ตอนที่13
เมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะช่วยข้าไหม...
ท่านเอเทมไม่ได้ตอบคำถามนี้กับผม แต่นั่นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว
นอกจากเขาจะไม่ช่วย เผลอ ๆเขานี่แหละจะเป็นคนกำจัดผม!
เมื่อคืนพอเขาเอาผมมาวางบนเตียง โยนยาสมุนไพรกระปุกนึงให้เขาก็ทิ้งผมไว้เพียงลำพัง เนื่องจากผมเหนื่อยหลายเรื่องพอทายาเสร็จผมก็หลับปุ๋ยไปเลย กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ช่วงบ่ายของวันถัดไป และผมก็ต้องพบกับเรื่องมหัศจรรย์
แผลที่เท้าผมหายเป็นปลิดทิ้ง!
โลกเวทมนต์นี่มันสุดยอดจริง ๆ! แค่ทายาโง่ ๆรอบเดียวแผลก็สมาน โหววว วงการแพทย์ที่โลกต้องสั่นสะเทือนแน่ ๆ
“ไม่เจ็บแล้วจริงด้วย”ทีแรกผมยังไม่อยากจะเชื่อว่าอะไรแผลมันจะสมานตัวเร็วปานนั้นผมเลยลองเอาเท้าแตะ ๆพื้นดู เมื่อพบว่าไม่เจ็บผมจึงลองลุกขึ้นกระโดดเหยง ๆ
แต่ผมคงกระโดดแรงไปหน่อย พื้นไม้ของห้องที่ผมนอนอยู่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด สภาพของพวกมันเหมือนพร้อมพังได้ทุกเมื่อ ผมรีบหยุดการกระทำของตนเองเพราะกลัวไปพังบ้านชาวบ้านเขาแต่ปรากฏว่าเสียงเหี้ยมของป้าคนนึงดังขึ้นพอดี
“ไอ้หนู!! จะพังบ้านข้าเรอะ!?”
“ขอโทษคร้าบบบ”ผมเดาว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เลยรีบขอโทษก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องนอน เดินลงไปชั้นล่าง”ขอบคุณที่ให้ที่พักนะครับ”
ผมเดินตามกลิ่นหอมฉุยเข้าไปในครัวก่อนพบว่าคู่สนทนาที่ผมตะโกนคุยอยู่กำลังเคี่ยวซุปท่าทางน่าอร่อยอยู่ ผมผุดยิ้มหน้าแป้นก่อนเดินเข้าไปใกล้ร่างท้วมของป้าเจ้าของบ้าน
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ กลิ่นหอมน่าทานเชียว”
“หึ! ตื่นมาก็ร้องหาของกินเลยรึ ไม่คิดจะทำงานทำการหน่อยเหรอ โน่น! ออกไปตัดฟืนข้างนอกนู่น เสร็จแล้วก็ไปตามท่านเอเทมมาทานข้าว”ป้ากล่าว
“อ้อ ท่านเอเทมก็ตัดฟืนอยู่เหรอ”
“เปล่า เขากำลังยืนมองคนให้อาหารเพกาซัสของเขา”
“แล้ว...เขาได้ทำการทำงานอะไรไหม”
“ใครจะไปกล้าใช้งานท่านเอเทมกันละ เอ๊ะ ไอ้หนูนี่พูดไม่คิด”
“แล้วทำไมผมต้องโดนใช้อยู่คนเดียว! ผมขอทำแบบท่านเอเทมบ้างไม่ได้เหรอ ยืนมองคนให้อาหารเพกาซัสแล้วก็มากินข้าว!”ผมตะโกนเถียงหน้าดำหน้าแดง ป้าคนนี้สองมาตรฐานเกินไปแล้ว
แป๊ง
ผมโดนด้ามทัพพีฟาดเข้ากลางกะบาล
“เป็นแค่เด็กรับใช้ อย่าริอาจทำตัวเสมอนาย”
“เด็กรับใช้!? ผมเนี่ยนะ!!”ผมชี้วเข้าหาตัวเองด้วยใบหน้ารับไม่ได๊! ป้าจะประเมิณใบหน้าอันหล่อเหลาแหละสง่าราศีของคุณชายอย่างผมเป็นแค่เด็กรับใช้ไม่ได้!
“อ้าว...ไม่ใช่หรอกเรอะ จะว่าไปเมื่อคืนก็เห็นหน้าไม่ชัด รู้แค่ท่านเอเทมหิ้วเด็กอีกคนมา เอ๊ะ จะว่าไปไอ้หนูนี่ก็หน้าคุ้น ๆนะ เรเชล...เจ้าว่าพ่อหนูคนนี้หน้าคุ้น ๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนรึป่าว”ป้าแกวางทัพพีก่อนจะหันมาพิจารณาผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
เมื่อพบว่าถึงคราวผมเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าผมก็รีบยืดตัวเชิดหน้าชูคอให้อีกฝ่ายเห็นชัด ๆทันที
ไม่นานหลังจากเสียงเรียกของป้าเด็กสาวที่ชื่อเรเชลก็เดินเข้ามาในบ้าน เธอมีหุ่นอวบอ้วนเหมือนแม่ของเธอ เมื่อเธอเห็นหน้าผมเธอก็ถึงกับเอามืออุดปากเพื่อกลั้นเสียงกรี๊ด”แม่!! ผู้ชายคนนี้คือคนนั้นไง คนนั้นน่ะแม่ ตายแล้ว! เมื่อคืนข้าเองก็ไม่ทันสังเกตุ ตายแล้ว ตายแล้ว!!”
“คนไหนน่ะมันคนไหน ไอ้ลูกคนนี้ พูดมาให้ชัด ๆหน่อย”ป้าแกเท้าสะเอวถามอย่างหงุดหงิด
“คนที่ขอท่านเอเทมแต่งงานไงแม่! หนังสือพิมพ์เมื่อวานก็ลงรูปเขา”พูดจบเรเชลก็วิ่งตุ๊ต๊ะหายไปก่อนกลับมาพร้อมหนังสือพิมพ์ฉบับค่ำเมื่อวาน
ผมรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอย่างบอกไม่ถูกเมื่อสองแม่ลูกมองหน้าผมสลับกับหนังสือพิมพ์ไปมา
“ตายแล้ว!!”ป้าเจ้าของบ้านยกมือขึ้นกุมอกทำหน้าเหมือนใกล้เป็นลม
“ตายแล้วใช่มั้ยแม่ นี่มันตายแล้ว!! ตายแล้ว!!”
ขอประทานโทษเหอะ มองหน้าผมแล้วอุทานคำว่าตายแล้วรัว ๆแบบนี้หมายความว่าไง?
“เขามาที่นี่เพราะอะไรนะแม่”เรเชลถาม
“ท่านเอเทมบอกว่ามาใช้แท่นศิลา”
“แล้วศิลานั่นมันมีไว้สำหรับเวทบทไหนบ้างคะแม่”
“ก็เยอะอยู่นะ...แต่หนึ่งในนั้นคือเวทผูกวิญญาณ!!”
“พวกเขาผูกวิญญาณกันแล้ว!?”
“แม่คิดว่าเมื่อคืนแม่มองไม่ผิดนะ...แสงจากแท่นพิธีมีลักษณะเหมือนมีคนกำลังร่ายเวทผูกวิญญาณ!!”
“ก็แปลว่าที่เขาขอท่านเอเทมแต่งงาน...”เรเชลกล่าวก่อนสองแม่ลูกจะหันกลับไปมองหน้ากันอย่างสโลว์โมชั่น
“ท่านเอเทมตกลงแต่งงานกับเขา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“เอ่อ...”ผมตกใจจนหน้าแทบหงาย ใครเล่าจะคิดว่าสองแม่ลูกจะตีความไปในทิศทางนั้นได้ ผมยืนตาเหลือกอยู่ตรงหน้าในขณะที่สองแม่ลูกเริ่มเต้นเร่า ๆเหมือนผีเจ้าที่เข้าสิง ทั้งสองคนเต้นไปเต้นมาสักพักก็รีบวิ่งกระโจนออกจากบ้านไป
ไม่ได้วิ่งไปเปล่า ๆ ทั้งสองคนหอบเอาข่าวใหญ่ไปเผยแพร่ด้วย
“เจ้าข้าเอ้ย! เด็กหนุ่มที่ท่านเอเทมพามาด้วยคือคู่หมั้นของท่านเอเทม!!”
“พ่อแม่พี่น้อง! ท่านเอเทมตกลงแต่งงานกับเด็กที่ลงข่าวหน้าหนึ่ง!”
“พวกเขามาฮันนี่มูนที่หมู่บ้านของพวกเรา!!”
“น้ำผึ้งพระจันทร์! ใครก็ได้รีบไปเตรียมน้ำผึ้งพระจันทร์มาให้พวกเขาที!!”
...
“นะ...นี่มัน...”ผมยืนเกาะขอบประตูมองความวินาศสันตะโรข้างนอก
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ทุกคนรู้จักกันหมด เมื่อสองแม่ลูกวิ่งวนรอบหมู่บ้านครบรอบบ้านทุกหลังก็เปิดประตูออกมา ทุกคนที่ทราบข่าวส่งเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด ในทีแรกพวกเขาเหมือนไม่เชื่อแต่พอพิจารณาจากเหตุผลของสองแม่ลูกแล้วทุกสายตาก็หันขวับมารวมกันที่ผม
“อู่ย...”ผมควรทำยังไงต่อไปดี!
ผมหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สถานการณ์เบื้องหน้ามันเลยเถิดไปไกลเกินไป
“ผมโดนเขาปฏิเส—“เดี๋ยวสิ นี่อาจจะเป็นโอกาส
ถ้าข่าวลือว่าท่านเอเทมหมั้นหมายกับผมถูกเผยแพร่ออกไปล่ะก็คู่แข่งของผมก็จะน้อยลง เหล่าชะนีน้อยใหญ่ที่เป็นเอฟซีเขาหรือพวกคุณหนูที่เป็นลูกหลานขุนนางซึ่งพยามตามจีบท่านเอเทมอยู่ คนพวกนี้จะลดลง! สามารถกล่าวได้ว่าผมพลิกผ่ามือทีเดียวขจัดคู่แข่งได้เป็นเบือ!
ตะ...แต่การปล่อยข่าวลื่อมั่ว ๆนี่แพร่ออกไปชื่อเสียงของท่านเอเทมจะเสื่อมเสีย
โหย ไม่ต้องคิดเลยว่าผมเลือกแบบไหน
ฮ่า ๆ ๆ ๆ แพร่ออกไปให้ไกลเลยป้า ผมให้ยืมเพกาซัสป้าขี่ไปบอกหมู่บ้านข้าง ๆเลยก็ได้!!
“หิวจัง ลัลล้า มีอะไรให้กินบ้างน้า~~”
ผมแฮปปี้จนถึงขีดสุด หันหลังปิดประตูใส่โลกภายนอกเดินกลับเข้ามาในครัว ตักซุปหยิบขนมปังมานั่งกินที่โต๊ะกินข้าว ใบหน้าแช่มชื่นมีความสุขเหลือล้น
ปัง!
ผมที่กำลังอิ่มเอมเปรมปรีสะดุ้งจนตัวโยนเพราะเสียงเปิดประตูอันดังสนั่น มันแรงจนผมกลัวว่าประตูจะหลุดติดมือคนเปิดมาด้วย และแน่นอนว่าคนที่เดินโมโหโกรธาเข้ามาในบ้านไม่ใช่ใครอื่น
ท่านเอเทมคู่หมั้นของผมนั่นเอง
“ท่านนั่งก่อนสิ เดี๋ยวข้าไปตักซุปให้”ผมเฉไฉทำเหมือนไม่รู้ว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้นข้างนอก ส่งยิ้มแป้นแล้นให้เขาก่อนเดินฮัมเพลงกลับเข้าไปในครัว
ผมเดินออกมาพร้อมชามซุปและขนมปังในมือแต่ท่านเอเทมยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะเหมือนเดิม เขาจับจ้องผมด้วยสายตาสุดจะสะกดกลั้นไม่ให้พลั้งมือฆ่าผมตาย ด้วยความที่เขาถนัดใช้เวทน้ำแข็งหรืออย่างไรไม่ทราบ บรรยากาศในบ้านไม้หลังนี้ถึงได้เย็นลงจนผมเริ่มขนลุก
“อะ...อะไรล่ะ...ท่านมองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”ผมค่อย ๆว่างชามลงบนโต๊ะก่อนจะกระเถิบถอยหลังออกมาให้ห่างจากร่างสูงให้มากที่สุดเท่าที่สามารถ ผมถอยจนแผ่นหลังชิดกำแพงแล้ว
“การันต์!”น้อยครั้งนักที่เขาจะเอ่ยเรียกชื่อของผม แต่ผมไม่มีกะใจจะมาปลื้มเพราะขายาว ๆของอีกฝ่ายค่อย ๆย่างเข้ามาใกล้ผมขึ้นเรื่อย ๆ จนระยะห่างที่ว่าน้อยอยู่แล้วยิ่งน้อยลงไปอีก
“ท่านเอเทม...”ผมเอ่ยเรียกชื่อของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม เขายืนห่างออกไปเพียงแค่ศอกเดียวเท่านั้น
ปึง!
“ทะ ท่าน!”หัวใจผมแทบวาย เมื่อกี๊เขาเอื้อมมือข้างขวามายันผนังบ้านข้างหัวผมพอดี เขาตบลงไปแรงมากจนผมอดมโนไม่ได้ว่าถ้าหากเขาเลือกที่จะตบลงมาที่หัวผมแทนที่จะตบลงบนผนังล่ะก็ป่านนี้หัวผมคงเละไปแล้ว
“ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!! ข้าสาบานให้ฟ้าผ่าตายเลยเอ้า!”
“เจ้าพูดเช่นนี้แปลว่าเจ้ารู้ว่าข้ากำลังโกรธเรื่องอะไร?”ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้ามาใกล้
มันน่ากลัวมากกว่าเขินผมจึงพยามหดคอหนี
“ก็...พอจะรู้นิดหน่อย...ละมั้ง...รึป่าวนะ แหะ ๆ...”ผมพยามจะกระดึ๊บหนีแต่มันก็ไม่ช่วยอะไร มิหนำซ้ำยังทำให้ท่านเอเทมต้องยกมืออีกข้างมาเท้าผนังไว้เพื่อกักตัวผมไม่ให้หนีไปไหนรอด
“เอ่อ ท่านเอเทม...”ผมอกจะแตกตายอยู่แล้ว! ตั้งแต่ผมตอบไปว่าพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็เอาแต่ทำหน้าถมึงทึงจ้องผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ! ยืนเฉย ๆจะตีก็ไม่ตีแบบนี้มันกดดันนะเว้ย ถ้าจะตบก็ตบมาเล้ย! เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา ให้สมอุราจนสาแก่ใจ!
“อะ...อ้าว...”ทว่านอกจากจะแผ่ไอเย็นพิฆาตใส่ผมรัว ๆท่านเอเทมกลับไม่ทำอะไรอีก หลังจากยืนจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่นานเขาก็ผละออกไป
ผมที่ได้รับอิสระแถมยังไม่โดนกระทืบได้แต่ยืนเหรอหราทำตัวไม่ถูก
ท่านเอเทมไม่ตีผม ดูเหมือนเขากำลังพยามระงับอาการโกรธด้วยการหันไปอีกทางหนึ่ง
ผมเดินเข้าไปใกล้แผ่นหลังของเขา พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกผิด”ผมขอโทษ ผมจะไปแก้ข่าวให้เดี๋ยวนี้แหละ”
“เปล่าประโยชน์ ตอนนี้ในเมืองหลวงเองก็มีข่าวทำนองนี้แพร่ไปทั่วแล้ว”
“เห ทำไมล่ะ ป้ากับเรเชลปล่อยข่าวได้เร็วขนาดนั้นเลยหรือ”ผมประเมิณทั้งสองคนต่ำไปแล้ว
“ไม่ว่าใครพอรู้ว่าเราสองคนออกมาด้วยกันก็คิดไปทางนี้ทั้งนั้น”
“อ้อ...เรื่องนี้ข้าไม่รอบคอบพอจึงไม่รู้มาก่อนว่าหลังจากประกาศขอแต่งงานกับท่านแล้วท่านยังยอมให้ข้าอยู่ใกล้ ๆก็เท่ากับว่าท่านไม่ได้ปฏิเสธแล้ว...ท่าน...น่าจะแอบ ๆพาข้ามานะ”ผมคิดว่าท่านเอเทมคงพอรู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือเขารู้อยู่แก่ใจแล้วทำไมเขาถึงยอมทำ
“ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว พอกลับเมืองหลวงข้าก็ต้องให้เจ้ามาอยู่ข้างตัวอยู่ดี ข่าวลือเช่นนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้”
“อ๋อ...เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ถ้าท่านเตรียมใจรับข่าวลือพวกนี้ไว้แต่เนิ่น ๆแล้ว เมื่อกี๊ท่านจะขึงขังใส่ข้าทำไมล่ะ!!!”แบบนี้ก็เท่ากับผมกลัวฟรีเลยน่ะสิ!
ท่านเอเทมหันตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผม คราวนี้เขาดูใจเย็นลงแล้วก็จริงแต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววขุ่นมัวอยู่ไม่น้อย”เพราะว่าเจ้ามันโง่เขลา อ่านสถานการณ์อะไรไม่ออกสักอย่าง สถานะของตัวเองตอนนี้ก็ไม่รับรู้ เจอปัญหาก็ไม่แก้ไขเอาแต่มองโลกในแง่ดี! นั่งกินขนมปังอย่างสบาลใจ!!”
“...”
“ในฐานะผู้บังคับบัญชาข้าขอสั่งเจ้าให้วิ่งรอบหมู่บ้านจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด!!”
“...”
มองโลกในแง่ดีเหรอ ก็คงจะจริงของเขา
ตั้งแต่ข้ามมิติมาผมก็มโนว่าตัวเองได้รับเลือกมาเป็นผู้กล้า พอรู้ว่าแค่ดวงซวยเฉย ๆก็มองในแง่ดีว่าอย่างน้อยภารกิจกลับโลกก็ไม่ยากเกินความสามารถ พอโดนวาร์ปมาที่เมืองที่ไม่รู้จักผมก็เอาแต่นั่งนับเงินปลอบใจตัวเองไปวัน ๆ พอเหงา ไม่มีเพื่อนก็จ่ายเงินซื้อลันเทียมาอยู่ด้วย โดนเพ่งเล็งว่าถือครองศาสตร์มืดก็ไม่แคร์เพราะคิดว่าได้โอกาสเข้าใกล้ท่านเอเทม
“แต่ว่านะ...ถ้าหากท่านไม่ให้ข้ามองโลกในแง่ดี แล้วโลกใบนี้จะเหลือสิ่งดีงามอะไรอีกเล่า”
ไม่มีเลย ถ้าผมไม่หลอกตัวเองแล้วหยิบยกข้อดีอันน้อยนิดท่ามกลางความเฮงซวยขึ้นมาปลอบตัวเองตัวผมคงกระอักความบัดซบเหล่านั้นตายห่าไปนานแล้ว
“อยู่ในโลกที่ไม่รู้จักเพียงลำพังก็ว่าน่ากลัวแล้ว แต่ท่านดูข้าตอนนี้สิ ข้าต้องอยู่ในโลกที่ไม่รู้จักโดยมีขาข้างหนึ่งอยู่ในลานประหาร มีคนเก่งอย่างท่านพร้อมปลิดชีวิตทุกเมื่อ มีอัศวิน มีพลเรือน มีทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้พร้อมจะจบชีวิตข้าทุกเมื่อ...”
“...”
“กับอีแค่นั่งกินขนมปังแล้วนั่งยิ้มโง่ ๆ ท่านก็ไม่อนุญาตหรือ”
“...”
ท่านเอเทมไม่ได้มีรีแอคชั่นอะไรกับบทพร่ำพรรณนาของผม เขาเพียงแค่เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกินข้าง ตักซุปที่เริ่มเย็นชืดนั่นเข้าปากก่อนหันพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆหากแต่อ่อนลงหลายระดับว่า”มากินต่อสิ ขนมปังของเจ้าน่ะ”
“ครับ!”ผมยิ้มกว้างก่อนวิ่งไปลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆเขา
“เจ้าชอบขนมปังขนาดนั้นเลยหรือ”เขาถามขณะหันมามองหน้าผม เขาคงเห็นผมดีใจเป็นปลากระดี่ได้น้ำจึงอดถามออกมาไม่ได้
“ฮะ ๆ ๆ ๆ เปล่านี่ มันออกจะแข็งไปหน่อยด้วยซ้ำ”
“แล้วมีเรื่องอะไรให้เจ้าดีใจหรือ”
“อ้อ ฮะ ๆ ๆ”ผมหัวเราะเพราะตลกตัวเอง พอเขาถามว่าผมดีใจเรื่องอะไรผมเองก็แอบอายที่จะตอบเหมือนกัน
“ข้าดีใจเพราะท่านไม่สั่งข้าวิ่งรอบหมู่บ้านแล้ว”
“บางทีการมองโลกในแง่ดีอาจจะดีสำหรับเจ้าแล้วจริง ๆ...”
“ฮ่ะ ๆ ๆ ๆ ข้าก็เพิ่งรู้ตอนท่านทักนี่แหละว่าข้าเป็นคนมองโลกในแง่ดี เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตเลย เพราะอยู่กับพ่อแม่ก็ไม่ค่อยมีเรื่องเครียดด้วยล่ะ แต่ตอนย้ายออกมาอยู่หอข้าก็เหนื่อยนิดหน่อยนะ ปัญหาใหญ่สุดในชีวิตคือตอนที่เจอแมลงสาปในห้อง ข้ากระโดดหนีขึ้นไปนั่งกอดเข่าอยู่บนโต๊ะ คิดอยู่นานเลยว่าจะจัดการกับมันยังไง สุดท้ายข้าก็ใช้เงินแก้ปัญหา โทรเรียกลุงยามขึ้นมาจับแล้วก็ให้เงินเขา ฮะ ๆ ๆ มีเงินนี่มันดีจริง ๆ ที่โลกนี้ข้าก็มีเงินข้าจึงไม่เครียด ฮะ ๆ ๆ”
ใครบอกว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้แปลว่าคนนั้นมีเงินไม่มากพอ!
--------------------------------
#พิชิตใจท่านเอเทม
อิน้องก็คือตัวอย่างของคนเห็นเรื่องกินสำคัญกว่าชีวิต 5555