●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8  (อ่าน 30276 ครั้ง)

ออฟไลน์ PHENOMENAL

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแล้วยิ้มตลอดเลย พี่ทัชน่ารักกกกกก

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
เกลียดความใสๆของน้องงง

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2


แตะต้องครั้งที่ 26

จับบบ…ระวังคุณไสยอะไรคือเต๊าะหัวเราะไม่เป็น
เห็นชัดหรือต้องเดางานเข้าแง่นแง้น



โชคดีเกิดมาหัวแข็งพอเลยไม่เป็นอะไร แต่ก็บุญน้อยด้อยวาสนาจนมาไม่ทันมวยคู่เด็ด เจษฎาบอกว่าผมคลาดกับพี่เห็ดนิดเดียว แกไปแล้ว สภาพที่เห็นอยู่ก็คือซองขนมขบเคี้ยวหลากยี่ห้อ กระดูกตีนไก่ทอดกองพูน เจษยังแทะชิ้นนึงติดพันอยู่อย่างเมามัน ส่วนเปิ้ลกำลังใช้ทิชชู่ซับปากที่มันแผล็บไม่แพ้กัน

“เฮ้ยเปิ้ล มึงกินของพี่เห็ดเหรอ”

“ไม่กินก็ถือว่ากลัวดิ”

“กินนี่แหละน่ากลัว แกอาจจะใส่ยาถ่ายก็ได้นะเว้ย”

“จริงเหรอ” เจษฎาหยุดชะงัก ตีนไก่ค้างเติ่งอยู่ในมือ

“งั้นก็ถ่ายกันหมดนี่แหละ ตัวแกเองก็กิน” เปิ้ลบอก

“หรือแกจะใส่คุณไสย กินเสร็จมีหนังควายในท้องทำไงวะ”

เจษฎาถึงกับหน้าเสียและทิ้งตีนไก่อย่างรวดเร็ว มึงหัววิชาการไม่ใช่เหรอวะเจษ ไม่น่าจะกลัวเรื่องพวกนี้นะ ตรงข้ามกับเปิ้ลที่คว้าเอาตีนไก่ชิ้นใหม่ในถุงไปแทะต่อ “ใครกลัวก็อย่ากิน”

ตอนนี้ตีนไก่เหลือแค่ชิ้นเดียวด้วย

ผมกับเจษสบตากันแวบนึง ก่อนที่ผมจะฉกมาแทะบ้าง

“นายไม่กลัวเหรอ” เจษถาม

“กูเป็นคนรักเพื่อนไงเจษ ถ้าเพื่อนโดนวางยาคุณไสยไร กูขอโดนด้วย...อร่อยดีว่ะ ไปซื้อมากินอีกมั้ย”

“เรารู้สึกเลี่ยนมากแล้วอะ” เจษบอก

เจษ เมื่อกี้กูเห็นแววตามึงเหมือนจะอยากแย่งชิ้นสุดท้ายนะ แต่ไม่กินก็ได้ ขอสัมภาษณ์พวกมึงก่อน

ผมพยายามดึงให้ทั้งคู่ถกแถลงถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของพี่เห็ด แต่เหมือนจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เปิ้ลออกแนวไม่ออกความเห็น บอกแค่ว่าพี่แกก็ยังปากหมาหน้าตากวนตีนเหมือนเดิม ไม่แปลกอะไร ส่วนเจษพยายามอธิบายด้วยหลักการต่างๆ ซึ่งฟังไม่เข้าเรื่องเข้าราวเท่าไหร่

เมาท์แตกประเด็นไปมั่วซั่ว จนถึงเวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน

ผมถามพี่เห็ดเองเลยดีกว่า ทนไม่ไหวละ



NaTee(n): ที่คณะจิตไม่ค่อยมีคนกรวดน้ำเหรอ

★R3NJI: เหี้ยไรของมึง

NaTee(n): พักนี้เห็นลอยไปลอยมาแถวตึกบริหาร

NaTee(n): อยากได้ส่วนบุญเหรอ

NaTee(n): ไม่มาเข้าฝันผมอะ จะได้ทำบุญให้

★R3NJI: มึงสะกดรอยตามดูกูเหรอ

NaTee(n): ใครจะเหมือนพี่อะ

NaTee(n): ตามแอบถ่ายผมถึงคอนโดเจ๊แคลเลย

NaTee(n): โอ๊ะๆ โทษที

NaTee(n): พูดชื่อนี้สะเทือนใจมั้ยอะ

★R3NJI: แค่นี้สิวๆ โว้ย

★R3NJI: ไม่ระคายกูหรอก

NaTee(n): โห ด้านจัง

★R3NJI: คนกำลังอารมณ์ดีๆ

★R3NJI: มึงทักมาทำเหี้ยไรเนี่ย

NaTee(n): งั้นเข้าเรื่องเลยละกันนะ

NaTee(n): พี่มาวุ่นวายกับเพื่อนผมทำไม

★R3NJI: วุ่นวายตรงไหน

★R3NJI: เจอหน้าก็ด่า

NaTee(n): ไม่เจอหน้ายังขอไลน์ไปด่าเพลินเลยนี่

★R3NJI: มึงแอบอ่านไลน์เปิ้ลเหรอ

NaTee(n): แหม เพื่อนกันก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดแหละพี่

NaTee(n): แต่ไม่เข้าใจ พี่มาวุ่นวายกับเปิ้ลทำไม

NaTee(n): รู้ละ

NaTee(n): พี่เข้าทางเปิ้ลเพื่อจะเต๊าะเจษใช่ปะ

NaTee(n): เป็นคนรุนแรงเลยหาอะไรเนิร์ดๆ นุ่มๆ มาเติมเต็มไรงี้

★R3NJI:  เติมเหี้ยไร ชีวิตกูเต็มอยู่แล้ว

NaTee(n): เต็มจนล้นเลยอะดิ

NaTee(n): หรือว่ามาเต๊าะเปิ้ลโดยตรง

NaTee(n): เฮ้ยพี่ เปิ้ลมันไม่ใช่ผู้หญิงแท้นะพี่ ถึงจะเห็นหน้าตาใสๆ หน้าอกหน้าใจงี้ก็เถอะ

★R3NJI: แปลงเพศ?

NaTee(n): เปล่า

NaTee(n): หมายถึงใจมันอะ ไม่ใช่ผู้หญิง

NaTee(n): สเป๊กเปิ้ลนี่ สวยใสวัยหวานนะ ก็คือชอบผู้หญิงเหมือนกันอะ

★R3NJI: เออ กูรู้

★R3NJI: ไม่มีผู้หญิงแท้ๆ ที่ไหนปากหมาเหมือนมึงหรอก

NaTee(n): ยิงมุกนัดเดียวโดนหงส์สองตัวเลยนะเนี่ย

NaTee(n): ถ้าไม่เต๊าะใครแล้วมายุ่งกับเพื่อนผมทำไมอะ

★R3NJI: เห็นน่าสงสาร ใกล้จะเหลือกันแค่สองคนแล้วนี่

NaTee(n): ว่าผมทิ้งเพื่อนเหรอ

★R3NJI: มึงจะโดนกระทืบตายต่างหาก

★R3NJI: ถ้าไม่เห็นแก่ไอ้ทัช กูเตะแม่งขี้แตกตายตั้งแต่วันแรกแล้ว

NaTee(n): อุ๊ย กลัวจัง

★R3NJI: หุบตูดไป รำคาญ

★R3NJI: หลังจากนี้ถ้าไม่อยากแอดมิดก็หลบหน้ากูดีๆ ละกัน



ผมพิมพ์กวนๆ ไปอีก แต่พี่เห็ดไม่ตอบอะไรแล้ว

ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ หลังจากอาบน้ำจัดการอะไรทุกอย่างเสร็จ ผมก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วอ่านแชตนี้ซ้ำอีกรอบ แต่ก็ยังไขปริศนาของพี่เห็ดไม่ออก ถ้าแกไม่ใช่คนคิดซับซ้อนอย่างที่พี่ทัชว่า ก็อาจจะเพราะแกเถียงสู้ผมไม่ได้ เลยสนองความเถื่อนของตัวเองด้วยการไปลงกับเพื่อนผมแทน หรือไม่ก็มาลับฝีปากกับเปิ้ลเพื่ออัพสกิลไว้เล่นงานผมทีหลัง

ช่างแกเถอะ ไปเสือกเรื่องอื่นดีกว่า

ลองเข้าไปดูในกรุ๊ปเมียหลวง เหล่าภรรยาผู้ชอกช้ำระกำทรวงยังถกกันเรื่องความน่าเชื่อถือของบริษัทขอทัชฑีอยู่ประปราย ผมอ่านผ่านๆ แล้วแปะคำโฆษณาไปอีกรอบ

ไลน์ปุ๊บรู้ปั๊บ ล้วงตับควักไส้ ไขทุกปัญหาคาใจ

อย่าลืม ความจริงรอคุณอยู่

จากนั้นก็เปิดหน้าแชตกับพี่ทัชขึ้นมาแทน ทุกวันนี้ต้องคุยก่อนนอน ไม่งั้นนอนไม่หลับ



NaTee(n): เพ่ ทำไร

NATOUCH: งาน

NaTee(n): เย็นชาอะ

NATOUCH: ทำงานครับน้อง ว่าไง

NaTee(n): ผ่าม!

NaTee(n): พี่เล่นมุก

NaTee(n): ฟังแล้วจั๊กแร้เลย

NATOUCH: จั๊กจี้

NaTee(n): ผ่าม! ผ่าม! ผ่าม!

NaTee(n): วันไรเนี่ย ปกติไม่ค่อยได้ยินพี่เล่นมุก

NATOUCH: นี่กูพิมพ์ ไม่ได้พูด

NaTee(n): แต่อ่านแล้วได้ยินเสียงพี่ในหัวไง

NATOUCH: มีไรล่ะ

NaTee(n): อันนี้ฟังดูเย็นชาน้อยกว่าตอนแรกนิดนึง

NATOUCH: เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วมึง

NaTee(n): นั่นดิ

NaTee(n): พักนี้ชอบได้ยินเสียงพี่พูดนั่นพูดนี่ในหัวอะ

NATOUCH: กูพูดอะไร

NaTee(n): ก็นะฑีอย่างนั้น... นะฑีอย่างนี้...

NATOUCH: ทำไมฟังดูทุเรศวะ

NaTee(n): ก็มีบ้างนะ

NATOUCH: หยุดเลย

NaTee(n): แต่ไม่ค่อยมีเสียงพี่หัวเราะเท่าไหร่

NaTee(n): หัวเราะให้ฟังหน่อยดิ

NATOUCH: เล่นไรของมึง

NaTee(n): หัวเราะเป็นรึเปล่าพี่อะ

NaTee(n): เกิดมาเคยหัวเราะมั้ย



อีกฝ่ายเว้นจังหวะไปแป๊บนึง ก่อนจะส่งข้อความมาเป็นคลิปเสียงความยาวประมาณห้าวินาที ผมกดเล่นคลิปและตั้งใจฟัง

หึ

สั้นๆ แค่นี้เลย ไอ้ความยาวอีกสี่วินาทีที่เหลือนี่ก็เป็นแค่เสียงของความว่างเปล่าระหว่างรอเวลาให้กดหยุดตอนอัดเสียงเท่านั้น



NaTee(n): พี่ตดเหรอ

NATOUCH: คิดว่าไงล่ะ

NaTee(n): ล้อเล่นน่า

NaTee(n): แต่แค่นี้ไม่เรียกว่าหัวเราะหรอกมั้ง

NaTee(n): อยากเห็นพี่หัวเราะเยอะๆ

NATOUCH: นี่กูหัวเราะเยอะกว่าเมื่อก่อนแล้ว

NaTee(n): จริงดิ

NaTee(n): เมื่อก่อนพี่เป็นก้อนหินเหรอ

NaTee(n): ผมยิงมุกอะไรไปไม่เคยจะเห็นพี่หัวเราะ ยิ้มก็แทบไม่เห็น

NATOUCH: มึงตาไม่ดีไงถึงไม่เห็น

NaTee(n): พี่ยิ้มลับหลังผมเหรอ

NATOUCH: บางครั้ง

NaTee(n): อะจริงดิ ทำไมอะ

NATOUCH: ได้ยินเสียงมึงในหัว

NaTee(n): แอบเอาผมไปจินตนาการลับหลังเหรอเนี่ย

NaTee(n): จินตนาการว่าไงมั่ง เล่าๆ

NATOUCH: ก็พี่ทัชอย่างนั้น... พี่ทัชอย่างนี้...

NaTee(n): ทำไมฟังดูทุเรศอะ

NATOUCH: ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดหรอก

NaTee(n): รู้เหรอ ผมคิดไร

NATOUCH: ก็อะไรที่ทุเรศๆ แบบที่คนทั่วไปไม่คิดกัน

NaTee(n): พี่ลอกอะ

NaTee(n): แล้ว ‘พี่ทัชอย่างนั้น พี่ทัชอย่างนี้’ แบบที่คนทั่วไปคิดกันนี่คือยังไง

NaTee(n): จงอภิปราย 10 คะแนน

NATOUCH: แค่กวนตีนกูอย่างนั้นอย่างนี้เฉยๆ

NaTee(n): ไอ้แบบนั้นผมก็เป็นปกติอยู่แล้วนี่

NATOUCH: เออ แค่นั้น

NaTee(n): แค่นั้นอะไร

NATOUCH: แค่นั้นแหละที่ทำให้กูยิ้ม



ไปต่อไม่เป็นเลยวุ้ย

มันคันอกคันใจ อะไรยังไงวะ

ผมพลิกตัวนอนหงายอ่านข้อความแชตซ้ำทั้งหมด แล้วลดมือถือวางไว้บนอก ตามองฝ้าเพดาน แค่นั้นแหละที่ทำให้กูยิ้ม เสียงของพี่ทัชโคตรจะนุ่ม หมายถึงเสียงที่ดังในหัวผมน่ะ และมันก็ทำให้ผมยิ้มเหมือนกัน ว่าจะตัดบทแล้วเข้านอนไปพร้อมความรู้สึกนี้ แต่สุดท้าย ตัดสินใจแชตต่อดีกว่า



NaTee(n): พี่

NaTee(n): ลองอ่านแชตเราซ้ำดิ

NaTee(n): มันยังไงวะ

NATOUCH: มึงไม่เข้าใจตรงไหนล่ะ

NaTee(n): มันแปลกๆ มั้ย

NATOUCH: ?

NaTee(n): นี่เราเป็นไรกันอะ

NATOUCH: …

NaTee(n): โปรยเม็ดเกลือคือไร

NATOUCH: คิดดิ

NaTee(n): ให้คิดว่า?

NATOUCH: สมองมึงคิดได้ว่าไงล่ะ

NaTee(n): ถ้าคิดมากนะ

NaTee(n): นึกว่าพี่เต๊าะผม

NATOUCH: มึงคิดน้อยกับทุกเรื่องไง

NATOUCH: ชีวิตถึงได้เป็นแบบนี้

NaTee(n): กับบางเรื่องผมก็คิดมากเหอะ

NATOUCH: เช่น?

NaTee(n): เช่นเรื่องที่เราคุยกันนี่ไง

NATOUCH: เออ

NaTee(n): เออไร

NATOUCH: คิดมากก็คิดไป

NATOUCH: ใครจะไปห้ามสมองมึงได้

NATOUCH: กูไปทำงานละ

NaTee(n): เอ้า เดี๋ยวดิ

NaTee(n): ยังไม่รู้เรื่องเลย

NATOUCH: ไม่รู้เรื่องก็ไปคิดเยอะๆ จะได้ฉลาด

NaTee(n): ปวดหัว

NaTee(n): อยากดูคลิปผงฟอกอะ

NaTee(n): พี่

NATOUCH: กูทำงานก่อน

NATOUCH: สิบนาที

NaTee(n): สิบนาที งั้นผมรอ

NaTee(n): เคๆ



แล้วผมก็นั่งคิด นอนคิด ห้อยหัวคิด อ่านแชตซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งถ้าให้คิดมาก มันก็พอคัดเฉพาะประโยคสำคัญๆ ออกมาได้เนื้อความประมาณว่า…



NaTee(n): ถ้าคิดมากนะ

NaTee(n): นึกว่าพี่เต๊าะผม

NATOUCH: เออ

NATOUCH: คิดมากก็คิดไป



ใช่เหรอ

ไม่อยากคิดไปในมุมนั้น

แต่มันก็คิดไปแล้ว ทำไมชอบพูดอะไรคลุมเครือวะ

ถามอีกทีดิ๊



NaTee(n): พี่

NaTee(n): ขอชัดๆ นะ

NaTee(n): พี่เต๊าะผมรึเปล่า



พี่ทัชอ่านข้อความแล้ว แต่ยังไม่ตอบ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ หรือว่าต้องรอจนครบสิบนาทีเป๊ะๆ วะ งั้นก็นอนกลิ้งรอวนไป พอครบเวลาเป๊ะผมก็รีบพิมพ์ไปทันที



NaTee(n): ครบสิบนาทีแล้ว

NATOUCH: เออ

NaTee(n): เออ นี่คือตอบคำถาม?

NATOUCH: เออ คือรู้แล้วว่าครบสิบนาที

NaTee(n): โวะ แล้วที่ถามอะ

NATOUCH: ถามว่า?

NaTee(n): ก็เต๊าะผมรึเปล่าไง

NATOUCH: งั้นกูถามไรหน่อย

NaTee(n): ว่า?

NATOUCH: เต๊าะคืออะไร

NaTee(n): เงิบบบ

NaTee(n): ผ่ามๆๆๆ

NaTee(n): ไรของพี่วะ

NaTee(n): พี่เกิดสมัยสงครามโลกเหรอ ถึงไม่รู้จักคำนี้อะ

NaTee(n): ไปเสิร์ชกูเกิลไป

NATOUCH: เออ

NATOUCH: ไว้ว่างๆ เดี๋ยวเสิร์ชดู

NATOUCH: ขอทำงานก่อน

NaTee(n): เออๆ

NaTee(n): งั้นผมไม่กวนละ

NaTee(n): นอน

NATOUCH: อีกแป๊บจะเสร็จแล้ว



ผมลุกไปแปรงฟัน กลับมาปิดไฟและกระโดดขึ้นเตียง มองเพดานมืดๆ พร้อมกับฟังเสียงมอเตอร์ไซค์เด็กแว้นที่เริ่มออกปฏิบัติการแสวงหาคำสาปแช่งมาเติมเต็มชีวิต ยิ่งได้ยินเสียงเบิ้ลเครื่องใจผมยิ่งหงุดหงิด สับสน และขุ่นมัว เกือบจะได้หลับไปพร้อมความรู้สึกดีๆ แล้วเชียว ไม่น่าชวนพี่ทัชคุยเรื่องซับซ้อนคลุมเครือเล้ย

จะว่าไปมันก็ไม่ซับซ้อนนะ แต่ถามตรงๆ เลยต่างหาก พี่ทัชแหละทำให้มันยุ่งยาก หรือว่าผมไม่ควรถามตอนนี้วะ ที่สำคัญ คือผมอยากรู้จริงๆ หรือว่าผีเจาะปากพล่ามไปเรื่อยเหมือนเรื่องอื่นๆ

ช่างมันเถอะ ไม่คิดเยอะละ นอน

ตื๊อดึ่ง!

ไลน์เด้ง

ว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่ก็อดหยิบมาดูไม่ได้ พี่ทัชส่งมา ไม่ใช่พิมพ์เป็นข้อความ มาเป็นคลิปเลยทีนี้ ยาวหลายนาทีด้วย ใจผมคล้ายกับจะกระเด้งกระดอนอยู่ในอก จนต้องกลั้นลมหายใจไว้แล้วค่อยจิ้มนิ้วกดเพลย์ที่คลิป

และสิ่งที่เห็นคือ…

พี่ทัชนั่งอยู่บนเตียงกับกีตาร์ในท่าพร้อมเล่น มีผงฟอกนอนหมอบอยู่ข้างหน้าด้วย กล้องจับภาพแค่ครึ่งตัว เลยทำให้เห็นแค่ผงฟอก กีตาร์ และนิ้วเรียวยาวที่ไม่มีพลาสเตอร์พันสักแผ่น

พี่ทัชยีหัวผงฟอกทีนึง แล้วเริ่มเล่นกีตาร์ แค่ขึ้นอินโทรมาก็รู้แล้วว่าคือเพลง I Like Me Better คล้ายกับที่ผมบังคับให้เขาเล่นตอนผมไปเที่ยวบ้านเขาเลย ต่างแค่ว่าไม่มีเสียงเป็ดๆ ของผมร้องให้คร่อมจังหวะ ผมนี่เงี่ยหูรอฟังเสียงเขาร้องเลย แต่กลายเป็นว่าพอจบอินโทร พี่ทัชกลับให้กีตาร์ร้องแทน คือบรรเลงเมโลดี้เนื้อร้องต่อไปเลย แถมยังเกาคลุมจังหวะไปด้วย

อือหือ กีตาร์ตัวเดียว อย่างกับมาทั้งวง

ผมตั้งใจฟังพลางมองนิ้วที่ขยับอย่างคล่องแคล่วไปด้วย พอจบเพลง เขาก็ยีหัวผงฟอกอีก ก่อนจะจับหัวมันหันมาหากล้องคล้ายๆ จะทำให้มันยิ้มให้กล้อง รอยยิ้มมาแล้ว รอยยิ้มกูเนี่ย โอ๊ย ทำไมคลิปสั้นจังวะ

ผมพุ่งลงจากเตียงไปควานหาหูฟังในกระเป๋า ทั้งที่ม้วนไว้ดิบดีแต่มันก็พันกันยุ่งทุกที รีบพุ่งกลับขึ้นเตียงและเสียบหูฟังทั้งที่สายยุ่งๆ นั่นแหละ แล้วเปิดคลิปตั้งใจฟังอีกรอบ

โห เล่นโคตรดี เก็บรายละเอียดทุกเม็ด ขนาดผงฟอกยังทำหน้าเคลิ้มเลย

นอนหลับฝันดีละคืนนี้ แต่ก่อนจะนอนก็ขอแชตอีกหน่อย



NaTee(n): เฮ้ย พี่

NaTee(n): สุดยอดดด

NaTee(n): ไหนบอกเมื่อกี้ทำงาน

NATOUCH: ก็นี่ไงงาน

NaTee(n): เอ้า เหรอ

NaTee(n): สับขาหลอกเฉย

NaTee(n): พี่ไม่ร้องด้วยอะ อยากฟัง

NATOUCH: กูร้องเสียงเป็ดแบบมึงไม่ได้

NaTee(n): 5555

NaTee(n): เสียงเป็ดกว่าผมอะดิ ถึงไม่กล้าร้อง

NATOUCH: คิดตามที่มึงอยากคิดเลย

NaTee(n): เออ ไม่ต้องร้องหรอก เดี๋ยวผมฝันร้าย

NaTee(n): แล้วไอ้การเล่นแบบนี้มันเรียกว่าไรนะ

NaTee(n): คุ้นๆ นึกไม่ออก

NATOUCH: fingerstyle

NaTee(n): เออ ใช่ๆ

NaTee(n): พี่เอาลงยูทูบดิ ไลก์กระจายแน่

NATOUCH: ไม่

NaTee(n): งั้นผมเอาลงนะ

NATOUCH: อืม

NaTee(n): เปลี่ยนใจละ ไม่เอาลงดีกว่า

NaTee(n): ผมจะเก็บไว้ดูคนเดียว

NATOUCH: หึ

NaTee(n): ก็พี่เล่นให้ผมฟังนี่ ใช่มะ

NaTee(n): งั้นคนอื่นก็ไม่ต้องฟัง

NATOUCH: กูนอนละ

NaTee(n): อยากเม้าท์ต่ออะ

NaTee(n): แต่นอนก็ได้

NaTee(n): เคๆ

NaTee(n): ฝันดีผีเต็มเตียง



ผมวางมือถือไว้หัวเตียง พลิกตัวนอนหงาย หลับตาพริ้มพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

ตื่อดึ๊ง!

ไม่ทันถึงนาทีข้อความใหม่ก็เด้งมาอีก อะไรอีกล่ะพี่ทัช จะบอกฝันดีก็ให้มันเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้เนอะ คนกำลังจะเริ่มฝันแล้วเมื่อกี้ แต่พอหยิบมาดูเท่านั้นแหละ

งานเข้าแล้วมั้ยล่ะ

งานเข้าบริษัทขอทัชฑีแล้ว เพราะเป็นข้อความจากกรุ๊ปเมียหลวง เพื่อรักษาเครดิตและน้ำใจลูกค้าไว้ก็ต้องแหกตาขึ้นมาแชตคุยรายละเอียดกันหน่อย แต่ไม่ทันจะได้คุยอะไรหรอก ไอ้พวกเด็กแว้นมันเอาอีกแล้ว ชอบจัง ชอบมาแง้นๆ อยู่หน้าบ้านกูเนี่ย ต้องโทรไปคลายทุกข์ที่ไหน สวพ.91 หรือศูนย์ดำรงธรรม หรือว่าคลับฟรายเดย์

แง่น! แง่นๆ แงนแง่นแง้นนนน~

โว้ยยย คืนนี้จะได้นอนมั้ย






_______________



ล่าสุดได้ผลต้นฉบับมาแล้วค่า
ไว้จะมาบอกนะคะ > <
Merry Kiss Mast คับทุกคนนน


นางร้าย
25.12.19I

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ข่าวดีแน่ๆเลย จุดพลุรอเลยไหมคะ

อ่านเขาเตาะกันแล้วก็ขำ น้องมันซื่อหรือพี่มันร้ายคะ? 5555

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
โง้ยย ทัชมีเล่นเพลงกล่อมให้ไอ้แสบนอนด้วย  :hao7:

พี่แอบไปเสิร์ชมาแล้วใช่มั้ยว่า เตาะ แปลว่าอะไร  :laugh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2020 12:33:11 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ยังไงคะพรี่ทัช สรุปเต๊าะคือ?

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
เริ่มจีบกันจริงจังแล้วววว

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2


แตะต้องครั้งที่ 27
จับบบ…สัมผัสชัช-เจนขอเค้นเรื่องลับกลับบ้าน
ไม่ต้องกินถ้ากูยังได้ยินโอ้มายก็อด



“ทำไมพี่แต่งตัวดีจังวะ”

“ดียังไง ปกติ”

ใช่ ปกตินั่นแหละ แค่เสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนกับกางเกงสีเข้มเข้ารูป แล้วก็รองเท้าหนังสีน้ำตาล แต่พออยู่บนตัวพี่ทัช ทำไมมันดูดีดูแพงขนาดนี้วะ ตัดภาพมาดูสภาพตัวเอง เครื่องนุ่งห่มชิ้นหลักๆ บนตัวผมตอนนี้คือ เสื้อเชิ้ตโทนสีส้มแขนสั้น กางเกงยีนผ้ายืด กับรองเท้าผ้าใบยอดฮิต ก่อนออกจากบ้านก็คิดว่าดีแล้วนะ แต่หลังจากพี่ทัชจอดรถและเราลงมายืนคู่กัน มันก็อดที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้ ณ จุดนี้ ผมนึกว่าตัวเองจะไปเล่นสงกรานต์แถวสีลม ถ้าเสื้อเชิ้ตมีลายดอกสักหน่อยนี่เป๊ะเลย

“ไม่คิดว่าโรงแรมจะหรูขนาดนี้อะ รู้งี้ผมจัดทักซิโดมาแล้ว” ผมบ่นอีกขณะเราเดินไปตามทาง

“คิดมาก มึงดูดีแล้ว”

“จริงดิ พี่ทัช เอาดีๆ หันมาดู”

“ในสายตากูมึงดูดีแล้ว”

“พี่ยังไม่ได้หันเลย”

ปึก!

หน้าฟาดแผ่นหลังเขาเต็มๆ ดิครับ ก็เล่นหยุดดื้อๆ แบบนี้   

“ต้องมองทำไม กูรู้อยู่แล้ว” เขาพูดโดยเหลือบมาแค่หางตา

น้ำเสียงเรียบๆ แทบไม่ต่างจากเดิม แต่ทำไมฟังแล้วเหมือนโลกหยุดหมุน กลิ่นตัวพี่แกก็โคตรหอม แค่บังเอิญหน้าฟาดหลังไปเบาๆ ได้สูดกลิ่นแค่ปื๊ดเดียวยังพาเคลิ้มได้ขนาดนี้

“แล้วพี่หยุดทำไม ถ้าพี่เดินงี้แถวตลาดเจ๊เนียมบ้านผมนะ ไม่โดนไม้หน้าสามก็มีดสับหมูอะ อย่างน้อยยางรถพี่ก็ต้องรั่ว…”

“อืม โทษที” ทำไมต้องเสียงทุ้ม ทำไมต้องตาเป็นประกาย                 
แล้วทำไมรู้สึกว่าสบตาเขาไม่ได้เลยวะ

“แล้ว...แล้วในสายตาคนอื่นล่ะ สภาพผมดูเป็นไง เหมือนจะไปเล่นสงกรานต์มั้ย”

“กูไม่ใช่คนอื่น”

“งั้นเดี๋ยวผมถามยาม ไปๆ พยาธิในไส้ผมเริ่มก่อม็อบเรียกร้องของกินแล้ว”

เรื่องของเรื่องคือ เจ๊เจนนี่ลูกค้าจากกรุ๊ปเมียหลวงกำลังต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่เรื่องสามี เพราะคุณพี่ชัชวาลย์คู่กรณีนี่ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่เป็นแฟนคบกันมาได้ประมาณห้าปี แค่ชื่อก็ขนลุกแล้ว ชัช-เจน ฟังแล้วโคตรจะเป็นมงคล น่าจะไปกันได้ไกล แต่เจ๊บอกว่าพักหลังๆ มานี้อะไรที่เคยชัดเจนกลับดูคลุมเครือซะงั้น พี่ชัชเริ่มทำตัวหวงโทรศัพท์ กลับดึก คึกแค่ครึ่งๆ กลางๆ ชอบปล่อยเจ๊ลงข้างทางแห่งความฟิน...

แล้วอะไรอีกวะ เจ๊แกท่องให้ฟังยืดยาว แต่จำได้แค่นี้แหละ

สรุปคือมีปัญหาหนักใจจนอยากขอใช้บริการบริษัทขอทัชฑีของเรา วันนี้เจ๊เจนนี่นัดกินข้าวมื้อค่ำสุดหรูกับพี่ชัชวาลย์ที่นี่ เลยนัดให้เรามาจับโป๊ะแตกต่อหน้าเลย นี่ไงล่ะ คนจริง ตาต่อตาฟันต่อฟันไปเลย! ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเจอความจริงฟันกลับเละเทะแค่ไหน

“พี่เขานัดกี่โมง” พี่ทัชถาม

“ดูแป๊บ” ผมหยิบมือถือขึ้นมากดดูห้องแชต “ชิบ เจ๊มาถึงสักพักแล้วอะ…”

ผมหยุดปากไว้เพราะเราเดินมาถึงประตูทางเข้าพอดี ดอร์แมนยิ้มทักทายแล้วเปิดประตูให้ พี่ทัชเดินนำเข้าไป ส่วนผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินตาม

“คนเปิดประตูแต่งตัวดีกว่าผมอีก เลยไม่ถามละ ทำใจ” ผมบ่นอุบอิบ “แล้วเอาไงต่ออะ เรานัดแผนกันหน่อยมั้ย”

“มึงคุยกับพี่เจนนี่ไว้ว่าไงบ้าง”

“ก็โม้ไปเยอะอะ จิตวิทยาแนวใหม่ที่โคตรจะมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องทำอะไรมากมาย ขอแค่คุยนิดหน่อยและได้สัมผัสตัว แล้วก็ปิ๊ง ความจริงปรากฏ”

“งั้นแผนก็ง่ายๆ ละกัน”

“ซี้ดดด ตื่นเต้น ยังไงๆ เข้าไปบวกตรงๆ เลยปะ ล็อกคอเลย ถ้ากวนตีนมากก็ตบสั่งสอน สองรุมหนึ่งยังไงก็เอาอยู่”

“หมายถึงดูจากสถานการณ์แล้วใช้วิธีอะไรง่ายๆ”

ดูจากสถานการณ์แล้วใช้วิธีง่ายๆ ?

“ง่ายยังไง”

“มึงอย่าพูดมากแล้วก็ทำตัวให้เป็นปกติก็พอ”

นี่เหรอแผน ทำไมฟังดูเหมือนไม่มีแผนอะไรเลยวะ แล้วให้ผมทำตัวปกติแต่อย่าพูดมากคืออะไร ฟังแล้วโคตรขัดแย้งเลย เพราะทำตัวปกติของผมก็คือพูดมากไง

“ช่างมันก่อนละกัน หิว”

“มึงจะไปไหน”

“หาไรกินดิ พี่ไม่หิวเหรอ”

“นั่นทางไปห้องน้ำ ห้องอาหารทางนี้”

“อ่าว...ก็จะไปล้างมือไง ตอนเรียนอนุบาลครูไม่สอนให้พี่ล้างมือก่อนกินข้าวเหรอ ไปๆ”

พี่ทัชตามผมเข้าห้องน้ำมาโดยไม่พูดอะไร โรงแรมใหญ่ๆ มันเป็นงี้เอง นั่นประตูห้องน้ำเหรอวะ หรูเกิ๊น ส่วนข้างในนี้ก็สะอาดจนลงไปนอนกลิ้งเล่นได้มั้ง ผมล้างมือแก้เก้อ ส่วนพี่ทัชถือโอกาสนี้แกะพลาสเตอร์ออกจนครบทุกนิ้วแล้วค่อยล้างมือ

“ฉี่ปะ” ผมถาม

“ไม่”

“เผื่อไว้ดีกว่า” ผมพูดพลางขยับไปที่โถฉี่ “เผื่อเจ๊แกเล่นบทโหดชักปืนออกมารัวทำไง จำไม่ได้เหรอที่ผับโอ้มายแอสอะ...งั้นก็แล้วแต่พี่นะ ถ้าฉี่แตกขึ้นมาแล้วจะเสียใจ” ผมจัดยาวๆ ไปจนหมดก๊อก แล้วมาล้างมือข้างๆ เขา “โอเค พร้อม”

เราออกจากห้องน้ำมาที่ห้องอาหาร ตาลายจะเป็นลม นี่โรงแรมหรือสวรรค์ ของกินเยอะไปหมด น่าจะมีครบทุกสัญชาติเลยมั้งเนี่ย ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง

“นี่งานบวชงานแต่งใครรึเปล่า จัดเต็มซะ”

“มันเป็นบุฟเฟ่ต์ มึงไปหาโต๊ะนั่งก่อน อยากกินไรก็กิน กูเลี้ยง แต่อย่าเพิ่งตักเยอะ มันมีเมนูดีๆ ให้สั่งต่างหากได้”

พูดไรก็พูดไป ไม่ได้ยินอะไรแล้วตอนนี้ ระหว่างที่พี่ทัชแยกตัวไปบอกพนักงานว่ามีคนหนึ่งคนกับปอบอีกตนต้องการกินอาหาร ผมก็เดินตาลอยๆ เหมือนคนละเมอไปที่ซูชิบาร์

“อ้าว! น้องนะฑี มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย บังเอิญมาก เกือบเดินชนกันแล้ว” โคตรเนียนเลยครับเจ๊เจนนี่ เกือบเดินชนซะที่ไหน เจ๊แถมาจากฟากโน้นไม่ใช่เหรอ แถมส่งเสียงซะไม่เกรงใจความหรูของสถานที่อีกต่างหาก “เจ๊รอนานแล้ว ไปนั่งกัน เร็วๆ”

“หวัดดีครับเจ๊ หิวอะ ขอกินก่อน”

“เออน่า เดี๋ยวค่อยกิน”

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะเจ๊”

“รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ยิ่งรู้เร็วยิ่งดี แล้วเพื่อนเราอีกคนอยู่ไหน” อะไรของเจ๊วะ มาเปิดตำราสงครามอะไรตอนนี้ “ใช่คนนี้หรือเปล่า...ทัชใช่มั้ยจ๊ะ”

พี่ทัชเดินเข้ามาสมทบพอดี “สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้

“หวัดดีจ้ะ ไปนั่งกันเร็วๆ”

ห่าน! ตับห่านอยู่ใกล้แค่เอื้อม!

แต่ผมกับพี่ทัชก็ถูกลากตัวมาที่โต๊ะเจ๊แล้ว จิตใจทำด้วยอะไร ขอกินหน่อยก็ไม่ได้ พอมาถึงโต๊ะก็จีบปากจีบคอแนะนำตัวเราสองคนกับพี่ชัชวาลย์แฟนหัวแก้วหัวแหวนทันที

“พี่ๆ นี่ไปเจอน้องที่รู้จักพอดี นี่น้องนะฑี แล้วก็นี่น้องทัช ส่วนนี่พี่ชัช แฟนพี่เอง”

“สวัสดีครับ/หวัดดีครับพี่” เราสองคนยกมือไหว้ เจ้าตัวก็รับไหว้อย่างดี

“ให้น้องนั่งด้วยนะ”

“อ่า…”

“นั่งกันๆ เอาเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาเลย” บอกอย่างนั้น แต่เจ๊เป็นคนลากเก้าอี้มาเองทั้งสองตัว กดไหล่ผมกับพี่ทัชให้นั่งลงเสร็จสรรพ

แล้วไงต่อ

เดดแอร์เต็มๆ

“เฮ้ย นะฑี ไม่ได้เจอกันนาน เป็นไงบ้างเนี่ย” เจ๊เขย่าตัวผมแรงๆ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องหาเรื่องมาคุย

“สบายดีเจ๊ กินอิ่ม นอนหลับ ลำไส้ตับไตทำงานคล่อง ลองตดก็ดัง” ผมเขย่าตัวเจ๊แรงๆ บ้าง “แล้วเจ๊เป็นไง ดูเฟิร์มขึ้นนะเนี่ย” ว่าแล้วก็จับเหนียงต้นแขนเจ๊แกว่งๆ ให้ไขมันกระเพื่อมเล่น

ไม่อยากเสียมารยาทนะ แต่นี่คือผลกรรมของเจ๊ไง ที่ทำให้ผมกับซูชิตับห่านพลัดพรากกัน

“เอ่อ…”

“เอ่ออ่าไรล่ะเจ๊ พูดอะไรก็พูด มีความลับเหรอ”

“ความลับไร ไม่มี เจ๊ไม่เคยมีความลับ”

“ทำไมผมรู้สึกแถวนี้มีอะไรลับๆ อะ ผมเซนส์ดีนะเจ๊จะบอกให้”

“แค่กๆ” พี่ชัชวาลย์สำลักน้ำ เราทุกคนเลยหันไปมองหน้าเขา “เอ่อ...เจนรู้จักน้องมานานแล้วเหรอ”

“โอ๊ย นานแล้วดิพี่ ตั้งแต่สมัยที่เจ๊อยู่โรงเรียนบ้านหนองเขียดชุมแล้ว” ผมตอบให้แทน

“ตอนเด็กเจนเรียนนานาชาติไม่ใช่เหรอ”               
 
“ก็...ก่อนเจนมาเรียนนานาชาติ ก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนต่างจังหวัดพักนึงน่ะพี่”

“อ้อเหรอ ไม่เห็นเจนเคยเล่าเลย”

“มันนานแล้วน่ะพี่ ตั้งแต่เด็กๆ เลย”

“คิดถึงสมัยนั้นเนอะเจ๊” ผมเสริมไฟเข้าไปอีก “ตอนนั้นเจ๊ไล่ปล้ำผมยับทุกวันนี่”

“แค่กๆ” คราวนี้เจ๊เจนนี่สำลักบ้าง ส่วนพี่ชัชตาเหลือกเล็กน้อย

“ตอนเด็กพี่ชัชไม่เคยเล่นพ่อแม่ลูกเหรอครับ” ผมถาม “ผมกับเจ๊นี่ไล่ปล้ำกันทุกวัน สนุก บางวันมีชู้มาแจมด้วยนะ คนนี้เลย” ผมชี้ใส่พี่ทัช

“น้องคนนี้ก็ด้วยเหรอ”

“โหย พี่ไม่รู้ไร พี่ทัชนี่ชู้เบอร์หนึ่งเลยนะ ท่าไม้ตายคือย่องเข้ามาจากข้างหลัง”

พี่ทัชไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แค่ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเบื่อหน่าย แต่ผมติดลมแล้วตอนนี้ เหมือนจะหยุดปากตัวเองไม่ได้

“เรื่องมันนานแล้ว เจ๊ว่าคุยเรื่องปัจจุบันดีกว่า เป็นไงมั่งช่วงนี้”

“ก็อย่างที่บอกไง ลำไส้ตับไต…”

“สุขภาพดี ดีแล้วๆ แล้วการเรียนเป็นไง”

“เกียรตินิยมเหรียญทองแน่นอน”

“การเงิน”

“ก็ไหลมาเทมา”

“ขนาดนั้นเลย”

“ขนานนั้นดิ”

“น่าอิจฉา ชีวิตจะดีเกินไปมั้ยเนี่ย แล้วความรักล่ะ”

“โอ๊ยยย” ร้องไว้ก่อน ไม่รู้จะต่อยังไง ไหลลื่นมาตลอดแต่มาสะดุดเอาตรงนี้แหละ “อย่าให้พูดเลยเจ๊ ไม่อยากจะเมาท์”

“แหม ถ้าเกริ่นมาแบบนี้ไม่เมาท์นี่บาปหนักเลยนะ เป็นไงๆ เด็ดใช่มะ”

“เด็ดมากคนนี้”

“ยังไงบ้าง”

“ก็ปากเปิกไม่เคยแห้งอะ”

“โห คิดไปไกลเลยนะเนี่ย”

เพียะ!

อยากจะตบปากเจ๊รัวๆ แต่ก็ทำได้แค่ตีไหล่ “หมายถึงคุยกันเยอะจนปากเปียกปากแฉะน่ะเจ๊ คิดไปถึงไหนเนี่ย”

“อ๋อเหรอ~” เกลียดการลากเสียงของเจ๊จริงๆ

“นะฑี”

ผมหันขวับไปมอง คิดว่าคงจะเป็นแค่การเรียกชื่อให้หยุดเพ้อเจ้อตามปกติ

แต่สายตาพี่ทัชเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น ไม่รู้เป็นเพราะอะไรผมกลับเข้าใจมันได้แทบจะในทันทีราวกับคนคบหากันมานาน

“มันน่าจะดีนะ” ผมว่าพลางขยิบตาแล้วพูดกับเขาเสียงเบา

“อืม”

“ก็โอเคอะ ได้อยู่ เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว”

“...” พี่ทัชนิ่งเหมือนครุ่นคิด

“งั้นผมเปิดเลยนะ”

“คุยไรกันเหรอ” ต่อมเผือกเจ๊เจนนี่ทำงาน ผมแอบขยิบตาให้เจ๊รัวๆ เป็นการส่งสัญญาณ แล้วหันไปหาพี่ชัชที่คล้ายกับจะถูกตัดออกจากวงสนทนาไปแล้ว เขากำลังนั่งเขี่ยของกินเล่นอยู่

“เอ่อ...พี่ชัชครับ”

“หืม?”

“พี่ทัช พูดไปเลย” ผมบอก ซึ่งเจ้าตัวก็ออกอาการเกรงอกเกรงใจได้อย่างแนบเนียน แต่ไม่พูดอะไร

“มีอะไรเหรอ” พี่ชัชวาลย์ถาม

“นาฬิกาพี่ชัชสวยครับ พี่ทัชชอบมาก...ดูดิ มองตาเป็นประกายปิ๊งๆ ขนาดนี้ ไม่ต้องเกรงใจแล้วมั้งพี่”

“อ๋อ นาฬิกานี่เหรอ”

“ครับ” พี่ทัชพูดนิ่มๆ “พอดีช่วงนี้ผมกำลังดูๆ นาฬิกาสักเรือนอยู่น่ะครับ เห็นของพี่สวยดี ขอดูได้มั้ยครับ”

“ได้สิ”

“ไม่เป็นไรพี่ ไม่ต้องถอดก็ได้ครับ”

เอาแล้ว

เริ่มแล้ววว!

ผมหยิกขาเจ๊เจนนี่จนเจ้าตัวร้องซี้ด เจ๊ดูเหมือนจะเข้าใจได้ทันทีเหมือนกัน มือพี่ชัชยื่นมาข้างหน้านิดๆ พี่ทัชยื่นไปจับอย่างช้าๆ โดยที่นิ้วโป้งแตะขอบเรือนนาฬิกา ส่วนนิ้วชี้คงแตะที่ผิวใต้ข้อมือแน่นอน

“ซื้อมานานรึยังครับ” พี่ทัชถาม

“ก็ไม่นานนะ ก็อปเกรดเอเลย คนขายบอกว่าเหมือนทุกอย่าง ต่างแค่ราคา…” พี่ชัชขมวดคิ้ว เหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรออกไป แต่ยังไม่ทันตั้งตัวพี่ทัชก็รัวต่อ

“อ้อ ใช้ดีมั้ยครับ”

“กะ...ก็ดี”

“แล้วพี่มีความลับอะไรมั้ย” จู่ๆ พี่ทัชก็ยิงคำถามแบบนี้เลย เหมือนจะถามต่อเนื่องเรื่องนาฬิกา แต่มันไม่ใช่ ผมรู้ซึ้งดี ถ้าโดนพี่ทัชแตะตัวและถามจี้เข้าประเด็นแบบนี้ เหยื่อจะรีบคายความลับออกมาเหมือนคนท้องเสียนั่นแหละ

“มี”

นั่นไง!

“มีคนอื่นใช่มั้ย!” เจ๊เจนนี่เปิดฉาก

“มะ...ไม่”

“โกหก!”

“เปล่า”

“งั้นมีความลับอะไร พูด!”

“ก็...พี่นัดแนะกับน้องเขาไว้ เจนอย่ารู้เลย” พี่ชัชอึกอัก พยายามชักมือกลับแต่ก็ถูกจับไว้แน่น

“เจนต้องรู้ทุกเรื่อง นัดกับน้องไหน มันเป็นใคร” เริ่มเดือดแล้ว เจ๊เจนนี่จะลุกขึ้นยืนผมเลยรีบกดไหล่ให้นั่ง ส่วนพี่ชัชถึงกับหน้าซีดเป็นกระดาษ เหงื่อคงซึมไปถึงร่องตูดแล้วมั้ง “พี่ชัช บอกเจนมาเดี๋ยวนี้!”

“ก็ถ้าพี่ทำมือโอเคแบบนี้ คือพร้อม”

“อะไรของพี่ โอเคอะไร”

“เดี๋ยวก่อน นี่เกิดอะไรขึ้น น้องทำอะ...อะไร…”

“อย่ามาแกล้งโง่ มองหน้าเจนนี่ พี่ชัช! บอกมาเดี๋ยวนี้!”

ไปกันใหญ่แล้วตอนนี้ เจ๊เจนนี่ลุกพรวดขึ้นโน้มตัวไปข้างหน้า ส่วนพี่ชัชก็กำลังเหวอๆ มึนๆ แต่ในสายตาของเจ๊น่าจะเหมือนกำลังแกล้งโง่อย่างที่ว่า

จังหวะที่อึกๆ อักๆ อยู่นี้เอง ก็มีพนักงานผู้ชายนำเครื่องดื่มสองแก้วมาเสิร์ฟ

“แชมเปญครับ”

“ไม่ได้สั่งค่ะ”

“ครับ แต่…”

“เฮ้ยๆ เอามาตอนนี้ทำไม อย่าเพิ่งสิวะ” พี่ชัชโวยวาย

“แต่พี่ทำมือโอเคแล้วนะครับ ผมเลยนึกว่า…”

“พี่ชัชสั่งเหรอ คือไรอะพี่…”

“ก็จะขอแต่งงานไงเจน”

“...”

“แหวนอยู่ในแก้ว เห็นมั้ย...นี่พูดอะไรไปวะ...”

พี่ทัชกระตุกมือกลับอย่างกับแตะถูกของร้อน คำพูดของแต่ละคนที่สวนกันไปมาจนไม่จบประโยคก็เงียบลง พนักงานชิ่งไปแล้ว เจ๊เจนนี่ทรุดตัวลงนั่งอ้าปากค้าง ส่วนพี่ชัชนั่งก้มหน้าเอามือกุมหัว ปากสบถงึมงำ

อะไรวะ หักมุมอีกแล้วเหรอ ทำไมชีวิตคนเราซับซ้อนขนาดนี้

“นี่...นี่พี่จะขอเจนแต่งงานเหรอ”

“พัง พังหมด…”

“ความลับของพี่คือเรื่องนี้เหรอ”

“ใช่ แต่มันไม่ควรเป็นแบบนี้...” พี่ชัชยังไม่ยอมเงยหน้า ปากยังบ่นพึมพำเหมือนสาปแช่ง

“ที่ประหยัดเงินก็เพราะงี้เหรอ พี่…” เจ๊ยกแชมเปญขึ้นกระดกจนหมด แล้วเทสิ่งที่เหลืออยู่ตรงก้นแก้วใส่ฝ่ามือ “แหวน! พี่ชัช โอ๊ย พี่!”

เอ้า สวมแหวนให้ตัวเองเลยเหรอ

เจ๊ อาการเหมือนได้ครอบครองแหวนจากเดอะลอร์ดออฟเดอะริงอะ ถ้าพูดว่า ‘ของรักของข้า’ นี่เจ๊คือกอลลั่มเลยนะ

“ฮือ พี่ชัช แหวนสวยมากเลย”

แค่แหวนในแก้วแชมเปญยังไม่พอ ตอนนี้ยังมีมือสีไวโอลินโผล่มาจากด้านหลังเจ๊ด้วย แต่ท่าทางยังลังเลว่าจะเอาไงกับชีวิต ผมเลยทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้เขาเริ่มบรรเลง พอเสียงโน้ตตัวแรกดังขึ้นเท่านั้น เจ๊เจนนี่ผู้ได้ครอบครองแหวนแห่งอำนาจก็เอามือปิดหน้าปล่อยโฮ

พี่ชัชวาลย์เงยหน้าขึ้น จังหวะนี้ควรจะได้สบตากันหวานซึ้งแบบส่วนตัว แต่กลายเป็นว่าเจ๊เจนนี่ร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้ว ส่วนพี่ชัชก็หน้าแดงและตาขวางๆ เหมือนคนเมายาบ้า

แบบนี้ก็โอเคนะ โรแมนติกดีออก

หรือไม่ดีวะ

“ขอโทษนะครับ แล้วก็ยินดีกับพี่สองคนด้วยครับ” พี่ทัชพูดแค่นั้น แล้วลุกออกไปเลย

ผมลุกพรวดตามและเขย่าตัวเจ๊แรงๆ “เฮ้ย เจ๊เจนนี่ ไม่ต้องขึ้นคานแล้ว สุดยอดเลย ไม่นึกว่าจะหักมุมแบบนี้เลยนะเนี่ย...”

“นะฑี ไปได้แล้ว”

“ยินดีด้วยนะเจ๊ จะลดน้ำหนักทันงานแต่งมั้ยเนี่ย” ผมจับเหนียงใต้แขนเจ๊เขย่า “สู้ๆ นะ ไปละเจ๊ พี่ชัชหวัดดีครับ”

จากนั้นก็ชิ่งอย่างไวไปหาพี่ทัชที่ยืนคอยอยู่ห่างๆ

“นั่งโต๊ะไหน”

“ไม่นั่งแล้ว ไป”

“หิว”

“ทำงานพี่เขาพังขนาดนี้…”

“เออๆ รีบไปดีกว่า ดูหน้าที่ชัชแล้ว ขืนอยู่ต่อแกได้กินหัวผมแน่”

ไม่รู้เวรกรรมอะไรที่ทำให้ผมต้องพลัดพรากจากตับห่านอีกครั้ง เราสองคนรีบเหาะออกจากโรงแรมกลับมาที่รถ พอเปิดประตูเข้ามานั่งได้ผมนี่ถึงกับถอนหายใจเฮือก

“พี่แกดูละครมากไปรึเปล่า แหวนในแก้วแชมเปญกับไวโอลินนี่มุกเก่ามากนะ”

“ทำไมมึงไม่ถามให้ดีๆ ก่อน”

“โหย ผมถามแล้วถามอีก เจ๊มั่นใจมากว่าโดนนอกใจแน่ๆ ”

“ช่างมันเถอะ” พี่สตาร์ทรถ ขับถอยหลังออก

“งั้นสรุปนะ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...ว่าไรอะ”

“ความจริงบางอย่างไม่ควรถูกเปิดเผยก่อนเวลา” ประโยคนี้พี่ทัชพูดจริงจัง

แต่ผมยังเล่นต่อ “สุดยอด! คมกริ๊บ แล้วแบบนี้จะได้เงินมั้ยวะ”

“ยังจะคิดเรื่องเงินอีก พี่เขาไม่เอาตะเกียบจิ้มตาก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“ถ้าจิ้มก็จิ้มตาพี่อะ พี่เป็นคนทำให้ความลับพี่เขาแตก”

“...” พี่ทัชมองผมอย่างทึ่งๆ

“แต่ไม่ต้องห่วง” ผมตบไหล่เขาเป็นเชิงปลอบ “ผมไม่ปล่อยให้พี่ตาบอดฟรีๆ หรอก ผมจะอัดพี่ชัชให้เละเลย”

“...”               

“หักแขน หักขา”

“...”

“ถ้ายังไม่สาสม หั่นศพยัดท่อเลยก็ได้”

“...”

จากที่มองทึ่งๆ เปลี่ยนเป็นสีหน้าเหนื่อยใจแทน งั้นเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า

“โอ๊ย หิว” ผมเอามือกุมท้อง

“ก็จะพาไปกินนี่แหละ”

“จริงเหรอ! กินไร”

“เลือก”

“ญี่ปุ่นๆ นะ กระเพาะผมอยากย่อยซูชิ ดูหนังด้วยได้ปะ ผมเลือกของกิน พี่เลือกหนัง”

“อือ”

“หนังเรื่องไร แนวไหน ไม่เอาผีนะ”

“อนิเมชั่นของพิกซาร์”

“เฮ้ย ใจตรงกันเลย ผมอยากดูเรื่องนี้...ถึงว่า วันนี้ทำงานเข้าขากันมาก มองตาปุ๊บเข้าใจเลย” 

“อะไร” 

“ก็นาฬิกาพี่ชัชไง ที่พี่ส่งสายตาบอกผมอะ มุกง่ายๆ แต่เนียนเลย”

“กูไม่ได้หมายถึงนาฬิกา...ช่างมันเถอะ” พี่ทัชมองผมแวบ ก่อนจะชะลอรถตามคันหน้าที่ติดไฟแดงอยู่

“เดี๋ยวนะ” ผมขยับตัวหันไปมองเขาเต็มๆ “พี่ไม่ได้ส่งสัญญาณบอกผมเรื่องนาฬิกาเหรอ ที่สบตาอะ”

“...”

เอ๊ะ ยังไง

ก็ตอนนั้นผมเล่นมุก 18+ กับเจ๊เจนนี่อยู่ แล้วพี่ก็ทัชก็เรียกชื่อผม ผมหันไปสบตาด้วย และคุยกันว่า...

“มันน่าจะดีนะ”

“อืม”

“ก็โอเคอะ ได้อยู่ เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว”


“ถ้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนาฬิกา งั้น...พี่หมายถึงเรื่องปากเปียกปากแฉะอะไรนั่นเหรอเนี่ย”

“...”

“นี่พี่คิด 18+ กับผมเหรอ”

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วมึง”

“สารภาพมา ใช่มั้ย”

“...”

“เฮ้ย พี่ทัช จริงปะเนี่ย หันมาคุยกันดีๆ ดิ๊”

“กูขับรถอยู่”

“ขับอะไร รถติดไฟแดง”

“...”

ผมตะแคงศรีษะเพื่อมองหน้าเขา เขาเหลือบมาแวบนึงด้วยสีหน้าเบื่อๆ แค่แวบเดียวแล้วหันไปมองไฟแดงต่อ

“น่ะๆๆๆ”

“อะไรของมึง กูเบรกเพื่อให้มึงหยุดพูดเพ้อเจ้อนั่นแหละ แต่มึงเข้าใจว่าหมายถึงนาฬิกาพี่ชัชก็ดี เลยได้เริ่มทำงานสักที”

ผมตะแคงศีรษะมากกว่าเดิม จากนั้นร่างกายผมก็ดีดกลับมานั่งยืดตัวตรงเอง “โอ้มายก็อดๆๆ”

“อะไรอีก”

“ก็พี่คิดแบบนั้นจริงๆ”

“กูไม่ได้คิดอะไรเลย”

“โอ้มายก็อดๆๆ”

“เปลี่ยนใจแล้ว กูจะดูหนังผี”

“โอ้มายก็อดๆๆๆๆ”

“ถ้ายังไม่หยุด กูจะเลี้ยวไปส่งมึงที่บ้านเดี๋ยวนี้แหละ ข้าวก็ไม่ต้องกิน”

ผมเม้มปากไว้ เป็นจังหวะที่ไฟเขียวพอดี รถค่อยๆ เคลื่อนตามกันผ่านแยกไป ภาพในหัวผมชัดเจนจนโลกรอบตัวพร่าเลือนไป ไฟท้ายรถตรงหน้าไหวพริบพราวดูคล้ายหมู่ดาวในความฝัน

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ผมก็หันมองเขาอีก

พี่ทัชยังมองตรงด้วยสีหน้านิ่งๆ

ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิด ไม่ให้พูดอะไรอีก

แต่…

“มันน่าจะดีนะ”

“อืม”


“โอ้มายก็อดๆๆๆๆๆ”







__________________________________

คิดถึงนะคะ!
ขอใช้โอกาสนี้ HNY2020 ย้อนหลังด้วยนะคะ!
ขอให้เส้นทางที่ทุกคนกำลังเลือกเดินนำพาไปเจอความสุขนะคะ :D


นางร้าย
7.มกรา.2020




ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
55555ปวดหัวกับน้อง

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เพราะฉันไม่ใช่พี่ทัชใช่ไหม? ฉันถึงไม่เข้าใจว่าอิน้องมันหมายถึงอะไร? โอ้มายก้อดๆๆๆๆ  :jul3:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
โอ้มายก๊อดดดด :hao7:
พี่ทัชอาจจะเข้าใจ แต่ถ้าเลือกได้คงไม่อยากเข้าใจ 55555555555555555

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 28
จับบบ…ทักบ่อยอ่อยนานรำคาญโลกกลม
ล้มตัววันเสาร์เอ้า? อุ๊ย! ระวังครับ



สองวันแล้วที่ไม่ได้เมาท์กับพี่ทัชแบบชิลล์ๆ ยาวๆ

ทักแชตไปทีไรก็โปรยแต่เม็ดเกลือกลับมา พอถามจี้รัวๆ หน่อยก็เจอแต่ข้ออ้างคลาสสิกว่ากำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหรือไม่ก็อาบน้ำให้หมา



NaTee(n): ทำไร

NATOUCH: อาบน้ำให้ผงฟอก

NaTee(n): อีกละ ตัวเปื่อยแล้วมั้งผงฟอก

NATOUCH: มึงมีไร

NATOUCH: ทักบ่อย

NaTee(n): ผงฟอกจะอาบน้ำไร สามทุ่ม

NATOUCH: มันร้อน

NaTee(n): นี่หน้าหนาว

NATOUCH: มันเล่นซนมา

NATOUCH: เหนื่อย

NaTee(n): เหนื่อยนี่คือพี่หรือผงฟอก

NATOUCH: กูด้วย

NaTee(n): ทำไรเหนื่อยอะ ลามกนะเรา

NATOUCH: บอกว่าอาบน้ำให้ผงฟอก เหนื่อย

NaTee(n): (สติกเกอร์big kiss)

NaTee(n): หายเหนื่อยยัง

NATOUCH: (สติกเกอร์ อ้วก)

NaTee(n): ฮ่าๆ อาบน้ำแค่นี้มันจะเหนื่อยไร

NATOUCH: มันดื้อ

NaTee(n): อ่อ ต้องดุกันปากเปียกปากแฉะเลยดิ

NATOUCH: …

NaTee(n): โปรยเม็ดเกลืออีกละ

NaTee(n): พี่ ไปไหนแล้ว

NaTee(n): อะโหลๆๆ1 2 3 4

NaTee(n): ประกาศ ใครเอารองเท้าเจ้าอาวาสไป ให้เอามาคืนที่ศาลา2 ด้วย

NaTee(n): อะโหล



ตามระเบียบเดิม โปรยเกลือสามเม็ดแล้วก็หาย ไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่มีคลิปเสียงอื้อหืออืออาอะไร ไรว้า ยังคุยไม่สาแก่ใจเลย ช่วงนี้ผมเรียนหนักขึ้นด้วย (เหรอ?) ก็หนักพอที่เจษฎากับเปิ้ลจะกักขังหน่วงเหนี่ยวผมไว้ไม่ให้ไปแสวงบุญที่ไหนนอกจากแถวๆ คณะนั่นแหละ

แต่ใจมันคัน อยากคุย ทำไงวะ

เอ้อ เพิ่งนึกออก



NaTee(n): พี่ เสาร์นี้ๆ

NaTee(n): แม่ชวนมากินข้าวที่บ้าน

NaTee(n): จำได้ปะ ที่พี่ช่วยออกค่าของขวัญให้แม่

NaTee(n): แล้วแม่ก็อยากเลี้ยงข้าวตอบแทนอะ



ผ่านไปประมาณสองชาติกว่าๆ พี่แกค่อยตอบกลับมา



NATOUCH: ได้



คำเดียวรู้เรื่อง

ผมแจ้งความประสงค์นี้ให้แม่ทราบ แต่ก็เหมือนโยนภาระอันยิ่งใหญ่ไปให้แทน เพราะช่วงนี้แม่ป่วยเป็นไข้หวัดอยู่ ด้วยความที่เป็นลูกกตัญญูผมเลยจะยกเลิกนัดพี่ทัชไปก่อน แต่ก็ด้วยความที่แม่คงจะอยากได้โล่ห์รางวัลแม่ดีเด่นแห่งชาติมาประดับวงศ์ตระกูล แม่เลยรีบยกมือห้ามไว้ ยืนยันว่าไหว

โอเค ไหวก็ไหว

ที่ผมยอมเพราะมีน้าเกดเป็นลูกมือทำกับข้าวด้วย ช่วงนี้น้าเกดกลับไปนอนที่บ้านสัปดาห์ละครั้งสองครั้งเอง ไม่ต้องถามอะไรมากก็เดาได้ว่าสถานะทางครอบครัวใกล้ถึงจุดแตกหักแล้ว

ตัดภาพมาวันเสาร์

ผมก็อยากอยู่เป็นลูกมือช่วยด้วยนะ แต่อย่างที่บอก ช่วงนี้เรียนหนัก เลยต้องแหกขี้ตาตื่นไปสุมหัวติวหนังสือกับ แก๊งไม่ส(า)มประกอบ ที่มหา’ลัย พอไปถึงม้านั่งหินอ่อนข้างตึกคณะที่ประจำของเราผมก็แทบจะแหกปากร้องออกมา

“เฮ้ย! โลกกลมว่ะ พี่มาอยู่นี่ได้ไง” เซอร์ไพรส์นะเนี่ย

“เวร” พี่เห็ดหันมาช้าๆ “มึงเชื่อว่าโลกแบนไม่ใช่เหรอ จะมาโลกกลมอะไร”

“พี่เห็ดจริงๆ ด้วย!” ผมทำท่าขยี้ตา “ไหนข่าวว่าพี่โดนหมาแถวบ้านรุมกัดตายแล้วอะ นี่ผมดีใจเก้อเลยนะเนี่ย”

“แล้วมึงรอดมาได้ไง วันก่อนเห็นเหี้ยลากไปแดกแล้วไม่ใช่เหรอ”

มุกแรงๆ ก็เหมือนกระทิงแดงนั่นแหละ ฟังแล้วเลือดลมไหลเวียนดี

ผมยิ้มหวาน “มาขอส่วนบุญแถวนี้ใช่มะ แถวคณะพี่คนใจบาปเยอะอะดิ”

“ถ้ายังไม่เลิกกวนตีน มึงนี่แหละจะได้ขอส่วนบุญจริงๆ”

“วาจาเกรี้ยวกราด ไม่นุ่มนวลเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอให้ช่วยจีบพี่รหัสเลย”

“คันตีนว่ะ”

“มีวิธีแก้นะ ตัดทิ้งดิ”

“ไปละ เดี๋ยวได้เตะคน” พี่เห็ดตบบ่าเจษฎาแล้วลุกหนีไปเลย เจษที่กำลังกินติดพันอยู่ถึงกับต้องยกตีนไก่ทอดขึ้นไหว้ ส่วนเปิ้ลเล่นมือถือชิลล์ๆ ไม่สนใจมารยาทไทยอันดีงามอะไร

“เอ้าพี่ รีบไปไหน” ผมมองตามหลังเจ้าตัว แล้วนั่งลงแทนที่ “อะไรของพี่แกวะ”

“นะฑี นายเชื่อว่าโลกแบนจริงๆ เหรอ” เจษฎาถามทั้งที่แทะตีนไก่อยู่

“ใช่เจษ แล้วกูก็เชื่อว่าโลกตีลังการอบตัวเองวันละแปดตลบด้วย พี่เห็ดแกมานานยัง แล้วมาทำไร” ผมรีบถามเข้าเรื่องเพื่อดักทางไม่ให้เจษสาธยายเรื่องโลกและจักรวาล

“ก็…” เจษยักไหล่ “มาประมาณสิบนาทีได้มั้ง”

“มาทำไร”

“พี่เขาบอกมาหาตีนแดก...เอ่อ พี่เขาใช้คำนั้นน่ะ”

“อ๋อ ตีนไก่ทอด งั้นที่แดกอยู่นี่ก็ของพี่แกซื้อมาดิ”

“ใช่”

“มึงไม่กลัวคุณไสยเหรอเจษ”

เจษฎากะพริบตาปริบๆ มองซากตีนไก่ในมือ “กินของพี่เค้าครั้งก่อน ก็ไม่เป็นไรนะ”

“ของดำบางอย่างมันต้องใช้เวลาไง หนังควายเข้าท้องแน่มึง แต่ยังไงก็ไม่ทันแล้วล่ะ กินๆ ไปเถอะ” ผมตบไหล่เจษเบาๆ “เฮ้ย เอาจริงๆ นะ พี่เห็ดแกจะจีบเจษรึเปล่าวะ”

“หา! เราเหรอ”

เปิ้ลเงยหน้าจากมือถือ “ไหนว่าเขาจีบเจ๊แคลอยู่”

“จีบแล้ว และโดนเจ๊แคลเทแล้วเรียบร้อย”

“เออ สมควร ก็ปากหมาซะขนาดนี้”

“กูเลยสงสัยว่าแกจะเปลี่ยนแนวมาเต๊าะเด็กเนิร์ดแบบเจษนี่ไง เห็นมองมึงตาเยิ้มเลยเจษ” น่าสงสาร ตีนไก่ร่วงจากมือเลย

ผมกับเปิ้ลมองสบตากัน ต่างพยายามทำสีหน้าให้ขึงขังจริงจังที่สุด แต่พอเจษพูดด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “เราไม่เล่นด้วยหรอก” เราสองคนก็ปล่อยก๊ากทันที กูยอมแล้วเจษ ทำไมมึงฮาธรรมชาติขนาดนี้

“หัวเราะไรกัน” ยัง ยังไม่หยุดเหวออีก

“กูว่ามึงไม่รอดแน่เจษ ก็มึงแดกตีนไก่พี่แกไปแล้วอะ มึงโดนคุณไสยแน่ๆ น่าจะไม่ใช่หนังควายเข้าท้องหรอกถ้างั้น แต่เป็นน้ำมันพรายมากกว่า”

“นะฑีอย่างมงายสิ”

“ก็ถ้ามันมีจริงล่ะ ของงี้อย่าทำเป็นเล่นนะมึง”

“เราไปล้วงคออ้วกทิ้งยังทันมั้ย”

“ฮ่าๆ”

ก็เป็นซะอย่างนี้ไม่ให้แซวต่อได้ไง ทั้งแซวทั้งอำจนปากเปียกปากแฉะ กว่าจะได้ติวหนังสือกันจริงๆ จังๆ ก็ปาไปเกือบชั่วโมง ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อ กูนอนละ

แต่นอนไม่ได้

ชาติก่อนๆ เปิ้ลต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมแน่ๆ ถึงได้จิกหัวผมแรงขนาดนี้ นี่ก็อีกคน เจษ นี่มึงติวหรือสวดมนต์แผ่ส่วนบุญกุศลให้กูกันแน่ ทำไมกูรู้สึกสงบร่มเย็นจนลืมตาไม่ขึ้นขนาดนี้ พอจะเคลิ้มๆ หน่อย เปิ้ลก็จิกหัวอีกแล้ว ยิ่งหลังจากพักกินข้าวแล้วมาฟังเสียงเทศนาของอาจารย์เจษต่อนี่ มันสุดจริงๆ

สามชั่วโมงต่อจากนั้นยาวนานเหมือนสามปี พวกมึงจะติวไปแข่งโอลิมปิกวิชาการเหรอ ไม่ไหวแล้ว แอบก้มหน้าหลับก็ได้วะ

ผัวะ!

เจอเปิ้ลตบถาก “เดี๋ยวน้ำลายยืดใส่หนังสือ”

“เออๆ” งั้นกูซบแก้มกับหนังสือละกัน

“ยังจะนอนอีก ตื่น”

“ขอสิบนาที ใครปลุกกูเผาบ้านแน่”

“อ้าว พี่ทัช” มุกเก่าว่ะเปิ้ล กูไม่หลงกลหรอก

“พี่ทัช สวัสดีครับ” ตื่นเลย เจษมันโกหกเป็นซะที่ไหนล่ะ

ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่งและเห็นพี่ทัชยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ มองไล่ขึ้นไปตั้งแต่เท้าจดปลายเส้นผม ยีนขาเดฟ เสื้อยืด สวมทับด้วยเสื้อฮู้ดสีเทาอ่อนโดยมีมือทั้งสองข้างซุกในกระเป๋าเสื้อ เส้นผมเซ็ตนิดๆ เหมือนไม่จงใจ หน้าใสกิ๊กเหมือนเกิดมาไม่มีต่อมเหงื่อ

“พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“จะเย็นแล้ว”

“เฮ้ย จริงดิ อ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาเลยเนี่ย”

“กูเห็นมึงหลับ”

“ก็ติวหนักมากจนเพลียไง เลยงีบห้านาที”

“กูเห็นมึงหลับมาจะครึ่งวันแล้ว” มึงเป็นเพื่อนที่จริงใจมากเปิ้ล

“เราว่าหลับไม่เยอะขนาดนั้นนะ แต่นะฑีชอบคุยนอกเรื่องมากกว่า” ขอบคุณครับเจษ

“เออ จริง อ่านหนังสือไปสองหน้าเองมั้งทั้งวันอะ”

“ร้อนๆ” ผมโวยวายพร้อมกับเก็บข้าวของ “ฉลาดแล้ว อ่านไรเยอะแยะล่ะ ไปๆ กลับบ้าน”

“อ้าว รีบไปไหน” เปิ้ลถาม

“พวกมึงจะค้างที่นี่ก็ได้ ห้องน้ำยังว่างเยอะแยะ กูกับพี่ทัชไปละ เดี๋ยวรถติด”

ว่าแล้วผมก็รีบคว้าแขนพี่ทัชลากออกมา โดยมีเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญของเปิ้ลดังตามหลัง พี่ทัชไม่พูดอะไรเลยแม้ว่าเราจะเดินพ้นระยะมาแล้ว แต่ผมแอบเห็นว่ามุมปากเขายิ้มนิดๆ

“พี่ยิ้มไร”

“กูเปล่า”

“ผมเห็น เมื่อกี้พี่ยิ้ม คิดไรอยู่อะ”

“งั้นก็คงคิดไรดีๆ อยู่มั้ง”

เขาเหลือบตามาแวบนึง ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมเพิ่งตระหนักว่าตลอดทางที่เดินมาผมยังเกาะแขนเขาอยู่ ผมเลยปล่อยมือ คราวนี้พี่ทัชเหลือบมองแขนตัวเองด้วยสีหน้าเรียบๆ “มาติวกับเพื่อนทั้งที น่าจะตั้งใจให้มากกว่านี้” เขาพูดไปอีกเรื่อง

“คนฉลาดไม่ต้องอ่านเยอะหรอก” ผมลองจับแขนเขาอีกครั้ง

สายตาเหลือบมาอีก “อะไร”

“ชัดเลย พี่ยิ้มเพราะผมเกาะแขน อะไรดีๆ ที่ว่านี่คือผมเกาะแขนใช่มะ”

“อะไรของมึง”

ผมปล่อยมือ “น่ะ พอปล่อยก็หน้าเซ็ง”

“หน้ากูก็เป็นอย่างนี้ ปกติ”

ผมจับอีก “นั่นไง พอจับก็ยิ้ม”

“มึงมองยังไงว่ากูยิ้ม”

“แหม ชอบให้เกาะก็ไม่บอก มาๆ” ผมสอดแขนคล้องที่ข้อศอกพี่ทัช ทำท่าเอาหน้าซบแบบเวอร์ๆ จนตัวเราเซไปด้วยกัน

“นะฑี ปล่อย เดี๋ยวล้ม”

“ไม่ล้ม”

“คนมอง”

“คนมีตาก็ต้องมองแหละ”

“เฮ้อ กูละยอมมึงจริงๆ”

“ยอมก็ดีแล้ว อย่าดื้อ”

ผมเอาหัวซุกๆ ต้นแขนพี่ทัช พาเขาเดินเซไปเซมา แต่รู้สึกว่าไปได้ไม่ไกลพี่ทัชก็พาผมหยุด

“หยุดทำไม เดินดิ กำลังเพลิน”

“มึงจะเดินกลับบ้านเหรอ ถึงรถแล้ว ปล่อยได้แล้ว...นะฑี”

“พี่ ขอไรอย่างได้ปะ”

“อะไร”

“เห็นก้นพี่แล้วอยากตีอะ ขอฟาดแรงๆ สักทีได้ปะ มันเขี้ยว”

“ไปขึ้นรถ!”

กลายเป็นผมโดนผลักหัวแรงๆ แทน จะหันกลับไปแหย่เล่นอีกพี่ทัชก็ชิ่งไปเปิดประตูรถอีกฝั่งแล้ว ผมเลยเข้ามานั่งฝั่งข้างคนขับพร้อมกับยิ้มให้เขา

“ยิ้มไร”

“ยิ้มเพราะคิดไรดีๆ อยู่มั้ง”

“กวนละ”

“พี่ไม่ถามต่อล่ะว่าผมคิดไร”

“ไม่ถาม”

“ก้นน่าหยิก”

เพียะ!

ที่โดนฟาดนี่ไม่ใช่ก้นพี่ทัช มือผมนี่แหละ “อย่ามือซน นั่งเฉยๆ ไปกูจะขับรถ” ไม่ยอมเสียเวลาเลยนะ สตาร์ทรถแล้วขับออกไปกันเลยทีเดียว “คาดเข็มขัดด้วย ไม่มีไรทำก็เปิดเพลง”

“แหม เกรี้ยวกราด” ผมคาดเข็มขัดตามคำสั่ง “เอาเพลงไร ลูกทุ่งหมอลำมะ”

พี่ทัชหันมาหรี่ตา “ตามใจ”

“จัดไป”

ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่เพลงแรกที่ผมเปิดคือเพลงI Like Me Better ซึ่งเป็นเพลงที่ผมอยากฟังมากที่สุดตอนนี้ เพราะมันจะเพราะกว่าปกติตอนฟังในรถพี่ทัช

“ร้องเสียงเป็ดด้วย” พี่ทัชบอกทันทีที่อินโทรดังขึ้น

ได้! จัดไปเลยสิบกว่ารอบ ฟังกันให้หลอนไปเลย พอผมเริ่มหลอนได้ที่จนแงะท่อนฮุคออกจากหัวไม่ได้ ผมก็เปลี่ยนไปเปิดสุ่มลูกทุ่งหมอลำตามที่ลั่นวาจาไว้

“พี่บอกเองนะว่าตามใจผม”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

เขาไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ แค่ขมวดคิ้วบางจังหวะ แต่บางจังหวะก็หลุดขำกับท่าเซิ้งของผม ส่วนผมเองน่ะเหรอ ฟังไม่ออกหรอก แถมยังเป็นเมดเลย์หมอลำฉบับรีมิกซ์ในจังหวะโจ๊ะๆ ด้วยก็เลยเซิ้งเอามันส์อย่างเดียว ทำเป็นเล่นไป แค่นั่งเต้นนี่ทำเอาเหงื่อซึมๆ เหมือนจะไหลลงร่องตูดเหมือนกันนะ โชคดีที่แอร์รถพี่ทัชเย็น

เสียงเพลงช่วยฆ่าเวลาได้ดี รู้สึกว่าไม่นานเท่าไหร่ก็มาถึงซอยเข้าบ้านผม

บุญพี่ทัชนี่มันมากมายมหาศาลจริงๆ ได้ที่จอดรถใกล้บ้านอีกแล้ว นี่ขนาดวันเสาร์นะเนี่ย

“ร้อนๆ หิวน้ำ” ผมรำพึงรำพันแล้วรีบเปิดประตูลงจากรถ ไม่ใช่อะไรหรอก อยากเข้าไปดูสภาพในบ้านก่อนว่าเป็นยังไงบ้าง ก่อนหน้านี้ผมไลน์บอกน้าเกดแล้ว แต่ก็ยังอยากเห็นกับตาตัวเองก่อนพี่ทัชจะเข้าไป

ปรากฏว่าเรียบร้อยดี น้าเกดกับแม่กำลังช่วยกันจัดกับข้าวขึ้นโต๊ะเลย

“สวัสดีครับ” พี่ทัชเข้าบ้านมาก็ไหว้แม่กับน้าเกดเป็นอันดับแรก “มีส้มมาฝากด้วยครับ” อ้อ ไอ้ถุงกระดาษที่อยู่เบาะหลังนี่คือส้มนี่เอง พ่อแม่สอนมาดีจริงๆ

“อู๊ย ไม่เห็นต้องลำบากเลย” น้าเกดว่า

“นิดหน่อยเองครับ ไม่ลำบากอะไร”

“ขอบใจนะทัช” แม่บอก

หลังสนทนากันอย่างผู้ดีเหมือนในละคร พี่ทัชก็นั่งลงไปทักทายไอ้แมวนรกที่วอแวอยู่ใกล้ๆ โต๊ะอาหาร

“หวัดดี หมอนนิ่ม” ไอ้นี่ก็อ้อนเลย เอาหัวถูไถคลอเคลียขางามๆ ของพี่ทัชทันที คงคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะได้กินของอร่อยๆ สนองกิเลสแบบแมวๆ ของมัน ฝันไปเถอะมึง อาหารเม็ดอยู่มุมบ้านโน่น “นี่ มีขนมอร่อยๆ มาฝากด้วยนะ”

ซะงั้น

“พี่อย่าไปเอาใจมันมาก แค่นี้มันก็เหิมเกริมพอแล้ว...ดูหน้ามันดิ ไอ้แมวนรกเอ๊ย”

เพียะ!

แม่ตีผม “พูดจาให้มันดีๆ แล้วก็เอาส้มไปใส่จานไป”

“ขี้เกียจอะ”

แม่ถอนหายใจอย่างปลงๆ “ทัชหิวยัง กินกันเลยมั้ย”

“ได้ครับ”

“กินเลยเนาะ” แม่พยักหน้าให้น้าเกด แล้วคว้าถุงส้มปลีกตัวออกไปเพื่อจัดใส่จานเอง

“ถึงเวลาอร่อยแล้วครับ ถึงเวลาอร่อยแล้วคร้าบ” น้าเกดที่กำลังจัดจานทำเสียงเหมือนโฆษณาร้านปิ้งย่าง “นะฑีทำตัวให้เป็นประโยชน์ซิ ไปยกหม้อข้าวมา”

“เดี๋ยวผมช่วยครับ”

ผัวะ!

ผมตีพี่ทัช กดไหล่เขาให้นั่งลง “พี่เป็นแขก นั่งเฉยๆ...แม่ จัดส้มเสร็จแล้วยกหม้อข้าวมาด้วยนะ” หันขวับกันหมดเลย “ล้อเล่นน่า ยกหม้อข้าวนี่คืองานโปรดผมเลยนะ ถ้าใครมาแย่งยกคือโกรธอะ ทุกคนนั่งเฉยๆ ไป ผมจัดการเอง”

ห้านาทีต่อมาทุกอย่างก็พร้อม

“ทัช แม่ขอบใจมากนะเรื่องของขวัญ” แม่พูดหลังจากเราเริ่มลงมือกิน “น่าจะแพง ถามราคานะฑีก็ไม่ยอมบอก”

พี่ทัชหันไปพูด “แล้วคุณแม่ชอบของขวัญมั้ยครับ”

“ชอบจ้ะ”

“งั้นก็ถือว่าไม่แพงครับ” ตอบได้ดีนะเนี่ย ผมว่าจะหยอดมุกขัดคอสักหน่อย แต่ฟังต่อดีกว่า

แม่พยักหน้ายิ้มๆ และตักทอดมันใส่จานพี่ทัช “กับข้าวเป็นไง พอกินได้รึเปล่า”

“อร่อยมากครับ”

“อดีตแม่ครัวก็งี้แหละ” น้าเกดว่า “ทัชไม่รู้ล่ะสิว่าเคยเปิดร้านอาหาร นี่น้ามาอยู่ด้วยแป๊บเดียวน้ำหนักพุ่งเลย”

“อ๋อ ครับ”

“น้าต้องขอบคุณทัชอีกครั้งจริงๆ นะ ที่ช่วยเรื่องนั้น”

“ไม่เป็นไรครับ”

จู่ๆ น้าเกดก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ปากงี้คันยิบๆ ว่าจะไม่เผือก แต่ไม่ทนมันละ

“แล้วตอนนี้เป็นไงบ้างอะ แอบฆ่าน้าเอ๊ดยัดท่อไปยัง”

“คนชั่วมันไม่ตายง่ายๆ หรอก ตอนนี้ให้ทนายยื่นเรื่องฟ้องหย่าไปแล้ว”

“ต้องงี้สิน้า แต่แค่หย่ามันไม่สาสมอะ อยากให้แกนอนเน่าอยู่ในถังขยะมากกว่า”

น้าเกดตบถากหัวผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “พูดไร เดี๋ยวกินข้าวไม่ลง”

“งั้นคุยเรื่องข้าว ทำไมแม่ไม่ทำเมนูคะน้าอะ ที่ผมบอกไงว่าพี่ทัชชอบกิน”

“ไม่ต้องมาหลอกแม่หรอก แม่ดูออกว่าทัชไม่ชอบกินผัก”

“จริงดิ! พี่ทัชไม่กินผักเหรอ นี่อายุกี่ขวบแล้วอะ” ผมแกล้งถามเสียงดัง สีหน้าโอเวอร์สุดๆ

แต่พี่ทัชหันไปพูดกับแม่ด้วยสีหน้านิ่งๆ “กินได้ครับ”

“งั้นก็กินเยอะๆ” ว่าแล้วแม่ก็ตักปลาทับทิมนึ่งชิ้นเบ้อเริ่มใส่จานพี่ทัช เฮ้ย! นั่นพุงปลาเลยนะ เนื้อตรงนี้อร่อยสุดแล้ว

“กินคนเดียวได้ไง ของดีมีน้อย” ผมรีบเอาช้อนตักแย่งมาครึ่งนึง

พี่ทัชกับน้าเกดหัวเราะ แม้แต่แม่ที่เอาแต่ส่ายหัวก็ยังแอบยิ้มมุมปาก เห็นมะ เพราะมีผมอยู่ด้วย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเลยผ่อนคลายและเป็นกันเองขนาดนี้ ขำกันเข้าไป งั้นผมแอบจิ๊กพุงปลาของพี่ทัชมาหมดเลยละกัน

อร่อย

ฝีมือของแม่ทำให้เราขยับปากอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาไม่นานดินเนอร์เวอร์วังมื้อนี้ก็จบลง พร้อมกับเสียงเรอของผมที่เผลอปล่อยออกมาสั้นๆ

“มีมารยาทหน่อยนะฑี” แม่พูด

“การเรอถือเป็นคำชมคนทำอาหาร แม่ไม่รู้เหรอ ถ้าไม่เรอนี่เสียมารยาทเลยนะ...เดี๋ยวพี่ทัชก็เรอ คอยดูดิ” กูหาพวกละ ส่งสายตากดดันไปให้เขาด้วย

“เดี๋ยวผมช่วยเก็บจานครับ” นอกจากไม่เรอแล้วยังทำนิสัยผู้ดีอีก

“ไม่เป็นไร อย่างที่นะฑีว่าแหละ ทัชเป็นแขกนั่งเฉยๆ ดีกว่า”

“ผมอยากช่วยครับ”

เขาไม่รอให้ใครแย้งอะไรแล้ว นิ้วเรียวยาวที่ติดพลาสเตอร์ทั้งสิบเริ่มรวบจานชามทันที

“ใครได้ทัชเป็นแฟนนี่คงโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ” น้าเกดแซว ซึ่งเจ้าตัวก็แค่ยิ้มรับ

ทุกคนช่วยกันเคลียร์โต๊ะ ผมเลยต้องตามน้ำทำเป็นขยันขันแข็งไปด้วย โดยน้าเกดกับแม่จัดการเก็บอาหารที่ยังกินไม่หมด ส่วนผมกับพี่ทัชเน้นไปที่เขี่ยเศษอาหารทิ้ง ก่อนจะช่วยกันยกจานชามเปล่าไปที่ซิงก์ล้างจาน

“ล้างกัน” พี่ทัชพูดหลังจากเราเก็บจานมาวางที่ซิงก์จนหมด

“ขี้เกียจ แช่ไว้ก่อน”

“ไม่เอา ล้างเลย”

“พี่ทำเป็นเหรอ”

“เป็น”

“งั้นพี่ทำคนเดียว”

“แม่ครับ เดี๋ยวผมกับนะฑีช่วยกันล้างจานเลยนะ” เขาหันไปพูดกับแม่ พลางแกะพลาสเตอร์ออกทีละนิ้ว

แม่ละจากโต๊ะอาหารมาที่ส่วนครัว “ให้นะฑีทำก็ได้ทัช”

“ผมอยากทำครับ”

“งั้นก็ได้ แป๊บนึงนะ แม่หาสก๊อตไบรท์อันใหม่ให้...นะฑี ไม่ต้องพูดอะไร ช่วยพี่เขา” พอดักทางผมเสร็จแม่ก็ผละไปเปิดตู้หาของ

“เกิดมาเคยล้างจานรึเปล่าพี่อะ นี่ ดูเป็นบุญตา”

ผมเปิดน้ำ หยิบจานเพื่อจะล้างคราบบางส่วนออกก่อน

“อุ๊ย!”

“ระวังครับ! เป็นอะไรรึเปล่า”

แม่เดินสะดุดคะมำมาข้างหน้า แต่เคราะห์ดีพี่ทัชหันไปคว้าแขนประคองไว้ได้ทัน แหม สะดุดเหมือนนางเอกละครเลยนะแม่ นี่แหละ ผลกรรมจากที่ตีผมบ่อยๆ ผมกำลังพ่นคำในหัวออกไป แต่แม่พูดขึ้นซะก่อน

“แม่เป็นมะเร็งน่ะ”

“...”

“...”

เสียงแม่ราบเรียบ ราวกับว่าเป็นแค่ความคิดลอยๆ ที่ล้นออกมาเป็นเสียง สมองผมไม่แปลคำนั้น พี่ทัชเองก็ยืนนิ่งไปเหมือนไม่เข้าใจความหมาย จนกระทั่งสายตาผมโฟกัสไปที่นิ้วเรียวยาวของพี่ทัช นิ้วที่ปราศจากพลาสเตอร์จับใต้ข้อศอกแม่อยู่ เขายังจับแขนแม่ต่ออีกสองสามวินาที ก่อนจะดึงมือกลับราวกับแตะถูกของร้อน

เพล้ง!

จานร่วงจากมือผม

โลกทั้งใบถล่มตามลงมา

มันรุนแรงซะจนทำให้กลไกของจักรวาลแปรปรวน หรืออาจจถึงขั้นเหวี่ยงตัวตนผมไปในมิติอื่นที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ ผมเห็นสีหน้าซีดเผือดและตื่นตระหนกของแม่ เห็นน้าเกดเข้ามาประคองแม่ไปที่โซฟา เสียงน้าเกดพูดหรือถามอะไรเยอะแยะ แต่ผมจับความไม่ได้

ทั้งหมดนั้นเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง

“นะฑี” พี่ทัชวางมือลงบนไหล่ผมเบาๆ แต่ทำไมมันหนักนะ หนักจนผมต้องค้ำมือทั้งสองข้างกับขอบซิงก์ไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น

“พี่ไม่เคยล้างจานอะดิ ผมจะทำให้ดูเป็นบุญตา”

“...”

“อันดับแรกต้องเปิดน้ำก่อน”“ระวังเหยียบเศษจาน”

“แล้วก็ใช้สก็อตไบรท์...เปลี่ยนใจแล้ว ไว้ค่อยทำ พี่กลับไปก่อนเถอะ”

“นะฑี เดี๋ยวเหยียบเศษจาน” เขาดึงตัวผมเบาๆ แต่ก็ทำให้ผมถึงกับเซ “กูช่วยเก็บ”

“ไม่ต้อง พี่กลับเถอะ”

“กู…”

ผมรวบรวมเรี่ยวแรงฉุดตัวเขาออกมาจากส่วนครัว พาเดินผ่านน้าเกดกับแม่นั่งกันอยู่ที่โซฟา ซึ่งสำหรับผมตอนนี้ทั้งคู่ดูเหมือนภาพซีดจางที่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย และพูดคุยกันแผ่วเบา

“ใส่รองเท้าครับ” ผมบอก

พี่ทัชยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะทำตาม จากนั้นผมก็ดันตัวเขาผ่านประตูบ้านออกไปด้วยกัน

“นะฑี”

“พี่กลับไปก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกัน”

“กูขอโทษ”

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ขอโทษที่…” เรามองสบตากัน หัวใจผมสั่นระริกให้กับสิ่งที่เขาจะพูดออกมาไม่ว่ามันจะเป็นคำไหนก็ตาม “ขอโทษที่ดื้อจะไปช่วยมึงล้างจาน กูไม่น่าไปยืนตรงนั้นเลย”

“อือ พี่แม่งดื้อ”

“...”

“แต่ช่างมันเถอะ แค่จะล้างจานเอง เรื่องเล็ก พี่กลับไปได้แล้ว”

ผมจำได้แล้ว พี่ทัชเคยบอกว่าปฏิกิริยาของคนที่ถูกเขาสัมผัสตัวจะแตกต่างกัน ตอนจับโกหกน้าเอ๊ด และพี่วิวัฒน์ นอกจากจะสัมผัสตัว เรายังต้องใช้อุบายและถามจี้เข้าเรื่องด้วยกว่าพวกเขาจะยอมคายความจริงออกมา

แต่กับแม่…

แค่พี่ทัชแตะตัวด้วยความบังเอิญแค่แป๊บเดียว แม่ก็คายมันออกมาแล้ว

บางทีมันอาจจะเป็นความจริงที่เอ่อขึ้นมาท่วมปากคอแม่อยู่นานแล้วก็ได้ พอถูกกระตุ้นนิดเดียว มันเลยหลุดพรวดออกมาเลย

“นะฑี…”

“หืม?”

“มึงโอเครึเปล่า”

“โอเคครับ”

พี่ทัชขยับเข้ามาและยกมือจะแตะแก้มผม

ปึก!

ผมผลักอกเขาพร้อมกับก้าวถอยครึ่งก้าว เป็นการตอบสนองทันควันโดยไม่ต้องคิด ไม่! ผมไม่อยากให้ใครแตะตัวตอนนี้ โดยเฉพาะนิ้วเรียวยาวที่ไม่มีพลาสเตอร์พันรอบนั่น

“...”

“...”

เรายืนนิ่งกันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางความเงียบ รถรายังวิ่งสวนกันไปมาอยู่เบื้องหลังพี่ทัช เสียงความวุ่นวายแบบสังคมเมืองยังแว่วมาจากทุกทิศ แต่ในโลกของผมมันเงียบ

เงียบและหนาวเย็น

อีกทั้งกาลเวลาก็คล้ายกับจะหยุดนิ่งลง

“นะฑี” ในที่สุดพี่ทัชก็พูดขึ้นอีก

ผมฝืนยิ้ม สวมรอยยิ้มปลอมๆ ไว้บนใบหน้า “กลับไปได้แล้วครับ ผมจะได้เข้าบ้าน”

กาลเวลาหยุดทำงานอีกชั่วครู่

จากนั้นพี่ทัชก็ยอมผละออกไป “รีบเข้าบ้านนะ ไว้คุยกัน”

ผมมองตามหลังเขาไปเปิดประตูรถเพื่อจะเข้าไปนั่ง ขับรถดีๆ นะพี่ ผมอยากบอกเขา แต่ปากไม่ขยับ ทำได้แค่ยิ้มและหันมองเท่านั้น

จนเขาขับออกไป

จนรถคันนั้นหายลับตา

รอยยิ้มปลอมๆ นั่นถึงได้หายไปจากใบหน้าผม

ผมยังไม่เข้าบ้าน ยังไม่กล้าเข้าไปเจอหน้าแม่ แต่การยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวก็ทำให้ตกเป็นเป้านิ่ง ความจริง ที่นิ้ววิเศษของพี่ทัชเพิ่งปลดปล่อยออกมาพุ่งเข้าจู่โจมผมอีกครั้ง อาการมวนท้องตีรวนขึ้นมา เหมือนมีตัวอ่อนสัตว์ประหลาดดิ้นขลุกขลักอยู่ในท้อง ผมยืดตัวหายใจ พ่นลมแรงๆ หวังให้ไอ้ความจริงนั่นหลุดออกมาพรวดเดียว

ได้ผล

มันผ่านปากผมออกมาแล้ว

“มะเร็ง”










________________

รักคนอ่านทุกๆ คนเลยนะคะ TT TT


นางร้าย
16.มกรา.2020


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...นะฑีจะไปดราม่าใส่พี่ทัชทำไมอ่ะ?

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ความจริง ถ้ามันตัองรู้ก่อนเวลา มันก็น่ากลัวเนอะ

เพราะงี้ละมั้ง พี่ทัชถึงไม่ค่อยอยากใช้พลังพิเศษที่มี

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ความจริงมันเจ็บปวด

นะฑีตั้งสติดีๆนะ พี่ทัชอย่าเพิ่งคิดมาก เพราะแบบนี้พี่ทัชถึงเจ็บปวดมาตลอด เฮ้ออ แต่ไอ้ตัวดีมันตั้งตัวไม่ทันนั้นล่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
เศร้าจัง

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2



แตะต้องครั้งที่ 29
จับบบ…บุกถึงเตียงเหลือเพียงแค่ตัวแล้วยังมัวแต่นอนอยากถอนความจริง



เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความจริงบางอย่างฆ่าคนได้ทั้งเป็น

มันกำลังพยายามฆ่าผมอยู่

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

นั่นคือชื่อเต็มๆ ของปีศาจตนนี้ มันทำให้ผมอดนึกถึงหนังแนวเอเลี่ยนสมัยก่อนไม่ได้ ไม่รู้มันแอบเจริญเติบโตอยู่ในตัวแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วแม่รู้ตัวนานแค่ไหนแล้วก่อนพี่ทัชจะแตะตัว

ทำไมแม่ไม่ถุยมันทิ้งตั้งแต่เนิ่นๆ วะ แค่พ่นแรงๆ หน่อยมันก็หลุดแล้ว

แม่ง!

ผมเกลียดแม่ที่ปิดบังผม ทั้งที่ผมเองยึดกฎเหล็กมาตลอดว่าจะไม่โกหกกับแม่ เกลียดที่หลังจากพี่ทัชกลับไปแล้วแม่ยังทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้ายังเรียบๆ ยิ้มน้อยๆ ราวกับตัวเองเป็นแค่ไข้หวัด

เกลียดพี่ทัชที่เอาความจริงฟาดหัวผมโดยไม่ให้ตั้งตัว

เกลียดน้าเกดที่ร้องไห้เป็นเด็กๆ

และเกลียดตัวเองที่เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง ไม่กล้าเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับ ความจริง ถ้ามะเร็งกำลังจะฆ่าแม่ ความจริงที่พี่ทัชปลดปล่อยออกมาก็กำลังจะฆ่าผมเหมือนกัน

ผมเกลียดโลกใบนี้!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“นะฑี” เสียงแม่

ผมเด้งตัวจากเตียงรีบมาส่องกระจก เสยผมลวกๆ สวมรอยยิ้มน้อยๆ แล้วไปเปิดประตู “ว่าไงแม่”

“ตาคล้ำเชียว ได้นอนบ้างรึเปล่า”

“นอนดิแม่ นอนยาวเลย” นี่ไง ผมทำลายกฎเหล็กของตัวเองแล้ว ผมโกหกแม่แล้ว ความจริงคือผมอาจจะเผลองีบไปช่วงสั้นๆ แค่นั้นแหละ

“...”

“...”

“นี่กี่โมงแล้วอะ” ผมยิ้มปลอมๆ ต่อ

“สายแล้วละ ไปกินข้าวกัน แม่จะได้ไปเปิดร้าน”

“ยังจะไปทำงานอีกเหรอ!” ความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นหัวจนเผลอพูดเสียงดัง จะตายอยู่แล้วยังจะไปทำงานอีกเหรอแม่ แต่ผมรีบผ่อนเสียงลง “แม่พักบ้างเถอะ”

“นี่วันอาทิตย์นะ ลูกค้าเยอะ”

“ช่างมัน”

“เสียโอกาสเลย ขายวันอาทิตย์นี่เผลอๆ ได้ค่ากับข้าวไปครึ่งเดือนเลยนะ”

“เราไม่ได้จนขนาดนั้น”

เหี้ยชิบหาย ความจริงคือเราจนนั่นแหละ เราไม่ได้มีเงินเก็บมากมายพอจะรักษาแม่หรอก คำพูดมันก็สะท้อนอยู่แล้วว่าแค่หาเงินมาซื้อข้าวกินรายวันรายเดือนไปเท่านั้น

“งั้นวันนี้แม่พักก็ได้” ที่พูดแบบนั้นคงเพราะอ่านแววตาผมออก มือที่เลี้ยงผมมาเอื้อมมาจับแขนผม เพราะยังหลอนกับนิ้วพี่ทัชอยู่ ผมเลยต้องฝืนตัวเองไม่ให้ถอยหนี “ไปกินข้าวกับแม่หน่อยนะ”

“แม่ อย่า”

“หืม?”

“อย่าพูดอย่างนั้น”

อย่าพูดเหมือนจะตายเร็วๆ นี้

แม่ไม่พูดอะไรอีก แค่ยิ้มอ่อนโยนและดึงแขนผมเบาๆ คราวนี้ผมยอมเดินตามอย่างว่าง่าย

“น้าเกดล่ะ”

“ออกไปแต่เช้าแล้ว กลับบ้านน่ะ”

นี่ก็อีกคน พี่สาวเป็นมะเร็งยังจะหายหน้าไปอีก

แม่คงจะสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งระริกในแขนของผม มือข้างนั้นเลยเปลี่ยนจากจับแขนมาเป็นตบหลังเบาๆ กลายเป็นว่าดูเหมือนคนที่ป่วยไม่ใช่แม่ แต่เป็นผมซะเอง

พอลงมาข้างล่างก็เห็นกับข้าวเต็มโต๊ะ มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้น

“แม่ทำอะไรเยอะแยะ ไม่เห็นต้องขนาดนี้เลย”

“แม่ไม่ได้ทำหรอก แกงถุงจากตลาดเจ๊เนียมน่ะ”

“อ้อ”

“ล้อเล่น แม่ทำเอง จำลีลาการลงโทษคะน้าแบบนี้ไม่ได้เหรอ”

ผมเกลียดตัวเองที่ไม่ขำ ต่อมตลกของผมมันพังไปแล้ว อย่างดีที่สุดก็ได้แค่เล่นตามไปอย่างฝืดๆ“ผมจะลืมได้ไง ไม่มีใครหั่นก้านคะน้าบางขนาดนี้หรอก”

“ดีแล้ว กินเยอะๆ นะ”

พูดเหมือนจะตายพรุ่งนี้อีกแล้ว

ผมกินไม่ลง แต่ต้องฝืน ต้องแกล้งทำเป็นว่าทุกอย่างปกติดี

แม่เป็นมานานแค่ไหนแล้ว

ระยะไหน

หมอบอกว่าจะอยู่ได้นานกี่ปี หรือกี่เดือน…

คำถามเหล่านี้เต้นยิบๆ อยู่ที่ริมฝีปากผม แต่ผมกัดฟันไว้ ผมยังไม่พร้อมที่จะรู้รายละเอียดอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘มะเร็ง’ แค่มองหน้าแม่ตอนนี้ก็ยากเย็นเกินไปแล้ว บางทีแม่อาจจะยังไม่พร้อมเหมือนกัน เราเลยแค่กินข้าวกันไปเงียบๆ

แม่กินน้อยกว่าปกติ

ผมบังคับตัวเองกินให้หมดจาน แล้วรีบบอก “ผมล้างเอง แม่ไปพักเถอะ”

“ก็ได้ แล้ววันนี้เราจะทำอะไรบ้าง ไปมหา’ลัยรึเปล่า”

ไปก็แย่แล้ว

“วันอาทิตย์น่ะแม่ ผมจะอยู่บ้านนี่แหละ ตั้งใจอ่านหนังสือจะได้เกรดดีๆ รีบจบ รีบทำงานหาเงินมา…” ปกติปากไม่มีหูรูดของผมจะพูดทุกอย่างจนสุดประโยค แต่ตอนนี้มันหยุดอยู่กลางคัน ไม่สามารถพ่นคำว่า หาเงินมารักษาแม่ ออกมาได้

แต่แม่รู้ว่าผมหมายถึงอะไร

รอยยิ้มเอ็นดูผุดขึ้นบนใบหน้าแม่ ยิ้มเหมือนว่าผมอายุเจ็ดขวบ และเพิ่งบอกแม่ว่าจะเอากระต่ายบนดวงจันทร์มาเลี้ยง

“แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก”

“...”

อย่า! อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ตอนนี้

“แม่ก็ยังงงนะว่าทำไมเมื่อวานจู่ๆ ก็พูดออกมา”

“ผมไปล้างจานละ” ถ้าไม่รีบตัดบทคงจะคุยกันยาว และน้ำตาต้องมาแน่ๆ ผมยังไม่อยากร้องไห้ตอนนี้ เลยรวบรวมจานไปล้าง ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เสร็จ พอกลับมาก็เห็นว่าแม่นั่งคอตกคล้ายเคลิ้มหลับอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี

แม่อาจจะแกล้งหลับเพื่อให้ผมสบายใจว่านี่คือพักผ่อนตามที่ผมขอแล้ว

หรือแม่อาจจะเหนื่อยจริงๆ

ผมลังเลว่าจะย่องขึ้นห้องไปเลย หรือว่าบอกแม่ให้รู้สักหน่อย สุดท้ายผมก็เลือกที่จะสะกิดเพื่อคุยกับแม่ เพราะถ้าปล่อยผ่านไป แล้วมาสะกิดหลังจากนี้แม่อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาคุยกับผมแล้ว

“แม่ แม่...”

“อือ นี่แม่เผลอหลับเหรอ ว่าไง”

“เปล่า แม่งีบต่อเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปอ่านหนังสือบนห้องนะ”

ผมปล่อยให้แม่ต่อสู้กับเพชฌฆาตเงียบตามลำพัง แล้วขึ้นไปชั้นบน ปิดประตูห้องขังตัวเองไว้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เวลาอยู่ในห้องนี้ผมมักจะใช้จินตนาการอย่างสุดเหวี่ยง ชอบนึกภาพว่าตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นคนรวย เป็นคนเก่ง เป็นยอดมนุษย์ที่เหาะออกไปเตะเด็กแว้นให้ลอยโด่งถึงดวงจันทร์ มีตาทิพย์มองทะลุเสื้อผ้า มีวิชาเดินทะลุกำแพง หรือแม้แต่มีนิ้ววิเศษแบบพี่ทัช

ผมเคยจินตนาการอะไรบ้าๆ บอๆ สารพัด บางครั้งก็สมจริงจนยิ้มออกมา

แต่ตอนนี้ผมลองจินตนาการง่ายๆ นึกว่าห้องนี้คือพื้นที่ปลอดภัยของผม ไม่มีอะไรเข้ามาทำร้ายผมได้ในห้องนี้ แม้แต่ความจริงที่ว่าแม่กำลังจะจากผมไปแล้ว

ไม่ได้ผล

ผมกลับนึกเห็นภาพ ไอ้ความจริงนั่น เป็นหมอกควันพิษที่แทรกซึมเข้ามาในห้องจากทุกทิศทาง และมันสมจริงซะจนทำให้ผมหายใจไม่สะดวก

ผมฟุบหน้าลงกับหมอน พยายามกลั้นน้ำตาไว้ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมเพิ่งละเมิดกฎเหล็กตอแหลกับแม่ไปอีกแล้ว บอกว่าจะอ่านหนังสือ แต่ความจริงคือผมแค่อยากจะหลบหน้าแม่เท่านั้น

แล้วไงล่ะ ก็แม่เริ่มก่อน แม่ปิดบังผมเรื่องมะเร็ง ก็ต้องโดนผมตอแหลใส่ซะบ้าง

ทำไมมึงเป็นลูกที่เลวขนาดนี้นะ นะฑี

แม่ง! แม่ง! แม่ง!

นอกจากไม่อ่านหนังสือ ไม่พัฒนาตัวเองเพื่อจะได้เป็นคนเก่งคนรวยอย่างที่เคยคิด ผมยังซ้ำเติมตัวเองด้วยความคิดลบๆ สารพัด เดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่น จนเวลาล่วงเลยไปไม่รู้ว่านานแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีตอนเคลิ้มๆ จะหลับอีกรอบ แต่มีเสียงเคาะประตูซะก่อน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมแกล้งหลับต่อในท่านอนคว่ำ

เสียงประตูเปิดออก ซึ่งดีแล้วที่ผมไม่ได้ล็อกไว้ ไม่งั้นแม่อาจจะเคาะจนรอให้ผมไปเปิด แต่แบบนี้ถ้าแม่เข้ามาเห็นว่าผมหลับอยู่ก็คงย่องกลับลงไปเอง

เสียงเคลื่อนไหวบอกให้รู้ว่าแม่เข้ามาในห้อง น่าจะหยุดยืนมองผมอยู่อึดใจใหญ่ๆ ก่อนจะเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อกลับออกไป...ไม่สิ ไม่ได้ออกไป แต่เดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ มีเสียงก๊อกแก๊กคล้ายจัดของให้เป็นระเบียบ แล้วตามด้วยชักเก้าอี้เบาๆ เพื่อจะนั่งลง

ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมานิ่งๆ

งั้นแกล้งกรนละกัน

ซัดไปสามคร่อกแบบเน้นๆ ยาวๆ แต่ยังไม่มีเสียงขยับไปไหน ผมรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่แม่ต้องกล่อมนอนและเฝ้ามองอยู่แม้ว่าจะหลับไปแล้ว

“อืม แม่…” ผมแกล้งตื่นงัวเงียเพราะทนแสดงต่อไปไม่ไหว

“ขนาดเสียงกรนยังเหมือนเป็ด”

“พี่ทัช!” ผมเด้งตัวขึ้นมาทันที

“อืม กูเอง”

“พี่มาได้ไงอะ”

“ก็เดินขึ้นมา” ท่าทีเขาเหมือนจะสื่อว่าทำไมคำถามโง่ขนาดนี้ “เห็นมึงแกล้งหลับอยู่ เลยนั่งรอ”

“ผมหลับจริง!”

“โกหกไม่เก่ง”

“แล้วพี่มาทำไม”

“...”

คำถามนี้ทำเอาพี่ทัชนิ่งไป ผมนึกว่าเขาจะถอนหายใจ แต่ก็เปล่า สีหน้ายังราบเรียบขณะเอียงคอน้อยๆ มองผม จากนั้นก็ลุกมานั่งที่เตียงข้างๆ ผม นิ้วมหาภัยที่ตอนนี้แปะพลาสเตอร์ไว้ทั้งสิบนิ้วกุมประสานกันไว้ระหว่างหัวเข่า

“พี่มาทำไม” ผมถามย้ำ

“มึงไม่อ่านแชต ไม่รับสาย”

“ผมไม่สบาย”

พี่ทัชยกมือแปะหน้าผากผมเบาๆ ถึงแม้ว่าจะมีพลาสเตอร์พันนิ้วอยู่แต่ผมก็อดสะดุ้งไม่ได้ “ตัวไม่ร้อน”

“เป็นโรคขี้เกียจไง อยากนอน”

“ไหนบอกจะอ่านหนังสือ”

“ผมบอกพี่ตอนไหน”

“มึงบอกแม่”

ไม่รู้ว่าก่อนขึ้นมาข้างบนพี่ทัชคุยอะไรกับแม่บ้าง ขอให้เป็นแค่เรื่องนินทาผมละกัน

“พี่ไปกวนแม่ทำไม แม่นอนอยู่”

“ตอนกูมาถึงแม่ไม่ได้นอน”

“นี่กี่โมงแล้วอะ”

“จะเย็นแล้ว”

นานขนาดนั้นเลย? แต่มันก็ไม่นานพอ ผมยังอยากทรมานตัวเองด้วยความคิดแสบๆ อีก

“งั้นพี่ก็กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวรถติด” ผมล้มตัวลงนอนตะแคง หันหลังให้เขา

“นะฑี นี่มึงกำลังหนีความจริงอยู่ใช่มั้ย”

“ความจริงที่พี่ปล่อยมันออกมาไง”

“กูขอโทษ…” เสียงเขาขาดห้วงเหมือนคิดหาถ้อยคำ “กูไม่ได้ตั้งใจ”

ผมเกลียดพี่! ความคิดนั้นพุ่งขึ้นมาจนผมเองก็กลัว แต่ผมยับยั้งไว้ทันก่อนมันจะผ่านปากออกไป

“ช่างมันเถอะ”

“มันรักษาได้นะ”

“ไม่!”

“กูหาข้อมูลมา มะเร็งชนิดนี้มีโอกาสหายขาดสูงกว่า…”

“ไม่ฟัง! ไม่อยากฟังตอนนี้ หยุดพูด!”

“นะฑี”

“เงียบไปเลย!” ผมเอามือปิดหู นอนคุดคู้จนเข่าแนบชิดอก แล้วน้ำตาก็มาจนได้ แม่ง อดทนมาได้ตั้งนาน ทำไมต้องมาร้องตอนนี้ด้วยวะ

ผมละมือจากท่าปิดหูมาปาดน้ำตาเร็วๆ ซึ่งพี่ทัชก็พูดต่อจังหวะนั้นราวกับรออยู่

“นะฑี แม่ต้องการมึงนะ”

“...”

“นอนหนีความจริงไปเรื่อยๆ แบบนี้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร”

น้ำเสียงพี่ทัชราบเรียบ ฟังดูไม่ได้ประชดประชันหรือสั่งสอน ออกแนวหวังดีซะด้วยซ้ำ แต่มันก็แทงเข้าไปในอกผมเหมือนแท่งเหล็กร้อนๆ

ผมปาดน้ำตา ลุกขึ้นนั่งตัวตรงและหันไปเผชิญหน้ากับเขา

“อยากให้ผมรับรู้ความจริงเหี้ยๆ นี่มากใช่มั้ย ได้! บอกมาดิ แม่อยู่ได้อีกนานแค่ไหน จะตายเมื่อไหร่”

“กูเพิ่งบอกไปว่ามีทางรักษาได้”

“เหรอ” น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีก ปากผมสั่นระริกขณะบังคับให้ตัวเองพูด “ตอนเข้ามาพี่ได้สังเกตอะไรมั้ย เห็นสนิมที่ประตูเหล็กยืดหน้าบ้านรึเปล่า น่าจะอยู่มานานก่อนผมเกิดอีกมั้ง”

“...”

“เห็นรองเท้าแม่มั้ย เยินจนไม่รู้จะเยินยังไงแล้ว”

“...”

“ได้ดูเสื้อที่แม่สวมรึเปล่า ถ้าเป็นบ้านพี่ แม่บ้านคงเอาทำผ้าขี้ริ้วนานแล้ว”

“...”

“ดูโน้ตบุ๊กผม” ผมชี้ไปที่โต๊ะหนังสือ แต่พี่ทัชไม่ได้หันตาม เขายังมองหน้าผมนิ่งๆ “เกินห้าปีแล้ว แบตเสื่อมจนต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเหมือนคอมตั้งโต๊ะ หน้าจอมีรอยร้าวนิดๆ ด้วย”

“...”

“หรือจะดูอะไรก็ได้” ผมผายมือไปรอบๆ “สภาพงี้เหรอ มีทางรักษาแม่ได้”

“เดี๋ยวกูช่วย”

“เออ พี่รวยนี่ จะเอาเงินมาให้ผมเฉยๆ น่ะเหรอ ไม่เอาอะ” ผมเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้ามือถือบนหัวเตียงมายัดใส่มือเขา “โทรศัพท์พี่ เอาคืนไป”

“มึงเอาไว้ใช้ดีแล้ว กูยกให้” เขายัดใส่มือผมคืน

“งั้นผมจะเอาไปขาย แล้วซื้อรุ่นกากๆ ถูกๆ มาใช้”

“แม่มีประกันสุขภาพรึเปล่า” พี่ทัชเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่ครอบคลุมเรื่องมะเร็ง”

“อืม”

“หยุดคิดเลย” ผมดักทาง “ผมไม่เอาเงินพี่ฟรีๆ หรอก”

“ไม่ได้ฟรี ให้ยืม”

“ให้ยืมก็ไม่เอา ไม่มีปัญญาใช้”

“กูนึกอยู่แล้วว่ามึงจะไม่ยอม กูเลยรับงานมาแล้วสองสามงาน”

“งานไร”

“บริษัทขอทัชฑีไง น้าเกดลากกูเข้ากลุ่มแล้ว”

“มันแค่ค่าขนม จะเอามาทำอะไรได้”

“ก็ขึ้นค่าตัว รับงานเยอะๆ”

“...”

“แล้วไหนจะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาลอีก มันอาจจะไม่ได้ใช้เงินเยอะอย่างที่มึงคิดก็ได้”

“...”

“นะฑี”

“แม่ต้องตายแน่” ผมพ่นคำที่อัดแน่นอยู่ในอกออกมา เป็นความจริงที่ไม่ต้องอาศัยนิ้วมือเขาช่วยอะไรเลย มันหลุดพรวดออกมาเองเพราะผมทนเก็บไว้ไม่ไหวแล้ว

“แม่ตายแน่ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง” น้ำเสียงยังเรียบๆ ตามแบบของเขา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนมีแท่งเหล็กร้อนเสียบเข้ามาในอก

น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีก

พี่ทัชนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนเขาจะแกะพลาสเตอร์ที่นิ้วโป้งข้างขวาออก

“พี่จะทำไร” ผมยกหัวไหล่เช็ดน้ำตา

“หันมาดีๆ ได้มั้ย”

ใจไม่ได้อยากจะหัน แต่หน้าผมมันหมุนไปเอง แค่เสียงนุ่มๆ เรียบๆ ทำไมถึงสั่งร่างกายผมได้อย่างกับมีเวทมนตร์ขนาดนี้วะ

“กูไม่ได้อยากจะรู้ความจริงอะไร” เขาพูดต่อ พร้อมกับยกนิ้วโป้งข้างขวาขึ้นช้าๆ มาแตะที่ขอบตาผม “กูแค่อยากจะเช็ดน้ำตาให้มึงด้วยนิ้วเปล่าๆ”

“...”

“ไม่ได้มีแค่แม่นะที่ต้องการมึง...กูก็ด้วย” เขายิ้มนิดๆ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เวลาหมุนช้าลง “ถ้าไม่มีมึง บริษัทขอทัชฑีก็อยู่ไม่ได้ รู้มั้ย”

ตัวผมกลายเป็นหินไปแล้ว แทนที่จะเบือนหน้าหนีตามที่สมองสั่ง มันยังนั่งนิ่งปล่อยให้นิ้วเปลือยเปล่าของพี่ทัชปาดไล้ขอบตาอยู่อย่างนั้น ปลายนิ้วที่คล้ายมีกระแสไฟอ่อนๆ พาให้รู้สึกวูบหวิว ปลายนิ้วที่ดึงดูดความจริงทั้งหลายทั้งปวงให้เลื่อนไหลตรงมาที่ริมฝีปาก...

แม่จะตายแล้ว

ยังไงก็อยู่ต่ออีกไม่ถึงปีหรอก

ดอกไม้แม่งแดกไม่ได้ ใครจะมาซื้อทุกวัน

พี่แตะตัวแม่ทำไมวะ

มายุ่งกับแม่ผมทำไม

นิ้วเปลือยเปล่าของเขายังปาดเช็ดน้ำตาให้ซ้ำๆ เพราะมันยังไหลไม่หยุด และดูเหมือนว่าพี่ทัชจะลืมไปแล้วว่านิ้วตัวเองทำร้ายคนอื่นได้มากแค่ไหน

“ผมเกลียดพี่!”

ในที่สุดคำพูดก็หลุดจากปากผม พี่ทัชชะงัก แล้วชักมือกลับช้าๆ ดวงตาสีเข้มมองลึกเข้ามาในดวงตาที่พร่าพรายของผม ผมรีบใช้หัวไหล่เช็ดน้ำตาออกแล้วมองหน้าเขาอีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้าก็ยังพร่ามัวอยู่ดี

ความเงียบฉีกช่องว่างระหว่างเราให้กว้างขึ้น ทั้งที่ตัวยังนั่งติดกันอยู่

น้ำตาผมแห้งไปแล้ว

พี่ทัชพันพลาสเตอร์กลับที่นิ้วโป้งช้าๆ โดยไม่มอง สายตาเขายังจับอยู่ที่หน้าผมตลอดเวลา “หายใจลึกๆ ช่วยได้” เขาบอกพร้อมกับยกมือที่มีพลาสเตอร์ครบทุกนิ้วแล้วบีบไหล่ผม

จากนั้นก็ลุกออกจากห้องไป

แท่งเหล็กร้อนที่เสียบคาอกผมอยู่ก่อนหน้านี้ถูกดึงออกไปด้วย และมันเจ็บโคตรๆ เจ็บกว่าตอนถูกมันเสียบซะอีก ข้างในผมร้องโวยวาย อยากจะถลาตามไปคว้าแขนเขาไว้ พูดอะไรดีๆ สักคำ หรือไม่ก็ต่อยเขาให้หน้าสะบัด

อะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่จากกันเงียบๆ แบบนี้

แต่ร่างกายผมแม่งไม่ยอมขยับ











________________________

ขอบคณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ TT


นางร้าย
28.มกรา.2020




ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
โอยยยย พี่ทัชเสียใจจจจจจจ น้องมันกำลังฟุ้งซ่าน พี่เข้าใจน้อง ให้เวลาน้องนิดนะ   :o12:  น้องมันก็ปากหมางี้แหละ พี่ทัชต้องชินสิ

พี่ทัชแบไพ่มาเกือบหมดแล้วนะ เหลือแต่บอกตรงๆแล้วคราวนี้ อิน้องยังไม่เก็ทอีก แถมพูดให้พี่เสียใจด้วย ย้ายอิน้องไปเป็นตัวประกอบแทนบทนายเอกได้มะ เคืองใจ :ling1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่เข้าใจนะฑีเลยอ่ะ

ปกตินิสัยไม่ใช่แบบนี้นิ

ทำไมตอนนี้งี่เง่า?  ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

ทำหมางเมินกับแม่ได้ไง?   นิสัยไม่ดี

ออฟไลน์ PHENOMENAL

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปวดใจจจจจไปหมดเลย  :mew2:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ประทับใจในความนิ่งของพี่ทัชมาก พี่ทัชเช้าใจนะฑี ยิ่งกว่านะฑีเข้าใจตัว้เเองอีก ความความมั่นคงและอบอุ่นของพี่ทัชจะช่วยให้นะฑีผ่านไปได้อย่างมีสติ น่าเสียดายที่ความหวังดีถูกปัดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี สงสารพี่ทัชที่ต้องเจอแบบนี้อีกแล้ว T T

อยากตีไอ้ตัวดีนะ แต่ก็สงสารเด็กมันกำลังหลงทางไร้สติ กลัวในสิ่งต้องเผชิญ เลือกที่หนีความจริงด้วยความหวาดกลัว จนทำร้ายคนที่พยายามเข้าใกล้และหวังดี รีบตั้งสติได้แล้วแม่รอกำลังใจจากนะฑีอยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2020 12:12:13 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เศร้ามาก
ทั้งทัชทั้งฑี คงเหมือนระเบิดลง

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
นะฑีตั้งสติก่อน
พี่อย่าเพิ่งโกรธน้องนะ ดึงนางขึ้นมาก่อน นางดิ่ง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด