แตะต้องครั้งที่36[/u]
จับบบ…หิวข้าวตามัวแถลงมั่วอย่างเป็นทางการโอ๊ยรำคาญใครๆ ก็อุฟุฟวย[/b]
ท้องฟ้าเป็นสีชมพู
ไม่ใช่อินเลิฟนะ หิวข้าว! ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เที่ยง เลยหน้ามืดจะเป็นลม เห็นท้องฟ้าสีส้มๆ ยามเย็นกลายเป็นสีชมพูไปแล้ว ที่ไม่กินข้าวเพราะล้างท้องไว้รอบุฟเฟ่ต์ชาบูโดยเฉพาะเลย แล้วที่ต้องมาฟาดบุฟเฟ่ต์นี่ก็เพราะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีล้วนๆ
เหตุมันเกิดจากช่วงนี้คุยจิ๊จ๊ะกับพี่ทัชบ่อยมาก มีอยู่ตอนนึงไม่รู้คุยกันอีท่าไหนผลสุดท้ายถึงมาเป็นแบบนี้
ขอย้อนอ่านแชตแป๊บ
NaTee(n): คถ
NATOUCH: อะไร
NaTee(n): มันเป็นตัวย่อ
NATOUCH: ตัวย่อทำไมไม่มีจุด
NaTee(n): ขี้เกียจใส่
NATOUCH: อืม ไม่แปลกใจ
NaTee(n): นี่ด่าใช่มั้ย
NATOUCH: คิดว่าไงล่ะ
NaTee(n): โอ๊ย เอ้า ใส่ให้
NaTee(n): ค.ถ.
NATOUCH: แปลว่า?
NaTee(n): ค.ว.ย.
NATOUCH: อะไรอีก
NaTee(n): คิดวิเคราะห์แยกแยะ
NATOUCH: แล้ว ค.ถ. คือ?
NaTee(n): ก็ให้คิดวิเคราะห์แยกแยะเอาไง
NaTee(n): นี่พี่ได้เกรด3.92 จริงปะ ของง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้
NATOUCH: ก็แค่คำง่ายๆ จะย่อทำไม
NATOUCH: ถ้าพิมพ์ยาวๆ แบบนี้ค่อยย่อ
NATOUCH: จ.บ.ค.ถ.ก.บ.ม.ท.ม.ต.ย.
NaTee(n): โห อะไรวะนั่น
NATOUCH: ย่อมาจาก ‘จะบอกคิดถึงก็บอกมาทำไมต้องย่อ’
NaTee(n): ไม่เล่นละ เบื่อ
NATOUCH: เบื่อหรือเขิน
NaTee(n): ผมเนี่ยนะเขิน
NaTee(n): รู้จักคนอย่างนะฑีน้อยไปแล้ว
NATOUCH: ก็คิดว่ารู้จักพอสมควรนะ
NATOUCH: อย่างน้อยก็รู้ว่าตอนนี้มึงเขิน
NaTee(n): ไม่ได้เขินเว้ยยยย
NaTee(n): เลิกแซวเรื่องนี้ได้ละ
NATOUCH: ก็มึงเขินจริง
NaTee(n): บอก
NaTee(n): ว่า
NaTee(n): ไม่
NaTee(n): ได้
NaTee(n): เขิน
NaTee(n): ไง!
NATOUCH: อือ ไม่เขินก็ไม่เขิน
NaTee(n): ทำไงถึงจะเชื่อ ให้ยืนตะโกนกลางมหา’ลัยเลยมั้ย
NATOUCH: มึงไม่กล้าหรอก
NaTee(n): นี่ใคร นะฑีนะ
NATOUCH: แค่จะบอกเพื่อนสนิทยังไม่กล้าเลยมั้ง
NaTee(n): นัดพวกมันเลย!
NaTee(n): บอกให้มันแคะหูมาด้วย
NATOUCH: ได้
นั่นละครับท่านผู้ชม หวังว่าจะเป็นการคุยข่มกันเล่นๆ แต่พี่ทัชดันเป็นคนจริงซะงั้น จัดการนัดทุกคนมารวมพลกันที่ร้านHappy Shabu วันนี้ แล้วคนอย่างผมคือแบบ...เสียท่าไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ จะปฏิเสธยังไงวะ แกล้งเมาน้ำชาแล้วทำเป็นลืมได้มั้ยวะ
ผมกับพี่ทัชมาถึงก่อนเวลา เราเลยเดินเล่นกันพลางๆ
โอเค ยอมรับก็ได้ว่าแม่งเขินชิบหาย เมื่อก่อนเดินคู่กันแทบจะขี่คอเขาเล่นอยู่แล้วยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร ทำไมตอนนี้ถึงเกิดอาการขนลุกซู่ซ่าตลอดเวลา
เพราะแววตาเข้มๆ ลุ่มลึกนั่นเหรอ
หรือเพราะหน้าที่โคตรหล่อ
หรือเพราะแผ่นหลังกว้างๆ
หรือจะเพราะอะไรก็ตาม มันไม่เกี่ยวกับนิ้ววิเศษของเขาเลย ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าพี่ทัชมีพลังเอกซ์เมนรีดเค้นความจริงได้เพียงแค่ใช้ปลายนิ้ว ทำไมอยู่ดีๆ เรื่องนี้ถึงดูพิเศษน้อยกว่ารอยยิ้มธรรมดาๆ ของเขาวะ
“ไปร้านหนังสือมั้ย” ผมถาม
“ไม่สบายรึเปล่า”
“อะไรล่ะ สบายดี”
“ก็เห็นมึงชวนไปร้านหนังสือ”
“เอ้า...นี่หลอกด่าอีกแล้วใช่มะ”
“ก็มึงไม่อ่านหนังสือ”
“อ่านดิ ไม่อ่านจะชวนเหรอ” ผมก็ไม่ชอบอ่านอยู่ดีนั่นแหละ แต่ชวนไปเพราะรู้ว่าพี่ทัชชอบ ให้เขาไปโฟกัสกับหนังสือฆ่าเวลา แววตาเข้มๆ นั่นจะได้เลิกพุ่งเป้ามาที่ผมแบบนี้ซะที
“งั้นก็ไปดิ”
เราเข้ามาในร้านหนังสือแล้ว แต่แทนที่พี่ทัชจะแยกตัวไปดูหนังสือที่ชอบ อย่างพวกปรัชญา กวี หรืออะไรก็ตาม เขากลับเดินเอามือล้วงกระเป๋าตามหลังผม
“พจนานุกรม” ทำไมต้องพูดใกล้หูขนาดนี้วะ ผมพลิกหน้าปกหนังสือในมือตัวเองดู เพิ่งตระหนักว่ามันคือพจนานุกรมภาษาอังกฤษ
“แล้วไง”
“มึงอ่านหน้าเดิมนานแล้ว”
“ไม่รีบอะ เป็นคนใจเย็น”
“ใครอ่านพจนานุกรมกัน เขามีไว้ค้น”
“คนฉลาดอ่านไรก็ได้หมดแหละ แล้วนี่พี่เป็นลูกเป็ดเหรอ ตามผมต้อยๆ ขนาดนี้”
“มึงเป็นแม่เป็ดเหรอ”
“กวนตีน แค่เปรียบเทียบมั้ย...แล้วทำไมต้องยืนใกล้ขนาดนี้ ถอยหน่อย” ผมเอาพจนานุกรมดันหน้าอกเขา แต่เขาขืนตัวไว้
“ขยับหลบคนไม่เห็นเหรอ”
“อ้อ” มีคนจะเดินแทรกผ่านหลังพี่ทัช แต่กูหน้ามืดตามัวไปหมดละ มองไม่เห็นอะไรแล้ว “แล้วไม่ไปหาไรอ่านอะ ไปดิ”
“กูหาเจอแล้ว”
“อะไร”
“อะไรที่น่าอ่านไง”
ไม่ใช่พจนานุกรมเล่มนี้แน่ๆ
สายตาแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะเล่นมุกเปรียบเทียบอ่านคนเหมือนอ่านหนังสือ อย่าพูดออกมานะเว้ย แค่นึกก็จั๊กจี้แล้ว
พี่ทัชไม่พูด และสายตากำลังอ่านผมอยู่
“มึงหลบดิ กูจะหยิบหนังสือเล่มนี้”
เอ่า เวรกรรม คือเขาเจอหนังสือที่น่าสนใจจริงๆ?
ไอ้ที่คิดเปรียบเทียบว่าเขาจะอ่านผมเหมือนอ่านหนังสืออะไรนี่ คือผมเพ้อเจ้อไปเองล้วนๆ ช้ะ?
“งั้นก็อ่านไป” ผมเบี่ยงตัวหลบ “พวกนั้นมายังวะ หิวไส้จะขาดละ” ผมเก็บพจนานุกรมคืนชั้น ควักมือถือมาโทรหาเจษ ปรากฏว่าพวกนั้นอยู่ที่ร้านแล้ว เสียงคุยที่แทรกเข้ามานี่คือกำลังสั่งเนื้อกันรัวๆ เลย “อ้าว นิสัย มาถึงนานแล้วทำไมไม่บอกวะ”
[บอกแล้ว] คนที่พูดตอบมากลับเป็นเปิ้ล ผมนึกภาพออกเลยว่าเปิ้ลแย่งมือถือเจษไปคุยยังไง [แหกตาดูแชตด้วย ทั้งคู่เลย รีบไสตูดมาได้แล้ว]
ผมรีบพาพี่ทัชไสตูดไปตามเสียงเรียกร้อง
ตอนเราไปถึง พวกกุ้งไก่สไลด์เนื้อก็ลงไปดำผุดดำว่ายกันอยู่ในหม้อกันแล้ว บางคนกินไปก่อนแล้วด้วย โดยเฉพาะพี่เห็ดนี่เคี้ยวคาปากเห็นๆ
อ้อ สมาชิกที่มาพร้อมหน้ากันวันนี้ นอกจากผมกับพี่ทัชแล้วก็มีรายนามดังต่อไปนี้ พี่เห็ด เจษฎา โอเปิ้ล และมีน้องสาวป้ายแดงของผมติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกคน ขาดเจ๊แคลไปคนนึง ก็อย่างที่รู้ๆ กัน เจ๊เคยมีบาดแผลทางใจกับพี่เห็ด ถึงในงานศพพ่อผมเห็นสองคนนี้คุยกันแล้วก็เถอะ แต่ร้านนี้มีความหลังกับทั้งคู่ งั้นอย่าเพิ่งให้มาเจอกันดีกว่า
หลังจากทุกคนทักทายกันด้วยมารยาทอันงาม เปิ้ลก็ถามว่า “ทำไรอยู่ถึงช้าวะนะฑี ขี้เหรอ”
“เปิ้ล” ผมพูดเสียงเบา “เดี๋ยวโต๊ะข้างๆ ก็ลุกมาเอาเบค่อนฟาดหน้าหรอก นี่ร้านอาหารนะมึง”
“ก็เห็นมึงมีปัญหากับท้องไส้ตลอด ถ้าหายไปนานๆ นี่คือไปขี้ ใช่มั้ยเจษ”
“ใช่”
“ถ้ามึงพูดคำนั้นอีกครั้งเดียว กูจับมึงกดหัวกับหม้อจริงๆ นะ เจษ มึงก็ด้วย หุบปากไปเลย”
“พี่นะฑีอย่าว่า นี่พี่รหัสหนู”
“จ้ะ น้องสาว...นั่งๆ พี่ทัช หิว” เราสองคนนั่งลงข้างกัน พี่ทัชสั่งชาร้อนเหมือนครั้งก่อนโน้น แต่คราวนี้ผมไม่เอาด้วยแล้ว ขอชาเย็นเท่านั้น
เข้าใจนะว่าพี่เห็ดอาจจะยังเฮิร์ท แกเลยเน้นกินไม่เน้นคุย แต่ไม่ได้ยินเสียงแกแล้ว เหมือนเหงือกผมจะคันยิบๆ จนอยู่เฉยไม่ได้
“อ้าวเฮ้ย นี่พี่เห็ดก็มาเหรอ แหม เคี้ยวเต็มปากไม่พูดไม่จาเลยนะ ไม่มีใครทำบุญให้นานแล้วอะดิ”
“กูก็ว่าจะไม่พูดแล้วนะ แล้วมึงอะใครกรวดน้ำให้ เคยปากเท่ารูเข็มไม่ใช่เหรอ หายได้ไง”
“ยังปากบางแก้วเหมือนเดิมนะพี่ แต่ไม่เถียงด้วยแล้วนะ จะกินละ หิว”
“เออ แดกซะ จะได้เงียบ”
เรากินกันไปเงียบๆ จริงๆ นั่นแหละ ทั้งที่มีคนปากหมาอยู่นี่ถึงสามคน
ผมน่ะเงียบเพราะมีความลับและพยายามตีมึนทำเป็นลืมๆ อยู่ พี่เห็ดน่าจะเงียบเพราะยังเจ็บปวดในทรวงเรื่องเจ๊แคล ส่วนเปิ้ลไม่รู้เงียบเพราะอะไร กลายเป็นว่าคนชวนคุยเยอะสุดคือนัชชา แต่ทุกคนก็แทบจะถามคำตอบคำอยู่แล้ว
หรือว่าพวกนี้รู้เรื่องกันหมดแล้ววะ เลยทำเป็นเงียบเพื่ออำผมอยู่แล้วค่อยหัวเราะเยาะทีหลังว่าผมป๊อด หันไปดูพี่ทัช เขาก็สีหน้าเรียบๆ ตามแบบฉบับของเขา แต่สีหน้าแบบนี้แหละ เห็นแล้วกดดันโคตร
เอาวะ แม่ง
ผมซดน้ำชาย้อมใจ รอจังหวะเหมาะๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหมาะจริงมั้ย แล้วใช้ตะเกียบเคาะ
แก๊งๆ แก๊งๆ
“มีเรื่องประกาศ” ผมพูดเสียงเบา
“ทำไม ต้องกลับอบายภูมิแล้วเหรอ” พี่เห็ด อย่าเพิ่งกวนตอนนี้ได้มั้ยวะ
“เรื่องใหญ่กว่านั้น”
เท่านั้นแหละ บรรยากาศเปลี่ยนทันที สีหน้าแต่ละคนจริงจังขึ้นโดยเฉพาะนัชชา คงจะคิดว่าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับอาการของแม่ผมแน่ๆ
ผมยืดอกขึ้น “เราสองคน” ชี้นิ้วใส่ตัวเองกับพี่ทัช “ตอนนี้...อุฟุฟวยกันแล้ว”
“อะไรฟวยๆ นะ” คราวนี้เป็นเปิ้ลถาม
“อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส”
“คือห่าอะไรวะนั่น” พี่เห็ดอะเกน
“เรารู้” เจษยกมือเสมอหู ทุกคนหันไปมองกันหมด “เดี๋ยวนะ…”
โอเคเจษ มึงเสิร์ชไป ทุกคนรออยู่
“เจอแล้ว นี่ไงบทความ คือมันมาจากคลิปดังในยูทูบจนเป็นไวรัลอยู่พักนึง เป็นชื่อของผู้ชายคนนึงที่ถูกสัมภาษณ์เรื่องบ้านพังๆ ของเขา เขาต้องพูดชื่อตัวเองซ้ำๆ เพราะมันยาวมาก จนคนสัมภาษณ์ยอมแพ้ปิดกล้องไปเลย แต่คลิปนี้คือการแสดงนะ ความจริงแล้วผู้ชายในคลิปชื่อDavid Igwe เป็นนักแสดงตลกและยูทูบเบอร์ชาวไนจีเรีย”
แน่นเปรี๊ยะ ขอบคุณครับเจษ
“มึงจะรู้ละเอียดขนาดนี้ไปเพื่อไรเนี่ย” พี่เห็ดถาม
“ก็…” เจษยักไหล่ “ประดับสมองครับ”
“ฟวยๆ ไรนะ พูดอีกทีซิ” พี่เห็ดหันมาทางผม
“อุฟุฟวยฟ่วยฟวยอันเยนทวยฟวยฟวยอุเวมอุเวมโอซาส” โคตรภูมิใจเลยที่พูดได้เหมือนเดิมเป๊ะ นี่ฝึกอยู่สองวันนะถึงจะไหลลื่นแบบนี้
“แล้วจะสื่อว่าอะไรวะ มึงกับไอ้ทัชเป็นฟวยอะไร”
“นะฑีจะสื่อว่า เราตกลงคบกันน่ะ”
พี่ทัช!
เงียบๆ อยู่แบบเดิมก็ดีแล้ว บทจะพูดขึ้นมานี่ก็เอาซะตรงเลย อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณขอให้ตั้งหลักปรับสีหน้าหน่อยได้มั้ย แล้วเป็นไงล่ะ อึ้งทึ่งเสียวกันไปหมด
เอ๊ะ หรือว่าไม่ถึงกับอึ้งขนาดนั้น เหมือนจะมีแค่ผมนี่แหละอึ้งสุด
“ว่าแล้ว” หลังจากเงียบกันไปนานเปิ้ลคือคนแรกที่พูด น้ำเสียงเหมือนสังเวช
“ไรเปิ้ล”
“สงสารพี่ทัชน่ะ...พี่ทัช ถ้ามีพระเครื่องหรือของดีอะไรก็พกติดตัวบ้างนะ ต่อไปพี่ดวงตกรัวๆ แน่”
“ขอบคุณนะโอเปิ้ล พี่จะลองหาๆ ดู”
เอ้า ไปรับมุกมันทำไม เดี๋ยวฟาดเลย
“เฮ้ย” พี่เห็ดเหมือนเพิ่งตั้งสติได้ “ไอ้ทัช เรื่องจริงเหรอวะ”
พี่ทัชแค่มองด้วยหางตา คล้ายจะสื่อว่าถามอะไรไม่คิดหรือสื่อว่าอะไรก็ตามเถอะ แต่พี่เห็ดขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเอื้อนภาษาดอกไม้ออกมา
“ชิบหายแล้วมั้ยล่ะมึง คบกับ…” พี่เห็ดผายมือใส่ผมเหมือนไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย “เนี่ยนะ มึงไม่ได้ตกบันไดหัวกระแทกอะไรงี้ใช่มั้ย”
พี่ทัชยังไม่ตอบ พี่เห็ดเลยหันมาหาผม “มึงใช้น้ำมันพรายใช่ปะ”
ผมยืดอก “ระดับนี้อะ แค่ขยิบตาก็พอแล้ว”
ดอกนี้ทำเอาพี่ทัชขำนิดๆ
“เฮ้ยทัช เอาดีๆ กูขอเหตุผล”
“เรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผลหรอก” เฉียบไปอีก สงสัยผมต้องอ่านปรัชญาบ้าง
“ไม่มีสักนิดเลยเหรอวะ อะไรก็ได้ ที่ทำให้กูเข้าใจง่ายขึ้น”
“นะฑีพูดเยอะ ฟังๆ ไปก็เพลินดี”
นี่หรือคือเหตุผล!
“เพราะผมพูดเยอะเนี่ยนะ” ผมแทบจะลุกขึ้นยืน “นี่คือคำชมใช่ปะ”
“ถ้าคิดว่าเป็นคำชมแล้วสบายใจ ก็แล้วแต่”
“เอ้าพี่ทัช เอาดีๆ ดิ” ผมยืนขึ้นละตอนนี้
พี่ทัชมองหน้าผม “ก็ได้ เพราะมึงทำให้กูเลิกกลัวที่จะฟังความจริง”
อ่า...
ผมค่อยๆ นั่งลง ไม่รู้จะจัดการมือไม้ยังไงจนเผลอปัดตะเกียบเกือบหล่นจากโต๊ะ
“นะฑีหน้าแดง ร้อนเหรอ เบาไฟที่หม้อลงหน่อยมั้ย”
“กูโอเคเจษ มึงแดกๆ ไป อย่าพูดเยอะ”
ตอนนี้ผมไม่กล้าสบตาใครตรงๆ แล้ว แต่จากหางตาเห็นได้ชัดว่าพี่เห็ดส่ายหน้าอย่างปลงๆ “กูว่าไม่เกินสามเดือน ฟันธงเลย”
“แหม พี่ทำเป็นพูดดี ดูตัวเองก่อนเถอะ”
“กูทำไม”
“เปล๊า” จะพูดก็ได้แหละว่าทีตัวเองยังมาวอแวกับเจษ แต่ไม่อยากเอาเพื่อนมาเป็นเครื่องมือในการโต้วาทีกับแก เจษเป็นคนดี เดี๋ยวผมบาปหนา
“หึ งั้นกูประกาศบ้าง ให้มันรู้กันไป...โอ๊ะ อย่าหยิก” ใครหยิกพี่เห็ดวะ ไม่ทันมอง “เอาเถอะน่า ยังไงเดี๋ยวก็รู้กันอยู่ดี จังหวะนี้แหละเหมาะ จะให้นะฑีปีจอมันข่มอยู่ฝ่ายเดียวได้ไง”
“ผมเกิดปีวอก”
“หมายถึงปากมึงอะ เอ้าประกาศๆ” แก๊งๆๆ พี่เห็ดเคาะตะเกียบรัว “แหกหูฟังนะทุกคน กูกับโอเปิ้ล...อุฟุฟวยฟ่วยฟวยใจระทวยอ่วยอ๊วยเลยเป็นแฟนแฟ่นแฟนกันแล้วเว้ยไอ้ซัส”
นั่นไง โดนแล้วมึงเจษ...เดี๋ยวๆ ไม่ใช่เจษ
เปิ้ลเหรอ?
อึ้งกันไปทั้งโต๊ะ แม้แต่ตัวเปิ้ลยังเงียบ มีแต่พี่เห็ดที่ยืดอกจน
“นี่เรื่องจริงเหรอ” ผมถาม
“จริงดิวะ”
“เปิ้ล ว่าไง”
เปิ้ลถอนหายใจแล้วยักไหล่เป็นคำตอบ
“ว่าแล้ว” ผมได้ยินเสียงแผ่วเบาหลุดจากปากตัวเอง ว่าแล้วมันแปลกๆ ตั้งแต่พี่เห็ดมาวอแวกับกลุ่มเราแล้ว เห็นเข้าทางเปิ้ลนึกว่าจะเคลมเจษ แต่จริงๆ ก็คือกะสอยเปิ้ลตรงๆ เลย อย่างที่พี่ทัชเคยบอกจริงๆ ด้วย ว่าพี่เห็ดไม่ใช่คนซับซ้อน “เดี๋ยวนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมถามต่อ
“สักพักแล้วเว้ย” ดูภูมิใจเหลือเกินนะพี่เห็ด
“แต่ๆๆ พี่แชตบอกเจษไม่ใช่เหรอว่าจะจีบเจษ”
“กูจะส่งให้เปิ้ล แต่ส่งผิดคน”
“เฮ้ย จะมาหักมุมง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้”
“แล้วมึงจะให้ยากแค่ไหน เห็นชีวิตกูเป็นหนังสยองขวัญซ่อนเงื่อนเหรอ”
แต่เรื่องนี้ทำผมสยองนะ
ผมมองหน้าเจษ “เจษ นี่มึงร่วมมือกับพี่เห็ดแกล้งกูรึเปล่า”
“เปล่าๆ พี่เขาส่งผิดจริงๆ แต่ตอนนั้นพี่เขามัวแต่ตื่นเต้นที่จะคุยกับเปิ้ลต่อ เลยไม่ได้บอกเราว่าส่งผิด นี่เพิ่งได้คุยกันจนเข้าใจเมื่อกี้เอง”
พี่เห็ดตบหลังเจษเบาๆ “กูไม่ได้ตื่นเต้น กูแค่ขี้เกียจบอก”
“อ้อ ครับ”
แกตื่นเต้นนั่นแหละ ทำเป็นฟอร์ม ผมยังจำวันนั้นได้รางๆ ถึงว่าดิ เปิ้ลแย่งมือถือเจษไปดูแล้วหัวเราะขนาดนั้น แล้วตำแหน่งการนั่งวันนี้คือพี่เห็ดคั่นกลางระหว่างเจษกับเปิ้ล ทีแรกนึกว่าพี่แกเจตนากระแซะเจษ แต่ที่แท้กลายเป็นเปิ้ลซะงั้น
แต่…
พี่เห็ดกับเปิ้ลเนี่ยนะ!
ผมมองหน้าทั้งคู่สลับไปมา “จูนหัวแป๊บ” ต้องนวดขมับแรงๆ แล้วหันไปมองอีก “โอเค ขอเหตุผล”
“เรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผลหรอกโว้ย”
“พี่ไม่ต้องก็อปคำพูดพี่ทัชเลย คิดเองดิ มีสมองรึเปล่า”
“ปากมึงนี่น่าเตะจริงๆ ว่ะ”
“บอกมาดิ ทำไม เปิ้ลมีดีอะไร”
“เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานมึงยังไม่รู้อีกเหรอว่าเปิ้ลมีดีอะไร”
ผัวะ!
ฝ่ามือน้อยๆ ของโอเปิ้ลฟาดลงกลางหลังพี่เห็ด
“ตีพี่ทำไมครับ พี่หมายถึงนิสัย” โห พี่เห็ดพูดเสียงสอง ขนลุกเว้ยยย เปิ้ลไม่พูดตอบอะไร แค่เบะปากใส่แล้วหันไปจิบน้ำชา พี่เห็ดเลยพูดกับผมต่อ “นั่นแหละ เปิ้ลนิสัยดีแล้วก็โสดอยู่ จบ”
“จริงดิ หน้าอย่างพี่เนี่ยนะ คิดแบบนี้”
“ก็เออดิวะ” พี่เห็ดหันมองเปิ้ล “คนดีใครไม่ชอบบ้าง อีกอย่าง ขาวๆ คิวท์ๆ มีริ้วตรงคอแบบนี้แหละสเป๊กพี่~” ว่าแล้วก็ปากว่ามือถึง เกาเหนียงเปิ้ลเฉย นี่จะคบเป็นแฟนหรือเลี้ยงเป็นหมาวะ
ผัวะ!
เออ แบบนั้นแหละเปิ้ล ฟาดเข้าไป
แทนที่จะสำนึก พี่เห็ดกลับซี้ดปากกึ่งหัวเราะ ดูโรคจิตสุดๆ แต่ก็ทำให้เปิ้ลยิ้มได้ซะงั้น นี่ก็ดูโรคจิตพอกัน
“เฮ้ยเปิ้ล มึงชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอวะ”
“ถูก”
“แล้วทำไม…” ผมผายมือใส่พี่เห็ด เหมือนผายใส่กองขยะเปียก
เปิ้ลทำเหมือนจะคิดอยู่แป๊บนึง แล้วก็ยักไหล่
“ทำไม” ผมถามย้ำ “มึงเปลี่ยนแนวเหรอ”
“ตกลงกันแล้วว่ากูไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ไม่ต้องแต่งหน้าไม่ต้องแต่งตัว เป็นแบบที่เป็นอยู่ เพิ่มเติมคืออยากไปไหนก็มีคนไปรับไปส่ง เวลาเซ็งๆ ก็มีคนให้ด่า จบ”
นี่หรือคือเหตุผล
ผมมองหน้าสองคนสลับไปมาอีก ยังไงมันก็ไม่ใช่อะ “เห็นแล้วปวดหัวเลยว่ะ”
มือข้างนึงตบไหล่ผมเบาๆ พี่ทัชนั่นเอง “ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวหรอก บางทีความสัมพันธ์ของคนเราก็ลงตัวในแบบของมัน”
“ไอ้ทัชพูดถูก/ถูก” พี่เห็ดกับเปิ้ลพูดพร้อมกัน จากนั้นพี่เห็ดก็หันไปยิ้มให้ ส่วนเปิ้ลแกล้งทำหน้าเซ็ง
“คำว่าลงตัวแหละใช่เลย อยู่กับเปิ้ลกูเป็นตัวของตัวเอง จะพูดหยาบยังไงก็ได้...แล้วก็ไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวอะไรมากมายหรอก แบบนี้ก็น่ารักอยู่แล้ว”
“ลองมาวุ่นวายกับการแต่งตัวดิ เจอกระโดดถีบขาคู่แน่”
“น่ารัก ขอเกาเหนียงหน่อย”
ผัวะ!
ฟาดไปอีกที ถึงจะดูโหดๆ ห้าวๆ ก็เถอะ สองคนนี้อาจพัฒนาไปจน (เกือบ) เป็นความสัมพันธ์แบบชายหญิงก็ได้ หรือไม่ก็เป็นอะไรแบบนี้แหละไปเรื่อยๆ
นี่คือความลงตัวแบบที่พี่ทัชว่าสินะ
“เอาเป็นว่าจะพยายามเข้าใจละกัน” ผมส่ายหัว “แต่ทั้งสองคนเลยนะ หาเวลาไปรดน้ำมนต์ซะบ้าง โคตรซวยอะที่มาเจอกัน แล้วก็ไม่ต้องเหน็บกลับละนะ จะกินต่อ”
แก๊งๆๆ
อะไรอีกวะนั่น
“หนูขอประกาศบ้างได้มั้ยคะ”
“ได้ดิน้อง มีอะไรประกาศให้โลกรู้ว่าไป” พี่เห็ดยุส่ง
“เป็นอะไรที่เกี่ยวกับความเลวหรือความโง่ของนะฑีรึเปล่า ถ้าใช่ รีบๆ ว่ามาเลย” เปิ้ล ตอนนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ
“เกี่ยวกับหนูเองค่ะ อะฮึ่ม…”
เจษส่ายหน้ารัวทำไม ไม่นะ
“หนูกับพี่เจษตกลง อุฟุฟวยฟ่วยฟวยมะระรวยอ่วยอวยมามุ้งมิ้งจุ๊บุจิ๊บิกันแล้วค่ะ”
นั่นไง
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมรีบถาม
“ไม่นานค่ะ”
“เจษ น้องกู แล้วนี่ก็น้องรหัสมึง มันผิดผีนะ”
“เรา เอ่อ...ขอโทษที” ไม่ปฏิเสธซะด้วย
“พี่นะฑีหวงน้องเหรอคะ”
“...”
“พูดค่ะ”
“เออ ก็ควรหวงมั้ย มีน้องคนเดียว”
“ดีค่ะ หวงเยอะๆ น้า หนูชอบให้คนหวง” ไม่พูดเปล่า มีเกาะแขนซบไหล่เจษเป็นการท้าทายพี่ชายอย่างผมด้วย “ตอนนี้หนูคบกับพี่เจษละ”
หน้าระรื่นมากน้องสาวกู แต่เจษนี่ไม่ใช่แค่พยายามแกะมืออีกฝ่ายออก แต่หน้าไปหมดละ เมื่อกี้ยังแซวผมว่าร้อนรึเปล่า พอถึงคราวตัวเองหน้าแดงเป็นปื้นลามมาถึงคอละ
“ขอเหตุผลที่คบกันหน่อย ทำไมคบ”
“พี่เจษเป็นคนดีค่ะ แล้วก็เนิร์ด จบ”
“เจษล่ะ มึง”
“อ่า ก็…”
“พี่เจษบอกไปเลย เหมือนที่บอกหนูอะ พูด”
“คือ…”
“พูดค่ะ”
“เพราะเซ็กซี่ แล้วก็น่ารัก” หน้าจากที่แดงอยู่แล้ว ตอนนี้แดงเถือกไปเลย
“เห็นมะ แค่นี้เอง พูดคำว่าจบต่อท้ายด้วยค่ะ”
“เซ็กซี่และน่ารักครับ จบ”
“เจษ กูถามหน่อย มึงแยกคำว่าเซ็กซี่กับน่ารักออกมั้ยวะ มันไม่เหมือนกันนะเว้ย” ผมถาม
“แยกออก แต่น้องนัชชามีทั้งสองอย่าง เราก็เลย...ชอบ นะฑี ขอโทษนะ เราไม่ควรรู้สึกอะไรกับน้องรหัส และยังเป็นน้องเพื่อนด้วย แต่เราก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้”
เจษ มึงมันร้าย! พูดยาวกว่าเพื่อนเลยนะ
ผมถอนหายใจอีกรอบ “เออๆ คบกันไปเถอะ ตอนนี้กูเลือกไม่ถูกเลยว่าจะห่วงน้องหรือเพื่อนดี”
จู่ๆ พี่เห็ดก็ยกแก้วน้ำชาชูมาตรงกลางวงโดยไม่พูดไม่จา
“อะไรพี่เห็ด จะเติมน้ำชาทำไมยังเต็มแก้วอยู่ หรือขอส่วนบุญ” ผมเหน็บไปดอกนึงเพื่อระบายความอัดอั้น
“มึงนี่มันสมองมดจริงๆ” แกเหน็บกลับ “ก็ตอนนี้อุฟุฟวยกันหมด ต้องชนแก้วหน่อยดิวะ มาทุกคน”
ทุกคนยกแก้วของตัวเองมาชนกันตรงกลางโต๊ะ แม้แต่พี่ทัชก็ยกชาร้อนของตัวเองมาแตะด้วย เหลือแค่ผมที่ยังปรับตัวกับความจริงเรื่องนี้ไม่ทัน เลยนั่งกะพริบตาเล่นอยู่
“นะฑีมึงอย่านอกรีต เร็วๆ กูเมื่อย” เปิ้ลหน้าเซ็ง
ผมเลยยอมยกแก้วชนด้วย “เออ ฟวยก็ฟวย จบ”
หลังจากแก้วทุกใบชนกันดังกิ๊ง ต่างคนต่างก็จิบน้ำชาราวกับว่าเป็นพิธีร่วมสาบานของลัทธิประหลาดสักอย่าง เหมือนการอวยพรให้ความสัมพันธ์ฟวยๆ ของเราทั้งสามคู่
“ยังไม่จบค่ะ” นัชชาพูดหลังจากวางแก้ว “ทุกคนบอกเหตุผลกันหมด แต่พี่นะฑียังไม่ได้บอกเลยว่าทำไมตัดสินใจคบพี่ทัช”
“เออจริง ซวยละมึง คนสุดท้ายห้ามลอกคำตอบคนอื่นนะเว่ย” พี่เห็ดดักคอไว้ก่อน “ห้ามบอกนะว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีเหตุผล”
“พูดค่ะ” นัชชาย้ำ
สายตาทุกคู่ส่งแรงกดดันมาที่ผม ไม่เว้นแม้แต่พี่ทัช ถึงเขาจะไม่ได้จ้องมองอย่างเอาจริงเอาจังก็เถอะ แต่มีแววความอยากรู้จางๆ เจืออยู่ในดวงตาสีน้ำตาลนั่น เป็นแววตาที่ผมไม่เคยเห็นบนใบหน้าพี่ทัชมาก่อน ผมตัดสินใจรวบรวมพลังใจมองหน้าเขาตรงๆ นึกหลอกตัวเองว่าตอนนี้มีแค่เรานั่งกันอยู่สองคน แล้วปล่อยให้ความจริงไหลผ่านปากออกไป
“เพราะพี่ทำให้ผมเลิกเกลียดที่จะนึกถึงคำโกหก”
“กูเปล่า ถ้ามึงก้าวข้ามความรู้สึกนั้นได้ก็เป็นเพราะตัวมึงเองมากกว่า” พี่ทัชพูด ท่าทีเหมือนว่ามีแค่เราสองคนด้วยเหมือนกัน
“เพราะมีพี่อยู่ด้วยต่างหาก”
“...”
“...”
พี่ทัชเลื่อนมือมากุมมือผมอยู่ใต้โต๊ะ และพาไปวางพักไว้บนต้นขาของเขาโดยไม่มีใครมองเห็น ผมรู้สึกได้ถึงผิวของพลาสเตอร์ที่นิ้วเขา แต่ในความรู้สึกเหมือนว่าไม่มีอะไรขวางกั้นเลย พี่เห็ดชวนชนแก้วอีกรอบ คราวนี้ผมกับพี่ทัชไม่ได้ยกแก้วร่วมด้วย แต่พวกนั้นก็ยังชนและดื่ม ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการอวยพรให้เราสองคนมากกว่า
ชนแก้วเสร็จก็ชวนกันคุยต่อ
พี่ทัชไม่พูดอะไร
ผมไม่พูดอะไร
มือยังกุมกันอยู่ จนผมรู้สึกขึ้นมาแวบนึงว่าทั้งโลกใบนี้มีเรานั่งกันอยู่แค่สองคน อยู่ไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดีนะ โคตรดีเลย แต่…
“พี่ ปล่อยเถอะ” ผมกระซิบ
“...” พี่ทัชเลิกคิ้วนิดๆ
“พี่เห็ดแย่งกินเบค่อนหมดแล้ว ผมหิว”
____________________________________________
ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
ได้อ่านทุกคอมเมนต์เลยนะคะ อยากบอกว่ารู้สึกดีมากเลยที่ทำให้หลายคนหัวเราะ+ยิ้มได้ในช่วงเวลาเครียดๆ แบบนี้
ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้ทุกแบบเลยนะคะไม่ต้องเกรงใจเลย
รับได้หมดเลยค่า ชอบมากๆเลยที่ได้รับฟังความคิดของทุกๆคนค่ะ
รักมากเลยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งที่ให้เกียรติและสละเวลาเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ มันมีค่าต่อใจมากเลยค่ะ T^T
โชคดีมากเลยค่ะที่ได้มารู้จักทุกคน <3
นางร้าย
3.เมษา.2020