**รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)  (อ่าน 27469 ครั้ง)

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ทำไมรู้สึกว่าชอบน้องพีเวอร์นี้มากกกก  :katai5:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ให้ทายเจ้าของนามสกุลก็คงกำลังทำแบบพีอยู่ แต่ดันเห็นพีซะก่อนสินะ กลับไปพีโดนหนักแน่

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 13



“ระวังล้มค่ะน้องพี เดินดีๆ สิคะ” พี่วิภาที่พอเห็นผมลงจากรถในสภาพเดินไม่ตรง ตัวเอนไปเอนมารีบตรงเข้ามาช่วยประคองตัวเอาไว้ไม่ให้เสียหลักล้มลงไปกองพื้น

“ขอบคุณค้าบ แต่น้องพีเดินดีแล้วน้า” ผมเถียงด้วยรอยยิ้มอ้อนๆ เหมือนเมื่อครั้งที่ชอบทำตอนยังเป็นเด็กชายพีรัชที่คนทั้งบ้านพากันโอ๋เอาใจ ก่อนจะลดเสียงเบาลงตอนพูดประโยคต่อมาเพราะกำลังจะนินทาผู้ชายตัวใหญ่ คนใจร้ายที่พอขับรถเข้ามาจอดในรั้วก็ดับเครื่องแล้วเดินลงไปทันที ไม่สนใจจะช่วยคนที่สภาพไม่สมบูรณ์อย่างผมแม้นิดเดียว น่าน้อยใจชะมัด “พี่วิภาใจดี ไม่เหมือนคุณยะ เขาใจร้ายกับน้องพีม้ากมาก ใจร้ายที่สุดในโลก น่าจับไปโยนทิ้งที่ไว้ที่ดาวอังคารนู่นเลย” คิดหรือรู้สึกอะไรผมก็พูดออกมาหมด เพราะมีแรงขับจากสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย 

“คุณยะโกรธค่ะ”

“หืออ... น้องพีรู้ น้องพีทำตัวไม่ดี คุณยะเลยโกรธ ไม่พูดกับน้องพีสักคำเลย”

ก็พอพูดประโยคนั้นจบ...

‘ก่อนจะเอากันตรงนี้ช่วยไปเปลี่ยนนามสกุลก่อนก็ดีนะ...พีรัช’

เขาก็หันหลังให้ผม เดินลงบันไดไปทันที ไม่พูดอะไรต่อและไม่สนใจผมสักนิด แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีเข้มจัดชนิดที่มองเห็นได้ในแสงน้อยนิดตรงทางเดินชั้นสาม รวมถึงน้ำเสียงเข้มดุนั้นด้วย บอกหมดแล้วว่าเขาโกรธผมมาก นั่นทำให้ผมรีบผลักดีนออกไป แล้ววิ่งตามคุณยะลงไปทั้งสภาพที่เดินไม่ตรง ขาอ่อนเปลี้ยเหมือนคนไม่มีแรง ผมแทบจะล้มหัวทิ่มและตกบันได ถ้าไม่ได้หมอภามเพื่อนของคุณยะพุ่งเข้ามาจับตัวไว้ แล้วอุ้มผมตามหลังคุณยะออกทางประตูหลังร้านจนถึงลานจอดรถ มีปาลินเดินตามมาด้วย รายนี้ก็ไม่พูดกับผมสักคำ ชวนคุยด้วยก็ไม่ยอมคุย คงโกรธผมมากที่ไม่รักษาสัญญาเพราะผมหายมากับดีนนานจนเลยเวลาที่รับปากปาลินไว้

พอถึงลาดจอดรถ คุณยะเปิดประตูขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยรถเรียบร้อยแล้ว หมอภามก็ปล่อยผมลง ผมยกมือไหว้ขอบคุณหลังจากที่หมอภามบอกว่าจะพาปาลินกลับบ้านแทนผม จากนั้นก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างคนขับ บรรยากาศในรถอย่าให้บรรยายออกมาเลยว่า เงียบยิ่งกว่านั่งในห้องสอบที่เหลือผมเพียงอยู่คนเดียวเสียอีก

ใบหน้าด้านข้างของเจ้าของรถแดงก่ำ มือกำพวงมาลัยรถไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดหลังมืออย่างชัดเจน ผมทำอะไรไม่ถูก อยากอธิบายความจริงแต่จะให้บอกว่าผมทำตัวเหลวไหล ดื่มเหล้า เล่นยา ผมก็ไม่กล้า แต่การที่ผมเพิ่งออกจากสถานบันเทิงและยังรู้สึกติดใจกับเสียงดนตรีที่ชวนขยับตัวไปมาอย่างสุดเหวี่ยง ผมเลยเปลี่ยนความเงียบที่น่าหวาดกลัวเป็นเสียงเพลงสนุกสนานในรถ ทุกอย่างมันเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อเสียงเพลงเริ่มต้น ผมขยับโยกหัวโยกตัวไปตามจังหวะเพลงที่ถูกเปิดโดยดีเจของคลื่นวิทยุ แม้จะไม่กระแทกกระทั้นหัวใจอย่างในผับ แต่ก็ช่วยแก้ขัดได้บ้าง ดีกว่าความเงียบเชียบก่อนหน้าเป็นไหนๆ

เจ้าของรถหันมามองผมที่ขยับร่างกายตามจังหวะเพลงเป็นระยะ คล้ายรำคาญแต่ก็ไม่ได้ออกปากห้ามหรือด่าที่ผมทำให้เขาเสียสมาธิในการขับรถ เหมือนที่เขาโกรธผมจนหน้าแดงหน้าก่ำแต่ก็ไม่ดุด่าความเหลวไหลของผม

“น้องพีสูบบุหรี่หรือคะ” คำถามของพี่วิภาดังขึ้นมาหยุดความคิดของผม น้ำเสียงของเธอตกใจและดูเป็นกังวลกับความเปลี่ยนไปของผม เพราะที่บ้านหลังนี้ไม่มีใครสูบบุหรี่

“ค้าบบ” ผมยอมรับ ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว หลักฐานมัดตัว

“สูบได้ยังไงคะ ใครให้สูบ น้องพีเพิ่งสิบห้านะคะ คุณท่านทั้งสองรู้ต้องเสียใจมากแน่ๆ ที่น้องพีสูบบุหรี่ เหล้าก็ด้วยไปหัดดื่มตั้งแต่เมื่อไรคะ อยากจับตีจริงๆ เลยน้องพีเนี่ย”

“หูยยย พี่วิภาอย่าดุน้องพีซี่ น้องพีสำนึกผิดไม่ทันนะค้าบ” ผมทำหน้าเศร้าที่ต่างจากความรู้สึกสนุกสนานข้างใน ไม่รู้ว่าเพราะเหล้าหรือยาที่ทำให้ผมไม่ทุกข์ร้อนไปกับคำตำหนิของอีกฝ่าย “น้องพีแค่อยากลอง ต่อไปจะไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าอีกแล้วครับ แต่... แต่อย่าฟ้องคุณปู่คุณย่านะค้าบบ อานุ อาภาก็ด้วย ห้ามฟ้องน้า เดี๋ยวไม่มีใครรักน้องพี” ผมกอดพี่เลี้ยงที่ดูแลผมมาตั้งแต่เกิด ทำเสียงเล็กเสียงน้อยอ้อนให้พี่วิภาช่วยเก็บเรื่องความเหลวไหลของผมไว้เป็นความลับ

“พี่วิภาไม่บอกใครหรอกค่ะ แต่...” สายตาของพี่เลี้ยงวัยเกือบสี่สิบของผมมองไปยังแผ่นหลังกว้างที่เดินทิ้งห่างเราสองคนไปเรื่อยๆ “น้องพีต้องขอร้องคุณยะแล้วล่ะ”

“เฮ้อ... ก็นี่แหละที่น้องพีไม่รู้จะทำยังไง” ผมถอนหายใจแต่ก็ยังคงยิ้มอารมณ์ดี แต่แล้วพอเดินไปได้อีกไม่กี่ก้าว ผมก็สะดุดขาตัวเองล้มไปกองพื้นจนได้ พี่วิภาก็คว้าตัวไว้ไม่ทัน “อื้อ... เจ็บ... ฮึก... น้องพีเจ็บ”

“เจ็บมากไหมคะน้องพี ไหนขอพี่วิภาดูหน่อย” พี่เลี้ยงผมรีบย่อตัวลงมา

“เจ็บมากครับ ฮึก... เจ็บมือ” อันที่จริงผมเจ็บไม่มากหรอกแต่ที่ร้องออกมาเป็นเพราะผมกำลังเรียกร้องความสนใจจากคุณยะ เขาหันกลับมาและเดินย้อนมาหาผมทันที

ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดตรงหน้า แต่ไม่ได้พูดปลอบโยนอย่างที่ผมหวังเอาไว้ เขาหันไปพูดกับพี่เลี้ยงผมแทน

“กลับไปนอนได้แล้ว ฉันดูพีเอง”

“ค่ะคุณยะ”

เย้! ถึงคุณยะจะไม่พูดปลอบโยนอย่างที่ผมหวัง แต่การที่เขาบอกให้พี่วิภากลับไปนอน แล้วบอกจะดูแลผมเอง มันก็ดีกว่าคำพูดปลอบโยนซะอีก ให้มันได้แบบนี้สิ เจ็บตัวแล้วได้รับการดูแลจากเขา คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ผมคิดอย่างมีความสุข

“พี่วิภาไปนอนก่อนนะคะน้องพี” เธอหันมาบอกลาผม

“ค้าบผม ฝันดีนะครับ บายยยยยยยย...” ผมยกมือขึ้นโบกลาพี่เลี้ยง ฝ่ายนั้นคลี่ยิ้มเหมือนอ่อนใจให้กับสภาพของผม ก่อนจะแยกตัวออกไป

“ลุกขึ้น”

“งื้อ... คุณยะอย่าดุน้องพี” ผมเงยหน้าพูดอย่างอ้อนๆ ฉีกยิ้มประจบคนตัวสูงที่มองลงมาด้วยสีหน้าราบเรียบแต่ติดจะดุเล็กน้อย แสดงว่าเขาโกรธผมน้อยลงแล้ว ไม่อย่างนั้นหน้าของเขาคงจะมีสีที่เข้มจัดเหมือนตอนที่เพิ่งออกจากผับ “น้องพีขอโทษที่ทำตัวไม่ดี แต่ตอนนี้น้องพีเจ็บขามากเลย เดินไม่ไหวแล้ว คุณยะอุ้มหน่อยนะ อุ้มน้องพีหน่อย” ผมโกหกเรื่องขา ขาผมไม่ได้เจ็บ แต่ที่โกหกไปเพราะอยากถูกอุ้ม ผมอยากให้คุณยะอุ้มผม

“เธอไม่ได้เจ็บขา อย่าหัดโกหกผู้ใหญ่”

“ว้า จับได้อีกแล้ว” แทนที่ผมจะกลัวเสียงเข้มจัดของคนตัวสูง ผมกลับยิ้มรับ ยิ้มกว้างด้วยแหละ พร้อมกับใช้มือยันตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ถึงไม่เจ็บขาแต่ผมก็อยู่ในสภาพมึนเมาเพราะเหล้ากับยาที่ดีนให้ผมกิน ซึ่งผมก็ไม่รู้จักว่ามันเป็นยาชนิดใด รู้แต่ว่ามันทำให้ผมมีความสุขจนถึงตอนนี้

พอลุกขึ้นยืนผมเลยมีเซซ้ายเซขวาบ้าง ไม่มีพี่วิภาช่วยพยุงแล้ว ผมก็แทบจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้ นอกจากเป๋ซ้ายทีขวาทีอยู่แบบนี้ จนต้องอ้อนอีกฝ่าย

“คุณยะค้าบบบบ อุ้มน้องพีหน่อย เนี่ยๆ น้องพีเดินไม่ไหวแล้ว” ไม่พูดเปล่า ผมอาศัยความมึนเมาที่ทำให้ร่างกายเสียการทรงตัวแสร้งเซถลาไปหาคนร่างหนา ทำท่าจะทรุดลงไปกองตรงปลายเท้าของคุณยะ ขณะที่มือก็จับท่อนแขนแกร่งไว้สองข้าง ไม่ให้ตัวเองไหลไปกองพื้นเข้าจริงๆ

สำเร็จ! มือคุณยะคว้าเอวผมอย่างรวดเร็ว เขาเป็นห่วงผมใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เขาไม่ใจร้ายกับผมแล้ว... ดีใจ ดีใจที่สุด

“ขอบคุณค้าบบบบ คุณยะใจดี” ผมอยู่ในวงแขนของคุณยะ สองมือวางบนอกกว้างที่อยากจะเอาหน้าของตัวเองซบลงไป แต่ไม่ได้ทำอย่างใจนึกเพราะอยากจะสบตากับดวงตาสีราตรีมากกว่า “น้องพีอยากให้คุณยะใจดีกับน้องพีเยอะๆ แต่ทำไมคุณยะชอบใจร้ายกับน้องพีด้วยก็ไม่รู้ น้องพีทำอะไรให้คุณยะไม่พอใจค้าบ น้องพีไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าต้องทำตัวให้เป็นเด็กดียังไง คุณยะถึงจะใจดีกับน้องพีบ้าง ทำไมคุณยะไม่กลับมาหาน้องพี ทำไมถึงทิ้งให้น้องพีอยู่คนเดียว” ผมพรั่งพรูทุกความในใจออกมา มันเป็นคำถามที่ในเวลาปกติผมคงไม่กล้าเอามันออกมา แต่นี่ผมไม่ปกติ ผมกินเหล้า ผมหลงใช้ยาเสพติด แถมยังมีความสุขมากอีกด้วย

ร่างกายของผมมึนเมาจากผลของสิ่งที่ทั้งดื่มและกินเข้าไป ทว่าความมึนเมานั้นทำให้ผมรู้สึกเป็นสุข ผมอยู่ในอารมณ์ของความสุขที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเหมือนกับว่าโลกตอนนี้เป็นโลกที่ผมอยากได้มาตลอด จินตนาการถึงการที่คุณยะจะใจดีกับผม ยิ้มให้ผม โอบกอดผมเอาไว้ด้วยความรัก ด้วยร่างกายของเขา

“ฉันต้องทำงาน เธอก็เห็น” คุณยะตอบแทนความน้อยอกน้อยใจของผมด้วยการอุ้มตัวผมขึ้นมาแนบอกแน่นๆ ของเขา มือข้างหนึ่งอยู่ที่แผ่นหลังของผม อีกข้างช้อนอยู่ใต้ข้อพับเข่า พอตัวลอยจากพื้นมือผมก็คล้องบนต้นคอหนาทันที

สองเท้าของคุณยะมุ่งไปข้างหน้า ตามทางเดินมีโคมไฟให้แสงสว่างเป็นระยะ ความมืดบางส่วนถูกแสงนวลกลืนกินเพื่อให้คุณยะเดินได้อย่างปลอดภัย ขณะที่สายตาคู่คมกริบแทบไม่มองทางเลยเพราะเอาแต่มองหน้าผม

“ผมเห็นแต่คุณยะใช้โต๊ะทำงานเป็นเตียง” ผมนึกถึงภาพที่เห็นวันนั้นอีกครั้ง เจ็บปวดนะแต่กลับไม่รู้สึกทุรนทุรายเหมือนทุกครั้ง ราวกับว่าความสุขในขณะนี้มีอิทธิพลเหนือกว่าความทรมานใจ

“เลิกคิดถึงเรื่องวันนั้นได้แล้ว”

“มันเลิกได้ง่ายๆ ที่ไหนกันเล่า” ผมอดไม่ได้ที่จะค้อนเขา แต่ปากผมกลับฉีกยิ้ม “คุณยะใจร้ายสั่งให้น้องพีทำเรื่องยาก น้องพีทำไม่ได้หรอกนะ น้องพีนึกถึงมันทุกคืนเลยรู้ไหม หลับตาก็เห็นคุณยะทำเรื่องน่าเกลียดกับผู้ชายคนนั้นบนโต๊ะ เอาแต่คิดถึงหน้าคุณยะที่เหมือนปีศาจบ้ากาม น้องพีไม่ชอบคุณยะตอนเป็นปีศาจเลย ชอบแบบนี้มากกว่า น่ามองกว่าเยอะ”

“แบบนี้คือแบบไหนละหื้อ อธิบายให้คุณยะเห็นภาพหน่อย”

“ก็...” ปากผมฉีกยิ้มอีกแล้ว ยิ้มกว้างกว่าเดิมด้วยแหละ เพราะเสียงของคุณยะที่ใช้พูดกับผม ฟังแล้วอบอุ่นหัวใจที่สุด แถมแทนตัวเองว่า ‘คุณยะ’ กับผมด้วย “คุณยะของน้องพี... หล่อ ใจดี พูดเพราะ ตาก็หว้านหวาน น้องพีอยากให้คุณยะพูดเพราะๆ กับน้องพี ใจดีกับน้องพีเยอะๆ มองหน้าน้องพีด้วยสายตาหวานๆ แบบตอนนี้ด้วย ทำได้ไหมครับ ทำไปตลอดเลย” ผมเรียกร้องสิ่งที่อยากได้จากคนคนนี้

...คนที่เป็น ‘คุณยะของน้องพี’  และเป็น ‘ของของผม’

“แลกกันสิครับ ถ้าน้องพีเป็นเด็กดี คุณยะก็จะทำทุกอย่างที่น้องพีต้องการ” คุณยะใจดีกับผมอีกแล้ว เขาเรียกผมว่า ‘น้องพี’ ... “แล้วจะเป็นคุณยะของน้องพีคนเดียว”

“ไม่เอา น้องพีไม่อยากเป็นเด็กดีแล้ว” ถึงข้อแลกเปลี่ยนจะโดนใจผมอย่างสุดๆ จนอยากตะครุบเอาไว้ แต่ผมก็กลัวถูกเขาหลอกเหมือนครั้งที่ผ่านมา

“ทำไมครับ”

“คุณยะชอบหลอกน้องพี”

“คุณยะหลอกตอนไหน”

“ก็ตอนนั้นไง ตอนที่คุณยะ... จูบน้องพีในห้องนอน” พูดแล้วอุณหภูมิบนใบหน้าผมก็ร้อนแผ่วขึ้นจนต้องลดมือทั้งสองข้างที่เกี่ยวต้นคอหนาลงมาปิดแก้มแดงๆ ของตัวเอง แต่ไม่ลืมตัดพ้อเรื่องในวันนั้นต่อ “คุณยะบอกให้น้องพีเป็นเด็กดี บอกว่าน้องพีเป็นคนพิเศษของคุณยะ แต่...แต่คุณยะก็ไปจูบกับคนอื่นที่โต๊ะทำงาน”

“เห็นหรือไงว่าคุณยะจูบเขา คุณยะอาจจะไม่ได้จูบเขาก็ได้” เขาเห็นผมเป็นเด็กโง่หรือไงนะ ผมไม่ได้โง่สักหน่อย

“ไม่เชื่อหรอก คุณยะชอบหลอกน้องพี ทำให้น้องพีดีใจแป๊บเดียว แต่สุดท้ายน้องพีก็ต้องกลับมานอนร้องไห้ทุกคืน” ผมไม่ได้พูดเกินจริง ผมนอนร้องไห้ทุกคืนตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น แม้หลังจะไม่ฟูมฟายเหมือนช่วงแรกก็เถอะ

“คุณยะขอโทษ” เสียงทุ้มของคุณยะบอกออกมาอย่างนุ่มนวล ทำเอาหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ยังกับอยู่ในความฝัน เป็นฝันที่ดีมากที่สุดในชีวิต

“ไม่ยกโทษให้หรอก” ผมทำหน้างอ ปากยื่น “วันนั้นก็ด้วย ไม่ยกโทษให้หรอกนะ”

“วันไหนครับ”

“ก็วันที่โต๊ะกินข้าวไง... ไม่ยกโทษให้หรอกนะที่คุณยะรังแกน้องพีน่ะ” ผมเห็นเขายิ้ม มันเป็นรอยยิ้มแบบเอ็นดูในคำตัดพ้อของผม “คนนิสัยไม่ดี รังแกน้องพีแล้วก็หนีหายไปเลย ไม่คิดจะรับผิดชอบน้องพีเลยใช่ไหม”

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นบนโต๊ะกินข้าว เขาก็หายไปเลย แม้แต่วันเกิดครบอายุสิบห้าของผม เขาก็ไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา ไม่มีคำอวยพร มีแต่ของขวัญวันเกิดเป็นนาฬิการาคาหลักล้านที่ผมไม่อยากได้ ไม่ใส่ด้วย ถ้าไม่เสียดายเงินแทนเขานะ ผมคงเอาไปเขวี้ยงทิ้งที่สระบัวไปนานแล้ว

“คุณยะงานยุ่ง น้องพีก็เห็น” เขาอ้างคำตอบเดิม

“ยุ่งตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเหรอครับ น้องพีไม่เชื่อหรอกนะ ถ้ายุ่งจริงคุณยะก็ไม่มีเวลาไปทำแบบนั้นกับเขาบนโต๊ะทำงานหรอก” ผมวกกลับมาเรื่องที่ทิ่มแทงใจอยู่ทุกคืน ทำผมเสียน้ำตาไปมากมาย

“ตัวหนักนะเนี่ย กินเยอะไปหรือเปล่า คุณยะอุ้มจะไม่ไหวแล้วนะ ปล่อยให้เดินเองดีไหม” เขาว่ายิ้มๆ แล้วทำท่าจะปล่อยผมลงพื้น แต่ผมไม่ยอม สองแขนกอดคอเขาแน่นขึ้นยิ่งกว่าลูกลิง

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยนะคุณยะ!” ผมแหวใส่เขาอย่างรู้ทันการเปลี่ยนเรื่องของเขา “แล้วน้องพีก็ไม่ได้ตัวหนักด้วย น้องพีผอมจะตายไป คุณย่ายังบอกเลยว่าน้องพีกินข้าวเหมือนแมวดม ถ้าคุณยะไม่เชื่อ คุณยะก็ต้องมานั่งดูน้องพีตอนกินข้าวทุกวันสิ” ประโยคท้ายๆ ก็หวังว่าเขาจะหลงกล ผมอยากให้เขามานั่งกินข้าวกับผมทุกวัน แทนที่จะไปนั่งกินข้าวกับผู้หญิงหรือผู้ชายที่เป็นคู่ควงของเขา

ตอนนี้คุณยะมีข่าวกับนักแสดงสาวคนใหม่อีกแล้วครับ คนที่นานะกับเตเต้เรียกเธอว่า ‘ป้าศมน’ ที่จริงเธออายุแค่สามสิบ ไม่ถึงกับจะเป็นป้าได้หรอก ส่วนคนที่ไม่เป็นข่าวและผมเพิ่งรู้วันนี้ก็พี่เล่มอนนี่แหละ พี่เลม่อนแก่กว่าผมไปสี่ปีและเป็นอดีตรุ่นพี่ที่โรงเรียน ถ้าให้เดาว่าทั้งสองรู้จักกันได้อย่างไร ผมก็เดาว่าคงเป็นตอนที่พี่เลม่อนมาถ่ายเอ็มวีของนักร้องคนหนึ่งที่พุฒิธาดามั้งครับ

“คุณยะงานยุ่งจริงๆ ครับ แทบไม่มีเวลาพักเลย ทำงานทุกวัน นอนวันละไม่กี่ชั่วโมง มะรืนนี้ก็ต้องบินไปเยอรมันอีก”

ผมรู้ว่างานเขาทั้งยุ่งทั้งเยอะ ทำงานจนลืมไปแล้วมั้งว่าชีวิตนี้มีวันหยุดพักผ่อน เห็นคุณย่าเล่าว่านอกจากโรงแรมที่พัทยาแล้ว คุณยะยังมีแผนที่จะซื้อกิจการโรงแรมที่กาญจนบุรี ซึ่งเป็นโรงแรมของเพื่อนคุณทวดที่ส่งต่อให้ลูกชายบริหารงานแต่ขาดทุนอย่างหนัก แต่ถึงเขาจะงานยุ่งงานเยอะยังไง เขายังมีเวลาให้คู่ควงเขาได้ ทำไมถึงมีเวลาให้ผมบ้างไม่ได้ล่ะ ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ

“ไม่ต้องอ้างเลย คุณยะไม่อยากเห็นหน้าน้องพีก็บอกมาเถอะ” ผมตัดพ้อตามที่หัวใจมันรู้สึก ระบายความคิดที่สะสมมานานและเพิ่มมากขึ้นทุกวันออกมา “พ่อแม่ของน้องพีเป็นคนไม่ดีใช่ไหม คุณยะเลยเกลียดพวกเขา แล้วก็พาลเกลียดน้องพีด้วย ทั้งที่น้องพีไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร ชื่ออะไร แต่ทำไมคุณยะถึงเอามาลงที่น้องพีด้วย... ฮึก... ทั้งที่ทุกคนในบ้านก็รักน้องพีทุกคน... ฮึก... ทั้งที่น้องพีไม่ต้องสนใจคุณยะก็ได้ เหมือนที่คุณยะไม่สนใจน้องพี แต่...น้องพีก็ทำไม่ได้ น้องพีเสียใจที่คุณยะไม่รักน้องพีเหมือนที่ทุกคนรัก...ฮึก... ทำไมไม่รักน้องพี... เกลียดน้องพีมากหรือครับคุณยะ” ผมพรั่งพรูทุกความรู้สึกออกมาอีกครั้งอย่างกระท่อนกระแท่นปนไปกับเสียงสะอื้น ข้างในตัวผมมีคำพูดมากมายยิ่งกว่าคำถามที่เอ่ยออกมา มากจนพูดทั้งคืน พูดทั้งเดือน หรือเป็นปีก็ไม่หมด เพราะมันสะสมมาตั้งแต่ผมจำความได้ เพราะผมเป็นเด็กช่างจำ จำได้ทุกอย่างแหละที่เขาทำร้ายจิตใจผม

น้ำตาผมไหลแต่ผมกลับมีความสุข จะคิด จะพูด จะรู้สึกอย่างไร ก็เหมือนมีแต่ความสุขโอบอุ้มตัวผมเอาไว้ ไม่ให้จมลงไปกับความเจ็บปวดที่แสนทรมาน

“เหนื่อยไหมที่พูดไปร้องไห้ไป” ไม่มีคำปลอบโยนเลย แถมยังถามผมกลับด้วยรอยยิ้มขบขันด้วย เขาเห็นความเจ็บปวดของผมเป็นเรื่องตลกหรือไง นี่ผมร้องไห้เลยนะ

“น้องพีร้องไห้เสียใจอยู่นะครับ ไม่คิดจะปลอบหรือไง” ผมถามเสียงขุ่น ยกกำปั้นทุบอกเขาไปเต็มแรงคนเมาหนึ่งครั้งถ้วน ไม่กล้าตีเยอะกลัวเขาเจ็บ

“อยากให้คุณยะปลอบว่าไงครับเด็กดี” ยิ้มที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ชวนให้น้ำตาผมหยุดไหล รอยยิ้มของคุณยะอบอุ่นจนหัวใจของผมอิ่มเอม

“คุณยะบอกให้น้องพีฟังอีกครั้งสิครับว่า...” ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าหล่อเหลาของคุณยะ เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาและมีเสน่ห์มากเหลือเกิน “...น้องพีเป็น ‘คนพิเศษ’ ของคุณยะ” พอเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไปแล้ว ผมก็รอฟังคำที่จะทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำ

“เมื่อไรจะถึงสักที เมื่อยแขนหมดแล้ว สงสัยต้องให้เด็กขี้แยเดินเองแล้วมั้ง”

“ไม่ได้ขี้แยนะ! ห้ามปล่อยน้องพีด้วย” ผมร้องห้ามเสียงหลง กลัวคุณยะจะปล่อยให้ผมเดินกลับไปเอง ไม่เอา ก็ผมชอบให้คุณยะอุ้ม ถึงเขาจะกล่าวหาว่าผมตัวหนักและเมื่อยแขนก็ตาม ก็อีกไม่ถึงสิบก้าวของขายาวๆ ของคุณยะก็จะถึงตีนบันไดบ้านเรือนไทยแล้วนี่นา อุ้มต่ออีกนิดจะเป็นอะไรไป ผมรู้หรอกน่าว่าคุณยะแข็งแรง อุ้มผมแค่นี้ไม่เมื่อยหรอก ตัวผมก็ออกจะเบา แต่ที่พูดแบบนั้นเพราะเขาอยากเปลี่ยนเรื่องอีกตามเคย ผมรู้ทันหรอกน่า “แล้วก็ห้ามเปลี่ยนเรื่องด้วย คุณยะถามเองนะว่าน้องพีอยากได้อะไร น้องพีก็ตอบแล้วไง คุณยะก็ต้องทำตามสิ”

“คุณยะจำไม่ได้แล้วว่าน้องพีอยากได้อะไร” ตอนเขาถามกลับมา เท้าของเขากำลังอยู่บนบันไดขั้นแรก และก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ

ทำไงดี ?

ผมไม่อยากให้ค่ำคืนที่คลุ้งไปด้วยความสุขสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เมื่อขึ้นไปบนเรือน ผมก็ต้องเข้าห้องตัวเอง ส่วนคุณยะก็กลับห้องของเขาเช่นกัน ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อยืดเวลาที่จะได้อยู่กับเขาไปสักนิดหนึ่ง หรือจนถึงเช้าเลยก็ได้ ดังนั้นผมเลย...


.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2019 01:15:09 โดย i_ang »

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
.

.

.


“น้องพีอยากว่ายน้ำ” ผมชี้มือไปยังสระว่ายน้ำ สถานที่โปรดของผม และยังเป็นที่ที่ผมกับคุณยะจูบกันครั้งแรกด้วย คิดแล้วเขินจัง

“ดึกแล้วครับ พรุ่งนี้จะไม่สบายเอา”

ห้ามอีกแล้ว คุณยะพูดเหมือนผมเป็นเด็กขี้โรคอย่างนั้นแหละ เขาไม่รู้หรอกว่าผมน่ะเป็นเด็กแข็งแรง ถึงจะผอมจนปลิวตามลมได้ก็เถอะ และที่สำคัญกลางคืนไม่ใช่อุปสรรคของการแหวกว่ายอยู่ในน้ำเย็นๆ ของผม ผมว่ายน้ำตอนดึกออกจะบ่อย เพียงแต่เขาไม่ค่อยจะเห็นเพราะไม่ค่อยกลับมานอนบ้านเรือนไทยของตัวเองสักเท่าไร ชอบอยู่บนตึกสูงเหมือนทวดพุฒิไม่มีผิด

คุณปู่บอกว่าในบรรดาหลานทั้งสามคนของทวดพุฒิ มีคุณยะนี่แหละที่ถอดนิสัยออกมาจากทวดพุฒิเลย แบบไหนเหรอ ก็แบบที่คุณยะเป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ ขยัน เก่ง บ้างาน ...และเจ้าชู้

ก่อนที่ทวดพุฒิจะแต่งงานกับทวดมะลิดา ท่านเจ้าชู้มาก (ที่ผมรู้เพราะคุณปู่เป็นคนเล่าให้ฟัง) มาหยุดเจ้าชู้ไปช่วงหนึ่งตอนที่เจอรักแท้กับทวดมะลิดา แต่พอทวดมะลิดาเสีย ท่านก็กลับมาเจ้าชู้เหมือนวัยหนุ่ม ก็อย่างว่าครับ ท่านเป็นผู้ชายที่สมาร์ต หน้าตาหล่อเหลามากทีเดียว ต่อให้อายุมากแล้วก็ยังมีสาวสวยมากหน้าหลายตาวนเวียนอยู่รอบตัว เพราะเหมือนกันแบบนี้ไง คุณทวดถึงรักคุณยะมาก ยกพุฒิธาดาให้หลายชายคนโปรดดูแล แต่ใช่ว่าอานุกับอาภาจะไม่ได้อะไรเลย อาทั้งสองมีหุ้นของพุฒิธาดาเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มากเท่าคุณยะ เนื่องจากทวดพุฒิต้องการให้คุณยะเป็นเจ้าของพุฒิธาดาต่อจากท่าน

“ตามใจน้องพีหน่อยสิครับ นะครับคุณยะ น้องพีอยากว่ายน้ำ น้องพีชอบน้ำ” ผมอ้อน ทำตาปริบๆ มองเจ้าของบ้านเรือนไทยหลังนี้

“ไม่ครับ” แต่เขากลับส่ายหน้า อุ้มพาผมไปตามชานแล่นจนใกล้จะถึงประตูห้องนอนของผม สุดท้ายผมก็ต้องใช้วิธีที่ถนัดที่สุด นั่นคือ...

“ฮึก... น้องพีไม่นอน... ฮึก...น้องพีจะเล่นน้ำ ฮื่อออ...” ผมปล่อยทั้งน้ำตาและเสียงโฮออกมาทันที ตอนเด็กๆ ผมใช้วิธีนี้บ่อยมากเพื่อให้ทุกคนโอ๋เอาใจ “...ทำไมคุณยะต้องใจร้ายกับน้องพี ชอบทำร้ายจิตใจของน้องพีตลอด ฮึก... ให้น้องพีมีความสุขบ้างไม่ได้หรือไง น้องพีขอแค่คืนนี้คืนเดียวก็ได้นะครับคุณยะ”

...แค่คืนเดียวที่ผมจะได้อยู่กับเขาจนถึงเช้า

“เด็กดื้อ” เขาส่ายหน้ายอมแพ้ให้กับน้ำตาของผม แต่ก็มีข้อแม้ตามมาด้วย ไม่ใช่จะยอมเสียทีเดียว “คุณยะให้แค่เอาเท้าจุ่มน้ำพอนะ”

“ครับผม” ผมยิ้มกว้างให้เขา จะได้ลงน้ำหรือไม่ได้ลง ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมมีเวลาอยู่กับเขาเพิ่มขึ้น 

แล้วไม่กี่ก้าวช่วงขายาวๆ ของคุณยะก็พาผมมายืนข้างสระ พอเห็นน้ำอยู่ตรงหน้าก็อยากลงไปว่ายขึ้นมาเสียนี่ ผมเป็นคนชอบน้ำ เห็นน้ำอยากกระโดดลงไปทุกทีเลย

“ขอลงทั้งตัวได้ไหมครับคุณยะ... ห้านาทีก็ได้” ผมเอ่ยขอตอนที่คุณยะวางผมลงบนพื้น อาการโลกเอียงถามหาทันที ต้องคว้าท่อนแขนแกร่งเอาไว้เป็นหลักยึด

“ไม่ได้!” เขาปฏิเสธมาอย่างไว เสียงดุด้วย ทำเอาผมย่นคอหนี

“งื้อ... คุณยะใจร้าย” ผมปากแบะ พร้อมบีบน้ำตา

“งั้นกลับไปนอน” แต่เขากลับไม่สนใจน้ำตาเสแสร้งของผม

“ไม่เล่นก็ได้ครับ เอาเท้าจุ่มน้ำอย่างเดียวก็พอเนอะ” ผมยิ้มประจบ จากนั้นก็ปล่อยมือจากแขนคุณยะ พยายามยืนให้มั่นคงด้วยขาตัวเอง มีคุณยะมองตามทุกการกระทำของผม เริ่มจากถอดรองเท้ากับถุงเท้าก่อน ตามด้วยปลดกระดุมกางเกงยีน รูดซิปลง ดึงเอากางเกงลงจากสะโพก จนหลุดออกไปทางขาทั้งสองขา เป็นอันเรียบร้อยกับกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายามมากที่สุด เพื่อที่จะไม่ล้มไปกองพื้น

เอาละ... ตอนนี้ท่อนล่างของผมเหลือแค่บ็อกเซอร์ พร้อมสำหรับการนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำแล้ว

ผมทรุดตัวลงนั่งข้างขอบสระ ปล่อยปลายเท้าจมลงสู่สายน้ำเย็นชืดในตอนดึกสงัด มีคุณยะทิ้งตัวตามลงมานั่งข้างๆ เขาทำเหมือนผม เพียงแต่ไม่ได้ถอดกางเกงแบบผม เขาทำแค่พับขากางเกงสแลกค์ขึ้นไปกองที่เข่า

“คุณยะครับ น้องพีอยากขอ...” อยากขอแต่ก็กลัวเขาปฏิเสธ 

“ขออะไร” เพราะผมไม่ยอมพูดต่อ เขาถึงได้เอ่ยปากถามกลับมา คุณยะยกมือขึ้นมาลูบหัวผม และมันทำให้ผมมีความกล้าขึ้น

“ขอ... “ผมสูดหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยความอยากของตัวเองออกมา “...ขอหนุนตักคุณยะได้ไหมครับ” และไม่รอให้เขาปฏิเสธ ผมขยับถอยออกมาจากตัวคุณยะพอประมาณ แล้วก็ใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีทิ้งตัวลงนอนราบไปกับพื้น วางหัวของตัวเองไว้บนตักของเขาได้อย่างพอดี

...ต้นขาคุณยะแข็งมาก ไม่นุ่มเหมือนหมอนที่ผมหนุนทุกคืนหรอก แต่เพราะความไม่เหมือนนี่แหละทำให้ผมมีความสุขจนไม่อยากลุกจากไปไหน

“คุณยะอนุญาตหรือยัง” เขาทำเสียงเข้มถามผม แต่ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ผมมั่นใจว่าเขาแกล้งผมมากกว่า

“คุณยะใจดี” ผมพูดไปตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ คืนนี้เขาใจดีกับผมมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผมเงยหน้าขึ้นไปยิ้มกว้างปากแทบฉีกให้เขา ได้รับรางวัลเป็นมืออุ่นๆ ที่ลูบหัวผมไปมา มองผมด้วยสายตาที่อยากจะจดจำไปตลอดชีวิต

คืนนี้คุณยะใจดีกับผมมาก ทั้งที่ผมคิดว่าเขาจะดุผมเรื่องหนีเที่ยว ดื่มเหล้า เล่นยา และสูบบุหรี่ ถึงเขาจะไม่เห็นตอนผมสูบก็ตาม แต่ว่าตัวผมก็มีกลิ่นบุหรี่

“น้องพีเป็นคนพิเศษของคุณยะใช่ไหมครับ” เพราะผมยังยึดติดกับคำว่า ‘คนพิเศษ’ ที่ผมหลงเชื่อ อยากคิดว่ามันเป็นความจริง เขาให้ผมเป็นคนพิเศษของเขาจริงๆ

‘พิเศษ’ ที่หมายความว่าแตกต่างจากคนอื่น

‘พิเศษ’ ที่มีให้แค่คนเดียวคือผม

“ขึ้นอยู่กับว่าน้องพีเป็นเด็กดีของคุณยะหรือเปล่า” ผมไม่ค่อยพอใจคำตอบเท่าไร ผมหวังว่าเขาจะตอบว่า... ‘ใช่’ โดยที่ไม่ตามมาด้วยข้อแม้

“น้องพีจะงอนแล้วนะ ทำไมคุณยะไม่ตอบว่า ‘ใช่’ ล่ะครับ ทำไมต้องมีข้อแม้ด้วย” ผมแกล้งถามด้วยน้ำเสียงแง่งอน สบตากับคนด้านบนที่มองลงมาด้วยรอยยิ้มอีกตามเคย คืนนี้คุณยะยิ้มให้ผมเยอะมาก

“คุณยะง้อคนไม่เก่งด้วยสิ”

“แต่ใจร้ายเก่งมากกกกกก”

“ใช่... โดยเฉพาะกับเด็กแบบเธอ”

“ไม่ ‘เธอ’ สิครับ” ผมรีบท้วง ไม่เอาคำว่าเธออีกแล้ว “คุณยะต้องเรียกว่า ‘น้องพี’ นะ”

“อยากเป็นน้องของคุณยะหรือไง” เขาแกล้งผมอีกแล้ว รอยยิ้มของเขาบอกอย่างนั้น แต่ผมก็มีความสุขนะที่เราสองคนมีช่วงเวลาแบบนี้

“เปล่าครับ แต่น้องพีอยากเป็น...” ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนขยับเปลี่ยนจากท่านอนหงายมองหน้าเขา มาเป็นนอนตะแคงข้าง แบบที่... หันหน้าเข้าหาตัวเขา ซ่อนความเขินอายที่อาจจะฟ้องออกมาทางผิวแก้มที่แดงก่ำไม่ให้เจ้าของตักเห็น ยามที่เอ่ยประโยคนี้ออกไป “...คนที่คุณยะรัก” หัวใจผมมันเรียกร้องอยากให้เขามอบความรักให้ผมคนเดียว

...รักของคุณยะที่เป็นของผมแค่คนเดียว

“...” เจ้าของตักเงียบไปเลย มันนานจนมีเวลาให้น้ำตาผมไหลออกมาเป็นสายยาว ซึมผ่านกางเกงลงไปยังต้นขาของเขา ผมไม่ได้บีบน้ำตาเพื่อให้เขาใจอ่อนหรือโอ๋เอาใจ น้ำตาทุกหยดที่รวมกันเป็นสายยาวมาจากความสิ้นหวังของผมล้วนๆ

...คุณยะไม่ตอบ เขาเงียบ เพราะเขาไม่รักผมใช่ไหม

“ร้องไห้ทำไม” มือของคุณยะเปลี่ยนมาลูบแผ่นหลังผม คล้ายจะปลอบโยนให้คลายแรงสะอื้นลง

“ก็คุณยะใจร้ายกับน้องพี” ผมลุกขึ้นมานั่งมองหน้าคนใจร้ายทั้งน้ำตา คุณยะเอื้อมมือมาจะเช็ดน้ำตาให้ แต่ผมขยับหนีด้วยอารมณ์น้อยใจ “น้องพีอุตส่าห์รักคุณยะ คุณยะก็ต้องรักน้องพีด้วยสิ” คำพูดเอาแต่ใจของผมทำคนฟังถอนหายใจออกมา ครั้งนี้ไม่มีรอยยิ้ม เขาโกรธความเอาแต่ใจผมหรือเปล่า ผมไม่อยากให้เขากลับมาใจร้ายกับผมอีกแล้วนะ

“เธอรักฉันแบบไหน” เขาถามเสียงเรียบกดดันให้ผมพูดไม่ออก บทจะใจดีเขาก็ใจดีจนผมหลงระเริง พอจะใจร้ายก็แค่มองหน้าผมนิ่งๆ และกลับไปใช้สรรพนามที่ห่างเหินเหมือนที่ผ่านมา

ผมปาดน้ำตาออกจากแก้มเท่าไรก็ไม่หมด สุดท้ายก็ยอมให้คนตรงหน้าเอื้อมมือเข้ามาช่วยเช็ดน้ำตาให้ ความอ่อนโยนของเขาที่ผ่านปลายนิ้วทำให้น้ำตาผมไหลน้อยลง

“แบบ...คนรัก” ในที่สุดผมก็ทนเก็บความรู้สึกที่ทุรนทุรายในอกเอาไว้ไม่ได้ ผมกลั้นใจพูดมันออกมาจนได้

“ที่พูดออกมา รู้แล้วหรือไงว่ารักแบบ ‘คนรัก’ มันเป็นยังไง” เขาพูดเหมือนจะสั่งสอนในความไม่รู้จริงของผม “เธอยังเด็กเกินไปนะพีที่จะรู้ว่ารักแบบคนรักมันเป็นแบบไหน การที่เธอบอกว่าเธอรักฉันแบบคนรัก เธออาจจะแค่อยากให้ฉันรักเธอเหมือนที่ทุกคนรักเธอ เอาใจเธอเหมือนที่ทุกคนเอาใจ แต่เพราะฉันไม่เหมือนทุกคน เธอถึงอยากเอาชนะ อยากให้ฉันทำดีกับเธอเท่านั้น”

“ไม่ใช่สักหน่อย!” ผมโกรธนะที่เขากล่าวหาผม เขาไม่ใช่ผมสักหน่อยถึงจะได้รู้ว่าผมไม่รู้จักความรัก “ผมอายุสิบห้าแล้ว ไม่เด็กซะหน่อย มีบัตรประชาชนแล้วด้วย เผื่อคุณยะไม่รู้”

“ก็ยังเด็กอยู่ดีนะครับน้องพี” เขายิ้มอ่อน หน้าตาผ่อนคลายกว่าตอนที่สั่งสอนผมเรื่องความรักแบบคนรัก แถมยังกลับมาเรียกผมว่าน้องพีอีกครั้ง พลอยทำเอาผมยิ้มหน้าบาน “น้องพีเป็นเด็กดีของคุณยะแบบนี้ดีแล้วครับ”

“งั้นน้องพียังเด็กอยู่ก็ได้ครับ” ผมเลิกเถียงก็ได้ ถ้าความเป็นเด็กของผมทำให้เขายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน มองผมด้วยสายตาหวานซึ้ง “แต่คุณยะช่วยบอกน้องพีหน่อยสิครับ ว่าน้องพีต้องอายุเท่าไรถึงจะเรียกว่าโตแล้ว สามารถรักคุณยะได้”

“ตอนโตเป็นผู้ใหญ่” เป็นคำตอบที่กว้างมาก

“เอาเป็นตัวเลขสิครับ” ผมท้วง พลางขยับเข้าใกล้ ใช้สายตาจริงจังกดดันเอาคำตอบจากคนที่เอาแต่ยิ้ม

“สี่สิบเป็นไง”

“นั่นเรียกว่าโตจนเข้าสู่วัยกลางคนแล้วครับ” นอกจากคุณยะจะชอบใจร้ายกับผม เขายังชอบแกล้งผมด้วย ทำไมเป็นคนขี้แกล้งแบบนี้นะ “บอกมาสิครับ บอกน้องพีมาเลยว่าน้องพีต้องอายุเท่าไรถึงจะรักคุณยะได้ และพอถึงตอนนั้นคุณยะก็ต้องรักน้องพีคนเดียวด้วย ห้ามมีใครอีก เพราะน้องพีจะไม่ยอมให้คุณยะมีใครอีกแล้ว ต้องมีน้องพีคนเดียว”

“เอาแค่ถึงพรุ่งนี้แล้วน้องพีจำที่พูดทั้งหมดในคืนนี้ได้ คุณยะจะถือว่าน้องพีโตพอที่จะมีความรักได้... ตกลงไหม”

“ตกลงครับ!” ผมรีบตอบทันที กลัวเขาจะเปลี่ยนข้อแม้ที่ยากกว่านี้ ชักอยากให้พรุ่งนี้มาถึงไวๆ แล้วสิ แต่ก็เสียดายช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับคุณยะแบบนี้

โอ๊ยยย...สับสน อยากเร่งเวลาให้ถึงตอนเช้า แต่ก็อยากยืดเวลาให้คืนนี้ยาวออกไปให้มากที่สุด

“คิ้วชนกันหมดแล้ว” ปลายนิ้วของคุณยะจิ้มลงมาตรงช่องว่างระหว่างหัวคิ้วทั้งสอง กดคลึงอย่างอ่อนโยน

“จุ๊บแก้มหน่อยสิครับ” อยากถูกเขาสัมผัสอย่างอ่อนโยน ผมยังจำความรู้สึกที่โดนคุณยะหอมแก้มวันนั้นได้ไม่ลืม

“ไว้พรุ่งนี้นะ”

“ไม่เอา น้องพีจะเอาตอนนี้” ผมเริ่มเอาแต่ใจตัวเองตามนิสัยเด็กที่ถูกตามใจมาตั้งแต่จำความได้ ยิ่งคุณยะใจดีกับผม ผมก็ยิ่งเอาแต่ใจ

“เด็กดื้อ” น้ำเสียงที่กล่าวหาผมถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยนผิดไปจากคุณยะที่ผมรู้จัก “ไปนอนได้แล้วไป”

คุณยะขยับตัวจะลุกขึ้นยืน แถมเอื้อมมือมาจะดึงผมขึ้นตาม ทว่าผมเร็วกว่าและทำในสิ่งที่คุณยะไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือกับความใจกล้าของเด็กดื้อที่รอวันจะโตเป็นผู้ใหญ่ในวันพรุ่งนี้

มันง่ายสำหรับคนเมาที่จะคิดอะไรแล้วทำทันที ผมก็ด้วย เพียงแค่ความคิดผุดขึ้นในหัว ร่างกายของผมก็รวดเร็วเท่ากับความคิด

“ลุกออกไปน้องพี ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”

ผมถูกดุ เพราะตอนนี้ผมนั่งอยู่บนตักของคุณยะ นั่งในท่าที่ผมหันเข้าหาใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังตีสีหน้าราบเรียบกดดันให้ผมลุกออกไปจากตักเขาได้แล้ว แต่ผมไม่สน วาดเรียวแขนไปคล้องคอเขาด้วยเพราะกลัวตัวเองจะหงายหลังลงสระไปเสียก่อน

“อย่าใจร้ายกับน้องพีสิครับ น้องพีแค่อยากนั่งตักคุณยะ ให้น้องพีนั่งนะครับ” ผมเอาลูกอ้อนเข้าสู้ วางศีรษะลงบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างอ้อนๆ “น้องพีเป็นเด็กดีของคุณยะแล้วนะ ช่วยใจดีกับน้องพีหน่อยสิครับ”

“เด็กดีเขาไม่มานั่งบนตักผู้ใหญ่แบบนี้นะ”

“น้องพีก็เป็นเด็กดีได้เท่านี้แหละ ไม่ได้น่ารักเหมือน...” ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนดึงใบหน้าออกจากไหล่กว้างของเจ้าของมัน มองเข้าไปในดวงตาสีราตรีที่ติดจะขุ่นนิดหน่อย ก่อนเอ่ยต่อจนจบประโยคที่ตั้งใจจะตัดพ้อเขา “...พี่เลม่อนของคุณยะนี่ครับ”

ผมโทษว่าเป็นเพราะสิ่งที่เอาเข้าไปในตัวก่อนหน้านี้ มันทำให้ผมเป็นแบบนี้ ทั้งกล้า บ้า และพรั่งพรูทุกความรู้สึกออกมา

ภาพ ‘แซ่บๆ’ ของคุณยะเมื่อตอนกลางวันผุดขึ้นมาในความทรงจำที่มึนเมา ภาพที่มันอยู่ในโทรศัพท์ของผม

“เลม่อน ?” ดวงตาสีราตรีฉายแววแปลกใจมากกว่าจะตกใจที่ผมล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเขาสองคน “เขาบอกหรือไง”

“เขาไม่ได้บอกน้องพี แต่มีคนเอารูป ‘แซ่บๆ’ ของคุณยะกับเขามาให้น้องพีดู” ผมจงใจเน้นตรงคำว่า ‘แซ่บๆ’ อย่างหมั่นไส้ “อยากเห็นไหมล่ะ น้องพีมีตั้งห้ารูปแน่ะ” บอกแล้วผมก็ลุกจากตักของเขา เดินไปล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วกลับมานั่งที่เดิม

...บนตักคุณยะเหมือนเดิม วาดเรียวขาทั้งสองขาไปด้านหลังของเขาด้วย

แอบหวั่นเหมือนกันว่าลุกไปแล้วคุณยะจะไม่ยอมให้ผมกลับมานั่งบนตักเขาได้ง่ายๆ แต่ก็ง่ายครับ แถมครั้งนี้ไม่มีไล่ให้ลุกออกไปด้วย



.

.

.


อ่านต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2019 01:18:36 โดย i_ang »

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
.

.

.


ผมเปิดโปรแกรมแชตสีเขียวขึ้นมา เข้าไปในแชตของผมกับนานะ ก่อนส่งให้เขาดูด้วยตาตัวเองว่าสิ่งที่ผมเห็นมันแซ่บอย่างไรบ้าง ผมไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าว่าตัวเองโดนแอบถ่าย เพื่อเอามาอวดคนอื่นให้อิจฉา... รวมถึงผมด้วย ยอมรับว่าผมโคตรจะอิจฉาคนที่รู้จักกับคุณยะแค่ไม่ถึงเดือน แต่กลับได้รับสิทธิ์มากขนาดนั้น ทั้งได้กอดคุณยะ ถูกคุณยะกอด มีคุณยะให้นอนกอดไปทั้งคืน

“ดูให้เต็มตาเลย รูปพวกนี้พี่เลม่อนถ่ายมาอวดเพื่อนของเขา” ผมเริ่มพูดไม่มีหางเสียง ก็คนอารมณ์ไม่ดีไง “คุณยะเพิ่งฟันขึ้นหรือไง ถึงได้ชอบกัดชอบดูดขนาดนี้” ความลายพร้อยบนตัวพี่เลม่อนเจ้าของใบหน้าสวยหวานจนเป็นตำนานของโรงเรียนชายล้วนยังติดตาผมอยู่เลย

อาการบนใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบสนิท ดวงตาสีราตรีก็นิ่งสงบ เหมือนผืนน้ำที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าลึกลงไปนั้นแอบซ่อนอะไรไว้บ้าง

ยอมรับเลยว่าผมลุ้นให้เขาโกรธที่ตัวเองถูกถ่ายรูปแซ่บๆ มาอวดกลุ่มเพื่อนของพี่เลม่อน ทว่าเขาก็ยังไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมา สักนิดก็ไม่มี ก่อนคืนโทรศัพท์มาให้ผม

“ไม่โกรธหน่อยเหรอ” ผมรับโทรศัพท์คืนมา แล้วยืดแขนเอามันไปวางไว้ด้านหลังคุณยะ พอมือว่างแล้วผมก็ยกขึ้นไปคล้องต้นคอหนาเหมือนเดิม มองคนตรงหน้าด้วยสายตาตัดพ้อและไม่พอใจที่เขาไม่โกรธพี่เลม่อนแม้แต่นิดเดียว “เพราะคุณยะรักพี่เลม่อนใช่ไหม ถึงรักผมไม่ได้” ก็มันน่าคิดแบบนี้นี่นา

พี่เลม่อนเป็นผู้ชายที่หน้าสวยมาก (แต่เขาไม่ได้เป็นเหมือนสองเพื่อนซี้นานะกับเตเต้) เขาเป็นตำนานของโรงเรียน ได้รับคำชื่นชมตั้งแต่เข้ามาเรียนว่าสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก จนจบออกไปหลายปีแล้ว ชื่อของพี่เลม่อนก็ยังถูกพูดถึงอยู่เสมอในเรื่องของผู้ชายที่มีใบหน้าสวยงามอย่างไร้ที่ติ ดังนั้นผมเลยคิดว่าคนอย่างพี่เลม่อนคงทำให้คุณยะตกรักได้ไม่ยาก

พอรักแล้วต่อให้พี่เลม่อนทำผิดแค่ไหนก็ให้อภัยได้ ต่างกับผมที่ต่อให้เป็นเด็กดีแค่ไหน คุณยะก็ยังเห็นเป็นแค่ลูกของคนที่เขาเกลียด

“คิดเองเออเอง” เขาว่า ใช้นิ้วดีดหน้าผากเบาๆ “คุณยะบอกหรือยังว่าไม่โกรธที่ถูกแอบถ่าย”

“ก็ไม่รู้แหละ คุณยะเห็นรูปแล้วก็ทำหน้านิ่ง ไม่เห็นไฟลุกท่วมหัวเลย ทีกับน้องพีทำอะไรให้ไม่พอใจนิดหน่อยก็ทำเหมือนโกรธน้องพีมาเป็นร้อยชาติ” ผมประชด

“เพราะเธอไม่เหมือนใคร” ยิ้มของเขาทำหัวใจผมอุ่นวาบ คำพูดของเขาก็ทำเอาแก้มผมร้อนขึ้นมาทันที ต่อให้ไม่เรียกผมว่าน้องพี ผมก็ไม่น้อยใจแล้ว “เธอ... ‘พิเศษ’ มากนะพี รู้ตัวได้แล้ว”

“ไม่ได้โกหกน้องพีใช่ไหมครับ” ต่อให้โกหกผมก็จะเชื่อ ผมมีความสุขที่จะเชื่อคำพูดของคนตรงหน้า เจ้าของใบหน้าหล่อเหลามองตอบสายตาร้องขอของผมด้วยรอยยิ้มของผู้ใหญ่ใจดี รอยยิ้มที่ค่ำคืนนี้ผมได้เห็นเยอะมาก มากกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาของผมเสียอีก

“ขึ้นอยู่ที่เธอพี... ถ้าเธอเชื่อที่ฉันพูด มันก็ไม่ใช่คำโกหก แต่ถ้าเธอไม่เชื่อ คำพูดของฉันก็ไม่ต่างจากคำโกหกที่เธอไม่อยากฟัง” เขายกมือขึ้นลูบแก้มขวาผมอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผมอยากได้จากเขา มืออีกข้างวางอยู่บนแผ่นหลังผม “ทุกคำพูดของฉันที่บอกกับเธอ มันอยู่ที่เธอเป็นคนตัดสิน”

“แล้วพี่เลม่อนล่ะ เขาเป็นอะไรสำหรับคุณยะ” ผมอยากรู้ ความสำคัญของพี่เลม่อนจะเท่าผมไหม หรือมากกว่า อาจจะมากกว่าก็ได้เพราะเขาได้นอนกับคุณยะ

“เธอยังเด็ก อย่ารู้เลย” แต่คุณยะก็ไม่ยอมตอบคำถาม ข้ออ้างแบบเดิมที่ผมต้องย่นหน้าใส่อย่างไม่พอใจ

“อะไรๆ ก็เด็ก น้องพีไม่เด็กแล้วนะ อายุจะสิบหกแล้วด้วย” ผมว่าอย่างมีอารมณ์ ไม่อยากถูกมองว่าเป็นเด็กเลยให้ตายเถอะ

“แต่สำหรับคุณยะ น้องพียังเด็ก เข้าใจตามนี้นะ” เขาทอดเสียงนุ่มนวลบอกให้ผมคลายความไม่พอใจลง ก่อนจะละมือจากแก้มผมไปวางไว้บนช่วงเอว ตอนนี้มือทั้งสองของคุณยะวางอยู่บนตัวผม คล้ายๆ กับว่าเราสองคนกำลังนั่งกอดกัน

“คุณยะครับ” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างหนา เอ่ยถามสิ่งที่จะทำให้หัวใจพองฟู “น้องพีน่ารักไหมครับ... น่ารักกว่าพี่เลม่อนหรือเปล่า” แม้ความจริงก็เห็นชัดแล้วว่าหน้าตาของผมสู้พี่เลม่อนไม่ได้ เพราะอีกคนหน้าตาสวยหวานเสียยิ่งกว่าผู้หญิง เป็นตำนานที่ทุกคนในโรงเรียนต้องพูดถึง ไม่มีใครไม่รู้จักพี่เลม่อน เอฟซีของพี่เขามีมากกว่าครึ่งของจำนวนเด็กในโรงเรียน ส่วนผมก็แค่เด็กผู้ชายตัวผอม ผิวขาว และติดจะตัวเล็กไปด้วยซ้ำ ไม่เคยติดอันดับอะไรกับเขาหรอก แต่ที่มีคนรู้จักผมเยอะเพราะนามสกุลมากกว่า 

“บอกแล้วไงว่าน้องพีไม่เหมือนใคร”

“แบบนี้ไม่เอาสิครับ น้องพีอยากได้คำตอบแบบที่ชัดกว่านี้ บอกมาเลยว่าน้องพีน่ารักกว่าพี่เลม่อน” ผมยังรบเร้าเอาคำตอบที่อยากฟังจากเขา ขณะที่ความร้อนภายในกายเริ่มสูงขึ้น ยิ่งผมนั่งอยู่บนตักของเขา ยิ่งนั่งในท่าที่ล่อแหลม ยิ่งส่วนอ่อนไหวที่เหมือนจะเสียดสีกันอยู่นี้ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดคับแน่นตรงส่วนนั้น จนเผลอปล่อยเสียงน่าอายออกมาเบาๆ

“ไปนอนได้แล้ว” คุณยะพูดสั่งทันทีที่ได้ยินเสียงน่าเกลียดหลุดออกมาจากลำคอของผม พลางใช้แขนช้อนตัวผมออกจากตักเขา แต่ผมไม่ยอม กอดคอเขาไว้แน่น ซุกหน้าเข้ากับอกกว้างที่น่าซุกซบนั้น

“ไม่ไป!” ให้กลับไปนอนทั้งที่ข้างล่างของผมรู้สึกไปแล้ว ไม่ยอมหรอก

“อย่าดื้อ” เสียงเข้มออกแนวดุแต่ไม่มาก ยังพอรับมือและเอาแต่ใจได้

“ไม่ดื้อสักหน่อย” ผมเงยหน้าขึ้นไปเถียง “น้องพีแค่อยากอยู่กับคุณยะอีกหน่อย แล้วตอนนี้น้องพีก็...แข็งแล้ว” ไม่รู้ว่าความกล้ามาจากไหน ความเขินอายหนีไปไหนหมด ผมถึงได้กล้าพูดตามที่สมองคิด กล้าทำตามที่สมองสั่ง 

ตอนนี้ผมกำลังมีอารมณ์อย่างว่า ยิ่งสะโพกทาบทับอยู่บนความแข็งแกร่งของเจ้าของตักแล้วด้วย ความรู้สึกก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนอึดอัดและอยากปลดปล่อยออกมา   

“พี” คุณยะมองตาผมนิ่ง เขากำลังดุผมผ่านสายตาตำหนิ

“ก็...” ผมมองตาเขาอ้อนๆ ขอบตาร้อนจัดและกำลังล้นน้ำตา ความรู้สึกอึดอัดกำลังเปลี่ยนเป็นความทรมาน “...น้องพีรู้สึกไปแล้ว มันแข็ง คุณยะลองจับดูสิ” ความมึนเมาที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายยังไม่สิ้นฤทธิ์ เปลี่ยนผมให้กลายเป็นเด็กใจแตก ทำให้ผมทรมานกับความรู้สึกที่เพิ่มมากขึ้น

คุณยะไม่ได้ลองจับอย่างที่ผมอ้อนขอ มือของเขายังจับแน่นอยู่บนแผ่นหลังของผม ดังนั้นผมจึงเป็นฝ่ายที่ดึงมือข้างหนึ่งของคุณยะออกมาจากตัว บังคับด้วยแรงของเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง ให้อุ้งมือข้างนั้นลงมาสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่ขยายและแข็งจนปวดหนึบ

“อ่า...คุณยะ...” ผมครางออกมาทันทีที่อุ้งมือร้อนสัมผัสส่วนอ่อนไหวผ่านบ็อกเซอร์เนื้อบาง “...ช่วยน้องพีหน่อยนะครับ” ผมอ้อนวอนอย่างเด็กใจแตก

“ไปนอนพี เธอไม่ไหวแล้ว” นอกจากไม่ยอมสัมผัสผมแล้ว คุณยะก็ยังดึงมือของตัวเองกลับ พยายามที่ยกตัวผมออกจากตักของตัวเองให้ได้

“ก็น้องพีไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่นา... น้องพีทรมาน” ผมยังกดตัวเองเอาไว้บนตักคุณยะ มือคว้าต้นคอหนาไว้แนบแน่น ส่วนอีกมือกำลังทำสิ่งที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตแล้วมั้ง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอายอะไรเลย มีแต่ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มและอยากเอาชนะ อยากให้เขาเห็นว่าผมโตแล้ว... โตพอสำหรับเรื่องอย่างว่า

ผมล้วงเอาตัวตนอ่อนไหวออกมาพ้นขอบกางเกงบ็อกเซอร์ เนื้อกายขาวอมชมพูกำลังชูชันเพราะมันบรรจุไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนระอุ และทำให้ผมทรมานอย่างที่สุด เทียบไม่ได้เลยกับตอนที่ผม ‘ช่วย’ ตัวเอง คงเพราะมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องทุกกระทำของผม

“เห็นไหม...” ผมยิ้มเหมือนอวดสิ่งที่ตัวเองมีไม่ต่างจากคนที่ผมนึกอิจฉา อิจฉาเขาที่ได้อยู่บนเตียงเดียวกับคุณยะ ถูกคุณยะกอด ฝากทุกอารมณ์ไว้บนผิวกายขาวนั้น “...น้องพีโตแล้ว ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว นอนกับคุณยะได้... ถ้าคุณยะต้องการ...อ่า...” ผมเชิญชวนทั้งคำพูดและการกระทำ มือของผมกำลังลูบไล้บนความร้อนระอุของตัวเอง

“พี...” เจ้าของตักระบายลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจกับความใจแตกของผม “อย่าทำแบบนี้ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาเธอจะเสียใจ”

“ไม่เสียใจ” ผมส่ายหน้าคอแทบหัก เอ่ยออกมาอย่างไม่มีเขินอายสักนิด “น้องพีอยากให้คุณยะรักน้องพี อยากนอนกับคุณยะเหมือนพี่เลม่อน”

“เธอยังไม่โต” เอาอีกแล้ว เดี๋ยวก็เด็ก เดี๋ยวก็ยังไม่โต เขาบ่ายเบี่ยงผมตลอด

“โตแล้ว นี่ไง...อือ...” ผมไม่ยอมแพ้ ดึงมือคุณยะมาจับตัวตนร้อนระอุของตัวเองอีกครั้ง อุ้งมืออุ่นทำผมเสียวแทบขาดใจ สะโพกบิดไปมาบนตักแกร่ง ความรู้สึกที่ส่วนอ่อนไหวถูกกอบกุมด้วยมือตัวเองกับมือของคุณยะช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน “อ่า...น้องพีทรมานเหลือเกิน คุณยะช่วยน้องพีด้วย...ฮึก... ปวดไปหมดเลย... นะครับคุณยะ...ช่วยน้องพีหน่อย...” ผมอ้อนวอนทั้งน้ำตา คำร้องขอแทรกไปด้วยเสียงสะอื้นจากความรู้สึกแสนทรมาน

“ฉันไม่อยากฉวยโอกาสกับเธอเลยพี” คุณยะพูดประโยคนี้เบามาก เบายิ่งกว่าลมกลางคืนที่พัดผ่านไปมา “ตื่นมาพรุ่งนี้เธอต้องโกรธฉันมากแน่”

“ไม่โกรธ น้องพีจะไม่โกรธคุณยะ” ผมรีบพูดให้เขาสบายใจ

“วันพรุ่งนี้ฉันอยากให้เธอจำคำพูดของตัวเองให้ได้นะพี”

“น้องพีจำได้ น้องพีไม่ลืม...อะ...อ่า...” ผมบอกไม่ทันจบประโยคก็ต้องหลุดเสียงครางออกมาแทบจะทันที เมื่ออุ้งมือร้อนจัดเริ่มขยับไปตามความยาวของตัวตนผม “คะ...คุณยะ...อะ...น้องพี...อ่า... เสียว” มันต่างกันจริงๆ มือของคุณยะให้ความรู้สึกต่างจากมือของผมมากเหลือเกิน

“เก็บเสียงหน่อยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก สายตาที่มองผมฉ่ำหวาน เคลือบคลอไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างจากผม ยืนยันได้จากความดุนดันใต้สะโพกที่ผมกดทับลงไป

...ความแข็งแกร่งของคุณยะอุดอู้อยู่ใต้กางเกงสแลกค์สีดำของตัวเอง

“หะ...อ่า...ให้น้องพี...ช่วยไหมครับ” ผมถาม 

“ไม่ต้อง” เขาปฏิเสธ

“คุณยะไม่ทรมานหรือครับ”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร...” คุณยะเหมือนบ่นพึมพำกับตัวเองมากกว่า ก่อนที่มือร้อนจัดจะเร่งความเร็ว ทำเอาร่างกายผมสั่นสะท้านไปหมด สะโพกเสียดสีกับความแข็งแกร่งด้านล่างจนเกิดความรู้สึกว่าอยากได้มากกว่านี้ มากกว่าแค่อุ้งมือร้อนจัด แต่เพราะคุณยะเก่งหรือเพราะความอดทนผมมีน้อยกันแน่ สุดท้ายผมก็ไปถึงจุดหมายในเวลาอันน้อยนิด ไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนช่วยตัวเองยังใช้เวลาเยอะกว่านี้เลย

“อ๊ะ...” ผมซุกหน้าลงกับอกคุณยะ เมื่อความทรมานทลายออกมาเป็นสายน้ำสีขาวขุ่นเลอะทั้งเสื้อของผมและเสื้อของอีกฝ่าย ผมหอบตัวโยน เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่มีความสุขที่สุด เหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนสวรรค์ สุขจนอยากให้ค่ำคืนนี้ยาวนานไปอีกร้อยปี

“พอใจแล้วนะ” เสียงทุ้มกระซิบชิดแก้มของผม ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะจูบลงมาแรงๆ “งั้นก็ไปนอนได้แล้ว” ทำไมเขาชอบไล่ผมไปนอนจัง ไม่อยากอยู่กับผมเหมือนที่ผมอยากอยู่กับเขาไปจนถึงเช้าหรือไงนะ

“คุณยะครับ” พอปรับลมหายใจให้ใกล้ปกติได้แล้ว ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร ผมก็ดึงใบหน้าออกจากแผ่นอกแสนอบอุ่นของคุณยะ เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขา

“จะเอาอะไรอีกหะเด็กขี้อ้อน”

คืนนี้ผมเป็นทั้ง... เด็กดี เด็กขี้แย เด็กขี้อ้อน แต่ไม่ว่าผมจะถูกเรียกแบบไหน ผมก็รู้สึกดีมากๆ เพราะแต่ละคำที่คุณยะเอ่ยออกมา มันเต็มไปด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ความเป็นสารพัดเด็กของผม

“น้องพีอยากได้คุณยะ... อยากให้คุณยะเข้ามาในตัวน้องพี” ผมพูดออกไปอย่างไม่มีความอายในน้ำเสียงเลยสักนิด “น้องพีอยากทำให้คุณยะมีความสุข คุณยะจะได้ไม่ต้องไปนอนกับพีเลม่อนอีก เขาจะได้ไม่มีโอกาสแอบถ่ายรูปของคุณยะด้วย น้องพีไม่อยากให้ใครเห็นรูปตอนที่คุณยะแก้ผ้า น้องพีหวง น้องพีอยากเห็นคนเดียว”

“อย่าพี...” มือหนาจับยึดเอวของผมเอาไว้ไม่ให้ทำอย่างที่สมองซึ่งเต็มไปด้วยความมึนเมาสั่งออกมา เพราะผมกำลังบดสะโพกลงบนความแข็งแกร่ง “...ฉันกำลังใช้ความอดทนอย่างมาก รู้บ้างไหมเด็กช่างยั่ว”

“งั้นก็รีบหมดความอดทนสิครับ ไม่เห็นต้องทนเลย” ผมยิ้มรับคำกล่าวหาที่ว่าเป็น ‘เด็กช่างยั่ว’ ถ้ามันจะทำให้คุณยะเป็นของผมคนเดียวตลอดไป “น้องพีรออยู่นะ...รู้ยัง” ปากผมก็ยังพูดยั่วยวนเท่าที่จะสรรหาคำมาพูดได้ และยังพยายามที่จะทำอย่างใจอยาก บดสะโพกลงไปหาความแข็งแกร่งของเขาเท่าที่จะทำได้ ผมอยากให้คุณยะสิ้นความอดทน อยากให้เขายอมรับว่าผมไม่ใช่เด็กน้อย ผมโตแล้ว โตพอที่จะเป็นของเขา

“คุณยะรู้แล้วครับเด็กดี แต่ฟังคุณยะบ้างได้ไหม” เขามองตาผมดุๆ ผมรู้เลยว่าครั้งนี้เขาเอาจริง เลยทำให้ผมหยุดสะโพกของตัวเองลงทันที “ตกลงกันแล้วไงว่าถ้าพรุ่งนี้น้องพีตื่นมาแล้วจำเรื่องคืนนี้ได้ แสดงว่าน้องพีโตแล้ว ตอนนั้นถ้าน้องพีอยากได้อะไร คุณยะก็จะให้น้องพีทุกอย่าง”

“รวมถึงความรักของคุณยะด้วยใช่ไหมครับ ถ้าน้องพีจำทุกอย่างได้ คุณยะจะรักน้องพีใช่ไหมครับ”

“ทั้งชีวิตของคุณยะจะเป็นของน้องพี”

“คนเดียวด้วยใช่ไหม”

“ใช่”

คำตอบของเขาทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าครั้งไหน หัวใจดวงน้อยเอ่อล้นด้วยความสุขสมหวัง ผมรู้สึกมีความสุขที่สุดในโลก ที่ผ่านมาต่อให้เขาทำให้ผมเจ็บช้ำมามากเท่าไร ผมจะลืมมันไปให้หมด

“น้องพีรักคุณยะ” ผมโผเข้ากอดเขา รอบตัวผมคลุ้งไปด้วยกลิ่นความสุขสมหวัง มีมือหนาคอยลูบแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน ราวกับจะร่วมยินดีไปกับความสุขสมหวังของผมด้วย 

“เป็นเด็กดีของคุณยะนะ”

“ครับ น้องพีจะเป็นเด็กดี”

ผมหลับตาลง ซึมซับความสุขที่โอบล้อมผมกับคุณยะเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนอีกฝ่ายค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงของตัวเอง โดยมีผมติดตามขึ้นมาด้วยในสภาพที่ผมยังโอบรอบคอของเขาและขาก็พันอยู่เหนือสะโพกของเขาด้วยเช่นกัน

“คุณยะยังแข็งอยู่เลย ไม่ให้น้องพีช่วยจริงเหรอ” ผมเป็นห่วงเขา อะไรที่มันอึดอัดอยู่ใต้กางเกงเนี่ย มันทรมานมากเลยนะ “ให้น้องพีช่วยนะ น้องพีทำเป็น เผื่อคุณยะไม่รู้” 

“เด็กทะลึ่ง” เขาหัวเราะ สองขาแข็งแรงที่รับทั้งน้ำหนักของร่างกายตัวเองและร่างกายผมก้าวไปข้างหน้า คุณยะกำลังอุ้มผมกลับเข้าห้องนอนของผมเอง

“มีคนบอกว่าเด็กทะลึ่งเป็นเด็กฉลาดครับ” อันนี้ผมมั่วเอาเอง

“ยอมรับแล้วหรือไงว่ายังเป็น ‘เด็ก’ อยู่”

“พรุ่งนี้ก็ไม่เด็กแล้วครับ” ผมบอกอย่างภูมิใจ “คุณยะต้องเตรียมตัวเตรียมใจเป็นของน้องพีคนเดียวด้วยนะ รับรองว่าเด็กฉลาดแบบพีจำเรื่องคืนนี้ได้แน่นอน” เชื่อเถอะว่าผมไม่ลืมอย่างแน่นอน  ถึงผมจะเมาเหล้า และอาจหมายถึงเมายาที่ดีนให้ผมทั้งดูดทั้งกลืนลงคอด้วย แต่ผมก็พูดทุกอย่างออกมาจากความรู้สึกที่คุกรุ่นอยู่ภายในใจมากเนิ่นนาน ไม่มีทางที่จะลืม... ไม่ลืมหรอก

“รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนเถอะ คุณยะจะรอดูเด็กอาละวาด”

“ไม่มีทาง” ตอบอย่างมั่นใจ

“ลงได้แล้ว” คุณยะบอกเมื่ออุ้มพาผมเข้ามาในห้อง เพราะผมไม่ยอมปล่อยทั้งแขนจากคอเขา ขาก็ยังพันเกี่ยวไว้เหนือเอวสอบเหมือนเดิม

“น้องพีอยากอยู่แบบนี้จนถึงเช้าเลย”

“เป็นลูกลิงหรือไง ไม่คิดว่าคุณยะจะหนักเลยใช่ไหม” เขาแกล้งถาม สองขาแข็งแรงเดินไปยังประตูห้องน้ำ แล้วผลักเข้าไป ก่อนจะวางผมลงบนขอบอ่างอาบน้ำ “อาบน้ำแล้วเข้านอน คุณยะก็จะไปอาบน้ำเหมือนกัน” พูดจบก็หันหลังเดินออกจากห้องน้ำ

“มานอนกับน้องพีนะครับ” ผมรีบลุกขึ้นไปกอดคนตัวหนาเอาไว้ทันที่หน้าประตูห้องน้ำ ผมกอดเขาจากด้านหลัง ฝังใบหน้าไว้กับแผ่นหลังกว้าง “นอนกอดกันจนถึงเช้าเลย คุณยะจะได้เห็นตอนน้องพีโตเป็นผู้ใหญ่” และผมจะได้ทวงสัญญาตอนนั้นเลย

“ครับ” คำตอบรับนั้นอ่อนโยน และอ่อนโยนยิ่งขึ้นเมื่อคุณยะหันหลังกลับมา ริมฝีปากของเขาประทับจูบลงบนหน้าผากผม แผ่วเบาแต่ติดตรึงยาวนานอยู่ในหัวใจดวงน้อยดวงนี้ ไม่มีวินาทีไหนที่ผมลืมเลือนความรู้สึกที่ได้รับจากริมฝีปากของคนคนนี้

ทุกอย่างที่เป็นเขา มันฝังอยู่ในชีวิตของผมนานมาแล้ว ไม่มีลืม ไม่เคยจางไป ไม่เลยสักวันที่ผมจะไม่รัก... ผู้ชายคนนี้






ตอนจบที่ 13
คุยๆ ** ตอนนี้เป็นช่วงหลอกเด็กค่ะ 5555+
ตอนหน้าสิของจริง เสิร์ฟความขมกันเลยทีเดียว ^_^
สีเหลืองอ่อน
 :katai2-1:
ปล.ขอบคุณที่ยังติดตามกันน้า
ปล. 2 ตอนหน้าขมนะจ๊ะ 555+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2019 01:22:10 โดย i_ang »

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เนี่ยยยย น้องพีขี้ยั่วแบบนี้คนพี่จะหนีไปไหนได้ง

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
น้องพีจะจำได้ใช่ไหม

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 14


เช้าแล้ว... ไม่สิ เที่ยงต่างหาก นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างเตียงนอนบอกผมอย่างนั้น แอบแปลกใจว่าทำไมพี่วิภาไม่มาเคาะประตูเรียกให้ไปกินข้าวเช้ากับคุณปู่คุณย่า หรือว่าเธอมาเรียกแล้วแต่ผมไม่ได้ยิน น่าจะใช่เพราะจากสภาพผมเมื่อคืนก็สมควรที่วันนี้จะเคาะเรียกเท่าไรก็คงตื่นมาขานรับได้ยาก 

เมื่อคืนผมเมาเป็นครั้งแรก สภาพในตอนนี้เลยแทบลุกไม่ขึ้น มันเวียนหัวไปหมด ห้องเหมือนหมุนได้ มึนๆ และแสบตาด้วยเมื่อเจอแสงจนต้องหลับตาลง พอหลับตาก็รู้สึกคอแห้งและรู้สึกขมในปาก แถมกล้ามเนื้อก็คล้ายจะตึงไปเสียทุกตารางนิ้ว

‘เข็ดแล้ว’ คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวที่ปวดตุ้บๆ ไม่ว่าจะเหล้าหรือยา ผมไม่ขอแตะมันเป็นครั้งที่สอง

ขณะที่ผมกำลังพยายามงัดเอาตัวเองออกจากเตียงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเรียกของคนด้านนอก

“น้องพีคะ ตื่นหรือยังคะ”

“ตื่นแล้วครับ” เชื่อไหมว่าขานตอบพี่เลี้ยงไปตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติเลยคือเสียงที่แทบไม่หลุดออกจากลำคอที่แห้งยิ่งกว่าบ่อน้ำกลางทะเลทรายที่ไม่เหลือน้ำสักหยด ที่หลุดออกมาก็เป็นเสียงลมแหบแห้งเสียมากกว่า

“น้องพีคะ น้องพีตื่นหรือยัง” เสียงเคาะประตูดังรัวขึ้นอีกรอบ เมื่อคนด้านนอกไม่ได้ยินเสียงที่เบายิ่งกว่าเบาของผม

“ครับพี่วิภา” ผมยังพยายามจะตอบกลับพี่เลี้ยงที่เคาะประตูรัวๆ เจ้าตัวคงไม่ได้ยินเสียงของผม ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งเพราะห้องมันเริ่มหมุนอีกแล้ว ผมหลับตาลงให้อาการโลกหมุนติ้วๆ หยุดลงซะทีแต่ก็คงยากแหละ จนกระทั่งผมได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา ถึงได้ลืมตาสู้แสงอีกครั้ง ปวดกระบอกตาเลยต้องยีตาอยู่นานกว่าจะปรับการมองเห็นให้เป็นปกติที่สุดได้

“น้องพีเป็นยังไงบ้าง ปวดหัวไหม อยากอ้วกหรือเปล่าคะ” พี่วิภารัวถามใส่ผมอย่างเป็นห่วง เธอถือเหยือกน้ำส้มเข้ามาด้วยก่อนวางไว้บนโต๊ะ แล้วเข้ามาช่วยพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง

“ปวดหัวเฉยๆ ครับพี่วิภา แล้วก็มีขมคอ แต่ไม่รู้สึกอยากอ้วกครับ” ผมบอกออกการตัวเองผ่านลำคอที่แห้งแล้งกับความขมปร่าในอุ้งปาก

“ดื่มน้ำส้มก่อน พี่คั้นสดๆ มาให้น้องพีเลยนะคะ” ว่าแล้วก็หันกลับไปเทน้ำส้มใส่แก้วมาให้ผม “ดื่มเยอะๆ ค่ะ มันช่วยแก้อาการเมาค้างได้”

“ขอบคุณครับ” ผมยกขึ้นดื่มทีเดียวจนหมดแก้ว อาการคอแห้งเริ่มลดลง ความขมในอุ้งปากก็จางไปเยอะ เนื่องจากได้ความหวานอมเปรี้ยวขับไล่ความขมออกไป ร่างกายที่อ่อนเพลียเมื่อกี้ก็เหมือนจะสดชื่นขึ้นมาหน่อย

“อีกแก้วค่ะ”

“ครับ” ผมยื่นแก้วเปล่าให้พี่เลี้ยง เธอหันไปรินน้ำส้มใส่มาจนเต็มแก้วเหมือนเดิม แล้วยื่นมาให้ผม ผมรับไปดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วอีกตามเคย รู้สึกว่ามันช่วยได้มากจริงๆ

“หิวหรือยังคะ” เธอถามอีก พร้อมกับรับแก้วเปล่าไปจากมือผม

“ไม่หิวเลยครับ” ผมส่ายหน้า ความจริงผมอยากนอนต่อมากกว่า แต่ติดตรงที่ว่ากลัวคุณปู่กับคุณย่าสงสัยว่าทำไมผมไม่ไปกินข้าวด้วย เพราะถ้าเป็นวันหยุด ผมต้องกินข้าวกับพวกท่านทั้งสามมื้อเลย “คุณปู่คุณย่าให้มาตามพีหรือเปล่าครับ งั้นพีไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน” แล้วผมก็รีบสลัดผ้าห่มออกจากตัว ก้าวขาลงจากเตียง แต่ด้วยร่างกายที่ไม่ปกติจากของมึนเมาเมื่อคืนทำเอาเกือบล้มไปกองพื้น ดีที่พี่วิภาคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน

“ไม่ต้องรีบค่ะน้องพี วันนี้ท่านมีแขก พี่วิภาเลยยกมื้อเที่ยงมาให้น้องพีกินที่เรือน” พี่วิภาบอก พลางช่วยพยุงตัวผมไปจนถึงหน้าประตูห้องน้ำ “อาบน้ำอุ่นนะคะน้องพี มันแก้อาการเมาค้างได้เหมือนกัน พี่จะไปอุ่นข้าวต้มไว้ให้ ออกมาจะได้กินข้าวกับกินยาเลย”

“ครับ” ผมพยักหน้าและเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ ในสภาพที่สดชื่นขึ้นหลังจากดื่มน้ำส้มคั้นสดๆ แถมเย็นเจี๊ยบไปสองแก้ว

ผมอาบน้ำอุ่นตามที่พี่เลี้ยงบอก กล้ามเนื้อร่างกายดูจะผ่อนคลายขึ้น อาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวออกไปห้องอาหาร บนโต๊ะมีถ้วยข้าวต้มกุ้งกับซุปผักวางรออยู่ก่อนแล้ว กลิ่นหอมฟุ้งฟ้องรสชาติความอร่อย แต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากเอาเข้าปากเท่าไร เพราะสิ่งที่ยังค้างอยู่ในตัวทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหาร

“ไม่อยากก็ต้องกินค่ะ” คงเห็นผมทำหน้าไม่อยากกิน พี่วิภาเลยพูดดักขึ้นมาเสียก่อน “เพราะเมื่อคืนน้องพีทำตัวเหลวไหล และคุณยะก็สั่งพี่วิภามาค่ะว่าน้องพีต้องกินให้หมด”

...คุณยะ

ผู้ชายที่กอดผมไว้จนกระทั่งผมหลับ อ้อมแขนของเขากล่อมให้ผมเข้าสู่นิทราอย่างง่ายดาย ทั้งที่ผมอยากจะกอดเขาไว้ให้นานที่สุด อยากซึมซับไออุ่นที่โหยหามาตลอดไว้ให้มากที่สุด ทว่าผมก็หลับไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่อ้อมกอดที่อบอุ่นและรอยจูบบนหน้าผากหลายต่อหลายครั้ง และคำกระซิบแผ่วหวานบนแก้มของผมว่า...

‘หลับได้แล้วเด็กดี’

ผมชอบที่เขาเรียกว่า ‘เด็กดี’ แต่ว่าวันนี้ผมโตแล้ว และคุณยะต้องทำตามที่ให้สัญญากับผมไว้

ผมจำเรื่องที่คุยกับคุณยะเมื่อคืนได้ทั้งหมด ความมึนเมาไม่ได้ทำให้ผมลืมความทรงจำแสนดีที่เคลือบไว้ด้วยความรู้สึกแสนหวาน จำได้แม้กระทั่งเรื่องน่าอายที่ทำลงไปโดยมีความเมาเป็นแรงกระตุ้น ผมระบายทุกความรู้สึกที่ถูกขังอยู่ในห้องหัวใจออกมาเป็นคำพูดมากมาย รวมถึงการกระทำที่กล้าเกินเด็ก ไม่ต่างจากเด็กใจแตกที่ทำอะไรไปตามความต้องการมากกว่าความถูกต้องเหมาะสมของวัย พอมานั่งนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำไปเมื่อคืน ผิวแก้มก็ร้อนจัดอย่างห้ามไม่ได้ มันระอุไปหมด ข้าวต้มกุ้งในถ้วยกับซุปผักสีเขียวก็คงร้อนได้ไม่เท่ากับแก้มของผม

เมื่อคืนผมทำอะไรไปบ้างก็แทบไม่ต้องเสียเวลานึกทบทวน ภาพในหัวมันชัดเสียยิ่งกว่าภาพในจอโทรทัศน์ เสียงก็ยิ่งชัดยิ่งกว่าเปิดผ่านลำโพงรอบทิศทาง ที่จำได้แม่นที่สุดและฝังเข้ามาในหัวใจก็คงเป็นประโยคนี้ที่คุณยะเอ่ยออกมา

‘ทั้งชีวิตของคุณยะจะเป็นของน้องพี’

ความรู้สึกสุขจนเป็นบ้าแบบเมื่อคืนกำลังย้อนมาโอบล้อมผมเอาไว้ ผมตักข้าวต้มข้าวปากอย่างมีความสุข เพลินกับการกินซุปผักแม้ไม่รู้สึกหิวเลยก็ตาม แต่เพราะผมมีความสุขไง มิหนำซ้ำคุณยะยังกำชับมาอีกด้วยว่าต้องกินให้หมด ผมก็ต้องเชื่อฟังคนที่ผมรักใช่ไหมล่ะ

จนกระทั่งข้าวต้มกับซุปผักเกลี้ยงถ้วย พอเห็นว่าผมจัดการทั้งสองอย่างจนหมด พี่เลี้ยงก็ยื่นยาเม็ดสีขาวมาให้ บอกว่าช่วยให้อาการปวดหัวของผมหายสนิท พอเห็นยาแล้วก็นึกถึงยาเม็ดเล็กที่ดีนแบ่งให้ผมกินคนละครึ่งขึ้นมาทันที รู้สึกผิดกับตัวเองด้วยที่เผลอไผลไปกับยาเสพติด

ถ้าคุณยะรู้ว่าผมเสพยา เอาของไม่ดีเข้ามาในตัว เขาจะโกรธผมไหม แล้วจะโกรธมากหรือเปล่า รู้งี้ผมไม่น่ากินยาเม็ดนั้นเข้าไปเลย เฮ้อ... แต่มันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ หวังว่าคุณยะจะรู้แค่ว่าผมดื่มเหล้ากับสูบบุหรี่แค่นั้น

ว่าแต่คุณยะออกไปตอนไหน ทำไมเขาไม่ปลุกผมตื่นล่ะ ผมจะได้ทวงคำสัญญาของเขาเมื่อคืน เพราะผมจำได้ทุกคำพูดของตัวเองและไม่อาละวาดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างแน่นอน ผมโตแล้ว รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำแม้จะมาจากความเมา แต่ก็มาสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด คุณยะไม่ได้ล่อลวงผมหรือรังแกเด็กที่ไม่มีทางสู้ เป็นผมเองมากกว่าที่พยายามทำให้คุณยะเห็นความรักที่ผมมีให้เขา

...ผมรักคุณยะ ความรู้สึกรักคลุ้งอยู่ในหัวใจของผม ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้แค่ว่ามันนานและแค่ผมไม่กล้ายอมรับ

“อิ่มแล้วอย่าเพิ่งหนีไปเล่นซนที่ไหนนะคะน้องพี คุณยะบอกให้น้องพีรออยู่ที่นี่ก่อน แขกกลับไปเมื่อไรก็คงจะมาหาน้องพีเลย” พี่วิภาบอกผมขณะที่เก็บถ้วยที่เหลือแต่น้ำซุปนิดหน่อยไปล้างที่อ่างล้างด้านหลัง

“ครับ” ผมยิ้มกว้างออกมาทันที และคงนานมากจนพี่วิภาล้างถ้วยทั้งสองใบเสร็จ เจ้าตัวหันหน้ามาเห็นถึงกับเอ่ยทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“ยิ้มอะไรคะน้องพี กว้างเชียว” ถามแล้วก็หันซ้ายหันขวา มีหันไปมองข้างหลังตัวเองด้วยว่ามีอะไรที่ทำให้ผมยิ้ม

“ความลับครับ บอกไม่ได้” ผมพูดทั้งที่ยังยิ้มเต็มหน้า

ความลับที่ว่า... เป็นความลับแสนหวานที่มีแค่ผมกับคุณยะที่รู้ แถมยังบอกใครไม่ได้ด้วย ซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไรจะบอกทุกคนได้ เพราะความรักของผมกับคุณยะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ ทั้งเรื่องที่ผมกับคุณยะเป็นผู้ชายทั้งคู่ รวมถึงเรื่องที่เราสองคนมีฐานะเป็นพ่อลูกกัน แม้คนในครอบครัวจะรู้ดีว่าความจริงผมกับคุณยะไม่ใช่พ่อลูกตามสายเลือด แม้แต่ในใบเกิดของผมก็มีชื่อคุณปู่เป็นบิดาผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่ชื่อของคุณยะ แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำใจยอมรับความสัมพันธ์ที่ผิดแปลกนี้ แล้วไหนจะสายตาคนนอกครอบครัวอีกล่ะ ไม่รู้ว่าจะต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง แต่ผมก็จะสู้สุดใจเลย ในเมื่อผมรักคุณยะ ส่วนคุณยะก็สัญญากับผมแล้วว่าทั้งชีวิตของเขาจะเป็นของผมคนเดียว และเราสองคนจะรัก ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันให้ได้

...หัวใจผมกำลังเพ้อฝันถึงความรักแสนสวยงาม

“วันนี้คุณยะไม่ไปทำงานหรือครับ” ผมนึกสงสัย ปกติวันหยุดเสาร์อาทิตย์คุณยะก็ต้องทำงาน ไม่เคยหยุด ยิ่งพรุ่งนี้ต้องบินไปเยอรมันด้วย คนบ้างานอย่างคุณยะก็ต้องทุ่มเวลาทุกนาทีให้กับงานบนโต๊ะของตัวเอง เพื่อให้งานทั้งหมดเสร็จก่อนบินไปเยอรมัน

นึกถึงเรื่องบินไปเยอรมัน ผมไม่อยากให้เขาไปเลย เพราะเขาไปเยอรมันไม่ใช่เรื่องงาน แต่ไปร่วมงานแต่งของเพื่อนเก่าที่เคยเรียนด้วยกันที่อังกฤษ ผมจะไม่นึกหวงเลยถ้าเขาบินไปเพียงลำพัง ไม่ได้ไปกับแม่ของสองเด็กแฝด ก็ผู้หญิงที่นานะกับเตเต้เอารูปข่าวมาให้ผมดูนั่นแหละ เธอบินมาหาลูกชายฝาแฝดพร้อมกับมาร่วมงานแต่งของเพื่อนชาวไทยของเธอด้วย ซึ่งก็คือเพื่อนของคุณยะด้วยเช่นกัน สรุปให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ คุณยะกับแม่ของสองแฝดเคยเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน และเดือนนี้เพื่อนในกลุ่มเดียวกันก็ดันมีงานมงคลพร้อมกันสองคน

ไม่อยากบอกเลยว่าผมนึกกลัวมาตลอดตั้งแต่ที่เจอเธอครั้งแรก ดูเธอเข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่ คุณย่า อานุ อาภา รวมถึงคนรับใช้ของบ้านตรัยธาดา ส่วนสองเด็กแฝดยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกาะหนึบไม่ยอมปล่อยให้หายไปจากสายตา ถึงขั้นที่ว่าหอบเสื้อผ้าไปนอนกับคนเป็นแม่ที่เพนต์เฮ้าส์ของคุณยะเกือบสิบวันแล้ว แบบนี้ไงผมถึงกลัวว่าถ่านไฟเก่าจะคุขึ้น บางทีความไร้เดียงสาของทานตะวันกับถิรอาจทำให้คนทั้งคู่หันมาปรับความเข้าใจกัน กลับมารักกันได้ เพื่อลูกที่น่ารักของพวกเขาสองคน

แต่เมื่อคืนคุณยะสัญญากับผมแล้วว่าจะยกทั้งชีวิตให้ผม... คงไม่กลับคำหรอก

ผมสลัดความคิดแย่ๆ ที่อาจไม่มีวันเกิดขึ้นมาฟังคำตอบจากพี่วิภา

“ไปสิคะ แต่ถูกคุณหญิงตามตัวกลับมาต้อนรับแขกสำคัญของพวกท่านค่ะ”

“สำคัญ ?” ผมทวนคำนั้นอย่างสงสัย แขกของคุณปู่คุณย่าสำคัญขนาดที่ว่าคุณยะยอมทิ้งงานบนโต๊ะกลับมาเลยเหรอ

“เห็นว่าเป็นลูกชายกับหลานสาวเพื่อนคุณทวดพุฒิค่ะ”

“ผมไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับคุณยะตรงไหนเลย ทำไมถึงต้องให้คุณยะมาต้อนรับด้วย” ผมถาม ขณะที่คำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว... หลานสาว

คำว่า ‘หลานสาว’ นี่ละมั้งที่จะเกี่ยวกับคุณยะได้

“เกี่ยวสิคะน้องพี พี่วิภาว่าคุณหญิงคงอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ค่ะ อุ๊ย... พี่วิภาขอโทษค่ะน้องพี อย่าว่าพี่ยุ่งเรื่องเจ้านายเลยนะคะ”

“เธอสวยไหมครับ” ผมถาม อารมณ์ดาวน์ลงอีกแล้ว เพิ่งจะสลัดเรื่องแม่ของทานตะวันกับถิรออกไปได้แล้วแท้ๆ

“สวยมากค่ะน้องพี สวยกว่าคุณศมนอีกนะคะ คุณหญิงดูจะปลื้มมากด้วย แต่ก็น่าปลื้มอยู่หรอกนะน้องพี คุณแก้วเธอทั้งสวย น่ารัก อ่อนหวาน กิริยาท่าทางก็น่ามอง หยิบจับอะไรก็ดูเป็นกุลสตรีไปหมด ขนาดผู้หญิงด้วยกันแบบพี่ยังชอบเลย”

“แล้วคุณยะล่ะครับ... ชอบคุณแก้วไหม” หัวใจผมคล้ายจะเต้นช้าลง ทำไมคนที่อยู่รอบตัวคุณยะต้องหน้าตาดีด้วยนะ ทำไมไม่มีพวกหน้าตาธรรมดาบ้าง ผมจะได้พอสู้พวกเขาได้ 

“คุณยะเก็บอาการเก่งค่ะ  พี่เดาไม่ถูกหรอกว่าคุณยะชอบหรือไม่ชอบ แต่ก็อย่างว่านะคะน้องพี ผู้หญิงสวยใครเห็นก็ต้องถูกใจ ยิ่งคุณหญิงท่านถูกใจด้วยแล้ว งานนี้น้องพีอาจจะได้คุณแม่คนใหม่”

...คุณย่าก็ชอบเธอด้วย ผิดไปจากทุกครั้งที่คุณย่าเห็นข่าวคุณยะกับผู้หญิง ไม่ว่าคนไหนก็ตาม ท่านจะบ่นออกมาเสมอว่าไม่อยากให้คุณยะเลือกผู้หญิงพวกนี้มาเป็นสะใภ้ท่าน ไม่รู้ว่าเพราะเชื่อฟังคำพูดของคนเป็นแม่หรือเปล่า คุณยะถึงแค่ควงแต่ไม่คิดจะพาเข้าบ้าน เห็นเป็นข่าวกับผู้หญิงจนนับไม่ถ้วนก็ไม่เคยมีคนไหนที่คุณยะพาเข้าบ้านตรัยธาดาเลย

เฮ้อ... ผมจะเอาอะไรไปสู้เธอได้ ถ้าคุณย่าอยากได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นสะใภ้ แล้วเธอก็เป็นคนสวย คุณยะอาจจะไขว้เขว

ส่วนเรื่องที่ผมชอบคุณยะ ถ้าคุณย่าและทุกคนในบ้านรู้ ผมไม่อยากนึกถึงวันนั้นเลยว่าจะเป็นอย่างไร คุณย่าเองก็ไม่ได้ปลื้มการที่คุณยะมีข่าวคราวกับผู้ชายด้วยสิ ถึงท่านจะไม่รังเกียจที่ลูกชายคนโตควงทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่เอาเข้าจริงท่านก็อยากให้คุณยะแต่งงานกับผู้หญิงมากกว่า ทุกวันนี้ถึงได้มองหาว่าที่สะใภ้ให้ทั้งคุณยะและอานุ แต่จะหนักไปทางอานุมากกว่าเพราะพูดง่ายและเชื่อฟังกว่าคุณยะเยอะ

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะน้องพี ยังปวดหัวอยู่หรือคะ” พี่วิภาถามมาอย่างเป็นห่วง “งั้นดื่มน้ำส้มอีกหน่อยนะคะ” ว่าแล้วก็หยิบเหยือกน้ำส้มคั้นขึ้นมารินใส่แก้วให้ผม

“ขอบคุณครับ” ผมรับมาดื่ม ความหวานอมเปรี้ยวของน้ำส้มไหลลงคอผมไปทีละน้อยจนหมดแก้ว แล้วยังตามต่อด้วยแก้วที่สองก็ไม่ได้ช่วยให้ความขมในหัวใจของผมบรรเทาลงเลย

ทำไมนะ... แค่ผมรักคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง ทำไมมันถึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากและยากที่ได้รับการยอมรับ แถมมีอุปสรรคเป็นคนหน้าตาดีมากมายที่แวะเวียนเข้ามาในชีวิตคุณยะ ที่อาจจะทำให้คุณยะไขว้เขวได้ทุกเวลา และคุณยะก็เจ้าชู้เสียด้วยสิ

ผมจะรับมือยังไงล่ะเนี่ย เฮ้อ...   


ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ อารมณ์ตอนนี้ดิ่งลงไปจมอยู่กับความเศร้าที่ผมสร้างมันขึ้นมาเอง ผมอาจจะคิดเองเออเองอย่างที่คุณยะว่าเมื่อคืนก็ได้ ก็คุณยะสัญญากับผมแล้วนี่นา ว่าถ้าตื่นขึ้นมาแล้วผมยังจำเรื่องที่พูดตอนเมาได้ ทั้งชีวิตของเขาจะเป็นของผม คุณยะคงไม่โกหกคนเมาหรอก

ผมอยากเชื่อแบบนี้นะ... หรือผมควรเผื่อใจไว้บ้าง 

ตริ๊ง...

แต่ยังไม่ทันคิดอะไรมากไปกว่านี้เสียงแจ้งข้อความจากโปรแกรมแชตก็ดังขึ้น ผมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างหมอนขึ้นมาดู ใครไม่รู้ส่งข้อความมาทักผม แต่พอเห็นชื่อไลน์กับภาพโปรไฟล์ชัดๆ ก็ทำเอาผมอึ้งไปนิดหนึ่ง ไม่ได้แปลกใจว่าพี่เลม่อนเอาไลน์ผมมาจากไหน ที่แปลกใจคือเขาแอดไลน์ผมมาทำไม ผมกับเขาไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่มีเรื่องให้ต้องพูดคุยกัน หรือว่าพี่เลม่อนอยากคุยกับผมเรื่องของคนที่พวกเรารู้จัก... เรื่องของคุณยะ

LemoN : น้องพีครับ

ผมชั่งใจอยู่นานหลายนาทีตั้งแต่เปิดอ่านข้อความแรกที่พี่เลม่อนทักมา ว่าควรจะทำอย่างไรกับข้อความของอีกฝ่าย อ่านแล้วไม่ตอบ หรือจะตอบ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร ในเมื่อผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม อยากคุยกับผมเรื่องของคุณยะหรือเปล่า ถ้าใช่ ผมยิ่งไม่อยากจะพิมพ์คุยอะไรกับเขาทั้งนั้น

ถ้ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด เชื่อเถอะว่าถึงจะมีจำนวนน้อยนิดที่รู้สึกอิจฉาความสมบูรณ์แบบบนใบหน้าของพี่เลม่อน หนึ่งในจำนวนน้อยนิดมีผมอยู่ด้วยแน่นอน ผมไม่ได้อิจฉารูปร่างหน้าตาของเขา แต่อิจฉาที่เขาได้อยู่ในอ้อมกอดของคุณยะมากกว่า

เกือบห้านาทีที่ผมอ่านข้อความแรกแล้วไม่ตอบกลับ ข้อความจากอีกฝั่งจึงถูกส่งมาอีกครั้ง และครั้งนี้เหมือนผมกำลังถูกหาเรื่อง

LemoN : อ่านแล้วก็ช่วยตอบหน่อยสิครับ

LemoN : กล้าๆ หน่อย

LemoN : กลัว ?

...การที่ผมอ่านแล้วไม่ตอบ ไม่ใช่ผมกลัวพี่เลม่อนสักหน่อย มีอะไรที่ผมต้องกลัวเขา ผมเถียงกับหน้าจอที่ปรากฏข้อความท้าทายจากอีกฝั่ง ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ถ้าจุดประสงค์ของเขาคือการคุยเรื่องของคุณยะ ผมก็ยิ่งไม่อยากสนทนาด้วย ก็ใครจะชอบคุยกับคนที่ตัวเองอิจฉาล่ะ บอกตามตรงว่าผมไม่ชอบปั้นแต่งคำพูดกับคนที่ตัวเองไม่ชอบหรอก ต่อให้เป็นการพิมพ์ข้อความส่งไปก็เถอะ

พอผมไม่ตอบโต้ เขาก็เงียบไปสักพัก แล้วส่งข้อความมาท้าทายแกมเย้ยหยันต่อ

LemoN : เพิ่งรู้ว่าลูกชายพี่ยะเป็นคนขี้ขลาด

LemoN : กลัวอะไรพี่เหรอ

LemoN : ขี้ขลาดไปหน่อยนะ

...พี่เลม่อนมีสิทธิ์อะไรมาว่าผมขี้ขลาด ผมจะตอบเขาหรือไม่ตอบก็เป็นสิทธิ์ของผม ทักมาแบบนี้คงไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร ผมกัดฟันข่มใจที่จะไม่กดบล็อกอีกฝ่าย ในเมื่อเขาต้องการคุย ผมก็จะคุย อยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไรจะคุยกับผม 

P.Phirach : ครับ

...ผมตอบไปสั้นๆ ไม่ได้รู้สึกอยากพิมพ์ข้อความอะไรเยอะไปกว่านี้ เอาตามจริงเลยคือผมไม่อยากเสียเวลากับคนคนนี้

LemoN : กล้าซะทีนะ

...นอกจากจะพิมพ์คำพูดมาประชดผม พี่เลม่อนยังส่งสติ๊กเกอร์หน้าตาน่าเกลียดยืนตบมือมาให้ผมอีก ช่างเป็นผู้ชายที่หน้าตาสวยงาม แต่นิสัยกลับตรงข้ามกับหน้าตาแบบสุดขั้ว

P.Phirach : มีอะไรก็พูดมาก่อนที่ผมจะบล็อกคุณ

...ผมใช้สรรพนามที่ห่างเหินกับเขา ให้เรียก ‘พี่’ ก็รู้สึกระคายมือที่ต้องพิมพ์คำนั้น ผมไม่มีความนับถือให้คนที่ส่งข้อความมาหาเรื่องผมก่อนหรอก

LemoN : กล้าบล็อกก็ระวังจะไม่ได้เห็นของดีนะครับ

LemoN : เห็นว่าอยากดูรูปแซ่บๆ ของพี่กับพ่อของน้องไม่ใช่เหรอ

...ต่อให้ไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรกแต่ก็ไม่ผิดไปมากนัก พี่เลม่อนทักมาคุยเรื่องคุณยะจริงด้วย แต่เป็นเรื่องรูปที่นานะกับเตเต้ให้ผมดู

LemoN : มีไลน์พี่ไว้ก็ดีนะเผื่อจะได้รูปที่มันเรียลไทม์ ไม่ต้องรอให้นานะกับเตเต้ส่งมาให้ดู

...พี่เลม่อนคงคุยกับสองเพื่อนซี้ปากแดงแล้ว เรื่องที่ผมขอให้พวกเขาส่งรูปพวกนั้นเข้ามาในไลน์ผม รวมถึงรูปแซ่บๆ ในอนาคตที่พวกเขาจะได้มาจากการที่เพื่อนในกลุ่มไลน์ของพี่เลม่อนแคปหน้าจอไลน์มาให้สองคนนั้นดูอีก

LemoN : หรือว่าอยากดูรูปเก่าๆ ล่ะ พี่ก็มีนะ

LemoN : มีเยอะด้วย

LemoN : รู้สึกอยากอวดผัวจัง

...ผมสะดุ้งกับสรรพนามที่คนหน้าตาดีอย่างพี่เลม่อนใช้เรียกแทนคุณยะ กล้าใช้คำนี้เลยหรือไง เขาไม่อายผมเลยเหรอ ถึงไม่อายผมก็ควรอายตัวเองบ้าง

LemoN : เดี๋ยวพี่ส่งรูปผัวของพี่ให้ดูนะ

...ทันทีที่ข้อความล่าสุดถูกส่งมา ผมยังไม่ทันได้พิมพ์ตอบเลยว่าไม่อยากเห็น ไม่ต้องส่งมา เพราะรูป ‘ผัว’ ที่พี่เลม่อนพิมพ์มาอย่างถือสิทธิ์ของคนที่ได้นอนกับคุณยะ ก็ถูกส่งเข้ามาอย่างรัวๆ สายตาของผมแทบไม่ได้หยุดพัก

อันที่จริงผมน่าจะกดบล็อกไปเลยจะได้ไม่ต้องทนเห็นสิ่งที่พี่เลม่อนส่งมาให้ รูปที่มากกว่าสิบ อาจจะเกือบสามสิบรูปด้วยซ้ำ แต่ผมก็ทนเลื่อนหน้าจอดูทีละรูปอย่างช้าๆ แต่ละรูปความแซ่บไม่ต้องพูดถึง แทบจะเรียกว่าเป็นรูปอุบาทว์ได้เลย ผมทนดูจนกระทั่งถึงรูปสุดท้ายด้วยความรู้สึกที่อยากปาโทรศัพท์ทิ้งเป็นร้อยๆ รอบ

LemoN : เป็นไงบ้างผัวพี่ แซ่บปะล่ะ

LemoN : ก็น่าจะแซ่บเนอะ

LemoN : ถึงได้มีพวกวิปริตอยากได้จนตัวสั่น

LemoN : แต่คงยากหน่อยนะเพราะก้นพี่น่าเอากว่าเยอะ

...ในความคิดของผมตอนนี้ หน้าของพี่เลม่อนมีแต่คำว่า ‘หน้าไม่อาย’ สลักอยู่บนนั้น ดูคำพูดที่เขาพิมพ์มาให้ผมอ่านสิ รูปอุบาทว์พวกนั้นอีก เขาไม่อายบ้างหรือไงที่เก็บรูปพวกนี้ไว้ในมือถือตัวเอง แล้วยังกล้าส่งมาให้ผมดูเป็นสิบๆ รูป

LemoN : ยังไงพีก็ช่วยเอารูปพวกนี้ให้พวกที่จะแย่งผัวพี่ดูด้วยนะ

LemoN : ฝากบอกด้วยว่าเมื่อคืน ผัวพี่เอาพี่ทั้งคืน

LemoN : เหมือนโดนรุมโทรมอ้ะ

LemoN : ตอนนี้ลุกจากเตียงยังไม่ขึ้นเลยจ้า

LemoN : แต่ก็อย่างว่าเนอะ ผัวพี่ทั้งแข็ง...แรงดีไม่มีตก

LemoN : แถมหลงก้นพี่มากๆ ด้วย

เมื่อคืน ? จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคุณยะอยู่กับผม เขานอนกอดผมไว้ทั้งคืน

มือสั่นๆ ของผมกดจิ้มข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ทว่าความจริงกว่าจะได้แต่ละคำ ผมพิมพ์ผิดแล้วผิดอีก ต้องใช้เวลากว่านาทีกว่าที่จะได้ประโยคสั้นๆ มาประโยคเดียว


.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2019 23:50:18 โดย i_ang »

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
.

.

.

P.Phirach : เมื่อคืนเขาอยู่กับผม

...ข้อความที่ผมส่งตอบโต้ไป ขนาดผมเองยังไม่กล้าเชื่อเลยว่ามันเป็นความจริง เมื่อคืนคุณยะนอนกอดผมอยู่บนเตียงนี้ กอดและกล่อมผมด้วยริมฝีปากแสนอ่อนโยนของเขา จนผมหลับสนิทไปในเวลาอันรวดเร็ว แต่หลังจากที่ผมหลับไปล่ะ เกิดอะไรขึ้น ผมยังอยู่ในอ้อมกอดของคุณยะอยู่ไหม หรือทันทีที่ผมหลับลงไปอย่างคนโง่คนหนึ่ง อ้อมแขนนั้นก็ผละจากไป เพื่อไปกอดอีกคนหนึ่ง

หัวใจผมเจ็บ มันถูกบีบอัดจนบี้แบน ก่อนที่พี่เลม่อนจะถือมีดปลายแหลมกระหน่ำแทงซ้ำให้ผมตายคาที่ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ในมือที่สั่นระริกของผม

LemoN : หลักฐาน ?

LemoN : ไหนล่ะหลักฐานที่บอกว่าพี่ยะอยู่กับมึงเมื่อคืน

...คำเรียกขานชื่อของผมถูกเปลี่ยนเป็นคำหยาบ คงไม่ใช่ผมฝ่ายเดียวที่ไม่ชอบเขา เขาก็ด้วยที่ไม่ชอบผม

LemoN : มีไหมหลักฐาน

...หลักฐานที่ผมมีเพียงอย่างเดียวคือความสุขและความทรงจำแสนหวาน มันเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าคุณยะอยู่กับผมในช่วงเวลานั้น ทว่ามันก็แค่ก่อนที่ผมจะหลับไป หลังจากนั้นผมก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันกับพี่เลม่อนได้ว่าคุณยะอยู่กับผมทั้งคืน อย่างว่าแต่หาหลักฐานมายืนยันอีกฝ่ายไม่ได้ แม้แต่เอามายืนยันกับตัวผมเองยังไม่มีเลย ผมเลยจนด้วยคำตอบโต้

LemoN : ไม่มีไม่เป็นไร

LemoN : กูรู้ว่ามึงก็แค่นอนโง่อยู่บนเตียง จินตนาการเอาเองว่าพี่ยะอยู่กับมึง

...จาก ‘พี่’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘กู’ อย่างง่ายดาย

LemoN : แต่กูมีหลักฐานว่าพี่ยะอยู่กับกูทั้งคืน

LemoN : เอาจนกูลุกไม่ขึ้น

LemoN : ดูหลักฐานกูไหมล่ะ เผื่อมึงจะฉลาดขึ้น

...บนหน้าจอสี่เหลี่ยมที่เคยมีข้อความจากอีกฝั่ง เพียงไม่กี่วินาทีที่ผมอ่านมันจบ รูปถ่ายที่เป็นหลักฐานว่าเมื่อคืนคุณยะไม่ได้นอนกอดผมจนถึงเช้า แต่เขาไปหาพี่เลม่อน ทำเรื่องอย่างว่ากัน ก็ถูกส่งเข้ามาบนหน้าแชตสองรูป รูปแรกเป็นรูปตอนคุณยะนอนหลับอยู่บนเตียง รูปที่สองเป็นตอนที่คุณยะเดินตัวเปลือยเข้าห้องน้ำ

ซึ่งสองรูปนี้อาจจะเป็นรูปที่ถ่ายไว้วันอื่นก็ได้ ไม่ใช่เมื่อคืนตามที่เจ้าตัวบอก แต่สิ่งที่ช่วยยืนยันว่ารูปถูกถ่ายไว้เมื่อคืนจริงๆ คือตัวเลขบอกเวลาและวันที่บนหน้าจอนาฬิกาดิจิตอล ที่ถูกถ่ายเข้ามาในรูปอย่างจงใจที่สุด เพื่อให้มันเป็นหลักฐานที่จะทำให้ผมเจ็บปวดกับความจริงที่ว่า... คุณยะไม่ได้นอนกอดผมจนถึงเช้า พอผมหลับไปอย่างคนโง่ๆ คนหนึ่ง เขาก็ออกไปหาพี่เลม่อน!

LemoN : เป็นไงล่ะหลักฐานของกูชัดพอไหม

LemoN : ทำให้มึงหายโง่หรือยัง

LemoN : เอ... หรือจะส่งหลักฐานเพิ่มดีน้า

LemoN : ส่งดีไหมน้า

LemoN : ว่าไง อยากเห็นว่าพ่อมึงเด็ดแค่ไหนไหม

...ความอิจฉาของผมเริ่มเปลี่ยนเป็นความเกลียดในความหยาบคายของอีกฝ่าย นึกว่าตัวเองเล่นบทเป็นตัวร้ายหรือไง ผมอยากจะพิมพ์ข้อความด่าไปอย่างที่ใจรู้สึก แต่ยั้งมือตัวเองเอาไว้ เพราะผมไม่อยากถูกดึงให้ตกต่ำไปยืนระดับเดียวกับพี่เลม่อน คนที่สวยแต่หน้าแต่คำพูดไร้ยางอายที่สุด

LemoN : อ่านแล้วไม่ตอบ สงสัยไม่อยากดู

LemoN : แต่กูอยากอวดผัวว่ะ

LemoN : ส่งละน้า

...แล้วรูปอีกสิบกว่าใบก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าเจอแชต เป็นรูปเซลฟี่ที่เห็นใบหน้าและรอยดูดรอยกัดจนขึ้นสีช้ำบนร่างกาย รูปที่ถ่ายเห็นเรียวขาทั้งสองขาที่ขึ้นสีแดงช้ำเพราะแรงบีบเคล้น แม้แต่รูปแผ่นหลังที่ถ่ายผ่านกระจกเงาก็แทบไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับรอยใหม่ได้อีก และรูปที่น่าเกลียดจนถึงขั้นอุบาทว์คือรูปถ่ายช่องทางช้ำแดงและบวมเป่ง บอกชัดเจนว่าผ่านอะไรมาหนักขนาดไหน

ผมอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้ง อยากทุบมันให้แหลกละเอียดจนเป็นผุยผง ให้สภาพของมันไม่ต่างจากสภาพของหัวใจผมตอนนี้ แต่ผมรู้ดี ถึงโทรศัพท์ในมือผมจะแตกกระจายเป็นแค่เศษซากขยะ แต่รูปพวกนั้นก็ยังฝังลึกอยู่ในหัวของผม ตอกย้ำว่าทุกคำพูดของพี่เลม่อนเป็นความจริง

คุณยะไปหาพี่เลม่อน ไปกอดไปจูบเขา ไปมีอะไรกับคนคนนี้ ปล่อยให้ผมอยู่กับฝันหวานบ้าบอเหมือนคนโง่ที่ถูกหลอกซ้ำหลอกซากแต่ก็ยังจะเชื่อว่าทุกคำพูดของผู้ชายคนนี้คือความจริง เป็นของจริงที่มีไว้ให้ผมแค่คนเดียว

ไม่มีคำพูดไหนของคุณยะเป็นความจริงเลย ไม่มีเลย เขาแค่หลอกผม ทำให้ผมเป็นคนโง่ เพื่ออะไรผมก็ไม่รู้ ทำไมเขาต้องทำให้ผมเจ็บปวดซ้ำซากแบบนี้ด้วย เขาแค้นพ่อแม่ของผมจริงๆ ใช่ไหม เขาถึงได้ทำทุกอย่างให้ผมเจ็บปวด ทำให้ผมเหมือนตายทั้งเป็น

LemoN : เงียบเลยนะ

LemoN : อิจฉาเหรอ ?

LemoN : อย่าอิจฉาสิ

LemoN : ของแบบนี้หาเอาเองง่ายกว่าแย่งของคนอื่นเยอะ

P.Phirach : ต้องการอะไร


...ผมพิมพ์กลับไปด้วยความรู้สึกทั้งแค้นและเจ็บปวดปนกันไปหมด อยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม ทั้งพูดประชด ถากถาง และส่งรูปอุบาทว์พวกนั้นมาให้

LemoN : ถามจริง ? นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่

LemoN : ไม่รู้เหรอว่ากูต้องการอะไร

LemoN : กูอยากให้มึงอินให้มากกว่านี้หน่อยไง

...พี่เลม่อนอยากให้ผมอินกับอะไรงั้นเหรอ ?

มือผมยังไม่ทันได้พิมพ์ความสงสัยนั้นออกไป ข้อความอีกฝั่งก็ขึ้นมาเสียก่อน ความสงสัยของผมถึงได้รับคำตอบโดยที่ไม่ต้องถามออกไปให้เสียเวลา

LemoN : อุตส่าห์ได้เล่นเป็นลูกของพี่ยะแล้วนะก็น่าจะตีบทให้แตก

LemoN : อินให้มันมากหน่อย อย่าเล่นเกินบท

LemoN : มันจะจบไม่สวย กูเตือนด้วยความหวังดี

...พี่เลม่อนรู้เหรอว่าผมไม่ใช่ลูกของคุณยะ

P.Phirach : รู้ได้ไง

...ผมอดที่จะถามออกไปไม่ได้ ไม่ต่างจากการยอมรับว่าสิ่งที่เขารู้เป็นความจริง และคำตอบก็มาอย่างรวดเร็ว

LemoN : คนเป็นผัวเมียกัน ไม่มีความลับกันหรอก

LemoN : พี่ยะเล่าให้กูฟังทุกเรื่อง

LemoN : มึงก็แค่เด็กที่พ่อแม่ไม่อยากได้

LemoN : น่าสงสารจัง

LemoN : ต่อไปก็เล่นบทลูกชายคนโตให้อินด้วยล่ะ

LemoN : อย่านอกบท

LemoN : อย่าแย่งผัวกู!

LemoN : มันทุเรศว่ะ

LemoN : วิปริต

...ผมไม่ได้วิปริต ความรักไม่ใช่เรื่องวิปริตสักหน่อย

LemoN : ไม่อายหรือไงที่ชอบพ่อตัวเอง

...คุณยะไม่ใช่พ่อของผม

LemoN : พี่ยะเลี้ยงมึงให้โตมาเป็นคน

LemoN : ไม่ใช่สัตว์ที่สมสู่แม้กระทั่งคนที่มีบุญคุณกับมึง

...คำว่า ‘บุญคุณ’ มันทำให้ผมไม่มีสิทธิ์รักเขาเลยหรือไง

LemoN : เงียบทำไม ไม่เถียงหน่อยหรือไง

LemoN : หรือว่าไม่มีอะไรจะเถียง

LemoN : กูพูดถูกทุกอย่างสินะ

LemoN : อยากได้พ่อตัวเองจนตัวสั่น

LemoN : หน้าไม่อายว่ะ

LemoN : ระวังไว้เถอะ เมื่อไรที่ครอบครัวของพี่ยะรู้เรื่องที่มึงมันวิปริต มึงได้ถูกเฉดหัวออกไปเหมือนหมูเหมือนหมาแน่

LemoN : กูเตือนด้วยความหวังดี

...ผมมองไม่เห็นเลยว่าตัวหนังสือที่เขาพิมพ์ส่งมา มีตรงไหนที่มีความหมายว่า ‘หวังดี’

LemoN : อ่านไม่ตอบอีกแล้ว

LemoN : กำลังเสียใจอยู่เหรอ

LemoN : ร้องไห้อยู่หรือไง

LemoN : ก็หวังว่าน้ำตาจะทำให้มึงหายร่านซะทีนะ

LemoN : รูของมึงสู้รูของกูไม่ได้หรอกว่ะ

LemoN : มึงรู้ไหมว่าพี่ยะไม่อยากจะเอา... ออกจากก้นกูด้วยซ้ำ

...ทำไมผมต้องทนอ่านคำหยาบคายพวกนี้ ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา แต่แล้วผมก็นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน สิ่งที่ผมทำจะเรียกว่า ‘ร่าน’ อย่างที่พี่เลม่อนกล่าวหาหรือเปล่า พอคิดแบบนี้ผมก็เถียงไม่ออก เมื่อคืนผมอยากได้คุณยะมาเป็นของผม อยากให้เขาโกรธพี่เลม่อนที่แอบถ่ายรูปตอนเขาไม่ใส่เสื้อผ้ามาอวดพวกเพื่อน หวังให้เขาโกรธจนบอกเลิกพี่เลม่อน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่โกรธ นอกจากนั้นผมยังทำเรื่องน่าเกลียดแบบนั้นออกไปอีก

ผมดึงมือคุณยะมาจับเป้าตัวเอง ล้วงเอาของตัวเองมาให้เขาจับ อ้อนวอนขอให้เขาช่วยปลดปล่อยความร้อนระอุที่คับแน่นอยู่ในแก่นกายของผม ผมเรียกชื่อเขา ส่งเสียงน่าอายผ่านลำคอออกมาอย่างสุขสม ผมจำทุกการกระทำของตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่ลืมแม้กระทั่งตอนที่ปลดปล่อยในมือของเขา เชิญชวนเขาให้เข้ามาในตัวผม ทำให้ผมเป็นของเขาเพื่อที่เขาจะได้เป็นของผม หวังว่าเมื่อเขามีอะไรกับผม เขาจะมีแค่ผมคนเดียวและเลิกกับคู่ควงทุกคนของเขา ผ่านเวลามาถึงตอนนี้ผมก็นึกอายตัวเองกับสิ่งที่ทำลงไป รวมถึงคำพูดที่บอกออกไปว่า...

‘น้องพีรักคุณยะ’

ไม่ควรเลย... ไม่ควรพูดประโยคนี้ออกไป ไม่ควรทำเรื่องน่าอายทั้งหมดนั้นด้วย

คำกล่าวหาของคนที่พิมพ์แต่คำพูดหยาบคายไม่ได้เกินความจริงที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ผมเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ ผมอยากได้คุณยะ อยากแย่งเขามาจากพี่เลม่อน อยากให้เขากอดผมแทนที่จะกอดคนอื่น แต่สุดท้ายผมก็ได้แต่อ้อมกอดที่หลอกลวง

LemoN : อ้อ... กูมีของฝากก่อนจะไปเยอรมันกับพี่ยะให้มึงด้วยนะ

LemoN : เอาไปฟังแค่คลิปเดียวก่อนละกัน

...คลิปที่ส่งมาเป็นคลิปเสียง ผมยังไม่ได้เปิดมัน ชั่งใจอยู่ว่าจะลบทิ้งดีไหม สุดท้ายผมก็ตัดสินใจลบมันทิ้ง 

LemoN : ไว้รอกูกลับจากเยอรมันกับพี่ยะเมื่อไร มึงคงจะได้ของฝากจากกูอีกเพียบแน่

LemoN : เอ... หรือมึงอยากได้ทั้งภาพและเสียง

LemoN : เอาปะ

LemoN : กูสงเคราะห์ให้ได้นะ

LemoN : เผื่อมึงจะได้เอาไว้ช่วยตัวเอง

LemoN : อยากมากไม่ใช่เหรอ

LemoN : กูจะสงเคราะห์ให้หลายๆ คลิปละกัน

LemoN : รับรองว่าภาพคมชัดระดับ HD

P.Phirach : หยุดคำพูดทุเรศของคุณซะที

P.Phirach : ไม่อายตัวเองบ้างหรือไง

LemoN : เหอะ กูต้องอายด้วยเหรอ

LemoN : คนที่ควรอายคือมึง

LemoN : คนที่ทุเรศก็คือมึง

LemoN : ความทุเรศของมึงที่อยากได้พ่อของตัวเองเป็นผัวจนตัวสั่น

P.Phirach : คุณยะไม่ใช่พ่อของผม

...ผมไม่ได้รักพ่อของตัวเอง ผมแค่รักคุณยะ

LemoN : แต่ทุกคนรู้ว่ามึงเป็นลูก

P.Phirach : ช่างคนพวกนั้นสิ

...ผมกดพิมพ์ข้อความไปอย่างพาลๆ แต่ในใจผมไม่สู้แล้ว ผมยอมแพ้แล้ว ไม่อยากได้ผู้ชายที่ตกเป็นหัวข้อทุ่มเถียงอย่างหยาบคายนี้อีกต่อไปแล้ว

LemoN : อ๋อ นี่มึงจะเอาให้ได้ใช่ปะ

LemoN : จะเอาผัวกูให้ได้ใช่ปะ

LemoN : มึงนี่หน้าด้านหน้าหนากว่าที่คิดไว้อีกนะ

LemoN : หรือว่ากูต้องให้มึงดูตอนที่พ่อมึงมีความสุขกับกู

LemoN : มึงถึงจะได้เลิกคิดทุเรศกับพ่อตัวเอง

LemoN : กูสงเคราะห์ให้มึงอีกสักคลิปดีกว่า

LemoN : อันนี้เด็ดว่ะ ทั้งภาพทั้งเสียง

LemoN : ล่าสุดเมื่อเช้า

LemoN : พ่อมึงเอากูไม่ยั้ง

LemoN : โคตรมัน

LemoN : รูกูก็เลยเป็นแบบในรูปที่มึงเห็นไง

LemoN : แต่มึงไม่ต้องเป็นห่วงกู ยังไงกูก็ไปเอากับพ่อมึงต่อที่เยอรมันได้อีก

...แล้วคลิปก็ถูกส่งมา มือผมสั่นไปหมดกับคลิปวิดีโอบนหน้าจอสี่เหลี่ยม ถึงผมจะยังไม่ได้เปิดดู แต่เท่าที่เห็น ภาพที่ปรากฏมันคือคนสองคนที่ทำเรื่องอย่างว่ากันบนเตียง

ผมควรจะผ่านมันไป ไม่ก็ลบทิ้งไปซะ แต่ผมกลับลังเล สุดท้ายผมคงอยากให้ตัวเองเจ็บปวดให้ถึงที่สุด ให้หัวใจฉีกขาดจนไม่เหลือให้กอบกู้คืนมาเป็นเหมือนเดิมได้ ปลายนิ้วถึงได้ค่อยๆ แตะลงบนคลิปนั้น

ทุกภาพ ทุกเสียง ทุกการเคลื่อนไหว มันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง จนหัวใจผมเจ็บร้าวไปหมด ก่อนน้ำตาจะไหลลงบนสองแก้มที่ไร้ความรู้สึก ภาพที่ผมต้องทนดูคือคนตัวเล็กอยู่ในท่าคลานเข่า ใบหน้าด้านข้างแนบไปกับความนุ่มของเตียงนอน สะโพกยกสูงขึ้นไปรองรับความแข็งกร้าวของคนตัวหนาที่ยืนเข่าซ้อนอยู่ด้านหลัง ต่อให้เห็นแค่ช่วงปากของคนคนนั้นลงมาจนถึงร่างกายที่อัดแน่นด้วยมัดกล้ามแวววาวไปด้วยคราบเหงื่อไคล ผมก็จำได้ว่าคนคนนี้เป็นใคร แค่ท่อนแขนที่เห็นวางบนเอวคนตัวเล็กและอีกข้างที่กดแผ่นหลังบางให้จมลงไปกับเตียงนอน ผมก็จำได้แล้ว ไหนจะเสียงคำรามที่คล้ายจะดังไปทั่วห้องเป็นเสียงเดียวกับที่ผมเคยได้ยินในห้องทำงานของเขา เพียงแต่คนที่กรีดร้องอย่างโหยหวนราวกับเจ็บปวดสาหัสเป็นคนละคนกัน

เรื่องราวบนหน้าจอสี่เหลี่ยมมีไม่กี่นาที แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองทนดูความน่าขยะแขยงนานนับชั่วโมง ภาพและเสียงหยุดไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังจ้องอยู่อย่างนั้น จนหน้าจอดับไปและตามมาด้วยเสียงแจ้งเตือนข้อความในโปรแกรมแชตที่ดังแบบรัวๆ ชนิดที่ว่าเจ้าของข้อความคงไม่ได้หยุดพักปลายนิ้วของตัวเองเลย

ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ไม่รู้ตัวเลยว่าเดินไปหยิบคัตเตอร์บนโต๊ะตอนไหน ไม่รู้สักนิดว่าใบมีดกรีดลงไปบนตัวตุ๊กตากระต่ายหูยาวตัวใหญ่ยักษ์ที่วางอยู่บนเตียงได้อย่างไร มารู้อีกทีก็ตอนที่มันกลายสภาพเป็นแค่เศษผ้า เศษขน ไร้ราคา ไม่มีค่ากับหัวใจผมอีกต่อไป

...มันอยู่กับผมมานาน นานจนถึงวันนี้ วันที่หัวใจผม ‘พัง’

ผ่านไปหลายนาทีกับการนั่งมองเศษซากไร้ค่าอยู่แบบนั้น นั่งถามตัวเองว่าผมปล่อยให้หัวใจพังไปกี่ครั้งแล้ว ทำไมผมต้องรักคนคนนั้น ทำไมต้องเจ็บปวดปานจะขาดใจแค่เห็นเขานอนกับคนอื่น ทำไมผมถึงคิดว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดที่เขายอมมอบทั้งชีวิตให้ได้ ทำไมถึงหลงไปกับคำหลอกลวงพวกนั้น ทำไมต้องเชื่อว่าตัวเป็นคนพิเศษของเขา ทำไมไม่เคยจำ ทำไมถึงไม่เข็ดหลาบ ทำไมผมถึงโง่ได้มากขนาดนี้

ไม่อีกแล้ว!

ผมจะไม่เชื่อคำพูดของเขาอีกแล้ว!





จบตอนที่ 14
** คุยๆ **
อ่านเรื่องนี้ทุกคนอาจจคิดว่า “นิยายเรื่องนี้มันไบโพลาร์หรือเปล่าหว่า (บอกเลยว่าใช่ค่ะ! ไบฯ มากกก)
นิยามชีวิตของคู่นี้ก็ --สามวันดี สี่วันไข้—
หวานขมสลับกันไปมา 555+ หวานกันอยู่แป๊บๆ ขมมาอีกละ
-- ส่วนเลม่อนนั้น--
สักระยะก็จะได้รับผลของสิ่งที่ทำ แต่อีกนานหน่อย
ความสัมพันธ์ของคุณยะกับเลม่อน ไม่ซับซ้อนแต่เป็นความรับผิดชอบ ทิ้งไม่ได้
เพราะโดยนิสัยคุณยะเป็นคนจิตใจดี ขี้สงสาร (มั้ง) เหมือนหมอนุนั่นแหละ แค่การแสดงออกไม่เหมือนเท่านั้นเอง
ปล. คุณยะอาจมีหลงเลม่อนบ้างเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาผู้ชายที่ชอบเรื่องบนเตียง
นี่บอกเลย เลม่อนเด็ดจริง-- อายตัว 555+
ฉะนั้น ถ้าตอนที่ 14 - 15 คุณยะจะทำอะไรน่าเกลียดไปบ้าง โปรดให้อภัยนะคะ
แจ้งอีกนิดว่า เรื่องนี้ จะเป็นการเล่าเรื่องแบบมุมมองของน้องพี
เราๆ จะรู้การกระทำของตัวละครตัวอื่นๆ ผ่านประสบการณ์ของน้องพี ในส่วนที่น้องพีรู้ น้องพีเห็น น้องพีโดนกระทำ
แต่ในมุมของคุณยะ เราจะไม่เห็นในตอนปกติ
แต่ๆๆๆๆ คนเขียนวางพล็อตคร่าๆ ไว้ในหัวว่า
การเล่าเรื่องในมุมของคุณยะจะมีอยู่ใน "ตอนพิเศษ" ในเฉพาะเล่มหนังสือเท่านั้น


สีเหลืองอ่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2019 23:54:20 โดย i_ang »

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อดใจรออ่านตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ววววววว   :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คุณยะทำเราเกลียดเลย สงสารน้องมาก คุณยะจะเห็นข้อความ รูปและคลิปที่ส่งมาให้น้องหรือเปล่า ทำไมคุณยะถึงทำแบบนี้ ที่ทำเพราะยังไม่กล้าทำน้องเลยหาที่ระบายใช่ไหม แล้วที่บอกว่าคุณยะแค่รับผิดชอบคืออะไรค่ะ อยากรู้จังรีบมาต่อตอนต่อไปเร็ว ๆ นะคะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 15

ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังแทรกเข้ามาในห้องที่มีเพียงกลิ่นความเจ็บปวดลอยคลุ้ง ที่ตามหลังมาคือเสียงเรียกที่บอกว่าคนด้านหน้าประตูเป็นใคร

“พี”

ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่ต้องการเห็นหน้าคนคนนี้ไปตลอดชีวิต อยากหนีไปให้ไกล สุดขอบฟ้าเลยก็ได้ แต่ผมทำได้แค่นั่งเงียบๆ มองดูเศษซากความเจ็บปวดของตัวเองที่ระบายลงบนตุ๊กตาตัวยักษ์ ก่อนเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง หยิบกล่องของขวัญชิ้นล่าสุดที่เขาซื้อให้ เปิดฝากล่องเอาสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา ลุกเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ วางสิ่งที่อยู่ในมือลง ใช้มือข้างเดิมนั่นแหละหยิบที่ทับกระดาษที่ทำจากหิน เป็นของขวัญวันเกิดปีนี้ของผมจากปาลิน แต่ผมจะใช้มันทำลายของขวัญอีกชิ้นหนึ่งที่มีราคามากกว่าไม่รู้กี่เท่า

ก๊อก...ก๊อก

พอผมไม่ขานรับ คนด้านนอกก็เคาะประตูอีกครั้ง

“คุณยะเข้าไปนะ”

เขาบอกกล่าวก่อนจะเปิดประตูเข้ามา ไม่รู้ว่าบนใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยอะไรบ้างไหม เมื่อเห็นสภาพความเละเทะของตุ๊กตาที่เขาซื้อให้ผมเมื่อนานมาแล้ว ที่บอกว่าสั่งทำพิเศษ มีเพียงตัวเดียวในโลก เพราะผมไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะผมกำลังใช้ที่ทับกระดาษราคาหลักร้อยทุบลงบนนาฬิการาคาหลักล้านอย่างไม่นึกเสียดายความแพงของมัน

“ทำอะไร!” เขาตรงเข้ามาดึงแขนผมไว้ 

“อย่ามาแตะตัวผม!” ผมกระชากแขนออกมาอย่างแรง ก่อนผลักอกเขาจนเสียหลักเซไปด้านหลัง เขามองผมด้วยสีหน้าอึ้งจัด กับสภาพน้ำตานองหน้าของผม ผมอาศัยจังหวะนั้นทุบนาฬิกาหลักล้านให้พังยับเยินจนไม่เหลือสภาพความหรูหราของมัน โดยที่เขาได้แต่ยืนมองและพยายามข่มความโกรธเอาไว้

...จากหลักล้านเหลือเพียงเศษซาก

...จากหัวใจที่เต็มอิ่มด้วยความรักก็เหลือเพียงอดีตที่ไม่น่าจดจำ

หลังเสียงของแข็งทุบของหรูหยุดลง ห้องทั้งก็ตกอยู่ในความเงียบ คนที่ทำให้หัวใจผมพังซ้ำแล้วซ้ำเล่ายืนกอดอกและพิงแผ่นหลังไว้กับกรอบหน้าต่าง ดวงตาสีราตรีขุ่นมัวด้วยความโกรธจ้องมาที่ผม ผมเองก็มองไปที่ใบหน้าคมเข้ม สบสายตาเขาด้วยแววตาท้าทายของตัวเอง ไม่เหลือบรรยากาศหอมหวานอย่างค่ำคืนที่ผ่านมา ไม่มีเสียงของความรัก ไม่มีความหลงใหลของเด็กโง่คนเดิม มีแต่ความขมไหม้ที่แผ่กระจายออกมาจากลมหายใจของผม

เวลาที่เราจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร มันผ่านไปราวสิบปีร้อยปี แต่ความจริงคือแค่ไม่กี่นาทีสุดท้ายก็เป็นเขาที่สิ้นความอดทนก่อนผม

“อยากยาหรือไง”

“...” คำถามที่บอกให้ผมรู้ว่า เมื่อคืนเขารู้ว่าผมเล่นยา แต่ที่เขาไม่รู้คือมันเป็นครั้งแรกที่ผมหลงผิด หลงไปกับยาเสพติดที่มีแต่ทำลายสติของผมให้สิ้นซาก ทำให้ผมทำเรื่องน่าอายแบบเด็กโง่ๆ ออกไป

“เล่นมานานหรือยัง”

“นาน” ผมเลือกตอบในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง

“อย่าประชด”

“ผมไม่ได้ประชด” แน่นอนว่าผมประชดร้อยเปอร์เซ็นต์

“เรื่องเหล้า... ฉันไม่ห้าม เข้าใจว่าเธอเป็นวัยรุ่นก็ต้องมีบ้าง” เขาผ่อนเสียงลง พยายามคุยกับผมด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ที่ถูกยั่วยุตั้งแต่เปิดประตูห้องเข้ามา “แต่เรื่องบุหรี่กับยา ฉันขอให้เลิกยุ่งกับมัน บ้านหลังนี้ไม่มีใครเป็นขี้ยา”

“แล้วไง” ผมเอียงคอถามอย่างหาเรื่องสุดๆ ไม่ได้ทำตัวน่ารักช่างอ้อนเหมือนเมื่อคืน “ผมต้องเชื่อคุณด้วยเหรอ ชีวิตเป็นของผม ผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ เพราะคุณไม่ใช่พ่อของผม คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับชีวิตผม” 

“สงสัยฉันให้เงินเธอใช้เยอะเกินไป” เขาแสยะยิ้ม ก่อนเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง หยิบกระเป๋าเงินของผมออกมาจากลิ้นชัก รู้ดีเกินไปแล้วว่าผมเก็บกระเป๋าไว้ที่นั่น แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ผมต้องมาชื่นชมความรู้ดีของเขา สิ่งที่เขากำลังจะทำต่างหากคือเรื่องที่ผมควรสนใจที่สุดในเวลานี้

“คุณจะทำอะไร” ไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำอะไร แต่ต้องไม่ใช่เรื่องดีกับผมแน่ ผมรีบเดินเข้าไปแย่งกระเป๋าจากมือเขา มันช้าไป เขาหยิบบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต (แบบบัตรเสริม) และเงินออกมาหมดกระเป๋า

“ฉันคงต้องควบคุมการใช้เงินของเธอ” เขายิ้มร้ายกาจออกมา ไม่มีอีกแล้วยิ้มแบบเมื่อคืนที่ผ่านมา “วันละร้อยก็น่าจะเหลือเฟือ” แล้วก็ยัดแบงก์สีแดงกลับเข้าไปในกระเป๋าแค่ใบเดียว!

“มันจะพอได้ยังไง!” ผมหลุดตะคอกใส่เขาอย่างหัวเสีย ร้อยเดียวนี่นะ ให้ตายยังไงก็ไม่พอ

“ไม่พอก็ต้องพอ” ว่าแล้วเขาก็โยนกระเป๋าคืนมา ผมรับไว้ก่อนจะปามันใส่หน้าเขา ระยะห่างกันแค่สองก้าวไม่พลาดหรอก แต่เขาดันหลบทัน กระเป๋าเลยปลิวไปกระแทกฝาเรือนและตกลงบนพื้นไม้ขัดเงา กองอยู่ตรงนั้นอย่างไร้ความหมาย “แต่ถ้ายังเหลือพอที่จะเอาไปเล่นยาละก็ ฉันจะพิจารณาอีกทีว่าควรลดเงินเธอลงให้เหลือวันละเท่าไร”

“คุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้ เอาบัตรผมคืนมา”

“ก็ทำไปแล้ว” นอกจากไม่คืนบัตรให้ผม เขายังหักมันจนอยู่ในสภาพพับครึ่งทั้งสองบัตรเลย “ต่อไปฉันจะให้เธอใช้วันละร้อย และต้องมารับจากฉันที่โรงแรมทุกเย็น ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็มานั่งทำงานกับฉัน ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยจะได้ไม่ต้องยุ่งกับยาพวกนั้น”

“ไม่!” ไม่มีวันไปนั่งทำงานในห้องที่เขาใช้โต๊ะทำงานแทนเตียงเด็ดขาด เมื่อเขาไม่ให้เงินผม ผมก็ไม่จำเป็นต้องง้อ เขาไม่ได้มีเงินคนเดียวสักหน่อย “เงินของคุณ ผมไม่ใช้ก็ได้ ไม่เห็นจะแคร์ เงินคุณปู่คุณย่าก็มี” เป็นผมบ้างที่ยิ้มออกมา แต่แค่แวบเดียวก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าแสง

“ก็ลองไปขอสิพี... พ่อฉัน แม่ฉัน หรือน้องฉัน เธอก็เลือกไปขอเลย ทุกคนจะได้กลับมาถามฉันไง ว่าทำไมฉันถึงไม่ให้เงินเธอใช้” คำพูดของเขาทำเอาผมได้แต่กัดริมฝีปากตัวเอง ข่มความพ่ายแพ้ไม่ให้มันทะลักออกมา “พวกเขาจะยังไม่ยื่นเงินให้เธอ แต่จะมาถามฉัน ตอนนั้นฉันก็คงต้องบอกทุกคนว่าเธอเป็นเด็กเหลวไหลแค่ไหน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นยา การเลี้ยงดูที่เอาใจเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นของพวกเขา ไม่ได้ทำให้เธอเป็นตรัยธาดาที่ดีได้เลย”

“...” ตัวผมสั่นไปหมด กลัวทุกคนจะรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กดีอย่างที่เห็น ต่อให้มันเป็นครั้งแรกที่ผมลองของพวกนั้น แต่มันก็ไม่ควรเกิดขึ้นเลยสักครั้ง

“ต้องให้ฉันย้ำไหมว่าค่าใช้จ่ายของเธอทั้งหมด มีแค่ฉันคนเดียวที่รับผิดชอบ ทุกคนในครอบครัวฉันไม่มีใครเข้ามายุ่ง เพราะตั้งแต่วันที่ฉันพาเธอเข้ามา ชีวิตเธอก็เป็นของฉันคนเดียว ฉันคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในตัวเธอ... จำไว้”

“ผมไม่จำ!” ไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาพูดเหลวไหลสิ้นดี “ชีวิตเป็นของผม ไม่ใช่ของคุณ!”

“มัน ‘ใช่’ พี... ชีวิตเธอเป็นของฉัน”

“ไม่ใช่! ชีวิตผมเป็นของผม” ไม่ยอมให้เขามาเป็นเจ้าชีวิตผมหรอก

“มีทางเดียวที่เธอจะได้ชีวิตคืน” คำพูดของเขาบาดลึกลงมา “ออกไปจากบ้านหลังนี้ คืนชื่อที่ฉันให้เธอ คืนตรัยธาดามาให้ฉัน แล้วเธอจะเป็นอิสระ อยากไปไหนก็ไป อยากจะเสพยาให้ตายเหมือนหมาข้างถนนก็แล้วแต่เธอ”

“ผมเกลียดคุณ”

...เกลียดที่ไม่ว่าอย่างไรผมก็เอาชนะเขาไม่ได้ เกลียดที่ไม่ว่าอย่างไรผมก็แพ้เขาทุกทาง เกลียดที่สุดคือการที่เขาเอาแต่ทวง ‘ตรัยธาดา’ ไปจากผม ทวงครอบครัวที่ผมมีมาตลอดสิบห้าปี

“เมื่อคืนยังบอกว่ารักฉันอยู่เลย” เขาพูดยิ้มๆ ทำเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้ข่มขู่ผมด้วยถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจผมอย่างที่สุด ดวงตาสีราตรีมองผมเหมือนรู้ทันคำว่า ‘เกลียด’ ที่ออกมาจากปากผม   

“ผมไม่เคยพูด!” ผมเถียงทั้งที่มันเป็นความจริง เมื่อคืนผมบอกรักเขา แต่ผมจะไม่นับว่าผมเคยพูดมันออกไป ตอนนั้นผมเมา ความมึนเมาทำให้ผมหลงผิด เห็นความจอมปลอมของเขาเป็นของจริง

“แน่ใจว่าไม่เคยพูด” พร้อมกับคำถามคือร่างหนาที่ขยับเข้ามาใกล้ ริมฝีปากยกยิ้มชวนให้หงุดหงิด  “นอกจากเป็นเด็กดีไม่ได้แล้ว เธอก็ยังจะเป็นเด็กขี้โกหกอีกหรือไง... ทำไมไม่น่ารักเหมือนเมื่อคืนล่ะ” เขาจบคำพูดนั้นด้วยท่อนแขนที่ตวัดรอบเอวผม ดึงเอาผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“ปล่อยผม!” ผมดิ้นรนออกมาจากความแข็งแกร่งที่กักขังผมเอาไว้ “ผมเกลียดคุณ ปล่อยผมนะ” ดิ้นให้ตายก็เหมือนปลาติดเบ็ด

“เป็นอะไร... มีอะไรที่ทำให้เธอลืมเรื่องเมื่อคืน” ใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้ “ฉันทำอะไรให้เธอโกรธ” ถามเหมือนไม่รู้สิ่งที่ตัวเองทำไว้

“ผมขยะแขยงสิ่งที่คุณทำ” ...ขยะแขยงที่เขามีความสัมพันธ์ทางกายกับใครก็ได้ รังเกียจที่เขากอดผมแต่ก็ไปกอดคนอื่นต่อได้อย่างหน้าตาเฉย ไม่คิดถึงหัวใจของผมเลยว่าจะรู้สึกอย่างไร เจ็บปวดแค่ไหนเมื่อต้องมารับรู้ 

“เมื่อคืน... เธอเริ่มเองนะพี” ท่อนแขนแกร่งค่อยๆ ปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ

เขาเข้าใจว่าผมขยะแขยงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนในบ้านหลังนี้เท่านั้น คงไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมหมายถึงคือการที่เขาทิ้งผมไว้กับความโง่ ส่วนเขาก็ออกไปกอดคนอื่น ทั้งที่บอกว่าจะอยู่กับผมทั้งคืน จะรอให้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับจำเรื่องของเมื่อคืนได้หมดทุกอย่าง ทั้งที่บอกจะยกทั้งชีวิตของเขาให้ผม แต่เขาก็ไม่คิดจะทำอย่างปากพูด ทุกคำที่เขาพูดก็แค่คำโกหก

“อยากรู้ใช่ไหมว่าผมขยะแขยงอะไรคุณ” ผมกัดฟันถามออกไป ไม่รอให้เขาตอบ เดินอ้อมตัวเขาไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากเตียงนอน เปิดหน้าจอแล้วเข้าไลน์ที่คุยกับพี่เลม่อนทันที เลื่อนผ่านข้อความที่ผมยังไม่ได้อ่านไปอย่างไม่ให้ค่าความสำคัญ จนขึ้นไปเจอคลิปที่ผ่านสายตาผมมาแล้ว “...คำตอบมันอยู่ในนี้ไง สิ่งที่ทำให้ผมขยะแขยงคุณ เกลียดคุณจนไม่รู้จะเกลียดยังไงแล้ว”

ปลายนิ้วของผมกดลงบนคลิป ยื่นทั้งภาพและเสียงไปตรงหน้าเขา อยากหัวเราะให้กับความหมกมุ่นในเรื่องเซ็กซ์ของเขาจริงๆ หน้ามืดตามัวจนไม่รู้ว่าถูกถ่ายรูปถ่ายคลิปพวกนี้เอาไว้ตั้งเท่าไร

ทุกอย่างในคลิปฉายขึ้นเป็นครั้งที่สอง แม้มีแค่เสียงที่ดังเข้ามากระแทกหู แต่ผมก็จำภาพต่างๆ ในคลิปนั้นได้อย่างแม่นยำ

‘...รัดพี่ให้แน่นๆ...อ่า...’

‘อ๊ะ...อึกก...ชะ...ชอบไหมครับ...อ่า...’

‘... อย่างนั้น...ดีมาก...เด็กดี...’

‘...อ๊าาา...เข้ามาลึกๆ...เลยครับพี่ยะ... อ๊ะ...ผมไหว...อึกก...’

‘...อ่า...รัดอีก...’

‘อ๊า...ตะ...ตรงนั้น...แรงๆ ครับ...’

‘อยากได้แค่ไหน...เด็กดี...อยากให้พี่เพิ่มอะไรเข้าไปไหม...หื้อ...’

‘...อึกก...เอานิ้ว...อ๊า...อื้ออ...เอานิ้วใส่...ขะ...เข้ามาด้วยครับ...ผมรู้...พี่ชอบ...’

‘หึหึ...พี่ชอบ หรือว่าเราชอบ...แค่ของพี่ยังไม่พอหรือไง...’

‘อ้ากกกก...อะ...อ้า...ผะ...ผมชอบ...อ้า...ส่วนพี่ก็ชอบ...อื้อออ...รูของผม...มะ...อ๊า...มันรัดพี่แน่นไหมครับ...’

‘อ่า...แน่นครับ...เด็กดี...’

‘อ๊ะ...อ๊าาา...ผมจะ...ตะ...’

‘...’

‘...’

.

.

.[/i]

อ่านต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2019 17:23:26 โดย i_ang »

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
.

.

.

.

เสียงความใคร่ของคนสองคนประสานสอดรับกันผ่านออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ผมจ้องหน้าคนในคลิปที่หน่วยตาสีราตรีจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ผมไม่รู้ว่าใต้แววตาเรียบสนิทนั้นกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะเขานิ่งเกินไป ไม่แสดงท่าทีใดออกมาเลย แม้แต่ความตกใจก็ไม่มี ที่ทั้งภาพและเสียงหวีดร้องดังออกมาขนาดนั้น เขาก็แค่มองจนทุกอย่างกลับมาเงียบเหมือนเดิม ไม่รู้สึกอายหรือผิดกับผมสักนิดเลยหรือไง

“ไปบอกเมียคุณด้วยว่าผมไม่ได้อยากได้ของของเขา” ...ผมแค่หลงเชื่อคำหลอกลวง

“ฉันจะบอกให้ละกัน”

...เจ็บ

ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บกับคำพูดของเขา การที่เขาไม่ปฏิเสธคำที่ผมใช้เรียกแทนตัวคนที่อยู่ในคลิปกับเขา ก็ไม่ต่างจากการยอมรับว่าพี่เลม่อนคือ ‘เมีย’ ของเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่คู่นอนชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่เด็กโง่ๆ แบบผมที่แค่เขาใจดีด้วยหน่อยก็หลงเข้าใจผิดไปไกล ฝันหวานไปเองว่าจะได้รักกันอย่างสุขสมหวัง กว่าจะรู้ว่าตัวเองช่างโง่เขลาเหลือเกินหัวใจก็พังทลายไปเสียแล้ว

“ออกไปจากห้องผม” ...ก่อนที่น้ำตาผมจะไหล เพราะผมจะทนไม่ไหวแล้ว

เขาไม่พูดอะไร แค่ทำตามสิ่งที่ผมพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อสูทสีเข้มกำลังจะพ้นไปจากห้องของผม ทอดทิ้งความเจ็บช้ำของผมไว้ด้านหลังอย่างไม่ไยดี ไร้ความรับผิดชอบ เขาเห็นผมเป็นอะไร หลอกลวงด้วยคำจอมปลอม ทำให้ผมเจ็บซ้ำเสียน้ำตาให้เขาไปตั้งเท่าไร แต่ไม่เคยกลับมารับผิดชอบสิ่งที่ทำไว้กับผมเลย

“คุณจะไม่อธิบายหน่อยเหรอว่าเมื่อคืนทำไมถึงทำแบบนั้นกับผม” ผมตัดสินใจถามออกไป ก่อนที่เจ้าของแผ่นหลังกว้างจะหันกลับมาสบตาผม สายตาของเขายังเรียบเฉย นิ่งสนิท ไม่ทุกข์ร้อนไปกับความเจ็บปวดของผมแม้แต่นิดเดียว

...จิตใจของเขาทำด้วยอะไร ผมอยากรู้

“เพราะเธอเมา” คำตอบที่ไม่ต่างจากการผลักความผิดทั้งหมดมากองไว้ที่ผมคนเดียว “เธอเริ่มทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันบังคับให้เธอดื่มหรือไง สั่งให้ใช้ยาหรือเปล่า แล้วที่ปีนขึ้นมานั่งตักฉัน อ้อนฉัน ขอให้ฉันช่วย ก็เธอเองทั้งนั้นนะพี หัดโทษตัวเองบ้างไม่ใช่โทษแต่คนอื่น” แต่ทุกคำที่เขาพูดออกมาผมก็เถียงไม่ออก ได้แต่ยืนข่มความอับอายของตัวเองเอาไว้

“ผมยังเด็ก” ผมหาคำแก้ตัวไม่ให้ตัวเองอับอายกับเรื่องเมื่อคืนไปมากกว่านี้

“หึ... ฉันถึงบอกว่าเธอยังเด็ก” ไม่ชอบเลยที่ยังไงผมก็ยังเป็นเด็กในสายตาเขา แต่ที่ไม่ชอบมากกว่านั้นคือคำว่า ‘เด็กดี’

เด็กดี... ที่เขาใช้เรียกพี่เลม่อน

ต่อไปผมจะไม่รู้สึกกับคำว่า ‘เด็กดี’ ของเขาอีกแล้ว แม้แต่คำว่า ‘คนพิเศษ’ ผมก็จะมองว่าพวกมันทั้งสองเป็นคำที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก ...น่ารังเกียจพอๆ กับเซ็กซ์ของเขานั่นแหละ

“เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกเขาไว้ ตอนเขากำลังจะหมุนตัวเดินออกไป เพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่างไปเสียสนิท เขาก็คงลืมเหมือนกัน “คุณจะไปเยอรมันพรุ่งนี้ แล้วผมจะไปเอาเงินที่คุณได้ยังไง” 

“ฉันจะฝากไว้ที่แอล เธอก็เข้าไปเอาละกัน” ...แอลหรือพี่หัทยาเลขาคนสวยของเขา

“ถ้าผมต้องซื้อของทำรายงานหรือทำงานกลุ่มล่ะ เงินร้อยเดียวไม่พอหรอก” พอเงินในกระเป๋ามีแค่ร้อยเดียว ผมก็มองเห็นความลำบากตามมาเป็นพรวน

“แล้ว...ไง” ทั้งใบหน้าคมเข้มและน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั้นๆ แต่บ่งบอกชัดเจนว่าเขามีความสุขที่ได้กลั่นแกล้งผมด้วยการให้เงินใช้แค่วันละร้อยบาท

“ผมขอเพิ่มได้ไหม” ผมมองเขาด้วยสายตาขอร้องเป็นครั้งแรกของวัน ผิดจากก่อนหน้าที่แทบอยากจะเอามีดไปเสียบอกของเขา หวังว่าเขาจะเห็นใจบ้างผมนะ เขาก็เคยผ่านช่วงวัยเรียนมาแล้ว ต้องเข้าใจสิว่ามันมีเรื่องให้ต้องใช้เงินตลอดเวลานั่นแหละ

เชื่อไหมว่าผมไม่เคยต้องคุยเรื่องเงินกับเขาเลย ผมมีหน้าที่แค่ใช้เงินที่ถูกใส่เข้ามาในบัญชีทุกต้นเดือนและกลางเดือน ผมจะใช้จ่ายเท่าไรก็ได้ หมดไปกับเรื่องอะไรก็ไม่เห็นมีใครบ่น ใช้เหมือนไม่กลัวหมด เพราะเงินที่ถูกเติมเข้ามาในบัญชีจะเท่ากับจำนวนที่ผมใช้ออกไป หรือไม่ก็มากกว่า ผมเคยเข้าใจว่าคุณปู่คุณย่าเป็นเจ้าของเงิน เพิ่งรู้ไม่นานนี่แหละว่าเป็นเงินของเขา ก็ใครจะคิดเล่าว่าเป็นเงินของเขา ในเมื่อพอผมใช้เงินเองเป็น รู้จักว่าแบงก์แต่ละสีมีค่าไม่เท่ากัน คุณย่าก็เอากระเป๋าสตางค์ที่มีเงินอยู่ในนั้นเกือบครบทุกสีมาให้ผม จากนั้นก็เริ่มให้เงินผมทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน พอโตขึ้นอีกหน่อยท่านก็เปลี่ยนจากเงินสดเป็นเงินในบัตรแทน และพอหลังวันเกิดครบสิบห้าปีของผมสองสัปดาห์ คุณย่าก็เอาบัตรเสริมมาให้ผมพกติดกระเป๋าไว้ (ผมก็เพิ่งรูดครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ก่อนตอนซื้อของขวัญวันเกิดให้ปาลิน) เพราะแบบนี้ผมเลยไม่รู้ไงว่าเงินทั้งหมดมาจากเขา     

“อยากได้เพิ่มเท่าไร”

...เขาทำให้ผมมีความหวัง

“ห้าร้อย” บางวันผมก็ใช้เกินกว่าห้าร้อยตั้งหลายเท่า แต่ก็ยังดีกว่าได้แค่ร้อยเดียว ต่อไปผมคงต้องประหยัดให้มากขึ้น เฮ้อ... แค่คิดก็เหนื่อยจนท้อที่ต้องตัดความสุขที่ซื้อได้ด้วยเงินออกไปจากชีวิต

“แต่ฉันไม่ให้”

...แล้วเขาก็เอาความหวังนั้นคืนไป

“คุณยะ!” ผมโมโหแล้วนะ “ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่พอใช้ ร้อยเดียวมันจะไปพออะไรเล่า” ผมอยากเดินเข้าไปเอากำปั้นทุบเขาเหลือเกิน ดูใบหน้าที่อมยิ้มของเขาสิ ทั้งมีความสุขและสะใจที่ผมมีเงินใช้วันละร้อย

“เธอต้องใช้ให้พอ”

“คุณก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนนะ ก็น่าจะรู้ว่าเงินแค่นี้ไม่พอหรอก” ผมพูดอย่างโมโหสุดๆ “คุณเคยให้ผมใช้เดือนละแสน แต่ตอนนี้คุณจะให้แค่วันละร้อย ไม่ใจร้ายกับเด็กอย่างผมไปหน่อยหรือครับ” ผมหาข้ออ้างมาเปลี่ยนใจเขาด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ นี่แหละ เขาเติมเงินให้ครบแสนทุกต้นเดือนและกลางเดือน แต่ผมก็ไม่เคยใช้หมดหรอก มันก็เหลือตลอด

“ใช่ ฉันเคยเป็นวัยรุ่น ใช้เงินวันเป็นแสนก็มี หลักล้านก็เคยออกบ่อย แต่ฉันไม่เคยเสียเงินให้ยาเสพติดแบบเธอ” พูดถึงเรื่องยาแล้ว ผมรู้เลยว่าเขาโกรธมากจริงๆ แต่เขาก็เข้าใจผมผิดไปนะ ผมไม่เคยใช้เงินของเขาซื้อยา บุหรี่ก็ไม่เคย ส่วนค่าเหล้าเมื่อคืน ผมก็ออกมาก่อนที่จะได้หารค่าเครื่องดื่มบนโต๊ะกับพวกดีน

“ผมเพิ่งใช้ยาเมื่อคืนเป็นครั้งแรก” จำเป็นต้องสารภาพออกไป ไม่อย่างนั้นเขาก็เข้าใจผมผิด พานจะให้เงินผมใช้วันละร้อยจริงๆ “แล้วก็ไม่ได้ซื้อเองด้วย เพื่อนเอามาให้กิน” สีหน้าตึงๆ ของเขาผ่อนคลายขึ้นเมื่อฟังความจริงจากปากผม แต่ก็ยังไม่ลืมอีกเรื่อง

“บุหรี่ล่ะ”

“เพิ่งลองครั้งแรกเหมือนกัน เหล้าก็ด้วย” ผมรีบบอก ดูเขาพอใจมากทีเดียว เลยทำให้ผมคิดว่าเขาจะเปลี่ยนใจ กลับมาให้เงินผมใช้เหมือนเดิม แต่ก็คิดผิด ผู้ใหญ่อย่างเขาร้ายกาจกับผมที่สุด ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม

“ดี... ที่เธอเพิ่งลองเป็นครั้งแรก แต่จะให้เชื่อว่าจะไม่มีครั้งที่สองหรือสามสี่ห้า ฉันยังไม่ขอเชื่อตอนนี้ ขอดูพฤติกรรมของเธอไปสักระยะก่อน” เขาพูด “อย่างที่ฉันบอก วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เธอจะได้เงินใช้วันละร้อย ส่วนวันเสาร์อาทิตย์มานั่งทำงานกับฉัน อยากได้อะไรฉันจะให้แอลพาไปซื้อ”

“แต่ผมไม่อยากไปที่ห้องทำงานของคุณ” โต๊ะทำงานของเขาเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผมเกลียด ไม่อยากเห็นว่าครั้งหนึ่งหรืออาจหลายครั้งที่เขาทำเรื่องอย่างว่าบนโต๊ะตัวนั้น

“ฉันจะเปลี่ยนโต๊ะใหม่” เขาก็ฉลาดที่รู้ว่าผมไม่อยากไปนั่งที่ห้องทำงานของเขาเพราะอะไร แต่วิธีแก้ปัญหาของเขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย ในเมื่อภาพในห้องและเสียงของเขากับผู้ชายคนนั้น ติดอยู่ในหัวของผมไปแล้ว ก็ไม่ต่างจากคลิปของเขากับพี่เลม่อนที่ต่อให้พยายามลบออกไปจากหัวเท่าไร ก็ไม่มีวันลบออกไปได้

“ไม่ไปเธอก็จะไม่ได้เงินจากฉัน” ชอบขู่ตลอด “การที่เธอไม่มีเงินใช้กับการต้องไปหาฉัน เธอคิดว่าอันไหนมันดีกับเธอ... ว่าไงพี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ อยากรู้นักว่าเขารู้สึกดีมากหรือไงนะที่เอาชนะเด็กอย่างผมได้ เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า

“...” แล้วผมจะเลือกอะไรได้ล่ะ

“มีอะไรอีกไหม ไม่มีฉันจะได้ไปทำงานต่อ”

ผมพยักหน้าให้เขา เอ่ยออกมาเบาๆ

“คุณยะครับ” เอาเถอะ ลองพยายามอีกที ผมบอกกับตัวเอง ก่อนเดินทำหน้าเศร้าเข้าไปหาคนตัวสูง พอเดินไปถึงผมก็ใช้สองมือขึ้นเกาะแขนเขา พยายามลืมความโกรธเกลียดขี้หน้าเขาก่อนหน้านี้ไปเสีย พลางเงยหน้าขึ้นมองสบตาสีราตรีที่มองลงมาหาผมด้วยดวงตาที่รื้นน้ำตาปลอมๆ ของตัวเอง พร้อมกับเอ่ยเสียงเบาจางอย่างตัดพ้อออกไปว่า... “คุณยะจะใจร้ายกับผมจริงๆ หรือครับ ไม่สงสารผมบ้างหรือครับ ผมจะเอาเงินที่ไหนซื้อขนม ซื้อของที่อยากได้ล่ะ ค่าอุปกรณ์เรียน ค่ารายงาน ค่าทำงานกลุ่ม และก็ค่าอะไรอีกเยอะแยะ แค่ร้อยเดียวไม่พอหรอกครับ ให้ตายยังไงก็ไม่พอ”

พูดจบผมก็กะพริบตาหนึ่งครั้ง น้ำตาร่วงทันที... เรื่องใช้น้ำตาบอกเลยว่าเป็นเรื่องถนัดที่สุดของผม พอน้ำตาผมไหล คนมองก็มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมอมยิ้มในใจ พยายามจะไม่ให้รอยยิ้มนั้นแต่งแต้มที่ริมฝีปาก ไม่อย่างนั้นเขาได้รู้แน่ว่าผมกำลังเล่นละคร

ผมยังจำได้ดีว่าเมื่อคืนตอนที่ผมล้มแล้วมีเสียงสะอื้นให้เขาได้ยิน เขาก็รีบหันกลับมาหาผม และเริ่มใจดีกับผม แม้จะมารู้เอาวันนี้ว่าภายใต้ความใจดีคือความใจร้ายอย่างแท้จริง แต่ไม่เป็นไร ผมจะลองลืมๆ ไปซะ ลองพูดดีกับเขา เผื่อว่าจะได้ผล... มันก็ไม่มีอะไรให้เสียหายแล้วนี่ เพราะความเสียหายย่อยยับเกิดขึ้นเมื่อคืนจนหมดแล้ว

“อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเรียน เธอก็เขียนมาเบิกฉันละกัน ตกลงไหม”

“ก็ได้ครับ” ไม่มีทางให้ปฏิเสธนี่นา “แต่ผมอยู่ในช่วงกำลังกินกำลังโต ต่อให้ไม่ต้องจ่ายเรื่องพวกนั้น ยังไงร้อยเดียวก็ไม่พอ ผมชอบกินเค้ก ต้องได้กินทุกวัน ร้านเค้กที่หน้าโรงเรียนก็อร่อยที่สุดเลย ร้านน้ำข้างๆ ก็เหมือนกัน ถึงจะแพงไปหน่อยแต่ก็อร่อยมากเลยนะครับคุณยะ แล้วหนังสือการ์ตูนที่ผมต้องซื้อสัปดาห์อีก ร้อยเดียวไม่พอจริงๆ ” ผมร่ายยาว พยายามทำเสียงให้อ้อนที่สุด ก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตาตอนที่เขาถามกลับมาว่า...

“อยากได้เท่าไร” เป็นคำถามเดิมที่เขาเคยถามผมเมื่อกี้ แต่หวังว่าพอผมบอกไปแล้ว จะไม่ตามมาด้วยคำตอบแบบเดิมอีกนะ

“ห้าร้อยครับ” ผมกำลังจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้ม เป็นเขาที่เร็วกว่า ปลายนิ้วอุ่นได้เกลี่ยสายน้ำตาออกไปจากแก้มผมเรียบร้อยแล้ว

...สัมผัสของเขาอ่อนโยน

หัวใจผมก็คล้ายจะอ่อนแอลงอีกครั้ง ก็ได้แต่สั่งตัวเองว่าให้จำความเจ็บที่เจอ อย่าลืมว่าเขาทำร้ายจิตใจของผมมากี่ครั้งแล้ว เจ็บแล้วให้จำซะที

“ไม่ได้ มันเยอะเกินไป” คำตอบแบบเดิม เพิ่มเติมคือยังเหลือความหวังให้ผมอีกนิดหน่อยว่าจะได้เพิ่มมากกว่าร้อยเดียว

“สี่ร้อยก็ได้ครับ” ...สี่ร้อยก็ดีกว่าร้อยเดียว

“สี่ร้อยก็มากเกินไป” ดูคำตอบของเขา ยังใจร้ายเหมือนเดิม

“สามร้อยนะครับ”

“มากไป”

“สองร้อยก็ได้” เสียงผมเริ่มห้วนละ

“ไม่ได้” เขาก็ยังส่ายหน้า นี่ผมยอมลงทุนอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตานองหน้าแล้วนะ ทำไมใจแข็งแบบนี้ แต่ผมจะไม่ยอมแพ้ ยังไงผมก็ต้องได้มากกว่าวันละร้อย!

“ร้อยห้าสิบก็ได้ครับ” น้ำตาที่หมดแก้มไปก่อนนี้กลับมาอีกครั้ง ผมบีบน้ำตาให้หยดแหมะๆ ให้เขาเกิดความสงสารและเห็นใจ ก่อนซ่อนใบหน้าไว้กับท่อนแขนแข็งแกร่งของเขา... แม้ข้างในผมจะรู้สึกไม่ดีกับมันก็ตาม เพราะสมองผมยังจำภาพในคลิปนั้นได้ รวมทั้งรูปถ่ายเป็นสิบๆ รูปที่พี่เลม่อนส่งมาเยาะเย้ยผม

...ผมเกลียดร่างกายเขาที่เต็มไปด้วยคำว่าเซ็กซ์

“เงยหน้าขึ้นมาพี” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งออกมา ปลายนิ้วแกร่งจับยึดคางผมไว้แล้วดันให้ใบหน้าผมเงยขึ้น เพื่อมามองสบกับดวงตาที่มียิ้มรู้ทันของเขา “บีบน้ำตาเก่ง... แต่ไม่เนียน”

“...” ผมพูดอะไรไม่ออก เถียงไม่ได้ เพราะกำลังกัดฟันข่มความอับอายของตัวเองที่ถูกผู้ใหญ่จับโกหกได้

“แต่ก็ได้นะ เห็นแก่น้ำตาของเธอ ฉันจะเพิ่มเงินให้เธอก็ได้... เด็กเจ้าเล่ห์” เขาพูดช้าๆ เสียงทุ้มนุ่มเหมือนเอ็นดูผมนักหนา ซ้ำยังเพิ่มฉายาใหม่ให้ผมอีก แต่จะดีกว่านี้มากถ้าเขาจะไม่เพิ่มให้ผมแค่... “ฉันให้เธอใช้วันละร้อยยี่สิบ”

เพิ่มมา ‘ยี่สิบบาท’ นี่นะ ยี่สิบบาทกับน้ำตาที่ผมเสียไป แถมยังต้องฝืนใจแกล้งออดอ้อนเขาอยู่ตั้งนาน ไม่คุ้มเอาซะเลย

“ไม่ต้องมายุ่งกับผม!”

ผมปัดมือที่ยื่นมาจะเช็ดน้ำตาบนแก้มให้ ขยับถอยห่างออกมาจากคนใจร้ายราวกับเกลียดเขานักหนา มันเป็นความเกลียดที่ผมพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อฝังกลบความรู้สึกอ่อนไหวของตัวเอง... ความรู้สึกรัก

“ออกไปได้แล้ว ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณนานกว่านี้”

“ออกไปแน่ แต่ขอฉันพูดให้จบก่อน”

“ว่ามาสิ” ชักจะไม่น่าไว้ใจ ต้องไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากฟัง แล้วก็ใช่ เป็นเรื่องที่ผมไม่อยากได้ยินเลย ใจร้ายคงเส้นคงวาจริงผู้ชายคนนี้!

“ฉันเพิ่มให้เป็นร้อยยี่สิบ แต่ฉันจะหักเงินเธอวันละสี่สิบบาทเป็นค่าตุ๊กตากับนาฬิกาที่เธอทำมันพัง ฉันจะหักเงินเธอทุกวันจนกว่าเธอจะโตเป็นผู้ใหญ่”

...อะไรก็ต้องรอให้ผมเป็น ‘ผู้ใหญ่’ เป็นเด็กแล้วไม่ดีตรงไหน ผมเกลียดที่สุด สถานะที่เขาชอบยกมาข่มขู่ผม เอาแต่บอกว่าผมเป็นเด็ก แล้วเขาเคยเห็นผมเป็นเด็กที่ควรโอ๋เอาใจบ้างไหม อะไรก็บังคับจิตใจผม ทำร้ายความรู้สึกของผมตลอด ทำยังกับว่าเด็กแบบผมเจ็บไม่เป็นอย่างนั้นแหละ

“ผมไม่ยอม” ใครจะไปยอม ร้อยเดียวก็ไม่เห็นทางที่จะพอใช้เลย นี่ยังถูกลดลงมาเหลือแค่แปดสิบบาท!

จากที่เคยใช้วันละไม่จำกัดแต่ต้องลดมาเหลือวันละแปดสิบบาท มันโหดร้ายมากนะ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายสิ่งที่ผมต้องจ่ายทุกวัน แค่คิดว่าต้องใช้เงินแปดสิบบาทให้พอกับหนึ่งวันให้ได้ ผมก็อยากตายซะตั้งแต่ตอนนี้เลย

“เธอต้องยอม” คำพูดของเขาเด็ดขาด บอกชัดเจนว่าเขาไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน 

“ก็ได้!”

ผมจำยอมอย่างหมดทางสู้ เถียงไปก็เปลืองน้ำลาย ร้องไห้ก็เปลืองน้ำตา แสบตาอีกต่างหาก คนตรงหน้าผมโคตรของโคตรใจร้าย ความสุขของเขาคือการได้เห็นผมหมดทางสู้

“สักวันหนึ่งผมจะไม่ง้อเงินของคุณแม้แต่บาทเดียว แล้วผมก็จะหาเงินมาใช้คุณให้ครบทุกบาททุกสตางค์ที่คุณเสียให้กับผม” ผมพูดไปเพราะความโกรธ แต่ผมก็ตั้งใจอย่างที่พูด มันต้องมีวันที่เป็นวันของผม คอยดู!

“ฉันจะรอวันนั้น” 

“ออกไปซะที ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ” ผมกลับมาไล่เขาต่อ ไม่ลืมที่จะประชดตามที่หัวใจรู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆ ด้วย “เชิญไปมีความสุขกับเมียของคุณที่เยอรมันให้ตามสบายเลย แล้วก็ช่วยบอกเขาด้วยว่าอย่าส่งรูปอุบาทว์กับคลิปทุเรศของพวกคุณสองคนมาให้ผมอีก ไม่อย่างนั้นสักวันเขาจะต้องรับกรรมกับสิ่งที่เขาภูมิใจ”

ตอนที่ผมเอ่ยประโยคสุดออกไป ผมไม่รู้หรอกว่าคำพูดของตัวเองจะกลายเป็นเรื่องจริง... ด้วยฝีมือของผมเอง ผมทำให้ชีวิตของคนที่ผมเกลียดพังลงมาอย่างสาสมที่สุด ทำให้พี่เลม่อนถูกทำลายด้วยสิ่งที่เขาตั้งใจเอามาทำร้ายหัวใจผมก่อน แต่คนที่เพิ่งเดินออกจากห้องผมไปก็ยังโอบอุ้มพี่เลม่อนเอาไว้ ไม่เคยปล่อยมือจากไปไหน

...มันทำให้ผมรู้สึกอิจฉา




จบตอนที่ 15
**คุยๆ**
ยังคงความเป็นไบโพลาร์ไว้เหมือนเดิม
แต่มีแนวโน้มว่าตอนหน้าน้องพีจะโป๊ะแล้วนะจ๊ะ
เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้วมั้งนะคะ หรืออาจจะสัก 2 ส่วน 5 ของเนื้อเรื่องทั้งหมดที่คร่าวๆ ไว้อยู่ในหัว
แต่ก็จะพยายามเขียนให้กระชับกว่านี้ เรื่องจะได้แฮปปี้ไวๆ เนอะ
สีเหลืองอ่อน


ปล. อย่าด่าคุณยะเยอะนะคะ มันเป็นไปตามบทบาท เดี๋ยวคุณยะสำนึกผิดไม่ทัน ผิดเยอะเกิน 555+

 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2019 17:26:14 โดย i_ang »

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เนื้อเรื่องขนาดนี้เราว่าจบ bad end น่าจะดีกว่า 5555

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เกลียดอิเลม่อนว่ะ จำเป็นต้องส่งมาให้ดูขนาดนี้เลยเหรอน่าไม่อายจริง ๆ อยากรู้จริงว่าคุณยะจะจัดการเรื่องนี้ยังไงไหนบอกว่าพีพิเศษไงแล้วจะไม่ปกป้องน้องหน่อยหรือ หรือเป็นเพราะรู้ว่าน้องรักคุณยะ คุณยะเลยถือว่าตัวเองเหนือกว่าในความรู้สึกของน้องแบบนี้หรือ แล้วทำไมคุณยะต้องเล่าเรื่องของพีให้คนอื่นฟังด้วยไม่เข้าใจมันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับหรือไงกัน สงสารน้องจริง ๆ เกลียดคุณยะอ่ะ น้องจะได้เอาคืนคุณยะบ้างไหมเนี่่ยมีแต่น้องที่เจ็บอยู่คนเดียวไม่เห็นคุณยะจะสนใจอะไรน้องบ้างเลย อยากอ่านภาคของคุณยะบ้างจริงไม่เข้าใจในการกระทำของคุณยะเลย

ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ Somm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ตั้งแต่อ่านมาเนี่ยคุณยะคิดจะอธิบายอะไรให้น้องพีฟังบ้างมั้ยเอาแต่บอกว่าน้องยังเด็กนู้นนี่นั้นคำพูดร้อยแปดล้าน แต่เหตุผลที่คิดจริงๆอ่ะมีบ้างมั้ยที่จะพูดเอาแต่นิ่งเฉยเก็บอารมณ์อยู่นั้นแล้วก็มาบอกน้องว่าน้องไม่เข้าใจหรอก เอ้า!!ก็ไม่คิดจะพูดจะให้เอาอะไรมาเข้าใจเหมือนคิดเอาเองว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่ทำแบบเนี้ยอ่ะถูกต้องแล้วแต่ลืมคิดไปหรือเปล่าว่าผู้ใหญ่ก็พลาดได้ คุณยะทำแบบนี้เหมือนมองน้องเป็นของตายอ่ะคิดจะอธิบายอะไรก็เอาไว้ก่อนยังไงน้องก็ยังอยู่ตรงนี้ที่เดิมไม่มีทางไปไหน แต่เคยคิดบ้างมั้ยว่าพรุ่งนี้น้องอาจจะไม่อยู่ที่เดิมเผื่อรอฟังแล้วก็ได้อาจจะไม่มีพรุ่งนี้ของคุณแล้วก็ได้//อันนี้ที่ได้อ่านในมุมของน้องนะ อยากอ่านมุมของคุณยะบ้าง แต่ใดๆในตอนี้รำคาญญญญญญคุณยะมาก :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เรืีองอื่นๆไม่ว่า แต่เรื่องที่คุณยะบอกเรื่องพีไม่ใช่ลูก มันเกินไปนะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 16


“หน่อยไหม ?”

บุหรี่มวนหนึ่งที่ปลายมวนติดไฟแดงมีควันสีขาวลอยสูงถูกยื่นมาตรงหน้า ก่อนเจ้าของปลายนิ้วที่คีบมวนบุหรี่ไว้จะทิ้งตัวลงข้างผม ดีนหย่อนปลายเท้าลงไปในน้ำแบบที่ผมทำอยู่ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ข้างสระว่ายน้ำภายในบ้านหลังใหญ่ของดีน ท่ามกลางเสียงเพลงคึกคักจังหวะกระแทกกระทั้นที่ชวนปวดหัวปวดหูมาก ไม่รู้ว่าเสียงน่ารำคาญพวกนี้น่าสนุกตรงไหน มีแต่บีบหัวใจให้เต้นผิดจังหวะคล้ายจะหายใจไม่ออกประมาณนั้นเลย แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์เดินไปชักปลั๊กไฟออกและทำให้ความสนุกสนานอย่างสุดเหวี่ยงในงานปาร์ตี้วันเกิดของพี่ชายดีนสะดุดลงได้หรอกนะ ทำได้ก็แค่นั่งเงียบๆ คนเดียวมาเกือบสองชั่วโมง โดยมีดีนเดินมานั่งเป็นเพื่อนเป็นพักๆ ครั้งละนาทีสองนาที เพราะแป๊บๆ ก็จะมีคนมาดึงดีนไปเต้นหรือไม่ก็ไปอยู่ในวงล้อมของพวกผู้หญิง ดีนก็ชวนผมไปด้วยนะ แต่ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้นกับคนที่ไม่สนิท เลยขออยู่คนเดียวข้างสระแบบนี้ดีแล้ว แต่ก็ไม่เงียบเท่าไรหรอกก็เสียงเพราะดังกระหึ่มซะขนาดนี้

“หน่อยน่า” ดีนบอกย้ำเมื่อผมยังมองผ่านสิ่งที่อยู่ในมือเขา

“ไม่ดีกว่า” ผมส่ายหน้า ดีนเลยดึงมันกลับไปสูบและปล่อยควันสีขาวออกมาอย่างไม่น่าไว้ใจเท่าไร

เหตุการณ์เมื่อคืนวันศุกร์ที่แล้วทำให้ผมระวังตัวมากขึ้น ไม่อยากเผลอไปเล่นยาเป็นครั้งที่สอง โดยเฉพาะคืนนี้ผมมาคนเดียว ไม่มีปาลินมาด้วย เนื่องจากเจ้าตัวต้องอยู่คอยดูแลอาจารย์เพ็ญศิริคนเป็นย่าที่ป่วยด้วยโรคประจำตัว ไม่อย่างนั้นปาลินก็คงมานั่งทำหน้าเหมือนโกรธคนทั้งโลกอยู่ข้างผมแน่นอน

“ไม่สอดไส้หรอกน่า กฎของเราคือไม่เล่นยาในบ้าน” ดีนยื่นบุหรี่มวนเดิมที่เหลือครึ่งเดียวมาตรงหน้าผมอีกครั้ง “เอาหน่อยน่า คนละครึ่ง”

“ไม่” ผมยังส่ายหน้า ตั้งแต่วันนั้นที่สูบบุหรี่เป็นครั้งแรก ผมก็ไม่ได้เอาสารก่อมะเร็งเข้ามาในร่างกายอีกเลย แม้จะบังเอิญเจอดีนที่ห้องน้ำครั้งหนึ่งและเอ่ยชวนให้นั่งสูบด้วยกัน แต่ผมก็ปฏิเสธที่จะสูบ

“นิดหนึ่ง แก้เครียดไง คิ้วจะรวมร่างกันอยู่แล้วเนี่ย” ดีนพูดยิ้มๆ มือคีบมวนบุหรี่จอปากของผม “สนุกหน่อยนะพี ไม่งั้นดีนคงรู้สึกผิดว่ะที่ลากเอาพีมางานพี่ดรีมแล้วไม่สนุก”

วันเกิดของพี่ดรีมจริงๆ คือวันจันทร์หน้า แต่ที่มาจัดคืนนี้ซึ่งเป็นคืนวันพฤหัสฯ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องรีบตื่นไปเรียน จะได้สนุกกันสุดเหวี่ยงยันไปถึงวันศุกร์เสาร์อาทิตย์เลยครับ เห็นดีนบอกอย่างนั้น

พี่ดรีมเป็นพี่ชายดีนและเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนผม คุ้นๆ ว่าน่าจะเรียนรุ่นเดียวกับพี่เลม่อนและเรียนห้องเดียวกันด้วย แต่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน กลุ่มของพี่เลม่อนจะออกแนวผู้ชายหน้าสวยหวานยกแก๊ง มีคนหนึ่งที่ผมจำได้ เขาชื่อเพียวและมางานนี้ด้วย เท่าที่ผมสังเกตคือพี่เพียวน่าจะเป็นแฟนของเพื่อนพี่ดรีมด้วยละมั้ง เพราะตั้งแต่ผมเข้างานมาก็เห็นพี่เพียวกับพี่หมอก (เพื่อนพี่ดรีม) นัวเนียกันตลอดเวลา จูบโชว์เพื่อนๆ ก็มี ผมนี่หันหน้าหลบไม่ทันตั้งหลายครั้ง ไม่ใช่แค่คู่พี่เพียวกับพี่หมอก ยังมีอีกหลายคู่ที่นัวเนียกันแบบไม่อายสายตาใครเลย ไม่เว้นแม้แต่คู่ของดีน

ผมเพิ่งรู้คืนนี้เองว่าดีนมีแฟนแล้ว ที่สำคัญเป็นผู้หญิงด้วย แถมหน้าตาน่ารักมากแต่ติดที่แต่งตัวเกินเด็กผู้หญิงไปหน่อยเท่านั้นเอง

“นะๆ สักหน่อย” ดีนคะยั้นคะยอผมต่อ “ครึ่งมวนเอง หมดแล้วก็พอ”

“มันมีอะไรหรือเปล่า” ผมยังไม่เลิกระแวง

“บุหรี่เปล่าๆ ไม่ได้สอดไส้อะไรทั้งนั้น แค่อยากให้พีหายเครียด ตั้งแต่เข้าบ้านมาพีก็เอาแต่ทำหน้าแบบนี้” ว่าแล้วดีนทำหน้าย่น คิ้วชนกัน “เห็นป้ะ แบบนี้เลย”

“แบบนี้เลยเหรอ” ผมยิ้มออกมาตอนเห็นดีนทำหน้าเลียนแบบอาการบนใบหน้าผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผมทำหน้าตาน่าเกลียดแบบที่ดีนทำจริงหรือเปล่า

“ยังไม่หายอกหักอีกเหรอ” ดีนถาม พลางดึงบุหรี่กลับไปสูบเอง

“อืม...” ยังเจ็บเท่าเดิม บางทีอาจจะมากขึ้น

“รักมากหรือไง”

“ไม่รู้ว่ามากหรือเปล่า” เพราะผมก็เพิ่งรู้จักความรักแบบนี้เป็นครั้งแรก เลยไม่รู้ว่ามากหรือน้อย มันเป็นปริมาณแบบไหน “... แต่มันเจ็บมากที่เห็นเขาไปมีอะไรกับคนอื่น หัวใจของเราเหมือนจะแหลกละเอียดเลยนะ”

“จริงอ้ะ ?” ดีนถามล้อๆ หลังจากพ่นควันสีขาวออกมา มันลอยอ้อยอิ่งและลับหายไปในความว่างเปล่า

“ลองอกหักดูสิ” แต่คิดว่าแบบดีนน่าจะอกหักยากอยู่นะ หน้าตาหล่อแบบโอปป้าเกาหลีขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าทิ้งไปไหนหรอก

“ดีนก็อยากอกหักนะ แต่หน้าตาเป็นอุปสรรค” ก็ไม่ได้พูดเกินจริงเลย “บอกได้ป้ะ ว่าใครทำพีอกหัก เด็กโรงเรียนเราหรือเปล่า”

ผมอยากบอกคนถามไปว่า... โรงเรียนเราน่ะใช่ แต่ที่ไม่ใช่คือ ‘เด็ก’ เพราะเขาคนนั้นเลยช่วงของวัยรุ่นไปมากแล้ว

“อย่ารู้เลย” ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกใครได้ง่ายๆ ว่าคนที่ผมรักเป็นเจ้าของนามสกุลที่ผมใช้อยู่

“งั้นก็...” ดีนอัดควันบุหรี่เข้าไปในปาก ก่อนยื่นมันมาให้ผม “...เอามันออกมากับควันบุหรี่ก็ได้ จะได้รักเขาน้อยลง”

...เอาออกไปได้จริงก็ดีสิ

สุดท้ายผมก็ยื่นมือไปรับบุหรี่จากดีนมาสูบ รสชาติของมันอบอวลอยู่ในปาก ไหลลงสู่ลำคอ และลึกลงไป ก่อนจะถูกปล่อยออกมาเป็นสายควันสีขาวล่องลอยไปในอากาศ ผมเฝ้ามองความรู้สึกย่ำแย่ต่างๆ ของตัวเองที่เกาะติดไปกับสายสีขาวที่เริ่มจางหายไปทีละน้อย มันกลายเป็นภาพสวยงามท่ามกลางแสงสีวิบวับของงานรื่นเริงและเสียงเพลงที่บรรเลงรอบตัวผม จนลืมที่จะปล่อยมือจากบุหรี่มวนนี้และคีบมันจ่อที่ริมฝีปากอีกครั้ง... และอีกครั้ง แล้วก็หมดมวนไปในที่สุด

“ไม่แบ่งเลย” ดีนเอ่ยแซว ดึงบุหรี่ที่แทบจะเหลือแค่ก้นกรองในมือผมไปโยนลงถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ แล้วก็หันไปขอบุหรี่มวนใหม่จากต้นที่เดินผ่านมาพอดี ส่วนต้นก็ควักบุหรี่ออกมาโยนให้เพื่อนทั้งซองจากนั้นก็เดินไปดิ้นกลับกลุ่มเพื่อนๆ ต่อ “เอาอีกมวนไหม” ดีนหันกลับมาถามผม

“ก็ดีเหมือนกัน” พอสูบมวนแรกไปแล้ว มันก็ไม่ยากที่จะมีมวนที่สองตามมา เพราะมันช่วยให้ผมผ่อนคลายขึ้น หายเครียดได้จริง แม้ผมจะรู้ดีว่าเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม   

“อยากจูบว่ะ” ดีนขยับเข้ามาใกล้ตอนที่พูดคำนั้นออกมา ผมหันไปมองหน้าคนพูดขณะที่ปล่อยสายสีขาวออกจากปากช้าๆ สายตาหวานเยิ้มของดีนมองลึกเข้ามาในดวงตาผม และเลื่อนลงมาหยุดที่ริมฝีปากนิ่งนาน ก่อนก้มกระซิบถามที่ข้างหูของผมว่า “พียังจำคืนนั้นของเราสองคนได้ไหม ดีนไม่เคยลืมเลยนะ คิดถึงตลอด”

“จำได้” ไม่ลืมหรอกว่าเคยจูบกับดีน เพียงแต่ไม่ได้โหยหาหรือคิดถึงอะไรเป็นพิเศษ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารสชาติจูบของดีนเป็นอย่างไร หอมหวานเหมือนตอนที่ได้จูบกับคนคนนั้นหรือเปล่า

“จูบอีกได้ไหม” ดีนมองสบตาผมอย่างรอคอยคำอนุญาต แต่เพราะผมไม่ได้เมาอย่างในคืนนั้น ตั้งแต่เข้างานมาผมไม่ได้แตะเหล้าแม้แต่หยดเดียว ผมถึงยังมีสติครบถ้วน รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ที่สำคัญคือดีนมีแฟนแล้ว ผมก็ไม่ควรจูบกับดีนอีก

“ไม่ได้ นายก็มีแฟนแล้วนะ” ผมอัดเอาสารก่อมะเร็งเข้าปอด เผลอแป๊บเดียวก็ใกล้จะหมดมวนที่สองแล้วสิ ก่อนจะส่ายหน้าให้กับคำพูดของคนที่แย่งเอาบุหรี่จากมือผมไปสูบ ทั้งที่บุหรี่ของตัวเองก็อยู่ในมือ

“นั่นแฟน แต่นี่คนที่ชอบไง” ดีมยิ้มหวาน สายตาเจ้าเล่ห์หน่อยๆ “อยากให้เลิกป้ะล่ะ เลิกให้ได้นะ ถ้าพีอยากจะคบกับเรา”

“เห็นแก่ตัวไปนะ” ผมว่าเสียงขุ่น ไม่พอใจคำพูดจากปากดีน แต่คนถูกว่าก็ยังยิ้มไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้สึกผิดเลย

“ขอบคุณที่ชม แต่ดีนพูดจริงนะ ชอบพีว่ะ ชอบมากจริงๆ” สิ่งที่ผมเห็นจากสายตาของดีนที่มองมาที่ผม มันเต็มไปด้วยความจริง ที่ตามมาจากคำพูดนั้นคือคำถาม “คบกับดีนไหม ?”

...และทำให้ผมเริ่มคิด คล้อยตามไปกับคำพูดและความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

“แล้ว...มายด์ล่ะ” ผมเริ่มลังเล ห่างออกมาจากความถูกต้องทีละน้อย บางทีมีใครเข้ามาให้รักและเขาก็รักเรา มันก็น่าจะพาผมออกไปจากความรู้สึกเจ็บปวดพวกนี้ได้

“ไม่ได้ชอบ” คำตอบดีนทำเอาผมงง

“ไม่ได้ชอบแต่เป็นแฟนนี่นะ” แถมยังนัวเนียกันขนาดนั้น จูบกันแบบไม่แคร์สายตาใครเลย แทบจะล้วงนมล้วงล่างกันเลยด้วยซ้ำ เอ... แต่ผมก็แอบเห็นว่าดีนล้วงอกอิ่มๆ ของสาวสวยคนนั้นไปแล้วนะ แบบที่เธอก็เต็มใจและดูจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ

“ก็พวกไอ้ต้นยุให้จีบไง พวกมันบอกว่าอยากได้เพื่อนสะใภ้สวยๆ แล้วก็จะได้จีบเพื่อนของมายด์ง่ายขึ้นด้วย”

“ห้ะ? นี่นะเหตุผลที่จีบมายด์” ผมโคตรจะไม่เข้าใจพวกดีนเลย “ไม่สงสารผู้หญิงหรือไง ถ้าเธอรู้จะเสียใจมากแค่ไหน” เป็นผมก็เสียใจนะ จีบเราเพราะเพื่อนยุ

“เป็นแฟนกันไม่ถึงเดือนเลย บอกเลิกไปมายด์ก็คงเสียใจแค่นิดหน่อยแหละ สวยๆ แบบมายด์มีคนรอจีบเพียบอยู่แล้ว เชื่อดิ” ดีนพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ผมก็เห็นด้วยตรงเรื่องที่ว่ามายด์สวยและคงมีคนอีกเพียบที่อยากจะจีบคนสวยเป็นแฟน แต่ว่า... จีบเป็นแฟนได้ไม่ถึงเดือนก็ล้วงกันได้ขนาดนี้เลย ผมว่ามายด์ก็คงไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย

“ว่าไงพี คบกับดีนไหม ดีนจริงจังนะ” ดีนพาผมกลับมาที่เรื่องของเราสองคน ตาของดีนหวานเยิ้ม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหล้าที่เจ้าตัวดื่มเข้าไป อีกส่วนก็คงเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากหัวใจ “ดีนชอบพีนะ รอโอกาสแบบนี้มานานแล้ว สัญญาเลยว่าดีนจะทำตัวเป็นแฟนที่ดี จะไม่ทำให้พีอกหักไปตลอดชีวิต โอเคป้ะ ตกลงนะ คบกับดีนนะ” เจ้าตัวพูดเสียงอ้อนๆ ผิดไปจากน้ำเสียงปกติที่คุยกัน จนผมเกือบจะเผลอไปกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของดีนและตอบตกลงออกไป ถ้าไม่มี...

“ดีน พี่ดรีมเรียก” คนที่เมื่อกี้เป็นหัวข้อสนทนาของผมกับดีนเดินเข้ามา เธอสวมชุดเดรตสั้นเกาะอกสีขาวที่เน้นทรวดทรงเกินเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกัน มายด์พูดกับดีน ก่อนหันมายิ้มให้ผม แอบทำให้ผมรู้สึกผิดไปเลยที่เกือบจะแย่งแฟนของเธอ “ขอเอาตัวดีนไปให้พี่ชายของเขาก่อนนะพี” ยิ้มของเธอเป็นมิตร จนผมนึกอยากบีบคอตัวเองชะมัด

“เดี๋ยวดีนมาเอาคำตอบนะ” ดีนกระซิบบอกผมที่ข้างหู คืนบุหรี่ที่เอาไปจากผมเมื่อกี้มาให้ด้วย ก่อนถูกมายด์ดึงตัวให้ลุกขึ้นและเดินออกไป

ดีนไปแล้วผมถึงได้พ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับความรู้สึกผิดที่เกือบทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งถูกทิ้งเพราะตัวเอง ต่อให้ดีนคบกับมายด์เพราะเหตุผลเพื่อนยุ แต่การที่พวกเขาสองคนจะเลิกกันต้องไม่มีสาเหตุมาจากผม

ผมนั่งสูบบุหรี่จนหมดมวน คอก็เริ่มแห้ง พอจะหันไปหยิบแก้วน้ำโค้กที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาดื่มให้ชุ่มคอ แก้วใบนั้นก็ถูกใครคนหนึ่งหยิบเอาไปเสียก่อน แล้วใครคนนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม พร้อมกับยื่นแก้วเหล้าในมือเขาให้ผมแทน

“ดื่มไอ้นี่มีประโยชน์กว่า” เขาคือพี่หมอกเพื่อนของพี่ดรีม

“ไม่ดีกว่าครับ” ผมปฏิเสธ บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่แตะเหล้าอีก “ขอบคุณนะครับ” แต่ไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณเขาเป็นการรักษามารยาท อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนถึงจะจบออกไปแล้วก็ตาม

“เอาหน่อยน่าน้องพี ดื่มแต่โค้กจะสนุกอะไร”

“ไม่ครับ” ผมตอบสั้นลง พร้อมกับขยับตัวห่างออกมาจากอีกฝ่าย เพราะพี่หมอกจงใจขยับมานั่งเบียดผม “เอ๊ะ! พี่จะทำอะไร ปล่อยผมนะ” ผมร้องเสียงหลงออกมาตอนที่ท่อนแขนของพี่หมอกพาดลงมาบนเอวผม ดึงตัวผมให้ถลาเข้าไปซบอกเขา เสียงของผมดังมากถึงจะดังไม่เท่ากับเสียงเพลงมันๆ ก็ตาม แต่ก็ดังพอที่จะทำให้พวกเพื่อนของพี่หมอกหันมามอง ทว่าทุกคนก็แค่มองแล้วหันกลับไปเต้นกันต่อ

แม้แต่พี่เพียวก็ยังไม่คิดจะมาเอาตัวแฟนเขากลับไป ไม่มีใครสนใจผมกับพี่หมอก ดีนก็ไม่อยู่ พวกเพื่อนของดีนก็หายไปไหนไม่รู้

“รับน้ำใจของพี่ก่อนสิครับแล้วพี่จะปล่อย” ยิ้มของพี่หมอกไม่น่าไว้ใจ และไม่ทันได้ตั้งตัว พี่หมอกก็ยกตัวผมขึ้นไปนั่งพาดบนตักเขาอย่างง่ายดาย ผมดิ้นหนีก็ไม่ได้เพราะถูกล็อกตัวไว้แน่น ขืนดิ้นมากๆ ก็อาจจะพากันตกน้ำไปเลยก็ได้ ซึ่งผมไม่อยากเปียกตอนนี้

“ปล่อยผมนะ!!” ผมตะโกนเสียงดังแต่ไม่มีใครสนใจอีกเช่นเคย

“ไม่ดื่มพี่ก็ไม่ปล่อย” พี่หมอกยิ้ม เขาเอาปากมาพูดใกล้แก้มผม “...หรือว่าที่จริงน้องพีก็อยากนั่งตักพี่”

“ผมไม่ได้ชอบ!”

“ไม่ชอบก็ไม่ชอบ พี่ก็ไม่ได้ชอบน้องเหมือนกัน” เขาพูดปนขำแต่สายตามีอะไรมากกว่านั้น “มางานปาร์ตี้ทั้งทีเอาแต่กินน้ำอัดลม มันจะสนุกอะไร ให้เกียรติเจ้าของงานหน่อยสิครับ ดรีมมันอุตส่าห์เลี้ยงเหล้าแพงๆ เชียวนะ เอาน่า แก้วเดียวเอง หมดแก้วเดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว ไม่รบกวนน้องนานหรอก เร็วสิครับ แฟนพี่เรียกแล้ว”  พูดจบก็เอาแก้วเหล้าจ่อปากผมทันที

“แก้วเดียวใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจ คิดว่าที่เขาบังคับให้ดื่มเพราะอยากแกล้งมากกว่าที่ผมมางานปาร์ตี้สนุกสนานของพี่ดรีม แต่กลับแยกตัวมานั่งที่สระว่ายน้ำเงียบๆ คนเดียว มันอาจเป็นการทำเหมือนไม่ให้เกียรติเจ้าของงานอย่างที่เขาว่าจริงๆ

“น้องก็เห็นว่าพี่ถือมาแก้วเดียว” ก็จริงอย่างที่เขาพูด ผมเลยรับแก้วเหล้ามาจากมือเขา ยกมันขึ้นดื่ม รสชาติในอุ้งปากให้ความรู้สึกดีกว่าครั้งแรกที่ลอง สายน้ำสีอำพันไหลลงไปตามลำคอจนหมด แก้วในมือผมเหลือแค่น้ำแข็งไม่กี่ก้อน ก่อนพี่หมอกจะดึงเอามันไปจากมือผม แล้วพี่เพียวก็เป็นคนที่เดินเข้ามาเอาแก้วไปจากมือพี่หมอกอีกที

“สนุกไหมน้องพี” พี่เพียวย่อตัวลงมาถาม มุมปากกระตุกยิ้มพอใจแต่ก็ดูไม่น่าไว้ใจ “แต่ถ้าไม่สนุก... ก็รออีกนิดนะ ได้สนุกจนถึงเช้าแน่ๆ”

“หมายความว่าไง” ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัย “ปล่อยผมลงได้แล้ว” ผมสั่งเสียงเข้มเพราะพี่หมอกยังไม่ปล่อยผมลงจากตักเขา ผมดิ้นก็ไม่หลุดเพราะพี่หมอกเป็นผู้ชายตัวใหญ่มาก ตัวใหญ่กว่าทุกคนที่อยู่ในปาร์ตี้ ขนาดอายุเท่านี้เองนะ

“ปล่อยดีไหมที่รัก” พี่หมอกหันไปถามพี่เพียว แต่ประโยคที่ไม่ใช่คำถามนี่สิ ทำเอาผมได้แต่อ้าปากค้าง สตั้นไปหลายวิ “แต่หมอกชอบว่ะ เห็นผอมๆ ไม่คิดว่าก้นจะนิ่มขนาดนี้ แค่นั่งทับเฉยๆ ไม่กี่นาทีเองน้องชายหมอกก็แข็งแล้วว่ะ”

“...!” ผมอึ้งไปกับคำหยาบคายที่ชี้ไปทางเรื่องเพศของพี่หมอก

“แล้วแต่หมอกเลย เพียวไม่งี่เง่าหรอก” พี่เพียวยิ้มให้แฟนตัวเอง พวกเขาเป็นอะไรไป พูดเรื่องอย่างว่าได้หน้าตาเฉย “อยากเอามันท่าไหนก็ตามสบาย แต่อย่าหลงก้นมันละกัน ไม่งั้นเพียวเอาตายทั้งคู่แน่”

แล้วคิดว่าผมจะยอมเหรอ!

“พวกพี่พูดบ้าอะไรกัน!”

เมื่อไม่ปล่อยผมดีๆ ผมก็เลือกที่จะเอาตัวรอดจากความคิดสกปรกของคนทั้งคู่ หรืออาจจะคนทั้งหมดที่อยู่ในนี้ รวมทั้งดีนด้วย ผมมันโง่เองที่เอาตัวมาเสี่ยงในกลุ่มคนที่แทบไม่รู้จักพวกเขาเลย ทางเลือกสุดท้ายของผมคือฝังความคมของฟันลงบนไหล่พี่หมอก หนังแกหนามากแต่ผมก็กัดสุดแรงแล้วจนเหมือนจะได้กลิ่นเลือดและตามมาด้วยเสียงสบถอย่างหัวเสีย

“ไอ้เหี้ย!”

ตุ้ม!

วินาทีที่ผมเป็นอิสระจากท่อนแขนแข็งแรงของพี่หมอก ผมรีบกระโดดลงสระว่ายน้ำทันที ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหนแต่ก็พยายามจะหนีไปให้สุดขอบสระอีกฝั่ง ซึ่งมันใกล้ประตูที่เปิดออกสู่สวนข้างบ้านได้ แต่ใครจะคิดว่าผมที่ว่ายน้ำแข็งมาก กลับรู้สึกว่าเรี่ยวแรงตัวเองมีน้อยนิด มันเป็นเพราะเหล้าที่ผมกินเข้าไปมั้งทำให้สภาพร่างกายผมไม่เหมือนเดิม ผมว่ายน้ำได้ช้าลงอย่างน่าหงุดหงิด และความพยายามของผมก็ล้มเหลวเมื่อคนที่ถูกผมกัดเต็มเขี้ยวว่ายน้ำมาจนทัน ก่อนจะลากเอาตัวผมกลับไปที่เดิม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องขบขันของพวกเพื่อนเขาเกือบสี่สิบคน

“กล้ามากนะมึง!” หน้าตาพี่หมอกขมึงตึง ดูน่ากลัวจนผมได้แต่อ้าปากค้าง หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัว เขาผลักตัวผมไปปะทะขอบสระอย่างแรง หลังผมเจ็บร้าวไปหมด “คืนนี้มึงโดนยาวแน่ กูว่าจะปรานีมึงแล้วนะ สงสัยกูคงต้องแบ่งมึงให้กับพวกอดอยากพวกนั้นแล้วมั้ง... เฮ้ยพวกมึง ใครยังไม่มีเมียหรือไม่ได้เอาเมียมาแต่อยากลงหลุมมาต่อคิวกูได้เลย น้ำไม่หมดไม่กลับโว้ย สงเคราะห์เด็กมันหน่อย มันอยากได้ผัวจนตัวสั่น” ปากเน่าหนอนที่สุด

เสียงฮือฮาจากพวกเพื่อนของพี่หมอกดังขึ้นเกรียวกราว มีแม้กระทั่งเสียงหัวเราะชอบใจของพวกผู้หญิง ผมเห็นแม้กระทั่งมายด์และเพื่อนของเธอที่หัวเราะเยาะผม ทั้งที่เมื่อกี้เธอยังยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรอยู่เลย ผมได้แต่กัดฟันอย่างแค้นใจ หมดทางหนี

“กูคิวสองนะไอ้หมอก แม่งงง... กูก็เล็งตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว นึกว่าเป็นเด็กของน้องไอ้ดรีม เลยไม่ยุ่ง” เสียงหนึ่งตะโกนมาก่อนใครพวก

“กูสามโว้ย”

“กูสี่”

“กูด้วย”

“ห่า... อย่าลืมกู”

และก็อีกหลายๆ ประโยคที่ผมไม่กล้านับเลยว่ามีกันกี่คนที่อยากจะทำเรื่องอย่างว่ากับผม ก่อนที่พวกนั้นจะหันกลับไปดีดดิ้นกลางเสียงเพลงและเหล้าในมือต่อ โดยที่ไม่สนใจเข้ามาช่วยเหลือผมเลยแม้แต่คนเดียว

“ลองพี่ทำอะไรผมสิ ผมจะฟ้องตำรวจ” ผมพยายามหาทางรอด พวกเขาจะมาทำกับผมเหมือนไม่ใช่คนไม่ได้

“เด็กน้อย... มึงยังไม่รู้ใช่ป้ะว่าพวกตำรวจมันใช้ชีวิตอยู่ใต้เงินของพ่อพี่ว่ะ” มือของพี่หมอกสอดเข้ามากอดเอวผมใต้น้ำ ดึงผมให้เข้าไปปะทะแผ่นอกล่ำๆ ของเขา ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนว่าข้างในมีกองไฟเล็กๆ ถูกจุดขึ้น สองมือของผมผลักพี่หมอกออกไปทันทีแต่ก็เหมือนผลักกำแพงเมืองจีน “ขอโทษแทนพวกพี่ๆ  ตำรวจด้วยนะที่เขาจำเป็นต้องมองว่ามึงอ้าขาให้พวกกูด้วยความเต็มใจ... ว่าไง ตอนนี้แข็งหรือยัง ขอพี่หมอกสำรวจหน่อยนะครับน้องพี”

“อย่า!!” ผมร้องเสียงหลงอย่างไร้ทางสู้ เมื่อมือแข็งๆ ของพี่หมอกตะปบเข้ามาที่เป้ากางเกง “อะ... เอามือออกไป เอาออกไป!” ดิ้นให้ตายก็หลุดออกไปจากกรงขังของพี่หมอกไม่ได้ ตอนนี้มือของเขาก็กำลังลูบอยู่บนส่วนอ่อนไหวของผม... ที่มันเริ่มมีความรู้สึก!

ไม่จริงน่า ผมจะมีความรู้สึกกับมือของคนหน้าตาหื่นจัดได้ยังไง ทั้งที่ผมรู้สึกรังเกียจสัมผัสของพี่หมอกจนอยากกลั้นใจตายไปซะ นอกจากว่าร่างกายผมจะผิดปกติ และมันต้องมีสาเหตุ

“เริ่มแข็งแล้ว อีกนิดก็อยากจะอ้าขาให้พี่กับเพื่อนเอาจนถึงเช้าแล้วนะ”

“พี่ใส่อะไรในเหล้า” ที่ร่างกายผมร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ มันต้องเป็นเพราะอะไรที่อยู่ในเหล้าแน่ๆ

“ยาปลุก” เขาตอบออกมาอย่างหน้าตาเฉย “มันช่วยให้น้องอ้าขาให้พี่กับเพื่อนง่ายขึ้น”

“คิดว่า...อึก...พี่มีพ่อคนเดียวหรือ...ไง” ผมกัดฟันพูด ข่มความอึดอัดด้านล่างเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ “ผมก็มีพ่อ... อึ่ก... แล้วปู่ผมก็เป็น...ทหาร คิดเหรอว่าครอบครัวผมจะปล่อยให้พี่ลอยนวล” ผมขู่ออกไป คิดว่าจะทำให้เขากลัวได้บ้าง แต่ก็ไม่

“ว่าไงครับที่รัก น้องเค้าจะฟ้องพ่อกับปู่” เขาเงยหน้าขึ้นไปถามคนที่อยู่ด้านหลังผม

“อุ๊ย... น่ากลัวจังเนอะหมอกเนอะ งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า เพียวขอไปหามุมตั้งกล้องก่อนนะ เผื่อว่าน้องเค้าจะได้เอาไปอวดครอบครัวไง”

“ดีครับที่รัก” ผีเน่ากับโลงผุชัดๆ คนคู่นี้

แล้วเสียงฝีเท้าของพี่เพียวก็ห่างออกไป ทิ้งให้ผมอยู่กับพี่หมอกแค่สองคนในสระว่ายน้ำ 

“พี่ทำแบบนี้กับผมทำไม” ผมถามอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ได้ประโยชน์กว่านี้ แหกปากลั่นก็คงไม่มีใครสนใจ ร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ “ผมกับพี่ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันนะครับ” เสียงผมอ่อนลง เพื่อเพิ่มทางรอดให้ตัวเอง บางทีถ้าผมอ่อนให้เขา เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่ทำอะไรผมก็ได้

“เพราะน้องอยากได้ผัวของคนอื่นไง พี่เลยต้องเสนอตัวเป็นผัวให้น้องแทน”

“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่พี่ว่านะ” ผมไม่เคยอยากได้... เอ๊ะ! หรือว่า... “พี่เลม่อนสั่งให้พี่ทำเหรอ” ต้องใช่แน่ๆ พี่เพียวเป็นเพื่อนพี่เลม่อน แล้วคำพูดของพี่หมอกกับพี่เพียวก็เหมือนคำพูดที่พี่เลม่อนพิมพ์มาด่าผม

“ใครจะสั่งพี่ได้...” ร่างหนาเบียดเข้ามาหาผม “...ถ้าค่าตอบแทนไม่น่าขย้ำแบบน้อง แม่ง... ปากน่าจูบสัส...” แล้วริมฝีปากหนาของพี่หมอกก็ประกบจูบลงมาแบบไม่ทันให้ผมหันหน้าหนี มือของเขาจับล็อกท้ายทอยผมเอาไว้แนบแน่น ริมฝีปากนั้นบดเบียดอย่างหยาบคาย ปลายลิ้นชื้นพยายามจะเข้ามาในปากของผมที่ขบเม้มไว้สุดแรง แต่พี่หมอกก็รู้วิธีที่จะทำให้ผมอ้าปากให้เขาอย่างหมดทางสู้ เขาบีบแก้มผมเต็มแรงและสุดท้ายผมก็แพ้ ปล่อยให้ลิ้นน่ารังเกียจเข้ามาในปาก

ผมไม่เคยรู้สึกอยากตายเท่าครั้งนี้มาก่อน... และอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ ผมคงได้ตายทั้งเป็น

.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
.

.

.

.
 

ผมกำลังสิ้นหวังที่จะหลุดพ้นจากความน่าขยะแขยงนี้ น้ำตาไหลอาบแก้มไหลไปรวมกับน้ำในสระ ผมร้องไห้แบบไม่มีเสียง ไม่รู้ว่าปากของตัวเองถูกบดขยี้ไปนานเท่าไรแล้ว แต่แล้วเสียงที่ผมจำได้ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง หอบเอาความหวังของผมทั้งหมดกลับมาแทบจะทันที

“ไอ้สัส! มึงทำอะไรเพื่อนกู!!”

ที่ผมเห็นผ่านม่านน้ำตาคือปลายเท้าที่เฉียดหน้าผมไป แต่กลับไปกระแทกเข้าซีกหน้าพี่หมอกและน่าจะแรงพอสมควร ฝ่ายนั้นถึงได้หงายหลังจมลงไปในน้ำ ก่อนจะโผล่ขึ้นมาในสภาพเลือดไหลออกจากจมูก

“ไอ้เหี้ย!! มึงกล้าถีบกูหรือวะ” โผล่ขึ้นมาได้ก็ตะโกนด่าเจ้าของเท้าทันที ก่อนหันไปด่าอีกคนหนึ่งที่วิ่งตามหลังดีนมา “ไอ้สัสดรีม! แม่ง... มึงปล่อยน้องมึงออกมาทำไมวะ”

“ไอ้ห่า! มันโทรฟ้องพ่อกูไง กูเลยต้องปล่อยมันกับเพื่อนออกมา”

“มึงก็เหมือนกันดรีม พรุ่งนี้พ่อกับแม่ลงมา มึงเจอหนักแน่น เสือกคบตัวเหี้ยเป็นเพื่อน”

ฟังแล้วผมก็เข้าใจทันทีว่าทำไมดีนกับเพื่อนถึงหายไป

“ขึ้นไหวไหม” ดีนหันมาถามผมอย่างเป็นห่วง ผมพยักหน้าให้ บอกว่าผมขึ้นจากสระเองไหว ก่อนวางมือไว้กับขอบสระ ค่อยๆ ยกตัวขึ้นมานั่งบนนั้น กัดฟันข่มความรู้สึกจากส่วนกึ่งกลางตัวไม่ให้เล็ดลอดออกมาจากลำคอ จากนั้นก็พยุงตัวลุกขึ้นยืน มีดีนคอยช่วยพยุงไว้อีกที

ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ไม่รู้ว่าเสียงเพลงพวกนั้นหยุดลงตอนไหน

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องเรานะ” ดีนบอก ตั้งท่าจะประคองตัวผมเข้าไปในบ้าน แต่ผมฝืนตัวเอาไว้

“ไม่ เราจะกลับบ้าน พาเรากลับที”

“แน่ใจนะ”

“เราอยากกลับบ้าน ตอนนี้เลย” ผมพยักหน้า หันหลังก้มไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆ กับผนังห้อง ภายในร่างกายผมมันร้อนไปหมด มันกำลังเต็มไปด้วยความต้องการทางเพศ “เร็วๆ ดีน เราโดนยา” ผมตัดสินใจบอกดีน

“ห้ะ! โดนยา” ดีนร้องตกใจเสียงดังลั่นเลย ก่อนหันไปถีบหน้าคนที่กำลังจะปีนขึ้นมาจากสระอีกครั้งและคงเต็มแรงเลยทีเดียว คราวนี้ไม่ใช่ซีกหน้าแต่เป็นกลางหน้าเลย “ไอ้เหี้ย! ไอ้สัส!! พ่อมึงเป็นเหี้ยหรือวะ มึงถึงได้เหี้ยตามพ่อมึงขนาดนี้ ไอ้สัส!!!”

“ไอ้เด็กเวร! กูเป็นพี่มึง ด่าอะไรให้ระวังจะไม่มีปากไว้กินข้าว” พี่หมอกตะโกนขึ้นมาจากในสระ มือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกไปด้วย สภาพของเขาตอนนี้เลือดยังไหลออกจมูกอยู่เลย ไม่รู้ว่าดั้งจะหักหรือเปล่า โดนถีบหน้าไปเต็มๆ ถึงสองครั้ง

“กูไม่มีพี่หน้าเหี้ยใจหมาแบบมึง!”

“ไอ้ดรีม มึงหาอะไรมายัดปากน้องมึงหน่อย ก่อนที่กูจะเอาตีนยัดปากมันแทน ปีนเกลียวนักนะมึงไอ้ดีน อย่าคิดว่าเป็นน้องไอ้ดรีมแล้วกูจะไม่กล้าทำอะไร”

“มึงก็ลองสิวะไอ้เหี้ย นึกว่ากูไม่มีตีนหรือไงวะ มึงได้ชิมตีนกูแน่” ดีนทำท่าจะกระโจนลงสระไปแลกตีนกับพี่หมอก แต่ผมคว้าแขนไว้ทัน

“ดีน ไปเถอะ เราจะไม่ไหวแล้ว” น้องชายผมปวดตุบๆ แทบจะยืนตัวตรงไม่ได้

“ดีนว่าอย่ากลับเลย ไปนอนห้องดีนนะ เดี๋ยวดีนช่วย พวกนี้ทำอะไรพีไม่ได้หรอก”

“ไม่เอา” ผมส่ายหน้า ยังไงผมก็ไม่ไว้ใจที่นี่ “ไปเถอะ ไปส่งเราที่โรงแรมก็ได้... นะดีน ไปเถอะ เร็ว” จากบ้านดีนไปพุฒิธาดาน่าจะใช้เวลาน้อยกว่ากลับไปที่บ้านตรัยธาดา

“ก็ได้ๆ... ไอ้เอ้เอากุญแจรถมึงมาดิ ถอดเสื้อกับกางเกงมึงมาด้วย” ดีนหันไปแบมือขอกุญแจจากเพื่อนตัวเอง แต่ไม่วายหันไปชี้หน้าพี่หมอกที่เพิ่งปีนขึ้นจากสระมาได้ มีพี่เพียวเอาผ้าซับเลือดที่ไหลออกจากจมูกให้ “ส่วนมึงไอ้เหี้ยหมอก มึงรอกินตีนกูอยู่ที่นี่ก่อนนะ อย่าหนีเชียวนะมึง กูจะให้มึงแดกตีนกูให้สาสมกับที่มึงอยากแดกเพื่อนกู!”

“เออ!! กูรอมึงแน่ไอ้ดีน”

“เจอกันไอ้เหี้ย!... ไปพี” ดีนหันมาบอกผม ขณะที่มือก็รับเอากุญแจกับเสื้อผ้ามาจากเอ้ที่ทั้งตัวเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว ผมจำได้ว่ารถที่เอ้ขับมาเป็นมอเตอร์ไซค์ ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ไปถึงโรงแรมเร็วขึ้น 

เดินออกมานอกบ้านได้ดีนก็พาผมตรงไปหามอเตอร์ไซค์ของเอ้ที่จอดอยู่ ไม่ได้ไกลจากประตูรั้วเท่าไรนัก

“เปลี่ยนเสื้อก่อน” ดีนยื่นเสื้อกับกางเกงของเอ้มาให้

“ต้อง... เปลี่ยนเหรอ” ผมรับมาอย่างลังเล ไม่กล้าเปลี่ยนเสื้อผ้ากลางที่แจ้ง ต่อให้ไม่ใช่เวลากลางวันและมีแค่แสงสลัวที่ทอดยาวมาจากท้องฟ้าด้านบนก็ตาม แต่ก็ยังมีสายตาของดีนอยู่นี่นา สภาพผมตอนนี้ก็ไม่ควรให้ใครเห็นด้วย

“นั่งมอเตอร์ไซค์ไปทั้งเปียกๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ เปลี่ยนเถอะ ดีนไม่มองหรอกน่า” พูดจบดีนก็หยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมหัว หมุนตัวหันหลังให้ทันที ผมหันซ้ายมองขวาก่อน ไม่มีใครอยู่แถวนี้ (เพราะอยู่ในบ้านกันหมด) ก็สบายใจขึ้น จัดการถอดเสื้อผ้าชุ่มน้ำออกจากตัวอย่างรวดเร็ว ดีที่ผมใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ส่วนเสื้อผ้าของเอ้ก็เหมือนกัน เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ผมเลยใช้เวลาเปลี่ยนแป๊บเดียว

“เสร็จแล้วดีน” ผมบอกดีน

ดีนหันมาสำรวจสภาพผมแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า สวมหมวกกันน็อกให้ผมเสร็จ เจ้าตัวก็วาดขายาวๆ ควบมินิไบค์ลูกรักของเอ้ ส่วนผมก็ไม่รอช้ากระโดดขึ้นซ้อนท้าย แต่เพราะตัวเบาะที่สั้นมากๆ ทำให้ผมต้องนั่งติดกับดีนอย่างช่วยไม่ได้ แถมยังต้องกอดเอวคนด้านหน้าไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงได้เงยหลังหัวน็อกพื้นแน่ๆ และนั่นทำให้ความร้อนในร่างกายผมปะทุขึ้นอีก อาการปวดตุบๆ ที่กึ่งกลางตัวก็ยิ่งทำให้ผมทรมาน หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนจะทะลุออกมาจากซี่โครงให้ได้

แน่นอนว่าดีนก็ต้องรู้

“ไหวแน่นะพี”

“อืม...ไหว” ผมตบไหล่ดีนเบาๆ เป็นการยืนยันคำพูด “ไปเถอะ”

“เฮ้อ... ขอโทษว่ะพี ดีนไม่น่าบังคับให้พีมาเลย”

“ไม่เป็นไร” เพราะผมก็ผิดเองด้วยที่ไม่เชื่อคำพูดของปาลิน ผิดที่ทำให้พี่เลม่อนโกรธ ทุกอย่างมันเลยเป็นแบบนี้ พี่เลม่อนใช้เพื่อนของตัวเองมาแก้แค้นผม ดีนไม่เกี่ยวด้วยเลยสักนิด “ไปเถอะ” ผมเร่งอีกครั้ง ก่อนที่เจ้ามินิไบค์จะวิ่งออกจากบ้านหลังใหญ่ของดีนด้วยความรวดเร็ว

สิบกว่านาทีที่รถวิ่งอยู่บนทางสายหลักที่การจราจรไม่หนาแน่นมาก ก่อนเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าโรงแรมพุฒิธาดา

ผมรีบก้าวลงจากเบาะในสภาพที่เหงื่อเหมือนจะไหลท่วมตัว เซหน่อยๆ เพราะขาสองข้างคล้ายจะหมดแรงเอาดื้อๆ แต่ผมก็พยายามฝืนร่างกายเอาไว้อย่างสุดกำลัง ไม่ให้ล้มไปกองพื้นและเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา

“ข...ขอบใจนะดีน” ผมถอดหมวกกันน็อกคืนให้ดีนอย่างรีบๆ กะจะฝืนวิ่งเข้าไปในโรงแรมให้ทันก่อนร่างกายจะต่อสู้กับฤทธิ์ยาไม่ไหว แต่ดีนคว้าตัวไว้เสียก่อน

“ให้ดีนเข้าไปด้วยไหม ดีนช่วยได้นะ” น้ำเสียงของดีนห่วงใยอย่างจริงใจ

ผมส่ายหน้าให้กับคำว่า ‘ช่วย’ ของดีนทันที เพราะรู้ว่า ‘ช่วย’ นั้นจะเป็นการช่วยแบบไหนและลงเอยอย่างไร

“ไม่ต้อง เราช่วยตัวเองได้” ผมคิดว่าความต้องการมากมายที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย และมันกำลังหาทางออกมาอย่างทะลักทลายนั้น ผมน่าจะรับมือไหว... มารู้ตัวอีกทีว่าผมคิดผิดไปถนัดก็เมื่อสายเกินไปแล้ว

“แน่ใจนะ” อีกฝ่ายก็ยังถามย้ำ 

“อืมๆ” ผมพยักหน้ารัวเร็ว “ดีนกลับไปเถอะ เราดูแลตัวเองได้” แล้วผมก็ทิ้งดีนไว้ตรงนั้น คือไม่ไหวแล้วไง สิ่งที่คับแน่นอยู่ในกางเกงมันปวดร้าวไปหมด ขาผมแทบไม่เหลือแรง ทำท่าจะล้มหลายทีแล้ว

ผมเลือกเดินเข้าไปในโรงแรมทางประตูฝั่งสวนสีเขียว มีพนักงานหลายคนที่มองผมอย่างนึกสงสัยอาการที่ผมเป็น คือเดินหลังงอ ตัวสั่น ผิวขาวของผมขึ้นสีแดงอย่างชัดเจน แต่ผมก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่อยากให้พวกเขาเข้ามาทักทายและไถ่ถามอาการที่ผมเป็น ผมฝืนพยุงตัวมาจนถึงหน้าลิฟต์ตัวที่จะพาผมขึ้นไปยังชั้นสามสิบสาม... เพนต์เฮ้าส์ของเจ้าของพุฒิธาดา

ในกระเป๋าตังค์ของผมมีคีย์การ์ดของห้องเพนต์เฮ้าส์ที่ได้มาจากคราวก่อน ผมเลยเข้าไปในห้องนั้นได้แม้เจ้าของห้องจะไม่อยู่ก็ตาม เพราะตอนนี้คุณยะกำลังมีความสุขหวานชื่นอยู่กับเด็กของเขาที่เยอรมัน พวกเขาสองคนมีความสุขกันมาก พากันไปเที่ยวตั้งหลายที่ ผมรู้เพราะพี่เลม่อนส่งรูปพวกนั้นมาให้ผมทุกวัน บางวันหนักถึงขั้นส่งมาทุกชั่วโมงก็มี ถามว่าทำไมผมถึงไม่บล็อกไลน์พี่เลม่อนไปซะ ผมก็อยากถามตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงยังอยากเห็นรูปของเขาทั้งคู่... บางทีผมอาจจะอยากเจ็บให้ถึงขีดสุด หรือบางทีผมก็แค่อยากรู้ว่าพวกเขารักกันมากแค่ไหน หรือผมก็อยากเห็นแค่ว่าคุณยะมีความสุขมากขนาดไหนตอนที่อยู่กับคนที่ไม่ใช่ผม

ตึ้ง...

เมื่อถึงชั้นที่ตั้งของเพนต์เฮ้าส์ ผมรีบหอบร่างกายที่ชื้นด้วยเม็ดเหงื่อส่วนภายในนั้นร้อนระอุ สั่นระริกไปทั้งร่างกาย โดยเฉพาะส่วนกลางลำตัวที่ทรมานเหลือเกิน อาการที่ผมเป็นมันหนักขึ้น ขาที่ควรจะก้าวให้เร็วเหมือนวิ่งกลับหนักอึ้ง ถึงขั้นที่ว่าผมต้องเดินลากขาตัวเอง สองมือเท้าไว้กับผนังทางเดินเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไปกองพื้นพรม สมองก็เริ่มมึนเบลอ ล่องลอยและพร่ามัวไปหมด ผมกัดฟันเอาร่างกายที่ไม่เหลือความปกติใดอีกแล้วไปจนถึงประตูห้องเพนต์เฮ้าส์ได้ในที่สุด

ผมล้วงเอากระเป๋าตังค์ออกมาจากกระเป๋าเป้ มือของผมสั่นมากตอนหยิบเอาคีย์การ์ดสีเงินออกมาจากกระเป๋าตังค์อีกที แตะมันไปบนประตูห้องด้วยความรู้สึกว่า... ผมรอดแล้ว ผมไม่ต้องทรมานอีกต่อไป สิ่งที่ผมต้องทำหลังจากนี้คือปลดปล่อยตัวเองออกมาให้หมด แล้วผมจะลืมเรื่องที่ ‘เกือบ’ เลวร้ายนี้ไปซะ

เรื่องเกือบเลวร้ายที่ผมไม่กล้าเอาไปฟ้องใครหรอกโดยเฉพาะครอบครัวของตัวเอง เพราะผมเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายเอง ทั้งยังโกหกคุณปู่คุณย่าว่าจะไปทำรายงานที่บ้านปาลิน ผมโกหกพวกท่านสองครั้งแล้ว และก็สร้างปัญหาให้ตัวเองเสียทุกครั้ง ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำแบบนี้อีก เพราะผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่ตัวเองโกหกผู้มีพระคุณ ผมได้รับผลกรรมของการโกหกแทบจะทันทีเลย

...โกหกครั้งแรกก็ดันไปเล่นยาจนโดนตัดเงิน

...โกหกครั้งที่สองก็ดันโดนวางยาและเกือบจะโดนข่มขืน

แต่ช่างเถอะตอนนี้ผมควรเอาอะไรที่มันอึดอัดอยู่ในตัวออกมาก่อน ผมดันประตูเข้าไปและสิ่งที่ผมต้องเจอไม่ได้มีเพียงแสงไฟที่สาดส่องทั่วห้อง แต่ยังมี... เสียงของความสุขสมที่ดังออกมาจากสองเรือนร่าง แม้พวกเขาจะอยู่ไกลจากประตูที่ผมยืนอยู่ ทว่าภาพนั้นกลับชัดราวกับว่าคนทั้งคู่มายืนทำเรื่องอย่างว่ากันตรงหน้าผม ห่างไปแค่ก้าวเดียว!

สิ่งที่ผมเห็น... ร่างกายหนาใต้เสื้อคลุมสีเทาเข้มกำลังรูดถุงยางออกจากแก่นกายตัวเอง ก่อนฉีดพ่นน้ำสีขาวข้นให้ไหลรดลงบนบั้นท้ายของคนตัวบางที่นั่งคลุกเข่าอยู่บนโซฟาขนาดใหญ่ เนื้อตัวเปลือยเปล่าที่ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นชุ่มไปด้วยเหงื่อจากกิจกรรมที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อวินาทีที่แล้วพาดไปกับพนักโซฟา ร่างกายขาวเต็มไปด้วยรอยสีแดงและรอยกัดที่ผมเคยเห็นมาแล้วในรูปถ่ายที่ส่งมาพังหัวใจผม

กลิ่นคาวคลุ้งที่สติอันพร่าเบลอของผมสัมผัสได้ มันเกินกว่าจะคิดว่าบทรักและความสุขสมของคนทั้งคู่ผ่านไปเพียงแค่รอบเดียว

สมองสั่งให้ผมถอยหนี หันหลังเดินออกไปซะ ทันทีที่ดวงตาสีราตรีหันมาเจอเข้ากับผม เขาตกใจที่เห็นผมเข้ามาในห้องหรือตกใจกับสภาพที่ผมเป็นกันแน่ เพราะตอนนี้ผมได้กองลงไปกับพื้นพรมหนานุ่มเป็นที่เรียบร้อย ทิ้งร่างกายที่หมดเรี่ยวแรงไว้กับประตูห้อง หอบหายใจถี่หนักคล้ายกับว่าวิ่งมาสักสิบรอบสนามฟุตบอล เนื้อตัวชุ่มเหงื่อไม่ต่างจากพวกเขาสองคน เพียงแค่ว่าผมไม่ได้มีกิจกรรมความสุขสมอย่างพวกเขา ผมกำลังเผชิญหน้ากับความทรมานแสนสาหัส ที่ต้องการมีจุดหมายปลายทางเดียวกับที่พวกเขาไปถึงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

“พี...เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาตรงดิ่งมาหาผมพร้อมกับผูกปมเชือกที่เอวไปด้วย มาถึงก็ดึงเอาผมเข้าสู่อ้อมกอด อุ้มเนื้อตัวที่ชุ่มเหงื่อของผมขึ้นจากพื้น

“อึก... เอา...มัน...ออกไป” ร่างกายผมเป็นแบบนี้เพราะคนของเขา “...ละ...อึก...ไล่มันไป...ผม...เกลียดมัน...” ไม่มีอะไรต้องปิด เมื่อผมเกลียด ผมก็จะบอกว่าเกลียด เกลียดจนไม่อยากหายใจร่วมกับพี่เลม่อนแม้แต่วินาทีเดียว

“ตอบฉันมาก่อนเธอเป็นอะไร โดนอะไรมา หรือว่า...” เขาค้างคำพูดไว้แค่นั้น ดวงตาสีเข้มเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างที่ผมเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกในชีวิต เขาคงเดาได้แล้วว่าสภาพของผมเป็นผลมาจากอะไร สองเท้าของคุณยะกำลังอุ้มพาผมเข้าไปในห้องนอนของเขา และตรงไปที่ห้องน้ำอย่างที่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่

“นายมีสิทธิ์อะไรมาใช้ให้พี่ยะไล่ฉันห้ะ!” เสียงขุ่นจัดเอ่ยขึ้นตามหลังมา ก่อนหยุดยืนกอดอกอยู่ตรงกรอบประห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า ไร้สิ่งห่อหุ้มร่างกายและไม่อายสายตาของผม เห็นแล้วผมก็ยิ่งเกลียดเขาอีกร้อยเท่าพันเท่า

“คุณยะ...อึก...เอามันออกไป...ผม...เกลียดมัน...ไม่อยากเห็นหน้ามัน...อึก...” เสียงผมแหบแห้งและขาดห้วง มองเข้าไปในดวงตาของคนที่กำลังวางผมลงในอ่างอาบน้ำอย่างอ้อนวอน “...นะครับคุณยะ...น้องพีเกลียดเขา...ฮึก...เกลียดที่สุด...เกลียด...” น้ำตาผมไหลอาบแก้ม มันมาจากความทรมานของร่างกายและความเกลียดชังที่ผมมีให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา

ผมมองตามร่างสูงใหญ่ที่หันกลับไปพูดกับคนที่ผมเกลียด   

“เธอกลับไปก่อน” คำพูดเขาเป็นยิ่งกว่าสายน้ำเย็นที่ไต่รดลงบนร่างกายที่ร้อนระอุของผม หัวใจผมสงบขึ้น พร้อมกับเปลือกตาที่ค่อยๆ ปิดลง ขณะที่สายน้ำของจริงไหลรดลงมาตามร่างกายผม ระดับน้ำในอ่างเพิ่มสูงขึ้น

“ผมไม่กลับ!”

...ผมชอบน้ำเสียงแบบนี้จัง รู้สึกสะใจเป็นบ้า

“กลับไปเลม่อน”

...ผมชอบประโยคนี้ด้วย มันบอกผมว่าคุณยะเลือกผม

“ไม่!”

...ผมอยากจะเห็นใบหน้าของพี่เลม่อนตอนเขาตะโกนออกมาจริงๆ

“ฉันบอกให้กลับ!”

...ผมอยากเห็นใบหน้าของคุณยะด้วยเหมือนกัน อยากรู้ว่าสีหน้าของเขาโกรธจัดแค่ไหน

“พี่ยะ...ผมทำอะไรผิด ทำไมพี่ต้องเชื่อมัน”

...ผมรู้ว่าพี่เลม่อนกำลังเจ็บปวดแต่คงไม่เท่ากับที่ผมเคยสัมผัสมาทั้งหมด

“เชื่อฉัน กลับไปก่อน”

“แต่...”

“ฉันขอ”

“ก็ได้ครับ”

แล้วประโยคทุ่มเถียงกันก็เงียบหายไปพร้อมกับคนสองคน ทุกอย่างกลับมาสู่ความเงียบเชียบที่มีเพียงเสียงทรมานของร่างกายผมที่กรีดร้อง

ภายใต้สายน้ำเย็นชืดนั้นความทรมานของผมกำลังได้รับการรักษาอย่างช้าๆ สติของผมเริ่มหลุดลอยไปกับสองมือที่ประคับประคองตัวตนบวมเป่งออกมาสัมผัสกับความเย็นของสายน้ำโดยตรง ผมเริ่มลูบคลำแก่นกายตัวเองอย่างช้าๆ จนเร็วขึ้นและแรงขึ้น เพียงแค่ไม่กี่ครั้งที่ผมขยับรั้งรูดร่างกายก็กระตุกเกร็งและปล่อยลาวาสีขาวขุ่นออกมาปนไปกับสายน้ำ

เหนื่อย... ไม่เคยช่วยตัวเองแล้วเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน เหนื่อยจนไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ที่มากกว่าความเหนื่อยที่ไม่เคยเป็นคือแก่นกายที่ยังไม่ลดขนาดลง ความทรมานที่บรรเทาลงก็น้อยนิดเกินกว่าจะหลับตาลงอย่างผ่อนคลายได้

ความต้องการปลดปล่อยของผมก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มือที่อ่อนล้าเริ่มทำหน้าที่ที่คุ้นเคยเป็นครั้งที่สอง ผมรูดรั้งรุนแรงเพื่อพาตัวเองไปให้ทันกับความรู้สึกที่ยากเกินต่อต้าน

“อ่า...อึก...” จังหวะที่ผมกำลังกระตุกเกร็งและปล่อยสายน้ำสีขาวข้นออกมาจากร่องรูเล็กๆ บนท่อนลำพองโต ร่างหนาและสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามายืนชิดขอบอ่าง เขาค่อยๆ ทรุดตัวลงมาเพื่อให้ระยะห่างระหว่างใบหน้าผมกับเขาเหลือน้อยลง ใกล้แบบที่ผมอยากจะคว้าต้นคอหนาเข้ามาหาและบดจูบลงไปบนริมฝีปากของเขา

“ไปโรงพยาบาลไหม” มือข้างหนึ่งของเขาลูบศีรษะผม มันอ่อนโยนและปลอบโยนไปพร้อมกัน

“...อึก...ไม่” ผมไม่ได้ป่วยและผมอายเกินกว่าจะเอาสภาพนี้ไปให้ใครเห็นเพิ่ม

“อย่าดื้อพี” เขาพูดเสียงเข้ม “ปล่อยไว้เธอจะแย่เอานะ”

“ไม่... ผมอาย”

“.....” เขามองหน้าผมนิ่งนาน ริมฝีปากคล้ายจะขยับเพื่อเอ่ยถ้อยคำบางอย่างกับผม เพียงแต่เขายั้งมันไว้

“ออกไป...อึก...ผมอยากอยู่คนเดียว...” เพราะความต้องการของผมก่อตัวขึ้นอีกแล้ว ผมไม่อยากช่วยตัวเองต่อหน้าเขา แค่นี้ผมก็อับอายสายตาของเขาจะแย่อยู่แล้ว

“ให้ฉัน...” เขาหยุดคำพูดไว้แค่สองคำแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทอดสายตาห่วงใยลงมาที่ผม ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

...เกือบแล้ว มือของผมเกือบจะดึงแขนเขาไว้ เพื่อร้องขออย่างสิ้นอายให้เขาช่วยปลดปล่อยความร้อนระอุในท่อนลำที่พองโตจากฤทธิ์ยาให้ผมที เพราะสองครั้งที่ปลดปล่อยออกมา ผมรู้ดีว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในร่างกายผม มันไม่จบสิ้นลงด้วยมือสองข้างของผมอย่างแน่นอน

ผมยังจำคำพูดของพี่หมอกได้...

‘มันช่วยให้น้องอ้าขาให้พี่กับเพื่อนง่ายขึ้น’

...เพราะคำพูดนี้ไง ผมถึงได้กลัวตัวเองจะอ้าขาให้ใครก็ได้ที่อยู่กับผม ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่เพียงคนเดียวคือคนที่เพิ่งเดินออกไป คนที่ผมคิดว่าร่างกายของเขามันสกปรก แต่ทำไมตอนที่มือกำลังรูดรั้งแก่นกายแสนทรมาน ผมกลับคิดถึงหน้าเขา คิดถึงร่างกายเต็มแน่นด้วยมัดกล้ามที่ผมเคยเห็นผ่านรูปอุบาทว์และคลิปทุเรศพวกนั้น ภาพในหัวชัดขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มือผมเคลื่อนไหวแรงขึ้นเร็วขึ้น

“อึก... คุณยะ...อ่า...”

สายน้ำขาวขุ่นทะลักทลายออกมาจากร่องรูเล็กบนปลายยอดสีแดงก่ำ หัวใจผมเต้นรัวเร็ว มันกำลังจะทะลุออกมาจากอกที่กระเพื่อมอยู่ในสายน้ำเย็นชืด

“คุณยะ...อ่า...อึก...คุณยะ...”

สมองสั่งให้ผมหยุดเรียกชื่อเขา แต่ความต้องการของร่างกายกลับมีอำนาจมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า

“คุณยะ...อ่า...อึก...”

ปากผมขยับเรียกชื่อเขาแผ่วเบาไปกับเสียงสะอื้นที่ไหลตามกันออกมา ส่วนมือก็เริ่มทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ทั้งที่ผมเหนื่อยเหลือเกินแต่ผมก็อยากจะปลดปล่อยออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“อ๊ะ...คุณยะ...อึก....คุณยะของน้องพี...”

ผมเร่งเร้าตัวเองให้ปลดปล่อยความทรมานออกมาด้วยชื่อของเขา ครั้งนี้มันยาวนานเสียจนผมคิดว่ามือไม่สามารถทำหน้าที่เดิมของมันให้สำเร็จเป็นรอบที่สี่ได้

“คุณยะ...อึก...ช่วยน้องพีด้วย...”

ผมต้องการมากกว่ามือตัวเอง มากกว่านั้นผมยังต้องการความอบอุ่นจากร่างกายของเขาคนนั้น และยิ่งน่าอายเมื่อผมกำลังจะเป็นแบบที่พี่หมอกพูดใส่หน้า... ผมรู้สึกอยากอ้าขาเพื่อรับเอาความแข็งกร้าวดุดันเข้ามาในช่องทางของตัวเองจนเนื้อตัวมันสั่นสะท้านไปหมด

ร่างกายของผมกำลังนำสมอง มันฉุดผมให้ลุกขึ้นก้าวออกจากอ่างอาบน้ำ ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายทั้งสามชิ้น เนื้อตัวจึงเหลือเพียงความว่างเปล่าและความน่าอับอายที่เด่นชัดอยู่กึ่งกลางตัว ผมรู้สึกอายและอยากกลับลงไปในแช่ในน้ำ ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง มันหอบพาความน่าอับอายของผมออกไป เพื่อไปเผชิญหน้ากับเจ้าของห้อง

เพียงแค่มือสั่นๆ ของผมเปิดประตูออกมา สายตาพร่ามัวก็ปะทะเข้ากับร่างกายสูงใหญ่ใต้เสื้อคลุมสีเทาเข้ม แล้วร่างกายของผมก็แสดงอำนาจยิ่งใหญ่ ข่มให้ทุกความอับอายและความถูกต้องอยู่ใต้เท้าของมัน รวมทั้งความรู้สึกรังเกียจร่างกายสกปรกที่เต็มไปด้วยเซ็กซ์ของเขาด้วย

...ลืมไปจนหมด

“คุณยะ...ช่วยน้องพีด้วย...”

ผมโผเข้าหาร่างกายสูงใหญ่ โอบกอดและบดเบียดเนื้อตัวเปลือยเปล่าที่สั่นระริกและต้องการถูกเติมเต็มไปตามความแข็งแกร่งใต้ผ้าเนื้อดี

“ขะ...เข้ามา...อึก...ในตัวน้องพีนะ...น้องพีทรมาน...” มันเป็นคำพูดน่าอาย แต่ผมกลับไม่รู้สึกอายอะไรทั้งนั้น

“ตั้งสติก่อน” ท่อนแขนแข็งแรงไม่ได้กอดตอบ เขาแค่ยืนนิ่งๆ กับคำพูดราบเรียบที่กดผมให้จมลงไปกับความอับอายที่เคยทิ้งมันไปเมื่อหลายนาทีก่อน “ฉันทำแบบนั้นไม่ได้... ฉันช่วยเธอไม่ได้หรอกพี”

“...คุณยะ” ผมรู้สึกถูกทอดทิ้ง ถูกทอดทิ้งทั้งร่างกายและหัวใจ “...ฮึก...คุณยะ...ใจร้าย”

“ถ้าฉันทำต่างหากคือการใจร้าย”

“ไม่จริง... ไม่ต้องมาอ้าง...อึก...” ผมปล่อยมือจากตัวเขา ทิ้งตัวลงพื้นเมื่อความทรมานจู่โจมผมหนักขึ้น แก่นกายแดงก่ำชูชันรอคอยการปลดปล่อย

“ฉันจะพาเธอไปหาหมอ” เขาย่อตัวลงมาหา ความห่วงใยของเขาเอ่อล้นในดวงตา “ลุกไหวไหม”

“ฮึก... น้องพีไม่ไหวแล้วคุณยะ” ร่างกายที่อยากได้รับการปลดปล่อยของผมโถมเข้าใส่คนตรงหน้า ทำให้ตัวเขาถึงกับหงายหลังลงไปกับพรมหนา โดยมีผมคร่อมทับอยู่บนตัวเขา “...แค่มือมันไม่พอ ฮึก... คุณยะเห็นไหม เห็นของน้องพีไหมว่ามัน...ฮึก...บวม ปวดไปหมดเลย น้องพี...อึก...ทรมาน... อยากให้คุณยะช่วย ช่วยน้องพีหน่อยนะครับ” ระหว่างที่ผมเอ่ยเสียงแหบแห้งออดอ้อนให้เขาเห็นใจความทรมานที่กัดกินผมจนผุกร่อน ผมก็ดึงมือเขามาจับที่ความร้อนระอุของตัวเอง

มือคุณยะอุ่นจัดและเพียงแค่นั้นผมก็กระตุกเกร็ง ฉีดพ่นสายน้ำขุ่นขาวออกมาอย่างง่ายดาย ผมทิ้งตัวลงไปทาบทับบนตัวเขาในสภาพอ่อนแรง แต่ความต้องการของผมก็ยังเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างจากเจ้าของร่างกายที่รองรับตัวผมเอาไว้

“มันยังไม่พอ... แค่มือยังไม่พอ” แม้จะเหนื่อยผมก็ยังมีเรี่ยวแรงเรียกร้องในสิ่งที่ร่างกายอยากได้จากเขา “ตรงนี้ของน้องพีต้องการคุณยะ... เข้ามานะครับ...” มือของคุณยะที่ชุ่มน้ำรักถูกผมดึงอ้อมมายังด้านหลัง ตรงสะโพกที่ไร้เนื้อผ้าปกปิดผิวเนื้อ ไล่ลงไปจนถึงตรงช่องทางนั้น

...ผมโทษทุกการโอบกอดของคุณยะที่อยู่ในหัวผม

...ผมอยากรู้ความรู้สึกที่ถูกคุณยะโอบกอดครอบครอง

“ฮึก...กอดน้องพีนะ...เข้า...มา...” ผมอ้อนวอน น้ำตาร่วงหล่นลงบนอกเขา “...มันทรมาน...ช่วยน้องพีด้วย”

“พี... ฉัน...ทำไม่ได้” เสียงทุ้มแหบพร่า แต่มือของเขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม บนสะโพกผมทั้งสองมือเลย ข้างหนึ่งบีบเน้นเบาๆ อีกข้างกำลังใช้ปลายนิ้วแกร่งหยอกล้อให้ผมสะท้านไปทั้งร่าง

...มันดีกว่ามาก

มือของเขาดีกว่ามือของผมไม่รู้กี่เท่า

“ลุกออกไปพี ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว” ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเขาไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ความแข็งกร้าวร้อนจัดที่ผมทาบทับอยู่นั้นได้ฟ้องออกมาหมด ไหนจะมือของเขาบนสะโพกและปากช่องทางของผมอีกล่ะ

“คุณยะก็อยาก... น้องพีรู้ เข้ามาเถอะนะครับ น้องพีจะไม่ไหวแล้ว” ผมขยับสะโพกช้าๆ ให้ส่วนร้อนจัดของผมกับเขาเสียดสีกันยิ่งขึ้น ยิ่งทรมานและยิ่งเสียวซ่านไปพร้อมกัน

“เธอจะเสียใจ” คุณยะกัดฟันพูด เขากำลังข่มอารมณ์ไม่ให้พวยพุ่ง

“ไม่” ผมส่ายหน้า ยืนยันเสียงหนักแน่นแต่ก็แหบพร่าตามอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นทุกที “น้องพีไม่เสียใจ”

“พรุ่งนี้เธอจะด่าฉันไหม” เขาถามอีก รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยอารมณ์ความต้องการที่ไม่ต่างจากผม “จะด่าว่าฉันเห็นแก่ตัว เป็นผู้ใหญ่เลวไหม” ครั้งนี้เขาดึงเอามือขึ้นมาลูบหน้าผม ปลายนิ้วกดเน้นเบาๆ ตรงตำแหน่งไฝเม็ดเล็กบนแก้มขวา เขาดูจะชอบมันมาก

“ไม่ครับ” ผมส่ายหน้าแรงๆ ยืนยันอย่างจริงใจ “น้องพีรักคุณยะ ไม่ด่า...ทะ...ทำเถอะครับ...อึก...น้องพีไม่ไหวแล้ว...น้องพีอยากได้คุณยะ” ผมอยากได้เขา อยากได้มาตลอด ไม่ว่าจะเกลียดเขา โกรธเขา รังเกียจเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเซ็กซ์ของเขา ทว่าลึกลงไปภายใต้ความเกลียดชัง มันคือความโหยหาอ้อมกอดของเขาเสมอมา

“อย่าเสียใจ” เขาย้ำมาอีก

“ครับ” ผมพยักหน้า ย้ำให้เขามั่นใจ “น้องพีไม่เสียใจ...อื้ออ...” ริมฝีปากของผมถูกครอบครองจากคนด้านล่าง ก่อนที่ร่างกายของผมจะถูกร่างกายแข็งแกร่งโอบกอดและพาพ้นไปจากความทรมานทั้งหมดในค่ำคืนนี้

ความทรงจำสุดท้ายคือผมสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ใต้ร่างแข็งแกร่ง ถูกกอดและกระซิบคำหวานมากมายให้ผมได้ฝันดี


จบตอนที่ 16

มามะ มาตอบเม้นต์จากตอนที่ 15 กันนะคะ ขอบคุณที่เม้นต์และอินไปด้วยกันค่า /// ดีใจ ซึ้งๆ

Nonlapan : เอางั้นเลยเหรอคะ เปลี่ยนพล็อตกลางอากาศดีไหม 555+ ให้คุณยะแห้งเหี่ยวและแก่ไปอย่างโดดเดี่ยว แล้วน้องพีก็เปิดฮาเร็มเป็นของตัวเอง กวาดเรียบ

Jibbubu : เรื่องที่เลม่อนรู้  มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ คุณยะไม่ได้บอกค่า //เดี๋ยวเลม่อนก็จะโดนผลจากการกระทำนะคะ (ไม่อยากสปอยด์ว่าเดี๋ยวจะโดนน้องพีจัดการ 555+ เวอร์ชั่นน้องพีที่อัพเกรดเป็นปัจจุบันแล้ว) ส่วนคุณยะ วิธีเอาคืนแบบหนักๆ ไม่มีนะคะ น้องพีไม่กล้าทำ (เอาจริงๆเลย)

Panizzz : ขัดใจเนอะๆๆๆๆ  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling3:

Somm : เดี๋ยวเราด่าคุณยะให้นะคะ คุณยะก็สู้กับตัวเองเหมือนกัน เหมือนคนลังเล จะเดินต่อ หรือถอยหลัง อะไรประมาณนี้ ก็อธิบายไม่ถูกเลย ต้องอธิบายด้วยเรื่องราวไปเรื่อยๆ มันจะเล่าปมที่มาของน้องพี (ปมไม่ซับซ้อน) ไปทีละนิดค่า (สปอยด์นิดๆ นิยามของคุณยะคือ “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” แต่ก็ไม่ถึงกับเป๊ะมากนะคะ) ปล. เราจะมารำคาญอิตาคุณยะไปพร้อมๆ กันนะคะ 555+

Snowboxs : งั้นก่อนคุณยะจะโดนสาป ขอสปอยด์ละกันเนอะว่า... มันมีเหตุการณ์ให้เลม่อนรู้เองค่ะ ไม่ได้มาจากปากของคุณยะ (สปอยด์แล้วเรื่องจะหมดสนุกไหมเนี่ย 555+)

ปล. ตอน 17 เจออิพี่เลม่อนเวอร์ชันน่าตบกันนะคะ  :katai2-1:
ส่วนน้องพีกับคุณยะนั้น หึหึ  :hao3: :hao3:

สีเหลืองอ่อน


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
จะรอนวันที่กรรมตามสนองเลม่อน
และตามสนองคุณยะด้วย (ได้ข่าวว่าปัจจุบันมีความสุขดี)

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
สคิปข้ามเวลาไปตอนปัจจุบันเลยได้ไหม อยากเห็นพวกแม่มโดนเอาคืนจะแย่ละ ลำไยอิคุณยะ :m31:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เกลียดคุณยะกับเลมอนที่สุดในโลกเลย!

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คุณยะนี่ยังไง ก็เห็นว่าอิเลม่อนมันส่งคลิปมาหาน้องแบบนี้ทำไมยังมานอนกับมันอีกล่ะ กับแค่คู่นอนหาเอาใหม่ก็ได้
ไหนจะคนที่อยู่ที่ทำงานอ่ะเอาคนนั้นแทนอิเลม่อนมันก็ได้ เกลียดแม่งเข้าใส้แล้วอิเลม่อนเนี่ย

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 17

‘อ๊ะ...คุณยะ...ฮึก...น้องพี...เจ็บ...’

...ความรู้สึกราวกับว่าร่างถูกจับฉีกเป็นสองส่วน

‘...ไม่ร้องนะ อย่าร้อง คุณยะพอแล้ว ไม่ทำแล้วนะครับ...คนดี’

...ความแข็งกร้าวที่กำลังฉีกทึ้งร่างของผมหยุดลงและเกิดรอยจุมพิตอุ่นๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ

‘มะ...ไม่...อย่า...เข้ามา...อึก...น้องพีไม่เจ็บแล้ว...’

...ความจริงคือเจ็บมาก เจ็บเหมือนจะขาดใจเพราะสิ่งที่บุกรุกเข้ามาทั้งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ แต่คงไม่ถึงกับขาดใจ หากจะขาดใจจริงๆ ก็คงเพราะสิ่งนั้นหนีจากไป

‘หายใจช้าๆ อย่ากลั้น ผ่อนคลายนะคนดี... คุณยะจะค่อยๆ’

...ความรักทำให้ผมเชื่อฟังทุกคำพูดของเขา ก่อนท่อนลำร้อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเชื่องช้า

‘อ่า...คุณยะ เข้ามา... เข้ามาเร็วๆ’

...ความต้องการกำลังวิ่งแซงความเจ็บปวด อยากถูกเติมเต็มให้เร็วที่สุด

‘เธอจะเจ็บ’ เจ้าของเสียงทุ้มก้มลงใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดบนใบหน้า

‘ทะ...ทนได้...น้องพีทนได้...’

‘อ๊าาา...!!!’

.

.

.

...เฮือกกก

เกิดอะไรขึ้นกับผม ?

ทำไมผมถึงเจ็บไปหมด ร้าวไปทั้งร่าง ?

แค่ขยับนิดเดียวก็คล้ายจะแตกละเอียด ในความฝันผมกำลังถูกร่างกายที่เต็มไปด้วยเซ็กซ์ของคุณยะโอบกอด ทึ้งร่างกายผมให้ฉีกขาดเป็นสองส่วน ความแข็งกร้าวและร้อนจัดที่ชำแรกเข้ามาทำให้ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ทำไมความเจ็บปวดในความฝันถึงได้ยาวนานมาถึงตอนนี้ได้ล่ะ ?

หรือว่า... ไม่ใช่ฝันแต่เป็นเรื่องจริง

ใช่แล้ว... เมื่อคืนผมโดนยา ผมไม่ได้กลับบ้านแต่เลือกมาปลดปล่อยความทรมานในห้องเพนต์เฮ้าส์ของคุณยะ เพราะเจ้าของห้องไปต่างประเทศ มีกำหนดกลับไทยวันอาทิตย์ แต่พอเปิดประตูเข้ามาก็กลับเจอว่าเขายืนอยู่หน้าโซฟา กำลังปลดปล่อยสายน้ำรักรดลงบนร่างกายของคนที่ผมเกลียดขี้หน้าเขามาก แต่ในความทรงจำของผมที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง ผมจำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังความเจ็บปวดที่ทำเอาลมหายใจขาดหายได้ว่า... ลาวาร้อนนั้นทะลักเข้ามาในร่างกาย แล้วก็เกิดขึ้นอีก อีกหลายครั้ง

“ตื่นแล้วหรือคะน้องพี หิวไหม” เสียงคุ้นๆ เหมือนเสียงพี่แอลเลขาคนสวยของคุณยะดังมาจากห้องน้ำ แต่จะใช่เหรอ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วที่นี่ใช่ห้องนอนของคุณยะในเพนต์เฮ้าส์หรือเปล่า

ผมค่อยๆ ยีตาสู้แสงของเวลากลางวัน กระบอกตาปวดร้าวจนต้องปิดตาลง

“อย่าเพิ่งขยับตัวมากนะคะ เดี๋ยวพี่แอลไปตามคุณยะก่อน”

ตอนนี้หน่วยตาผมสู้แสงภายในห้องได้แล้วครับ เลยเห็นว่าห้องสีขาวสะอาดตาที่แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยคือห้องนอนในเพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสามของพุฒิธาดา และต่อให้พี่แอลไม่บอกให้ผมอย่าเพิ่งขยับตัว ผมเองก็ไม่คิดจะขยับหรอกครับ แค่ครั้งเดียวเมื่อกี้ก็จำขึ้นใจแล้วว่ามันทรมานกับความเจ็บร้าวที่วิ่งพล่านไปทั่วร่าง

ไม่กี่วินาทีที่พี่แอลพูดจบ ผมที่นอนนิ่งอยู่ในท่านอนคว่ำหน้าบนเตียงนอนหลังใหญ่ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูออกไป วินาทีนั้นเองก็มีเสียงทะเลาะกันของคนสองคนดังแทรกเข้ามา

“ผมไม่กลับ!”

“อย่าดื้อเลม่อน”

“ไม่! ผมจะไปดูหน้าคนที่มันแย่งผัวผม หลีกไปนะพี่ยะ ผมมาก่อนมันนะ ผมเป็นเมีย...”

แล้วผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเพราะพี่แอลปิดประตูลงปิดกั้นเสียงโวยวายที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธจัด และเจือจางไปด้วยความเจ็บปวด

...พี่เลม่อนบอกว่าตัวเองมาก่อน ส่วนคนที่มาทีหลังคือผมใช่ไหม

ผมอยากลุกขึ้นไปเถียงให้สาสมกับคำพูดใส่ร้ายของเขา เขาจะมาก่อนผมได้ยังไง ผมรู้จักคุณยะมาทั้งชีวิตของผมนะ พี่เลม่อนมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าผมมาทีหลังเขา ตัวเองนั่นแหละก็เพิ่งรู้จักคุณยะตอนมาถ่ายเอ็มวีที่พุฒิธาดาเองนะ

“เลม่อน!”

แต่ผมคงไม่ต้องลุกออกจากห้องไปเถียงพี่เลม่อนหรอก ในเมื่อประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอย่างแรง พร้อมกับเจ้าของใบหน้าสวยงามที่ชุ่มน้ำตาวิ่งพรวดเข้ามาหาผมถึงขอบเตียง เกือบจะกระโจนขึ้นมาจิกหัวผมไปตบด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ถ้าเจ้าของห้องจะไม่วิ่งตามเข้ามาดึงตัวไว้ก่อนจะกระโดดขึ้นมาบนเตียงได้ทันท่วงที

ดวงตากลมโตและหวานมากของพี่เลม่อนล้นน้ำตา แต่ก็บรรจุด้วยกองไฟกองใหญ่มองมาที่ผมเหมือนจะเผาให้ตายคาเตียง

...สะใจชะมัดที่เห็นเจ้าของใบหน้าสวยหวานเจ็บปวด

“หยุดเลม่อน หยุด!” เสียงเข้มตะคอกใส่คนตัวเล็กที่ยังพยายามจะพุ่งมาหาผม ด้านหลังที่ตามเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยคือพี่แอลกับหมอภาม

“ผมไม่หยุด!” คนตัวเล็กหันกลับไปเล่นงานคนตัวใหญ่กว่า กำปั้นเล็กๆ ทุบรัวลงไปบนลำตัวของคุณยะ “พี่ให้ผมทนได้ยังไง มันจะเอาพี่ไปจากผม มันจะเอาผัวผมไป!”

“ออกไปคุยกันข้างนอก” เขาพยายามจะหอบเอาร่างของคนตัวเล็กออกไป แต่อีกคนก็ออกแรงดิ้นขัดขืนสุดฤทธิ์

“ไม่! ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด” เสียงเข้มของคุณยะอ่อนลง และบนใบหน้าหล่อเหลาก็เหมือนจะมีรอยแดงประทับอยู่บนนั้น

“มันไม่ใช่ได้ยังไง ก็มันมานอนอ้าขาให้พี่เอาถึงที่นี่ แล้วไลน์ที่มันส่งมาด่าผมอีก มันบอกมันจะเอาพี่ไปจากผม มันอยากได้พี่เป็นผัว พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือไง”

หา ?

ไลน์อะไร ผมส่งข้อความไปหาพี่เลม่อนตอนไหน ไม่เคยเลย มีแต่พี่เลม่อนที่ส่งรูปสวีตของพวกเขามาให้ผมดูทุกวัน ผมก็แค่เปิดดู เจ็บปวดไปกับความสุขของพวกเขา ไม่คิดตอบโต้หรือฟูมฟายความเสียใจลงไปในนั้น

“ผ...ผม...ไม่ได้ส่ง...ไลน์ไปหาพี่นะ” ผมเถียงออกมาอย่างลำบากมาก เสียงแทบไม่หลุดออกจากลำคอที่แห้งแล้ง มันเป็นเพราะอะไร... บทรักเร่าร้อนแวบเข้ามาในหัวของผมอย่างรวดเร็ว เมื่อคืนริมฝีปากของผมแทบไม่ได้หยุดพัก ไม่ถูกกลืนกินก็กรีดร้องออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไม่ต่างจากเสียงที่ผมเคยได้ยินในห้องทำงานของคุณยะ และเสียงที่ผ่านคลิปที่พี่เลม่อนส่งมาให้ผมดู

...ไม่ต่างกันเลย

ผมก็ไม่ต่างจากพี่เลม่อนและคนในห้องทำงานที่อ้าขาให้คนคนนี้... ผมไม่ได้ ‘พิเศษ’ ไปกว่าใคร ก็แค่เหมือนคนอื่นๆ ของเขา

“อย่ามาตอแหล!” คำพูดเกรี้ยวกราดพุ่งตรงมาหาผม พร้อมกับใบหน้าที่อยากจะฆ่าผมให้ตายคามือของเขา “มึงส่งข้อความมาด่ากู หาว่ากูเป็นของเล่นของพี่ยะ แล้วมึงก็จะแย่งพี่ยะไปจากกู บอกกูว่าสักวันจะเอาพี่ยะเป็นผัวมึงให้ได้”

“ผมไม่เคยส่ง” ผมเถียง อยากจะลุกขึ้นไปประจันหน้ากับคนที่ใส่ร้ายผมได้อย่างหน้าด้านที่สุด แต่ก็ทำไม่ได้ แค่ขยับปากพูดก็ลำบากสุดๆ แล้ว “คนที่ตอแหลคือพี่... ไม่ใช่ผม”

“มึงอย่าคิดว่าสิ่งที่มึงทำพี่ยะจะไม่เห็น เพราะกูให้เขาอ่านไลน์ที่มึงส่งมาหมดแล้ว”

ผมดึงสายตาไปยังคนที่โอบกอดพี่เลม่อนเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้ามาทำร้ายผม เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว เห็นสายตาที่ใช้มองผมก็เลยรู้เลยว่าเขาเชื่อว่าผมทำแบบนั้นจริงๆ

หัวใจผมถูกบีบอีกครั้ง ผมเป็นเด็กนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง คุณยะถึงได้เชื่อว่าผมส่งไลน์ไปด่าพี่เลม่อนจริงๆ ในเมื่อเขาเชื่อ ผมก็ไม่อยากจะแก้ตัวอะไรทั้งนั้น เลือกจะหุบปากฟังคำตอแหลของพี่เลม่อนต่อไป

“หึ... หลักฐานมัดตัว เถียงไม่ออกเลยใช่ไหม”

ที่ไม่เถียงเพราะผมอยากให้คุณยะโง่ต่อไปต่างหาก แต่พอผมไม่เถียง ทำเหมือนยอมรับคำใส่ร้ายของพี่เลม่อนว่าเป็นเรื่องจริง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุดแค่นั้น ผมไม่คิดเลยว่าคนหน้าตาสวยงามอย่างพี่เลม่อนจะร้ายกาจและปั้นน้ำเป็นตัวได้ขนาดนี้

“พี่รู้อะไรไหมพี่ยะ” คนหน้าสวยไม่ได้พูดกับผมแต่เป็นอีกคน “เมื่อคืนที่มันโดนยา ไม่ใช่เพราะมันโดนเขามอมมาหรอกนะ มันกินของมันเอง เพราะมันอยากอ่อยแฟนของเพื่อนผม แต่เขาไม่เล่นกับมันไง เขาถึงไล่มันออกมาจากงาน มันถึงต้องซมซานกลับมาที่นี่ มาอ้าขาให้พี่เอามัน”

ตอแหลดีเด่น!

คำนี้ผุดขึ้นในหัวผมทันทีก่อนที่เจ้าของรางวัลจะพูดจบซะอีก

ฉึก!

สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและเหมือนจะเชื่อไปแล้วว่าผมทำแบบนั้นจริงๆ ได้พุ่งเข้ามาปักหัวใจผมซ้ำ เขาโง่หรือไงถึงได้เชื่อว่าคำพูดทุเรศจากปากของพี่เลม่อนเป็นความจริง เขาไม่รู้จักผมหรือไงว่าเป็นคนแบบไหน หรือว่าเพราะผมเคยเมาเหล้าเมายา เคยปีนขึ้นไปนั่งบนตักเขาและยั่วยวนเขาอย่างไร้ยางอาย ถึงทำให้เขาเชื่อคำพูดของพี่เลม่อนอย่างง่ายดาย

ผมหลับตาลง เพื่อหนีไปจากดวงตาสีราตรีที่ฟ้องว่าเขาเลือกจะเชื่อคนของเขา มองว่าผมเป็นเด็กใจแตกที่อ้าขาให้ใครก็ได้

“หึ... เห็นไหมครับพี่ยะ มันไม่เถียงสักคำ เพราะมันทำจริงๆ” ยังไม่จบอีกหรือไง จะใส่ร้ายอะไรผมนักหนา

“ออกไป” ผมพูดทั้งที่ยังหลับตา ซุกหน้าเข้ากับหมอนใบใหญ่ ถ้าหายตัวได้ผมก็อยากหายตัวแล้วไปโผล่ที่ไหนก็ได้ จะได้ไม่ต้องมาทนฟังเรื่องตอแหลของพี่เลม่อนมากไปกว่านี้

“มึงกล้าไล่กูเหรอ! คนที่ต้องออกไปคือมึงไม่ใช่กู!!” คนหน้าสวยยังไม่เลิกอาละวาดทั้งที่ผมยอมให้เขาใส่ร้ายขนาดนี้แล้ว “คิดว่ากูไม่กล้าทำอะไรมึงหรือไง!!”

“โอ๊ยยย!!” และกว่าผมจะรู้ว่าพี่เลม่อนจะไม่หยุดแค่คำโกหก ก็ตอนที่ผมถูกกระชากหัวขึ้นมาจากหมอน ตามด้วยฝ่ามือเรียวที่ฟาดลงมาบนแก้มผมจนได้กลิ่นเลือดคลุ้งอยู่ในอุ้งปาก และร่างของพี่เลม่อนก็ถูกกระชากลงจากเตียงก่อนที่จะทำร้ายผมเป็นรอบที่สอง แต่ไม่วายที่จะใช้ปลายเท้าถีบเข้าที่ลำตัวผมเต็มแรง ส่วนคนที่พุ่งเข้ามาปกป้องผมเอาไว้ก็คือพี่แอล

“เลม่อน!! ทำบ้าอะไรของเธอ!”

“สั่งสอนคนร่านๆ อย่างมันไง... จำไว้! อย่ามาแย่งผัวกู ไม่อย่างนั้นมึงเจอมากกว่านี้แน่ แล้วจำไว้ด้วยว่าที่เขาเอามึงเมื่อคืน เพราะมึงยั่วเขา อ้าขาให้เขา อย่าร่านให้มันมากนัก ไม่อย่างนั้นเรื่องที่มึงอ้าขาให้พ่อตัวเองได้ดังทั่วโรงเรียนแน่”

“เลม่อน!!”

“ผมพูดผิดตรงไหน ก็มันจะเอาพี่ไปจากผม ทั้งที่มันรู้ว่าพี่กับผมเป็นอะไรกัน แต่มันก็ยังร่านจะเอาพี่ให้ได้ ต้องให้ผมใจเย็น ยอมให้มันเอาพี่ไปหรือไง”

“ไม่มีใครเอาฉันไปไหนได้ทั้งนั้น เธอก็รู้ดีเลม่อนว่าอะไรเป็นอะไร”

“ใช่! ผมรู้ไง ผมถึงได้มาสั่งสอนให้มันจำ ว่าพี่เป็นของผม”

“พี่ไม่ใช่ของเธอ”

“แต่พี่สัญญากับพี่เรนไว้แล้วนะว่าจะดูแลผมไปตลอดชีวิต พี่จะผิดสัญญากับคนตายหรือไง”

“พี่...” คนที่ถูกทวงสัญญาพูดไม่ออก ได้แต่โอบกอดร่างบางเอาไว้ แต่ดวงตาของเขาทอดมองมาที่ผมที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่แอล

...ระหว่างคุณยะกับพี่เลม่อน ไม่ใช่แค่คู่นอน มากกว่าคนรักกันก็คงเป็นคำสัญญาที่จะดูแลไปตลอดชีวิต

“พี่สัญญาว่าจะดูแลผม” ผมได้ยินเสียงสะอื้นไห้หลุดออกมาจากคนที่อยู่ในอ้อมกอดของคุณยะ ท่อนแขนแข็งแรงดูคล้ายจะโอบกระชับร่างเล็กแน่นขึ้น ยิ่งทำให้หัวใจผมเจ็บ “ฮึก...ผมไม่เหลือใครแล้ว...พี่ก็รู้...ผมมีแค่พี่คนเดียว...ไม่มีพี่ผมจะอยู่ยังไง...”

“พี่ไม่ทิ้งเรา” เสียงนุ่มนวลกระซิบบอกคนในอ้อมแขน แม้จะเบาบางเหมือนไม่อยากให้คนที่เหลือในห้องนี้ได้ยิน ทว่าผมก็ยังได้ยิน

...คนสำคัญที่คุณยะจะปกป้องไปตลอดชีวิตก็คือพี่เลม่อน ไม่มีทางเป็นผมได้เลย

“เจ็บตรงไหนบ้างคะน้องพี ให้หมอภามดูหน่อยนะคะ” พี่แอลพูด หมอภามก็ขยับตัวและเดินมาที่ข้างเตียง แต่ผมส่ายหน้า เจ็บตัวเพราะโดนตบกับถีบก็ไม่เท่าไรหรอก แต่เจ็บที่หัวใจมีมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่าและกี่ร้อยหมอก็รักษาอาการเจ็บของหัวใจผมให้หายขาดได้

ตอนนี้คุณยะพาพี่เลม่อนออกไปแล้ว ทั้งห้องจึงเหลือแค่ผม พี่แอล และหมอภาม

“ผมอยากนอน” อยากหลับไปเลยไม่ต้องคิดอะไรอีก หัวใจของผมจะได้หยุดเจ็บปวดไปได้สักช่วงเวลาหนึ่ง

“กินข้าวกินยาก่อนแล้วค่อยนอนนะคะน้องพี รอแป๊บหนึ่งเดี๋ยวพี่แอลไปอุ่นข้าวต้มมาให้” พี่แอลบอกผม ก่อนหันไปถามหมอภามที่ยืนอยู่ข้างเตียง “ต้องทายาให้น้องพีอีกไหมคะหมอภาม”

ทายา ?

ผมนึกไปถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนและยังคงเจ็บร้าวมาจนถึงตอนนี้ ช่องทางด้านหลังที่ถูกบุกรุกเข้าไปเป็นครั้งแรกและรุนแรง ผมจำความรู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจได้ เสียงกรีดร้องที่ปนไปกับอารมณ์ที่หลากหลายก็ยังแว่วอยู่ในหู ลมหายใจร้อนๆ ของคนตัวหนาและเสียงแหบพร่าที่กระซิบถ้อยคำนับร้อยนับพันอย่าง

การที่หมอภามอยู่ที่นี่คงเพราะถูกตามตัวมาให้ช่วยดูอาการผม แต่ทำไมต้องให้คนอื่นมาเห็นร่างกายผมในสภาพนี้ด้วย อยากประจานผมมากหรือไง

“รู้สึกยังไงบ้าง เจ็บอยู่ไหม” หมอภามก้มหน้าลงมาถาม ส่วนพี่แอลก็ลุกเดินออกไปนอกห้อง ตอนที่เธอเปิดประตู ไม่มีเสียงจากบุคคลข้างนอกแทรกเข้ามาเลย ...พาไปปลอบใจที่อื่นแล้วมั้ง

“...ไม่ครับ” ผมตอบเบาๆ ไม่กล้าสบตาหมอภามเท่าไรเพราะอายที่เขาเห็นตัวผมหมดแล้ว เขาต้องเห็นหมดแน่ๆ เพราะตอนนี้ผมอยู่ในสภาพที่มีแค่ผ้าห่มปิดร่างกาย และผมก็โกหก ความจริงคือผมยังเจ็บอยู่มาก ขยับตัวแต่ละทีก็เหมือนเนื้อตัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งตอนโดนกระชากตัวขึ้นไปตบ ตัวผมนี่ร้าวไปหมด น้ำตาเล็ดเลย แต่ก็คงสู้น้ำตาของพี่เลม่อนไม่ได้ คนที่ทำผมเจ็บไปทั้งตัวและหัวใจถึงได้แค่มองผ่านไป

“ถึงไม่เจ็บแต่หมอก็ต้องใส่ยาให้นะ” ว่าแล้วหมอภามก็ทรุดตัวลงนั่งข้างผมที่นอนคว่ำหน้าอยู่ จนผมต้องขยับตัวหนี แต่ก็เหมือนจะไม่พ้นเมื่อมือของหมอภามจะดึงผ้าห่มออกจากตัวผม

“ทำอะไร” น้ำเสียงเข้มจัดดังขึ้นมา หยุดมือของหมอภามไม่ให้กระชากเอาผ้าห่มออกจากตัวผมได้ทันเวลา

ผมเหล่มองนิดๆ ว่ามีใครตามหลังเขาเข้ามาอีกหรือเปล่า แต่ก็ไม่มี ไม่ใช่ว่าผมกลัวพี่เลม่อนกระโดดขึ้นเตียงมาตบผมอีกรอบหรอกนะ แค่ไม่อยากฟังความตอแหลของเจ้าตัวก็เท่านั้นเอง

“ดูแผลไง ก็เรียกให้มาดูไม่ใช่หรือไงวะ นี่ก็กำลังจะดูว่าต้องทายาเพิ่มหรือเปล่า”

“เดี๋ยวทำเอง”

“ก็ได้วะ” หมอภามหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงกับเพื่อนของตัวเองออกมาคำหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเป็นคำอะไร แต่เพื่อนหมอภามน่าจะรู้ ถึงได้ตอบรับเสียงห้วนออกมาสั้นๆ ว่า..

“เออ! มาก!!” ก่อนออกปากไล่เพื่อนตัวเอง “กลับไปได้แล้ว”

“เออๆ กลับก็ได้วะ หมดประโยชน์แล้วก็ไล่เลย” เจ้าตัวทำท่าจะลุกขึ้น แต่ผมคว้าแขนหมอภามไว้ คุณหมอผมยาวถึงยังไปไหนไม่ได้

“ผมไม่ให้เขาทำ” ...เขาที่ยืนหน้าตึงมองผมตาลุกวาวๆ “คุณหมอทำให้ผมหน่อยนะครับ” ผมไม่อยากให้เขามาแตะต้องร่างกายผมอีก สีหน้าหมอภามมีแววประหลาดใจหน่อยๆ มองหน้าผมแล้วเงยหน้าไปมองเพื่อนของตัวเอง แล้วก็หันกลับมาหาผม

“หมอว่าให้...”

“นะครับคุณหมอ” ผมมองตาคุณหมออย่างอ้อนวอน คุณหมอผมยาวยังไม่ทันตอบ สุ้มเสียงของบุคคลที่สามก็แทรกขึ้นมาซะก่อน

“คิดจะยั่วเพื่อนฉัน ?” ดวงตาสีราตรีกำลังขุ่นขวางบอกว่าเจ้าของมันกำลังโกรธ เขาเดินเข้ามาดึงไหล่หมอภามให้ลุกออกไป แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงมานั่งแทนที่

“จะยั่วใครก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ” ผมใช้สายตาแบบเดียวกันกับเขามองหน้าเขาอย่างไม่ยอมแพ้ คิดได้ยังไงว่าผมยั่วหมอภาม ผมไม่ได้ยั่วสักหน่อยก็แค่ประชดเขา และไม่อยากให้เขามาแตะต้องตัวผม ผมเกลียดเขา

...เกลียดที่เขาต้องดูแลพี่เลม่อนไปตลอดชีวิต

“อย่าประชดฉัน” ...เหอะ เพิ่งรู้หรือไงว่าผมประชด

“ทำไมผมต้องประชดด้วย ในเมื่อผมอยากจะยั่วมากกว่า” ผมเถียงไปอย่างเด็กที่ไม่ยอมแพ้ผู้ใหญ่

“งั้นเหรอ ? ลองยั่วอีกสักทีไหมล่ะ เหมือนที่ทำกับฉันเมื่อคืน” เขาขุดเอาเรื่องน่าอายตอนที่ผมถูกควบคุมด้วยฤทธิ์ของยาปลุกมาฟาดใส่หน้าผม มิหนำซ้ำยังยกเอาความหูเบาของเขามากล่าวหาผมซ้ำอีก “หรือจะทำแบบที่อ่อยไอ้เด็กสองคนนั่นข้างสระ แต่ที่นี่คงไม่ได้ เพราะไม่มีสระให้เธอกระโดดไปดูดปากกันต่อหน้าคนเป็นสิบๆ” ดวงตาของเขาเหมือนมีกองไฟท่วมอยู่

...คงเป็นเจ้าของรางวัลตอแหลดีเด่นที่เป่าหูเขามา แถมเขายังโง่ที่เชื่อมันด้วย

“หลงรูมันมากหรือไงถึงเชื่อทุกอย่างที่มันพูด หรือว่าเอามันเพลินเลยลืมสมองไว้ที่รูของมันจนหมด” ผมอดไม่ได้ที่จะใช้คำหยาบคาย มันทำให้เขาโกรธ แถมกระชากตัวผมขึ้นมาเผชิญหน้ากับสีหน้าเกรี้ยวกราดของเขาชัดขึ้น “โอ๊ยยย...ผมเจ็บนะ! ปล่อยผม!!” เขาบีบแขนผมแรงมาก

“ใครสั่งสอนให้พูดแบบนี้ห้ะ!” ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ

“ก็เมียคุณไง!!” ตะคอกมาผมก็ตะคอกกลับ แถมดังกว่าด้วย “เมียคุณมันใช้คำพวกนี้กับผมก่อน!”

“แล้วเธอต้องทำตามหรือไง”

“แล้วคุณเชื่อทุกคำของมันทำไมล่ะ มันพูดอะไรคุณก็เชื่อ ใส่ร้ายผมยังไงคุณก็เชื่อ ถามผมสักคำไหมว่าเป็นอย่างที่มันว่าไหม”

“.....” เขาไม่ตอบโต้ สลัดแขนผมทิ้งทันที ร่างสูงใหญ่ลุกยืนเต็มความสูงแล้วหันหลังให้ผม

“น้องยังเด็ก” หมอภามพูดเบาๆ

“เด็กบ้าอะไรวะ ยั่วโมโหกูทุกคำ”

“แล้วผู้ใหญ่ดีนักนี่ ฟังความแค่ข้างเดียว” ใครจะยอมให้มาว่าผมฝ่ายเดียว “หึ... เอาสมองไปไว้ในรูหมดก็แบบนี้แหละ”

“พี!!” เขาหันกลับมาตะคอก

“อะไร!! ผมพูดอะไรผิด!” ผมเชิดหน้าเถียง ไม่กลัวหรอกเพราะตอนนี้ไม่มีอะไรให้กลัวแล้ว เจ็บมากที่สุดก็ผ่านมาหมดแล้ว

“แล้วที่โกหกว่าไปทำรายงานบ้านเพื่อนแต่ไปโผล่ที่งานปาร์ตี้... คิดว่าผิดไหมห้ะพี! โกหกพ่อแม่ฉันมากี่ครั้งแล้วห้ะ!”

“.....” อันนี้ผมเถียงไม่ออก พอเป็นความจริง ผมก็ไม่มีอะไรไปโต้แย้งเขาได้

“ทำไมไม่เถียงล่ะพี เถียงมาสิว่าเมื่อคืนไม่ได้ไปนั่งกินเหล้า สูบบุหรี่ กระโดดไปนั่งบนตักผู้ชาย อ่อยเขาไปทั่ว!”

“ใช่! ผมเป็นแบบที่คุณว่าทุกอย่าง” เหมือนมีไฟมาสุมในอกผม ถึงบางเรื่องจะจริง แต่มันก็ไม่ได้จริงทุกเรื่อง ผมสูบบุหรี่ก็จริง แต่เหล้ากับนั่งบนตักผู้ชาย ผมไม่ได้ทำแต่ถูกบังคับต่างหาก เขาไม่เคยรู้อะไรเลย ฟังแต่คำพูดเมียตัวเอง “ผมกินเหล้า สูบบุหรี่ กระโดดขึ้นไปนั่งตักผู้ชาย เล่นยาเพื่อจะยั่วแฟนคนอื่น อยากอ้าขาให้ผู้ชายเอาใจจะขาดอยู่แล้ว แต่โดนจับได้ซะก่อน ถึงต้องมาอ้าขาให้คุณแทนไง!!”

“.....” เขาขบกรามจนขึ้นสันชัดเจน ยิ่งเห็นเขาโกรธ ผมก็ยิ่งรู้สึกชนะ แม้ว่าชัยชนะจะมาจากการด่าว่าตัวเองให้เหลวแหลกในสายตาของเขาก็ตาม

“ผมมันร่านเหมือนที่เมียแสนดีของคุณด่านั่นแหละ ตอนนี้ผมก็เลยอยากจะอ้าขาให้เพื่อนคุณด้วยอีกคนไง” ประชดให้สุดไปเลย

“คนเดียวมันไม่พอใช่ไหมพี” เขากัดฟันถามโกรธๆ ไม่รู้ว่าเขาเชื่อได้อย่างไรว่าผมจะทำแบบนั้นจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ เขาเชื่อไปแล้วว่าผมเป็นเด็กไม่ดี งั้นก็จงเชื่อไปเถอะ ผมไม่สนใจคนโง่ๆ อีกแล้ว

“ใช่!! ช่วยหาให้ผมหน่อยสิ คุณหาเก่งอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“พี!”

“ทีคุณยังเอาคนอื่นไปทั่วได้เลย ทำไมผมจะทำบ้างไม่ได้” ผมยิ้มเยาะในความมากตัณหาของเขา “สงสารเมียคุณเนอะ ไม่รู้ว่าต้องเจ็บมืออีกกี่ครั้งเพราะมีผัวแบบคุณ”

“อย่าปากดีพี”

“ไปบอกเมียคุณนู่น ปากอย่างตอแหล ส่วนคนที่เชื่อก็โง่เหมือนไม่มีสมอง อ้อ...ลืมไป สมองมันลงไปอยู่ในรูหมดแล้ว” ผมเริ่มสนุกที่ได้ด่าเขาให้หายแค้นใจ ในเมื่อไม่ดีต่อกันก็ให้แตกหักไปซะเลย

“.....”

“ใจเย็นๆ” หมอภามตบไหล่เพื่อน

“เออ! กูกำลังทำอยู่”

“หึ...” ผมแกล้งหัวเราะเบาๆ เขาก็แค่เหลือบตามอง กัดฟันกรอดๆ แต่ไม่ตอบโต้อะไรออกมา คงพยายามใจเย็นอย่างที่บอกกับหมอภามไป ดีเหมือนกัน ผมก็ไม่อยากพูดคำหยาบเหมือนกัน เหนื่อยที่จะต้องใส่ร้ายตัวเองด้วยแหละ การด่าว่าตัวเองให้ต่ำต้อยด้อยคุณค่าไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลยสักนิด นอกจากความสะใจเพียงชั่วคราว

ห้องเงียบกริบ ไร้คำพูด มีเพียงเสียงของความขุ่นเคืองตลบอบอวลไปหมด จนกระทั่งผู้หญิงเพียงคนเดียวในเพนต์เฮ้าส์เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับถ้วยที่มีควันลอยสูงกับกลิ่นหอมที่บอกได้ว่าอาหารอะไรอยู่ในนั้น กลิ่นหอมแบบนี้ก็มีแค่...ข้าวต้มแหละ

“เอามาให้ฉัน แล้วก็ไปทำงานของเธอต่อ มีอะไรที่ฉันต้องเซ็นก็ให้ลดาเอามาให้ฉันละกัน”

ลดาคือผู้ช่วยของพี่แอล

“ค่ะบอส” พี่แอลรับคำของเจ้านายตัวเองแล้วก็ยื่นถ้วยข้าวต้มในมือให้ ก่อนหมุนตัวและเดินเร็วๆ ออกจากห้องไป เจ้าตัวคงรีบกลับไปทำงานด้วยแหละ ผมว่านะ

“หมอ... มึงก็กลับได้แล้ว” เขาเดินเอาถ้วยมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วหันไปบอกเพื่อนตัวเอง

“แน่ใจ ?”

“อืม”

“ใจเย็นๆ ละ”

“เออ!” ได้คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ของเพื่อนตัวเองแล้ว หมอภามก็หันมายิ้มลาผมนิดหนึ่ง แต่ก็ถูกสายตาเจ้าของห้องมองอย่างเคืองๆ ก่อนที่จะก้าวตามพี่แอลออกไปอีกคน

.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
.

.

.

.


ทั้งห้องก็เหลือแค่ผมกับเขา

เงียบสนิท

เขาจ้องหน้าผม ผมจ้องหน้าเขา

“กิน... จะได้กินยา” สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง

“ไม่” ...หิวนะ แต่ไม่อยากทำตามคำสั่งเขา เพราะผมยังอยากทำสงครามกับเขาต่อ เอาให้แตกหัก เอาให้สาสมกับความคับแค้นใจของผม

“ต้องการอะไรพี” เขาเค้นเสียงถาม อดกลั้นอย่างมากที่จะไม่ตะคอกใส่หน้าผม

“ไม่หิวไง ก็เลยไม่กิน จะให้ผมต้องการอะไรล่ะ” ในเมื่อสิ่งที่ผมต้องการจากคุณ ผมไม่เคยได้มันเลยสักครั้ง


“ต้องให้บังคับใช่ไหมพี เอาอย่างนั้นก็ อย่าหาว่าฉันใจร้าย” ว่าแล้วเขาก็ทรุดตัวลงนั่ง ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็คงจะเอาข้าวต้มกรอกปากผมนั่นแหละ เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเอายากรอกปากผม

หึ... นึกหรือว่าผมจะยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบคืนนั้นอีก

ผมอาศัยจังหวะที่เขายังไม่ทันจะเอื้อมไปหยิบถ้วยข้าวต้ม มือผมก็ชิงตัดหน้าเขาเสียก่อน แบบเฉียดฉิวเลย เขาคงคิดว่าผมกลัวคำขู่เลยรีบหยิบข้าวต้มมากิน แต่เขาคิดผิด รอยยิ้มของเขาอยู่บนใบหน้าได้ไม่กี่วินาทีก็เลือนหาย เมื่อวินาทีนั้นผมเทข้าวต้มลงพื้นพรมข้างเตียงต่อหน้าเขา เขายกเท้าหนีข้าวต้มร้อนๆ แทบจะทันที

ผมจ้องตาเขาอย่างผู้ชนะ ก่อนจะวางถ้วยที่ว่างเปล่าลงที่เดิม

“อิ่มแล้ว” ผมยิ้มแบบกวนอารมณ์ของเขาที่สุด ใบหน้าคมเข้มถึงได้กระตุกอย่างนั้น เห็นแล้วสะใจเป็นบ้า!

“ยั่วฉันพอหรือยัง”

“ยัง...” ผมยิ้ม เอียงหน้าน้อยๆ ตั้งใจยั่วอารมณ์ของเขาสุดฤทธิ์ “...แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะยั่วอะไรคุณอีก ขอคิดก่อนนะ” รู้แล้วว่าจะทำอะไร ผมหันไปหยิบซองยาที่อยู่บนโต๊ะ น่าจะเป็นยาที่หมอภามจัดไว้ให้กินแก้อาการปวดร้าวตามร่างกาย มีตั้งหลายเม็ด ผมแกะเอายาออกมาโยนทิ้งทีละเม็ด ตาก็จ้องหน้าเขาอย่างท้าทาย ไม่มีเกรงกลัวแววตาที่ดุดันขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยาเม็ดสุดท้ายตกไปบนพรมที่เต็มไปด้วยเม็ดข้าว

ต่อให้ยาพวกนี้จะช่วยให้ผมหายจากอาการปวดร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะส่วนล่างด้านหลัง ตรงช่องทางที่ผมจินตนาการเอาเองว่ามันต้องบวมช้ำมากแน่ๆ เอาตรงๆ คือผมนึกไปถึงสภาพของพี่เลม่อนตอนที่เขาส่งรูปมาให้ผมดู... รูปช่องทางบวมเป่งนั่นแหละ

“ไม่อยากหายสินะ” เขาถาม ริมฝีปากเหยียดยิ้ม ดูเจ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล ยิ้มแบบนี้ทีไร ผมรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไรบอกไม่ถูก “อยากยั่วฉันแบบเมื่อคืนงั้นเหรอ ?”

คิดได้ไง!

ผมอยากยั่วเขาน่ะใช่ แต่ไม่ใช่อยากยั่วให้เขาเอาร่างหนาๆ ขึ้นมาบนเตียงเพื่อคุกคามผมหรอกนะ

“อยากได้อะไรครับ...น้องพี” เน้นย้ำตรงชื่อผมด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “อยากให้คุณยะทำอะไร” ไม่ทันไรเขาก็เอาร่างกายแข็งแกร่งและหนากว่าขึ้นมาคร่อมอยู่เหนือร่างกายผม ดันตัวผมให้นอนหงายลงไปบนเตียงนอนนุ่ม

“ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น!” ผมหันหน้าหนีสายตาเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ จะพลิกตัวหนีก็ไม่ได้เพราะขยับแต่ละทีมันร้าวไปหมด จนไม่อยากจะขยับตัวไปไหนเลย

“พูดกับผู้ใหญ่ก็ต้องสบตาด้วยสิครับน้องพี” เขาเอื้อมมาจับใบหน้าผมให้หันกลับไปสบตาเป็นประกายวิบวับของเขา “เมื่อคืนทำตัวน่ารักกว่านี้นะ”

“ก็เมื่อคืนผมโง่ไง”

“ลองโง่อีกสักครั้งดีไหม ?” พร้อมกับปลายจมูกโด่งที่ลดตัวลงมาคลอเคลียบนแก้มขวาของผม ก่อนจะกดลึกลงมาจนรู้สึกเจ็บ... แต่ก็เป็นความรู้สึกเจ็บที่มาพร้อมหัวใจที่เต้นรัวแรง

“.....” ผมกลั้นหายใจแทบตายตอนที่ริมฝีปากอุ่นจัดทำหน้าที่แทนจมูก ผิวแก้มข้างที่ถูกสัมผัสร้อนวูบขึ้นมาทันที จากนั้นความร้อนก็แผ่กระจายไปทั่วใบหน้า

“แก้มแดงหมดแล้ว” เขาพูดแล้วยิ้มอ่อนโยน แบบที่ทำหัวใจผมสั่นไปหมด

...ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ

เมื่อกี้ผมกับเขายังทะเลาะกันแทบตาย ร้อนเป็นไฟกันทั้งคู่ แต่พอเขาทำท่าเหมือนจะคลุกวงในผมอย่างในตอนนี้ หัวใจผมกลับพ่ายแพ้ จากร้อนเป็นไฟก็กลายเป็นสายลมอ่อนๆ และมีกลิ่นหอมหวานอย่างประหลาด ผมจำกลิ่นนี้ได้ มันคือกลิ่น... ความรัก

เวลาที่ผมกลับมารักเขา ผมจะรู้สึกว่ามีกลิ่นนี้โอบล้อมอยู่รอบตัว มันจะฟุ้งอยู่เต็มหัวใจของผม

“น้องพีครับ...” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อผม ดวงตาสีราตรีอ่อนโยนจนไม่อยากละสายตาจากไปไหน ไม่ว่ากี่ครั้งผมก็พ่ายแพ้ให้เขา ยิ่งเขาเรียกชื่อที่ผมอยากให้เขาเรียก ผมก็ยิ่งอ่อนยวบไปทั้งตัวทั้งหัวใจ

“...อะ” เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกมาจากคอผมอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเขากระชากผ้าห่มออกจากตัวผมไป ก่อนแทรกตัวเข้ามานั่งกลางเรียวขาทั้งสองข้างของผม ดึงสะโพกให้ลอยไปกองบนหน้าขาแข็งแกร่งในเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็นุ่มนวลแบบที่ไม่ทำให้ร่างกายผมแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่กลับหลุดครางออกมาเพราะสะโพกของผมสัมผัสเข้ากับความร้อนผ่าวใต้กางเกงทำงานของเขา

...ความร้อนผ่าวที่ติดจะแข็งแกร่งนั้น ดึงผมกลับไปยังเรื่องราวเมื่อคืน ภาพย้อนกลับไปถึงความยิ่งใหญ่ที่ทำเอาเผลออยากร้องโฮออกมาดังๆ แต่ติดที่ว่าฤทธิ์ยาทำให้ผมต้องอ้าขามากกว่าจะหุบขาหนี

“อึก...คุณยะ...”

“ครับ” เสียงขานรับนั้นอ่อนหวานแต่การกระทำของเขากำลังกลั่นแกล้งผม

“ยะ...อย่า...อึก...อย่าจับ...อะ...”

ส่วนอ่อนไหวของผมตกอยู่ในอุ้งมือร้อนจัด และมันกำลังถูกบีบนวดเบาๆ

“...อึก...ปล่อย...อื้อออ...”

ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อย เขายังลดตัวลงมาหาผม แนบริมฝีปากร้ายกาจเข้ามาครอบครองกลีบปาก... อย่างนุ่มนวล แบบที่ผมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ถ้าเขาบดเบียดลงมาอย่างรุนแรง ผมคงจะดิ้นจนสุดแรงเพื่อต่อต้านไม่ให้เขาเอาปากของผมไปเป็นของเขา แต่เพราะทุกอย่างมันนุ่มนวลไปเสียหมด ผมถึงได้แต่ขยับริมฝีปากต้อนรับเขาให้เข้ามา โอบกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้ราวกับไม่อยากให้เขาจากไปไหน

...ผมอาจเป็นคนขี้ลืม

แค่ได้รับความอ่อนหวานจากคนคนนี้เพียงน้อยนิดก็ลืมทุกความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น ปล่อยให้ความรู้สึกรักควบคุมทุกการกระทำของตัวเอง ปล่อยตัว ปล่อยใจ ปล่อยไปกับความอ่อนโยนของเขาคนนี้ คนที่กำลังครอบครองทุกลมหายใจของผม ทำให้ตัวผมไม่ใช่ของผม

“อยากให้คุณยะทำอะไร” ดวงตาสีราตรีหวานฉ่ำหวานชวนมอง ยิ้มของเขาน่าหลงใหล ทำให้ความรู้สึกของผมยิ่งฟุ้งกระจาย สติเลือนราง และในที่สุดผมก็เอ่ยคำน่าอายออกมา

“ขะ...เข้ามา...” เมื่อคืนผมก็พูดคำนี้เพราะฤทธิ์ยา ทว่าตอนนี้ผมพูดออกมาจากความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นด้วยความอ่อนโยนของเขาและหัวใจที่ยังคงเต็มไปด้วยความรักของเด็กโง่ๆ คนหนึ่ง “น้องพีต้องการ...คุณยะ” เขาที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ กล้าเกินเด็ก ทำให้ผมเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งก็ทำให้ผมเกลียดเขาจนไม่อยากมองหน้า แต่ก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่ทำให้หัวใจของผมอิ่มเอมและโหยหาไปพร้อมกัน

...ผมอยากได้เขา ไม่อยากแบ่งเขาให้ใคร และไม่อยากให้เขาเป็นของคนอื่น นอกจากเป็นของผมคนเดียว

“น้องพีจะเจ็บ” เขายิ้มหวานเอาใจ ลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยน และมอบทางเลือกเดียวให้ผมตัดสินใจ “ทนได้ไหม”

“ทนได้...” ไม่รู้ว่าได้จริงหรือเปล่าแต่ก็จะลองทน เพราะผมต้องการเขา ต้องการเขามากจริงๆ

“แต่น้องพีต้องบอกคุณยะมาก่อน... ว่าเมื่อคืนใครทำให้น้องพีเป็นแบบนั้น” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลไม่ต่างจากดวงตาสีราตรีที่ทอดมองลงมาหาผม “มีใครบังคับให้น้องพีกินยาหรือเปล่า คุณยะขอความจริง ไม่เอาเรื่องประชด”

พอเขาถามมาแบบนี้ แสดงว่าเขาก็ยังเหลือพื้นที่ไว้ให้ผมได้แก้ตัว

“น้องพีไม่ได้เป็นอย่างที่พี่เลม่อนว่า...ฮึก...เขาใส่ร้ายน้องพี” ขอบตาผมร้อนผ่าวไม่ต่างจากอุณหภูมิในร่างกายที่ไต่ขึ้นสูงจากสัมผัสของร่างกายหนาที่โอบกอดและดึงผมขึ้นไปนั่งบนตักเขา ผมดีใจที่เขาอยากฟังความจริงจากปากของผมบ้าง “แฟนของเพื่อนเขาบังคับให้น้องพีดื่มเหล้า น้องพีไม่อยากดื่มแต่เลี่ยงไม่ได้ แล้วน้องพีก็ไม่รู้ว่าในเหล้ามียา... คุณยะเชื่อน้องพีนะ”

“คุณยะเชื่อครับ” เขาตอบมาแบบนี้ ผมก็ยิ้มออกมาได้ แต่ก็ยังมีคำถามตามมา “แล้วทำไมถึงไปงานแบบนั้น”

“ก็เพื่อนชวน”

“ต่อไปไม่ต้องไปไหนกับใครอีก ทำให้คุณยะได้ไหมครับ...คนดี”

‘คนดี’ เหรอ ?

เมื่อคืนคุณยะก็เรียกผมแบบนี้ ผมไม่ใช่เด็กแล้วใช่ไหม

“ได้ครับ” ผมได้รางวัลเป็นจุมพิตหวานๆ บนแก้มสองข้าง

“แล้วบุหรี่... เลิกให้คุณยะได้ไหม อย่าไปยุ่งกับมันอีก” คุณยะถามต่อ มืออุ่นจัดของเขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของผมไปด้วย บางครั้งก็เลื่อนลงไปเกือบถึงสะโพก “คุณยะอยากให้ปากของน้องพีน่าจูบแบบนี้ไปตลอด รู้ไหมว่าปากแดงๆ ของน้องพีน่าจูบมากแค่ไหน” หลังคำพูดนั้น ริมฝีปากก็เคลื่อนเข้ามาแตะที่กลีบปากผมเบาๆ ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามา

“เลิกได้ใช่ไหม” 

“ครับ” ผมพยักหน้า เขาอยากให้ทำอะไรผมก็จะทำ แต่ผมก็อยากขอให้เขาทำเพื่อผมบ้างเหมือนกัน “แล้วคุณยะทำให้น้องพีบ้างได้ไหม”

“อยากให้คุณยะทำอะไร”

“เลิกกับพี่เลม่อน”

“จะเลิกได้ยังไงก็คุณยะไม่ได้คบกับเขา”

“แต่...” ผมแปลกใจกับคำตอบที่ได้ จะท้วงว่าที่พี่เลม่อนมาด่าผมปาวๆ ขนาดนั้นก็เพราะตัวเขามีสิทธิ์ที่จะด่าคนที่มาแย่งคนของตัวเองไปไม่ใช่หรือไง แถมคุณยะก็ยังยอมรับด้วยว่าพี่เลม่อนเป็นเมียของตัวเอง แล้วยังต้องดูแลกันไปตลอดชีวิตอีก แต่คุณยะก็ส่ายหน้าให้ผมหยุดคำพูดของตัวเองไปเสีย

“เมื่อก่อนหัวใจของคุณยะยังอยู่ตรงนี้” เขาดึงมือผมที่วางอยู่บนต้นคอเขาลงมา จับมาวางไว้บนอกซ้าย ภายใต้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งคือก้อนเนื้อที่กำลังเต้นไหว ผมสัมผัสกับจังหวะการเต้นของมันได้อย่างชัดเจน “...แต่ตอนนี้มันไปอยู่ตรงนี้แล้ว” ตรงที่คุณยะพูดถึงไม่ได้ไกลไปจากหัวใจของคุณยะเท่าไร ระยะทางมันไกลก็แค่เริ่มจากร่างกายแข็งแกร่งจนถึงอกซ้ายของผม

...คุณยะกำลังหลอกผมหรือเปล่า แต่สายตาของเขาที่จ้องเข้ามาในดวงตาของผมดูจริงใจอย่างที่สุด เหมือนเขาพูดมาจากหัวใจ จากความรู้สึก ไม่ใช่คำปั้นแต่งเพื่อหลอกเด็กโง่ๆ อย่างผมหรอก

“น้องพีเชื่อคุณยะไหม” เขายิ้ม มืออุ่นๆ ยังวางทาบทับอยู่บนหลังมือของผมที่วางอยู่บนก้อนเนื้อที่เต้นรัวแรง

“เชื่อครับ” เวลาที่เขาทำดีกับผม ใจดีกับผม มองผมด้วยสายตาหวานซึ้ง มีหรือที่ผมจะไม่เชื่อทุกคำพูดของเขา ลืมไปแล้วว่าคุณยะที่แสนใจดีที่อยู่ตรงหน้าเคยร้ายกาจกับหัวใจผมอย่างไร ผมไม่จำและผมเลือกจะลืมมันไปเสมอ

“คุณยะรักน้องพีนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถ้อยคำที่ผมเฝ้ารอออกมา ดวงตาของเขายิ้มไม่ต่างจากริมฝีปาก จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม หวานซึ้งจนผิวแก้มของผมร้อนจัด หัวใจเต้นแรงและคล้ายจะหลุดออกมาจากอก

“น้องพีก็รักคุณยะ” ผมบอกเขาบ้าง ซึ่งผมก็เคยบอกรักเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง ต่างกันแค่ตอนนี้สติผมไร้ความมึนเมาครอบงำ “เป็นแฟนกับน้องพีนะครับ” ผมขอเขา อย่างน้อยสถานะของผมกับเขาจะได้ชัดเจนขึ้น ผมคงไม่ได้แก่แดดเกินไปใช่ไหม คงไม่หรอกเนอะเพราะวัยรุ่นแบบผมก็มีแฟนกันออกเยอะแยะ

“ข้ามไปเป็นอย่างอื่นเลยได้ไหม” เขาถาม ยิ้มล้อผมด้วย เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขำ “เป็นแฟนมันเด็กไป”

คำว่า ‘แฟน’ อาจจะเด็กไปอย่างที่เขาว่าก็ได้ เพราะคุณยะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาอายุมากกว่าผมไปตั้งกี่ปีล่ะ สิบหกปีเลยนะ แต่จะให้เรียกแบบพี่เลม่อนเรียก ผมก็ไม่เอาหรอก

“น้องพีไม่เรียกคุณยะว่า...” ผมลดเสียงลงก่อนเอาคำสุดท้ายออกมา “... ‘ผัว’ หรอกนะ” เพราะมันดูหน้าไม่อายเกินไป แล้วผมก็ยังเด็กอยู่ เรียนยังไม่จบมอปลายเลยด้วยซ้ำ

“ทำไมครับ ไม่ชอบเหรอ” เขาหัวเราะ มองผมอย่างเอ็นดู

“ไม่ได้หน้าด้านเหมือนพี่เลม่อนนี่นา” พูดถึงเจ้าของชื่อแล้วก็แอบสะใจนิดๆ ที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรกับคุณยะ หมายถึงความสัมพันธ์ทางใจนะ ส่วนร่างกายผมจะลืมๆ ไปก็ได้ เพราะคุณยะก็มีคู่ควงคู่นอนออกเยอะแยะ แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้เขาไปนอนกับใครอีกแล้ว นอกจากผมคนเดียว!

“ไม่พูดถึงคนอื่นนะครับ พูดแค่เรื่องของเราสองคน” เขาเอ่ยห้าม เหมือนยังอยากปกป้องไม่ให้ถูกพูดถึงในแง่ร้าย

“ทำไมน้องพีจะพูดไม่ได้” เสียงเริ่มขุ่น หน้าก็คงงอได้ที่แล้วเหมือนกัน อารมณ์พร้อมชวนทะเลาะเต็มที่ “น้องพีแตะต้องคนของคุณยะไม่ได้หรือไงครับ ไหนบอกว่าหัวใจของคุณยะเป็นของ...น้อง...อื้ออ...” วิธีหยุดเรื่องชวนทะเลาะของเขาคือประทับริมฝีปากของตัวเองบนกลีบปากผม สัมผัสอ่อนโยนก่อนจะเร่งเร้าให้ผมตอบรับ อนุญาตให้เขานำลิ้นแสนชำนาญของผู้ใหญ่เข้ามาภายใน กวาดต้อนให้ผมหลงลืมความขุ่นมัวในหัวใจ ผลักให้ผมตกลงไปในรสชาติของความรักที่หลอกล่อเด็กน้อยได้เสมอ

และกว่าริมฝีปากของผมจะถูกปล่อยเป็นอิสระก็เหนื่อยเพราะรสจูบของเขาจนตัวอ่อนปวกเปียก

“อยากให้คุณยะเข้าไปอยู่ไหม” เขาเปลี่ยนเรื่องที่ทำให้แก้มผมร้อนจัดยิ่งกว่ากองไฟ จากนั้นก็ลุกลามไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะส่วนอ่อนไหวที่เริ่มมีอารมณ์มาก่อนหน้านี้แล้ว (ตอนโดนจูบผมก็เริ่มมีอารมณ์) รวมทั้งช่องทางด้านหลังของผมด้วย

“.....” ไม่กล้าพูดแต่ความรู้สึกของผมมันต้องการเขา ผมใช้สายตาแทนคำตอบ มองหน้าเขาอายๆ มือทั้งสองข้างยกขึ้นไปประคองแก้มซ้ายแก้มขวาของคนตรงหน้า กระซิบบอกสิ่งที่น่าจะทดแทนกันได้ “...น้องพีรักคุณยะ” ซึ่งคนฟังก็เข้าใจ เขายิ้มออกมาอย่างถูกอกถูกใจ

“ไปที่ห้องทำงานนะครับ ห้องนี้เหม็นข้าวต้มที่เด็กดื้อทำหก” เขาพูดกระเช้า ดวงตาเป็นประกายเย้าหยอกแต่ก็แฝงอารมณ์ความต้องการในแบบเดียวกับผม

“ครับ” ผมก็ได้แต่ทำหน้าเอียงอาย แล้วพยักหน้ายินยอม มองเขาที่ดึงผ้านวมจากปลายเตียงขึ้นมาห่อคลุมตัวผม จากนั้นก็ช้อนตัวขึ้นมาอุ้มลงจากเตียง พาออกไปนอกห้องก่อนจะเลี้ยวไปยังห้องทำงาน ขนาดของห้องเล็กกว่าห้องนอนของคุณยะแต่ก็ถือว่ายังกว้างอยู่มาก

คุณยะอุ้มพาผมไปตามความมืดสลัวภายในห้องที่มีเพียงแสงของค่ำคืนผ่านเข้ามาทางผนังกระจกใสทั้งสองด้าน ทอดตัวลงมาตกกระทบโซฟาเบดหนังสีเทาเข้มและเขาก็วางผมลงไป ผมสะดุ้งนิดๆ ตอนสะโพกจมลงไปกับความนุ่มของโซฟา

“เจ็บมากไหม” เขาถาม ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าผม “ไหวหรือเปล่า”

“ไหวครับ...” ผมตอบอายๆ “...อยากให้คุณยะกอดน้องพี” เพราะผมอยากถูกเขาสัมผัสและจำช่วงเวลานั้นให้ได้มากกว่าเหตุการณ์เมื่อคืน

“คุณยะไม่อยากรังแกน้องพีเลย” พูดเหมือนอยากจะเปลี่ยนใจ

“ไม่เอา!” ผมร้องงอแงเอาแต่ใจทันที “น้องพีไหว น้องพีอยากให้คุณยะเข้ามา” ความอายก็ยังมีอยู่แต่กลัวจะไม่ถูกกอดมากกว่า เฮ้อ... ผมนี่น้า เป็นเด็กที่แก่แดดจริงๆ

คนฟังถึงกับขำ แววตาเขาเป็นประกายวิบวับเล่นกับแสงจันทร์ที่สาดเข้ามา ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่น่าอายไม่ต่างจากผมเลย

“คุณยะก็อยากเข้าไปในตัวน้องพีครับ” ร่างหนาขยับกายเข้ามานั่งตรงกลางระหว่างเรียวขาทั้งสองข้างของผม มือขวาของเขาจับเรียวขาของผมยกขึ้นจนผมต้องเท้ามือไปด้านหลัง เพื่อไม่ให้ตัวเองหงายหลังลงไป ส่วนเขาก็แนบริมฝีปากอุ่นจัดบนต้นขาด้านในเบาๆ

...เบาเสียจนผมสะท้านและอยากได้มากกว่านั้น

“อะ...คุณยะ...อึก...น้องพี...ยะ...อยาก...” คำพูดของผมมันขาดๆ หายๆ ตามอารมณ์ที่สะท้านสะเทือนจากภายใน

“อยากอะไรครับ...คนดี” เสียงทุ้มติดจะหยอกเย้าดังลอดออกมาจากริมฝีปากที่ยังจูบซับลงบนผิวเนื้อต้นขาด้านในอยู่อย่างนั้น... ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หรือว่าอยากให้คุณยะรักน้องพีตรงนี้” ริมฝีปากร้ายกาจเคลื่อนตัวขึ้นสูงอีกนิด ตรงที่คุณยะพูดคือส่วนอ่อนไหวที่ชูชันพองโตท้าทายสายตาของคนตรงหน้า

“อึก...คะ...ครับ...อ่าาาา...” ความอุ่นร้อนและชื้นแฉะที่โอบรัดความอ่อนไหวที่พองโตของผมเอาไว้เกือบทั้งหมด ทำเอาผมสะท้านไปทั้งตัว เสียงครางเครือหลุดลอดออกมาจากคออย่างน่าอาย ความเสียวซ่านแล่นลิ่วจากกึ่งกลางตัวกระจายไปทั่วร่างกาย แขนผมสั่นระริกหมดแรงจะแบกรับน้ำหนักตัวของตัวเองได้ จนต้องทิ้งแผ่นหลังให้จมลงไปกับความหนานุ่มของโซฟาสีเข้ม หลักยึดเดียวที่จะฉุดรั้งผมไม่ให้ขาดใจคือผมเส้นหนาของคุณยะที่ผมกำไว้เต็มแรงที่มี

ผมรู้สึกดีกับสิ่งที่คุณยะปรนเปรอมาให้ มันมากกว่าที่มือของผมทำเอง ยิ่งไม่ถูกกระตุ้นด้วยยาผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเก็บความสุขสมได้มากเหลือเกิน สุดท้ายสมองผมก็พร่ามัว แตกกระจาย ทุกอย่างรอบตัวผมมันพร่างพรายไปด้วยความสุขที่ถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งกระตุกก่อนปลดปล่อยสายน้ำสีขาวข้นออกมาในเวลาอันรวดเร็ว 

“...อ้ะ...อ๊าาา” เหนื่อยจนหัวใจกระเด็นกระดอนคล้ายจะทะลุออกมาจากอกเสียให้ได้

“คนดี...” ร่างหนาขยับกายขึ้นมาคร่อมทับ ใบหน้าหล่อเหลาแต้มรอยยิ้มโน้มลงมาใกล้ เพื่อให้ริมฝีปากของเขากับผมได้แนบชิดกัน ผมเปิดริมฝีปากออกต้อนรับเรียวลิ้นของอีกฝ่าย ที่มาพร้อมกับความชื้นแฉะของของเหลวบางอย่าง กลิ่นของมันคลุ้งกระจายและรสชาติที่ไม่น่าลิ้มลองเลยสักนิด

แม้จะมองไม่เห็นว่าคุณยะบีบบังคับอย่างอ้อมๆ ให้ผมกลืนรสชาติของอะไรลงไป แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“ของน้องพี” คำพูดที่ทำให้ผมอาย

“รู้แล้ว” ผมตอบไปอย่างอายๆ เมื่อปากของตัวเองเป็นอิสระ

“มีความสุขไหมครับคนดีของคุณยะ” เขาทิ้งตัวลงมานอนข้างกายผม จับตัวผมพลิกให้แผ่นหลังแนบไปกับแผ่นอกที่แสนอบอุ่นของเขา เราสองคนนอนหันหน้าออกไปนอกห้อง ผ่านกระจกใสที่ไร้ผ้าม่านบดบังสายตาจากท้องฟ้ายามที่มีเพียงแสงจันทร์กับแสงไฟลิบลับ

“มีครับ” มีมากๆ ด้วย โคตรของโคตรมีความสุข “น้องพีรักคุณยะ”

ยิ่งพูดผมก็ยิ่งรู้สึกรักเขา เจ้าของอ้อมกอดที่อบอุ่น เจ้าของริมฝีปากที่แนบสัมผัสนุ่มนวลลงมาบนขมับของผม

“อยากอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต” ผมหมายถึงได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาไปจนวันที่ผมหยุดหายใจ “คุณยะอย่าทิ้งน้องพีไปไหนอีกนะครับ อยู่กับน้องพี เป็นของของน้องพีไปตลอดชีวิตเลยนะครับ” ผมอ้อนขอ ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของคนคนนี้มีมานานแล้ว ตั้งแต่ที่เขาอยู่ในจอสี่เหลี่ยม อยู่ในที่ที่ผมเอื้อมไปไม่เคยถึง

“คุณยะจะไม่ทิ้งน้องพีไปไหน น้องพีก็ต้องอยู่กับคุณยะไปตลอดชีวิตเหมือนกันนะ” เขากระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นขึ้น ความอ่อนโยนแสนหวานประทับลงมาบนไหล่เปลือยของผมเบาๆ

“ครับ น้องพีจะอยู่กับคุณยะไปตลอดชีวิต” ไม่มีทางที่ผมจะไปจากเขา ต่อให้ผมเคยรู้สึกว่าไม่อยากเห็นหน้าเขา อยากหนีเขาไปสุดขอบฟ้า แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันจากไปแล้ว ราวกับว่าครั้งหนึ่งหรือหลายๆ ครั้งผมไม่เคยรู้สึกเกลียดเขาเลย

“คนดี...” เสียงกระซิบแผ่วเบาชิดอยู่กับผิวแก้ม ลมหายใจร้อนจัดเป่ารดลงมา ร่างกายหนาขยับแนบแน่น ความแข็งกร้าวเบื้องล่างรุนแรงและเรียกร้อง “...ยังต้องการคุณยะอยู่ไหมครับ”

ถ้าให้ผมเดาหรือไม่ต้องเดาก็ได้ เรียกว่าเรียนรู้จากสิ่งที่เห็นและรับรู้มาตลอด ผมว่า... คุณยะน่ะเป็นผู้ชายที่ห่างจากเรื่องบนเตียงไม่ได้ เขาต้องเป็นคนประเภทมีความต้องการสูงมากแน่ๆ

“คุณยะได้คำตอบไปตั้งนานแล้วนะครับ” ผมหันกลับไปจ้องดวงตาคมระยับที่ต้องแสงจันทร์อันน้อยนิด มองเขาด้วยสายตาเชิญชวนให้เขาทำอะไรกับผมก็ได้ เพราะทั้งตัวและหัวใจของผมเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

...ความรู้สึกของผม ร่างกายทุกอย่างของผม ไม่ได้เป็นความลับสำหรับเขาอีกแล้ว

“จะ...ไปไหนครับ” ผมดึงแขนเขาไว้ตอนที่เขาขยับตัวลุกขึ้น

“ไป...” เขาโน้มตัวลงมา กระซิบบอกเสียงเบาอย่างเจ้าเล่ห์ ไม่รู้ว่าจะกระซิบทำไมก็อยู่กันแค่สองคนเอง “...หาตัวช่วยให้น้องพีกินคุณยะให้ง่ายขึ้นครับ”

“ไปเลย!” เขาชอบทำให้ผมอาย

ถึงผมจะเด็กแต่ก็ไม่ได้เด็กมากจนไม่รู้ว่า ‘ตัวช่วย’ คืออะไร ยิ่งคำว่า ‘กิน’ ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิดว่าคือแบบไหน

แล้วทั้งห้องก็เหลือผมกับลมหายใจร้อนผ่าวของตัวเอง ผมหันหน้าไปมองท้องฟ้าสีราตรีที่ประดับด้วยแสงจันทร์อีกครั้ง มันสวยเหมือนดวงตาของคุณยะเลย แล้วผมก็ยิ้มให้มัน ผมรักค่ำคืนนี้ที่สุดเพราะมันเต็มไปด้วยความสุขกว่าช่วงเวลาไหนที่เคยผ่านมา ผมได้ฟังคำบอกรักของคุณยะ ดีใจที่เขารักผมเหมือนที่ผมรักเขา

...รักๆๆๆๆ

คำเดียวที่กรีดร้องกึกก้องในหัวใจของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง

.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
.

.

.

.


ไม่นานนักเสียงฝีเท้าของเจ้าของห้องก็ก้าวเข้ามา เขาทรุดตัวลงนั่งข้างหลังผม พอผมขยับตัวกลับไปหา เขาก็ดึงผมให้ลุกขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักเขา เวลานี้ร่างกายแข็งแกร่งของคุณยะมีเพียงเสื้อคลุมสีเทาเข้มคลุมทับ ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงทำงานเหมือนเมื่อกี้แล้ว

“หึหึ...แก่แดด” เขาหัวเราะแก้มหยอกล้อผม ตอนที่ผมดึงปมเชือกรัดเอวที่ผูกไว้ให้คลายออกจากกัน เปิดเผยให้เห็นว่าภายใต้เสื้อคลุมเนื้อดีมีเพียงผิวเนื้อล้วนๆ

“น้องพีแค่อยากช่วย” ผมยิ้มเอียงอายกับความใจกล้าของตัวเอง

เฮ้อ... มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้จะอายเยอะแยะไปทำไม อายได้พอประมาณ แต่จะให้อายม้วนเหมือนผู้หญิง ผมคิดว่าตัวเองไปไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ยังไงผมก็ผู้ชาย มีทุกอย่างเหมือนคุณยะนะ แค่ทุกอย่างของผมดูเล็กน้อยและเทียบกับคนมากวัยกว่าไม่ได้เท่านั้นเอง

“เดี๋ยวได้ช่วยอีกเยอะครับ...คนดี”

คำว่า ‘คนดี’ ที่ออกมาจากริมฝีปากของเขาหวานซึ้งเหลือเกิน ผมชอบ อยากเป็นคนดีของเขาไปตลอดชีวิต

ผมมองตามมือของคุณยะที่หยิบบางอย่างขึ้นมา

“อยากช่วยใช่ไหมครับ งั้นแบมือมา” พอเขาบอก ผมก็รีบเอามือออกจากไหล่หนาแล้วยื่นมันไปให้เขา จากนั้นเนื้อเจลก็ไหลลงมาอยู่ในอุ้งมือผมเป็นจำนวนมาก “รู้ใช่ไหมครับคนดีว่าต้องทำยังไง คุณยะไม่ต้องบอกใช่ไหม” ผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ถามยิ้มๆ

“.....” ผมไม่ตอบ เลือกที่จะใช้การกระทำเป็นคำตอบ

มือของผมสั่นอย่างมากตอนที่มันเคลื่อนตัวลงต่ำไปจนถึงความแข็งกร้าวที่ชูชันอวดความยิ่งใหญ่ของมันอย่างมั่นคงแข็งแรง หื้อ... มันร้อน พานทำให้มือของผมร้อนตาม ผมเลยได้แค่วางมือกุมมันไว้ ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน ความกล้าเกินเด็กหายไปเกินครึ่งเลยทีเดียว

“ไม่อยากช่วยคุณยะแล้วเหรอครับ”

“ก็...มันใหญ่...ร้อนด้วย” ผมพึมพำในลำคอ

“กลัวหรือครับ” เขาถามกลั้วรอยขำ “เมื่อกี้ยังเก่งอยู่เลย” แน่ะ! พูดล้อผมอีก 

“ไม่ได้กลัวสักหน่อย” ผมเถียงไปอย่างงอนๆ แกล้งงอนครับ ไม่ได้รู้สึกอยากงอนหรือชวนเขาทะเลาะหรอก อารมณ์แบบนั้นต้องตอนที่เขาใจร้ายใจดำใส่ผมก่อนเท่านั้นแหละ ผมถึงจะลุกขึ้นมาอาละวาด

“คนดี...” เอาอีกแล้วเรียกผมด้วยสุ้มเสียงนี้อีกแล้ว ฟังทีไรใจละลายทุกที “...แลกกันนะครับ น้องพีช่วยคุณยะตรงนี้ ส่วนคุณยะจะช่วยน้องพีตรงนี้เหมือนกัน” ว่าแล้วปลายนิ้วแกร่งชุ่มเนื้อเจลก็บอกว่าตรงนี้ของผมคือตรงไหน จะตรงไหนซะอีกถ้าไม่ใช่ช่องทางที่บวมช้ำของผม

“อึก!...จะ...เจ็บ...” เนื้อตัวผมสั่นสะท้านไปหมด น้ำตาร่วงทันทีเมื่อนิ้วนั้นชำแรกผ่านรอยเข้ามาอย่างไม่ทันให้ผมตั้งตัว ที่เจ็บอยู่แล้วก็เลยยิ่งเจ็บขึ้นอีก ผมปล่อยมือจากความแข็งกร้าวของคุณยะและเอามันมาจับแขนทั้งสองข้างของเขาไว้ “...คะ...คุณยะ...ฮื่อ...น้องพีเจ็บ...ฮึก...” ร่างกายผมไม่ไหวแล้ว ราวกับว่านิ้วนั้นกำลังฉีกทึ้งร่างของผมออกจากกัน

“เจ็บมากไหมครับคนดี” เขาใช้ริมฝีปากซับน้ำตาบนสองแก้มของผม

“มะ...มาก...น้องพี...ฮื่อ...” ร่างกายกรีดร้องให้ผมอ้อนวอนขอให้เขาถอนนิ้วออกไป แต่หัวใจและความรู้สึกของผมกลับต่อต้าน

“คุณยะอยากเห็นคนดีร้องไห้” แววตาที่ฉายอยู่ในกรอบตากว้างเป็นประกายลึกล้ำ ยิ้มของคุณยะประหลาดกว่าทุกที

“...ฮึก” ผมไม่เข้าใจที่เขาพูด

“อยากเห็นคนดีของคุณยะเจ็บปวด” ยิ่งเขาพูด ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“ทะ...ทำไม...”

“อยากเห็นน้องพีแหลกสลายด้วยมือของคุณยะ...คนเดียว”

“ใจร้าย...ฮึก...อ๊ะ...อ๊าาา” ยังไม่ทันหายจากความเจ็บปวดเดิม ความรู้สึกที่ทวีขึ้นก็ตามมาติดๆ นิ้วชุ่มเนื้อเจลแทรกผ่านเข้ามาเพิ่ม จากหนึ่งเป็นสอง ผมแทบหยุดหายใจ ไม่สิ ลมหายใจของผมหายไปหลายวินาทีเลยแหละ

“เจ็บไหม” เขาถาม น้ำเสียงมีความสุขกับทุกความเจ็บปวดของผม

“เจ็บมากครับ...ฮึก...น้องพีเหมือนจะตายเลย” ตอบตามที่ตัวเองรู้สึก “แต่น้องพียัง...ฮึก...ไหว” แล้วเขาก็ยิ้มกับคำตอบของผม

“เก่งมากครับคนดีของคุณยะ” เขาชมผม ทำเอาหัวใจผมพองโตได้อีกครั้ง ไม่ต่างจากคำบอกรักของเขาที่ทำให้หัวใจผมชุ่มฉ่ำไปก่อนหน้านี้ แต่แล้วเขาก็กระชากลมหายใจของผมทิ้งอีกครั้ง

“อ๊าาา!...น้องพี...ฮึก...เจ็บ...” นิ้วที่สามแทรกเข้ามาอย่างแรง ตัวผมอ่อนปวกเปียกเพราะความเจ็บปวดที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย แขนขาอ่อนแรงแทบไร้ความรู้สึก

“แต่คุณยะชอบ”

คำว่า...โรคจิต โผล่เข้ามาในหัวผมทันที

“คุณยะแค่ชอบที่เห็นน้องพีเจ็บปวด” เขาบอกเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ “...และมันทำให้คุณยะมีความสุข”   

“เกิดน้องพีตายขึ้นมา...อ๊ะ...อ๊าา...!!” ผมยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหลุดเสียงกรีดร้องออกมาทันที เพราะนิ้วชุ่มเนื้อเจลกำลังขยับเข้าออกในช่องทางคับแคบของตัวเอง ทุกการเคลื่อนไหวไม่ได้อ่อนโยนเหมือนน้ำเสียงเจ้าของนิ้วสักนิด

“ถ้าน้องพีตาย คุณยะก็จะตายตาม... ดีไหมครับ” แล้วเขาก็ถอนนิ้วทั้งสามออกมา บีบเนื้อเจลลงไปในอุ้งมือ ก่อนจะชโลมลงบนความเป็นชายของตัวเอง ขณะที่ยังจ้องมองผมด้วยดวงตาคมเป็นประกายระยิบระยับมากความต้องการ

“คุณยะ...” ผมเองก็ต้องการเขาเช่นกัน ความเจ็บปวดที่ร้าวไปทั้งร่างแต่ก็ไม่ทำให้ผมตาย ผมจึงไม่หลาบจำ ยังอยากจะให้ความเจ็บปวดเจียนตายนั้นซ้ำเข้ามา ทุกอย่างก็เพื่อความสุขของคนที่ผมรัก “...เข้ามา”

“เอาคุณยะเข้าไปเองได้ไหม” คำถามที่ไม่ต่างจากคำสั่ง “ยกตัวขึ้นมา แล้วกินคุณยะให้เร็วที่สุด” และผมก็เชื่อฟังอย่างไม่คิดจะหลีกหนีความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นตามมา เด็กแบบผมก็แค่อยากทำให้คนที่ตัวเองรักมีความสุข ต่อให้เจ็บปวด มันก็แค่นั้น ไม่นานมันก็จางหาย 

ผมยกสะโพกขึ้นจากตักอย่างเชื่องช้า ขยับเข้าไปใกล้ความแข็งกร้าวที่ชุ่มเนื้อเจล หัวใจของผมเต้นรุนแรงจวนจะหลุดออกมา ส่วนหนึ่งเพราะกลัวความเจ็บปวดที่ต้องเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความตื่นเต้นที่จะได้กลืนกินความยิ่งใหญ่เข้าไปในร่างกายของตัวเอง

...ผมกับคุณยะกำลังจะเชื่อมเข้าหากันและเป็นหนึ่งเดียวกัน

ส่วนคุณยะ เขานั่งเอนตัวไปข้างหลัง สองแขนเท้าอยู่บนโซฟาเบดรองรับน้ำหนักตัวเอาไว้ ดวงตาสีราตรีจับจ้องที่ใบหน้าผม สายตานั้นมองมาราวกับจะท้าทายและยั่วยวนให้ผมฮึกเหิม

มือสั่นๆ ของผมสัมผัสเข้ากับความเป็นชายที่ร้อนระอุของคุณยะ ผมกอบกุมมันไว้ สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะทำให้ตัวเองเจ็บปวดอย่างที่สุดด้วยการกดสะโพกลงไปบนความแข็งกร้าวนั้น

ฉึก!!

ผมกำลังจับมีดมากรีดร่างของตัวเองชัดๆ น้ำตาผมไหลพราก ราวกับว่าจะใช้มันกระชากปลายมีดแหลมคมออกไปจากร่างกาย แต่ก็ไม่ เพราะผมยังจับมีดเล่มนั้นไว้แน่น แบบที่ไม่ยอมให้มันหลุดออกไปจากมือ จากนั้นก็แทงตัวเองซ้ำอีกครั้ง กดเน้นจนลมหายใจขาดหายไปทีละน้อย ในม่านน้ำตาที่ผมเห็นคือรอยยิ้มพึงพอใจของคนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะขยับขึ้นมานั่งหลังตรง มือทั้งสองข้างวางลงมาบนช่วงเอวของผม

“น่าสงสาร” ถึงเขาจะพูดด้วยเสียงทุ้มหวาน ฟังดูเห็นอกเห็นใจความเจ็บปวดของผม ปากก็จูบซับน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยนเอาอกเอาใจ แต่แววตาไม่ได้บอกว่าสงสารผมสักนิดเลย มันบอกถึงความสุขที่ได้เห็นผมเจ็บปวดต่างหาก ผมควรจะโกรธเขาใช่ไหม แต่ก็ไม่อีกนั่นแหละ รู้สึกภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ใกล้เขาขนาดนี้ ได้เห็นในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น... ตัวตนของคุณยะ

“สะ...สงสาร...ไม่จริง” ผมแกล้งตัดพ้อด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น 

“ไม่จริงต้องแบบนี้ครับคนดี” อุ้งมือใหญ่เปลี่ยนจากวางอยู่เฉยๆ เป็นกำเอวผมแน่นขึ้น วินาทีนั้นผมยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด มาเข้าใจอีกทีก็เมื่อ... เขากดตัวผมลงไปจนสะโพกกระแทกลงบนหน้าตักของเขาอย่างรุนแรง ความร้อนระอุเหมือนจะทะลุออกมาจากหน้าท้องของผมเสียให้ได้

“อ๊ะอ๊าา...!!!” เสียงหวีดร้องที่ดังลั่นกว่าครั้งไหน ยาวนานจนวิญญาณผมร่วงหล่น เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนคนไม่มีกระดูก น้ำตาทะลักออกมาจากเบ้าตาไม่ต่างจากทำนบแตกอยู่บนแผ่นอกที่ผมซบหน้าลงไป สภาพผมตอนนี้เรียกว่าใกล้ตายเลยก็ว่าได้

“คนดี...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” มือหนาลูบแผ่นหลังปลุกปลอบให้ความเจ็บปวดบรรเทาลง

“...ฮึก” ไม่มีคำตอบหลุดลอดออกมาจากกลีบปากผม นอกจากเสียงสะอื้นแผ่วเบาหลังจากที่เสียงกรีดร้องนั้นหมดลง ผมไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบอะไรได้อีก แถมสภาพผมก็คงตอบคำถามไปหมดแล้ว

“โอ๋ๆ คนดี ไม่ร้องนะครับ ไหนให้คุณยะดูหน้าหน่อย”

“อ๊ะ...อึก...” ผมแทบไม่อยากขยับตัวออกมาจากอกกว้างนี้เลย แต่ก็ฝืนเอาตัวออกมาเพื่อทำตามคำขอของเขา ความเจ็บเจียนตายแล่นลิ่วไปทั่วร่างอีกครั้ง ต้องกัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวดนั้นลงไป ทั้งที่ช่องทางบวมช้ำเจ็บจนชาไปแล้วนะ ส่วนข้างในนั้นก็แน่นจนอึดอัด จุกจนไปถึงหน้าท้องเพราะความยาวที่แทรกกลางเข้ามาลึกมาก

ใบหน้าผมถูกประคองด้วยสองมือของเขา นิ้วโป้งทั้งสองข้างช่วยเช็ดน้ำตาออกไปจากแก้ม แต่ก็ยังไม่หมดง่ายๆ ผมยังสะอื้นและน้ำตายังคงไหลเต็มแก้มอยู่เช่นเดิม

“จะทำให้คุณยะหลงไปถึงไหนครับคนดี” ความเจ็บปวดและสายน้ำตาของผมกำลังได้รับคำชื่นชม “สวยงามอย่างที่คุณยะคิดไว้จริงๆ”

“ฮึก...ตะ...ตลอดชีวิต...ดะ...ได้ไหม...”

อย่าว่าแต่เขาหลงผมเลย ผมก็หลงเขาเหมือนกัน และอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ นั่นเพราะประสบการณ์ยังน้อยเกินกว่าจะต้านทานคำหอมหวานของผู้ใหญ่อย่างเขาได้

“ได้สิครับคนดี” ริมฝีปากร้อนแนบลงบนแก้มชื้นแฉะด้วยน้ำตาของผม เขากัดมันนิดๆ ให้ความรู้สึกเจ็บแต่ไม่มาก “น้องพีคนดีของคุณยะขออะไร คุณยะให้ได้ทั้งนั้น...อ่า...แต่ตอนนี้...ทำร้ายตัวเองให้คุณยะดูหน่อยได้ไหม”

“.....” ผมกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ เริ่มกลัวคำพูดของเขาขึ้นมานิดๆ ยิ่งอะไรที่เต้นตุบๆ ในช่องทางด้านหลังก็พลันน่ากลัวขึ้นมา

“.....” พอผมเงียบ เขาก็เงียบตาม ทว่าสายตาไม่ได้เงียบตามไปด้วย ราวกับว่าลูกตาสีดำในกรอบตากว้างมีพลังอำนาจลึกลับที่ผมไม่อาจต่อต้านความต้องการของเจ้าของมันได้ ความกลัวต่อให้มีมากแค่ไหนก็พ่ายแพ้

สะโพกสั่นระริกขยับขึ้นเพียงแค่นิดเดียวแต่กลับใช้พลังอย่างมหาศาล นิ้วของผมจิกลึกลงไปบนไหล่กว้างเพื่อระบายความเจ็บปวดออกไปจากร่างกาย แต่ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ผมยังเจ็บจนต้องทิ้งสะโพกลงไปหาหน้าขาแกร่งอย่างเดิม หอบหายใจจนตัวโยน มีมือเจ้าของตักช่วยปลุกปลอบให้คลายความเจ็บปวดไปได้บ้าง... ก็แค่นิดเดียว

“อื้ออ...น้องพี...ฮึก...เจ็บ...” น้ำตาไหลพรากๆ ก่อนจะถูกรวบเข้าไปจมอยู่ในแผ่นอกกว้าง

“คุณยะขอโทษ” กระซิบแผ่วหวานข้างแก้ม “ให้คุณยะเอาออกไหม” พร้อมกับยกตัวผมขึ้น ช่องทางของผมกำลังคายตัวตนของคุณยะออกมาอย่างเชื่องช้า ความอึดอัดเริ่มลดน้อยลงไป แต่หัวใจกลับได้รับผลกระทบยิ่งกว่า

“ไม่ต้องครับ” ผมรีบบอก ขืนตัวเองเอาไว้ไม่ให้เขายกตัวผมขึ้นสูงกว่านี้ “น้องพีไหว”

“แน่ใจนะครับ” เขาให้ผมตัดสินใจอีกครั้ง คำตอบของผมก็ยังเป็นความตั้งใจเดิม

“ครับ” อย่าว่าแต่ความเจ็บปวดที่ผมหาให้เขาได้ แม้แต่ดาวเดือนหรือดวงตะวัน หากคุณยะต้องการ ผมก็จะเอามันมาให้เขาให้ได้ ...ความรักของเด็กคนหนึ่งยิ่งใหญ่เสมอ

“คนดี” เขายิ้มพอใจ “พร้อมจะกินคุณยะหรือยัง” 

“ครับ” ผมพยักหน้า เป็นอีกครั้งที่ต้องสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนมันออกมา มองสบตากับเขา หัวใจยิ่งสั่นไหว ตกหลุมรักใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มลึกลับมากยิ่งขึ้น ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเตรียมพร้อมจะทรมานร่างกายตัวเองเพื่อความสุขของเขา

“มองหน้าคุณยะนะครับ” เขาท้วง ผมจำต้องลืมตาขึ้นมามองรอยยิ้มที่ล้นความสุขสมใจของเขา “คุณยะอยากเห็นน้ำตาของน้องพี มันสวยงามมากรู้ไหมตอนที่น้องพีร้องไห้เพราะคุณยะ” ความต้องการของเขาแปลกประหลาด

“.....” ผมก็ได้แต่กัดปากตัวเอง ไม่รู้จะตอบสนองกับคำพูดของเขาอย่างไรดี

“อย่ากลัวคุณยะเลย คุณยะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น” เขาพูดพร้อมหัวเราะออกมา

“เปล่ากลัวสักหน่อย” ผมรีบปฏิเสธ   

“งั้นก็เริ่มสิครับ คุณยะรออยู่” พูดจบเขาก็ขยับสะโพก ส่วนที่อยู่ในช่องทางคับแคบของผมก็พลอยจะขยับตามไปด้วย เสียดแทงจนเจ็บจุก

“อ๊ะ...”

“หรือว่าไม่อยากทำแล้ว” สีหน้าของเขาผิดหวัง ผมอยากเห็นใบหน้ามีความสุขของเขามากกว่า เลยรีบตอบกลับเขาไปว่า

“อยากครับ”

“คนดีของคุณยะ น่ารักที่สุด” คำหวานของเขามีอิทธิพลกับผมเสมอ ผลักให้ผมมีแรงฮึดที่จะทำให้เขามีความสุข

เด็กๆ เวลามีความรักก็แบบนี้แหละครับ ทุ่มเททุกอย่าง ไม่นึกถึงความผิดหวัง ไม่เผื่อใจไว้กับคำหลอกลวง เพราะประสบการณ์ที่ถูกหักหลังยังมีน้อยเกินไป ยิ่งคำพูดจากปากของคนที่เรารัก พูดอะไรออกมาก็พร้อมจะเชื่อและทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

“อ๊า...!” ผมยกตัวและกระแทกลงไป เจ็บจวนเจียนจะหยุดหายใจ ไม่มีเวลาพักให้ความเจ็บปวดนั้นเจือจาง เพราะผมเคลื่อนตัวขึ้นและลดตัวลงไปครอบครองตัวตนของคุณยะซ้ำๆ ราวกับว่าไม่รู้สึกอะไรเลย

“อย่างนั้นคนดี” มีอุ้งมืออุ่นช่วยประคับประคองไม่ให้ผมร่วงหล่นลงไปจากตักสลับกับลูบแผ่นหลังผมเป็นระยะ

“ฮึก...คุณยะ...อ๊า!” ไม่รู้แล้วว่าบดเบียดตัวเองลงไปยาวนานแค่ไหน เพราะสมองมันจดจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากความแข็งกร้าวที่เสียดแทงอยู่ในร่างกาย... และความพึงพอใจของคุณยะ

“ดีมาก... คนดี...อ่า...” 

“...คุณยะ” ผมร่ำร้องเรียกแต่ชื่อของเขา เข้าใจแล้วว่ายามที่เรามีความสุขแม้ร่างกายจะเจ็บปวด ยังไงชื่อของคนที่เรารักก็ไม่เคยหายไปจากริมฝีปาก

“คนดีของคุณยะ...ร้องออกมาดังๆ คุณยะอยากฟัง” เสียงพร่าด้วยอารมณ์ของเขาดังอยู่ข้างหู และแก้มของผมกำลังถูกฟันคมๆ กัดกินอย่างเอร็ดอร่อยทั้งที่มันเปรอะไปด้วยสายน้ำตา

ผมกรีดร้อง... เขาก็ยิ่งกัดกินแก้มผม

“คุณ...ฮึก...ฮื่ออออ...คุณยะ...น้องพีเจ็บ...” ทั้งที่ร้องออกมาขนาดนั้น ผมก็ยังไม่หยุดทำร้ายตัวเอง ยังคงทำตามทุกความต้องการของคนตรงหน้า ในม่านน้ำตาผมเห็นเพียงรอยยิ้มที่ล้นความสุขของคุณยะ

ในใจมีคำถาม... ว่าความเจ็บปวดของผมทำให้เขามีความสุขได้มากขนาดนี้เชียวหรือ เขาถึงได้เอาแต่ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม เขายิ้มจนผมต้องยิ้มตาม ทั้งที่หน่วยตาไม่เคยไร้เม็ดน้ำตาแม้แต่วินาทีเดียว เช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่ทรมานลมหายใจของผมอยู่ทุกวินาที

“ทนได้ไหมคนดีของคุณยะ อีกนิดเดียว”

“ดะ...ได้...ฮึก...” ผมขยับร่างกายต่อไป โหมแรงลงไปเท่าที่จะพอมี สิ่งที่พองโตคับแน่นอยู่ในร่างกายกำลังมีอาการที่เปลี่ยนไป บอกว่าอีกไม่นานสายน้ำของมันจะทะลักทลายออกมา

“อืมม... น้องพี” ร่างกายแข็งแกร่งเกร็งกระตุก มือหนาบีบเอวผมแน่นขึ้น จากนั้นเขาก็บังคับทุกการเคลื่อนไหวของผม

“อ๊ะ...” ผมก็ได้แต่ไหลไปตามกำลังของอีกฝ่าย ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณยะ... ความเจ็บปวดของผมก็ด้วย

“คนดี...อะ...อ่าา...”

“อา...อ๊า!” ผมกระตุกเกร็งไปพร้อมกับตัวเขา วินาทีที่ลาวาสีขาวของผมพุ่งออกมาจากส่วนปลายสีแดงก่ำ สายน้ำอุ่นร้อนก็ฉีดเข้ามาในช่องทางคับแคบแบบที่ผมรู้สึกได้

คุณยะปล่อยเข้ามาในตัวผม!

ผมชะงักกับความจริงที่เกิดขึ้น แม้จะยังหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า เม็ดเหงื่อท่วมเต็มตัว แต่ผมก็เริ่มกลัวสิ่งที่เข้ามาในตัวเอง ไม่สิ มันเข้ามาตั้งแต่เมื่อคืนแบบไร้เครื่องป้องกัน และเหมือนเขาจะรู้ เขาถึงได้ยิ้มตอนที่เอ่ยออกมาว่า

“คุณยะปลอดภัย สวมถุงทุกครั้ง” คำพูดของเขาน่าเชื่ออยู่พอสมควร เพราะเมื่อคืนตอนที่ผมเปิดประตูมาเจอเขาก็ทันเห็นว่าเขาใช้ถุงยางตอนมีอะไรกับพี่เลม่อน แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย ก็เพราะทานตะวันกับถิรนั่นไง

“แล้วซันกับแซนมาได้ยังไงครับ” เสียงผมขุ่นโดยไม่รู้ตัว เขาถึงกับหัวเราะ มือก็ช่วยเช็ดทั้งเม็ดเหงื่อและน้ำตาจากแก้มผมไปด้วย ตอนนี้ผมหยุดร้องไห้แล้ว

“อันนั้นครั้งแรก คุณยะเมาเลยลืม” เขายิ้มเจื่อนๆ เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้

“เหอะ! แสดงว่ามีครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า” ผมยกเอาคำพูดของเขาตอนที่ดุผมเรื่องดื่มเหล้าสูบบุหรี่มาย้อนบ้าง

“ใช่ครับ”

แน่ะ! ยังมีหน้ามายิ้มอีก ผมอ้าปากจะด่าเขาแล้วนะ ไหนว่าใส่ถุงทุกครั้ง พอมีครั้งแรกก็มีครั้งที่สอง แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองปลอดภัย แต่เขาชิงพูดให้ผมได้ยิ้มซะก่อน

“ครั้งที่สองก็เมื่อคืน ครั้งที่สามก็ตอนนี้” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม ตาพราวระยับ น่าหมั่นไส้ที่สุด “ส่วนครั้งที่สี่ ห้า หรือจะหกเจ็ดแปดเก้า...จะมีหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับน้องพีคนเดียว” พูดแบบนี้แก้มผมก็ร้อนน่ะสิ

“น้องพีอนุญาต” แก้มร้อนจัด แต่ปากขยับไปตามที่หัวใจสั่ง

“กลัวคุณยะไหมคนดี” แววตาของเขาเหมือนจะซ่อนความหวั่นไหวไว้นิดหนึ่ง

“ไม่ครับ” ผมรีบส่ายหน้า “น้องพีรักคุณยะ ชอบทุกอย่างที่เป็นคุณยะ โดยเฉพาะตอนที่คุณยะใจดีกับน้องพี คุณยะต้องใจดีกับน้องพีเยอะๆ ห้ามใจร้ายกับน้องพีอีกแล้วนะ” ไม่ลืมจะอ้อนขอเขาด้วย

“น่ารักขนาดนี้ คุณยะจะใจร้ายใส่ได้ยังไง มีแต่อยากรักอยากกอดเอาไว้แน่นๆ ไม่ให้ใครมาเอาน้องพีไปจากคุณยะได้” เขาดึงตัวผมเข้าไปกอดแนบอก ความเจ็บปวดตรงส่วนนั้นจี๊ดขึ้นมาอีก เพราะของเขายังอยู่ในตัวผม

“น้องพีก็จะกอดคุณยะไว้แน่นๆ เหมือนกัน ไม่ยอมให้ใครมาแย่งเอาคุณยะไปจากน้องพีได้หรอก” ต่อให้มีอีกสิบพี่เลม่อน ผมก็ไม่กลัว ในเมื่อคุณยะรักผม เป็นของผมแล้ว ผมก็ไม่ยอมยกให้ใครง่ายๆ หรอก “แต่คุณยะก็ห้ามไปนอนกับใครอีกนะ ถึงจะใส่ถุงก็เถอะ น้องพีไม่อนุญาต เพราะคุณยะเป็นของน้องพีได้คนเดียวเท่านั้น สัญญากับน้องพีมาเลย ว่าจะไม่ไปนอนกับใครอีกแล้ว แม้แต่พี่เลม่อนก็ห้าม” ผมเอาตัวเองออกมาจากอกอุ่นๆ ของเขา มองเข้าไปในดวงตาสีดำอย่างคาดคั้นเอาคำสัญญาจากปากของเขา

“อ้าว... แล้วคุณยะจะนอนกอดใครได้บ้างล่ะ คุณยะขี้เหงานะ ไม่มีใครให้กอดคงนอนไม่หลับทั้งคืน”

เหอะ! ผมอยากจะย้อนเขาไปว่า...ขี้เหงาหรือขี้เอากันแน่ แต่กระดากปากเกินจะพูดแบบนั้นออกไป

“กอดน้องพีไง”

“กอดทุกวันได้หรือเปล่าครับคนดี” ลูกตาพราวระยับเลย

“ได้” ไม่เห็นเป็นไรเลยใช่ไหม ผมกับคุณยะรักกัน มีอะไรกันก็ไม่เห็นแปลก มีทุกวันก็คงไม่แปลก

“เอานิ้วมาเลย คุณยะจะจับเซ็นสัญญา” เขาหัวเราะ ยกนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้าผม ผมก็ไม่รอช้า ยกนิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วเขาทันที ก็ผมรอคอยเวลานี้มานานสองนานแล้วนี่นา “สัญญาแล้วนะว่าจะให้คุณยะกอดทุกคืน”

“สัญญาครับ” ผมกับเขาเขย่ามือกันไปมา “คุณยะก็สัญญากับน้องพีแล้วนะว่าจะมีแค่น้องพีคนเดียว กอดน้องพีคนเดียว จะไม่กอดใครนอกจากน้องพี”

“สัญญาครับคนดีของคุณยะ”

“น้องพีมีความสุข” สุขจนล้น เหมือนความฝัน แต่ค่ำคืนนี้คือความจริงที่สุด

“คุณยะก็มีความสุขครับ”

“รักคุณยะ”

“รักน้องพี”

แล้วผมกับเขา เราสองก็ยิ้มให้กัน มองนิ้วที่เกี่ยวกันเป็นสัญญาแสนหวาน คำสัญญาของความรักที่จะมีกันและกันตลอดไป

...ผมจะไม่มีใครนอกจากเขา

...เขาจะไม่มีใครอีกแล้วนอกจากผม

“คนดี”

“ครับ”

“คุณยะอยากเห็นน้องพีเจ็บปวดอีกแล้ว”

“อยากให้น้องพีทรมานตัวเองอีกหรือครับ” และผมก็เล่นไปตามความต้องการของเขา มันง่ายที่ผมจะเอาใจเขา เอาใจคนที่ผมรัก ให้ทุกอย่างที่เขาอยากได้เพียงเพราะผมรักเขา

“รู้ใจคุณยะ” เขายิ้ม “แบบนี้จะไม่ให้หลง ไม่ให้รักได้ยังไง”

ก็แบบนี้ไงจะไม่ให้ผมยอมเขาทุกอย่างได้ยังไง ผมหลงเขายิ่งกว่าอะไรซะอีก หลงคำหวาน หลงคำสัญญา หลงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา หลงจนไม่จำอะไรอีกแล้ว ลืมไปแล้วว่าความสุขไม่ได้อยู่กับผมนานนักหรอก มันแค่เกิดขึ้นมาเหมือนสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยง ก่อนจะลับหายไปกับท้องฟ้าสีดำทะมึน เหลือไว้เพียงซากปรักหักพังจากสิ่งที่ฟาดฟันลงมาอย่างโหดร้าย

พอถึงวันใหม่ ผมถึงได้รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเมื่อคืนมีความจริงอยู่เพียงครึ่งเดียว... ครึ่งเดียวที่เป็นความจริงคือความรู้สึกของผมเพียงแค่คนเดียว สำหรับเขา ไม่มีแม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียวที่เป็นของจริง

คำหวาน

คำสัญญา

คำบอกรัก

‘คุณยะรักน้องพี’ ก็แค่คำเหม็นเน่าที่หลงเข้าใจผิดว่าเป็นคำหอมหวานของความรัก...

จบตอนที่ 17

พูดกันสักหน่อย :: เอาจริงๆ ไม่อยากแต่งส่วนที่ 3 เลย // อาย 555+
ไม่อยากทำร้ายน้องพี แต่มือมันไปเอง T^T
ต่อไปจะเบาๆ ฉากแล้วนะ อาจจะไม่มี เกรงใจน้องพี 55+  :-[ :-[
ส่วนเลม่อนนั้น น้องก็รักของน้องเนอะ ก็ไม่อยากให้ใครมาเอาคุณยะของตัวเองไป

สีเหลืองอ่อน


ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ปรับอารมณ์ไม่ทัน ทะเลาะกันอย่างกับจะฆ่ากันตายสุดท้าย...กันเฉย แถมหวานเจี๊ยบบบบบบ เอิ่ม....... :katai1:

ว่าแต่คุณยะนี่เกลียดไรพ่อแม่น้องพีป่ะ เลยเอามาลงกับลูก ไม่แฟร์กับเด็กเลย

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
คุณยะเกลียดน้องพีมากเลยใช่ป่ะ
เริ่มวางแผนทำลายน้องพีตั้งแต่ครั้งแรก
ที่สั่งให้น้องพีเรียกว่าคุณยะแล้วใช่ไหม
คุณยะใจร้ายกับน้องพีจังเลยน๊าาาา
ปล่อยให้เลม่อนเข้ามาทำร้ายน้องพีได้
นี่ก็คงเป็นอีกแผนที่ไว้ใช้ทำลายน้องพีซินะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ย ๆๆ เพิ่งได้มาตามอ่าน
ความคุณยะนี่มันน่าโมโหจริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด