ลายที่ 20
Sunshine
(ทิวากรอ่อนหวาน)
มีเพียงความสุขุมมุ่งมั่นสะท้อนในแววตาของพี่วา
ป่านมองเงาในกระจกของคนรัก นึกประหลาดใจที่พี่วาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากเพียงเปลี่ยนเสื้อผ้า จากเสื้อยืดกางเกงยีนธรรมดากลายเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสีเข้ม แปลกตาทว่าดูดีจนป่านไม่อาจละสายตา
เด็กน้อยลอบยิ้มมองฝ่ามือที่จับแขนเสื้อพับขึ้นแล้วคลายออกคล้ายลังเลว่าควรปิดหรือเปิดเผยรอยสักบนท่อนแขนกำยำ
“ไม่เห็นต้องมากพิธีเลยครับ” ป่านตัดสินใจให้ ขยับเข้าไปยืนหน้ากระจกข้างกัน สองมือบรรจงพับแขนเสื้อเป็นทบเท่ากันไปจนถึงข้อศอกอวดสวนสวยบนแขนขวา ก่อนย้ายไปพับอีกข้างพลางปลดกระดุมคอเสื้อสองเม็ดบนเพื่อโชว์รอยสักที่ต้นคอด้วย
แบบนี้เหมาะกว่าเยอะเลย
“ก็ไปเจอพ่อตาทั้งที” พี่วาหัวเราะ รู้ว่าไม่จำเป็นต้องสำรวจกระจกอีกแล้ว เพียงสบตาน้องก็รู้ว่าตัวเองคงดูดีอยู่พอตัว ดวงตากระต่ายน้อยจึงวิบวับยั่วยวน
แขนข้างหนึ่งยกขึ้นรวบเอวบางแนบร่างจรดหน้าผากแตะหน้าผากระลมหายใจรินรดกันและกัน
“พ่อตาเลยเหรอครับ ขี้โม้จัง” น้องยียวนกลับ มือหนึ่งยกขึ้นแตะรอยสักบนแขนไล้ปลายนิ้วเล่นตามแนวเส้นเลือดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถูกจับมือไว้ ฝ่ามือใหญ่ประสานนิ้วมือทั้งห้าพลางใช้ปลายจมูกเขี่ยปลายจมูกเรียกร้องความสนใจ ป่านเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยรอยยิ้ม เผยอริมฝีปากคลอเคลียหยอกเย้าแตะเพียงผ่านล่อหลอกอยู่อย่างนั้นก่อนต่างหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขอกำลังใจหน่อย”
บรรจงจุมพิตแผ่วเบา หวานล้ำ โอบอุ้มมอบไออุ่นแก่กันและกัน
พ่อดูผอมลงกว่าครั้งล่าสุดที่ได้เจอมาก ใบหน้าซูบตอบทว่ายังเจือรอยยิ้มยินดีเมื่อได้เจอลูกชายก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเมื่อได้เห็นร่างสูงของคนที่เดินตามมา
“สวัสดีครับ” น้องป่านบอกว่าพี่วาเป็นช่างสัก อายุห่างจากตัวเองถึงแปดปี พอได้เจอแล้วพี่วาก็ดูโตกว่าป่านมากจริงๆ
ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ดวงตาเรียวคมเกือบจะดูแข็งกร้าวทว่าแฝงความสุขุมเสียมากกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ จากประสบการณ์การเจอผู้คนอันหลากหลายทำให้พ่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจเพียงแวบแรก เขารับไหว้ เอื้อมมือหยิบของฝากที่แฟนลูกชายอุตส่าห์หอบมาให้
“ตามสบายๆ” เอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็หยุดเพื่อไอออกมาหลายครั้ง ป่านขมวดคิ้ว ไม่ได้คิดไปเองจริงๆ ว่าสีหน้าพ่อไม่สู้ดีนัก แม้จะพยายามปั้นยิ้มทว่าลมหายใจติดขัดอย่างเห็นได้ชัด
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสักพัก ก่อนที่พี่วาจะยื่นแก้วน้ำข้างตัวให้คนป่วยดื่มแล้วเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“บ้านน่าอยู่มากเลยนะครับ” บ้านริมน้ำที่เคยทรุดโทรมดูสะอ้านสะอ้านและอบอุ่นขึ้นเมื่อมีผู้อาศัย พ่อเปลี่ยนโถงและห้องรับแขกเป็นแกลเลอรี่ย่อมๆ ผสมกับห้องทำงาน
ก่อนหน้านี้ป่านมีส่วนร่วมในการช่วยจัดโน่นนี่บ้าง เห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ ดีใจที่พ่อได้อยู่ท่ามกลางสิ่งที่รักแม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวย
“อยากเห็นข้างในไหมล่ะ” เสียงที่ยังแหบแห้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือชวนพี่วาไปยังส่วนของห้องทำงาน ป่านเคยเข้าไปเพียงหนึ่งครั้งรู้ว่าในนั้นมีภาพวาดของพ่อเรียงรายอยู่เยอะมาก พี่วาคงชอบใจ
แต่ก่อนที่ป่านจะตามเข้าไป พ่อกลับหันมายิ้มให้
“ป่านอยู่ช่วยลิซ่าเตรียมข้าวเย็นดีกว่า” ป่านเลิกคิ้วมองลิซ่าหรือก็คือภรรยาใหม่ของพ่อที่ยิ้มรับ แม้จะยังงุนงงทว่าก็ยอมพยักหน้าเดินตามลิซ่าเข้าไปในครัว ไม่วายหันกลับมาสบตาพี่วาที่เพียงยิ้มให้แล้วพยักหน้าเบาๆ
เป็นอันเข้าใจว่าพ่อคงมีเรื่องอยากคุยกับพี่วาตามลำพัง
ในสตูดิโอมีภาพที่ยังวาดไม่เสร็จค้างอยู่บนเฟรมผ้าใบ เป็นใบหน้างดงามของเด็กผู้ชายที่พี่วารู้ดีว่าเป็นใคร
“ผมไม่เคยรู้เลยว่าป่านชอบผู้ชาย” น้ำเสียงแหบแห้งเริ่มต้นบทสนทนา ดวงตาอิดโรยสำรวจร่างสูงอีกครั้ง ก่อนหัวเราะเบาๆ “แต่จะรู้ได้ยังไงกัน จริงไหม”
วาเพียงยิ้มรับ เขาเบือนหน้ากลับไปยังภาพวาด มองดวงตาสุกใสที่ถูกระบายอย่างสมจริงราวมีชีวิตแล้วอดเอ่ยชมไม่ได้
“ภาพสวยมากเลยครับ” ป่านเคยบอกว่าพ่อเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ และผลงานที่รายล้อมอยู่รอบห้องก็ช่วยยืนยันได้อย่างดี
“ผมไม่แน่ใจว่าจะวาดภาพนี้ได้เสร็จไหม” น้ำเสียงเจือขบขันทว่ามือที่สั่น เสียงไอ ร่องรอยบนผ้าเช็ดหน้าที่บ่งบอกอะไรได้มากมาย
วาได้แต่ขมวดคิ้วพยายามไม่ให้ตัวเองแสดงสีหน้าสงสารออกมา
“ป่านคงเคยเล่าเรื่องครอบครัวของเราให้ฟังแล้วใช่ไหม” ปล่อยให้คนหนุ่มได้สำรวจผลงานศิลปะรอบห้อง ก่อนที่ร่างผ่ายผอมจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจคล้ายเหนื่อยเต็มที
“ครับ” พี่วานั่งลงตามสายตาสบดวงตาอิดโรยด้วยความจริงจัง
สัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่เอ่ยปากบอกว่าอยากเจอเขา
“ตอนนั้นผมคิดถึงแต่ตัวเอง คิดถึงแต่ชื่อเสียง คิดถึงความสำเร็จ ผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้พวกเราสุขสบาย”
“...”
“แต่นานวันเข้าเส้นทางมันยิ่งห่างไกล ผมรู้ว่าตัวเองกำลังจะล้มเหลว และกำลังจะกลายเป็นภาระ” อาจอ้างไม่ได้ว่านี่คือเหตุผล แต่เสาหลักของครอบครัวที่กำลังสั่นคลอนยากที่จะปักหลัก ไม่อยากเหนี่ยวรั้งให้ทุกคนจมลงไปพร้อมกัน “ตอนนั้นผมคิดว่าต้องเริ่มใหม่ ผมต้องปล่อยมือ ให้พวกเราต่างก้าวไปข้างหน้าได้”
“นั่นไม่มีเหตุผลเลย” วาเอ่ยออกไปตามตรง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “ป่านกับแม่รอคุณอยู่”
เขาเข้าใจหัวอกคนที่ไม่อาจเดินตามเส้นทางฝัน ทว่ามันอาจไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายในชีวิตก็ได้ไม่ใช่หรือ?
พ่อของป่านหัวเราะ ก่อนจะไอออกมาโขลกใหญ่
“จริงของคุณ” คนป่วยสูดหายใจพลางยิ้ม สายตาของเขามองไม่ผิดจริงๆ ที่ว่าแฟนของลูกชายดูจะเป็นคนจริงใจ “แต่มันสายเกินไปแล้ว”
“...”
“ตอนนั้นผมหลงทางและโดดเดี่ยว ทุกอย่างเหมือนไม่มีทางออก แล้วเธอก็เข้ามา เธอเป็นเหมือนแสงสว่างและผมก็ตัดสินใจเลือกทางอื่นที่ไม่สามารถย้อนกลับมาได้”
การนอกใจ
วาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ ในใจนึกตำหนิ กล่าวโทษแทนป่านกับแม่ที่ต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ชายตรงหน้าคือคนเห็นแก่ตัวโดยแท้ ทว่าความคิดทั้งหมดก็มลายหายไปเพียงเสี้ยววินาที
“ผมจึงไม่ได้กลับมาที่นี่เพื่อขอการอภัย” เขาทำผิด เขารู้ตัวดี และเสียใจ ต่อให้แม่กับป่านจะให้อภัยและไม่คิดกล่าวโทษด้วยจิตใจที่ดีงามอ่อนโยนเกินกว่าจะฝังใจโกรธเคือง เขาก็คิดว่าตัวเองกำลังได้รับบทเรียนสาสมอย่างที่ใครก็ไม่อาจช่วยบรรเทาได้
“ผมกลับมาเพื่อบอกลา”
ความตาย
อาหารเย็นถูกจัดเตรียมพร้อมไว้ก่อนที่ป่านกับพี่วาจะมาเสียอีก ดังนั้นเด็กน้อยจึงไม่มีหน้าที่อะไรมากไปกว่าวางจานอาหารลงบนโต๊ะกินข้าว และปลีกตัวออกมานั่งรับลมที่ศาลาท่าน้ำเหมือนเคย
ไม่รู้ว่าพี่วากับพ่อคุยอะไรกันตั้งนานสองนาน ระหว่างที่ป่านปล่อยใจไปกับสายน้ำไหลเอื่อยชวนสงบร่างสูงก็ทรุดตัวลงมานั่งข้างๆ
“เขาพูดอะไรบ้างครับ...” ป่านรีบหันขวับกลับไปตั้งใจจะพรั่งพรูคำถาม ทว่าพอเห็นมุมปากที่แตกขึ้นสีช้ำของพี่วาก็ได้แต่ชะงัก เบิกตากว้าง “เดี๋ยวนะครับ หน้าพี่ เขาชกพี่เหรอ ให้ตายเถอะ! เขาไม่มีสิทธิ์...”
น้ำเสียงกับท่าทางโกรธเคืองจะไปเอาเรื่องทำให้พี่วาต้องเอื้อมมือไปคว้าเอวน้องไว้ รั้งลงมานั่งตักปลอบขวัญ
“ชู่วๆ ไม่ๆ นี่ความผิดพี่เอง” น้ำเสียงทุ้มกลั้วหัวเราะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร “เขาขอให้พี่ถนอมเราไว้ ไม่ล่วงเกินจนกว่าจะเรียนจบ แต่พี่บอกว่าไม่ทันแล้ว ก็เลยโดนหมัดสวนกลับมา”
ที่จริงคงเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยความตกใจมากกว่า เพราะหลังจากใช้แรงแทบทั้งหมดชกเขาพ่อของป่านก็หัวเราะออกมา เอ่ยทีเล่นทีจริงว่าสามารถแจ้งตำรวจจับเขาได้
แต่วารู้ดีว่าท่านไม่มีทางทำอย่างนั้น เพื่อเห็นแก่ความสุขของป่าน และอย่างที่น้องบอก ท่านคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายการตัดสินใจที่ป่านกับแม่เห็นดีเห็นงามแล้ว
“พี่...” เด็กน้อยเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าบทสนทนาของทั้งสองคนจะเจาะจงไปถึงขั้นนั้น
พี่วาหัวเราะ ไม่บอกน้องว่ากระทั่งหม่ามี้ก็รับรู้แล้วเช่นกัน
ยังคงแกล้งเอ่ยขบขัน “มีแฟนน่ารักพ่อตาก็ต้องหวงเป็นธรรมดาอ่ะเนอะ”
ป่านเบ้หน้า ก่อนสีหน้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เบี่ยงประเด็นคำถาม “แล้วเขาพูดอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“เขาฝากให้พี่ดูแลเรา อย่าทำให้เราร้องไห้” ว่าพลางโอบกอดน้องไว้ “เขาเป็นคนดีนะ”
“ครับ เป็นคนดี... แต่ไม่ใช่พ่อที่ดี” น้ำเสียงนั้นช่างแสนงอน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “แต่ผมไม่โกรธหรอก สิ่งที่เขาทำผมให้อภัยทุกอย่าง... ผมเป็นห่วงเขา ผมรู้ตัวว่ายังรักเขา”
พี่วายิ้มออกมาพลางกดจูบขมับน้องซ้ำๆ จับเด็กน้อยในอ้อมกอดโยกซ้ายขวาเบาๆ คล้ายกำลังปลอบประโลมปกป้องจากภัยอะไรก็ตามที่จำเข้ามาทำให้จิตใจแสนบริสุทธิ์ดวงนี้บอบช้ำ
“เด็กดี”
มีเพียงความอุ่นใจสะท้อนในแววตาของป่าน
มื้อเย็นในบ้านริมน้ำผ่านไปด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายกว่าทุกครั้งมาก ป่านไม่เคยรู้เลยว่าพี่วามีความสามารถในการคลายบรรยากาศจนได้เห็นว่าเขาเป็นคนทำลายความเงียบระหว่างมื้อเย็น
ถามประสบการณ์ทำงานของพ่อ เอ่ยชื่นชมเรื่องที่ป่านติดหมอ แม้กระทั่งลิซ่าก็ได้รับความใส่ใจให้เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทิวากรอ่อนแสงอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้
จากที่เคยขึ้งขวางเกรี้ยวกราด เป็นอาทิตย์เที่ยงวัน กลับกลายเป็นแสงเช้าแดดอุ่นโอบอุ้มทุกสรรพสิ่งโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงเพราะต้องการปกป้องเคียงข้างเป็นไออุ่นแก่กระต่ายน้อยน่ารักเพียงตัวเดียวเท่านั้น
“โกรธพี่หรือเปล่าที่ตอบพ่อไปแบบนั้น” คำถามถูกเอ่ยทดแทนเสียงหายใจหอบหนัก ร่างกำยำพลิกหงายก่อนจะเป็นฝ่ายรั้งร่างบางขึ้นมาเกยก่ายตัวเองไว้
ร่างกายชื้นเหงื่อเจือกลิ่นราคะกอดรัด แนบชิด ซุกซบในอ้อมกอดที่ยังเต็มไปด้วยไอร้อนจากกิจกาม
“เรื่องไหนครับ” ถามกลับ ใบหน้าแนบอกเปลือยเปล่าฟังเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวอยู่ภายใน ไม่แพ้หัวใจตัวเองที่กำลังโครมครามไม่แพ้กัน
รสชาติเซ็กซ์แสนเรียบง่ายที่ไม่ได้ลิ้มลองบ่อยนักแม้ไม่เติมเต็มล้นปรี่ทว่ากลับให้ความรู้สึกสุขสมเกินบรรยาย
“ก็เรื่อง...” ทิ้งประโยคไว้เพียงเท่านั้น แต่น้องก็เดาได้ ใบหน้าที่ยังคงร้อนจัดยิ่งแดงแจ๋ เงยสบตาคนพี่แล้วได้แต่อึกอัก เบือนหน้าหนีลงซบอกอีกครั้ง
“ปะ... เปล่า แต่เรื่องแบบนี้มัน... พูดได้เหรอครับ” นานทีเดียวกว่าจะยอมตอบ น้ำเสียงไม่แน่ใจ พี่วาหัวเราะเบาๆ ประคองใบหน้าป่านให้เงยขึ้นสบตาอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ไม่อยากโกหก พี่รักเรา ถ้าพ่อกับแม่จะเอาเรื่อง พี่ก็พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง”
ป่านได้แต่เม้มปากด้วยความเขินอาย แต่ไม่ทันไรก็ขยับขึ้นมาจุมพิตริมฝีปากพี่วาแผ่วเบา เอ่ยด้วยแววตาจริงจังบ้าง
“ผมก็รักพี่ พวกเขาไม่มีทางเอาเรื่องพี่หรอกครับ”
“หืม? เมื่อกี้พี่ได้ยินว่ารัก” แต่คนพี่กลับแกล้งทำเสียงไม่เชื่อหูน่าหมั่นไส้ ป่านเลยเบ้หน้างอแง
“ไม่เคยพูดเหรอครับ”
“ไม่เคย ไหนพูดอีกทีซิ” ยังจะตีหน้ามึนโกหกแผนสูง กระชับอ้อมแขนดึงน้องขึ้นมานอนทับร่าง ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน ดวงตาอสรพิษเจ้าเล่ห์แพรวพราว
“โธ่ พี่ครับ”
“นะๆ พูดอีกทีๆ พูดอีกทีได้รึเปล่า” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นออดอ้อนงอแงกลับ
“หึ” ป่านหลุดขำ เบ้ปากแต่ยอมตามใจ ยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บริมฝีปากอีกครั้งพลางกระซิบแผ่วเบา “รัก...”
“...”
“รักพี่วานะครับ”
ดวงตาสบตา เห็นริ้วความเขินอายระเรื่ออยู่บนใบหน้าคมก่อนจะถูกกลบเกลื่อนด้วยถ้อยคำน่าหมั่นไส้เช่นเคย
“หูย ยังกับใจจะละลาย ให้ตายพรุ่งนี้พี่ก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้วอ่ะ”
“เฮ้อ ก็ต้องเวอร์ตลอดเลยนะครับ”
#มอปลายลายสัก #สักวาป่านหวาน #วาป่าน
หายไปเคลียร์เรื่องสั้นมาค่ะ แพ็คหนังสืออย่างหักโหมหลังหัก และแอบติดนิยาย 5555
ปล. เหลืออีก 3 ตอนก็จบแล้ววว แอบใบว่าเหลือแต่ความหวานๆ เผ็ดๆ ล่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
รักมากๆ เลย
-Martian-