”

“แม่…” ผมไม่ไหวแล้ว ผมทนทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ “แม่เป็นอะไรรึเปล่า”

“...”

ผมโผเข้ากอดแม่เหมือนเด็กๆ น้ำตาแม่งก็ไหลออกมาอย่างรวดเร็วทั้งที่กลั้นไว้เต็มที่แล้ว ส่วนแม่ก็ตัวสั่นๆ และน่าจะพยายามกลั้นน้ำตาอยู่

“พี่ทัชบอกว่ามันหายได้นะ แม่ต้องไม่เป็นไร”

“...”

“แม่ต้องอยู่กับผม”

“...”

“ผมไม่เหลือใครแล้ว”

“นะฑี”

แม่ผลักตัวผมออกเบาๆ ผมขืนตัวไว้ก่อนจะยอมผละออกตามแรง มือของแม่ลูบหน้าผากผมกึ่งปาดน้ำตา แล้วประคองใบหน้าไว้ ตาแดงก่ำมองเหมือนตั้งใจจดจำใบหน้าผมให้ขึ้นใจ

“แม่เพิ่งเห็นชัดๆ ตอนนี้แหละ ว่าเหมือนกันมาก…”

ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังหมายถึงอะไร พอแม่ไม่พูดต่อ ผมก็ต้องพูดอะไรสักอย่าง “แม่ต้องหายน่า เชื่อดิ”

“...”

“แต่โรคนี้ต้องใช้กำลังใจ ต้องอารมณ์ดีๆ”

“...”

“ตอนนี้แม่เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

แม่ส่ายหน้าแทนคำตอบ

“แล้วร้องไห้ทำไม” ผมจับไหล่แม่ กึ่งประคองกึ่งคาดคั้นเอาความจริง “เจ็บตรงไหนรึเปล่า...บอกผมดิ”

“แม่ไม่ได้เป็นไร แต่เขาน่ะ…”

“เขา?”

“พ่อ”

“...”

“พ่อตายแล้ว”

“...”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งเงียบ มือที่จับไหล่แม่อยู่ค่อยๆ เลื่อนตกลงมาเอง ผมหดมือกลับและไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน

ทำไมชีวิตคนเราถึงมีอะไรพลิกผันปุบปับขนาดนี้ เช้าอารมณ์นึง ตอนเย็นอีกอารมณ์ เอาเข้าจริงเราไม่มีทางรู้เลยว่าหนึ่งหรือสองนาทีข้างหน้านี้แม่งจะเกิดไรขึ้นกับชีวิตบ้าง

และนาทีนี้ ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองควรรู้สึกยังไง

“นะฑี…” แม่วางมือบนไหล่ผม ใจผมนึกไปถึงนิ้ววิเศษของพี่ทัช เพราะมันทำให้ข้างในผมหวั่นหวิวสั่นสะเทือนคล้ายๆ แบบนี้ ไม่สิ...ไม่คล้ายหรอก

ผมหันไปมองแม่ช้าๆ “แม่ร้องไห้เพราะเรื่องนี้เหรอ”

“...”

“เมื่อกี้นี้ที่บอกว่า ‘เหมือนกันมาก’ หมายถึงหน้าผมเหมือนเขามากงั้นดิ”

“ไปงานศพกัน”

ปากผมสั่นระริก ก่อนจะได้ยินเสียงตัวเองพูดออกมาในโทนต่ำๆ “งานศพใครที่ไหน พ่อผมตายตั้งแต่ผมอยู่มัธยมแล้ว”

ชั่วแวบนึงผมเห็นรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากแม่ ก่อนแววตาจะสั่นไหวคล้ายเจ็บปวด ราวกับว่าข้างในตัวแม่มีกระแสอารมณ์หลากหลายซัดโถมใส่กันอยู่ จากนั้นมือของแม่ก็เลื่อนตกจากไหล่ผม เปลี่ยนไปปาดหางตาตัวเองที่น้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมาอีกครั้ง

ผมไม่เหลือใครแล้ว

แม่ที่ผมรู้จักไม่อยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้แล้ว นี่ใครกัน แม่แท้ๆ ของผมไม่ไปงานศพผู้ชายคนนั้นหรอก

ความจริงเรื่องนี้ซัดเข้าใส่ผมเหมือนคลื่นเย็นเฉียบ แต่ตอนนี้ใบหน้าผมกลับเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ไม่มีรอยยิ้มจางๆ ไม่มีกล้ามเนื้อส่วนใดสั่นไหว

ไม่มีแม้น้ำใสๆ สักหยดจากหางตา






________________________________

ขอบคุณมากนะคะที่ยังอยู่ด้วยกัน รัก
#ณTouch

นางร้าย
25.กุมภา.2020


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
คนอารมณ์ดี สนุก พูดไม่หยุด เวลาโดนดราม่าซัดเข้ามาซ้ำอีก ซ้ำอีก ไม่ให้ได้พักแบบนี้ มันก็ปรับโหมดกลายเป็นคนเครียดๆได้เหมือนกันเนอะ

ก็คนเหมือนกัน แค่หงายเหรียญด้านไหนเท่านั้นเอง สู้ต่อไป นะฑี

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
สงสารอารมณ์นะฑี ขึ้นๆลงๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไงกัน?

นี่แม่ไม่ปกติเหรอ?

นอกจากมะเร็งแล้วมีอัลไซเมอร์พ่วงมาด้วยเหรอ?

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
นะฑี นี่มันเวรกรรมที่ไปทำไว้กับพี่เห็ดใช่มั้ยย
สึนามิโหมกระหน่ำชีวิตเหลือเกินลูก กุ๊กกิ๊กขะยุกขะยิกใจกับพี่ทัชแป๊บๆ ดราม่าถล่มใสอีกแล้ว  :ling3:

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ดราม่ามาอีกแล้ววววส

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2



แตะต้องครั้งที่ 33
จับบบ…ก๊อกก๊อกอย่ามาหลอกอยากจะบอกผู้ชายคนนั้นเรื่องฉันเรื่องเธอ


 ผู้ชายคนนั้นจากไปแล้ว

 แล้วไง มันมีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเหรอ สองวันมานี้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมก็ยังเป็นปกติดี ตัวผมเองก็ยังไปเรียน เมาท์แตกกับเพื่อน และกลับมาข่มตาหลับได้สบายๆ

 แต่แม่กลับทำมันเป็นเรื่องใหญ่โต

 “ไปเถอะนะ ถือว่าไปลาเขาครั้งสุดท้าย”

 “ลาเรียบร้อยตั้งแต่ผมม.2 แล้ว”

 “แต่เขาตายแล้วนะ”

 “แล้วไงล่ะแม่”

 “นะฑี”

 “แม่ไปเถอะ ให้น้าเกดพาไป ผมอยู่เฝ้าบ้านดีกว่า”


 ผมตัดบทแล้วปิดประตูขังตัวเองไว้ในห้อง ส่วนแม่ก็ตามนั้นแหละ ให้น้าเกดขับรถพาไปเพื่อร่วมงานสวดศพคืนสุดท้าย ถ้าเป็นเมื่อก่อนน้าเกดคงอยู่ข้างผมและอาจถึงขั้นเทศนาสั่งสอนแม่ด้วยซ้ำ แต่มะเร็งทำให้แม่ได้สิทธิ์ที่จะทำอะไรได้ตามใจทุกอย่าง ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเตรียมตัวอยู่ข้างล่าง อีกไม่นานก็คงออกไปกันแล้ว

 ก็ดี บ้านจะได้เงียบๆ จะได้อ่านหนังสือให้เต็มที่ แต่ตอนนี้ขอนอนคว่ำหน้าโง่ๆ ก่อนละกัน ซึ่งก็อดที่จะเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างไม่ได้

 สักพักนึงก็มีเสียงรถเคลื่อนออกไป น้าเกดกับแม่ไปแล้ว

 บ้านทั้งหลังเงียบเชียบ

 และมันทำให้ผมอดนึกถึงบรรยากาศของงานที่ทุกคนสวมชุดขาวดำไม่ได้ งานที่เจ้าของงานออกเดินทางไปไกลแล้ว แต่คนร่วมงานยังนั่งคร่ำครวญเงียบเหงากันอยู่ ผมพยายามนึกถึงหน้า ผู้ชายคนนั้น ที่ตอนนี้นอนอยู่ในกล่องแคบๆ มืดๆ ไม่ใช่แค่สีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านเหมือนสีหน้าผมในวินาทีแรกที่ได้ยินข่าวจากปากแม่ แต่เป็นสีหน้าที่ไม่อาจแสดงอารมณ์ใดๆ ได้อีกแล้ว...ตลอดกาล

 นะฑีหน้าเหมือนพ่อนะ แม่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ อย่างนั้น แต่เสียงแม่ก็ดังในหัวผมอยู่ดี

 ผมคิดอะไรอยู่วะ ถึงยังไงตอนนี้มันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

 เขาตายไปแล้ว

 ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 หืม!

 ใครมาเคาะ แม่กับน้าเกดออกไปแล้วนี่

 ก๊อก ก๊อก 

 “มาตามถึงนี่ แต่...แต่ผมก็ไม่ไปหรอก”

 ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 “คิดว่าจะกลัวเหรอ”

 ก๊อกๆๆๆ

 “ไปให้พ้น!”

 “เปิดหน่อย”

 “อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา…”

 “เปิดให้กูหน่อย”

 เสียงพูดแผ่วๆ และแหบพร่า ผมนิ่งเงี่ยหูฟัง แต่ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไรต่อ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเจอกับตัวเองจังๆ ก็ตอนนี้แหละ 

 ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 เป็นไงเป็นกันวะ รู้จักคนอย่างนะฑีน้อยไปแล้ว!

 ผมบังคับขาสั่นๆ ให้ก้าวไปที่ประตู กลั้นหายใจแล้วเปิดประตูผลัวะ “ออกไปนะโว้ย!”

 “เพิ่งมาก็จะไล่เลย”

 “พะ...พี่ทัช”

 “มึงสวดมนต์ทำไม”

 “สวดมนต์อะไร”

 “กูได้ยิน”

 “เอ้า...ก็เป็นคนดีอะ สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน ทำไม แปลกตรงไหน”

 “นึกว่ากลัวผี หน้าซีดๆ นะ”

 “ผมเนี่ยนะกลัวผี! ลองโผล่มาดิเดี๋ยวเตะปากแตก ว่าแต่พี่อะ มาได้ไง แล้วเคาะทำไมเยอะแยะ แถมยังจะพูดเสียงแหบอีก ทำไม เส้นเสียงอักเสบหรือว่าเป็นฝีในหลอดลมเหรอ” ผมรัวเป็นชุดเพื่อระบายความเครียด ความตื่นเต้น หรืออะไรก็ตามที

 ได้ผล ค่อยรู้สึกเป็นตัวของตัวเองหน่อย

 ส่วนพี่ทัชกะพริบตาปริบๆ แล้วชูกล่องขนมในมือขึ้นเป็นเชิงตอบคำถาม “มันหวานแสบคอ” มันคือขนมป๊อกกี้รสช็อกโกแลต ว่าแล้วเขาก็หยิบแท่งใหม่ออกมากัดคำเล็กๆ “ปวดขา”

 “สมน้ำหน้า”

 “กูจะสื่อว่า มึงควรเชิญกูเข้าไปนั่ง”

 “ไม่พูดตรงๆ ล่ะ อ้อมค้อมทำไม”

 “ขอเข้าไปได้มั้ยครับ”

 เออ เสียงสอง กูยอม

 ผมสะบัดตูดกลับไปนั่งที่เตียง พี่ทัชตามเข้ามานั่งลงข้างๆ ผม แล้วก็ไม่พูดไม่จา แค่มานั่งลงและกินขนมป๊อกกี้ต่อ

 “พี่มาทำไมไม่บอกก่อนอะ” ผมถาม

 “เซอร์ไพรส์” เขาตอบเรียบๆ พร้อมกับยื่นกล่องขนมมาตรงหน้าผม

 “ไม่เอา”

 พี่ทัชหยิบออกมาแท่งนึงยื่นมาจ่อปากผม

 “บอกไม่เอาไง”

 “กิน”

 “ทำไมต้องบังคับ”

 คราวนี้เขาไม่พูด ปลายแท่งขนมที่เคลือบช็อกโกแล็ตเริ่มถูกับริมฝีปากผม ยิ่งเม้มปากเขาก็ยิ่งถูมันจริงจังมากขึ้น ที่เม้มปากนี่คือไม่เกี่ยวกับกินหรือไม่กินแล้ว แต่คือกลั้นยิ้มอยู่ สุดท้ายผมเลยยอมงับขนมเพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มไว้

 “กินเข้าไป”

 เออ กินก็กิน

 “เดี๋ยวนี้ไม่พันพลาสเตอร์แล้ว?” ผมสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าเขาไม่พันสักนิ้ว

 “อยู่กับมึงไม่ต้องก็ได้”

 “ทำไม ก็พี่เคยบอกถ้าไม่พันนิ้วแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไม่ใช่เหรอ...จะบอกว่าอยู่กับผมแล้วอยากเปลือยอะไรงี้?”

 “ถ้ามึงอยากคิดทุเรศๆ แบบนั้นกูก็ห้ามไม่ได้”

 “เอ้า ก็ไม่อยากเอาความคิดตัวเองเป็นหลักไง ถึงถามพี่”

 “อยู่กับมึงกูรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง เลยไม่ต้องพันนิ้วก็ได้” บทจะตอบจริงจังก็ตอบขึ้นมาซะงั้น เล่นเอาไปไม่เป็นเลย

“แล้ว...แล้วพี่มาทำไมอะ แค่มาเซอร์ไพรส์เล่นๆ เนี่ยนะ”

 “มาพามึงไปงาน”

 “งานบริษัทขอทัชฑีเหรอ ผมไม่ได้ดูในกรุ๊ปเลย”

 “งานที่วัด”

 “...”

 อ้อ ถึงว่าสินะ เขาถึงสวมเสื้อเชิ้ตดำเรียบร้อยขนาดนี้

 “พี่รู้”

 “อือ กูคุยกับแม่”

 “งั้นก็รู้ว่า..”

 “รู้แค่ว่าเขาเสีย” พี่ทัชพูดขัดกลางประโยค “ส่วนรายละเอียดอื่นๆ กูรอให้มึงเล่าเอง”

 “ผมไม่มีอะไรจะเล่าทั้งนั้นอะ”

 พี่ทัชขยับเบี่ยงตัวหันมาทางผมตรงๆ ส่วนผมจงใจบังคับตัวเองให้ตรึงสายตาไว้กับพื้น “ไม่เล่าก็ไม่เป็นไร แต่มึงควรไปงานนะ”

 “ไม่อะ ทำไมผมต้องไป”

 “ก็เขาเป็น…”

 “เขาไม่ใช่พ่อผม พ่อจริงๆ ของผมตายไปนานแล้ว”

 “ถ้าไม่ไป มึงอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตนะ” เสียงพี่ทัชอ่อนลง

 “ผมก็เสียใจมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว!” ตรงข้ามกับเสียงผมที่ดังขึ้น

 “...”

 “...”

 “ไม่ไปก็ไม่ไป” พี่ทัชพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ หลังจากเงียบกันไปพักนึง เขาทิ้งตัวลงนอน เพราะเตียงหลังเล็ก ศีรษะเขาเลยเกือบพ้นขอบเตียงออกไป

 “พี่ทำไร” ผมเหลือบมองเขา

 “กินขนม” เขาหยิบป๊อกกี้ชิ้นใหม่ออกมางับคำเล็กๆ

 “ไม่ใช่แบบนั้น หมายถึง…” ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองหมายถึงอะไร หรืออยากพูดอะไร

 “กูก็อยู่เป็นเพื่อนมึงจนกว่าแม่กับน้าเกดจะกลับ”

 “แม่เป็นคนโทรหาพี่ บอกให้มาชวนผมไปงานให้ได้สินะ”

 “ประมาณนั้น”

 “ผมไม่ไป”

 “รู้แล้ว ถึงได้อยู่เป็นเพื่อนไง”

 ผมเอี้ยวตัวไปมองเขา “ทำไมไม่ตื๊อล่ะ ยอมง่ายไปมั้ย”

 เขาหยิบป๊อกกี้มาถูๆ ปากผมอีก และดูเหมือนจะไม่ยอมพูดอะไรจนกว่าผมจะกิน ผมเลยอ้าปากงับมาทั้งชิ้น

 “กูตามใจมึง”

 “ทำไมอะ”

 “คนตายรู้สึกอะไรไม่ได้แล้ว คนที่ยังอยู่ต่างหากที่รู้สึก กูเอาความรู้สึกมึงเป็นหลัก”

 ผมหันกลับมามองพื้นตามเดิม “เหี้ย มาคมอะไรตอนนี้”

 “ด่าทำไม”

 “ด่าอะไร ผมพึมพำกับตัวเอง”

 “งั้นถือว่ากูไม่ได้ยินละกัน” พี่ทัชเว้นจังหวะนิดนึง ก่อนจะพูดต่อ “ถ้ามึงยังรู้สึกอะไรๆ กับเขาอยู่จะไม่ไปงาน ก็ไม่แปลกหรอก”

 ผมหันขวับ “รู้สึกอะไร ผมไม่รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว”

 “ถ้าไม่รู้สึกอะไร ไปหรือไม่ไปงานมันก็ไม่แตกต่าง”

 “ก็ใช่ไง”

 “งั้นก็ไปดิ”

 “...”

 “ถ้าไม่ไป แสดงว่ารู้สึกอยู่”

 “...”

 “ถ้ายังรู้สึกอยู่แล้วไม่ไป มันก็น่าเสียดาย”

 “...”

 นี่ต้องเป็นกลลวงหรือลูกเล่นเชิงจิตวิทยาอะไรแน่ๆ ผมไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ หรอก

 “ผมไม่รู้สึกอะไร และขี้เกียจไป จบมั้ย”

 “งั้นก็จบ”

 จบแล้วเหรอ

 ไม่ตื๊ออีกแล้วใช่มั้ย ก็ดี ผมชนะ ผมไม่ตกหลุมพราง

 แต่ทำไมรู้สึกเซ็งๆ วะ

 “แล้วเราจะทำอะไรกัน” ผมถามทำลายความเงียบ

 “ก็ไม่ทำไร นอนมองเพดานไปเรื่อยๆ จนน้าเกดกับแม่กลับมา เราก็เข้าไปปลอบแม่...ก็คงแค่นั้นมั้ง”

 เราเงียบกันไปอีก โดยที่มีภาพแม่ร้องไห้ฉายชัดอยู่ในหัวผม

 “แม่ผมเป็นไงบ้าง ตอนคุยกับพี่”

 “ก็ร้องไห้ มึงอาจจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่แม่คงรู้สึกอยู่”

 “ไม่ แม่ไม่รู้สึกหรอก” ผมรีบปฏิเสธ ไม่แน่ใจว่าเชื่อแบบนั้นจริงๆ หรือเป็นผมเองที่ไม่อยากให้แม่รู้สึก “มันนานแล้ว พี่ไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า”

 “อืม กูไม่รู้อะไรมากหรอก รู้แค่ว่าแม่มึงร้องไห้ แล้วก็รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้มึงควรจะอยู่ข้างๆ แม่มากกว่าอะไรทั้งหมด”

 นี่ไม่ใช่กลลวงหรือลูกเล่นทางจิตวิทยาอะไรหรอก

แต่เป็นความจริงล้วนๆ

 แม่ง เหมือนไม้หน้าสามฟาดหน้าเลย เสียงพูดก็เรียบๆ ไม่ทุกข์ร้อนอะไรตามแบบพี่ทัชนั่นแหละ แต่มันแรงพอจนทำให้ผมตาสว่าง ผมเป็นลูกประสาอะไรวะ ลูกชายคนเดียวด้วย แต่ยังปล่อยให้แม่ไปงานนี้ตามลำพัง งานที่ไม่รู้ว่าพวกญาติๆ ของผู้ชายคนนั้นจะพูดจาหรือใช้สายตาแบบไหนกับแม่บ้าง

 “ไปก็ไป”

 “ดีมาก รีบแต่งตัวเลย กูไปรอที่รถ”

 เอ้า เด้งตัวขึ้นแล้วก็เปิดประตูออกไปเลย ถ้างั้นไอ้ที่ทำเป็นใจเย็นนี่ก็คือลูกเล่นเชิงจิตวิทยาจริงๆ ใช่มั้ย หรือยังไง แต่เอาเถอะ ถ้าไปถามเซ้าซี้เดี๋ยวเราจะดูโง่ไปอีก

 ผมลุกไปล้างหน้าล้างตา หยิบกางเกงสีดำสนิทมาสวม พอจะเลือกเสื้อสีดำหรือขาวมือมันก็ชะงักไปเอง ตอนนั้นแหละ ผมเปลี่ยนใจเป็นหยิบเสื้อยืดคอกลมสีส้มเก่าๆ แถมไม่ได้รีดด้วยมาสวมแทน จากนั้นก็ลงมาข้างล่าง ปิดประตูบ้าน ขึ้นไปนั่งรถพี่ทัชที่ติดเครื่องรออยู่

 “ไปสภาพนี้เหรอ” พี่ทัชถาม ตอนนี้เขาพันนิ้วครบทั้งสิบนิ้วเรียบร้อยแล้ว

 “ผมไม่ได้ไปงานศพ ผมไปหาแม่”

 “...”

 “ถ้าพี่จะบอกให้ผมเปลี่ยนเสื้อ งั้นก็ไม่ไป ผมจะขึ้นไปนอนละ”

 “เปล่า แค่จะบอกว่ามึงใส่เสื้อกลับด้าน”

 เหี้ย! จริงด้วย

 “ก็พี่นั่นแหละบอกให้รีบ แล้วมองไรล่ะ ขับรถก็มองทางไปดิ”

 “โอเค” พี่ทัชขับรถออกไป แต่จังหวะผมถอดเสื้อเพื่อจะกลับด้านมาสวมเขาก็หันมองอีก

 ผัวะ!

 ฟาดไหล่เข้าให้ “ขับรถไป”

 “กูทำไรผิด ก็แค่มอง”

 “ทำไม พิศวาสหัวนมผมเหรอ”

 “เคยเห็นแล้วตอนมึงอาบน้ำที่ห้องกู มันก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดที่จะใช้คำนั้นนะ”

 ผัวะ! ผัวะ!

 ไอ้พี่ทัช แม่ง เออ ตอนนั้นผมนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัว และต่อให้ตีลังกาล้อเกวียนในสภาพนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ทำไมตอนนี้แค่ถอดเสื้อแป๊บเดียวถึงรู้สึกจั๊กจี้วะ เลยฟาดไปอีกสองดอกเน้นๆ ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นพี่ทัชคงหัวเราะยกใหญ่ แต่คงเพราะเรากำลังจะไปงานศพนี่แหละ เขาเลยแค่มองเฉยๆ

 “คาดเข็มขัดด้วย” พี่ทัชบอกหลังจากผมสวมเสื้อเรียบร้อยแล้ว “กูจะขับเร็วแล้ว”

 “อือ เหยียบเลย”

 จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ถึงจะพยายามขับเร็วแล้วแต่สภาพการจราจรไม่ค่อยเป็นใจ จากเดิมที่ไม่อยากจะมา ตอนนี้ผมกลับร้อนรนจนอยากจะหายตัวไปอยู่ที่วัดเลย แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่รู้ว่างานจัดที่วัดไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายด้วยสาเหตุอะไร ตอนนี้เลยทำได้แค่แกล้งนั่งหลับตาทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว

 จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าประตูวัดมาจอดที่ลานจอด

 พี่ทัชปลดเข็มขัดและดับเครื่องยนต์ แต่ยังไม่เปิดประตูลงไป คงเพื่อให้ผมได้เตรียมใจจนกว่าจะพร้อมก่อน เป็นเวลาหลายสิบวินาทีที่เรานั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้น

 ในที่สุดผมก็ยอมพูด “เขามีเมียน้อย”

 “หืม?”

 “เขามีเมียน้อยตั้งแต่ผมยังเด็กๆ แล้วมาความแตกเอาตอนผมอยู่ม.2 หลังจากนั้นยื้อกันอยู่สักพักบ้านก็แตก เขาหนีไปอยู่กับเมียน้อยและไม่กลับมาอีก แม่ต้องลำบากเลี้ยงผมมาคนเดียว ทำงานหลายอย่าง เป็นแม่ครัวก็ทำอยู่ตั้งนาน แต่นั่นแหละ จากชีวิตดีๆ อยู่บ้านเดี่ยวสองชั้นก็ต้องย้ายมาอยู่ห้องแถวเน่าๆ อย่างที่พี่เห็น รายละเอียดก็แค่นี้ จบแล้ว”

 “เพราะงี้มึงเลยอยากให้บริษัทขอทัชฑีรับงานแนวๆ นั้น”

 “ไม่เกี่ยว...มั้ง ไม่รู้ดิ”

 “อืม” พี่ทัชมองหน้าผมเงียบๆ อยู่อึดใจ “พร้อมยัง เตรียมใจอีกสักพักมั้ย”

 “ทำไมต้องเตรียมใจ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว”

 ผมปลดเข็มขัดแล้วเปิดประตูลงจากรถ พี่ทัชตามลงมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นเขาก็มาเดินประกบผมกึ่งนำทางนิดๆ ไปยังศาลาหมายเลขสอง มีชื่อสกุลของผู้ตายเขียนไว้บนกระดานดำเล็กๆ ผมเหลือบมองแวบเดียวก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น เรามาช้า คนสวมชุดดำนั่งกันแน่นศาลาแล้ว และพระกำลังสวดอยู่             

 “ไปนั่งกัน” พี่ทัชแตะหลังผมเบาๆ เรียกสติผมกลับมา

 “อืม”

 คนมากันเยอะจนนั่งล้นศาลาออกมา แต่ละคนก็แต่งตัวดีๆ กันทั้งนั้น พี่ทัชกับผมเดินอ้อมมาด้านหลังสุด นั่งลงที่เก้าอี้พลาสติกที่ว่างอยู่ ยกมือไหว้พระ พนมมือฟังเสียงสวดไป ผมยังไม่เห็นว่าน้าเกดกับแม่นั่งอยู่ตรงไหน น่าจะอยู่แถวๆ ด้านหน้าเลยมั้ง

 ไม่ได้จะสำรวจอะไรมากมาย บอกตัวเองให้ก้มต่ำๆ ไว้ด้วยซ้ำ แต่สายตาก็อดที่จะเลื่อนไปมองกล่องใบนั้นไม่ได้

เขานอนอยู่ในนั้นสินะ

 นอนนิ่ง หลับตา ใบหน้าเรียบเฉย และต่อให้ผมจะแหวกผู้คนเข้าไปตะโกนด่าว่าใกล้ๆ เขาก็คงไม่ได้ยิน ไม่มีทางที่จะได้รับรู้ความรู้สึกใดๆ ของผมอีกแล้ว

 สักพักหนึ่งพระก็สวดจบ ผมรู้ตัวเพราะเสียงผู้คนขยับตัวหลังจากพระท่านเดินออกจากศาลากันไปแล้ว ผู้มาร่วมงานสลายตัวออกมานอกศาลา บ้างไปห้องน้ำ บ้างจับกลุ่มคุยกัน บ้างก็มากินข้าวต้มอยู่ด้านข้างศาลา ส่วนผมกับพี่ทัชยังนั่งอยู่ เรียกว่าพี่ทัชนั่งเป็นเพื่อนผมที่ยังนั่งเหม่ออยู่มากกว่า

 จังหวะนั้นเองมีคนสะกิดไหล่ผม

 “นะฑี”

 “อ้าว เปิ้ล เจษ พี่เห็ด…” ผมลุกขึ้นยืน พี่ทัชก็ลุกตาม “มาได้ไงอะ”

 “ทัชบอก” พี่เห็ดตอบ “แล้วกูก็ไปรับเปิ้ลกับเจษมา”

 “...” เปิ้ลยิ้มนิดๆ พร้อมกับตบบ่าผมเป็นเชิงให้กำลังใจ

 เจษตบบ่าอีกข้าง “เสียใจด้วยนะ”

 ส่วนพี่เห็ดวางมือบนไหล่ผมแรงๆ ทีนึง “ไหวนะ”

 หลังจากนั้นเราทุกคนก็เหมือนจะทำตัวกันไม่ถูก เพราะผมไม่เคยพูดถึงพ่อให้เปิ้ลกับเจษฟังเลย กับพี่เห็ดยิ่งแล้วใหญ่ ทุกคนสวมชุดดำเรียบร้อยกันหมด ยกเว้นผมที่สวมเสื้อยืดสีส้มแปร๊ดอยู่คนเดียว แต่ไม่มีใครทักเรื่องนี้ อาจจะคิดกันว่าผมเป็นลูกที่ไม่เอาไหน หรืออาจจะคิดว่าผมเสียใจจนเสียสติไปแล้วก็ได้

 “ขอบ...ขอบคุณทุกคนนะ ที่มา” ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยวะ ไม่ชอบเสียงตัวเองแบบนี้เลย

 “ไปหวัดดีแม่กับน้ากันก่อนดีกว่า” คราวนี้เป็นพี่ทัชพูด เราทุกคนมองตามเขาเข้าไปในศาลา เห็นน้าเกดกับแม่นั่งปะปนอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นญาติๆ ของคนที่นอนอยู่ในกล่องนั่นแหละ

 ผมกำลังจะเดินนำไป แต่ถูกพี่ทัชแตะไหล่ไว้

 “อย่าลืมเสื้อ” เขายื่นเสื้อสูทสีดำมาให้ “ถือไว้ให้จนเมื่อยแล้ว”

 ผมก็เพิ่งสังเกตว่าเขามีสูทด้วย สงสัยคงหยิบติดมือมาตอนลงจากรถ แล้วก็พูดให้คนอื่นเข้าใจว่ามันคือเสื้อของผมเองแต่ฝากเขาถือไว้

 “ไม่เป็นไร พี่ช่วยถือไว้ให้ก่อนนะ” ขอบคุณนะพี่ แต่ไม่ดีกว่า ผมเดินนำทุกคนไปที่ด้านหน้าศาลาตรงจุดที่เป็นประตูเปิดโล่ง กำลังจะเรียกแม่ให้หันมาแต่ก็ต้องชะงัก เพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งคลานเข้าหาแม่พอดี โดยที่ในมือถือพวงมาลัยดอกมะลิด้วย ไม่สิ ผู้หญิงสองคนต่างหาก คนหนึ่งวัยกลางคน อีกคนยังวัยรุ่น ทั้งคู่ก้มกราบแม่ที่ตัก แม่รับไหว้ก่อนจะจับไหล่ของผู้หญิงวัยกลางคนไว้ ทั้งคู่พูดคุยกันเบาๆ ซึ่งถ้าผมไม่หูอื้อหรือเข้าใกล้กว่านี้คงได้ยินว่าคุยเรื่องอะไรกัน

 “อ้าว นะฑี” น้าเกดที่นั่งอยู่ข้างแม่หันมาเห็นผม

 สายตาทุกคู่มองมา

 แม่กับน้าเกดลุกเดินออกมาก่อน โดยมีผู้หญิงสองคนนั้นลุกตามมายืนเยื้องนิดๆ อยู่ด้านหลัง เรายืนประจันหน้ากันในระยะแค่สองก้าว โดยทั้งสี่คนนั้นอยู่ด้านในศาลา ส่วนผมกับเพื่อนๆ ยืนอยู่ข้างนอก

 “ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ” น้าเกดถาม

 แม่ขยับเข้ามาจับชายเสื้อผม ลูบคลำมันราวกับเป็นของล้ำค่า “นี่สีโปรดของพ่อเลยนะ ของนะฑีด้วย ตอนเด็กๆ พ่อลูกคู่นี้ซื้อเสื้อสีส้มบ่อยจนเต็มตู้ไปหมด” ผมอยากให้ใครสักคนพูดแทรก แต่ก็ไม่มี แล้วแม่ก็เงยหน้าขึ้น “หวัดดีน้าเค้าหน่อยสิ”

 น้า?

 นี่สินะ เมียน้อยของเขา ผมเคยเจอแค่ครั้งเดียวตอนเขาพามาเปิดตัวที่บ้าน ซึ่งผมจำหน้าไม่ได้แล้ว

 คนนี้สินะ

 “โตเป็นหนุ่มแล้ว” อีกฝ่ายพูดเสียงเบา ริมฝีปากขยับเหมือนไม่แน่ใจว่าควรยิ้มดีมั้ย

 “...” ผมไม่ไหว้ให้เสียมือหรอก

 แล้วที่ยืนตาแดงก่ำอยู่นี่ก็ลูกสาวอีกคนของเขา?

 แต่…

 “พี่นะฑี” เด็กสาวคนนั้นโผเข้ามารวบกอดผมพร้อมกับปล่อยโฮ

 “น้อง...”

 ไม่ใช่เพราะโดนกอดฉับพลันที่ทำให้ผมตกใจ แต่เพราะนี่คือ...น้องรหัสเจษฎา

 “นัชชาค่ะ หนูเอง หนูเป็นน้องสาวพี่นะ...พ่อพูดถึงพี่ตลอดเลย”

 “...”

 “หนูหาเรื่องไปกวนกลุ่มพี่ แต่ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นใคร หนูขอโทษ”

 “...”

 ผมหันมองข้างหลังด้วยความรู้สึกอยากขอความช่วยเหลือจากเปิ้ลและเจษ แต่ทั้งหมดถอยไปจับกลุ่มกันอยู่ห่างๆ เหมือนจะเว้นระยะห่างเพื่อให้คนในครอบครัวคุยกัน

 “นัชชา?” ผมหันกลับมามองหน้าแม่ตัวเอง “ร้านที่สั่งดอกไม้ประจำ?”

 แม่พยักหน้า

 เท่านั้นแหละ ความจริง ก็หล่นโครมลงบดขยี้ผม มีกี่เรื่องวะที่ผมไม่รู้ กี่เรื่องราวที่วนเวียนอยู่รอบตัวผมและมันไม่จริง อ้อมกอดที่รัดตัวผมอยู่นี่แม่งก็ปลอมด้วยรึเปล่า ผมไม่ได้ยกแขนขึ้นโอบกอดตอบ เพราะแค่จะทรงตัวให้อยู่ก็ยังยาก

 ผมทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนตัวสั่นเทาอยู่เฉยๆ

 แล้วในพริบตานั้นอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็น ความเกลียดชัง ก็ระเบิดตูมตามอยู่ในตัวผม

 ผมเกลียดที่แม่พูดถึงเสื้อสีส้ม

 เกลียดอ้อมกอดของน้องสาวต่างแม่ที่ทำราวกับว่าเราสนิทสนมกันมานานปี

 เกลียดแววตาของเมียน้อยที่ทำเป็นเหมือนสำนึกผิด

 เกลียดคนในโลงที่ก่อเรื่องไว้ แล้วตอนนี้ก็จัดการอะไรไม่ได้สักอย่าง

 เกลียดสายตาทุกคู่ที่มองมาเป็นจุดเดียว

 เกลียดโลกใบนี้

 ผมเกลียดทุกคน!

 “ดะ...เดี๋ยว” ผมขืนตัวเบาๆ น้องรหัสเจษที่ชื่อเซ็กซี่หรือตอนนี้ควรจะเรียกว่าน้องนัชชายอมผละอ้อมกอดออก ผมจับไหล่อีกฝ่ายเหยียดออกสุดแขน หลักๆ ก็ทำไปเพื่อทรงตัวให้อยู่มากกว่า

 ผมมองกวาดรอบตัว

 สายตาทุกคู่ยังคงมองมา...เหมือนว่าผมเป็นตัวตลก หรือเหมือนว่าเป็นตัวอะไรก็ช่างเถอะ

 “เดี๋ยวมานะ”

 ผมบอกแค่นั้นก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป สับขาเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง จนพาตัวเองออกมาถึงหน้าประตูวัด จากนั้นก็พ่นสิ่งที่ระเบิดอยู่ข้างในผ่านปากออกไปด้วยคำเดียวเน้นๆ

 “เหี้ยยย!!”

 จนหมาวัดสองสามตัวที่นอนอยู่ตรงนั้นลุกขึ้นมาเห่าขู่

 “เห่าเหี้ยไร อยากโดนตีนเหรอ สัส!...แม่ง โอ๊ยยย...!!”













____________________________

ช่วงนี้รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน
รักมากที่สุดในโลกเลย


นางร้าย
6.กุมภา.2020


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เฮ้อ เป็นใครก็ตั้งรับไม่ทันแน่

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังงงงงอยู่   เข้าใจแค่ว่าสองบ้านนี้ยังติดต่อกันอยู่ตลอดเว 

เพียงแค่นะฑีไม่รู้สี่รู้แปดอะไรกับเขาสักเรื่องเลย

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เรายังตั้งรับไม่ทันเลย ทำใจยังไม่ได้อ่ะ
จะว่าเราใจดำใจแคบก็ได้นะ แต่ยังรับไม่ไหวจริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด