ตอนที่21
แม้ชีวิตในฐานะพันโทของผมจะไม่ถึงกับเรียกว่าสุขกายสบายใจแต่ก็ไม่นับว่าหน้าชื่นอกตรม ในหนึ่งวันผมมีหน้าที่บัญชาการผู้ใต้บังคับบัญชาให้ออกภารกิจปราบปีศาจ ด้วยอำนาจผู้พันของผมทำให้ผมสามารถลำเอียงส่งลันเทียออกไปทำแต่ภารกิจง่าย ๆเช้าเย็นกลับได้ ดังนั้นผมจึงสามารถกินกับข้าวเย็นฝีมือของเขาได้ทุกวัน มีบ้างที่ผมติดประชุมทำให้กลับบ้านดึกหรือบางทีอาจจะกลับตีสองตีสามแต่เขาก็จะตื่นขึ้นมาอุ่นซุปให้ผมกินก่อนนอนเสมอ
กับท่านเอเทมก็นับว่าไม่เลว หลังจากมันจาเนื้อกวางมื้อนั้นท่านเอเทมก็เปิดใจให้อีกหลายส่วน เขายอมให้ผมกับลันเทียร่วมโต๊ะทานอาหารกลางวันด้วย แน่นอนว่าเหตุผลหลักคือไล่ให้ตายผมก็ไม่ไป ตอมเก่งยิ่งกว่าแมลงวัน
มีบางครั้งที่ผมขอให้ลันเทียช่วยสอนทำอาหารพื้นเมืองของโรมานอสซาร์ ความตั้งใจแรกเริ่มคือใช้เสน่ห์ปลายจวักพิชิตใจท่านเอเทมทว่าฝีมือของผมห่วยแตกเกินไปประกอบกับไม่ใช่การหุงต้มโดยไม่ใช้เตาไฟฟ้าทำให้อาหารมื้อแรก ๆออกมากึ่งสุกกึ่งดิบ รสชาติบัดซบ
ท่านเอเทมชิมไปหนึ่งคำก็คายทิ้งจากนั้นก็ไม่ยอมแตะอาหารจานนั้นอีกเลย นับว่าเป็นบุญของผมแล้วที่เขาไม่เขวี้ยงจานใส่หัวผม
หลังจากนั้นก่อนเอาอะไรไปให้ท่านเอเทมผมก็จะให้ลันเทียช่วยชิมก่อน จะไม่ผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นวันไหนผมมาทำงานสายจงรู้ได้เลยว่าเช้าวันนั้นผมก็พยามทำอาหารปิ่นโตให้ท่านเอเทมอยู่แต่รสชาติยังไม่ผ่านเลยต้องแก้แล้วแก้อีก
ลันเทียที่พลอยไปทำงานสายเพราะผมถูกผมสั่งลงโทษสถานเบาหวิว แต่เจ้าตัวก็เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค้าประจำกองพันของผมอยู่แล้วเหล่าอัศวินเดนตายคนอื่นจึงเห็นด้วยกับการอะลุ่มอล่วยนี้ ส่วนตัวผมก็รับผิดชอบด้วยการทำงานล่วงเวลาจึงไม่มีใครตำหนิอะไร
นับตั้งแต่ผมทำปิ่นโตไปฝากท่านเอเทมเขาก็ตอบแทนผมด้วยการชี้แนะเรื่องเวทมนต์ต่อสู้บางบท
น่าแปลกที่เวททุกบทที่เขาหยิบขึ้นมาสอนผมผมกลับสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆที่เวทพื้นฐานง่าย ๆบางบทที่ลันเทียสอนผม เรียนให้ตายอย่างไรผมก็ทำไม่ได้
ข้อนี้ผมเองก็รู้สึกสะกิดใจอยู่เช่นกัน ไม่ใช่ลันเทียสอนผมไม่ดี แต่ท่านเอเทมดูจะเป็นอาจารย์ที่เก่งเกินไปหน่อย ราวกับว่าเขารู้ว่าผมสามารถเรียนรู้เวทมนต์บทไหนได้เร็ว ได้ช้า
ทว่าว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ในขณะที่ผมกำลังฝึกซ้อมเวทไฟอยู่ในลานประลองเล็ก ๆของกองพัน ชายชราสวมเสื้อยาวรุ่มร่ามสีขาวปรอดก็เดินเข้ามา
เนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงหัวค่ำ พวกอัศวินที่ไม่ได้เข้าเวรพากันกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือแค่ผมที่อยู่ทำงานล่วงเวลาเพราะเมื่อเช้ามาสาย ทันทีที่มีผู้แปลกปลอมเดินเข้ามาใกล้ประสาทสัมผัสของผมก็ตรวจจับได้ทันที
ฮั่นน่อววว
ฟังดูเก่งล่ะสิ
ก็แหงล่ะ ผมบรรจุเข้ามาในกองทัพได้ครึ่งปีแล้วนี่! ได้เรียนรู้เวทพื้นฐานจากลันเทียซ้ำยังได้ท่านเอเทมชี้แนะหลายเรื่อง ยามนี้นับว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทอัคคีโดยสมบูรณ์!
แม้พละกำลังของผมในตอนนี้จะยังไม่สมศักดิ์ศรีหกแสนแต้มแต่ก็สามารถชูคอในตำแหน่งผู้พันแบบไม่น้อยหน้าใครแล้ว! หึ! จำวรั้ย นี่พันโทการันต์ไงจะใครล่ะ
“พันโทการันต์ฝีมือก้าวหน้ารวดเร็ว เป็นโชคดีของอัสโตเรียที่ได้บุคคลเช่นเจ้าเข้าร่วมกองทัพ”ผู้มาใหม่ไม่ใช่ใครอื่น เสนาธิการผู้ทรงความรู้นั่นเอง
นับตั้งแต่วันสอบเข้าจนกระทั่งตอนนี้ผมไม่เคยเจอชายแก่ท่านนี้อีกเลย คราวนี้เขากลับโผล่มาหาถึงที่ผมจึงอดขมวดคิ้วด้วยความงุนงงไม่ได้
ท่านเสนาธิการก็ฉลาดสมกับเป็นปัญญาของแผ่นดิน แกลูบเคราพร้อมหัวเราะชอบใจก่อนเดินเข้ามาหาผมด้วยรอยยิ้ม ผมเห็นว่ายังไม่ได้ตอบอะไรผู้อาวุโสท่านนี้สักคำเอาแต่ยืนนิ่งดูเสียมารยาทจึงก้มหัวทำความเคารพก่อนพูดอย่างสุภาพว่า”ท่านเสนาธิการกล่าวชมเกินไปแล้ว ขอบคุณ ๆ”
“ฮะ ๆ ๆ ข้าไม่ได้กล่าวจริงเสียหน่อย ได้ยินข่าวลือหนาหูว่าแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดินลงทุนสละเวลามาสอนเวทให้เจ้าตั้งหลายครั้งข้าจึงอยากมาดูฝีมือของเจ้าด้วยตาตนเองว่ารุดหน้าไปถึงไหน ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ เจ้าเก่งขึ้นมากกว่าที่ข้าจินตนาการไว้”
คำพูดของท่านเสนาธิการล้วนเป็นคำเยินยอตามมารยาททั้งสิ้น ผมซึ่งไม่ค่อยชินกับจริตของขุนนางฝ่ายบุ๋นเท่าไหร่จึงได้แต่ยืนยิ้มแห้ง
“เมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าจะร่ายแต่เวทอัคคีนะ”ชายชราเปรย
คราวนี้สายตาของคู่สนทนาฉายแววจริงจังขึ้นหลายเท่าผมจึงไม่กล้ายืนเอ้อระเหยอีก”ครับ ท่านเอเทมบอกว่าดูเหมือนทิมจะเป็นผู้ใช้เวทสายอัคคี”
“แล้วท่านแม่ทัพได้บอกเจ้าหรือไม่ ว่าก่อนหันหน้าเข้าหาศาสตร์มืด ดาร์กลอร์ดเองก็เคยเป็นผู้ใช้เวทอัคคี”
!?
พลันความเงียบเข้าปกคลุม ผมรู้สึกชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ตลอดหกเดือนมานี้ทั้งผมทั้งท่านเอเทมต่างพร้อมใจกันไม่เอ่ยถึงชื่อของคนคนนี้เลย นับว่าหกเดือนที่ผ่านมาผมลอยตัวอยู่เหนือแท่นกีโยตินอย่างมีความสุข ทว่าวันนี้เวลานี้ผมรู้สึกเหมือนถูกลากคอกลับเข้ามาในลานประหารอีกครั้ง
“ข้าไม่ทราบไม่ก่อนเลย ท่านเอเทมไม่เคยกล่าวถึง”
“นั่นคงเพราะว่าเรื่องที่ดาร์กลอร์ดเคยเป็นผู้ใช้เวทอัคคีก็เป็นเพียงข่าวโคมลอยที่ไม่มีมูล”
“ครับ...”ผมตอบด้วยน้ำเสียงชืด ๆ
“ความจริงข่าวลือเรื่องของดาร์กลอร์ดยังมีอีกหลายอย่าง บ้างก็ว่าเขาคืออดีตรัชทายาทแห่งโรมานอสซาร์บ้างล่ะ บ้างก็ว่าเขาคือคู่หมั้นของอดีตเจ้าหญิงบ้างล่ะ ซึ่งมันช่างย้อนแย้งสิ้นดี โรมานอสซาร์ตั้งอยู่ในภูมิประเทศอันหนาวเหน็บ ราชวงศ์ผู้ปกครองดินแดนก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในด้านเวทน้ำแข็ง แล้วจู่ ๆดาร์กลอร์ดจะเป็นทั้งรัชทายาททั้งผู้ใช้เวทอัคคีไปได้อย่างไร เจ้าว่าไหม”
“อ่า...ครับ”ผมพยักหน้าแบบฝืน ๆ รู้สึกร้อน ๆหนาว ๆเพราะไม่รู้ว่าท่านเสนาธิการจะปูพรมเล่าเรื่องดาร์กลอร์ดให้ผมฟังตอนมืดค่ำแบบนี้เพื่ออะไร
ชายชราผมขาวลูบเคราพลางเริ่มเดินวนไปรอบ ๆตัวผม
“แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับการยืนยันก็คือ นอกจากศาสตร์ต้องห้ามร้อยแปดพันบทแล้ว ดาร์กลอร์ดเคยร่ายเวทอัคคีอยู่สามบท หนึ่งคือดาบเพลิงวินาศ สองคือธารอัคคีเรรวน สามคือมังกรไฟสลักลาย ทั้งสามครั้งเป็นการร่ายออกมายามฉุกเฉิน...”
“ครับ...”
“เมื่อถูกถึงคำว่าฉุกเฉิน ย่อมแปลว่ายามนั้นจวนตัว ร่ายเวทออกมาโดยไม่ทันคิด ตามปกติเวทที่ถูกหยิบขึ้นมาเป็นอันดับแรกจะเป็นเวทที่ถนัดที่สุด หรือเวทที่ใช้บ่อยที่สุด”
ผมกลืนน้ำลายลงคอสามอึก แต่ละอึกยกให้เวททั้งสามบท เพราะท่ามกลางเวทอัคคีนับร้อยบทที่ผมเรียนรู้มา กลับมีเพียงแค่สามบทนี้เท่านั้นที่ผมใช้คล่องราวกับพวกมันคลอดออกมาจากท้องแม่พร้อมผม คล่องชนิดที่ว่าท่านเอเทมแค่แสดงตัวอย่างให้ดูครั้งเดียวผมก็ทำตามได้อย่างหมดจด
ผมค่อนข้างมั่นใจเกินครึ่งแล้วว่าทิมที่สลับตัวกับผมคือดาร์กลอร์ด
แต่ให้ตายผมก็ไม่สารภาพเด็ดขาด!
ชาตินี้ต่อให้ไม่มีบุญได้กลับโลกเดิมผมก็ขอใช้ชีวิตกินเงินเดือนในฐานะพันโทอยู่ที่โลกนี้อย่างสงบ!
ผมไม่ยอมตายเด็ดขาด ความลับเรื่องดาร์กลอร์ดจะต้องแก่ตายไปพร้อมกับผมนี่แหละ!!!!
“พรุ่งนี้พระราชาเรียกตัวเจ้าก่อนรุ่งสางให้ไปรอที่ท้องพระโรง ไม่ต้องกลัว ตราบใดที่พวกเรายังไม่มีหลักฐานพวกเราก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ พระราชาแค่จะพระราชทานภารกิจสำคัญให้เจ้าไปทำก็เท่านั้น”ท่านเสนาธิการตบไหล่ผมป้าบ ๆ
ผมมองแผ่นหลังผอมเพรียวของชายแก่รู้มากที่เดินจากไป
เหงื่อกาฬของผมแตกพลั่ก
พวกเขายังไม่มีหลักฐาน แต่สามารถสร้างสถานการ์เพื่อบีบให้ผมเผยหลักฐานได้ แววตาของท่านเสนาธิการบ่งบอกเช่นนั้น และการที่เขาอุตส่าห์มาเตือนผมทางอ้อมเช่นนี้ก็นับว่าเป็นความปราณีสูงสุดของเขาแล้ว
“คงต้องรอดูเนื้อหาของภารกิจพรุ่งนี้แล้ว”
หากภารกิจดังกล่าวมีแววว่าจะสามารถบีบให้ผมเผลอใช้ศาสตร์ออกมาโดยไม่รู้ตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ผมจะรีบชิ่งทันที
ด้วยกำลังของผมตอนนี้บวกกับทรัพย์สมบัติที่มีผมสามารถหนีการตามจับของพวกอัศวินลูกกระจ๊อกได้สบาย
ส่วนท่านเอเทม...บอกตรง ๆว่าตลอดหกเดือนพวกเรานับว่าสนิทกันมากแถมเขาเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร คงไม่ตามจับผมหรอก! เวทผูกวิญญาณอะไรนั่นก็เป็นหมันไปซะเถอะ!
เมื่อสรุปได้เช่นนี้ผมก็สะบัดหัวเบา ๆเพื่อขับไล่ความฟุ้งซ่าน หันกลับไปทบทวนวิชาที่เพิ่งศึกษาจากตำราด้วยตัวเองเมื่อวานซืน อย่างน้อยการเก่งขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ช่วยโอกาสหนีรอดของผมให้มากขึ้น
เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ หลับไปได้ไม่นานก็ตื่นขึ้นมา เป็นแบบนี้ซ้ำ ๆเพราะผมฝันร้าย
ในฝัน ผมมองเห็นตัวเองกำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์
ในฝันครั้งที่สองผมเห็นตัวเองกำลังเล่นเปียโนอยู่ในมหาลัย
และในฝันสุดท้ายผมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับพ่อแม่
ดูเหมือนเป็นฝันที่มีความสุข แต่เมื่อตื่นมาในโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ไม่ใช่โลกในฝัน...ผมจึงนับว่าฝันเหล่านั้นเป็นฝันร้าย
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ฝันถึงโลกเดิม คงเพราะหกเดือนที่ผ่านมาผมอยู่ดีมีสุข กับลันเทียก็ไม่นับเป็นนายจ้างกับลูกจ้างอีกต่อไป แม้เขาจะยังเรียกผมว่าท่านแต่นั่นก็เพราะผมมียศสูงกว่า ตอนนี้เราสองคนนับว่าเป็นเพื่อนซี้กันแล้ว
“ตาแก่นะตาแก่ มาทิ้งระเบิดให้คนเขาคิดมากเพื่ออะไรเนี่ย โอ๊ย”ผมเดินกุมหัวลงจากรถม้า
เนื่องจากเมื่อคืนผมไม่ค่อยได้นอนวันนี้ใต้ตาของผมจึงดำคล้ำจนอยากจะพรีออเดอร์สกินแคร์จากโลกเดิมให้ส่งไปรษณีมาให้ที่อัสโตเรีย แต่ไปรษณีย์ไทยนั้นแค่ส่งพัสดุภายในประเทศให้เรียบร้อยดียังแทบไม่มีปัญญาแล้วจะเอาอะไรมาส่งของข้ามมิติ
“เห้อ...”ผมเดินตามหลังอัศวินรักษาประตูเข้าไปในเขตวังหลวงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
รู้สึกปวดท้องจนแทบทรุด นี่คืออาการหนึ่งของคนที่เครียดลงกระเพาะหรือเปล่านะ
“เห้อ...”ตลอดทางจากรั้วจนถึงตัวปราสาทผมถอนหายใจไปได้สิบรอบ
“ผู้พันไม่ต้องหนักใจขนาดนั้น องค์ราชาทรงมีพระเมตตา”นายอัศวินชั้นผู้น้อยคงเห็นสีหน้าของผมหมองคล้ำลงเรื่อย ๆจึงเข้าใจผิดคิดว่าผมตื่นเต้นเพราะจะได้เจอพระราชาเป็นครั้งแรกจึงพยามปลอบขวัญผม หารู้ไม่ว่าเรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ
“เหอ ๆ...”ผมส่งเสียงหัวเราะฝืดคอเมื่อพวกเราเดินมาถึงประตูทางเข้าท้องพระโรง
กลั้นใจอยู่นานสองนานในที่สุดผมก็รวบรวมความกล้าผลักประตู เมื่อเดินเข้ามาข้างในผมก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าในท้องพระโรงไม่ได้มีขุนนางยืนเรียงกันหน้าสลอน ไม่มีกระทั่งข้ารับใช้บริวาร ภายในห้องมีแค่พระราชาซึ่งเป็นชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเสนาธิการ พวกเขาสองคนจับจ้องผมไม่วางตาขณะที่ผมค่อย ๆสืบเท้าเข้าไปหน้าบัลลังก์ และตรงหน้าของพวกเขาสองคนก็มีท่านเอเทมยืนอยู่ เขามองผมเพียงครู่เดียวก่อนเบือนหน้าไปอีกทาง
ผมเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแต่ก็ทำความเคารพพระมหากษัตริย์ตามธรรมเนียม
เมื่อผมทำความเคารพเสร็จท่านเอเทมก็เดินมายืนข้างผม เนื่องจากเขาเองก็เป็นผู้รับราชโองการเช่นกันจึงไม่สามารถยืนเก๊กอยู่ข้างบัลลังก์ได้
และเมื่ออัศวินหนุ่มผู้เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งอยู่ห่างจากผมเพียงแค่ศอกเดียวเขาก็เปรยกับผมเสียงเบาว่า”อย่าแม้แต่จะคิดว่าสิ่งที่พวกเขาให้คือความปราณี”
!!
สิ้นคำเตือนของอีกฝ่ายผมก็เหลียวมองใบหน้าเหี่ยวย่นของเสนาธิการอีกครั้ง ไม่ว่าจะดูอย่างไรเขาก็เป็นคุณตาใจดีคนหนึ่ง เมื่อวานตอนที่เขาไปหาผมในลานฝึกผมจึงมั่นใจว่าเขากำลังเป็นห่วงผม นั่นคงเพราะอิมเมจของเขาเหมือนอาจารย์ใหญ่ในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์มาก ๆ
ผมขมวดคิ้วนิด ๆแต่ไม่ได้แสดงความหวาดระแวงอย่างเอิกเริก
ระหว่างท่านเอเทมกับเสนาธิการผมย่อมเลือกเชื่อท่านเอเทมมากกว่า
แต่การที่ผมเชื่อท่านเอเทมก็แปลว่าผมต้องตัดมโนโลกสวยที่คิดปลอบใจตัวเองมาทั้งคืนว่าพวกเสนาธิการกับขุนนางของราชอาณาจักรนี้เป็นคนดีมีน้ำใจประเสริฐเลิศล้ำออกไป
-----------------------------------
time skip 6เดือน...
น้องมั่นใจแล้วว่าคนที่สลับตัวกับน้องคือดาร์กลอร์ด
ท่านเอเทมก็รู้นานแล้วแต่ช่วยน้องเหยียบไว้มิด
แต่สุดท้ายความก็แตกจนได้ อัสโตเรียไม่ได้เป็นมิตรกับน้องเลย TT