Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)  (อ่าน 34986 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
หมอเอ้ย เจอของดีเมืองเชียงรายเข้าให้แล้ว ข้าวปั้นดูแลแขกดีๆ นะอย่าให้เสียชื่อคนเชียงราย อิอิอิ

ออฟไลน์ BitterCucumber

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เปิดประสบการณ์ใหม่นี่ทำอะไรกัน :hao7:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
จะตื่นไหวมั้ย ข้าวปั้น 555,,,

ออฟไลน์ brapair

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เอ็นดูหมอเมายาดอง55555

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 35

หมอครับ Marry Me (เกมนับนิ้ว)


   ผมถูกปลุกให้ไปช่วยงานตอนตีห้า ในขณะที่เจ้าสาวและเพื่อนๆ เจ้าสาวลุกขึ้นมาแต่งหน้ากันตั้งแต่ตีสามเพื่อให้ทันพิธีหมั้นในตอนเช้าตามฤกษ์ คนที่ปลุกผมก็คือหมอที่ต่อให้เขาเมาเละเทะยังไงก็ยังคงเป็นคนที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกแล้วสะดุ้งตื่นตลอดอยู่ดี

   ผมงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพที่เปลือยเปล่า แม้ว่าเมื่อคืนจะไม่หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด แต่ก็เล่นเอาหมดพลังงานไปเยอะเหมือนกัน คนตัวโตเดินโซเซไปเข้าห้องน้ำ ไม่นานก็กลับออกมาด้วยสติที่แจ่มชัด เขาเดินมานั่งบนเตียงพลางลูบหน้าผมที่นั่งซึมกระทือเหมือนคนไม่มีสติจากอาการความดันต่ำ

   “จะอาบน้ำมั้ยครับ”

   ได้ยินเสียงเขาผมก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที กะจะอ้าปากโวยวายเสียหน่อย แต่รู้สึกเหมือนกรามจะค้าง ผมยกมือจับปากตัวเองที่บวมเจ่อ ปวดหนึบจนน้ำตาคลอ คนที่เป็นสาเหตุจับปลายคางผมให้เงยขึ้น ผมตาขวางใส่หมอที่อมยิ้มขำ สะบัดหน้าหนี

   “เป็นอะไรครับปั้น”

   “ปวดปาก”

   ผมตอบห้วนๆ คนตัวโตหลุดขำพรืดออกมาจนผมเตรียมจะลุกหนีด้วยความไม่พอใจ หมอคว้าร่างผมมากอดโอ๋แล้วจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากที่มีรสคาวหลงเหลืออยู่ แรงจูบของเขาทำให้ผมรู้สึกปวดเข้าไปอีกจนต้องผลักอกแน่นใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวออก

   “อื้อ! เจ็บนะครับ”

   “ขอโทษครับ”

   หมอถอนจูบออกมาเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมาจูบใหม่ให้เบากว่าเดิมอย่างชอบอกชอบใจอีกครั้ง เขาจูบผมซ้ำๆ จนได้ยินเสียงน้ำลายดังจ๊วบจ๊าบอย่างน่าอาย ผมเลยต้องประท้วงไปอีกรอบ คนเอาแต่ได้ถึงยอมถอนปากออกมา สีหน้าและแววตาของเขาดูสุขสมรื่นรมย์จนน่าหมั่นไส้

   แหงสิวะ! เมื่อคืนผมตามใจเขาเกือบสามรอบ แล้วแต่ละรอบกว่าจะเสร็จโคตรนาน!

   จนรอบที่สามรอบสุดท้ายนั่นแหละที่ผมถอดใจยอมแพ้ นั่งน้ำตาคลอเบ้าแล้วบอกเขาว่าผมปวดปาก คนที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านถึงได้ยอมฉุดผมขึ้นมาบอกขอโทษก่อนจะสลับทำให้ผมบ้างเพื่อเป็นการตอบแทน

   ถือเป็นการเปิดประสบกาณ์ใหม่ครั้งแรกของนายข้าวปั้นเลย

   “อย่าพึ่งบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากนะครับ อันตราย เดี๋ยวค่อยไปกินอะไรดับคาวเอา”

   หมอบอกผมที่ทำหน้างอรับ

   “ครับ”

   

   ขบวนขันหมากจะถูกแห่มาจากหน้าประตูไร่อันนาที่วันนี้ถูกตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้สดและโคมแดง เหล่าบรรดาเพื่อนเจ้าสาวเจ้าบ่าวพากันขนกล้องมาช่วยเก็บภาพบรรยากาศให้คู่บ่าวสาวกันเองโดยที่ไม่ต้องเสียเงินและเวลาติดต่อหาช่างภาพเลยสักนิด อย่างน้อยๆ เพื่อนผมก็พกกล้องมากันทุกคน เลนส์บางคนซูมได้ยันยอดเขา

   บ้านผมจัดงานแบบผสมๆ ระหว่างจีนกับไทย ในตอนเช้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะมาทำพิธีสงฆ์กันบนชานบ้านเรือนใหญ่ให้เป็นสิริมงคล เมื่อเสร็จแล้วพวกเจ้าบ่าวถึงจะไปตั้งขบวนแห่ขันหมากจากหน้าประตูไร่กัน แน่นอนว่าผู้ชายอย่างพวกผมก็ขอไปเฮฮาสนุกสนานกับฝั่งเจ้าบ่าวอยู่แล้ว

   เมื่อขบวนขันหมากเข้าสู่ตัวบ้านพร้อมเสียงโห่ร้องของบรรดาแก๊งขี้เมาเมื่อคืน เพื่อนเจ้าสาวก็พากันรีดพากันไถซองแดงจากเจ้าบ่าว ผมเห็นแล้วอยากจะขอไปยืนจับสร้อยเงินสร้อยทองด้วยจริงๆ เมื่อผ่านด่านเพื่อนเจ้าสาวแล้ว ก็ถึงคราวเชิญเถ้าแก่และพ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาว เข้าสู่พิธีหมั้นและพิธีแต่งในคราวเดียว มีขันหมากเอกและขันหมากโทที่ใช้สำหรับพิธีมงคลตามธรรมเนียม สินสอดทองหมั้นถูกวางเรียงไว้เบื้องหน้าเวที โดยที่มีเจ้าสาวเจ้าบ่าวนั่งอยู่บนพื้นพรม บนเก้าอี้ไม้มีพ่อแม่ของทั้งคู่นั่งอยู่

   ผมที่เป็นหนึ่งในขบวนเพื่อนเจ้าบ่าวอยู่ในในชุดไทยย้อนยุค นุ่งโจงกระเบนสีทองกับเสื้อราชประแตนสีขาว ยกกล้องของตัวเองขึ้นมาถ่ายเก็บบรรยากาศ ข้างๆ กันมีหมอในชุดสูทสีฟ้ายืนสะพายกระเป๋ากล้องใบเล็กที่ใส่เลนส์แยกของผมไว้ให้เผื่อผมอยากเปลี่ยน ผมมองภาพของพี่สาวที่กอดป๊ากับม๊าร้องไห้ในพิธียกน้ำชา มองภาพการแลกแหวนซึ่งกันและของคู่รัก มองภาพเจ้หอมก้มกราบลงบนตักพี่กรครั้งแรกและคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่กรจะมีสิทธิ์ข่มเมีย เขาทำหน้ามาเหนือโชว์เพื่อนก่อนจะหน้าเบี้ยวเพราะแอบโดนหยิกจากภรรยาหมาดๆ

   พิธีหมั้นและแต่งผ่านไปด้วยดีโดยใช้เวลาไม่นานมาก เจ้าบ่าวเจ้าสาวแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเป็นชุดงานตอนเย็น พอดีกับที่เป็นช่วงทานบุฟเฟต์มื้อเที่ยง

   แขกร่วมงานมงคลมากกว่าครึ่งที่ผมไม่รู้จัก ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าวเจ้าสาว มีทั้งชายและหญิง แน่นอนว่าหล่อดูดีแบบหมอกับพี่ดินย่อมมีสาวๆ แวะเวียนเข้ามาหวังแจกผ้าเช็ดหน้ากันไม่ขาดสาย ส่วนน้องชายเจ้าสาวอย่างผมก็โดนบรรดาเฮียๆ ญาติๆ ที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ บางคนลงทุนบินมาจากต่างประเทศเพื่อร่วมยินดีกับหลานสาวคนเล็กของตระกูลลากไปถามไถ่และถ่ายรูปด้วย

   “ข้าวปั้นครับ”

   ผมหันไปตามเสียงเรียกเห็นคุณหมอยกเจ้าไลก้าสีดำขึ้นมากดแชะ ผมหัวเราะชูสองนิ้วให้เขา หมอยิ้มล้อเลียนก่อนกดถ่ายอีกรอบ ดูท่าเขาจะติดใจผมในชุดราชประแตนนี่เพราะเอาแต่มองยิ้มมาตั้งแต่เช้า

   “หมอยิ้มครับ”

   ผมยกโซนี่ของตัวเองขึ้นมาถ่ายบ้าง นานๆ ทีจะมีโอกาสได้เล็งกล้องใส่ใคร ผมเดินเก็บภาพบรรยากาศไปทั่วงาน เป็นทั้งคนถ่ายและถูกถ่าย ก่อนจะได้เวลาไปเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมสำหรับงานตอนเย็น

   ผมกับหมอกลับมาที่ห้องเพื่อมาอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดสูท หมอเปลี่ยนจากสูทสีฟ้าเป็นสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ตามตีม ผมเองก็เช่นกัน ระหว่างที่คิดว่าจะแอบงีบรอหมออาบน้ำ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล้องราคามากกว่าแสนจึงตะโกนขออนุญาตเอามากดดูรูป ผมไล่ดูก็แอบอายเบาๆ เพราะส่วนใหญ่รูปที่ถ่ายเป็นรูปของผมแทบทั้งนั้น

   “หมอ ทำไมไม่ถ่ายคนอื่นบ้างเนี่ย” ผมงึมงำเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว หมอขยี้หัวผมเบาๆ ก่อนจะเลี่ยงไปใส่เสื้อผ้าชุดใหม่

   “ไม่ได้เห็นปั้นอยู่ในชุดแบบนี้ทุกวันซะหน่อย”

   “คิดอะไรกับผมรึเปล่าครับ”

   ผมแซวขณะนอนหงายดูรูปอย่างไม่คิดอะไร แต่หมอกลับเดินมาหยิบกล้องออกไปจากมือแล้วกดถ่ายผมอีกรอบโดยไม่ทันตั้งตัว เฮ้! สภาพผมตอนนี้มันน่าถ่ายที่ไหนเล่า

   หมอก้มมองรูปที่ถ่ายหมาดๆ แล้วผงกหัวยิ้มหยอก

   “รูปนี้สวย”

   “ลบเลยนะ!”

   ผมแย่งกล้องจากเขา หมอหัวเราะแล้วรวบผมมากดจูบที่หน้าผาก

   “อยากแต่งงานบ้างมั้ยครับ”

   “หืม... แต่งงาน? แต่งกับใครครับ หมอจะหาเจ้าสาวให้ผมเหรอ?” ผมยักคิ้วให้คนที่สวมเสื้อแต่ยังไม่ติดกระดุม หน้าอกแน่นๆ ของเขาทำให้ผมนึกอยากข่วนขึ้นมาจริงๆ คนตัวสูงขมวดคิ้วแน่น เขายืดแขนออกไปจนสุดแล้วกดชัตเตอร์อีกครั้งในมุมเซลฟี่ เล่นเอาผมแหวลั่น

   “หยุดถ่ายได้แล้วหมอ ลามก!”

   “พูดจาไม่น่ารัก ไปใส่เสื้อผ้าครับ ไม่งั้นจะโดนดี เร็ว”

   ผมย่นหน้า ก้มมองตัวเองที่อยู่ในสภาพล่อแหลม เพราะร้อนจากแดดช่วงสาย พอเข้าห้องเลยถอดออกแม่งทุกอย่างเหลือแค่เสื้อกล้ามยานๆ กับบ็อกเซอร์ย้วยๆ ก็ไม่คิดว่าสภาพเน่าๆ นี้หมอก็ยังจะอุตส่าห์คิดลามกไปได้

   “คร้าบ”

   

   งานปาร์ตี้ตอนเย็นครึกครื้นไปด้วยอาหาร และขาดไม่ได้ก็คือเหล้าเบียร์ งานนี้เอาไว้สนองนี้ดบรรดาวัยรุ่นก่อนส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าห้องหอตอนสี่ทุ่มตามฤกษ์ และเป็นการล้วงความลับของบ่าวสาวไปด้วยในตัว บรรยากาศสนุกสนานที่มีแต่ความยินดีให้กับคู่ข้าวใหม่ปลามัน และก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากงานเลี้ยงรุ่นที่จะมีโอกาสมาพบปะกันแค่ไม่กี่งาน

   ผมที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานกับเพื่อนเก่ารุ่นเดียวกันถูกคนนึงสะกิดให้หันไปมองหญิงสาวที่กำลังเดินถือแก้วเครื่องดื่มเข้ามาใกล้

   ผมหันไปยิ้มกว้างให้เธอ

   “แต่งหล่อเชียวปั้น” เหมยยื่นแก้วเข้ามาเป็นเชิงว่าขอชนหน่อย ผมชนกลับก่อนชมเธอตอบ

   “เหมยก็สวยเชียว”

   กลุ่มเพื่อนที่รู้ว่าผมกับเหมยเคยคบกันเอ่ยแซวอย่างออกนอกหน้า

   “ฮั่นแน่! รักนี้มียูเทิร์นรึเปล่าน้อออออ ไอ้ข้าวปั้น” ไอ้วิทย์ เพื่อนร่วมชั้นสมัยมอปลายแหย่ผมที่ส่ายหน้าเอือมระอา เหมยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอาผมทัดหลังหู

   “หยุดแซวเลยเหี้ยวิทย์” ผมด่ากลับ ในขณะที่เหมยเอียงคอ “นั่นสินะ ถ้าปั้นอยากยูเราก็ว่าน่ายูเหมือนกัน”

   “ล้อเล่นอะไรเหมย เดี๋ยวไอ้พวกนี้ก็จริงจังหรอก”

   ผมว่าไปแบบไม่คิดอะไร แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าผมจะไม่ได้เข้ามาคุยแค่เพื่อแหย่เล่น บรรยากาศสลัวๆ กับแอลกอฮอล์มันก็ทำให้คนกล้าที่พูดและทำมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่า ‘แฟนเก่า’ เหมยเลียริมฝีปากเหมือนหนักใจ เหลือบมองเพื่อนวิทย์และคนอื่นๆ ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินจนทำให้พวกมันโพล่งออกมาว่าจะไปเอาไก่ทอด เหมือนเปิดโอกาสให้ผมกับเหมยได้คุยกัน

   เหมยสูดลมหายใจก่อนจะเข้ามายืนข้างๆ ผมที่พิงราวระเบียงอยู่ เธอเท้าแขนลงบนราวก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมา

   “เราอยากขอโทษ”

   ผมเงียบไป ยกแก้วเหล้าขึ้นซดก่อนจะตอบ

   “อืม... ไม่เป็นไร เราไม่ได้คิดอะไรแล้ว” ผมไม่มองหน้าเธอ แต่มองไปบนเวทีที่มีเจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังตอบคำถามพิธีกรอยู่ตามคำเรียกร้องของบรรดาเพื่อนๆ

   “ไม่ได้คิดอะไรแล้ว หมายความว่า... ไม่โกรธเรา หรือไม่ได้ชอบเราแล้วล่ะ”

   “เหมย”

   ผมหันไปมองเธอตรงๆ ก่อนจะยิ้มให้

   “เราโชคดีที่เคยได้คบกับเหมย แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว” ผมถอนหายใจยาว ส่วนเหมยทำหน้าเศร้า เธอยกปลายเท้ากระเทาะพื้นเป็นจังหวะเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าที่จะพูด

   “เราไม่น่าบอกเลิกปั้นเลย... เรายอมรับว่าตั้งแต่เลิกกับปั้นมา ไม่เคยมีใครดีกับเราเท่าปั้น”

   “เหมย...” ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หญิงสาวเบือนหน้ามายิ้มให้

   “เราผิดเองแหละที่ปล่อยคนดีๆ แบบปั้นไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”

   “อืม... เราก็ผิด”

   “แต่ก็ช่างเถอะ เราแค่อยากมาขอโทษที่วันนั้นทำตัวทุเรศบอกเลิกปั้นแบบไม่เหตุผล” เหมยแย้มรอยยิ้มให้เหมือนแต่ก่อน รอยยิ้มที่มีแต่ความหวังดี

   “เราดีใจนะที่ได้เจอปั้นอีกครั้ง”

   “เหมือนกัน”



   ในที่สุดก็ถึงช่วงส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าเรือนหอโดยห้องหอคืนนี้คือห้องของเจ้ข้าวหอมเอง และแน่นอนว่าไม่มีใครกล้านอนบนเรือนใหญ่ฝั่งนั้นเพื่อไม่ให้ขัดขวางกิจกรรม... เอ่อ... การพูดคุยกันระหว่างคู่ข้าวใหม่ปลามันในคืนแรกนี้ แขกเหรื่อผู้ใหญ่ส่วนมากกลับไปตั้งแต่พิธีเช้า เหลือแค่เพื่อนๆ เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยังอยู่ฉลองต่อในพิธีเย็น

   แต่ว่าพิธีส่งตัวน่ะมันก็เป็นแค่พิธี หลังจากจบพิธี เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาสุดเหวี่ยงกับเพื่อนฝูงในงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้กัน แน่นอนว่าหัวเรือใหญ่หนีไม่พ้นเฮียปุ้นผู้ชื่นชอบเหล้าเบียร์และเสียงเพลง บอกได้คำเดียวว่าเละ!

   แล้วผมมีหรือจะยอมเป็นเด็กดี นั่งจิบเบียร์หนึ่งกระป๋อง ผมขอหมอไว้ตั้งแต่วันแรกเลยว่า งานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ผมจะสนุกกับครอบครัว เพราะเป็นวันสุดท้ายที่เจ้หอมของผมจะใช้นามสกุลตัวเอง ผมต้องฉลองให้เจ้ของโพ้ม!

   บรรยากาศแทบไม่ต่างอะไรกับงานเลี้ยงสละโสดเมื่อวาน แค่วันนี้ชายหญิงแจมร่วมกันที่เรือนใหญ่ และแทนที่คนที่โดนมอมจะเป็นเจ้าบ่าวไม่ก็เจ้าสาว แต่ไหงกลายเป็นน้องชายเจ้าสาวอย่างโพ้มล่ะครับ!

   กินไปกินมา จากปาร์ตี้แดนซ์กลายเป็นปาร์ตี้วงไพ่อีกแล้ว เหลือคนที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ไม่กี่รายที่ยังนั่งเล่นป๊อกเด้งกันอยู่แบบมึนๆ อ่านตัวเลขหน้าไพ่กันแทบไม่ออก

   “ไอ้เชี่ยข้าว! นี่กี่นิ้ว”

   พี่เจี้ยนโบกนิ้วตรงหน้าผม ที่นั่งอยู่แถวๆ วงไพ่กำลังเล่นป๊อกเด้งอย่างสนุกสนาน ผมหรี่ตามองตามนิ้วที่ชี้ไปยังเป้ากางเกงของพี่ดินก่อนจะตอบ

   “สามนิ้ว!”

   ผัวะ!

   พี่ดินโบกหัวผมไปทีนึงจนหน้าคว่ำ

   “สามเหี้ยไร อย่างกูต้องเรียกดินสิบนิ้ว!”

   อะไรสิบนิ้ววะ? แล้วพี่เจี้ยนมันถามนิ้วอะไรกูวะ?

   “อ้อ... เคร สิบก็สิบ”

   ผมหัวเราะก่อนจะหันไปถามเฮียปุ้นที่กำลังเล็งไพ่

   “เฮียปุ้น! นี่กี่นิ้ว!”

   ผมชี้ไปที่เฮีย เฮียยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะก้มมองหว่างขาตัวเอง

   “ปกติใช้ 56 ไม่สุดโคน เฮ้ย! หลายนิ้วอยู่นะ อย่าถามเฮียเป็นนิ้ว ให้ถามเป็นศอก!”

   เอ้า! ศอกเหี้ยอะไรอีกเฮีย กูถามนิ้ว!

   วงไพ่กลายเป็นวงนับนิ้วไปซะงั้น ผมหันขวับไปมองคนที่นั่งดื่มอะไรเบาๆ อยู่ด้านหลัง วงไพ่ตั้งกันอยู่บนพื้นชานหลังบ้านที่เคยเป็นสถานที่จัดโต๊ะกินเลี้ยง เจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกหามเข้าห้องหอไปเรียบร้อย เหลือแต่พวกผมที่ยังไม่ยอมไปหลับไปนอน

   พอผมหันกลับไป ระดับหน้าของผมมันอยู่ระดับเดียวกับเป้ากางเกงของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พอดี ผมมุ่ยปากก่อนจะชี้นิ้ว

   “นี่กี่นิ้ว?!”

   ผมมองคอเอียงก่อนจะหันกลับมาถามคนอื่นๆ ที่ยื่นหน้าจ้องตามนิ้วผม เฮียปุ้นหัวเราะเอิ๊กๆ ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ

   “ของเชี่ยคินน่าจะแค่สามนิ้ว เชื่อกู”

   “เฮ้ กูว่าของหมอน่าจะสามนิ้วครึ่ง” พี่ดินเอาบ้าง

   “เหยดดดดดดดดด สามนิ้วครึ่ง ของกูเท่าไหร่ว้า วัดแป๊บ...” พี่เจี้ยนหลุบตามองของตัวเองก่อนทำท่าจะควักออกมาวัดนิ้ว แต่โดนเฮียปุ้นตีมือเพียะ

   “จะควักนิ้วมาโชว์ทำไม? เดี๋ยวเฮียวัดให้เอง หยุด!”   

   ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากก่อนจะจิปากจุ๊ๆ ส่ายมือไปมา คนพวกนี้มีตาหามีแววไม่จริงๆ

   “อย่ามาดูถูกหมอนะเฮ้ย! อย่างหมออคิน ผมวัดมาเองกับมือ ให้เลยเจ็ดนิ้ว!”

   “ข้าวปั้น”

   เสียงดุๆ ดังมาจากด้านบน ผมเงยหน้าขึ้นเจอกับสายตาสีเขียวที่เหมือนจะแดกผมเข้าไปทั้งตัว แต่ผมสนที่ไหน ดูถูกใครดูถูกได้ แต่จะมาดูถูกคุณหมอของผมไม่ได้นะ!

   แต่ละคนเบิกตากว้าง หันขวับทันที ในขณะที่ผมยกยาดองของดีเมืองเชียงรายขึ้นกระดกอึกๆ ก่อนจะเกทับไปอีกดอก

   “สุดคอเลยขอบอก”

   จากนั้นผมก็โดนหิ้วปีกกลับห้องทันที สิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้คือก็เสียงดุจัดของหมอที่ฟังแล้วบาดใจเหลือเกิน

   “โดนแน่ครับข้าวปั้น”

   “ก็มาดิค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ”




ก็มาดิค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
น้องยูอ่านทุกคอมเม้นต์เลยน้า ขอบคุณที่เอ็นดูพิหมอของหนู
อีกสองตอนจะจบแล้วนะค้า
ขอบคุณที่ยังทนอ่านกันอยู่เเม้จะนานๆ เเวบเข้าเล้ามาทีนึงก็ตาม เเฮ่ๆ
สามารถตามไปอ่านชอตสตอรี่ได้ตามเเท็กของยูน้า มีรูปของยูวาดๆ อยู่ตามนั้นด้วย

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
เมาแล้วรั่วมากข้าวปั้น  โดนหมอจัดหนักแน่  :laugh:

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
น้องปั้นนนนนน ไม่รอดแน่นอน 555

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โดนอน่ๆข้าวปั้นวันนี้ไม่น่ารอด แต่พุ่งนี้เช้าตื่นมาจะกล้ามองหน้าใครมั้ย  :laugh:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
หมอโดนเฮียปุ้นจัดการทีหลังไหม

ออฟไลน์ Zappp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งเข้ามาเจอเรื่องนี้ อ่านรวดเดียวจบเลย

สนุกมากค่ะ

ติดตามอยู่นะคะ รีบมาต่อไวไวน้าาา

 :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
5555. เมาแล้วเรื้อนจริงๆเลย,,,

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 36

หมอครับ ป๊ารู้แล้ว


   ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวและปวดตัว พอก้มมองดูสภาพตัวเองแล้วถึงกับร้องเชี่ยออกมา

   ไอ้รอยแดงยังพอว่า แต่รอยช้ำมันคืออะไร?

   เดี๋ยวนะ...

   เสียงเปิดประตูห้องทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าขวับหันไปมองคนที่เข้ามาโดยไม่ขออนุญาตแล้วถอนหายใจ นัยน์ตาสีเขียวที่ผมเห็นชัดเจนเพราะไม่มีเลนส์แว่นมาบดบังจ้องมองมาทางผมนิ่งๆ ในมือถ้วยแก้วใสที่ด้านในน่าจะเป็นชาติดมาด้วย คุณหมอปิดประตูก่อนจะเดินเข้ามาเอามือวางทาบหน้าผากทาบคอผม

   “ปวดหัวมั้ยครับ หรือปวดปากอีก?”

   “หมอ!”

   ผมแว้ดออกไป ถลึงตามองคนที่อมยิ้มขำ

   “ลุกไหวมั้ย ดื่มนี่ก่อนแก้แฮ้งค์ครับ”

   ผมรับชาแก้แฮงค์สูตรบ้านผมมาดื่มอึกๆ โดยไม่ทันระวังความร้อนจนทำให้แผลที่ปากโดนลวกนิดหน่อย ผมร้องออกมาจนหมอตกใจหยิบถ้วยออกจากมือแล้วจับคางผมให้เชิดขึ้นเพื่อดูแผล

   “ทำไมไม่ระวัง เจ็บมากมั้ยครับ”

   นิ้วโป้งของเขาแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากที่มีแผลแตกเพราะสงครามเมื่อคืน ผมหน้างอปัดมือเขาออก น้ำตาคลอเบ้า ชามันไม่ได้ร้อนหรอก แค่อุ่นๆ แต่แผลที่ปากทำให้มันรู้สึกแสบเหมือนโดนลวกเท่านั้นเอง

   “ความผิดหมอนั่นแหละ”

   “หืม ใส่ร้ายกันแบบนี้ไม่ดีนะปั้น คิดให้ดีก่อนครับว่าเมื่อคืนใครเริ่ม”

   ผมอ้าปากพะงาบๆ อยากสวนกลับ ก่อนจะค่อยๆ หุบปากเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน หน้าของผมร้อนฉ่าจนต้องยกมือมาทาบแก้ม ผม... ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้

   คุณหมอยิ้มมุมปาก วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะหัวเตียงแล้วหันมาเอามือคร่อมช่วงล่างของผมที่นั่งตัวเปลือยโดยที่มีแค่ผ้าห่มคลุมไว้ ใบหน้าหล่อๆ เข้มๆ สไตล์ลูกครึ่งเอียงมองผมก่อนจะจูบเบาๆ ที่ปลายคาง

   “ถ้าไม่ปิดปากไว้ เฮียว่าคงได้ยินเสียงดังไปจนถึงไร่ชา”

   “หมอ!!”

   ...

   เหตุการณ์เมื่อคืน

   หลังจากที่ผมโดนหิ้วกลับห้องด้วยสภาพทุลักทุเลและโวยวายตามประสาคนเมา ร่างเปลี้ยๆ ถูกโยนลงบนเตียง ผมกระเด้งขึ้นมาก่อนจะงอแง ขณะที่คนตัวใหญ่เตรียมปลดกระดุมเสื้อออกเพราะความร้อนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์

   “หมอลากปั้นออกมาทำไมอ่ะ กำลังสนุกเลย”

   ผมที่หน้าแดงเห่อจากฤทธิ์ยาดองโวยวาย ส่วนคนที่โดนโวยใส่ถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้นลวกๆ แล้วคลานตามขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะดันผมลงไปนอน

   “นอนได้แล้วครับ เมามากแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ปวดหัวนะ”

   “ไม่เอา ปั้นต้องอยู่ฉลองก่อนนนนน”

   “ไม่งอแงสิข้าวปั้น”

   “ทำไมครับ หมอยอมให้พวกเฮียปุ้นดูถูกได้ไง หมอไม่ได้สามนิ้วครึ่งสักหน่อย หมอยอมแต่ปั้นไม่ยอมนะ!”

   ผมน้ำตาคลอเบ้า ความโมโหแล่นขึ้นมาริ้วๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของพวกพี่ๆ

   คนโดนดูถูกเบิกตามองผมปริบๆ ก่อนจะหัวเราะขำพรืดออกมา เล่นเอาผมที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนสะบัดหน้าหนี ยกมือขึ้นกอดอกอย่างไม่พอใจ คนตัวโตเขยิบเข้ามาจนชิด ได้ทั้งกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ และกลิ่นน้ำหอมผสมปนเปจนผมมึนเมา คลายแขนที่กอดอกไว้แล้วค่อยๆ สอดเข้าไปกอดเขาจนแนบแน่น

   “โมโหอะไรขนาดนั้นครับข้าวปั้น”

   มือใหญ่ลูบหัวลูบหลังผมอย่างปลอบโยน ผมมุดหน้าลงกับแผ่นอกตึงที่โผล่พ้นสาบเสื้อ

   แน่นดีจัง...  ชอบ

   ผมเริ่มเอามือสอดเข้าไประหว่างสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกปลดกระดุมออกจนเกือบหมด ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามแผ่นอกแน่นอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อจนผมอิจฉา แบะเสื้อออกจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียน คุณหมอเอนตัวไปด้านหลัง เท้ามือใหญ่ลงบนเตียงข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยกมาไล้แก้มของผมอย่างเอ็นดู

   “หมอ... หุ่นดีจัง”

   เสื้อเชิ้ตของเขาหลุดออกไหล่หนาไปแล้ว ผมยกตัวคลานขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัก ตาเยิ้มๆ เพราะฤทธิ์ยาดองหลุบมองยอดอกสีสวย ผมไม่เข้าใจความรู้สึกว่าทำไมหมอชอบดูดชอบเลียผมตรงนี้นัก วันนี้ขอลองเป็นคนทำสักทีแล้วกัน

   “อา... ทำอะไรน่ะครับปั้น”

   เสียงครางต่ำหลุดออกมาจากปากของคนที่ลดมือลงมาที่บั้นเอวผม ร่างสูงเหมือนจะเอนไปข้างหลังมากขึ้นเพื่อให้ผมเล่นกับเนื้อตัวเขาได้ถนัด ผมดูดดึงติ่งเนื้อพลางใช้ลิ้นไล้วนเวียนให้เหมือนกับที่เขาเคยทำ ดูดเสียงดังเหมือนกำลังดูดหอยจุ๊บจนกระทั่งมันแข็งจนผมรู้สึกผ่านลิ้น ถึงได้ถอนหน้าออกมามอง ผมเอียงคอก่อนจะลากลิ้นไปยังอีกข้าง ได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นเหมือนกำลังอดทนของคนที่เปลี่ยนมาโดนกระทำบ้าง

   ผมจูบวนเวียนอยู่แถวๆ หน้าท้องที่อัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อของเขา หมอเอาเวลาไหนไปฟิตหุ่นกันนะ วันหลังผมคงต้องเข้าฟิตเนสบ้างแล้ว... มือของผมรั้งอยู่ที่ขอบกางเกงยีนส์สีเข้มยี่ห้อแพง พยายามจะดึงมันลงแต่ก็ดึงไม่ออกเพราะติดกระดุมกับเข็มขัดจนผมขัดใจ ขมวดคิ้วแน่นจนเจ้าของต้องลดมือลงมาช่วยปลดมันออกอย่างเอาใจ

   “อย่าหงุดหงิดสิครับ ใจเย็นๆ”

   คุณหมอจัดการปลดเข็มขัดออก ตามด้วยกระดุมแข็งๆ ผมจัดการรูดซิปลง แหวกจนกว้างพอที่ผมจะงัดเอาของที่โดนดูถูกออกมา

   มันกำลังตื่น...

   ผมกระพริบตาปริบๆ มองสิ่งที่อยู่ในมือ แม้มันจะยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่แค่นี้ก็เต็มไม้เต็มมือแล้วนะ

   ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่

   “หะ... ให้ปั้นทำให้นะครับ”

   พูดจบก็จัดการขยับมือ รูดรั้งสิ่งที่แข็งเกร็งจนเห็นรูปร่างชัดเจน ผมได้ยินเสียงครางเบาๆ จากคนที่เริ่มเปลี่ยนจากลูบหัวเป็นสอดนิ้วเข้าไปขยุ้มเส้นผมแทน แต่ท่านี้ไม่ถนัดเอาซะเลย ผมจึงลุกขึ้นลงไปนั่งด้านล่างของเตียงพลางตบเบาๆ ให้หมอเปลี่ยนมานั่งห้อยขา

   “ปั้นไม่ถนัด”

   “จะทำจริงๆ เหรอครับ”

   เขาลูบหัวผมซ้ำๆ ก้มมองคนที่ใจกล้าเฉพาะเวลาเมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะสูดปากเสียงแผ่วเมื่อผมเริ่มแตะลิ้นลงไปแทนคำตอบ

   “แฟนปั้นไม่ได้สามนิ้วซักหน่อย เห็นมะ”

   ผมโบกสิ่งที่กำลังเติบโตตรงหน้าตัวเองไปมา จ้องมองมันด้วยสายตาปรือๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้เขา การกระทำที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันจะทำให้ผมต้องรับมือกับศึกหนัก โดยเฉพาะเมื่อคุณหมอหรี่ตามองผมเครียดๆ เขากัดฟันแน่นเมื่อผมละเลงลิ้นอีกรอบ

   “ของหมอคือที่สุดแล้วครับสำหรับปั้น”

   “ข้าวปั้น... เจ็บหนักอย่ามาว่าเฮียนะ”

   “จัดมาเลยค้าบบบบบบบบบบบบ”

   ...

   ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปทานข้าวหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว พอดีกับที่พี่ดินออกมาจากห้องที่อยู่ข้างๆ เล่นเอาผมสะดุ้งโหยงเมื่อเจอรอยยิ้มของพี่แก

   พี่ดินยิ้มมุมปากก่อนจะหัวเราะหึ ผมทำหน้าแหยกลับก่อนจะถามเสียงเขียว

   “ยิ้มอะไรพี่ดิน”

   พี่ดินหรี่ตา ไม่พูดอะไร ยักไหล่แล้วเดินจากไป ทิ้งให้นายข้าวปั้นเคว้งคว้างอยู่หน้าห้องเพียงลำพัง

   เวลาตอนนี้พึ่งจะแปดโมงกว่า แขกจากต่างจังหวัดพากันกลับจนเกือบจะหมด เหลือเพียงกลุ่มเพื่อนๆ ของผมที่กำลังเอาของไปเก็บในรถของพี่ดินที่จอดไว้หน้าบ้าน พี่เจี้ยนกลับไปก่อนแล้วด้วยเครื่องบินไฟลต์เช้า เห็นเฮียปุ้นบอกว่าแฮ้งค์หนักจนกลัวว่าจะไปอ้วกบนเครื่อง แต่ลองโทรไปถามเมื่อกี้พี่เจี้ยนก็บอกว่าถึงบ้านแล้ว เลยทำให้หมดห่วง

   “หอมขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์มาร่วมอวยพรตั้งไกลนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”

   เจ้หอมและพี่กรลงมาส่งแขกที่กำลังจะกลับกรุงเทพด้วยสีหน้ายิ้มแย้มร่าเริง ผมเดินลงจากบ้านมาเพื่อส่งก่อนเพราะน่าจะกลับทีหลัง แต่สิ่งที่ผมเจอก็คือสายตาอมยิ้มของเพื่อนร่วมงานที่พากันจ้องมา เล่นเอาผมขมวดคิ้วยุ่ง

   “ทำไมมองอย่างนั้น”

   “เปล๊า เอาไว้มึงอยากพูดค่อยพูดแล้วกัน” ไอ้เนเสียงสูงหันไปโยกหัวฟางที่หัวเราะคิกคัก

   “เอาล่ะ เจอกันกรุงเทพนะ” พี่ดินหันมาบอกผมพลางยกมือโบก ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงใหญ่แล้วกระซิบถาม

   “เมื่อคืนผมทำอะไรแปลกๆ รึเปล่าพี่ ทำไมพวกนั้นมันมองผมแบบนั้นอ่ะ”

   พี่ดินที่กำลังจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับเลิกคิ้ว คว่ำปากนิดๆ พลางยักไหล่

   “ก็ไม่แปลกเท่าไหร่สำหรับกู แต่อาจจะ... แปลกสำหรับพวกมัน”

   “หา? ยังไงพี่?” ผมงงเป็นไก่ตาแตกกับคำพูดของพี่ดิน แต่พี่ชายคนล่ำกลับหัวเราะน่าขนลุกแล้วเปิดประตูรถ สอดร่างหนาๆ ของตัวเองเข้าไป ก่อนปิดประตูพี่แกยื่นหน้าออกมาพูดกับผมด้วยสีหน้ามาเหนือ

   “ต่อไปคงต้องเป็นฉายา ลูกรักเจ้าอัฐ เป็น ข้าวปั้นโป๊ะแตก ล่ะนะ”

   “วัท?”

   พี่ดินปิดประตูใส่หน้าผมที่ยังคงไม่เข้าใจกับคำส่งท้าย ไอ้เนกับฟางยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสองที่ลงมาส่ง ก่อนจะขึ้นรถยังมีการทิ้งท้ายให้ผมคาใจเล่น

   “อย่าลางานเพราะเจ็บคอนะไอ้ข้าว”

   “อะไรของมึง?”

   “เดินทางปลอดภัยนะพี่ข้าว ฟางจะรอฟังคำสารภาพจากพี่”

   “อะไรวะ???”

   ผมทำหน้า ง่าว มองดูรถที่แล่นจากไปของเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะหันไปมองพี่สาวกับพี่เขยที่พากันเบือนหน้าไปมองฟ้าพร้อมกัน

   “ว้า หิวจังที่รัก ไปหาอะไรกินกันเถอะ” พี่กรยกมือโอบไหล่ภรรยาหมาดๆ ขึ้นบ้านไป เจ้หอมหัวเราะคิกคัก ส่วนผม...

   “เชี่ยอะไรอ่ะ...”



   ผมเดินขึ้นบ้านเพื่อจะไปหาอะไรกิน วันนี้เหลือแค่คนในครอบครัวกับแขกอีกหนึ่งคน อาหารเช้าจึงถูกจัดที่โต๊ะอาหารเล็กตรงโถงกลางบ้าน บนโต๊ะอาหารมีทุกคนอยู่พร้อมตั้งแต่ป๊าม๊า เฮียปุ้น เจ้ฟ่าง เจ้หอม พี่กร และคุณหมออคิน โดยที่บางคนเริ่มลงมือทานกันไปบ้างแล้ว

   ผมสอดตัวลงนั่งข้างๆ หมอ ทันทีที่ผมนั่งลง สายตาของคนบนโต๊ะก็พากันจับจ้อง โดยเฉพาะสายตาของม๊าที่ดูจะคมกริบผิดปกติ

   อะไร?

   ผมเริ่มวางตัวไม่ถูก ป้าสรเสิร์ฟข้าวต้มทะเลให้พร้อมกับน้ำส้มคั้น ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยกน้ำส้มขึ้นดื่มก่อนจนเกือบหมดแก้ว ทันทีที่วางแก้วลง ม๊าก็เอ่ยถามทันที

   “ดื่มน้ำเยอะเชียว เจ็บคอเหรอเจ้าปั้น”

   “ฮะ? อะไร ปั้นก็แค่หิวน้ำ”

   ผมทำหน้างงเต๊ก มองแก้วน้ำส้มสลับกับหน้าม๊า ในขณะที่ทุกคนพากันก้มหน้าไหล่สั่น มีเพียงเฮียปุ้นที่นั่งลูบคางตัวเองพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

   “ออเหรอ... ม๊าก็คิดว่าเจ็บคอเพราะเมื่อคืนเห็นร้องซะลั่นดอยเชียว”

   “ร้องอะไรครับ!”

   ผมเบิกตากว้าง หันขวับไปมองหน้าหมอที่ยกชาขึ้นดื่มเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าม๊าอีกครั้ง

   “เอ้า! ร้องเพลงไง จับไมค์ไม่ปล่อยเชียวนะ”

   ผมหน้าร้อนก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปากไม่อยากพูดอะไรอีก

   “อคินจ๊ะ เมื่อคืนหลับสบายรึเปล่า ข้าวปั้นงอแงอะไรมั้ย ได้ข่าวว่าเมาหนักเลยนี่นา” ถึงคราวเจ้ฟ่างพูดบ้าง ผมถึงกับหยุดเคี้ยวข้าว หูผึ่งรอฟังคำตอบจากหมอ

   “ไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่ครับ”

   “แค่กๆๆๆ”

   ผมที่กำลังจะกลืนข้าวสำลักลมหายใจจนแทนที่ข้าวจะไหลลงคอ เกือบไหลขึ้นจมูกแทน ผมคว้าทิชชู่มาปิดปาก ไอตัวโยนจนหมอที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูบหลังช่วยอย่างตกใจปนขำ ดีนะไม่พ่นข้าวใส่หน้าพี่กรที่นั่งอยู่ตรงข้าม

   “เจ้ถามอคิน เราไปสำลักอะไรขนาดนั้น ทำไมจ๊ะ หรือรู้ตัวว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อคินเขาไม่ได้นอน” เจ้ฟ่างหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ ส่วนผมน้ำตาคลอเบ้าเพราะแสบจมูก

   “เจ้ฟ่าง! แค่กๆ พะ... พูดอะไรน่ะครับ”

   “สั่งน้ำมูกก่อนครับ”

   หมอเอาทิชชู่มาเพิ่มให้ ผมหันตัวลุกออกจากโต๊ะไปเพื่อสั่งน้ำมูกออก ก่อนจะกลับเข้ามานั่งเหมือนเดิม ม๊าดูชอบใจกับความทรมานของผม

   ก่อนที่โต๊ะกินข้าวจะเลิกสนใจเรื่องของผมแล้วเปลี่ยนบทสนทนาเป็นอย่างอื่นแทน ปล่อยให้คนมีชนักติดหลังเคี้ยวปลาหมึกอย่างเชื่องช้าเพราะความกังวลที่มีอยู่เต็มสมอง หลังจากอาหารเช้าจะจบไป ทุกคนกำลังจะแยกย้าย ผมเตรียมไปเก็บของเพื่อกลับกรุงเทพ แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องตัวเอง ป๊าก็เรียกผมเอาไว้ก่อน

   เสียงของป๊าทำเอาใจผมหล่นตุบ

   “ข้าวปั้น ป๊ามีเรื่องจะคุย”

   แต่ละคนที่กำลังจะแยกย้ายพากันชะงักขามองมาทางผมเป็นตาเดียว แม้กระทั่งเฮียปุ้น

   ซวยแล้วข้าวปั้น...



   ผมเดินตามป๊าเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว ป๊าเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หวายตัวโปรด สีหน้านิ่งสงบเหมือนปกติ แต่ผมเองแหละที่ไม่ปกติ จากที่เคยเข้ามาแล้วก็จะทิ้งตัวนั่งตามสบายบนตั่งไม้ กลับกลายเป็นยืนแข็งทื่ออยู่หน้าประตูไม่กล้านั่งเสียอย่างนั้น

   “แล้วทำไมไม่นั่ง”

   “เอ่อ... ป๊ามีไรเหรอครับ”

   ผมแอบเม้มปากนิดๆ เอามือประสานหน้าไว้เหมือนตอนถูกบังคับให้สารภาพผิดว่าแอบดื่มเหล้าครั้งแรก ไม่กล้าสบตาคนเป็นพ่ออย่างที่เคย ร่างสูงสมส่วนที่แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูดีนั่งไขว่ห้าง วางศอกข้างหนึ่งไว้บนพนักแขนแล้วเท้าคางมองผม

   ป๊าผมใจดี แต่เวลาดุ... ผมยอมโดนม๊าเอาหวายฟาดดีกว่าเจอสายตาของป๊า

   “นั่งก่อน ป๊าแค่มีเรื่องจะคุยก่อนเรากลับกรุงเทพ”

   “ครับ”

   ผมเดินตัวลีบมานั่งลงบนตั่งไม้ที่มีเบาะนุ่มๆ รองไว้ แอบกุมมือตัวเองแน่น มองแจกันบนโต๊ะเตี้ยๆ เหมือนกับกำลังพิจารณาเทกเจอร์อยู่

   “มีเรื่องอะไรอยากบอกป๊ามั้ย”

   คำถามยอดฮิตเวลามีใครทำผิดแล้วปิดไว้ เจอคำถามนี้ทีไร ทุกคนในบ้านเป็นอันต้องเลือกเรื่องที่สารภาพให้ดีๆ...

   แต่ผมจะสารภาพยังไงล่ะ?

   “ปั้น... ปั้น...”

   “ปั้นรู้ใช่มั้ยว่าบ้านเราคุยกันได้ทุกเรื่อง”

   “...”

   ป๊าลุกจากเก้าอี้เดินมานั่งข้างๆ ผมที่น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ไม่รู้แหละว่าป๊าอยากให้ผมสารภาพเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ผมกลัว... กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง ถึงแม้ตอนที่เฮียปุ้นพูดเรื่องความต้องการของตัวเองแล้วป๊าม๊าจะไม่ว่าอะไร แต่ผมรู้ว่าลึกๆ แล้วป๊าเองก็คงจะผิดหวัง

   ผมแค่ไม่อยากทำให้ป๊าผิดหวัง... เพราะลูกชายคนสุดท้องที่ไม่เคยทำอะไรให้ป๊าภูมิใจสักอย่าง กำลังจะทำให้ป๊าหมดความภาคภูมิใจสุดท้ายไป

   “ป๊ารู้ว่าปั้นอึดอัด บ้านเราถือคติไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่ถ้าเรื่องนั้นมันทำให้ลูกของป๊ารู้สึกแย่ ป๊าก็อยากจะยุ่ง”

   “ป๊า... ปั้น... ปั้นขอโทษครับ”

   ป๊าลูบหัวผมที่ก้มหน้างุด ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ผมยอมปริปากออกมาเสียที

   “ปั้น... ปั้นแค่ไม่อยากให้ป๊าผิดหวัง แต่ปั้นขอโทษครับ ปั้น... ปั้นรักหมอ”

   “ป๊ารู้แล้ว”

   “ฮึก... ครับ?”

   ผมหันมองหน้าป๊าที่ยิ้มให้บางๆ สายตาแห่งความสับสนและไม่เข้าใจส่งผ่านออกไป แต่ป๊ากลับโคลงหัวแล้วย้ำอีกครั้ง

   “ป๊ารู้นานแล้ว รู้ตั้งแต่วันที่ปั้นเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนลักพาตัวนั่นแหละ ป๊าไม่ได้โง่นะที่จะดูไม่ออก”

   “ปะ... ป๊า”

   “ป๊าไม่เคยว่าข้าวปุ้น แล้วเรื่องอะไรป๊าจะไปว่าข้าวปั้น หืม?”

   “ฮึก... ปั้น... ปั้นกลัวว่าป๊าอยากได้ลูกสะใภ้”

   ผมเริ่มฟูมฟาย พอได้สารภาพบาปก็ทำให้พูดออกมาจนหมด ยกมือปาดน้ำตาเป็นเด็กสามขวบ ป๊าหัวเราะก่อนจะโยกหัวผมไปมาอย่างเอ็นดูสุดใจ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของป๊าทำให้ก้อนหินแห่งความรู้สึกผิดถูกยกออกไปจนเบาหวิว

   “เฮ้อ... ลูกเอ๊ย ป๊าน่ะไม่สนใจหรอกนะว่ามีจะสะใภ้ มีเขย มีทาย้งทายาทอะไร ทุกวันนี้ที่ป๊ามีลูกที่ดีถึงสี่คน ป๊าว่ามันก็เป็นที่สุดที่ป๊าต้องการแล้วนะ นอกนั้นป๊าถือว่าเป็นกำไร แล้วอีกอย่าง อคินเป็นคนดี ป๊าสามารถฝากฝังลูกที่ไม่ได้เรื่องของป๊าไว้กับเขาได้”

   ผมปาดน้ำตาก่อนจะหัวเราะแก้เขิน

   “ป๊าก็รอว่าเมื่อไหร่ปั้นจะพูดออกมา แต่กลายเป็นว่าก่อนที่ปั้นจะพูด อคินเขาเป็นคนเดินมาพูดกับป๊าตัวต่อตัวก่อนเลยนะ ไม่งั้นป๊าคงไม่กล้ามาถามปั้นตรงๆ แบบนี้หรอก”

   “เฮะ?... ป๊าว่าไงนะ หมอเขามาคุยกับป๊าเหรอครับ”

   ผมเบิกตากว้าง นี่หมอเขาทำอะไรไม่บอกผมอีกแล้วเหรอวะเนี่ย

   “เขารู้ไงว่าข้าวปั้นปากหนัก เขาไม่อยากทำให้คนที่บ้านเข้าใจปั้นผิดๆ เขาเลยเป็นฝ่ายเดินมาอธิบายเสียเอง แต่ก็ช้ากว่าม๊านะ ม๊าดูออกนานแล้วเหมือนกันแต่ไม่ยอมบอกป๊า”

   “นี่สรุปว่า ทุกคน... รู้เรื่องปั้นกับ... หมอ?” ผมเอียงคอทำหน้าเหวอ แล้วไอ้ที่พยายามปิดๆ กับไอ้ที่เจ้ฟ่างมาเรียกไปกินข้าวนั่น... อย่าบอกนะว่าก็รู้กันน่ะ... เชี่ย จะเอาหน้าไปซุกไว้หลุมไหนดีวะ?

   “ก็รู้แหละ แต่รู้กันเองทั้งนั้นไม่มีใครบอกใคร ป๊ารู้ป๊าก็เงียบ ม๊ารู้ม๊าก็เงียบ เจ้าปุ้นยิ่งแล้วใหญ่ อคินโทรไปสารภาพตั้งแต่ก่อนคบกับปั้น มันก็เงียบ ป๊าว่าไอ้นิสัยไม่ยุ่งเรื่องกันและกันของบ้านเรานี่มันก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ” ป๊าขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะคลายแล้ววางมือบนไหล่ผม

   “ปั้นรู้มั้ย วันที่เค้ามาถึงที่นี่ เค้าเดินเข้ามาคุยกับป๊าแล้วบอกว่ากำลังคบหากับข้าวปั้นอยู่ เค้ายกมือไหว้ขอโทษป๊าที่ทำให้ลูกชายป๊าเป็นแบบนี้ ตอนนั้นป๊าประทับใจมากถึงแม้จะรู้อยู่แล้วก็ตาม แทนที่คนที่น่าจะมาบอกป๊าก่อนจะเป็นปั้น แต่กลับเป็นคนอื่นซะงั้น นิสัยปากหนักของปั้นควรแก้นะ”

   “ก็ปั้น... ปั้นไม่กล้า แล้วอีกอย่าง ปั้นก็... ไม่ได้เป็นเหมือนเฮียปุ้น”

   ผมอ้อมแอ้มไม่รู้จะพูดยังไง ป๊าเลยถอนหายใจอัดอีกรอบ

   “ไม่ว่าปั้นจะเป็นยังไง ปั้นคือลูกชายที่ป๊าภูมิใจนะ”

   ผมยิ้มให้ ยกมือไหว้ขอขมาป๊าที่เป็นลูกชายไม่ได้เรื่องแต่ป๊าก็ยังภูมิใจ

   “ดูแลเขา ให้เหมือนกับที่เขาดูแลเรานะลูก”

   “ครับป๊า”



   “ไงไอ้ตูด ยกภูเขาออกจากอกเลยสิ เฮียบอกแล้วมีอะไรก็พูด”

   หลังจากที่ผมเปิดประตูออกจากห้อง เหล่าคนที่มายืนแนบหูฟังคำสารภาพบาปอยู่หน้าห้องทำงานป๊าก็ก้าวถอยหลังแทบไม่ทัน ไล่ตั้งแต่เฮียและบรรดาเจ้ๆ ของผม

   ผมย่นหน้า เฮียปุ้นที่กอดอกพิงระเบียงไม้ยิ้มมุมปาก เจ้หอมกับเจ้ฟ่างเข้ามาเกาะแขนผมก่อนจะเขย่าเบาๆ

   “ไปคบกันตอนไหน ทำไมเจ้ไม่เห็นรู้เลย” เจ้หอมเข้าสู่วงการเผือกร้อนทันที ผมเลิกคิ้วส่ายหัว

   “ไม่บอก”

   “ข้าวปั้นไม่บอกหอมได้ แต่ต้องเล่าให้เจ้ฟังนะ” เจ้ฟ่างเอาบ้าง เธอเอียงคอซบไหล่ผมอย่างออดอ้อนพลางกระซิบ “ไม่งั้นเจ้แฉเรื่องวันนั้นแน่ อย่าคิดนะว่าเจ้ไม่ได้ยิน”

   “เจ้ฟ่าง! โว้ย ไม่สนใจแล้ว ปั้นจะไปเก็บของ”

   “เดี๋ยว ข้าวปั้น มาเล่าให้ฟังก่อน เจ้จะเก็บไว้ทำรีเสิร์ช!” เจ้ฟ่างตื๊อ เจ้หอมก็ดูจะไม่ยอมเหมือนกัน

   “รีเสิร์ชบ้าอะไรครับ เจ้ฟ่างสอนวิศวะนะ” ผมเดินหนี แต่ตอนเลี้ยวตรงหัวมุมก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่จนแทบจะหงายหลัง ดีที่คนถูกชนคว้ารวบแขนของผมไว้แล้วดึงเข้ามาจนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย

   “ว้าว...”

   สองสาวที่เดินตามหลังมาเบรคแทบไม่ทัน ก่อนจะยกมือปิดปากแล้วหัวเราะกันสองคน ส่วนผมเงยหน้าขึ้นแล้วรีบยันตัวออก หน้าแดงก่ำจนคนตัวโตยกมือขึ้นแตะเหมือนปกติ

   “หน้าแดง”

   “แหงสิครับ” ผมลูบหน้าตัวเองก่อนจะหันไปชี้นิ้วใส่พี่สาวทั้งสองอย่างโมโห “เลิกถามปั้นได้แล้วครับ จะไปเก็บของ ไม่ต้องตามมานะ”

   ผมเดินเบี่ยงออกมา กระแทกเท้าปึงปังกลับเข้าห้องไป ไม่อยากสนใจพวกผู้หญิงขี้ตื๊ออีก ให้ตายเถอะ...

   เรื่องน่าอายแบบนั้น ใครจะไปเล่าได้ล่ะฟะ!



ชอบบ้านข้าวปั้นนะ เป็นบ้านในอุดมคติของน้องยู

ต่างคนต่างไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่ก็ไม่ได้ละเลย คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

ป๊าม๊าของข้าวปั้นถือเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ที่ยอมรับได้ทุกเรื่อง รับฟังและเคารพการตัดสินใจของลูก

ส่วนหมออคิน ชอบความโชว์แมนของนางนะคะ

ต้องใช้ความกล้าแค่ไหนเดินเข้าไปบอกพ่อเขาว่าทำให้ลูกเขาชอบผู้ชาย

ถ้าเราเป็นพี่หมอ เราคงไม่กล้าค่ะ คงเป็นเหมือนข้าวปั้นที่กลัวจนวินาทีสุดท้าย


ตอนหน้า บทส่งท้าย...

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น่ารักดีนะครอบครัวนี้

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
กลับไปทำงาน ต้องมีคนขอฟังเรื่องเล่าของข้าวปั้นแน่ๆ เอ้ย...อิอิอิ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
รู้กันทั่ว ยกเว้นเจ้าตัวคนเดียว อิๆ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
555. ครอบครัวตัวอย่าง ชอบตรงที่ยอมรับกันและกันได้ครับ,,,

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ข้าวปั้นโป๊ะแตก ฉายานี้คือเหมาะสุดดด :m20:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด