●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8  (อ่าน 30221 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เป็นใครก็ตั้งรับไม่ได้  เข้าใจความรู้สึกนะฑีตรงนี้ เหตุผลร้อยแปดจะยังไงก็ช่างมันไปก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2020 12:52:24 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ตายๆ ใครเจอก็เบลอไปหมดนะ สถานการณ์แบบนี้

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 34
จับบบ…ดอกไม้สีส้มผมตั้งใจทำถ้อยคำไม่สมควรรบกวนช่วยหน่อย



สองแผล

นั่นคือผลจากการฟัดกับหมา แผลแรกที่น่องซ้าย ไม่ค่อยเป็นไรเพราะมีกางเกงอยู่ แผลสองที่ใต้ข้อศอกขวา อันนี้ได้เลือดซิบๆ เพราะสวมเสื้อแขนสั้น เป็นพี่ทัชที่วิ่งมาถึงก่อนใคร เขาจัดการแยกผมกับหมาออกจากกันโดยใช้ที่ตักขยะของทางวัดเป็นอาวุธ ไม่ได้ฟาดหรือตี แค่เขี่ยๆ แล้วแกว่งเป็นเชิงชู่

พวกมันครางแฮ่ๆ แบบวัดใจ ก่อนจะยอมเลิกราไป

โคตรเสียฟอร์มเลย ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเป็นเด็กผมโดนตั้งฉายาอะไรที่เกี่ยวกับหมาแน่นอน แล้วก็จะโดนล้อยันจบมหา’ลัยเป็นอย่างน้อย

ความห่วงใยยิงมาจากทุกทิศทาง ผมพยายามรักษาภาพลักษณ์เท่าที่เหลืออยู่โดยเชิดหน้าขึ้น บอกว่าแค่นี้สบายมาก ยังไกลหัวใจเยอะ แต่หลายคนทำเหมือนว่าผมโดนกัดไส้ไหลงั้นแหละ พี่เห็ดนี่ตัวดีเลย ถามซ้ำๆ อยู่ได้ว่าไปฟัดกับหมาทำไม ส่วนพี่ทัชไม่พูดไรมาก ออกแนวใช้กำลังจนสุดท้ายเขาก็ลากผมขึ้นรถขับพาไปโรงพยาบาลจนได้ แล้วก็นั่นแหละ โดนเข็มจิ้มไปดิ วัดซีนบาดทะยักกับพิษสุนัขบ้า กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยและกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน

หายบ้าเลยทีนี้

ความปวดทางกายไม่เท่าไหร่ แต่ความปวดแบบหนึบๆ ตุ่ยๆ ในใจทำให้นอนไม่หลับ เผลองีบไปนิดหน่อย ก่อนจะขุดตัวเองขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว แล้วย่องออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืดโดยไม่ได้บอกแม่หรือน้าเกด

ผมมาหมกตัวอยู่ที่ร้าน Golden Flower ตามลำพัง มีแค่ความเงียบกับความว้าวุ่นใจอยู่เป็นเพื่อน

สมองเอาแต่คิดเรื่องต่างๆ วนไปเวียนมาไม่มีหยุดพัก ระหว่างนี้ผมก็ทำสิ่งที่ตั้งใจไปด้วย คือใช้กระดาษสีส้มพับเป็นดอกไม้เล็กๆ จัดเข้าช่อด้วยดอกหญ้าแห้ง แต่ทำแล้วก็รื้อ รื้อแล้วก็ทำ ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นหลายรอบเพราะมันดูไม่ลงตัวสักที

หลายคนเริ่มโทรและทักแชตหาผม

ผมไม่ตอบใครเลย ยกเว้นพี่ทัชคนเดียว



NATOUCH: ตอนนี้มึงอยู่ไหน

NATOUCH: ไหวรึเปล่า

NaTee(n): ไม่ต้องห่วง

NaTee(n): เดี๋ยวเจอกันที่วัด



เขาพิมพ์มาอีกหลายข้อความ ผมแค่อ่าน แต่ไม่ได้ตอบ

เว้นไปสักพักเขาก็พิมพ์มาอีก



NATOUCH: ก็ได้ เจอกันที่วัด



หลังจากนั้นโทรศัพท์ผมก็ค่อยๆ สงบไป คงเพราะพี่ทัชกระจายข่าวให้ว่าผมยังหายใจอยู่

ผมกลับมาโฟกัสกับงานประดิษฐ์อีกครั้ง ทำแล้วรื้อ รื้อแล้วทำ ถึงจุดนึงต้องสั่งให้ตัวเองหยุด เพราะยิ่งรื้อหลายรอบมันยิ่งช้ำ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือดอกไม้กระดาษเล็กๆ สามดอกมัดเป็นช่อรวมกับดอกหญ้าแห้ง

พอมือว่าง เรื่องราวต่างๆ ก็กลับเข้ามาสุมหัวผมอีก ท่ามกลางมวลดอกไม้กับอากาศนิ่งงันภายในร้าน นึกไปก็คล้ายกับว่าผมขังตัวเองไว้ในห้องกระจกเล็กๆ ที่กาลเวลาหยุดนิ่ง ผมโคตรอยากให้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ในความเป็นจริงคือมีแค่เจ้าของงานวันนี้เท่านั้นที่กาลเวลาไม่มีผลกับเขาแล้ว สำหรับผมเวลาก็ยังเดินไปเรื่อยๆ

ตอนนี้เกือบจะเก้าโมง ถ้าไปช้ากว่านี้ก็อาจจะไม่ทันแล้ว

ผมออกมาเรียกแท็กให้ไปส่งที่วัด การจราจรไม่ได้โหดร้ายอะไร แต่ลุงคนขับนี่แหละ อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เลยขับช้าไปโดยสภาพ ดีเหมือนกัน ไปไม่ทันงานเลยยิ่งดี

ตอนรถมาจอดหน้าวัดผมไม่ได้ดูเวลา แค่เปิดประตูแล้วเดินลงไป

เป็นพี่ทัชอีกตามเคยที่สังเกตผมเป็นคนแรก

“มาแล้ว” พี่ทัชเดินเข้ามาหาผม

“ทันมั้ย”

“ไม่สวมเสื้อสีส้มแล้วเหรอ”

ผมส่ายหน้า วันนี้ผมสวมชุดดำเรียบร้อย

“โอเครึเปล่า” สีหน้าพี่ทัชเรียบเฉย แต่แววตายิ้มนิดๆ

“ผมดูโอเคมั้ยล่ะ”

“ก็...ถือว่าดูดี”

“สรุปผมมาทันรึเปล่า”

“เพิ่งเริ่มพอดี มาเถอะ”

งานเริ่มแล้ว คนมาร่วมงานกำลังต่อแถวเพื่อขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์บนเมรุ ทุกคนที่ผมรู้จักอยู่พร้อมหน้ากันหมด ทั้งแม่ น้าเกด และแม่กับลูกสาว (ผมยังหาสรรพนามเหมาะๆ สำหรับสองคนนี้ไม่ได้) ทั้งพี่ทัช พี่เห็ด เปิ้ล เจษ แม้แต่เจ๊แคลก็มาด้วย

กลุ่มเพื่อนๆ ของผมอยู่ท้ายแถวกัน ซึ่งดีแล้ว

ผมเดินเข้าไปสะกิดไหล่เจ๊แคล

“เจ๊”

“นะฑี” เจ๊แคลหันมาบีบไหล่ผม จากสีหน้าเรียบๆ เปลี่ยนเป็นจะร้องไห้ “ขอโทษนะ เจ๊เพิ่งรู้ข่าวเลยได้มาแค่วันนี้ นี่ร้องไห้รึเปล่า”

“เปล่า” ผมไม่ได้ร้องจริงๆ ที่เห็นตาแดงๆ นี่คืออดนอน

“ดีแล้วๆ แต่จะร้องก็ได้นะ”

“ไม่ร้องดีกว่า”

“อื้อ”

“เจ๊ก็อย่าพาผมร้องดิ” ผมบอกยิ้มๆ เจ๊แคลเลยรีบทำหน้าฮึบๆ พยายามยิ้มด้วย “ขอโทษนะเจ๊ที่ไม่ได้บอก มัวยุ่งๆ อยู่ แล้วนี่เจ๊รู้ข่าวได้ไง...อย่าบอกนะว่ามีเงาดำๆ ไปเข้าฝัน”

เจ๊แคลตีผมเบาๆ “อย่าตลกสิ พี่เรนจิบอก”

สองคนนี้คุยกันแล้วเหรอ ผมหันมองพี่เห็ดที่ยืนเกาะหลังเจษฎาอยู่ในลำดับถัดไป หน้าแกไม่แสดงอารมณ์อะไร ขณะที่เจษคล้ายกับส่งสายตาขอความช่วยเหลืออยู่เล็กน้อย ทนๆ ไปก่อนละกันเจษ ยังไม่ใช่เวลาเหมาะ

“ขอบคุณที่มานะเจ๊” ผมบอกเจ๊แคล แล้วขยับมาต่อท้ายแถว

พี่ทัชเข้ามายืนต่อจากผมราวกับจะคอยระวังหลังให้

“ผมขอเป็นคนสุดท้ายนะ”

“เข้าใจ งั้นก็ระวังหมาหน่อยละกัน”

พี่ทัชเปลี่ยนมายืนตรงหน้าผม สักพักก็มีคนมาช้ามาต่อหลังผมอีก ผมออกปากขอต่อคิวเป็นคนสุดท้ายตามความตั้งใจ พี่ทัชก็ขอถอยมาเป็นคนรองสุดท้ายตามด้วย

“ทำไมอะ เป็นคนรองสุดท้ายแล้วจะได้รางวัลเหรอ” ผมถาม

“มึงมีรางวัลให้มั้ยล่ะ”

“ไม่มี”

“ไม่แปลกใจ”

“...” อ้าว นี่คือหลอกด่าหรืออะไร

“แต่ไม่ต้องมีรางวัลอะไรหรอก ได้อยู่ใกล้ๆ มึงในวันแบบนี้ กูพอแล้ว” 

“...”

ผมก็อยากต่อปากต่อคำกวนไส้ติ่งแกเล่นหรอก แต่แถวเริ่มสั้นลงมากแล้ว ภาพความทรงจำระหว่างผมกับ ผู้ชายคนนั้น ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ทั้งตอนที่เขาหัดให้ผมขี่จักรยาน เตะบอล ว่ายน้ำ ตอนเลือกซื้อเสื้อสีส้มด้วยกัน ทั้งตอนหัวเราะและร้องไห้…

ทำไมมันเยอะขนาดนี้นะ ทั้งที่หลายเหตุการณ์ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

แถวสั้นมากๆ แล้ว

เจ๊แคล เปิ้ล เจษ พี่เห็ด ทั้งหมดขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์และลงมาเรียบร้อย อึดใจต่อมาพี่ทัชก็ก้าวขึ้นบันไดเมรุ หยิบดอกไม้จันทน์ที่มีเตรียมไว้ให้ตรงนั้น แล้ววางลงเบาๆ บนพาน ผมมองตามหลังพี่ทัชแต่ก้าวขาตามขั้นไปไม่ได้

“นะฑี” พี่ทัชเรียก

“...”

“มาเถอะ”

ต้องสูดหายใจเข้าลึก ถึงมีแรงก้าวขึ้นบันไดไปสมทบกับพี่ทัชได้ ผมไม่หยิบดอกไม้จันทน์ที่วางวัดเตรียมไว้ให้ เพราะผมทำมาเองแล้วจากร้าน  Golden Flower นี่คือดอกไม้จันทน์ในแบบของผม

ผมตั้งใจทำนะ

ถ้าไม่ชอบก็...ช่างมันเถอะ


ผมพูดในใจ วางดอกไม้ดอกสุดท้ายที่ไม่เหมือนใครบนพาน จากนั้นก็ก้าวเร็วๆ ลงจากเมรุโดยมีพี่ทัชตามหลังมาด้วย แม่ง ผมพลาดแล้ว ไม่น่าวางดอกไม้เป็นคนสุดท้ายเลย ถ้าอยู่ในลำดับกลางๆ เรื่องนี้อาจจะเลือนหายไปในเวลาไม่กี่ปีก็ได้ แต่พอเป็นคนสุดท้าย กลายเป็นว่ามันจะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต

พิธีวางดอกไม้จันทน์เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ของวัดแจ้งว่าจะเปิดฝาโลงเพื่อให้ญาติได้เห็นหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเผาจริง

“ไม่ขึ้นไปเหรอ” พี่ทัชถาม เพราะเห็นว่าผมไม่มีทีท่าจะเดินขึ้นเมรุไปสมทบกับแม่และน้าเกด

“ไม่” ผมตอบเรียบๆ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้วิ่งออกไปฟัดกับหมาอีกรอบ “รีบๆ เผาให้จบไปเถอะ ผมเบื่อแล้ว”

พี่ทัชฉลาดพอที่จะเงียบ แล้วสักพักค่อยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

“แผลเป็นไงบ้าง”

“สบายมาก เหมือนมดกัด”

“ถ้าหมาตัวเท่ามดกูก็ไม่ห่วงแบบนี้หรอก” ถ้อยคำเสียดสีเล็กน้อย แต่เสียงนุ่ม

“นี่คือห่วงจริงๆ หรือกวน”

“กวนด้วย ห่วงด้วย...ทุกอย่าง”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมโอเค”

“ห่วง”

“ดะ...เดี๋ยวผมมา”

ที่ขอชิ่งไม่ใช่อะไร จังหวะที่หันหน้าหลบสายตาพี่ทัช ผมก็เหลือบไปเห็นน้องสาวต่างแม่พอดี ดูเหมือนน้องจะไม่ขึ้นไปดูหน้าเจ้าของงานเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน แต่ปลีกตัวออกมายืนหน้าซึมๆ อยู่คนเดียว

ผมเดินเข้าไปหาช้าๆ และหยุดตรงหน้าอีกฝ่ายห่างสองสามก้าว เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองหน้าผม ดวงตาฉ่ำชื้นสั่นระริกทำท่าจะร้องไห้อีก

คราวนี้ผมบอกให้ตัวเองยิ้ม พร้อมกับกางแขนออก

น้องดูลังเล

“มาให้แก้ตัวหน่อย”

“...”

“พี่ไม่กัดหรอกน่า กัดกับหมาจนเละแล้ว”

น้องโผเข้ามากอดผมและปล่อยโฮแทบจะเหมือนเมื่อวาน ที่ไม่เหมือนคือคราวนี้ผมกอดตอบด้วย กอดแบบพี่ชายน้องสาวที่ต่างคนต่างถูกความจริงบดขยี้มา อ้อ กรณีของผมมีคำโกหกหลอกลวงช่วยซ้ำเติมด้วย

ผมรอจนน้องสะอื้นเบาลง แล้วค่อยๆ ผละอ้อมกอดออก

“แล้วทีนี้จะให้พี่เรียกว่าเซ็กซี่หรือนัชชาล่ะ”

น้องขำทั้งน้ำตา “ยังไงก็ได้ค่ะ”

“เราตั้งเองอะดิ ชื่อเซ็กซี่”

“เปล่านะคะ เป็นฉายาที่ได้มาตอนรับน้องอะ แสดงว่าตอนนั้นพี่นะฑีไม่อยู่ ก็พี่เจษนั่นแหละ ครั้งแรกที่เห็นหนูก็อุทานซะดังเลย เพื่อนๆ เลยเอามาล้อจนกลายเป็นชื่อไปซะงั้น”

“อ้าว เหรอ” เจษ มึงแอบร้ายนะเนี่ย “ตอนนั้นสงสัยพี่จะไปขี้แน่ๆ ช่วงรับน้องมีปัญหาลำไส้บ่อย”

“หนูก็ขี้แตกบ่อยนะคะช่วงนั้น กินมั่ว”

เออ เปรี้ยวซ่าแบบนี้ น้องกูแน่นอน

“พูดคำว่าขี้แตกได้เพราะมาก” ผมขยี้หัวน้อง “งั้นพี่จะเรียกสองชื่อแล้วแต่อารมณ์นะ แต่ต่อหน้าเจษนี่จะเรียกเซ็กซี่เน้นๆ เลย”

“ฮ่าๆ ค่ะ”

เสียงหัวเราะสั้นๆ นั่นช่วยให้บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นเป็นกอง แต่ก็ไม่นาน เกิดเดดแอร์ช่วงสั้นๆ ก่อนนัชชาจะพยักพเยิดไปทางเมรุ “เผาแล้วค่ะ”

ผมหันมองตาม เหล่าญาติๆ ของเขา รวมถึงแม่กับน้าเกดลงมากันหมดแล้ว และต่างหันไปมองที่เมรุกันหมด เราสองคนยืนปลีกตัวอยู่ห่างจากกลุ่มคน โดยผมสังเกตเห็นว่าพี่ทัชยืนอยู่เดี่ยวๆ ไม่ห่างจากตรงนี้นัก เขามีเหลือบมองมาด้วย แต่คงตั้งใจปล่อยให้ผมอยู่กับน้องสองคน

เจ้าหน้าที่คงจุดไฟก่อนหน้านี้สักครู่ ตอนนี้ควันเริ่มลอยขึ้นทางปล่องแล้ว

“เขาเสียยังไง” ผมถามลอยๆ โดยที่ตายังมองตามควันเหนือปล่องเมรุ

“ยังไม่มีใครเล่าให้พี่ฟังเหรอคะ”

“พี่แค่ยังไม่พร้อมน่ะ ตอนนี้พร้อมแล้ว”

“หลับในน่ะค่ะ เลยชนกับ...เรียกอะไรนะ ขอบทางที่จะขึ้นสะพานข้ามแยกน่ะ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะขับรถมาเยี่ยมหนูที่หอนี่แหละ คุณพ่อ…” นัชชาทำท่าจะร้องไห้อีก

“พอแล้ว” ผมขยี้หัวน้อง “ไม่ต้องเล่าแล้วละ พอนึกออก”

แสดงว่าไม่ใช่สีหน้าเรียบเฉยเหมือนคนนอนหลับน่ะสิ แต่อาจจะปากฉีก จมูกหัก หรืออาจถึงขั้นคอหมุนได้รอบเลยก็ได้ เขาคาดเข็มขัดรึเปล่านะ ช่างเถอะ ไม่อยากรู้แล้ว

ไม่อยากรู้อะไรแล้ว

“แล้ว…” ผมเม้มปากไว้ แต่ไม่สำเร็จ “ที่บอกว่าเขาพูดถึงพี่บ่อย พูดว่าไงบ้าง”

“เยอะเลยค่ะ เอาไว้หนูจะเล่าให้ฟังนะ”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้น พี่ก็ถามๆ ไปงั้น”

“อ้อ เรื่องนึง เรื่องชื่อของเรา พ่อบอกว่าจะตั้งชื่อพี่ว่านที แปลว่าแม่น้ำ”

“แต่ชื่อพี่สะกดด้วย ฑ.นางมณโฑนะ”

“ค่ะ เพราะติดปัญหามีตัวอักษรกาลกิณีใช่มั้ย เลยเปลี่ยนวิธีสะกด ทีนี้พอหนูเกิดพ่อเลยแก้ตัวใหม่ ตั้งชื่อหนูว่านัชชาที่แปลว่าแม่น้ำเหมือนกัน แต่เป็นชื่อผู้หญิง”

“อ่อ แล้วนี่รู้ว่าเป็นพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่าบอกนะว่าตั้งใจมาเรียนคณะนี้ตามพี่”

“เปล่าค่ะ มาเห็นพี่ตอนรับน้องนี่แหละ เห็นชื่อนามสกุลแล้วคิดว่าต้องใช่แน่ๆ”

“อาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“ชื่อสะกดแบบนี้น่าจะมีคนเดียวนะ แล้วไหนหน้าตาพี่จะคล้ายๆ พ่ออีก” อีกคนแล้วที่พูดแบบนี้ “ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอพี่ที่คณะ โลกกลมเนอะ”

ผิดแล้วน้อง โลกนี้มันบิดๆ เบี้ยวๆ และมีแต่เรื่องบัดซบต่างหาก

“นั่นดิ กลมจนงงไปหมดแล้ว”

แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันต่อก็มีใครคนนึงเดินเข้ามาสมทบกับเราซะก่อน แม่ของน้องนัชชานั่นเอง คราวนี้ผมยกมือไหว้ ซึ่งอีกฝ่ายรีบรับไหว้ทันทีด้วยท่าทีแปลกใจ

“หวัดดีครับ”

“หวัดดีจ้ะ” ยิ้มบางๆ โดยที่สีหน้ายังเศร้าๆ “เผาใกล้เสร็จแล้วนะ”

“ครับ ก็ดี...แล้วแม่ผมอยู่ไหน” ผมมองกวาดแต่ไม่เห็น

“นั่งพักกันอยู่ข้างศาลาน่ะ...น้องนัชไปดูแลแม่พี่นะฑีกับน้าเกดหน่อยสิ เผื่อขาดเหลืออะไร”

ผมไม่ชอบสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เลย ฟังดูสนิทสนมกันเกินไปมั้ย แต่จะว่าไป ไม่ว่าจะเรียกแบบไหนผมก็คงไม่ชอบทั้งนั้นแหละ ประเด็นสำคัญคือ ดูไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว ผมเลยนิ่งๆ ไว้ก่อน

 ตอนอยู่ต่อหน้าแม่ นัชชาดูเป็นเด็กว่าง่าย แค่พยักหน้าแล้วก็เดินไปที่ศาลาเลย

 “แล้ว...นะฑีเป็นไงบ้าง”

 “ก็โอเคครับ”

 “อือ ดีแล้ว”

 “อยากพูดอะไรกับผม เอาตรงๆ เลยก็ได้” น้ำเสียงผมกระด้างเกินกว่าที่ตั้งใจ

 “คือ...น้าอยากขอโทษน่ะ”

 “เรื่องอะไรครับ”

 “ทุกเรื่อง”

 “เรื่องอะไรบ้างครับ”                “...”

 “เรื่องที่เข้ามาทำให้ครอบครัวผมแตกแยก ทำให้แม่ต้องลำบากเลี้ยงผมคนเดียว ทำให้ผมเป็นลูกไม่มี…” ผมพูดคำนั้นออกมาไม่ได้ ปากสั่นระริก รู้สึกอยากจะวิ่งหนีออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ที่ผ่านมาผมใช้วิธีนี้ตลอด ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรผมก็จะแก้ด้วยการทิ้งมันไว้ข้างหลัง

 แต่ผมวิ่งหนีมาทั้งชีวิตแล้ว

 ครั้งนี้ผมจะยืนสู้กับมัน

 “น้าขอโทษ” เสียงอีกฝ่ายแผ่วลง สายตาหลุบต่ำ ท่าทีแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกเย็นลงได้นิดนึง

 “เมื่อวานเห็นคุยกับแม่ผม”

 “ใช่จ้ะ น้าพานัชมากราบขอขมาน่ะ”

 “น้องไม่ได้ผิดไรด้วย”

“ใช่ น้าผิดเองคนเดียวเลย”

 “ไม่ใช่ครับ ตัวเขาก็ผิดด้วย” ผมพยักพเยิดไปทางเมรุ ซึ่งตอนนี้ควันจางๆ ใกล้จะสลายไปหมดแล้ว

 “อื้อ น้าขอขมาคุณแม่แล้ว เลยอยากมาขอโทษนะฑีด้วย น้า...ขอโทษนะ” สายตาหลุบต่ำลงไปอีก “นะฑีจะไม่ยกโทษให้น้าก็ได้ น้าเข้าใจ แต่กับนัช อย่าโกรธน้องเลยนะ”

 “รู้รึเปล่าว่าแม่ผมเป็นมะเร็ง”

 “อือ” อีกฝ่ายพยักหน้า “ได้คุยกันแล้วจ้ะ ก็เรื่องนี้แหละที่น้าอยากคุยกับนะฑี”

 “คุยกับผมทำไม”

 “พ่อเขาทำประกันชีวิตไว้นะ ระบุชื่อนะฑีเป็นผู้รับประโยชน์”

 “...” ผมพูดอะไรไม่ออกอยู่หลายวินาที ก่อนจะพ่นคำถามน่าเกลียดออกไป “เท่าไหร่”

 “น้ายังไม่ได้ดูเป๊ะๆ นะ น่าจะหกหลัก”

 “...”

 แม่ง ทำไมเขาต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ แค่ตายไปเฉยๆ ไม่ได้รึไง

 โคตรเกลียดเลย

 ผมเกลียดเขา!

 “น้ารู้ว่ามันไม่ได้มากพอที่จะอุ่นใจ แต่น้าก็จะช่วยค่ารักษาด้วยนะ พอมีเก็บอยู่บ้าง”

 “ไม่...ไม่ต้องครับ ผมไม่อยากให้น้องลำบากเหมือนผม”

 “...”

 “ขอโทษนะครับ จะให้ผมเรียกน้าว่าไง” ผมเปลี่ยนเรื่อง

 “เรียกน้านุชก็ได้จ้ะ”

 “ครับ น้านุช งั้นเดี๋ยวผมขอตัวนะ ไว้คุยกัน” ผมหันหลังผละออกมา แต่ก็นึกขึ้นได้เลยหันไปพูดส่งท้าย “อ้อ ไม่ต้องห่วงว่าผมจะไม่ดีกับน้องนะ ผมรู้ดีว่าการที่ทั้งชีวิตเหลือแม่เพียงคนเดียวมันเป็นยังไง”

 พี่ทัชยืนสังเกตการณ์อยู่ในระยะที่ไม่น่าจะได้ยินเสียงพูดคุย ผมบังคับให้ตัวเองเดินอย่างมั่นคงเข้าไปหาเขา จับแขนเสื้อกระตุกเบาๆ

 “มากับผมหน่อย”

 “ไปไหน”

 “มาเถอะ”

 ผมไม่ได้จะพาไปไหน แค่พาเดินปลีกตัวออกมาจากผู้คนเพื่อหามุมที่เป็นส่วนตัวสักหน่อย เรามาหยุดอยู่ข้างศาลาอีกหลัง ซึ่งไม่ใช่ซอกมุมลึกลับอะไร ถ้ามีคนมองมาก็ยังเห็นเราได้ชัดเจน

 “ช่วยหน่อยดิ” ผมมองหน้าพี่ทัช หันหลังให้เมรุ

 “...”

 ผมหวังว่าเขาจะไม่เข้าใจ ไม่ต้องเข้าใจก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องทำอย่างที่คิด แต่หลังจากมองตาผมอยู่ชั่วอึดใจเขาก็รู้จนได้ เรียกว่ามองปุ๊บรู้ปั๊บเลยดีกว่า

 พี่ทัชแกะพลาสเตอร์นิ้วชี้ข้างขวาออก หย่อนแผ่นพลาสเตอร์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วลดมือลงช้าๆ โดยที่สายตายังมองหน้าผมอยู่ตลอดเวลา

 มือที่ทรงพลังข้างนั้นช้อนจับมือผมอย่างนุ่มนวล

 นิ้วชี้เปลือยเปล่าแตะอุ้งมือ

 นิ้วโป้งลูบวนบนหลังมือเบาๆ

 อาการหวิวไหวเกิดขึ้นตรงจุดสัมผัส แต่มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ซะทีเดียว ผมไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกหรือถูกคุกคาม ไม่มีคำพูดไหลพรวดพราดออกจากปาก ตรงกันข้าม กระแสสั่นไหวนั้นคล้ายจะปลอบประโลมผมมากกว่า

 “มึงระบายกับกูได้”

 “...”

 แรงกระตุ้นเบาๆ จากพี่ทัชเป็นอะไรบางอย่างที่คล้ายกับมือลึกลับ มือที่มองไม่เห็นซึ่งย่องเงียบเข้ามาจูงความจริงทั้งหลายในใจเราออกไปสู่แสงสว่าง แต่นาทีนี้ผมไม่ได้รู้สึกว่ามือนั้นเข้ามาบังคับลากจูง มันแค่เข้ามาชักชวน แต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นเบาๆจากส่วนที่ลึกที่สุดในตัวผม

 ผมบีบมือพี่ทัชไว้   

แรงสั่นสะเทือนค่อยๆ เพิ่มขึ้น แรงขึ้น จนลุกลามไปทั่วตัว

ผมพลันตระหนักในวินาทีนี้เองว่า แก่นแท้ของความจริง ไม่ได้อยู่ในรูปของถ้อยคำ แต่มันเป็นความรู้สึกล้วนๆ ซึ่งมันรุนแรงจนทำให้ผมหัวไหล่โยกไหว

แล้วในที่สุดผมก็ร้องไห้ออกมา

พี่ทัชดึงตัวผมเข้ามากอด ใช้แผ่นอกกว้างๆ ซับแรงสะเทือนและน้ำตาไว้

ผมปล่อยมือ แล้วเปลี่ยนเป็นโอบรอบตัวเขาแทน

“พูดออกมาเถอะ”

นิ้วเปลือยเปล่าไม่ได้สัมผัสผิวเนื้อส่วนไหนของผมแล้ว ไม่มีพลังวิเศษใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ผมก็หยุดมันไม่ได้ ความรู้สึกที่แท้จริงของผมสั่นสะเทือนจากกลางหน้าอก ขึ้นมาถึงลำคอ แล้วแปรสภาพออกมาเป็นถ้อยคำจนได้

“พ่อ...พ่อผมตายแล้ว...พ่อผมตายแล้วจริงๆ...ผมรักพ่อ”















___________________________

รักษาตัวกันด้วยนะคะ รัก..

#ณTouch


นางร้าย
13.มีนา.2020

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
สายใยสายเลือด มันตัดกันไม่ขาดจริงๆ เราก็เชื่อแบบนั้น

อย่ารอ จนใครอีกคนต้องจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้ยินคำบอกรักจากเรานะคะ  :o11:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
คนก็ตายไปแล้วนี่เนอะ
เอาเงินมารักษาแม่เลยนะนฑี
เงินนั้นอาจเป็นเงินชดเชยที่เขาปล่อยให้แม่
เลี้ยงลูกมาคนเดียว ค่าใช้จ่ายกับเด็กหนึ่งคนมันเยอะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
บางครั้งการยอมรับความจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เก่งแล้วนฑี กอดดดด

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
จะร้องไห้ตามนะฑี

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่35
จับบบ…นัชชาพาเพลินนั่งเกินเวลาใครวะบุกถึงที่คนดีฝีคุ้ม


งานศพพ่อจบไปแล้ว

เขาตายไปแล้วจริงๆ ตายอย่างสนิทจนตอนนี้ไม่เหลืออะไรนอกจากขี้เถ้า...แต่เขากลับเกิดใหม่ในใจผม หลายวันมานี้สมองผมเอาแต่คิดวนเวียนเรื่องพ่อ คิดถึงอดีตที่ผมพยายามลืมมาตลอด นึกถึงฝันถึงอนาคตที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

คิดว่าถ้าพ่อไม่มีเมียน้อยตั้งแต่แรกชีวิตเราจะเป็นยังไง

คิดว่าตอนนี้พ่อจะดูเราอยู่ หรือมัวแต่วุ่นวายปีนต้นงิ้วอยู่ในนรก

คิดว่าเราสี่คนที่เหลือจะเป็นยังไงต่อไป ตอนนี้คือสองครอบครัว หรือว่ากลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว หรือว่ายังมียาพิษหรือเหลี่ยมคมของคำโกหกซุกซ่อนอยู่ตรงไหนอีก

บางคำถามอาจได้คำตอบเร็วๆ นี้ก็ได้

ผมหวังอย่างนั้นขณะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในรถน้าเกดที่กำลังขับไปตามถนนเส้นเลียบทางด่วน เวลาบ่ายแก่ๆ เกือบเย็นรถยังพอวิ่งได้สะดวก เราทั้งสามคนแทบไม่ได้คุยอะไรกันมาตลอดทาง

“จะถึงแล้ว ข้างหน้านี่แหละ” น้าเกดพูด

“ดูเหมือนจะใหญ่เหมือนกันนะ” แม่ซึ่งนั่งเบาะข้างคนขับตั้งข้อสังเกต

ส่วนผมอยู่ข้างหลังเลยต้องโผล่หัวไปตรงกลางระหว่างทั้งคู่ เห็นไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ จนกระทั่งไม่กี่นาทีต่อมาน้าเกดก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ลานจอด

เราทั้งสามลงจากรถมายืนมองเต็มๆ

ปกติใครออกความเห็นอะไรผมมักจะแย้งไว้ก่อน แต่แม่พูดถูก มันใหญ่

“มากันแล้ว!” น้องสาวเลือดสีโคลนของผมวิ่งดุ๊กๆ เข้ามาหา ราวกับดักซุ่มอยู่ตรงไหนสักที่แถวนี้ “สวัสดีค่ะคุณป้า สวัสดีค่ะคุณน้า แล้วก็...เพ่น่าเท~ หวาดเดค่ะ”

นี่เล่นมุกลากเสียงเพื่อจะเปลี่ยนชื่อ นะฑี เป็น น่าเท ว่างั้น

ถ้าดีดหน้าผากแรงๆ สักทีตอนนี้จะเป็นไรมั้ย

“มุกนี้เอาไปสองคะแนนพอ” ผมบอก

“แหะๆ ร้านนัชชาพาเพลินยินดีต้อนรับค่ะ”

“อ้าว ชื่อร้านครัวนัชชาไม่ใช่เหรอ”

เราสามคนหันไปมองแม่ เหมือนว่าแม่เพิ่งเดินทางมาจากดาวดวงอื่น ก็ครัวนัชชานั่นแหละแม่ ป้ายเบ้อเริ่มขนาดนั้น ถ้าเจษฎาอยู่ตรงนี้ด้วยคงคุยกับแม่ผมถูกคอกันสุดๆ ไปเลย แต่ก็ถือว่าแม่เก็ตเร็วพอสมควร “อ้อ” แม่พูดต่อแค่นั้นแล้วส่ายหน้าเอือมๆ ด้วยความเคารพเราสามคนเลยฮากันเบาๆ อย่างพอเพียง

“แสบเหมือนนะฑีเลยนะเนี่ย” น้าเกดตั้งข้อสังเกต

“ไม่ได้ครึ่งผมหรอก” ผมแย้ง อย่างที่บอก ใครออกความเห็นอะไรผมจะแย้งไว้ก่อน

“จริงค่ะ หนูเคยได้ยินพี่นะฑีคุยกับเพื่อนตอนรับน้องนะ จิกกัดแต่ละทีนี่ หูยยย ขนหัวลุกเลยค่ะ หนูละกลัวแทนเลยว่าเพื่อนจะลุกมาตบหน้าแหก...พี่นะฑีไม่กลัวเหรอคะ”

“กลัวอะไร คนดีฝีคุ้ม”

“ไหนคะฝี”

“อยู่ที่ตูดสองตุ่ม จะดูมั้ยล่ะ”

“ฮ่าๆ พี่นี่ตลกจัง...แล้วดอกไม้นี่…” หัวเราะอยู่ดีๆ น้องกูเปลี่ยนเป็นทางการอย่างปุบปับซะงั้น เหมือนกับว่าอยากจะทักเรื่องช่อดอกไม้ในมือแม่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่หาจังหวะไม่ได้ หรือว่าไม่คิดจะหาจังหวะเลยก็ไม่รู้ ผมว่าสมองน้องสาวผมต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่างแน่

“อ๋อ ป้าเอามาฝากน่ะ เห็นทางร้านไม่สั่งหลายวันแล้ว”

“ขอบคุณนะคะ” มีไหว้อย่างสวยงามก่อนจะรับช่อดอกไม้ไปถือ ช็อตนี้นางสาวไทยยังต้องอาย แต่ช็อตต่อมาพอกระแซะมาควงแขนผมเท่านั้นแหละ ก็กลับไปเป็นเด็กที่น่าดีดหน้าผากอีก “เข้าข้างในกันเถอะค่ะ มาค่ะ พี่ฝี~”

ขอเปลี่ยนคำนิดนึง ครัวนัชชาไม่ใช่ร้านอาหารขนาดใหญ่ แต่เป็นร้านที่แม่งใหญ่เอาเรื่อง โต๊ะไม่ต่ำกว่ายี่สิบหรืออาจจะมากกว่านั้นเรียงรายอยู่ภายใต้อาคารมุงหลังคาสูงและผนังเปิดโล่งทุกด้าน อีกโซนนึงเป็นห้องVIP ติดแอร์ ตรงกลางร้านค่อนไปด้านหลังมีเวทีสำหรับแสดงดนตรีสด นอกจากนั้นก็มีบ่อปลาคาร์ฟ น้ำพุ และสวนหย่อมที่จัดเป็นมุมให้ถ่ายรูปเก๋ๆ

ตอนนี้พนักงานกำลังเดินกันวุ่นไปหมดเพื่อจัดเตรียมข้าวของ

ผมรู้สึกโกรธขึ้นมาวูบหนึ่ง นี่คืออาณาจักรที่พ่อมาสร้างกับเมียน้อยเหรอ ขณะที่ผมกับแม่ถูกทิ้งให้ซุกหัวอยู่ในห้องแถวเน่าๆ

“นี่เป็นร้านแนวไหน หมูกระทะ199 เหรอ” ผมถามไปงั้น สภาพโดยรวมดูดีกว่านั้นเยอะ

“ร้านอาหารไทยๆ นี่แหละค่ะ แต่เด่นเรื่องซีฟู้ด...แม่คะ คุณป้ามาแล้ว!”

น้านุชกุลีกะจอออกมาจากด้านในร้าน ทุกคนยกมือไหว้ทักทายกันอย่างเป็นทางการ ผมก็ไหว้ด้วย แต่รู้สึกมือตัวเองยังแข็งๆ อยู่

“คุณป้าเอาดอกไม้มาฝากค่ะ” นัชชาส่งดอกไม้ให้แม่ตัวเอง

“โอ้ ขอบคุณนะคะคุณพี่ สวยจัง”

“ไม่เป็นไรจ้ะ งานประจำอยู่แล้ว”

“ปกติใครเป็นคนสั่งเหรอครับ” ผมถามสวนขึ้น

“คุณพ่อสั่งค่ะ”

ดูจากสีหน้าทุกคนรอบตัว ผมบอกได้เลยว่ามีแค่ผมกับน้าเกดนี่แหละที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร นี่คือความจริงอีกอย่าง พ่อ เมียหลวง เมียน้อย และลูกเมียน้อย แอบติดต่อสื่อสารกันอย่างลับๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว อย่างน้อยก็สื่อกันผ่านดอกไม้ที่ส่งให้วันละช่อนี่แหละ

“ไปหาหญ้ากินกันมั้ย” ผมหันไปพูดกับน้าเกด

“ไม่เป็นไร น้าชอบเคี้ยวฟางมากกว่า”

เป็นไงล่ะ น้าโผมมม

อึ้งแดกกันไปเลยดิ ดีมาก กระอักกระอ่วนกันเข้าไป

“ปกติพ่อจะเป็นคนเปลี่ยนเองกับมือทุกวัน ที่แจกันตรงนี้น่ะ” น้านุชชี้ไปที่แจกันใบใหญ่บนเคาน์เตอร์หน้าออฟฟิศ ซึ่งเป็นจุดที่รับออเดอร์และคิดเงิน ดอกไม้ในแจกันเฉาจนเน่าแล้ว แต่ยังไม่มีใครแตะต้องมัน “แต่ตอนนี้...งั้นนะฑีช่วยเปลี่ยนให้ได้มั้ยจ๊ะ”

“...” ไม่อะ ทำเองดิ ก็ร้านตัวเองไม่ใช่เหรอ

“พี่เป็นผู้ชายคนเดียวของบ้านเราแล้วนะคะ”

ไม่ต้องบิ๊วกูเลยนัชชา แอ๊คติ้งเก่งนะเรา

แม่นี่ก็อีกคน บีบไหล่ทำไม สายตาวิงวอนอะไรขนาดนั้น

งั้นก็เหลือทีมนะฑีแค่คนเดียวแล้ว ผมหันไปมองน้าเกดเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ เอาเลยน้า จิกกัดแสบๆ สักดอกสองดอกดิ๊

“มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ทำนี่เลวเลยนะ”

เอ้าน้า ไอ้ที่ว่าแสบๆ สักดอกนี่ให้จัดใส่ฝ่ายโน้น ไม่ใช่ผม น้าฟ้องหย่าผัวก็เพราะเมียน้อยไม่ใช่เหรอ

สายตาแต่ละคนทำไมต้องกดดันกูขนาดนี้…

แม่ง ก็ได้วะ!

“ต้องสวดคาถาไหว้เจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรด้วยมะ หรือคาถาเงินล้าน หรือชินบัญชร”

“ไม่ต้องจ้ะ แค่เปลี่ยนดอกไม้เฉยๆ เพื่อให้ดูสดชื่น”

“เอ้า แล้วมันจะยากเย็นอะไรล่ะถ้างั้น เอามาๆ ทำให้มันจบไป”

ผมฉวยดอกไม้จากมือน้านุชในลักษณะขอไปที พอหันหลังเดินไปที่แจกันปุ๊บ ผมเดาออกเลยว่าแต่ละคนมีท่าทางยังไงลับหลังผม

สองศรีภรรยาคงจะยิ้มน้อยๆ ให้กัน

น้องสาวตัวดีอาจจะส่ายตูดดุ๊กดิ๊กหรือไม่ก็ถึงขั้นเต้นบัลเล่ย์

ส่วนน้าเกดคงกอดอกและส่ายหน้า

ถ้าหันกลับไปมองแบบปุบปับผมพนันว่าต้องเห็นภาพแบบนั้นแน่ๆ แต่อย่าหันดีกว่า เดี๋ยวจะดูเหมือนเด็กอมมือที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ผมเลยโฟกัสกับการเปลี่ยนดอกไม้แทน โดยทำอย่างช้าๆ เพื่อว่าให้ทุกคนได้หัวเราะเยาะผมจนพอใจ

แต่แล้วการทำช้าๆ ก็เปิดโอกาสให้คำถามที่ผมไม่อาจตอบได้วาบผ่านเข้ามาอีก

พ่อคิดอะไรอยู่ระหว่างจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน ความรู้สึกอะไรที่อยู่เบื้องหลังการสั่งดอกไม้ประจำแบบนี้ แล้วแม่คิดอะไรระหว่างที่จัดดอกไม้ทุกช่อที่ส่งมาให้พ่อ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ที่แน่ๆ คือสองคนนี้ยังคิดถึงกันอยู่...คิดถึงในบางแง่มุมที่ดีๆ หรืออาจเป็นความสวยงามเลยด้วยซ้ำ ดอกไม้แทนค่าอะไรที่สวยงามเสมอนั่นแหละ

ถ้ายังรู้สึกอย่างนั้น ทำไมไม่คืนดีกันวะ

แล้วคนเป็นเมียน้อยจะรู้สึกยังไงบ้าง ที่เห็นคนที่นอนข้างกันทุกคืน แต่ตื่นเช้ามาก็เห็นเขารับช่อดอกไม้จากเมียเก่าทุกวัน ถือมาจัดเองกับมือตรงนี้ด้วยท่าทีเหม่อๆ หรืออาจจะเผลอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว...ทุกวัน

ถ้าเห็นภาพนี้ทุกวัน ทำไมไม่เลิกกัน ทนมาได้ยังไงนานขนาดนี้

ไม่ว่าจะคิดมุมไหนแม่งก็น่าเจ็บปวดไปหมดเลย กระอักกระอ่วนชิบหาย

มันเป็นอย่างที่พี่ทัชเคยบอกจริงๆ ความจริงบางอย่างอย่ารู้ดีกว่า ปล่อยให้มันเป็นความลับต่อไปเถอะ

“พี่คิดถึงพ่อเหรอคะ” มือบางๆ เข้ามาเกาะไหล่ผมจากด้านหลัง

นัชชา อย่าจู่โจมกูแบบนี้ กูหลอน

“เปล่า”

“พี่ร้องไห้”

อ้าว ไม่รู้ตัวเลย ตั้งแต่ตอนไหนวะ

“ใช่ซะที่ไหน” ผมเงยหน้ากะพริบตารัวๆ บังคับให้น้ำตาไหลย้อนกลับ แต่มันเอ่อขนาดนี้แล้วใช้หลังมือปาดเลยง่ายกว่า “ไม่ได้ร้อง พี่แพ้เกสรดอกไม้น่ะ”

“ตอนอยู่วัดหนูเห็นพี่ร้องกับพี่ทัชนะ ได้ยินพี่พูดด้วย”

“...” นัชชา อย่า

“ฟอร์มเยอะ แพ้เกสรไรล่ะ ตอนอยู่ร้านเห็นดมเรียงดอกบอกว่าขอเปิดซิงก่อนลูกค้า”

“...” น้าเกด ถ้าปากว่างมากก็ไปหาฟางมาเคี้ยวไป

“ฮัดชิ่ว” ผมจามแบบลวงโลก “แม่ใส่ดอกไรมาเนี่ย เหม็น สงสัยเพิ่งจะแพ้...แล้วไหนอะ น้านุช ชวนมากินข้าวไม่ใช่เหรอ หิว พยาธิผมก่อม็อบลามมาถึงหูรูดกระเพาะแล้ว”

“งั้นไปนั่งข้างในกันเถอะ มาค่ะคุณพี่” น้านุชเข้ามาแตะข้อศอกแม่ผม กึ่งจะประคองพาเดินทั้งที่แม่ยังเดินเหินเองได้

“ไปค่ะพี่ฝี” ส่วนผมก็ถูกน้องสาวเลือดผสมเกาะแขนพาเดิน ราวกับว่าผมเดินเองไม่เป็น

“มันแค่มุก โอเคปะ พี่ไม่ได้เป็นฝีจริง”

“เหรอคะ หนูนึกว่าจริงนะเนี่ย งั้นจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ”

“ก็เรียกนะฑีสุดหล่อ”

“หรือเรียกว่าพี่นะฑีตีกับหมา”

นั่นไง กูว่าแล้วต้องโดนตั้งฉายาอะไรหมาๆ แน่นอน แล้วคนที่เล่นกูก็ดันเป็นน้องสาวกูนี่เอง

“หยุดเลย อย่าไปพูดให้ใครฟังล่ะ เดี๋ยวจะลือกันเสียๆ หายๆ”

“ได้ค่ะ หนูจะเก็บไว้เรียกแบบนี้คนเดียว”

“แล้วแทนตัวเองว่าหนูนี่แอ๊บเด็กไปมั้ย เรียกตัวเองว่านัชก็พอมั้ง เราห่างกันแค่สองปี”

“ไม่เอา เรียกแบบนี้แหละ ก็หนูอยากมีพี่ชายมาตั้งนานแล้วนี่”

“ตามใจๆ”

“ขอขี่หลังได้มั้ยคะ”

“อายุสองขวบเหรอ”

“นะๆๆ”

“จะเต้นทำไม”

“ฮื่อ ขัดใจอะ นะๆๆ ขี่หลัง”

“เออๆ ไว้วันหลังละกัน วันนี้ไม่มีแรง ขอแดกข้าวก่อน”

“เย้”

เราเข้ามานั่งกันในห้อง VIP เรียบร้อย อาจจะไม่ถึงขั้นหรูหราหมาเห่า แต่เอาเป็นว่าของแต่ละอย่างดูดีมีสไตล์ ทั้งโต๊ะเก้าอี้ วอลล์เปเปอร์ จานชาม หรือแม้แต่ทัพพีตักข้าว

พนักงานทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟทีละอย่างสองอย่างจนผมเริ่มใจคอไม่ดี น้องกุ้งน้องปูมีแต่ไซส์อวบๆ ทั้งนั้น น้องหอยนี่ก็นอนเกยกันหน้าสลอนยั่วน้ำลายซะเหลือเกิน มีน้องกระพงนึ่งมะนาวด้วย! ไหนจะน้องปลาที่นอนแผ่อยู่ในอ่างหม้อไฟนั่นอีก

ก็ได้ เรื่องอดีตที่เคยๆ ขุ่นเคืองกันผมจะลืมไปก่อน

“นี่จ้ะ” ยังไม่ทันไร น้านุชก็ตักน้องกุ้งตัวเบ้อเริ่มใส่จานผม ตัวนี้ผมเล็งไว้อยู่แล้วด้วยนะ สงสัยจะบังเอิญ แต่ก็คันปากอยากถาม

“รู้ได้ไงว่าผมชอบกิน”

“พ่อเราพูดตลอดเลย”

อ๋อ เหรออออ~ อยากจะลากเสียง อ.อ่าง ให้ยาวถึงดาวอังคาร ถ้าจะขนาดนี้ไม่แกะด้วยเลยล่ะ ไม่รู้เหรอว่าผมไม่ชอบทำ ชอบกินอย่างเดียว

“เป็นอะไรรึเปล่า หรือว่าเดี๋ยวนี้ไม่ชอบกินแล้ว หรือ...ให้น้าแกะให้มั้ย” น้านุช จะจริงจังไปไหนเนี่ย นี่ผมพยายามปรับตัวให้เฮฮาแล้วนะ

“ขอบคุณครับ ไม่เป็นไร ผมแกะเองได้”

ผมใช้ส้อมถอดเสื้อผ้าแข็งๆ ของน้องกุ้งออก จนเหลือแต่เนื้อแน่นขาวอวบ ถ้าแม่ไม่ป่วยผมคงส่งเข้าปากตัวเองไปแล้ว

“นี่ครับแม่...อ่าว”

“ไม่ทันแล้วค่ะพี่ฝี” ในจานแม่มีกุ้งอยู่ตัวนึงแล้ว น้องสาวป้ายแดงย่นจมูกใส่ผมพร้อมกับวางกุ้งที่แกะเรียบร้อยเพิ่มลงไปอีกตัว “ช้าๆ อย่างพี่อะเก็บไว้กินเองเถอะ หนูดูแลป้าเอง”

“ได้ งั้นน้าเอาไป” ผมเลยวางกุ้งในจานน้านุชแทน

“อุ๊ย น้าตักให้นะฑีนะ ไม่ใช่ให้มาแกะให้น้า”

“นัชทำร้ายแม่ผมด้วยกุ้ง ผมก็จะทำร้ายน้าด้วยกุ้งเหมือนกัน”

“หนูกำลังจะทำร้ายป้าด้วยปูนะ แกะเรียบร้อย”

“งั้นน้าเจอเหนียงน้องกระพงหน่อยเป็นไง”

“สู้แก้มไอ้ช่อนได้เหรอ ไงล่ะ เน้นๆ”

“เฮ้ย นั่นพี่เล็งไว้แล้ว หยุดเลย”

“หนูเล็งก่อน”

ผมกับน้องข่มกันด้วยการตักอาหารใส่จานของแม่อีกคน ก่อนจะกลายเป็นสงครามแย่งยื้อกันตักของดีๆ จนผู้ใหญ่ทั้งสองเบรกกันวุ่นวาย แต่เราก็ไม่ฟัง มาหยุดชะงักเอาตอนที่น้าเกดพูดขึ้นนี่แหละ

“อยากโดนทำร้ายบ้างจังเฮ้ย”

“น้าอยากโดนเหรอ” ผมหันไปควานๆ ในหม้อไฟ แล้วตักตะไคร้ชิ้นเล็กๆ ให้ “อะ โดนมะ”

“เออ อันนี้ทำร้ายจริง...งั้นทำร้ายจริงบ้างดิ” ว่าแล้วน้าเกดก็ฉกกุ้งมาจากจานน้านุชหน้าตาเฉย

โห มารยาทน้าสาวผม ถ้าแรงกว่านี้คือยกน้ำแกงสาดหน้าแล้วมั้ย เล่นแบบนี้ก็อึ้งกันเป็นแถบดิ ขนาดผมยังนึกไม่ถึงเลยนะเนี่ย

“ทำไม แค่กุ้งตัวเดียวยังโดนทำร้ายไม่พอเหรอ” ยัง ยังจะไปฉกเพิ่มอีก

ผมจับมือน้าเกดไว้ “น้านุชรีบเอาปากรูดๆ ของในจานให้หมดเร็ว เดี๋ยวก็โดนแย่งมากกว่านี้หรอก”

อึ้งกันไปอีกรอบ

เรามองหน้ากัน...แล้วเสียงหัวเราะก็ดังครืนรอบโต๊ะ

คนที่เขาอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่รู้สึกกันอย่างนี้สินะ มีฉกชิง จิกตี แล้วก็หัวเราะกันแบบนี้…

วูบนึง ผมรู้สึกว่าครอบครัวที่ขาดๆ เกินๆ ของเราสมบูรณ์แบบอย่างประหลาด เกือบจะเหมือนครอบครัวพี่ทัชเลยละ ถ้าพ่อนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยจะเป็นยังไงนะ

อาจจะได้ยกน้ำแกงสาดหน้ากันจริงๆ เพราะผมคงจะโกรธพ่อจนตัวสั่น

แต่สมมติว่าผมไม่โกรธล่ะ

สมมติว่าผมอารมณ์เหมือนตอนนี้ และเราทั้งหมดนั่งกันอยู่พร้อมหน้า…

“นี่ค่ะ หนูทำร้าย” นัชชาตักบางอย่างที่ดูเละๆ แต่น่ากินให้ผม ทำให้สติผมกลับมา และตระหนักว่าเสียงหัวเราะซาลงแล้ว ทุกคนกำลังกิน ผมตักอะไรบางอย่างที่เละๆ พอกันคืนให้น้อง แล้วเริ่มตีสนิทกับน้องปลากระพงอย่างจริงจัง

เรากินกันไปเงียบๆ แต่ละคนดูเจริญอาหารน่าดู

จนสักพักน้านุชก็พูดทำลายความเงียบ

“เป็นไงบ้างคะคุณพี่ รสชาติแต่ละอย่างพอไหวมั้ย”

“ทำอร่อยเลยนะ แต่อันนี้ออกเค็มไปนิด ส่วนอันนี้พริกกับมะนาวยังไม่ถึง แต่ก็นิดเดียว”

“แล้วนะฑีกับน้าเกดล่ะ”

“ของฟรีอร่อยหมดแหละ” เป็นไงล่ะ น้าโผมมม แรงดีไม่มีตกจริงๆ คนนี้

“ส่วนผมก็…” ผมยักไหล่ “แม่ว่าไงผมก็ว่างั้น” ตอบแบบลูกกตัญญูไปก่อน ไม่รู้ว่าเจตนาที่แท้จริงของน้านุชคืออะไร ไม่แน่ใจด้วยว่าแม่ตอบจริงๆ หรือประชด

น้านุชยิ้มขำๆ ก่อนหันไปคุยกับแม่ต่อ “ที่นุชถามนี่คือ...เพราะคุณพี่เก่งเรื่องครัว นุชเลยอยากชวนให้มาดูแลร้านด้วยกัน”

ขึ้นเลย แม่ไม่ได้เป็นไข้หวัดนะโว้ย

“แม่ผมป่วยอยู่”

“น้ารู้ หมายถึงหลังจากที่หายป่วยแล้วสิ แล้วก็ไม่ได้จะให้มาทำครัวเอง แค่มาถ่ายทอดวิชาให้พวกแม่ครัวที่มีอยู่แล้วน่ะ คิดว่าเป็นบ้านอีกหลังก็ได้ นะฑีก็ด้วยนะ…”

พูดอะไรไม่รู้ ผมไม่ได้ยินแล้ว

หมายถึงหลังจากที่หายป่วยแล้วสิ

สติผมเริ่มเลือนๆ ตั้งแต่ตรงนี้แล้ว ผมชอบน้ำเสียงน้านุชตอนพูดประโยคนี้ มันฟังดูไม่ได้เสียดสีหรือประชด ไม่ได้พูดติดตลกเทียบโรคนี้กับไข้หวัด แต่...น้ำเสียงเป็นธรรมชาติ ดูมั่นใจจริงๆ ว่าแม่จะหายได้

ถึงไม่อยากยอมรับ แต่ผมก็ชอบน้ำเสียงแบบนี้จริงๆ จนผมรู้สึกนั่งต่อไม่ไหว

“เดี๋ยวมานะ”




**ต่อด้านล่าง**




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2


“อ้าว พี่ไปไหน”

ผมชี้ใส่ตูดแล้วเดินออกจากห้องVIP ตอนนี้มืดแล้ว มีลูกค้านั่งกันหลายโต๊ะ วงดนตรีสดเริ่มเล่นแล้วด้วย เล่นเพลงอะไรไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง

อยากฟังเพลงI Like Me Better ของLauv

ผมเดินเลี่ยงผู้คนไปแถวๆ บ่อปลาคาร์ฟ โต๊ะของแขกอยู่ถัดไปห่างพอสมควร แถมมีมุมมืดพอให้ซ่อนอะไรก็ตามที่ปรากฏทางสีหน้า แสงไฟในบ่อปลาล้อกับฟองอากาศวิบวับชวนให้ดราม่าดีจริงๆ ไม่ไหวละ โทรหาพี่ทัชดีกว่า

“ผมอยู่กับคนที่บ้าน” ผมพูดทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย

[อ้อ ก็ดีแล้ว]

“อยู่ร้านอาหาร”

[ฟังดูดี]

“ไม่ค่อยอะ...ไม่รู้ดิ แล้วพี่อยู่ไหน ดาวอังคารเหรอ เงียบไปเลยนะ”

[ตอนนี้อยู่แถวๆ ดาวเสาร์ กำลังจะเปิดระบบสกิปไดรฟ์วาร์ปไปกาแล็กซี่อื่นพอดี ดีนะที่โทรมาก่อน ไม่งั้นไม่มีสัญญาณ]

“ตลกเหรอ”

[พยายามอยู่...มึงอยู่ร้านไหน]

“ช่างมันเถอะ”

[ร้านไหน]

“ทำไม บอกแล้วจะมาเหรอ”

[ก็อาจจะ นี่มึงโอเครึเปล่า]

“พี่ พี่เคยโกรธนานๆ ปะ”

[เคย]

“ใคร”

[อย่ารู้เลย]

“ทำไมอะ ผมรู้ไม่ได้เหรอ ไม่สำคัญพอที่จะรู้เรื่องพี่ใช่ปะ”

[ถ้าบอกไปตอนนี้ มึงอาจจะหงุดหงิด]

“ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะพี่ลีลานี่แหละ ถ้าไม่บอกจะวางละ”

[บอกก็ได้]

“โกรธใคร”

[ผงฟอก]

“...” เอาซะไปไม่เป็นเลย ปรับอารมณ์ไม่ทันว่ะ “โกรธมันทำไม นานแค่ไหน”

[มันแทะรองเท้าคู่ใหม่ เลยงอนมันอยู่สองวัน]

“แล้วทำไงถึงหาย”

[ชอบทำตาน่าสงสาร เลยใจแข็งไม่ไหว ต้องลงไปฟัดกับมันอยู่ดี]

“พอมันทำดีด้วยหน่อยก็หายโกรธใช่มะ”

[อือ]

“งั้นคนกับหมาก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่อะดิ ทำดีนิดๆ หน่อยๆ ก็ควรหายโกรธแล้วงี้เหรอ”

[มึงโกรธใคร...หมายถึงพ่อเหรอ มึงไม่ควรเอาพ่อมาเปรียบเทียบกับผงฟอกนะ]

“ไม่ได้หมายถึงพ่อ”

[งั้นใคร กูเหรอ]

ไม่ใช่พ่อ เมียน้อยพ่อต่างหาก ผมเคยโกรธมาก แต่ทำไมตอนนี้ใจแม่งอ่อนยวบเป็นเทียนลนไฟเลยวะ นี่อาหารที่กูกินใส่น้ำมันพรายหรือคุณไสยอะไรหรือเปล่า ผมควรโกรธเมียน้อยพ่อต่อมั้ย ทำตัวไม่ถูกเว้ย

เหมือนตอนนี้ความโกรธจะย้อนเข้าตัวผมอีกต่างหาก ผมโกรธตัวเองที่ยังใช้คำว่า ‘เมียน้อย’ แทนที่จะเป็น ‘น้านุช’

[นะฑี อย่าเงียบ ยังอยู่รึเปล่า]

“ผมโกรธ”

[โกรธใคร]

“โกรธพี่แหละ” ไม่รู้จะไปลงที่ใคร ก็โยนขี้ให้พี่ทัชนี่แหละ “แค่นี้นะ ไปแดกข้าวละ”

[เอ้า เดี๋ยว…]

ตัดสายเรียบร้อย

ผมกลับเข้าไปข้างในแบบกรุ่นๆ จากอารมณ์ที่หลากหลายจนผมปั้นหน้าไม่ถูก แต่ก็พยายามยิ้มหัวเราะเข้าไว้ มีปล่อยมุกแป้กด้วยอีกสองสามมุก คนอื่นๆ กินกันเกือบอิ่มแล้ว ผมเลยเร่งสปีดตามจนทัน

สักพักนึงเราก็กินกันเสร็จ

น้านุชให้เราเลือกเมนูของหวาน ก่อนจะบอกให้เด็กเสิร์ฟมาช่วยกันเคลียร์โต๊ะ ระหว่างนี้ทุกคนก็คุยสัพเพเหระกัน ผู้ใหญ่ทั้งสามคนคุยกันเรื่องร้านอาหารและร้านดอกไม้ โดยมีนัชชาคอยสอดแทรกประจบประแจงแม่ผมอยู่ ส่วนผมยังนั่งเงียบ จัดการกับอารมณ์ตัวเองต่อไป

ของหวานเริ่มมาเสิร์ฟแล้ว เออ มาซะที ปากจะได้ไม่ว่าง

ของคนอื่นได้กันหมดแล้ว แต่ทำไมบัวลอยของผมยังไม่…

“ไข่หวาน” ถ้วยใบเล็กวางลงตรงหน้าผม

“หืม?” ผมหันขวับ “พี่ทัช!”

“อะไร บัวลอยไข่หวานตามที่สั่งไง”

“พี่มาได้ไงเนี่ย”

“บอกแล้วไง เปิดวาร์ปมา” เขายิ้มอ่อน ก่อนจะหันไปสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสามคนแบบเรียงตัว นัชชารอจนถึงคิวสุดท้ายแล้วค่อยยกมือไหว้

“สวัสดีค่ะพี่ทัช ว่าแล้ว ทำไมพนักงานที่ร้านหล่อจัง”

“พี่มาถูกได้ไง” ผมถามย้ำ

“หนูบอกเองค่ะ”

“เอ้า ตั้งแต่ตอนไหน”

“ตอนพี่นะฑีไปขี้”

“นัชชา” เพียะ! นัชชาเจอฝ่ามือแม่ตัวเองฟาดที่ไหล่เบาๆ คนเป็นแม่ดูจะซีเรียส แต่แม่ผมกับน้าเกดเห็นเป็นเรื่องขำ คงไม่นึกว่าน้องสาวกับพี่ชายจะเหมือนกันขนาดนี้

ผมหันกลับไปมองพี่ทัช “แล้วพี่มาทำไม”

“ก็มาดูหน่อย ได้ข่าวว่าคนแถวนี้โกรธ”

“พี่นะฑีโกรธพี่ทัชเหรอ” นัชชาพูด

“อ้าว นะฑีไปโกรธอะไรพี่เขาล่ะ” แม่ผมถาม

“แปลกนะ ทัชน่าจะโกรธนะฑีมากกว่า อย่างนะฑีนี่ยั่วโมโหคนได้ทุกห้านาทีอยู่แล้ว” น้าเกดใส่ไฟตามทันที “แล้วทัชกินมารึยัง นั่งก่อนๆ”

“ใช่ นั่งก่อน เดี๋ยวน้าเรียกเด็กมารับออร์เดอร์”

“อย่าเพิ่งนั่ง” ผมลุกพรวดขึ้น “ขอตัวแป๊บนึงนะครับทุกคน พี่ มานี่ดิ๊”

“อยากนั่งนะครับ แต่มีคนโกรธอยู่”

ถูกลากตัวออกมายังเอี้ยวคอไปคุยกับคนอื่นอีกนะ ฟังจากน้ำเสียงนี่สีหน้าคงจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แน่ๆ จะโกรธจริงแล้วนะเว้ย เห็นเป็นเรื่องตลกเหรอ

ผมลากเขาออกมาถึงลานจอดรถ สะบัดมือออกแรงๆ เหมือนฉากดราม่าในละคร

“อะไรของพี่เนี่ย”

“ไปคุยในรถดีกว่า เมื่อย” พี่ทัชหมุนตัวเดินชิลล์ๆ ไปที่มินิคูเปอร์ของเขาที่จอดอยู่ห่างไปสามสี่ก้าว

มีทางเลือกไรล่ะ ผมก็ตามเข้าไปนั่งในรถดิ

“พี่เปลี่ยนอาชีพเป็นเด็กเสิร์ฟแล้วเหรอ แล้วพี่มาจากไหน ทำไมมาเร็วขนาดนี้ มาถูกได้ไง แล้วยังจะมาทำแบบนั้นต่อหน้าแม่ผมอีก สนุกเหรอ อะไรของพี่วะ”

“ให้กูตอบคำถามไหนก่อน”

“ก็ตอบมาดิ” ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไร ทำตัวไม่ถูกตั้งแต่ที่โต๊ะอาหารแล้ว แล้วพี่ทัชยังโผล่มาไม่บอกไม่กล่าวอีก “รถพี่มียาพารามะ หรือยากันยุงยาฆ่าหญ้าไรก็ได้ ที่แดกแล้วหัวโล่งๆ อะ”

“ใจเย็นๆ หายใจลึกๆ”

“มียามั้ย”

“ไม่มี”

เออ งั้นก็ทำได้แค่หายใจลึกๆ นั่นแหละ

พี่ทัชหันมามองผมตรงๆ รอยยิ้มของเขาผุดขึ้นท่ามกลางความมืดสลัวในรถ แสงจางๆ จากไฟบริเวณหน้าร้านสาดทาบที่กระจกรถ ทำให้มองเห็นประกายวิบวับในดวงตาเขา

“คำตอบแรก กูเห็นเด็กเสิร์ฟกำลังเข้าไปเสิร์ฟพอดี เลยถามว่าถ้วยไหนของมึง กูจะได้เสิร์ฟเอง”

“...”

“คำตอบที่สอง ที่มาเร็วเพราะกูมาคุยงานที่บ้านเพื่อนแถวนี้พอดี”

“...”

“คำตอบที่สาม ที่มาถูกเพราะกูถามน้องนัชชา”

“ไปรู้จักกันสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“กูควรทำความรู้จักคนที่สำคัญๆ รอบตัวมึงไว้ จริงมั้ย ก็เหมือนที่มึงรู้จักเจ๊ณเทอ”

“แล้ว…”

“แล้วทำไมพูดแบบนั้นต่อหน้าแม่น่ะเหรอ แบบไหนล่ะ”

“ก็...แบบที่จะทำให้แม่กับคนอื่นๆ เข้าใจผิดอะ”

“เข้าใจผิดว่าไง” เสียงก็นุ่มๆ ทำไมรู้สึกกดดันวะ

“ก็เข้าใจผิดว่า...เราเป็นไรกันไง พี่ทำอย่างกับจะมาง้อแบบคนที่คบกัน”

“งั้นมีแต่มึงแหละที่เข้าใจผิด”

“ฮะ?”

“คนอื่นเข้าใจถูกแล้ว”

“อะ…”

อะไรนะ!

สมองไม่แปลความแล้ว หัวใจจะระเบิด อะไรของเขาวะ

“มึงกำลังช็อกหรือเป็นอะไร”

“บ้า ช็อกไร ปกติ”

“หน้าอย่างกับเห็นผี”

“เออ สงสัยผี ผมเห็นเงาแวบๆ อยู่นอกรถเมื่อกี้อะ”

“นะฑี” อย่า อย่าเรียกเสียงนุ่มได้มั้ย~ “โกรธกูเรื่องไร”

“โกรธไร เปล่าซะหน่อย”

“มึงบอกทางโทรศัพท์ว่าโกรธ”

“ผมก็พูดไปงั้นอะ”

“สรุปคือโกหก มาใกล้ๆ ซิ”

“อะไร ไม่เอา”

“มาให้กูดูหน้าคนขี้โกหกใกล้ๆ หน่อย”

มันจะดูถูกกันเกินไปแล้ว คนอย่างนะฑีไม่กลัวใครนะเว้ย ผมเลยโน้มตัวข้ามคันเกียร์ไปใกล้เขา ใกล้จนให้รู้ว่านี่คือการประชด

“เอ้า ดูซะให้เต็มตา ทำไม พี่มีปัญหาอะ…”

หมับ

มือซ้ายของเขาจับที่ต้นคอผม ไม่ใช่การเคลื่อนไหวรวดเร็วอะไร แต่ผมก็สะดุ้ง ตามด้วยความรู้สึกเหมือนร่วงลงไปในเหวเมื่อเขาประกบริมฝีปากเข้ามา

เขาจูบผมอีกแล้ว

มันเกิดขึ้นอยู่ราวๆ สิบวินาทีหรืออาจจะนานกว่านั้น ก่อนเขาจะผละออก

“กูไม่เคยพูดอะไรกับมึงไปงั้นๆ”

“...” ผมดึงตัวกลับมานั่งห่อตัวอยู่ที่เบาะฝั่งตัวเอง ก้มหน้า เม้มริมฝีปากไว้

“แล้วนี่ก็ไม่ใช่จูบแบบงั้นๆ”

“...” อือ รู้ๆ “ทะ...ทำไม”

“กูอุฟุฟวยมึงไง หรือต้องให้กูพูดตรงๆ”

“ไม่ต้อง” อุฟุฟวยลวยชวยช่วยด้วยยย

“เอาเข้าจริงมึงนี่ขี้เขินเหมือนกันนะ แล้วก็ยังจูบไม่เป็นเหมือนเดิม”

“...” เชี่ย พี่ทัช เอาเข้าจริงพี่แม่งร้ายโคตร นี่มันลบเหลี่ยมกันเกินไปแล้วนะเว้ย ผมกำลังงงๆ กับเรื่องครอบครัวอยู่ต่างหาก ถ้าตั้งหลักได้เมื่อไหร่จะล่อให้ปากเจ่อเลย คอยดู

“นะฑี”

“ผมเครียดเรื่องครอบครัวอยู่”

“เครียดหรือเขิน”

“ก็บอกแล้วไง ปวดหัวเนี่ย” นวดขมับโชว์ “ถามว่ามียามั้ย”

“กูบอกแล้วว่าไมมี” เสียงพี่ทัชจริงจังขึ้นเล็กน้อย “อยากกลับเข้าข้างในมั้ย”

“ไม่ค่อยอยาก” คือไม่อยากเอาหน้าไปเจอใครตอนนี้ หน้าแม่งร้อนไปหมด

“ไม่ทันละ นั่นออกมากันพอดี” ว่าแล้วพี่ทัชก็เปิดประตูลงไป

ผมเปิดประตูก้าวลงตาม แอบสูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยเดินตีคู่พี่ทัชเข้าไปสมทบกับทุกคนที่เดินออกมา

“อ้าว ผมกำลังจะเข้าไปซดบัวลอยเลยนะเนี่ย” ฟอร์มทำเสียงร่าเริงไว้ก่อน หวังว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติของผมนะ

“เรากลับกันดีกว่า ลูกค้าเริ่มเยอะแล้ว น้านุชกับน้องจะได้ดูแลร้านกันต่อ” แม่บอก

“น้าห่อบัวลอยให้แล้ว มีของอื่นๆ ที่นะฑีน่าจะชอบด้วยนะ” น้านุชว่า ดูจากที่น้าเกดกับแม่หอบหิ้วอยู่ก็เยอะจริงๆ และถ้าผมไม่พูดอะไรก็คงจะเสียมายาทน่าดู

“ต้องงี้ดิน้า ขอบคุณครับ”

“พี่นะฑีเป็นอะไร ทำหน้าแปลกๆ”

นั่นไง นัชชา อย่าจุดประเด็นดิวะ

“ไม่มีไร ออกมาข้างนอกแล้วมันร้อน”

“ร้อนเหรอ อากาศออกจะเย็น”

“พี่เป็นคนขี้ร้อนไงนัช เคนะ...แล้วเรากลับกันเลยใช่ปะแม่ น้าเกด งั้นก็กลับดิ รออะไรกันอีกรึเปล่า”

“กลับตอนนี้แหละ” แม่พูดแล้วหันไปหาน้านุช “ไว้ว่างๆ ไปเยี่ยมร้านดอกไม้บ้างนะ”

“ค่ะพี่ กลับกันดีๆ นะ”

จากนั้นเราก็ต่างไหว้ร่ำลากัน น้านุชกับนัชชากลับเข้าข้างในไป เหลือเรายืนกันอยู่สี่คน แล้วก็เป็นแม่อีกที่พูดกับพี่ทัช

“แล้วนี่ทัชมายังไงนะ”

“พอดีมาทำงานบ้านเพื่อนแถวนี้ครับ น้องนัชบอกว่าอยู่นี่กัน ผมเลยแวะเข้ามา”

“อ๋อ ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันเลยนะ ก็ต้องกลับซะแล้ว”

“งั้นผมขับรถไปส่งนะฑีนะครับ”

“จะดีเหรอ ไกลนะ”

“ผมมีเรื่องจะคุยกับนะฑีด้วยครับ”

“อ๋อ”

“คุณแม่อนุญาตใช่มั้ยครับ” พี่ทัช เอาอีกแล้ว อย่าพูดแบบนี้ดิเฮ้ย

“อนุญาตสิ ทำไมเหรอ”

“ขอบคุณครับ”

“จะไปส่งถึงบ้านมั้ยเนี่ย” น้าเกดก็อีกคน อะไรเนี่ย ระแคะระคายแล้วใช่มั้ย

“ถึงแน่นอนครับ รับรอง”

“น้าห่วงว่านะฑีจะพาทัชเถลไถลน่ะสิ ถ้านะฑีดื้อมากน้าอนุญาตให้จับมัดแขนมัดขายัดใส่ท้ายรถได้เลยนะ”

“ครับ ท้ายรถมีเชือกอยู่พอดี”

“ฮ่าๆ ไป กลับบ้านๆ”

คุยกันสนุกปากเลยนะ นี่คือมุกแบบผู้ดีใช่มะ หยอดน้อยๆ พองามอะไรแบบนี้ แต่ก็เกรงใจคนที่ตกเป็นเป้าหน่อยมั้ย ยืนอ้ำอึ้งอยู่นี่ ตอนนี้ไม่ต้องแดกยาอะไรทั้งนั้น หัวโล่งไปหมดแล้ว แค่จะปล่อยสักมุกมากลบเกลื่อนสถานการณ์ก็ยังทำไม่ได้

น้าเกดกับแม่ขึ้นรถและขับออกไปแล้ว

ผมกับพี่ทัชกลับเข้ามาอยู่ในมินิคูเปอร์อีกครั้ง

“พี่มีเรื่องจะคุยอะไรกับผม ยังไม่คุยนะ ปวดหัว” ไม่ได้ปวดหรอก แต่ยังไม่พร้อม “ฟังเพลงดีกว่า ขอฟังI Like Me Better นะ”

“ถ้าฟังเพลงนี้ไม่ต้องคุยอะไรแล้วก็ได้”

“หืม?”

“เพราะเนื้อเพลงพูดแทนกูแล้ว” พี่ทัชพูดเสียงนุ่มๆ แล้วขับรถออกไปนิ่มๆ “ก้มหน้า เป็นไร ปวดหัวเหรอ”

“อือ”

“หรือเขิน”

ถ้าจะจี้ขนาดนี้ละก็...

“เออ เขินก็เขิน พี่หุบตูดได้แล้ว ผมจะฟังเพลง”








______________________

คิดถึงมากเลยค่ะ TT รักษาสุขภาพให้มากๆนะคะ โนโควิด โนโคม่าค่า
(เหมือนเดิม)ฝากแฮชแท็กไว้ด้วยนะคะ อิอิ #ณTouch
แชร์ความเห็นผ่านแท็กได้ตลอดเลยค่า อยากเก็บความรู้สึกดีๆไว้ที่เดียวกันน 3

นางร้าย
22.มีนา.2020


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
มันก็แปลกอย่างที่นะฑีรู้สึกแหละ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
หายโกรธแล้วเนอะนะฑี
แต่ก็ยังอยากรู้ปมเรื่องพ่อ แม่ น้านุช อยู่นะ

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
นะฑีลูกกกกกก

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ไม่โกรธแล้วเนอะ จูบง้อแล้วว เป็นไงล่ะไอ้ตัวเด่! เขินเบลอไปไม่เป็นเลย พี่ทัชคนจริง!   :laugh:

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2


แตะต้องครั้งที่36[/u]

จับบบ…หิวข้าวตามัวแถลงมั่วอย่างเป็นทางการโอ๊ยรำคาญใครๆ ก็อุฟุฟวย
[/b]



ท้องฟ้าเป็นสีชมพู

ไม่ใช่อินเลิฟนะ หิวข้าว! ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เที่ยง เลยหน้ามืดจะเป็นลม เห็นท้องฟ้าสีส้มๆ ยามเย็นกลายเป็นสีชมพูไปแล้ว ที่ไม่กินข้าวเพราะล้างท้องไว้รอบุฟเฟ่ต์ชาบูโดยเฉพาะเลย แล้วที่ต้องมาฟาดบุฟเฟ่ต์นี่ก็เพราะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีล้วนๆ

เหตุมันเกิดจากช่วงนี้คุยจิ๊จ๊ะกับพี่ทัชบ่อยมาก มีอยู่ตอนนึงไม่รู้คุยกันอีท่าไหนผลสุดท้ายถึงมาเป็นแบบนี้

ขอย้อนอ่านแชตแป๊บ



NaTee(n): คถ

NATOUCH: อะไร

NaTee(n): มันเป็นตัวย่อ

NATOUCH: ตัวย่อทำไมไม่มีจุด

NaTee(n): ขี้เกียจใส่

NATOUCH: อืม ไม่แปลกใจ

NaTee(n): นี่ด่าใช่มั้ย

NATOUCH: คิดว่าไงล่ะ

NaTee(n): โอ๊ย เอ้า ใส่ให้

NaTee(n): ค.ถ.

NATOUCH: แปลว่า?

NaTee(n): ค.ว.ย.

NATOUCH: อะไรอีก

NaTee(n): คิดวิเคราะห์แยกแยะ

NATOUCH: แล้ว ค.ถ. คือ?

NaTee(n): ก็ให้คิดวิเคราะห์แยกแยะเอาไง

NaTee(n): นี่พี่ได้เกรด3.92 จริงปะ ของง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้

NATOUCH: ก็แค่คำง่ายๆ จะย่อทำไม

NATOUCH: ถ้าพิมพ์ยาวๆ แบบนี้ค่อยย่อ

NATOUCH: จ.บ.ค.ถ.ก.บ.ม.ท.ม.ต.ย.

NaTee(n): โห อะไรวะนั่น

NATOUCH: ย่อมาจาก ‘จะบอกคิดถึงก็บอกมาทำไมต้องย่อ’

NaTee(n): ไม่เล่นละ เบื่อ

NATOUCH: เบื่อหรือเขิน

NaTee(n): ผมเนี่ยนะเขิน

NaTee(n): รู้จักคนอย่างนะฑีน้อยไปแล้ว

NATOUCH: ก็คิดว่ารู้จักพอสมควรนะ

NATOUCH: อย่างน้อยก็รู้ว่าตอนนี้มึงเขิน

NaTee(n): ไม่ได้เขินเว้ยยยย

NaTee(n): เลิกแซวเรื่องนี้ได้ละ

NATOUCH: ก็มึงเขินจริง

NaTee(n): บอก

NaTee(n): ว่า

NaTee(n): ไม่

NaTee(n): ได้

NaTee(n): เขิน

NaTee(n): ไง!

NATOUCH: อือ ไม่เขินก็ไม่เขิน

NaTee(n): ทำไงถึงจะเชื่อ ให้ยืนตะโกนกลางมหา’ลัยเลยมั้ย

NATOUCH: มึงไม่กล้าหรอก

NaTee(n): นี่ใคร นะฑีนะ

NATOUCH: แค่จะบอกเพื่อนสนิทยังไม่กล้าเลยมั้ง

NaTee(n): นัดพวกมันเลย!

NaTee(n): บอกให้มันแคะหูมาด้วย

NATOUCH: ได้



นั่นละครับท่านผู้ชม หวังว่าจะเป็นการคุยข่มกันเล่นๆ แต่พี่ทัชดันเป็นคนจริงซะงั้น จัดการนัดทุกคนมารวมพลกันที่ร้านHappy Shabu วันนี้ แล้วคนอย่างผมคือแบบ...เสียท่าไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ จะปฏิเสธยังไงวะ แกล้งเมาน้ำชาแล้วทำเป็นลืมได้มั้ยวะ

ผมกับพี่ทัชมาถึงก่อนเวลา เราเลยเดินเล่นกันพลางๆ

โอเค ยอมรับก็ได้ว่าแม่งเขินชิบหาย เมื่อก่อนเดินคู่กันแทบจะขี่คอเขาเล่นอยู่แล้วยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร ทำไมตอนนี้ถึงเกิดอาการขนลุกซู่ซ่าตลอดเวลา

เพราะแววตาเข้มๆ ลุ่มลึกนั่นเหรอ

หรือเพราะหน้าที่โคตรหล่อ

หรือเพราะแผ่นหลังกว้างๆ

หรือจะเพราะอะไรก็ตาม มันไม่เกี่ยวกับนิ้ววิเศษของเขาเลย ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าพี่ทัชมีพลังเอกซ์เมนรีดเค้นความจริงได้เพียงแค่ใช้ปลายนิ้ว ทำไมอยู่ดีๆ เรื่องนี้ถึงดูพิเศษน้อยกว่ารอยยิ้มธรรมดาๆ ของเขาวะ

“ไปร้านหนังสือมั้ย” ผมถาม

“ไม่สบายรึเปล่า”

“อะไรล่ะ สบายดี”

“ก็เห็นมึงชวนไปร้านหนังสือ”

“เอ้า...นี่หลอกด่าอีกแล้วใช่มะ”

“ก็มึงไม่อ่านหนังสือ”

“อ่านดิ ไม่อ่านจะชวนเหรอ” ผมก็ไม่ชอบอ่านอยู่ดีนั่นแหละ แต่ชวนไปเพราะรู้ว่าพี่ทัชชอบ ให้เขาไปโฟกัสกับหนังสือฆ่าเวลา แววตาเข้มๆ นั่นจะได้เลิกพุ่งเป้ามาที่ผมแบบนี้ซะที

“งั้นก็ไปดิ”

เราเข้ามาในร้านหนังสือแล้ว แต่แทนที่พี่ทัชจะแยกตัวไปดูหนังสือที่ชอบ อย่างพวกปรัชญา กวี หรืออะไรก็ตาม เขากลับเดินเอามือล้วงกระเป๋าตามหลังผม

“พจนานุกรม” ทำไมต้องพูดใกล้หูขนาดนี้วะ ผมพลิกหน้าปกหนังสือในมือตัวเองดู เพิ่งตระหนักว่ามันคือพจนานุกรมภาษาอังกฤษ

“แล้วไง”

“มึงอ่านหน้าเดิมนานแล้ว”

“ไม่รีบอะ เป็นคนใจเย็น”

“ใครอ่านพจนานุกรมกัน เขามีไว้ค้น”

“คนฉลาดอ่านไรก็ได้หมดแหละ แล้วนี่พี่เป็นลูกเป็ดเหรอ ตามผมต้อยๆ ขนาดนี้”

“มึงเป็นแม่เป็ดเหรอ”

“กวนตีน แค่เปรียบเทียบมั้ย...แล้วทำไมต้องยืนใกล้ขนาดนี้ ถอยหน่อย” ผมเอาพจนานุกรมดันหน้าอกเขา แต่เขาขืนตัวไว้

“ขยับหลบคนไม่เห็นเหรอ”

“อ้อ” มีคนจะเดินแทรกผ่านหลังพี่ทัช แต่กูหน้ามืดตามัวไปหมดละ มองไม่เห็นอะไรแล้ว “แล้วไม่ไปหาไรอ่านอะ ไปดิ”

“กูหาเจอแล้ว”

“อะไร”

“อะไรที่น่าอ่านไง”

ไม่ใช่พจนานุกรมเล่มนี้แน่ๆ

สายตาแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะเล่นมุกเปรียบเทียบอ่านคนเหมือนอ่านหนังสือ อย่าพูดออกมานะเว้ย แค่นึกก็จั๊กจี้แล้ว

พี่ทัชไม่พูด และสายตากำลังอ่านผมอยู่

“มึงหลบดิ กูจะหยิบหนังสือเล่มนี้”

เอ่า เวรกรรม คือเขาเจอหนังสือที่น่าสนใจจริงๆ?

ไอ้ที่คิดเปรียบเทียบว่าเขาจะอ่านผมเหมือนอ่านหนังสืออะไรนี่ คือผมเพ้อเจ้อไปเองล้วนๆ ช้ะ?

“งั้นก็อ่านไป” ผมเบี่ยงตัวหลบ “พวกนั้นมายังวะ หิวไส้จะขาดละ” ผมเก็บพจนานุกรมคืนชั้น ควักมือถือมาโทรหาเจษ ปรากฏว่าพวกนั้นอยู่ที่ร้านแล้ว เสียงคุยที่แทรกเข้ามานี่คือกำลังสั่งเนื้อกันรัวๆ เลย “อ้าว นิสัย มาถึงนานแล้วทำไมไม่บอกวะ”

[บอกแล้ว] คนที่พูดตอบมากลับเป็นเปิ้ล ผมนึกภาพออกเลยว่าเปิ้ลแย่งมือถือเจษไปคุยยังไง [แหกตาดูแชตด้วย ทั้งคู่เลย รีบไสตูดมาได้แล้ว]

ผมรีบพาพี่ทัชไสตูดไปตามเสียงเรียกร้อง

ตอนเราไปถึง พวกกุ้งไก่สไลด์เนื้อก็ลงไปดำผุดดำว่ายกันอยู่ในหม้อกันแล้ว บางคนกินไปก่อนแล้วด้วย โดยเฉพาะพี่เห็ดนี่เคี้ยวคาปากเห็นๆ

อ้อ สมาชิกที่มาพร้อมหน้ากันวันนี้ นอกจากผมกับพี่ทัชแล้วก็มีรายนามดังต่อไปนี้ พี่เห็ด เจษฎา โอเปิ้ล และมีน้องสาวป้ายแดงของผมติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกคน ขาดเจ๊แคลไปคนนึง ก็อย่างที่รู้ๆ กัน เจ๊เคยมีบาดแผลทางใจกับพี่เห็ด ถึงในงานศพพ่อผมเห็นสองคนนี้คุยกันแล้วก็เถอะ แต่ร้านนี้มีความหลังกับทั้งคู่ งั้นอย่าเพิ่งให้มาเจอกันดีกว่า

หลังจากทุกคนทักทายกันด้วยมารยาทอันงาม เปิ้ลก็ถามว่า “ทำไรอยู่ถึงช้าวะนะฑี ขี้เหรอ”

“เปิ้ล” ผมพูดเสียงเบา “เดี๋ยวโต๊ะข้างๆ ก็ลุกมาเอาเบค่อนฟาดหน้าหรอก นี่ร้านอาหารนะมึง”

“ก็เห็นมึงมีปัญหากับท้องไส้ตลอด ถ้าหายไปนานๆ นี่คือไปขี้ ใช่มั้ยเจษ”

“ใช่”

“ถ้ามึงพูดคำนั้นอีกครั้งเดียว กูจับมึงกดหัวกับหม้อจริงๆ นะ เจษ มึงก็ด้วย หุบปากไปเลย”

“พี่นะฑีอย่าว่า นี่พี่รหัสหนู”

“จ้ะ น้องสาว...นั่งๆ พี่ทัช หิว” เราสองคนนั่งลงข้างกัน พี่ทัชสั่งชาร้อนเหมือนครั้งก่อนโน้น แต่คราวนี้ผมไม่เอาด้วยแล้ว ขอชาเย็นเท่านั้น

เข้าใจนะว่าพี่เห็ดอาจจะยังเฮิร์ท แกเลยเน้นกินไม่เน้นคุย แต่ไม่ได้ยินเสียงแกแล้ว เหมือนเหงือกผมจะคันยิบๆ จนอยู่เฉยไม่ได้

“อ้าวเฮ้ย นี่พี่เห็ดก็มาเหรอ แหม เคี้ยวเต็มปากไม่พูดไม่จาเลยนะ ไม่มีใครทำบุญให้นานแล้วอะดิ”

“กูก็ว่าจะไม่พูดแล้วนะ แล้วมึงอะใครกรวดน้ำให้ เคยปากเท่ารูเข็มไม่ใช่เหรอ หายได้ไง”

“ยังปากบางแก้วเหมือนเดิมนะพี่ แต่ไม่เถียงด้วยแล้วนะ จะกินละ หิว”

“เออ แดกซะ จะได้เงียบ”

เรากินกันไปเงียบๆ จริงๆ นั่นแหละ ทั้งที่มีคนปากหมาอยู่นี่ถึงสามคน

ผมน่ะเงียบเพราะมีความลับและพยายามตีมึนทำเป็นลืมๆ อยู่ พี่เห็ดน่าจะเงียบเพราะยังเจ็บปวดในทรวงเรื่องเจ๊แคล ส่วนเปิ้ลไม่รู้เงียบเพราะอะไร กลายเป็นว่าคนชวนคุยเยอะสุดคือนัชชา แต่ทุกคนก็แทบจะถามคำตอบคำอยู่แล้ว

หรือว่าพวกนี้รู้เรื่องกันหมดแล้ววะ เลยทำเป็นเงียบเพื่ออำผมอยู่แล้วค่อยหัวเราะเยาะทีหลังว่าผมป๊อด หันไปดูพี่ทัช เขาก็สีหน้าเรียบๆ ตามแบบฉบับของเขา แต่สีหน้าแบบนี้แหละ เห็นแล้วกดดันโคตร

เอาวะ แม่ง

ผมซดน้ำชาย้อมใจ รอจังหวะเหมาะๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหมาะจริงมั้ย แล้วใช้ตะเกียบเคาะ

แก๊งๆ แก๊งๆ

“มีเรื่องประกาศ” ผมพูดเสียงเบา

“ทำไม ต้องกลับอบายภูมิแล้วเหรอ” พี่เห็ด อย่าเพิ่งกวนตอนนี้ได้มั้ยวะ

“เรื่องใหญ่กว่านั้น”

เท่านั้นแหละ บรรยากาศเปลี่ยนทันที สีหน้าแต่ละคนจริงจังขึ้นโดยเฉพาะนัชชา คงจะคิดว่าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับอาการของแม่ผมแน่ๆ

ผมยืดอกขึ้น “เราสองคน” ชี้นิ้วใส่ตัวเองกับพี่ทัช “ตอนนี้...อุฟุฟวยกันแล้ว”

“อะไรฟวยๆ นะ” คราวนี้เป็นเปิ้ลถาม

“อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส”

“คือห่าอะไรวะนั่น” พี่เห็ดอะเกน

“เรารู้” เจษยกมือเสมอหู ทุกคนหันไปมองกันหมด “เดี๋ยวนะ…”

โอเคเจษ มึงเสิร์ชไป ทุกคนรออยู่

“เจอแล้ว นี่ไงบทความ คือมันมาจากคลิปดังในยูทูบจนเป็นไวรัลอยู่พักนึง เป็นชื่อของผู้ชายคนนึงที่ถูกสัมภาษณ์เรื่องบ้านพังๆ ของเขา เขาต้องพูดชื่อตัวเองซ้ำๆ เพราะมันยาวมาก จนคนสัมภาษณ์ยอมแพ้ปิดกล้องไปเลย แต่คลิปนี้คือการแสดงนะ ความจริงแล้วผู้ชายในคลิปชื่อDavid Igwe เป็นนักแสดงตลกและยูทูบเบอร์ชาวไนจีเรีย”

แน่นเปรี๊ยะ ขอบคุณครับเจษ

“มึงจะรู้ละเอียดขนาดนี้ไปเพื่อไรเนี่ย” พี่เห็ดถาม

“ก็…” เจษยักไหล่ “ประดับสมองครับ”

“ฟวยๆ ไรนะ พูดอีกทีซิ” พี่เห็ดหันมาทางผม

“อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส” โคตรภูมิใจเลยที่พูดได้เหมือนเดิมเป๊ะ นี่ฝึกอยู่สองวันนะถึงจะไหลลื่นแบบนี้

“แล้วจะสื่อว่าอะไรวะ มึงกับไอ้ทัชเป็นฟวยอะไร”

“นะฑีจะสื่อว่า เราตกลงคบกันน่ะ”

พี่ทัช!

เงียบๆ อยู่แบบเดิมก็ดีแล้ว บทจะพูดขึ้นมานี่ก็เอาซะตรงเลย อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณขอให้ตั้งหลักปรับสีหน้าหน่อยได้มั้ย แล้วเป็นไงล่ะ อึ้งทึ่งเสียวกันไปหมด

เอ๊ะ หรือว่าไม่ถึงกับอึ้งขนาดนั้น เหมือนจะมีแค่ผมนี่แหละอึ้งสุด

“ว่าแล้ว” หลังจากเงียบกันไปนานเปิ้ลคือคนแรกที่พูด น้ำเสียงเหมือนสังเวช

“ไรเปิ้ล”

“สงสารพี่ทัชน่ะ...พี่ทัช ถ้ามีพระเครื่องหรือของดีอะไรก็พกติดตัวบ้างนะ ต่อไปพี่ดวงตกรัวๆ แน่”

“ขอบคุณนะโอเปิ้ล พี่จะลองหาๆ ดู”

เอ้า ไปรับมุกมันทำไม เดี๋ยวฟาดเลย

“เฮ้ย” พี่เห็ดเหมือนเพิ่งตั้งสติได้ “ไอ้ทัช เรื่องจริงเหรอวะ”

พี่ทัชแค่มองด้วยหางตา คล้ายจะสื่อว่าถามอะไรไม่คิดหรือสื่อว่าอะไรก็ตามเถอะ แต่พี่เห็ดขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเอื้อนภาษาดอกไม้ออกมา

“ชิบหายแล้วมั้ยล่ะมึง คบกับ…” พี่เห็ดผายมือใส่ผมเหมือนไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย “เนี่ยนะ มึงไม่ได้ตกบันไดหัวกระแทกอะไรงี้ใช่มั้ย”

พี่ทัชยังไม่ตอบ พี่เห็ดเลยหันมาหาผม “มึงใช้น้ำมันพรายใช่ปะ”

ผมยืดอก “ระดับนี้อะ แค่ขยิบตาก็พอแล้ว”

ดอกนี้ทำเอาพี่ทัชขำนิดๆ

“เฮ้ยทัช เอาดีๆ กูขอเหตุผล”

“เรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผลหรอก” เฉียบไปอีก สงสัยผมต้องอ่านปรัชญาบ้าง

“ไม่มีสักนิดเลยเหรอวะ อะไรก็ได้ ที่ทำให้กูเข้าใจง่ายขึ้น”

“นะฑีพูดเยอะ ฟังๆ ไปก็เพลินดี”

นี่หรือคือเหตุผล!

“เพราะผมพูดเยอะเนี่ยนะ” ผมแทบจะลุกขึ้นยืน “นี่คือคำชมใช่ปะ”

“ถ้าคิดว่าเป็นคำชมแล้วสบายใจ ก็แล้วแต่”

“เอ้าพี่ทัช เอาดีๆ ดิ” ผมยืนขึ้นละตอนนี้

พี่ทัชมองหน้าผม “ก็ได้ เพราะมึงทำให้กูเลิกกลัวที่จะฟังความจริง”

อ่า...

ผมค่อยๆ นั่งลง ไม่รู้จะจัดการมือไม้ยังไงจนเผลอปัดตะเกียบเกือบหล่นจากโต๊ะ

“นะฑีหน้าแดง ร้อนเหรอ เบาไฟที่หม้อลงหน่อยมั้ย”

“กูโอเคเจษ มึงแดกๆ ไป อย่าพูดเยอะ”

ตอนนี้ผมไม่กล้าสบตาใครตรงๆ แล้ว แต่จากหางตาเห็นได้ชัดว่าพี่เห็ดส่ายหน้าอย่างปลงๆ “กูว่าไม่เกินสามเดือน ฟันธงเลย”

“แหม พี่ทำเป็นพูดดี ดูตัวเองก่อนเถอะ”

“กูทำไม”

“เปล๊า” จะพูดก็ได้แหละว่าทีตัวเองยังมาวอแวกับเจษ แต่ไม่อยากเอาเพื่อนมาเป็นเครื่องมือในการโต้วาทีกับแก เจษเป็นคนดี เดี๋ยวผมบาปหนา

“หึ งั้นกูประกาศบ้าง ให้มันรู้กันไป...โอ๊ะ อย่าหยิก” ใครหยิกพี่เห็ดวะ ไม่ทันมอง “เอาเถอะน่า ยังไงเดี๋ยวก็รู้กันอยู่ดี จังหวะนี้แหละเหมาะ จะให้นะฑีปีจอมันข่มอยู่ฝ่ายเดียวได้ไง”

“ผมเกิดปีวอก”

“หมายถึงปากมึงอะ เอ้าประกาศๆ” แก๊งๆๆ พี่เห็ดเคาะตะเกียบรัว “แหกหูฟังนะทุกคน กูกับโอเปิ้ล...อุฟุฟวยฟ่วยฟวยใจระทวยอ่วยอ๊วยเลยเป็นแฟนแฟ่นแฟนกันแล้วเว้ยไอ้ซัส”

นั่นไง โดนแล้วมึงเจษ...เดี๋ยวๆ ไม่ใช่เจษ

เปิ้ลเหรอ?

อึ้งกันไปทั้งโต๊ะ แม้แต่ตัวเปิ้ลยังเงียบ มีแต่พี่เห็ดที่ยืดอกจน

“นี่เรื่องจริงเหรอ” ผมถาม

“จริงดิวะ”

“เปิ้ล ว่าไง”

เปิ้ลถอนหายใจแล้วยักไหล่เป็นคำตอบ

“ว่าแล้ว” ผมได้ยินเสียงแผ่วเบาหลุดจากปากตัวเอง ว่าแล้วมันแปลกๆ ตั้งแต่พี่เห็ดมาวอแวกับกลุ่มเราแล้ว เห็นเข้าทางเปิ้ลนึกว่าจะเคลมเจษ แต่จริงๆ ก็คือกะสอยเปิ้ลตรงๆ เลย อย่างที่พี่ทัชเคยบอกจริงๆ ด้วย ว่าพี่เห็ดไม่ใช่คนซับซ้อน “เดี๋ยวนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมถามต่อ

“สักพักแล้วเว้ย” ดูภูมิใจเหลือเกินนะพี่เห็ด

“แต่ๆๆ พี่แชตบอกเจษไม่ใช่เหรอว่าจะจีบเจษ”

“กูจะส่งให้เปิ้ล แต่ส่งผิดคน”

“เฮ้ย จะมาหักมุมง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้”

“แล้วมึงจะให้ยากแค่ไหน เห็นชีวิตกูเป็นหนังสยองขวัญซ่อนเงื่อนเหรอ”

แต่เรื่องนี้ทำผมสยองนะ

ผมมองหน้าเจษ “เจษ นี่มึงร่วมมือกับพี่เห็ดแกล้งกูรึเปล่า”

“เปล่าๆ พี่เขาส่งผิดจริงๆ แต่ตอนนั้นพี่เขามัวแต่ตื่นเต้นที่จะคุยกับเปิ้ลต่อ เลยไม่ได้บอกเราว่าส่งผิด นี่เพิ่งได้คุยกันจนเข้าใจเมื่อกี้เอง”

พี่เห็ดตบหลังเจษเบาๆ “กูไม่ได้ตื่นเต้น กูแค่ขี้เกียจบอก”

“อ้อ ครับ”

แกตื่นเต้นนั่นแหละ ทำเป็นฟอร์ม ผมยังจำวันนั้นได้รางๆ ถึงว่าดิ เปิ้ลแย่งมือถือเจษไปดูแล้วหัวเราะขนาดนั้น แล้วตำแหน่งการนั่งวันนี้คือพี่เห็ดคั่นกลางระหว่างเจษกับเปิ้ล ทีแรกนึกว่าพี่แกเจตนากระแซะเจษ แต่ที่แท้กลายเป็นเปิ้ลซะงั้น

แต่…

พี่เห็ดกับเปิ้ลเนี่ยนะ!

ผมมองหน้าทั้งคู่สลับไปมา “จูนหัวแป๊บ” ต้องนวดขมับแรงๆ แล้วหันไปมองอีก “โอเค ขอเหตุผล”

“เรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผลหรอกโว้ย”

“พี่ไม่ต้องก็อปคำพูดพี่ทัชเลย คิดเองดิ มีสมองรึเปล่า”

“ปากมึงนี่น่าเตะจริงๆ ว่ะ”

“บอกมาดิ ทำไม เปิ้ลมีดีอะไร”

“เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานมึงยังไม่รู้อีกเหรอว่าเปิ้ลมีดีอะไร”

ผัวะ!

ฝ่ามือน้อยๆ ของโอเปิ้ลฟาดลงกลางหลังพี่เห็ด

“ตีพี่ทำไมครับ พี่หมายถึงนิสัย” โห พี่เห็ดพูดเสียงสอง ขนลุกเว้ยยย เปิ้ลไม่พูดตอบอะไร แค่เบะปากใส่แล้วหันไปจิบน้ำชา พี่เห็ดเลยพูดกับผมต่อ “นั่นแหละ เปิ้ลนิสัยดีแล้วก็โสดอยู่ จบ”

“จริงดิ หน้าอย่างพี่เนี่ยนะ คิดแบบนี้”

“ก็เออดิวะ” พี่เห็ดหันมองเปิ้ล “คนดีใครไม่ชอบบ้าง อีกอย่าง ขาวๆ คิวท์ๆ มีริ้วตรงคอแบบนี้แหละสเป๊กพี่~” ว่าแล้วก็ปากว่ามือถึง เกาเหนียงเปิ้ลเฉย นี่จะคบเป็นแฟนหรือเลี้ยงเป็นหมาวะ

ผัวะ!

เออ แบบนั้นแหละเปิ้ล ฟาดเข้าไป

แทนที่จะสำนึก พี่เห็ดกลับซี้ดปากกึ่งหัวเราะ ดูโรคจิตสุดๆ แต่ก็ทำให้เปิ้ลยิ้มได้ซะงั้น นี่ก็ดูโรคจิตพอกัน

“เฮ้ยเปิ้ล มึงชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอวะ”

“ถูก”

“แล้วทำไม…” ผมผายมือใส่พี่เห็ด เหมือนผายใส่กองขยะเปียก

เปิ้ลทำเหมือนจะคิดอยู่แป๊บนึง แล้วก็ยักไหล่

“ทำไม” ผมถามย้ำ “มึงเปลี่ยนแนวเหรอ”

“ตกลงกันแล้วว่ากูไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ไม่ต้องแต่งหน้าไม่ต้องแต่งตัว เป็นแบบที่เป็นอยู่ เพิ่มเติมคืออยากไปไหนก็มีคนไปรับไปส่ง เวลาเซ็งๆ ก็มีคนให้ด่า จบ”

นี่หรือคือเหตุผล

ผมมองหน้าสองคนสลับไปมาอีก ยังไงมันก็ไม่ใช่อะ “เห็นแล้วปวดหัวเลยว่ะ”

มือข้างนึงตบไหล่ผมเบาๆ พี่ทัชนั่นเอง “ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวหรอก บางทีความสัมพันธ์ของคนเราก็ลงตัวในแบบของมัน”

“ไอ้ทัชพูดถูก/ถูก” พี่เห็ดกับเปิ้ลพูดพร้อมกัน จากนั้นพี่เห็ดก็หันไปยิ้มให้ ส่วนเปิ้ลแกล้งทำหน้าเซ็ง

“คำว่าลงตัวแหละใช่เลย อยู่กับเปิ้ลกูเป็นตัวของตัวเอง จะพูดหยาบยังไงก็ได้...แล้วก็ไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวอะไรมากมายหรอก แบบนี้ก็น่ารักอยู่แล้ว”

“ลองมาวุ่นวายกับการแต่งตัวดิ เจอกระโดดถีบขาคู่แน่”

“น่ารัก ขอเกาเหนียงหน่อย”

ผัวะ!

ฟาดไปอีกที ถึงจะดูโหดๆ ห้าวๆ ก็เถอะ สองคนนี้อาจพัฒนาไปจน (เกือบ) เป็นความสัมพันธ์แบบชายหญิงก็ได้ หรือไม่ก็เป็นอะไรแบบนี้แหละไปเรื่อยๆ

นี่คือความลงตัวแบบที่พี่ทัชว่าสินะ

“เอาเป็นว่าจะพยายามเข้าใจละกัน” ผมส่ายหัว “แต่ทั้งสองคนเลยนะ หาเวลาไปรดน้ำมนต์ซะบ้าง โคตรซวยอะที่มาเจอกัน แล้วก็ไม่ต้องเหน็บกลับละนะ จะกินต่อ”

แก๊งๆๆ

อะไรอีกวะนั่น

“หนูขอประกาศบ้างได้มั้ยคะ”

“ได้ดิน้อง มีอะไรประกาศให้โลกรู้ว่าไป” พี่เห็ดยุส่ง

“เป็นอะไรที่เกี่ยวกับความเลวหรือความโง่ของนะฑีรึเปล่า ถ้าใช่ รีบๆ ว่ามาเลย” เปิ้ล ตอนนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ

“เกี่ยวกับหนูเองค่ะ อะฮึ่ม…”

เจษส่ายหน้ารัวทำไม ไม่นะ

“หนูกับพี่เจษตกลง อุฟุฟวยฟ่วยฟวยมะระรวยอ่วยอวยมามุ้งมิ้งจุ๊บุจิ๊บิกันแล้วค่ะ”

นั่นไง

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมรีบถาม

“ไม่นานค่ะ”

“เจษ น้องกู แล้วนี่ก็น้องรหัสมึง มันผิดผีนะ”

“เรา เอ่อ...ขอโทษที” ไม่ปฏิเสธซะด้วย

“พี่นะฑีหวงน้องเหรอคะ”

“...”

“พูดค่ะ”

“เออ ก็ควรหวงมั้ย มีน้องคนเดียว”

“ดีค่ะ หวงเยอะๆ น้า หนูชอบให้คนหวง” ไม่พูดเปล่า มีเกาะแขนซบไหล่เจษเป็นการท้าทายพี่ชายอย่างผมด้วย “ตอนนี้หนูคบกับพี่เจษละ”

หน้าระรื่นมากน้องสาวกู แต่เจษนี่ไม่ใช่แค่พยายามแกะมืออีกฝ่ายออก แต่หน้าไปหมดละ เมื่อกี้ยังแซวผมว่าร้อนรึเปล่า พอถึงคราวตัวเองหน้าแดงเป็นปื้นลามมาถึงคอละ

“ขอเหตุผลที่คบกันหน่อย ทำไมคบ”

“พี่เจษเป็นคนดีค่ะ แล้วก็เนิร์ด จบ”

“เจษล่ะ มึง”

“อ่า ก็…”

“พี่เจษบอกไปเลย เหมือนที่บอกหนูอะ พูด”

“คือ…”

“พูดค่ะ”

“เพราะเซ็กซี่ แล้วก็น่ารัก” หน้าจากที่แดงอยู่แล้ว ตอนนี้แดงเถือกไปเลย

“เห็นมะ แค่นี้เอง พูดคำว่าจบต่อท้ายด้วยค่ะ”

“เซ็กซี่และน่ารักครับ จบ”

“เจษ กูถามหน่อย มึงแยกคำว่าเซ็กซี่กับน่ารักออกมั้ยวะ มันไม่เหมือนกันนะเว้ย” ผมถาม

“แยกออก แต่น้องนัชชามีทั้งสองอย่าง เราก็เลย...ชอบ นะฑี ขอโทษนะ เราไม่ควรรู้สึกอะไรกับน้องรหัส และยังเป็นน้องเพื่อนด้วย แต่เราก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้”

เจษ มึงมันร้าย! พูดยาวกว่าเพื่อนเลยนะ

ผมถอนหายใจอีกรอบ “เออๆ คบกันไปเถอะ ตอนนี้กูเลือกไม่ถูกเลยว่าจะห่วงน้องหรือเพื่อนดี”

จู่ๆ พี่เห็ดก็ยกแก้วน้ำชาชูมาตรงกลางวงโดยไม่พูดไม่จา

“อะไรพี่เห็ด จะเติมน้ำชาทำไมยังเต็มแก้วอยู่ หรือขอส่วนบุญ” ผมเหน็บไปดอกนึงเพื่อระบายความอัดอั้น

“มึงนี่มันสมองมดจริงๆ” แกเหน็บกลับ “ก็ตอนนี้อุฟุฟวยกันหมด ต้องชนแก้วหน่อยดิวะ มาทุกคน”

ทุกคนยกแก้วของตัวเองมาชนกันตรงกลางโต๊ะ แม้แต่พี่ทัชก็ยกชาร้อนของตัวเองมาแตะด้วย เหลือแค่ผมที่ยังปรับตัวกับความจริงเรื่องนี้ไม่ทัน เลยนั่งกะพริบตาเล่นอยู่

“นะฑีมึงอย่านอกรีต เร็วๆ กูเมื่อย” เปิ้ลหน้าเซ็ง

ผมเลยยอมยกแก้วชนด้วย “เออ ฟวยก็ฟวย จบ”

หลังจากแก้วทุกใบชนกันดังกิ๊ง ต่างคนต่างก็จิบน้ำชาราวกับว่าเป็นพิธีร่วมสาบานของลัทธิประหลาดสักอย่าง เหมือนการอวยพรให้ความสัมพันธ์ฟวยๆ ของเราทั้งสามคู่

“ยังไม่จบค่ะ” นัชชาพูดหลังจากวางแก้ว “ทุกคนบอกเหตุผลกันหมด แต่พี่นะฑียังไม่ได้บอกเลยว่าทำไมตัดสินใจคบพี่ทัช”

“เออจริง ซวยละมึง คนสุดท้ายห้ามลอกคำตอบคนอื่นนะเว่ย” พี่เห็ดดักคอไว้ก่อน “ห้ามบอกนะว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผล”

“พูดค่ะ” นัชชาย้ำ

สายตาทุกคู่ส่งแรงกดดันมาที่ผม ไม่เว้นแม้แต่พี่ทัช ถึงเขาจะไม่ได้จ้องมองอย่างเอาจริงเอาจังก็เถอะ แต่มีแววความอยากรู้จางๆ เจืออยู่ในดวงตาสีน้ำตาลนั่น เป็นแววตาที่ผมไม่เคยเห็นบนใบหน้าพี่ทัชมาก่อน ผมตัดสินใจรวบรวมพลังใจมองหน้าเขาตรงๆ นึกหลอกตัวเองว่าตอนนี้มีแค่เรานั่งกันอยู่สองคน แล้วปล่อยให้ความจริงไหลผ่านปากออกไป

“เพราะพี่ทำให้ผมเลิกเกลียดที่จะนึกถึงคำโกหก”

“กูเปล่า ถ้ามึงก้าวข้ามความรู้สึกนั้นได้ก็เป็นเพราะตัวมึงเองมากกว่า” พี่ทัชพูด ท่าทีเหมือนว่ามีแค่เราสองคนด้วยเหมือนกัน

“เพราะมีพี่อยู่ด้วยต่างหาก”

“...”

“...”

พี่ทัชเลื่อนมือมากุมมือผมอยู่ใต้โต๊ะ และพาไปวางพักไว้บนต้นขาของเขาโดยไม่มีใครมองเห็น ผมรู้สึกได้ถึงผิวของพลาสเตอร์ที่นิ้วเขา แต่ในความรู้สึกเหมือนว่าไม่มีอะไรขวางกั้นเลย พี่เห็ดชวนชนแก้วอีกรอบ คราวนี้ผมกับพี่ทัชไม่ได้ยกแก้วร่วมด้วย แต่พวกนั้นก็ยังชนและดื่ม ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการอวยพรให้เราสองคนมากกว่า

ชนแก้วเสร็จก็ชวนกันคุยต่อ

พี่ทัชไม่พูดอะไร

ผมไม่พูดอะไร

มือยังกุมกันอยู่ จนผมรู้สึกขึ้นมาแวบนึงว่าทั้งโลกใบนี้มีเรานั่งกันอยู่แค่สองคน อยู่ไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดีนะ โคตรดีเลย แต่…

“พี่ ปล่อยเถอะ” ผมกระซิบ

“...” พี่ทัชเลิกคิ้วนิดๆ

“พี่เห็ดแย่งกินเบค่อนหมดแล้ว ผมหิว”













____________________________________________

ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

ได้อ่านทุกคอมเมนต์เลยนะคะ อยากบอกว่ารู้สึกดีมากเลยที่ทำให้หลายคนหัวเราะ+ยิ้มได้ในช่วงเวลาเครียดๆ แบบนี้

ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้ทุกแบบเลยนะคะไม่ต้องเกรงใจเลย
รับได้หมดเลยค่า ชอบมากๆเลยที่ได้รับฟังความคิดของทุกๆคนค่ะ

รักมากเลยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งที่ให้เกียรติและสละเวลาเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ มันมีค่าต่อใจมากเลยค่ะ T^T
โชคดีมากเลยค่ะที่ได้มารู้จักทุกคน <3


นางร้าย
3.เมษา.2020






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
อุฟุฟวยกันถ้วนหน้า  เห็นไหม เราว่าแล้ว เห็ดเปิ้ลมันเคมีผิดผีแปลกๆ แฮปปี้~~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แหม ..... อุฟุฟวยฟวย....กันถ้วนหน้า

ออฟไลน์ PHENOMENAL

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยินดีกับความรักของทุกคนเลย  :mew1:

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
เจษ ร้ายยยยยย555

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
อุฟวยฟวยสามคู่ชู่ชื่นนนน

เจษเงียบๆ แต่ร้ายยนะพ่อหนุ่มเนิร์ด   :katai5:



ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2

สำหรับตอนนี้ขออนุญาตแบ่งลงทีละ 50% นะคะ ^ ^
พอดีเนื้อหาค่อนข้างยาวนิดนึงค่า




(50%)

แตะต้องครั้งที่ 37
จับบบ…นี่หรือคือเดตสังเกตโต๊ะข้างๆ
ระยะทางระหว่างกลับบ้านระยะห่างระหว่างกลับไป


ท้องฟ้าดูเป็นสีชมพู

ไม่ใช่หิวข้าวหรือหน้ามืดจะเป็นลมนะ

อินเลิฟ

วันนี้วันหยุด เราควรจะอยู่บ้านหรือไม่ก็ติวหนังสือกับแก๊ง แต่ผมกับพี่ทัชยังชวนกันออกมาตะลอนข้างนอก ไม่ใช่เพราะบริษัทขอทัชฑีมีงานเข้า แค่ออกมาเฉยๆ

“สวนสาธารณะมั้ย สูดอากาศกันหน่อย สดชื่น แล้วก็แบบ...ถีบเรือเป็ดไรงี้” ผมเสนอไปทางโทรศัพท์

[มึงได้ตามข่าวบ้างมั้ย]

“ข่าวไร คนรุ่นใหม่ไม่ดูทีวีนะ”

[ทางเฟซบุ๊กนั่นแหละ เลื่อนดู]

“เลื่อนอยู่ ทำไมเหรอ ดาราคนไหนโดนเท หรือท้องก่อนแต่ง”

[ไม่มีเรื่องฝุ่นเด้งขึ้นหน้าฟีดมึงเลยเหรอ ตอนนี้ฝุ่นคลุมเมืองอยู่]

“อ้อ งั้นไปไหนอะ ดาวอังคารมั้ย”

[ห้าง]

“งั้นดูหนังกับกินติมนะ”

[ได้หมด]

“ได้ทุกอย่างเลยเหรอ”

[อือ]

“งั้นเราปล้นกันมั้ย ล็อกคอคนที่กำลังกดเงิน แย่งบัตรเอทีเอ็มมาแล้วใช้นิ้วพี่เค้นเอารหัส”

[ไปอาบน้ำเตรียมตัวซะ แค่นี้นะ]

ตู๊ดดด

สายตัดไปแล้ว

ตกลงตามนั้น ไปห้างกัน แต่ผมยังไม่ได้ลุกไปเตรียมตัวทันที ยังนอนกลิ้งไปมาไถหน้าจอมือถือเล่นอยู่นาน กว่าจะขุดตัวเองไปอาบน้ำได้ก็ปาไปเป็นชั่วโมง โชคดี พอผมแต่งตัวเสร็จและลงมาข้างล่างพี่ทัชก็มาถึงพอดี เขาเลยไม่ต้องรอนาน กลายเป็นผมนี่แหละที่ต้องรอเขา เพราะแค่เข้ามาสวัสดีแม่ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา

“หมอนนิ่มๆๆๆๆ” นั่นแหละ จกพุงมันเข้าไป นวดมันเข้าไป ไอ้แมวนรกนี่ก็ยังไง ปกติจะหวงเนื้อหวงตัว นี่นอนแผ่อ้าซ่าให้เขาขยี้เฉ้ย “หมอนๆๆๆ นิ่มๆๆๆ”

จะได้ไปมั้ยวันนี้

“พี่ ขอกุญแจรถหน่อย”

“หืม?”

“อยากลองรถพี่กับเสาไฟอะ ดูว่าจะแกร่งแค่ไหน”

เขามองผมแวบนึง ก่อนจะไปขยี้แมวต่อ “แป๊บนึงดิ”

“ไม่รีบๆ เอาเลย ตามสบาย ผมรอจนเมื่อยละ”

“นิ่มๆๆๆ” มีขยี้ส่งท้ายชุดใหญ่กว่าจะยอมลุก “โอเค ไปกัน...คุณแม่หวัดดีครับ แล้วจะรีบพานะฑีมาส่งนะครับ”

“จ้า หวัดดีจ้ะ ทัชอย่าให้นะฑีขับนะ”

“ครับผม”

“ไม่ต้องห่วงน่าแม่ ผมเซียนอยู่แล้ว ไปละนะ”

เราออกจากห้องแถวโทรมๆ เข้ามานั่งในรถมินิคูเปอร์ จากนั้นพี่ทัชก็เปิดระบบสกิปไดรฟ์พาเราออกเดินทางสู่ห้วงอวกาศแห่งความสุขอันไกลโพ้น

แป๊บเดียวก็มาถึงจุดหมาย

ที่ถึงเร็ว เพราะตอนมีความสุขเวลามันสั้นนั่นแหละ

โชคดีช่วงนี้ไม่มีหนังผีเข้าโรง เลยไม่ต้องเถียงหรือเหน็บกัน และเพื่อเป็นการรำลึกความหลังที่หนีตายมาด้วยกัน จัดหนังบู๊แหลกกระจายไปเลย เลือกหนังได้แล้วก็ไปกินราเมนเจ้าดัง สุดท้ายมาตบท้ายที่ร้านไอศกรีมเพื่อฆ่าเวลารอดูหนัง

พี่ทัชสั่งช็อกโกแลตชิพ ไซส์ที่ดูผู้ดี๊ผู้ดี

ผมสั่งวานิลลาและอื่นๆ ไซส์ขนาดกินได้ทั้งหมู่บ้าน เพราะผมถือคติที่ว่า เหลือดีกว่าขาด สองบาทยังไงก็ดีกว่าบาทเดียว

“ทำไมพี่สั่งช็อกโกแลตชิพอะ ชื่อไม่เป็นมงคล” ผมพูดหลังจากพนักงานนำออเดอร์มาเสิร์ฟ

“ทำไม”

“ถ้าชิพหายล่ะ ซวยเลยนะ”

“อันนี้คือคิดมาดีแล้ว?”

“ฮ่าๆ ห้าบาทสิบบาทก็ขำๆ ไปเถอะ ซีเรียสอะไร”

“หึ”

“นี่คือขำแล้ว”

“ห้าบาทสิบบาท ขำแค่นี้ก็บุญแล้ว”

“...”

“...”

เรามองหน้ากัน...เดดแอร์...แล้วขำพรืดออกมาพร้อมๆ กันจนโต๊ะข้างๆ หันมองอย่างใจคอไม่ดี เรายังมองหน้ากันอยู่ตลอดเวลาระหว่างที่เสียงหัวเราะแบบช็อกเวฟตามมาอีกหลายระลอก จนกระทั่งเงียบไปในที่สุด

เราเริ่มกินไอศกรีมตรงหน้าตัวเองต่อ บนโต๊ะมีแจกันใสทรงสูงกับกุหลาบสีแดงเสียบอยู่ด้วยหนึ่งดอก โรแมนติกไปอีก ถ้ามีกล้องมาถ่ายนี่เอาไปตัดต่อเป็นเอ็มวีระดับร้อยล้านวิวได้สบายเลยนะ

“คิดไรอยู่” ผมทำลายความเงียบ

“คิดถึงวันแรกที่เจอมึง” บอกแล้ว เอาไปทำเอ็มวีได้

“คิดว่าไงมั่ง”

“สงสัยว่ามึงรอดมาจนโตได้ไง” กำลังบิ๊วมาดีๆ เริ่มจะเป็นเอ็มวีไม่ได้ละ

“ผมน่าจะได้กินยำตีนตั้งแต่เด็กจนตายไปแล้ว ไรงี้? นี่พี่พูดจาเหมือนพี่เห็ดขึ้นทุกวันละนะ”

“อือ”

“เพราะผมเก่งไง”

“แล้วตอนนี้กูก็สงสัยว่า ในเวลาไม่ถึงปีเรามานั่งกันอยู่ตรงนี้ได้ไง”

“ก็พี่ขับรถพาผมมา วันหลังให้ผมขับมะ พี่จะได้หลับสบายๆ แบบ….สบายยาวววววไปเลย”

“อันนี้คือจะเล่นมุกหรืออะไร”

“มุกดิ แค่นี้ไม่รู้เหรอ”

“มึงเขิน”

“...” เกลียดการที่จู่ๆ ก็แซวเข้าเป้าแบบนี้ชิบหาย “อะไร ใครเขิน”

“มึงกำลังเขิน”

“พี่นี่มั่วจริงๆ”

“จูบครั้งล่าสุดเป็นไง ถือว่ากูจูบเป็นรึยัง”

“...” เกลียดโว้ยยยย

“น่ะ เงียบ”

“พี่ก็ยังจูบห่วยเหมือนเดิมอะ ไปเรียนมาใหม่นะ” ผมกัดฟันตอบแล้วจ้วงไอศกรีมเข้าปาก ไม่คุยละ แดกๆ เข้าไปปากจะได้ไม่ว่าง

“ขอกินหน่อย” จู่ๆ พี่ทัชก็ตักวานิลลาของผมไปกิน “อืม...ของโคตรดี”

“โอ๊ย พี่อย่าพูดไรงี้ได้ปะ มันไม่เข้ากับหน้า”

“พูดยังไง”

“ก็แบบ ก็อปคำพูดผมอะ...ช่างมัน ไหนกินบ้าง” ผมตักเอาช็อกโกแลตชิพของเขาบ้าง “ก็โอเคนี่ ไหนลองอีกที”

“เยอะไปมั้ย”

“พี่ก็ตักของผมเยอะ”

จากนั้นเราก็ตักไปๆ มาๆ แบบไม่ยอมกัน

“ถ้าจะกินขนาดนั้นก็แลกกันเลย”

“ไม่เอาดิ เฮ้ย”

แต่พี่ทัชสลับถ้วยเรียบร้อยแล้ว ช็อกโกแลตชิพที่เกือบจะหายไปหมดแล้วมาอยู่ตรงหน้าผม ส่วนวานิลลาไซส์หมู่บ้านไปอยู่ที่เขา แต่ถึงอย่างนั้น พี่ทัชก็ยังตามมาจ้วงช็อกโกแลตชิพไปกินต่อ คนอย่างนะฑียอมได้ที่ไหนล่ะ เราเลยข่มกันด้วยการจ้วงไอศกรีมถ้วยที่อยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายกินไม่ยั้ง

“อร่อย” พี่ทัชพูดยิ้มๆ

“นี่คือแลกกันแล้วเหรอ”

“กูแค่อยากกินของมึง”

“...”

“แล้วกูก็อยากให้มึงกินถ้วยของกู”

“ฟังดูโรคจิตนะเนี่ย ผมไม่แย่งช็อกโกแลตพี่ละ นั่นไง เหลือคำนึง กินดิ”

“มึงกิน”

“ไม่เอาอะ”

“จะกินเองหรือให้ป้อน”

“ป้อนไร พี่นี่อ่านนิยายมากไปละ...เฮ้ยๆ ไม่ต้อง”

ไม่เอาดิเฮ้ย กินเองก็ได้วะ กินๆ ให้มันจบไป เพราะท่าทางแกจะทำจริง ไม่ใช่ไม่อยากให้ทำ แต่ยังปรับตัวไม่ทันเว้ย เพิ่งจะอุฟุฟวยกันไปไม่กี่วันเอง

“ก็แค่นั้นแหละ แค่นี้ทำเป็นเขิน”

ช็อกโกแลตชิพหายไปหมดแล้ว เหลือแค่วานิลลาถ้วยใหญ่ เราเลยเลื่อนมันมาตรงกลางจ้วงกินด้วยกัน

“พี่นี่ปากดีจริงๆ ลองให้ผมป้อนบ้างปะล่ะ”

“ไม่ เดี๋ยวทำหน้ากูเลอะ”

“พี่เขินอะดิ”

“มึงดูละครมากไปแล้ว”

“อะ งั้นกิน” ผมตักขึ้นมาคำนึงยื่นไปตรงหน้าเขา จริงๆ ผมนี่แหละเริ่มเขินอีกแล้ว ต่อให้เป็นคนป้อนก็เถอะ แต่อยากเล่นงานเขากลับบ้าง “ไม่ต้องมาแกล้งทำหน้านิ่ง เขินใช่มะ”

“ระวังมันหยด ตักคำใหญ่ขนาดนี้ ทำหน้ากูเลอะแน่ๆ”

“ไม่หรอกน่า รีบกินเร็วๆ ละลายแล้ว”

“ถือไว้นิ่งๆ”

ผมแกล้งส่ายช้อนไปมา พี่ทัชเลยรวบข้อมือผมไว้แล้วยื่นหน้ามางับช้าๆ เม้มปากกับช้อนเนิบๆ อย่างผู้ดี ไม่รู้ว่าผู้หญิงโต๊ะข้างๆ แอบมองตั้งเมื่อไหร่ ช็อตนี้เล่นเอาคุณเธอหน้าเหวอไปเลย อย่ามองดิวะ ทำตัวไม่ถูก

“มึงบ้าง”

“ฮะ?”

“กิน” ไอติมคำเล็กๆ มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

“ไม่เอา คนมอง”

“คนก็มองนานแล้ว”

ก็เออดิวะ แล้วพี่แม่งทำหน้านิ่งขนาดนี้ได้ไง

“อะ พี่คิดดูนะ” ผมกระซิบ “ถ้าโดนแอบถ่ายไปลงโซเชียลทำไง วันนี้เซ็ตผมไม่ค่อยดีด้วย แล้วไม่รู้ว่ากล้องที่แอบถ่ายจะคุณภาพต่ำรึเปล่า”

“สรุปคือมึงเขินนั่นแหละ เสียชื่อคนอย่างนะฑีหมด”

“เอ้า พูดงี้” คนอย่างนะฑี เสียท่าไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้เว้ย “ถือไว้นิ่งๆ”

พี่ทัชยิ้ม แกล้งส่ายช้อนไปมา ผมเลยทำแบบเดียวกับเขา คือตะปบข้อมือเขจับไว้นิ่งๆ แต่ตอนยื่นหน้าไปงับกินนี่แทบจะไวเท่าความเร็วแสง

“ฮ่าๆ”

“ขำอะไร”

“มึงเหมือนเด็ก เลยตลก”

ขำอะไรก็ขำไปเถอะ ผมเร่งสปีดกินต่อละ

“ไฟไหม้เหรอ”

“ไฟไหม้อะไรของพี่อีกเนี่ย”

“งั้นจะรีบทำไม กินช้าๆ”

“หนังจะเริ่มแล้ว”

“อีกตั้งเกือบชั่วโมง”

“ผมจะไปขี้” ว่าแล้วก็ตักเข้าปากรัวๆ เท่านั้นแหละ ซี้ดเลย เย็นจนปวดหัว

พี่ทัชขำอีก “ทำไมมึงไม่ยอมรับว่าเขิน”

เขาเป็นอะไรกับคำนี้มากเปล่าวะ พูดจัง “ผมปวดขี้จริงๆ ไม่ได้ยินเปิ้ลบอกวันที่กินชาบูเหรอ ว่าผมมีปัญหากับท้องไส้ตลอด พี่รีบกินเร็วๆ”

“มึงกินเลย กูชอบดูมึงกิน”

“กินจนปวดหัวแล้วเนี่ย พี่ช่วยกินดิ”

“ครับ กินก็กิน” ตูมมม เสียงนุ่มระดับทำลายล้าง “ดีเหมือนกัน จะได้รีบเข้าไปอยู่ในโรงหนังมืดๆ กัน”

เหี้ย พี่ทัช!

ทนสายตาโต๊ะข้างๆ ไม่ไหวแล้วโว้ย ลุกไปขี้เลยดีรึเปล่า ความจริงก็ปวดนิดๆ อยู่นะ แต่ไม่ดีกว่า แบบนั้นมันดูอ่อนเกินไป ทางออกคือรีบทำใจให้ชินกับความรู้สึกนี้จะดีกว่า มันก็แค่อาการทำตัวไม่ถูกกับไม่กล้าสบตาใครแค่นั้นแหละวะ แค่นี้ทำอะไรคนอย่างนะฑีไม่ได้หรอก

ผมปลุกความหน้าด้านในตัวเอง ตักไอติมป้อนพี่ทัชอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ยอมงับไปอย่างแปลกใจ ช็อตนี้แหละหันไปขยิบตาให้โต๊ะข้างๆ ซะเลย เป็นไงล่ะ อิจฉาอะดิ ให้ช่วยเอาน้ำสาดตามั้ย

แค่นั้นไม่พอ หลังจากกินหมด ตอนเราลุกจากโต๊ะผมยังแอบส่ายตูดดุ๊กดิ๊กด้วย คืนนี้หลับฝันร้ายแน่ๆ

เราออกจากร้านไอศกรีมแล้ว ผมเข้าห้องน้ำไปบรรเลงเพลงแจ๊สเล็กน้อย จากนั้นก็ยอมให้ทางโรงหนังขูดเลือดขูดเนื้อด้วยป๊อปคอร์นเซ็ตใหญ่ เรียบร้อยแล้วเข้าไปนั่งในโรงหนังมืดๆ ด้วยกัน

เอาเข้าจริงพี่ทัชก็ไม่ได้ทำอะไรน่าขนลุกหรอก มีแต่ผมนี่แหละที่คิดอกุศลจนดูหนังไม่รู้เรื่อง ทำไมเขาตัวหอมจังวะ อยากโดดเข้าไปฟัดเข้าไปสูดให้ไซนัสอักเสบ ใช้น้ำหอมอะไร หรือว่าเป็นกลิ่นผู้ดีติดตัวมาแต่กำเนิด แม่ง แดกป๊อปคอร์นแก้กลุ้มละ

หนังจบแล้ว

ห้างก็ใกล้จะปิด เลยเดินเล่นต่อไม่ได้ หมดแล้วเวลาแห่งความสุข และผมจะจดจำวันนี้ไว้ว่าเป็นเดตแรกอย่างเป็นทางการของเรา ถ้าไม่ใช่เดตแล้วจะเรียกอะไร จริงมั้ย

“ตอนอยู่ในโรงหนังมึงเป็นอะไร” พี่ทัชถามขึ้นหลังจากเข้ามานั่งในรถ

“ปะ...เป็นอะไร”

“เห็นยุกยิกตลอด”

“คันอะ” พอพูดแล้วก็สะดุ้งเอง ต้องรีบขยายความ “ไม่ใช่คันแบบนั้นนะ หมายถึงคันตามเนื้อตามตัวจริงๆ สงสัยเบาะแม่งสกปรก โรงหนังนานแล้วอะดิ ไม่ทำความสะอาดกันเลย”

“กูไม่เป็น”

“พี่โชคดีอะดิ พนักงานคงขี้เกียจแน่ๆ ดูดฝุ่นมาถึงแค่เบาะพี่แล้วก็เลิกไรงี้”

“กูนึกว่ามึงอยากกอดกูซะอีก”

“...” เชี่ย พี่ทัช มีรายการโชว์อะไรที่แข่งกันด้วยการยิงคำพูดขวานผ่าซากรึเปล่าวะ จะส่งเขาเข้าประกวด

“เราอุฟุฟวยกันแล้ว มึงจะกอดกูตอนไหนก็ได้”

“ผมไม่ได้อยากซะหน่อย”

“กูเคยบอกรึยังว่ามึงโกหกไม่เก่ง”

“...”

“มานี่” พี่ทัชกางแขนออกนิดๆ เป็นเชิงให้ผมสวมกอด

“ไม่เอา นี่ลานจอดรถนะพี่”

“มาใกล้ๆ”

“...” ต้องเม้มปากข่มใจสู้ แต่ทำไมเสียงต้องนุ่มขนาดนี้ ทำไมหน้าถึงไม่มีสิวริ้วรอยอะไรเลย แล้วกลิ่นตัวนี่ก็มีพลังทำลายล้างโคตรๆ จนร่างกายผมโน้มเข้าไปหาเขาเองอย่างห้ามไม่ได้ ตัวมันไปเองนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ

พี่ทัชโน้มเข้ามา สอดแขนซ้ายรอบด้านหลังผมโอบไว้ เพราะมีคันเกียร์ขวางอยู่เลยกอดแนบชิดไม่ได้

แต่…

ปลายจมูกเขาแตะที่ร่องแก้มผม มือขวายกมาประคองใบหน้า แล้วริมฝีปากก็เลื่อนมาประกบริมฝีปากผมเบาๆ

ลิ้น

ลิ้นอุ่นๆ ตามมาแล้ว

แบบนี้ไม่เรียกว่าเดตจะเรียกอะไรจริงมั้ย ผมรีบตั้งสติ คราวนี้ไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียวหรอกเว้ย ต้องมีตอบโต้ไปบ้าง ริมฝีปากขอองเขาทำแบบไหนผมก็เลียนแบบตอบโต้ไปแบบนั้นแหละ บดมาก็บดสู้ ดุนมาก็ดุนไป มาดิวะพี่ทัช ไม่ยอมหรอก

โว้ย

ฟิน

เคลิ้ม

กูโดนป้ายยาอะไรรึเปล่าวะเนี่ย แต่กำลังเพลินๆ พี่ทัชก็ถอนริมฝีปากออก ผมบังคับตัวเองให้ถ่างตาและตีสีหน้านิ่ง แต่ก็อดที่จะยกหลังมือกดกับริมฝีปากไม่ได้

“มึงเริ่มจูบเป็นแล้วนี่”

“ผมเนี่ยเซียนอยู่แล้ว พี่นั่นแหละยังห่วยเหมือนเดิม”

“หึ”

พี่ทัชยิ้ม แล้วสตาร์ทรถขับออกจากลานจอด ผมรีบเปิดเพลงกลบเกลื่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องคุยเรื่องนี้กันต่อ ยังดีที่พี่ทัชไม่ซักไซ้ แต่หลังจากเงียบกันอยู่นาน กลายเป็นผมนี่แหละที่อยากชวนคุยซะเอง

จังหวะติดไฟแดงผมเลยตัดสินใจพูด

“พี่ มีคำถาม”

“ว่า”

“ที่พี่บอกว่าผมทำให้พี่เลิกกลัวที่จะฟังความจริง คือยังไงนะ”

พี่ทัชมองหน้าผม เงียบอยู่สักอึดใจก่อนจะพูดขึ้น “ที่ผ่านมากูกลัวการแตะตัวคนอื่น กลัวจะรู้ความจริงอะไรที่ไม่ควรรู้ จนมันกลายเป็นทำให้กูกลัว...กลัวตัวเอง”

คำพูดสะดุดนิดนึง แค่ขาดช่วงไปนิดเดียวจริงๆ แต่กลับทำให้ผมเห็นภาพว่าเขาใช้ชีวิตและเติบโตมายังไง

“พูดอย่างกับพี่แตะตัวคนอื่นบ่อย”

“เมื่อก่อนก็บ่อยกว่านี้” เขายังพูดด้วยโทนเสียงเรียบๆ “ตอนประถม มัธยม บางทีกูก็หลอกตัวเองพยายามทำตัวเป็นคนปกติ แกล้งลืมพันนิ้วบ้าง ลืมจริงบ้าง แล้วพอไปเล่นกับเพื่อนมีจังหวะที่มีกูแตะถูกตัวคนอื่น กูก็จะได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินตลอด เคยทำให้กลุ่มเพื่อนผิดใจกันเองก็หลายครั้งตอนมือกูไปโดนตัว นานๆ ไปกูเลยเลือกที่จะพันนิ้วทุกวัน และไม่โดนตัวใครเลยดีกว่า”

“...” ผมพูดไม่ออกเลย มันจุก “งี้ตั้งแต่เด็กๆ พี่ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนอะดิ”

“มีเรนจิ”

“คนอื่นๆ ล่ะ”

“มีบ้าง...” เขาเว้นจังหวะ “แต่ไม่สนิท”

เสียงสะดุดอีกครั้ง ยิ่งทำให้เห็นภาพชีวิตเขาชัดขึ้นไปอีก ถึงครอบครัวเขาจะอยู่กันพร้อมหน้าดูอบอุ่นก็เถอะ แต่ไม่มีใครเป็นแบบเขา แค่ลองคิดว่าทั้งโลกมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นแบบนี้ และไม่มีใครเลยสักคนที่จะจับมือเขาโดยไม่รู้สึกหวาดระแวง...คิดแค่นี้ ผมก็แสบอกไปหมดแล้ว

“แล้ว…” คำพูดผมสะดุดบ้าง “มีเพื่อนคนไหนรู้เรื่องพลังของพี่บ้างอะ”

“เรนจิ”

“นอกจากพี่เห็ดที่เป็นญาติ ผม แล้วก็คนที่บ้าน มีอีกมั้ย”

“ที่ผ่านๆ มาคนอื่นก็แค่สงสัย”

“อ่า…” เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี “งั้นคนสงสัยน่าจะเยอะอะ ใช่ปะ คนต้องมองพลาสเตอร์ที่นิ้วพี่ตลอดเลยดิ”

“ตลอด”

“แล้วทำไง”

“ก็ทำเป็นไม่สนใจ ถ้ามีคนถามก็บอกว่าชอบ”

คำตอบว่า ‘ชอบ’ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเขาตอบกวนๆ แบบกำปั้นทุบดิน แต่ทำไมตอนนี้มันฟังดูเป็นคำตอบแบบจนตรอกวะ แต่มันก็คงดีที่สุดแล้ว เขาคิดมาดีแล้ว หรือเขาอาจจะไม่ได้คิดเลยก็ได้ เพราะมันไม่มีคำไหนให้เลือกแล้ว

“พี่เหงาปะ ที่ไม่ค่อยมีเพื่อน”

“กูก็มาอยู่กับหนังสือ เล่นกีตาร์”

“เอ้อ พูดถึงกีตาร์ ทำไมเลือกเล่นกีตาร์อะ ทำไมไม่เปียโนหรือเปิงมางคอกไรงี้” ผมรู้สึกว่าตัวเองเน้นคำว่า ‘เลือก’ โดยไม่ตั้งใจ มันแบบ...ดีใจแทน ที่เขาได้มีทางเลือก

ไฟเขียวแล้ว

พี่ทัชขับข้ามแยกไปอย่างไม่รีบร้อน ตายังมองถนนตรงหน้า แต่ในแววตาคล้ายกับมองเข้าไปในอดีต

“เคยอ่านเจอว่าเล่นกีตาร์จะเจ็บนิ้วมาก เล่นไปนานๆ นิ้วก็จะด้าน เลยลองดู เผื่อว่าจะทำให้พลังมันหายไปบ้าง อย่างน้อยก็ที่มือซ้ายสักสี่นิ้ว แต่มันก็ไม่ได้ผลหรอก มาจบที่พันพลาสเตอร์ไว้แบบนี้แหละดีสุด”

เชี่ย ปวดอกชิบหาย

เข้าใจแล้วว่า ช่วงแรกๆ ที่รู้จักกันเขาถึงชอบพูดว่า ‘อย่ายุ่งกับมือกู’

เข้าใจแล้วว่า ที่กินชาบูกันวันนั้น ทำไมเขาถึงเลื่อนมือมากุมมือผมอยู่ใต้โต๊ะเงียบๆ

“แล้ว...แล้ว…” แล้วกูจะพูดอะไรต่อวะ

“แล้วกูก็ได้รู้จักมึง” พี่ทัชพูดต่อให้ “อย่างที่บอก ที่ผ่านมากูกลัวตัวเอง กลัวที่จะฟังแม้แต่ความจริงในใจตัวเอง…” เขาหันมองผม ราวกับเพื่อให้แน่ใจว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยจริงๆ “...แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว”

“อ่า…”

“ที่กูคิดแบบนี้ได้ก็เพราะมึงแหละ”

“ผมทำไม อะ…อธิบาย10 คะแนน”

“เพราะมึงไม่เหมือนคนอื่น มึงมองพลาสเตอร์ที่มือกูเต็มๆ แต่คนอื่นจะแอบเหลือบมอง มึงไม่กลัวที่จะถูกกูแตะตัว ไม่กลัวที่จะจับมือกูทั้งที่รู้ว่าจับแล้วต้องเปิดเผยความจริงของตัวเอง จนกูรู้สึกว่ามึงไม่กลัวอะไรเลย”

“อือหือ”

“ได้เต็มสิบคะแนน?”

“เอาไปเลยสิบเอ็ดคะแนน แถมให้คะแนนนึงที่บอกว่าผมไม่กลัวอะไรเลย จำที่ผับโอ้มายแอสกับร้านเจ๊จอยไม่ได้เหรอ ได้ยินเสียงปังๆ ปุ๊บ ผมนี่วิ่งเข้าไปบวกเลย” คนจะได้เกียรตินิยมต้องเข้าใจแหละ ว่าอันนี้คือประชด

“กูไม่ได้หมายถึงความกลัวแบบนั้น”

“อ่อ”

“ส่วนที่เราไปลุยกันก็เพราะมึง มึงทำให้กูรู้ว่ามือของกูก็มีประโยชน์ การเปิดเผยความจริงบางอย่างก็ช่วยบางคนได้”

“แต่กับบางคนก็ไม่ อย่างกับแม่ผม…” ผมหยุดปากตัวเองไว้ นึกโกรธตัวเองที่วกเข้าเรื่องนี้

“...”

พี่ทัชเงียบไป ผมไม่เห็นว่าสีหน้าเขาเป็นยังไงเพราะตัวเองก็ก้มหน้าลง แต่ดูจากความเร็วรถที่ลดลงนิดนึงก็พอจะบอกได้ว่าเขาเจ็บปวด เขาอาจจะรู้สึกเหมือนถูกมีดปักกลางอก และต้องผ่อนคันเร่งเพื่อประคองรถให้วิ่งได้ตรงทาง

“เรื่องแม่ กูขอโทษ” ในที่สุดเขาก็พูด “กูทำให้มึงโกรธ”

“ผมไม่ได้โกรธพี่...โกรธสถานการณ์มากกว่า” ผมสูดหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองทางตรงๆ โดยไม่ได้โฟกัสจุดไหน “แต่ก็ดีแหละที่พี่แตะตัวแม่วันนั้น ไม่งั้นแม่คงปิดบังผมไปเรื่อยๆ จนอาการหนักกว่านี้”

“อืม”

“แม่เป็นคนแบบนั้นแหละ ชอบเก็บความทุกข์ไว้กับตัวเอง แต่ไม่จริงหรอกที่พี่บอกว่าผมไม่กลัวความจริงอะ ผมกลัวชิบหายเลยต่างหาก บางวันผมก็หลอกตัวเองว่าแม่ยังสบายดีด้วยซ้ำ”

“กูบอกว่ามึงไม่กลัวที่จะพูดความจริง ไม่ใช่ไม่กลัวความจริง เรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่...ไม่ว่าเกิดขึ้นกับใครคนรอบข้างก็กลัวด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่มึงก็รับมือได้ดีมากนะ”

“ไม่รู้ดิ ที่ยังโอเคเพราะมีพี่อยู่ด้วยมั้ง”

เขาหันมองหน้าผม

ผมก็รวบรวมความกล้าหันมองเขาเหมือนกัน แต่ถือว่าโชคดีที่เขาขับรถอยู่ ทำให้ต้องหันกลับไปมองทางต่อจนเขาไม่น่าจะทันได้เห็นอะไรที่ไหววิบวับอยู่ในตาผม ทำให้ผมกล้าที่จะถามเรื่องนี้

“แล้วที่แตะตัวแม่ผมวันนั้น…มันทำให้พี่กลับไปกลัวตัวเอง หรือกลัวที่จะฟังความจริงอะไรแบบเดิมรึเปล่า”

พี่ทัชเงียบไปอีกสักพัก “ไม่”

“อ่า...ฮะ” ผมลากเสียงเป็นเชิงให้เขาอธิบายต่อ

“เรื่องแม่ ทำให้กูรู้ว่าความจริงบางอย่างก็รอจังหวะเล่นงานเราโดยไม่ทันให้ตั้งตัว”

“มีดโกนเลย”

“...” เขาเหลือบมองผม

“ก็มีดโกนไง คมกริบ”

ความขี้เล่นเล็กๆ ผุดขึ้นในใจผม ก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่พี่ทัชยังมีท่าทีจริงจังอยู่ อาจเป็นพลังลึกลับอีกอย่างหนึ่งของเขาก็ได้

“พอมึงบอกว่าไม่โกรธเรื่องแม่ กูก็รู้สึกว่า คงไม่กลัวที่จะฟังความจริงเรื่องไหนอีกแล้ว”

ผมยิ้มละตอนนี้

“ผมมีความจริงจะบอก” ผมดัดเสียงเข้ม

“ว่า?”

“ผมอุฟุฟวยพี่”

เขายิ้ม

“กูก็มีความจริงจะบอก” เขาเสียงนุ่มโดยไม่ต้องดัด

“ว่า?”

“กูอุฟุฟวยมึง”

“ก็อปคำพูดอีกละ”

พี่ทัชเอื้อมมือมาบีบแขนผม บีบค้างอยู่หลายวินาที แล้วละมือไปกุมพวงมาลัยต่อ “กูบอกเรื่องเรากับที่บ้านแล้ว”

“ฮะ?”

“กูบอกเรื่องเรากับทุกคนที่บ้านแล้ว”

“อะไรนะ!” ตื่นเลย จากที่ยิ้มน้อยๆ เขินๆ กูตื่นแล้วตอนนี้!

“ต้องให้กูพูดกี่รอบ”

“เวลาจะพูดอะไรแบบนี้ คราวหลังพี่เกริ่นบ้างอะไรบ้างนะ นี่จู่ๆ ก็พูดเลย”

“ก็เกริ่นไปแล้วว่ามึงทำให้กูเลิกกลัวที่จะฟังความจริง กูเลยโอเคที่จะฟัง ไม่ว่าที่บ้านจะคิดเห็นเรื่องเราว่ายังไงก็ตาม”

“ชิบหาย แล้วเป็นไงบ้างอะ เล่าๆ”

“ก็โอเค”

“พี่อย่างี้ดิ เล่ามา ขอละเอียด เร็วๆ อะไรวะ พี่อย่าเงียบ”

“มึงพูดรัวขนาดนี้กูจะเล่าตอนไหน”

“ตอนนี้เลย เร็ว”

“กูก็บอกตอนกินข้าวกันพร้อมหน้า แม่เข้าใจ ไม่ว่าอะไรเลย เจ๊ณเทอบอกว่าดูออกตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนพ่อลุกขึ้นมาเต้น แล้วพ่อก็โยนภาระไปที่เจ๊เทอว่าพอแต่งงานแล้วต้องปั๊มหลานให้พ่อสามคนขึ้นไป เพราะกูเลือกทางนี้แล้ว จากนั้นก็เถียงกันเรื่องลูกเจ๊ณเทอต่อ แค่นี้แหละ”

“...” พอนึกภาพออก ครอบครัวพี่ทัชแม่งโคตรดี พ่อกับแม่พี่ทัชเติบโตมายังไงวะ เทวดารับไปเป็นลูกบุญธรรมเหรอ

“เราควรบอกแม่มึงด้วย มึงคิดว่าแม่จะว่าไง”

“ไม่รู้ดิ” ผมคิดอย่างจริงจัง แล้วก็พูดซ้ำ “ไม่รู้จริงๆ ว่าแม่จะคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“ให้กูคุยกับแม่ก็ได้ เอาไว้ให้มีจังหวะเหมาะๆ ก่อน”

“ไม่รู้อะพี่ เอาไว้ก่อนละกัน”

“อืม กูขอถามบ้าง ที่มึงว่ากูทำให้มึงเลิกเกลียดคำโกหก คือยังไง”

“ก็...จะเริ่มไงดีล่ะ”











____________________________


คิดถึงมากเลยค่ะทุกคน ^ ^!
หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ยิ้มออกได้บ้างในช่วงที่บ้านเมืองไม่ค่อยสดใสแบบนี้นะคะ

แล้วก็...มีเรื่องจะรบกวนสอบถามทุกคนหน่อยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาถามแยกไว้ในอีกตอนค่า
แต่ว่าไม่ได้เป็นคำถามที่ซับซ้อนอะไรนะคะ ไม่มีเก็บคะแนนจิตพิสัยนะคะไม่ต้องกลัววว (ฮ่ะๆ)
ถามเกี่ยวกับ Ebook นิดหน่อยค่า อาจจะต้องรบกวนหน่อยนะคะ T T (ไหว้โค้งงง)

รักษาตัว รักษาใจ ยิ้มเยอะๆ นะคะ ส่งกำลังใจให้ทุกคนในช่วงเวลาแบบนี้นะคะ!



นางร้าย
18.เมษา.2020

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
นะฑีดูหน้าด้าน แต่ขี้เขินนะ

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
อยากกอดก็กอดเลยจ้าาาาาา

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
 :pig4: ยิ้มไปอ่านไป ก็เพราะเขาอุฟุฟวยกันไปมานี่ล๊าาา มันกร๊าวใจดีแท้  :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด