Guilty pleasure
ความผิดมันหอมหวาน ผมรู้ เพราะผมเคยชิมมันมาก่อน กันย์ก็เหมือนน้ำตาล ที่หวานจัด แม้ผมจะรู้ว่าถ้ากินเข้าไปแล้วอาจจะไม่ดีต่อตัวเอง แต่ในเมื่อมีโอกาส ผมก็อยากจะลองชิมมันอีกครั้ง
“อย่า” แม้ผมจะบอกแบบนั้น ร่างกายผมกลับตอบสนองกับมือใหญ่ที่ลากผ่านและบีบเค้นไปทั่ว
“กันต์” เขาเรียกผมเสียงแผ่วก่อนจะจรดปากลงตรงซอกคอ สะโพกของเขาที่เบียดผมจากด้านหลังขยับเสียดสีให้รู้ว่าตัวเขาเองก็รู้สึกมากแค่ไหนแม้จะสวมเสื้อผ้าอยู่ครบทุกชิ้น ลิ้นร้อนของเขาไล้มาจนถึงหลังหูของผม ผมใช้มือสองข้างปิดปากตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกไป แต่ถึงแบบนั้นก็ยังได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเองอย่างชัดเจน
“พอแล้ว”
ผมบอกเขาด้วยเสียงอู้อี้ของตัวเองพลางให้มือที่แทบไม่มีแรงดันตัวเขาออก พอหันมาสบตากับเขาถึงได้รู้ว่า ผมไม่ควรล้อเขาเล่นแบบนี้เลย
“กูหยุดไม่ได้แล้วกันต์”
ก่อนหน้านี้
ตอนเช้าผมมาทำงานตามปกติ และเห็นว่าคุณธนากรหิ้วข้าวเข้ามาในห้องทำงานสองกล่อง กล่องแรกเขาวางลงที่โต๊ะของคุณออย และอีกกล่องเขาวางลงที่โต๊ะของผม นั่นเป็นคำตอบว่าทำไมช่วงนี้กล่องข้าวของผมกับของหัวหน้าตัวเองถึงมีเมนูเหมือนกัน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงไม่เก็บไปคิดให้เหนื่อย แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนปั่นหัว
รู้จักคำว่าเจ็บแล้วไม่จำไหม...ผมกำลังเป็นแบบนั้นอยู่
ถ้าผมฉลาดพอผมจะดึงตัวเองออกจากเรื่องนี้ ผมจะปล่อยให้คุณธนากรเขาอยู่ในที่ของเขา ไม่ว่าเขาจะมีใครมันก็จะไม่มีผลอะไรต่อผม แต่ตอนนี้ผมกลับปล่อยให้เขามีผลต่อหัวใจของผมเสียมากมาย
ถึงผมจะโตขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ไม่ได้ทำให้เรื่องเล็กน้อยกระทบกับงาน แต่ผมก็หงุดหงิดใจเหลือเกิน
“ไปวิ่งไหมวันนี้”
“ไปครับ” ผมตอบคนที่ท้าวแขนลงกับโต๊ะทำงานของผม แปลกดีที่เขาไม่ได้สนใจคำนินทาจากพนักงานเลยว่าเขาเป็นคนรักของคุณออยและทำกับผมเหมือนหมาหยอกไก่
“งั้นเดี๋ยวมาหาตอนเย็นนะ”
ผมพยักหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เขาคงเห็นความผิดปกติ
“เป็นอะไร”
ผมเหลือบมองคุณออยที่จ้องมาทางผมเหมือนทุกที
“ผมจะรอตอนเย็นนะครับ”
ผมบอกเขาเสียงดังพร้อมกับสบตาเรียวสวยนิ่ง คุณธนากรที่น่าจะตามทันมุกของผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะวางมือลงบนหัวผม
“ดื้อเงียบ” เขาว่า ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“เขาเพียรเอาข้าวมาให้จะสองปีแล้ว แกก็ยังเป็นแค่เพื่อนชวนวิ่งเหรอวะ”
ผมขำพี่ปูแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
“เป็นมากกว่านั้นก็ดีนะ กูอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวจริง กูฟังข่าวลือแล้วงง” พี่รุจที่นั่งข้างๆผมบอกขึ้นมาบ้าง ผมขำ แต่เป็นพี่ปูที่ห้ามไว้ก่อน
“แนะนำน้องไม่ดี” พี่ปูว่า พี่รุจเบ้หน้าก่อนจะหันมาถามผม
“ไปงานเลี้ยงอาทิตย์หน้าไหมกันต์”
ผมที่ปกติโดดงานเลี้ยงของแผนกทุกรอบ ตอบคนถามด้วยความเสียดาย
“คราวนี้พี่จุ๋มบังคับให้ไปครับ”
งานเลี้ยงของแผนกผมเกิดขึ้นทุกไตรมาสของปี ผมที่ปฏิเสธมาแล้วหลายต่อหลายครั้งโดนขู่ว่าถ้าไม่มาอาจจะมีผลต่อโบนัส เลยจำเป็นต้องมานั่งหงอยอยู่ที่ร้านอาหารกึ่งผับ มันเป็นสถานที่ที่เมื่อก่อนผมชอบ แต่ตอนนี้ผมกลับขยาดเสียมากกว่า ผมมีความหลังไม่ค่อยดีกับสถานที่อโคจรเท่าไหร่
“มาด้วยเหรอคะ เห็นปกติไม่เคยมา”
ดูท่าว่าวันนี้ผมจะดวงไม่ค่อยดีด้วย ไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงได้มานั่งข้างคุณออย
“โดนพี่จุ๋มบังคับมาครับ” ผมบอก ตอนแรกคิดว่าจะไม่เมาเห็นทีว่าครั้งนี้คงต้องชิงเมาก่อน ผมหยิบแก้วเบียร์ที่พี่ปูรินไว้ให้มาจิบ ทำเป็นร้องเพลงคลอกับพวกพี่ๆเขา
ผมมีความคิดว่าคนเกลียดกันต้องไม่คุยกัน แต่แปลกที่คุณออยดูไม่ชอบหน้าผมแต่พยายามชวนผมคุยเหลือเกิน
“ช่วงนี้ทำตัวเกินไปหรือเปล่าคะ กาลเทศะมีไหม ในห้องทำงานแท้ๆยังกล้าแสดงออกขนาดนั้น”
อาจจะเป็นเพราะหัวหน้าผมเมา ถึงได้พูดออกมาเสียยืดยาวกว่าปกติ ปกติคุณออยมักหาเรื่องผมอ้อมไปอ้อมมา มีไม่กี่ครั้งที่เธอจะออกปากแบบนี้
“บอกคนของคุณเองเถอะครับ” ผมที่ใช้ข้ออ้างว่าเมาเหมือนกันตอบกลับเธอแทนที่จะเออออไปอย่างเคย เรื่องผมกับคุณออยตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานเหมือนแต่ก่อน คุณออยคือคนที่อยากได้แฟนเก่าคืน
ส่วนผมคือคนนิสัยไม่ดีที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจมลงไปที่ก้นบ่อสักที่แต่ก็เดินลงไป ผมปล่อยให้เธอพูดในสิ่งที่อยากพูด ส่วนตัวเองเดินหลบออกมาข้างนอกพร้อมกับเบียร์ขวดใหญ่ ผมนั่งดื่มมันอยู่ที่โต๊ะด้านนอกคนเดียวพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน
ผมพึ่งรู้ว่าคนเรามักจะจมกับความทุกข์นานกว่าความสุข เวลามีความสุขอย่างเช่นมีชีวิตที่ไม่ได้พะวงหรือคิดอะไรกลับไม่ค่อยเห็นค่าของมัน พอรวนเข้าหน่อยถึงได้คิดถึงตัวเองในตอนก่อนหน้า
อย่างที่ไดจิชอบบอกว่าให้มีความสุขกับสิ่งเล็กน้อย ในตอนนี้ผมก็มีความสุขกับเกมส์ในมือถือกับเบียร์ฟรีอีกหนึ่งขวด
“กันย์คะ ออยไม่ไหว”
“ค่อยๆเดินนะ”
“ออยขับรถกลับไม่ไหวแน่เลยค่ะ”
“เดี๋ยวผมไปส่ง” ผมหันไปมองตามเสียง เห็นชายหญิงท่าทางเหมาะสมกันประคองกันเดินไป ผมที่นึกอยู่แล้วว่ามันต้องออกมาทำนองนี้ ผมมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังประคองสาวสวยอยู่ตรงแถวหน้าห้องน้ำ
อาจจะเพราะว่าเมา ผมถึงมองคนที่บอกว่าจะไม่มางานเลี้ยงวันนี้ด้วยภาพซ้อนทับในอดีต สุดท้ายแล้วเขาก็คงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนตอนนั้น
ช่วงนี้ผมมีประชุมตอนเย็น เลยออกมาจากห้องประชุมเกือบทุ่มครึ่ง ผมคิดว่าคนที่เคยรอตามปกติคงกลับบ้านไปแล้ว แต่พอเดินเข้ามาเก็บกระเป๋าดันเห็นว่าเขากำลังนั่งทำงานหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะของผมเอง โดยปล่อยให้ไฟในห้องมืดสลัว
“ประชุมเป็นไงบ้าง”
“นึกว่ากลับไปแล้ว” ผมกับเขาพูดออกมาพร้อมกัน เขายืดแขนขึ้นบิดขี้เกียจ
“ถ้ากลับไปก่อนคงมีคนงอน”
ผมขมวดคิ้วฟังสิ่งที่เขาบอก
“คงไม่ใช่ผม”
เขายิ้มมุมปากท่าทางยียวน
“งั้นใครที่หึงผมกับคุณออย” ผมไม่ตอบอะไรแต่หยิบกระเป๋าเป้ที่วางไว้ข้างโต๊ะขึ้นมาเก็บของ ภาพวันนั้นยังติดอยู่ในหัวผม ผมคิดว่าเขาคงไม่เห็นว่าที่โต๊ะข้างนอกมืดๆมีผมกำลังนั่งมองเขาอยู่ แต่ถ้าเขาเห็น...เขาก็คงเป็นคนที่ใจร้ายเหลือเกิน
“ตอบไม่ได้เหรอ” เขาถามซ้ำ
“ผมจะกลับแล้ว”
“โกรธเหรอกันต์”
“จะพูดอะไรก็ตามใจครับ” ผมว่าก่อนจะยกเป้ขึ้นสะพาย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากบริเวณนั้นก็โดนอีกคนฉุดแขนไว้ เพราะแรงดึงถึงทำให้ผมถลากลับมาชนเขา
“หนีเก่ง” เขาว่าพร้อมกับสอดมือเข้ามากอดที่เอวผม ริมผีปากเขาคลี่ยิ้มที่แกล้งผมได้
ผมที่กำลังจะผลักเขาออกจากตัวเหลือบไปเห็นหัวหน้าตัวเองกำลังเดินตรงมาที่ห้องหลังจากประชุมเสร็จเหมือนกัน ถึงได้หยุดมือตัวเองไว้ที่อกเขา คุณธนากรเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ...และแค่ชั่วอึดใจเขาก็ก้มลงฉกจูบผม
“อ้าปากหน่อย” เขาว่าเสียงแผ่วก่อนที่ผมจะเปิดปากให้เขาสอดลิ้นเข้ามา ผมลืมตามองแพขนตาของเขาที่ปิดสนิทพร้อมกับเอียงหน้าให้มุมการจูบแนบแน่นกว่าเดิม ผมมองผ่านแก้มของเขาออกไปที่ตรงประตู
ในตอนที่สบตากับคุณออย...ผมก็หลับตาลงแล้วเอื้อมมือขึ้นคล้องคอหลานท่านประธานไว้
“แสบขึ้นเยอะนะ” เขาว่าในตอนที่ถอนปากออก ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาพูดถึงอะไรแต่เงยหน้าจูบที่สันกรามเขา
“เผื่อไม่รู้นะกันต์ ที่นี่มีกล้อง” เขาว่าพลางขำ ผมมองใบหน้าไม่เดือดร้อนของเขาก่อนจะบอกบ้าง
“คนที่ควรกลัวเสียชื่อเสียงคือคุณมากกว่า” ผมว่า คุณธนากรยักไหล่เหมือนกับไม่ได้แคร์อะไรนัก มือของเขาที่ยังไม่ปล่อยจากเอวผมลูบเบาๆที่สะโพก ผมเบือนหน้าหนีสายตาของเขา ที่กำลังบอกว่าเรื่องวันนี้มันจะไม่จบลงแค่ตรงนี้แน่นอน
“กูหยุดไม่ได้แล้วกันต์”
ผมมองเตียงกว้างในห้องที่ไม่คุ้นตา มือของเขาสอดเข้ามาในเสื้อเชิ้ตของผม อากาศเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศที่กระทบผิวหนังทำให้ผมหนาวสั่น แต่เมื่อเขาลากมือผ่านแผ่นอกขาวโพลนของผม ร่างกายผมก็ร้อนขึ้นมาเสียเฉยๆ ผมโดนดันลงบนเตียงกว้าง ที่นี่คงเป็นคอนโดของเขา ผมเดาจากข้าวของเครื่องใช้รอบกายและเตียงที่มีกลิ่นของเขาติดอยู่
ผมว่ามนุษย์กับสัตว์เหมือนกันตรงที่ใช้สัญชาติญาณในการสืบพันธุ์ ระหว่างที่ผมกำลังคิดว่ามนุษย์ควรรู้จักการยับยั้งชั่งใจ ในตอนที่ได้สบตากับเขา ผมก็ลืมทุกอย่าง
“คิดถึงนะกันต์” เขาโถมตัวลงมาหาผมพร้อมกับพรมจูบไปทั่วตัว ฟันเขาขบลงที่คอของผม
“อย่า” พร้อมร้องบอกทั้งๆที่รู้ว่าเขาคงไม่ฟัง
“ให้กูทำนะ”
เขาบดสะโพกเข้ากับส่วนกลางของผมที่ถูกแยกขาออกเพื่อให้เขาสอดตัวเข้ามาตรงกลางได้ง่าย เพราะเป็นผู้ชายหรือเพราะว่าอาจจะเป็นเพราะเขา ร่างกายผมถึงได้ตื่นตัวจนคับแน่น
“เดี๋ยวกันย์!” ผมร้องบอกในตอนที่เขาไล่จูบตั้งแต่ข้อเท้าผมมาถึงต้นขาด้านในสุดที่เปล่าเปลือย ทุกที่ที่ผ่านลิ้นและปากของเขามันร้อนและเห่อแดง
“กับกู...ดีกว่ามันใช่ไหม” เขาถามพร้อมกับยกสะโพกผมขึ้น ผมที่แทบจะไม่มีแรงขยับตัวได้แต่จ้องตาคมสวยของเขา พร้อมกับปิดปากตัวเองให้ไม่ส่งเสียงออกไป
“ตอบสิกันต์” เขาว่าพร้อมกับลูบส่วนกลางของผมผ่านกางเกงในตัวบาง ก่อนจะก้มลงกัดเนื้อตรงข้างๆสะโพก
“มันถามบ้างไหมว่ารอยสักนี้เป็นของใคร”
ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ รอยสักรูปปีกที่เหมือนของเขา มันยังอยู่ที่เดิม เขามองตาผม ปากหยักยิ้มกริ่ม ก่อนจะดึงชั้นในผมออก
“มันทำให้มึงได้เหมือนกูไหม”
“กันย์ อาาา” ผมหลุดเสียงออกไปเมื่อลิ้นเขาแตะที่เนื้ออ่อนด้านหลัง พร้อมกับมือที่ยังรูดรั้งส่วนข้างหน้า
“ครางดังๆเหมือนเวลาเถียงกูบ้าง”
“พอแล้ว กันย์ อื้อ” ผมร้องบอกด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อสะโพกยังถูกตอกอัดย้ำๆทั้งๆที่ข้างในเฉอะแฉะไปด้วยของเหลวของเขา มันคับแน่น ร้อนและอึดอัด แต่พอเขาถอนตัวออกชั่วครู่
ผมกลับวูบโหวง...อยากให้เขาใส่มันเข้ามาให้เต็มอีกครั้ง
“แดงหมดแล้ว” เขาก้มลงกระซิบบอกผม แต่ก็รั้งสะโพกผมให้ชิดกับสะโพกเขามากขึ้น
“จะเสร็จแล้ว” เขาว่าพร้อมกับเสียงหอบพร่า
แผ่นหลังผมแนบไปกับอกกว้างของเขา ไม่นานนักข้างในผมก็อุ่นวาบ กันย์แช่ตัวเองไว้นานพอตัวก่อนจะถอนมันออกไปในตอนที่ผมเหมือนจะวูบหลับ
“ร้องไห้ทำไมครับ”
TBC.
______________________________