ลายที่ 17
New Year
(พลันประกาย)
ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้
รู้ตัวอีกทีก็กำลังจะขึ้นปีใหม่แล้ว เทศกาลเฉลิมฉลองที่ใครหลายคนต่างตั้งตารอคอย
ป่านเองก็รอคอยเช่นกันเพราะนี่จะเป็นการหยุดพักครั้งแรกหลังเอาแต่คร่ำเคร่งกับการเรียน การอ่านหนังสือมานาน
ทว่าสำหรับเด็กม.6 คงเป็นการหยุดพักที่จิตใจยังฟุ้งซ่าน เมื่อยังไม่มีมหาลัยให้ลงหลักปักฐาน ผลการยื่นโปร์ไฟล์สำหรับการคัดเลือกรอบแรกของมหาลัยที่ป่านหวังไว้ใกล้ประกาศผลเต็มที ดังนั้นในใจของเด็กน้อยจึงยังเต็มไปด้วยความกดดันและกังวล
โชคดีที่คอยมีคนอยู่เคียงข้างร่วมปั่นป่วนไปด้วยกัน
‘ไม่ต้องกังวลหรอก ป่านเก่งอยู่แล้วยังไงก็ผ่าน’
‘ถ้าไม่ผ่านรับตรงก็รอรอบแอดก็ได้’
‘หมอมีรอบแอดซะที่ไหนล่ะมึง’
‘สมัยนี้เขาเรียก TCAS ต่างหาก’
‘คืออะไร’
‘ใครจะไปรู้’
‘เป็นเด็กม.6นี่ลำบากฉิบหายเลย’
ป่านจำได้ว่าตัวเองหัวเราะออกมาจริงๆ ตอนที่ฟังคุณหนู เฮีย และพี่วาทะเลาะกันเรื่องระบบการสอบเข้ามหาลัยที่ดูจะยุ่งยากขึ้นทุกที ย้อนรำลึกความหลังสมัยที่ตัวเองอยู่ม.6 คุยเรื่องข้อสอบที่ผิดประหลาดและไม่รู้ว่านำไปวัดความสามารถอะไรได้ และบรรยากาศก็ผ่อนคลายเมื่อต่างคนต่างแย่งกันพูดเรื่องขบขัน
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะ” คิดเรื่อยเปื่อยกระทั่งถูกแก้วน้ำอัดลมเย็นเฉียบแตะลงที่แก้ม เงยหน้าขึ้นก็เห็นหม่ามี้ยืนยิ้มอยู่ ก่อนจะวางจานขนมขบเคี้ยวไว้ข้างป่านแล้วนั่งลงตาม
ทีแรกป่านตั้งใจจะอยู่เคาท์ดาวน์กับทุกคนที่ร้านสัก แต่หม่ามี้ชวนออกมาฉลองที่บ้านคุณปู่ด้วยกัน ปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ครอบครัวได้อยู่ฉลองวันส่งท้ายปีกันอย่างพร้อมหน้า มันเป็นความตื่นเต้น ปะปนกับความรู้สึกประหลาด เพราะนอกจากป่านกับแม่ พ่อยังมีครอบครัวปัจจุบันมาร่วมงานสังสรรค์
ไม่ใช่ความอิจฉา ไม่ใช่ความเกลียดชัง แต่เป็นความรู้สึกประหลาด...ว่างโหวง ราวกับมีโพรงกลวงโบ๋อยู่ในอก เมื่อเห็นชัดเจนว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของป่านกับแม่อีกแล้ว
ป่านทำตัวไม่ถูกจึงปลีกตัวออกมา แม่ก็คงเช่นกัน
สองแม่ลูกนั่งห้อยขาอยู่บนชานศาลาริมน้ำ สายตาทอดมองผิวน้ำสะท้อนแสงดาว เงียบเชียบ ราวกับกำลังรำลึกความหลัง
บ้านหลังนี้เป็นของคุณปู่ บ้านเกิดของพ่อ ป่านจำได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อกับแม่เคยพาป่านมาเยี่ยมปู่กับย่าบ่อยครั้ง ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกทาง ตอนนี้สภาพบ้านทรุดโทรมไปมาก เพราะไม่มีใครอยู่มาหลายปี แม้พ่อกับครอบครัวจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่เรียบร้อย
ในใจของป่านรู้ดีว่ามันจะไม่มีทางเรียบร้อยไปมากกว่านี้ เพราะสุดท้ายพ่อต้องกลับไป
ป่านหันกลับไปมองหน้าแม่ พยายามคาดเดาว่าแม่จะรู้สึกยังไงกับการกลับมาเพื่อต้องลาจากอีกครั้ง
บางทีในใจของแม่อาจมีโพรงกลวงโบ๋ที่ลึกและกว้างกว่าป่านก็ได้ ใช่ไหม
“แม่เหงาไหมครับ”
“หืม?” แม่หันมาสบตา ยังคงประดับรอยยิ้มงดงาม
วินาทีนั้นป่านรู้สึกโชคดี ที่ทั้งดวงตาและรอยยิ้มของป่านถอดแบบมาจากคนตรงหน้า
“ตอนที่พ่อไม่อยู่... แม่เหงาไหมครับ” เด็กน้อยพยายามคิดภาพสีหน้าของหม่ามี้ในตอนนั้น แต่กลับนึงไม่ออก จำได้เพียงอ้อมกอด รอยยิ้ม และแผ่นหลังแข็งแกร่งของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าในทุกวัน
“เพราะมีป่าน หม่ามี้เลยไม่เคยเหงา” แม่เอื้อมมือมาลูบหัวลูกชายเบาๆ ป่านยิ้มกว้างไถแก้มกับฝ่ามือออดอ้อนแบบที่ชอบทำ
“ตอนเด็กๆ ป่านซนมากไหมครับ”
แม่หัวเราะ “ไม่เลย ป่านเงียบมาก จนคุณครูเขียนมาในสมุดพกว่าเป็นเด็กขี้เหงา” ป่านหัวเราะ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเรื่องทำนองนั้น
แม้เป็นเด็ก แต่ป่านรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ที่บ้านเป็นยังไง สิ่งเดียวที่ป่านคิดว่าตัวเองพอจะทำได้คือการพยายามตั้งใจเรียนและไม่สร้างปัญหา
“พอโตมาก็เลยดื้อมากๆ เลยสินะครับ” ไม่วายยกความผิดที่ผ่านไปแล้วมาถล่มตัวเอง หม่ามี้ขำ ดึงตัวป่านลงมาหนุนตักพลางลูบหัวเบาๆ
“แต่หม่ามี้ชอบที่ป่านเป็นตอนนี้ ป่านดูมีความสุขกว่าแต่ก่อน” เด็กน้อยเลิกคิ้ว ไม่เคยสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
แต่ในสายตาของคนเป็นแม่มองเห็นชัดเจน และพอจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ติ๊ง~
ไม่ทันไรก็มีเสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาจากคนที่เป็นความสุขของลูกชาย
“พี่วาส่งข้อความมาสวัสดีปีใหม่ครับ” อุบอิบไม่บอกว่ามีอีกข้อความที่ส่งมาติดๆ กัน
‘คิดถึงแล้วครับ’
ข้อความที่ทำให้ลูกชายของหม่ามี้ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นมาตอบกลับ
‘คิดถึงเหมือนกันครับ’
เห็นแล้วอดเอื้อมมือไปหยิกแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อด้วยความมันเขี้ยวไม่ได้ ป่านหัวเราะ เก็บมือถือแล้วสบตาแม่อยู่พักใหญ่
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
ได้คำตอบของคำถามที่เพิ่งถาม จากสีหน้าเปื้อนยิ้ม จากแววตา โพรงในใจของหม่ามี้คงถูกเติมเต็มปิดถมมานานแล้วด้วยความรักความห่วงใยจากลูกชายคนนี้
“ใกล้จะเคาท์ดาวน์แล้ว เรากลับเข้าไปในบ้านกันเถอะครับ”
เมื่อรู้อย่างนั้นโพรงในใจของป่านก็ถูกเติมเต็มในทันทีเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าที่ร้านสักก็คงจัดปาร์ตี้ปีใหม่กันทั้งคืน
เปิดประตูเข้ามาป่านก็เห็นขวดเหล้า จานอาหาร และเศษซากของประดับมากมายระเกะระกะเต็มร้าน เฮียเดินมาเปิดประตูให้ด้วยสภาพเหมือนเมาค้าง ขณะที่คุณหนูนั่งกินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ทั้งที่หน้างัวเงียอยู่บนโซฟา
“กินอะไรมาหรือยัง”
“หม่ามี้ให้เอาข้าวเช้ามาฝากด้วยครับ” ป่านพยักหน้า ตั้งใจจะเอาปิ่นโตใส่กับข้าวที่หิ้วมาด้วยไปใส่จานให้ แต่เฮียกลับมาคว้าไป
“ไอ้วาอยู่ในห้องสัก” บอกโดยไม่รอให้น้องถามก่อนหันหลังเดินเข้าไปในครัว คุณหนูลุกขึ้นตามอาหารไปแต่ไม่วายแวะแต๊ะอั๋งน้อง สวมกอดจากด้านหลังแล้วก้มลงหอมหัว
“ตัวหอมจังๆ” เบ้ปากบ่นงึมงำ คงเพราะสภาพตัวเองตอนนี้แทบดูไม่ได้
“คุณหนูก็ไปอาบน้ำสิครับ” ป่านหัวเราะ ปล่อยให้แฟนเฮียซุกจมูกสูดกลิ่นพลางบ่นอิจฉาจนพอใจแล้วผละตามกลิ่นอาหารไปจึงเดินไปเปิดประตูห้องสักของพี่วา
ภายในห้องแทบไม่มีแสงสว่างเพราะปิดม่านปิดไฟ แต่แสงที่ลอดผ่านประตูก็เพียงพอจะทำให้มองเห็นร่างสูงที่นอนแผ่อยู่บนเตียงสักเลือนราง
“พี่ครับ” ส่งเสียงเรียกทว่าไม่มีการตอบสนองใดๆ “หลับอยู่เหรอ?”
สองเท้าเดินเข้าไปใกล้ ก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ของช่างสัก เด็กซนลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อรู้สึกแปลกๆ กับตำแหน่งที่สลับกัน
“วา...” เรียกซ้ำอีกครั้ง เมื่อยังไม่มีทีท่าตอบสนองจึงลอบไล้ปลายนิ้ววาดตามลวดลายที่สลักลงบนร่างกายเปลือยเปล่า นึกภาพหากตัวเองเป็นช่างสักและพี่วาเป็นลูกค้าบ้างจะรู้สึกยังไง
“ทำไรอ่ะ”
“...!!” แต่เมื่อลากมาถึงตัวอักษรที่สักอยู่เหนือไหปลาร้า ดวงตาคมก็ลืมขึ้นมา ป่านสะดุ้ง มองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนที่นอนอยู่ ไม่รู้จะตอบคำถามยังไง
“จะจูบ?”
“ผ...ผมแค่... อยากดูรอยสักใกล้ๆ” เมื่อได้ยินคำตอบพี่วาก็ปรับเบาะขึ้นมาอยู่ในท่านั่งพิงหลัง เปิดโคมไฟ ก่อนอุ้มน้องขึ้นไปนั่งคร่อมตัก โอบหลังจนร่างชิดกัน
“ตรงไหน ตรงนี้?”
“...!”
“ใกล้ขนาดนี้ เห็นชัดยัง”
ในระยะนี้ยังไงก็ต้องเห็นเด่นชัด ป่านอ่านออกเสียงเบาๆ
“Kiss me”
“อือ”
ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ทีละตัวอักษรแผ่วเบา ผุดรอยยิ้มยียวนมุมปาก ดวงตาหวานสบตา “แล้วจูบได้จริงไหมครับ ตรงนี้”
“ก็ลองดูดิ” คนพี่ยกยิ้มท้าทาย ก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อน้องก้มหน้าลงมา จรดริมฝีปากเหนืองโค้งไหปลาร้าสวยแผ่วเบา
จุ๊บ
“หึ Good boy” ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวพลางรั้งให้คนตัวเล็กนอนซบลงบนร่าง กอดก่ายซุกซบซอกคอขาวทั้งจูบทั้งหอมจนคลายความคิดถึง
เด็กน้อยหัวเราะออกมาด้วยความจั๊กจี้ นิ้วมือยังเกลี่ยไล้ตามรอยสักบนตัวคนรักเล่นเบาๆ
“ฉลองปีใหม่กับที่บ้านเป็นยังไงบ้าง”
พอได้ยินคำถามป่านเพียงพยักหน้า ไม่ได้เล่าอะไรต่อ แต่วาเดาออกว่าน้องมีอะไรจะพูดจึงไม่ได้ซักไซ้มากความ เพียงรอให้น้องตัดสินใจ
“พ่อของป่าน เป็นมะเร็ง...”
แต่คาดไม่ถึงว่าเรื่องที่น้องอยากจะพูดจะเป็นเรื่องนี้
วากระชับอ้อมกอดพลางกดจูบหน้าผากน้องซ้ำๆ ปลอบประโลมไร้ถ้อยคำ น้องวาดแขนกอดกลับ พยายาอมกลืนก้อนความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาทันทีที่เริ่มพูดปัญหาที่กดทับอยู่ในใจ
แต่พี่วาเคยบอกว่าจะอยู่เคียงข้าง และป่านคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะเปิดใจ
“เขาทิ้งเราไปตอนที่ป่านยังเป็นเด็ก... เพิ่งกลับมา” ใช้เวลาพักใหญ่ในการรวบรวมคำพูดแต่ละครั้ง ทว่าพี่วาไม่คิดคาดคั้น “เขาบอกว่าจะรอจนกว่าผมจะเรียนจบ อีกหกปี พี่ว่าจะทันไหมครับ”
“นี่คือสาเหตุที่เรายอมเรียนหมอเหรอ”
“...” ไม่มีคำตอบ
อาจทั้งใช่และไม่ใช่ ป่านตัดสินใจจะเรียนต่อทางนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะรู้ว่าพ่อกลับมา ขณะที่ข่าวร้ายก็ช่วยกระตุ้นให้ความรู้สึกยิ่งชัดเจนเช่นกัน
“ทั้งที่หายไปตั้งหลายปี ทำไมถึงกลับมาสภาพนี้”
“...”
“ทำไมไม่บอกเร็วกว่านี้ ถ้าบอกก่อน... ผมจะได้เป็นเด็กดี...ฮึก...” ทั้งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้ แต่เมื่อได้เอ่ยออกมาก็คล้ายกับกำแพงที่ปริแตก ความรู้สึกทะลักทะลาย
พี่วากอดน้องไว้แน่น ทั้งจูบทั้งลูบหัวลูบหลังปลอบใจ เรื่องที่ได้รับรู้มันหนักหนาเกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะรับไหว ไม่แปลกเลยที่น้องจะรู้สึกอึดอัดจนร้องไห้
“ชู่ว... เราเป็นเด็กดีที่สุดเท่าที่พี่รู้จัก เป็นเด็กดีที่สุดในโลกแล้วครับ ได้ยินไหม”
สิ่งเดียวที่ไม่ถูกต้องคือการที่น้องโทษตัวเอง
“อย่าแบกรับไว้คนเดียว ป่านมีพี่อยู่ตรงนี้ จำได้ไหม” เอ่ยย้ำคำที่เคยบอกเพื่อให้สบายใจ
เขาดีใจที่ป่านยอมเปิดใจ ให้เขาได้รับรู้ปัญหา ให้เขาได้ปลอบประโลม ให้เขาได้ช่วยแบกรับ
เขามั่นใจว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ต่อให้มันเป็นเรื่องหนักหนาแค่ไหนก็ตาม ต่อให้สุดท้ายหมดหนทางก็ไม่เป็นไร เขาจะสอนให้น้องรู้เองว่าบนโลกนี้มีเรื่องมากมายที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังแก้ไม่ได้ ไม่ผิดเลยที่น้องจะรับมือไม่ไหว
สอนให้รู้ว่าบางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้ คือการปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ กว่าน้องป่านจะหยุดร้องไห้
เสียงสะอื้นหยุดลงขณะที่สองร่างยังนอนกอดซบกันไม่ห่าง คนหนึ่งปลอบโยน คนหนึ่งอาศัยไออุ่นชำระความเศร้า กระทั่งความรู้สึกกลับมาคงที่อีกครั้ง
ป่านดีใจที่ได้บอกเล่า และพี่วาก็ยินดีรับฟัง
“คุณหนูบอกว่ารอยสักบนตัวเฮียทั้งหมดคือแฟนเก่า ทำไมล่ะครับ” หลังจากเงียบอยู่นาน น้องก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามเรื่อยเปื่อย ชวนคุยเพื่อคลายบรรยากาศให้พี่วารู้ว่าไม่เป็นอะไรแล้ว
“เฮียมันสันดานไม่ดีไง” เสียงทุ้มตอบกลั้วหัวเราะ ฝ่ามือยังลูบหัวน้องซ้ำๆ
“พี่” เงยหน้าเบะบึ้ง บ่งบอกว่ากำลังจริงจังพี่วาเลยหัวเราะเบาๆ อีกครั้งพลางอธิบาย
“หึ เฮียมันเป็นคนเปิดเผย เคยผ่านอะไรมาบ้างก็อยากให้คนปัจจุบันรู้ไว้” ป่านไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็เปลี่ยนคำถาม
“แล้วรอยสักบนตัวพี่... เหมือนกันไหมครับ” ขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนหน้าท้องแกร่ง เพ่งมองรอยสักบนตัวคนรัก แต่เดาไม่ออกถึงที่มาที่ไป
“ก็คล้ายๆ แต่บันทึกไว้เฉพาะคนสำคัญๆ”
“...”
น้องยังคงทำหน้างง พี่วาจึงหัวเราะ ดึงร่างเล็กลงมาซบลงบนตัวอีกครั้ง “อยากรู้ขนาดนั้นก็มาใกล้ๆ สิ”
ไล่จากแขน และเชิงกรานซ้าย ขวา
“อันนี้พ่อกับแม่พี่ อันนี้โมโจ อันนี้เลนนอน” ป่านลากนิ้วตามร่างของอดัมกับอีฟ เจ้าสี่ขา และศิลปินชื่อก้องโลกผู้ล่วงลับ
เข้าใจแล้ว ความหมายของคำว่าคนสำคัญ
“Beauty and the Beast คือเฮียกับคุณหนูเหรอครับ?” หมายถึงรอยสักบนแผ่นอกที่ป่านเคยเห็นแต่จับลวดลายไม่ได้ คือใบหน้าของอสูรและหญิงสาวที่กำลังเต้นรำ ถอดแบบจากนิทานชื่อดัง
“อือ สักไว้แก้เคล็ด ไอ้เฮียมันจะได้ไม่ทิ้งคุณหนูอีก” ป่านหัวเราะ นิ้วยังคงลูบเรื่อยวาดตามเส้นที่พลิ้มไหวงดงาม ก่อนหยุดชะงัก
“แล้วอันนี้ เอ๊ะ... อันนี้ผมไม่เคยเห็น...” จะว่าไป ป่านเพิ่งสังเกตว่ารอยสักจากอกขวาตอนนี้ลามเรื่อยมาเกือบทั่วแผ่นอกซ้าย
ท่ามกลางสวนสวยปรากฏลวดลายแปลกใหม่ คือฝูงปลาที่กำลังแหวกว่าย
...ไม่สิ กำลังบินต่างหาก
“แล้วคิดว่าหมายถึงใครล่ะ หืม?”
ตอนนั้นเองที่ป่านเพิ่งเอะใจว่าเป็นลวดลายที่ถอดแบบมาจากรอยสักของตัวเอง...
ทั้งโค้งเว้าและสีสัน มัจฉาที่สวมปีกสยายงดงาม เข้ากันดีเหลือเกินกับแมกไม้ในสวนสวรรค์
ป่านยิ้มกว้าง สบดวงตาคมที่ยิ้มตอบ พี่วาเกลี่ยนิ้วตามกรอบหน้าน้อง ก่อนยื่นหน้าเข้ามาจูบหน้าผากแผ่วเบา
“สำหรับพี่ ป่านคือคนสำคัญ” เอ่ยชัดเจน
ให้รู้ว่าต่อไปนี้ป่านไม่ได้เดินไปข้างหน้าโดยลำพังอีกต่อไป
#มอปลายลายสัก #สักวาป่านหวาน #วาป่าน
เป็นเด็กม.6 นี่เหนื่อยจังเลยน้าา
ตอนเขียนเราทำตารางเรียนตารางสอบให้น้องป่านด้วยค่ะ
งงงวยพอสมควร เพราะเรียนจบมาพักใหญ่แล้ว ถ้าผิดพลาดตรงไหนแจ้งได้เลยนะคะ ;-;
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม
รักมากๆ
-Martian-