●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ●____ณ Touch____● (อัพ! แตะต้องครั้งที่ 37 | 50%) |▌18.เมษา.2020// Page 8  (อ่าน 30250 ครั้ง)

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขอบคุณนะครับ รอเจอกันพาร์ท2

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
21/Part2 เสียดายมาส่งพี่เรือสุดเท่กับน้องธารแบบเรียลไทม์ไม่ทัน  อย่าหักโหมกับน้องธารมากนักนะพี่ แก่แล้วเด่วหัวใจวายตายครอกเมียอายเขา 5555555555/วิ่งหลบกระสุนพี่เรือ ฟิ้วววว

... พี่ทัชขยับมายืนขวางๆ ตัวผมไว้ ถ้าเกิดมีกระสุนทะลุประตูห้องน้ำเข้ามาก็คงโดนพี่ทัชก่อน ผมเลย...ขยับเบี่ยงตัวไปยืนหลังพี่ทัชให้มิดมากกว่าเดิม...
โอ้ยยย ขำ ไอ้ตัวดีมันเอาพี่ทัชเป็นโล่ได้แบบไม่คิดสักนิด สมเป็นไอ้ตัวป่วนคือไปต้องมาหวังอะไรกับนะฑี จบนะ!
กลัวกระเจิดกระเจิงสติ มันน้องหลุด! หลุดไปจากโลกนี้ :laugh:

22/ ไอ้เเสบเผานมแม่ ให้พี่เขาฟังตั้ง2รอบ อิเด็กเวง 555555555555555 

สนุกมากกกกค่ะ ทำเราหัวเราะได้ฟุ่มเฟือยมาก :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2



แตะต้องครั้งที่ 22

จับบบ…ดึงหัวไม่ออกตอกไข่ใส่ด้วยน้องช่วยอาบน้ำ

ลองถามเสี่ยงๆ ขอเล่นเด้งเตียงได้มั้ย [PART 2]





            “หึ แบบนี้น่ะเหรอ”

            “แฮ่!”

            “รู้ละ ตอนที่บอกให้ผมยื่นมือให้มันดม พี่แอบหยิกต้นคอมัน”

            “ใช่ จับต้นคอทีไรมันก็ทำเป็นขู่แบบนี้แหละ ไม่กัดหรอก”

            “ตอแหลนะเนี่ยเรา ผงฟอก ไหนลองดิ๊” ผมลองขยุ้มคอมันดู แล้วแอ๊คติ้งโอเวอร์ก็มาตามคาด

            “แฮ่~~~”

            “เอ้อพี่ พลังพี่ใช้กับสัตว์ได้ผลมั้ยอะ เคยลองกับผงฟอกมะ”

            “สัตว์ไม่โกหกหรอก”

            “น้อยไปดิ ผมเคยดูคลิปในยูทูบนะ หมาทำท่าเดินขาลากขอความเห็นใจ แล้วสักพักก็ลุกขึ้นวิ่งสี่ขาเฉย”

            “ผงฟอกไม่โกหก”

            “แล้วไอ้เสียงแฮ่ๆ นี่อะไร”

            “แค่โดนจุดอ่อนไหวมัน...พอละ อาบนานเดี๋ยวตัวเปื่อย มาผงฟอก ล้างตัวๆ”

            หลังล้างตัวเสร็จ พี่ทัชก็พามันมาส่งให้คุณแม่บ้านชื่อพี่บัวจัดการเช็ดตัวให้มันต่อ ส่วนเราเข้าไปข้างเพื่อจะขึ้นไปที่ห้องพี่ทัช บรรยกาศภายในบ้านทำให้หน้าอกผมพองฟูและร้อนยิ่งกว่าอยู่ข้างนอกซะอีก ถ้าเจ๊แคลเซียมได้มาเห็นคงกรีดร้องแน่ เพราะนอกจากข้าวของจะดูมีสไตล์สบายตาแล้ว ทุกซอกทุกมุมยังสะอาดสะอ้านจนฝุ่นน่าจะรู้สึกผิดถ้าเผลอปลิวเข้ามาในนี้

            ห้องพี่ทัชก็เป็นระเบียบเหมือนกัน ผ้าปูเตียงขาวสะอาด ผ้าห่มพับเรียบร้อย ข้าวของส่วนใหญ่อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่บ้านหรือของเจ้าของห้องเอง แต่มีของบางอย่างที่คล้ายกับจะแหกคอกนิดๆ อย่างสมุดโน้ตที่เปิดกางอยู่ และดินสอที่ชวนให้คิดว่าแอบปีนจากแก้วทรงสูงมาอยู่บนโต๊ะตอนเจ้าของไม่อยู่บ้าน

            “ห้องหอมอะ” หลังจากพี่ทัชปิดประตู ผมก็หมุนตัวพร้อมกับสูดกลิ่นไปรอบๆ “แล้วนั่นพี่เขียนไรอะ กลอนเหรอ”

            พี่ทัชรีบเก็บดินสอกับสมุดเล่มนั้นใส่ลิ้นชัก ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปอย่างอื่น

            “พี่เล่นกีตาร์ด้วยเหรอ เฮ้ย เจ๋งอะ” ผมหยิบกีตาร์โปร่งที่มุมห้องมาเทสเสียง ดีดสายเปล่ามั่วๆ ไปนั่นแหละ แต่คนมันมีพรสวรรค์อะ ร้องเป็นเพลงได้ “I like me better when I'm with you I like me better when I'm with you...”

            “ไปอาบน้ำ” พี่ทัชเข้ามาแย่งกีตาร์ไปจากมือผม แล้วยัดเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูให้แทน

            “พี่เล่นให้ฟังหน่อยดิ”

            “ไปอาบ”

            “ถ้าอาบเสร็จแล้ว พี่เล่น…”

            ผมพูดไม่จบประโยคเพราะถูกดันหลังเข้ามาในห้องน้ำแล้ว แถมเขายังปิดประตูตามเรียบร้อย “เฮ้ยพี่ เจ๋งอะ ฝักบัวใหญ่โคตร มีห้องกระจกด้วย”

            “นะฑี รีบอาบ”

            “ถ้ารีบมากก็มาอาบให้ผมดิ”

            ผมเงี่ยหูรอฟัง แต่พี่ทัชไม่พูดอะไรแล้ว ผมเลยเปลือยตัวตนและเข้าห้องกระจกไปยืนใต้ฝักบัว ใช้เวลาอยู่ในนี้ราวๆ ห้านาทีก่อนจะกลับออกมาในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว

            “ทำไมไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย”

            “ก็เจ๊ณเทอบอกให้ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองนะ อยู่บ้านผมก็งี้แหละ ชอบแต่งตัวข้างนอก” เจ้าของห้องถึงกับถอนหายใจ ในมือเขามีผ้าขนหนูผืนใหม่กับเสื้อผ้าอีกชุด “พี่อาบต่อใช่ปะ ไม่รอเอาผ้าขนหนูที่ผมอะ นี่ ยังใหม่ๆ” ผมพูดพร้อมกับจับผ้าขนหนูที่นุ่งอยู่เช็ดก้นไปด้วย

            “มึงนี่มันจริงๆ เลย”

            “เอ้อ ผมทำสบู่ติดกระจก ฝากล้างด้วยนะ ลืมๆ”

            เดินเข้าห้องน้ำไปละ แกล้งนิดแกล้งหน่อยทำเป็นรับไม่ได้

            ผมอาศัยจังหวะนี้แต่งตัวให้เรียบร้อย เสื้อผ้าใหม่หอมฟุ้ง ซึ่งเป็นกางเกงขาสั้นที่ใส่ได้พอดี กับเสื้อยืดสีขาวล้วนเรียบๆ ไม่ใช่เสื้อที่ซื้อยกโหลแบบที่ผมเคยเห็นในตลาดเจ๊เนียมแน่นอน เพราะเนื้อผ้าดีกว่าเยอะ แล้วชุดนักศึกษาเลอะๆ ของผมนี่เอาไงวะ ไม่รู้จะเก็บยังไงเลยเขี่ยไปกองไว้ที่มุมห้องก่อนละกัน

            จากนั้นผมก็ถือวิสาสะนั่งลงบนเตียงเขา เช็ดผมไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้ก็อดนึกภาพพี่ทัชในห้องน้ำไม่ได้ รวมถึงภาพการใช้ชีวิตในจังหวะต่างๆ ในห้องนี้ด้วย

            แต่ไหนๆ ก็มาถึงรังเสือทั้งทีแล้ว ต้องสำรวจกันหน่อย

            ผมลุกขึ้นเดินสอดส่องไปทั่ว ไม่มีฝุ่นเลยจริงๆ ชั้นหนังสือเป็นระเบียบโคตร โต๊ะทำงานก็เหมือนกัน พอเขาเก็บสมุดโน้ตเล่มนั้นใส่ลิ้นชักแล้ว ก็ดูจะไม่มีอะไรอยู่ผิดที่ผิดทางเลย คันมือว่ะ อยากจะเปิดลิ้นชักเอาสมุดออกมาอ่าน แต่ไม่ดีหรอก มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไปดูตู้เสื้อผ้าดีกว่า

            ตู้เสื้อผ้าคุณชายมาก แขวนเสื้อไล่โทนสีจากสีอ่อนไปสีเข้ม แบ่งโซนเสื้อแขนสั้นแขนยาว ส่วนพวกกางเกงกับบ็อกเซอร์รวมถึงผ้าขนหนูนี่พับอยู่ในลิ้นชักเรียบร้อย

            น่าเบื่อ

            ผมปิดตู้เสื้อผ้าแล้วกลับมาเลียบๆ เคียงๆ อยู่แถวโต๊ะทำงานอีก มีหนังสือรวมไฮกุอยู่ตรงนี้ด้วย อันนี้ผมเคยเปิดดูแล้ว คงไม่เป็นไรถ้าจะดูอีก ผมเลยหยิบมันขึ้นมากรีดหน้ากระดาษผ่านๆ กะจะสุ่มอ่านสักบท มาสะดุดอยู่ที่หน้าหนึ่งเพราะมีบางอย่างคั่นอยู่

            แผ่นพลาสเตอร์สีเหลืองลายมินเนี่ยน

            ถ้าพูดให้ถูกคือ ซากพลาสเตอร์ที่ผมเคยให้เขานี่ เขาเก็บไว้ด้วย…

            พูดถึงพลาสเตอร์ เมื่อกี้ผมเห็นกล่องเบ้อเริ่มวางอยู่ที่โต๊ะหน้ากระจก ไหน ลองสวมบทคุณชายดูหน่อยว่าแต่ละวันเขาทำยังไง ผมวางหนังสือลง แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง คิดวางแผนอะไรนิดหน่อย ก่อนจะหยิบพลาสเตอร์สิบแผ่นมานั่งที่เตียง ฉีกมันออกมาพันนิ้วทีละนิ้ว

            “ทำอะไร” พี่ทัชออกจากห้องน้ำแล้ว เขาแต่งตัวเรียบร้อยมาตั้งแต่อยู่ข้างในเลย คือสวมกางขาสั้นที่สีเข้มกว่าของผม แต่เสื้อยืดสีขาวแบบเดียวกันเป๊ะ หรือว่าพี่ทัชซื้อเสื้อยกโหลจริงๆ

            “ช็อตนี้พี่ต้องเปลือยท่อยบนโชว์ซิกซ์แพ็กส์เดินออกมาดิ ไม่เคยดูหนังเหรอ”

            “...”

            “ทำไมอะ เขินเหรอ หรือว่าปกติก็แต่งตัวอยู่ในห้องน้ำแบบนี้”

            พี่ทัชก้าวมาหยุดตรงหน้าผม ผ้าขนหนูยังพาดอยู่บนไหล่และเส้นผมยังเปียกชื้นไม่เป็นทรง แต่ก็ยังดูดีสุดๆ หนังหน้างี้ก็ไม่รู้จะใสไปไหน

            “ถามจริง เกิดมาพี่เคยเป็นสิวปะ”

            “นี่มึงเล่นอะไร”

            ผมกางนิ้วทั้งสิบที่เพิ่งพันพลาสเตอร์เสร็จให้เขาดู “ก็ลองดูเฉยๆ เป็นไงมั่ง เข้ากับผมปะ” พยายามประณีตที่สุดแล้ว แต่พลาสเตอร์บนปลายนิ้วก็ยังยับๆ ยู่ๆ อยู่ดี “นี่พี่ทนทำแบบนี้ทุกวันได้ไง รุงรังมาก” ผมลองใช้นิ้วพลาสเตอร์ลูบแก้มตัวเอง “แถมสากโคตรๆ”

            “กล่องพลาสเตอร์ไปไหน”

            “ก็เห็นมั้ยล่ะ”

            “ไม่เห็นไง ถึงถาม”

            “งั้นไม่น่าถาม ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่าผมเอาไปซ่อนไง”

            “นะฑี”

            “ทำไมพี่อาบน้ำนานอะ สนุกสนานสนามหลวงเหรอ”

            “สนามหลวงอะไร”

            “ทำเป็นใสซื่อนะ ก็การละเล่นพื้นบ้านที่ชอบไปเล่นกันที่สนามหลวงไง…” ผมเหลือบตามองบน ทำหน้าฟินแบบแอ๊คติ้งโอเวอร์ และทำท่ากระตุกเชือกล่องหนที่ผูกติดกับว่าวปักเป้าในจินตนาการ ถ้าขนาดนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะว่าไงละ

            “บางทีกูก็สงสัยนะ ลิมิตความทุเรศของมึงจะไปสุดที่จุดไหน”

            “ไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย~” ผมฉีกยิ้ม “ถ้าพี่ไม่ได้ช่วยตัวเอง ทำไมนานล่ะ”

            “กูอาบน้ำ ไม่ได้วิ่งผ่านฝักบัวเหมือนมึง กล่องพลาสเตอร์อยู่ไหน”

            “อยู่บ้านพี่ยังจะติดพลาสเตอร์อีกเหรอ”

            “ปกติก็ไม่ แต่มึงอยู่นี่ด้วยแหละเลยต้องติด”

            “ทำไมอะ”

            “เดี๋ยวโดนตัวมึงแล้วมึงจะพูดอะไรทุเรศๆ”

            “ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ไปกินเกลือบ้านตาแป๊ะ ไปนอนเปาะแปะ ให้ตาแป๊ะเลียตูด...เห็นมะ พี่ไม่จับตัวก็พูดทุเรศได้”

            “เอาที่มึงสบายใจ”

            “ครับโผม”

            พี่ทัชมองไปรอบๆ ห้องพลางขมวดคิ้ว

            “หาดิ ไม่เจอง่ายๆ หรอก”

            เขาทำท่าจะเปิดลิ้นชักโต๊ะหน้ากระจก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไปหยิบชุดนักศึกษาเลอะๆ ของผมขึ้น ซึ่งกล่องพลาสเตอร์ก็อยู่ใต้กองเสื้อนั่นแหละ

            “เฮ้ย ทำไมรู้อะว่าอยู่ตรงนั้น”

            “ให้พี่บัวซักก่อน แล้วเดี๋ยวกูเอาไปให้” พี่ทัชพูดไปอีกเรื่อง เขาเอาเสื้อผ้าของผมใส่ลงไปในตะกร้าผ้ารวมกับเสื้อผ้าชุดเก่าๆ ของตัวเอง เอากล่องพลาสเตอร์มาวางที่โต๊ะเครื่องแป้งเหมือนเดิม แล้วก็มานั่งบนเตียงห่างจากผมราวๆ หนึ่งช่วงแขน

            ผมกระแซะเข้าไปใกล้เขาอีกนิด “ไม่ติดนิ้วอะ”

            “ก็มึงเอามาติดเล่นจนมันใกล้หมดแล้ว ที่เหลือนั่นเอาไว้ติดไปมหา’ลัยพรุ่งนี้”

            “งี้ก็เสร็จผมดิ ผมจะจับนิ้วพี่ตอนไหนก็ได้”

            พี่ทัชหันมาทำหน้าดุ “กล้าเหรอ”

            ผมเม้มปากชั่งใจ “รู้ปะ ผมเป็นด้านตรงข้ามของพี่นะ พี่เปลือยนิ้วแล้วใช้พลังใช่ปะ ส่วนผม ถ้าติดพลาสเตอร์แบบนี้จะมีพลังสามารถทำให้พี่พูดความจริงได้”

            “...”

            หมับ!

            ผมคว้าที่ข้อมือเขา “บอกมา เก็บซากพลาสเตอร์ที่ผมให้ไว้ทำไม”

            “อะไรของมึง”

            “พลาสเตอร์ลายมินเนี่ยนอะ ในหนังสือกลอน ทำไมไม่ทิ้ง”

            “นี่มึงแอบดูของส่วนตัวกูเหรอ”

            “จะเก็บเอาไว้ทำคุณไสยใส่ผมใช่มั้ย บอกความจริงมา”

            “กูใช้คั่นหนังสือ ตอนนั้นมันไม่มีอะไรคั่น”

            “จริงดิ”

            พี่ทัชสะบัดมือออกเบาๆ ซึ่งผมก็ไม่ขัดขืน “นี่มึงค้นข้าวของอะไรกูอีก”

            “ไม่บอก อยากรู้ก็จับตัวดิ”

            “งั้นก็ช่างมัน ไม่อยากรู้”

            “ไม่หนุกเลย บอกให้ก็ได้ ผมดูกางเกงในพี่ พับไว้เป็นระเบียบโคตรๆ”

            “นะฑี”

            “ขอเล่นเด้งเตียงได้ปะ”

            “เด้งอะไรของมึง”

            “เด้งเตียงไง แบบนี้” ผมลุกขึ้นถอยไปสองสามก้าวเพื่อตั้งหลัก “หลบหน่อยๆ” แล้วก็พุ่งไปทิ้งตัวลงบนเตียงในท่าคว่ำหน้ากางแขนกางขา ดึ๋ง~ ของโคตรดี หลังจากช็อตแรกยังมีเด้งดึ๋งๆ อีกสองสามทีเหมือนช็อกเวฟ ส่งแรงสะเทือนที่แสนอ่อนโยนแผ่ซ่านไปทั้งตัว “ฟินอะ ขออีกที…”

            ผมลุกไปตั้งท่า แล้วพุ่งตัวอีกที

            อีกที

            และอีกที…

            ครั้งหลังนี่พี่ทัชถึงกับต้องขยับหลบไปนั่งปลายเตียง

            “มึงกี่ขวบแล้ว เล่นอะไรเป็นเด็กๆ”

            “ชดเชยวัยเด็กไง ที่บ้านไม่เคยมี ตอนนี้ก็ยังไม่มี”

            “...”

            “แต่ไม่มีก็ดี ถ้าผมมีเตียงนุ่มขนาดนี้นะ คงเรียนไม่จบอะ นอนแต่เช้ายันเย็นแน่...เฮ้ย พี่” ผมพลิกตัวขึ้นมานั่ง “เล่นสงครามหมอนกัน”

            “ฮะ?”

            “สงครามหมอนไง เหมือนในซีรี่ส์วัยรุ่นอะ” ขณะที่พี่ทัชงงๆ อยู่ ผมก็คว้าหมอนฟาดเขาซะเต็มเหนี่ยว “แบบนี้”

            “เฮ้ย” เฮ้ยไร เปิดก่อนได้เปรียบ กระหน่ำฟาดเข้าไปอย่างไม่ยั้ง “นะฑี หยุด! ไม่เล่น เฮ้ย...เล่นงี้ใช่มั้ย ได้!”

            พี่ทัชยกแขนข้างหนึ่งป้องกันใบหน้าไว้ พร้อมกับก้มหน้าก้มตาเข้ามาคว้าหมอนข้างไปได้ คราวนี้เราต่างก็มีอาวุธในมือเท่ากันแล้ว...ไม่เท่าดิ ของพี่แกยาวกว่า ทำไมผมไม่คว้าหมอนข้างตั้งแต่แรกวะ

            “มึงโดนแน่”

            “มาดิ ไม่กลัวหรอก”

            ผัวะๆๆ

            “โอ๊ย พี่โกงอะ หมอนข้างมันแข็งกว่า”

            “มึงเริ่มก่อน”

            “ตายซะ”

            “เฮ้ย เล่นทีเผลอเหรอ”

            ผัวะๆๆ ตับๆๆ

            เราไล่ฟาดกันไปรอบห้อง ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ราวๆ สิบนาทีน่าจะได้ สุดท้ายก็มานอนแผ่หอบหายใจอยู่บนเตียงด้วยกันทั้งคู่ โดยเหยียดเท้าออกไปที่ขอบเตียงคนละฝั่ง และศีรษะวางอยู่ใกล้ๆ กันบริเวณกลางเตียง

            “เหงื่อซึมขนาดนี้ ต้องอาบน้ำใหม่อีก” พี่ทัชพูด

            “อาบด้วยกันปะ จะได้ประหยัดน้ำ”

            “หุบปากไป”

            “พี่ ผมมีเรื่องจะสารภาพ”

            “อะไร”

            “พี่อย่าโกรธนะ”

            “...” พี่ทัชนิ่งไปนิดนึง “ถ้ากลัวกูโกรธก็อย่าพูด”

            “ผมทำปลอกหมอนพี่ขาดอะ ฟาดแรงไปหน่อย”

            “นึกว่าอะไร ช่างมัน”

            “มีอีกเรื่อง”

            “เมื่อกี้ผมแอบตด”

            “นะฑี มึง”

            “เอ๊ะๆ เสียงรถมา ใช่พ่อพี่ปะ พ่อพี่กลับมาแล้วแน่ๆ”

            พี่ทัชถอนหายใจ ก่อนจะพูดสั้นๆ “เออ"

            “ดีเนอะ มีพ่อ ครอบครัวพี่อบอุ่นมากรู้เปล่า”

            “พูดเหมือน...”

            เขาไม่พูดต่อ ผมเลยต่อให้ “พ่อผมไปสบายแล้วอะ”

            พี่ทัชนิ่งไปนิดนึง ก่อนจะพูดเบาๆ “กูขอโทษ”

            “เฮ้ย ไม่เป็นไร มันนานแล้ว ตอนนี้ชิลล์...พี่เล่นกีตาร์ให้ฟังหน่อยดิ”

            “ขี้เกียจ”

            “เล่นเป็นรึเปล่าเหอะ หรือเอามาวางประดับห้องให้ดูเท่เฉยๆ”

            “ไปหยิบมา”

            ผมเด้งดึ๋งจากเตียงไปหยิบกีตาร์มา ดูจากโลโก้ยี่ห้อถ้าผมอ่านไม่ผิดน่าจะเป็นคำว่า Martin พี่ทัชรับกีตาร์ไปแล้วลุกขึ้นนั่งไว้ในท่าพร้อมเล่น ส่วนผมทิ้งตัวนอนคว่ำเอาหมอนซุกใต้อก

            “พี่เล่น ผมร้อง”

            “เพลงไร”

            “เอาง่ายๆ ก่อนเลย ของวง Lauv”

            “ได้”

            นิ้วเรียวยาวและเปลือยเปล่าของเขาขยับคล่องแคล่วไปตามคอกีตาร์ เมโลดี้ที่ดังขึ้นผมก็รู้ทันทีว่าคือเพลง I Like Me Better ที่เราฟังกันจนนับรอบไม่ถูกแล้วนี่เอง พอเป็นเวอร์ชั่นอะคูสติกก็แปลกดีแฮะ ฟังเพลินเลย

            “ไป” พี่ทัชพูดขึ้น

            “ไปไหน”

            “ก็ร้องไง จังหวะนี้มึงต้องร้องแล้ว”

            “อ้าวเหรอ นี่พี่เล่นเป็นจริงป้ะ ถ้าจะให้ร้องพี่ต้องบอกว่า สาม สี่ ไป...แบบนี้”

            “งั้นเอาใหม่”

            พี่ทัชเล่นอินโทรอีกครั้ง “สาม สี่ ไป…”

            “To be young and in love in New York City…” ผมร้อง จากนั้นก็อือๆ อาๆ ดำน้ำไปครับ รอไปขยี้ดังๆ ตรงท่อนฮุคเอา แล้วก็ดำน้ำต่อจนจบเพลง “วู้ววว สุดยอด นี่ถ้าอัดคลิปลงยูทูบยอดไลก์เป็นแสนเลยนะ”

            “มึงร้องมั่ว”

            “แล้วไง เพราะก็แล้วกัน”

            “ถ้าร้องงี้ ให้กูเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์เลยก็ได้”

            “ยังไง”

            “ก็เล่นแค่กีตาร์อย่างเดียว ให้กีตาร์ร้องเพลงแทน คนไม่ต้องร้อง”

            “นึกออกละ เคยดูในยูทูบ มีคนนึงเก่งๆ ที่เป็นคนเกาหลีใช่ปะ...พี่ขี้โม้อะ เล่นแบบนั้นคือเทพเกินไปแล้ว ไหนเล่นให้ฟังดิ๊”

            “ไว้วันหลัง เดี๋ยวลงไปหาพ่อกันก่อน”

            “จริงด้วย เข้าถ้ำเสือต้องไปหวัดดีพ่อเสือก่อน จะมาขลุกอยู่แต่กับลูกเสือมันดูไม่งาม”

            “จะเย็นแล้ว มึงอยู่กินข้าวด้วยเลยละกัน”

            “จะดีเหรอ”

            “กูยังไปกินข้าวบ้านมึงเลย”

            “มีล็อบสเตอร์ปะ หรือสเต๊กเนื้อโกเบอะไรงี้”

            “เลิกเพ้อเจ้อได้ละ ไป”

            “เดี๋ยวๆ แล้วพ่อพี่เป็นคนยังไง ดุหรือเปล่า”

            “ก็ทำตัวดีๆ ละกัน อย่ากวน”

            พี่ทัชลุกไปเปิดประตูห้อง ส่วนผมก็รีบเด้งตัวขึ้นมาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสยผมให้เป็นทรง แอบสูดหายใจลึกๆ จากนั้นก็เดินตามเขาต้อยๆ มาที่บันได

            แม่กับพี่สาวนี่ผมคิดว่าเข้าหน้ากันได้ไม่มีปัญหา แต่กับพ่อไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง

            ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมาก็เหมือนจะได้รู้แล้ว เพราะพ่อยืนกอดอกรออยู่ที่เชิงบันไดชั้นล่างนี่เอง สีหน้าเครียดเชียว ถ้าพูดตรงๆ ก็คือมองเราตาเขียวแบบไม่พอใจสุดๆ

            “เดี๋ยวนี้พาผู้ชายมานอนกกที่บ้านขนาดนี้ นี่มึงยังเห็นหัวพ่ออยู่มั้ย”

            พรืดดด

            ลื่นเกือบหัวทิ่มลงบันได

            “สะ...สวัสดีครับคุณพ่อ”

            “ไม่ต้องไหว้หรอก กูไม่ใช่พ่อมึง”

            เอ่า พูดงี้ ถอนหงอกสักเส้นสองเส้นแล้วเดี่ยวกันเลยดีกว่ามั้ย





____________________________



ขอบคุณทุกคนที่อ่านมากเลยค่า
ขอบคุณคอมเมนต์น่ารักๆ ที่ทำให้ยิ้มได้ตลอดเลย

ฝากรักฝากเอ็นดูเด็กแสบกับพี่ณทัชคนดีด้วยนะคะ :D

นางร้าย
22.พฤศจิ.2019

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
นะฑี~~เธอมันคนล้น ล้นไปมาก มากจนฉันกลัวว่าเธอจะกลับมาไม่ได้ 55555 คนบ้า! ตดแล้วจำเป็นต้องบอกไหม?  :jul3:

อิพี่นี่ก็แพ้ทางน้องจริงๆ น้องยุ น้องหลอกล่อยังไง รู้ก็รู้ แต่ก็ยังบ้าจี้ทำตาม หลายทีละ 5555 / หรือจริงๆแค่อยากตามใจน้องใช่ไหม? อ๊ายยย

ตอนก่อนลุ้นให้พี่ทัชอาบน้ำให้ทั้งหมาทั้งคน ปรากฏ อิน้องกวักมือเรียกให้อาบให้เองเลยจ้าาาา 55555 หมดกันความรอฟินของฉัน

เอาแล้ววว พี่ทัชมีดราม่ากับพ่อ ฉันขอแนะนำ เอาอิน้องไปขังไว้ในห้องเก็บของก่อน อย่าเพิ่งปล่อยออกมา เดี๋ยวจะป่วนจนคุณพ่อพี่ทัชจะเกรี้ยวกราดเบอร์ใหญ่มากกว่านี้  :laugh:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
พ่อแกล้งหรือว่าวีนจริงๆ55

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2

แตะต้องครั้งที่ 23

จับบบ…อยากบวกกับพ่อผมขอโยนขี้
ผีเจ้าที่ก็มาป้าร่างทรงก็มีเรื่องนี้เรื่องนั้น แล้วก็เรื่องโน้นนน



เห็นลูกชายมาดอย่างกับคุณชาย นึกว่าคนเป็นพ่อจะกิริยามารยาทเหมือนเจ้าพระยา ที่ไหนได้ คำพูดคำจาอย่างกับลุงแถวบ้าน นี่ถ้าเป็นลุงแถวบ้านจริงๆ ผมอาจจะพุ่งเข้าไปบวกแล้ว

แต่เห็นว่าเป็นพ่อพี่ทัชไง แถมผมยังอยู่ในบ้านเขาด้วย ตอนนี้เลยทำได้แค่ก้าวถอยกลับขึ้นบันไดไปหนึ่งขั้น แล้วขยับไปหลบข้างหลังพี่ทัช

“ผมต้องทำไง” ผมกระซิบเบาๆ

“ทำตัวตามปกติ” พี่ทัชตอบ

“ซุบซิบอะไรกัน” คุณพ่อพูดเสียงเข้ม “แล้วยืนทำซากไรกันอยู่ ไม่ลงมาสักทีวะ”

“ป๊า…”

“อะไร!”

นี่ป๊าพี่ทัชหรือป๊าผงฟอกวะ ดุชิบหาย

พี่ทัชทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่ก็เปลี่ยนเป็นยักไหล่และถอนหายใจแทน ผมรวบรวมความกล้าก้าวเบี่ยงตัวไปด้านข้าง ยืดอกขึ้นอย่างลูกผู้ชาย แล้วชี้มือใส่พี่ทัช

“ไอเดียพี่ทัชครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”

“นะฑี”

“ก็พี่บอกให้ทำตัวตามปกติไง...พี่ทัชผิดครับ เขาชวนผมขึ้นห้องเอง”

ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะร้ายแรงแค่ไหน แต่โยนขี้ไว้ก่อน ยังไงพ่อกับลูกก็น่าจะเคลียร์กันไม่ยาก

พี่ทัชมองหน้าผมพลางถอนหายใจ ก่อนจะเดินลงบันไดช้าๆ แต่มั่นคง

ผมทำไงล่ะ จะให้ยืนหัวโด่อยู่คนเดียวก็คงแปลกๆ เลยย่องตามเขาไปแบบตัวลีบๆ จนลงมาถึงชั้นล่าง เผชิญหน้ากับคุณพ่อที่ตอนนี้หน้าแดงไปหมดแล้ว หัวคงกำลังร้อนได้ที่ นี่ถ้าเย็นนี้จะกินหมูกระทะกันก็เอาเตามาตั้งบนหัวพ่อแล้วแจกตะเกียบมานั่งล้อมวงได้เลย

“พอได้ละป๊า” พี่ทัชพูดเรียบๆ

“…หึ” พ่นลมผ่านไรฟันกะปริบกะปรอยแบบนี้ เตรียมหูชาได้เลย ด่ากระจายแน่นอน “ฮึ...ฮ่าๆๆ” เอ้า หัวเราะซะงั้น “โดน! เสร็จป๊าละ”

พี่ทัชยังหน้านิ่งเป็นปกติ คนที่เหวอคือผมนี่แหละ

เกิดอะไรขึ้น ป๊าพี่ทัชเป็นโรคประสาทอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหัวเราะ แล้วก็ไล่ทำร้ายคนในครอบครัวไรงี้ ต้องจับมัดมือมัดเท้ามั้ย

“เพื่อนทัชเหรอ สวัสดีนะ” คุณพ่อพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้

เดี๋ยวๆ ผมนี่ยกมือประนมแทบไม่ทัน “อย่าไหว้ผมครับ เดี๋ยวอายุสั้น”

“เปล่าๆ อันนี้คือรับไหว้เรา ที่สวัสดีตั้งแต่อยู่บนบันไดไง”

ครับ รับไหว้โคตรดีเลย์เลย กลายเป็นว่าตอนนี้พ่อนั่นแหละที่ไหว้ผม และผมคือคนรับไหว้

“เอ่อ...ครับ ผมชื่อนะฑีนะครับ เป็นเพื่อนรุ่นน้องของพี่ทัช”

“อ่า...ครับ เป็นพ่อของทัชนะ แต่จะเรียกป๊าก็ได้”

“ครับ...ป๊า”

“ครับ...นะฑี” ป๊าฉีกยิ้ม ก่อนจะรีบเสริม “มีสระอะ และสะกดด้วย ฑ.นางมณโฑ ณเทอบอกป๊าแล้ว”

“อ้อครับ ใช่”

“แม่บอกมาอีกทีน่ะ” เจ๊ณเทอโผล่หน้ามาทางซ้าย “ป๊าแสดงละครจบแล้วเหรอ กำลังจะเตรียมป๊อปคอร์นเลย”

“กะจะแสดงยาวๆ นะ แต่หลุดขำก่อน”

“แสดงเสร็จแล้วก็ขอโทษน้องด้วย อย่าเสียมารยาท” คุณแม่โผล่มาจากทางขวา

“ขอโทษครับ นะฑี” ป๊ายกมือขึ้นจะไหว้อีกแล้ว

“ไม่ครับ ไม่ต้อง…”

แต่เจ้าตัวไม่ได้ไหว้ แค่ยกมือหลอกๆ แล้วเปลี่ยนเป็นเสยผมแทน “อะ โดนไปอีกดอก”

ส่วนผมรับไหว้ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้จะรับมุกยังไง งั้นก็ยกมือท่วมหัวสูงๆ ไปเลยละกัน “สาธุ ถือว่าผมไหว้พระก็แล้วกันนะครับ”

“ฮ่าๆ เป็นคนตลกนะเนี่ย อยู่กินข้าวด้วยกันสิ นานๆ ทัชจะพาเพื่อนมาบ้านสักที”

นั่นละครับท่านผู้ชม

ขอพักกองไปทบทวนชีวิตแป๊บ ผมขอตัวโทรบอกแม่ ซึ่งถือว่าโชคดีที่วันนี้แม่มีน้าเกดอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนด้วย จากนั้นผมก็มานั่งแกล้งทำตัวตามสบายอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านพี่ทัช โดยมีพี่ทัช ป๊า แล้วก็เจ๊ณเทอนั่งทำตัวตามสบายกันจริงๆ อยู่ด้วย โดยเฉพาะป๊า ท่าเอนหลังนี่นึกว่านอนแผ่อยู่ในสปาส่วนตัว ส่วนคุณแม่น่าจะขลุกอยู่กับพี่บัวในครัว

จากการคุยกันเบื้องต้น ผมก็ได้ข้อมูลซุกไว้ในกลีบสมองแบบคร่าวๆ แม่เป็นคนใจดีอยู่แล้ว ผมสัมผัสได้ตั้งแต่นาทีแรกที่เจอ ส่วนพ่อเป็นผู้ชายอารมณ์ดีประเภทตลกร้ายแบบหาตัวจับยากคนหนึ่ง เขามีเชื้อจีนเลยให้ลูกทั้งสองคนเรียกตัวเองว่าป๊า ส่วนแม่เป็นคนไทยแท้ๆ เลยห้ามเรียกหม่าม้า ให้เรียกแม่แบบคนไทย เจ๊ณเทอเป็นคนให้เหตุผลในเรื่องนี้ว่า เพื่อรักษาวัฒนธรรมของทั้งสองชาติเอาไว้ให้ยืนยาวชั่วลูกชั่วหลาน

พูดถึงเจ๊ณเทอ รายนี้น่าจะเป็นคนอารมณ์ดี คุยเก่ง แถมเวลาได้พูดแจมสักทีก็มีแต่มุกเด็ดๆ แสบๆ ทั้งนั้น น่าจะได้เชื้อตลกร้ายมาจากพ่อ แล้วไปตกผลึกเป็นสไตล์ของตัวเองอีกที

หลังจากคุยกันอยู่สักพักก็ได้เวลามื้อเย็น เราทุกคนย้ายก้นกันไปที่โต๊ะอาหาร คุณแม่นั่งหัวโต๊ะ ป๊ากับเจ๊ณเทอนั่งฝั่งซ้าย ส่วนผมกับพี่ทัชนั่งข้างกันที่ฝั่งขวา เราต่างช่วยกันจัดจานชามโดยมีพี่บัวเป็นแม่งาน จากที่สังเกตดู ทุกคนให้ความเป็นกันเองกับพี่บัวมาก เหมือนไม่ใช่แม่บ้านที่จ้างมา แต่เหมือนเป็นญาติคนหนึ่งมากกว่า บางวันอาจร่วมกินข้าวด้วยกันด้วยซ้ำ แต่วันนี้มีแขก พี่บัวเลยขอปลีกตัวออกไป

จัดโต๊ะเสร็จแล้ว กับข้าวแต่ละอย่างดูผู้ดี๊ผู้ดี ช้อนส้อมในมือนี่สั่นไปหมด

จ๊อกกก~

เสียงโคตรดัง

“ใคร” ป๊าถาม

“พี่ทัชครับ” ผมโยนขี้ไปอีก อันที่จริงคือท้องผมนี่แหละที่ร้อง

พี่ทัชไม่พูดอะไร เขาตักไข่เจียวชะอมมาใส่จานให้ผมด้วยสีหน้านิ่งๆ นี่ไงล่ะคนจริง ไม่ต้องพูดมาก แต่ลงมือทำเลย จากนั้นทั้งคุณแม่ ป๊า แล้วก็เจ๊ณเทอ ต่างก็ตักกับข้าวคนละนิดละหน่อยมาสุมในจานผม อย่างกับไหว้สัมภเวสี

น้ำตาจะไหล ทำไมทุกคนรักผมขนาดนี้

“ขะ...ขอบคุณครับ”

ทุกคนเป็นกันเองมาก ไม่มีใครใส่ใจกับคำขอบคุณอย่างเป็นทางการของผมเลย จนเหมือนว่าตักกับข้าวไหว้เจ้าที่เสร็จก็หันไปสนใจอย่างอื่น

“นะฑีรู้จักกับทัชนานยัง” เจ๊ณเทอถามขึ้น

“ก็ไม่นานครับ”

“นึกว่านาน เห็นดูสนิทกัน ปกติทัชไม่ค่อยพาใครมาบ้านนะ ครั้งล่าสุดนี่ก็...ตอนไหนนะป๊า”

“น้องเนยไง แฟนตอนปีหนึ่ง”

“นานขนาดนั้น ลืมไปแล้วนะเนี่ย”

“มีอีกคนนานกว่านั้นอีก”

“ใช่ๆ ใครนะ”

“น้องแพม ตอนม.2” คราวนี้แม่เป็นคนตอบ

“พี่ทัชเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงด้วยเหรอ” ปากผมสว่างทันที “ผมนึกว่าพี่เป็นเกย์นะเนี่ย”

เหมือนกับว่าความแปลกใจกระโดดงับคอทุกคนพร้อมกัน โดยเฉพาะคุณแม่นี่ถึงกับหลับตาเอียงคอคล้ายกับฟังไม่ถนัด ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ทุกคนตกอกตกใจนะ แค่จะแซวเล่นๆ แล้วมันก็หลุดปากพูดไปเองอะ ลืมไปว่าตอนนี้คืออยู่ต่อหน้าพ่อแม่และพี่สาวของเขา

“ล้อเล่นน่า ก็เห็นอยู่มหา’ลัยไม่เห็นสนใจผู้หญิงเลยอะ” หลุดปากแล้วก็ต้องกลบเกลื่อน แต่ก็ไม่เห็นพี่ทัชสนใจผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ

“หรือว่าใช่จริงๆ ทัชเป็นเกย์เหรอ” ป๊าพูดขึ้นอย่างร่าเริง “เฮ้ย ก็ดีนะ ตระกูลเรายังไม่เคยมีใครเป็นเลย ทัชอาจจะเหมาะกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงก็ได้ ใช่มั้ยแม่”

“จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ทัชสิ” แม่บอก

“เดี๋ยวนี้โลกเปิดกว้างแล้ว ถ้านิยมแนวนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก ทัชปรึกษาเจ๊ได้ตลอดนะ” เจ๊ณเทอพูดเหมือนจะปลอบ แต่ประโยคต่อมานี่สิ “ข้อแรกเลยนะ ควรพกถุงยางกับเจลติดไว้ตลอด” พูดไปนั่น

โดนต้อนขนาดนี้ยังรักษามาดคุณชายไว้ได้หน้าตาเฉย “ไร้สาระน่า” เขาพูดแค่นั้น แล้วกินข้าวต่อชิลล์ๆ เห็นแล้วก็หมั่นไส้ อดที่จะโยนคำถามลงกลางวงไม่ได้

“แล้วตอนพี่ทัชคบกับแฟนเป็นยังไงบ้างเหรอครับ”

“จะเรียกว่าแฟนก็ยังไงอยู่นะ เพราะคบแค่แป๊บๆ” คุณแม่ว่า

“ใครจะคบได้นานล่ะ ก็…” เจ๊ณเทอเสริม แต่ชะงักคล้ายกับฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ แล้วค่อยพูดต่อ “เป็นคนติสต์แตกโลกส่วนตัวสูงขนาดนั้น”

“ร้อน” พี่ทัชพูดหน้าตาเฉย

คนอื่นๆ กะพริบตากันปริบๆ มีแค่ผมคนเดียวที่หลุดหัวเราะพรืด

“อะไรเหรอ” แม่ถาม

“พี่ทัชเขาเล่นมุกอะครับ แบบว่า โดนเผาเลยร้อน”

“ทัชเล่นมุกเหรอ” เจ๊ณเทอทำเสียงตกใจ

“จริงดิ!” ป๊านี่ก็แอ๊คติ้งโอเวอร์ไปอีก ถึงกับยื่นหน้าเข้ามามองลูกชายใกล้ๆ “แกเป็นใคร ต้องการอะไร มาสิงทัชทำไม”

“ฮ่าๆ มุกผีสิงนี่ เหมือนน้องแพมเลยนะป๊า…” เจ๊ณเทอชะงักอีก เหมือนเกือบจะหลุดพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด

เกิดจังหวะเดดแอร์สั้นๆ ผมเลยพูดต่อ “พี่ทัชแกติดเชื้อผมน่ะ มุกโดนเผานี่ผมคิดเอง”

“แล้วนะฑีรู้จักทัชได้ไง เรียนคณะเดียวกันเหรอ” คุณแม่ถาม

“เปล่าครับ ผมเรียนบริหาร รู้จักพี่ทัชเพราะพี่เห็ดน่ะครับ”

“ใครนะ” เจ๊ณเทอถาม

“อ้อ พี่เรนจิครับ ผมเรียกเขาว่าพี่เห็ดเพราะชื่อเหมือนเห็ดออรินจิน่ะ”

“อ๋อ”

“วันนั้นพี่เห็ดหัวร้อนครับ นึกว่าผมจะไปเป็นคู่แข่งจีบสาว เลยลากตัวผมไปให้พี่ทัชใช้พลังเค้นความลับ ก็เลยได้รู้จักกัน”

เงียบกริบกันทั้งโต๊ะ

อึ้งอะไรกัน ทุกคนก็รู้เรื่องอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

“เอ่อ...ก็พลังเอ๊กซ์เมนของพี่ทัชไง แตะปุ๊บรู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง”

“นะฑีรู้เรื่องพลังเหรอ” เจ๊ณเทอเปิดประเด็น 

“พี่ทัชบอกผมครับ ผมไม่ได้ตื๊อหรือว่าอะไรเลยนะ”

ตอนนี้สายตาทุกคู่หันไปมองพี่ทัชกันหมด

“ใช่ ผมบอกนะฑี”

อือหือ ลูกผู้ชายตัวจริง เสียงนิ่งมาก เล่นเอาผมรู้สึกผิดเลยนะเนี่ย ขอโทษนะพี่ทัชที่ผมโยนขี้ให้พี่ตลอด ทั้งโต๊ะยังเงียบกริบกันอยู่ แต่สายตาทุกคู่ที่มองพี่ทัชอยู่เปลี่ยนเป็นมองมาทางผมแล้ว

ผมต้องทำไงล่ะ ลุกขึ้นเต้นท่าลิงเลยดีมั้ย

“พี่ทัชบอกเองครับ” ย้ำไปอีกทีละกัน ทุกคนยังมองหน้าผม ป๊าถึงกับชี้นิ้วแล้วด้วย “จริงๆ นะ ผมแค่ถามเฉยๆ ว่านิ้วเป็นอะไร พี่ทัชก็บอกเลย ทีแรกผมก็ไม่เชื่อนะ หน้าตาขี้โม้อะ พอลองจับมือหลายๆ ครั้งก็แบบ เฮ้ย ของจริงว่ะ หรือว่าพี่แกเป็นเอเลี่ยนวะไรงี้…ก็ นั่นแหละ สรุปคือพี่ทัชผิดครับ”

นิ้วของป๊าที่ชี้ผมอยู่กระดกขึ้นลงนิดๆ “คนแรกเลยนะเนี่ย”

“คนแรกอะไรเหรอครับ”

“คนแรกที่ทัชยอมรับตรงๆ ว่าเป็นคนบอกเอง” คุณแม่เป็นคนพูด

“แล้วก็อาจจะเป็นคนแรกที่รู้แล้วยังคบกับทัชต่อ ถ้าไม่นับเรนจิที่เป็นญาติกันน่ะนะ” เจ๊ณเทอเสริม “นอกนั้นนี่ แทบจะหนีกระเจิดกระเจิงกันหมด”

“ขนาดนั้นเลย” ผมนี่นึกภาพคนวิ่งแตกฮือเหมือนพี่ทัชเป็นตัวประหลาดเลย

“ใช่ แต่ก็มีไม่กี่คนหรอก แถมแต่ละคนยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ”

“รวมถึงแฟนเก่าพี่ทัชด้วย?”

“รวมดิ น้องแพมนี่ถึงกับบอกว่าตัวเองโดนผีเจ้าที่บ้านเราสิง แทบจะวิ่งเลย อย่างฮา...ส่วนน้องเนย เป็นยังไงนะแม่”

คุณแม่ไม่ตอบ ตาแอบมองไปที่พี่ทัชเหมือนเป็นห่วง

แต่ป๊านี่พูดสวนขึ้นมาทันทีเลย “น้องเนยนี่มาบ้านเราหลายครั้ง ครั้งนึงแอบไปถามแม่ไงว่าทัชทำของใส่เขารึเปล่า แม่ก็มาเล่าให้ป๊าฟัง แบบนี้ก็เสร็จดิ พอมาบ้านเราอีก ป๊าเลยไปนั่งท่องชื่อเครื่องปรุงอยู่ที่มุมห้องตรงนั้น”

“ฮะ? ยังไงนะครับ”

“ก็ถ้าพูดกระซิบแบบเร็วๆ มันฟังดูคล้ายๆ ภาษาขอมโบราณอยู่นะ แบบนี้...ขิงดองตะไคร้ผักชี ซี้อิ๊วดำซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำๆๆๆๆ งาคั่วงาป่น ซี้อิ๊วๆๆๆ…”

เอ่า ฮา! ฮากันเข้าไป

โดยเฉพาะเจ๊ณเทอนี่ถ้าเป็นจังหวะเคี้ยวอยู่คงมีข้าวพุ่งกันบ้าง “ฮ่าๆๆๆๆ เสียดายไม่ได้อยู่ด้วย อยู่นะ จะวิ่งไปกำข้าวสารเสกมาปาใส่ป๊าเลย ฮ่าๆ”

เอ่า ฮาครืนกันไปอีกยก แถมยังมียกมือมาตีไฮไฟว์กันด้วย เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยดีมากสองพ่อลูกคู่นี้

นี่พี่ทัชเติบโตมาแบบไหนวะ

ผมหันไปมองเขาที่ยังสีหน้านิ่งๆ ตามปกติ

“อะ ให้” ผมตักอาหารในจานผมไปใส่จานพี่ทัช แล้วก็ตบหลังเขาเบาๆ “ไม่ต้องคิดมากน่า เรื่องมันผ่านมานานแล้ว กินเยอะๆ จะได้หัวใจแข็งแรง”

“อะไร” พี่ทัชก้มมองสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในจานตัวเอง “เศษคะน้า”

“พูดว่าเศษก็แรงไป ผมยังไม่ได้กินซะหน่อย นี่ยกให้ด้วยความเป็นห่วงเลยนะ”

“มีรอยฟันกัดแล้ว”

“ผมลองชิมให้ไง ชิ้นนี้อร่อย กินไปน่า ไม่กินเสียน้ำใจนะ” ผมตบหลังเขาอีก พี่ทัชมองหน้าผมพร้อมกับถอนหายใจ แต่ก็ยอมใช้ส้อมจิ้มคะน้าชิ้นนั้นส่งเข้าปาก โดยเหลือตรงโคนที่ผมเคยกัดไปแล้วไว้นิดนึง แล้วค่อยเขี่ยมันไปไว้ที่ขอบจาน “ต้องงี้ดิเด็กชายณทัช กินผักเยอะๆ”

“มึงก็กินไข่เจียวซะ”

“ครับโผม ถึงพี่จะตักก้อนหินให้ผมก็กินอยู่แล้ว เพราะผมเป็นคนดี”

ทำไมสามพ่อแม่ลูกมองเราตาปริบๆ วะ

เกิดอะไรขึ้น ครอบครัวนี้ตาจะเป็นต้อพร้อมกันเหรอ

“พี่ทัชเริ่มก่อนครับ” ไม่รู้ละ โยนไว้ก่อน

“ทัชกินคะน้าตั้งแต่เมื่อไหร่” เจ๊ณเทอถาม น้ำเสียงอย่างกับถามว่าพี่ทัชมีแขนสามข้างรึเปล่า

“เอ้า พี่ไม่ชอบกินคะน้าเหรอ ตอนกินราดหน้าก็เห็นกินนี่”

“กินได้”

“ไม่ชอบก็ไม่ต้องกินดิ ฝืนทำไมอะ กลัวผมล้อเหรอ”

“กินๆ ไปก็โอเค” ว่าแล้วพี่แกก็ใช้ส้อมจิ้มคะน้ายอดเล็กๆ จากเมนูคะน้าหมูกรอบมาส่งเข้าปากเคี้ยวโชว์ ถ้าจะกินชิ้นเล็กขนาดนั้นก็อย่าเลยเหอะ ก่อนจะกลืนนี่เคี้ยวโดนรึเปล่าก็ไม่รู้

“ดื้อนะพี่อะ...ตอนเด็กๆ พี่ทัชดื้อมั้ยครับ เลี้ยงยากมั้ย แล้วก็ไม่กินอะไรอีก” ผมหันไปถามคุณแม่

“ไม่กินอะไรบ้างเหรอ ก็มี...คะน้า ถั่วฝักยาว ถั่วงอก อะไรอีกนะ”

“ไม่ค่อยกินผักเกือบทั้งหมดนั่นแหละ” เจ๊ณเทอว่า

“อย่าลืมมังคุดด้วย” พ่อเสริม

“ร้อน” พี่ทัชพูดเรียบๆ อีก คราวนี้ทุกคนเข้าใจมุกแล้วเลยหัวเราะเยาะเย้ยทันที ใช้คำนี้เลยนะ หัวเราะเยาะเย้ย

ผมมองหน้าเขา “ถ้างั้นถามว่าพี่กินอะไรได้บ้างดีกว่า เพราะงี้ใช่มะ อยู่มหา’ลัยเลยกินแต่แซนด์วิช เลี้ยงยากนะเรา”

“ไม่ใช่ด้วงไม้ไผ่ไง จะได้กินไม่เลือก”

นั่นไง ผมโดนเล่นกลับบ้างละ

“ก็กินอะไรได้บ้างล่ะ”

“กินได้หมด แค่ไม่ชอบบางอย่าง”

“แต่แม่ว่าตอนเด็กๆ ทัชก็ไม่ได้เลี้ยงยากเท่าไหร่นะ แค่ไม่กินของบางอย่าง แต่ไม่ค่อยงอแง ไม่ซน ชอบอยู่เงียบๆ เรื่องที่ยากก็มีแค่...เรื่องนิ้วนั่นแหละ”

“ผมว่าจะถามอยู่พอดี ทุกคนรู้เรื่องพลังเอ๊กซ์เมนของพี่ทัชตอนไหนเหรอครับ คุณแม่ต้องรู้คนแรกแน่เลย ตอนพี่ทัชกินนมแล้วเอามือมาแปะๆ ไรงี้ ใช่มั้ย”

“ฮ่าๆ” คุณแม่หัวเราะได้น่ารักมาก “แม่รู้ก่อน ใช่ แต่รู้ตอนที่จับนิ้วทัชเล่นน่ะ”

“พอนึกออกครับ จับนิ้วเล่นแล้วก็โกหกว่าถ้าไม่กินนมตำรวจจับนะ หรือแบบ ถ้าดื้อแม่จะโยนทัชลงคลองนะ ไรงี้”

“ฮ่าๆ ก็ไม่โหดขนาดนั้นจ้ะ ทีแรกก็งงๆ อยู่ แต่พอทดสอบซ้ำหลายครั้งเลยแน่ใจ”

“แล้วป๊ากับเจ๊ณเทอรู้ตอนไหนครับ”

“เจ๊ก็รู้ใกล้ๆ กับแม่มั้ง จำไม่ค่อยได้”

“ป๊ารู้หลังสุดเพราะสองคนนี้ปิดเป็นความลับ” ป๊าพูดน่าสนใจจนผมหยุดเคี้ยวข้าว “แม่นี่แหละตัวดี เวลาป๊าอุ้มทัชทีไรก็จะคอยดูว่ามือทัชโดนตัวจังหวะไหนก็จะถามโน่นถามนี่ ซ่อนเงินไว้ไหน แอบซื้ออะไร ทำไมกลับดึก โอ๊ย เยอะ หลังๆ เลยจับทางได้”

“มันนานแล้วเลยจำไม่ค่อยได้กัน” แม่พูด “แต่ช่วงเริ่มเรียนประถมพอจำได้นะ วีรกรรมเยอะ”

“จริงเหรอครับ เล่าหน่อยๆ ผมซื้อเรื่องละสิบบาท”

“ฮ่าๆ เล่าไม่ถูกเลยแบบนี้ ส่วนมากก็เรื่องป่วนๆ ที่เกิดกับเพื่อนแหละ จนทัชไม่อยากไปโรงเรียน แม่เลยต้องใช้พลาสเตอร์พันนิ้วให้ถึงยอมไป”

“อ้อ พันนิ้วมาตั้งแต่เด็กเลย แล้ววีรกรรมเด็ดๆ อะครับ มีมั้ย”

“เด็ดๆ ก็ตอนตระเวณพาไปหาหมอละมั้ง” เจ๊ณเทอเป็นคนตอบ “ใช่มั้ยป๊า”

“ไปหาหลายหมอเลย หมอแผนปัจจุบัน หมอดู ซินแส ร่างทรง ไปมาหมด”

“โห แล้วเป็นไงบ้างครับ”

“พอแล้วมั้ง นะฑี รีบกินข้าว…”

“พี่ทัชอย่าขัดดิ กำลังมันส์ ไปหาหมอเป็นไงครับแม่”

“หมอแผนปัจจุบันหาสาเหตุไม่ได้ แต่ดูท่าทางเหมือนอยากจะจับทัชไปเป็นเคสงานวิจัยซะมากกว่า แม่เลยถอย”

“หมอดูบอกเป็นคนมีบุญ” ป๊าพูด “ดูฤกษ์วันเกิดตกฟากอะไรเยอะแยะนะ แต่พอจับมือไปดูลายมือปุ๊บ ดันพูดแต่เรื่องตัวเองว่าไม่ใช่หมอดูจริง บ้านเป็นหนี้ไรงี้ ฮ่าๆ ซินแสก็พอกัน บอกโหงวเฮ้งดีมาก พอให้จับมือดันบอกว่าให้ไปสะเดาะเคราะห์ซะงั้น”

“แต่ฮาสุดก็ร่างทรงนี่แหละ ตอนนั้นเจ๊ไปด้วย พีกมาก”

ถ้าเสียงเจ๊จะบิ๊วขนาดนี้ รีบเล่าเลยเหอะ “ยังไงเจ๊”

“เราไปถึงนี่ร่างกำลังรำเลย เทพอะไรไม่รู้มาประทับทรง ประมาณว่าเบอร์สูงๆ อะ พอถึงคิวเราก็พาทัชเข้าไป ให้องค์เทพเป่ากระหม่อมซะหน่อย แล้วก็ให้ดูลายมือด้วย เท่านั้นแหละ ได้เรื่อง...ร่างทรงบอกเลยจ้ะ เดี๋ยวจะขึ้นค่าบูชาเป็นพันนึงละนะ ดัดเสียงจนเมื่อยแล้ว แล้วก็เหมือนตกใจตัวเองที่พูดแบบนั้น เลยตาเหลือกล้มตึงไปเลย ฮ่าๆ”

“ฮ่าๆ ไงต่อๆ”

“คนแตกฮือดิ พวกลูกศิษย์ก็เข้าไปรุม แต่เจ๊นี่แหละดึงมือทัชไปจับตัวป้าแกต่อและเขย่าตัวถามเป็นไรรึเปล่า ป้าผงกหัวขึ้นมาตอบเลย ‘ไม่ได้เป็นไร แกล้งหลับเฉยๆ’ พีกมั้ยล่ะ ฮ่าๆ”

พีกที่เจ๊ดัดเสียงเป็นป้านี่แหละ ฮ่าๆ

ตอนนี้ทุกคนหัวเราะกันหมด ยกเว้นพี่ทัชคนเดียว พอเหลือบไปเห็นสีหน้านิ่งๆ ของพี่แก ความฮาที่กำลังดันขึ้นมาจากลำไส้ของผมก็ลดระดับลง ผมเลยตบไหล่เขาแทน “ถ้าพี่จะร้องไห้ก็เอาเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“กูจะร้องทำไม”

“มีปมไง โดนมาเยอะอะ”

“กูไม่ได้เป็นไร”

ก็ดูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ทุกคนในครอบครัวก็ยังครึกครื้นกันดี เหมือนว่าการรื้อฟื้นความหลังและหัวเราะกันไม่ได้กระทบจิตใจพี่ทัช ราวกับว่า...พี่ทัชก็เป็นคนปกติธรรมดาในสายตาพวกเขา

“ลูกศิษย์ป้าแทบจะรุมงับหัวเราเลยนะ” ป๊ายังพูดติดตลก “ต้องรีบลากกันออกมา ค่าบูชาครูก็ไม่ได้จ่ายสักบาท ใช่มั้ยแม่ ต้องจ่ายเท่าไหร่นะ”

“เก้าสิบเก้ามั้ง”

“ใช่ๆ บาปแล้วเรา ไปใช้บริการเทพฟรี”

“มีคนตะโกนด้วยนะว่า องค์เทพไปเข้าร่างทัชแทนแล้ว” เจ๊ณเทอเสริมเข้าไปอีก เรียกเสียงหัวเราะได้อีกยก

ผมรอจนกระทั่งความฮาซาลง แล้วค่อยถามรวบยอด “แล้วสรุปได้เรื่องมั้ยครับ ว่าพี่ทัชเป็นอะไร”

ทุกคนคล้ายกับจะหยุดคิดหาคำตอบ ก่อนเจ๊ณเทอจะเป็นคนพูด “ทัชก็เป็นอย่างที่ทัชเป็นนั่นแหละ”

“ทัชเป็นอย่างที่ทัชเป็น อือหือ คมกริบเลยนะเนี่ย แล้วปกติพี่ทัชขี้แกล้งมั้ยครับ อยากรู้ความจริงอะไรก็พุ่งเข้ามาล็อกตัวไรงี้…”

“อยากรู้อะไรก็ไว้ถามกูตอนอยู่สองคนได้” พี่ทัชใช้หลังมือแตะไหล่ผม “กินก่อน กับข้าวเย็นหมดแล้ว”

“ทำไมต้องรีบอะ”

“กินกันจะอิ่มหมดแล้ว เหลือมึงคนเดียว เต็มจานอยู่”

“อ้อ”

“นะฑี ไม่ต้องรีบหรอก กินสบายๆ” คุณแม่บอก ผมก็ยิ้มรับ แล้วหันไปพูดกับพี่ทัชต่อ

“พี่พูดแล้วนะ อยู่สองคนผมถามอะไรพี่ต้องตอบทุกเรื่อง”

“ตอบแค่บางเรื่องที่คนปกติทั่วไปจะถาม”

“ผมเป็นคนปกติทั่วไปเหรอ”

“ไม่”

“นั่นไง ผมไม่ใช่แค่คนปกติทั่วไปสำหรับพี่ งั้นก็ถามได้ทุกเรื่อง”

“กูหมายถึง สมองมึงต่างหากที่ไม่ปกติ”

“ถามไรตอบได้ ตอบทุกเรื่อง โอเคนะ กินข้าวละ จัดไปครับโผม”

ผมตั้งหน้าตั้งตากินข้าวในจานให้หมด ความคิดว่าจะได้ถามอะไรพี่ทัชก็ได้ทำให้กับข้าวในปากอร่อยขึ้น ระหว่างเคี้ยวสมองที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ปกติของผมก็เริ่มทำงาน ถ้าอยู่กันสองคนจะถามอะไร…

พี่ช่วยตัวเองบ่อยป้ะ

นั่นแหละคำถามแรกที่แวบเข้ามา

ผมถามแน่!










________________________



ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ที่ให้กันตลอด
ขอบคุณที่อ่านนะคะ ไม่รู้จะพูดยังไง ดีใจมากจริงๆ ค่า ^ ^

อันนี้แท็กเรื่องนะคะ #ณTouch เผื่อใครอยากแชร์อะไร ไปลงในแท็กได้นะคะ
ชอบสะสมความรู้สึกดีๆ ไว้ในนั้นนน <3

เจอกันตอนต่อไปค่า :D
นางร้าย

27.พฤศจิ.2019

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ชีวิตพี่ทัชก็ไม่ได้ขาดสีสันอะไรนะคะ ครอบครัวก็ครื้นเครงมาก จำเป็นไหมที่ต้องเอาคน “ล้น” เบอร์ใหญ่มากกกมาไว้ใกล้ตัวอีกคน 5555555  เอ๊ะ หรือพี่ทัชเห็นความคล้ายของอิน้องกับครอบครัวตัวเองคะ  บั่บว่าความคุ้นเคยที่คุ้นชิน แะไรแบบนั้นใช่ไหใหมพี่?  :jul3:

เราโดนป๊าต้มซะเปื่อยเลย แสบมากบ้านนี้ ไม่ธรรมดากันจริงๆ 55555

ออฟไลน์ mony

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อือ พี่ทัช ชินกะคนในครอบครัวใช่มั้ย
เลยเผลอชินกับน้องไปเลย

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
สงสารอิพี่ทัช :z3: :z2: :z2: 5555 ชอบอ่ะ

พี่ทัชแกเติบโตมาแบบไหนนะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
รอดูตอนน้องถามคำถาม555 นังน้องบ้า

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เจ้าตัวป่วน ดูสิมาบ้านผู้ชายครั้งแรกก็ดันแอบดู กกน.เขา ชวนเล่นตีหมอน อ้อร้อให้เล่นกีตาร์ให้ฟัง ไอ้ตัวดีมันทำให้พี่เขาเล่นจนได้5555
พี่ทัชเหมือนเอือมระอาแต่จริงๆก็ตามใจน้องมัน ดูออก :laugh:

ป๊าเล่นใหญ่มากอ่ะ ฮากันทั้งบ้าน เหมือนการแหย่พี่ทัช คือภาระกิจหลักแต่ไม่เคยสำเร็จ พอเจอพี่ทัชเล่นมุข ถึงกับสตั้น! :laugh:
ไอ้แสบมันโยนขี้เก่งงง
อะไรคือคำถามแรกที่อยากถาม 'พี่ช่วยตัวเองบ่อยป่ะ' เจ้าเด็กทะลึ่ง 5555555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2019 12:29:29 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แตะต้องครั้งที่ 24
จับบบ…ทำไมขับช้าเหมือนแก้ผ้ายังไง
อะไรนะเรื่องนู้นขอจูนหัวแป๊บ



“...ไม่ต้องห่วงแม่ พี่ทัชกำลังไปส่งบ้าน นี่อยู่ระหว่างทางเลย...แต่ถ้าแท็กซี่ลากผมไปปล้นทำไงล่ะ...แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ทัชอะ เดี๋ยวนี้สนิทกัน...ก็เฮฮาทั้งครอบครัวเลย เดี๋ยวถึงบ้านแล้วเมาท์ให้ฟังนะ หรือแม่จะนอนก่อนเลยก็ได้...เคๆ” ผมกดวางสายจากแม่ แล้วพยายามสะกดกลั้นลมที่คล้ายกับจะดิ้นขลุกขลิกอยู่ในลำไส้

“เรอในรถพี่ได้ปะ” ผมถาม

“ถ้าจะขนาดนั้น มึงไม่ตดเลยล่ะ”

“ได้เหรอ! กำลังปวดเลย”

“ไม่ได้ทั้งสองอย่าง”

“เรื่องธรรมชาติห้ามได้เหรอ”

“ทนดิ”

“ถ้าค่อยๆ ตดแบบไม่มีเสียงล่ะ แต่อาจจะมีกลิ่นนิดหน่อย”

“นะฑี”

“วัดใจพี่เล่นเฉยๆ น่า ว่าคนจริงพอเปล่า แต่ถ้าผมเผลอเรอหรือตดก็เป็นความผิดพี่อะ พี่บังคับให้ผมกินเร็ว”

“กูไม่ได้บัง…”

“แถมยังตักใส่จานผมเยอะด้วย กินเยอะ กินเร็ว เลยไม่ย่อยแบบนี้ไง แก๊สเต็มท้อง”

“กู…”

“ไม่ตดละ คุยเรื่องพี่ดีกว่า ผมมีคำถาม”

“อะไร”

“พี่ช่วยตัวเองบ่อยปะ”

เบรกแทบหัวทิ่ม ดีนะเนี่ยที่คาดเข็มขัด “ขับยังไงของพี่เนี่ย ถ้าผมไม่คาดเข็มขัดนี่หัวฟาดไปแล้ว ถ้าไม่ตายก็ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราแน่ๆ…” ตอนนี้รถติดไฟแดงอยู่ ไฟท้ายคันหน้าเปล่งแสงสีแดงแทงเข้าไปในตาเลย เพราะมันใกล้มาก “อีกนิดเดียวจะชนแล้ว”

“ชนอะไร เขาก็จอดกันระยะนี้แหละ”

“แต่พี่ก็เบรกแรงจริงๆ อะ เป็นคนชอบความรุนแรงเหรอ”

“พูดเยอะ”

“กลับมาที่คำถาม ช่วยตัวเองบ่อยปะ”

“ถามอะไรของมึง”

“ฟังภาษาไทยไม่ออกเหรอ ก็พี่บอกอยากรู้อะไรให้ถามตอนอยู่สองคน ผมอยากรู้เรื่องนี้ไง บ่อยปะ อาทิตย์ละครั้ง?...วันเว้นวัน?...หรือทุกวันเลย? จริงดิ ทุกวันเลยเหรอ”

“ทำไมในหัวมึงมีแต่เรื่องทุเรศๆ วะ”

“ทุเรศยังไง เรื่องธรรมชาติ นี่แมนๆ คุยกัน ผมเคยอ่านเจอนะ ช่วยตัวเองบ่อยทำให้ลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย ผมว่าผมไม่เป็นโรคนี้แน่นอน…”

“ฟังเพลงละ”

“พี่ยังไม่ตอบเลย”

เขาคงไม่ตอบแล้วละเพราะเสียงเพลงดังขึ้นแล้ว

และอีกหลายเพลงที่แรนดอมมาผมก็ยังร้องตามไม่ได้ ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ลิปซิงค์ไป

จนกระทั่งถึงเพลง I Like Me Better นี่แหละที่พอจะขยับกระเดือกเกลือกกลั้วเนื้อร้องไปได้ หลังจากที่เงียบมานาน พอเพลงนี้จบผมก็หรี่เสียงลงนิดๆ แล้วพูดขึ้น

“อยากฟังพี่เล่นกีตาร์เพลงนี้อีกอะ”

“อืม”

“ถึงพี่จะเล่นกากๆ ก็เหอะ แต่อยากฟัง”

พี่ทัชมองหน้าผม ก่อนจะเลี้ยวรถ “จะถึงแล้ว”

“จริงดิ...จริงด้วย เลี้ยวเข้าซอยบ้านผมแล้ว ทำไมเร็วจังวะ”

“ความสุขมันก็สั้นงี้แหละ”

ผมมองหน้าเขาบ้าง “อยู่กับผมมีความสุขอะดิ”

“กูมีความสุขเพราะฟังเพลงต่างหาก”

“อ้อเหรอ แต่อยู่กับพี่ผมมีความสุขนะ”

“อือ”

“เพราะสปีดปากพี่ต่ำอะ แย่งพูดก็ไม่เป็น ผมเลยได้พูดคนเดียวเต็มๆ ตลอด ตอนเด็กๆ พี่มีปมเรื่องคำพูดปะ เวลาเถียงกับเจ๊ณเทอแล้วโดนเจ๊เอายางดีดปากไรงี้”

“เกือบดีแล้ว”

“อะไรเกือบดี”

“มึงเกือบพูดอะไรดีๆ เป็นเหมือนคนทั่วไปแล้ว”

“เกือบยังไง ผมพูดดีตลอดอยู่แล้ว ใครก็บอกผมปากดี...เดี๋ยวๆ เลยบ้านผมแล้ว พี่จำบ้านผมไม่ได้เหรอ”

“จำได้”

“ทำไมไม่จอด”

“เพราะมึงนั่นแหละพูดเยอะ งั้นกูเลยไปหาที่กลับรถก่อนละกัน แล้วค่อยวนมา”

“ไปกลับแถวตลาดเจ๊เนียมได้”

“อืม”

“ทำไมขับช้าอะ”

“มึงมาขับเองมั้ย”

“จริงดิ มาๆ”

“เอาเป็นว่าต่อไปกูจะไม่ประชดมึงแล้ว นั่งเฉยๆ”

ตอนนี้เวลาสามทุ่มกว่าๆ ถนนเริ่มโล่งแล้ว แต่พี่ทัชยังขับช้าๆ ไปจนถึงสี่แยกหน้าตลาดเจ๊เนียม หาที่กลับรถแถวนั้น และขับย้อนกลับมาด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าเดิม

“มึงเข้ากับที่บ้านกูได้ดีนะ” จู่ๆ พี่ทัชก็พูดขึ้น “ไม่นึกว่าจะขนาดนี้”

“นั่นดิ ผมก็ไม่นึกว่าพ่อพี่จะบ้าๆ บอๆ แบบนี้”

นึกว่าพี่ทัชจะด่า หรืออย่างน้อยก็เรียกชื่อผม นะฑี ด้วยเสียงเข้มๆ เรียบๆ แบบที่เขาชอบทำเวลาจะปรามหมาในปากผม แต่พี่แกเงียบ ผมเลยพูดต่อ

“คุณแม่กับเจ๊ณเทอก็ไม่เบาเหอะ ช่วยกันรุมเผาพี่จนตูดไหม้เลยมั้ยล่ะ”

“นอกจากพ่อ แม่ เจ๊เทอ เรนจิ แล้วก็มีมึงนี่แหละที่ทำให้กูรู้สึกเป็นคนธรรมดา”

“เฮ้ย ผมมองว่าพี่พิเศษตลอดเลยนะ พี่มีพลังขนาดนี้จะเป็นคนธรรมดาได้ไง”

“ถ้าไม่พันพลาสเตอร์…กูจะแก้ผ้าต่อหน้ามึง”

“จะแก้ผ้าต่อหน้าผมเหรอ เอาดิ อยากเห็น” เพราะเสียงเพลงเลยทำให้ผมฟังไม่ถนัด แต่ก็จับความได้ว่าอย่างนั้น

พี่ทัชเหลือบมองผมแวบนึง และเบาเสียงเพลงลงจนเกือบสุด “กูพันพลาสเตอร์ตั้งแต่เด็กจนชินแล้ว เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นถ้าไม่พันพลาสเตอร์กูจะรู้สึกเหมือนแก้ผ้าอยู่ แต่กับมึงไม่ใช่”

“อ้อ พันนิ้วจนเหมือนสวมกางเกงในไรงี้ แล้วทำไมกับผมไม่รู้สึกงั้นล่ะ เพราะอยากแก้ผ้าต่อหน้าผม?”

“ตรรกะอะไรของมึง” พี่ทัชนิ่วหน้า แล้วกลับมาใช้น้ำเสียงเรียบๆ แบบเดิม “คนอื่นทำให้กูรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด ไม่กล้าเข้าใกล้กู แต่มึงกลับเป็นตรงกันข้าม”

“นี่พี่ท่องสคริปมาป้ะ”

“อยู่กับมึงกูรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง”

“แต่อยู่กับพี่ผมไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเลยนะ มันหวิวๆ ดีอะ ชอบ”

“มึงพูดมาก”

“อะฮะ”

“ร้องเพลงก็เสียงเหมือนเป็ด”

“อือฮึ”

“แต่ฟังๆ ไปก็เพลินดี”

“เอเฮะ”

“แต่ก่อนกูคิดว่านิ้วกูเป็นปมด้อยอย่างเดียว แต่มึงก็พากูไปทำเรื่องบ้าๆ บอๆ ที่ดันได้ใช้นิ้วให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น”

“พี่ใช้นิ้วให้เป็นประโยชน์กับผมได้นะ” ผมตั้งใจทำเสียงกระเส่าแบบกามๆ เพื่อกวนตีน แต่พี่ทัชไม่สนใจ

“คนที่ไม่รู้เรื่องนิ้วกูก็จะมองพลาสเตอร์ด้วยสายตาแปลกๆ คนที่รู้ก็กลัวกูแตะตัวแล้วจะเผลอพูดความจริงอะไรออกมา แต่มึงไม่กลัว”

“ถามจริง พี่ท่องมาจากบ้านใช่มะ เสียงเรียบโคตร”

พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม

ก็อยากจ้องตาด้วยสักแป๊บอยู่หรอกนะ แต่ผมต้องมองข้างทางก่อน “ถึงแล้วพี่ ชิดซ้ายเลย เดี๋ยวผมเดินข้าม”

“เดี๋ยวรถชน”

“ใครจะกล้าชน นี่มันถิ่นผม”

“กูยังพูดไม่จบ”

วันนี้มาแปลกเว้ย อะไรของพี่เขาวะ

“พี่ติดเชื้อพูดมากจากผมแล้วนะเนี่ย แล้วไม่จอดรถพูดให้จบอะ ขับเลยไปอีกทำไม”

“กลับรถ”

“จะส่งผมหน้าบ้านเลยใช่มะ ต้องงี้เดะ สังคมต้องการคนแบบนี้!” ผมเอียงคอมองหน้าเขา “พ่อแม่พี่สอนมาดีจริงๆ ขอให้พี่รักษาคุณงามความดีนี้ไว้ตลอดไปนะ ประเทศเราจะได้เจริญ...ข้างหน้ามีจุดให้กลับรถอยู่ เห็นใช่มะ” ผมชี้มือบอก “แล้วไหนอะ ที่พูดยังไม่จบ”

รถยังเคลื่อนไปช้าๆ

พี่ทัชเงียบอยู่สักพัก จนผมเกือบจะตัดสินใจเขย่าตัวเขาแล้วเพราะนึกว่าหลับใน แต่ในที่สุดเขาก็พูด

“อย่างนึงที่กูชอบเกี่ยวกับมึงคืออะไรรู้มั้ย”

“รู้ดิ เพราะผมเก่ง ฉลาด หน้าตาดี มีสไตล์...รักสัตว์ ไม่เลือกกิน ไม่เรื่องมาก ไม่เจ้าชู้...ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ไม่คอร์รัปชั่น…” ใส่ๆ ไปให้เยอะก่อน ต้องโดนสักข้อแหละ “โอ๊ยเยอะ รวมความคือเป็นคนดีอะ”

ทำไมรู้สึกประหม่าวะ ปากพูดไม่หยุดอย่างกับโดนพี่แกแตะตัวอยู่

“เอ่า เงียบ แล้วชอบผมเพราะไรล่ะ...ไม่ดิ ต้องพูดว่า ชอบไอ้อย่างนึงที่เกี่ยวกับผมน่ะคืออะไร”

“กูชอบเพราะ ก่อนแตะตัวมึงกับหลังแตะตัวมึง มึงก็พูดไม่ต่างกัน”

“ฮะ?”

“มึงไม่กลัวที่จะโดนกูแตะตัว…”

มาถึงจุดกลับรถพอดี พี่ทัชชะลอรถจนเกือบหยุดแล้วก็เลี้ยวเนิบๆ แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวรถเหวี่ยงแรงกว่านั้น หรืออาจจะเป็นแผ่นโลกที่เอียงไปชั่ววูบ

กูชอบเพราะ...

อันนี้หมายถึงชอบไอ้สิ่งที่เกี่ยวกับตัวผมใช่มั้ย

ไม่ใช่ชอบผม

แล้วมันต่างกันยังไงวะ

“จูนหัวแป๊บ” ผมนวดขมับแรงๆ “พี่ ขอเมื่อกี้อีกทีดิ๊ ยังไงนะ ผมจะกลัวพี่แตะตัวทำไมอะ ก็มันหวิวดีไง”

“ก็เท่ากับมึงไม่กลัวที่จะพูดความจริง”

“อ๋อ”

“อืม” พี่ทัชทำเสียงต่ำในคอ “กับแพมน่ะไม่อะไรหรอก ตอนนั้นยังเด็กอยู่” แล้วประโยคต่อมาคือเปลี่ยนเรื่องไปเลย “แต่กับเนย แรกๆ ก็เห็นว่าไม่ซีเรียสเรื่องพันพลาสเตอร์อะไร คิดว่าน่าจะเข้ากันได้เลยเปิดใจคบดู แต่พออีกฝ่ายรู้ความจริงเรื่องนิ้วกู อะไรๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด บอกว่าพันนิ้วมันดูประหลาด อยากจับมือแต่ก็ไม่อยากให้กูรู้ความคิด ไปๆ มาๆ ก็...นั่นแหละ ช่างมันเถอะ”

“อ่อ...อา...อืม” ผมยังจูนหัวอยู่

“ถึงแล้ว”

“อ้อ”

มินิคูเปอร์มาจอดสนิทอยู่ที่หน้าบ้านผม โลกไม่ได้เอียงวูบวาบแล้ว แต่เหมือนสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน เกิดความเงียบขึ้นโดยที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี ระหว่างนี้สายตาผมก็เหลือบไปเห็นนิ้วเรียวยาวของพี่ทัชที่วางสบายๆ อยู่บนพวงมาลัย

นิ้วของเขาที่ไม่ได้พันพลาสเตอร์

“นิ้วเปลือยๆ ของพี่ดูเร้าใจดีนะ”

“...”

“ผมไม่กลัวพี่แตะตัวอะ งั้นเวลาอยู่กับผมไม่ต้องพันนิ้วก็ได้ เปลือง เอ๊ะ แต่พี่ต้องพันดิ เพราะพี่กลัวผมจับ ใช่มะ”

“อยากจับมั้ยล่ะ” พี่ทัชพูดพร้อมกับยื่นมือมา

“จริงดิ โม้เปล่า”

“แต่ห้ามพูดอะไรทุเรศ”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรีบตะครุบนิ้วเขา ปล่อยให้ความจริงสารพัดสิ่งพรั่งพรูออกจากปาก แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงชะงัก และกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ

แต่ยื่นมือมาขนาดนี้ จะไม่สัมผัสก็ยังไงอยู่

ผมตั้งสติ นึกถึงคุณงามความดีที่เคยทำทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ แล้วยื่นมือออกไป…

“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ก็ว่าผมทุเรศอีก” ผมชักมือกลับ “ไม่ยุติธรรมอะ พี่อยากรู้ความจริงอะไรเกี่ยวกับผมก็แค่แหย่นิ้วมาวุ่นวายกับตัวผม แต่ถ้าผมอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับพี่บ้างล่ะ”

“อยากรู้ความจริงใช่มั้ย”

“ใช่”

“กูไม่ได้ขับเพลินจนเลยบ้านมึง”

“ฮะ? อะไร ยังไง”

“ไปหาวิตามินบำรุงสมองกินแล้วก็นอนซะ เดี๋ยวชุดนักศึกษามึงถ้าซักเสร็จแล้วกูเอามาให้”

“เอ้อ ลืมเอาชุดกลับมาด้วยเลย”

“ก็เดี๋ยวเอามาให้”

“เออๆ ผมไปละ เดี๋ยวแม่รอ ส่วนเสื้อผ้าพี่ผมถอดคืนให้ตอนนี้เลยได้ปะ...อะ ล้อเล่นน่า เดี๋ยวซักให้เหมือนกัน” ผมก้มมองเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ แล้วก็ดึงคอเสื้อขึ้นมาสูดกลิ่นแรงๆ “ต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นไร”

“ไม่ต้อง”

“เดี๋ยวเอาสบู่นกแก้วซักให้ ไปละ” ผมเปิดประตูก้าวลงจากรถ แต่ไม่ได้ปิดกลับทันที ยังมีเรื่องที่ผมอยากพูดต่ออีกหน่อย “ผมมีความจริงจะบอก พี่ลดกระจกลงสักพักก็ดีนะ เมื่อกี้ผมเผลอตด”

“นะฑี”

“บายพี่ ขับรถดีๆ นะ”

ปึก!

ผมปิดประตูกลับจนแน่นสนิท แล้วหมุนตัวเดินไปที่ประตูบ้าน โดยขณะที่เดินก็แกล้งเอามือปัดๆ แถวก้นให้พี่ทัชเห็นชัดๆ ด้วย พอแทรกตัวผ่านประตูเหล็กยืดเก่าๆ เข้าไปในบ้าน ผมยังยืนแอบอยู่ตรงนั้น เงี่ยหูฟังเสียงรถมินิคูเปอร์ขับห่างออกไปจนไม่ได้ยิน

หลังจากนั้นก็เดินแบกรอยยิ้มที่น่าจะหนักสักตันขึ้นไปชั้นบนด้วย

วันนี้มันวันอะไรกันวะ











___________________________

ขอบคุณมากเลยนะคะทุกคน หวังว่าจะชอบตอนนี้กันนะคะ
รักจริงๆ ค่ะ ขอบคุณที่คอมเมนต์ ที่เข้ามาอ่านมากเลยค่ะ

ช่วยเยียวยาหัวใจมากๆ เลย T///T
ช่วงนี้อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับการเขียนเท่าไหร่ค่ะ แฮ่
แต่จะพยายามนะคะ! :D


นางร้าย
8.ธันวา.2019

ออฟไลน์ mony

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องคะ หวั่นไหวกับพี่ทัชเหรอคะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :L2:.....ให้กำลังใจครับ...เท่าที่ได้อ่านมาก็เขียนได้ดีพอสมควรนะครับ   :L2:


 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
พี่เค้าดูเปิดใจมากกก แอบคิดไรกับน้องแล้วปะเนี่ยยยย :z1:

เป็นกำลังใจให้ค่าา แต่งดีแล้ว อย่ากดดันตัวเองมากไปเน้อออ คนเขียนๆยังไง เราก็ชอบบบบบ สุ้ๆนะคะ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ทั้งตอนคือแค่ขับรถจากบ้านพี่มาส่งน้อง แถมยูเทิร์นให้อีก 2 รอบ ถถถถถ คือเข้าใจอิพี่นะ บางครั้งถ้าพูดอะไรไปตรงๆ ก็กลัวอิน้องจะไม่เก็ทอะไรแบบนั้นไหม ถึงได้อ้อมไปอ้อมมา 55555 วงวารร

ไม่คิดมากนะคะคุณ สิ่งที่คุณเขียนมันดีมากและเป็นซิกเนเจอร์ของคุณอยู่แล้ว ทั้งสำนวนการเขียน การใช้คำ เราก็อาจจะไม่ใช่นักวิจารณ์นิยายที่ดีอะไร เราก็เป็นแค่คนที่ชอบอ่านนิยาย และแฮปปี้มากที่ได้อ่านและติดตามนิยายคุณนะคะ อะไรก็ตามที่ทำให้คุณนางร้ายหวั่นไหว ขาดความมั่นใจไป ทิ้งมันไปค่ะ กลับมาถามหัวใจคุณแล้วเขียนออกมาในแบบของคุณเลย ถ้ามันไม่โอเค เราหนึ่งคนที่จะคอยบอกและให้กำลังใจคุณให้แก้ไขมัน สู้ๆนะคะ ไม่มีใครเพอร์เฟคในทุกวันค่ะ เหนื่อยบ้าง เพ้อบ้าง ท้อบ้าง ไร้สาระบ้าง แฮปปี้บ้าง สลับกันไป มันคือรสชาดของการใช้ชีวิตที่แสนจะคุ้มค่าค่ะ

สู้ๆนะคะ ฮึบค่ะ ฮึบ!! :man1:


ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เด่วนะะะะ เป็นตอนที่ทัชเปิดใจและพูดเยอะสุด พี่ยูเทรน 2รอบ! แถมขับช้าๆโอ้ยยย พี่ทัช หลวมตัวไปกับไอ้เเสบนี่แล้วใช่มั้ยย :hao7:

แล้วก็นะ เหมือนจะรู้ตัวรู้ใจอยู่นิดๆไอ้ตัวดี เกิดไม่กล้าจับมือเขาขึ้นมาเชียว เลี่ยงเก่ง เลี่ยงให้ได้ตลอดนะ  :laugh:

/อยากบอกว่าเราเป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ ชอบงานคุณมาก ถ้ามีอะไรที่ทำให้กังวลไม่ว่าจะเรื่องอะไร อย่าเก็บเอากังวล จนบั่นทอนใจตัวเองเลยนะคะ ทำอย่างที่ใจอยากเขียน เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด ทุกคนมีสไตล์การเขียนเป็นของตัวเอง มีความสุขในการเขียนและคนอ่านอย่างเราก็มีความสุขที่จะอ่านค่ะ สู้ๆค่ะ กอดดดดดดดด :กอด1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2019 13:22:06 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
คนพี่คือชอบน้องใช่ป่าว555 ส่วนอิน้องนังรู้เรื่องอะไรบ้างเนี่ย

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2


แตะต้องครั้งที่ 25

จับบบ…ความสากอยู่ที่นิ้วความ cute อยู่ที่ใจ
ใครอยากกินราดหน้า เฮ้ยนี่แอบสนทนากันตอนไหน (วะ)



“นะฑี เป็นไรรึเปล่า” เจษฎาถาม

“เป็นสายลม”

“หือ?”

“เป็นท้องฟ้า”

“อะไรเหรอ”

“เป็นใบไม้ทั้งป่า”

“เอ่อ…”

“ฟีลนี้อยากแต่งกลอนเลยว่ะ ไหนเจษ มึงเริ่มให้กูสักท่อนดิ๊”

เจษฎาเอียงหน้าเข้ามาพูดอย่างจริงจัง “นายแบบว่า...เสพกัญชามารึเปล่า มีปัญหาอะไรคุยกันได้นะ”

“ทำไมคิดงั้นวะ”

“ก็ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เห็นนายอารมณ์ดี ยิ้มทั้งวัน จากที่เราอ่านเจออาการคนเสพกัญชาอาการก็คล้ายๆ แบบนี้ ช่วงนี้กำลังมีกระแสกัญชาเสรีด้วย”

“จริงดิ น่าลองนะถ้างั้น ลองหามาพี้กันมะเจษ รู้จักใครขายรึเปล่า”

“มันไม่ดีนะ”

“ทำให้อารมณ์ดี มันไม่ดียังไง”

“มันออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้ร่าเริงผิดปกติ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าเสพปริมาณมากจะทำให้หลอน แล้วก็ร่างกายทรุดโทรมด้วย ถามจริงๆ นายไม่ได้เสพมันใช่มั้ย”

“งั้นกูคงเสพอะไรที่แรงกว่ากัญชามามั้ง”

“ยาบ้าเหรอ!”

ผมยิ้ม ตั้งแต่พี่ทัชมาส่งที่บ้านวันก่อนผมก็เป็นอาการนี้เลย เป็นมาเกือบสองวันแล้วยังไม่หาย นึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไรปากก็บานออกกลายเป็นรอยยิ้มอัตโนมัติ และเหมือนว่ารอยยิ้มมันมีน้ำหนักจริงๆ จนปวดแก้มไปหมด

“นะฑี” เจษฎาโบกมือขึ้นลงตรงหน้าผม

“ครับเจษ สงสัยกูจะโดนยาป้ายอะไรงี้ แต่กูโอเคแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง”

“ยาป้ายไม่มีจริงนะ”

“เออ ช่างมันเถอะ ว่าแต่…” ว่าแต่ทำไมเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดไปวะ ตอนนี้ไม่มีเรียนเราเลยมาสุมหัวกันอยู่ที่ข้างตึกคณะ นั่งกันอยู่สามคน แต่ทำไมคุยกันอยู่แค่สองคนวะ “กูว่าคนที่มีปัญหาคือคนนี้มากกว่า เฮ้ย เปิ้ล ทำไรวะ”

โอเปิ้ลที่กำลังก้มหน้าก้มตาหมกมุ่นกับโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้น “ด่าคน”

“ใครวะ”

“คนชั่ว”

“ใช่พี่เรนจิหรือเปล่า” เจษฎาถาม

“หือ? นี่แกแชตกับพี่เห็ดเหรอ กูตกข่าวอะไรไป เจษ มึงเล่าดิ๊”

“ก็พี่เรนจิได้ไลน์เปิ้ลไปสักพักแล้ว เลยพิมพ์มาก่อกวน ใช่มั้ยเปิ้ล”

“ได้ไลน์ไปยังไง” ผมถาม

“เปิ้ลให้”

“เอ้า แล้วไปให้ทำไมอะ เปิ้ล เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดิ๊”

เปิ้ลเงยหน้าตึงๆ ขึ้นมา “พี่แม่งกวนตีนไง ท้าทายกูขนาดนั้น กูก็ให้ๆ ไป”

“ไหนเอาแชตมาดูดิ๊ เดี๋ยวกูช่วยด่า”

“ไม่เป็นไร”

“เออน่ะ เอามาดู”

“กูด่าจบไปแล้ว ช่างแม่งเหอะ”

“เรามีภาพแคปหน้าจอแชตครั้งก่อนๆ ที่เปิ้ลส่งให้” เจษควักมือถือออกมา

“เจษ ไม่ต้องขุดมา” เปิ้ลเบรกไว้ แล้วหันมาคุยกับผม “ทีมึงแยกตัวไปสุงสิงกับพี่ทัช กูกับเจษไม่เห็นจะว่าอะไร”

“เกี่ยวไรกับพี่ทัช นี่...พวกมึงสองคนโกรธอะไรกูรึเปล่า”

“เราไม่ได้โกรธ” เจษตอบอย่างใสซื่อ

“กูก็เปล่า” เปิ้ลบอก

“ไม่โกรธแต่หน้าตึงเป็นตูด”

“ก็บอกว่าเพิ่งด่าคน กูอารมณ์ไม่ดี”

ผมนั่งกอดอกเอียงคอจ้องหน้าโอเปิ้ล เอาดิ ใช้สายตากดดันไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ

“นี่โกรธกันเหรอ อย่าโกรธกันเลยนะ” เจษพูด

โอเปิ้ลกอดอกและมองหน้าผมกลับ แต่หลังจากจ้องอยู่สักพักก็เบือนหน้าไปมองทางอื่น แล้วในที่สุดก็ถอนหายใจ “อึดอัดชิบหาย อยากดูก็เอาไป” เจ้าตัวปลดล็อกหน้าจอมือถือแล้วส่งให้ผม

ผมกดเข้าห้องแชตไลน์ของเปิ้ลกับพี่เห็ด แชตกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ นี่ไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ด่ากันแสบๆ มันส์ๆ ทั้งนั้น แต่มันเยอะจนผมต้องเลื่อนผ่านๆ แล้วมาโฟสกัสแค่ช่วงท้ายๆ



★R3NJI: ทำไร

O: ทำชีวิตให้ดีขึ้น

★R3NJI: สมควรแล้ว

★R3NJI: ชีวิตยังเหี้ยอยู่นิ

O: จ้ะ

O: แล้วพี่ไม่เอาเวลาไปปรับปรุงตัวอะ

O: ได้ข่าวว่านิสัยโคตรเหี้ยไม่ใช่เหรอ

★R3NJI: กูไม่แปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนนะฑี

O: โคตรแปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนพี่ทัช

★R3NJI: เลว

O: ชั่ว

★R3NJI: พูดกับรุ่นพี่งี้เหรอ

O: พูดกับรุ่นน้องงี้เหรอ

★R3NJI: อยู่ไหน บอกมาดิ๊

O: อยากรู้ทำไมไม่ดมกลิ่นเอาล่ะ จมูกดีกว่าคนไม่ใช่เหรอ

★R3NJI: หิวมั้ย

★R3NJI: เดี๋ยวเอาตีนไปฝาก

★R3NJI: จะได้กินอะไรดีๆ บ้าง

O: ไม่เป็นไร

O: ของดีๆ ไม่เก็บไว้กินเองล่ะ

O: ปกติได้กินแต่ตะไคร่น้ำตามขอบสระไม่ใช่เหรอ

★R3NJI: ตัวเหี้ยไรวะนั่น

O: กวางมั้ง

★R3NJI: ไม่ไหวแล้วนะเว้ย

O: ปวดขี้ก็ไปขี้

★R3NJI: นะฑี นั่นมึงพิมพ์ใช่มั้ย

O: นะฑีเกี่ยวไรด้วย

★R3NJI: ถ้าไม่ใช่นะฑีจะกล้าพูดอะไรทุเรศๆ งี้เหรอ

O: ทำไมจะไม่กล้าอะ

O: คุยกับคนแบบนี้ นี่ถือว่าพูดดีสุดๆ แล้ว

★R3NJI: ถ้าเจอตัวขอให้ปากดีงี้ตลอดนะ

O: ก็ดีตลอดนะ พูดได้ กินข้าวได้

★R3NJI: งั้นเดี๋ยวเจอตอนนี้เลย

★R3NJI: อยู่ข้างตึกคณะใช่มะ

O: ไม่ได้อยู่บนหัวพี่ละกัน

★R3NJI: เจอกูแน่

O: ออกมาจากต้นมะขามได้เหรอ

O: ระวังคนขโมยผ้าสามสีนะ

★R3NJI: กินไรมั้ย

★R3NJI: จะกรวดน้ำให้ แต่แม่งคงไม่ถึง ภพภูมิต่ำเกินไป

O: มาทำไม

O: ไปผุดไปเกิดได้แล้ว

★R3NJI: จะไปดูหน้าคนปากดีซะหน่อย

★R3NJI: สรุปแดกไร

★R3NJI: อยู่โรงอาหารบริหารแล้ว

O: ซื้อข้าวให้หมาแถวนั้นกินเถอะ

O: จะได้มีบุญติดตัวบ้าง

★R3NJI: งั้นหลักๆ ก็แดกตีนละกัน

★R3NJI: แน่จริงอย่าหนีนะ

O: จ้ะ

O: เดี๋ยวไปตักน้ำคอห่านมาไว้ให้กินนะ

O: เผื่อเดินมาร้อนๆ จะได้ชื่นใจ



“คืออะไรวะ”

“อ่านไม่ออกเหรอ” เจษฎาหันหน้ามา

“กูก็เรียนหนังสือมานะเจษ ขอบคุณที่เป็นห่วง อ่านออกหมดครับ กูแค่ไม่เข้าใจ”

“อ่านออกหมด แต่ไม่เข้าใจ” เจษทวนคำอย่างครุ่นคิด “ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ”

“กูไม่เข้าใจว่าสองคนนี้ไปคุยกันตั้งแต่ตอนไหน ตีสองยังแหกขี้ตามาด่ากัน…”

ฟึ่บ!

กำลังจะเลื่อนอ่านซ้ำ แต่เปิ้ลแย่งมือถือกลับไปแล้ว

ผมโน้มตัวไปจ้องหน้าโอเปิ้ล ซึ่งเจ้าตัวก็มองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน

“มึงกอดอก” ผมว่า

“ยุ่งไรกับเนื้องอกกูอีกล่ะ”

“ไม่ใช่เว้ย ในทางจิตวิทยาท่ากอดอกนี่แสดงว่ากำลังปกป้องตัวเอง แล้วก็ปิดบังอะไรอยู่”

“มั่ว”

“นี่กูจำมาจากพี่ทัชเลย”

“อ๋อเหรอ”

“หรือจะบอกว่าเมื่อยนมเลยประคองไว้เล่นๆ”

“เออ อันนี้ยังฟังมีเหตุผลกว่า”

คราวนี้ผมกอดอกบ้าง “พี่เห็ดมายุ่งกับมึงทำไมวะ”

“เป็นบ้าไง”

“พี่เห็ดแกสมองไม่ค่อยปกติหรอก แต่มึงไปบ้าตามแกทำไม”

“จะให้เขาด่ากูฝ่ายเดียวเหรอ”

“ไม่รู้ว่ะ ก็ไม่เห็นต้องด่ากลับอะไร”

“จะให้กูพูดคะขารึไง”

“อย่าเลย ขนลุก”

“เราว่าก็ดีนะ” เจษฎาแทรก “ผู้หญิงพูดคะขาก็เพราะดี”

“เจษ กูไม่ใช่ผู้หญิง!”

“อะ...โอเค”

“มึงก็จริงจังซะ เจษมันหงอไปเลยเนี่ย เห็นมั้ย…” ผมหันไปตบหลังเจษเบาๆ “ไม่เป็นไรนะหนู คืนนี้อย่ากินน้ำเยอะนะ เดี๋ยวฉี่รดที่นอน”

“เราโตแล้ว ไม่ฉี่รดที่นอนหรอก”

“ดีมากครับ เด็กดี” แล้วผมก็หันไปคุยกับเปิ้ลต่อ “เป็นไรวะ เมนส์มา?”

“เปล่า”

“มันอาจจะมานิดๆ แล้วมึงไม่รู้ตัวหรือเปล่า”

“กูไม่ได้เป็นไร มึงนี่”

“เออ ไม่เป็นก็ดี แต่มึงต้องพูดอะไรกับเจษหน่อยมะ””

“โทษทีเจษ”

“เฮ้ยเปิ้ล ไม่เป็นไรเลย เราชินกับการพูดหยาบๆ ของพวกนายอยู่แล้ว ไม่โกรธๆ”

“เพื่อนกันต้องงี้ดิ กลับมาเรื่องพี่เห็ดต่อ…”

“ไม่ต่อ รำคาญ” เปิ้ลตัดบท

ผมชั่งใจอยู่สักพัก แล้วสุดท้ายก็ยักไหล่ “ไม่ต่อก็ไม่ต่อ พี่เห็ดแกจะมานี่ไม่ใช่เหรอ ถ้ามาจริงเดี๋ยวกูสัมภาษณ์เอง” ผมหยิบมือถือตัวเองมาไถเล่นบ้าง เพิ่งเห็นว่ามีข้อความไลน์เข้ามาใหม่เมื่อห้านาทีที่แล้ว

ข้อความสำคัญอีกต่างหาก

“ชิบ กูต้องไปแล้วว่ะ”

“ไปไหน” เจษถาม

“เจษ ถ้าพี่เห็ดมาจริงมึงก็คอยห้ามอย่าให้สองคนนี้กัดกันละกัน”

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง”

เราสองคนมองโอเปิ้ลที่ยังหน้าหงิกเป็นแง่งขิงขาดปุ๋ยอยู่ แถมตอนนี้ยังกลับไปพิมพ์แชตต่อแล้ว “โทรเรียกมูลนิธิเก็บศพเลยดีกว่ามั้งเจษ”

“อันนี้เรารู้ นายเล่นมุก” เจษพูดก่อนจะหันมองเปิ้ล “เอ่อ...ถ้าเกิดไรขึ้นจริงๆ เดี๋ยวเราให้คนแถวนี้ช่วย” อยากอยู่ดูมวยคู่เด็ดจริงๆ ไม่รู้ใครจะน็อกใครแต่ต้องมันส์แน่ๆ แต่เอาเถอะ ไว้รอฟังผลละกัน

“เออ จะร้องดังๆ หรือแก้ผ้าวิ่งก็ได้ ให้คนมามุงเยอะๆ ไว้ก่อน กูไปละ”

พอปลีกตัวออกมาจากแก๊งสามหน่อได้ผมก็ควักมือถือขึ้นมาดูอีก ข้อความสำคัญที่ฝ่ายนั้นส่งมาคือ อยากกินราดหน้า งั้นก็ต้องสนองซะหน่อย



NATOUCH: อยากกินราดหน้า

NaTee(n): ไปกินดิ

NaTee(n): ใครมัดขาพี่ไว้อะ

NATOUCH: ไม่กินละ

NATOUCH: เดี๋ยวไปทำงานกับเพื่อน

NaTee(n): เฮ้ยยย

NaTee(n): เดี๋ยวดิ

NaTee(n): ล้อเล่นน่า

NaTee(n): นี่ผมกำลังไปหาพี่เลย

NaTee(n): พี่ทัช

NaTee(n): เฮ้ย ใจเยนนนน

NaTee(n): พี่ รอก่อนนน

NATOUCH: มึงนั่นแหละใจเย็น

NATOUCH: พิมพ์รัวอะไรขนาดนี้

NATOUCH: เว้นช่องให้กูตอบบ้างมั้ย

NaTee(n): ก็กลัวพี่ไม่รอไง

NaTee(n): ผมกำลังไป

NaTee(n): พี่อยู่ไหนอะ

NATOUCH: แล้วมึงกำลังจะไปไหนล่ะ



เอาล่ะสิ

ช่วงหลังๆ พี่ทัชทำงานกับเพื่อนเยอะ ไม่ค่อยอยู่ป่าดงดิบเท่าไหร่ด้วย ถามให้ชัดๆ ก่อนไปดีกว่า



NaTee(n): ก็พี่อยู่ไหนล่ะ

NaTee(n): ห้องสมุดเหรอ 

NaTee(n): หรือว่าจะไปที่ร้านราดหน้าเลย

NATOUCH: กูไม่อยากกินราดหน้าละ

NATOUCH: เดี๋ยวหาแซนด์วิชกินแล้วทำงาน

NaTee(n): เฮ้ย พี่

NaTee(n): ผมแยกตัวจากเพื่อนแล้ว กำลังไปหาจริงๆ

NaTee(n): อย่างอนดิ



พอบอกจะกินแซนด์วิชแล้วก็เก็บมือถือเลยมั้งเนี่ย ไม่อ่านข้อความซะแล้ว ผมเลยเก็บมือถือ เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหน่อย และระหว่างนี้ก็ถือโอกาสจัดการบางสิ่งบางอย่างไปด้วยเพื่อจะได้เข้าใจพี่ทัชมากขึ้น

ใช้เวลาประมาณห้านาทีถึงได้มาถึงป่าดงดิบ

“มาแล้วๆ เฮ้ย นั่นพี่จะไปไหนน่ะ” ผมรีบออกแถลงการณ์ เพราะมาถึงจังหวะที่พี่ทัชกำลังรวบหนังสือลุกขึ้นพอดี “นี่ผมสับขาแบบสี่คูณร้อยมาเลยนะ เหนื่อยโคตร นั่งก่อนๆ”

พี่ทัชถอนหายใจนิดๆ แล้วนั่งลง

ผมเข้าไปนั่งตรงข้ามเขา “นี่พี่เคืองอะไรรึเปล่า หน้าตึงโคตร หรือว่าไปแอบทำศัลยกรรมดึงหน้ามา”

“รู้ได้ไงล่ะว่ากูอยู่นี่”

“เพราะผมเก่งไง รู้ใจพี่อะ”

“เพราะมึงไม่เก่งมากกว่า ถ้ากูไม่อยู่นี่มึงจะหาเจอเหรอ”

“พี่อยู่ไม่กี่ที่หรอกน่า หรือต่อให้ไปซ่อนในหลืบไหนของมหา’ลัยผมก็หาเจอแน่นอน ขอเวลาครึ่งวันพอ”

“เอาเวลาขนาดนั้นไปอ่านหนังสือเถอะ”

“ถ้าพี่อยู่นี่เพราะอยากให้ผมเจอ แล้วจะไปไหนอะเมื่อกี้”

“กูอยู่นี่เพราะมันเงียบแล้วก็อากาศดี”

“เหรอออ~”

“มึงพันพลาสเตอร์ทำไม”

“เอ้า นี่ๆ ดู...ผ่าม!” ผมชูนิ้วทั้งสิบที่พันพลาสเตอร์ไว้เรียบร้อยขึ้น อันที่จริงเรียกว่าพันลวกๆ มากกว่า เพราะต้องทำระหว่างเดินมานี่ “โคตรลำบากเลยกว่าจะพันครบ”

“เพื่อ?”

“อยากรู้สึกอย่างที่พี่รู้สึกไง เคยพันตอนไปบ้านพี่ทีนึงละ แต่ครั้งนี้จะลองพันไว้นานๆ ดู” ผมลองบี้ปลายนิ้วดู ลองเอามาลูบๆ เล่น “สากอะ นี่พี่หยิบจับของถนัดได้ไง”

“เอามาเล่นให้เปลือง”

“นี่ผมกะให้เป็นแฟชั่นบูมแตกเลยนะ เอามือพี่มาดิ๊” ผมยกกล้องมือถือขึ้นเพื่อจะถ่ายรูป แต่พี่ทัชกระตุกมือหนีทันที “งั้นมือผมก็ได้ คอยดูนะ ไม่ถึงห้านาทีคนไลค์เป็นหมื่นแน่นอน”

“อย่า”

แชะ~

อัปเดตสเตตัสอย่างไว แปะรูปพร้อมแคปชั่น ความสากอยู่ที่นิ้ว ความ cute อยู่ที่ใจ #แฟชั่นกำลังมา

“นั่นไง มาแล้วหนึ่งไลก์...เจษฎาแฟนคลับอันดับหนึ่ง ต้องงี้ดิ”

พี่ทัชถอนหายใจ ก่อนจะถามไปอีกเรื่อง “แม่ชอบของขวัญรึเปล่า” เปลี่ยนเรื่องก็ดี ไม่อยากจะโม้เรื่องโซเชียลต่อ เพราะแทบทุกสเตตัสของผมก็มีแค่เจษฎากับเปิ้ลนี่แหละที่กดไลค์

“กระเป๋าตังค์อะนะ ชอบดิ ของฟรีใครไม่ชอบบ้าง”

“เอาดีๆ”

“แม่ชวนพี่ไปกินข้าวที่บ้านอะ ผมบอกว่าพี่ช่วยออกเงินค่าของขวัญ แม่เลยอยากขอบคุณ”

“อืม ได้”

“ว่างวันไหนอะ”

“ไว้ดูก่อน” พี่ทัชลุกขึ้น

“เอ้า ไปไหน”

“มึงอยากกินราดหน้าไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่พี่เหรอ คนอยากกินอะ”

“ตกลงมึงจะกินหรือไม่กิน ไม่งั้นกูจะกินแซนด์วิช”

“กินดิ มาขนาดนี้แล้ว”

“กูกินเพราะมึงชอบกินนั่นแหละ อย่าพูดมาก”

“ยังไงนะ พี่ชอบกินตามผมเหรอ แต่พี่ไม่ชอบกินคะน้าไม่ใช่เหรอ...ไม่ต้องกินก็ได้นะ...พี่ทัช ถามจริงๆ นะ ตอนฉี่ถ้าฉี่เปื้อนพลาสเตอร์ที่นิ้วพี่ทำไง…รอด้วยดิ เดินโคตรเร็ว...โมโหหิวเหรอ…” ผมถามนั่นถามนี่ขณะเร่งฝีเท้าตาม แต่พี่ทัชไม่พูดอะไรแล้ว

จนกระทั่งมาถึงโรงอาหารและสั่งราดหน้ามานั่งกันเรียบร้อย

แกล้งพี่แกซะหน่อย ตักคะน้าจากชามผมเพิ่มให้ซะเลย “ถือว่ากินชดเชยไง ตอนเด็กพี่ไม่ค่อยกินผัก”

พี่ทัชกะพริบตาสองสามที แล้วตักหมูนุ่มมาให้ผมชิ้นนึง

“ให้ผมทำไมอะ หมูพี่ก็ไม่กินเหรอ นี่สุดยอดความอร่อยเริ่ดเลยนะ”

“มึงกินเถอะ จะได้ฉลาด”

“หรือว่าพี่เป็นริดสีดวง ไม่อยากกินเนื้อเยอะเพราะมันทำให้ท้องผูก แล้วก็…”

“หุบปาก แล้วกินไป”

“ปลายนิ้วด้านๆ อะ จับช้อนไม่ถนัดเลย”

“ก็แกะพลาสเตอร์ออก”

“ไม่เอา ไว้งี้แหละ”

“แล้วไง จะใช้ให้กูป้อนเหรอ”

“ว่าจะก้มกินเหมือนหมา” ผมฉีกยิ้ม “เฮ้ย แต่ให้พี่ป้อนก็ดีนะ สบาย”

“กินๆ ไป เดี๋ยวเย็นซะก่อน”

“เออ จริงด้วย”

ผมก็หาเรื่องแกล้งพี่ทัชไปงั้นแหละ ได้แกล้งแล้วน้ำย่อยหลั่งโคตรดี ถึงจะจับช้อนไม่ค่อยถนัดเพราะปลายนิ้วสาก แต่ความเร็วปากยังเหมือนเดิม พอวอร์มอัพขากรรไกรได้ที่ก็ยาวเลย แป๊บเดียวเกือบหมดชาม ขณะที่พี่ทัชยังกินไปไม่ถึงครึ่ง ผมลดสปีดลงหน่อยด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาไถเล่น

สเตตัสล่าสุดยังมีแค่เจษฎากดไลก์คนเดียว

ลองเช็กกับเจษหน่อยดีกว่าว่ามีใครเลือดตกยางออกรึยัง



NaTee(n): เจษ เป็นไงมั่ง

Jessada: สบายดีนะ

Jessada: ตอนนี้อากาศไม่ค่อยร้อน

NaTee(n): ไม่ใช่เว้ย

NaTee(n): พี่เห็ดอะ มาจริงรึเปล่า

Jessada: มาจริง

Jessada: ซื้อขนมมาเต็มเลย มีตีนไก่ทอดด้วย

NaTee(n): ที่บอกจะให้แดกตีน คือตีนไก่ทอดเหรอวะ

Jessada: คิดว่างั้น

NaTee(n): แล้วไงต่อ สองคนนั้นตีกันยัง

Jessada: ก็เถียงๆ กันนะ

Jessada: เราทำตัวไม่ค่อยถูก เลยกินอย่างเดียว

Jessada: ไม่รู้ว่าเราควรนั่งอยู่ตรงนี้มั้ย



“เล่นไร” พี่ทัชถามขึ้น

“ก็พี่กินช้าอะ เลยเล่นรอ”

“มึงมูมมามมากกว่า”

ผมพิมพ์ส่งท้ายบอกเจษว่า นั่งเป็นหัวตออยู่นั่นแหละเจษ จำรายละเอียดให้ได้เยอะๆ เดี๋ยวกูจะถามทีหลัง จากนั้นก็วางมือถือ ขุดความเป็นผู้ดีในส่วนลึกออกมาโชว์ด้วยการคีบช้อนส้อมด้วยนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง จีบปากจีบคอซดราดหน้าเบาๆ

“เอ้อพี่ ช่วงนี้พี่เห็ดเป็นไงบ้างอะ”

“ก็ดีมั้ง”

“หายเฮิร์ทยัง”

“ไม่รู้”

“พี่รู้อะไรบ้างเนี่ย”

“รู้บางเรื่องที่ควรรู้”

“นี่แหละเรื่องที่ผมควรรู้” พี่ทัชเลิกคิ้ว ผมเลยขยายความต่อ “ก็ตอนนี้พี่เห็ดไปกวนเปิ้ลกับเจษอยู่อะ ไม่รู้แกเป็นบ้าไร หรือคิดวางแผนอะไรอยู่”

“อ่อ ปกติเรนจิมันไม่คิดอะไรซับซ้อนหรอก”

“หมายความว่าเซลล์สมองแกน้อยใช่มะ”

“หมายความว่าเป็นคนตรงๆ ไม่คิดมาก”

“ผมจะบอกพี่เห็ดว่าพี่ทัชด่าว่าแกโง่ คิดไรซับซ้อนไม่ได้ แล้วนี่กินเสร็จพี่ทำไรต่ออะ”

“ทำงาน”

“ไปเดินห้างชิลล์ๆ หรือหาหนังดูกันดีกว่า ไปมะ”

“กูต้องทำงาน”

“งั้นไปด้วยดิ”

“จะไปทำไม มึงก็ไปอ่านหนังสือทำงานอะไรของมึงไป คณะบริหารไม่มีไรให้ทำเหรอ”

“ขี้เกียจอะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปฉีกยิ้ม “ไปด้วย นะๆๆ”

“มึงไปอยู่ด้วยกูไม่มีสมาธิ”

“ผมไม่กวนหรอกน่า จะอยู่เงียบๆ”

“มึงเนี่ยนะอยู่เงียบๆ” พี่ทัชถอนหายใจแบบปลงๆ แต่ก่อนจะได้พูดต่อ ปากผมก็ชิงตัดหน้าซะก่อน

“งั้นวันหลังพี่ต้องพาผมไปบ้านพี่อีก อยากเล่นกับผงฟอกอะ”

“อืม”

“เลี้ยงหนังด้วย”

“อือ”

“ต้องงี้ดิ งั้นพี่ไปทำงาน ผมจะไปสุมหัวกับเพื่อนต่อละ ดูว่าพี่เห็ดแกมาป่วนไร”

“อ่านหนังสือมั้ย”

“อ่านๆ ไม่ต้องห่วงครับโผม พี่รีบกินดิ”

“มึงนี่จริงๆ เลย”

หลังจากกินกันเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินย้อนกลับทางเดิม แล้วแยกย้ายกันตรงหน้าตึกคณะจิตวิทยา พี่ทัชไปตั้งใจทำงานเพื่ออนาคตที่ดี ส่วนผมจะไปวอนหาตีนเพื่อเติมสีสันให้ชีวิต ระหว่างที่เร่งฝีเท้าอยู่ก็มีข้อความไลน์เด้งเข้ามาใหม่ นึกว่าเป็นเจษฎาแจ้งความคืบหน้าอะไร แต่กลับเป็นพี่ทัชพิมพ์มาว่า

หายแล้ว

อะไรวะ

ผมกำลังจะพิมพ์ถามกลับไป แต่ข้อความเก่าๆ ที่อยู่เหนือขึ้นไปทำให้ต้องยั้งมือไว้



NATOUCH: เดี๋ยวหาแซนด์วิชกินแล้วทำงาน

NaTee(n): เฮ้ย พี่

NaTee(n): ผมแยกตัวจากเพื่อนแล้ว กำลังไปหาจริงๆ

NaTee(n): อย่างอนดิ


NATOUCH: หายแล้ว



พออ่านต่อเนื่องกันก็ไม่สงสัยแล้วว่าข้อความที่เพิ่งตอบกลับมาหมายถึงอะไร แต่ปากผมยังเผลอพึมพำออกมาอยู่ดี “อะไรวะ”

ไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจว่าแค่คำสั้นๆ ทำไมทำให้ผมกลับมายิ้มเหมือนคนเมากัญชาอีกแล้ว

ปึก!

เชี่ย ใครใช้ให้เอาเสาไฟมาตั้งชิดทางเดินขนาดนี้วะ หัวแตกรึเปล่าเนี่ย!









_______________________________

รักทุกคนที่เข้ามาอ่านมากเลยค่ะ T___T
โชคดีมากเลยที่ได้เจอคนที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่
ขอบคุณจริงๆ นะคะ


นางร้าย
18.ธันวา.2019


ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
น้องยังคงความน้อง5555555

ออฟไลน์ ohanaeo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องโดนแอทแทคอย่างจัง5555
ถึงกลับชนเสาเลย

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ยังคงสงสารพี่ทัชในทุกตอน นางควรไปตกหลุมรักคนอื่นที่เพี้ยนน้อยกว่านะฑี ~~  :laugh:

Welcome back นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
โอ้ยยยยย พี่ทัช!!!!!!! พี่จะน่ารักแบบนี้ไม่ได้ พี่กำลังจะให้ไอ้แสบเมารักจนโคม่า 55555555555555555

/พระเจ้าช่วยเหวี้ยงคู่ มาน้องเจษสักคน อย่าปล่อยน้องให้เฉาอยู่คนเดียว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด