พิมพ์หน้านี้ - **รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: i_ang ที่ 06-09-2018 20:13:45

หัวข้อ: **รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 06-09-2018 20:13:45
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************ *************************

เกริ่นนำก่อนน้าาา
รัก...คือคำตอบ (Love is the answer)
นิยายเรื่องยาวลำดับที่ 4 ของซีรีส์ "รัก..."

ในซีรีส์นี้มีอยู่หลายเรื่องนะคะ
ที่จบไปแล้วก็จะมีเรื่อง
"รัก...เธอ" ตินลม
"รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า
"รัก...ได้ไหม" อิงหนึ่ง

สีเหลืองอ่อน
ปล.บทนำอยู่คอมเมนต์ล่าง
เรื่องนี้จะพยายามอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ตอน ตามกำลังปั่นนะคะ
[/color]




หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- บทนำ (6-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 06-09-2018 20:16:08
บทนำ

“พี่พี”

“...”

“พี่พีครับ”

“...”

“พี่...”

“มีอะไรครับ”

ผมหันไปหาเสียงเล็กๆ จากคนตัวเล็กๆ ที่เรียกชื่อผม คนตัวเล็ก หน้าหวาน ดวงตากลมโต ขนตายาวและงอนโดยธรรมชาติ แก้มขาวราวน้ำนมกับผมเส้นเล็กย้อมสีน้ำตาลอ่อน ไม่ต่างกับสีของดวงตากลมโตนั้น ไม่ใช่ผมไม่ได้ยินที่คนตัวเล็กเรียก เพียงแต่ผมกำลังตกอยู่ในสภาพอาการที่คล้ายหัวใจใกล้หยุดเต้นเต็มที

“อยากสั่งอะไรเพิ่มหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามด้วยความพยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้เสียงตัวเองเป็นปกติมากที่สุด ตอนนี้ผมกำลังนั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่งกับคนตัวเล็กที่ผมทำความรู้จักได้เพียงแค่สามวัน

คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อยๆ และเอ่ยถามผมในอีกเรื่องหนึ่ง

“พี่พีรู้จักคุณอารยะเหรอครับ”

กึก...

‘คุณอารยะ’

คือผู้ชายที่มากวัยกว่าผม คนที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับหญิงสาววัยใกล้เคียงกัน เธอคนนั้นอยู่ในชุดสูทกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างสูงโปร่งดูทะมัดทะแมงและมีใบหน้าสวยงาม เธอคือคนที่รู้ทุกความสัมพันธ์ของผมกับเขา แต่ทำไมเธอถึง...

ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามของเด็กผู้ชายวัยยี่สิบเอ็ดปี แต่กลับตั้งคำถามในแบบเดียวกัน

“เตย...รู้จักเขาเหรอ?” ผมจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตใสซื่ออย่างรอคำตอบ จากนั้นคนถูกถามก็ก้มหน้ามองมือตัวเอง เพื่อหนีแววตาคาดคั้นและจับผิดของผม

“คือเตย...” ปากเล็กๆ เอ่ยออกมาแค่นั้น ส่วนตากลมโตที่ยามนี้ได้ช้อนขึ้นมามองหน้าผมก็บรรจุไปด้วยความหวาดกลัวที่จะต้องบอกความจริงกับผม

“ตอบ!” ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผู้ชายกับผู้หญิงที่ผมรู้จักเดินเข้ามา หัวใจผมเต้นช้าลง จนเหมือนว่าจะหยุดเต้นเสียให้ได้ ทว่าตอนนี้มันกับเต้นรัวเร็วและความรู้สึกที่ร้อนยิ่งกว่าไฟ

“...” ปากเล็กๆ ที่ผมเคยได้ครอบครองยังคงปิดแน่น ใบหน้าขาวใสซีดจาง

“เคยนอนกับเขาแล้วสินะ” เมื่อคนตัวเล็กไม่ตอบ ผมก็เลือกที่จะตอบคำถามของตัวเองแทน

“...” ใบหน้าซีดจางยิ่งซีดลงอีก เป็นคำตอบที่ทำเอาผมกำหมัดแน่น กัดปากตัวเองเพื่อข่มความรู้สึกเดือดดาลไม่ให้เล็ดลอดออกมาแม้แต่คำเดียว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดึงกระเป๋าเงินออกมา ก่อนหยิบเงินทั้งหมดในกระเป๋าออกมาและวางมันบนโต๊ะตรงหน้าคนตัวเล็ก... คนที่ผมคงไม่มีวันที่สี่ให้กับเขาอีกแล้ว

“แต่ตอนนี้ผมไม่ได้นอนกับเขาแล้วนะครับพี่พี” มือเล็กๆ รั้งแขนผมไว้ ตอนผมจะหันหลังเดินจากไป “ตอนนี้ผมมีแต่พี่ ผมรักพี่พีคนเดียว”

หึ... รักเหรอ ?

ผม...เกลียดคำนี้ที่สุดในชีวิต

“...แต่พี่มีอีกหลายคน และตอนนี้หนึ่งในนั้นไม่มีเตย” ผมดึงมือเล็กๆ ออกจากข้อมือตัวเอง แม้อีกฝ่ายจะพยายามออกแรงขัดขืน พยายามสุดกำลังที่จะยึดมือผมไว้ แต่ขอโทษ... ตอนนี้ผมไม่ใช่เด็กตัวเล็ก รูปร่างผอมบางและอ่อนแออีกแล้ว ผมเป็นผู้ชายเต็มตัว ร่างกายสูงใหญ่ และปกป้องตัวเองได้!




สีเหลืองอ่อน ^_^

ปล. ฝากเพจนิยายไว้ด้วยนะคะ https://www.facebook.com/byitwill/
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- บทนำ (6-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 08-09-2018 17:30:58
ตอนที่ 1



ทุกย่างก้าวของผมหนักเสียจนอยากวิ่งหนีไปจากมัน แต่ที่ทำได้ก็เพียงแค่ทำในสิ่งที่สมควรทำ แค่ก้าวไปข้างหน้าตามปกติและอย่างมั่นคง เหมือนไม่รู้สึกอะไรไปกว่าความเมินเฉย ไม่รู้สึกรู้สา ขณะที่ข้างในกำลังปั่นป่วนไปกับความคิดที่หวนกลับไปยังอดีตที่อยากฝังกลบให้สิ้นซาก อดีตที่หนีเท่าไรไม่เคยพ้น มันฉายวนซ้ำซากทุกนาที ไม่มีวินาทีไหนที่จะลืมได้เลย

...ภาพบนเตียง

...ริมฝีปากลากไล้

...ร่างกายที่เสียดสี

...สิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายรุนแรง

...ความสดใสที่ถูกกลืนกินไปจนหมดสิ้น

ที่เหลือไว้ในวันนี้ เวลานี้ แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับมือที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดึงเอาโทรศัพท์เครื่องบางออกมา เปิดหน้าจอ เลื่อนหาเบอร์ที่บันทึกไว้ ก่อนกดโทรออกแล้วยกแนบใบหู เสียงสัญญาณปลายสายดังเพียงครู่เดียว ก่อนเสียงคุ้นเคยกันดีจะผ่านออกมา สุ้มเสียงนั้นเอ่ยทักทายด้วยความยินดีและเต็มใจให้ในสิ่งที่ผมอยากได้

“...ผมอยากได้ลูกกระต่าย”

ก็แค่เอามาไว้กอด คลายความเจ็บปวดในยามค่ำคืน

..............................................................................

เสียงเปิดประตูดังเบาและปิดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน ปลุกให้ร่างเล็กและบอบบางคล้ายจะปลิวเสียให้ได้สะดุ้งตื่นจากการหลับใหลอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลทองไม่ต่างจากสีของผนังห้อง คนตัวเล็กแววตาตื่นตระหนกอยู่ในชุดคลุมสีชมพูอ่อนตัวใหญ่ ยิ่งขับให้เจ้าตัวเป็นกระต่ายน้อยตัวเล็กนิดเดียว คงเพราะถูกพาขึ้นมาตั้งแต่ตอนหนึ่งทุ่ม ตอนนี้ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว การนั่งรอจึงเปลี่ยนเป็นการไหลไปตามความยาวของโซฟาเนื้อดี จมลึกลงไปในห้วงนิทราอย่างง่ายดาย

ผมพอใจกับภาพที่เห็น ทุกอย่างของเด็กคนนี้ถูกใจผมไปเสียหมด วูบหนึ่งที่ภาพของเด็กตัวบางคนหนึ่งซ้อนทับขึ้นมา ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน ในเมื่อเด็กคนนั้นเติบโตมาไกลเกินจะกลับไปเป็นเด็กชายตัวเล็กได้อีก

ดวงตากลมใสมองสบผมอย่างตื่นตระหนก แต่เจ้าตัวก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแทนการวิ่งหนีไปเสียให้พ้นจากตรงนี้ เพราะหน้าที่ที่ได้รับมาจากคนที่พาเขามายังห้องนี้ มาเพื่อให้ผมกอด...

หน้าที่ของกระต่ายน้อยตัวนี้คือให้ผมกอดตลอดค่ำคืนเงียบเหงา

“สะ...สวัสดีครับ...คุณพีรัช” เสียงนั้นสั่นเทา ไม่ต่างจากมือเล็กที่ยกขึ้นมาไหว้ผม “...ผม...ชะ...ชื่อ...ธารครับ”

“ชื่อจริงล่ะธาร” ผมถามเป็นการชวนคุย พลางเดินเข้าไปหาร่างสั่นไหวนั้น เมื่อเดินไปถึงก็วางพาดเสื้อสูทสีครีมที่อยู่ในมือบนพนักโซฟา กลิ่นเหล้าที่ชโลมบนตัวผมยิ่งทำให้เจ้าตัวเล็กสั่นมากขึ้น แววตาหวาดกลัวขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

“สะ...สายน้ำครับ”

“สายน้ำ... เพราะดีนะ” นอกจากฟังเพราะแล้ว ผมว่าก็เข้ากับเจ้าตัวไม่น้อยเลย

“คะ...ครับ”

“นั่งลงสิ” ผมทิ้งตัวลงนั่งนานแล้ว ส่วนเจ้ากระต่ายน้อยยังยืนสั่นอยู่

“คะ...ครับ” เพราะคงถูกสอนมาแล้วสำหรับการเอาใจผมในค่ำคืนนี้ เจ้าของร่างสั่นเทาถึงได้ทิ้งตัวลงนั่งบนตักผมอย่างรู้หน้าที่ของตัวเอง ยิ่งเจ้าตัวนั่งลงแบบนี้ก็ยิ่งสัมผัสกับกายที่สั่นสะท้านได้ชัดเจน และอีกอย่างหนึ่งคือเด็กคนนี้น้ำหนักเบาอย่างเหลือเชื่อ เหมาะกับการถูกรักอย่างที่สุด

“กลัวฉันมากหรือธาร ฉันน่ากลัวตรงไหน” ผมใช้แขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวเล็กไว้ มืออีกข้างลากไล้แผ่วเบาบนแก้มใส โครงหน้าเล็กนี้กลมมน เส้นผมสีดำเงางามตามธรรมชาติ ปากเล็กสีหวานกับจมูกสวยก็ทำให้ใบหน้านี้ดูละมุนตา มองตรงไหนก็เจอแต่ความน่ารัก และที่สำคัญกลิ่นหอมของเด็กน้อยแทบจะกลบกลิ่นฟุ้งของเหล้ารสชาติดีที่ผมนั่งดื่มที่บาร์ด้านล่างของโรงแรมมาหลายชั่วโมงไปจนหมด

“มะ...ไม่...ครับ” ผมเส้นเล็กส่งกลิ่นหอมของดอกไม้ยามที่เจ้าตัวส่ายศีรษะไวๆ

“แต่ตัวเธอสั่นมาก แบบนี้แล้วจะทำให้ฉันมีความสุขได้เหรอ?” และยิ่งสั่นไหวอีกระลอกเมื่อมือที่เคยเกี่ยวเอวเล็กไว้ ได้เลื่อนลงไปยังสะโพกกลมนุ่มมือจนเผลอขยำ

“ขอโทษครับ... ผะ...ผมยังไม่เคย”

แน่ละ ก็ในเมื่อลูกกระต่ายที่ผมสั่งไปนั้น คุณสมบัติของมันต้องบริสุทธิ์และปลอดภัยเท่านั้น

“ตะ...แต่ผมจะ...ทำให้ดี...ที่สุดครับคุณพีรัช” ดวงตากลมมีความมุ่งมั่นที่มองอย่างไรก็เต็มไปความหวาดกลัว

“เรียกฉันว่า ‘คุณพี’ ก็พอ” เพราะผมไม่ชอบชื่อของตัวเอง แต่ก็ยังต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต ทั้งที่ผมสามารถเปลี่ยนมันได้ เหมือนที่ผมเปลี่ยนสิ่งที่ตามหลังชื่อนี้ไปแล้ว

ผมทิ้ง ‘ตรัยธาดา’ ให้เป็นเพียงอดีต แต่ไม่สามารถทิ้ง ‘พีรัช’ ไปไหนได้

“ครับ คุณพี” เสียงของสายน้ำสั่นน้อยลง ดึงผมออกมาจากความคิดซ้ำซาก เจ้าตัวกล้ามองหน้าผมมากขึ้น ผ่อนคลายขึ้น   

ผมยกก้นกลมนุ่มนิ่มให้เจ้าของมันได้ปรับเปลี่ยนท่านั่ง จากนั่งพาดบนตักก็กลายเป็นคร่อมทับแทน ดึงท่อนขาเรียวเล็กให้โอบรอบสะโพกด้านหลังของผมไว้ ทำให้ใบหน้าของเราสองคนตรงกัน ส่วนอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ยกเรียวแขนขึ้นมาโอบรอบต้นคอผม ดวงตากลมใสซื่อกวาดมองทั่วใบหน้าผมราวกับสำรวจ ค้นหาความปลอดภัยของตัวเองในค่ำคืนนี้

“ถ้าฉันรุนแรงใส่เธอ เธอรับได้ใช่ไหมธาร” ลูบแผ่นหลังบอบบางช้าๆ

มันเป็นคำถามที่ผมไม่เคยเอ่ยถามเด็กคนไหนมาก่อน แต่กับสายน้ำผมกลับอยากให้เขารับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองอีกครั้งจากปากของผม เพราะก่อนถูกส่งตัวมาให้ผมกอด เจ้าตัวจะได้รับรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผมและสิ่งที่ผมต้องการจากเขามาหมดแล้ว

“ครับ”

“ฉันถูกใจเธอมากนะธาร” มันคือความจริง มากกว่าความจริงคือภาพที่ซ้อนทับอยู่ตรงหน้า

“ครับ” เจ้าตัวยังขานรับคำเดิม

“เธอ ‘ครับ’ บ่อยเกินไปนะธาร พูดคำอื่นบ้างก็ได้”

“...” ดวงตากลมโตมองหน้าผมเหมือนไม่รู้จะหาคำไหนมาใช้แทน สุดท้ายก็เอ่ยบอกด้วยสุ้มเสียงกล้าๆ กลัวๆ ว่า “คือผม... ผมพูดไม่ค่อยเก่งครับ”

“ดีแล้ว เพราะฉันไม่ชอบคนพูดมากเท่าไรหรอก” ผมเองก็ไม่ใช่คนพูดเก่งเหมือนกัน และไม่ชอบคนพูดมาก

ยิ่งคนขี้อ้อน ผมยิ่งไม่ชอบ มันน่ารำคาญ

“แล้วเรียนอยู่ปีไหน” ผมถามเป็นการชวนคุยเพิ่ม อยากให้สายน้ำผ่อนคลายมากกว่านี้ ก่อนที่เขาจะต้องถูกผมกอดตลอดทั้งคืน รองรับอารมณ์รุนแรงจากร่างกายของผมจนถึงเช้า

“ปีหนึ่งครับ”

“ปีหนึ่ง?” ผมหยุดมือที่ลูบแผ่นหลังบอบบางลง หงุดหงิดขึ้นมาทันที

สายน้ำบอกว่าตัวเองกำลังเรียนปีหนึ่ง อายุไม่น่าถึงเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้ ผมไม่ใช้บริการเด็กอายุต่ำกว่ายี่สิบ ข้อนี้คุณกิจจาลืมหรือไง แกไม่เคยพลาดเรื่องนี้เลยนะ ไม่ว่าเรื่องไหนแกก็ไม่เคยพลาด

“คือผมเรียนช้าไปสองปีครับ พรุ่งนี้ก็เต็มยี่สิบเอ็ดแล้ว” คำตอบนั้นทำให้ผมกลับมาพึงพอใจกับกระต่ายตัวน้อยบนตักอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องตัดขาดสินค้าของคุณกิจจา และน่าเสียดายที่จะต้องยอมปล่อยกระต่ายตัวนี้กลับออกไป

“พรุ่งนี้งั้นเหรอ งั้นก็ดี มาฉลองวันเกิดล่วงหน้าให้เธอกันเถอะ”

“ครับ” คำขานรับของกระต่ายตัวน้อยแผ่วจาง ดวงตากลมไหวระริกจนน่าสงสาร นึกอยากปล่อยให้เป็นอิสระ ปล่อยกลับไปยังโลกที่สดใส ไม่ต้องมาทนอยู่กับความมืดหม่น ทนมีความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าอย่างไร้ซึ่งความรัก

แต่ก็นั่นแหละ มันก็แค่ความคิด ต่างไปจากการกระทำต่อไปจากนี้อย่างสิ้นเชิง

จากที่ลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบโยนในคราวแรก มาตอนนี้ผมเริ่มใช้มือคู่นี้ปลดสายรัดเอวของเสื้อคลุมสีหวาน ปล่อยสิ่งห่อหุ้มเพียงชิ้นเดียวบนร่างกายขาวบริสุทธิ์ทิ้งลงบนพรมหนา ปลายจมูกสูดกลิ่นหอมหวานที่ไม่ต่างจากดอกไม้แสนสวยในช่วงแรกแย้มจากเรือนร่างคนตรงหน้า

สายน้ำมีกลิ่นหอมหวานแสนละมุน เพียงแค่ได้กลิ่น สัมผัสเพียงเล็กน้อยเลือดในกายก็รุ่มร้อน ท่อนลำความเป็นชายไต่ระดับสูงขึ้นจนอึดอัด คนด้านบนรับรู้ถึงความต้องการที่ขยายใหญ่ดุนดันอยู่เบื้องล่างของตน

คนตัวเล็กลุกลงจากตักผม ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นพรมระหว่างขาทั้งสองข้างของผมที่แยกออกจากกัน ผมวางอุ้งมือบนกลุ่มผมเส้นเล็ก ลูบเบาๆ เพื่อปลอบโยนและรอคอย จ้องมองมือเล็กที่หอบความร้อนระอุของผมออกมาจากกางเกงช้าๆ หลังจากที่ปลดตะขอและรูดซิปกางเกงลง ใบหน้าใสเริ่มซีดจาง หน่วยตาเต็มไปด้วยน้ำอุ่นร้อน

ผมปล่อยให้กระต่ายตัวน้อยทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่ถูกอบรมมาแล้วก่อนที่จะมานั่งรอผม ว่าผมต้องการบริการแบบไหนจากเขา เขาต้องทำอย่างไรให้ผมพึงพอใจและมีความสุข... ก็เหมือนลูกกระต่ายทุกตัวที่เคยผ่านเข้ามาในห้องสวีตของโรงแรมแห่งนี้

มือนุ่มนวลติดสั่นเริ่มต้นปลุกเร้าความร้อนระอุอย่างเนิบช้าในแบบที่ผมชอบ ปรนเปรอด้วยมือก่อนรอฟังคำสั่งจากริมฝีปากของผม

“ใช้ปาก”

เมื่อได้รับคำสั่ง กลีบปากบางถึงได้แยกออกจากกัน ใช้ความอุ่นนุ่มของโพรงปากโอบล้อมความแข็งกร้าวให้ได้มากที่สุดแต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด

...เงอะงะ คือสิ่งที่ผมได้รับจากความอุ่นนุ่มของคนด้านล่าง ถึงอย่างนั้นผมก็พึงพอใจในสิ่งที่ได้รับ เพราะความเงอะงะนี่แหละที่บอกว่าลูกกระต่ายตัวนี้บริสุทธิ์แค่ไหน

“พอแล้ว ขึ้นมาได้ธาร” เมื่อความอยากไหลเวียนอย่างรุนแรง คำสั่งต่อมาถึงได้หลุดออกไป

เจ้าตัวทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ก่อนจะกลับขึ้นมานั่งบนตักก็หันหลังไปหยิบอุปกรณ์สองอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกก่อน... เจลหล่อลื่นและซองถุงยาง

ผมมองตามเนื้อเจลเย็นชืดที่ถูกบีบลงบนนิ้วเล็ก ก่อนที่มันจะหายไปด้านหลัง มุดเข้าไปในช่องทางเล็กแสนคับแคบ สายน้ำกำลังเปิดช่องทางรักของตัวเองด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด ผมรู้ดีว่าความรู้สึกเจ็บปวดของเด็กคนนี้เจียนตายแค่ไหน

ผมเฝ้ามองเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าซีดจาง ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันเพื่อกลั้นเสียงร้องของความเจ็บปวดให้ได้มากที่สุด

“พร้อมหรือยัง” เวลาผ่านไปนาทีกว่าแล้วผมถึงได้ถาม พลางปัดผมเส้นเล็กไปด้านหลังให้พ้นไปจากหน้าผากเกลี้ยงเกลาที่ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

“พะ...พร้อม...คะ...ครับคุณพี” เจ้าตัวพยักหน้า สายน้ำตาไหลอาบแก้มกลมไร้สีสัน “อ๊าาาาา!!”

คำว่าพร้อมของกระต่ายตัวน้อยคือจุดเริ่มต้นของค่ำคืนแสนเจ็บปวดทันที มันเริ่มต้นด้วยเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดจากช่องทางรักที่ทิ้งตัวลงมากลืนกินท่อนลำร้อนระอุทีเดียว...มิดด้าม

ความเจ็บที่เรียกว่าใกล้ตาย ฉีกทึ้งร่างกายให้แยกออกจากกันในวินาทีนั้นเลยก็ว่าได้ เรือนกายบอบบางสิ้นเรี่ยวแรง พร้อมกับกลิ่นคาวของน้ำสีแดงเข้มที่ลอยขึ้นมาแตะจมูก มันกลบกลิ่นหอมฟุ้งของดอกไม้แรกแย้มแทบสิ้น

ภาพทุกอย่างซ้อนทับมาอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากพายุมืดทะมึนที่หอบหิ้วเอาซากปรักหักพังของอดีตอันเลวร้ายมากระหน่ำทุบตีความอ่อนแอที่ซ่อนลึกของผมให้ย่อยยับ

เสียงกรีดร้อง รอยสะอื้นไห้ และสายน้ำตาของลูกกระต่ายตัวนี้ ไม่ได้ต่างไปจากลูกกระต่ายที่ชื่อ ‘พีรัช ตรัยธาดา’ ในอดีตเลย

............................................................................


“พี เราต้องคุยกันจริงๆ แล้วนะ” เจ้าของคำพูดเอ่ยขึ้นมาเป็นประโยคแรกนับตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง จัดการทุกอย่างเช่นทุกครั้งที่ผมโทรไปเรียกตัวมา มือเรียวสวยดึงผ้านวมผืนใหญ่คลุมร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยฟันและช้ำแดงจนน่ากลัว ผมเองก็ยังทนดูผลงานของตัวเองแทบไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนเป็นหมอ ที่มีจิตใจเมตตาเต็มเปี่ยม ถึงจะเป็นหมอฟันก็เถอะ

หมอฟันคนนี้ถูกผมตามตัวให้มารักษาบาดแผลทั้งภายนอกและภายในของลูกกระต่ายตัวน้อย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก เรียกว่าครั้งที่เท่าไรแล้วผมก็ยังจำไม่ได้

“จะบ่นอะไรเราอีกล่ะ” รู้ว่าตัวเองทำเสียงหงุดหงิดมากแค่ไหนใส่คุณหมอฟัน คนที่เป็นเพื่อนรักเพียงหนึ่งเดียวของผม คนที่ไม่เคยทิ้งผมไปไหน กลับเป็นผมเสียเองที่ทิ้งเขาไว้ข้างหลัง ทิ้งความเป็นเพื่อนไปนานหลายปี

“มันหนักขึ้นทุกวันแล้วนะพี ไม่สงสารเด็กบ้างหรือไง” คนเป็นหมอฟันลุกขึ้นยืนมองผมด้วยสายตาตำหนิ แต่คงไม่เท่ากับสายตาที่บ่งบอกถึงความผิดหวังในตัวผม คนที่ไม่อาจกลับไปเป็นเด็กผู้ชายอ่อนแอคนนั้นได้อีก

“ก็เรามีความสุข” พอตอบแบบนี้ก็ถูกย้อนทันที

“มีความสุข? แน่ใจนะว่ามีความสุข” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องอย่างคาดคั้น “ทุกครั้งที่พีนอนกับเด็กพวกนี้ พีมีความจริงเหรอ หรือแค่พูดหลอกตัวเอง”

“...” ทุกคำพูดกระแทกใจพังๆ ของผมอย่างจัง

“หรือพีแค่อยากเรียกร้องความสนใจ”

“ปี!” ผมตะคอกกลับเสียงดังลั่นห้อง ดังไปถึงบุคคลที่สามที่อยู่นอกห้อง คนที่มาพร้อมกับเพื่อนของผม... คนที่เป็นคนรักของปาลิน

หมอภามเปิดประตูเข้ามา แต่เขาไม่ได้เดินมาหาพวกเรา เขาแค่ยืนอยู่ที่ประตูเหมือนเช่นทุกครั้งที่ปีถูกเรียกตัวมาดูอาการลูกกระต่ายน้อยทุกตัวของผม

“เราพูดแทงใจดำใช่ไหม สิ่งที่พีทำ พีก็แค่อยากให้เรื่องถึงหูเขา”

“ไม่ใช่!!” ตอนนี้ร่างกายของผมมันสั่นด้วยความโกรธ ผมไม่ได้โกรธเพื่อนแต่โกรธความจริงในคำพูดนั้น

“ถ้าไม่ใช่ พีก็ต้องหยุด เลิกทำร้ายตัวเองได้แล้วนะพี เราทนเห็นพีเป็นแบบนี้ไม่ได้” จบคำพูดนั้นปีก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด คงอยากจะใช้อ้อมกอดของตัวเองปลอบโยนและหยุดการกระทำของผมเอาไว้แค่นี้ “เราอยากให้พีมีความสุขจริงๆ นะ หยุดเถอะพี เราขอร้อง ทำแบบนี้พีก็มีแต่เจ็บกับเจ็บ พีไม่มีความสุขหรอก เรารู้”

“ปีอยากให้เรามีความสุข อยากให้เราเลิกทำร้ายตัวเองใช่ไหม” ผมยกมือกอดตอบ เวลานี้ปีสูงแค่คางผมเอง “งั้นปีก็กลับมายืนข้างเราสิ กลับมารักเราเหมือนเดิม มาเป็นคนรักของเรา แล้วเราจะเลิกทำร้ายตัวเอง ปีทำได้ไหมล่ะ”

“ต่อให้เรายอมนอนกับพีจนมีสภาพเหมือนเด็กคนนี้ เราก็ทำให้พีมีความสุขไม่ได้” ปีดึงตัวออกจากอ้อมแขนผม เอ่ยเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “เพราะความสุขของพีไม่ใช่เรามาตั้งแต่แรกแล้ว อย่าหลอกตัวเองอีกเลยพี... พีรักเขา ความสุขของพีคือการมีเขาอยู่ในหัวใจ”

“อย่าทำมาเป็นรู้ดี เราไม่ได้รักเขาแล้ว...” ไม่รักแล้ว ไม่อยากรักคนไร้หัวใจ “ปีกลับไปเถอะ มีเรื่องให้ต้องช่วยอีกเมื่อไรเราจะโทรหา” ผมบอกเป็นเชิงไล่ เพื่อจบเรื่องที่ผมไม่อยากยอมรับ แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างลูกกระต่ายน้อยที่เริ่มรู้สึกตัว เจ้าตัวขยับตัวเล็กน้อย ใบหน้าซีดจางเต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บปวดจากร่างกายที่บอบช้ำรุนแรง ส่วนที่ช้ำมากที่สุดก็เป็นช่องทางรักที่ฉีกขาด

“ไม่ต้องโทรมา...อีกแล้ว”

“ทำไม?” ผมเงยหน้ามองคนพูด

“เพราะเราไม่อยากเห็นพีในสภาพแบบนี้อีกแล้ว” เจ้าตัวมีน้ำตามาคลอหน่วย “พีคนที่เรารู้จัก ไม่ใช่คนแบบนี้”

“ก็ไม่เป็นไร” ผมพยายามกลืนก้อนหนักๆ ลงในอก ไม่ยอมให้ตัวเองมีน้ำตาเหมือนอีกฝ่าย “งั้นก็...ลาก่อน”

“...” ไม่มีคำพูด ปีแค่ยืนมองหน้าผมไม่ถึงสิบวิ จากนั้นก็ตกไปอยู่ในวงแขนหมอภาม ก่อนที่จะถูกโอบไหล่พาเดินออกไป

ออกไปจากห้อง...

ออกไปจากชีวิตผม...

“คุณพี” เสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกแผ่วเบา

“ครับ” ผมลูบศีรษะเล็กๆ เจ้าของเสียงยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมา “เจ็บมากหรือเปล่า”

“ทนได้ครับ” ลูกกระต่ายตัวขาวพยักหน้าเล็กน้อย ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมา แต่ปากเล็กๆ นั้นก็ขยับเอ่ยออกมาว่า “ร้องไห้ได้นะครับ ผมไม่เห็นหรอก”

“อืม...”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้ผมขยับตัวลงนอนข้างคนตัวเล็ก ดึงร่างกายนั้นเข้ามาในวงแขน ให้ใบหน้าซีดจางซุกซบบนอก กอดกระต่ายตัวน้อยไว้แนบแน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเชื่องช้า ทว่าบาดแผลข้างในนั้นรุนแรงเหลือเกิน

“ธาร”

“ครับ”

“มาเป็นคนของฉันนะ... แต่อย่ารักฉัน”

...เพราะคนอย่างผม ไม่มีแล้วหัวใจ




***************************จบตอนที่ 1*******************************

Talk ** เรื่องนี้คือ “ยะ&พี” นะคะ
ฉะนั้น อย่าหลงลงเรือ “พี&ธาร” เด็ดขาด
ถ้าไม่อยากเสียใจ ^_^

สีเหลืองอ่อน



หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 1 (08-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 10-09-2018 16:36:01
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 1 (08-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 10-09-2018 17:18:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 1 (08-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-09-2018 00:01:40
คุณยะกับพีนี่ spin off มาจากเรื่องไหนปะคะ คุ้นชื่อแต่นึกไม่ออก หรือเรามโนไปเอง 5555
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 1 (08-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-09-2018 00:25:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 1 (08-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 13-09-2018 16:32:40
ตอนที่ 2


แอบขอตอบคุณ lizzii ก่อนนะคะ ที่ถามว่ายะพี Spin Off มาจากเรื่องอะไร
ใช่ค่ะ เรื่องนี้แยกมาจากเรื่อง "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า คุณยะคือพี่ชายหมอนุ ที่มีเหตุการณ์แวบๆ เกิดขึ้นในเรื่องค่ะ  :katai2-1:



ตอนที่ 2


‘พี... ฟังฉันก่อน’

ผมถูกฉวยข้อมือไว้ทันก่อนจะถึงประตูห้อง มือหนาของผู้ชายตัวสูงใหญ่ฉุดผมไว้ให้หยุดอยู่แค่ตรงนี้ อยากจะสะบัดมือน่าขยะแขยงทิ้งไปซะแต่ก็เกินกำลังที่ผมจะทำได้ ผมมองหน้าเขาผ่านสายน้ำตา เจ้าของร่างกายกำยำใหญ่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าครบชิ้น นั่นไม่ได้ทำให้น้ำตาของผมไหลช้าลงเลย เพราะกระดุมเสื้อเชิ้ตที่หลุดออกจากรังดุมทุกเม็ดกับซิปกางเกงที่ถูกรูดลงจนสุดทาง ความคับแน่นของตัวตนภายใต้เนื้อผ้าราคาแพงที่ดุนดันออกมาให้เห็น ฟ้องเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี และที่ตอกย้ำความเจ็บปวดลงมาอีกคือ... อีกคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า

ร่างบอบบางที่สูงกว่าผม ใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นมาตลอด อดีตรุ่นพี่ในโรงเรียนที่เรียนจบไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังเป็นนักแสดงวัยรุ่นในซีรีส์เรื่องดัง เรตติ้งดี แม้ไม่ได้แสดงในบทพระเอกแต่ก็เป็นตัวละครที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในโซเชียลและโด่งดังยิ่งกว่าตัวเอกของเรื่องเสียอีก ได้ข่าวว่าตอนนี้ก็กำลังจะได้แสดงหนังของค่ายดังในบทพระเอกคู่กับนางเอกวัยรุ่นสุดฮอตในขณะนี้

ความรู้สึกที่ถูกกอบกู้คืนมาได้เพียงไม่กี่เดือน ทว่าตอนนี้กลับค่อยๆ พังลงมา

‘นายจะโมโหอะไรนักหนาล่ะพี ทำยังกับไม่เคยเห็นตอนฉันมีอะไรกับ ‘พ่อ’ ของนาย’ แววตานั้นเยาะเย้ยถากถางอย่างผู้ชนะในทุกเกมการแข่งขันระหว่างผมกับเขา

‘หุบปาก!’

คนที่ถูกเรียกขานว่า ‘พ่อ’ ของผม หันไปตะคอกอย่างอารมณ์เสีย ผมอาศัยช่วงจังหวะนั้นก้มลงไปกัดท่อนแขนแกร่งเต็มแรง ความเจ็บจากคมเขี้ยวทำให้ผู้ชายมักมากเผลอปล่อยมือผม เป็นโอกาสให้ผมกระชากบานประตูและหนีออกมาจากความโสมมนั้นได้ ทิ้งความโกหกหลอกลวงของคำว่า ‘รัก’ ไว้ด้านหลัง

ผมจากออกมา...

และอยากจากไปตลอดกาล เพียงแต่ผมทำมันไม่ได้


อึก...

ผมฝันถึงมันอีกแล้ว ซากปรักหักพังของวันวาน เมื่อตื่นจากฝันร้าย ความรู้สึกที่รับรู้เลยคืออาการปวดกระบอกตาจากการร้องไห้หนัก 

ฟ้าด้านนอกเปลี่ยนสี ความดำมืดโรยตัวมาขึงคลุมทั่วทั้งฟ้าเมืองกรุง ลุกลามมาถึงในห้องที่ไร้แสงไฟส่องสว่าง ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยหรือ จากความสว่างไสวของกลางวันสู่ความดำมืดยามราตรี พื้นที่ว่างข้างตัวก็ไร้ร่างของลูกกระต่ายตัวน้อยที่ผมโอบกอด

ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง สายตาหันไปปะทะกับกระดาษสีขาวแผ่นเล็กที่ถูกวางทับด้วยโทรศัพท์เครื่องบางของผมซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน ลายมือเป็นระเบียบอ่านง่ายกว่าลายมือไก่เขี่ยของผมหลายสิบเท่า เป็นข้อความฝากถึงผมไว้ว่า

‘ผมกลับก่อนนะครับ ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือ พรุ่งนี้มีสอบ’

อ่านจบแล้วรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะกอดของผมในคืนวันศุกร์ทำให้สายน้ำป่วยหนักในวันรุ่งขึ้น ต้องนอนบนเตียงตลอดวันเสาร์ และลามมาถึงวันอาทิตย์ ซึ่งก็คือวันนี้

ผมวางกระดาษแผ่นเล็กกลับไว้ที่เดิม  จึงได้เห็นว่ากุญแจรถยนต์ที่เคยวางอยู่ข้างโทรศัพท์ก็หายไปด้วย ไม่ใช่ว่าสายน้ำขโมยไปหรอก ผมเองที่ให้เขาไป เรียกว่ายัดเยียดให้เลยทีเดียว เจ้าตัวค้านหัวชนฝาว่าไม่จำเป็นต้องเป็นรถราคาแพงแบบนี้ก็ได้ แถมคอนโดฯ ที่กำลังจะได้จากผมก็มากพอแล้ว เลยจะขอเอาแค่คอนโดฯ อย่างเดียว แต่เมื่อผมบอกว่า

‘เขาจะได้สบายขึ้นไง หรือว่าอยากเห็นเขาเป็นลมบนรถเมล์อีกรอบ’

‘เขา’ ที่ผมรู้จักแค่ชื่อตามคำบอกเล่าด้วยรอยยิ้มของเด็กหนุ่มที่ริมีความรัก ต่อให้รักนั้นยากสมหวัง สายน้ำก็ยังมีรอยยิ้มตลอดเวลาที่เล่าเรื่องเขาคนนั้นให้ผมฟัง

เมื่อผมอ้างถึงเขานั่นแหละ สายน้ำถึงได้ยอมรับรถยนต์ในตระกูล Aston Martin คันสีขาวไปอย่างเต็มใจขึ้นมาหน่อย คันนี้ไม่ใช่คันที่ผมใช้ประจำ แต่ที่ต้องใช้บ้างในบางวันก็เพราะเป็นของขวัญจากคนที่ทำให้ผม ‘เกิด’ มาบนโลกนี้

ตริ๊ง...

เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชตสีเขียวเรียกให้ผมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากโต๊ะข้างเตียง พลางลุกขึ้นบิดตัวไล่ความเมื่อยขบจากการนอนคุดคู้บนที่นอนหลายชั่วโมง ก็ตั้งแต่เที่ยงจนถึงเวลานี้ที่เกือบจะสองทุ่มแล้ว  จากนั้นจึงค่อยยกโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูข้อความที่ถูกส่งมา

เจ้าของข้อความก็คือปาลิน

Palin : เราขอโทษ

...คำขอโทษที่มาช้า ผ่านมาตั้งแต่เช้าวันเสาร์ จนถึงตอนค่ำของอาทิตย์ คำขอโทษของปาลินเพิ่งเดินทางมาถึงผม

P.Phirach : ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ

...ยอมรับว่าผมยังน้อยใจเพื่อนอยู่ น้อยใจมากด้วย

Palin : ขอโทษที่พูดไม่ดี คือตอนนั้นเราโกรธพีมากไปหน่อย

Palin : เราสงสารเด็ก อย่าทำอีกได้ไหมพี

Palin : หยุดได้ไหม

...คำขอร้องเดิมๆ ก็เหมาะสมกับคำต่อรองเดิมๆ ของผมเหมือนกัน

P.Phirach : หยุดก็ได้ แต่ปีต้องมาเป็นคนของเรา

P.Phirach : เป็นของเรา

P.Phirach : นอนกับเรา

P.Phirach : แต่อย่างแรกก็ต้องเลิกกับหมอภามก่อน

ข้อความถูกส่งไปแล้ว ขึ้นสถานะว่า ‘อ่านแล้ว’ อย่างรวดเร็ว แต่ไร้คำโต้ตอบกลับมา ผ่านไปหลายนาทีขณะที่ผมออกมายืนรับสายลมเย็นฉ่ำของยามค่ำคืน ทอดสายตามองลงไปยังเบื้องล่างที่ประดับประดาด้วยแสงสีสวยงาม ลำน้ำสายใหญ่ทอดตัวผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง ความดำมืดโรยตัวมาบดบังสีของสายน้ำในยามที่เคยมีตะวันฉาย ทว่ากลับงดงามน่าหลงใหลเสียยิ่งกว่าสีที่แท้จริงของมัน

ตริ๊ง...

เสียงแจ้งเตือนกลับมาอีกครั้งหลังผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ผมไม่ได้ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาอ่านข้อความในทันที ปล่อยให้มันค้างอยู่อย่างนั้น เพราะอย่างไรเสียมันก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่หนีไปไหน ยังอยู่เพื่อให้ผมไล่สายตาไปอ่าน

ผมยังคงปล่อยให้ร่างกายนิ่งเงียบอยู่กับบรรยากาศเงียบเหงาแต่บาดลึก สิ่งที่ขยับมีเพียงมือข้างที่ปลายนิ้วคีบมวนบุหรี่เอาไว้ และริมฝีปากที่ปล่อยควันขาวขุ่นออกมาอย่างช้าๆ ดื่มด่ำกับความว่างเปล่าที่ขยายวงกว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ผมดึงสายตาจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน ท้องฟ้าสีราตรีกำลังกัดกร่อนหัวใจของผมอย่างเงียบเชียบ กระนั้นผมก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องที่มาพร้อมสายลมของค่ำคืน มันหอบเอาความทรงจำในอดีตกลับมาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย หรือไม่เกี่ยวกับพวกมันแม้แต่นิดเดียว เป็นผมเองที่จมลงไปในห้วงความคิดที่ตัวเองไม่ยอมปล่อยมันไปเสียที

ผมยังเก็บมันไว้ ทั้งที่รู้ว่าควรปล่อยมันไปกับวันวาน ก้าวออกมาจากกรงขังที่มองไม่เห็น ซึ่งผมก็ทำไม่ได้

...ภาพหนึ่งกำลังชัดเจนอยู่บนท้องฟ้าที่ผมจ้องมอง กับเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายตัวโตกว่าผมมาก ชนิดที่ว่าผมต่อกรกับเขาไม่ได้เลย

‘รู้แล้วสินะ’

ดวงตาสีราตรีจ้องมองลงมาที่ดวงตาล้นน้ำใสๆ ของเด็กตัวเล็ก ที่นั่งแอบอยู่ข้างประตูหน้าต่างด้านนอกของเรือนไม้สักเงางามที่แวดล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว เวลานั้นเด็กน้อยได้ยินชัดเต็มสองหูเกี่ยวกับความจริงที่ช่วยตอบความสงสัยในหัวใจมาเนิ่นนาน

แล้วเขาก็ผละออกไปจากหน้าต่างบานนั้น ทำราวกับว่าผมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น ทว่าเรื่องราวที่รับรู้ก่อนหน้านี้ก็ยังคงดังวนเวียนราวกับจะฝังลงมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สั่นสะท้าน ความรู้สึกที่เจ็บปวดเกินเด็กในวัยแค่สิบสี่จะทนรับไหว

‘เด็กนั่นไม่ใช่ลูกผม’

...คำพูดนี้ดังกึกก้องยิ่งกว่าถ้อยคำไหนๆ เป็นเหมือนลูกกระสุนจากปลายกระบอกปืน พุ่งทะลุผิวเนื้อเข้าสู่ใจกลาง มันทำให้ผมตายไปแล้ว ตายทั้งๆ ที่ยังหายใจ

รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่เคยโอบกอดเด็กชายคนนี้เลยสักครั้ง ทำไมถึงไม่เคยเห็นเด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ทำไมถึงไม่รักผมเหมือนที่รักลูกชายทั้งสองคนของเขา

เด็กนั่น... ที่เขาเรียกขานแทนตัวผม ก็คงเป็นแค่อะไรสักอย่างที่รกหูรกตา มองแล้วน่ารำคาญ ไม่มีค่า ไร้ความสำคัญ ที่ปรานีให้มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่ความจริงเปิดเผยก็แค่สงสาร ก็แค่จิตใจไม่โหดเหี้ยมเหมือนคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดในร่างกายผม

ตริ๊ง...

ในความเงียบที่โอบล้อมผมไว้ให้จมลงไปในอดีต แค่เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทสีเขียวก็ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว มวนบุหรี่ที่ใกล้หมดถูกยกขึ้นมาแตะริมฝีปากอีกครั้ง ผมอัดความว่างเปล่าลงไปจนสุดความสามารถ เพื่อให้มันไปขับไล่ความปวดร้าวในอก ดึงลากมันออกมาด้วยควันสีขาวขุ่น ให้มันลอยออกไปไกลที่สุด ให้สายลมยามค่ำคืนฉุดลากไปเสียให้พ้นจากชีวิตผม

แต่นั่นแหละ มันก็แค่เรื่องหลอกลวงของคนอ่อนแออย่างผม สายนิโคตินหรือจะทำอะไรอดีตที่ฝังรากลึกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมได้

ตริ๊ง...

มันดังขึ้นอีกครั้ง ผมบดบี้จุดสีแดงของปลายมวนบุหรี่ลงกับที่เขี่ยซึ่งวางอยู่บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ชิดผนังระเบียง เพิ่มจำนวนก้นบุหรี่จากสามเป็นสี่ ก่อนยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาอ่านข้อความของกระต่ายน้อยตัวล่าสุดของผม

Lam-taan : พี่พีว่าเขาชอบมันไหมครับ

จากนั้นเจ้าตัวก็แนบรูปถ่ายตามมา ในรูปที่สายน้ำส่งมาให้ผมดู เป็นรูปเสี้ยวหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันสีขาวของผม ส่วนคนถือกล้องคงยืนถ่ายจากนอกรถแบบไม่ให้คนในรูปรู้ตัว จากเท่าที่เห็นในรูปอาการทางสีหน้าดูราบเรียบ ไม่มีรอยยิ้ม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใบหน้าปกติของเด็กคนนี้หรือเปล่า เพราะคนเราหลากหลายนิสัย การแสดงออกทางสีหน้าของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนไม่ชอบแสดงความรู้สึก บางคนคิดหรือรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาแบบนั้น บางคนก็ชอบปกปิดความอ่อนแอของตัวเองเอาไว้ภายใต้ใบหน้ามีความสุข ผมถึงไม่รู้จะตอบคำถามของสายน้ำอย่างไรดี

Lam-taan : ตอนนี้เขาบอกให้ผมเอาไปคืนพี่พี

สายน้ำเรียกผมว่า ‘พี่พี’ เพราะผมสั่งให้เรียกหลังจากที่เขาตกลงเป็นคนของผม

P.Phirach : บอกไปหรือยังว่าพี่ให้เป็นของขวัญวันเกิด

พิมพ์ถามไปแล้ว อีกฝ่ายก็อ่านอย่างรวดเร็วและตอบมาเร็วพอกัน

Lam-taan : บอกแล้วครับ

P.Phirach : ในเมื่อเขารู้ว่าเป็นของขวัญวันเกิดธาร แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้เอามาคืนพี่ล่ะ

Lam-taan : ตอนนี้เขาโกรธแล้วครับ หนีขึ้นห้องแล้วด้วย

P.Phirach : ช่างเขา

Lam-taan : ช่างไม่ได้สิครับ ผมไม่อยากให้เขาโกรธ

P.Phirach : ปล่อยไปก่อน เดี๋ยวเขาก็หาย คนไม่เคยลำบาก ยังไงซะก็ต้องใช้มัน

Lam-taan : ครับ

P.Phirach : เขาสังเกตไหมว่าธารไม่ปกติ

...โดนกอดจนช่องทางฉีกขาด เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยกุหลาบช้ำกับรอยกัด ไม่ใช่เรื่องที่จะปิดบังกันได้มิด นี่ผมก็ให้เขานอนอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันเสาร์ จนถึงวันอาทิตย์ ร่างกายคงพื้นคืนมาได้บ้างถึงได้ลุกกลับหอพักของตัวเองได้แล้ว แถมไม่ยอมปลุกผมด้วย

Lam-taan : เห็นครับ ถามด้วยแหละ

Lam-taan : ผมก็ตอบตามที่พี่พีบอกครับ

...ตอบตามที่ผมบอกก็คือตอบตามความจริงที่บิดไปเล็กน้อย แค่เปลี่ยนจากผมที่เป็นคนซื้อบริการมาเป็นผมที่เป็นแฟนของสายน้ำ

Lam-taan : พี่พีครับ เรื่องคอนโดฯ ผมไม่เอาแล้วได้ไหมครับ

P.Phirach : ทำไม ?

Lam-taan : คือผมว่ามันมากเกินไป

P.Phirach : ธารขอพี่เองนะ แล้วพี่ก็ไม่เปลี่ยนคำพูด

สายน้ำเป็นคนขอของพวกนี้จากผมเอง ทั้งรถ ทั้งคอนโดมิเนียม ที่เจ้าตัวอยากได้ไม่ใช่เพื่อความสะดวกสบายของตัวเอง แต่เพื่อเพื่อนสนิทที่เจ้าตัวแอบรัก เด็กหนุ่มที่ถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน คนที่ต้องทนอยู่กับความยากลำบากของชีวิตในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ไม่รู้ทำไมผมถึงให้ตามที่สายน้ำขอ ให้แบบไม่เสียดาย อาจเป็นเพราะลูกตากลมใสซื่อ กับความกล้าทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก แม้จะเลือกใช้วิธีที่เหมือนสิ้นคิดก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ สายน้ำก็โง่พอที่จะเลือกใช้วิธีขายตัวเองเพื่อมอบความสุขสบายให้กับคนที่ตัวเองรัก ผมไม่อยากซ้ำเติมเด็กน้อยไปมากกว่านี้ ถึงได้ให้มากกว่าที่เขาอยากได้ ให้เท่าที่ผมให้ได้ ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไร ไม่มีหนี้ที่ต้องชดใช้ให้ใคร เพราะผมชดใช้ไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนี้เงินที่เลี้ยงดูผม รวมถึงหนี้ชีวิตที่เขาปรานีให้ผมเกิดมา ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาแม้แต่นิดเดียว

Lam-taan : ผมกลัวเขาโกรธ

P.Phirach : โกรธก็ช่าง ไม่อยากอยู่ก็ไล่ไปนอนข้างถนนละกัน

P.Phirach : สอบเสร็จวันสุดท้ายให้มาหา พี่จะพาไปดูคอนโดฯ

P.Phirach : ไปอ่านหนังสือได้แล้ว

Lam-taan : ครับ

Lam-taan : ช่วงนี้พี่พีจะให้ผมเข้าไปหาไหมครับ

P.Phirach : ไม่ต้อง อ่านหนังสือสอบไปเถอะ

ผมไม่ได้ต้องการร่างกายของสายน้ำมากนักหรอก ต่อให้ผมชอบสายน้ำมากเป็นพิเศษก็ตาม ผมก็แค่ชอบความไร้เดียงสาในแบบที่ครั้งหนึ่งผมก็เคยเป็นมาก่อน แต่ก็ไม่ได้อยากกอดทุกวันทุกคืนถึงขนาดนั้น ไม่ได้ต้องการให้อยู่เคียงข้างทุกเวลานาที รอให้ผมอยากกอดเมื่อไรก็จะเรียกใช้เอง 

Lam-taan : ครับ

Lam-taan : ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ

Lam-taan : **สติ๊กเกอร์**

ผมมองสติ๊กเกอร์โคนี่นอนหลับขี้มูกโป่ง ยกริมฝีปากขึ้นนิดหน่อยให้กับมัน แล้วปล่อยให้บทสนทนาผ่านตัวหนังสือบนหน้าจอสี่เหลี่ยมจบเพียงเท่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีสติ๊กเกอร์ส่งกลับไป ผมไม่ใช่เด็กและคู่สนทนาก็ไม่ได้มีความหมายไปมากกว่า ‘คนของผม’ ตอนอยู่บนเตียงนอน





***อ่านต่อด้านล่าง***






หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 1 (08-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 13-09-2018 16:34:06
***ต่อจากด้านบน***




ตริ๊ง...

บทสนทนาด้วยตัวอักษรผ่านหน้าจอโทรศัพท์ในมือของผมกับสายน้ำจบไปหลายนาทีแล้ว เสียงแจ้งเตือนข้อความที่แทรกผ่านความเงียบเชียบขึ้นมาจึงไม่ใช่ของสายน้ำ แต่เป็นข้อความจากปาลิน อันที่จริงเจ้าตัวส่งข้อความมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็ช่วงที่ผมแชทคุยกับสายน้ำนั่นแหละ เพียงแต่ผมยังไม่ได้เปิดอ่าน

ผมกดเข้าไปอ่าน ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที และเป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย บอกถึงความพอใจกับข้อความของอีกฝ่าย

Palin : ต้องการแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม

Palin : พีคิดว่าวิธีนี้จะได้ผลเหรอ

Palin : ถ้าคิดว่าวิธีนี้จะทำให้เขาหันมาสนใจพี เรายอมก็ได้

Palin : โอเค เราตกลง

ข้อความด้านบนถูกส่งมาก่อนหน้านี้ ส่วนด้านล่างคือข้อความล่าสุดที่เพิ่งส่งมา

Palin : มารับเราตอนนี้เลยได้ไหม

ผมก็ยังไม่ได้ตอบกลับไป เลือกจะหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมา เริ่มต้นอัดความว่างเปล่าลงเข้าไป ลากดึงเอาความอ่อนแอออกมาพร้อมกับควันสีขาวขุ่นลอยฟุ้ง ปล่อยให้มันล่องลอยไปกับความเงียบเชียบของค่ำคืนที่รอบตัวมีเพียงความเงียบเหงา ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ความเหงาจะไม่โอบรอบตัวผมเอาไว้

ตริ๊ง...

จนกระทั่งก้นบุหรี่ในที่เขี่ยเพิ่มจำนวนจากสี่เป็นห้าภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว เสียงแจ้งเตือนจากข้อความของปาลินก็ดังขึ้นมาอย่างได้จังหวะ ขัดขวางบุหรี่มวนใหม่ที่อยู่บนปลายนิ้วของผม

Palin : มารับเราที

คิ้วผมขมวดเข้าหากันทันที รู้สึกว่าข้อความนี้มาพร้อมความร้อนรนของคนที่ส่งมา แม้ตัวอักษรที่ไร้เนื้อเสียงไม่สามารถบอกได้ว่าปาลินกำลังรู้สึกเช่นไร ทว่าผมกับสัมผัสเสียงกรีดร้องของปาลินได้เป็นอย่างดี

Palin : มาได้ไหม

...เกิดอะไรขึ้นกับปาลิน

Palin : เราเลิกกับพี่ภามแล้ว

...เลิกแล้วงั้นเหรอ ?

P.Phirach : ให้ไปรับที่ไหน

Palin : บ้านพ่อแม่พี่ภาม

Palin : เร็วๆ นะ

P.Phirach : รอได้ใช่ไหม เราจะรีบไป

ผมรีบเดินกลับเข้าไปข้างในห้องไร้แสงไฟแต่ก็ยังเห็นทุกอย่างได้เลือนราง ก่อนเดินตรงเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว ไม่ได้เสียเวลาให้กับการอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น เพราะเสียงกรีดร้องของปาลินผ่านตัวหนังสือไม่กี่คำนั้น ทำให้ผมช้าไม่ได้ ไม่แม้แต่จะกลับไปที่คอนโดฯ ของตัวเองที่อยู่ห่างออกไปจากโรงแรมนี้ไม่เท่าไรเพื่อไปเอารถอีกคันมาใช้ เนื่องจากรถคันที่ผมใช้ตอนคืนวันศุกร์ไม่ได้จอดอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้แล้ว ผมคงต้องใช้บริการของรถแท็กซี่ 

บ้านหลังนั้นผมรู้จัก เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง คนพาไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก... ก็คนที่เป็น ‘เพื่อน’ ของหมอภามนั่นแหละ


เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มที่แท็กซี่คันสีฟ้าพาผมมาถึงจุดหมาย คือบ้านหลังใหญ่ภายในรั้วสูง ซึ่งขณะนี้สว่างไสวด้วยแสงไฟหลากสีและประดับด้วยลูกโป่ง ดอกไม้ และป้ายต่างๆ สัญลักษณ์ของความรื่นเริงในวันคล้ายวันเกิดของลูกชายเจ้าของบ้าน

ผมก้าวลงจากรถแท็กซี่หลังจากที่บอกคนขับเรียบร้อยแล้ว ว่าให้เขาอยู่รอผมก่อน สองขาพาผมผ่านรั้วสูงเข้าไปภายในได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ผมบอกกับชายวัยกลางคนที่ยืนเฝ้าประตูรั้วว่ามางานวันเกิดหมอภาม เขาก็รีบเปิดประตูให้ผมทันที ไม่ตั้งคำถาม ไม่มีความสงสัย ว่าทำไมแขกของงานถึงได้มาช้าเช่นนี้ แถมยังไม่มีกล่องของขวัญหรือช่อดอกไม้ติดมือมาด้วยเลย

ช่วงขาของผมก้าวเร็วกว่าปกติ ใจมันร้อนรนเพราะข้อความที่กรีดร้องของปาลินยังดังก้องอยู่ในหัว เมื่อเดินเข้าไปใกล้ลานกว้างหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้วันเกิด ผมแทบไม่ต้องกวาดสายตามองหาปาลินเลย เพราะเจ้าตัวนั่งห่างออกมาจากกลุ่มคนอื่นๆ และไร้เงาของคนรักอยู่ข้างกาย ไม่สิ ต้องเรียกว่า ‘อดีตคนรัก’ (ถ้าปาลินไม่โกหกผมนะ) และตอนนี้คนที่เคยสูงกว่าผมไปเล็กน้อยก็มองเห็นผมแล้ว เจ้าตัวลุกขึ้นยืนและรีบเดินมาหาทันที

...รีบเสียจนเหมือนว่ากำลังหนีใครมา

ไม่ใช่เหมือนแล้วสิ น่าจะจริงมากกว่าที่ปาลินกำลังหนีสิ่งที่ทำให้หัวใจกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ผู้ชายผมยาวจนถึงไหล่และถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อยกำลังใช้ขายาวๆ ของตนช่วงชิงความได้เปรียบ ไม่ปล่อยให้คนตัวเตี้ยกว่าหนีพ้นตนไปได้ ทว่าผมเองได้เปรียบมากกว่า เพราะขาผมก็ยาวแม้ไม่เท่าอีกฝ่ายก็ตาม แต่การที่ผมได้เปรียบเนื่องจากปาลินเลือกจะหนีด้วยการวิ่ง และตอนนี้คนตัวเล็กก็มาอยู่ในวงแขนผมเรียบร้อย

“ปี มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” เสียงนั้นราบเรียบ แต่อารมณ์ข้างในไม่ได้เป็นเช่นนั้นแน่นอน สายตาของหมอภามตวัดมองมาที่ผมนิดหนึ่ง บอกความไม่พอใจที่ผมใช้มือโอบเอวคนของตน

“ผมกับคุณ เราคุยกันจบแล้ว” แม้จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ไม่ต่างจากคู่กรณี แต่เชื่อเถอะในน้ำเสียงของปาลินเต็มไปด้วยความสั่นไหวจากบาดแผลบางชนิด แฝงไปด้วยความปวดร้าวในอก

“แม่พี่ก็พูดแบบนี้ทุกครั้ง ปีก็ทนได้ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมคืนนี้ถึงทนไม่ได้”

“เพราะผมคงทนต่อไปไม่ไหว ไปต่อไม่ไหวแล้ว” น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมา เพื่อเปิดทางให้กับอีกหลายร้อยล้านหยดที่รวมกันจนกลายเป็นสายน้ำอุ่นร้อน “คุณทำตามที่ท่านต้องการเถอะ อย่าให้ท่านต้องเสียน้ำตาอีกเลย เรื่องของเราให้จบแค่นี้เถอะครับ” มือเล็กยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้พ้นไปจากแก้มขาว ผมเห็นปาลินพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาซ้ำ

“เราสัญญากันแล้วนะปี” หมอภามเอ่ยท้วง ยกเอาคำสัญญาในวันเก่ามายื้อ “...สัญญาว่าเราจะจับมือไปด้วยกัน เราจะมีแค่กันและกัน ปีจะมีแค่พี่ พี่จะมีแค่ปี เราจะพยายามไปด้วยกัน จะไม่ปล่อยมือจากกัน ต่อให้ใครไม่เห็นด้วยกับความรักของเรา”

“ตอนนั้นผมยังเด็ก” คำโต้ตอบแผ่วเบา ราวกับไม่มั่นใจในถ้อยคำที่เอ่ยออกมา และทำให้ใบหน้าของคนฟังขึ้นริ้วรอยเจ็บปวดที่ไม่ต่างกันเลย “...ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความพยายามไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ มันเปลี่ยนใจคนไม่ได้... กลับกันเถอะพี” คำพูดสุดท้ายปาลินหันมาเอ่ยกับผม แววตาที่ผมมองสบเต็มไปด้วยความปวดร้าวในอก ยามนี้โลกทั้งใบของคนคนนี้ได้แตกสลายไปเสียแล้ว

ผมดีใจที่เอาปาลินกลับมาได้ แต่ก็ไม่อยากเห็นเพื่อนต้องเจ็บปวด ไม่อยากให้หัวใจของปาลินแตกสลายเหมือนของผม แม้จะต่างเหตุการณ์กันก็ตาม ทว่าความรู้สึกนั้นไม่ต่างกันหรอก

...เจ็บก็คือเจ็บ

...น้ำตาก็คือน้ำตา

...และโลกก็พังยับเยินเหมือนกัน

“อืม...” ผมขานรับในลำคอ พลางส่งยิ้มให้คนตัวเล็กกว่า ก่อนจะหันไปโค้งศีรษะลงเล็กน้อยให้กับเจ้าของวันเกิด ไม่ใช่การแสดงคำเอ่ยลาแบบไร้เสียง แต่เป็นคำพูดเยาะเย้ยที่เปล่งออกมาด้วยท่าทางต่างหาก... เยาะเย้ยในความรักที่จบลงเสียที หมอภามไม่ควรมีความสุขกับความรักที่สมหวัง

ระหว่างผมกับหมอภาม ไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตให้หมางใจกัน จนถึงขั้นเกลียดขี้หน้าจนอยากให้จมดิ่งลงไปในความรักที่แตกสลาย เพียงแต่ว่าผมเป็นคนพาลไปหน่อย คุณหมอคนนี้ดันเกิดมาเป็นเพื่อนรักของคนคนนั้น ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกสะใจที่แย่งคนของหมอภามที่เคยเป็นคนของผมกลับคืนมาได้

...เด็กดีในอดีต เวลานี้ได้กลายเป็นคนพาลไปเรียบร้อย ไม่เหลือความใสซื่ออีกต่อไป มันหมดไปแล้วสิ่งนั้น 

แต่ก่อนที่ผมจะทันทิ้งให้หมอภามอยู่กับความว่างเปล่า สูญเสียคนรักมาให้ผม เจ้าตัวก็ก้าวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว หวังจะดึงแขนเอาตัวปาลินกลับไปหาตน แต่บังเอิญที่ผมคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ผมถึงได้ดึงเอาตัวปาลินไปไว้ด้านหลังได้ทัน พ้นไปจากมือใหญ่ที่จะฉุดกระชากคนตัวเล็กกลับไป พร้อมกับผลักอกหมอภามอย่างแรง จนอีกฝ่ายเซไปข้างหลังเสียหลายก้าว

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงทำให้หมอภามขยับเขยื้อนไม่ได้ ผิดกับตอนนี้ที่ผมแข็งแรงขึ้น ร่างกายสูงใหญ่และหนาขึ้นกว่าตอนเป็นเด็กที่มีร่างกายผอมแห้ง ถึงแม้ความสูงใหญ่จะไม่เท่ากับอีกฝ่ายก็ตาม แต่ผมก็โคตรภูมิใจที่เปลี่ยนมาได้ถึงขนาดนี้

“อย่ายุ่งกับคนของผม” ผมพูดแล้วส่งรอยยิ้มเย้ยหยันในความพ่ายแพ้ของหมอภาม

“เลิกเรียกร้องความสนใจเป็นเด็กๆ ซะที พยายามจนน่าหัวเราะ” หมอภามก้าวเข้ามาใหม่ เขาใช้ความสูงที่มากกว่าข่มผมให้ตัวเล็กลง แต่ก็แค่นั้น ใช่ว่าผมจะกลัว ผมไม่ใช่เด็กอย่างที่เขากล่าวหา ต่อให้ ‘บางคำ’ ของเขาจะเป็นความจริงก็ตาม

‘เรียกร้องความสนใจ’ งั้นเหรอ?

แล้วไง ก็ผมจะทำ ทำให้คนคนนั้นเห็นซะทีว่าผมมีตัวตน!

“งั้นก็หัวเราะสิครับ หวังว่าจะหัวเราะออกนะครับหมอภาม” ผมจบคำท้าทายด้วยการเกี่ยวเอวปาลินกลับมายืนข้างกาย โน้มใบหน้าลงไปแนบริมฝีปากบนแก้มชื้น ไล่มาถึงกลีบปากอิ่มสวย ไม่มีเสียงหัวเราะแม้แต่นิดเดียว มีแต่แรงกระชากที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วพอๆ กับเสียงหมัดหนักที่กระแทกลงมาบนแก้มผม

กลิ่นเลือดคลุ้งภายในอุ้งปาก กับเสียงสั่นๆ ของปาลินที่ทรุดตัวลงนั่งข้างตัวผมที่เสียหลักล้มลงไปกองพื้น เพราะหมัดของหมอภามนั้นรุนแรงจนผมต้านทานไม่ไหว และไม่ใช่แค่เสียงของปาลินที่ดังก้องอยู่ในหูของผม ยังมีเสียงของผู้คนในงานที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

“อย่าทำเพื่อนผม!” เสียงตะคอกดังขึ้นในจังหวะที่หมอภามก้มตัวลงมากระชากคอเสื้อผมขึ้นมา เพื่อให้กลับขึ้นไปรับหมัดของเขาต่อ และนั่นทำให้หมอภามชะงักเล็กน้อย มันเป็นโอกาสที่ผมสามารถใช้เท้าถีบหน้าท้องของอีกฝ่ายให้ล้มลงไปกองพื้นเช่นเดียวกับผม ต่างกันที่ว่าตอนนี้ผมลุกขึ้นจากพื้นแล้ว โดยมีปาลินช่วยพยุง จากนั้นก็โอบกอดผมไว้ทั้งตัว ราวกับจะใช้ร่างกายที่ผอมบางและเล็กกว่าผมในการปกป้องผมจากอดีตคนรักของตน เมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะลุกขึ้นมาซัดหมัดใส่ผมให้หายแค้น

ใบหน้าของหมอภามทั้งโกรธ ทั้งคับแค้นใจ ผิดกับใบหน้าของคนคนนั้นที่ก้าวนำหน้าคนอีกหลายสิบตรงมายังตรงนี้ เขาถึงตัวหมอภามก่อนใครพวก พร้อมกับมือที่รั้งแขนเพื่อนของตัวเองเอาไว้ไม่ให้พุ่งมาถึงตัวผม ก่อนริมฝีปากหนาจะขยับเป็นถ้อยคำออกมาว่า

“ปล่อยเด็กมันไป มันก็มีปัญญาทำได้แค่นี้” เสียงทุ้มราบเรียบและแฝงด้วยพลังอำนาจในแบบที่ใช้กับผมมาตลอด

หึ... คิดว่าผมทำได้แค่นี้งั้นเหรอ ?

เหอะ... คิดว่าผมจะหยุดแค่เอาตัวปาลินมาจากหมอภามแค่คืนเดียวอย่างนั้นเหรอ

ขอโทษเถอะ แค่คืนเดียวผมก็สามารถทำให้ปาลินไม่คิดจะกลับไปหาหมอภามได้ละน่า

คอยดูละกัน คุณยะ!




*****จบตอนที่ 2*****

Talk ** บังเอิญค่าตัวน้องพีไม่แพงเท่าไร เลยออกเยอะหน่อย
ส่วนคุณยะนั้น ค่าตัวของเขาแพง ออกมานิดหน่อยก็พอเนอะ ^_^
(คุณยะไม่ต่างจากตัวประกอบเลย 555+)
สีเหลืองอ่อน
ปล.เดี๋ยวขอกลับไปแก้ช่วงเวลาที่น้องพีไปต่างประเทศในตอนที่ 1 นะคะ แหะๆ คนเขียนคำนวณช่วงเวลาผิดพลาดไปนิด


 
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 2 (13-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-09-2018 20:24:41
นึกออกแล้ววววววววววว
เอ้ยยยยย ไหนตอนนั้นเหมือนจะไปได้
แต่ทำไมความสัมพันธ์ของคุณยะกับน้องพีถึงได้พังขนาดนี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 3 (15-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 15-09-2018 18:57:35
ตอนที่ 3


“หิวหรือเปล่าปี กินอะไรไหม”

ผมถามคนที่เดินตามหลังผมเข้ามาในคอนโดฯ แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีน้ำตาลแดงที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องครัวแบบเปิดเท่าไรนัก โดยมีโต๊ะอาหารรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากับเก้าอี้บุนวมอีกแปดตัวช่วยให้เขตแดนของทั้งสองส่วนชัดเจนขึ้น และตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่หน้าตู้เย็นหลังใหญ่ เพื่อรอคำตอบ

“เราอิ่มแล้ว” ปาลินตอบกลับมาเสียงเบา สายตาไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าผม ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้เงียบๆ มาตลอดทางจากบ้านพ่อแม่ของหมอภามจนมาถึงคอนโดมิเนียมของผมมองผ่านประตูระเบียงห้องออกไปด้านนอก จับจ้องท้องฟ้ายามราตรีที่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดหม่น

“เค้กไหม ?” ผมถามต่อ ตอนที่หันกลับไปเปิดตู้เย็น หยิบเอาเค้กหลายชิ้นและหลากรสชาติออกจากถุงหิ้วแล้วใส่เข้าไปในตู้ เค้กแต่ละชิ้นที่หยิบออกมาแช่ตู้เย็นไว้ก็น่ากินทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครปชาเขียว เค้กเลม่อนที่โรยหน้าด้วยงาดำ ช็อกโกแลตมูส บานอฟฟี่พาย สตรอว์เบอร์รีทาร์ต บลูเบอร์รีชีส และไวท์ช็อกซีส

ไม่รู้ว่าเจ้าของเค้กอยากให้ผมอ้วนจนกลิ้งได้หรือเปล่า ขนาดว่าผมตัวใหญ่และหนาขึ้นกว่าตอนเด็กมาก เจ้าของเค้กก็ยังมองว่าผมเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กนิดเดียวและต้องมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ นอกจากเค้กก็ยังมีน้ำส้มคั้นกับน้ำสตรอว์เบอร์รีอีกสองขวดใหญ่ คุกกี้อีกสามกระปุก อย่างหลังนี่ผมเอาไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ใกล้ๆ ตู้เย็น

เค้ก น้ำผลไม้ และคุกกี้ ของอร่อยพวกนี้ ผู้ชายที่น่ารักเสมอสำหรับผม เขาฝากไว้กับพนักงานที่เคาน์เตอร์ด้านล่างของคอนโดมิเนียม เพราะหอบหิ้วมาให้แล้วไม่เจอตัวคนรับ พอไม่เจอก็ฝากไว้และโทรบอกผมช่วงที่นั่งอยู่ในแท็กซี่ตอนกลับออกมาจากบ้านของพ่อแม่ของหมอภาม

“ไม่” ปาลินส่ายหน้า มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากพวงแก้ม

เมื่อปาลินบอกอย่างนั้น ผมเลยหยิบแค่เกี๊ยวกุ้งออกมาสามถ้วยเล็ก ตั้งแต่ตื่นมาตอนค่ำผมยังไม่ได้กินอะไรเลย มาตอนนี้เลยหิวมากกว่าปกติ ต่อให้มันเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้วก็ตาม

ผมเปิดเตาไมโครเวฟ ยัดเกี๊ยวกุ้งที่แกะออกมาจากถ้วยพลาสติกแล้วเทรวมกันในถ้วยใบใหญ่เข้าไปอุ่นในนั้น

“ไปอาบน้ำก่อนนะ” ปาลินก็เอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องชั้นล่างซึ่งเป็นห้องนอนประจำของเจ้าตัวเวลาที่มานอนค้างกับผม

คอนโดมิเนียมหลังนี้เป็นแบบ Duplex  เพดานเหนือห้องนั่งเล่นเปิดโล่งไปจนถึงชั้นสอง ให้ความรู้สึกเหมือนอาศัยอยู่ในบ้านสองชั้นที่ตั้งอยู่บนพื้นดิน ไม่ใช่แท่งคอนกรีตที่สูงเสียดฟ้า ห้องหลังนี้ตั้งอยู่บนชั้น 29 เป็นอีกหนึ่งของขวัญจากคนที่เป็นเจ้าของเลือดในกายผมครึ่งหนึ่ง ของขวัญต้อนรับการกลับบ้าน กลับมาช่วยเขาดูแลธุรกิจของตระกูล

ผมเดินถือถ้วยเกี๊ยวกุ้งอาหารมื้อค่ำที่ต้องมากินเอาตอนเกือบตีหนึ่งมาวางบนโต๊ะอาหาร ที่ตั้งอยู่รายล้อมโต๊ะคือจำนวนเก้าอี้ซึ่งเยอะกว่าจำนวนใช้จริง ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวประจำตรงหัวโต๊ะ ตักอาหารมื้อเย็นที่เกินเวลามาหลายชั่วโมงจนหมดเกลี้ยง เป้าหมายต่อไปคือบลูเบอร์รีชีสเค้กกับบานอฟฟี่พาย เอาให้อ้วนสมใจคนให้ไปเลยละกัน

นึกถึงคนให้แล้ว ผมก็ต้องรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดหน้าจอ เข้าไปที่กล้องแล้วถ่ายรูปเค้กสองชิ้นบนจานสีขาว หน้าตาของเค้กน่ากินไม่ต่างจากรสชาติของมันเลย ได้รูปสวยๆ แล้วก็ส่งผ่านโปรแกรมแชตสีเขียวไปให้เจ้าของเค้กได้ชื่นใจ ไม่ได้สนใจเลยว่าเวลานี้ดึกมากแค่ไหนแล้ว เพราะคิดว่าส่งข้อความทิ้งไว้เฉยๆ เท่านั้นเอง

P.Phirach : จะกินแล้วนะครับ

ผมส่งรูปพร้อมกับข้อความเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันวางมือถือเลยด้วยซ้ำ ข้อความที่ถูกส่งไปและคิดว่าคนรับคงจะเห็นมันตอนเช้า แต่ว่าข้อความนั้นก็ขึ้นว่าถูกอ่านแล้ว พร้อมกับข้อความจากอีกฝั่งโผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : กินตอนดึก อ้วนนะครับน้องพี

‘น้องพี’ เห็นคำนี้ขึ้นมาทีไร กระบอกตาของผมร้อนขึ้นมาเสมอ มันเป็นความรู้สึกโหยหา ที่ไม่ว่าจะหาอะไรมาเติมลงไปก็ไม่เต็มเสียที

P.Phirach : ก็มันอร่อยมากกกกกกกกก

P.Phirach : ไม่กินไม่ได้

P.Phirach : ขอบคุณนะครับอาฟ้า

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : งั้นอาฟ้าอนุญาตให้กินอีกชิ้น แต่ว่าอาฟ้าต้องนอนแล้วนะ เดี๋ยวอานุของน้องพีจะสงสัย

เรื่องที่ผมติดต่อกับอาฟ้ายังไม่มีใครรู้ แม้แต่อานุก็ยังไม่รู้ ผมเป็นคนขอร้องอาฟ้าเองเพราะยังไม่กล้าสู้หน้าคนรักของอาฟ้า

การพบกันของผมกับอาฟ้าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ตอนนั้นผมเพิ่งกลับมาไทยได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ กำลังขับรถกลับจากโรงแรม รถก็ดันมาเสียซะได้ ผมยืนรอช่างมาดูอาการ จังหวะนั้นอาฟ้าขับรถผ่านมาตรงนั้นพอดี แถมยังจำผมได้ทันทีด้วย ผมยังแปลกใจเลยว่าอาฟ้าจำผมได้ยังไง ทั้งที่ผมเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ไม่ได้ตัวเล็กผอมแห้งเหมือนเมื่อก่อน หน้าตาก็ดูเป็นชายหนุ่มมากขึ้น ไม่มีเค้าโครงความเป็นเด็กที่เป็นภาพจำของอาฟ้าหลงเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ

ตอนฟังเหตุผลของอาฟ้าที่จำผมได้ ผมถึงกับกอดอาฟ้าร้องไห้ข้างถนนเลย เจ้าตัวบอกผมว่า ที่จำได้เพราะ ‘ความคิดถึง’ ล้วนๆ คิดถึงมากถึงจำได้แม้กระทั่งท่ายืน

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : หม่ำเสร็จก็เข้านอนเลยนะครับ ห้ามนอนดึกนะน้องพี

ผมว่าช้าไปแล้วนะ สำหรับคำว่า ‘ห้ามนอนดึก’ เพราะนี่มันดึกมากแล้วจริงๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็สว่างแล้ว

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : ฝันดีครับน้องพี

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : **สติ๊กเกอร์**

เจ้าตัวดุ๊กดิ๊กกระโดดขึ้นเตียงแล้วดึงผ้ามาห่มตัวกับข้อความว่าฝันดีที่เขียนกำกับอยู่ข้างๆ เตียง ทำให้ผมมีรอยยิ้ม สำหรับอาฟ้าก็เป็นกรณีพิเศษกว่าใคร ที่ผมยอมส่งสติ๊กเกอร์เด็กผู้ชายส่งจุ๊บกู๊ดไนท์ไปให้ มันไม่มีอะไรแอบแฝงครับ ผมยังรักและเคารพอาฟ้าเหมือนเดิม 

อาฟ้าเป็นเพียงคนเดียวในครอบครัว ‘ตรัยธาดา’ ที่ผมกล้าสู้หน้าได้ ส่วนคนอื่นโดยเฉพาะคุณย่าของน้องพี ต่อให้ผมรักและคิดถึงท่านมากแค่ไหน ผมก็ไม่กล้ากลับไปกราบเท้าท่าน เพราะความรู้สึกผิดที่เป็นคนพรากคนสำคัญของท่านไปนั้น ทำให้ผมไม่กล้ากลับไปพบเจอกับความผิดหวังและความเกลียดชังในแววตาของท่าน

ผมวางโทรศัพท์ลง จัดการกับเค้กรสชาติอร่อยที่คุ้นเคย ให้ความหอมหวานของรสสัมผัสขับไล่ก้อนเมฆสีดำทะมึนออกไปทีละก้อน พอเค้กสองชิ้นหมดในเวลาอันรวดเร็ว ผมก็เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเค้กเลม่อนออกมาอีกชิ้นหนึ่ง กินตามคำสั่งของอาฟ้าครับ แต่ความจริงคือเค้กของอาฟ้าอร่อยจนไม่อยากหยุดแค่สองชิ้นต่างหากเล่า และไม่ลืมหยิบน้ำส้มคั้นออกมาด้วย

จนเค้กเลม่อนที่โรยหน้าด้วยผงงาดำหมดเกลี้ยงและปิดท้ายด้วยน้ำส้มคั้นแก้วใหญ่ ผมก็ลุกเดินเอาถ้วยกับจานไปล้างทำความสะอาด พอผละออกจากอ่างล้างก็เจอปาลินที่เดินเข้ามาในครัว เจ้าตัวอยู่ในชุดนอนแต่ยังไม่พร้อมที่จะนอน

“ขอดื่มหน่อยนะ” ว่าแล้วก็เปิดตู้เย็น เป้าหมายคงเป็นกระป๋องเบียร์สีเขียวรูปทรงยาว “ดื่มด้วยกันไหม” เจ้าตัวหันมาถาม ดวงตายังแดงก่ำจากการร้องไห้เหมือนเดิม คาดว่าตอนเข้าไปอาบน้ำก็คงมีร้องไห้ต่ออีกแน่ๆ

“เหนียวตัวแล้วขอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวเราลงมา อย่าเพิ่งเมาซะก่อนนะ” ผมบอก ปาลินเลยหยิบออกมาแค่กระป๋องเดียว แล้วเดินไปนั่งดื่มที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น

ตอนผมเดินลงมาจากชั้นสองหลังอาบน้ำเสร็จ โซฟาตัวที่ปาลินนั่งก่อนหน้านี้ว่างเปล่า บนโต๊ะเตี้ยหน้าชุดโซฟาสีน้ำตาลแดงมีกระป๋องเบียร์เปล่าตั้งอยู่สามกระป๋อง เจ้าตัวหนีไปยืนรับลมกลางดึกที่นอกระเบียง ผมเปิดประตูระเบียงตามออกไป ไม่ได้เดินไปหยุดอยู่ข้างกายคนคออ่อนที่ฟุ้งด้วยกลิ่นเบียร์ ผมเลือกที่จะเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังร่างบอบบางที่ติดจะผอมไปเสียด้วยซ้ำ โอบรัดร่างกายของปาลินไว้ในวงแขนแบบที่ไม่แน่นเกินไปแต่ก็แนบสนิท เพื่อสร้างความคุ้นเคย

ใช่ว่า... เราสองคนจะไม่เคยกอดกัน

และใช่ว่า... เราสองคนจะไม่เคยนอนด้วยกัน

‘นอน’ ที่มีความหมายว่า ‘มีอะไรกัน’ แม้จะนานหลายปีแล้วก็ตาม

“เมาหรือยัง ?” ผมกระซิบถามข้างใบหูเล็ก ราวกับกลัวว่าจะมีคนได้ยิน ไม่สนใจแรงต้านจากคนในวงแขน เพิ่มแรงกอดเข้าไปอีกนิด บังคับกลายๆ ให้คนตัวเล็กหยุดขัดขืนเสียที

“ปล่อยก่อนพี อึดอัดนะ” ปาลินว่าเสียงดุ พยายามแกะมือผมออกจากเอว แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เวลาปกติยังสู้แรงผมไม่ได้เลย ยิ่งตอนนี้แอลกอฮอล์ไหลเวียนในร่างกายไปเสียแล้ว ก็จะเอาอะไรมาสู้ผมได้

“ไม่ได้จะทำให้อึดอัด แต่จะทำให้ปีมีความสุขจนไม่มีเวลาไปคิดถึงหมอภาม” พูดจบ ผมก็แนบริมฝีปากลงบนแก้มขาว อุณหภูมิของแก้มนั้นเย็นจัดเพราะสายลมเย็นยามดึกบนตึกสูง “มาเป็นคนของเรานะปี”

“แต่เรามีพี่ภามแล้ว” ปาลินเลิกดิ้น เลิกที่จะเอามือผมออกจากตัวเขา เจ้าตัวทอดสายตามองไปยังความมืดเบื้องหน้า

“เลิกกันแล้วนี่นา ตอนนี้ปีเป็นอิสระ ปีคงไม่คิดจะกลับไปหาหมอภามอีกแล้วใช่ไหม” ผมใช้คำพูดพวกนี้เพื่อโน้มน้าวคนในวงแขน ให้ความคิดและหัวใจของปาลินอ่อนแอลงไปอีก “ครอบครัวของหมอภามไม่ได้ต้องการปีเหมือนที่เราต้องการปีหรอกนะ พยายามมากี่ปีแล้วล่ะ ผลมันเป็นยังไง ก็ยังศูนย์เท่าเดิม เผลอๆ อาจจะติดลบด้วยซ้ำ พวกเขาเองก็ยังตั้งหน้าตั้งตาหาลูกสะใภ้ที่คู่ควรกับลูกชายของเขาอยู่ตลอดเวลา เรารู้มาว่าตอนนี้ก็กำลังเล็งลูกสาวคนเล็กของท่านรัฐมนตรีพิทักษ์”

“...” ร่างกายใต้ในผ้าเนื้อดีที่ผมลากปลายนิ้วเข้าไปสัมผัสเริ่มสั่น 

“พวกเขาไม่ได้มองว่าปีเป็นคนรักของลูกชายเขา แต่มองว่าปีเป็นตัวปัญหา คนน่าขยะแขยงที่ทำให้ลูกชายของเขากลายเป็นพวกผิดเพศ โทษว่าปีทำให้พวกเขาอดอุ้มหลาน ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไฮโซของเขาเสียหาย” ผมก็ยังใช้ความจริงเข้าทำร้ายหัวใจปาลินอย่างต่อเนื่อง “เขาคงแช่งชักหักกระดูกปีวันหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยครั้ง ปีชอบหรือยังที่ให้คนอื่นมาดูถูกเหยียดหยามคุณค่าของปี มองปีเหมือนไม่ใช่คน...

“...”

“ไม่มีหมอภาม ปีก็ไม่ตายหรอก เชื่อเราสิ”

“...”

“กลับมาหาเรานะ มาเป็นคนของเรา”

“พีไม่ได้รักเรา” นี่คงเป็นประโยคปฏิเสธ

ถ้าถามว่าผมรู้สึกอย่างไรกับปาลิน ก็ตอบได้ไม่ยากครับ เมื่อก่อนเคยรู้สึกอย่างไร ตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกแบบนั้น เราสองคนเป็นเพื่อน... เพื่อนที่เคยนอนด้วยกัน ก็แค่นั้น

“เมื่อก่อนก็ไม่ได้รัก เราก็มีอะไรกับปีได้นี่” ผมไม่สนใจคำพูดของปาลินเท่ากับความต้องการของตัวเอง “ถ้าปีไม่อยากกลับไปหาหมอภามแล้วละก็ วิธีนี้ก็ดีไม่ใช่หรือไง กลับมาเป็นของพี แล้วหมอภามจะไม่มายุ่งกับปีอีก ปีจะได้ไม่ต้องถูกครอบครัวหมอภามมองด้วยสายตารังเกียจอีกต่อไปไง... หรือว่าปีอยากเห็นหมอภามทะเลาะกับพ่อแม่ของเขา อยากให้เขาโดนพ่อแม่ตัดขาดความเป็นพ่อแม่ลูกกันเหรอ”

เรื่องความสัมพันธ์ของปาลินกับหมอภามที่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวอีกฝ่าย ผมรับรู้หมดทุกอย่างเพราะปาลินมาระบายให้ผมฟังตลอด

ผมรู้ว่าปาลินรักหมอภามมาก ระยะเวลาหกเจ็ดปีที่ผมหายไป หมอภามก็เริ่มเข้ามาเป็นทุกอย่างของปาลินอย่างช้าๆ ทว่าผมก็ยังมั่นใจว่าในส่วนเสี้ยวของความรู้สึกในวันเก่า ความรู้สึกที่เรียกว่ารักที่ปาลินมีให้ผม มันยังคงค้างอยู่ตรงนั้น ตรงไหนสักแห่ง แค่รอเวลาให้ผมเรียกร้องเอามันคืนกลับมา 

“กลับมาเป็นคนของเราอีกครั้งนะปี” ผมแนบริมฝีปากลงบนต้นคอขาว ลากไล้สัมผัสด้วยแรงดูด ก่อนฝังคมเขี้ยวลงไปราวกับว่าร่องรอยนี้คือสัญลักษณ์ของความเป็นเจ้าของคนใหม่ของปาลิน

“อย่าพี...อื้ออ...” คำห้ามที่ฟุ้งด้วยกลิ่นความมึนเมาไม่ได้ทำให้ผมหยุดสิ่งที่คิดจะทำ ผมจับคางเล็กให้ใบหน้าน่ารักหันกลับมาหา ริมฝีปากของผมโน้มลงไปครอบครองกลีบปากอิ่มสีหวาน นานครั้งที่ผมจะใช้ปากนี้จูบใคร

“ไปห้องของพีนะ” ผมกระซิบบอกเมื่อผละริมฝีปากออกมาจากความนิ่มของริมฝีปากอิ่มของปาลิน และมีเพียงความเงียบที่คนในวงแขนมอบให้ผม แต่ปาลินก็ยินยอมให้ผมประคองตัวกลับเข้ามาในห้อง เดินขึ้นบันได เข้าไปในห้องนอนของผม และเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางกายกันบนเตียงนอนหลังใหญ่

เราสัมผัสกันเหมือนเมื่อครั้งนั้น ทุกการครอบครองไม่ได้อ่อนหวานจนความสุขล้นอยู่ในอก ความรู้สึกฝืนใจมีอยู่เต็มทั้งผมและปาลิน แต่เราก็ยังปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบคนโง่เขลา ไม่ต่างจากเด็กผู้ชายสองคนในอดีต

เพียงแต่ว่าครั้งนี้... ผมกอดปาลิน


 .



.


.

***ต่อด้านล่าง***
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 3 (15-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 15-09-2018 19:00:58
***ต่อด้านบน***

กลิ่นสัมผัสคลุ้งอยู่รอบกาย ยามที่ผมถึงปลายทาง ปลดปล่อยสายน้ำอุ่นร้อนเข้าไปในช่องทางคับแน่นของคนร่วมเตียง โอบกอดร่างเล็กที่หอบเหนื่อยและชื้นด้วยเม็ดเหงื่อทั้งที่อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำไว้จากด้านหลัง

“มีความสุขไหม ?” คำถามดังเบาแทบไม่ได้ยินมาจากคนในอ้อมกอด เนื้อเสียงนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความสุขตามที่ร่างกายได้ปลดปล่อยออกมา มันเป็นคำถามที่เหมือนคำเย้ยหยันในสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไป สิ่งที่เราทำร่วมกันด้วยความโง่เขลา

“มีสิ” ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เพิ่มน้ำหนักให้กับคำตอบของตัวเอง แต่ไม่ได้ทำให้ความจริงน้ำหนักเบาลงเลย คนโง่เขลาและมีความคิดตื้นเขินอย่างผมยังคงหลอกตัวเองต่อไป “มีความสุขมาก ดีใจที่ปีกลับมาเป็นคนของเราอีกครั้ง”

“หยุดหลอกตัวเองได้แล้วพี เป็นถึงขนาดนี้” คนพูดพลิกตัวกลับมาหาผม ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นมาปาดความชื้นแฉะออกจากสองแก้ม

...น้ำตาผมไหล

“พีไม่มีความสุข” ดวงตาของปาลินแดงก่ำ คงไม่ต่างจากผมเท่าไร “...เราก็ไม่มีความสุขที่มีอะไรกับพี”

“...” ความสุขของผมหมดไปนานมากแล้ว ต่อให้นอนกับใครอีกร้อยคนพันคน ความสุขบนเตียงก็ยังคงเป็นของปลอม ไม่เคยจริงเลยสักนิด

“เรารู้สึกเกลียดตัวเองมากเลยรู้ไหม...ฮึก... เราสกปรก...ฮึก...จนน่าขยะแขยง” เป็นผมบ้างที่ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเม็ดน้ำตาให้พ้นไปจากพวงแก้มขาวของปาลิน “เรา...ฮึก...สองคน...โตแต่ตัวจริงๆ”

มีเพียงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ นอกนั้นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย ทั้งความคิดและความรู้สึก ผมยังคงเป็น ‘น้องพี’ คนอ่อนแอในวันเก่า

ผมคลายอ้อมกอดออกมา พลิกตัวหันหลังให้คนร่วมเตียง เช่นเดียวกับปาลินที่พลิกตัวกลับไปอีกด้านหนึ่ง เราสองคนต่างหันหลังให้กันและกัน ต่างคนต่างมีน้ำตา มีเรื่องราวเจ็บปวดให้ต้องจมลงไปอย่างยากจะห้ามปราม

ในความเงียบเชียบท่ามกลางแสงไฟสีนวลบนหัวเตียง มีเสียงสะอื้นออกมาเป็นระยะ

“จะเอายังไงต่อไป” ผ่านไปนานหลายนาทีที่จมอยู่กับความคิดที่ฉุดดึงที่ดิ่งลึก เสียงเบาบางของปาลินก็ดังแทรกผ่านความเงียบเชียบออกมาเป็นคำถาม

“อยู่กับเรา เป็นคนของเรา” ผมคิดได้แค่นี้จริงๆ ลากปาลินให้ลงมาถึงจุดนี้ได้ ผมก็ไม่รู้จะพาเพื่อนเดินไปทางไหนต่อ ก็คงต้องอยู่ด้วยกันแต่ไม่ใช่ของกันและกัน

“อืม”

แบบนี้คงดีแล้ว

“ปี”

“ว่าไง”

“พรุ่งนี้โทรไปลาออกนะ ไม่ต้องไปทำงาน”

“ได้ไงล่ะ” เสียงเล็กๆ แหวกลับมาทันที “มันไม่ใช่จะออกกันได้ปุ๊บปั๊บนะ”

“ก็แค่โทรไปลาออกกับคุณกมลฉัตร ขี้คร้านจะเต็มใจให้ปีออกจากโรงพยาบาลของเขาตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาเรียกร้องค่าสัญญาหรือค่าเสียหาย เดี๋ยวเราจ่ายให้เอง”

คุณกมลฉัตรคือแม่ของหมอภาม เธอเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนที่ปาลินทำงาน ปาลินเคยเล่าให้ผมฟังมาแล้วว่าเธออยากจะไล่คนรักของลูกชายออกไปซะให้พ้นหูพ้นตา ไม่อยากฟังเสียงซุบซิบนินทาว่าลูกของเธอผิดเพศ คบหาอยู่กับทันตแพทย์หน้าใสที่เป็นผู้ชายเพศเดียวกัน

“แล้วพรุ่งนี้เราจะให้เลขาหาทำเลดีๆ เปิดคลินิกให้ปีด้วย ปีจะได้ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องใคร”

“รวยนักหรือไงหะเด็กชายพีรัช” เสียงขยับตัวของปาลินดังขึ้น คาดว่าเจ้าตัวคงกำลังพลิกตัวหันกลับมาหาผม ผมก็เลยขยับพลิกตัวกลับไปหาปาลินบ้าง เราสองคนมองหน้ากัน ต่างคนก็ต่างเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มพร้อมกัน

“เด็กชายปาลินไม่รู้หรือไงว่าเรารวยมาก เงินในบัญชีมีไม่รู้กี่ร้อยล้าน” ...อีกไม่นานก็คงถึงหลัก ‘พันล้าน’

ผมไม่ใช่อัจฉริยะด้านการหาเงินร้อยล้านพันล้านได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบปีหรอก ที่มีเงินในบัญชีเป็นหลักร้อยล้านใกล้พันล้านก็เป็นเงินของคนที่มีสายเลือดเดียวกับผมทั้งนั้น 

พวกเขาสองคนบอกว่าตัวเลขในบัญชีคือ ‘ความรัก’ ตรงกันข้ามกับความคิดของผม ผมว่าตัวเลขพวกนั้นคือ ‘การชดเชย’ ให้กับคนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้นเอง

“เราพ้นจากสภาพเด็กที่ต้องขอเงินเขาใช้...และต้องตอบแทนบุญคุณเขาด้วยร่างกายของเราแล้วนะปี” รู้สึกเลยว่าเสียงผมสั่นมาก ยามที่เอ่ยประโยคพวกนี้ออกมา ปาลินก็รับรู้มัน เจ้าตัวถึงได้ขยับเข้าใกล้ผม ดึงตัวผมเข้าไปกอดในสภาพที่เราสองคนต่างเปลือยเปล่าทั้งคู่

“ให้อภัยเขาไม่ได้เลยเหรอ”

“...” ผมซบหน้าบนไหล่เล็ก ส่ายหัวช้าๆ น้ำอุ่นร้อนล้นออกมาหน่วยตา ตัวผมเหมือนจะเล็กลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นแค่กรวดดินไร้ค่า

“ทั้งรักทั้งแค้นแบบนี้ คนที่เจ็บก็มีแต่พีนะ”

...เจ็บมากด้วย เจ็บแบบที่ไม่มีความเจ็บไหนมาเทียบได้

“มันเหมือนเราเดินมาไกลเกินไปแล้ว เรากลับไม่ได้ ต่อให้อยากกลับไปแค่ไหน เราก็กลับไปไม่ได้... ฮึก... เขาไม่เคยรักเรา...ไม่เคยรักเราเลย...แล้ว...เขาก็กำลังจะแต่งงาน...ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้อีกแล้วนะปี...ฮึก...เราทำอะไรไม่ได้เลย...นอกจาก...เรียกร้องความสนใจไปวันๆ...” หัวใจของผมมันปวดร้าวไปหมด มันแตกสลายซ้ำแล้วซ้ำอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่สิ้นสุด ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ผมไม่ร้องไห้

...น้ำตาของผมไม่เคยแห้งไปจากใบหน้า

“เขาไม่เคยรู้ว่าทำให้เราทรมานแค่ไหน”

...เพราะความคิดถึงมันทำให้ผมทรมานเหลือเกิน ความทรมานที่ไม่ต่างจากความใกล้ตายแต่ไม่ตาย

............................................................................


ผมค่อยๆ ปล่อยสายสีขาวขุ่นน้ำหนักเบาล่องลอยและกลืนหายไปกับราตรีที่ใกล้ย่างสู่รุ่งสาง ปลายนิ้วคีบมวนบุหรี่ที่ใกล้มอดดับมาจรดที่ริมฝีปากอีกครั้ง ดึงลมหายใจเข้าแล้วพ่นออกมา ทำแบบนี้มาเกือบชั่วโมงหลังจากที่เพื่อนร่วมเตียงหลับสนิทไปแล้ว

การที่ปาลินหลับสนิททำให้ผมทำอะไรง่ายขึ้น เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าผมทำอะไรไปบ้างหลังจากที่เขากอดผมจนหลับไป กว่าจะรู้ก็คงเป็นตอนที่ตื่นขึ้นมาและเปิดโทรศัพท์ดู สิ่งที่ผมทำไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่ลงไปหยิบโทรศัพท์ของปาลินที่วางอยู่ข้างเตียงในห้องนอนชั้นล่าง เดินกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเองบนชั้นสอง จัดท่านอนของปาลินนิดหน่อย ให้โชว์ร่องรอยสีกุหลาบที่ผมจงใจทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ได้รูปที่ถูกใจผมมากที่สุด แต่คงไม่ถูกใจคนที่ผมส่งไปให้ดูนักหรอก

ผมเมินเฉยกับเสียงข้อความที่หมอภามโต้ตอบกลับมา ไม่สนใจแรงสั่นสะเทือนจากสายที่เรียกเข้ามาซึ่งก็เป็นของหมอภามอีกนั่นแหละ เลือกจะปิดช่องทางการติดต่อด้วยการปิดโทรศัพท์มันซะเลย ที่ผมส่งรูปปาลินให้หมอภามไม่ใช่เพื่อตัวเองทั้งหมด ส่วนหนึ่งผมยอมรับว่าตัวเองพาลไปทั่ว และเรียกร้องความสนใจเหมือนเด็กๆ ที่มีปัญญาคิดได้แค่นี้ แต่อีกเหตุผลที่ผมทำลงไปก็เพื่อปาลิน ในเมื่อครอบครัวของหมอภามไม่ชอบปาลิน รังเกียจคนที่ทำให้ลูกชายตัวเองผิดเพศ ดูถูกว่าเกาะหมอภามกิน กระแหนะกระแหนทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ยิ่งลับหลังตอนที่หมอภามไม่อยู่ก็ด่าว่ายิ่งกว่าแม่ค้าตลาดสด ความพยายามของปาลินตลอดหลายปีไม่เคยได้ผล ผมถึงอยากให้ปาลินเลิกกับหมอภามไปซะ

...รักได้ก็เลิกได้

ผมอยากให้คำนี้ใช้ได้กับปาลิน

แต่สำหรับผมแล้ว มันใช้ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

...รักไปแล้ว มันไม่เคยจะเลิกรักได้ ยิ่งไม่คิดตัดใจจากก็ยิ่งหลงใหลไปกับความโหยหานั้น ยิ่งยอมให้ตัวเองจมอยู่กับความรักสีดำมืดก็ยิ่งหาทางออกไม่เจอ ยิ่งถลำลึกก็ยิ่งเจียนตาย

บุหรี่มวนใหม่ถูกจุดขึ้น สายนิโคตินล่องลอยอบอวล ผมปล่อยให้ตัวเองไหลไปกับความรู้สึกโหยหา ที่ต่อให้อัดความว่างเปล่าลงไปเท่าไร ความรู้สึกที่มากมายนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะลดน้อยลงเลย กลับยิ่งเพิ่ม ยิ่งรู้สึก ยิ่งอยากร้องไห้ อยากร้องตะโกนออกมาให้สุดเสียง ให้ทุกความรู้สึกที่อัดแน่นกลืนกินชีวิตผมอยู่นี้มันแตกกระจาย มอดดับ และสูญสิ้นไปซะ

ทุกอย่างที่เป็นผมในวันนี้ มันเริ่มจากตรงไหนนะ เริ่มจากตอนที่ผมยังอยู่ในท้องหรือเปล่า หรือตอนที่ผมเกิดมา ...หรือวันที่เด็กน้อยพีรัชเริ่มฟังคำผู้ใหญ่เป็น จำความได้ และได้พบกับคนคนนั้นผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม โดยไม่รู้ว่า ‘คุณพ่อ’ คืออะไร

“น้องพีมาเร็ว คุณพ่อจะมาแล้ว”

จนเมื่อมานั่งบนตักคุณย่าที่มีคุณปู่นั่งอยู่ข้างๆ กับอานุที่วุ่นอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะกลับมานั่งข้างคุณปู่ ส่วนอาภาก็กำลังเดินขึ้นเรือนมา ขาดแต่คุณทวดที่นานครั้งเด็กชายพีรัชจะได้พบเจอ เพราะท่านอยู่บนตึกที่สูงขึ้นไปบนฟ้า

“นั่นคุณพ่อของน้องพี” คุณย่าก้มลงมาบอก ชี้ชวนให้เด็กตัวน้อยบนตักดูคนในจอ

คำว่า ‘คุณพ่อ’ คือผู้ชายที่หน้าคล้ายคุณปู่กับอานุ

คนตัวโต มีสายตาน่าดึงดูด ผมในวัยเด็กจ้องเขาเขม็ง ความรู้สึกที่จำได้อย่างแม่นยำเลยคือ ‘คนตัวโตเป็นของผม’ เพราะคุณย่าบอกว่า ‘ของน้องพี’

คุณพ่อของน้องพี ก็คือ ‘ของของผม’ ไม่ต่างจากของเล่นหลายชิ้นของผม ตุ๊กตาของผม กระเป๋าของผม หมวกของผม รองเท้าของผม เสื้อผ้าของผม เตียงของผม ผ้าห่มของผม ห้องของผม เพราะอะไรก็ตามที่ลงท้ายด้วยคำว่าของน้องพี นั่นหมายความว่าสิ่งนั้นคือของของน้องพี ฉะนั้นคุณพ่อก็เป็นของผม

คำว่า ‘คุณพ่อเป็นของผม’ มันฝังเข้ามาในหัวของผมนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

“ธุคุณพ่อหน่อยสิครับน้องพี” เป็นคำสั่งของอานุ ซึ่งผมส่ายหัวอย่างรวดเร็ว

“ไม่เอา น้องพีไม่ธุ”

ความไม่รู้ประสาในวัยเด็ก ทำให้ผมตั้งคำถามว่า ทำไมผมต้องธุด้วยล่ะ ในเมื่อคนตัวโตเป็นของผม คนในจอก็ไม่ต่างจากพี่หมีของน้องพีที่ผมนอนกอดทุกคืนเลย เหมือนเสื้อผ้าของผม เตียงของผม ผ้าห่มของผม ของเล่นของผม ดังนั้นแทนที่จะยกมือไหว้ ผมในวัยเด็กกลับลุกจากตักคุณย่า เดินตรงเข้าไปหาคนในจอภาพ จิ้มนิ้วไปบนนั้น แล้วบอกกับคุณพ่อของน้องพีว่า

“ออกมาสิ ออกมาเลยนะ น้องพีจะกอด” กวักมือเรียกแล้วแต่คนในจอก็ยังนั่งอยู่ท่าเดิม ไม่ขยับตัวไปทางไหน ไม่ลุกเดินมาหาเสียที

แล้วเสียงหัวเราะก็ดังลั่นกับคำพูดของเด็กอย่างผม ที่ยังไม่รู้ว่า ‘คุณพ่อ’ คืออะไร ผมรู้แต่ว่าคุณพ่อคือคนตัวโตในจอ คือของของผม ผมเป็นเจ้าของคุณพ่อ แต่คนในตัวโตในจอสี่เหลี่ยมไม่ได้หัวเราะออกมา เขาจ้องหน้าผม ด้วยสายตาชนิดไหนผมก็จำไม่ได้หรอก อ่านสายตาไม่ออกด้วย เพราะผมยังเด็กเกินไปที่จะรับรู้อารมณ์ของพวกผู้ใหญ่ 

เหตุการณ์ในวันนั้นที่ทำให้ผมรู้ว่าคุณพ่อคือของของน้องพีก็มีอยู่แค่นี้ นอกนั้นมันเลือนรางไปหมด ไม่มีภาพจำใดในวันนั้นฉายอยู่ในหัวผมเลย

หลังจากวันนั้นผ่านไป ผมจำไม่ได้ว่ารอให้คุณพ่อของน้องพีออกมาจากหน้าจอนานเท่าไร ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปกี่วันกี่คืนที่ของของน้องพีไม่ยอมออกมาให้กอดเสียที จำได้แค่ตัวเองเอาแต่ร้องไห้หาคนตัวโต ปาตุ๊กตาบนเตียงลงพื้นทุกตัว โยนของเล่นทุกชิ้นออกนอกหน้าต่าง ไม่ยอมใส่เสื้อผ้า เดินไม่ใส่รองเท้า  เพราะของของน้องพีที่มีอยู่ทั้งหมด ไม่มีความสำคัญเท่ากับคนตัวโตที่เด็กชายพีรัชอยากกอด

...ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้กอด





*** จบตอนที่ 3 ***
อีก 2-3 วันตอนที่ 4 ค่อยมานะคะ ^_^
สีเหลืองอ่อน


หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 3 (15-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-09-2018 19:05:37
สงสารทั้งพีทั้งปีเลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 4 (18-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-09-2018 17:56:49
ตอนที่ 4

ช่วงเวลาที่ร่ำร้องหา ‘คุณพ่อของน้องพี’ ผ่านไปนานจนลืมเลือนว่าอยากกอด ของของน้องพีชิ้นอื่นกลับมามีความสำคัญอย่างเคย และนานไม่กี่เดือน หรืออาจนานเป็นปี คุณพ่อของน้องพี ของของน้องพี คนตัวโตในจอก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า มาให้เห็นในสายตา ภาพจำคือตอนที่เด็กชายนอนบนเตียงของโรงพยาบาลเพราะป่วยเป็นไข้หวัด ความทรงจำเลือนรางเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จำได้ชัดเจนคือมือใหญ่แสนอบอุ่นที่วางลงบนศีรษะ ...คำที่เอ่ยบอกกับเด็กชายตัวน้อยว่า

‘หายไวๆ’

‘คุณพ่อของน้องพีมาให้น้องพีกอดหน่อย’

มือน้อยไขว่คว้าหา พบเจอเพียงความว่างเปล่า คนตัวโตเพียงแค่ทอดสายตามองลงมา มือแสนอบอุ่นนั้นถูกดึงกลับไปแล้ว เสียงพูดคุยอะไรต่อมิอะไรแว่วดังเข้ามา จับใจความอะไรไม่ได้นอกจากความรู้สึกง่วงที่รุมเร้าและเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดายด้วยฤทธิ์ยา

เหตุการณ์วันนั้นจึงจำได้แค่มือแสนอบอุ่นที่วางบนศีรษะ น้ำเสียงทุ้มที่บอกให้หายไวๆ และไม่ได้กอดคุณพ่อของน้องพีแม้แต่นิดเดียว   

จนกระทั่งโตขึ้น เด็กชายพีรัชจำความได้ชัดขึ้น รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้ใหญ่ได้มากขึ้น ภาพของวันนั้นคือผมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม แต่เปลี่ยนจากตักคุณย่าเป็นตักอานุ และบนหน้าจอสี่เหลี่ยมเครื่องเดิมก็ยังเป็นผู้ชายตัวโต

คุณพ่อของน้องพี... ‘ของของน้องพี’

แต่วันนี้เด็กชายพีรัชรู้แล้วว่า ‘คุณพ่อ’ มีความหมายว่าอย่างไร คือสถานะของผู้ให้กำเนิด ไม่เหมือนคุณหมีของน้องพี กระเป๋าของน้องพี เสื้อผ้าของน้องพี และไม่ใช่ ‘ของ’ ที่จะเอามาเป็นของตัวเองได้

และไม่ต้องรอให้อานุบอก เด็กชายพีรัชในวัยใกล้เจ็ดขวบก็ยกมือขึ้นไหว้คุณพ่อทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาสีขาว

“สวัสดีครับคุณพ่อ”

คนตัวโตในจอสี่เหลี่ยมมองหน้าผม สายตาของเราประสานกันก่อนที่เขาจะหันไปคุยกับใครสักคนด้วยภาษาต่างชาติ คนคนนั้นไม่ได้อยู่ในจอภาพแต่เสียงที่เล็ดลอดเข้ามาก็บอกได้ว่าคู่สนทนาคือผู้หญิง จบบทสนทนากับฝ่ายนั้นแล้วคุณยะก็หันกลับมา เขาจ้องหน้าผม เอ่ยถ้อยคำที่ผมได้แต่สงสัย

“ต่อไปให้เรียกฉันว่า... คุณยะ”

“ให้ลูกเรียกแบบนั้นได้ยังไงตายะ มีพ่อที่ไหนเขาทำกันแบบนี้หะ!” เสียงคุณย่าเอ็ดขึ้นมาทันที ตามด้วยความสงสัยของคนที่เหลือ ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าคุณปู่ อานุ อาภา พูดอะไรกับคนในจอบ้าง เพราะเอาแต่ก้มหน้าฟังเสียงในหัวของตัวเอง

‘คุณพ่อของน้องพี’ คือของของน้องพี

ส่วน ‘คุณยะ’ ไม่ใช่ของของน้องพี

คนตัวโตที่ผมเงยหน้าขึ้นไปมองสบตาอีกครั้งหนึ่ง ต่อไปนี้ไม่ใช่ของของผมอีกแล้ว เขาจะเป็น ‘คุณยะ’ ผู้ชายที่ผมไม่เคยได้กอดเขาเลยสักครั้ง

“เรียกคุณยะสิ” คนตัวโตสั่งซ้ำ คราวนี้ไม่มีเสียงคัดค้านจากคุณปู่ คุณย่า อานุ และอาภาอีกแล้ว มีเพียงความเงียบที่เฝ้ารอคำพูดจากปากเด็กชายพีรัช

ผมจำได้จนมาถึงทุกวันนี้ ความรู้สึกในวันนั้นเหมือนกระดาษแผ่นบางที่ถูกฉีกให้ขาด จำได้ว่าน้ำตาไหลด้วยความจำยอม ผมร้องไห้แต่ไม่มีเสียงเป็นครั้งแรกในชีวิต จากนั้นก็ได้ยินเสียงคุณปู่สั่งให้อานุอุ้มผมเข้าไปในห้องนอนทันที

“คุณยะ...คุณยะ...คุณยะ...คุณยะ...”

ไม่รู้ว่าผมพูดคำว่า ‘คุณยะ’ ไปกี่ครั้งตอนที่ถูกอานุอุ้มพาเข้ามาในห้องของตัวเอง จำได้แค่ว่าผมพูดคำนั้นซ้ำไปมา กอดคออานุแน่นกว่าครั้งไหน ไม่ยอมปล่อยมือจากตัวอานุ จนอีกฝ่ายต้องอุ้มผมไว้อย่างนั้นจนผมเผลอหลับไปพร้อมกับน้ำตา

พอกลับมาเจอกันผ่านหน้าจออีกครั้ง หลังจากผ่านไปอีกหลายเดือน ผมจำไม่ได้ว่ามันกี่เดือนกันแน่ เมื่อคุณยะปรากฏตัวบนหน้าจอ ผมก็ทำตามที่เขาสั่งเอาไว้ในครั้งก่อนทันที

“สวัสดีครับ... คุณยะ”

ไม่มีอีกแล้ว... คุณพ่อของน้องพี

คุณยะแค่มองหน้าผมนิดหนึ่ง แล้วหันไปทักทายคุณย่า วันนี้ไม่มีอานุที่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่มีอาภาที่ไปเข้าค่ายติวอะไรสักอย่างหนึ่งที่ต่างจังหวัดเช่นกัน ส่วนคุณปู่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่ง ไกลออกไปพอสมควร

ผมทำไม่สนใจคนตัวโต เพราะความรู้สึกเสียใจและน้อยใจจากเหตุการณ์ล่าสุดยังติดค้างอยู่พอสมควร และอยากให้เขาง้องอนเอาใจเหมือนที่ทุกคนในบ้านหลังนี้ทำเวลาที่ผมโกรธหรือเสียใจ

“หลานแม่งอนเรา ง้อหน่อยนะตายะ”

“น้องพีเปล่างอน” โดนพาดพิงด้วยความจริง ผมก็รีบปีนขึ้นไปนั่งบนตักคุณย่าทันที กอดคอท่าน ซบหน้าลงบนไหล่ ใจก็ลุ้นรอคอยว่าอดีตคุณพ่อของน้องพีจะง้อเอาใจให้เด็กคนนี้หายน้อยใจด้วยคำพูดไหน

“พี... หันมาหาคุณยะ” เสียงดุๆ กรีดลึกลงไปบนหัวใจเด็กน้อย

...ความหวังดับสิ้นลงทันที คนตัวโตไม่ยอมเป็นคุณพ่อของน้องพีอีกแล้ว แถมยังเรียก ‘พี’ เฉยๆ ด้วย ไม่เรียก ‘น้องพี’ เหมือนทุกคนในบ้าน น้อยใจที่สุดเลย

“...” ผมส่ายหน้ารัวเร็ว ไม่ยอมหันกลับไปหา ความน้อยใจมันคับอก

“พี” เสียงเข้มเอ่ยเรียกชื่อเพื่อกดดัน ผมอยากจะดื้อไม่ยอมหันไปหาคนในจอ เพราะไม่อยากเจอสายตาดุๆ นั้น แต่คุณย่าก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย

“หันไปคุยกับคุณยะหน่อยนะครับน้องพี เดี๋ยวคุณยะจะเสียใจน้า”

“ครับ” ผมจำยอม ด้วยการขยับลงจากตักคุณย่า เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนในจอ ทั้งที่ใบหน้าเหมือนคุณปู่กับอานุขนาดนั้น แต่ทำไมใจร้ายกับน้องพีนักนะ ก็ได้แต่คิดด้วยความน้อยอกน้อยใจ อยากร้องไห้งอแงเอาแต่ใจ แต่ก็รู้ว่าคงไม่ได้รับการเอาใจอย่างที่หวังหรอก

...คุณยะใจร้าย 

“ของขวัญที่ส่งไปให้ชอบไหม ?”

...มีเรื่องนี้เรื่องเดียวแหละที่ใจดี

“ชอบมากครับ” เจ้ากระต่ายหูยาวกลายเป็นตุ๊กตาตัวโปรดแทนตัวอื่นๆ ตัวมันใหญ่กว่าผมในวัยนั้นเกือบสองเท่า ตอนนี้มันนั่งอยู่ข้างๆ ผม ผมขยับไปดึงแขนเจ้ากระต่ายยักษ์มากอด ดึงใบหน้ามันให้ต่ำลงมา ก่อนจะ ‘จุ๊บ’ แก้มนุ่มนิ่มโชว์คนให้ บอกย้ำว่าผมชอบมันมาก รักกระต่ายหูยาวของคุณยะที่สุด

“ถ้ายังอยากได้ของขวัญวันเกิดจากคุณยะอีก ห้ามดื้อ ถ้าขืนยังดื้อ เอาแต่ใจตัวเองอยู่ละก็ ต่อไปจะไม่ได้อะไรจากคุณยะอีก”

หึ... ก็มีแค่ชิ้นเดียวที่ผมได้จากคุณยะ

“น้องพีไม่เห็นอยากได้!” ผมเผลอขึ้นเสียง “ตัวอะไรก็ไม่รู้น่าเกลียด” ว่าแล้วก็ผลักเจ้ากระต่ายยักษ์จนหงายหลังไปเลย สงสารมันเหมือนกันนะ

...เอาไว้ตอนหน้าจอสี่เหลี่ยมไม่มีคุณยะเมื่อไร น้องพีจะขอโทษนะเจ้ากระต่ายยักษ์

“พี!” เสียงเข้มกระชากดุ จนผมสะดุ้ง โผเข้ากอดกอดคอคุณย่าทันที กอดแน่นด้วย “อย่าทำนิสัยเสีย!” 

“ตายะ! แม่ให้ง้อลูก ไม่ใช่ให้ขู่ลูก หลานแม่กลัวจนตัวสั่นแล้วเห็นไหม” คุณย่าดุทันควัน ยกมือโอบกอดผมไว้ จูบขมับอย่างปลอบโยน เพราะผมกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น สาเหตุมาจากถูกกล่าวหาว่า ‘ดื้อและเอาแต่ใจ’ บวกกับตกใจเสียงเข้มดุของคุณยะด้วย

“คุณแม่ก็โอ๋หลานเกินไป” คุณยะว่า ผ่อนน้ำเสียงให้เบาลง

“น้องพีเป็นหลานของแม่ แม่เลี้ยงมากับมือ ไม่ให้รัก ไม่ให้โอ๋ได้ยังไงหะตายะ เราอยู่ใกล้นะแม่จะตีให้ตายเลย... โอ๋ๆ ไม่ร้องนะลูก”

“ฮึก... น้องพีไม่ได้ดื้อ...ฮึก...น้องพีน่ารัก ทุกคนรักน้องพี”

...มีแต่คนตัวโตในจอเท่านั้นแหละที่ไม่รักน้องพี

“ใช่แล้วครับน้องพี น้องพีไม่ดื้อ น้องพีน่ารักที่สุดเลย พรุ่งนี้คุณย่าจะพาน้องพีไปซื้อรถบังคับคันใหญ่ๆ เลย ดีไหมครับ แต่น้องพีต้องหยุดร้องไห้ก่อนนะ” ถึงจะเสียใจที่ถูกคุณยะกล่าวหาและตะคอกใส่ แต่พอคุณย่าเอาของเล่นมาล่อ ผมก็รีบเก็บน้ำตานาทีนั้นเลย

“ฮึก...คันใหญ่ๆ เลยนะครับ” ผมคลายอ้อมแขนจากตัวคุณย่า เพื่อจะเอามือออกมากางทำท่าประกอบความใหญ่ของรถบังคับที่อยากได้ “เอาคันเท่านี้เลย น้องพีอยากได้คันเท่านี้” ...ถ้าได้รถบังคับคันใหญ่มาเมื่อไร จะเอามานอนกอดแทนเจ้ากระต่ายยักษ์เลย

“เดี๋ยวก็เสียเด็ก โตมาถ้าดื้อมากๆ ผมจะไม่ยุ่งด้วยแล้วนะครับ”

“ฮึ! ทำยังกับว่าทุกวันนี้เราสนใจหลานแม่นักนี่ ถ้าแม่รู้ว่าเราจะเป็นแบบนี้นะตายะ วันนั้นแม่ไม่ยอมให้เราพาหนู...พะ...”

“พอแล้วๆ คุณหญิง หลานโตแล้ว เดี๋ยวก็จำเอาไปคิดหรอก” เสียงคุณปู่ดังแทรกเข้ามา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างคุณย่า

“ก็น่าโมโหนี่คะท่านนายพล ลูกชายท่านสร้างเรื่องไว้แท้ๆ ตอนแรกบอกจะดูแลอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เอาเข้าจริง ดูสิคะ ไม่เห็นทำได้อย่างที่พูดสักอย่างเดียว ดิฉันละอยากตีให้หลังลายนัก นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ ดิฉันจะตีให้ร้องเป็นเด็กเลยเชียว” คุณย่าว่าอย่างมีอารมณ์ 

“เอาเถอะคุณหญิง เรื่องมันผ่านมานานแล้ว แล้วดูตอนนี้สิ หลานคุณหญิงน่ารักน่าหลงแค่ไหน” คุณปู่พูดกับคุณย่า ก่อนหันมาพูดกับผมต่อ “คนไหนเป็นหลานของปู่ครับ”

“น้องพีครับ” ถามมาแบบนี้ ผมในวัยเด็กก็เอาหน้าออกมาจากไหล่คุณย่า หันไปยิ้มทั้งน้ำตาเต็มแก้มยุ้ย ยกมือแสดงตัวว่าเป็นหลานของคุณปู่ท่านนายพลทันที

“หลานของปู่ขี้แยหรือเปล่า”

“ไม่ครับ น้องพีไม่ขี้แย” พูดแล้วก็ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกจากแก้มแรงๆ “น้องพีเก่ง น้องพีกล้าหาญ น้องพีอดทน ใครชนห้ามล้ม ถ้าทำผิดต้องขอโทษ” สโลแกนของผมในวัยเด็กถูกเอ่ยออกมาด้วยความภูมิใจ ทุกวันนี้ยังจำได้อยู่เลย เป็นคำพูดในวัยเด็กที่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ แม้แต่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มของคุณปู่ในวันนั้นก็ยังชัดเจนอยู่ในความรู้สึก ไม่เคยลืม ยังคงคิดถึงท่านและรักท่านมากเหมือนเคย

“เมื่อกี้ปู่เห็นใครทำผิด ใช่น้องพีหรือเปล่าเอ่ย” มืออุ่นๆ ของคุณปู่ยกขึ้นมาวางบนศีรษะผมด้วยความปรานี

“ครับ” ผมพยักหน้า รู้ตัวว่าผิดที่ขึ้นเสียงใส่คุณยะ ผิดที่รังแกเจ้ากระต่ายตัวยักษ์ ครั้นเหลือบแลไปทางหน้าจอสี่เหลี่ยม ก็เห็นว่าคนในนั้นพิงแผ่นหลังไว้พนักโซฟา สองมือยกขึ้นกอดอก ท่าทางเหมือนรอคอยคำที่จะออกมาจากเด็กชายตัวน้อย

“เด็กดีต้องทำยังไงครับ” คุณปู่ถามยิ้มๆ แล้วอุ้มเอาตัวผมไปนั่งบนตัก เหมือนเป็นการบังคับให้ผมหันหน้าเข้าหาจอสี่เหลี่ยม ผมเลยหนีสายตาของคนตัวโตไปไม่ได้ และรู้ว่าตัวเองต้องเอ่ยคำไหนออกมา

“ขอโทษครับคุณยะ น้องพีผิดไปแล้ว” ผมยกมือไหว้ “ดีกันนะครับ” จากไหว้ก็เปลี่ยนเป็นยื่นนิ้วก้อยไปข้างหน้า สัญลักษณ์ของการง้อขอคืนดี อีกฝ่ายแค่มองเฉยๆ ไม่ได้ส่งนิ้วก้อยมาให้แต่อย่างใด ผมเลยค่อยๆ ลดมือลง เอามากุมไว้บนตัก

“ต่อไปอย่าทำอีก” น้ำเสียงคุณยะผ่อนความเข้มลง แต่ผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หายโกรธผม

“ครับ” ผมพยักหน้าหงอยๆ หันไปซุกหน้ากับอกคุณปู่ ซ่อนความน้อยใจไว้อย่างนั้น คุณยะไม่เหมือนทุกคนในบ้านที่จะคอยเอาใจผม ตามใจผม ชมผมว่าน่ารัก ต่อให้ผมดื้อ เอาแต่ใจแค่ไหน ก็ไม่มีใครใช้น้ำเสียงเข้มดุอย่างคุณยะสักคน

...แต่ก็เพราะความ ‘ไม่เหมือน’ นี่แหละที่ทำให้ผมอยากเจอคุณยะเหลือเกิน นึกถึงมืออุ่นๆ ที่ลูบศีรษะผมแล้ว หัวใจมันอุ่นวาบไปหมด

“ตายะนี่ก็นะ ลูกง้อแล้วยังมาตั้งท่าดุ ต่อไปแม่จะไม่เอาหลานมาคุยด้วยแล้วนะ” คุณย่ายังบ่นต่อ แต่คำขู่ของคุณย่าเล่นเอาผมร้องเสียงหลงทันที ใจนี่หล่นไปตาตุ่มแล้ว กลัวไม่ได้นั่งมองคนตัวโตในจอสี่เหลี่ยมอีกต่อไป

“ไม่เอาๆ คุณย่าอย่านะ น้องพีจะคุย จะคุยๆๆๆ” ปากแบะไปแล้ว เตรียมจะปล่อยน้ำตาอีกรอบ คุณย่ารีบโอ๋ทันที

“โอ๋ๆ ย่าพูดเล่น ไม่ร้องนะลูก ย่าจะให้น้องพีคุยกับคุณยะทุกวันเลยดีไหม”

ผมพยักหน้ารัวเร็วด้วยความดีใจสุดๆ คิดว่าจะได้คุยกับคนที่อยู่ไกลถึงต่างประเทศทุกวัน หัวใจก็ฟูแล้วฟูอีก แต่แล้วคำพูดของคนในจอก็ทำเอาความน้อยอกน้อยใจทับถมในหัวใจเด็กน้อยอีกจนได้

“ถามผมสักคำไหมครับคุณแม่ ว่าอยากคุยทุกวันหรือเปล่า”

คุณยะใจร้าย!

ใจร้ายที่สุด!!

ผมได้แต่คร่ำครวญในใจ

“โอ๊ย! แม่อยากเอาพัดฟาดเราให้หลังลายจริงๆ นะตายะ อยู่ใกล้แม่ละก็ เราโดนแน่” คุณย่าโวยเสียงแหลมปรี๊ด

ผมเห็นพัดในมือคุณย่ากระตุกแล้วกระตุกอีก นึกอยากตะโกนบอกคุณย่าไปว่า ‘ตีเลย เอาให้ร้องสะอึกสะอื้นเลยครับ’ แต่ก็ได้แค่คิด ไม่อยากให้คุณยะเจ็บ

“อย่าไปฟังคุณยะมากนะลูก คุณยะอิจฉาที่เห็นน้องพีได้อยู่กับคุณปู่คุณย่า ส่วนตัวเองต้องไปอยู่ไกลๆ อยู่คนเดียว ไม่มีใครคอยโอ๋เอาใจเหมือนน้องพี”

วัยนั้นผมไม่รู้หรอกว่าต่างประเทศไกลแค่ไหน แต่คงไกลกว่าการที่ป้าพิศนั่งรถไปซื้อของที่ตลาดแน่ๆ เพราะป้าพิศยังกลับมาทุกวัน แต่คนตัวโตที่ไปต่างประเทศไม่กลับมาสักที

ผมพยักหน้าอีกตามเคย และยังคงนั่งกอดคุณปู่ไว้เหมือนเป็นตัวเองเป็นลูกลิง จากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไป โดยที่คุณปู่เป็นฝ่ายเริ่มต้น 

“รู้หรือยังเจ้ายะว่ากำหนดผ่าคลอดวันไหน”

“วันที่ยี่สิบสองเดือนหน้าครับคุณพ่อ”

“แม่เขาจะไม่เอาลูกจริงๆ แล้วใช่ไหม”

“ครับคุณพ่อ คลอดแล้วก็คงย้ายไปอยู่กับแฟนเขาเลย”

“นี่ก็อีกราย ไม่รักไม่ผูกพันกับลูกที่อุ้มท้องมาแปดเก้าเดือนเลยหรือไง แม่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ จิตใจทำด้วยอะไรกัน”

“โลกนี้มีอะไรให้เราไม่เข้าใจอีกหลายเรื่องนะคุณหญิง เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาโฟกัสที่เรื่องน่ายินดีดีกว่า ได้หลานทีเดียวสองคนเลย”

“น่ายินดีอยู่หรอกนะคะท่านนายพล แต่ดิฉันก็ไม่อยากเห็นหลานกำพร้า...”

“คุณหญิง... ไม่เอาน่า หลานฟังอยู่”

“ขอโทษค่ะท่านนายพล ดิฉันก็ลืมตัวไปหน่อย แต่ก็น่าโกรธจริงๆ นั่นแหละค่ะ”
ผมเงียบฟังเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกัน ได้ยินทุกคำพูดแต่ไม่เข้าใจทั้งหมด ในวัยนั้นผมยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ

“น้องพีครับ เดือนหน้าจะได้เห็นหน้าน้องชายฝาแฝดแล้วนะ ดีใจไหม”

“น้องชาย...ฝาแฝด คืออะไรครับคุณย่า”

ตอนนั้นผมรู้ว่า ‘น้องชาย’ คือเด็กที่มีอายุน้อยกว่าผม ส่วน ‘ฝาแฝด’ นั้น ผมยังไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร

ผมดึงสายตาจากใบหน้าคุณย่าไปมองคนในจอ แต่พอประสานสายตากันผมก็รีบเอามันกลับมาไว้ที่คุณย่าต่อ ...ใจสั่นอย่างไรบอกไม่ถูก

“ฝาแฝดคือเด็กสองคนที่หน้าตาเหมือนกัน” ผมขมวดคิ้ว ยังไม่เข้าใจเท่าไรนัก คุณย่าจึงอธิบายเพิ่ม “เหมือนมีน้องพีสองคนไงครับ คนที่หน้าตาเหมือนน้องพีทุกอย่าง” ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ มีผมสองคนอย่างนั้นเหรอ มันจะเหมือนตอนที่ผมส่องกระจกหรือเปล่า


“ท่านนายพลช่วยดิฉันอธิบายให้หลานฟังหน่อยสิคะ” เพราะคงเห็นว่าผมยังไม่เข้าใจคำว่าฝาแฝด คุณย่าถึงกลับไปขอความช่วยเหลือจากคุณปู่

“เอาไว้เห็นของจริงเลยละกันนะน้องพี” คุณปู่ไม่ได้อธิบายแต่บอกให้ผมรอ

“ครับ” ผมก็รออย่างใจจดใจจ่อ

และแล้วก็ถึงวันที่ผมรู้ว่า ‘ฝาแฝด’ เป็นแบบไหน มันเริ่มจากวันแรกที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวในห่อผ้าสีฟ้ากับสีเขียว ตัวแดง ปากเล็กนิดเดียว มองไม่เห็นลูกตาด้วย เพราะเจ้าตัวจิ๋วเอาแต่นอนหลับในอ้อมแขนของคุณยะ แขนซ้าย แขนขวา... ภาพนั้นทำให้ผมตั้งคำถามว่า ผมเคยตัวเท่านี้มาก่อนใช่ไหม แล้วคุณยะก็เคยอุ้มผมแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

แต่ก็นั่นแหละ ภาพน้องชายฝาแฝดก็ยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่หลังจากครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กที่เรียกว่าทารกในอ้อมแขนของคุณยะ มันก็มีครั้งต่อๆ ไป จากวันผ่านไปเป็นเดือนและผ่านไปเป็นปี น้องชายฝาแฝดเริ่มโต หน้าตาเปลี่ยนไปจากตอนเป็นทารก แต่ทั้งสองก็ยังมีใบหน้าที่เหมือนกัน รวมถึงขนาดตัว สีผิว และสีตา ผมเข้าใจแล้วว่า ‘ฝาแฝด’ คืนคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกัน เหมือนส่องกระจกนั่นแหละ

น้องชายฝาแฝดของผมชื่อทานตะวันกับถิร

‘ทานตะวัน’... คนพี่ คุณย่าตั้งชื่อให้ 

ส่วน ‘ถิร’... คนน้อง ก็นั่นแหละเป็นคุณปู่ตั้งให้

.
.
.

**ต่อด้านล่าง**
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 4 (18-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-09-2018 18:00:40
**ต่อด้านบน**

คุณย่าบอกว่าชื่อทานตะวัน เมื่อก่อนคุณย่าหมายมั่นว่าจะให้เป็นชื่อของผม แต่คุณยะไม่ยอม เขาขอตั้งชื่อให้ผมเอง... ดีใจที่ได้รู้ว่าชื่อ ‘พีรัช’ มาจากคุณยะ และความรู้สึกอิจฉาน้องชายฝาแฝดที่ได้อยู่กับคุณยะก็พลอยลดลงไปด้วย แต่ก็... ยังเยอะอยู่นะความอิจฉาของผมน่ะ อิจฉาที่น้องชายทั้งสองของผมได้อยู่กับคุณยะ อยู่ด้วยกันทุกวัน ไม่เหมือนผมที่นานจนจะลืมแล้วว่าเจอคุณยะครั้งล่าสุดเมื่อไร   

ในขณะที่ผมเห็นการเติบโตของน้องชายฝาแฝดทุกวัน แต่สิ่งที่ผมแทบไม่เห็นเลยคือ... คุณยะ

น้อยครั้งที่เขาจะโผล่เข้ามาในจอสี่เหลี่ยม ที่ผมเห็นก็มีแต่พี่เลี้ยงสองคนที่คอยดูแลทานตะวันกับถิร คุณย่าบอกว่าคุณยะเรียนหนักมากและใกล้จะจบแล้ว (ขณะนั้นคุณยะเรียนปริญญาโท) เลยไม่มีเวลาโผล่มาให้ผมเห็นหน้า... ไม่มาให้ผมเห็นหน้าให้หายคิดถึง

และอีกหนึ่งคนที่ผมไม่เคยเห็นเลยคือ... ‘แม่’ ของทานตะวันกับถิร

ช่วงที่ทานตะวันกับถิรโตขึ้นทุกวัน ผมเองก็เติบโตขึ้นเหมือนกัน จากเด็กที่รู้จักแต่ของเล่น คุณปู่ คุณย่า อานุ อาภา คุณทวด (ที่นานครั้งถึงจะได้เห็นหน้า คุณปู่บอกว่าคุณทวดชอบอยู่บนที่สูง) และพี่ๆ ในบ้านที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้เยอะๆ เด็กที่ชอบกินขนม ตื่นเช้าไปโรงเรียน เล่นกับเพื่อน กลับบ้าน อ่านหนังสือนิทานหรือการ์ตูน และนอนหลับ แต่เมื่อโตมากขึ้น รู้อะไรมากขึ้น ผมถึงได้รู้ว่าโลกนี้ยังมี ‘แม่’

‘แม่’ ที่เป็นผู้หญิง

‘แม่’ ที่อานุกับอาภามีไว้เรียกคุณย่า 

‘แม่’ ที่อยู่กับ ‘พ่อ’ เหมือนที่คุณปู่อยู่กับคุณย่า

‘แม่’ ที่ทานตะวันกับถิรเคยอาศัยอยู่ในท้องโตๆ ก่อนออกมา

คำว่า ‘แม่’ ที่ผมได้ยินมาเสมอ อานุกับอาภาก็เรียกคุณย่าว่าคุณแม่ แต่ไม่ชัดถึงความหมาย ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เมื่อโตก็เริ่มรู้ เข้าใจอะไรมากขึ้น และยอมรับว่า... ผมเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีแม่ และผมเดาว่าทานตะวันกับถิรก็กำพร้าแม่เหมือนกัน

แล้วคนที่ต้องคู่กับแม่ล่ะ ต้องเรียกว่ากำพร้าด้วยหรือเปล่า?

......................................................

“เหม็น”

เสียงเล็กๆ เอ่ยผ่านความเงียบมาจากด้านหลัง ดึงผมออกมาจากความทรงจำวัยเด็ก น้ำหนักในเนื้อเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยคำตำหนิและตามด้วยคำบ่น

“สูบเยอะขนาดนี้ ห่วงปอดตัวเองบ้างไหมเนี่ย มะเร็งปอดน่ะ รู้จักไหมหะพี” ปาลินเดินมาเกาะขอบระเบียงอยู่ข้างๆ ผม ในจังหวะที่ผมบี้ปลายบุหรี่ลงบนที่เขี่ย ไม่ได้นับหรอกว่าหมดบุหรี่ไปกี่มวนแล้ว แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ในกล่องไม่เหลือบุหรี่แม้แต่มวนเดียว เลยอดสูบต่อ

“บ่นๆ เป็นเมียหรือไง?” อดแซวคนตัวขาวที่ออกมาในสภาพครบชุด ส่วนผมมีแค่กางเกงผ้าขายาวเพียงตัวเดียวอยู่บนเนื้อตัว

“เออ!” มองหน้าผมตาขุ่นเลย

“เอาไปพูดต่อหน้าหมอภามด้วยนะ ว่าเป็นเมียเราแล้ว” ผมยักคิ้วกวนๆ ใส่คนหน้าบึ้ง ก่อนที่ใบหน้านั้นจะเริ่มสลดลง ดวงตาคู่สวยหม่นแสงฟ้องความรู้สึกในหัวใจ ว่ายามนี้กำลังเป็นเช่นไร

...ความรู้สึกผิดกำลังกัดกร่อนหัวใจของปาลิน

“ไม่อยากเจอ” เสียงถอนหายใจดังเบาแต่ก็ได้ยินชัด

“ไม่ต้องคิดอะไรแล้วนะ ปีกับหมอภามเลิกกันแล้ว ตอนนี้เราคือคนที่ยืนข้างปีแทนเขา” ผมเกี่ยวเอวเล็กเข้ามาใกล้ จรดริมฝีปากลงบนเส้นผมที่มีกลิ่นหอมเหมือนเด็กของปาลิน เจ้าตัวเหมือนเด็กตัวน้อยที่ใสบริสุทธิ์ ขณะที่ผมกลายเป็นผู้ชายสีเทาไปเสียแล้ว

“แต่พีไม่ได้รักเรา”

“ต้องการความรักจากเราด้วยเหรอ ?” ผมถามกลับ

“...” ปาลินส่ายหน้า

“...” ผมไม่ได้อยู่ในชีวิตปาลินมานานมากแล้ว จึงไม่แปลกที่ความรักของปาลินจะจากออกไปด้วย แต่ก็คิดว่ายังเหลือส่วนเสี้ยวหนึ่งอยู่บ้างแหละ ไม่งั้นปาลินจะยอมผมเหรอ

“พี”

“ว่า...”

“ช่วยเราออกมาจากพี่ภามด้วยนะ”

“ได้สิ เราไม่ปล่อยให้หมอภามเข้ามาในชีวิตปีเป็นครั้งที่สองแน่” ความจริงหมอภามไม่ใช่ผู้ชายร้ายกาจ เขาไม่ได้เจ้าชู้ ดูก็รู้ว่าเป็นคนรักเดียวใจเดียว

“ขอบใจ”

“เอาน่า...” ผมยิ้ม ตั้งใจยั่ว “...เมียเราทั้งคน”

“พี!” มาแล้วตาเขียวจัด เสียงขุ่นคลั่ก “เป็นคนนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”

“ก็พูดความจริงล้วนๆ” แต่ผมหรือจะกลัว

“เหอะ...” คนตัวเล็กทำเสียงเย้ยในลำคอ โต้ตอบผมกลับมาด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงยามที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี “เมื่อก่อนพีก็เป็นเมียเรา”

“นั่นอดีต” ผมยักไหล่ ไม่สะทกสะท้านกับการเอาคืนของปาลิน “เราชอบปัจจุบันมากกว่า”

“เหรออออ” ปากอิ่มสีหวานยู่ย่นใส่ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าที่ใกล้สว่าง “เห็นแล้วนะรูปที่พีส่งไปในไลน์พี่ภาม” เอ่ยออกมาเบาๆ

“โกรธหรือเปล่า”

ปาลินไม่ตอบทันที เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นสูง มีเสียงสูดหายใจดังเบา ราวกับเจ้าตัวกำลังกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล สักพักใหญ่ถึงได้ตอบคำถามกลับมา

“ไม่” กลีบปากเหยียดยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง “ดีแล้ว พีทำถูกแล้ว มันต้องเป็นแบบนี้แหละ”

“นั่นสินะ ถูกแล้ว”

“พีว่า...”

“...” ผมมองเสี้ยวหน้าขาวใส ร่องรอยความปวดร้าวขึงคลุมอยู่บนใบหน้านั้น ก่อนจะดึงร่างเล็กที่มีอาการสั่นสะท้านจากความรู้สึกภายในอก ความปวดร้าวคงคับแน่นอยู่ในหัวใจดวงน้อยนิดของปาลิน

“...พี่ภามจะขยะแขยงเราไหม” เสียงอู้อี้ดังอยู่ชิดแผ่นอกผม ผมลูบหัวเล็กๆ ปลอบโยนให้คลายความเจ็บปวด และเป็นการขอโทษไปพร้อมกัน เพราะความคิดโง่เง่าของผมดึงให้ปาลินต้องมาอยู่ในสภาพนี้

“ขยะแขยงก็ดีสิ เขาจะได้ไม่อยากมายุ่งกับปีอีก”

“...”

“ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาแล้วนะปี”

“...”

“ปีมาไกลมากแล้ว ที่เหลือต่อจากนี้คือปีต้องเดินไปข้างหน้า ทิ้งหมอภามไว้ข้างหลัง”

“...”

“เคยรักยังไงก็รักไปอย่างเดิมก็ได้ แค่ไม่กลับไปก็พอ...” ผมจับไหล่เล็ก ดันตัวปาลินออกมา จ้องเข้าไปในดวงตาเรียวฉ่ำน้ำ ตั้งคำถามกดดันเจ้าตัวให้ยอมรับสิ่งที่ผมพูดมาก่อนหน้านี้ “...ทำได้ใช่ไหม”

“...” ไม่มีคำพูดหลุดออกมา ทว่าปาลินก็พยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบที่ผมต้องการ

ทุกคำพูด ทุกประโยคที่ผมเอ่ยบอกปาลิน ก็ไม่ต่างจากถ้อยคำที่เอาไว้ใช้กับตัวเอง บอกตัวเอง สั่งตัวเอง บังคับตัวเอง กำกับหัวใจตัวเอง... รักยังไงก็รักต่อไป แค่ไม่ต้องกลับไปหาคนใจร้ายคนนั้น

“เรากลัว”

“กลัวอะไร”

“พี่ภาม... เห็นแบบนั้นเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนมากนะพี เรากลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆ” ความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ความฉ่ำวาวของสายน้ำตาในดวงตาคู่สวยของปาลิน

“อย่างเช่น ?” ผมไม่เห็นหมอภามจะน่ากลัวตรงไหน ถึงบุคลิกจะเงียบขรึมแต่ไม่เห็นมีรังสีอำมหิตเปล่งออกมาตรงไหนเลย แต่การที่ปาลินใช้ชีวิตอยู่กินกับหมอภามมาหลายปี (น่าจะตั้งแต่ตอนเรียนปีสี่ที่ปาลินย้ายไปอยู่กับหมอภามที่คอนโดฯ) เจ้าตัวอาจเห็นอะไรที่มากกว่าการมองเห็นแบบผิวเผินของผม

“ไม่รู้”

“ปีกังวลมากเกินไป อย่าคิดมากสิ” ผมปลอบ ลูบหัวเล็กเบาๆ แต่ปาลินก็ยังส่ายหน้า

“เพราะไม่รู้ไง เราถึงได้กลัว”

“หมอภามคงไม่ฆ่าปีหรอกน่า” ผมเลือกเอ่ยถึงเรื่องรุนแรงที่สุด หวังว่าคงจะไม่รักมากแค้นมากหรอกนะ คนอย่างหมอภามที่เป็นถึงคุณหมอฝีมือดี ลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังคงไม่สิ้นคิดขนาดนั้น

“ง่ายแบบนั้นก็ดีสิ” ปาลินเอ่ยเบาๆ “เจ็บปวดแค่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่ต้องเจ็บอะไรอีก”

“มันไม่ง่ายไง เราถึงบอกว่าหมอภามไม่มีวันฆ่าปีด้วยเรื่องแค่นี้หรอก” ปาลินทำท่าจะอ้าปากค้าน เอ่ยถึงความหวาดกลัวของตัวเอง แต่ผมตัดบทเสียก่อน “พอๆ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น อยู่กับเรา ซ่อนตัวจากหมอภามสักพัก ให้เขาบ้าไปสักระยะหนึ่ง เดี๋ยวเขาก็เหนื่อยและยอมแพ้ไปเอง ปีไม่ต้องกลัว มีเราอยู่ทั้งคน เราไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเพื่อนของเราได้”

“อืม...ขอบใจ” ปาลินยังไม่หมดกังวล แต่เจ้าตัวก็สงบลง พักความหวาดกลัวทั้งหมดไว้ในวงแขนของผม

“อยู่กับเรา เป็นของเราตลอดไปนะปี”

“อืม...ตลอดไป”

...ความจริงคือ ‘ตลอดไป’ ไม่เคยมีอยู่จริง ไม่ว่าตอนนี้ หรือเมื่อก่อน แม้กระทั่งจากนี้ไป ก็ไม่มีคำว่าตลอดไปที่เป็นของจริง

“ทำอะไรกันอยู่ครับหนุ่มๆ อยากมีส่วนร่วมจังเลย”

คำทักทายที่ปนมาการหยอกเอินดังมาจากข้างในห้อง มันมาก่อนที่เจ้าของคำพูดนั้นจะเปิดประตูระเบียงในห้องนอนบนชั้นสองออกมา ใบหน้าคมเข้มที่ได้รับมาจากผู้เป็นบิดาชาวอเมริกันหล่อเหลือร้าย โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำทะเลที่มีเสน่ห์เหลือล้น แม้ชุดที่อยู่บนร่างกำยำสูงใหญ่แบบชาวต่างชาติจะเป็นเพียงกางเกงยีนสีซีดและเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ก็ไม่อาจทำลายความสมบูรณ์แบบของชายหนุ่มคนนี้ได้

หน้าตาคมเข้มแบบชาวต่างชาติ ทว่าสำเนียงภาษาไทยนั้นรื่นหู ไม่ต่างจากคนไทยแท้ๆ หรือบางทีอาจจะพูดชัดกว่าคนไทยหลายล้านคนเลยก็ได้ นั่นเพราะเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของ ‘จิระ โจแวน’ ครึ่งหนึ่งคือสายเลือดของหญิงไทย

“ถ้าไม่ใช่ ‘ข่าวดี’ ก็ลากกระเป๋ากลับบ้านนายไปซะ...เจย์”

“เคยหรือไงที่คนอย่างจิระมาพร้อมข่าวร้าย... คิดว่าไม่เคยนะ” ยิ้มของจอมวายร้ายเปล่งประกายยั่วเย้าเสียจนคนมองหมั่นไส้ “...แต่ถ้าเบบี๋อยากได้ข่าวดีก็ต้องเอา ‘ของ’ มาแลก”

ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลุ่มลึกค่อยๆ ลากสายตาลงไปยังวงหน้าของคนในอ้อมแขนผม เผยรอยยิ้มที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ความร้ายกาจของตัวเองออกมาอย่างไม่คิดปกปิด

“แน่ใจ ?”

ผมถามกลับด้วยรอยยิ้มเป็นต่อ มีหรือที่ผมจะไม่รู้ว่าจิระ โจแวน ต้องการอะไรหรือต้องการใครมากกว่ากัน...




**** จบตอนที่ 4 ****
อีกสัก 3-4 วันมาต่อนะคะ
สีเหลืองอ่อน

ปล.
เรื่องนี้น้องพีทำตัวเอง
เรื่องนี้น้องพีไม่ใส
เรื่องนี้คุณยะอยู่แบบหล่อๆ บนบัลลังก์
เรื่องนี้คุณยะไม่ต้องทำอะไรก็ได้เป็นพระเอก 555+
ฟาดไปตั้ง 1-4 ตอนแล้ว ก็เหมือนเปิดตัวเด็กของน้องพีทั้งนั้น =*= แว่วๆ ว่าตอนที่ 5 ก็ไม่ต่างกันนะ 

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 4 (18-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-09-2018 08:12:50
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 4 (18-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-09-2018 15:54:46
เดี๋ยวนะๆ น้องพีทำอะไร ??????
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 5 (22-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 22-09-2018 18:58:36
ตอนที่ 5


“มาถึงก็จะทำเลยหรือไงเจย์” ผมดันอกของจิระเอาไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายดึงเอาตัวผมเข้าไปกอดและจับพาไปยังเตียงได้ง่ายๆ แล้วก็ผลักร่างนั้นไปทางประตูห้องน้ำแทน “ไปอาบน้ำก่อน” เจ้าตัวเพิ่งบินมาจากอังกฤษหลังจากจัดการเรื่องสำคัญให้ผมเสร็จ

“ก็คนมันคิดถึง”

ครั้งนี้ผมยอมให้กับเสียงอ้อนๆ ตาหวานฉ่ำของคนตรงหน้า ปล่อยให้มือของจิระโอบรอบเอวผมไว้หลวมๆ ดึงให้เข้าไปแนบชิดกับร่างแข็งแกร่ง ผมหลับตาลงเพื่อรับสัมผัสจากกลีบปากอุ่นนุ่มที่โน้มลงมาชิดกับหน้าผาก สัมผัสแสนนุ่มนวลและอ่อนหวานบ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้สึกแบบที่พูดออกมา

“คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”

“ก็ยังไม่เห็นตายนี่” ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองเจ้าของดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ดวงตาคู่นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกหลงใหล

“ใจร้ายตลอด”

“แล้วรักไหมล่ะ”

...จิระรักผม เจ้าตัวบอกออกมาด้วยคำพูดและการกระทำทุกอย่างที่ทำเพื่อผมตลอดมา นับตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน

ส่วนผม... ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็ยอมรับว่าจิระเป็นหนึ่งในจำนวน ‘คนสำคัญ’ ของผม ผมไม่ได้วางจิระไว้ในตำแหน่งเพื่อน เพราะเขาเป็นมากกว่านั้น 

“ยังต้องตอบอีกหรือไงครับ...พีรัช” จิระยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหลงรักที่ไม่เคยเปลี่ยน มือหนาที่ให้ความรู้สึกดีลูบแก้มผมเบาๆ “เมื่อไรจะกลับไปอยู่ด้วยกัน ผมไม่อยากทนแล้วนะ... เหงา คิดถึง อยากอยู่ใกล้ อยากทำให้พีมีความสุข”

“ไม่รู้”

...ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อไรแรงบีบรัดที่อกซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจจะหายไป ไม่รู้เมื่อไรหัวใจของตัวเองจะเป็นอิสระ และถ้าวันนั้นมาถึง วันที่หัวใจเป็นอิสระ ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป ผมก็คงต้องเดินไปตามทางของตัวเอง ปลายทางตรงนั้นอาจมีจิระรออยู่

“เจ็บชะมัด” จิระเอ่ย ใบหน้ายังมีรอยยิ้มระบายอยู่ แต่ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกจริงตามที่พูด

“จงเจ็บต่อไปเด็กน้อย” ผมยกมือขึ้นประคองใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่ง ดึงหน้าผากของอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ริมฝีปาก แล้วแนบจูบลงไป จูบนี้เพื่อปลอบโยน ตอบแทน... และรั้งให้อยู่ต่อไป

“มากกว่าแค่ปีเดียวเถอะ” จิระจะไม่ชอบเวลาที่ผมยกเรื่องอายุมาพูด เพราะทำให้ตัวเองถูกลดฐานะให้กลายเป็น ‘น้องชาย’ มากกว่า ‘คนพิเศษ’ ที่สักวันหนึ่งจะกลายเป็น ‘คนรัก’ ได้

“ก็มากกว่าไหมล่ะ” แกล้งยักคิ้วถามกลับ ก่อนเอ่ยไล่ให้ไปอาบน้ำซ้ำอีกครั้ง “ไปอาบน้ำได้แล้ว”

“ออกมาแล้วต้องได้ ‘รางวัล’ นะ” ไอ้ตรงคำว่ารางวัล ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลระยิบระยับจนน่าหมั่นไส้ 

“ไปอาบน้ำก่อน ออกมาแล้วค่อยว่ากันใหม่ ว่าสมควรได้รับ ‘รางวัล’ ของการเป็นเด็กดีหรือเปล่า”

“จิระคนนี้เป็นเด็กดีของพีรัชตลอดแหละ”

“ค้าบบ... เด็กดี ไปอาบน้ำได้แล้ว” อดไม่ได้ที่จะดึงแก้ม (ที่ยืดไม่ค่อยได้) ของจิระด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นก็ดันแผ่นหลังกว้าง (ที่กว้างกว่าผมเล็กน้อย) ไปยังห้องน้ำ ผลักเจ้าตัวเข้าไปในนั้นแล้วก็ปิดประตูให้

ผมเดินลงมาชั้นล่าง ปาลินที่นั่งม้วนเส้นสปาเกตตีเข้าปากอยู่ที่โต๊ะอาหารก็ส่งสายตาตำหนิมาให้ ผมแกล้งไม่สนใจ เดินเลยไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำขึ้นมายกดื่ม

“พีนอนกับเขาแล้วใช่ไหม” คำถามของปาลินดังเข้ามาในโสตประสาท ผมทิ้งขวดพลาสติกเปล่าลงถังขยะ ยังไม่ตอบคำถามของปาลินในทันที

ผมชะลอเวลาในการตอบคำถามด้วยการหยิบเมนูเดียวกับปาลินออกมาจากตู้เย็น ส่งเข้าไปในเตาไมโครเวฟ

“ไม่ตอบก็แสดงว่าใช่” ปาลินยกจานเปล่าไปที่อ่างล้าง มือล้างทำความสะอาด ส่วนปากก็เริ่มบ่น ไม่เคยนึกเลยว่าพอโตขึ้นแล้วปาลินจะขี้บ่นขนาดนี้ “เราไม่รู้ว่าจะบ่นอะไรพีแล้วนะ ทำไมถึงมีนิสัยมักมากแบบนี้หะ ไม่สงสารร่างกายตัวเองบ้างหรือไง กลัวโรคติดต่อบ้างไหม เกิดพลาดขึ้นมาล่ะ มันไม่สนุกหรอกนะพีที่ต้องตายเพราะโรคติดต่อพวกนั้นน่ะ” 

...นี่คือไม่บ่นเลย

“กลัวเราเป็นเอดส์ตายเหรอ?” ถามขำๆ   

“หัดกลัวไว้บ้างก็ดี”

“เมื่อคืนเราก็ไม่ได้ใช้ถุงนะ” เมื่อคืนผมไม่ได้ลืม แต่จงใจไม่ใช้ มั่นใจว่าตัวเองสะอาดพอสำหรับปาลิน เวลาที่ผมมีอะไรกับใคร ผมสวมถุงยางป้องกันโรคติดต่อทุกครั้ง เว้นปาลินที่ผมอยากทำให้เขาเป็นของผมจริงๆ

“พี!” หันมาทำตาเขียวใส่ผมทันที ก่อนพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ “พีเปลี่ยนไปเยอะ บางครั้งเราก็คิดว่านี่ไม่ใช่พีที่เรารู้จัก เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ปลอมตัวมา” คำพูดแบบเดิมมาอีกแล้ว ปาลินก็ชอบบ่นแต่แบบนี้ เจ้าตัวยังไม่ยอมรับอีกหรือไงว่าไม่มีเด็กใสซื่ออย่างในวันเก่าแล้ว

“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” ผมยกไหล่

“ไม่ดีหรอก”

“...”

“พีคนเดิมดีกว่าเยอะ” ...ไม่เห็นดีตรงไหน

ร่างบอบบางของปาลินเดินเข้ามาหาผม สวมกอดผมไว้ ใบหน้าขาวใสไม่ต่างจากเด็กมหา’ลัยซบลงมาบนอกผม เป็นไปโดยธรรมชาติที่ผมจะโอบกอดร่างนั้นตอบ ก้มลงจูบกลุ่มผมนุ่ม ก่อนขยับปากเอ่ยถ้อยคำที่บาดลึกลงมาในหัวใจ

“เด็กโง่พรรคนั้นเหรอ...”

ภาพเด็กโง่ๆ คนหนึ่งผุดเข้ามาในหัว น่าสมเพชกับความโง่เขลาของเด็กคนนั้น

“...ปล่อยให้มันตายไปนั่นแหละดีแล้ว”

...........................................................................................


“เด็กดี...”

คนบนเตียงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนเปลือกตาจะเผยดวงตาสีน้ำทะเลออกมาจ้องหน้าผม รอยยิ้มแต้มแต่งบนใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มลูกครึ่ง

“...จะไม่เอารางวัลแล้วหรือไง” ผมถามเย้าอยู่ข้างเตียง ยินยอมให้ตัวเองตกไปอยู่ในวงแขนแข็งแกร่ง ที่ลากดึงให้หล่นไปอยู่บนเตียงด้วยกัน ไม่ทันไรก็ตกไปอยู่ใต้ร่างกำยำที่ยกตัวขึ้นมาคร่อมเอาไว้ เหมือนกั้นไม่ให้หนีและผมก็ไม่คิดจะหนีอะไรเลย

...เพราะผมคิดถึงสัมผัสอ่อนหวานแต่เร่าร้อนของผู้ชายที่ชื่อจิระ ผู้ชายที่ทำให้ผมลืมอดีต ราวกับว่าผมเป็นคนที่มีแค่ปัจจุบันที่เป็นอยู่ ไม่มีอดีต ไม่มีความขมขื่น

“ใครว่าจะไม่เอาล่ะครับ จะเอาให้คุ้มกับที่ไม่ได้เจอกันมาห้าเดือน” พูดอย่างหมายมั่น ดวงตาคู่สีสวยฉ่ำด้วยอารมณ์ที่สะสมมายาวนาน และผมเชื่อว่าเจ้าของคำพูดเอาจริง ผมถึงได้โทรไปบอกเลขาว่าวันนี้ไม่เข้าไปที่โรงแรม และสั่งงานเอาไว้เรียบร้อย โชคดีที่วันนี้ไม่มีประชุม ไม่มีนัดสำคัญด้วย ทุกอย่างดูเป็นใจให้กับการกลับมาพบกันอีกครั้งของเราสองคน

“ยินดีอย่างยิ่ง” ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธความสุขของร่างกาย

ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าคมคาย ไล่ลงไปตามลำคอ แผ่นอก สาบเสื้อคลุม จนถึงปมที่อยู่ช่วงเอว กระตุกทีเดียวก็เผยร่างกายสมบูรณ์แบบ มัดกล้ามเงางามด้วยผิวเนื้อสีน้ำผึ้ง ภายใต้เสื้อคลุมไร้สิ่งห่อหุ้ม มีเพียงร่างกายและตัวตนที่อัดแน่นด้วยแรงปรารถนา เพราะความเคยชินต่อร่างกายของอีกฝ่าย ทำให้อุณหภูมิบนใบหน้าของผมอยู่ในระดับปกติ หมดเวลาที่จะเอียงอายเป็นสาวน้อยแรกแย้มที่ยังไม่ชินกับกิจกรรมบนเตียง

จิระสลัดเครื่องห่อหุ้มร่างกายเพียงชิ้นเดียวออกไป มันปลิวไปตกข้างเตียง มือหนาทำเช่นเดียวกับที่ผมทำไปก่อนหน้านี้ คือกระตุกสายรัดเอวของผมจนปมนั้นคลายตัวออกจากกัน เผยร่างกายด้านหน้าของผมที่ไม่มีชิ้นผ้าน้อยนิดปกปิดส่วนสำคัญของร่างกาย

มืออุ่นร้อนลูบไล้ความเปลือยเปล่าของผมอย่างแผ่วเบา สัมผัสของจิระอ่อนโยนเสมอ เขาไม่เคยรีบร้อนเอาแต่ใจ ไม่เคยโหมแรงใส่จนผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด บทรักของผู้ชายนัยน์ตาสีน้ำทะเลอ่อนหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งจากรัง ผิดไปจากภาพกายภายนอกที่เห็น

“ไม่ใช้... ได้ไหมครับพีรัช”

ผมรู้ว่าอะไรที่เจ้าของเรือนกายที่แนบชิดลงมาอ้อนขอ ดวงตาสวยงามเต็มไปด้วยความหวังให้ผมใจอ่อน ยอมให้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของอย่างที่ไร้สิ่งกีดขวาง

“คิดว่าควรยอมไหม?” ผมถามยิ้มๆ มือก็เอื้อมไปดึงลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง หยิบอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมบนเตียงออกมาสองชิ้นที่ต่างรูปแบบกัน

“คิดมาตลอดว่าพีรัชควรเป็นของผมจริงๆ ซะที” อีกฝ่ายมีรอยยิ้มสมหวัง แน่นอนว่าคำตอบที่ไม่เหมือนคำตอบของผม มันคือคำตอบที่ไม่เหมือนทุกครั้ง

“ที่ผ่านมาไม่ใช่หรือไง” ผมก็ยังย้อนด้วยคำถามที่เป็นคำเย้าแหย่มากกว่าคำปฏิเสธ

“ไม่ใช่” จิระส่ายหน้า หยิบยื่นแววตาตัดพ้อมาให้

“ได้มากกว่าคนอื่นแล้วนะ ยังไม่พอใจอีกเหรอ” ผมก็ยังคงมีแต่คำถามที่ดูคล้ายจะยั่วยวนให้เด็กน้อยหลงใหล

“ไม่พอครับ” ปลายจมูกโด่งกดลงบนแก้มผม แล้วผละออกมาสบตากันอีกครั้ง แววตาของจิระเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาที่หมายถึงการครอบครองเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่คู่นอนที่สำคัญกว่าใครอย่างที่ผ่านมา “...ไม่เคยพอเลยสักนิด”

ซองสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในมือผมถูกแย่งเอาไป จากนั้นมันก็ปลิวไปตกตรงไหนสักแห่งในห้องนี้

“ผมไม่อยากแบ่งพีรัชให้ใคร ไม่อยากให้พีรัชรักใครนอกจากจิระคนนี้... ได้ไหมครับพีรัช”

“...” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมไม่มีคำตอบให้จิระ นับครั้งไม่ถ้วนมากกว่าที่ผมไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจกับเจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลนี้ได้

“พีรัชเลิกรักเขาได้ไหม...” เสียงทุ้มนั้นทั้งอ่อนหวาน ออดอ้อน และวิงวอนร้องขอ “...รักผมเถอะนะ ผมสัญญาว่าพีรัชจะมีแต่ความสุขในอ้อมกอดของผม”   

...ผมอยากจะรักจิระให้ได้อย่างที่รักคนคนนั้น ทว่าหัวใจถูกกำหนดไว้แล้วว่ามีเพียงคนเดียวที่ได้เข้าไปอยู่ในนั้น ในหัวใจของผม หากไม่เอาเจ้าของเดิมออกไป ต่อให้แสนดีแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปแย่งชิงพื้นที่นั้น

“บอกแล้วไงว่าห้ามรัก” เงื่อนไขที่ผมยื่นให้จิระเมื่อครั้งแรกที่เจ้าตัวสารภาพความในใจกับผม

“เจ็บชะมัด” ส่วนนี่ก็คำติดปากของเขา

“โอ๋ๆ เด็กน้อยจิระ ให้พี่พีรัชรักษานะครับ” ผมเอ่ยเย้าอย่างเช่นทุกครั้ง ดึงต้นคอของอีกฝ่ายให้ลงมาใกล้กว่าเดิม มอบจูบแสนหวานเป็นคำปลอบโยนแบบที่ทำมาตลอด เพราะจิระสำคัญสำหรับผม ไม่มีเขาผมอาจจะแกร่งมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้

เราเริ่มต้นจูบกัน มันเป็นจูบแสนหวาน มาพร้อมกับความปรารถนาที่ไต่ระดับสูงขึ้นทุกวินาที สิ่งที่เกิดตามจากนั้นคือแรงขับเคลื่อนที่อ่อนโยนภายในกาย ลมหายใจเร่าร้อนที่ไล่ลดลงมา กลีบปากหยักที่จูบประทับแสดงความเป็นเจ้าของไปทั่วทั้งเรือนร่าง

มันเป็นครั้งแรกที่ผมยินยอมให้จิระเข้ามาภายในร่างกายโดยปราศจากสิ่งห่อหุ้ม เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากเอาใจเด็กน้อยคนนี้



.

.

.

ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 5 (22-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 22-09-2018 19:02:59
.

.

.





“...อ่า”

แรงปรารถนาถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อถึงปลายทาง ทุกอย่างเลือนรางแต่ชัดเจนในความรู้สึก ริมฝีปากหยักกดลงมาบนหน้าผากชื้นเม็ดเหงื่อของผม รับรู้ได้ถึงสายน้ำรักที่ไหลย้อนออกมาอย่างช้าๆ หลังจากความแข็งกร้าวได้ถอนตัวออกมาจากช่องทางรัก

“มีความสุข” เจ้าของร่างชุ่มเหงื่อทิ้งตัวลงมานอนข้างกายผม ก่อนดึงผมเข้าสู่อ้อมกอดของเขา จูบซับลงมาเหนือขมับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ต่างจากทุกครั้ง คำพูดที่เอ่ยก็เช่นกัน

“เหนื่อยแล้วเหรอ?” อย่าได้แหย่จิระเชียว เพราะทันใดนั้นผมก็ถูกยกตัวขึ้นมานั่งบนตัวเขา ในตำแหน่งที่พอเหมาะพอเจาะกับกิจกรรมบนเตียง

“น่าจะใช่ ผมเหนื่อยแล้ว แต่ยังไม่พอ ยังไม่คุ้มกับห้าเดือนที่ไม่ได้กอดเลย” ยิ้มร้ายกาจแต้มแต่งบนใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มลูกครึ่ง “ให้รางวัลเด็กดีหน่อยนะครับพีรัช”

“เด็กหื่นละไม่ว่า” ถึงจะพูดแบบนั้นกับเด็กตัวโต แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธ มือของผมอ้อมไปด้านหลังเพื่อพบกับความเป็นชายของจิระ รูดดึงเบาๆ แต่ก็เรียกเสียงครางต่ำจากลำคอคนด้านล่างได้

ความร้อนระอุในอุ้งมือกำลังชูชันได้ที่ นั่นก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องทิ้งตัวลงไปครอบครอง มอบรางวัลให้อีกฝ่ายได้สุขสมหวังในร่างกายของผม แต่เพียงแค่ยกกายขึ้นมาเตรียมความพร้อม เสียงดนตรีจากโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียงก็ส่งเสียงขึ้นเสียก่อน เป็นเสียงเรียกเข้าเฉพาะเบอร์ที่ผมต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อมัน

ไม่ใช่สายจากคนสำคัญหรือพิเศษอะไรหรอก เพียงแต่เป็นสายของเลขาสาวคนเก่งของผม ที่ผมจะปฏิเสธไม่ได้เพราะการที่เธอติดต่อมานั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องงานสำคัญที่เพิกเฉยไม่ได้ แต่ก็ช้าไปเมื่อมือที่อยู่ใกล้กว่าเอื้อมหยิบมันขึ้นมา กดรับพร้อมทั้งเปิดลำโพงโทรศัพท์ ก่อนโยนลงบนเตียงข้างๆ ตัว

“สวัสดีค่ะคุณพี โมโทรมารบกวนหรือเปล่าคะ” ตั้งคำถามมาแบบนี้ อาจไม่ใช่เรื่องงาน หรืออาจจะใช่แต่คงไม่ใช่งานสำคัญที่ผมต้องรีบเข้าโรงแรมโดยด่วน

“ไม่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมใช้เสียงระดับที่ดังขึ้น เพราะโทรศัพท์อยู่ไกลจากริมฝีปากไปเยอะ ตั้งใจจะโน้มตัวลงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบใบหูให้การสนทนาชัดเจนขึ้น ทว่ามือของจิระก็จับยึดเอวไว้เสียก่อน ไม่พอแค่นั้นเจ้าตัวยังเอาแต่ใจด้วยการยกตัวผมขึ้นและกดให้กลืนความแข็งกร้าวทีละนิดๆ

“อ๊ะ...” ผมกัดปากไม่ให้เสียงหวีดร้องหลุดออกมาดังเกินไป จนเข้าไปแทรกในบทสนทนาของผมกับเลขาสาว ขืนเธอได้ยินเสียงที่มาจากกิจกรรมอย่างว่าละก็ ...ไม่อยากจะคิด ความน่าเชื่อถือของผมคงถดถอยในสายตาของเธอแน่ๆ

“คุณอารยะมาขอพบคุณพีค่ะ”

อารยะ ?

จะใช่คนคนนั้นไหม แม้ความรู้สึกกับชื่อนี้จะบอกว่าใช่แล้วก็ตาม เพราะผมไม่เคยรู้จักอารยะคนไหนอีก นอกจากอารยะที่เป็นชื่อของคนคนนั้น... คนตัวโตในจอสี่เหลี่ยม

“อารยะไหน” ปากผมขยับถามราวกับไม่รู้ตัว ความคิดของผมลอยไปถึงคนคนนั้น เจ้าของใบหน้าที่ไม่เคยจากไปจากความคิดที่ปวดร้าวเลย และเสียงคงเบาเกินกว่าที่เลขาสาวจะได้ยิน

“คุณพีจะให้โมแจ้งคุณอารยะว่ายังไงดีคะ เพราะโมบอกเขาแล้วว่าวันนี้คุณพีไม่เข้าโรงแรม แต่เขาก็ไม่ยอม บอกโมว่าให้โทรหาคุณพีแล้วบอกว่าเขาอยากพบ”

“อารยะไหน” ผมถามซ้ำ เสียงดังขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้สนใจคำพูดยาวเหยียดของหญิงสาวเลย และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าช่องทางรักของตัวเองได้โอบล้อมความร้อนระอุของจิระไว้จนสุดความยาว

“คุณอารยะ...” ผมกำลังรอคอย แม้วินาทีเดียวก็เหมือนนานเท่าชีวิต “...เจ้าของโรงแรม ‘พุฒิธาดา’ ค่ะ”

“...” คมฟันที่กดลงบนกลีบปากล่างไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บเท่ากับความเจ็บปวดภายในอก “อ๊ะ...อะ...”

เพราะเอาแต่รู้สึกเจ็บปวดไปกับความคิด เจ้าของตัวตนร้อนระอุในกายผมถึงได้กระตุ้นเตือนด้วยแรงกระแทกหนักๆ

“หยุดคิดถึงเขา” เสียงเข้มเอ่ยสั่ง ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลกำลังบอกว่าเจ้าของมันกำลังเจ็บปวด ความรู้สึกนั้นล้นออกมาจนผมต้องหันสายตาหนี ไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของคนที่คอยยืนอยู่ข้างผมเสมอมา

“บอกเขาให้รอ...บอกเขาว่าผมจะเข้าไป...อ๊ะ...” เสียงครางหลุดออกมาแทบจะทันทีที่ความร้อนระอุถูกถอนตัวออกไป ก่อนที่ผมถูกพลิกตัวกลับให้ไปนอนคว่ำหน้าบนเตียง สะโพกถูกยกขึ้นสูงและตัวตนเดิมที่ชำแรกเข้ามาอีกครั้ง เหมือนจะรุนแรงแต่ก็ยังอ่อนโยนในแบบของจิระ... ผู้ชายที่ไม่ต้องการให้ผมเจ็บปวดเพราะเขา

“อย่าไปหาเขานะครับพีรัช” เสียงพร่าตามอารมณ์กระซิบดังข้างใบหู ร่างกายกำยำนั้นโน้มลงมาโอบกระชับแสดงความหวงแหน ขณะที่เบื้องล่างเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนแสดงความเป็นเจ้าของอย่างไม่สิ้นสุด “...อยู่กับผมนะ อย่าไป ได้โปรด...อย่าไป”

“อืม...ไม่ไปหรอก จะอยู่กับจิระ” ผมยินยอม ไม่ใช่เพราะคำอ้อนวอนของจิระ โจแวน แต่เป็นเพราะ ‘อารยะ ตรัยธาดา’ ต่างหาก

ความรู้สึกของผมมันย้อนแย้ง ไม่ต่างจากความต้องการที่กรีดร้อง

...อยากเจอแต่ก็ไม่อยากไปเจอ

“บอกให้เขารอ...แต่ผมจะไม่เข้าไป” ผมหยิบโทรศัพท์มาปิดลำโพง ก่อนเอามาแนบใบหู “ปล่อยให้เขารอแบบนั้นแหละ สนุกดี”

“ค่ะคุณพี”

เมื่อเลขาสาววางสาย ผมก็โยนโทรศัพท์ลงบนเตียง กดหน้าไว้กับหมอนใบใหญ่ ปัดความปวดร้าวในอกทิ้งด้วยการจดจ่ออยู่กับความร้อนระอุที่กระแทกเข้ามาเป็นจังหวะอ่อนหวาน บังคับให้ตัวเองสุขสมอยู่กับความรักที่จิระปรนเปรอให้มา แม้มันจะไม่มีผลต่อหัวใจของผมก็ตาม

“ผมรักพีรัช” จิระเฝ้ากระซิบบอก ราวกับว่าจะเปลี่ยนหัวใจผมได้ “รักมาก รักมากที่สุด รักผมเถอะนะครับพีรัช” ตัวตนของจิระทำให้ผมสั่นไหวไปทั้งกาย ความเสียวซ่านไต่ระดับจวนเจียนคลั่ง ทว่าคำวิงวอนร้องขอของชายหนุ่มกลับไม่ทำให้หัวใจผมโยกไหวได้แม้แต่นิดเดียว

...หัวใจของผมเหมือนหิน ทั้งหนัก ทั้งแข็ง ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งนั้น

“เตือนแล้วว่าอย่ารัก...อ๊ะ...อ่า...”

“ใจร้าย” คำต่อว่านั้นดังมาพร้อมกับแรงบดกระแทกที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่เกินที่ผมจะรับมือไหว “เมื่อไรจะเลิกใจร้ายกับผมซะที”

“ไม่รู้”

ไม่รู้เลยจริงๆ

ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเลิกรักได้

ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะรักคนที่ควรรักเสียที

เหมือนที่ไม่เคยรู้เลยว่า... เมื่อไรกันนะที่ ‘เริ่มรัก’ คนคนนั้น ‘อารยะ ตรัยธาดา’


หรือจะเป็นตอนที่... อารยะ ตรัยธาดา ย้ายกลับมาอยู่ไทยถาวร หลังจากเรียนจบปริญญาโทและทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ที่อังกฤษต่ออีกสองปี เขากลับมาเพราะคุณทวดพุฒิที่อายุมากขึ้นและโรคประจำตัวที่ทำให้ท่านอ่อนแอลงทุกวัน

ตอนนั้นผมอายุสิบสองปีเต็มแล้ว เติบโตขึ้นกว่าตอนเป็นเด็ก เข้าใจอะไรมากขึ้น และยอมรับทุกอย่างได้แล้ว ยอมรับว่าผมเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีแม่ และต่อให้มีพ่อ แต่สายใยระหว่างกันก็น้อยนิดจนมองไม่เห็น ไม่มีความผูกพันที่อยากทำให้กระโดดเข้าไปหา ยามเมื่อเขาก้าวขึ้นมาบนเรือนไทยหลังงาม ที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นบ้านของเขากับลูกๆ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่เด็กชายฝาแฝดผู้มีดวงตาสีน้ำตาลแดงวัยสี่ขวบ แต่รวมถึงผมด้วย จากที่เคยอยู่เรือนของคุณปู่คุณย่า ผมก็ต้องย้ายมาอยู่ร่วมกับ...คุณยะ

นอกจากไม่กระโดดเข้าไปหาเขา ผมยังรู้สึกเกรงกลัวสายตาที่มองลงมายังเด็กชายตัวเล็ก คำทักทายคือคำสั้นๆ ที่เขียนให้ระยะห่างระหว่างพ่อลูกเพิ่มมากขึ้นจนไม่สามารถเอื้อมถึงกันในความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้ได้

“ไง”

คนเป็นพ่อ... เขาทักลูกชายแบบนี้กันหรือไง ผมไม่เคยเข้าใจ จนกระทั่งความจริงเปิดเผยนั่นแหละ

“ครับ” เมื่อเขาทักมาแค่นั้น ผมก็ตอบไปแค่นั้น สั้นเท่ากัน

ความเงียบเริ่มโรยตัวทั่วเรือนนั่งเล่นที่หน้าต่างทุกบานเปิดโล่งรับลมเย็น แม้แต่เสียงเด็กชายวัยสี่ขวบทั้งสองจะวิ่งตึงตังไปทั่วเรือนไทยหลังใหญ่ ก็ไม่ทำให้ความเงียบเชียบนั้นจืดจางลง ผมบังคับสายตาให้กลับมาอยู่ที่หน้าหนังสือการ์ตูนที่อ่านค้างไว้ แต่ยิ่งอ่านยิ่งหงุดหงิด จนอยากจะโยนทิ้ง ทว่าก็ยังต้องฝืนอ่านมันไปเรื่อยๆ สายตาทำงานหนัก ส่วนประสาทหูทำงานหนักยิ่งกว่า เพราะผมกำลังเฝ้าฟังเสียงการเคลื่อนไหวของคนตัวใหญ่ ว่าเมื่อไรเขาจะหันหลังกลับไปสำรวจภายในตัวเรือนไทยหลังนี้เหมือนลูกๆ ฝาแฝดของเขา

คุณยะและน้องชายฝาแฝดของผมกลับมาถึงไทยตั้งแต่เมื่อวาน ผมไม่ได้ไปรับด้วยหรอก อ้างกับคุณปู่คุณย่าว่าปวดหัว ไม่อยากไปไหน ท่านทั้งสองบ่นนิดหน่อยแต่ก็ตามใจผมเสมอ พอกลับไทยคุณยะก็เข้าพักที่โรงแรมกับคุณทวดพุฒิก่อน (ช่วงนี้คุณทวดป่วยบ่อยมากเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุณยะกลับไทย เพื่อมารับช่วงบริหารโรงแรมพุฒิธาดาต่อจากคุณทวด)

ความเงียบทำงานได้ไม่ถึงห้านาที เสียงเข้มดุที่ดูแปร่งไปนิดจากที่เคยได้ยินผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมมาตลอดหลายปีก็เอ่ยทำลายความเงียบระหว่างกันลง

“อยู่ในวัยต่อต้านหรือไง”

“เปล่าครับ” จากที่นอนคว่ำหน้าอ่านการ์ตูน ผมก็ขยับลุกขึ้นนั่ง และทำในสิ่งที่ควรทำแต่ผมกลับไม่ทำมันในตอนแรก ผมมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับคุณยะ”

มีเพียงรอยกระตุกที่มุมปากหนา จากนั้นเขาก็หันกลับไปให้ความสนใจกับลูกชายฝาแฝดสองคนที่กำลังหย่อนเท้าลงไปในสระว่ายน้ำที่ถูกโอบล้อมด้วยเรือนเครื่องสับจำนวนแปดหลัง (ซึ่งแต่ละหลังถูกเชื่อมถึงกันด้วยชานแล่น) โดยมีพี่เลี้ยงทั้งสองคนที่ผมคุ้นหน้าเพราะจะเห็นเธอทั้งคู่อยู่กับเด็กชายฝาแฝดเสมอคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ว่ากันจริงๆ เลยคือผมเห็นพี่สาวสองคนนี้ผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมมากกว่าคุณยะเสียอีก

ผมไม่รู้สึกอยากไปทักทายทำความรู้จักน้องชายทั้งสองคนเท่าไรนัก ผิดจากสิ่งที่พี่ชายที่ดีควรทำ หรืออาจเป็นเพราะความขุ่นมัวในหัวใจของผมมานานวันกันแน่ ความอิจฉาที่เหมือนยาพิษแต่ไม่รุนแรงนัก ทว่าก็ทำให้ผมไม่อยากเข้าไปหาเด็กทั้งคู่

คุณยะเดินไปแล้ว ผมก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไป ด้วยคำถามที่ดังห้วนอยู่ในความรู้สึก... ทำไมเราสองคนถึงไม่เหมือนพ่อลูกคู่อื่นๆ ในสายใยของความเป็นพ่อลูกมีแต่ความดำมืดที่ไร้เหตุผล ความโหยหาในวัยของผมเปลี่ยนเป็นความเมินเฉย ไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่เขากลับมา ความรู้สึกของผมมันมีแต่ความสับสนและหวาดกลัวการเผชิญหน้า

ผมกลับมาสนใจหนังสือการ์ตูนในมืออีกครั้ง พลิกอ่านไปได้แค่สองหน้าก็ต้องโยนทิ้งไปให้พ้นสายตา ทิ้งตัวลงนอนหลับตา หายใจเข้าลึกและหายใจออกช้าๆ เพื่อบรรเทาสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอก มันคับไปหมด จนอยากกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง ให้สาสมกับความสิ้นหวังในหัวใจ

ผมกำลังหวังอะไรอยู่ ?

ยอมรับก็ได้ว่าผมหวังว่า... จะมีถ้อยคำมากมายจากคุณยะ คำทักทายที่ทำให้เด็กชายพีรัชได้โผเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่นั้นไว้เต็มวงแขน เอ่ยเล่าเรื่องราวมากมายในแต่ละวันที่สะสมมานานหลายปี แต่ที่ได้รับก็แค่ทำทักทายไร้ซึ่งความผูกพัน แววตาที่ไม่ได้ต่างจากตอนมองผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม ท่าทีเฉยเมยและติดจะเฉยชาเป็นเหมือนมีดกรีดซ้ำลงบนแผลเดิม

ทำไมเขาถึง ‘เกลียด’ ผมนักนะ

ความรู้สึกที่เขามอบให้ผม คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากความเกลียดชัง ที่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเกลียดผม ผมเป็นเด็กไม่ดีงั้นเหรอ ?

ถึงผมจะเอาแต่ใจ ดื้อ และซนไปบ้าง แต่ทุกคนก็รักผมทั้งนั้น ไม่มีใครดุว่าให้ผมต้องเสียน้ำตาเลยสักครั้ง น้ำตาของเด็กน้อยพีรัชไหลเพราะคนตัวโตทำทั้งนั้น!

“พี่ชายมาเล่นน้ำกัน” เสียงใสแจ๋วและคำพูดที่เป็นภาษาไทย ดังเข้ามาหยุดยั้งความคิดที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจของผมไว้ ผมลุกขึ้นนั่ง มองเด็กชายตัวจิ๋ว (ครั้งหนึ่งผมก็เคยจิ๋วเท่านี้เหมือนกัน) ที่เนื้อตัวพราวด้วยหยดน้ำยืนอยู่ตรงชานแล่น (ทางเดินที่เชื่อมระหว่างตัวเรือน) เด็กตัวน้อยอยู่ในชุดว่ายน้ำแบบเต็มตัวสีเหลืองสดใส ศีรษะเล็กๆ สวมทับด้วยหมวกว่ายน้ำ และมีแว่นว่ายน้ำคล้องที่ลำคอ ใบหน้าเล็กสะอาดสะอ้านด้วยความอ่อนเยาว์ ความเป็นเด็กลูกครึ่งเด่นชัดที่ดวงตาสีน้ำตาลแดงกับผมสีน้ำตาลอ่อนๆ

ผมใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียว เพื่อจะบอกตัวเองว่าเด็กชายวัยสี่ขวบที่มีดวงตาสีน้ำตาลแดงคนนี้คือใคร

‘ทานตะวัน’ หรือ ‘ถิร’

เด็กแฝดเอียงคอมองหน้าผม ก่อนฉีกยิ้มกว้าง ราวกับรู้ว่าความพยายามของผมไม่ประสบความสำเร็จ เจ้าตัวถึงได้ช่วยเหลือผมกลับมาทันที

“พี่ซันคือพี่ซันครับ” เด็กตัวเล็กยิ้มแจ่มใส รอยยิ้มสดใสไม่ต่างจากชื่อของเจ้าตัวเลย ยิ้มจนเห็นฟันน้ำนมครบทุกซี่

“อ้อ พี่ซัน” ผมเรียกตามคำบอกของเจ้าตัวเล็ก...แฝดพี่ สงสัยคงถูกสอนมาว่าต้องแทนตัวเองว่าพี่ซันกับน้องแซนแน่ๆ

“พี่ซันมีดำๆ ตรงนี้” นิ้วสั้นจิ้มลงบนแก้มซ้ายของตัวเอง

‘ดำๆ’ ที่ว่าก็คือไฝเม็ดเล็ก

“แต่น้องแซนไม่มี” เด็กน้อยทานตะวันกำลังบอกวิธีจำว่าใครเป็นซัน ใครเป็นแซน

“ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้ นึกเอ็นดูเด็กแฝดมากขึ้นเสียแล้วสิ ตอนที่เห็นผ่านหน้าจอ ผมรู้สึกเฉยๆ กับเด็กทั้งสอง และถึงขั้นอิจฉาด้วยซ้ำ พอเจอตัวจริงแบบนี้ ถูกชวนคุยแบบนี้ ใจก็เริ่มอ่อนลง จากที่ตั้งใจว่าจะไม่สนใจแฝดคู่นี้ที่ได้อยู่กับคุณยะตั้งแต่เกิด ดูท่าแล้วก็คงจะแพ้ให้กับความน่ารักเสียแล้วมั้ง

“พี่ชายก็มี” ว่าแล้วก็ชี้มาทางแก้มขวาของผม

ใช่แล้วครับ ผมก็มีเจ้าดำๆ ตรงแก้มเหมือนกัน

“ซัน” เสียงเรียกเด็กน้อยดังมาจากสระว่ายน้ำ เป็นเสียงของคุณยะ

“พี่ชายเร็วๆ ครับ เดี๋ยวพ่อยะดุซัน พ่อยะน่ากลัว บรื๋อ” เจ้าตัวเล็กทำท่าหดคอลงให้สมกับความกลัวที่เวอร์เกินเหตุ แต่ก็นะ... น่ากลัวจริงนั่นแหละ

ทั้งที่ดวงตาทั้งสองของคุณยะเหมือนคุณปู่กับอานุ แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างมาก ดวงตาของคุณปู่กับอานุให้ความรู้สึกสบายใจเวลามองลงมาที่ผม ดูก็รู้ว่าทั้งสองรักและเอ็นดูหลานชายคนนี้มากแค่ไหน ซึ่งต่างกับของคุณยะลิบลับ ดวงตาของคุณยะเหมือนกองไฟสีแดง จ้องลงมาแต่ละทีก็เหมือนพร้อมจะแผดเผา บางครั้งก็มองผมด้วยสายตาเย็นชาเหมือนก้อนน้ำแข็งขั้วโลก บางทีก็ดูลึกลับเกินความลึกของมหาสมุทรยากจะหยั่งลงไปถึง

“ไปครับ ไปเล่นน้ำกัน” เจ้าตัวชวนซ้ำ หันหน้าหันหลังดูว่าพ่อตัวเองจะโผล่มาเมื่อไร สงสัยกลัวจริง

“ไม่ไปครับ” ผมปฏิเสธ ไม่อยากเข้าไปอยู่ใกล้คุณยะ เลี่ยงได้ผมก็จะเลี่ยง ความสัมพันธ์พ่อลูกของเรามันคงห่างกันจนสายใยนั้นขาดไปแล้วมั้ง ผมคิดเอาไว้ว่าสักพักจะขอคุณปู่คุณย่ากลับไปอยู่ห้องเดิมของตัวเองที่เรือนของพวกท่านเหมือนเดิม

“ไปกันๆ” เด็กน้อยลูกครึ่งก็ยังไม่ยอมแพ้ กวักมือหยอยๆ

ผมก็ยังส่ายหน้า คว้าหนังสือการ์ตูนขึ้นมาทำท่าจะอ่าน เตรียมจะล้มตัวกลับไปนอนต่อ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอย่างที่คิด คนตัวโตก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างทานตะวันเสียก่อน

“มาทำอะไรตรงนี้” ก้มหน้าถามลูกชาย

“ซันมาชวนพี่ชายไปเล่นน้ำด้วยกันครับพ่อยะ”

“ไปเปลี่ยนชุด” แล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองผม

ถึงจะรู้ว่าประโยคนี้คุณยะบอกใคร แต่ผมก็ทำเฉย ล้มตัวลงนอนอ่านการ์ตูนเสียเลย

“พี ไปเปลี่ยนชุด” เสียงเข้มกดต่ำที่ทำเอาผมสะดุ้ง ใจเต้นตุบๆ เลย

“อย่ามาบังคับผมนะ” หรือว่าผมจะอยู่ในวัยต่อต้านจริงๆ ผมถึงอยากจะขัดคำสั่งของคุณยะ ก็เขาไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้ผมทำตามความต้องการของเขา เขาไม่เคยสนใจผมเลยด้วยซ้ำ ไม่ดูแล ไม่ใส่ใจ ไม่เคยทำตัวเป็นคุณพ่อที่แสนดี แล้วทำไมผมต้องเป็นเด็กดีที่เชื่อฟังทุกคำสั่งของเขาด้วย

ยิ่งกว่านั้น...

เขาให้น้องชายฝาแฝดของผมเรียกเขาว่า ‘พ่อยะ’ ได้ แต่กับผม เขากลับไม่ยอมให้เรียกแบบนั้น แค่คำเรียกขานก็บอกได้ชัดเจนแล้วว่าเขาไม่เห็นผมเป็นลูก

อยากถามเขาจริงๆ ว่า... ผมทำอะไรผิด?

แต่ผมก็ไม่กล้าถาม กลัวความจริงจากปากของเขา กลัวว่าผมจะรับมันไว้ไม่ไหว ผมถึงได้แค่มองตาก่อนลุกเดินออกจากเรือนนั่งเล่น เดินไปตามชานแล่นที่เชื่อมถึงเรือนนอนของตัวเอง ผลักประตูเข้าไปในห้องและปิดเสียงดังโครม เอาให้รู้ว่าผมไม่ใช่ลูกชายที่เกรงกลัวพ่อแบบเขา ต่อให้ผมจะกลัวสายตาของเขาก็เถอะ แต่ผมก็แสดงออกมาว่าไม่กลัว!





**จบตอนที่ 5**
 
เหมือนว่ายังไปไม่ถึงไหน เด็กในสต๊อกน้องพีหมดละ เดี๋ยวจะเริ่มเข้าสู่หมวดอดีตกันแล้ว
เรื่องไม่ซับซ้อน ไม่ดราม่ามาก ไม่อะไรสักอย่าง 555+

ปล 1. เรื่องนี้เหมือนจะข้ามเส้นศีลธรรม แต่มันก็ไม่ข้ามน้าาา

ปล 2. วันพุธมาเจอกันใหม่นะคะ กับตอนที่ 6
ปล 3. ฝากเพจนิยายไว้ด้วยนะคะ
"นิยาย BY สีเหลืองอ่อน"  https://www.facebook.com/byitwill/


สีเหลืองอ่อน





หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 5 (22-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-09-2018 21:57:55
นี่สงสารน้องพี ถูกคุณยะรังแกความรู้สึกมาตลอดเลย
พอโตมาก็ยังต้องทำร้ายตัวเองเพราะคุณยะอีก งื้อออ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 6 (26-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 26-09-2018 18:31:13
ตอนที่ 6

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็เหมือนจุดแตกหักระหว่างผมกับคุณยะ แล้วมันก็ผ่านมาได้...เกือบปี

ใช่แล้วครับ มันผ่านมาแล้วเกือบปีที่ผมกับคุณยะแทบไม่พูดคุยกันเลย ยกเว้นเวลาที่อยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว ผมจะพูดคุยกับคุณยะในฐานะลูกชายคนโต เชื่อฟัง นอบน้อม ไม่เถียง ไม่ดื้อ แต่ความสัมพันธ์ก็ห่างเหินแบบที่ทุกคนในครอบครัวสัมผัสได้ เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมา 

หากคิดว่าความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่ ‘ห่างเหิน’ กันนั้นหนักหนามากแล้ว ลับหลังอยากจะบอกว่ายิ่งกว่านั้นอีก คำว่าห่างเหินดูจะเล็กน้อยไปเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อไรที่อยู่กันแค่สองคน ผมกับคุณยะเหมือนคนแปลกหน้าเข้าไปทุกวัน คุณยะแค่มองหน้าผม แล้วเลยผ่านไป เหมือนผมเป็นใครสักคนที่แค่อาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ส่วนผมก็ตามนั้นครับ เมื่อคุณยะไม่คุยกับผม ผมก็ไม่คุยกับเขา อย่างไรซะที่ผ่านมาสิบกว่าปี ชีวิตของผมก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา เขาไม่ได้เลี้ยงผมมาสักหน่อย คุณปู่คุณย่าต่างหากที่ทำให้ผมเติบโตมาจนถึงวันนี้

ในเมื่อไม่ให้ผมเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ผมก็จะคิดซะว่าตัวเองไม่ใช่ ‘ลูก’ ของเขา ต่อให้เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายจะเป็นเลือดครึ่งหนึ่งที่มาจากผู้ชายที่ชื่ออารยะก็ตาม ผมจะถือซะว่าเลือดในส่วนนั้นเป็นของคุณปู่กับคุณย่า

แต่ถ้าคิดว่าการอยู่ร่วมบ้านของผมกับคุณยะจะเกิดความอึดอัดจนผมต้องย้ายกลับไปเรือนคุณปู่คุณย่าเหมือนที่ตั้งใจไว้แต่แรก ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เลย ตัวเรือนไทยหมู่ที่สร้างขึ้นมาอย่างงดงามที่ประกอบไปด้วยเรือนเครื่องสับถึงแปดหลัง เต็มไปด้วยความทันสมัยที่ผสมผสานลงตัวกับตัวเรือนไม้ นอกจากจะมีเรือนนอน เรือนประธานที่เป็นห้องรับรองแขก เรือนนั่งเล่นส่วนตัว แล้วก็ยังมีตัวเรือนที่สร้างขึ้นมาเป็นห้องออกกำลังกาย ห้องโฮมเธียเตอร์ และสระว่ายน้ำกลางชานเรือนนั้น เหมือนจะมีแค่ผมอาศัยอยู่เพียงลำพังคนเดียว เจ้าของบ้านตัวจริงนานๆ ครั้งถึงจะกลับมานอน ในแต่ละเดือนไม่ถึงห้าวันด้วยกระมังที่คุณยะก้าวขึ้นเรือนไทยหลังนี้

เพราะหลังกลับจากอังกฤษคุณยะก็เข้ารับตำแหน่ง ‘ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงแรมพุฒิธาดา’ แทนคุณทวดพุฒิทันที ซึ่งพอผ่านไปได้แค่สี่เดือน คุณทวดก็จากไปด้วยโรคประจำตัวหลายอย่าง คุณยะก็ใช้ชีวิตอยู่ที่โรงแรมมากกว่าบ้านของตัวเอง ทำตัวเหมือนคุณทวดที่ชอบอยู่บนตึกสูงมากกว่าบ้านบนพื้นดิน แต่ก็เป็นเรื่องดีครับ ที่เราสองคนจะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้ากัน ไม่ต้องอึดอัดกับสภาพความห่างเหินที่เกิดขึ้น ไม่ต้องทนเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันทั้งที่เป็นพ่อลูกกัน

ส่วนฝาแฝดทานตะวันกับถิรก็ติดอาภามากกว่าพ่อของตัวเองไปแล้ว ทั้งสองไม่มีร้องงอแงหาพ่อที่ไม่กลับมาบ้านเลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นก็คงกำลังเห่อน้องคนใหม่ที่อยู่ในท้องของอาภาด้วย ทั้งสองคนย้ายไปอยู่ที่เรือนอาภาแทบจะถาวรแล้ว

ดังนั้นเรือนไทยหลังนี้จึงเหลือผมอยู่แค่คนเดียว ถามว่าเหงาไหม ผมตอบเลยว่าเหงามาก แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างความเหงากับความอึดอัดที่ต้องเผชิญหน้ากับคุณยะทุกวัน ผมขอเลือกความเหงาดีกว่า... ดีกว่ากันเยอะ

อย่างเช่นตอนนี้ที่ผมกำลังล่องลอยอยู่ในความนุ่มนวลและฉ่ำชื่นของมวลน้ำในสระกลางชานเรือน นอนหงายเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีพระจันทร์ดวงกลมลอยเด่นอยู่บนความมืดของราตรี ไร้ดวงดาวเคียงข้าง มันคงเหงาน่าดูที่ต้องอยู่เพียงลำพัง ก็คงเหมือนกันกับผม ความเหงาทำให้ผมเอาตัวเองออกมาจากเตียงนอนตอนตีหนึ่ง เปลี่ยนจากชุดนอนมาสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียวกระโจนลงสระอย่างไม่เกรงกลัวความเย็นที่โอบล้อมรอบตัว ผมดำผุดดำว่ายอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ถึงได้หยุดและนอนนิ่งๆ (ก็ไม่นิ่งเท่าไร) บนผิวน้ำ

ในความเงียบเชียบที่มีเพียงผมคนเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่บนเรือนหลังนี้ ทำให้ผมรับรู้การเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ชัดเจน รวมถึงเสียงฝีเท้าที่ดังเป็นจังหวะมาจากบันไดเรือน เสียงฝีเท้าดังหนักบอกถึงน้ำหนักตัวของฝ่ายนั้น แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าเป็นใคร ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนที่ตัวเองไม่อยากเผชิญหน้าด้วย ผมถึงได้พลิกตัวกลับและดิ่งลงไปใต้ผิวน้ำ หวังว่าจะซ่อนตัวให้นานที่สุด จะได้ไม่ต้องเจอหน้าเขา จะได้ไม่ถูกมองด้วยสายตาสีดำดุดันคู่นั้น

ผมพยายามกดตัวเองให้อยู่นิ่งในน้ำ กอดตัวเองไว้ให้นิ่งที่สุด ผิวน้ำจะได้เงียบสงบ เพื่อที่อีกคนหนึ่งจะได้ไม่สงสัยว่ามีอะไรอยู่ใต้สระ โชคดีพอสมควรที่ผมทำแบบนี้บ่อยๆ คือดำลงไปใต้สระ ท้าทายตัวเองให้กลั้นหายใจให้ได้นานขึ้นทุกครั้ง

เมื่ออยู่ใต้สระผมอาศัยการนับเลขแทนการเคลื่อนที่ของเข็มวินาที จากเลขหนึ่งไปยังอีกเลขหนึ่ง จำนวนตัวเลขเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จำนวนความอดทนของผมกลับลดน้อยลงและบังคับให้ผมทะยานขึ้นเหนือผิวน้ำ กลับขึ้นไปหายใจอีกครั้ง ผมอดทนอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะฝืนต่อไปได้ ในใจก็คิดแล้วว่าระยะทางจากบันไดจนถึงเรือนนอนหลังใหญ่ทางทิศเหนือนั้นไม่มากเท่าไร ซึ่งฝ่ายนั้นก็คงเข้าไปในเรือนนอนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่ผมก็เผื่อเวลาให้กับความผิดพลาดในการคำนวณอีกนิดหน่อย เผื่อว่าเขาจะเดินช้ากว่าปกติ ผมเลือกที่จะให้ตัวเองทุรนทุรายอยู่ก้นสระจนถึงที่สุดเสียก่อน แล้วค่อยทะยานขึ้นไปกอบโกยอากาศเข้าปอด

ตุ้ม!!

ทว่าเสียงผิวน้ำแตกกระจายจากแรงปะทะขนาดใหญ่ที่พุ่งลงมาดังขึ้นเสียก่อน ผมไม่ทันได้คิดหรือตั้งสติด้วยซ้ำว่าควรทำอย่างไร ร่างกายก็ถูกกระชากอย่างแรงให้ขึ้นสู่ผิวน้ำ ก่อนถูกลากดึงให้ไปยืนที่ข้างขอบสระ ผมขัดขืนจะเอาตัวเองขึ้นจากสระแต่ก็แพ้แรงของอุ้งมือใหญ่ที่บีบยึดไว้


“ทำอะไร!!” น้ำเสียงที่เอ่ยตะคอกถามเต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ดวงตาสีราตรีมองผมเหมือนจะฆ่าให้ตายคามือ “อยากตายมากหรือไง”

ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจการกระทำของผมว่าอย่างไร ไม่อยากอธิบายด้วยว่าที่ผมจมลงไปใต้สระก็เพื่อจะหนีหน้าเขา ผมเลือกที่จะมองหน้าเขาตอบอย่างท้าทาย แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าเขาคือพ่อ หรือว่าผมควรลืมไปเลยว่าคนคนนี้คือพ่อผู้ให้กำเนิดชีวิตผมมา เหมือนที่เขาคงลืมไปแล้วเหมือนกันว่าผมเป็นลูก คนที่มีเลือดของเขาหมุนเวียนอยู่ในร่างกาย

ผมอยากถาม... ทำไมเขาถึงไม่เห็นผมเป็นลูก แต่ผมก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวคำตอบ กลัวว่าสิ่งที่เขาตอบกลับมาจะเป็นคำที่ว่า ‘เขาเกลียดผม’ เกลียดที่ผมเกิดมาเป็นลูกเขา

“ตายได้ก็ดี” ผมคิดว่าตัวเองตะโกนออกไปสุดเสียง แต่ความจริงคือเสียงที่ปนออกมากับความปวดร้าวในอก มันพ้นลำคอมาแค่เพียงแผ่วเบา เบายิ่งกว่าเสียงลมหายใจด้วยความโกรธของอีกฝ่ายเสียอีก “เผื่อคุณยะจะได้ดีใจที่ไม่ต้องทนเห็นหน้าลูกอย่างผม” ...ลูกที่คุณยะไม่ต้องการ

“ก็ลองตายดูจริงๆ ไหม...พีรัช”

“ก็เอาสิครับ” จบคำท้า ตัวผมก็ถูกจู่โจมด้วยร่างกายของคนตัวโตกว่ามาก ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดผมไว้ทั้งตัว ดึงพาให้ผมจมลงไปในสายน้ำเย็นเฉียบ ดิ่งลึกจมสู่ก้นสระด้วยอาการตกตะลึงเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว มันเป็นไปโดยธรรมชาติที่สองมือของผมจะคว้าจับเข้าที่ช่วงเอวหนาเอาไว้เป็นหลักยึด

เรากอดกัน...

แต่มันไม่ใช่อ้อมกอดในแบบที่ควรเป็น ที่ผมปรารถนาคือความรัก ความเอาใจใส่ ในแบบของพ่อกับลูกชาย ทว่าอ้อมกอดนี้เต็มไปด้วยบทลงโทษ ราวกับคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาคือความจริง คุณยะอยากให้ผมตายหรือไง ผมไม่ได้อยากตาย ไม่เคยอยากตายเลยสักครั้งในชีวิต เพราะฉะนั้นผมถึงได้ดิ้นรนออกจากอ้อมแขนที่รัดแน่นเหมือนถูกเชือกมัด บีบบังคับให้ผมแนบสนิทไปกับร่างกายของอีกฝ่าย ผมอยากจะพุ่งขึ้นสู่เหนือผิวน้ำ โกยอากาศเข้าปอดก่อนตัวเองจะขาดอากาศหายใจ... ก่อนที่ผมจะได้ตายจริงๆ

รู้สึกเหมือนผมกำลังตาย ผมอดทนกับการกลั้นหายใจต่อไปไม่ไหว ขณะที่คนตัวใหญ่ยังสงบนิ่ง แรงกอดรัดยังคงเท่าเดิม

ผมเปลี่ยนจากมือที่คว้าจับเอวหนาไว้มาเป็นการรัวกำปั้นใส่อีกฝ่าย ก็ไม่ได้ทำให้คนที่กอดผมไว้รู้สึกรู้สาอะไร นอกจากกดผมไว้ให้จมอยู่ก้นสระเช่นเดิม และแม้ว่าผมจะหลับตา โลกของผมมืดสนิท ผมก็ยังรู้สึกได้ว่าบนใบหน้าของเจ้าของท่อนแขนแข็งแกร่งกำลังมีรอยยิ้มเยาะเย้ยในความพ่ายแพ้ของผม ยิ้มหยันให้กับความโง่เขลาของเด็กโง่ๆ คนหนึ่ง

...โง่ที่เกิดมาเป็นลูกของผู้ชายที่ชื่ออารยะ

แต่ก่อนที่ผมจะกลั้นหายใจต่อไปไม่ไหว ก่อนผมจะทุรนทุรายไปกว่านี้จากการขาดอากาศหายใจ ร่างกายของผมก็ลอยเหนือก้นสระขึ้นไปเรื่อยๆ ผมควรจะมีหวังถึงอากาศที่อยู่เหนือผิวน้ำ การได้หายใจด้วยจมูกของตัวเองอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่ผมพบกลับเป็นบางอย่างที่คาดไม่ถึง

ไม่สิ! ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นกับผม

...ความเย็นชืดของริมฝีปากที่บดเบียดลงมาบนกลีบปากของผม

ผมลืมตาโพลงในน้ำ ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด ความตกใจของผมดังแรงราวกับแผ่นดินไหว สะท้านไปทั้งร่างกาย สิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ควรเกิดขึ้นไม่ใช่หรือไง ถึงผมยังเป็นเด็ก ยังไม่ใช้นายนำหน้าชื่อด้วยซ้ำ แต่ผมก็รู้ว่าสิ่งที่คุณยะทำ... มันผิด!

ทั้ง ‘ผิดปกติ’ และ ‘ผิดศีลธรรม’

ผมดิ้นขัดขืนเมื่อโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แผ่นหลังถูกผลักไปปะทะเข้ากับขอบสระ โดยที่เท้าไม่ได้ติดพื้นสระเลย เพราะมือข้างหนึ่งของคุณยะโอบรัดอยู่ช่วงเอวและยกตัวผมขึ้นมาให้สายตาอยู่ในระดับใกล้กันให้ได้มากที่สุด มืออีกข้างกดท้ายทอยผมเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหลุด บังคับให้ผมยอมรับแรงบดขยี้ที่คลุ้งมากับกลิ่นเหล้า

ความตกใจทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก เมื่อขัดขืนไม่ได้ผมก็เหมือนจำยอมอยู่ในวงแขนของคุณยะอย่างไม่มีทางหลีกหนี ปล่อยให้ริมฝีปากหนาบดเบียดและพยายามที่จะล่วงล้ำเข้ามาหลังกลีบปาก ในอกของผมกรีดร้องอย่างหนัก มันเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งที่คุณยะทำกับผม ผมอยากรู้ว่าเขายังเห็นผมเป็นลูกอยู่หรือเปล่า

“อื้อ...” ผมโกยเอาอากาศเข้าปอดแทบไม่ทัน เมื่อริมฝีปากหนาย้ายออกไป ดวงตาสีราตรีจ้องเข้ามาในนัยน์ตาผม ในความมืดของค่ำคืนที่เงียบสงัดมีเพียงลมหายใจของคนสองคน มันทำให้ความคิดก่อนหน้านี้เหมือนถูกสะกดให้แน่นิ่ง ความรู้สึกบางอย่างที่บ้าบอเกิดขึ้นอย่างที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกแบบนี้ออกมาได้ เพียงแค่ได้สบตา

ผมเผลอมอง... ริมฝีปากที่ลอยอยู่ตรงหน้า

เผลอขยุ้มเสื้อชุ่มน้ำ... บนไหล่หนา

เผลอช้อนตาขึ้นมอง... ความลึกลับในดวงตาสีราตรี

เผลอรอคอย... บางสิ่งบางอย่างมาเติมความว่างเปล่าให้เต็ม

เผลอปล่อยให้หัวใจ... เต้นตึกตักในจังหวะที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เผลอปิดเปลือกตาลง... เมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้ขึ้น ยิ่งใกล้ขึ้น รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่ตกกระทบบนผิวแก้ม มือหนาที่ช้อนท้ายทอยของผมเอาไว้และอีกมือหนึ่งที่โอบกระชับเอวผมไว้แนบแน่น ไม่กี่วินาทีต่อมาสัมผัสของริมฝีปากเย็นชืดก็ประทับลงมาอีกครั้ง มันแผ่วเบาและนุ่มนวลต่างจากครั้งแรก และราวกับว่าผมยินยอมด้วยความเต็มใจ เวลานี้สมองของผมมันมึนงงไปหมด รวมถึงความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกที่ใกล้ระเบิดนี้ด้วย


.

.

.

ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 6 (26-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 26-09-2018 18:35:34
ต่อจากด้านบน

.

.

.


 
ชั่วขณะนั้นผมลืมแล้วทุกความถูกต้อง ลืมนึกถึงความ ‘ไม่ปกติ’ ระหว่างผมกับเขา ลืมว่าผมเป็นใครและเขาคือใคร ลืมความสัมพันธ์ของสายเลือดที่ไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์ข้ามเส้นศีลธรรมนี้ขึ้นมา ผมลืมเพราะรู้สึกดีกับสัมผัสที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เหมือนมีผีเสื้อกระพือปีกสวยงามอยู่รอบตัวยามที่ความอ่อนหวานจู่โจมผ่านรอยแยกของกลีบปากเข้ามาภายใน ผมไม่รู้จะรับมือกับรสชาติคลุ้งของเหล้ากับเรียวลิ้นของอีกฝ่ายอย่างไรดี ผมได้แต่ยินยอมและเคลื่อนไหวไปตามคนมากวัยกว่า จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทันนั่นแหละ สติของผมถึงได้กลับมาอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนจากมือที่ขยุ้มไหล่กว้างเป็นการผลักให้ร่างหนาออกไปจากความแนบชิดนี้ 

“ไปไกลๆ ผมนะ”

“...” เขามองหน้าผมเหมือนโมโห

“คุณมันเลว ทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง” ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณยะ ‘จูบ’ ผม และผมก็เหมือนจะ ‘สมยอม’ ไปโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็ตอบกลับคำถามของผมด้วยการโยนความผิดมาให้ผมเพียงคนเดียว

“เธอยั่วฉันเองนะพี” เขามองว่าผมเป็นคน ‘ยั่ว’ เขา จนเขาทนไม่ไหวต้องจูบผมเนี่ยนะ เอาอะไรมาคิดว่าผมยั่วเขา ผมไม่ได้ยั่วสักนิด!

“ผมยั่วตรงไหน!” ผมโมโหมาก

“หึ...” มีเสียงเหมือนประชดลอดลำคอของอีกฝ่ายออกมา ตามด้วยถ้อยคำที่ทำให้ผิวแก้มของผมมันร้อนจัดขึ้นมาทันที “ไอ้ที่มองตาฉันไม่กะพริบ มองปากของฉันเนี่ย ไม่เรียกว่ายั่วแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

“ผมไม่ได้ทำ!” ผมมองจริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมยั่วเขาสักหน่อย

ผมก็แค่มอง... แค่เผลอมองเท่านั้น ไม่มีความคิดอยากยั่วให้เขาจูบผมเลย ผมเป็นเด็กผู้ชายนะจะรู้จักยั่วได้ยังไง แล้วเขาก็เป็นพ่อของผมด้วย ผมจะมีความรู้สึกอยากยั่วให้เกิดเรื่องผิดศีลธรรมขึ้นมาทำไมกัน

มันผิดที่เขาจูบผม

และ...

มันผิดที่ผมยินยอมให้เขาจูบ

“ผมเป็นลูกคุณ” เสียงผมสั่นยามเอ่ยประโยคนี้ออกมาท่ามกลางความเงียบของราตรี “ทำไมคุณถึงทำเหมือนผมไม่ใช่ลูกคุณ”

ไม่ใช่แค่เรื่องที่คุณยะจูบผม มันทุกเรื่องตั้งแต่ที่ผมจำความได้ ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นพ่อ พ่อที่มีความหมายว่าผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่พ่อที่เป็นเพียงคำเรียกขาน ไร้ความหมาย ไม่มีความผูกพันใดเลย

...หรือว่าผมไม่ใช่ลูกเขา

ความคิดนี้วิ่งเข้ามากระแทกความรู้สึกของผมอย่างจัง คล้ายปลายกระบอกปืนที่จ่อกลางหน้าผาก รอเวลาลูกกระสุนทะลุผ่านไป

“ผมไม่ใช่ลูกคุณ...ใช่ไหม” เสียงผมพร่าสั่น กลัวคำตอบ ไม่อยากฟังความจริง ผมอาจไม่ใช่ลูกของเขาจริงๆ ก็ได้

ผมเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงอย่างนั้นเหรอ ?

มันจริงเหรอ ?

ทุกคนในบ้านรักผม ตามใจผมทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ผมอยากได้แล้วไม่ได้ คุณปู่คุณย่า รวมทั้งอานุอาภา ไม่มีใครเคยตีผมแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีใครดุผมด้วย ทุกคนรักผมมาก รักมากขนาดนั้นผมจะไม่ใช่คนในสายเลือดของพวกเขาได้ยังไง

ไม่มีทาง!

“อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้นพี” เขาถามกลับเสียงนิ่ง ไม่บอกความรู้สึกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน น้ำเสียงราบเรียบเหมือนที่เคยใช้พูดกับผมยามปกติ

“สิ่งที่คุณทำทั้งหมดไง” เพราะสิ่งที่เขาทำกับผมมาตลอด ปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ให้ผมเรียกเขาว่าพ่อ ไม่มีอ้อมกอดอบอุ่น รวมถึงเรื่องจูบเมื่อครู่ด้วย ที่ต้องเลวขั้นสุดแล้วถึงทำกับลูกชายตัวเองได้

“อยากคิดแบบนั้นก็ตามใจ ฉันห้ามความคิดเธอไม่ได้ ถ้าคิดแล้วสบายใจก็แล้วแต่เธอละกัน” แทนที่จะตอบความจริงที่เขารู้อยู่เต็มอก ว่าผมใช่ลูกเขาหรือไม่ คนตรงหน้าผมกลับโยนความไม่ชัดเจนมาให้ผมหาคำตอบเอาเอง

ถึงคำตอบจะมีแค่สองตัวเลือก คือ ‘ใช่’ กับ ‘ไม่ใช่’ มันก็ยากที่จะปักความคิดลงไปได้ว่าคือคำตอบไหน ผมกลัวที่จะยอมรับว่าตัวเองไม่มีสายเลือดของ ‘ตรัยธาดา’ กลัวว่าจะไม่ใช่หลานแท้ๆ ของคุณปู่กับคุณย่า

“หรือว่าจะลองไปถามคุณปู่คุณย่าของเธอล่ะ เผื่อจะได้รู้ความจริง” คำท้าทายนั้นทำเอาผมกัดปากตัวเองจนเจ็บ

ไม่!

ไม่มีวันเด็ดขาด!

ผมไม่มีวันเดินไปถามคุณปู่คุณย่าเด็ดขาด  ผมขออยู่กับความไม่ชัดเจนนี้ดีกว่าต้องพบกับความจริงที่น่ากลัว และผมจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ผมต้องไม่คิด ผมต้องหยุดคิดมันให้ได้!

ท่องเอาไว้พีรัช... เราเป็นหลานของคุณปู่คุณย่า สายเลือดของเราเป็นของตรัยธาดา มันคือความจริงที่สุด จนกว่าว่าจะมีความจริงอื่นมาทำลายความจริงนี้ลงไป

ถ้าหลอกตัวเองแล้วมันดี ผมก็อยากจะหลอกตัวเองตลอดไป 

“ขึ้นได้แล้ว” คำสั่งของคุณยะทำให้รู้ตัวว่าผมยังอยู่แช่อยู่ในสระว่ายน้ำ เริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เนื้อตัวก็สั่นตามไปด้วย

ครั้งนี้ผมไม่ดื้อเหมือนที่ผ่านมา เชื่อฟังคำของคุณยะอย่างว่าง่ายผิดจากทุกครั้ง อันที่จริงเพราะผมหนาวหรอกถึงยอมทำตามง่ายๆ พอขึ้นจากสระมาได้ก็รู้สึกอายสายตาคนมอง เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่กางเกงว่ายน้ำแนบเนื้อเพียงตัวเดียว ถ้าก่อนหน้านี้ในหัวของผมไม่มีคำถามว่าผมเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงหรือเปล่า ผมก็คงไม่รู้สึกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

บอกแล้วไงว่าห้ามคิดเรื่องนี้อีก!

ผมตะโกนบอกตัวเองในใจ ต้องมั่นใจเข้าไว้ว่าตัวเองเป็นหลานคุณปู่กับคุณย่า ส่วนจะลูกของใครก็ช่างมัน ชีวิตของผมไม่จำเป็นต้องมีพ่อก็ได้ เพราะตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้จะมีพ่อหรือไม่มีพ่อก็ไม่ต่างกันเลย ยิ่งเรื่องว่าใครเป็นแม่ของผมก็ด้วย ไม่จำเป็นต้องรู้ ไม่จำเป็นต้นดิ้นรนค้นหา ผมมีคุณปู่คุณย่าที่รักผม มีอานุอาภาที่เอ็นดูผมยิ่งกว่าใคร... ก็พอแล้ว

นอกนั้นผมจะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว แม้แต่คนที่หันหลังเดินกลับเข้าไปยังเรือนนอนของตัวเองก็ด้วย ผมจะไม่สนใจเขา จะทำเหมือนว่าไม่มีคุณยะอยู่บนโลกของผม อย่างไรเสียเขาก็ไม่เห็นผมเป็นลูกอยู่แล้วนี่ ต่อให้เขาจะเป็นพ่อแท้ๆ ที่ทำเรื่องเลวๆ กับผม หรือว่าไม่ใช่พ่อที่ให้เลือดเนื้อผมมา ผมก็จะไม่สนใจ ต่างคนต่างอยู่ ผมจะอยู่กับความจริงที่ผมต้องการให้เป็น เว้นเสียแต่ว่าความจริงที่ผมกลัวจะโผล่ออกมาในวันใดวันหนึ่ง

แต่ผมก็ขออย่าให้มีวันนั้นและความจริงที่ทำให้โลกทั้งโลกของพังทลายลงมา จนไม่เหลือที่แม้แต่จะให้ผมยืน

แต่ความจริงก็คือความจริง ต่อให้ปิดหูปิดตา หลอกตัวเองยังไง สุดท้ายความจริงก็ต้องโผล่ออกมา ไม่ต่างจากจุดดำบนกระดาษขาว แสร้งมองไม่เห็นอย่างไรก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ว่าไม่มี เพราะความจริงไม่เคยตาย เหมือนที่พระอาทิตย์ไม่เคยลาจากโลกไปจริงๆ มันแค่อยู่ตรงนั้น รอเวลาให้โลกหมุนไปหามันอีกครั้งในเช้าวันใหม่


 



***จบตอนที่ 6***

คนเขียนเผลออุทานว่า...เห้อ! สระว่ายน้ำอีกแล้วเหรอเนี่ย!
เอาละ ตอนนี้สต๊อกไม่ทันแล้ว
เพราะต้องไปตจว. ด้วย
เอาเป็นว่าเจอกันอีกที วันศุกร์ที่ 5 เดือนหน้าเลยนะคะ
(ช่วยรอยะพีด้วยนะคะ อย่าทิ้งกันๆ)


สีเหลืองอ่อน
(ที่อยากเปลี่ยนนามปากกาเป็น – สีน้ำเงินเข้ม 555+)
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 6 (26-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-09-2018 22:12:52
คือนี่ไม่ชอบใจคุณยะมากๆ
ทำอะไรไม่นึกถึงใจเด็ก จะใช่ลูกตัวหรือไม่ใช่ เด็กก็คือเด็กอ่ะ
สงสารน้องพี ถ้าพีรู้แต่แรกว่าไม่ใช่พ่อ พีก็จะไม่ทำตัวแบบนั้น
แต่นี่ดันบอกว่าเป็นพ่อ แล้วไงอ่ะ เด็กอยากได้ความรักจากพ่อนี่ผิดยังไง
แต่ที่ร้ายที่สุดคือจูบน้อง เฮนโล่วววววว พีกี่ขวบ คุณยะกี่ขวบ คุกๆๆๆๆ เลยนะ
อินมากกกก
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 6 (26-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 27-09-2018 15:33:09
ลุ้นต่อไป
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 6 (26-09-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 30-09-2018 08:18:06
อยากอ่านต่อมากมาย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 7 (02-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 02-10-2018 17:50:43
ตอนที่ 7

สุดท้ายความจริงก็ตามผมทัน มันมาพร้อมความเจ็บปวดสาหัสแบบที่แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้วก็ตาม ความรู้สึกของผมก็ยังย่อยยับ แตกสลายไม่ต่างจากแก้วที่ถูกค้อนทุบจนแหลกละเอียดกลายเป็นผุยผง

วันที่ความจริงตามผมทัน เป็นวันที่อายุของผมเพิ่งจะเข้าเลขสิบสี่มาได้แค่สองเดือนเองมั้ง วันนั้นเป็นเวลาเที่ยงของวันอาทิตย์ที่อากาศไม่ร้อนเลย เพราะท้องฟ้าด้านบนเต็มไปด้วยหมู่เมฆสีเทาเข้ม ผมนั่งแอบอยู่ด้านหลังของตัวอาคารไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมที่ยกตัวสูงกว่าพื้นดินไปไม่เท่าไร เรือนหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากเรือนของคุณปู่คุณย่า มันเป็นห้องสมุดประจำบ้านที่ชั้นหนังสือมีทั้งหนังสือเก่าและใหม่ เพราะคุณปู่คุณย่าและอาภาชอบหนังสือ ยิ่งหนังสือเก่านั่นน่ะตกทอดมาหลายรุ่นเลยทีเดียว ตอนนี้ผมก็เริ่มจะชอบหนังสือมากกว่าการ์ตูนบ้างแล้ว แต่วันนี้ผมไม่ได้รู้สึกอยากอ่านหนังสือหรอก ที่มานั่งแอบอยู่ตรงนี้เพราะผมต้องการหลบหน้าลูกชายคนโตของคุณปู่คุณย่าต่างหาก

หลังจากเหตุการณ์ที่สระว่ายน้ำในคืนนั้น คุณยะก็ไม่เคยกลับมาที่บ้านเรือนไทยของตัวเองอีกเลย เขาไปนอนที่โรงแรมตลอด จนคุณปู่คุณย่าบ่นว่าเขาปล่อยปละละเลยลูก อันที่จริงผมว่าเขาก็สนใจนะ เพราะเสาร์อาทิตย์ก็มารับทานตะวันกับถิรไปข้างนอกตลอด ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าไปไหนกันบ้าง บางครั้งผมก็เห็นทั้งสองแฝดเก็บกระเป๋าไปนอนกับพ่อของตัวเองที่โรงแรมแบบหลายคืนติดต่อกัน แบบนี้แล้วจะว่าปล่อยปละละเลยไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่า... ไม่สนใจลูกคนโตมากกว่า

ซึ่งก็ดีแล้ว ผมก็ไม่อยากอยู่กับเขาเหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่ก็คงจะดีกับความรู้สึกของผมมากกว่า และยอมรับว่าผมเองก็เป็นฝ่ายหลบหน้าเขาด้วย ดังนั้นวันนี้ตอนที่ผมกำลังจะไปกินมื้อเที่ยงกับคุณปู่คุณย่า แล้วเจอเข้ากับคุณยะที่ขับรถเข้ามาจอด ผมถึงได้รีบหันหลังกลับทันที ยอมอดมื้อเที่ยงเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเขา

“น้องพีคะ อยู่ในนี้หรือเปล่าคะ คุณย่าให้มาตามไปกินมื้อเที่ยงค่ะ” เสียงพี่วิภา (คนที่คอยดูแลผม) ตะโกนเรียกผมจากด้านในอาคารสี่เหลี่ยมชั้นเดียว ตามด้วยคำบ่นเบาๆ เมื่อไม่เจอผมอยู่ในห้อง “ไปซนอยู่ที่ไหนนะน้องพี เมื่อกี้ก็ยังเห็นเดินเข้ามาในนี้อยู่เลย ประตูหน้าต่างก็ยังเปิดอยู่นี่นา” แล้วเสียงนั้นก็เงียบหายไป คงเดินไปตามหาผมที่อื่นแล้วมั้ง

ผมนั่งพิงแผ่นหลังไว้กับเสาเรือน ปล่อยสายตาไปกับพวกต้นไม้น้อยใหญ่ที่รายล้อม อาณาเขตภายในรั้วสูงใหญ่นี้มีพื้นที่กว่าเก้าไร่ มองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ ความร่มรื่นจากกิ่งก้านใบและสายลมที่หอบเอากลิ่นฝนมานั้นก็ชวนให้หนังตาผมเริ่มหนัก จนทุกอย่างในสมองว่างเปล่าเพราะถูกกลืนกินด้วยความง่วงเหงาหาวนอน จนกระทั่งบทสนทนาระหว่างคนสองคนในห้องหนังสือดังเข้ามาปลุกสติของผมให้กลับคืน

เจ้าของเสียงทั้งสองคือคุณย่ากับคุณยะ ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คนทั้งสองคุยอะไรกันไปบ้าง แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของผม ก็เรื่องที่คุณยะไม่สนใจผมนั่นแหละ

“คุณแม่ก็พูดเหมือนว่าหลานชายคนโปรดอยากจะไปไหนมาไหนกับผมนักนี่ครับ ไม่รู้หรือครับว่าเขาหลบหน้าผม”

“ก็เราทำไมไม่ลองชวนลูกหลายๆ ครั้งล่ะ ไม่ใช่ชวนคำเดียวแล้วเขาไม่ไป เราก็ไม่ชวนซ้ำ” คุณย่าพูดเหมือนอ่อนใจกับความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่ไม่เหมือนพ่อลูกคู่อื่น “หลานแม่น้อยใจจนไม่รู้จะน้อยใจยังไงแล้วนะตายะ เราไม่สนใจลูกเลย ทำเหมือนหลานแม่ไม่ใช่ลูก”

“ต้องให้ผมพูดความจริงไหมครับคุณแม่”

“ตายะ! เราก็นะ จะมาพูดถึงเรื่องเก่าทำไม ยังไงพีก็หลานแม่ ลูกเรา”

...หัวใจผมเต้นแรง เมื่อความจริงบางอย่างที่ผมต้องการหลบหนีกำลังวิ่งเข้ามาชนผมด้วยแรงอัดที่ไม่ปรานีความรู้สึกของผมเลย

“แม่ขอร้องเถอะตายะ อย่าทำเหมือนหลานแม่ไม่ใช่ลูกของเรา... ทั้งที่เราอยากให้เขาเกิดมาแทบตาย”

ความเงียบเชียบเข้ามากลืนกินบรรยากาศรอบตัวผม ก่อนพายุลูกใหญ่จะตามมา

“เด็กนั่นไม่ใช่ลูกผม”

“ตายะ! แม่บอกแล้วไงว่าอย่าพูด เดี๋ยวหลานก็มาได้ยินหรอก”

...ผมได้ยินชัดแล้ว ความจริงที่พยายามหลบหนี แต่ก็หนีไม่พ้น

“มันคือความจริงครับคุณแม่ วันหนึ่งหลานคุณแม่ก็ต้องรู้ว่าเขาไม่ใช่ลูกผม ผมไม่ใช่พ่อของเขา”

“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะตายะ ถ้าเป็นไปได้แม่ก็ไม่อยากให้หลานรู้ ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน แม่อยากให้ตาพีรู้แค่ว่าเขาเป็นลูกของเรา เป็นหลานของปู่กับย่า”

“แต่ผมอยากให้เขารู้... ว่าเขาไม่ใช่ลูกผม”

“เพื่ออะไรตายะ เราอยากให้หลานแม่เสียใจจนเสียผู้เสียคนหรือไง”

“ผมมีเหตุผลของผม”

“เราจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม แต่แม่ขอสั่งให้เก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งบอกหลานแม่ รอให้ตาพีโตกว่านี้ก่อนแล้วค่อยหาโอกาสเหมาะๆ บอกเขา”

“ต้องอายุเท่าไรล่ะครับคุณแม่ที่เรียกว่าโต ตอนนี้เขาก็โตมากพอที่จะยอมรับความจริงว่าเขาไม่ใช่ลูกผม”

“พอๆ แม่ไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเราแล้ว เอาเป็นว่าแม่ขอสั่งไม่ให้บอกหลานแม่ แม่ขอแค่นี้ เราก็ช่วยทำให้แม่ด้วย”

“ถ้าเขาจะไม่ดื้อกับผมมากไปกว่านี้นะครับคุณแม่”

“แม่อยากตีเราจริงๆ เลย ทำไมเป็นคนแบบนี้หะ ตอนอยากให้หลานแม่เกิดมาก็เอาเหตุผลร้อยแปดพันอย่างมาพูด สัญญาหนักแน่นว่าจะรับผิดชอบชีวิตเขา จะเป็นพ่อ จะดูแลเหมือนเป็นลูกแท้ๆ แล้วตอนนี้กลับทำไม่ได้เลยสักอย่าง”

“ตอนนั้นผมยังเด็ก” 

“ทีนี้มาอ้างว่าเป็นเด็ก ทีตอนนั้นเถียงแม่ปาวๆ ว่าโตแล้ว แม่ไม่เลี้ยงให้ก็จะอุ้มไปเลี้ยงเอง ถ้ารู้ว่าเราทำไม่ได้อย่างที่ปากพูดสักอย่างละก็ แม่จะรับตาพีไว้เป็นลูกเสียเอง ไม่ให้เป็นลูกของเราหรอก”

...ยังไม่มีคำพูดโต้ตอบจากปากคุณยะ ทุกอย่างเงียบลง จนกระทั่งเหมือนมีเงาทาบทับลงมาบนตัวผม แต่ก็ไม่ใช่หรอกครับ มันก็แค่สายตาของลูกชายคุณย่าที่มองลงมาที่ผม เมื่อเขาเดินมายืนเท้ามือกับขอบหน้าต่างใกล้กับจุดที่ผมนั่งอยู่ ใบบนหน้าของเขาไร้ความตกใจที่เห็นผม ที่รู้ว่าผมได้ยินทุกคำพูดของเขา

ผมเงยหน้ามองคนที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าคือพ่อด้วยความฉ่ำร้อนของสายน้ำตา มันชุ่มไปทั่วใบหน้าของผมแล้วในเวลานี้ ทุกอย่างพร่ามัว ทว่าชัดเจนในความรู้สึก รวมถึงคำพูดไม่กี่คำที่กดให้ร่างกายของผมจมลงไปกับความจริงแสนโหดร้าย ความจริงที่ผมเตรียมใจไว้นานแล้วว่าต้องมีวันที่มันเผยตัวออกมา แต่เอาเข้าจริงผมก็เจ็บปวดกับความจริงนี้เกินบรรยาย

...รู้แล้วสินะ

เขาพูดกับผม เสียงเข้มนั้นราบเรียบและดังเบา พอแค่ให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลยเพราะเสียงสะอื้นไห้ในอกดังกลบทุกเสียง แม้จะมีบทสนทนาระหว่างคุณย่ากับเขา ผมก็ไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าคนทั้งสองออกไปตอนไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร จนกระทั่งฝนเม็ดแรกหล่นลงมากระทบตัวผมและอีกหลายเม็ดตามมาจนกลายเป็นม่านฝนสีขาว มองแทบไม่เห็นอะไรที่อยู่ตรงหน้า

ผมนั่งให้สายฝนกระหน่ำลงมาใส่อยู่นานเกือบชั่วโมง ก่อนเหยียดกายลุกขึ้นยืน น้ำในตาแห้งไปแล้วเพราะผมเอามันออกมาจนหมดแล้วมั้ง ผมค่อยๆ เดินฝ่าสายฝนกลับเรือน ระยะทางจากนี่จนถึงเรือนไทยหลังใหม่ที่มีผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไกลพอสมควร เรียกว่าอยู่ไกลว่าเรือนของอานุกับอาภา เนื่องจากสร้างเป็นหลังสุดท้ายจึงอยู่ลึกสุด สายฝนที่โอบล้อมตัวผมในขณะนี้ ทำให้ผมหนาวสั่นไปทั้งตัว แต่คงไม่เท่าความเหน็บหนาวในหัวใจที่พังลงจากความจริงที่ปรากฏตัวออกมา

‘เด็กนั่นไม่ใช่ลูกของผม’

คำพูดนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าเสียงคำรามบนท้องฟ้า และคงจะติดตัวผมไปตลอดชีวิต ความจริงที่ไม่มีอะไรมาลบล้างไปได้

เลือดที่อยู่ในร่างกายผมมาเป็นเวลาสิบสี่ปีเป็นของใคร ผมไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือการย้อนกลับไปก่อนความจริงจะเปิดเผย ถ้าทำได้... ผมจะไม่อยู่ตรงนั้น ไม่นั่งเงียบฟังบทสนทนาที่พาผมไปเจอความจริง

ร่างกายผมหนาวสั่น สองเท้าที่สั่นไม่แพ้กันพาผมขึ้นบันไดไปทีละขั้นอย่างช้าๆ ทุกอย่างรอบตัวผมรวมทั้งตัวผมด้วยที่มันเชื่องช้าไปหมด ผมไม่รู้ว่าใครก็ตามที่เพิ่งมารู้ความจริงแบบผมจะรู้สึกอย่างไร โลกพังทลาย ไม่เหลือแม้แต่ซากปรักหักพังหรือเปล่า เพราะผมรู้สึกแบบนั้นอยู่ในตอนนี้

พอเดินผ่านซุ้มประตูเรือนเข้ามา ผมก็เดินไปตามชานแล่น จุดหมายไม่ได้อยู่ที่เรือนนอนฝั่งทิศใต้แต่เป็นสระว่ายน้ำกลางชานเรือน ฝนยังคงกระหน่ำไม่หยุด ม่านขาวเย็นจัดจนกรีดผิวเนื้อแยกผมออกจากทุกสิ่งรอบตัว ผมทิ้งลมหายใจออกจากปอด จากนั้นก็กลั้นหายใจทิ้งตัวลงไปสู่มวลน้ำในสระ ให้ร่างกายจมดิ่งลงไปให้ลึกที่สุดจนถึงพื้นกระเบื้องใต้นั้น

ผมไม่ได้ฆ่าตัวตาย แค่อยากจมลงไป หายไปจากความจริงสักนาทีสองนาที หรือมากกว่านั้น ทว่าเพียงแค่ผมถูกโอบล้อมด้วยมวลน้ำเย็นจัด ร่างกายยังไม่ถึงพื้นสระอย่างที่หวังเอาไว้ก็ถูกมือคู่หนึ่งฉุดดึงขึ้นไปเหนือผิวน้ำ ผมหอบเอาอากาศเข้าปอดตามสัญชาตญาณความอยู่รอด จากนั้นถึงได้เห็นใบหน้าโกรธจัดของคนที่ดึงผมขึ้นมา

ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็คนเดิมนั่นแหละ

“คิดว่าตายแล้วมันได้อะไรขึ้นมา” เขากดเสียงเรียบข่มความโกรธยามที่ถามออกมา มือหนาบีบแน่นที่ไหล่ทั้งสองข้างของผม “ทำอะไรให้นึกถึงคนที่รักเธอบ้าง”

...คนที่รักผม

แล้วภาพคุณปู่ คุณย่า อานุ อาภา ก็ฉายชัดเป็นภาพเคลื่อนไหวอยู่ในหัวของผม ถ้าผมตายไปจริงๆ ทุกคนจะเสียใจอย่างนั้นเหรอ ?

ผมไม่มีสายเลือดของเขาแม้แต่หยดเดียว พวกเขาจะเสียใจให้กับการจากไปของผมอย่างนั้นเหรอ?

...แต่ผมไม่ได้อยากตายซะหน่อย

เพราะผมอยากอยู่กับคนทุกคนในครอบครัวนี้ แม้แต่ทานตะวันกับถิร ผมก็ยังอยากอยู่กับพวกเขา ยังอยากเห็นเขาตัวโตกว่านี้ อยากเห็นลูกในท้องอาภาด้วย และกับคนตรงหน้าผมเอง ผมก็ยังอยากอยู่กับเขา แม้ผมจะต่อต้านเขาและไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาก็ตาม

“ผมไม่ได้อยากตาย” ...ผมแค่อยากให้ความจริงไม่ใช่ความจริง

“ไม่อยากตายก็ขึ้นจากสระ แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” เขาสั่ง ดึงเอาตัวผมขึ้นจากสระ ทว่าผมขืนตัวเอาไว้ ไม่ยอมเดินตามแรงลากของเขา

“คุณเกลียดผมเพราะผมไม่ใช่ลูกของคุณ”

“ใครบอกว่าฉันเกลียดเธอ” น้ำเสียงเขาไม่พอใจ คงเพราะถูกผมพูดจี้ใจดำ

หึ... ไม่ต้องมีใครบอกผมก็รู้ ความเกลียดของเขาแสดงออกมาผ่านสีหน้า แววตา คำพูด และการกระทำหมดแล้ว

“อยากให้ผมเกิดมาทำไม” เสียงผมมันสั่น นึกถึงคำพูดของคุณย่าที่บอกว่าเขาอยากให้ผมเกิดมา “ทำไมไม่ให้ผมตายๆ ไปซะ หรือไม่ก็ไม่ต้องเอาผมมาเลี้ยงให้ขวางหูขวางตาคุณอยู่แบบนี้”

“หยุดคิดเองเออเองได้แล้วพี แล้วก็ขึ้นจากน้ำซะที อยากป่วยตายหรือไง”

“เรื่องของผม!” ผมสะบัดตัวออกจากมือเขา หันหลังกะจะเดินลงไปในน้ำอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากประชดเขา เขาอยากให้ผมขึ้นจากสระ ผมก็จะลงไปกลางสระที่ลึกกว่านี้ อยากจะทิ้งตัวลงไปให้ถึงก้นสระและไม่ต้องขึ้นมาอีกเลย

แต่คุณยะก็ทำให้ผมก้าวขาไม่ออก ลมหายใจก็เหมือนจะขาดไปเลยด้วยซ้ำ นี่แหละคือสิ่งที่ผมกลัวหลังจากความจริงเผยตัวออกมา... ความจริงที่ทำให้ผมไม่มีที่ยืน!

“น่าจะรู้ตัวได้แล้วนะพีว่าสถานะของเธอในบ้านหลังนี้เป็นยังไง อย่าอวดเก่งถ้ายังต้องอาศัยครอบครัวฉันอยู่ ใช้เงินที่ครอบครัวฉันหามา”

“...” หัวใจของผมแทบไม่มีแรงเต้น ผมเถียงไม่ออกสักคำ สถานะของผมในบ้านหลังนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ผมแค่เด็กที่เขาปรานีให้เกิด เลี้ยงดูให้ความสะดวกสบายทุกอย่าง...เท่านั้นเอง สายเลือดก็ไม่มีส่วนไหนเป็นของตรัยธาดา ผมควรทำตัวเสียใหม่ใช่ไหม เลิกเอาแต่ใจ เชื่อฟังคำของทุกคน โดยเฉพาะคำสั่งจากปากของคนที่อนุญาตให้ผมมีลมหายใจมาจนถึงวันนี้

“เข้าไปอาบน้ำแล้วออกมากินข้าว”

ครั้งนี้ผมไม่ขัดคำสั่ง


.

.

.

ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 7 (02-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 02-10-2018 17:55:07

ผมก้าวขาขึ้นจากสระว่ายน้ำในสภาพที่ล่องลอยเต็มที เดินเหมือนคนไร้วิญญาณ ไม่รู้ว่าตัวเองผลักประตูห้องนอนเข้าไปเมื่อไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็คงเป็นตอนนั่งหน้าโต๊ะกินข้าว แล้วบนโต๊ะมีจานผัดกุ้งซอสหวาน เต้าหู้คลุกไข่ทอด ไข่ตุ๋นนมสด ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง และจานข้าวผัดปูในปริมาณที่ผมกินอิ่ม โดยไม่ต้องตักมาเพิ่ม ข้างๆ กันก็มีแก้วน้ำส้มและน้ำเปล่าตั้งวางอยู่ รวมถึงกระปุกยาด้วย

ผมตักเมนูที่ชอบกินคือกุ้งซอสหวานเข้าปาก คำแรกแทนที่จะอร่อยเช่นทุกครั้ง ผมกลับไม่รู้สึกถึงรสชาติใดเลย แต่ผมก็ตักทุกอย่างเข้าปากเพราะความหิวที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนเที่ยง อาหารพวกนี้คุณยะไม่ได้ทำให้ผมกินหรอก บ้านเรือนไทยหลังนี้ไม่ได้มีห้องครัวไว้สำหรับทำอาหารเป็นกิจจะลักษณะ มีแค่ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกสองสามชิ้นเท่านั้น ส่วนมากผมจะไปกินมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็นที่เรือนอาหารซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเรือนของคุณปู่คุณย่า

“พ่อแม่ของผมเป็นใคร” ข้าวหมดจานแล้วผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมาตั้งคำถามเอากับคนตัวโตที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“อยากไปตามหาหรือไง ?” แทนที่จะตอบเขากลับย้อนถาม เขาชอบเป็นแบบนี้ตลอด ไม่เคยตอบอะไรผมหรอก มีแต่ย้อนถามให้ผมจนมุม

“...” ผมไม่ตอบหรอกว่า ผมไม่ได้นึกอยากไปตามหาคนที่เป็นเจ้าของเลือดในกายผมที่แท้จริง ผมแค่อยากรู้ว่าพวกเขาเป็นใครเท่านั้นเอง ในเมื่อเขาทิ้งผมไปแล้วและดูเหมือนจะไม่เต็มใจให้ผมเกิดมาด้วยซ้ำ เป็นแบบนี้แล้วผมจะกลับไปหาคนที่ไม่ต้องการผมทำไม ไปให้พวกเขาฆ่าตายอีกรอบอย่างนั้นเหรอ ผมไม่โง่ขนาดนั้นหรอก

“คิดหรือไงว่าตามหาเจอแล้วพวกเขาจะอ้าแขนรับเธอเป็นลูก”

...ทำไมคำพูดจากปากเขามีแต่คำที่ทำร้ายจิตใจผม เขาไม่เห็นว่าผมเป็นลูก ผมก็เข้าใจแล้ว แต่ทำไมเขาถึงอยากเห็นผมเจ็บปวดเพราะเขานักนะ

“ไม่ลองก็ไม่รู้” ผมตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ให้กับคำพูดที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผม

“งั้นก็ลองหาดูสิว่าพ่อกับแม่ของเธอเป็นใคร”

“คุณก็บอกมาสิครับ”

“ฉันบอกให้เธอลองหาเอาเอง เพราะฉันจะไม่บอกอะไรเธอทั้งนั้น เก่งจริงก็ตามหาให้ได้ว่าใครที่ไม่อยากให้เธอเกิดมา”

ผมเพิ่งรู้สึกก็วันนี้เองว่าโชคดีมากแค่ไหนที่ไม่ต้องเป็นลูกชายของเขา ปากร้ายกาจ ไม่คิดหรือไงว่าจะทำร้ายจิตใจเด็กที่อายุยังไม่ถึงสิบห้าด้วยซ้ำ และไม่อยากคิดด้วยว่าเพราะนิสัยแบบนี้ไง แม่ของทานตะวันกับถิรถึงได้ทิ้งไป

“ผมจะไปถามคุณย่า” ท่านต้องรู้แน่ๆ ว่าผมเป็นลูกของใคร

“ฉันไม่เคยบอกใครว่าพ่อกับแม่ของเธอคือใคร คนที่รู้ก็มีแค่สองคน คือฉันกับ... แม่ของเธอ ตามหาแม่ให้เจอสิ” 

ผมควรเชื่อดีไหมว่าไม่มีใครที่รู้ว่าพ่อแม่ผมเป็นใคร หรือเขาแค่ขู่ผมเพราะไม่อยากให้ผมตามหาพ่อแม่ของตัวเองเจอ ถ้าผมไปถามคุณย่าล่ะ ท่านจะบอกผมได้ไหม แต่ถ้าไปถาม ท่านก็จะรู้ว่าผมรู้ความจริงแล้วน่ะสิ ซึ่งผมไม่อยากให้ท่านรู้เลย เพราะผมกลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป

หากคุณย่าหรือทุกคนในครอบครัวตรัยธาดารู้ว่าผมรู้ความจริงหมดแล้ว สายตาที่มองผมจะเปลี่ยนไปไหม ทุกคนจะเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาหรือเปล่า พวกเขาอาจจะไม่รักและตามใจผมเหมือนเดิม แล้วผมเองล่ะ จะเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเดิมได้ไหม ในเมื่อรู้แก่ใจแล้วว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับคนในตระกูลนี้เลย

และคุณยะก็ตอกย้ำความกลัวของผมลงมาอีก

“ในฐานะที่ฉันเป็นคนที่ช่วยให้เธอได้เกิดมา เป็นเจ้าของชื่อที่เธอใช้อยู่ทุกวัน ฉันก็ขอเตือนเธอไว้ละกันนะพี ว่าถ้าไม่อยากให้อะไรในบ้านหลังนี้เปลี่ยนไป เธอก็ควรเก็บความลับนี้เอาไว้ จนกว่าจะหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอเจอ จากนั้นเธอจะหอบเสื้อผ้าไปอยู่กับพวกเขาเลยก็ได้ ฉันไม่ห้าม ยินดียกเธอคืนให้พวกเขา”

“เมื่อไรที่ผมเจอพวกเขา ผมไปแน่!” ปากผมเก่งไปแบบนั้นเอง เอาเข้าจริงต่อให้หาพ่อกับแม่เจอ ผมก็คงไม่กลับเข้าไปในชีวิตพวกเขา คนสองคนที่ครั้งหนึ่งไม่เคยต้องการให้ผมเกิดมา ไม่ต้องการรับผิดชอบเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีความผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ... ก็แค่เกิดมาในเวลาที่พวกเขาไม่ต้องการ

“แล้วฉันจะรอดู” ริมฝีปากหนามีรอยยิ้มเยาะ “เก่งให้ได้เหมือนปากนะ...พีรัช”

คำท้าที่มาพร้อมรอยยิ้มเยาะ กดให้ผมเหลือตัวเล็กนิดเดียว เพราะผมไม่ได้เก่งเหมือนปากพูดหรอก มองไปทางไหนผมก็เห็นแต่ทางตัน เด็กอายุไม่ถึงสิบห้าสืบหาพ่อกับแม่เจอได้อย่างไร โดยที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในมือเลย

“ครับ” ผมตอบรับคำเยาะเย้ยของเขาแค่สั้นๆ หมดเวลาที่จะมานั่งทนเห็นผู้ใหญ่ใจร้ายอีกต่อไป ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมุนตัวเดินออกมาจากห้องอาหาร เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกมือใหญ่คว้าจับข้อมือเอาไว้

“กินยาก่อน” คุณยะดึงเอาตัวผมกลับไปที่โต๊ะ ผมไม่ขัดขืน เริ่มรู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนไปบ้างแล้ว ขืนไม่กินยา อีกไม่กี่ชั่วโมงร่างกายผมอาจจะร้อนยิ่งกว่ากองไฟก็เป็นไปได้

ผมรับยาจากมือใหญ่แล้วส่งเข้าปาก ตามด้วยน้ำที่เจ้าของมือข้างเดิมยื่นมาให้ เป็นครั้งแรกเลยที่คนคนนี้ใส่ใจผมขนาดนี้ รวมถึงหลังมือที่แตะบนหน้าผากผมด้วย

“ตัวเริ่มร้อนแล้วนะ”

...ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาดูห่วงใยในความเจ็บป่วยของผมไม่น้อยเลย

“กลับเข้าห้องแล้วนอนหลับเลยนะ ไม่ต้องเปิดทีวี หนังสือการ์ตูนก็ด้วยไม่ต้องอ่าน” จากมือที่แตะหน้าผากเพื่อเช็กอุณหภูมิในร่างกายของผมอยู่เมื่อครู่ ครั้งนี้มันเลื่อนขึ้นมาวางบนศีรษะผมแล้วลูบเบาๆ มันเป็นสัมผัสที่ผมไม่คุ้นเคยเลยสักนิด แต่ก็ปรารถนามาเนิ่นนานกับสัมผัสที่ห่วงใยใส่ใจเช่นนี้ “ไม่ต้องล็อกห้องนะ ดึกๆ ฉันจะเข้าไปดูอาการ”

“ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังผมหรอก อยากใจดีกับผมนักก็บอกมาสิว่าพ่อแม่ของผมชื่ออะไร พวกเขาอยู่ไหน” แต่ว่าผมก็ยังอยู่ในวัยต่อต้าน ถึงจะชอบสิ่งที่เขาทำ อยากให้เขาใส่ใจอ่อนโยนกับผมแบบนี้มานานแล้วก็ตาม ผมก็ยังเป็นเด็กปากเก่ง ชอบประชดประชัน และอยากเอาชนะ

“อยู่ไกลจนเธอเอื้อมไม่ถึง”

“พวกเขา...ไม่อยู่แล้วหรือครับ” ใจผมหายวาบ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แต่ผมกลับรู้สึกวูบโหวงเมื่อคิดว่าพวกเขาไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว มิน่าล่ะ คุณยะถึงได้ท้าให้ผมตามหาให้เจอ ที่แท้ก็ไม่มีวันที่ผมจะตามหาเขาสองคนเจอ... ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น เพราะคิดว่าทุกคำพูดของคนตัวโตคือความจริง

“...ก็แล้วแต่เธอจะคิด”

ตอบมาแค่นั้น ซึ่งตอบก็เหมือนไม่ได้ตอบ คุณยะก็หันหลังกลับไปเก็บจานอาหารบนโต๊ะที่ผมกินทิ้งไว้แล้วไม่เก็บ ความจริงผมควรจะช่วยเขา ไม่สิ ต้องเก็บและล้างเอง แต่ก็ช่างปะไร ใครใช้ให้หาข้าวมาให้ผมกินล่ะ แถมยังทำร้ายจิตใจผมตั้งเยอะ ไม่มีคำพูดไหนเลยที่ไม่กรีดหัวใจเด็กคนนี้ ผมจึงทำแค่มอง ก่อนหันหลังเดินกลับเรือนนอนของตัวเอง

เปิดประตูห้องเข้ามาได้ ผมก็ล็อกประตูเลย เรื่องอะไรผมจะต้องทำตามคำสั่ง ผมจะป่วยตายคืนนี้ก็ช่างปะไร ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกับสติที่เริ่มถูกดึงทึ้งจากอุณหภูมิของร่างกายที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทั้งที่อยากจะนอนคิดอะไรอีกเยอะแยะ โดยเฉพาะเรื่องที่ผมจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป เพราะข้างในตัวมันรู้สึกร้อนสลับหนาวจนสั่นสะท้าน พลิกตัวนอนท่าไหนก็เหมือนจะติดขัดและทรมานไปเสียหมด ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ นอนขดตัวเหมือนเด็กน้อยที่อยู่ในท้องแม่ สุดท้ายก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลย จนกระทั่งในความฝันที่เกิดขึ้น มีมือใครสักคนที่วางบนศีรษะแล้วลูบอย่างอ่อนโยน คำกระซิบเบาบางที่จับใจความไม่ได้เลย คล้ายเสียงบ่นงึมงำในลำคอเสียมากกว่า

สัมผัสอ่อนโยนไล่ลามมาจนถึงผิวแก้มก่อนผละออกไป ไม่นานนักผมก็รู้สึกว่ามีความเย็นชืดจากเนื้อผ้าลากไล้ไปทั่วใบหน้า ลำตัว แขน และขา สุดท้ายก็จบลงที่แก้ม ทว่าสัมผัสสุดท้ายนั้นอุ่นนุ่ม ไม่ใช่ความเย็นชืดอย่างก่อนหน้านี้

“...” น้ำเสียงทุ้มและนุ่มนวลกระซิบอะไรอีกไม่รู้ ผมได้ยินเพียงแค่เสียงแต่ไม่มีสติพอที่จะจับคำพูดเหล่านั้นได้ รู้เพียงแต่ว่า... อบอุ่นที่หัวใจอย่างประหลาด จนต้องไขว่คว้าหาบางสิ่งบางอย่างจนเจอ จับมันไว้และแนบใบหน้าลงไปแบบอ้อนๆ

“...” คล้ายเป็นเสียงหัวเราะจากลำคอ

ในสติอันเลือนรางจากความร้อนในร่างกาย ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยว่าเจ้าของอุ้งมืออุ่นที่ผมแนบใบหน้าไว้นั้นคือใคร ก็คนที่สั่งให้ผมอย่าล็อกประตูห้องนั่นแหละ แม้ผมจะขัดคำสั่งเขา แต่ระดับเขาแล้วจะไม่มีกุญแจสำรองเปิดเข้าห้องผมได้อย่างไร

“...คุณยะ”

ผมเอ่ยชื่อเขาออกมาเบาๆ ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาหรอก เพราะผมอ่อนล้าและเปลือกตาหนักมากเกินจะทำแบบนั้นได้ ลำพังแค่เสียงที่เปล่งออกมาก็ลำบากแล้ว

“หลับซะเด็กน้อย”

ครั้งนี้ผมได้ยินชัดเจนเพราะคำพูดนี้ดังอยู่ชิดใบหู แบบที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของคนตัวโต พร้อมกับสัมผัสนุ่มๆ บนหน้าผาก

“คุณยะ...” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเต็มใจเรียกคนตัวโตด้วยคำเรียกขานนี้ และคงเป็นครั้งแรกที่ผมเอ่ยขอในสิ่งที่ผมไม่เคยได้จากเขา “...กอดพีหน่อยนะครับ”

ไม่รู้หรอกว่าคนที่ถูกขอจะยอมหรือเปล่า แต่ผมก็ขยับร่างกายที่โดนไข้เล่นงานเข้าไปด้านใน เพื่อให้เกิดที่ว่างบนเตียงพอให้คนตัวใหญ่ทอดตัวลงมานอนกอดผมไว้ได้ ผมรอคอยอย่างมีความหวัง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า มันนานจนผมคิดว่าต้องเลิกหวัง เขาคงไม่อยากกอดผมหรอก เพราะผมไม่ใช่ลูกเขา ไม่ใช่คนที่เขาเอ็นดู ตรงกันข้ามผมอาจจะเป็นเด็กที่สร้างแต่ความรำคาญใจให้เขา เป็นเด็กดื้อที่น่าเบื่อหน่าย ขวางหูขวางตาเขาตั้งแต่ผมเกิดจนผมโต

ความน้อยใจเริ่มเล่นงานผม ขอบตาจากที่ร้อนจัดเพราะพิษไข้ มาตอนนี้กลับร้อนระอุเพราะความเสียใจ น้ำตาผมไหลอย่างสุดกลั้น ผมพลิกตัวหันกลับไปอีกด้าน เพื่อซ่อนน้ำตาของตัวเองเอาไว้ไม่ให้คนใจร้ายใจดำเห็น

ทุกอย่างเงียบเชียบ ยกเว้นเสียงสะอื้นของผม และเสียงถอนหายใจของคนด้านหลัง ไม่นานนักแรงยวบของเตียงด้านหลังผมก็เกิดขึ้น ก่อนท่อนแขนแข็งแกร่งจะสอดเข้ามาโอบกอดตัวผมไว้ วินาทีนั้นผมหันกลับเข้าไปหาคนร่วมเตียงทันที ซุกใบหน้าชุ่มน้ำตาไว้กับอกกว้าง อ้อมกอดของคุณยะเป็นแบบนี้เอง ไม่เหมือนของคุณปู่ คุณย่า อานุ อาภาเลย ไม่เหมือนเลยจริงๆ

“หลับได้แล้ว” คำพูดนุ่มนวลช่วยลดน้ำตาของผมลงได้

“ครับ” ผมพยักหน้า นิ่งรับสัมผัสของมืออุ่นที่ลูบแผ่นหลังผมอย่างอ่อนโยน  ราวกับว่าเขากำลังกล่อมผมให้หลับและพบกับฝันดีที่สุดในชีวิต

ผมชอบ... คุณยะที่เป็นแบบนี้

ผมขอบคุณอาการป่วย... ที่ทำให้คุณยะใจดีกับผม

ผมอยากป่วยไปตลอดชีวิต... ถ้าเป็นไปได้นะ



***จบตอนที่ 7***
บอกเลยว่าคุณยะชอบหลอกเด็กค่ะ
เหตุผลเพราะ.... เพราะ.... เพราะนั่นแหละ (ยิ้มร้ายของคนแก่)
เอาละ เจอกันอีกก็ยังบอกไม่ได้นะคะ ขออีกสักพัก เดี๋ยวกลับมาใหม่นะคะ
อย่าทิ้งกันๆ
สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 7 (02-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-10-2018 22:27:54
เคืองคุณยะมากกกกกกกกก
สงสารน้องพี !!!!!
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 7 (02-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 02-10-2018 23:06:56
พีน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 7 (02-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 03-10-2018 16:30:11
สงสารพีจัง แต่ยังไงก็ยังช็อกที่น้องพีตัวน้อยที่เคยอ่านจากเรื่องอื่น มาเป็นน้องพีในปัจจุบันค่ะ ฮือ....
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 7 (02-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 05-10-2018 01:29:08
เพิ่งเห็นคุณยะกับนัองพีมาวิ่งเล่นแถวนี้
ขอตามอ่านตั้งแต่แรกก่อนนะค๊าาาาาา
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 8 (09-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 09-10-2018 19:46:27
ตอนที่ 8


“คุณยะ...”
ในความฝัน ผมรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจไม่ต่างจากร่างกายที่ถูกท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดเอาไว้ ให้ผมได้ฝากฝังร่างกายไว้ในอ้อมกอดอบอุ่นของคุณยะ คล้ายมีผีเสื้อนับร้อยพันกางปีกบอบบางแสนสวยอยู่รอบตัว โอบล้อมผมไว้และราวกับว่าผมกำลังจะโบยบินไปกับพวกมันได้ในนาทีใดนาทีหนึ่ง และเมื่อลืมตาขึ้นมาในเวลาที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า มีแสงสีนวลของจันทร์ดวงโตสาดส่องเข้ามาแทนที่แสงของกลางวัน ท่อนแขนที่โอบกอดผมไว้ อกอุ่นที่ผมซุกกายเข้าหากลับไม่ใช่ของคนในฝัน

...ไม่ใช่ผู้ชายที่ผมฝันถึง

ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจะพบว่าเจ้าของอ้อมแขนนั้นตื่นอยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่าจิระต้องได้ยินชื่อของคนในฝันที่หลุดออกมา

“พีรัชใจร้ายอีกแล้ว แม้แต่ในฝันก็ยังมีแค่เขา” คำตัดพ้อดังเบา ปนมากับความผิดหวัง “ไม่เคยจะฝันถึงผมเลย”

หลายครั้งที่ผมฝันและเผลอเรียกชื่อเขาคนนั้นออกมา ผมรู้ว่ามันทำให้จิระผิดหวัง เพราะเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสว่างไสวที่จ้องตาผมมาอย่างตัดพ้อนั้นหวังให้ผมรักเขาจนหมดหัวใจ แม้แต่ในความฝันของผม เขาก็ไม่อยากให้มีใคร โดยเฉพาะคนในอดีตของผม

“เรื่องมาร์คัสว่าไง เขาเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม” ผมขยับออกจากอ้อมแขนของจิระ แล้วลุกขึ้นนั่ง พูดเปลี่ยนไปยังอีกเรื่องหนึ่งแทน

“พีรัชก็เป็นแบบนี้ตลอด เปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉย จะง้อผมหน่อยไม่ได้หรือไง ต้องให้งอนเองหายเอง” คำพูดตัดพ้อยังตามมาอีก

จิระลุกขึ้นนั่ง เขามองหน้าผม ผมเพียงแต่ยกยิ้มให้คนอายุน้อยกว่า

“ก็ตามนั้น” ผมก็เป็นผมแบบนี้แหละ มีทั้งใจดี ใจร้าย

“ง้อผมหน่อยซี่ ผมน้อยใจพีรัชอยู่นะ”


“ขี้เกียจง้อ” คนฟังทำหน้าหงิก ผมก็ไม่สนใจ เพราะรู้ว่าจิระรักผม ยังไงซะเขาก็ไม่โกรธคำพูดของผม ต่อให้ผมทำร้ายจิตใจของเขา เขาก็ยังอยู่ที่เดิม... เพื่อผม “ช่วยหายเองด้วยนะจิระคนเก่ง” ผมเอื้อมไปขยี้ผมสีดำสนิทแบบที่มักทำเป็นประจำ และนี่แหละคือวิธีง้อจิระแบบง่ายๆ ของผม ซึ่งก็ได้ผลเสมอ

“หายก็ได้” ใบหน้าหล่อเหลาที่มีจุดเด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าสว่างจ้าระบายด้วยรอยยิ้ม 

“ว่าแต่คนเก่งทำให้มาร์คัสเปลี่ยนใจได้แล้วใช่ไหม” ผมถามย้ำ ทั้งที่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจิระสามารถเปลี่ยนใจศิลปินระดับโลกอย่าง ‘มาร์คัส รอสส์’ ได้อย่างแน่นอน ไม่มีเรื่องไหนที่ผมขอให้จิระช่วยแล้วไม่สำเร็จ

“บอกตั้งแต่ตอนมาถึงแล้วนะครับ...คนอย่างจิระไม่เคยมาพร้อมกับข่าวร้าย”

“ทำยังไงเขาถึงเปลี่ยนใจ” ผมถาม อยากรู้ขึ้นมานิดๆ ว่าจิระทำอย่างไรถึงเปลี่ยนใจศิลปินระดับโลกคนนั้นได้

“ความลับ” จิระพูดด้วยรอยยิ้มแต้มแต่งบนใบหน้า แต่ดวงตาสีฟ้ากลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกบางอย่าง คล้ายกับว่าสิ่งที่อยู่หลังความลับนั้นไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร

“มีอะไรเกิดขึ้น” ถามด้วยความสงสัย อะไรบางอย่างที่ผมแกล้งลืมไปตอนที่บทรักของผมกับจิระกำลังเริ่มต้นขึ้น ร่างกายเปลือยเปล่าของหนุ่มลูกครึ่งระบายไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบจางๆ ที่ผมมั่นใจว่าก่อนหน้านี้หลายวันมันคงเป็นสีเข้มกว่านี้มาก ตอนแรกผมเข้าใจว่าจิระคงไปนอนกับผู้หญิงที่ร้อนแรงมากๆ ทว่าตอนนี้ผมกลับคิดและกังวลไปอีกทาง “...มาร์คัสทำอะไรนาย”

มีอย่างหนึ่งที่โด่งดังไม่แพ้ชื่อเสียง หน้าตา และความร่ำรวยของมาร์คัส รอสส์ คือ ‘ความเจ้าชู้’ และลึกลงไปกว่านั้นที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเจ้าชู้คือรสนิยมทางเพศที่ได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย น้อยคนนักจะรู้ ที่รู้ก็มีแค่คนใกล้ชิดและคนที่มาร์คัสเคยนอนด้วย

ส่วนผมที่รู้ก็รู้มาจากคนใกล้ชิดอีกทีหนึ่ง

“หิวแล้ว ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ” และเป็นจิระบ้างที่เปลี่ยนเรื่อง

พอได้ยินคำว่า ‘หิว’ ร่างกายผมก็รู้สึกตามไปด้วย ก็วันนี้ผมมีแค่มื้อเช้าที่ตกถึงท้อง ส่วนจิระไม่ต้องพูดถึงเลย เจ้าตัวไม่ได้กินข้าวเช้าเลยมั้ง ลงจากเครื่องปุ๊บก็ตรงมาหาผมปั๊บ แต่ช่างความหิวเถอะ เวลานี้ผมต้องการรู้สิ่งที่จิระต้องเจอจากมาร์คัส รอสส์มากกว่า

“บอกมาเจย์” ผมจ้องตาคาดคั้นเอาความจริง เอื้อมไปกุมมือของจิระ สัมผัสได้ถึงความสั่นของมือได้อย่างดี อาการนี้ทำให้ผมยิ่งเป็นกังวลและมั่นใจว่าสิ่งที่ผมคิดเกิดขึ้นจริงๆ “มาร์คัสข่มขืนนายใช่ไหม”

“ไม่ใช่” จิระปฏิเสธด้วยรอยยิ้มที่ไม่สดใสเท่าไรนัก “มันเป็นเงื่อนไข”

“ยังไง”

“แค่สามครั้งที่ผมต้องนอนกับเขา... นี่ก็เหลืออีกสองครั้ง”

“เจย์...” ผมพูดไม่ออกเลย ได้แต่มองหลังมือตัวเองที่ถูกริมฝีปากของหนุ่มลูกครึ่งก้มไปจุมพิตเบาๆ ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาฉับพลัน จิระไม่ได้ชอบนอนกับผู้ชาย เมื่อก่อนความเจ้าชู้ของชายหนุ่มมีไว้เพื่อพาผู้หญิงขึ้นเตียงเพียงอย่างเดียว การที่เขานอนกับผม มีอะไรกับผม นั่นเพราะเขารักผม... เพียงเท่านี้จริงๆ

และการที่จิระยอมนอนกับมาร์คัส รอสส์ ศิลปินชื่อดัง เจ้าของงานศิลปะภาพวาดสีน้ำมันที่ปลายพู่กันของเขาโด่งดังไปทั่วโลก หรืออดีตพี่ชายข้างบ้านที่จิระเหม็นขี้หน้าอย่างที่สุด นั่นก็เพราะเขาทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก... ก็คือผม

ผมคาดไม่ถึงว่าการเดินทางไปเจรจาให้จิตรกรชื่อดังเปลี่ยนสถานที่จัดแสดงนิทรรศการศิลปะ In My Eyes by Marcus จะต้องใช้สิ่งเลือกเปลี่ยนที่มีค่ามากขนาดนี้ ผมคิดแค่ว่าความสัมพันธ์ของสองครอบครัวที่เคยมีรั้วบ้านติดกัน ความเอ็นดูของคุณและคุณนายรอสส์ที่มีต่อจิระจะช่วยเปลี่ยนใจรอสส์คนลูกได้ หรือว่าผมคิดน้อยเกินไป

ยิ่งกว่านั้นคือผมไม่คิดเลยว่าจิระจะยอมรับเงื่อนไขที่โหดร้ายแบบนี้

“ผมทำทุกอย่างเพื่อพีรัชนะ” เสียงของจิระสั่น หน่วยตาเริ่มเคลือบคลอด้วยน้ำใสๆ ยามที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม “เพื่อให้พีรัชรักผม... สักนิดก็ยังดี”

‘สักนิดก็ยังดี’

...อย่างนั้นเหรอ ?

คำตอบที่ดังอยู่ข้างใน ให้ผมบอกออกไปก็จะโหดร้ายกับจิระเข้าไปอีก ซ้ำเติมว่าสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมด ที่ทำเพื่อผม ที่ยอมรับข้อเสนอของมาร์คัส รอสส์ ไม่ได้ทำให้หัวใจของผมเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่สักนิดเดียว

ความรู้สึกของผมยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนไป แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกและยึดติดกับความรู้สึกเดิม ยังอยากเรียกร้องความสนใจ อยากให้คนคนนั้นสนใจผม... สักนิดก็ยังดี

“อย่าทำหน้าแบบนี้” มือติดจะสั่นของจิระเอื้อมมาประคองใบหน้าผมเอาไว้ ริมฝีปากได้รูปสวยเลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนประทับรอยอุ่นบนหน้าผากผม แช่ค้างไว้อย่างนั้นนานหลายวินาที ก่อนจะละออกมา “ไม่ต้องรักผมก็ได้ แค่อยู่กับผม ...เลือกผม”

“...” แต่ผมเลือกไปแล้ว เลือกไปนานมากแล้ว

“สัญญาได้ไหม” จิระมองลึกเข้ามาในดวงตาผม คาดหวังให้ผมตอบแทนสิ่งที่เขาทุ่มเททำเพื่อผมมาตลอด โดยเฉพาะครั้งนี้ที่การลงทุนสูงค่าเหลือเกิน ไม่คุ้มเลยสักนิด “ถ้าทำทุกอย่างจนพอใจแล้ว กลับมาหาผม กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งนะ เราสองคนจะเป็นครอบครัวเดียวกันตลอดไป”

“...” เมื่อไรที่ผมจะพอใจ ผมยังไม่รู้เลย ที่ทำมาตลอดก็ไม่มีอะไรให้ผมพอใจได้เลยสักครั้ง พยายามแค่ไหนคนคนนั้นก็ยังไม่สนใจผม

“แค่พีรัชสัญญามา ผมก็พร้อมทำทุกอย่างให้พีรัช” จิระเอ่ยมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ไม่มีอะไรที่ผมทำเพื่อพีรัชไม่ได้ ต่อให้ยากกว่าเรื่องของมาร์คัส ผมก็ทำได้ เพื่อให้พีรัชเป็นของจิระคนเดียว มีแค่จิระคนเดียว”

“...” ยิ่งกว่าการรักผม คือการที่จิระลุ่มหลงผม และผมใช้ประโยชน์จากตรงนี้เรื่อยมา ผมหล่อเลี้ยงหัวใจจิระด้วยความหวังที่ไม่ต่างจากสายลมที่พัดเบา

“ได้ไหม สัญญากับผมนะ”

เพราะลูกตาสีน้ำทะเลเศร้าสร้อยแต่ก็ล้นความหวัง เพราะคำพูดที่เต็มไปด้วยคำร้องขอ น้ำเสียงที่ทอดเบาแต่เร่งเร้าให้ผมตัดสินใจ และเพราะทุกอย่างที่จิระทุ่มเททำเพื่อผม เพียงแค่ผมเอ่ยขอให้เขาทำ ไม่มีเรื่องใดที่เขาทำเพื่อผมไม่ได้ ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังในตัวเขาสักครั้ง ดังนั้นต่อให้ไม่อยากเอ่ยคำสัญญาให้เป็นภาระผูกมัดภายหลัง แต่ผมก็ต้องตอบแทนผู้ชายคนนี้กับสิ่งที่เขาทำเพื่อผมมาตลอด

ผมตัดสินใจหล่อเลี้ยงหัวใจของจิระด้วยความจริงที่ผมจะทำเพื่อเขาในสักวันหนึ่ง

“สัญญา...จะกลับไปอยู่กับจิระ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้า ยิ้มให้เขาสบายใจ ให้มั่นใจในคำพูดของผม “รออีกนิดนะ ไม่นานหรอก”

อาจจะแค่รอเวลาให้ผมเข้มแข็งกว่านี้ ให้ข้างในมันเข้มแข็งเหมือนท่าทีที่แสดงอยู่ภายนอก และให้ผมกล้าเผชิญหน้ากับสายตาผิดหวังของครอบครัวตรัยธาราเสียก่อน ผมจะกลับไปหาจิระ อยู่กับผู้ชายที่ทำเพื่อผมมาตลอด

“จิระรอพีรัชได้เสมอ”

เราสองคนยิ้มให้กัน ไม่รู้ว่ารอยยิ้มของผมเป็นแบบไหน จะเหมือนข้างในที่เทาทึบลงเรื่อยๆ หรือเปล่า แต่ที่ผมเห็นตรงหน้า รอยยิ้มของจิระทำให้ผมไม่อยากทำร้ายหัวใจของเขาไปมากกว่านี้


.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 8 (09-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 09-10-2018 19:59:23
.

.

.

...หอม

สัมผัสแรกที่จมูกรับรู้ได้ทันทีที่ก้าวลงมาตามบันไดคือกลิ่นหอมของไข่เจียวจากครัวแบบเปิด สถานที่ที่ผมไม่เคยได้ใช้ทำอาหารกินเองเลยสักมื้อ จะมีแค่คนสองคนเท่านั้นที่หยิบจับอุปกรณ์ในครัวและเนรมิตเมนูหลากหลายให้ผมได้ลิ้มรสชาติ

คนแรกคืออาฟ้า บุคคลที่ชอบแอบหนีคนรักเพื่อมายืนทำกับข้าวให้ผมกินเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย มากสุดก็ไม่เกินสี่ครั้งต่อเดือน อาฟ้าทำกับข้าวไม่ค่อยเป็นหรอก แต่ที่สามารถทำให้ผมกินได้ แถมรสชาติยังอร่อยเหาะก็เพราะวัตถุดิบและเครื่องปรุงต่างๆ ที่มีพี่สาวของอาฟ้าเตรียมไว้ให้แล้ว อาฟ้าแค่เททุกอย่างลงในหม้อหรือไม่ก็กระทะ แล้วลงมือผัดๆ คนๆ จนทุกอย่างสุกแล้วก็ตักใส่จาน ตั้งวางบนโต๊ะให้มื้อนั้นผมได้อิ่มจนพุงกาง ผมยังแปลกใจจนมาถึงวันนี้ว่าคนที่ทำเค้กออกมาได้น่ากิน แถมรสชาติก็ระดับสิบดาวแบบอาฟ้า ทำไมถึงทำอาหารไม่เป็น (ทำไม่เป็นนี่ ผมหมายถึงทำให้อร่อย โดยที่ไม่ต้องให้ใครเตรียมวัตถุดิบกับเครื่องปรุงให้นะครับ)

ส่วนคนที่สอง ก็คนที่กำลังยกจานไข่เจียวมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร บนโต๊ะนั้นก็มีอาหารอีกหลายจานตั้งวางอยู่ก่อนแล้ว พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าแต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้น มีเมนูที่ผมชอบมากๆ ด้วย ก็เต้าหู้คลุกไข่ทอด ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง หมูทอดน้ำปลา ไข่ตุ๋นนมสด ต้มจืดปลาหมึกยัดไส้ ไข่พะโล้ (มีหมูสามชั้นด้วย) คะน้าน้ำมันหอย และจานสุดท้ายก็ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกลบอาหารจานอื่นๆ ...ไข่เจียวสีเหลืองทอง ไร้ร่องรอยสีน้ำตาลไหม้ ลองให้อาฟ้าทำเมนูนี้สิครับ เชื่อเถอะว่าหาสีเหลืองของไข่เจียวแทบไม่เจอ อาฟ้าเคยทำให้ผมกินแค่ครั้งเดียวจากนั้นก็ไม่ทำอีกเลย

ปาลินเป็นคุณหมอฟันที่ควรเปิดร้านอาหารมากกว่าคลินิกเสียอีก หรือว่าผมควรจะเปิดร้านอาหารให้ปาลินแทนคลินิกดีล่ะ แต่ว่ากับข้าวแปดอย่างสำหรับคนแค่สามคนจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง มากๆ เสียด้วยซ้ำมั้ง แล้วนี่ปาลินต้องใช้เวลาทำทั้งแปดอย่างนี้ไปกี่ชั่วโมงกันล่ะเนี่ย

“เยอะไปไหมปี จะกินกันหมดไหม” ผมเงยหน้าจากอาหารบนโต๊ะขึ้นไปมองหน้าและตั้งคำถามเอากับคนทำ

“หมดสิครับ...พี่พี” ไม่ใช่เสียงของคนที่เดินกลับไปยกโถข้าวมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร และไม่ใช่เสียงของหนุ่มลูกครึ่งที่ก้าวตามหลังผมมา กลับเป็นอีกคนที่เอ่ยตอบคำถามของผมมาจากนอกระเบียงห้อง

ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่ไม่คุ้นหู แล้วพบว่าใบหน้านั้นแสนคุ้นเคย คนที่ชอบเมนูไข่พะโล้กับต้มจืดปลาหมึกยัดไส้ที่สุด มิน่าล่ะถึงได้มีทั้งสองเมนูอยู่บนโต๊ะ

“ซัน” ...มาได้ไง ?

ทานตะวันก้าวเข้ามาในห้อง มาพร้อมยิ้มสดใสที่ไม่ต่างจากวัยเด็ก ที่ตามหลังมาและกำลังปิดประตูระเบียงก็คือชายหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายกันมาก เพราะด้วยความเป็นแฝดที่เกิดตามกันมาติดๆ ห่างกันแค่ห้าหกนาที แต่เรื่องของรูปร่างดูต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องอาศัยเพ่งไฝเม็ดเล็กบนแก้มซ้ายของเด็กแฝดเลยด้วยซ้ำ ผมก็แยกออกว่าคนไหนคือทานตะวัน คนไหนคือถิร

ทานตะวันมีรูปร่างสูงโปร่งและติดจะผอมในแบบของคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย กินเท่าไรก็ไม่อ้วน ส่วนถิร มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกชอบออกกำลังกาย เล่นกีฬาทุกชนิด ตัวสูงใหญ่และหนามาก พอยืนอยู่ข้างพี่ชายฝาแฝดก็ข่มให้อีกฝ่ายกลายเป็นคนตัวเล็กไปในทันที

“ซันคิดถึงพี่พี” ความคิดถึงของทานตะวันมาพร้อมกับท่อนแขนที่โอบรัดตัวผมเอาไว้แบบแน่นมาก “คิดถึงมากๆ ทำไมไม่มาหาพวกเราเลย กลับมาตั้งสองปีแล้วนะ”

ไม่ถึงสองปีหรอกที่ผมกลับมาอยู่ไทย แต่เดือนหน้าก็ครบสองปีแล้ว มันเป็นสองปีที่ผมไม่ได้กลับไปหาใครในครอบครัวตรัยธาดาเลย ยกเว้นอาฟ้าคนเดียว

“คิดถึงเหมือนกัน” ผมตอบรับมาจากความรู้สึกแท้จริง ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความเป็นลูกครึ่งและมีพ่อเป็นผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่อยู่แล้ว ทำให้ทานตะวันในวัยสิบแปดปีตัวสูงเท่าผมเลย ต่างกันเล็กน้อยกับแฝดน้องที่น่าจะสูงกว่าคนพี่ไปเล็กน้อย น่าจะสักเซ็นต์สองเซ็นต์ 

“เจอแล้วก็กลับได้หรือยัง” คนเป็นน้องเอ่ยเสียงห้วน เด็กผู้ชายที่ชอบทำตัวแก่จัดมาแต่ไหนแต่ไรมองหน้าผมนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลแดงเหมือนมีเมฆหมอกสีทึบเข้ามาปกคลุม เดินตรงมาดึงเอาตัวทานตะวันออกจากผม

“จะกลับได้ไงเล่า ยังไม่ได้กินข้าวกับพี่พีเลยนะ” คนอายุมากกว่าห้าหกนาทีแหวกลับทันที “ตัวเองก็อยากนั่งกินข้าวกับพี่พีเหมือนกันแหละ อย่ามาทำเก๊กหน้าทำท่าเฉยชาหน่อยเลย”

“อย่ามามั่วซัน ใครกันแน่ที่ลากแซนมาด้วย แซนไม่ได้อยากมาสักหน่อย” คนน้องเถียงกลับ ตวัดสายตามองผมนิดหนึ่งก่อนดึงกลับไปไว้ที่ใบหน้าของแฝดตน เอ่ยซ้ำ “กลับบ้าน”

“ก็กลับไปสิ แต่เค้าไม่กลับด้วยหรอก จะนั่งกินข้าวกับพี่พี คืนนี้ก็จะนอนกับพี่พีด้วย” ว่าแล้วก็สะบัดตัวออกจากมือคนเป็นน้อง แล้วเข้ามาเกาะแขนผมเอาไว้ “แต่ถ้าตัวเองกลับก็อดกินซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งกับไข่ตุ๋นนมสดที่เค้าทุ่มสุดตัวทำสุดฝีมือเลยนะ” แล้วก็ตบท้ายด้วยคำขู่กลายๆ ที่ทำให้ถิรพ่นลมหายใจออกมา หลังจากที่เหลือบมองไปยังอาหารบนโต๊ะแวบหนึ่ง

“อิ่มแล้วต้องกลับ” พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ส่วนคนพี่กลับส่ายหน้าพรืด เกาะแขนผมแน่นขึ้น ยังกับกลัวว่าจะถูกน้องชายกระชากเอาตัวออกไปอย่างนั้นแหละ

“บอกว่าจะนอนกับพี่พี”

“อย่าให้พูดเยอะซัน”

“ก็หุบปากไปสิ พูดทำไมล่ะ ยังไงเค้าก็ไม่กลับ เค้าจะนอนกับพี่พีให้หายคิดถึง”

“ได้ อยากให้พ่อรู้ใช่ไหม จะโทรบอกตอนนี้เลย” ไม่พูดเปล่า แฝดน้องล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ทำท่าจะโทรออกอย่างที่พูด คนเป็นพี่เลยรีบโดดเข้าไปแย่งเอามาได้ ทำท่าจะเขวี้ยงทิ้งอีกแน่ะ  ผมเลยรีบคว้ามือทานตะวันไว้ก่อนเจ้าเครื่องบางจะบินไปกระแทกผนังห้องจนแตกกระจาย

เห็นมาตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็ก ถึงไม่ได้ดูแลใกล้ชิดก็เถอะ แต่ก็พอรู้ว่านิสัยของทานตะวันที่เห็นยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาเพราะน่าฟัง (เฉพาะเวลาอารมณ์ดี) เอาเข้าจริงเวลาโมโหหรือไม่พอใจก็ร้ายไม่เบา อารมณ์ร้อนได้พ่อมาเต็มๆ ส่วนถิรอารมณ์ร้อนเหมือนกันแต่มีส่วนผสมความใจเย็นของอานุมาด้วย เรียกว่าอารมณ์ร้อนแต่ไม่เท่ากับอารมณ์ร้อนและร้ายของทานตะวันตอนโกรธจัด จำได้ว่าตอนทานตะวันเจ็ดขวบเคยเอาก้อนหินปาหัวถิรจนตกเย็บไปหลายเข็ม เพราะน้องชายฝาแฝดทำอะไรขัดใจสักอย่างนี่แหละ ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร

“มาหาพี่ไม่ได้บอกพ่อหรือไง” ผมถาม ดึงเอาโทรศัพท์ออกจากมือแฝดพี่แล้วส่งคืนให้แฝดน้องไป  จากคำพูดของถิรก็พอจะเดาได้ว่าพ่อของเด็กแฝดไม่อยากให้ทั้งคู่มาหาผม

“ซันไม่ได้ตั้งใจจะมา เลยไม่ได้บอกพ่อยะ” ทานตะวันรีบบอก “คือตอนที่พี่ปีโทรหาพรีม ซันก็อยู่ตรงนั้นด้วยก็เลยขอตามพรีมมา”

พรีม หรือนภัส... ว่าที่คุณหมอฟันคือน้องสาวสุดที่รักของปาลิน รักมากถึงขนาดยอมยกสมบัติที่ควรเป็นของตัวเองให้กับพ่อแม่ของนภัสไป เรื่องครอบครัวของปาลินยาวมาก ไว้ว่างๆ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง ที่เล่าได้สั้นที่สุดตอนนี้คือ นภัสคือแฟนสาวของทานตะวัน

“พี่พีไม่อยากให้ซันมาเหรอ” เจ้าตัวถามเสียงเศร้า มองผมตาละห้อย

“ยังต้องถามอีกหรือไงซัน เก้าปีมาแล้วนะ ฉลาดได้แล้วมั้ง” คนตอบกลับเป็นแฝดน้องที่มองผมตาขวาง ก่อนเดินไปช่วยปาลินตักข้าวใส่จาน “มากินข้าว กินเสร็จจะได้กลับซะที”

“ไม่กลับ!” อารมณ์ร้อนของทานตะวันเริ่มมาแล้ว ตางี้ขุ่นคลั่ก เจ้าตัวเดินไปกระชากไหล่น้องชายฝาแฝดจนฝ่ายนั้นแทบหงายหลัง “ตัวเองนั่นแหละกินแล้วก็กลับไปเลย ไม่ต้องมานอนกับพี่พีของเขา อยากฟ้องพ่อยะก็ฟ้องเลย เค้าไม่กลัวหรอก”

“แซนฟ้องแน่”

“ไอ้บ้าแซน!” คราวนี้ไม่ใช่เสียงที่ตวาดออกมาอย่างเดียว แต่กำปั้นของทานตะวันระรัวใส่ตัวแฝดน้องไม่ยั้ง

“ซัน อย่าทำน้อง” ผมต้องรีบเข้าไปรวบตัวเอาไว้ ดึงออกมาให้ไกลพอที่เจ้าตัวจะไม่ปากำปั้นใส่ถิรได้อีก 

“ก็แซนด่าซันว่าโง่” เจ้าตัวหน้าบึ้ง มือยังกำหมัดแน่น

“ไม่ได้พูดว่าโง่สักคำ บอกแค่ว่าไม่ฉลาด”

“ไม่ฉลาดก็คือโง่นั่นแหละ” เถียงอย่างไม่ยอม “ตัวเองเป็นน้องมาด่าเค้าได้ไง เค้าเป็นพี่นะ”   

“โง่จริงไหมล่ะ คนเขาไม่อยากเจอ ก็ยังเสนอหน้ามาหา” นี่พูดกระทบผมใช่ไหม

“ใครใช้ให้ตามมาล่ะ”

“ก็ใครบังคับแซนให้มาด้วยล่ะ ไม่ได้อยากมาด้วยสักหน่อย”

“ปฏิเสธก็ได้นี่”

“หึ... ยังกับซันจะยอม” คนเป็นน้องว่า “ลองให้แซนปฏิเสธสิ ซันก็จะใช้กำลังกับแซนเหมือนเมื่อกี้นั่นแหละ”

“ก็ตัวเองพูดให้เค้าหัวร้อนเองนี่ จงรับกรรมไปซะ”

“ต่อให้แซนหุบปากเงียบ ซันก็หัวร้อนได้ตลอดแหละ เอะอะก็ชอบใช้แต่กำลัง อ้างแต่ความเป็นพี่ เหอะ...เกิดก่อนแซนไม่กี่นาทีเอง”

“นี่อยากโดนอีกใช่ไหม” พูดจบก็ทำท่าจะพุ่งไปซัดกำปั้นใส่ถิรซ้ำ ดีที่ผมรวบตัวไว้ทัน

“พอแล้วซัน” ผมปราม พลางลากตัวคนอารมณ์ร้อนไปนั่งเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง “กินข้าว อิ่มแล้วก็กลับ” ผมบอกเพื่อจบปัญหา ไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อของสองแฝดด้วย

ไม่รู้ว่าถิรจะเอาเรื่องที่มาหาผมไปบอกพ่อตัวเองหรือเปล่า ถ้าบอกจริงๆ ผมว่าทานตะวันหรือไม่ก็ทั้งสองคนนั่นแหละจะถูกลงโทษที่มาหาผม คุณยะคงไม่อยากให้เด็กสองคนมายุ่งเกี่ยวกับคนแบบผมเท่าไรหรอก เพราะฐานะของผมตอนนี้ก็ไม่ต่างจากศัตรูของเขา แถมลอบกัดเขาในเรื่องธุรกิจไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เรื่องล่าสุดก็เรื่องนิทรรศการของมาร์คัส รอสส์ ไม่รู้ว่าตอนนี้รู้เรื่องแล้วหรือยัง

“พี่พี...” ทานตะวันมองหน้าผม น้ำตาคลอเบ้า เปลี่ยนอารมณ์เร็วมากทั้งที่เมื่อกี้ดวงตาสีน้ำตาลแดงยังขุ่นคลั่กอยู่เลย “...ไม่อยากเจอผมจริงๆ หรือครับ” แล้วน้ำตาก็หยดแหมะบนแก้ม

บางครั้งมองทานตะวันก็เหมือนมองเห็นตัวเอง... อารมณ์ร้อน ขี้น้อยใจ และเจ้าน้ำตา

“หึ...” เสียงของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ดังเบาแต่ก็ทำให้เจ้าของน้ำตาตวัดสายตามองอย่างโกรธๆ “แซนบอกแล้ว คราวนี้เชื่อหรือยัง”

“ไม่ต้องมาซ้ำเติมเค้า!”

“รีบกินสิ เจ้าของบ้านไล่แล้วนะ” ถิรบอกทานตะวันแต่สายตามองมาที่ผม ลูกตาสีน้ำตาลแดงไม่แสดงความรู้สึกออกมาเท่าไร หากก็พอรู้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจผม อาจถึงขั้นเกลียดขี้หน้าแล้วก็ได้

ถ้าทานตะวันนิสัยเหมือนผม ถิรก็ถอดมาจากคุณยะนั่นแหละ เพียงแต่ว่าได้นิสัยใจเย็นกับใจดีของอานุมาด้วย ส่วนผสมของนิสัยที่ต่างกันแต่ก็อยู่ร่วมกันได้ในตัวเด็กผู้ชายคนนี้

“พี่พี...” ทานตะวันเรียกผมอีกครั้ง “ให้ซันนอนด้วยนะครับ ซันคิดถึง สัญญาว่าซันจะไม่ดื้อ ไม่กวนพี่พีด้วย ขอนอนกอดเฉยๆ” เสียงเจ้าตัวสั่น ผมต้องลูบศีรษะปลอบ แต่ก็ยังยืนยันคำพูดเดิมของตัวเอง

“กินอิ่มแล้วกลับบ้านนะ พี่ไม่อนุญาตให้นอนที่นี่ บ้านมีก็ต้องกลับ”

“ฮึก...พี่พีใจร้าย...” คำตัดพ้อมาพร้อมสายน้ำตาไหลยาว

ใช่ ผมเป็นคนใจร้าย ทุกความใจร้ายของผมก็เพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง ผมไม่อยากผูกพันกับตรัยธาดาอีกแล้ว เพราะวันหนึ่งที่ผมต้องรักษาสัญญาที่ให้จิระเอาไว้ ผมจะได้ไม่เจ็บปวดกับการไปจากครอบครัวตรัยธาดาเป็นครั้งที่สอง

“พี่ปีครับ...ฮึก...” พอใช้น้ำตากับผมไม่สำเร็จ ทานตะวันก็หันไปหาคนที่นั่งข้างๆ ถิรแทน “ฮึก...ช่วยพูดกับพี่พีหน่อยสิครับ ซันอยากนอนกับพี่พี”

ปาลินที่เงียบฟังเหตุการณ์ระหว่างผมกับสองแฝดมาตลอด ถึงคราวได้เอ่ยปากพูดบ้าง

“นอนกับพี่ก็ได้” แต่เป็นความช่วยเหลือที่เจ้าของน้ำตาไม่อยากได้

“ไม่เอา” เจ้าตัวส่ายหน้าอย่างเอาแต่ใจ “ฮึก...ซันจะนอนกับพี่พี...พี่พีให้ซันนอนด้วยนะ...นะครับ” มือขาวยกขึ้นมาจับแขนผม เขย่าเบาๆ เป็นเชิงขอให้ผมเปลี่ยนใจ

“ร้องไห้ไปก็เท่านั้น” เป็นคำพูดของแฝดน้องอีกตามเคย เหมือนเคยที่แฝดพี่จะหันไปมองตาขวาง สาดคำพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นคลั่กแทบจะทันที

“หุบปากไปเลย!”

แฝดน้องยักไหล่ไม่สน มือก็หยิบช้อนกลางจะตักซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งใส่จานข้าวของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ตัก จานซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งก็ถูกคนเป็นพี่ยกหนี

“ไม่ให้กิน!”

ทานตะวันลุกขึ้นยืน เดินออกจากโต๊ะกินข้าว สาวเท้าไปในครัว ก่อนที่จะ...เทอาหารในจานลงถังขยะ

“ซัน!” เสียงของถิรแทบจะฟังเป็นเสียงคำราม ทั้งที่ผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมยังรู้สึกถึงความร้อนระอุของอารมณ์ที่แผ่ออกมาจากตัวเด็กหนุ่มลูกครึ่ง

เหมือนมีภาพของคุณยะซ้อนทับอยู่บนตัวของถิร ผมถึงกับต้องกะพริบตาไล่ภาพซ้อนทับนั้นออกไปจากการมองเห็น

“งี่เง่าเกินไปแล้วนะซัน” ฟังก็รู้ว่าถิรกำลังข่มอารมณ์ตัวเองอยู่ คงจะดึงเอาความใจเย็นในแบบของอานุมาข่มอารมณ์ร้อนร้ายแบบของพ่อตัวเองอย่างที่สุด

“ก็จะทำไม” น้ำตาบนใบหน้าเนียนใสไม่มีแล้ว ที่เหลือก็มีแต่สีหน้าไม่แยแสต่อการกระทำของตัวเอง “งี่เง่าแล้วไปหนักส่วนไหนของแซนหะ แล้วจานนี้เค้าก็เป็นคนทำ เค้าจ่ายเงินซื้อหมูเองด้วย จะทิ้งหรือจะไม่ให้ใครกินก็ได้”

ผมสบตาปี เจ้าตัวกำลังส่งสัญญาณให้ผมจัดการกับสองแฝด โดยเฉพาะแฝดพี่คนเจ้าอารมณ์ ผมส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธ ผมอยากปราม อยากห้ามนะ แต่ไม่เอาดีกว่า ขออยู่ห่างๆ ไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งให้เกิดความผูกพันขึ้นมาอีก
“งั้นก็กลับ” ถิรลุกขึ้นช้าๆ สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของแฝดพี่เลย ที่เปลี่ยนไปนิดหนึ่งคือสีหน้าที่คุกรุ่นกว่าเดิม

“ไม่กลับ!”

“ไม่กลับจะฟ้องพ่อ”

“ไม่กลัว เชิญฟ้องเลย” แฝดพี่ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านคำขู่ของแฝดน้อง

“ฟ้องคุณย่า”

ลมหายใจของผมสะดุดแทบจะทันทีกับคำพูดที่เอ่ยถึงผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต อยากเจอแต่ไม่กล้าไปเจอ รู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าว ต้องกลั้นใจข่มความรู้สึกขมปร่าลงไปในอก

“เชิญฟ้องตามสบาย... ไม่กลัวหรอก จะฟ้องอานุด้วยก็ได้นะ” ทานตะวันวางจานในมือลงก่อนกอดอก ทำหน้าเชิดอย่างท้าทาย ก่อนจะตาโตกับคำขู่ที่ตามมา

“แล้วถ้าแซนฟ้องอาภาล่ะ ซันจะกลัวไหม” 

คำขู่นี้ทำเอาทานตะวันอ้าปากค้างไปหลายวินาทีกว่าจะขยับเปล่งเสียงแหลมปรี๊ดออกมาด้วยความโกรธจัด โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เพราะคนที่กำราบเด็กเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจได้มีเพียงคนเดียวคืออาภา ผู้หญิงที่เป็นเหมือนแม่ของแฝดทั้งสองคน ทานตะวันจะกลัวอาภาดุมากที่สุด ตอนเป็นเด็กที่ผมจำได้คือแค่อาภามองอย่างมีคำถาม แฝดคนพี่ก็หน้าซีดปากสั่นแล้ว

“ไอ้บ้าแซน! ไอ้น้องขี้ฟ้อง!” ทานตะวันกระทืบเท้าดังปักๆ ออกมาจากครัว ตรงมาหาแฝดน้องพร้อมกำปั้นที่เตรียมจะทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายให้หายแค้น ว่าจะไม่ยุ่งแล้วผมก็ต้องเปลี่ยนใจ รีบลุกขึ้นไปดึงตัวคนตัวบางแต่ชอบใช้กำลังออกมาได้ทันตอนที่ทุบถิรไปแล้วสองสามหมัด

“ใจเย็นก่อนซัน ตีแรงแบบนี้น้องเจ็บนะ” ที่ผมพูดอาจไม่จริงเท่าไรหรอก เพราะดูอาการของถิรแล้วไม่เห็นจะแสดงสีหน้าออกมาว่าเจ็บปวดกับกำปั้นที่ทุบๆ ลงมาบนตัวสักเท่าไร หน้าตายังนิ่งเหมือนเดิม

“หนังหนาขนาดนี้ไม่เจ็บหรอกครับพี่พี มือซันต่างหากที่เจ็บ ทุบแต่ละทีเหมือนเอามือไปชกต้นไม้” ถึงจะอารมณ์ร้อนแค่ไหนแต่ตอนพูดกับผม น้ำเสียงของทานตะวันก็กลับมาน่ารักน่าฟังขึ้น พอหันกลับไปพูดกับถิร เสียงก็ยังขุ่นด้วยอารมณ์ไม่พอใจเหมือนเดิม “อยากฟ้องก็ฟ้องเลย อยากให้เค้าโดนดุ โดนกักบริเวณก็เอาเลย แต่จำไว้นะว่าเค้าจะไม่ทำกับข้าวให้ตัวเองกินอีกตลอดชีวิต จะไม่คุยด้วยสิบปีเลย” เจ้าตัวทั้งท้าทายและข่มขู่ เหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะ

ก็จะไม่ให้ทานตะวันมีรอยยิ้มของผู้ชนะบนใบหน้าขาวใสได้ยังไงล่ะ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วถิรก็ไม่เคยเอาชนะพี่ชายฝาแฝดได้ เพราะเจ้าตัวติดพี่ชายมากจึงยอมให้ตลอด ตอนที่ผมยังอยู่กับครอบครัวตรัยธาดา มีหลายครั้งที่แฝดพี่โกรธแฝดน้องแล้วไม่ยอมพูดด้วย ทำเอาคนเป็นน้องถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว

ถิรพ่นลมหายใจออกมาอย่างไร้ทางสู้กับคำขู่ของพี่ชายฝาแฝด มองดูแล้วก็ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็ก ผมเห็นว่าเหตุการณ์สงบแล้วจึงจูงมือทานตะวันกลับไปนั่ง ไม่ลืมตำหนิการกระทำก่อนหน้านี้ของเจ้าตัว

...การกระทำที่ครั้งหนึ่งผมก็เคยทำเหมือนกัน

“ซันไม่ควรเอาอาหารไปทิ้ง ถึงจะไม่เสียดายแต่ก็ควรรู้ว่ามันมีค่า ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาไปทิ้งเพื่อประชดใครได้ ถ้าซันไม่อยากให้แซนกินก็แค่ยกจานหนีให้ไกลมือน้องก็พอ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย” ผมสอนเท่าที่พอจะทำได้ ตำหนิให้เจ้าตัวได้สำนึก “แค่กินทิ้งกินขว้างก็แย่พอแล้ว นี่เอาไปเททิ้งหมดจาน พี่จะไม่พูดว่าให้นึกถึงคนจนที่อดอยากไม่มีจะกินหรอกนะ เอาแค่ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ คนที่ยังไม่ได้กินจะรู้สึกยังไง”

...ยอมรับว่าผมเสียดายมาก ก็ของโปรดของผมเลยนะ

“ซันขอโทษครับ” เอ่ยเสียงหงอยที่โดนผมตำหนิขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวเดิม “ซันโมโหไปหน่อย”

“ไม่หน่อยละมั้ง”

ทานตะวันมองไปยังต้นเสียงแทบจะทันที ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉายแววสงสัยว่าคนพูดเป็นใคร ราวกับว่าเจ้าตัวเพิ่งเห็นว่ามีบุคคลซึ่งไม่รู้จักนั่งร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำด้วย แล้วหันกลับมาถามผม

“ใครครับพี่พี” กระซิบเบาๆ แต่ผมว่าได้ยินกันทั้งโต๊ะ ดังนั้นเจ้าของประเด็นเลยตอบคำถามของทานตะวันเสียเอง

“แนะนำตัวละกันนะครับน้องซัน...น้องแซน” หนุ่มลูกครึ่งผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าเอ่ยออกมาด้วยยิ้ม มองตอบแฝดพี่ ก่อนพาสายตาไปหยุดที่แฝดน้อง “พี่ชื่อเจย์... เป็นคนรักของพี่ชายของน้องๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

อืม... ตอบแบบเกินจำเป็นอีกด้วย

“ไม่ใช่แค่ ‘คู่นอน’ หรือครับ?” น้ำเสียงเรียบเรื่อยของถิรเอ่ยถามออกมา ดวงตาจ้องเขม็งไปยังคนที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะ ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของจิระค่อยๆ จางลง “ผมไม่เห็นพี่พีจะจริงจังกับใครสักคน เห็นก็มีแต่คู่นอนที่ซื้อเอาไว้แก้เหงา พอเบื่อก็ทิ้ง”

อดแปลกใจไม่ได้ว่าถิรรู้เรื่องพวกนี้ของผมได้อย่างไร หรือว่าผมไม่ควรแปลกใจดีล่ะ ในเมื่อรสนิยมและความชอบของผมถูกซุบซิบในวงสังคมพอสมควร บางครั้งก็ยังมีข่าวซุบซิบบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่าผมคบหากับดาราชายวัยรุ่น เป็นข่าวอยู่สองสามคนมั้งครับ ซึ่งเขียนได้มั่วมาก เพราะผมแทบไม่รู้จักพวกที่ตกเป็นข่าวกับผมเลยด้วยซ้ำ ที่มีรูปถ่ายด้วยกันก็แค่ความบังเอิญที่คนเหล่านั้นเดินเข้ามาทอดสะพานให้ผม เพียงแต่ผมไม่เล่นด้วยเพราะผมไม่ชอบ... เพราะผมมีปมกับคนประเภทนี้

“มันก็จริงอย่างที่น้องแซนพูด ที่ผ่านมา ‘พีของพี่’ ก็มีแค่คู่นอนที่ซื้อเอาไว้แก้เหงาตอนที่พี่ไม่อยู่ แต่ตอนนี้พี่ก็มาแล้ว...คู่นอนก็ไม่จำเป็น” จิระเปิดรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ต่างจากอีกคนที่ลูกตาสีน้ำตาลแดงเหมือนมีพายุลูกย่อมๆ ก่อตัวขึ้นในนั้น “อ้อ... พี่หมายถึงคนเก่าๆ ของพีด้วยนะ ทิ้งไปแล้วก็คงไม่กลับไปหาให้เสียเวลา... ยิ่งคนแก่ๆ หรือจะสู้คนหนุ่มแน่นได้ จริงไหมครับพีรัช” ประโยคสุดท้ายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าหันมาถามผม สายตานั้นกดดันปนกับร้องขอให้ผมช่วยยืนยันทุกคำพูดของเขา และมันไม่ยากเลยที่ผมจะทำให้จิระพอใจ

“พี่กับเจย์ เราคบกันมานานแล้ว” ...หวังว่าคำพูดนี้จะลอยไปถึงหูใครบางคนได้ง่ายขึ้น “เจย์คือคนสำคัญของพี่”

“แต่พ่อยะบอกว่า...” ทานตะวันพูดแทรกขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงปนสงสัย เจ้าตัวยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค คนเป็นน้องก็เอ่ยขัดจังหวะเสียก่อน

“กลับกันเถอะซัน” ถิรลุกขึ้นยืน ท่าทางไม่สบอารมณ์กับคำตอบของผมที่ช่วยยืนยันคำพูดของจิระว่าเป็นความจริงทุกอย่าง

“อืม” คนเป็นพี่ครางรับในลำคอเบาๆ ว่าง่ายกว่าตอนแรกมาก “ผมกลับก่อนนะครับพี่พี พี่ปี” ทานตะวันยกมือขึ้นไหว้ผมกับปาลิน

“กลับดีๆ ล่ะ” ผมบอกและพูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักเท่าไรออกมาช้าๆ คำพูดที่ผ่านความคิดมาอย่างดีแล้ว “ต่อไปก็ไม่ต้องมาหาพี่อีกนะ... เราสองคนไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพี่” ผมเลือกที่จะตัดขาดแล้ว ไม่อยากกลับไปผูกพันอีก

“พี่พี...” ทานตะวันทำหน้าจะร้องไห้ เจ้าตัวกัดริมฝีปากคล้ายกำลังกลั้นสะอื้นไม่ให้หลุดออกมา ก่อนหันไปซบไหล่น้องชายฝาแฝด อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมากอดและลูบหลังปลอบทันที ถิรมองหน้าผมด้วยสายตาที่กดดัน ราวกับจะบีบบังคับให้ผมเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่

แม้แต่จิระที่ดูจะไม่ชอบหน้าถิรเท่าไร ยังมองหน้าผมด้วยสายตาตำหนิอย่างเปิดเผย แต่ผมไม่สนใจและตัดปัญหาด้วยการลุกออกจากโต๊ะอาหาร เดินกลับขึ้นไปยังชั้นสอง เข้าไปในห้อง ปิดทุกการรับรู้

ผมทิ้งทานตะวันกับถิรก็เพื่อปกป้องความรู้สึกตัวเอง การเจอกันของผมกับทั้งสองแฝดย่อมทำให้ผมจมลึกลงไปในอดีตอีกครั้ง


ผมยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งติดป้ายเอาไว้ว่า

...อารยะ ไตรธาดา
ประธานกรรมการบริหาร...


มือทั้งสองข้างจูงมือเล็กๆ ของเด็กชายฝาแฝด ข้างซ้ายคือทานตะวัน ข้างขวาคือถิร นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มายืนอยู่หน้าประตูบานนี้ ด้านหลังบานไม้หนาเข้มกรุกระจกสีขุ่นไว้ครึ่งบนคือห้องทำงานของผู้เป็นพ่อของเด็กชายฝาแฝด
...คนที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าคือพ่อของตัวเอง จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อนที่ความจริงเปิดเผย ผมถึงรู้ว่าผมกับเขาไม่มีความผูกพันทางสายเลือด
ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนก้าวเท้าตามเลขาของคุณยะเข้าไปด้านใน สองแฝดปล่อยมือจากผมแทบจะทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ทั้งสองวิ่งไปเกาะโต๊ะทำงานตัวใหญ่อย่างคุ้นเคยสถานที่ ขณะที่ผมยืนทำตัวไม่ถูกไปหลายนาที จนกระทั่งนัยน์ตาสีราตรีทอดมองมาที่ผม
ความประหม่าทำให้ผมสั่นไปทั้งความรู้สึก ตั้งแต่คืนนั้นที่ถูกเขากอด เติมความอบอุ่นลงมาในหัวใจดวงน้อยนิดของผม ผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลยจนถึงตอนนี้ ผมยังรู้สึกว่าฝันไปด้วยซ้ำที่มายืนอยู่ตรงนี้ ในห้องนี้ และสบตากับเขา
นาทีนั้น... ผมรู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป
หรือบางที... อาจตั้งแต่คืนนั้นที่ผมเปลี่ยนไป
ผมมองเขาได้ไม่เต็มตา หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความรู้สึกผิดบางอย่างแผ่ซ่านจนน่าละอายใจ



จบตอนที่ 8

เรื่องอาจดูเรื่อยๆ นะคะ ไม่หวือหวา และการเล่าเรื่องก็ดูยืดยื้อ ฮื่อ อยากบอกว่าที่ต้องเล่าตัวละครทุกตัว ให้ดาหน้าออกมากันรัวๆ เพราะพวกเขามีตัวตนอยู่ก่อนแล้ว จะทิ้งขวางก็ไม่ได้ จะไม่เอ่ยถึงก็ไม่ได้ เลยต้องให้มีบทบาทกันสักเล็กน้อยนะคะ

ปล.ขอหายไปอีกสักพัก ขอไปปั่นสะสมตอนก่อนนะคะ (ช่วงนี้ปั่นไม่ทันเลยค่ะ มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ตามเยอะ เอาจริงๆ คือกำลังตกลงหลุมเลือดข้นคนจาง ปีนขึ้นมายังไม่ได้เลย T^T ติดมากก ตามทวิตทั้งวัน 555+)

สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 8 (09-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 09-10-2018 20:05:17
สงสารอ่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 8 (09-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-10-2018 00:00:59
สงสารทุกคนนนนน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 8 (09-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-10-2018 03:21:18
เรืีองนี้มีแต่คนน่าสงสาร  T_T
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (ยะพี) -- ตอนที่ 8 (09-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-10-2018 09:54:52
เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 9 (13-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 13-10-2018 18:51:35
ตอนที่ 9


การได้มานั่งในห้องทำงานเจ้าของโรงแรมพุฒิธาดาเป็นครั้งแรก ทำให้ผมรู้ว่างานของเจ้าของโรงแรมไม่มีวันหยุด ไม่มีหยุดพัก แม้แต่จะลุกเจ้าเก้าอี้ก็แทบเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ผมเห็นคุณยะอ่านเอกสารฉบับแล้วฉบับเล่า มือจับปากกาขีดเขียนบนกระดาษพวกนั้น กาแฟหอมกรุ่นที่พี่เลขาคนสวยชงมาวางไว้ให้บนโต๊ะ ผมเห็นคุณยะมีเวลายกขึ้นจิบแค่ครั้งเดียวแล้วก็ตั้งทิ้งไว้อย่างนั้นจนเลขาเข้ามาเก็บออกไป ใบหน้าคมเข้มที่เคร่งขรึมจนถึงเคร่งเครียด โดยเฉพาะตอนที่นั่งฟังรายงานจากหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ที่พากันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มงานหลายสิบแฟ้มที่ต้องมีคนช่วยลูกน้องคอยช่วยขนเข้ามา

สิ่งที่เด็กอายุยังไม่ถึงสิบห้าอย่างผมพอจับใจความได้จากการนั่งฟังมาร่วมสามชั่วโมงคือ เจ้าของโรงแรมพุฒิธาดาคนใหม่กำลังเจอปัญหาทุจริตภายในองค์กร ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นรวบรวมหลักฐานและตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนอีกหนึ่งปัญหาใหญ่คือคุณยะยังไม่ได้รับการยอมจากผู้ถือหุ้นมากนัก (ส่วนมากก็เป็นญาติฝั่งคุณทวดผู้หญิง คุณทวดผู้หญิงเสียชีวิตก่อนผมเกิดอีกครับ) ทั้งที่ตำแหน่งของคุณยะคือเจ้าของโรงแรมคนปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งที่ใหญ่ที่สุดซึ่งก็เป็นตำแหน่งเดียวกับคุณทวดพุฒิ แต่เนื่องจากอายุยังน้อยและไม่มีประสบการณ์บริหารโรงแรมมาก่อน การจะทำให้คนเก่าคนแก่ยอมรับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ผมเลยสรุปในใจได้ว่าตอนนี้คุณยะกำลังเจอปัญหาใหญ่และบททดสอบที่หนักหน่วง ซึ่งคุณยะก็กำลังพิสูจน์ความสามารถของตัวเองในฐานะเจ้าของโรงแรมด้วยงานที่ตั้งกองเท่าภูเขาบนโต๊ะ รวมถึงโครงการก่อสร้างโรงแรมพุฒิธาดาสาขาที่พัทยาเมืองแห่งการท่องเที่ยว โครงการที่คุณทวดพุฒิวางไว้ว่าจะทำแต่ท่านมาเสียไปก่อนจะได้ลงมือทำ คณะกรรมการบริหารของโรงแรมจึงใช้โครงการนี้มาทดสอบความสามารถของคุณยะว่าเหมาะสมกับตำแหน่งสูงสุดที่เคยเป็นของทวดพุฒิหรือไม่

“พี่พี ซันหิว” เจ้าตัวเล็กที่วางศีรษะพาดบนตักผมปรือตาขึ้นมาหลังจากหลับไปเกือบสองชั่วโมง ตื่นขึ้นมาก็หิวทันที ทั้งที่ก่อนจะสิ้นฤทธิ์ก็กินทั้งน้ำทั้งขนมจนพุงกลมเป็นลูกบอลแล้ว

อ้อ...มีอีกเรื่องที่ผมรู้คือทุกวันหยุดที่ทานตะวันกับถิรหายไปกับคุณยะ เด็กแฝดไม่ได้ไปเที่ยวสนุกที่ไหนหรอกครับ ทั้งสองก็นั่งอยู่ในห้องทำงานกับคุณยะแบบนี้นี่แหละ ถ้าเบื่อหน่อยก็ออกไปวิ่งเล่นแถวๆ สวนย่อมของโรงแรม 

ผมมองพุงกลมของทานตะวันแล้วแอบคิดว่าเจ้าตัวเล็กจะเอาอะไรยัดลงไปได้อีก แต่ก็นั่นแหละครับตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ผมเองเริ่มรู้สึกหิวบ้างเหมือนกัน ตอนที่กินขนมกับน้ำหวานที่ผู้ช่วยเลขาของคุณยะยกมาให้ (คุณยะมีทั้งเลขาและผู้ช่วยเลขารวมกันสามคนครับ) ก็กินไปนิดเดียวเอง เพราะตอนนั้นผมรู้สึกประหม่าที่อยู่ในสถานที่ไม่คุ้น ประหม่าสายตาคุณยะด้วย

“ยังไม่เที่ยงเลยซัน” แฝดน้องเอ่ยท้วง เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นจากดงภาพวาดของบรรดาสัตว์หลายร้อยสายพันธุ์บนหน้าหนังสือภาพปกแข็งเล่มใหญ่ซึ่งกางวางอยู่บนตัก “พ่อยะก็ยังทำงานไม่เสร็จ” ถิรต่อด้วยระดับเสียงที่เบาลงอีก เหมือนกลัวว่าเสียงตัวเองจะไปรบกวนสมาธิของคนที่นั่งหลังโต๊ะทำงาน

ผิดกับแฝดพี่ที่พลังเสียงมีเท่าไรก็จะปล่อยออกมาให้หมด

“ก็ซันหิวนี่นา แซนไม่หิวเหรอ” คนเป็นพี่ย้อนถาม ขยับตัวลุกขึ้นนั่งทำหน้าบูด

“หิว แต่รอพ่อยะก่อน”

“พ่อยะๆ ไปกินข้าวเร็วๆ ซันหิว” แฝดพี่รีบลุกจากโซฟา ขาสั้นวิ่งเดินไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่คนเป็นพ่อนั่งอยู่ พลางเกาะแขนและเขย่า เร่งให้วางงานลงเสีย คุณยะที่หัวคิ้วขมวดแทบจะชนกันมาตลอดช่วงเช้าถึงได้ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า

“พุงเท่าแพนด้าแล้วนะ ยังกินได้อีกหรือไงเจ้าตัวยุ่ง” คุณยะอุ้มลูกชายคนโตขึ้นมานั่งบนตัก ริมฝีปากกดเข้าหาแก้มกลมอยู่หลายอึดใจถึงได้ละออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายกว่าเมื่อตอนก้มหน้าอ่านเอกสารบนโต๊ะ ราวกับว่าแก้มกลมหอมแป้งเด็กของทานตะวันเป็นมนตร์วิเศษที่ช่วยให้ความเครียดจากงานสลายไปจนหมดสิ้น

ผมเคยอิจฉานะเวลาที่เห็นคุณยะหอมแก้มทานตะวันกับถิร แต่เวลานี้ผมไม่ได้รู้สึกแบบเดิมแล้ว หลังรู้ความจริงว่าตัวเองไม่ใช่ลูกชายคนโตของคุณยะ ผมก็ไม่นึกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสองแฝดอีก เพราะผมไม่ใช่ลูกของเขา จะให้ได้รับการปฏิบัติเหมือนลูกตัวจริงของเขาได้อย่างไร

“กินได้ๆ กินได้อีกเยอะๆ เลยครับพ่อยะ” เจ้าตัวยุ่งขี้อ้อนรีบบอก “ซันอยากพุงโตเท่านี้เลย” ว่าแล้วเด็กลูกครึ่งตาสีน้ำตาลแดงก็กางแขนทำเป็นรูปวงกลม ยิ้มตาหยี จนคนเป็นพ่อต้องก้มลงไปหอมพวงแก้มนั้นอีกหลายฟอด

“พีกับแซนหิวหรือยัง” ผละออกมาจากแก้มของทานตะวัน คุณยะก็เงยหน้าขึ้นมาถาม สายตาทอดยาวมาหยุดที่ผม ทำเอาลมหายใจสะดุดไปเล็กน้อย ก็ตั้งแต่จูงมือสองเด็กแฝดเข้ามาในห้องนี้ ผมกับคุณยะไม่ได้คุยกันจริงจังสักประโยค ก็มีแค่คำสวัสดีของผมที่เอ่ยออกมาตอนแรกเท่านั้น

“พี่พีก็หิว แซนก็หิว หิวกันหมดเลย” ผมกับถิรยังไม่ทันตอบ เด็กน้อยบนตักคุณยะก็ชิงตอบมาเสียแล้ว แต่เสียดายที่น้องชายไม่ยอม

“แซนยังไม่หิวครับ รอพ่อยะได้” แม้จะเป็นแฝดกัน แต่นิสัยก็แตกต่างกันพอสมควร ถิรเป็นเด็กเงียบขรึม พูดน้อย และดูโตกว่าวัย ส่วนทานตะวันก็อย่างที่เห็น เจ้าตัวยุ่ง ขี้อ้อน และเหมือนจะเอาแต่ใจพอสมควรด้วย

“แซนต้องหิวสิ หิวเลยๆ หิวเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“ซันก็ทนหน่อยได้ไหม พ่อยะทำงานอยู่นะ”

“ก็ซันหิว แซนไม่หิวก็ไม่ต้องไปสิ” ทำเสียงขุ่นใส่น้องชายแล้วก็หันไปอ้อนพ่อตัวเองต่อ “แซนไม่หิว แต่ซันหิวมากเลยครับ พ่อยะพาซันไปกินข้าวนะ ซันจะกินกุ้งตัวโตๆ”

“พ่อยะยังทำงานไม่เสร็จครับ ซันไปกับพี่พีนะ”

“ครับผม” เจ้าตัวเล็กพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ผมก็นึกว่าทานตะวันจะออกอาการงอแงเอาแต่ใจ ร้องจะให้พ่อพาไปให้ได้

“พีพาน้องไปที่ห้องอาหารมะลิดาตรงชั้นล็อบบี้นะ จำได้ใช่ไหม คุณยะสั่งอาหารไว้ให้แล้ว ถึงหน้าร้านแล้วพนักงานจะพาเข้าไปนั่งที่โต๊ะ” คุณยะพูดพร้อมกับอุ้มทานตะวันกลับมา

“จำได้ครับคุณยะ” ผมรีบตอบรับ

ห้องอาหารมะลิดาเป็นห้องอาหารไทยแบบตำรับโบราณ คุณปู่กับคุณย่าพาผมนั่งกินบ่อยๆ และที่ผมชอบและติดใจที่สุดก็จะเป็นแกงจืดสาคูมะลิดากับต้มกะทิปลาสลิด ส่วนของหวานก็จะเป็นขนมถังทอง ช่อม่วง กับไอศกรีมกะทิแบบโฮมเมด คิดแล้วน้ำลายสอขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าคุณยะสั่งอาหารเมนูไหนไว้บ้าง แต่ถ้าไม่มีที่ผมอยากกิน ผมจะสั่งเพิ่มได้ไหม คุณยะจะว่าอะไรไหมตอนจ่ายเงิน นี่ถ้าผมมากับคุณปู่คุณย่าคงไม่ต้องคิดหนักขนาดนี้ นั่งโต๊ะปุ๊บผมก็สั่งเมนูที่ผมชอบทันทีเลย

“อะไรที่ชอบก็สั่งให้หมดแล้ว”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันที คุณยะกำลังวางเจ้าตัวเล็กพุงกลมในวงแขนลงบนพื้น เขายืนอยู่ตรงหน้าผม มองหน้าผมและรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ คำพูดเมื่อกี้ของคุณยะเป็นของผม ไม่ใช่ของเด็กแฝด

“ขอบคุณครับ” ผมพูดออกมาเบาๆ รู้สึกอุ่นอยู่ภายในหัวใจ คำพูดของคุณยะทำให้ผมรู้สึกว่าเขาใส่ใจผมมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

“พ่อยะครับ”

“ว่าไงครับ” พอถูกแฝดพี่เรียก คุณยะก็ทรุดตัวลงนั่งเพื่อให้ระดับสายตาอยู่ใกล้ทานตะวันมากที่สุด

“จุ๊บเหม่งซันหน่อย ซันจะได้กินข้าวเยอะๆ” นิ้วเล็กจิ้มลงกลางหน้าผากตัวเอง แล้วคนเป็นพ่อก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ริมฝีปากแนบบนหน้าผากลูกชายคนแรกก่อน จากนั้นก็ดึงถิรเข้ามาหาแล้วทำแบบเดียวกัน

“กินเผื่อพ่อด้วยนะครับ”

“ครับผม” ทานตะวันยิ้มรับคำ ส่วนถิรแค่พยักหน้าตามนิสัยที่ไม่ชอบอ้อนเท่ากับคนพี่ “พ่อยะ จุ๊บเหม่งพี่พีด้วยสิ จุ๊บๆ”

อะไรนะ ?!

จุ๊บเหม่ง ?

จุ๊บเหม่งผม...

แล้วสายตาสีราตรีก็เลื่อนมาหยุดที่ใบหน้าผม แววตานั้นเหมือนจะยิ้มได้เมื่อมองสบตากับผม ผมไม่เคยเห็นแววตาแบบนี้ของคุณยะมาก่อน มันประหลาดเกินกว่าที่ผมจะคาดเดาว่าเบื้องหลังรอยยิ้มในดวงตานั้นมีความหมายว่าอย่างไร

“มะ...ไม่ต้อง...ครับ” เสียงผมติดจะสั่นเพราะกลัวว่าคุณยะจะทำอย่างที่ลูกชายตัวเองบอก ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่รู้ความจริง ผมคงดีใจอย่างที่สุดที่จะถูกทั้งจุ๊บทั้งหอมเหมือนที่เขาทำกับทั้งสองแฝด แต่ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้ว แถมความรู้สึกผมยังแปลกๆ ไปอีกด้วย ผมถึงไม่อยากได้ทั้งจุ๊บทั้งหอมอะไรทั้งนั้น

แต่เด็กน้อยทานตะวันก็ดึงผมไปอยู่ในสถานการณ์น่าเสี่ยงอีกครั้ง

“พี่พีเร็วสิ มาๆ มาให้พ่อยะจุ๊บเหม่งหน่อย พ่อยะจุ๊บเลยๆ” เจ้าตัวขี้อ้อนเดินมาดึงมือผมให้ลุกจากไปหาพ่อของตัวเอง แต่แรงเด็กตัวน้อยจะเท่าไหนกันเชียว ผมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ที่จะไม่มั่นเอาซะเลยก็คือหัวใจผมที่มันเต้นผิดจังหวะไปมาก เพราะคุณยะยังไม่ละสายตาไปจากใบหน้าผมเลย และยิ่งกว่านั้นปลายเท้าคู่นั้นกำลังขยับมาทางผม

ผมลุกพรวดขึ้นทันที ตั้งใจจะคว้ามือทานตะวันกับถิรพาออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่คุณยะจะเดินถึงตัวผม... ก็เหลือแค่ไม่ถึงสามก้าว

แล้วก็ไม่ทัน ผมไม่ทันจะได้คว้ามือของสองแฝดอย่างที่ตั้งใจ คุณยะก็สาวเท้ามาถึงตัวผมในเวลาอันน้อยนิด เรียกว่าเสี้ยววินาทีเลยก็ได้ มือใหญ่ที่ให้ความรู้สึกร้อนจัดจับไหล่ทั้งสองของผม ใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้หน้าผม ผมหลับตาปี๋กลั้นหายใจแทบจะทันทีที่ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาบนเหม่ง

ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าหน้าผากสิ

ความอุ่นร้อนบนหน้าผากต่างจากค่ำคืนนั้น น้ำหนักของริมฝีปากที่กดแนบลงมาหยุดนิ่งอยู่เพียงไม่กี่วินาที ทว่ากับเหมือนเป็นชั่วโมงในความรู้สึก มันควรจะจบแค่ตรงนี้... บนหน้าผากของผม

แต่ก็ไม่...

ริมฝีปากของคุณยะไม่ได้หยุดแค่นั้น มันละออกไปเพื่อเปลี่ยนจุดหมายปลายทาง จากบนลงล่าง สู่แก้มข้างที่มีไฝเม็ดเล็ก ริมฝีปากนั้นอุ่นเกือบร้อนแต่คงไม่เท่ากับความร้อนระอุของแก้มผมในเวลานี้ หากมีกระจกให้ผมส่องดูหน้าตัวเอง ผมว่าต้องเห็นสีแดงที่ฉาบบนหน้าแน่ๆ 

“แถม...” เสียงทุ้มแต่เบาบางดังขึ้นเมื่อคุณยะถอนริมฝีปากจากแก้มผม

การกระทำของคุณยะและคำพูดสั้นๆ นั้น ทำเอาผมกำมือตัวเองแน่น บังคับให้ท่อนแขนแนบไปกับลำตัวเอาไว้ ไม่ใช่เพราะหักห้ามไม่ให้ยกมือขึ้นต่อยหน้าคนตัวโตกว่าหรอกนะ ก็แค่... ไม่อยากเผลอยกมือขึ้นมากุมแก้มของตัวน่ะสิ แต่เหนือกว่าการกระทำและคำพูดของคุณยะคือนัยน์ตาสีราตรีนั่นต่างหาก สายตาที่มองผมมันแปลกไป มันเป็นประกาย ดูจะมีแววหยอกล้อและพึงพอใจ หรือว่าผมคิดมากเกินไป เอาความรู้สึกที่แปลกไปของตัวเองลงไปผสมด้วย ถึงได้เห็นว่าคุณยะมองผมไม่เหมือนเดิม

เมื่อก่อนผมมองคุณยะผ่านความรู้สึกตัดพ้อและความไม่เข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำกับผม เขาทอดทิ้งผม ไม่สนใจใส่ใจ ทำตัวห่างเหิน คุยกันนับคำได้ เดือนหนึ่งเจอหน้ากันนับครั้งได้ ผมไม่ได้รับความอบอุ่นของสายสัมพันธ์พ่อลูกจากคุณยะเลย จนกระทั่งความจริงเผยตัวออกมา ความรู้สึกของผมก็เปลี่ยนไปหมด มันแปลก ไม่เหมือนเดิม ไม่รู้เลยว่าที่รู้สึกหรือเป็นอยู่ในตอนนี้คืออะไร โดยเฉพาะอาการร้อนระอุบนใบหน้าที่ผมอยากยกมือขึ้นลูบแรงๆ ให้ความร้อนนั้นคลายตัวลง

หรือว่าจะเอาน้ำแข็งโปะทั้งหน้าดี เผื่อจะช่วยให้แก้มหายร้อนและสู้สายตาสีราตรีของคนตัวโตตรงหน้าได้ ติดที่ว่าตรงนี้ไม่มีน้ำแข็ง แต่ก็โชคดีที่มีเด็กขี้อ้อนอย่างทานตะวันอยู่ด้วย

“พ่อยะๆ แก้มซันด้วยครับ” เด็กขี้อ้อนคงเห็นว่าพ่อตัวเองทำอะไรบนแก้มผม ถึงได้อยากได้บ้าง นิ้วเล็กจิ้มลงบนแก้มข้างที่มีไฝเม็ดเล็ก จุดเล็กสีดำที่ผมสังเกตว่าทานตะวันชอบมันเหลือเกิน เจอใครก็จะอวดอยู่เสมอว่าตัวเองมีเจ้าเม็ดนี้อยู่บนแก้ม แล้วก็จะตามมาด้วยคำพูดว่าถิรไม่มีเหมือนตัวเอง

ขอบคุณเจ้าเด็กขี้อ้อนที่ช่วยพาสายตาเป็นประกายของคุณยะไปจากผม ไม่อย่างนั้นหน้าผมคงจะเปลี่ยนจากร้อนเป็นไหม้อย่างแน่นอน

เมื่อคนเป็นลูกเรียกร้องด้วยเสียงใสกิ๊กของเด็กน้อย คนเป็นพ่อก็ก้มลงไปฟัดเจ้าตัวเล็กอยู่สักพัก ถึงปล่อยตัวออกมาแล้วส่งมือเล็กมาให้ผม

“ฝากดูน้องด้วยนะ” แล้วก็หันมาสั่งผมเป็นคำสุดท้าย ดวงตาสีราตรีไม่ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาดแบบเดิมอีกแล้ว

“ครับคุณยะ” ผมขานรับด้วยความรู้สึกที่ว่าใบหน้าลดความร้อนลงไปบ้างแล้ว

ผมจูงมือเด็กแฝดทั้งสองไปยังประตูห้องทำงานหลังจากที่เจ้าของห้องหมุนตัวเดินกลับไปนั่งหน้าเครียดหลังโต๊ะทำงานต่อ จังหวะนั้นประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเข้ามาโดยชายหนุ่มผู้เป็นผู้ช่วยเลขาของคุณยะ เขายิ้มให้ผมและเด็กแฝด แล้วเดินผ่านเข้าไปในห้อง ที่ตามหลังมาคือผู้หญิงที่สวยจัดคนหนึ่ง เธอสวยราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรเอกของโลก

ใบหน้านี้ ความสวยงามเหมือนภาพวาดนี้ ผมจำได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และจอโทรทัศน์ เธอเป็นนางเอกเบอร์ต้นๆ ของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ละครแต่ละเรื่องของเธอโกยทั้งกระแสในโลกโซเชียลและเรตติ้งจากคนดูทั่วประเทศ ส่วนหนังเรื่องแรกที่เธอแสดงก็พาให้เธอกลายเป็นนางเอกร้อยล้าน และที่จำได้ดีที่สุดเกี่ยวกับตัวเธอคือ... คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่กำลังตกเป็นข่าวว่าคบหากับเธอ

...เป็นของเล่นของคนรวยรายล่าสุด

และผมไม่ได้จำได้เฉพาะชื่อของเธอคนนี้ ผมจำใบหน้าและชื่อของคนที่ตกเป็นข่าวกับคุณยะได้หมดทุกคน ไม่ว่ากี่คนผมก็จำได้ อย่างเธอคนนี้ก็ชื่อจิรัญญา  คนก่อนหน้าเธอก็ชื่อรตา คนก่อนโน้นก็ปรียาดา ย้อนไปอีกก็ฝนสิริ พัตร์พิมล พิมพ์วิภา และอีกนับไม่ถ้วน ให้เอาชื่อมาต่อกันคงยาวตั้งแต่หน้าประตูห้องไปถึงประตูลิฟต์

ก่อนประตูห้องจะปิดลง ผมแว่วได้ยินเสียงหวานใสที่มีจริตของหญิงสาวเอ่ยทักเจ้าของห้องอย่างสนิทสนม ทั้งที่อายุของเธอน้อยกว่าเจ้าของชื่อตั้งหลายปี

“ยะคะ...โรสมารับไปกินข้าวค่ะ วางงานแล้วไปกินข้าวนะคะ”

ผมเชื่อเลยว่าเสียงออดอ้อนหวานหูแบบนี้คงจะทำให้คุณยะทิ้งความเครียดไว้บนโต๊ะทำงาน ให้มันกองทับอยู่บนกองเอกสารสำคัญต่างๆ ที่ใช้เวลาทั้งวันก็คงจัดการไม่หมด เพียงเพื่อจะได้ไปนั่งกินมื้อเที่ยงกับสาวสวยระดับนางเอกละครชื่อดังของประเทศไทย

“พี่พีครับ” ทานตะวันเงยหน้าขึ้นมาเรียกผมตอนที่เราสามคนเดินมาหยุดหน้าประตูลิฟต์ของชั้นผู้บริหาร “จะมีกุ้งตัวโตๆ ให้ซันกินหรือเปล่าครับ” นี่ก็ห่วงกินตลอด ไม่เหมือนแฝดน้องที่เรื่องกินไม่ได้ใหญ่เท่ากับการไม่มีหนังสืออยู่ในมือ

เฮ้อ...จะมีกุ้งตัวโตๆ แบบที่ทานตะวันอยากกินหรือเปล่า ผมไม่รู้หรอก ที่รู้ตอนนี้คือความอยากของผมมันติดลบไปแล้วตั้งแต่เห็นหน้าผู้หญิงสวยจัดคนนั้น




.


.


.


ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 9 (13-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 13-10-2018 18:58:32
ตอนผมจูงมือทานตะวันกับถิรกลับเข้ามาในห้องทำงานของคุณยะหลังอิ่มกับมื้อกลางวันที่มีกุ้งตัวโตๆ ของทานตะวัน แกงจืดสาคูมะลิดากับต้มกะทิปลาสลิดของผมเรียบร้อยแล้ว ทั้งห้องว่างเปล่า มีแต่ความเงียบเชียบ กองเอกสารตั้งสูงบนโต๊ะทำงานที่เจ้าของโต๊ะทอดทิ้งมันไว้และหายไปกับนักแสดงสาวสวยคนนั้น

“อ้าว พ่อยะหาย” เจ้าตัวเล็กขี้อ้อนและเจ้าคำถามเงยหน้าขึ้นมาถามผม “พ่อยะไปไหนครับพี่พี”

...ทิ้งงานไปกับผู้หญิงครับ

ผมอยากจะตอบประโยคนี้ออกไปจริงๆ แต่อายุอย่างทานตะวันคงไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของผู้ชายกับผู้หญิงในวัยนี้หรอก พูดไปก็เท่านั้น ไม่พูดดีกว่า

“พ่อยะคงไปประชุม” เป็นถิรที่ตอบแทนผม แล้วเจ้าตัวก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา หยิบหนังสือภาพสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ขึ้นมาเปิดอ่านต่อจากที่อ่านค้างไว้ก่อนออกไปกินข้าวเที่ยง

ถิรเนี่ย ผมว่าฉายแววฉลาดตั้งแต่เด็กนะ ตัวแค่นี้ก็รู้จักคำว่า ‘ประชุม’ แล้ว หรือเจ้าตัวได้ยินคำนี้บ่อยเท่านั้นเอง เลยพูดออกมาโดยไม่รู้ว่าคำว่าประชุมมีความหมายว่าอย่างไร เหมือนอย่างครั้งหนึ่งผมก็ไม่รู้ว่า... คำว่า ‘พ่อ’ หมายถึงอะไร มีความหมายว่าอย่างไร ตีความไปเองจากคำที่คุณย่าบอกกับผมในวันนั้นว่า

‘นั่นคุณพ่อของน้องพี’

อายุแค่ไม่กี่ขวบทำให้ผมไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริงของคำว่าพ่อ เข้าใจไปเองว่า ‘พ่อของน้องพี’ คือ ‘ของของน้องพี’ ไม่ต่างจากตุ๊กตา เสื้อผ้า กระเป๋าที่เป็นของผม โตขึ้นถึงเข้าใจสิ่งที่ทุกคนพยายามอธิบายให้เด็กชายพีรัชเข้าใจว่าพ่อคือใคร มีความสัมพันธ์แบบไหนกับผม คำว่าพ่อหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือด ผู้ให้กำเนิด ผู้มีพระคุณ ไม่ใช่สิ่งของประเภทเดียวกับเสื้อผ้า ตุ๊กตา ของเล่น และไม่ใช่ ‘ของของผม’

...และพ่อของผมไม่ใช่คุณยะ

...คุณยะไม่ใช่พ่อของผม

“ประชุมอีกแล้วเหรอ” เด็กพุงกลมทำหน้าเซ็ง ปล่อยมือผมแล้วเดินไปนั่งบนพื้นพรมหน้าโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ใกล้น้องชายฝาแฝดของตัวเอง บนโซฟามีครอบครัวหมีตัวสีขาวสี่ตัว แต่ละตัวมีขนาดที่ไม่เท่ากัน ทานตะวันเอามาอวดผมตั้งแต่นั่งรถมาที่โรงแรม ว่าเจ้าสี่ตัวนี้คือ... พ่อยะ พี่พี พี่ซัน และน้องแซน ส่วนคุณปู่ คุณย่า อานุ อาภา น้องเนตร (ลูกสาวของอาภา) อยู่ที่ห้องนอนของตน

ทานตะวันก็ทำเอาผมแปลกใจอีกคน เด็กชายพุงกลมรู้จักคำว่าประชุมด้วย เอาจริงๆ ตอนอายุเท่าสองแฝด ผมก็จำไม่ได้ว่ารู้จักคำว่าประชุมไหม จะเคยได้ยินคนในบ้านพูดถึงคำนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ คิดดูสิขนาดตอนเด็กที่เห็นคุณยะในจอคอมพิวเตอร์ ผมยังไม่รู้เลยว่าคำว่า ‘ต่างประเทศ’ คืออะไร และมันไกลแค่ไหน แต่ที่รู้คือมันต้องไกลกว่าตลาดที่ป้าพิศไปทุกวันเท่านั้นเอง คุณยะถึงไปแล้วไม่กลับมาเสียที โตมาถึงได้รู้ว่าต่างประเทศมีความใกล้ไกลที่ต่างกันไปในแต่ละจุดหมายปลายทาง

ผมค่อยๆ ทรุดตัวลงบนโซฟาตัวเดียวกับถิรแต่นั่งคนละฝั่งมุม ขณะที่ทานตะวันนั่งเล่นกับครอบครัวหมีขาวแสนสุขของตัวเอง หัวเราะคิกคักตามประสาเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ซน ยกเว้นดื้อและเอาแต่ใจมากไปหน่อย เพราะอยากรู้ว่าเด็กทั้งสองเข้าใจความหมายของคำว่าประชุมจริงหรือเปล่า หรือแค่ได้ยินพ่อของตัวเองพูดคำนี้บ่อยๆ ถึงได้จำและเอามาพูด ผมเลยถามออกไป

“ประชุมคืออะไรแซน”

ถิรปิดสมุดภาพปกแข็งเล่มใหญ่ ก่อนจะหันหน้ามาหาผม แผ่นหลังเล็กตั้งตรง ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กลูกครึ่งจริงจังขึ้น ผมแอบยิ้มให้กับท่าทางแก่เกินวัยนั้น การที่เด็กน้อยต้องมานั่งเล่นในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อทุกวันหยุด อุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแทนที่จะไปเที่ยวเล่นสวนสนุก เล่นเครื่องเล่นในห้างสรรพสินค้า หรือไปตามแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้ปกครองจะพาเด็กวัยนี้ไปเที่ยวเล่นพักผ่อน เสริมสร้างประสบการณ์และความรอบรู้ ส่งผลให้เจ้าตัวเคร่งเครียดเกินเด็กหรือเปล่า ยิ่งต้องมาอยู่ในห้องทำงานที่คนเป็นพ่อเอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดกับกองเอกสารบนโต๊ะด้วย เด็กอาจจะซึมซับความเครียดที่คลุ้งอยู่ภายในห้องเข้าไปเต็มๆ อย่างผมเองตอนเด็กกว่านี้ เกือบทุกวันหยุดคุณปู่คุณย่าจะพาออกไปเที่ยวนอกบ้านเสมอ

แต่ก็ไม่น่าจะใช่ ทานตะวันก็ยังสดใสร่าเริง ไม่ร้องงอแงจะไปไหนเลย มีแค่สองเหตุการณ์ที่ทำให้แฝดคนพี่หน้าตาไม่สบอารมณ์คือตอนถูกถิรขัดใจเรื่องความหิวของตัวเอง กับตอนที่บอกว่าคุณยะไปประชุม มันคงเป็นเพราะนิสัยของเด็กชายถิรมากกว่า

“ประชุมคือนั่งคุยเรื่องงานกันหลายๆ คนครับพี่พี” ถิรตอบ ทำเอาผมทึ่งอีกแล้ว มั่นใจแล้วว่าเด็กน้อยรู้จักคำว่าประชุมจริงๆ แม้ไม่ได้ลึกซึ้งมากก็ตาม แต่รู้ขนาดนี้แล้วก็น่าทึ่งสำหรับอายุเท่านี้

“ใช่ๆ... แล้วก็นั่งคิ้วชนกันด้วยครับพี่พี” แฝดพี่ช่วยเสริม “บางครั้งพ่อยะก็ไม่ยิ้ม อารมณ์เสียด้วย ทำพี่ผู้หญิงร้องไห้ด้วยแหละ” เจ้าตัวสาธยายเหตุการณ์ที่เจอ พลางหอบลูกหมีตัวขาวทั้งสี่ไว้ในอ้อมแขน เดินมานั่งบนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกับผมและถิร ก่อนทิ้งตัวลงนอน ศีรษะเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีอ่อนกว่าสีผมของคนไทยแท้ๆ วางบนตักผม

“แซนกับซันไปนั่งประชุมกับพ่อยะบ่อยเหรอ” ผมถามอีก สองแฝดอธิบายตามความเข้าใจของเด็กมาได้ขนาดนี้ ผมว่าก็ต้องอยู่ในเหตุการณ์นั้นมากกว่าแค่ครั้งเดียว

“บ่อยครับ” เป็นถิรที่ตอบ

“ทำไมพ่อยะถึงพาแซนกับซันเข้าไปด้วยล่ะ” แปลกใจอีกแล้ว วันนี้ผมมีแต่เรื่องแปลกใจ ถึงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญมากก็เถอะ ก็น่าแปลกใจไหมล่ะที่คุณยะพาลูกชายที่อายุยังไม่เต็มหกขวบเข้าไปนั่งในห้องประชุม เขาไม่กลัวเด็กๆ จะซนจนรบกวนการประชุมหรือไง

“พ่อยะบอกว่าซันกับแซนจะได้เห็นว่าพ่อยะทำงาน ไม่ได้หนีไปเที่ยวที่ไหน” คราวนี้เป็นเด็กพุงกลมตอบมาบ้าง

อ้อ... เป็นแบบนี้เอง ผมเข้าใจแล้ว มันเป็นวิธีทำให้ลูกเข้าใจด้วยการเห็นภาพจริง

“ซันชอบไหมไปประชุมกับพ่อยะ”

“ไม่ชอบ เล่นน้องหมีก็ไม่ได้” เจ้าตัวส่ายหน้าอย่างไว

“แซนล่ะ ชอบไหม”

“ชอบครับ สนุกดี”

หือ? สนุกดี ประชุมนี่นะสนุก เป็นเด็กที่แปลกจริงๆ

“พี่พีๆ แล้วคำว่า ‘พิเศษ’ คืออะไรครับ” เป็นผมบ้างที่ถูกถาม ทานตะวันมองผมตาแป๋วอย่างรอคำตอบ

“ทำไมไม่รู้ล่ะว่า ‘พิเศษ’ คืออะไร” ผมก้มหน้าลงถาม ลูบศีรษะเล็กๆ บนตักไปด้วย

ผมว่าคำว่า ‘พิเศษ’ มันน่าจะเป็นคำที่เข้าใจง่ายกว่า ‘ประชุม’ อีกนะ

“แซนก็ไม่รู้เหรอว่าคำนี้หมายถึงอะไร” ผมถามแฝดอีกคน

“รู้ครับ บอกซันแล้ว แต่ซันไม่เชื่อครับพี่พี”

“ก็แซนไม่รู้จริงสักหน่อย แซนมั่ว” คนพี่ลุกขึ้นมาเถียง เรื่องไม่ยอมแพ้เนี่ยต้องยกให้แฝดพี่ไปเลย

“แซนไม่ได้มั่ว”

“แล้วแซนว่ามันคืออะไร” ผมลองถาม

“พิเศษคือ ‘มากกว่า’ ครับ”

...มากกว่า

จะว่าผิดก็ไม่ได้หรอก เพราะเป็นความเข้าใจแบบเด็กวัยใกล้หกขวบอย่างถิร แต่สำหรับเด็กที่โตแล้วอย่างผม คำว่า ‘พิเศษ’ มีความหมายว่า ‘แตกต่าง’ นะ

...แตกต่างไปจากสิ่งที่เป็นปกติธรรมดา

“แซนมั่วใช่ไหมครับพี่พี”

“ที่แซนพูดก็ถูก แต่ก็มีความหมายอื่นอีก” ไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะเข้าใจคำพูดยากๆ ของผมหรือเปล่า แต่ก็ดูว่าเด็กทั้งสองตั้งใจฟังที่ผมพูดกันมาก “พิเศษคือมากกว่าก็ได้ หรือจะบอกว่าสิ่งนั้น ‘แตกต่าง’ จากปกติธรรมดาก็ได้”

สงสัยจะยากไปจริงๆ นั่นแหละ เด็กทั้งสองถึงกะพริบตาปริบๆ บอกอาการว่าทั้งคู่มึนงงกับคำตอบของผมมากแค่ไหน

“แตกต่างคืออะไรครับ” ทานตะวันถาม สีหน้าสงสัยสุดๆ ผมจึงพยายามอธิบายให้เด็กตัวน้อยเข้าใจได้ง่ายที่สุด

“แตกต่างคือ ‘ไม่เหมือน’ ไงครับ” ผมจิ้มแก้มซ้ายตรงไฝเม็ดเล็กของแฝดพี่ “แบบที่ซันมีจุดดำๆ ตรงนี้ แต่แซนไม่มี”

“อ๋อ...ซันแตกต่างกับแซน” เจ้าของแก้มพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ไม่รู้เข้าใจจริงหรือเปล่า เอาเป็นว่าโตขึ้นกว่านี้เด็กน้อยทานตะวันน่าจะเข้าใจได้ดีกว่าในวันนี้

“แล้ว ‘ปกติ’ ล่ะครับ” เป็นถิรที่ถามหาความหมายของคำนี้ ผมยกมือขึ้นมากุมขมับเลยทีเดียว ไม่รู้จะอธิบายคำง่ายๆ ให้เด็กน้อยเข้าใจได้อย่างไร

“ปกติก็คือ...” คืออะไรดีล่ะ งั้นเอาคำนี้ละกัน “...เหมือนเดิม”

“แล้ว ‘ธรรมดา’ คืออะไรครับ”

“ธรรมดาก็คือ...” จะบอกว่าธรรมดาคือปกติอีกก็ไม่ได้ เดี๋ยวสองแฝดจะสับสนเข้าไปใหญ่ แต่จะให้เปิดพจนานุกรมเอาคำที่อธิบายความหมายของคำพวกนี้จริงๆ เด็กแฝดทั้งสองคงได้งงหนักเข้าไปใหญ่แน่

มองลูกตากลมสีน้ำตาลแดงที่รอคอยแล้วผมก็อยากจะเสกให้ทั้งสองคนโตเป็นผู้ใหญ่ตอนนี้เลย จะได้รู้ความหมายของคำง่ายๆ พวกนี้เสียที งั้นก็เอาเป็นว่าให้ทานตะวันกับถิรไปหาคำตอบเอาตอนโตและรู้ความมากกว่านี้แล้วกัน

“เดี๋ยวซันกับแซนโตเท่าพี่เมื่อไรก็รู้เองแหละ”

“พูดเหมือนพ่อยะอีกแล้ว” แฝดพี่อุทธรณ์ด้วยน้ำเสียงผิดหวังกับคำตอบที่ได้จากผม “พ่อยะบอกว่าโตขึ้นซันจะรู้เองว่า ‘พิเศษ’ คืออะไร”

“แล้วพ่อยะบอกว่าอะไร ‘พิเศษ’ ล่ะ” ผมนึกอยากรู้ ต้องมีเหตุการณ์ที่คุณยะเอ่ยถึงคำนี้แล้วทำให้เด็กทั้งสองเกิดความสงสัย แถมยังไม่ยอมอธิบายให้ลูกตัวเองเข้าใจด้วย กลายมาเป็นภาระของผมในตอนนี้เสียได้

“ก็ซันอยากเรียกพ่อยะว่า ‘คุณยะ’ เหมือนพี่พี แต่พ่อยะบอกว่าไม่ได้ ห้ามไม่ให้ซันเรียกคุณยะ มีพี่พีเรียกได้คนเดียว”

ผมเข้าใจความรู้สึกของทานตะวันดี เพราะครั้งหนึ่งผมก็ถูกห้ามเรียกคุณยะว่า ‘พ่อยะ’ ความรู้สึกแบบนั้นก็เพิ่งห่างไปเมื่อตอนความจริงเปิดเผยว่าผมไม่ใช่ลูกของคุณยะ ผมเลยไม่มีสิทธิ์เรียกเขาว่าพ่อ พอผมยอมรับความจริง ผมก็ยอมรับได้ว่าผมไม่มีสิทธิ์จะไปโกรธหรือน้อยใจอะไรคุณยะได้

“ซันถามว่าทำไมพี่พีถึงเรียกได้คนเดียว พ่อยะก็บอกว่า...”

หลังจากวันที่รู้ความจริงและผมยอมรับความจริงที่ตัวเองไม่สามารถหลีกหนีได้ ผมก็เข้าใจว่าทำไมผมต้องเรียกคุณยะว่าคุณยะ แต่พอฟังที่ทานตะวันพูดออกมาจนครบประโยคแล้ว หัวใจผมเต้นโครมครามเลยทีเดียว

“พี่พีพิเศษ”

จะใช่ ‘พิเศษ’ ตามความหมายที่ผมเข้าใจและรู้จักมาตลอดหรือเปล่า

‘พิเศษ’ ที่หมายถึง ‘แตกต่างจากสิ่งที่เป็นปกติธรรมดา’

พิเศษ... เฉพาะผมคนเดียวอย่างนั้นเหรอ ?


ไม่รู้ว่าตัวเองกล่อมทานตะวันจนเผลอหลับไปเองตอนไหน หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้เลย ที่รู้ตอนนี้คือผมไม่ได้นั่งอยู่ในห้องทำงานของคุณยะ ผมกำลังอยู่ในลิฟต์ที่ไม่รู้ว่ากำลังจะเคลื่อนตัวขึ้นสูงหรือลงต่ำ สิ่งที่รู้อีกอย่างและชวนให้ทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะเมื่อตื่นจากหลับใหล นั่นคือ... เท้าผมไม่อยู่บนพื้น มันลอยอยู่บนอากาศ รวมถึงร่างกายก็ตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงที่อุ้มผมได้อย่างสบายๆ

“คุณยะ” ผมหลุดเรียกชื่อเจ้าของใบหน้าที่ลอยอยู่เหนือใบหน้าผม

‘คุณยะ’ คำที่ทานตะวันกับถิรไม่ได้รับสิทธิ์ให้เรียก มีแค่ผม

...เพราะผม ‘พิเศษ’




จบตอนที่ 9
เป็นตอนที่เขียนยากมากกกกกก
สีเหลืองอ่อน
ปล. ขอบคุณที่ยังติดตามนะคะ
และขอโทษที่กระทำกับตัวละครในเรื่อง ให้เจอแต่เรื่องโศกเศร้า
แต่ก็แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเนอะ
---ฟ้าหลังฝนยังงดงามเสมอ--
สัญญาว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บเจียนตายเพราะความรักเด็ดขาดด
เชื่อหัวเหลืองๆ นะคะ ^_^
ปล.2 เจอกันแบบไม่มีกำหนดนะคะ แต่จะพยายามมาให้ไวที่สุด
ปั่นจบตอนก็จะเอามาลงเลย
เศร้าตอนนี้ไม่เหลือสต๊อกแล้วค่า หมดเกลี้ยงงงง

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 9 (13-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-10-2018 19:49:07
คุณยะ พิเศษจริงเหรอ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 9 (13-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-10-2018 21:37:54
คุณยะให้น้องพีพิเศษกว่าคนอื่น แต่การกระทำแบบ ไม่ช่ายยยยยยย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 9 (13-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 13-10-2018 21:42:04
สาบานว่านี่พิเศษแล้ว??  :z6:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 9 (13-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 14-10-2018 04:46:42
เรื่องนี่ที่เศร้าเพราะต่างคนต่างคิดเอาเองกัน ไมยอมพูดกัน แถมการแสดงออกก็ติดลบอีกต่างหาก กลับไออ่านตอนปัจจุบัน ยังไม่เข้าใจว่าทำไมคุณยะไม่ตามพีกลับมา และยังมีคนของพีอีกที่น่าสงสาร บางทีก็อยากให้พีเลือกคนใหม่นะ เปิดใจและเร์่มใหม่สักที
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 10 (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-10-2018 19:07:34
ตอนที่ 10

“ปล่อยผมลงก็ได้ครับ ผมตื่นแล้ว” ผมบอกคุณยะ เพราะเขาเห็นว่าผมตื่นแล้วแต่ก็ยังไม่ปล่อยผมลงจากวงแขนของตัวเอง แล้วผมก็กลัวเขาหนักด้วย

“อีกนิดก็ถึงห้อง” แทนที่เขาจะปล่อยผมลงให้เดินเองก็กลับบอกมาแบบนี้ “ฉันขี้เกียจวางเธอลง” ผมไม่เข้าใจความขี้เกียจของเขาเลย 

“แต่คุณยะจะเมื่อย ตัวผมหนัก” แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนผู้ชายในห้อง ผมก็ถือว่าตัวผอมที่สุด

“ตัวแค่นี้จะหนักอะไร” ตัวแค่นี้ที่ไหนกันเล่า ผมอายุจะสิบห้าแล้วนะ ไม่ได้ตัวเล็กตัวนิดเหมือนทานตะวันกับถิร แต่คุณยะกลับคิดว่าผมตัวไม่ต่างจากลูกแฝดทั้งสองของเขา “นี่ถ้าปิดตาแล้วอุ้ม ฉันก็คงคิดว่ากำลังอุ้มลูกตัวเอง”

ฮึ! ไม่ต้องย้ำมากก็ได้ว่าผมไม่ใช่ลูกของตัวเอง อีกอย่างนะต่อหน้าคนอื่น คุณยะจะแทนตัวเองกับผมว่า ‘คุณยะ’ แต่พอคุยกันสองคนทีไรก็จะแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ ตลอด

“ผมรู้แล้วครับว่าไม่ใช่ลูกของคุณ ไม่ต้องย้ำก็ได้ครับ ผมไม่ลืมหรอก” ผมเองก็เหมือนกัน คุยกับคุณยะสองคนก็จะเรียกเขาว่า ‘คุณ’ อย่างเดียว

“ก็ดี” เขายิ้มมุมปาก ไม่ต่างจากการเยาะเย้ยสถานะของผมในตรัยธาดาที่เปลี่ยนไปตลอดกาล ความจริงมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกมั้ง มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ผมเกิด เพียงแต่ผมเพิ่งรู้ความจริงเมื่อไม่นานนี้เอง

“ซันกับแซนล่ะครับ” ผมถามหาเด็กแฝดทั้งสองเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย ความจำสุดท้ายคือทานตะวันหลับบนตักผม ส่วนถิรก็สนุกสนานกับหนังสือภาพสัตว์เล่มใหญ่

“อยู่ในห้อง” เขาตอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก สถานที่ด้านนอกคุ้นตาพอสมควร

ผมรู้แล้วว่าลิฟต์ตัวนี้พาผมและคุณยะขึ้นสูงสู่ชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องเพนต์เฮ้าส์ สถานที่ที่ผมเคยขึ้นมาไม่ถึงห้าครั้งตอนที่ทวดพุฒิยังอยู่ คุณปู่บอกว่าคุณทวดชอบที่สูง ชอบที่จะได้มองขึ้นไปบนฟ้าและมองลงมาดูความเล็กกระจ้อยร่อยบนพื้นดิน ท่านไม่ค่อยกลับไปที่บ้านเรือนไทยที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบเก้าไร่หลังจากที่คุณทวดมะลิดาเสีย เลือกใช้ชีวิตอยู่บนความสูงที่ท่านโปรดปราน เป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของทวดพุฒิจนถึงวันที่ท่านสิ้น และท่านก็ได้ส่งต่อความยิ่งใหญ่ให้กับหลานชายคนโต เนื่องจากลูกชายเพียงคนเดียวของท่านเลือกเส้นทางเดินของตัวเองที่แตกต่างออกไปจากท่าน ส่วนหลานอีกคนก็ไม่ชอบงานบริหารเช่นเดียวกับคนเป็นพ่อ

อานุใจดี ใจเย็น และเป็นผู้ชายที่อ่อนโยน เขาเลือกที่จะเป็นหมอรักษาสัตว์ ซึ่งก็เหมาะกับตัวตนของอานุที่สุด ส่วนอาภาก็รักในเสียงดนตรีและตอนนี้กำลังจะเปิดโรงเรียนสอนดนตรีที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

แล้วตัวผมล่ะ โตขึ้นมาอยากเป็นอะไร มันเป็นคำถามที่ไม่ยากเลยที่จะตอบ เพราะคำตอบมีอยู่ในใจมานานแล้วครับ

...ผมอยากเป็นหมอ

เหตุผลไม่มีหรอก ก็แค่อยากเป็นหมอสวมเสื้อกาวน์สีขาว ได้ช่วยรักษาคนให้หายจากอาการเจ็บป่วยของร่างกาย มันก็แค่นี้แหละครับ ไม่ได้มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่เหมือนคนอื่นเขา

ทว่าตอนนี้ เวลานี้ ตอนที่เห็นริ้วรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเจ้าของโรงแรมพุฒิธาดาคนใหม่ ความอยากเป็นหมอของผมเริ่มสั่นคลอน หรือมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมเห็นกองเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขา เห็นความเคร่งเครียดบนใบหน้าของคุณยะ เห็นความรับผิดชอบที่โถมลงมาบนบ่าของคนคนนี้ สิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบมันมากกว่าความสูงสามสิบสี่ชั้นของพุฒิธาดา มากกว่าจำนวนพนักงานทั้งหมดที่มี มากกว่าจำนวนลูกค้าที่ก้าวเข้ามาใช้บริการในแต่ละปี ทุกอย่างที่เป็นความภาคภูมิใจของทวดพุฒิอยู่ในมือของคุณยะ สองมือที่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ถูกมอบมาให้และยังต้องสานต่อให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ตามคำสั่งเสียของคุณทวดก่อนสิ้นลมน่ะครับ

ผมรู้ว่าคุณยะเก่ง คงเก่งไม่ต่างจากคุณทวดหรอก แต่เบื้องหลังความเก่งไม่ได้ใช้เพียงแค่สมองอย่างเดียวเพราะยังต้องใช้ร่างกายในการทำงานด้วย สภาพของคุณยะถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไง อิดโรย อ่อนล้าจากการทำงานหนักแบบไม่มีวันหยุด (ผมจะทำลืมเรื่องที่เขาทิ้งงานไปกับผู้หญิงนะครับ) ดังนั้นถ้ามีใครเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระที่สูงกว่าสามสิบสี่ชั้นของพุฒิธาดาและอาจจะเพิ่มขึ้นอีกตามจำนวนสาขาของโรงแรมที่เกิดขึ้นในอนาคต... มันก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ

คุณยะมีลูกชายสองคนแล้ว และอาจจะมีเพิ่มอีก ถ้าเขาแต่งงานมีครอบครัวใหม่ เมื่อลูกๆ คุณยะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะก้าวเข้าไปแบ่งเบาภาระหน้าที่ที่สูงเสียดฟ้านี้ ทว่ากว่าจะถึงตอนนั้นก็คงอีกนานเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นผมล่ะ ผมที่เรียนจบก่อนลูกชายทุกคนของคุณยะ คงจะช่วยงานคุณยะได้ไม่มากก็น้อยเพื่อรอเวลาให้บรรดาลูกๆ ของคุณยะเติบโตและเรียนจบกลับมาดูแลและทำให้พุฒิธาดายิ่งใหญ่กว่าเดิม

บางทีการเป็นพนักงานในพุฒิธาดาอาจจะเหมาะกับผมมากกว่าการเป็นคุณหมอสวมกาวน์สีขาวก็ได้นะ

นาทีที่ผมถูกอุ้มเข้ามาในห้องนอนของเพนต์เฮ้าส์ของคุณทวดพุฒิบนชั้นสามสิบสาม ซึ่งตอนนี้ก็ตกทอดมาเป็นสมบัติของคุณยะ เป็นวินาทีที่ผมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในการเปลี่ยนคำตอบของตัวเอง ผมจะไม่เป็นหมอแต่จะเป็นพนักงานของพุฒิธาดาหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย

...อยู่ข้างเขา เท่าที่จะมีพื้นที่ให้ผมยืนอยู่

ตัวของผมค่อยๆ ถูกวางบนเตียงนอนหลังใหญ่ กลิ่นอายของห้องหรูบนตึกสูงให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ความกว้างของห้องทำให้ผมตัวเล็กลง ความสวยงามของลวดลายและองค์ประกอบต่างๆ เน้นไปที่สีขาวบริสุทธิ์เหมือนสีของดอกมะลิและแต้มแต่งสีครีมลงไปในบางช่วงบางตอน

กลิ่นผ้าห่มที่คุณยะดึงขึ้นมาคลุมตัวให้ผมก็หอมมาก และเขาก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างตัวผม มือหนาที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นวางเบาบนศีรษะผม เขากำลังลูบเหมือนกล่อมให้ผมหลับฝันดี แม้ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกผนังกระจกจะยังเต็มไปด้วยแสงแดดของดวงอาทิตย์ก็ตาม

“ง่วงก็นอนต่อ ตอนเย็นฉันจะขึ้นมากินข้าวด้วย” 

“ผมไม่เห็นซันกับแซน” ผมมองไปรอบห้องไม่เจอเด็กทั้งสอง ข้างนอกก็ไม่มี ไหนเขาบอกว่าเด็กแฝดอยู่ในห้อง

“ซันแซนอยู่ที่ห้องของเขา”

เพนต์เฮ้าส์หลังนี้มีสามห้อง คือ ห้องนอนใหญ่ (น่าจะเป็นห้องนี้แหละ) ห้องนอนเล็ก และก็ห้องทำงานของทวดพุฒิ (แต่ตอนนี้กลายเป็นของคุณยะ) อย่างที่บอกว่าผมเคยเข้ามาวิ่งเล่นในเพนต์เฮ้าส์หลังนี้เพียงไม่กี่ครั้งตอนที่คุณทวดยังอยู่ แต่ก็ไม่เคยรุกล้ำเข้าไปในห้องทั้งสามเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ในห้องนี้แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย นอกจากเตียงนอนที่กว้างมากๆ โซฟาสีครีมที่ตั้งตรงปลายเตียง โต๊ะหัวเตียง และโคมไฟเท่านี้แหละ

อ้อ... นาฬิกาแขวนผนังอีกหนึ่งชิ้น แล้วก็ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินที่กลืนไปกับผนังห้อง

ห้องกว้างขวางที่มีเฟอร์นิเจอร์นับชิ้นได้ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คงเป็นเตียงนอนกับผ้าห่มสีเทาเข้มนี่แหละ แต่ยามนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่โดดเด่นยิ่งกว่าสีเทาเข้มก็คือ... สายตาเจ้าของห้อง หรือจะเพิ่มสัมผัสของมืออุ่นๆ ด้วยดีล่ะ

ดวงตาสีราตรีไม่ได้ละไปจากใบหน้าผม ต่างจากมืออุ่นที่หยุดลูบศีรษะผมแล้ว แต่ก็ยังวางอยู่ที่เดิม

“คืนนี้นอนนี่นะ” เขาบอก ขณะที่มือซึ่งเคยวางอยู่บนศีรษะผมได้เคลื่อนตัวลงมาตามกรอบหน้าและมาหยุดที่ปลายคาง

ผมกำมือตัวเองแน่นอยู่ใต้ผ้าห่มกลิ่นหอม พยายามเบนสายตามองไปทางอื่นแต่ก็ถูกบังคับจากปลายนิ้วที่กลับขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ แก้มข้างที่มีไฝเม็ดเล็กฝังตัวอยู่

...อย่าทำ

คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในหัว ผมอยากตะโกนออกไป สั่งให้เขาหยุดนิ้วที่กลั่นแกล้งนั้นลง ก่อนที่แก้มผมมันจะระเบิดเพราะสัมผัสของเขา แต่คำพูดที่หลุดออกมากลับไม่ใช่สิ่งที่ดังอยู่ในหัว กลับเป็นสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจดวงน้อยนิด

“ผม... เป็นคน ‘พิเศษ’ หรือครับ” ...ผมอยากรู้จากปากเขา ไม่อยากดีใจไปเอง เพราะบางทีเด็กทั้งสองอาจจำมาผิด

หัวคิ้วของเขาขยับนิดๆ แววตาเปลี่ยนไป ปลายนิ้วบนแก้มผมหยุดนิ่ง วินาทีที่คำถามจบลงไม่มีเสียงใดพ้นออกมาจากริมฝีปากหนา บรรยากาศเงียบเชียบจนน่ากลัว และผมกลัวว่าเขาจะโกรธที่ผมตั้งคำถามแบบนั้นกับเขา

นานกว่าที่คำพูดของคุณยะจะถูกเปล่งออกมา

“ซันกับแซนบอก ?”

ผมพยักหน้า แล้วสัมผัสบนแก้มก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง อุณหภูมิบนแก้มก็ร้อนจัด บางทีน้ำแข็งก็อาจช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าคุณยะยังไม่หยุดเล่นแก้มของผม

“ถ้าใช่ล่ะ... เธอชอบไหม”

ใครจะไม่ชอบล่ะ มีใครบ้างไม่อยากเป็นคนพิเศษ... ผมตอบคำถามของคุณยะแค่เพียงในใจตัวเอง ส่วนที่ตอบออกไปก็แค่

“ครับ” ผมหลบสายตาของคุณยะอีกครั้ง หันหน้ามองออกไปนอนกระจกที่ท้องฟ้าแจ่มใส เมื่อใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมา ดวงตาสีราตรีเป็นประกายที่บ่งบอกถึงความพอใจบางอย่าง ขณะที่หัวใจผมเต้นแรงจนกลัวว่าจะเต้นเพลินจนหลุดออกมากองอยู่บนอก

ผมไม่อยากรู้ว่าความรู้สึกที่เต้นอยู่ในอกแปลว่าอะไร ไม่อยากค้นหาเพราะกลัวคำตอบที่จะทำให้ผมอับอายตัวเอง ทว่าผมก็อยากสัมผัสความรู้สึกนี้ตลอดไป

ในเวลานี้ห้องกว้างกำลังว่างเปล่าจากบทสนทนา ผมอยากผล็อยหลับไปเสียจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีกต่อไป มันก็คงยากเสียแล้ว

“พี หันมามองหน้าฉัน” เสียงทุ้มออกคำสั่ง ผมอยากต่อต้านแต่ไม่มีเหตุผลที่ผมจะทำอย่างนั้น เพราะคำสั่งไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าถูกบีบบังคับ ตรงข้ามมันนุ่มนวลราวกับว่าเจ้าของคำสั่งกำลังร้องขอ

“...” ผมหันกลับมามองหน้าเขา สบตาสีราตรีด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากค้นลึกลงไปกว่านั้น คำว่า ‘พิเศษ’ ของเขากำลังมีอิทธิพลกับผม

หลายอึดใจที่ผมกับเขาสบตากัน เดาไม่ถูกว่าเบื้องหลังสายตาของเขาที่มองผมนิ่งๆ นั้น กำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนคำถามที่ชวนให้หน่วยตาเบิกกว้างจะถูกเอ่ยออกมา

“จูบได้ไหม” น้ำเสียงนั้นมั่นคง แม้เอ่ยออกมาเพียงแผ่วเบาแต่กลับดังก้องไปทั่วทั้งห้องกว้าง ริมฝีปากของเขาแต้มรอยยิ้มหวานหลังเอ่ยจบ

“...” ผมแทบลืมหายใจ ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ยกเว้นแค่คนตรงหน้ากับคำถามที่ไม่ต่างจากคำขอ

จูบอย่างนั้นเหรอ ? ทำไมถึงอยากจูบผม เขาจะจูบผมทำไม ในเมื่อผมเป็น... ไม่ใช่สิ ผมไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกันกับทานตะวันและถิร

ความทรงจำในค่ำคืนหนึ่งที่สระว่ายน้ำกลางเรือนไทยวิ่งย้อนเข้ามา ผมกับคุณยะเคยจูบกันมาแล้ว ครั้งนั้นผมเคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง ‘ผิดปกติ’ และ ‘ผิดศีลธรรม’ แล้วตอนนี้ล่ะ มันยังเป็นเรื่องผิดปกติและผิดศีลธรรมอยู่ไหม

ผมไม่อยากหาคำตอบ ไม่อยากค้นหาคำตอบอะไรในตอนนี้ ผมหลบสายตาของคนตรงหน้าที่เหมือนจะมองต่ำลงมาที่ริมฝีปากด้วยการปิดเปลือกตาลง

เมื่อหลับตา ส่วนที่ต้องทำงานหนักแทนดวงตาเห็นจะเป็นประสาทหู ที่ผมต้องจับเสียงความเงียบเชียบที่โอบล้อมรอบตัว ไร้เสียงทุ้มของคุณยะ แต่กลับสัมผัสได้ถึงร่างกายของอีกฝ่ายที่เคลื่อนไหวใกล้เข้ามา จากนั้นก็คือลมหายใจที่ไต่ลดลงมา ใกล้เข้ามา จนผมจินตนาการออกว่าใบหน้าหล่อเหลาที่ติดจะร้ายกาจกับผมเสมอได้โน้มต่ำลงมาหาผมขนาดไหนแล้ว วินาทีนั้นผมกลั้นใจลืมตาขึ้นมามองความใกล้ที่คิดไว้ แต่กลับพบว่าใบหน้าของคุณยะอยู่ใกล้ใบหน้าของผมมากกว่าที่คิดเสียอีก ใกล้เสียจนผมไม่กล้าหายใจ เผลอกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพราะกลัวจะสูญเสียมันให้กับคนตรงหน้า

ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณยะจะเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากขนาดนี้ ทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าที่ดวงตาผมมองเห็น มันหวานไปหมด ยิ้มหวานของคุณยะหวานมาก ดวงตาก็หวานเชื่อม พานทำให้อุณหภูมิบนใบหน้าผมยิ่งร้อนจัด ยิ่งระอุยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวเมื่อคำพูดแผ่วเบาของคุณยะที่เอ่ยออกมาราวกับเสียงกระซิบหวาน

“หลับตานะครับ... เด็กดี”

แล้วผมก็เชื่อฟังอย่างว่าง่าย แม้อยากจะมองดวงตาสีราตรีแสนหวานนั้นและรอยยิ้มบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ในแบบของชายหนุ่ม ผมปิดเปลือกตาลงอย่างรอคอยบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่ผมรู้ดีว่ามันคืออะไร ผมกำลังเต็มใจ ยินยอมตามคำขอก่อนหน้านี้

...ผมยอมอย่างเต็มใจที่จะให้คุณยะจูบ

ความอุ่นร้อนที่ผมรอคอยเริ่มต้นบนหน้าผาก สัมผัสนั้นอ่อนโยนแบบที่ทำให้ร่างกายของผมเหมือนจะละลายไปเสียให้ได้ เพียงไม่นานสัมผัสต่อมาก็เกิดขึ้นที่ปลายจมูกอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม จนกระทั่งสัมผัสสุดท้ายบนริมฝีปากของผม ความอุ่นนุ่มที่แนบชิดลงมาทำเอาหัวใจผมเต้นโครมคราม ก้อนเนื้อก้อนเล็กเท่ากำมือกำลังทำงานหนักที่สุดในชีวิต

มันหวานไปหมด

หวานที่ริมฝีปาก

หวานที่หัวใจ

หวานทั้งคำพูดที่คุณยะเอ่ยออกมาหลังจากผละริมฝีปากจากไป คุณยะไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาภายในอย่างค่ำคืนนั้น เขาเพียงแค่บดเบียดและกัดชิมริมฝีปากของผม
   
“ลืมตาได้แล้วเด็กดี”


.


.


.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 10 (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-10-2018 19:11:29

งื้อ... บอกตามตรงว่าไม่อยากลืมตาขึ้นมาเลย ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่กล้าลืมตามากกว่า เพราะกลัวว่าพอสบตาเจ้าของคำสั่งที่นุ่มนวลนั้นแล้ว แก้มผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ผมก็เชื่อฟังคำสั่งของคุณยะอย่างว่าง่ายอีกแล้ว เพราะผมชอบเขาที่เป็นแบบนี้

...คุณยะที่พูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

...คุณยะที่ให้ความสำคัญกับผมกว่าแต่ก่อน

...คุณยะที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงและมีความสุขที่สุด

...คุณยะที่ทำให้ให้โลกของผมในเวลานี้เป็นสีชมพูสดใส

ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็ไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เห็น ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มหวาน ดวงตาสีราตรีหวานเชื่อมชวนละลาย ทุกอย่างรอบตัวผมเป็นบรรยากาศที่หวานเหลือเกิน หวานหอมและสวยงามอย่างที่สุด ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก บอกไม่ถูกเลยว่าผมควรทำตัวอย่างไร ไม่กล้าถามอย่างที่หัวใจร่ำร้องอยู่ลึกๆ ว่า... ทำไมถึงจูบผม

“อยากถามอะไรไหม” คุณยะเปิดโอกาสให้ผมได้ถาม เพียงแต่ผมไม่กล้าถามหรอก ไม่ได้กลัวคำตอบเลย แต่กลัวหัวใจตัวเองจะติดปีกและโบยบินไปไกลกว่านี้

“...” ผมส่ายหน้า ส่วนคุณยะยิ้มอ่อนโยนกว่าครั้งไหน ยิ่งทำให้กลิ่นของความสุขหอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง 

“ทุกอย่างที่ฉันทำ... เหตุผลเพราะเธอคือคนพิเศษ”

ผีเสื้อกำลังกางปีก ผมกำลังจะโบยบินไปกับคำพูดของคุณยะ ผมเคยคิดเสมอว่าผมเป็นเด็กที่ยังไม่โต มาตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว โตพอที่จะเข้าใจสิ่งที่คุณยะพูด เข้าใจสายตา การกระทำ จูบที่เกิดขึ้น และทำไมผมถึงยินยอมให้คุณยะจูบด้วยความเต็มใจอย่างที่สุด

‘คนพิเศษ’

ผมชอบคำนี้จริงๆ นะ

คำว่า ‘เด็กดี’ ก็ด้วย

“เป็นเด็กดีของคุณยะนะ”

“ครับ”

ผมจะเป็น ‘เด็กดี’ ของคุณยะ

แต่ว่า...

การเป็นเด็กดีของผมก็ดูจะกินเวลาเพียงน้อยนิด สั้นเหลือเกินกับการเป็นเด็กดี แต่ยาวนานเกินไปสำหรับการเป็นเด็กโง่ที่หลงความจอมปลอมของผู้ใหญ่



“เย้ พ่อยะมาแล้ว”

ทานตะวันตะโกนเสียงดังลั่นห้องแทบจะกลบเสียงตัวการ์ตูนในจอโทรทัศน์จนมิด เจ้าตัวกระโดดโลดเต้นบนโซฟาหนังสีขาว เมื่อเสียงเคาะประตูหน้าห้องเพนต์เฮ้าส์ดังขึ้นตอนหกโมงเย็น ทีแรกผมก็คิดเหมือนเจ้าเด็กพุงกลมที่ร้องหิวได้ทั้งวัน ยกเว้นตอนหลับ แต่ก็สะดุดกับคำพูดของถิรที่เอ่ยตามมาติดๆ

“ไม่ใช่พ่อยะซะหน่อย”

“ต้องใช่สิ”

“พ่อยะไม่เคาะประตูหรอกนะซัน”   

จริงด้วย แค่แตะคีย์การ์ดก็เข้าห้องได้แล้ว

“งั้นใครล่ะ”

“แซนจะรู้ไหมล่ะ”

ผมปล่อยเด็กสองคนไว้ด้านหลัง แล้วเดินมาดูที่ตาแมวบนประตูแล้วก็เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างนอกห้องคือพนักงานสาวสองคนของห้องอาหารมะลิดา สงสัยจะเอาอาหารมื้อเย็นมาส่ง ผมเปิดประตูให้กับพี่สาวทั้งสอง

“สวัสดีค่ะ พี่เอาอาหารที่คุณยะสั่งไว้มาส่งค่ะ”

“ครับ” ผมขยับไปทางซ้าย เพื่อให้พี่สาวทั้งสองเข็นรถอาหารเข้ามาในห้อง ทั้งสองเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างคุ้นเคย คงเพราะขึ้นมาบ่อยแล้วมั้ง

“มีกุ้งไหมครับ” ตัวกินกุ้งวิ่งลงจากโซฟามาเกาะโต๊ะถามเสียงใสแจ๋ว ทานตะวันคงคุ้นเคยกับพนักงานทั้งสองเป็นอย่างดี

“มีค่ะน้องซัน” หนึ่งในสองก้มหน้าลงบอก พลางลูบศีรษะเล็กๆ ด้วยความเอ็นดู ทานตะวันเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นก็เอ็นดูครับ

“ตัวโตไหมครับ น้องซันอยากกินกุ้งตัวโตๆ” เจ้าตัวยืดตัวเต็มความสูงมองหาจานกุ้งที่ยังไม่ได้อยู่บนโต๊ะ พี่สาวคนเดิมเลยหยิบจานกุ้งออกมาจากรถเข็น ก่อนย่อตัวลงเล็กน้อยยื่นจานกุ้งเผาที่แกะเปลือกออกหมดแล้ว เหลือเพียงเนื้อกุ้งและหางสีส้มเล็กๆ ของมัน

“นี่ค่ะน้องซัน โตพอไหมคะ” น้ำเสียงเอ็นดูเอ่ยถาม

“โตครับ น้องซันกินเลยน้าาา” พอเห็นกุ้งก็ตาโต ปากเล็กขยับอ้อนในประโยคสุดท้าย พร้อมกับมือเล็กป้อมที่ยื่นไปยังจานกุ้งเผา หมายจะหยิบกุ้งตัวที่ดูโตที่สุดเข้าปาก ติดที่ว่ายังไม่ถึงตัวกุ้ง น้องชายฝาแฝดก็ดึงมือไว้เสียก่อน

“ซันต้องล้างมือก่อนกินสิ”

“รู้แล้ว” ยู่หน้าใส่น้องชายเสร็จ เจ้าตัวก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปในพื้นที่ของห้องครัว ผมมองตามเห็นทานตะวันลากบันไดพลาสติกที่มีสามขั้นจากมุมห้องมาจอดไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้าง ก่อนปีนขึ้นไปเปิดก๊อกน้ำ ขัดถูมืออยู่แค่ไม่กี่วินาทีก็วิ่งกลับมาที่โต๊ะกินข้าว พร้อมกับอ้าแขนให้ผมอุ้มขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับเด็ก

ผมอุ้มทานตะวันเสร็จก็หันไปอุ้มถิรต่อ อาหารบนโต๊ะถูกจัดเรียงไว้ครบทุกเมนู พนักงานของห้องอาหารกลับออกไปแล้วหนึ่งคน อีกหนึ่งคนเหมือนจะอยู่เพื่อบริการเจ้าของห้องตัวน้อยและรวมถึงผมด้วย เธอตักข้าวใส่จานให้ทั้งสองแฝดและเตรียมจะตักใส่จานให้ผมต่อ แต่ผมห้ามไว้ก่อน

“ยังไม่ต้องตักให้ผมก็ได้ครับ ผมขอลงไปตามคุณยะก่อน” ผมบอก ก่อนหมุนตัวเดินออกมาโต๊ะอาหาร จุดหมายของผมคือห้องทำงานบนชั้นสิบสามของพุฒิธาดา เพราะคุณยะบอกว่าตอนเย็นจะขึ้นมากินข้าวด้วย ผมเลยต้องไปตามเขา


“น้องพีคะ อย่าเข้าไป!”

ผมได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านหลังไกลๆ มุมไหนสักแห่งที่มองมาแล้วเห็นผม จำได้ว่าเป็นเสียงของเลขาฯ คนสวยของคุณยะ น้ำเสียงนั้นร้อนรนและไม่ต้องการให้ผมก้าวเข้าไปภายในห้อง ซึ่งก็ช้าเกินไป เมื่อผมเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องแล้ว

ไม่รู้เลยว่าการลืมมารยาทที่ดีว่าก่อนจะเข้าห้องของใครควรเคาะประตูขออนุญาตคนที่อยู่ด้านในเสียก่อน จะทำให้ตัวเองเปิดไปเจอภาพที่ทำให้ห้องหัวใจที่เต็มไปด้วยผีเสื้อปีกสวยโบยบินอยู่ในนั้น พลันปีกหักสลายและตกกระทบพื้นที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมเสียบแทงทะลุร่างกายบอบบางของมัน

...ของผมด้วย

บนโต๊ะทำงานหลังใหญ่มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งนอนทอดกายอยู่บนนั้น ในสภาพเนื้อตัวเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ห่อหุ้มปกปิดทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เรียวขาทั้งสองข้างถูกจับแยกออกจากกัน ข้างหนึ่งกางกว้างแนบไปกับโต๊ะสีเข้ม อีกข้างถูกท่อนแขนหนาช้อนอยู่ใต้ข้อพับ โดยที่มีร่างหนึ่งยืนแทรกอยู่ตรงกลาง ฝากฝังบางสิ่งเข้าไปในร่างกายของคนบนโต๊ะ ทำให้คนตัวเปลือยสั่นสะท้านไปทั้งร่างและครวญครางออกมาดังลั่นห้องเพราะสิ่งที่กระแทกกระทั้นเข้าออกภายในตัว ผสมไปกับเสียงคำรามทุ้มต่ำจากร่างกายหนาที่พลันหยุดลงไปเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมยืนอยู่ที่ประตูห้อง

ใบหน้าที่ผมคิดว่ามีเสน่ห์ชวนให้หัวใจละลาย คนที่บอกว่าผมเป็น ‘คนพิเศษ’ ของเขา คนที่ขอให้ผมเป็นเด็กดี คนที่จูบผมสัมผัสผม บัดนี้ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่ง เต็มไปด้วยอารมณ์ที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงที่สุด

วินาทีที่ผมสบตากับเจ้าของดวงตาสีราตรี ความรู้สึกสวยงามมากมายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันพังลงมาอย่างรวดเร็ว สลายไปในวินาทีนี้เลย

“น้องพีออกมาก่อนนะคะ” พี่หัทยาวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ข้างตัวผม ดูเธอไม่มีอาการตกใจกับภาพที่เห็น คงจะเห็นการกระทำแบบนี้ของเจ้านายตัวเองบ่อยแล้วมั้ง

มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เธอถึงตะโกนห้ามไม่ให้ผมเข้ามาในห้องเพียงแต่ไม่ทันเท่านั้นเอง

“ไปค่ะ” เธอบอกอีกครั้ง ก่อนคว้าแขนผมและดึงออกไปนอกห้อง

เวลานี้ทุกอย่างรอบตัวผมมันเงียบเชียบไปหมด มีแต่ความดำมืดที่โรยตัวลงมากลืนกินโลกสีชมพูของผมจนไม่เหลือแม้แต่ซาก ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมมันถึงเจ็บปวดขนาดนี้

“ไม่ร้องนะคะน้องพี” มือพี่หัทยาช่วยเช็ดน้ำตาบนแก้มผม ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองร้องไห้

“ฝากบอกเขาด้วยนะครับ ว่าผมกลับแล้ว” ผมบังคับตัวเองอย่างสุดพลังที่จะไม่ให้เสียงที่เปล่งออกมามันสั่น

“น้องพีอยู่รอคุยกับคุณยะก่อนนะ เดี๋ยวคุณยะก็...เอ่อ...ก็เสร็จธุระแล้ว”

ธุระ ?

สิ่งที่ผมเห็นคือธุระของเขาอย่างนั้นเหรอ อันที่จริงผมก็ไม่น่าลืมเลยว่าตัวตนของเขาเป็นคนแบบไหน ข่าวคาวมากมายของเขาอีกล่ะ 

“ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่มีธุระอะไรกับเขาอีกแล้ว” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่หัทยา แล้วผละออกมา เดินไปที่ลิฟต์อย่างเงียบๆ แต่ที่ไม่เงียบเลยคือเสียงกรีดร้องที่ดังยาวอยู่ภายในหัวใจที่พังยับเยิน

คำว่า... ‘คนพิเศษ’ คงแค่คำพูดหลอกเด็ก ส่วนเด็กคนนี้ก็โง่เหลือเกิน โง่ที่หลงดีใจและมีความสุขไปกับมัน ทั้งที่มันไม่มีจริงแม้แต่นิดเดียว!




จบตอนที่ 10

คุณยะฝากบอกมาว่า...
“วอนอย่าด่าเยอะสำนึกผิดไม่ทัน” 555+
คุณยะเป็นคนเลวค่ะ ชอบหลอกเด็ก ทำร้ายจิตใจเด็ก ตัณหากลับ
ฟัดไม่เลือก หื่นขึ้นสมอง ไอ้บ้ากาม ไม่มีอะไรดีเลย เลวมากกกกกก
พูดมาได้...เฮงซวย!
ไปตายซะ!!
อยู่ไปก็เปลืองอากาศหายใจ!!!
 :z6:
นี่ด่าแทนให้แล้วน้า จะด่าเพิ่มก็ได้ค่ะ
คนเขียนจะเก็บเอาไว้ให้น้องพีเอาไปด่าซ้ำอีกรอบค่ะ
แจ้งอีกนิดว่า
คนเขียนเปลี่ยน “ไตรธาดา” เป็น “ตรัยธาดา” นะคะ
เพราะไตรธาดาเช็กแล้วมีในทะเบียนราษฎรค่ะ T^T

สีเหลืองอ่อน
ปล. ดีใจมากๆๆ ที่มีคอมเม้นท์ ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งยะพีไปไหนนะคะ ^_^
เพราะมันเป็นพลังในการปั่นงานได้เสมอ
เรื่องนี้ถึงจะเรื่อยๆ ไม่พีคสักเท่าไร
แต่คนเขียนก็ทุ่มเทเขียนสุดความสามารถ
กว่าจะปั่นมาได้แต่ละตอน กระอักเลือดมาก บอกเลย แต่ก็ยังไหว สู้ๆ
สปีคการปั่นของคนเขียนช้าหน่อยนะคะ แต่จะพยายามให้เร็วกว่านี้ ^_^
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
ปล.2 เจอคำผิด คำหลุด คำขาดตรงไหน ช่วยบอกคนเขียนด้วยน้า
จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งเลยค่า
^_^

   

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 10 (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 17-10-2018 20:55:06
องค์ประกอบดีงามไปหมด เราชอบมากกกกก สนุก /// คนเฬว! หลอกน้อง ฮรือออ แล้วน้องจะไปพึ่งใครที่ไหนตัวแค่นี้  :hao5:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 10 (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-10-2018 22:34:55
 :z6: :z6:
ปาสติกเกอร์ใส่คุณยะรัวๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 10 (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-10-2018 03:49:24
หน่วงจิตหน่วงใจ ศีลธรรมจรรยา บาปบุณลอยเต็มหน้ากระดาษเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 10 (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-10-2018 14:14:27
ไปทำที่อื่นไม่ได้เหรอ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 10 (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-10-2018 07:26:02
อยากด่าแต่ไม่รู้จะด่าอะไรดีไรท์เล่นด่าให้แล้วแบบนี้งั้นส่งสติ๊กเกอร์รัว ๆ ให้แล้วกัน :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 11 (21-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 21-10-2018 20:00:45
ตอนที่ 11


หลังจากวันที่ผมเปิดประตูเข้าไปเห็นความน่าขยะแขยงบนโต๊ะทำงานของผู้ชายคนนั้น วันเวลาก็ผ่านมาแล้วเกือบสองเดือนที่ผมไม่แม้แต่จะเห็นเงาของอีกฝ่าย ไม่ต่างจากทานตะวันกับถิรที่ไม่ได้เจอหน้าพ่อของพวกเขาเหมือนกัน คุณย่าบอกว่าเขางานยุ่งมาก ต้องบินไปต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องของสองแฝด (หลังวันที่เขาติด ‘ธุระ’ บนโต๊ะนั่นแหละก็บินไปเลย) กลับจากต่างประเทศก็ต้องไปดูงานก่อสร้างโรงแรมที่พัทยาต่อ แถมยังวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องฟ้องร้องหนึ่งในกรรมการบริหารโรงแรมกรณียักยอกทรัพย์ของบริษัทที่สร้างความเสียหายกว่าร้อยล้านบาทในช่วงที่คุณทวดยังมีชีวิต

จนกระทั่งวันนี้ที่ท้องฟ้าด้านบนเหนือสระว่ายน้ำกลางชานเรือนไทยหลังงามเป็นสีดำเข้ม เรือนหลังที่มีเพียงผมคนเดียวอาศัยอยู่ แม้พักหลังๆ สองเด็กแฝดจะหอบเอาความวุ่นวายและเสียงหนวกหู (ตัววุ่นวายที่สุดหนีไม่พ้นเด็กพุงกลมครับ) มานอนบนเตียงเดียวกับผมก็ตาม แต่ก็ไม่ทุกคืน อย่างคืนนี้ทานตะวันกับถิรก็ไม่ได้มานอนที่นี่ เวลานี้เลยมีผมดำผุดดำว่ายอยู่กลางสายน้ำเย็นชืดในสระว่ายน้ำเพียงคนเดียว

ผมชอบว่ายน้ำตอนกลางคืน มันให้ทั้งความสดชื่น ฉ่ำเย็น และสบายตัวอย่างที่สุด ไม่เหมือนตอนกลางวันที่แดดแรงจัดจนเหมือนตัวจะไหม้เสียให้ได้ ถึงตัวเรือนจะแวดล้อมด้วยร่มเงาของต้นไม้สูงใหญ่ก็ตามแต่ว่ายน้ำตอนกลางคืนดีกว่ากันเยอะ ที่สำคัญเลยคือมันสงบมาก... มาเสียจนผมอยากอยู่กับความเงียบสงบแบบนี้ไปตลอดชีวิต

แต่คืนนี้... เจ้าของบ้านตัวจริงก็กลับมา

ท่ามกลางแสงอ่อนจากโคมไฟสีนวลตาและแสงจากจันทร์เต็มดวง ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าที่เห็นได้ชัดโดยไม่ต้องเพ่งสายตาแม้แต่น้อย เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีครามที่ชายเสื้อไม่ได้อยู่ในขอบกางเกงสแลกค์ แขนเสื้อพับขึ้นไปกองที่ข้อศอก บนต้นคอหนาไม่ได้ผูกเนกไทและปลดกระดุมหลายเม็ดจนเห็นผิวเนื้อสีแทน

ถ้าเป็นตอนก่อนที่ผมจะเปิดประตูไปเจอ ‘ธุระ’ น่าขยะแขยงของเขากับผู้ชายคนหนึ่งบนโต๊ะในห้องทำงาน ผมคงมีความรู้สึกเป็นห่วงเขาพอสมควร คงอยากจะโตไวๆ เรียนให้จบเร็วๆ เพื่อจะได้เอาความรู้ทั้งหมดที่มีไปช่วยแบ่งเบาภาระที่สูงเสียดฟ้าของเจ้าของพุฒิธาดา แต่ตอนนี้ผมกลับมาฉลาดอีกครั้ง ความรู้สึกชั่ววูบสลายไปจนหมดสิ้น ผมจะไม่เอาความรู้ที่แลกมาด้วยความขยันและอดทนของตัวเองไปช่วยคนแบบเขาเด็ดขาด หลังจากเรียนจบผมจะเอาชีวิตของตัวเองออกไปให้ไกลจากเขามากที่สุด และอนาคตผมก็จะเป็นหมอ จะหมอฟัน หมอสัตว์ หมอรักษาคน หรือหมออะไรก็ได้ตามความฝันเดิมของตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้าเขาทุกวัน เพราะวันนี้ไม่มีเด็กโง่ที่หลงเชื่อคำพูดไม่กี่คำของคนคนนี้อีกต่อไป

สิ่งที่เขาทำกับผมถึงสองครั้ง ครั้งแรกที่ใช้กำลังบังคับจูบผมในสระว่ายน้ำ ครั้งที่สองที่หลอกล่อผมด้วยคำพูดหวานจับหัวใจจนผมยอมให้เขาจูบอย่างเต็มใจ ทั้งหมดที่เขาทำกับผมคือสิ่งเลวร้ายของผู้ใหญ่เลวๆ คนหนึ่งเท่านั้น ผู้ใหญ่ที่มากด้วยตัณหา รังแกแม้กระทั่งเด็กไม่มีทางสู้ ต่อไปนี้ผมจะระวังตัว ไม่หลงไปกับคำพูดหวานหูที่ข้างในคือยาพิษ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะถูกทำเหมือนผู้ชายที่นอนอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานของเขาเข้าสักวัน

ผมไม่น่าลืมเลยว่าเขาเป็นคนแบบไหน เขาคบหาผู้หญิงมาตั้งกี่คน มีข่าวเลิกรานับครั้งไม่ถ้วน ใช้ผู้หญิงเปลืองยิ่งกว่าเสื้อผ้า ส่วนรสนิยมชอบผู้ชายของเขา ผมไม่ได้ตกใจเท่าไรหรอก ความตกใจมันไปกองอยู่ตรงวันแรกที่เขาปล้ำจูบผมแล้วล่ะ การที่เขากล้าจูบผมที่เป็นเด็กผู้ชายแสดงว่าเขาเคยจูบกับผู้ชายมาก่อนแล้วแน่ๆ ดังนั้นภาพที่ผมเห็นในห้องทำงานของเขา มันจึงไม่ใช่อาการของคนตกใจ แต่เป็นความรู้สึกผิดหวังในความโง่ของตัวเอง ผมใจง่ายเกินไป แค่เขาทำดีด้วยหน่อยเดียว มอบคำน่าฟังให้ไม่กี่คำ ก็หลงเข้าใจว่าผมคือคนพิเศษจริงๆ

‘พิเศษ’ ที่ไม่ได้หมายความว่า ‘มากกว่า’ ในความหมายที่ถิรเข้าใจ และไม่ได้แปลว่า ‘แตกต่าง’ ตามที่ผมหลงเข้าใจผิดไปเอง

คำว่าพิเศษที่ออกมาจากปากของเขา มันไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก ก็แค่คำหลอกลวงให้หลงเชื่อ พอผมเชื่อ จุดจบผมก็คงไม่ต่างจากผู้ชายคนนั้น เป็นหนึ่งในจำนวน ‘ธุระ’ ชั่วครู่ชั่วยามของคนบ้ากาม มากตัณหา แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงมายุ่งกับผม คนอย่างเขาจะหาใครมากอดมาจูบด้วยก็ได้ ไม่จำเป็นเลยที่ต้องเป็นผม

แต่ต่อให้ไม่เข้าใจอย่างไร ผมก็ยังต้องเผชิญหน้ากับเขาอยู่ดี ตราบใดที่ผมยังต้องอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะลูกชายคนโตของเขา สถานะจอมปลอมที่ผมไม่กล้าบอกทุกคนในตรัยธาดาว่า ผมรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว เพียงเพราะผมไม่อยากยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับทุกคน ผมกลัวตัวเองจะแตกต่างจนไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป

“ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน” พอเดินเข้ามาใกล้ เขาก็เปิดปากถามทันที น้ำเสียงเข้มจัดบ่งบอกว่ากำลังตำหนิสิ่งที่ผมทำ เพราะตอนนี้ดึกมากแล้ว ตอนที่ผมเปลี่ยนจากชุดนอนมาเป็นกางเกงว่ายน้ำก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ให้เดาเวลาคร่าวๆ ตอนนี้ก็น่าจะห้าทุ่มกว่า

พอนอนไม่หลับ หรือไม่รู้จะทำอะไร เบื่ออ่านการ์ตูน ไม่อยากอ่านหนังสือ ผมก็จะมาดำผุดดำว่ายอยู่ในสระประจำ มีสิ่งเดียวนี่แหละที่ผมนึกอยากขอบคุณเจ้าของเรือนไทยอย่างเขา ที่ทำให้เรือนหลังนี้มีสระว่ายน้ำอยู่กลางชานเรือน

“เรื่องของผม” ผมตอบเสียงห้วน ไม่เหลือความเคารพในตัวเจ้าของคำถาม เพราะเขาทำให้ผมหมดความเคารพในตัวเขาตั้งแต่วันนั้น

“ขึ้นจากสระได้แล้วพี” เสียงเข้มจัดยังตามหลังผมมา เมื่อผมแหวกว่ายไปในสายน้ำเย็นชืดเพื่อหนีเขาไปอีกฝั่ง

ถ้าเขาจะไม่ออกคำสั่ง ถ้าเพียงแต่เขาเดินผ่านผมไป ผมก็คงจะปีนขึ้นจากสระในอีกไม่กี่นาทีจากนี้ เพราะพอเห็นหน้าเขา ผมก็หมดอารมณ์ดื่มด่ำกับสายน้ำกลางแสงนวลของจันทร์เต็มดวง แต่เพราะเขาไม่ผ่านผมไป เพราะเขาออกคำสั่ง ตำหนิสิ่งที่ผมทำ นั่นทำให้ผมยิ่งอยากทำให้เขาเห็นว่า... ผมไม่ใช่ ‘เด็กดี’ ของเขา

...ไม่มีทางเป็นเด็กดีของเขาแม้แต่วินาทีเดียว

“อย่าให้ฉันต้องลงไปลากตัวเธอขึ้นมานะพี” เขาขู่ตามมาอีก ไม่เหลือร่องรอยอ่อนหวานของคำพูดในวันนั้นที่ห้องเพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสามแม้แต่น้อย “ขึ้นมา!”

“คนเลวๆ มันก็ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

สำหรับผม... เวลานี้เขาคือคนเลวอย่างที่สุด ยิ่งเขาขู่ก็ยิ่งทำให้ผมต่อต้านยิ่งขึ้น นอกจากจะไม่เชื่อแล้ว ผมยังท้าทายเขาด้วยการพุ่งตัวดิ่งลงไปใต้ผิวน้ำ กลั้นหายใจอยู่ก้นสระด้วยความรู้สึกสะใจอย่างที่สุด

ครั้งนี้เขาไม่กระโดดลงมาเพราะรู้ว่าผมไม่ได้จะฆ่าตัวตาย ผมกลั้นหายใจจนไม่ไหวแล้วถึงได้ทะยานตัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำ หอบเอาอากาศเข้าไปในปอดก่อนที่จะขาดอากาศหายใจไปจริงๆ

เขายังยืนกอดอกอยู่ที่เดิม ตามมาด้วยคำพูดแบบเดิม

“จะขึ้นไหมพี”

“...” ผมไม่ตอบ แต่ความเงียบและการหันกลับไปดำดิ่งลงใต้ผิวน้ำอีกครั้งก็เป็นคำตอบที่ผมตะโกนใส่หน้าเขา

ผมดำลงไปก้นสระ ทิ้งตัวอยู่ตรงนั้นจนกลั้นหายใจไม่ไหวก็โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำเพื่อหายใจ แล้วก็กลั้นหายใจดำลงไปอีก แล้วก็โผล่ขึ้นมาหายใจต่อ ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งจนเหนื่อยและรู้สึกถึงความหนาวสั่นของร่างกายที่แช่อยู่ในน้ำนานเกิน แต่ทุกครั้งที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เขาก็ยังอยู่ที่เดิม กอดอกยืนมองทุกการเคลื่อนไหวของผม

“ประชดฉันพอหรือยัง พอแล้วก็ขึ้นมา” น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังข่มความโกรธเอาไว้ ไม่ให้ระเบิดออกมาเป็นเสียงตะคอกในความเงียบเชียบของราตรี

“คุณมีอะไรให้ผมต้องประชด” ผมพิงแผ่นหลังไว้กับขอบสระที่อยู่ไกลจากเขามากที่สุด จ้องหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัวอารมณ์ร้อนๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่าย

“ที่ทำอยู่นี่ไม่ประชดเลยงั้นสิ”

“ผมไม่ได้ประชด” แค่ไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่อยากเชื่อฟังคำที่พูดออกมาจากปากเขา

“ไม่ได้ประชดก็ขึ้นมา” เขาผ่อนน้ำเสียงลง เหมือนเบื่อหน่ายสิ่งที่ผมทำ “ฉันไม่มีเวลามาเฝ้าเธอทั้งคืนนะพี”

“ใครใช้ให้คุณมาเฝ้าผม ไม่ได้ขอสักหน่อย จะไปไหนก็ไป”

“จะขึ้นไหม” 

“ไม่ขึ้น” ตัวผมสั่นไปหมดแล้วเนี่ย ไม่ได้กลัวสายตาที่เตรียมพร้อมจะกระโดดลงมาลากตัวผมขึ้นจากสระหรอกนะ ที่สั่นเพราะผมหนาวต่างหาก ก็ผมอยู่ในน้ำนานกว่าชั่วโมงกว่าแล้วนะ อีกนิดก็จะสองชั่วโมงแล้วมั้ง

“อย่าให้ฉันต้องให้คนมารื้อไอ้สระบ้าๆ นี่ทิ้ง”

“อย่ามาพาลนะ ผมไม่ยอมให้คุณรื้อมันหรอก” เขาจะมารื้อสถานที่โปรดของผมได้ยังไง ถึงเขาจะมีสิทธิ์เพราะเป็นเจ้าของเรือนก็เถอะ ไอเดียสระว่ายน้ำก็เป็นของเขา อันที่จริงทุกซอกทุกมุม ทุกตัวเรือนเครื่องสับก็มาจากความต้องการของเขาทั้งนั้น แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาทำลายสิ่งที่เป็นความสุขของผม

“ไม่อยากให้ฉันรื้อก็ขึ้นมา”

“ไม่...ขึ้น” เสียงผมเริ่มสั่นมากขึ้นตามความหนาวเย็นที่แทรกผ่านเนื้อหนังเข้ามาภายในร่างกาย ตอนนี้อยากได้ผ้าอุ่นๆ สักผืนมาห่อตัวมาก ติดที่ว่าผ้าผืนนั้นที่ผมหยิบออกมาจากห้องนอนด้วยก็ดันวางอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ เขาเสียด้วย

“เลิกดื้อแล้วขึ้นมา หนาวจนเสียงสั่นแล้วเห็นไหม”

“เรื่องของผม จะหนาวตายคาสระก็เรื่องของผม” นิสัยผมเป็นเด็กดื้ออยู่แล้ว ยิ่งบังคับผมก็ยิ่งดื้อ “คุณจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมายุ่งกับผม” ถ้าเขาไปจากตรงนี้ตั้งแต่แรก ปานนี้ผมก็ขึ้นจากสระเข้าห้องนอนนานแล้ว ความผิดเขานั่นแหละที่เซ้าซี้กับผมอยู่ได้

“ฉันจะไม่ยุ่งกับเธอเลยพี ถ้าเธอไม่อยู่ในความรับผิดชอบของฉัน ใช้เงินที่ฉันหามา ฉะนั้นอย่าอวดดีกับฉัน แล้วก็ขึ้นมา”

สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงที่ผมเถียงไม่ออก ผมเอาชนะความจริงข้อนี้ไม่ได้เลย แต่ผมก็อยากจะเอาชนะบ้างแม้ไม่เห็นทางชนะก็ตาม

“คุณก็เก่งแต่เอาเรื่องนี้มาขู่ผม แต่ขอโทษเถอะครับ คนที่เลี้ยงผมมาไม่ใช่คุณ เงินที่ผมใช้ก็ของคุณปู่คุณย่า ไม่ใช่เงินของคุณสักหน่อย”

คิดว่าคำพูดของผมเอาชนะเขาได้ไหม

ตอบเลยว่าไม่!

เพราะเขามีความจริงอีกแบบหนึ่งมาหักล้างผมอีกจนได้

“เข้าใจผิดไปนะพี” เขายิ้มเยาะความไม่รู้อะไรของผมอีกแล้ว ปลายรองเท้าหนังวาววับก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขามายืนค้ำอยู่เหนือศีรษะผม ให้ผมต้องแหงนหน้าขึ้นมอง “ฉันจะช่วยให้เธอเข้าใจอะไรมากขึ้น จะได้สำนึกบุญคุณฉันให้มากกว่านี้ ...เงินที่ทำให้เธอโตขึ้นมาได้ถึงทุกวันนี้ มันเงินของฉัน”

“ผมไม่เชื่อหรอก ไม่ต้องมาโกหก” เขาต้องโกหกแน่ๆ เด็กอายุสิบหกอย่างเขาในวันนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงดูผม ถ้าไม่ใช่เงินของพ่อแม่

ตอนผมเกิด เขาก็เพิ่งอายุพ้นสิบหกได้ไม่กี่เดือน ตอนที่ผมยังเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นลูกเขา ผมเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กใจแตกที่ทำแม่ผมท้องตั้งแต่เด็ก

“อย่าเถียงในสิ่งที่เธอไม่รู้ความจริง” แล้วเขาก็ย่อตัวลงมา ลดระยะห่างระหว่างสายตาผมกับเขาให้เหลือน้อยลง “ถ้าเธอคิดว่าที่ฉันพูดไม่ใช่ความจริง พรุ่งนี้ก็ไปถามแม่ฉันนะ ว่าที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงไหม รู้ความจริงแล้วก็อย่าลืมสำนึกบุญคุณของฉันล่ะ ฉันจะได้ไม่เสียดายเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปกับเด็กอย่างเธอ”

“...” ผมไม่มีวันที่จะเอาชนะความจริงได้เลยสักทาง  ผมเจ็บไปกับความจริง และยิ่งผมเจ็บปวดก็เหมือนว่าคนตรงหน้ายิ่งชอบใจ มีความสุขกับความเจ็บปวดของเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

“จำไว้พี” เขาตอกย้ำความจริงลงมาอีก “ไม่มีฉัน แม้แต่โอกาสหายใจ... เธอก็จะไม่มี สำนึกบุญคุณฉันไว้บ้างนะ” รอยยิ้มเยาะเย้ยของเขา ไม่ต่างจากคำพูดดูถูกชีวิตที่ไม่มีใครต้องการของผม

ถ้าผมรู้ว่าเกิดมามีลมหายใจได้เพราะเขา ผมก็ไม่อยากเกิดมาให้เขาเอาสิ่งที่ผมเลือกไม่ได้มาตอกย้ำอยู่ตลอดเวลาหรอก

“คุณก็แค่ให้โอกาสที่ผมไม่ได้เลือก แต่ไม่เคยให้สิ่งที่ผมอยากได้จากคุณเลย”

“เธออยากได้อะไรล่ะพี” ถามเหมือนไม่รู้ว่าที่ผ่านมาผมต้องการอะไรจากเขา

“ความเป็นพ่อจากคุณไง”

“...” แววตาเขาวูบไหวไปกับความต้องการในอดีตของผม แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ต้องการมันอีกแล้ว ต่อให้เขาเอามันมากองไว้ตรงหน้าผม ผมก็จะทำลายมัน เผามันทิ้งไม่ให้เหลือแม้แต่ขี้เถ้า

“หึ ช่างมันเถอะ ยังไงตอนนี้ผมก็ไม่อยากได้มัน” ผมไม่รู้สึกอยากได้ความรักของพ่อจากเขาอีกต่อไป “เพราะคุณไม่ใช่พ่อผม และผมก็ไม่อยากมีพ่อเลวๆ แบบคุณ” ผมจบคำพูดด้วยการปีนขึ้นจากสระ


.


.


.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 11 (21-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 21-10-2018 20:04:35
.


.


.



ผมเดินผ่านหน้าเขาที่ค่อยๆ ยืดตัวยืนเต็มความสูง ตอนนี้ผมอยากใส่เสื้อผ้าหนาๆ ที่สุด ตัวผมจะได้อุ่นสบาย เพราะผมหนาวมาก ยิ่งขึ้นมาจากน้ำแล้วโดนลมกลางคืนก็ยิ่งหนาวกว่าการแช่อยู่ในน้ำอีกเป็นเท่าตัว แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวมือหนาของเขาก็คว้าแขนของผมเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน” เขาดึงตัวผมให้หันกลับไป

“มีอะไร จะทวงบุญอะไรผมอีกหรือไง”

“สิ่งที่เธออยากได้...” เขามองเข้ามาในตาผม “...ฉันให้เธอไม่ได้”

“ผมรู้แล้ว ถึงบอกไงว่าตอนนี้ไม่อยากได้แล้ว” ความรู้สึกของผมมันเจ็บปวดไปหมด “แต่คุณก็จำไว้เหมือนกันนะ ว่าสิ่งที่คุณทำกับผม มันก็ไม่ต่างจากการที่พ่อแม่อยากฆ่าผมให้ตายหรอก เพราะคุณแค่ช่วยผมให้รอดออกมาหายใจ เพื่อที่คุณจะได้ฆ่าผมด้วยมือของคุณเอง”

“อย่าเอาฉันไปเปรียบกับพ่อเลวๆ ของเธอ” น้ำเสียงเขาไม่พอใจขึ้นมาทันที

“งั้นก็พาผมไปเจอเขาสิครับ ผมจะได้รู้ว่าจริงๆ เขาหรือคุณที่เลวกว่ากัน” ผมเอ่ยท้า เผื่อว่าเขาจะหลงกลยอมพาผมไปเจอพอตัวจริงของผม

“คิดว่าฉันโง่หรือไง” แต่เขาก็รู้ทัน

“ใช่ คุณมันโง่ ถ้าฉลาดกว่านี้คุณควรจะเอาผมไปคืนเขา จะเลี้ยงผมไว้ทำไมให้เปลืองเงินคุณ”

“ฉันบอกแล้วว่าเขาไม่ต้องการเธอ”

“ผมจะเชื่อคำพูดของคนแบบคุณได้ยังไง บางทีพ่อของผมอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีผมอยู่ตรงนี้” ผมเคยคิดว่าพ่อที่แท้จริงของผม อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีผมเป็นลูก เพราะผู้หญิงที่อุ้มท้องผมมาไม่ยอมบอกว่าเธอท้องกับเขา และคนตรงหน้าก็ช่วยปกปิดการมีอยู่ของผมไม่ให้เขาคนนั้นรู้

“หึ...” เขาทำเสียงเยาะเย้ยความคิดของผม ก่อนริมฝีปากแสนร้ายกาจของเขาจะขยับเอ่ยความจริงออกมาบดขยี้หัวใจผมซ้ำอีก ความจริงที่ผมควรจะจำเอาไว้จนวันตาย “การที่เขาสั่งให้แม่เธอไปทำแท้ง คิดหรือว่าเขาอยากจะให้เธอมีตัวตนอยู่ในชีวิตของเขา”

การไม่มีผมอยู่ในชีวิต... มันดีกว่าใช่ไหม ?

บางทีการที่ผมตายก่อนที่จะคลอดออกมา มันคงดีกว่าการมายืนรับรู้ความจริงก็ได้นะ

“งั้นผมก็จะถือว่าคุณไม่ได้มีบุญคุณกับผมสักนิดเดียว เพราะคุณยื่นจมูกเข้ามายุ่งกับชีวิตผมเอง ผมไม่ได้ขอ” เป็นเขาที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง มายุ่งกับชีวิตผมทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตายตั้งแต่ตอนนั้น ผมจะได้ไม่ต้องเกิดมามีชีวิตอย่างทุกวันนี้

“แล้วก็ปล่อยผมได้แล้ว” ผมสะบัดแขนเต็มแรง จนหลุดออกมาจากเขาได้ หันหลังเดินกลับไปยังทิศที่ตั้งของเรือนนอน แต่ยังเดินไปไม่ถึงก็ถูกดึงตัวไว้อีก พร้อมกับผ้าผืนหนาของผมที่พาดอยู่บนเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำที่คลุมลงมาบนตัว ช่วยกันลมเย็นของกลางคืนและเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายผมพอสมควร

“กินยาก่อน เดี๋ยวจะไม่สบาย” เขาบอก พร้อมกับลากผมไปยังห้องครัว

“ไม่! ผมไม่กิน” ผมฝืนตัวเอาไว้ไม่ให้เขาเอาตัวไปได้ เพราะอยากประชดความห่วงใยของเขา ทำร้ายจิตใจผมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไม่ต้องมาห่วงความเจ็บป่วยของผม เพราะสิ่งที่เขาทำกับผม คำพูดที่เขาพูดกับผม ความจริงที่เขาเอามาทุบตีความรู้สึกของผม มันเลวร้ายกว่าความเจ็บป่วยของร่างกายเป็นร้อยเท่าพันเท่า “ปล่อยให้ผมตายไปเลยดีกว่า จะได้สมใจคุณไง ปล่อยผม ปล่อยผมสิ ปล่อยๆ บอกให้ปล่อยไงเล่า!” ผมแทบจะทิ้งตัวลงไปกองกับพื้น ทั้งจิกทั้งข่วนท่อนแขนของเขา หวังให้เขาเจ็บจะได้ปล่อยผมไปซะที

“พี! อย่าดื้อ!” เขาหันกลับมาตะคอก ทำหน้าหงุดหงิดกับความดื้อของผมที่ไม่เป็นดังใจเขา ก่อนผ่อนเสียงลงอย่างอ่อนใจ “ดื้อให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหม วันนี้ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะมารบกับเธออีกนะ”

“เรื่องของผม!” เขาจะเหนื่อยจนตายไปต่อหน้าผม ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผม บอกผมว่าเหนื่อยเกินกว่าจะมารบกับผม แต่สุดท้ายเขาก็ลากเอาตัวผมไปจนได้ พอถึงก็หยิบกระปุกยาออกมาจากตู้ที่ติดอยู่กับฝาเรือน ใช้มือข้างเดียวที่ว่างอยู่นั่นแหละเปิดฝากระปุกเพราะมืออีกข้างจับข้อมือผมไว้ไม่ให้วิ่งหนีไปไหน

“กิน” ยาเม็ดเล็กยื่นมาตรงหน้า

“ไม่!” ผมสะบัดหน้าหนี หลังยืนยันความตั้งใจเดิม แต่ใช่ว่าผมจะไม่กินนะครับ ขอให้ผมเอาชนะเขาให้ได้ก่อน ตอนเขากลับเข้าห้องไปแล้ว ผมค่อยแอบออกมากินยา ถึงผมจะดื้อแต่ผมก็กลัวป่วย สภาพร่างกายตอนป่วยมันไม่น่าพิสมัยหรอก ลำบากสุดๆ

แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ผมชนะ ทันทีที่ผมหันหน้าหนี มือข้างที่จับแขนผมไว้ก็เลื่อนขึ้นมาจับใบหน้าผมให้หันกลับไปหาเขา ใช้กำลังที่มากกว่าดันแผ่นหลังผมไปติดกับฝาเรือน แล้วก็บีบแก้มข้างปากที่เม้มแน่นของผม ทั้งที่ผมเม้มปากไว้แน่นแล้วนะแต่ก็สู้แรงบีบของเขาไม่ได้ ผมเจ็บแก้มจนต้องอ้าปากออกในที่สุด แล้วยาเม็ดเล็กก็ถูกยัดเข้ามาในปากทันที ผมจะคายทิ้งก็ไม่ได้เมื่อมือข้างเดิมนั้นเปลี่ยนมากดปิดปากผมเอาไว้

ความขมของยาแผ่ซ่านในอุ้งปากเพราะผมไม่ยอมกลืนมันลงคอ ก่อนที่น้ำในขวดที่เขาใช้ความยาวของท่อนแขนเอื้อมไปเปิดตู้เย็นและหยิบออกมาด้วยความรวดเร็วจะจ่อเข้ามาที่ริมฝีปากผม อีกตามเคยที่ผมจะเม้มปากไว้แน่น ต่อต้านสิ่งที่เขาทำสุดฤทธิ์ ที่ผมต่อต้านเขาก็มีแค่เหตุผลเดียวคือจะทำให้เขารู้ว่าผมไม่ยอมเป็นเด็กดีของเขาเด็ดขาด

ผมจะดื้อให้ถึงที่สุด เอาให้เขารู้สึกโกรธตัวเองที่ปล่อยให้ผมเกิดมา และอยากส่งตัวผมคืนให้กับพ่อหรือแม่ของผมไปซะ!

แต่ก็อีกแล้ว ผมสู้แรงของผู้ใหญ่อย่างเขาไม่ได้เลย เขาบีบปากผมจนกลีบปากบนล่างแยกออกจากกัน จากนั้นน้ำในขวดก็ไหลเข้ามาในปาก เหมือนเขาจะชนะแต่ก็ไม่ เพราะทันทีที่เขาเอาขวดน้ำออกจากปากผม ผมก็คายทั้งน้ำทั้งยาลงพื้นทันที

ผมกับเขาจ้องตากัน เขาหัวเสีย แต่ผมชนะ

สะใจเป็นบ้าเลยให้ตายเถอะ!

“จะไม่กินดีๆ ใช่ไหม” เขาเค้นเสียงถามอย่างไม่สบอารมณ์กับชัยชนะแบบเด็กน้อยของผม

“ก็ผมบอกแล้วว่าไม่กิน... ก็คือไม่กิน” ผมเชิดหน้าบอก มองเขาที่เทยาเม็ดเล็กออกจากกระปุกอีกครั้ง “ยัดเข้ามาทั้งกระปุกก็ได้นะครับ ผมจะได้คายทิ้งทีเดียวเลย คุณจะได้ไม่เสียเวลาทั้งคืน” ผมท้าอย่างไม่เกรงกลัว

“อย่าท้าฉัน”

“ทำไม ? ผมท้าแล้วจะทำไม แน่จริงก็ทำอย่างที่ผมท้าสิ”

เขาไม่ได้ทำอย่างที่ผมท้าหรอก เขาแค่ทำเหมือนเดิม บีบปากผม ยัดยาเม็ดเล็กเข้ามา ตามด้วยน้ำ ครั้งนี้เขาปิดปากผมด้วยอุ้งมือใหญ่อยู่นาน บังคับให้ผมกลืนยาและน้ำลงไปในลำคอด้วยการจับใบหน้าผมให้เงยขึ้นสูง ผมดิ้นอยู่สักพัก และจังหวะที่ผมเกือบจะกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคอ ผมก็อาศัยวินาทีที่เขาคิดว่าเอาชนะเด็กอย่างผมได้ พ่นทั้งน้ำและยาใส่หน้าเขาทันที

ใบหน้าคมเข้มอาบรดไปด้วยน้ำและอาจรวมถึงน้ำลายของผมด้วย ส่วนยาเม็ดเล็กตกไปอยู่ใกล้ๆ ยาเม็ดแรกนั่นแหละ ผมโคตรสะใจตอนเห็นสีหน้าโกรธจัดของเขาที่แทบจะบีบคอผมให้ตายได้เลย

เอาสิ! อยากจะยัดยาอีกกี่เม็ดเข้ามาในปากผมก็เอาเลย ผมก็จะคายมันทิ้งทุกเม็ด แถมจะคายใส่หน้าเขาด้วย

“ได้พี... ได้” เขาพยักหน้าเหมือนอดกลั้นที่จะไม่เอื้อมมือมาหักคอผมทิ้ง พลางลูบน้ำออกจากใบหน้า  “ให้กินดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม อยากให้ฉันใช้วิธีอื่นใช่ไหม... ได้”

ผมแค่ยิ้มรับกับความโกรธที่อาบไล้บนใบหน้าคมเข้ม มองตามมือหนาที่เอาเม็ดยาออกมาจากกระปุกเป็นเม็ดที่สาม ครั้งนี้เขาไม่ได้ยัดมันเข้ามาในปากผม แต่เอาเข้าปากตัวเองแทน ตามด้วยน้ำ ลูกตาสีราตรีเป็นประกายแปลกประหลาด รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างไรบอกไม่ถูก จนกระทั่งเขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ นาทีนั้นผมก็นึกถึงเหตุการณ์ที่จะตามมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่เร็วพอที่จะผลักเขาออกไปได้

“จะ...จะ...ทำอะไร...ผะ...อื้อออ...” ผมถูกริมฝีปากของคนตรงหน้าบดเบียดลงมาในจังหวะที่อ้าปากถาม ส่งผ่านทั้งเม็ดยาและน้ำไหลเข้ามาในปากผม

สุดท้ายผมก็ไร้ทางหนี ได้แต่กลืนทั้งน้ำและยาลงไปในลำคออย่างผู้แพ้ ผมกลืนยาไปแล้ว และมันก็ควรจบแค่ที่เขาทำให้ผมกินยาได้สำเร็จ ทว่ามือทั้งสองข้างของคนตัวสูงใหญ่ยังคงแช่ค้างอยู่ที่เดิม

...บนเอวผม


...บนท้ายทอยผม

และริมฝีปากอุ่นจัดก็ยังแนบแน่นบนกลีบปากผม ไม่พอแค่นั้น เพราะลิ้นของเขายังเข้ามาในปากผม กวาดต้อนสติของผมให้หลุดลอยออกไปทีละน้อย จากมือที่ยันแผ่นอกเขาไว้ก็เริ่มหมดแรงที่จะต่อต้าน

ค่ำคืนนี้ไม่เหมือนค่ำคืนนั้นในสระว่ายน้ำ ครั้งนี้ไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ชวนมึนงง ทว่ารสชาติหลังกลีบปากของผมกลับร้อนแรงมากกว่า ลิ้นร้ายกาจได้กวาดต้อนความรู้สึกผมให้จนมุม บีบบังคับให้หลงไปกับสิ่งที่เกาะเกี่ยวอยู่ภายใน ลิ้นของผมสัมผัสกับลิ้นของอีกฝ่าย สิ่งที่ผมควรรังเกียจกลับหอมหวาน

ทั้งที่ไม่อยากหมดลมหายใจ ผมก็ยังหวงแหนบางสิ่งที่ทำให้ผมแทบขาดอากาศหายใจ ไม่รู้ตัวเลยว่าสองมือยกขึ้นคล้องต้นคอหนาตั้งแต่เมื่อไร คล้ายจะเหนี่ยวรั้งไม่ให้ถูกทอดทิ้งเอาไว้กลางทาง ผ้าผืนหนาที่ห่มคลุมร่างกายเอาไว้หล่นกองพื้น เนื้อตัวผมกลับมาสั่นสะท้านจากความเย็นชื้นของยามค่ำคืนดึกสงัด ที่เงียบเชียบจนได้ยินเสียงเรียวลิ้นเกาะเกี่ยวกัน

อากาศรอบตัวทำให้ผมสะท้านแต่คงไม่เท่ากับฝ่ามืออุ่นที่ลากสัมผัสไปตามแผ่นหลัง ขึ้นสูงและต่ำลงไปจนถึงสะโพกที่มีเพียงกางเกงชุ่มน้ำห่อหุ้ม เรียวขาทั้งสองข้างของผมอ่อนแรงจนเหมือนคนพิการที่ยืนด้วยกำลังของตัวเองไม่ได้ ผมต้องเกาะเกี่ยวร่างกายหนาไว้แนบแน่นก่อนที่ตัวเองจะร่วงหล่นไปกองพื้นไม้แข็งกระด้าง

“อ่า...” วินาทีที่ผมได้รับโอกาสให้หอบเอาอากาศเข้าปาก เป็นนาทีเดียวกับที่ผมกลับมาสบตากับลูกตาสีราตรีอีกครั้ง และมันกระตุ้นให้ผมโหยหาความรู้สึกที่ถูกกระชากออกไปเมื่อหลายวินาทีก่อน

ผมกับเขามองตากันนิ่ง ราวกับมีถ้อยคำเป็นร้อยล้านที่แทนความรู้สึกมากมายพรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตาของกันและกัน แต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะพาผมไปพบจุดจบที่ตรงไหน

อุ้งมือหนาถูกยกขึ้นมาประคองแก้มขวาของผม ปลายนิ้วแข็งลูบแผ่วเบาบนจุดสีดำเล็กๆ บนแก้ม ชวนให้เพลิดเพลินจนเผลอหลับตาและเอียงหน้าซบลงไปบนอุ้งมือนั้น ซึมซับเอาความรู้สึกที่คลุ้งอยู่รอบตัว ซึ่งโอบกอดผมไว้และทำให้ผมคล้ายจะหลงมัวเมา จนลืมหมดทุกความเจ็บปวดจากทุกถ้อยคำของเจ้าของมือนี้

“...เด็กดี”

เด็กดี... คำนี้อีกแล้ว

ผมเป็นเด็กดื้อ... ที่อยากจะเป็นเด็กดี

ผมตอบรับสัมผัสจากริมฝีปากของเขาอีกหน จูบนี้เริ่มต้นด้วยความนุ่มนวลของดวงไฟเล็กๆ ก่อนลุกลามกลายเป็นกองไฟมหึมา

ผมหลงไปกับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย เนื้อตัวเหมือนก้อนถ่านที่ติดไฟแดงฉานจนไม่เหลือพื้นที่สีดำ อารมณ์บางอย่างแผ่ซ่านกระจายจากจุดกึ่งกลางร่างกาย ผมไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นในร่างกายคืออะไร ผมรู้ดีว่ามันคือความต้องการทางเพศ มันเร่งเร้าให้ผมยิ่งเบียดกายเข้าหาความแข็งแกร่งของคนที่โอบกอดผมไว้ทั้งตัว เจ้าของริมฝีปากแสนร้ายกาจที่ทำให้ร่างกายผมคล้ายจะละลายได้ทุกวินาที

และผมกำลังถูกท่อนแขนแข็งแรงโอบอุ้มจนตัวลอยจากพื้นไปนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร โดยที่ริมฝีปากของผมกับเขาไม่ได้แยกออกจากกันเลย เขายังจูบผมอย่างร้อนแรงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ให้ลุ่มหลงจนลืมทุกอย่าง... ที่ควรจำ

ลืม... จนกระทั่งแผ่นหลังว่างเปล่าเอนราบไปกับเนื้อไม้แข็งกระด้าง มีคนตัวหนาแทรกกายเข้ามายืนตรงกลางระหว่างเรียวขาทั้งสองข้าง ที่ถูกจับให้ฉีกกว้างและโอบรัดอยู่เหนือสะโพกสอบ ความร้อนแรงของแก่นกายแนบแน่นจนบดเบียด ความกำยำใหญ่ที่ลดตัวลงมาสัมผัสผิวกายของผมด้วยริมฝีปากร้อนระอุ และทันทีที่ปลายลิ้นชื้นลากเลียบนยอดอก สติที่ล่องลอยออกไปจากความรู้สึกนึกคิดของผมก็พลันกลับมาอย่างรวดเร็ว มันมาพร้อมกับภาพบนโต๊ะในห้องทำงานของเขา ความน่าขยะแขยงที่เขาทำกับผู้ชายคนนั้น ภาพที่เหมือนกับสภาพผมในตอนนี้

ผมที่นอนราบไปบนโต๊ะ

ผมที่อ้าขาเพื่อให้เขาแทรกตัวเข้ามา

ผมที่ยอมให้เขาทำเรื่องน่าขยะแขยงกับร่างกายตัวเอง

ผมที่กำลังจะไม่ต่างจากผู้ชายคนนั้น... เป็น ‘ธุระ’ ชั่วคราวของเขา

“ปล่อยผม!!” ผมกำมือทุบลงบนไหล่หนาทั้งสองข้างเต็มแรง ไม่ต่างจากเสียงที่ตะโกนบอกให้เขาหยุดการกระทำน่าขยะแขยงเสียที อย่าว่าแต่ผมที่สติกลับมาเลย เขาก็คงเหมือนกัน ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยตกใจและรีบผละออกจากตัวผมแทบจะทันที

“ฉัน...ขอโทษ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว

“...” ผมไม่พูดอะไรกับเขา ทิ้งตัวลงจากโต๊ะอาหารได้ก็ก้มเก็บผ้าผืนหนาบนพื้นขึ้นมา และวิ่งกลับเข้ามาในเรือนนอนของตัวเองทันที

พร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดทั้งคืน คำถามที่ว่า...ผมชอบเขาใช่ไหม ?

ผมชอบเขาตั้งแต่เมื่อไร ?

และ... ผมผิดปกติหรือเปล่าที่ชอบคนที่เคยเป็นพ่อของตัวเอง





จบตอนที่ 11
เหมือนน้ำจะเยอะไปหน่อยเนอะ (รู้ตัว T^T)
เอาใหม่ๆ ตอนที่ 12 จะพยายามรวบรัดให้สั้นกระชับขึ้นอีก
เรื่องจะได้เดินไปไกลกว่านี้ เพราะยังมีหลายเหตุการณ์ต้องเกิดขึ้นต่อจากนี้
มีทั้งพาร์ตปัจจุบันและอดีตอีกเยอะเลยย

สีเหลืองอ่อน
ปล.ขอบคุณอีกเช่นเคยสำหรับการอ่าน การติดตาม และคอมเม้นต์นะคะ
และคุณยะอาจขัดใจไปบ้าง แต่คนเขียนก็พยายามทำให้คุณยะซอร์ฟลงที่สุดเท่าที่เหตุการณ์จะเอื้อ
ในมโนแรกของคนเขียน คุณยะต้องเฮงซวยกว่านี้อีกเยอะ
แต่กลัวคุณยะโดนจับเข้าคุกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คนเขียนเลยพยายามให้คุณยะซอร์ฟลงให้มากที่สุด แต่ก็มากได้แค่นี้ ฮื่อออออ เศร้าเนอะ
และนี่สำหรับคุณยะ
 :z6: :beat: :z6: :beat: :z6: :beat: :z6: :beat: :z6: :beat: :z6: :beat:


หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 11 (21-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-10-2018 22:13:58
ชอบเขาแล้วน่ะซิลูกเอ้ยยย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 11 (21-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-10-2018 22:35:35
ไม่มีอะไรจะกล่าวถึงมีแต่นี่ให้คุณยะค่ะ :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 11 (21-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-10-2018 22:53:48
 :z6:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 11 (21-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-10-2018 01:59:54
วุ้ยยยยยยยยยยย คุณยะ !!!!
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 12 (25-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 25-10-2018 05:41:10
ตอนที่ 12
(โปรดอย่าเลียนแบบตัวละครเน้อ)


“แก... ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันชอบเขา เขาต้องเป็นของฉัน”

“สวยเท่าชี ก็มีสิทธิ์ย่ะ”

“เหอะ หน้าพลาสติกแบบป้าศมนเนี่ยนะ ไม่นานก็ตกกระป๋องย่ะ ต้องนี่ค้าาาา พี่เลม่อนยืนหนึ่งค่ะ สวย ใส ก้นกระชับ ไร้มีดหมอ ดูนี่ซะก่อน แซ่บม้ากมาก”

“ว้ายตายแล้ว คุณพี่ช่างกล้า ถ้ารูปไลน์นี่หลุดไป ฉันไม่อยากจะคิดว่าคุณพี่เลม่อนของพวกเราจะเละเป็นโจ๊กขนาดไหน”

“แกก็ ไม่เห็นหน้าพี่เลม่อนซะหน่อย เห็นแต่หน้าผู้”

“เออๆ จริงด้วย อยากขิงแต่ก็ไม่โชว์โง่ สมแล้วที่เป็นคุณพี่เลม่อนขาแซ่บ แต่แกได้มายังไงยะ ไหนเล่ามา”

“แคปมาจากกลุ่มไลน์คุณพี่เลม่อนเลยจ้า ช่วงนี้คุณพี่ขิงผู้ค่ะ แถมคอนเฟิร์มมาด้วยว่าผู้อย่าง...ดุด้วยแก ดูสิ ตัวพี่แกมีแต่รอยฟัน รอยดูด โอ๊ย ฉันอยากเกิดเป็นพี่เลม่อน”

“ก็น่าขิงข่าตะไคร้อยู่นะ ว่าแต่แกว่านี่เตียงใคร”

“ยังต้องตอบอีกไหม โลโก้ซะขนาดนี้... ว้าย!! แก มีรูปมาอีกแล้ว สดๆ ร้อนๆ อื้อฮือ ... ดูกล้ามเขาสิแก น่ากัดให้จมเขี้ยว แผ่นหลังก็น่าข่วนชะมัด ฉันไม่ไหวแล้วอีเตเต้... ฉันอิจพี่เลม่อนจริงๆ ทำบุญด้วยอะไรยะ ฉันจะไปทำบ้าง เผื่อจะได้กัดกล้ามแน่นๆ ข่วนหลังให้เลือดไหลซิบๆ บ้าง โอ๊ยยยย... ฉันรักเขา ทูนหัวของฉัน”

“ถวายทั้งวัดกะเทยก็ไม่ได้แม้แต่ลูบหัวแม่โป้งย่ะ”

“ปากคอเราะราย แต่แก... ฉันอยากได้เขาจริงๆ นะแก แค่หัวแม่โป้งก็เอาย่ะ ขอให้ฉันได้สัมผัส ลูบไล้ คิดแล้วฟินเวอร์”

“อธิษฐานเอาสิจ๊ะ”

“อธิษฐานแล้วได้ปะล่ะ”

“แต่ฉันว่าแห้วทั้งป้าศมนกับคุณพี่เลม่อนนั่นแหละ ดูข่าวนี่ซะก่อน”

“O-M-G บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าชีตาสีน้ำตาลแดงคนนี้เป็นใคร”

“แป๊บหนึ่ง ฉันกำลังจิ้มหาข้อมูลอยู่...ว้า ไม่มีประวัติชีเลย”

“ถามพีกันไหม ฉันอยากรู้”

“ไม่ดีมั้ง”

“ดีสิ ความเผือกในตัวฉันมันว้าวุ่นไปหมดแล้วเนี่ย”

ชื่อ ‘พี’

ทั้งโรงเรียน ผมไม่รู้ว่ามีกี่คน แต่ผมก็คิดว่า ‘พี’ ที่เด็กผู้ชายสองคนด้านหลังผมพูดถึง คงจะหมายถึงผมนั่นแหละ ผมเตรียมตัวจะลุกหนี เพราะไม่อยากตอบคำถามว่า ‘ชีตาสีน้ำตาลแดง’ เป็นใคร แต่ก็ไม่ทันเมื่อทั้งสองคนเดินถือโทรศัพท์มาหยุดตรงหน้าโต๊ะเรียนของผมเป็นที่เรียบร้อย

“พีจ๋า...” เด็กผู้ชายที่ควรจะเสียงเข้มกลับบีบเสียงเล็กเสียงน้อย “อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ”

“นานะมันบอกว่า...” อีกคนก็บีบเสียงจนไม่เหลือเสียงธรรมชาติของเด็กผู้ชาย “...อย่าว่ามันเผือกเลยนะพี”

“เอ๊ะอีนี่... ก็ประมาณนั้น ช่วยโปรดลูกแมวตาใสๆ หน่อยซี่ คนนี้เป็นใครเหรอ ว่าที่พี่สะใภ้ของพีหรือเปล่า”

โทรศัพท์เครื่องบางยื่นมาตรงหน้าผม บนหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ผมเห็นคือภาพข่าวของเจ้าของโรงแรมพุฒิธาดากับหญิงสาวเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลแดงที่กำลังควงแขนกันอยู่ในงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของบ่าวสาวคู่หนึ่ง งานนั้นจัดขึ้นในห้องฉัตรทิพย์ของโรงแรมพุฒิธาดา

“เราไม่รู้หรอก ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย” ผมเงยหน้าขึ้นตอบเด็กผู้ชายปากแดงและแก้มอมชมพูทั้งสองคน

“ไม่รู้จริงเหรอ” นานะ (หรือที่เมื่อตอนมอหนึ่งชื่อนนท์) ทำหน้าไม่เชื่อคำตอบของผม

“อืม” ผมพยักหน้ายืนยัน “แต่ถ้ารู้แล้วจะบอกนะ” 

อันที่จริงผมก็รู้แหละว่าผู้หญิงต่างชาติคนนี้เป็นใคร เธอคือแม่ของทานตะวันกับถิร เพียงแต่ไม่เห็นความจำเป็นที่ผมต้องเล่าให้เพื่อนร่วมห้องฟัง

สองคนทำหน้าผิดหวัง

“นานะคือ... เราขอดู...เอ่อ...รูปพี่เลม่อนกับ...เอ่อ...กับพี่ชายเราได้ปะ”

“อุ๊ย... พีได้ยินที่เราสองคนเม้าท์กันด้วยเหรอ” นานะทำหน้าตกใจ หันไปมองเพื่อนสนิทของตัวเองแล้วหันกลับมายิ้มอายๆ ให้ผม เสียงที่เอ่ยออกมาบีบให้เล็กลงอีก “เขินจัง พีก็รู้หมดสิว่านานะปลื้มพี่ชายของพี หื้อ... หล่อเนอะ พี่ชายของพีหล้อหล่อ”

“เสียงแกแปดหลอดซะขนาดนั้น พีไม่ได้ยินก็หูหนวกแล้วย่ะ” ว่าแล้วเตเต้ (หรืออดีตตั้ม) ก็ผลักหัวเพื่อนแบบไม่เบามือเลย “พีอยากเห็นจริงๆ เหรอ เอ่อ... คือมันไม่น่าดูเท่าไรหรอก”

“ใช่ๆ พี มันแซ่บเวอร์ พีอย่าดูเลย” นานะรีบสนับสนุน

“ไม่เป็นไร เราอยากเห็น เราขอดูหน่อยนะ”

“แต่... จะดีหรือพี รูปพี่ชายพี... แบบว่า... พีอย่าดูเลยนะ”

“อย่าดูเลยนะพี”

“เนอะๆ ไม่ต้องดูเนอะ”

“อยากไปงานเลี้ยงฉลองครบรอบสามสิบปีของโรงแรมเราไหม เราจะได้แนะนำนานะกับเตเต้ให้พี่ชายเรารู้จักด้วย” ผมเอาของที่คิดว่าทั้งสองคนอยากได้เข้าล่อ

“ไป!” ทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนที่นานะจะล้วงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋า ทำอะไรกับหน้าจอสี่เหลี่ยม ไม่กี่วินาทีก็ยื่นมันมาให้ผม

“มีไม่กี่รูปหรอก แต่แซ่บทุกรูป”

ผมรับโทรศัพท์เครื่องบางจากมือนานะมาดู ภาพที่ปรากฏให้เห็นบนหน้าจอสี่เหลี่ยมผมไม่รู้ว่าจะบรรยายความ ‘แซ่บ’ ที่ว่านั้นอย่างไรดี มันเป็นรูปถ่ายบนเตียงนอนในห้องสวีตของพุฒิธาดา (ที่แคปมาจากหน้าเจอแชทสีเขียวอีกที) และความแซ่บอยู่ที่ร่างเปลือยเปล่าซึ่งประดับด้วยรอยจ้ำสีแดงและรอยฟันอย่างชัดเจน ไม่เห็นหน้าหรอกครับ เห็นแค่ช่วงคอลงมา ผู้ชายคนนั้นเซลฟี่ความแซ่บของตัวเองพร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่งแบบเห็นหน้า ผู้ชายคนที่สองหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ในสภาพเนื้อตัวเปลือยเปล่าไม่ต่างกันเลย มันไม่ถึงกับเห็นท่อนล่างเสียทีเดียว แต่เท่าที่เห็นก็ฟ้องหมดแล้วว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรปกปิดสักชิ้น

ผมไล่ดูรูปที่สองและสามซึ่งก็เป็นภาพบนเตียงนอนนั่นแหละ ดูด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอัด อยากจะปาโทรศัพท์ทิ้งแต่เพราะมันไม่ใช่โทรศัพท์ของผม ทั้งที่รู้ว่าต้องเห็นภาพที่ไม่น่าดู แต่ผมก็ยังดิ้นรนอยากจะเห็นด้วยตาตัวเอง... เห็นให้ตัวเองเจ็บแท้ๆ

ทว่าความแซ่บไม่ได้มีแค่สามรูปบนเตียง ผมเลื่อนดูรูปที่ถูกแคปจากหน้าจอสนทนาอีกสองรูป เป็นรูปที่คนถ่าย ถ่ายมาจากในอ่างอาบน้ำและติดด้านหลังของผู้ชายคนเดิม แผ่นหลังกว้างไร้สิ่งห่อหุ้ม มีเพียงหยดน้ำเกาะพราวไปทั้งตัวและรอยเล็บยาวบนแผ่นหลัง

เจ็บ... ใครสักคนกำลังถือมีดกรีดหัวใจของผมอย่างช้าๆ แต่หนักแน่นจนเหวอะหวะ

ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์เจ็บปวดกับเรื่องส่วนตัวของผู้ชายคนนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดสาหัสขนาดนี้ มันห้ามไม่ได้จริงๆ ...ห้ามให้ตัวเองไม่รู้สึกไม่ได้จริงๆ

………………………………………………………………

“พีจะไปไหน” คำถามดังมาจากด้านหลัง จากนั้นเจ้าของคำถามก็เดินมาอยู่ข้างตัวผม

“ไปห้องน้ำ ไปด้วยกันไหม” ผมเอ่ยชวนปาลินที่เพิ่งกลับออกมาจากห้องพักครูมา

คนตัวสูงกว่าผมและดูจะหนากว่าผมไปเล็กน้อย ไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบอะไรของโรงเรียนจนต้องถูกเรียกตัวไปพบอาจารย์ฝ่ายปกครองหรอก แต่ปาลินเป็นหลานของอาจารย์เพ็ญศิริ และเป็นเพื่อนสนิทของผม

“อืม” ปาลินพยักหน้า เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เมื่อเห็นความผิดปกติบนใบหน้าผม “พีเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมตาแดงๆ”

“เมื่อกี้ฝุ่นเข้าตาเลยจะไปล้างหน้าที่ห้องน้ำไง” เป็นคำตอบที่ไม่น่าเชื่อเท่าไรมั้ง ปาลินถึงได้ขมวดคิ้วสงสัย

...ไม่มีฝุ่นเข้าตาผมหรอก มีแต่ความจริงที่บีบอัดอยู่ในที่ทำให้ขอบตาร้อนผ่าว

“มีอะไรก็บอกเรานะ ระบายออกมาก็ได้” ปาลินไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เจ้าตัวรู้ดีว่าถ้าผมไม่อยากบอกหรือเล่า ผมก็ไม่มีทางเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา

เราสองคนเดินใกล้ถึงห้องน้ำ กลิ่นบุหรี่ลอยมาปะทะจมูกอย่างจัง ปาลินก็คงได้กลิ่นเหมือนกัน เจ้าตัวถึงได้หยุดปลายเท้าลงและดึงแขนผมไว้

“พีปวดฉี่ไหม”

ผมส่ายหน้า ที่บอกจะมาห้องน้ำก็แค่อยากจะล้างเอาความรู้สึกร้อนผ่าวในดวงตาออกมาเท่านั้น

“งั้นกลับห้องกันเถอะ เดี๋ยวอาจารย์ก้องก็คงจะเข้ามาสอนแล้ว” ปาลินดึงมือผมกลับไปทางเดิม วิชาแรกของวันนี้อาจารย์วรรณาป่วยกะทันหัน ห้องของเราเลยไม่มีเรียน แต่ตอนนี้ก็ใกล้หมดเวลาของวิชาแรกแล้ว

ผมก็ส่ายหน้าอีกครั้ง ฝืนตัวเอาไว้ก่อน เพราะอยาก ‘ลอง’ อะไรบางอย่างที่เด็กดีไม่ควรอยากลอง...

“จะเข้าไปเหรอ” ปาลินถาม

“...” ผมไม่ตอบ ดึงมือตัวเองกลับมา แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เข้ามาก็เจอกับแก๊งของดีนซึ่งเป็นกลุ่มตัวจี๊ดอันดับต้นๆ ของโรงเรียน แก๊งนี้มีทั้งหมดห้าคน แต่ที่เห็นยืนสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์และไม่มีทีท่าว่าจะตกใจเมื่อมีคนเดินเข้ามาเห็นพวกเขาสูบบุหรี่อยู่ก็มีแค่สามคน

ทั้งสามนั่งสูบบุหรี่อยู่บนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ เมื่อเห็นผมกับปาลินทั้งสามก็ส่งยิ้มทักทายอย่างที่คนพอจะคุ้นเคยกันอยู่บ้างเพราะเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกัน

“ดีน” ผมมองไปที่หัวหน้าแก๊ง “สอนสูบหน่อยสิ” ไม่ต้องเสียเวลาทักทาย ผมตรงเข้าประเด็นทันที เพราะกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจเสียก่อนได้ลอง

“พี!” ปาลินร้องเสียงหลงขึ้นมาตั้งแต่ที่ผมยังพูดไม่จบประโยค “มันไม่ดีนะสูบบุหรี่น่ะ”

“ปีจะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้น้า ไม่เคยลองแล้วจะรู้หรือว่าดีไม่ดี อย่าตัดสินรสชาติของมันจากหน้าซองสิ ลองแล้วจะรู้ว่าของดีมันมีจริง” ดีนกระโดดลงจากเคาน์เตอร์แล้วเดินเข้ามาใกล้ หลังจากยื่นบุหรี่ในมือให้เพื่อนในกลุ่มเอาไปสูบต่อ

“มะเร็งสิจริง!” ปาลินแทบจะกระโดดไปงับหัวคนพูดเลยทีเดียว แต่เจ้าตัวก็ข่มใจเอาไว้ คงรู้แหละว่าลองได้มีเรื่องกับแก๊งนี้แล้วละก็ ชีวิตหลังจากวันนี้ไม่สงบสุขอย่างแน่นอน “ไปเถอะพี ไม่ต้องลองนะ เราไม่ให้พีลองของอันตรายแบบนี้หรอก” เจ้าตัวจับแขนผมไว้แน่น พยายามลากเอาตัวออกไปให้พ้นควันบุหรี่ที่ลอยเอื่อยเฉื่อย

“เราไม่ได้อยากลอง แต่อยากสูบเป็น” ผมบอกปาลิน ฝ่ายนั้นร้องเสียงหลงออกมาอีกครั้ง สีหน้าผิดหวังกับคำพูดของผมมากทีเดียว

“พี! บุหรี่มันสิ่งเสพติดนะ โทษของมันเป็นยังไงไม่รู้หรือไง อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงมะเร็งเลยนะพี”

“เชื่อเพื่อนก็ดีนะ ไม่ต้องอยากลองหรอก” ดีนพูดยิ้มๆ ล้วงเอากล่องบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง 

“ไปพี จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว” ปาลินก็ยังพยายามลากเอาตัวผมออกไปกับเขาให้ได้

“ปีไปก่อนเถอะ เดี๋ยวเราตามไป ไม่นานหรอก” ผมตัดสินใจแล้ว

“พี! ทำไมถึงทำแบบนี้หะ” เจ้าตัวทิ้งแขนผมลงอย่างแรง “ถ้าพีสูบ ก็ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนกับเรา ไปเป็นเพื่อนกับพวกมันเถอะ” ดวงตากลมจ้องหน้าผมอย่างวัดใจ ว่าผมจะเลือกมิตรภาพของเพื่อนหรือจะเลือกบุหรี่ที่มีแต่โทษ ทำร้ายทั้งร่างกายและสมอง

ผมเลือกปาลินอยู่แล้ว และรู้ว่าปาลินไม่มีวันทิ้งผม ต่อให้ผมทำนิสัยแย่แค่ไหน ทำให้เจ้าตัวผิดหวังยังไง ปาลินก็ไม่ทิ้งผม

“เดี๋ยวเราตามไป”

“พี...” ปาลินมองหน้าผมอย่างผิดหวังกับคำตอบที่ได้

รู้ว่ามันไม่ดี แต่ผมก็เลือกที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง เผื่อว่าควันสีขาวที่สูบเข้าไปจะช่วยให้ความทรมานในอกลดลงไปบ้าง... เวลานี้ผมขอแค่อะไรก็ได้ที่จะพาผมออกไปจากสิ่งที่บีบรัดอยู่ในอก

“มันสูบยังไงดีน” ผมหันไปหาดีน ทิ้งสายตาผิดหวังของปาลินไว้ด้านหลัง

“ก็ง่ายๆ ไม่ยากนะ” ว่าพลางตอกเอาบุหรี่ออกมาคีบไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง มืออีกข้างยื่นไปรับไฟแช็กที่เพื่อนยื่นมาให้ “แค่คาบไว้แบบนี้ จุดไฟที่ปลายบุหรี่ สูดมันเข้าไปเหมือนเราสูดหายใจ ดันลมเข้าไปในปอด แล้วก็ปล่อยลมออกมา”

ดูมันง่ายไปหมดกับขั้นตอนที่ดีนบอกพร้อมกับทำให้เห็นทุกขั้นตอน เจ้าตัวคาบบุหรี่ไว้ในปาก ปลายมันติดไฟสีแดง หลังจากนั้นเสียงสูดหายใจก็ดังแผ่ว ก่อนควันสีขาวจะถูกปล่อยออกมาอย่างเชื่องช้า

“พี...เราขอละ อย่าลองเลย” ปาลินคว้ามือผมที่กำลังยื่นไปรับบุหรี่จากดีน

“งั้นเราขอให้ปีกลับไปที่ห้อง ถ้าปีไม่ไป ปีก็ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนกับเรา” ผมเอาคำพูดของปาลินมาขู่เจ้าตัวบ้าง ปาลินถึงกับอึ้งไปเลย

“พี” เจ้าตัวปล่อยมือผมลง

“กลับไป” ผมพูดแค่นั้นแล้วหันหลังให้ปาลิน เพื่อหันหน้าเข้าหาสิ่งที่จะทำให้ผมหลุดออกจากความเจ็บปวดที่เป็นอยู่ 

“มาให้ทันเรียนล่ะ” ปาลินไม่เหมือนผม เจ้าตัวไม่กล้าเสี่ยงที่จะสูญเสียความเป็นเพื่อนของผมไป

ผมไม่ได้เห็นสีหน้าของปาลินตอนที่เจ้าตัวพูด แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็บอกอย่างชัดเจนว่า ปาลินผิดหวังในตัวผมอย่างที่สุด

“อืม...” ผมรับคำในลำคอ จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่จากออกไป

“คิดยังไงถึงอยากสูบ” ดีนถามขึ้นหลังจากปาลินไปแล้ว

“อยากลืมมั้ง” ...ลืมรูปพวกนั้น

“อกหัก ?”

“อาจจะใช่”

ความจริงก็คือ...ใช่ ผมอกหัก ผิดหวัง เสียใจ และทรมานอย่างบอกไม่ถูก

“ใครกันน้ากล้าทำพีอกหัก”

“ก็แค่คนเลว” 

“เจ็บมากใช่ไหมล่ะ”

ผมพยักหน้า ที่ผมกล้าบอก กล้ายอมรับกับดีน และรวมถึงเพื่อนของดีนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านหลัง คงเป็นเพราะมันง่ายที่จะเล่าความรู้สึกของตัวเองให้กับคนที่ไม่สนิทฟัง เพราะพอเล่าจบ มันก็จบแค่นี้ ต่างจากเพื่อนสนิทอย่างปาลิน ที่ผมไม่อยากเล่าให้เจ้าตัวฟังเพราะไม่อยากให้เป็นห่วง

“คนอกหักแค่บุหรี่ไม่พอรักษาหรอก อยากให้แผลใจหายก็ต้องใช้แอลกอฮอล์เช็ด” ...ที่ไม่ได้หมายถึงแอลกอฮอล์ที่เช็ดล้างทำความสะอาดบาดแผล แต่เป็นเครื่องดื่มมึนเมาเสียมากกว่า

“พาไปได้ไหมล่ะ” เอาให้สุดละกัน

“ได้”



.


.


.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 12 (25-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 25-10-2018 05:44:21
.

.

.


คำว่า ‘ได้’ ของดีนในตอนนั้นทำให้ผมมานั่งท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังแสบแก้วหูและน่ารำคาญอย่างที่สุดในคืนนี้ ความไม่คุ้นเคยกับสภาพที่ต่างจากบ้านเรือนไทยที่แวดล้อมด้วยต้นไม้และลมเย็นยามค่ำคืนชวนให้อึดอัดจนอยากลุกหนี แต่ผมก็ทนนั่งมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว เพราะเสียงเพลงที่น่ารำคาญช่วยให้ผมหยุดคิดเรื่องบางเรื่องไปได้

“สัญญากับเราแล้วนะว่าจะสูบแค่มวนเดียว”

มือที่กำลังจะจุดไฟแช็กชะงักลงเพราะคำพูดของคนที่นั่งติดกัน ปาลินมากับผมด้วย พอรู้ว่าผมจะมาเที่ยวกลางคืน เจ้าตัวก็ห้ามจนคอแทบแตก แต่เอาชนะความดื้อของผมไม่ได้ พอห้ามไม่ได้ก็เลยต้องตามมาเฝ้า

การสูบบุหรี่มวนแรกของผมเมื่อตอนกลางวัน ไม่ได้เลวร้ายเท่าที่คิด ครั้งแรกที่สูดเอาควันเข้าไปภายในปาก พยายามอัดมันลงไปในปอดก็ทำให้ผมสำลักจนแสบคอไปหมด ไอแทบตาย ทรมานสุดๆ พวกแก๊งดีนหัวเราะกันใหญ่ พร้อมกับให้กำลังใจแบบขำๆ ว่าสูบบุหรี่ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้ทุกคน จากนั้นผมก็สูดเอาควันเข้ามาในปากอีกครั้ง ครั้งที่สองดีขึ้นกว่าเดิมหน่อย ผมสัมผัสถึงรสชาตินุ่มๆ หวานหอมของบุหรี่นอกของแท้ได้ชัดขึ้น ครั้งสามครั้งสี่ก็เริ่มรู้สึกโล่งแบบเบาสบาย จนใกล้หมดมวนความอึดอัดในหัวใจ ความรู้สึกย่ำแย่ก็ทุเลาลง อารมณ์เทาทึบเริ่มจางไปทีละน้อย และไม่ต้องเอ่ยขอ ดีนก็ยื่นบุหรี่มวนที่สองมาให้เมื่อมวนแรกหมด พร้อมกับประโยคที่ตรงกับใจผมมากที่สุด

‘สำหรับความรักโง่ๆ’

...ความรักโง่ๆ ของเด็กโง่ๆ คนหนึ่ง

และที่เพิ่งเหลือแต่ก้นกรองไปเมื่อกี้ก็มวนที่สามของวันนี้ มันช่วยผมได้จริง ช่วยให้ผมหลุดออกจากความคิดซ้ำซากกับภาพในหัว ผมผ่อนคลายขึ้น เหมือนว่าผมได้ปล่อยความรู้สึกมากมายในอกออกไปพร้อมควันสีขาว ยิ่งผสมกับแอลกอฮอล์ที่ดื่มเป็นครั้งแรกก็ยิ่งทำให้ผมอยู่กับตัวเอง ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแค่ตัวเองและรสชาติขมของเครื่องดื่มที่พาให้สติผมล่องลอยไปทีละเล็กทีละน้อย

“ปี นายจะดื่มแค่น้ำเปล่าจริงเหรอเนี่ย” ดีนมองแก้วที่บรรจุน้ำเปล่าตรงหน้าปาลิน เอ่ยถามกลั้วรอยยิ้มขำ เจ้าตัวทิ้งตัวลงนั่งหลังจากออกไปขยับร่างกายตามจังหวะดนตรีที่หน้าเวที ส่วนอีกสี่คนในแก๊งของดีนยังขยับร่างกายไปตามจังหวะดนตรีแสบแก้วหู ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานั่งโต๊ะในเร็วๆ นี้ เพราะข้างกายของแต่ละคนแนบชิดไปด้วยผู้หญิงสาวสวยในชุดที่อวดเรือนร่างเย้ายวนอย่างที่สุด 

พวกผมอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าสถานบันเทิงได้ แต่ที่เข้าในนั่งดื่มราวกับเป็นเด็กที่โตแล้วได้เพราะดีนเป็นหลานชายเจ้าของที่นี่ และถ้าจะมีตำรวจบุกมาตรวจค้น พวกเด็กเส้นใหญ่อย่างกลุ่มแก๊งของดีนก็มีทางหนีรอดได้อย่างสบายๆ พวกดีนมาที่นี่กันบ่อยจนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง คืนนี้ถ้าเมามากจนกลับบ้านไม่ได้ ก็มีห้องสำหรับให้นอนหลับสบายอย่างปลอดภัยบนชั้นสามของผับ

“เรายังเด็กอยู่” ปาลินตอบเสียงแข็ง มองดีนอย่างโกรธๆ ที่พาผมมาเที่ยวสถานที่อโคจร ซ้ำยังสอนให้ผมดื่มเหล้า โดยมีปาลินเป็นฝ่ายขัดขวาง เจ้าตัวห้ามแล้วห้ามอีก แทบจะพังโต๊ะ แต่เพราะผมดื้อและออกปากไล่ปาลินให้กลับไปซะ ถ้าจะยังทำตัวให้ผมหมดสนุก ปาลินถึงยอมสงบปากสงบคำ มองผมจิบเหล้าอึกแรกด้วยสายตาผิดหวังไม่ต่างจากตอนที่ผมเลือกบุหรี่มากกว่าความเป็นเพื่อนของเขา

“ชื่อในบัตรประชาชนขึ้นต้นด้วย ‘นาย’ ไม่เด็กแล้วมั้ง ...เอาเถอะ สักแก้วก็ได้ปี ไม่ตายหรอกน่า” คนชวนยื่นแก้วเหล้าไปตรงหน้าคนที่นั่งจิบแต่น้ำเปล่า “มาเที่ยวทั้งทีดื่มแค่น้ำเปล่าจะสนุกอะไร ดูอย่างพีเป็นตัวอย่าง ทั้งเหล้า ทั้งบุหรี่ ไม่เห็นจะตาย ใช่ไหมพี” แล้วก็วกมาที่ผม ทำเอาปาลินแทบจะกระโดดข้ามโต๊ะไปบีบคอคนพูด ดีที่ผมจับตัวไว้ก่อน

“ปีไม่ดื่ม นายก็อย่าไปยุ่งกับเขา” ผมรีบบอก ไม่อยากให้มีปัญหากัน ใช่ว่าพวกเราจะสนิทกันมากมายอะไร ขืนมีปากเสียงกันก็จะลามไปเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าถึงขั้นลุกมาต่อยกัน ผมกับปาลินสู้ไม่ไหวแน่ๆ เพราะขนาดตัวที่ด้อยกว่าอีกฝั่ง รวมถึงจำนวนคนด้วย ก็พวกเรามีกันแค่สองคน แต่พวกดีนมีถึงห้าคน

“กลับได้หรือยัง” ปาลินหันมาถามเสียงหงุดหงิด

“สักพักนะปี” ผมยังรู้สึกอยากเอารสชาติขมแต่นุ่มนวลของเหล้าราคาแพงเข้าไปชะล้างความรู้สึกภายในอก ทำให้ผมลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นใครหรือมีเรื่องอะไรให้ต้องเจ็บปวด

“ขอเวลาแน่นอนได้ไหม” แต่ผู้คุมไม่ยอมน่ะสิ

“สี่ทุ่มครึ่ง” ผมบอกตัดปัญหา ตอนนี้ก็เกือบสามทุ่ม พอได้คำตอบปาลินก็ยิ้มออกมาได้ ผมสงสารปาลินนะ รู้ว่าเพื่อนเป็นห่วง ไม่อยากให้ผมยุ่งกับกลุ่มของดีนที่มีชื่อเสียงไปในทางที่ไม่ดีเสียส่วนใหญ่

นั่งอยู่สักพักปาลินก็ลุกไปคุยโทรศัพท์กับคนเป็นย่าที่นอกร้าน ปาลินบอกย่าว่ามาทำรายงานที่บ้านผม ส่วนผมก็ใช้ข้ออ้างออกจากบ้านเหมือนปาลินนั่นแหละ ตอนนี้เหลือผมนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียวเพราะก่อนหน้านี้ดีนก็ไปเข้าห้องน้ำ แต่ไปนานมาก เกือบยี่สิบนาทีแล้ว แต่พอนึกถึงก็กลับมาพอดี

ดีนไม่ได้กลับไปนั่งที่ของตัวเอง เจ้าตัวเดินมาทิ้งตัวลงนั่งแทนที่ของปาลิน พร้อมกับบุหรี่ที่ปลายมวนติดไฟสีแดง กลิ่นควันที่ล่องลอยคล้ายจะหอมหวานกว่าที่เคยรู้สึก

“เอาหน่อยไหม” ดีนถาม ดึงบุหรี่ออกจากปากส่งมาให้ผม

“ไม่ดีกว่า” ผมส่ายหน้าปฏิเสธเพราะรับปากปาลินไว้ ไม่อยากให้เจ้าตัวกลับมาเห็น จะพานโมโหขึ้นมาอีกรอบ

“หน่อยน่า ของดี” พูดจบท่อนแขนของดีนก็เอื้อมมาโอบไหล่ผม ดึงเอาตัวผมเข้าไปชนตัวเขา แล้วเอาบุหรี่มาจ่อที่ปาก ผมจะเบือนหน้าหนีก็ไม่ได้เพราะถูกล็อกตัวไว้ เลยต้องคาบก้นกรองไว้แล้วสูดเอาสายนิโคตินเข้าไปในปาก รสชาติขมที่สัมผัสแปลกไปจนรู้สึกได้ 

“อะไร ? ในบุหรี่มีอะไร” ผมจ้องหน้าดีนเอาคำตอบ

“หนม”

“หนม ?” ผมไม่เข้าใจ

“เอาเป็นว่ามันจะทำให้พีสนุกคูณสอง” ว่าแล้วดีนก็คาบบุหรี่เข้าปากตัวเองต่อ สูดเอาควันเข้าไปสองสามรอบ แล้วส่งมาให้ผมสูบต่อ

“ไม่เอาแล้ว” ผมรู้สึกไม่ดีกับบุหรี่ในมือของดีน มันไม่ใช่บุหรี่แบบปกติ มันต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น “ยาเหรอ ?” ผมลองถาม แม้จะมั่นใจไปกว่าครึ่งแล้วว่าต้องใช่แน่ๆ ในบุหรี่มวนนี้มีสารเสพติดบางอย่างผสมอยู่

“ไม่ติดหรอกน่า ลองอีกนิดนะ พีจะได้สนุก ลืมเรื่องเขาคนนั้นไปได้ทั้งคืนแน่นอน”

พูดมาแบบนี้ผมก็เริ่มจะคล้อยตาม ผสมกับร่างกายที่ถูกแอลกอฮอล์ครอบงำ มันเลยง่ายที่จะยอมคาบบุหรี่มวนนั้นอีกครั้ง... และอีกครั้ง จนหมดมวน ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ปาลินกลับเข้ามา เจ้าตัวมองหน้าดีนเป็นเชิงไล่ให้กลับไปนั่งที่เดิม แต่ดีนยักไหล่ไม่สนใจ แถมท่อนแขนที่โอบไหล่ผมไว้ก็ย้ายลงมาอยู่ที่เอว

ปาลินมองตามมือของดีนที่วางอยู่บนเอวผมด้วยสายตาไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ว่าอะไรดีน เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ทำอะไรดีนไม่ได้

“ไปดีดกัน” ดีนชวนตอนที่แก้วในมือผมเหลือแค่น้ำแข็ง พร้อมกับดึงตัวผมให้ลุกขึ้น พอลุกขึ้นยืน ผมถึงรู้สึกว่าตัวเองยืนไม่ตรงเอาซะเลย โลกมันเอียงจนผมเซไปซบอกดีน กว่าจะพยุงตัวให้ยืนอย่างมั่นคงได้ก็ผ่านไปหลายวินาที

ผมอยากปฏิเสธแต่กลับไม่ปฏิเสธ เพราะเริ่มรู้สึกว่าแสงสีรอบตัวมันสวยงามขึ้นกว่าเดิม เสียงดนตรีที่แสบแก้วหูและน่ารำคาญ ตอนนี้กลับเข้าหูมากขึ้น จังหวะกระแทกกระทั้นของมันชวนให้อยากขยับร่างกายไปกับมันด้วย ราวกับว่าผมเข้าถึงอรรถรสของพวกมันอย่างรวดเร็ว รู้สึกเลยว่าตัวเองอยากเต้น ทั้งที่เต้นไม่เป็น ก็เกิดมาสิบกว่าปีแล้ว ชีวิตผมมีแค่หนังสือการ์ตูน หนังสือเรียน กับของกิน ไม่เคยจินตนาการถึงตัวเองในสถานที่แบบนี้เลย ยิ่งเหล้ากับบุหรี่ก็ไม่เคยคิดจะแตะด้วยซ้ำ ยาเสพติดก็ยิ่งเป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่สุด ทว่าเพียงแค่วันเดียว ผมลองแล้วทั้งสามอย่าง... บุหรี่ เหล้า และยา

“อีกครึ่งชั่วโมงต้องกลับแล้วนะพี” ยังไม่ทันจะก้าวขาออกจากโต๊ะ ปาลินก็เอ่ยทวนสิ่งที่ผมรับปากเอาไว้

“ไม่ลืมหรอกน้า” ผมบอก ก่อนก้าวเข้าไปหาแสงสีวูบวาบแสนสวยงามนั้น

ตอนนี้ร่างกายผมเต็มไปด้วยความสุขและสนุกที่มาพร้อมกับความมึนงง คงเป็นเพราะเหล้าและสิ่งที่ผสมในบุหรี่ ยิ่งอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ขยับร่างกายไปตามจังหวะดนตรีที่มาจากทุกทิศทุกทางอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ผมก็ยิ่งสนุกคูณสองอย่างที่ดีนบอก มีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้ ไม่นึกรำคาญเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครยืนล้อมหน้าล้อมหลัง โดยเฉพาะดีนที่มือเขาไม่ห่างจากตัวผมเลย บางครั้งเพื่อนของดีนก็ขยับเข้ามาเต้นใกล้ๆ พูดแซวอะไรหลายอย่างจนโดนดีนผลักให้ไปไกลๆ แต่ก็ยังกลับมาอีกหลายครั้ง ทุกครั้งก็จะดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด ครั้งล่าสุดก็เข้ามาพร้อมกับเม็ดยารูปร่างกลมแบน

ผมเห็นดีนเอาเข้าปากกัดแบ่งเป็นสองส่วนเท่ากัน ก่อนยื่นครึ่งหนึ่งมาจ่อที่ปากผม ผมขยับปากหนี เพราะไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร

“อยากสนุกกว่าเดิมไหม” ดีนถาม อีกเช่นเคยที่ผมจะพยักหน้าไปตามอารมณ์ที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ทั้งแสงสีที่วิ่งไปมาและเสียงเพลงที่ปลุกเร้าอารมณ์สุดเหวี่ยงในตัวผม “เคี้ยวแล้วกลืนเลย”

ผมยอมอ้าปากรับยาครึ่งเม็ดเข้ามา ทำตามคำที่ดีนบอกคือเคี้ยวและกลืนความสนุกลงไปในลำคอ จากนั้นก็รับแก้วเหล้าจากมือดีนที่ส่งมาให้และดื่มรวดเดียวจนเหลือแค่ก้อนน้ำแข็ง นึกตลกตัวเองที่ไล่ความขมของยาด้วยความขมของเหล้า ไม่นานนักทุกอย่างในร่างกายผมก็เริ่มผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็คึกคักอย่างบอกไม่ถูก

“สนุกไหม” ดวงตาของดีนเยิ้มเพราะสิ่งที่อยู่ในร่างกายเหมือนอย่างผมนั่นแหละ ใบหน้าที่ดูหล่อเหลาในแบบของเด็กหนุ่มโน้มลงมาใกล้ มือหนาเกี่ยวเอวผมไม่ยอมปล่อยและดึงให้ร่างกายส่วนล่างแนบชิดกัน

“สนุก” ผมยิ้ม ขยับร่างกายไปตามจังหวะดนตรี “สนุกมากกกก” บอกออกมาจากความรู้สึกที่เป็นจริงในตอนนี้ ผมมีความสุข อะไรมันก็สนุกไปหมด ไม่น่าอึดอัดเหมือนตอนก้าวเข้ามาในผับใหม่ๆ กลายเป็นว่าผมรู้สึกรักบรรยากาศชวนเคลิบเคลิ้มนี้ไปเสียแล้ว

“ชอบไหม” ดีนยังถามอีก ซ้ำยังกอดเอวผมแน่นขึ้น ร่างกายที่เสียดสีกันทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบ  และแปลกที่ผมชอบมัน

“ชอบสิ ขอบใจนะที่พาเรามา” ผมยิ้ม ยกมือขึ้นมาเกาะไหล่ดีน มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ชอบที่อยู่แบบนี้ ใกล้กันจนเหมือนจะแย่งอากาศกันหายใจแน่ะ

“หมายถึงชอบดีนไหม” ดีนเป็นผู้ชายที่ยิ้มเก่ง ผมเห็นแต่เขายิ้ม ยิ้มเต็มใบหน้า ดวงตาหวานเชื่อม ริมฝีปากบางเฉียดไปมาบนแก้มผม บางครั้งก็ใกล้ปากจนต้องหันหนี แต่ก็ไม่คิดจะหนีไปไหน

“อยากให้ชอบไหมล่ะ” ผมถามกลับ รู้สึกอารมณ์ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ถ้าอยากให้ชอบ... ก็จะชอบนะ” มิหนำซ้ำผมยังคิดว่าตัวเองส่งสายตายั่วยวนไปให้อีกฝ่ายด้วย ทั้งที่ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ต้องการทำแบบนั้น แต่ทุกอย่างมันเป็นไปเองหมด เหมือนผมควบคุมความรู้สึกสนุกสนานแบบล่องลอยของตัวเองเอาไว้ไม่ได้

“น่ารักว่ะ”

“น่ารัก... แล้วรักปะล่ะ” ลำพังแค่คำพูดก็เหมือนไม่ใช่ตัวเองแล้ว แต่มือผมก็ยังเหมือนจะไม่ใช่มือของตัวเองยิ่งกว่า เพราะมันเลื่อนลงมาที่แผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตสีเข้มของดีน ลูบไล้แผ่วเบา และสบสายตาหวานเชื่อมอย่างไร้ความเขินอายใดๆ

...ชอบที่ถูกดีนมองด้วยสายตาแบบนี้ด้วยแหละ

“อยากรักจนน้องชายดีน...แข็งไปหมดแล้ว” คำพูดตรงๆ กับสะโพกที่บดเบียดเข้ามาจนสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงภายใต้กางเกงยีนของดีน ไม่ได้ทำให้ผมหวาดกลัวหรือผลักอีกฝ่ายออกไปจากตัว ผมกลับยิ้มรับและหัวเราะไปกับทุกคำพูดของคนตรงหน้า “ไปข้างบนกันไหม อยากให้พีกล่อมน้องชายดีนว่ะ”

“เดี๋ยวปีหาตัวไม่เจอ” ต่อให้สนุกจนลืมทุกอย่าง ผมก็ยังไม่ลืมปาลิน

“ขึ้นไปแป๊บเดียว ส่วนปี เราจะให้ต้นไปนั่งเป็นเพื่อนก่อน” ว่าแล้วดีนก็ปล่อยมือข้างหนึ่งจากเอวผม หันไปคว้าไหล่เพื่อนของตัวเองให้หันกลับมาหา ฝ่ายนั้นที่กำลังเต้นอยู่ข้างสาวสวยคนหนึ่งหันกลับมาเหมือนจะด่า หน้าตาเตรียมพร้อมจะมีเรื่องเต็มที่ ทว่าพอเห็นว่าเป็นเพื่อนตัวเองก็ยิ้มอารมณ์ดี ผมเห็นดีนพยักพเยิดไปทางโต๊ะของพวกเรา มองจากตรงนี้ไม่เห็นหรอก แต่ต้นก็ดูเข้าใจสิ่งที่เพื่อนตัวเองบอกผ่านท่าทาง ถึงได้ก้มหน้าลงไปพูดกับสาวสวยคนนั้น ก่อนจะเดินจูงมือเธอออกไปด้วยกัน

“หมดห่วงแล้วนะ”

“หาเรื่องให้เราโดนปีด่าอีกแล้ว” ผมพูดไม่จริงจังนัก เรื่องกลัวปาลินด่าไม่อยู่ในหัวผมแม้แต่นิดเดียว พื้นที่ในหัวไม่เหลือให้กับอะไรทั้งนั้น นอกจากความสุขและสนุกสุดเหวี่ยงที่เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก และพร้อมจะทำทุกอย่างตามคำพูดของดีน คนที่พาผมมารู้จักโลกน่าอยู่ใบนี้

“ด่ามาก็ด่ากลับ ไม่โกงครับ แต่ว่า... ไปกันเถอะ ขึ้นไปปลอบน้องชายดีนหน่อย” แล้วดีนก็โอบเอวผมออกไปจากกลุ่มคนจำนวนมากที่ดีดดิ้นอยู่ท่ามกลางแสงสีวิบวับและเสียงดนตรีที่สนุกสนานเร้าอารมณ์

ดีนพาผมขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสาม ทางเดินมีแสงสลัวเพียงน้อยนิดแทบมองไม่เห็นอะไร แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับดีน คงเป็นเพราะความคุ้นเคยกับสถานที่ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง

“ดีน...”

“ว่า...”

“อยากจูบ...อื้อ...” แทบจะทันทีที่ผมเอ่ยไปตามความรู้สึกที่ลุกไหม้ภายในร่างกาย แผ่นหลังก็พลันกระแทกเข้ากับผนังปูนแข็งกระด้าง ริมฝีปากร้อนจัดประกบจูบลงมาอย่างหนักหน่วง หัวใจของผมกระตุกด้วยความตื่นเต้นราวกับเป็นจูบแรก ทุกอย่างมันเร้าอารมณ์ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศที่มีเสียงเพลงจากชั้นล่างดังขึ้นมาโอบล้อมอย่างเบาบาง ร่างกายของดีนที่กดเข้ามาจนเสื้อผ้าดูเป็นของเกะกะไปเลย นึกอยากกระชากทิ้งไปซะ แต่มือของดีนที่ล้วงเข้ามาในเสื้อก็ทำให้อารมณ์ผมแตกกระเจิง ไม่ใช่ความตื่นกลัว ตรงกันข้ามกลับอยากให้ดีนขย้ำร่างกายผมให้แรงขึ้น

ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อดีนลากริมฝีปากต่ำลง ฝากร่องรอยความร้อนและเจ็บจี๊ดตรงซอกคอ ยิ่งทำให้ผมสอดมือเข้าไปขย้ำผมเส้นหนาของเขาแรงขึ้นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่ก่อตัวอยู่ตรงกลางกาย

“อะ...ดีน...พีเจ็บ...” เป็นความเจ็บจากคมเขี้ยวที่ฝังลงบนคอของผม “อย่าใจร้ายกับเราสิ ...อือออ เราจะไม่ไหวแล้ว”

“น่ารักว่ะ หวานไปทั้งตัว” ดีนเอ่ยแผ่วเบาหลังจากใช้ปลายลิ้นลากเลียบริเวณที่เขาฝังเขี้ยวลงไป ดวงตาเชื่อมหวานของดีนในแสงอันน้อยนิด ดึงให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้นจูบที่สองระหว่างเราสองคนอย่างคนไร้ยางอาย แต่เป็นฝ่ายดีนที่ส่งเรียวลิ้นเข้ามาในปากผม เกี่ยวกระชากจนผมตามแทบไม่ทัน

จูบของดีนกระชากอารมณ์ผมให้บินขึ้นสูง ผมแทบไม่เป็นตัวเอง รู้ว่าทำอะไรอยู่ รู้ว่าไม่ควรและมีความผิดพลาดใดรออยู่ ทว่าผมกลับเลือกที่จะไม่ใส่ใจ ไม่กลัววันพรุ่งนี้ ผมอยากมีแค่ปัจจุบันกับความรู้สึกสุขและสนุกจนหยุดไม่อยู่

อยากถูกกอด ถูกสัมผัส... และถูกรัก

และดีนกำลังให้ทุกอย่างที่ผมต้องการ เติมบางอย่างลงมาในหัวใจที่เบาโหวงของผม จูบยาวนานหลายนาทีกว่าจะหยุดลง ที่ตามมาคือเสียงหอบหายใจของผมกับดีน กับเสียงหัวเราะของสองคนเมา

“อยากเอาตรงนี้...” ดีนยิ้ม ป้อนคำถามน่าอายติดกับริมฝีปากผม “...หรือในห้อง”

“ดีนชอบตรงไหนล่ะ” แต่ผมกลับไม่รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย มีแต่ความต้องการที่ถูกปลุกเร้าจากร่างกายที่แนบแน่นแทบลุกเป็นไฟ มือก็ยกขึ้นลูบใบหน้าของคนตรงหน้า ดีนจัดว่าเป็นผู้ชายที่หล่อมากคนหนึ่ง “เราได้ทั้งนั้น” ผมคงบ้าไปแล้ว

“ร้ายว่ะ ไม่คิดว่าเด็กเรียนอย่างพีจะมีมุมแบบนี้”

“ไม่ชอบเหรอ” ผมยิ้มยั่วยวนไปโดยไม่รู้ตัว “ไม่ชอบก็จะไม่ทำอีก”

“ชอบดิ” ดีนตอบมาอย่างไวและกลั้วเสียงหัวเราะที่ดังแทรกไปกับเสียงดนตรีที่ลอยขึ้นมาจากด้านล่าง “โคตรชอบพีเลยว่ะ นี่ไม่รู้ตัวเลยใช่ปะ ว่าดีนมองพีมาตลอด อยากคุยมาตั้งนานแล้ว วันนี้เหมือนสวรรค์มาโปรดดีนเลย”

“สารภาพรักเราเหรอ”

“ไม่มั้ง” ว่าแล้วก็หัวเราะ ก่อนดึงปากผมไปจูบอีกครั้ง แลกลิ้นกันอยู่สักพัก ดีนก็ถอนปากออกมา เอ่ยถามเสียงพร่า “อยากเอาตรงนี้ว่ะพี ...ได้ไหม”

“ดะ...”

‘ได้’ ...คือคำตอบที่ผมจะพูดออกมาตามคำบัญชาของสิ่งที่สะสมอยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเหล้าหรือยา แต่นั่นแหละ คำนั้นยังไม่ทันได้หลุดออกมาจนครบคำ เสียงเข้มจัดก็ดังแทรกเข้ามาหยุดยั้งทุกความโง่เขลาของผมลง

“ก่อนจะเอากันตรงนี้” เสียงที่คุ้นเคยทำเอาหัวใจผมหล่นไปกองพื้น ตัวผมแข็งเกร็งไปกับคำพูดประโยคสุดท้าย “ช่วยไปเปลี่ยนนามสกุลก่อนก็ดีนะ...พีรัช”

ถ้าย้อนเวลาได้ ผมก็อยากจะเชื่อปาลินที่สุด แต่ว่าผมย้อนเวลากลับไปไม่ได้ ไม่มีทางย้อนเวลาได้




จบตอนที่ 12
 
***** คำเตือน *****
สิ่งเสพติดทุกประเภทให้โทษ
การเสพของตัวละครในนิยาย ไม่ทำให้ติดได้ หรือติดก็เลิกได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ
แต่เรื่องจริง แค่ครั้งเดียวที่หลงลอง เราก็สามารถติดและทำลายทั้งชีวิตได้นะคะ
ฉะนั้น อย่าริลองอย่างเด็ดขาด
ส่วนน้องพี วอนอย่าด่าน้องมาก
เดี๋ยวตอนต่อไป น้องพีสัญญาว่าจะน่ารักขึ้นอีกนิดหนึ่ง ^_^
 :z2:
สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 12 (25-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-10-2018 09:31:24
เฮ้อออ คิดว่าครั้งแรกจะเป็นของดีนซะแล้ว
แล้วเจ้าของนามสกุลมาได้ไงหว่า
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 12 (25-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-10-2018 10:54:39
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 12 (25-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 25-10-2018 13:39:40
ทำไมรู้สึกว่าชอบน้องพีเวอร์นี้มากกกก  :katai5:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 12 (25-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-10-2018 07:10:25
ให้ทายเจ้าของนามสกุลก็คงกำลังทำแบบพีอยู่ แต่ดันเห็นพีซะก่อนสินะ กลับไปพีโดนหนักแน่
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 13 (28-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 28-10-2018 19:56:24
ตอนที่ 13



“ระวังล้มค่ะน้องพี เดินดีๆ สิคะ” พี่วิภาที่พอเห็นผมลงจากรถในสภาพเดินไม่ตรง ตัวเอนไปเอนมารีบตรงเข้ามาช่วยประคองตัวเอาไว้ไม่ให้เสียหลักล้มลงไปกองพื้น

“ขอบคุณค้าบ แต่น้องพีเดินดีแล้วน้า” ผมเถียงด้วยรอยยิ้มอ้อนๆ เหมือนเมื่อครั้งที่ชอบทำตอนยังเป็นเด็กชายพีรัชที่คนทั้งบ้านพากันโอ๋เอาใจ ก่อนจะลดเสียงเบาลงตอนพูดประโยคต่อมาเพราะกำลังจะนินทาผู้ชายตัวใหญ่ คนใจร้ายที่พอขับรถเข้ามาจอดในรั้วก็ดับเครื่องแล้วเดินลงไปทันที ไม่สนใจจะช่วยคนที่สภาพไม่สมบูรณ์อย่างผมแม้นิดเดียว น่าน้อยใจชะมัด “พี่วิภาใจดี ไม่เหมือนคุณยะ เขาใจร้ายกับน้องพีม้ากมาก ใจร้ายที่สุดในโลก น่าจับไปโยนทิ้งที่ไว้ที่ดาวอังคารนู่นเลย” คิดหรือรู้สึกอะไรผมก็พูดออกมาหมด เพราะมีแรงขับจากสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย 

“คุณยะโกรธค่ะ”

“หืออ... น้องพีรู้ น้องพีทำตัวไม่ดี คุณยะเลยโกรธ ไม่พูดกับน้องพีสักคำเลย”

ก็พอพูดประโยคนั้นจบ...

‘ก่อนจะเอากันตรงนี้ช่วยไปเปลี่ยนนามสกุลก่อนก็ดีนะ...พีรัช’

เขาก็หันหลังให้ผม เดินลงบันไดไปทันที ไม่พูดอะไรต่อและไม่สนใจผมสักนิด แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีเข้มจัดชนิดที่มองเห็นได้ในแสงน้อยนิดตรงทางเดินชั้นสาม รวมถึงน้ำเสียงเข้มดุนั้นด้วย บอกหมดแล้วว่าเขาโกรธผมมาก นั่นทำให้ผมรีบผลักดีนออกไป แล้ววิ่งตามคุณยะลงไปทั้งสภาพที่เดินไม่ตรง ขาอ่อนเปลี้ยเหมือนคนไม่มีแรง ผมแทบจะล้มหัวทิ่มและตกบันได ถ้าไม่ได้หมอภามเพื่อนของคุณยะพุ่งเข้ามาจับตัวไว้ แล้วอุ้มผมตามหลังคุณยะออกทางประตูหลังร้านจนถึงลานจอดรถ มีปาลินเดินตามมาด้วย รายนี้ก็ไม่พูดกับผมสักคำ ชวนคุยด้วยก็ไม่ยอมคุย คงโกรธผมมากที่ไม่รักษาสัญญาเพราะผมหายมากับดีนนานจนเลยเวลาที่รับปากปาลินไว้

พอถึงลาดจอดรถ คุณยะเปิดประตูขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยรถเรียบร้อยแล้ว หมอภามก็ปล่อยผมลง ผมยกมือไหว้ขอบคุณหลังจากที่หมอภามบอกว่าจะพาปาลินกลับบ้านแทนผม จากนั้นก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างคนขับ บรรยากาศในรถอย่าให้บรรยายออกมาเลยว่า เงียบยิ่งกว่านั่งในห้องสอบที่เหลือผมเพียงอยู่คนเดียวเสียอีก

ใบหน้าด้านข้างของเจ้าของรถแดงก่ำ มือกำพวงมาลัยรถไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดหลังมืออย่างชัดเจน ผมทำอะไรไม่ถูก อยากอธิบายความจริงแต่จะให้บอกว่าผมทำตัวเหลวไหล ดื่มเหล้า เล่นยา ผมก็ไม่กล้า แต่การที่ผมเพิ่งออกจากสถานบันเทิงและยังรู้สึกติดใจกับเสียงดนตรีที่ชวนขยับตัวไปมาอย่างสุดเหวี่ยง ผมเลยเปลี่ยนความเงียบที่น่าหวาดกลัวเป็นเสียงเพลงสนุกสนานในรถ ทุกอย่างมันเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อเสียงเพลงเริ่มต้น ผมขยับโยกหัวโยกตัวไปตามจังหวะเพลงที่ถูกเปิดโดยดีเจของคลื่นวิทยุ แม้จะไม่กระแทกกระทั้นหัวใจอย่างในผับ แต่ก็ช่วยแก้ขัดได้บ้าง ดีกว่าความเงียบเชียบก่อนหน้าเป็นไหนๆ

เจ้าของรถหันมามองผมที่ขยับร่างกายตามจังหวะเพลงเป็นระยะ คล้ายรำคาญแต่ก็ไม่ได้ออกปากห้ามหรือด่าที่ผมทำให้เขาเสียสมาธิในการขับรถ เหมือนที่เขาโกรธผมจนหน้าแดงหน้าก่ำแต่ก็ไม่ดุด่าความเหลวไหลของผม

“น้องพีสูบบุหรี่หรือคะ” คำถามของพี่วิภาดังขึ้นมาหยุดความคิดของผม น้ำเสียงของเธอตกใจและดูเป็นกังวลกับความเปลี่ยนไปของผม เพราะที่บ้านหลังนี้ไม่มีใครสูบบุหรี่

“ค้าบบ” ผมยอมรับ ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว หลักฐานมัดตัว

“สูบได้ยังไงคะ ใครให้สูบ น้องพีเพิ่งสิบห้านะคะ คุณท่านทั้งสองรู้ต้องเสียใจมากแน่ๆ ที่น้องพีสูบบุหรี่ เหล้าก็ด้วยไปหัดดื่มตั้งแต่เมื่อไรคะ อยากจับตีจริงๆ เลยน้องพีเนี่ย”

“หูยยย พี่วิภาอย่าดุน้องพีซี่ น้องพีสำนึกผิดไม่ทันนะค้าบ” ผมทำหน้าเศร้าที่ต่างจากความรู้สึกสนุกสนานข้างใน ไม่รู้ว่าเพราะเหล้าหรือยาที่ทำให้ผมไม่ทุกข์ร้อนไปกับคำตำหนิของอีกฝ่าย “น้องพีแค่อยากลอง ต่อไปจะไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าอีกแล้วครับ แต่... แต่อย่าฟ้องคุณปู่คุณย่านะค้าบบ อานุ อาภาก็ด้วย ห้ามฟ้องน้า เดี๋ยวไม่มีใครรักน้องพี” ผมกอดพี่เลี้ยงที่ดูแลผมมาตั้งแต่เกิด ทำเสียงเล็กเสียงน้อยอ้อนให้พี่วิภาช่วยเก็บเรื่องความเหลวไหลของผมไว้เป็นความลับ

“พี่วิภาไม่บอกใครหรอกค่ะ แต่...” สายตาของพี่เลี้ยงวัยเกือบสี่สิบของผมมองไปยังแผ่นหลังกว้างที่เดินทิ้งห่างเราสองคนไปเรื่อยๆ “น้องพีต้องขอร้องคุณยะแล้วล่ะ”

“เฮ้อ... ก็นี่แหละที่น้องพีไม่รู้จะทำยังไง” ผมถอนหายใจแต่ก็ยังคงยิ้มอารมณ์ดี แต่แล้วพอเดินไปได้อีกไม่กี่ก้าว ผมก็สะดุดขาตัวเองล้มไปกองพื้นจนได้ พี่วิภาก็คว้าตัวไว้ไม่ทัน “อื้อ... เจ็บ... ฮึก... น้องพีเจ็บ”

“เจ็บมากไหมคะน้องพี ไหนขอพี่วิภาดูหน่อย” พี่เลี้ยงผมรีบย่อตัวลงมา

“เจ็บมากครับ ฮึก... เจ็บมือ” อันที่จริงผมเจ็บไม่มากหรอกแต่ที่ร้องออกมาเป็นเพราะผมกำลังเรียกร้องความสนใจจากคุณยะ เขาหันกลับมาและเดินย้อนมาหาผมทันที

ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดตรงหน้า แต่ไม่ได้พูดปลอบโยนอย่างที่ผมหวังเอาไว้ เขาหันไปพูดกับพี่เลี้ยงผมแทน

“กลับไปนอนได้แล้ว ฉันดูพีเอง”

“ค่ะคุณยะ”

เย้! ถึงคุณยะจะไม่พูดปลอบโยนอย่างที่ผมหวัง แต่การที่เขาบอกให้พี่วิภากลับไปนอน แล้วบอกจะดูแลผมเอง มันก็ดีกว่าคำพูดปลอบโยนซะอีก ให้มันได้แบบนี้สิ เจ็บตัวแล้วได้รับการดูแลจากเขา คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ผมคิดอย่างมีความสุข

“พี่วิภาไปนอนก่อนนะคะน้องพี” เธอหันมาบอกลาผม

“ค้าบผม ฝันดีนะครับ บายยยยยยยย...” ผมยกมือขึ้นโบกลาพี่เลี้ยง ฝ่ายนั้นคลี่ยิ้มเหมือนอ่อนใจให้กับสภาพของผม ก่อนจะแยกตัวออกไป

“ลุกขึ้น”

“งื้อ... คุณยะอย่าดุน้องพี” ผมเงยหน้าพูดอย่างอ้อนๆ ฉีกยิ้มประจบคนตัวสูงที่มองลงมาด้วยสีหน้าราบเรียบแต่ติดจะดุเล็กน้อย แสดงว่าเขาโกรธผมน้อยลงแล้ว ไม่อย่างนั้นหน้าของเขาคงจะมีสีที่เข้มจัดเหมือนตอนที่เพิ่งออกจากผับ “น้องพีขอโทษที่ทำตัวไม่ดี แต่ตอนนี้น้องพีเจ็บขามากเลย เดินไม่ไหวแล้ว คุณยะอุ้มหน่อยนะ อุ้มน้องพีหน่อย” ผมโกหกเรื่องขา ขาผมไม่ได้เจ็บ แต่ที่โกหกไปเพราะอยากถูกอุ้ม ผมอยากให้คุณยะอุ้มผม

“เธอไม่ได้เจ็บขา อย่าหัดโกหกผู้ใหญ่”

“ว้า จับได้อีกแล้ว” แทนที่ผมจะกลัวเสียงเข้มจัดของคนตัวสูง ผมกลับยิ้มรับ ยิ้มกว้างด้วยแหละ พร้อมกับใช้มือยันตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ถึงไม่เจ็บขาแต่ผมก็อยู่ในสภาพมึนเมาเพราะเหล้ากับยาที่ดีนให้ผมกิน ซึ่งผมก็ไม่รู้จักว่ามันเป็นยาชนิดใด รู้แต่ว่ามันทำให้ผมมีความสุขจนถึงตอนนี้

พอลุกขึ้นยืนผมเลยมีเซซ้ายเซขวาบ้าง ไม่มีพี่วิภาช่วยพยุงแล้ว ผมก็แทบจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้ นอกจากเป๋ซ้ายทีขวาทีอยู่แบบนี้ จนต้องอ้อนอีกฝ่าย

“คุณยะค้าบบบบ อุ้มน้องพีหน่อย เนี่ยๆ น้องพีเดินไม่ไหวแล้ว” ไม่พูดเปล่า ผมอาศัยความมึนเมาที่ทำให้ร่างกายเสียการทรงตัวแสร้งเซถลาไปหาคนร่างหนา ทำท่าจะทรุดลงไปกองตรงปลายเท้าของคุณยะ ขณะที่มือก็จับท่อนแขนแกร่งไว้สองข้าง ไม่ให้ตัวเองไหลไปกองพื้นเข้าจริงๆ

สำเร็จ! มือคุณยะคว้าเอวผมอย่างรวดเร็ว เขาเป็นห่วงผมใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เขาไม่ใจร้ายกับผมแล้ว... ดีใจ ดีใจที่สุด

“ขอบคุณค้าบบบบ คุณยะใจดี” ผมอยู่ในวงแขนของคุณยะ สองมือวางบนอกกว้างที่อยากจะเอาหน้าของตัวเองซบลงไป แต่ไม่ได้ทำอย่างใจนึกเพราะอยากจะสบตากับดวงตาสีราตรีมากกว่า “น้องพีอยากให้คุณยะใจดีกับน้องพีเยอะๆ แต่ทำไมคุณยะชอบใจร้ายกับน้องพีด้วยก็ไม่รู้ น้องพีทำอะไรให้คุณยะไม่พอใจค้าบ น้องพีไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าต้องทำตัวให้เป็นเด็กดียังไง คุณยะถึงจะใจดีกับน้องพีบ้าง ทำไมคุณยะไม่กลับมาหาน้องพี ทำไมถึงทิ้งให้น้องพีอยู่คนเดียว” ผมพรั่งพรูทุกความในใจออกมา มันเป็นคำถามที่ในเวลาปกติผมคงไม่กล้าเอามันออกมา แต่นี่ผมไม่ปกติ ผมกินเหล้า ผมหลงใช้ยาเสพติด แถมยังมีความสุขมากอีกด้วย

ร่างกายของผมมึนเมาจากผลของสิ่งที่ทั้งดื่มและกินเข้าไป ทว่าความมึนเมานั้นทำให้ผมรู้สึกเป็นสุข ผมอยู่ในอารมณ์ของความสุขที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเหมือนกับว่าโลกตอนนี้เป็นโลกที่ผมอยากได้มาตลอด จินตนาการถึงการที่คุณยะจะใจดีกับผม ยิ้มให้ผม โอบกอดผมเอาไว้ด้วยความรัก ด้วยร่างกายของเขา

“ฉันต้องทำงาน เธอก็เห็น” คุณยะตอบแทนความน้อยอกน้อยใจของผมด้วยการอุ้มตัวผมขึ้นมาแนบอกแน่นๆ ของเขา มือข้างหนึ่งอยู่ที่แผ่นหลังของผม อีกข้างช้อนอยู่ใต้ข้อพับเข่า พอตัวลอยจากพื้นมือผมก็คล้องบนต้นคอหนาทันที

สองเท้าของคุณยะมุ่งไปข้างหน้า ตามทางเดินมีโคมไฟให้แสงสว่างเป็นระยะ ความมืดบางส่วนถูกแสงนวลกลืนกินเพื่อให้คุณยะเดินได้อย่างปลอดภัย ขณะที่สายตาคู่คมกริบแทบไม่มองทางเลยเพราะเอาแต่มองหน้าผม

“ผมเห็นแต่คุณยะใช้โต๊ะทำงานเป็นเตียง” ผมนึกถึงภาพที่เห็นวันนั้นอีกครั้ง เจ็บปวดนะแต่กลับไม่รู้สึกทุรนทุรายเหมือนทุกครั้ง ราวกับว่าความสุขในขณะนี้มีอิทธิพลเหนือกว่าความทรมานใจ

“เลิกคิดถึงเรื่องวันนั้นได้แล้ว”

“มันเลิกได้ง่ายๆ ที่ไหนกันเล่า” ผมอดไม่ได้ที่จะค้อนเขา แต่ปากผมกลับฉีกยิ้ม “คุณยะใจร้ายสั่งให้น้องพีทำเรื่องยาก น้องพีทำไม่ได้หรอกนะ น้องพีนึกถึงมันทุกคืนเลยรู้ไหม หลับตาก็เห็นคุณยะทำเรื่องน่าเกลียดกับผู้ชายคนนั้นบนโต๊ะ เอาแต่คิดถึงหน้าคุณยะที่เหมือนปีศาจบ้ากาม น้องพีไม่ชอบคุณยะตอนเป็นปีศาจเลย ชอบแบบนี้มากกว่า น่ามองกว่าเยอะ”

“แบบนี้คือแบบไหนละหื้อ อธิบายให้คุณยะเห็นภาพหน่อย”

“ก็...” ปากผมฉีกยิ้มอีกแล้ว ยิ้มกว้างกว่าเดิมด้วยแหละ เพราะเสียงของคุณยะที่ใช้พูดกับผม ฟังแล้วอบอุ่นหัวใจที่สุด แถมแทนตัวเองว่า ‘คุณยะ’ กับผมด้วย “คุณยะของน้องพี... หล่อ ใจดี พูดเพราะ ตาก็หว้านหวาน น้องพีอยากให้คุณยะพูดเพราะๆ กับน้องพี ใจดีกับน้องพีเยอะๆ มองหน้าน้องพีด้วยสายตาหวานๆ แบบตอนนี้ด้วย ทำได้ไหมครับ ทำไปตลอดเลย” ผมเรียกร้องสิ่งที่อยากได้จากคนคนนี้

...คนที่เป็น ‘คุณยะของน้องพี’  และเป็น ‘ของของผม’

“แลกกันสิครับ ถ้าน้องพีเป็นเด็กดี คุณยะก็จะทำทุกอย่างที่น้องพีต้องการ” คุณยะใจดีกับผมอีกแล้ว เขาเรียกผมว่า ‘น้องพี’ ... “แล้วจะเป็นคุณยะของน้องพีคนเดียว”

“ไม่เอา น้องพีไม่อยากเป็นเด็กดีแล้ว” ถึงข้อแลกเปลี่ยนจะโดนใจผมอย่างสุดๆ จนอยากตะครุบเอาไว้ แต่ผมก็กลัวถูกเขาหลอกเหมือนครั้งที่ผ่านมา

“ทำไมครับ”

“คุณยะชอบหลอกน้องพี”

“คุณยะหลอกตอนไหน”

“ก็ตอนนั้นไง ตอนที่คุณยะ... จูบน้องพีในห้องนอน” พูดแล้วอุณหภูมิบนใบหน้าผมก็ร้อนแผ่วขึ้นจนต้องลดมือทั้งสองข้างที่เกี่ยวต้นคอหนาลงมาปิดแก้มแดงๆ ของตัวเอง แต่ไม่ลืมตัดพ้อเรื่องในวันนั้นต่อ “คุณยะบอกให้น้องพีเป็นเด็กดี บอกว่าน้องพีเป็นคนพิเศษของคุณยะ แต่...แต่คุณยะก็ไปจูบกับคนอื่นที่โต๊ะทำงาน”

“เห็นหรือไงว่าคุณยะจูบเขา คุณยะอาจจะไม่ได้จูบเขาก็ได้” เขาเห็นผมเป็นเด็กโง่หรือไงนะ ผมไม่ได้โง่สักหน่อย

“ไม่เชื่อหรอก คุณยะชอบหลอกน้องพี ทำให้น้องพีดีใจแป๊บเดียว แต่สุดท้ายน้องพีก็ต้องกลับมานอนร้องไห้ทุกคืน” ผมไม่ได้พูดเกินจริง ผมนอนร้องไห้ทุกคืนตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น แม้หลังจะไม่ฟูมฟายเหมือนช่วงแรกก็เถอะ

“คุณยะขอโทษ” เสียงทุ้มของคุณยะบอกออกมาอย่างนุ่มนวล ทำเอาหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ยังกับอยู่ในความฝัน เป็นฝันที่ดีมากที่สุดในชีวิต

“ไม่ยกโทษให้หรอก” ผมทำหน้างอ ปากยื่น “วันนั้นก็ด้วย ไม่ยกโทษให้หรอกนะ”

“วันไหนครับ”

“ก็วันที่โต๊ะกินข้าวไง... ไม่ยกโทษให้หรอกนะที่คุณยะรังแกน้องพีน่ะ” ผมเห็นเขายิ้ม มันเป็นรอยยิ้มแบบเอ็นดูในคำตัดพ้อของผม “คนนิสัยไม่ดี รังแกน้องพีแล้วก็หนีหายไปเลย ไม่คิดจะรับผิดชอบน้องพีเลยใช่ไหม”

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นบนโต๊ะกินข้าว เขาก็หายไปเลย แม้แต่วันเกิดครบอายุสิบห้าของผม เขาก็ไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา ไม่มีคำอวยพร มีแต่ของขวัญวันเกิดเป็นนาฬิการาคาหลักล้านที่ผมไม่อยากได้ ไม่ใส่ด้วย ถ้าไม่เสียดายเงินแทนเขานะ ผมคงเอาไปเขวี้ยงทิ้งที่สระบัวไปนานแล้ว

“คุณยะงานยุ่ง น้องพีก็เห็น” เขาอ้างคำตอบเดิม

“ยุ่งตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเหรอครับ น้องพีไม่เชื่อหรอกนะ ถ้ายุ่งจริงคุณยะก็ไม่มีเวลาไปทำแบบนั้นกับเขาบนโต๊ะทำงานหรอก” ผมวกกลับมาเรื่องที่ทิ่มแทงใจอยู่ทุกคืน ทำผมเสียน้ำตาไปมากมาย

“ตัวหนักนะเนี่ย กินเยอะไปหรือเปล่า คุณยะอุ้มจะไม่ไหวแล้วนะ ปล่อยให้เดินเองดีไหม” เขาว่ายิ้มๆ แล้วทำท่าจะปล่อยผมลงพื้น แต่ผมไม่ยอม สองแขนกอดคอเขาแน่นขึ้นยิ่งกว่าลูกลิง

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยนะคุณยะ!” ผมแหวใส่เขาอย่างรู้ทันการเปลี่ยนเรื่องของเขา “แล้วน้องพีก็ไม่ได้ตัวหนักด้วย น้องพีผอมจะตายไป คุณย่ายังบอกเลยว่าน้องพีกินข้าวเหมือนแมวดม ถ้าคุณยะไม่เชื่อ คุณยะก็ต้องมานั่งดูน้องพีตอนกินข้าวทุกวันสิ” ประโยคท้ายๆ ก็หวังว่าเขาจะหลงกล ผมอยากให้เขามานั่งกินข้าวกับผมทุกวัน แทนที่จะไปนั่งกินข้าวกับผู้หญิงหรือผู้ชายที่เป็นคู่ควงของเขา

ตอนนี้คุณยะมีข่าวกับนักแสดงสาวคนใหม่อีกแล้วครับ คนที่นานะกับเตเต้เรียกเธอว่า ‘ป้าศมน’ ที่จริงเธออายุแค่สามสิบ ไม่ถึงกับจะเป็นป้าได้หรอก ส่วนคนที่ไม่เป็นข่าวและผมเพิ่งรู้วันนี้ก็พี่เล่มอนนี่แหละ พี่เลม่อนแก่กว่าผมไปสี่ปีและเป็นอดีตรุ่นพี่ที่โรงเรียน ถ้าให้เดาว่าทั้งสองรู้จักกันได้อย่างไร ผมก็เดาว่าคงเป็นตอนที่พี่เลม่อนมาถ่ายเอ็มวีของนักร้องคนหนึ่งที่พุฒิธาดามั้งครับ

“คุณยะงานยุ่งจริงๆ ครับ แทบไม่มีเวลาพักเลย ทำงานทุกวัน นอนวันละไม่กี่ชั่วโมง มะรืนนี้ก็ต้องบินไปเยอรมันอีก”

ผมรู้ว่างานเขาทั้งยุ่งทั้งเยอะ ทำงานจนลืมไปแล้วมั้งว่าชีวิตนี้มีวันหยุดพักผ่อน เห็นคุณย่าเล่าว่านอกจากโรงแรมที่พัทยาแล้ว คุณยะยังมีแผนที่จะซื้อกิจการโรงแรมที่กาญจนบุรี ซึ่งเป็นโรงแรมของเพื่อนคุณทวดที่ส่งต่อให้ลูกชายบริหารงานแต่ขาดทุนอย่างหนัก แต่ถึงเขาจะงานยุ่งงานเยอะยังไง เขายังมีเวลาให้คู่ควงเขาได้ ทำไมถึงมีเวลาให้ผมบ้างไม่ได้ล่ะ ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ

“ไม่ต้องอ้างเลย คุณยะไม่อยากเห็นหน้าน้องพีก็บอกมาเถอะ” ผมตัดพ้อตามที่หัวใจมันรู้สึก ระบายความคิดที่สะสมมานานและเพิ่มมากขึ้นทุกวันออกมา “พ่อแม่ของน้องพีเป็นคนไม่ดีใช่ไหม คุณยะเลยเกลียดพวกเขา แล้วก็พาลเกลียดน้องพีด้วย ทั้งที่น้องพีไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร ชื่ออะไร แต่ทำไมคุณยะถึงเอามาลงที่น้องพีด้วย... ฮึก... ทั้งที่ทุกคนในบ้านก็รักน้องพีทุกคน... ฮึก... ทั้งที่น้องพีไม่ต้องสนใจคุณยะก็ได้ เหมือนที่คุณยะไม่สนใจน้องพี แต่...น้องพีก็ทำไม่ได้ น้องพีเสียใจที่คุณยะไม่รักน้องพีเหมือนที่ทุกคนรัก...ฮึก... ทำไมไม่รักน้องพี... เกลียดน้องพีมากหรือครับคุณยะ” ผมพรั่งพรูทุกความรู้สึกออกมาอีกครั้งอย่างกระท่อนกระแท่นปนไปกับเสียงสะอื้น ข้างในตัวผมมีคำพูดมากมายยิ่งกว่าคำถามที่เอ่ยออกมา มากจนพูดทั้งคืน พูดทั้งเดือน หรือเป็นปีก็ไม่หมด เพราะมันสะสมมาตั้งแต่ผมจำความได้ เพราะผมเป็นเด็กช่างจำ จำได้ทุกอย่างแหละที่เขาทำร้ายจิตใจผม

น้ำตาผมไหลแต่ผมกลับมีความสุข จะคิด จะพูด จะรู้สึกอย่างไร ก็เหมือนมีแต่ความสุขโอบอุ้มตัวผมเอาไว้ ไม่ให้จมลงไปกับความเจ็บปวดที่แสนทรมาน

“เหนื่อยไหมที่พูดไปร้องไห้ไป” ไม่มีคำปลอบโยนเลย แถมยังถามผมกลับด้วยรอยยิ้มขบขันด้วย เขาเห็นความเจ็บปวดของผมเป็นเรื่องตลกหรือไง นี่ผมร้องไห้เลยนะ

“น้องพีร้องไห้เสียใจอยู่นะครับ ไม่คิดจะปลอบหรือไง” ผมถามเสียงขุ่น ยกกำปั้นทุบอกเขาไปเต็มแรงคนเมาหนึ่งครั้งถ้วน ไม่กล้าตีเยอะกลัวเขาเจ็บ

“อยากให้คุณยะปลอบว่าไงครับเด็กดี” ยิ้มที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ชวนให้น้ำตาผมหยุดไหล รอยยิ้มของคุณยะอบอุ่นจนหัวใจของผมอิ่มเอม

“คุณยะบอกให้น้องพีฟังอีกครั้งสิครับว่า...” ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าหล่อเหลาของคุณยะ เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาและมีเสน่ห์มากเหลือเกิน “...น้องพีเป็น ‘คนพิเศษ’ ของคุณยะ” พอเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไปแล้ว ผมก็รอฟังคำที่จะทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำ

“เมื่อไรจะถึงสักที เมื่อยแขนหมดแล้ว สงสัยต้องให้เด็กขี้แยเดินเองแล้วมั้ง”

“ไม่ได้ขี้แยนะ! ห้ามปล่อยน้องพีด้วย” ผมร้องห้ามเสียงหลง กลัวคุณยะจะปล่อยให้ผมเดินกลับไปเอง ไม่เอา ก็ผมชอบให้คุณยะอุ้ม ถึงเขาจะกล่าวหาว่าผมตัวหนักและเมื่อยแขนก็ตาม ก็อีกไม่ถึงสิบก้าวของขายาวๆ ของคุณยะก็จะถึงตีนบันไดบ้านเรือนไทยแล้วนี่นา อุ้มต่ออีกนิดจะเป็นอะไรไป ผมรู้หรอกน่าว่าคุณยะแข็งแรง อุ้มผมแค่นี้ไม่เมื่อยหรอก ตัวผมก็ออกจะเบา แต่ที่พูดแบบนั้นเพราะเขาอยากเปลี่ยนเรื่องอีกตามเคย ผมรู้ทันหรอกน่า “แล้วก็ห้ามเปลี่ยนเรื่องด้วย คุณยะถามเองนะว่าน้องพีอยากได้อะไร น้องพีก็ตอบแล้วไง คุณยะก็ต้องทำตามสิ”

“คุณยะจำไม่ได้แล้วว่าน้องพีอยากได้อะไร” ตอนเขาถามกลับมา เท้าของเขากำลังอยู่บนบันไดขั้นแรก และก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ

ทำไงดี ?

ผมไม่อยากให้ค่ำคืนที่คลุ้งไปด้วยความสุขสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เมื่อขึ้นไปบนเรือน ผมก็ต้องเข้าห้องตัวเอง ส่วนคุณยะก็กลับห้องของเขาเช่นกัน ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อยืดเวลาที่จะได้อยู่กับเขาไปสักนิดหนึ่ง หรือจนถึงเช้าเลยก็ได้ ดังนั้นผมเลย...


.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 13 (28-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 28-10-2018 19:57:33
.

.

.


“น้องพีอยากว่ายน้ำ” ผมชี้มือไปยังสระว่ายน้ำ สถานที่โปรดของผม และยังเป็นที่ที่ผมกับคุณยะจูบกันครั้งแรกด้วย คิดแล้วเขินจัง

“ดึกแล้วครับ พรุ่งนี้จะไม่สบายเอา”

ห้ามอีกแล้ว คุณยะพูดเหมือนผมเป็นเด็กขี้โรคอย่างนั้นแหละ เขาไม่รู้หรอกว่าผมน่ะเป็นเด็กแข็งแรง ถึงจะผอมจนปลิวตามลมได้ก็เถอะ และที่สำคัญกลางคืนไม่ใช่อุปสรรคของการแหวกว่ายอยู่ในน้ำเย็นๆ ของผม ผมว่ายน้ำตอนดึกออกจะบ่อย เพียงแต่เขาไม่ค่อยจะเห็นเพราะไม่ค่อยกลับมานอนบ้านเรือนไทยของตัวเองสักเท่าไร ชอบอยู่บนตึกสูงเหมือนทวดพุฒิไม่มีผิด

คุณปู่บอกว่าในบรรดาหลานทั้งสามคนของทวดพุฒิ มีคุณยะนี่แหละที่ถอดนิสัยออกมาจากทวดพุฒิเลย แบบไหนเหรอ ก็แบบที่คุณยะเป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ ขยัน เก่ง บ้างาน ...และเจ้าชู้

ก่อนที่ทวดพุฒิจะแต่งงานกับทวดมะลิดา ท่านเจ้าชู้มาก (ที่ผมรู้เพราะคุณปู่เป็นคนเล่าให้ฟัง) มาหยุดเจ้าชู้ไปช่วงหนึ่งตอนที่เจอรักแท้กับทวดมะลิดา แต่พอทวดมะลิดาเสีย ท่านก็กลับมาเจ้าชู้เหมือนวัยหนุ่ม ก็อย่างว่าครับ ท่านเป็นผู้ชายที่สมาร์ต หน้าตาหล่อเหลามากทีเดียว ต่อให้อายุมากแล้วก็ยังมีสาวสวยมากหน้าหลายตาวนเวียนอยู่รอบตัว เพราะเหมือนกันแบบนี้ไง คุณทวดถึงรักคุณยะมาก ยกพุฒิธาดาให้หลายชายคนโปรดดูแล แต่ใช่ว่าอานุกับอาภาจะไม่ได้อะไรเลย อาทั้งสองมีหุ้นของพุฒิธาดาเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มากเท่าคุณยะ เนื่องจากทวดพุฒิต้องการให้คุณยะเป็นเจ้าของพุฒิธาดาต่อจากท่าน

“ตามใจน้องพีหน่อยสิครับ นะครับคุณยะ น้องพีอยากว่ายน้ำ น้องพีชอบน้ำ” ผมอ้อน ทำตาปริบๆ มองเจ้าของบ้านเรือนไทยหลังนี้

“ไม่ครับ” แต่เขากลับส่ายหน้า อุ้มพาผมไปตามชานแล่นจนใกล้จะถึงประตูห้องนอนของผม สุดท้ายผมก็ต้องใช้วิธีที่ถนัดที่สุด นั่นคือ...

“ฮึก... น้องพีไม่นอน... ฮึก...น้องพีจะเล่นน้ำ ฮื่อออ...” ผมปล่อยทั้งน้ำตาและเสียงโฮออกมาทันที ตอนเด็กๆ ผมใช้วิธีนี้บ่อยมากเพื่อให้ทุกคนโอ๋เอาใจ “...ทำไมคุณยะต้องใจร้ายกับน้องพี ชอบทำร้ายจิตใจของน้องพีตลอด ฮึก... ให้น้องพีมีความสุขบ้างไม่ได้หรือไง น้องพีขอแค่คืนนี้คืนเดียวก็ได้นะครับคุณยะ”

...แค่คืนเดียวที่ผมจะได้อยู่กับเขาจนถึงเช้า

“เด็กดื้อ” เขาส่ายหน้ายอมแพ้ให้กับน้ำตาของผม แต่ก็มีข้อแม้ตามมาด้วย ไม่ใช่จะยอมเสียทีเดียว “คุณยะให้แค่เอาเท้าจุ่มน้ำพอนะ”

“ครับผม” ผมยิ้มกว้างให้เขา จะได้ลงน้ำหรือไม่ได้ลง ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมมีเวลาอยู่กับเขาเพิ่มขึ้น 

แล้วไม่กี่ก้าวช่วงขายาวๆ ของคุณยะก็พาผมมายืนข้างสระ พอเห็นน้ำอยู่ตรงหน้าก็อยากลงไปว่ายขึ้นมาเสียนี่ ผมเป็นคนชอบน้ำ เห็นน้ำอยากกระโดดลงไปทุกทีเลย

“ขอลงทั้งตัวได้ไหมครับคุณยะ... ห้านาทีก็ได้” ผมเอ่ยขอตอนที่คุณยะวางผมลงบนพื้น อาการโลกเอียงถามหาทันที ต้องคว้าท่อนแขนแกร่งเอาไว้เป็นหลักยึด

“ไม่ได้!” เขาปฏิเสธมาอย่างไว เสียงดุด้วย ทำเอาผมย่นคอหนี

“งื้อ... คุณยะใจร้าย” ผมปากแบะ พร้อมบีบน้ำตา

“งั้นกลับไปนอน” แต่เขากลับไม่สนใจน้ำตาเสแสร้งของผม

“ไม่เล่นก็ได้ครับ เอาเท้าจุ่มน้ำอย่างเดียวก็พอเนอะ” ผมยิ้มประจบ จากนั้นก็ปล่อยมือจากแขนคุณยะ พยายามยืนให้มั่นคงด้วยขาตัวเอง มีคุณยะมองตามทุกการกระทำของผม เริ่มจากถอดรองเท้ากับถุงเท้าก่อน ตามด้วยปลดกระดุมกางเกงยีน รูดซิปลง ดึงเอากางเกงลงจากสะโพก จนหลุดออกไปทางขาทั้งสองขา เป็นอันเรียบร้อยกับกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายามมากที่สุด เพื่อที่จะไม่ล้มไปกองพื้น

เอาละ... ตอนนี้ท่อนล่างของผมเหลือแค่บ็อกเซอร์ พร้อมสำหรับการนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำแล้ว

ผมทรุดตัวลงนั่งข้างขอบสระ ปล่อยปลายเท้าจมลงสู่สายน้ำเย็นชืดในตอนดึกสงัด มีคุณยะทิ้งตัวตามลงมานั่งข้างๆ เขาทำเหมือนผม เพียงแต่ไม่ได้ถอดกางเกงแบบผม เขาทำแค่พับขากางเกงสแลกค์ขึ้นไปกองที่เข่า

“คุณยะครับ น้องพีอยากขอ...” อยากขอแต่ก็กลัวเขาปฏิเสธ 

“ขออะไร” เพราะผมไม่ยอมพูดต่อ เขาถึงได้เอ่ยปากถามกลับมา คุณยะยกมือขึ้นมาลูบหัวผม และมันทำให้ผมมีความกล้าขึ้น

“ขอ... “ผมสูดหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยความอยากของตัวเองออกมา “...ขอหนุนตักคุณยะได้ไหมครับ” และไม่รอให้เขาปฏิเสธ ผมขยับถอยออกมาจากตัวคุณยะพอประมาณ แล้วก็ใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีทิ้งตัวลงนอนราบไปกับพื้น วางหัวของตัวเองไว้บนตักของเขาได้อย่างพอดี

...ต้นขาคุณยะแข็งมาก ไม่นุ่มเหมือนหมอนที่ผมหนุนทุกคืนหรอก แต่เพราะความไม่เหมือนนี่แหละทำให้ผมมีความสุขจนไม่อยากลุกจากไปไหน

“คุณยะอนุญาตหรือยัง” เขาทำเสียงเข้มถามผม แต่ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ผมมั่นใจว่าเขาแกล้งผมมากกว่า

“คุณยะใจดี” ผมพูดไปตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ คืนนี้เขาใจดีกับผมมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผมเงยหน้าขึ้นไปยิ้มกว้างปากแทบฉีกให้เขา ได้รับรางวัลเป็นมืออุ่นๆ ที่ลูบหัวผมไปมา มองผมด้วยสายตาที่อยากจะจดจำไปตลอดชีวิต

คืนนี้คุณยะใจดีกับผมมาก ทั้งที่ผมคิดว่าเขาจะดุผมเรื่องหนีเที่ยว ดื่มเหล้า เล่นยา และสูบบุหรี่ ถึงเขาจะไม่เห็นตอนผมสูบก็ตาม แต่ว่าตัวผมก็มีกลิ่นบุหรี่

“น้องพีเป็นคนพิเศษของคุณยะใช่ไหมครับ” เพราะผมยังยึดติดกับคำว่า ‘คนพิเศษ’ ที่ผมหลงเชื่อ อยากคิดว่ามันเป็นความจริง เขาให้ผมเป็นคนพิเศษของเขาจริงๆ

‘พิเศษ’ ที่หมายความว่าแตกต่างจากคนอื่น

‘พิเศษ’ ที่มีให้แค่คนเดียวคือผม

“ขึ้นอยู่กับว่าน้องพีเป็นเด็กดีของคุณยะหรือเปล่า” ผมไม่ค่อยพอใจคำตอบเท่าไร ผมหวังว่าเขาจะตอบว่า... ‘ใช่’ โดยที่ไม่ตามมาด้วยข้อแม้

“น้องพีจะงอนแล้วนะ ทำไมคุณยะไม่ตอบว่า ‘ใช่’ ล่ะครับ ทำไมต้องมีข้อแม้ด้วย” ผมแกล้งถามด้วยน้ำเสียงแง่งอน สบตากับคนด้านบนที่มองลงมาด้วยรอยยิ้มอีกตามเคย คืนนี้คุณยะยิ้มให้ผมเยอะมาก

“คุณยะง้อคนไม่เก่งด้วยสิ”

“แต่ใจร้ายเก่งมากกกกกก”

“ใช่... โดยเฉพาะกับเด็กแบบเธอ”

“ไม่ ‘เธอ’ สิครับ” ผมรีบท้วง ไม่เอาคำว่าเธออีกแล้ว “คุณยะต้องเรียกว่า ‘น้องพี’ นะ”

“อยากเป็นน้องของคุณยะหรือไง” เขาแกล้งผมอีกแล้ว รอยยิ้มของเขาบอกอย่างนั้น แต่ผมก็มีความสุขนะที่เราสองคนมีช่วงเวลาแบบนี้

“เปล่าครับ แต่น้องพีอยากเป็น...” ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนขยับเปลี่ยนจากท่านอนหงายมองหน้าเขา มาเป็นนอนตะแคงข้าง แบบที่... หันหน้าเข้าหาตัวเขา ซ่อนความเขินอายที่อาจจะฟ้องออกมาทางผิวแก้มที่แดงก่ำไม่ให้เจ้าของตักเห็น ยามที่เอ่ยประโยคนี้ออกไป “...คนที่คุณยะรัก” หัวใจผมมันเรียกร้องอยากให้เขามอบความรักให้ผมคนเดียว

...รักของคุณยะที่เป็นของผมแค่คนเดียว

“...” เจ้าของตักเงียบไปเลย มันนานจนมีเวลาให้น้ำตาผมไหลออกมาเป็นสายยาว ซึมผ่านกางเกงลงไปยังต้นขาของเขา ผมไม่ได้บีบน้ำตาเพื่อให้เขาใจอ่อนหรือโอ๋เอาใจ น้ำตาทุกหยดที่รวมกันเป็นสายยาวมาจากความสิ้นหวังของผมล้วนๆ

...คุณยะไม่ตอบ เขาเงียบ เพราะเขาไม่รักผมใช่ไหม

“ร้องไห้ทำไม” มือของคุณยะเปลี่ยนมาลูบแผ่นหลังผม คล้ายจะปลอบโยนให้คลายแรงสะอื้นลง

“ก็คุณยะใจร้ายกับน้องพี” ผมลุกขึ้นมานั่งมองหน้าคนใจร้ายทั้งน้ำตา คุณยะเอื้อมมือมาจะเช็ดน้ำตาให้ แต่ผมขยับหนีด้วยอารมณ์น้อยใจ “น้องพีอุตส่าห์รักคุณยะ คุณยะก็ต้องรักน้องพีด้วยสิ” คำพูดเอาแต่ใจของผมทำคนฟังถอนหายใจออกมา ครั้งนี้ไม่มีรอยยิ้ม เขาโกรธความเอาแต่ใจผมหรือเปล่า ผมไม่อยากให้เขากลับมาใจร้ายกับผมอีกแล้วนะ

“เธอรักฉันแบบไหน” เขาถามเสียงเรียบกดดันให้ผมพูดไม่ออก บทจะใจดีเขาก็ใจดีจนผมหลงระเริง พอจะใจร้ายก็แค่มองหน้าผมนิ่งๆ และกลับไปใช้สรรพนามที่ห่างเหินเหมือนที่ผ่านมา

ผมปาดน้ำตาออกจากแก้มเท่าไรก็ไม่หมด สุดท้ายก็ยอมให้คนตรงหน้าเอื้อมมือเข้ามาช่วยเช็ดน้ำตาให้ ความอ่อนโยนของเขาที่ผ่านปลายนิ้วทำให้น้ำตาผมไหลน้อยลง

“แบบ...คนรัก” ในที่สุดผมก็ทนเก็บความรู้สึกที่ทุรนทุรายในอกเอาไว้ไม่ได้ ผมกลั้นใจพูดมันออกมาจนได้

“ที่พูดออกมา รู้แล้วหรือไงว่ารักแบบ ‘คนรัก’ มันเป็นยังไง” เขาพูดเหมือนจะสั่งสอนในความไม่รู้จริงของผม “เธอยังเด็กเกินไปนะพีที่จะรู้ว่ารักแบบคนรักมันเป็นแบบไหน การที่เธอบอกว่าเธอรักฉันแบบคนรัก เธออาจจะแค่อยากให้ฉันรักเธอเหมือนที่ทุกคนรักเธอ เอาใจเธอเหมือนที่ทุกคนเอาใจ แต่เพราะฉันไม่เหมือนทุกคน เธอถึงอยากเอาชนะ อยากให้ฉันทำดีกับเธอเท่านั้น”

“ไม่ใช่สักหน่อย!” ผมโกรธนะที่เขากล่าวหาผม เขาไม่ใช่ผมสักหน่อยถึงจะได้รู้ว่าผมไม่รู้จักความรัก “ผมอายุสิบห้าแล้ว ไม่เด็กซะหน่อย มีบัตรประชาชนแล้วด้วย เผื่อคุณยะไม่รู้”

“ก็ยังเด็กอยู่ดีนะครับน้องพี” เขายิ้มอ่อน หน้าตาผ่อนคลายกว่าตอนที่สั่งสอนผมเรื่องความรักแบบคนรัก แถมยังกลับมาเรียกผมว่าน้องพีอีกครั้ง พลอยทำเอาผมยิ้มหน้าบาน “น้องพีเป็นเด็กดีของคุณยะแบบนี้ดีแล้วครับ”

“งั้นน้องพียังเด็กอยู่ก็ได้ครับ” ผมเลิกเถียงก็ได้ ถ้าความเป็นเด็กของผมทำให้เขายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน มองผมด้วยสายตาหวานซึ้ง “แต่คุณยะช่วยบอกน้องพีหน่อยสิครับ ว่าน้องพีต้องอายุเท่าไรถึงจะเรียกว่าโตแล้ว สามารถรักคุณยะได้”

“ตอนโตเป็นผู้ใหญ่” เป็นคำตอบที่กว้างมาก

“เอาเป็นตัวเลขสิครับ” ผมท้วง พลางขยับเข้าใกล้ ใช้สายตาจริงจังกดดันเอาคำตอบจากคนที่เอาแต่ยิ้ม

“สี่สิบเป็นไง”

“นั่นเรียกว่าโตจนเข้าสู่วัยกลางคนแล้วครับ” นอกจากคุณยะจะชอบใจร้ายกับผม เขายังชอบแกล้งผมด้วย ทำไมเป็นคนขี้แกล้งแบบนี้นะ “บอกมาสิครับ บอกน้องพีมาเลยว่าน้องพีต้องอายุเท่าไรถึงจะรักคุณยะได้ และพอถึงตอนนั้นคุณยะก็ต้องรักน้องพีคนเดียวด้วย ห้ามมีใครอีก เพราะน้องพีจะไม่ยอมให้คุณยะมีใครอีกแล้ว ต้องมีน้องพีคนเดียว”

“เอาแค่ถึงพรุ่งนี้แล้วน้องพีจำที่พูดทั้งหมดในคืนนี้ได้ คุณยะจะถือว่าน้องพีโตพอที่จะมีความรักได้... ตกลงไหม”

“ตกลงครับ!” ผมรีบตอบทันที กลัวเขาจะเปลี่ยนข้อแม้ที่ยากกว่านี้ ชักอยากให้พรุ่งนี้มาถึงไวๆ แล้วสิ แต่ก็เสียดายช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับคุณยะแบบนี้

โอ๊ยยย...สับสน อยากเร่งเวลาให้ถึงตอนเช้า แต่ก็อยากยืดเวลาให้คืนนี้ยาวออกไปให้มากที่สุด

“คิ้วชนกันหมดแล้ว” ปลายนิ้วของคุณยะจิ้มลงมาตรงช่องว่างระหว่างหัวคิ้วทั้งสอง กดคลึงอย่างอ่อนโยน

“จุ๊บแก้มหน่อยสิครับ” อยากถูกเขาสัมผัสอย่างอ่อนโยน ผมยังจำความรู้สึกที่โดนคุณยะหอมแก้มวันนั้นได้ไม่ลืม

“ไว้พรุ่งนี้นะ”

“ไม่เอา น้องพีจะเอาตอนนี้” ผมเริ่มเอาแต่ใจตัวเองตามนิสัยเด็กที่ถูกตามใจมาตั้งแต่จำความได้ ยิ่งคุณยะใจดีกับผม ผมก็ยิ่งเอาแต่ใจ

“เด็กดื้อ” น้ำเสียงที่กล่าวหาผมถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยนผิดไปจากคุณยะที่ผมรู้จัก “ไปนอนได้แล้วไป”

คุณยะขยับตัวจะลุกขึ้นยืน แถมเอื้อมมือมาจะดึงผมขึ้นตาม ทว่าผมเร็วกว่าและทำในสิ่งที่คุณยะไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือกับความใจกล้าของเด็กดื้อที่รอวันจะโตเป็นผู้ใหญ่ในวันพรุ่งนี้

มันง่ายสำหรับคนเมาที่จะคิดอะไรแล้วทำทันที ผมก็ด้วย เพียงแค่ความคิดผุดขึ้นในหัว ร่างกายของผมก็รวดเร็วเท่ากับความคิด

“ลุกออกไปน้องพี ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”

ผมถูกดุ เพราะตอนนี้ผมนั่งอยู่บนตักของคุณยะ นั่งในท่าที่ผมหันเข้าหาใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังตีสีหน้าราบเรียบกดดันให้ผมลุกออกไปจากตักเขาได้แล้ว แต่ผมไม่สน วาดเรียวแขนไปคล้องคอเขาด้วยเพราะกลัวตัวเองจะหงายหลังลงสระไปเสียก่อน

“อย่าใจร้ายกับน้องพีสิครับ น้องพีแค่อยากนั่งตักคุณยะ ให้น้องพีนั่งนะครับ” ผมเอาลูกอ้อนเข้าสู้ วางศีรษะลงบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างอ้อนๆ “น้องพีเป็นเด็กดีของคุณยะแล้วนะ ช่วยใจดีกับน้องพีหน่อยสิครับ”

“เด็กดีเขาไม่มานั่งบนตักผู้ใหญ่แบบนี้นะ”

“น้องพีก็เป็นเด็กดีได้เท่านี้แหละ ไม่ได้น่ารักเหมือน...” ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนดึงใบหน้าออกจากไหล่กว้างของเจ้าของมัน มองเข้าไปในดวงตาสีราตรีที่ติดจะขุ่นนิดหน่อย ก่อนเอ่ยต่อจนจบประโยคที่ตั้งใจจะตัดพ้อเขา “...พี่เลม่อนของคุณยะนี่ครับ”

ผมโทษว่าเป็นเพราะสิ่งที่เอาเข้าไปในตัวก่อนหน้านี้ มันทำให้ผมเป็นแบบนี้ ทั้งกล้า บ้า และพรั่งพรูทุกความรู้สึกออกมา

ภาพ ‘แซ่บๆ’ ของคุณยะเมื่อตอนกลางวันผุดขึ้นมาในความทรงจำที่มึนเมา ภาพที่มันอยู่ในโทรศัพท์ของผม

“เลม่อน ?” ดวงตาสีราตรีฉายแววแปลกใจมากกว่าจะตกใจที่ผมล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเขาสองคน “เขาบอกหรือไง”

“เขาไม่ได้บอกน้องพี แต่มีคนเอารูป ‘แซ่บๆ’ ของคุณยะกับเขามาให้น้องพีดู” ผมจงใจเน้นตรงคำว่า ‘แซ่บๆ’ อย่างหมั่นไส้ “อยากเห็นไหมล่ะ น้องพีมีตั้งห้ารูปแน่ะ” บอกแล้วผมก็ลุกจากตักของเขา เดินไปล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วกลับมานั่งที่เดิม

...บนตักคุณยะเหมือนเดิม วาดเรียวขาทั้งสองขาไปด้านหลังของเขาด้วย

แอบหวั่นเหมือนกันว่าลุกไปแล้วคุณยะจะไม่ยอมให้ผมกลับมานั่งบนตักเขาได้ง่ายๆ แต่ก็ง่ายครับ แถมครั้งนี้ไม่มีไล่ให้ลุกออกไปด้วย



.

.

.


อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 13 (28-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 28-10-2018 20:00:53
.

.

.


ผมเปิดโปรแกรมแชตสีเขียวขึ้นมา เข้าไปในแชตของผมกับนานะ ก่อนส่งให้เขาดูด้วยตาตัวเองว่าสิ่งที่ผมเห็นมันแซ่บอย่างไรบ้าง ผมไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าว่าตัวเองโดนแอบถ่าย เพื่อเอามาอวดคนอื่นให้อิจฉา... รวมถึงผมด้วย ยอมรับว่าผมโคตรจะอิจฉาคนที่รู้จักกับคุณยะแค่ไม่ถึงเดือน แต่กลับได้รับสิทธิ์มากขนาดนั้น ทั้งได้กอดคุณยะ ถูกคุณยะกอด มีคุณยะให้นอนกอดไปทั้งคืน

“ดูให้เต็มตาเลย รูปพวกนี้พี่เลม่อนถ่ายมาอวดเพื่อนของเขา” ผมเริ่มพูดไม่มีหางเสียง ก็คนอารมณ์ไม่ดีไง “คุณยะเพิ่งฟันขึ้นหรือไง ถึงได้ชอบกัดชอบดูดขนาดนี้” ความลายพร้อยบนตัวพี่เลม่อนเจ้าของใบหน้าสวยหวานจนเป็นตำนานของโรงเรียนชายล้วนยังติดตาผมอยู่เลย

อาการบนใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบสนิท ดวงตาสีราตรีก็นิ่งสงบ เหมือนผืนน้ำที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าลึกลงไปนั้นแอบซ่อนอะไรไว้บ้าง

ยอมรับเลยว่าผมลุ้นให้เขาโกรธที่ตัวเองถูกถ่ายรูปแซ่บๆ มาอวดกลุ่มเพื่อนของพี่เลม่อน ทว่าเขาก็ยังไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมา สักนิดก็ไม่มี ก่อนคืนโทรศัพท์มาให้ผม

“ไม่โกรธหน่อยเหรอ” ผมรับโทรศัพท์คืนมา แล้วยืดแขนเอามันไปวางไว้ด้านหลังคุณยะ พอมือว่างแล้วผมก็ยกขึ้นไปคล้องต้นคอหนาเหมือนเดิม มองคนตรงหน้าด้วยสายตาตัดพ้อและไม่พอใจที่เขาไม่โกรธพี่เลม่อนแม้แต่นิดเดียว “เพราะคุณยะรักพี่เลม่อนใช่ไหม ถึงรักผมไม่ได้” ก็มันน่าคิดแบบนี้นี่นา

พี่เลม่อนเป็นผู้ชายที่หน้าสวยมาก (แต่เขาไม่ได้เป็นเหมือนสองเพื่อนซี้นานะกับเตเต้) เขาเป็นตำนานของโรงเรียน ได้รับคำชื่นชมตั้งแต่เข้ามาเรียนว่าสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก จนจบออกไปหลายปีแล้ว ชื่อของพี่เลม่อนก็ยังถูกพูดถึงอยู่เสมอในเรื่องของผู้ชายที่มีใบหน้าสวยงามอย่างไร้ที่ติ ดังนั้นผมเลยคิดว่าคนอย่างพี่เลม่อนคงทำให้คุณยะตกรักได้ไม่ยาก

พอรักแล้วต่อให้พี่เลม่อนทำผิดแค่ไหนก็ให้อภัยได้ ต่างกับผมที่ต่อให้เป็นเด็กดีแค่ไหน คุณยะก็ยังเห็นเป็นแค่ลูกของคนที่เขาเกลียด

“คิดเองเออเอง” เขาว่า ใช้นิ้วดีดหน้าผากเบาๆ “คุณยะบอกหรือยังว่าไม่โกรธที่ถูกแอบถ่าย”

“ก็ไม่รู้แหละ คุณยะเห็นรูปแล้วก็ทำหน้านิ่ง ไม่เห็นไฟลุกท่วมหัวเลย ทีกับน้องพีทำอะไรให้ไม่พอใจนิดหน่อยก็ทำเหมือนโกรธน้องพีมาเป็นร้อยชาติ” ผมประชด

“เพราะเธอไม่เหมือนใคร” ยิ้มของเขาทำหัวใจผมอุ่นวาบ คำพูดของเขาก็ทำเอาแก้มผมร้อนขึ้นมาทันที ต่อให้ไม่เรียกผมว่าน้องพี ผมก็ไม่น้อยใจแล้ว “เธอ... ‘พิเศษ’ มากนะพี รู้ตัวได้แล้ว”

“ไม่ได้โกหกน้องพีใช่ไหมครับ” ต่อให้โกหกผมก็จะเชื่อ ผมมีความสุขที่จะเชื่อคำพูดของคนตรงหน้า เจ้าของใบหน้าหล่อเหลามองตอบสายตาร้องขอของผมด้วยรอยยิ้มของผู้ใหญ่ใจดี รอยยิ้มที่ค่ำคืนนี้ผมได้เห็นเยอะมาก มากกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาของผมเสียอีก

“ขึ้นอยู่ที่เธอพี... ถ้าเธอเชื่อที่ฉันพูด มันก็ไม่ใช่คำโกหก แต่ถ้าเธอไม่เชื่อ คำพูดของฉันก็ไม่ต่างจากคำโกหกที่เธอไม่อยากฟัง” เขายกมือขึ้นลูบแก้มขวาผมอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผมอยากได้จากเขา มืออีกข้างวางอยู่บนแผ่นหลังผม “ทุกคำพูดของฉันที่บอกกับเธอ มันอยู่ที่เธอเป็นคนตัดสิน”

“แล้วพี่เลม่อนล่ะ เขาเป็นอะไรสำหรับคุณยะ” ผมอยากรู้ ความสำคัญของพี่เลม่อนจะเท่าผมไหม หรือมากกว่า อาจจะมากกว่าก็ได้เพราะเขาได้นอนกับคุณยะ

“เธอยังเด็ก อย่ารู้เลย” แต่คุณยะก็ไม่ยอมตอบคำถาม ข้ออ้างแบบเดิมที่ผมต้องย่นหน้าใส่อย่างไม่พอใจ

“อะไรๆ ก็เด็ก น้องพีไม่เด็กแล้วนะ อายุจะสิบหกแล้วด้วย” ผมว่าอย่างมีอารมณ์ ไม่อยากถูกมองว่าเป็นเด็กเลยให้ตายเถอะ

“แต่สำหรับคุณยะ น้องพียังเด็ก เข้าใจตามนี้นะ” เขาทอดเสียงนุ่มนวลบอกให้ผมคลายความไม่พอใจลง ก่อนจะละมือจากแก้มผมไปวางไว้บนช่วงเอว ตอนนี้มือทั้งสองของคุณยะวางอยู่บนตัวผม คล้ายๆ กับว่าเราสองคนกำลังนั่งกอดกัน

“คุณยะครับ” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างหนา เอ่ยถามสิ่งที่จะทำให้หัวใจพองฟู “น้องพีน่ารักไหมครับ... น่ารักกว่าพี่เลม่อนหรือเปล่า” แม้ความจริงก็เห็นชัดแล้วว่าหน้าตาของผมสู้พี่เลม่อนไม่ได้ เพราะอีกคนหน้าตาสวยหวานเสียยิ่งกว่าผู้หญิง เป็นตำนานที่ทุกคนในโรงเรียนต้องพูดถึง ไม่มีใครไม่รู้จักพี่เลม่อน เอฟซีของพี่เขามีมากกว่าครึ่งของจำนวนเด็กในโรงเรียน ส่วนผมก็แค่เด็กผู้ชายตัวผอม ผิวขาว และติดจะตัวเล็กไปด้วยซ้ำ ไม่เคยติดอันดับอะไรกับเขาหรอก แต่ที่มีคนรู้จักผมเยอะเพราะนามสกุลมากกว่า 

“บอกแล้วไงว่าน้องพีไม่เหมือนใคร”

“แบบนี้ไม่เอาสิครับ น้องพีอยากได้คำตอบแบบที่ชัดกว่านี้ บอกมาเลยว่าน้องพีน่ารักกว่าพี่เลม่อน” ผมยังรบเร้าเอาคำตอบที่อยากฟังจากเขา ขณะที่ความร้อนภายในกายเริ่มสูงขึ้น ยิ่งผมนั่งอยู่บนตักของเขา ยิ่งนั่งในท่าที่ล่อแหลม ยิ่งส่วนอ่อนไหวที่เหมือนจะเสียดสีกันอยู่นี้ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดคับแน่นตรงส่วนนั้น จนเผลอปล่อยเสียงน่าอายออกมาเบาๆ

“ไปนอนได้แล้ว” คุณยะพูดสั่งทันทีที่ได้ยินเสียงน่าเกลียดหลุดออกมาจากลำคอของผม พลางใช้แขนช้อนตัวผมออกจากตักเขา แต่ผมไม่ยอม กอดคอเขาไว้แน่น ซุกหน้าเข้ากับอกกว้างที่น่าซุกซบนั้น

“ไม่ไป!” ให้กลับไปนอนทั้งที่ข้างล่างของผมรู้สึกไปแล้ว ไม่ยอมหรอก

“อย่าดื้อ” เสียงเข้มออกแนวดุแต่ไม่มาก ยังพอรับมือและเอาแต่ใจได้

“ไม่ดื้อสักหน่อย” ผมเงยหน้าขึ้นไปเถียง “น้องพีแค่อยากอยู่กับคุณยะอีกหน่อย แล้วตอนนี้น้องพีก็...แข็งแล้ว” ไม่รู้ว่าความกล้ามาจากไหน ความเขินอายหนีไปไหนหมด ผมถึงได้กล้าพูดตามที่สมองคิด กล้าทำตามที่สมองสั่ง 

ตอนนี้ผมกำลังมีอารมณ์อย่างว่า ยิ่งสะโพกทาบทับอยู่บนความแข็งแกร่งของเจ้าของตักแล้วด้วย ความรู้สึกก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนอึดอัดและอยากปลดปล่อยออกมา   

“พี” คุณยะมองตาผมนิ่ง เขากำลังดุผมผ่านสายตาตำหนิ

“ก็...” ผมมองตาเขาอ้อนๆ ขอบตาร้อนจัดและกำลังล้นน้ำตา ความรู้สึกอึดอัดกำลังเปลี่ยนเป็นความทรมาน “...น้องพีรู้สึกไปแล้ว มันแข็ง คุณยะลองจับดูสิ” ความมึนเมาที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายยังไม่สิ้นฤทธิ์ เปลี่ยนผมให้กลายเป็นเด็กใจแตก ทำให้ผมทรมานกับความรู้สึกที่เพิ่มมากขึ้น

คุณยะไม่ได้ลองจับอย่างที่ผมอ้อนขอ มือของเขายังจับแน่นอยู่บนแผ่นหลังของผม ดังนั้นผมจึงเป็นฝ่ายที่ดึงมือข้างหนึ่งของคุณยะออกมาจากตัว บังคับด้วยแรงของเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง ให้อุ้งมือข้างนั้นลงมาสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่ขยายและแข็งจนปวดหนึบ

“อ่า...คุณยะ...” ผมครางออกมาทันทีที่อุ้งมือร้อนสัมผัสส่วนอ่อนไหวผ่านบ็อกเซอร์เนื้อบาง “...ช่วยน้องพีหน่อยนะครับ” ผมอ้อนวอนอย่างเด็กใจแตก

“ไปนอนพี เธอไม่ไหวแล้ว” นอกจากไม่ยอมสัมผัสผมแล้ว คุณยะก็ยังดึงมือของตัวเองกลับ พยายามที่ยกตัวผมออกจากตักของตัวเองให้ได้

“ก็น้องพีไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่นา... น้องพีทรมาน” ผมยังกดตัวเองเอาไว้บนตักคุณยะ มือคว้าต้นคอหนาไว้แนบแน่น ส่วนอีกมือกำลังทำสิ่งที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตแล้วมั้ง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอายอะไรเลย มีแต่ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มและอยากเอาชนะ อยากให้เขาเห็นว่าผมโตแล้ว... โตพอสำหรับเรื่องอย่างว่า

ผมล้วงเอาตัวตนอ่อนไหวออกมาพ้นขอบกางเกงบ็อกเซอร์ เนื้อกายขาวอมชมพูกำลังชูชันเพราะมันบรรจุไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนระอุ และทำให้ผมทรมานอย่างที่สุด เทียบไม่ได้เลยกับตอนที่ผม ‘ช่วย’ ตัวเอง คงเพราะมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องทุกกระทำของผม

“เห็นไหม...” ผมยิ้มเหมือนอวดสิ่งที่ตัวเองมีไม่ต่างจากคนที่ผมนึกอิจฉา อิจฉาเขาที่ได้อยู่บนเตียงเดียวกับคุณยะ ถูกคุณยะกอด ฝากทุกอารมณ์ไว้บนผิวกายขาวนั้น “...น้องพีโตแล้ว ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว นอนกับคุณยะได้... ถ้าคุณยะต้องการ...อ่า...” ผมเชิญชวนทั้งคำพูดและการกระทำ มือของผมกำลังลูบไล้บนความร้อนระอุของตัวเอง

“พี...” เจ้าของตักระบายลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจกับความใจแตกของผม “อย่าทำแบบนี้ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาเธอจะเสียใจ”

“ไม่เสียใจ” ผมส่ายหน้าคอแทบหัก เอ่ยออกมาอย่างไม่มีเขินอายสักนิด “น้องพีอยากให้คุณยะรักน้องพี อยากนอนกับคุณยะเหมือนพี่เลม่อน”

“เธอยังไม่โต” เอาอีกแล้ว เดี๋ยวก็เด็ก เดี๋ยวก็ยังไม่โต เขาบ่ายเบี่ยงผมตลอด

“โตแล้ว นี่ไง...อือ...” ผมไม่ยอมแพ้ ดึงมือคุณยะมาจับตัวตนร้อนระอุของตัวเองอีกครั้ง อุ้งมืออุ่นทำผมเสียวแทบขาดใจ สะโพกบิดไปมาบนตักแกร่ง ความรู้สึกที่ส่วนอ่อนไหวถูกกอบกุมด้วยมือตัวเองกับมือของคุณยะช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน “อ่า...น้องพีทรมานเหลือเกิน คุณยะช่วยน้องพีด้วย...ฮึก... ปวดไปหมดเลย... นะครับคุณยะ...ช่วยน้องพีหน่อย...” ผมอ้อนวอนทั้งน้ำตา คำร้องขอแทรกไปด้วยเสียงสะอื้นจากความรู้สึกแสนทรมาน

“ฉันไม่อยากฉวยโอกาสกับเธอเลยพี” คุณยะพูดประโยคนี้เบามาก เบายิ่งกว่าลมกลางคืนที่พัดผ่านไปมา “ตื่นมาพรุ่งนี้เธอต้องโกรธฉันมากแน่”

“ไม่โกรธ น้องพีจะไม่โกรธคุณยะ” ผมรีบพูดให้เขาสบายใจ

“วันพรุ่งนี้ฉันอยากให้เธอจำคำพูดของตัวเองให้ได้นะพี”

“น้องพีจำได้ น้องพีไม่ลืม...อะ...อ่า...” ผมบอกไม่ทันจบประโยคก็ต้องหลุดเสียงครางออกมาแทบจะทันที เมื่ออุ้งมือร้อนจัดเริ่มขยับไปตามความยาวของตัวตนผม “คะ...คุณยะ...อะ...น้องพี...อ่า... เสียว” มันต่างกันจริงๆ มือของคุณยะให้ความรู้สึกต่างจากมือของผมมากเหลือเกิน

“เก็บเสียงหน่อยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก สายตาที่มองผมฉ่ำหวาน เคลือบคลอไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างจากผม ยืนยันได้จากความดุนดันใต้สะโพกที่ผมกดทับลงไป

...ความแข็งแกร่งของคุณยะอุดอู้อยู่ใต้กางเกงสแลกค์สีดำของตัวเอง

“หะ...อ่า...ให้น้องพี...ช่วยไหมครับ” ผมถาม 

“ไม่ต้อง” เขาปฏิเสธ

“คุณยะไม่ทรมานหรือครับ”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร...” คุณยะเหมือนบ่นพึมพำกับตัวเองมากกว่า ก่อนที่มือร้อนจัดจะเร่งความเร็ว ทำเอาร่างกายผมสั่นสะท้านไปหมด สะโพกเสียดสีกับความแข็งแกร่งด้านล่างจนเกิดความรู้สึกว่าอยากได้มากกว่านี้ มากกว่าแค่อุ้งมือร้อนจัด แต่เพราะคุณยะเก่งหรือเพราะความอดทนผมมีน้อยกันแน่ สุดท้ายผมก็ไปถึงจุดหมายในเวลาอันน้อยนิด ไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนช่วยตัวเองยังใช้เวลาเยอะกว่านี้เลย

“อ๊ะ...” ผมซุกหน้าลงกับอกคุณยะ เมื่อความทรมานทลายออกมาเป็นสายน้ำสีขาวขุ่นเลอะทั้งเสื้อของผมและเสื้อของอีกฝ่าย ผมหอบตัวโยน เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่มีความสุขที่สุด เหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนสวรรค์ สุขจนอยากให้ค่ำคืนนี้ยาวนานไปอีกร้อยปี

“พอใจแล้วนะ” เสียงทุ้มกระซิบชิดแก้มของผม ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะจูบลงมาแรงๆ “งั้นก็ไปนอนได้แล้ว” ทำไมเขาชอบไล่ผมไปนอนจัง ไม่อยากอยู่กับผมเหมือนที่ผมอยากอยู่กับเขาไปจนถึงเช้าหรือไงนะ

“คุณยะครับ” พอปรับลมหายใจให้ใกล้ปกติได้แล้ว ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร ผมก็ดึงใบหน้าออกจากแผ่นอกแสนอบอุ่นของคุณยะ เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขา

“จะเอาอะไรอีกหะเด็กขี้อ้อน”

คืนนี้ผมเป็นทั้ง... เด็กดี เด็กขี้แย เด็กขี้อ้อน แต่ไม่ว่าผมจะถูกเรียกแบบไหน ผมก็รู้สึกดีมากๆ เพราะแต่ละคำที่คุณยะเอ่ยออกมา มันเต็มไปด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ความเป็นสารพัดเด็กของผม

“น้องพีอยากได้คุณยะ... อยากให้คุณยะเข้ามาในตัวน้องพี” ผมพูดออกไปอย่างไม่มีความอายในน้ำเสียงเลยสักนิด “น้องพีอยากทำให้คุณยะมีความสุข คุณยะจะได้ไม่ต้องไปนอนกับพีเลม่อนอีก เขาจะได้ไม่มีโอกาสแอบถ่ายรูปของคุณยะด้วย น้องพีไม่อยากให้ใครเห็นรูปตอนที่คุณยะแก้ผ้า น้องพีหวง น้องพีอยากเห็นคนเดียว”

“อย่าพี...” มือหนาจับยึดเอวของผมเอาไว้ไม่ให้ทำอย่างที่สมองซึ่งเต็มไปด้วยความมึนเมาสั่งออกมา เพราะผมกำลังบดสะโพกลงบนความแข็งแกร่ง “...ฉันกำลังใช้ความอดทนอย่างมาก รู้บ้างไหมเด็กช่างยั่ว”

“งั้นก็รีบหมดความอดทนสิครับ ไม่เห็นต้องทนเลย” ผมยิ้มรับคำกล่าวหาที่ว่าเป็น ‘เด็กช่างยั่ว’ ถ้ามันจะทำให้คุณยะเป็นของผมคนเดียวตลอดไป “น้องพีรออยู่นะ...รู้ยัง” ปากผมก็ยังพูดยั่วยวนเท่าที่จะสรรหาคำมาพูดได้ และยังพยายามที่จะทำอย่างใจอยาก บดสะโพกลงไปหาความแข็งแกร่งของเขาเท่าที่จะทำได้ ผมอยากให้คุณยะสิ้นความอดทน อยากให้เขายอมรับว่าผมไม่ใช่เด็กน้อย ผมโตแล้ว โตพอที่จะเป็นของเขา

“คุณยะรู้แล้วครับเด็กดี แต่ฟังคุณยะบ้างได้ไหม” เขามองตาผมดุๆ ผมรู้เลยว่าครั้งนี้เขาเอาจริง เลยทำให้ผมหยุดสะโพกของตัวเองลงทันที “ตกลงกันแล้วไงว่าถ้าพรุ่งนี้น้องพีตื่นมาแล้วจำเรื่องคืนนี้ได้ แสดงว่าน้องพีโตแล้ว ตอนนั้นถ้าน้องพีอยากได้อะไร คุณยะก็จะให้น้องพีทุกอย่าง”

“รวมถึงความรักของคุณยะด้วยใช่ไหมครับ ถ้าน้องพีจำทุกอย่างได้ คุณยะจะรักน้องพีใช่ไหมครับ”

“ทั้งชีวิตของคุณยะจะเป็นของน้องพี”

“คนเดียวด้วยใช่ไหม”

“ใช่”

คำตอบของเขาทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าครั้งไหน หัวใจดวงน้อยเอ่อล้นด้วยความสุขสมหวัง ผมรู้สึกมีความสุขที่สุดในโลก ที่ผ่านมาต่อให้เขาทำให้ผมเจ็บช้ำมามากเท่าไร ผมจะลืมมันไปให้หมด

“น้องพีรักคุณยะ” ผมโผเข้ากอดเขา รอบตัวผมคลุ้งไปด้วยกลิ่นความสุขสมหวัง มีมือหนาคอยลูบแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน ราวกับจะร่วมยินดีไปกับความสุขสมหวังของผมด้วย 

“เป็นเด็กดีของคุณยะนะ”

“ครับ น้องพีจะเป็นเด็กดี”

ผมหลับตาลง ซึมซับความสุขที่โอบล้อมผมกับคุณยะเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนอีกฝ่ายค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงของตัวเอง โดยมีผมติดตามขึ้นมาด้วยในสภาพที่ผมยังโอบรอบคอของเขาและขาก็พันอยู่เหนือสะโพกของเขาด้วยเช่นกัน

“คุณยะยังแข็งอยู่เลย ไม่ให้น้องพีช่วยจริงเหรอ” ผมเป็นห่วงเขา อะไรที่มันอึดอัดอยู่ใต้กางเกงเนี่ย มันทรมานมากเลยนะ “ให้น้องพีช่วยนะ น้องพีทำเป็น เผื่อคุณยะไม่รู้” 

“เด็กทะลึ่ง” เขาหัวเราะ สองขาแข็งแรงที่รับทั้งน้ำหนักของร่างกายตัวเองและร่างกายผมก้าวไปข้างหน้า คุณยะกำลังอุ้มผมกลับเข้าห้องนอนของผมเอง

“มีคนบอกว่าเด็กทะลึ่งเป็นเด็กฉลาดครับ” อันนี้ผมมั่วเอาเอง

“ยอมรับแล้วหรือไงว่ายังเป็น ‘เด็ก’ อยู่”

“พรุ่งนี้ก็ไม่เด็กแล้วครับ” ผมบอกอย่างภูมิใจ “คุณยะต้องเตรียมตัวเตรียมใจเป็นของน้องพีคนเดียวด้วยนะ รับรองว่าเด็กฉลาดแบบพีจำเรื่องคืนนี้ได้แน่นอน” เชื่อเถอะว่าผมไม่ลืมอย่างแน่นอน  ถึงผมจะเมาเหล้า และอาจหมายถึงเมายาที่ดีนให้ผมทั้งดูดทั้งกลืนลงคอด้วย แต่ผมก็พูดทุกอย่างออกมาจากความรู้สึกที่คุกรุ่นอยู่ภายในใจมากเนิ่นนาน ไม่มีทางที่จะลืม... ไม่ลืมหรอก

“รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนเถอะ คุณยะจะรอดูเด็กอาละวาด”

“ไม่มีทาง” ตอบอย่างมั่นใจ

“ลงได้แล้ว” คุณยะบอกเมื่ออุ้มพาผมเข้ามาในห้อง เพราะผมไม่ยอมปล่อยทั้งแขนจากคอเขา ขาก็ยังพันเกี่ยวไว้เหนือเอวสอบเหมือนเดิม

“น้องพีอยากอยู่แบบนี้จนถึงเช้าเลย”

“เป็นลูกลิงหรือไง ไม่คิดว่าคุณยะจะหนักเลยใช่ไหม” เขาแกล้งถาม สองขาแข็งแรงเดินไปยังประตูห้องน้ำ แล้วผลักเข้าไป ก่อนจะวางผมลงบนขอบอ่างอาบน้ำ “อาบน้ำแล้วเข้านอน คุณยะก็จะไปอาบน้ำเหมือนกัน” พูดจบก็หันหลังเดินออกจากห้องน้ำ

“มานอนกับน้องพีนะครับ” ผมรีบลุกขึ้นไปกอดคนตัวหนาเอาไว้ทันที่หน้าประตูห้องน้ำ ผมกอดเขาจากด้านหลัง ฝังใบหน้าไว้กับแผ่นหลังกว้าง “นอนกอดกันจนถึงเช้าเลย คุณยะจะได้เห็นตอนน้องพีโตเป็นผู้ใหญ่” และผมจะได้ทวงสัญญาตอนนั้นเลย

“ครับ” คำตอบรับนั้นอ่อนโยน และอ่อนโยนยิ่งขึ้นเมื่อคุณยะหันหลังกลับมา ริมฝีปากของเขาประทับจูบลงบนหน้าผากผม แผ่วเบาแต่ติดตรึงยาวนานอยู่ในหัวใจดวงน้อยดวงนี้ ไม่มีวินาทีไหนที่ผมลืมเลือนความรู้สึกที่ได้รับจากริมฝีปากของคนคนนี้

ทุกอย่างที่เป็นเขา มันฝังอยู่ในชีวิตของผมนานมาแล้ว ไม่มีลืม ไม่เคยจางไป ไม่เลยสักวันที่ผมจะไม่รัก... ผู้ชายคนนี้






ตอนจบที่ 13
คุยๆ ** ตอนนี้เป็นช่วงหลอกเด็กค่ะ 5555+
ตอนหน้าสิของจริง เสิร์ฟความขมกันเลยทีเดียว ^_^
สีเหลืองอ่อน
 :katai2-1:
ปล.ขอบคุณที่ยังติดตามกันน้า
ปล. 2 ตอนหน้าขมนะจ๊ะ 555+
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 13 (28-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 28-10-2018 21:03:53
เนี่ยยยย น้องพีขี้ยั่วแบบนี้คนพี่จะหนีไปไหนได้ง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 13 (28-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-10-2018 00:47:48
น้องพีจะจำได้ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 14 (02-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 02-11-2018 20:24:07
ตอนที่ 14


เช้าแล้ว... ไม่สิ เที่ยงต่างหาก นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างเตียงนอนบอกผมอย่างนั้น แอบแปลกใจว่าทำไมพี่วิภาไม่มาเคาะประตูเรียกให้ไปกินข้าวเช้ากับคุณปู่คุณย่า หรือว่าเธอมาเรียกแล้วแต่ผมไม่ได้ยิน น่าจะใช่เพราะจากสภาพผมเมื่อคืนก็สมควรที่วันนี้จะเคาะเรียกเท่าไรก็คงตื่นมาขานรับได้ยาก 

เมื่อคืนผมเมาเป็นครั้งแรก สภาพในตอนนี้เลยแทบลุกไม่ขึ้น มันเวียนหัวไปหมด ห้องเหมือนหมุนได้ มึนๆ และแสบตาด้วยเมื่อเจอแสงจนต้องหลับตาลง พอหลับตาก็รู้สึกคอแห้งและรู้สึกขมในปาก แถมกล้ามเนื้อก็คล้ายจะตึงไปเสียทุกตารางนิ้ว

‘เข็ดแล้ว’ คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวที่ปวดตุ้บๆ ไม่ว่าจะเหล้าหรือยา ผมไม่ขอแตะมันเป็นครั้งที่สอง

ขณะที่ผมกำลังพยายามงัดเอาตัวเองออกจากเตียงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเรียกของคนด้านนอก

“น้องพีคะ ตื่นหรือยังคะ”

“ตื่นแล้วครับ” เชื่อไหมว่าขานตอบพี่เลี้ยงไปตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติเลยคือเสียงที่แทบไม่หลุดออกจากลำคอที่แห้งยิ่งกว่าบ่อน้ำกลางทะเลทรายที่ไม่เหลือน้ำสักหยด ที่หลุดออกมาก็เป็นเสียงลมแหบแห้งเสียมากกว่า

“น้องพีคะ น้องพีตื่นหรือยัง” เสียงเคาะประตูดังรัวขึ้นอีกรอบ เมื่อคนด้านนอกไม่ได้ยินเสียงที่เบายิ่งกว่าเบาของผม

“ครับพี่วิภา” ผมยังพยายามจะตอบกลับพี่เลี้ยงที่เคาะประตูรัวๆ เจ้าตัวคงไม่ได้ยินเสียงของผม ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งเพราะห้องมันเริ่มหมุนอีกแล้ว ผมหลับตาลงให้อาการโลกหมุนติ้วๆ หยุดลงซะทีแต่ก็คงยากแหละ จนกระทั่งผมได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา ถึงได้ลืมตาสู้แสงอีกครั้ง ปวดกระบอกตาเลยต้องยีตาอยู่นานกว่าจะปรับการมองเห็นให้เป็นปกติที่สุดได้

“น้องพีเป็นยังไงบ้าง ปวดหัวไหม อยากอ้วกหรือเปล่าคะ” พี่วิภารัวถามใส่ผมอย่างเป็นห่วง เธอถือเหยือกน้ำส้มเข้ามาด้วยก่อนวางไว้บนโต๊ะ แล้วเข้ามาช่วยพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง

“ปวดหัวเฉยๆ ครับพี่วิภา แล้วก็มีขมคอ แต่ไม่รู้สึกอยากอ้วกครับ” ผมบอกออกการตัวเองผ่านลำคอที่แห้งแล้งกับความขมปร่าในอุ้งปาก

“ดื่มน้ำส้มก่อน พี่คั้นสดๆ มาให้น้องพีเลยนะคะ” ว่าแล้วก็หันกลับไปเทน้ำส้มใส่แก้วมาให้ผม “ดื่มเยอะๆ ค่ะ มันช่วยแก้อาการเมาค้างได้”

“ขอบคุณครับ” ผมยกขึ้นดื่มทีเดียวจนหมดแก้ว อาการคอแห้งเริ่มลดลง ความขมในอุ้งปากก็จางไปเยอะ เนื่องจากได้ความหวานอมเปรี้ยวขับไล่ความขมออกไป ร่างกายที่อ่อนเพลียเมื่อกี้ก็เหมือนจะสดชื่นขึ้นมาหน่อย

“อีกแก้วค่ะ”

“ครับ” ผมยื่นแก้วเปล่าให้พี่เลี้ยง เธอหันไปรินน้ำส้มใส่มาจนเต็มแก้วเหมือนเดิม แล้วยื่นมาให้ผม ผมรับไปดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วอีกตามเคย รู้สึกว่ามันช่วยได้มากจริงๆ

“หิวหรือยังคะ” เธอถามอีก พร้อมกับรับแก้วเปล่าไปจากมือผม

“ไม่หิวเลยครับ” ผมส่ายหน้า ความจริงผมอยากนอนต่อมากกว่า แต่ติดตรงที่ว่ากลัวคุณปู่กับคุณย่าสงสัยว่าทำไมผมไม่ไปกินข้าวด้วย เพราะถ้าเป็นวันหยุด ผมต้องกินข้าวกับพวกท่านทั้งสามมื้อเลย “คุณปู่คุณย่าให้มาตามพีหรือเปล่าครับ งั้นพีไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน” แล้วผมก็รีบสลัดผ้าห่มออกจากตัว ก้าวขาลงจากเตียง แต่ด้วยร่างกายที่ไม่ปกติจากของมึนเมาเมื่อคืนทำเอาเกือบล้มไปกองพื้น ดีที่พี่วิภาคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน

“ไม่ต้องรีบค่ะน้องพี วันนี้ท่านมีแขก พี่วิภาเลยยกมื้อเที่ยงมาให้น้องพีกินที่เรือน” พี่วิภาบอก พลางช่วยพยุงตัวผมไปจนถึงหน้าประตูห้องน้ำ “อาบน้ำอุ่นนะคะน้องพี มันแก้อาการเมาค้างได้เหมือนกัน พี่จะไปอุ่นข้าวต้มไว้ให้ ออกมาจะได้กินข้าวกับกินยาเลย”

“ครับ” ผมพยักหน้าและเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ ในสภาพที่สดชื่นขึ้นหลังจากดื่มน้ำส้มคั้นสดๆ แถมเย็นเจี๊ยบไปสองแก้ว

ผมอาบน้ำอุ่นตามที่พี่เลี้ยงบอก กล้ามเนื้อร่างกายดูจะผ่อนคลายขึ้น อาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวออกไปห้องอาหาร บนโต๊ะมีถ้วยข้าวต้มกุ้งกับซุปผักวางรออยู่ก่อนแล้ว กลิ่นหอมฟุ้งฟ้องรสชาติความอร่อย แต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากเอาเข้าปากเท่าไร เพราะสิ่งที่ยังค้างอยู่ในตัวทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหาร

“ไม่อยากก็ต้องกินค่ะ” คงเห็นผมทำหน้าไม่อยากกิน พี่วิภาเลยพูดดักขึ้นมาเสียก่อน “เพราะเมื่อคืนน้องพีทำตัวเหลวไหล และคุณยะก็สั่งพี่วิภามาค่ะว่าน้องพีต้องกินให้หมด”

...คุณยะ

ผู้ชายที่กอดผมไว้จนกระทั่งผมหลับ อ้อมแขนของเขากล่อมให้ผมเข้าสู่นิทราอย่างง่ายดาย ทั้งที่ผมอยากจะกอดเขาไว้ให้นานที่สุด อยากซึมซับไออุ่นที่โหยหามาตลอดไว้ให้มากที่สุด ทว่าผมก็หลับไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่อ้อมกอดที่อบอุ่นและรอยจูบบนหน้าผากหลายต่อหลายครั้ง และคำกระซิบแผ่วหวานบนแก้มของผมว่า...

‘หลับได้แล้วเด็กดี’

ผมชอบที่เขาเรียกว่า ‘เด็กดี’ แต่ว่าวันนี้ผมโตแล้ว และคุณยะต้องทำตามที่ให้สัญญากับผมไว้

ผมจำเรื่องที่คุยกับคุณยะเมื่อคืนได้ทั้งหมด ความมึนเมาไม่ได้ทำให้ผมลืมความทรงจำแสนดีที่เคลือบไว้ด้วยความรู้สึกแสนหวาน จำได้แม้กระทั่งเรื่องน่าอายที่ทำลงไปโดยมีความเมาเป็นแรงกระตุ้น ผมระบายทุกความรู้สึกที่ถูกขังอยู่ในห้องหัวใจออกมาเป็นคำพูดมากมาย รวมถึงการกระทำที่กล้าเกินเด็ก ไม่ต่างจากเด็กใจแตกที่ทำอะไรไปตามความต้องการมากกว่าความถูกต้องเหมาะสมของวัย พอมานั่งนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำไปเมื่อคืน ผิวแก้มก็ร้อนจัดอย่างห้ามไม่ได้ มันระอุไปหมด ข้าวต้มกุ้งในถ้วยกับซุปผักสีเขียวก็คงร้อนได้ไม่เท่ากับแก้มของผม

เมื่อคืนผมทำอะไรไปบ้างก็แทบไม่ต้องเสียเวลานึกทบทวน ภาพในหัวมันชัดเสียยิ่งกว่าภาพในจอโทรทัศน์ เสียงก็ยิ่งชัดยิ่งกว่าเปิดผ่านลำโพงรอบทิศทาง ที่จำได้แม่นที่สุดและฝังเข้ามาในหัวใจก็คงเป็นประโยคนี้ที่คุณยะเอ่ยออกมา

‘ทั้งชีวิตของคุณยะจะเป็นของน้องพี’

ความรู้สึกสุขจนเป็นบ้าแบบเมื่อคืนกำลังย้อนมาโอบล้อมผมเอาไว้ ผมตักข้าวต้มข้าวปากอย่างมีความสุข เพลินกับการกินซุปผักแม้ไม่รู้สึกหิวเลยก็ตาม แต่เพราะผมมีความสุขไง มิหนำซ้ำคุณยะยังกำชับมาอีกด้วยว่าต้องกินให้หมด ผมก็ต้องเชื่อฟังคนที่ผมรักใช่ไหมล่ะ

จนกระทั่งข้าวต้มกับซุปผักเกลี้ยงถ้วย พอเห็นว่าผมจัดการทั้งสองอย่างจนหมด พี่เลี้ยงก็ยื่นยาเม็ดสีขาวมาให้ บอกว่าช่วยให้อาการปวดหัวของผมหายสนิท พอเห็นยาแล้วก็นึกถึงยาเม็ดเล็กที่ดีนแบ่งให้ผมกินคนละครึ่งขึ้นมาทันที รู้สึกผิดกับตัวเองด้วยที่เผลอไผลไปกับยาเสพติด

ถ้าคุณยะรู้ว่าผมเสพยา เอาของไม่ดีเข้ามาในตัว เขาจะโกรธผมไหม แล้วจะโกรธมากหรือเปล่า รู้งี้ผมไม่น่ากินยาเม็ดนั้นเข้าไปเลย เฮ้อ... แต่มันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ หวังว่าคุณยะจะรู้แค่ว่าผมดื่มเหล้ากับสูบบุหรี่แค่นั้น

ว่าแต่คุณยะออกไปตอนไหน ทำไมเขาไม่ปลุกผมตื่นล่ะ ผมจะได้ทวงคำสัญญาของเขาเมื่อคืน เพราะผมจำได้ทุกคำพูดของตัวเองและไม่อาละวาดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างแน่นอน ผมโตแล้ว รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำแม้จะมาจากความเมา แต่ก็มาสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด คุณยะไม่ได้ล่อลวงผมหรือรังแกเด็กที่ไม่มีทางสู้ เป็นผมเองมากกว่าที่พยายามทำให้คุณยะเห็นความรักที่ผมมีให้เขา

...ผมรักคุณยะ ความรู้สึกรักคลุ้งอยู่ในหัวใจของผม ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้แค่ว่ามันนานและแค่ผมไม่กล้ายอมรับ

“อิ่มแล้วอย่าเพิ่งหนีไปเล่นซนที่ไหนนะคะน้องพี คุณยะบอกให้น้องพีรออยู่ที่นี่ก่อน แขกกลับไปเมื่อไรก็คงจะมาหาน้องพีเลย” พี่วิภาบอกผมขณะที่เก็บถ้วยที่เหลือแต่น้ำซุปนิดหน่อยไปล้างที่อ่างล้างด้านหลัง

“ครับ” ผมยิ้มกว้างออกมาทันที และคงนานมากจนพี่วิภาล้างถ้วยทั้งสองใบเสร็จ เจ้าตัวหันหน้ามาเห็นถึงกับเอ่ยทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“ยิ้มอะไรคะน้องพี กว้างเชียว” ถามแล้วก็หันซ้ายหันขวา มีหันไปมองข้างหลังตัวเองด้วยว่ามีอะไรที่ทำให้ผมยิ้ม

“ความลับครับ บอกไม่ได้” ผมพูดทั้งที่ยังยิ้มเต็มหน้า

ความลับที่ว่า... เป็นความลับแสนหวานที่มีแค่ผมกับคุณยะที่รู้ แถมยังบอกใครไม่ได้ด้วย ซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไรจะบอกทุกคนได้ เพราะความรักของผมกับคุณยะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ ทั้งเรื่องที่ผมกับคุณยะเป็นผู้ชายทั้งคู่ รวมถึงเรื่องที่เราสองคนมีฐานะเป็นพ่อลูกกัน แม้คนในครอบครัวจะรู้ดีว่าความจริงผมกับคุณยะไม่ใช่พ่อลูกตามสายเลือด แม้แต่ในใบเกิดของผมก็มีชื่อคุณปู่เป็นบิดาผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่ชื่อของคุณยะ แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำใจยอมรับความสัมพันธ์ที่ผิดแปลกนี้ แล้วไหนจะสายตาคนนอกครอบครัวอีกล่ะ ไม่รู้ว่าจะต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง แต่ผมก็จะสู้สุดใจเลย ในเมื่อผมรักคุณยะ ส่วนคุณยะก็สัญญากับผมแล้วว่าทั้งชีวิตของเขาจะเป็นของผมคนเดียว และเราสองคนจะรัก ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันให้ได้

...หัวใจผมกำลังเพ้อฝันถึงความรักแสนสวยงาม

“วันนี้คุณยะไม่ไปทำงานหรือครับ” ผมนึกสงสัย ปกติวันหยุดเสาร์อาทิตย์คุณยะก็ต้องทำงาน ไม่เคยหยุด ยิ่งพรุ่งนี้ต้องบินไปเยอรมันด้วย คนบ้างานอย่างคุณยะก็ต้องทุ่มเวลาทุกนาทีให้กับงานบนโต๊ะของตัวเอง เพื่อให้งานทั้งหมดเสร็จก่อนบินไปเยอรมัน

นึกถึงเรื่องบินไปเยอรมัน ผมไม่อยากให้เขาไปเลย เพราะเขาไปเยอรมันไม่ใช่เรื่องงาน แต่ไปร่วมงานแต่งของเพื่อนเก่าที่เคยเรียนด้วยกันที่อังกฤษ ผมจะไม่นึกหวงเลยถ้าเขาบินไปเพียงลำพัง ไม่ได้ไปกับแม่ของสองเด็กแฝด ก็ผู้หญิงที่นานะกับเตเต้เอารูปข่าวมาให้ผมดูนั่นแหละ เธอบินมาหาลูกชายฝาแฝดพร้อมกับมาร่วมงานแต่งของเพื่อนชาวไทยของเธอด้วย ซึ่งก็คือเพื่อนของคุณยะด้วยเช่นกัน สรุปให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ คุณยะกับแม่ของสองแฝดเคยเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน และเดือนนี้เพื่อนในกลุ่มเดียวกันก็ดันมีงานมงคลพร้อมกันสองคน

ไม่อยากบอกเลยว่าผมนึกกลัวมาตลอดตั้งแต่ที่เจอเธอครั้งแรก ดูเธอเข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่ คุณย่า อานุ อาภา รวมถึงคนรับใช้ของบ้านตรัยธาดา ส่วนสองเด็กแฝดยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกาะหนึบไม่ยอมปล่อยให้หายไปจากสายตา ถึงขั้นที่ว่าหอบเสื้อผ้าไปนอนกับคนเป็นแม่ที่เพนต์เฮ้าส์ของคุณยะเกือบสิบวันแล้ว แบบนี้ไงผมถึงกลัวว่าถ่านไฟเก่าจะคุขึ้น บางทีความไร้เดียงสาของทานตะวันกับถิรอาจทำให้คนทั้งคู่หันมาปรับความเข้าใจกัน กลับมารักกันได้ เพื่อลูกที่น่ารักของพวกเขาสองคน

แต่เมื่อคืนคุณยะสัญญากับผมแล้วว่าจะยกทั้งชีวิตให้ผม... คงไม่กลับคำหรอก

ผมสลัดความคิดแย่ๆ ที่อาจไม่มีวันเกิดขึ้นมาฟังคำตอบจากพี่วิภา

“ไปสิคะ แต่ถูกคุณหญิงตามตัวกลับมาต้อนรับแขกสำคัญของพวกท่านค่ะ”

“สำคัญ ?” ผมทวนคำนั้นอย่างสงสัย แขกของคุณปู่คุณย่าสำคัญขนาดที่ว่าคุณยะยอมทิ้งงานบนโต๊ะกลับมาเลยเหรอ

“เห็นว่าเป็นลูกชายกับหลานสาวเพื่อนคุณทวดพุฒิค่ะ”

“ผมไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับคุณยะตรงไหนเลย ทำไมถึงต้องให้คุณยะมาต้อนรับด้วย” ผมถาม ขณะที่คำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว... หลานสาว

คำว่า ‘หลานสาว’ นี่ละมั้งที่จะเกี่ยวกับคุณยะได้

“เกี่ยวสิคะน้องพี พี่วิภาว่าคุณหญิงคงอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ค่ะ อุ๊ย... พี่วิภาขอโทษค่ะน้องพี อย่าว่าพี่ยุ่งเรื่องเจ้านายเลยนะคะ”

“เธอสวยไหมครับ” ผมถาม อารมณ์ดาวน์ลงอีกแล้ว เพิ่งจะสลัดเรื่องแม่ของทานตะวันกับถิรออกไปได้แล้วแท้ๆ

“สวยมากค่ะน้องพี สวยกว่าคุณศมนอีกนะคะ คุณหญิงดูจะปลื้มมากด้วย แต่ก็น่าปลื้มอยู่หรอกนะน้องพี คุณแก้วเธอทั้งสวย น่ารัก อ่อนหวาน กิริยาท่าทางก็น่ามอง หยิบจับอะไรก็ดูเป็นกุลสตรีไปหมด ขนาดผู้หญิงด้วยกันแบบพี่ยังชอบเลย”

“แล้วคุณยะล่ะครับ... ชอบคุณแก้วไหม” หัวใจผมคล้ายจะเต้นช้าลง ทำไมคนที่อยู่รอบตัวคุณยะต้องหน้าตาดีด้วยนะ ทำไมไม่มีพวกหน้าตาธรรมดาบ้าง ผมจะได้พอสู้พวกเขาได้ 

“คุณยะเก็บอาการเก่งค่ะ  พี่เดาไม่ถูกหรอกว่าคุณยะชอบหรือไม่ชอบ แต่ก็อย่างว่านะคะน้องพี ผู้หญิงสวยใครเห็นก็ต้องถูกใจ ยิ่งคุณหญิงท่านถูกใจด้วยแล้ว งานนี้น้องพีอาจจะได้คุณแม่คนใหม่”

...คุณย่าก็ชอบเธอด้วย ผิดไปจากทุกครั้งที่คุณย่าเห็นข่าวคุณยะกับผู้หญิง ไม่ว่าคนไหนก็ตาม ท่านจะบ่นออกมาเสมอว่าไม่อยากให้คุณยะเลือกผู้หญิงพวกนี้มาเป็นสะใภ้ท่าน ไม่รู้ว่าเพราะเชื่อฟังคำพูดของคนเป็นแม่หรือเปล่า คุณยะถึงแค่ควงแต่ไม่คิดจะพาเข้าบ้าน เห็นเป็นข่าวกับผู้หญิงจนนับไม่ถ้วนก็ไม่เคยมีคนไหนที่คุณยะพาเข้าบ้านตรัยธาดาเลย

เฮ้อ... ผมจะเอาอะไรไปสู้เธอได้ ถ้าคุณย่าอยากได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นสะใภ้ แล้วเธอก็เป็นคนสวย คุณยะอาจจะไขว้เขว

ส่วนเรื่องที่ผมชอบคุณยะ ถ้าคุณย่าและทุกคนในบ้านรู้ ผมไม่อยากนึกถึงวันนั้นเลยว่าจะเป็นอย่างไร คุณย่าเองก็ไม่ได้ปลื้มการที่คุณยะมีข่าวคราวกับผู้ชายด้วยสิ ถึงท่านจะไม่รังเกียจที่ลูกชายคนโตควงทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่เอาเข้าจริงท่านก็อยากให้คุณยะแต่งงานกับผู้หญิงมากกว่า ทุกวันนี้ถึงได้มองหาว่าที่สะใภ้ให้ทั้งคุณยะและอานุ แต่จะหนักไปทางอานุมากกว่าเพราะพูดง่ายและเชื่อฟังกว่าคุณยะเยอะ

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะน้องพี ยังปวดหัวอยู่หรือคะ” พี่วิภาถามมาอย่างเป็นห่วง “งั้นดื่มน้ำส้มอีกหน่อยนะคะ” ว่าแล้วก็หยิบเหยือกน้ำส้มคั้นขึ้นมารินใส่แก้วให้ผม

“ขอบคุณครับ” ผมรับมาดื่ม ความหวานอมเปรี้ยวของน้ำส้มไหลลงคอผมไปทีละน้อยจนหมดแก้ว แล้วยังตามต่อด้วยแก้วที่สองก็ไม่ได้ช่วยให้ความขมในหัวใจของผมบรรเทาลงเลย

ทำไมนะ... แค่ผมรักคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง ทำไมมันถึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากและยากที่ได้รับการยอมรับ แถมมีอุปสรรคเป็นคนหน้าตาดีมากมายที่แวะเวียนเข้ามาในชีวิตคุณยะ ที่อาจจะทำให้คุณยะไขว้เขวได้ทุกเวลา และคุณยะก็เจ้าชู้เสียด้วยสิ

ผมจะรับมือยังไงล่ะเนี่ย เฮ้อ...   


ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ อารมณ์ตอนนี้ดิ่งลงไปจมอยู่กับความเศร้าที่ผมสร้างมันขึ้นมาเอง ผมอาจจะคิดเองเออเองอย่างที่คุณยะว่าเมื่อคืนก็ได้ ก็คุณยะสัญญากับผมแล้วนี่นา ว่าถ้าตื่นขึ้นมาแล้วผมยังจำเรื่องที่พูดตอนเมาได้ ทั้งชีวิตของเขาจะเป็นของผม คุณยะคงไม่โกหกคนเมาหรอก

ผมอยากเชื่อแบบนี้นะ... หรือผมควรเผื่อใจไว้บ้าง 

ตริ๊ง...

แต่ยังไม่ทันคิดอะไรมากไปกว่านี้เสียงแจ้งข้อความจากโปรแกรมแชตก็ดังขึ้น ผมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างหมอนขึ้นมาดู ใครไม่รู้ส่งข้อความมาทักผม แต่พอเห็นชื่อไลน์กับภาพโปรไฟล์ชัดๆ ก็ทำเอาผมอึ้งไปนิดหนึ่ง ไม่ได้แปลกใจว่าพี่เลม่อนเอาไลน์ผมมาจากไหน ที่แปลกใจคือเขาแอดไลน์ผมมาทำไม ผมกับเขาไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่มีเรื่องให้ต้องพูดคุยกัน หรือว่าพี่เลม่อนอยากคุยกับผมเรื่องของคนที่พวกเรารู้จัก... เรื่องของคุณยะ

LemoN : น้องพีครับ

ผมชั่งใจอยู่นานหลายนาทีตั้งแต่เปิดอ่านข้อความแรกที่พี่เลม่อนทักมา ว่าควรจะทำอย่างไรกับข้อความของอีกฝ่าย อ่านแล้วไม่ตอบ หรือจะตอบ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร ในเมื่อผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม อยากคุยกับผมเรื่องของคุณยะหรือเปล่า ถ้าใช่ ผมยิ่งไม่อยากจะพิมพ์คุยอะไรกับเขาทั้งนั้น

ถ้ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด เชื่อเถอะว่าถึงจะมีจำนวนน้อยนิดที่รู้สึกอิจฉาความสมบูรณ์แบบบนใบหน้าของพี่เลม่อน หนึ่งในจำนวนน้อยนิดมีผมอยู่ด้วยแน่นอน ผมไม่ได้อิจฉารูปร่างหน้าตาของเขา แต่อิจฉาที่เขาได้อยู่ในอ้อมกอดของคุณยะมากกว่า

เกือบห้านาทีที่ผมอ่านข้อความแรกแล้วไม่ตอบกลับ ข้อความจากอีกฝั่งจึงถูกส่งมาอีกครั้ง และครั้งนี้เหมือนผมกำลังถูกหาเรื่อง

LemoN : อ่านแล้วก็ช่วยตอบหน่อยสิครับ

LemoN : กล้าๆ หน่อย

LemoN : กลัว ?

...การที่ผมอ่านแล้วไม่ตอบ ไม่ใช่ผมกลัวพี่เลม่อนสักหน่อย มีอะไรที่ผมต้องกลัวเขา ผมเถียงกับหน้าจอที่ปรากฏข้อความท้าทายจากอีกฝั่ง ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ถ้าจุดประสงค์ของเขาคือการคุยเรื่องของคุณยะ ผมก็ยิ่งไม่อยากสนทนาด้วย ก็ใครจะชอบคุยกับคนที่ตัวเองอิจฉาล่ะ บอกตามตรงว่าผมไม่ชอบปั้นแต่งคำพูดกับคนที่ตัวเองไม่ชอบหรอก ต่อให้เป็นการพิมพ์ข้อความส่งไปก็เถอะ

พอผมไม่ตอบโต้ เขาก็เงียบไปสักพัก แล้วส่งข้อความมาท้าทายแกมเย้ยหยันต่อ

LemoN : เพิ่งรู้ว่าลูกชายพี่ยะเป็นคนขี้ขลาด

LemoN : กลัวอะไรพี่เหรอ

LemoN : ขี้ขลาดไปหน่อยนะ

...พี่เลม่อนมีสิทธิ์อะไรมาว่าผมขี้ขลาด ผมจะตอบเขาหรือไม่ตอบก็เป็นสิทธิ์ของผม ทักมาแบบนี้คงไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร ผมกัดฟันข่มใจที่จะไม่กดบล็อกอีกฝ่าย ในเมื่อเขาต้องการคุย ผมก็จะคุย อยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไรจะคุยกับผม 

P.Phirach : ครับ

...ผมตอบไปสั้นๆ ไม่ได้รู้สึกอยากพิมพ์ข้อความอะไรเยอะไปกว่านี้ เอาตามจริงเลยคือผมไม่อยากเสียเวลากับคนคนนี้

LemoN : กล้าซะทีนะ

...นอกจากจะพิมพ์คำพูดมาประชดผม พี่เลม่อนยังส่งสติ๊กเกอร์หน้าตาน่าเกลียดยืนตบมือมาให้ผมอีก ช่างเป็นผู้ชายที่หน้าตาสวยงาม แต่นิสัยกลับตรงข้ามกับหน้าตาแบบสุดขั้ว

P.Phirach : มีอะไรก็พูดมาก่อนที่ผมจะบล็อกคุณ

...ผมใช้สรรพนามที่ห่างเหินกับเขา ให้เรียก ‘พี่’ ก็รู้สึกระคายมือที่ต้องพิมพ์คำนั้น ผมไม่มีความนับถือให้คนที่ส่งข้อความมาหาเรื่องผมก่อนหรอก

LemoN : กล้าบล็อกก็ระวังจะไม่ได้เห็นของดีนะครับ

LemoN : เห็นว่าอยากดูรูปแซ่บๆ ของพี่กับพ่อของน้องไม่ใช่เหรอ

...ต่อให้ไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรกแต่ก็ไม่ผิดไปมากนัก พี่เลม่อนทักมาคุยเรื่องคุณยะจริงด้วย แต่เป็นเรื่องรูปที่นานะกับเตเต้ให้ผมดู

LemoN : มีไลน์พี่ไว้ก็ดีนะเผื่อจะได้รูปที่มันเรียลไทม์ ไม่ต้องรอให้นานะกับเตเต้ส่งมาให้ดู

...พี่เลม่อนคงคุยกับสองเพื่อนซี้ปากแดงแล้ว เรื่องที่ผมขอให้พวกเขาส่งรูปพวกนั้นเข้ามาในไลน์ผม รวมถึงรูปแซ่บๆ ในอนาคตที่พวกเขาจะได้มาจากการที่เพื่อนในกลุ่มไลน์ของพี่เลม่อนแคปหน้าจอไลน์มาให้สองคนนั้นดูอีก

LemoN : หรือว่าอยากดูรูปเก่าๆ ล่ะ พี่ก็มีนะ

LemoN : มีเยอะด้วย

LemoN : รู้สึกอยากอวดผัวจัง

...ผมสะดุ้งกับสรรพนามที่คนหน้าตาดีอย่างพี่เลม่อนใช้เรียกแทนคุณยะ กล้าใช้คำนี้เลยหรือไง เขาไม่อายผมเลยเหรอ ถึงไม่อายผมก็ควรอายตัวเองบ้าง

LemoN : เดี๋ยวพี่ส่งรูปผัวของพี่ให้ดูนะ

...ทันทีที่ข้อความล่าสุดถูกส่งมา ผมยังไม่ทันได้พิมพ์ตอบเลยว่าไม่อยากเห็น ไม่ต้องส่งมา เพราะรูป ‘ผัว’ ที่พี่เลม่อนพิมพ์มาอย่างถือสิทธิ์ของคนที่ได้นอนกับคุณยะ ก็ถูกส่งเข้ามาอย่างรัวๆ สายตาของผมแทบไม่ได้หยุดพัก

อันที่จริงผมน่าจะกดบล็อกไปเลยจะได้ไม่ต้องทนเห็นสิ่งที่พี่เลม่อนส่งมาให้ รูปที่มากกว่าสิบ อาจจะเกือบสามสิบรูปด้วยซ้ำ แต่ผมก็ทนเลื่อนหน้าจอดูทีละรูปอย่างช้าๆ แต่ละรูปความแซ่บไม่ต้องพูดถึง แทบจะเรียกว่าเป็นรูปอุบาทว์ได้เลย ผมทนดูจนกระทั่งถึงรูปสุดท้ายด้วยความรู้สึกที่อยากปาโทรศัพท์ทิ้งเป็นร้อยๆ รอบ

LemoN : เป็นไงบ้างผัวพี่ แซ่บปะล่ะ

LemoN : ก็น่าจะแซ่บเนอะ

LemoN : ถึงได้มีพวกวิปริตอยากได้จนตัวสั่น

LemoN : แต่คงยากหน่อยนะเพราะก้นพี่น่าเอากว่าเยอะ

...ในความคิดของผมตอนนี้ หน้าของพี่เลม่อนมีแต่คำว่า ‘หน้าไม่อาย’ สลักอยู่บนนั้น ดูคำพูดที่เขาพิมพ์มาให้ผมอ่านสิ รูปอุบาทว์พวกนั้นอีก เขาไม่อายบ้างหรือไงที่เก็บรูปพวกนี้ไว้ในมือถือตัวเอง แล้วยังกล้าส่งมาให้ผมดูเป็นสิบๆ รูป

LemoN : ยังไงพีก็ช่วยเอารูปพวกนี้ให้พวกที่จะแย่งผัวพี่ดูด้วยนะ

LemoN : ฝากบอกด้วยว่าเมื่อคืน ผัวพี่เอาพี่ทั้งคืน

LemoN : เหมือนโดนรุมโทรมอ้ะ

LemoN : ตอนนี้ลุกจากเตียงยังไม่ขึ้นเลยจ้า

LemoN : แต่ก็อย่างว่าเนอะ ผัวพี่ทั้งแข็ง...แรงดีไม่มีตก

LemoN : แถมหลงก้นพี่มากๆ ด้วย

เมื่อคืน ? จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคุณยะอยู่กับผม เขานอนกอดผมไว้ทั้งคืน

มือสั่นๆ ของผมกดจิ้มข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ทว่าความจริงกว่าจะได้แต่ละคำ ผมพิมพ์ผิดแล้วผิดอีก ต้องใช้เวลากว่านาทีกว่าที่จะได้ประโยคสั้นๆ มาประโยคเดียว


.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 14 (02-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 02-11-2018 20:27:37
.

.

.

P.Phirach : เมื่อคืนเขาอยู่กับผม

...ข้อความที่ผมส่งตอบโต้ไป ขนาดผมเองยังไม่กล้าเชื่อเลยว่ามันเป็นความจริง เมื่อคืนคุณยะนอนกอดผมอยู่บนเตียงนี้ กอดและกล่อมผมด้วยริมฝีปากแสนอ่อนโยนของเขา จนผมหลับสนิทไปในเวลาอันรวดเร็ว แต่หลังจากที่ผมหลับไปล่ะ เกิดอะไรขึ้น ผมยังอยู่ในอ้อมกอดของคุณยะอยู่ไหม หรือทันทีที่ผมหลับลงไปอย่างคนโง่คนหนึ่ง อ้อมแขนนั้นก็ผละจากไป เพื่อไปกอดอีกคนหนึ่ง

หัวใจผมเจ็บ มันถูกบีบอัดจนบี้แบน ก่อนที่พี่เลม่อนจะถือมีดปลายแหลมกระหน่ำแทงซ้ำให้ผมตายคาที่ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ในมือที่สั่นระริกของผม

LemoN : หลักฐาน ?

LemoN : ไหนล่ะหลักฐานที่บอกว่าพี่ยะอยู่กับมึงเมื่อคืน

...คำเรียกขานชื่อของผมถูกเปลี่ยนเป็นคำหยาบ คงไม่ใช่ผมฝ่ายเดียวที่ไม่ชอบเขา เขาก็ด้วยที่ไม่ชอบผม

LemoN : มีไหมหลักฐาน

...หลักฐานที่ผมมีเพียงอย่างเดียวคือความสุขและความทรงจำแสนหวาน มันเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าคุณยะอยู่กับผมในช่วงเวลานั้น ทว่ามันก็แค่ก่อนที่ผมจะหลับไป หลังจากนั้นผมก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันกับพี่เลม่อนได้ว่าคุณยะอยู่กับผมทั้งคืน อย่างว่าแต่หาหลักฐานมายืนยันอีกฝ่ายไม่ได้ แม้แต่เอามายืนยันกับตัวผมเองยังไม่มีเลย ผมเลยจนด้วยคำตอบโต้

LemoN : ไม่มีไม่เป็นไร

LemoN : กูรู้ว่ามึงก็แค่นอนโง่อยู่บนเตียง จินตนาการเอาเองว่าพี่ยะอยู่กับมึง

...จาก ‘พี่’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘กู’ อย่างง่ายดาย

LemoN : แต่กูมีหลักฐานว่าพี่ยะอยู่กับกูทั้งคืน

LemoN : เอาจนกูลุกไม่ขึ้น

LemoN : ดูหลักฐานกูไหมล่ะ เผื่อมึงจะฉลาดขึ้น

...บนหน้าจอสี่เหลี่ยมที่เคยมีข้อความจากอีกฝั่ง เพียงไม่กี่วินาทีที่ผมอ่านมันจบ รูปถ่ายที่เป็นหลักฐานว่าเมื่อคืนคุณยะไม่ได้นอนกอดผมจนถึงเช้า แต่เขาไปหาพี่เลม่อน ทำเรื่องอย่างว่ากัน ก็ถูกส่งเข้ามาบนหน้าแชตสองรูป รูปแรกเป็นรูปตอนคุณยะนอนหลับอยู่บนเตียง รูปที่สองเป็นตอนที่คุณยะเดินตัวเปลือยเข้าห้องน้ำ

ซึ่งสองรูปนี้อาจจะเป็นรูปที่ถ่ายไว้วันอื่นก็ได้ ไม่ใช่เมื่อคืนตามที่เจ้าตัวบอก แต่สิ่งที่ช่วยยืนยันว่ารูปถูกถ่ายไว้เมื่อคืนจริงๆ คือตัวเลขบอกเวลาและวันที่บนหน้าจอนาฬิกาดิจิตอล ที่ถูกถ่ายเข้ามาในรูปอย่างจงใจที่สุด เพื่อให้มันเป็นหลักฐานที่จะทำให้ผมเจ็บปวดกับความจริงที่ว่า... คุณยะไม่ได้นอนกอดผมจนถึงเช้า พอผมหลับไปอย่างคนโง่ๆ คนหนึ่ง เขาก็ออกไปหาพี่เลม่อน!

LemoN : เป็นไงล่ะหลักฐานของกูชัดพอไหม

LemoN : ทำให้มึงหายโง่หรือยัง

LemoN : เอ... หรือจะส่งหลักฐานเพิ่มดีน้า

LemoN : ส่งดีไหมน้า

LemoN : ว่าไง อยากเห็นว่าพ่อมึงเด็ดแค่ไหนไหม

...ความอิจฉาของผมเริ่มเปลี่ยนเป็นความเกลียดในความหยาบคายของอีกฝ่าย นึกว่าตัวเองเล่นบทเป็นตัวร้ายหรือไง ผมอยากจะพิมพ์ข้อความด่าไปอย่างที่ใจรู้สึก แต่ยั้งมือตัวเองเอาไว้ เพราะผมไม่อยากถูกดึงให้ตกต่ำไปยืนระดับเดียวกับพี่เลม่อน คนที่สวยแต่หน้าแต่คำพูดไร้ยางอายที่สุด

LemoN : อ่านแล้วไม่ตอบ สงสัยไม่อยากดู

LemoN : แต่กูอยากอวดผัวว่ะ

LemoN : ส่งละน้า

...แล้วรูปอีกสิบกว่าใบก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าเจอแชต เป็นรูปเซลฟี่ที่เห็นใบหน้าและรอยดูดรอยกัดจนขึ้นสีช้ำบนร่างกาย รูปที่ถ่ายเห็นเรียวขาทั้งสองขาที่ขึ้นสีแดงช้ำเพราะแรงบีบเคล้น แม้แต่รูปแผ่นหลังที่ถ่ายผ่านกระจกเงาก็แทบไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับรอยใหม่ได้อีก และรูปที่น่าเกลียดจนถึงขั้นอุบาทว์คือรูปถ่ายช่องทางช้ำแดงและบวมเป่ง บอกชัดเจนว่าผ่านอะไรมาหนักขนาดไหน

ผมอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้ง อยากทุบมันให้แหลกละเอียดจนเป็นผุยผง ให้สภาพของมันไม่ต่างจากสภาพของหัวใจผมตอนนี้ แต่ผมรู้ดี ถึงโทรศัพท์ในมือผมจะแตกกระจายเป็นแค่เศษซากขยะ แต่รูปพวกนั้นก็ยังฝังลึกอยู่ในหัวของผม ตอกย้ำว่าทุกคำพูดของพี่เลม่อนเป็นความจริง

คุณยะไปหาพี่เลม่อน ไปกอดไปจูบเขา ไปมีอะไรกับคนคนนี้ ปล่อยให้ผมอยู่กับฝันหวานบ้าบอเหมือนคนโง่ที่ถูกหลอกซ้ำหลอกซากแต่ก็ยังจะเชื่อว่าทุกคำพูดของผู้ชายคนนี้คือความจริง เป็นของจริงที่มีไว้ให้ผมแค่คนเดียว

ไม่มีคำพูดไหนของคุณยะเป็นความจริงเลย ไม่มีเลย เขาแค่หลอกผม ทำให้ผมเป็นคนโง่ เพื่ออะไรผมก็ไม่รู้ ทำไมเขาต้องทำให้ผมเจ็บปวดซ้ำซากแบบนี้ด้วย เขาแค้นพ่อแม่ของผมจริงๆ ใช่ไหม เขาถึงได้ทำทุกอย่างให้ผมเจ็บปวด ทำให้ผมเหมือนตายทั้งเป็น

LemoN : เงียบเลยนะ

LemoN : อิจฉาเหรอ ?

LemoN : อย่าอิจฉาสิ

LemoN : ของแบบนี้หาเอาเองง่ายกว่าแย่งของคนอื่นเยอะ

P.Phirach : ต้องการอะไร


...ผมพิมพ์กลับไปด้วยความรู้สึกทั้งแค้นและเจ็บปวดปนกันไปหมด อยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม ทั้งพูดประชด ถากถาง และส่งรูปอุบาทว์พวกนั้นมาให้

LemoN : ถามจริง ? นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่

LemoN : ไม่รู้เหรอว่ากูต้องการอะไร

LemoN : กูอยากให้มึงอินให้มากกว่านี้หน่อยไง

...พี่เลม่อนอยากให้ผมอินกับอะไรงั้นเหรอ ?

มือผมยังไม่ทันได้พิมพ์ความสงสัยนั้นออกไป ข้อความอีกฝั่งก็ขึ้นมาเสียก่อน ความสงสัยของผมถึงได้รับคำตอบโดยที่ไม่ต้องถามออกไปให้เสียเวลา

LemoN : อุตส่าห์ได้เล่นเป็นลูกของพี่ยะแล้วนะก็น่าจะตีบทให้แตก

LemoN : อินให้มันมากหน่อย อย่าเล่นเกินบท

LemoN : มันจะจบไม่สวย กูเตือนด้วยความหวังดี

...พี่เลม่อนรู้เหรอว่าผมไม่ใช่ลูกของคุณยะ

P.Phirach : รู้ได้ไง

...ผมอดที่จะถามออกไปไม่ได้ ไม่ต่างจากการยอมรับว่าสิ่งที่เขารู้เป็นความจริง และคำตอบก็มาอย่างรวดเร็ว

LemoN : คนเป็นผัวเมียกัน ไม่มีความลับกันหรอก

LemoN : พี่ยะเล่าให้กูฟังทุกเรื่อง

LemoN : มึงก็แค่เด็กที่พ่อแม่ไม่อยากได้

LemoN : น่าสงสารจัง

LemoN : ต่อไปก็เล่นบทลูกชายคนโตให้อินด้วยล่ะ

LemoN : อย่านอกบท

LemoN : อย่าแย่งผัวกู!

LemoN : มันทุเรศว่ะ

LemoN : วิปริต

...ผมไม่ได้วิปริต ความรักไม่ใช่เรื่องวิปริตสักหน่อย

LemoN : ไม่อายหรือไงที่ชอบพ่อตัวเอง

...คุณยะไม่ใช่พ่อของผม

LemoN : พี่ยะเลี้ยงมึงให้โตมาเป็นคน

LemoN : ไม่ใช่สัตว์ที่สมสู่แม้กระทั่งคนที่มีบุญคุณกับมึง

...คำว่า ‘บุญคุณ’ มันทำให้ผมไม่มีสิทธิ์รักเขาเลยหรือไง

LemoN : เงียบทำไม ไม่เถียงหน่อยหรือไง

LemoN : หรือว่าไม่มีอะไรจะเถียง

LemoN : กูพูดถูกทุกอย่างสินะ

LemoN : อยากได้พ่อตัวเองจนตัวสั่น

LemoN : หน้าไม่อายว่ะ

LemoN : ระวังไว้เถอะ เมื่อไรที่ครอบครัวของพี่ยะรู้เรื่องที่มึงมันวิปริต มึงได้ถูกเฉดหัวออกไปเหมือนหมูเหมือนหมาแน่

LemoN : กูเตือนด้วยความหวังดี

...ผมมองไม่เห็นเลยว่าตัวหนังสือที่เขาพิมพ์ส่งมา มีตรงไหนที่มีความหมายว่า ‘หวังดี’

LemoN : อ่านไม่ตอบอีกแล้ว

LemoN : กำลังเสียใจอยู่เหรอ

LemoN : ร้องไห้อยู่หรือไง

LemoN : ก็หวังว่าน้ำตาจะทำให้มึงหายร่านซะทีนะ

LemoN : รูของมึงสู้รูของกูไม่ได้หรอกว่ะ

LemoN : มึงรู้ไหมว่าพี่ยะไม่อยากจะเอา... ออกจากก้นกูด้วยซ้ำ

...ทำไมผมต้องทนอ่านคำหยาบคายพวกนี้ ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา แต่แล้วผมก็นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน สิ่งที่ผมทำจะเรียกว่า ‘ร่าน’ อย่างที่พี่เลม่อนกล่าวหาหรือเปล่า พอคิดแบบนี้ผมก็เถียงไม่ออก เมื่อคืนผมอยากได้คุณยะมาเป็นของผม อยากให้เขาโกรธพี่เลม่อนที่แอบถ่ายรูปตอนเขาไม่ใส่เสื้อผ้ามาอวดพวกเพื่อน หวังให้เขาโกรธจนบอกเลิกพี่เลม่อน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่โกรธ นอกจากนั้นผมยังทำเรื่องน่าเกลียดแบบนั้นออกไปอีก

ผมดึงมือคุณยะมาจับเป้าตัวเอง ล้วงเอาของตัวเองมาให้เขาจับ อ้อนวอนขอให้เขาช่วยปลดปล่อยความร้อนระอุที่คับแน่นอยู่ในแก่นกายของผม ผมเรียกชื่อเขา ส่งเสียงน่าอายผ่านลำคอออกมาอย่างสุขสม ผมจำทุกการกระทำของตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่ลืมแม้กระทั่งตอนที่ปลดปล่อยในมือของเขา เชิญชวนเขาให้เข้ามาในตัวผม ทำให้ผมเป็นของเขาเพื่อที่เขาจะได้เป็นของผม หวังว่าเมื่อเขามีอะไรกับผม เขาจะมีแค่ผมคนเดียวและเลิกกับคู่ควงทุกคนของเขา ผ่านเวลามาถึงตอนนี้ผมก็นึกอายตัวเองกับสิ่งที่ทำลงไป รวมถึงคำพูดที่บอกออกไปว่า...

‘น้องพีรักคุณยะ’

ไม่ควรเลย... ไม่ควรพูดประโยคนี้ออกไป ไม่ควรทำเรื่องน่าอายทั้งหมดนั้นด้วย

คำกล่าวหาของคนที่พิมพ์แต่คำพูดหยาบคายไม่ได้เกินความจริงที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ผมเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ ผมอยากได้คุณยะ อยากแย่งเขามาจากพี่เลม่อน อยากให้เขากอดผมแทนที่จะกอดคนอื่น แต่สุดท้ายผมก็ได้แต่อ้อมกอดที่หลอกลวง

LemoN : อ้อ... กูมีของฝากก่อนจะไปเยอรมันกับพี่ยะให้มึงด้วยนะ

LemoN : เอาไปฟังแค่คลิปเดียวก่อนละกัน

...คลิปที่ส่งมาเป็นคลิปเสียง ผมยังไม่ได้เปิดมัน ชั่งใจอยู่ว่าจะลบทิ้งดีไหม สุดท้ายผมก็ตัดสินใจลบมันทิ้ง 

LemoN : ไว้รอกูกลับจากเยอรมันกับพี่ยะเมื่อไร มึงคงจะได้ของฝากจากกูอีกเพียบแน่

LemoN : เอ... หรือมึงอยากได้ทั้งภาพและเสียง

LemoN : เอาปะ

LemoN : กูสงเคราะห์ให้ได้นะ

LemoN : เผื่อมึงจะได้เอาไว้ช่วยตัวเอง

LemoN : อยากมากไม่ใช่เหรอ

LemoN : กูจะสงเคราะห์ให้หลายๆ คลิปละกัน

LemoN : รับรองว่าภาพคมชัดระดับ HD

P.Phirach : หยุดคำพูดทุเรศของคุณซะที

P.Phirach : ไม่อายตัวเองบ้างหรือไง

LemoN : เหอะ กูต้องอายด้วยเหรอ

LemoN : คนที่ควรอายคือมึง

LemoN : คนที่ทุเรศก็คือมึง

LemoN : ความทุเรศของมึงที่อยากได้พ่อของตัวเองเป็นผัวจนตัวสั่น

P.Phirach : คุณยะไม่ใช่พ่อของผม

...ผมไม่ได้รักพ่อของตัวเอง ผมแค่รักคุณยะ

LemoN : แต่ทุกคนรู้ว่ามึงเป็นลูก

P.Phirach : ช่างคนพวกนั้นสิ

...ผมกดพิมพ์ข้อความไปอย่างพาลๆ แต่ในใจผมไม่สู้แล้ว ผมยอมแพ้แล้ว ไม่อยากได้ผู้ชายที่ตกเป็นหัวข้อทุ่มเถียงอย่างหยาบคายนี้อีกต่อไปแล้ว

LemoN : อ๋อ นี่มึงจะเอาให้ได้ใช่ปะ

LemoN : จะเอาผัวกูให้ได้ใช่ปะ

LemoN : มึงนี่หน้าด้านหน้าหนากว่าที่คิดไว้อีกนะ

LemoN : หรือว่ากูต้องให้มึงดูตอนที่พ่อมึงมีความสุขกับกู

LemoN : มึงถึงจะได้เลิกคิดทุเรศกับพ่อตัวเอง

LemoN : กูสงเคราะห์ให้มึงอีกสักคลิปดีกว่า

LemoN : อันนี้เด็ดว่ะ ทั้งภาพทั้งเสียง

LemoN : ล่าสุดเมื่อเช้า

LemoN : พ่อมึงเอากูไม่ยั้ง

LemoN : โคตรมัน

LemoN : รูกูก็เลยเป็นแบบในรูปที่มึงเห็นไง

LemoN : แต่มึงไม่ต้องเป็นห่วงกู ยังไงกูก็ไปเอากับพ่อมึงต่อที่เยอรมันได้อีก

...แล้วคลิปก็ถูกส่งมา มือผมสั่นไปหมดกับคลิปวิดีโอบนหน้าจอสี่เหลี่ยม ถึงผมจะยังไม่ได้เปิดดู แต่เท่าที่เห็น ภาพที่ปรากฏมันคือคนสองคนที่ทำเรื่องอย่างว่ากันบนเตียง

ผมควรจะผ่านมันไป ไม่ก็ลบทิ้งไปซะ แต่ผมกลับลังเล สุดท้ายผมคงอยากให้ตัวเองเจ็บปวดให้ถึงที่สุด ให้หัวใจฉีกขาดจนไม่เหลือให้กอบกู้คืนมาเป็นเหมือนเดิมได้ ปลายนิ้วถึงได้ค่อยๆ แตะลงบนคลิปนั้น

ทุกภาพ ทุกเสียง ทุกการเคลื่อนไหว มันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง จนหัวใจผมเจ็บร้าวไปหมด ก่อนน้ำตาจะไหลลงบนสองแก้มที่ไร้ความรู้สึก ภาพที่ผมต้องทนดูคือคนตัวเล็กอยู่ในท่าคลานเข่า ใบหน้าด้านข้างแนบไปกับความนุ่มของเตียงนอน สะโพกยกสูงขึ้นไปรองรับความแข็งกร้าวของคนตัวหนาที่ยืนเข่าซ้อนอยู่ด้านหลัง ต่อให้เห็นแค่ช่วงปากของคนคนนั้นลงมาจนถึงร่างกายที่อัดแน่นด้วยมัดกล้ามแวววาวไปด้วยคราบเหงื่อไคล ผมก็จำได้ว่าคนคนนี้เป็นใคร แค่ท่อนแขนที่เห็นวางบนเอวคนตัวเล็กและอีกข้างที่กดแผ่นหลังบางให้จมลงไปกับเตียงนอน ผมก็จำได้แล้ว ไหนจะเสียงคำรามที่คล้ายจะดังไปทั่วห้องเป็นเสียงเดียวกับที่ผมเคยได้ยินในห้องทำงานของเขา เพียงแต่คนที่กรีดร้องอย่างโหยหวนราวกับเจ็บปวดสาหัสเป็นคนละคนกัน

เรื่องราวบนหน้าจอสี่เหลี่ยมมีไม่กี่นาที แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองทนดูความน่าขยะแขยงนานนับชั่วโมง ภาพและเสียงหยุดไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังจ้องอยู่อย่างนั้น จนหน้าจอดับไปและตามมาด้วยเสียงแจ้งเตือนข้อความในโปรแกรมแชตที่ดังแบบรัวๆ ชนิดที่ว่าเจ้าของข้อความคงไม่ได้หยุดพักปลายนิ้วของตัวเองเลย

ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ไม่รู้ตัวเลยว่าเดินไปหยิบคัตเตอร์บนโต๊ะตอนไหน ไม่รู้สักนิดว่าใบมีดกรีดลงไปบนตัวตุ๊กตากระต่ายหูยาวตัวใหญ่ยักษ์ที่วางอยู่บนเตียงได้อย่างไร มารู้อีกทีก็ตอนที่มันกลายสภาพเป็นแค่เศษผ้า เศษขน ไร้ราคา ไม่มีค่ากับหัวใจผมอีกต่อไป

...มันอยู่กับผมมานาน นานจนถึงวันนี้ วันที่หัวใจผม ‘พัง’

ผ่านไปหลายนาทีกับการนั่งมองเศษซากไร้ค่าอยู่แบบนั้น นั่งถามตัวเองว่าผมปล่อยให้หัวใจพังไปกี่ครั้งแล้ว ทำไมผมต้องรักคนคนนั้น ทำไมต้องเจ็บปวดปานจะขาดใจแค่เห็นเขานอนกับคนอื่น ทำไมผมถึงคิดว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดที่เขายอมมอบทั้งชีวิตให้ได้ ทำไมถึงหลงไปกับคำหลอกลวงพวกนั้น ทำไมต้องเชื่อว่าตัวเป็นคนพิเศษของเขา ทำไมไม่เคยจำ ทำไมถึงไม่เข็ดหลาบ ทำไมผมถึงโง่ได้มากขนาดนี้

ไม่อีกแล้ว!

ผมจะไม่เชื่อคำพูดของเขาอีกแล้ว!





จบตอนที่ 14
** คุยๆ **
อ่านเรื่องนี้ทุกคนอาจจคิดว่า “นิยายเรื่องนี้มันไบโพลาร์หรือเปล่าหว่า (บอกเลยว่าใช่ค่ะ! ไบฯ มากกก)
นิยามชีวิตของคู่นี้ก็ --สามวันดี สี่วันไข้—
หวานขมสลับกันไปมา 555+ หวานกันอยู่แป๊บๆ ขมมาอีกละ
-- ส่วนเลม่อนนั้น--
สักระยะก็จะได้รับผลของสิ่งที่ทำ แต่อีกนานหน่อย
ความสัมพันธ์ของคุณยะกับเลม่อน ไม่ซับซ้อนแต่เป็นความรับผิดชอบ ทิ้งไม่ได้
เพราะโดยนิสัยคุณยะเป็นคนจิตใจดี ขี้สงสาร (มั้ง) เหมือนหมอนุนั่นแหละ แค่การแสดงออกไม่เหมือนเท่านั้นเอง
ปล. คุณยะอาจมีหลงเลม่อนบ้างเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาผู้ชายที่ชอบเรื่องบนเตียง
นี่บอกเลย เลม่อนเด็ดจริง-- อายตัว 555+
ฉะนั้น ถ้าตอนที่ 14 - 15 คุณยะจะทำอะไรน่าเกลียดไปบ้าง โปรดให้อภัยนะคะ
แจ้งอีกนิดว่า เรื่องนี้ จะเป็นการเล่าเรื่องแบบมุมมองของน้องพี
เราๆ จะรู้การกระทำของตัวละครตัวอื่นๆ ผ่านประสบการณ์ของน้องพี ในส่วนที่น้องพีรู้ น้องพีเห็น น้องพีโดนกระทำ
แต่ในมุมของคุณยะ เราจะไม่เห็นในตอนปกติ
แต่ๆๆๆๆ คนเขียนวางพล็อตคร่าๆ ไว้ในหัวว่า
การเล่าเรื่องในมุมของคุณยะจะมีอยู่ใน "ตอนพิเศษ" ในเฉพาะเล่มหนังสือเท่านั้น


สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 14 (02-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 02-11-2018 23:31:24
อดใจรออ่านตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ววววววว   :ling1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 14 (02-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-11-2018 00:47:19
คุณยะทำเราเกลียดเลย สงสารน้องมาก คุณยะจะเห็นข้อความ รูปและคลิปที่ส่งมาให้น้องหรือเปล่า ทำไมคุณยะถึงทำแบบนี้ ที่ทำเพราะยังไม่กล้าทำน้องเลยหาที่ระบายใช่ไหม แล้วที่บอกว่าคุณยะแค่รับผิดชอบคืออะไรค่ะ อยากรู้จังรีบมาต่อตอนต่อไปเร็ว ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 15 (04-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 04-11-2018 18:03:14
ตอนที่ 15

ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังแทรกเข้ามาในห้องที่มีเพียงกลิ่นความเจ็บปวดลอยคลุ้ง ที่ตามหลังมาคือเสียงเรียกที่บอกว่าคนด้านหน้าประตูเป็นใคร

“พี”

ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่ต้องการเห็นหน้าคนคนนี้ไปตลอดชีวิต อยากหนีไปให้ไกล สุดขอบฟ้าเลยก็ได้ แต่ผมทำได้แค่นั่งเงียบๆ มองดูเศษซากความเจ็บปวดของตัวเองที่ระบายลงบนตุ๊กตาตัวยักษ์ ก่อนเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง หยิบกล่องของขวัญชิ้นล่าสุดที่เขาซื้อให้ เปิดฝากล่องเอาสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา ลุกเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ วางสิ่งที่อยู่ในมือลง ใช้มือข้างเดิมนั่นแหละหยิบที่ทับกระดาษที่ทำจากหิน เป็นของขวัญวันเกิดปีนี้ของผมจากปาลิน แต่ผมจะใช้มันทำลายของขวัญอีกชิ้นหนึ่งที่มีราคามากกว่าไม่รู้กี่เท่า

ก๊อก...ก๊อก

พอผมไม่ขานรับ คนด้านนอกก็เคาะประตูอีกครั้ง

“คุณยะเข้าไปนะ”

เขาบอกกล่าวก่อนจะเปิดประตูเข้ามา ไม่รู้ว่าบนใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยอะไรบ้างไหม เมื่อเห็นสภาพความเละเทะของตุ๊กตาที่เขาซื้อให้ผมเมื่อนานมาแล้ว ที่บอกว่าสั่งทำพิเศษ มีเพียงตัวเดียวในโลก เพราะผมไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะผมกำลังใช้ที่ทับกระดาษราคาหลักร้อยทุบลงบนนาฬิการาคาหลักล้านอย่างไม่นึกเสียดายความแพงของมัน

“ทำอะไร!” เขาตรงเข้ามาดึงแขนผมไว้ 

“อย่ามาแตะตัวผม!” ผมกระชากแขนออกมาอย่างแรง ก่อนผลักอกเขาจนเสียหลักเซไปด้านหลัง เขามองผมด้วยสีหน้าอึ้งจัด กับสภาพน้ำตานองหน้าของผม ผมอาศัยจังหวะนั้นทุบนาฬิกาหลักล้านให้พังยับเยินจนไม่เหลือสภาพความหรูหราของมัน โดยที่เขาได้แต่ยืนมองและพยายามข่มความโกรธเอาไว้

...จากหลักล้านเหลือเพียงเศษซาก

...จากหัวใจที่เต็มอิ่มด้วยความรักก็เหลือเพียงอดีตที่ไม่น่าจดจำ

หลังเสียงของแข็งทุบของหรูหยุดลง ห้องทั้งก็ตกอยู่ในความเงียบ คนที่ทำให้หัวใจผมพังซ้ำแล้วซ้ำเล่ายืนกอดอกและพิงแผ่นหลังไว้กับกรอบหน้าต่าง ดวงตาสีราตรีขุ่นมัวด้วยความโกรธจ้องมาที่ผม ผมเองก็มองไปที่ใบหน้าคมเข้ม สบสายตาเขาด้วยแววตาท้าทายของตัวเอง ไม่เหลือบรรยากาศหอมหวานอย่างค่ำคืนที่ผ่านมา ไม่มีเสียงของความรัก ไม่มีความหลงใหลของเด็กโง่คนเดิม มีแต่ความขมไหม้ที่แผ่กระจายออกมาจากลมหายใจของผม

เวลาที่เราจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร มันผ่านไปราวสิบปีร้อยปี แต่ความจริงคือแค่ไม่กี่นาทีสุดท้ายก็เป็นเขาที่สิ้นความอดทนก่อนผม

“อยากยาหรือไง”

“...” คำถามที่บอกให้ผมรู้ว่า เมื่อคืนเขารู้ว่าผมเล่นยา แต่ที่เขาไม่รู้คือมันเป็นครั้งแรกที่ผมหลงผิด หลงไปกับยาเสพติดที่มีแต่ทำลายสติของผมให้สิ้นซาก ทำให้ผมทำเรื่องน่าอายแบบเด็กโง่ๆ ออกไป

“เล่นมานานหรือยัง”

“นาน” ผมเลือกตอบในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง

“อย่าประชด”

“ผมไม่ได้ประชด” แน่นอนว่าผมประชดร้อยเปอร์เซ็นต์

“เรื่องเหล้า... ฉันไม่ห้าม เข้าใจว่าเธอเป็นวัยรุ่นก็ต้องมีบ้าง” เขาผ่อนเสียงลง พยายามคุยกับผมด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ที่ถูกยั่วยุตั้งแต่เปิดประตูห้องเข้ามา “แต่เรื่องบุหรี่กับยา ฉันขอให้เลิกยุ่งกับมัน บ้านหลังนี้ไม่มีใครเป็นขี้ยา”

“แล้วไง” ผมเอียงคอถามอย่างหาเรื่องสุดๆ ไม่ได้ทำตัวน่ารักช่างอ้อนเหมือนเมื่อคืน “ผมต้องเชื่อคุณด้วยเหรอ ชีวิตเป็นของผม ผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ เพราะคุณไม่ใช่พ่อของผม คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับชีวิตผม” 

“สงสัยฉันให้เงินเธอใช้เยอะเกินไป” เขาแสยะยิ้ม ก่อนเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง หยิบกระเป๋าเงินของผมออกมาจากลิ้นชัก รู้ดีเกินไปแล้วว่าผมเก็บกระเป๋าไว้ที่นั่น แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ผมต้องมาชื่นชมความรู้ดีของเขา สิ่งที่เขากำลังจะทำต่างหากคือเรื่องที่ผมควรสนใจที่สุดในเวลานี้

“คุณจะทำอะไร” ไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำอะไร แต่ต้องไม่ใช่เรื่องดีกับผมแน่ ผมรีบเดินเข้าไปแย่งกระเป๋าจากมือเขา มันช้าไป เขาหยิบบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต (แบบบัตรเสริม) และเงินออกมาหมดกระเป๋า

“ฉันคงต้องควบคุมการใช้เงินของเธอ” เขายิ้มร้ายกาจออกมา ไม่มีอีกแล้วยิ้มแบบเมื่อคืนที่ผ่านมา “วันละร้อยก็น่าจะเหลือเฟือ” แล้วก็ยัดแบงก์สีแดงกลับเข้าไปในกระเป๋าแค่ใบเดียว!

“มันจะพอได้ยังไง!” ผมหลุดตะคอกใส่เขาอย่างหัวเสีย ร้อยเดียวนี่นะ ให้ตายยังไงก็ไม่พอ

“ไม่พอก็ต้องพอ” ว่าแล้วเขาก็โยนกระเป๋าคืนมา ผมรับไว้ก่อนจะปามันใส่หน้าเขา ระยะห่างกันแค่สองก้าวไม่พลาดหรอก แต่เขาดันหลบทัน กระเป๋าเลยปลิวไปกระแทกฝาเรือนและตกลงบนพื้นไม้ขัดเงา กองอยู่ตรงนั้นอย่างไร้ความหมาย “แต่ถ้ายังเหลือพอที่จะเอาไปเล่นยาละก็ ฉันจะพิจารณาอีกทีว่าควรลดเงินเธอลงให้เหลือวันละเท่าไร”

“คุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้ เอาบัตรผมคืนมา”

“ก็ทำไปแล้ว” นอกจากไม่คืนบัตรให้ผม เขายังหักมันจนอยู่ในสภาพพับครึ่งทั้งสองบัตรเลย “ต่อไปฉันจะให้เธอใช้วันละร้อย และต้องมารับจากฉันที่โรงแรมทุกเย็น ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็มานั่งทำงานกับฉัน ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยจะได้ไม่ต้องยุ่งกับยาพวกนั้น”

“ไม่!” ไม่มีวันไปนั่งทำงานในห้องที่เขาใช้โต๊ะทำงานแทนเตียงเด็ดขาด เมื่อเขาไม่ให้เงินผม ผมก็ไม่จำเป็นต้องง้อ เขาไม่ได้มีเงินคนเดียวสักหน่อย “เงินของคุณ ผมไม่ใช้ก็ได้ ไม่เห็นจะแคร์ เงินคุณปู่คุณย่าก็มี” เป็นผมบ้างที่ยิ้มออกมา แต่แค่แวบเดียวก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าแสง

“ก็ลองไปขอสิพี... พ่อฉัน แม่ฉัน หรือน้องฉัน เธอก็เลือกไปขอเลย ทุกคนจะได้กลับมาถามฉันไง ว่าทำไมฉันถึงไม่ให้เงินเธอใช้” คำพูดของเขาทำเอาผมได้แต่กัดริมฝีปากตัวเอง ข่มความพ่ายแพ้ไม่ให้มันทะลักออกมา “พวกเขาจะยังไม่ยื่นเงินให้เธอ แต่จะมาถามฉัน ตอนนั้นฉันก็คงต้องบอกทุกคนว่าเธอเป็นเด็กเหลวไหลแค่ไหน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นยา การเลี้ยงดูที่เอาใจเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นของพวกเขา ไม่ได้ทำให้เธอเป็นตรัยธาดาที่ดีได้เลย”

“...” ตัวผมสั่นไปหมด กลัวทุกคนจะรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กดีอย่างที่เห็น ต่อให้มันเป็นครั้งแรกที่ผมลองของพวกนั้น แต่มันก็ไม่ควรเกิดขึ้นเลยสักครั้ง

“ต้องให้ฉันย้ำไหมว่าค่าใช้จ่ายของเธอทั้งหมด มีแค่ฉันคนเดียวที่รับผิดชอบ ทุกคนในครอบครัวฉันไม่มีใครเข้ามายุ่ง เพราะตั้งแต่วันที่ฉันพาเธอเข้ามา ชีวิตเธอก็เป็นของฉันคนเดียว ฉันคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในตัวเธอ... จำไว้”

“ผมไม่จำ!” ไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาพูดเหลวไหลสิ้นดี “ชีวิตเป็นของผม ไม่ใช่ของคุณ!”

“มัน ‘ใช่’ พี... ชีวิตเธอเป็นของฉัน”

“ไม่ใช่! ชีวิตผมเป็นของผม” ไม่ยอมให้เขามาเป็นเจ้าชีวิตผมหรอก

“มีทางเดียวที่เธอจะได้ชีวิตคืน” คำพูดของเขาบาดลึกลงมา “ออกไปจากบ้านหลังนี้ คืนชื่อที่ฉันให้เธอ คืนตรัยธาดามาให้ฉัน แล้วเธอจะเป็นอิสระ อยากไปไหนก็ไป อยากจะเสพยาให้ตายเหมือนหมาข้างถนนก็แล้วแต่เธอ”

“ผมเกลียดคุณ”

...เกลียดที่ไม่ว่าอย่างไรผมก็เอาชนะเขาไม่ได้ เกลียดที่ไม่ว่าอย่างไรผมก็แพ้เขาทุกทาง เกลียดที่สุดคือการที่เขาเอาแต่ทวง ‘ตรัยธาดา’ ไปจากผม ทวงครอบครัวที่ผมมีมาตลอดสิบห้าปี

“เมื่อคืนยังบอกว่ารักฉันอยู่เลย” เขาพูดยิ้มๆ ทำเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้ข่มขู่ผมด้วยถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจผมอย่างที่สุด ดวงตาสีราตรีมองผมเหมือนรู้ทันคำว่า ‘เกลียด’ ที่ออกมาจากปากผม   

“ผมไม่เคยพูด!” ผมเถียงทั้งที่มันเป็นความจริง เมื่อคืนผมบอกรักเขา แต่ผมจะไม่นับว่าผมเคยพูดมันออกไป ตอนนั้นผมเมา ความมึนเมาทำให้ผมหลงผิด เห็นความจอมปลอมของเขาเป็นของจริง

“แน่ใจว่าไม่เคยพูด” พร้อมกับคำถามคือร่างหนาที่ขยับเข้ามาใกล้ ริมฝีปากยกยิ้มชวนให้หงุดหงิด  “นอกจากเป็นเด็กดีไม่ได้แล้ว เธอก็ยังจะเป็นเด็กขี้โกหกอีกหรือไง... ทำไมไม่น่ารักเหมือนเมื่อคืนล่ะ” เขาจบคำพูดนั้นด้วยท่อนแขนที่ตวัดรอบเอวผม ดึงเอาผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“ปล่อยผม!” ผมดิ้นรนออกมาจากความแข็งแกร่งที่กักขังผมเอาไว้ “ผมเกลียดคุณ ปล่อยผมนะ” ดิ้นให้ตายก็เหมือนปลาติดเบ็ด

“เป็นอะไร... มีอะไรที่ทำให้เธอลืมเรื่องเมื่อคืน” ใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้ “ฉันทำอะไรให้เธอโกรธ” ถามเหมือนไม่รู้สิ่งที่ตัวเองทำไว้

“ผมขยะแขยงสิ่งที่คุณทำ” ...ขยะแขยงที่เขามีความสัมพันธ์ทางกายกับใครก็ได้ รังเกียจที่เขากอดผมแต่ก็ไปกอดคนอื่นต่อได้อย่างหน้าตาเฉย ไม่คิดถึงหัวใจของผมเลยว่าจะรู้สึกอย่างไร เจ็บปวดแค่ไหนเมื่อต้องมารับรู้ 

“เมื่อคืน... เธอเริ่มเองนะพี” ท่อนแขนแกร่งค่อยๆ ปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ

เขาเข้าใจว่าผมขยะแขยงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนในบ้านหลังนี้เท่านั้น คงไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมหมายถึงคือการที่เขาทิ้งผมไว้กับความโง่ ส่วนเขาก็ออกไปกอดคนอื่น ทั้งที่บอกว่าจะอยู่กับผมทั้งคืน จะรอให้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับจำเรื่องของเมื่อคืนได้หมดทุกอย่าง ทั้งที่บอกจะยกทั้งชีวิตของเขาให้ผม แต่เขาก็ไม่คิดจะทำอย่างปากพูด ทุกคำที่เขาพูดก็แค่คำโกหก

“อยากรู้ใช่ไหมว่าผมขยะแขยงอะไรคุณ” ผมกัดฟันถามออกไป ไม่รอให้เขาตอบ เดินอ้อมตัวเขาไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากเตียงนอน เปิดหน้าจอแล้วเข้าไลน์ที่คุยกับพี่เลม่อนทันที เลื่อนผ่านข้อความที่ผมยังไม่ได้อ่านไปอย่างไม่ให้ค่าความสำคัญ จนขึ้นไปเจอคลิปที่ผ่านสายตาผมมาแล้ว “...คำตอบมันอยู่ในนี้ไง สิ่งที่ทำให้ผมขยะแขยงคุณ เกลียดคุณจนไม่รู้จะเกลียดยังไงแล้ว”

ปลายนิ้วของผมกดลงบนคลิป ยื่นทั้งภาพและเสียงไปตรงหน้าเขา อยากหัวเราะให้กับความหมกมุ่นในเรื่องเซ็กซ์ของเขาจริงๆ หน้ามืดตามัวจนไม่รู้ว่าถูกถ่ายรูปถ่ายคลิปพวกนี้เอาไว้ตั้งเท่าไร

ทุกอย่างในคลิปฉายขึ้นเป็นครั้งที่สอง แม้มีแค่เสียงที่ดังเข้ามากระแทกหู แต่ผมก็จำภาพต่างๆ ในคลิปนั้นได้อย่างแม่นยำ

‘...รัดพี่ให้แน่นๆ...อ่า...’

‘อ๊ะ...อึกก...ชะ...ชอบไหมครับ...อ่า...’

‘... อย่างนั้น...ดีมาก...เด็กดี...’

‘...อ๊าาา...เข้ามาลึกๆ...เลยครับพี่ยะ... อ๊ะ...ผมไหว...อึกก...’

‘...อ่า...รัดอีก...’

‘อ๊า...ตะ...ตรงนั้น...แรงๆ ครับ...’

‘อยากได้แค่ไหน...เด็กดี...อยากให้พี่เพิ่มอะไรเข้าไปไหม...หื้อ...’

‘...อึกก...เอานิ้ว...อ๊า...อื้ออ...เอานิ้วใส่...ขะ...เข้ามาด้วยครับ...ผมรู้...พี่ชอบ...’

‘หึหึ...พี่ชอบ หรือว่าเราชอบ...แค่ของพี่ยังไม่พอหรือไง...’

‘อ้ากกกก...อะ...อ้า...ผะ...ผมชอบ...อ้า...ส่วนพี่ก็ชอบ...อื้อออ...รูของผม...มะ...อ๊า...มันรัดพี่แน่นไหมครับ...’

‘อ่า...แน่นครับ...เด็กดี...’

‘อ๊ะ...อ๊าาา...ผมจะ...ตะ...’

‘...’

‘...’

.

.

.[/i]

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 15 (04-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 04-11-2018 18:07:14
.

.

.

.

เสียงความใคร่ของคนสองคนประสานสอดรับกันผ่านออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ผมจ้องหน้าคนในคลิปที่หน่วยตาสีราตรีจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ผมไม่รู้ว่าใต้แววตาเรียบสนิทนั้นกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะเขานิ่งเกินไป ไม่แสดงท่าทีใดออกมาเลย แม้แต่ความตกใจก็ไม่มี ที่ทั้งภาพและเสียงหวีดร้องดังออกมาขนาดนั้น เขาก็แค่มองจนทุกอย่างกลับมาเงียบเหมือนเดิม ไม่รู้สึกอายหรือผิดกับผมสักนิดเลยหรือไง

“ไปบอกเมียคุณด้วยว่าผมไม่ได้อยากได้ของของเขา” ...ผมแค่หลงเชื่อคำหลอกลวง

“ฉันจะบอกให้ละกัน”

...เจ็บ

ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บกับคำพูดของเขา การที่เขาไม่ปฏิเสธคำที่ผมใช้เรียกแทนตัวคนที่อยู่ในคลิปกับเขา ก็ไม่ต่างจากการยอมรับว่าพี่เลม่อนคือ ‘เมีย’ ของเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่คู่นอนชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่เด็กโง่ๆ แบบผมที่แค่เขาใจดีด้วยหน่อยก็หลงเข้าใจผิดไปไกล ฝันหวานไปเองว่าจะได้รักกันอย่างสุขสมหวัง กว่าจะรู้ว่าตัวเองช่างโง่เขลาเหลือเกินหัวใจก็พังทลายไปเสียแล้ว

“ออกไปจากห้องผม” ...ก่อนที่น้ำตาผมจะไหล เพราะผมจะทนไม่ไหวแล้ว

เขาไม่พูดอะไร แค่ทำตามสิ่งที่ผมพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อสูทสีเข้มกำลังจะพ้นไปจากห้องของผม ทอดทิ้งความเจ็บช้ำของผมไว้ด้านหลังอย่างไม่ไยดี ไร้ความรับผิดชอบ เขาเห็นผมเป็นอะไร หลอกลวงด้วยคำจอมปลอม ทำให้ผมเจ็บซ้ำเสียน้ำตาให้เขาไปตั้งเท่าไร แต่ไม่เคยกลับมารับผิดชอบสิ่งที่ทำไว้กับผมเลย

“คุณจะไม่อธิบายหน่อยเหรอว่าเมื่อคืนทำไมถึงทำแบบนั้นกับผม” ผมตัดสินใจถามออกไป ก่อนที่เจ้าของแผ่นหลังกว้างจะหันกลับมาสบตาผม สายตาของเขายังเรียบเฉย นิ่งสนิท ไม่ทุกข์ร้อนไปกับความเจ็บปวดของผมแม้แต่นิดเดียว

...จิตใจของเขาทำด้วยอะไร ผมอยากรู้

“เพราะเธอเมา” คำตอบที่ไม่ต่างจากการผลักความผิดทั้งหมดมากองไว้ที่ผมคนเดียว “เธอเริ่มทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันบังคับให้เธอดื่มหรือไง สั่งให้ใช้ยาหรือเปล่า แล้วที่ปีนขึ้นมานั่งตักฉัน อ้อนฉัน ขอให้ฉันช่วย ก็เธอเองทั้งนั้นนะพี หัดโทษตัวเองบ้างไม่ใช่โทษแต่คนอื่น” แต่ทุกคำที่เขาพูดออกมาผมก็เถียงไม่ออก ได้แต่ยืนข่มความอับอายของตัวเองเอาไว้

“ผมยังเด็ก” ผมหาคำแก้ตัวไม่ให้ตัวเองอับอายกับเรื่องเมื่อคืนไปมากกว่านี้

“หึ... ฉันถึงบอกว่าเธอยังเด็ก” ไม่ชอบเลยที่ยังไงผมก็ยังเป็นเด็กในสายตาเขา แต่ที่ไม่ชอบมากกว่านั้นคือคำว่า ‘เด็กดี’

เด็กดี... ที่เขาใช้เรียกพี่เลม่อน

ต่อไปผมจะไม่รู้สึกกับคำว่า ‘เด็กดี’ ของเขาอีกแล้ว แม้แต่คำว่า ‘คนพิเศษ’ ผมก็จะมองว่าพวกมันทั้งสองเป็นคำที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก ...น่ารังเกียจพอๆ กับเซ็กซ์ของเขานั่นแหละ

“เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกเขาไว้ ตอนเขากำลังจะหมุนตัวเดินออกไป เพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่างไปเสียสนิท เขาก็คงลืมเหมือนกัน “คุณจะไปเยอรมันพรุ่งนี้ แล้วผมจะไปเอาเงินที่คุณได้ยังไง” 

“ฉันจะฝากไว้ที่แอล เธอก็เข้าไปเอาละกัน” ...แอลหรือพี่หัทยาเลขาคนสวยของเขา

“ถ้าผมต้องซื้อของทำรายงานหรือทำงานกลุ่มล่ะ เงินร้อยเดียวไม่พอหรอก” พอเงินในกระเป๋ามีแค่ร้อยเดียว ผมก็มองเห็นความลำบากตามมาเป็นพรวน

“แล้ว...ไง” ทั้งใบหน้าคมเข้มและน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั้นๆ แต่บ่งบอกชัดเจนว่าเขามีความสุขที่ได้กลั่นแกล้งผมด้วยการให้เงินใช้แค่วันละร้อยบาท

“ผมขอเพิ่มได้ไหม” ผมมองเขาด้วยสายตาขอร้องเป็นครั้งแรกของวัน ผิดจากก่อนหน้าที่แทบอยากจะเอามีดไปเสียบอกของเขา หวังว่าเขาจะเห็นใจบ้างผมนะ เขาก็เคยผ่านช่วงวัยเรียนมาแล้ว ต้องเข้าใจสิว่ามันมีเรื่องให้ต้องใช้เงินตลอดเวลานั่นแหละ

เชื่อไหมว่าผมไม่เคยต้องคุยเรื่องเงินกับเขาเลย ผมมีหน้าที่แค่ใช้เงินที่ถูกใส่เข้ามาในบัญชีทุกต้นเดือนและกลางเดือน ผมจะใช้จ่ายเท่าไรก็ได้ หมดไปกับเรื่องอะไรก็ไม่เห็นมีใครบ่น ใช้เหมือนไม่กลัวหมด เพราะเงินที่ถูกเติมเข้ามาในบัญชีจะเท่ากับจำนวนที่ผมใช้ออกไป หรือไม่ก็มากกว่า ผมเคยเข้าใจว่าคุณปู่คุณย่าเป็นเจ้าของเงิน เพิ่งรู้ไม่นานนี่แหละว่าเป็นเงินของเขา ก็ใครจะคิดเล่าว่าเป็นเงินของเขา ในเมื่อพอผมใช้เงินเองเป็น รู้จักว่าแบงก์แต่ละสีมีค่าไม่เท่ากัน คุณย่าก็เอากระเป๋าสตางค์ที่มีเงินอยู่ในนั้นเกือบครบทุกสีมาให้ผม จากนั้นก็เริ่มให้เงินผมทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน พอโตขึ้นอีกหน่อยท่านก็เปลี่ยนจากเงินสดเป็นเงินในบัตรแทน และพอหลังวันเกิดครบสิบห้าปีของผมสองสัปดาห์ คุณย่าก็เอาบัตรเสริมมาให้ผมพกติดกระเป๋าไว้ (ผมก็เพิ่งรูดครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ก่อนตอนซื้อของขวัญวันเกิดให้ปาลิน) เพราะแบบนี้ผมเลยไม่รู้ไงว่าเงินทั้งหมดมาจากเขา     

“อยากได้เพิ่มเท่าไร”

...เขาทำให้ผมมีความหวัง

“ห้าร้อย” บางวันผมก็ใช้เกินกว่าห้าร้อยตั้งหลายเท่า แต่ก็ยังดีกว่าได้แค่ร้อยเดียว ต่อไปผมคงต้องประหยัดให้มากขึ้น เฮ้อ... แค่คิดก็เหนื่อยจนท้อที่ต้องตัดความสุขที่ซื้อได้ด้วยเงินออกไปจากชีวิต

“แต่ฉันไม่ให้”

...แล้วเขาก็เอาความหวังนั้นคืนไป

“คุณยะ!” ผมโมโหแล้วนะ “ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่พอใช้ ร้อยเดียวมันจะไปพออะไรเล่า” ผมอยากเดินเข้าไปเอากำปั้นทุบเขาเหลือเกิน ดูใบหน้าที่อมยิ้มของเขาสิ ทั้งมีความสุขและสะใจที่ผมมีเงินใช้วันละร้อย

“เธอต้องใช้ให้พอ”

“คุณก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนนะ ก็น่าจะรู้ว่าเงินแค่นี้ไม่พอหรอก” ผมพูดอย่างโมโหสุดๆ “คุณเคยให้ผมใช้เดือนละแสน แต่ตอนนี้คุณจะให้แค่วันละร้อย ไม่ใจร้ายกับเด็กอย่างผมไปหน่อยหรือครับ” ผมหาข้ออ้างมาเปลี่ยนใจเขาด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ นี่แหละ เขาเติมเงินให้ครบแสนทุกต้นเดือนและกลางเดือน แต่ผมก็ไม่เคยใช้หมดหรอก มันก็เหลือตลอด

“ใช่ ฉันเคยเป็นวัยรุ่น ใช้เงินวันเป็นแสนก็มี หลักล้านก็เคยออกบ่อย แต่ฉันไม่เคยเสียเงินให้ยาเสพติดแบบเธอ” พูดถึงเรื่องยาแล้ว ผมรู้เลยว่าเขาโกรธมากจริงๆ แต่เขาก็เข้าใจผมผิดไปนะ ผมไม่เคยใช้เงินของเขาซื้อยา บุหรี่ก็ไม่เคย ส่วนค่าเหล้าเมื่อคืน ผมก็ออกมาก่อนที่จะได้หารค่าเครื่องดื่มบนโต๊ะกับพวกดีน

“ผมเพิ่งใช้ยาเมื่อคืนเป็นครั้งแรก” จำเป็นต้องสารภาพออกไป ไม่อย่างนั้นเขาก็เข้าใจผมผิด พานจะให้เงินผมใช้วันละร้อยจริงๆ “แล้วก็ไม่ได้ซื้อเองด้วย เพื่อนเอามาให้กิน” สีหน้าตึงๆ ของเขาผ่อนคลายขึ้นเมื่อฟังความจริงจากปากผม แต่ก็ยังไม่ลืมอีกเรื่อง

“บุหรี่ล่ะ”

“เพิ่งลองครั้งแรกเหมือนกัน เหล้าก็ด้วย” ผมรีบบอก ดูเขาพอใจมากทีเดียว เลยทำให้ผมคิดว่าเขาจะเปลี่ยนใจ กลับมาให้เงินผมใช้เหมือนเดิม แต่ก็คิดผิด ผู้ใหญ่อย่างเขาร้ายกาจกับผมที่สุด ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม

“ดี... ที่เธอเพิ่งลองเป็นครั้งแรก แต่จะให้เชื่อว่าจะไม่มีครั้งที่สองหรือสามสี่ห้า ฉันยังไม่ขอเชื่อตอนนี้ ขอดูพฤติกรรมของเธอไปสักระยะก่อน” เขาพูด “อย่างที่ฉันบอก วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เธอจะได้เงินใช้วันละร้อย ส่วนวันเสาร์อาทิตย์มานั่งทำงานกับฉัน อยากได้อะไรฉันจะให้แอลพาไปซื้อ”

“แต่ผมไม่อยากไปที่ห้องทำงานของคุณ” โต๊ะทำงานของเขาเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผมเกลียด ไม่อยากเห็นว่าครั้งหนึ่งหรืออาจหลายครั้งที่เขาทำเรื่องอย่างว่าบนโต๊ะตัวนั้น

“ฉันจะเปลี่ยนโต๊ะใหม่” เขาก็ฉลาดที่รู้ว่าผมไม่อยากไปนั่งที่ห้องทำงานของเขาเพราะอะไร แต่วิธีแก้ปัญหาของเขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย ในเมื่อภาพในห้องและเสียงของเขากับผู้ชายคนนั้น ติดอยู่ในหัวของผมไปแล้ว ก็ไม่ต่างจากคลิปของเขากับพี่เลม่อนที่ต่อให้พยายามลบออกไปจากหัวเท่าไร ก็ไม่มีวันลบออกไปได้

“ไม่ไปเธอก็จะไม่ได้เงินจากฉัน” ชอบขู่ตลอด “การที่เธอไม่มีเงินใช้กับการต้องไปหาฉัน เธอคิดว่าอันไหนมันดีกับเธอ... ว่าไงพี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ อยากรู้นักว่าเขารู้สึกดีมากหรือไงนะที่เอาชนะเด็กอย่างผมได้ เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า

“...” แล้วผมจะเลือกอะไรได้ล่ะ

“มีอะไรอีกไหม ไม่มีฉันจะได้ไปทำงานต่อ”

ผมพยักหน้าให้เขา เอ่ยออกมาเบาๆ

“คุณยะครับ” เอาเถอะ ลองพยายามอีกที ผมบอกกับตัวเอง ก่อนเดินทำหน้าเศร้าเข้าไปหาคนตัวสูง พอเดินไปถึงผมก็ใช้สองมือขึ้นเกาะแขนเขา พยายามลืมความโกรธเกลียดขี้หน้าเขาก่อนหน้านี้ไปเสีย พลางเงยหน้าขึ้นมองสบตาสีราตรีที่มองลงมาหาผมด้วยดวงตาที่รื้นน้ำตาปลอมๆ ของตัวเอง พร้อมกับเอ่ยเสียงเบาจางอย่างตัดพ้อออกไปว่า... “คุณยะจะใจร้ายกับผมจริงๆ หรือครับ ไม่สงสารผมบ้างหรือครับ ผมจะเอาเงินที่ไหนซื้อขนม ซื้อของที่อยากได้ล่ะ ค่าอุปกรณ์เรียน ค่ารายงาน ค่าทำงานกลุ่ม และก็ค่าอะไรอีกเยอะแยะ แค่ร้อยเดียวไม่พอหรอกครับ ให้ตายยังไงก็ไม่พอ”

พูดจบผมก็กะพริบตาหนึ่งครั้ง น้ำตาร่วงทันที... เรื่องใช้น้ำตาบอกเลยว่าเป็นเรื่องถนัดที่สุดของผม พอน้ำตาผมไหล คนมองก็มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมอมยิ้มในใจ พยายามจะไม่ให้รอยยิ้มนั้นแต่งแต้มที่ริมฝีปาก ไม่อย่างนั้นเขาได้รู้แน่ว่าผมกำลังเล่นละคร

ผมยังจำได้ดีว่าเมื่อคืนตอนที่ผมล้มแล้วมีเสียงสะอื้นให้เขาได้ยิน เขาก็รีบหันกลับมาหาผม และเริ่มใจดีกับผม แม้จะมารู้เอาวันนี้ว่าภายใต้ความใจดีคือความใจร้ายอย่างแท้จริง แต่ไม่เป็นไร ผมจะลองลืมๆ ไปซะ ลองพูดดีกับเขา เผื่อว่าจะได้ผล... มันก็ไม่มีอะไรให้เสียหายแล้วนี่ เพราะความเสียหายย่อยยับเกิดขึ้นเมื่อคืนจนหมดแล้ว

“อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเรียน เธอก็เขียนมาเบิกฉันละกัน ตกลงไหม”

“ก็ได้ครับ” ไม่มีทางให้ปฏิเสธนี่นา “แต่ผมอยู่ในช่วงกำลังกินกำลังโต ต่อให้ไม่ต้องจ่ายเรื่องพวกนั้น ยังไงร้อยเดียวก็ไม่พอ ผมชอบกินเค้ก ต้องได้กินทุกวัน ร้านเค้กที่หน้าโรงเรียนก็อร่อยที่สุดเลย ร้านน้ำข้างๆ ก็เหมือนกัน ถึงจะแพงไปหน่อยแต่ก็อร่อยมากเลยนะครับคุณยะ แล้วหนังสือการ์ตูนที่ผมต้องซื้อสัปดาห์อีก ร้อยเดียวไม่พอจริงๆ ” ผมร่ายยาว พยายามทำเสียงให้อ้อนที่สุด ก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตาตอนที่เขาถามกลับมาว่า...

“อยากได้เท่าไร” เป็นคำถามเดิมที่เขาเคยถามผมเมื่อกี้ แต่หวังว่าพอผมบอกไปแล้ว จะไม่ตามมาด้วยคำตอบแบบเดิมอีกนะ

“ห้าร้อยครับ” ผมกำลังจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้ม เป็นเขาที่เร็วกว่า ปลายนิ้วอุ่นได้เกลี่ยสายน้ำตาออกไปจากแก้มผมเรียบร้อยแล้ว

...สัมผัสของเขาอ่อนโยน

หัวใจผมก็คล้ายจะอ่อนแอลงอีกครั้ง ก็ได้แต่สั่งตัวเองว่าให้จำความเจ็บที่เจอ อย่าลืมว่าเขาทำร้ายจิตใจของผมมากี่ครั้งแล้ว เจ็บแล้วให้จำซะที

“ไม่ได้ มันเยอะเกินไป” คำตอบแบบเดิม เพิ่มเติมคือยังเหลือความหวังให้ผมอีกนิดหน่อยว่าจะได้เพิ่มมากกว่าร้อยเดียว

“สี่ร้อยก็ได้ครับ” ...สี่ร้อยก็ดีกว่าร้อยเดียว

“สี่ร้อยก็มากเกินไป” ดูคำตอบของเขา ยังใจร้ายเหมือนเดิม

“สามร้อยนะครับ”

“มากไป”

“สองร้อยก็ได้” เสียงผมเริ่มห้วนละ

“ไม่ได้” เขาก็ยังส่ายหน้า นี่ผมยอมลงทุนอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตานองหน้าแล้วนะ ทำไมใจแข็งแบบนี้ แต่ผมจะไม่ยอมแพ้ ยังไงผมก็ต้องได้มากกว่าวันละร้อย!

“ร้อยห้าสิบก็ได้ครับ” น้ำตาที่หมดแก้มไปก่อนนี้กลับมาอีกครั้ง ผมบีบน้ำตาให้หยดแหมะๆ ให้เขาเกิดความสงสารและเห็นใจ ก่อนซ่อนใบหน้าไว้กับท่อนแขนแข็งแกร่งของเขา... แม้ข้างในผมจะรู้สึกไม่ดีกับมันก็ตาม เพราะสมองผมยังจำภาพในคลิปนั้นได้ รวมทั้งรูปถ่ายเป็นสิบๆ รูปที่พี่เลม่อนส่งมาเยาะเย้ยผม

...ผมเกลียดร่างกายเขาที่เต็มไปด้วยคำว่าเซ็กซ์

“เงยหน้าขึ้นมาพี” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งออกมา ปลายนิ้วแกร่งจับยึดคางผมไว้แล้วดันให้ใบหน้าผมเงยขึ้น เพื่อมามองสบกับดวงตาที่มียิ้มรู้ทันของเขา “บีบน้ำตาเก่ง... แต่ไม่เนียน”

“...” ผมพูดอะไรไม่ออก เถียงไม่ได้ เพราะกำลังกัดฟันข่มความอับอายของตัวเองที่ถูกผู้ใหญ่จับโกหกได้

“แต่ก็ได้นะ เห็นแก่น้ำตาของเธอ ฉันจะเพิ่มเงินให้เธอก็ได้... เด็กเจ้าเล่ห์” เขาพูดช้าๆ เสียงทุ้มนุ่มเหมือนเอ็นดูผมนักหนา ซ้ำยังเพิ่มฉายาใหม่ให้ผมอีก แต่จะดีกว่านี้มากถ้าเขาจะไม่เพิ่มให้ผมแค่... “ฉันให้เธอใช้วันละร้อยยี่สิบ”

เพิ่มมา ‘ยี่สิบบาท’ นี่นะ ยี่สิบบาทกับน้ำตาที่ผมเสียไป แถมยังต้องฝืนใจแกล้งออดอ้อนเขาอยู่ตั้งนาน ไม่คุ้มเอาซะเลย

“ไม่ต้องมายุ่งกับผม!”

ผมปัดมือที่ยื่นมาจะเช็ดน้ำตาบนแก้มให้ ขยับถอยห่างออกมาจากคนใจร้ายราวกับเกลียดเขานักหนา มันเป็นความเกลียดที่ผมพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อฝังกลบความรู้สึกอ่อนไหวของตัวเอง... ความรู้สึกรัก

“ออกไปได้แล้ว ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณนานกว่านี้”

“ออกไปแน่ แต่ขอฉันพูดให้จบก่อน”

“ว่ามาสิ” ชักจะไม่น่าไว้ใจ ต้องไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากฟัง แล้วก็ใช่ เป็นเรื่องที่ผมไม่อยากได้ยินเลย ใจร้ายคงเส้นคงวาจริงผู้ชายคนนี้!

“ฉันเพิ่มให้เป็นร้อยยี่สิบ แต่ฉันจะหักเงินเธอวันละสี่สิบบาทเป็นค่าตุ๊กตากับนาฬิกาที่เธอทำมันพัง ฉันจะหักเงินเธอทุกวันจนกว่าเธอจะโตเป็นผู้ใหญ่”

...อะไรก็ต้องรอให้ผมเป็น ‘ผู้ใหญ่’ เป็นเด็กแล้วไม่ดีตรงไหน ผมเกลียดที่สุด สถานะที่เขาชอบยกมาข่มขู่ผม เอาแต่บอกว่าผมเป็นเด็ก แล้วเขาเคยเห็นผมเป็นเด็กที่ควรโอ๋เอาใจบ้างไหม อะไรก็บังคับจิตใจผม ทำร้ายความรู้สึกของผมตลอด ทำยังกับว่าเด็กแบบผมเจ็บไม่เป็นอย่างนั้นแหละ

“ผมไม่ยอม” ใครจะไปยอม ร้อยเดียวก็ไม่เห็นทางที่จะพอใช้เลย นี่ยังถูกลดลงมาเหลือแค่แปดสิบบาท!

จากที่เคยใช้วันละไม่จำกัดแต่ต้องลดมาเหลือวันละแปดสิบบาท มันโหดร้ายมากนะ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายสิ่งที่ผมต้องจ่ายทุกวัน แค่คิดว่าต้องใช้เงินแปดสิบบาทให้พอกับหนึ่งวันให้ได้ ผมก็อยากตายซะตั้งแต่ตอนนี้เลย

“เธอต้องยอม” คำพูดของเขาเด็ดขาด บอกชัดเจนว่าเขาไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน 

“ก็ได้!”

ผมจำยอมอย่างหมดทางสู้ เถียงไปก็เปลืองน้ำลาย ร้องไห้ก็เปลืองน้ำตา แสบตาอีกต่างหาก คนตรงหน้าผมโคตรของโคตรใจร้าย ความสุขของเขาคือการได้เห็นผมหมดทางสู้

“สักวันหนึ่งผมจะไม่ง้อเงินของคุณแม้แต่บาทเดียว แล้วผมก็จะหาเงินมาใช้คุณให้ครบทุกบาททุกสตางค์ที่คุณเสียให้กับผม” ผมพูดไปเพราะความโกรธ แต่ผมก็ตั้งใจอย่างที่พูด มันต้องมีวันที่เป็นวันของผม คอยดู!

“ฉันจะรอวันนั้น” 

“ออกไปซะที ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ” ผมกลับมาไล่เขาต่อ ไม่ลืมที่จะประชดตามที่หัวใจรู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆ ด้วย “เชิญไปมีความสุขกับเมียของคุณที่เยอรมันให้ตามสบายเลย แล้วก็ช่วยบอกเขาด้วยว่าอย่าส่งรูปอุบาทว์กับคลิปทุเรศของพวกคุณสองคนมาให้ผมอีก ไม่อย่างนั้นสักวันเขาจะต้องรับกรรมกับสิ่งที่เขาภูมิใจ”

ตอนที่ผมเอ่ยประโยคสุดออกไป ผมไม่รู้หรอกว่าคำพูดของตัวเองจะกลายเป็นเรื่องจริง... ด้วยฝีมือของผมเอง ผมทำให้ชีวิตของคนที่ผมเกลียดพังลงมาอย่างสาสมที่สุด ทำให้พี่เลม่อนถูกทำลายด้วยสิ่งที่เขาตั้งใจเอามาทำร้ายหัวใจผมก่อน แต่คนที่เพิ่งเดินออกจากห้องผมไปก็ยังโอบอุ้มพี่เลม่อนเอาไว้ ไม่เคยปล่อยมือจากไปไหน

...มันทำให้ผมรู้สึกอิจฉา




จบตอนที่ 15
**คุยๆ**
ยังคงความเป็นไบโพลาร์ไว้เหมือนเดิม
แต่มีแนวโน้มว่าตอนหน้าน้องพีจะโป๊ะแล้วนะจ๊ะ
เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้วมั้งนะคะ หรืออาจจะสัก 2 ส่วน 5 ของเนื้อเรื่องทั้งหมดที่คร่าวๆ ไว้อยู่ในหัว
แต่ก็จะพยายามเขียนให้กระชับกว่านี้ เรื่องจะได้แฮปปี้ไวๆ เนอะ
สีเหลืองอ่อน


ปล. อย่าด่าคุณยะเยอะนะคะ มันเป็นไปตามบทบาท เดี๋ยวคุณยะสำนึกผิดไม่ทัน ผิดเยอะเกิน 555+

 :mew1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 15 (04-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 04-11-2018 19:16:37
เนื้อเรื่องขนาดนี้เราว่าจบ bad end น่าจะดีกว่า 5555
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 15 (04-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-11-2018 19:52:43
เกลียดอิเลม่อนว่ะ จำเป็นต้องส่งมาให้ดูขนาดนี้เลยเหรอน่าไม่อายจริง ๆ อยากรู้จริงว่าคุณยะจะจัดการเรื่องนี้ยังไงไหนบอกว่าพีพิเศษไงแล้วจะไม่ปกป้องน้องหน่อยหรือ หรือเป็นเพราะรู้ว่าน้องรักคุณยะ คุณยะเลยถือว่าตัวเองเหนือกว่าในความรู้สึกของน้องแบบนี้หรือ แล้วทำไมคุณยะต้องเล่าเรื่องของพีให้คนอื่นฟังด้วยไม่เข้าใจมันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับหรือไงกัน สงสารน้องจริง ๆ เกลียดคุณยะอ่ะ น้องจะได้เอาคืนคุณยะบ้างไหมเนี่่ยมีแต่น้องที่เจ็บอยู่คนเดียวไม่เห็นคุณยะจะสนใจอะไรน้องบ้างเลย อยากอ่านภาคของคุณยะบ้างจริงไม่เข้าใจในการกระทำของคุณยะเลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 15 (04-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 05-11-2018 00:29:49
 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 15 (04-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Somm ที่ 05-11-2018 14:47:45
ตั้งแต่อ่านมาเนี่ยคุณยะคิดจะอธิบายอะไรให้น้องพีฟังบ้างมั้ยเอาแต่บอกว่าน้องยังเด็กนู้นนี่นั้นคำพูดร้อยแปดล้าน แต่เหตุผลที่คิดจริงๆอ่ะมีบ้างมั้ยที่จะพูดเอาแต่นิ่งเฉยเก็บอารมณ์อยู่นั้นแล้วก็มาบอกน้องว่าน้องไม่เข้าใจหรอก เอ้า!!ก็ไม่คิดจะพูดจะให้เอาอะไรมาเข้าใจเหมือนคิดเอาเองว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่ทำแบบเนี้ยอ่ะถูกต้องแล้วแต่ลืมคิดไปหรือเปล่าว่าผู้ใหญ่ก็พลาดได้ คุณยะทำแบบนี้เหมือนมองน้องเป็นของตายอ่ะคิดจะอธิบายอะไรก็เอาไว้ก่อนยังไงน้องก็ยังอยู่ตรงนี้ที่เดิมไม่มีทางไปไหน แต่เคยคิดบ้างมั้ยว่าพรุ่งนี้น้องอาจจะไม่อยู่ที่เดิมเผื่อรอฟังแล้วก็ได้อาจจะไม่มีพรุ่งนี้ของคุณแล้วก็ได้//อันนี้ที่ได้อ่านในมุมของน้องนะ อยากอ่านมุมของคุณยะบ้าง แต่ใดๆในตอนี้รำคาญญญญญญคุณยะมาก :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 15 (04-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 07-11-2018 08:17:46
เรืีองอื่นๆไม่ว่า แต่เรื่องที่คุณยะบอกเรื่องพีไม่ใช่ลูก มันเกินไปนะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 16 (09-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 09-11-2018 19:14:49
ตอนที่ 16


“หน่อยไหม ?”

บุหรี่มวนหนึ่งที่ปลายมวนติดไฟแดงมีควันสีขาวลอยสูงถูกยื่นมาตรงหน้า ก่อนเจ้าของปลายนิ้วที่คีบมวนบุหรี่ไว้จะทิ้งตัวลงข้างผม ดีนหย่อนปลายเท้าลงไปในน้ำแบบที่ผมทำอยู่ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ข้างสระว่ายน้ำภายในบ้านหลังใหญ่ของดีน ท่ามกลางเสียงเพลงคึกคักจังหวะกระแทกกระทั้นที่ชวนปวดหัวปวดหูมาก ไม่รู้ว่าเสียงน่ารำคาญพวกนี้น่าสนุกตรงไหน มีแต่บีบหัวใจให้เต้นผิดจังหวะคล้ายจะหายใจไม่ออกประมาณนั้นเลย แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์เดินไปชักปลั๊กไฟออกและทำให้ความสนุกสนานอย่างสุดเหวี่ยงในงานปาร์ตี้วันเกิดของพี่ชายดีนสะดุดลงได้หรอกนะ ทำได้ก็แค่นั่งเงียบๆ คนเดียวมาเกือบสองชั่วโมง โดยมีดีนเดินมานั่งเป็นเพื่อนเป็นพักๆ ครั้งละนาทีสองนาที เพราะแป๊บๆ ก็จะมีคนมาดึงดีนไปเต้นหรือไม่ก็ไปอยู่ในวงล้อมของพวกผู้หญิง ดีนก็ชวนผมไปด้วยนะ แต่ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้นกับคนที่ไม่สนิท เลยขออยู่คนเดียวข้างสระแบบนี้ดีแล้ว แต่ก็ไม่เงียบเท่าไรหรอกก็เสียงเพราะดังกระหึ่มซะขนาดนี้

“หน่อยน่า” ดีนบอกย้ำเมื่อผมยังมองผ่านสิ่งที่อยู่ในมือเขา

“ไม่ดีกว่า” ผมส่ายหน้า ดีนเลยดึงมันกลับไปสูบและปล่อยควันสีขาวออกมาอย่างไม่น่าไว้ใจเท่าไร

เหตุการณ์เมื่อคืนวันศุกร์ที่แล้วทำให้ผมระวังตัวมากขึ้น ไม่อยากเผลอไปเล่นยาเป็นครั้งที่สอง โดยเฉพาะคืนนี้ผมมาคนเดียว ไม่มีปาลินมาด้วย เนื่องจากเจ้าตัวต้องอยู่คอยดูแลอาจารย์เพ็ญศิริคนเป็นย่าที่ป่วยด้วยโรคประจำตัว ไม่อย่างนั้นปาลินก็คงมานั่งทำหน้าเหมือนโกรธคนทั้งโลกอยู่ข้างผมแน่นอน

“ไม่สอดไส้หรอกน่า กฎของเราคือไม่เล่นยาในบ้าน” ดีนยื่นบุหรี่มวนเดิมที่เหลือครึ่งเดียวมาตรงหน้าผมอีกครั้ง “เอาหน่อยน่า คนละครึ่ง”

“ไม่” ผมยังส่ายหน้า ตั้งแต่วันนั้นที่สูบบุหรี่เป็นครั้งแรก ผมก็ไม่ได้เอาสารก่อมะเร็งเข้ามาในร่างกายอีกเลย แม้จะบังเอิญเจอดีนที่ห้องน้ำครั้งหนึ่งและเอ่ยชวนให้นั่งสูบด้วยกัน แต่ผมก็ปฏิเสธที่จะสูบ

“นิดหนึ่ง แก้เครียดไง คิ้วจะรวมร่างกันอยู่แล้วเนี่ย” ดีนพูดยิ้มๆ มือคีบมวนบุหรี่จอปากของผม “สนุกหน่อยนะพี ไม่งั้นดีนคงรู้สึกผิดว่ะที่ลากเอาพีมางานพี่ดรีมแล้วไม่สนุก”

วันเกิดของพี่ดรีมจริงๆ คือวันจันทร์หน้า แต่ที่มาจัดคืนนี้ซึ่งเป็นคืนวันพฤหัสฯ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องรีบตื่นไปเรียน จะได้สนุกกันสุดเหวี่ยงยันไปถึงวันศุกร์เสาร์อาทิตย์เลยครับ เห็นดีนบอกอย่างนั้น

พี่ดรีมเป็นพี่ชายดีนและเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนผม คุ้นๆ ว่าน่าจะเรียนรุ่นเดียวกับพี่เลม่อนและเรียนห้องเดียวกันด้วย แต่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน กลุ่มของพี่เลม่อนจะออกแนวผู้ชายหน้าสวยหวานยกแก๊ง มีคนหนึ่งที่ผมจำได้ เขาชื่อเพียวและมางานนี้ด้วย เท่าที่ผมสังเกตคือพี่เพียวน่าจะเป็นแฟนของเพื่อนพี่ดรีมด้วยละมั้ง เพราะตั้งแต่ผมเข้างานมาก็เห็นพี่เพียวกับพี่หมอก (เพื่อนพี่ดรีม) นัวเนียกันตลอดเวลา จูบโชว์เพื่อนๆ ก็มี ผมนี่หันหน้าหลบไม่ทันตั้งหลายครั้ง ไม่ใช่แค่คู่พี่เพียวกับพี่หมอก ยังมีอีกหลายคู่ที่นัวเนียกันแบบไม่อายสายตาใครเลย ไม่เว้นแม้แต่คู่ของดีน

ผมเพิ่งรู้คืนนี้เองว่าดีนมีแฟนแล้ว ที่สำคัญเป็นผู้หญิงด้วย แถมหน้าตาน่ารักมากแต่ติดที่แต่งตัวเกินเด็กผู้หญิงไปหน่อยเท่านั้นเอง

“นะๆ สักหน่อย” ดีนคะยั้นคะยอผมต่อ “ครึ่งมวนเอง หมดแล้วก็พอ”

“มันมีอะไรหรือเปล่า” ผมยังไม่เลิกระแวง

“บุหรี่เปล่าๆ ไม่ได้สอดไส้อะไรทั้งนั้น แค่อยากให้พีหายเครียด ตั้งแต่เข้าบ้านมาพีก็เอาแต่ทำหน้าแบบนี้” ว่าแล้วดีนทำหน้าย่น คิ้วชนกัน “เห็นป้ะ แบบนี้เลย”

“แบบนี้เลยเหรอ” ผมยิ้มออกมาตอนเห็นดีนทำหน้าเลียนแบบอาการบนใบหน้าผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผมทำหน้าตาน่าเกลียดแบบที่ดีนทำจริงหรือเปล่า

“ยังไม่หายอกหักอีกเหรอ” ดีนถาม พลางดึงบุหรี่กลับไปสูบเอง

“อืม...” ยังเจ็บเท่าเดิม บางทีอาจจะมากขึ้น

“รักมากหรือไง”

“ไม่รู้ว่ามากหรือเปล่า” เพราะผมก็เพิ่งรู้จักความรักแบบนี้เป็นครั้งแรก เลยไม่รู้ว่ามากหรือน้อย มันเป็นปริมาณแบบไหน “... แต่มันเจ็บมากที่เห็นเขาไปมีอะไรกับคนอื่น หัวใจของเราเหมือนจะแหลกละเอียดเลยนะ”

“จริงอ้ะ ?” ดีนถามล้อๆ หลังจากพ่นควันสีขาวออกมา มันลอยอ้อยอิ่งและลับหายไปในความว่างเปล่า

“ลองอกหักดูสิ” แต่คิดว่าแบบดีนน่าจะอกหักยากอยู่นะ หน้าตาหล่อแบบโอปป้าเกาหลีขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าทิ้งไปไหนหรอก

“ดีนก็อยากอกหักนะ แต่หน้าตาเป็นอุปสรรค” ก็ไม่ได้พูดเกินจริงเลย “บอกได้ป้ะ ว่าใครทำพีอกหัก เด็กโรงเรียนเราหรือเปล่า”

ผมอยากบอกคนถามไปว่า... โรงเรียนเราน่ะใช่ แต่ที่ไม่ใช่คือ ‘เด็ก’ เพราะเขาคนนั้นเลยช่วงของวัยรุ่นไปมากแล้ว

“อย่ารู้เลย” ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกใครได้ง่ายๆ ว่าคนที่ผมรักเป็นเจ้าของนามสกุลที่ผมใช้อยู่

“งั้นก็...” ดีนอัดควันบุหรี่เข้าไปในปาก ก่อนยื่นมันมาให้ผม “...เอามันออกมากับควันบุหรี่ก็ได้ จะได้รักเขาน้อยลง”

...เอาออกไปได้จริงก็ดีสิ

สุดท้ายผมก็ยื่นมือไปรับบุหรี่จากดีนมาสูบ รสชาติของมันอบอวลอยู่ในปาก ไหลลงสู่ลำคอ และลึกลงไป ก่อนจะถูกปล่อยออกมาเป็นสายควันสีขาวล่องลอยไปในอากาศ ผมเฝ้ามองความรู้สึกย่ำแย่ต่างๆ ของตัวเองที่เกาะติดไปกับสายสีขาวที่เริ่มจางหายไปทีละน้อย มันกลายเป็นภาพสวยงามท่ามกลางแสงสีวิบวับของงานรื่นเริงและเสียงเพลงที่บรรเลงรอบตัวผม จนลืมที่จะปล่อยมือจากบุหรี่มวนนี้และคีบมันจ่อที่ริมฝีปากอีกครั้ง... และอีกครั้ง แล้วก็หมดมวนไปในที่สุด

“ไม่แบ่งเลย” ดีนเอ่ยแซว ดึงบุหรี่ที่แทบจะเหลือแค่ก้นกรองในมือผมไปโยนลงถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ แล้วก็หันไปขอบุหรี่มวนใหม่จากต้นที่เดินผ่านมาพอดี ส่วนต้นก็ควักบุหรี่ออกมาโยนให้เพื่อนทั้งซองจากนั้นก็เดินไปดิ้นกลับกลุ่มเพื่อนๆ ต่อ “เอาอีกมวนไหม” ดีนหันกลับมาถามผม

“ก็ดีเหมือนกัน” พอสูบมวนแรกไปแล้ว มันก็ไม่ยากที่จะมีมวนที่สองตามมา เพราะมันช่วยให้ผมผ่อนคลายขึ้น หายเครียดได้จริง แม้ผมจะรู้ดีว่าเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม   

“อยากจูบว่ะ” ดีนขยับเข้ามาใกล้ตอนที่พูดคำนั้นออกมา ผมหันไปมองหน้าคนพูดขณะที่ปล่อยสายสีขาวออกจากปากช้าๆ สายตาหวานเยิ้มของดีนมองลึกเข้ามาในดวงตาผม และเลื่อนลงมาหยุดที่ริมฝีปากนิ่งนาน ก่อนก้มกระซิบถามที่ข้างหูของผมว่า “พียังจำคืนนั้นของเราสองคนได้ไหม ดีนไม่เคยลืมเลยนะ คิดถึงตลอด”

“จำได้” ไม่ลืมหรอกว่าเคยจูบกับดีน เพียงแต่ไม่ได้โหยหาหรือคิดถึงอะไรเป็นพิเศษ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารสชาติจูบของดีนเป็นอย่างไร หอมหวานเหมือนตอนที่ได้จูบกับคนคนนั้นหรือเปล่า

“จูบอีกได้ไหม” ดีนมองสบตาผมอย่างรอคอยคำอนุญาต แต่เพราะผมไม่ได้เมาอย่างในคืนนั้น ตั้งแต่เข้างานมาผมไม่ได้แตะเหล้าแม้แต่หยดเดียว ผมถึงยังมีสติครบถ้วน รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ที่สำคัญคือดีนมีแฟนแล้ว ผมก็ไม่ควรจูบกับดีนอีก

“ไม่ได้ นายก็มีแฟนแล้วนะ” ผมอัดเอาสารก่อมะเร็งเข้าปอด เผลอแป๊บเดียวก็ใกล้จะหมดมวนที่สองแล้วสิ ก่อนจะส่ายหน้าให้กับคำพูดของคนที่แย่งเอาบุหรี่จากมือผมไปสูบ ทั้งที่บุหรี่ของตัวเองก็อยู่ในมือ

“นั่นแฟน แต่นี่คนที่ชอบไง” ดีมยิ้มหวาน สายตาเจ้าเล่ห์หน่อยๆ “อยากให้เลิกป้ะล่ะ เลิกให้ได้นะ ถ้าพีอยากจะคบกับเรา”

“เห็นแก่ตัวไปนะ” ผมว่าเสียงขุ่น ไม่พอใจคำพูดจากปากดีน แต่คนถูกว่าก็ยังยิ้มไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้สึกผิดเลย

“ขอบคุณที่ชม แต่ดีนพูดจริงนะ ชอบพีว่ะ ชอบมากจริงๆ” สิ่งที่ผมเห็นจากสายตาของดีนที่มองมาที่ผม มันเต็มไปด้วยความจริง ที่ตามมาจากคำพูดนั้นคือคำถาม “คบกับดีนไหม ?”

...และทำให้ผมเริ่มคิด คล้อยตามไปกับคำพูดและความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

“แล้ว...มายด์ล่ะ” ผมเริ่มลังเล ห่างออกมาจากความถูกต้องทีละน้อย บางทีมีใครเข้ามาให้รักและเขาก็รักเรา มันก็น่าจะพาผมออกไปจากความรู้สึกเจ็บปวดพวกนี้ได้

“ไม่ได้ชอบ” คำตอบดีนทำเอาผมงง

“ไม่ได้ชอบแต่เป็นแฟนนี่นะ” แถมยังนัวเนียกันขนาดนั้น จูบกันแบบไม่แคร์สายตาใครเลย แทบจะล้วงนมล้วงล่างกันเลยด้วยซ้ำ เอ... แต่ผมก็แอบเห็นว่าดีนล้วงอกอิ่มๆ ของสาวสวยคนนั้นไปแล้วนะ แบบที่เธอก็เต็มใจและดูจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ

“ก็พวกไอ้ต้นยุให้จีบไง พวกมันบอกว่าอยากได้เพื่อนสะใภ้สวยๆ แล้วก็จะได้จีบเพื่อนของมายด์ง่ายขึ้นด้วย”

“ห้ะ? นี่นะเหตุผลที่จีบมายด์” ผมโคตรจะไม่เข้าใจพวกดีนเลย “ไม่สงสารผู้หญิงหรือไง ถ้าเธอรู้จะเสียใจมากแค่ไหน” เป็นผมก็เสียใจนะ จีบเราเพราะเพื่อนยุ

“เป็นแฟนกันไม่ถึงเดือนเลย บอกเลิกไปมายด์ก็คงเสียใจแค่นิดหน่อยแหละ สวยๆ แบบมายด์มีคนรอจีบเพียบอยู่แล้ว เชื่อดิ” ดีนพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ผมก็เห็นด้วยตรงเรื่องที่ว่ามายด์สวยและคงมีคนอีกเพียบที่อยากจะจีบคนสวยเป็นแฟน แต่ว่า... จีบเป็นแฟนได้ไม่ถึงเดือนก็ล้วงกันได้ขนาดนี้เลย ผมว่ามายด์ก็คงไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย

“ว่าไงพี คบกับดีนไหม ดีนจริงจังนะ” ดีนพาผมกลับมาที่เรื่องของเราสองคน ตาของดีนหวานเยิ้ม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหล้าที่เจ้าตัวดื่มเข้าไป อีกส่วนก็คงเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากหัวใจ “ดีนชอบพีนะ รอโอกาสแบบนี้มานานแล้ว สัญญาเลยว่าดีนจะทำตัวเป็นแฟนที่ดี จะไม่ทำให้พีอกหักไปตลอดชีวิต โอเคป้ะ ตกลงนะ คบกับดีนนะ” เจ้าตัวพูดเสียงอ้อนๆ ผิดไปจากน้ำเสียงปกติที่คุยกัน จนผมเกือบจะเผลอไปกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของดีนและตอบตกลงออกไป ถ้าไม่มี...

“ดีน พี่ดรีมเรียก” คนที่เมื่อกี้เป็นหัวข้อสนทนาของผมกับดีนเดินเข้ามา เธอสวมชุดเดรตสั้นเกาะอกสีขาวที่เน้นทรวดทรงเกินเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกัน มายด์พูดกับดีน ก่อนหันมายิ้มให้ผม แอบทำให้ผมรู้สึกผิดไปเลยที่เกือบจะแย่งแฟนของเธอ “ขอเอาตัวดีนไปให้พี่ชายของเขาก่อนนะพี” ยิ้มของเธอเป็นมิตร จนผมนึกอยากบีบคอตัวเองชะมัด

“เดี๋ยวดีนมาเอาคำตอบนะ” ดีนกระซิบบอกผมที่ข้างหู คืนบุหรี่ที่เอาไปจากผมเมื่อกี้มาให้ด้วย ก่อนถูกมายด์ดึงตัวให้ลุกขึ้นและเดินออกไป

ดีนไปแล้วผมถึงได้พ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับความรู้สึกผิดที่เกือบทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งถูกทิ้งเพราะตัวเอง ต่อให้ดีนคบกับมายด์เพราะเหตุผลเพื่อนยุ แต่การที่พวกเขาสองคนจะเลิกกันต้องไม่มีสาเหตุมาจากผม

ผมนั่งสูบบุหรี่จนหมดมวน คอก็เริ่มแห้ง พอจะหันไปหยิบแก้วน้ำโค้กที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาดื่มให้ชุ่มคอ แก้วใบนั้นก็ถูกใครคนหนึ่งหยิบเอาไปเสียก่อน แล้วใครคนนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม พร้อมกับยื่นแก้วเหล้าในมือเขาให้ผมแทน

“ดื่มไอ้นี่มีประโยชน์กว่า” เขาคือพี่หมอกเพื่อนของพี่ดรีม

“ไม่ดีกว่าครับ” ผมปฏิเสธ บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่แตะเหล้าอีก “ขอบคุณนะครับ” แต่ไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณเขาเป็นการรักษามารยาท อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนถึงจะจบออกไปแล้วก็ตาม

“เอาหน่อยน่าน้องพี ดื่มแต่โค้กจะสนุกอะไร”

“ไม่ครับ” ผมตอบสั้นลง พร้อมกับขยับตัวห่างออกมาจากอีกฝ่าย เพราะพี่หมอกจงใจขยับมานั่งเบียดผม “เอ๊ะ! พี่จะทำอะไร ปล่อยผมนะ” ผมร้องเสียงหลงออกมาตอนที่ท่อนแขนของพี่หมอกพาดลงมาบนเอวผม ดึงตัวผมให้ถลาเข้าไปซบอกเขา เสียงของผมดังมากถึงจะดังไม่เท่ากับเสียงเพลงมันๆ ก็ตาม แต่ก็ดังพอที่จะทำให้พวกเพื่อนของพี่หมอกหันมามอง ทว่าทุกคนก็แค่มองแล้วหันกลับไปเต้นกันต่อ

แม้แต่พี่เพียวก็ยังไม่คิดจะมาเอาตัวแฟนเขากลับไป ไม่มีใครสนใจผมกับพี่หมอก ดีนก็ไม่อยู่ พวกเพื่อนของดีนก็หายไปไหนไม่รู้

“รับน้ำใจของพี่ก่อนสิครับแล้วพี่จะปล่อย” ยิ้มของพี่หมอกไม่น่าไว้ใจ และไม่ทันได้ตั้งตัว พี่หมอกก็ยกตัวผมขึ้นไปนั่งพาดบนตักเขาอย่างง่ายดาย ผมดิ้นหนีก็ไม่ได้เพราะถูกล็อกตัวไว้แน่น ขืนดิ้นมากๆ ก็อาจจะพากันตกน้ำไปเลยก็ได้ ซึ่งผมไม่อยากเปียกตอนนี้

“ปล่อยผมนะ!!” ผมตะโกนเสียงดังแต่ไม่มีใครสนใจอีกเช่นเคย

“ไม่ดื่มพี่ก็ไม่ปล่อย” พี่หมอกยิ้ม เขาเอาปากมาพูดใกล้แก้มผม “...หรือว่าที่จริงน้องพีก็อยากนั่งตักพี่”

“ผมไม่ได้ชอบ!”

“ไม่ชอบก็ไม่ชอบ พี่ก็ไม่ได้ชอบน้องเหมือนกัน” เขาพูดปนขำแต่สายตามีอะไรมากกว่านั้น “มางานปาร์ตี้ทั้งทีเอาแต่กินน้ำอัดลม มันจะสนุกอะไร ให้เกียรติเจ้าของงานหน่อยสิครับ ดรีมมันอุตส่าห์เลี้ยงเหล้าแพงๆ เชียวนะ เอาน่า แก้วเดียวเอง หมดแก้วเดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว ไม่รบกวนน้องนานหรอก เร็วสิครับ แฟนพี่เรียกแล้ว”  พูดจบก็เอาแก้วเหล้าจ่อปากผมทันที

“แก้วเดียวใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจ คิดว่าที่เขาบังคับให้ดื่มเพราะอยากแกล้งมากกว่าที่ผมมางานปาร์ตี้สนุกสนานของพี่ดรีม แต่กลับแยกตัวมานั่งที่สระว่ายน้ำเงียบๆ คนเดียว มันอาจเป็นการทำเหมือนไม่ให้เกียรติเจ้าของงานอย่างที่เขาว่าจริงๆ

“น้องก็เห็นว่าพี่ถือมาแก้วเดียว” ก็จริงอย่างที่เขาพูด ผมเลยรับแก้วเหล้ามาจากมือเขา ยกมันขึ้นดื่ม รสชาติในอุ้งปากให้ความรู้สึกดีกว่าครั้งแรกที่ลอง สายน้ำสีอำพันไหลลงไปตามลำคอจนหมด แก้วในมือผมเหลือแค่น้ำแข็งไม่กี่ก้อน ก่อนพี่หมอกจะดึงเอามันไปจากมือผม แล้วพี่เพียวก็เป็นคนที่เดินเข้ามาเอาแก้วไปจากมือพี่หมอกอีกที

“สนุกไหมน้องพี” พี่เพียวย่อตัวลงมาถาม มุมปากกระตุกยิ้มพอใจแต่ก็ดูไม่น่าไว้ใจ “แต่ถ้าไม่สนุก... ก็รออีกนิดนะ ได้สนุกจนถึงเช้าแน่ๆ”

“หมายความว่าไง” ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัย “ปล่อยผมลงได้แล้ว” ผมสั่งเสียงเข้มเพราะพี่หมอกยังไม่ปล่อยผมลงจากตักเขา ผมดิ้นก็ไม่หลุดเพราะพี่หมอกเป็นผู้ชายตัวใหญ่มาก ตัวใหญ่กว่าทุกคนที่อยู่ในปาร์ตี้ ขนาดอายุเท่านี้เองนะ

“ปล่อยดีไหมที่รัก” พี่หมอกหันไปถามพี่เพียว แต่ประโยคที่ไม่ใช่คำถามนี่สิ ทำเอาผมได้แต่อ้าปากค้าง สตั้นไปหลายวิ “แต่หมอกชอบว่ะ เห็นผอมๆ ไม่คิดว่าก้นจะนิ่มขนาดนี้ แค่นั่งทับเฉยๆ ไม่กี่นาทีเองน้องชายหมอกก็แข็งแล้วว่ะ”

“...!” ผมอึ้งไปกับคำหยาบคายที่ชี้ไปทางเรื่องเพศของพี่หมอก

“แล้วแต่หมอกเลย เพียวไม่งี่เง่าหรอก” พี่เพียวยิ้มให้แฟนตัวเอง พวกเขาเป็นอะไรไป พูดเรื่องอย่างว่าได้หน้าตาเฉย “อยากเอามันท่าไหนก็ตามสบาย แต่อย่าหลงก้นมันละกัน ไม่งั้นเพียวเอาตายทั้งคู่แน่”

แล้วคิดว่าผมจะยอมเหรอ!

“พวกพี่พูดบ้าอะไรกัน!”

เมื่อไม่ปล่อยผมดีๆ ผมก็เลือกที่จะเอาตัวรอดจากความคิดสกปรกของคนทั้งคู่ หรืออาจจะคนทั้งหมดที่อยู่ในนี้ รวมทั้งดีนด้วย ผมมันโง่เองที่เอาตัวมาเสี่ยงในกลุ่มคนที่แทบไม่รู้จักพวกเขาเลย ทางเลือกสุดท้ายของผมคือฝังความคมของฟันลงบนไหล่พี่หมอก หนังแกหนามากแต่ผมก็กัดสุดแรงแล้วจนเหมือนจะได้กลิ่นเลือดและตามมาด้วยเสียงสบถอย่างหัวเสีย

“ไอ้เหี้ย!”

ตุ้ม!

วินาทีที่ผมเป็นอิสระจากท่อนแขนแข็งแรงของพี่หมอก ผมรีบกระโดดลงสระว่ายน้ำทันที ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหนแต่ก็พยายามจะหนีไปให้สุดขอบสระอีกฝั่ง ซึ่งมันใกล้ประตูที่เปิดออกสู่สวนข้างบ้านได้ แต่ใครจะคิดว่าผมที่ว่ายน้ำแข็งมาก กลับรู้สึกว่าเรี่ยวแรงตัวเองมีน้อยนิด มันเป็นเพราะเหล้าที่ผมกินเข้าไปมั้งทำให้สภาพร่างกายผมไม่เหมือนเดิม ผมว่ายน้ำได้ช้าลงอย่างน่าหงุดหงิด และความพยายามของผมก็ล้มเหลวเมื่อคนที่ถูกผมกัดเต็มเขี้ยวว่ายน้ำมาจนทัน ก่อนจะลากเอาตัวผมกลับไปที่เดิม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องขบขันของพวกเพื่อนเขาเกือบสี่สิบคน

“กล้ามากนะมึง!” หน้าตาพี่หมอกขมึงตึง ดูน่ากลัวจนผมได้แต่อ้าปากค้าง หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัว เขาผลักตัวผมไปปะทะขอบสระอย่างแรง หลังผมเจ็บร้าวไปหมด “คืนนี้มึงโดนยาวแน่ กูว่าจะปรานีมึงแล้วนะ สงสัยกูคงต้องแบ่งมึงให้กับพวกอดอยากพวกนั้นแล้วมั้ง... เฮ้ยพวกมึง ใครยังไม่มีเมียหรือไม่ได้เอาเมียมาแต่อยากลงหลุมมาต่อคิวกูได้เลย น้ำไม่หมดไม่กลับโว้ย สงเคราะห์เด็กมันหน่อย มันอยากได้ผัวจนตัวสั่น” ปากเน่าหนอนที่สุด

เสียงฮือฮาจากพวกเพื่อนของพี่หมอกดังขึ้นเกรียวกราว มีแม้กระทั่งเสียงหัวเราะชอบใจของพวกผู้หญิง ผมเห็นแม้กระทั่งมายด์และเพื่อนของเธอที่หัวเราะเยาะผม ทั้งที่เมื่อกี้เธอยังยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรอยู่เลย ผมได้แต่กัดฟันอย่างแค้นใจ หมดทางหนี

“กูคิวสองนะไอ้หมอก แม่งงง... กูก็เล็งตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว นึกว่าเป็นเด็กของน้องไอ้ดรีม เลยไม่ยุ่ง” เสียงหนึ่งตะโกนมาก่อนใครพวก

“กูสามโว้ย”

“กูสี่”

“กูด้วย”

“ห่า... อย่าลืมกู”

และก็อีกหลายๆ ประโยคที่ผมไม่กล้านับเลยว่ามีกันกี่คนที่อยากจะทำเรื่องอย่างว่ากับผม ก่อนที่พวกนั้นจะหันกลับไปดีดดิ้นกลางเสียงเพลงและเหล้าในมือต่อ โดยที่ไม่สนใจเข้ามาช่วยเหลือผมเลยแม้แต่คนเดียว

“ลองพี่ทำอะไรผมสิ ผมจะฟ้องตำรวจ” ผมพยายามหาทางรอด พวกเขาจะมาทำกับผมเหมือนไม่ใช่คนไม่ได้

“เด็กน้อย... มึงยังไม่รู้ใช่ป้ะว่าพวกตำรวจมันใช้ชีวิตอยู่ใต้เงินของพ่อพี่ว่ะ” มือของพี่หมอกสอดเข้ามากอดเอวผมใต้น้ำ ดึงผมให้เข้าไปปะทะแผ่นอกล่ำๆ ของเขา ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนว่าข้างในมีกองไฟเล็กๆ ถูกจุดขึ้น สองมือของผมผลักพี่หมอกออกไปทันทีแต่ก็เหมือนผลักกำแพงเมืองจีน “ขอโทษแทนพวกพี่ๆ  ตำรวจด้วยนะที่เขาจำเป็นต้องมองว่ามึงอ้าขาให้พวกกูด้วยความเต็มใจ... ว่าไง ตอนนี้แข็งหรือยัง ขอพี่หมอกสำรวจหน่อยนะครับน้องพี”

“อย่า!!” ผมร้องเสียงหลงอย่างไร้ทางสู้ เมื่อมือแข็งๆ ของพี่หมอกตะปบเข้ามาที่เป้ากางเกง “อะ... เอามือออกไป เอาออกไป!” ดิ้นให้ตายก็หลุดออกไปจากกรงขังของพี่หมอกไม่ได้ ตอนนี้มือของเขาก็กำลังลูบอยู่บนส่วนอ่อนไหวของผม... ที่มันเริ่มมีความรู้สึก!

ไม่จริงน่า ผมจะมีความรู้สึกกับมือของคนหน้าตาหื่นจัดได้ยังไง ทั้งที่ผมรู้สึกรังเกียจสัมผัสของพี่หมอกจนอยากกลั้นใจตายไปซะ นอกจากว่าร่างกายผมจะผิดปกติ และมันต้องมีสาเหตุ

“เริ่มแข็งแล้ว อีกนิดก็อยากจะอ้าขาให้พี่กับเพื่อนเอาจนถึงเช้าแล้วนะ”

“พี่ใส่อะไรในเหล้า” ที่ร่างกายผมร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ มันต้องเป็นเพราะอะไรที่อยู่ในเหล้าแน่ๆ

“ยาปลุก” เขาตอบออกมาอย่างหน้าตาเฉย “มันช่วยให้น้องอ้าขาให้พี่กับเพื่อนง่ายขึ้น”

“คิดว่า...อึก...พี่มีพ่อคนเดียวหรือ...ไง” ผมกัดฟันพูด ข่มความอึดอัดด้านล่างเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ “ผมก็มีพ่อ... อึ่ก... แล้วปู่ผมก็เป็น...ทหาร คิดเหรอว่าครอบครัวผมจะปล่อยให้พี่ลอยนวล” ผมขู่ออกไป คิดว่าจะทำให้เขากลัวได้บ้าง แต่ก็ไม่

“ว่าไงครับที่รัก น้องเค้าจะฟ้องพ่อกับปู่” เขาเงยหน้าขึ้นไปถามคนที่อยู่ด้านหลังผม

“อุ๊ย... น่ากลัวจังเนอะหมอกเนอะ งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า เพียวขอไปหามุมตั้งกล้องก่อนนะ เผื่อว่าน้องเค้าจะได้เอาไปอวดครอบครัวไง”

“ดีครับที่รัก” ผีเน่ากับโลงผุชัดๆ คนคู่นี้

แล้วเสียงฝีเท้าของพี่เพียวก็ห่างออกไป ทิ้งให้ผมอยู่กับพี่หมอกแค่สองคนในสระว่ายน้ำ 

“พี่ทำแบบนี้กับผมทำไม” ผมถามอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ได้ประโยชน์กว่านี้ แหกปากลั่นก็คงไม่มีใครสนใจ ร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ “ผมกับพี่ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันนะครับ” เสียงผมอ่อนลง เพื่อเพิ่มทางรอดให้ตัวเอง บางทีถ้าผมอ่อนให้เขา เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่ทำอะไรผมก็ได้

“เพราะน้องอยากได้ผัวของคนอื่นไง พี่เลยต้องเสนอตัวเป็นผัวให้น้องแทน”

“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่พี่ว่านะ” ผมไม่เคยอยากได้... เอ๊ะ! หรือว่า... “พี่เลม่อนสั่งให้พี่ทำเหรอ” ต้องใช่แน่ๆ พี่เพียวเป็นเพื่อนพี่เลม่อน แล้วคำพูดของพี่หมอกกับพี่เพียวก็เหมือนคำพูดที่พี่เลม่อนพิมพ์มาด่าผม

“ใครจะสั่งพี่ได้...” ร่างหนาเบียดเข้ามาหาผม “...ถ้าค่าตอบแทนไม่น่าขย้ำแบบน้อง แม่ง... ปากน่าจูบสัส...” แล้วริมฝีปากหนาของพี่หมอกก็ประกบจูบลงมาแบบไม่ทันให้ผมหันหน้าหนี มือของเขาจับล็อกท้ายทอยผมเอาไว้แนบแน่น ริมฝีปากนั้นบดเบียดอย่างหยาบคาย ปลายลิ้นชื้นพยายามจะเข้ามาในปากของผมที่ขบเม้มไว้สุดแรง แต่พี่หมอกก็รู้วิธีที่จะทำให้ผมอ้าปากให้เขาอย่างหมดทางสู้ เขาบีบแก้มผมเต็มแรงและสุดท้ายผมก็แพ้ ปล่อยให้ลิ้นน่ารังเกียจเข้ามาในปาก

ผมไม่เคยรู้สึกอยากตายเท่าครั้งนี้มาก่อน... และอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ ผมคงได้ตายทั้งเป็น

.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 16 (09-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 09-11-2018 19:18:58
.

.

.

.
 

ผมกำลังสิ้นหวังที่จะหลุดพ้นจากความน่าขยะแขยงนี้ น้ำตาไหลอาบแก้มไหลไปรวมกับน้ำในสระ ผมร้องไห้แบบไม่มีเสียง ไม่รู้ว่าปากของตัวเองถูกบดขยี้ไปนานเท่าไรแล้ว แต่แล้วเสียงที่ผมจำได้ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง หอบเอาความหวังของผมทั้งหมดกลับมาแทบจะทันที

“ไอ้สัส! มึงทำอะไรเพื่อนกู!!”

ที่ผมเห็นผ่านม่านน้ำตาคือปลายเท้าที่เฉียดหน้าผมไป แต่กลับไปกระแทกเข้าซีกหน้าพี่หมอกและน่าจะแรงพอสมควร ฝ่ายนั้นถึงได้หงายหลังจมลงไปในน้ำ ก่อนจะโผล่ขึ้นมาในสภาพเลือดไหลออกจากจมูก

“ไอ้เหี้ย!! มึงกล้าถีบกูหรือวะ” โผล่ขึ้นมาได้ก็ตะโกนด่าเจ้าของเท้าทันที ก่อนหันไปด่าอีกคนหนึ่งที่วิ่งตามหลังดีนมา “ไอ้สัสดรีม! แม่ง... มึงปล่อยน้องมึงออกมาทำไมวะ”

“ไอ้ห่า! มันโทรฟ้องพ่อกูไง กูเลยต้องปล่อยมันกับเพื่อนออกมา”

“มึงก็เหมือนกันดรีม พรุ่งนี้พ่อกับแม่ลงมา มึงเจอหนักแน่น เสือกคบตัวเหี้ยเป็นเพื่อน”

ฟังแล้วผมก็เข้าใจทันทีว่าทำไมดีนกับเพื่อนถึงหายไป

“ขึ้นไหวไหม” ดีนหันมาถามผมอย่างเป็นห่วง ผมพยักหน้าให้ บอกว่าผมขึ้นจากสระเองไหว ก่อนวางมือไว้กับขอบสระ ค่อยๆ ยกตัวขึ้นมานั่งบนนั้น กัดฟันข่มความรู้สึกจากส่วนกึ่งกลางตัวไม่ให้เล็ดลอดออกมาจากลำคอ จากนั้นก็พยุงตัวลุกขึ้นยืน มีดีนคอยช่วยพยุงไว้อีกที

ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ไม่รู้ว่าเสียงเพลงพวกนั้นหยุดลงตอนไหน

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องเรานะ” ดีนบอก ตั้งท่าจะประคองตัวผมเข้าไปในบ้าน แต่ผมฝืนตัวเอาไว้

“ไม่ เราจะกลับบ้าน พาเรากลับที”

“แน่ใจนะ”

“เราอยากกลับบ้าน ตอนนี้เลย” ผมพยักหน้า หันหลังก้มไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆ กับผนังห้อง ภายในร่างกายผมมันร้อนไปหมด มันกำลังเต็มไปด้วยความต้องการทางเพศ “เร็วๆ ดีน เราโดนยา” ผมตัดสินใจบอกดีน

“ห้ะ! โดนยา” ดีนร้องตกใจเสียงดังลั่นเลย ก่อนหันไปถีบหน้าคนที่กำลังจะปีนขึ้นมาจากสระอีกครั้งและคงเต็มแรงเลยทีเดียว คราวนี้ไม่ใช่ซีกหน้าแต่เป็นกลางหน้าเลย “ไอ้เหี้ย! ไอ้สัส!! พ่อมึงเป็นเหี้ยหรือวะ มึงถึงได้เหี้ยตามพ่อมึงขนาดนี้ ไอ้สัส!!!”

“ไอ้เด็กเวร! กูเป็นพี่มึง ด่าอะไรให้ระวังจะไม่มีปากไว้กินข้าว” พี่หมอกตะโกนขึ้นมาจากในสระ มือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกไปด้วย สภาพของเขาตอนนี้เลือดยังไหลออกจมูกอยู่เลย ไม่รู้ว่าดั้งจะหักหรือเปล่า โดนถีบหน้าไปเต็มๆ ถึงสองครั้ง

“กูไม่มีพี่หน้าเหี้ยใจหมาแบบมึง!”

“ไอ้ดรีม มึงหาอะไรมายัดปากน้องมึงหน่อย ก่อนที่กูจะเอาตีนยัดปากมันแทน ปีนเกลียวนักนะมึงไอ้ดีน อย่าคิดว่าเป็นน้องไอ้ดรีมแล้วกูจะไม่กล้าทำอะไร”

“มึงก็ลองสิวะไอ้เหี้ย นึกว่ากูไม่มีตีนหรือไงวะ มึงได้ชิมตีนกูแน่” ดีนทำท่าจะกระโจนลงสระไปแลกตีนกับพี่หมอก แต่ผมคว้าแขนไว้ทัน

“ดีน ไปเถอะ เราจะไม่ไหวแล้ว” น้องชายผมปวดตุบๆ แทบจะยืนตัวตรงไม่ได้

“ดีนว่าอย่ากลับเลย ไปนอนห้องดีนนะ เดี๋ยวดีนช่วย พวกนี้ทำอะไรพีไม่ได้หรอก”

“ไม่เอา” ผมส่ายหน้า ยังไงผมก็ไม่ไว้ใจที่นี่ “ไปเถอะ ไปส่งเราที่โรงแรมก็ได้... นะดีน ไปเถอะ เร็ว” จากบ้านดีนไปพุฒิธาดาน่าจะใช้เวลาน้อยกว่ากลับไปที่บ้านตรัยธาดา

“ก็ได้ๆ... ไอ้เอ้เอากุญแจรถมึงมาดิ ถอดเสื้อกับกางเกงมึงมาด้วย” ดีนหันไปแบมือขอกุญแจจากเพื่อนตัวเอง แต่ไม่วายหันไปชี้หน้าพี่หมอกที่เพิ่งปีนขึ้นจากสระมาได้ มีพี่เพียวเอาผ้าซับเลือดที่ไหลออกจากจมูกให้ “ส่วนมึงไอ้เหี้ยหมอก มึงรอกินตีนกูอยู่ที่นี่ก่อนนะ อย่าหนีเชียวนะมึง กูจะให้มึงแดกตีนกูให้สาสมกับที่มึงอยากแดกเพื่อนกู!”

“เออ!! กูรอมึงแน่ไอ้ดีน”

“เจอกันไอ้เหี้ย!... ไปพี” ดีนหันมาบอกผม ขณะที่มือก็รับเอากุญแจกับเสื้อผ้ามาจากเอ้ที่ทั้งตัวเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว ผมจำได้ว่ารถที่เอ้ขับมาเป็นมอเตอร์ไซค์ ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ไปถึงโรงแรมเร็วขึ้น 

เดินออกมานอกบ้านได้ดีนก็พาผมตรงไปหามอเตอร์ไซค์ของเอ้ที่จอดอยู่ ไม่ได้ไกลจากประตูรั้วเท่าไรนัก

“เปลี่ยนเสื้อก่อน” ดีนยื่นเสื้อกับกางเกงของเอ้มาให้

“ต้อง... เปลี่ยนเหรอ” ผมรับมาอย่างลังเล ไม่กล้าเปลี่ยนเสื้อผ้ากลางที่แจ้ง ต่อให้ไม่ใช่เวลากลางวันและมีแค่แสงสลัวที่ทอดยาวมาจากท้องฟ้าด้านบนก็ตาม แต่ก็ยังมีสายตาของดีนอยู่นี่นา สภาพผมตอนนี้ก็ไม่ควรให้ใครเห็นด้วย

“นั่งมอเตอร์ไซค์ไปทั้งเปียกๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ เปลี่ยนเถอะ ดีนไม่มองหรอกน่า” พูดจบดีนก็หยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมหัว หมุนตัวหันหลังให้ทันที ผมหันซ้ายมองขวาก่อน ไม่มีใครอยู่แถวนี้ (เพราะอยู่ในบ้านกันหมด) ก็สบายใจขึ้น จัดการถอดเสื้อผ้าชุ่มน้ำออกจากตัวอย่างรวดเร็ว ดีที่ผมใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ส่วนเสื้อผ้าของเอ้ก็เหมือนกัน เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ผมเลยใช้เวลาเปลี่ยนแป๊บเดียว

“เสร็จแล้วดีน” ผมบอกดีน

ดีนหันมาสำรวจสภาพผมแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า สวมหมวกกันน็อกให้ผมเสร็จ เจ้าตัวก็วาดขายาวๆ ควบมินิไบค์ลูกรักของเอ้ ส่วนผมก็ไม่รอช้ากระโดดขึ้นซ้อนท้าย แต่เพราะตัวเบาะที่สั้นมากๆ ทำให้ผมต้องนั่งติดกับดีนอย่างช่วยไม่ได้ แถมยังต้องกอดเอวคนด้านหน้าไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงได้เงยหลังหัวน็อกพื้นแน่ๆ และนั่นทำให้ความร้อนในร่างกายผมปะทุขึ้นอีก อาการปวดตุบๆ ที่กึ่งกลางตัวก็ยิ่งทำให้ผมทรมาน หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนจะทะลุออกมาจากซี่โครงให้ได้

แน่นอนว่าดีนก็ต้องรู้

“ไหวแน่นะพี”

“อืม...ไหว” ผมตบไหล่ดีนเบาๆ เป็นการยืนยันคำพูด “ไปเถอะ”

“เฮ้อ... ขอโทษว่ะพี ดีนไม่น่าบังคับให้พีมาเลย”

“ไม่เป็นไร” เพราะผมก็ผิดเองด้วยที่ไม่เชื่อคำพูดของปาลิน ผิดที่ทำให้พี่เลม่อนโกรธ ทุกอย่างมันเลยเป็นแบบนี้ พี่เลม่อนใช้เพื่อนของตัวเองมาแก้แค้นผม ดีนไม่เกี่ยวด้วยเลยสักนิด “ไปเถอะ” ผมเร่งอีกครั้ง ก่อนที่เจ้ามินิไบค์จะวิ่งออกจากบ้านหลังใหญ่ของดีนด้วยความรวดเร็ว

สิบกว่านาทีที่รถวิ่งอยู่บนทางสายหลักที่การจราจรไม่หนาแน่นมาก ก่อนเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าโรงแรมพุฒิธาดา

ผมรีบก้าวลงจากเบาะในสภาพที่เหงื่อเหมือนจะไหลท่วมตัว เซหน่อยๆ เพราะขาสองข้างคล้ายจะหมดแรงเอาดื้อๆ แต่ผมก็พยายามฝืนร่างกายเอาไว้อย่างสุดกำลัง ไม่ให้ล้มไปกองพื้นและเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา

“ข...ขอบใจนะดีน” ผมถอดหมวกกันน็อกคืนให้ดีนอย่างรีบๆ กะจะฝืนวิ่งเข้าไปในโรงแรมให้ทันก่อนร่างกายจะต่อสู้กับฤทธิ์ยาไม่ไหว แต่ดีนคว้าตัวไว้เสียก่อน

“ให้ดีนเข้าไปด้วยไหม ดีนช่วยได้นะ” น้ำเสียงของดีนห่วงใยอย่างจริงใจ

ผมส่ายหน้าให้กับคำว่า ‘ช่วย’ ของดีนทันที เพราะรู้ว่า ‘ช่วย’ นั้นจะเป็นการช่วยแบบไหนและลงเอยอย่างไร

“ไม่ต้อง เราช่วยตัวเองได้” ผมคิดว่าความต้องการมากมายที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย และมันกำลังหาทางออกมาอย่างทะลักทลายนั้น ผมน่าจะรับมือไหว... มารู้ตัวอีกทีว่าผมคิดผิดไปถนัดก็เมื่อสายเกินไปแล้ว

“แน่ใจนะ” อีกฝ่ายก็ยังถามย้ำ 

“อืมๆ” ผมพยักหน้ารัวเร็ว “ดีนกลับไปเถอะ เราดูแลตัวเองได้” แล้วผมก็ทิ้งดีนไว้ตรงนั้น คือไม่ไหวแล้วไง สิ่งที่คับแน่นอยู่ในกางเกงมันปวดร้าวไปหมด ขาผมแทบไม่เหลือแรง ทำท่าจะล้มหลายทีแล้ว

ผมเลือกเดินเข้าไปในโรงแรมทางประตูฝั่งสวนสีเขียว มีพนักงานหลายคนที่มองผมอย่างนึกสงสัยอาการที่ผมเป็น คือเดินหลังงอ ตัวสั่น ผิวขาวของผมขึ้นสีแดงอย่างชัดเจน แต่ผมก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่อยากให้พวกเขาเข้ามาทักทายและไถ่ถามอาการที่ผมเป็น ผมฝืนพยุงตัวมาจนถึงหน้าลิฟต์ตัวที่จะพาผมขึ้นไปยังชั้นสามสิบสาม... เพนต์เฮ้าส์ของเจ้าของพุฒิธาดา

ในกระเป๋าตังค์ของผมมีคีย์การ์ดของห้องเพนต์เฮ้าส์ที่ได้มาจากคราวก่อน ผมเลยเข้าไปในห้องนั้นได้แม้เจ้าของห้องจะไม่อยู่ก็ตาม เพราะตอนนี้คุณยะกำลังมีความสุขหวานชื่นอยู่กับเด็กของเขาที่เยอรมัน พวกเขาสองคนมีความสุขกันมาก พากันไปเที่ยวตั้งหลายที่ ผมรู้เพราะพี่เลม่อนส่งรูปพวกนั้นมาให้ผมทุกวัน บางวันหนักถึงขั้นส่งมาทุกชั่วโมงก็มี ถามว่าทำไมผมถึงไม่บล็อกไลน์พี่เลม่อนไปซะ ผมก็อยากถามตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงยังอยากเห็นรูปของเขาทั้งคู่... บางทีผมอาจจะอยากเจ็บให้ถึงขีดสุด หรือบางทีผมก็แค่อยากรู้ว่าพวกเขารักกันมากแค่ไหน หรือผมก็อยากเห็นแค่ว่าคุณยะมีความสุขมากขนาดไหนตอนที่อยู่กับคนที่ไม่ใช่ผม

ตึ้ง...

เมื่อถึงชั้นที่ตั้งของเพนต์เฮ้าส์ ผมรีบหอบร่างกายที่ชื้นด้วยเม็ดเหงื่อส่วนภายในนั้นร้อนระอุ สั่นระริกไปทั้งร่างกาย โดยเฉพาะส่วนกลางลำตัวที่ทรมานเหลือเกิน อาการที่ผมเป็นมันหนักขึ้น ขาที่ควรจะก้าวให้เร็วเหมือนวิ่งกลับหนักอึ้ง ถึงขั้นที่ว่าผมต้องเดินลากขาตัวเอง สองมือเท้าไว้กับผนังทางเดินเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไปกองพื้นพรม สมองก็เริ่มมึนเบลอ ล่องลอยและพร่ามัวไปหมด ผมกัดฟันเอาร่างกายที่ไม่เหลือความปกติใดอีกแล้วไปจนถึงประตูห้องเพนต์เฮ้าส์ได้ในที่สุด

ผมล้วงเอากระเป๋าตังค์ออกมาจากกระเป๋าเป้ มือของผมสั่นมากตอนหยิบเอาคีย์การ์ดสีเงินออกมาจากกระเป๋าตังค์อีกที แตะมันไปบนประตูห้องด้วยความรู้สึกว่า... ผมรอดแล้ว ผมไม่ต้องทรมานอีกต่อไป สิ่งที่ผมต้องทำหลังจากนี้คือปลดปล่อยตัวเองออกมาให้หมด แล้วผมจะลืมเรื่องที่ ‘เกือบ’ เลวร้ายนี้ไปซะ

เรื่องเกือบเลวร้ายที่ผมไม่กล้าเอาไปฟ้องใครหรอกโดยเฉพาะครอบครัวของตัวเอง เพราะผมเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายเอง ทั้งยังโกหกคุณปู่คุณย่าว่าจะไปทำรายงานที่บ้านปาลิน ผมโกหกพวกท่านสองครั้งแล้ว และก็สร้างปัญหาให้ตัวเองเสียทุกครั้ง ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำแบบนี้อีก เพราะผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่ตัวเองโกหกผู้มีพระคุณ ผมได้รับผลกรรมของการโกหกแทบจะทันทีเลย

...โกหกครั้งแรกก็ดันไปเล่นยาจนโดนตัดเงิน

...โกหกครั้งที่สองก็ดันโดนวางยาและเกือบจะโดนข่มขืน

แต่ช่างเถอะตอนนี้ผมควรเอาอะไรที่มันอึดอัดอยู่ในตัวออกมาก่อน ผมดันประตูเข้าไปและสิ่งที่ผมต้องเจอไม่ได้มีเพียงแสงไฟที่สาดส่องทั่วห้อง แต่ยังมี... เสียงของความสุขสมที่ดังออกมาจากสองเรือนร่าง แม้พวกเขาจะอยู่ไกลจากประตูที่ผมยืนอยู่ ทว่าภาพนั้นกลับชัดราวกับว่าคนทั้งคู่มายืนทำเรื่องอย่างว่ากันตรงหน้าผม ห่างไปแค่ก้าวเดียว!

สิ่งที่ผมเห็น... ร่างกายหนาใต้เสื้อคลุมสีเทาเข้มกำลังรูดถุงยางออกจากแก่นกายตัวเอง ก่อนฉีดพ่นน้ำสีขาวข้นให้ไหลรดลงบนบั้นท้ายของคนตัวบางที่นั่งคลุกเข่าอยู่บนโซฟาขนาดใหญ่ เนื้อตัวเปลือยเปล่าที่ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นชุ่มไปด้วยเหงื่อจากกิจกรรมที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อวินาทีที่แล้วพาดไปกับพนักโซฟา ร่างกายขาวเต็มไปด้วยรอยสีแดงและรอยกัดที่ผมเคยเห็นมาแล้วในรูปถ่ายที่ส่งมาพังหัวใจผม

กลิ่นคาวคลุ้งที่สติอันพร่าเบลอของผมสัมผัสได้ มันเกินกว่าจะคิดว่าบทรักและความสุขสมของคนทั้งคู่ผ่านไปเพียงแค่รอบเดียว

สมองสั่งให้ผมถอยหนี หันหลังเดินออกไปซะ ทันทีที่ดวงตาสีราตรีหันมาเจอเข้ากับผม เขาตกใจที่เห็นผมเข้ามาในห้องหรือตกใจกับสภาพที่ผมเป็นกันแน่ เพราะตอนนี้ผมได้กองลงไปกับพื้นพรมหนานุ่มเป็นที่เรียบร้อย ทิ้งร่างกายที่หมดเรี่ยวแรงไว้กับประตูห้อง หอบหายใจถี่หนักคล้ายกับว่าวิ่งมาสักสิบรอบสนามฟุตบอล เนื้อตัวชุ่มเหงื่อไม่ต่างจากพวกเขาสองคน เพียงแค่ว่าผมไม่ได้มีกิจกรรมความสุขสมอย่างพวกเขา ผมกำลังเผชิญหน้ากับความทรมานแสนสาหัส ที่ต้องการมีจุดหมายปลายทางเดียวกับที่พวกเขาไปถึงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

“พี...เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาตรงดิ่งมาหาผมพร้อมกับผูกปมเชือกที่เอวไปด้วย มาถึงก็ดึงเอาผมเข้าสู่อ้อมกอด อุ้มเนื้อตัวที่ชุ่มเหงื่อของผมขึ้นจากพื้น

“อึก... เอา...มัน...ออกไป” ร่างกายผมเป็นแบบนี้เพราะคนของเขา “...ละ...อึก...ไล่มันไป...ผม...เกลียดมัน...” ไม่มีอะไรต้องปิด เมื่อผมเกลียด ผมก็จะบอกว่าเกลียด เกลียดจนไม่อยากหายใจร่วมกับพี่เลม่อนแม้แต่วินาทีเดียว

“ตอบฉันมาก่อนเธอเป็นอะไร โดนอะไรมา หรือว่า...” เขาค้างคำพูดไว้แค่นั้น ดวงตาสีเข้มเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างที่ผมเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกในชีวิต เขาคงเดาได้แล้วว่าสภาพของผมเป็นผลมาจากอะไร สองเท้าของคุณยะกำลังอุ้มพาผมเข้าไปในห้องนอนของเขา และตรงไปที่ห้องน้ำอย่างที่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่

“นายมีสิทธิ์อะไรมาใช้ให้พี่ยะไล่ฉันห้ะ!” เสียงขุ่นจัดเอ่ยขึ้นตามหลังมา ก่อนหยุดยืนกอดอกอยู่ตรงกรอบประห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า ไร้สิ่งห่อหุ้มร่างกายและไม่อายสายตาของผม เห็นแล้วผมก็ยิ่งเกลียดเขาอีกร้อยเท่าพันเท่า

“คุณยะ...อึก...เอามันออกไป...ผม...เกลียดมัน...ไม่อยากเห็นหน้ามัน...อึก...” เสียงผมแหบแห้งและขาดห้วง มองเข้าไปในดวงตาของคนที่กำลังวางผมลงในอ่างอาบน้ำอย่างอ้อนวอน “...นะครับคุณยะ...น้องพีเกลียดเขา...ฮึก...เกลียดที่สุด...เกลียด...” น้ำตาผมไหลอาบแก้ม มันมาจากความทรมานของร่างกายและความเกลียดชังที่ผมมีให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา

ผมมองตามร่างสูงใหญ่ที่หันกลับไปพูดกับคนที่ผมเกลียด   

“เธอกลับไปก่อน” คำพูดเขาเป็นยิ่งกว่าสายน้ำเย็นที่ไต่รดลงบนร่างกายที่ร้อนระอุของผม หัวใจผมสงบขึ้น พร้อมกับเปลือกตาที่ค่อยๆ ปิดลง ขณะที่สายน้ำของจริงไหลรดลงมาตามร่างกายผม ระดับน้ำในอ่างเพิ่มสูงขึ้น

“ผมไม่กลับ!”

...ผมชอบน้ำเสียงแบบนี้จัง รู้สึกสะใจเป็นบ้า

“กลับไปเลม่อน”

...ผมชอบประโยคนี้ด้วย มันบอกผมว่าคุณยะเลือกผม

“ไม่!”

...ผมอยากจะเห็นใบหน้าของพี่เลม่อนตอนเขาตะโกนออกมาจริงๆ

“ฉันบอกให้กลับ!”

...ผมอยากเห็นใบหน้าของคุณยะด้วยเหมือนกัน อยากรู้ว่าสีหน้าของเขาโกรธจัดแค่ไหน

“พี่ยะ...ผมทำอะไรผิด ทำไมพี่ต้องเชื่อมัน”

...ผมรู้ว่าพี่เลม่อนกำลังเจ็บปวดแต่คงไม่เท่ากับที่ผมเคยสัมผัสมาทั้งหมด

“เชื่อฉัน กลับไปก่อน”

“แต่...”

“ฉันขอ”

“ก็ได้ครับ”

แล้วประโยคทุ่มเถียงกันก็เงียบหายไปพร้อมกับคนสองคน ทุกอย่างกลับมาสู่ความเงียบเชียบที่มีเพียงเสียงทรมานของร่างกายผมที่กรีดร้อง

ภายใต้สายน้ำเย็นชืดนั้นความทรมานของผมกำลังได้รับการรักษาอย่างช้าๆ สติของผมเริ่มหลุดลอยไปกับสองมือที่ประคับประคองตัวตนบวมเป่งออกมาสัมผัสกับความเย็นของสายน้ำโดยตรง ผมเริ่มลูบคลำแก่นกายตัวเองอย่างช้าๆ จนเร็วขึ้นและแรงขึ้น เพียงแค่ไม่กี่ครั้งที่ผมขยับรั้งรูดร่างกายก็กระตุกเกร็งและปล่อยลาวาสีขาวขุ่นออกมาปนไปกับสายน้ำ

เหนื่อย... ไม่เคยช่วยตัวเองแล้วเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน เหนื่อยจนไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ที่มากกว่าความเหนื่อยที่ไม่เคยเป็นคือแก่นกายที่ยังไม่ลดขนาดลง ความทรมานที่บรรเทาลงก็น้อยนิดเกินกว่าจะหลับตาลงอย่างผ่อนคลายได้

ความต้องการปลดปล่อยของผมก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มือที่อ่อนล้าเริ่มทำหน้าที่ที่คุ้นเคยเป็นครั้งที่สอง ผมรูดรั้งรุนแรงเพื่อพาตัวเองไปให้ทันกับความรู้สึกที่ยากเกินต่อต้าน

“อ่า...อึก...” จังหวะที่ผมกำลังกระตุกเกร็งและปล่อยสายน้ำสีขาวข้นออกมาจากร่องรูเล็กๆ บนท่อนลำพองโต ร่างหนาและสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามายืนชิดขอบอ่าง เขาค่อยๆ ทรุดตัวลงมาเพื่อให้ระยะห่างระหว่างใบหน้าผมกับเขาเหลือน้อยลง ใกล้แบบที่ผมอยากจะคว้าต้นคอหนาเข้ามาหาและบดจูบลงไปบนริมฝีปากของเขา

“ไปโรงพยาบาลไหม” มือข้างหนึ่งของเขาลูบศีรษะผม มันอ่อนโยนและปลอบโยนไปพร้อมกัน

“...อึก...ไม่” ผมไม่ได้ป่วยและผมอายเกินกว่าจะเอาสภาพนี้ไปให้ใครเห็นเพิ่ม

“อย่าดื้อพี” เขาพูดเสียงเข้ม “ปล่อยไว้เธอจะแย่เอานะ”

“ไม่... ผมอาย”

“.....” เขามองหน้าผมนิ่งนาน ริมฝีปากคล้ายจะขยับเพื่อเอ่ยถ้อยคำบางอย่างกับผม เพียงแต่เขายั้งมันไว้

“ออกไป...อึก...ผมอยากอยู่คนเดียว...” เพราะความต้องการของผมก่อตัวขึ้นอีกแล้ว ผมไม่อยากช่วยตัวเองต่อหน้าเขา แค่นี้ผมก็อับอายสายตาของเขาจะแย่อยู่แล้ว

“ให้ฉัน...” เขาหยุดคำพูดไว้แค่สองคำแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทอดสายตาห่วงใยลงมาที่ผม ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

...เกือบแล้ว มือของผมเกือบจะดึงแขนเขาไว้ เพื่อร้องขออย่างสิ้นอายให้เขาช่วยปลดปล่อยความร้อนระอุในท่อนลำที่พองโตจากฤทธิ์ยาให้ผมที เพราะสองครั้งที่ปลดปล่อยออกมา ผมรู้ดีว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในร่างกายผม มันไม่จบสิ้นลงด้วยมือสองข้างของผมอย่างแน่นอน

ผมยังจำคำพูดของพี่หมอกได้...

‘มันช่วยให้น้องอ้าขาให้พี่กับเพื่อนง่ายขึ้น’

...เพราะคำพูดนี้ไง ผมถึงได้กลัวตัวเองจะอ้าขาให้ใครก็ได้ที่อยู่กับผม ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่เพียงคนเดียวคือคนที่เพิ่งเดินออกไป คนที่ผมคิดว่าร่างกายของเขามันสกปรก แต่ทำไมตอนที่มือกำลังรูดรั้งแก่นกายแสนทรมาน ผมกลับคิดถึงหน้าเขา คิดถึงร่างกายเต็มแน่นด้วยมัดกล้ามที่ผมเคยเห็นผ่านรูปอุบาทว์และคลิปทุเรศพวกนั้น ภาพในหัวชัดขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มือผมเคลื่อนไหวแรงขึ้นเร็วขึ้น

“อึก... คุณยะ...อ่า...”

สายน้ำขาวขุ่นทะลักทลายออกมาจากร่องรูเล็กบนปลายยอดสีแดงก่ำ หัวใจผมเต้นรัวเร็ว มันกำลังจะทะลุออกมาจากอกที่กระเพื่อมอยู่ในสายน้ำเย็นชืด

“คุณยะ...อ่า...อึก...คุณยะ...”

สมองสั่งให้ผมหยุดเรียกชื่อเขา แต่ความต้องการของร่างกายกลับมีอำนาจมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า

“คุณยะ...อ่า...อึก...”

ปากผมขยับเรียกชื่อเขาแผ่วเบาไปกับเสียงสะอื้นที่ไหลตามกันออกมา ส่วนมือก็เริ่มทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ทั้งที่ผมเหนื่อยเหลือเกินแต่ผมก็อยากจะปลดปล่อยออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“อ๊ะ...คุณยะ...อึก....คุณยะของน้องพี...”

ผมเร่งเร้าตัวเองให้ปลดปล่อยความทรมานออกมาด้วยชื่อของเขา ครั้งนี้มันยาวนานเสียจนผมคิดว่ามือไม่สามารถทำหน้าที่เดิมของมันให้สำเร็จเป็นรอบที่สี่ได้

“คุณยะ...อึก...ช่วยน้องพีด้วย...”

ผมต้องการมากกว่ามือตัวเอง มากกว่านั้นผมยังต้องการความอบอุ่นจากร่างกายของเขาคนนั้น และยิ่งน่าอายเมื่อผมกำลังจะเป็นแบบที่พี่หมอกพูดใส่หน้า... ผมรู้สึกอยากอ้าขาเพื่อรับเอาความแข็งกร้าวดุดันเข้ามาในช่องทางของตัวเองจนเนื้อตัวมันสั่นสะท้านไปหมด

ร่างกายของผมกำลังนำสมอง มันฉุดผมให้ลุกขึ้นก้าวออกจากอ่างอาบน้ำ ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายทั้งสามชิ้น เนื้อตัวจึงเหลือเพียงความว่างเปล่าและความน่าอับอายที่เด่นชัดอยู่กึ่งกลางตัว ผมรู้สึกอายและอยากกลับลงไปในแช่ในน้ำ ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง มันหอบพาความน่าอับอายของผมออกไป เพื่อไปเผชิญหน้ากับเจ้าของห้อง

เพียงแค่มือสั่นๆ ของผมเปิดประตูออกมา สายตาพร่ามัวก็ปะทะเข้ากับร่างกายสูงใหญ่ใต้เสื้อคลุมสีเทาเข้ม แล้วร่างกายของผมก็แสดงอำนาจยิ่งใหญ่ ข่มให้ทุกความอับอายและความถูกต้องอยู่ใต้เท้าของมัน รวมทั้งความรู้สึกรังเกียจร่างกายสกปรกที่เต็มไปด้วยเซ็กซ์ของเขาด้วย

...ลืมไปจนหมด

“คุณยะ...ช่วยน้องพีด้วย...”

ผมโผเข้าหาร่างกายสูงใหญ่ โอบกอดและบดเบียดเนื้อตัวเปลือยเปล่าที่สั่นระริกและต้องการถูกเติมเต็มไปตามความแข็งแกร่งใต้ผ้าเนื้อดี

“ขะ...เข้ามา...อึก...ในตัวน้องพีนะ...น้องพีทรมาน...” มันเป็นคำพูดน่าอาย แต่ผมกลับไม่รู้สึกอายอะไรทั้งนั้น

“ตั้งสติก่อน” ท่อนแขนแข็งแรงไม่ได้กอดตอบ เขาแค่ยืนนิ่งๆ กับคำพูดราบเรียบที่กดผมให้จมลงไปกับความอับอายที่เคยทิ้งมันไปเมื่อหลายนาทีก่อน “ฉันทำแบบนั้นไม่ได้... ฉันช่วยเธอไม่ได้หรอกพี”

“...คุณยะ” ผมรู้สึกถูกทอดทิ้ง ถูกทอดทิ้งทั้งร่างกายและหัวใจ “...ฮึก...คุณยะ...ใจร้าย”

“ถ้าฉันทำต่างหากคือการใจร้าย”

“ไม่จริง... ไม่ต้องมาอ้าง...อึก...” ผมปล่อยมือจากตัวเขา ทิ้งตัวลงพื้นเมื่อความทรมานจู่โจมผมหนักขึ้น แก่นกายแดงก่ำชูชันรอคอยการปลดปล่อย

“ฉันจะพาเธอไปหาหมอ” เขาย่อตัวลงมาหา ความห่วงใยของเขาเอ่อล้นในดวงตา “ลุกไหวไหม”

“ฮึก... น้องพีไม่ไหวแล้วคุณยะ” ร่างกายที่อยากได้รับการปลดปล่อยของผมโถมเข้าใส่คนตรงหน้า ทำให้ตัวเขาถึงกับหงายหลังลงไปกับพรมหนา โดยมีผมคร่อมทับอยู่บนตัวเขา “...แค่มือมันไม่พอ ฮึก... คุณยะเห็นไหม เห็นของน้องพีไหมว่ามัน...ฮึก...บวม ปวดไปหมดเลย น้องพี...อึก...ทรมาน... อยากให้คุณยะช่วย ช่วยน้องพีหน่อยนะครับ” ระหว่างที่ผมเอ่ยเสียงแหบแห้งออดอ้อนให้เขาเห็นใจความทรมานที่กัดกินผมจนผุกร่อน ผมก็ดึงมือเขามาจับที่ความร้อนระอุของตัวเอง

มือคุณยะอุ่นจัดและเพียงแค่นั้นผมก็กระตุกเกร็ง ฉีดพ่นสายน้ำขุ่นขาวออกมาอย่างง่ายดาย ผมทิ้งตัวลงไปทาบทับบนตัวเขาในสภาพอ่อนแรง แต่ความต้องการของผมก็ยังเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างจากเจ้าของร่างกายที่รองรับตัวผมเอาไว้

“มันยังไม่พอ... แค่มือยังไม่พอ” แม้จะเหนื่อยผมก็ยังมีเรี่ยวแรงเรียกร้องในสิ่งที่ร่างกายอยากได้จากเขา “ตรงนี้ของน้องพีต้องการคุณยะ... เข้ามานะครับ...” มือของคุณยะที่ชุ่มน้ำรักถูกผมดึงอ้อมมายังด้านหลัง ตรงสะโพกที่ไร้เนื้อผ้าปกปิดผิวเนื้อ ไล่ลงไปจนถึงตรงช่องทางนั้น

...ผมโทษทุกการโอบกอดของคุณยะที่อยู่ในหัวผม

...ผมอยากรู้ความรู้สึกที่ถูกคุณยะโอบกอดครอบครอง

“ฮึก...กอดน้องพีนะ...เข้า...มา...” ผมอ้อนวอน น้ำตาร่วงหล่นลงบนอกเขา “...มันทรมาน...ช่วยน้องพีด้วย”

“พี... ฉัน...ทำไม่ได้” เสียงทุ้มแหบพร่า แต่มือของเขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม บนสะโพกผมทั้งสองมือเลย ข้างหนึ่งบีบเน้นเบาๆ อีกข้างกำลังใช้ปลายนิ้วแกร่งหยอกล้อให้ผมสะท้านไปทั้งร่าง

...มันดีกว่ามาก

มือของเขาดีกว่ามือของผมไม่รู้กี่เท่า

“ลุกออกไปพี ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว” ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเขาไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ความแข็งกร้าวร้อนจัดที่ผมทาบทับอยู่นั้นได้ฟ้องออกมาหมด ไหนจะมือของเขาบนสะโพกและปากช่องทางของผมอีกล่ะ

“คุณยะก็อยาก... น้องพีรู้ เข้ามาเถอะนะครับ น้องพีจะไม่ไหวแล้ว” ผมขยับสะโพกช้าๆ ให้ส่วนร้อนจัดของผมกับเขาเสียดสีกันยิ่งขึ้น ยิ่งทรมานและยิ่งเสียวซ่านไปพร้อมกัน

“เธอจะเสียใจ” คุณยะกัดฟันพูด เขากำลังข่มอารมณ์ไม่ให้พวยพุ่ง

“ไม่” ผมส่ายหน้า ยืนยันเสียงหนักแน่นแต่ก็แหบพร่าตามอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นทุกที “น้องพีไม่เสียใจ”

“พรุ่งนี้เธอจะด่าฉันไหม” เขาถามอีก รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยอารมณ์ความต้องการที่ไม่ต่างจากผม “จะด่าว่าฉันเห็นแก่ตัว เป็นผู้ใหญ่เลวไหม” ครั้งนี้เขาดึงเอามือขึ้นมาลูบหน้าผม ปลายนิ้วกดเน้นเบาๆ ตรงตำแหน่งไฝเม็ดเล็กบนแก้มขวา เขาดูจะชอบมันมาก

“ไม่ครับ” ผมส่ายหน้าแรงๆ ยืนยันอย่างจริงใจ “น้องพีรักคุณยะ ไม่ด่า...ทะ...ทำเถอะครับ...อึก...น้องพีไม่ไหวแล้ว...น้องพีอยากได้คุณยะ” ผมอยากได้เขา อยากได้มาตลอด ไม่ว่าจะเกลียดเขา โกรธเขา รังเกียจเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเซ็กซ์ของเขา ทว่าลึกลงไปภายใต้ความเกลียดชัง มันคือความโหยหาอ้อมกอดของเขาเสมอมา

“อย่าเสียใจ” เขาย้ำมาอีก

“ครับ” ผมพยักหน้า ย้ำให้เขามั่นใจ “น้องพีไม่เสียใจ...อื้ออ...” ริมฝีปากของผมถูกครอบครองจากคนด้านล่าง ก่อนที่ร่างกายของผมจะถูกร่างกายแข็งแกร่งโอบกอดและพาพ้นไปจากความทรมานทั้งหมดในค่ำคืนนี้

ความทรงจำสุดท้ายคือผมสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ใต้ร่างแข็งแกร่ง ถูกกอดและกระซิบคำหวานมากมายให้ผมได้ฝันดี


จบตอนที่ 16

มามะ มาตอบเม้นต์จากตอนที่ 15 กันนะคะ ขอบคุณที่เม้นต์และอินไปด้วยกันค่า /// ดีใจ ซึ้งๆ

Nonlapan : เอางั้นเลยเหรอคะ เปลี่ยนพล็อตกลางอากาศดีไหม 555+ ให้คุณยะแห้งเหี่ยวและแก่ไปอย่างโดดเดี่ยว แล้วน้องพีก็เปิดฮาเร็มเป็นของตัวเอง กวาดเรียบ

Jibbubu : เรื่องที่เลม่อนรู้  มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ คุณยะไม่ได้บอกค่า //เดี๋ยวเลม่อนก็จะโดนผลจากการกระทำนะคะ (ไม่อยากสปอยด์ว่าเดี๋ยวจะโดนน้องพีจัดการ 555+ เวอร์ชั่นน้องพีที่อัพเกรดเป็นปัจจุบันแล้ว) ส่วนคุณยะ วิธีเอาคืนแบบหนักๆ ไม่มีนะคะ น้องพีไม่กล้าทำ (เอาจริงๆเลย)

Panizzz : ขัดใจเนอะๆๆๆๆ  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling3:

Somm : เดี๋ยวเราด่าคุณยะให้นะคะ คุณยะก็สู้กับตัวเองเหมือนกัน เหมือนคนลังเล จะเดินต่อ หรือถอยหลัง อะไรประมาณนี้ ก็อธิบายไม่ถูกเลย ต้องอธิบายด้วยเรื่องราวไปเรื่อยๆ มันจะเล่าปมที่มาของน้องพี (ปมไม่ซับซ้อน) ไปทีละนิดค่า (สปอยด์นิดๆ นิยามของคุณยะคือ “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” แต่ก็ไม่ถึงกับเป๊ะมากนะคะ) ปล. เราจะมารำคาญอิตาคุณยะไปพร้อมๆ กันนะคะ 555+

Snowboxs : งั้นก่อนคุณยะจะโดนสาป ขอสปอยด์ละกันเนอะว่า... มันมีเหตุการณ์ให้เลม่อนรู้เองค่ะ ไม่ได้มาจากปากของคุณยะ (สปอยด์แล้วเรื่องจะหมดสนุกไหมเนี่ย 555+)

ปล. ตอน 17 เจออิพี่เลม่อนเวอร์ชันน่าตบกันนะคะ  :katai2-1:
ส่วนน้องพีกับคุณยะนั้น หึหึ  :hao3: :hao3:

สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 16 (09-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-11-2018 22:26:41
จะรอนวันที่กรรมตามสนองเลม่อน
และตามสนองคุณยะด้วย (ได้ข่าวว่าปัจจุบันมีความสุขดี)
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 16 (09-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 09-11-2018 22:56:21
สคิปข้ามเวลาไปตอนปัจจุบันเลยได้ไหม อยากเห็นพวกแม่มโดนเอาคืนจะแย่ละ ลำไยอิคุณยะ :m31:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 16 (09-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 09-11-2018 23:31:05
เกลียดคุณยะกับเลมอนที่สุดในโลกเลย!
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 16 (09-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-11-2018 10:00:01
คุณยะนี่ยังไง ก็เห็นว่าอิเลม่อนมันส่งคลิปมาหาน้องแบบนี้ทำไมยังมานอนกับมันอีกล่ะ กับแค่คู่นอนหาเอาใหม่ก็ได้
ไหนจะคนที่อยู่ที่ทำงานอ่ะเอาคนนั้นแทนอิเลม่อนมันก็ได้ เกลียดแม่งเข้าใส้แล้วอิเลม่อนเนี่ย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 17 (11-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 11-11-2018 21:38:02
ตอนที่ 17

‘อ๊ะ...คุณยะ...ฮึก...น้องพี...เจ็บ...’

...ความรู้สึกราวกับว่าร่างถูกจับฉีกเป็นสองส่วน

‘...ไม่ร้องนะ อย่าร้อง คุณยะพอแล้ว ไม่ทำแล้วนะครับ...คนดี’

...ความแข็งกร้าวที่กำลังฉีกทึ้งร่างของผมหยุดลงและเกิดรอยจุมพิตอุ่นๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ

‘มะ...ไม่...อย่า...เข้ามา...อึก...น้องพีไม่เจ็บแล้ว...’

...ความจริงคือเจ็บมาก เจ็บเหมือนจะขาดใจเพราะสิ่งที่บุกรุกเข้ามาทั้งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ แต่คงไม่ถึงกับขาดใจ หากจะขาดใจจริงๆ ก็คงเพราะสิ่งนั้นหนีจากไป

‘หายใจช้าๆ อย่ากลั้น ผ่อนคลายนะคนดี... คุณยะจะค่อยๆ’

...ความรักทำให้ผมเชื่อฟังทุกคำพูดของเขา ก่อนท่อนลำร้อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเชื่องช้า

‘อ่า...คุณยะ เข้ามา... เข้ามาเร็วๆ’

...ความต้องการกำลังวิ่งแซงความเจ็บปวด อยากถูกเติมเต็มให้เร็วที่สุด

‘เธอจะเจ็บ’ เจ้าของเสียงทุ้มก้มลงใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดบนใบหน้า

‘ทะ...ทนได้...น้องพีทนได้...’

‘อ๊าาา...!!!’

.

.

.

...เฮือกกก

เกิดอะไรขึ้นกับผม ?

ทำไมผมถึงเจ็บไปหมด ร้าวไปทั้งร่าง ?

แค่ขยับนิดเดียวก็คล้ายจะแตกละเอียด ในความฝันผมกำลังถูกร่างกายที่เต็มไปด้วยเซ็กซ์ของคุณยะโอบกอด ทึ้งร่างกายผมให้ฉีกขาดเป็นสองส่วน ความแข็งกร้าวและร้อนจัดที่ชำแรกเข้ามาทำให้ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ทำไมความเจ็บปวดในความฝันถึงได้ยาวนานมาถึงตอนนี้ได้ล่ะ ?

หรือว่า... ไม่ใช่ฝันแต่เป็นเรื่องจริง

ใช่แล้ว... เมื่อคืนผมโดนยา ผมไม่ได้กลับบ้านแต่เลือกมาปลดปล่อยความทรมานในห้องเพนต์เฮ้าส์ของคุณยะ เพราะเจ้าของห้องไปต่างประเทศ มีกำหนดกลับไทยวันอาทิตย์ แต่พอเปิดประตูเข้ามาก็กลับเจอว่าเขายืนอยู่หน้าโซฟา กำลังปลดปล่อยสายน้ำรักรดลงบนร่างกายของคนที่ผมเกลียดขี้หน้าเขามาก แต่ในความทรงจำของผมที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง ผมจำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังความเจ็บปวดที่ทำเอาลมหายใจขาดหายได้ว่า... ลาวาร้อนนั้นทะลักเข้ามาในร่างกาย แล้วก็เกิดขึ้นอีก อีกหลายครั้ง

“ตื่นแล้วหรือคะน้องพี หิวไหม” เสียงคุ้นๆ เหมือนเสียงพี่แอลเลขาคนสวยของคุณยะดังมาจากห้องน้ำ แต่จะใช่เหรอ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วที่นี่ใช่ห้องนอนของคุณยะในเพนต์เฮ้าส์หรือเปล่า

ผมค่อยๆ ยีตาสู้แสงของเวลากลางวัน กระบอกตาปวดร้าวจนต้องปิดตาลง

“อย่าเพิ่งขยับตัวมากนะคะ เดี๋ยวพี่แอลไปตามคุณยะก่อน”

ตอนนี้หน่วยตาผมสู้แสงภายในห้องได้แล้วครับ เลยเห็นว่าห้องสีขาวสะอาดตาที่แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยคือห้องนอนในเพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสามของพุฒิธาดา และต่อให้พี่แอลไม่บอกให้ผมอย่าเพิ่งขยับตัว ผมเองก็ไม่คิดจะขยับหรอกครับ แค่ครั้งเดียวเมื่อกี้ก็จำขึ้นใจแล้วว่ามันทรมานกับความเจ็บร้าวที่วิ่งพล่านไปทั่วร่าง

ไม่กี่วินาทีที่พี่แอลพูดจบ ผมที่นอนนิ่งอยู่ในท่านอนคว่ำหน้าบนเตียงนอนหลังใหญ่ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูออกไป วินาทีนั้นเองก็มีเสียงทะเลาะกันของคนสองคนดังแทรกเข้ามา

“ผมไม่กลับ!”

“อย่าดื้อเลม่อน”

“ไม่! ผมจะไปดูหน้าคนที่มันแย่งผัวผม หลีกไปนะพี่ยะ ผมมาก่อนมันนะ ผมเป็นเมีย...”

แล้วผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเพราะพี่แอลปิดประตูลงปิดกั้นเสียงโวยวายที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธจัด และเจือจางไปด้วยความเจ็บปวด

...พี่เลม่อนบอกว่าตัวเองมาก่อน ส่วนคนที่มาทีหลังคือผมใช่ไหม

ผมอยากลุกขึ้นไปเถียงให้สาสมกับคำพูดใส่ร้ายของเขา เขาจะมาก่อนผมได้ยังไง ผมรู้จักคุณยะมาทั้งชีวิตของผมนะ พี่เลม่อนมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าผมมาทีหลังเขา ตัวเองนั่นแหละก็เพิ่งรู้จักคุณยะตอนมาถ่ายเอ็มวีที่พุฒิธาดาเองนะ

“เลม่อน!”

แต่ผมคงไม่ต้องลุกออกจากห้องไปเถียงพี่เลม่อนหรอก ในเมื่อประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอย่างแรง พร้อมกับเจ้าของใบหน้าสวยงามที่ชุ่มน้ำตาวิ่งพรวดเข้ามาหาผมถึงขอบเตียง เกือบจะกระโจนขึ้นมาจิกหัวผมไปตบด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ถ้าเจ้าของห้องจะไม่วิ่งตามเข้ามาดึงตัวไว้ก่อนจะกระโดดขึ้นมาบนเตียงได้ทันท่วงที

ดวงตากลมโตและหวานมากของพี่เลม่อนล้นน้ำตา แต่ก็บรรจุด้วยกองไฟกองใหญ่มองมาที่ผมเหมือนจะเผาให้ตายคาเตียง

...สะใจชะมัดที่เห็นเจ้าของใบหน้าสวยหวานเจ็บปวด

“หยุดเลม่อน หยุด!” เสียงเข้มตะคอกใส่คนตัวเล็กที่ยังพยายามจะพุ่งมาหาผม ด้านหลังที่ตามเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยคือพี่แอลกับหมอภาม

“ผมไม่หยุด!” คนตัวเล็กหันกลับไปเล่นงานคนตัวใหญ่กว่า กำปั้นเล็กๆ ทุบรัวลงไปบนลำตัวของคุณยะ “พี่ให้ผมทนได้ยังไง มันจะเอาพี่ไปจากผม มันจะเอาผัวผมไป!”

“ออกไปคุยกันข้างนอก” เขาพยายามจะหอบเอาร่างของคนตัวเล็กออกไป แต่อีกคนก็ออกแรงดิ้นขัดขืนสุดฤทธิ์

“ไม่! ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด” เสียงเข้มของคุณยะอ่อนลง และบนใบหน้าหล่อเหลาก็เหมือนจะมีรอยแดงประทับอยู่บนนั้น

“มันไม่ใช่ได้ยังไง ก็มันมานอนอ้าขาให้พี่เอาถึงที่นี่ แล้วไลน์ที่มันส่งมาด่าผมอีก มันบอกมันจะเอาพี่ไปจากผม มันอยากได้พี่เป็นผัว พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือไง”

หา ?

ไลน์อะไร ผมส่งข้อความไปหาพี่เลม่อนตอนไหน ไม่เคยเลย มีแต่พี่เลม่อนที่ส่งรูปสวีตของพวกเขามาให้ผมดูทุกวัน ผมก็แค่เปิดดู เจ็บปวดไปกับความสุขของพวกเขา ไม่คิดตอบโต้หรือฟูมฟายความเสียใจลงไปในนั้น

“ผ...ผม...ไม่ได้ส่ง...ไลน์ไปหาพี่นะ” ผมเถียงออกมาอย่างลำบากมาก เสียงแทบไม่หลุดออกจากลำคอที่แห้งแล้ง มันเป็นเพราะอะไร... บทรักเร่าร้อนแวบเข้ามาในหัวของผมอย่างรวดเร็ว เมื่อคืนริมฝีปากของผมแทบไม่ได้หยุดพัก ไม่ถูกกลืนกินก็กรีดร้องออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไม่ต่างจากเสียงที่ผมเคยได้ยินในห้องทำงานของคุณยะ และเสียงที่ผ่านคลิปที่พี่เลม่อนส่งมาให้ผมดู

...ไม่ต่างกันเลย

ผมก็ไม่ต่างจากพี่เลม่อนและคนในห้องทำงานที่อ้าขาให้คนคนนี้... ผมไม่ได้ ‘พิเศษ’ ไปกว่าใคร ก็แค่เหมือนคนอื่นๆ ของเขา

“อย่ามาตอแหล!” คำพูดเกรี้ยวกราดพุ่งตรงมาหาผม พร้อมกับใบหน้าที่อยากจะฆ่าผมให้ตายคามือของเขา “มึงส่งข้อความมาด่ากู หาว่ากูเป็นของเล่นของพี่ยะ แล้วมึงก็จะแย่งพี่ยะไปจากกู บอกกูว่าสักวันจะเอาพี่ยะเป็นผัวมึงให้ได้”

“ผมไม่เคยส่ง” ผมเถียง อยากจะลุกขึ้นไปประจันหน้ากับคนที่ใส่ร้ายผมได้อย่างหน้าด้านที่สุด แต่ก็ทำไม่ได้ แค่ขยับปากพูดก็ลำบากสุดๆ แล้ว “คนที่ตอแหลคือพี่... ไม่ใช่ผม”

“มึงอย่าคิดว่าสิ่งที่มึงทำพี่ยะจะไม่เห็น เพราะกูให้เขาอ่านไลน์ที่มึงส่งมาหมดแล้ว”

ผมดึงสายตาไปยังคนที่โอบกอดพี่เลม่อนเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้ามาทำร้ายผม เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว เห็นสายตาที่ใช้มองผมก็เลยรู้เลยว่าเขาเชื่อว่าผมทำแบบนั้นจริงๆ

หัวใจผมถูกบีบอีกครั้ง ผมเป็นเด็กนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง คุณยะถึงได้เชื่อว่าผมส่งไลน์ไปด่าพี่เลม่อนจริงๆ ในเมื่อเขาเชื่อ ผมก็ไม่อยากจะแก้ตัวอะไรทั้งนั้น เลือกจะหุบปากฟังคำตอแหลของพี่เลม่อนต่อไป

“หึ... หลักฐานมัดตัว เถียงไม่ออกเลยใช่ไหม”

ที่ไม่เถียงเพราะผมอยากให้คุณยะโง่ต่อไปต่างหาก แต่พอผมไม่เถียง ทำเหมือนยอมรับคำใส่ร้ายของพี่เลม่อนว่าเป็นเรื่องจริง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุดแค่นั้น ผมไม่คิดเลยว่าคนหน้าตาสวยงามอย่างพี่เลม่อนจะร้ายกาจและปั้นน้ำเป็นตัวได้ขนาดนี้

“พี่รู้อะไรไหมพี่ยะ” คนหน้าสวยไม่ได้พูดกับผมแต่เป็นอีกคน “เมื่อคืนที่มันโดนยา ไม่ใช่เพราะมันโดนเขามอมมาหรอกนะ มันกินของมันเอง เพราะมันอยากอ่อยแฟนของเพื่อนผม แต่เขาไม่เล่นกับมันไง เขาถึงไล่มันออกมาจากงาน มันถึงต้องซมซานกลับมาที่นี่ มาอ้าขาให้พี่เอามัน”

ตอแหลดีเด่น!

คำนี้ผุดขึ้นในหัวผมทันทีก่อนที่เจ้าของรางวัลจะพูดจบซะอีก

ฉึก!

สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและเหมือนจะเชื่อไปแล้วว่าผมทำแบบนั้นจริงๆ ได้พุ่งเข้ามาปักหัวใจผมซ้ำ เขาโง่หรือไงถึงได้เชื่อว่าคำพูดทุเรศจากปากของพี่เลม่อนเป็นความจริง เขาไม่รู้จักผมหรือไงว่าเป็นคนแบบไหน หรือว่าเพราะผมเคยเมาเหล้าเมายา เคยปีนขึ้นไปนั่งบนตักเขาและยั่วยวนเขาอย่างไร้ยางอาย ถึงทำให้เขาเชื่อคำพูดของพี่เลม่อนอย่างง่ายดาย

ผมหลับตาลง เพื่อหนีไปจากดวงตาสีราตรีที่ฟ้องว่าเขาเลือกจะเชื่อคนของเขา มองว่าผมเป็นเด็กใจแตกที่อ้าขาให้ใครก็ได้

“หึ... เห็นไหมครับพี่ยะ มันไม่เถียงสักคำ เพราะมันทำจริงๆ” ยังไม่จบอีกหรือไง จะใส่ร้ายอะไรผมนักหนา

“ออกไป” ผมพูดทั้งที่ยังหลับตา ซุกหน้าเข้ากับหมอนใบใหญ่ ถ้าหายตัวได้ผมก็อยากหายตัวแล้วไปโผล่ที่ไหนก็ได้ จะได้ไม่ต้องมาทนฟังเรื่องตอแหลของพี่เลม่อนมากไปกว่านี้

“มึงกล้าไล่กูเหรอ! คนที่ต้องออกไปคือมึงไม่ใช่กู!!” คนหน้าสวยยังไม่เลิกอาละวาดทั้งที่ผมยอมให้เขาใส่ร้ายขนาดนี้แล้ว “คิดว่ากูไม่กล้าทำอะไรมึงหรือไง!!”

“โอ๊ยยย!!” และกว่าผมจะรู้ว่าพี่เลม่อนจะไม่หยุดแค่คำโกหก ก็ตอนที่ผมถูกกระชากหัวขึ้นมาจากหมอน ตามด้วยฝ่ามือเรียวที่ฟาดลงมาบนแก้มผมจนได้กลิ่นเลือดคลุ้งอยู่ในอุ้งปาก และร่างของพี่เลม่อนก็ถูกกระชากลงจากเตียงก่อนที่จะทำร้ายผมเป็นรอบที่สอง แต่ไม่วายที่จะใช้ปลายเท้าถีบเข้าที่ลำตัวผมเต็มแรง ส่วนคนที่พุ่งเข้ามาปกป้องผมเอาไว้ก็คือพี่แอล

“เลม่อน!! ทำบ้าอะไรของเธอ!”

“สั่งสอนคนร่านๆ อย่างมันไง... จำไว้! อย่ามาแย่งผัวกู ไม่อย่างนั้นมึงเจอมากกว่านี้แน่ แล้วจำไว้ด้วยว่าที่เขาเอามึงเมื่อคืน เพราะมึงยั่วเขา อ้าขาให้เขา อย่าร่านให้มันมากนัก ไม่อย่างนั้นเรื่องที่มึงอ้าขาให้พ่อตัวเองได้ดังทั่วโรงเรียนแน่”

“เลม่อน!!”

“ผมพูดผิดตรงไหน ก็มันจะเอาพี่ไปจากผม ทั้งที่มันรู้ว่าพี่กับผมเป็นอะไรกัน แต่มันก็ยังร่านจะเอาพี่ให้ได้ ต้องให้ผมใจเย็น ยอมให้มันเอาพี่ไปหรือไง”

“ไม่มีใครเอาฉันไปไหนได้ทั้งนั้น เธอก็รู้ดีเลม่อนว่าอะไรเป็นอะไร”

“ใช่! ผมรู้ไง ผมถึงได้มาสั่งสอนให้มันจำ ว่าพี่เป็นของผม”

“พี่ไม่ใช่ของเธอ”

“แต่พี่สัญญากับพี่เรนไว้แล้วนะว่าจะดูแลผมไปตลอดชีวิต พี่จะผิดสัญญากับคนตายหรือไง”

“พี่...” คนที่ถูกทวงสัญญาพูดไม่ออก ได้แต่โอบกอดร่างบางเอาไว้ แต่ดวงตาของเขาทอดมองมาที่ผมที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่แอล

...ระหว่างคุณยะกับพี่เลม่อน ไม่ใช่แค่คู่นอน มากกว่าคนรักกันก็คงเป็นคำสัญญาที่จะดูแลไปตลอดชีวิต

“พี่สัญญาว่าจะดูแลผม” ผมได้ยินเสียงสะอื้นไห้หลุดออกมาจากคนที่อยู่ในอ้อมกอดของคุณยะ ท่อนแขนแข็งแรงดูคล้ายจะโอบกระชับร่างเล็กแน่นขึ้น ยิ่งทำให้หัวใจผมเจ็บ “ฮึก...ผมไม่เหลือใครแล้ว...พี่ก็รู้...ผมมีแค่พี่คนเดียว...ไม่มีพี่ผมจะอยู่ยังไง...”

“พี่ไม่ทิ้งเรา” เสียงนุ่มนวลกระซิบบอกคนในอ้อมแขน แม้จะเบาบางเหมือนไม่อยากให้คนที่เหลือในห้องนี้ได้ยิน ทว่าผมก็ยังได้ยิน

...คนสำคัญที่คุณยะจะปกป้องไปตลอดชีวิตก็คือพี่เลม่อน ไม่มีทางเป็นผมได้เลย

“เจ็บตรงไหนบ้างคะน้องพี ให้หมอภามดูหน่อยนะคะ” พี่แอลพูด หมอภามก็ขยับตัวและเดินมาที่ข้างเตียง แต่ผมส่ายหน้า เจ็บตัวเพราะโดนตบกับถีบก็ไม่เท่าไรหรอก แต่เจ็บที่หัวใจมีมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่าและกี่ร้อยหมอก็รักษาอาการเจ็บของหัวใจผมให้หายขาดได้

ตอนนี้คุณยะพาพี่เลม่อนออกไปแล้ว ทั้งห้องจึงเหลือแค่ผม พี่แอล และหมอภาม

“ผมอยากนอน” อยากหลับไปเลยไม่ต้องคิดอะไรอีก หัวใจของผมจะได้หยุดเจ็บปวดไปได้สักช่วงเวลาหนึ่ง

“กินข้าวกินยาก่อนแล้วค่อยนอนนะคะน้องพี รอแป๊บหนึ่งเดี๋ยวพี่แอลไปอุ่นข้าวต้มมาให้” พี่แอลบอกผม ก่อนหันไปถามหมอภามที่ยืนอยู่ข้างเตียง “ต้องทายาให้น้องพีอีกไหมคะหมอภาม”

ทายา ?

ผมนึกไปถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนและยังคงเจ็บร้าวมาจนถึงตอนนี้ ช่องทางด้านหลังที่ถูกบุกรุกเข้าไปเป็นครั้งแรกและรุนแรง ผมจำความรู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจได้ เสียงกรีดร้องที่ปนไปกับอารมณ์ที่หลากหลายก็ยังแว่วอยู่ในหู ลมหายใจร้อนๆ ของคนตัวหนาและเสียงแหบพร่าที่กระซิบถ้อยคำนับร้อยนับพันอย่าง

การที่หมอภามอยู่ที่นี่คงเพราะถูกตามตัวมาให้ช่วยดูอาการผม แต่ทำไมต้องให้คนอื่นมาเห็นร่างกายผมในสภาพนี้ด้วย อยากประจานผมมากหรือไง

“รู้สึกยังไงบ้าง เจ็บอยู่ไหม” หมอภามก้มหน้าลงมาถาม ส่วนพี่แอลก็ลุกเดินออกไปนอกห้อง ตอนที่เธอเปิดประตู ไม่มีเสียงจากบุคคลข้างนอกแทรกเข้ามาเลย ...พาไปปลอบใจที่อื่นแล้วมั้ง

“...ไม่ครับ” ผมตอบเบาๆ ไม่กล้าสบตาหมอภามเท่าไรเพราะอายที่เขาเห็นตัวผมหมดแล้ว เขาต้องเห็นหมดแน่ๆ เพราะตอนนี้ผมอยู่ในสภาพที่มีแค่ผ้าห่มปิดร่างกาย และผมก็โกหก ความจริงคือผมยังเจ็บอยู่มาก ขยับตัวแต่ละทีก็เหมือนเนื้อตัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งตอนโดนกระชากตัวขึ้นไปตบ ตัวผมนี่ร้าวไปหมด น้ำตาเล็ดเลย แต่ก็คงสู้น้ำตาของพี่เลม่อนไม่ได้ คนที่ทำผมเจ็บไปทั้งตัวและหัวใจถึงได้แค่มองผ่านไป

“ถึงไม่เจ็บแต่หมอก็ต้องใส่ยาให้นะ” ว่าแล้วหมอภามก็ทรุดตัวลงนั่งข้างผมที่นอนคว่ำหน้าอยู่ จนผมต้องขยับตัวหนี แต่ก็เหมือนจะไม่พ้นเมื่อมือของหมอภามจะดึงผ้าห่มออกจากตัวผม

“ทำอะไร” น้ำเสียงเข้มจัดดังขึ้นมา หยุดมือของหมอภามไม่ให้กระชากเอาผ้าห่มออกจากตัวผมได้ทันเวลา

ผมเหล่มองนิดๆ ว่ามีใครตามหลังเขาเข้ามาอีกหรือเปล่า แต่ก็ไม่มี ไม่ใช่ว่าผมกลัวพี่เลม่อนกระโดดขึ้นเตียงมาตบผมอีกรอบหรอกนะ แค่ไม่อยากฟังความตอแหลของเจ้าตัวก็เท่านั้นเอง

“ดูแผลไง ก็เรียกให้มาดูไม่ใช่หรือไงวะ นี่ก็กำลังจะดูว่าต้องทายาเพิ่มหรือเปล่า”

“เดี๋ยวทำเอง”

“ก็ได้วะ” หมอภามหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงกับเพื่อนของตัวเองออกมาคำหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเป็นคำอะไร แต่เพื่อนหมอภามน่าจะรู้ ถึงได้ตอบรับเสียงห้วนออกมาสั้นๆ ว่า..

“เออ! มาก!!” ก่อนออกปากไล่เพื่อนตัวเอง “กลับไปได้แล้ว”

“เออๆ กลับก็ได้วะ หมดประโยชน์แล้วก็ไล่เลย” เจ้าตัวทำท่าจะลุกขึ้น แต่ผมคว้าแขนหมอภามไว้ คุณหมอผมยาวถึงยังไปไหนไม่ได้

“ผมไม่ให้เขาทำ” ...เขาที่ยืนหน้าตึงมองผมตาลุกวาวๆ “คุณหมอทำให้ผมหน่อยนะครับ” ผมไม่อยากให้เขามาแตะต้องร่างกายผมอีก สีหน้าหมอภามมีแววประหลาดใจหน่อยๆ มองหน้าผมแล้วเงยหน้าไปมองเพื่อนของตัวเอง แล้วก็หันกลับมาหาผม

“หมอว่าให้...”

“นะครับคุณหมอ” ผมมองตาคุณหมออย่างอ้อนวอน คุณหมอผมยาวยังไม่ทันตอบ สุ้มเสียงของบุคคลที่สามก็แทรกขึ้นมาซะก่อน

“คิดจะยั่วเพื่อนฉัน ?” ดวงตาสีราตรีกำลังขุ่นขวางบอกว่าเจ้าของมันกำลังโกรธ เขาเดินเข้ามาดึงไหล่หมอภามให้ลุกออกไป แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงมานั่งแทนที่

“จะยั่วใครก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ” ผมใช้สายตาแบบเดียวกันกับเขามองหน้าเขาอย่างไม่ยอมแพ้ คิดได้ยังไงว่าผมยั่วหมอภาม ผมไม่ได้ยั่วสักหน่อยก็แค่ประชดเขา และไม่อยากให้เขามาแตะต้องตัวผม ผมเกลียดเขา

...เกลียดที่เขาต้องดูแลพี่เลม่อนไปตลอดชีวิต

“อย่าประชดฉัน” ...เหอะ เพิ่งรู้หรือไงว่าผมประชด

“ทำไมผมต้องประชดด้วย ในเมื่อผมอยากจะยั่วมากกว่า” ผมเถียงไปอย่างเด็กที่ไม่ยอมแพ้ผู้ใหญ่

“งั้นเหรอ ? ลองยั่วอีกสักทีไหมล่ะ เหมือนที่ทำกับฉันเมื่อคืน” เขาขุดเอาเรื่องน่าอายตอนที่ผมถูกควบคุมด้วยฤทธิ์ของยาปลุกมาฟาดใส่หน้าผม มิหนำซ้ำยังยกเอาความหูเบาของเขามากล่าวหาผมซ้ำอีก “หรือจะทำแบบที่อ่อยไอ้เด็กสองคนนั่นข้างสระ แต่ที่นี่คงไม่ได้ เพราะไม่มีสระให้เธอกระโดดไปดูดปากกันต่อหน้าคนเป็นสิบๆ” ดวงตาของเขาเหมือนมีกองไฟท่วมอยู่

...คงเป็นเจ้าของรางวัลตอแหลดีเด่นที่เป่าหูเขามา แถมเขายังโง่ที่เชื่อมันด้วย

“หลงรูมันมากหรือไงถึงเชื่อทุกอย่างที่มันพูด หรือว่าเอามันเพลินเลยลืมสมองไว้ที่รูของมันจนหมด” ผมอดไม่ได้ที่จะใช้คำหยาบคาย มันทำให้เขาโกรธ แถมกระชากตัวผมขึ้นมาเผชิญหน้ากับสีหน้าเกรี้ยวกราดของเขาชัดขึ้น “โอ๊ยยย...ผมเจ็บนะ! ปล่อยผม!!” เขาบีบแขนผมแรงมาก

“ใครสั่งสอนให้พูดแบบนี้ห้ะ!” ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ

“ก็เมียคุณไง!!” ตะคอกมาผมก็ตะคอกกลับ แถมดังกว่าด้วย “เมียคุณมันใช้คำพวกนี้กับผมก่อน!”

“แล้วเธอต้องทำตามหรือไง”

“แล้วคุณเชื่อทุกคำของมันทำไมล่ะ มันพูดอะไรคุณก็เชื่อ ใส่ร้ายผมยังไงคุณก็เชื่อ ถามผมสักคำไหมว่าเป็นอย่างที่มันว่าไหม”

“.....” เขาไม่ตอบโต้ สลัดแขนผมทิ้งทันที ร่างสูงใหญ่ลุกยืนเต็มความสูงแล้วหันหลังให้ผม

“น้องยังเด็ก” หมอภามพูดเบาๆ

“เด็กบ้าอะไรวะ ยั่วโมโหกูทุกคำ”

“แล้วผู้ใหญ่ดีนักนี่ ฟังความแค่ข้างเดียว” ใครจะยอมให้มาว่าผมฝ่ายเดียว “หึ... เอาสมองไปไว้ในรูหมดก็แบบนี้แหละ”

“พี!!” เขาหันกลับมาตะคอก

“อะไร!! ผมพูดอะไรผิด!” ผมเชิดหน้าเถียง ไม่กลัวหรอกเพราะตอนนี้ไม่มีอะไรให้กลัวแล้ว เจ็บมากที่สุดก็ผ่านมาหมดแล้ว

“แล้วที่โกหกว่าไปทำรายงานบ้านเพื่อนแต่ไปโผล่ที่งานปาร์ตี้... คิดว่าผิดไหมห้ะพี! โกหกพ่อแม่ฉันมากี่ครั้งแล้วห้ะ!”

“.....” อันนี้ผมเถียงไม่ออก พอเป็นความจริง ผมก็ไม่มีอะไรไปโต้แย้งเขาได้

“ทำไมไม่เถียงล่ะพี เถียงมาสิว่าเมื่อคืนไม่ได้ไปนั่งกินเหล้า สูบบุหรี่ กระโดดไปนั่งบนตักผู้ชาย อ่อยเขาไปทั่ว!”

“ใช่! ผมเป็นแบบที่คุณว่าทุกอย่าง” เหมือนมีไฟมาสุมในอกผม ถึงบางเรื่องจะจริง แต่มันก็ไม่ได้จริงทุกเรื่อง ผมสูบบุหรี่ก็จริง แต่เหล้ากับนั่งบนตักผู้ชาย ผมไม่ได้ทำแต่ถูกบังคับต่างหาก เขาไม่เคยรู้อะไรเลย ฟังแต่คำพูดเมียตัวเอง “ผมกินเหล้า สูบบุหรี่ กระโดดขึ้นไปนั่งตักผู้ชาย เล่นยาเพื่อจะยั่วแฟนคนอื่น อยากอ้าขาให้ผู้ชายเอาใจจะขาดอยู่แล้ว แต่โดนจับได้ซะก่อน ถึงต้องมาอ้าขาให้คุณแทนไง!!”

“.....” เขาขบกรามจนขึ้นสันชัดเจน ยิ่งเห็นเขาโกรธ ผมก็ยิ่งรู้สึกชนะ แม้ว่าชัยชนะจะมาจากการด่าว่าตัวเองให้เหลวแหลกในสายตาของเขาก็ตาม

“ผมมันร่านเหมือนที่เมียแสนดีของคุณด่านั่นแหละ ตอนนี้ผมก็เลยอยากจะอ้าขาให้เพื่อนคุณด้วยอีกคนไง” ประชดให้สุดไปเลย

“คนเดียวมันไม่พอใช่ไหมพี” เขากัดฟันถามโกรธๆ ไม่รู้ว่าเขาเชื่อได้อย่างไรว่าผมจะทำแบบนั้นจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ เขาเชื่อไปแล้วว่าผมเป็นเด็กไม่ดี งั้นก็จงเชื่อไปเถอะ ผมไม่สนใจคนโง่ๆ อีกแล้ว

“ใช่!! ช่วยหาให้ผมหน่อยสิ คุณหาเก่งอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“พี!”

“ทีคุณยังเอาคนอื่นไปทั่วได้เลย ทำไมผมจะทำบ้างไม่ได้” ผมยิ้มเยาะในความมากตัณหาของเขา “สงสารเมียคุณเนอะ ไม่รู้ว่าต้องเจ็บมืออีกกี่ครั้งเพราะมีผัวแบบคุณ”

“อย่าปากดีพี”

“ไปบอกเมียคุณนู่น ปากอย่างตอแหล ส่วนคนที่เชื่อก็โง่เหมือนไม่มีสมอง อ้อ...ลืมไป สมองมันลงไปอยู่ในรูหมดแล้ว” ผมเริ่มสนุกที่ได้ด่าเขาให้หายแค้นใจ ในเมื่อไม่ดีต่อกันก็ให้แตกหักไปซะเลย

“.....”

“ใจเย็นๆ” หมอภามตบไหล่เพื่อน

“เออ! กูกำลังทำอยู่”

“หึ...” ผมแกล้งหัวเราะเบาๆ เขาก็แค่เหลือบตามอง กัดฟันกรอดๆ แต่ไม่ตอบโต้อะไรออกมา คงพยายามใจเย็นอย่างที่บอกกับหมอภามไป ดีเหมือนกัน ผมก็ไม่อยากพูดคำหยาบเหมือนกัน เหนื่อยที่จะต้องใส่ร้ายตัวเองด้วยแหละ การด่าว่าตัวเองให้ต่ำต้อยด้อยคุณค่าไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลยสักนิด นอกจากความสะใจเพียงชั่วคราว

ห้องเงียบกริบ ไร้คำพูด มีเพียงเสียงของความขุ่นเคืองตลบอบอวลไปหมด จนกระทั่งผู้หญิงเพียงคนเดียวในเพนต์เฮ้าส์เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับถ้วยที่มีควันลอยสูงกับกลิ่นหอมที่บอกได้ว่าอาหารอะไรอยู่ในนั้น กลิ่นหอมแบบนี้ก็มีแค่...ข้าวต้มแหละ

“เอามาให้ฉัน แล้วก็ไปทำงานของเธอต่อ มีอะไรที่ฉันต้องเซ็นก็ให้ลดาเอามาให้ฉันละกัน”

ลดาคือผู้ช่วยของพี่แอล

“ค่ะบอส” พี่แอลรับคำของเจ้านายตัวเองแล้วก็ยื่นถ้วยข้าวต้มในมือให้ ก่อนหมุนตัวและเดินเร็วๆ ออกจากห้องไป เจ้าตัวคงรีบกลับไปทำงานด้วยแหละ ผมว่านะ

“หมอ... มึงก็กลับได้แล้ว” เขาเดินเอาถ้วยมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วหันไปบอกเพื่อนตัวเอง

“แน่ใจ ?”

“อืม”

“ใจเย็นๆ ละ”

“เออ!” ได้คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ของเพื่อนตัวเองแล้ว หมอภามก็หันมายิ้มลาผมนิดหนึ่ง แต่ก็ถูกสายตาเจ้าของห้องมองอย่างเคืองๆ ก่อนที่จะก้าวตามพี่แอลออกไปอีกคน

.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 17 (11-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 11-11-2018 21:38:36
.

.

.

.


ทั้งห้องก็เหลือแค่ผมกับเขา

เงียบสนิท

เขาจ้องหน้าผม ผมจ้องหน้าเขา

“กิน... จะได้กินยา” สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง

“ไม่” ...หิวนะ แต่ไม่อยากทำตามคำสั่งเขา เพราะผมยังอยากทำสงครามกับเขาต่อ เอาให้แตกหัก เอาให้สาสมกับความคับแค้นใจของผม

“ต้องการอะไรพี” เขาเค้นเสียงถาม อดกลั้นอย่างมากที่จะไม่ตะคอกใส่หน้าผม

“ไม่หิวไง ก็เลยไม่กิน จะให้ผมต้องการอะไรล่ะ” ในเมื่อสิ่งที่ผมต้องการจากคุณ ผมไม่เคยได้มันเลยสักครั้ง


“ต้องให้บังคับใช่ไหมพี เอาอย่างนั้นก็ อย่าหาว่าฉันใจร้าย” ว่าแล้วเขาก็ทรุดตัวลงนั่ง ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็คงจะเอาข้าวต้มกรอกปากผมนั่นแหละ เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเอายากรอกปากผม

หึ... นึกหรือว่าผมจะยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบคืนนั้นอีก

ผมอาศัยจังหวะที่เขายังไม่ทันจะเอื้อมไปหยิบถ้วยข้าวต้ม มือผมก็ชิงตัดหน้าเขาเสียก่อน แบบเฉียดฉิวเลย เขาคงคิดว่าผมกลัวคำขู่เลยรีบหยิบข้าวต้มมากิน แต่เขาคิดผิด รอยยิ้มของเขาอยู่บนใบหน้าได้ไม่กี่วินาทีก็เลือนหาย เมื่อวินาทีนั้นผมเทข้าวต้มลงพื้นพรมข้างเตียงต่อหน้าเขา เขายกเท้าหนีข้าวต้มร้อนๆ แทบจะทันที

ผมจ้องตาเขาอย่างผู้ชนะ ก่อนจะวางถ้วยที่ว่างเปล่าลงที่เดิม

“อิ่มแล้ว” ผมยิ้มแบบกวนอารมณ์ของเขาที่สุด ใบหน้าคมเข้มถึงได้กระตุกอย่างนั้น เห็นแล้วสะใจเป็นบ้า!

“ยั่วฉันพอหรือยัง”

“ยัง...” ผมยิ้ม เอียงหน้าน้อยๆ ตั้งใจยั่วอารมณ์ของเขาสุดฤทธิ์ “...แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะยั่วอะไรคุณอีก ขอคิดก่อนนะ” รู้แล้วว่าจะทำอะไร ผมหันไปหยิบซองยาที่อยู่บนโต๊ะ น่าจะเป็นยาที่หมอภามจัดไว้ให้กินแก้อาการปวดร้าวตามร่างกาย มีตั้งหลายเม็ด ผมแกะเอายาออกมาโยนทิ้งทีละเม็ด ตาก็จ้องหน้าเขาอย่างท้าทาย ไม่มีเกรงกลัวแววตาที่ดุดันขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยาเม็ดสุดท้ายตกไปบนพรมที่เต็มไปด้วยเม็ดข้าว

ต่อให้ยาพวกนี้จะช่วยให้ผมหายจากอาการปวดร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะส่วนล่างด้านหลัง ตรงช่องทางที่ผมจินตนาการเอาเองว่ามันต้องบวมช้ำมากแน่ๆ เอาตรงๆ คือผมนึกไปถึงสภาพของพี่เลม่อนตอนที่เขาส่งรูปมาให้ผมดู... รูปช่องทางบวมเป่งนั่นแหละ

“ไม่อยากหายสินะ” เขาถาม ริมฝีปากเหยียดยิ้ม ดูเจ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล ยิ้มแบบนี้ทีไร ผมรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไรบอกไม่ถูก “อยากยั่วฉันแบบเมื่อคืนงั้นเหรอ ?”

คิดได้ไง!

ผมอยากยั่วเขาน่ะใช่ แต่ไม่ใช่อยากยั่วให้เขาเอาร่างหนาๆ ขึ้นมาบนเตียงเพื่อคุกคามผมหรอกนะ

“อยากได้อะไรครับ...น้องพี” เน้นย้ำตรงชื่อผมด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “อยากให้คุณยะทำอะไร” ไม่ทันไรเขาก็เอาร่างกายแข็งแกร่งและหนากว่าขึ้นมาคร่อมอยู่เหนือร่างกายผม ดันตัวผมให้นอนหงายลงไปบนเตียงนอนนุ่ม

“ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น!” ผมหันหน้าหนีสายตาเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ จะพลิกตัวหนีก็ไม่ได้เพราะขยับแต่ละทีมันร้าวไปหมด จนไม่อยากจะขยับตัวไปไหนเลย

“พูดกับผู้ใหญ่ก็ต้องสบตาด้วยสิครับน้องพี” เขาเอื้อมมาจับใบหน้าผมให้หันกลับไปสบตาเป็นประกายวิบวับของเขา “เมื่อคืนทำตัวน่ารักกว่านี้นะ”

“ก็เมื่อคืนผมโง่ไง”

“ลองโง่อีกสักครั้งดีไหม ?” พร้อมกับปลายจมูกโด่งที่ลดตัวลงมาคลอเคลียบนแก้มขวาของผม ก่อนจะกดลึกลงมาจนรู้สึกเจ็บ... แต่ก็เป็นความรู้สึกเจ็บที่มาพร้อมหัวใจที่เต้นรัวแรง

“.....” ผมกลั้นหายใจแทบตายตอนที่ริมฝีปากอุ่นจัดทำหน้าที่แทนจมูก ผิวแก้มข้างที่ถูกสัมผัสร้อนวูบขึ้นมาทันที จากนั้นความร้อนก็แผ่กระจายไปทั่วใบหน้า

“แก้มแดงหมดแล้ว” เขาพูดแล้วยิ้มอ่อนโยน แบบที่ทำหัวใจผมสั่นไปหมด

...ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ

เมื่อกี้ผมกับเขายังทะเลาะกันแทบตาย ร้อนเป็นไฟกันทั้งคู่ แต่พอเขาทำท่าเหมือนจะคลุกวงในผมอย่างในตอนนี้ หัวใจผมกลับพ่ายแพ้ จากร้อนเป็นไฟก็กลายเป็นสายลมอ่อนๆ และมีกลิ่นหอมหวานอย่างประหลาด ผมจำกลิ่นนี้ได้ มันคือกลิ่น... ความรัก

เวลาที่ผมกลับมารักเขา ผมจะรู้สึกว่ามีกลิ่นนี้โอบล้อมอยู่รอบตัว มันจะฟุ้งอยู่เต็มหัวใจของผม

“น้องพีครับ...” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อผม ดวงตาสีราตรีอ่อนโยนจนไม่อยากละสายตาจากไปไหน ไม่ว่ากี่ครั้งผมก็พ่ายแพ้ให้เขา ยิ่งเขาเรียกชื่อที่ผมอยากให้เขาเรียก ผมก็ยิ่งอ่อนยวบไปทั้งตัวทั้งหัวใจ

“...อะ” เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกมาจากคอผมอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเขากระชากผ้าห่มออกจากตัวผมไป ก่อนแทรกตัวเข้ามานั่งกลางเรียวขาทั้งสองข้างของผม ดึงสะโพกให้ลอยไปกองบนหน้าขาแข็งแกร่งในเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็นุ่มนวลแบบที่ไม่ทำให้ร่างกายผมแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่กลับหลุดครางออกมาเพราะสะโพกของผมสัมผัสเข้ากับความร้อนผ่าวใต้กางเกงทำงานของเขา

...ความร้อนผ่าวที่ติดจะแข็งแกร่งนั้น ดึงผมกลับไปยังเรื่องราวเมื่อคืน ภาพย้อนกลับไปถึงความยิ่งใหญ่ที่ทำเอาเผลออยากร้องโฮออกมาดังๆ แต่ติดที่ว่าฤทธิ์ยาทำให้ผมต้องอ้าขามากกว่าจะหุบขาหนี

“อึก...คุณยะ...”

“ครับ” เสียงขานรับนั้นอ่อนหวานแต่การกระทำของเขากำลังกลั่นแกล้งผม

“ยะ...อย่า...อึก...อย่าจับ...อะ...”

ส่วนอ่อนไหวของผมตกอยู่ในอุ้งมือร้อนจัด และมันกำลังถูกบีบนวดเบาๆ

“...อึก...ปล่อย...อื้อออ...”

ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อย เขายังลดตัวลงมาหาผม แนบริมฝีปากร้ายกาจเข้ามาครอบครองกลีบปาก... อย่างนุ่มนวล แบบที่ผมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ถ้าเขาบดเบียดลงมาอย่างรุนแรง ผมคงจะดิ้นจนสุดแรงเพื่อต่อต้านไม่ให้เขาเอาปากของผมไปเป็นของเขา แต่เพราะทุกอย่างมันนุ่มนวลไปเสียหมด ผมถึงได้แต่ขยับริมฝีปากต้อนรับเขาให้เข้ามา โอบกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้ราวกับไม่อยากให้เขาจากไปไหน

...ผมอาจเป็นคนขี้ลืม

แค่ได้รับความอ่อนหวานจากคนคนนี้เพียงน้อยนิดก็ลืมทุกความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น ปล่อยให้ความรู้สึกรักควบคุมทุกการกระทำของตัวเอง ปล่อยตัว ปล่อยใจ ปล่อยไปกับความอ่อนโยนของเขาคนนี้ คนที่กำลังครอบครองทุกลมหายใจของผม ทำให้ตัวผมไม่ใช่ของผม

“อยากให้คุณยะทำอะไร” ดวงตาสีราตรีหวานฉ่ำหวานชวนมอง ยิ้มของเขาน่าหลงใหล ทำให้ความรู้สึกของผมยิ่งฟุ้งกระจาย สติเลือนราง และในที่สุดผมก็เอ่ยคำน่าอายออกมา

“ขะ...เข้ามา...” เมื่อคืนผมก็พูดคำนี้เพราะฤทธิ์ยา ทว่าตอนนี้ผมพูดออกมาจากความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นด้วยความอ่อนโยนของเขาและหัวใจที่ยังคงเต็มไปด้วยความรักของเด็กโง่ๆ คนหนึ่ง “น้องพีต้องการ...คุณยะ” เขาที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ กล้าเกินเด็ก ทำให้ผมเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งก็ทำให้ผมเกลียดเขาจนไม่อยากมองหน้า แต่ก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่ทำให้หัวใจของผมอิ่มเอมและโหยหาไปพร้อมกัน

...ผมอยากได้เขา ไม่อยากแบ่งเขาให้ใคร และไม่อยากให้เขาเป็นของคนอื่น นอกจากเป็นของผมคนเดียว

“น้องพีจะเจ็บ” เขายิ้มหวานเอาใจ ลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยน และมอบทางเลือกเดียวให้ผมตัดสินใจ “ทนได้ไหม”

“ทนได้...” ไม่รู้ว่าได้จริงหรือเปล่าแต่ก็จะลองทน เพราะผมต้องการเขา ต้องการเขามากจริงๆ

“แต่น้องพีต้องบอกคุณยะมาก่อน... ว่าเมื่อคืนใครทำให้น้องพีเป็นแบบนั้น” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลไม่ต่างจากดวงตาสีราตรีที่ทอดมองลงมาหาผม “มีใครบังคับให้น้องพีกินยาหรือเปล่า คุณยะขอความจริง ไม่เอาเรื่องประชด”

พอเขาถามมาแบบนี้ แสดงว่าเขาก็ยังเหลือพื้นที่ไว้ให้ผมได้แก้ตัว

“น้องพีไม่ได้เป็นอย่างที่พี่เลม่อนว่า...ฮึก...เขาใส่ร้ายน้องพี” ขอบตาผมร้อนผ่าวไม่ต่างจากอุณหภูมิในร่างกายที่ไต่ขึ้นสูงจากสัมผัสของร่างกายหนาที่โอบกอดและดึงผมขึ้นไปนั่งบนตักเขา ผมดีใจที่เขาอยากฟังความจริงจากปากของผมบ้าง “แฟนของเพื่อนเขาบังคับให้น้องพีดื่มเหล้า น้องพีไม่อยากดื่มแต่เลี่ยงไม่ได้ แล้วน้องพีก็ไม่รู้ว่าในเหล้ามียา... คุณยะเชื่อน้องพีนะ”

“คุณยะเชื่อครับ” เขาตอบมาแบบนี้ ผมก็ยิ้มออกมาได้ แต่ก็ยังมีคำถามตามมา “แล้วทำไมถึงไปงานแบบนั้น”

“ก็เพื่อนชวน”

“ต่อไปไม่ต้องไปไหนกับใครอีก ทำให้คุณยะได้ไหมครับ...คนดี”

‘คนดี’ เหรอ ?

เมื่อคืนคุณยะก็เรียกผมแบบนี้ ผมไม่ใช่เด็กแล้วใช่ไหม

“ได้ครับ” ผมได้รางวัลเป็นจุมพิตหวานๆ บนแก้มสองข้าง

“แล้วบุหรี่... เลิกให้คุณยะได้ไหม อย่าไปยุ่งกับมันอีก” คุณยะถามต่อ มืออุ่นจัดของเขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของผมไปด้วย บางครั้งก็เลื่อนลงไปเกือบถึงสะโพก “คุณยะอยากให้ปากของน้องพีน่าจูบแบบนี้ไปตลอด รู้ไหมว่าปากแดงๆ ของน้องพีน่าจูบมากแค่ไหน” หลังคำพูดนั้น ริมฝีปากก็เคลื่อนเข้ามาแตะที่กลีบปากผมเบาๆ ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามา

“เลิกได้ใช่ไหม” 

“ครับ” ผมพยักหน้า เขาอยากให้ทำอะไรผมก็จะทำ แต่ผมก็อยากขอให้เขาทำเพื่อผมบ้างเหมือนกัน “แล้วคุณยะทำให้น้องพีบ้างได้ไหม”

“อยากให้คุณยะทำอะไร”

“เลิกกับพี่เลม่อน”

“จะเลิกได้ยังไงก็คุณยะไม่ได้คบกับเขา”

“แต่...” ผมแปลกใจกับคำตอบที่ได้ จะท้วงว่าที่พี่เลม่อนมาด่าผมปาวๆ ขนาดนั้นก็เพราะตัวเขามีสิทธิ์ที่จะด่าคนที่มาแย่งคนของตัวเองไปไม่ใช่หรือไง แถมคุณยะก็ยังยอมรับด้วยว่าพี่เลม่อนเป็นเมียของตัวเอง แล้วยังต้องดูแลกันไปตลอดชีวิตอีก แต่คุณยะก็ส่ายหน้าให้ผมหยุดคำพูดของตัวเองไปเสีย

“เมื่อก่อนหัวใจของคุณยะยังอยู่ตรงนี้” เขาดึงมือผมที่วางอยู่บนต้นคอเขาลงมา จับมาวางไว้บนอกซ้าย ภายใต้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งคือก้อนเนื้อที่กำลังเต้นไหว ผมสัมผัสกับจังหวะการเต้นของมันได้อย่างชัดเจน “...แต่ตอนนี้มันไปอยู่ตรงนี้แล้ว” ตรงที่คุณยะพูดถึงไม่ได้ไกลไปจากหัวใจของคุณยะเท่าไร ระยะทางมันไกลก็แค่เริ่มจากร่างกายแข็งแกร่งจนถึงอกซ้ายของผม

...คุณยะกำลังหลอกผมหรือเปล่า แต่สายตาของเขาที่จ้องเข้ามาในดวงตาของผมดูจริงใจอย่างที่สุด เหมือนเขาพูดมาจากหัวใจ จากความรู้สึก ไม่ใช่คำปั้นแต่งเพื่อหลอกเด็กโง่ๆ อย่างผมหรอก

“น้องพีเชื่อคุณยะไหม” เขายิ้ม มืออุ่นๆ ยังวางทาบทับอยู่บนหลังมือของผมที่วางอยู่บนก้อนเนื้อที่เต้นรัวแรง

“เชื่อครับ” เวลาที่เขาทำดีกับผม ใจดีกับผม มองผมด้วยสายตาหวานซึ้ง มีหรือที่ผมจะไม่เชื่อทุกคำพูดของเขา ลืมไปแล้วว่าคุณยะที่แสนใจดีที่อยู่ตรงหน้าเคยร้ายกาจกับหัวใจผมอย่างไร ผมไม่จำและผมเลือกจะลืมมันไปเสมอ

“คุณยะรักน้องพีนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถ้อยคำที่ผมเฝ้ารอออกมา ดวงตาของเขายิ้มไม่ต่างจากริมฝีปาก จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม หวานซึ้งจนผิวแก้มของผมร้อนจัด หัวใจเต้นแรงและคล้ายจะหลุดออกมาจากอก

“น้องพีก็รักคุณยะ” ผมบอกเขาบ้าง ซึ่งผมก็เคยบอกรักเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง ต่างกันแค่ตอนนี้สติผมไร้ความมึนเมาครอบงำ “เป็นแฟนกับน้องพีนะครับ” ผมขอเขา อย่างน้อยสถานะของผมกับเขาจะได้ชัดเจนขึ้น ผมคงไม่ได้แก่แดดเกินไปใช่ไหม คงไม่หรอกเนอะเพราะวัยรุ่นแบบผมก็มีแฟนกันออกเยอะแยะ

“ข้ามไปเป็นอย่างอื่นเลยได้ไหม” เขาถาม ยิ้มล้อผมด้วย เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขำ “เป็นแฟนมันเด็กไป”

คำว่า ‘แฟน’ อาจจะเด็กไปอย่างที่เขาว่าก็ได้ เพราะคุณยะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาอายุมากกว่าผมไปตั้งกี่ปีล่ะ สิบหกปีเลยนะ แต่จะให้เรียกแบบพี่เลม่อนเรียก ผมก็ไม่เอาหรอก

“น้องพีไม่เรียกคุณยะว่า...” ผมลดเสียงลงก่อนเอาคำสุดท้ายออกมา “... ‘ผัว’ หรอกนะ” เพราะมันดูหน้าไม่อายเกินไป แล้วผมก็ยังเด็กอยู่ เรียนยังไม่จบมอปลายเลยด้วยซ้ำ

“ทำไมครับ ไม่ชอบเหรอ” เขาหัวเราะ มองผมอย่างเอ็นดู

“ไม่ได้หน้าด้านเหมือนพี่เลม่อนนี่นา” พูดถึงเจ้าของชื่อแล้วก็แอบสะใจนิดๆ ที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรกับคุณยะ หมายถึงความสัมพันธ์ทางใจนะ ส่วนร่างกายผมจะลืมๆ ไปก็ได้ เพราะคุณยะก็มีคู่ควงคู่นอนออกเยอะแยะ แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้เขาไปนอนกับใครอีกแล้ว นอกจากผมคนเดียว!

“ไม่พูดถึงคนอื่นนะครับ พูดแค่เรื่องของเราสองคน” เขาเอ่ยห้าม เหมือนยังอยากปกป้องไม่ให้ถูกพูดถึงในแง่ร้าย

“ทำไมน้องพีจะพูดไม่ได้” เสียงเริ่มขุ่น หน้าก็คงงอได้ที่แล้วเหมือนกัน อารมณ์พร้อมชวนทะเลาะเต็มที่ “น้องพีแตะต้องคนของคุณยะไม่ได้หรือไงครับ ไหนบอกว่าหัวใจของคุณยะเป็นของ...น้อง...อื้ออ...” วิธีหยุดเรื่องชวนทะเลาะของเขาคือประทับริมฝีปากของตัวเองบนกลีบปากผม สัมผัสอ่อนโยนก่อนจะเร่งเร้าให้ผมตอบรับ อนุญาตให้เขานำลิ้นแสนชำนาญของผู้ใหญ่เข้ามาภายใน กวาดต้อนให้ผมหลงลืมความขุ่นมัวในหัวใจ ผลักให้ผมตกลงไปในรสชาติของความรักที่หลอกล่อเด็กน้อยได้เสมอ

และกว่าริมฝีปากของผมจะถูกปล่อยเป็นอิสระก็เหนื่อยเพราะรสจูบของเขาจนตัวอ่อนปวกเปียก

“อยากให้คุณยะเข้าไปอยู่ไหม” เขาเปลี่ยนเรื่องที่ทำให้แก้มผมร้อนจัดยิ่งกว่ากองไฟ จากนั้นก็ลุกลามไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะส่วนอ่อนไหวที่เริ่มมีอารมณ์มาก่อนหน้านี้แล้ว (ตอนโดนจูบผมก็เริ่มมีอารมณ์) รวมทั้งช่องทางด้านหลังของผมด้วย

“.....” ไม่กล้าพูดแต่ความรู้สึกของผมมันต้องการเขา ผมใช้สายตาแทนคำตอบ มองหน้าเขาอายๆ มือทั้งสองข้างยกขึ้นไปประคองแก้มซ้ายแก้มขวาของคนตรงหน้า กระซิบบอกสิ่งที่น่าจะทดแทนกันได้ “...น้องพีรักคุณยะ” ซึ่งคนฟังก็เข้าใจ เขายิ้มออกมาอย่างถูกอกถูกใจ

“ไปที่ห้องทำงานนะครับ ห้องนี้เหม็นข้าวต้มที่เด็กดื้อทำหก” เขาพูดกระเช้า ดวงตาเป็นประกายเย้าหยอกแต่ก็แฝงอารมณ์ความต้องการในแบบเดียวกับผม

“ครับ” ผมก็ได้แต่ทำหน้าเอียงอาย แล้วพยักหน้ายินยอม มองเขาที่ดึงผ้านวมจากปลายเตียงขึ้นมาห่อคลุมตัวผม จากนั้นก็ช้อนตัวขึ้นมาอุ้มลงจากเตียง พาออกไปนอกห้องก่อนจะเลี้ยวไปยังห้องทำงาน ขนาดของห้องเล็กกว่าห้องนอนของคุณยะแต่ก็ถือว่ายังกว้างอยู่มาก

คุณยะอุ้มพาผมไปตามความมืดสลัวภายในห้องที่มีเพียงแสงของค่ำคืนผ่านเข้ามาทางผนังกระจกใสทั้งสองด้าน ทอดตัวลงมาตกกระทบโซฟาเบดหนังสีเทาเข้มและเขาก็วางผมลงไป ผมสะดุ้งนิดๆ ตอนสะโพกจมลงไปกับความนุ่มของโซฟา

“เจ็บมากไหม” เขาถาม ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าผม “ไหวหรือเปล่า”

“ไหวครับ...” ผมตอบอายๆ “...อยากให้คุณยะกอดน้องพี” เพราะผมอยากถูกเขาสัมผัสและจำช่วงเวลานั้นให้ได้มากกว่าเหตุการณ์เมื่อคืน

“คุณยะไม่อยากรังแกน้องพีเลย” พูดเหมือนอยากจะเปลี่ยนใจ

“ไม่เอา!” ผมร้องงอแงเอาแต่ใจทันที “น้องพีไหว น้องพีอยากให้คุณยะเข้ามา” ความอายก็ยังมีอยู่แต่กลัวจะไม่ถูกกอดมากกว่า เฮ้อ... ผมนี่น้า เป็นเด็กที่แก่แดดจริงๆ

คนฟังถึงกับขำ แววตาเขาเป็นประกายวิบวับเล่นกับแสงจันทร์ที่สาดเข้ามา ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่น่าอายไม่ต่างจากผมเลย

“คุณยะก็อยากเข้าไปในตัวน้องพีครับ” ร่างหนาขยับกายเข้ามานั่งตรงกลางระหว่างเรียวขาทั้งสองข้างของผม มือขวาของเขาจับเรียวขาของผมยกขึ้นจนผมต้องเท้ามือไปด้านหลัง เพื่อไม่ให้ตัวเองหงายหลังลงไป ส่วนเขาก็แนบริมฝีปากอุ่นจัดบนต้นขาด้านในเบาๆ

...เบาเสียจนผมสะท้านและอยากได้มากกว่านั้น

“อะ...คุณยะ...อึก...น้องพี...ยะ...อยาก...” คำพูดของผมมันขาดๆ หายๆ ตามอารมณ์ที่สะท้านสะเทือนจากภายใน

“อยากอะไรครับ...คนดี” เสียงทุ้มติดจะหยอกเย้าดังลอดออกมาจากริมฝีปากที่ยังจูบซับลงบนผิวเนื้อต้นขาด้านในอยู่อย่างนั้น... ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หรือว่าอยากให้คุณยะรักน้องพีตรงนี้” ริมฝีปากร้ายกาจเคลื่อนตัวขึ้นสูงอีกนิด ตรงที่คุณยะพูดคือส่วนอ่อนไหวที่ชูชันพองโตท้าทายสายตาของคนตรงหน้า

“อึก...คะ...ครับ...อ่าาาา...” ความอุ่นร้อนและชื้นแฉะที่โอบรัดความอ่อนไหวที่พองโตของผมเอาไว้เกือบทั้งหมด ทำเอาผมสะท้านไปทั้งตัว เสียงครางเครือหลุดลอดออกมาจากคออย่างน่าอาย ความเสียวซ่านแล่นลิ่วจากกึ่งกลางตัวกระจายไปทั่วร่างกาย แขนผมสั่นระริกหมดแรงจะแบกรับน้ำหนักตัวของตัวเองได้ จนต้องทิ้งแผ่นหลังให้จมลงไปกับความหนานุ่มของโซฟาสีเข้ม หลักยึดเดียวที่จะฉุดรั้งผมไม่ให้ขาดใจคือผมเส้นหนาของคุณยะที่ผมกำไว้เต็มแรงที่มี

ผมรู้สึกดีกับสิ่งที่คุณยะปรนเปรอมาให้ มันมากกว่าที่มือของผมทำเอง ยิ่งไม่ถูกกระตุ้นด้วยยาผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเก็บความสุขสมได้มากเหลือเกิน สุดท้ายสมองผมก็พร่ามัว แตกกระจาย ทุกอย่างรอบตัวผมมันพร่างพรายไปด้วยความสุขที่ถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งกระตุกก่อนปลดปล่อยสายน้ำสีขาวข้นออกมาในเวลาอันรวดเร็ว 

“...อ้ะ...อ๊าาา” เหนื่อยจนหัวใจกระเด็นกระดอนคล้ายจะทะลุออกมาจากอกเสียให้ได้

“คนดี...” ร่างหนาขยับกายขึ้นมาคร่อมทับ ใบหน้าหล่อเหลาแต้มรอยยิ้มโน้มลงมาใกล้ เพื่อให้ริมฝีปากของเขากับผมได้แนบชิดกัน ผมเปิดริมฝีปากออกต้อนรับเรียวลิ้นของอีกฝ่าย ที่มาพร้อมกับความชื้นแฉะของของเหลวบางอย่าง กลิ่นของมันคลุ้งกระจายและรสชาติที่ไม่น่าลิ้มลองเลยสักนิด

แม้จะมองไม่เห็นว่าคุณยะบีบบังคับอย่างอ้อมๆ ให้ผมกลืนรสชาติของอะไรลงไป แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“ของน้องพี” คำพูดที่ทำให้ผมอาย

“รู้แล้ว” ผมตอบไปอย่างอายๆ เมื่อปากของตัวเองเป็นอิสระ

“มีความสุขไหมครับคนดีของคุณยะ” เขาทิ้งตัวลงมานอนข้างกายผม จับตัวผมพลิกให้แผ่นหลังแนบไปกับแผ่นอกที่แสนอบอุ่นของเขา เราสองคนนอนหันหน้าออกไปนอกห้อง ผ่านกระจกใสที่ไร้ผ้าม่านบดบังสายตาจากท้องฟ้ายามที่มีเพียงแสงจันทร์กับแสงไฟลิบลับ

“มีครับ” มีมากๆ ด้วย โคตรของโคตรมีความสุข “น้องพีรักคุณยะ”

ยิ่งพูดผมก็ยิ่งรู้สึกรักเขา เจ้าของอ้อมกอดที่อบอุ่น เจ้าของริมฝีปากที่แนบสัมผัสนุ่มนวลลงมาบนขมับของผม

“อยากอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต” ผมหมายถึงได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาไปจนวันที่ผมหยุดหายใจ “คุณยะอย่าทิ้งน้องพีไปไหนอีกนะครับ อยู่กับน้องพี เป็นของของน้องพีไปตลอดชีวิตเลยนะครับ” ผมอ้อนขอ ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของคนคนนี้มีมานานแล้ว ตั้งแต่ที่เขาอยู่ในจอสี่เหลี่ยม อยู่ในที่ที่ผมเอื้อมไปไม่เคยถึง

“คุณยะจะไม่ทิ้งน้องพีไปไหน น้องพีก็ต้องอยู่กับคุณยะไปตลอดชีวิตเหมือนกันนะ” เขากระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นขึ้น ความอ่อนโยนแสนหวานประทับลงมาบนไหล่เปลือยของผมเบาๆ

“ครับ น้องพีจะอยู่กับคุณยะไปตลอดชีวิต” ไม่มีทางที่ผมจะไปจากเขา ต่อให้ผมเคยรู้สึกว่าไม่อยากเห็นหน้าเขา อยากหนีเขาไปสุดขอบฟ้า แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันจากไปแล้ว ราวกับว่าครั้งหนึ่งหรือหลายๆ ครั้งผมไม่เคยรู้สึกเกลียดเขาเลย

“คนดี...” เสียงกระซิบแผ่วเบาชิดอยู่กับผิวแก้ม ลมหายใจร้อนจัดเป่ารดลงมา ร่างกายหนาขยับแนบแน่น ความแข็งกร้าวเบื้องล่างรุนแรงและเรียกร้อง “...ยังต้องการคุณยะอยู่ไหมครับ”

ถ้าให้ผมเดาหรือไม่ต้องเดาก็ได้ เรียกว่าเรียนรู้จากสิ่งที่เห็นและรับรู้มาตลอด ผมว่า... คุณยะน่ะเป็นผู้ชายที่ห่างจากเรื่องบนเตียงไม่ได้ เขาต้องเป็นคนประเภทมีความต้องการสูงมากแน่ๆ

“คุณยะได้คำตอบไปตั้งนานแล้วนะครับ” ผมหันกลับไปจ้องดวงตาคมระยับที่ต้องแสงจันทร์อันน้อยนิด มองเขาด้วยสายตาเชิญชวนให้เขาทำอะไรกับผมก็ได้ เพราะทั้งตัวและหัวใจของผมเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

...ความรู้สึกของผม ร่างกายทุกอย่างของผม ไม่ได้เป็นความลับสำหรับเขาอีกแล้ว

“จะ...ไปไหนครับ” ผมดึงแขนเขาไว้ตอนที่เขาขยับตัวลุกขึ้น

“ไป...” เขาโน้มตัวลงมา กระซิบบอกเสียงเบาอย่างเจ้าเล่ห์ ไม่รู้ว่าจะกระซิบทำไมก็อยู่กันแค่สองคนเอง “...หาตัวช่วยให้น้องพีกินคุณยะให้ง่ายขึ้นครับ”

“ไปเลย!” เขาชอบทำให้ผมอาย

ถึงผมจะเด็กแต่ก็ไม่ได้เด็กมากจนไม่รู้ว่า ‘ตัวช่วย’ คืออะไร ยิ่งคำว่า ‘กิน’ ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิดว่าคือแบบไหน

แล้วทั้งห้องก็เหลือผมกับลมหายใจร้อนผ่าวของตัวเอง ผมหันหน้าไปมองท้องฟ้าสีราตรีที่ประดับด้วยแสงจันทร์อีกครั้ง มันสวยเหมือนดวงตาของคุณยะเลย แล้วผมก็ยิ้มให้มัน ผมรักค่ำคืนนี้ที่สุดเพราะมันเต็มไปด้วยความสุขกว่าช่วงเวลาไหนที่เคยผ่านมา ผมได้ฟังคำบอกรักของคุณยะ ดีใจที่เขารักผมเหมือนที่ผมรักเขา

...รักๆๆๆๆ

คำเดียวที่กรีดร้องกึกก้องในหัวใจของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง

.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 17 (11-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 11-11-2018 21:42:46
.

.

.

.


ไม่นานนักเสียงฝีเท้าของเจ้าของห้องก็ก้าวเข้ามา เขาทรุดตัวลงนั่งข้างหลังผม พอผมขยับตัวกลับไปหา เขาก็ดึงผมให้ลุกขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักเขา เวลานี้ร่างกายแข็งแกร่งของคุณยะมีเพียงเสื้อคลุมสีเทาเข้มคลุมทับ ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงทำงานเหมือนเมื่อกี้แล้ว

“หึหึ...แก่แดด” เขาหัวเราะแก้มหยอกล้อผม ตอนที่ผมดึงปมเชือกรัดเอวที่ผูกไว้ให้คลายออกจากกัน เปิดเผยให้เห็นว่าภายใต้เสื้อคลุมเนื้อดีมีเพียงผิวเนื้อล้วนๆ

“น้องพีแค่อยากช่วย” ผมยิ้มเอียงอายกับความใจกล้าของตัวเอง

เฮ้อ... มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้จะอายเยอะแยะไปทำไม อายได้พอประมาณ แต่จะให้อายม้วนเหมือนผู้หญิง ผมคิดว่าตัวเองไปไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ยังไงผมก็ผู้ชาย มีทุกอย่างเหมือนคุณยะนะ แค่ทุกอย่างของผมดูเล็กน้อยและเทียบกับคนมากวัยกว่าไม่ได้เท่านั้นเอง

“เดี๋ยวได้ช่วยอีกเยอะครับ...คนดี”

คำว่า ‘คนดี’ ที่ออกมาจากริมฝีปากของเขาหวานซึ้งเหลือเกิน ผมชอบ อยากเป็นคนดีของเขาไปตลอดชีวิต

ผมมองตามมือของคุณยะที่หยิบบางอย่างขึ้นมา

“อยากช่วยใช่ไหมครับ งั้นแบมือมา” พอเขาบอก ผมก็รีบเอามือออกจากไหล่หนาแล้วยื่นมันไปให้เขา จากนั้นเนื้อเจลก็ไหลลงมาอยู่ในอุ้งมือผมเป็นจำนวนมาก “รู้ใช่ไหมครับคนดีว่าต้องทำยังไง คุณยะไม่ต้องบอกใช่ไหม” ผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ถามยิ้มๆ

“.....” ผมไม่ตอบ เลือกที่จะใช้การกระทำเป็นคำตอบ

มือของผมสั่นอย่างมากตอนที่มันเคลื่อนตัวลงต่ำไปจนถึงความแข็งกร้าวที่ชูชันอวดความยิ่งใหญ่ของมันอย่างมั่นคงแข็งแรง หื้อ... มันร้อน พานทำให้มือของผมร้อนตาม ผมเลยได้แค่วางมือกุมมันไว้ ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน ความกล้าเกินเด็กหายไปเกินครึ่งเลยทีเดียว

“ไม่อยากช่วยคุณยะแล้วเหรอครับ”

“ก็...มันใหญ่...ร้อนด้วย” ผมพึมพำในลำคอ

“กลัวหรือครับ” เขาถามกลั้วรอยขำ “เมื่อกี้ยังเก่งอยู่เลย” แน่ะ! พูดล้อผมอีก 

“ไม่ได้กลัวสักหน่อย” ผมเถียงไปอย่างงอนๆ แกล้งงอนครับ ไม่ได้รู้สึกอยากงอนหรือชวนเขาทะเลาะหรอก อารมณ์แบบนั้นต้องตอนที่เขาใจร้ายใจดำใส่ผมก่อนเท่านั้นแหละ ผมถึงจะลุกขึ้นมาอาละวาด

“คนดี...” เอาอีกแล้วเรียกผมด้วยสุ้มเสียงนี้อีกแล้ว ฟังทีไรใจละลายทุกที “...แลกกันนะครับ น้องพีช่วยคุณยะตรงนี้ ส่วนคุณยะจะช่วยน้องพีตรงนี้เหมือนกัน” ว่าแล้วปลายนิ้วแกร่งชุ่มเนื้อเจลก็บอกว่าตรงนี้ของผมคือตรงไหน จะตรงไหนซะอีกถ้าไม่ใช่ช่องทางที่บวมช้ำของผม

“อึก!...จะ...เจ็บ...” เนื้อตัวผมสั่นสะท้านไปหมด น้ำตาร่วงทันทีเมื่อนิ้วนั้นชำแรกผ่านรอยเข้ามาอย่างไม่ทันให้ผมตั้งตัว ที่เจ็บอยู่แล้วก็เลยยิ่งเจ็บขึ้นอีก ผมปล่อยมือจากความแข็งกร้าวของคุณยะและเอามันมาจับแขนทั้งสองข้างของเขาไว้ “...คะ...คุณยะ...ฮื่อ...น้องพีเจ็บ...ฮึก...” ร่างกายผมไม่ไหวแล้ว ราวกับว่านิ้วนั้นกำลังฉีกทึ้งร่างของผมออกจากกัน

“เจ็บมากไหมครับคนดี” เขาใช้ริมฝีปากซับน้ำตาบนสองแก้มของผม

“มะ...มาก...น้องพี...ฮื่อ...” ร่างกายกรีดร้องให้ผมอ้อนวอนขอให้เขาถอนนิ้วออกไป แต่หัวใจและความรู้สึกของผมกลับต่อต้าน

“คุณยะอยากเห็นคนดีร้องไห้” แววตาที่ฉายอยู่ในกรอบตากว้างเป็นประกายลึกล้ำ ยิ้มของคุณยะประหลาดกว่าทุกที

“...ฮึก” ผมไม่เข้าใจที่เขาพูด

“อยากเห็นคนดีของคุณยะเจ็บปวด” ยิ่งเขาพูด ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“ทะ...ทำไม...”

“อยากเห็นน้องพีแหลกสลายด้วยมือของคุณยะ...คนเดียว”

“ใจร้าย...ฮึก...อ๊ะ...อ๊าาา” ยังไม่ทันหายจากความเจ็บปวดเดิม ความรู้สึกที่ทวีขึ้นก็ตามมาติดๆ นิ้วชุ่มเนื้อเจลแทรกผ่านเข้ามาเพิ่ม จากหนึ่งเป็นสอง ผมแทบหยุดหายใจ ไม่สิ ลมหายใจของผมหายไปหลายวินาทีเลยแหละ

“เจ็บไหม” เขาถาม น้ำเสียงมีความสุขกับทุกความเจ็บปวดของผม

“เจ็บมากครับ...ฮึก...น้องพีเหมือนจะตายเลย” ตอบตามที่ตัวเองรู้สึก “แต่น้องพียัง...ฮึก...ไหว” แล้วเขาก็ยิ้มกับคำตอบของผม

“เก่งมากครับคนดีของคุณยะ” เขาชมผม ทำเอาหัวใจผมพองโตได้อีกครั้ง ไม่ต่างจากคำบอกรักของเขาที่ทำให้หัวใจผมชุ่มฉ่ำไปก่อนหน้านี้ แต่แล้วเขาก็กระชากลมหายใจของผมทิ้งอีกครั้ง

“อ๊าาา!...น้องพี...ฮึก...เจ็บ...” นิ้วที่สามแทรกเข้ามาอย่างแรง ตัวผมอ่อนปวกเปียกเพราะความเจ็บปวดที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย แขนขาอ่อนแรงแทบไร้ความรู้สึก

“แต่คุณยะชอบ”

คำว่า...โรคจิต โผล่เข้ามาในหัวผมทันที

“คุณยะแค่ชอบที่เห็นน้องพีเจ็บปวด” เขาบอกเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ “...และมันทำให้คุณยะมีความสุข”   

“เกิดน้องพีตายขึ้นมา...อ๊ะ...อ๊าา...!!” ผมยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหลุดเสียงกรีดร้องออกมาทันที เพราะนิ้วชุ่มเนื้อเจลกำลังขยับเข้าออกในช่องทางคับแคบของตัวเอง ทุกการเคลื่อนไหวไม่ได้อ่อนโยนเหมือนน้ำเสียงเจ้าของนิ้วสักนิด

“ถ้าน้องพีตาย คุณยะก็จะตายตาม... ดีไหมครับ” แล้วเขาก็ถอนนิ้วทั้งสามออกมา บีบเนื้อเจลลงไปในอุ้งมือ ก่อนจะชโลมลงบนความเป็นชายของตัวเอง ขณะที่ยังจ้องมองผมด้วยดวงตาคมเป็นประกายระยิบระยับมากความต้องการ

“คุณยะ...” ผมเองก็ต้องการเขาเช่นกัน ความเจ็บปวดที่ร้าวไปทั้งร่างแต่ก็ไม่ทำให้ผมตาย ผมจึงไม่หลาบจำ ยังอยากจะให้ความเจ็บปวดเจียนตายนั้นซ้ำเข้ามา ทุกอย่างก็เพื่อความสุขของคนที่ผมรัก “...เข้ามา”

“เอาคุณยะเข้าไปเองได้ไหม” คำถามที่ไม่ต่างจากคำสั่ง “ยกตัวขึ้นมา แล้วกินคุณยะให้เร็วที่สุด” และผมก็เชื่อฟังอย่างไม่คิดจะหลีกหนีความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นตามมา เด็กแบบผมก็แค่อยากทำให้คนที่ตัวเองรักมีความสุข ต่อให้เจ็บปวด มันก็แค่นั้น ไม่นานมันก็จางหาย 

ผมยกสะโพกขึ้นจากตักอย่างเชื่องช้า ขยับเข้าไปใกล้ความแข็งกร้าวที่ชุ่มเนื้อเจล หัวใจของผมเต้นรุนแรงจวนจะหลุดออกมา ส่วนหนึ่งเพราะกลัวความเจ็บปวดที่ต้องเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความตื่นเต้นที่จะได้กลืนกินความยิ่งใหญ่เข้าไปในร่างกายของตัวเอง

...ผมกับคุณยะกำลังจะเชื่อมเข้าหากันและเป็นหนึ่งเดียวกัน

ส่วนคุณยะ เขานั่งเอนตัวไปข้างหลัง สองแขนเท้าอยู่บนโซฟาเบดรองรับน้ำหนักตัวเอาไว้ ดวงตาสีราตรีจับจ้องที่ใบหน้าผม สายตานั้นมองมาราวกับจะท้าทายและยั่วยวนให้ผมฮึกเหิม

มือสั่นๆ ของผมสัมผัสเข้ากับความเป็นชายที่ร้อนระอุของคุณยะ ผมกอบกุมมันไว้ สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะทำให้ตัวเองเจ็บปวดอย่างที่สุดด้วยการกดสะโพกลงไปบนความแข็งกร้าวนั้น

ฉึก!!

ผมกำลังจับมีดมากรีดร่างของตัวเองชัดๆ น้ำตาผมไหลพราก ราวกับว่าจะใช้มันกระชากปลายมีดแหลมคมออกไปจากร่างกาย แต่ก็ไม่ เพราะผมยังจับมีดเล่มนั้นไว้แน่น แบบที่ไม่ยอมให้มันหลุดออกไปจากมือ จากนั้นก็แทงตัวเองซ้ำอีกครั้ง กดเน้นจนลมหายใจขาดหายไปทีละน้อย ในม่านน้ำตาที่ผมเห็นคือรอยยิ้มพึงพอใจของคนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะขยับขึ้นมานั่งหลังตรง มือทั้งสองข้างวางลงมาบนช่วงเอวของผม

“น่าสงสาร” ถึงเขาจะพูดด้วยเสียงทุ้มหวาน ฟังดูเห็นอกเห็นใจความเจ็บปวดของผม ปากก็จูบซับน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยนเอาอกเอาใจ แต่แววตาไม่ได้บอกว่าสงสารผมสักนิดเลย มันบอกถึงความสุขที่ได้เห็นผมเจ็บปวดต่างหาก ผมควรจะโกรธเขาใช่ไหม แต่ก็ไม่อีกนั่นแหละ รู้สึกภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ใกล้เขาขนาดนี้ ได้เห็นในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น... ตัวตนของคุณยะ

“สะ...สงสาร...ไม่จริง” ผมแกล้งตัดพ้อด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น 

“ไม่จริงต้องแบบนี้ครับคนดี” อุ้งมือใหญ่เปลี่ยนจากวางอยู่เฉยๆ เป็นกำเอวผมแน่นขึ้น วินาทีนั้นผมยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด มาเข้าใจอีกทีก็เมื่อ... เขากดตัวผมลงไปจนสะโพกกระแทกลงบนหน้าตักของเขาอย่างรุนแรง ความร้อนระอุเหมือนจะทะลุออกมาจากหน้าท้องของผมเสียให้ได้

“อ๊ะอ๊าา...!!!” เสียงหวีดร้องที่ดังลั่นกว่าครั้งไหน ยาวนานจนวิญญาณผมร่วงหล่น เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนคนไม่มีกระดูก น้ำตาทะลักออกมาจากเบ้าตาไม่ต่างจากทำนบแตกอยู่บนแผ่นอกที่ผมซบหน้าลงไป สภาพผมตอนนี้เรียกว่าใกล้ตายเลยก็ว่าได้

“คนดี...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” มือหนาลูบแผ่นหลังปลุกปลอบให้ความเจ็บปวดบรรเทาลง

“...ฮึก” ไม่มีคำตอบหลุดลอดออกมาจากกลีบปากผม นอกจากเสียงสะอื้นแผ่วเบาหลังจากที่เสียงกรีดร้องนั้นหมดลง ผมไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบอะไรได้อีก แถมสภาพผมก็คงตอบคำถามไปหมดแล้ว

“โอ๋ๆ คนดี ไม่ร้องนะครับ ไหนให้คุณยะดูหน้าหน่อย”

“อ๊ะ...อึก...” ผมแทบไม่อยากขยับตัวออกมาจากอกกว้างนี้เลย แต่ก็ฝืนเอาตัวออกมาเพื่อทำตามคำขอของเขา ความเจ็บเจียนตายแล่นลิ่วไปทั่วร่างอีกครั้ง ต้องกัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวดนั้นลงไป ทั้งที่ช่องทางบวมช้ำเจ็บจนชาไปแล้วนะ ส่วนข้างในนั้นก็แน่นจนอึดอัด จุกจนไปถึงหน้าท้องเพราะความยาวที่แทรกกลางเข้ามาลึกมาก

ใบหน้าผมถูกประคองด้วยสองมือของเขา นิ้วโป้งทั้งสองข้างช่วยเช็ดน้ำตาออกไปจากแก้ม แต่ก็ยังไม่หมดง่ายๆ ผมยังสะอื้นและน้ำตายังคงไหลเต็มแก้มอยู่เช่นเดิม

“จะทำให้คุณยะหลงไปถึงไหนครับคนดี” ความเจ็บปวดและสายน้ำตาของผมกำลังได้รับคำชื่นชม “สวยงามอย่างที่คุณยะคิดไว้จริงๆ”

“ฮึก...ตะ...ตลอดชีวิต...ดะ...ได้ไหม...”

อย่าว่าแต่เขาหลงผมเลย ผมก็หลงเขาเหมือนกัน และอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ นั่นเพราะประสบการณ์ยังน้อยเกินกว่าจะต้านทานคำหอมหวานของผู้ใหญ่อย่างเขาได้

“ได้สิครับคนดี” ริมฝีปากร้อนแนบลงบนแก้มชื้นแฉะด้วยน้ำตาของผม เขากัดมันนิดๆ ให้ความรู้สึกเจ็บแต่ไม่มาก “น้องพีคนดีของคุณยะขออะไร คุณยะให้ได้ทั้งนั้น...อ่า...แต่ตอนนี้...ทำร้ายตัวเองให้คุณยะดูหน่อยได้ไหม”

“.....” ผมกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ เริ่มกลัวคำพูดของเขาขึ้นมานิดๆ ยิ่งอะไรที่เต้นตุบๆ ในช่องทางด้านหลังก็พลันน่ากลัวขึ้นมา

“.....” พอผมเงียบ เขาก็เงียบตาม ทว่าสายตาไม่ได้เงียบตามไปด้วย ราวกับว่าลูกตาสีดำในกรอบตากว้างมีพลังอำนาจลึกลับที่ผมไม่อาจต่อต้านความต้องการของเจ้าของมันได้ ความกลัวต่อให้มีมากแค่ไหนก็พ่ายแพ้

สะโพกสั่นระริกขยับขึ้นเพียงแค่นิดเดียวแต่กลับใช้พลังอย่างมหาศาล นิ้วของผมจิกลึกลงไปบนไหล่กว้างเพื่อระบายความเจ็บปวดออกไปจากร่างกาย แต่ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ผมยังเจ็บจนต้องทิ้งสะโพกลงไปหาหน้าขาแกร่งอย่างเดิม หอบหายใจจนตัวโยน มีมือเจ้าของตักช่วยปลุกปลอบให้คลายความเจ็บปวดไปได้บ้าง... ก็แค่นิดเดียว

“อื้ออ...น้องพี...ฮึก...เจ็บ...” น้ำตาไหลพรากๆ ก่อนจะถูกรวบเข้าไปจมอยู่ในแผ่นอกกว้าง

“คุณยะขอโทษ” กระซิบแผ่วหวานข้างแก้ม “ให้คุณยะเอาออกไหม” พร้อมกับยกตัวผมขึ้น ช่องทางของผมกำลังคายตัวตนของคุณยะออกมาอย่างเชื่องช้า ความอึดอัดเริ่มลดน้อยลงไป แต่หัวใจกลับได้รับผลกระทบยิ่งกว่า

“ไม่ต้องครับ” ผมรีบบอก ขืนตัวเองเอาไว้ไม่ให้เขายกตัวผมขึ้นสูงกว่านี้ “น้องพีไหว”

“แน่ใจนะครับ” เขาให้ผมตัดสินใจอีกครั้ง คำตอบของผมก็ยังเป็นความตั้งใจเดิม

“ครับ” อย่าว่าแต่ความเจ็บปวดที่ผมหาให้เขาได้ แม้แต่ดาวเดือนหรือดวงตะวัน หากคุณยะต้องการ ผมก็จะเอามันมาให้เขาให้ได้ ...ความรักของเด็กคนหนึ่งยิ่งใหญ่เสมอ

“คนดี” เขายิ้มพอใจ “พร้อมจะกินคุณยะหรือยัง” 

“ครับ” ผมพยักหน้า เป็นอีกครั้งที่ต้องสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนมันออกมา มองสบตากับเขา หัวใจยิ่งสั่นไหว ตกหลุมรักใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มลึกลับมากยิ่งขึ้น ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเตรียมพร้อมจะทรมานร่างกายตัวเองเพื่อความสุขของเขา

“มองหน้าคุณยะนะครับ” เขาท้วง ผมจำต้องลืมตาขึ้นมามองรอยยิ้มที่ล้นความสุขสมใจของเขา “คุณยะอยากเห็นน้ำตาของน้องพี มันสวยงามมากรู้ไหมตอนที่น้องพีร้องไห้เพราะคุณยะ” ความต้องการของเขาแปลกประหลาด

“.....” ผมก็ได้แต่กัดปากตัวเอง ไม่รู้จะตอบสนองกับคำพูดของเขาอย่างไรดี

“อย่ากลัวคุณยะเลย คุณยะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น” เขาพูดพร้อมหัวเราะออกมา

“เปล่ากลัวสักหน่อย” ผมรีบปฏิเสธ   

“งั้นก็เริ่มสิครับ คุณยะรออยู่” พูดจบเขาก็ขยับสะโพก ส่วนที่อยู่ในช่องทางคับแคบของผมก็พลอยจะขยับตามไปด้วย เสียดแทงจนเจ็บจุก

“อ๊ะ...”

“หรือว่าไม่อยากทำแล้ว” สีหน้าของเขาผิดหวัง ผมอยากเห็นใบหน้ามีความสุขของเขามากกว่า เลยรีบตอบกลับเขาไปว่า

“อยากครับ”

“คนดีของคุณยะ น่ารักที่สุด” คำหวานของเขามีอิทธิพลกับผมเสมอ ผลักให้ผมมีแรงฮึดที่จะทำให้เขามีความสุข

เด็กๆ เวลามีความรักก็แบบนี้แหละครับ ทุ่มเททุกอย่าง ไม่นึกถึงความผิดหวัง ไม่เผื่อใจไว้กับคำหลอกลวง เพราะประสบการณ์ที่ถูกหักหลังยังมีน้อยเกินไป ยิ่งคำพูดจากปากของคนที่เรารัก พูดอะไรออกมาก็พร้อมจะเชื่อและทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

“อ๊า...!” ผมยกตัวและกระแทกลงไป เจ็บจวนเจียนจะหยุดหายใจ ไม่มีเวลาพักให้ความเจ็บปวดนั้นเจือจาง เพราะผมเคลื่อนตัวขึ้นและลดตัวลงไปครอบครองตัวตนของคุณยะซ้ำๆ ราวกับว่าไม่รู้สึกอะไรเลย

“อย่างนั้นคนดี” มีอุ้งมืออุ่นช่วยประคับประคองไม่ให้ผมร่วงหล่นลงไปจากตักสลับกับลูบแผ่นหลังผมเป็นระยะ

“ฮึก...คุณยะ...อ๊า!” ไม่รู้แล้วว่าบดเบียดตัวเองลงไปยาวนานแค่ไหน เพราะสมองมันจดจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากความแข็งกร้าวที่เสียดแทงอยู่ในร่างกาย... และความพึงพอใจของคุณยะ

“ดีมาก... คนดี...อ่า...” 

“...คุณยะ” ผมร่ำร้องเรียกแต่ชื่อของเขา เข้าใจแล้วว่ายามที่เรามีความสุขแม้ร่างกายจะเจ็บปวด ยังไงชื่อของคนที่เรารักก็ไม่เคยหายไปจากริมฝีปาก

“คนดีของคุณยะ...ร้องออกมาดังๆ คุณยะอยากฟัง” เสียงพร่าด้วยอารมณ์ของเขาดังอยู่ข้างหู และแก้มของผมกำลังถูกฟันคมๆ กัดกินอย่างเอร็ดอร่อยทั้งที่มันเปรอะไปด้วยสายน้ำตา

ผมกรีดร้อง... เขาก็ยิ่งกัดกินแก้มผม

“คุณ...ฮึก...ฮื่ออออ...คุณยะ...น้องพีเจ็บ...” ทั้งที่ร้องออกมาขนาดนั้น ผมก็ยังไม่หยุดทำร้ายตัวเอง ยังคงทำตามทุกความต้องการของคนตรงหน้า ในม่านน้ำตาผมเห็นเพียงรอยยิ้มที่ล้นความสุขของคุณยะ

ในใจมีคำถาม... ว่าความเจ็บปวดของผมทำให้เขามีความสุขได้มากขนาดนี้เชียวหรือ เขาถึงได้เอาแต่ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม เขายิ้มจนผมต้องยิ้มตาม ทั้งที่หน่วยตาไม่เคยไร้เม็ดน้ำตาแม้แต่วินาทีเดียว เช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่ทรมานลมหายใจของผมอยู่ทุกวินาที

“ทนได้ไหมคนดีของคุณยะ อีกนิดเดียว”

“ดะ...ได้...ฮึก...” ผมขยับร่างกายต่อไป โหมแรงลงไปเท่าที่จะพอมี สิ่งที่พองโตคับแน่นอยู่ในร่างกายกำลังมีอาการที่เปลี่ยนไป บอกว่าอีกไม่นานสายน้ำของมันจะทะลักทลายออกมา

“อืมม... น้องพี” ร่างกายแข็งแกร่งเกร็งกระตุก มือหนาบีบเอวผมแน่นขึ้น จากนั้นเขาก็บังคับทุกการเคลื่อนไหวของผม

“อ๊ะ...” ผมก็ได้แต่ไหลไปตามกำลังของอีกฝ่าย ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณยะ... ความเจ็บปวดของผมก็ด้วย

“คนดี...อะ...อ่าา...”

“อา...อ๊า!” ผมกระตุกเกร็งไปพร้อมกับตัวเขา วินาทีที่ลาวาสีขาวของผมพุ่งออกมาจากส่วนปลายสีแดงก่ำ สายน้ำอุ่นร้อนก็ฉีดเข้ามาในช่องทางคับแคบแบบที่ผมรู้สึกได้

คุณยะปล่อยเข้ามาในตัวผม!

ผมชะงักกับความจริงที่เกิดขึ้น แม้จะยังหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า เม็ดเหงื่อท่วมเต็มตัว แต่ผมก็เริ่มกลัวสิ่งที่เข้ามาในตัวเอง ไม่สิ มันเข้ามาตั้งแต่เมื่อคืนแบบไร้เครื่องป้องกัน และเหมือนเขาจะรู้ เขาถึงได้ยิ้มตอนที่เอ่ยออกมาว่า

“คุณยะปลอดภัย สวมถุงทุกครั้ง” คำพูดของเขาน่าเชื่ออยู่พอสมควร เพราะเมื่อคืนตอนที่ผมเปิดประตูมาเจอเขาก็ทันเห็นว่าเขาใช้ถุงยางตอนมีอะไรกับพี่เลม่อน แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย ก็เพราะทานตะวันกับถิรนั่นไง

“แล้วซันกับแซนมาได้ยังไงครับ” เสียงผมขุ่นโดยไม่รู้ตัว เขาถึงกับหัวเราะ มือก็ช่วยเช็ดทั้งเม็ดเหงื่อและน้ำตาจากแก้มผมไปด้วย ตอนนี้ผมหยุดร้องไห้แล้ว

“อันนั้นครั้งแรก คุณยะเมาเลยลืม” เขายิ้มเจื่อนๆ เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้

“เหอะ! แสดงว่ามีครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า” ผมยกเอาคำพูดของเขาตอนที่ดุผมเรื่องดื่มเหล้าสูบบุหรี่มาย้อนบ้าง

“ใช่ครับ”

แน่ะ! ยังมีหน้ามายิ้มอีก ผมอ้าปากจะด่าเขาแล้วนะ ไหนว่าใส่ถุงทุกครั้ง พอมีครั้งแรกก็มีครั้งที่สอง แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองปลอดภัย แต่เขาชิงพูดให้ผมได้ยิ้มซะก่อน

“ครั้งที่สองก็เมื่อคืน ครั้งที่สามก็ตอนนี้” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม ตาพราวระยับ น่าหมั่นไส้ที่สุด “ส่วนครั้งที่สี่ ห้า หรือจะหกเจ็ดแปดเก้า...จะมีหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับน้องพีคนเดียว” พูดแบบนี้แก้มผมก็ร้อนน่ะสิ

“น้องพีอนุญาต” แก้มร้อนจัด แต่ปากขยับไปตามที่หัวใจสั่ง

“กลัวคุณยะไหมคนดี” แววตาของเขาเหมือนจะซ่อนความหวั่นไหวไว้นิดหนึ่ง

“ไม่ครับ” ผมรีบส่ายหน้า “น้องพีรักคุณยะ ชอบทุกอย่างที่เป็นคุณยะ โดยเฉพาะตอนที่คุณยะใจดีกับน้องพี คุณยะต้องใจดีกับน้องพีเยอะๆ ห้ามใจร้ายกับน้องพีอีกแล้วนะ” ไม่ลืมจะอ้อนขอเขาด้วย

“น่ารักขนาดนี้ คุณยะจะใจร้ายใส่ได้ยังไง มีแต่อยากรักอยากกอดเอาไว้แน่นๆ ไม่ให้ใครมาเอาน้องพีไปจากคุณยะได้” เขาดึงตัวผมเข้าไปกอดแนบอก ความเจ็บปวดตรงส่วนนั้นจี๊ดขึ้นมาอีก เพราะของเขายังอยู่ในตัวผม

“น้องพีก็จะกอดคุณยะไว้แน่นๆ เหมือนกัน ไม่ยอมให้ใครมาแย่งเอาคุณยะไปจากน้องพีได้หรอก” ต่อให้มีอีกสิบพี่เลม่อน ผมก็ไม่กลัว ในเมื่อคุณยะรักผม เป็นของผมแล้ว ผมก็ไม่ยอมยกให้ใครง่ายๆ หรอก “แต่คุณยะก็ห้ามไปนอนกับใครอีกนะ ถึงจะใส่ถุงก็เถอะ น้องพีไม่อนุญาต เพราะคุณยะเป็นของน้องพีได้คนเดียวเท่านั้น สัญญากับน้องพีมาเลย ว่าจะไม่ไปนอนกับใครอีกแล้ว แม้แต่พี่เลม่อนก็ห้าม” ผมเอาตัวเองออกมาจากอกอุ่นๆ ของเขา มองเข้าไปในดวงตาสีดำอย่างคาดคั้นเอาคำสัญญาจากปากของเขา

“อ้าว... แล้วคุณยะจะนอนกอดใครได้บ้างล่ะ คุณยะขี้เหงานะ ไม่มีใครให้กอดคงนอนไม่หลับทั้งคืน”

เหอะ! ผมอยากจะย้อนเขาไปว่า...ขี้เหงาหรือขี้เอากันแน่ แต่กระดากปากเกินจะพูดแบบนั้นออกไป

“กอดน้องพีไง”

“กอดทุกวันได้หรือเปล่าครับคนดี” ลูกตาพราวระยับเลย

“ได้” ไม่เห็นเป็นไรเลยใช่ไหม ผมกับคุณยะรักกัน มีอะไรกันก็ไม่เห็นแปลก มีทุกวันก็คงไม่แปลก

“เอานิ้วมาเลย คุณยะจะจับเซ็นสัญญา” เขาหัวเราะ ยกนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้าผม ผมก็ไม่รอช้า ยกนิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วเขาทันที ก็ผมรอคอยเวลานี้มานานสองนานแล้วนี่นา “สัญญาแล้วนะว่าจะให้คุณยะกอดทุกคืน”

“สัญญาครับ” ผมกับเขาเขย่ามือกันไปมา “คุณยะก็สัญญากับน้องพีแล้วนะว่าจะมีแค่น้องพีคนเดียว กอดน้องพีคนเดียว จะไม่กอดใครนอกจากน้องพี”

“สัญญาครับคนดีของคุณยะ”

“น้องพีมีความสุข” สุขจนล้น เหมือนความฝัน แต่ค่ำคืนนี้คือความจริงที่สุด

“คุณยะก็มีความสุขครับ”

“รักคุณยะ”

“รักน้องพี”

แล้วผมกับเขา เราสองก็ยิ้มให้กัน มองนิ้วที่เกี่ยวกันเป็นสัญญาแสนหวาน คำสัญญาของความรักที่จะมีกันและกันตลอดไป

...ผมจะไม่มีใครนอกจากเขา

...เขาจะไม่มีใครอีกแล้วนอกจากผม

“คนดี”

“ครับ”

“คุณยะอยากเห็นน้องพีเจ็บปวดอีกแล้ว”

“อยากให้น้องพีทรมานตัวเองอีกหรือครับ” และผมก็เล่นไปตามความต้องการของเขา มันง่ายที่ผมจะเอาใจเขา เอาใจคนที่ผมรัก ให้ทุกอย่างที่เขาอยากได้เพียงเพราะผมรักเขา

“รู้ใจคุณยะ” เขายิ้ม “แบบนี้จะไม่ให้หลง ไม่ให้รักได้ยังไง”

ก็แบบนี้ไงจะไม่ให้ผมยอมเขาทุกอย่างได้ยังไง ผมหลงเขายิ่งกว่าอะไรซะอีก หลงคำหวาน หลงคำสัญญา หลงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา หลงจนไม่จำอะไรอีกแล้ว ลืมไปแล้วว่าความสุขไม่ได้อยู่กับผมนานนักหรอก มันแค่เกิดขึ้นมาเหมือนสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยง ก่อนจะลับหายไปกับท้องฟ้าสีดำทะมึน เหลือไว้เพียงซากปรักหักพังจากสิ่งที่ฟาดฟันลงมาอย่างโหดร้าย

พอถึงวันใหม่ ผมถึงได้รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเมื่อคืนมีความจริงอยู่เพียงครึ่งเดียว... ครึ่งเดียวที่เป็นความจริงคือความรู้สึกของผมเพียงแค่คนเดียว สำหรับเขา ไม่มีแม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียวที่เป็นของจริง

คำหวาน

คำสัญญา

คำบอกรัก

‘คุณยะรักน้องพี’ ก็แค่คำเหม็นเน่าที่หลงเข้าใจผิดว่าเป็นคำหอมหวานของความรัก...

จบตอนที่ 17

พูดกันสักหน่อย :: เอาจริงๆ ไม่อยากแต่งส่วนที่ 3 เลย // อาย 555+
ไม่อยากทำร้ายน้องพี แต่มือมันไปเอง T^T
ต่อไปจะเบาๆ ฉากแล้วนะ อาจจะไม่มี เกรงใจน้องพี 55+  :-[ :-[
ส่วนเลม่อนนั้น น้องก็รักของน้องเนอะ ก็ไม่อยากให้ใครมาเอาคุณยะของตัวเองไป

สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 17 (11-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 11-11-2018 22:14:43
ปรับอารมณ์ไม่ทัน ทะเลาะกันอย่างกับจะฆ่ากันตายสุดท้าย...กันเฉย แถมหวานเจี๊ยบบบบบบ เอิ่ม....... :katai1:

ว่าแต่คุณยะนี่เกลียดไรพ่อแม่น้องพีป่ะ เลยเอามาลงกับลูก ไม่แฟร์กับเด็กเลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 17 (11-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-11-2018 23:07:03
คุณยะเกลียดน้องพีมากเลยใช่ป่ะ
เริ่มวางแผนทำลายน้องพีตั้งแต่ครั้งแรก
ที่สั่งให้น้องพีเรียกว่าคุณยะแล้วใช่ไหม
คุณยะใจร้ายกับน้องพีจังเลยน๊าาาา
ปล่อยให้เลม่อนเข้ามาทำร้ายน้องพีได้
นี่ก็คงเป็นอีกแผนที่ไว้ใช้ทำลายน้องพีซินะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 17 (11-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-11-2018 01:50:13
โอ้ย ๆๆ เพิ่งได้มาตามอ่าน
ความคุณยะนี่มันน่าโมโหจริงๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 17 (11-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-11-2018 02:12:57
ฉันหลงมาอ่านเรื่องอะไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 17 (11-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-11-2018 09:57:53
คุณยะซาดิสม์หรือไงถึงชอบทำน้องพีทุกข์ทั้งกายและใจแบบนี้ ไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณยะทำเลย
สรุปแล้วคุณยะรักน้องพีจริงหรือเปล่า ทำไมสิ่งที่คุณยะทำมันไม่เคยชัดเจนเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 14-11-2018 20:59:41
ตอนที่ 18


หื้อ...

ปวดตัว...

ปวดไปหมด ขยับก็ร้าวไปทั้งร่าง ไม่มีร่างกายส่วนไหนเลยที่จะปกติ โดยเฉพาะส่วนล่าง ผมขยับตัวช้าๆ ก็เหมือนตัวจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหตุการณ์เมื่อคืนและเมื่อคืนก่อนทำให้ผมมาอยู่ในสภาพนี้ แต่ความทรงจำแสนหวานที่ถูกคุณยะบอกรัก ถูกร่างกายแสนอบอุ่นกอดด้วยความรักใคร่ ก็ทำให้ความเจ็บปวดของร่างกายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับความสุขที่ได้รับ แม้กระทั่งตอนนี้ความสุขของเมื่อค่ำคืนก็ยังตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

เมื่อคืนหลังถูกกอดรอบสุดท้าย คุณยะพาผมไปล้างตัว ทำความสะอาดให้ทุกซอกทุกมุม ทำเอาผมแดงไปทั้งตัวเพราะความเขินอายที่ถูกปฏิบัติแบบนั้น ก่อนอุ้มมาวางไว้บนโซฟาเบดตัวเดิม นั่งป้อนซุปผักกับข้าวต้มให้ผมจนอิ่ม มันเป็นมื้ออาหารที่วิเศษที่สุด ไม่เคยกินข้าวกับคุณยะมื้อไหนที่มีความสุขได้มากมายเท่านี้ (ถึงผมจะร่วมโต๊ะอาหารกับเขานับครั้งได้ก็เถอะ) เราสองคนเหมือนคู่รักกันเลย คุณยะใจดีกับผมมาก สายตาของเขามองผมด้วยความเอ็นดูและล้นด้วยความรักที่สัมผัสได้ ไม่ต่างจากผมนักหรอกที่มองเขาด้วยสายตาล้นไปด้วยความรัก รักแบบหมดหัวใจ รักเท่าที่จะรักได้ ไม่เผื่อใจไว้ให้กับคำโกหกและการหักหลังแม้แต่น้อยนิด

พอผมอิ่มเขาก็นอนกอดผมเอาไว้ในวงแขน ห่มความอบอุ่นให้ผมด้วยร่างกายของเขา กล่อมผมด้วยรอยจุมพิตแสนหวานไปทั่วใบหน้า สุดท้ายผมก็หลับไปในอ้อมกอดของเขา พอผมลืมตาขึ้นมาก็อยู่ในห้องของคุณยะที่ไม่มีกลิ่นของข้าวต้มที่ถูกเททิ้งข้างเตียงอีกแล้ว ส่วนเจ้าของห้องไม่อยู่ สงสัยไปทำงานแล้วแน่ๆ

ผมฝืนร่างกายที่ร้าวระบมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง บนหน้าจอสี่เหลี่ยมบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสอง ไม่น่าละผมถึงรู้สึกหิวมาก พอรู้สึกหิวก็รู้สึกน้อยใจคุณยะขึ้นมานิดๆ ทำไมเขาไม่ขึ้นมาดูแลผมบ้าง ไม่หาอะไรมาให้ผมกินด้วย ไม่ห่วงผมบ้างหรือไงนะ เขาก็น่าจะรู้ว่าสภาพผมเป็นแบบไหน แล้วจะเอาแรงที่ไหนลุกจากเตียงไปหาอะไรกิน ถ้าเขาไม่เอามาให้ถึงเตียง ถึงเขาจะงานยุ่งแค่ไหนก็ตามก็น่าจะแบ่งเวลามาให้ผมบ้าง สักนิดก็ยังดี

อารมณ์หิวทำให้ผมนึกน้อยใจแต่ไม่มากพอที่จะโกรธเขาหรอก พยายามเข้าใจว่าคุณยะชอบทำงาน เมื่อวานเขาก็คงทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะต้องมาดูแลผม เลยส่งผลมาถึงวันนี้ที่เขาต้องทำงานของวันวานด้วย งานเลยเพิ่มจำนวนกว่าเดิมเป็นสองเท่า

สงสัยผมต้องหาอะไรในตู้เย็นกินประทังหิวแล้วมั้ง คิดดังนั้นผมเลยพยายามงัดเอาตัวเองออกมาจากเตียง กว่าจะลุกขึ้นนั่งได้ก็หมดพลังไปเยอะเลย รู้สึกว่าสะโพกตัวเองใกล้พังเต็มที คือมันเจ็บมาก แสบมากด้วย นี่ถ้าไม่หิวมากละก็ผมจะไม่ลุกออกจากเตียงเด็ดขาด

...ตึ้ง

ยังไม่ทันได้ก้าวขาลงจากเตียงเสียงข้อความไลน์ก็ดังขึ้น ผมเลยขยับไปนั่งพิงแผ่นหลังไว้กับหัวเตียงบุนวมหนา หยิบหมอนใบใหญ่มารองตรงเอวอีกทีหนึ่ง พลิกหน้าจอมือถือขึ้นมาดู เป็นดีนที่ส่งไลน์มาหาผม ลืมไปเลยว่าผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาอีกฝ่ายตั้งแต่คืนที่เกิดเรื่อง และพอเปิดเข้าไปในแชตก็เจอข้อความที่ดีนส่งมาถามอาการเป็นร้อยกว่าข้อความ ช่วงแรกๆ ดีนถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นหรือยัง ตอนนี้อยู่ไหน ไปหาได้ไหม ข้อความหลังๆ ก็บอกว่ามาหาผมที่โรงแรมแต่พนักงานบอกว่าผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ไปหาที่บ้านก็บอกว่าอยู่ที่โรงแรม (ดีนรู้จักบ้านผมเพราะวันที่เกิดเรื่องเจ้าตัวนั่งแท็กซี่มาส่งผมเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านและพาไปงานวันเกิดพี่ดรีม)

ผมแปลกใจว่าทำไมพนักงานของพุฒิธาดาถึงบอกแบบนั้น แต่ลองคิดดูอีกที... หรือจะเป็นคำสั่งของคุณยะที่ไม่อยากให้ผมเจอดีน เพราะเรื่องที่ผมโดนยาก็เป็นเพราะไปงานปาร์ตี้วันเกิดของพี่ชายดีน ถ้าเป็นแบบที่ผมคิด ตอนคุณยะกลับมาผมคงต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่าดีนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมโดนยา คนที่เขาควรจัดการและไล่ออกไปจากชีวิตคือพี่เลม่อนต่างหาก ผมจะต้องบอกความเลวร้ายของพี่เลม่อนให้คุณยะรู้ นอกจากจะใช้เพื่อนตัวเองวางยาผม ยังกุเรื่องโกหกที่ว่าผมส่งข้อความไปด่าเขาด้วย ผมคิดว่าการที่คุณยะเชื่อที่พี่เลม่อนพูดใส่ร้ายผม ก็เพราะเขาเห็นข้อความโกหกพวกนั้นจริง แล้วข้อความพวกนั้นก็คงถูกส่งมาจากไลน์ปลอม ที่แอบอ้างว่าเป็นไลน์ของผมแน่ๆ

ผมหยุดเรื่องของพี่เลม่อนไว้ก่อน หันกลับมาตอบข้อความของดีน เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว

P.Phirach : เราโอเค

Oh-deen : โผล่มาซะที ห่วงแทบบ้ารู้ป้ะ

P.Phirach : ดีนไม่ต้องเป็นห่วง

Oh-deen : ห่วงไปแล้วไง

Oh-deen : ไลน์ไปก็ไม่อ่าน

P.Phirach : ขอโทษที่ไม่ได้อ่านไลน์

P.Phirach : พอดีแบตเราหมด เพิ่งชาร์ต

...ความจริงคือแบตผมใกล้หมดต่างหาก ตอนนี้ก็เหลือไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

Oh-deen : พีอยู่ไหน ไปหาได้ไหม

P.Phirach : เจอกันที่โรงเรียนดีกว่า

...ให้มาเห็นผมสภาพนี้ไม่ได้หรอก ดีนเห็นก็ต้องรู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะไม่ควรเล่าให้ใครฟังหรอก ในเมื่อสถานะของผมกับเขาที่คนภายนอกรับรู้คือพ่อกับลูก

Oh-deen : ได้ เจอกันที่โรงเรียน

P.Phirach : เจอกัน

ผมวางโทรศัพท์ลง แต่ก็มีข้อความเข้ามาอีก นึกว่าเป็นดีน พอหยิบขึ้นมาดูกลับไม่ใช่ แต่เป็นอีกคนที่ผมเกลียดขี้หน้ามากที่สุด... พี่เลม่อน

และพอกดเข้าไปในหน้าแชตก็พบว่าเป็นข้อความที่พี่เลม่อนส่งมาหาผมตั้งแต่ตอนตีสี่จนถึงตอนนี้ แต่มีข้อความแค่ไม่กี่ประโยค นอกนั้นล้วนแต่เป็นรูปถ่ายและคลิปเสียงที่ผมไม่ต้องเปิดฟังเลยด้วยซ้ำก็รู้ว่าเป็นคลิปเสียงของอะไร แต่ผมก็อยากจะให้แน่ใจว่าใช่อย่างที่ผมคิดไหม ทั้งที่รูปที่ส่งมาก็ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า... พอกอดผมเสร็จ เขาก็ไปกอดพี่เลม่อนต่อ!

ทันทีที่ผมกดนิ้วลงบนคลิปนั้น เสียงที่ผมคุ้นเคยดังออกมาทำให้ทุกอย่างในหัวใจผมพังลงมาอีกครั้ง มันย่อยยับเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทำไมผมต้องมาเจออะไรซ้ำๆ แบบนี้ด้วย ทุกอย่างมันฉายวน ซ้ำเหตุการณ์เดิม ค่ำคืนคือความสุขแต่วันต่อมาทุกความสุขก็พังทลาย

LemoN : อ่านซะทีนะ

LemoN : ยังไงกูก็ตัวจริงส่วนมึงก็แค่ของเล่น

LemoN : อ้าขาให้เขาง่ายๆ เขาก็เอามึงแบบง่ายๆ

LemoN : สุดท้ายเขาก็กลับมาหากูเพราะก้นกูดีกว่ามึงเยอะ

LemoN : ตาสว่างได้แล้วนะ

LemoN : เลิกคิดว่าพี่ยะรักมึงซะทีเพราะเขารักกู

LemoN : เขาสัญญากับพี่กูแล้วว่าจะดูแลกูไปตลอดชีวิต

LemoN : พี่ยะไม่มีวันเลิกกับกู

LemoN : แล้วก็จำที่กูเตือนมึงไว้ให้ดี

LemoN : อย่าคิดมาแย่งผัวกูไม่อย่างนั้นมึงได้ดังทั่วโรงเรียนแน่

LemoN : **แนบรูป**

...รูปที่พี่เลม่อนส่งมาล่าสุดเป็นรูปที่ผมนั่งสูบบุหรี่อยู่กับดีนที่สระว่ายน้ำ มุมกล้องตอนที่ดีนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเหมือนว่าเราสองคนกำลังจูบกัน แล้วยังมีรูปที่ผมนั่งพาดบนตักพี่หมอก กับรูปตอนที่ผมถูกจูบในสระว่ายน้ำ

LemoN : มึงนี่มั่วเนอะไม่เหมือนภาพเด็กดีที่มึงแสดงเวลาอยู่ที่โรงเรียนเลย

LemoN : เอาทั้งเพื่อน เอาทั้งรุ่นพี่

LemoN : เหล้า ยา บุหรี่ มึงก็เอา

LemoN : เอ... ถ้ารูปหลุดไป

LemoN : มึงจะเดินเชิดหน้าเป็นลูกคุณหนู เด็กเรียนดีได้อีกหรือเปล่าน้า

LemoN : เอ้า ถามก็ไม่ตอบ

LemoN : หรือว่าอยากให้รูปหลุด

LemoN : ถ้ามึงอยากดังกูช่วยได้นะ

LemoN : ว่าไงอีร่าน

...ผมเกลียดคำหยาบคายของเขาที่สุด

LemoN : อ่านแล้วก็ช่วยตอบกูด้วยว่ามึงอยากดังไหม

LemoN : ถ้าอยากกูจัดให้

...ผมก็ได้แต่อ่านข้อความด้วยมือที่สั่นเทา ใจมันเจ็บจนไม่รู้จะเจ็บอย่างไรแล้ว แต่ก็ยังเลื่อนกลับขึ้นไปดูรูปเป็นสิบๆ รูปที่พี่เลม่อนส่งมาเย้ยในความโง่เขลาของผม พวกเขากอดกัน นอนด้วยกันจนถึงเช้า พอผมหลับเขาก็คงออกไปหาพี่เลม่อน ทิ้งผมไว้กับความรักแบบเด็กๆ และความโง่เขลาที่ถูกหลอกกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังไม่จำ เจ็บแต่ไม่เคยจำสักที

คำว่า...

‘คุณยะรักน้องพี’

มันไม่ใช่ความจริง ก็แค่คำพูดโกหกหลอกลวงของคนใจร้าย ทำไมผมไม่ฉลาดซะทีนะ ทำไมถึงโง่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่เขาพูดดี ใจดีกับผม ผมก็พร้อมจะลืมความจริงทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ลืมว่าตัวเองถูกหลอกมาแล้วกี่ครั้ง เจ็บช้ำมาแล้วกี่หนกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่เลม่อนที่ไม่มีวันขาดออกจากกันได้

ทำไมเด็กแบบผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย!

ไม่เอาอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองโง่อีกแล้ว!

...แกรก

เสียงคนเปิดประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองว่าเป็นใครเพราะมั่นใจว่าต้องเป็นเจ้าของเพนต์เฮ้านั่นแหละ

“น้องพี... คุณยะขอโทษ พอดีคุณยะติดธุระ” เสียงเขาหอบเหนื่อยเหมือนว่าเขารีบมาหาผมมาก เสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่ใช่ชุดทำงานแต่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงผ้าขายาว แสดงว่าเขาไม่ได้ไปทำงานเพราะเอาแต่คลุกอยู่กับพี่เลม่อน

‘ธุระ’ ของเขาก็มีแต่เรื่องอย่างว่า

“งั้นเหรอ ?” ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ชื้นเม็ดเหงื่อด้วยสายตาว่างเปล่า ที่ซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้อย่างมิดชิด ผมจะไม่ให้เขาเห็นความอ่อนแอของผมอีกต่อไป “งั้นก็ช่วยคุยกับ ‘ธุระ’ ของคุณหน่อยสิครับ บอกมันว่าผมไม่ได้อยากได้ผัวมัน เกลียดผัวมันเหมือนที่เกลียดตัวมันนั่นแหละ” ว่าแล้วผมก็ยื่นโทรศัพท์เครื่องบางไปให้

เขารับมันไป คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยตอนที่อ่านข้อความบนหน้าจอ สักพักก็ขยับนิ้วพิมพ์ข้อความลงไปในไลน์ (มั้ง) ก่อนเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์

“คุณยะอยากอธิบาย” เขาพูดออกมาช้าๆ วางมือถือของผมไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างตัวผม มือของเขาเอื้อมมาดึงตัวผมเข้าไปกอด กระซิบคำหวานที่ความจริงก็คือคำลวง “คุณยะรักน้องพีนะครับ ทุกอย่างคุณยะอธิบายได้ กับเลม่อนคุณยะแค่...”

“ปล่อย...” ผมบอกเบาๆ เพราะมันหมดแรงที่จะพูดอะไรกับเขาแล้ว ไม่อยากฟังคำแก้ตัวที่ไม่ต่างจากคำโกหก ทั้งที่เมื่อคืนเขาสัญญาแล้วว่าจะมีแค่ผม แต่พอผมหลับเขาก็ทำแบบเดิมคือไปหาพี่เลม่อน... ไปมีอะไรกันเหมือนเดิม ที่ทำกับผมจนเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว เขายังไม่พออีกหรือไง   

“น้องพีไม่รักคุณยะแล้วหรือครับ” เขากล้าถามคำถามนี้ได้อย่างไร เห็นว่าผมโง่พอที่จะเชื่อคำบอกรักของเขาได้อีกงั้นเหรอ “ถ้ารักคุณยะก็ต้องฟังที่คุณยะจะอธิบายนะครับ”

“ปล่อย...กู” อ้อมแขนที่โอบรัดตัวผมถึงกับชะงักลงไป ก่อนจะผ่อนแรงกอดลงและค่อยๆ ปล่อยตัวผมออกมา

“ใครสอนให้พูดแบบนี้” เขาถามเสียงเข้ม ไม่พอใจที่ผมใช้คำว่า ‘กู’ กับเขา หึ! มากกว่าคำว่ากู ผมก็พูดได้

“ทำไมต้องมีคนสอน กูพูดเองได้” ความรู้สึกของผมตอนนี้คืออยากแตกหัก ผมถึงได้เลือกใช้คำที่ไม่เคยใช้กับเขามาก่อน “หึ บางทีกูอาจจะจำมาจากเมียของ ‘มึง’ ก็ได้มั้ง” ทันทีที่ผมเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกเขา สิ่งที่ผมได้กลับมาคือความโกรธจัดของเขา

เพียะ!

เสียงฝ่ามือกระทบแก้มซ้ายของผมแรงจนหน้าผมหัน กลิ่นเลือดคลุ้งอยู่ในอุ้งปากทันที เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมถูกตบจากคนที่ผมเกลียดทั้งคู่ แต่เจ็บที่ร่างกาย ไม่เท่ากับเจ็บที่หัวใจหรอก เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บอย่างไรแล้ว สิ่งที่ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดของหัวใจผมได้ก็คงเป็นความเกลียดชัง

ค่ำคืนแสนหวานกลับกลายเป็นความเหม็นเน่า... มันเปลี่ยนไปอย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการพลิกฝ่ามือ

“มันจะฟังกันหน่อยไม่ได้หรือไงพี” หน้าของเขาแดงก่ำ กำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ให้ลงไม้ลงมือกับผมมากไปกว่านี้มั้ง แต่ผมกลับอยากให้เขาตบหน้าผมอีกเป็นร้อยๆ ครั้ง ตบให้หัวใจผมเลิกรักเขาได้อย่างเด็ดขาด!

“ต้องให้กูฟังอะไรอีก แค่คลิปที่เมียมึงส่งมาให้กู มันยังไม่พอหรือไง” เอาจริงๆ เลย ผมโคตรรู้สึกดีที่ได้ใช้ ‘กูมึง’ กับเขา มันเหมือนว่าผมหมดทั้งความรักและความศรัทธาในตัวเอง ไม่มีอะไรในตัวเขาที่ทำให้ผมเคารพได้อีกแล้ว

...ร่างกายที่เต็มไปด้วยเซ็กซ์ของเขา ไม่มีอะไรให้ผมนับถือได้อีกต่อไป

“ก็ฟังจากปากฉันบ้าง” เสียงเขาขุ่นขึ้นอีก เกือบจะเป็นตะคอกใส่หน้าผมแล้วด้วยซ้ำ “ทำไมไม่คิดจะฟังบ้างห้ะ!!”

“งั้นก็บอกมาสิ เมื่อคืนได้ไปเอากับมันมาไหม ไปลงรูของมันมาหรือเปล่า”

“.....” เขาหลบตาผม

“หึ... ทำไมไม่ตอบล่ะ อยากให้ฟังจากปากมึงไม่ใช่หรือไง” ผมยิ้มเยาะให้กับความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้ เพราะหลักฐานมัดตัว “บอกมาสิว่ามึงไม่ได้ไปเอากับมัน หลงรูมันมากใช่ไหม ที่ทำกับกูเมื่อคืนมึงยังไม่พอใจหรือไง หรือว่ามันไม่ถึงใจคนโรคจิตอย่างมึง!”

“พี!” ตาเขาเริ่มลุกเป็นไฟ มือหนาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนผม กำแน่นจนเจ็บ “อย่าเรียกฉันว่า ‘มึง’ อีก”

“ทำไม! กูจะเรียก เหมือนที่เมียมึงเรียกกูไง มันก็เรียกกูว่ามึงเหมือนกัน” แรงบีบที่ต้นแขนผมแรงขึ้น เจ็บนะ แต่ผมไม่ขอร้องให้เขาปล่อยหรอก เพราะไม่มีความเจ็บไหนที่ผมทนไม่ได้ แม้แต่เจ็บที่หัวใจเหมือนจะขาดใจตาย ผมยังทนมาได้ถึงตอนนี้เลย และผมก็ใช้คำหยาบคายนี่แหละระบายความเจ็บปวดออกมา เขาจะได้รู้สึกเหมือนผมบ้าง ว่าตอนถูกเรียกด้วยคำหยาบคายพวกนั้นเป็นอย่างไร เผื่อจะได้เอากลับไปสั่งสอนเมียตัวเองว่าอย่าใช้คำหยาบคายกับผมอีก

“หยุดพูดคำหยาบกับฉัน...พี ยังไงฉันก็แก่กว่าเธอมาก จำเอาไว้!” ว่าแล้วเขาก็สะบัดแขนผมทิ้งตอนที่พี่แอลเปิดประตูเข้ามาพอดี พร้อมกับถาดใส่อาหาร

“กูไม่จำ!” แต่ผมก็ยังไม่หยุด พี่แอลถึงกับสะดุ้ง ตกใจกับคำพูดของผม

“จะไม่หยุดใช่ไหมพี!”

“เออ! กูไม่หยุด เหมือนที่เมียมึงยังไม่หยุดด่ากูไง ไปบอกมันด้วยว่ากูไม่ได้อยากได้ผัวมัน อย่ามายุ่งกับกูอีก อยากเอากันท่าไหนก็ไม่ต้องมาเกี่ยวกับกู ไม่ต้องส่งรูปอุบาทว์พวกนั้นมาให้กูอีก กูไม่อยากเห็นภาพอุบาทว์...ทั้งมึง ทั้งเมียมึง โรคจิตทั้งคู่...อึก...” ทันทีที่พูดจบฝ่ามือหนาก็สะบัดลงมาบนหน้าผมเป็นครั้งที่สอง เจ็บจนหน้าชา เขาตบผมเต็มแรงเลย

ยอมรับว่าผมสมควรโดนตบ... แต่เขาก็ไม่ควรตบหน้าผมถึงสองครั้ง!

“บอส! ทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ” พี่แอลที่ก่อนหน้านี้ยังยืนอึ้งกับคำพูดของผมรีบวางถาดอาหารลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนดึงตัวเจ้านายตัวเองลุกออกไปจากเตียง แล้วเธอก็ทิ้งตัวลงมานั่งแทนที่ ดึงเอาตัวผมเข้าไปกอดปลอบ “ไม่ร้องนะคะน้องพี คุณยะไม่ได้ตั้งใจ”

“ฮึก...” ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย อ้อมกอดของผู้หญิงที่ไม่ใช่คุณย่ากับอาภาแต่ก็ปกป้องผมได้ น้ำตาผมไหลอยู่ที่ไหล่บางของพี่แอล มือของเธอก็ลูบแผ่นหลังปลอบโยนความเจ็บปวดของผม “...ผมเกลียดมัน” เป็นความรู้สึกเดียวเลยในตอนนี้

“ไม่เอาค่ะ ไม่เอานะคะ น้องพีเป็นเด็ก พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้ไม่น่ารักเลย” พี่แอลดึงตัวผมออกมา เธอช่วยเช็ดน้ำตาบนแก้มที่ข้างหนึ่งน่าจะขึ้นสีแดงเป็นรูปรอยมือของเขาไปแล้วมั้ง ขณะที่เจ้านายของเธอยืนมองผมด้วยสายตาขุ่นคลั่ก ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความโกรธ คงอยากจะตบผมเป็นครั้งที่สามละมั้ง

“ฮึก... ผมเกลียดมัน” ผมก็ยังพร่ำคำที่เป็นความรู้สึกปวดร้าวออกมา “เกลียด...ฮึก...เมียมันด้วย” ไม่น่ารักก็ช่าง ผมไม่ได้อยากให้ใครมารักผมอีกแล้ว โดยเฉพาะเขา

“พูดไม่เพราะอีกแล้วน้องพี เดี๋ยวคุณยะก็โกรธอีกหรอกค่ะ” พี่แอลเปลี่ยนจากปลอบเป็นดุ แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าไร “ขอโทษคุณยะก่อนนะคะ”

“ผมไม่ขอโทษมันหรอก” คนที่ต้องขอโทษคือเขากับคนของเขา ร่วมมือกันทำร้ายความรู้สึกของผมมากี่ครั้ง “...เพราะผมเกลียดมัน” และยังย้ำคำเดิมตอกหน้าคนที่ยืนกัดฟันข่มอารมณ์โกรธอยู่กลางห้อง

“เกลียดฉันมากนักก็ออกไปจากครอบครัวฉัน!” เขาตะคอกออกมาก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไปเลย

“เห็นไหม คุณยะโกรธแล้ว” พี่แอลพูดอย่างอ่อนใจกับความดื้อของผม “แล้วทะเลาะเรื่องอะไรกันคะ”

ผมไม่ตอบแต่ยื่นสิ่งที่อยู่ในไลน์ให้พี่แอลดูแทน ผมไม่ได้อยากประจานความบ้าเซ็กซ์ของเขาหรอกนะ ผมแค่ต้องการคนที่อยู่ข้างผมบ้าง เข้าใจกับสิ่งที่ผมต้องเจอ และพี่แอลก็เป็นอีกคนที่รู้ความสัมพันธ์ของผมกับเขา และคงรู้แล้วด้วยว่าผมไม่ใช่ลูกของเขา ไม่อย่างนั้นสายตาที่เธอมองความสัมพันธ์ของผมกับเขาคงเต็มไปด้วยความรังเกียจ ไม่ใช่แบบที่เป็นในตอนนี้คืออยากให้ผมกับคุณยะคืนดีกัน

“อะไรคะ ?” พี่แอลรับโทรศัพท์ไปจากมือผมแบบงงๆ แต่พอเห็นสิ่งที่ผมให้ดู เธอก็ทำตาโต ผมนึกว่าเธอจะกรี๊ดกร๊าดแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้ง เพราะแต่ละรูปที่พี่เลม่อนส่งมาให้ผมเรียกว่ารูปโป๊เปลือยได้เลย (เพียงแต่ไม่เห็นน้องชายเท่านั้นแหละ) แต่พี่แอลก็ยังเลื่อนดูรูปพวกนั้นอยู่นานก่อนจะลดโทรศัพท์ในมือลงและเงยหน้าขึ้นมาถาม

“คุณยะเห็นหรือยังคะ”

“เขาเห็นแต่เขาไม่เคยทำอะไรเลย” เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นว่าคนของเขาส่งอะไรมาให้ผม ผมก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรพี่เลม่อน ไม่อย่างนั้นพี่เลม่อนคงหยุดส่งรูปพวกนี้ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ไม่ใช่ยังส่งมาให้ผมอยู่เรื่อยๆ

“เดี๋ยวพี่แอลไปคุยกับคุณยะให้ค่ะ”

“ไม่ต้องครับ เปลืองน้ำลายเปล่าๆ คนอย่างเขาจะทำอะไรได้ ก็หลงเมียตัวเองขนาดนั้น”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คุณยะกับน้องเลม่อนไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“ไม่ต้องแก้ตัวแทนเจ้านายของพี่แอลหรอกครับ ความจริงก็เห็นอยู่ เขาจะกล้าทำอะไรพี่เลม่อนได้ หึ...คงกลัวไม่ได้ลงรู”

“น้องพี!” พี่แอลร้องเสียงหลงออกมาตอนที่ผมพูดคำหยาบ ส่วนประโยคหลังก็บ่นผมเบาๆ แทน “พูดอะไรแบบนั้นคะ ไม่เพราะเลย”

“ผมหิวแล้ว วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลยครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง รู้ตัวว่าพูดไม่เพราะ แต่อารมณ์ผมมาแล้วไง แค้นใจคำสัญญาที่เขาให้ผมแต่กลับทำไม่ได้เพราะหลงพี่เลม่อนจนโง่หัวไม่ขึ้น หรือพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่าหลงรูนั่นแหละ “พี่แอลกลับไปทำงานเถอะครับ”

“เดี๋ยวพี่แอลไปหาน้ำแข็งมาประคบแก้มให้น้องพีก่อนดีกว่า” เธอว่าแล้วก็ลุกขึ้น หมุนตัวจะเดินออกไป แต่ผมรั้งไว้ก่อน

“ไม่ต้องครับพี่แอล แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามันจะบวมก็ปล่อยมันบวมไป คนที่ทำเขายังไม่สนใจเลย พี่แอลไปทำงานเถอะครับ”

“แต่...” เธอจะค้าน

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าน้องพีอยากให้พี่ช่วยอะไรก็โทรมานะคะ”

“ครับ” ผมมีเบอร์พี่แอล ได้มาตอนที่ผมมารับเงินค่าขนมรายวันที่เจ้านายเธอฝากเอาไว้ก่อนไปเยอรมัน เธอให้เบอร์ไว้เผื่อฉุกเฉินตอนที่เงินผมหมดกะทันหันจะได้โทรหาได้เลย แต่เอาเข้าจริงผมก็ใช้เงินแปดสิบบาทไม่หมด เพราะผมก็จ่ายแค่ค่าข้าวกลางวันกับน้ำเปล่า นอกเหนือจากนั้นไอ้ที่เคยกินๆ ก็ตัดขาดไปเลยครับ ก็เงินไม่มีแล้วนี่จะให้ผมเอาเงินที่ไหนไปซื้อ

“พี่แอลครับ” ผมเรียกเธอไว้ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป

“คะน้องพี อยากได้อะไรคะ” เดินกลับมาถามผม

“เปล่าครับ แค่อยากให้พี่แอลช่วยยกอาหารพวกนี้ไปที่โต๊ะข้างนอกครับ ผมอยากนั่งกินที่โต๊ะมากกว่า” ผมบอก ถึงจะเจ็บช่วงล่างแต่ผมก็ไม่อยากนั่งกินมื้อแรกของวันบนเตียง เอาจริงๆ คือมันกินลำบากนะ แต่จะให้ผมยกออกไปเองก็คงไม่ไหว สภาพผมตอนนี้แค่เอาตัวเองลุกจากเตียงเดินออกไปนอกห้องตัวเปล่าก็ยากแล้วครับ ให้ถือถาดอาหารไปด้วยคงได้คว่ำตั้งแต่ยังเดินไปไม่ถึงประตูห้องแน่ๆ

“ได้ค่ะ” พี่แอลยิ้ม

“ขอบคุณครับ” 

พอพี่แอลยกถาดอาหารออกไปแล้ว ผมก็ค่อยๆ เอาตัวเองออกมาจากเตียง ขยับแต่ละทีนี่เจ็บมากแต่ก็ฝืนลุกเดินเข้าห้องน้ำในสภาพเดินกะโผลกกะเผลกเลยนั่นแหละ อาการเจ็บตัวทำให้ผมนึกเกลียดสิ่งที่เขาทำกับผมทั้งสองคืนที่ผ่านมา ไม่โทษตัวเองหรอกที่ยอมเขา เพราะผมตกเป็นเหยื่อ ผมหลงกลคำหวานที่ปั้นแต่งมาหลอกลวง ทั้งคำบอกรัก ทั้งคำที่บอกว่าหัวใจของเขาเป็นของผม ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ผมหลงเชื่อ ยอมทำตามรสนิยมทางเพศของเขาไปอย่างโง่เง่า ทรมานตัวเองเพื่อให้เขามีความสุข ส่วนตัวเองก็มีแต่เจ็บตัวและเจ็บหัวใจ

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 14-11-2018 21:02:36
.

.

.

.

.

ผมใช้เวลาอาบน้ำไปเกินครึ่งชั่วโมง อาบเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่สดชื่นขึ้นแต่แก้มบวมไปแล้วครับ ผมเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเอง (ชุดที่ใส่ไปงานวันเกิดพี่ชายของดีน) ที่ซักรีดเรียบร้อยและแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้ามาใส่ ไม่ลืมที่จะเอาเสื้อผ้าของเอ้ที่ผมใส่ออกจากบ้านดีนออกมาจากตู้ด้วย ยัดมันใส่กระเป๋าสะพาย กะว่ากินข้าวเสร็จผมก็จะกลับเลย

ออกมาจากห้องผมก็เดินกะโผลกกะเผลกไปที่โต๊ะอาหาร วางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ ส่วนตัวผมเองตั้งใจว่าจะยืนกินข้าวแทนการนั่งเพราะผมปวดช่องทางด้านหลังมาก ถึงเบาะเก้าอี้จะนุ่มแต่ก็ยังดูแข็งไปสำหรับสภาพผมในตอนนี้ ผมมองดูอาหารห้าอย่างกับข้าวผัดปูที่แบบว่าเนื้อปูเยอะมากที่วางอยู่บนโต๊ะ นึกสงสัยว่าทำไมมันถึงเพิ่มจำนวนขึ้นมาได้ เพราะตอนที่พี่แอลยกถาดอาหารมาก็มีแค่ผัดเต้าหู้กับต้มจืด ปลาหมึกยัดไส้ และก็ข้าวผัดปูจานเล็ก ไม่ได้จานใหญ่เหมือนที่ผมเห็นบนโต๊ะ อาหารก็เพิ่มมาอีกสามอย่าง แถมวางจานเปล่าพร้อมช้อนกับซ้อมไว้สองชุดด้วย

แต่แล้วความสงสัยของผมก็ได้รับความกระจ่างในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเสียงเปิดปิดประตูบานหนึ่งในห้องเพนต์เฮ้าส์ดังขึ้น และใครคนหนึ่งโผล่เข้ามาในระยะมองเห็นของผม

...มิน่าล่ะ อาหารถึงเต็มโต๊ะ

เจ้าของเพนต์เฮ้าส์มองหน้าผมนิดหนึ่ง ท่าทางเหมือนอยากพูดกับผม แต่ผมมองเขาด้วยสายตาเกลียดชังสุดๆ จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนเคยใช้สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กโง่ๆ คนหนึ่งมองเขามาก่อน จากนั้นก็มีแต่ความเงียบระหว่างผมกับเขา แล้วเขาก็เดินเลยไปที่ประตูเพราะจังหวะนั้นเสียงออดหน้าห้องดังขึ้นพอดี ส่วนผมก็เลิกที่จะสนใจเขา หันมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ ผมตักข้าวผัดปูใส่จานเปล่าด้วยความหิวจัด กำลังจะตักเข้าปาก ฝ่ายนั้นก็เดินมาที่โต๊ะ ถือเบาะรองนั่งที่เป็นขนสีขาวดูคล้ายขนกระต่ายและน่าจะนุ่มเอามากๆ มาด้วย เขาวางมันลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือของผม

“นั่งสิ” น้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับผมอ่อนลงแต่ก็ยังฟังดูขุ่นเคืองใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้อง

“.....” ผมแค่มอง ตักข้าวผัดปูเข้าปากแบบไม่คิดจะสนใจทำตามที่เขาบอก ไม่สนใจแม้แต่จะมองหน้าเขา สายตาผมอยู่แค่ข้าวในจานกับอาหารบนโต๊ะ ผมรีบเคี้ยวรีบกลืน กะว่าเอาแค่ให้หายหิวแล้วค่อยไปหาอะไรกินให้อิ่มท้องที่บ้าน แต่แค่คำแรกที่กลืนลงคอไป ผมก็ถูกดึงลงไปนั่งบนเบาะขนนุ่มอันนั้นแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว พอไม่ได้ตั้งตัวแรงปะทะระหว่างก้นผมกับเบาะหนานุ่มก็ต้องมากเป็นพิเศษ ต่อให้เบาะรองนั่งทั้งหนาและนุ่มขนาดไหน ความเจ็บจี๊ดจากจุดบอบช้ำที่สุดในร่างกายก็แทบจะทะลุออกทางกลางกระหม่อมได้อยู่ดี ส่วนแข้งขาไม่ต้องพูดถึงสั่นระริกไปหมดแล้ว

“อะ...ฮึก...” น้ำตาผมถึงกับพรั่งพรูออกมา “ทำกูทำไมวะ...ฮึก...กูเจ็บ...มึงไม่รู้หรือไง...ไอ้โรคจิต!” ผมโวยวายทั้งน้ำตา ยกกำปั้นทุบหน้าท้องแข็งๆ ของเขาไปเต็มแรงที่เหลืออยู่น้อยนิด เพราะถูกความเจ็บปวดที่วิ่งทะลุร่างกายจนพรุนไปหมดดูดเอาพลังไปหมด สภาพผมคือถ้ายืนนี่คงทรุดไปกองพื้นแล้วเพราะขาไม่มีแรงรับน้ำหนักของร่างกายได้

“คุณยะขอโทษครับ” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนไม่ต่างจากเมื่อคืน พร้อมกับรวมข้อมือผมเอาไว้ไม่ให้ทุบตีเขาไปมากกว่านั้น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเก้าอี้ที่ผมนั่ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม “เจ็บมากไหมครับคนดีของคุณยะ” จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนแก้มผมเบาๆ ให้ความรู้สึกว่าเขากำลังทะนุถนอมแก้มผมมากทีเดียว

เหอะ! แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่หลงเชื่อคำเหม็นเน่าที่ออกมาจากปากเขาว่าเป็นความจริงอีกแล้ว หลังจากเจ็บซ้ำซากมาหลายครั้ง ผมก็ควรฉลาดเสียที

“จะถามว่าก้นกูเจ็บมากไหม หรือแก้มกูที่โดนมึงตบสองครั้งล่ะ” ผมถามกลับ สายตาที่ใช้มองเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังสิ่งที่เขาทำกับผม ส่วนคนที่ถูกสายตาเกลียดชังของผมซัดเข้าใส่ก็ค่อยๆ ปล่อยข้อมือผมให้เป็นอิสระ ส่วนปลายนิ้วที่เกลี่ยเม็ดน้ำตาบนแก้มให้ผมก็ชะงักลง ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
 
สายตาที่เขาใช้มองผม มันเต็มไปด้วยอะไรหลายอย่างที่อัดเต็มอยู่ในนั้น ทั้งโกรธ โมโห อยากพูด อยากแก้ตัว และอยากให้ผมกลับไปเป็น ‘คนดี’ ของเขาแบบเมื่อคืน แต่ไม่อีกแล้วที่ผมจะเชื่อสิ่งที่เขาพูดหรือสิ่งที่เขาแสดงออกมาผ่านสายตาและท่าทาง ผมอยากให้ความเจ็บปวดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่อยากวนเวียนอยู่กับความเจ็บที่ซ้ำซาก ปล่อยให้คนของเขามาด่าผมด้วยคำหยาบคาย โดยที่เขาไม่สามารถปกป้องผมได้เลย ...ไม่เลยสักครั้ง

“ฉันขอโทษ เดี๋ยวจะเอาน้ำแข็งมาประคบให้” เขาเดินไปที่ตู้เย็น   

“ไม่ต้อง” ผมพูดตามหลังเขาไป ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ ความเจ็บจากช่องทางด้านล่างก็ยังเป็นเหมือนมีดที่กรีดเข้ามาในความบอบช้ำ ทว่าผมก็กัดฟันข่มความเจ็บนั้นลงไป ยืนบนขาที่ติดจะสั่นอยู่พอสมควรแต่ก็แบกรับน้ำหนักตัวของผมเอาไว้ได้แล้ว “...เจ็บแค่นี้เดี๋ยวกูก็หาย แต่ที่กูอยากให้หายไปตอนนี้เลยคือตัวมึงกับเมียของมึง แล้วก็รูปกับคลิปอุบาทว์ๆ ของพวกมึงก็อย่าให้เมียมึงส่งมาให้กูอีก อยากถ่ายอยากเอากันท่าไหนก็ไม่ต้องเอามาให้กูดู กูไม่ได้โรคจิตแบบพวกมึงสองคน”

เขาไม่ได้หันกลับมามองตอนผมพูด และผมก็ไม่อยู่รอให้เขาหันกลับมา พูดประโยคสุดท้ายจบ ผมก็เดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากโต๊ะอาหาร และเดินออกมาจากห้องเพนต์เฮ้าส์ของเขาทันที

ผมทิ้งค่ำคืนที่เคยมีความสุขมากที่สุดในชีวิตไว้ที่นี่และไม่มีวันจะหวนกลับมาเอาความสุขจอมปลอมนั้นมาไว้ในชีวิตอีกเด็ดขาด

ผมอยากให้ทุกอย่างจบสิ้นตั้งแต่วินาทีที่ผมพูดประโยคสุดท้ายจบ อยากให้เขาหายไปจากชีวิตผม หรือเป็นผมเองก็ได้ที่หายไปจากชีวิตของเขา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเป็นดังใจผมนักหรอก ในเมื่อผมยังต้องอยู่ในครอบครัว ‘ตรัยธาดา’

...เพราะในตอนนั้นผมไม่มีที่ไป ผมยังเด็ก ชีวิตยังไม่กลายเป็นของผมแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมถึงต้องทนอยู่ ทนให้เขาเอาเปรียบร่างกายของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทว่าผมก็เฝ้ารอเวลาที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ยืนด้วยลำแข็งของตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งเงินของเขาแม้แต่บาทเดียว!

.

.

.

“หื้อ... กี่โมงแล้วเจย์” ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาในสภาพเสียงแหบแห้งเพราะมือปลาหมึกของคนร่วมเตียง หลังจากใช้เวลาตั้งแต่ช่วงสายจนถึงตอนนี้ที่ท้องฟ้านอกผนังกระจกที่ไร้ผ้าม่านบดบังจวนเจียนจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มกับการคลุกวงในกันบนเตียง

“อีกสักรอบได้ไหมพีรัช” เสียงอ้อนและลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดอยู่ข้างแก้ม “ไหวหรือเปล่าครับ”

“ไม่ไหวแล้วเจย์” ผมส่ายหน้าทันที “ใช้งานผมหนักไปแล้วนะ” ก็ตั้งแต่สายจนถึงตอนนี้ จำนวนครั้งที่ทำเรื่องอย่างว่ากันก็สามครั้งถ้วน แต่ก็เป็นสามครั้งที่ผมให้จิระใช้ถุงยางเพราะรู้ว่าวันนี้จิระจะไม่หยุดแค่รอบเดียว และผมก็ขี้เกียจต้องมานั่งเอาสิ่งที่ค้างภายในช่องทางนั้นออกมาด้วยแหละ

“ใจร้าย” ว่าแล้วก็ทำหน้ายุ่ง แต่ก็ไม่ได้รบเร้าจะเอาให้ได้ดังใจ เขาก็รู้ตัวแหละว่าผมตามใจเขามาเยอะแล้ว ไม่ใช่แค่วันนี้ที่ผมตามใจเขา แต่เป็นทุกวันตั้งแต่เขามาหาผมพร้อมข่าวดีสำหรับผม แต่เป็นข่าวร้ายของตัวเขาเอง

จิระต้องนอนกับมาร์คัส รอสส์ เพื่องานของผม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงตามใจเขาทุกวัน ก็เพื่อตอบแทนสิ่งที่จิระทำเพื่อผม เขายอมเป็นฝ่ายรับให้อดีตพี่ชายข้างบ้านที่เขาเคยบอกว่าโคตรจะไม่ชอบขี้หน้า ทั้งหมดก็เพื่อผม ผมถึงต้องตอบแทนเขา... เท่าที่ผมทำได้

“ไม่ใจอ่อนหรอกน่า” ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมนุ่มๆ ของจิระอย่างที่ชอบทำ เพราะบางครั้งผมก็รู้สึกว่าจิระเป็นน้องชายของผมจริงๆ เขาตัวใหญ่กว่าผมก็จริงแต่ไม่ได้ใหญ่กว่ามาก แถมยังขี้อ้อนมากด้วย อ้อนเหมือนน้องชายตัวจิ๋ว ไม่เหมือนภาพลักษณ์ทรงภายนอกที่ใช้โปรยเสน่ห์สาวๆ เลยสักนิด “ลุกได้แล้ว ไปอาบน้ำแต่งตัวเร็ว” ผมลุกนั่งพร้อมกับดึงตัวจิระขึ้นมาด้วย

“ไม่อยากไปเลย เบื่อหน้ามัน” จิระบ่น

“งั้นก็ไม่ต้องไป มาทำกันต่อดีไหม” แล้วผมก็ทิ้งตัวลงนอน และอีกเช่นเคยที่ผมจะดึงตัวจิระลงมาด้วย เพียงแต่ไม่ได้กลับลงมานอนในอ้อมกอดของกันและกัน แต่ผมดึงตัวจิระให้ขึ้นมาคร่อมอยู่เหนือร่างกายของผม

คนที่อยู่เหนือร่างผมยิ้มแต่เป็นยิ้มที่ไม่แจ่มใส

“ถึงจะเบื่อหน้ามันแต่ก็ต้องไป... ครั้งสุดท้ายแล้ว” ท้ายประโยคเสียงเบาลง ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นนั่ง และเป็นผมบ้างที่ถูกดึงขึ้นมาจากที่นอนนุ่ม “อีกครั้งเดียว...ครั้งเดียว” จิระพูดย้ำ เหมือนจะตอกย้ำว่าหลังจากนี้เขาจะเป็นอิสระจากเงื่อนไขที่ทำให้เขาต้องกล้ำกลืนฝืนทนถึงสามครั้ง

ครั้งแรกเกิดขึ้นก่อนที่จิระจะกลับมาหาผม

ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน

และครั้งที่สามก็คืนนี้

“ขอโทษนะเจย์” ผมดึงร่างที่ขาวกว่าผมเข้ามากอด กระซิบคำจากความรู้สึกที่ล้นอยู่ในอกตั้งแต่ที่จิระบอกว่าต้องนอนกับมาร์คัสถึงสามครั้ง เพื่อให้เขาเปลี่ยนสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ “ขอโทษจริงๆ”

ผมไม่มีคำไหนตอบแทนจิระนอกจากคำขอโทษและคำขอบคุณ แม้รู้ว่ามีคำที่คนในอ้อมแขนของผมต้องการแต่ผมให้เขาไม่ได้ เพราะผมไม่อยากโกหกตัวเองและไม่อยากให้คนฟังต้องมาเจ็บปวดกับคำโกหกของผม

...เหมือนอย่างที่ผมเคยเจ็บปวดกับคำโกหกของผู้ชายคนนั้น

“ไม่เป็นไร จิระเต็มใจทำเพื่อความสุขของพีรัช” รอยยิ้มของจิระแจ่มใสขึ้นจากเมื่อครู่

“อีกรอบนะ” ครั้งนี้ผมเป็นคนพูด เชิญชวนด้วยร่างกายที่ไร้เสื้อผ้าห่อหุ้ม นอกจากคำขอโทษและขอบคุณ ก็มีร่างกายอีกหนึ่งอย่างที่ผมใช้ตอบแทนสิ่งที่เขาทำเพื่อผม

ผมผลักจิระลงไปนอนแทนที่ผมเมื่อกี้ ส่วนตัวเองลดตัวลงไปด้านล่าง บนหน้าขาของจิระ ประคับประคองเด็กน้อยตัวสีชมพูเข้ามาในอุ้งปาก ผมเต็มใจทำให้เจ้าของร่างกายนี้ เพื่อตอบแทนสิ่งที่เขาทำเพื่อผมมาตลอด

“อ่า...จิระรักพีรัชนะ”

คำพูดนั้นผมรับรู้มาตลอด เพียงแต่ตอบแทนจิระด้วยความรู้สึกแบบเดียวกันไม่ได้... ไม่เคยทำได้เลย เพราะหัวใจของผมไม่ได้เป็นของผมมานานมากแล้ว

.

.

.

“ขำอะไรเจย์” ผมหันไปค้อนคนที่เดินเคียงข้างผมเข้าไปในโรงแรมอันเป็นสถานที่นัดหมายของจิระกับอดีตพี่ชายข้างบ้านของเขา

“สงสารคนแก่” จิระพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลมองลงไปที่สะโพกใต้กางเกงยีนสีซีดของผม

“แก่กว่าแค่ปีเดียวเถอะ” ผมเอาคำที่จิระเคยพูดขึ้นมาเถียง สภาพผมตอนนี้ก็อาจจะน่าขำนิดหน่อยเพราะผมเดินไม่ปกติเท่าไร จะให้ปกติได้ยังไงล่ะ ก็วันนี้ทำเรื่องอย่างว่าไปสี่รอบ และรอบสุดท้ายผมก็ทำซ่าปีนขึ้นไปออกกำลังกายบนตัวจิระขนาดนั้น เอวมันเลยเคล็ดนิดหน่อย บวกกับสภาพที่ผ่านศึกมาสี่รอบด้วย ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้ ผมเหมือนคนเดินไม่ตรงอ้ะ

“แต่ก็ขอบคุณนะครับพีรัชสำหรับของอร่อยที่กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ” นอกจากจะก้มลงมาพูดข้างหูผมด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แล้ว เจ้าตัวยังเอามือมาโอบเอวผมอีก ไม่สนใจสายตาของใครที่มองมาเลย

“เอามือออกเลยจิระ” ผมบอกแต่ก็เป็นคนปลดมือจิระออกไปจากเอวตัวเอง

“พีกลับไปก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องรอผมหรอก” จิระพูดเสียงจริงจังขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาในตัวโรงแรมเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงเขาก็ไม่อยากให้ผมมาด้วย แต่เป็นผมที่ดื้อตามเขามาเอง

“ไม่ต้องมาไล่เลย มาถึงขนาดนี้แล้วจะให้กลับได้ยังไงล่ะ” ผมพูดยิ้มๆ แม้ในใจจะไม่ยิ้มตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกลับมาเหยียบโรงแรมแห่งนี้ ก็นับตั้งแต่ที่ผมจากไป ผมก็ไม่กลับมาที่พุฒิธาดาอีกเลย “ขึ้นไปเถอะ เสร็จแล้วก็โทรมานะ”

“งั้นขอกอดหน่อย” ผมยังไม่ทันอนุญาตเลย จิระก็ดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด แขกของโรงแรมที่เดินผ่านไปมามองกันให้วุ่น ไม่เว้นแม้แต่พนักงานต้อนรับในชุดไทยสีเปลือกไข่ที่เริ่มมองมา และคล้ายกับว่ามีบางคนที่ผมคุ้นหน้าก็เหมือนจะจำผมได้ ผมถึงได้รีบดันตัวจิระออกไป จูงมือเขาไปที่ลิฟต์ก่อนที่จะมีใครจำได้ว่าผมเคยเป็นใครมาก่อน และเดินเข้ามาทักทาย

“เข้าไปได้แล้ว” ผมพูดขึ้นเบาๆ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกในจังหวะที่ผมกับจิระเดินมาถึงพอดี พร้อมกับลูกค้าชายหญิงชาวต่างชาติที่ก้าวออกมา แต่ไม่วายที่จิระจะดึงเอาตัวผมเข้าไปในห้องโดยสารสี่เหลี่ยมด้วยกัน และพอประตูปิด ผมก็ถูกดันตัวให้ไปติดกับผนังเย็นชืด แล้วริมฝีปากของจิระก็ประกบจูบลงมาบนกลีบปากของผม จูบอย่างเอาเป็นเอาตาย นานกว่าที่เขาจะปล่อยกลีบปากของผมให้เป็นอิสระ

“เฮ้อ...ชาร์ตพลังเต็มที่แล้ว” เจ้าตัวยิ้มหน้าระรื่น แต่ผมรู้ว่าเข้าในของจิระไม่ได้ยิ้มเลยสักนิด ผมถึงได้ดึงใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งลงมาใกล้ เป็นฝ่ายมอบจูบดูดดื่มครั้งใหม่ขึ้นมา... และครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเสียงประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่หมาย

“ขอบคุณนะเจย์” ครั้งนี้ผมไม่ได้พูดคำขอโทษ แต่ขอบคุณสิ่งที่จิระเสียสละทำเพื่อผม เรื่องที่ผมขอให้เขาช่วยไม่ได้สำคัญอะไรมากเลย ก็แค่เรื่องแก้แค้นเอาคืนแบบเด็กๆ แต่สิ่งที่จิระต้องเสียสละเพื่อให้ผมได้ในสิ่งเล็กน้อยนั้นกลับเป็นเรื่องที่หนักหนามากทีเดียว

“เดี๋ยวได้ขอบคุณทั้งวันทั้งคืนแน่...พีรัช” จิระยังยิ้มให้ผม ยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักอย่างแท้จริง ไม่มีคำโกหกหลอกลวงอยู่ในคำบอกรักของจิระเลย แม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่มี... ไม่เหมือนคำบอกรักของคนคนนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“ให้สามวันสามคืนเลย” ผมไม่ได้พูดเอาใจเขา แค่อยากจะมอบความสุขให้กับจิระจริงๆ ผมตอบแทนเขาได้แค่ร่างกายนี่แหละ 

“ขอบคุณครับ”

จิระเดินออกไปแล้ว ประตูลิฟต์ปิดลงอีกครั้ง มันกำลังเคลื่อนตัวลงไปชั้นล่าง ล่างลงไปยังชั้นใต้ดิน ชั้นที่เป็นที่ตั้งของ Mar Bar สถานที่ที่ผมจะใช้นั่งรอจิระ

.

.

.

บรรยากาศของ Mar Bar ในคืนนี้ถูกโอบล้อมด้วยบทเพลงแจ๊ซที่ขับกล่อมให้ผู้คนได้ดื่มด่ำในความสวยงามของเสียงดนตรี ในส่วนของการตกแต่งจะเน้นเนื้อหวายเป็นองค์ประกอบหลักแทรกไปกับความแข็งแกร่งของเนื้อไม้ที่แข็งแรงมั่นคง มันลงตัวและหรูหราในแบบที่เป็นพุฒิธาดา และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบาร์ค็อกเทลที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ

ปลายเท้าของผมมุ่งตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม ซึ่งมีบาร์เทนเดอร์หนุ่มรูปหล่อผู้มีเส้นผมสีทองตามธรรมชาติยืนโปรยยิ้มมีเสน่ห์แบบเบดบอยมาให้ แต่ทำอะไรผมไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ได้ชอบผู้ชายต่างชาติตัวมหึมา เสน่ห์ของเขาถึงทำอะไรผมไม่ได้ สิ่งที่ผมสนใจจนเอาตัวเองมานั่งบนเก้าอี้ทรงสูงตรงหน้าบาร์เทนเดอร์หนุ่มคือเครื่องดื่มที่เขาจะผสมให้ผมลิ้มลองในคืนนี้ต่างหาก

แต่เพียงแค่ทิ้งตัวลงนั่ง ไม่ทันได้ขยับปากพูดอะไรออกมาเลย เครื่องดื่มสีแดงอมส้มและมีลูกเชอร์รีแช่อยู่ในแก้วก้านยาว ที่ดูด้วยสายตาก็รู้ว่ารสชาติร้อนแรงแค่ไหนก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้า ไม่ใช่จากมือของบาร์เทนเดอร์หนุ่มแต่เป็นมือของลูกค้าหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งจับจองพื้นที่หน้าบาร์ก่อนผม

“คิดถึงว่ะ”

ชายคนนั้นยิ้มให้ผม ไม่ใช่แค่รอยยิ้มที่ผมจำได้ แต่เป็นใบหน้าหล่อแบบโอปป้าเกาหลีมากกว่าที่ทำให้ผมจำเขาได้ทันที

“ดีน”

ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว ดีนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักเมื่อเทียบกับผม เพราะเมื่อก่อนตัวผมเล็กกว่าดีนมาก แต่ตอนนี้ผมกับดีนตัวเกือบเท่าๆ กันแล้ว คือดีนตัวเกือบเท่าๆ ผมนะ แต่ที่เปลี่ยนไปพอสมควรคือสีผมที่ถูกยอมเป็นสีน้ำตาลอ่อนและยาวจนสามารถมัดเป็นหางม้าตรงท้ายทอยได้

“นึกว่าจะจำเราไม่ได้ซะอีก” พูดจบ เจ้าตัวก็ขยับลุกจากที่นั่งของตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ตัวที่กั้นระหว่างผมกับเขาเมื่อกี้ พร้อมกับประโยคที่เจ้าตัวชอบพูดกับผมเสมอ

“...อยากจูบว่ะ”

นัยน์ตาเยิ้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เลื่อนมาหยุดที่ริมฝีปากของผม

“จูบได้ป้ะ”

“ได้สิ” ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

“คิดถึง” ดีนยังย้ำคำเดิม และเป็นฝ่ายขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ผมที่ยังนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ที่สูงแค่เหนือเอวขึ้นมา

“เหมือนกัน” และลมหายใจของดีนใกล้เข้ามาอีกนิด ไต่รดบนใบหน้าของผม เราสองคนกำลังจะจูบกันโดยไม่สนใจหนุ่มผมทองตรงหน้า หรือลูกค้าอื่นที่นั่งกระจายกันไปตามมุมต่างๆ ของบาร์เล็กๆ แห่งนี้

...แต่คงไม่ใช่กับเจ้าของเสียงห้วนห้าวที่ดังมาจากด้านหลัง

“กูให้มึงมาเที่ยว ไม่ได้ให้มึงเอา ‘ของของกู’ ไปให้คนอื่นใช้” พร้อมกับมือที่กระชากคอเสื้อด้านหลังของดีนจนเจ้าตัวเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ แต่ที่ไม่ตกลงไปเพราะร่างสูงใหญ่และหนามากๆ ที่เป็นเจ้าของมือนั่นแหละยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเอาไว้

“ตัวเหี้ยว่ะ น่ารำคาญชะมัด” ดีนทำหน้าเซ็งบอกผม แต่ผมกลับเห็นว่าแววตาเป็นประกายวิบวับฟ้องความพึงพอใจเอาไว้ไม่มิด ผิดจากสีหน้าไปมาก ก่อนแหงนหน้าไปพูดกับคนที่ตัวเองเรียกว่าตัวเหี้ย “...กลับไปนั่งที่ของมันไป กูยังเหลือเวลาอีกยี่สิบเจ็ดนาที” พร้อมกับยกหน้าปัดนาฬิกาข้อมือให้ดู ฝ่ายนั้นทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเข้มดุดัน

“กลับไปมึงเจอดีแน่”

“เหอะ... กูเคยกลัวมึง”

“เดี๋ยวมึงรู้” พูดแค่นั้นก็หันหลังเดินกลับไปที่นั่งของตัวเอง แต่ก่อนไปก็ตวัดสายตาอาฆาตมาที่ผม ราวกับจะบอกว่า...

‘มึงอย่าได้ยุ่งกับของของกู’

ผมก็ฉลาดพอที่จะไม่ยุ่งกับ ‘ของของเขา’ หรอกน่า! ...เพราะอิทธิพลของเขาเยอะเสียจนไม่ควรเอาชีวิตที่สงบสุขของตัวเองเข้าไปแลก

“ไม่สงสัยหน่อยเหรอ ?” ดีนถามผม หลังจากสั่งเครื่องดื่มแก้วใหม่กับบาร์เทนเดอร์ไปแล้ว “ถามได้นะ อยากตอบว่ะ”

“อยากตอบหรืออยากระบาย” ผมย้อนถาม พลางยกแก้วเครื่องดื่มรสชาติร้อนแรงเข้าปาก แม้จะรสแรงแต่ก็นุ่มกลมกล่อม ออกหวานนิดๆ และมีกลิ่นหอมฟุ้งอยู่ภายในอุ้งปาก

“อยากมีคนคุยด้วย ขี้เกียจคุยกับพวกผักแล้วว่ะ”

“....?” บนหน้าผมคงขึ้นเครื่องหมายแปลกใจตัวโตมาก ดีนถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับหันไปรับแก้วเครื่องดื่มทรงเตี้ยที่ข้างในบรรจุน้ำสีอำพันและก้อนน้ำเล็กๆ สองสามก้อนจากชายหนุ่มผมสีทอง และไม่ลืมที่จะส่งยิ้มหวานล้นและมากด้วยเสน่ห์ในแบบที่ดีนเป็น ทั้งหยอกเย้า ยั่วยวน และเชื้อเชิญ มีหรือที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มจะปฏิเสธรอยยิ้มของดีนได้

และแน่นอนว่ารอยยิ้มและสายตาที่โต้ตอบกันไปมาระหว่างลูกค้าและบาร์เทนเดอร์หนุ่มต่างชาติ ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่เห็นมัน คนที่จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของดีนก็คงเห็นเช่นกัน ในเวลาอันรวดเร็วคนตัวสูงและหนาเอามากๆ ก็ก้าวเข้ามายืนประชิดคนของตัวเองทันที

ปัง!!

ฝ่ามือหนากระแทกลงบนเคาน์เตอร์บาร์ที่ทำมาจากไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลเข้มเต็มแรง จนเกิดเสียงดังมาก เอาจริงๆ ผมถึงกับสะดุ้งเลยครับ

“อย่าทดสอบความอดทนของกู เพราะมันมีน้อย!”

“เวลาของกูยังเหลืออีกเยอะ” แล้วก็ทำแบบเดิมคือยื่นข้อมือที่มีนาฬิกาพาดอยู่ให้เจ้าของใบหน้าดุดันและแววตาเกรี้ยวกราดดูด้วยรอยยิ้มก่อกวนความอดทนของอีกฝ่ายสุดๆ “กลับไปที่ของมึงได้แล้ว อย่าทำตัวน่ารำคาญ รู้ป้ะว่ามันรบกวนเวลาพักผ่อนของกูว่ะ” พูดจบก็สะบัดมือไล่ ใบหน้าเหม็นเบื่อที่ผมเห็นก็เดาได้ไม่ยากว่าแค่แกล้งทำ เพื่อยั่วอารมณ์ฝ่ายนั้น

“อย่าให้ถึงเวลาของกูบ้าง” ข่มขู่ด้วยสุ้มเสียงเข้มดุแล้วเจ้าตัวก็เดินกลับไปนั่งโซฟาที่อยู่เยื้องไปด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์ไม่ไกลนัก ห่างกันไม่ถึงสิบก้าว

“นึกว่ากูกลัวหรือไงวะ” ดีนบ่นพึมพำตามหลัง ก่อนยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจิบช้าๆ ท่าทางมีความสุขเหลือล้น พอวางแก้วลงก็หันกลับมาหาผม ใบหน้าเปลี่ยนมาเป็นจริงจังไม่ต่างจากน้ำเสียงยามที่บอกกับผมว่า

“...ดีนทำเมียมันตายว่ะ มันเลยเอาดีนเป็นเมียมันแทน”

นี่เองสินะ จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างดีนกับไอ้ตัวเหี้ยที่ครั้งหนึ่งมันเคยบังคับให้ผมดื่มเหล้าผสมยาปลุก


จบตอนที่ 18

มาๆ ช่วงตอบคำถามค่ะ

Naumi : คาดว่าตอนนี้ (18) ก็น่าจะปรับอารมณ์ไม่ทันเหมือนกัน และตอน 19 ก็น่าจะปรับอารมณ์ไม่ทันอีกตามเคยค่าาาา

Snowboxs : โหวววว... ใกล้เคียงมาก ใช่เลยค่ะ แต่คุณยะไม่ได้ปล่อยให้เลม่อนมาทำร้ายน้องพีน้า เลม่อนทำเองทั้งหมด // เลม่อนอยากจะร้องเพลงนิวจิ๋วให้ฟังเลยค่า “ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างไหมมมมมมมมม” 555+

Lizzii : ใช่ค่า ความคุณยะน่าโมโหมาก ไม่ชัดเจนตลอดเลย ทำเด็กเจ็บ

B52 : ตัวเอง อย่าเพิ่งหาทางออกเจอน้า หลงไปด้วยกันจนจบเรื่องเลยนะ T^T อย่าเทกันนนนนนน

Jibbubu : สงสัยใช่แน่ๆ คุณยะซาดิสม์ คนเขียนก็ไม่เข้าใจคุณยะเหมือนกัน (แอบสปอย เอางี้คือ คุณยะก็ทิ้งเลม่อนไม่ได้ เขารู้สึกผิดและต้องรับผิดชอบเด็กงี้)

สุดท้าย ก็ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันอยู่นะคะ เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน แต่เรื่องเยอะไปหน่อย ค่อยๆ ทำความเข้าใจกันต่อไปเนอะ ยังไงสองคนก็รักกันเพียงแต่แสดงออกไม่เท่ากัน เนอะๆ

ปล. ฝากเพจนิยายไว้ด้วยนะคะ  https://www.facebook.com/byitwill/

สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 14-11-2018 21:49:21
เอิ่ม เหมือนเล่นไวกิ้งเลย ขึ้นสุดลงสุด บีบคั้นกับคำว่าเด็กที่ทำให้ต้องทนรับสภาพไม่ว่าอยากจะหนีออกไปแค่ไหน กว่าจะถึงมาอยู่จุดณปัจจุบันต้องทนกล้ำกลืนขนาดไหนกันนะ แค่คิดก็จะขาดใจละ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-11-2018 22:24:36
คุณยะปากหนัก !!!!! คือถ้าอยากอธิบายก็พูดออกมาเลยสิ่ น้องจะได้เข้าใจ
นี่พอน้องบอกไม่ฟัง ก็ไม่พูดต่อ ปล่อยน้องเข้าใจไปแบบนั้น ที่สำคัญ ตบน้องไปอี๊กกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 15-11-2018 01:55:27
โอ้โห จบตอนนี้ ร้องเหี้ยยยยยย หนักมาก อือหือ กับบางคนก็เหี้ยได้เสมอต้นเสมอปลายดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-11-2018 14:17:03
น้องพีน่าจะฟังคุณยะแก้ตัวหน่อยนะคะ เราอยากรู้ไม่ใช่อะไร 5555 

เข้าใจค่ะเหตุการณ์แบบนั้นเป็นเราก็คงไม่ฟังเหมือนกันนั่นแหล่ะ

 :เฮ้อ:ในเมื่อคุณยะไม่สามารถทิ้งเลม่อนได้แบบนี้แล้วจะทำยังไงกับน้องพีล่ะ

แบบนี้น้องพีไม่น่าสงสารแย่เหรอค่ะที่ต้องแบ่งคุณยะกับคนอื่น

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-11-2018 16:59:54
ทำไมทุกคนที่คุณยะต้องดูแล จะต้องจบกันที่เรื่องบนเตียง
พี่ชายเลม่อนฝากให้ดูแลเรื่องเซ็กด้วยเหรอ
ดูแลตลอดชีวิตก็ไม่เห็นต้องมุดรู
นอกจากความต้องการตัวเองล้วนๆ
เอากับน้องพีเสร็จก็รีบแจ้นไปกกกับเมียตัวเอง
แถมปล่อยทิ้งน้องพีทั้งสภาพแบบนั้นจนจะข้ามวัน
ไม่โทษน้องพีนะ เพราะน้องยังเด็ก
นี่ยังถือว่าพีเข้มแข็งมากนะ ถ้าเทียบกับเด็กวัยเดียวๆกัน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 15-11-2018 21:56:23
สนุกมากครับ ลุ้นว่าพีจะจัดการอย่างไร ใครจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าที่น้องเป็นบ้าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 18 (14-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 16-11-2018 23:13:22
แอบมาดูน้องพี
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-11-2018 06:51:44
ตอนที่ 19


เวลาแค่ไม่ถึงยี่สิบนาที ผมก็รู้เรื่องราวในชีวิตของดีนตลอดเก้าปีที่ผ่านมาเกือบทั้งหมด เจ้าของเรื่องเล่าแบบไม่หยุดพักเลย คงอยากระบายออกมาให้ใครสักคนฟัง เหมือนเมื่อครั้งที่ผมเคยระบายเรื่องความโง่ของตัวเองให้ดีนฟัง มาตอนนี้เป็นผมบ้างที่มานั่งรับฟังสิ่งที่อยู่ในหัวใจของดีน

“ดีนเคยคิดจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ” ดีนบอก น้ำเสียงของเขาฟังเรียบเรื่อย ไม่ได้ซ่อนความทุกข์ทรมานจนถึงขั้นต้องฆ่าตัวตายอีกแล้ว “ปืนอยู่ในมือแล้วนะ แต่พอจะลั่นไกก็ใจปลาซิวขึ้นมาเฉยเลย” เจ้าตัวหัวเราะน้อยๆ จิบเครื่องดื่มแก้วใหม่ เป็นแก้วที่สี่แล้วล่ะครับตั้งแต่ที่ผมเห็นดีนดื่มนะ ก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาก็ไม่รู้ว่าดีนดื่มไปกี่แก้วแล้ว

“แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมถาม

“ก็อย่างที่เห็น” ดีนยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่มีความสุขปนไปกับความสะใจ “สนุกจะตายตอนที่เห็นมันอยากจับดีนหักคอแต่ก็ทำไม่ได้”

ผมเห็นด้วยกับดีนเลยเรื่องนี้ พลอยรู้สึกสะใจไปด้วย สมน้ำหน้าคนอย่างพี่หมอก ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องก้มหัวยอมให้คนที่ตัวเอง... ‘รัก’

ใช่แล้วครับ... พี่หมอกหลงรักดีเข้าให้แล้ว ถึงดีนจะไม่บอกผม ผมก็ดูออก ท่าทางหึงหวงเสียขนาดนั้น กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ดีนเอามาใช้เล่นงานได้ง่ายๆ

“จะหมดเวลาแล้ว” ดีนพูดหลังยกนาฬิกาบนข้อมือขึ้นมาดู “ดีนกลับแล้วนะ ว่างๆ พีก็แวะมาเที่ยวสวนผักลอยฟ้าของดีนนะ ดีนจะได้แนะนำให้พวกมันรู้จักคนที่มีริมฝีปากน่าจูบมาก” ลูกตาของดีนเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากผม

เมื่อก่อนผมไม่รู้หรอกว่าปากของตัวเองน่าจูบ จนมีคนชมบ่อยๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะดีนกับจิระ ผมถึงได้รู้ว่าปากของตัวเองน่าจูบ

“อยากจูบไหมล่ะ ?” ผมชักอยากเอาคืนพี่หมอกขึ้นมาแล้วสิ ยิ่งรู้ว่าเขาหลงดีนหัวปักหัวปำ ผมก็ยิ่งอยากแก้แค้นเอาคืนสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับผม

รู้ว่าอิทธิพลของพี่หมอกมีล้นฟ้า แต่ตอนนี้ผมไม่กลัว ก็ทำไมผมต้องกลัวในเมื่อผมมีดีนอยู่ทั้งคน

“อยากมาก”

ดีนยิ้ม ผมยิ้ม เราสองคนยิ้มเพราะรู้ว่ากำลังจะทำเรื่องสนุก ที่อยากจูบกันไม่ใช่เพราะอยากจูบหรือโหยหาความรู้สึกในวัยเด็กที่ย้อนกลับคืนมาไม่ได้ แต่เราสองคนแค่อยากเอาคืนคนบางคนที่จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของดีนอยู่ในตอนนี้

และคราวนี้เป็นผมที่เคลื่อนใบหน้าเข้าหาใบหน้าเนียนใสของดีน ประทับจูบลงบนกลีบปากนุ่มนิ่ม ก่อนจะแลกเปลี่ยนรสชาติแอลกอฮอล์ที่อบอวลอยู่ในอุ้งปากของกันและกัน โดยไม่สนใจบาร์เทนเดอร์หนุ่มผมสีทอง หรือคนในบาร์แห่งนี้ แต่ที่เราสองคนสนใจคือคนบางคนที่คงจะกำหมัดแน่นน่าดู เผลอๆ อาจจะตรงดิ่งเข้ามากระชากตัวผมไปต่อยในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าก็ได้

ไม่เป็นไร... ผมยอมเจ็บตัว เพื่อได้เอาคืนสิ่งที่เขาทำไว้กับผม ถึงจะดูเล็กน้อย แต่เชื่อเถอะว่าเวลาที่ของของเราถูกคนอื่นเอาไปต่อหน้าต่อตา แถมไปอย่างเต็มใจด้วย มันไม่สนุกนักหรอก ใจจะร้อนยิ่งกว่าถูกเผา มากกว่าโดนทุบตี หรือสาดด้วยน้ำกรด ความรู้สึกเหมือนโดนทรยศหักหลังจนกระอักเลือดเลยทีเดียว 

“กลับได้หรือยัง!!” สุ้มเสียงที่ข่มความโกรธเกรี้ยวไว้ไม่มิดดังแทรกขึ้นมา มีมาแค่เสียงแต่ตัวยังคงอยู่ที่เดิม แต่ผมก็ยังไม่เอาลิ้นออกมาจากปากของดีนง่ายๆ ยังคงแลกเปลี่ยนรสชาติของแอลกอฮอล์อย่างสนุกสนานไปพร้อมกับความสะใจ จนกระทั่งดีนเป็นฝ่ายส่งสัญญาณให้ผมปล่อยริมฝีปากของเขาเป็นอิสระ ผมถึงถอนปากออกมา... อย่างอ้อยอิ่งด้วยแหละ

“จูบเก่ง” ดีนพูดแล้วกัดปากตัวเองเบาๆ

“ก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” เจ้าตัวก็จูบเก่งไม่แพ้ผมหรอก จูบเก่งกว่าตอนเรียนมัธยมเสียอีก

แล้วเราสองคนก็หัวเราะ เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้เอาคืนคนที่กำลังก้าวเข้ามายืนทำหน้าเป็นยักษ์ที่พร้อมจะเขมือบผมกับดีนเต็มที แต่ที่ทำได้ก็แค่...

“จะเอากันตรงนี้เลยไหม กูอนุญาต” ผู้ยิ่งใหญ่ก็ชอบประชดเหมือนกันนี่นา

“ถ้ามึงถามตอนที่กูกับพีอยู่ใกล้เตียง กูก็จะตอบว่า... เอา แต่พอดีตรงนี้มันไม่เป็นส่วนตัวว่ะ หรือมึงจะใจดีเปิดห้องให้กูกับพีล่ะ” ดีนก็กวนไม่เปลี่ยน ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายรักก็ยิ่งข่มให้ฝ่ายนั้นจมลงไปอยู่ใต้เท้าตัวเอง

“กลับ!!” ก็ทำได้แค่นี้แหละ สมน้ำหน้าพี่หมอกจริงๆ อยากแก้แค้นเขาแต่ดันตกหลุมรักเขาเสียได้ ยิ่งใหญ่ให้ตายก็แพ้คนคนเดียว

“ไว้เจอกันใหม่นะพี” ดีนหันมาบอกผม

“กูไม่ให้เจอ!”

“ก็เรื่องของมึง แต่กูไม่สนเรื่องของมึง” ยิ่งพี่หมอกใกล้หมดความอดทน ดีนก็ดูมีความสุขขึ้นไปใหญ่ ยิ่งพูดยั่วโมโหพี่หมอกเข้าไปอีก “ไปจริงแล้วนะพี แล้วเจอกัน อ้อ... รักพีเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือรักมากกว่าเดิมนะครับ” แล้วก็โบกมือให้ผม ก่อนเอามือทั้งสองข้างซุกกระเป๋ากางเกงเดินออกไป ทิ้งผมไว้กับสายตาอาฆาตและความร้อนระอุที่แผ่กระจายมาจากตัวของพี่หมอก

รู้สึกกลัวนิดๆ แล้วสิ

“อย่ายุ่งกับเมียกู”

“นั่นก็เรื่องของพี่ แต่ผมไม่สนเรื่องของพี่หรอกนะ” ผมทำใจกล้าต่อปากต่อคำ ยืมคำพูดของดีนมาใช้ พี่หมอกได้แค่มองหน้าผมด้วยสายตาที่ว่า หากมันเป็นมีดอีโต้ ตัวผมคงถูกสับเละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้วแน่ๆ

“ถ้ามึงโกรธกูเรื่องนั้น ก็แก้แค้นด้วยวิธีอื่น อย่าใช้วิธีนี้เพราะกูเอามึงตายแน่ถ้ามึงแตะต้องมันอีก!” สายตาของพี่หมอกบอกว่าเขาเอาจริงอย่างที่พูดแน่ ผมก็กลัวนะแต่ก็ยังปากดี เพราะยังรู้สึกแค้นกับเรื่องตอนนั้นที่เขาใส่ยาปลุกในเหล้าและบังคับให้ผมกิน แถมปล้ำจูบผมและจะให้เพื่อนของเขารุมโทรมผมด้วย ผมถึงได้ทำใจกล้าตอกกลับเขาไปว่า

“ขอบคุณที่ชี้ทางสว่างนะครับ นี่ผมก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเอาคืนพี่เรื่องวันนั้นยังไงดี” ผมจ้องใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจัดอย่างเป็นต่อ “ว่าแต่...ดีนนี่ก็มั่นคงดีนะครับ เมื่อก่อนเคยชอบผมยังไง วันนี้ก็ยังชอบอยู่เหมือนเดิม” พี่หมอกนี่ก็ยั่วง่ายจริง ไม่น่าล่ะ ดีนถึงได้ชอบยั่วโมโหเขานัก ยิ่งเห็นหน้าตาโกรธๆ แล้วโคตรสะใจ

“อย่าหาเรื่องตาย!” ลูกน้องของพี่หมอกที่ใส่สูทสีดำสองคนแทบจะกรูเข้ามาจัดการผมแทนเจ้านายตัวเอง ดีที่คนเป็นนายยกมือห้ามไว้ก่อน ...หวิดเละแล้วไหมล่ะ

“ก็ถ้าผมจะตายง่ายขนาดนั้นก็คงช่วยไม่ได้” ผมยกไหล่ให้กับคำข่มขู่ของคนที่ไฟลุกท่วมตัว ทำเหมือนไม่กลัวแต่ใจนี่เสียไปครึ่งหนึ่งแล้วครับว่าอาจจะโดนพี่หมอกเล่นงานถึงตายได้ “...แต่ดีนคงไม่ยอมให้ผมตายง่ายๆ หรอกมั้ง ถ้าผมตายดีนคงเสียใจมากและคงเกลียดคนที่ฆ่าผมไปตลอดชีวิต” แล้วผมก็แสร้งยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนหันกลับไปสั่งเครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์หนุ่มและเลิกให้ความสำคัญกับพี่หมอก หรือพูดอีกอย่างคือเลิกยั่วโมโหพี่แกนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นชีวิตผมอาจอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนี้ ส่วนพี่หมอกก็คงเลิกสนใจผมเหมือนกัน ผมแว่วได้ยินเสียงแกกับลูกน้องเดินออกไปแล้ว

รู้สึกว่าตัวเองหายใจโล่งขึ้น นึกบ่นความใจกล้าของตัวเองที่ริอาจไปต่อปากต่อคำกับคนอย่างพี่หมอก แถมยังพูดท้าทายขนาดนั้นด้วย แต่ก็อย่างว่านะ ผมโคตรสะใจที่เอาคืนพี่หมอกได้ ทำให้แกรู้สึกกลัวว่าจะเสียของรักให้ผม ผมเห็นหรอกว่าในแววตาดุดันและเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธใกล้ขีดสุด มันมีความหวาดกลัวซ่อนอยู่ลึกๆ ที่แกซ่อนเอาไว้ไม่มิด นี่แหละจุดอ่อนที่สุดของคนที่มี ‘ความรัก’

...กลัวจะเสียความรักนั้นไป กลัวจะเอาคืนกลับมาไม่ได้ 

ผมนั่งจิบเครื่องดื่มร้อนแรงไปช้าๆ แต่หมดไปหลายแก้วแล้วครับ รสชาติแรงแต่นุ่มกลมกล่อมของมันทำให้ภายในร่างกายของผมเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร สมองที่ดูปลอดโปร่งตอนดื่มแก้วแรกนั้นกลับกลายเป็นมึนเมาไปเสียแล้ว มองนาฬิกาที่ข้อมือ เวลานี้ก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม จิระก็ยังไม่โทรมาหา ผมล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าตั้งใจจะโทรไปหาจิระ แม้เจ้าตัวจะสั่งไว้ว่าไม่ให้ผมโทรไปหาตอนอยู่กับมาร์คัสก็ตาม

ก็ผมเป็นห่วงจิระนี่นา ตั้งแต่แยกกันตรงลิฟต์มาถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสองชั่วโมงกว่า ไม่รู้ว่าเจ้าตัวโดนมาร์คัสเอาเปรียบร่างกายไปมากเท่าไรแล้ว คราวที่แล้วจิระกลับมาในสภาพที่แบบล่องลอยมาก หัวถึงหมอนก็นอนเหมือนซ้อมตาย กลับมาถึงบ้านตอนเที่ยงคืน ตื่นอีกทีตอนสองทุ่ม ปลุกให้ลุกขึ้นมากินข้าวก็ไม่ยอมตื่น พอตื่นก็เอาแต่ร้องหิวๆ จนผมนี่อยากหาไม้เรียวมาฟาดก้นเลยทีเดียว

แต่ตอนที่ผมเปิดหน้าจอโทรศัพท์ มือที่กำลังเลื่อนหาเบอร์โทรของจิระก็พลันหยุดลง ไม่ต่างจากลมหายใจที่สะดุดค้างไปชั่วขณะ เมื่อเก้าอี้ตัวที่ยังว่างข้างตัวผมถูกขยับออกและกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก มันพานทำให้ผมคิดถึงใครบางคนที่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ แต่ที่มากกว่ากลิ่นน้ำหอมที่ผมจำได้คือร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น

...อาจจะมีหลายคนที่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ แต่มีเพียงคนเดียวที่หน้าตาแบบนี้

แม้ริ้วรอยบนใบหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากแต่ก่อน ทว่าเขาก็ยังเป็นชายหนุ่มวัยต้นสี่สิบที่ยังคงหล่อเหลา มีความภูมิฐาน น่าค้นหา มากล้นเสน่ห์ และดูอ่อนกว่าวัยพอสมควร มิหนำซ้ำยังคงเป็นที่หมายปองของใครหลายๆ คนไม่ต่างจากเดิมนักหรอก เรียกว่าวัยที่มากขึ้นไม่สามารถทำอะไรผู้ชายคนนี้ได้แม้แต่น้อย เขายังมีข่าวคราวกับนักแสดงสาวอยู่บ้างแต่ไม่มาก เพราะตอนนี้ใครก็ต่างรู้กันทั่วว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรผู้หญิงคนนั้นจะได้ใช้ ‘ตรัยธาดา’ ของเขา

เขายิ้มทักทายบาร์เทนเดอร์หนุ่มผมสีทองอย่างคุ้นเคย อีกฝ่ายก็เอ่ยทักทายและผสมเครื่องดื่มให้ทันทีโดยที่เขาไม่ต้องสั่ง

มือผมที่กำลังจะกดโทรออกหาจิระเปลี่ยนมากำโทรศัพท์ไว้แน่นแบบไม่รู้ตัว สมองที่มึนเมาในหนแรกกลับสว่างจ้าเหมือนมีใครมากดสวิตช์ไฟ ยิ่งกว่าสมองที่สว่างจ้าก็คือหัวใจที่มันเต้นรัวแรงจนกลัวว่าจะทะลุผิวเนื้อออกมา ถ้าไม่กลัวเขาจะรู้ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไรเมื่อเจอเขาในระยะประชิดแบบนี้ ผมคงยกมือขึ้นมากุมหน้าอกตัวเองไปแล้ว

ผมยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจรดริมฝีปาก ขณะที่กำลังชั่งใจว่าควรอยู่ต่อหรือลุกออกไปก่อนที่ความรู้สึกมากมายจะโถมทับลงมาใส่ผมจนบี้แบน มีไม่กี่ครั้งที่ผมบังเอิญเจอเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใกล้กันมากที่สุด ใกล้เสียจนผมสัมผัสถึงอุณหภูมิของร่างกายเขาที่ทะลุออกมาจากสูทสีเข้มได้อย่างชัดเจน ไหล่ของเขาที่สูงกว่าไหล่ของผมไปนิดหน่อยก็ใกล้เสียจนรู้สึกว่าหากผมเอนตัวไปทางขวามือของตัวเองเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น สัมผัสแผ่วเบาจะเกิดขึ้นทันที

สุดท้ายผมก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดตอนวางแก้วก้านยาวที่เหลือเพียงลูกเชอร์รี่ลงบนบาร์ ผมคลายมือข้างที่กำโทรศัพท์แบบแน่นมากจนเจ็บมือลง บอกตัวเองซ้ำๆ ในใจว่าไม่มีอะไรต้องกลัว ก็แค่ลุกขึ้นและเดินออกไป... ก็แค่ทำเหมือนไม่รู้จักกัน

...แค่ทำให้ได้ แค่นั้นจริงๆ

ทว่าผมกลับยังไปไหนไม่ได้เมื่อแก้วน้ำส้มคั้นถูกเสิร์ฟมาตรงหน้าแทนที่แก้วมาร์ตินี่ใบเดิม ผมเงยหน้ามองบาร์เทนเดอร์หนุ่มผมสีทองที่ยืนยิ้มสุภาพมาให้ ต่างจากรอยยิ้มที่ผ่านมาที่ออกจะดูทอดไมตรีและเชิญชวนให้ผมไปสานสัมพันธ์กับเขาในค่ำคืนนี้

“ผมไม่ได้สั่ง” ผมบอกหนุ่มผมทองที่ฝีมือการรังสรรค์เมนูค็อกเทลแต่ละแก้วนั้นยอดเยี่ยม ทำเอาผมจิบเพลินกว่าที่คิดเอาไว้ในใจว่าจะแค่ไม่กี่แก้ว จนผมนึกอยากจะมานั่งปลดปล่อยอารมณ์ไปกับรสชาติหอมหวานแต่ร้อนแรงบ่อยๆ เพียงแค่คิดนะ ผมคงไม่มาเหยียบที่นี่อีกแน่ เพราะอาจจะเกิดเรื่องบังเอิญอย่างในตอนนี้ขึ้นอีก ซึ่งผมไม่อยากให้ความบังเอิญมันเกิดขึ้นและทำให้ทุกอย่างของผมมันอ่อนแอลง

...หลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ตัวเองพังทลายลงมาอีกครั้ง

ดวงตาสีอำพันเหลือบแลไปทางคนที่กำลังละเลียดอยู่กับเครื่องดื่มในมือตัวเอง ผมก็เข้าใจแจ่มแจ้งทันที

เพื่ออะไร ?

ผมได้แต่กัดริมฝีปากตัวเอง พยายามจะไม่คิดอะไรเกี่ยวกับการกระทำของเขา แต่ก็ล้มเหลว ผมไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่ผมทำได้ในเวลาที่หัวใจเต้นรัวแรงและกลิ่นน้ำหอมที่คล้ายจะโอบอยู่รอบตัวผมคือลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากตรงนี้!

ทว่ามือของผมกลับทำให้ทุกความพยายามพังลงไป ความทรยศของมันคือการค่อยๆ เอื้อมไปหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาจรดริมฝีปากที่ติดจะสั่นน้อยๆ ผลกระทบมาจากหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนั่นแหละ ความหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ทำให้อะไรในตัวผมอ่อนลงไปอีก แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่วินาทีทุกอย่างก็เหมือนจะกลับมาเป็นผมคนเดิม เมื่อเขาวางแก้วเครื่องดื่มที่เหลือเพียงน้ำแข็งก้อนเล็กลง หันใบหน้าที่คุ้นเคยเสียยิ่งกว่ากลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้มาทางผม ดวงตาสีราตรีราบเรียบไม่ต่างจากคำพูดและน้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกมา

“กับฉัน... เธออยากจะทำอะไรแบบเด็กๆ ฉันไม่ว่าหรอกนะพี แต่กับคนอื่นที่เธอเอาความสะใจเข้าว่า ฉันก็อยากเตือนว่ามันไม่คุ้ม” เขาหมายถึงเรื่องที่ผมจูบกับดีนเพื่อเอาคืนพี่หมอกใช่ไหม ถ้าใช่แล้วเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหรอ

...เขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกงั้นเหรอ ?

“ผมทำอะไร” ผมแกล้งทำไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด ซ่อนความอ่อนแอของตัวเองไว้ภายใต้สายตาที่แข็งกระด้าง

“อย่าทำเหมือนเธอไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” เขาว่า แล้วขู่ตามมา “เล่นกับของที่เจ้าของเขาหวง ไม่คุ้มหรอกพี และถ้าเธอยังไม่หยุด พ่อเธอหรือแม้แต่ฉันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้”

“คุ้มหรือไม่คุ้ม ไม่ต้องให้คุณมาบอก ผมคิดเองได้” ผมโต้กลับไปด้วยเสียงห้วนจัด “และถ้าผมจะเป็นอะไรไปก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปขอร้องให้คุณเข้ามายุ่งกับชีวิตผม... เพราะอะไรที่ผมทิ้งไปแล้ว ผมไม่เก็บเข้ามาในชีวิตเป็นรอบที่สอง” ประโยคท้ายๆ ผมจงใจพูดประชดเขา คิดว่ามันจะทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีไปได้บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากเป็นการเปิดช่องทางให้เขาได้ย่ำยีความรู้สึกของผมซ้ำลงมา

“ฉันก็เหมือนกันพี...” รอยยิ้มของเขาว่างเปล่าแบบที่ทำให้หัวใจผมเย็นยะเยือก “...ใครที่ออกไปจากชีวิตฉัน ก็ไม่มีทางได้กลับเข้ามาเป็นรอบที่สอง... เพราะถ้าฉันยอมให้ออกไป นั่นก็แปลว่าฉันไม่ได้ต้องคนคนนั้นอีกแล้ว”

“.....” อยากรู้ว่าแก้วน้ำส้มในมือมันทนทานแค่ไหนนะ ผมบีบแรงขนาดนี้มันจะแตกไหม เพราะตอนนี้ผมระบายความเจ็บปวดจากคำพูดของเขาลงไปในมือที่กำแก้วใบนี้ไว้ พยายามอย่างมากที่จะไม่ยกมันขึ้นมาสาดใส่ใบหน้าคนที่ปล่อยคำพูดออกมาทำร้ายหัวใจของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังจะทำแบบเดิม เขาต้องการให้ผมเจ็บจนตายไปต่อหน้าเขาหรือไง!

“...และต่อให้เธอพยายามกลับเข้ามาในชีวิตฉัน ด้วยวิธีแบบเด็กๆ ที่ไม่ต่างจากเด็กที่ร้องงอแงจะเอาของเล่น ฉันบอกไว้เลยว่าเปล่าประโยชน์ และมันน่ารำคาญมาก”

“ผมไม่ได้อยากกลับไปในชีวิตคุณ เข้าใจไว้ด้วย” ผมอยากตะโกนใส่หน้าเขาด้วยซ้ำ ติดแค่ว่าผมอยู่ในร้านที่มีคนอีกหลายชีวิตอยู่ในนี้ ผมไม่อยากทำลายความสุขของใคร แม้คนตรงหน้าจะชอบทำลายทุกความรู้สึกของผมก็ตาม ดังนั้นเสียงที่พ้นลำคอออกมาก็ดังแค่ที่ได้ยินกันสองคน “...ผมไม่เคยอยากกลับเข้าไปในชีวิตของคุณแม้แต่วินาทีเดียว” ผมย้ำสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าคำโกหกหลอกลวง และเขาก็รู้ว่าทุกคำของผมเป็นเรื่องโกหก

“ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะอยากกลับเข้ามาในชีวิตฉันงั้นเหรอ” เขามองผมด้วยสายตารู้ทันทุกความคิดและความรู้สึกของผม และต่อให้เขาพูดถูกทุกอย่าง ผมก็ไม่ยอมรับหรอก

...สองปีที่ผ่านมา ผมกลับมาก็เพื่อเข้าไปในชีวิตของเขา แต่ความพยายามของผมก็แทบไม่เห็นผล ไม่สิ! ไม่เห็นผลเลยต่างหาก

ผมก็แค่อยากให้เขาเห็นผมอยู่ในสายตา เข้ามาหาผม พร้อมกับคำขอโทษและขอคืนดี แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นแบบที่ผมต้องการ เขาไม่แม้แต่จะสนใจผม ไม่เห็นผมอยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด เขายังมีความสุขดีกับทุกสิ่งที่เขามี ตรงข้ามกับผม ที่ต่อให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากแค่ไหน ก็เป็นเพียงเรื่องโกหกตัวเอง โกหกทุกคน ผมไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริง ผมยังนอนร้องไห้ทุกคืนที่อยู่คนเดียว

เหมือนอย่างที่ปาลินถามผมว่า ผมมีความสุขจริงหรือตอนที่นอนกอดคนอื่น หรือผมแค่หลอกตัวเองว่ามีความสุข เพื่อเรียกร้องความสนใจจากใครบางคน ซึ่งปาลินพูดถูก ผมไม่เคยมีความสุขที่ต้องมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครหลายคน กอดคนที่ไม่ได้รัก ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนที่ผมไม่สามารถกอดเขาได้ คนที่ไม่เคยอ้อนวอนให้ผมกลับไปหาเขา ไม่ต้องการเอาผมกลับเข้ามาในชีวิตเขาเป็นครั้งที่สอง

...ผมอยากรู้ ทำไมเขาถึงใจร้ายกับผมได้เสมอต้นเสมอปลายแบบนี้นะ ไม่ว่าผ่านไปกี่ปี เขาก็ไม่คิดจะหยุดใจร้ายกับผม

“ฉันจะบอกเธอด้วยความหวังดี” เสียงทุ้มดังแทรกเข้ามาในหัวใจที่กำลังถูกบีบอัด “เลิกพยายามที่จะกลับเข้ามาในชีวิตฉัน มันไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้ามันจะเป็นไปได้ มันก็เป็นไปได้ตั้งนานแล้ว” หัวใจของผมที่ถูกบีบอัดไปก่อนหน้า พอโดนคำพูดนี้ของเขาอีกก็กลายเป็นบี้แบนไปอย่างง่ายดาย

และเขาก็ทุบซ้ำลงมา ราวกับจะให้หัวใจผมเป็นผุยผง

“...พื้นที่ข้างตัวฉัน ไม่ได้มีไว้สำหรับเธอ”

“.....” ขอบตาผมร้อนผ่าว ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้เม็ดน้ำตาหลุดออกมาฟ้องความพ่ายแพ้ของตัวเอง ข่มความเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้ด้วยการแสร้งหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม ให้ความหวานอมเปรี้ยวกดก้อนสะอื้นให้จมลงไปให้ลึกที่สุด คิดเสมอว่าหากต้องเผชิญหน้ากันแบบนี้ ผมต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และเจ็บหนัก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากมายกว่าที่คิดเอาไว้

“ดังนั้น... เลิกทำตัวเหมือนเด็กร้องเอาของเล่นได้แล้วพี” เขาจ้องหน้าผม จ้องมองใบหน้าของคนที่แพ้ให้เขาเสมอ ไม่เคยสักครั้งที่จะเอาชนะคนคนนี้ได้ ทว่าผมก็ยังอยากจะเอาชนะให้ได้ ต่อให้ไม่เห็นหนทางชนะเลยก็ตาม

“คุณก็เด็กเหมือนกันนั่นแหละ” ผมอยากให้เขาสะอึกบ้างกับสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับผม ที่มาจากความเจ้าคิดเจ้าแค้นของตัวเขาเอง “เอาคืนแบบเด็กๆ...  โกรธพ่อ แต่เอามาลงกับลูก คนเป็นผู้ใหญ่เขาไม่เอาความแค้นมาลงกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยหรอกนะ”

ผมไม่รู้หรอกว่าเจ้าของสายเลือดครึ่งหนึ่งในร่างกายผมเคยทำอะไรไว้กับเขา ร้ายแรงมากแค่ไหน ถึงทำให้จากเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันมาก กลับต้องมาแตกหักและโกรธแค้นกันจากเหตุการณ์ที่คนตรงหน้าผมไม่สามารถให้อภัยได้ ตรงข้ามกับอีกคนที่ยังเห็นคนคนนี้เป็นรุ่นน้องที่เขารัก

“เธอเข้าใจผิดไปเยอะเลยนะพี ฉันไม่ได้โกรธ แต่ฉันเกลียดพ่อของเธอต่างหาก ส่วนเธอ...”

“ผมก็เกลียดคุณเหมือนกัน” ผมไม่ยอมให้เขาพูดจบประโยคหรอก เพราะกลัวเขาจะพูดคำที่ทำร้ายจิตใจที่แตกละเอียดของผมซ้ำลงมาอีก ผมถึงชิงตอกกลับเขาไปก่อน “ไม่เคยเกลียดใครเท่าคุณมาก่อน”

“แต่ที่ฉันเห็นตอนนี้...” เขายิ้ม กวาดตามองไปทั่วใบหน้าของผม ที่เริ่มชาไปทั้งใบหน้า “...ก็แค่เด็กคนหนึ่งที่หลงรักฉันหัวปักหัวปำ”

“หลงตัวเอง!” ผมเค้นเสียงเยาะเย้ยในความมั่นใจเต็มร้อยของคนตรงหน้า แม้ความมั่นใจของเขาจะถูกต้องก็ตาม แต่เรื่องอะไรผมจะยอมรับ

“หรือเธอว่าไม่จริง”

“ไม่จริงสักนิด!” ผมกัดฟันพูดอย่างควบคุมอารมณ์สุดๆ คำพูดของเขายั่วให้ผมหงุดหงิดปนไปกับความรู้สึกอยากเอาชนะเขาให้ได้สักครั้ง ตั้งแต่เปิดปากคุยกันมา (เรียกว่าเถียงก็ได้) ไม่มีประโยคไหนเลยที่ผมเอาชนะเขาได้ “ผมเกลียดคุณ ผมไม่ได้รักคุณ”

เขายิ้มอีกตามเคย ก่อนขยับปากพูด วินาทีนั้นผมรู้ตัวเลยว่าต้องแพ้เขาอีกแน่

“ตอนที่เธอมองหน้าฉัน บอกว่าเกลียดฉัน ไม่ได้รักฉัน...” น้ำเสียงของเขาเจือแววหยอกเย้าให้ผมอับอายความจริงที่ดังกึกก้องอยู่ในหัวใจตัวเอง “...แต่ฉันกลับได้ยินเธอตะโกนบอกฉันว่า ‘น้องพีรักคุณยะ’ อยู่เลยนะ”

“.....” มีแต่คำว่า ‘แพ้’ ลอยเต็มไปหมด

“เด็ก”

คำเดียวที่เขาปล่อยออกมาไม่ต่างจากคำพูดยาวเหยียดที่กดให้ผมจมลงไปกับความพ่ายแพ้ ต่อให้ร่างกายผมสูงใหญ่จนคิดว่าไม่มีทางที่เขาจะรังแกผมได้อีกต่อไป แต่ความจริงตอนนี้ ผมก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ถูกผู้ใหญ่อย่างเขาฟาดฟันด้วยความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

“เด็กแล้วไง!” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่มีมากกว่าตอนเป็นเด็กเยอะ สูงแบบที่ห่างจากความสูงของเขาไม่ถึงห้าเซนต์ฯ ด้วยซ้ำ และผมไม่ได้แค่ลุกขึ้นยืนเฉยๆ แต่ผมคว้าแก้วน้ำส้มมาไว้ในมือด้วย ในเมื่อเขาเห็นว่าผมเป็นเด็ก ดูถูกว่าผมใช้วิธีเด็กๆ ผมก็จะทำอย่างที่เขาว่านั่นแหละ “เด็กอย่างผมก็ดีกว่าผู้ใหญ่เลวๆ แบบคุณละน่า” แล้วของเหลวสีส้มที่อยู่ในแก้วก็ถูกสาดไปปะทะใบหน้าของผู้ใหญ่ที่ว่าเมื่อไรก็ร้ายกาจกับผมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

สะใจเป็นบ้า!

ผมวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ กอดอกมองดูน้ำสีส้มที่เลอะอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาที่ดูจะอึ้งกับการกระทำของผมไม่น้อยเลย ลูกตาสีราตรีก็ขุ่นคลั่ก เขาใช้มือปาดน้ำเหนียวๆ ออกจากใบหน้า แต่ก็มีบางส่วนที่ไหลไปตามคางและหยดลงบนเสื้อของเขา โดยเฉพาะตัวสีขาวที่อยู่ด้านในเลอะอย่างเห็นได้ชัด และเหมือนว่าเขากำลังนับหนึ่งถึงสิบเพื่อระงับอารมณ์ตัวเองอย่างสุดๆ เพื่อรักษามาดเจ้าของพุฒิธาดาเอาไว้จนสุดความสามารถ

เอาเป็นว่าผมชนะยกสุดท้ายละกัน และผมต้องเปลี่ยนสถานที่นั่งรอจิระใหม่ ไปนั่งรอที่ล็อบบี้ละกัน คิดได้ดังนั้นผมก็จัดการจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มและเดินออกมาในสภาพที่ไม่ปกติเท่าไร ถึงสติของผมจะอยู่เกือบครบ เถียงกับเขาได้นานสองนาน แต่ร่างกายนี่ไม่ใช่อย่างปากเลย คือผมเอาเครื่องดื่มรสชาติร้อนแรงเข้ามาในร่างกายเยอะมากเลยนะ มันจึงไม่แปลกที่ผมจะเดินช้าลง อาจมีเดินไม่ตรงบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเซไปชนคนลูกค้าคนไหนของร้าน แต่ก็ว่าเถอะ ผมรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่ที่มองผมจากวีรกรรมที่ผมสาดน้ำใส่เจ้าของพุฒิธาดาอยู่พอสมควรนะ

นึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำแล้วโคตรจะมีความสุขที่ได้เอาคืนเขา หลังจากที่ปล่อยให้เขาใช้คำพูดและสายตาทำร้ายจิตใจผมอยู่ตั้งนานสองนาน เสียดายอยู่นิดหนึ่งที่น้ำส้มเหลือไม่ถึงครึ่งแก้ว ไม่อย่างนั้นผู้ชายที่ชื่ออารยะได้เปียกกว่านั้นแน่

“เอ๊ะ!... จะ...จะทำอะไร”

ผมเดินพ้นออกมาจากร้านได้เพียงแค่ก้าวเดียว มือของใครคนหนึ่งก็คว้าหมับเข้าที่เอวของผม ก่อนจะออกแรงดันตัวผมให้เดินไปทางบันไดที่อยู่ห่างจากประตูร้านไม่ถึงสิบเมตร แค่กลิ่นน้ำหอมที่ลอยเข้ามาในจมูกก็รู้แล้วว่าเป็นใคร ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของอีกฝ่าย เพราะผมยังไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้ตั้งรับกับการจู่โจมที่รวดเร็วของเขา บวกกับสภาพร่างกายที่ถูกทำลายโดยเครื่องดื่มรสชาติแรง กลายเป็นว่าตอนนี้ผมตกอยู่ในวงแขนของคนตัวหนากว่า แผ่นหลังส่วนหนึ่งปะทะเข้ากับผนังกำแพงของบันไดที่ทอดยาวสู่ชั้นล็อบบี้ มันเป็นมุมที่ลับตาพอสมควรเพราะไม่ค่อยมีใครใช้บันไดนี้สักเท่าไร ส่วนใหญ่จะใช้ลิฟต์ในการขึ้นลง

“ทำอะไรงั้นเหรอ ?” คิ้วเข้มเลิกสูงเป็นเชิงถาม ก่อนริมฝีปากที่ลอยอยู่ตรงหน้าผมจะขยับอย่างช้าๆ “เธอต้องการอะไรล่ะพี เรียกร้องอยากได้อะไรจากคุณยะละครับน้องพี” ปลายเสียงทอดลงมาอย่างนุ่มนวล แต่ฟังดูก็รู้ว่าตั้งใจยั่วอารมณ์ผม เพราะสรรพนามที่เขาเลือกใช้แทนตัวเองและตัวผม... คุณยะกับน้องพี

ผมจึงต้องเอาคืนเขาด้วยสรรพนามที่ทำให้คิ้วเขากระตุกบ้าง

“อยากให้มึงเอาหน้าออกไปไกลๆ หน้ากู” เพราะมันใกล้เกินไปแล้ว

“บอกไม่จำว่าอย่าเรียกฉันว่า...มึง” เขาไม่พอใจ แต่ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มที่ก่อกวนหัวใจผมให้ขุ่นมัวเข้าไปอีก

“กูพอใจจะเรียกแบบนี้” ยิ่งเขาไม่ชอบ ผมก็ยิ่งจะทำ อะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจได้ ผมก็จะทำ ทำทุกอย่างให้สาสมกับการที่เขาเฉยเมยใส่ผม ย่ำยีความรู้สึกของผมด้วยคำพูดแสนร้ายกาจแบบที่ไม่คิดจะปรานีหัวใจผมเลยสักครั้ง

“ปากน่าสั่งสอน” เขาพูดเบาๆ ดันแผ่นหลังผมให้จมไปกับกำแพงแข็งกระด้างยิ่งขึ้น ผมกับเขายืนอยู่ที่บันไดขั้นที่สาม “จำไม่ได้แล้วหรือไงว่าฉันชอบสั่งสอนเด็กพูดไม่เพราะ หรือว่าจงใจพูดเพื่อยั่วให้ฉันทำแบบที่เคยทำ”


.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-11-2018 06:53:12
.

.

.

.


“เหอะ! สั่งสอนหรือว่าเห็นแก่ตัวกัน...อื้ออ...” ไม่ทันให้ผมพูดจนจบประโยค ไม่ปล่อยให้ได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ริมฝีปากแสนร้ายกาจของเขาก็ประกบจูบลงมา บดเบียดและดูดกลืนกลีบปากผมอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ... แต่ก็ผสมไปกับความรู้สึกคุ้นเคย แม้นานมากแล้วที่ผมไม่ถูกริมฝีปากคู่นี้บดขยี้ ทว่าผมก็ยังจำรสชาติร้อนแรงแต่หลอมละลายของเขาได้ ไม่เคยลืมและไม่คิดจะลืมแม้แต่วินาทีเดียว

เรียวลิ้นที่แทรกกายเข้ามาภายในร้ายแรงยิ่งกว่าเครื่องดื่มรสร้อนแรง มันทำให้ผมมึนเมาไปกับทุกสัมผัสของเขา พยายามอย่างมากที่จะไม่หลงไปกับรสชาติที่คุ้นเคยและรู้สึกโหยหามาตลอด สติผมกำลังพร่าเลือนเกือบเลือนหาย ความพยายามกำลังจะหมดกำลังต่อสู้ มือที่ขยุ้มเนื้อผ้าของสูทเรียบหรูตรงอกแกร่งไว้แน่นนั้นเริ่มคลายแรงลง และเริ่มเคลื่อนขึ้นไปเกาะยึดที่ไหล่กว้าง สุดท้ายผมก็ทนต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ได้ ลิ้นของผมกำลังหลงไปกับเรียวลิ้นของอีกฝ่าย มือของเขาที่โอบรอบช่วงเอวของผมอยู่นั้นก็ออกแรงดึงให้ผมแนบชิดไปกับร่างกายส่วนล่างที่เริ่มร้อนแรง ต้นขาแกร่งแทรกเข้ามาตรงกลางระหว่างเรียวขาทั้งสองข้าง มันกำลังหยอกล้อกับศูนย์รวมความรู้สึกที่น่าอับอาย เพราะร่างกายโกหกไม่เป็น

“อะ...อืออ...” ยิ่งผมรู้สึกเขาก็ยิ่งได้ใจ สร้างสัมผัสหยาบคายกับตรงส่วนนั้นของผมด้วยอุ้งมือร้อนจัดของเขา เขาลูบแผ่วเบาสลับกับบีบเคล้นเป็นจังหวะจาบจ้วง “...ยะ...อย่า...อือออ...” เพราะผมกลัวตัวเองจะทนไม่ไหวกับสัมผัสของเขา ผมถึงได้เบือนหน้าหนีจากริมฝีปากร้ายกาจ ร้องห้ามเสียงเบาหวิว แต่ไม่ได้ผลเลยสักนิด เขายังไม่หยุดมือตัวเอง มิหนำซ้ำเรียวลิ้นของเขาก็กลับเข้ามาในปากของผมได้อีกครั้ง โดยที่ผมก็หลงให้ความร่วมมืออีกตามเคย

...ต่อให้ผมแกร่งขึ้นแค่ไหน สัมผัสของเขาก็ทำให้ผมกลายเป็นเด็กน้อยไร้ทางสู้ได้เสมอ

“อึก...” เขาปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระเพียงแค่ไม่กี่วินาที จ้องหน้าผมด้วยสายตาที่ผมยังไม่มีสติพอที่จะอ่านสายตานั้นได้ทัน คนตรงหน้าก็ประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ยัดเยียดความรู้สึกพ่ายแพ้และหมดทางสู้มาให้ผมอีกจนได้... และมันหลายครั้งมากที่เขาจูบแล้วปล่อยและมองหน้าผม จากนั้นก็จูบต่อ มองหน้าแล้วก็จูบต่อ ทำแบบนี้ซ้ำๆ อีกไม่รู้กี่รอบเพราะผมมึนเมาจนลืมนับจำนวนครั้งที่เขาเอาเปรียบร่างกายผม

...เขาทำให้ผมอับอายและรู้สึกไปทั้งร่างกาย โดยเฉพาะส่วนนั้นที่คับแน่นอยู่ภายในเนื้อผ้า

“...อ่า” และสุดท้ายผมก็เป็นอิสระอย่างแท้จริง ก็แค่ริมฝีปากที่น่าจะบวมเจ่อและแดงจัดเท่านั้นแหละ เพราะท่อนแขนข้างหนึ่งของเขายังโอบรอบเอวของผมอยู่ ส่วนอีกข้างเท้าไปกับผนังปูนเนื้อแข็งเหนือศีรษะของผม แต่ที่น่าอับอายกว่าคือผมเหมือนจะนั่งคร่อมอยู่บนหน้าขาแข็งแรงข้างหนึ่งของเขา จะขยับลุกขึ้นยืนตามความสูงของตัวเองก็ไม่ไหว ขาเหมือนไม่มีแรงอย่างไรอย่างนั้นเลย หรือบางทีอาจจะทั้งเนื้อทั้งตัวเลยก็ได้ที่ไร้เรี่ยวแรง เพราะถูกริมฝีปากแสนร้ายกาจกระชากเอาเรี่ยวแรงไปจากผมจนเกือบหมด

ผมหอบหายใจเหนื่อยหนักจากจูบที่ยาวนาน ส่วนเขากลับมีรอยยิ้มของผู้ชนะ

“เป็นไง ครั้งนี้สำเร็จซะทีนะ ยั่วฉันจนสำเร็จ แบบนี้ใช่ไหมที่เธออยากได้จากฉัน อยากให้ฉันกอดเธอ จูบเธอ ...เข้าไปในตัวเธอ” เขายกตัวผมขึ้นช้าๆ แผ่นหลังของผมแนบติดไปกับผนังปูนเนื้อแข็งกระด้างแบบเต็มทั้งแผ่นหลัง แต่มือของเขาก็ยังจับประคองอยู่ที่เอวของผม แล้วเอ่ยคำพูดที่กรีดหัวใจผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่ตรงข้ามกับคำที่ปล่อยออกมา “...แต่อย่างหลังฉันคงทำให้เธอไม่ได้” ครั้งนี้เขาปล่อยมือจากตัวผม ปลายเท้าก้าวถอยไปด้านหลัง สร้างระยะห่างระหว่างผมกับเขาให้มากขึ้น ปล่อยให้ผมยืนบนขาที่สั่นเทาของตัวเอง

“.....” ตัวผมสั่นไม่ต่างจากเรียวขาทั้งสองข้าง กัดริมฝีปากล่างจนรู้สึกเจ็บ แต่ไม่เท่ากับหัวใจที่รู้สึก ผมมองคนตรงหน้าที่พิงแผ่นหลังกว้างของเขาไว้กับผนังปูนอีกฝั่งหนึ่งของบันไดแห่งนี้

“รูปร่างแบบนี้ ไม่มีตรงไหนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสัมผัส” มือของเขาซุกเข้าไปในกางเกง ทอดสายตามองผมตั้งแต่ใบหน้าลงไปถึงปลายเท้า ส่วนผมก็ได้แต่กำมือแน่นกับทุกคำพูดและสายตาของเขา ที่กดผมให้ต่ำลงไป ดิ่งลึกลงไปในความเหน็บหนาวที่ดำมืดไร้แสงสว่างใดๆ ก่อนที่เขาจะดึงเอาแววตาหยามเหยียดขึ้นมาหยุดที่ใบหน้าผม “ดังนั้น... อย่าพยายามเข้าหาฉัน โดยใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ มันน่าสมเพชและน่ารำคาญที่สุด”

เขาอยากให้ผมตายไปต่อหน้าต่อตาเขาใช่ไหม ?

เขาถึงเอาแต่ปล่อยคำพูดมาเฉียดเฉือนหัวจิตหัวใจผม

แต่ผมไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก!!

ผมเป็นเด็กดื้อ เอาแต่ใจ และชอบเอาชนะ แม้จะไม่เคยเอาชนะผู้ใหญ่อย่างเขาได้สักครั้งก็ตาม ทว่าผมก็อยากจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองชนะเขาได้บ้าง สักนิดก็ยังดี ผมถึงได้ก้าวขาสั่นๆ เข้าไปหาคนร่างหนา ใกล้เข้าไปจนเกือบประชิดตัวเขา เว้นระยะห่างไว้เพียงแค่ก้าวเดียวและเป็นก้าวที่สั้นมาก

เพราะอยากเอาชนะ ความใจกล้าของผมถึงได้เต็มร้อย ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเขา ริมฝีปากคลี่ยิ้มให้กับสิ่งที่ตัวเองทำและเยาะเย้ยในสิ่งที่เขากำลังเป็น ในขณะที่อุ้งมือของผมกำลังทำหน้าที่สำคัญที่สุด

ผมวางมือลงไป เพื่อพบความจริงที่ต่อให้เขาซ่อนให้ตายก็ซ่อนไม่มิด

“หึ... นี่หรือครับที่บอกว่าน่ารำคาญ น่าสมเพช ไม่อยาก...” ผมเลื่อนสายตาลงต่ำไปที่อุ้งมือของตัวเอง มองสิ่งที่คล้ายจะมาอยู่ในมือของตัวเอง สิ่งที่แข็งแกร่งและร้อนจัดภายใต้กางเกงราคาแพง แต่ต่อให้กางเกงราคาเป็นล้านก็ไม่สามารถซ่อนสิ่งที่เจ้าของมันรู้สึกเอาไว้ได้ ลูกตาของผมย้อนกลับไปอยู่บนใบหน้าอึ้งๆ ของเขาอีกครั้ง เอาถ้อยคำที่เป็นเหมือนชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ออกมาซัดใส่คนตรงหน้าเบาๆ “...ไม่อยาก แต่ก็แข็ง”

แต่พอผมจะดึงมือตัวเองกลับเพราะพอใจกับชัยชนะที่ตัวเองได้มาแล้ว มือของเขาก็ทาบลงมาที่หลังมือผมเสียก่อน กดเอาไว้ไม่ให้เอามือออกไปจากความร้อนจัดนั้นได้

“ปล่อย!”

“อยากให้ปล่อยจริงเหรอ ?” จากสีหน้าอึ้งรับประทานในตอนแรก เขากลับมามีรอยยิ้มก่อกวนให้ผมหงุดหงิดได้อย่างรวดเร็ว “ฉันไม่คิดว่าเธออยากจะปล่อยนะพี... มากกว่าอยากจับก็คงอยากเป็นเจ้าของ ไม่อยากจะแบ่งให้ใครใช้ร่วม” คำพูดของเขากระแทกเข้ามาเต็มหน้าผม ความเห่อร้อนกำลังกัดกินไปทั่วทั้งใบหน้า

“ปล่อย!!” ผมบอกเสียงขุ่นจัด พยายามเอามือออกมาจากการกอบกุมของอีกฝ่ายแต่ไม่สำเร็จ ผมว่าตัวเองสูงและใหญ่ขึ้นแล้วนะ แต่เอาเข้าจริงก็แพ้กำลังของเขาอยู่ดี

“ฉันจะบอกอะไรให้” ครั้งนี้เขาดึงมือผมออกไปเอง แต่มันก็ยังตกอยู่ในอุ้งมือของเขาเหมือนเดิม “ระหว่างความอยากของร่างกายที่จะเป็นใครก็ได้... กับสัมผัสที่มันมาจากความรักล้วนๆ แค่คนเดียว มันต่างกันมากนะพี น่าผิดหวังนะ นึกว่าเธอจะรู้ซะอีก ทั้งที่ออกจะเชี่ยวชาญ” ทุกคำของเขาไม่ต่างจากฝ่ามือที่ฟาดลงมาบนสองแก้มของผมเต็มแรง จากที่เคยเห่อร้อนก็ชาไปทั้งหน้า

คำพูดของเขายิ่งกว่าความจริงทั้งหมดในโลก... กอดกับใครก็ได้ขอแค่มีความอยาก แต่กอดกับคนที่เรารัก มันก็มีแค่อย่างเดียวคือ ‘ความรัก’

“ตอนนี้ฉันก็แค่... อยาก” เขาย้ำลงมาให้ผมเจ็บ พร้อมกับสะบัดมือผมทิ้ง “จูบกับใคร ฉันก็อยากหมดนั่นแหละ”

ใช่! ผมก็เหมือนทุกคนที่อ้าขาให้เขา เขามีอะไรกับผมก็แค่ความอยากของร่างกาย... ที่ทำกับผมก็แค่ความอยาก ไม่ใช่ความรัก เขาไม่เคยรักผมเลย มีแต่ผมที่รัก รักแบบเด็กโง่ๆ เพ้อฝันว่าสักวันคำโกหกของเขาจะเป็นเรื่องจริง!

Rrrrr...

โชคดีที่เสียงโทรศัพท์ที่ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณคับแคบแห่งนี้ช่วยดึงให้ผมหลุดออกมาจากความรู้สึกตกต่ำที่เขายัดเยียดมาให้ ผมล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง พลางเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดช้าๆ เพราะสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ รวมทั้งสภาพจิตใจย่อยยับของผมเองด้วย

“ว่าไงเจย์ เสร็จแล้วเหรอ” ผมกรอกเสียงลงไป จังหวะนั้นรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะล้ม ต้องหยุดปลายเท้าเอาไว้ มือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์เท้าไปกับผนังกำแพงเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มเพราะแรงดึงดูดของโลก ขณะเดียวกันมือคู่หนึ่งก็เข้ามาช่วยประคอง หันไปมองก็พบว่าเป็นคนที่ใช้คำพูดย่ำยีหัวใจเมื่อกี้นั่นแหละ

...ปล่อย!

ผมขยับปากออกมาแบบไม่มีเสียง ไม่อยากให้เสียงลอดเข้าไปในโทรศัพท์ หูก็ฟังคนปลายสายที่กำลังตอบกลับคำถามของผมไปด้วย

“ยังเลยพี” เสียงจิระหงุดหงิดมาก แล้วเจ้าตัวก็บอกถึงสาเหตุที่ทำให้หงุดหงิด “มันบอกว่าผมโกงมัน มันเลยบังคับให้ผมนอนค้างที่นี่”

“โกงยังไง ?” ผมถามกลับ ส่วนลูกตาก็มองหน้าคนที่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากตัวผม จนผมดิ้นแรงๆ นั่นแหละถึงยอมปล่อย พอเป็นอิสระผมก็ค่อยๆ ยกเท้าขึ้นไปตามขั้นบันไดไปยังชั้นที่เป็นที่ตั้งของล็อบบี้ กะว่าจะไปนั่งรอจิระอยู่ตรงนั้น

“ก็... ผมหมดแรงจากเมื่อตอนกลางวันไง”

อ้อ... เข้าใจแล้ว นึกสภาพออกเลยว่ามาร์คัส รอสส์เจอจิระในสภาพไหน ก็หนุ่มลูกครึ่งเล่นหมดพลังไปกับผมเมื่อตอนกลางวันแล้วนี่นา คงไม่มีเรี่ยวแรงไปสนองตอบความต้องการของมาร์คัสได้แบบเต็มร้อย

“พีกลับไปก่อนเลยนะ พรุ่งนี้ผมกลับเองได้”

“ผมเปิดห้องนอนรอจิระก็ได้นะ” ผมบอก สภาพผมตอนนี้ก็ใช่จะขับรถกลับเองไหว โทษเครื่องดื่มรสชาติร้อนแรงที่ถูกปากนั้นด้วย ทำผมเผลอจิบไปหลายแก้ว เลยกลายสภาพเป็นคนเมาไปโดยไม่ตั้งใจ

“ไม่ต้องหรอกพี ผมไม่รู้ว่ามันจะยอมปล่อยผมกลับตอนไหน พีกลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงผมนะ”

“เอางั้นเหรอ”

“เอางี้แหละ ผมรู้น่าว่าพีไม่อยากอยู่ที่นี่นักหรอก แค่นี้นะพี มันเคาะประตูห้องน้ำเรียกแล้ว” น้ำเสียงกลับมาหงุดหงิดอีก แว่วได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ลอดเข้ามาในสายด้วยเหมือนกัน

“ดูแลตัวเองด้วยนะเจย์ แล้วก็ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างที่ทำเพื่อผม” ผมพูดประโยคนี้ออกมาตอนเหยียบถึงบันไดขั้นสุดท้าย

“เพราะจิระรักพีรัชไง ต้องวางแล้วนะ...รักพีรัชนะครับ” บอกรักผมจบ เจ้าตัวก็วางสาย

ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงไว้เหมือนเดิม ปลายเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างรู้จักสถานที่เป็นอย่างดี แต่ละก้าวก็พยายามจะทำให้ตรงที่สุด ระหว่างนั้นก็รู้ครับว่ามีคนเดินตามหลังผมมา ผมไม่ได้หันกลับไปมองหรอกว่าเป็นใคร แต่ก็เดาได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายนั่นแหละ

จนกระทั่งถึงรถของผมที่จอดไว้ที่ลานจอดนอกตัวโรงแรม ผมยืนชั่งใจอยู่ข้างประตูรถที่เปิดค้างไว้เล็กน้อยว่าควรขับรถกลับไปเอง หรือโบกแท็กซี่กลับคอนโดฯ แทน แล้วผมก็ตัดสินใจเลือกความคิดที่สอง นั่นคือใช้บริการแท็กซี่ เพราะไม่อยากเอาตัวเองไปเพิ่มจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ยังไม่ทันผลักประตูรถให้ปิดเข้าไป มือของคนเดิมๆ ก็คว้าจับที่ประตูรถของผมไว้เสียก่อน ผมได้แต่อ้าปากค้างกับการกระทำของเขา

“ฉันจะขับให้” แล้วเขาก็พาร่างกายสูงใหญ่ของเขาเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรถ ทำราวกับว่าเป็นรถของตัวเอง!

ผมสามารถปฏิเสธสิ่งที่เขาทำได้หลายวิธีมาก อย่างเช่น ไล่เขาให้ลงจากรถของผม แจ้งรปภ. ให้มาเอาตัวเจ้าของโรงแรมกลับไปที่ของเขา หรือไม่ก็ทิ้งเขาไว้ตรงนี้ ไม่ต้องสนใจ และเดินไปโบกแท็กซี่กลับคอนโดฯ ตามที่คิดเอาไว้ ทว่าผมกลับเลือกทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ที่ต้องทำเพราะเสียงร่ำร้องเล็กๆ ที่ดังมาจากหัวใจที่ยับเยินของตัวเอง ผีเสื้อตัวน้อยตัวหนึ่งกำลังขยับปีกบอบบางของมัน โบยบินเท่าที่กำลังปีกที่ถูกทำลายไปแล้วหลายครั้งจะทำได้

...ผีเสื้อตัวน้อยที่ชื่อพีรัชกำลังมีความสุข

...แต่นายพีรัชกำลังเหมือนยืนอยู่บนหน้าผาสูง สุ่มเสี่ยงต่อการตกลงไปและไม่มีชีวิตรอดกลับมา

ผมยังยืดเวลาที่จะเข้าไปนั่งข้างเขาในรถของตัวเอง ด้วยการเดินไปนั่งพิงสะโพกไว้กับตัวรถด้านหลัง ล้วงเอากล่องสีเงินอันเล็กออกมาจากกระเป๋า มันเป็นทั้งที่ใส่บุหรี่และไฟแช็กในตัว ภายในนั้นบรรจุบุหรี่ได้แค่มวนเดียว ผมพกติดตัวไว้เสมอเพราะบางเวลาที่ความรู้สึกอึดอัดหรืออะไรก็ตามที่คับอยู่ในอกของผมก่อตัวขึ้น ผมก็จะใช้มันนี่แหละเป็นตัวช่วยเอาสิ่งที่อึดอัดอยู่ข้างในออกมา

ควันบุหรี่ไหลเอื่อยเฉื่อยออกมาจากริมฝีปากผมแต่สิ่งที่คับแน่นอยู่ภายในก็ยังไม่ลดจำนวนลงเสียที บุหรี่หมดไปครึ่งมวนกับสภาพจิตใจที่ยังคงเท่าเดิม เป็นครั้งแรกที่มันช่วยอะไรผมไม่ได้เลย แต่ผมก็ยังอัดเอาสารก่อมะเร็งเข้ามาในปอด ปล่อยสายสีขาวออกมาและหายไปในความว่างเปล่า

แต่แล้วบุหรี่ที่ใกล้หมดมวนก็ถูกกระชากไปจากมือในจังหวะที่ผมกำลังปล่อยสายสีขาวออกมาจากริมฝีปาก มันถูกทิ้งลงพื้นก่อนปลายรองเท้าหนังสีดำจะบดขยี้จุดไฟสีแดงให้มอดดับไปทันที

“ขึ้นรถ!” เสียงเข้มดุดันไม่ต่างจากใบหน้าที่ขึ้นริ้วรอยความโกรธจัด จบคำพูดแล้วเขาก็กลับเข้าไปนั่งในรถ

นึกเสียดายที่บุหรี่มีแค่มวนเดียว ไม่อย่างนั้นผมจะควักมาสูบต่อจนหมดทุกมวนที่มี แต่ไม่เป็นไร ผมถือว่าครั้งนี้... ผมชนะ!

ล้อรถหมุนทันทีที่ผมเข้ามานั่งในห้องโดยสารโทนสีดำของ C43 Coupe และปิดประตูลงด้วยน้ำหนักมือที่ไม่เบาสักเท่าไร จากนั้นความเงียบเชียบแต่ขุ่นมัวก็ได้ตลบอบอวลอยู่ในห้องโดยสาร ผมหนีความรู้สึกต่างๆ ที่มากเกินไปด้วยการปิดเปลือกตาลง และปิดปากไม่ให้หลุดคำใดออกมาตอนที่เขาพูดเชิงตำหนิผมว่า

“ห่วงสุขภาพตัวเองหน่อย” เขาพูดเบาๆ

“.....” ใจผมอยากจะตอบโต้ให้เขาสะอึก ว่าเขานั่นแหละคือคนที่ทำให้ผมอยากอัดควันพิษเข้าร่างกาย แต่ผมก็เลือกจะเงียบ ปล่อยให้ความเงียบตอบโต้เขาแทน

“เลิกได้ก็ให้เลิก”

“.....” เหอะ... ผมต้องเชื่องั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!

“เลิกไม่ได้ก็ลดจำนวนลง”

“.....” อยากตอกกลับไปว่า... ยิ่งห้าม ผมก็ยิ่งจะสูบ

“เข้าใจไหม”

“.....” เขาหวังให้ผมเข้าใจอะไร ให้เข้าใจว่าเขาห่วงใยสุขภาพของผมอย่างนั้นเหรอ?

“ฉันหวังดี”

หวังดี ? ทั้งที่เขาทำร้ายหัวใจผมด้วยคำพูดเลวร้ายขนาดนั้นนั่นนะ คนอย่างเขาคงเป็นคนสุดท้ายในโลกที่หวังดีกับผม แต่เป็นคนแรกที่อยากจะฆ่าผมให้ตายไปเสียเร็วๆ

“รักตัวเองบ้าง”

“หุบปากซะที! ...น่ารำคาญ”  ในที่สุดผมก็ห้ามปากตัวเองไม่ได้ ลืมตาขึ้นมาพูดใส่หน้าเขา ย้ำให้เขารู้ว่าไม่มีสิทธิ์มาหวังดีแบบจอมปลอมกับผม หรือบอกให้ผมรักตัวเอง “อย่ามายุ่งกับชีวิตของผม” เขาหันกลับมามองหน้าผมนิดหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปมองทางตามเดิม

เขาเงียบ ผมก็เงียบ ต่างกันที่ผมเงียบและปิดเปลือกตาลง ปิดกั้นความรู้สึกมากมายไม่ให้ไหลทะลักออกมา ส่วนเขาเงียบและขับรถต่อไปตามเส้นทางที่ยาวไปถึงคอนโดมิเนียมของผม

...คอนโดมิเนียมของผม

เขารู้ว่าผมอยู่ที่ไหนอย่างนั้นเหรอ ?

เป็นอีกครั้งที่ผมลืมตาขึ้นมามองใบหน้าด้านข้างของเขา และเกือบจะถามออกไปแล้วว่าเขารู้ว่าผมพักอยู่ที่ไหนอย่างนั้นเหรอ  เลี้ยวได้ถูกต้องแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องถามแล้วล่ะ ผมเลยปิดเปลือกตาลง ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ เอาความอึดอัดคับแน่นออกมาให้เกลี้ยงหัวใจ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นสักนิด

ทนทรมานอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงบนท้องถนนที่แทบไม่มีรถวิ่งไปมาเลย เพราะนี่ก็เที่ยงคืนไปแล้ว รถวิ่งเข้ามาจอดตรงที่จอดรถของผมได้อย่างถูกต้อง ผมได้คำตอบแล้วละว่าเขารู้ว่าผมพักอยู่ที่ไหน รู้ถึงขั้นที่จอดรถของผมเลยทีเดียว

ผมห้ามตัวเองไม่ให้อ้าปากถามออกไปว่าเขารู้ได้อย่างไร ทั้งที่อยากรู้มาก ช่างมัน! ได้แต่บอกตัวเองแบบนี้ซ้ำๆ มือก็จับที่จับประตูเพื่อจะเปิดออก เอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ทว่าถูกมือของเขารั้งไว้ก่อน

“ปล่อย!” สะบัดก็ไม่หลุด

“ปากเธอนี่มันน่า...” สายตาคมกริบของเขาเลื่อนลงไปหยุดที่ริมฝีปากของผม “...สั่งสอน”

“.....” รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับปากของตัวเอง แต่ผมก็หนีไม่ทัน โทษร่างกายที่เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ด้วยแหละ ที่ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของผมเชื่องช้าและมึนงง ปล่อยให้เขากระชากตัวผมเข้าไปใกล้ เปิดโอกาสให้เขาเคลื่อนใบหน้าลงมาหา “...อื้อออ” และเอาริมฝีปากของผมไปเป็นของเขาอย่างง่ายดาย

แต่รอบนี้ดูจะมากไปกว่าเหตุการณ์ที่ชั้นใต้ดินของพุฒิธาดา ริมฝีปากร้อนจัดและร้ายกาจไม่ได้หยุดแค่ริมฝีปากของผม หลังจากเขาปล่อยให้ผมหอบเอาอากาศเข้าปอด เขาก็ใช้ความร้ายกาจนั้นไต่ลงไปยังซอกคอของผม ก่อนจะกัดลงมาเต็มแรงจนผมหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บ

“โอ๊ยยย!” เจ็บมาก ไม่ต้องคิดเลยว่าหลังจากนี้จะเกิดรอยฝังลึกอยู่ที่คอผมไปอีกกี่วัน “เป็นหมาหรือไง!” ผมถามเสียงขุ่น โมโหที่เขาอ้างว่านี่คือการสั่งสอนผม แต่ผมว่ามันคือการเอาเปรียบผมแบบที่เขาชอบทำมากกว่า

“ก็แล้วแต่เธออยากจะให้ฉันเป็นอะไร”

“งั้นก็เป็นหมา!”

“ได้...” เขายักไหล่ “...ฉันเป็นได้ทุกอย่างที่เธออยากให้ฉันไป” เขาจบคำพูดด้วยรอยยิ้มที่มองอย่างไรก็ชวนให้หงุดหงิด และทำให้ผมอยากเอาคืนเขาบ้าง

เร็วเท่าความคิด ผมเอื้อมมือไปจับแขนเขา ก่อนดึงร่างกายแข็งแรงของเขาเข้ามาใกล้ พร้อมทั้งทำแบบเดียวกับที่เขาทำกับผม เพียงแต่ข้ามขั้นตอนแรกไปหาขั้นตอนสุดท้ายเลย

ผมกัดลงไปที่ต้นคอของเขาเต็มแรง เชื่อว่าแรงกว่าตอนที่เขากัดผมอีก พอถอดปากออกมา เห็นรอยฟันของตัวเองแล้วก็สะใจ

“เป็นหมาหรือไง” เป็นเขาบ้างที่ถามผมกลับ แต่เขาดูไม่เดือดร้อนที่ผมฝากรอยฟันไว้บนคอเขาเลย เขาไม่กลัวคู่หมั้นหรือคนที่เขาเอาไปอยู่แทนที่ผมถามหรือไงว่ารอยนี้ได้มายังไง

“เป็นคน” แต่ผมไม่ตอบแบบเขาหรอก

“แต่ฉันคิดว่าเธอ...” เขายิ้มก่อกวนอารมณ์ของผม “...ยังเป็นเด็กดื้อคนเดิม”

‘คนเดิม’

ใช่... ไม่ว่าอย่างไรผมก็ยังเป็น ‘คนเดิม’ ของเขา ไม่เคยเป็นของใครคนไหนนอกจากเป็นของเขาคนเดียวตลอดมาและคงจะตลอดไป

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-11-2018 06:55:25
.

.

.

“ปี!”

เปิดประตูเข้ามาในห้อง ผมก็เรียกหาปาลินทันที เพราะผมอยากกอดใครสักคนและคนที่ผมกอดได้ง่ายที่สุดในตอนนี้คือปาลิน

“ปี... ฮึก...ปีอยู่ไหน...ปี...ฮึก...”

น้ำตาที่ผมข่มเอาไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างผมในบาร์เล็กๆ ในชั้นใต้ดินของพุฒิธาดาพรั่งพรูออกมาเป็นสายยาวบนแก้มผม ไม่ต้องแสร้งทำอวดเก่ง เหมือนตัวเองไม่เจ็บปวดอะไรยามที่อยู่ต่อหน้าคนคนนั้นอีกแล้ว

“ปี...ฮื่อ...อยู่ไหน” ในห้องนอนของปาลินไร้เจ้าของห้อง ไม่ต่างจากในห้องนั่งเล่นที่มีเพียงความเงียบและทุกอย่างไร้การเคลื่อนไหว “ปี...ฮื่อออ...” สายน้ำตายังไหลอาบแก้ม เสียงผมสั่น ตอนที่ผลักประตูห้องน้ำเข้าไปเพื่อตามหาตัวปาลินก็แทบจะไม่มีแรง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

“ฮึก...ปี...” ผมจับราวบันได พยุงตัวที่ใกล้หมดแรงขึ้นไปบนชั้นสอง เปิดเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง พยายามคิดในแง่ดีว่าปาลินอาจจะขึ้นมาทำความสะอาดห้องของผมอยู่ก็ได้ แบบที่เจ้าตัวชอบทำเป็นประจำตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับผม ทั้งที่ผมห้าม ปาลินก็ยังดื้อที่จะทำ จนผมต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้

“ปี...” ไม่มีปาลินในห้อง ในห้องน้ำก็ไม่มี

...ปาลินหายไปไหน

ผมปาดน้ำตาบนแก้มทิ้ง พยายามห้ามมันไม่ให้ไหลตอนที่ล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาโทรหาคนที่ผมตามหาเขาไม่พบ ผมเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่ว่างเปล่า ฟังเสียงสัญญาณจากปลายสายอยู่นานจนมันตัดไป ความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งวิ่งเข้ามาโจมตีผมซ้ำ ผมกดโทรหาปาลินอีกครั้ง ฟังเสียงสัญญาณที่ยาวนานจนคิดว่าปาลินโกรธอะไรผมหรือเปล่าถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ พลางน้ำตาก็ทะลักออกมามากกว่าเดิม

ปาลินอาจจะโกรธผมและหนีไปจากผม โกรธที่ผมนอนกับจิระ เพราะปาลินไม่อยากให้ผมนอนกับจิระ แต่ผมก็ทำ วันหยุดที่ไม่ต้องไปทำงานผมก็คลุกอยู่แต่ในห้องกับจิระ แทบไม่ได้ลงไปเจอหน้าปาลินข้างล่างเลย นอกจากเวลาที่หิวจัดถึงพากันลงมาหาอะไรกิน

ผมเกือบจะสิ้นหวัง ถ้าเสียงของปาลินจะไม่ดังขึ้นมา

“พี... มีอะไรหรือเปล่า” เสียงปาลินดังเบา ผิดปกติกจากทุกทีที่คุยกัน

“...ฮึก...ปีเป็นหรือเปล่า” ผมถามกลับไป เสียงปนสะอื้นนิดหน่อยอย่างที่ห้ามไม่ได้ ฝ่ายนั้นจึงถามกลับมาอย่างเป็นห่วง

“พีเป็นอะไร ร้องไห้เหรอ... ใครทำอะไร”

“ปีนั่นแหละ...เป็นอะไร ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น” เสียงปีก็คล้ายคนที่กำลังกลั้นสะอื้นเหมือนกันนะ

“พีตอบมาก่อนสิ” เสียงเบาลงไปอีก

“ปีนั่นแหละตอบมา เป็นอะไร ร้องไห้เหรอ แล้วนี่อยู่ไหน” ผมลุกขึ้นนั่ง ชักรู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้วสิ ไม่รู้ว่าดึกดื่นป่านนี้ปาลินออกไปทำอะไรที่ไหน คงไม่ได้หอบเสื้อผ้าหนีจากผมไปจริงๆ ใช่ไหม ตอนเข้าไปในห้องของปาลิน ผมก็ไม่ได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูด้วยสิ เพราะไม่ได้คิดเรื่องที่ปาลินจะหนีผมไปเลย

“พีก็ตอบเรามาก่อนสิ” เจ้าตัวหลีกเลี่ยงที่จะตอบผม

“ปี! บอกมาว่าอยู่ไหน” ผมตะคอกกลับ เพราะปาลินไม่เคยดื้อแบบนี้มาก่อน

“เรา...” เจ้าตัวอึกอัก

“ปี! บอกมาเลยว่าอยู่ไหน เราจะไปรับ” ปาลินต้องแอบไปทำอะไรข้างนอกแน่ๆ

“คือเรา...”

“อยู่ไหนปี!” อารมณ์ผมขึ้นแล้วนะ ไอ้ที่ร้องไห้เสียใจเพราะถูกคนใจร้ายย่ำยีหัวใจมาเมื่อกี้หายเกลี้ยงแล้ว

“เรา...เอ่อ...เรากำลังขับรถไปทะเล”

“หา!?... ไปทะเล ไปตอนนี้นี่นะ” ผมถามเสียงหลงออกไป ถ้าจำไม่ผิดตอนที่ผมลงมาจากรถ นิวบีเทิลสีขาวของปาลินที่หมอภามซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดปีที่แล้วก็ไม่ได้จอดอยู่ตรงนั้น แต่ขับรถเต่าไปต่างจังหวัดเวลาเที่ยงคืนแบบนี้นี่นะ ปาลินทำไมถึงกล้าได้ขนาดนี้ “ขับไปได้ยังไงปี มันอันตรายมากนะ กลับมาเลย”

“ก็ขับมาแล้ว ใกล้ถึงแล้วด้วย” บอกเสียงอ่อย

“เฮ้อ... จะไปทำไมไม่บอกกัน” ก่อนที่ผมจะออกไปกับจิระ ปาลินก็ไม่เห็นจะบอกอะไรผมเลย

“เขียนใส่โน้ตวางไว้ที่โต๊ะกินข้าวแล้วนะ พีไม่เห็นเหรอ” ใครจะเห็นเล่า เข้าห้องมาได้ก็น้ำตาไหลพรากๆ ไม่เจอปาลินก็เสียขวัญเข้าไปอีก ใครจะอยากเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวกันล่ะ

“ทำไมไม่รอไปพร้อมกัน” ผมก็จะไปเที่ยวทะเลกับจิระสัปดาห์หน้าเหมือนกัน พาจิระไปเที่ยวก่อนที่เจ้าตัวจะกลับอเมริกา

“ก็...อยากไปวันนี้” 

“แล้วจะไปกี่วัน”

“เอ่อ... ยังไม่แน่ใจ อาจจะจนเบื่อก็ได้” เพราะปาลินไม่ได้ไปทำงานที่โรงพยาบาลของหมอภามแล้ว ส่วนคลินิกก็ยังหาทำเลดีๆ ไม่ได้ ช่วงนี้ปาลินเลยว่างงาน

“งั้นก็อยู่รอเราเลยละกันนะปี เสาร์หน้าเราตามไป” ผมลางานไว้ทั้งสัปดาห์แล้ว เช้าวันเสาร์ล้อรถก็หมุนได้เลย

“มะ...ไม่ต้องตามมา” ปาลินรีบห้ามไม่ให้ตามไปด้วย “เราอยากอยู่คนเดียว”

“แต่เราอยากไปหาปี” ผมคิดว่าปีอาจมีปัญหาอะไรบางอย่าง เสียงตอนนี้ก็ฟังดูเศร้าสร้อยและเจือไปด้วยแรงสะอื้นที่คงพยายามซ่อนเอาไว้ไม่ให้ลอดออกมาให้ผมจับพิรุธได้ “ปีมีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหม เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น หรือว่าหมอภามโทรมาก่อกวน” แต่จะเป็นไปได้เหรอ ก็ผมให้ปาลินเปลี่ยนเบอร์โทรแล้วนี่นา


“ไม่ใช่ คือ... เราอยากอยู่กับตัวเอง อยากคิดอะไรคนเดียวน่ะ”

“แค่นี้จริงเหรอ” ผมยังไม่อยากเชื่อ

“อืม แค่นี้จริงๆ” เจ้าตัวยังยืนยันเสียงแข็ง แถมยังพูดตัดบทไปเสียดื้อๆ “ แค่นี้ก่อนนะพี เราขับรถอยู่ มันอันตราย ไว้สบายใจแล้วจะกลับไปนะ”

“ก็ได้ ดูแลตัวเองด้วย” ผมเลยต้องยอมวางสาย

ผมกลับมาอยู่ในความเงียบเชียบที่ไร้คนร่วมบ้านอีกครั้ง ไม่มีทั้งปาลิน ทั้งจิระ ก็รู้สึกเหมือนเหลือตัวคนเดียวบนโลก ความรู้สึกอยากกอดใครสักคนหนึ่งวิ่งกลับมาโจมตีอีกจนได้ ผมอยากกอดใครสักคนเพื่อให้ตัวเองพ้นไปจากค่ำคืนที่ไม่น่าจดจำนี้... และพ้นไปจากคนที่เอาหัวใจของผมไปแล้วทั้งดวง

มือของผมค่อยๆ ยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหาใครอีกคนที่ผมสามารถกอดได้ในคืนนี้

“ครับพี่พี” เสียงงัวเงียของปลายสายทำให้ผมรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไปกวนเวลานอนของเขา ทว่าความเห็นแก่ตัวของผมมีมากกว่า

“มาหาพี่ที่คอนโดฯ”

“ครับ”

คืนนี้ผมจะมีคนให้กอด... แทนคนที่ผมไม่สามารถกอดเขาได้   

 

จบตอนที่ 19
มาๆ ตอบคำถามคาใจกันค่ะ

Lovenadd : ขอบคุณสำหรับคำว่า “สนุกมาก” นะคะ ดีใจที่สุดเลย ^_^ อ่านแล้วชื่นใจๆๆๆ

Snowboxs : ถ้าคุณยะได้มาอ่านละก็ น่าจะสำนึกกับความผิดของตัวเองได้เลยนะ // คนเขียนก็ว่างั้นแหละ คุณยะนี่เลวร้ายมากกกกก แต่ๆๆ เด็กมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย // สปอยนิดหน่อยว่า คุณยะจบที่เตียงก่อนจะต้องดูแลอีกค่าาาา ^_^ แล้วที่คุณยะหายไป เพราะมีเหตุการณ์บังคับ เพียงแต่น้องพียังไม่รู้ คุณยะก็ไม่อยากพูด ทุกการกระทำของคุณยะ มันไปไม่สุด เพราะความอ่อนแอของตัวเองล้วนๆ // อยากสปอยมากกว่านี้ ถ้าสปอยอีกนิดนี่คือเล่าเรื่องถึงตอนจบได้เลย 555+ // อึบไว้ค่ะ อดทนอีกนิ้สสสสสสส

Jubbubu : น้องพีไม่ยอมแบ่งคุณยะให้ใครแน่นอนค่ะ เพราะน้องพีฟันธงแล้วว่า คุณยะเป็น “ของของน้องพีคนเดียว” ใครอย่ามาแตะนะ!! // ส่วนคุณยะ ก็ทิ้งเลม่อนไม่ได้จริงๆ  มันมีเหตุผล เป็นความรับผิดชอบ เป็นความรู้สึกผิด //แล้วเลม่อน ถ้าดีๆ นี่ก็คือดีนะคะ เนื้อแท้แล้วก็เป็นแค่เด็กที่ไม่อยากให้ใครเอาแฟนตัวเองไปงี้ (ในความคิดของเลม่อน คุณยะก็เป็นแฟนของเขาแหละ)

Kunt : อยากช่วยร้องเหี้ยยย ไปด้วยกัน 555+ บางคนนี่คืออีพี่หมอกหรือตาคุณยะคะ

Lizzii : สัญญาว่าจะหาหนทางให้น้องพีได้ตบหน้าคุณยะคืนค่ะ // ตบมา ตบกลับ ไม่โกงงง // คุณยะไม่เชิงปากหนักนะคะ บางครั้งเขาก็แค่ไม่พูด เพื่อที่จะไม่ให้ทุกอย่างมันเดินหน้าไปมากกว่านี้ แต่บางครั้งเขาก็ควบคุมความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อน้องพีไม่ได้ T^T เขาถึงอยากนัวน้องพี 555+

Naumi : ใจจะขาดเหมือนกันค่า แต่น้องพีเข้มแข็งกว่าที่คิดมากค่ะ ความรักทำให้คนแข็งแกร่งได้เสมอ คือนิยามของน้องพี รักแล้วต่อให้เจ็บปวดก็ยังหอมหวาน...


สุดท้าย ::: ขอบคุณทุกเม้นท์นะคะ ชอบๆๆ อยากอ่านและอยากตอบในส่วนที่คนเขียนยังอธิบายในเนื้อเรื่องไปไม่ชัด แต่จะเก็บทุกความสงสัยเอาไปขยายเป็นคำตอบในเนื้อเรื่องเรื่อยๆ นะคะ แต่บางส่วนที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณยะโดยตรง โดยที่น้องพีไม่รู้ น้องพีไม่เห็น คนเขียนก็จะเขียนออกมาไม่ได้ จะเขียนได้ก็ตรงเป็นการเล่าเรื่องของคุณยะเอง


สุดท้ายยิ่งกว่า :::::: อดทนไปด้วยกันนะคะ อย่าทิ้ง อย่าเท เอาใจช่วยน้องพีให้แย่งเอาคุณยะคืนมาให้ได้ !!! เพราะน้องพีบอกแล้วว่า “คุณยะเป็นของของน้องพีคนเดียว” ใครอยากคิดจะเอาไป ไม่แบ่งให้ใครด้วย!!  :katai2-1:


สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 17-11-2018 11:32:30
คนอย่างคุณยะเริ่มรู้สึกไม่น่าแย่งละ ปล่อยให้แก่ตายไปเถอะ ถถถถถ // ตอนยาวสะใจมากค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 17-11-2018 13:42:11
ไม่มีอะไรมากก็แค่รู้สึกอึดอัดที่น้องพียังทำอะไรคุณยะไม่ได้แค่นั้น
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 17-11-2018 22:11:24
ทำไมต้องพูดจาทำร้ายจิตใจน้องพีขนาดนั้น ด่ายังกับเกลียดเขามากแต่ก็จูบเอาๆ ไปส่งกลับบ้านอีก คุณยะนี่เป็นบ้าหรอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-11-2018 15:35:18
ต่างคนก็ไม่เคยเปลี่ยน
คุณยะทำร้ายพีมาอย่างไร
ก็ยังคงทำร้ายเหมือนเดิม
น้องพียังรักอย่างไร
ก็ยังรักอย่างนั้น
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-11-2018 20:23:56
แก้วน้ำส้มควรฟาดไปทั้งแก้วเลยลูก ไม่ควรแค่สาดน้ำส้มใส่คุณยะเฉย ๆๆๆ
โมโหแทนจริง ๆ ทำไม่เป็นคนแบบนี้
แล้วเอาจริง ๆ นะ ถ้าไม่สนใจแล้ว คุณยะก็ปล่อยน้องพีทำอะไรตามใจไปสิ่
ไม่ต้องมาวอแว แบบนี้ นี่ขึ้นมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 19-11-2018 10:33:25
ยังไม่เห็นหนทางของคำตอบของเรื่องนี้

เพราะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่หนทางที่ดำมืดสนิทไปหมด

เราจะรอคำตอบของคุณนะ..คุณยะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 19-11-2018 20:03:43
โอย ทำไมอ่านเนื้อเรื่องนี้แล้ว ช่างต่างกับที่อ่านในเรื่องหมอนุนัก ตอนนั้นอ่านแล้วน้อมพีดูไม่เต็มใจ และกลัวคุณยะมากเลย แต่นี่คือตรงข้ามมาก 555 ว่าแต่สงสารจิระอ่ะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 19 (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-11-2018 10:25:14
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 20-11-2018 16:55:00
ตอนที่ 20


เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนผมมาตลอดคืนลืมตาขึ้นช้าๆ ตอนที่ผมฝากความอุ่นร้อนบนพวงแก้มเนียนใสของเขา เมื่อคืนพอผมโทรหาสายน้ำ เจ้าตัวก็มาถึงคอนโดฯ ผมในเวลาอันรวดเร็ว เพราะระยะทางระหว่างคอนโดฯ ของผมกับเขาไม่ไกลกันมากนัก

“หิวหรือยัง” ผมถาม โอบร่างเล็กแน่นขึ้น เมื่อคืนผมไม่ได้ทำอะไรสายน้ำมากไปกว่าจูบเล็กๆ น้อยๆ และกอดเขาไว้ในอ้อมแขนจนหลับไปทั้งคู่ ตอนนั้นผมยังไม่มีอารมณ์ทำเรื่องอย่างว่า เพราะหลายสิ่งที่ทับถมอยู่ในใจ บวกกับสภาพร่างกายที่ผ่านเรื่องบนเตียงกับจิระมาหลายรอบและแอลกอฮอล์ในร่างกายด้วยที่ทำให้ผมไม่อยากออกแรงไปกับกิจกรรมบนเตียง ทว่าตอนนี้ผมมีความรู้สึกอยากกอดสายน้ำให้สมกับความน่ารักน่าขย้ำของเจ้าตัวขึ้นมาเสียแล้ว

วูบหนึ่งที่คำพูดของผู้ชายที่ชื่ออารยะวิ่งเข้ามาในหัว

‘ระหว่างความอยากของร่างกายที่จะเป็นใครก็ได้... กับสัมผัสที่มันมาจากความรักล้วนๆ แค่คนเดียว มันต่างกันมากนะพี’

ใช่... มันต่างกันมาก

สิ่งที่ผมรู้สึกกับร่างกายของสายน้ำ มันก็แค่ความอยาก ที่พอผมปลดปล่อยออกมาเมื่อไร ความอยากก็จางหายไป ไม่เหมือนกับคนที่เรารัก มันไม่ใช่แค่ความอยากชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือการกระทำที่เป็นยิ่งกว่าการบอกรัก เพราะมันคือการบอกกับเขาว่า... เราขาดเขาไม่ได้

...และทุกอย่างที่เขาเป็น ไม่ว่าดีหรือร้าย อ่อนโยนหรือเกลียดชัง มันก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่ให้เขาลดน้อยถอยลงไป มีแต่จะมากขึ้น เพิ่มขึ้น 

“พี่พีจะทำหรือครับ”

“ได้ไหม ?” ถึงผมจะซื้อสายน้ำมา ให้เงินเขาเพื่อแลกกับเซ็กซ์ แต่ผมก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่จะใจร้ายใส่เด็กที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ได้ลงคอ ด้วยการฝืนใจเขาให้มารองรับอารมณ์ความอยากของผู้ใหญ่ แม้ตอนแรกผมจะทำแบบนั้นก็เถอะ แต่ครั้งหลังผมก็ถามความสมัครใจของสายน้ำและเจ้าตัวก็ไม่เคยปฏิเสธ จะว่าไปตั้งแต่ที่ผมซื้อตัวสายน้ำมา ผมนอนกับเด็กคนนี้แค่สองครั้งเอง ซึ่งครั้งที่สองก็ตอนที่พาไปดูคอนโดฯ ที่ผมซื้อให้เขา

“ได้ครับ” เจ้าตัวพยักหน้า “แต่ผมขอไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะครับ”

“ไปด้วยกัน” ผมจบคำพูดด้วยการดึงเอาร่างนุ่มนิ่มของสายน้ำขึ้นจากเตียง ก้าวขาลงมายืนบนพื้นห้องก่อนจะช้อนร่างของเด็กน้อยขึ้นมาในวงแขน ก้าวพาไปยังประตูห้องน้ำเพื่อต้อนรับวันใหม่ด้วยร่างกายของกันและกัน... ตามความอยากของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของหัวใจ

และไม่นานความอยากของผมก็ได้รับการปลดปล่อยภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ชุ่มไปด้วยสายน้ำ ก่อนจะเริ่มต้นอีกครั้งที่เตียงนอนหนานุ่มของตัวเอง

“อ๊ะ...อ๊าาา...จะ...เจ็บครับ...อือออ...พี่พี...ผมเจ็บ...อ๊าาาา!” เสียงกรีดร้องเป็นรอบที่เท่าไรของสายน้ำแล้วไม่รู้ ไม่ได้ทำให้ผมลดแรงส่งจากสะโพกเข้าไปในตัวของเด็กน้อยลงเลย มีแต่เพิ่มมากขึ้น... มากขึ้น

“อืม...อีกนิดธาร...ทนอีกนิด...” ผมอัดเอาทุกความคับแค้นในหัวใจออกมาผ่านร่างกายที่แข็งแกร่งและมากด้วยกำลังกว่าอีกฝ่าย ฝากฝังความเจ็บปวดของหัวใจลงไปในช่องทางคับแคบที่บีบรัดนับครั้งไม่ถ้วน

“คะ....อ๊าาา...ครับ...พี่พี...อ๊ะ...” ริมฝีปากบางของสายน้ำยังคงปลดปล่อยทุกความเจ็บปวดออกมา เสียงนั้นสะท้อนก้องอยู่ภายในห้องนอน แทรกตัวเข้าไปในหัวใจผม มันเหมือนเสียงของเมื่อวันวานในอดีตที่ไม่เคยลืมลงสักครั้งของผม

...ผมเคยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแบบสายน้ำมาก่อน

“อือ...อ่า...” ความอดทนของสายน้ำสิ้นสุดลงเมื่อผมถอนแก่นกายออกมาจากช่องทางบวมช้ำ ร่างเล็กฟุบลงไปกับที่นอนแทบจะทันที ผมได้ยินเสียงสะอื้นออกมาเบาๆ จากความเจ็บปวดของร่างกายบอบบางที่โดนบดขยี้ ขณะที่ผมดึงเครื่องป้องกันออกจากกาย พร้อมกับรูดรั้งความร้อนระอุของตัวเองให้กลายเป็นลาวาขาวข้นทะลักทลายออกมา

เมื่อร่างกายปลดปล่อยออกมาจนหมด ผมก็ทิ้งตัวลงไปทาบทับร่างกายนุ่มนิ่มของสายน้ำ กระซิบถ้อยคำขอโทษข้างใบหูเล็กของเจ้าตัว

“พี่ขอโทษ ขอโทษนะธาร”

“ฮึก...มะ...ไม่เป็นไรครับ...ฮึก...ผมเป็นของพี่” เจ้าตัวฝืนแรงสะอื้นตอบกลับมา แม้ใบหน้านั้นจะฝังลงไปกับหมอนใบโตอยู่ก็ตาม

“เจ็บมากไหม ?” ผมพลิกตัวกลับลงไปนอนบนเตียง ดึงร่างบอบช้ำเข้ามาอยู่ในวงแขน กดศีรษะเล็กๆ ไว้กับอกของตัวเอง ลูบแผ่นหลังเรียบลื่นอย่างปลอบโยน

“เจ็บครับ...แต่ไม่เป็นไร ผมทนได้”

“เด็กน้อย” ผมแนบริมฝีปากลงไปบนกลุ่มผมที่เปียกชื้น “ขอบใจนะที่ทนเพื่อพี่”

“ผมอยากให้พี่พีมีความสุข เพราะพี่พีดีกับผมมาก” เจ้าตัวเงยหน้าเนียนใสชุ่มเหงื่อและคราบน้ำตาขึ้นมายิ้มจนตาหยี ไม่เหลือร่องรอยว่าเมื่อครู่ได้กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างไรบ้าง

“ธารก็ดีกับพี่เหมือนกัน” เพราะสายน้ำยอมให้ผมทำอะไรกับร่างกายเขาก็ได้ ตัวเล็กแค่นี้แต่ก็ทนเพื่อให้ผมระบายความเจ็บปวดทั้งหมดลงไปที่เขา แม้เขาจะทำเพื่อเงิน แต่มากกว่านั้นเขาก็เต็มใจทำเพื่อผม เพราะผมสัมผัสความจริงใจของเด็กคนนี้ได้

...สายน้ำไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ใสสะอาดเหมือนชื่อของเขา

“เมื่อคืนพี่พีไปเจอเขามาหรือครับ” สายน้ำเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมเล่าเรื่องอดีตของตัวเองให้สายน้ำฟัง เล่าเท่าที่อยากจะเล่า บางส่วนก็ข้ามไป บางอย่างก็ไม่พูดถึง โดยเฉพาะชื่อของคนคนนั้น สายน้ำเลยรู้แค่ว่าเมื่อตอนเป็นเด็กผมผ่านอะไรมาบ้าง โดนผู้ใหญ่ใจร้ายเอาคำว่ารักมาหลอกเพื่อเอาเปรียบร่างกายผมอย่างไรบ้าง

“อืม...” ผมพยักหน้ารับ โอบร่างเล็กในอ้อมแขนแน่นขึ้น ราวกับว่าสายน้ำคือตัวผมในวันวานที่ผมอยากปลอบโยนก่อนที่จะแตกสลายไป

“เขาทำร้ายพี่พีอีกหรือครับ” เจ้าตัวกอดผมตอบ แรงน้อยนิดของสายน้ำทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าตอนที่กระแทกความเจ็บปวดเข้าใส่ตัวเขาเสียอีก

“เขาใจร้ายกับพี่มาก พี่ไม่เข้าใจเลยทำไมเขาถึงอยากให้พี่เจ็บปวด” ผมเริ่มพรั่งพรูความรู้สึกของค่ำคืนที่ผ่านมาที่ถูกทำร้ายจากคนคนนั้น “เขาเหมือนอยากให้พี่ตายไปต่อหน้าเขา เขาไม่อยากให้พี่มีความสุขเลยหรือไง ทำไมเขาต้องการให้พี่เจ็บปวด ทำไม...ฮึก...ทำไมพี่ต้องรักเขาด้วย...ทำไมพี่ถึงเลิกรักเขาไม่ได้นะธาร...ฮึก...ทั้งที่เขาใจร้ายกับพี่ขนาดนี้ เขาฆ่าพี่มาตลอดชีวิต...แต่พี่...พี่ก็ยังเลิกรักเขาไม่ได้...พี่...เลิกรักเขาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว...พี่อยากเลิกรักเขา...” ผมซุกหน้าลงกับไหล่เล็กของคนในอ้อมแขน ปล่อยสายน้ำตาร้อนจัดออกมาอย่างเก็บกักไว้ไม่ได้อีกแล้ว

“ไม่ต้องเลิกรักเขาหรอกครับ” มือของสายน้ำประคองใบหน้าของผมขึ้นมา นิ้วเล็กๆ ช่วยเช็ดเม็ดน้ำตาออกไปจากแก้ม แต่เช็ดเท่าไรก็ยังคงไม่หมด เพราะผมก็ยังปล่อยความเจ็บปวดออกมาออกมาพร้อมกับน้ำตา “...ถ้าการอยากเลิกรักเขามันทำให้พี่พีทรมานขนาดนี้ ก็ไม่ต้องพยายามที่จะเลิกรักเขาหรอกครับ”

“แต่เขาไม่รักพี่เลย เขาเกลียดพี่ เขา...ฮึก...อยากให้พี่ตาย” ผมกลายเป็นเด็กน้อยแสนอ่อนแอในวันเก่า ร่างกายที่เติบโตเป็นชายหนุ่มและสูงใหญ่ ไม่ได้ขับไล่ความอ่อนแอของเด็กชายพีรัชออกไปจากตัวผมได้เลย “ฮึก...เขาไม่รักพี่ เขาไล่พี่ออกไปจากชีวิตเขา ทำเหมือนพี่เป็นตัวน่ารังเกียจ ใช้คำพูดทำร้ายหัวใจพี่ตลอด”

“ไม่รักก็ช่างเขา เกลียดก็ช่างเขา” เสียงใสๆ ของสายน้ำบอกออกมาราวกับเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดาย “สิ่งที่พี่พีทำได้ ไม่ใช่การเปลี่ยนความรู้สึกของเขา แต่คือการที่พี่พีรักเขาเท่าที่อยากรัก รักไปเถอะครับ ถ้ามันดีกว่าการที่พี่บังคับตัวเองให้เลิกรัก เขาไม่เห็นความรักของพี่ก็ช่างเขาสิครับ พี่แค่เห็นความรักของตัวเองก็พอแล้วนี่นา” เจ้าตัวพูดเสียยืดยาว

“ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน” คำแนะนำของสายน้ำทำให้ผมมีรอยยิ้ม นึกเอ็นดูคำปลอบโยนที่แปลกประหลาดนี้

“เอามาจากตัวเองนี่แหละครับ” เจ้าตัวยิ้มอายๆ “ถึงแม้เขาของผมจะไม่ใจร้ายเท่ากับเขาของพี่พี แต่ตอนเห็นเขาเดินข้างคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมก็เจ็บมากนะครับ เคยอยากให้ตัวเองหยุดรักเขาซะที แต่พยายามแล้วมันทรมานมาก ทรมานกว่าตอนที่ผมรักเขาหมดหัวใจซะอีก ยิ่งผมรักเขามาก ผมก็ยิ่งมีความสุขที่ได้รักเขา ต่อให้เขาไม่เห็นว่าผมรักเขา แต่ผมก็เห็นว่าตัวเองมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้รักเขา”

“เด็กน้อย” ผมส่ายหัวให้กับการเปรียบเทียบของสายน้ำ เจ้าตัวยังเด็ก ความรักแบบแอบรักเพื่อนและเห็นเพื่อนมีแฟน มันเทียบไม่ได้กับการถูกคนที่เรารักฟาดฟันหัวใจของเราด้วยความเกลียดชังหรอก

สายน้ำยังไม่เคยถูกคนที่ตัวเองรักฟาดฟันด้วยความเกลียดชังแบบผม เจ้าตัวถึงยังไม่เคยเจอความเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็นที่ผมกำลังเผชิญอยู่

“ถ้าธารเจอแบบพี่แล้วค่อยมาพูดละกัน” ผมบอก แต่ก็ใช่จะปฏิเสธคำแนะนำของสายน้ำเสียทีเดียว อย่างน้อยผมก็จะจดบางส่วนของคำแนะนำเอาไว้

...แค่เห็นความรักของตัวเองก็พอ

ผมเห็นความรักของตัวเองเติบโตขึ้นทุกวัน ราวกับว่าความเจ็บปวดของผมในแต่ละวินาทีเป็นน้ำหล่อเลี้ยงต้นกล้าของความรักให้เติบโตและแข็งแกร่งเกินกว่าลมพายุหรือสายฟ้าฟาดใดๆ จะทำลายมันลงมาได้

...ยิ่งเจ็บปวดก็ยิ่งคล้ายกับว่าผมจะรักเขามากขึ้นและมากขึ้น ไม่เคยน้อยลง

Rrrrr...

เสียงโทรศัพท์ของสายน้ำดังขึ้น มันวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ผมเอื้อมไปหยิบเพราะมันอยู่ใกล้มือผม ก่อนยื่นให้เจ้าของมัน

คนที่โทรมาชื่อ ‘วิน’ เป็นเพื่อนที่สายน้ำแอบรักนั่นแหละ

“ขอบคุณครับพี่พี” สายน้ำเอ่ยขอบคุณตอนที่ผมยื่นโทรศัพท์ให้เขา “ว่าไงวิน มีอะไรหรือเปล่า” เจ้าตัวขยับออกห่างผมนิดหนึ่งตอนที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

ส่วนผมก็ขยับลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเอาคราบอะไรต่อมิอะไรออกจากร่างกาย แต่ติดที่ต้องหันมาตอบคำถามของคนตัวเล็กเสียก่อน

“หา!! รออยู่หน้าคอนโดฯ ...รอทำไม ทำไมไม่กลับไปนอนที่ห้อง...ก็...ก็ไม่รู้อีกนานไหม...กลับไปก่อนสิ ไม่ต้องรอ...บอกว่าไม่ต้องรอไง...ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับตอนไหน...ก็ได้ๆ ...ขอถามพี่พีก่อน” จบประโยคนั้นเจ้าตัวก็ลดโทรศัพท์ลง เอามือปิดโทรศัพท์ไว้ด้วยกันเสียงพูดระหว่างผมกับตัวเองลอดเข้าไปให้บุคคลที่สามได้ยิน “พี่พีจะให้ผมกลับตอนไหนครับ”

“เพื่อนรอเหรอ” ผมถามกลับ ทั้งที่พอจะจับบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองได้

“ครับ เมื่อคืนผมให้วินมาส่ง แล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะนั่งรออยู่ในรถจนถึงตอนนี้” ตอนนี้ที่สายน้ำว่าคือเวลาเกือบเที่ยง “คือ...เอ่อ...ถ้าผมจะขอกลับตอนนี้เลยได้ไหมครับ” ถามอย่างเกรงใจ

“ไปสิ” ผมบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง หยิบเอากระเป๋าตังค์ออกมา ดึงเอาแบงก์สีเทาที่มีอยู่ในกระเป๋าออกมาทั้งหมด ไม่เยอะหรอกครับแค่หกใบเอง “พี่ว่าจะพาเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินซะหน่อย แต่ไม่เป็นไร ธารไปกินกับเพื่อนละกันนะ” ผมยื่นเงินให้สายน้ำ เจ้าตัวส่ายหน้าจนผมเส้นเล็กกระจายเลยทีเดียว

“เงินที่พี่พีใส่บัญชีให้ก็ยังไม่หมดเลยครับ”

“อย่าปฏิเสธ” ผมยัดเงินใส่มือเล็กๆ  “ตอบแทนสำหรับคำแนะนำดีๆ ของธาร ห้ามปฏิเสธ”

“คือว่า...ผมเกรงใจ”

“ถ้าไม่รับก็ไม่ต้องกลับ” ผมแกล้งขู่ เลิกยัดเงินใส่มือที่กำแน่นแบบไม่ยอมแบให้ผมวางเงินลงไปได้ ผมเลยเอาไปยัดใส่กระเป๋าตังค์ของเจ้าตัวแทน “ไปอาบน้ำได้แล้ว เพื่อนจะรอนาน”

“ครับ... ขอบคุณครับพี่พี” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ผม ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองลงจากเตียงในสภาพขาสั่นๆ ผมรู้ดีว่าร่างกายบอบบางที่ผ่านแรงกระแทกมาหลายรอบไม่มีทางที่จะปกติได้ ขานี่คงแทบไม่มีแรงยืนด้วยซ้ำ ผมเลยรีบลงจากเตียงขึ้นไปประคองตัวสายน้ำเอาไว้ก่อนที่จะร่วงลงไปกองพื้น

“พี่อุ้มดีกว่า” ผมจัดการอุ้มพาคนตัวเบาไปห้องน้ำเป็นรอบที่สองของวันนี้ ถึงแล้วก็ปล่อยให้เจ้าตัวจัดการตัวเองต่อ ส่วนผมก็เดินไปเปิดตู้หยิบเสื้อคลุมมาใส่ปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองไว้ก่อน 

ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีสายน้ำก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา เข้าใจอารมณ์เลยว่าคงอยากลงไปหาคนที่ตัวเองแอบชอบเร็วๆ แล้ว

ออกมาก็แต่งตัวด้วยความรวดเร็วไม่ต่างจากตอนอาบน้ำ ร่างกายนุ่มนิ่มที่ถูกผมใช้งานหนักทำท่าจะล้มกองพื้นหลายครั้ง ก็มีผมนี่แหละที่ช่วยประคองเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปจริงๆ

“จะไหวไหมเนี่ย” ผมพูดออกอย่างห่วงๆ ก็เป็นตัวเองนี่แหละที่ทำให้สายน้ำตกอยู่ในสภาพขารับน้ำหนักตัวเองไม่ค่อยได้

“ไหวครับ”

“ไม่ไหวแน่นอน เอาเป็นว่าพี่พาลงไปหาเพื่อนละกัน”

“ไม่ต้องครับพี่พี ผมไหวจริงๆ แล้วอีกอย่าง...คือ...เอ่อ...วินไม่ชอบพี่พีเท่าไรน่ะครับ” สีหน้าของสายน้ำคล้ายจะกลัวผมโกรธ ผมก็รู้สึกโกรธจริงนั่นแหละ ผมทำอะไรให้เด็กนั่นไม่ชอบผมล่ะ ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาไม่ชอบผม ไม่รู้สำนึกเลยใช่ไหมว่าเงินที่ตัวเองกินใช้อยู่ทุกวันเป็นเงินของผม

“เพื่อนของธารไม่ชอบพี่เพราะอะไร” เสียงผมขุ่นจัดเลยตอนที่ถาม ทำเอาสายน้ำหน้าซีดทันที เจ้าตัวคงนึกด่าตัวเองในใจแล้วมั้งที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ก็...คือ...” เจ้าตัวอึกอักอยู่นานกว่าจะเอ่ยถึงสาเหตุที่เพื่อนตัวเองไม่ชอบผม “เอ่อ...วินไม่ชอบที่พี่พีทำผมเจ็บตัว”

อ้อ... เข้าใจแล้ว ก็สมควรที่เพื่อนของสายน้ำจะไม่ชอบหน้าผม ทั้งที่ไม่เคยเจอหน้าผมเลยสักครั้ง เพราะห่วงเพื่อน... หรือหวงเกินเพื่อนกันแน่

“ผมไปนะครับ” เจ้าตัวยกมือไหว้ผม แล้วเดินขาลากไปที่ข้างเตียง หยิบกระเป๋าตังค์กับมือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกง ทำท่าจะออกห้องไป ผมเห็นก็สงสารนะ ความผิดผมเองที่ทำให้สายน้ำตกอยู่ในสภาพนี้

“พี่พีไม่ต้องครับ” เสียงใสๆ เอ่ยห้ามตอนผมช้อนตัวเขาขึ้นมาอุ้ม

“อุ้มลงไปข้างล่างเท่านั้นแหละ ไม่ไปถึงหน้าคอนโดฯ หรอกน่า” ผมดุเบาๆ จากนั้นก็อุ้มพาสายน้ำลงไปชั้นล่าง เอาไปปล่อยลงพื้นตรงหน้าประตูห้อง ต่อจากนั้นเจ้าตัวก็พาร่างกายที่ไม่เต็มร้อยออกจากห้องผมไป


.

.

.

ผมกลับขึ้นมาบนห้องหลังจากอุ่นอาหารแช่แข็งกินจนอิ่มท้องแล้ว พออิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก เปิดประตูเข้ามาได้ก็เดินตรงไปที่เตียงและทิ้งตัวลงนอนทันที ไม่นานก็หลับสนิท มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนท้องฟ้าเริ่มเป็นสีเทาและใครบางคนที่ล้มตัวลงมานอนข้างตัวผม พร้อมกับดึงผมเข้าไปกอดไม่ต่างจากกอดหมอนข้าง

เป็นใครไม่ได้นอกจาก...จิระ

“เหนื่อยโคตร” เจ้าตัวบ่นงึมงำ ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลซ่อนอยู่หลังเปลือกตาและขนตายาว จิระเป็นผู้ชายที่มีขนตายาวมากจริงๆ “ไอ้ศิลปินซกมกนั่นใช้ผมจนคุ้ม แต่ก็ดีแล้ว ไม่ต้องได้เจอหน้ามันอีก เกลียดมัน ถ้าเจอคุณลุงกับคุณป้านะจะฟ้องให้เข็ดว่ารสนิยมของมันเป็นยังไง” แอบคิดว่าจิระนี่ละเมอหรือเปล่า แต่ก็ได้คำตอบว่าเจ้าตัวไม่ได้ละเมอแต่บ่นงึมงำเท่านั้นเอง เพราะพอผมถามเขา เขาก็ตอบกลับมาได้ทันที

“กินอะไรมาหรือยัง”

“หื้อ...ยังเลย แต่ไม่หิว ง่วงมากกว่า ขอผมนอนก่อนนะ” และเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที ผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจของจิระเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฟ้องว่าเจ้าตัวหลับสนิทไปแล้ว

ผมค่อยๆ เอาตัวออกมาจากวงแขนของจิระ ตอนนี้ตาสว่างแล้ว เลยฝืนนอนต่อไม่ได้ ก็เลยต้องหยิบโทรศัพท์ออกจากห้องลงมาหาอะไรกินที่ชั้นล่าง เพราะพอตื่น ความหิวก็มาทักทายทันที

พอลงมาถึงชั้นล่าง ยังไม่ทันเดินไปถึงตู้เย็น เสียงข้อความในแชตไลน์ก็ดังขึ้นเสียก่อน ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายจากห้องครัวเป็นโต๊ะกินข้าวแทน บนโต๊ะผมเห็นกระดาษโน้ตที่มีข้อความที่ปาลินเขียนบอกผมไว้ว่าเขาจะไปทะเล ตัวหนังสือของปาลินอ่านยากกว่าทุกที เหมือนกับว่าเจ้าตัวเขียนมันด้วยมือที่สั่นพอสมควร

ผมเอะใจกับสิ่งที่ไม่ปกตินี้ ทว่าเสียงข้อความไลน์ที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผมลืมมันไปเสียและกลับไปให้ความสนใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมแทน

เป็นอาฟ้าที่ส่งข้อความไลน์มาหาผม เจ้าตัวพิมพ์มารัวๆ เลย

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : พรุ่งนี้อาฟ้าไปหาไม่ได้แล้วนะครับน้องพี

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อย่างอนที่ไม่ได้กินอาหารฝีมืออาฟ้าล่ะ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : แต่จะให้เด็กที่ร้านเอาเค้กกับน้ำผลไม้ไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์เหมือนเดิมนะ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : ว่าแต่น้องพีอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า

น้ำฟ้า ตรัยธาด : เค้ก คุกกี้ ขนมปัง

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าจะทำไว้คืนนี้เลย

P.Phirach : พีกินอะไรก็ได้ครับ

P.Phirach : ยกเว้นอันที่มันทำ

...อาฟ้ารู้ดีว่าผมหมายถึงใคร และอีกเช่นเคยที่อาฟ้าจะดุผมกลับที่พิมพ์คำพูดไม่เพราะลงไปในแชต เรียกคนอื่นว่า ‘มัน’ ...คนที่คุณฟ้าเอ็นดูไม่ต่างจากผม ทั้งที่มันไม่สมควรได้รับความเอ็นดูและเห็นใจจากคนดีๆ แบบอาฟ้าด้วยซ้ำ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : เรียกเขาแบบนี้ไม่เพราะเลยนะน้องพี

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าไม่อยากให้น้องพีเรียกเขาว่ามัน

P.Phirach : มันเรียกพีว่ามึงด้วยซ้ำ

P.Phirach : อาฟ้าทำไมไม่ดุมัน

P.Phirach : ดุแต่พี

...แอบน้อยใจเหมือนกันนะ กลัวว่าอาฟ้าจะรักมันมากกว่าผมด้วย ทำไมใครๆ ถึงได้รักมัน คนอย่างมันน่ารักตรงไหน

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : รู้ได้ไงว่าอาฟ้าไม่ดุเขา

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าดุทุกคนที่พูดไม่เพราะ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : น้องพีเลิกเกลียดเขาได้ไหม

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าขอนะ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : เขาน่าสงสารมากนะครับ

...ก็สมกับสิ่งที่มันทำไว้กับผม ผมอยากจะพิมพ์ตอบอาฟ้าไปแบบนั้น แต่ก็ยั้งมือตัวเองไว้ทัน และก็พิมพ์เปลี่ยนไปเรื่องอื่นแทน

P.Phirach : พรุ่งนี้อาฟ้ามีธุระอะไรหรือครับ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : คุณย่าจะคุยเรื่องแต่งงานของพี่ยะ

...ผมไม่น่าถามเลยจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องนี้

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : ไม่เป็นไรใช่ไหม

...ผมจะเป็นอะไรได้ล่ะ นอกจากเจ็บปวดเหมือนเดิม เมื่อวานก็เจ็บ วันนี้ก็เจ็บ

P.Phirach : พีจะเป็นอะไรล่ะครับ

P.Phirach : พีไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว

...มีแค่สองอย่างที่ผมยังเกี่ยวข้องกับเขา คือชื่อที่ผมใช้ กับหัวใจที่ผมให้เขาไป

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : แต่น้องพีกลับมาตอนนี้ยังทันนะ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าอยู่ข้างน้องพีเสมอ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : ตอนนี้ยังไม่ได้แต่งถือว่าน้องพียังมีสิทธิ์

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : แหวนของน้องพี คุณย่าก็ยังเก็บไว้ ไม่ได้ให้ใคร

...แหวนของคุณปู่ที่สวมให้คุณย่าในวันแต่งงาน และคุณย่าให้มันกับผมตอนที่ความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะถูกจับได้ แต่สุดท้ายผมก็คืนให้คุณย่าไปในวันที่ผมก้าวออกมาจากตรัยธาดา ผมไม่ได้คืนแค่แหวนแต่คืนนามสกุลที่ผมใช้มาตั้งแต่เกิดไปด้วย

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าอยากให้น้องพีกลับมาหาพวกเรา

...ผมจะกลับไปได้ยังไงในเมื่อคนคนนั้นไม่ต้องการให้ผมกลับไป

P.Phirach : อาฟ้าครับ พีหิวแล้ว ขอตัวไปหาข้าวกินก่อนนะ

P.Phirach : คุยกันวันหลังนะครับ

น้ำฟ้า ตรัยธาดา : เปลี่ยนเรื่องตลอด

...ผมก็ได้แค่ส่งสติกเกอร์ยิ้มแป้นไปให้อาฟ้า ส่วนเจ้าตัวส่งหัวใจดวงโตๆ มาให้ จบบทสนทนาผ่านหน้าจอแชตไว้แค่นี้ แต่เรื่องที่ยังไม่จบคือสิ่งที่ค้างอยู่ในหัวใจของผม เรื่องของเขา... เรื่องของครอบครัวที่ผมก้าวออกมาและยังไม่พร้อมกลับเข้าไปหาคนสำคัญคนหนึ่งของผม... คุณย่า

.

.

.

“ตายแล้วหลานย่า ไปมีเรื่องกับใครมา ไหนมาให้ย่าดูหน้าหน่อยสิ” เสียงคุณย่าร้องโวยวายขึ้นมาทันทีที่เห็นผมเดินผ่านหน้าไป อันที่จริงผมก็มองซ้ายมองขวาแล้วนะ คิดว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ กะว่าจะเดินเร็วๆ เท่าที่สภาพร่างกายจะทำได้กลับไปที่บ้านของตัวเอง แต่คุณย่าที่เดินออกมาจากห้องสมุดก็ดันเห็นผมซะก่อน

ผมพยายามเดินเข้าไปหาคุณย่าให้ดูเป็นปกติที่สุด ต่อให้ช่วงล่างเจ็บขนาดไหนก็ต้องไม่แสดงอาการออกมา ไม่อย่างนั้นคุณย่าต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายผม แค่เฉพาะแก้มที่บวมๆ อยู่นี่ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรแล้ว สงสัยผมคงต้องโกหกอีกตามเคย

“อ้อยไปเอากล่องยามาให้ฉันเร็ว” ท่านสั่งพี่อ้อยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งตัวยาวใต้ต้นปีบ ดอกของมันร่วงพราวอยู่บนพื้นรอบบริเวณ 

ผมทรุดตัวลงนั่งข้างท่าน มือของคุณย่าแตะแก้มข้างที่โดนคุณยะตบอย่างเบามือที่สุด

“เจ็บมากไหมลูก” น้ำเสียงของท่านเต็มไปด้วยความห่วงใย ไม่มีดุด่าที่ผมไปมีเรื่องกับใครมา (ตามความคิดของท่านที่คิดว่าผมไปมีเรื่องชกต่อยมา)

“ไม่ครับ” ...ที่เจ็บคือหัวใจ แต่บอกคุณย่าไม่ได้ บอกใครก็ไม่ได้ด้วย

“ทะเลาะกับหนูปีมาเหรอลูก” คุณย่าเดา คงไม่รู้จะเดาว่าอะไรแล้ว ท่านไม่คิดหรอกว่าผมเป็นเด็กเกเรที่จะไปมีเรื่องชกต่อยกับใครได้ นอกจากจะทะเลาะกับเพื่อนสนิทอย่างปาลิน “หรือว่าทะเลาะกับเพื่อนคนนั้น ชื่ออะไรนะ ที่มากับพีวันนั้น” ท่านทำท่านึก แต่ก็ยังนึกไม่ออก

“ชื่อดีนครับ”

“ใช่ๆ หนูดีน” คุณย่าชอบเรียกปาลินว่าหนูปี พอรู้จักดีน ก็เรียกดีนว่าหนูด้วยอีกคน “แล้วยังไง สรุปหลานย่าไปมีเรื่องกับใครมา”   

“กับปีครับ” ให้ท่านเข้าว่าผมมีเรื่องทะเลาะกับปาลินก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่รู้จะโกหกท่านด้วยเรื่องไหน

“แล้วนี่หนูปีเป็นยังไงบ้าง เจ็บเหมือนหลานย่าไหมเนี่ย” ท่านก็ยังเป็นห่วงไปถึงปาลิน ทำเอาผมรู้สึกผิดเลยที่ทำให้ท่านหลงเข้าใจผิดไปแบบนั้น “คืนดีกันหรือยัง ยังไงก็ต้องคืนดีกันไหวๆ นะ เป็นเพื่อนกัน อย่าโกรธกันนาน”

“คุณย่าครับ” ผมขยับตัวเข้าไปกอดร่างผอมของคุณย่า ตั้งใจเปลี่ยนเรื่องคุย “ถ้าพีไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คุณย่าจะคิดถึงพีไหมครับ” แต่เรื่องที่เปลี่ยนก็ทำเอาผมน้ำตารื้น ถามเองก็รู้สึกเจ็บปวดเอง เมื่อนึกถึงวันที่ผมถูกลูกชายคนโตของท่านไล่ออกจากครอบครัวตรัยธาดา แต่คุณย่ากลับเข้าใจไปอีกอย่าง

“อะไรกันลูก” ท่านทำหน้าตกใจ “อย่าบอกนะว่าอยากจะย้ายไปอยู่ข้างนอกคนเดียว ไม่ได้ ย่าไม่ยอมนะ พียังเด็ก ไว้ให้เข้ามหา’ลัยก่อนไหม ถ้าตอนนั้นอยากย้ายไปอยู่ใกล้ๆ มหา’ลัย ย่าก็จะไม่ห้าม”

“เปล่าครับ”

“อ้าว... แล้วมันยังไงละลูก”

“คือ...” เป็นเหตุผลที่บอกไม่ได้ ผมไม่อยากให้คุณย่ารู้... ว่าผมรู้แล้วว่าไม่ได้เป็นหลานแท้ๆ ของคุณย่า ผมไม่อยากกลายเป็นคนนอกครอบครัว “พีแค่ถามเผื่อไว้ครับ ถ้าวันหนึ่งพีไม่ได้อยู่กับคุณย่า คุณย่าจะคิดถึงพีไหม จะลืมพีหรือเปล่า” ผมกอดร่างผอมแน่นขึ้น ก็คงต้องมีสักวันที่ผมจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แค่เมื่อไรเท่านั้นเอง

“จะคิดเผื่อไว้ทำไมล่ะลูก พีเป็นหลานย่า ไม่อยู่กับย่าแล้วจะไปอยู่กับใคร หลานคนนี้ย่ารักที่สุดเลยรู้ไหม” ท่านกอดผมตอบ ก่อนดึงตัวผมออกมาและหอมแก้มข้างที่ไม่บวมของผมหนักๆ ตามน้ำหนักความรักของท่านที่มีให้ผม

“รักมากกว่าซัน แซน น้องเนตร หรือเปล่าครับ” เด็กทั้งสามคือหลานแท้ๆ ของคุณย่า ท่านจะรักผมมากกว่าหลานทั้งสามของท่านจริงเหรอ ในใจของผมมีคำถาม และไม่รู้ว่าคำตอบที่ได้กลับมาเป็นความจริงมากแค่ไหน

“ต้องรักมากกว่าอยู่แล้วสิ ก็พีเป็นหลานคนแรกของย่านะ” ว่าแล้วท่านก็หอมแก้มผมซ้ำอีกหลายครั้ง ราวกับว่าท่านใช้มันเป็นคำยืนยันว่าทุกคำที่บอกกับผมล้วนเป็นความจริง

“พีก็รักคุณย่าที่สุดเลยครับ” ผมกอดคุณย่าอีกครั้ง กอดแน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ กอดเผื่อไว้สำหรับวันหนึ่งที่จะไม่มีโอกาสได้กอดอีก เพราะผมรู้สึกว่าเวลาของผมกับที่นี่เหลือน้อยลงทุกวัน “อยากอยู่กับคุณย่าไปทั้งชีวิตเลย”

...ถ้าผมยังหน้าด้านอยู่ในครอบครัวตรัยธาดาต่อไปล่ะ ต่อให้ลูกชายคนโตของครอบครัวนี้จะไล่ผมเป็นร้อยครั้งพันครั้ง ผมก็จะไม่ไปไหน จะอยู่กับคุณย่า คุณปู่ อานุ อาภา ซัน แซน และน้องเนตร ส่วนอีกคนผมจะปล่อยเขาให้เป็นแค่ตอไม้แห้งๆ ตอหนึ่งเท่านั้น... แบบนี้แล้วผมจะหน้าด้านเกินไปหรือเปล่า ?

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 20-11-2018 16:57:12
.

.

.

“คุณพีครับ”

ผมที่เดินออกมาจากประตูโรงเรียนแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นลุงชีพคนขับรถของเจ้าของพุฒิธาดาเหมือนที่ทำมาทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ลุงชีพถูกสั่งให้มารับผมหลังเลิกเรียน เพื่อพาผมไปรับเงินค่าขนมรายวันที่พุฒิธาดา แต่ตลอดสัปดาห์ก็ถูกผมปฏิเสธที่จะขึ้นรถไปด้วย เพราะผมไม่อยากเจอหน้าคนคนนั้น ตั้งแต่วันที่เขาตบหน้าผม ผมก็ไม่ได้เจอหน้าเขาเลย เขาไม่กลับมาที่บ้านตรัยธาดา ส่วนผมก็ไม่ไปเอาค่าขนมที่เขาแม้แต่วันเดียว

ถ้าสงสัยว่าผมเอาเงินที่ไหนใช้ ผมก็จะบอกว่าผมขอยืมเงินดีนมาครับ ดีนไม่ถามอะไรผมเลย ผมขอยืม เจ้าตัวก็ให้มาทันที ถึงสายตาจะอยากรู้แต่เมื่อผมไม่พูด ดีนก็ไม่ถาม ยื่นเงินให้อย่างเดียว ฐานะทางบ้านของดีนเรียกว่าเศรษฐีได้เลยครับ พ่อแม่เป็นเจ้าของไร่ขนาดใหญ่อยู่ที่เชียงราย มีรีสอร์ตตั้งหลายแห่งด้วย แค่เงินสองพันที่ให้ผมยืมก็ไม่กระทบกระเทือนค่าขนมของเขาหรอก นั่นทำให้ผมเลือกจะขอยืมเงินของดีนแทนที่จะเป็นปาลิน เพราะเงินค่าขนมของปาลินไม่ได้เยอะแบบของผม (เมื่อก่อนนะครับ) หรือของดีน 

แต่เย็นนี้ผมจะเอามือถือเครื่องเก่าแต่ยังสภาพดีมากไปขาย เอาเงินมาใช้หนี้ดีน ส่วนที่เหลือ (มากกว่าหมื่นแน่ๆ) ก็เก็บไว้เป็นค่าขนม คงใช้ได้อีกเป็นเดือนๆ นั่นแหละ (ถ้าประหยัดนะ) โดยที่ไม่ต้องไปรับเงินค่าขนมรายวันจากเขา และต่อให้เงินก้อนนี้หมด ผมก็มีข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอีกหลายอย่างที่จะเปลี่ยนเป็นเงินได้ รวมทั้งหนังสือการ์ตูนด้วย ผมมีสะสมตั้งเยอะ ถึงจะเสียดายแต่ขายเอาเงินมาใช้ดีกว่า อ้อ... ผมมีคอลเล็กชันของพ่อมดน้อยแฮร์รี่ด้วยนะ

ไอเดียเอาของที่มีเต็มห้องไปเปลี่ยนเป็นเงินเพิ่งผุดขึ้นเมื่อคืนนี่เอง ทีนี้แหละ ผมก็ไม่ต้องง้อเขาอีกต่อไป เพราะเท่าที่ผมประเมินราคาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ผมมี ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่เหลืออีกสองเครื่อง แม็คบุ๊ค นาฬิกา หนังสือการ์ตูน รองเท้า เสื้อผ้า กระเป๋า ของสะสมอีกหลายอย่างที่ผมเคยซื้อๆ ไว้ เพราะชอบ มันก็น่าจะได้หลายแสน และถ้าผมใช้อย่างประหยัดก็ไม่ต้องแบมือขอเงินค่าขนมเขาจนเรียนจบมอปลายได้เลยแหละ

“คุณพีครับ” ลุงชีพที่เดินตามหลังผมมาเอ่ยเรียกอีกครั้ง ก่อนแกจะเดินขึ้นมาดักหน้าผมไว้ แล้วพูดในสิ่งที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ “ถ้าลุงพาคุณพีไปที่โรงแรมไม่ได้ คุณยะจะไล่ลุงออกจากงานนะครับคุณพี”

แล้วผมจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ ทำได้แค่เดินย้อนกลับไปที่รถที่ผมเดินเลยมาแล้ว เปิดประตูเข้าไปนั่งในนั้น ให้ลุงชีพขับพาไปพบเจ้านายของเขา เพื่อเงินแค่แปดสิบบาท!

.

.

.

สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปขายและต้องมารับเงินค่าขนมจากเขา แต่ผมไม่อยากเจอหน้าเขาในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยตัณหาและเรื่องอย่างว่า ผมเลยขอให้พี่แอลเข้าไปบอกเจ้านายของเธอว่าผมมาถึงแล้ว และขอให้ช่วยผมอีกอย่างคือเอาเงินค่าขนมมาให้ผมแทนเขาด้วย ได้เงินแล้วผมจะกลับทันที

ตอนนี้ผมกำลังนั่งรอพี่แอลอยู่บนโซฟาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ โต๊ะทำงานของเธอ รอให้เธอเปิดประตูห้องของเจ้านายเธอออกมาพร้อมกับเงินค่าขนมของผม จากนั้นผมก็จะเอาโทรศัพท์ไปขายที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ห่างจากพุฒิธาดาไปไม่เท่าไรเอง แต่พอประตูห้องทำงานของเจ้าของพุฒิธาดาเปิดออกมา คนที่เดินออกมาคนแรกกลับไม่ใช่คนที่ผมรอ แต่เป็นคนที่ผมไม่อยากเห็นหน้าเขา ส่วนพี่แอลเดินตามหลังออกมาและกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอ

เจ้าของใบหน้าไม่สบอารมณ์เดินมาหยุดตรงหน้าผม 

“แอลเป็นเลขาฉัน ไม่ใช่คนรับใช้ของเธอ ถ้าจะเอาเงิน เข้าไปเอาเองในห้อง” เสียงเข้มของเขาตำหนิการกระทำของผม แต่เป็นการตำหนิที่มากเกินไปนะ ผมไม่ได้เห็นพี่แอลเป็นคนรับใช้อย่างที่เขาว่าสักหน่อย ผมแค่ขอให้เธอเข้าไปเอาเงินค่าขนมแปดสิบบาทแทนผมเท่านั้นเอง

ผมเห็นสายตาที่พี่แอลส่งมาเป็นเชิงห้ามไม่ให้ผมเถียงเจ้านายของเธอ เธอบอกผมก่อนที่จะเข้าไปเอาเงินค่าขนมให้ผมว่า เจ้านายของเธออารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ฉะนั้นอย่าทำอะไรที่เป็นการยั่วให้ฝ่ายนั้นโมโหไปมากกว่าที่เป็น

...คิดว่าผมจะเชื่อไม่ล่ะ ?

แน่นอนว่าผมไม่เชื่อหรอก ก็เขาพูดเหมือนกับว่าผมอยากได้เงินแปดสิบบาทของเขานักนี่ ไม่เถียงกลับก็คงไม่ใช่ผมแล้วล่ะ

“เงินแค่แปดสิบบาท มันไม่คุ้มกับที่ผมต้องเข้าไปเห็นความโสโครกบนโต๊ะทำงานของคุณหรอก”

ผมอาจใช้คำรุนแรงเกินจริงไปบ้าง แต่กับคนแบบเขาแล้วก็เหมาะสมดีครับกับคำพวกนี้ เพราะไม่รู้ว่าเขาทำเรื่องอย่างว่าบนโต๊ะทำงานมาแล้วกี่ครั้ง อาจจะเป็นสิบเป็นร้อยครั้งแล้วก็ได้ พวกตัณหาเยอะ เซ็กซ์จัด ไม่มีแค่ครั้งเดียวที่ผมเห็นหรอก ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่อยากเข้าไปเหยียบห้องทำงานของเขา แม้แต่มองเข้าไปผมยังไม่อยากมองเลย เพราะมันทำให้ผมเห็นภาพในวันนั้นซ้ำๆ

“อย่าอวดเก่งกับฉัน!”

ผมลุกขึ้นยืน แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาสีราตรีที่คล้ายจะติดไฟพึ่บพั่บ เพื่อบอกให้เขารู้ว่า สำหรับผมแล้วเขาไม่มีอะไรให้ผมนับถืออีกต่อไป สิ่งที่เขาจะได้รับจากผมคือความเกลียดชังสิ่งที่เขาเป็นและทำกับผมมาโดยตลอด

...หลอกลวงผม

...ทำลายหัวใจผม

...ย่ำยีความรู้สึกผมซ้ำๆ

 “ผมไม่ได้อวดเก่ง! ผมพูดตามที่เห็น” ผมเชิดหน้ายั่วโมโหเขา “คุณทำเรื่องสกปรกบนโต๊ะทำงานไปกี่ครั้งแล้วล่ะ”

“แล้วอยากเห็นเต็มๆ ตาอีกครั้งไหม” และไม่ปล่อยให้ผมได้ฟาดฟันเขาด้วยคำพูดเจ็บแสบเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะนึกออก เขาก็คว้าแขนผมขึ้นมาและลากตัวผมเข้าไปในห้องทำงานของเขาอย่างง่ายดาย แบบที่ผมต่อต้านแรงฉุดกระชากของเขาไม่ได้เลย

และแทนที่เขาจะแค่เอาตัวผมเข้ามาในห้อง เขากลับลากผมไปถึงโต๊ะทำงานตัวนั้น ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรแต่ผมก็ฝืนตัวเอาไว้อย่างสุดกำลัง เพราะคิดว่าสิ่งที่เขาจะทำต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่ก็สู้แรงของผู้ใหญ่ไม่ได้ ท่อนแขนแข็งแรงคว้าหมับเข้าที่เอวผม ก่อนจะออกแรงยกตัวผมขึ้นไปนั่งท่ามกลางกองเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขา บังคับให้เรียวขาผมแยกออกจากกันและเขาก็แทรกกายเข้ามาอยู่ตรงกลาง

“เป็นไงนั่งบนนี้” เขาเท้าแขนข้างหนึ่งคร่อมตัวผมไว้ อีกข้างล็อกอยู่ที่เอวดึงตัวผมเข้าไปหาเขา พร้อมกับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ จนผมต้องเอนตัวไปด้านหลัง เหมือนกึ่งนั่งกึ่งนอนเลย “รู้สึกถึงความสกปรกที่เธอว่าไหม”

“ยิ่งกว่าสกปรกอีกครับ มันน่าขยะแขยงด้วยซ้ำที่ต้องมานั่งทับอยู่บนตัณหาของคุณ” ผมตอบอย่างไม่ยอมแพ้ให้กับท่าทางคุกคามของเจ้าของโต๊ะ... ต่อให้ผมเห็นแล้วว่าโต๊ะตัวนี้ไม่ใช่ตัวเดียวกับวันนั้น เขาทำตามที่บอกจริงๆ คือเปลี่ยนโต๊ะทำงานตัวใหม่ แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้นี่นาว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่าบนโต๊ะตัวใหม่ของเขา

“เธอก็เคย ‘นั่งทับ’ มาแล้วนี่” ถ้ารู้ว่าคำพูดของผมจะถูกเอามาใช้ในแง่อย่างว่า ผมไม่มีทางพูดออกมาเพื่อให้เขาเอามาใช้ฟาดใส่หน้าผมจนชาหรอกนะ “ตอนนั้นรู้สึกขยะแขยงบ้างไหม หรือว่าขยะแขยงแค่ตอนคนที่ ‘นั่งทับ’ ลงไปไม่ใช่ตัวเอง”

“คุณมันเลว รังแกเด็ก”

“ก็เด็กมันปากหาเรื่องให้รังแกเอง” เขาพูด แขนก็รัดตัวผมแน่นขึ้น มองผมด้วยสายตาหงุดหงิด “แค่เดินเข้ามาเอาเงินจากฉัน แล้วก็กลับ ง่ายๆ แค่นี้เธอทำไม่ได้หรือไง ทำไมต้องทำให้ฉันโมโห หาแต่คำหยาบๆ มาด่าฉัน”

“เพราะผมไม่อยากเห็นหน้าคุณไง”

“แน่ใจ ?”

“แน่ใจ!”

“ก็ดี” เขาปล่อยมือจากตัวผม มือข้างนั้นเอื้อมไปดึงลิ้นชักโต๊ะ หยิบสิ่งที่วางอยู่ในนั้นออกมา ผมมองตามมือของเขาเห็นว่ามันคือบัตรสองใบที่เหมือนบัตรที่เขายึดไปจากกระเป๋าตังค์ของผม และหักมันทิ้ง “ต่อไปก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก” แล้วเขาก็ใส่มันลงมาในกระเป๋าเสื้อของผม

ผมควรจะดีใจใช่ไหม แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าตัวเองหมดความสำคัญไปแล้วจริงๆ ถูกผลักออกไปจากชีวิตของคนคนนี้อย่างแท้จริง

“ไม่กลัวผมเอาไปซื้อยาหรือไง” ผมถาม ขณะที่เอาสายตาไปไว้ตรงอกเสื้อของเขา เพราะกลัวว่าหากผมมองหน้าเขา เขาต้องเห็นความเจ็บปวดของผมแน่ๆ

ความรู้สึกของผมมันย้อนแย้ง อยากหนีไปให้ไกลจากเขา อยากออกไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่พอเขาพูดเหมือนจะผลักผมออกไปจากชีวิตของเขา ไม่ต้องการเห็นหน้าผมอีกต่อไป ผมกลับรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและเจ็บปวดไปกับการที่เขาไม่ต้องการผม

“ก็แล้วแต่เธอ อยากเอาไปใช้อะไรก็ตามใจของเธอ จะเอาไปซื้อยาทำลายชีวิตตัวเอง ก็เชิญตามสบาย มันเรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวกับฉัน...เพราะเธอไม่ใช่ลูกของฉัน”

อ้อ...ก็เลยไม่ต้องห่วงกลัวว่าผมจะตายเพราะยาเสพติดพวกนั้นใช่ไหม ทำไมเขาใจร้ายแบบนี้นะ

“แต่ก็อย่าให้ครอบครัวฉันรู้ละกันว่าหลานนอกไส้ของพวกเขาทำตัวเป็นขี้ยา หาเงินใช้เองยังไม่ได้ แต่ผลาญเงินไปกับเรื่องโง่ๆ เก่งเหลือเกิน” มันจะมีสักประโยคไหมที่เขาจะไม่ถากถางผม

“งั้นก็เอาคืนไปเลย!” ผมขยับขึ้นมานั่งตัวตรง กะว่าจะล้วงเอาบัตรที่เขายัดใส่กระเป๋าเสื้อออกมาปาใส่หน้าเขาให้หายแค้นใจ จังหวะนั้นผมลืมคิดไปเลยว่าใบหน้าของคนใจร้ายอยู่ใกล้ผมมากแค่ไหน พอผมเผลอขยับตัวนั่งหลังตรงเพราะต้องเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เลยกลายเป็นว่าทั้งจมูกทั้งปากไปชนหน้าเขาอย่างแรงเลย แต่ทั้งผมและเขากลับไม่มีใครร้องโอดโอยเพราะความเจ็บจากแรงปะทะนั่นเลย 

“.....” เขาเงียบ

“.....” ผมก็เงียบ เจ็บนะแต่ไม่ร้องออกมา เพราะบางอย่างกรีดร้องดังกว่าความเจ็บเป็นสิบๆ เท่า

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ร่างกายทุกส่วนของผมหยุดชะงัก ยกเว้นหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะและเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะตอนที่มันฉีดไปทั่วแก้มของผม เหตุการณ์เมื่อกี้เหมือนผมขยับตัวเข้าไปจูบแก้มเขาเลย จูบแบบเต็มแรงเลยด้วย และตอนนี้ผมก็ยังไม่มีสติพอที่จะขยับถอยออกมาจากจุดเกิดอุบัติเหตุ ยังคงปล่อยให้ลมหายใจเป่ารดใส่แก้มขวาของเขา ส่วนเขาก็เหมือนจะอึ้งอยู่ในท่าเดิมเช่นกัน ก่อนที่ผมจะทำเรื่องน่าอับอายอย่างที่สุดออกไป ตามความรู้สึกที่กรีดร้องอยู่ภายในตัวเอง

...ผมอยากจูบเขา อยากสัมผัสรสชาติที่หลงใหล

ไม่รู้ว่าความรู้สึกอยากจูบกับเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้แต่ว่าริมฝีปากของตัวเองกำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้ริมฝีปากที่ชอบปล่อยแต่ถ้อยคำถากถางหัวใจผมให้เจ็บปวด มือก็เลื่อนไปจับแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้เป็นหลักยึด ริมฝีปากของผมสั่นมากตอนที่แนบลงไปบนกลีบปากหนา ผมจูบเขาเบาๆ อย่างที่หัวใจสั่งการมา กัดกินกลีบปากนั้นเหมือนขนมหวานแสนอร่อย ไล่เรียวลิ้นไปตามรอยแยกของความอร่อยนั้น ก่อนจะค่อยๆ ส่งมันเข้าไปภายในริมฝีปากหนาอย่างง่ายดายเพราะเจ้าของมันยินยอมเปิดทางให้กับผม

สองมือของเขาโอบประคองตัวผมเอาไว้ไม่ให้หงายหลังลงไปนอนบนโต๊ะ เมื่อเขาคล้ายจะเป็นฝ่ายโถมตัวลงมาหาผม ส่วนมือของผมเลื่อนขึ้นไปวางไว้บนต้นคอของเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ผมออกแรงรั้งให้ร่างกายที่เต็มไปด้วยไออุ่นเข้ามาใกล้ชิดให้มากขึ้น อยากให้แนบแน่นเพื่อให้จูบระหว่างผมกับเขาดูดดื่มยิ่งขึ้น แรกเริ่มผมเป็นฝ่ายบุกรุก ทว่าตอนนี้ผมกลับตอบรับรสชาติร้อนแรงของเรียวลิ้นแสนเชี่ยวชาญ ผมปล่อยให้การกระทำไหลไปตามความรู้สึกร่ำร้องและเรียกหา ไหลไปตามคลื่นลมของความหอมหวานที่ออกมาจากคนคนนี้... เพียงคนเดียว

...เกลียดปนไปกับรัก อาจเป็นสิ่งที่ผมต้องเผชิญหน้ากับมันไปตลอดทั้งชีวิต ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ

“...อ่า” ริมฝีปากของผมถูกปล่อย เพื่อให้หน้าที่สำคัญตกเป็นของดวงตาทั้งสอง ผมเห็นใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มของคนที่ได้ของถูกใจ

“น่ารักเกินไปแล้ว” เขาขยับมาพูดติดกับปลายจมูกของผม แล้วความอุ่นร้อนก็เกิดขึ้นตรงนั้น เขาจูบจมูกผมเบาๆ และอ้อยอิ่งอยู่นานทีเดียวถึงขยับออกมา “ไม่เกลียดฉันแล้วหรือไง” ครั้งนี้เขาพูดกับแก้มที่ร้อนจัดของผม ฝากสัมผัสนุ่มนวลลงมาซ้ำๆ หลายครั้ง

“ยังเกลียดอยู่” คือความจริง ผมยังเกลียดเหมือนเดิม แต่ที่เหมือนเดิมอีกอย่างคือ... ก็ยังรักเขาเหมือนเดิม ทั้งเกลียด ทั้งรัก มันปนกันไปหมด ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นหรือเวลานั้น ความรู้สึกรักหรือเกลียดจะเป็นฝ่ายวิ่งแซงขึ้นมา อย่างในตอนนี้ก็เป็นความรักที่วิ่งแซงความเกลียดอยู่หลายช่วงตัว

“ฉันต้องทำยังไงเธอถึงจะเลิกเกลียดฉัน” อารมณ์ขุ่นมัวของเขาเมื่อครู่จางหาย ไม่ต่างจากผมที่ทุกอย่างดูเย็นและเบาลง

“.....” มีสิ สิ่งที่จะทำให้ผมเลิกเกลียดเขา แต่บอกไปเขาก็ทำไม่ได้หรอก

“ว่าไง ต้องให้ฉันทำอะไร เธอถึงจะไม่เกลียดฉัน” เขายังถามแบบเดิม

“คุณทำไม่ได้หรอก” เพราะเขาเลิกกับพี่เลม่อนเพื่อผมไม่ได้

เขาชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะปล่อยตัวผมจากอ้อมแขน มือผมก็ค่อยๆ เคลื่อนลงมาจากต้นคอของเขา และเขาคงรู้แล้วว่าผมหมายถึงเรื่องอะไรที่เขาทำเพื่อผมไม่ได้

“ฉันทำไม่ได้” เสียงเขาแผ่วเบาแต่ดังพอที่จะทุบหัวใจผมซ้ำได้หลายครั้ง

...เจ็บเหมือนเดิม

“ผมมีอะไรสู้เขาไม่ได้” ผมห้ามปากตัวเองไม่ทัน ปล่อยสิ่งที่อยู่ในหัวใจให้ไหลออกมาเป็นคำถามงี่เง่าและไร้ยางอายอย่างมาก “ตอนที่คุณยะเข้ามาในตัวผม มันไม่สนุกเหมือนตอนที่ทำกับเขาหรือครับ” บางทีผมก็ควรจะรู้ว่าผมสู้พี่เลม่อนไม่ได้จริงๆ

“มันไม่ใช่แบบนั้น” เขาถอนหายใจ มองหน้าเหมือนมีคำอธิบายเพิ่ม แต่เขาก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาให้ผมเข้าใจมากกว่านั้น

“แล้วมันแบบไหนครับ” ผมจึงต้องถาม

เขาเงียบสักพัก นานจนผมคิดว่าคงไม่ได้คำตอบจากปากเขาหรอก ทว่าในที่สุดเขาก็เอาความจริงออกมาทำร้ายผมอีกจนได้ หรือผิดที่ผมเองที่หาเรื่องให้หัวใจตัวเองเจ็บปวดซ้ำๆ

“เพราะเธอไม่ยอมให้ฉันมีเขา” เขาบอกออกมาช้าๆ “...และเขาก็ไม่ยอมให้ฉันมีเธอ”

ทั้งผมกับพี่เลม่อน ต่างคนก็ต่างไม่อยากแบ่งเขาให้ใคร และเมื่อเขาต้องเลือก เขาก็เลือกคนที่ตัวเองต้องการมากที่สุด... คนที่ไม่ใช่ผม

...เจ็บแต่ไม่มีน้ำตา

“ฉันขอโทษ” ดวงตาสีราตรีมองเข้ามาในตาผม มันยากที่จะเดาว่าเขารู้สึกจริงอย่างคำที่ปล่อยออกมาจากริมฝีปากของเขาหรือเปล่า

“.....” ผมอยากให้เขามองเข้ามาถึงหัวใจของผมจัง เขาจะได้รู้ว่าคำขอโทษของเขา ไม่ได้ทำให้อะไรในหัวใจผมดีขึ้นมาเลย

...เจ็บก็ยังเจ็บเหมือนเดิม

...เกลียดก็ยังเกลียดเหมือนเดิม

...และรักก็ยังรักเหมือนเดิม

“กลับไปเป็นเด็กดีเหมือนเดิมได้ไหมพี”

‘เด็กดี’ แบบไหนล่ะที่เขาต้องการ ...ว่านอนสอนง่าย ไม่เรียกร้อง หรือต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน หรือต้องลืมไปให้ได้ว่าครั้งหนึ่งเขากับผมเคยนอนด้วยกัน ลืมว่าเขาเคยลวงหลอกหัวใจของผมอย่างไรบ้าง

“ฉันไม่อยากเห็นเธอทำร้ายตัวเองเพราะฉัน” บอกให้ผมอย่าทำร้ายตัวเองเพราะเขา แต่เป็นเขาเองนั่นแหละที่ทำร้ายผมมาตลอด “เธอยังต้องเจอคนอีกมากนะพี มีอะไรดีๆ รอเธออยู่อีกเยอะ... ชีวิตของเธอไม่ได้มีแค่ฉัน”

“ทั้งที่ผมอ้าขาให้คุณไปแล้วอย่างนั้นเหรอ” ผมถามออกมาอย่างสุดทนกับคำพูดของเขา “คนที่ทำร้ายผมไม่ใช่ตัวผมหรอก ผมไม่เคยทำร้ายตัวเอง มีแต่คุณคนเดียวที่ทำร้ายผม คุณที่อยากให้ผมเกิดมา ทำให้ผมรักคุณ โหยหาแต่คุณ ทรมานผมด้วยคำโกหกหลอกลวง ทำให้ผมมีความหวังว่าคุณจะรักผม เลือกผม เป็นของผมคนเดียว แต่สุดท้ายคุณก็เห็นแก่ตัว อยากได้ทั้งผม อยากได้ทั้งเขา” ผมโทษทุกอย่างที่เขาทำ โทษที่เขาไม่เลือกผม

“ฉันขอโทษ” เขาก็พูดแต่คำเดิม ดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด

ผมอยากจะผลักเขาไปให้ไกล แต่ผมกลับยินยอมตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา นิ่งฟังถ้อยคำกระซิบข้างหู คำพูดที่ไม่ต่างจากมีดปลายแหลมปักลึกลงมาบนก้อนเนื้อที่อ่อนแอที่สุดของผม... หัวใจ

“...อย่ารักฉัน”

...บอกช้าไปไหม ?

“ผมจะเลิกรักคุณ”

...ถ้าทำได้ ผมก็จะทำ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะหยุดรักเขา ไม่ง่ายเหมือนที่สั่งให้ตัวเองหยุดเกลียดเขาไม่ได้

“ฉันก็เหมือนกัน”

...เขาจะเหมือนผมได้ยังไง ในเมื่อเขาไม่ต้องเป็นฝ่ายหยุดรักเหมือนผม เขาก็แค่รักคนของเขาต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องมาสนใจความรู้สึกของผมว่าจะแตกสลายหรือพังทลายลงไปอย่างไร

ก๊อก...ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง เป็นสัญญาณเตือนให้ผมผลักออกมาจากอ้อมกอดของเขา ทว่าเขาก็ยังกอดผมเอาไว้อย่างนั้น เมื่อเขาไม่ปล่อย ผมก็ต้องซุกหน้าลงกับไหล่กว้างต่อไป ลุ้นว่าใครจะเปิดเข้ามา แต่ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเลขาของเขานะ

“เข้ามา”

“บอสคะ” เป็นพี่แอลจริงๆ ด้วยที่เปิดประตูเข้ามา ก่อนจะรีบปิดประตูลงเพราะผมได้ยินเสียงปิดประตูอย่างดังเลย “...เอ่อ...น้องเลม่อนมาค่ะ”

...ชื่อนี้เป็นเหมือนยาพิษสำหรับผม แต่คงเป็นน้ำหวานสำหรับคนที่ยังกอดผมไม่ยอมปล่อย

เขาไม่นึกอายเลขาตัวเองบ้างหรือไง พี่แอลก็ด้วย ไม่เห็นเธอจะร้องกรี๊ดเหมือนผู้หญิงที่เข้ามาเจอผู้ชายกอดกันเลย หรือเพราะเธอชินกับภาพแบบนี้มานานแล้ว ต้องใช่แน่ๆ เพราะเจ้านายของเธอพาเด็กเข้ามาทำเรื่องอย่างว่าในห้องทำงานนับครั้งไม่ถ้วนแล้วมั้ง และเธอก็คงเห็นและรับรู้ไปด้วยทุกครั้ง

“ทำไมไม่พาไปที่ห้องรับรอง” เสียงเขาห้วนเป็นเชิงตำหนิ

“คือแอลจะพาไปแล้วค่ะบอส แต่น้องเลม่อนไม่ยอม” พี่แอลรีบอธิบาย

“ไปบอกเขาว่าฉันสั่งให้ไปนั่งรอที่ห้องรับรอง”

“แต่...” พี่แอลอึกอักเหมือนไม่กล้าพูด แต่สุดท้ายก็บอกออกมาว่า “...น้องเลม่อนเห็นกระเป๋าของน้องพีที่วางอยู่ข้างนอกค่ะบอส คงไม่ยอมไปไหนง่ายๆ”

“ถ้าไม่ยอมไปนั่งที่ห้องรับรองก็ให้กลับบ้านไปซะ” เสียงของเจ้านายพี่แอลเข้มขึ้นอีก ท่อนแขนของเขาก็รัดผมแน่นขึ้นด้วย ตรงข้ามกับผมที่เริ่มออกแรงผลักตัวเขาออกไปอีกครั้ง

“พี่แอลครับ ผมจะกลับแล้ว บอกเขาเข้ามาเถอะครับ” ผมควรถอย เพราะตัวเองไม่มีอะไรไปสู้พี่เลม่อนได้ “ปล่อยครับ” คำพูดนี้ผมบอกคนที่ไม่ยอมปล่อยผมออกจากวงแขนเสียที

“แอล ทำตามที่ฉันบอก” นอกจากไม่ปล่อย เขายังยืนยันที่จะให้พี่แอลทำตามคำสั่งเดิมของตัวเอง

“ค่ะบอส”

ตอนที่เสียงประตูเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็เป็นเวลาที่ผมเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่กว้าง มองใบหน้าที่ทอดสายตามองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว มือที่ผลักเขาออกจากตัวก็คลายแรงลงและเปลี่ยนเป็นขยุ้มเสื้อสูทราคาแพงของเขาเอาไว้

“ปล่อยผมได้แล้วครับ ผมจะกลับบ้าน” ใจผมอยากอยู่กับเขา อยากให้เขากอดผมแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน แต่ปากผมกลับพูดในสิ่งที่ควรทำที่สุด “เดี๋ยวพี่เลม่อนจะรอนานเกินไป พานมาโกรธผมและตบผมอีก” ก็ยังรู้สึกอยากประชดอยู่บ้าง รู้ว่าไม่มีสิทธิ์แล้วก็ตาม

“ไม่อยากปล่อย”

พูดแบบนี้เพื่ออะไร ?

ผมเดาการกระทำกับคำพูดของเขาไม่ออกเลย 

“ปล่อย” ผมบอกย้ำ แต่กลับไม่แสดงให้เขาเห็นว่าตัวเองต้องการให้เขาปล่อยจริงๆ ยังคงยอมปล่อยตัวเองให้อยู่ในอ้อมแขนที่รัดแน่นของเขาต่อไป

“โต๊ะตัวนี้” เขาพูดขึ้นหลังจากที่เราสองคนกอดกันเงียบๆ ไปหลายนาที ดึงตัวผมออกมามองหน้า “ฉันจะไม่ให้ใครมาทับรอยของเธอ” หมายความว่าเขาจะไม่ทำเรื่องอย่างว่ากับใครบนโต๊ะตัวนี้ใช่ไหม ผมแอบดีใจนะ อย่างน้อยก็มีอะไรบ้างที่เป็นของผม แค่โต๊ะก็เถอะ แต่เขาจะทำได้จริงหรือเปล่าล่ะ เพราะต่อให้เขาใช้โต๊ะตัวนี้ทำเรื่องอย่างว่ากับใครขึ้นมา ก็ใช่ว่าผมจะรู้นี่นา

...เลิกดีใจโง่ๆ ได้แล้ว

“ไม่เชื่อเหรอ ?” ก็มันน่าเชื่อที่ไหนล่ะ คำพูดของเขาไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด พูดออกมาร้อยคำเป็นความจริงกี่คำกันเชียว

“คำพูดของคุณน่าเชื่อนักนี่”

“หลายเรื่องที่ฉันพูดก็ไม่ใช่ความจริง” หน้าตาเขาจริงจังขึ้น จนผมเชื่อว่าคำพูดประโยคนี้ของเขาเป็นความจริง “แต่สำหรับเรื่องนี้ ฉันพูดจริงนะ เธอเชื่อได้ว่าฉันจะไม่เอาใครมาทำเรื่องนั้นบนโต๊ะตัวนี้ที่เป็นของเธอ...คนเดียว” เขาก็เป็นแบบนี้เสมอ มีคำพูดที่ทำให้ใจผมอ่อนยวบได้ตลอด

“ปล่อยได้แล้ว ผมจะกลับ” ผมทำเมินสายตาจริงจังของเขา ไม่อยากทำให้ตัวเองมีความหวัง อย่างไรเสียเขาก็เลือกพี่เลม่อน... ไม่ใช่ผม และคนที่ควรเดือดร้อนว่าเขาจะเอาใครมาทำเรื่องอย่างว่าบนโต๊ะทำงาน หรือบนเตียง หรือที่ไหนก็ตามแต่ก็ไม่ใช่ผม คนที่ต้องทุกข์ร้อนกับความบ้าเซ็กซ์ของเขาก็คือพี่เลม่อนอีกนั่นแหละ

“บอกฉันก่อนว่าเธอเชื่อฉันไหม” เขาก็ยังอยากได้คำตอบ อยากรู้ว่าเขาจะเอามันไปเพื่ออะไร

“เชื่อหรือไม่เชื่อแล้วมันได้อะไรครับ” ผมเอ่ยออกมาช้าๆ ปัดสายตาจริงจังของเขาทิ้งไป และเอาหัวใจถอยห่างออกมาจากเขาให้มากที่สุด มากเท่าที่ผมจะทำได้ “...ในเมื่อผมไม่ใช่พี่เลม่อน ที่จะต้องมาเดือดร้อนว่าคุณจะไปมีอะไรกับใครที่ไหนหรือตรงไหน ไม่จำเป็นที่ผู้ใหญ่อย่างคุณจะมาให้คำสัญญาอะไรกับผมทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้ต้องการมัน...อีกแล้ว”

“.....” ท่อนแขนที่โอบรัดตัวผมเอาไว้คลายตัวลง ร่างสูงใหญ่ที่แทรกตัวเข้ามาใกล้ชิดผมก็พลอยล่าถอยออกไปด้วย

“ขอบคุณสำหรับเงินที่คุณให้ผมใช้ ผมจะใช้อย่างประหยัด ไม่ผลาญเงินของคุณไปกับเรื่องโง่ๆ ละกัน” ผมเอาตัวเองลงมาจากโต๊ะทำงานของเขา เอ่ยสิ่งที่ผมคิดว่าจะทำหลังจากที่ผมโตแล้ว “ถ้าผมหาเงินใช้เองได้เมื่อไร คุณก็เรียกมาละกันว่าอยากให้ผมจ่ายคืนคุณเท่าไร” ต่อให้ต้องหาเงินมาใช้คืนเขาทั้งชีวิต ผมก็จะทำ!

หลายวันก่อนผมกับเขาเคย ‘แตกหัก’ กัน ทว่าวันนี้กลับเป็นเหมือนการ ‘ตัดขาด’ อย่างแท้จริง

.

.

.

คนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอเข้าอย่างจังตอนเดินออกมาจากห้องเจ้าของพุฒิธาดาลุกจากโซฟาด้วยรวดเร็ว เร็วพอๆ กับกระเป๋านักเรียนของผมที่ถูกเขวี้ยงมาปะทะกับใบหน้า ผมหลบไม่ทัน เลยโดนไปเต็มๆ ไม่เจ็บเท่าไรหรอกเพราะในกระเป๋ามีหนังสือกับสมุดไม่กี่เล่มเอง

เชิ้ตสีขาวของเด็กมหา’ลัยปีสองดูเข้ากับใบหน้าเนียนใสของพี่เลม่อน แต่ไม่เข้ากับคำพูดหยาบคายที่ปล่อยออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบเลยสักนิด

“มึงยังไม่เลิกยุ่งกับผัวกูอีกหรือไงวะ” เขาไม่แคร์ว่าใครจะได้ยินคำพูดของตัวเองเลยหรือไง แต่จะว่าไปตรงนี้ก็เหลือแค่พี่แอลคนเดียว ผู้ช่วยอีกสองคนของพี่แอลไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน คนหน้าสวยแต่คำพูดไม่ได้สวยเหมือนหน้าตาถึงไม่กลัวว่าคำพูดของตัวเองจะถูกเอาไปเม้าท์ต่อ หรือแม้กระทั่งเอาไปขายให้กับนักข่าว

“เบาๆ ค่ะน้องเลม่อน คุณยะได้ยินจะกลายเป็นเรื่องอีก วันนี้ยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วยนะคะ” พี่แอลรีบลุกจากเก้าอี้ของตัวเองมายืนบังผมเอาไว้หลังจากที่กระเป๋าโดนหน้าผมแล้วหล่นลงพื้น

ผมก้มเก็บกระเป๋าตัวเองขึ้นมา ส่วนพี่เลม่อนก็ดูจะเชื่อคำเตือนของพี่แอลพอสมควร เจ้าตัวถึงได้ลดเสียงลงตอนที่ยกมือขึ้นมาชี้หน้าผม

“อย่ายุ่งกับผัวกู” พูดจบเขาก็เดินมากระแทกไหล่จนผมเซเลย แล้วก็ผลักประตูเข้าไปในห้องที่ผมเพิ่งเดินออกมา แต่ก่อนที่ประตูจะเปิดลง ผมได้ยินเสียงพี่เลม่อนตวาดเจ้าของห้องดังลั่นเลย

“พี่ยะ! พี่ผิดสัญญากับผมอีกแล้วนะ!!”

สรุปแล้ว... ผู้ชายที่ชื่ออารยะก็มีแต่ให้คำสัญญา แต่ไม่เคยทำได้เลยสินะ ไม่ว่ากับใคร

จบตอนที่ 20
**แจ้งๆ**
จะหายไปสักระยะนะคะ
กลับมาเจอกันอีกทีหลังวันที่ 5 ธันวาค่ะ

ปล. อธิบายๆ สิ่งที่น้องพีรู้สึกกับคุณยะ คือ น้องก็รักของน้องอะนะ คนมันรัก ต่อให้เกลียดยังไงก็ยังรัก
พอเขาพูดไม่ดีใส่ก็เกลียด แต่พอถูกแรงดึงดูดของเขา เราก็รักๆๆ หลงๆๆ งี้ นี่คือสิ่งที่น้องพีเป็น
ส่วนคุณยะ ไม่ขออธิบาย 555+ เดี๋ยวเรื่องมันจะจบซะก่อน
ส่วนที่ใส่สายน้ำเข้ามาในเรื่องราว ก็เพราะมันจะไปสร้างเหตุการณ์ในซีนของคุณยะต่อ (ซึ่งน้องพีจะมองไม่เห็น 55+)
สีเหลืองอ่อน

 
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 20-11-2018 17:27:40
หมดคำจะพูด เราว่าเราจะรออ่านทีเดียวตอนจบละ 555555 อ่านๆไปๆมาๆหงุดหงิดคุณยะเหลือเกิน :katai1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-11-2018 17:39:53
อย่าบอกนะคะว่าสายน้ำก็เสร็จคุณยะด้วย เกลียดคุณยะที่ให้สัญญาพร่ำเพรื่อแต่ไม่เคยทำได้สักครั้ง(ไม่ว่ากับใคร)

เกลียดคุณยะที่ดีแต่ทำให้คนอื่นเจ็บ(รวมอิเลม่อนด้วย) แต่เหมือนตัวเองไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร(อาจจะทุกข์ร้อนแต่เราไม่เห็นใจค่ะ)

เกลียดทุกอย่างที่เป็นคุณยะไม่ว่าจะคำพูดที่หวานหู หรือคำพูดที่ด่าว่าเสียดแทงใจน้องพี

สรุป เกลียดคุณยะค่ะมากด้วย คุณยะไม่มีดีอะไรซักอย่างให้น้องรักเลย น้องพีรักได้แต่ก็ควรรักตัวเองด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-11-2018 18:38:11
ตอนนี้เป็นห่วงปีมากกว่าพีละ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 20-11-2018 19:31:51
อยากสคิปไปตอนจบเลย จะได้เจ็บทีเดียว อ่านไปเคี้ยวฟันไปทู้กกกกที

โอ๋น้องพี
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 20-11-2018 19:52:58
อ่านแล้วรู้สึกว่าพีเห็นแก่ตัวนะ เรื่องนี้จะง่ายขึ้นมากถ้าพีไม่เอาจุดด่างพร่อยของตัวเองไปใส่คนรอบข้าง และเป็นคนที่รักพีอย่างจริงใจ ถ้าเรื่องนี้ไม่ไช่ตัวหลัก ก็บอกเลยว่าสุดท้ายคงไม่เหลือใครจริงๆ และไม่แปลกที่คุณยะจะไม่เอา เพราะเด็กเกินไปจริงๆ อันนี้เห็นด้วยนะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 21-11-2018 22:37:31
ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณยะไม่อธิบายอะไรเลย ทั้งที่น้องพีเปิดโอกาสให้แล้ว การพูดตรงๆมันยากขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมต้องคิดไปเองว่าไม่ต้องรู้หรอก ความรักของหลายคู่พังลงเพราะความคิดเองเออเองนี่่แหล่ะ ปัญหาชีวิตคู่มีไว้ให้ร่วมกันแก้นะ ไม่ใช่ทำตัวเป็นพระเอกแบกรับคนเดียว สุดท้ายจากพระเอกเลยกลายเป็นผู้ร้ายเลย เห้อ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 20 (20-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 26-11-2018 23:55:11
รอน้องพีครับ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 21 (09-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 09-12-2018 05:03:57
ตอนที่ 21

ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ยุ่งกับคนของพี่เลม่อนอีกเลย หรือจะพูดให้ถูกต้องคือคนของพี่เลม่อนไม่โผล่มาให้ผมเห็นหน้าเลยต่างหาก เขาไม่กลับมานอนที่บ้าน ผมฟังคุณย่าบ่นถึงเขาจนจำได้ทุกประโยคแล้วว่าในแต่ละครั้งที่ท่านโทรหาเขาจะพูดประโยคไหนออกมาบ้าง

จนกระทั่งวันนี้...

ผมนอนเอาหนังสือแปลเรื่อง “จดหมายรัก” วรรณกรรมญี่ปุ่นที่อ่านแล้วชวนง่วงมากๆ กางปิดหน้าเอาไว้อยู่บนศาลากลางสระบัวที่ดอกสีหวานชูช่อสวยงามเต็มสระ หลังจากอ่านไปได้แค่ยี่สิบหน้าผมก็ไม่เห็นว่ามันจะสนุกชวนอ่านมากกว่าหนึ่งรอบแบบที่อาภาเจ้าของหนังสือเล่มนี้ชอบทำตรงไหนเลย ทำไมอาภาถึงได้อ่านเป็นสิบๆ รอบจนหนังสือเยิน (แต่อาภาก็ซื้ออีกเล่มมาคู่กัน เล่มนั้นจะถูกเก็บรักษาอย่างดี ผมเคยโดนตีมือแรงๆ ไปทีหนึ่ง ตอนจะหยิบมันออกจากชั้นหนังสือ เผอิญวันนั้นอาภาอยู่ในห้องหนังสือกับผมด้วย) กำลังจะเคลิ้มหลับเพราะสายลมเย็นๆ แต่จังหวะนั้นหนังสือเล่มบางก็ถูกดึงออกไปจากใบหน้าผม ผมเปิดเปลือกตาสู้แสงตะวันอีกครั้ง และพบว่าคนที่นั่งอยู่ข้างตัวผมคือ...อานุ

วันนี้เป็นวันหยุดของอานุ ผมถึงได้นั่งกินอาหารเช้ากับชายหนุ่มที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับ...เขาคนนั้น เพียงแต่นิสัยต่างกันลิบลับ อานุเป็นชายหนุ่มใจดีและใจเย็น เป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยรังสีความอบอุ่นฟุ้งอยู่รอบตัว ส่วนอีกคน...ตรงกันข้าม

“เที่ยงแล้วไปกินข้าว” อานุมาตามผมไปกินข้าวนี่เอง

“ครับ” พออานุพูด ผมก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที พลิกนาฬิกาที่ข้อมือดูก็เห็นว่าเที่ยงกว่าแล้ว ผมอ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาอาหารมื้อเที่ยง (ก่อนอ่านหนังสือชวนง่วง ผมอ่านการ์ตูนหมดไปหลายเล่มแล้วครับ อ่านมาตั้งแต่หลังอาหารเช้าเป็นการฉลองปิดเทอม ซึ่งก็ฉลองมาหลายวันแล้วเหมือนกัน)

ผมดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ขณะที่อานุวางหนังสือปกสีหวานที่ดึงออกไปจากหน้าผมเมื่อกี้ลงไปกองรวมกับหนังสือการ์ตูนหลายสิบเล่มที่ตั้งอยู่ข้างตัวผม

“อานุ...อุ้มพีหน่อย” ชักอยากอ้อนอานุแล้วสิ เพราะอานุก็เป็นอีกคนที่ผมเจอตัวน้อยมาก คือช่วงไหนที่อานุไปทำงานเช้ามากๆ ผมก็จะไม่เจออานุบนโต๊ะอาหารเช้า และถ้าวันไหนอานุเข้าเวร (ที่คลินิกของตัวเอง) ผมก็จะไม่ได้เจออานุที่โต๊ะอาหารค่ำ แถมเราสองคนก็อยู่บ้านคนละหลัง เลยกลายเป็นว่าสัปดาห์หนึ่งเจอกันแค่วันสองวัน บางสัปดาห์ก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลยก็มี แต่ก็ถือว่าผมเจออานุมากกว่าอีกคนหนึ่งละกัน นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นเจ้าของใบหน้าที่มีพิมพ์เดียวกับอานุเลย

ตอนเป็นเด็กตัวเล็ก ผมชอบให้อานุอุ้มและอานุเองก็ชอบอุ้มผมด้วย เป็นคนที่อุ้มผมเยอะที่สุดแล้ว รองลงมาก็เป็นคุณย่า แต่พอโตขึ้น ผมตัวใหญ่ขึ้น น้ำหนักเยอะขึ้นก็เลยไม่กล้าอ้อนให้อานุอุ้มเท่าไร อีกอย่างคือไม่ค่อยได้เจอกันด้วยแหละ อานุทำงาน ผมก็เรียนหนังสือ

“อุ้มพีหน่อยนะครับ” ผมเงยหน้า ยิ้มอ้อนเหมือนตอนเป็นเด็ก อ้าแขนรอให้อานุก้มตัวลงมาอุ้ม

“โตแล้วไม่ใช่เด็ก” อานุยิ้ม วางมือลงมาบนศีรษะผมแล้วขยี้ด้วยความเอ็นดู

“ยังไม่โตสักหน่อย” ผมว่า เพราะผมยังอยากเป็นเด็ก จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก ยิ่งโตผมก็ยิ่งรู้สึกว่าโลกกว้างเกินไป กว้างจนเต็มไปด้วยความเหงาที่กัดกร่อนหัวใจของผมให้ผุพังลงไปเรื่อยๆ “ถ้าอานุไม่อุ้ม พีก็จะไม่ไปกินข้าวนะ” อันที่จริงผมก็แค่แกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่กล้าทำจริงหรอก เพราะความหิวไม่เคยปรานีใคร...บอกเลย

“ตัวโตเป็นแพนด้าแล้ว อาอุ้มไม่ไหวหรอก” ปากพูดปฏิเสธแต่สิ่งที่อานุทำคือการทรุดตัวลงมาหาผม ใช้ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยพละกำลังของชายหนุ่มวัยใกล้สามสิบสอดเข้ามาโอบตัวผมไว้ แล้วยกตัวผมขึ้นจากเบาะนอนที่ปูทับเสื่อถักอีกทีหนึ่ง ส่วนผมก็ทำตามความเคยชินคือยกสองมือกอดรอบคออานุเอาไว้ ขาสองข้างก็ไม่ต่างกัน มันกำลังโอบไปรอบเอวคนเป็นอาแบบที่เคยทำมาตลอดช่วงที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก

สำหรับท่านี้... ถ้าไม่คิดอะไร มันก็จะไม่มีอะไรครับ เหมือนพ่ออุ้มลูกชายตัวน้อย ต่างกันนิดหน่อยที่ว่าผมไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยนิดเหมือนในวันเก่าเท่านั้นเอง และคนที่อุ้มผมก็ไม่ใช่พ่อแต่เป็นอาที่ผมรัก

“กินอะไรบ้างไหมเนี่ย ทำไมถึงได้ตัวเบาแบบนี้” เสียงอานุเข้มขึ้นมานิดหนึ่งเหมือนจะตำหนิเล็กๆ ที่ผมผอมเกินไป เมื่อเช้าก็เพิ่งโดนดุไปทีหนึ่งเรื่องที่ผมกินข้าวนิดเดียว ไม่ถึงครึ่งที่อานุกินเลยด้วยซ้ำ

“พีกินแล้วเถอะ แต่มันไม่อ้วนเอง” ผมรีบบอกอยู่บนไหล่คนเป็นอา เป็นเรื่องจริงด้วย ถึงผมจะกินข้าวไม่เยอะ แต่เรื่องขนมกับของหวานนี่ตรงข้ามเลยนะ กินเยอะยิ่งกว่าชูชกอีก แต่คงเป็นเพราะระบบในร่างกายของผมเผาผลาญดีเกินไปมั้ง กินเท่าไรก็ผอมเหมือนเดิม

“กินข้าวเหมือนแมวดม แล้วจะอ้วนได้ยังไง” อานุเริ่มบ่นแบบเดิมอีกแล้ว บ่นยิ่งกว่าคุณปู่คุณย่าอีกนะครับ “กินข้าวให้เยอะหน่อยนะพี ตัวจะได้โตๆ กว่านี้” ...คือผมทั้งผอมทั้งเตี้ยไงครับ

“ก็บอกแล้วว่าพี...” ผมกำลังจะเถียงอานุว่าผมกินได้เยอะที่สุดก็เท่าแมวดมนั่นแหละ เพราะท้องของผมมีไว้สำหรับขนมเท่านั้น แต่ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค ขาอานุยังก้าวไม่พ้นจากตัวศาลากลางสระบัวเลยด้วยซ้ำ  เสียงเข้มๆ และห้วนจัดที่บอกความไม่พอใจอย่างมากของคนบางคนก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

“ทำอะไร!” และไม่ทันไรเจ้าของคำถามก็ก้าวเข้ามายืนบนศาลากลางน้ำเรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว

“ทำอะไร?” อานุดูจะงงๆ ผมเดาจากเสียงนะครับ เนื่องจากผมไม่เห็นหน้าของอานุ เพราะผมกำลังอยู่ในทางลูกลิงเกาะพ่อลิง “ผมก็อุ้มหลานไง แปลกตรงไหน หรือพี่ยะคิดว่า...บ้าน่าพี่ยะ คิดได้ไง” อานุคงเข้าใจแล้วว่าถูกพี่ชายตัวเองเข้าใจผิด แล้วก็ทำท่าจะปล่อยตัวผมกลับลงไป ผมเลยกอดอานุแน่นขึ้นอีก ซบหน้าลงบนไหล่กว้าง

“ห้ามปล่อยพีนะ พีอยากให้อานุอุ้ม” ผมพูดเบาๆ กับคนที่อุ้มผม แต่อีกคนที่ผมไม่อยากเห็นหน้าก็หูดีเกินไป ได้ยินด้วยว่าผมพูดอะไรกับอานุ

“ไม่ใช่เด็กแล้วนะพี” เขาดุผมก่อนจะบอกอานุให้ปล่อยตัวผมลง “นุปล่อยหลานลง”

“อานุ...ไม่เอานะ ห้ามปล่อยพีลงนะ” ผมกอดเอานุแน่นขึ้นอีก ส่วนอีกคนก็ยังพูดเสียงขุ่นเสียงเขียวกับน้องชายของตัวเอง

“นุปล่อยหลาน”

“พี่ยะ ผมก็แค่อุ้มหลาน” อานุค้านคำสั่งของพี่ชายตัวเอง แต่ก็กลับมาพูดกับผมเสียงอ่อนลง “ปล่อยอาก่อนนะพี อาหนักแล้ว” ผมรู้ว่าอานุไม่หนักหรอก แต่เพราะไม่อยากขัดคำสั่งของพี่ชายตัวเองมากกว่า

“ไม่เอา พีไม่ลง” ผมยังดื้อ เรื่องที่อยากให้อานุอุ้มเป็นเรื่องรองไปแล้ว เรื่องหลักคืออยากต่อต้านพี่ชายอานุต่างหาก

...คงคิดว่าคนอื่นจะเหมือนตัวเองงั้นสินะ

“นุ”

“พี่ยะ”

ผมไม่รู้ว่าในความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากต่างฝ่ายต่างเรียกชื่อของอีกคน ทั้งอานุและเขามีสีหน้าและท่าทางอย่างไร จนกระทั่งอานุลูบแผ่นหลังผมเบาๆ พูดกับผมว่า

“พีโตแล้วนะ อย่าดื้อ” แปลว่าอานุไม่อยู่ข้างผม

“ครับ” ผมจำต้องปล่อยแขนและขาออกจากตัวอานุ กลับลงไปยืนบนสองเท้าของตัวเองตามเดิม พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า...ผมเหลือตัวคนเดียว 

“ดูทำหน้าเข้า ไม่อยากเดินมากหรือไง งั้นก็...” อานุเอื้อมมาขยี้ศีรษะของผมราวกับจะปลอบโยนความโดดเดี่ยวของผมให้จางหายไป ผมเงยหน้าเศร้าๆ ขึ้นไปมองใบหน้าแสนใจดีของอานุ “...ขึ้นหลังอาก็ได้ อาจะแบกไปถึงโต๊ะอาหารเลย” ว่าแล้วอานุก็หันหลังและย่อตัวลง เพื่อให้ผมขี่หลังตัวเอง

“ขอบคุณครับอานุ” ผมยิ้มออกมาได้ อย่างน้อยอานุก็ยังใจดีกับผมเสมอ กำลังจะโถมตัวลงไปเกาะหลังอานุ เสียงของคนที่เอาแต่ขัดใจผมก็ดังตามมาติดๆ

“เดินเองไม่ได้หรือไง ทำไมชอบทำตัวให้เป็นภาระคนอื่น” เขาคว้าแขนผมไว้ แล้วดึงออกมาจากตัวอานุ จ้องหน้าผมราวกับว่าผมทำเรื่องไม่ดี จากนั้นก็หันไปพูดกับอานุที่หันหน้ากลับมามองการกระทำของเขา “นุ...หลานโตแล้ว อย่าตามใจให้มาก เดินมาเองได้ก็ต้องเดินกลับไปเองได้”

“ก็ผมอยากตามใจหลาน และต่อให้พีโตแค่ไหน ยังไงเขาก็เป็นหลานของผม เป็นลูกของพี่ยะ” เสียงอานุไม่พอใจเท่าไร แต่ตอนหันมาบอกผม เสียงของอานุอ่อนโยนขึ้น “ขึ้นมาพี ไม่ต้องไปสนใจคำของพ่อเรา”

“ครับ” ผมขานรับ พร้อมกับดึงแขนออกจากมือคุณยะ แล้วทรุดตัวลงไปเกาะบนแผ่นหลังกว้าง สองมือโอบรอบคอของอานุ จากนั้นอานุก็จับล็อกที่ขาสองข้างของผมและค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่มากกว่าผมไปเยอะเลย แต่ก็น้อยกว่าอีกคนหนึ่งที่เดินตามหลังพวกเราสองคนมา “พีรักอานุที่สุดเลย” และผมจงใจพูดประโยคนี้ด้วยเสียงที่ดังพอประมาณ ตั้งใจให้คนที่ถูกทั้งผมและอานุเมินได้ยินชัดเต็มสองหู

“ทะเลาะกับคุณยะอยู่หรือเปล่า” อานุถามเบาๆ ให้ได้ยินแค่เราสองคน

“ครับ” ผมยอมรับ แต่ก็ไม่กล้าเล่าความจริงทุกอย่าง ยอมรับว่าผมอายและไม่อยากให้คนในครอบครัวรู้ความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวนี้ “คุณยะชอบดุพี ไม่ตามใจพีเหมือนอานุ”

...ให้อานุเป็นพ่อของผมยังดีเสียกว่า

“พีก็ชอบดื้อกับคุณยะ อย่าคิดว่าอาไม่รู้นะ”

“อานุก็ดื้อ” ผมหมายถึงการที่อานุไม่ยอมทำตามคำสั่งของพี่ชายตัวเองเมื่อกี้

“อาโตแล้วดื้อได้ แต่พียังเด็กและพีเป็นลูก ต้องไม่ดื้อกับพ่อนะครับ”

...แสดงว่าผมดื้อได้ เพราะผมไม่ใช่ลูกของเขาและเขาไม่เคยเห็นผมเป็นลูกแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำแบบที่ทำกับผมมาตลอด

“หิวจังเล้ยยย ไม่รู้ว่าเที่ยงนี้ป้าพิศทำอะไรให้พีกินบ้าง” ผมแกล้งเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้อานุพูดถึงความสัมพันธ์ของพ่อลูกจอมปลอมระหว่างผมกับเขา

“เปลี่ยนเรื่องเก่ง” อานุว่าขำๆ ระหว่างนั้นก็แกล้งผมด้วยการเหวี่ยงตัวผมไปมา ทำเอาผมต้องเกาะอานุแน่นขึ้นเพราะกลัวตก ต่อให้รู้ว่าอานุไม่มีทางปล่อยให้ผมตกไปจากหลังหรอก แต่ผมก็ไม่อยากประมาท

“อานุ! อย่าแกล้งพีสิ” ตอนเด็กก็แบบนี้แหละ แบกผมขึ้นหลังทีไรเป็นต้องแกล้งเหวี่ยงตัวผมไปมาทุกที โดนครั้งแรกๆ ผมถึงกับร้องไห้จ้าเลยเพราะกลัวตก บ่อยครั้งขึ้นก็เลยรู้ว่าที่อานุทำคือการแกล้งผมเท่านั้นเอง

“อาไม่ได้แกล้งแต่กำลังจะโยนเด็กดื้อทิ้ง”

“โอยย... อานุ้ ห้ามแกล้งพี พีจะตกแล้วนะ” ก็อานุเล่นเหวี่ยงสุดแรงเลยมั้ง ถ้าผมเกาะแน่นไม่เท่าตุ๊กแกละก็ มีหวังได้หล่นตุ้บไปกองอิฐทางเดินแข็งๆ แน่นอน “ไม่เอาๆ อานุหยุ้ดดดด...หยุดเลยๆๆ พีจะตกแล้วนะ หื้ออ...อานุหยุ้ดดดด” ยิ่งผมร้องตะโกนห้าม อานุยิ่งเหวี่ยงแรงขึ้นอีก นี่กะจะให้ผมตกจริงๆ เลยใช่ไหม

“นุ! หยุดแกล้งหลาน” สิ้นคำสั่งด้วยสุ้มเสียงขุ่นจัดบอกความไม่พอใจสิ่งที่น้องชายทำ คนเป็นน้องก็หยุดแกล้งผมทันที “เล่นไม่เข้าเรื่อง ตกไปจะว่ายังไงหะนุ”

“ผมเล่นกับหลานแบบนี้ประจำ” ...ประจำของอานุคือช่วงที่ผมอายุไม่พ้นเลขสิบนะ “ไม่เคยทำพีตกสักครั้ง” ...เพราะอานุไม่ได้เหวี่ยงแรงเหมือนครั้งนี้ไง ผมเถียงอานุในใจ แต่คำพูดที่ปล่อยออกมากลับตรงข้าม

“ตั้งแต่พีเกิดมาอานุไม่เคยทำให้พีเจ็บ แล้วก็รักพีมากด้วย ตามใจพีทุกอย่าง ไม่เหมือนคนบางคน”

...ไม่เหมือนเขานั่นแหละ

“พี...พูดไม่เพราะ” เป็นอานุที่ปรามผม ส่วนอีกคนมองหน้าผมแล้วก็ก้าวขายาวๆ นำหน้าไปเลย

หึ... รับความจริงไม่ได้สินะ

“พีพูดความจริง” ผมเถียงอานุเบาๆ สายตายังคงมองตามแผ่นหลังกว้างที่ไกลออกไป อานุก็เดินช้าลงด้วย เหมือนตั้งใจทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเองกับพี่ชายให้มากขึ้น เพื่อจะได้ตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณยะได้สะดวกขึ้น

“พีโกรธอะไรคุณยะ”

“ไม่ได้โกรธสักหน่อย”

...เข้าขั้นเกลียดมากกว่า เป็นความรู้สึกที่ทั้งเกลียดทั้งรัก ไม่เห็นหน้าก็คิดถึงตลอด อยากเจอทุกวินาที แต่พอเจอหน้าก็อยากให้เขาหายไปให้พ้นจากการมองเห็นของผม พ้นออกไปจากชีวิตของผมไปซะ

“คุณยะทำอะไรพีหรือเปล่า” เท้าของอานุหยุดลงตอนที่ถามคำถามนี้ เสียงก็ฟังดูเป็นกังวล บางทีอานุอาจกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีระหว่างผมกับพี่ชายตัวเองเกิดขึ้น... ซึ่งเรื่องไม่ดีบางอย่างมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว เพียงแต่อานุไม่รู้ ...หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ อานุคงไม่คิดไปถึงความจริงที่บิดเบี้ยวนั้น

“คุณยะชอบดุพี” ผมบอกสิ่งที่เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใกล้เคียงความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมเลย

“พีทำอะไรให้คุณยะดุล่ะหื้อ” อานุย้อนถาม ขาก้าวไปข้างหน้าตามเดิม ขณะที่แผ่นหลังกว้างของคนที่เราสองคนพูดถึงลับสายตาไปนานแล้ว “ดื้อหรือเปล่า คุณยะถึงได้ดุ”

“ถึงพีไม่ดื้อ ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง เป็นเด็กดี เชื่อฟังทุกคำพูด คุณยะก็หาเรื่องดุพีได้ทุกอย่างนั่นแหละ” ทีกับคนอย่างพี่เลม่อน ทำตัวร้ายกาจใส่ผมแค่ไหนก็ไม่เห็นคุณยะจะทำอะไรเลย มีแต่ตามใจ ให้คำสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้

ผมไม่รู้หรอกว่าเขาสัญญาอะไรกับพี่เลม่อนบ้าง แต่คำสัญญาของคนอย่างเขาก็ไม่ต่างจากลมปาก นึกแล้วก็สงสารพี่เลม่อนเหมือนกันที่ต้องอยู่กับคำสัญญาเหม็นเน่าพวกนั้น

...เหมือนที่ผมเคยเจอ

คำสัญญาที่ไม่เคยจะทำได้จริง สักแต่พูดออกมาเพื่อปัดปัญหาให้พ้นตัว หลอกล่อให้คนฟังมีความหวังว่าจะเป็นจริงอย่างที่เขาให้คำสัญญาเอาไว้ สุดท้ายก็ว่างเปล่า และเป็นความว่างเปล่าที่กรีดหัวใจให้เจ็บปวดอย่างที่สุด

“แสดงว่าดื้อกับคุณยะเยอะล่ะสิ”

“อานุเดินเร็วๆ หน่อย เนี่ยพีหิวแล้ว ท้องร้องจ๊อกๆ เลย” ผมแกล้งเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “หรือว่าเหนื่อยเลยเดินช้า แสดงว่าแก่แล้วสินะครับอานุ”

“เปลี่ยนเรื่องเก่ง” อานุพูดปนขำ แต่ก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

“เรียนก็เก่งด้วยครับ” ผมพูดอย่างอวดๆ เพราะผลการเรียนของผมดีอย่างสม่ำเสมอ เรียนได้สี่จุดศูนย์ๆ มาตลอด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องกีฬา เห็นผมตัวเล็กแบบนี้แต่เล่นได้แทบทุกชนิดเลยนะ เล่นได้ดีในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ถึงกับเก่ง เพราะไม่ได้จริงจังถึงขั้นทุ่มเทไปกับกีฬาชนิดใดชนิดหนึ่ง ไม่เหมือนปาลินที่เก่งแต่วิชาการแต่กีฬาไม่เอาไหนเลย ผลการเรียนเลยแพ้ผมไปนิดหน่อย

“เด็กขี้อวด” ผมรู้หรอกน่าว่าอานุแค่แหย่ผมเล่น ความจริงอานุภูมิใจในตัวผมจะตาย เอาผลการเรียนมาอวดทีไร ยิ้มแก้มปริทุกที... ไม่เหมือนพี่ชายอานุที่ไม่เคยจะสนใจเรื่องเรียนของผมเลยสักนิด มีหลายครั้ง (ก็น่าจะสักสองสามครั้ง) ที่คุณย่าพูดเรื่องผลการเรียนของผมให้เขาฟัง ซึ่งผมก็อยู่ตรงนั้นด้วย เขาก็แค่ฟังแบบผ่านหู ไม่มีคำชื่นชมกลับมาให้ผมเลยสักครั้ง

“ก็พีมีดีให้อวดนี่นา อานุต้องภูมิใจนะที่พีเก่งเหมือนอานุเลย” อานุก็เคยเป็นเด็กเรียนเก่งระดับสี่จุดศูนย์ๆ เหมือนกัน ที่ผมรู้เพราะคุณย่าเล่าให้ฟัง จะว่าไปครอบครัวตรัยธาดาเรียนเก่งกันทุกคน ข้อนี้ละมั้งที่ทำให้ผมไม่แตกต่างจากลูกของคุณปู่คุณย่า

“อาภูมิใจในตัวพีอยู่แล้ว”

“ขอบคุณครับ พีรักอานุที่สุดเลย” ...ผมรักทุกคนในครอบครัวนี้ มันเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นตั้งแต่ผมลืมตามาบนโลกใบนี้ แต่ความรักที่ผมให้ทุกคน มันต่างเฉกสีกัน

สำหรับทุกคนที่ผมรัก... มันเป็นสีขาวบริสุทธิ์

แต่กับคนเพียงคนเดียว... มันเป็นสีที่ยากจะระบายออกมา มันคล้ายสีชมพูแต่ก็มีอีกหลายสีที่ละลายอยู่ในนั้น จนกลายเป็นสีชมพูที่ขมุกขมัว ไม่สวยงามเหมือนสีขาวบริสุทธิ์และเปราะบางอย่างที่สุดด้วย

“อานุ...” ผมลังเลที่จะถาม แต่สุดท้ายก็เอ่ยถามออกมา “...ถ้าโตขึ้นแล้วพีไม่ได้อยู่กับอานุ อานุจะคิดถึงพีไหมครับ”

“จะไปอยู่กับสาวหรือไง” อานุหัวเราะ เพราะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำถาม

“มั้งครับ...” เสียงผมเบาลง

“อาไม่ห้ามถ้าพีจะมีความรัก แต่อย่าเพิ่งทำอะไรที่เกินอายุ” อานุเริ่มสอน แต่ไม่น่าจะทันแล้ว ผมทำอะไรเกินอายุไปมากจนกู่ไม่กลับแล้วมั้ง “รักได้ คบได้ แต่ต้องให้เกียรติผู้หญิงที่พีรัก หรือถ้าห้ามอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้จริงๆ ก็ต้องรู้จักป้องกัน เพราะอายังไม่อยากเป็นคุณปู่”

“ไม่ดีหรือครับ ได้เป็นปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงสามสิบ” ผมล้อ อารมณ์เศร้าที่คิดว่าสักวันตัวเองจะต้องจากอานุไปเริ่มจางลง

“เดี๋ยวเถอะ” อานุว่าเสียงดุๆ ก่อนจะเหวี่ยงตัวผมไปมา เสียวตกกันเลยทีเดียวเพราะอานุเหวี่ยงแรงมาก แล้วยังปล่อยมือจากขาผมด้วย ผมเลยต้องอาศัยกำลังขาของตัวเองเกี่ยวตัวอานุไว้สุดพลังเลย

“โอ๊ยย อานุ ไม่แกล้งพีสิ พีพูดเล่นหรอกน่า พียังไม่มีแฟนสักหน่อย” แฟนไม่มี... มีแต่คนที่ผมรัก แถมเป็นความรักที่ไม่สมหวังแล้วด้วย

“ดีแล้ว ไม่ต้องรีบมีหรอก เพราะพียังเด็ก”

“ครับอานุ” ถึงจะรับปากอานุไปแล้ว แต่ความจริงที่อานุไม่รู้ คือความเป็นเด็กไร้เดียงสาของผมถูกกระชากทิ้งไปแล้ว เพราะมือของเขา... และมือของผมเอง

ผมไม่ใช่เด็กดี ซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ผ่านมา ที่มากกว่านั้น ผมทั้งแอบสูบบุหรี่ กินเหล้า และยังเคยเล่นยามาแล้ว

.

.

.

ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 21 (09-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 09-12-2018 05:04:45


.

.

.

 
ไม่นานนักอานุก็แบกผมมาจนถึงห้องอาหาร หรือจะเรียกว่าเรือนอาหารก็ได้นะครับ เพราะมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรือนของคุณปู่คุณย่า แต่เป็นเรือนไม้สักผสมไปกับผนังกระจกใสที่สร้างอยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนด้านหน้าเป็นห้องอาหารและมีมุมนั่งเล่นผ่อนคลายหลังกินข้าวอิ่ม ด้านหลังเป็นห้องครัวแบบเปิดโล่ง ทำกับข้าวแต่ละทีหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ

ถึงตัวผมจะไม่โตมาก น้ำหนักก็แค่สี่สิบต้นๆ แต่ก็ทำเอาอานุเหงื่อซกเลยตอนแบกผมเข้ามาในห้องอาหารที่ฉ่ำด้วยความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เพราะระยะทางระหว่างศาลากลางสระบัวกับเรือนอาหารห่างกันพอสมควร ให้ผมเดินด้วยขาตัวเองยังรู้สึกเหนื่อยเลย แล้วอานุที่แบกผมมาตลอดทางถ้าไม่เหนื่อยก็คงเป็นมนุษย์เหล็ก

“ตานุ นี่เราแบกหลานมาถึงนี่เลยหรือ แม่นึกว่าพี่ชายเราพูดเล่น” คุณย่าเอ่ยทักอยู่ที่หัวโต๊ะอาหารทันทีที่อานุวางผมลง มีลูกชายคนโตนั่งอยู่ทางฝั่งขวามือ ส่วนคุณปู่ที่ใกล้เกษียณก็ยังคงไปทำงานอยู่ครับเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ “เป็นไงล่ะเรา สบายเลยสิท่าไม่ต้องเดินเอง” ประโยคคุณย่าหันมาพูดกับผม

“อานุใจดีครับคุณย่า ไม่อยากให้พีเหนื่อย” ผมบอกคุณย่า พลางเดินตามอานุไปที่โต๊ะอาหาร อานุเดินไปทางฝั่งซ้ายมือของคุณย่า ก่อนทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามกับพี่ชายของตัวเอง แล้วผมก็นั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ อานุ

“พีสบายแต่อาเหงื่อเต็มหน้าเลยเห็นหรือเปล่า” อานุมีบ่นแต่ไม่จริงจังหนัก เพราะตลอดทางที่แบกผมมาจนถึงที่นี่ ไม่เห็นจะบ่นสักคำ แต่คำพูดประโยคท้ายๆ ก็ทำเอาผมสลดไปเหมือนกัน “ตอนอาแก่แล้วเดินไม่ไหว พีต้องเป็นฝ่ายแบกอาแล้วนะ”

...ผมจะอยู่ถึงวันที่อานุแก่หรือเปล่าก็ไม่รู้

ไม่รู้ว่าวันไหนที่ความจริงเปิดเผย ทุกคนรู้ว่าผมรู้ความจริงเรื่องที่ตัวเองไม่ใช่สายเลือดของตรัยธาดา อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง หรือผมยังจะดื้อด้านอาศัยครอบครัวของอานุไปได้อีกนานแค่ไหน หรือวันดีคืนดีพี่ชายของอานุเกิดนึกอยากเฉดหัวผมออกไปจากครอบครัวของเขาล่ะ ผมก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้

แต่ในเมื่อยังไม่เกิดเหตุการณ์นั้น ผมก็พยายามจะไม่คิดถึงความน่ากลัวของมัน เอาน่า... รอให้วันนั้นมาถึงก่อนละกัน ค่อยคิดว่าผมจะหน้าด้านอยู่ต่อหรือเดินออกไป

เอาเป็นว่าตอนนี้ผมตอบแทนอานุที่แบกผมมาถึงห้องอาหารก่อนดีกว่า คิดดังนั้นผมก็เอื้อมไปดึงทิชชูจากกล่องที่วางอยู่ใกล้มือออกมาสองสามแผ่น

“หันหน้ามาเลยครับอานุ พีจะจ่ายค่าเหนื่อยให้” ค่าเหนื่อยที่ผมจ่ายให้อานุคือทิชชูที่กำลังจะบรรจงเช็ดลงไปบนใบหน้าคมเข้มและหล่อเหลาของเจ้าตัว เพื่อซับเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นบนหน้าผากและข้างแก้มนั้น ที่ไม่มากเหมือนตอนแรกที่แบกผมเข้ามา เพราะความเย็นฉ่ำภายในห้องอาหารหอบเอาเม็ดเหงื่อบางส่วนออกไปจากใบหน้าบ้างแล้ว

“เช็ดให้เกลี้ยงนะ” อานุไม่ได้หันมาแค่หน้าแต่หันมาทั้งตัว

“แน่นอนอยู่แล้ว พีจะเช็ดให้ใสกิ๊กเป็นกระจกเลย” ผมโม้เกินจริง มือก็เริ่มเช็ดไปทั่วใบหน้าของอานุ

“คล้ำขนาดนั้นคงจะใสเป็นกระจกได้หรอกนะ” มือผมชะงักทันที

ให้เดาว่าเป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของใคร

ใบ้ให้นะครับ... ไม่ใช่ผม ไม่ใช่อานุ ไม่ใช่คุณย่า ไม่ใช่พี่อ้อยที่กำลังยกจานเปล่าที่วางบนโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงข้ามผมอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อเอามาวางไว้ตรงหน้าผม เพราะผมไม่ยอมไปนั่งฝั่งนั้นตามที่ควรจะเป็น

นั่นแหละครับเหลือคนเดียว คนที่มีหน้าตาพิมพ์เดียวกับอานุ ไม่ใช่เฉพาะแค่หน้าตา รวมถึงผิวสีเข้มด้วย

“โหย พี่ยะ พูดแบบไม่ส่องกระจกดูหน้าตัวเองเลย ส่องกระจกหน่อยไหมจะได้รู้ว่าตัวเองก็ไม่ต่างจากผม”

...จริงด้วย เขาไม่เคยส่องกระจกดูหน้าตัวเองเลยหรือไง ถึงได้กล้าว่าน้องชายตัวเองแบบนั้น ถึงเขาจะเฉกสีอ่อนกว่าไปนิดหนึ่งก็เถอะ แต่โดยรวมสีผิวก็ไม่ได้ผิดไปจากของอานุเท่าไรเลย

“นั่นสิตายะ เราก็ว่าน้องไปได้ ตัวเองขาวนักหรือไง” แม้แต่คุณย่ายังเห็นด้วย

“ยิ้มอะไรพี” เสียงห้วนสั้นเอ่ยถาม ผมถึงรู้ตัวว่าริมฝีปากของตัวเองขยับออกมาเป็นรอยยิ้ม

“เปล่าครับ” ผมตอบแบบไม่มองหน้าเขา แต่แอบเบ้ปากกับจานข้าวตรงหน้า พี่อ้อยกำลังตักข้าวจากโถใส่จานให้ผมพอดี “พีขอสี่เลยครับ อานุจะได้เลิกบ่นว่าพีกินข้าวน้อย” อาหารหลายอย่างบนโต๊ะก็น่ากินทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่ไข่เจียวเห็ดของชอบอานุ ผักกาดขาวต้มกะทิที่คุณย่าชอบ ผัดกะเพรากุ้งใส่พริกเล็กน้อยของคุณยะ และกุ้งซอสหวานกับซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งของโปรดของผม

คนในครอบครัวตรัยธาดาไม่กินเผ็ดกันเลย ที่กินพอได้ที่สุดคือคุณยะกับอานุแต่ก็เผ็ดมากไม่ได้ครับ ไม่อย่างนั้นได้เห็นน้ำตาลูกผู้ชายของบ้านหลังนี้แน่ๆ

พอข้าวสี่ทัพพีมาอยู่บนจาน ผมแทบอยากให้พี่อ้อยตักคืนใส่โถไปตามเดิม เพราะมันเยอะจริงๆ ทุกทีผมกินแค่สองทัพพีเอง

“กินหมดหรือลูก” คุณย่าทัก ท่านรู้ว่าปกติผมกินแค่ไหน

“พีจะพยายามกินให้หมดครับ” ผมถูกสอนจากคุณปู่ว่าต้องกินข้าวให้หมดจาน ตักมาเท่าไรก็ต้องกินให้หมด ผมก็ทำได้เกือบทุกครั้งนะครับ โดยเฉพาะตอนที่ร่วมโต๊ะอาหารกับคนในครอบครัว

“พยายามให้สำเร็จล่ะ อาจะรอดู” อานุว่า จากนั้นหันไปตักผักกาดขาวต้มกะทิใส่จานให้คุณย่า แล้วหันมาตักกุ้งซอสหวานให้ผม

“ขอบคุณครับอานุ” และเป็นผมบ้างที่ใช้ช้อนกลางตักไข่เจียวเห็ดใส่จานของอานุ “นี่ครับสำหรับค่าจ้างล่วงหน้าให้แบกพีกลับไปที่เดิม”

“แค่นี้เอง ? คุ้มไหมเนี่ยที่อาต้องแบกพีกลับไปที่เดิม ไม่ได้ใกล้ๆ เลยนะ แถมน้ำหนักของพียังเพิ่มขึ้นอีก มีหวังอาล้มกลางทางแน่นอน” รู้หรอกน่าว่าอานุแกล้งพูด อย่างอานุเหรอจะแบกผมกลับไปที่ศาลากลางสระบัวไม่ไหว แข็งแรงออกอย่างนี้ กล้ามแขนนี่เป็นมัดเชียว และที่สำคัญคือข้าวแค่สี่ทัพพีกับอาหารบนโต๊ะที่ผมกินเข้าไป บวกน้ำอีกหนึ่งแก้วไปด้วยก็ได้ แค่นี้จะทำให้ผมหนักขึ้นสักแค่ไหนเชียว เพิ่มไม่ถึงกิโลฯ หรอกน่า

“น้อยไปหรือครับ งั้นก็เพิ่มพลังด้วยซี่โครงหมูหอมๆ กับกุ้งตัวโตๆ เลยครับอานุ” ว่าแล้วผมก็ตักทั้งสองเมนูใส่จานอานุหลายช้อนเลย แทบล้นจานครับ “กินหมดจานรับรองว่ามีพลังเหลือเฟือ อุ้มพีไปกลับได้สิบเลยละ”

“ตักอะไรเยอะขนาดนั้นละลูก จะล้นจานแล้วนะนั้น” คุณย่าว่าเหมือนจะดุ ทำเอาผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ไป มือที่กำลังเอื้อมไปตักกะเพรากุ้งชะงักกลางอากาศทันที หดมือกลับแทบไม่ทัน

“อานุกินหมดไหม ถ้าไม่หมดก็ตักมาใส่จานพีได้นะครับ” 

“แค่นี้ไม่ถึงครึ่งท้องอาหรอก” มือของอานุวางลงบนศีรษะผมแล้วลูบด้วยความเอ็นดูและตามใจ “ตักอีกสิ อยากให้อากินอะไรอีก อาจะกินให้เกลี้ยงจานจะได้มีแรงแบกเรากลับ” อานุก็อย่างนี้ตลอด เอาใจผมเสมอ ตามใจผมทุกอย่าง

“พีลืมไปว่าอานุกระเพาะช้าง งั้นก็กินหมูกินกุ้งให้เยอะๆ เลย” ผมว่าแล้วก็ตักทั้งกุ้งและหมูใส่เพิ่มเข้าไปในจานอานุ ตอนนี้กับข้าวพูนจานอานุเลย แทบมองไม่เห็นเม็ดข้าวสีขาว “กินให้หมดนะอานุ ไม่งั้นจะโดนคุณย่าดุ”

“ย่าจะดุเรามากกว่านะลูก เอากับข้าวกับปลาไปเล่นได้ยังไง เกิดอานุของเรากินไม่หมดก็ต้องเททิ้ง” คุณย่าดุขึ้นมาอีก ผมหน้าจ๋อยอีกตามเคย

“ขอโทษครับคุณย่า” เลิกเล่นก็ได้

“อ้าว ยอมแพ้แล้วเหรอ อาก็นึกว่าจะขุนอามากกว่านี้ซะอีก จะอิ่มไหมเนี่ยแค่นี้เอง” แต่อานุกลับไม่ยอมเลิกเล่นนี่สิ

“อานุอยากให้พีโดนคุณย่าดุอีกหรือไง” ผมยู่ปากใส่คนเป็นอา อานุเป็นผู้ชายอบอุ่นแต่ก็ชอบแกล้ง

“ก็คุณย่าดุพี ไม่ได้ดุอาสักหน่อย” ว่าแล้วก็หัวเราะ มีสั่งผมเพิ่มอีก “ตักไข่มาให้อาอีกสิ”

“แกล้งพีให้โดนคุณย่าดุหรือเปล่าเนี่ย” ปากพูดถาม แต่มือเอื้อมไปที่จานไข่เจียวเห็ดทันที

“กินได้แล้วพี อย่าเล่นเยอะ” เสียงเข้มของคนที่เหมือนถูกลืมไปนานดังแทรกขึ้นมา ใบหน้าคมเข้มราบเรียบแต่ลูกตานี่เหมือนมีไฟกองเล็กๆ อยู่ในนั้นเลย “นายก็เหมือนกันนุ เลิกเล่นได้แล้ว” อานุก็โดนไปด้วย

“วันนี้อารมณ์ไม่ดีหรือไงพี่ยะ”

“เพราะนายไง”

“อ้าว...เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ผมไปทำอะไรให้พี่ยะโกรธตอนไหน”

“ก็นายเอาแต่ชวน ‘ลูกชาย’ ฉันเล่นไง นี่มันเวลากิน ไม่ใช่เวลามาเล่นหรือโอ๋เอาใจ”

...ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดคำนี้ออกมา ผมน่ะเหรอ ‘ลูกชาย’ มันไม่ใช่เลย ไม่มีทางจะใช่ด้วยซ้ำ ในเมื่อทุกอย่างระหว่างผมกับเขา ไม่เคยเข้าใกล้คำว่าพ่อกับลูก นับวันยิ่งห่างไกล จนไม่รู้แล้วว่าผมกับเขาเป็นอะไรกันแน่ รู้เพียงแต่ว่าสิ่งที่ผูกผมไว้กับเขาก็มีเพียง... ความรู้สึกของผมที่ชัดเจนขึ้นทุกวัน ผมฝืนความรู้สึกตัวเองไม่ได้เลย และไม่เคยหยุดรักเขาได้แม้แต่วินาทีเดียว

“มันเรื่องของผมไหมล่ะ” อานุเถียงกลับ

“มันก็เรื่องของฉันด้วย นายเอาแต่ชวนลูกฉันเล่น แล้วพีจะได้กินข้าวเมื่อไร หยุด... ไม่ต้องเถียงฉัน นายกินไปเลย กินให้หมดด้วย”

...นี่เขาเถียงกับอานุเพราะห่วงผม หรือความจริงก็แค่จะเถียงเอาชนะ แต่ผมก็กลับรู้สึกไปแล้วกับคำพูดของเขา ใจมันเอนไปทางเหตุผลข้อที่ว่าเขาห่วงผม แม้ความจริงที่แท้จริงจะเอนไปทางเหตุผลข้อที่สองก็ตาม

“หมดอยู่แล้วน่า” อานุว่า

“พีด้วย กินได้แล้ว” เขากลับมาพูดทำนองสั่งกับผมอีกครั้ง และบอกตามตรงว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำ มันมีผลกระทบกับหัวใจของผมเสมอ เหมือนอย่างในตอนนี้ที่เขากำลังทำ

คุณยะเอื้อมไปตักซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งขึ้นมา แล้วพามันมาอยู่บนจานของผม กำชับผมมาอีกว่า

“กินเยอะๆ จะได้อ้วนขึ้นมาหน่อย ตอนนี้ผอมเกินไปแล้วนะพี”

ใช่แล้ว... สายตาของเขาไม่ผิดพลาด น้ำหนักของผมลดลงจากวันสุดท้ายที่ก้าวขาออกมาจากห้องทำงานของเขา ก่อนที่จะถูกคนของเขาปากระเป๋านักเรียนของผมใส่หน้าผม และทิ้งคำแสนเจ็บปวดใส่ผมอย่างรุนแรง

‘อย่ายุ่งกับผัวกู’

คำสั่งแสนเจ็บปวดที่ผมต้องทำตาม

แต่ถ้าผม... ไม่ทำตามล่ะ มันจะเกิดอะไรขึ้น พี่เลม่อนจะทำร้ายผมด้วยวิธีไหนอีก แล้วผมจะสู้กับความร้ายกาจที่ต่างจากใบหน้าสวยงามของพี่เลม่อนได้ไหม เป็นคำถามที่ผมไม่อยากหาคำตอบเท่าไรหรอก เพราะถ้าต้องหาคำตอบเพื่อให้ได้มา ผมก็ต้องขัดคำสั่งของพี่เลม่อนเสียก่อน โดยเข้าไปยุ่งกับคนที่เจ้าตัวไม่อยากให้ยุ่ง

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆ กับสิ่งเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่เสมอสำหรับหัวใจของผม

คำแรกที่ผมตักเข้าปากก็คือซี่โครงหมูชิ้นที่เขาตักให้ คำที่สองก็ยังเป็นซี่โครงหมูที่เขาตักให้เหมือนเดิม คำที่สามก็ยังเป็นชิ้นที่เขาตักมาใส่จานให้ผม เพียงแต่เปลี่ยนจากซี่โครงหมูเป็นกุ้งซอสฉ่ำหวาน ผมตักทุกอย่างที่เขาตักใส่จานของผมเข้าปาก จำได้ว่าชิ้นไหนเขาตักให้และชิ้นไหนเป็นของอานุ ซึ่งผมยังไม่ได้แตะที่อานุตักมาให้เลย ไม่รู้ว่าอานุจะสังเกตเห็นไหม แต่คงไม่มั้ง

จากที่คิดว่าข้าวสี่ทัพพีคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะหมดจาน ทว่าตอนนี้ผมแทบไม่หยุดตักทั้งข้าวและกับเข้าปากเลย มันเป็นมื้อที่อร่อย โดยเฉพาะกับข้าวทุกอย่างที่เขาขยันตักใส่จานให้ผม... การได้นั่งรวมโต๊ะกินข้าวกับเขาว่าน้อยครั้งแล้ว แต่การที่เขาตักกับข้าวใส่จานให้ผมไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง และยิ่งกว่านั้นเขายังตักกับข้าวใส่จานให้ผมเรื่อยๆ ทั้งที่ระยะห่างระหว่างฝั่งผมกับฝั่งเขาก็มากพอสมควรแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนแขนยาวแบบเขา

ทุกอย่างคล้ายจะดีไปเสียหมด ผมกินข้าวได้เยอะขึ้น มีความสุขกับสิ่งเล็กน้อยสำหรับเขาแต่ยิ่งใหญ่สำหรับผม ทว่าความสุขนั้นก็ถูกน็อกกลางอากาศทันทีที่คุณย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ลูกชายคนโตต้องไปทำหลังจากมื้อเที่ยงจบลง

“แม่ทำขนมให้เราเอาไปฝากคุณเปรมกับหนูแก้วนะ อย่าลืมบอกหนูแก้วด้วยว่าแม่คิดถึงมาก อยากให้มาเยี่ยมแม่บ่อยๆ”

ผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนถึงเช้าวันนี้ คุณย่ากับป้าพิศและพี่ๆ อีกหลายคนถึงได้พากันตั้งหน้าตั้งตาทำขนมไทยหลายชนิดนัก ตั้งแต่เมื่อวานผมก็เห็นล้อมวงกันทำขนมกลีบลำดวน ฝอยทองกรอบ ขนมเสน่ห์จันทร์ และกะหรี่พัฟ มาตอนเช้าหลังกินข้าวเสร็จก็ล้อมวงกันทำขนมอะไรอีกไม่รู้ ท่าทางจะหลายอย่างเลยละ

และทำให้ผมรู้ว่าคุณย่าน่าจะพอใจ ‘หนูแก้ว’ มากทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงทุนทำขนมมากมายไปฝากเธอ

ขณะที่ลูกชายคนโตพยักหน้ารับ ลูกชายอีกคนก็เอ่ยแซวคนเป็นแม่

“เอาใจว่าที่ลูกสะใภ้คนโตจริงนะครับคุณแม่”

หึ! ผมขออนุญาตโกรธอานุได้หรือเปล่าเนี่ย ทำเอาผมอยากวางช้อนกับส้อมลงทันที รู้สึกว่าอาหารในจานดูไม่อร่อยไปเสียแล้ว

“เราก็หาว่าที่ลูกสะใภ้คนเล็กมาให้แม่เอาใจสิจ๊ะตานุ” คุณย่าค้อนหน่อยๆ ที่ถูกแซว

“ขอผ่านก่อนได้ไหมครับคุณแม่”

“แม่ให้ผ่านถึงแค่สิ้นปีนะตานุ ถ้ายังไม่มีแม้แต่คนถูกใจ แม่ก็คงต้องขอพาว่าที่สะใภ้คนเล็กมาให้เราลูกทำความรู้จัก”

“คุณแม่พูดเล่นหรือพูดจริงครับ” หน้าอานุเริ่มไม่มีรอยยิ้ม ยิ่งคำตอบของคุณย่าก็ทำให้ใบหน้าสีเข้มนั้นซีดไปเลย

“แม่เคยพูดเล่นหรือไงตานุ ว่าแต่...จำน้องขวัญ ลูกสาวคุณหญิงผกามาศได้ไหม คนที่นุเคยแกล้งดึงผมเปียน้องตอนงานวันเกิดปู่พุฒิ”

“โธ่คุณแม่ งานวันเกิดคุณปู่ มีไม่รู้กี่สิบครั้ง ผมจะจำได้ยังไง”

“อยากจำได้ไหม แม่จะพามารื้อฟื้นความจำให้”

“เอาไว้ต้นปีก่อนก็ได้ครับคุณแม่ ไม่ต้องรีบ เพราะผมไม่รีบ”

“แสดงว่ารับปากแม่แล้วนะว่าจะไปเจอน้องขวัญ”

“ครับคุณแม่”

คุณย่าเป็นเพียงคนเดียวบนโต๊ะที่มีรอยยิ้ม ส่วนอานุนี่คงอยากยกมือขึ้นมากุมขมับเพราะถูกมัดมือชกเรื่องว่าที่ภรรยาในอนาคต

“อิ่มแล้วเหรอลูก” ท่านหยุดเรื่องที่พูดกับอานุแล้วหันมาถามผม คงเห็นว่าผมเอาแต่ถือช้อนกับส้อมไว้ในมือแต่ไม่ยอมตักข้าวเข้าปากเสียที

“เปล่าครับ” ผมเริ่มตักอาหารในจานเข้าปากอีกครั้ง ครั้งนี้มันช่างไร้รสชาติ แม้แต่กุ้งฉ่ำซอสที่ถูกตักเพิ่มเข้ามาในจานจากคนเดิม... ก็ไร้รสชาติอย่างที่สุด ยังกับว่าผมกินหินกินทรายก็ไม่ปาน “พอแล้วครับ ไม่ต้องตักให้ผมแล้ว” เป็นประโยคที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะพูดออกมา คนที่ผมกำลังพูดด้วย มองหน้าผมนิ่งๆ สายตาของเขาดูมีคำถามที่ผมไม่อยากตอบ ผมเลยเลือกที่จะก้มหน้าจัดการกับสิ่งที่อยู่ในจานให้หมดเร็วที่สุด

ผมรู้ว่าไม่มีสิทธิ์โกรธหรือไม่พอใจกับเรื่องของเขาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ผมก็ห้ามความรู้สึกด้านลบพวกนี้ไม่ได้เลย อารมณ์ของผมเต็มไปด้วยความหึงหวงเขา ไม่อยากให้ใครได้เขาไป ไม่อยากให้เขาไปเป็นของคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมยังคงรู้สึกว่าเขาคือ ‘ของของผม’ เป็นของผมคนเดียวเท่านั้น

...แม้ความเป็นไปได้จะติดลบก็ตาม

ในที่สุดจานของผมก็ว่างเปล่า ไม่เหลือแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว ยกน้ำขึ้นมาดื่มเสร็จ ผมก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ อยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ไม่อยากรับรู้เรื่องของ ‘หนูแก้ว’ ของคุณย่าอีกต่อไป ท่านพูดไม่หยุดเลย ชมเธอจนผมคิดว่าอีกสักเดือนสองเดือนเธอคงได้เข้ามาเป็นครอบครัวตรัยธาดาอย่างเต็มตัว

“คุณย่าครับ พีขอตัวกลับเรือนก่อนนะครับ” ผมบอกคุณย่า กำลังจะหันหลังเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร แต่ท่านทักไว้เสียก่อน

“ไม่กินขนมก่อนเหรอลูก” ท่านถามด้วยความสงสัย เพราะเรื่องขนมหวานผมไม่เคยพลาด จังหวะนั้นป้าพิศก็ยกกระจาดขนมไทยสารพัดอย่างออกมาจากห้องครัว ขณะที่พี่วิภากับพี่สร้อยช่วยกันเก็บจานอาหารออกไปจากโต๊ะและวางจานเล็กๆ สำหรับใส่ขนมหวานลงไปแทนที่

“พีอิ่มมากครับคุณย่า ยัดขนมลงท้องไม่ได้อีกแล้วละครับ” ต่อให้อิ่มแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องขนมผมสู้ไม่ถอย สามารถยัดได้เท่าที่ความอยากจะสั่งการ ทว่าตอนนี้หัวใจผมมันไม่ไหวมากกว่า

“รออาก่อนสิพี ไหนบอกจะให้อาแบกกลับ” อานุพูดขึ้นมาบ้าง หลังจากมองขนมในกระจาดตาวาวเลย อานุก็ชอบขนมหวานมากเหมือนกัน โดยเฉพาะเค้ก

ผมส่ายหน้าก่อนตอบ

“พีเดินเองดีกว่าครับ” ผมตอบแค่นั้นแล้วก็เดินออกมาเลย ถึงจะเสียดายขนมหวานในกระจาดมากแค่ไหนก็ตาม แต่ไม่มีอารมณ์กินแล้วครับ

เฮ้อ... แค่พี่เลม่อนคนเดียว ผมก็ยังสู้ไม่ได้เลย แล้วเนี่ยยังต้องมารับรู้อีกว่าคุณย่าอยากได้ใครมาเป็นสะใภ้คนโตของครอบครัวตรัยธาดา แถมคุณยะไม่พูดปฏิเสธเลยสักคำ สงสัยเธอคงจะสวยมากขนาดที่คุณยะไม่อยากปฏิเสธ ชักอยากเห็นหนูแก้วของคุณย่าแล้วสิ ว่าเธอจะสวยมากแค่ไหน

เท้าของผมก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า พ้นออกมาจากเรือนอาหารตั้งนานแล้วแต่ยังเดินไปไม่ถึงไหน มิหนำซ้ำคนที่ทำให้หัวใจของผมพองฟูขึ้นอย่างรวดเร็วและก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็วเช่นกันก็สาวเท้าตามมาจนทัน

“ไปกับฉัน”

มาถึงก็พูดสั้นๆ ห้วนๆ ไม่มีที่มาที่ไป จะให้ผมไปไหนกับเขาล่ะ

“ผมไม่ไป” ไม่รู้ว่าเขาจะให้ผมไปไหนกับเขา แต่ผมจะปฏิเสธซะอย่าง

“อย่าดื้อ”

“ผมดื้อตรงไหน มาถึงคุณก็สั่งให้ผมไปกับคุณ คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าจะพาผมไปไหน” ผมเถียงกลับ เอะอะก็หาว่าผมดื้อ แล้วเขาล่ะ มีเหตุผลและมีคำตอบให้ผมนักนี่

“ไปกาญจน์”

“ไม่ไป” จะเอาผมไปด้วยทำไม “เชิญคุณไปคนเดียวเถอะ แต่ถ้าไม่อยากไปคนเดียวก็พาคนของคุณไปด้วยสิ” พาไปด้วยจริง รับรองว่ารีสอร์ตของคุณแก้วได้ระเบิดแน่นอน

“ฉันอยากให้เธอไปมากกว่าไง”

“แต่ผมไม่อยากไป” พูดจบ ผมก็หันหลังเดินออกมาเลย แต่ก็แค่ระยะทางไม่กี่ช่วงก้าว เขาก็ตามมาดึงแขนเอาไว้ สะบัดก็ไม่หลุด

“อย่าดื้อกับฉัน ฉันบอกว่าไปก็ต้องไป” เขาพูดเสียงเข้ม มองผมด้วยสายตาโกรธๆ เขามีสิทธิ์อะไรมาโกรธผม เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผมด้วยซ้ำ

“ก็ผมบอกว่าไม่ไปไง!” ผมตะโกนใส่หน้าเขาเต็มเสียง สะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดจากมือของเขาได้ในที่สุด พอหลุดออกมาผมก็วิ่งเต็มความเร็ว แต่ก็นั่นแหละ... ขาผมสั้น จะหนีขายาวๆ ของคนที่วิ่งมาดึงตัวผมไว้และฉวยโอกาสที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวหอบเอาตัวผมลอยสูงจากพื้นได้อย่างไร และตอนนี้ผมตกไปอยู่ในวงแขนของเขาในท่าของผู้หญิง!

“ทำอะไรของคุณ!” ผมกลัวจับหัวใจว่าจะมีใครอยู่แถวนี้แล้วเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจลงเมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยหากบังเอิญมีใครโผล่เข้ามาเห็นหลังจากนี้ “ปล่อยผมลง!” ผมหันกลับมาเอาเรื่องคนที่อุ้มผมอยู่ มิหนำซ้ำขาของเขายังเลี้ยวกลับไปทางเดิมอีกด้วย ทิศทางที่มุ่งไปยังเรือนไทยของคุณย่านั่นแหละ ตรงนี้ไม่มีใครมาเห็นก็จริง แต่ที่บริเวณเรือนของคุณย่ารับรองว่ามีคนแน่นอน

“ทำไม ? ...เธอไม่ชอบให้อุ้มท่านี้เหรอ อยากจะให้ฉันอุ้มแบบนุ ?” ฟังคำถามของเขาสิ หาเรื่องอย่างชัดเจน 

“อย่าหาเรื่องผม แล้วก็ปล่อยผมลงได้ซะที คุณไม่กลัวมีใครมาเห็นหรือไง” ขาเขาเริ่มก้าวช้าลง ก่อนจะหยุดอยู่กับที ใบหน้าคมเข้มก้มต่ำลงมายื่นข้อเสนอที่ไม่เหลือทางให้ผมปฏิเสธ

“ไม่กลัว แต่ถ้าเธอไม่อยากให้ใครเห็น แล้วเกิดสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอก็ไปกับฉันดีๆ อย่าให้ต้องใช้วิธีที่ทำอยู่นี่” ผู้ชายคนนี้ทำได้ทุกอย่างแหละ เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเองก็เป็นที่หนึ่ง ผมว่าผมเอาแต่ใจตัวเองแล้วนะ ยังต้องยอมแพ้ให้เขาเลย

“งั้นก็ปล่อยสิ” ผมไม่เคยเอาชนะความต้องการของเขาได้เลยสักครั้ง แพ้เขาทุกอย่าง

“ยอมตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” เขาว่า แล้ววางผมลงพื้น

“ก็ผมไม่อยากยอมคุณไง” ว่าแล้วผมก็เดินหนีเขามา ซึ่งก็หนีไม่พ้นหรอกในเมื่อผมต้องไปรีสอร์ตของว่าที่สะใภ้คนโตของคุณย่า ผู้หญิงที่คุณย่าอยากได้มาเป็นสะใภ้ในเร็ววันนี้

ผมแอบน้อยใจคุณย่าเหมือนกันนะแต่ไม่มากเท่าไร ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของคุณย่าแม้นิดเดียว คนผิดคือผมที่ไปหลงรักลูกชายคนโตของท่านมากกว่า

รักทั้งที่รู้ว่า...ผิด

รักทั้งที่รู้ว่า...ไม่สมควร

“ก็เห็นยอมออกบ่อย...” คำพูดที่ลอยตามหลังผมมาทำเอาผมแทบสะดุดขาตัวเอง ไม่ทันไรเจ้าของคำพูดนั้นก็มาเดินอยู่ข้างตัวผม “...ลืมแล้วหรือไง”

“คุณต้องการอะไร ?”

“.....” ไร้คำตอบ เขาเพียงแต่มองหน้าผม ยักไหล่ สองมือซุกกระเป๋ากางเกงและเดินแซงหน้าผมไป นี่ถ้าผมวิ่งหนีเขาไปตอนนี้ก็คงได้ แต่ก็คงไม่รอด สุดท้ายเขาก็คงวิ่งตามผมทันอยู่ดี ผมเลยก้าวตามเขาไปห่างๆ ทว่าก็ไม่ได้ห่างมากนักจนเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ผมเอ่ยตามหลังเขาไป

“บอกไม่ให้ผมรักคุณ” ผมกัดฟันพูดออกมา ขณะที่หัวใจเบาหวิวก่อนจะหนักยิ่งกว่าหิน “แต่คุณยังมายุ่งกับผม ยังมาทำให้ผมรู้สึกกับคุณ... คุณทำไปเพื่ออะไร”

“บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล... ก็แค่อยากทำ” คำตอบของเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ผมเดินตามอยู่นี้ ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นเลย นอกจากเห็นแต่ความเห็นแก่ตัวของเขาที่มากขึ้นทุกวัน

“เห็นแก่ตัว!”

“.....” ไร้คำปฏิเสธ

“เอาแต่ความสุขของตัวเอง”

“.....” ก็ยังเงียบ

“ไม่เคยสนใจความรู้สึกของใครเลย ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนกับสิ่งที่คุณทำ”

“.....” เขาก็ยังคงเงียบและก้าวไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ ตามทางเดินซึ่งปูด้วยอิฐแดงที่ทอดยาวไปสู่ลานจอดรถ

“เลวที่สุด” กับคำพูดนี้ มันออกมาจากปากผมอย่างแผ่วเบา ไม่แน่ใจว่าคนที่ถูกผมปาคำนี้ใส่จะได้ยินหรือเปล่า

พอเขาไม่โต้ตอบ อารมณ์ของผมเริ่มลดลง จนเมื่อเดินไปถึงรถของเขา ผมก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างคนขับ บรรยากาศในห้องโดยสายเงียบเชียบแต่ก็ไม่ได้น่าอึดอัด จากนั้นรถคันใหญ่ก็เคลื่อนตัวจากลานจอด จนกระทั่งรถวิ่งพ้นประตูรั้ว เขาก็ทำให้บรรยากาศเงียบเชียบเปลี่ยนเป็นร้อนระอุทันที

...เขามีพรสวรรค์เรื่องนี้จริงๆ

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 21 (09-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 09-12-2018 05:07:12
.

.

.

“ที่ทำน่ะประชดฉันหรือเปล่า ถ้าใช่ เลิกทำซะ” มาอีกแล้วคำสั่งแบบบ้าอำนาจของผู้ชายคนนี้ และที่สำคัญคือผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอทำอะไรที่ทำให้ถูกมองว่าทำไปเพราะประชดเขา

“ผมทำอะไร ?”

“ก็ที่ทำกับน้องชายฉันไง” เขาหันมามองหน้าผมนิดหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิม ปากยังขยับเอาคำพูดที่กลั่นมาจากความคิดทุเรศๆ ออกมา “คิดอะไรกับน้องฉันหรือเปล่า ชอบน้องฉันหรือไง”

“อานุเป็นอาผมนะ” ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาจะพูดกับผมแล้ว “ผมไม่เคยมีความคิดสกปรกๆ แบบนั้นอยู่ในหัวเหมือนคุณ” ความคิดของเขาสกปรกที่สุด

“นุไม่ใช่อาของเธอ”

“.....” ผมเกลียดเขาที่สุด เขาจะไม่ให้ผมเหลือใครเลยหรือไง เขาจะใจร้ายกับผมไปถึงไหนกันนะ กับคนในครอบครัวของเขา (ซึ่งก็คือครอบครัวของผมเหมือนกัน) จะให้ผมตัดขาดให้หมดเลยหรือไง

“น้องฉันเป็นผู้ชาย เธอไม่ควรถึงเนื้อถึงตัวแบบนั้น”

“ผมก็ผู้ชาย” ผมสวนกลับไป ตวัดสายตามองใบหน้าคมเข้มที่หันข้างมามองผมพอดี

“มันก็ใช่ที่เธอเป็นผู้ชาย แต่ไม่ใช่ผู้ชายแบบฉันหรือนุ” สถานะที่เขายัดเยียดให้ผม มันทุเรศที่สุด ทุเรศเหมือนคำพูดของเขานั่นแหละ

“ทุเรศ!” ผมหมดคำพูดกับความคิดแสนสกปรกของเขาจริงๆ

“พี ฉันบอกก็ต้องเชื่อ อย่าใกล้นุให้มาก อย่าให้ถึงเนื้อถึงตัวแบบเมื่อกี้อีก ฉันไม่ชอบ”

“แล้วผมต้องแคร์ความชอบหรือไม่ชอบของคุณไหม ไม่ชอบก็เรื่องของคุณ แต่ผมชอบ!” เพราะระหว่างผมกับอานุมีแต่ความบริสุทธิ์ใจ มีแต่คนที่มีความคิดทุเรศแสนสกปรกเท่านั้นแหละที่มองว่ามีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง

“มันจะดื้อทุกอย่างเลยใช่ไหม ทำไมต้องดื้อกับฉันด้วยพี ฉันบอกก็ต้องทำ” เขาพูดอย่างมีอารมณ์ และผมก็มีอารมณ์ไม่ต่างจากเขาเช่นกัน

“ผมไม่ทำ! ผมกับอานุเคยเป็นยังไง ก็จะเป็นเหมือนเดิม” ผมย้ำในประโยคสุดท้าย เอาให้รู้เลยว่า เขาน่ะ... “คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับผมให้ทำอะไรตามใจคุณ! จำเอาไว้เลยว่าคุณไม่มีสิทธิ์!!”

...สิทธิ์ของคุณที่ทำให้และทำได้ดีที่สุดคือการทำร้ายจิตใจของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้น

“.....” เขาเงียบไปหลายนาที จนผมคิดว่าเขาหยุดความคิดสกปรกของตัวเองได้แล้ว

แต่ก็ไม่... เมื่อเขาเอ่ยคำถามแบบเดิมกับผมอีก

“เธอคิดอะไรกับนุใช่ไหม” เขาก็ยังคงปรักปรำผม ยัดเยียดความคิดของตัวเองใส่ผมไม่หยุด “ชอบน้องชายฉันหรือไง หรือว่าอยากจะใช้น้องชายฉันเป็นตัวแทนของฉัน แบบนี้ใช่ไหมที่เธอกำลังทำอยู่”

“หยุดความคิดทุเรศๆ ของคุณสักทีได้ไหม” ผมใกล้หมดความอดทนกับเขาแล้วนะ

“จะให้ฉันหยุด เธอก็เลิกอยู่ใกล้น้องฉัน ทำให้ได้สิ”

“ทำได้ แต่ไม่ทำ!”

“เธอต้องทำ”

“ผมไม่ทำ” ผมเริ่มไม่อยากเถียงกับจินตนาการสุดกู่ของเขาแล้ว “ต่อให้คุณมองผมว่าเด็กเป็นแบบไหน อ้าขาให้คุณมากี่ครั้ง แต่ผมขอบอกให้คุณรู้เลยว่า ผมเห็นอานุเป็นอา ไม่ใช่ผู้ชายแบบคุณ!”

“ฉันเป็นผู้ชายแบบไหน” เขาหันมามองผมตาวาว จ้องหน้าผมนิ่งนานเพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่สัญญาณไฟสีแดงเริ่มต้นทำงาน

“ก็แบบที่คุณเป็นตอนนี้ไง ...ทุเรศ งี่เง่า เห็นแก่ตัว และมีแต่ความคิดสกปรก ถึงได้คิดแต่เรื่องทุเรศที่คนปกติเขาไม่คิดกัน” ผมจ้องเขาตอบ “คุณคิดได้ยังไงว่าผมจะใช้อานุเป็นตัวแทนของคุณ คุณใช้หัวแม่ตีนคิดหรือไงว่าผมจะอ้าขาให้อานุได้ ทั้งที่เขาเลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิด จับผมอาบน้ำมาตั้งแต่เด็ก เป็นยิ่งกว่าพ่อที่ผมไม่มีซะอีก”

“ฉันไม่ได้ใช้หัวแม่ตีนคิด แต่คิดตามที่เห็น มันเหมาะสมหรือไงที่เธอให้น้องชายฉันอุ้มเธอท่านั้น” เขาเป็นอะไรกับท่าอุ้มนักหนานะ

“ทุเรศว่ะ” ไม่รู้ต้องเอาคำว่าทุเรศออกมาด่าเขาอีกมากแค่ไหน ถึงจะทำให้เขาเอาความคิดสกปรกไปจากหัวสมองได้ “เมื่อไรคุณจะเข้าใจว่าน้องชายคุณคืออาของผม คือคนที่ผมไม่มีวันทำเรื่องสกปรกแบบที่คุณกล่าวหาได้หรอกนะ”

“ก็ทำให้ได้อย่างที่พูดละกัน อย่าให้ฉันมารู้ทีหลังว่าเธอทำเรื่องทุเรศกับน้องชายฉันเหมือนที่ทำกับฉัน”

“.....” ผมกัดฟันข่มอารมณ์ที่แทบจะทะลุออกมาเป็นคำหยาบคายให้สาสมกับความคิดสุดสกปรกของเขาที่ปล่อยออกมาอยู่เรื่อยๆ ไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยแล้ว เพราะคิดได้ว่าไร้ประโยชน์สิ้นดี คำพูดของผมคงเปลี่ยนความคิดของเขาไม่ได้ ผมเลยใช้ความเงียบยุติทุกการทุ่มเถียงที่ไร้ประโยชน์นั้นลง

เปลือกตาผมปิดลงอย่างเชื่องช้า และคล้ายกับว่าฝ่ายที่ปล่อยแต่ความคิดทุเรศและแสนสกปรกออกมาก็พลอยปิดปากเงียบไปด้วย ผมได้ยินเพียงเสียงความนุ่มนวลของเครื่องยนต์ที่แล่นไปข้างหน้า ไปตามทางที่พาออกนอกกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดที่เต็มไปด้วยสีเขียวชุ่มฉ่ำและแม่น้ำสายใหญ่ สถานที่ตั้งของรีสอร์ตของคุณแก้ว ที่อีกไม่นานจะกลายเป็นรีสอร์ตในเครือของพุฒิธาดา

จบตอนที่ 21

--- ทักทายกันหน่อย ---
 :mew1:

หายไปนานเลยเพราะไม่มีเวลาแต่ง ตอนนี้กลับมาแล้วนะคะ ^_^
แต่มีเรื่องที่จะขอคือ...อดทนกันต่อไปนะคะ อย่าเพิ่งท้อถอย
ฟ้าหลังฝนมันสวยเสมอ...มั้ง 555+
เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปกินน้ำผึ้งหวานๆ ...มั้ง (อีกแล้ว)
หรืออาจจะพลาดกลายเป็นน้ำผึ้งขมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน (ขมปนหวานนั่นแหละ)
และอีกอย่างนะคะ
อย่าเพิ่งงงในความรู้สึกของน้องพีนะ
ความรักของน้องคือความรักของเด็กน้อย
รักแล้วฝังจำ ฝังแน่น รักแล้วรักเลย มันเลิกรักไม่ได้ คุณยะเลยชนะใสๆ ^_^
โทษคุณยะในส่วนนี้ไม่ได้เลย เพราะน้องพีหลงรักคุณยะเอง T^T
รักของน้องพี คือ “เทหมดหัวใจ” ไม่มีเหลือหรือกั๊กไว้แม้แต่หยดเดียวววว
ส่วนคุณยะ...เขาเป็น “พ่อค้าหัวใส”
กอบโกยเท่าที่เขาจะทำได้ เพราะมีหลายอย่างที่เขาทำไม่ได้
(แต่สุดท้ายก็ทำได้แหละ ไม่งั้นก็คงไม่ได้น้องพีคืนมา)
ขอจบ
การเม้าท์แบบสปอยลงแค่นี้นะคะ แม้ใจอยากจะสปอยมากแค่ไหนก็ตาม 555+
 :katai3:

สีเหลืองอ่อน


 
 
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 21 (09-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-12-2018 07:16:17
หึงล่ะซิคุณยะ แต่ขอโทษด้วยนะที่ทำไม่ได้แบบอานุ ตอนหน้าไม่อย่าคิดเลยว่าพีจะเจ็บอีกมากแค่ไหน เฮ้ออออ พีถ้าจะชอบเสพติดความเจ็บปวดแล้วแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 21 (09-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-12-2018 09:05:29
คุณยะทำตัวน่าโมโหจริงๆ
เห็นแก่ตัวสุดๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 21 (09-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 09-12-2018 22:22:30
รักของผู้ใหญ่กับรักของเด็กสินะ เห้อ........... :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 22 (13-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 13-12-2018 20:44:11
ตอนที่ 22

ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงเขาก็ขับรถพาผมมาถึงรีสอร์ตที่เขาจะซื้อมาบริหารต่อ ตลอดระยะทางที่เดินทางร่วมกันมา ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก เพราะยังไม่ทันพ้นออกจากเขตกรุงเทพฯ สติรับรู้ของผมก็ดับสนิท มาตื่นตอนที่รถจอดสนิทและเจ้าของรถเขย่าตัวเรียก พอก้าวเท้าลงมาก็เจอเข้ากับใบหน้าสวยงามของหนูแก้วของคุณย่าที่เดินออกมาจากตัวอาคาร เพื่อมาต้อนรับแขกคนสำคัญของเธอ เธอเดินออกมาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

เธอสวยจนผมมองค้าง เป็นผู้หญิงที่มากสวยจริงๆ แต่ว่า... ถ้าให้เทียบกับผู้หญิงที่คุณยะเคยควง ผมว่าคุณแก้วก็ยังสวยสู้คู่ควงบางคนของคุณยะไม่ได้ (ก็ที่สู้ไม่ได้คือระดับนางเอกละครเลยนะ)

ตอนนี้เธอกำลังนั่งคุยกับคุณยะด้วยรอยยิ้มหวานที่แต้มบนใบหน้าตั้งแต่ที่เจอหน้ากัน ส่วนผมเดินเลี่ยงมานั่งที่เก้าอี้บุนวมเนื้อแข็งหน่อยๆ สภาพดูเก่าและสมควรจะเปลี่ยนแล้วด้วยซ้ำ ถ้าจะให้ดีก็คือเปลี่ยนใหม่หมดทั้งล็อบบี้เลย

เอาจริงเลยคือที่รีสอร์ตนี่บรรยากาศดีครับ ธรรมชาติก็สวยงามและเงียบสงบเพราะถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา แถมยังตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ ทว่าตัวอาคารสถานที่ค่อนข้างเก่าและทรุดโทรมมาก ให้ความรู้สึกวังเวง แอบน่ากลัวด้วย นั่งอยู่แบบนี้ผมแทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนเลย ถึงจะไม่ใช่วันหยุดก็เถอะ แต่ผมว่าก็ต้องมีนักท่องเที่ยวบ้างสิ แบบนี้ละมั้งกิจการถึงขาดทุนจนต้องขายทิ้งก่อนที่จะรับภาระหนี้สินไม่ไหว

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณพนักงานสูงวัยที่นำ welcome drink มาเสิร์ฟ มันเป็นน้ำอัญชันผสมน้ำผึ้งป่าตามที่คุณป้าบอก เสิร์ฟคู่มากับขนมลูกชุบและเสน่ห์จันทร์ที่แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นขนมที่คุณย่าให้คุณยะเอามาฝากเจ้าของรีสอร์ต

ขนมอร่อยครับ ทั้งสองอย่างเลย แต่น้ำอัญชันผสมน้ำผึ้งป่า รสชาติอย่าให้ต้องบรรยาย ผมไม่รู้สึกถึงความเป็นน้ำผึ้งป่าแม้แต่นิดเดียว มันน่าจะเป็นน้ำอัญชันผสมกลิ่นน้ำผึ้งเสียมากกว่า นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร็วที่สุดหลังจากคุณยะซื้อที่นี่ไปแล้ว

“พี ไปพักที่ห้องก่อนนะ คุณยะต้องคุยงานกับคุณแก้วอีกนาน” เขาเดินเข้ามาบอก พร้อมกับยื่นกุญแจห้องพักให้ผม “เจ้าหน้าที่จะพาไป” เจ้าหน้าที่ที่ว่าคือเด็กวัยรุ่นที่ดูจะแก่กว่าผมไปสามสี่ปีมั้ง

“ครับ” ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้อยู่คนเดียว ไม่ต้องทนเห็นเขาโปรยเสน่ห์ใส่คุณแก้วให้หัวใจมันเจ็บแปลบๆ อ้อ... คุณแก้วก็ด้วยที่โปรยเสน่ห์ใส่เขา ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับคุณแก้วใครตกหลุมเสน่ห์ของอีกฝ่ายลึกกว่ากัน

แต่ให้เดา... ผมว่าเป็นคุณแก้วนะ

“คุณยะครับ” ผมเรียกเขาไว้ก่อนเขาจะเดินกลับไปหาคุณแก้ว เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “คุณยะจะค้างที่ไหนใช่ไหมครับ”

เขาหันมาพยักหน้า พลางทำหน้าสงสัยว่าผมจะถามทำไม ในเมื่อผมก็เห็นเขาหิ้วกระเป๋าออกมาจากท้ายรถและส่งมันให้พนักงานที่ทำหน้าที่ยกกระเป๋าว่าที่เจ้าของรีสอร์ตคนใหม่ไปเก็บไว้ยังห้องพักตามคำสั่งของว่าที่อดีตเจ้าของรีสอร์ตคนสวย

เพราะผมเห็นเขาเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยไง ผมถึงต้องบอกปัญหาของผมให้เขารับรู้ เพื่อจัดการแก้ปัญหานั้นให้ผม เนื่องจากเขาเป็นคนสร้างปัญหาให้กับผมเอง

"ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน” ไม่มีอะไรติดตัวผมมาเลย นอกจากเสื้อผ้าสามชิ้นในร่างกาย แม้แต่โทรศัพท์มือถือยังไม่มีเลย ก็ตอนที่เกาะหลังอานุออกจากศาลากลางสระบัว ผมไม่ได้หยิบโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย เพราะคิดว่ากินข้าวเที่ยงเสร็จก็จะกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่นั่นต่อ และไม่รู้ด้วยว่าเขาตั้งใจมาค้างที่นี่ คิดว่าเขาแค่มาสำรวจดูรีสอร์ตที่ตัวเองกำลังจะซื้อสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วก็ขับรถกลับ

พอผมพูดจบ เขาก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ว่าก่อปัญหาอะไรไว้ให้ผม ถึงผมจะไม่ใช่พวกคลั่งความสะอาดแต่ให้ใส่เสื้อผ้าชุดที่ใส่มาตั้งแต่เช้าเข้านอนและยังต้องใส่ต่อในเช้าวันใหม่ ผมก็ไม่เอาหรอกนะ นอกแก้ผ้ายังดีซะอีก

“เดี๋ยวจะให้คนไปซื้อให้”

โอเคเป็นอันว่าปัญหาเรื่องเสื้อผ้าหาทางออกได้แล้ว แต่ปัญหาที่สองล่ะจะเกิดขึ้นหรือเปล่า ในเมื่อผมต้องนอนที่นี่กับเขา ไม่รู้ว่าห้องพักจะมีสองห้องนอนหรือเปล่า ?

.

.

.

สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกชอบมากที่สุดตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาในห้องคือ...ระเบียงหลังห้องที่เชิญชวนให้ออกไปสัมผัสธรรมชาติสีเขียวสุขสงบ มองเห็นแม่น้ำสายใหญ่ทอดยาวไปจนสุดสายตาและภูเขาสูงใหญ่ และเมื่อมองพระอาทิตย์ตกดินจากตรงนี้จะสวยมากเพราะมันจะตกลงไปหลังภูเขาสูงพอดี (เป็นคำโฆษณาของพนักงานที่พาผมมาที่นี่ครับ)

ไม่มีอะไรในห้องพักที่ชวนให้กลับเข้าไปสำรวจ ขนาดของห้องกว้างขวางแต่สภาพค่อนข้างเก่า (ดีหน่อยที่ยังสะอาด) ไม่ต่างจากตัวบ้านพักภายนอกที่ทรุดโทรมมาก ทั้งสีลอก ตะไคร่น้ำเกาะบางจุด กำแพงมีรอยร้าวด้วย ซึ่งควรได้รับการปรับปรุงอีกตามเคย นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่องห้องน้ำที่ไม่ได้แยกส่วนแห้งกับเปียกออกจากกัน อ่างอาบน้ำก็ไม่มี เห็นแล้วท้อแทนเจ้าของคนใหม่จริงๆ ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินมากขนาดไหนในการซ่อมแซมที่นี่ให้กลับมาสวยงามและน่าใช้บริการอีกครั้ง

ในเมื่อภายในห้องไม่มีอะไรสวยสู้วิวที่ระเบียงได้ ผมเลยไม่อยากกลับเข้าไปอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า เลือกจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ระเบียง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกเขาทั้งสองข้างพาดไว้ที่ราวระเบียง ทอดสายตามองสายน้ำที่ไหลผ่านไปตรงหน้า กับน้ำดีโด้รสส้มสายน้ำผึ้ง (หวานปานน้ำเชื่อม) ที่หยิบออกมาจากตู้เย็นใต้มินิบาร์และขนมข้าวเกรียบฮานามิ

ผมนั่งมองดูสายน้ำที่ชวนกระโดดลงไปแหวกว่ายแต่ก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะทำแบบนั้น จนกระทั่งได้เห็นพระอาทิตย์หมดแสงหลังแนวเขา มันสวยงามอย่างที่พนักงานคนนั้นบอก พอหมดแสงของดวงตะวันความเย็นของยามค่ำคืนก็พากันโรยตัวลงมาห่มผมไว้จนต้องห่อตัว เสื้อยืดสีน้ำเงินเนื้อหาแต่ไม่หนาพอที่จะปกป้องผมจากอากาศรอบตัวได้ ผมลุกจากเก้าอี้กลับเข้าไปในห้อง ตั้งใจจะเข้ามาเอาผ้าห่มแล้วกลับไปนั่งที่ระเบียงต่อ ถึงอากาศจะเย็นลงแต่ความสวยงามของยามที่โลกหมดแสงก็สวยดีเหมือนกันนะครับ มันสวยตรงที่มีแสงจันทร์กับความมืดมิดนี่แหละ

...มันสงบ ผ่อนคลาย และเป็นสุข

แต่ยังไม่ทันได้ดึงผ้าห่มขึ้นจากเตียงก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงของพนักงานคนเดิมที่พาผมมาที่นี่

“น้อง! อยู่ไหม พี่ชายน้องให้มาตามไปกินข้าว อยู่เปล่า ?”

อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรีบปรับปรุงด่วนที่สุดก็เรื่องพนักงานนี่แหละ ผมว่าเขายังบกพร่องเรื่องมารยาทพอสมควร ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำเสียงที่ห้วนกระด้าง หรือการใช้คำพูดที่ไม่ค่อยสุภาพนักสำหรับงานให้บริการ มันรวมถึงการไม่ให้เกียรติลูกค้าด้วย ตอนที่เขาพาผมมาที่พักซึ่งเป็นระยะทางไกลพอสมควรจะล็อบบี้ ระหว่างทางก็ตะโกนโหวกเหวกคุยกับเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ มีทิ้งให้ผมยืนอยู่กลางทางเดิน ส่วนตัวเองก็วิ่งไปหาเด็กผู้หญิงที่ตะโกนเรียกอยู่บนเบาะมอเตอร์ไซค์ จากนั้นก็กอดกันกลมอยู่หลายนาทีกว่าจะวิ่งกลับมาหาผมได้

อ้อ...ยังมีวิ่งไล่เตะหมาอีกนะ

และไม่ใช่แค่พนักงานคนนี้คนเดียว ผมว่าทุกคนนั่นแหละ ดูไม่มีหัวใจของการให้บริการ มารยาทก็แทบไม่มี บางคนหยุดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก็มี ผมว่าน่ะ การแสดงท่าทางแบบนี้เป็นการเสียมารยาทเอามากๆ ไม่มีลูกค้าคนไหนชอบหรอก

เจอแบบนี้แล้วผมไม่อยากให้คุณยะเทคโอเวอร์รีสอร์ตนี้เลย นอกจากเสียเงินซ่อมบำรุงก้อนโตแล้ว ก็ต้องเกณฑ์พนักงานทุกคนไปเข้าคอร์สอบรมมารยาทและคุณสมบัติของงานบริการเต็มหลักสูตรเลยแหละ เพราะถ้าปล่อยพนักงานให้ขาดมารยาทและจิตสำนึกของงานบริการอย่างนี้ต่อไป เชื่อเถอะว่าต่อให้รีสอร์ตสวยหรูแค่ไหนก็ยากที่จะทำให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้วันหยุดพักผ่อนอีกเป็นครั้งที่สอง

“น้อง! อยู่เปล่าเนี่ย น้อง! น้อง!!... มันหายไปไหววะ ไอ้ออฟก็บอกว่ายังไม่เห็นออกไปไหนนี่หว่า...น้อง!! อยู่ไหม!!”

ตอนแรกผมกะว่าจะไม่ขานตอบ เพราะไม่อยากเปิดประตูออกไปเจอหน้าให้เสียอารมณ์ แต่มาคิดดูแล้วถ้าผมไม่โผล่หน้าไปให้เห็น เจ้าตัวก็คงจะตะโกนเรียกอยู่นั่นแหละ ผมเลยทิ้งชายผ้าห่มในมือลง เดินไปที่ประตูและเปิดออก พอเปิดประตูออกมาเท่านั้นแหละ หน้านี่อย่างโกรธเลยที่ผมปล่อยให้เขาตะโกนเรียกอยู่นาน

“อ้าวน้อง พี่เรียกตั้งนานทำไมไม่ได้ยิน เนี่ยพี่เรียกจนปากจะฉีกอยู่แล้ว” ว่าอย่างเคืองๆ

“ขอโทษครับ พอดีผมหลับ” ถือว่าผมผิดละกันที่ปล่อยให้เขาเรียกจนปากจะฉีก

“เออๆ ไม่เป็นไร น้องเป็นลูกค้าไม่ต้องขอโทษพี่หรอก” ก็รู้นี่ว่าสถานะของผมคืออะไร แต่ทำไมไม่รู้จักเอามารยาทที่ดีที่สุดมาใช้กับลูกค้า “ตอนนี้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว พี่ชายของน้องเลยใช้ให้พี่มาเรียกไปกินข้าว ไปเองได้ไหม พอดีพี่ต้องรีบไปชนแก้วกับเพื่อนน่ะ” ฟังเหตุผลแล้วผมก็ได้แต่ปลง ไม่มีหัวใจของการเป็นผู้ให้บริการเลย

“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าจะไม่ออกไปเหมือนกัน” คือผมไม่อยากออกไปเจอคนสองคนที่เอาแต่โปรยเสน่ห์ใส่กันเท่าไรหรอก

“เอ้า! เกือบลืมแน่ะ” เจ้าตัวอุทานเสียงดัง ผมนี่สะดุ้งเลย ก่อนจะยื่นถุงพลาสติกสีสันแสบตาสามถุงมาตรงหน้าผม “นี่เสื้อผ้าของน้อง เอาไป ว่าแต่น้องนี่ก็แปลกเนอะ มาเที่ยวทั้งทีแต่ไม่เอาเสื้อผ้ามา”

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณเขา รับเอาถุงเสื้อผ้ามาถือ

“งั้นพีไปละ บายน้อง พรุ่งนี้เจอกัน” ผมก็ได้แต่แอบถอนหายใจกับมารยาทของพนักงานคนนี้ แต่ก็ยิ้มอย่างสุภาพให้เขาไป ก่อนปิดประตูและเข้ามาในห้อง

ผมวางถุงเสื้อผ้าไว้ที่ปลายเตียงหลังที่ผมจับจองเป็นเจ้าของในคืนนี้ ส่วนอีกเตียงก็เป็นของคนร่วมห้อง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าคืนนี้เขาจะกลับมานอนที่นี่หรือเปล่า เพราะเขาอาจมีเรื่องต้องคุยกับคุณแก้วนานเป็นพิเศษ... นานจนถึงเช้า

พูดตามตรงคือผมไม่ได้ดูถูกคุณแก้วนะ เพียงแต่เห็นสายตาของคุณแก้วที่มองคุณยะแล้ว มันฟ้องทุกความรู้สึกครับ แล้วผู้ชายอย่างคุณยะมีหรือจะปฏิเสธสิ่งที่สาวสวยยื่นให้ แม้ผมจะหวังลึกๆ ว่าเขาจะปฏิเสธเสน่ห์ของคุณแก้ว

เลิกคิดถึงสิ่งที่ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ดีกว่า เอาเป็นว่าตอนนี้มาสนใจปากท้องของตัวเองได้แล้ว เพราะพอได้เวลากิน ผมก็เริ่มหิวขึ้นมาละ นาฬิกาที่แขวนข้างผนังห้องบอกว่าเป็นเวลาหกโมงครึ่ง ผมเดินจากปลายเตียงไปที่มินิบาร์ สำรวจของกินที่อยู่ในตะกร้าหวายทรงสี่เหลี่ยม (อีกครั้ง) ซึ่งก็มีขนมถุงเล็ก กาแฟ ชา โอวัลติน และมาม่าคัพ แต่ไม่มีโจ๊ก เลยมีทางให้ผมเลือกแค่ทางเดียวสำหรับอาหารมื้อนี้... คือมาม่า

ผมหยิบน้ำคริสตัลขึ้นมาแกะพลาสติกตรงฝาขวดออก เปิดฝาเทน้ำลงไปในกาต้มน้ำร้อนและเสียบปลั๊กไฟ ระหว่างที่รอน้ำเดือดก็เดินกลับไปที่เตียง หยิบถุงพลาสติกสีชมพูขึ้นมาเป็นถุงแรก หยิบของที่อยู่ข้างในออกมาคลี่ดูก็อยากจะเห็นหน้าคนซื้อเสื้อผ้าตลาดนัดมาให้ผมเสียจริงๆ ผมไม่ได้ดูถูกเสื้อผ้าราคาถูกนะ เพียงแต่ถ้ามันจะเป็นเสื้อของผู้ชายอย่างผม

เสื้อสองตัวในมือเป็นเสื้อสีชมพูกับสีขาวซึ่งเป็นลวดลายและแบบเดียวกัน เป็นเสื้อคอกว้าง มีโบว์ใหญ่ๆ ติดอยู่ตรงกลางเสื้อ ดูแค่โบว์อันใหญ่ก็รู้แล้วว่าเป็นเสื้อของผู้หญิง นี่ยังไม่รวมกับแขนเสื้อที่เป็นแบบเสื้อแขนตุ๊กตาหน่อยๆ ด้วยนะ

ซื้อมาผิดใช่ไหม ?

คงใช่แล้วล่ะ เมื่อผมหยิบอีกถึงขึ้นมาดู สิ่งที่ผมล้วงออกมาคือกางเกงขาสั้นขอบยืดและขากว้างแบบของผู้หญิงใส่ ตัวหนึ่งลายดอกทานตะวันสีเหลืองอร่ามเลย อีกตัวลายขวางสีน้ำตาลสลับกับสีแดงสด

แล้วถุงพลาสติกสีส้มจี๊จ๊าดนี่ล่ะ มีอะไรอยู่ข้างใน ผมตอบคำถามของตัวเองด้วยการหยิบมันขึ้นมาเปิดดูสิ่งที่อยู่ในนั้น ชัดเลยครับว่าเป็นอะไร...กางเกงตัวจิ๋วกับยกทรงสีหวาน

โอเค! ได้คำตอบแล้วว่าซื้อมาผิดเพราะเข้าใจผิด

ผมเลิกให้ความสนใจกับเสื้อผ้าของผู้หญิง ที่เด็กผู้ชายอย่างผมก็พอจะใส่อยู่ภายในห้องที่มิดชิดนี้ได้ เพราะเสียงหวีดเล็กๆ จากกาต้มน้ำร้อนดังขึ้น  ผมหันไปจัดการกับมื้อเย็นของตัวเองต่อ เริ่มด้วยการถอดปลั๊กไฟ เปิดฝาถ้วยมาม่า เทน้ำร้อนลงไป จากนั้นก็ปรุงรสชาติด้วยเครื่องปรุงน้อยนิดที่ไม่ทำให้สีของน้ำร้อนเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แค่ใส่ลงไปพอให้ได้กลิ่นว่าไม่ได้กินเส้นมาม่ากับน้ำเปล่าเท่านั้นเอง คิดแล้วก็โมโหคนที่ลากเอาตัวผมมาไม่หาย เขาจะลากผมมาด้วยทำไมก็ไม่รู้ ผมเลยต้องมาอยู่ในห้องนอนที่ทั้งเก่าทั้งโทรม ไม่ผ่านมาตรฐานเลยสักนิด ต้องมาใส่เสื้อผ้าของเด็กผู้หญิง และกินมาม่าเป็นอาหารเย็น สิ่งที่ทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้นมาหน่อยก็คงเป็นกระป๋องเครื่องดื่มในตู้เย็นขนาดเล็กที่อยู่ใต้มินิบาร์

ผมก้มไปเปิดตู้เย็นและหยิบสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมาหนึ่งกระป๋อง ก่อนหอบเอามันและถ้วยมาม่าออกไปนั่งสูดกลิ่นของค่ำคืนที่เกือบจะมืดมิด ผมเลือกจะไม่เปิดไฟระเบียง อาศัยแสงไฟที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกใสและแสงจากจันทร์บนท้องฟ้าแทน พอทิ้งตัวลงนั่งก็เริ่มรู้สึกว่าอากาศเย็นลงกว่าตอนแรก แต่ผมก็ขี้เกียจกลับเข้าไปเอาผ้าห่มมาสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย นอกจากจะไม่ทำให้ตัวเองอบอุ่นแล้ว ผมยังดึงห่วงที่อยู่บนกระป๋องสีขาวซึ่งเต็มไปด้วยความฉ่ำเย็นอีกด้วย

เสียง ‘ซ่า’ ดังแทรกความเงียบขึ้นมา กลิ่นของเครื่องดื่มในมือโชยแตะจมูก แล้วผมก็ยกมันขึ้นมาจรดริมฝีปาก ปล่อยให้รสชาติความขมแต่นุ่มนวลผ่านลำคอลงไปอย่างเชื่องช้า จนรู้สึกว่ากระป๋องเบาขึ้นถึงได้วางลงบนโต๊ะ เอื้อมหยิบถ้วยมาม่าขึ้นมาแทนที่ ใช้ส้อมพลาสติกคนเบาๆ ให้อาหารมื้อค่ำของผมลดความร้อนลง จากนั้นก็ใช้มันม้วนเส้นมาม่าขึ้นมาจากถ้วย เป่าอีกนิดให้คลายความร้อนระอุ ถึงได้เอาเข้าปาก

สิ่งที่เข้ามาในปากผมไม่มีความอร่อยเลยแต่เพราะต้องกินไง ผมถึงฝืนกลืนลงคอไปอย่างเสียไม่ได้ จนหมดไปครึ่งถ้วย ก็ได้เวลายอมแพ้ให้กับความไม่อร่อยของมาม่าในมือ ผมวางมันลงและหยิบเบียร์กระป๋องเดิมขึ้นมาดื่มเป็นการปลอบโยนจิตใจที่เสียไปกับอาหารมื้อนี้

บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ มีเพียงเสียงแมลงตัวเล็กที่พร้อมใจกันอวดเสียงเพราะๆ ของพวกมัน ฟังเพลินดีครับ ด้านหน้าผมที่ตอนกลางวันเห็นเป็นทิวเขาสูงใหญ่และแม่น้ำสายยาว บัดนี้เหลือเพียงความมืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีดำ

...เหมือนสีของหัวใจของคุณยะ

ความใจดำของเขาคือการที่ไม่คิดจะสนใจความรักของผม ทอดทิ้งผมไว้กับความหลงใหลที่ทำให้ผมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ตัวเขา หัวใจเขา ไกลห่างออกไปจากผมทุกที

มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้สีของหัวใจเขาจางลง ไม่เป็นสีดำสนิทอย่างในตอนนี้ คงไม่มีหรอกมั้ง เด็กอย่างผมที่แสนธรรมดาจะมีวิธีไหนไปเปลี่ยนสีหัวใจเขาได้ ยังไงก็ต้องทนอยู่กับหัวใจสีดำของเขาไปตลอดทั้งชีวิต พอคิดอย่างนี้ใจก็ห่อเหี่ยวและมืดหม่นขึ้นมาอีกจนได้ แม้แต่เบียร์รสชาติขมก็ไม่สามารถฉุดอารมณ์ของผมให้แจ่มใสขึ้นมาได้ แถมมันยังทำให้ผมรู้สึกมึนขึ้นมาหน่อยๆ แล้วด้วย แต่ไม่มากเท่าไรหรอก

ตอนนี้ผมรู้สึกว่าอากาศเย็นขึ้นอีกสเต็ปหนึ่ง แต่ว่าไม่ทันไร เม็ดฝนก็หล่นลงมากระทบหลังคาเบาๆ ก่อนจะเทลงมาอย่างหนักหน่วงจนกลบเสียงเพลงของแมลงกลางคืนไปจนหมด ผมเลยกลับเข้ามาในห้อง เดินตรงไปที่เตียง เลือกหยิบเสื้อยืดสีขาวติดโบว์สีชมพูกับกางเกงลายดอกทานตะวันขึ้นมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ตั้งใจว่าอาบน้ำแล้วจะเข้านอนทันที ก็บรรยากาศที่มีฝนตกหนักๆ แบบนี้มันน่านอนซุกตัวในผ้าห่มนี่นา


.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 22 (13-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 13-12-2018 20:52:08
.

.

.

พอเดินออกมาจากห้องน้ำหลังอาบน้ำและแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมสำหรับการนอนหลับไปพร้อมสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างรุนแรงเหมือนฟ้ารั่ว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างได้จังหวะ ผมเดินไปใกล้ประตู จับลูกบิดที่สภาพมันหลวมเต็มที ครั้งแรกที่จับมัน ผมก็นึกกลัวว่าจะล็อกได้หรือเปล่า ก็ยังดีครับที่ถึงจะเก่าและหลวมแต่ยังกดล็อกได้อยู่

“ใครครับ” แม้จะคิดว่าเป็นคนที่บังคับผมให้มากับเขา แต่เพื่อความไม่ประมาท ผมก็ต้องตะโกนถามออกไป

“ฉันเอง”

ได้คำตอบที่แข่งมากับเสียงฝนกระหน่ำแล้ว ผมก็หมุนลูกบิดในมือเปิดให้คนข้างนอกเข้ามาในห้อง สภาพของเขาเปียกโชกไปทั้งตัวจากน้ำฝน

ผมแปลกใจว่าทำไมเขาถึงตัวเปียกได้ล่ะ เขาไม่กางร่มมาด้วยเหรอ ก้มดูมือของเขาและบริเวณหน้าประตูก็ไม่มีร่มสักคัน หรือว่าเขาเจอฝนกลางทาง และการที่เขาจะเจอฝนกลางทางได้ก็แปลว่าเขาเดินกลับมานานแล้ว เขาต้องยืนเคาะประตูอยู่นานแน่ๆ เพราะฝนตกนานแล้วนะ ตกก่อนที่ผมจะอาบน้ำเสียอีก

...รู้สึกผิดขึ้นมาเลยที่ปล่อยให้เขารอนอกห้องในสภาพตัวเปียกและหนาวเย็น

ดังนั้นผมเลยรีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวที่ไม่ค่อยขาวเท่าไร เนื่องจากผ่านการใช้งานมานานแต่ยังดีที่มีกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยให้มันดูดีขึ้นมาหน่อย

“เช็ดผมก่อนครับ” มือที่ชุ่มด้วยน้ำฝนยื่นมารับผ้าเช็ดตัวไปจากมือผม ก่อนจะใช้ผมเช็ดผมที่เปียกชุ่มของตัวเอง พร้อมกับเดินไปที่ห้องน้ำ แต่ขายาวๆ นั้นไม่ได้ก้าวเข้าไปข้างในทันทีหรอก เขาหยุดยืนบนพรมหน้าประตูห้องน้ำ หันหน้ามาตั้งคำถามกับผมด้วยเสียงเข้มหน่อยๆ

“ทำไมไม่ออกไปกินข้าว”

“ผมขี้เกียจออกไปเลยกินมาม่า” ผมบอกเขา ขณะที่เท้าข้างหนึ่งกำลังลากเอาพรมเช็ดเท้าที่อยู่หน้าประตูไล่เช็ดหยดน้ำบนพื้นห้องตามทางที่เขาเดิน

“กินได้หรือไง ?” เขาถามมาอีก น้ำเสียงเบาความเข้มลง

“ใส่ผงมาม่านิดเดียว” นิดจนแบบว่าน้ำไม่เปลี่ยนสีเลย ตอนกินก็แทบไม่มีกลิ่นอะไรด้วยซ้ำ

“ข้าวมีให้กินก็ไม่ยอมกิน” เขาบ่นหน่อยๆ พลางเช็ดผมของตัวเองไปด้วย แต่แล้วสายตาของเขาก็เหมือนมีคำถามเมื่อผมลากพรมเช็ดเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

ผมรู้เลยว่าเขากำลังแปลกใจกับอะไร ก็จะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนตัวผม เสื้อคอกว้างแต่งลายด้วยโบว์สีชมพูอันใหญ่กับกางเกงขาสั้น ที่ใส่แล้วกลับพบว่าสั้นยิ่งกว่าตอนกางออกดูซะอีก ส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั้น ผมไม่ได้หยิบมาใส่ด้วยหรอก ภายใต้กางเกงขาสั้นเลยว่างเปล่า

“คุณให้ใครไปซื้อเสื้อผ้าพวกนี้มาให้ผมล่ะ” ผมถามเขาก่อนที่เขาจะถามซะอีก “ทำไมคุณไม่บอกเขาให้ชัดๆ ว่าผมเป็นผู้ชาย คนที่ออกไปซื้อจะได้ไม่ซื้อมาผิด” โทษว่าเป็นความผิดของเขาด้วยแหละ แต่เขากลับไม่รู้สึกผิดเลยที่ทำให้ผมต้องมาใส่เสื้อผ้าพวกนี้ แถมยังเอาคำพูดอะไรก็ไม่รู้มาทำให้ใบหน้าผมเห่อร้อนขึ้นมา ทั้งที่อากาศออกจะเย็น

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรที่จะใส่เสื้อผ้าแบบนี้ แค่จะบอกว่า...น่ารักดี” เขาพูดออกมาทั้งปากและสายตาที่มองมายังเสื้อผ้าบนตัวผม

“น่ารักบ้าอะไรล่ะ” ผมว่าเสียงขุ่น ทำหน้าบึ้ง เป็นการกระทำที่ใช้กลบเกลื่อนความร้อนของใบหน้า ก่อนจะหันหลังหนีสายตาของเขาที่กำลังเลื่อนต่ำไปยังขาของผม

...บอกแล้วว่ากางเกงขามันสั้นมาก

ผมหนีสายตาของเขาด้วยการใช้เท้าลากพรมเช็ดเท้ากลับไปไว้ที่เดิมตรงหน้าประตูห้อง กลั้นใจอยู่นานกว่าจะหันกลับเข้ามาในห้อง แต่ก็พบว่าประตูห้องน้ำปิดลงเสียแล้ว ซ่อนร่างกายสูงใหญ่ไว้หลังประตูบานนั้น

“ห้ามรู้สึกอะไรทั้งนั้น!” ผมปรามความรู้สึกของตัวเอง ทั้งที่หัวใจแสนงี่เง่าของผมอยากได้ยินคำชมของเขาซ้ำๆ “พอได้แล้ว หยุดคิด หยุดเพ้อ” สองมือตีแก้มตัวเองเบาๆ ให้คลายความเขินอายกับคำพูดของเขาลง

เมื่อเตือนตัวเองให้ใจสงบลงได้แล้ว ผมก็จัดการเอาถุงเสื้อผ้าที่กองบนเตียงไปวางไว้ที่โซฟาข้างผนังห้องที่ติดกับระเบียง ก่อนกระโดดขึ้นเตียงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งตัว รวมทั้งศีรษะด้วย อากาศเย็นแบบที่ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศเลยด้วยซ้ำ อาศัยแค่พัดลมบนเพดานอย่างเดียวก็พอแล้ว

ผ่านเวลาไปสักพัก ผมก็เริ่มขยับ

...พลิกตัวไปทางซ้าย

...พลิกตัวไปทางขวา

...พลิกกลับไปอีกด้าน

...พลิกกลับไปด้านเดิม

...พลิกตัวนอนหงาย

...พลิกตัวนอนคว่ำ

...พลิกแล้วพลิกอีก

หื้อ... อากาศมันดีจนผมข่มตาหลับไม่ได้ หรือเพราะความรู้สึกที่ว่าคืนนี้ผมไม่ได้นอนคนเดียว คืนนี้คุณยะจะนอนกับผม ถึงนอนคนละเตียงและไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เถอะ แต่ผมก็อดที่จะตื่นเต้นขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยไม่ได้ จนกลายเป็นความตื่นเต้นมหาศาล เลยทำให้นอนยังไงก็นอนไม่หลับ หูก็คอยแต่เงี่ยฟังว่าเมื่อไรประตูห้องน้ำจะเปิดออก

แล้วการรอคอยก็สิ้นสุด เมื่อเสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น พร้อมกับคำถามที่ดังเข้ามาในโปงผ้าห่มของผม

“หายใจออกหรือไง ?”

“.....” ก็ต้องหายใจออกสิ หายใจไม่ออกผมก็ตายไปนานแล้ว เพียงแต่มันอึดอัดจนต้องดึงผ้าห่มออกจากใบหน้า เพื่อให้จมูกได้สูดอากาศเข้าปอดได้เต็มที่กว่าใต้ผ้าห่ม แต่ก็ต้องหยีตาสู้แสงจากหลอดไฟบนเพดานอยู่เหมือนกัน

พอปรับสายตาได้ผมก็มองตามแผ่นหลังกว้างเปลือยเปล่าที่เห็นว่ามีรอยเล็บข่วนเป็นทางยาวสีจางๆ แน่นอนว่าไม่ใช่รอยลากยาวของเล็บเจ้าแมวน้อยตัวไหนหรอก เห็นอย่างนั้นแล้วหัวใจที่เต้นตึกตักพลันก็หมดแรงเต้น ผมหันหลังให้สิ่งที่เห็นทันที ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะไว้อีกครั้ง ปิดกั้นการมองเห็นทุกการกระทำของคนร่วมห้อง ทว่าหูก็ยังฟังเสียงที่เกิดขึ้นภายในห้องนอนกว้างหลังนี้อยู่ดี

ก่อนที่ผมจะหันหลังให้กับแผ่นหลังกว้างนั้น เขายืนอยู่หน้าตะกร้าขนม มือกำลังเสียบปลั๊กกาต้มน้ำร้อน ผมเดาว่าถ้าไม่ชงชาดื่มก็คงเป็นโอวัลติน ไม่น่าจะใช่กาแฟเพราะตอนนี้มันกลางคืนแล้ว เป็นเวลาที่ควรทำให้ร่างกายง่วง ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเอาคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ส่วนตอนนี้เขาคงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพราะผมได้ยินเสียงเปิดตู้ ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงปิดตู้ ตามด้วยเสียงประตูห้องน้ำเปิดอีกครั้ง จากนั้นก็เสียงปิดประตูห้องน้ำ เสียงฝีเท้าที่น่าจะไปหยุดอยู่ที่หน้ากาต้มน้ำร้อนอีกรอบ

...เหมือนได้กินหอมบางอย่างลอดเข้ามาในผ้าห่ม มาชนที่ปลายจมูกของผม

เป็นอีกครั้งที่ผมดึงผ้าห่มออกจากใบหน้า เพื่อจะมองดูว่ากลิ่นหอมนั้นมาจากอะไร และถ้วยมาม่าในมือของเขาก็เป็นคำตอบ ผมเห็นเขาถือมันออกไปที่ระเบียงห้อง ถือออกไปในสภาพที่สวมใส่แค่กางเกงผ้าขาวยาว ส่วนลำตัวด้านบนปล่อยโล่งท้าลมเย็นของกลางคืนอย่างที่สุด...

ไม่หนาวหรือไง ?

แต่สิ่งที่ผมสงสัยพอกันคือ...ทำไมเขาถึงกินมาม่าล่ะ เขาเกิดหิวขึ้นมาอีกอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเขายังไม่ได้กินข้าว ?

...ไม่ใช่มั้ง

หรือจะใช่ ให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่า พอเขารู้ว่าผมไม่ไปกินข้าว เขาเลยตามมาเรียกผมด้วยตัวเอง เพราะห่วงผม ไม่อยากให้ผมอดมื้อเย็น

ใช่...หรือ...ไม่ใช่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้วตอนนี้ เพราะผมกำลังเอาทั้งตัวออกมาจากผ้าห่ม ก้าวขาลงจากเตียงไปตามเสียงหัวใจเรียกร้อง ทุกอย่างมันดูง่ายดายไปเสียหมด ผมลืมความโกรธ ลืมความรู้สึกน้อยอกน้อยใจเขา ลืมว่าควรเอาตัวเองออกมาให้ไกลจากเขา จากหัวใจสีดำของเขา ทว่าผมก็ทำไม่ได้ ทุกอย่างที่เป็นเขาคล้ายเป็นมนตร์ดำมืดที่ฉุดหัวใจผมให้ดิ่งลงลึก จมลงไปหาความมืดมิดแสนร้ายกาจนั้น

ผมไม่ได้เดินออกไปหาเขาแบบตัวเปล่า ในมือมีเบียร์หนึ่งกระป๋องติดออกไปด้วย ก็ต้องมีอะไรกินย้อมใจหน่อยสิ

“ใครอนุญาตให้กิน” เปิดประตูระเบียงออกไป ขายังก้าวไม่พ้นกรอบประตู คำถามก็ดังขึ้นในความเงียบเชียบที่ขึงครอบด้วยความมืดของค่ำคืน เพราะเขาไม่ได้เปิดไฟที่ระเบียง

เขายังไม่ได้เห็นกระป๋องเบียร์ในมือผมหรอก แต่ที่ถามอย่างนั้นเพราะหลักฐานที่อยู่บนโต๊ะไม้ต่างหาก กระป๋องเบียร์เปล่าที่ผมยังไม่ได้หยิบไปทิ้งลงถังขยะ

“มันอยู่ในตู้...แสดงว่ากินได้” ผมตอบคำถามของเขา ขณะที่เดินผ่านหน้าเขาไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ ที่ระเบียงมีเก้าอี้สองตัวกับโต๊ะเตี้ยอีกหนึ่งตัว

“อย่าแกล้งทำไม่รู้ว่าฉันหมายถึงแบบไหน” เขาหันมามองหน้าผมตรงๆ แล้วสายตาก็เลื่อนลงมายังมือของผมที่กำลังดึงห่วงกระป๋องเบียร์ออก

“แล้วคุณหมายถึงแบบไหนล่ะ ?” ผมถามกลับ ตั้งใจยั่วเขาด้วยการยกเบียร์ขึ้นดื่มแบบที่ไม่ยอมหลบสายตาเขา สุดท้ายเป็นเขาที่ยอมแพ้ให้กับผม เขาถอนหายใจนิดๆ หันกลับไปให้ความสนใจถ้วยมาม่าในมือต่อ เขาใช้ส้อมม้วนเส้นยาวๆ เข้าปากและไม่พูดอะไรอีก

ส่วนผมก็นั่งเงียบๆ กับเบียร์ในมือ สภาพอากาศหลังฝนตกเย็นจัดดีครับ ดีจนต้องยกเท้าขึ้นมาวางบนเก้าอี้ สองมือกอดรอบเข่าตัวเองเอาไว้

“คุณจะซื้อที่นี่จริงเหรอ” ผมหาเรื่องชวนเขาคุย หลังจากปล่อยให้ความเงียบแยกเขาออกไปจากผม ที่ผมออกมาท้าลมเย็นแบบนี้ก็เพื่อจะได้อยู่ในสายตาเขา ให้เขาบ่นว่าอะไรผมก็ได้ ดีกว่าที่เขาจะทำเหมือนไม่เห็นผมอยู่ในสายตา

“เธอว่าไงล่ะ” เขาวางถ้วยมาม่าลงบนโต๊ะ หันมาเอาคำตอบจากผม

“แล้วคุณคิดยังไงล่ะตั้งแต่เปิดประตูห้องเข้ามา มีอะไรบ้างในห้องที่คุณไม่อยากเปลี่ยน” เพราะขนาดผมยังอยากเปลี่ยนมันทุกอย่างเลย ทุบบ้านพักทั้งหลังทิ้งได้ ผมก็จะทำ ที่นี่มีดีแค่สถานที่ที่มีทั้งภูเขาและแม่น้ำเท่านั้นแหละ นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นห้องพัก ล็อบบี้ พนักงาน อุปกรณ์ และความสะอาด ไม่มีอะไรชวนให้อยากกลับมาใช้บริการซ้ำเป็นหนที่สอง

แต่คำตอบของเขากลับไม่ใช่แบบที่ผมคิด มันมากไปกว่านั้น

“เธอไง... พี”

“.....” ผมไร้คำพูดไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกไปกับคำตอบสั้นๆ ของเขา เขาต้องการบอกอะไรผม ต้องการให้ผมรู้สึกอย่างไรกับคำพูดของเขา

แต่สุดท้ายผมก็เอาคำพูดออกมาจากปากได้ เมื่อผ่านเวลาไปเกือบนาที

“ผมไปเกี่ยวอะไรด้วย” แถมยังอ้างไปถึงผู้หญิงอีกคนที่เป็นเจ้าของที่นี่ “...ผมไม่ใช่คุณแก้วสักหน่อย” ปากก็อดพูดถึงผู้หญิงที่ผมรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ไม่ว่ากับใคร ผมก็อิจฉาทั้งนั้น เพราะพวกเขาและเธอต่างเป็นคนที่เขาสนใจ ไม่เหมือนผมที่กว่าจะได้รับความสนใจจากเขาก็ต้องเรียกร้องความสนใจแบบงี่เง่าไปตั้งหลายครั้ง

“พูดถึงคนอื่นทำไม” ในความมืดสลัวที่มีเพียงแสงไฟจากในห้องและแสงจันทร์บนฟ้าสีราตรี ผมเห็นริมฝีปากเขามีรอยยิ้มหน่อยๆ “ชอบเธอหรือไง”

คิดได้ไงว่าผมชอบเธอ!

ผมนี่นะจะชอบเธอ ไม่มีวันซะหรอก ถึงคุณแก้วจะไม่ได้ทำอะไรผมเลยก็ตาม แต่เธอคือคนที่คุณย่าชอบ เป็นว่าที่สะใภ้ที่คุณย่าอยากให้เข้ามาใช้นามสกุลตรัยธาดา... นี่แหละเหตุผลที่ไม่ว่าอย่างไรผมห่างไกลจากคำว่า ‘ชอบเธอ’

“คนที่ชอบเธอคือคุณมากกว่า” ผมว่าเบาๆ แต่ความเงียบรอบตัว บวกกับการที่เรานั่งห่างกันแค่โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่ากั้นกลางเท่านั้น เขาถึงได้ยินคำพูดของผมชัดเจน

“ผู้หญิงสวยใครก็ต้องชอบ” ครั้งนี้ผมเห็นรอยยิ้มเขากว้างกว่าเดิม เขากำลังนึกถึงคุณแก้วคนสวยอยู่ละซี่ ผมไม่น่าเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเลย

...เกลียดปากตัวเองจริงๆ ที่ยังไม่หยุดทำร้ายหัวใจตัวเองได้ซะที มันยังพล่ามคำพูดทิ่มแทงหัวใจตัวเองออกมาอย่างโง่เง่า

“ชอบเธอมากหรือไง”

“เธอว่าไงล่ะ ?” เขายังคงยิ้ม “คิดว่าฉันชอบเธอมากไหม”

“จะไปรู้ใจคุณเหรอ” รู้ว่าเขากำลังแกล้งยั่วอารมณ์ผม เขาเป็นผู้ใหญ่ที่รู้ว่าเด็กอย่างผมกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไรกับเขา เขาถึงได้เอาความรู้สึกของผมมาล้อเล่น

“ฉันนึกว่าเธอจะรู้”

“รู้อะไร ?” รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกต้อน แต่ก็ยังหลงกล

“รู้... ใจฉัน”

“.....” ผมกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนรู้สึกเจ็บเป็นการหักห้ามหัวใจไม่ให้โลดแล่นไปกับคำเพียงไม่กี่คำจากเขา แต่ก็ทำเอาผมไม่กล้าสบตากับดวงตาสีราตรีนั้น ผมหันหน้าหนี แสร้งยกเบียร์ขึ้นดื่มไม่ให้ปากตัวเองว่าง... และหาเรื่องใส่ตัวอีก

คำพูดของเขา มันอาจไม่ได้มีอะไรแอบแฝงเลยก็ได้ ผมคิดมากเกินไป คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังให้ความหวังผม

จนเมื่อเบียร์หมด ผมวางกระป๋องเปล่าลงบนโต๊ะ ยกมือขึ้นกอดเข่าตัวเองอีกครั้ง และยังไม่กล้าหันกลับไปมองสบตากับเขา ผมสัมผัสได้ว่าสายตาคู่นั้นยังจับจ้องมาที่ผม มองอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขามองมาด้วยความรู้สึกเช่นไร

“ฉันจะเข้าไปข้างในแล้ว” เขาพูดขึ้น ทำเอาผมสะดุ้งหน่อยๆ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งเขาและผมนั่งเงียบเกือบสิบนาที “เธอจะนั่งต่อก็ได้นะแต่อย่านาน อากาศมันเย็น เธอจะไม่สบายเอาได้” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสู้ พร้อมจากไปจากผม

“แล้วเอาพี่เลม่อนไปไว้ที่ไหนล่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นถามคนที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปในห้อง เขาหยุดที่กรอบประตู “...ถ้าคุณแต่งงานกับเธอ”

“ในที่ของเขา” เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว

แล้วมีตรงไหนในชีวิตเขาที่เป็นของผมได้บ้าง

...คงไม่มีหรอก

ผมต้องทำใจแล้วใช่ไหมว่าสักวันเขาต้องแต่งงาน ผู้หญิงที่เขาเลือกแต่งงานด้วยคือคุณแก้ว ว่าที่สะใภ้ที่คุณย่าปลื้ม

.

.

.

ผมกลับเข้าไปในห้องหลังผ่านไปสองสามนาทีหลังจากที่แผ่นหลังกว้างไร้เสื้อผ้าปกปิดรอยสีแดงจางลับสายตาไป ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่บนเตียง น่าจะอยู่ในห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันอยู่มั้ง ผมไม่ได้ทำตามคำบอกที่เหมือนจะห่วงใยของเขา ที่กลับเข้ามาในห้องก็เพื่อจะหอบเอาเบียร์อีกสองกระป๋องในตู้เย็นออกมาดื่มให้เกลี้ยง ผมจะใช้รสชาติขมของเบียร์ปลอบโยนหัวใจที่พ่ายแพ้ของตัวเอง

เฮ้อ... เมื่อไรผมก็แพ้ กับใครผมก็แพ้ ไม่ต้องคิดไปสู้ใคร คิดดูสิว่าผมขี้แพ้ขนาดไหน แม้แต่ปากตัวเอง ผมก็เอาชนะไม่ได้เลย

ตอนนี้ผมไม่ได้เกลียดเขาเท่ากับเกลียดคำถามที่ออกจากปากของตัวเอง ทำไมผมต้องตั้งคำถามที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจ็บกับคำตอบที่เป็นเรื่องจริงนั้นด้วย

ผมกลับออกมานั่งที่ระเบียง ดื่มด่ำกับความขมที่เย็นเฉียบซึ่งผ่านลำคอผมลงไปจนหมดกระป๋อง ดูเหมือนมันจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายยิ่งลดลง (มั้ง) แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งผมจากกระป๋องสุดท้ายได้ ผมกรอกรสชาติขมของเบียร์เข้าปากในสภาพที่แผ่นหลังอิงไว้กับพนักเก้าอี้ ร่างกายคล้ายใกล้เป็นของเหลวเต็มทีเพราะถ้านับจริงๆ เบียร์กระป๋องนี้เป็นกระป๋องที่สี่แล้ว ซ้ำร้ายยังเป็นคนละยี่ห้อกับสองกระป๋องแรกด้วย

ถึงมันจะเป็นเบียร์เหมือนกัน แต่เป็นเบียร์คนละยี่ห้อ แน่นอนว่าฤทธิ์ของมันทั้งสองต้องตีกันอยู่ในร่างกายผมอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว

นอกจากร่างกายผมจะอยู่ในสภาพใกล้จะไร้กระดูก ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ยังทำให้ผมมึนเมา สติพร่าเลือน ความสามารถในการมองเห็นก็คล้ายจะคูณสอง หมายถึงว่าผมสามารถเห็นใบหน้าคมเข้มของคุณยะถึงสองด้วยกัน!

...คุณยะกำลังมีสองหัว

ผมอยากจะขำจริงๆ ถ้าไม่ติดที่คนสองหัวเดินเข้ามาหาผม แล้วก็แย่งเอาเบียร์ในมือผมไปเททิ้งที่ระเบียง ด้วยความเสียดายเบียร์ที่เหลือมากกว่าครึ่งกระป๋อง ผมรีบถลาตามร่างสูงไป กะว่าจะไปแย่งเอากระป๋องเบียร์มาจากมือเขา แต่ด้วยความมึนเมาทำให้ผมทำได้ถลาไปกอดแขนเขา ส่วนเขาก็โยนกระป๋องเบียร์ทิ้งลงระเบียงไปเลย

หึ! พวกทิ้งขยะไม่เป็นที่!

ทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมก็ต้องถอยทัพกลับมาประจำการที่เก้าอี้ตัวเดิม ยกขาขึ้นมากอด วางคางไว้บนเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นก็หลับตาลง อารมณ์คืออยากนอนแต่ไม่อยากกลับเข้าไปข้างใน... และเอาจริงๆ คืออยากขัดคำสั่งเขาด้วยการไม่กลับเข้าไปนอนในห้อง

...งี่เง่าเนอะ

แต่ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ งี่เง่า เอาแต่ใจตัวเอง และอยากให้คนมาเอาใจ โดยเฉพาะเขา

“เข้าไปนอนข้างในพี” เขาแตะที่ข้อศอกผม

“ไม่ต้องมายุ่งกับผม” ผมขยับแขนหนีสัมผัส ซึ่งก็ทำได้ไม่มากเท่าไร ในเมื่อผมถูกจำกัดด้วยพื้นที่ของเก้าอี้และสภาพร่างกายที่มึนเมา

“เมาแล้วดื้อตลอด” ผมได้ยินเขาถอนหายใจใส่ “ลุกพี เข้าไปนอนในห้อง”

“ไม่ๆๆๆๆๆๆ... ม่ายยยย” ผมรัวยาวเลย ไม่ยอมขยับตัวไปไหนทั้งนั้นแหละ ผมจะดื้อ จะเอาแต่ใจ เขาจะได้สนใจผมมากขึ้น

“อย่าดื้อพี”

“ก็ผมจะดื้อ ใครจะทำไม” เอะอะก็ชอบว่าผมดื้อ ถึงจะเป็นความจริงก็เถอะ แต่เขาไม่มีสิทธิ์มาโยนคำนี้ใส่ผม มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ด่าตัวเองได้

...เข้าใจใช่ไหมครับ เราด่าตัวเองได้ แต่คนอื่นห้ามด่า

“พีเข้า...” ผมรู้ว่าเขาจะพูดประโยคไหนออกมาอีก ก็ประโยคเดิมที่สั่งให้ผมกลับเข้าไปในห้องนั่นแหละ ผมเลยปฏิเสธออกมาก่อนที่เขาจะพูดจนจบประโยค

“ไม่!...ไม่...และไม่...และก็ไม่” ที่เถียงเขาอยู่นี่ ใช่ว่าผมจะมองหน้าเขาแล้วเถียงเป็นเด็กเอาแต่ใจนะครับ ผมเถียงทั้งที่ยังซุกหน้าเข้าหาตัวเอง วางหน้าผากไว้กับเข่าทั้งสองข้าง ตาก็ปิดสนิทด้วย

เขาเงียบไปแล้ว ไม่มีคำสั่งออกมาจากปากเขา และมันนานจนเกินไป ผมเลยต้องลืมตาเงยหน้าขึ้นมามองหาเขา

เขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว

ผมชนะเขาแล้วใช่ไหม ?

ทำไมผมไม่ดีใจนะ... ก็เพราะความจริงผมแพ้ไง ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ผมต้องการ

เขาเป็นผู้ชนะที่แท้จริง... เอาชนะเด็กดื้อที่ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยการเมินเฉย ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เด็กดื้อทำเพื่อเรียกร้อง ต่อให้ผมบีบน้ำตาออกมา เขาก็คงไม่สนใจผม

เขาเป็นคนใจดำที่สุด!

สนใจผมหน่อยก็ไม่ได้!


จบตอนที่ 22

เป็นการตัดจบตอนที่ห้วนมาก

เนื้อหาตอนนี้เรื่อย ไม่พีคเลย
เอาเป็นตอนหน้าไปกินน้ำผึ้งขมหน่อยๆ กันเนอะ
เขียนได้ครึ่งพล็อตละ ^_^

ปล.อดทนกันต่อไปน้า อย่าทิ้งกันไปไหน
สักวันเขาจะได้รักกัน
และนี่ก็เกินครึ่งทางแล้ว มีอีกสักสองสามสี่ห้าหกประเด็นก็ตัดเข้าปัจจุบันได้แล้ว

 :katai4:

สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 22 (13-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-12-2018 21:29:41
มุมมองของพีต่อสภาพแวดล้อมรอบๆ รีสอร์ทนี่สมเป็นทายาทเจ้าของโรงแรมจริงๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 22 (13-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-12-2018 09:59:03
น้องพีน่าจะบริหารเก่งนะ แต่เฮ้อออออ ดูยังไงเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะจบแบบแฮปปี้ได้เลย
ในเมื่อคุณยะไม่เคยที่จะรักษาสัญญาอะไรได้เลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 22 (13-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 15-12-2018 22:55:05
หน่วงตลอด เดาไม่ออกเลยว่าจะไปรักกันตอนไหน ยังไง :katai5:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 23 (16-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 16-12-2018 19:43:03
ตอนที่ 23

แล้วผมก็กำลังจะมีน้ำตาออกมาจริงๆ มันเป็นน้ำตาที่มาจากความรู้สึกพ่ายแพ้ ความรู้สึกที่ว่าถูกทิ้ง ไม่ได้รับการเหลียวแล ทว่าน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ขอบตายังไม่ทันไหล ผมก็รีบใช้หลังมือเช็ดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว เพราะใครบางคนกำลังเดินผ่านกรอบประตูออกมา ในมือเขาถือบางอย่างออกมาด้วย ผมมองไม่ชัดว่าเป็นอะไร แต่พอเช็ดน้ำตาออกไปหมดแล้ว บวกกับที่เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมของเขา ผมจึงเห็นว่าเป็นขวดน้ำเปล่ากับกระป๋องน้ำอัดลมสีแดง

“ดื่ม เธอจะดีขึ้น” เขาวางขวดน้ำไว้บนโต๊ะ แต่ผมไม่หยิบขึ้นมาทำตามคำสั่งของเขาหรอก เพราะผมจะดื้อให้สมกับคำที่เขาประทับตราให้ผม

“ตอนนี้ผมเลวอยู่หรือไง” ผมตีรวนใส่เขา รู้หรอกว่าเขาให้ผมดื่มน้ำเพื่ออาการเมาของผมจะได้ลดลง

“คิดเองสิโตแล้ว”

“คิดเองไม่เป็นเพราะยังไม่โต” ผมตามอารมณ์ตัวเองไม่ทันแล้ว เมื่อกี้ยังนึกอยากร้องไห้ น้อยอกน้อยใจที่เขาเดินหนีผม แต่พอเขาโผล่กลับมา ผมก็ทำปากเก่งปากดี ต่อปากต่อคำกับซะงั้น

พอถูกผมย้อนไปอย่างนั้น เขาก็เงียบไปนิดหนึ่ง มองหน้าผมแต่ไม่พูดอะไร ก่อนจะดึงสายตาไปยังความมืดเบื้องหน้า ขณะที่ผมยังจ้องเสี้ยวหน้าของเขาอยู่ มองดูเขาที่ยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมาดื่ม มองตามจังหวะการเคลื่อนไหวของลำคอตอนที่น้ำสีดำไหลผ่านตรงนั้นไป และเป็นการมองที่เพลินจนดึงสายตากลับไม่ทันเมื่อเขาหันกลับมา

“มองหน้าฉันทำไม ?”

“.....” ไม่ได้มองหน้าซะหน่อย มองคอต่างหาก

“หน้าฉันมีอะไร ?”

ถ้าบอกว่าหน้าของเขามีแต่ความคิดถึงของผมแปะอยู่ล่ะ เขาจะหัวเราะไหม แต่ที่แน่ๆ ผมไม่กล้าตอบแบบนั้นออกไปหรอก เลยได้แต่ตอบกลับไปว่า...

“ผมอยากดื่มโค้ก”

...ที่อยู่ในมือเขา

“เข้าไปเอาเอง”

...ไม่ไปหรอก เพราะผมอยากดื่มโค้กกระป๋องเดียวกับเขา

และในตอนนี้สมองของผมถูกควบคุมโดยแอลกอฮอล์ที่ในเบียร์สามกระป๋องครึ่ง มันสั่งให้ร่างกายที่คล้ายจะอ่อนปวกเปียกของผมลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า สั่งให้ผมพาตัวเองไปใกล้เขา จากนั้นก็บังคับผมให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อที่จะขึ้นไปนั่งคร่อมทับอยู่บนหน้าขาแข็งแกร่งของเขาที่จะรับน้ำหนักผมได้อย่างสบายๆ ...มั้ง

จะสบายหรือปวดเมื่อย ผมก็ไม่สน ที่ผมสนคือร่างกายที่ไม่ขัดขืนหรือริมฝีปากที่ไม่ได้เอ่ยห้ามการกระทำน่าอายของผมต่างหาก

...สิ่งที่ผมทำ มันน่าอาย แต่ผมก็ยังต้องทำ

ในที่สุดผมก็ปีนขึ้นไปนั่งบนตักเขาได้สำเร็จ สองมือก็ทำหน้าที่แทบจะทันที นั่นคือโอบรอบต้นคอเจ้าของตัก

“เมาแล้วเป็นแบบนี้ทุกที” เสียงเขาเบามาก คล้ายพึมพำกับตัวเอง แต่ผมก็ได้ยิน ก็จะไม่ให้ได้ยินได้อย่างไรเล่า บรรยากาศก็ออกจะเงียบเชียบ และใบหน้าผมก็อยู่ห่างจากหน้าเขาไม่กี่นิ้วเอง และมือของเขาก็เลื่อนลงมาอยู่ที่เอวของผม จับเอาไว้อย่างดีคงกลัวว่าผมจะหงายหลังตกจากตักเขาลงไป

“แบบไหนครับ... คุณยะ” ผมเอียงคอถาม ยิ้มหวานให้กับเจ้าของตัก “...บอกหน่อยสิครับ น้องพีอยากรู้” ริมฝีปากที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ขยับเป็นรอยยิ้มนิดๆ

“ขี้อ้อน” เสียงของเขาน่าฟังขึ้นอีกล้านเท่า!

“.....” ผมชอบคำนี้มากกว่าคำว่าดื้อ

“ชอบยั่ว” เขาใส่ร้ายผม

เอ๊ะ...หรือว่าเป็นความจริง

“คุณยะไม่ชอบหรือครับ” ผมถาม ยังคงยิ้มหวานให้เขา หวานเท่าที่หัวใจผมรู้สึกกับเขา และรักเท่ากับที่ผมหลงใหลในตัวเขาจนไม่สามารถกลับไปเป็นนายพีรัชคนเดิมได้อีกแล้ว

“ทุกอย่างที่เป็นเธอคือที่ฉันชอบ”

ผมเชื่อได้ไหม ?

ถ้าเชื่อ... ผมก็ต้องเจ็บปวดแบบเดิม

ถ้าไม่เชื่อ... ผมก็คงจะไม่มีความสุข

“ฉันบอกเธอไปแล้ว” เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบแก้มผม ตรงไฝเม็ดเล็ก “สิ่งที่ฉันจะไม่เปลี่ยนก็คือ...เธอ”

จำได้ใช่ไหมตอนที่ผมถามเขาว่า ในห้องนี้มีอะไรที่เขาไม่อยากเปลี่ยน คำตอบของเขาคือ...ผม

“ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหลังนี้” เขาหยุดลูบแก้มผม “...หรือว่าในชีวิตฉัน”

“แล้วคุณยะจะเอาน้องพีไปไว้ที่ไหน”

...ในชีวิตเขาจะเหลือพื้นที่ให้ผมอยู่จริงเหรอ ?

“เธออยากอยู่ตรงไหน” เขาถาม แสดงว่าเขาเปิดโอกาสให้ผมเลือกใช่ไหม แล้วถ้าที่ที่ผมเลือกมีคนอื่นจับจองอยู่ล่ะ

...ผมจะสามารถเลือกได้อยู่ไหม ?

“บอกมาสิพี เธออยากอยู่ตรงไหน บอกมาแล้วฉันจะให้เธออยู่ตรงนั้น” ถึงเขาจะบอกผมแบบนี้ แต่เขาก็ให้สิ่งที่ผมอยากได้ไม่ได้หรอก

“น้องพีอยากเลือกอยู่ตรงนี้” ผมดึงมือข้างหนึ่งลงมาจากต้นคอของเขา แล้ววางฝ่ามือข้างนั้นทาบลงไปบนอกซ้ายของเขาที่ไร้สิ่งห่อหุ้ม ยิ่งทำให้ผมสัมผัสได้กับแรงเต้นของหัวใจเขาชัดเจนขึ้น มันเต้นเร็วและแรงมาก คล้ายจะทะลุออกมาได้เลย “แต่คงไม่ทันคนอื่นเขาแล้ว งั้นน้องพีขอเลือกตรงนี้แทน”

ผมเอามือข้างเดิมเลื่อนไปวางมือลงบนหลังมือเขาที่วางอยู่บนแก้มผม

“หัวใจของน้องพีอยู่ในกำมือคุณยะ”

...ตลอดไป

“คุณยะห้ามทำลายมันนะ”

...ผมกำลังขอร้อง

“ห้ามทิ้ง ห้ามกระทืบ”

“ใครจะกล้าทำแบบนั้น” เสียงของเขาอ่อนโยน ไม่ต่างจากรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา ตอนเขาใจดีกับผม โลกของผมก็หอมฟุ้งไปหมด ราวกับว่าผมยืนอยู่กลางทุ่งดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมที่สุดในโลก

“คุณยะนั่นแหละที่กล้าทำ”

...ทำมาแล้วหลายครั้งด้วย แต่ผมก็นะ เจ็บแล้วไม่เคยเข็ด จำแต่ไม่ใส่ใจ

“เธอใส่ร้ายฉันหรือเปล่า”

ดูเขาพูดสิ ทำเหมือนที่ผ่านมาเขาดีกับผมนักนี่ ไม่เคยทำให้ผมเสียใจเสียน้ำตาเลยสักครั้งอย่างนั้นแหละ

“ไม่ได้ใส่ร้ายสักหน่อย พูดจากความจริงล้วนๆ น้องพีน่ะจำได้หมดทุกอย่างแหละ ทั้งคำพูด ทั้งสิ่งที่คุณยะทำกับน้องพี น้องพีร้องไห้เพราะคุณยะมากี่ครั้ง คุณยะไม่รู้หรอก”

“แบบนี้แล้วเธอยังอยากให้หัวใจเธออยู่ในกำมือฉันอีกเหรอ” เขามองเข้ามาในตาผม ดวงตาสีราตรีคล้ายจะเอ่ยบอกให้ผมเอาหัวใจตัวเองกลับไปไว้ที่เดิม อย่าคิดเอามันมาไว้ในกำมือเขา ไม่อย่างนั้นมันจะถูกเขาขยำเล่น ก่อนจะโยนทิ้งอย่างไร้ค่า

ทว่าผมก็ยังเป็นเด็กดื้ออย่างที่สุด รู้ว่าต้องเจ็บก็ยังพร้อมจะเจ็บปวดไปทั้งชีวิต

“ให้ไปแล้วไม่เอาคืนหรอก” เพราะผมไม่รู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองหยุดรักเขาได้ เคยพยายามทำแล้ว แต่ไม่เคยสำเร็จ ผมก็ยังรักเขา รักมากขึ้นทุกวัน

“ฉันก็จะไม่คืนให้เธอเหมือนกัน” เขาป้อนคำหวานใส่หัวใจของผม ที่ทำเอาผมจมลงในหลุมรักของเขาลึกลงไปอีก เขาจะไม่เหลือหนทางให้ผมปีนขึ้นมาเลยหรือไง “...จะเก็บเอาไว้อย่างดี ไม่ให้ใครแย่งเอาไปได้”

“ไม่มีใครแย่งหัวใจน้องพีหรอก” ก็มีแต่หัวใจเขานั่นแหละที่มีคนอยากจะแย่งเอาไป รวมทั้งผมคนหนึ่งแหละที่อยากจะแย่งเอาเขามาเป็นของตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย

“ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่เหนื่อย”

แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันเหนื่อยที่จะยื้อแย่งผมมาจากใคร เพราะผมเป็นของเขาทั้งตัว หัวใจ และลมหายใจ

“คุณยะครับ” ทว่าผมก็ยังหวัง ไม่อยากให้เขาเป็นของใคร “คุณยะจะแต่งงานกับคุณแก้วจริงๆ ใช่ไหม ...ไม่แต่งได้ไหมครับ” แม้ความเป็นไปได้ที่เขาจะทำตามคำขอของผมติดลบไปไกลเลย

“เธออยากให้ฉันแต่งไหม ?” เขาก็ชอบโกงผมตลอด ผมถามแทนที่เขาจะตอบ กลับย้อนถามผมเสียทุกครั้ง

ก็ได้! ในเมื่ออยากถามนัก ผมก็จะตอบ คำตอบที่เอาแต่ใจตัวเองนี่แหละ

“ไม่อยาก”

“ก็ตามนั้น” ไม่คิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้

“ตามนั้น ?” ผมทวนคำตอบง่ายๆ ของเขา “หมายความว่า...ถ้าน้องพีไม่อยากให้คุณยะแต่งงานกับคุณแก้ว คุณยะก็จะไม่แต่ง”

ขอให้ใช่ด้วยเถิดดดดด เพี้ยง!!

“ใช่” เขาพยักหน้า

แล้วคำขอของผมก็เป็นความจริง โดยที่ผมลืมไปแล้วว่าคำโกหกของเขาทำผมเจ็บปวดมาแล้วกี่ครั้ง เพราะผมเจ็บไม่จำไง ที่จำขึ้นใจก็มีแค่ความรู้สึกที่ว่า...รักๆๆๆๆๆ ...ล้นอยู่ในอกซ้ายตลอดเวลา

“กับคนอื่นด้วยไหม ถ้าน้องพีไม่อยากให้คุณยะแต่งงานกับใครไปทั้งชีวิต คุณยะก็จะไม่แต่งงานกับใครเลยใช่ไหม” ผมเริ่มโลภมาก ส่วนเขาก็ทำให้ความโลภมากของผมลงเอยด้วยดี

“ใช่”

คำตอบเพียงคำเดียว ทว่ามันดังกระหึ่มไปทั้งหัวใจของผม ที่ภายในนั้นเต็มไปด้วยผีเสื้อมากมายที่ขยับปีกบอบบางโบยบินอย่างแสนสุข แต่ฉับพลันพวกมันก็ค่อยๆ หุบปีกลง เมื่อคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวใจของผม

“แล้วถ้าน้องพีอยากให้คุณยะเลิกกับพี่เลม่อน คุณยะทำให้น้องพีได้ไหม”

“ฉันทำไม่ได้” เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนหลายครั้งที่เขาตอบคำถามผม เขาก็ไม่ได้เสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว

มันเป็นเพราะเขามีคำตอบอยู่ก่อนแล้ว หรือเพราะมันง่ายที่จะตอบความจริงออกมา เขาเลยไม่ต้องคิดหาคำโกหกอะไรมาหลอกลวงผม

“ถ้าทำได้ ฉันก็ทำไปนานแล้ว”

...เหมือนที่ผมก็บอกให้ตัวเองเลิกรักเขาไม่ได้ ถ้าทำได้ก็คงทำได้ไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกเขาทำร้ายจิตใจจนย่อยยับ

“อย่าถามคำถามนี้กับฉันอีกเลย” เขาบอก ฟังคล้ายขอร้องให้ผมอย่าไปยุ่งกับคนของเขา คนที่จับจองพื้นที่ในหัวใจของเขาไปแล้ว

“รู้แล้วครับ น้องพีจะไม่ถามอีก” ผมรับคำเสียงเบา หัวใจไร้เรี่ยวแรง คิดว่าต้องได้คำตอบแบบนี้ ยังไงเขาก็ไม่มีทางเลิกกับพี่เลม่อน

“อย่าเศร้า” เขาลูบแก้มผม ตรงไฝเม็ดนั้นอีกแล้ว “ฉันอยากเห็นเธอยิ้มมากกว่า”

“ไม่เศร้าแล้ว” ผมพยายามฉีกยิ้ม เป็นยิ้มที่ปวดร้าวไม่น้อย แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เผลอก้าวขาลงไปในหลุมความเจ็บปวดนั้นซ้ำอีก “คุณยะชอบไฝบนแก้มของน้องพีหรือครับ” ความสงสัยที่มีมานานแล้ว

“ชอบ มันเหมาะกับเธอดี” เขาตอบ แล้วบอกเพิ่ม “เห็นเขาพูดกันว่า... คนที่มีไฝตรงแก้มเป็นคนมีเสน่ห์ ชวนให้หลงรัก”

“เหอะ เขาพูดมั่วหรือเปล่าครับ” ไม่เห็นจะจริง “น้องพีไม่เห็นมีเสน่ห์ตรงไหนเลย” ถ้าผมมีเสน่ห์เพราะไฝเม็ดนี้จริง คุณยะก็ต้องหลงรักผมไปนานแล้วสิ

“อาจจะใช่” แล้วเขาก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่บอกความพึงพอใจ “เข้าไปข้างในเถอะตรงนี้มันหนาว”

“คุณยะหนาวหรือครับ” เพราะเขาไม่ใส่เสื้อ ปล่อยให้เนื้อล้วนๆ สู้กับอากาศเย็นเฉียบของเวลากลางคืนที่ฝนเพิ่งหมดจากท้องฟ้า

“ฉันไม่หนาวหรอก เธอต่างหาก”

“น้องพีไม่หนาวเลย อยู่กับคุณยะอุ่นจะตายไป” ตามที่พูดเลย ตอนผมนั่งคนเดียว โดนความเย็นเล่นงานไปพอสมควร แต่พอมานั่งบนตักเขา ผมกลับลืมความหนาวเย็นไปเสียสนิท แถมยังรู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่างกาย รวมถึงหัวใจด้วย “อยากนั่งบนตักคุณยะไปถึงเช้าเลย... ได้ไหมครับ” ผมส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ดวงตาสีราตรี

“รู้ตัวไหมว่าเป็นคนอ้อนเก่ง” พูดแล้วก็ดึงแก้มผม ไม่เจ็บหรอกเพราะเขาดึงเบามาก “อย่าไปอ้อนใครแบบนี้อีกนะ ยกเว้นฉันคนเดียว”

“น้องพีอ้อนคุณยะคนเดียวหรอกน่า”

“ใช่ฉันคนเดียวแน่เหรอ ?” เขาเริ่มดึงหน้าตึง แล้วพาผมย้อนเวลากลับไปอยู่ในเหตุการณ์ที่บ้านตรัยธาดา “ตอนกลางวันฉันเห็นเธออ้อนน้องชายฉันอยู่นะ” เขาเป็นคนช่างจำเหมือนกันนี่นา

“ก็...มันไม่เหมือนกัน” กับอานุ มันเป็นความรู้สึกหลานอ้อนอา แต่กับเขา มันเป็นการอ้อนเพราะรักล้วนๆ

“สำหรับฉัน มันเหมือน และฉันไม่อยากให้เธอทำแบบนั้นอีก ทำได้ไหมพี” เขาย้ำเสียงเข้ม สั่งแบบคนที่มีอำนาจเหนือกว่าผม “ห้ามอ้อนน้องชายฉัน ห้ามให้อุ้มแบบนั้นอีก เพราะฉันไม่ชอบ”

เฮ้อ... นี่เขายังไม่ลืมเรื่องอุ้มอีกเหรอ

หรือว่าเขาจะ...

“คุณยะหึงน้องพีใช่ไหม” ผมถามแบบเข้าข้างตัวเองสุดๆ

“เปล่า”

ถ้าหัวใจผมเป็นลูกโป่ง มันคงบี้แบนไปแล้วเพราะถูกคำพูดของเขาเจาะจนลมในลูกโป่งพรั่งพรูออกมาจนหมดสิ้น

“ใจร้าย” คนใจร้ายที่ผมหลงรักหมดหัวใจ

“ฟังให้จบ” เขาพูด จ้องเข้ามาในดวงตาผม สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงความจริงที่กลายมาเป็นคำพูดในวินาทีต่อมา “ฉันไม่ได้หึง... ฉันหวง”

แก้มผมร้อนจัด ส่วนริมฝีปากผมฉีกกว้างจนกลัวว่าหน้าตาจะน่าเกลียดจนเขาไม่อยากมอง แต่เขาก็ยังไม่ละสายตาไปจากใบหน้าผมเลย มิหนำซ้ำยังทำให้ผมอายจนตัวรุ่มร้อนไปทุกตารางนิ้วด้วยคำพูดมากมายที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง

“ฉันหวงสิ่งที่เป็นของฉัน... หวงร่างกายที่ฉันได้กอด หวงพื้นที่ที่ฉันได้ครอบครัว ฉันไม่อยากให้ใครได้ในสิ่งที่ฉันได้จากเธอ ฉันอยากให้เธอรักษา ‘ของของฉัน’ เอาไว้ให้ฉันคนเดียว... ทำได้ใช่ไหม ?”

แล้วผมก็ให้คำตอบที่ถูกใจเขา

“ทำได้ครับ” ไม่มีอะไรที่ผมทำเพื่อเขาไม่ได้ ผมอยากทำทุกอย่างให้เขาพอใจ ทำให้เขาเห็นว่าผมทำเพื่อเขาได้เสมอ แม้เขาจะไม่สามารถทำเพื่อผมได้ก็ตาม “...เพราะน้องพีเป็น ‘ของของคุณยะ’ คนเดียว”

“นอกจากขี้อ้อน เธอก็ยังปากหวานมาก รู้ตัวไหม”

“น้องพีก็พูดปกตินะ” ยิ่งเมาก็ยิ่งเป็นเรื่องปกติที่ผมจะพูดทุกอย่างมาจากความรู้สึก ไม่ได้ปรุงแต่งหรือใส่ความหวานใดๆ เลย เอาความจริงในหัวใจออกมาบอกเล่าให้เขารู้จนไม่มีความรู้สึกไหนเป็นความลับสำหรับเขาอีกแล้ว

“ปกติเธอด่าฉัน”

เอ่อ... พูดไม่ออกเลย เพราะโดนความจริงเล่นงาน ก็พอรู้ตัวนะว่าตอนเมากับตอนไม่เมาต่างกันมากแค่ไหน

“ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เธอจะสรรหาคำไหนมาด่าฉันบ้าง” เขาพูดติดขำ ใช้สายตามองผมด้วยความเอ็นดู เวลานี้สองมือของเขากลับไปอยู่ที่เอวและแผ่นหลังของผมแล้ว โดยเฉพาะข้างที่วางไว้บนแผ่นหลัง มันกำลังลูบเบาๆ ให้รู้สึกอยากซุกเข้าไปในอกเขาและให้เขาโอบกอดผมเอาไว้ทั้งคืน

“ไม่ด่าแล้ว” ตอนเมาก็พูดได้ ไม่รู้ว่าตอนสร่างเมาผมจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า ก็ผมห้ามปากของตัวเองไม่เคยได้เลยนี่นา

เขาหัวเราะคำพูดผม บ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อคำที่ผมเอ่ยออกมา สมควรที่เขาจะไม่อยากเชื่อ ผมเองก็ยังไม่ไว้ใจปากและอารมณ์ของตัวเองเวลาปกติเลย ชอบที่สุดก็ตอนที่ตัวเองเมานี่แหละ ผมสามารถพูดความจริงได้ทุกเรื่อง รู้สึกแบบไหนก็พูดออกมาได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องปกปิด แอบซ่อน หรือทำทุกอย่างที่ตรงข้ามกับหัวใจรู้สึก

“เชื่อเถอะว่าเธอด่าฉันแน่” เขามั่นใจเกินไปแล้ว ผมไม่ได้ด่าเขาแบบไร้เหตุผลสักหน่อย ทุกอย่างมีเหตุผลเสมอแหละ

“คุณยะก็อย่าหาเรื่องให้น้องพีด่าสิ” ผมท้วงบ้าง ที่ผมด่าเขา ประชดประชันเขาก็เพราะเขาทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดไม่ใช่หรือไงเล่า ผมไม่ได้อยู่เฉยๆ แล้วนึกอยากด่าเขาสักหน่อย แบบนั้นน่ะไร้เหตุผลเกินไป ผมมีเหตุผลที่ด่าเขาเสมอ อย่างเช่น ผมด่าเขาเพราะปกป้องความรู้สึกตัวเอง ด่าเพราะอยากให้ตัวเองตัดใจจากเขาเร็วๆ (แม้ไม่เคยสำเร็จก็ตาม) ด่าเพราะหึงด้วยก็ออกบ่อย

“น้องพีก็ห้ามงี่เง่าสิ”

โอ๊ย! เขาย้อนผม ด่าผมว่างี่เง่า

แต่!! ...เขาเรียกผมว่า ‘น้องพี’ ดังนั้นผมจะให้อภัยเขาก็ได้

“น้องพีไม่งี่เง่าแล้วครับ” ผมยิ้มประจบ “ไม่ด่าคุณยะด้วย เพราะน้องพีรักคุณยะคนเดียว รักคุณยะมากๆ เลย” การได้บอกรักคนที่เรารัก มันมีความสุขมากที่สุดในจักรวาลเลย ยิ่งเขายิ้มรับ ไม่ปฏิเสธให้ผมเสียใจ ก็ยิ่งมีความสุข จนลืมทุกความเจ็บปวดที่เคยผ่านมาไปจนหมด

“ปากหวาน” เขายังย้ำว่าผมปากหวาน “น้องพีเป็นคนปากหวาน”

“ไม่ใช่ซะหน่อย น้องพีแค่พูดความจริง หัวใจน้องพีรู้สึกยังไง น้องพีก็พูดออกมา”

“นี่แหละที่เรียกว่าปากหวาน”

“หวานก็ได้” ไม่อยากเถียงเขาแล้ว อยากทำอย่างอื่นมากกว่า “น้องพีอยากกินโค้ก”

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมใจกล้าหน้าด้านปีนขึ้นมานั่งบนตักคุณยะก็คือเรื่องนี้ไง... เกือบลืมไปเลย

ผมเอื้อมไปหยิบกระป๋องน้ำอัดลมที่วางอยู่บนโต๊ะ ไม่ได้หยิบมันมาเพื่อให้ตัวเองดื่มแต่ให้เจ้าของตักที่ผมนั่งทับอยู่ต่างหาก

“ดื่มสิครับ” ผมถือมันไปใกล้ปากเขา “แล้วป้อนน้องพีด้วยปากของคุณยะ”

“ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน แก่แดดเกินไปแล้ว” เขาพูดคล้ายตำหนิ ทว่าดวงตากลับเป็นประกายถูกใจ

“จากคุณยะนั่นแหละ” วันนั้นผมจำได้แม่นยำ ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้หรือเปล่า ผมก็เลยต้องช่วยพาเขากลับไปยังเหตุการณ์วันนั้น “วันที่คุณยะบังคับให้น้องพีกินยาไง”

เขายิ้ม ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะจางลง จนเหลือเพียงใบหน้าที่ราบเรียบคล้ายมีเรื่องให้ต้องคิดตัดสินใจ สุดท้ายเขาก็เอ่ยออกมาว่า...

“เข้าไปนอนกันเถอะ” เขาดึงกระป๋องน้ำอัดลมไปจากมือผล วางมันกลับลงที่เดิมบนโต๊ะ ก่อนจับเอวผม ทำท่าจะยกตัวผมออกไปจากตักของเขา แต่ผมฝืนตัวเอาไว้ด้วยการโผเข้ากอดเขาไว้แน่นเลย ไม่ยอมให้เขาขยับตัวลุกไปไหนได้

“คุณยะไม่อยากจูบน้องพีหรือครับ” ผมถามเอากับอกเปลือยเปล่า ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเขาชัดเจน 

"ฉันจูบเธอไม่ได้” เขาเอ่ยความจริงที่ทำให้ผมเจ็บปวดได้มากเหลือเกิน

...เขาไม่ผิดหรอก คนผิดคือผม ผมที่อยากได้เขามากจนลืมความจริงทุกอย่าง

“คุณยะสัญญากับพี่เลม่อนไว้หรือครับว่าจะไม่จูบกับผมอีก” ผมเดา ซึ่งมันก็คงเป็นความจริง และเขาก็ช่วยยืนยัน

“ใช่”

เจ็บ!

เจ็บเหมือนทุกครั้งที่ถูกเขาปฏิเสธ

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 23 (16-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 16-12-2018 19:47:56
“น้องพีจำที่คุณยะพูดวันนั้นที่ห้องทำงานได้ไหม” มือของเขาลูบแผ่นหลังผม ราวกับจะปลอบโยนให้ผมคลายความเจ็บปวดที่หัวใจลง เขาจะรู้ไหมนะว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ผมก็ยังเจ็บเท่าเดิม ไม่เคยลดลง “ที่คุณยะบอกว่า...”

“ถ้าน้องพียอมล่ะ” ผมรู้ว่าเขาจะเอ่ยถึงคำพูดไหนของเขาในวันนั้น เลยไม่ต้องรอจนเขาพูดจบ “น้องพียอมให้คุณยะมีเขา แบบนี้แล้วน้องพีก็จูบกับคุณยะได้แล้วใช่ไหม”

“ฉันไม่อยากให้เธอยอม” มือของเขาดึงใบหน้าผมขึ้นมาให้สบตากัน ลูกตาสีราตรีบรรจุด้วยความรู้สึกเคร่งเครียดแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“แต่น้องพีจะยอม” ขอบตามันร้อนจัด สุดท้ายผมก็เสียน้ำตา สะอึกสะอื้นอย่างคนที่จนตรอก “อึก... น้องพีรักคุณยะนะ...น้องพีไม่อยากทนอีกแล้ว... อึก...มันทรมาน...ตอนที่ไม่มีคุณยะ...คุณยะทำให้น้องพีขาดคุณยะไม่ได้แล้วนะ...อึก...น้องพีขาดคุณยะไม่ได้” หัวใจผมปวดร้าวไปหมด ทั้งที่หลายนาทีก่อนผมยังสุขจนล้นอยู่เลย

“แต่เขาไม่ยอมให้ฉันมีเธอ” เขาย้ำลงมาให้ผมหมดทางสู้ ทว่าผมก็ยังจะสู้ต่อไป ทำให้ตัวเองหมดคุณค่าเพื่อแลกกับความสุขที่ได้อยู่กับเขา

“ตรงนี้มีแค่น้องพีกับคุณยะ...อึก...ไม่มีเขา” ผมพูดไปพร้อมกับแรงสะอื้นและน้ำตา “คุณยะเป็นของน้องพีได้ไหม...อึก...กอดน้องพี รักน้องพี...นะครับ...อึก...ไม่ต้องคิดถึงเขา...” ใบหน้าที่เปรอะด้วยน้ำตากำลังไร้ยางอายอย่างที่สุด

“ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว” แต่คุณยะก็พยายามที่จะปฏิเสธ

ผมยกมือปาดน้ำตาทิ้ง พูดประชดเขาด้วยอารมณ์อยากเอาชนะไปว่า...

“คุณยะไม่ชอบรักษาสัญญาอยู่แล้วนี่ครับ ทำอีกสักครั้งจะเป็นอะไรไป... ก็แค่ผิดสัญญา พอพี่เลม่อนจับได้ คุณยะก็ค่อยขอโทษ แล้วก็สัญญาใหม่ ง่ายจะตาย”

“พี” เขาเรียกผมอย่างปรามๆ แต่มีหรือผมจะหยุด อารมณ์เสียใจทำให้ผมอยากประชดเขา

“น้องพีพูดความจริง” ผมไม่กลัวลูกตาสีดำที่เป็นประกายเข้มจัดนั่นหรอก “คำสัญญาของคุณยะก็แค่ลมปาก พูดแล้วก็ลืม ไม่เคยทำได้สักครั้ง”

“พอแล้วพี” เขาถอนหายใจให้กับความจริงที่ผมพูดออกมา “ดึกแล้ว เข้าไปนอน” เป็นอีกครั้งที่เขาหนีความจริงด้วยการเปลี่ยนเรื่อง

“คุณยะชอบหนีความจริง” ผมไม่ยอมให้เขาหนีได้เด็ดขาด “คุณยะขี้ขลาด เห็นแก่ตัว ไม่เคยคิดหัวใจของน้องพีเลย ทำไมต้องปฏิเสธด้วยในเมื่อคุณยะมีแต่ได้กับได้”

“เพราะฉันไม่...” เขาพูดได้แค่นั้น ไม่รู้ว่าเขาจะเอาคำไหนมาสร้างความเจ็บปวดให้หัวใจผมอีก เพราะผมหยุดคำพูดของเขาด้วยริมฝีปากที่ประกบจูบลงไปเสียแล้ว

ผมจูบเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย จูบแบบคนที่จูบไม่เก่งแต่ก็พยายามจะปล้ำจูบริมฝีปากที่เจ้าของมันชำนาญกว่าผมหลายเท่า แต่เขาไม่ได้เอาความชำนาญมาใช้กับผมเลย เขาแค่ปล่อยให้ผมจูบเขาไปเรื่อยๆ ไม่ตอบรับ และไร้ความรู้สึกสุดๆ

สุดท้ายผมก็ยอมแพ้ให้กับความไม่เก่งของตัวเอง ละริมฝีปากออกมามองหน้าเขาด้วยความรู้สึกอับอายอย่างที่สุด

“คุณยะใจร้าย” ผมก็ได้แค่ต่อว่าเขา ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลย ผมสู้เขาไม่ได้ แม้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม

“ใช่ ฉันเป็นคนใจร้าย” เขายอมรับ มือเขาวางบนศีรษะผม แล้วขยี้เบาๆ “ส่วนเธอต้องเป็นเด็กดี อย่าไปทำแบบนี้กับใครเด็ดขาด”

“น้องพีก็ทำกับคุณยะคนเดียว ไม่เคยไปทำกับใครเลยนะ” หมายถึงการปล้ำจูบคนอื่นน่ะนะ

“ดีแล้ว” เขายิ้มพอใจ

“คุณยะ... ไม่อยากจูบกับน้องพีจริงๆ หรือครับ” เสียงผมอ่อนลง

“.....” แต่เขาไม่ตอบ เขาแค่มองหน้าผม แล้วก็ถอนหายใจเหมือนอ่อนใจกับสิ่งที่ผมอยากได้จากเขา

“มันไม่สนุกเหรอตอนจูบกับน้องพี” ผมยังอยากได้คำตอบ ต่อให้คำตอบจะทำร้ายหัวใจผมจนป่นปี้ก็ตาม

“ไม่สนุกหรอก...” เขากำลังง้างค้อนขึ้นทุบหัวใจผม แต่แล้วก็วางค้อนอันนั้นลง ก่อนโอบอุ้มหัวใจของผมขึ้นมาโอบกอด “...แต่มีความสุข”

ผมยิ้มจนปากฉีกแล้วกับคำตอบของเขา

“จูบกับน้องพีแล้วมีความสุข คุณยะก็จูบน้องพีสิครับ”

“บอกแล้วว่าไม่ได้”

“ก็อย่าให้พี่เลม่อนรู้” ผมหุบรอยยิ้มลง สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนมันออกมา ก่อนพาตัวเองลงไปในหลุมที่ชื่อว่าการกระทำที่น่ารังเกียจ “เราสองคนแอบคบกันก็ได้นะครับ ไม่ต้องให้พี่เลม่อนรู้... น้องพีจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร จะอยู่ในที่ที่คุณยะให้น้องพีอยู่ จะไม่ไปก่อกวนคนของคุณยะ สัญญาครับ ตกลงนะครับ”

“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้...หื้อ” เขาถามกลับมาอย่างอ่อนโยน ปนไปกับความอ่อนใจในสิ่งที่ผมคิดและตัดสินใจทำ

“เพราะต้องทำไงครับ ไม่ทำแล้วน้องพีจะอยู่ยังไง จะให้น้องพีมองคุณยะอยู่ในที่ไกลๆ เข้าใกล้ไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ กอดไม่ได้ จูบไม่ได้อย่างนั้นเหรอ น้องพีทำไม่ได้แล้ว มันทรมานเกินไป”

...ยอมทำเรื่องน่ารังเกียจ ใช้ชีวิตเป็นชู้กับคนรักของคนอื่น ยินดีกับสิ่งที่จะได้รับจากเขา แม้น้อยนิดก็ยังดี

“เรื่องที่เราแอบคบกันจะเป็นความลับ มีแค่คุณยะกับน้องพีที่รู้”


“.....” เขามองหน้าผมเงียบๆ ยิ่งทำให้ผมกลัวว่าเขากำลังหาวิธีปฏิเสธผมอย่างนุ่มนวลที่สุด เพื่อไม่ให้ผมสติแตก

“น้องพีสัญญา จะไม่บอกใครจริงๆ” ผมย้ำให้เขามั่นใจ ให้เขายอมรับข้อเสนอของผมที่เขามีแต่ได้กับได้ “น้องพีเก็บความลับเก่ง เชื่อน้องพีเถอะนะ”

“แต่ฉัน...” เขาเริ่มลังเล “...ฉันไม่อยากให้เธอเจ็บปวด อยากให้เธอมีความสุข”

“คุณยะพูดเหมือนว่าที่ผ่านมาน้องพีมีความสุข” ผมอดที่จะย้อนถามอย่างน้อยใจไม่ได้

“รักคุณยะมากเหรอ ?” เป็นคำถามที่เขาไม่ควรถามผมเลยด้วยซ้ำ เขาก็เห็นอยู่ว่าผมมีอาการอย่างไรตอนอยู่กับเขา

“มาก... หมดหัวใจเลย” แต่ผมก็เต็มใจตอบ บอกย้ำให้เขามั่นใจว่าผมรักเขาจริงๆ เขาจะได้สงสารผมบ้าง “รักคุณยะคนเดียว ไม่เคยรักใคร และไม่คิดจะรักใครนอกจากคุณยะด้วย” ...มันเป็นความจริงที่จะติดตามผมไปตลอดชีวิต

“ฉันมีดีอะไรที่ทำให้เธอรัก” เขาก็ยังถามมาอีก

“ความดีไม่ใช่เหตุผลของความรักซะหน่อย” ผมบอกเขาตามที่จะหาเหตุผลของความรักที่มีให้เขาออกมาได้ “หัวใจต่างหากที่บอกว่าคุณยะคือคนที่น้องพีรัก แค่คุณยะยิ้มให้น้องพีหนึ่งครั้ง น้องพีก็ตกหลุมรักคุณยะไปถึงสิบปีแล้วนะ ตอนนี้ก็คงจะเกินร้อยปีไปแล้วด้วย ยิ่งวันนี้คุณยะยิ้มให้น้องพีบ่อยๆ ก็คงตกหลุมรักเลยไปถึงชาติหน้านู่นเลย”

“ปากหวาน” เขายิ้ม รอยยิ้มครั้งนี้ไม่ต่างจากคำตอบที่ผมต้องการ

“หวานกับคุณยะคนเดียว”

เขาหัวเราะ ส่วนผมก็ยิ้ม แล้วเขาก็ประทับริมฝีปากบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบาและยาวนานราวกับผ่านไปแล้วร้อยกว่าปี

“คุณยะตกลงคบกับน้องพีแล้วนะ” ผมถามเพื่อความมั่นใจหลังจากเขาถอยรอยอุ่นร้อนออกมา

“ห้ามเสียใจทีหลัง” เขากำชับ

“ครับ น้องพีไม่มีทางที่จะเสียใจ” เพราะผมคิดดีแล้ว พร้อมยอมรับผลที่จะเกิดตามมา “พีอยากได้คุณยะ อยากให้คุณยะรักน้องพี” ผมลากมือไปตามแผ่นอกที่ไร้เนื้อผ้าห่อหุ้ม ผ่านกล้ามหน้าท้องที่แข็งแรง และต่ำลงไปอย่างเชิญชวนให้เขามาเป็นของผมในค่ำคืนนี้

“แก่แดด” ว่าผมอีกละ

“คุณยะก็หื่น” คำพูดของผมไม่เกินจริง เพราะคำตอบอยู่ในมือของผม มันทั้งร้อนและเริ่มแข็ง “อยากเข้ามาในตัวน้องพีแล้วก็บอกมาเถอะ”

ถามว่าอายไหม ?

บอกเลยว่าอาย! แต่ไม่มาก มันเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการที่มีแอลกอฮอล์อยู่ในร่างกาย ทำให้มีความกล้าเพิ่มขึ้น รวมถึงความหน้าหนาของตัวเองด้วย

ผมไม่ปฏิเสธความต้องการของตัวเองหรอก ผมเป็นเด็กผู้ชาย เรื่องแบบนี้มันต้องมีตามฮอร์โมนที่พลุ่งพล่าน แล้วผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องมานั่งเหนียมอายกับเรื่องอย่างว่าด้วย ผมผ่านการมีความสัมพันธ์กับคุณยะมาสองครั้งแล้ว จะมีครั้งที่สามก็ไม่เห็นแปลก เพราะเรากำลังคบกัน... ถึงจะแอบคบก็เถอะ

“คุณยะ...”

“ว่าไงครับ”

“คุณยะกลับมานอนที่บ้านบ่อยๆ นะ” ว่าจะไม่เรียกร้อง เอาเข้าจริงผมก็อยากลองขอร้องเขาดูหน่อย เผื่อได้ผล ถ้าเขากลับมานอนที่บ้านเรือนไทย ผมก็จะได้เป็นคนที่นอนกอดเขาทั้งคืน... คนอื่นไม่มีสิทธิ์ “น้องพีจะได้ไม่เหงา”

“เหงามากไหม ?”

“มากที่สุด... กลับมานอนที่บ้านกับน้องพีนะ น้องพีจะได้ไม่เหงา คุณยะก็จะได้มีความสุขตอนจูบกับน้องพีด้วย”

“แค่จูบอย่างเดียว ?” ดวงตาสีราตรีเป็นประกาศหยอกเย้า เขาวางมือข้างหนึ่งลงบนหลังมือผมที่ยังวางทับอยู่บนส่วนนั้นของเขา ก่อนจะกดมือผมให้สัมผัสกับความร้อนระอุมากขึ้น

“เอาทั้งตัวของน้องพีไปเลยละกัน น้องพียกให้หมดเลย อยากทำกับน้องพีแบบไหน น้องพีตามใจคุณยะทุกอย่าง” ใช่จะไม่อายนะเวลาที่พูดเรื่องอย่างว่า แต่ความสุขที่ถูกเขาโอบกอดมันทำให้ผมต้องทิ้งความอายไป “...เข้ามาในตัวน้องพีนะ ทำอย่างที่คุณยะอยากทำ ทำแรงแค่ไหนก็ได้เท่าที่คุณยะพอใจ ถึงน้องพีจะเจ็บ แต่เพื่อคุณยะ น้องพีทนได้” เคยทนมาได้ถึงสอง ครั้งที่สามก็น่าจะทนได้เหมือนสองครั้งที่ผ่านมา ที่สำคัญคือพี่เลม่อนยังทนได้ (ดูจากคลิปครับ) ผมก็ต้องทนได้ เผื่อว่าบางทีความอดทนของผมจะเอาชนะใจคุณยะได้ หัวใจคุณยะอาจจะเปลี่ยนจากพี่เลม่อนมาเป็นของผม วันข้างหน้าคนที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อาจจะไม่ใช่ผมแล้วก็ได้

“คุณยะจะทำยังไงกับเด็กแก่แดดคนนี้ดี...หื้อ” เขาทำเสียงเอ็นดู ขณะที่ส่วนสำคัญของเขากำลังพองในกำมือผม

“จัดการน้องพีสิครับ... ช้าอยู่ทำไม” บางครั้งผมก็อยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนนะ ...ยั่วเก่ง...ขี้อ้อน...ปากหวาน...แก่แดด...แบบที่เขาพูดบ่อยๆ หรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าอยากจะทำทุกอย่างให้เขาชอบผมมากขึ้น และวิธีที่ทำให้เขาชอบผมมากขึ้นให้ในสิ่งที่เขาชอบ

“คุณยะอยากเห็นน้องพีจัดการตัวเองมากกว่า” อุ้งมือหนาที่เคยทาบทับอยู่บนหลังมือผม บัดนี้มันได้จับพามือผมไปยังเป้าหมายใหม่ที่ไม่ใช่ร่างกายของเขา แต่เป็นส่วนสำคัญของผม ซึ่งมันก็ร้อนจัดไม่ต่างกันเลย

คุณยะเป็นผู้ชาย ผมก็เป็นผู้ชาย ...เรื่องความรู้สึกก็เลยไม่ต่างกันเท่าไร

“ทำให้คุณยะดูหน่อย” เขาเหมือนผู้ใหญ่หลอกเด็ก และเด็กคนนี้ก็เชื่อฟังผู้ใหญ่อย่างหมดหัวใจ

“ครับ...” ผมขบริมฝีปากล่างข่มความเขินอายที่มีอยู่น้อยนิดให้จมลงไปที่ไหนสักแห่ง มองสบดวงตาเป็นประกายพึงพอใจของเขาก็ทำให้หัวใจเต้นรัวแรง มือข้างหนึ่งของผมเกาะที่ไหล่หนาเป็นหลักยึดเหนี่ยว ส่วนอีกข้างที่ถูกอุ้งมือใหญ่กุมอยู่นั้นเลื่อนเข้าไปใต้กางเกงขาสั้นพร้อมกัน... ทั้งมือเขา มือผม

“น่ารัก” เขาพึมพำเบาๆ แต่ก็ทำให้ใบหน้าผมติดไฟ ลูกตาสีราตรีมองต่ำลงไปที่มือของผมและมือของเขา จากนั้นก็ดึงเอาทั้งมือเขา มือผม และส่วนอ่อนไหวที่ร้อนระอุของผมออกมาเจอกับสายตาของเขา และเขาก็เอามือออกไปจากหลังมือผม ปล่อยให้ผมจัดการตัวเองต่อหน้าเขา แม้แสงสว่างจะน้อยนิดทว่าผมกลับเห็นแววตาที่จ้องมองผมได้อย่างชัดเจน

“คุณยะ...อึก...” ผมเรียกชื่อเขาจางไปเสียงสะอื้นของความรู้สึกที่ขยับขึ้นสูง ตามจังหวะของอุ้งมือตัวเองที่รูดรั้งส่วนอ่อนไหวให้เดินทางไปถึงปลายทาง “...อึก... น้องพีรัก...คุณยะ...มาก...นะ” เสียงผมสั่นพร่า เนื้อตัวสั่นสะท้านไปตามอารมณ์ที่ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ

“คุณยะรู้แล้วครับคนดี” เขาบอก พร้อมกับมือของเขาที่เลื่อนต่ำลงไปที่บั้นท้ายผม เขาขยำมันเบาๆ แต่กลับกระตุ้นให้ผมเร่งมือของตัวเองให้เร็วขึ้น

ยิ่งเขาขยำไม่หยุด ผมก็ยิ่งเร่งความเร็วของมือมากขึ้น จนมันถึงปลายทางในเวลารวดเร็ว   

“คะ...คุณยะ...อ๊าา” ตัวผมเกร็งกระตุก สะโพกลอยขึ้นจากต้นขาแกร่ง ก่อนที่ลาวาอุ่นร้อนจะทะลักออกมาจากปลายส่วนอ่อนไหว แล้วผมก็ทิ้งตัวลงไปบนตักเขาเหมือนเดิม ซบหน้าลงกับไหล่กว้างอย่างอ่อนแรง

“น้องพีครับ” เขากระซิบข้างหูผม “อยากให้คุณยะเข้าไปหรือยัง”

“ครับ” ผมพยักหน้าเร็วๆ กับไหล่เขา พูดอย่างไม่อายออกไปว่า “น้องพีอยากให้คุณยะเข้ามาตั้งนานแล้ว” ไม่เหลือความอายแล้วตอนนี้ มีแต่ความรู้สึกอยากถูกร่างกายแข็งแรงแสนอบอุ่นนี้โอบอุ้มเอาไว้ทั้งคืน

นอกจากคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างไม่เหลือความอายใดๆ การกระทำของผมก็ไม่ต่างจากคำพูด เพราะตอนนี้มือข้างที่ไม่ได้ชุ่มด้วยน้ำรักกำลังมุดผ่านขอบกางเกงของเขาเข้าไปกอบกุมความแข็งและร้อนจัดของเขา

“จะว่าน้องพีแรดก็ได้นะ น้องพีไม่โกรธหรอก” ผมเงยหน้าขึ้นมาบอกเขา เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาออกมาจากริมฝีปากหนา

“แบบนี้ดีแล้ว คุณยะชอบ” ผมก็คิดอยู่แล้วว่าเขาต้องชอบแบบนี้  แล้วเขาก็ดึงมือผมออกมาจากใต้กางเกงเขา ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่มีผมเกาะติดตัวเขาขึ้นมาด้วย “จำไว้นะ คุณยะอุ้มน้องพีแบบนี้ได้คนเดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์” ท่อนขาแข็งแรงพาทั้งผมและเขาเข้าไปในห้อง ตรงไปที่เตียงนอน

“ครับคุณยะ คุณยะมีสิทธิ์อุ้มน้องพีแบบนี้ได้คนเดียว” ผมพยักหน้าให้กับคำสั่งนั้น ก่อนจะถูกเขาวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล วางผมลงแล้วเขาก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดตู้หาอะไรอยู่แป๊บเดียวก็เดินกลับมาพร้อมกับของที่อยู่ในมือ

ผ้าเนื้อหนาสีเทาเข้มกับหลอดเจล

สมองผมคิดได้อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นพวกมัน ปากผมก็เร็วพอๆ กับสมองนั่นแหละ

“คุณยะเตรียมมาไว้ใช้กับใคร!” ผมถามเสียงแข็ง อารมณ์หึงมาเต็ม มือเขาที่กำลังคลี่ผ้าเนื้อหนาสีเทาเข้มคลุมทับผ้าปูเตียงอีกหลังหนึ่งนั้นชะงักไปทันที เขาหันกลับมามองผมที่ลุกขึ้นนั่งอยู่กลางเตียง ด้วยอาการหัวร้อนอย่างที่สุด

“จะเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ” เขาไม่ตอบคำถามผม แต่ยื่นทางเลือกที่ใจร้ายอย่างที่สุดให้กับผมแทน

“น้องพีไม่เปลี่ยนใจหรอก” เสียงผมอ่อนลงจนเบาหวิว ไม่ต่างจากหัวใจที่เต้นช้าลง ผมลืมไปว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์โกรธเขา ฐานะของผมก็แค่คนที่ขาดเขาไม่ได้ ไม่ใช่เจ้าของชีวิตและหัวใจเขา “...แค่อยากรู้ว่าคุณยะจะพาใครมาด้วย” เขาเตรียมทั้งเจลหล่อลื่น ทั้งผ้าปูมาขนาดนี้ ต้องมีคนที่เขาจะพามาด้วยแน่ๆ

“ไม่ต้องรู้หรอก” เขาเดินมาหยุดที่ข้างเตียงผม “ฉันอยู่กับเธอ... ฉันก็คือ ‘ของของเธอ’ เท่านี้ก็พอแล้วพี”

ใช่สินะ ผมควรพอใจ ไม่ใช่เรียกร้องและลามปามไปถึงคนของเขา

“ยังอยากทำอยู่ไหม”

“.....” ผมเลือกใช้การกระทำเป็นคำตอบ ด้วยการถอดทุกอย่างที่อยู่บนตัวทิ้ง ก่อนจะโผเข้าไปหาเขา ดึงใบหน้าหล่อเหลาลงมาใกล้ ประกบจูบลงไป ครั้งนี้เขาไม่ปฏิเสธผม

มันเป็นจูบที่หวานซึ้ง เป็นรสชาติที่ผมคิดถึงและโหยหาจากเขา แล้วเขาก็อุ้มพาผมไปที่เตียงซึ่งคลุมไว้ด้วยผ้าปูเนื้อดี วางผมลงและตามขึ้นมาคร่อมอยู่เหนือร่างเปลือยเปล่าของผม

“น้องพีรักคุณยะ” ผมบอกเขาหลายครั้งแล้วสำหรับความรู้สึกนี้ แต่ผมก็อยากจะพูดออกมาเท่าที่ผมมีโอกาสได้บอกเขา

“คุณยะก็รักน้องพี”

ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะเอ่ยคำว่า ‘รัก’ ไปกับใครบ้าง แต่อย่างน้อยผมก็เป็นหนึ่งคนที่ได้ฟังคำบอกรักจากปากเขา แม้ความรักที่เขาเอ่ยออกมาให้หัวใจผมพองโตจะมีปริมาณน้อยนิด เทียบไม่ได้กับความรักที่ผมมอบให้เขาทั้งหมดหัวใจเลยก็ตาม และคำรักที่เขาบอกผม อาจจะไม่ใช่ ‘ของจริง’ เลยด้วยซ้ำ ทว่าผมก็ยังอยากฟัง อยากหลอกตัวเองให้เชื่อว่านี่คือคำบอกรักที่ออกมาจากหัวใจของเขาจริงๆ ไม่ใช่ 'แค่พูด' ออกมาตอนที่อยากมีอะไรกับผม

“คุณยะ” ผมเอื้อมมือขึ้นไปลูบใบหน้าหล่อเหลา “คืนนี้คุณยะเป็นของน้องพี ฉะนั้นห้ามคิดถึงใครนะ คิดถึงแต่น้องพีนะ” ปากมันเผลอเรียกร้อง ห้ามไม่ทัน เอ่ยออกไปแล้วก็กลัวเขาจะโกรธ แต่เขาก็ยิ้มให้กับผม ก้มลงจูบแก้มผม ไม่สิ... จูบไฝบนแก้มมากกว่า

“คุณยะไม่เคยไม่คิดถึงน้องพี”

...ไม่เคย ‘ไม่คิดถึง’ ผมอย่างนั้นเหรอ ?

ผมขอเชื่อได้ไหม แม้ว่าจะไม่มีความจริงในคำพูดนั้นก็ตาม

“อย่าว่าแต่น้องพีปากหวานเลย คุณยะก็ปากหวานเหมือนกัน” ผมยิ้มออกมาได้แล้ว หัวใจมันผ่อนคลายขึ้น ยามเมื่อคิดเข้าข้างตัวเองว่าทุกคำพูดของเขาเป็นความจริง

“เฉพาะกับน้องพีคนเดียว”

...คำโกหก ถ้าผมเชื่อ มันก็ไม่ต่างจากความจริง

“คนเดียวแน่นะ”

“คนเดียวมาตลอด”

“ตลอดไปด้วยนะ น้องพีขอ”

“ตลอดไปครับ” เพราะเขาเป็นแบบนี้ไง มีแต่คำพูดที่ทำให้หัวใจผมมีความหวัง ผมถึงได้ตกลงไปในหลุมรักของเขาลึกลงไปเรื่อยๆ

“รักคุณยะจัง” หัวใจผมร่ำร้องแต่คำคำนี้ คำว่ารักไม่เคยหมดไปจากหัวใจผม ให้เขาร้ายกับผมอีกสักเท่าไร ผมก็หยุดรักเขาไม่ได้

...หัวใจผมน่ะโง่เขลาที่สุดในโลก

“คนดี” ริมฝีปากอุ่นจัดกดลงมาบนหน้าผากผม “น้องพีเป็นคนเดียวที่คุณยะรักหมดหัวใจ”

...เพราะคำหวานแบบนี้ไง หัวใจผมถึงไม่ยอมฉลาดขึ้นมาเลย ไม่ว่าตอนนี้หรือผ่านไปอีกกี่สิบปี

“คุณยะ” เป็นผมบ้างที่ดึงใบหน้าของเขากลับลงมา แล้วก็ทำแบบเดียวกับเขา คือเงยหน้าขึ้นไปประทับริมฝีปากบนหน้าผากของเขานิ่งนาน ก่อนจะถอนริมฝีปากออกมา เอ่ยคำหวานเท่าที่หัวใจอย่างร่ำร้องบอกให้เขารู้ “ถ้าน้องพีมีหัวใจสิบดวงร้อยดวงได้ น้องพีก็ใช้ให้พวกมันรักคุณยะแค่คนเดียว...คนเดียวที่เป็นโลกทั้งใบของน้องพี”

“คุณยะอยากได้แค่ดวงนี้ดวงเดียว...แค่นี้ก็พอแล้ว” เขาวาดปลายนิ้วเป็นรูปหัวใจบนอกซ้ายของผม ดวงตาของเขายิ้ม ริมฝีปากของเขาก็ยิ้ม เป็นยิ้มที่ทำให้ผมจมลึกลงไปในหลุมรักของเขาอีกแล้ว

“น้องพีมีความสุข” แล้วผมก็ดึงเขาลงมากอดไว้ทั้งตัว ร่างกายที่หนากว่าและหนักกว่าผมมาก ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือบี้แบน ตรงกันข้ามกลับเหมือนถูกโอบล้อมด้วยก้อนเมฆนุ่มๆ ที่ห่มคลุมด้วยแสงแดดอ่อนในเช้าที่อากาศหนาวเย็น

ผมมีความสุขจนไม่อยากให้ ‘ความจริง’ เดินทางมาถึง อยากให้มันหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ ไม่ต้องโผล่เข้ามาทำลายความสุขของผม แต่ผมก็รู้ ไม่มีทางที่ผมจะหนีความจริงไปพ้น สักวันมันก็ต้องหาผมเจอ

แต่ตอนนี้ผมขอใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าละกัน ผมจะกอบโกยเอาทุกอย่างที่อยากได้จากผู้ชายคนนนี้ คนที่บอกผมว่า...เขาคือ ‘ของของผม’

“คุณยะอยากเข้ามาหรือยัง” เพราะเราสองคนเอาแต่ป้อนคำหวานให้กันไปมา จนลืมสิ่งที่ควรทำ “น้องพีอยากให้คุณยะเข้ามาแล้วนะ” คนถูกถามถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู (มั้ง) ในคำเชิญชวนของผม

ยอมรับแบบลูกผู้ชายเลยว่าผมน่ะ...ชอบตอนที่เขาเข้ามาในตัวผมนะ ยิ่งความรู้สึกที่ว่าได้โอบรัดตัวตนของเขาเอาไว้ด้วยร่างกายของตัวเอง บีบรัดจนเขาปลดปล่อยออกมา ก็เป็นความรู้สึกที่โคตรจะภูมิใจในร่างกายตัวเอง

“ยั่วเก่ง” ว่าผมอีกแล้ว

“เก่งกับคุณยะคนเดียวหรอกน่า” ยอมรับก็ได้ แต่ก็แค่กับเขาคนเดียว (ไม่นับดีนนะ เพราะตอนนั้นผมเมายา)

แล้วเขาก็ขยับออกจากตัวผม แต่ไม่ได้หนีไปไหน เพียงแค่จัดท่าทางให้สะดวกที่จะใช้ปากสัมผัสกับแผ่นอกของผม ลิ้นเปียกชื้นลากความเย็นชืดไปครอบครองที่ยอดอกผม ก่อนเปลี่ยนมันเป็นฟันคมๆ ของเขา

“หื้อ...คุณยะ...ยะ...อย่ากัด...” เพราะเขากัดแรงมาก ทั้งกัด ทั้งดึง จนผมกลัวว่ามันจะขาด เลือดสาดกระเซ็นเลยทีเดียว

“ไม่อยากให้คุณยะกัดจริงเหรอ ?” เขาเงยขึ้นมาถาม แววตาเป็นประกายหยอกล้อ แต่ก็กดดันให้ผมต้องส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว

“ไม่จริงครับ คุณยะกัดน้องพีได้เลย” ถ้าเขาชอบ ผมก็เต็มใจให้เขาทำ และประสบการณ์ก็บอกผมว่า ความเจ็บจะมาก่อนความเสียวซ่านและสุขสม ผมเพียงแค่อดทน ปล่อยให้เขาพาผมไปพบความเจ็บปวดที่ตามมาด้วยความสุขที่ไหลทะลักไปทั้งร่างกาย

“น่ารัก” เขาเอ่ยคำแบบเดิมออกมา สายตาหวานฉ่ำที่บ่งบอกว่าเขาพอใจคำตอบของผมมากทีเดียว รวมถึงร่างกายที่เขากำลังลงไปทำร้ายมันเพื่อความสุขสมของตัวเอง... และของผมด้วย

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 23 (16-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 16-12-2018 19:54:58
“อ๊ะ!...”

เจ็บ... ทุกครั้งที่ฟันคมนั้นฝังกัดลงมา ความเจ็บไต่ลงไปจนถึงหน้าท้องกลม จนกระทั่งริมฝีปากอุ่นจัดเข้ามาครอบครองส่วนอ่อนไหวของผม สะโพกผมเกร็งจัดและลอยขึ้นจากเตียงแทบจะทันที ความเจ็บก่อนหน้าหายเกลี้ยงแทนที่ด้วยความเสียวสะท้าน พาให้ร่างกายเกร็งไปทุกสัดส่วน 

“อ๊ะ...อึก...คุณยะ...น้องพีเสียวว...” เขากำลังดูดกลืนตัวตนของผม รูดรั้งจนผมเสียวซ่านจนทนไม่ไหว เพียงแค่ไม่นานความอดทนของผมก็แตกกระจายในอุ้งปากแสนร้ายกาจ

ผมหอบตัวโยน ราวกับว่าเรี่ยวแรงไหลทะลักไปกับสายน้ำขาวข้นนั้นเสียแล้ว และก็เป็นแบบเดิมที่เขาจะเอามันมาคืนผมด้วยวิธีปากต่อปาก รสชาติจูบของเขาหอมหวานและนุ่มนวลมากกว่าฟันคมที่ฝังกัด ต่างกันจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นการกระทำของคนคนเดียวกัน แต่ก็ต้องเชื่อ 

“อดทนไว้นะคนดี” เขาบอกตอนที่พลิกตัวผมให้นอนคว่ำไปกับเตียง พร้อมกับยกสะโพกผมขึ้นสูง

“ครับ” ใจผมสั่นเลยทีเดียว เพราะจำความเจ็บปวดได้อย่างแม่นยำ แต่ก็ไม่กลัวหากความเจ็บนั้นจะชำแรกเข้ามาในร่างกายผมอีกครั้ง

แต่ก่อนที่ความเจ็บปวดจะเสียบแทงเข้ามา ความเย็นชืดจากปลายลิ้นของเขาก็ละเลงลงมาเล่นงานผมให้สะท้านสะเทือนไปกับมัน ไม่คิดว่าเขาจะใช้ลิ้นกับช่องทางนี้ ก้นผมสั่นเกร็งจนปวดร้าวไปหมด โดยเฉพาะส่วนอ่อนไหวที่แข็งขื่นอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็ตกไปอยู่ในอุ้งมือของเขาด้วยเช่นกัน เขากำลังเล่นงานผมทั้งด้านหน้าและหลัง 

“พอ...อื้อ....พอก่อนคุณยะ!” ผมคลานหนีจากความแฉะชื้นที่แสนนุ่มนวลแต่ก็ร้ายกาจอย่างที่สุด รวมทั้งมือที่รุนแรงกับน้องชายผมด้วย “น้องพีไม่เอาแบบนี้...อึก...ไม่เอาาา” พูดไปก็จะร้องไห้ไปด้วย

“ทำไมครับ น้องพีไม่ชอบหรือไง” เขาเคลื่อนตัวขึ้นมาถามใกล้ใบหน้าของผมที่ฝังไว้กับหมอน ลูบหัวผมไปด้วย

“มันจะเสร็จ!” ผมบอกไปอย่างโมโหๆ ถ้าผมเสียงน้ำอีกครั้ง ก็กลายเป็นสามครั้งแล้วนะ ขณะที่เขายังไม่เสียน้ำเลยสักครั้ง

“ไม่อยากเสร็จ ?” เขาถามปนรอยขำ ทิ้งตัวลงนอนข้างตัวผม ดึงผมเข้าไปอยู่ในอกอุ่นๆ ของเขา

“อยากเสร็จพร้อมคุณยะ” ผมลดเสียงลง กะพริบตาอ้อนเขาด้วยแหละ ก็อยากมีจุดที่ว่าผมกับเขาไปถึงความสุขพร้อมกันนี่นา “คุณยะใส่เข้ามาเถอะ อย่าแกล้งพีอีกเลย” แกล้งให้ผมเสียน้ำจนหมดตัว เหลือแต่ตัวที่อ่อนปวกเปียก ส่วนเขาน่ะเหรอยังอยู่ครบทุกหยาดหยด เหงื่อสักเม็ดก็ไม่หลุดออกจากตัว

“แล้วอย่าร้องไห้ให้คุณยะเอาออกล่ะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบนใบหน้าทันที “คุณยะจะเอาจริงแล้วนะ” จบคำพูดนั้น ผมก็พยักหน้ายอมรับอย่างเต็มใจกับการเอาจริงของเขา แล้วผมก็ถูกจับพลิกกลับไปนอนคว่ำหน้ากับหมอนอีกครั้ง สะโพกถูกยกขึ้นลอยอยู่กลางอากาศ

“อ๊า!” ของจริงมาแล้วจริงๆ นิ้วกระด้างที่ชุ่มเจลหล่อลื่นเสียบแทงเข้ามาแบบไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

“อยากให้คุณยะเอาออกไหม ?” เขาก็ช่างตั้งคำถามเพื่อกลั่นแกล้งผมเสียจริง “ไม่อยากเห็นเด็กร้องไห้แล้วมาโวยวายว่าคุณยะใจร้าย” 

“ไม่ต้อง!” ผมตวาดกลับไปเพราะอารมณ์เริ่มขึ้น ไม่ใช่อารมณ์พิศวาส เป็นอารมณ์หมั่นไส้ล้วนๆ เขาเป็นคนที่ทำให้เรื่องบนเตียงมีหลายรสชาติหลายอารมณ์จริงๆ “คุณยะจะใส่นิ้วเพิ่มเลยก็ได้นะ น้องพีชอบความเจ็บปวด!” ปากผมนี่ก็วอนหาเรื่องเจ็บตัวอีกแล้ว เพราะทันทีที่ผมพูดจบ นิ้วที่สองกับสามก็เสียบเข้ามาด้วยความรวดเร็วทันใจอย่างที่สุด

“อ๊า!!...” ครั้งนี้ผมทรุดไปกองกับเตียงเลย เจ็บที่สุด ความเจ็บร้าวนั้นเสียบพุ่งออกมาจากร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

และอย่าคิดนะว่าเขาจะปล่อยให้ผมเจ็บที่สุดแค่โดนนิ้วสามนิ้วที่กระแทกเข้ามา บอกเลยว่าแบบนั้นไม่ใช่เขาแน่ เพียงแค่ไม่กี่ครั้งที่เขาขยับนิ้วทั้งสามเพื่อขยายช่องทางสุดลึกลับให้กว้างมากที่สุด เขาก็ถอนนิ้วพวกนั้นออกไป ยกสะโพกผมขึ้นไปลอยกลางอากาศอีกครั้ง จากนั้นตัวตนแข็งกร้าวก็แทงเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง

“อึก...!” ผมถึงกับร้องไม่ออก แต่ที่ไหลออกมาคือน้ำตา เมื่อตัวตนของเขาฝังลึกเข้ามาทีเดียวจนหมด เจ็บจนชา เหมือนว่าช่องทางนั้นไร้ความรู้สึกไปแล้ว 

“ขอคุณยะดูหน้าคนเก่งหน่อย” ร่างนั้นโน้มลงมาถาม มือหนาดึงใบหน้าชุ่มน้ำตาของผมขึ้นมาจากหมอน “เจ็บมากไหมคนดี แล้วแบบนี้จะทนคุณยะได้ทั้งคืนไหม” น้ำเสียงที่เอ่ยถามออกมาอ่อนโยน มันเป็นความอ่อนโยนที่ปนไปกับความสุขที่เห็นความเจ็บปวดและน้ำตาของผม

“อึก...ทน...ได้” แทบไม่มีแรงตอบ

“ทนไม่ได้แล้วมั้งแบบนี้” ปลายนิ้วเขาช่วยเกลี่ยคราบน้ำตาออกจากใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน แล้วทาบริมฝีปากลงมาบนแก้มข้างเดิมที่เขาชอบ จูบแก้มผมแต่ละครั้ง เขาจะเริ่มจากแก้มข้างที่มีไฝเม็ดเล็กก่อนเสมอ “คุณยะไม่ทำแล้วนะ” พูดจบ ร่างหนาก็หยัดกายขึ้น ส่วนร้อนระอุที่อยู่ในช่องทางลึกลับถอนกายออกไปอย่างเชื่องช้า

“ยะ...อย่าคุณยะ ห้ามเอาออกไปนะ” ผมร้องห้ามเสียงหลง เมื่อตัวตนที่ทำให้ผมทั้งเจ็บจนจุกและอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกกำลังจะถอนกายออกไปจนหมดลำ เหลือเพียงส่วนปลายที่ยังคงค้างอยู่ในช่องทาง

“ว่าไงนะ คุณยะไม่ได้ยินเลย ขอเข้าไปฟังชัดๆ นะครับ” การฟังชัดๆ ของเขาคือการที่เอาตัวตนร้อนระอุของเข้ามาในตัวผมซ้ำอีกครั้ง และเขาจงใจทำกระแทกเข้ามาแรงกว่าเดิมด้วย

“อะ...อ๊า!!” ตัวผมสั่นระริก มือกำผ้าปูสีเทาเข้มระบายความเจ็บจุกที่กระแทกลงมาอย่างรุนแรงจนยับยู่ยี่ไปหมด

“ไหนพูดให้ชัดหน่อย เมื่อกี้น้องพีห้ามคุณยะทำอะไร” ร่างกายหนาโน้มตัวลงมาถาม พร้อมกับสัมผัสนุ่มนวลกดซับลงมาที่เม็ดเหงื่อบนขมับผม ริมฝีปากของเขาอ่อนโยนกว่าสิ่งที่เชื่อมผมกับเขาไว้ด้วยกันอย่างที่สุด

...ริมฝีปากยังกับพระเอก

...ส่วนตัวตนโตๆ ก็ไม่ต่างจากตัวร้ายใจคอโหดเหี้ยม

“หะ...อึก...ห้ามเอาออกไป” แต่ผมก็ยังต้องการเจ้าตัวร้ายกาจที่ทำให้เนื้อตัวผมสั่นสะท้านไปทุกสัดส่วน ไม่มีร่างกายส่วนไหนที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในช่องทางคับแคบ

“แบบนี้หรือครับ” ตัวร้ายที่จ้างร้อยเล่นล้านเล่นงานผมอีกระลอก ถอนกายออกจนเกือบหมดแล้วก็อัดลงมาเหมือนผมเป็นตุ๊กตายางไร้ความรู้สึก แต่ผมไม่ใช่ตุ๊กตาไง มีความรู้สึกไปกับทุกวิธีที่เขาสรรหามาทรมานร่างกายผม

“อ๊าา!...อา... คุณยะ...อึก...แกล้งน้องพี” ผมต่อว่าเขาปนไปกับเสียงสะอื้น ตัวนี่สั่นระริกเลย มือก็กำผ้าปูสีเทาเข้มจนยับยู่ยี่ไปหมด

เขาเป็นคนที่ไม่เคยปรานีผมเลยจริงๆ เวลาปกติก็ทำร้ายจิตใจ ส่วนเวลาที่อยู่บนเตียงก็ทำร้ายร่างกาย... แต่ผมก็ทนได้ ไม่ว่าความเจ็บปวดเจียนตายจะเกิดขึ้นที่ก้อนความรู้สึกหรือว่าร่างกาย ที่ทนได้เพราะรักคำเดียวจริงๆ ถ้าไม่รักผมก็คงไม่อยู่ตรงนี้

“ก็น้องพีน่าแกล้ง คุณยะเลยอยากแกล้ง หรือว่าคุณยะแกล้งไม่ได้” 

“ได้ครับ แต่คุณยะแกล้งน้องพีแค่คนเดียวได้ไหม อย่าไปแกล้งใครอีก” ผมยกตัวเองขึ้นมาจากที่นอนอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดแผ่นหลังผมก็สัมผัสกับแผ่นอกกว้าง สะโพกของผมเชื่อมอยู่บนตักแกร่ง ก่อนจะหันหน้าไปจ้องตากับเจ้าของตัก ในดวงตาของเขา ผมเห็นความหลงใหลอยู่ในนั้น “...กับพี่เลม่อนก็อย่าแกล้งแบบนี้”

ปากผมเป็นอะไรที่ห้ามยากจริงๆ มันมักถูกความต้องการส่วนลึกของจิตใจบงการอยู่เสมอ เมื่อพูดออกไปแล้ว ผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่โกรธที่ผมเอาแต่เรียกร้องสิ่งที่เขาให้ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังลามปามไปถึงคนของเขาอีกแล้ว

...เพราะผมอิจฉาพี่เลม่อน อิจฉาที่เขาได้ทุกอย่างที่ผมอยากจะได้ไปครอบครอง

“.....” ไม่มีคำตอบจากปากเขา มีเพียงริมฝีปากที่กดจูบลงมาอย่างอ่อนโยน นุ่มนวลจนหัวใจมันโบยบิน

ผมเผยริมฝีปากออกจากกันให้ปลายลิ้นชื้นเข้ามากวาดต้อนภายใน เรียวลิ้นของผมสัมผัสเข้ากับของเขา รสชาติความรักกำลังหวานหอมอยู่ในนั้น กลืนกินลงไปเท่าไรก็คล้ายจะไม่มีวันหมด ผมมีความสุขกับสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ แต่ลึกลงไปในมุมที่ลึกสุดนั้น ผมรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสารที่สุด แล้วผมก็เริ่มสงสารตัวเอง

เมื่อริมฝีปากหนาผละออกไปพร้อมความหอมหวาน อุ้งมือหนาก็จับล็อกเอวผมไว้ ก่อนจะยกตัวผมขึ้นและกดลงมาหาความยิ่งใหญ่ที่ร้อนระอุของเขา

“อ๊า...อา...” เสียงครางด้วยความเจ็บจุกพุ่งออกมาจากปากผมทันที ก่อนที่ร่างกายจะต่อต้านความเจ็บปวดอย่างอัตโนมัติ ผมคว้าท่อนแขนแข็งแรงไว้ทั้งสองข้าง ฝืนสะโพกเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวไปตามแรงบีบบังคับของคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง

...ความรู้สึกเจ็บปวดในซอกมุมหนึ่งสั่งให้ผมต่อต้าน

“ฮื่อ... ผมไม่อยากทำ...อึก...ไม่อยากทำแล้ว” ผมจิกเล็บลงไปบนแขนเขา ตั้งใจให้เขาเจ็บแล้วหยุดรังแกผม แต่เล็บสั้นและแรงน้อยนิดไม่สามารถห้ามปรามคนที่มีพละกำลังมากกว่า เขากดตัวผมลงไปแนบกับที่นอน ตามลงมาจูบซับบนแผ่นหลัง ฝังคมเขี้ยวลงซ้ำๆ

“ไม่รักคุณยะแล้วเหรอ”

“.....” ผมปิดปากแน่น กลัวตัวเองเผลอตอบออกไปว่า... รักมากเหมือนเดิม

“ต้องให้ฉันทำยังไง”

“.....”

“เธอเป็นคนยื่นข้อเสนอให้ฉันเอง”

“.....”

“ฉันยอมแพ้แล้วก็ได้” ท่อนแขนที่โอบรัดผมไว้คลายออก พร้อมกับถอนตัวตนของเขาที่อยู่ตัวผมออกไป

“อย่า...” ผมโผเข้ากอดร่างหนาจากด้านหลัง ซุกน้ำตาไว้กับแผ่นหลังกว้าง กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลล้นออกมา “ผม...น้องพีขอโทษ จะไม่งี่เง่าอีกแล้ว”

เพราะผมผิดเอง ยื่นข้อเสนอให้เขา เรียกร้องอยากได้ตัวเขา ยอมที่จะเป็นชู้ เป็นคนที่อยู่ในเงามืด แต่ก็กลับทำตัวงี่เง่า เอาแต่ใจตัวเอง เรียกร้องในสิ่งที่เขาให้ผมไม่ได้

“ฉันรู้ว่าเธอรับสภาพแบบนี้ไม่ได้หรอกพี” เขาแกะมือผมออกจากตัวเขา แล้วหันกลับมามองหน้าผม มองลึกเข้ามาในหน่วยตาที่ล้นน้ำตา

“น้องพีรับได้ รับได้จริงๆ นะ” 

“อย่าฝืนพี” เขายกมือขึ้นมาลูบศีรษะผม มันอ่อนโยนจนผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

“น้องพี...อึก...ไม่ได้ฝืนนะ” ผมโกหก “น้องพีรักคุณยะ” แต่ประโยคนี้คือความจริง ต่อให้ผมเจ็บปวดกับสถานะที่เลือกจะยัดเยียดมันเข้ามาในชีวิตของตัวเองมากแค่ไหน แต่ผมอาจจะเจ็บปวดมากกว่านี้อีกไม่รู้กี่เท่าหากเขาหันหลังให้ผม

“ฉันมีแต่เธอ...ไม่ได้” เขายังย้ำในสิ่งที่ให้ผมไม่ได้

“ผมรู้” ผมก้มหน้าอย่ายอมแพ้กับความจริง น้ำตาร่วงหล่นบนหลังมือที่กำแน่นอยู่บนหน้าขาที่เปลือยเปล่า

“เปลี่ยนใจเถอะพี อย่ายึดติดกับฉัน”

“ไม่เปลี่ยน” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา

“พี” มือของเขาประคองใบหน้าผมขึ้นมา “ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้ อย่าฝืนทำในสิ่งที่เธอก็รู้ว่าเธอทนมันไปได้ไม่ตลอด”

“น้องพีทนได้” ผมยังยืนยันคำเดิม ปาดน้ำตาทิ้งแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเขา วางใบหน้าที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาไว้กับอกกว้าง “กอดน้องพีนะ น้องพีอยากให้คุณยะกอด”

“เด็กโง่” ผมได้ยินเสียงถอนใจเบาๆ อยู่ข้างขมับ

ใช่... ผมโง่

ทั้งที่ควรฉลาดเสียที เจ็บมากี่ครั้งก็ไม่เคยจำ ยังเต็มใจจะให้ตัวเองเจ็บปวดทั้งชีวิต

“น้องพีรักคุณยะ” มันเป็นทั้งคำที่บอกความรู้สึกของผมให้เขารู้ และเป็นทั้งคำพูดที่ใช้ปลอบโยนหัวใจตัวเอง

“ฉันไม่มีดีให้เธอรักเลยรู้ไหม เธอไม่จำเป็นต้องมาเจ็บช้ำเพราะฉัน...” เขายิ้มเศร้า ผมไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของเขาเลยสักครั้ง “...ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องความรู้สึกของเธอได้ ฉันขี้ขลาดเกินไปพี”

ผมไม่รู้ว่า... คำว่า ‘ไม่เข้มแข็ง’ และ ‘ขี้ขลาด’ ของเขา มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่ามันเกี่ยวกับเหตุผลที่เขายังคบกับพี่เลม่อนอยู่ เขาขี้ขลาดและไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกเลิกพี่เลม่อนได้ใช่ไหม ?

...บางทีเขาอาจจะไม่ได้รักพี่เลม่อน แต่มีสาเหตุที่ทำให้เขาทิ้งพี่เลม่อนไม่ได้

“อย่าถามฉัน” เขาห้ามก่อนที่ผมจะทันอ้าปากด้วยซ้ำ “ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องที่มันเปลี่ยนไม่ได้”

“น้องพีจะไม่ถาม” ผมจะเชื่อเขาทุกอย่าง “แต่คุณยะก็ต้องไม่ไล่พีไปไหนนะ ห้ามสั่งให้พีเลิกรักคุณยะด้วย เพราะพีเคยทำหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เคยทำได้”

“เด็กโง่” รอยยิ้มของเขาไม่เศร้าเหมือนเมื่อกี้แล้ว “ฉันไม่ห้ามเธออีกแล้ว”

“น้องพียอมเป็นเด็กโง่ๆ ของคุณยะไปตลอดชีวิตครับ เพราะน้องพีรักคุณยะ” เป็นผมที่ยิ้มบ้าง ให้รอยยิ้มนั้นกดความรู้สึกงี่เง่าจมลงไปอยู่ในที่ที่มันควรอยู่

“คุณยะก็รักน้องพี” นี่อาจเป็นความจริงก็ได้ “เด็กอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งโตก็ยิ่งทำให้คุณยะหลง” น้ำเสียงของเขาเอ็นดูผมมาก

“คอยดูเถอะน้องพีจะทำให้คุณยะหลงมากกว่านี้อีก” ...หลงจนโงหัวไม่ขึ้นเลย เหมือนที่ผมหลงเขานั่นแหละ 

“ยิ้มแบบนี้แหละที่ฉันอยากเห็นบนหน้าของเธอ ยิ้มบ่อยๆ นะพี โดยเฉพาะยิ้มให้ฉัน”

“ครับ... ว่าแต่ มาทำกันต่อเถอะ” ขั้นแรกของการทำให้เขาหลงผมมากขึ้น คือทำให้เขามีความสุขด้วยร่างกายของผม อย่าว่าผมแก่แดดหรือแรดนะ เพราะผมคิดได้แค่วิธีแบบนี้แหละ แถมมันยังง่ายที่สุดด้วย แล้วก็...เอ่อ..ผมก็มีความสุขเหมือนกัน

“ฉันหมดอารมณ์แล้ว” พูดแล้วก็ก้มมองน้องชายตัวเองที่อยู่ใกล้กับน้องชายผม

“ก็ยังแข็งอยู่เลย” ถึงจะไม่ฟิตปั๋งเหมือนตอนที่แกล้งทรมานร่างกายของผมก็เถอะ “ทำกันเถอะนะคุณยะ น้องพีอยากให้คุณยะกอดจนถึงเช้าเลย”

“งั้นก็นอน ฉันจะได้กอดเธอจนถึงเช้า” เขาแกล้งผม ทำเหมือนไม่อยากทำ แต่ผมรู้หรอก ลูกตาของเขาที่เป็นประกายวิบวับบอกผมหมดแล้ว

“กอดแบบนั้นมันจะสนุกอะไรละครับคุณยะ” ผมเริ่มเชิญชวน พร้อมกับปลุกเร้าความยิ่งใหญ่ของเขาให้กลับมาเติบโตเต็มที่อีกครั้ง ด้วยการกุมตัวตนอุ่นร้อนของเขาไว้ในอุ้งมือ เริ่มต้นขยับมืออย่างช้าๆ มองใบหน้าคมเข้มที่ระบายด้วยรอยยิ้มพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด “เข้ามาอยู่ในตัวน้องพีสนุกกว่าเยอะนะครับ”

คนแบบเขาน่ะ...ชอบคนใจกล้า ไม่เหนียมอายกับเรื่องบนเตียง

“แก่แดด..อา...” เป็นไงล่ะ สุดท้ายเขาก็หลุดเสียงครางออกมาเพราะเด็กแก่แดดคนนี้

“แต่คุณยะก็ชอบเด็กแก่แดดใช่ไหมล่ะ” คำตอบของเขาคือการดึงใบหน้าผมเข้าไปใกล้ ประทับจูบลงมาบนริมฝีปากของผม มันเป็นความนุ่มนวลแบบเดิมและอ่อนโยนอย่างที่สุด

“หลงมากที่สุดต่างหาก” เขาเอ่ยออกมาหลังจากถอนจูบออกไป มือเขาเอื้อมไปหยิบหลอดเจลขึ้นมาเปิดฝา บีบเนื้อเจลให้ไหลรดลงมาบนตัวตนที่ยังคงอยู่ในอุ้งมือของผมและเติบโตเต็มที่แล้ว “รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไงให้คุณยะโงหัวไม่ขึ้น”

“หลอกเด็กเก่ง” ผมเป็นฝ่ายว่าเขาบ้าง หลังจากปล่อยให้เขาว่าผมแก่แดดมาหลายประโยคแล้ว

“เด็กเต็มใจให้หลอกมากกว่ามั้ง” พูดแล้วก็ยกตัวผมขึ้นให้ยืนเข่าอยู่เหนือร่างของเขา ก่อนที่นิ้วกระด้างชุ่มเนื้อเจลเย็นชืดจะแทรกเข้ามาในช่องทางด้านหลังของผมพร้อมกันสองนิ้วอย่างง่ายดาย

“อ๊ะ...” ผมเชิดหน้าต่อสู้กับความเสียวซ่านที่วิ่งพล่านไปตามร่างกายทุกตารางนิ้ว ยิ่งเขาขยับนิ้วและเพิ่มจำนวนเป็นสามนิ้ว เนื้อตัวผมก็ยิ่งสั่นสะท้าน ยิ่งสั่นระริกเข้าไปอีกเมื่อนิ้วทั้งสามหมุนวนอยู่ภายใน มิหนำซ้ำยังขูดรูดไปกับผนังบอบบางนั้นด้วย 

“รัดนิ้วคุณยะใหญ่เลย เสียวหรือครับคนดี” ไม่น่าถาม ร่างกายผมออกจะโชว์หลักฐานซะขนาดนี้

“อ่า...อา...ครับ” ทั้งเสียวและอยากได้มากกว่าสิ่งที่หมุนวนอยู่ในช่องทาง “คะ...คุณยะ...อ่า...เอานิ้วออกมา” และเขาก็ว่าง่ายเพราะรู้ความต้องการของผม... ของเขาเองด้วยมั้ง

“เป็นหน้าที่ของน้องพีแล้ว”

“ครับ” ผมไม่ปฏิเสธหน้าที่ที่เขามอบให้ สองมือตวัดรอบไหล่กว้าง สูดหายใจเข้าลึก เตรียมใจสำหรับการทำร้ายร่างกายตัวเองให้เจ็บปวดอย่างที่สุด “คุณยะครับ... น้องพีรักคุณยะนะ รักมากที่สุดในโลกเลย” ผมลดสะโพกลงไปหาตัวตนที่พองโตและรอคอยให้ผมกลืนมันเข้าไปจนหมดความยาว หัวใจเต้นแรงราวกับกลองที่ถูกกระหน่ำตี เพราะทั้งกลัวความเจ็บปวดที่จะชำแรกเข้ามา และตื่นเต้นที่จะได้ครอบครองความยิ่งใหญ่ของคนที่ผมรัก

“ฮึก...” เหมือนครั้งแรกที่ผมกดสะโพกลงไปกลืนกินตัวเขา เจ็บไม่ต่างจากถูกฉีกทึ้งร่างเป็นสองส่วน เจ็บจนเม็ดน้ำตาทะลักออกมา มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาความยิ่งใหญ่เข้ามาในช่องทางที่คับแคบนี้ แค่ส่วนปลายที่เข้าไปได้ก็ทำเอาผมเจ็บจนลืมหายใจ ร่างกายเกร็งคล้ายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม ไม่เหมือนตอนเขาเป็นฝ่ายชำแรกเข้ามาในร่างกายผมเอง ความชำนาญของเขาทำให้ทุกอย่างดูง่ายไปเสียหมด

แต่ผมก็ยังพยายามต่อไปที่จะทิ้งสะโพกเพื่อกลืนกินตัวตนของคนตรงหน้า ยามนี้ดวงตาสีราตรีจ้องมองผมอย่างไม่ละสายตาไปไหน มือเขาก็วนเวียนอยู่ที่แผ่นหลังของผมบ้าง สะโพกของผมบ้าง

“อยากให้คุณยะช่วยไหม” คำถามฟังคล้ายเป็นความใจดี แต่ความจริงคืออยากร่วมมือกับผมทำร่างกายของผมต่างหาก

“ช่วยหลงพีให้มากๆ ก็พอครับ”

“น้องพีก็เอาคุณยะเข้าไปเร็วๆ สิครับ คุณยะจะได้หลงน้องพีซะที อยากหลงใจจะขาดแล้วรู้ไหม” พูดแบบนี้แล้ว ผมหรือจะไม่รีบทำตามที่เขาบอก

ผมหลับตาลงช้าๆ

“ห้ามหลับตา” คำสั่งห้ามดังขึ้นมาทันที ผมจำต้องลืมตาขึ้นมามองหน้าเขาตามเดิม “คุณยะจะได้เห็นน้ำตาที่อยู่ในดวงตาของน้องพีตอนที่เจ็บปวดเพราะคุณยะ” ความชอบของเขาแปลกๆ แต่ก็นั่นแหละ ผมก็ไม่เคยปฏิเสธความต้องการของเขา

เป็นอีกครั้งที่ผมขยับตัว โดยมีคำพูดของคุณยะกระตุ้นให้ผมฮึกเหิมอย่างที่สุด

“เร็วสิครับคนดี กินคุณยะให้เร็วที่สุด ทำได้ใช่ไหม”

“ได้ครับ” ผมก็ช่างว่าง่าย กดสะโพกลงไปด้วยแรงที่มากกว่าทุกครั้ง อย่างไม่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บจนขาดใจตาย... เพราะไม่มีใครเจ็บจนตายด้วยเรื่องนี้หรอก

...ก็แค่เจ็บจนต้องกรีดร้องออกมาสุดเสียงเท่านั้นเอง

“อ๊า...อ๊ะ...!!”

เสียงกรีดร้องพุ่งออกจากปากผมอย่างกักกลั้นไม่อยู่ เมื่อผมกดสะโพกลงไปกลืนกินตัวตนร้อนระอุจนสุดในครั้งเดียว ในความรู้สึกของผมคือตอนนี้ร่างกายผมฉีกขาดออกจากกันไปแล้ว

“...ฮึก...ฮื่ออออ...” มันมาพร้อมเม็ดน้ำตาที่แตกทะลัก ก่อนจะทิ้งตัวลงไปในอ้อมกอดของคนที่ผมรักหมดหัวใจ

“ให้คุณยะดูน้ำตาน้องพีก่อนนะ” เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้โอบรอบเอวผมดึงใบหน้าชุ่มน้ำตาของผมขึ้นมาจากอกเขา “

“ฮึก...คุณยะ...น้องพีเจ็บ...เจ็บมาก...ฮื่ออออ...ตัวน้องพีขาดไปแล้วแน่ๆ” เมื่อเขาอยากเห็นน้ำตาของผม ผมก็ไม่รอช้าที่จะเอามันออกมาเยอะๆ เพื่อทำให้เขาหลงผมมากขึ้น และมันง่ายมากที่จะปล่อยน้ำตาให้ทะลักทลายออกมาเต็มสองแก้ม ตกลงไปกระทบตามร่างกายของคนที่รองรับผมเอาไว้ เพราะความเจ็บของร่างกายเป็นวัตถุดิบที่ดีสำหรับการกลั่นน้ำตาออกมา

“อยากให้คุณยะช่วยรักษาให้ไหม” คำพูดอ่อนโยน น้ำเสียงนุ่มนวล แต่การกระทำหลังจากที่เขาหอบเอาผมไปนอนราบกับเตียงนอน (ที่ไม่นุ่มเท่าไร) และดันหน้าขาทั้งสองข้างของผมติดไปกับลำตัวของผมเอง จนเหมือนตัวผมจะพับครึ่งได้ก็ไม่ปานนั้น ต่างกันราวกับพระเอกแสนดีกับตัวร้ายสายโหดเหี้ยม

“ฮึก...อยากครับ” มีเขาคนเดียวที่รักษาผมได้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือหัวใจ

แล้วตอนนี้พระเอกคนนั้นก็ถูกเก็บเข้าตู้ เหลือเพียงตัวร้ายที่ทำทุกท่วงท่าให้น้ำตาผมทะลักทลายออกมานานหลายชั่วโมง

จบตอนที่ 23

 :katai2-1:

เม้าท์ๆๆ ::
จะพยายามเบาดรามาลงเท่าที่จะทำได้น้า (กลัวคนอ่านหายหมด T^T)
หลังจากนี้สักสองสามตอนก็จะเป็นดรามาเบาๆ ไม่หนักหน่วง มีหวานหน่อยๆ (มั้ง ^_^)
ทุกคนอย่าเพิ่งหนีกันไปนะเพราะเราเดินกันมาเกินครึ่งทางแล้ว
อีกไม่นานหลังเจอพายุลูกใหญ่เบิ้ม
ทุกอย่างจะกลับมาแฮปปี้แน่นวลลลลล
สัญญา!!

 :katai4:

สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 23 (16-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 16-12-2018 23:25:45
เมื่อไหร่ตะถึงเวลาแฮปปี้ที่ว่า สคิปข้ามเวลาเลยได้ไหม :ling1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 23 (16-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-12-2018 23:32:33
ปัญหาคือคุณยะไม่เคยพูดหรืออธิบายอะไรเลยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 23 (16-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 17-12-2018 11:15:47
คุณยะซาดิสท์ชอบเห็นน้ำตา ไม่อยากอ่านแล้วสงสารน้องพีแต่ก็สงสารไม่สุดเพราะน้องทำตัวเอง

เกลียดคุณยะเกลียดที่ไม่เข้มแข็งและขี้ขลาดแบบที่คุณยะด่าตัวเอง
อยากไทม์สคิปไปตอนที่แฮปปี้เลยได้ไหมค่ะไรท์  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 24 (21-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 21-12-2018 17:51:33
ตอนที่ 24


“ตะ...ตื่นนานแล้วหรือครับ”

ผมตกใจหน่อยๆ ที่พอลืมตาขึ้นมาแล้วเจอดวงตาสีราตรีจับจ้องอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของเขาวางอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าผม เราไม่ได้นอนกอดกันแต่ก็อยู่ผ้าห่มผืนเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าเขานอนมองหน้าผมนานแค่ไหนแล้ว แต่น่าจะนานพอสมควรแหละเพราะบนใบหน้าเขาไม่มีอาการของคนที่เพิ่งตื่นนอนเลย
   
และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วเจอหน้าเขา เขายังนอนร่วมเตียงเดียวกันกับผม ไม่หนีผมไปไหนเหมือนสองครั้งก่อน แล้วสภาพหน้าผมตอนนี้เป็นไงบ้าง จะยับยู่ยี่แค่ไหนกันนะ สภาพตอนตื่นนอนไม่ได้น่าดูน่ามองนักหรอก คิดแล้วก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าให้ริ้วรอยความยับย่นจางไปบ้าง ช่วยได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

“ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง” เขาตอบ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งคำถามให้ผมตอบบ้าง “อยากด่าอะไรฉันหรือเปล่า”

“ไม่ครับ” ผมส่ายหน้า ก็เขายังไม่ทำอะไรให้ผมโกรธเลยนี่นา

“แล้วตรงนี้เป็นไงบ้าง” ตรงนี้ที่เขาถามถึงคือสะโพกที่เขาเอามือวางลงไป แล้วลูบเบาๆ ไม่เหมือนเมื่อคืนที่มือเขาเอาแต่ขยำมัน

“เหมือนคุณยะยังอยู่ในตัวพีเลย” ผมตอบไปตามความจริง ไม่มีปกปิด แต่ไม่ได้จ้องตาเจ้าของคำถามเพราะความร้อนบนใบหน้ากำลังทำงานหนัก เนื่องจากนึกถึงกิจกรรมที่ทำด้วยกันเมื่อคืน เขาไม่ได้ทรมานผมมากหรอกแต่ก็ไม่ได้ปรานีเท่าไร ดีนิดหนึ่งที่พอเขาปลดปล่อยรอบที่สองเสร็จก็อุ้มพาผมไปอาบน้ำและนอนเลย 

“อาย ?” เขาช้อนใบหน้าผมขึ้นมาสบตากรุ้มกริ่ม “มีอะไรให้ต้องอาย ไม่ต้องอายคนดี เป็นน้องพีแบบเมื่อคืนสิครับ คุณยะชอบน้องพีคนนั้น” แถมยอดคำหวานให้ผมอายขึ้นอีกเท่าตัว

น้องพีคนเมื่อคืนที่ร่างกายเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ที่ทำให้ความกล้าคูณสิบ ความหน้าหนาคูณร้อยนั่นน่ะนะ ผมไม่อยากเป็นเท่าไรหรอก

“แล้วน้องพีคนนี้คุณยะไม่ชอบหรือไง” ผมถามกลับ เสียงขุ่นนิดหน่อยเพราะไม่พอใจเท่าไรที่เขาชอบน้องพีคนเมื่อคืนมากกว่าน้องพีตัวจริงคนนี้ 

“คนนี้หลงเลยต่างหาก” ฟังคำตอบของเขาสิครับ แล้วผมจะไปไหนรอด

“หลอกเด็ก” ผมนี่อมยิ้มเขินจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว เขาชอบว่าผมปากหวาน เขานั่นแหละที่ปากหวานกว่าผมซะอีก

“ไม่เชื่อ ?” มีย้อนถาม เล่นแก้มผมไปด้วย ดูเขาชอบไฝเม็ดนี้จริงๆ แล้วทั้งหน้าของผมก็มีแค่ไฝเม็ดนี้เม็ดเดียว

“น้องพีเชื่อคุณยะทุกอย่างเลย” ถ้าเชื่อแล้วทำให้ผมมีความสุขแบบนี้ทุกวัน ผมก็จะเชื่อทุกคำพูดของเขาไปตลอดทั้งชีวิต “รักคุณยะมากด้วย”

“บอกบ่อยๆ ไม่เบื่อบ้างหรือไง” เขาเป็นคนเจ้าคำถาม ผมพูดอะไรออกไป เขาก็ชอบจะย้อนถามตลอด แต่ผมก็ไม่เบื่อที่จะตอบ

“ไม่เบื่อหรอก คุณยะมากกว่าจะเบื่อคำบอกรักของน้องพีหรือเปล่า”

“ฉันก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรหรอกที่มีคนมาบอกรักฉันซ้ำๆ เพราะฉันเหนื่อยที่จะฟังน่ะ” เขาพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายตามคำที่เอ่ยออกมา “มันน่าเบื่อมากนะพีที่ต้องมาฟังคำพูดเดิมซ้ำๆ” พูดจบเขาก็พลิกตัวกลับไปนอนหงายมองเพดานห้องแทนการมองหน้าผม ที่เขาพูดมาแบบนี้ ทำหน้าตาแบบนั้นอีก แถมยังพลิกตัวหนีผม แสดงว่าเขาเบื่อคำบอกรักจากปากผมงั้นเหรอ

“.....” ผมอึ้งไปเลยกับคำที่เขาพูดออกมา หัวใจงี้ไหลลงไปกองปลายเท้า เผลอกัดปากตัวเองจนเจ็บ คิดว่าคำพูดของเขาเป็นความจริง กว่าจะรู้ตัวว่าถูกผู้ใหญ่หลอกก็ตอนได้ยินเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากริมฝีปากที่ปิดไม่สนิทนั้น

“เชื่อด้วยเหรอ ?” เขาพูดพร้อมกับพลิกตัวกลับมาหาผม ใบหน้าคมเข้มเปื้อนรอยยิ้มที่หลอกเด็กอย่างผมได้สำเร็จ

“คุณยะ!” ผมตะโกนอย่างหงุดหงิดที่ถูกหลอก “ทำไมชอบแกล้งพีนักนะ” ผมระดมยิงกำปั้นใส่ลำตัวเขาไม่ยั้ง เต็มแรงด้วย แต่เขาคงไม่สะเทือนเท่าไรเพราะยังหัวเราะอย่างเห็นความเสียใจของผมเป็นเรื่องสนุกสนานก็ไม่ปาน

“ฉันบอกแล้วไง...ว่าเธอน่าแกล้ง” เขาหยุดหัวเราะแต่ยังเหลือรอยยิ้มเปื้อนเต็มใบหน้า

“น่าแกล้งหรือเห็นว่าน้องพีโง่กันแน่”

“เธอไม่โง่ ...เธอแค่น่ารัก” เขาเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ทำเอาหัวใจผมวูบวาบไปหมด

“ขี้โกง... คุณยะขี้โกง” ก็เป็นซะแบบนี้ไง ชอบแกล้งให้ผมโกรธ แล้วก็มาง้อผมด้วยคำหวานหูที่ทำให้หัวใจผมพองโต “ชอบตบหัวแล้วลูบหลังน้องพีตลอดเลย พอน้องพีจะโกรธก็ทำให้ยิ้มซะงั้น”

“เธอก็ใส่ร้ายฉันเกินไป”

“ไม่ได้ใส่ร้ายสักหน่อย ก็คุณยะชอบทำให้น้องพีโกรธ แล้วก็มาปลอบเอาตอนหลัง รู้ไหมว่าน้องพีตามอารมณ์ตัวเองไม่ทันแล้วนะ เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็บึ้ง” 

“ผิดด้วยหรือไงที่ฉันอยากเห็นทุกอารมณ์บนใบหน้าเธอ เพราะไม่ว่าสีหน้าเธอเป็นแบบไหน เธอก็ดูน่ารัก แม้แต่ตอนนอนกรน เธอก็ยังน่ารัก”

“น้องพีไม่ได้นอนกรน!” เขาต้องแกล้งใส่ร้ายผมแน่ๆ ผมยังเด็กอยู่นะจะนอนกรนได้ยังไง

เอ...หรือว่าจริง

“เธอนอนกรน”

“ไม่จริง”

“จริง” ...ก็พอเข้าเค้าแล้วนะที่ว่า เขาแกล้งใส่ร้ายว่าผมนอนกรน เพราะดวงตาสีราตรีเป็นประกายสนุกสนานเกินไป ยิ้มเยอะเกินไปด้วยแหละ

“ไหนล่ะหลักฐานที่ว่าน้องพีนอนกรน” เอาสิ จะมาใส่ร้ายว่าผมนอนกรนแบบไม่มีหลักฐานไม่ได้ “ไม่มีหลักฐานก็แสดงว่าน้องพีไม่ได้นอนกรน” ขณะที่ผมกำลังยิ้มที่เอาชนะเขาได้ เขาก็เอี้ยวตัวไปด้านหลัง เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา

เขาจิ้มกดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนยื่นโทรศัพท์มาให้ผมรับไปดู

“ในมือเธอนั่นแหละคือหลักฐาน”

หลักฐานที่ว่าคือคลิปตอนผมหลับ ภาพชัดมาก เจาะเฉพาะหน้าผมอย่างเดียวเลย แต่หน้าผมตอนหลับก็ไม่น่าเกลียดเท่าไรนะ

เอ้า! ขอเข้าข้างตัวเองหน่อยก็ได้ว่าหน้าตาตอนหลับของผมก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ไม่ได้ขี้เหร่เลย

“น้องพีไม่เห็นกรน” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอาหลักฐานปลอมมาให้ผมดู ในคลิปก็มีแต่ผมที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมมาถึงคอเลย

“รออีกนิดสิ” เขาบอก จังหวะนั้นเอง ภาพในคลิปก็เลื่อนไปจับที่ผ้าห่มอยู่ประมาณห้าถึงหกวินาที ก่อนจะกลับมาโฟกัสที่ใบหน้าผมต่อ พร้อมกับมือผมที่ลูบแก้มข้างที่มีไฝเม็ดเล็กเบาๆ และละเมอออกมาเสียงเบามากแต่ก็จับใจความได้ว่า

‘หื้อ...คุณยะอย่าแกล้งน้องพี แก้มจะยุบแล้วน้าาา’

พอเห็นตัวเองในคลิปกำลังใช้มือลูบแก้มตัวเองป้อยๆ แถมละเมอออกมาแบบนั้นด้วย ผมก็รู้แล้วว่าก่อนหน้านี้คนที่ถือกล้องถ่ายคลิปตอนผมนอนหลับคงจูบผมแน่ๆ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกดีชะมัดเลย ถูกเขาหอมแก้มตอนหลับเนี่ย คล้ายในความฝันเลยที่ผมถูกเขาปล้ำจูบ แล้วผมก็บอกรักเขาหลายครั้งด้วยสิ

นั่นไง! ไม่ทันไรปากผมก็ขยับอีกแล้ว เหมือนในความฝันเป๊ะ!

‘รักคุณยะ...รักคุณยะ...น้องพีรักคุณยะ...’

หน้าตาของผมตอนบอกรักเขาดูมีความสุขมาก ผมไม่เคยเห็นใบหน้ามีความสุขของตัวเองแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนตกอยู่ในความฝัน ก็แน่สิ นี่คือตอนที่ผมกำลังฝันดีอยู่นี่นา

‘รักน้องพีเหมือนกันครับ’

เสียงในคลิปดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าไม่ใช่เสียงของผมแต่เป็นเสียงของคนที่นอนร่วมเตียงกับผม แล้วกล้องก็เคลื่อนไปจับภาพผ้าห่มอีกครั้ง ไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม เพราะเมื่อภาพกลับมาจับที่ใบหน้าผม ผมก็เห็นว่าภาพได้ซูมเข้ามาที่ปากผม...ที่เจ่อหน่อยๆ และแวววาวเพราะฉ่ำน้ำลายขนาดนั้น ภาพแช่ค้างอยู่อย่างนั้นเกือบวินาทีเลย ก่อนที่จะถอยออกมาจับใบหน้าผมแบบเต็มๆ อีกสักพัก และคลิปก็ตัดจบไปแบบที่หาตรงไหนก็ไม่เจอเสียงกรนของผม ดังนั้นผมเลยเปิดคลิปอีกรอบ เสียงที่ผ่านลำโพงโทรศัพท์ออกมาก็มีแต่ประโยคเดิม

‘หื้อ...คุณยะอย่าแกล้งน้องพี แก้มจะยุบแล้วน้าาา’

...ในความฝันที่ผมพอจำได้ ทั้งปากทั้งจมูกเขานี่ฝังเข้ามาในแก้มผมเลยนะ

‘รักคุณยะ...รักคุณยะ...น้องพีรักคุณยะ...’

...ผมคงรักเขามากจริงๆ แม้แต่ในความฝันก็ไม่หยุดบอกรักเขา

‘รักน้องพีเหมือนกันครับ’

...ถ้าตั้งใจฟังให้ดีจะมีเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของคุณยะแทรกเข้ามาด้วย

พอจบคลิป ผมก็เปิดวนอีกรอบ ทำเหมือนตั้งใจจะตะแคงหูฟังว่าวินาทีไหนที่เสียงกรนลอดออกมาจากริมฝีปากของผม แต่ความจริงคือผมอยากฟังคำบอกรักของคุณยะซ้ำอีกหลายๆ รอบมากกว่า จนกระทั่งคลิปเล่นไปแล้วหกรอบ ผมถึงพอใจ เอิ่มเอมกับคำบอกรักแสนหวานของเขา

“สรุปแล้วคือน้องพีไม่ได้กรนใช่ไหมล่ะ”

“ตามที่เธอเห็น” ก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ผมไม่ใช่เด็กนอนกรนซะหน่อย

“แล้วถ่ายทำไมครับ” แอบคิดแบบมีความสุขว่าคุณยะอยากจะเก็บความน่ารักของผมเอาไว้เปิดดูบ่อยๆ ซึ่งคำตอบของเขาก็ใกล้เคียงกับที่คิดไว้เลย

“เอาเก็บไว้ดูตอนที่เธอไม่อยู่”

“น้องพีไม่ไปไหนหรอก จะอยู่กับคุณยะไปจนแก่เลย” ตอนนี้ผมไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเขาไล่ออกจากครอบครัวตรัยธาดาแล้วใช่ไหม

“แน่ใจ ?”

“แน่ใจครับ” ผมตอบทันที

“แต่ฉันกลัวว่าสักวันเธอจะไปจากฉัน” เสียงเขาเบาลงและผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าน้ำเสียงของเศร้านิดๆ ด้วย “วันที่เธอจะไม่อยากอยู่กับคนอย่างฉัน วันที่ฉันทำให้เธอเสียใจ”

“คุณยะก็อย่าทำให้น้องพีเสียใจสิ” ถ้าเขาไม่ทำให้ผมเสียใจ ผมก็ไม่อยากจะไปไหนจากเขาหรอก ผมรักเขาจะตายไป อยากอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตด้วยซ้ำ 

“ฉันไม่เคยอยากทำให้เธอเสียใจเลยพี แต่...”

Rrrrr...

โทรศัพท์ของเขาที่ยังอยู่ในมือของผมส่งเสียงเรียกเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ผมเลยไม่รู้ว่าหลังคำว่า ‘แต่...’ คือเรื่องราวแบบไหน

ผมก้มลงดูหน้าจอสี่เหลี่ยมที่สว่างขึ้นมา ชื่อของคนที่ผมอยากให้หายไปจากโลกนี้ที่สุดปรากฏอยู่บนหน้าจอ

“พี่เลม่อนโทรมา” ผมยื่นโทรศัพท์ให้คุณยะ ก่อนจะขยับเข้าไปหาเขาแล้วกอดตัวอุ่นๆ ของเขาเอาไว้ ซุกหน้าไว้กับอกกว้าง กอดแน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ อยากให้เขารู้ใจผมจัง ว่าผมไม่อยากให้เขารับสายพี่เลม่อน ไม่อยากให้เวลาที่ควรเป็นของผมถูกคนของเขาแย่งเอาไป

สัมผัสหนักๆ เกิดขึ้นที่เหนือหน้าผากผมอยู่หลายที ขณะที่เสียงเรียกเข้าก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น

“คุณยะ” ผมเรียกชื่อเขาอยู่ในอกเขานั่นแหละ แต่ก็ยังไม่กล้าเอ่ยขอให้เขาอย่ารับสายของพี่เลม่อน 

“คุณยะรู้ครับ” แต่เขาก็รู้กดจูบลงมาที่หัวผมอีกครั้ง

โทรศัพท์เงียบเสียงลงไปแล้ว ท่อนแขนแกร่งทั้งสองโอบกอดผมตอบ เขากอดผมแน่นมาก แน่นแบบเดียวกับที่ผมกอดเขานั่นแหละ

“น้องพีไม่ได้งี่เง่าเกินไปใช่ไหมที่อยากให้ตอนนี้คุณยะมีแค่น้องพีคนเดียว นึกถึงแต่น้องพีคนเดียว รักแค่น้องพีคนเดียว” มากกว่านั้นผมก็อยากเป็นแค่คนเดียวที่เขารักตลอดไป

“ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนคุณยะก็มีแค่น้องพีคนเดียว รักน้องพีคนเดียว” คำหวานถูกป้อนอยู่ข้างแก้ม ไม่รู้ว่าคำพูดของเขามีความจริงมากแค่ไหน แต่ผมก็เชื่อหมดหัวใจ

“น้องพีถามได้ไหม” ผมจะถามถึงความสัมพันธ์ของเขากับพี่เลม่อน ถ้าเขารักผม ทำไมเขาถึงเลิกกับพี่เลม่อนไม่ได้ มีเรื่องอะไรหรือใครทำให้เขาปล่อยมือจากพี่เลม่อนไม่ได้ แต่เขาก็ชิงปฏิเสธเสียก่อน

“ไม่ได้” เขาดึงใบหน้าผมขึ้นมา กดจูบลงบนริมฝีปากของผม หยุดทุกความอยากรู้ของผมไว้กับความหอมหวานที่ฟุ้งอยู่ในอุ้งปาก แม้โทรศัพท์ของเขาจะกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้งก็ตาม เราสองคนก็ไม่หยุดที่จะจูบกัน


และตอนนี้ผมกำลังปีนขึ้นไปนั่งบนตัวเขา ที่กำลังมีรอยยิ้มพึงพอใจอยู่บนใบหน้าคมเข้มนั้น

“ให้รางวัลให้คุณยะ”

เพราะผมอยากให้เขาหลงใหลผม เหมือนที่ผมหลงใหลในตัวเขา

.

.

.

ตอนที่ผมเปิดประตูห้องพักออกมาเป็นเวลาบ่ายสามนิดๆ บรรยากาศนอกบ้านพักสงบเงียบเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน ดูไม่มีนักท่องเที่ยวมาพักเลยสักคนเดียว ผมว่าการที่ไม่มีนักท่องเที่ยวจนกิจการขาดทุนเป็นเพราะการบริหารและเงินล้วนๆ เนื่องจากดูจากสถานที่และธรรมชาติของที่นี่แล้ว น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เยอะทีเดียว

แต่จะว่าไม่มีนักท่องเที่ยวก็คงไม่ใช่ เพราะผมเห็นแล้วหนึ่งคน ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทลำลองสีเข้มสวมทับเสื้อยืดสีขาวกำลังยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง เขากวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณหน้าบ้านพักของเขา ก่อนสายตาคู่นั้นจะมาหยุดที่ผม เพราะผมกำลังเดินผ่านบ้านพักของเขาอยู่ครับ บ้านพักของที่นี่ตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร สร้างความเป็นส่วนตัวให้กับนักท่องเที่ยวได้ดีทีเดียว เป็นหนึ่งในข้อดีที่ผมหาเจอจากรีสอร์ตของคุณแก้ว ที่อีกไม่นานจะกลายเป็นรีสอร์ตในเครือของโรงแรมตรัยธาดา

ผมยิ้มให้กับผู้ชายคนนั้นนิดหนึ่ง เพราะเขาเป็นผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับผม ที่ต้องมาพักในบ้านพักที่ทั้งเก่าและโทรม สิ่งอำนวยความสะดวกก็น้อยนิด ความสวยงามยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ยังดีที่ภายในห้องยังคงดูสะอาดสะอ้าน แม้บางครั้งจะได้กลิ่นอับๆ ก็ตาม 

แต่ก็แปลกนะที่เขาใส่สูทมาเที่ยว ถึงจะเป็นสูทแบบลำลองก็เถอะ คุณยะยังไม่ใส่สูทมาเลย เขาใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนแต่ก็ไม่ทำให้ออร่าความเป็นเจ้าของโรงแรมพุฒิธาดาลดน้อยลงเลย ดูเท่และน่ามองไปอีกแบบหนึ่งด้วย น้อยครั้งนะที่ผมจะเห็นคุณอยู่ในชุดที่ไม่ใช่สูทหรือเชิ้ต

ส่วนชุดเสื้อผ้าที่ผมใส่ออกมานอกห้องพัก ไม่ต้องห่วงว่าผมจะใส่ชุดเด็กผู้หญิงออกมานะครับ ผมมีเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วครับ คุณยะให้พนักงานของที่นี่ออกไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองมาให้ผม พร้อมกับซักรีดมาเรียบร้อย หอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มฟุ้งเลย

พูดถึงคุณยะแล้ว ไม่รู้ตอนนี้เขาไปอยู่ที่ส่วนไหนของรีสอร์ต แล้วผมจะตามหาเขาเจอไหมเนี่ย โทรศัพท์ผมก็ไม่มีจะโทรตามเขาก็ไม่ได้ หรือว่าผมจะลองถามพนักงานคนนั้นดู เผื่อว่าเขาจะรู้ ก็พนักงานคนเดิมกับเมื่อเย็นวานที่พาผมไปบ้านพักนั่นแหละ เดินหน้ายุ่งมาแต่ไกลเลย ไม่รู้ว่าไปกินรังแตนจากไหนมา

“พี่ครับ” ผมเดินเข้าไปหาเขา พอผมเรียกเขาก็ปรับสีหน้าลงมาหน่อย

“ว่าไงน้อง มีไรก็รีบพูดมา เพราะพี่รีบ”

เฮ้อ... ฟังแล้วท้อแทนเจ้าของรีสอร์ตเลยที่มีลูกน้องแบบนี้

“พี่เห็นพี่ชายผมไหมครับ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” ถ้าอยู่ข้างนอก ผมกับคุณยะคือพี่น้องกันครับ ไม่ใช่พ่อลูก แต่ถ้าอยู่สองคน แค่ผมกับคุณยะ เราก็คือคนรักกันแล้ว

“พี่ชายของน้องเหรอ เอ...พี่ก็ไม่แน่ใจนะ แต่หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ พี่เห็นเดินไปที่น้ำตกท้ายรีสอร์ตกับคุณแก้วนะ ไม่รู้ว่าตอนนี้กลับมาหรือยัง น้องลองไปถามที่ล็อบบี้ก่อนก็ได้ว่าคุณแก้วกับพี่ชายน้องกลับมาหรือยัง...”

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณเขา กำลังจะเดินผ่านเขาไป แต่ก็ถูกคว้าเขาคว้าข้อมือเอาไว้ ผมสลัดมือเขาออกทันทีเพราะตกใจ ส่วนอีกฝ่ายก็หน้าตื่นเหมือนกัน

“โทษๆ น้อง พี่ไม่ได้ตั้งใจทำอะไรน้องนะ แค่มีเรื่องอยากถามน้องนิดหน่อย” เขารีบแก้ตัว แต่ผมก็ยังระแวง แม้หน้าตาและท่าทางของเขาไม่น่าจะมีพิษมีภัยเท่าไรก็เถอะ

“ครับ”

“คือว่า...” เขาหันซ้ายหันขวา พอไม่เห็นใครอยู่บริเวณนี้ เขาถึงได้หันกลับมาถามผมว่า “พี่ชายน้องจะแต่งงานกับคุณแก้วจริงหรือเปล่า”

“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ครับ ผมไม่รู้หรอก”

เรื่องมารยาทของการเป็นพนักงานที่ดีผมก็พอจะทำลืมๆ ได้นะ แต่การยุ่งเรื่องส่วนตัวลูกค้าเนี่ย ผมว่าเกินคำว่าแย่ไปเยอะแล้วนะ ผมนี่คันปากอยากจะอบรมเรื่องมารยาทของการเป็นพนักงานที่ดีให้กับเขามาก แต่ยั้งปากตัวเองได้เพราะผมเด็กกว่าเขาและไม่อยากมีปัญหากับเขาด้วย เอาไว้คุณยะซื้อที่นี่เมื่อไร ผมจะให้คุณยะจัดการเรื่องมารยาทพนักงานเป็นอันดับแรกเลย

“อย่าว่าพี่นินทาเจ้านายนะน้อง แต่เห็นน้องแล้วพี่ถูกชะตาว่ะ เลยอยากจะเตือนครอบครัวน้องไว้หน่อยหนึ่ง คุณแก้วเธอน่ะ...”

ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่แล้วเชียว ถ้าคนเล่าจะไม่ถูกดึงความสนใจไปซะก่อน จากเด็กผู้หญิงคนเดิมเมื่อวานนั่นแหละ บีบแตรเรียกเขาจากบนเบาะมอเตอร์ไซค์

“อ้าวแตงไทยมาได้ไง” พอเห็นผู้หญิง เจ้าตัวก็ลืมผมทันที วิ่งไปหาเธอแบบที่ไม่เอ่ยลาผมสักคำ แถมยังทิ้งปริศนาเกี่ยวกับคุณแก้วไว้ให้ผมขบคิดอีกว่าคืออะไร เอาเป็นว่าเจอหน้าอีกทีผมค่อยถามเขาละกัน

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 24 (21-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 21-12-2018 17:56:07
.

.

.

ผมเดินไปที่ล็อบบี้ถามพนักงานเพียงคนเดียวที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ก็คือคุณป้าที่ยก welcome drink มาให้ผมดื่มเมื่อวาน

“คุณป้าครับพี่ชายผมกับคุณแก้วกลับมาหรือยังครับ”

“ยังจ๊ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณคุณป้า แล้วเดินออกมา ตั้งใจจะเดินไปหาคุณยะที่น้ำตก อยากเห็นเหมือนกันว่าน้ำตกสวยไหม ตามคำโฆษณาของพนักงานที่นี่ (ก็คนเดิมนั่นแหละ โฆษณาเอาไว้ตอนที่พาผมไปบ้านพัก) ว่าน้ำตกนี่คืออีกจุดขายหนึ่งของรีสอร์ต แต่ยังไม่ทันเดินพ้นจากตัวอาคารเลยด้วยซ้ำ ก็เห็นคนที่ผมอยากเจอเดินตรงมาทางนี้

ถ้าเขาเดินมากับคุณแก้วแบบปกติ ผมคงไม่รู้สึกหึงตัวเท่าบ้าน หวงตัวเท่าโลกหรอก ตอนนี้หัวร้อนไปหมดแล้ว เหมือนมีกองไฟอยู่บนหัว เพราะคุณแก้วกำลังอยู่วงแขนของคนที่ควรเป็นของผมคนเดียว และคนที่เขาควรอุ้มก็คือผมคนเดียวเช่นกัน!

“จะไปไหนพี” เขาถามตอนที่ผมเดินผ่านหน้าเขาไป

“เรื่องของผม!” เสียงผมขุ่นคลั่กเลยทีเดียว ผมกลับมาเป็นเด็กงี่เง่าเหมือนเดิม ไม่อยากรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงอุ้มคุณแก้ว แต่ที่ผมรู้คือเขาไม่ควรอุ้มเธอ!

ผมทั้งหึง ทั้งระแวง คิดไปสารพัดอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่เขาอยู่กับเธอ ถึงจะเป็นการคุยงานกันก็เถอะ คุณแก้วก็สวยออกขนาดนั้น ไม่รู้ว่าความสวยของเธอเข้าไปทำให้คุณยะหวั่นไหวไปมากแค่ไหนแล้ว ยิ่งประวัติคุณยะชอบผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้วด้วย คู่ควงแต่ละคนสวยน้อยกันซะที่ไหน แม้แต่ที่เป็นผู้ชายก็หน้าตาสวยหวานกันทั้งนั้น

พอนึกถึงประวัติโชกโชนของคุณยะแล้ว อาการหัวร้อนยิ่งคูณสิบ จากที่เดินฉับๆ ผมก็เปลี่ยนเป็นวิ่งทันที ผมตั้งใจวิ่งกลับบ้านพักเพราะไม่มีอารมณ์จะไปชื่นชมธรรมชาติที่ไหนทั้งนั้น แต่พอวิ่งเกือบถึงที่พัก เท้าก็ดันไปสะดุดเข้ากับรากต้นไม้ที่โผล่พ้นดินออกมา เกือบจะหกล้มหน้าทิ่มพื้นไปแล้วถ้าไม่มีใครคนหนึ่งพุ่งเข้ามารับตัวผมไว้ได้ทัน

ถ้าคิดว่าเป็นคุณยะละก็ ผิดครับ!

“ระวังหน่อยหนู” คนที่ช่วยไม่ให้หน้าผมทิ่มดินเอ่ยเตือน พลางปล่อยมือจากตัวผม หลังจากเห็นว่าผมสามารถทรงตัวบนขาตัวเองได้มั่นคงแล้ว

“ขะ...ขอบคุณครับ” ผมรีบขอบคุณเขาทันที คนที่ช่วยผมไว้คือแขกเพียงคนเดียวที่ผมเพิ่งเห็นในรีสอร์ต

เขายิ้มให้ผมนิดหนึ่งแล้วก็เดินออกไป ผมไม่ได้มองตามหรอกว่าเขาเดินไปทางไหน เพราะจุดหมายของผมคือบ้านพัก ไม่ใช่ยุ่งกับชีวิตคนแปลกหน้า เข้ามาในห้องได้ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเปิดตู้เย็นหยิบโค้กกระป๋องออกมา เดินไปนั่งดื่มที่ระเบียงห้อง จนโค้กหมดกระป๋องถึงได้ยินเสียงเปิดประตูห้องเข้ามา

“เดินหนีมาทำไม” โผล่หน้าออกมาก็ถามทันที ถามเหมือนไม่รู้ว่าผมเดินหนีเขามาเพราะอะไร

“.....” ผมไม่ตอบ เรื่องอะไรจะตอบสิ่งที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว

“พี...มีเหตุผลหน่อย” เขาเดินไปพิงสะโพกไว้กับราวระเบียง หันหน้าเข้าหาผม

“.....” ผมไม่มีเหตุผลตรงไหน ก็เห็นอยู่ว่าเขาถึงเนื้อถึงตัวกับคุณแก้วขนาดไหน อุ้มกันมาขนาดนั้น ผมต้องยิ้มดีใจอย่างนั้นเหรอ

“ถามฉันสักคำไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงอุ้มเธอ”

“.....” ผมก็รู้แหละว่าที่เขาอุ้มคุณแก้ว มันต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น เธออาจจะข้อเท้าแพลง เดินเองไม่ได้ ต้องมีคนอุ้มพากลับ แต่ก็ไม่ควรเป็นเขาไหมล่ะ พนักงานผู้ชายไม่มีหรือไง ทำไมไม่ให้พนักงานของเธออุ้มเจ้านายตัวเองล่ะ

“ตอนที่ไปน้ำตก เธอลื่น แล้วก็เจ็บข้อเท้า ฉันเลยต้องอุ้มเธอกลับมา”

“.....” ไม่ผิดจากที่คิดไว้ เพียงแต่อารมณ์ผมยังร้อนอยู่ไง เหตุผลของคุณยะเลยไม่ต่างจากคำแก้ตัว มันยังไม่สามารถทำให้ผมหายหัวร้อนได้ในทันที

“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอ”

“.....” แต่คุณแก้วคิดอะไรเขาแน่ๆ และไอ้อาการที่เจ็บข้อเท้าเดินไม่ได้นั่นก็อาจเป็นแค่มารยาหญิง เรียกร้องความสงสารและก่อเกิดเป็นความรัก ความคิดของผมอาจจะเวอร์เกินไป แต่ทำไงได้อารมณ์หึงหวงทำให้ผมคิดได้ทุกอย่างแหละ

“พี” เขาเดินเข้ามาหา ดึงตัวผมขึ้นไปสู่อ้อมแขนของเขา โดยที่ผมก็เต็มใจ เลยไม่ได้ดิ้นขัดขืน “หึงให้น้อยลงหน่อย เชื่อใจฉันหน่อยสิ” น้ำเสียงของเขาที่พูดเจือมากับรอยขำในความขี้หึงของผม

ใช่! ผมเพิ่งรู้ตัวนี่แหละว่าเป็นคนขี้หึงมาก แค่เห็นเขาใกล้ชิดกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม อารมณ์มันก็พุ่งแบบหยุดไม่อยู่ ต่อให้มีเหตุผลของการกระทำแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกโกรธที่มีคนมาแตะต้องของของผม

“หายโกรธหรือยัง” ริมฝีปากของเขากดลงที่กลางกระหม่อมผมอยู่หลายทีเลย

“.....” ผมส่ายหน้ากับอกเขา ไม่มีอารมณ์พูดเลยจริงๆ เพราะภาพที่เขาอุ้มคุณแก้วยังติดตาอยู่เลย

“เฮ้อ...แล้วแบบนี้เราจะไปกันรอดไหม”

“รอด!” ผมตอบกลับอย่างเร็ว ผลักอกเขาออกอย่างแรงด้วย โมโหที่เขาตั้งคำถามแบบนี้ออกมา ผมแค่โกรธที่เขาใกล้ชิดกับคนอื่น (ถึงเขาจะมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นก็เถอะ) แต่เขากลับคิดไปถึงขั้นที่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะต้องจบสิ้นลงเพราะความขี้หึงเกินไปของผม

“ฉันว่าไม่รอดหรอก”

“รอด!”

“ไม่รอด”

“รอดสิ!”

“ไม่รอดหรอกพี”

“ต้องรอดสิคุณยะ”

“ฉันว่าไม่รอด”

“ผมว่ารอด”

“ไม่รอด”

“...อึก...ต้องรอดสิ...ฮื่อออ...” จากหัวร้อนผมก็กลายเป็นเด็กเจ้าน้ำตาทันที รู้ว่าเขาแกล้งยั่วผม แต่ผมเป็นเด็กที่ยั่วขึ้นไง พอสู้เขาไม่ได้น้ำตามันเลยมาเต็มแก้ม มือก็ทุกตีอกเขาไปด้วย เต็มแรงเลยเพราะโมโหที่เขาเอาแต่แกล้งผม

“ร้องทำไม ฉันแค่พูดเล่น” เขารวบมือผมไว้ ก่อนจะเอาตัวผมเข้ามาในอกเขาอีกครั้ง กอดผมแนบแน่นและโยกตัวผมไปมาด้วย เหมือนเด็กเลย อันที่จริงผมก็เด็กจริงๆ นั่นแหละ

“น้องพีไม่ชอบ ทำไม...อึก...คุณยะต้องพูดว่า...เราจะคบกันไม่รอด...” ไม่ชอบให้เขาเอาเรื่องเลิกรามาพูดเล่น ความสัมพันธ์ของผมกับเขาก็ไม่ได้มั่นคงเท่าไร เปราะบางยิ่งกว่าเศษกระจกที่แตกละเอียดซะอีกมั้ง จะพูดเต็มปากว่า ‘คบกัน’ ไม่ได้ด้วยซ้ำ

“เพราะน้องพีขี้หึง”

“น้องพีไม่มีสิทธิ์หึงหรือไงในเมื่อคุณยะเป็นของน้องพีแล้ว” ผมเถียงทั้งน้ำตา

“มีสิทธิ์ครับ แต่พอคุณยะมาง้อแล้ว น้องพีก็ต้องรีบหายสิครับ ไม่ใช่เอาแต่เงียบใส่คุณยะ แล้วเราจะปรับความเข้าใจกันได้ยังไงถ้าน้องพีไม่ยอมพูดกับคุณยะเลย”

“.....” ที่เขาพูดก็ถูก แต่คนมันหึงไง จะเอาอารมณ์ที่ไหนมาพูด

“เห็นไหม เงียบใส่คุณยะอีกแล้ว” เสียงเขาอ่อนใจ แต่ก็ยังกอดผมอยู่ “ต้องให้คุณยะทำยังไงน้องพีถึงจะหายโกรธครับ”

“.....” โกรธน่ะหายแล้ว ที่ยังรู้สึกคืออารมณ์งอนครับ

“บอกมาสิครับ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูเบาๆ “ไม่ตอบแสดงว่าอยากให้คุณยะหาวิธีเอาเองใช่ไหม” วิธีของเขาคือเอาตัวผมออกมาจากอก ช้อนปลายคางผมให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับลูกตาสีดำที่เป็นประกายหวานเชื่อม ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะโน้มลงมาครอบครองเรียวปากผม โดยที่ผมให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ

จูบของเขาหวานละมุนจนความขุ่นมัวในหัวใจของผมไร้ที่อยู่ ถูกขับไล่ออกไปในเวลาอันรวดเร็ว เร็วพอๆ กับมือของเขาที่ลูบไล้แทรกตัวเข้ามาใต้เสื้อตัวใหญ่ที่ผมใส่อยู่ ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลัง นานกว่าที่เขาจะปล่อยให้ผมเป็นอิสระ เพื่อจะได้กลับมามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์หวานซึ้งของเขา

“คุณยะขอโทษแล้วนะ ดีกันได้หรือยัง”

“ที่คุณยะทำไม่ใช่ขอโทษซะหน่อย เอาเปรียบน้องพีมากกว่า” และผมเองก็เต็มใจให้เขาเอาเปรียบด้วย ก็มันรู้สึกดีนี่นาที่ถูกเขากอด จูบ รวมทั้งถูกเขาครอบครองเป็นเจ้าของด้วย

เฮ้อ... ผมกลายเป็นเด็กใจแตกสมบูรณ์แบบ แถมกู่ไม่กลับด้วย

“ไม่ชอบให้คุณยะเอาเปรียบหรือไง” เขาถาม สองมือโอบประคองตัวผมไว้หลวมๆ ให้ร่างกายชิดกัน ให้ผมสัมผัสไปกับความต้องการที่ร้อนระอุของเขา

“ชอบ” ผมตอบเบาๆ ไม่หลบสายตาของเขาหรอก เพราะผมชอบที่ถูกสายตาหวานเชื่อมและเต็มไปด้วยอารมณ์แบบผู้ชายของเขามองมาที่ผม... เพียงคนเดียว เพราะตรงนี้และตอนนี้เขามีแค่ผมคนเดียว มันเป็นเวลาที่เขาเป็นของผมเพียงคนเดียวจริงๆ

“คนดี” คำตอบของผมทำให้เขาพอใจ รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาถึงได้มากกว่าเดิม อะไรที่แนบแน่นอยู่ตรงหน้าท้องของผมก็ทั้งร้อนและทวีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แล้วสุ้มเสียงแหบพร่าก็เอ่ยถาม พร้อมกับมือหนาทั้งสองข้างของเขาเลื่อนลงไปกุมสะโพกผม “...ยังไหวอยู่ไหมครับ”

ไม่ต้องขยายความให้มากมายว่า ‘ยังไหว’ คืออะไร แค่มองลูกตาสีราตรีที่เต็มไปอารมณ์รัก สองมือที่ขยำสะโพกผมหนักๆ ก็เข้าใจได้อย่างง่ายดาย แล้วผมจะตอบอะไรได้ในเมื่อหลงเขาไปหมดทั้งหัวใจ มีความสุขทุกเขาที่ถูกเขาจูบและโอบกอด ช่วงเวลานั้นราวกับว่ามีแค่ผมกับเขาสองคนบนโลกใบนี้และความสุขสมที่มีแค่เขาคนเดียวที่พาผมไปถึง

“อุ้มน้องพีสิครับ” คำพูดของผมไม่ต่างจากคำตอบว่าสภาพร่างกายของผมยังไหวสำหรับความสุขของเขา...และของผมด้วย

เขายิ้มที่ทำเอาทั้งเนื้อตัวผมสั่นไหวไปกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้น รสชาติความรักที่ไม่ได้มีแค่คำบอกรัก แต่หมายถึงการกระทำที่หลอมรวมทั้งผมและเขาไว้ด้วยกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เวลานี้ไม่มีใครเอาเขาไปจากผมได้

แม้แต่เสียงโทรศัพท์ที่ถูกทอดทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนนี้ โดยที่เจ้าของมันไม่ได้พกไปด้วยจะกรีดร้องขึ้นมาเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ในวันนี้ ก็ไม่สามารถแยกผมกับคุณยะออกจากกันได้ คุณยะไม่สนใจที่จะรับสายจากคนที่กระหน่ำโทรเข้ามาหา เพราะเขาเลือกผม

.

.

.

“ไหวไหม” คำถามที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงในสภาพร่างกายผมดังขึ้นเบาๆ ตอนที่เขาเลื่อนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลเข้มให้ผมนั่ง ด้านหน้าคือโต๊ะอาหารที่ยังคงวางอยู่

“ไหวครับ” ไหวไม่ไหวก็ต้องไหวแหละ

ผมค่อยๆ ทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้เนื้อแข็งที่หาความนุ่มไม่เจอแม้แต่นิดเดียว มันเจ็บมากแต่ผมก็ทนไหวนะ เพราะผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เจ็บแค่นี้ทนได้อยู่แล้ว แต่คนที่ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งดูจะเป็นห่วงผมจนเกินไป

..แต่ก็แอบรู้สึกดีนะที่เขาเป็นห่วงผมขนาดนี้

“เอาเบาะมารองนั่งไหม คุณยะจะให้พนักงานไปหามาให้” เขาถาม พลางมองหาพนักงานของรีสอร์ตที่ประจำอยู่ในส่วนของห้องอาหาร ซึ่งผมไม่เห็นแม้แต่คนเดียว เป็นห้องอาหารแบบโอเพ่นแอร์ที่เงียบเหงาสิ้นดี

“ไม่ต้องครับคุณยะ น้องพีนั่งได้” ผมห้าม ไม่อยากให้พนักงานที่ต้องไปหาเบาะมาให้ผมนั่งสงสัยว่าทำไมผมถึงนั่งบนเก้าอี้แบบคนอื่นไม่ได้

พอนั่งไปนานๆ ก็เริ่มชิน จนไม่รู้สึกเจ็บเท่าตอนแรก แล้วท้องฟ้าเบื้องหน้าที่พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวลงไปที่หลังแนวเขานั้นสวยจนลืมความเจ็บปวดของร่างกายไปหมด ดูพระอาทิตย์ตกดินตรงนี้สวยกว่าที่ระเบียงห้องอีกครับ เหมือนว่ามันอยู่ใกล้จนแทบจะคว้าเอามาได้เลย

“ยิ้มหน่อย”

ผมละสายตาจากท้องฟ้าที่ถูกฉาบไว้ด้วยแสงสุดท้ายของวัน มายังเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งหันหลังให้กับท้องฟ้าสีแดงสวย เขาถือโทรศัพท์ในท่าที่พร้อมจะเก็บภาพของผมเอาไว้

เมื่อเขาบอกให้ผมยิ้ม ผมก็ยิ้ม ยิ้มกว้างที่สุด ยิ้มออกมาด้วยความสุข เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่รูปผมจะได้ไปอยู่ในกล้องโทรศัพท์มือถือของเขา (ไม่นับรวมคลิปเมื่อเช้านะครับ)

“น้องพีอยากมีรูปที่ถ่ายคู่กับคุณยะบ้าง” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาเก็บภาพผมยิ้มปากกว้างไปแล้วหลายช็อต

“ได้สิ” คนตัวสูงลุกจากเก้าอี้มาหาผม เขาย่อตัวลงเพื่อให้ใบหน้าของผมกับเขาอยู่ในระดับเดียวกัน มือข้างหนึ่งก็วางพาดอยู่บนไหล่ผม โอบกอดให้เราสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้น

ทั้งผมและเขาต่างเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้กัน จนใบหน้าแนบกันนิดๆ แล้วเขาก็กดชัตเตอร์รัวๆ อีกตามเคย ทั้งที่เราสองคนไม่ได้ขยับเปลี่ยนองศาของใบหน้าเลย มีเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้นมั้งที่เคลื่อนไหว จากกว้างอยู่แล้ว เป็นกว้างมากที่สุด... ทั้งผมและเขา เหมือนกับว่าต่างคนก็ต่างไม่ยอมแพ้รอยยิ้มของกันและกัน

“คุณยะอย่าเพิ่งเก็บกล้อง ถ่ายอีกรูปก่อน” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนที่เขาลดกล้องมือถือลงว่าอยากจะมีรูปคู่แบบไหนกับเขา

คุณยะทำตามที่ผมบอก เขายกมือถือขึ้นมาอีกครั้ง เตรียมพร้อมจะถ่ายรูปคู่ที่เห็นแค่ใบหน้าและช่วงลำคอของเราสองคนเท่านั้น

“น้องพีจะนับหนึ่งสองสาม พอสามแล้วคุณยะค่อยกดถ่ายนะ” ผมบอกเขาก่อนเริ่มต้นนับ “หนึ่ง...สอง...สาม” จังหวะที่นับสาม ปากผมก็ประทับอยู่บนแก้มเขาทันที โดยที่ไม่กลัวว่าจะมีพนักงานคนไหนเห็นภาพผมจูบเขา เพราะผมไม่เห็นมีพนักงานอยู่แถวนี้สักคน และต่อให้มีใครเดินออกมาเจอผมหอมแก้มคุณยะ พวกเขาก็คงคิดแค่ว่าเป็นการหอมแก้มกันแบบพี่น้อง คงไม่มีใครมองไปถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างผมกับคุณยะหรอก

แต่ภาพความทรงจำแสนหวานของผมกับเขาก็ไม่ได้จบแค่ที่ผมหอมแก้มเขา เพราะเขาก็ทำแบบผมคือขโมยหอมแก้มผมแบบไม่ทันให้รู้ตั้งตัว แล้วก็เก็บภาพหน้าตาเหลอหลาของผมเอาไว้

“คุณยะ! รูปนั้นน้องพีขี้เหล่ ไม่เอาๆ ลบเลยแล้วมาถ่ายใหม่ นะนะคุณยะ เร็วสิ ลบเร็วววววว...” ผมไม่ยอมให้รูปหน้าตาน่าเกลียดของตัวเองไปอยู่ในมือถือของเขาหรอกนะ แต่มีหรือคนขี้แกล้งอย่างเขาจะเชื่อฟังคำขอร้องอ้อนวอนของผม

“ไม่ลบ”

บทจะตามใจผม เขาก็ตามใจอย่างที่สุด แต่พอจะแกล้งแล้วละก็ อ้อนวอนให้ตายก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก

“แล้วก็อย่าเสียงดังพี เดี๋ยวแขกคนอื่นก็ตกใจหมดหรอก” เขาว่าเสียงเข้มขึ้น ใบหน้าจริงจังจนผมต้องหันหลังกลับไปมองหาแขกของรีสอร์ตที่เขาอ้างถึง คนที่ผมนึกได้ก็มีแค่คนเมื่อตอนบ่ายที่ผมเจอเขาถึงสองครั้ง ก็ผู้ชายสวมเสื้อสูทแบบลำลองมาเที่ยวไง

แต่พอหันหลังกลับไปมองด้านในก็ไม่เห็นมีผู้ชายคนนั้นเลย นอกจากคุณแก้วที่เดินออกมาจากส่วนของห้องครัว ที่ตามหลังมาคือพนักงานสองคนที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดี

“ต้องขอโทษด้วยนะคะพี่ยะที่ทำให้รอนาน” เธอเอื้อนเอ่ยเสียงหวานหยดย้อย หันมายิ้มให้ผมอย่างผูกมิตรเพียงแค่ไม่กี่วินาที จากนั้นก็เอายิ้มหวานที่มากกว่าเดิมอีกสิบเท่าไปให้กับคนที่เธอหมายปอง

หึง!

ความรู้สึกนี้พุ่งกลับมาเยือนผมอีกแล้ว ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้จิตใจสงบ ไม่อยากหึงหวงอย่างไรเหตุผล ในเมื่อคุณยะบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ ผมก็ควรเชื่อและหนักแน่นเข้าไว้

สมองนับเลข ตาก็เพ่งมองอาหารห้าอย่างที่ถูกลำเลียงลงไปวางไว้บนโต๊ะ...กับจานเปล่าอีกสามใบ ผมเงยหน้าขึ้นมองพนักงานชายคนคุ้นหน้าทันที เจ้าตัวคงเห็นว่าสีหน้าผมเป็นอย่างไรถึงได้รีบถอยหนีไปทันที โดยไม่เอาจานที่เป็นส่วนเกินไปด้วย เหลือแต่คุณป้าที่กำลังตักข้าวเปล่าใส่จานให้คุณยะ

โต๊ะที่ควรมีจานเปล่าแค่สองใบ สำหรับผมกับคุณยะแค่สองคน ดันมีจานที่สามโผล่มาแบบไม่ได้รับเชิญ!

หรือว่าคุณยะเป็นฝ่ายเชิญ!

ผมตวัดสายตาไปที่เขาทันที ขณะที่เจ้าของรีสอร์ตสาวกำลังจะทิ้งตัวลงนั่ง ผมกำลังบอกคุณยะด้วยสายตาขุ่นจัดว่า ให้เขาจัดการเอาคุณแก้วออกไปจากโต๊ะอาหารมื้อค่ำของผมกับเขาซะ ไม่รู้ว่าเขามองเห็นคำสั่งที่อยู่ในแววตาที่เต็มไปด้วยความหึงหวงของผมหรือเปล่า แต่ถ้าเขาไม่เห็นนะ ผมเองนี่แหละจะเป็นฝ่ายไป

คิดว่าผมจะทนนั่งมองคนของผมถูกผู้หญิงหน้าตาสวยหวานโปรยเสน่ห์ใส่จนจบมื้ออาหารอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง บอกแล้วว่าผมเป็นคนขี้หึง ยิ่งรู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์ ระดับความหึงหวงของผมก็เพิ่มมากขึ้นแบบคูณสิบเลย

เข้าใจอารมณ์ผมไหมครับ... ถ้ารู้ตัวว่าเรามีสิทธิ์ นั่นแปลว่าคนอื่นไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายกับของที่เป็นของเรา เป็นสิทธิ์ของเราคนเดียวที่จะครอบครองเขาได้

เจ้าของรีสอร์ตสาวนั่งลงแล้ว แถมคุณป้าก็กำลังจะตักข้าวใส่จานให้เธอ ผมนี่มองตามเลยว่า ถ้าข้าวทัพพีแรกลงไปในจานของเธอละก็ ผมลุกหนีแน่

แต่ยังไม่ทันที่ข้าวทัพพีแรกจะลงไปถึงจานของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ คนกลางอย่างคุณยะก็จัดการตามความต้องการของผมทันที

“คุณแก้วครับ”

“คะพี่ยะ” เธอยิ้มหวาน ตั้งใจโปรยเสน่ห์สุดๆ

“ผมต้องคุยกับน้องชายเรื่องเรียนน่ะครับ คงไม่สะดวกให้คุณแก้วอยู่ด้วย ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ ต้องขอรบกวนให้คุณแก้วออกไปก่อน” คำพูดของเขาทำให้ผมพอใจพอสมควร แต่ที่ไม่ชอบเลยคือคำว่า ‘น้องชาย’ จากปากของเขานั่นแหละ แต่จะทำไงได้ในเมื่อสถานะของผมกับเขาเปิดเผยเป็นอย่างอื่นไม่ได้นี่นา

คุณป้าเก็บทัพพีแทบไม่ทัน ส่วนเจ้าของรีสอร์ตแทบไม่เหลือรอยยิ้มติดใบหน้า เธอหันมามองหน้าผมด้วยสายตาไม่พอใจนิดหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินสะบัดหน้าออกไปเลย

เหอะ! นี่นะผู้หญิงมารยาทงาม แสนอ่อนหวานที่คุณย่าชื่นชม ผมอยากให้คุณย่ามาเห็นตัวจริงของเธอวันนี้จริงๆ ผู้หญิงเรียบร้อยแสนหวานที่ไหนจะขยันอ่อยผู้ชายได้ขนาดนี้ ถึงสองวันมานี้ผมจะเจอเธอแค่สามครั้งก็เถอะ แต่ทุกครั้งที่เจอผมก็เห็นเธอโปรยเสน่ห์ใส่คุณยะทุกครั้งเลยนะ นี่ยังไม่นับรวมคำเตือนของพนักงานคนนั้นอีก ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเล่าวีรกรรมอะไรของนายจ้างตัวเองให้ผมฟัง แต่ผมคิดว่าก็ไม่น่าจะใช่เรื่องดีสักเท่าไรหรอก

“พอใจหรือยัง” เสียงทุ้มของคนร่วมโต๊ะเอ่ยถามออกมา ดึงสายตาของผมที่มองตามคุณแก้วให้กลับมาที่เขาตามเดิม

“พอใจครับ แต่ไม่รู้ว่าคุณยะจะพอใจด้วยหรือเปล่าที่ไม่มีสาวสวยนั่งโต๊ะด้วย” ผมอดแขวะเขาไม่ได้ เมื่อไรเขาจะมีเสน่ห์น้อยลงนะ หรือว่าต้องรอให้เขาอายุมากกว่านี้สักสิบปียี่สิบปี แก่หนังเหี่ยวก็คงไม่มีใครสนใจเขาแล้วมั้ง

“แค่มีเด็กขี้หึงที่รักฉันมากๆ คนนี้ก็พอแล้ว”

แล้วผมจะทำไงได้ล่ะ นอกจากยิ้มปากกว้างให้กับคนตรงหน้าที่มีรอยยิ้มไม่ต่างจากผม แต่ไม่ทันไรรอยยิ้มนั้นก็พลันจางหายไป เหลือเพียงริ้วรอยความโกรธบนใบหน้าหล่อเหลาของคุณยะ ผมหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง มองตามสายตาคุณยะไป แล้วก็พบผู้ชายคนหนึ่ง ผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรและเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูของคนทั้งสองคน

คุณยะกับผู้ชายคนนั้น...แขกคนเดียวที่ผมเห็นในรีสอร์ต


.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 24 (21-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 21-12-2018 18:04:41
.

.

.


ผู้ชายสวมสูทเมื่อตอนกลางวัน ตอนนี้เขาสวมเสื้อผ้าแบบง่ายๆ แค่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นสีเทาเลยเข่า เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ ดูใหญ่และหนากว่าคุณยะไปนิดหนึ่ง ผิวขาว หน้าตาดี ดวงตาเขาดูดุหน่อยๆ ด้วย อายุน่าจะเท่าคุณยะหรือไม่ก็มากกว่าไปปีสองปี เมื่อตอนกลางวันผมไม่ได้สนใจเขาเท่าไรนัก เพราะถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผม ทว่าตอนนี้ผมคิดว่าต่อไปเขาคงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผมอีกแล้ว ในเมื่อเขาคือคนที่คุณยะรู้จัก ...หรืออาจจะเปลี่ยนจากคำว่าคนรู้จักเป็น ‘ศัตรู’ ตัวร้ายก็ได้

“ไงยะ ช่วงนี้เจอกันบ่อยนะ” ชายคนนั้นเดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะ เอ่ยทักทายอย่างคนคุ้นเคยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ใครอยากเจอตัวเหี้ยอย่างมึง!” คุณยะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

น้อยครั้งที่ผมจะได้ยินคำพูดไม่สุภาพออกมาจากปากของคุณยะ และน้อยครั้งจริงๆ ที่จะเห็นความโกรธโพยพุ่งออกมาจากตัวคุณยะรุนแรงขนาดนี้

ผมอยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้เคยทำอะไรไว้กับคุณยะ คุณยะถึงได้ดูโกรธและเกลียดผู้ชายคนนี้เหลือเกิน

“ปากว่าคนอื่นเหี้ย แล้วมึงไม่เหี้ยเลยเนอะ...กับน้องชายตัวเองก็ยัง...” ชายคนนั้นปรายตามาที่ผม รอยยิ้มของเขาไม่น่าไว้ใจ มันคล้ายดูถูกทั้งผมและคุณยะเลย

หรือว่า...เขาจะดูออกว่าผมกับคุณยะมีความสัมพันธ์กันแบบไหน ทั้งที่เราสองคนต่างก็ใช้นามสกุลเดียวกัน

“มึงอย่าพูดในสิ่งที่คนเหี้ยๆ อย่างมึงไม่มีวันรู้” ลูกตาของคุณยะเหมือนกองไฟกองมหึมาเลย แล้วเขาก็หันมาที่ผม คุณยะไม่ต้องพูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ ผมก็รู้ทันทีว่าต้องทำอย่างไร ...สงสัยมื้อนี้ต้องพึ่งมาม่าคัพอีกแล้ว

ทันทีที่ผมลุกขึ้น คุณยะก็คว้าแขนผมขึ้นมาและพาเดินออกไปจากห้องอาหารทันที คุณยะเดินเร็วมาก เขาแทบจะลากผมด้วยซ้ำ ถ้าเป็นช่วงที่ร่างกายผมปกติ ผมคงเดินได้เร็วเท่ากับคุณยะอยู่หรอก แต่นี่คือสะโพกผมเจ็บมาก จนผมรู้สึกว่าตอนนี้ขาผมมันสั่นไปหมดแล้ว แทบจะล้มทั้งเดินเลยด้วยซ้ำ

“คุณยะ...น้องพีเจ็บ” ผมรีบบอกเขา หวังให้เขาชะลอความเร็วลง แต่เขาไม่ได้ยิน ยังคงเดินปานวิ่งและลากผมไปด้วย จนผมทรุดไปกองพื้นนั่นแหละ คุณยะถึงรู้ตัวว่าสภาพผมเป็นอย่างไร

“พี!” คุณยะทรุดตัวลงนั่งข้างผม หน้าตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความโกรธเมื่อครู่จางหายไปอย่างฉับพลัน เหลือเพียงความรู้สึกผิดที่ฉาบอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา

“น้องพีเจ็บ...อึก...เดินไม่ไหวแล้ว” เสียงผมสั่นเพราะความเจ็บที่แล่นลิ่วไปทั่วร่างกาย ยิ่งล้มลงไปกองพื้นแบบนี้ด้วย สะโพกผมยิ่งได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักเลย

“ใช้งานหนักแต่ไม่รู้จักทะนุถนอม มันก็พังได้นะ เตือนด้วยความหวังดีจากรุ่นพี่ที่ยังเป็นห่วงนายเสมอนะยะ” เสียงของผู้ชายคนนั้นดังมาจากข้างหลัง แววตาคุณยะกลับมาเกรี้ยวกราดอีกครั้ง แม้อยู่ในความมืดสลัวก็ยังเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวคุณยะอุ้มนะ” ว่าแล้วเขาก็ช้อนตัวผมเข้ามาในวงแขนและยืดตัวเต็มความสูง พาผมมุ่งหน้าไปยังบ้านพักที่ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเดินไปถึง เพราะบ้านพักของผมกับคุณยะอยู่หลังสุดท้ายเลย

“เขายังตามมาอยู่เลยครับคุณยะ” เพราะผมชะโงกหน้าไปมองข้างหลัง แล้วเห็นว่าผู้ชายคนนั้นเดินตามหลังผมกับคุณยะติดๆ

“ช่างมัน ไม่ต้องไปสนใจมัน” คุณยะก้มหน้าลงมาบอกผมเสียงเบาแบบที่ไม่อยากให้คนที่ตามหลังพวกเราได้ยิน แต่น้ำเสียงนั้นก็ขุ่นคลั่ก บอกให้รู้ว่าคุณยะเกลียดผู้ชายคนนั้นจริงๆ

...และเป็นความโกรธแค้นที่สะสมมานานแล้ว

“คุณยะ เขาเป็นใครครับ” 

“ไม่จำเป็นต้องไปรู้จักคนอย่างมัน”

“เขาทำอะไรให้คุณยะเกลียดหรือครับ”

“.....”

“คุณยะเกลียดเขามากหรือครับ”

“.....”

“คุณยะ...”

“พอได้แล้วพี! เลิกถามซะที” เขาตะคอกกลับมาอย่างคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ผมสัมผัสได้ว่าแขนของเขาที่อุ้มผมอยู่นี้ มันสั่นไปหมด รวมถึงหัวใจของเขาที่เต้นรัวแรง อัดฉีดไปด้วยความโกรธเกลียดผู้ชายที่อยู่ด้านหลังพวกเรา

“ถ้าพี่ชายไม่อยากตอบก็ลองมาถามพี่ได้นะ” ผมเริ่มไม่ชอบผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ให้แล้วสิ เรื่องที่เขาทำให้คุณยะเกลียดเขาได้มากขนาดนี้ คงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ๆ

“ไม่ต้องไปสนใจมัน รู้แค่ว่าฉันไม่อยากให้เธอรู้จักคนอย่างมันก็พอ”

“ผมไม่ชอบเขา” เพราะเขาทำเรื่องไม่ดีกับคุณยะ

“ดีแล้วพี คนอย่างมันไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ หรอก”

ผู้ชายคนนี้คงเลวมาก คุณยะถึงได้พูดแบบนี้ 

“พ่อแม่รู้หรือยังว่านายกับน้องชายทำเรื่องผิดศีลธรรมกันอยู่”

“อย่ามายุ่งกับเรื่องของกู!”

“อย่ามายุ่งกับเรื่องของพวกผม!”

ผมกับคุณยะตะโกนออกมาแทบจะพร้อมกันเลย จากที่ไม่ชอบเขา ตอนนี้ผมเริ่มเกลียดเขาเข้าให้แล้ว ผู้ชายคนนี้มีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะผิดศีลธรรม ในเมื่อผมกับคุณยะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่จะว่าเขาผิดก็พูดได้ไม่เต็มปากเท่าไร เพราะเจ้าตัวไม่รู้นี่นาว่าผมกับคุณยะไม่ใช่พี่น้องหรือพ่อลูกกันจริงๆ

...ผมเป็นแค่เด็กที่พ่อแม่ไม่อยากให้เกิดมา แต่ได้คุณยะช่วยเหลือให้ได้เกิดมาบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง

“เต็มใจตกนรกกันทั้งคู่ว่างั้น” เขาพูดแรงเกินไปแล้ว ผมจะไม่ทนแล้วนะ

“คุณไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูด ผมกับคุณยะไม่...” ผมกำลังจะบอกออกไปแล้วเชียวว่าผมกับคุณยะไม่ใช่พี่น้องตามที่เขาและคนนอกครอบครัวเข้าใจ เขาจะได้เลิกดูถูกความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะซะที ทว่าเสียงเข้มจัดของคุณยะก็หยุดยั้งคำพูดนั้นไว้เสียก่อน

“พี! ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าไปสนใจมัน”

“ก็เขาแช่งให้คุณยะกับน้องพีตกนรกนี่นา” ผมพูดเสียงอ่อย ลดเสียงให้เบาลงด้วยแหละเพราะไม่อยากให้ผู้ชายคนนั้นได้ยิน

“คนที่สมควรตกนรกคือมัน ไม่ใช่เธอกับฉัน”

ผู้ชายคนนั้นทำเรื่องเลวร้ายแค่ไหนกันนะ คุณยะถึงพูดออกมาว่าฝ่ายนั้นสมควรตกนรกจากสิ่งที่เจ้าตัวทำ ผมอยากรู้ อยากถาม แต่ผมก็ไม่อยากทำให้คุณยะโกรธไปมากกว่าเดิม

“ฉันไม่ยุ่งเรื่องของนายกับน้องชายก็ได้ แต่ก็อย่าลืมนะว่าความลับไม่มีในโลก โดยเฉพาะเรื่องลับๆ ที่ผิดศีลธรรม กลิ่นมันเหม็น ปิดยังไงก็ไม่มิดหรอก”

“ผีเจาะปากคุณมาพูดหรือไงหะ!” เพราะปากแบบนี้หรือเปล่าคุณยะถึงเกลียดขี้หน้าเขา

“พี! ฉันบอกว่าไง” 

“ก็เขาปากไม่ดี ว่าคุณยะว่าน้องพีนะ ทำไมต้องยอมให้เขาว่าพวกเราฝ่ายเดียวด้วยล่ะ” ผมไม่เข้าใจคุณยะเลย ผมไม่ได้อยากพูดกับผู้ชายนั้นซะหน่อย ผมแค่ด่าเขาที่ปากเสียใส่ร้ายความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะว่าเป็นความเหม็นเน่า ตัวเองไม่รู้ความจริงอะไรสักหน่อย

“พีอย่าเถียงฉัน”

“ก็พีไม่ชอบเขา”

“ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน”

“เอ้า เถียงกันซะแล้ว” ผู้ชายคนนั้นพูดแทรกเข้ามาอีก น้ำเสียงของเขามีความสุขเหลือเกินที่ได้ก่อกวนอารมณ์ของคุณยะให้ลุกเป็นไฟ แต่คนที่ลุกเป็นไฟไปด้วยก็คือผมนี่แหละ

“เพราะคุณนั่นแหละ! เลิกมายุ่งกับคุณยะซะที ไปไกลๆ เลยไป!” ผมห้ามปากตัวเองไม่ได้ โดนคุณยะดุอีกครั้ง

“พอได้แล้วพี”

“ก็...” ผมเก็บคำพูดแทบไม่ทัน เพราะสายตาคุณยะแทบจะบีบคอผมได้อยู่แล้ว

“หัดเชื่อฉันบ้างพี ฟังกันบ้าง”

“น้องพีไม่พูดกับเขาแล้วก็ได้” พูดจบ ผมก็เม้มปากสนิทเลย กลัวจะเผลอโต้ตอบฝ่ายนั้นไปอีกรอบ เพราะเจ้าตัวก็ยังไม่เลิกใช้คำพูดถากถางความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะ

“อ้อ... ว่าง่ายแบบนี้เองถึงได้ถูกพี่ชายหลอก ว่าแต่ไม่กลัวพ่อแม่เสียใจหรือไง ผิดชอบชั่วดีไม่สนใจกันเลย เอาความสุขของตัวเองไว้ก่อนว่างั้น”

ผมกัดปากตัวเองจนเจ็บไปหมดแล้ว อยากด่ากลับไปบ้างแต่ต้องหักห้ามใจตัวเอง ไม่อยากให้คุณยะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ แค่ผู้ชายคนนั้นคนเดียวคุณยะก็ดูเหมือนจะเสียการควบคุมตัวไปเยอะแล้ว แขนคุณยะที่อุ้มผมไว้ยังไม่เลิกสั่นเลยด้วยซ้ำ

“แล้วแบบนี้ฉันต้องเป็นห่วงลูกชายแฝดของนายไหววะยะ ที่มีพ่อแบบนาย”

แต่กลับเป็นคุณยะที่ทนไม่ไหวเสียเอง

“ห่วงลูกของมึงที่ไม่มีโอกาสเกิดมาดูโลกเถอะ!”

และโชคดีมากที่ตอนนี้คุณยะอุ้มผมมาถึงหน้าประตูบ้านพักแล้ว ผมรีบเอื้อมไปจับลูกบิดประตู เปิดเข้าไปและปิดกั้นพวกเราสองคนจากผู้ชายปากไม่ดีคนนั้น

“คุณยะ...อื้ออ...” ผมถูกอุ้มมาที่เตียงก่อนริมฝีปากร้อนจัดจะบดจูบลงมา จูบครั้งนี้ไม่ได้นุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา มันเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่สะสมมาจากผู้ชายคนนั้น ผมไม่รู้ว่าปัญหาระหว่างเขาสองคนคือเรื่องอะไร รู้แค่ว่ามันทำให้คุณยะโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ อารมณ์คุกรุ่นทั้งภายในภายนอกจนต้องหาที่ระบายออกมา

ตัวตนที่กำลังสอดใส่เข้ามาในช่องทางบอบช้ำของผม ต่างไปจากทุกที มันไม่ได้เรียกว่าความสัมพันธ์พิเศษที่เกิดจากความรัก แต่กลับเป็นเพียง ‘เซ็กซ์’ ทั่วไป ผมไม่ได้เก่งพอจะแยกแยะว่าอะไรเป็นแบบไหน แต่ความรู้สึกของผมมันบอกว่า ครั้งนี้คุณยะแค่ระบายความโกรธเกลียดใครคนนั้นลงมาที่ผม เพราะมันทั้งรุนแรงและไร้คำหวานที่ป้อนให้หัวใจผมอิ่มเอมและมีความสุขไปกับทุกการเคลื่อนไหวของเขา

“อ๊ะ...คุณยะ...น้องพีเจ็บ...อะ...เบาๆ ครับ...อ๊า...” ความเจ็บปวดของผม คำขอร้องของผม ไม่ได้ทำให้คนที่อยู่เหนือร่างของผมลดแรงกระแทกลงมาเลย เขายังอัดความแข็งแรงทั้งหมดลงมาในร่างกายผม เติมความบอบช้ำลงไปในช่องทางที่ใกล้พังเต็มที่

จนกระทั่งสายน้ำอุ่นร้อนฉีดพ่นเข้ามาในร่างกายผมนั่นแหละ ทุกอย่างที่รุนแรงถึงได้จบสิ้นลง เขาถอนตัวตนออกไปช้าๆ ก่อนทิ้งตัวลงนอนข้างผม แต่ไม่ดึงเอาตัวผมเข้าไปกอดเหมือนเช่นเคย เป็นผมเองที่ต้องขยับตัวเข้าหาเขา โอบกอดร่างกายชื้นเม็ดเหงื่อไว้ด้วยเรียวแขนของตัวเอง

“อึก...คุณยะโกรธเขา...แต่เอามาลงที่น้องพีใช่ไหม”

“.....” เขาไม่ตอบ แต่ขยับตัวลุกขึ้นและอุ้มพาผมไปล้างตัวและเอาสิ่งที่เขาปลดปล่อยเข้ามาในร่างกายผมออกไป จากนั้นก็ใส่เสื้อผ้าให้ผม เสร็จแล้วก็อุ้มผมกลับมานอนที่เตียง

“คุณยะจะไปไหน” ผมรั้งแขนเขาไว้ เมื่อเขากำลังผละตัวออกไปจากเตียง

“ฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย” เขาดึงมือผมออกจากแขนเขา

“น้องพีไปด้วยคน” ผมขยับจะลุกตาม แต่ถูกห้ามไว้

“ฉันอยากคิดอะไรคนเดียวพี เธอก็นอนหลับซะ พรุ่งนี้เราต้องกลับแต่เช้า” ผมอยากจะดื้อ แต่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายของเขาแล้ว ผมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ว่าเวลานี้เขาคงอยากอยู่คนเดียวจริงๆ แม้กระทั่งผมเขาก็ไม่ต้องการให้อยู่ข้างๆ

ผมรู้สึกน้อยใจนะ แต่ก็พยายามจะเข้าใจเขา เพราะผู้ชายคนนั้นคนเดียวเลยที่ทำให้คุณยะเป็นแบบนี้


จบตอนที่ 24
 :katai2-1:

เปิดตัวผู้ชายคนนั้น ผู้ซึ่งสำคัญแต่จะไร้บทบาทนะคะ (บทมีน้อย ออกไม่บ่อย...มั้ง)

หมดเรื่องเม้าท์แล้ว

ขอไปปั่นตอนที่ 25 ต่อแล้วนะคะ ^___^

ปล. สั้นๆ อย่าทิ้งกันน้า

 :mew1:

สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 24 (21-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-12-2018 00:47:04
พ่อน้องพีแน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 24 (21-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-12-2018 11:14:48
พ่อแท้ ๆ ของน้องพีแน่ ๆ ชัวร์เลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 24 (21-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 23-12-2018 22:37:22
พ่อน้องพี? ซับซ้อนซ่อนเงื่อนละเกินนนนนน :katai1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 24 (21-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 24-12-2018 01:44:58
พ่อแท้ๆแน่ๆ ถึงทำคุณยะโกรธ
ชักสงสัยแล้วซิเหมือนคุณยะจะทั้งรักทั้งเกลียดน้องพี
เป็นเพราะพ่อกับแม่แท้ๆของน้องพีใช่หรือเปล่านะ
ความเกลียดเกิดจากพ่อ ส่วนความรักเกิดจากแม่
ถ้ารักพีเพราะยะเคยรักแม่ของพีมาก พียิ่งน่าสงสารหนักเลยนะ

งานมโนก็มา 55555
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 25-12-2018 06:20:28
ตอนที่ 25

“ยิ้มให้คุณยะหน่อย”

เจ้าของหน้าคมเข้มที่อยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยมบอกให้ผมยิ้มให้เขา แต่ผมทำตามคำของเขาไม่ได้หรอก จะให้ผมยิ้มได้ยังไงในเมื่อคืนนี้เขาต้องไปเป็นของคนอื่น ทิ้งให้ผมนอนเหงาอยู่ที่บ้านเรือนไทยหลังใหญ่คนเดียว

“พีครับ ยิ้มหน่อย เร็ว... ยิ้มให้คุณยะหน่อยนะ” เสียงทุ้มยังผ่านลำโพงโทรศัพท์ออกมา เขาไม่เห็นใบหน้าบูดบึ้งหงิกงอของผมหรือไง หน้าแบบนี้จะยิ้มได้ยังเล่า

“ไม่อยากยิ้ม” ผมบอกเสียงขุ่นใส่คนในหน้าจอโทรศัพท์ ฉากหลังของเขาคือภายในรถคันหรูของเขานั่นเอง

“งอแงอีกแล้ว” เขาว่า ใบหน้าหล่อเหลายิ้มเอ็นดูในความงอแงของผมมากกว่าจะตำหนิ ยิ่งทำให้ผมได้ใจ มั่นใจอีกด้วยว่าคุณยะ ‘หลงผม’ เอามากๆ เลย ผมไม่ได้คิดไปเองนะ สิ่งที่คุณยะทำมาตลอดตั้งแต่กลับจากต่างจังหวัดครั้งนั้นทำให้ผมมั่นใจ เขาแทบไม่ยอมห่างจากผมเลย 

ตอนนี้ก็เจ็ดเดือนกับอีกสิบวันแล้วครับที่ผมกับคุณยะตกลงคบกัน...คบแบบแอบซ่อน ซ่อนความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ โดยเฉพาะคนที่คืนนี้ได้เป็นเจ้าของคุณยะแทนผม

“ทำไมน้องพีจะงอแงไม่ได้ ก็คืนนี้น้องพีต้องนอนคนเดียว ไม่เหมือนคุณยะสักหน่อยที่มีคนให้นอนกอด” ผมพูดประชดออกไป เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ

“อย่าพูดแบบนี้” เขาเอ่ยออกมาหลังจากเงียบไปหลายวิ “ในเมื่อเธอก็รู้ว่าฉันอยากกอดเธอมากกว่าใครทั้งนั้น”

“น้องพีขอโทษ”

ก็รู้ตัวนะว่าผมผิด ผมเป็นฝ่ายเรียกร้องความสัมพันธ์รูปแบบนี้ขึ้นมาเอง ขอให้เขาคบกับผม ซ่อนผมเอาไว้ไม่ให้พี่เลม่อนรู้ แต่พอเขาจะไปอยู่กับฝ่ายนั้น ผมก็งอแงทุกครั้ง ทั้งที่ตั้งแต่กลับจากต่างจังหวัดมา คุณยะก็กลับมานอนที่บ้านหลังนี้แทบจะทุกวัน ยกเว้นวันที่เขางานยุ่ง ต้องเคลียร์งานจนถึงตีหนึ่งตีสองเลยต้องนอนที่โรงแรม แต่ก็วิดีโอคอลกับผมทุกครั้ง ครั้งและสามสี่ชั่วโมงจนผมเผลอหลับไปเลยก็มี เพื่อให้ผมเห็นว่าเขาทำงานจริงๆ ไม่ได้หนีไปหาใคร หรือเอาใครมานอนกอดแทนผม

ส่วนคืนที่เขาต้องไปนอนกับพี่เลม่อน นับครั้งนี้ก็เป็นคืนที่แปดเอง ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเวลาที่เป็นของผม และทุกครั้งคุณยะจะวิดีโอคอลกับผมก่อนขึ้นไปหาพี่เลม่อนที่ห้อง เหมือนแบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้แหละ   

“ฉันรักเธอมากนะพี” เขาจะมีคำพูดนี้ให้ผมมั่นใจเสมอว่า... หัวใจของเขาเป็นของผม คนที่เขารักคือผม แต่มันมีเหตุผลที่เขาต้องอยู่กับพี่เลม่อน เป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมบอกผมว่าเพราะอะไรทำไมพี่เลม่อนถึงมีความสำคัญกับเขามากขนาดนี้

...แต่ความ ‘สำคัญ’ ไม่ใช่ความรัก

“น้องพีก็รักคุณยะ” และก็เหมือนเดิมที่ผมจะตอบประโยคนี้กลับไปให้เขา คำที่แทนความรู้สึกของผมที่มีให้เขา แทนเสียงของหัวใจของผม... รัก

‘รัก’ ที่ทำให้ผมยอมทนทุกอย่างเพื่อได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาไปตลอดทั้งชีวิต

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ความรู้สึก ‘รัก’ ฝังลึกอยู่ในหัวใจ รู้เพียงแต่ว่าคุณยะคือคนเดียวที่ผมต้องการ คนเดียวที่ผมอยากอยู่ด้วยไปจนวันตาย

“พี ฉันต้องไปแล้วนะ” เพราะเราคุยกันนานแล้ว เกือบชั่วโมงแล้วมั้ง และเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งของคุณยะก็ดังขึ้นเป็นรอบที่สอง

เมื่อก่อนคุณยะมีโทรศัพท์สองเครื่อง เครื่องหนึ่งสำหรับเรื่องงาน อีกเครื่องสำหรับเรื่องส่วนตัว ทว่าตั้งแต่เริ่มความสัมพันธ์แอบซ่อนกับผม คุณยะเลยต้องมีโทรศัพท์เครื่องที่สามไว้คุยกับผมแค่คนเดียว และเพื่อไม่ให้พี่เลม่อนล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคน

“คุณยะ” จู่ๆ ผมก็รู้สึกจุกขึ้นมาในอก สิ่งที่ผมกับคุณยะทำร่วมกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันน่ารังเกียจ เพราะเราสองคนเหมือนคบชู้กันเลย บางทีเมื่อไรที่ผมตายไป ผมอาจจะไปอยู่ในนรกแบบที่ผู้ชายคนที่เป็นศัตรูกับคุณยะพูดไว้เมื่อตอนนั้นก็ได้

“อย่าทำหน้าแบบนั้น” หมายถึงใบหน้าที่เศร้าสลด หน่วยตาที่กำลังเอ่อล้นด้วยน้ำอุ่นร้อน พร้อมจะไหลในอีกไม่ช้า

“น้องพี...ไม่ได้ทำ มันเป็นเอง” ผมไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากให้คุณยะไม่สบายใจ แต่ผมก็ห้ามความรู้สึกที่เจ็บปวดที่เกิดอยู่ข้างในไม่ได้ ...เจ็บปวดที่ต้องแบ่งคุณยะให้คนอื่น

“ยิ้มให้คุณยะหน่อยนะครับ คืนนี้คุณยะจะได้นอนหลับฝันดี” น้ำเสียงทุ้มแสนอ่อนโยนของเขาทำให้ผมพยายามขยับริมฝีปากให้กลายเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นมากที่สุด

“...ฮึก” ผมฝืนยิ้มออกมา ยิ้มทั้งน้ำตาที่ไหลล้นออกมาจากหน่วยตา

“อย่าร้อง คุณยะไปเช็ดน้ำตาให้ไม่ได้”

“ไม่ร้องแล้ว” ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง ส่วนน้ำตาที่คลอในหน่วย ผมก็พยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา

“คนดี... เก็บน้ำตาไว้ให้คุณยะเช็ดตอนที่เราอยู่ด้วยกันนะ”

ผมรีบพยักหน้าให้คนในโทรศัพท์ ปลอบตัวเองว่าพรุ่งนี้คุณยะก็กลับมาเป็นของผมแล้ว

“คุณยะ...”

“ครับ”

“ห้ามกอดเขาเยอะนะ” ผมบอกเขาแบบนี้ทุกครั้ง แล้วก็ได้คำตอบแบบเดิมกลับมา

“ตอนนี้คุณยะอยากกอดแค่น้องพีคนเดียว ไม่กอดใครอีกแล้ว”

ไม่รู้หรอกว่าเขาทำอย่างที่รับปากผมได้จริงหรือเปล่า แต่ผมก็พยายามจะเชื่อนะว่าเขาทำตามที่รับปากผมไว้ได้

“คุณยะต้องไปแล้ว” ไม่อยากได้ยินคำพูดนี้เลย

“ครับ” ผมรับคำอย่างหงอยๆ 

“ส่วนน้องพีก็เข้านอนเลยนะ มันดึกแล้ว อย่าเอาแต่เล่นน้ำ” ผมนั่งคุยกับคนในโทรศัพท์อยู่ข้างสระว่ายน้ำครับ พอเหงาๆ ไม่มีเขา ผมก็ได้น้ำในสระนี่แหละที่ทำให้หายเหงาไปได้บ้าง

“เพิ่งสองทุ่มเอง ขอน้องพีว่ายน้ำก่อนนะ” ไม่ดึกเลยสักนิด อยู่กับเขากว่าจะได้นอนก็ห้าทุ่มเที่ยงคืนนู่นแหละ บางคืนก็ตีหนึ่งตีสองเลยด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่กอดกัน

“พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้วไม่ใช่หรือไง” เสียงเขาเริ่มเข้มมานิดหนึ่ง

“ก็แค่เปิดเทอมวันแรกเองครับคุณยะ” วันแรกของการเป็นเด็กมอห้า

“แต่คุณยะอยากให้น้องพีเข้านอน”

“แต่น้องพีอยากว่ายน้ำ... นะๆๆๆ คุณยะ” ผมอ้อนเสียงหวาน พร้อมกับเอาตัวลงไปแช่น้ำในสระ ผมเกาะขอบสระเอาไว้ก่อน ยังไม่ได้แหวกว่ายไปในสายน้ำเพราะยังต้องถือโทรศัพท์คุยกับเขาอยู่

“ดื้อ” เขาส่ายหน้ายอมแพ้ เพราะไม่มีทางที่จะเอาผมขึ้นมาจากสระได้

“เด็กดื้อเป็นเด็กฉลาดครับ” อารมณ์ผมแจ่มใสขึ้นกว่าเดิมเพราะได้แช่ตัวอยู่ในน้ำ ราวกับว่าเมื่อหลายนาทีก่อนไม่ได้ร้องห่มร้องไห้อย่างนั้นแหละ

“คุณยะให้แค่สิบนาทีนะ”

“น้องพีขอครึ่งชั่วโมง” ผมต่อรอง

“เดี๋ยวไม่สบาย”

“คุณยะก็ห่วงเกิน น้องพีไม่ได้อ่อนแอซะหน่อย แข็งแรงจะตายไป คุณยะเคยเห็นน้องพีป่วยหรือไงครับ”

“เคยสิ” สีหน้าเขาดูเครียดขึ้น

“หือ? ตอนไหนครับ” เท่าที่ผมจำได้ ตั้งแต่ผมโตและเขากลับมาอยู่ไทยถาวร ผมก็ไม่เคยเจ็บป่วยหรือเป็นไข้อะไรเลยนะ

อ้อ...หรือว่าจะเป็นวันนั้น ก็วันนั้นที่ผมรู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่พ่อ ผมเดินตากฝนกลับมาที่เรือนไทยหลังนี้ แล้วก็กระโดดลงสระกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

...แต่ก็ไม่ใช่วันที่เขาหมายถึง

“ตอนนั้นเธอยังเด็กมากพี ป่วยจนเกือบตายรู้ไหม”

“ผมไม่รู้” ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเคยเฉียดความตายมาก่อน

เอ... หรือจะเป็นตอนนั้น ที่ผมป่วยจนต้องไปนอนโรงพยาบาล และเขาก็กลับมาเยี่ยมผม พร้อมกับมือใหญ่ที่แสนอบอุ่นวางลงบนศีรษะผม

คำพูดเขาที่ผมจำได้เลือนรางในวันนั้นคือ...

‘หายไวๆ’

“ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนั้นอีกครั้งนะพี ฉันถึงห่วงเธอ กลัวเธอไม่สบาย ถ้าเธอเป็นอะไรไป ฉันจะอยู่ยังไง...คุณยะจะอยู่ยังไงโดยไม่มีน้องพี”

“คุณยะ...” ขอบตาผมกลับมาร้อนผ่าวอีกแล้วจากคำพูดของเขา น้ำเสียงนุ่มนวลแสนอ่อนโยนของเขาที่แสดงออกมาว่าเขาทั้งรักและห่วงผมมากแค่ไหน ทำเอาหัวใจล้นทะลักด้วยความสุข

“ขึ้นได้หรือยัง” ถามมาแบบนี้ ผมจะดื้อทำให้เขาเป็นห่วงได้ยังไงกัน

“ขึ้นแล้วครับ” ผมรีบขึ้นจากสระ

“คุณยะต้องวางจริงๆ แล้วนะ”

เพราะเสียงโทรศัพท์อีกเครื่องกรีดร้องขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ผมก็ไม่รู้เพราะไม่ได้นับ แต่มันดังตลอดเวลาที่ผมกับคุณยะคุยกัน เพียงแต่เราสองคนทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงของมันที่กรีดร้องออกมา แต่ครั้งนี้คงทำแบบที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว

“น้องพีคิดถึงคุณยะนะครับ” คิดถึงจริงๆ ผมชินไปเสียแล้วกับการที่มีเขาคอยโอบกอดเอาไว้ในยามค่ำคืนจนถึงรุ่งเช้า “...คิดถึงมาก”

“เหมือนกันครับคนดี” เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความคิดถึงผม

สายลมอ่อนโยนคล้ายวนเวียนอยู่รอบตัวผม และราวกับว่าตอนนี้ผมสัมผัสความคิดถึงของเขาได้อย่างนั้นแหละ

“ฝันดีนะคนดีของคุณยะ”

“ฝันดีครับคุณยะของน้องพี”

เราสองคนจบค่ำคืนนี้ด้วยประโยคคุ้นเคยนี้ เป็นคำเอ่ยลายามที่เราต้องห่างกัน ก่อนที่เขาจะหายไปจากหน้าจอโทรศัพท์ของผม เพื่อใช้เวลาในคืนนี้กับคนที่ไม่ใช่ผม

.

.

.

ตึ้ง...

อาบน้ำเสร็จ สวมชุดนอนพร้อมเข้านอน แต่ยังเดินไปไม่ถึงเตียงนอน เสียงข้อความของโปรแกรมแชตก็ดังขึ้น ผมกระโดดขึ้นเตียง คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูว่าใครส่งข้อความไลน์มาหาผม แน่นอนว่าไม่ใช่คุณยะหรอก เขาไม่ชอบพิมพ์คุยกับผมเท่าไร เขาบอกว่ามันช้าเกินไป เมื่อไรที่เขาคิดถึงผม เขาจะโทรมาหา หรือไม่ก็วิดีโอคอลมามากกว่า

ตอนที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ผมคิดว่าไม่เป็นปาลินก็ดีนนั่นแหละที่เป็นเจ้าของข้อความ มีสองคนนี้เท่านั้นที่ชอบไลน์มาคุยกับผม ซึ่งก็ใช่ครับ เป็นสองคนนั้นจริงๆ แต่ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่ผมคิดไว้แล้วว่าเขาต้องส่งข้อความไลน์มาหาผมในคืนนี้... ก็คือคนที่ได้อยู่กับคุณยะในคืนนี้ไง

ฝ่ายนั้นเริ่มต้นด้วยการอวดสิ่งที่ได้จากคนของผม

LemoN : ของขวัญวันเกิด

...รูปที่พี่เลม่อนส่งมาก่อนข้อความคือรูปกุญแจรถ ราคานี่ไม่ต้องถามถึงครับ ยี่ห้อหรูขนาดนั้น เผลอๆ อาจหลักสิบล้านเลยด้วยซ้ำ

LemoN : พี่ยะซื้อให้

...ไม่บอกผมก็รู้

P.Phirach : แล้วไงครับ ผมจำเป็นต้องรู้ ?

...คงอยากให้ผมฟูมฟายสินะ ขอโทษเถอะ ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว ตอนนี้ผมก็เข้มแข็งแล้วด้วยทั้งยังมั่นใจด้วยว่าผมคือคนที่คุณยะทั้งรักและหลง ส่วนคนที่ได้รถยี่ห้อหรูเป็นของขวัญวันเกิดก็เป็นแค่คนที่คุณยะทิ้งไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ

LemoN : อวดเก่ง

LemoN : คงคิดสินะว่าพี่ยะรักมึงมาก

...ผมอยากพิมพ์เถียงกลับไปนักว่า ผมไม่ได้คิด แต่คุณยะเป็นคนที่บอกว่ารักผมออกมาเอง บอกทุกวันด้วย แต่ผมก็ห้ามมือตัวเองเอาไว้ จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังปรากฏข้อความใหม่ตามมาติดๆ

LemoN : อย่าโง่ไปหน่อยเลย พี่ยะไม่ได้รักมึง

LemoN : เขารักกูคนเดียว

...คนที่โง่คือเขามากกว่า และคนที่คุณยะรักคือผม ไม่ใช่เขา

P.Phirach : เขาจะรักใครก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผม

...ทุกครั้งที่พี่เลม่อนมาอาละวาดใส่ผมในไลน์ ผมก็จะตอบแบบนี้ เพราะเรื่องของผมกับคุณยะเป็นความลับที่มีแค่เราสองคนที่รู้ และพี่เลม่อนต้องรู้ไม่ได้

LemoN : มึงคิดว่ากูโง่หรือไง!

P.Phirach : เปล่าครับ

LemoN : มึงมันหน้าด้าน

LemoN : อย่าคิดว่ามึงจะแย่งพี่ยะไปจากกูได้

LemoN : มึงไม่มีวันทำสำเร็จเพราะพี่ยะเป็นของกู

...เขาเป็นของผมต่างหาก

LemoN : เขาจะอยู่กับกูไปตลอดชีวิต มึงไม่มีวันเอาเขาไปจากกูได้

LemoN : จำเอาไว้!

P.Phirach : ครับ

LemoN : มึงกวนกูเหรอวะ!

P.Phirach : ผมเปล่า

P.Phirach : สุขสันต์วันเกิดนะครับ

P.Phirach : ขอให้คืนนี้พี่มีความสุข

...เพราะหลังจากคืนนี้พี่เลม่อนคงต้องนอนคนเดียวไปอีกนาน ผมจะทำทุกวิธีให้คุณยะอยู่กับผมแค่คนเดียว

LemoN : ไม่ต้องสะเออะมาอวยพรกู

LemoN : เพราะมันไม่ได้ทำให้สิ่งที่มึงกับกูเลวน้อยลงหรอก

...เพราะเขาทำผมก่อนไง ส่งทั้งภาพและคลิปมาให้ผม ทำร้ายจิตใจผมก่อน มีแต่คำหยาบคายมาด่าว่า แล้วยังใช้ให้เพื่อนตัวเองมอมยาผมอีก ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ผมถูกวางยา ผมกับคุณยะอาจจะไม่ได้ลงเอยกันแบบนี้ก็ได้ 

LemoN : สักวันมึงก็จะโดนแบบกู จำไว้!

...ไม่มีวันนั้นหรอกเพราะคุณยะรักผม ส่วนเขาก็แค่คนที่คุณยะทิ้งไม่ได้เพราะเหตุผลบางอย่าง เป็นเหตุผลที่ผมยังไม่รู้ แต่สักวันผมจะรู้ให้ได้

P.Phirach : ขอบคุณที่เตือน ผมจะระวังละกัน

LemoN : อย่าอวดดีให้มาก

...เพราะผมมีดีให้อวดไง หัวใจคุณยะเป็นของผม พี่เลม่อนไม่มีวันได้ไปหรอก

LemoN : กูเตือนมึงเป็นครั้งสุดท้าย

LemoN : อย่ายุ่งกับผัวกู ไม่อย่างนั้นมึงโดนประจานทั่วโรงเรียนแน่

...เป็นคำขู่ที่ทำเอานิ้วที่จะพิมพ์ข้อความโต้กลับไปค้างเลยทีเดียว ยอมรับว่าผมกลัวคำขู่ แม้ว่าพี่เลม่อนจะขู่แบบนี้มาหลายครั้งแล้วก็ตาม

P.Phirach : ผมไม่ได้ยุ่งกับคนของพี่

...เพราะคุณยะไม่ใช่คนของพี่เลม่อน คุณยะเป็นของของผมต่างหาก

LemoN : โกหกหน้าด้านๆ

P.Phirach : ผมไม่ได้โกหก

LemoN : แล้วนี่มันอะไร

...รูปที่ตามมากับข้อความของพี่ม่อนคือรูปผมหอมแก้มคุณยะตอนอยู่ที่กาญจนบุรี

LemoN : ตอแหลเก่งยิ่งกว่าผู้หญิงอีกนะมึง

LemoN : ถ้ามึงไม่เลิกยุ่งกับผัวกู

LemoN : มึงเตรียมเห็นรูปต่ำๆ ของมึงทั่วโรงเรียนแน่

P.Phirach : มันรูปนานแล้ว

P.Phirach : ตอนนี้ผมไม่ได้ยุ่งกับคุณยะแล้ว

...ผมแก้ตัว กลัวพี่เลม่อนจะทำจริง

LemoN : คิดว่ากูโง่หรือไงที่ไม่รู้ว่ามึงเอาผัวกูไปกกนานเท่าไรแล้ว

P.Phirach : พี่ไม่เชื่อผมก็ตามใจ

LemoN : นี่มึงยังไม่ยอมรับอีกเหรอ หลักฐานขนาดนี้

LemoN : หน้าซื่อๆ แบบมึง ไม่คิดว่าจะตอแหลได้โล่

LemoN : มึงไม่อายเลยหรือไงที่ต้องมาใช้ผัวร่วมกับกู

LemoN : หรือว่าต้องให้กูเอารูปมึงไปประจานก่อน มึงถึงจะเลิกร่าน

...คำด่าของพี่เลม่อนแต่ละคำทำผมหมดความอดทนไปทีละนิด จนไม่อยากทนให้เขาขู่ผมอยู่ฝ่ายเดียว ในเมื่อผมมีสิ่งที่จะประจานเขาได้เหมือนกัน เด็ดกว่ารูปผมที่เขากล่าวหาว่าเป็นรูป ‘ต่ำๆ’ ซะอีก

P.Phirach : ถ้าพี่ทำได้ ผมก็ทำได้

LemoN : มึงจะทำอะไร

LemoN : หน้าอย่างมึงจะมีปัญญาทำอะไรได้ เก่งแต่แย่งผัวกูนั่นแหละ

P.Phirach : พี่เคยส่งอะไรอุบาทว์ๆ มาให้ผมบ้างล่ะ

P.Phirach : รูป

...ผมพิมพ์ไปสั้นๆ ก่อนกดส่งรูปโป๊เปลือยของเขาที่เต็มไปด้วยรอยดูดและกัด

P.Phirach : คลิป

...ผมส่งอีกข้อความหนึ่งไปให้อีกฝ่ายอ่าน แล้วก็ตามด้วยคลิป มันเป็นคลิปตอนที่เขามีอะไรกับคุณยะ

P.Phirach : แล้วก็คำพูดทุเรศๆ ของพี่

...ผมส่งหน้าจอแชตที่ผมเพิ่งแคปสดๆ ร้อนๆ เมื่อกี้นี้เองไปให้อีกฝ่าย

P.Phirach : กล้าไหมล่ะครับ

P.Phirach : แฟนคลับพี่คงดีใจที่ได้เห็น

P.Phirach : เอ... หรืออาจจะคนทั้งประเทศ

LemoN : มึง!

P.Phirach : ครับ

LemoN : ลองมึงเอาคลิปกูไปปล่อยสิ กูแจ้งตำรวจจับมึงแน่

P.Phirach : พี่ลืมหรือเปล่าว่าผมใช้นามสกุลอะไร

LemoN : มึงไม่ใช่ลูกหลานตรัยธาดา

P.Phirach : แต่ในใบเกิด ผมใช่

LemoN : หน้าด้าน!

LemoN : ไอ้กาฝาก

P.Phirach : ครับ

...ด่าไปเถอะ ผมเลิกเจ็บปวดกับความจริงเรื่องนี้แล้ว อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมกับคุณยะรักกันได้

LemoN : กูจะฟ้องพี่ยะว่ามึงเลวแค่ไหน

P.Phirach : เชิญครับ

...ผมไม่กลัวหรอก ผมมั่นใจว่าคุณยะจะไม่ทำอะไรผม เพราะคุณยะรักผม

LemoN : มึง!!

แล้วก็ไม่มีข้อความส่งมาให้ผมอีก เขาน่าจะรู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางสู้ผมได้ ไม่ว่าจะเรื่องหัวใจของคุณยะ เรื่องที่ผมมีทั้งรูปและคลิปที่จะทำให้เขาอับอายคนทั้งประเทศ แต่พี่เลม่อนก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ หรอก เพราะพอผมตื่นขึ้นมาตอนเช้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เจอกับข้อความไลน์ของพี่เลม่อนก่อนเลย

เขาส่งรูปตัวเองกับคุณยะมาให้ผม เป็นรูปที่คุณยะนอนหลับและมีเขาอยู่ในวงแขน หน้าตามีความสุขจนผมอยากจะปาโทรศัพท์ตัวเองทิ้งไปซะ แต่ผมก็เลือกพิมพ์ข้อความส่งไปแทน

P.Phirach : ผมเตือนด้วยความหวังดีนะ

P.Phirach : ถ้าไม่อยากให้ผมมีข้อมูลเอาไว้ประจานพี่มากไปกว่านี้ก็อย่าส่งมาอีก

พี่เลม่อนอ่านแต่ไม่พิมพ์โต้ตอบกลับมา ก็ดีแล้วผมไม่อยากให้อารมณ์เสียแต่เช้า ส่วนอีกคนในรูปผมก็อยากจะตีเขาแรงๆ ให้สมกับที่เขานอนกอดพี่เลม่อนแบบนั้น

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

.
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 25-12-2018 06:21:10
.

.

.

.

เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้ทำแบบที่คิดเอาไว้เมื่อชั่วโมงก่อนหรอก เมื่อเขาขับรถเข้ามาจอดข้างรถของคุณย่าที่ลุงเปรมใช้ขับไปส่งผมกับเด็กแฝดไปโรงเรียนทุกเช้า ผมแอบรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่เขากลับมาหาผมแต่เช้าเลย แถมยังจะไปส่งผมกับเด็กแฝดไปโรงเรียนอีกด้วย

“โกรธคุณยะ ?” เขาถามยิ้มๆ ตอนที่ผมเข้ามานั่งเบาะข้างคนขับ มีแฝดพี่พุงกลมที่ไม่ยอมไปนั่งด้านหลังกับแฝดน้องผู้เงียบขรึมนั่งบนตัก พร้อมกับขนมปังปิ้งในมือที่เจ้าตัวชอบกินเหลือเกิน นี่ขนาดว่ากินข้าวอิ่มแล้วนะก็ยังยัดลงในท้องได้อีก

“.....” ผมไม่ตอบ ถึงผมจะไม่รัวกำปั้นใส่เขา แต่ผมก็ไม่ใช่จะหายโกรธที่เขานอนกอดพี่เลม่อนหรอกนะ

“บอกหน่อยสิครับว่าโกรธอะไรคุณยะ” เขายังไม่ออกรถ เอื้อมมือมาขยี้หัวผม

“.....” แต่ผมก็ยังเงียบ แกล้งเมินใบหน้ายิ้มแย้มแบบคนที่ยังไม่รู้ความผิดของตัวเองด้วยการก้มลงไปจูบกระหม่อมเล็กๆ ของคนบนตัก เส้นผมของทานตะวันหอมกลิ่นแชมพูเด็กให้ความรู้สึกสดชื่นดีครับ พอถูกผมหอมหัวเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มทั้งที่ขนมปังเต็มปาก 

“ซัน” คุณยะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เด็กพุงกลมที่เคี้ยวขนมปังปิ้งคำสุดท้ายลงท้องไป “เวลาที่ซันโป้งพ่อยะ พ่อยะต้องทำยังไงซันถึงจะเลิกโป้งพ่อยะครับ” ผมชักเห็นเค้าไม่ดีแล้วสิครับ

“พ่อยะต้องหอมแก้มซันสิบที” เจ้าตัวหันหน้าไปตอบคำถามอย่างรวดเร็ว ชี้แก้มตัวเองทันที “ตรงนี้ๆ หอมเลยครับพ่อยะ หอมสองแก้มเลยน้า” แล้วก็ยื่นหน้าเอียงแก้มให้คนเป็นพ่อที่นั่งยิ้มกริ่มให้กับคำตอบของลูกชายคนโต

“แต่ตอนนี้ซันไม่ได้โป้งพ่อยะ คนที่โป้งพ่อยะคือคนนี้ต่างหาก” พูดแล้วก็มองหน้าผม ทานตะวันก็พลอยแหงนหน้ามองตามด้วย

“พี่พีโป้งพ่อยะหรือครับ โป้งทำไม”

“พ่อยะของซันทำตัวน่าโป้ง” ผมบอกเด็กน้อย ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ลอยมาจากตำแหน่งคนขับ

“โป้งเลย โป้งเยอะๆ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ยกนิ้วโป้งป้อมๆ ใส่คนเป็นพ่อ

เดี๋ยวนี้ทานตะวันติดผมพอสมควร เพราะพอคุณยะกลับมานอนที่บ้านเรือนไทยของตัวเอง เด็กแฝดก็ย้ายที่นอนจากบ้านอาภามาร่วมบ้านกับพ่อของตัวเองแทน แต่ก็มีบางคืนที่ทั้งคู่ไปกลับไปนอนบ้านอาภาเหมือนกัน การที่สองแฝดย้ายที่นอนก็ทำให้พวกเขาอยู่กับผมมากขึ้น และทานตะวันเองก็ชอบว่ายน้ำ (เห็นเป็นเด็กแต่สองแฝดว่ายน้ำแข็งแรงเลยทีเดียวเพราะคุณยะให้ทั้งคู่เรียนว่ายน้ำตั้งแต่อยู่ที่ต่างประเทศ) เห็นผมลงสระทีไรก็กระโดดตามทุกที เลยทำให้เจ้าตัวติดผมไปโดยปริยาย นั่งรถไปโรงเรียนแต่ละเช้าก็ต้องนั่งตักผมตลอด

“งั้นพ่อยะก็ต้องจุ๊บพี่พีให้เลิกโป้งใช่ไหมครับ” คนเป็นพ่อถามลูกชายที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของตัวเอง

“จุ๊บๆ จุ๊บเลย จุ๊บสิบที” เจ้าตัวพยักหน้าเห็นดีไปกับคนเป็นพ่อ ก่อนเงยหน้ามาพูดกับผมด้วยรอยยิ้มใสซื่อตามประสาเด็กที่ยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะ “พ่อยะจุ๊บแก้มสิบที แล้วพี่พีต้องเลิกโป้งพ่อยะนะ”

“แล้วถ้าพี่พียังไม่หายโกรธพ่อยะล่ะ” คนเป็นพ่อตั้งคำถามหลอกล่อลูกชายอีกครั้ง

“ก็จุ๊บอีกสิบที”

“ห้ามนะคุณยะ!” ผมส่งสายตาขุ่นๆ ให้คนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มอยู่บนใบหน้า

“ทำไงดีครับซัน พี่พีไม่ยอมให้พ่อยะง้อ” ล่อลวงเด็กละเป็นที่หนึ่ง ผมยกให้เขาเลยจริงๆ ทานตะวันก็ไม่ทันคนเป็นพ่อหรอก

“พี่พีอย่าเกเรสิครับ ให้พ่อยะจุ๊บนะ พี่พีจะได้เลิกโป้งพ่อยะ โป้งๆ ไม่สนุกหรอกน้า” เจ้าตัวเล็กแต่พุงโตว่าแล้วก็ทำปากยื่น แล้วก็ชะโงกหน้าไปหาเสียงสนับสนุนจากแฝดน้องของตัวเอง “ใช่ไหมแซน โป้งทีไร ไม่อยากกินขนมเลย” ไม่พ้นเรื่องของกินเลยเด็กคนนี้

“ใช่ครับพี่พี แซนโดนซันโป้งทีไรปวดหัวทุกที” คนน้องที่นั่งเงียบมาตลอดได้เวลาพูดบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนแฝดพี่หรอก หลอกว่าพี่ชายเสียมากกว่า เพราะทานตะวันเนี่ย เป็นมือวางอันดับหนึ่งเรื่อง ‘โป้ง’ ก็คือเจ้าตัวยุ่งของทุกคนขี้งอนครับ โดนดุนิดเดียวนี่หน้างอเป็นจวัก แต่ก็ง้อง่ายแค่เอาของกินไปง้อ เห็นของกินทีไรลืมหมดครับว่าโป้งอะไรใครบ้าง

“เค้าก็จุ๊บเหม่งตัวเองคืนแล้วนะ จุ๊บหลายทีด้วย”

“จุ๊บทีมีแต่น้ำลาย ไม่เห็นอยากให้จุ๊บเลย”

“เหอะ เค้าไม่จุ๊บแล้วตัวเองจะเสียใจนะ” เจ้าตัวว่าแล้วก็ทำแก้มพองใส่คนเป็นน้อง จากนั้นก็หันไปเตือนคนเป็นพ่อเรื่องที่ยังไม่หมุนล้อรถสักที “พ่อยะไปได้แล้วเดี๋ยวสาย”   

“ขอพ่อยะง้อพี่พีก่อนนะ” แต่คนเป็นพ่อก็มิได้นำพา

“คุณยะ พีไม่เล่นนะ” ผมรีบห้าม ไม่ใช่ว่าไม่อยากถูกหอมแก้ม อยากให้กอดเอาอกเอาใจเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้สองแฝดอยู่ในรถด้วย ผมไม่อยากให้พวกเขาเห็นความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะมากเกินไป ถึงแม้เด็กสองคนยังไม่โตพอที่จะเข้าใจว่าการที่คุณยะหอมแก้มผม มันไม่เหมือนที่คุณยะหอมแก้มพวกแกเลย

การกระทำนั้นอาจดูเหมือนกันแต่ความหมายต่างกันลิบลับ

“คุณยะไม่ได้เล่น” เขาบอกผม ก่อนสั่งแฝดทั้งสองคนโดยที่ดวงตายังจ้องหน้าผมไม่ไปไหน “ซัน แซน ปิดตา” เด็กสองคนก็ขานรับคำสั่งของคนเป็นพ่อเป็นเสียงเดียวกันทันที

“ครับพ่อยะ”

แล้วทานตะวันก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดตาตัวเอง ส่วนถิร ผมไม่ได้หันไปมองแต่คิดว่าก็คงทำไม่ต่างจากที่พี่ชายตัวเองทำ

“คุณยะ” ผมจ้องเขาเป็นเชิงห้าม แต่มีหรือจะห้ามเขาได้ ไม่ทันไรเขาก็โน้มตัวลงมาหาผม ดึงเอาตัวผมเข้าไปใกล้เขา จากนั้นก็เรียบร้อยครับ

ไม่ใช่แก้มผมนะที่เรียบร้อย... ปากผมต่างหากที่ถูกประทับรอยอุ่นจัดลงมาอย่างนุ่มนวลอ่อนโยนและหอมหวานในแบบที่เป็นเขานั่นแหละ

“หายโกรธได้แล้ว” เขายิ้ม เอื้อมมือมาขยี้หัวผมอีกครั้ง มองผมด้วยสายตาทั้งรักและเอ็นดู

“ขี้โกง” ผมก็ได้แต่ต่อว่าเขาเบาๆ ไม่ได้จริงจังนักหรอก ก็ผมแพ้รอยยิ้มและความอ่อนโยนของเขานี่นา แพ้สายตาด้วย อันที่จริงผมก็แพ้เขาทุกอย่างแหละ

“คุณยะขอโทษ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับพี” ใบหน้าคมเข้มที่แต้มรอยยิ้มหยอกเย้าจางหายไปแล้ว เหลือเพียงใบหน้าหล่อเหลาที่จริงจังขึ้น “แต่ถ้าเป็นเพราะเลม่อนส่งอะไรมาให้พีอีก คุณยะก็อยากให้อดทน... เพื่อความรักของเราสองคนนะ”

“ครับ” ผมพยักหน้าช้าๆ เพราะคุณยะรักผม ผมถึงต้องอดทนกับเหตุผลที่คุณยะทิ้งพี่เลม่อนไม่ได้

คุณยะรู้เรื่องแชตไลน์ของพี่เลม่อนแล้วครับ ผมให้ดูตั้งแต่ข้อความแรกที่เจ้าตัวส่งมา ว่าลับหลังคุณยะ สิ่งที่พี่เลม่อนทำกับผมมีอะไรบ้าง ทั้งข้อความหยาบคาย รูป และคลิป ซึ่งพักหลังๆ รูปกับคลิปน้อยลงมาก เพราะคุณยะอยู่กับพี่เลม่อนน้อยลง ก็อย่างที่ผมบอกไปว่าตั้งแต่กลับจากกาญจนบุรี คุณยะไปที่คอนโดฯ พี่เลม่อนแค่แปดครั้งเอง

“พ่อยะ แล้วซันเปิดตาได้ยัง” เสียงเล็กๆ ของเด็กพุงกลมดังแทรกบรรยากาศสีหม่นขึ้นมา จนผมปรับอารมณ์แทบไม่ทัน เมื่อกี้ลืมไปแล้วว่ายังมีเด็กสองคนนั่งอยู่ในรถด้วย

“ซันอย่าเพิ่งกวนพ่อยะนะ พ่อยะกำลังคุยกับพี่พีอยู่ เด็กดีไม่ควรพูดแทรกตอนผู้ใหญ่คุยกัน” แฝดน้องที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่เกินวัยพูดเป็นเชิงตำหนิแฝดพี่ ผมหันไปมองก็เห็นว่าถิรยังเอามือปิดตาอยู่เลยครับ

“ก็เค้าเมื่อยมือแล้วอ่ะ” เจ้าตัวโวยวายนิดๆ แต่ก็ยังไม่เอามือลง เนื่องจากยังไม่ได้รับคำอนุญาตจากคนเป็นพ่อ เห็นดื้อแบบนี้แต่คุณยะพูดหรือสั่งให้ทำอะไร ทานตะวันก็เชื่อฟังนะครับ ไม่ค่อยดื้อเท่าไร

“เอามือลงได้” คุณยะบอกเจ้าตัวยุ่ง พร้อมกับขยี้ผมหอมๆ ของเจ้าตัวไปด้วย “ไม่ได้ซัน พ่อยะคงง้อพี่พีไม่สำเร็จแน่ๆ”

“ก็ซันเก่ง” เจ้าตัวยิ้มแป้นรับคำชม “พ่อยะให้รางวัลซันหน่อย จุ๊บๆ เลย จุ๊บสองแก้มเลย” อ้อนแล้วก็ยื่นแก้มเนียนใสของตัวเองไปขอรางวัลจากคนเป็นพ่อ คุณยะก้มลงหอมแก้มนุ่มนิ่มของทานตะวันไปหลายฟอดเลยทีเดียว ก่อนจะฉวยโอกาสที่ผมไม่ได้ระวังตัว เปลี่ยนจากแก้มลูกชายตัวจริงเป็นแก้มของผมแทน

“คุณยะ!”

“อ้าว...หอมเพลินไปหน่อย นึกว่าแก้มเจ้าตัวยุ่ง” ว่ากลั้วเสียงขำ ฟังดูก็รู้ว่าเจ้าเล่ห์

“แก้มซันอยู่นี่” นิ้วป้อมจิ้มหน้าตัวเองจนบุ๋มลงไปเลย “แต่พ่อยะ ซันว่าไปโรงเรียนกันเถอะครับ สายแล้ว”

นั่นสิ นี่ก็เลยเวลาปกติที่ลุงเปรมจะไปส่งผมกับเด็กแฝดที่โรงเรียนแล้ว

โดนลูกชายคนโตเตือนเป็นครั้งที่สอง ล้อรถคันหรูของคุณยะถึงได้วิ่งออกจากรั้วบ้านตรัยธาดาไปทันที แต่คุณยะก็ยังไม่หยุดที่จะห่วงความรู้สึกของผม

“เลม่อนส่งรูปอะไรมาให้ บอกหน่อยได้ไหม คุณยะจะได้แก้ตัว”

“รูปที่คุณยะนอนกอดเขา” ผมแค่บอก ไม่ได้หยิบหลักฐานมาให้เขาดูหรอก

“แต่เชื่อคุณยะนะว่าเมื่อคืนคุณยะไม่ได้กอดเขา”

ผมรู้ว่า ‘กอด’ ที่คุณยะพูด คือกอดแบบไหน

“ครับ พีเชื่อ” การเชื่อคำพูดของเขา ทำให้ผมมีความสุขมาก ผมถึงเลือกที่จะเชื่อ

“คุณยะรักน้องพีนะ”

“ครับ” คำบอกรักจากปากเขา ผมก็เชื่อ ...เชื่อจนหมดหัวใจ

.

.

.

คุณยะบอกให้ผมอดทนเพื่อความรักของเราสองคน แต่บางครั้งผมก็ไม่อยากอดทน หลังจากที่ใช้ความอดทนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว กับการที่ต้องนั่งอ่านข้อความที่พี่เลม่อนส่งมาด่าผมทุกวัน และวันนี้ก็ด้วย

LemoN : พี่ยะอยู่กับมึงหรือเปล่า

P.Phirach : เปล่าครับ

LemoN : โกหก!

P.Phirach : ไม่เชื่อก็เรื่องของพี่

LemoN : หน้าด้าน

LemoN : มึงไม่มีปัญหาผัวเองหรือไงถึงต้องแย่งผัวกู

P.Phirach : ผมไม่เคยแย่ง

...เพราะคุณยะเป็น ‘ของของผม’ มานานแล้ว

LemoN : มึงนี่หน้าด้านหน้าทนจริงๆ

LemoN : บอกกูมาว่าพี่ยะอยู่กับมึงใช่ไหม

P.Phirach : ไม่ได้อยู่ครับ

LemoN : แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน

P.Phirach : ผมจำเป็นต้องบอกพี่ด้วยหรือครับ

LemoN : เพราะกูจะได้รู้ว่ามึงตอแหลหรือเปล่า

P.Phirach : ผมอยู่งานเลี้ยงกับคุณปู่

LemoN : กูไม่เชื่อ

P.Phirach : ก็เรื่องของพี่

LemoN : ถ่ายรูปแล้วส่งมาให้กูดู

P.Phirach : ทำไมผมต้องทำตาม

LemoN : เพราะมึงต้องพิสูจน์ว่ามึงไม่ได้ตอแหล

P.Phirach : แป๊บหนึ่งครับ

...ถ้าแค่ถ่ายรูปให้ดูแล้วทำให้พี่เลม่อนเลิกก่อกวนผมด้วยคำด่าหยาบคาย มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่ ผมเลยถ่ายรูปตัวเองที่มีฉากหลังเป็นงานวันเกิดของเจ้าของบ้านหลังนี้ส่งไปให้อีกฝ่ายดู

P.Phirach : เห็นแล้วนะว่าผมอยู่ไหน

LemoN : แต่กูไม่เห็นปู่มึง

P.Phirach : คุณปู่อยู่กับเจ้าของงาน

P.Phirach : ไม่ต้องบอกให้ผมไปตามคุณปู่มาถ่ายรูปให้พี่ดูด้วยหรอกนะ เพราะผมไม่ทำ

LemoN : แต่กูจะให้มึงทำ

P.Phirach : ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องทำตามคำสั่งของพี่ทุกอย่าง

LemoN : อวดเก่ง

LemoN : อ้อ...กูลืมบอกว่าวันนี้เป็นวันครบรอบหกปีที่กูกับพี่ยะคบกัน

LemoN : เผื่อมึงจะฉลาดขึ้นมานิดหนึ่ง

LemoN : จำใส่กะโหลกมึงไว้ดีๆ ละว่ากูกับพี่ยะรักกันมาหกปีแล้ว

...หกปีเลยเหรอ ?

พี่เลม่อนโกหกหรือเปล่า เหมือนที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังส่งข้อความมาโกหกผมคำโตเลย

LemoN : แค่นี้นะ เพราะพี่ยะมาหากูแล้ว

...ผมอยากจะพิมพ์บอกให้เขาถ่ายรูปคู่คุณยะมาให้ดูซะจริงๆ อยากรู้ว่าเขาจะมีรูปมายืนยันว่าคุณยะไปหาเขาจริงตามที่พิมพ์บอกมาไหม แต่ส่งไปแล้ว ผมก็คงไม่ได้ความจริงจากพี่เลม่อนหรอก อาจจะได้รูปคู่เก่าๆ มาอ้างว่าเป็นรูปล่าสุดก็ได้ ในเมื่อตอนนี้คุณยะไม่ได้อยู่กับเขา แต่อยู่กับผม

P.Phirach : ขอให้มีความสุขนะครับ

...ไม่มีความจริงใจในข้อความที่ผมส่งไปหรอก มีแต่ความรู้สึกสะใจเสียมากกว่าที่พี่เลม่อนไม่มีทางสู้ผมได้

LemoN : กูมีความสุขแน่

P.Phirach : ครับ

ตอนที่ผมกดส่งข้อความสุดท้ายลงไปบนหน้าจอโทรศัพท์ คนที่เป็นประเด็นสนทนาผ่านข้อความไลน์ของผมกับพี่เลม่อนก็เดินกลับมาที่โต๊ะพอดี หลังจากที่หายไปกับหมอภามมาพักใหญ่ๆ

“คุณยะคบพี่เลม่อนมาหกปีแล้วหรือครับ” คนที่กำลังทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างตัวผมชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนริมฝีปากหนาจะขยับยิ้มเล็กน้อยที่ดูเหมือนฝืนยิ้มมากกว่า

“ไม่ต้องสนใจมันหรอก” มือหนายกขึ้นมาลูบศีรษะผมเบาๆ “ฉันอยากให้เธอรู้แค่ว่า... ฉันรักเธอมานานกว่านั้นอีก”

เขามักพูดให้ผมเชื่อเสมอว่าเขารักผม ซึ่งผมก็เชื่อเขามาตลอด แต่ก็ไม่ทำให้ผมลืมเรื่องของเขากับพี่เลม่อนไปได้ พยายามปลอบตัวเองแค่ไหนผมก็ยังรู้สึกได้ว่า ถ้าวันหนึ่งที่ผมไม่ทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์หลบซ่อนนี้ ถ้าต้องให้เขาเลือก คุณยะก็คงเลือกดูแลพี่เลม่อนและยอมให้ผมจากไป

ผมถึงต้องอดทน... เพื่อความรักของเราคน ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรผมจะเป็นเจ้าของคุณยะแค่คนเดียวได้ โดยไม่ถูกอีกคนหนึ่งแย่งเอาเวลาของเขาไปจากผม

ไม่ต้องทนอ่านข้อความหยาบคายที่ด่าผมซ้ำๆ ทุกวัน วันละหลายเวลา จนผมเริ่มเชื่อไปแล้วว่าตัวเองเป็นพวกตอแหล หน้าด้าน และอยากได้ผัวของคนอื่นจนตัวสั่น

“พี่เลม่อนบอกว่าวันนี้เป็นวันครบรอบที่เขาคบกับคุณยะ” ผมยังอยากรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับวันครบรอบนี้ “วันนี้คุณยะอยากไปหาเขาไหม ?”

“เธออยากให้ฉันไปหาเขาหรือไง” ชอบถามผมกลับตลอด

“ไม่อยาก” ผมส่ายหน้าทันที

แต่เชื่อไหม ลึกๆ คืนนี้ผมก็อยากให้เขาไปหาพี่เลม่อนนะ ไม่ใช่ว่าผมพร้อมจะแบ่งคุณยะให้ฝ่ายนั้น เพียงแต่ผมอดที่จะเห็นใจพี่เลม่อนไม่ได้ ที่ต้องทนเหงาตอนไม่มีคุณยะอยู่กับเขา แม้แต่วันครบรอบที่เป็นวันสำคัญก็ไม่มีคนสำคัญอยู่ด้วย

หกปีที่พี่เลม่อนมีคุณยะอยู่ข้างกาย มันไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลย มากจนผมคิดว่าพี่เลม่อนจะเสียใจมากแค่ไหนหากวันหนึ่งคุณยะต้องทิ้งเขาไปจริงๆ

...แต่อาจไม่มีวันที่คุณยะสามารถทิ้งพี่เลม่อนไปไหนได้

ผมเคยเข้าใจว่าพี่เลม่อนเพิ่งคบหากับคุณยะตอนที่เขามาถ่ายเอ็มวีให้กับนักร้องวงหนึ่งที่โรงแรมเมื่อปีก่อน เพิ่งรู้ตอนนี้แหละว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มีมานานแล้ว

“แต่ถ้าคุณยะจะไป น้องพีก็จะไม่ห้าม” ผมเต็มใจยอมแค่วันนี้วันเดียว เข้าใจความรู้สึกของคนที่รอคอย พี่เลม่อนคงอยากมีช่วงเวลาดีๆ ในวันที่เขารอคอย ก็ไม่ต่างจากผมหรอกที่อยากให้คุณยะอยู่ในวันสำคัญของผม

...วันเกิดของผมที่ไม่เคยมีคุณยะอยู่ร่วมด้วยเลยสักปี

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 25-12-2018 06:24:16
.

.

.

อีกแค่สองวันก็ถึงวันเกิดของผมแล้ว วันนั้นผมก็หวังให้เป็นปีแรกที่คุณยะจะอยู่ข้างผม ร่วมอวยพรวันเกิดผมพร้อมกับทุกคนในครอบครัวตรัยธาดา และคุณยะก็รับปากผมแล้วว่าปีนี้เขาจะอยู่กับผม

“ใจดีเกินไปแล้ว”

“ไม่ได้อยากใจดีหรอก” ก็แค่แพ้ให้กับหกปีของเขากับพี่เลม่อน

“ถ้าไปแล้วไม่ได้กลับมางานวันเกิดน้องพีล่ะ”

“ต้องกลับมาสิ คุณยะสัญญาแล้วว่าวันเกิดปีนี้จะอยู่กับน้องพี”

“ฉันถึงต้องอยู่กับเธอตรงนี้ไง” หน้าเขาเครียดนิดๆ แต่ก็มีรอยยิ้มให้กับผม ผมอยากจะถามเขาว่าเมื่อไรจะบอกสิ่งที่ทำให้เขาทิ้งพี่เลม่อนไปไหนไม่ได้เสียที ผมอยากรู้เหลือเกินแล้วนะ แต่ก็รู้อีกนั่นแหละว่าเขาคงหาทางเลี่ยงและไม่ยอมตอบคำถามนี้หรอก

“คุณยะไม่เคยรักพี่เลม่อนใช่ไหม” เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าถามเขาด้วยคำถามนี้

“ฉันรักเธอ”

เหมือนไม่ใช่คำตอบแต่ก็เป็นคำตอบที่ไม่ผิดจากที่ผมคาดหวังเอาไว้ และคำบอกรักของเขาก็ทำให้ผมยิ้มได้เสมอ ทว่ารอยยิ้มของผมก็ค่อยๆ จางลงไปเมื่อคุณช่อทิพย์เจ้าของงาน หรือก็คือคุณแม่ของหมอภามเดินตรงมาที่โต๊ะของเราสองคน

คุณช่อทิพย์รักและหวังดีกับคุณยะไม่ต่างจากลูกของตัวเอง เนื่องจากเธอเห็นคุณยะมาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณยะกับหมอภามสนิทกันมาตั้งแต่เรียนอนุบาล คุณยะเข้านอกออกในบ้านหลังนี้เหมือนเป็นบ้านของตัวเองเลยด้วยซ้ำ (ผมฟังจากที่คุณย่าเล่า) ดังนั้นเธอก็คงอยากเห็นเพื่อนสนิทของลูกชายที่เธอเอ็นดูไม่ต่างจากลูกคนหนึ่งลงเอยกับผู้หญิงดีๆ สักคนหนึ่ง แล้วคืนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เธอจะแนะนำผู้หญิงที่เธอเห็นว่าเหมาะสมคู่ควรให้กับคุณยะ

“ลูกยะมากับแม่หน่อย แม่จะแนะนำให้รู้จักน้องนุช ลูกสาวคุณนฤมล” เดินมาถึง พูดจบ เธอก็คว้าแขนลูกชายมโน (โมเมว่าเป็นลูกชายของเธอ) ไปจากโต๊ะทันที แบบที่ไม่เปิดโอกาสให้คุณยะปฏิเสธเลย

“เดี๋ยวคุณยะกลับมา” เขาหันมาบอกผม ส่วนผมก็ได้แต่มองตามเขาที่ถูกคุณช่อทิพย์จูงมือไปยังโต๊ะของคุณนฤมลกับน้องนุช ด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมบ่อยๆ

...หึงหวง

ความรู้สึกนี้คับอยู่ในอกซ้าย ผมพยายามจะไม่มองไปยังโต๊ะที่คุณยะนั่งและมีสาวสวยผมสีน้ำตาลอ่อนในชุดเดรตลูกไม้สีขาวบริสุทธิ์ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ข้างๆ แต่ผมก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นจากจานขนมบนโต๊ะของตัวเองมามองไม่ได้ ทุกครั้งที่มองไปก็จะเห็นคุณยะหันหน้าคุยกับเธอตลอดเลย

บอกตามตรงว่าผมโคตรจะหึง ประวัติของคุณยะใช่จะลืมกันได้ง่ายๆ นี่นา

พอเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้งผมก็พบว่าโต๊ะเหลือแค่คุณยะกับเธอคนนั้น ส่วนคุณช่อทิพย์กับคุณนฤมลไม่รู้ว่าหายไปไหน ถ้าให้ผมเดาก็คงเป็นแผนของผู้ใหญ่ที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวทำความรู้จักกันมากขึ้น


...หึงตัวเท่าโลก

ไม่สิ!

ตัวเท่าจักรวาลมากกว่า!!

ความรู้สึกที่เหมือนอกใกล้ระเบิดตู้มทำเอาผมนั่งไม่ติด ต่อให้มั่นใจว่าคุณยะรักผม แต่ถ้าเจอผู้หญิงสวยๆ ชาติตระกูลดี ดูมีอะไรให้น่าค้นหา ความมั่นใจของผมก็สั่นคลอนได้เหมือนกันนะ โดยเฉพาะเธอคนนั้นทำให้คุณยะยิ้มได้ด้วย

ไม่รู้ตัวสักนิดว่าผมลุกจากเก้าอี้ตอนไหน มารู้ตัวก็ตอนที่เดินมาถึงโต๊ะของคุณยะกับสาวสวยหวานคนนี้แล้วนั่นแหละ

ผมมายืนอยู่ข้างเขาด้วยใบหน้าไม่น่ารักเท่าไร เพราะมันบึ้งตึงมาก ไม่ต้องส่องกระจกผมก็นึกสภาพใบหน้าของตัวเองได้ชัดเจนเหมือนส่องกระจก

“คุณยะ พีอยากกลับบ้าน” ผมบอกจุดประสงค์ที่เดินมาหาเขา เพราะผมไม่อยากเปิดโอกาสให้ใครแย่งเวลาของคุณยะไปจากผม ไม่อยากให้ใบหน้าที่สวยงามกว่าผมทำให้หัวใจคุณยะเปลี่ยนไป แม้แต่นิดเดียวผมก็ไม่ยอมให้เกิดขึ้นหรอก

“น้องชายพี่ยะใช่ไหมคะ น่ารักจัง หน้าตาน่ารักกว่าพี่ชายอีกแน่ะ” เธอคนสวยและเสียงหวานเอ่ยถามคนของผมอย่างสนิทสนม มีเอ่ยแซวตบท้ายด้วย ส่วนเขาก็พยักหน้าเป็นคำตอบ ได้คำตอบแล้วเธอก็หันกลับมาที่ผมต่อ “จะรีบกลับไปไหนคะน้องพี คุณป้าทิพย์ยังไม่ได้เป่าเค้กเลย นั่งด้วยกันก่อนนะ”

จะว่าผมเป็นเด็กมารยาทไม่ดีก็ได้นะ (แต่ห้ามว่าคุณปู่คุณย่าไม่สั่งสอน) ถ้าผมจะบอกว่าเรื่องที่ต้องอยู่ร่วมงานจนถึงตอนคุณช่อทิพย์เป่าเค้กวันเกิดน่ะ ไม่ได้เกี่ยวกับผมและคุณยะสักนิด ผมกับคุณยะไม่อยู่ คุณช่อทิพย์ก็เป่าเค้กได้ละน่า ดังนั้นถ้าผมกลับคุณยะจะกลับบ้านตอนนี้ มันก็ไม่ทำให้งานวันเกิดล่มหรอก

แต่คุณยะกลับไม่ให้ความร่วมมือ มองไม่เห็นความหึงหวงที่อยู่ในลูกตาผมเลยหรือไง เขามองหน้าผมเหมือนตำหนิ ก่อนจะสั่งผมให้นั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างข้างเขา

“มานั่งกับคุณยะตรงนี้”

“ไม่” เขาไม่เห็นอาการบนใบหน้าผมหรือไง คิดว่าผมจะทนนั่งมองเขาคุยกับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างนั้นเหรอ

“นั่งลงพี” เขาเสียงเข้มขึ้น

“งั้นพีกลับเอง... สวัสดีครับ ผมกลับก่อนนะครับ” ตอนเดินมาถึงโต๊ะ ผมไม่ได้ยกมือไหว้เธอ แต่ตอนจะไปผมก็ควรมีมารยาทและเคารพอายุของเธอ ผมถึงได้ยกมือขึ้นไหว้เธอและเอ่ยลา ส่วนคนที่พาผมมาด้วยทั้งที่ผมไม่ได้อยากมาเท่าไรเลย ผมไม่เอ่ยคำลาอะไรเขาทั้งนั้น ไหว้คุณนุชเสร็จ ผมก็หมุนตัวเดินออกมาเลย

แต่ผมก็มั่นใจนะว่าคุณยะต้องรีบตามผมออกมาแน่ๆ เขาคงไม่ปล่อยให้ผมเดินออกไปที่ปากซอยแล้วโบกแท็กซี่กลับเองหรอก แต่ถ้าเขาปล่อยให้ผมโบกแท็กซี่กลับเองละก็ ...ผมจะทำไงดีล่ะ

ความมั่นใจของผมลดลงทีละน้อย เมื่อเดินออกมาจากบริเวณสวนหน้าบ้านสถานที่จัดงานเลี้ยงไกลขึ้นเรื่อยๆ

“น้องพีจะไปไหนครับ” ลูกชายเจ้าของวันเกิดเอ่ยถามผมออกมาจากมุมมืดที่ใกล้ลานจอดรถ ที่มีรถของแขกหลายคนจอดอยู่ สงสัยจะปลีกตัวออกมาคุยโทรศัพท์ ผมเห็นเขาถือมันอยู่ในมือ

“ผมจะกลับบ้านครับ”

“กลับบ้าน ?” หมอภามเลิกคิ้วนิดๆ เป็นเชิงถาม “แล้วคุณยะล่ะ”

“กำลังคุยติดพันอยู่กับผู้หญิงครับ”

ผมไม่เคยถามคุณยะนะว่าหมอภามรู้เรื่องที่ผมไม่ใช่ทั้งน้องและลูกชายของเขาตั้งแต่เมื่อไร เพราะผมคิดว่าหมอภามที่รู้จักคุณยะมาตั้งแต่เรียนอนุบาล สนิทกันมากที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมดของคุณยะ ก็น่าจะรู้ทุกเรื่องของคุณยะในทุกช่วงเวลาอยู่แล้ว อาจจะรู้ด้วยซ้ำมั้งว่าพ่อกับแม่ผมเป็นใคร แต่หมอภามคงไม่บอกผมหรอก

“อย่าคิดมากนะน้องพี” จะให้ผมคิดน้อยได้เท่าไรล่ะ ประวัติคุณยะไม่ใช่น้อยๆ เลยนะเรื่องผู้หญิงผู้ชายเนี่ย

“ครับ” ผมรับคำไปอย่างนั้นแหละ แล้วก็เริ่มเดินต่อ

“แล้วคุณยะรู้หรือยังว่าน้องพีจะกลับบ้าน” หมอภามเดินตามผมมาด้วย

“รู้ครับ” แต่เห็นผู้หญิงสวยๆ ดีกว่าเด็กธรรมดาๆ แบบผมไง เขาถึงยังไม่ตามผมมาเสียที หรือว่าเขามั่นใจว่าผมไม่กล้าทำอย่างที่พูดหรอก เหมือนที่ผมมั่นใจว่าเขาจะเดินตามผมออกมาทันที

ผมเดินใกล้จะถึงประตูรั้วแล้ว (ระยะทางจากตัวบ้านหมอภามจนถึงประตูรั้วหน้าบ้านก็ไกลพอสมควรครับ) ก็ได้ยินเสียงคนที่เดินอยู่ข้างๆ ดังขึ้น

"น้องจะกลับบ้าน...อยู่หน้าบ้านแล้วเนี่ย” หมอภามกำลังคุยโทรศัพท์กับคนปลายสาย ฟังก็รู้ว่าคุยอยู่กับใคร “น้องพีรอคุณยะก่อนนะกำลังมาแล้ว”

“ครับ” คำว่าครับของผม ไม่ได้หมายความว่าผมจะยืนรอให้เขา สองเท้าของผมยังเดินตรงไปที่ประตูรั้วเล็กๆ และกำลังจะเปิดมันออก เสียงรถวิ่งและแสงไฟก็สาดมาจากข้างหลังผมเสียก่อน แต่ผมก็ยังไม่หยุด ผมเปิดประตูออกไปนอกรั้วเรียบร้อย จนกระทั่งมือข้างหนึ่งคว้าแขนและดึงตัวผมไว้

“อย่ามางอนคุณยะด้วยเรื่องแค่นี้นะพี” มาถึงก็กล่าวหาผมทันที โมโหหรือไงที่ผมเข้าไปขัดจังหวะความสุขของเขา “ไปขึ้นรถ”

“ไม่!” ผมโกรธเขาที่ตามมาช้า โกรธที่เขายังอ้อยอิ่งอยู่กับเธอคนนั้น คงไม่อยากจากเธอเลยมั้ง ถ้าหมอภามไม่โทรไปตาม “ผมจะกลับเอง คุณไม่ต้องมายุ่ง อยากคุยกับเธอต่อก็เชิญเลย ไม่ต้องสนใจผม”

“พีอย่าเอาแต่หึง มีเหตุผลบ้าง ฉันแค่คุยตามมารยาท” เสียงเขาอ่อนลง เหมือนอ่อนใจกับอารมณ์หึงหวงของผมที่มากเกินไป

ผมรู้ตัวว่าขี้หึง พอหึงก็จะควบคุมอารมณ์น้อยอกน้อยใจของตัวเองไม่ได้ แถมยังพาลไปเรื่อย ลืมแม้กระทั่งความจริงที่ว่า... เขารักผม

“คุยตามมารยาทแต่ก็ยิ้มตลอดเลยนะครับ น่าจะลดมารยาทลงบ้าง” อดที่จะประชดกลับไปไม่ได้ ได้ยินเสียงหมอภามหลุดขำออกมาทันที 

“เด็กขี้หึง” แล้วเขาก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด โยกตัวผมเบาๆ มือก็ลูบหัวผมไปด้วย “ฉันรักเธอแล้วนะ จะโกรธจะหึงก็ให้นึกถึงคำนี้ไว้บ้าง... ฉันรักเธอ” เขาก็เป็นผู้ชายที่ทำให้ผมโมโหหึงเขาได้ตลอดเวลา แต่ก็มีคำพูดที่ใช้ดับไฟร้อนในหัวใจผมลงได้ทุกครั้ง

“คุณยะก็นึกถึงคำพูดของน้องพีบ้างสิ...น้องพีขี้หึง” ผมพูดเลียนแบบประโยคของเขา “น้องพีหึงคุณยะกับทุกคน ไม่ว่าคุณยะอยู่กับใคร น้องพีก็หึงหมดแหละ เพราะน้องพีเป็นคนขี้หึง”

“เอาเป็นว่าต่อไปคุณยะจะพยายามลดมารยาทลง” เขาพูดขำๆ ตอนที่ดึงตัวผมออกมาจากอกเขา “พอใจแล้วนะ เลิกหึงได้หรือยัง”

“อย่ามาขำนะคุณยะ” ชอบทำเหมือนกับว่าความหึงหวงของผมเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นแหละ ตอนผมหึงเขาเนี่ย ผมโคตรจะไม่มีความสุขเลยนะ ใจเหมือนโดนค้อนทุบร้อยครั้ง ก่อนลากไปเผาในกองไฟอย่างไรอย่างนั้นเลย

“ครับ คุณยะไม่ขำแล้วครับ” เขาลากเสียงยาวจนน่าหมั่นไส้ แล้วหันไปบอกลาเพื่อนของตัวเอง “ฉันกลับละ”

“แม่ฉันรู้หรือยังว่านายจะกลับ” หมอภามถาม

“ฉันบอกท่านแล้ว ก็เลยโดนงอนมาแล้วเนี่ย” เขามาช้าเพราะต้องไปลาเจ้าของงานนี่เอง

...งั้นผมเลิกโกรธเขาก็ได้

“แล้วพีต้องไปลาคุณทิพย์ไหมครับ” พออารมณ์หึงหวงจากตัวเท่าจักรวาลก็ลดลงเหลือตัวเท่าบ้าน ผมก็เริ่มรู้ตัวว่าทำผิด หึงหวงจนลืมเรื่องมารยาทที่ดีที่ควรทำ แต่ยังไม่ทันที่คุณยะจะได้ตอบคำถามผม แสงไฟจากรถคันหนึ่งก็สาดมาโดนพวกเราเสียก่อน

ทันทีที่รถแท็กซี่คันสีฟ้าจอดสนิท ประตูรถตอนหลังก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยร่างสูงโปร่งของผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งก้าวลงมาด้วยใบหน้าแดงก่ำฟ้องว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์เช่นไร ดวงตาเรียวยาวและสวยหวานนั้นซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีดำ ทำให้ผมมองไม่เห็นว่าดวงตาใต้แว่นอันนั้นกำลังลุกเป็นไฟมากขนาดไหน

แต่พอคนร่างบางถอดแว่นออก ก็เผยให้เห็นดวงตาบวมช้ำและแดงก่ำอย่างคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เต็มไปด้วยความปวดร้าวจากความรู้สึกที่ถูกทรยศหักหลัง ผมไม่เคยเห็นสภาพแบบนี้ของพี่เลม่อนมาก่อน

ขณะที่ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนผมทำอะไรไม่ถูกไปชั่ว เพราะผมมีส่วนทำให้หัวใจของพี่เลม่อนเจ็บปวด คนตัวสูงใหญ่ก็ดึงเอาตัวผมไปไว้ข้างหลังเขา ซ่อนผมจากการมุ่งร้ายของฝ่ายที่ถูกทรยศหักหลัง

“ไม่ต้องกลัวว่าผมจะทำอะไรคนตอแหลอย่างมัน” พูดจบฝ่ามือของเจ้าของดวงตาแดงก่ำก็ฟาดลงบนเสี้ยวหน้าของคนตรงหน้าอย่างแรง

เพียะ!

“ตบมันไปก็เสียมือเปล่า เพราะคนอย่างมันตบให้ตายก็ไม่สำนึกหรอกว่ากำลังแย่งผัวของผมไปอย่างหน้าด้านๆ”

ผมก็ได้แต่สะอึกกับความจริงที่ทำเป็นไม่ใส่ใจ แกล้งลืมว่าสิ่งที่ผมทำไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เอาแต่มองว่าผมกับคุณยะรักกัน ส่วนพี่เลม่อนก็แค่คนที่รอเวลาถูกทิ้ง ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณยะจะทิ้งพี่เลม่อนได้จริงหรือเปล่า

ตอนโดนพี่เลม่อนด่าผ่านข้อความ ผมไม่ได้รู้สึกผิดเท่ากับตอนที่เขามายืนด่าผมต่อหน้า คงเป็นเพราะว่าตัวหนังสือที่เรียงเป็นข้อความ ถ่ายทอดความรู้สึกของคนพิมพ์ออกมาได้เพียงน้อยนิด ไม่เหมือนถ้อยคำที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยสุ้มเสียงสั่นสะท้านอย่างเจ็บปวด และมันทำให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าทุกครั้ง

“คุณยะ” ผมเรียกชื่อเขาเบาๆ อยากถามว่าเขาเจ็บไหม แต่ก็พูดออกมาไม่ได้เพราะคุณยะไม่เปิดโอกาสให้ผมเอ่ยความห่วงใยนั้นออกมา เขาบอกให้ผมกลับเข้าไปในบ้านหมอภามก่อน

“เข้าไปข้างในก่อนพี”

“พีไม่...” ผมกำเสื้อด้านหลังเขาไว้แน่นเลย แต่เขาก็ดึงมือผมออกไป

“เชื่อฉัน”

“จะไล่มันไปทำไมล่ะครับพี่ยะ มันจะได้อยู่ฟังไงว่าวันนี้เมื่อหกปีก่อนเกิดอะไรขึ้น!”

“เลม่อน!”

“ถ้าพี่ลืมว่าเคยทำอะไรไว้กับผม ผมจะช่วยเตือนความจำของพี่ให้เอาไหม!”

“อย่ามาขู่ฉัน”

คนทั้งสองต่างขึ้นเสียงใส่กัน คนหนึ่งอยากซุกปัญหาไว้ใต้พรมตามเดิม แต่อีกต้องการที่จะเอาปัญหานั้นมาประจานต่อหน้าผม

“ผมไม่ได้ขู่ แต่ผมจะพูดให้หมด สิ่งที่พี่ทำกับผม ทำลายผม...ฮึก...ทำให้ผมเป็น...แบบนี้...”

“พอได้แล้วเลม่อน” เสียงเข้มของคุณยะอ่อนลง เมื่อเห็นน้ำตาของพี่เลม่อนร่วงหล่นจากหน่วยตาแดงก่ำ

ดวงตาสวยงามที่เต็มไปด้วยเม็ดน้ำตากับใบหน้าที่เปรอะชุ่มจากสายน้ำของความปวดร้าว ต่อให้ใจแข็งหรือเกลียดอีฝ่ายมากแค่ไหน ผมก็อดที่จะสงสารหัวใจที่บอบช้ำของเขาไม่ได้

“พี่จะให้ผมพออะไร...ฮึก...ในเมื่อพี่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ...พี่สัญญาอะไรไว้จำได้ไหม วันนั้นพี่พูดอะไรกับผม รับปากอะไรไว้กับพี่เรน”

“พี่ไม่มีวันทิ้งเธอ” ร่างสูงใหญ่ของคุณยะกำลังทิ้งผมไว้ด้านหลัง เพื่อเดินเข้าไปหาเจ้าของใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาที่ร้าวราน เขาดึงร่างบอบบางที่สั่นสะท้านราวกับลูกนกปีกหักเข้ามาในอ้อมแขน ให้ซุกใบหน้าชุ่มน้ำตานั้นกับอกที่แสนอบอุ่นของตัวเอง ใช้มันรองรับความเจ็บปวดของอีกฝ่ายเอาไว้ทั้งหมด

เมื่อกี้คุณยะบอก เขาจะไม่มีวันทิ้งพี่เลม่อน

แล้วผมล่ะ ?

ถึงเวลาต้องไปอย่างนั้นเหรอ

หมดเวลาของผมแล้วใช่ไหม

ต่อให้ผมมีคำถาม ต้องการคำตอบมากขนาดไหนก็ตาม เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ไกลออกไปจากผมเรื่อยๆ ก็ยังคงโอบกอดร่างบอบบางที่ใกล้แตกสลายของพี่เลม่อนไว้อย่างนั้น

“ผมไม่เหลือใครแล้ว...ฮึก...พี่ก็รู้...แล้วพี่ยังจะทิ้งผมอีกเหรอ...ฮึก...ทำไมพี่ใจร้ายกับคนที่พี่บอกว่าจะไม่ทิ้งไป จะดูแลไปตลอดชีวิตไง...ถ้า...ฮึก...ถ้าพี่เรน...”

“พี่ไม่ทิ้ง...จะทิ้งได้ยังไง” คำปลอบโยนแผ่วเบานั้นทำให้คนในอ้อมกอดของคนร่างสูงสงบขึ้น เสียงร้องไห้จางไปแล้วเหลือเพียงรอยสะอื้นเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ใช่คำพูดที่ดีต่อหัวใจของผมเท่าไร

...ไม่เลยต่างหาก ไม่ดีต่อหัวใจผมเลยสักนิด

“อย่าทิ้งผม”

“ไม่ทิ้ง”

“จริงๆ นะ...พี่จะเลิกกับมันใช่ไหม”

‘มัน’ ที่พี่เลม่อนพูดถึงก็คือ...ผม

พี่เลม่อนกำลังบอกให้เขาเลือก

“.....” ผมไม่รู้ว่าคุณยะกระซิบบอกคำไหนกับคนในอ้อมกอดของเขา แต่ผมเห็นมือของพี่เลม่อนที่โอบกอดแผ่นหลังกว้างอยู่นั้นรัดแน่นขึ้นอีก ราวกับว่าเจ้าตัวพอใจกับคำตอบที่ได้

“พี่ยะ...กลับบ้านกันนะ”

ผมก็อยากพูดแบบพี่เลม่อน

‘...กลับบ้านกันนะคุณยะ กลับกับผม อย่าไปกับพี่เลม่อน’

แต่ผมก็คงทำได้แค่คิด เพราะคำตอบที่คุณยะให้กับพี่เลม่อนไป คำตอบที่ผมไม่มีวันได้ยินนั้น มันห้ามผมเอาไว้ เตือนผมว่าอย่าเอ่ยออกมาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเป็นผมเองที่แตกสลายแทนพี่เลม่อน

“ภาม...” เขาหันกลับมาพูดกับหมอภามที่ยืนอยู่ข้างผม ทว่าดวงตาสีราตรีกลับจ้องมาที่ผม ในดวงตาของเขาเหมือนมีคำพูดมากมายบรรจุอยู่ในนั้น เพียงแต่มันไม่สามารถผ่านออกมาจากริมฝีปากของเขาได้


“...พาพีกลับบ้านแทนฉันด้วย”

เขาเลือกแล้ว

และคนที่เขาเลือก ไม่ใช่ผม ...เมื่อไรก็ไม่ใช่ผม

เขาคงลืมไปแล้วว่าไม่กี่วันก่อน เคยพูดกับผมว่าอย่างไร

‘...ถ้าเธอเป็นอะไรไป ฉันจะอยู่ยังไง คุณยะจะอยู่ยังไงโดยไม่มีน้องพี’

สุดท้ายมันก็แค่คำพูด ลมที่ออกจากปาก ความจริงคือเขาอยู่ได้โดยที่ไม่มีผม ส่วนคนที่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขาก็คงเป็นผมและพี่เลม่อน แต่คนที่ได้เขาไป... ไม่ใช่ผม

จบตอนที่ 25

 :hao5:

เม้าท์ๆ ทุกคนทายถูก ปรบมือแปะๆๆๆ
เขานั่นแหละคือ...
แต่เขาออกมาไม่เยอะ ออกมาเป็นช่วงๆ
และก็...ไม่มีอะไรซับซ้อนขนาดนั้น 55+
ไม่มีรักหลายเศร้าอย่างแน่นอน
เอ๊ะ!! หรือมี ?
อยากสปอย คันมือยิบๆ แต่เดี๋ยวเรื่องจบเลยนะ
สุดท้าย
อย่าทิ้งกันน้า อ่านกันก๊อนนนนนน

 :mew6:

สีเหลืองอ่อน




หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-12-2018 09:22:01
ทำอะไรที่ต้องรับผิดชอบขนาดนั้น ข่มขืนเหรอ
แต่ถ้าเพราะเหตุนี้จริง แล้วที่เลม่อนวางแผนรุมโทรมพีล่ะ
แล้วกับน้องพีล่ะ ออ น้องพีสมยอมเองซินะ
การเลือกเลม่อนของคุณยะในครั้งนี้
จะใช่ที่ทำให้อานุและคนที่บ้านรู้เรื่องเปล่านะ

ร้องไห้สงสารน้องพี อายุก็เท่านั้นเอง
ทำไมคุณยะต้องปล่อยให้เลม่อนหยาบคายใส่น้องด้วยหว่า
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 25-12-2018 09:43:12
อ่านแล้งอึดอัด เปลี่ยนพระเอกเถอะ 55555 พีเจย์ก็ได้
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-12-2018 16:24:42
สงสารน้องทุกตอนที่อ่านแต่ก็สงสารได้ไม่สุด เพราะน้องก็ทำตัวเองด้วยเหมือนกัน
ที่ว่าทิ้งเลม่อนไม่ได้คงไม่ใช่แค่ว่าเผลอข่มขืนอย่างเดียวแต่มีเหตุที่ทำให้พี่เรนพี่ของเลม่อนต้องตายด้วยหรือเปล่า
เราเดาเอานะ เพราะไม่งั้นคนอย่างคุณยะจะแคร์เลม่อนมากขนาดนี้หรือ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-12-2018 17:05:44
เมื่อไหร่เรื่องพี่เลม่อนจะกระจ่างงงงง
สงสารทุกคน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 25-12-2018 17:42:00
อ่านแล้วบั่นทอนหัวใจมาก มันจะจบแฮปปี้ใช่ไหมคะ กลัวใจคนเขียนจัง  :katai1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 25-12-2018 18:46:46
ยิ่งอ่านยิ่งเครียด ปวดหัวตุบๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 25 (25-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 25-12-2018 20:11:51
อยากสคิปไปตอนจบ ="=
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 26-27 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 20:35:54
ตอนที่ 26

สุดท้าย... ครบรอบวันเกิดของผมปีนี้ก็ไร้เงาของเขา ไม่ต่างจากทุกปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยรักษาคำพูดกับผมได้ แต่ดีแล้วที่เขาไม่มา เพราะถ้าเขามา พี่เลม่อนก็คงมีคำด่าทอส่งมาให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดอีกแน่

พี่เลม่อนเลิกส่งข้อความมาด่าผม แต่ก็ใช่ว่าจะหายไปจากชีวิตผมนะครับ เจ้าตัวยังส่งข้อความไลน์มาหาผมอยู่ ไม่ใช่คำด่าแต่เป็นคำโอ้อวดความสัมพันธ์ที่กลับไปเหมือนเดิมของเขากับอีกคนหนึ่ง ข้อความพิมพ์มาไม่เยอะเท่ากับรูปถ่ายคู่ของพวกเขาสองคน โดยเฉพาะวันเกิดผมที่เจ้าตัวส่งรูปคู่ซึ่งถ่ายที่ต่างประเทศมาให้ผมทุกชั่วโมง

ผมเจ็บปวดนะแต่จะให้ร้องไห้ฟูมฟายก็ไม่อยากทำอีกแล้ว เพราะคืนนั้นผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลแล้วมั้ง นั่งร้องไห้ตั้งแต่อยู่ในรถของหมอภามที่ขับมาส่ง มานอนร้องไห้ต่อในห้องนอนของตัวเอง แต่น้ำตาก็ไม่ได้ทำให้ความจริงมันเปลี่ยนไป คืนนั้นผมก็ยังต้องนอนคนเดียว ไม่มีข้อความจากเขา ไม่มีความห่วงหาที่ส่งมาถึง ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ จากคืนนั้นจนถึงคืนนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าผ่านมานานกี่ค่ำคืนแล้วที่ต้องนอนคนเดียว แม้แต่การเจอหน้าเขาในบางวันที่คุณย่าตามตัวให้กลับมาร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้าครอบครัวตรัยธาดา ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ราวกับว่าช่วงเวลาเจ็ดเดือนที่ผ่านมานั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ต่างคนต่างไร้คำพูด ไร้ความทรงจำที่เคยมีร่วมกัน สิ่งที่ผมสัมผัสได้มีเพียงความห่างไกลและคำเลิกราแบบที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูดออกมา

เรื่องระหว่างผมกับเขา เริ่มต้นขึ้นง่ายๆ และจบง่ายยิ่งกว่าซะอีก ไม่มีคำบอกเลิก มีแค่สายตาที่ไม่หลงเหลือความรู้สึกที่ผมเคยเห็นในดวงตาคู่นั้นของเขา สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงความมืดมิดไม่ต่างจากท้องฟ้ายามนี้ที่ผมกำลังลอยตัวบนผิวน้ำมองมันอยู่

...มืดมิดเสียจนอ้างว้าง

ผมกลับมาแหวกว่ายกลางสายน้ำเย็นชืดในเวลาค่ำคืนเหมือนเดิม ราวกับจะประชดความห่วงใยที่เคยได้รับจากเขาเมื่อครั้งก่อน ผมอยู่ในสระน้ำทุกคืน แช่อยู่ในน้ำครั้งละไม่ต่ำกว่าชั่วโมง นานสุดก็ประมาณสี่ชั่วโมงมั้ง เช้ามาป่วยเลย โดนคุณย่าดุจนหูชาเลยวันนั้น

แต่ผมก็ไม่เข็ดหรอก

ตริ๊ง...

ขณะที่ผมพลิกตัวตั้งใจจะดำลงไปก้นสระ เสียงจากโทรศัพท์ที่ผมวางไว้ข้างสระก็ดังแทรกความเงียบที่มีเพียงเสียงลมกลางคืนพัดผ่านขึ้นมา ผมเลยต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากก้นสระมาเป็นข้างสระแทน ผมยกตัวขึ้นจากน้ำมานั่งข้างขอบสระ เช็ดมือกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่วางอยู่ใกล้ๆ ให้แห้งก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายคนที่วิดีโอคอลมาหา

“เซ็กซี่นะ” พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละ ฝ่ายนั้นก็ทักมาเลย ทำหน้าตากรุ้มกริ่มตามประสาคนเจ้าชู้

“เซ็กซี่ตรงไหน” เห็นแค่ช่วงอกนิดเดียวนี่นะ แต่ผมก็หันไปคว้าเสื้อคลุมมาห่มตัวไว้

“ตรงที่เป็นคนที่ดีนกำลังจีบอยู่ไง” เจ้าตัวพูดพร้อมกับปล่อยสายสีขาวขุ่นลอยฟุ้ง ดีนก็นั่งอยู่ข้างสระว่ายน้ำเหมือนผมเลย “ปิดทำไม ขอดูหน่อยไม่ได้หรือไง หวงเหรอ”

“มันหนาว” ขึ้นจากน้ำพอโดนลมก็ต้องหนาวเป็นธรรมดาแหละ “แต่นี่จีบหรือหน้าหม้อกันแน่” เรื่องของผมกับดีนเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว

ดีนขอจีบผมอย่างจริงจัง (เจ้าตัวว่าอย่างนั้นนะ) เมื่อเย็นนี้เอง

ครับ... ผมแอบไปสูบบุหรี่กับดีน

น้ำตาผมหยุดไหลแต่ความเจ็บปวดไม่ได้จางไปไหน ผมยังคงรู้สึกเจ็บกับความสัมพันธ์ที่พลิกกลับไปมา วนเวียนซ้ำซากจนไม่เข้าใจว่าทำไมผมยังรักเขาอยู่ได้ ทำไมต้องยึดติดกับผู้ชายคนนี้คนเดียว ต่อให้เจ็บปวดมากมายแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม มันยากที่จะห้ามไม่ให้ผมรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม และยากยิ่งกว่าเมื่อต้องบังคับให้เลิกรักเขา เพราะอย่างนี้ผมถึงต้องกลับไปหาสิ่งไม่ดีเพื่อเยียวยาบางช่วงเวลาที่ผมดึงความรู้สึกกลับมาให้เข้มแข็งไม่ได้

“ตรงไหนที่เรียกว่าหน้าหม้อ” เจ้าตัวว่า พ่นควันสีขาวออกมาอีกตามเคย เห็นแล้วอยากสูบตามเลย “นี่ดีนจีบพีจริงๆ นะ พีเป็นคนแรกเลยที่ดีนอยากจีบ ไม่ใช่จีบเพราะเพื่อนยุ” ดีนเล่าว่า แฟนแต่ละคนมาจากโดนเพื่อนยุให้จีบทั้งนั้น แถมจีบกี่รายก็สำเร็จ ไม่เคยกินแห้วเลย

“รู้แล้วน่า” เพราะเจ้าตัวบอกผมไปเมื่อตอนเย็น “ดีนรอแป๊บนะ ขอวิ่งเข้าไปเอาบุหรี่ในห้องก่อน” บอกเสร็จ ผมก็วางโทรศัพท์ลงบนเก้าอี้ ให้คนในจองดูความมืดของท้องฟ้าตอนกลางคืนที่ไร้ดวงดาวไปก่อน

ผมวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาล้วงเอาบุหรี่ที่พันไว้ด้วยกระดาษสีขาวในซอกเล็กๆ ของกระเป๋าออกมา พร้อมกับไฟแช็กด้วย

ไฟแช็กอันนี้ผมซื้อเอง ส่วนบุหรี่นั้นดีนเป็นคนแบ่งให้ เขาให้ผมทุกเย็น ครั้งละมวน (ไม่นับเวลาที่แอบไปสูบกับดีนที่ห้องน้ำหรือหลังโรงเรียนนะครับ) ดีนบอกว่าไม่อยากให้ผมสูบมาก อันที่จริงผมก็ไม่ถึงกับติด (มั้ง) จะสูบแค่ตอนเหงาๆ

“มาแล้ว” ผมบอกเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับอีกฝ่าย พร้อมกับปล่อยควันสีขาวออกจากริมฝีปาก รสชาติบุหรี่กลายเป็นสิ่งคุ้นชินสำหรับผมไปเสียแล้ว โดยเฉพาะมวนนี้ที่มีกลิ่นองุ่นอ่อนๆ เวลาสูบให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด

“หูยย เด็กไม่ดีแอบสูบบุหรี่ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็จับได้หรอก” ดีนไม่รู้หรอกว่าผมอยู่บ้านเรือนไทยหลังนี้คนเดียวมานานมากแล้ว

“คนให้มากกว่าที่ไม่ดี” ผมต่อว่าอย่างอารมณ์ดี “รู้ว่าไม่ดีแล้วให้มาทำไม”

“ความรักคือการแบ่งปัน”

“ตรรกะอะนะ”

“พี”

“ว่า”

“ขอดูแบบเต็มตัวหน่อยสิ”

“ทะลึ่งละ” ผมส่ายหน้าให้กับคำขอที่เหมือนล้อเล่น

“อ้าว ไม่ได้เหรอ ?” ทำหน้าทะเล้น

“อยากคุยต่อไหมหรือว่าจะให้ปิดเครื่องเลย” ผมถามกลับเสียงเข้ม

“ไม่ก็ไม่ ว่าแต่ดึกแล้วยังจะเล่นน้ำอีกนะ ไม่หนาวหรือไง” ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้ว

“ดีนก็เหมือนกัน ดึกแล้วยังจะเล่นน้ำอีก” เพราะเจ้าตัวก็นั่งข้างสระเหมือนผมนั่นแหละ ต่างกันแค่ตรงที่ดีนใส่เสื้อกล้าม ส่วนผมตอนแรกเปลือยท่อนบน หลังจากถูกล้อว่าเซ็กซี่ก็เลยเอาเสื้อคลุมมาห่มตัวเอาไว้

“แต่สระของดีนอยู่ในบ้านนะ ของพีอยู่กลางแจ้ง ระวังพรุ่งนี้จะไม่สบายเอา มาเรียนไม่ได้ ดีนก็อดเจอหน้าแฟนน่ะสิ”

“ใครแฟน ?”

“ดีนคุยกับใคร คนนั้นแหละแฟนดีน”

“งั้นไม่คุยละ ไม่อยากเป็นแฟนกับคนมโนเก่ง” ผมแกล้งทำท่าจะวางโทรศัพท์ลง ดีนร้องเสียงหลงออกมาเลย เพราะคิดว่าผมจะทำจริง

“เฮ้ย! อย่าดิ ใจร้ายว่ะ” เจ้าตัวทำหน้ายุ่ง ผมสังเกตมานานแล้วว่าดีนเป็นคนเอาแต่ใจพอสมควร แต่น้อยกว่าผมนะ พอใครขัดใจนี่คิ้วกับปากนี่มาก่อนเลย

“ใจร้ายแล้วรักปะล่ะ” บางทีการเปิดใจให้ใครสักคนก็น่าจะดีกับหัวใจที่อ่อนแอของผมได้ สำหรับผม ดีนเป็นคนดี ถึงจะเกเรไปบ้างแต่ก็ดูจริงใจกับผมมาก ยอมรับว่าอยู่กับดีนแล้วผมมีความสุขได้อย่างเด็กผู้ชายทั่วไป บางครั้งก็สนุกจนลืมใครบางคนออกไปจากความคิดได้เลยด้วยซ้ำ

“รักดิ ไม่รักจะจีบหรือไง แต่จีบยากชะมัด”

“จีบยังไม่ถึงวันเลย ท้อแล้ว ?” ผมแกล้งแหย่

“ใครว่าจีบไม่ถึงวัน ดีนจีบพีตั้งแต่วันที่เจอกันในห้องน้ำแล้วเถอะ ว่าแต่...เป็นแฟนกันได้ยังเนี่ย ดีนจีบพีมาตั้งนานแล้วนะ”

“...”

ครั้งนี้เสียงของดีน คำพูดของดีนแทบจะไม่เข้าหัวผมเลยด้วยซ้ำ เมื่อเสียงเปิดประตูบานใหญ่ของเรือนไทยดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของคนที่หายไปจากเรือนหลังนี้นานจนผมไม่อยากนับว่ากี่วันแล้ว หรือาจจะเป็นเดือนแล้วก็ได้

“พี... มีอะไรหรือเปล่า”

“...” ผมได้ยินที่ดีนถาม แต่สายตาผมไม่ได้อยู่ที่เจ้าตัว วูบหนึ่งของความคิด ผมอยากเอาบุหรี่ที่ใกล้หมดมวนไปซ่อน แต่คงซ่อนไม่ทันแล้ว เลยคีบมันขึ้นมาสูบ อัดควันเข้าไปในลำคอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนกดปลายสีแดงลงบนกระป๋องน้ำอัดลมเปล่า (ผมใช้มันแทนที่เขี่ยบุหรี่ ตอนเช้าก็จะเอาไปทิ้งนอกบ้าน ทิ้งที่นี่ไม่ได้หรอก กลัวโดนพี่วิภาที่ขึ้นมาทำความสะอาดเรือนเจอเศษซากพวกนี้)

“พี่ชายมาเหรอ” ดีนถามยังกับตาเห็น

“อืม” ผมพยักหน้าให้เจ้าของคำถาม ก่อนปล่อยควันสีขาวสุดท้ายออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

“เขาเห็นไหมว่าพีสูบบุหรี่” ดีนเบาเสียงลง

“จะเหลือเหรอ” ผมตอบยิ้มๆ

“ยังจะยิ้มอยู่ได้ ไม่กลัวโดนดุหรือไง” สีหน้าเป็นห่วงผมมาก

“ไม่อะ” เรื่องอะไรจะต้องกลัว “เขารู้เรื่องที่เราสูบบุหรี่นานแล้ว ก็ไม่เห็นจะว่าอะไร” ถึงดีนจะลดเสียงลงเพราะกลัวคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นพี่ชายของผมได้ยิน แต่ผมก็ยังพูดกับดีนด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้เบาลงแม้แต่น้อย

เมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ ผมยิ่งได้กลิ่นเหล้าโชยมาจากร่างกายนั้น ช่วงที่เขากับผมรักกันหวานอยู่ เขากลับมานอนบ้านทุกคืน... และนอนกอดผมจนถึงเช้า ร่างกายนี้ไม่เคยจะพกกลิ่นเหล้าติดตัวกลับมาด้วยเลย

และเขาก็เดินผ่านผมไป ไม่มีคำทักทาย ไม่มีแม้แต่คำดุด่าเรื่องที่ผมกลับมาสูบบุหรี่อีก ช่วงเจ็ดเดือนที่ผมคบกับเขา เขาเคยบอกให้ผมเลิกสูบบุหรี่ ผมก็รับปากเพราะมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ ก็ผมไม่ได้สูบบุหรี่จนติดเหมือนดีน ตอนอยู่กับเขา ผมไม่เคยคิดถึงบุหรี่หรือนึกถึงอะไรเลย นอกจากเขาและความรักของเขา

...เขาที่เป็นทุกความรู้สึกในหัวใจผม

“ทะเลาะกันเหรอ ?”

เสียงของดีนที่ผ่านลำโพงโทรศัพท์ออกมาเรียกผมให้กลับไปหาเขา เพราะว่าผมเผลอมองตามแผ่นหลังกว้างที่หายเข้าไปในห้องนอนของเขา ความรู้สึกน้อยใจตีตื้นขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว

“อืม คงงั้นแหละ...” ครั้งนี้เสียงผมเบาลง

“พี...” ใบหน้าของดีนเต็มไปด้วยความสงสัย เหมือนอยากพูดหรือถามบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าถาม

“อยากรู้อะไรก็ถามมาสิ” ผมก็อยากเล่า อยากระบายให้ใครสักคนที่ไม่ใช่ปาลินฟัง ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้ความสำคัญกับปาลินนะ เพียงแต่ไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจของผมไปเพิ่มความไม่สบายใจให้กับอีกฝ่าย ตอนนี้ปาลินก็เจอปัญหาหนักพอตัว

“อยากถามว่ะ แต่กลัวพีโกรธ” 

“ถามมาก่อนสิ” ผมเปิดโอกาสให้ดีนได้ถาม เพื่อที่ผมจะได้มีข้ออ้างระบายความจริงที่มันอัดแน่นอยู่ในอกบอกใครไม่ได้ออกมา

“สัญญาได้ปะว่าจะไม่โกรธถ้าดีนถาม”

“อืม...”

“คือเขากับพีไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ใช่ปะ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“แสดงว่าใช่”

“อืม...เราไม่ใช่ลูกชายของบ้านนี้ เราแค่เด็กที่ถูกขอมาเลี้ยง” ...หรือจะพูดให้ถูกคือได้รับความปรานีให้เกิดมา

“ว่าแล้วเชียว!” ดีนทำเสียงเหมือนสะใจที่ตัวเองคิดถูก “หน้าตาก็ไม่เหมือนกัน พี่ชาย...เอ่อ...พี่ชายปลอมๆ ของพีก็ทำตัวไม่เหมือนพี่ชาย ส่วนพีก็...” ดีนไม่ได้พูดต่อ เจ้าตัวหันไปดึงบุหรี่ออกจากซองมาคาบไว้ที่ปาก ก่อนจุดไฟสีแดงตรงปลายมวน

ผมก็ได้แต่มองดีนที่พ่นควันสีขาวขึ้นไปในอากาศ ช่วงที่ผมคบกับคุณยะ มีหลายครั้งที่พี่ชายปลอมๆ (ตามที่ดีนนิยามให้) ไปรับไปส่งผมที่โรงเรียน เลยทำให้ดีนเจอผมกับคุณยะอยู่หลายครั้ง และนั่นคงทำให้ดีนเห็นความไม่ปกติในความสัมพันธ์หรือเปล่า

พ่นควันสีขาวอยู่หลายอึดใจนั่นแหละ ดีนถึงเอาบุหรี่ออกห่างจากปากได้

“ถามจริงเลยนะพี” หน้าตาคนพูดจริงจังขึ้น “คนที่หักอกพีคือ...เขา...ใช่ปะ ?” ดีนไม่ใช่เด็กเรียนเก่งมาก แต่เรื่องมองอะไรได้ทะลุแล้วก็คงเก่งมากเลยทีเดียว

“อืม...” ผมก็ได้แค่ตอบรับไปเบาๆ

“ยังรักอยู่เหรอ ?”

“...” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ขอบตาร้อนผ่าวกับความจริงที่ว่า... พอรักไปแล้ว ทำยังไงก็เลิกรักไม่ได้

“แบบนี้เราก็หมดหวังสินะ”

“มั้ง...”

“ถ้า ‘มั้ง’ แปลว่าดีนยังมีหวังใช่ปะ”

“...” ผมไม่ทันจะตอบดีนเลยว่า... ต่อให้มีหวังก็ไม่เห็นทางสมหวัง ทว่ากลิ่นแอลกอฮอล์กับเสียงเข้มจัดก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

“เลิกคุยแล้วก็เข้าไปนอนซะทีพี” เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังผม กลิ่นเหล้านี่หึ่งเลย เพิ่งรู้สึกก็ตอนนี้แหละว่ากลิ่นของมึนเมานี่มันเหม็นจริงๆ ตอนดื่มเองไม่รู้เลยว่ากลิ่นจะแรงได้ขนาดนี้ แต่จะว่าไปผมก็เคยเจอคุณยะตอนเมาครั้งหนึ่งนี่นา

...คืนนั้นที่สระว่ายน้ำนี่แหละที่เขากลับมาพร้อมกลิ่นเหล้า ผมที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ ถูกเขาฉุดขึ้นมา พร้อมกับยัดเยียดจูบแรกที่จดจำมาจนถึงวันนี้

“อย่ามายุ่งกับชีวิตผม” ผมไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองหน้าเขาที่ยืนกดดันอยู่ด้านหลัง

“ฉันก็ไม่อยากยุ่งนักหรอกพี แต่นี่มันดึกแล้ว เธอจะคุยอะไรกันนักหนา” เสียงเขาไม่พอใจ ก็ไม่ต่างจากผมนักหรอก ยิ่งเขาห้าม ผมก็ยิ่งจะทำ ทำทุกอย่างที่ขัดกับสิ่งที่เขาอยากให้ผมทำ

“เรื่องของผม” นานแล้วที่ผมไม่ได้พูดประโยคนี้ใส่เขา

“อย่าดื้อพี” เสียงเขาอ่อนลง เพียงแต่อารมณ์ของผมไม่ได้อ่อนตามไปกับน้ำเสียงของเขา ความเจ็บปวดที่สะสมมาตั้งแต่ที่เขาทิ้งผมไว้ข้างหลัง มันทำให้ผมอยากต่อต้านเขาทุกอย่าง กลับไปเป็นเด็กดื้อที่เอาแต่ใจตัวเองและเห็นเขาเป็นศัตรู

“บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับชีวิตผม ผมจะนั่งคุยจนถึงเช้าก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ” ...ไม่มีวันที่เขากับผมจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว...ใช่ไหม

...ไม่ใช่เพราะผมไม่รักเขา

...เป็นเขาต่างหากที่ไม่รักผม

“แต่ที่เธอทำอยู่คือการประชดฉัน” เขาพูดถูก ผมกำลังประชดเขา

“มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องประชดคุณ” แต่ผมไม่ยอมรับหรอกว่ากำลังประชดเขา

“ถามตัวเองดูสิพี คนที่รู้คำตอบดีที่สุดคือเธอ ไม่ใช่ฉัน!” เขาคงใกล้ความอดทนกับผมเต็มที เพราะเขาเมาด้วยแหละผมว่า ความอดทนของเขาถึงต่ำกว่าที่เคยเป็น

“คุณนั่นแหละที่รู้คำตอบดีกว่าผม!” อารมณ์ของผมก็ไม่ต่างจากเขา “เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้!!”

เขาทำอะไรพี่เลม่อนไว้ ผมไม่รู้หรอก แต่สิ่งที่เขาทำไว้กับผม ความเจ็บปวดก็คงไม่น้อยไปกว่าที่ฝ่ายนั้นรู้สึก หรือเป็นผมเองด้วยซ้ำที่เจ็บปวดยาวนานกว่าพี่เลม่อนไม่รู้กี่เท่า เพราะผมคือคนที่ ‘เขาไม่เลือก’ ขณะที่กี่ครั้งเขาก็เลือกแต่พี่เลม่อน

“...” เขาไม่เถียง

“...” ส่วนผมก็หลับตา ข่มความร้อนผ่าวที่ขอบตาให้จางลง มันไม่ได้ผลหรอกแต่ผมก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้ว

ในความเงียบที่ผ่านไปไม่กี่วินาที แต่ก็นานราวกับทั้งชีวิตของผมกับเขารวมกัน เสียงของบุคคลที่สามก็ดังออกมาจากลำโพง

“พี...” ตัวของดีนอยู่ไกล แต่เจ้าตัวก็รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง “...คบกันไหม”

ถ้าเขาไม่อยู่ตรงนี้ คำตอบนี้คงไม่ออกจากปากของผมง่ายๆ

“เอาสิ คบก็คบ” ...เขาจะได้รู้จักรสชาติความสูญเสียบ้าง

“คบกันแล้วก็ต้องเชื่อฟังดีนนะ”

“ดีนก็ต้องเชื่อฟังเราด้วย... อย่าทำให้เราเจ็บ” ...เหมือนที่คนบางคนทำ

“ดีนไม่ทำให้พีเจ็บหรอกน่า ว่าแต่เข้าไปนอนเถอะนะ มันดึกแล้ว” คำพูดที่ไม่ต่างจากคำสั่งของคนที่ยังยืนอยู่ด้านหลังผม แต่ผมก็เชื่อฟัง พร้อมทำตามอย่างว่าง่าย

“ดีนก็นอนด้วยนะ” 

“รู้แล้ว” ดีนยิ้ม ทำมือเป็นรูปมินิฮาร์ตส่งมาให้ผมด้วย ผมอยากจะขำกับท่าทางกรุ้มกริ่มของอีกฝ่ายที่ทำเหมือนผมเป็นสาวน้อยอยากได้มินิฮาร์ตอย่างนั้นแหละ แต่ก็ขำไม่ออกหรอกเพราะคนที่ยังยืนกดดันผมอยู่ข้างหลัง

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากริมฝีปากหนา ทว่าความรู้สึกมันบอกผมว่า เขาไม่พอใจกับบทสนทนาระหว่างผมกับดีนเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องที่ผมตกลงคบกับดีน

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 26-27 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 20:37:02
ผมปิดหน้าจอโทรศัพท์ ลุกขึ้นยื่นเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์กลับก้าวขึ้นมาขวางทางผมไว้

“หลีก!” ผมขยับไปทางซ้าย เขาก็ขยับตามมาขวาง

“ประชดฉันแล้วได้อะไรพี”

“ได้ความสะใจไง!” ผมตะคอกใส่หน้าเขาทันทีอย่างหมดความอดทน

บางทีผมอาจจะรอเวลานี้มานานแล้วก็ได้

“หลีก!! ผมจะไปนอน” แต่เขาก็ยังไม่หลีก ผมจะเดินไปทางขวา เขาก็ขยับมาขวางไว้อีกตามเคย

“ฉันไม่อยากให้เธอเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้เธอเจ็บปวด” เขาก็พูดคำเดิมๆ ที่เหมือนห่วงใยผม แต่สิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาเลือกล้วนแต่ทำให้ผมเจ็บปวดทั้งนั้น “อย่าทำร้ายตัวเองเพราะฉันได้ไหมพี เลิกประชดประชัน แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุข... โดยที่ไม่ต้องมีฉัน”

หึ! ...ใช้ชีวิตให้มีความสุข โดยที่ไม่ต้องมีเขาอย่างนั้นเหรอ ?

“คุณก็พูดง่ายสิ...” ผมจ้องหน้าเขาเขม็ง เข้าในผมเจ็บปวดไปหมด “...เพราะคุณไม่ใช่ผม” เขาคิดว่าผมทำอย่างที่เขาบอกได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ ไม่คิดหรือไงว่า ถ้ามันทำได้ง่ายแบบที่เขาต้องการ ผมคงทำได้ไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องวนเวียนอยู่กับความเจ็บซ้ำซากนี้หรอก

...เดี๋ยวถูกรัก เดี๋ยวถูกทิ้ง แต่ก็ยังรักเขาแค่คนเดียวเหมือนคนโง่ๆ

“การเลิกรักฉัน มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ” คำถามของเขาเหมือนปลายมีดแหลมที่กดลึกลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพูดเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยรักใครมาก่อน ไม่รู้ว่าพอได้รักใครหมดหัวใจ ตกลงไปในหลุมรักที่ลึกนั้นแล้ว มันยากที่จะปีนพ้นขึ้นมา ยากที่จะเลิกรัก

“แล้วคุณ...คิดว่ามันง่ายหรือไง” เสียงของผมสั่น ขอบตาหนักด้วยน้ำตา ก่อนที่มันจะทะลักออกมาเต็มสองแก้ม

“...” เขาหันหนี ไม่มีคำตอบที่ผมต้องการ

“สำหรับคุณ...ฮึก...มันคงง่ายมากสินะ...ก็แค่หลอกเด็กคนหนึ่งด้วยคำรักซ้ำๆ บอกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผม...ฮึก...แต่...ทุกวันนี้คุณก็ยังอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องมีผม...แล้ว...ยังจะมีหน้ามาบอก...ฮึก...ให้ผมมีความสุข...โดยที่ไม่ต้องมี...ฮึก...คุณ...นี่นะ...” ยิ่งพูดน้ำตาผมยิ่งไหล มองเขาผ่านม่านน้ำตา ขณะที่เขาก็ยังไม่กล้าหันมามองสภาพน้ำตาอาบหน้าของผม “คุณเคยเจ็บปวดบ้างไหม...ฮึก...ที่เห็นผมเป็นแบบนี้เพราะคุณ...คงไม่เคยเลยสินะ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เอาแต่ทิ้งผม”

“...” ใบหน้าคมเข้มค่อยๆ หันกลับมามองสายน้ำตาของผม ดวงตาของเขาเรียบเฉย ไร้ความรู้สึกผิด เขาไม่สงสารน้ำตาของผมเลยหรือไงนะ

“ผมถามคุณบ้าง...แค่เลือกผม...มันยากหรือไง ทำไมคุณทำไม่ได้...ฮึก...ทำไมคุณไม่ทำ” เป็นคำถามที่ผมอยากถามเขามากที่สุด แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่เคยมีคำตอบอะไรให้ผม นอกจากคำพูดที่ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดนั้นจบสิ้นลง กลับยิ่งทำให้เขาไกลออกไปจากผมมากขึ้น

“ฉันขอโทษ” เขาไม่มีคำแก้ตัว มีเพียงคำพูดที่ไม่ต่างจากคำตัดขาดความสัมพันธ์ “ลืมมันได้ไหม เพื่อตัวเธอเอง”

“เพื่อตัวคุณมากกว่า! อยากให้ผมลืม เพราะคุณจะได้ไม่รู้สึกผิดสินะ แต่ขอโทษ ผมจะไม่ลืมสิ่งที่คุณทำกับผม ผมจะจำมันไปจนวันตาย คุณก็จำไว้เหมือนกันว่าที่ผมเป็นแบบนี้เพราะคุณ คุณจะได้รู้สึกผิดไปตลอดชีวิต!”

“เท่านี้ฉันก็รู้สึกผิดมากพอแล้วพี” แววตาเขาสั่นไหว ก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาปวดร้าวของผม เอ่ยถ้อยคำที่โหดร้ายไม่เปลี่ยน “...ให้มันจบได้ไหมพี เลิกยึดติดกับฉัน เลิกรักฉัน เลิกทำร้ายตัวเองเพื่อประชดฉัน มันไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่เธอจะแย่งลง”

...เขาบอกผมแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว เขาเคยเห็นสักครั้งไหมว่าผมทำได้

“พยายามได้ไหมพี เลิกรักฉันซะที” เขาคิดว่ามันง่ายไม่ต่างจากพลิกฝ่ามือหรือไง

“...ผมพยายามแล้ว” ผมเหนื่อยล้าเต็มทน “มันไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง พยายามให้ตาย ผมก็ทำไม่ได้” หัวใจของผมสลายไปแล้วกี่ครั้งนะ ผมไม่เคยนับ

“พี” เขาถอนหายใจ ทอดสายตามาที่ผมอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับความเจ็บปวดที่สลายกลายเป็นสายน้ำตา “ฉันขอโทษ”

คำพูดของเขาเยียวยาหัวใจผมไม่ได้ ไม่เคยได้ มีแต่จะทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่า เจ็บลึกลงไปอีก

“ขอโทษ”

“...” ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดี น้ำตาผมยังไหล

“ฉันขอโทษ” ร่างสูงใหญ่ที่คลุ้งกลิ่นเหล้าขยับเข้ามาใกล้ ก่อนท่อนแขนแข็งแรงจะโอบกอดผมเอาไว้ “ขอโทษที่ฉันปกป้องหัวใจเธอไม่ได้” ไม่ว่าเขาจะเอาคำไหนมาปลอบโยนผม มันก็ไม่ทำให้ผมเจ็บปวดน้อยลงได้

“ผมไม่มีวันยกโทษให้คุณ!” สองมือผมผลักตัวเขาออกไปเต็มแรง แต่ก็เอาร่างหนาออกไปไม่ได้ เพราะท่อนแขนนั้นรัดผมแน่นมาก แล้วผมก็พยายามลงอีกที ใช้แรงที่มากขึ้น หวังจะผลักเขาให้กระเด็นไปไกลๆ เลย แต่ทุกอย่างผิดคาด กลับเป็นผมเสียเองที่กระเด็นไปข้างหลัง เพราะจังหวะนั้นคนตัวหนาดันถอนอ้อมกอดออกพอดีนี่สิ

“ปล่อยผม...!!”

“พี!!” เขาพยายามจะคว้าตัวผมไว้ มันก็ไม่ทัน กลายเป็นว่านอกจากผมจะหงายหลังลงสระว่ายน้ำ เขาเองก็ถลาตามผมมาติดๆ

ตูม!

ตูม!!

เสียงน้ำในสระแตกกระจายสองครั้งติด

“แค่กๆๆ”

“พีเป็นไงบ้าง” เสียงเขาตื่นตกใจ ใบหน้าคมเข้มที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาแสดงอาการเป็นห่วงผมอย่างมาก แถมยังว่ายมากอดตัวผมไว้อีก เหมือนกลัวผมจะจมน้ำอย่างนั้นแหละ

“ผมไม่เป็นไร” เขาลืมหรือไงว่าผมแค่ตกน้ำ ไม่ได้จมน้ำซะหน่อย “ปล่อยผมได้แล้ว ผมจะขึ้น” ผมบอกเพราะเขายังไม่ยอมปล่อยมือจากตัวผม หลังจากที่เขาลากพาผมมาเกาะที่ขอบสระ

“ไม่อยากปล่อยเลย” มือก็เช็ดน้ำออกจากหน้าผมไปด้วย สายตายามนี้ของเขาก็แทบไม่ต้องพูดถึง หวานไม่ต่างจากน้ำเสียง

“อย่ามาพูดแบบนี้ ทั้งที่คุณสั่งให้ผมเลิกรักคุณ” ผมพูดอย่างไม่พอใจ พร้อมกับแกะมือเขาออกไปจากตัวผมด้วยแต่ก็ไม่สำเร็จ

“นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้กอดกัน” เขาถามแบบไม่สนใจอาการต่อต้านของผมเลยสักนิด

“...”

“สามสิบเอ็ดวันแล้วสินะ” แล้วก็ตอบคำถามของตัวเอง

“...” ผมก็ได้แต่เม้มปากให้กับคำตอบนั้น... มันเท่ากับจำนวนที่ผมนั่งนับอยู่ทุกคืน

“คิดถึง”

“...” คำพูดสั้นๆ ที่ทำให้ทุกความพยายามของผมพังทลายลงมาอย่างย่อยยับ

“คิดถึงมากจริงๆ” เขาย้ำมันลงมาบนความย่อยยับของผม ราวกับจะไม่ยอมให้ผมกอบกู้เศษซากของความพยายามนั้นขึ้นมา

“...”

“คิดถึงฉันไหมคนดี”

...ยิ่งกว่าคิดถึง เพราะแม้แต่ในความฝัน ผมก็ยังวิ่งตามหาเขาไปทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่เคยเจอเขาสักครั้งเดียว

“คุณบอกให้ผมพยายาม แต่คุณเองกลับทำลายความพยายามของผม” เขาต้องใจร้ายขนาดไหนนะ ถึงทำกับผมแบบนี้ได้อย่างไม่รู้สึกผิด... เรื่องยื่นความหวัง ก่อนกระชากทิ้ง

“ฉันขอ...”

“ไม่ต้องขอโทษ เพราะผมไม่มีวันยกโทษให้...อื้ออ” เพราะผมไม่ยอมให้เขาพูดจนจบประโยค เขาก็เลยไม่ยอมให้ผมพูดจนจบไปด้วยกัน ริมฝีปากหนาถึงได้ประกบจูบลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็อ่อนโยนจนผมไม่รู้จะต่อต้านคำสั่งของหัวใจด้วยวิธีไหน

สมองผมสั่งให้ผลักตัวเขาออกไปให้ไกล แต่หัวใจผมกลับกล่อมให้ผมเบียดร่างกายที่สั่นสะท้านเข้าหาร่างกายแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ความอบอุ่นที่ผมเฝ้าฝันถึง แม้แต่ในสายน้ำเย็นจัดก็ไม่ทำให้อ้อมกอดของเขาอุ่นน้อยลง

“คิดถึง” เขากระซิบมันที่ริมฝีปากผม ข้างแก้มผม บนเนื้อตัวของผม “...เธอคิดถึงฉันไหม”

“ไม่เลยสักนิด”

...ไม่เคยไม่คิดถึงเขา

“ดีแล้ว” เขาแกล้งเชื่อคำโกหกของผม เพราะเขาอยากได้คำตอบแบบนี้จากผม เพื่อให้เขารู้สึกผิดน้อยลง

“ก็ปล่อยสิ” ผมพยายามจะผลักเขาออกไปจากตัว มันก็ไม่สำเร็จเหมือนหลายๆ ครั้งนั่นแหละ

“ไม่อยากปล่อย อยากกอดเธอไว้ทั้งคืน” เขาเอ่ยออกมาเสียงหวานนุ่ม ไม่ต่างจากหน่วยตาที่ฉ่ำหวาน พูดเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อนไม่เคยไล่ผมให้เลิกรักเขา

“ไปกอดคนของ...อือออ...”

ริมฝีปากผมถูกครอบครองอีกครั้ง และมันก็ไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านมาเลย ที่ผมเต็มใจให้เขาช่วงชิงลมหายใจของตัวเอง ปล่อยให้เรียวลิ้นของเราสัมผัสกันแบบที่แทบไม่อยากแยกจากกันไปไหน ยอมแม้กระทั่งให้เขาอุ้มขึ้นจากสายน้ำเย็นจัด โอบกอดเอาร่างสั่นสะท้านของผมและร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาไปเติมเต็มความคิดถึงและโหยหากันและกันมากกว่าสามสิบเอ็ดคืนบนเตียงกว้างในห้องนอนของเขา

“คิดถึง”

เขากระซิบคำนี้ทั้งคืน จนมันล่องลอยอยู่เต็มห้องกว้าง แม้แต่ตอนที่ผมหลับใหลหลังจากปลดปล่อยสายน้ำอุ่นร้อนออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้ คำว่าคิดถึงจากปากของเขาก็ยังเป็นคำที่ผมได้ยินเป็นคำสุดท้าย

.

.

.

Rrrrrr

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆ แต่ก็ดังมากพอที่จะปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากความเหนื่อยล้าตลอดค่ำคืนมันดังอยู่อย่างนั้นโดยที่เจ้าของโทรศัพท์ยังคงนิ่งเฉย มือของเขายังคงลูบแผ่วเบาอยู่บนหัวผม แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ผมคิดว่าเขาคงจะตัดสายทิ้ง

Rrrrrr

มันดังขึ้นอีกและครั้งนี้เขารับมัน คงเพราะคิดว่าผมยังหลับสนิท แบบที่ว่าไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเขา เขาถึงได้กดรับและพูดกับคนปลายสาย โดยที่ไม่ได้ลุกเดินไปคุยที่อื่น และมือของเขาก็ยังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

“อยู่ที่โรงแรม”

...เขาโกหก

“พี่จะโกหกเธอทำไม”

...ก็กำลังโกหกอยู่นี่ไง

“คิดมาก”

“...”

“ช่างมันเถอะ แล้วนี่ได้นอนหรือยัง ไม่ใช่เอาแต่ร้องไห้นะ”

“...”

“ไปนอนได้แล้ว”

“...”

“ไว้ตอนเย็นค่อยเจอกัน”

“...”

“อะไรก็ได้พี่กินได้หมด”

“...”

“พี่อยู่คนเดียว”

“...”

“อย่างอแงน่าเลม่อน พี่บอกว่าอยู่คนเดียวก็อยู่คนเดียวสิ”

“...”

“เฮ้อ...พี่รักเธอ พอใจหรือยัง วางสายแล้วไปนอนได้แล้ว”

“...”

“เลม่อน!”

“...”

“อย่าขู่พี่”

“...”

“โอเค พี่จะกลับ”

บทสนทนาระหว่างเขากับคนปลายสายเงียบไป สักพักเขาก็ลดตัวลงมานอนข้างตัวผม ท่อนแขนของเขาโอบตัวผมเอาไว้ ปลายจมูกโด่งแตะข้างแก้ม ไล่ลงไปที่ต้นคอ แผ่นหลัง และจบที่ข้างหูของผม พร้อมคำพูดแผ่วเบา

“ฉันต้องไปแล้วนะ”

“...”เขารู้ใช่ไหมว่าผมตื่นนานแล้ว

“โกรธไหม ?”

“...” มันทั้งโกรธ โหยหา และคิดถึง

 “ฉันขอโทษ”

“...”

“พี” ริมฝีปากร้อนจัดจูบลงมาที่ไหล่ จากนั้นก็รั้งตัวผมให้หันไปหาเขา “คุยกันหน่อย”

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณทั้งนั้น” ผมปัดมือเขาที่ลูบแผ่วเบาบนแก้ม ก่อนผลักร่างหนาออกไปแล้วค่อยๆ ลุกลงจากเตียงอย่างทุลักทุเลพอสมควรจากเรื่องอย่างว่า พอลุกขึ้นยืนความอุ่นร้อนที่คั่งค้างอยู่ในช่องทางค่อยๆ ไหลออกมา

“ต่อไปถ้าจะทำอะไรผมก็ใช้ถุงยางด้วย อย่ามามักง่ายกับผม”

เพราะผมรู้ว่าความสัมพันธ์ที่สิ้นสุดลงไป มันไม่ได้หมายความว่าผมกับเขาจะขาดจากกันได้อย่างเด็ดขาด ดูอย่างคืนนี้ แค่เขาจูบ ร่างกายของผมก็พร้อมยอมเป็นของเขาอย่างง่ายดาย และผมก็คงอยู่กับความสัมพันธ์แบบนี้ไปอีกนาน เพราะหัวใจผมไม่เคยเข้มแข็งได้เลย มันยอมเขาทุกอย่าง จนน่ารำคาญและโง่เง่าสิ้นดีที่ยังรักแค่เขาคนเดียว

ผมเคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นผมจะเข้มแข็งกว่านี้

แต่ก็ไม่เลย

ยิ่งโต... ผมก็ยิ่งอ่อนแอลงทุกวันและทุกครั้งที่เจอเขา

.

.

.

อ่านตอนที่ 27 ด้านล่าง

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 26-27 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 20:49:12
ตอนที่ 27

เครื่องดื่มรสชาติขมเข้มแต่คุ้นเคยสำหรับผมไปเสียแล้วกำลังไหลผ่านคอผมลงไปอย่างไม่ขาดระยะ เป็นแก้วที่เท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่านั่งตัวตรงไม่ได้แล้ว ต้องเอาตัวหนักๆ ที่คล้ายจะไร้กระดูกไปพิงพักไว้กับคนที่ตัวหนากว่าผมไปพอสมควร

“ไหวอยู่ไหมเนี่ย ?” เจ้าของที่พักพิงก้มใบหน้าลงมาถาม ไม่แค่ถามแต่กดริมฝีปากบนหน้าผากผมด้วย เรียกเสียงโห่แซวจากรอบโต๊ะ ที่มีกันอยู่สามคน รวมผมกับดีนก็เป็นห้าคน แล้วก็มีอีกสองคนที่ตอนนี้ไปห้องน้ำคือปาลินกับอ้าย เด็กผู้ชายที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มของดีน แต่ก็ตัวใหญ่กว่าผมไปหน่อยหนึ่ง เพื่อนในกลุ่มดีจะมี ต้น เอ้ เก่ง และอ้าย ส่วนของผมมีคนเดียวคือปาลิน

พวกเราทั้งหมดมาฉลองสอบมิดเทอมเสร็จครับ สถานที่ฉลองก็ที่เดิม ร้านของน้าชายดีน และเสียงดนตรีไม่ได้แสบแก้วหูเหมือนครั้งแรก ยิ่งน้ำเมาไหลผ่านลำคอลงไปเยอะเท่าไร เสียงดนตรีกระแทกกระทั้นก็ไม่สามารถทำอะไรผมได้อีก มิหนำซ้ำผมยังสนุกไปกับมันอีกด้วย

“ขอหน่อย” พูดจบ ของไม่ดีในมือดีนก็มาจ่อที่ปากผมทันที ผมอัดความหอมหวานด้วยกลิ่นหอมขององุ่นอ่อนๆ เข้าไปเต็มปอด ก่อนปล่อยควันสีขาวออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ควันยังไม่ทันจางหมดจากริมฝีปากเลยด้วยซ้ำ เจ้าของบุหรี่ก็ประกบจูบลงมา

ตั้งแต่ที่ตอบตกลงคบกับดีนไปคืนนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ดีนจูบผม จูบของดีนไม่ได้อ่อนด้อยแต่เทียบไม่ได้เลยกับจูบของอีกคนหนึ่ง

“เฮ้ยๆๆ พอก่อน อย่าเพิ่งกินกันตอนนี้ พวกกูอิจฉาโว้ย” แล้วก็ตามด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานที่เห็นผมจูบกับดีน

พวกเพื่อนของดีนทั้งสี่คน รับได้ครับที่ดีนคบกับผม แถมยังชอบด้วยซ้ำที่ดีนคบกับผม พวกนี้บอกว่าผมน่ารัก เคยเล็งผมอยู่เหมือนกันแต่ไม่กล้า ที่ไม่กล้าไม่ใช่เพราะกลัวผมหรอก แต่กลัวโดนหัวหน้าแก๊งถีบเอาเพราะดีนจองผมไว้ก่อนแล้ว

“อิจฉากูก็ไปหามาสักคนสิวะ...เอาอีกไหม” พูดกับเพื่อนตัวเองแล้วก็หันมายื่นบุหรี่ที่ใกล้หมดมวนให้ผมอีกครั้ง มีหรือผมจะปฏิเสธ

“คืนนี้พีระวังตัวไว้ให้ดีละ เผื่อว่าดีนมันอยากจะเปลี่ยนสถานะจากแฟนเป็น...” คำสุดท้ายไม่ได้หลุดออกมาจากปากต้น แต่ริมฝีปากนั้นก็ขยับเป็นคำที่ชัดเจน เลยโดนผมหยิบถั่วในจานที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าปาเข้าเต็มๆ แต่ต้นไม่โกรธเลย แถมหัวเราะชอบใจซะอีก 

“ข้ามศพกูไปให้ได้ก่อนละกัน” คนที่ไม่แตะเหล้าแม้แต่หยดเดียวเดินกลับเข้ามา ปาลินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัวหนึ่ง ตามด้วยร่างเล็กๆ ของอ้ายที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน

“มึงก็เหมือน คิดจะแดกเพื่อนกูฟรีๆ เตรียมแดกตีนพวกกูไว้หรือยัง” เก่งพูด

“ใครวะ ?”

เอ้กับต้นถามขึ้นพร้อมกัน ผมก็อยากรู้เหมือนกัน มองหน้าปาลิน เจ้าตัวก็หลบตา ทำไมปาลินมีความลับกับผม... หรือว่าผมมีความลับกับปาลินก่อนกันแน่

“พวกมึงมีเพื่อนสนิทกี่คนวะ” เก่งถามอย่างหงุดหงิด ถ้าเก่งถามแบบนี้ก็แสดงว่า... สายตาผมเปลี่ยนจากหน้าปาลินไปที่คนตัวเล็กทันที แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มบางๆ ให้ผม

“สี่” เอ้ตอบ สีหน้ายังงงอยู่ “มึง กู ไอ้ต้น ไอ้ดีน แล้วก็...อย่าบอกนะว่า...” สงสัยจะคิดออกแล้วถึงได้อ้าปากค้างไปเลย

“อ้าย...มึง!” เป็นต้นที่เอ่ยชื่อเพื่อนคนสุดท้ายออกมา

“บ้าน่าพวกมึง กูกับปีไม่มีอะไรกันโว้ย” เจ้าของชื่อโวยวายกลบเกลื่อน ทั้งที่เมื่อกี้ยังยิ้มเหมือนจะยอมรับกับผมอยู่เลย

ส่วนปาลินนั่งเงียบกริบ ผมไม่คิดมาก่อนว่าปาลินชอบผู้ชาย แล้วผู้ชายคนนั้นก็เป็นอ้ายด้วย อ้ายนี่ถือว่าหน้าตาขัดกับเพื่อนในแก๊งมาก เจ้าตัวเป็นผู้ชายตัวขาวจั๊วะ รูปร่างบอบบาง เห็นอย่างนี้ใครจะไปเชื่อว่าส่งรุ่นพี่ต่างโรงเรียนไปนอนโรงพยาบาลมาแล้วถึงสองราย!

“ห่า มึงเห็นกูตาบอดหรือไง ปากเจ่อมาขนาดนี้” เก่งพูดมาอย่างนั้น ทั้งเอ้ ต้น ดีน และผมพากันมองที่ปากอ้ายแทบจะเป็นตาเดียวกัน ตรงที่พวกเรานั่งไม่สว่างเท่าไรหรอก แต่ก็เห็นชัดครับ อ้ายนี่รีบเอาหน้าไปซ่อนไว้หลังปาลินเลย

“ไวไฟจังวะเพื่อนกู” ดีนแซว

“ถ้าอย่างอ้ายเรียกไวไฟ มึงนี่ไม่จรวดเลยหรือวะ คุยกันวันแรกมึงก็จะล่อเขาแล้ว” เป็นรอบสองที่ถั่วในจานลอยไปกระทบหน้าต้นรัวๆ ทั้งจากมือผมและดีน และอีกตามเคยที่ต้นจะหัวเราะชอบใจที่โดนปาถั่วใส่หน้า

“พอๆ มึง กูไม่ได้กินพอดี” เอ้...ผู้ชายสายกินของกลุ่มรีบห้าม พร้อมกับยกจานถั่วหนีทันที

“กูไม่อยากจะเชื่อ เพื่อนกูโดนสอย” ต้นพึมพำเบาๆ เป็นคนเดียวมั้งที่ดูจะตกใจกว่าใครพวก

“สอยบ้านป๊ามึงดิ” อ้ายเอาใบหน้าแดงก่ำออกมาจากหลังปาลิน เจ้าตัวด่าเสียงเบาเพราะยังเขินกับความลับที่ถูกเปิดเผย

“คบกันตั้งแต่เมื่อไรปี” ผมถามด้วยความอยากรู้ พักหลังผมกับปาลินห่างกันไปพอสมควร แม้เราจะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน เป็นเพื่อนกันแค่สองคน แต่พักเที่ยงหรือหลังเลิกเรียน ตัวผมก็ติดอยู่กับดีน จนคนนอกมองว่าผมเป็นกลุ่มเดียวกับดีนไปแล้ว

บางครั้งปาลินก็เดินหน้างอตามผมไปเข้ากลุ่มกับพวกดีนด้วย หรือว่าช่วงนั้นเองที่ปาลินกับอ้ายคลิกกัน

“ไปกันใหญ่แล้วพี ไม่ได้คบ” เป็นอ้ายที่ปฏิเสธ ส่วนปาลินยังปิดปากเงียบ

“อ้าว! ดูดจนปากเพื่อนกูเจ่อขนาดนี้ มึงยังไม่ขอเพื่อนกูคบอีกเหรอวะ” เก่งพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สงสัยอยากแดกตีนพวกกูละมั้ง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำท่าจะลุกไปซัดหมัดใส่เพื่อนนอกกลุ่ม ดีที่ดีนคว้าแขนไว้ก่อน


“เพื่อนกันน่ามึง” ดีนดึงตัวเก่งให้นั่งลง แล้วก็กอดคอเอาไว้ไม่ให้เก่งลุกมาอาละวาด เก่งเองก็ซดเหล้าไปหลายแก้วแล้ว แอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้อารมณ์ร้อนกว่าปกติ

“มึงก็เวอร์ไปเก่ง กูกับปีแค่จูบกัน จูบเล่นๆ งี้ ไม่ได้จริงจังอะไรเลย” อ้ายแก้ตัวอีกครั้ง แต่ดูความแดงของใบหน้าแล้ว ผมว่าอ้ายคงชอบปาลินนั่นแหละ ไม่มีหรอกจูบเล่นๆ น่ะ

“มีจูบเล่นๆ ด้วยเพื่อนกู แรดนะมึง” เอ้พูดแซวขึ้นมาทั้งที่ถั่วยังเต็มปาก

“เจอตีนแรดหน่อยไหมมึง” อ้ายยกเท้าขึ้นมาจะถีบเพื่อน แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างปากพูดก็ถูกคนข้างตัวดึงเอาไปกอด พร้อมกับจูบที่แก้มอ้ายเบาๆ เรียกเสียงโห่ร้องจากเพื่อนของอ้ายเกือบทุกคน ยกเว้นเก่งที่ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่

“คบกันวันนี้” สุดท้ายปาลินก็ยอมรับออกมา ทำเอาแก้มอ้ายที่ว่าแดงอยู่ แดงขึ้นอีก จนผมกลัวว่าหน้าอ้ายจะแตกขึ้นมาจริงๆ เจ้าตัวรีบเอาใบหน้าที่แดงจัดยิ่งกว่าลูกมะเขือเทศสุกซุกเข้าไปในอกของปาลิน หนีเสียงโห่แซวที่ดังยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าทั้งโต๊ะมีคนนั่งสิบยี่สิบคนก็ไปม่ปาน ดังจนโต๊ะรอบๆ หรืออาจจะทั้งร้านเลยก็ได้มั้ง พากันมองมาที่โต๊ะของพวกเรา นี่ขนาดอยู่ในมุมอับและหนีสายตาของคนในร้านแล้วนะ

“หญิงอ้ายอย่าอายเยอะ กูไม่อยากมีเพื่อนเป็นแต๋ว” เอ้แซวทั้งที่ยังโห่เสียงดังออกจากปาก

“ป๊ามึงดิไอ้เอ้” คนถูกแซวด่าทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่กับอกของปาลิน

“ทำเพื่อนกูเสียใจมึงโดนแน่” เก่งคนเดียวละมั้งที่ยังคงคอนเซ็ปหวงเพื่อน เจ้าตัวจ้องหน้าปาลินด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ปาลินเองก็จ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ ผมเพิ่งเคยเห็นปาลินเป็นแบบนี้ครั้งแรก

“พี” ดีนขยับเข้ามาโอบเอวผม กระซิบเสียงเบาเพื่อดึงผมออกมาจากความร้อนระอุระหว่างเก่งกับปาลิน “ได้เวลาไปข้างบนกันแล้ว” ริมฝีปากของดีนคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม มือที่โอบตัวผมอยู่นั้นก็เริ่มลูบไปตามเนื้อตัวของผม

“...” ผมไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นอย่างไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เพราะเตรียมพร้อมสำหรับเวลานี้อยู่นานแล้ว

คิดว่าผมโง่ใช่ไหม ?

ใช่ครับ

ผมโง่... โง่มานานแล้ว

และชอบทำอะไรแบบโง่ๆ ด้วย

“เดี๋ยวมา” ดีนบอกพวกเพื่อนตัวเอง แล้วก็ตามเคยครับที่เสียงโห่แซวจะดังขึ้น เรียกสายตาจากโต๊ะรอบๆ อีกแล้ว

“เช้าเลยก็ได้ว่ะ พวกกูรอไหว” เอ้พูด

“แต่กูไม่รอโว้ย เพราะกูก็จะไปสวรรค์เหมือนกัน ไปไอ้เก่ง พี่สาวโต๊ะนั้นมองกูกับมึงนานแล้วว่ะ” ว่าแล้วต้นก็กอดคอเก่งที่หน้าไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ลุกเดินไปหาสาวโต๊ะที่ตั้งเยี่ยงไปทางซ้ายมือของโต๊ะพวกเรา

“อ้าวพวกมึง รอกูด้วยสิวะ” เอ้วางจานถั่วแทบไม่ทัน เจ้าตัวคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากระดกทีเดียวหมดเหลือไว้แต่น้ำแข็ง เดินตามต้นกับเก่งไป ผมมองตาม พี่สาวโต๊ะนั้นมีห้าคน แต่ละคนล้วนแต่ยินดีให้เด็กมัธยมหน้าตาใสกิ๊กนั่งร่วมโต๊ะ

“พี” ปาลินเรียกก่อนที่ผมจะถูกดีนโอบเอวพาออกไปจากโต๊ะ เจ้าตัวมองผมเป็นเชิงตำหนิและบอกให้ผมเลิกล้มสิ่งที่คิดจะทำ

“ไม่ต้องห่วงน่า” ไม่ได้มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละ สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ผมเดินไปกับดีนก็ไม่มากไปกว่าครั้งที่แล้วหรอก ผมก็แค่อยากยั่ว ‘ใครบางคน’ เท่านั้นเอง

“ไม่ต้องห่วงพีหรอกน่า กลับไปห่วงอ้ายมันเถอะ ไอ้นี่เมาแล้วชอบน็อกกลางอากาศ”

“ห่านี่ เผากูนะมึง” อ้ายพูดแทรกขึ้นมาเพราะตัวเองถูกเผา “คืนนี้กูไม่เมาโว้ย”

“ขอให้จริงเถอะ” ดีนว่า แล้วหันมาพูดกับผม “ไปกันเถอะที่รัก” มือดีนโอบเอวแน่นขึ้น พาผมเดินไปที่บันไดเดิมที่เคยเหยียบขึ้นไปยังชั้นสามมาแล้วครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมาถึงทางเดินที่มีแสงสว่างเพียงน้อยนิดบนชั้นสาม ผมก็ถูกผลักเบาๆ ไปติดกับผนังกำแพง เสียงดนตรีจังหวะเร้าใจจากชั้นล่างดังลอยขึ้นมาให้หัวใจได้รัวแรงกับสิ่งที่กำลังจะทำ

“เริ่มเลยนะ” ดีนกระซิบเสียงเบาข้างแก้ม หอมแก้มไปพลางด้วย

“อืม...อื้ออ...” พอผมพยักหน้า ริมฝีปากของดีนก็ประกบจูบลงมา ผมจูบตาม ทำให้ทุกอย่างมันเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติมากที่สุด อันที่จริงก็ไม่ได้แสดงอะไรมากหรอก ในเมื่อร่างกายผมเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์

“อย่าถีบดีนล่ะ” ดีนกลับมากระซิบที่ข้างหูผมอีกครั้ง ริมฝีปากนั้นก็งับใบหูของผมไปด้วย ชวนให้จั๊กจี้พอสมควร

“ไม่หรอกน่า” เพราะทุกอย่างมันต้องสมจริง ไม่อย่างนั้นคงทำให้คนที่ตามผมกับดีนมาตบะแตกไม่ได้หรอก

“คราวนี้ของจริงแล้วนะเด็กดื้อ” จบคำพูดที่เจือไปด้วยอารมณ์หยอกล้อ ทั้งปากและลิ้นของดีนก็เข้าครอบครองตั้งแต่ซอกคอ ไล่ลงไปตามหน้าอกเปลือยเปล่าเพราะชายเสื้อยืดถูกดึงขึ้นไปมากองไว้ที่เหนือราวนม ก่อนริมฝีปากของดีนจะหยอกล้อกับเม็ดเล็กๆ บนยอดอกของผม ความชื้นแฉะจากปลายลิ้นอุ้นทำให้ผมเสียวขึ้นมานิดๆ แต่ไม่ชอบเอามากๆ เกือบเผลอผลักศีรษะดีนออกไป แต่ก็ห้ามมือตัวเองด้วยการกำไหล่ของดีนไว้ได้ทัน

ผมเชิดใบหน้าขึ้นเมื่อความแฉะชื้นละจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง ขณะที่สะโพกของผมกำลังถูกบีบขย้ำอย่างแรง ดีนพูดจริงทำจริง แม้จะเป็นการแสดงแต่ก็สมจริงทุกอย่าง

“ดะ...ดีน...พอก่อน” ผมรีบดึงใบหน้าดีนขึ้นมา กระซิบแผ่วเบากับริมฝีปากร้ายกาจเกินวัย “เราจะไม่ไหว” ร่างกายผมไม่ใช่ก้อนหินนี่นา โดนปากดีนไปขนาดนั้น “พอแล้ว ไม่เอาแล้ว เข้าไปข้างในเถอะ” ผมดึงชายเสื้อยืดลงตามเดิม

“จูบอีกนิดก่อน” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เอาปากผมไปอีกครั้ง จูบจนผมคิดว่าตัวเองพลาดไปจริงๆ ที่ขอร้องให้ดีนช่วย

“อื้อ...พอแล้วดีน...พอ” ผมทุบไหล่ดีนที่เอาแต่จูบปากผมไม่ยอมปล่อย มือก็ลากเลื้อยเข้าไปใต้เสื้อยืด ลูบไล้แผ่นหลัง ลากไปจนจบที่สะโพกอีกจนได้

“ไม่อยากเข้าอะ เข้าไปก็ทำแบบนี้ไม่ได้น่ะสิ” ดวงตาของดีนฉ่ำหวานตามอารมณ์ของเด็กวัยรุ่น “อีกนิดนะ เป็นค่าจ้างของดีนไง มันจะได้คุ้มหน่อย เผื่อว่าดีนต้องเจอมือตีนของเขา”

จากนั้นริมฝีปากร้อนรุ่มก็งับเข้าที่ต้นคอผมจนเจ็บจี๊ด ก่อนที่ปลายลิ้นชื้นแฉะจะฉกลงมาบนความเจ็บนั้น

“หวานว่ะ ตัวพีหว้านหวาน คบกันจริงๆ ได้ปะ รับรองว่าดีนไม่ทำให้พีเสียใจเหมือนเขาแน่”

“มะ...อื้ออ...” คำปฏิเสธหายเข้าไปในปากดีนเสียแล้ว สุดท้ายผมก็ต้องจ่ายค่าจ้างที่มากเกินไปสำหรับแผนการแก้แค้นเอาคืนใครบางคน ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะพุ่งเข้ามาซัดหมัดใส่ดีนแม้แต่นิดเดียว

เขามัวทำอะไรอยู่นะ!!

“ดีน! พอแล้ว” ผมเผลอตวาดใส่ดีนที่ปล่อยกลีบปากผมเป็นอิสระแล้วกำลังจะลงไปเล่นกับอกผมต่ออีก

“ดุว่ะ” ว่าหน้ามุ่ย

“ก็บอกแล้วว่าให้พอแต่ไม่พอเองนี่นา” ผมเริ่มโกรธดีนแล้วที่ทำมากเกินไป

“สงสัยจะไม่ได้ผล” คำพูดของดีนทำให้ผมยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ แล้วเจ้าตัวก็ช่วยผมคิดหาทางออกให้กับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผนแบบเด็กๆ ของผม “เอาไงต่อ จะกลับลงไปหรือว่าเข้าไปในห้อง อยู่ในนั้นสักชั่วโมงสองชั่วโมงค่อยลงไป”

“เข้าไปข้างในละกัน” ผมยังไม่อยากกลับไปข้างล่างด้วยใบหน้าหงิกงอที่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ผมคิด

“โอเค” ดีนว่า โอบเอวพาผมเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ภายในห้องที่แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนกลางห้องกำลังทำงานอยู่นั้น มีแค่เตียง โต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุด และตู้เสื้อผ้าขนาดเล็ก เลยตู้เสื้อผ้าไปนิดน่าจะเป็นประตูห้องน้ำ

เข้ามาแล้วดีนก็ปล่อยตัวผมเป็นอิสระ พอเห็นเตียงความมึนเมาจากแอลกอฮอล์ในร่างกายก็บอกให้ผมเดินตรงไปหามัน และทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าบนความหนานุ่มของที่นอน ที่ตามมาติดๆ คือร่างของหลานชายเจ้าของผับ ดีนทิ้งตัวลงนอนหงาย ก่อนตะแคงตัวหันหน้าเข้าหาผม

“น่าสงสาร เขาไม่รัก เขาไม่สนใจ” ดีนล้อผม เรื่องที่แผนล่มไม่เป็นท่า

“อยากให้โกรธใช่ไหม ?” ถามกลับเสียงขุ่น หงุดหงิดที่ดีนล้อเล่นแบบไม่ดูหน้าผมเลย

“อยากให้รักมากกว่า” เจ้าตัวว่า พลางดึงแก้มผมเบาๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลูบ “อยากเป็นแฟนจริงๆ ว่ะพี ไม่เอาแฟนหลอกๆ แบบนี้ได้ปะ”

“อย่าเลย” ผมยังไม่อยากรักใคร นอกจากเขาคนเดียว

“ใจแข็งชะมัด ว่าแต่จูบอีกทีได้ไหมเนี่ย”

“พอแล้ว จูบไปเยอะแล้วนะ” 

“ครั้งสุดท้ายไง”

“ไม่” ผมตอบเสียงแข็ง แต่จะสู้คนดื้อแบบดีนได้อย่างไร

ดีนไม่สนคำพูดผมเลย จู่โจมทันทีแบบไม่ให้ผมตั้งตัว จับตัวผมพลิกกลับไปนอนหงาย แล้วก็ลุกขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ รวบมือทั้งสองข้างของผมกดไว้กับที่นอน


เจ้าตัวไม่ได้ใช้กำลังกับผม เพราะผมไม่ได้ต่อต้าน ขึ้นมาคร่อมบนตัวผมแบบนี้แล้ว ผมก็คงต้องยอมแหละ อย่างน้อยดีนก็ดีกับผมนะ เข้าใจผมทุกอย่าง ไม่มีถามเซ้าซี้ แม้แต่ที่ขอผมคบในคืนนั้นก็เพราะรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร แถมยังรู้ว่าผมต้องการอะไรในตอนนั้นด้วย

...ดีนรู้ว่าผมอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อประชดคนที่หักอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ไม่ดิ้นหน่อยเหรอ”

“แล้วจะยอมปล่อยหรือไง”

“ก็นะ อาจจะปล่อยก็ได้ หรือไม่ปล่อยก็ได้” เจ้าตัวว่า ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “แต่ตอนนี้อยากจูบว่ะ ปากพีน่าจูบ”

แต่ไม่ทันที่ดีนจะได้ทำอย่างที่ปากพูดออกมา เพียงแค่โน้มใบหน้าลงมาใกล้ ริมฝีปากดีนห่างจากริมฝีปากผมไปไม่ถึงนิ้วด้วยมั้ง ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา เสียงที่ผมไม่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับร่างของดีนที่ถูกดึงออกจากตัวผม และลากลงไปจากเตียง

“หยุดเลยไอ้หลานตัวแสบ!” เป็นน้าชายของดีนนี่เอง

“เบาๆ หน่อยน้าภีม ผมเจ็บนะเนี่ย” คนเป็นหลานโวยวายเสียงไม่ดังมากหรอก เพราะยังให้ความเคารพคนเป็นน้ามากพอสมควร “แล้วนี่ผู้ใหญ่มายุ่งอะไรกับเรื่องของเด็กล่ะครับ”

“เหอะ! คิดว่าฉันอยากยุ่งหรือไงไอ้หลานเวร ทำอะไรแต่ละอย่างเนี่ย คงกลัวฉันไม่เอาไปฟ้องแม่แกใช่ไหม ทั้งพี่ทั้งน้อง เอาแต่เรื่องปวดหัวมาให้ฉัน” น้าภีมของดีนบ่นหลานตัวเองเสร็จ ก็หันมาจัดการผมต่อ “เราก็อีกคน ประชดอะไรก็ให้เอาแค่พอดี อย่าทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหา หลานฉันจะซวยไปด้วย”

ผมที่กำลังหย่อนขาลงเตียงถึงกับชะงักไปเลยกับคำพูดของน้าชายดีน และสายตาผมก็มองเลยไปที่ประตูห้องที่ยังคงเปิดกว้างค้างอยู่อย่างนั้น ตรงนั้นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยยืนกอดอกมองมาที่ผมก่อนแล้ว

"เคลียร์กันได้ตามสบายนะครับ ผมขอตัวเอาไอ้หลานเวรนี้ไปเก็บก่อน” ว่าแล้วน้าภีมของดีนก็ลากตัวดีนออกไปทันที ดีนโวยวายหลายอย่าง ไม่รู้อะไรบ้างเพราะหูผมไม่ทำงานเสียแล้ว ที่กำลังทำงานหนักคือหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัว ก็สิ่งที่ผมทำไม่ใช่เรื่องดีเลย ถึงจะทำไปเพราะจะประชดเขาก็เถอะ

ตอนคิดทำไม่ได้กลัวหรอก แต่พอมาเจอสายตาดุดันกึ่งเกรี้ยวกราดของคุณยะ ผมก็พ่ายแพ้ให้กับความกลัวที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 26-27 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 20:49:53

เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ที่ดีนเดินกลับเข้ามานั่งข้างผมอีกครั้ง หลังจากเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่หน้าร้าน เจ้าตัวบอกว่าเห็นคุณยะมาที่นี่กับหมอภาม จำเหตุการณ์คืนนั้นได้ไหมที่ดีนพาผมมาที่ชั้นสามเป็นครั้งแรก ที่คุณยะมาเจอผมนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะคืนนั้นหมอภามมาหาเพื่อน ซึ่งก็คือเจ้าของผับหรือก็คือน้าชายของดีน (เรื่องนี้ดีนก็เพิ่งเล่าให้ผมฟังวันนี้เอง) หมอภามเห็นผม เลยโทรไปบอกคุณยะ

พอดีนบอกว่าเห็นคุณยะ ผมก็เลยเดาว่าคุณยะคงจะตามมาดูผมแน่ๆ เลยคิดแผนประชดเขา ทำให้เขาเห็นเหตุการณ์วันนั้นซ้ำอีกครั้ง อยากให้เขารู้สึกว่ากำลังจะเสียผมไปบ้าง

“บอกพ่อแม่ฉันหรือยังว่ามาที่นี่” ช่วงขายาวก้าวมาหยุดตรงหน้าผม เขาเริ่มต้นบทลงโทษด้วยการทำให้ผมรู้สึกผิด

“...” ผมไม่รู้จะหาคำพูดไหนไปตอบโต้เขา หรือแก้ต่างให้กับคำโกหกของตัวเอง ผมบอกคุณปู่คุณย่าว่าจะไปกินหมูกระทะกับเพื่อนๆ ฉลองสอบเสร็จ แล้วจะนอนค้างที่บ้านของปาลิน... ผมโกหกพวกท่านอีกแล้ว หลายครั้งแล้วที่ผมพูดโกหก จนเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติของผมไปเสียแล้ว

ผมรู้สึกผิด ยิ่งถูกเขามองหน้าด้วยสายตาผิดหวังแต่ร้อนแรงก็ยิ่งรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น 

“คราวนี้โกหกว่าอะไรอีกล่ะ” เขาก็ยังคงถามจี้ให้ผมรู้สึกผิด

“...”

“ประชดฉันแล้วได้อะไร” เสียงเขาอ่อนลง ขณะที่ผมกลับรู้สึกว่าทั้งคำถามและน้ำเสียงของเขาแสดงถึงความเบื่อหน่ายสิ่งที่ผมทำ

“...” ไม่เคยได้อะไรกลับมาเลย นอกจากความเจ็บช้ำของตัวเอง

“กินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นยา มันดีแล้วหรือไง” เขาก็ยังถาม กดดันให้ผมรู้สึกผิดไปเรื่อยๆ “ถ้าจะทำเพราะประชดฉัน ก็เลิกซะ เพราะคนที่เจ็บปวดคือเธอไม่ใช่ฉัน”

“...” นั่นสินะ ผมน่าจะฉลาดได้แล้ว สิ่งที่ผมทำเพื่อประชดเขา สุดท้ายก็มีแค่ผมนี่แหละที่เจ็บปวดไปกับมัน

“พี” ดวงตาสีดำที่เหมือนมีกองไฟย่อมๆ อยู่ในนั้นทอดมองผมเหมือนอยากจะจับผมเขย่าให้สาสมกับความเป็นเด็กไม่ดีขึ้นทุกวันของผม

“...” ผมยังเงียบเหมือนเดิม พลางเอาตัวเองออกมาจากมุมอับที่ถูกร่างสูงใหญ่บดบังไว้ ไม่มีอะไรต้องพูดกับเขา เพราะผมก็อยากให้เขาเห็นแค่นี้แหละ ว่าเขาทำให้เด็กคนหนึ่งใช้ชีวิตเหลวแหลกมากแค่ไหน

“พี...” เขาเรียกผม ตอนที่มือผมจับลูกบิดเปิดประตูและกำลังจะก้าวออกไป “ถ้าเธอยังไม่สำนึก ฉันก็คงต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ฉัน”

“ห้ามบอก!” ผมหันกลับไปมองหน้าเขาทันที ท่ามกลางเสียงดนตรีจังหวะกระแทกกระทั้นจากด้านล่าง ดังเบาๆ แทรกเข้ามา “อย่ามายุ่งเรื่องของผม”

กี่ครั้งที่ผมพูดประโยคนี้ออกมา ความจริงกลับไม่เคยอยากให้เป็นอย่างที่ปากพูดเลย เพราะผมยังต้องการเขา อยากให้เขากลับเข้ามาอยู่ในชีวิตผม ในสายตาผม... ไม่อยากให้เขาทอดทิ้งผมไปไหน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรที่เป็นดังใจผมสักอย่าง

“หึ...” เขาทำเสียงเยาะเย้ยในลำคอเบาๆ “พูดได้แล้วสินะ เมื่อกี้ยังเป็นใบ้อยู่เลย”

“เพราะผมไม่อยากพูดกับคุณไง”

“แน่ใจนะว่าไม่อยากคุยกับฉัน” เขาเดินมาใกล้ มือของเขาเอื้อมผ่านตัวผมไปด้านหลัง จากนั้นก็...

ปัง!

เขาดึงประตูปิดเสียงดังจนผมสะดุ้ง เผลอก้าวถอยหลังไปชนกับประตูห้อง โดยมีร่างสูงใหญ่ก้าวตามติดมา ก่อนที่มือข้างหนึ่งของเขาจะวางลงบนประตูเหนือศีรษะของผม

“ออกไปไกลๆ” ยกมือขึ้นผลักอกเขา แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่ทำอะไรกำแพงหนาแบบเขาไม่ได้ มิหนำซ้ำร่างกายผมก็เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ ที่เห็นว่าผมยืนประชดประชันอยู่เนี่ย ใช่ว่าผมจะปกตินะ ความแข็งแรงของร่างกายลดลงไปเกินครึ่งตั้งนานแล้ว

“รังเกียจฉัน ?”

“ใช่!” ...เกลียดที่เขาไม่เลือกผม

“แน่ใจ ?” ยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ผมยังไม่ทันขยับปากโต้กลับรอยยิ้มของเขา ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบจูบลงมาแบบไม่ให้ผมได้ตั้งตัวเลย

...ความอ่อนโยนที่คุ้นเคยทำผมสะท้าน

...รสชาติที่คุ้นเคยทำให้ผมลืมทุกอย่าง

ผมจูบกลับไปอย่างที่ใจโหยหา นานกี่วันหรือกี่เดือนแล้วนะที่ผมไม่ได้จูบกับเขา ไม่ถูกอุ้งมือร้อนผ่าวนี้ลูบไล้ไปทั่วร่างกาย

ผมอยากเข้าข้างตัวเองว่าเขาก็โหยหาผมเหมือนกัน เพราะเขาเอาแต่จูบผม จูบแบบไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากผมเป็นอิสระเลย แม้แต่เสียงโทรศัพท์ของเขาที่ดังขึ้นก็ไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกโหยหาของผมกับเขาได้

Rrrrrr...

มันดังแล้วก็ดับไป ไม่เหมือนเสียงจูบที่ดังก้องในความเงียบที่ความวุ่นวายภายนอกไม่สามารถย่างกายเข้ามาได้ มันดังยาวนานและไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดง่ายๆ เขาจูบผมเหมือนอยากให้ผมตายไปกับความหอมหวานที่หัวใจเรียกร้อง

Rrrrrr...

อีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ของเขากรีดร้องขึ้นมา ราวกับว่าผมได้ยินเสียงกรีดร้องของเจ้าของสายเรียกเข้าแทรกตามออกมาด้วย แต่เขาก็ยังจูบผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมก็ตอบกลับเขาไปอย่างสุดความสามารถ

Rrrrrr...

มันดังขึ้นอีกแล้ว ครั้งนี้ความพยายามนั้นกำลังประสบความสำเร็จ เพียงแต่ผมจะไม่ยื่นมือไปขัดขวาง

“ห้ามรับ” ผมพูดเอาแต่ใจ ดึงโทรศัพท์ที่เจ้าของมันเพิ่งล้วงออกมาจากกระเป๋ามาไว้ในมือตัวเองอย่างถือวิสาสะ “ตอนนี้มันเป็นเวลาของผม”

“ไม่ใช่เวลาของเธอ” คำพูดของเขาไม่ต่างจากมือที่ผลักผมตกหน้าผา แล้วเขาก็ดึงเอาโทรศัพท์ออกจากมือผม ยกมันขึ้นแนบหู

“เมื่อกี้พี่เข้าห้องน้ำ” เขาแก้ตัวกับคนปลายสาย

“...”

“อย่าจับผิดพี่ให้มากได้ไหมเลม่อน พี่บอกว่าเลิกแล้วก็คือเลิก”

ใช่แล้ว... เขาเลิกกับผมแล้ว แต่เขาก็ยังจูบผม จูบที่ทำให้ผมมีความหวังขนาดมหึมา ก่อนจะแตกสลายเหลือเพียงฝุ่นพิษ

“พี่เคลียร์งานเสร็จก็จะกลับแล้วน่า”

“...”

“ไม่ต้องรอ”

“...”

“พี่ห่วงเธอนะ”

...อิจฉาที่สุด

ต้องตายแล้วเกิดใหม่ไหมกว่าผมจะได้รับในสิ่งที่พี่เลม่อนได้จากเขา

“รักตัวเองบ้าง”

...นั่นสินะ

ทำไมผมไม่รักตัวเองบ้าง

ผมควรเริ่มรักตัวเองด้วยการออกไปจากห้องนี้ ออกไปให้ไกลจากคนคนนี้ ก่อนที่ผมจะทนกับความจริงตรงหน้าไม่ได้ เมื่อคิดได้ผมก็เปิดประตูออกมาทันที

“จะไปไหน ?”

ผมเดินเกาะผนังไปจนใกล้จะถึงบันได เสียงเข้มๆ ของเขาก็ตั้งคำถามตามหลังมา

“ไปหาเพื่อน” เสียงของผมหงุดหงิดมาก มันมาจากความอิจฉาคนที่เขากำลังจะกลับไปหา... คนที่จะได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาทั้งคืน

“เธอต้องกลับบ้าน”

“ไม่!!”

ยังไม่ทันก้าวขาลงบันไดเลยด้วยซ้ำ ตัวก็ลอยขึ้นจากพื้นทันที

“ปล่อยผมลงนะ!!” ผมดิ้นเต็มแรงคนเมาที่ยังไงก็เอาชนะคนแข็งแรงอย่างเขาไม่ได้

“อย่าดิ้น เดี๋ยวก็ตกบันไดกันทั้งคู่” เขาก้มลงมาดุเสียงเข้มจัด ผมเลยเลิกดิ้นเพราะกลัวตกบันไดอย่างที่เขาขู่ไว้ ทางเดินลงบันไดก็ไม่ได้สว่างมากด้วย พลาดตกลงไปนี่ก็ไม่อยากนึกเลยว่าต้องเย็บหัวกี่เข็ม เผลอๆ จะต้องใส่เผือกเดินไม่ได้อีกไม่รู้กี่เดือน

...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลึกๆ ผมก็ชอบให้เขาอุ้ม ชอบที่จะได้สัมผัสความอบอุ่นจากร่างกายของเขา จนเมื่อเขายัดผมเข้าไปนั่งมึนๆ ในรถของเขานั่นแหละ ความอบอุ่นที่อยากเอามาเป็นของผมคนเดียว โดยไม่ต้องแบ่งให้ใครก็จากออกไป

“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่ง” ผมห้ามเขาที่กำลังหมุนพวงมาลัยรถออกไปจากลานจอด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมปาลินไปเสียสนิท “เพื่อนผมยังอยู่ข้างใน ผมขอโทรตามเพื่อนก่อน” ผมต้องพาปาลินกลับบ้าน หรือไม่ก็ให้ปาลินเป็นฝ่ายไปนอนที่บ้านผมแทน (จากที่ตอนแรกผมจะไปนอนที่คอนโดฯ ใหม่ของปาลิน)

“ถ้าเพื่อนที่ชื่อปี” เขาหันมาพูดกับผม สายตาของเขาที่มองผม มันทำให้ผมรู้สึกผิดอีกแล้ว “ฉันให้ภามพากลับบ้านตั้งแต่ที่เธอฟัดกับเด็กนั่นแล้วล่ะ”

เขาจงใจเน้นตรงคำว่า ‘ฟัด’ เป็นพิเศษ

“ใช้คำว่า...เอา...ก็ได้นะครับ” มีหรือผมจะยอมแพ้ ปากอย่างผมก็สู้เท่าที่จะสู้ได้ แค่ได้เอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ผมก็พอใจแล้วล่ะ

“...” เขาขบกรามแน่นเลย ก่อนจะระบายความโกรธหรืออะไรก็แล้วแต่ลงบนปลายเท้าที่ทำให้ตัวรถทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วเกินปกติ

หึ... เขาแพ้ผม ผมชนะเขา

มันเป็นความรู้สึกที่โคตรจะมีความสุข หลังจากที่ผมแพ้เขาแทบจะทุกครั้งและเกือบทุกเรื่อง

“ถ้าคุณไม่เข้ามา ผมกับเขาก็คงเอากันไปหลายน้ำแล้ว” ฝีปากของผมนี่ใช่ย่อยนะครับ อารมณ์อยากประชดประชันทำให้ปากผมทำงานก่อนสมองด้วยซ้ำ

“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้ใครมายุ่งกับของของฉัน”

“แล้วไง... เกี่ยวอะไรกับผม” ผมแกล้งถาม เห็นเขาโมโห ผมก็ยิ่งสะใจ “ของของคุณก็รอคุณอยู่บนเตียงไม่ใช่หรือไง อย่ามาสับสนแถวนี้”

“อย่ายั่วให้มากพี ความอดทนฉันไม่ได้มากอย่างที่เธอคิด”

“หึ” ผมเบ้ปากใส่คำพูดพวกนั้นทันที แต่ตัวคนพูดไม่เห็นหรอกเพราะตามองแต่ทางข้างหน้า “ผมก็เหมือนกัน”

“...”

“...”

เขาไม่พูด ผมก็ไม่พูด ต่างคนก็ต่างนั่งเงียบ ถ้าหยุดหายใจกันได้คงทำไปแล้ว จนกระทั่งผมเห็นว่ารถคันนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงแรมพุฒิธาดา ไม่ใช่บ้านตรัยธาดาที่ควรต้องเป็น

“ผมจะกลับบ้าน”

“กลัวพ่อกับแม่ฉันไม่รู้หรือไงว่าไปทำตัวเหลวไหลอะไรมา” ขู่ได้ตลอด

“คุณปู่คุณย่าหลับแล้ว” นี่ก็จะห้าทุ่มแล้ว ผมว่าท่านทั้งสองเข้านอนไปแล้วมั้ง

“หลับก็ตื่นได้ ถ้าฉันปลุก”

“ต้องการอะไร!”

“...” เขาแค่หันมามองหน้าผม แล้วหันกลับไปมองทางต่อ

“ผมจะกลับบ้าน” บอกความต้องการของตัวเองอีกครั้ง แต่เขาก็ยังขับรถตรงไปข้างหน้า ไปตามทางที่มุ่งสู่พุฒิธาดาด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ

“อยากให้ฉันปลุกพ่อกับแม่มาดูหลานรักทำตัวเหลวไหลตั้งแต่อายุเท่านี้หรือไง ทั้งที่พวกเขาดูแลเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่ต่างจากหลานในไส้”

“คุณจะย้ำเพื่ออะไร!!” ย้ำอยู่นั่นแหละว่าผมไม่ได้เป็นอะไรกับครอบครัวเขา

“เธอจะได้ทำตัวให้ดีขึ้นไง ทำอะไรก็นึกถึงนามสกุลฉันบ้าง โดนตำรวจจับขึ้นมาคนที่เสียชื่อเสียงก็คือครอบครัวของฉัน”

“ผมเลวลงก็เพราะคุณนั่นแหละ!!”

“เธอทำตัวเองพี ไม่ใช่ฉัน” เขามองหน้าผมได้นานขึ้นเพราะตอนนี้รถจอดติดไฟแดง “ฉันบอกให้เธอเลิกรักฉัน แต่ไม่ได้สั่งให้เธอไปดื่มเหล้า สูบบุหรี่... มั่วผู้ชาย”

คำพูดของเขาไม่ต่างจากมือที่ตบหน้าผมจนหัน และมันก็เจ็บลึกไปถึงหัวใจอ่อนแอของผมด้วย ผมได้แต่กัดฟันทนกับความเจ็บนั้น จนกระทั่งล้อรถหมุนและกำลังเลี้ยวเข้าสู่ตัวโรงแรมพุฒิธาดา ริมฝีปากผมถึงได้ขยับเป็นคำพูดออกมาได้

“คุณก็มั่วเหมือนกัน” เสียงของผมเบามากแต่ก็ดังพอที่จะทำให้เขาได้ยิน “นอนกับคนคนเดียว มันไม่พอหรือไง ถึงต้องเอาคนนู้นคนนี้มานอนด้วย” แม้กระทั่งห้องทำงานเขาก็ไม่เว้น

ตอนนี้มีข่าวว่าเขากำลังคบหากับลูกสาวคุณก้องกับคุณนฤมล หรือก็คือน้องนุชที่แม่ของหมอภามแนะนำให้รู้จักในงานเลี้ยงวันเกิดนั่นแหละ แล้วยังแว่วมาว่าคั่วอยู่กับดาราสาวดาวรุ่งคนหนึ่งด้วย มีรูปหลุดของคนทั้งคู่ที่นั่งติดกันในผับชั้นใต้ดินของพุฒิธาดาเป็นหลักฐานยืนยัน

ถ้าผมเป็นพี่เลม่อน ผมไม่ตามหึงหวงเด็กคนหนึ่งที่ถูกเขาทิ้งไปแล้วหรอก ผมจะตามวีนพวกผู้หญิงที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขามากกว่า ผมแปลกใจจริงๆ ว่าทำไมพี่เลม่อนถึงไม่เดือดร้อนใจกับการที่เขามีผู้หญิงคนอื่นบ้างเลย

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 26-27 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 20:51:17
“ฉันเลิกแล้ว” เขาบอกตอนที่รถวิ่งมาจอดหน้าโรงแรม ก่อนเปิดประตูลงไป ผมเลยต้องตามออกมาด้วย ก่อนที่พนักงานคนหนึ่งของโรงแรมจะเข้ามารับเอารถของเขาไปเก็บ

“เหอะ...ก็ยังเห็นมีข่าวอยู่นี่” ผมทำเสียงเยาะใส่เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ผมเดินตามเข้าไปในตัวโรงแรม พนักงานหลายคนยิ้มนอบน้อมและทำความเคารพเขาตลอดทางเดินไปจนถึงหน้าประตูลิฟต์ ส่วนผมก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเดินให้ตรง ไม่เป๋ซ้ายเป๋ขวาให้อายทั้งพนักงานและแขกของโรงแรม

“เธอจะเชื่อฉันหรือเชื่อข่าว” ประตูลิฟต์เปิดออก เขาก้าวเข้าไปอยู่ในห้องโดยสารสีเงินและทองแวววาวนั้น แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม จนเขาต้องออกปากสั่งเสียงเข้มจัด “เข้ามา”

“ผมจะเปิดห้องที่โรงแรมนอน” ผมไม่อยากขึ้นไปเพ้นต์เฮ้าส์กับเขา เพราะผมกลัวตัวเองจะทนความเย้ายวนจากร่างกายของเขาไม่ไหว ผมรู้ตัวว่าหลงใหลไปกับความสัมพันธ์ทางร่างกาย ไม่ต่างจากที่หลงรักเจ้าของร่างสูงใหญ่นี้เลย

“อย่าดื้อ” ว่าแล้วเขาก็ยื่นแขนยาวๆ มาดึงตัวผมเข้าไปในนั้น ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเลื่อนปิดและเคลื่อนตัวสู่ชั้นที่เป็นจุดหมายปลายทางเดียว

“ปล่อยผมได้แล้ว” ผมบอกเขาที่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากตัวผม ตอนที่เขาดึงแขนผมเข้ามาในลิฟต์ สภาพผมที่กระดูกแขนกระดูกขาอ่อนไปหมดเพราะเหล้าที่ดื่มไปหลายแก้วทำให้เสียหลัก เซไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างง่ายดาย

เขายอมปล่อยแขนจากตัวผมแต่โดยดี แต่ก่อนปล่อยริมฝีปากของเขาก็กดลงมาเบาๆ ที่ศีรษะของผม

...การกระทำที่ทำให้ผมอ่อนแอได้เสมอ

“ผมเชื่อข่าว”

อาจจะตอบคำถามของเขาช้าไปมาก แต่ผมก็อยากตอบให้เขารู้สึกเสียบ้างว่า คำพูดของเขาไม่มีความน่าเชื่อถือเท่ากับสิ่งที่ผมเห็นจากข่าวบันเทิงตามเว็บฯ ข่าวออนไลน์ต่างๆ และจากคุณย่าที่เอ่ยถึงคุณนุชด้วยความชื่นชมบ่อยๆ ในระยะหลังนี้ เรียกว่าคุณนุชกำลังกลายเป็นว่าที่สะใภ้คนโตของบ้านตรัยธาดาไปเสียแล้ว ส่วนคนเก่าอย่างคุณแก้ว ตกกระป๋องไปนานแล้ว หลังจากที่เปลี่ยนใจขายรีสอร์ตให้กับผู้ชายคนนั้นไป... คนที่เป็นศัตรูกับคุณยะ คนที่ผมเข้าใจผิดว่าเขาใส่สูทมาเที่ยวนั่นแหละ

ผมรู้จากคุณปู่กับคุณย่า ท่านบอกว่าเขาคนนั้นเป็นลูกชายของคุณชลธี เจ้าของโรงแรมสยาม ชโยดม โรงแรมที่ก่อตั้งมาก่อนพุฒิธาดาเกือบสิบปีแน่ะ ผู้ก่อตั้งโรงแรมคือคุณชโยดม บิดาของคุณชลธีเจ้าของคนปัจจุบัน และอีกไม่นานก็คงจะวางมือและให้ลูกชายคนโตคือคุณชลัช (คนที่เป็นศัตรูกับคุณยะ) นั่งเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดแทนตัวเอง

ตริ๊ง...

เสียงเล็กๆ ดังขึ้น พร้อมกับประตูลิฟต์ที่เลื่อนออกจากกัน

“ก็แล้วแต่เธอ” เขาตอบ ก่อนจะก้าวขาออกไปจากห้องสี่เหลี่ยม แต่ก็ไม่ลืมที่จะดึงเอาตัวผมตามออกไปด้วย

นี่ถ้าเขาลืมนะ ผมก็กะว่าจะกดลิฟต์กลับลงไปข้างล่าง แล้วเปิดห้องของโรงแรมเป็นที่หลับนอนในคืนนี้แทนห้องในเพนต์เฮ้าส์ของเขา

“ปล่อยได้แล้ว ผมไม่ใช่เด็กนะถึงจะเดินเองไม่ได้” ผมดึงมือตัวเองกลับมา เขายอมปล่อยเพราะอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูห้องเพนต์เฮ้าส์แล้ว

“เธอก็แค่โตแต่ตัว” เขาว่าค่อนขอดผม ส่วนมือก็กดรหัสเปิดล็อกประตูห้องไปด้วย โดยที่ไม่ต้องใช้คีย์การ์ดเหมือนเมื่อก่อน

“ก็เรื่องของผม” ไม่จำเป็นต้องย้ำเลย ผมก็รู้หรอกว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน

...ขี้หึง ขี้หวง ใช้อารมณ์แบบเด็กๆ

“วันเกิดฉัน วันเกิดเธอ วันเกิดซันกับแซน”

“...?” ผมมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน ตอนนี้เขายืนอยู่ที่กรอบประตู เปิดประตูค้างไว้ให้ผมเดินผ่านเข้าไปข้างในห้องก่อนเขา

ผมเดินผ่านเขาเข้ามาข้างในห้องแล้ว ความสงสัยถึงได้รับคำตอบจากคนที่เดินตามเข้ามาหลังจากปิดประตูห้องเรียบร้อย ทำให้ดูเหมือนโลกทั้งใบมีแค่ผมกับเขา...แค่สองคน

มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าผมกับเขายังผูกพันกันด้วยข้อตกลงเดิม

“รหัสเปิดประตู”

“...” ผมหันกลับไปมองหน้าคนพูด มุมปากของเขาดูมีรอยยิ้มบางๆ ที่ขับให้ใบหน้าคมเข้มดูอ่อนโยนต่อจิตใจผมเหลือเกิน

“ไม่เห็นจำเป็นต้องบอก ไม่ได้อยากรู้” ผมรีบหันหน้าไปทางอื่นก่อนที่หัวจิตหัวใจจะตกลงไปในหลุมรักของเขาลึกไปกว่านี้ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็แทบไม่มีแสงจันทร์แสงตะวันส่องมาถึงแล้วนะ ขืนลึกไปกว่านี้ผมคงได้ขาดอากาศหายใจแน่ๆ

“ก็อย่าจำ” เสียงทุ้มหวานกระซิบอยู่ใกล้ผิวแก้มที่ร้อนจัด ผมเบี่ยงตัวหนีสัมผัสที่ใกล้ชิดจนเกินไปนั้น

“แล้วบอกทำไมล่ะ” บอกแบบนี้แล้วใครจะไม่จำ วิธีเดียวที่จะทำให้ผมจำไม่ได้คือเอาไม้ฟาดหัวผมให้สลบและตื่นขึ้นมาความจำเสื่อมนั่นแหละ

“แค่อยากบอก เผื่อเธออยากรู้ แต่ถึงเธอไม่อยากรู้ ฉันก็อยากจะบอก”

ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำเลย ว่าความรู้สึกของเขาที่มีให้ผมยังเหมือนเดิม เพียงแต่เขาไม่เลือกผม

“ไปบอกคนของคุณนู่น ไม่ต้องมาบอกผม” แต่ผมก็ปากหาเรื่องแบบนี้แหละ โดยเฉพาะเรื่องที่ทิ่มแทงหัวใจตัวเองตลอดเวลา

...ถ้าไม่มีพี่เลม่อน ความรักของผมคงจะสมหวังไปนานแล้ว

“บางเรื่องก็ไม่ต้องประชดหรือดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยว ห้องนี้มีแค่เธอกับฉัน ก็พูดเรื่องของเธอกับฉันก็พอ ไม่ต้องไปลากคนมาอยู่ด้วย”

“เหอะ...” คืนนี้ผมเบ้ปากใส่เขาเป็นรอบที่สามสี่ห้าแล้วมั้ง ถึงจะเป็นกิริยาที่ไม่น่ารักแต่ก็อดไม่ได้จริงๆ คำพูดของเขาแต่ละประโยคไม่เข้าท่าเลยสักอย่าง “พี่เลม่อนไม่น่าจะใช่คนอื่นสำหรับคุณนะ”

“ทุกคนเป็นคนอื่นสำหรับฉัน ยกเว้นครอบครัวฉัน...” เขามองหน้าผมตรงๆ ดวงตาที่ทอดมองผมให้ความรู้สึกว่าผมกำลังถูกโอบอุ้มเอาไว้ “...และเธอ”

...เขาเก่งเสมอเรื่องที่ทำให้ผมอ่อนแอซ้ำซาก จมลึกลงไปในหลุมรักของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ยอมให้ผมมีโอกาสได้ปีนขึ้นมาเลย มีแต่จะฝังผมลงไปให้ลึกที่สุด

ผมพยายามหักห้ามความรู้สึกมากมายที่บีบอัดอยู่ในอกและกำลังจะตีตื้นขึ้นมา ด้วยการกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่นที่สุด ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดพุ่งออกมา พลางเดินเลี่ยงไปยังทางเดินที่จะพาผมและจิตใจที่อ่อนแอของตัวเองหลบหนีไปจากสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจนี้

ไม่ไว้ใจตัวเองนี่แหละ!

กลัวตัวเองจะโผเข้าไปกอดเขา อ้อนวอนแบบเดิมๆ ที่จะทำให้ผมไปเจอจุดจบแบบเดิม แต่เขาก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมทำอย่างที่ตั้งใจได้ เพราะตอนที่ผมกำลังเอื้อมจับลูกบิดประตูห้องนอนของเด็กแฝดที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องหรอก มือของเขาก็เอื้อมไปจับมันได้ก่อนผมแค่เสี้ยววินาทีเอง

มือผมชะงักและค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนถูกมือข้างที่จับลูกบิดไว้นั่นแหละย้อนมากุมมือผมเอาไว้ พร้อมกับถูกดึงตัวเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของเขา เพียงแค่แผ่นหลังผมสัมผัสเข้ากับอกกว้างแสนอบอุ่นนั้น ความแข็งแรงที่เหลือน้อยนิดก็พังทลายลงทันที ซากของมันก็แทบแหลกละเอียด

“คิดถึง” เขาก้มลงมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู ริมฝีปากกดลงบนแก้มบอกย้ำความหมายของคำที่เอ่ยออกมา

“...ฮึก” น้ำตาผมร่วงจากตาทันที ความอ่อนแอผลักให้ผมต้องหันกลับไปโอบกอดเขาตอบ ฝากใบหน้านองน้ำตาไว้ในอกของเขา

ผมบอกแล้วว่าเขาเก่ง

...ให้ความหวังเก่ง

...ทำลายก็เก่ง

แค่คำพูดเขาไม่กี่คำ แค่เขาทำให้ผมรู้สึกพิเศษขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ผมก็พร้อมจะกลับไปเป็นเด็กดีของเขา กลับไปเป็นคนว่านอนสอนง่าย ราวกับว่าก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ชวนเขาทะเลาะแทบทุกคำ ประชดประชันเขาด้วยความงี่เง่าแบบเด็กๆ มาตลอดทั้งทาง

“คิดถึงฉันไหม” ริมฝีปากอุ่นจัดจูบซับลงมาที่กลุ่มผมของผมซ้ำๆ และผมเชื่อว่าเขาได้คำตอบก่อนที่ผมจะเอ่ยออกมาซะอีก

“ฮึก...คิดถึงมากที่สุดเลยครับ” ผมยอมรับด้วยน้ำตา ไม่เหลือกำลังจะที่ฝืนความรู้สึกของตัวเองได้อีก “น้องพีรักคุณยะ...”

เมื่อรัก... ผมก็จะบอกว่ารัก

แต่เมื่อไม่รัก... มันก็คงไม่มีวันนั้นที่ผมไม่รักเขา

ผมเชื่อว่าผมเกิดมาเพื่อรักเขา ต่อให้ผมเจอใครอีกมากมาย ผมก็ยังมั่นใจว่าคนที่ผมจะรักอย่างสุดหัวใจได้ก็มีแค่เขาคนเดียว

เขาที่กำลังบอกผมว่า...

“ฉันรักเธอไม่ได้”

“แต่คุณยะก็รักผม” ผมแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง ทั้งน้ำเสียงของเขา อ้อมกอดของเขา และความรู้สึกของผมบอกเช่นนั้น “คุณยะรักผม แต่ทำไมต้องเลือกพี่เลม่อน ทำไมต้องทำร้ายหัวใจตัวเอง ทำร้ายหัวใจผมด้วย” ผมเงยหน้าขึ้นจากอกกว้าง มองใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความอึดอัด ดวงตาสีราตรีของเขาหม่นแสงลง 

“เธอจะเกลียดฉันไหม ถ้าฉันจะบอก...”

“ผมไม่เกลียด น้องพีไม่เกลียดคุณยะ” ผมชิงพูดก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ไม่รู้ว่าคำพูดที่เหลือของเขาจะเป็นไปในแง่ไหน ดีหรือร้าย ผมก็อยากจะบอกเขาว่าผมไม่มีวันที่จะเกลียดคนที่ตัวเองรักหมดหัวใจหรอก

“ฟังฉันให้จบก่อน แล้วค่อยตอบก็ได้” เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ มืออุ่นช่วยเช็ดน้ำตาบนแก้มผมไปด้วย

“ก็ผมอยากตอบเลยไง” อยากทำให้เขาสบายใจด้วยว่า ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะไม่เกลียดเขา

“ไปนั่งก่อน” เขาพาผมกลับไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เช็ดน้ำตาให้ผมจนหมดจากใบหน้า เขาถึงเริ่มพูด “ฉันไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ดีนักหรอกนะ”

“น้องพีรู้” สิ่งที่เขาทำกับผมมาตลอด บอกความจริงข้อนี้มาแล้ว เพียงแต่ผมก็ไม่ได้ชอบเขาที่ดีพร้อม ผมรักเขาที่เป็นคุณยะคนที่ผมเฝ้ามองมาตลอด ตั้งแต่เห็นหน้าเขาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของอานุ

“เธอจะไม่แก้ต่างให้ฉันหน่อยเหรอ” เขาถามยิ้มๆ ดูผ่อนคลายขึ้น

“ไม่” ผมส่ายหน้า เขายิ้มกว้างขึ้น ก่อนยิ้มนั้นจะหุบลง เมื่อเขาเริ่มต้นพูดสิ่งที่หยุดค้างไปก่อนหน้านี้

“ฉัน...” หน้าเขาซีดลง มองหน้าผมเงียบๆ ก่อนเอ่ยความจริงที่เขาเก็บไว้เป็นความลับกับผม แม้แต่คุณปู่คุณย่าก็คงไม่รู้ “ฉันต้องรับผิดชอบเลม่อน เพราะฉันเคย...ข่มขืนเขา”

“...” ผมอึ้งไปกับสิ่งที่เขาสารภาพออกมา ได้แต่มองหน้าเขาค้างอยู่แบบนั้น มันเกินกว่าที่ผมจะคิดไปถึง หรือว่าผมไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้เลย ผมคิดแต่ว่าความสัมพันธ์ของคุณยะกับพี่เลม่อนคือความพอใจของทั้งสองฝ่าย

พี่เลม่อนเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าสวยหวาน เป็นเด็กวัยรุ่นที่มีเสน่ห์แบบที่ใครเห็นก็ต้องชอบ มีแฟนคลับตั้งแต่ยังไม่เป็นนักแสดงด้วยซ้ำ

ส่วนคุณยะ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ฐานะดี ตระกูลดี เป็นถึงเจ้าของโรงแรมกลางเมือง มีคนหน้าตาดีรายล้อมอยู่รอบตัว และถ้าพี่เลม่อนเป็นหนึ่งในคนจำนวนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด

เพียงแต่คำว่า ‘ข่มขืน’ จะไม่หมายถึง การไม่เต็มใจ ไม่สมยอม และตามมาด้วยการใช้กำลัง

“ทำไมคุณยะถึงทำแบบนั้น” ผมกลั้นใจถาม “รักพี่เลม่อนมากหรือครับ เลยต้องใช้กำลัง” ยอมรับว่าผมรับไม่ได้กับสิ่งที่เขาสารภาพ แต่จะให้ผมเกลียดเขา ผมก็เกลียดไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่เพราะไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง แต่เพราะ...ผมรักเขา

“เปล่า” เขาส่ายหน้า “ฉันบอกเธอไปแล้ว ว่าฉันรักเธอ”

“แล้วทำไม...”

“คืนนั้นฉันเมามาก ตื่นมาตอนเช้าก็เจอเลม่อนนอนตัวเปล่าอยู่ลนเตียงกับฉัน”

“คุณยะอาจจะไม่ได้ข่มขืน” ผมพยายามคิดในแง่ดี “บางทีอาจจะแค่นอนเฉยๆ”

“ถ้าแค่นั้นจริงๆ ทำไมฉันจะไม่รู้” เขายิ้มจางๆ ให้กับความคิดโลกสวยของผม “ฉันอยากสารภาพอีกเรื่อง...”

“...” เรื่องอะไรอีก มันจะเลวร้ายกว่าเรื่องแรกหรือเปล่า ผมรอคอยด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ หวาดกลัวว่าจะร้ายแรงจนทำให้ผมเกลียดเขา

“คืนนั้นฉันเมามากและคิดว่าเลม่อนคือ...” ใบหน้าของเขาหมดรอยยิ้ม “...เธอ”

“...” ทำเอาผมอึ้งอีกแล้ว ความเมาทำให้เขาคิดว่าพี่เลม่อนเป็นผมอย่างนั้นเหรอ แล้วผมควรรู้สึกอย่างไรดี เพราะผมอย่างนั้นเหรอที่ทำให้พี่เลม่อนถูกเขาข่มขืน

“เกลียดฉันไหม”

“...” ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอ ได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ฉันทำแบบนั้นกับเลม่อน” เขาพูดออกมาช้าๆ ครั้งนี้เขาไม่กล้าสบตาผม ใบหน้าของเขาซุกอยู่ในอุ้งมือ “...ทั้งที่เขาอายุยังไม่ถึงสิบห้า”

“...” นับย้อนไปก็เป็นเวลาหกปีใช่ไหม ไม่น่าล่ะคืนนั้นที่หน้าบ้านหมอภาม พี่เลม่อนถึงพูดเป็นเชิงขู่คุณยะเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหกปีก่อน

“พี่เลม่อนขู่ให้คุณยะรับผิดชอบเหรอครับ” มันก็น่าจะเป็นแบบที่ผมคิด แต่ผมก็คิดผิด เมื่อคุณยะตอบกลับมาว่า

“ฉันเต็มใจรับผิดชอบ” เขาลดมือลงจากใบหน้าลง แล้วหันมาสบตาผมเหมือนเดิม ผมเห็นดวงตาเขาแดงก่ำ เพียงแต่ไม่มีน้ำตาออกมา “ถ้าเธอเห็นสภาพเลม่อนวันนั้น เธอจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงต้องรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้”

“แต่คุณยะจะรับผิดชอบพี่เลม่อนเพราะเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้นะครับ” ผมอยากเห็นแก่ตัว อยากให้เขาเลิกรู้สึกผิดกับสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ ความสงสารไม่ใช่ความรัก และผมไม่อยากให้คุณยะอยู่กับความสงสารไปตลอดชีวิต แล้วทิ้งผมไว้กับความไม่สมหวัง

“มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้”

“แล้วมันเรื่องอะไรอีกครับ คุณยะก็บอกผมมาสิ” ผมอยากรู้ และถ้าผมเห็นช่องทางที่จะทำให้เขาเลิกรับผิดชอบชีวิตพี่เลม่อนได้ ผมก็จะทำ... เพราะผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่อยากเสียคุณยะให้ใครทั้งนั้น

“เลม่อนไม่เหลือใครแล้ว เขามีแค่ฉันคนเดียว”

“แต่เขายังมีครอบครัวของอานี่ครับ” เท่าที่ผมพอรู้เกี่ยวกับประวัติอดีตคนดังของโรงเรียน คือพ่อแม่และพี่ชายของพี่เลม่อนเสียหมดแล้ว คนที่ดูแลพี่เลม่อนคือน้องชายของพ่อ ที่เป็นถึงเจ้าของธุรกิจประกันชีวิต รวยตั้งไม่รู้เท่าไร แค่หลานคนเดียวเลี้ยงดูให้สุขสบายได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยสักนิดที่คุณยะจะต้องมาคอยดูแล

“ตอนนี้เลม่อนอยู่ในความดูแลของฉัน ครอบครัวนั้นไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวหลายปีแล้ว”

“คุณยะก็ไม่ต้องดูแลสิครับ” ความเห็นแก่ตัวทำให้ผมเริ่มหงุดหงิด “พี่เลม่อนก็โตแล้ว เขาดูแลตัวเองได้ คุณยะจะห่วงอะไรเยอะแยะ”

“ต่อให้เขาโตแค่ไหน เขาก็ต้องมีฉันคอยดูแลปกป้อง เพราะฉันรับปากพี่ชายของเลม่อนไว้แล้ว เธออาจยังไม่รู้ว่าฉันกับพี่ของเลม่อนเป็นเพื่อนรักกัน” ผมไม่เคยรู้จริงๆ นั่นแหละ “คำสัญญาที่ฉันให้ไว้กับเพื่อน ยังไงฉันก็ต้องรักษามันไว้ให้ได้”

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เลม่อนถึงบอกว่าตัวเองรู้จักคุณยะก่อนผม เพราะคุณยะเป็นพี่ชายของพี่เลม่อน อาจจะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้พี่เลม่อนรู้จักคุณยะก่อนผม

“แล้วผมล่ะ”

“เธอก็อยู่กับฉัน อยู่กับครอบครัวฉันตลอดไป” เขายิ้มจางๆ แต่ผมไม่ได้ต้องการรอยยิ้มที่บีบบังคับให้ผมต้องยอมเสียเขาไป ทั้งที่เราสองคนรักกัน

“แต่ผมไม่ต้องการแบบนี้” ผมมองตาเขาอย่างร้องขอ “คุณยะดูแลพี่เลม่อนเหมือนพี่ชายก็ได้”

“มันไม่ได้พี เขาไม่ยอม”

“ไม่ยอมก็ช่างเขาสิ ทำไมคุณยะต้องยอมเขาตลอดด้วย” เสียงผมขุ่นเพราะอารมณ์ที่กรุ่นขึ้น

“ที่ฉันยอมเพราะฉันทำผิดกับเขา” ผมรู้ว่าสิ่งที่คุณยะทำกับเด็กที่อายุไม่ถึงสิบห้า มันโหดร้าย แต่มันสมควรแล้วเหรอที่ต้องใช้ความสุขทั้งชีวิตเพื่อรับผิดชอบ

นักโทษยังได้รับการอภัยโทษเลย ทำไมคุณยะจะได้รับการให้อภัยไม่ได้

“แต่มันนานมาแล้วนะครับ แล้วคุณยะก็รับผิดชอบมาพอแล้ว” ผมชี้ให้เขาเห็น ว่าเขาควรปลดปล่อยตัวเองจากความผิดนี้เสียที ผมยอมให้เขาดูแลพี่เลม่อนเหมือนน้องชายก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบทุกวันนี้ ที่พี่เลม่อนเอาแต่ป่าวประกาศว่าคุณยะเป็นของตัวเอง ทั้งที่คุณยะไม่ใช่ของพี่เลม่อน

...คุณยะเป็นของผมต่างหาก!

“ฉันมีสัญญาที่ต้องรักษา” เสียงเขาอ่อนลง มองตาผมเหมือนอยากจะให้ผมเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เขาเลือกทำ

“ผมต้องยอมใช่ไหม” ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ไม่ว่าผมจะพยายามขอร้องเขาแค่ไหนก็สูญเปล่า

“ฉันขอโทษ”

“ถ้าผมไม่ยกโทษให้ล่ะ”

“...”

“ถ้าผมให้คุณยะเลือกล่ะ คุณยะจะเลือกผมหรือพี่เลม่อน”

“ฉันเลือกเธอมาตลอดนะพี เพียงแต่...” เขาถอนหายใจเบาๆ เหมือนจนด้วยทางออกที่ดีกว่านี้ “ฉันปล่อยเลม่อนไปไม่ได้”

“แต่ทิ้งผมได้” ความจริงที่เจ็บปวด

“...”

“ผมยอมก็ได้ จะไม่เรียกร้องอะไรอีกแล้ว” ผมตัดสินใจในที่สุด จำใจยอมรับ เพราะเหนื่อยที่จะต่อสู้กับการตัดสินใจของเขา “งั้นผมไปนอนนะครับ”  ว่าแล้วผมก็ลุกเดินกลับไปยังจุดหมายเดิมคือห้องนอนของสองแฝด

“พี” ร่างสูงใหญ่เดินตามมากอดผมจากด้านหลัง ตัวผมจมลงไปในอกเขา ริมฝีปากคลอเคลียบนผิวแก้ม กับเสียงแหบพร่า “...ฉันไม่อยากเสียเธอไป”

ผมสัมผัสถึงแรงสั่นน้อยๆ จากร่างกายที่โอบกอดผม

“ผมก็เหมือนกันครับ” ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้สึก “ไม่อยากเสียคุณยะให้ใคร แต่คุณยะเลือกที่จะไปจากผมทุกครั้ง”

“แล้วถ้าฉันขอเธอล่ะ” เขากอดผมแน่นขึ้น “กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”

“แบบไหนครับ”

“อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”

“แบบที่ไม่ให้พี่เลม่อนรู้อย่างนั้นหรือครับ”

ถ้าใช่... ผมก็ควรปฏิเสธ

“ใช่”

และผมก็ควรปฏิเสธ แต่ผมก็ยัง...

“แล้วคุณยะจะทิ้งผมอีกไหม”

แค่เขากอดผม ความเข้มแข็งของผมก็พังยับเยิน

“ฉันไม่รู้” เขาคลายวงแขนลง จับตัวผมหมุนกลับมาสบตากัน ผมเห็นแต่ความไม่มั่นใจในดวงตาที่อยู่ตรงหน้า “แต่ฉันไม่อยากให้เราเลิกกัน”

“ผมก็ไม่อยากเลิก” ไม่อยากให้ผมกับเขากลายเป็นคนอื่น ทั้งที่ยังรักกัน

เขารักผมมากแค่ไหน ผมไม่มีทางรู้หรอก แต่ผมรู้ว่าตัวเองรักเขามากขนาดไหน มันมากจริงๆ นะ มากจนผมคิดว่าเด็กอายุแค่สิบหกจะสามารถรักคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้เชียวเหรอ แต่ความรู้สึกของผมก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว

แค่เขาดีกับผม แค่เขาขอเริ่มต้นใหม่ ผมก็ยินยอมที่จะกลับไปเดินเส้นทางเดิม ที่ต้องเจอจุดจบแบบเดิมซ้ำซาก เจ็บปวดเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม เพราะถ้าผมรักเขามากขึ้น ผมก็ต้องเจ็บปวดมากขึ้นด้วยเช่นกัน

“มาเริ่มกันใหม่นะ” ครั้งนี้คำพูดของเขามาพร้อมริมฝีปากอุ่นจัดที่ทาบลงมาอย่างนุ่มนวล จูบอ่อนโยนของเขาทำให้ผมหมดทางหนีไปจากความโง่เขลานี้

“ครับ” ผมรู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือความเจ็บปวด ผมก็ยังเลือกอย่างเต็มใจ

“ฉันรักเธอ”

“ผมก็รักคุณยะ”

...รักมากที่สุด

หัวใจของผม ไม่เคย...ไม่รักเขา

จบตอนที่ 27
(สัก 5 ทุ่มจะมาลงตอนที่ 28-29 ค่ะ ตอนนี้ขอไปรีไรท์อีกนิดก่อนนะคะ)


หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 26-27 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-01-2019 21:28:49
อยากจะตีคุณยะแรงๆ คนสร้างเรื่องนี่เอง ไม่ใช่เลม่อนเลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 26-27 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 22:58:37
ตอนที่ 28

หลังจากคืนที่คุณยะบอกเหตุผลที่ทำให้เขาทิ้งพี่เลม่อนไปไหนไม่ได้ ต้องดูแลไปตลอดชีวิต ถึงผมจะมองว่ามันไม่ยุติธรรมกับความรักของผมเลย ผมก็กลายเป็นคนในเงา กลับไปใช้ความสัมพันธ์แบบเดิมที่ตัวเองเคยยื่นข้อเสนอให้คุณยะมาครั้งหนึ่ง มาตอนนี้เป็นคุณยะบ้างที่ยื่นมันคืนมาให้ผม เพียงแต่หนนี้ต่างไปจากครั้งที่แล้ว คุณยะไม่ได้มีเวลาให้ผมมากนัก เรียกว่าน้อยนิดเสียด้วยซ้ำ สัปดาห์หนึ่งผมได้นอนกอดเขาแค่วันเดียว บางสัปดาห์ก็ไม่ได้กอดเลย


แต่ยังดีที่เขากลับมากินข้าวเย็นที่บ้านบ่อยขึ้น บางวันที่เขาหอบเอาเด็กแฝดไปนอนที่โรงแรมกับเขา ผมก็ยิ้มขึ้นมาได้บ้างว่าเขาไม่ได้ไปอยู่กับพี่เลม่อน ที่ผมมั่นใจเพราะผมแอบหลอกถามเด็กทั้งสองคนมาแล้ว ว่าตอนไปนอนกับคนเป็นพ่อ คุณยะพาใครมานอนด้วยไหม ทั้งสองบอกว่าไม่มีใคร พ่อยะของตัวเองเอาแต่นั่งทำงาน ทำงานเสร็จก็มานอนกับพวกตน

ผมเคยถามเขาว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะมีที่สิ้นสุดไหม แทนที่เขาจะตอบ เขากลับย้อนถามผมกลับมาว่า...

‘ความสุขของเธออยู่ตรงไหน ?’

เขาเป็นแบบนี้ประจำ ไม่ชอบตอบคำถาม แต่ใช้คำถามแทนคำตอบ

‘... แต่สำหรับฉัน ความสุขของฉันคือการที่เธอไม่โกรธหรือเกลียดฉัน ไม่ทำร้ายตัวเองเพื่อประชดฉัน ได้เห็นเธอยิ้มให้ฉันทุกครั้งที่เจอหน้ากัน และรู้ว่าเธอรักฉัน เท่านี้ฉันก็มีความสุขมากแล้วนะพี’

พอเขาพูดมาแบบนี้ คำถามของผมก็ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ และผมก็เลิกที่จะถามมันกับเขา เพราะความสุขของผมก็ไม่ต่างจากเขานักหรอก แค่รู้ว่าเขารักผม ผมก็มีความสุขมากแล้ว แม้ความทุกข์ใจของผมที่ต้องแบ่งเขาให้พี่เลม่อนจะกองสูงเท่าภูเขาก็ตาม

‘แบบนี้ดีแล้ว ไม่ต้องมีจุดจบ แค่รู้ว่าฉันมีเธอ เธอมีฉัน’

เฮ้อ... ก็ผมจะทำอะไรได้มากไปกว่าอยู่ในที่ที่คุณยะให้ผมอยู่ล่ะ เพราะตรงนี้คือที่ที่เดียวที่ผมจะได้อยู่กับเขา ผมก็ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเราสองคนรักกัน และคุณยะไม่ได้รักพี่เลม่อน สิ่งที่พี่เลม่อนได้จากคุณยะก็แค่ความรับผิดชอบและคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายของพี่เลม่อน ผมต้องดีใจสิว่าผมได้ความรักของคุณยะ ได้ในสิ่งที่พี่เลม่อนไม่มีวันจะได้

คุณยะรักผม

คุณยะไม่ได้รักพี่เลม่อน

ผมก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งความอดทนของพี่เลม่อนจะหมดลง วันที่เจ้าตัวยอมแพ้ให้กับ ‘ความไม่รัก’ ของคุณยะ ผมเชื่อว่าการอยู่กับคนที่เขาไม่ได้รักเรา มันไม่มีความสุขหรอก ส่วนผมเองก็ต้องอดทนให้มากขึ้นทุกวัน เพื่อรอวันที่พี่เลม่อนยอมแพ้และเดินออกไปจากชีวิตของคุณยะเอง

พูดถึงพี่เลม่อน ช่วงสองสามเดือนมานี่เขากลับมาก่อกวนผมทางไลน์อีกครั้ง และตอนนี้ก็ส่งข้อความมาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านๆ มา ทุกครั้งพี่เลม่อนจะส่งรูปของเขากับคุณยะมาเยาะเย้ยผม หรือไม่ก็ถามว่าคุณยะอยู่กับผมหรือเปล่า ทุกครั้งที่เขาถามหาคุณยะ นั่นคือตอนที่คุณยะอยู่กับผมจริงๆ

LemoN : อยากเจอกันหน่อยไหม ?

...ไม่เคยอยากเจอสักนิดเลย และผมกำลังจะพิมพ์สิ่งที่คิดลงไปและส่งให้อีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้พิมพ์แม้แต่อักษรตัวเดียว ข้อความที่สองของพี่เลม่อนก็ส่งตามมาอย่างรวดเร็ว

LemoN : เผื่อกูเห็นหน้ามึงแล้วนึกสงสารขึ้นมา จะได้สงเคราะห์บอกว่าพ่อของมึงเป็นใคร

P.Phirach : พี่รู้จักพ่อผม ?

...ผมพิมพ์ถามกลับไปอย่างไม่เชื่อเท่าไร

LemoN : ไม่

LemoN : แต่กูรู้ว่าพ่อมึงเป็นใคร

LemoN : พรุ่งนี้ออกมาเจอกูสิ

LemoN : มึงได้รู้แน่ว่าพ่อมึงเป็นใคร

P.Phirach : ผมจะเชื่อพี่ได้ยังไงว่าเขาเป็นพ่อผมจริงๆ

LemoN : แล้วแต่มึง กูไม่ได้ขอร้องให้มึงเชื่อ

LemoN : ตกลงมึงจะมาไหม ?

...ผมควรจะไปไหม ?

ถึงผมอยากจะรู้ว่าพ่อกับแม่ของตัวเองเป็นใคร แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่พร้อมจะรับรู้ว่าคนทั้งคู่ที่ทิ้งผมไปเป็นใคร ทว่าผมก็แพ้ให้กับความอยากรู้

P.Phirach : เจอกันที่ไหนครับ

LemoN : บ่ายสอง ร้าน coffee – day โรงแรมสยาม ชโยดม

LemoN : และถ้ามึงจะฉลาดสักนิด ก็อย่าให้พี่ยะรู้

LemoN : ไม่อย่างนั้นชาตินี้ทั้งชาติ มึงก็ไม่มีทางรู้ว่าพ่อมึงเป็นใคร

P.Phirach : แล้วแม่ผมล่ะ พี่รู้ไหม

LemoN : เฮอะ มีอะไรที่คนอย่างกูไม่รู้

LemoN : เผื่อมึงจะโง่ลืมว่ากูคือเมียพี่ยะ

LemoN : ผัวเมียกันก็ต้องรู้ทุกเรื่องของกันและกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ?

...หึ คิดว่าผมจะเจ็บปวดกับคำโกหกสินะ ไม่หรอก ผมรู้ความจริงระหว่างเขากับคุณยะหมดแล้ว

LemoN : แต่กูว่ามึงรอถามพ่อมึงดีกว่ามั้ง

... อย่าว่าแต่จะรอถามผู้ชายที่มีฐานะเป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผมครึ่งหนึ่งเลย แค่จะกล้าไปตามหาเขา ก็ยังไม่รู้เลยว่าผมจะกล้าหรือเปล่า

“เลม่อนเหรอ ?” คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำและมีเพียงกางเกงผ้าขายาวตัวเดียวบนร่างกายแข็งแรงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจเท่าไร

“ไม่ใช่ครับ” ผมส่ายหน้า รีบปิดหน้าจอแชตทันที กลัวเขาจะเห็นข้อความที่ผมคุยกับพี่เลม่อน

“แล้วคุยกับใคร ?” บอกแล้วจะมีใครเชื่อไหมว่า ผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังดึงตัวผมเข้าไปกอด จูบแก้มจูบปากผมอยู่เนี่ยทำตัวยังกับแฟนสาวที่นั่งเช็กโทรศัพท์แฟนหนุ่ม ถ้าเห็นผมคุยโทรศัพท์หรือคุยไลน์ เขาก็จะถามตลอดว่าเป็นใคร แบบในตอนนี้นี่แหละ

“ปีครับ” แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ส่งโทรศัพท์ให้เขาดูแบบทุกที ตอบเสร็จผมก็ผละออกจากตัวเขา แกล้งทำเหมือนว่าจะไปชาร์จแบตมือถือที่โต๊ะเขียนหนังสือ ตอนที่หันหลังให้เขาผมก็ลบข้อความที่คุยกับพี่เลม่อนวันนี้ทิ้ง

ลบเสร็จก็เสียบสายชาร์จโทรศัพท์ไว้แล้วกลับมาหาเขา มาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ผมรัก

“พรุ่งนี้ฉันจะไปดูโรงแรมที่พัทยา ไปด้วยไหม” เขานอนกอดผมไว้หลวมๆ

“พรุ่งนี้ผมมีนัดไปดูหนังกับปีครับ” ผมคิดคำโกหกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงอยากจะไปกับเขา เพื่อผมจะได้อยู่กับเขาพรุ่งนี้อีกวันหนึ่ง แต่ทำไงได้ผมนัดกับพี่เลม่อนไว้แล้ว

“แล้วคืนนี้ฉันจะ...” เขาพูดออกมาไม่หมด แต่คำที่เหลือก็ใช้มือที่ลูบบนสะโพกของผมพูดแทน

“ผมมีนัดตอนบ่าย” บอกตามตรงเลยว่าผมก็อยากมีอะไรกับเขานะ ต่อให้พรุ่งนี้ต้องไปหาพี่เลม่อนในสภาพไม่ปกติก็เถอะ เพราะผมกับเขา เราไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ากันมาไม่รู้กี่เดือนแล้ว ก็ตั้งแต่ที่ผมกับเขาเลิกกันคราวก่อน

คืนแรกที่เรากลับมาคืนดีกัน คืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกับคุณยะแค่นอนกอดกัน อาจเป็นเพราะเราต่างก็ยังอยู่ในอารมณ์ที่หนักกันทั้งสองฝ่าย เลยไม่มีอารมณ์ทำเรื่องอย่างว่า ส่วนคืนอื่นๆ หลังจากนั้นก็เหมือนจะได้นอนกันแบบลึกซึ้งนะ ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะเสียทุกครั้งเพราะเจ้าตัวพุงกลม ที่ขยันมาเคาะประตูราวกับรู้เวลาที่ควรต้องมา

แต่ตอนที่ชุดนอนของผมกำลังจะถูกถอดและโยนทิ้งไปข้างเตียง เสียงประตูก็ดังขึ้นหยุด มันหยุดการกระทำของคุณยะลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับเจ้าตัวพุงกลมที่วิ่งถือหมอนน้ำตานองหน้าเข้ามายืนข้างเตียง ผมรีบดึงเสื้อที่ร่นไปกองอยู่ที่อกลงแทบไม่ทัน ส่วนคุณยะก็ลุกลงจากเตียงไปอุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นมานั่งบนตักของตัวเอง

“ทำไมคุณยะไม่ล็อกห้อง” ผมกระซิบถามเสียงเข้มแต่ดังเบา ไม่ได้โกรธหรือโมโหที่ทานตะวันโผล่พรวดเข้ามาแบบนี้หรอก กลัวแต่ว่าถ้าแฝดพี่เข้ามาช้ากว่านี้อาจจะเจอสิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ได้

“ฉันลืม” เขาส่งสายตาขอโทษมาให้ผม ก่อนจะก้มหน้าลงไปหาลูกชายคนโตที่เอาแต่นั่งสะอึกสะอื้น “คราวนี้เป็นอะไรอีกเจ้าตัวยุ่ง”

ทั้งคุณยะและผมไม่ตกใจเลยที่เห็นทานตะวันร้องไห้น้ำตานองหน้า เพราะเห็นจนชิน และรู้ว่าที่เจ้าตัวร้องไห้ไม่ใช่เจ็บปวดตรงไหนหรอก แต่เป็นเพราะน้องชายฝาแฝดไม่ตามใจ เลยต้องหอบเอาน้ำตามาฟ้องคนเป็นพ่อเช่นทุกครั้ง

“ฮึก...ก็...ฮึก...แซนไม่ให้ซัน...ฮึก...มาหาพ่อยะกับพี่พี...ฮึก...” ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย “แล้วก็ขู่...ฮึก...ขู่ซันว่า...ฮึก...ถ้ามาจะโกรธ...ฮื่อออ...” เจ้าตัวบอกพลางร้องไห้ไปพลาง สะอื้นตัวโยนจนน่าขำปนน่าเอ็นดู

“พอแล้วๆ ไม่ร้องแล้วนะเจ้าตัวยุ่ง ร้องเยอะแล้วป่วย พรุ่งนี้จะไม่ได้กินขนมไอติมนะรู้ไหม” คนเป็นพ่อย่อมรู้วิธีรับมือกับคนเป็นลูก แค่เอาเรื่องกินมาขู่ มือเล็กๆ ก็ปาดน้ำตาทิ้งทันที เสียงสะอื้นแบบหนักหน่วงเมื่อครู่ก็เบาลงแทบจะทันที

“...ซันไม่...ร้องแล้วครับพ่อยะ”

“นอนกอดพี่พีก่อนนะ เดี๋ยวพ่อมา” ว่าแล้วก็ยกเจ้าตัวเล็กมาให้ผม ก่อนลุกลงจากเตียง เดินออกจากห้องไป

“ตะกี้พี่พีกับพ่อยะทำอะไรกันครับ” ว่าแล้วเชียวเห็นจนได้ ยังดีนะที่ผมกับคุณยะยังไม่ไปไกลกว่าการจูบและลูบคลำ เลยพอจะโกหกเด็กแบบเนียนๆ ไปได้ว่า

“...กอดกันครับ เหมือนที่กอดซันแบบนี้ไง” ผมดึงเจ้าตัวยุ่งลงมานอนกอด หยิบเอาหมอนใบเล็กของเจ้าตัวมาให้หนุนด้วย

“กอดๆ ซันอยากกอดพี่พี ไม่กอดแซนแล้ว” เจ้าตัวซุกตัวเข้ามาในอกผม ผมกอดและลูบแผ่นหลังที่ยังคงเหลือรอยสั่นสะอื้นอยู่หน่อยๆ

สักพักคุณยะก็กลับเข้ามาพร้อมกับถิรที่หอบหมอนใบเล็กของตัวเองมาด้วย

“แซนขอนอนด้วยนะครับพี่พี” แฝดน้องบอกก่อนจะปีนขึ้นมาบนเตียง

“ตัวเองมาทำไม” พอได้ยินเสียงถิร ทานตะวันก็หันกลับไปมองค้อนน้องชายทันที

“พ่อยะบอกให้เค้ามานอนด้วย” บอกแล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ พี่ชายนั่นแหละ ซึ่งก็เป็นที่ประจำของเด็กทั้งสองคน

อย่างที่บอกครับว่าผมกับคุณยะถูกขัดจังหวะทุกครั้งเลย และหลังจากนั้นเด็กแฝดทั้งสองก็จะมาจับจองพื้นที่กลางเตียงและแยกผมกับคุณยะออกจากกันไปโดยปริยาย

“ตัวเองห้ามกอดพี่พี” นี่ก็ประโยคฮิตติดปากเด็กพุงกลม

“ไม่กอดหรอกน่า”

“ชิส์” ทานตะวันยู่ปากใส่คนเป็นน้องที่ตอนนี้นอนหลับตาไปแล้ว ไม่เห็นสิ่งที่พี่ชายทำหรอก

“นอนได้แล้วเจ้าตัวยุ่ง” คุณยะเดินกลับมาหลังจากปิดไฟกลางเรียบร้อย แต่ห้องยังไม่มืดสนิทเพราะยังมีแสงจากโคมไฟข้างเตียงนอนให้ความสว่างอยู่

“ครับพ่อยะ” แล้วเจ้าตัวก็หันหน้ากลับมากอดผม หลับตาลงอย่างว่าง่าย ตัวนุ่มนิ่มสั่นน้อยๆ จากการร้องไห้หนักเมื่อครู่ ผมเลยต้องลูบแผ่นหลังของเจ้าตัวยุ่งไปด้วย

และก่อนที่ห้องจะมืดสนิท ริมฝีปากของคุณยะก็เดินทางมาหยุดบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา หลังจากที่เขาจูบหน้าผากลูกชายทั้งสองของเขาก่อนหน้านี้ไปแล้ว

“ฉันรักเธอนะ” เขากระซิบบอกเบาๆ แต่ก็ดังกึกก้องในหัวใจของผมทุกครั้งที่เขาเอ่ยคำนี้ออกมาให้ผมฟัง

“รักเหมือนกันครับ” ผมกระซิบตอบเขา ก่อนจะหลับตาลงไปพร้อมกับความรู้สึกบางอย่าง อาจจะเป็นความรู้สึกของการรอคอยที่ยาวนานมาตลอดตั้งแต่ที่รู้ความจริงว่าผมไม่ใช่ลูกของคุณยะ

พรุ่งนี้แล้วสินะ

พรุ่งนี้ผมจะรู้เสียทีว่าใครคือคนที่ไม่อยากให้ผมเกิดมาบนโลกใบนี้

.

.

.

ผมนั่งกินเค้กสามชิ้นกับน้ำผลไม้หมดไปเป็นแก้วที่สามแล้วนั่นแหละ พี่เลม่อนถึงกระหืดกระหอบมาทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าผมได้ ผมเดาจากใบหน้าสวยงามที่ปรุงแต่งด้วยเครื่องสำอาง ว่าเจ้าตัวคงติดถ่ายซีรีส์ถึงได้มาช้ากว่าเวลานัดถึงสองชั่วโมง จากที่นัดไว้ตอนบ่ายสอง เจ้าตัวมาถึงตอนบ่ายสี่

ดีนะที่ผมเอาหนังสือเรียนมาอ่านด้วย เวลาที่หมดไปกับการรอพี่เลม่อนเลยไม่สูญเปล่า แต่ก็ใช่ว่าเนื้อหาหนังสือจะเข้าสมองผมเท่าไร เพราะเอาแต่มองประตูร้านว่าเมื่อไรพี่เลม่อนจะเดินเข้ามาเสียที

“โทษทีกองถ่ายลากยาวไปหน่อย” ผมไม่คิดนะว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากคนอย่างพี่เลม่อน ที่เห็นผมเป็นศัตรูหัวใจของเขามาตลอด

“กินนี่ก่อนครับ” ผมเลื่อนแก้วน้ำมะนาวที่ผมสั่งไปเมื่อหลายนาทีก่อนและพนักงานเอามาเสิร์ฟตอนนี้พอดี

“ขอบใจ” อีกแล้วที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากพี่เลม่อน สงสัยเจ้าตัวคงหิวน้ำนั่นแหละ พอจับหลอดได้ก็ดูดจนน้ำมะนาวหมดแก้วเลย

พี่เลม่อนเป็นผู้ชายที่ดูดีจริงๆ เขามีใบหน้าที่ได้รูปและสวยงามมาก ยิ่งใบหน้าถูกเคลือบด้วยเครื่องสำอางแบบนี้ก็ยิ่งดูสวยหวานเหมือนเจ้าชายน้อยๆ งดงามเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นเจ้าของถ้อยคำหยาบคายที่ใช้ด่าผมผ่านหน้าจอ รวมถึงรูปและคลิปที่เจ้าตัวถ่ายมาทำร้ายผมตอนช่วงแรกๆ นั้นด้วย ซึ่งตอนหลังไม่มีแล้วครับ มีแต่รูปที่ใส่เสื้อผ้าครบทั้งคู่

บางครั้งผมก็อยากมองทะลุไปถึงความรู้สึกของพี่เลม่อน ว่าเจ้าตัวยังคงเจ็บปวดกับเหตุการณ์เลวร้ายที่ถูกคุณยะข่มขืนอยู่หรือเปล่า อยากจะรู้ด้วยว่าเมื่อไรความอดทนของคนคนนี้จะหมดลง เมื่อไรเขาจะมีความคิดที่จะเดินออกไปจากชีวิตคุณยะ เมื่อไรหัวใจของเขาจะเลิกรักคุณยะได้ เผื่อว่าเขาจะได้เจอคนที่รักเขาจริงๆ ไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยเพราะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เผลอทำลงไปอย่างไม่รู้ตัว

ผมก็เพิ่งมารู้ไม่นานนี้เองว่า ทำไมคุณยะถึงไม่ค่อยดื่มเหล้า เพราะเหล้าทำให้เขาขาดสติและเผลอข่มขืนพี่เลม่อนและต้องรับผิดชอบมาจนถึงวันนี้

“มองอะไร!” เสียงขุ่นจัดของพี่เลม่อนดึงผมออกมาจากภวังค์ความคิด “หน้ากูมีอะไรงั้นเหรอ ?”

“เปล่าครับ”

“หึ... มองยังไงหน้ากูก็ไม่เหมือนหน้าพ่อมึง” พูดแล้วก็เบ้ปากใส่ผม

ภาพเจ้าชายน้อยผู้งดงามแตกกระจายไปแล้วครับ ที่เหลืออยู่ตรงหน้าผมก็แค่คนหยาบคายคนหนึ่งเท่านั้นเอง

“พ่อผมเป็นใคร” เข้าเรื่องเลยละกัน จะได้ไม่ต้องทนนั่งมองหน้าคนที่สวยแต่เปลือกนอก แต่ข้างในนั้นทั้งแข็งกระด้างและหยาบคาย

พี่เลม่อนล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ของตัวเอง ก่อนหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าผม และผมก็แทบจะลืมหายใจกับสิ่งที่อยู่ในรูปถ่ายนั้น

“พ่อมึงคือคนที่ใส่เสื้อนักศึกษา”

ผมหยิบรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ ด้วยมือที่สั่นน้อยๆ และหัวใจที่เต้นแรงและหวาดผวา ในรูปมีเด็กวัยรุ่นสามคน และมีคนที่ใส่เสื้อนักศึกษาเพียงคนเดียว เขาคนนั้นยืนอยู่ตรงกลางและกอดคอเด็กผู้ชายสองคนไว้คนละข้าง ซึ่งหนึ่งในสองคนนั้นผมรู้จักเป็นอย่างดีก็คือคุณยะ ส่วนอีกคนถ้าให้เดา ผมคิดว่าเป็นพี่ชายของพี่เลม่อน เพราะเค้าโครงหน้าเหมือนกันมาก ตัดข้อสงสัยที่ว่าพี่เลม่อนได้รูปพวกนี้มาได้อย่างไร แต่พี่เลม่อนแน่ใจได้อย่างไรว่าคนคนนี้เป็นพ่อของผมจริง

“พี่รู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นพ่อผม” บางทีพี่เลม่อนอาจจะมัวขึ้นมาเองก็ได้ ผมนี่นะจะเป็นลูกของ...ลูกชายเจ้าของโรงแรมนี้

...โรงแรมสยาม ชโยดม

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 28-29 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 23:00:51
ใช่ครับ! ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางรูป คนที่สวมชุดนักศึกษาเพียงคนเดียวนี้ หน้าตาเหมือนคนที่ผมเจอที่รีสอร์ต คนที่สวมสูทและเป็นศัตรูกับคุณยะ

...คนที่ชื่อชลัช

“มึงคิดว่ากูมั่วขึ้นมาเองงั้นสิ” เขายิ้มเยาะ “กูจะบอกให้ว่าคนที่อยู่ในรูปอีกคนคือพี่ชายของกู และเขาก็บอกเรื่องนี้กับกูเอง ส่วนมึงจะไม่เชื่อก็เรื่องของมึง แต่กูว่ามึงเชื่อเถอะว่าเขาคือพ่อของมึง”

ผมก้มมองดูใบหน้าของคุณชลัชในรูปนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกของผมไม่ถึงกับตื่นเต้นดีใจจนอยากจะวิ่งไปหาตามหาเขาทั่วโรงแรม ไม่รู้สึกถึงความผูกพันที่แบบว่าต้องกลั่นออกมาเป็นสายน้ำตา ผมมองรูปถ่ายนี้ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อว่าคนคนนี้คือพ่อของผม มองใบหน้าเขาที่แทบไม่ต่างจากตอนปัจจุบัน เพียงแต่คนในรูปอ่อนเยาว์กว่า ส่วนคนที่ผมเจอเมื่อปีที่แล้วดูเป็นหนุ่มใหญ่และมีคำพูดแสนร้ายกาจที่ทำให้คุณยะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และเขาก็เคยแช่งให้ผมกับคุณยะตกนรกมาแล้ว

ผมก็นึกไปถึงเหตุการณ์คืนวันนั้นที่คุณยะรุนแรงกับผมผิดไปจากทุกครั้ง เขาทำกับผมแรงอยู่แล้วแต่คืนนั้นมันแรงจนผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง

‘คุณยะโกรธเขาแต่เอามาลงที่น้องพีใช่ไหม’

คำถามที่ไม่ได้คำตอบในคืนนั้น แต่วันนี้ผมได้คำตอบแล้ว เพราะเขาโกรธคนคนนั้น ไม่ใช่แค่โกรธ อาจจะโกรธแค้นอย่างที่สุด ถึงได้เอาความรู้สึกนั้นมาระบายลงที่ผม ผมอยากให้ตัวเองคิดมากไปเอง แต่มันก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

...เขาเกลียดเจ้าของสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวผม

แต่ทำไมถึงยอมให้ผมเกิดมาล่ะ ยอมที่จะเลี้ยงดูผมจนโตมาถึงวันนี้ หรือเป็นเพราะคุณยะเคยรักคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งในตัวผม

“แล้วแม่ผมล่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกคนหนึ่งที่กุมความลับเรื่องพ่อกับแม่ผมเอาไว้อีกครั้ง 

“ถามพ่อมึงเองสิ” เขาตอบผมตอนที่พนักงานรับออเดอร์เสร็จและเดินกลับไปแล้ว “กูอุตส่าห์นัดมึงมาเจอที่โรงแรมพ่อมึงแล้ว มึงก็ไปหาเขาสิ”

“แต่ผมอยากรู้ตอนนี้” ผมไม่กล้าเดินไปหาเขาและบอกว่าตัวเองเป็นลูกเขาหรอก เพราะถ้าผมทำอย่างนั้น ผลลัพธ์มันมีมากกว่าสองอย่างแน่นอน อย่างแรกเขาอาจจะไม่เชื่อและไล่ผมกลับ หรืออย่างที่สองรับรู้แต่ไม่ยอมรับ หรือถ้าเขาเชื่อว่าผมเป็นลูกของเขา เขาก็อาจจะเอาตัวผมกลับไปอยู่กับเขา ซึ่งผมยังไม่อยากกลายเป็นคนนอกครอบครัวตรัยธาดาอย่างแท้จริง

“กูไม่จำเป็นต้องบอกมึง แต่ถ้ามึงอยากรู้จริงๆ มึงก็ออกมาจากครอบครัวพี่ยะสิ แล้วกูจะบอกว่าแม่ของมึงเป็นใคร กูมีทั้งที่อยู่และเบอร์โทรเลยนะ สนไหมล่ะ ไม่ว่ามึงจะไปหาพ่อหรือแม่มึง มึงก็สบายไปทั้งชาติ”

“พี่ทำแบบนี้ทำไม ในเมื่อผมกับคุณยะก็ไม่ได้คบกันแล้ว ผมยอมถอยออกมาแล้วนะ” ถึงจะไม่ใช่ความจริงก็เถอะ แต่ผมมั่นใจนะว่าความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะเป็นความลับมากกว่าครั้งที่เคยผ่านมา เพราะเราสองคนไม่เคยโทรหากันเลย ไม่แม้แต่จะคุยไลน์กัน คุณยะกลับมานอนกับผมก็แทบนับครั้งได้ พี่เลม่อนไม่น่าจะรู้ได้ว่าเราสองคนกลับมาคบกันอีกครั้ง 

“กูพอใจ” เขายักไหล่ได้น่าเกลียดที่สุดในสายตาผม

“งั้นผมก็พอใจที่จะใช้นามสกุลตรัยธาดาต่อไป” พี่เลม่อนตาลุกวาวด้วยความโกรธทันที และยิ่งลุกเป็นไฟเมื่อผมเอ่ยออกไปอีกว่า “ส่วนเรื่องพ่อแม่ของผม บอกตามตรงถึงผมรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ผมก็ไม่รู้สึกอยากกลับไปหาคนที่ไม่อยากให้ผมเกิดมาหรอก”

“หน้าด้าน” เจ้าตัวข่มอารมณ์ของตัวเองไว้สุดฤทธิ์ ถึงจะด่าผมแต่เสียงก็เบามาก คงไม่ให้เสียงดังไปถึงโต๊ะข้างๆ ไม่อย่างนั้นนักแสดงวัยรุ่นแบบเขาอาจจะตกเป็นข่าวไม่ดีก็ได้ ยิ่งตอนนี้หลายคนในร้านก็เริ่มมองมาที่โต๊ะผมกับเขาแล้ว “มึงก็รู้แล้วว่าพ่อมึงเป็นใคร ทำไมไม่ไปหาเขาวะ”

ผมพอเริ่มรู้เหตุผลที่พี่เลม่อนเอาเรื่องพ่อมาบอกผมแล้วละ เพราะอยากให้ผมออกจากครอบครัวตรัยธาดาและออกไปจากชีวิตของคุณยะสินะ

...บอกเลยว่าไม่สำเร็จหรอก!

“เขาไม่ได้ต้องผมมาตั้งนานแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องกลับเข้าไปในชีวิตพวกเขา” ผมบอกสิ่งที่เป็นความจริงที่สุด ครั้งหนึ่งคนเป็นพ่อไม่ต้องการก้อนเลือดที่อยู่ในร่างกายผู้หญิงคนหนึ่ง วันนี้เขาก็ไม่ควรรู้ว่าก้อนเลือดก้อนนั้นเติบโตมาจนถึงวันนี้

“มึงนี่หลงผัวกูกว่าที่คิดอีกนะ” มาอีกแล้วครับคำหยาบที่พี่เลม่อนชอบใช้แสดงความเป็นเจ้าของคุณยะของผม

...คุณยะเป็นของผม ไม่ใช่ของเขา

ผมอยากตะโกนความจริงข้อนี้ใส่หน้าพี่เลม่อนให้หงายหลังไปเลย แต่ต้องอดทนเอาไว้ ต้องเลือกพูดสิ่งที่ควรต้องพูดออกไปช้าๆ และโกหกให้แนบเนียนที่สุด

“ผมกับคุณยะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน” ผมยังยืนยันที่จะโกหกต่อไป เพราะผมกลัวว่าถ้าพี่เลม่อนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะที่ยังคบกันอยู่โดยไม่ให้เขารู้ เขาก็จะกลับไปขู่คุณยะ ใช้น้ำตาและความผิดพลาดของคุณยะขู่ให้เลิกกับผมอีก

ผมไม่ยอมให้คุณยะถูกขู่จนต้องเลิกกับผมอีกครั้งหรอก!

“มึงนอนอ้าขาให้ผัวกูนี่นะ ยังกล้ามาพูดว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”

คำหยาบคายของพี่เลม่อนทำอะไรผมได้ไม่มากเท่าไร ถึงมันจะจริงแต่ผมก็รู้ว่าระหว่างเราสองคนคือความรัก ไม่ใช่ความสงสารในแบบที่พี่เลม่อนได้จากคุณยะ และความจริงข้อนี่แหละคือน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงต้นความอดทนของผมให้เติบโตขึ้นทุกวัน จนวันหนึ่งผมของมันจะฉ่ำหวานเหมือนความรักของผมกับคุณยะ ที่จะไร้ตัวขัดขวางแบบพี่เลม่อนไปตลอดกาล

“พี่จะเชื่อผมหรือไม่เชื่อก็ตามใจครับ แต่ผมยืนยันว่าตอนนี้ผมกับคุณยะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว นอกจากนามสกุลที่เหมือนกัน” ปฏิเสธเข้าไว้ โกหกเข้าไว้ ผมได้แต่บอกตัวเองแบบนี้ซ้ำๆ

“โกหก!” คราวนี้พี่เลม่อนไม่ออมเสียงเลย เขาตะโกนใส่หน้าผม จนคนทั้งร้านหันมามอง พอรู้ตัว เขาก็ลดเสียงลง แต่น้ำเสียงยังขุ่นคลั่กเหมือนเดิม “มึงคิดว่ากูโง่หรือไงที่ไม่รู้ว่าลับหลังกู มึงให้ท่าผัวกูยังไงบ้าง”

“ก็แล้วแต่พี่จะคิดละกัน แต่ผมยืนยันเหมือนเดิมว่าผมกับคุณยะไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”

“มึงมันหน้าด้าน”

“...”

“มึงรู้ไหมว่าพี่ยะทำอะไรกูบ้าง” ผมเห็นลูกตาหวานๆ ของพี่เลม่อนเริ่มขึ้นสีแดง เสียงสั่นน้อยๆ ฟ้องอารมณ์ที่ก่อตัวอยู่ภายใน

...เจ็บปวด

พี่เลม่อนกำลังเจ็บปวด

และผมไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของคนตรงหน้าเลย เพราะไม่ชิน เพราะที่ผ่านมาพี่เลม่อนมีแต่ความร้ายกาจ แล้วคนที่เจ็บปวดจากความร้ายกาจของเขาก็คือผม ผมไม่อยากใจอ่อนกับน้ำตาของคนที่แย่งคุณยะไปจากผม คนที่ขังคุณยะไว้กับเขาด้วยความผิดพลาดในอดีต

“ผมไม่รู้” ผมโกหก “แต่พี่ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังหรอก ถ้ามันจะทำให้พี่เจ็บปวด” ประโยคสุดท้ายผมพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ

“เขาหักหลังกูซ้ำๆ ก็เพราะมึง” เขาโทษผม ทำไมเขาไม่โทษตัวเองบ้างที่ไม่ใช่คนที่คุณยะรัก 

“ผมบอกพี่ไปหลายครั้งแล้วนะว่า ผมกับคุณยะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว” ผมก็เป็นคนที่พูดโกหกได้หน้าตายอย่างที่สุด เริ่มรู้สึกเกลียดคำโกหกของตัวเองแล้วสิ ยิ่งเห็นน้ำตาที่หยดลงบนแก้มของพี่เลม่อน ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดจนอยากจะเป็นฝ่ายถอยเสียเอง

...แต่ผมก็ยังปักหลักอยู่ที่เดิม

ด้วยเหตุผลสองข้อคือ...ผมรักคุณยะ และคุณยะรักผม

“เขาข่มขืนกู” ความจริงที่ผมไม่อยากได้ยินซ้ำเป็นครั้งที่สองหลุดออกมาจากปากที่ติดจะสั่นของพี่เลม่อน “มึงว่าเขาเลวไหม”

“...” ผมไม่มีคำตอบให้พี่เลม่อน ทั้งที่ผมมีคำตอบอยู่แล้ว


“มึงอยากจะอยู่กับคนเลวแบบนี้ไปตลอดชีวิตเหรอ ?” เขาถามอีก และผมอยากจะถามพี่เลม่อนกลับไปเหมือนกันว่า...ถ้าคุณยะเลวอย่างที่เขาว่า ทำไมเขาถึงไม่ออกไปจากชีวิตคุณยะล่ะ ทำไมถึงต้องทนอยู่กับคนเลวๆ ด้วย

นั่นเพราะพี่เลม่อนรักคุณยะใช่ไหมล่ะ ก็เหมือนผมนั่นแหละ

ถึงอยากจะถามพี่เลม่อนกลับไปอย่างนั้น แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบ มองน้ำตาพี่เลม่อนที่ไหลไปตามผิวแก้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะดึงทิชชูบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้หมดไปจากใบหน้า นานเกือบสิบนาทีที่ความเงียบเกิดขึ้นบนโต๊ะ และเป็นพี่เลม่อนที่เอ่ยทำลายความเงียบลง

“หึ...เขาเล่าให้มึงฟังแล้วใช่ไหม”

“เปล่าครับ” ผมก็ยังเลือกที่จะโกหกให้ถึงที่สุด

“แล้วทำไมมึงไม่ตกใจ”

“ก็ผมกับคุณยะไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว เรื่องที่เขาเคยทำ ไม่เกี่ยวกับผม ทำไมผมจะต้องตกใจกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับผมด้วยล่ะ”

“...” ลูกตาแดงก่ำมองผมเหมือนอยากแทงให้ทะลุ

“ถ้าเอาแต่ระแวงจนไม่มีความสุข ผมว่าพี่ควรจะออกมานะครับ” ผมไม่ได้หวังดีกับเขาหรอก ก็แค่อยากทำให้ความอดทนของพี่เลม่อนหมดลงซะที

“กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น คนที่ต้องไปคือมึง!” พูดจบ พี่เลม่อนก็คว้ากระเป้าเป้ ลุกจากโต๊ะเดินออกจากร้านไปเลย

เฮ้อ... ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนกับคำโกหกในหลายๆ ครั้งของตัวเอง นึกเกลียดตัวเองที่พูดคำโกหกได้อย่างหน้าตาเฉย เหมือนไม่รู้สึกผิดอะไรเลย ความจริงผมก็รู้สึกผิดนะที่เอาแต่พูดเรื่องโกหก แต่ถ้าผมพูดความจริงแล้วทำให้ต้องเลิกกับคุณยะอีกครั้ง ผมก็ขอเลือกใช้คำโกหกที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะยังเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อรอให้วันที่ความอดทนของพี่เลม่อนหมดลงไปเอง

ผมดึงสายตากลับมาที่รูปถ่ายที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ รูปของเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่น่าจะให้นิยามของความสนิทสนมนี้ว่า ‘เพื่อนต่างรุ่น’

ผมอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณยะกับเขาคนนี้เกลียดขี้หน้ากันและตัดขาดความเป็นเพื่อนต่างรุ่นกันได้ มันจะเป็นเพราะเรื่องผู้หญิงคนที่อุ้มท้องผมมาหรือเปล่า ที่ทำให้ทั้งสองแตกหักกัน ถ้าให้ผมเดาเรื่องมันอาจเริ่มต้นที่...

คุณยะรักกับผู้หญิงที่เป็นแม่ของผม แต่แล้วเธอก็หักอกคุณยะด้วยการไปรักกับเพื่อนรุ่นพี่ของคุณยะ ทั้งสองคนเลยแตกหักกัน แต่พอเธอท้องผม เขาก็ไม่รับผิดชอบ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้ทิ้งเธอไปและสั่งให้เธอทำแท้งผม ส่วนคุณยะที่ยังรักเธออยู่นั้น พอรู้ว่าเธอ ก็เลยรับเป็นพ่อให้กับเด็กในท้องก็คือผม แต่เธอก็คงหมดรักคุณยะแล้วจริงๆ และคงเกลียดคนไร้ความรับผิดชอบเข้ากระดูกดำ ถึงได้คลอดและทิ้งสายเลือดของเธอกับเขาไว้ให้คุณยะ โดยที่ไม่ยอมบอกเขาคนนั้นว่าเธอได้ให้กำเนิดผมออกมาแล้ว

เรื่องคงเป็นแบบนี้ละมั้ง

...พ่อของผมคือเขาคนนี้

ผมควรรู้สึกดีใจใช่ไหม แต่ผมกลับรู้สึกขมขื่นจนไม่อยากจะเชื่อว่าคนคนนี้คือพ่อของตัวเอง พูดตรงๆ เลยว่า ผมไม่ต้องการพ่อหรือแม่เลย เพราะเท่าที่ผมมีอยู่ตอนนี้ ผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองขาดความอบอุ่นเลยสักนิด

หรืออาจเป็นเพราะตั้งแต่เด็กผมเข้าใจว่าคุณยะเป็นพ่อ และพ่อแบบคุณยะก็ไม่ได้มาสนใจไยดีลูกอย่างผมเลย ผมเลยเติบโตมากับความรู้สึกที่ว่า พ่อก็แค่คนคนหนึ่งที่ผมจะมีหรือไม่มีก็ได้ ในเมื่อผมก็มีคุณปู่กับคุณย่าที่คอยตามใจผมสารพัด ไม่เคยดุด่าหรือใช้ไม้เรียวกับผม ทั้งที่ผมทั้งดื้อและซน เอาแต่ใจก็ที่หนึ่ง แต่ท่านทั้งสองก็รักและโอบกอดผมด้วยความรักความอบอุ่นเสมอมา

“พ่อ...” ปากผมขยับเอ่ยคำนี้ออกมา ด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอย่างที่สุด

ทั้งที่ความรู้สึกของผมว่างเปล่า ไร้ซึ่งความตื้นตันใจที่รู้ว่าใครคือพ่อแท้ๆ ของผม ทว่าผมก็ยังนั่งอยู่ในร้านแห่งนี้ เฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา มองหาใครบางคนที่หน้าตาเหมือนคนในรูปที่ผมถืออยู่ในมือ ด้วยความหวังว่าเขาจะเดินผ่านมาให้ผมเห็น แม้ความหวังจะริบหรี่ก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันหยุด เขาคนนั้นอาจจะไม่มาทำงาน หรือถ้าเขาบ้างานเหมือนคุณยะ วันนี้เขาก็อาจจะนั่งอยู่ในห้องทำงานบนชั้นไหนสักชั้นของโรงแรมแห่งนี้ คงไม่ยอมเสียเวลาที่มีค่าและทำเงินได้มหาศาลของเขาเพื่อกาแฟแค่แก้วเดียวหรอกมั้ง

จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง คุณย่าโทรมาตามนั่นแหละ ผมถึงยอมลุกจากเก้าอี้และเดินออกไปจากร้านที่แทบจะไม่เหลือลูกค้าแล้ว

ผมไม่หวังที่จะได้เจอเขาหรอกนะ เพียงแต่มันก็ต้องมีความรู้สึกที่อยากเจออยู่บ้างใช่ไหมล่ะ อย่างน้อยเขาก็คือพ่อ แม้จะเป็นพ่อที่ไม่เคยต้องการก้อนเนื้ออย่างผมเลยก็ตาม พอผมคิดว่าวันนี้คงไม่มีทางได้เจอเขาแล้วแน่ๆ มันก็รู้สึกผิดหวัง แต่พอเลิกหวังก็ดันเจออย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ตอนที่ผมใกล้จะเดินพ้นเขตโรงแรมสยาม ชโยดมออกมา รถเบนซ์คันสีขาววาววับสะอาดหมดจดก็ชะลอความเร็วลงและจอดห่างจากตัวผมไม่มากนัก พร้อมกับกระจกรถของห้องโดยสารตอนหลังที่เลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าที่มาวัยขึ้นของเจ้าของชุดนักศึกษาในรูปถ่ายในมือผม

ผมรีบเอารูปซ่อนไว้ด้านหลัง กลัวเขาจะเห็น แล้วเกิดสงสัยขึ้นมาว่าผมมีรูปนี้ได้ยังไงและถือมาทำไมที่นี่

“พี่ชายใช้ให้มาสืบอะไรเหรอหนู” ดูเขาถามสิ และปากของเขาก็ร้ายกาจเหมือนเดิม “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือไง อ้อ...สงสัยฉันจะพูดผิดจริงๆ เพราะเธอกับพี่ชายคงไม่อยากเป็นพี่น้องกันเท่าไร ...นรกของพวกเธอคงหอมหวานน่าดู”

...นรกอีกแล้ว!

เขาจะรู้ตัวไหมนะว่ากำลังแช่งลูกชายตัวเองให้ตกนรก แต่ก็อย่างว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยอยากให้ผมตาย และต่อให้เขารู้ว่าผมเป็นลูกที่บังเอิญลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ เขาก็คงไม่ไยดีหรืออยากจะอ้าแขนรับผมหรอก หรืออาจจะเจ็บแค้นเลยก็ได้ที่ผมมันดื้อด้านเกิดมาจนได้ ทั้งที่เขาไม่อยากให้เกิด

จู่ๆ ขอบตาผมก็ร้อนขึ้นมา จนไม่สามารถทนมองหน้าเขาได้ ผมก้าวเท้ายาวๆ ออกมาจากตรงนั้นทันที มือก็ขยำรูปถ่ายจนเป็นก้อนกลมก่อนจะซุกมันลงไปในกระเป๋ากางเกง

“มีมารยาทหน่อยสิหนู ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ” เสียงเขาตะโกนตามหลังผมมา และมันใกล้มากด้วย “จะรีบไปไหน คุยกันก่อน” เขาคว้าแขนผม ความรู้สึกนั้นราวกับว่าถูกเชือกที่มีคมเหมือนมีดกรีดรัดข้อมือผมเอาไว้

“อย่ามายุ่งกับผม!” ผมสะบัดแขนอย่างแรง และมันคงแรงเกินไปด้วยซ้ำ เขาถึงทำหน้าตกใจแต่ก็ยังกำข้อมือผมอยู่ “ปล่อยมือผม!!”

“หนูจริงจังไปหรือเปล่า ฉันแค่จะคุยด้วยเฉยๆ” เขาพูดด้วยสีหน้าที่ยังไม่หายตกใจกับท่าทางที่ร้อนเป็นไฟของผม แต่มือก็ยังจับแน่นอยู่ที่ข้อมือของผมเหมือนเดิม

“ผมไม่อยากคุยกับคุณ” ผมผ่อนเสียงลง เพราะกลัวตัวเองจะเผลอทำพิรุธให้เขาสงสัยว่าทำไมถึงได้เดือดขนาดนี้ “แล้วก็ปล่อยมือผมได้แล้ว ผมจะกลับบ้าน” ตอนนี้ก็มืดแล้วด้วย

“ฉันว่าเธอต้องการความช่วยเหลือนะ” ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จนได้ฟังประโยคต่อมาของเขา “เธอโดนพี่ชายข่มขู่หรือเปล่า ถ้าเธออยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอกได้นะ”

“ผมไม่มีอะไรให้คุณช่วยทั้งนั้น แต่ถ้าคุณอยากช่วยก็ช่วยปล่อยมือผมได้แล้ว” แล้วเขาก็ยอมปล่อยมือผม

“เธอไม่คิดว่าสิ่งที่เธอกับพี่ชายทำมันผิดหรือไง” แต่เขาก็ยังอยากจะวุ่นวายกับชีวิตผม

“ผมกับคุณยะรักกัน ไม่ใช่เรื่องผิด” ผมจ้องหน้าผู้ชายที่ไม่มีส่วนไหนบนใบหน้าที่ผมเอามาจากเขาเลย ลองบอกใครว่าผมเป็นลูกเขา รับรองว่าไม่มีใครเชื่อหรอก

“ฉันว่ามันผิดน่ะ”

“ไม่ผิด!” ต่อให้เขาไม่รู้ความจริงว่าผมกับคุณยะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ผมก็โกรธเขาที่ยังพูดใส่ร้ายความรักของผมกับคุณอย่างผิดๆ จากความไม่รู้ของเขาเอง

“เอ้า ไม่ผิดก็ไม่ผิด” เขายกมือยอมแพ้

“แล้วนี่เธอมาทำอะไรที่นี่ ค่ำมืดแล้วยังไม่ยอมกลับบ้าน” ครั้งนี้เขาถามแบบผู้ใหญ่ที่ไม่หาเรื่องเด็กอย่างผมแล้ว

“ก็กำลังจะกลับ” ผมพูดไม่มีหางเสียง แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะที่พูดจากับคนที่อยู่ในฐานะพ่อไปแบบนั้น

“ให้ฉันไปส่งไหม” เขาถาม

“ไม่ต้อง... ครับ” พูดให้มีหางเสียงกับเขาหน่อยก็ได้ อย่างน้อยเขาก็คือพ่อ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าผมเป็นลูกก็ตาม “ผมขึ้นแท็กซี่กลับเองได้ครับ”

“งั้นก็กลับดีๆ ล่ะ ขึ้นแท็กซี่ก็อย่าเอาแต่เล่นมือถือ เดี๋ยวนี้อันตรายมันเยอะ มีทั้งจี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน บางทีมันก็ไม่เว้นหรอกนะว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” เตือนซะผมไม่อยากขึ้นแท็กซี่เลย แต่ก็ดูจะหวังดีกับผมไม่น้อยเลย ถ้าไม่มีประโยคหลังๆ ตามมาอีก “หน้าตาน่ารักแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเธอ พี่ชายเธอมีหวังได้เป็นบ้าตายแน่ อ้อ...ฝากบอกพี่ชายเธอด้วยล่ะ ให้ทำบุญมากๆ เผื่อว่านรกจะได้ตื้นขึ้น”

ปากเขานี่จริงๆ เลย!

“ผมจะทำเผื่อคุณด้วย!” พูดจบผมก็หมุนตัวเดินออกมาทันที พร้อมกับความรู้สึกว่านรกกินกบาลผมไปมากแล้วแน่ๆ

เอาจริงๆ เลยนะ ครั้งที่ผมพูดไม่ดีกับคุณยะตอนที่ยังไม่รู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของตัวเอง ผมยังไม่รู้สึกว่านรกจะกินกบาลได้เท่ากับตอนนี้เลย

...ผมขอโทษนะครับ

ก็ได้แต่ขอโทษเขาเบาๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 28-29 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 23:10:57
ตอนที่ 29

“ทำแบบนี้ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย”

คำถามที่ถูกเอ่ยออกมาดึงผมให้เอาสายตากลับเข้ามาในร้าน coffee – day หลังจากที่เอาแต่มองผ่านกระจกใสออกไปนอกร้าน เพื่อมองหาใครบางคนที่ไม่ว่าจะมานั่งที่นี่เป็นเดือนๆ แล้วก็ยังไม่เห็นเขาผ่านมาแถวนี้แม้แต่ครั้งเดียวเลย

ผมไม่ได้อยากเจอคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดครึ่งหนึ่งในตัวผม ก็แค่อยากจะเห็นเขาผ่านเข้ามาในสายตา จะได้บอกย้ำกับตัวเองว่าคนคนนี้คือพ่อของผม เชื่อไหมว่าวันที่รู้ความจริงว่าเขาเป็นพ่อ กลับบ้านไปผมก็นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์จนถึงเช้า ไม่หลับไม่นอนเพราะเอาแต่เชิร์ทหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน รวมทั้งเรื่องวงศาคณาญาติของเขาด้วย หาเท่าที่โลกอินเทอร์เน็ตจะบอกผมเกี่ยวกับตัวเขาได้

ที่ผมได้มาคือเขายังโสด มีข่าวว่าเคยคบหากับดาราสาวสองสามคนได้มั้ง ซึ่งก็ไม่เยอะเลยเมื่อเทียบกับคุณยะ ไม่เคยมีข่าวกับผู้ชายด้วย เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยของไทย แล้วไปต่อปริญญาโทที่อเมริกา เขามีน้องสาวที่แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว มีหลานหญิงชายสองคน ส่วนเขาก็ยังไร้วี่แววว่าจะแต่งงาน และอนาคตก็จะรับช่วงบริหารโรงแรมต่อจากบิดาที่ใกล้เกษียณเต็มทีแล้ว ก็พ่อของเขาอายุเท่าคุณปู่ของผมเลย 

“กลับกันเถอะ” ดีนชวนผมกลับ หลังจากที่เพิ่งพูดไปไม่ถึงสิบนาที

“ดีนกลับไปก่อนเลย เราอยากจะอยู่ต่ออีกนิดหนึ่ง” วันนี้เป็นวันแรกที่ดีนตามมานั่งรอเขาคนนั้นกับผม เมื่อวานตอนเย็นดีนชวนผมไปดูหนังฉลองสอบไฟนอล ผมก็เผลอบอกดีนไปว่าไม่ว่างเพราะต้องมาเฝ้าพ่อ เจ้าตัวเลยเป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่รู้เรื่องพ่อของผมว่าเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมสยาม ชโยดม

“แต่นี่มันจะทุ่มแล้ว” ดีนก้มดูนาฬิกาบนข้อมือ พลางเก็บหนังสือการ์ตูนที่ออกไปซื้อมาเมื่อตอนเที่ยงเพื่ออ่านฆ่าเวลาใส่กระเป๋าเป้

“สองทุ่มค่อยกลับ” ผมบอก เป็นเวลาประจำที่ผมยอมเดินออกจากร้าน พร้อมกับความผิดหวังเล็กๆ ที่ไม่เจอเขา “ดีนกลับไปเลย ไม่ต้องรอเรา” ไม่น่าให้ดีนมาด้วยเลย ผมนั่งเงียบๆ คนเดียวยังจะสบายใจกว่า ไม่ต้องมีใครมากวนใจและชวนกลับทุกสิบนาที

“ไม่ได้สิ มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน” ดีนดึงการ์ตูนเล่มที่ยังอ่านค้างไว้ออกมาจากกระเป๋าเป้อีกรอบ “ว่าแต่จะไม่บอกเขาจริงๆ เหรอว่าพีเป็นลูกเขา”

“ไม่” ผมส่ายหน้า เจอคำถามแบบนี้ของดีนมาสิบกว่ารอบแล้วมั้ง

“ทำไมล่ะพี เป็นดีนนะ ดีนเดินไปบอกเขาตั้งแต่วันแรกที่รู้ความจริงแล้ว”

ผมถอนหายใจเอาความรู้สึกหน่วงๆ ออกไปจากอก

“เรากลัว” มันมีหลายเหตุการณ์ที่ผมกลัวว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ผมเดินไปบอกเขาว่า... ผมเป็นลูก

“พีกลัวอะไร”

“หลายอย่าง”

“เอามาสักอย่าง” ดีนวางการ์ตูนลง เท้าคางรอฟังคำตอบของผม หน้าตานี่คือเริ่มรำคาญหน่อยๆ แล้ว

“กลัวเขาจะไม่เชื่อว่าเราเป็นลูกเขา” เพราะผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเป็นพ่อของผม หลักฐานก็มีแค่คำพูดของพี่เลม่อนกับรูปถ่ายที่บอกว่าครั้งหนึ่งคุณยะกับเขาคนนั้นเคยสนิทกัน บวกกับคำพูดหนึ่งของคุณยะเมื่อปีที่แล้วตอนเจอเขาที่รีสอร์ต ก็ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าเขาเป็นพ่อของผมตามที่พี่เลม่อนบอกหรือเปล่า

‘ห่วงลูกของมึงที่ไม่มีโอกาสเกิดมาดูโลกเถอะ’

จะเป็นแค่คำพูดประชดหรือประโยคความจริง ผมก็ไม่มีทางรู้ แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะที่เด็กคนนั้นไม่ได้โชคดีเหมือนผม บางทีคุณชลัชอาจจะทำผู้หญิงท้องและไม่รับผิดชอบจริงๆ แล้วเธอคนนั้นก็ทำแท้งลูกของเธอกับเขาไปแล้ว คุณยะถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา

“เขาไม่เชื่อก็ตรวจดีเอ็นเอสิ จะยากอะไร”

“ถ้าตรวจแล้วไม่ใช่ล่ะ” ผมนึกไม่ออกเลยว่าตอนนั้นผมจะรู้สึกอย่างไร จะกล้าสู้หน้าเขาที่ถูกผมกล่าวหาว่าเป็นพ่อหรือเปล่า

“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ” ดีนก็พูดง่าย เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

“แล้วถ้าใช่ล่ะ” คือเรื่องที่ผมกลัวมากกว่าเรื่องที่ผมไม่ใช่ลูกของเขาซะอีก หากเป็นเรื่องจริง ผมเป็นลูกของเขา ผมอาจจะต้องไปจากครอบครัวตรัยธาดา ยิ่งกว่านั้นผมก็กลัวเขาจะใช้สิทธิ์ความเป็นพ่อขัดขวางความรักของผมกับคุณยะ เนื่องจากเขาไม่ชอบคุณยะ และคุณยะก็ไม่ชอบเขาด้วย

“ถ้าใช่ พีก็จะได้มีพ่อ”

“เราไม่อยากมีพ่อ” ผมสารภาพ ถ้าการมีพ่อแล้วทำให้ผมต้องไปจากครอบครัวตรัยธาดา ผมก็ไม่อยากมีพ่อหรือแม่หรอก

“เรื่องมากว่ะพี” ดีนเริ่มหงุดหงิด “งั้นก็กลับสิ ไม่ต้องมานั่งรอเหมือนอยากเจอพ่อหรอก”

“หงุดหงิดทำไมล่ะเนี่ย” ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ อยากบอกนักเชียวว่าผมไม่ได้ขอร้องให้มาด้วยสักหน่อย ตัวเองอยากขอมาด้วยเองนะ

“โทษที” ดีนมองหน้าผมอย่างขอโทษ แต่ยังไม่เลิกบ่นปนด่าผม “แต่พีทำตัวน่ารำคาญไง กลัวเขาไม่รับเป็นลูก บอกว่าไม่อยากมีพ่อ แต่ก็มานั่งไร้สาระอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน”

“ก็เราพอใจไง” ผมก็เคืองขึ้นมาหน่อยหนึ่งที่โดนดีนว่า

“เอาจริงๆ พีกลัวอะไรกันแน่” ดีนปักหลักตั้งคำถามกับผมใหม่ “พีกลัวความจริงที่ว่า...เมื่อก่อนคุณยะของพีเคยรักกับแม่ของตัวเองใช่ปะ” ดีนจะเดาเก่งเกินไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้นะครับว่าผมกับคุณยะกลับมาคบกันอีกครั้ง ดีนยังเข้าใจแค่ว่าผมตัดใจจากคุณยะไม่ได้ และแผนนัวเนียเพื่อประชดคุณยะคืนนั้นก็ไม่ได้ผล


“อืม” ผมยอมรับ

มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ยิ้มได้ซะหน่อย ถ้ารู้ว่าครั้งหนึ่งคนที่ผมรัก เขารักแม่ของผม และที่เขารักผม จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขารักผมจริงๆ ไม่ใช่เห็นผมเป็นตัวแทนของคนที่เขารัก

ผมรู้ตัวว่าไม่ควรคิดมาก แต่มันอดคิดไปในแง่ร้ายไม่ได้เลย ดังนั้นไม่รู้มากไปกว่านี้ซะดีกว่า ผมอยากอยู่เฉยๆ กับความจริงเพียงไม่กี่อย่าง รู้เท่าที่ผมอยากรู้ จะได้ไม่ต้องเจ็บไปเสียทุกทาง เพราะการไปเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่ต้องการผม แล้วบอกว่าผมเป็นลูกเขา หากเขาไม่เชื่อก็เจ็บปวด หากเขาเชื่อ เขาก็จะเอาตัวผมไป จากนั้นผมก็ต้องมารับรู้ว่าใครเป็นแม่ของผม หน้าตาของเธอสวยขนาดไหน ถึงกลายเป็นคนที่คุณยะเคยรัก แล้วถ้าเธอกลับมา ผมก็กลัวคุณยะจะเปลี่ยนใจไปจากผม

เฮ้อ... ผมยังไม่เห็นทางไหนที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้เลย นอกจากอยู่เฉยๆ ไปแบบนี้แหละ ไม่ต้องออกไปแสดงตัวให้เจ้าของสายเลือดยอมรับว่าผมคือลูก ทุกวันนี้ผมก็มีความสุขมากพอแล้วกับครอบครัวตรัยธาดา มีทั้งคุณปู่คุณย่า อานุ อาภา หลานทั้งสามคน และก็คุณยะ...คนสำคัญ คนที่เป็นความรักของผม

“ทำใจเถอะพี ดีนว่า...” เจ้าตัวดูดชาเขียวอีกอึกใหญ่ ถึงจะขยับปากพูดต่อ แต่ผมว่าไม่พูดจะดีกว่านะ “...คุณยะเห็นพีเป็นตัวแทนแน่นอน”

“...” ย้ำจัง

“ถ้าลูกเจ้าของโรงแรมนี่เป็นพ่อของพีจริงๆ แสดงว่าพีต้องหน้าตาเหมือนแม่ล้านเปอร์เซ็นต์” คิดผิดจริงๆ ที่ยอมให้ดีนมาด้วย ไม่คิดจะให้กำลังใจผมเลย

“เราว่าดีนกลับไปเถอะ” อยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่ทำให้ผมจิตใจห่อเหี่ยว ทั้งที่ผมพยายามจะคิดเรื่องนี้ให้น้อยลงแล้วนะ

“พูดความจริงก็โกรธหรือไง” เจ้าตัวว่า แล้วก็กลับไปดูดชาเขียวจนหมดแก้ว จากนั้นก็ลุกเดินไปที่เคาน์เตอร์ น่าจะไปสั่งขนมกับเครื่องดื่มเพิ่มนั่นแหละ

พอกลับมานั่งที่เดิมก็ตั้งหน้าตั้งตาพูดบั่นทอนจิตใจผมต่อ

“ดีนอยากรู้ว่ะพี” ดีนทำหน้าจริงจัง แต่มือก็ก็ยังตักเลม่อนพายที่เหลือคำเดียวเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ปากว่างพอที่จะยิงคำถามที่ผมยากจะตอบ “ทำไมพีถึงรักเขา แล้วรักเข้าไปได้ยังไงในเมื่อตอนแรกเขาเป็นพี่ชายพี”

เจอคำถามนี้เข้าไปเค้กส้มบนจานของผมจืดสนิทไปเลย

“จะว่าเราผิดปกติใช่ไหม”

“ประมาณนั้น”

“เราอาจจะผิดปกติกว่าที่ดีนคิดก็ได้ เพราะภายในครอบครัวของเรา คุณยะเป็นพ่อ ไม่ใช่พี่” ดีนทำตาโตเลย

“จริงปะ ? ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม” 

“จะล้อเล่นเพื่อ”

“ทำไมเป็นงี้ล่ะ” เมื่อดีนถาม ผมก็จะตอบ ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว

“คุณปู่คุณย่าบอกว่าที่ไม่ให้คนนอกรู้ว่าเราเป็นลูกของคุณยะ เพราะคุณยะจะถูกมองไม่ดีที่มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ซับซ้อนว่ะ”

ผมเห็นด้วยกับดีนนะ ตอนเด็กก็เคยงงเหมือนกัน ทำไมถึงบอกใครไม่ได้ว่าคุณยะเป็นพ่อ แต่พอคุณปู่คุณย่าอธิบายให้ฟัง ผมก็เข้าใจ เพราะต่อให้คุณยะเป็นพ่อหรือพี่ชาย ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากที่เป็นอยู่ เขาก็ยังห่างไกลจากผมอยู่เหมือนเดิม เฉพาะตอนนั้นนะ เพราะตอนนี้ไม่แล้ว

“บอกตั้งแต่แรกว่าพีเป็นลูกหลงจะไม่ง่ายกว่าหรือไง” ดีนสงสัย ผมก็สงสัยเหมือนกัน เพียงแต่ข้อสงสัยนี้ผมไม่กล้าเอาไปถามคุณปู่คุณย่า ถามไม่ได้เด็ดขาด ขืนถามความก็แตกสิว่าผมรู้ความจริงหมดแล้ว

“แล้วมันเป็นไงวะพี ไอ้ความรู้สึกที่แอบรักแอบชอบพ่อตัว” ผมว่าดีนจะเหมือนปาลินเข้าไปทุกวันแล้วนะ ตั้งคำถามได้ตลอด ที่ผมไม่อยากบอกเรื่องพวกนี้กับปาลินเพราะไม่อยากตอบคำถามที่ไม่อยากตอบ คิดว่าจะรอดแล้วนะ ดันมาเจอดีนอีกจนได้

“ไม่รู้สิ” เรื่องความรู้สึกมันอธิบายอยากนะ

“ต้องรู้สิ” ดีนก็ยังเซ้าซี้จะเอาคำตอบให้ได้

“ก็...” ผมถอนหายใจก่อนตอบ ดีนจะได้เลิกเซ้าซี้เสียที “เราไม่เคยรู้สึกเลยว่าคุณยะเป็นพ่อ” เมื่อเทียบกับตอนที่พี่เลม่อนบอกว่าคนในรูปคือพ่อของผม และตอนที่เขาลงจากรถมาหาเรื่องผม ผมยังรู้สึกถึงความเป็นพ่อออกมาจากร่างกายของคุณชลัชมากกว่าคุณยะซะอีก (ถึงแม้ตอนแรกที่ผมเจอเขาที่รีสอร์ต ผมจะไม่รู้สึกถึงสายเลือดและความผูกพันเลยก็ตาม)

“อ้าว ? ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นพ่อ แล้วรู้สึกว่าเขาเป็นอะไร”

“ตอนเห็นเขาผ่านจอคอมฯ ก็เหมือนเห็นของเล่นที่อยากได้มากๆ มั้ง คิดแต่ว่าสักวันของเล่นชิ้นนี้ที่อยู่ในจอจะต้องเป็นของเรา พอโตขึ้นก็เริ่มรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ของเล่น แต่เราก็ยังอยากจะได้เขามาเป็นของเรา และยิ่งเขาไม่สนใจเรา ทำเฉยเมยใส่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าจะต้องเอาชนะเขาให้ได้ ทำให้เขาหันมาสนใจเราให้ได้ อะไรทำนองนี้แหละ”

“เฮ้อ... งงเข้าไปอีก”

“ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเข้าใจเลย ไม่ใช่เรื่องของดีนซะหน่อย” ผมว่า พลางรับแก้วเครื่องดื่มที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ เพราะดีนน่าจะสั่งมาให้ผมด้วย ส่วนเจ้าตัวนั้นดูดชาเขียวปั่นแก้วใหม่ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ไม่ใช่เรื่องของดีนก็เหมือนใช่นั่นแหละ” เจ้าตัวว่า พร้อมกับมองหน้าผมด้วยสายตาหวานๆ ทั้งที่หลายนาทีก่อนยังทำท่ารำคาญผมอยู่เลย “...เพราะดีนกำลังจีบพีอยู่นะ เรื่องของพี ดีนก็อยากจะรู้ให้มากที่สุด”

“แต่เมื่อกี้ยังทำหน้ารำคาญเราอยู่เลยนะ” ผมแซว เจ้าตัวหัวเราะคำพูดผมทันที

“เป็นตัวของตัวเองให้พีเห็นตั้งแต่ตอนจีบไง รู้สึกยังไงก็แสดงออกมาเลย พอเป็นแฟนกันแล้วพีจะได้ไม่หาว่าดีนเปลี่ยนไปไง”

“ตรรกะอะนะ” ผมส่ายหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของดีน ก่อนก้มตักเค้กชิ้นใหม่ที่ดีนสั่งมาให้เข้าปาก เค้กที่นี่อร่อยมาก ทำให้การเฝ้ารอของผมไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก อย่างน้อยก็มีความหวานหอมของเค้กคอยปลอบประโลมจิตใจ

แต่ก็นั่นแหละ ของทุกอย่างย่อมมีสองด้าน เค้กอร่อยก็จริง นั่งกินจนเพลิน วันหนึ่งผมกินเค้กไม่ต่ำกว่าสามชิ้น เครื่องดื่มอีกล่ะ ความอร่อยแสนหวานที่ตามมาด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น มันเพิ่มขึ้นจริงๆ นะครับ คุณยะยังทักเลยว่าผมอ้วนขึ้น

“อ้าว...น้อง โลกกลมชะมัด ไม่คิดว่าจะเจอน้องที่นี่” เสียงที่ดังใกล้เข้ามา ผมรู้สึกว่าคุ้นอย่างประหลาด รวมทั้งคำเรียกขานนั้นด้วย พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเจ้าของคำทักทายที่ผมจำได้ทันทีว่าเป็นใคร

“สวัสดีครับพี่” ผมยกมือไหว้เขา ส่วนเขาก็ยกมือไหว้ผมแทบไม่ทัน คงไม่คิดว่าผมจะไหว้เขาละมั้ง “แล้วพี่มา...”

ผมค้างคำถามไว้เท่านั้น คำที่เหลือหลุดออกจากริมฝีปากมาไม่ได้ เพราะคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างพี่คนนี้ทำให้ผมต้องปิดปากอย่างรวดเร็ว

...พ่อ

ในที่สุดความบังเอิญก็มีจริง แม้จะเป็นความบังเอิญที่มาจากความตั้งใจของผมก็ตาม

“น้องชาย...คุณยะนี่เอง”

ผมคิดว่าเขาจงใจยั่วผมน่ะ อยากปาความจริงใส่เขาให้รู้แล้วรู้รอด จะได้เลิกกล่าวหาความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะซะที

“ช่วงนี้มาบ่อยนะ เห็นมาทุกวัน”

อยากจะเถียงกลับไปว่า ผมไม่ได้มาทุกวันซะหน่อย เขาจะมาเห็นผมทุกวันได้ยังไง แต่ก็สะดุดตรงที่เขาบอกว่า ‘เห็นผม’ นี่แหละ

เขาเห็นผมมาที่นี่ด้วยเหรอ ?

หรือเขาแค่พูดมั่วๆ แต่ดันใกล้เคียงความจริง

“มีอะไรกับฉันหรือเปล่า ?”

คำถามของเขาทำให้ผมใจสั่นขึ้นมาทันที กลัวว่าเขาจะฉลาดจนเดาเรื่องทุกอย่างออก เพราะถ้าผมหน้าเหมือนแม่ ใบหน้าของผมก็คงจะสะกิดใจเขาบ้าง

“...” ใจสั่นจนหาเสียงตัวเองไม่เจอแล้ว ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จะพูดก็พูดไม่ได้ เพราะไม่รู้จะงัดเอาคำโกหกไหนมาตอบเขา สมองผมรวนไปหมดแล้ว

“เพื่อนผมชอบเค้กร้านนี้” และเป็นดีนที่ช่วยผมไว้ทัน

เฮ้อ...เพิ่งเห็นข้อดีของการมีดีนมานั่งเป็นเพื่อนก็ตอนนี้แหละ

“อร่อยกว่าที่พุฒิธาดาอีกงั้นเหรอ” เขาแกล้งรวนผมอีกแล้ว “ถ้าฉันเป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ที่นั่นคงเสียใจแย่ที่น้องชายเจ้าของโรงแรมมากินเค้กถึงที่นี่ เพราะอร่อยกว่าที่นั่น ทั้งที่ออกจะเป็นร้านดัง” ก็จริงอย่างที่เขาว่า ร้านเบเกอรี่ที่พุฒิธาดาเป็นหนึ่งในสามร้านดังตลอดกาลเชียวนะ ถึงเค้กที่นี่จะอร่อยมากก็ตาม แต่ที่พุฒิธาดาชนะเลิศกว่า

แต่ว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น!

มันอยู่ที่คำพูดของเขามากกว่า นี่ขนาดเขายังไม่รู้ว่าผมเป็นลูกที่เขาไม่ต้องการ เขายังฟาดฟันผมด้วยคำพูดร้ายกาจขนาดนี้ ไม่สนว่าผมจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ฝีปากยังสู้คนอายุมากกว่าไม่ได้ ถ้าเขารู้ว่าผมเป็นลูก ปากของเขาจะทำร้ายผมได้มากขนาดไหนกันนะ คุณยะว่าร้ายแล้วก็สู้เขาคนนี้ไม่ได้เลยจริงๆ

“ดีนกลับเถอะ” ผมหันไปบอกดีน พยายามข่มความหงุดหงิดไว้สุดฤทธิ์ ไม่อยากตอบโต้ให้ตัวเองต้องมานั่งเสียใจทีหลังที่พูดไม่ดีกับบุพการี ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพ่อผมจริงๆ ก็เถอะ

ดีนรีบเก็บการ์ตูนใส่กระเป๋าทันที ส่วนคนที่เดินเข้ามาทักผมคนแรกนั้น ตอนนี้ถอยไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังเจ้านายของตัวเองแล้ว ผมเดาเอานะว่าต้องใช่แน่ๆ เพราะเขาซื้อรีสอร์ตของคุณแก้วไปแล้ว ก็มีสถานะเป็นนายจ้างของพนักงานของที่นั่นทุกคน

“ไปพี” ดีนลุกขึ้นและคว้าแขนผมลุกเจ้าเก้าอี้ พาเดินไปที่เคาน์เตอร์ของร้านเพื่อจ่ายค่าน้ำและขนม

ผมให้ดีจ่ายให้ก่อนเพราะยังไม่มีอารมณ์อยากจะล้วงกระเป๋าตังค์ออกจากกระเป๋าเป้ เนื่องจากเจ้าของคำพูดร้ายกาจยังเดินตามผมมา ดูเขาตั้งใจหาเรื่องผมเต็มที่เลย เหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็กก็ไม่ปาน

“ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ ลืมพกมารยาทมาด้วยหรือไง หรือที่บ้านไม่ได้สอนว่าควรปฏิบัติยังไงกับคนที่อายุมากกว่า”

“อ้าวลุง!” ดีนหันมาทันที เสียงขุ่นจัดตามสไตล์เด็กหลังห้อง หลังจากยื่นแบงค์พันสามใบให้พนักงานของทางร้านเรียบร้อย “ลุงอย่าลามปามเพื่อนผมสิครับ เป็นผู้ใหญ่ก็หัดมีมารยาทกับเด็กบ้าง ไม่อายพนักงานหรือไงที่เดินตามมากัดเด็กอยู่ได้”

“ดีน...พอ” ผมรีบห้ามดีน แล้วก็หันไปรับเงินทอนที่พนักงานวางบนถาดส่งมาให้ แต่ก็หยิบออกมาไม่หมดหรอก เหลือว่าให้เป็นค่าสถานที่ด้วยเพราะผมกับดีนยึดโต๊ะตัวนั้นไว้ตลอดตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ

“แล้วนี่ใคร ?”

แทนที่จะสะอึกหรือหน้าตึงกับคำพูดของดีนที่ไม่ให้เกียรติอายุที่มากกว่าของตน และอายุของเขาก็ไม่น่าจะเป็นลุงของดีนได้ เขากลับยิ้มอ่อนให้กับความเกเรของเด็กคนหนึ่ง

“แฟน ?” ปากเขาช่างหาเรื่องจริงๆ

“เพื่อนครับ” ผมตอบอย่างใจเย็นที่สุด

“เพื่อน ? แน่ใจ ?”

“จะเพื่อน จะแฟน หรือจะเอากัน มันก็ไม่เกี่ยวกับลุง” ดีนเป็นฝ่ายเดือดแทนผม

ผมไม่รู้ว่าเขากับคุณยะเกลียดกันมากขนาดไหน ทั้งสองถึงได้เอาความโกรธเกลียดนั้นมาลงกับผมคนเดียวเลย ผมว่าที่เขาพูดจาแบบนี้ใส่ผม เพราะเห็นว่าผมเป็นคนของคุณยะ...คนที่เขาเกลียด

“ไปกันเถอะ” ผมดึงแขนดีนออกมา กลัวจะเปิดศึกฉะกับเจ้าของโรงแรม แบบนั้นพวกผมก็มีแต่แพ้กับแพ้ เป็นเด็กแต่ดันไม่มีมารยาท ถึงคนเริ่มจะไม่ใช่พวกผมก็เถอะ

ดีนฮึดฮัดแต่ก็ยอมตามมาโดยดี จนเดินพ้นออกมานอกตัวโรงแรมแล้วนั่นแหละ ผมถึงปล่อยแขนอีกฝ่ายให้เดินเอง
.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 28-29 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 23:12:08

“หน้ามันกวนโอ๊ยจริงๆ ว่ะ” เจ้าตัวว่าอย่างมีอารมณ์ แต่ก็รีบขอโทษผมทันที เมื่อนึกได้ว่าคนคนนั้นเป็นพ่อผม “โทษทีที่ด่าพ่อของพี”

“เขาอาจจะไม่ใช่พ่อของเราก็ได้” แต่ใจผมนี่รู้สึกเกือบเต็มร้อยแล้วว่าเขาคือพ่อแท้ๆ ของตัวเอง

“ขอให้จริงเถอะ ไม่อยากให้พีมีพ่อแบบนี้เลยว่ะ ผู้ใหญ่อะไรหาเรื่องเด็ก ว่าแต่เขาดูเหมือนไม่ชอบพีเลย” ดีนยังไม่รู้ว่าคุณยะกับเขาเคยมีปัญหากัน “พีเคยไปทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า”

“ไม่เคย แต่เขาน่าจะเคยมีปัญหากับคุณยะ พอเห็นว่าเราเป็นน้องคุณยะเลยพานเกลียดไปด้วยละมั้ง”

“เข้าล็อก!” ดีนดีดนิ้ว แล้วพูดสรุป “สองคนนี้ต้องรักแม่ของพีทั้งคู่แน่ แล้วแย่งกันจีบแม่ของพี แต่สุดท้ายแม่ของพีก็เลือกพ่อของพี” ก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดเท่าไรหรอก

“คงงั้น”

“แท็กซี่มาแล้ว” พอเดินไปถึงถนน รถแท็กซี่ก็วิ่งมาจอดข้างผมกับดีน โดยที่ยังไม่ทันโบกเรียกด้วยซ้ำ “พีไปก่อนเลย เดี๋ยวเรารออีกคัน” ดีนบอก บ้านผมกับดีนอยู่คนละทางกัน เลยต้องนั่งคนละคัน

“ขอบใจ” แล้วก็หันไปบอกแท็กซี่ว่าให้ไปส่งที่ไหน

“แล้วพรุ่งนี้จะมาอีกไหม ?” ดีนถามตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ

“ไม่มาแล้ว” ช่วงนี้มาไม่ได้แล้วต่างหาก เขาบอกว่าเห็นผมทุกวัน ถึงเขาจะมั่วว่าผมมาทุกวัน แต่ผมก็อดคิดไม่ได้หรอกว่าเขาเห็นผมมาที่นี่บ่อยๆ อาจจะเห็นทุกครั้งที่ผมมาเลยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่ควรมาบ่อยๆ เพราะจะทำให้เขาสงสัยและตามหาความจริงก็ได้ว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมมาที่นี่

ผมกลัวเขาสืบเจอความจริงที่ผมไม่อยากให้เขารู้เลยจริงๆ

.

.

.

“คุณยะ...วันนี้มาได้หรือครับ” ผมแปลกใจที่เปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วเจอเขานั่งอยู่บนเตียง ทุกทีที่เขากลับมานอนกับผม เขาจะมาตั้งแต่ตอนค่ำ ไม่เคยสักครั้งที่จะมาเอาตอนเกือบห้าทุ่มแบบนี้ นี่ผมก็เพิ่งขึ้นจากสระเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเอง โชคดีเป็นบ้าที่เขาไม่เจอตอนผมแหวกว่ายไปมาอยู่ในน้ำนานสองนาน ไม่อย่างนั้นโดนบ่นจนหูชาแน่

เชื่อไหมว่า คุณยะเป็นผู้ชายที่ขี้บ่นเหมือนผู้หญิงเลย

“วันนี้ออกไปไหนกับใคร” เขาผิดปกติไป ไม่ตรงเข้ามากอดผมและกระซิบด้วยคำหวาน บอกว่าเขาคิดถึงผม เขาทำแค่ลุกขึ้นยืน ข่มให้ผมกลัวหน่อยๆ ด้วยความสูงใหญ่ของเขากับใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม และติดจะกรุ่นด้วยอารมณ์บางอย่างที่เขาดูจะระงับมันไว้อย่างที่สุด

“ไปกินเค้กกับปีครับ” เปลี่ยนจากดีนเป็นปาลิน เพราะคุณยะไม่ชอบดีนตั้งแต่วันที่ไปตามผมที่ผับแล้วเจอดีนกอดจูบผมนั่นแหละ แล้วพอมารู้ว่าเป็นคนสอนให้ผู้ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และให้ผมเล่นยา คุณยะก็ยิ่งไม่ชอบดีนเข้าไปอีก

เขาห้ามไม่ให้ผมคบกับดีน ผมก็รับปากนะ เพียงแต่ไม่ได้ทำตาม จะให้ผมเลิกคบดีนได้ยังไงในเมื่อดีนไม่ได้ผิดอะไร สิ่งที่ดีนยื่นให้ผม ก็เป็นเพราะผมเลือกที่จะรับมันมาเอง

“อย่าโกหกฉัน” เขาเสียงเข้มขึ้นและเต็มไปด้วยความโกรธที่ควบคุมไว้ไม่หมด ยื่นโทรศัพท์ให้ผมดูรูปที่อยู่ในนั้น รูปที่อยู่ในแชตไลน์ของเขากับพี่เลม่อน และมันเป็นรูปที่พี่เลม่อนน่าจะแคปมาจากเฟซบุ๊กของดีน เป็นรูปคู่ของผมกับเจ้าของเฟซฯ

ผมไม่น่าลืมเลยว่ามีคนชอบยุ่งกับชีวิตผม เพื่อทำให้ความรักระหว่างผมกับเขาพังลง

“ผมขอโทษครับ” ผมบอกเสียงเบา ยอมรับว่าตัวเองผิดที่โกหก

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกคบกับเด็กนั่น” เขาดึงโทรศัพท์กลับไป มองหน้าผมอย่างคาดโทษ

“แต่ดีนเป็นเพื่อนผม” ผมเถียงกลับเบาๆ กลัวเขาจะโกรธมากกว่าเดิม

“มีเพื่อนที่ไหนจะกอดจูบกันขนาดนั้น หลายครั้งแล้วนะพี” เป็นอีกครั้งที่เขายื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผม ครั้งนี้เป็นรูปแอบถ่ายของผมกับดีนในชุดนักเรียน “แล้วนี่ทำอะไรกัน อธิบายมาพี นี่มันกลางวันและในโรงเรียนนะ” 

ผมจำได้ว่าเหตุการณ์ในรูปเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว วันนั้นปาลินไม่สบาย ไม่มาเรียน ตอนเที่ยงผมเลยต้องนั่งอยู่คนเดียว แล้วดีนก็เข้ามานั่งคุยด้วย ที่จริงจะชวนผมไปสูบบุหรี่นั่นแหละ แต่ผมไม่ไป เจ้าตัวเลยเปลี่ยนใจและนั่งเป็นเพื่อนผม เรานั่งกันที่ม้าหินใต้ร่มไม้ แล้วผมก็เกิดเคืองตาขึ้นมา ไม่รู้ว่าขนตาหรืออะไรปลิวเข้าตาหรือเปล่า ดีนเลยช่วยดูให้ก็แค่นั้นเอง เหตุการณ์ไม่ได้เหมือนในรูปที่แอบถ่ายออกมาเลยสักนิด


รูปที่แอบถ่ายออกมาเหมือนผมกับดีนจูบกันเลย

“คุณยะก็น่าจะรู้นะครับว่ามันเป็นมุมกล้อง” ผมบอกอย่างใจเย็น รู้ว่าเขาโมโหที่ผมขัดคำสั่งเขา แถมเมื่อกี้ยังไม่ยอมบอกเขาไปตรงๆ ว่าวันนี้ไปกับดีนมา เขาเลยพาลไปเสียทุกอย่าง รูปแอบถ่ายที่เด็กปอสองมองยังรู้เลยว่าเป็นมุมกล้อง เขาก็ไม่น่าที่จะมองไม่ออก “พี่เลม่อนส่งให้คุณยะดูก็เพื่อจะให้โกรธพี ให้เราทะเลาะกัน แล้วก็เลิกกัน” ผมอธิบายเพิ่มเพื่อให้ความโกรธของเขาลดลง

“ฉันรู้” เขาดูจะใจเย็นลงมานิดหนึ่ง

“รู้แล้วทำไมถึงโกรธล่ะครับ คุณยะก็รู้ว่าน้องพีรักคุณยะคนเดียว ไม่อย่างนั้นน้องพีจะยอมอยู่แบบนี้หรือครับ” แล้วผมก็เดินเข้าไปกอดเข้า ซบใบหน้าลงบนอกเขาอย่างอ้อนๆ หูผมได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเขาชัดมาก มันเต้นแรงเพราะอารมณ์ที่ไม่ปกติ

“เธอไปทำอะไรที่โรงแรมนั่น” เขาจับไหล่ผมแล้วดึงตัวออกมา เขามองเข้ามาในตาผม “ไปที่สยาม ชโยดมทำไม”

“...” ผมเห็นทั้งความโกรธและหวาดกลัวในดวงตาสีราตรี มันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย กลัวเขาจะรู้ว่าผมรู้ความจริงเรื่องพ่อแล้ว กลัวเขาจะไล่ผมไปหาพ่อตัวเอง เพราะการที่ผมไปที่นั่นก็เหมือนว่าผมต้องการไปหาพ่อ กลับไปหาคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผม ซึ่งไม่ใช่ความจริงเลย ผมไม่ต้องการกลับไปอยู่กับคนที่ไม่อยากให้ผมเกิด คนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นลูกและยืนอยู่ตรงหน้าเขาถึงสามครั้ง

“บอกฉันมาพี เธอไปทำอะไรที่นั่น” เขาคาดคั้นเอาคำตอบ มือเขากำไหล่ผมแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บหน่อยๆ ผมแปลกใจว่าในรูปที่ดีนโพสต์แล้วถูกแคปมาให้เขาดู ไม่มีส่วนไหนที่บอกถึงความเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในโรงแรมสยาม ชโยดมเลย

“ไปกินเค้ก” ผมบอกความจริงไปแค่ครึ่งเดียว

“พีอย่าโกหก” เขาไม่เชื่อ

“ก็... ดีนชวนไปกิน” ชีวิตผมจะมีแต่คำโกหกหรือไงนะ ยิ่งโตผมก็ยิ่งโกหกมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ดีกว่าพูดความจริงแล้วทำให้ผมต้องไปจากเขา

“เธอไม่ได้ปิดบังอะไรฉันใช่ไหม”

“น้องพีไม่มีอะไรปิดบังคุณยะทั้งนั้น” ผมพยายามพูดให้เขาเชื่อ ถามเขากลับเพื่อให้เขาเข้าใจว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวลูกชายเจ้าของโรงแรมเลย “คุณยะโกรธพีหรือครับที่พีไปกินเค้กที่โรงแรมอื่น ไม่กินร้านเค้กที่โรงแรมของเรา” และก็ได้ผลมากทีเดียว

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับจะให้มันหอบเอาอารมณ์ที่ไม่ปกติของเขาออกไปให้หมด

“เปล่า” เขาเอ่ย

“แต่คุณยะเหมือนโกรธน้องพีเลย” ผมพยายามทำให้เขาเชื่อที่สุดว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยจริงๆ “ที่น้องพีไปกินเค้กที่ร้านนั้น เพราะดีนชวน บอกว่าเค้กที่นั่นอร่อยมาก น้องพีก็เลยต้องไปลองชิมว่าอร่อยมากจริงไหม”

“แล้วอร่อยไหมล่ะ” เขาเริ่มมีรอยยิ้ม ผมนี่โล่งอกเลย 

“อร่อยครับ” ผมรีบตอบ “แต่อร่อยสู้ร้านที่โรงแรมของเราไม่ได้” อันนี้จริงสุด

“งั้นเหรอ” รอยยิ้มเขาเริ่มเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเป็นประกายหวานเยิ้ม และมือที่ไล่ลงจากช่วงเอวของผมไปยังสะโพก “ฉันก็อยากกินเค้กอร่อยๆ เหมือนกัน”

...เค้กที่ไม่ใช่เค้ก นั่นแหละที่เขาหมายถึง

“พรุ่งนี้ไปกินสิครับ” ผมแกล้งทำไม่เข้าใจคำพูดและมือไม้ของเขาที่เปลี่ยนจากลูบแผ่วเบาเป็นขย้ำเป็นจังหวะเนิบช้า

“อยากกินเค้กก้อนนี้” ก้อนที่เขาโน้มใบหน้าลงมางับเข้าที่ปลายจมูก ก่อนเลื่อนลงมากัดริมฝีปากของผมอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับกำลังละเลียดอยู่กับครีมสีขาวของเค้กก้อนเดียวที่มีในโลก

“อึก...คุณยะ...” แค่โดนเขาหยอกเย้าที่ริมฝีปาก ความรู้สึกภายในร่างกายก็เหมือนจะลุกฮือขึ้นอย่างง่ายดาย “...ทำกันไหม” ผมเป็นเด็กใจกล้าจริงๆ

แต่นาทีนี้ผมต้องกล้า เพราะเราสองคนไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ากันมานานแล้วจริงๆ เนื่องจากถูกสองเด็กแฝดขัดขวางด้วยความใส่ซื่อเสียทุกครั้งเลย แต่ครั้งนี้ความใสซื่อของเด็กแฝดคงมาขัดขวางผมกับคุณยะไม่ได้แล้ว เพราะคืนนี้ทั้งคู่ไปนอนที่เรือนไทยของอาภา

“ยังต้องถามอีกเหรอ” เขายิ้มหวาน ดันผมให้ก้าวถอยไปด้านหลัง ไปชนกับเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนที่นอนนุ่มของตัวเอง โดยมีร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความต้องการไม่ต่างจากผมทาบทับลงมา จากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ร่างกายเรียกร้อง เสื้อผ้าถูกทอดทิ้ง ไร้ความจำเป็นในค่ำคืนนี้

ร่างเปลือยเปล่าของผมถูกจับพลิกให้คว่ำไปกับเตียงนอน สะโพกถูกยกขึ้นเพื่อให้นิ้วแกร่งที่ชุ่มเจลเนื้อใสสอดเข้าไปขยายช่องทางคับแคบให้พร้อมสำหรับฝากฝังสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเข้ามา

“พี... อยู่กับฉันนะ” เสียงแหบพร่าของเขากระซิบอยู่ชิดกับหูของผม ตัวตนร้อนจัดชำแรกเข้ามาอย่างช้าๆ ผิดจากที่เคย “...อย่าไปไหน”

“อือ...อะ...น้องพี...ไม่ไปไหน” ร่างกายผมสั่นสะท้านกับความแข็งกร้าวที่เข้ามาในช่องทางคับแคบของผมอย่างถึงที่สุดแล้ว

“ฉันรักเธอ” คำบอกรักของเขาทำให้หัวใจผมเต้นแรงเสมอ แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าคำบอกรักของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และเขาก็ยังย้ำคำพูดที่ไม่ต่างจากคำขอร้องซ้ำอีกครั้ง “...อย่าไปไหน”

ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าเขากำลังกลัวผมจะไปจากเขา หากผมรู้ความจริงว่าตัวเองเป็นลูกใคร เขากลัวว่าพ่อแท้ๆ ของผมที่เกลียดขี้หน้าเขาจะพรากเอาตัวผมไป

“น้องพีรักคุณยะ...น้องพีจะอยู่กับคุณยะ” ผมบอกเขาให้มั่นใจ ไม่มีทางที่ผมจะไปจากเขา “ต่อให้คุณยะไล่ น้องพีก็ไม่ไป...อะ...อื้อออ...” ผมถูกจับใบหน้าให้หันไปรับจูบหอมหวานที่เป็นเหมือนรางวัลสำหรับคำพูดที่ทำให้เขาพอใจ

“น่ารักแบบนี้ใครจะไล่ได้ลงคอ” เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ

“คุณยะไล่พีตั้งหลายครั้งแล้วนะ” ผมแกล้งเถียงกลับ แต่มันก็เป็นความจริงนะ

“ช่างจำเกินไปแล้ว” เขาว่าอย่างเอ็นดู

“ก็น้องพี...อะ...อืออ...” ผมขยับปากจะบอกว่าผมเป็นคนจำเก่ง ยิ่งเป็นคำบอกรักของเขา ผมก็ยิ่งจำได้ขึ้นใจ แต่พูดได้ไม่กี่คำก็ต้องหลุดครางออกมาแทน เพราะสะโพกสอบเริ่มขยับเข้าออกภายในช่องทางคับแคบนั้น

...แต่มันไม่เหมือนเดิม

ทุกครั้งที่มีอะไรกัน คุณยะจะไม่เชื่องช้าแบบนี้ หรือเขาไม่อยากทำ

“คุณยะ...ทำไมไม่ทำ...เหมือนเดิม...” ผมกลั้นใจถามออกไป ใจนี่เสียไปแล้ว “...ไม่อยากทำหรือครับ” เจอคำถามของผมเข้าไปเขาหยุดชะงักทันที ก่อนจะโน้มตัวลงมาหาผม

“กลัวน้องพีเจ็บ เลยต้องทำเบาๆ” ลมหายใจร้อนเป่ารดอยู่บนแก้มของผม มือลูบไล้ไปตามร่างกายผมอย่างทะนุถนอม เขาทำแบบนี้ทำให้ใจผมกลับมาดีเหมือนเดิม

“ทุกทีไม่เห็นกลัวเลย” ใส่ผมไม่ยั้งเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเห็นผมมีน้ำตา เขาก็ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหลไม่หยุด

“แต่ตอนนี้กลัวแล้ว” จมูกโด่งของคุณยะกดลงมาบนแก้มผม แช่ค้างอยู่อย่างนั้น พร้อมคำพูดแผ่วเบา “คุณยะกลัวทำให้น้องพีเจ็บ แล้วน้องพีจะหนีคุณยะไป”

“บอกแล้วว่าไม่หนีไปไหน ต่อให้ไล่ก็ไม่ไป” ผมยังยืนยันคำเดิม และเรียกร้องให้เขาทำแบบที่เคยทำมาตลอด “ทำเถอะครับคุณยะ น้องพีทนได้”

“ชอบความรุนแรงหรือไง” น้ำเสียงของเขาฟังดูมีความสุขมากขึ้นกว่าสามสี่ประโยคที่แล้ว

“ไม่ได้ชอบ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนเอ่ยป้อนคำหวานเอาใจเขา “แต่น้องพีรักคุณยะ อยากให้คุณยะมีความสุข คุณยะจะได้ไม่ไปกอดใครนอกจากน้องพีคนเดียว” คำหวานสำหรับเขา แต่ไอ้ที่ห้อยตามไปด้วยคือการขอร้องในแบบของผมเอง ไม่ขอตรงๆ หรอกแต่จะพูดให้เขาเห็นใจผมแทน

“ฉันไม่กอดใครแล้วนอกจากเธอคนเดียว”

“สัญญานะ” เวลานี้ผมก็ยังมีอารมณ์ยื่นนิ้วก้อยไปหาเขา เขาเกี่ยวก้อยกลับมาทันที

“สัญญา” เขายิ้ม หอมแก้มผม และสานต่อสิ่งที่ทำค้างไว้เมื่อครู่ ตัวตนร้อนจัดเริ่มเคลื่อนไหวในจังหวะที่ผมคุ้นเคยมาตลอด มันทั้งเจ็บ จุก อึดอัด เสียวซ่าน และมีความสุขปนกันไปหมด แต่ที่มากสุดคงเป็นความสุขที่ถูกเขาโอบกอดด้วยความรักในแบบที่เขาชื่นชอบ

ผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหน แต่ชอบทุกอย่างที่เขาทำกับร่างกายผม รุนแรงและอัดเต็มด้วยความต้องการในแบบของผู้ใหญ่

“อ๊ะ...!” ผมกรีดร้องยาวนานเป็นครั้งที่สอง และรับรู้ถึงสายน้ำอุ่นร้อนที่ฉีดพ่นอยู่ภายในช่องทางคับแคบของตัวเอง ร่างกายหนาชุ่มเหงื่อทิ้งทับลงมาบนตัวที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อไม่แพ้กันของผม

หัวใจของคุณยะเต้นรัวแรงไม่ต่างจากหัวใจของผม และผมชอบความรู้สึกตอนนี้ที่สุด เพราะได้สัมผัสทั้งตัวตนและหัวใจที่เต้นของเขา ราวกับว่าทุกอย่างของเขาเป็นของผมเพียงคนเดียว มีผมเพียงคนเดียวที่ได้เป็นเจ้าของเขา และผมเพียงคนเดียวที่ทำให้เขามีความสุขได้มากขนาดนี้

จนหายเหนื่อยบ้างแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงไปนอนข้างกายผม ดึงตัวผมพลิกกลับมาหาเขา

“พี” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อผม มันทั้งอ่อนโยนและเรียกร้อง

“ครับ...อืออ...” ริมฝีปากของเขาประกบจูบลงมา หวานเหมือนเดิม

“สัญญากับฉันนะว่าจะไม่ไปที่โรงแรมนั่นอีก” เขาเป็นฝ่ายขอคำสัญญาจากผมบ้าง สิ่งที่เขาขอบอกให้ผมรู้ว่าเขายังเป็นกังวลกับเรื่องที่ผมไปสยาม ชโยดม

“ครับ พีสัญญา” สัญญาแล้วก็ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ เพื่อให้เขาสบายใจ

เขายิ้มพอใจกับคำสัญญาของผม

“จำไว้เสมอนะพี ว่าฉันรักเธอ”

เป็นผมบ้างที่ยิ้มให้กับคำบอกรักของเขา

“ครับ”

ในเมื่อเขารักผม ผมก็จะทำให้เขาสบายใจ โดยจะไม่ไปที่สยาม ชโยดมอีก

.

.

.

แต่...

ใครจะคิดละว่าผมจะถูกดีนลากมาที่โรงแรมสยาม ชโยดมอีกจนได้ ทั้งที่รับปากคุณยะไปแล้วว่าจะไม่มาที่นี่อีก แต่วันนี้คุณยะบินไปภูเก็ตตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นว่าจะไปดูเกาะส่วนตัวที่เจ้าของซึ่งเป็นญาติกับเพื่อนคุณยะต้องการขายด่วนและคุณก็หาซื้อเกาะเพื่อทำโรงแรมในเครือพุฒิธาดาอยู่พอดีด้วย แว่วว่าเกาะที่นั่นน้ำทะเลสวยไม่แพ้มัลดีฟย์เลยนะ

แล้วอีกสองคุณยะถึงจะกลับ งั้นผมขอผิดคำพูดกับคุณยะวันหนึ่งละกัน แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ผมจะอยู่ในงานปาร์ตี้วันเกิดแฟนสาวของเก่งในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมสยาม ชโยดม

งานปาร์ตี้วันเกิดจัดในรูปแบบค็อกเทลครับ เน้นอาหารทานเล่นซะมากกว่า แต่ละเมนูทำมาเป็นชิ้นแบบพอดีคำ ไม่ต้องใช้ช้อนหรือส้อม เพราะทุกอย่างหยิบจับได้สะดวกด้วยไม้จิ้มอันเล็กๆ เท่านั้น ถึงจะเป็นเมนูทานเล่นแต่ถ้ากินทุกอย่างที่เจ้าของวันเกิดจัดมาให้แล้วละก็ ผมว่าอิ่มไม่ต่างจากอาหารจานหลักเลยนะ ยืนยันได้จากตอนนี้ที่ผมเริ่มอิ่มแล้วแต่ก็ยังยัดกุ้งบาบีคิวได้เข้าไปในท้องอยู่ ที่ผมเล็งต่อไปก็คงเป็นของหวานในช้อนกระเบื้องสีหวาน

ในงานไม่มีโต๊ะให้นั่งทานนะครับเพราะจะออกแนวยืนกินและยืนเต้นแบบมันๆ มากกว่า แต่ก็ยังมีโซฟาเดี่ยวให้ผมนั่งหลบมุมอยู่เงียบๆ คนเดียว ขณะที่ด้านหน้าผมเต็มไปด้วยเสียงเพลงและความสนุกสนานของทุกคนในงาน ยิ่งผมนั่งอยู่ในมุมที่เรียกว่าแทบจะลับตาคน เพราะซ่อนตัวเองไว้ในกลุ่มลูกโป่งที่ตั้งเรียงราย ผมก็ยิ่งเห็นคนในงานปาร์ตี้ที่มีไม่ต่ำกว่าห้าสิบคนอยู่ในอาการมึนเมาและเต้นกันสุดเหวี่ยงท่ามกลางแสงไฟสลัวแต่หลากสีสันจนคิดว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะตื่นขึ้นมาในสภาพไหนกันนะ

เฮ้อ... อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ผมเองก็ด้วย นั่งอยู่นี่ก็ใช่ว่าจะนั่งตัวตรงได้นะ ผมคอพับคออ่อนไปกับพนักโซฟาเหมือนกัน ตัวนี่อ่อนไปยันกระดูกละ

เอาตามตรงเลยถึงดีนจะไม่คะยั้นคะยอให้ผมกินตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ผมก็ใช่ว่าจะไม่หยิบขึ้นมาดื่มเอง เพราะว่าทั้งงานมีแต่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำเปล่าตั้งอยู่บาร์ไม่กี่ขวดเอง แถมยังมีพนักงานเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มไปทั่วงาน ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์หรือหยิบจับขึ้นมาชงเอง ทุกอย่างดูสะดวกสบายไปเสียทุกอย่าง หมดแก้วก็แค่เปลี่ยนแก้วใหม่ และผมเองก็ไม่ปฏิเสธที่จะหยิบมันขึ้นมาดื่มตามประสาวัยรุ่นทั่วไป

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 28-29 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 17-01-2019 23:13:09
“ว่าไง ยอมแพ้แล้วเหรอ” ดีนที่ผมเห็นนัวเนียอยู่กับผู้หญิงรุ่นพี่เมื่อหลายนาทีก่อนเดินกลับมาหาผม อยากจะบอกว่ามีแค่กลุ่มดีน (ห้าคน) กับผมเท่านั้นที่เป็นเด็กมัธยมปลาย ส่วนที่เหลือเป็นนักศึกษากันทั้งนั้น เพราะว่าแฟนของเก่งเป็นเด็กมหา’ลัยครับ 

ดีนเดินมาพร้อมกับแก้วค็อกเทลบรรจุน้ำสีหวานแต่ฤทธิ์เดชของมันนี่จัดจ้านต่างจากหน้าตาลิบลับ เจ้าตัวยื่นแก้วค็อกเทลให้ผม พอผมรับมาถือก็ทิ้งตัวลงนั่งบนที่วางมือ แขนก็พาดมาบนไหล่ของผม ปลายนิ้วของดีนเคาะเป็นจังหวะไปตามเสียงดนตรีที่ปกคลุมไปทั่วห้องจัดเลี้ยง

“ไม่ไหวแล้วดีน” ผมบอก แต่ก็ยังยกเครื่องดื่มสีสวยจรดริมฝีปาก ปล่อยให้ความเย็นและรสชาติถูกใจวัยรุ่นของมันไหลลงไปในคอ ทิ้งเพียงกลิ่นและรสชาติที่ยังคลุ้งอยู่ในอุ้งปาก

ผมก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ได้ลิ้มลองรสชาติของแอลกอฮอล์แล้วหลงใหลไปกับมัน ยิ่งอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ ที่สำคัญคือใจยังไม่แข็งแรงพอครับ ถ้าจะหยุดยกแก้วเครื่องดื่มได้ก็ต้องเดินออกไปจากเลี้ยงเท่านั้นแหละ

“กลับได้หรือยัง” ผมดูนาฬิกา ตอนนี้ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว ปาร์ตี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเลย จำนวนแขกก็ยังเท่าเดิมนะผมว่า

“ก็ว่าจะชวนพีอยู่เหมือนกัน ขี้เกียจมีเรื่องกับเพื่อนพี่พราว” ประโยคแรกดีอยู่นะ แต่ประโยคหลังนี่ จะมีเรื่องกับใครอีกล่ะเนี่ย

“อย่าซ่าน่าดีน รุ่นพี่ทั้งนั้นนะ” มีพวกเราหกคนที่เด็กที่สุด “เกรงใจพี่พราวด้วย เค้าอุตส่าห์ชวนเรามางาน เดี๋ยวจะทำงานเขาพัง หมดสนุกกันหมด”

ดีนบอกว่าพี่พราวกับผม ถ้าจะนับญาติกันก็ยังได้เลยนะครับ เพราะพ่อของเธอเป็นพี่ชายของสามีน้องสาวของคุณชลัช

งงกันไหม ?

เอาเป็นว่านับญาติกันได้ในกรณีที่ผมเป็นลูกชายของคุณชลัชก็แล้วกัน เพราะถ้าไม่มีคำยืนยันจากคุณยะว่าผมเป็นลูกของคุณชลัช หรือยังไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ความเป็นสายเลือดเดียวกัน ผมก็ยังมีโอกาสที่จะไม่เป็นลูกชายของเขา แม้เปอร์เซ็นต์จะน้อยนิดก็ตาม เพราะทั้งความรู้สึกของผมที่บอกว่าใช่ และตัวคุณยะเองที่ออกอาการอย่างมากที่รู้ว่าผมมาที่โรงแรมนี้

“รุ่นพี่ก็รุ่นพี่สิ คิดว่าดีนจะกลัวหรือไง” ดีนว่า พลางดึงตัวผมลุกจากโซฟา แล้วทิ้งตัวลงมานั่งแทนที่ผม จากนั้นก็ดึงตัวผมให้นั่งลงไปบนตัก

“ทำอะไร!” ผมตกใจที่ดีนจะดึงหน้าผมเข้าไปจูบ มือก็ยันหน้าเจ้าตัวเอาไว้ไม่ให้จูบปากผมได้สำเร็จ

“อย่าดิ้นสิ” บอกเสียงขุ่นแบบไม่พอใจ “ดีนแค่จะทำให้ไอ้เวรนั่นเห็นว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”

“หา ?” ผมงง

“ก็มันกับเพื่อนเล็งพีอยู่น่ะสิ”

“ไม่จริงมั้ง” ผมคิดว่าหน้าตาตัวเองไม่ได้โดดเด่นพอที่จะทำให้ใครนึกอยากจะเล็งผมหรอกนะ

“จริง!” หน้าตาดีนนี่จะงับหัวผมได้อยู่แล้ว “ลองมันเสนอหน้ามาหาพีนะ ดีนกระทืบมันแน่”

“พวกพี่เขาเป็นผู้หญิงนะ ดีนจะกระทืบผู้หญิงหรือไง” ผมปรามความเป็นนักเลงของดีน ที่แม้แต่ผู้หญิงก็คิดจะทำร้ายได้ลงคอ

“นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ยพี!” ดีนแทบจะตะคอกใส่หน้าผมแล้วมั้ง ผมว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายโดนกระทืบเสียก่อนละมั้ง ผมไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไป ดีนถึงได้ขึ้นขนาดนี้ “คิดว่าเป็นผู้หญิงมาชอบ ดีนจะหัวเสียหรือไง ที่หัวเสียอยู่เนี่ยเพราะมันเป็นผู้ชาย”

“ก็ไม่รู้ไง” ไม่คิดว่าจะมีผู้ชายมาชอบผมนี่นา 

“ตอนนี้รู้แล้วก็เอามือออกจากหน้าดีนซะที” ดีนสั่งเสียงขุ่น อารมณ์ไม่เย็นลงเลย “ดีนจะได้โชว์ให้พวกมันเห็นว่าพีเป็นแฟนดีน”

“จะทำไปทำไม” ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของดีน ทั้งที่ความจริงนี่ไม่ใช่ปัญหาเลยด้วยซ้ำ ก็แค่มีคนมาสนใจผม ผมไม่ได้สนใจตอบซะหน่อย 

“อย่าถามมากได้ปะ” มองผมตาเขียวละ แต่เสียงอ่อนลง “ดีนแค่ทำเหมือนจะจูบเท่านั้น ไม่จูบจริงหรอกน่า”

ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ไม่ยอมรวมมือเดี๋ยวดีนก็หงุดหงิดไม่เลิก ผมเอามือที่ยันคางดีนไว้ลงมาวางบนตักตัวเอง ปล่อยให้ดีนจับต้นคอผมกดให้โน้มลงมาหาใบหน้าของเขา ในมุมที่คิดว่าหากมีคนมองมาทางนี้ก็ต้องเห็นว่าผมกับดีนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม

ทั้งที่ความจริงก็แค่...

“อื้อออ...”

แม่ง!

ดีนจูบผมจริงๆ จูบแบบสอดลิ้นเลย กว่าผมจะทันรู้ตัวก็ถูกล็อกหน้าล็อกคอเอาไว้เรียบร้อย ดิ้นไม่หลุด กำมือทุบไหล่ทุบหลังดีนไม่รู้กี่สิบที อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระ จนเจ้าตัวพอใจแล้วนั่นแหละถึงได้ยอมปล่อยผม

“นี่มันไม่ใช่อย่างที่พูดแล้วนะดีน!” ผมฟาดมือใส่ตัวดีนไปอีกหลายที แต่เจ้าไม่ยักจะสะทกสะท้าน ผมไม่ได้ตกใจนะที่ดีนจูบผม เราเคยจูบกันแล้ว แต่โมโหมากกว่าที่ดีนบอกว่าจะทำเหมือนจูบ แต่เอาเข้าจริงก็จูบผมจริงๆ

“เอาน่า ดีนแค่เล่นให้สมบทบาท พวกนั้นจะได้เลิกสนใจพีไง” ดีนว่า

“งั้นกลับได้หรือยัง” ผมผ่อนอารมณ์ลง พยายามคิดว่าที่ดีนทำเพราะหวังดีไม่อยากให้รุ่นพี่พวกนั้นมายุ่งกับผม

“ได้” ว่าแล้วก็ดันตัวผมลุกขึ้น ก่อนลุกขึ้นตาม “แต่ไปโชว์ให้พวกมันดูอีกนิดหนึ่งก่อน”

ผมยังไม่ทันได้อ้าปากห้ามด้วยซ้ำ ดีนก็เอาตัวผมไปเต้นอยู่กลางห้อง พร้อมกับเครื่องดื่มในมือคนละแก้ว ผมจำต้องฝืนเต้นไปบ้าง แต่พอเต้นๆ ไปมันก็สนุกดี เสียงดนตรีที่ผมไม่ชอบเท่าไรก็คล้ายจะรื่นหูขึ้น มีเอ้กับต้นควงสาวสวยที่ส่วนเว้าส่วนโค้งโคตรชัดเจนมาก แต่ไม่เห็นเก่งกับอ้ายเลย

จนกระทั่งเครื่องดื่มในมือหมดเป็นแก้วที่สี่ ดีนถึงได้ดึงตัวผมไปหาพี่พราว พูดอะไรอยู่สองสามประโยคที่ผมไม่ได้ยิน เพราะเสียงดนตรีมันกลบหมด แถมสองคนนั้นก็พูดเหมือนจะกินหูกันเลย

ถึงหูไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนกระซิบกระซาบอะไรกัน แต่ผมก็เห็นพี่พราวหยิบเอาคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าใบเล็กสีส้มแต่ราคาแพงสุดๆ ยื่นให้ดีน ได้คีย์การ์ดมาดีนก็หันไปทางพวกพี่ผู้ชายที่ยืนถือแก้วเหล้าและสูบบุหรี่ไปด้วย แล้วชูคีย์การ์ดให้พวกนั้นดู ก่อนจะกอดคอพาผมออกมาจากงานปาร์ตี้

“หึ... ให้รู้ซะบ้างว่าของใครเป็นของใคร” พูดอย่างอารมณ์ดี เราสองคนเดินตามทางที่จะพาไปจบที่หน้าประตูลิฟต์

“ปล่อยได้แล้ว” ผมพยายามเอามือดีนออกไปจากไหล่ แต่ดีนก็ยังยื้อเอาไว้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย อีกอย่างผมก็เมามากแล้วด้วย ดีนกอดคอผมไว้ก็เหมือนช่วยประคองผมไปในตัว

“เล่นตัว” ดีนพึมพำเบาๆ เจ้าตัวก็เมาไม่ต่างจากผมเท่าไร ดีนดื่มเหล้าเก่งนะ แถมยังคอแข็งด้วย ตอนอยู่ในงานปาร์ตี้ผมเห็นดีนไม่ยอมปล่อยให้มือว่างจากเครื่องดื่มเลย ทั้งดื่มทั้งเต้น มีนัวเนียกับผู้หญิงด้วย ตั้งแต่เลิกกับมายด์ ผมก็ไม่เห็นว่าดีนจะคบกับใครอีกเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมหรือเปล่าที่ทำให้ดีนไม่สนใจผู้หญิงคนไหน แต่เรื่องนัวเนียตอนเมาเนี่ยมีแน่นอน

“กดขึ้นชั้นบนทำไม” ผมถามเมื่อเข้ามาในลิฟต์แล้วดีนกดปุ่มตัวเลขไปที่ชั้นยี่สิบ ไม่ใช่ล่างตามที่ควรต้องเป็น

“เมาแล้วขี้เกียจกลับบ้าน นอนนี่ละกัน พี่พราวให้อันนี้มาแล้วด้วย”

‘อันนี้’ ที่ดีนชูให้ผมดู คือคีย์การ์ดที่ผมเห็นพี่พราวหยิบออกจากกระเป๋ามาให้ดีน

“แต่เราไม่ได้บอกที่บ้านไว้นะว่าจะค้างที่นี่” วันนี้ผมขออนุญาตคุณปู่กับคุณย่า แต่ไม่ได้บอกหรอกว่างานปาร์ตี้จัดที่โรงแรมสยาม ชโยดม เพราะกลัวว่าท่านทั้งสองจะเผลอพูดให้คุณยะฟัง ถ้าคุณยะรู้ว่าผมมาที่นี่ทั้งที่รับปากเขาไว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะโดนโกรธขนาดไหน แถมยังมากับดีนอีกด้วย

“ก็โทรไปบอกสิจะยากอะไร” พูดง่ายตลอด

“แต่...” ผมจะค้าน แต่ก้มดูสภาพตัวเองแล้วก็คิดว่าค้างที่นี่น่าจะดีกว่า ขืนกลับไปสภาพนี้ถ้าคุณปู่คุณย่ายังไม่เข้านอน ท่านทั้งสองคงผิดหวังในตัวผมน่าดูเลย

สุดท้ายผมก็ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นยี่สิบ ผมก้าวตามดีนออกไป พลางกดโทรไปด้วย แล้วก็ยกขึ้นแนบหู ฟังเสียงรอสายไม่นานก็ได้ยินเสียงของอีกฝั่ง

“น้องพีใกล้ถึงแล้วหรือคะ” พี่วิภาถาม น้ำเสียงงัวเงียหน่อยๆ 

“เปล่าครับ”

“อ้าว ยังไม่กลับหรือคะ แต่ดึกมากแล้วนะคะ”

“คือพีโทรมาบอกว่าคืนนี้จะนอนที่คอนโดฯ ปีครับ พี่วิภาช่วยบอกคุณปู่กับคุณย่าด้วยนะครับ” เพราะผมไม่กล้าบอกเอง กลัวท่านได้ยินเสียงที่ผิดไปจากปกติ (เสียงคนเมาน่ะครับ) แล้วจะจับได้ว่าผมดื่มเหล้า เลยต้องโทรให้พี่วิภาบอกพวกท่านแทนผม

“คุณท่านทั้งสองเพิ่งเข้านอนไปเมื่อกี้เองค่ะ”

โล่งอกไปหน่อย

“ที่ไม่กลับมาเพราะดื่มเหล้าใช่ไหมคะ” พี่วิภาถาม คงรู้ได้จากเสียงคนเมาของผมนี่แหละ

“ครับ” กับพี่วิภาไม่มีอะไรต้องปิดแล้ว เพราะเจ้าตัวรู้ว่าผมดื่มเหล้า “งั้นแค่นี้นะครับ พี่วิภาไปนอนเถอะครับ”

“ค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะน้องพี”

“ครับ”

รับคำเสร็จผมก็ลดโทรศัพท์ลง กดวางสายแล้วก็ยัดกลับไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม เงยหน้าขึ้นมาก็เดินมาถึงประตูห้องที่ผมจะต้องนอนคืนนี้

“แล้วพี่พราวนอนไหนล่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย คิดว่าห้องนี้พี่พราวคงเปิดไว้นอนหลังปาร์ตี้จบ

“นอนกับเก่งไง”

“หา ?” ผมตาโตเลย คือถึงผมจะมีอะไรกับคุณยะตั้งแต่อายุยังไม่เต็มสิบหก และถึงแม้พี่พราวจะเป็นเด็กมหา’ลัย แต่ว่าการที่เจ้าตัวเพิ่งคบกับเก่งไม่ถึงสองสัปดาห์ (ดีนบอกอย่างนั้น) ก็จะนอนห้องเดียวกันแล้วนี่นะ เอาตรงๆ คือผมก็ไม่ได้โลกสวยมากพอที่จะคิดว่าเก่งกับพี่พราวจะนอนจับมือกันเฉยๆ หรอก

“ตกใจทำไม มีอะไรน่าตกใจ วิน-วินทั้งสองฝ่าย” ดีนหัวเราะ ตอนแรกเหมือนจะเสียบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้อง แต่ก็เปลี่ยนใจเดินเลยไปที่ประตูของห้องติดกันแทน ผมก็เดินตามไปด้วย

ดีนเคาะประตูห้องสองสามที แล้วหยุด สักพักประตูห้องก็เปิดออก คนที่เปิดประตูห้องออกมาคือเก่ง หน้านี่แดงก่ำเลย ผมคิดว่าไม่ได้แดงเพราะเหล้าที่กินเข้าไปหรอก แต่เพราะโกรธหรือโมโหอะไรสักอย่างมากกว่า


“อ้ายมันก่อเรื่องอะไรอีกวะ” ดีนถามเพื่อน

“เหมือนเดิมแหละ เมาแล้วงอแงจะเอาโน่นเอานี่” เก่งตอบอย่างเซ็งๆ

ผมได้ยินเสียงโวยวายเบาๆ ของอ้ายลอดออกมาด้วยแหละ

“ต้องให้กูช่วยจัดการไหม”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็หมดฤทธิ์เองแหละ”

“พี่พราวฝากมาให้” ดีนล้วงเอาคีย์การ์ดอีกใบออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้เก่ง “ถ้าไม่ลงไปที่งานอีก ก็เข้าไปกระดิกเท้านอนรอพี่พราวได้เลย เห็นบอกว่าอีกสักครึ่งชั่วโมงก็จะขึ้นมาแล้ว”

“ขอบใจ แล้วนี่...” เก่งมองหน้าผมนิดหนึ่ง แล้วก็หันไปยิ้มกับเพื่อนตัวเอง “...โชคดี” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็ถอยกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู

“เมื่อกี้ยิ้มทำไม” ผมเริ่มระแวง

“ปากไม่ได้มีไว้พูดอย่างเดียวนะพี ไม่รู้หรือไง” ดูตอบดิ “เอาน่าอย่าคิดมาก ดีนไม่ทำอะไรคนที่ไม่เต็มใจหรอก”

จะเชื่อได้ไหมเนี่ย แต่ที่ผ่านมาดีนก็ดีกับผมมากนะ หวังดีกับผมไม่ต่างจากปาลินเลย ถึงนิสัยจะต่างกันก็เถอะ

“ปะ เข้าห้อง” ดีนดันตัวผมกลับไปที่ประตูห้องเดิม สอดคีย์การ์ดและผลักประตูเข้าไป ดีนก้าวเข้าไปก่อน พอผมเดินตามเข้าไปและประตูห้องยังไม่ทันปิดสนิทด้วยซ้ำ ก็ถูกดีนผลักไปติดกำแพงข้างประตู ก่อนที่เจ้าตัวจะประกบจูบลงมาบนปากผม

“อื้ออ...ยะ...อย่าดีน” ผมพยายามเบี่ยงหน้าหนีริมฝีปากของดีน ผลักตัวดีนออกไปแต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ กลายเป็นว่าตอนนี้ดีนทั้งกอดทั้งลูบไปตามผิวกายใต้เสื้อของผมไปแล้ว “ดีน...ไหนบอกจะไม่ทำไง” ผมรีบร้อห้วงเสียงห้วนจัดเมื่อริมฝีปากมีโอกาสเป็นอิสระ 

“นิดเดียวได้ไหมพี รู้ปะว่าดีนจะทนไม่ไหวแล้วนะ” ดีนพูดตาเยิ้ม “ยิ่งเห็นพวกนั้นจ้องจะงาบพี ดีนยิ่งหงุดหงิดว่ะ”

“ก็ไปต่อยพวกนั้นสิจะได้หายหงุดหงิด” ครั้งนี้ผมจะไม่ห้ามเลย ดีกว่าให้ดีนเอาอารมณ์หงุดหงิดมาเอาเปรียบผมอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้

“ไม่อะ แบบนี้ดีกว่า” ว่าพลางจูบปากผมต่อ ดีที่ผมไหวตัวได้ก่อนเลยเม้มปากแน่นเลย “อย่าดื้อดิวะพี ดีนชอบพีจริงๆ นะ”

“แต่เราไม่ได้ชอบดีน” ผมบอกอีกฝ่ายผ่านริมฝีปากที่ถูกปิดไว้ด้วยอุ้งมือของตัวเอง

“เจ็บว่ะ” สีหน้าและน้ำเสียงของดีนไม่ต่างจากคำพูดที่ปล่อยออกมา “ไม่คิดจะหวั่นไหวกับดีนสักนิดเลยหรือไง”

“...” ผมส่ายหน้า ผมไม่เคยหวั่นไหวกับใคร ไม่เคยนึกอยากรักใครเท่ากับที่อยากจะรักคุณยะ

“รู้ตัวไหมว่าพีใจร้ายมาก” เจ้าตัวตัดพ้อ ดวงตาหม่นแสงลง “แล้วมาให้ความหวังดีนทำไมวะ”

“...เราไม่เคย” ผมพูดออกมาช้าๆ เพราะกลัวคำพูดของตัวเองจะไปทำให้คนที่ผมคิดว่าเขาคือเพื่อนเสียใจไปมากกว่านี้

“แล้วที่คุยกับเราทุกวันนี่ ไม่ใช่ให้ความหวังหรือไง”

“ดีนเป็นเพื่อน” ผมให้ได้แค่นี้

“พีก็รู้ว่าดีนอยากเป็นมากกว่าเพื่อน”

“...” ผมรู้ เพียงแต่ผมคิดว่าดีนคงไม่จริงจัง สักพักก็คงมีเป้าหมายใหม่

...ก๊อก...ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ช่วยให้ผมหาวิธีออกจากสถานการณ์ตึงเครียดนี้ได้ ผมเอื้อมมือจะไปเปิดประตูห้องให้คนข้างนอก ที่ผมเดาว่าอาจจะเป็นเก่งหรือไม่ก็พี่พราวคนที่ให้คีย์การ์ดห้องนี้กับดีน

“ไม่ต้องเปิด” ดีนดึงมือผมไว้ก่อนที่จะเอื้อมถึงประตู

“เผื่อเป็นเก่งหรือพี่พราว” ผมบอก พยายามดึงมือออก แต่ดีนก็กำมือผมไว้แน่นเลย

“ช่างแม่งสิ ไม่อยากอยู่กับดีนขนาดนี้เลยหรือไง” ก็ใครอยากจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กันเล่า ที่สำคัญผมก็มีคนที่สามารถกอดจูบผมได้คนเดียวเท่านั้น คือคุณยะ

...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังรัวขึ้นอีกครั้ง

“ดีนเปิดเถอะ เผื่อเก่งมีเรื่องให้ช่วย อาจจะตามให้ดีนไปช่วยดูอ้ายก็ได้” ผมพูดกล่อม

“อ้ายมันตัวแค่นั้น เก่งมันเอาอยู่น่า ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” ดีนพูดอย่างไม่สบอารมณ์

...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

“เปิดเถอะ...อื้อออ...” ดีนจูบผมอีกจนได้ ผมจะเม้มปากไม่ให้ลิ้นของดีนเข้ามาในปากก็ไม่ทันเสียแล้ว แถมครั้งนี้ดีนไม่ใช่แค่เอามือลูบตัวผม แต่เจ้าตัวเลื่อนมือไปยังเป้ากางเกงผมแล้วขย้ำ

“เป็นของดีนนะ” เสียงแหบพร่าอย่างคนเมากระซิบติดริมฝีปากผม ก่อนจะลากเอาตัวผมเข้าไปด้านใน ความเมาทำให้ดีนดูจะมีแรงมากยิ่งขึ้น ผิดจากผมที่เหมือนจะอ่อนแรงลง

“ไม่นะดีน!” ผมถูกผลักลงไปบนเตียง มีร่างของดีนทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับประกบจูบลงมาอีกครั้ง “อื้อออ...ดีน...หยุด” ผมยกมือจะทุบอีกฝ่าย แต่เจ้าตัวก็รู้ทัน จับแขนผมกดแนบไปกับเตียง 

ริมฝีปากของผมตกเป็นของดีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมอยากจะร้องไห้แต่น้ำตามันไม่ไหล มันอาจเป็นความผิดของผมเองที่เผลอไปให้ความหวังดีน

ถ้า...ถ้า...ดีนไม่หยุด ผมจะทำยังไงดี ผมจะกล้าเอาหน้าไปสู้คนที่ผมรักได้ยังไง คุณยะต้องโกรธผมมากแน่ๆ ทั้งที่เขาบอกผมแล้วว่าให้เลิกคบกับดีน แต่ผมก็ยังดื้อเพราะคิดว่าดีนเป็นเพื่อนและเขาดีกับผมมาตลอด ถึงจะพาผมเกเรไปบ้างก็เถอะ แต่ข้อนี้ผมไม่โทษดีนหรอก

“เกลียดดีนไหม” จู่ๆ ดีนก็หยุดการกระทำลง เขาปล่อยมือจากแขนผม แต่ยังคร่อมอยู่เหนือร่างของผม

“ไม่” ผมส่ายหน้า เพราะผมคิดว่าดีนคือเพื่อน และผมก็มีส่วนผิดด้วย

“ขอโทษ ไม่ทำแล้ว แต่ขอจูบหน่อยนะ นิดเดียวก็ได้”

“...” ท่าทีที่อ่อนลงของดีนทำให้ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ อย่างน้อยผมก็คิดว่ามันจะช่วยปลอบโยนความเจ็บปวดของดีนได้

“ให้ได้แบบนี้สิ นี่แหละรู้ไหมว่าคือการให้ความหวัง” ดีนยิ้มอ่อน เจือแววเศร้า “อยากโดนอีกใช่ไหม ถึงได้อ่อยดีนแบบนี้ มันน่าจัดให้สักดอกสองดอก” แต่คำพูดนี่ไม่น่าสงสารเลยสักนิด

“ลุกไปเลยนะ!” น่าโมโหชะมัด

“ไม่อยากลุกอะ” เจ้าตัวทำหน้ากวนโอ๊ยมาก “แล้วพีก็อนุญาตให้ดีนจูบแล้วนะ ดีนจะพลาดโอกาสดีๆ ได้ยังไง ถือว่าจูบทิ้งทวนก่อนที่จะไม่ได้จูบอีกต่อไป” พูดจบก็ลดใบหน้าลงมาหาผม เป้าหมายของดีนคือริมฝีปากของผม และอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นดีนก็จะถึงเป้าหมายที่ต้องการ หากเสียงเปิดประตูจะไม่ดังขึ้นมาเสียก่อน

...แกรก

พร้อมกับร่างของผู้ชายสองคนที่โผล่เข้ามาให้เห็นพร้อมกัน คนหนึ่งพกความโกรธมาเต็มใบหน้า ส่วนอีกคนมองผมด้วยสายตาที่ติดจะดูถูกผมหน่อยๆ เพราะสถานการณ์บนเตียงของผมกับดีนสมควรที่จะถูกมองอย่างนั้นจริงๆ

“คุณยะ...”

ชื่อของผู้ชายคนที่ผมรักเขาหมดหัวใจหลุดออกมาจากริมฝีปากอย่างเบาบาง แต่ก็เหมือนดังยิ่งกว่าเสียงของสายฟ้าฟาด

ส่วนอีกคนคือ...คุณชลัช

จบตอนที่ 29
(สักตีสองตีสามหรือตีสี่จะเอาตอนที่ 30+31 มาลงนะคะ ขอรีไรท์ให้เสร็จก่อน)
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 28-29 (17-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-01-2019 04:04:46
ตอนที่ 30

“กี่ครั้งแล้วพี”

เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ผมเดินตามเขาออกมาจากห้องพักชั้นยี่สิบของสยาม ชโยดม จนถึงเพ้นต์เฮ้าส์ชั้นสามสิบสองของพุฒิธาดา เพิ่งเปิดปากเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ามาเจอผมกับดีนอยู่ด้วยกันบนเตียงในสภาพล่อแหลม ที่มองอย่างไรก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่เขาไม่ควรคิดแบบนั้น เพราะเขาก็รู้ว่าผมมีแค่เขาคนเดียว รักเขาคนเดียว

“บอกฉันว่าเธอนอนกับมันกี่ครั้ง” เขาถามย้ำ ไม่หันกลับมามองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ

ตั้งแต่ออกจากโรงแรมสยาม ชโยดม เขาแทบไม่มองหน้าผมเลย เอาแต่เงียบ ผมรู้ว่าเขากำลังข่มความโกรธเกรี้ยวไว้อย่างสุดความสามารถ ผมถึงได้นั่งเงียบมาตลอดทาง จนถึงตอนนี้แหละที่ผมกับเขามีคำพูดต่อกัน

“คุณยะกำลังเข้าผิด” ผมเดินเข้าไปกอดเขาจากด้านหลัง ซบหน้าไว้กับแผ่นหลังกว้าง ไอร้อนระอุออกมาจากร่างกายเขาแบบที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ความอบอุ่นที่เป็นมาตลอด “พีไม่เคยนอนกับดีนนะครับ เราเป็นเพื่อนกัน” ถึงดีนอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนก็ตาม แต่สำหรับผมดีนคือเพื่อน ไม่ต่างจากปาลิน

“แล้วที่ฉันเห็นมันคืออะไร”

“คือ...” จะบอกยังไงดี ผมนึกคำโกหกไม่ออกเลย บอกความจริงก็ไม่ได้

“คืออะไรล่ะพี” ครั้งนี้เขาปลดมือผมออกจากตัว หันกลับมาจ้องหน้าผม สายตาของเขาขุ่นคลั่ก พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ “ที่ฉันเห็นคือเธอนอนอ้าขาให้มัน!” เขาจับไหล่ผมเขย่า

“เรา...เอ่อ...เราแค่เล่นกันครับ” มันเป็นคำแก้ตัวที่โง่เง่าและเขาไม่เชื่อ

“เล่น!” เขาตะคอกเสียงขุ่นจัด มือที่กำไหล่ผมไว้เพิ่มแรงบีบลงมาจนผมเจ็บ แต่ก็ไม่กล้าบอกให้เขาปล่อย ตอนนี้ร่างกายเขาไม่ต่างจากภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุ “เล่นกันบนเตียง เล่นจูบปากให้คนเห็นทั้งงานงั้นเหรอพี”

“...!?” ที่เขาพูด หมายถึงที่ดีนจูบผมในปาร์ตี้วันเกิดพี่พราวอย่างนั้นเหรอ และผมก็ได้คำตอบ เมื่อเขาปล่อยมือจากไหล่ผม ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า สักพักก็ยื่นรูปถ่ายที่ถูกส่งมาให้เขาในแชตไลน์

ทำไมทุกอย่างต้องมีหลักฐานด้วยนะ!

“ดูให้หมดพี” เขายัดโทรศัพท์ใส่มือผม “แล้วตอบฉันมาว่าเธอเล่นแบบนี้กับมันมากี่ครั้งแล้วหะ!”

ผมเลื่อนปลายนิ้วบนหน้าจอสี่เหลี่ยมของโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นไป เพื่อดูรูปถ่ายของผมกับดีนตั้งแต่เข้ามาในงานจนถึงตอนที่ถูกดีนกอดคอออกจากห้อง คนที่ถ่ายรูปผมจับภาพทุกช่วงเวลาที่ผมสนุกสนานอยู่กับเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ ควันบุหรี่ที่ลอยออกจากริมฝีปากของผม แผ่นหลังของผมที่กำลังนั่งอยู่บนตักของดีนและจูบกัน รวมทั้งตอนที่ผมถูกดีนดึงเอาตัวไปเต้นอยู่กลางห้องท่ามกลางเสียงดนตรีหวีดดังและแสงไฟหลากสีที่ไม่ต่างจากในเทคหรือผับ มีแม้กระทั่งรูปที่มือของดีนวางอยู่บนสะโพกของผมตอนที่เต้นกันอยู่นั้น ผมเองก็เพิ่งรู้ว่ามือของดีนไหลไปตามร่างกายของผม คล้ายกับว่าผมกับดีนกำลังนัวเนียกันไม่ต่างจากคู่ของคนอื่นๆ ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยว่ามือดีนจะไหลไปทั่วขนาดนั้น หรือเพราะความเมาทำให้ผมไม่มีสติพอที่จะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

“ตอบมาพีว่าเธอเล่นแบบนี้กับไอ้เด็กนี่มากี่ครั้งหะ!!”

“...” มือที่กำโทรศัพท์ไว้สั่นแบบที่ผมห้ามไม่ได้ ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าที่เกรี้ยวกราดนั้นเลย และผมไม่อยากจะเชื่อด้วยว่า คนที่ส่งรูปในงานปาร์ตี้มาให้คุณยะคือ...คุณชลัช

ตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นพี่เลม่อน ที่อาจจะรู้จากใครสักคนในงานปาร์ตี้ว่าผมอยู่ในงานนั้นด้วย เลยใช้ให้คนคนนั้นถ่ายรูปผมอย่างละเอียด เจ้าตัวจะได้เอารูปพวกนี้ส่งไปให้คุณยะดู เพื่อทำให้คุณยะโกรธผม แต่พอดูชื่อและรูปของคนที่ส่งพวกมันมาให้คุณยะกลับไม่ใช่พี่เลม่อน แต่เป็นคุณชลัช

พร้อมกับคำถากถางแบบสองแง่สองง่าม

‘...สงสัยน้องชายยังไม่อิ่ม เลยมากินกับเพื่อนต่อ ฉันขอเตือนด้วยความหวังดีในฐานะพี่ชายที่หวังดีกับนายเสมอ...เลี้ยงให้อิ่มหน่อยนะ ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปหากินนอกบ้าน เดี๋ยวจะซวยเอาเชื้อโรคเข้าบ้านละแย่เลย’

...ถ้าเขาไม่ใช่พ่อของผม ผมจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้

“ฉันจะทำยังไงกับเธอดีหะพี”

“พีขอโทษ พีไม่ได้ตั้งใจ” ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ ที่ผมเห็นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจัด ถ้าเขาจับผมหักแขนหักขาได้ เขาก็คงจะทำมันไปแล้ว

“ถามจริงพี” เขาถามเสียงเข้มกดดัน ใจผมสั่นไปหมด กลัวเขาโกรธและบอกเลิกผม “เธอนอนกับเด็กนั่นแล้วใช่ไหม”

“พีไม่เคยนอนกับดีน จริงๆ นะ” ผมโผเข้ากอดเขา แต่เขากลับถอยหนี ผมเลยคว้าได้แค่ความว่างเปล่า สายตาเขาที่ทอดมองมาที่ผมเต็มไปด้วยความผิดหวัง มันทำให้ผมเจ็บปวด “พีรักคุณยะ พีไม่นอนกับใครนอกจากคุณยะคนเดียว”

“รักฉัน ?” เขาเค้นเสียงถาม “แต่ไปเปิดห้องนอนกับมัน”

“พีแค่จะเข้าไปนอน” ผมบอก แต่เขาไม่ฟังเลย

“ถ้าฉันไม่เข้าไปเจอ เธอกับไอ้เด็กนั่นก็คงคลานขึ้นสวรรค์แล้วมั้ง” เขายิ้มเยาะ คำพูดใส่ร้ายนั้นเสียบแทงเข้ามาในหัวใจผมจนพรุน แค่รูปที่มีคนแอบถ่ายผมไว้ตลอดงานปาร์ตี้ (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถ่ายแล้วส่งให้คุณชลัช) กับที่เขาเห็นผมอยู่กับดีนบนเตียง เขาก็ตัดสินได้แล้วเหรอว่าผมกับดีนมีอะไรกัน

“พีมีคุณยะคนเดียว” ผมเดินเข้าไปกอดเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้ถอยหลังหนีไปไหน ผมกอดเขาแน่นเพราะกลัวเขาผลักผมออกไป แต่ก็อดตัดพ้อเขาไม่ได้ “คุณยะยังเคยนอนกับใครตั้งเยอะแยะ น้องพียังยอมรับได้เลย” แรกๆ ผมอาจจะรับไม่ได้ เคยรังเกียจสิ่งที่เขาทำ แต่หลังจากที่ผมกับเขาใจตรงกัน ผมก็พยายามมองข้ามมันไป เพราะเขาสัญญาแล้วว่าจะมีแค่ผมคนเดียว ไม่ไปกอดใครที่ไหนอีกแล้ว

แต่ไม่คิดว่าคำตัดพ้อนั้นจะทำให้เขาเข้าใจผิดผมอีกแล้ว

“เธออยากให้ฉันยอมรับเรื่องที่เธอไปนอนอ้าขาให้ใครก็ได้งั้นเหรอ ?”

อดคิดอย่างน้อยใจไม่ได้ที่เขาใช้คำว่า ‘อ้าขา’ กับผมหลายครั้ง มันเหมือนคำดูถูกที่ไม่ต่างจากสายตาของเขาที่มองมาผมอยู่ในตอนนี้เลย

...มองไม่เห็นความรักอยู่ในนั้น

“พีไม่ได้หมายความอย่างนั้น พีแค่...” คำว่า ‘น้อยใจ’ ไม่ทันได้ออกจากปากผม เพราะเสียงโทรศัพท์ของเขาที่อยู่ในมือผมดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

Rrrrrr…

เจ้าของสายเรียกเข้าคือพี่เลม่อน และผมก็กดตัดสายทิ้งทันที

“อย่ายุ่งกับของฉัน”

แล้วเขาก็ดึงเอาโทรศัพท์ไปจากมือผม ผมก็ได้แต่มองตามเขาที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ยืนหันหลังให้ผม เจ็บปวดไปกับคำพูดเหินห่างนั้น

“มีอะไรเลม่อน...ทำไมวันนี้เลิกกองดึก...อยู่ที่ไหน...ฉันจะรีบไป” เขาพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็วางสาย แต่ไม่กี่ประโยคนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีเขาก็จะไปจากผม ทั้งที่เรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย

“ห้ามไป” ผมพูดขึ้นตอนเขากำลังเดินไปที่ประตูห้องเพนส์เฮ้าส์

“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน” เขาหันกลับมามองหน้าผมอย่างเฉยชา

“แล้วถ้าน้องพีขอล่ะ...” ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างอ้อนวอน ไม่อยากให้เขาออกไปทั้งที่เรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน เขายังเข้าใจผมผิดอยู่เลย “...ไม่ไปหาพี่เลม่อนได้ไหม อยู่กับน้องพีนะ...ฮึก...นะครับคุณยะ” ผมเดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ กอดเขาไว้ให้แน่นที่สุด

“ปล่อย” เขาค่อยๆ แกะมือผม ผลักผมออกไปจากตัวเขา หันหลังให้ผมอีกครั้ง

“ถ้าคุณยะออกไป” ผมตัดสินใจขู่เขา หวังว่าจะได้ผล ถ้าเขายังแคร์ผมอยู่ “...เราเลิกกัน”

ดูเหมือนจะได้ผล มือของเขาแตะประตูค้างไว้อย่างนั้น ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าผม และนั่นทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ได้ผลสักนิด

“เธอก็ต้องการแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” เขาแสยะยิ้ม “จะได้กลับไปคบกับไอ้เด็กนั่น เสเพลเกเรแบบนั้นคงจะถูกใจเธอมากกว่าฉัน แต่ยังไงก็เพลาๆ เรื่องปาร์ตี้ยาด้วยละกัน ฉันไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ฉันต้องไปประกันตัวเธอที่สถานีตำรวจ ชื่อเสียงพวกท่านจะป่นปี้เพราะคนนอกอย่างเธอซะเปล่าๆ”

อึก!

คำพูดของเขาเป็นยิ่งกว่ามีดที่เสียบค้างและกดลึกลงมาซ้ำๆ นานแล้วที่คำพูดทำนองนี้ไม่ได้หลุดออกมาจากปากของเขา

“ทำตัวเหมือนแม่เธอไม่มีผิด... มั่วไปทั่ว”

...แม่

ผมเหมือนแม่...ผู้หญิงที่เขาทั้งเกลียดทั้งรักใช่ไหม ?

แต่...ผมไม่เหมือนเธอคนนั้น คุณยะจะมาเมารวมเพราะความเข้าใจผิดไม่ได้

“ผมไม่ได้มั่ว...ฮึก...ผมไม่เหมือนแม่” ผมเถียงทั้งน้ำตา เพราะผมไม่อยากเหมือนคนที่เขาเคยรัก ไม่อยากเป็นตัวแทน โดยเฉพาะตัวแทนที่ต้องมารองรับความเกลียดชังทั้งหมดของคุณยะไปตลอดทั้งชีวิต

“...” เขามองหน้าผมนิ่งนาน แต่เป็นการมองที่ไม่ต่างจากการเหยียบให้ผมจมลงไปในความผิดที่ผมไม่ได้ก่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงระหว่างพวกเขาทั้งสามคนเป็นยังไง

“อยากกลับไปหาพ่อแม่ของเธอไหม” สิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเกิดขึ้นแล้วใช่ไหม

“พี...ฮึก...ไม่อยาก” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา ผมอยากอยู่กับเขา อยากเป็นครอบครัวตรัยธาดาเหมือนเดิม ไม่อยากไปใช้นามสกุลของเขาคนนั้น

“แต่ฉันอยาก... อยากเห็นหน้ามันตอนรู้ว่าเธอเป็นลูก อยากรู้ว่ามันจะภูมิใจมากแค่ไหนที่มีลูกแบบเธอ”

“คุณยะไม่รักน้องพีแล้วเหรอ” ผมอยากรู้ เพราะเขากำลังกลับมาโหดร้ายกับผมเหมือนตอนที่เขายังไม่รักผม

“...”

“พีผิดอะไร ทำไมคุณยะถึงไม่รักพีแล้ว” 

“เธอผิดตั้งแต่ยังไม่เกิด ผิดที่ทำให้ ‘มัน’ มาเยาะเย้ยฉัน ผิดที่คิดจะสวมเขาให้ฉันไงล่ะพี”

“แล้วให้พีเกิดมาทำไม” ถ้าจะเกลียดเจ้าของสายเลือดในตัวผมขนาดนี้

“...” เขาไม่ตอบ แต่หันไปกระชากประตูเปิดและเดินออกไปจากห้องทันที ขณะที่ผมไร้ซึ่งคำพูดจะมาเหนี่ยวรั้งตัวเขาเอาไว้

ผมผิดจริงๆ สินะ

...ผิดตั้งแต่ที่เกิดมา

...ผิดที่รักเขา

.

.

.

ผมก้าวลงจากแท็กซี่หลังจากจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย ตรงหน้าผมที่สูงตระหง่านขึ้นไปบนฟ้าคือโรงแรมสยาม ชโยดม ผมมาที่นี่ในสภาพตาบวมช้ำและแดงก่ำจากการนอนร้องไห้มาทั้งคืน สภาพที่ใครเห็นก็ต้องตกใจ แม้แต่ผมเองยังตกใจตัวเองเลยตอนส่องกระจก พี่แอลเลขาของคุณยะที่ขึ้นมาเอาชุดทำงานลงไปให้เจ้านายของเธอเห็นยังตกใจจนอ้าปากค้าง ปรี่เข้ามากอดผมไว้ด้วยความสงสาร ปลอบผมว่าคุณยะแค่โกรธผม รอใจเย็นอีกสักนิดก็คงจะขึ้นมาง้อผม แต่ผมก็ไม่เห็นวี่แววว่าคุณยะจะกลับมาหาผม มาขอโทษผม ผมนั่งรอตั้งแต่แปดโมงครึ่งที่พี่แอลออกไป รอจนถึงเที่ยงก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดประตูเข้ามา

ผมตัดสินใจลงไปหาเขา แต่ก็เป็นพี่แอลอีกนั่นแหละที่ห้ามไม่ให้ผมเข้าไปเพราะพี่เลม่อนอยู่ในห้องกับเขา

สุดท้ายผมก็ต้องถอย แล้วเลือกมาที่นี่แทน ไม่รู้ทำไมแต่ก็เป็นที่ที่เดียวที่ผมอยากมา... ถ้าผมเข้าไปบอกว่าผมเป็นลูกเขา ผมจะรู้ความจริงที่อยากรู้ไหม... ว่าแม่ผมเป็นใคร คุณยะเคยรักแม่ของผมมากแค่ไหน คุณชลัชทำอะไรถึงทำให้คุณยะเกลียดมาจนถึงวันนี้

“สวัสดีค่ะ ติดต่อห้องพักหรือคะ” พนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ถามด้วยรอยยิ้ม ที่พยายามจะไม่แสดงความตกใจออกมาทางสีหน้าที่เห็นสภาพใบหน้าช้ำน้ำตาของผม

“ไม่ใช่ครับ” ผมตอบก่อนบอกจุดประสงค์ที่มายืนตรงนี้ “ผมอยากขอพบคุณชลัช”

“พบ...คุณชลัชหรือคะ” เธอถามเหมือนเห็นเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่เด็กอย่างผม ซึ่งเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้จะขอพบลูกชายเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ “เอ่อ...แล้วได้นัดไว้หรือเปล่าคะ”

“ไม่ครับ แต่รบกวนพี่ช่วยโทรขึ้นไปบอกเลขาคุณชลัชได้ไหมครับว่าผมมีเรื่องสำคัญมากจะพูดกับคุณชลัช” ...ความลับที่เขาไม่เคยรู้มาถึงสิบหกปี

“พี่เกรงว่าตอนนี้คงจะไม่ได้ค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ยังไงน้องให้ชื่อและเบอร์โทรติดต่อไว้ก่อนนะ แล้วพี่จะบอกเลขาของคุณชลัชให้ ถ้าท่านให้เข้าพบได้พี่จะโทรกลับไปบอกนะคะ”

“ครับ” ผมรับคำอย่างเสียไม่ได้ เข้าใจว่าเธอไม่มีอำนาจที่จะปล่อยให้เด็กอย่างผมขึ้นไปพบผู้บริหารระดับสูงได้ง่ายๆ ทุกอย่างต้องมีขั้นตอนและกลั่นกรองอย่างละเอียด

“ฝากชื่อและเบอร์โทรไว้นะคะ” เธอย้ำอีกครั้ง พร้อมกับยื่นกระดาษโน้ตที่มีโลโก้ของทางโรงแรมอยู่บนหัวกระดาษให้ผมพร้อมปากกา ผมรับมาเขียนชื่อและเบอร์โทรศัพท์มือลงไป และไม่ลืมที่จะดึงเอาบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋าตังค์ แนบไปกับกระดาษแผ่นเล็กนั้นด้วย เพื่อยืนยันชื่อที่ผมเขียนลงไป และมันอาจจะเป็นทางลัดที่ทำให้ผมได้พบคุณชลัชวันนี้เลย

“นี่ครับ”

“พีรัช ตรัยธาดา” เธอทวนชื่อผมเบาๆ ก่อนยื่นบัตรประชาชนคืนให้ผม แล้วถาม “น้องเป็นอะไรกับคุณอารยะเจ้าของพุฒิธาดาหรือเปล่าคะ”

“ผมเป็นน้องชายครับ” เพราะนามสกุลของตรัยธาดาทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ผมไม่ได้เป็นแค่เด็กที่ไหนก็ไม่รู้ในสายตาของพนักงานคนนี้อีกต่อไป

“งั้นเชิญน้องพีรัชนั่งที่โซฟาตรงนั้นก่อนนะคะ” เธอก้าวออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ เดินนำผมไปนั่งที่ชุดโซฟาที่ตั้งวางอยู่ไม่ไกลนัก “พี่จะโทรขึ้นไปเรียนเลขาคุณชลัชให้นะคะ” แล้วก็เดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์และก็เปิดประตูด้านหลังเคาน์เตอร์เข้าไปอีกที หายเข้าไปสักพักใหญ่ๆ ถึงได้กลับออกมา

“คุณชลัชเชิญให้ขึ้นไปพบได้ค่ะ เชิญน้องพีรัชตามมาทางนี้ค่ะ” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มที่คล้ายจะหยิบยื่นให้แขกวีไอพีมากกว่าตอนแรก

“ครับ”

ผมก้าวตามเธอไป ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกผลักให้เดินไปยังหน้าผาสูงชัน ที่ด้านล่างคือหุบเหวลึกที่จะพรากทุกสิ่งที่ผมเคยมีตลอดสิบหกปีไปตลอดกาล

ผมตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม ?

ผมพร้อมที่จะออกมาจากครอบครัวตรัยธาดาแล้วใช่ไหม ?

และพร้อมจะตัดใจจากคุณยะแล้วจริงๆ เหรอ ?

“น้องคะ น้องพีรัชคะ ลิฟต์มาแล้วค่ะ”

“คะ...ครับ” ผมยิ้มขอโทษให้เธอที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดความเครียดของตัวเอง ก่อนจะก้าวตามเธอเข้าไปในห้องโดยสารสี่เหลี่ยมที่จะพาผมขึ้นไปบนหน้าผาสูง

ผมมองหมายเลขชั้นที่หมายด้วยความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มือที่กำเข้าหากันทั้งสองข้างนั้นชื้นเม็ดเหงื่อ ราวกับว่ามันจะไหลเป็นสายน้ำได้เลยทีเดียว ทั้งที่อากาศเย็นเฉียบและคล้ายจะกรีดผิวเนื้อของผมก็ไม่ปาน


ถึงอยากให้ระยะทางไปหน้าผาสูงยาวไกลไปอีกสักอีกสิบยี่สิบชั่วโมง แต่ผมก็รู้ดีกว่าระยะทางจากชั้นล็อบบี้จนถึงชั้นสิบแปดใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที สุดท้ายผมก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของเขา

“เชิญข้างในได้เลยครับ” เลขาหน้าห้องของคุณชลัชเป็นผู้ชาย หน้าตาท่าทางและรอยยิ้มเป็นมิตรอย่างมากทีเดียว เขายิ้มให้ผมและผายมือให้ผมผลักประตูบานนั้นเข้าไปด้วยตัวเอง

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยเบาๆ สูดหายใจเข้าลึก พลางขยับปลายเท้าเข้าไปใกล้ประตูมากพอที่จะผลักมันเข้าไปด้านใน

ขาผมหนักราวกับเสาปูน ก้าวแทบไม่ออก แต่ผมก็ลากเอามันเข้าไปเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้ม ไร้เนกไท กระดุมยังปลดถึงสามเม็ด ต่างกับคุณยะลิบลับ รายนั้นแต่งตัวถูกระเบียบความเป็นผู้บริหารทุกกระเบียดนิ้ว

...คุณยะ

ผมกล้าไปจากเขาแล้วจริงๆ ใช่ไหม ?

คำถามดังซ้ำๆ ในหัวผม ภาพของคุณยะแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มของเขา ความอบอุ่นของเขา คำบอกรักของเขา แม้แต่ความใจร้ายของเขาที่สาดใส่ผมนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม ทั้งหมดมันทำให้ผมได้แต่ยืนจับประตูค้างอยู่อย่างนั้น

“เข้ามาสิ” จนกระทั่งเจ้าของห้องเอ่ยออกมา ผมถึงได้ปล่อยมือจากที่จับประตู “มีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับฉัน ? หรือว่าเรื่องเมื่อคืน” เขาปิดแฟ้มและวางปากกาในมือลง

...ไม่ใช่เรื่องเมื่อคืนหรอกแต่มันเป็นผลกระทบจากเรื่องเมื่อคืนต่างหาก

“จะยืนอยู่ตรงนั้นแล้วคุยกับฉันหรือไง” เขาถามเสียงดุตามมาอีก เพราะผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินเข้าไปหาเขาที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ “งั้นก็ตามใจ อยากยืนคุยตรงนั้นก็เอา มีอะไรว่ามา”

“ผมเป็น...”

...ลูกคุณ

คำคำนี้ไม่ยอมหลุดออกมาจากปากผม

“เป็น ?” เขาทวนคำกลับมา ยืนตัวขึ้นหน่อยๆ คล้ายอยากจะฟังคำที่ผมยังพูดออกมาไม่หมด

ผมยังลังเล...บอกความจริงออกไป ผมอาจจะต้องไปอยู่กับเขา

“ว่าไง จะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลามานั่งรอเธอพูดเป็นชั่วโมงๆ หรอกนะ...กลัวดอกพิกุลร่วงหรือไง” ปากคอก็ยังร้ายกาจกับเด็กที่ไม่มีทางสู้เหมือนเดิม

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้!

“ผมจะมาบอกคุณว่า...ผมเกลียดสิ่งที่คุณทำกับผม เกลียดที่คุณรังแกเด็กอย่างผม ทั้งที่ผมไม่เคยทำร้ายอะไรคุณเลย ผมเกลียด...” ...เกลียดที่คุณเป็นพ่อที่ใจร้ายที่สุดในโลก

“มาเพื่อบอกแค่นี้” เขาขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเยาะ ไม่ได้รู้สึกรู้สาไปกับคำพูดของผมแม้แต่นิดเดียว “ฉันจะรับไว้ละกัน เผื่อเธอจะได้สบายใจขึ้น แต่ว่า...เรื่องเมื่อคืน เธอทำตัวเองนะ ฉันไม่เกี่ยว”

ใช่! ผมทำตัวเอง

ถ้าผมไม่ไปกับดีน ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เข้าไปในห้องกับดีน ไม่อยู่กับดีนบนเตียง ผมก็คงไม่มีจุดจบอย่างเมื่อคืน

“แล้วมีอะไรอีกไหม” เขาถาม พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ ท่าทางผ่อนคลายและมีความสุข ต่างกับผมเหลือเกินที่ร้องไห้มาทั้งคืนกับสิ่งที่เขาทำร้ายผม

“มี!” ผมมองหน้าเขาเขม็ง กลั่นคำพูดออกมาอย่างเจ็บปวดที่สุด “คุณจะไม่มีวันรู้ความจริงไปตลอดชีวิต...คุณชลัช!” พูดจับผมก็หันหลังให้เขาทันที มือจับประตูกระชากออกอย่างแรง กะว่าก้าวขาออกไปแล้วผมจะปิดประตูให้ดังสนั่นไปทั้งชั้นสิบแปดเลย

“เดี๋ยวก่อน” เขาเรียกผมไว้ก่อนที่จะก้าวออกไป

“...” และผมก็เผลอหันกลับไปหาเขา สิ่งที่ผมเห็นคือเขาที่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาในระดับสายตา แม้แต่คนโง่ก็รู้ครับว่าเขากำลังยกมันขึ้นมาถ่ายรูปผมไว้

“เผื่อพี่ชายเธออยากเห็นสภาพน้องชายตัวเอง” เขาพูดยิ้มๆ

...ผมขออนุญาตเกลียดรอยยิ้มของเขาได้ไหม!

.

.

.

“ผมขอบูลเบอรี่ชีสเค้กกับน้ำมะนาวครับ” ผมบอกพนักงานสาวร่างอวบอิ่มของร้านเชิญครับ ร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ คลินิกรักษาสัตว์ของอานุ

หลังจากออกมาจากโรงแรมสยาม ชโยดม ด้วยความโมโหแบบที่หัวแทบร้อนไหม้ ทั้งที่ตอนเข้าไปผมเหมือนถูกห่อด้วยแท่งน้ำแข็ง ผมก็ไม่รู้จะไปไหนดี จะไปหาดีนที่ไลน์มาหาผมทั้งคืน ตอนนี้ก็ยังไลน์มาหาผมอยู่แต่ผมไม่อ่าน ผมก็ไม่อยากจะไป ไม่อยากเจอหน้าดีนตอนนี้ เพราะผมก็โกรธดีนด้วยที่มีส่วนทำให้ผมถูกคุณยะเข้าใจผิด ส่วนเพื่อนอีกคนของผมอย่างปาลิน ไปต่างจังหวัดกับอาจารย์เพ็ญศิริตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ

ให้กลับบ้านด้วยสภาพแบบนี้ก็คงไม่ได้ ถึงแม้รอบหน่วยตาของผมจะหายบวมแล้วก็ตาม แต่ผมคงซ่อนความเจ็บปวดจากสายตาของพวกท่านไม่ได้ เพราะลำพังแค่นั่งอยู่ตรงนี้ น้ำตาผมก็ปริ่มๆ จะไหลออกมาได้ทุกนาทีอยู่แล้ว แต่ผมก็โทรบอกท่านทั้งสองแล้วว่าผมจะค้างที่บ้านเพื่อนอีกคืนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้ผมจะนอนที่ไหน สงสัยต้องหาโรงแรมนอนไปก่อน

ถ้าผมกินเค้กเสร็จ ผมอาจจะไปหาอานุ ไปกอดอานุ เอาความอบอุ่นของอานุมาเติมเต็มในส่วนที่ถูกทำลายลงไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วบนชั้นสิบแปดของสยาม ชโยดม... สิ่งที่ผมไม่เคยได้จากพ่อของตัวเอง

แต่ถ้าน้ำตาของผมมันควบคุมไม่ได้ ผมก็คงเอาหน้าเปื้อนน้ำตาและลูกตาแดงๆ ไปหาอานุไม่ได้หรอก

ครืดๆๆๆ...

ผมยังไม่ทันตักเค้กเข้าปาก โทรศัพท์ที่ผมวางไว้ข้างจานเค้กก็สั่นอย่างแรง (ผมปิดเสียงไว้ครับ) ชื่อที่อยู่บนหน้าจอ เป็นชื่อของคนที่ผมไม่คิดว่าจะโทรมาหาผม ทั้งที่ตลอดทั้งวันผมอยากเจอเขาแทบตาย ผมเดาสาเหตุที่เขาโทรมาหาผมได้เลย คงเป็นเพราะเรื่องที่ผมไปหาคุณชลัชแน่ๆ

อยากจะรับสายเขานะ แต่ผมรู้ว่าตอนนี้เขาคงโกรธผมมากกว่าเมื่อคืนแน่ๆ ผมเลยปล่อยให้โทรศัพท์สั่นอยู่อย่างนั้น ดีที่เคาน์เตอร์บาร์ที่ผมนั่งอยู่นี้มีแค่ผมคนเดียว ไม่อย่างนั้นเสียงสั่นครืดๆ จะต้องไปรบกวนพวกเขาพอสมควร

ชีสเค้กที่ผมตักเข้าปาก ความหอมหวานและรสชาตินุ่มลิ้นของมันไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นได้เลย เพราะโทรศัพท์ของผมไม่ยอมหยุดสั่นเสียที มันเคยเลิกสั่นแต่ก็กลับมาสั่นต่อ ตอนนี้เป็นรอบที่ห้าได้แล้วมั้ง จนกระทั่งมันหยุดสั่น

ครืด...

เปลี่ยนเป็นข้อความไลน์เด้งขึ้นมาแทน และรัวๆ ด้วย ไม่รู้มาก่อนว่าคุณยะจะพิมพ์ได้ไวขนาดนี้ ผมอ่านแทบไม่ทัน คือผมไม่ได้กดเข้าไปอ่าน เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมอ่านแล้วไม่ตอบ ผมก็อาศัยตอนที่มันเด้งขึ้นมาบนหน้าจอแทน แต่สุดท้ายผมก็ทนความอยากรู้ของตัวเองไม่ได้ อยากรู้ว่าระดับความโกรธที่ถ่ายทอดลงมาในตัวอักษรบนแชตไลน์อยู่ในระดับไหน ...ผมพอจะรับมือได้หรือเปล่า

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-01-2019 04:06:05
อย่างแรกเลยเมื่อเปิดดูคือคุณยะส่งรูปของผมที่ถูกถ่ายโดยคุณชลัชเข้ามา คิดไว้ไม่มีผิดว่าเขาต้องเอารูปผมไปเยาะเย้ยคุณยะ

YA : ไปที่นั่นทำไม

YA : ฉันบอกแล้วว่าไม่ให้เธอไปที่นั่นอีก

YA : ไปที่นั่นทำไมพี ตอบฉัน

YA : พี อย่าเงียบ!

YA : อยากให้ฉันโมโหใช่ไหม

YA : จะตอบฉันไหมพีว่าไปที่นั่นทำไม

YA : ไปหามันทำไหม

YA : หรือว่าเธออยากไปอยู่กับมัน

YA : เธอไปพูดอะไรกับมันหะพี

YA : จะเอาแบบนี้ใช่ไหมพี

YA : รับโทรศัพท์

อ่านข้อความจบโทรศัพท์ในมือก็สั่นอีกครั้งจากคนเดิม เจ้าของแชตยาวเหยียดนั่นแหละ เอาไงดี ผมควรรับสายเขาไหม ผมไม่อยากฟังเสียงเขาตะคอกใส่ เพราะเท่าที่อ่านข้อความที่เขาพิมพ์มารัวๆ ก็บอกอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดี

จนกระทั่งโทรศัพท์หยุดสั่นเป็นรอบที่สามนั่นแหละ ข้อความไลน์ถึงได้เด้งขึ้นมาอีกครั้ง

YA : อย่าให้ฉันหมดความอดทน

YA : อยู่ไหน

YA : บอกมาพีว่าเธออยู่ไหน

YA : อยากให้ฉันเอารูปเมื่อคืนให้คุณปู่คุณย่าเธอดูไหม

YA : พ่อแม่ฉันจะได้รู้ไงว่าเด็กที่ว่านอนสอนง่ายแบบเธอเบื้องหลังมันเป็นยังไง

YA : ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นยา มั่วเซ็กซ์ ทั้งที่ครอบครัวฉันก็สอนเธอมาดี แต่เลือดเลวๆ ของพ่อแม่เธอมันก็แรงจนครอบครัวฉันเอาไม่อยู่

...ทำไมเขาถึงได้ใช้คำที่เหยียบย่ำผมนักนะ ผมรู้ตัวว่าผมไม่ได้เป็นเด็กดี แต่ก็ไม่ควรถูกคนที่เคยบอกรักผมดูถูกขนาดนี้

P.Phirach : อยู่ไหนก็เรื่องของผม

P.Phirach : เราเลิกกันแล้ว

P.Phirach : คุณไม่ต้องมายุ่งกับผม

P.Phirach : เราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว

P.Phirach : เชิญคุณมีความสุขกับพี่เลม่อนไปเลย

P.Phirach : ส่วนผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม

P.Phirach : จะไปหาใครก็เรื่องของผม

P.Phirach : จะดีจะเลวก็เรื่องของผม

P.Phirach : ต่อให้ผมเล่นยาจนตายก็เรื่องของผม

P.Phirach : อย่ามายุ่ง!

...ผมพิมพ์ตอบไปอย่างรวดเร็ว รัวๆ ด้วย อารมณ์ผมตอนนี้มันปนกันไปหมด โกรธ โมโห น้อยใจ และอยากจะประชดเขา

YA : มีที่ไปแล้วสินะถึงได้ปากเก่งแบบนี้

P.Phirach : ผมไม่มีที่ไปที่ไหนทั้งนั้น

P.Phirach : แต่ผมจะไม่กลับไปหาคุณอีกแล้ว

...มันคือเรื่องประชดครับ ผมจะไปที่ไหนได้ สุดท้ายก็ต้องกลับบ้านตรัยธาดา

P.Phirach : แล้วถ้าคุณอยากฟ้องคุณปู่คุณย่าก็ฟ้องไปเลย

...ผมมั่นใจว่าคุณปู่คุณย่ารักผม ถ้าผมขอโทษ ท่านทั้งสองต้องให้อภัยอยู่แล้ว

P.Phirach : แต่ผมจะไม่พูดกับคุณอีกต่อไป

...ผมขู่เขา ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า แค่เขาใช้วิธีแบบเดิมคือทำดีกับผม พูดเสียงหวานกับผม ผมก็ไม่พ้นยอมเขาอีกตามเคย

ข้อความล่าสุดที่ผมส่งไปขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่ยังไม่มีข้อความจากอีกฝั่งโผล่ออกมาเลย จนผ่านไปเกือบนาทีมั้ง โทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้นมาอีก และเป็นคนเดิมนั่นแหละที่โทรเข้ามา

หึ...ผมไม่รับสายหรอก

มันสั่นแล้วก็หยุดไป

YA : รับโทรศัพท์ฉัน

P.Phirach : ไม่!

P.Phirach : ผมไม่อยากคุยกับคุณ

P.Phirach : คุณใจร้าย

P.Phirach : ผมเกลียดคุณ

...ทั้งเกลียด ทั้งรัก

YA : อย่ามาประชดฉัน

YA : รับโทรศัพท์

P.Phirach : ไม่!!

P.Phirach : อย่ามายุ่งกับผมอีก ผมไม่รักคุณแล้ว เกลียดคุณที่สุดในโลกเลย จำไว้!!

...แล้วข้อความของเขาก็หายไป

ผมจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีกแล้วนานหลายนาที โดยไม่ทำอะไรเลย น้ำแข็งในแก้วมะนาวละลายเกือบหมด โดยที่ผมยังไม่ได้ลิ้มรสชาติของมันเลย ส่วนเค้กก็แทบไม่มีอารมณ์ตักเข้าปาก

ครืนๆๆๆ...

ผมรู้สึกโล่งอกทันทีที่โทรศัพท์สั่น คิดว่าเป็นเขาที่โทรมาหาผม แต่ก็ไม่ใช่ ครั้งนี้เป็นอานุ

“ครับ อานุ” ผมกดรับสายของคนเป็นอา นึกเดาได้ว่าเลยว่าอานุโทรมาทำไม

“พี่อยู่ไหน” อานุคงถูกพี่ชายสั่งให้โทรมาหาผม ฟังจากคำถามก็รู้ ผมจะไม่ตอบก็ได้ แต่เพราะเป็นอานุไง ผมไม่อยากให้อานุลำบากใจ

“อยู่ที่ร้านเชิญครับข้างคลินิกของอานุครับ”

“แล้วทำไมไม่ไปหาอาก่อน”

“พีอยากกินเค้ก กินเสร็จก็จะไปหาอานุ”

“อยู่นั่นนะ อากำลังจะไปหา”

“ครับ”

.

.

.

“พี”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่อานุเรียกชื่อผมมาจากด้านหลังเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ (เพลินแบบเครียดๆ นะครับ)

“อานุ” ผมยกมือขึ้นไหว้ หน่วยตาเริ่มร้อนขึ้นมาอีกแล้วทันทีที่เห็นหน้าอานุ เห็นอานุก็เหมือนเห็นพ่อในแบบที่ตัวเองอยากมี อานุใจดี อ่อนโยน เข้าใจผม ตามใจผมทุกอย่าง

“ทะเลาะกับคุณยะมาหรือไง” อานุถามพลางดึงเก้าอี้มานั่งข้างผม “มีเรื่องอะไรจะบอกอาไหม หรืออยากให้อาช่วยอะไรพีหรือเปล่า บอกอาได้นะ อาช่วยพีได้เสมอ” ผมเห็นแววตาอานุที่มองผมดูเป็นกังวลใจไม่น้อยเลย เพราะอานุรักผม เห็นผมเศร้าและเหมือนจะมีปัญหากับพี่ชายตัวเองก็คงอดที่จะกังวลใจและเป็นห่วงไม่ได้

“...” ผมอยากบอกทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ชายอานุ แต่ผมก็ไม่กล้า ถึงอานุจะดีกับผม รักผมมาก ตามใจผมทุกอย่าง แต่เพราะผมเป็นเด็กดี ไม่เคยทำตัวร้ายกาจให้อานุเห็น อานุถึงยังรักและเอ็นดูผมที่เป็นเด็กดี แต่ถ้าอานุรู้ว่าผมเป็นเด็กไม่ดี ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ เคยเล่นยา และหลงรักพี่ชายของอานุ ความรู้สึกของอานุจะเปลี่ยนไปไหม

...แค่คิดน้ำตาผมก็ล้นขอบตา จนต้องรีบยกมือขึ้นมาปาดมันทิ้งไป

“พี” อานุยกมือขึ้นลูบศีรษะผม “ไปหลังร้านดีกว่านะ”

“...?” คำพูดของอานุทำผมงง อานุชวนผมไปหลังร้านเชิญครับ ทำเหมือนกับว่าอานุสนิทกับเจ้าของร้านอย่างนั้นแหละ หรือจะใช่ ตอบความสงสัยของตัวเองแล้ว ผมก็คว้าเป้เดินตามหลังอานุไป

ระหว่างที่เดินตามหลังอานุ ผมก็สังเกตว่าผู้ชายตัวสูงผิวขาวและหน้าตาดีมากที่กำลังยืนล้างจานอยู่ที่อ่างล้างหันมายิ้มให้อานุ เจ้าตัวไม่แสดงสีหน้าแปลกใจที่เห็นผมเดินตามอานุเข้ามาเลย ยิ้มให้อานุเสร็จเขาก็หันไปล้างจานต่อตามเดิม หรือเขาคนนี้จะเป็นเพื่อนของอานุและเป็นเจ้าของร้านด้วย

พอเดินเข้ามาในห้องขนาดเล็กแต่ก็ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าสบายตา อานุก็พาผมไปนั่งที่เตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง จับตัวผมให้นั่งลงและอานุก็นั่งตาม

“อารักพีมากนะ ต่อให้คนผิดคือพี่ชายของอา อาก็จะไม่เข้าข้างเขา อาจะอยู่ข้างพี”

“ตะ...แต่...ถ้าพีผิดล่ะครับ อานุยังจะอยู่ข้างพีไหมครับ” ถึงผมจะคิดว่าตัวเองไม่ผิด คนผิดคือคุณยะที่เข้าใจผิดผมและไม่ยอมฟังคำอธิบายของผมเลย แต่ผมก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าในสายตาของคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ที่เห็นรูปพวกนั้นและเห็นผมตอนอยู่บนเตียงกับดีนจะคิดแบบเดียวกับคุณยะหรือเปล่า

แล้วถ้าอานุรู้ว่าผมไม่ได้น่ารักและเป็นเด็กดีแบบที่เขาเข้าใจ อานุจะยังอยู่ข้างผมเหมือนที่พูดออกมาก่อนรู้ความจริงหรือเปล่า คิดพลางน้ำตาก็ไหลเพราะไม่อยากเห็นอานุเปลี่ยนไป

พอน้ำตาผมไหล อานุก็ดึงผมเข้าไปกอด อ้อมกอดของอานุอบอุ่นและเต็มไปด้วยความใจดีเหมือนทุกครั้ง

“ที่ว่าผิด...พีทำอะไรผิด” อานุถามอยู่เหนือศีรษะผม

“พีไม่รู้” ...ความจริงคือผมไม่กล้าบอกความจริงกับอานุต่างหาก

“ไม่รู้ก็คือไม่ผิด” อานุปลอบผมไปตามที่เจ้าตัวเข้าใจ

“แต่คุณยะบอก... คุณยะบอกว่าพีผิด” ...ผิดที่เกิดเป็นลูกของคนที่คุณยะเกลียด

“ไม่หรอกพี คุณยะอาจจะพูดเพราะโกรธ” อานุดึงตัวผมออกมาตอนที่ถามผมว่า “...พีทำอะไรให้คุณยะโกรธหรือเปล่า

“พี...พี...” ผมจะบอกได้ยังไงว่าผมทำตัวไม่ดีเรื่องอะไรบ้าง คุณยะถึงได้โกรธถึงขั้นเอาการกระทำของผมไปเหมารวมกับของคนที่ผมแทบไม่รู้จักพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของผม

“พร้อมเมื่อไรก็บอกอานะ” คงเห็นผมเอาแต่ปล่อยน้ำตา อานุถึงเลิกถาม แล้วให้กำลังใจแทน “อาอยู่ข้างพีเสมอนะ”

ผมก็ได้แต่หวังว่าวันที่อานุรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กดี เขาจะยังอยู่ข้างผม...

Rrrrrr...

มันเป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์อานุ

“คุณยะโทรมา อารับนะ”

“ไม่รับได้ไหมครับอานุ พีไม่อยากคุยกับคุณยะ” ก็ผมกลัวคุณยะโมโหจนโพล่งเรื่องไม่ดีของผมออกมาให้อานุรู้

“ไม่ได้ครับ” อานุปฏิเสธ “พีจะหนีคุณยะไปตลอดไม่ได้นะ คุยให้รู้เรื่อง ไม่ต้องกลัว อาอยู่ข้างพีเสมอนะ”

“ครับอานุ” ผมจำต้องเชื่อฟังอานุ

“พี...คุณยะจะคุยด้วย” คุยกับพี่ชายตัวเองไม่กี่คำ อานุก็หันมาบอกผมว่าคุณยะจะคุยกับผม

“...” ผมส่ายหน้าทันที อานุก็คงไม่อยากบังคับผมถึงได้กลับไปคุยกับคุณยะต่อ สักพักก็หันมาบอกผมต่อว่า

“พี เดี๋ยวคุณยะจะมารับ”

“อานุ...พีไม่อยากไปกับคุณยะ” ผมรีบบอก กลัวคุณยะมารับผมแล้วจะด่าผมต่อหน้าอานุ

และเสียงของผมคงลอดเข้าไปในโทรศัพท์และคนปลายสายคงได้ยินไปด้วย อานุถึงได้พูดกับพี่ชายตัวเองว่า

“พี่ยะ ผมขอนะ ใจเย็นๆ ก่อน”

“...” ผมไม่รู้ว่าคุณยะพูดอะไรกับอานุ คนตรงหน้าผมถึงได้มีสีหน้าที่โกรธขึ้นมาทันที

“หงุดหงิดก็วางสาย แล้วไม่ต้องมารับ ผมจะเอาหลานไปนอนด้วยคืนนี้” อานุกำลังโมโหพี่ชายตัวเอง

ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเลยที่ทำให้พี่น้องทะเลาะกัน แต่ผมก็แอบดีใจนะที่อานุอยู่ข้างผมแบบที่เจ้าตัวบอกจริงๆ

“พี่ยะกำลังอารมณ์ร้อน เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก ผมสงสารพี ขอเถอะ ตอนนี้ก็ร้องไห้จนตาบวม ไม่สงสารบ้างหรือไงพี่ยะ”

ถ้าอานุเห็นสภาพผมตอนเช้าจะต้องสงสารผมมากกว่านี้แน่ๆ

“พีคุยกับคุณยะหน่อยนะ” อานุยื่นโทรศัพท์ให้ผม

“พี่ไม่อยากคุย” ผมปฏิเสธที่จะคุยกับคนปลายสาย

“คุยหน่อยนะ คุณยะจะได้หมดห่วง” อานุพูดกล่อมให้ผมยอมคุยกับคุณยะ และตามด้วยคำขู่กลายๆ “ถ้าไม่คุย อาก็ไม่รู้นะว่า คุณยะจะโมโหแล้วตามมาเอาตัวพีกลับไปหรือเปล่า ถ้ามันเป็นอย่างนั้น อาก็ไม่รู้จะช่วยพีได้ยังไง”

แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากรับโทรศัพท์จากมืออานุมาแนบหู กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ว่า

“ครับคุณยะ”

“เลิกร้องไห้ซะ” มาคำแรกก็สั่งเลย ถ้าอานุไม่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ผมคงจะเถียงเขากลับไปแล้วว่า เพราะใครล่ะทำให้ผมร้องไห้ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แต่ที่ผมเอ่ยออกมาก็แค่คำว่า...

“ครับ” สั้นๆ

“โกรธฉันมากหรือไง ถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์”

“ครับ”

“ฉันมากกว่านะที่ต้องโกรธเธอ”

“ครับ” ผมตอบแบบประชดเขา

“พี อย่าประชด”

“ครับ”

“จะเอาแบบนี้ใช่ไหมพี”

“ครับ”

“เอาโทรศัพท์ให้นุ ฉันจะคุยกับน้องชายฉัน”

“ครับ” ผมยืนโทรศัพท์ให้อานุ “อานุครับ คุณยะจะคุยด้วย”

“ครับพี่ยะ ได้ครับ” อานุพูดกับคนปลายสาย พลางลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวอามานะ” บอกแล้วก็เปิดประตูออกจากห้องไป ผมก็ได้แต่มองตามและก็หวังว่าคุณยะจะไม่โกรธผมจนเล่าวีรกรรมของผมให้น้องชายตัวเองฟังนะ
.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-01-2019 04:06:48
ที่ไหน ?

ผมถามตัวเองเบาๆ พลางขยับตัวลงจากเตียง ก่อนจะจำได้ว่าที่นี่คือห้องพักหลังร้านเชิญครับที่อานุพาผมเข้ามา อานุบอกว่าที่นี่เป็นร้านเพื่อนของตัวเอง แต่ตอนนี้อานุไม่อยู่แล้ว

“น้องพีหิวหรือยังครับ” ผมเปิดประตูออกมาก็เจอคำถามของเจ้าของร้านเชิญครับที่เป็นเพื่อนอานุ ความหิวของผมทำงานอย่างรวดเร็ว

“ครับ” วันนี้ผมมีแค่เค้กแค่ครึ่งชิ้นตกถึงท้อง

ผมมองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะเอาตัวไปไว้ตรงไหน อานุก็ไม่อยู่ด้วยสิ เจ้าตัวบอกว่าคืนนี้จะให้ผมไปนอนที่คอนโดฯ ของเจ้าของร้านเชิญครับ

“รอก่อนนะคะน้องพี พี่ยีนกำลังอุ่นข้าวผัดปูให้อยู่ค่ะ” พี่สาวร่างอวบอิ่มหันมาบอกผม ก่อนเอาจานข้าวผัดใส่เข้าไปในเตาไมโครเวฟ

“ครับ” ขณะที่ผมกำลังยืนคิดอยู่ว่าจะทำอะไรดี จะหาที่นั่งรอข้าวที่พี่ยีนกำลังอุ่นให้ หรือเข้าไปช่วยเป็นลูกมืออาฟ้า (อานุให้เรียกแบบนั้น) ที่กำลังยืนคนอะไรสักอย่างในหม้อที่หน้าเตา ทำตัวให้เป็นประโยชน์ตอบแทนที่พักสำหรับคืนนี้ ตอนนั้นเองผู้ชายสองคนก็เดินหน้ายุ่งเข้ามา

“ฟ้า” คนแรกเป็นหนุ่มลูกครึ่ง แต่ดูแล้วไม่ใช่ลูกครึ่งจ๋าเท่าไร

“อะไร” เสียงอาฟ้ารำคาญ แต่ก็ดูแล้วสองคนนี้สนิทสนมกันมากเลยทีเดียว

“คืนนี้ไปนอนด้วยนะ” แล้วผมจะนอนไหนล่ะเนี่ย แต่อาฟ้าก็ไม่ได้สนใจเขาเลย แถมยังทำหน้ารำคาญอีกด้วย ฝ่ายนั้นเลยเรียกร้องความสนใจด้วยการจับมือคุณฟ้า ผมแอบเห็นผู้ชายคนที่สองที่เดินตามหลังคนที่หนึ่งเข้ามาเมื่อกี้ มองตาไม่กะพริบเลย

ชักยังไงแล้วสิ เหมือนคนที่สองกำลังหึงคนที่หนึ่งอยู่เลย ที่ผมคิดแบบนี้เพราะอาการพวกนี้ผมเป็นบ่อย

เชื่อไหมว่า แม้แต่ตอนที่คุณยะคุยเรื่องงานกับพี่แอล ผมยังแอบหึงเลยครับ รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่ทำให้คนสองคนอยู่ใกล้กัน แต่ผมก็ห้ามความรู้สึกหึงหวงไม่ได้

“ได้แล้วค่ะน้องพี” พี่ยีนเดินมาหาผมพร้อมกับจานข้าวผัดปูหอมๆ บนถาดไม้

“ขอบคุณครับ” ผมรับมันมาถือ พลางบอกขอบคุณเธอ และไม่ลืมที่จะบอกอีกคนหนึ่งด้วย “อาฟ้าครับ พีออกไปทานข้างนอกนะครับ”

“ครับ” อาฟ้าเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม ก่อนจะหันไปจัดการงานของตัวเองต่อ

ผมเดินถือจานข้าวผัดปูมานั่งที่โต๊ะไม่ไกลจากประตูห้องครัวเท่าไร นั่งกินได้ไม่กี่คำประตูห้องครัวก็เปิดออกมาอย่างแรง พร้อมกับร่างของผู้ชายตัวเล็ก (แต่ก็ใหญ่กว่าผม เพราะเขาน่าจะอายุมากกว่าผม) ที่เดินกระแทกเท้าออกมา ตามมาด้วยชายหนุ่มลูกครึ่ง แบบนี้ผมคงไม่ต้องเดาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่แล้วมั้ง มียื้อยุดฉุดกระชากกันด้วย

“อย่ามาจับกู!” เริ่มประโยคแรกก็น่ากลัวเลย คนตัวเล็กไม่มีอาการกลัวคนตัวใหญ่เลย แถมทำท่าจะซัดกำปั้นใส่อีกฝ่ายด้วย ดีที่คนตัวใหญ่จับมือไว้ทันก่อนที่มันจะกระแทกหน้าตัวเอง

“หึงหรือไง”

“ใครหึงมึง!! สำคัญตัวผิดไปแล้ว”

“พูดกับผัวให้เพราะหน่อย หลายครั้งแล้วนะ”

หื้อ...ใช้คำนี้เลยเหรอ ไม่รู้ว่าเขาเห็นผมนั่งอยู่ตรงนี้หรือเปล่าเนี่ย ถึงผมจะตัวเล็กกว่าคนในรุ่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เล็กเหมือนเด็กห้าขวบนะครับ ช่วยเห็นผมหน่อยได้ไหม จะได้ไม่มาทะเลาะตบตีกันตรงหน้าผม

“ไอ้เหี้ย!! กูไม่มีผัว!!!” เสียงตะโกนทำเอาผมสะดุ้งเลย

“หึๆ เดี๋ยวพี่พาไปทบทวน”

“พ่องมึงดิ”

“อายน้องเขาหน่อย”

ผมนี่ก้มหน้าตักข้าวผัดปูเข้าปากแทบไม่ทัน พวกเขาเห็นผมแล้วใช่ไหม ผมไม่ควรมานั่งตรงนี้เลย แต่จะให้ผมไปนั่งตรงไหนได้ล่ะ

“แม่ง! เพราะมึงนั่นแหละ” คนตัวเล็กกว่าโกรธจนหน้าแดงหน้าดำแล้ว

“เพราะเราต่างหาก ปะ กลับบ้าน”

“กูไม่กลับ!!”

“ชอบให้ใช้กำลังใช่ไหม ได้!”

ถึงจะเห็นผมแล้ว เขาก็ยังไม่เลิกทะเลาะกัน ผมยังได้ยินเสียงโต้กันไปมา ตามด้วยเสียงโวยวายลั่นร้าน ผมแอบเงยหน้าขึ้นจานข้าวผัดปูดูพวกเขาสองคนที่ทั้งทะเลาะและลากกันออกไปจากร้าน จากนั้นในบรรยากาศในร้านถึงกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม

ผมนั่งกินข้าวต่อจนหมดจาน ตอนที่พี่ยีนเดินหิ้วกระเป๋าผ้าใบใหญ่ออกมาจากหลังร้าน

“อิ่มไหมคะ ถ้าไม่อิ่มพี่ยีนไปต้มมาม่าให้ชามโตๆ เลย เอาไหมคะ” เธอถาม

“อิ่มครับ”

“อยากกินเค้กหรือคุกกี้ไหม พี่ยีนจะไปเอามาให้” เธอถามอีกครั้งอย่างใจดี

“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรครับ พีอิ่มแล้ว”

“งั้นพี่กลับแล้วนะคะน้องพี แต่ถ้าอยากได้อะไรก็บอกพี่ฟ้านะ เขาใจดี” ว่าแล้วเธอก็เดินถือกระเป๋าออกไปจากร้านอีกราย ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับอาฟ้า ผมควรเข้าไปช่วยอาฟ้าหน่อยดีไหม เผื่อบางทีเขาอาจต้องการลูกมือคอยช่วยหยิบจำนู่นนี่นั่นให้

ผมคิดจะกลับเข้าไปหลังเพื่อช่วยอาฟ้าแต่ยังไม่ทันหยิบจานขึ้นมาถือเลยด้วยซ้ำ ไลน์ของดีนก็เด้งขึ้นมาเสียก่อน ผมจะทำไม่สนใจเหมือนที่ทำมาตลอดทั้งวันก็ไม่ได้ เห็นดีนขยันส่งมาเป็นร้อยๆ ข้อความแล้วมั้ง ถ้าจะไม่ตอบข้อความกลับไปก็เหมือนตัวเองใจร้ายกับเพื่อนไปหน่อย ผมเลยต้องพักเรื่องที่จะเข้าไปช่วยงานอาฟ้าไว้ก่อน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปอ่านข้อความของดีน

ยาวมาก... ร้อยสามสิบสามข้อความ

ผมอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง เพราะข้อความก็เหมือนๆ กันคือถามว่าผมเป็นไงบ้าง คุณยะทำอะไรผมหรือเปล่า ขอโทษที่ทำให้มีปัญหา ทำไมไม่อ่าน โกรธมากใช่ไหม รับสายหน่อย อะไรทำนองนี้แหละ จนถึงข้อความล่าสุด

Oh-deen : เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม

...และข้อความล่าสุดกว่า

Oh-deen : เฮ้ออออ อ่านซะที

P.Phirach : เราไม่ได้โกรธ อย่าคิดมากสิ ดีนเป็นเพื่อนของเราเสมอแหละ

Oh-deen : จะไม่ให้คิดได้ยังไง ไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ รู้ไหมดีนพิมพ์จนนิ้วล็อกแล้วเนี่ย

P.Phirach : จะโกรธก็ตอนบ่นเยอะนี่แหละ

Oh-deen : ขอโทษเรื่องเมื่อคืนนะพี ดีนก็เมาด้วยเลยคุมตัวเองไม่ค่อยได้

Oh-deen : เห็นปากพีแล้วก็ห้ามใจไม่ไหวว่ะ คนอะไรปากน่าดูดชะมัด

P.Phirach : ขอโกรธได้เลยได้ไหม

Oh-deen : ไม่ได้ 555+

Oh-deen : ใครใช้ให้เกิดมาปากน่าจูบล่ะ

P.Phirach : จะไม่จบใช่ไหม อยากให้โกรธ ? เอาไหม ทำให้ได้นะ

Oh-deen : ใจร้ายว่ะ ว่าแต่พรุ่งนี้ไปหาได้ปะ อยากเลี้ยงขอโทษ

P.Phirach : เอาไว้เปิดเทอมละกัน

Oh-deen : โหย อีกตั้งครึ่งเดือนเลยนะ จะไม่ให้ดีนเจอหน้าเลยหรือไง

Oh-deen : แบบนี้ดีนก็คิดถึงแย่สิ

P.Phirach : นี่ดีน เราพูดจริงๆ นะ เลิกคิดกับเราเกินเพื่อนได้ไหม

...ผมควรจริงจังเสียที และต่อจากนี้ผมก็จะระวังตัวกับดีนมากขึ้น

Oh-deen : ถ้าตอบว่าไม่ได้จะโกรธปะ

P.Phirach : ไม่โกรธแต่คงไปไหนด้วยไม่ได้แล้วนะ

Oh-deen : ใจร้ายได้ตลอดจริงๆ ว่ะพี

P.Phirach : ก็จำเป็นต้องใจร้ายเพราะถ้าใจดี ดีนก็จะทำแบบเดิมอีก

Oh-deen : ก็ได้ๆๆๆ เลิกคิดเกินเพื่อนก็ได้

Oh-deen : งั้นพรุ่งนี้พีเลี้ยงข้าวปลอบใจคนอกหักหน่อยได้ปะ

P.Phirach : เปิดเทอมละกัน จะเลี้ยงทั้งเดือนเลย

Oh-deen : โหยยยยยย นี่จะให้ถึงเปิดเทอมจริงๆ เหรอ

...‘จริง’

ผมกำลังพิมพ์คำนี้ลงไปแต่ยังไม่ทันกดส่ง เสียงกระดิ่งเล็กๆ ที่ติดอยู่ด้านในของประตูร้านเชิญครับก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ตอนแรกผมคิดว่าเป็นอานุ แต่ไม่ใช่

“คุณยะ...” ผมครางชื่อของเขาออกมาแทบไม่พ้นลำคอ ขณะที่ร่างสูงใหญ่เดินตรงมาหาผม

“กลับบ้าน” เขามาหยุดตรงหน้าผม เอ่ยสั่งเสียงเรียบ

“ไม่” ผมส่ายหน้า ก่อนเอ่ยย้ำถึงความสัมพันธ์ที่เขาปาใส่ผมเมื่อคืน “เราเลิกกันแล้ว ดังนั้นคุณยะก็ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก กลับไปหาพี่เลม่อนเถอะ ตอนนี้คงนอนรอคุณยะอยู่บนเตียงแล้วมั้ง” พูดเองก็เจ็บเอง ความปากร้าย ชอบประชดประชันของผมคงได้จากพ่อมากไปหน่อยมั้ง... ถ้าคุณชลัชเป็นพ่อของผมจริงๆ น่ะนะ

“อย่ามาประชดฉันพี”

“พีไม่ได้ประชด อย่าเข้าใจผิด คุณยะเลือกที่จะทิ้งพีเอง” ประชดเพราะความน้อยใจล้วนๆ เขาไม่รู้หรอกว่าผมนั่งร้องไห้กลางห้องนั่งเล่นทั้งคืน เจ็บปวดแค่ไหนกับการที่เขาด่าว่าผมแบบนั้น “เมื่อคืนคุณยะจำไม่ได้ใช่ไหมว่าด่าอะไรพีไปบ้าง ถ้าคิดว่าพีเหมือนแม่ จนไม่อยากเห็นหน้าพี ก็ไม่ต้องมาสนใจพีสิ”

เขานิ่งไปนิดหนึ่ง หลบสายตาผมด้วย แต่สักพักก็กลับมาจ้องผมเขม็ง ก่อนจะเอื้อมมาจับแขนผม ดึงตัวผมขึ้นจากเก้าอี้ แต่ผมก็จับขอบโต๊ะไว้ทัน ไม่ยอมให้เขาดึงเอาตัวออกไปง่ายๆ

“กลับไปเคลียร์กันที่บ้าน” เขาพูด ยังออกแรงดึงผมอยู่

“ไม่กลับ”

“อย่าดื้อพี อยากให้ความลับแตกหรือไงหะ!”

ผมส่ายหน้ารัวๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากโต๊ะ

“พีไม่ไป ปล่อยพี!”

“อย่าดื้อให้มากพี! อย่าให้ฉันหมดความอดทน!” ดูจากหน้าตาและน้ำเสียงก็คงจะใกล้แล้วจริงๆ

“ไม่!”

“อยากลองดีหรือไง!” เขาดึงแขนผมแรงขึ้น

“ไม่ไป...ไม่ๆๆ”

ขณะที่มือผมจะหมดแรง เจ้าของร้านเชิญครับก็วิ่งออกมาจากหลังร้านอย่างได้จังหวะเวลา

 “คุณจะทำอะไรหลานผม!!” วิ่งมาถึงก็ดึงเอาตัวผมมาหลบไว้ด้านหลัง ท่าทางพร้อมจะปกป้องผมอย่างเต็มที่ “ไม่ต้องกลัวนะครับน้องพี”

อาฟ้าต้องเข้าใจผิดแน่ๆ ว่าคุณยะเป็นคนร้าย แต่คนร้ายที่ไหนจะสวมสูทผูกไทเป็นผู้บริหารแบบนี้ ยิ่งหน้าแบบคุณยะแล้วด้วย ห่างไกลจากคำว่าโจรผู้ร้ายลิบลับ และที่สำคัญหน้าก็เหมือนอานุด้วย อาฟ้าคงลืมสังเกตแน่ๆ

ผมจะอ้าปากบอกอาฟ้าว่าคุณยะไม่ใช่โจรผู้ร้ายที่ไหน แต่ก็ไม่ทันเพราะคุณยะเป็นฝ่ายพูดแทนผมไปแล้ว

 “จำได้ว่าผมมีน้องชายคนเดียว แล้วเขาก็ไม่ใช่คุณ” คุณยะปรายตามองอาฟ้าแบบไม่พอใจนิดๆ

“เอ่อ... คุณเป็นพ่อของ...” 

“ครับ ผมเป็นพ่อของหลานคุณ”

“ขอโทษครับ ผมนึกว่า....” อาฟ้ายังพูดไม่จบเลย คุณยะก็พูดแทรกขึ้น

“กลับบ้านกับคุณยะได้หรือยัง”

“คุณยะอนุญาตให้พีนอนกับอานุแล้วนะครับ” ผมทวงเสียงเบา เพราะไม่อยากประชดประชันคุณยะต่อหน้าอาฟ้า

ต่อหน้าคนอื่น ผมไม่อยากทำตัวเป็นเด็กที่ไม่น่ารักหรอกครับ ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าผมทะเลาะกับคุณยะต่อหน้าอาฟ้า อาฟ้าอาจจะสงสัยความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะขึ้นมาก็ได้ แล้วเรื่องก็จะถึงหูอานุ บอกตามตรงว่า ผมไม่อยากให้คนในครอบครัวรับรู้ความสัมพันธ์นี้ เพราะทุกอย่างระหว่างผมกับคุณยะ มันไม่หนักแน่นเอาซะเลย ทั้งที่ผมรักเขามาก แต่ปัญหาก็มากตามไปด้วย โดยเฉพาะปัญหาใหญ่คือพี่เลม่อน ที่ผมไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหมดความอดทนกับคุณยะ เมื่อไรจะเลิกรักคุณยะ ผมกลัวตัวเองจะเป็นฝ่ายหมดความอดทนไปเสียก่อน

“แต่ตอนนี้คุณยะเปลี่ยนใจ” ส่วนเขาก็เบาอารมณ์ร้อนลง คงคิดเหมือนผมนั่นแหละ ไม่อยากให้ใครสงสัยในความสัมพันธ์ของเราสองคน

...คุณยะก็อยากปกปิดเหมือนกัน

มันทำให้ผมอดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ ว่าคุณยะอยากซ่อนผมไว้ในที่ที่ไม่มีใครเห็น ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเป็นอะไรกับผม โดยเฉพาะครอบครัวของตัวเอง

แล้วผมก็เจ็บปวดกับความคิดของตัวเอง ยิ่งนึกถึงคำบอกรักของเขา ผมก็ยิ่งเจ็บ เพราะไม่รู้เลยว่ามันมีความจริงมากแค่ไหน ผมจะต้องอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไร ที่ผมยอมทนอยู่กับความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้นก็เพราะมั่นใจว่าเขารักผม ทว่าตอนนี้ ความมั่นใจนั้นเริ่มสั่นคลอน พร้อมจะผุพังลงทุกเมื่อ

“แต่...” พอน้อยใจผมก็อยากจะปฏิเสธเขา น้ำตาล้นตาขึ้นมาอีกจนได้

“ไม่มีแต่ ไปเอากระเป๋ามา แล้วกลับบ้านกับคุณยะ อย่าให้หงุดหงิดไปมากกว่านี้นะพี” พูดขู่เสียงขุ่น ขยับจะเอื้อมมาดึงตัวผมออกจากที่ซ่อน

“ไม่ครับ...ฮึก...พีไม่กลับ...” น้ำตาผมไหล กำเสื้อด้านหลังของอาฟ้าไว้แน่นที่สุด ไม่อยากให้คุณยะเอาตัวผมไปได้ตามใจชอบ

แล้วอานุก็เปิดประตูเข้ามาในจังหวะนั้นพอดี น้ำตาผมก็ยิ่งไหล แต่เป็นน้ำตาของความดีใจนะที่เห็นอานุ เพราะอานุจะอยู่ข้างผม อานุบอกอย่างนั้น

“พี่ยะ! มาทำอะไรที่นี่” หน้าตาอานุโกรธมาก เดินมาถึงก็ดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด ลูบหัวลูบหลังอย่างปลอบโยน กระซิบกับผมเบาๆ ว่า “อามาแล้ว ไม่ต้องกลัว”

“จะตะโกนทำไม แล้วนั่นจะโอ๋กันไปถึงไหน เพราะโอ๋กันอย่างนี้ไง ฉันถึงแตะต้องอะไรไม่ได้”

...พูดยังกับว่าเขาไม่เคยทำอะไรผมอย่างนั้นแหละ ทั้งบ้านก็มีแค่เขานี่แหละที่แตะต้องผมได้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหวานหูหรือคำด่าว่าที่ทำให้ผมเจ็บช้ำ

“รับปากแล้วนะว่าจะให้พีนอนกับผม”

“รับได้ก็เลิกได้โว้ย เอาพีมาให้ฉัน” ประโยคสุดท้ายเขาเบาเสียงลง พร้อมกับอ้อมแขนของอานุที่คลายออกจากตัวผม

“ไปหาคุณยะนะ อานุอยู่ตรงนี้แล้ว คุณยะไม่กล้าทำอะไรพีหรอก” อานุกระซิบบอกผมเบาๆ ก่อนส่งผมให้กับพี่ชายตัวเอง ทีแรกผมก็ขืนตัวไว้แต่ก็ไม่อยากทำให้อานุสงสัย บวกกับที่คุณยะเอื้อมมือมาดึงตัวผมด้วย สุดท้ายผมก็จำต้องไปอยู่ในอ้อมแขนของคุณยะ

“โตแล้วไม่ร้องนะครับคุณดีของคุณยะ” เดี๋ยวก็ด่าผม เดี๋ยวก็มาพูดดีกับผม บอกตามตรงผมตามอารมณ์และคำพูดของคุณยะไม่ทันเลย แต่ถ้าเลือกได้ ผมก็อยากให้เขากอดผมและปลอบโยนหัวใจของผมด้วยคำพูดหวานๆ แบบนี้มากกว่า และมันทำให้ผมใจอ่อนกับเขาได้เสมอ

“ฮึก...ก็คุณยะว่าพี” ผมตัดพ้อเสียงเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ อานุกับอาฟ้าไม่ได้ยินหรอก นอกจากคนที่กอดผมอยู่

“ก็ดูทำแต่ละอย่างสิ มันน่าไหมล่ะ” เสียงของคุณยะก็เบาไม่ต่างจากผม ก่อนเจ้าตัวจะหันไปใช้เสียงปกติสั่งน้องชายตัวเอง

“นายไปเอากระเป๋าของพีมา ฉันจะพาพีกลับบ้าน”

แต่อานุไม่ยอม

“ให้พีตัดสินใจว่าจะนอนกับใคร”

.

.

.

อานุบอกให้ผมตัดสินใจและการตัดสินใจของผมทำให้คุณยะไม่พอใจ แต่ก็ยังตามมาที่คอนโดฯ ของอาฟ้าด้วย แถมยังมาด้วยสภาพใบหน้าไม่สบอารมณ์และมองน้องชายตัวเองตาขุ่นขวาง แต่ยังดีที่กับอาฟ้า คุณยะยังมีรอยยิ้มให้อยู่บ้าง

ไม่สิ...น่าจะยิ้มให้อาฟ้าเยอะพอสมควร เจ้าตัวคงเดาความสัมพันธ์ของน้องชายตัวเองกับเจ้าของร้านเชิญครับได้แล้วมั้ง

คอนโดฯ ของอาฟ้าไม่ใหญ่มากครับ เท่าที่ผมสังเกตน่าจะเคยเป็นคอนโดฯ แบบสองห้องนอน แต่คงถูกรีโนเวทใหม่ให้เหลือแค่ห้องนอนห้องเดียว ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าห้องนอนที่เหลืออยู่ห้องเดียวนั้นจะกว้างแค่ไหน เพราะผมกับคุณยะนอนที่ห้องนั่งเล่นครับ ไม่ได้เข้าไปในห้องส่วนตัวของอาฟ้า

“ไม่รู้จะมานอนที่นี่ทำไมให้ลำบาก” คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินบ่นมาแต่ไกลเลย ตอนอานุกับอาฟ้าอยู่ด้วยนี่ไม่มีบ่นเลยครับ เห็นบอกอาฟ้าว่าตัวเองนอนที่ไหนก็ได้

“...” ผมแกล้งไม่ได้ยิน พอจะล้มตัวลงนอนบนฟูกก็ถูกเขาดึงตัวไว้ก่อน

“อย่าเพิ่งนอน มาคุยกับฉันก่อน” ตอนอยู่กันแค่สองคน เสียงนี่เปลี่ยนเลย ผมเลยมองตาขวาง แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าเดินตามเขาไปนั่งที่โซฟา เพราะไม่อยากชวนเขาทะเลาะ มันจะเป็นการรบกวนอานุกับอาฟ้าเสียเปล่าๆ

ผมเดินตามเขาไป แต่เดินเลยไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวอีกตัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับตัวที่เขานั่ง มีโต๊ะกระจกตั้งอยู่ตรงกลาง

“ไปที่นั่นทำไม” เขาก็ยังถามวนอยู่กับแต่เรื่องเก่า ถ้าผมไม่ให้คำตอบ เขาก็คงจะถามไม่หยุด เผลอๆ จะอารมณ์ร้อนขึ้นมาอีก

“ไปหาคุณชลัช” ผมตอบไปตามความจริง แต่ไม่คิดจะบอกความจริงทั้งหมดเหรอ

“ไปหามันทำไม” เสียงเขาเข้มขึ้น แววตาของเขาดูระแวงหน่อยๆ

“ผมไม่ชอบสิ่งที่เขาทำ” ผมเริ่มบอกความจริงครึ่งเดียวนั้น

“...” ดวงตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องทุกคำพูดของผม ราวกับจะค้นหาว่ามีคำพูดไหนบ้างที่ไม่เป็นความจริง

“เขาว่าคุณยะ เขาว่าผม” ผมหมายถึงข้อความที่คุณชลัชส่งให้คุณยะก่อนที่จะส่งรูปของผมตอนอยู่ในงานปาร์ตี้ที่มีตั้งสิบกว่ารูปตามมา “ทั้งที่เขาไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องของผมกับคุณยะ”

ผมแอบเห็นเขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ และตัวเขาก็ดูผ่อนคลายขึ้น จากที่นั่งโน้มตัวมาข้างหน้าหน่อยๆ เขาก็เริ่มเอนหลังพิงไว้กับพนักโซฟา

“พีเลยไปหาเขา ไปบอกเขาว่าอย่ามายุ่งเรื่องของพีกับคุณยะอีก”

“เธอจะโทษเขาไม่ได้นะพี” เขาว่าเสียงเรียบเป็นเชิงตำหนิ “ที่เขาได้รูปแล้วส่งให้ฉันก็เพราะเธอเป็นคนทำให้เกิดรูปพวกนั้นเอง”

“พีรู้ว่าตัวเองผิด แต่เขาก็ไม่ควรมายุ่งกับเรื่องของเราสองคนนะครับ” ผมเถียงเสียงอ่อนลงเพราะรู้ตัวว่าผิดจริง “เขาทำให้คุณยะโกรธพี ทำให้เราทะเลาะกัน” ข้อนี้แหละที่ทำให้ผมโกรธเขาคนนั้น ที่ได้ภาพพวกนั้นมา เจ้าตัวคงสั่งใครสักคนให้จับตาดูผมและถ่ายรูปมาเพื่อเยาะเย้ยคุณยะ

ที่จริงผมก็อยากรู้นะว่า ถ้าเขารู้ความจริงว่าผมเป็นลูก เขาจะมีความสุขที่ได้ถากถางคุณยะอยู่ไหม ยังจะใช้คำพูดทำร้ายจิตใจคนฟังที่เป็นลูกของเขาอีกหรือเปล่า

“แล้วคิดบ้างไหม...” สายตาที่เขามองมาเริ่มขุ่นขึ้นมาหน่อยๆ เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อคืน “...ถ้าฉันไม่เห็นรูปพวกนั้น ถ้าเขาไม่ส่งรูปให้ฉันดู ไม่ตามฉันให้มาเอาตัวเธอกลับ มันจะเกิดอะไรขึ้น”

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ผมทำหน้างอ เพราะคำพูดของเขาใส่ร้ายผมเกินไป ก่อนเขาจะเข้ามา ดีนคิดจะใช้กำลังกับผมก็เถอะ แต่ดีนก็เปลี่ยนใจแล้ว ดังนั้นผมะไม่เป็นอันตรายอะไรเลย

“เธอแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ ?” เขาขมวดคิ้วไม่พอใจ “เธอเมา เด็กนั่นเมา อะไรก็เกิดขึ้นได้ แล้วรู้ไหมว่ามันเล่นยาด้วย”

“...” ผมเถียงไม่ออก เพราะดีนเล่นยาจริงๆ ดีนชวนผมเหมือนกัน แต่ผมไม่เอาด้วย แต่ว่าดีนก็เล่นไม่เยอะนะเท่าที่ผมสังเกต อย่าว่าผมไม่ห้ามดีน ผมห้ามแล้วแต่ดีนทำหูทวนลม บอกว่าแค่นิดหน่อยเอง

“ฉันบอกไปแล้วว่าให้เธอเลิกคบเด็กนั่น ชวนกันทำแต่ละเรื่อง มันดีกับตัวเธอตรงไหนบ้าง”

“ดีนเป็นเพื่อนจะให้เลิกคบได้ยังไง” ผมแย้งเบาๆ เขามองตาดุทันที

“มานั่งนี่” เขาบอก ผมทำตามอย่างว่าง่าย ก็ใจผมเป็นของเขาไปแล้วนี่นา การได้อยู่ใกล้เขาคือความสุขของผม

เดินไม่กี่ก้าวผมก็ไปอยู่ตรงหน้าคุณยะแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งพาดบนตักของเขา... ที่นั่งบนโซฟาเดี่ยวก็มีแค่บนตักของเขาที่ผมจะนั่งลงไปได้ จะให้ผมนั่งบนที่พักแขนก็ไม่น่าจะดีเท่าไร และคุณยะก็คงอยากให้ผมนั่งบนตักเขานั่นแหละ

“แล้วฉันเป็นอะไรกับเธอ” ท่อนแขนแกร่งโอบรอบตัวผมไว้หลวมๆ แต่ก็ให้ความอบอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มผืนหนาๆ ซะอีก “...บอกมาสิ...พี...ฉันเป็นอะไรกับเธอ” เสียงทุ้มนุ่มนวลย้ำซ้ำ ดวงตาของเขาทำให้หัวใจของผมเริ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้ง โลกที่เซื่องซึมมาตลอดทั้งวันกลายเปลี่ยนเป็นสีชมพูเชื่อมเลย

“เป็นคนใจร้าย ชอบด่าน้องพี โมโหทีไรเป็นต้องด่าน้องพีทุกที” นี่แหละที่เป็นเขา คนที่ทำให้ผมรักจนหลง

“แล้วน่าโดนไหมล่ะ” เขาหัวเราะเบาๆ “เธอน่ะ... ดื้อมากรู้ไหม เถียงฉันได้ทุกคำ มีข้อแก้ตัวตลอด พอเถียงไม่ขึ้นก็ใช้น้ำตามาช่วย...เด็กขี้โกง”

“ไม่ได้ขี้โกงสักหน่อย เสียใจน้ำตาก็ต้องไหลสิ” ผมค้านคำกล่าวหาที่เต็มไปด้วยเอ็นดูของเขา ราวกับเมื่อคืนก่อนไม่เคยทะเลาะกันอย่างรุนแรงอย่างนั้นแหละ “อีกอย่างน้องพีมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองนะ” ผมอ้อนน้อยๆ เอนตัวลงไปซบอกกว้างแสนอบอุ่นของเขา

เฮ้อ... ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ที่สุด

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-01-2019 04:07:21
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักของเราสองคน

“เห็นไหม เถียงฉันอีกแล้ว” เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

“ไม่ได้เถียงนะ ก็คุณยะชอบพูดเหมือนน้องพีเป็นเด็กไม่ดี คุณปู่ คุณย่า อานุ อาภา ยังชมพีเลย ไม่มีใครด่าพีเหมือนที่คุณยะทำหรอก เลิกใจร้ายกับพีได้ไหมครับคุณยะ ใจร้ายกับพีทีไร รู้ไหมว่าพีเจ็บนะ เจ็บมากด้วย”

“อย่ามาอ้อน” มือของเขาลูบลงมาที่หัวของผมอย่างนุ่มนวล ไม่ต่างจากน้ำเสียงที่กระซิบบอก “...ฉันขอโทษที่พูดกับเธอรุนแรงแบบนั้น เมื่อคืนฉันโมโหมากไปหน่อย เลยควบคุมตัวเองไม่ได้”

“น้องพีก็ขอโทษคุณยะเหมือนกัน” ผมเงยหน้าขึ้นจากอกเขา ประคองใบหน้าหล่อเหลาที่เคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มละมุน ก่อนแนบริมฝีปากบนแก้มซ้ายของเขา “ดีกันแล้วนะครับ ไม่โกรธน้องพีแล้วนะ”

“ดีกันแล้ว ไม่โกรธแล้ว” เขายิ้มให้ผม ยิ้มที่เป็นยิ่งกว่าความสุขของผม

“คุณยะ...พีมีเรื่องอยากขอ” ผมทำหน้าเศร้า

“จะอ้อนอะไรอีก” เขาถามยิ้มๆ

“ต่อไปอย่าด่าเหมารวมได้ไหมครับ”

“...” รอยยิ้มของเขาหุบลง คงรู้แล้วว่าผมจะพูดเรื่องอะไร

“น้องพีไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรให้คุณยะโกรธ หรือทำให้คุณยะเสียใจด้วยเรื่องอะไร น้องพีเกิดมาโดยไม่รู้เรื่องของพวกเขาเลยจริงๆ ถ้าคุณยะโกรธน้องพีก็โกรธแค่เรื่องที่น้องพีทำได้ไหม อย่าเหมารวมว่าน้องพีเป็นเหมือนพวกเขา เพราะน้องพีไม่เหมือนพวกเขา ไม่เคยทำให้คุณยะเสียใจเลย”

...มีแต่คุณยะที่ทำให้น้องพีเสียใจซ้ำๆ

ผมพูดต่อในใจ

“รับปากน้องพีนะ ต่อไปห้ามเอาเรื่องของพวกเขามาด่าน้องพี”

“ฉันรับปาก” เขาดึงใบหน้าผมลงมาเผื่อประทับริมฝีปากมาที่หน้าผาก ก่อนผละออกไป “มีอะไรอีกไหมที่อยากขอฉัน”

“ขอให้รักน้องพีคนเดียว”

“อ้อนตลอด” เขาว่าแล้วยิ้ม

“อ้อนคุณยะคนเดียว” เพราะอ้อนเขาแล้วผมมีความสุข ยิ่งอ้อนแล้วได้รับความใจดีจากเขา ผมก็ยิ่งอยากอ้อนไปตลอดชีวิต

แล้วเขาก็หอมแก้มผมย้ำๆ แบบซ้ายทีขวาที จนไม่รู้ว่าจากแก้มเปลี่ยนเป็นริมฝีปากตอนไหน รู้ตัวอีกทีมือทั้งสองข้างของเขาก็เปลี่ยนจากโอบกอดเป็นไต่ไปทั่วแผ่นหลังของผม

“อื้ออ...ไม่เอาคุณยะ” ผมเอาริมฝีปากหนีจากเรียวลิ้นที่กำลังจะเข้ามาชิมความหวาน (เขาบอกประจำว่าปากผมหวาน) “ทำไม่ได้นะ เดี๋ยวอานุรู้” และที่นี่ไม่ใช่ห้องของผมหรือคุณยะด้วย แต่เป็นคอนโดฯ ของอาฟ้าที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง จะมาทำเรื่องอย่างว่ากันได้ยังไง

“อย่าให้รู้สิ” พูดง่ายไปไหม!

“ไม่เอานะ พีไม่ให้ทำนะ” ผมก็ได้แต่ห้ามเสียงเบา ไม่กล้าตะโกนเสียงดังเพราะกลัวเสียงจะดังเข้าไปในห้องนอนของอาฟ้า ขณะที่คุณยะเริ่มใช้กำลังที่มากกว่าจับผมเปลี่ยนท่านั่ง จากนั่งพาดตักเป็นนั่งคร่อมแทน

“แต่คุณยะจะทำ”

“คุณยะ!” กระแทกเสียงขุ่นจัดใส่เขา กระแทกแบบเบาๆ นั่นแหละ ดังได้ซะที่ไหน เสียงดังลอดเข้าไปแล้วอานุโผล่ออกมาจบไม่สวยแน่ เพราะตอนนี้ทั้งห้องก็ยังสว่างไม่ต่างจากเวลากลางวัน “ไม่อายหรือไง ไม่ใช่ห้องของเรานะ”

“...”

“...”

เขาใช้ความเงียบกดดันผม ลูกตาสีดำวาววับและหวานเชื่อมนั้นด้วยที่จ้องจนผมเริ่มเป๋ออกจากจุดยืนของตัวเอง

“คุณยะ...ห้ามมองน้องพีแบบนี้” ผมท้วงเสียงอ่อน โดนจ้องแบบนี้ผมก็จะไม่รอดเอาน่ะสิ “พีกลัวอานุออกมาเจอ”

“อานุของพีนอนกอดแฟนหลับไปแล้วมั้ง ไม่ออกมาหรอก... เชื่อคุณยะนะครับคนดี” ประโยคสุดท้ายโคตรของโคตรหวาน

“แต่ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเรา” เสียงผมอ่อนลงไปอีก เห็นรางๆ แล้วว่าจะต้องพบจุดจบในอีกไม่ช้านี้อย่างแน่นอน

“คุณยะจะไปปิดไฟ”

จบคำพูดของเขาแค่เพียงอึดใจเดียวทั้งห้องก็มืดลง มีเพียงแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือที่ทำให้คนตัวสูงใหญ่อย่างคุณยะเดินกลับมาจัดการเสื้อผ้าบนร่างกายผมให้พ้นไปจากตัวได้อย่างง่ายดาย

“คุณยะหื่น” ผมต่อว่าเขาในความเงียบที่โอบล้อมด้วยความมืดของค่ำคืนอย่างแท้จริง ไม่มีแสงไฟส่องสว่างแต่ก็ยังเห็นร่างกายของคนที่คร่อมอยู่บนตัวของผมอย่างชัดเจน

“เด็กมันยั่วไง” เขาบอกด้วยเสียงที่เริ่มแหบพร่าจากอารมณ์รักที่คุอยู่ภายใน พรมจูบไปทั่วแผ่นอกของผม ก่อนจู่โจมที่ยอดอก

“อึก...พีไม่ได้ยั่ว...อือ...ชอบใส่ร้ายพีตลอด” ผมเถียงไปพร้อมกับปล่อยเสียงครางเบาอย่างไม่เห็นด้วยกับคำใส่ร้ายของเขา ครั้งก่อนๆ อาจจะยั่วแต่ครั้งนี้ไม่ได้ยั่วเลยสักนิด ขัดขืนด้วยซ้ำ เป็นเขานั่นแหละที่ใช้สายตาหวานเชื่อมขู่บังคับให้ผมยอมพ่ายแพ้

“เธอขึ้นมานั่งบนตักฉัน” 

“ก็คุณยะเรียกพี่ให้...อื้อออ...”

และแล้วผมก็หมดโอกาสได้เถียงเพราะถูกเรียวลิ้นแสนชำนาญหลอกล่อจนหลงใหลไปกับความหอมหวานที่อีกฝ่ายปรนเปรอเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า

“อึก...คุณยะ...ฮ๊าาา...” ความทนของผมจบลงด้วยอุ้งมือหนาและร้อนจัด ก่อนช่องทางรักจะรองรับตัวตนแข็งกร้าวของคุณยะที่แทรกกายเข้ามาช้าๆ ไม่ได้รวดเร็วหรือเอาแต่ใจเหมือนที่เขาชอบทำ เพราะครั้งนี้ตัวช่วยของเราสองคนมีแค่ลาวาขาวข้นของผมเท่านั้น มันจึงยากและเจ็บปวดอย่างที่สุด ให้ความรู้สึกเหมือนครั้งแรกที่ผมมีอะไรกับคุณยะเลย

“ทนหน่อยนะคนดี” เสียงกระซิบหวานคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากผม ขณะที่ตัวตนของคนพูดแทรกลึกเข้ามาเรื่อยๆ

“คะ...ครับ...ฮึก...” ผมสะอื้น ตัวสั่น ร่างกายเหมือนจะฉีกขาด

“อยากให้คุณยะถอยไหม ?” สะโพกสอบหยุดขยับ แต่ความเจ็บก็ยังเท่าเดิม

“ไม่...ต้อง...ครับ...”

“คนดี” เขากดริมฝีปากบนแก้มผมแบบไม่ออมแรงเลย มันเหมือนว่าอารมณ์ของเขาเริ่มหยุดไม่อยู่แล้ว “คุณยะรักน้องพีนะครับ” คำหวานกระซิบบอกให้หัวใจผมโบยบินออกไปจากความเจ็บปวดที่กำลังฉีกทึ้งร่างกายผมอยู่

“พีก็รักคุณยะ...ฮึก...รักมากๆ เลย...พี...ฮึก...พีไม่เคยมีใครนอกจากคุณยะคนเดียว” บางความทรงจำในค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นเหมือนหนามแหลมที่ตำนิ้ว และมันยังคงฝังอยู่อย่างนั้น

“คุณยะรู้ครับ”

“คุณยะต้องกอดแค่น้องพีคนเดียวนะ” ความเจ็บปวดของร่างกายทำให้ผมพร่ำความต้องการของตัวเองออกมาซ้ำๆ “...นะครับ...ห้ามกอดใคร ห้ามรักใครนอกจากน้องพี มีแค่น้องพีคนเดียว...นะครับคุณยะ”

“ฉันมีเธอคนเดียว” เขาเอ่ยคำที่ผมอยากฟัง คำที่ทำให้ความเจ็บปวดที่ต้องรองรับตัวตนร้อนระอุของเขาค่อยๆ จางลงไป

“ห้ามกอดใคร”

“ไม่กอดใคร”

“กอดน้องพีคนเดียว”

“คุณยะจะกอดน้องพีคนเดียว” เขาเอ่ยมันออกมาพร้อมกับตัวตนที่เข้ามาในร่างกายผมจนถึงที่สุดแล้ว

“ทำให้น้องพีมีความสุขคนเดียวนะ” ผมก็ยังเรียกร้อง เพราะอยากล่องลอยไปตามคำหวานของเขา ผมชอบที่คุณยะพูดกับผมด้วยคำพูดหวานๆ คำที่เอาอกเอาใจผมทุกอย่าง ทำให้ผมเหมือนเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตเขา

“คุณยะจะกอดน้องพีคนเดียว ไม่กอดใครอีกแล้ว...สัญญาครับคนดี” เขาเอ่ยคำหวานออกมาพร้อมกับร่างกายที่กระแทกกระทั้นเข้ามาในช่องทางด้านล่างของผม

“รักน้องพีคนเดียว...ด้วยนะครับ...”

หรือว่าที่ผมเอาแต่เรียกร้องเพราะลึกๆ ผมไม่มั่นใจสิ่งที่อยู่ในหัวใจเขา ผมกลัวสักวันหนึ่งจะพบความจริงว่า...คำบอกรักของคุณยะไม่ได้เป็นของผม แต่เป็นของใครอีกคน ผู้หญิงที่เขาทั้งรักและเกลียด

“ฉันรักเธอคนเดียวพี...ไม่เคยรักใคร”

ผมเชื่อได้ใช่ไหม

แต่ผมก็จะเชื่อ

.

.

.

“อ่า...”

ความอุ่นร้อนที่ราดรดบนหน้าท้องของผมทำให้ใบหน้าผมค่อยๆ เห่อร้อนขึ้นมาทั้งที่ยังชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อจากกิจกรรมที่ดูดเอาเรี่ยวแรงของผมไปเกือบหมดร่าง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาปลดปล่อยข้างนอกและบนตัวผม

“อยากต่ออีกสักรอบ” ดูคำพูดหื่นกามของเขาสิ

“ไม่ต้องเลย! ไม่ใช่บ้านเรานะ” ผมทำเสียงเข้มใส่เขา ทุบไหล่เขาไปเต็มแรงด้วย แต่แล้วเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นานก็ย้อนกลับมาในความทรงจำ “คุณยะ... เมื่อกี้พีไม่ได้ร้องดังเกินไปใช่ไหม” ผมถามอย่างไม่มั่นใจเท่าไร เพราะตอนที่ผมเสร็จ สติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

“ไม่หรอก อย่าคิดมาก” คุณยะลูบหัวผมเป็นเชิงปลอบไม่ให้คิดมาก “ไป คุณยะจะพาไปล้างตัว” บอกก่อนจะหยิบเสื้อผ้าผมกับเสื้อผ้าเขาขึ้นมาพาดบ่า (เสื้อที่ผมกับคุณยะใส่คืนนี้เป็นของอานุครับ ดูแล้วอานุจะหอบเสื้อผ้ามาไว้ที่นี่เยอะเลย) จากนั้นก็ช้อนตัวผมเข้าสู่วงแขนแข็งแรง อุ้มพาผมไปยังห้องน้ำเพื่อล้างครอบอะไรต่อมิอะไรออกจากร่างกาย

ทุกอย่างคล้ายจะดี ผมกับคุณยะกลับมาคืนดีกันแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีอะไรที่ดีแบบที่ผมเข้าใจเลยสักนิด หลังจากเขาอุ้มผมออกจากห้องน้ำในสภาพสะอาดหมดจดมาวางบนที่นอนจำเป็นซึ่งปูราบไปกับพื้นห้องนั่งเล่น โทรศัพท์ของผมก็สว่างวาบขึ้นมา บอกว่ามีข้อความจากอีกฝั่งหนึ่งส่งถึงผม คนที่ส่งมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ...พี่เลม่อน

ผมไม่รู้ว่าพี่เลม่อนมีญาณทิพย์หรือเปล่า เพราะเจ้าตัวมักจะส่งข้อความมาหาทุกครั้งที่คุณยะอยู่กับผม ครั้งนี้ก็ด้วย พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูก็เห็นว่าคนมีญาณส่งข้อความมาให้ผมนานแล้ว

LemoN : พี่ยะอยู่กับมึงใช่ไหม

...ประโยคประจำของเขาเลย

LemoN : หน้าด้าน

LemoN : เมื่อคืนพี่ยะอยู่กับกู

...ไม่บอกผมก็รู้ เลยเผลอเบ้ปากให้ข้อความขี้อวดของเขา

P.Phirach : แล้วไงครับ คุณยะก็อยู่กับพี่ทุกคืนไม่ใช่หรือไง

P.Phirach : หรือว่าเขาไม่ได้นอนกับพี่ทุกคืน แต่แอบไปนอนกับคนอื่นด้วย

...ผมจิ้มข้อความส่งไป อดไม่ได้ที่แขวะอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกว่าผมเป็นผู้ชนะ

LemoN : อย่าปากดีกับกู!

LemoN : คนอย่างมึงกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง

LemoN : ตอแหล

P.Phirach : ผมจะนอนแล้ว พี่ก็นอนเถอะครับ บางทีดึกๆ คุณยะอาจจะกลับไปนอนกอดพี่เหมือนทุกคืน

ข้อความที่ผมส่งไปขึ้นสถานะว่าอ่านแล้ว จากนั้นพี่เลม่อนก็เงียบไป จนผมคิดว่าเขายอมแพ้แล้ว แต่ก็ไม่ พี่เลม่อนไม่พิมพ์ข้อความส่งมาแล้วแต่ส่งอย่างอื่นมาให้ผมรัวๆ เลย

...ทั้งคลิปและรูป

มือผมสั่นไปหมด

เหมือนถูกพี่เลม่อนตบหน้า

ผมเคยคิดว่าตัวเองชนะพี่เลม่อน เพราะผมเอาคุณยะมาเป็นของผมได้ทั้งตัวและหัวใจ ส่วนพี่เลม่อนก็ได้แค่หลอกตัวเองไปวันๆ

LemoN : เผื่อคืนนี้มึงจะฝันดีที่ได้ใช้ผัวคนเดียวกับกู

LemoN : แอบๆ ซ่อนๆ ก็ไม่ต่างจากเมียน้อย

ข้อความของพี่เลม่อนเหมือนค้อนที่ตอกตะปูลงมาบนอก

LemoN : อย่าแค่ดูล่ะ ศึกษาด้วย มึงจะได้รู้ว่าพี่ยะชอบแบบไหน

LemoN : เขาจะได้เอามึงบ่อยๆ เหมือนที่เอากับกู

คำพูดหยาบคายแต่คงทำร้ายผมได้ไม่เท่ากับความจริงที่อยู่ในรูปและคลิปที่อีกฝ่ายส่งมาเยาะเย้ยผม และทำให้ผมตาสว่างขึ้น

“ยังไม่นอนอีก แล้วนั่นคุยกับใคร” คนที่เดินกลับออกมาจากห้องน้ำหลังจากเข้าไปทำความสะอาดห้องน้ำอีกรอบนั้นเอ่ยเสียงดุ

“คุณยะ...” เสียงผมสั่น เจ้าของชื่อที่เดินผ่านผมเพื่อจะไปปิดไฟกลางห้องหยุดปลายเท้าลง “...ทำไมต้องนอนกับพี่เลม่อน...ฮึก...สัญญากับพีแล้วนะว่าจะไม่กอดใครนอกจากพีคนเดียว” น้ำตาผมไหลช้าๆ

เขาเดินกลับมาหาผม ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าผมก่อนดึงผมเข้าไปกอด ลูบปลอบและตามด้วยคำขอโทษที่ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผมดีขึ้นมาเลย

“ฉันขอโทษ”

“คุณยะไม่เคยรักษาคำพูดของตัวเลยสักครั้ง” ผมตัดพ้อ ดันตัวออกจากอ้อมกอดของเขา จ้องหน้าเขาด้วยน้ำตา “พี่เลม่อนมีอะไรดีหรือครับ ทำไมคุณยะถึงติดใจเขาขนาดนี้ ทำไมถึงเลิกมีอะไรกับเขาไม่ได้ซะที”

เขาเอื้อมมาดึงตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้ง แต่ผมสะบัดตัวออกมา ไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัวผมได้

“อย่ามาแตะตัวผม” ผมมองเขาตาขวาง มองทั้งน้ำตาที่มันไหลไม่หยุด

ผมไม่ชอบความหึงหวงของตัวเองเลย มันทำให้ผมเหมือนถูกเผาทั้งเป็น และรู้สึกเกลียดสิ่งที่เขาทำลับหลังผม ต่อไปผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่ไปมีอะไรกับพี่เลม่อนอีก ที่ผ่านมาอีกล่ะ กี่ครั้งที่เขาบอกผมว่าไม่ได้กอดพี่เลม่อน แต่ความจริงทุกครั้งที่เขาอยู่กับพี่เลม่อน อาจจะจบค่ำคืนกันบนเตียงทุกครั้งก็ได้

...เขาจะพูดโกหกผมกี่ครั้งก็ได้

เพราะผมไม่มีทางรู้ความจริงที่เกิดขึ้นลับหลังผม เขาพูดอะไรผมก็พร้อมยอมเชื่อ หลงไปกับคำสัญญาหวานซึ้งที่มีให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่า

“จะไปไหน” เขาคว้าแขนผมไว้ตอนที่ผมหอบผ้าห่มเตรียมจะลุกไปนอนที่อื่น ความรู้สึกหึงหวงที่เต็มไปด้วยความโกรธที่เขานอนกับพี่เลม่อน ทำให้ผมไม่อยากอยู่ใกล้เขาแม้แต่วินาทีเดียว

“ผมจะไปนอนที่โซฟา” ผมสะบัดแขนเขาทิ้ง ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามือของเขาที่เมื่อวานใช้โอบกอดพี่เลม่อนมานั้นน่ารังเกียจ มันสกปรกจนผมไม่อยากให้เนื้อตัวของผมแปดเปื้อน

...เขาไม่ใช่ของผมแค่คนเดียว

...พยายามแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเป็นของผมแค่คนเดียว

ผมเกลียดความจริงนี้ที่สุด

และลับหลังผม เขาจะป้อนคำหวานให้พี่เลม่อนเหมือนที่ป้อนให้ผมหรือเปล่า คำหวานของเขาทำให้ผมไม่ระแวงเลยสักนิดว่ามาจากคำโกหกหลอกลวง

“ฟังฉันอธิบายก่อนสิพี” เขาเดินตามหลังผมมา

“งั้นคุณยะก็ฟังนี่ก่อน” ผมทิ้งผ้าห่มลงพื้นอย่างโมโห แล้วก็เปิดไลน์ของพี่เลม่อนขึ้นมา กดคลิปอันสุดท้ายให้เคลื่อนไหวและส่งเสียงน่ารังเกียจนั้นออกมา เสียงไม่ดังมาก แต่ในความเงียบที่มีแค่ผมกับเขา เสียงความสุขสมระหว่างเขากับพี่เลม่อนก็ดังพอที่จะทำให้ผมยกมือขึ้นปิดหูทันทีหลังจากยัดโทรศัพท์ใส่มือเขาแล้ว

แต่แค่ไม่กี่วินาทีเขาก็ลดโทรศัพท์ลง กำมันไว้ข้างลำตัว

“ฉัน...”

“ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากฟัง” ผมพูดแทรกก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร “คุณยะเคยถามผมว่านอนกับดีนมากี่ครั้งใช่ไหม... งั้นผมถามคุณยะบ้างว่านอนกับพี่เลม่อนมากี่ครั้งแล้วหลังจากที่สัญญาว่าจะกอดผมแค่คนเดียว ผมขอความจริงสักครั้งได้ไหม อย่าโกหกผม อย่าทำให้ผมรู้สึกโง่ยิ่งกว่าวัวยิ่งกว่าควาย” ผมเค้นเสียงถาม มองหน้าเขานิ่งราวกับจะเจาะลึกลงไปหาความจริงที่เขาซ่อนผมเอาไว้

“แค่เมื่อวาน... ครั้งเดียว”

“ผมไม่อยากจะเชื่อ” คำพูดของเขาเชื่อไม่ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมโง่เองที่ลืมความจริงข้อนี้ไปเสียสนิท เพราะความรักความหลงบังตาเอาไว้แท้ๆ “...ว่าคนอย่างคุณยะจะทนมีแค่ผมคนเดียวจนถึงเมื่อวานได้”

“อย่าประชดได้ไหมพี อยากให้เรากลับมาทะเลาะกันอีกหรือไง” เขาพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน ทำราวกับว่าผมเป็นคนเริ่มต้นสร้างปัญหา ทั้งที่เขานั่นแหละเป็นฝ่ายทำให้เราสองคนวนเวียนอยู่กับการทะเลาะและเลิกรากัน

“หึ...ต้องให้ผมยิ้มผมดีใจหรือครับที่เห็นคุณยะเอากับคนอื่น “ผมหัวเราะทั้งน้ำตา ขมปร่าไปทั้งความรู้สึก “ตอนที่คุณยะเห็นผมอยู่บนเตียงกับดีน คุณยะยิ้มได้ไหมล่ะ หัวเราะได้ไหม หรือว่าสมเพชที่ตัวเองก็แค่คนโง่ๆ คนหนึ่งที่ซื่อสัตย์กับความสัมพันธ์ แต่อีกคนกลับทรยศหักตลอดเวลา”

“มันจะไปกันใหญ่แล้วพี” เขาหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง มองผมตาขวาง ผมก็มองตาขวางเหมือนกัน 

“คุณยะว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือไง” ผมถามกลับ เขาเงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมเป็นฝ่ายผิด ส่วนเขาเป็นคนที่ถูกกระทำ

“มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยพี” เขาพูดมันออกมาช้าๆ ราวกับจะใช้ทุกคำกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง “เราจะไม่ต้องทะเลาะกันด้วยซ้ำ ถ้าเมื่อวานเธอไม่ดื่มจนเมาและไปต่อกับไอ้เด็กนั่นบนเตียง”


“ผมผิดตรงไหน” ผมไม่เห็นความผิดของตัวเองเลย “ผมแค่เที่ยวกับเพื่อน ดื่มกินเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ต่อให้ผมเมาผมก็ไม่ได้ไปเอากับใคร ไม่เหมือนคุณยะที่เมาแล้วก็ไปเอากับคนอื่น”

“แล้วคิดไหมว่าถ้าฉันไม่เมา ฉันจะไปเอากับคนอื่นไหม”

“จะบอกว่าเมาแล้วจะเอากับใครก็ได้งั้นเหรอ”

“...” เขาเงียบ

“ตอบมาสิ ทำไมคุณยะไม่ตอบล่ะ พีจะได้รู้ว่าถ้าเมาแล้วเอากับใครก็ได้ พีจะได้ทำตามบ้าง” ผมกัดฟันพูดทั้งน้ำตา “...แล้วถ้าพีทำ ก็อย่ามาว่าพีแล้วกัน”

“ก็เอาสิ อยากทำอะไรก็เรื่องของเธอ ถ้าเธอคิดว่ามันดี ฉันก็ไม่มีสิทธิ์” เขากระแทกเสียงกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาหน้าเปียกน้ำตาของผมชาไปเลย ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะหน้าทีวีกับถุงกระดาษที่ใส่เสื้อผ้าชุดเมื่อตอนกลางวันของเขาขึ้นมาถือ เตรียมตัวจะหนีปัญหาอย่างที่เขาชอบทำ

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นห้องเหมือนคนที่หมดเรี่ยวแรง ใจหนึ่งผมก็อยากจะรั้งเขา ไม่อยากให้เขาทิ้งผมไว้ข้างหลังแบบนี้ เขาชอบหนีปัญหา ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความเจ็บซ้ำซาก แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็เหนื่อยจนอยากจะหยุดรักเขาตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป มันเลยทำให้ผมได้แค่มองตามแผ่นหลังของเขาที่ไกลออกไป จนเขาเดินเกือบถึงประตูห้อง เขาก็หยุด พร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นไปดู หันหน้ามามองผมนิดหนึ่ง

“...อย่ารับ” เสียงของผมแทบไม่หลุดออกจากริมฝีปาก มันเบาบางยิ่งกว่าเสียงลมพัด และคงดังไปไม่ถึงเขา คุณยะถึงได้ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

ผมกลัวว่าคนที่โทรมาหาเขาจะเป็นพี่เลม่อน กลัวว่าเขาจะกลับไปหาและไปมีอะไรกับพี่เลม่อนอีก

“อืม...” เขาตอบรับเบาๆ กับคนปลายสาย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงประตูห้องนอนที่มีอยู่เพียงห้องเดียวเปิดออก

ที่ผมคิดว่าเป็นพี่เลม่อนโทรมาหาเขาคงไม่ใช่แล้ว

“พี” อานุเรียกผม แต่ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตาเพราะอายที่อานุต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้ “เข้าไปนอนข้างในกับอานะ”

“...ฮึก...พีขอโทษ...” ผมนึกออกแต่คำคำนี้

“ขอโทษอาทำไม” อานุถามเสียงอ่อนโยน ดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด

“...ไม่...ฮึก...ไม่รู้...”

“เข้าไปนอนนะ อาพาเข้าไป” แล้วผมก็ถูกอานุอุ้มขึ้นจากพื้น ผมซบหน้าเข้ากับอกอานุทันที หลับตาลงเหมือนอยากให้ทุกอย่างเป็นความฝัน เพื่อที่ผมจะตื่นขึ้นมาพบความจริงว่าเรื่องระหว่างผมกับคุณยะยังเป็นความลับ

ผมกลัวอานุจะรับเรื่องระหว่างผมกับพี่ชายตัวเองไม่ได้ กลัวว่าความลับจะไปถึงหูคุณปู่กับคุณย่า ผมไม่รู้ว่าท่านทั้งสองยังจะรักเอ็นดูผมเหมือนหลานในไส้เหมือนเดิมไหม... และถ้าท่านทั้งสองรับไม่ได้ จะไล่ผมออกจากครอบครัวหรือเปล่า

“พี่ยะอยู่ตรงนี้แหละ!” เสียงเข้มจัดแบบที่ผมไม่เคยได้เย็นมันหลุดออกมาจากคนเป็นอาเลยสักครั้ง อานุโกรธมากใช่ไหม

โกรธคุณยะ

หรือ...

โกรธผม
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-01-2019 04:08:41
ตอนที่ 31

หลังจากที่อานุอุ้มผมเข้ามาในห้องนอนอาฟ้า ผมร้องไห้จนหลับไปและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น รู้แต่ว่าตอนนี้ผมย้ายมานอนที่บ้านเรือนไทยของอานุ พร้อมกับคำสั่งห้ามของอานุที่ไม่ให้คุณยะเข้าใกล้ผม สองวันมานี่ผมเลยไม่ได้เจอคุณยะ แม้แต่เสียงของเขา ผมยังไม่ได้ยินเลย แต่เป็นเพราะผมไม่อยากได้ยินเสียงเขามากกว่า เนื่องจากกลัวตัวเองใจอ่อน แค่เห็นรูปที่เขาส่งทางไลน์มาให้ผมดู ผมก็สงสารจนอยากจะกลับไปหาเขา ไปดูให้เห็นกับตาว่าเขาเจ็บมากแค่ไหน

‘โดนนุต่อย ข้อหาพรากผู้เยาว์’

นี่คือข้อความที่เขาส่งมาหลังจากส่งรูปถ่ายใบหน้าที่แต้มด้วยม่วงอมเขียวอมแดงของเขาเมื่อตอนเย็นของเมื่อวาน

อันที่จริงผมก็พอจะเดาเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากผมร้องไห้และหลับไปบนเตียงของอาฟ้าได้อยู่นะ เพราะพอตอนสายๆ ของอีกวัน อานุกลับมาพาผมกลับบ้านในสภาพที่มุมปากมีรอยช้ำสีแดง แต่ที่นึกไม่ถึงคือสภาพอานุยังดีกว่าคุณยะหลายเท่า นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คุยยะไม่กลับบ้าน เพราะไม่อยากให้คุณย่าตกใจ ขนาดของอานุไม่ช้ำเท่าไร คุณย่ายังบ่นแล้วบ่นอีก (อานุไม่ได้บอกคุณย่านะครับว่าต่อยกับพี่ชายตัวเองมา อานุบอกว่าโดนคนบ้าที่ไหนไม่รู้อยู่ๆ ก็เดินมาต่อยปาก) คุณย่าเลยบ่นเรื่องที่อานุไม่เดินไม่ระวัง ปล่อยให้คนบ้าเดินมาต่อยได้ยังไง

ผมอ่านข้อความของคุณยะตลอดสองวันที่ผ่านมา แต่ไม่เคยตอบกลับไป ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดถึงเขานะ คิดถึงมากด้วยแหละ ยังรักเขาเหมือนเดิม เพียงแต่ผมเหนื่อยกับการที่ต้องทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องความหึงหวง โดยเฉพาะความหึงหวงของผมเอง ตราบใดที่เขายังไม่ยอมปล่อยมือจากพี่เลม่อน ผมก็คงไม่มีวันมีความสุขได้จริงๆ หรอก

...บางที

อาจเป็นผมเองที่หมดความอดทนก่อน

...หรือบางที


อาจเป็นคุณยะที่หมดความอดทนก่อน เพราะวันนี้เขายังไม่โทรหาผมเลย อย่าว่าแต่ไม่โทรเลย ข้อความก็ยังไม่มีมาให้ผมอ่าน คุณยะเงียบหายไปทั้งวัน ผมคิดถึงเขาถึงขนาดที่ต้องเปิดรูปเขาขึ้นมาดูไม่รู้กี่รอบแล้ว ส่วนมากก็เป็นรูปที่ผมถ่ายกับเขาตอนอยู่ที่รีสอร์ต

...หรือผมควรส่งข้อความไปหาเขา

ผมก้มมองโทรศัพท์ในมือ หน้าจอสีดำสะท้อนเงาใบหน้าของผมที่กำลังกัดริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างชั่งใจว่าจะทำตามที่คิดดีมั้ย แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะโยนโทรศัพท์ไปอีกฟากหนึ่งของเตียง จะได้ไม่เผลอหยิบขึ้นมาแล้วติดต่อกลับไปหาเขา ไม่อย่างนั้นความอดทนของผมตลอดทั้งสองวันที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า และอานุต้องผิดหวังในตัวผมมากแน่ๆ

โทรศัพท์มือถือนอนอยู่ตรงนั้น ห่างจากมือผมไปพอสมควร แต่มันก็อยู่ใกล้สายตาของผมมาก มากเสียจนอยากเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมา แล้วกดส่งข้อความไปหาคนที่ผมคิดถึง อยากถามว่าทำไมวันนี้เขาถึงไม่โทรหาผม ทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกว่าคิดถึงผมเหมือนทุกวัน

ร่างกายผมเริ่มขยับเข้าไปหาเครื่องมือสื่อสารที่จะทำให้ผมกับคุณยะใกล้กันแม้จะอยู่ห่างไกลกัน และเกือบจะเอื้อมถึงอยู่แล้วเชียว หากเสียงเคาะประตูจะไม่ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...

ตอนแรกผมคิดว่าเป็นอานุ พอหย่อนขาลงจากเตียงเท่านั้นแหละ เสียงเคาะประตูรัวๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงที่ผมคุ้นเคย...คนที่ผมคิดถึง

“พีเปิดประตู คุณยะเองนะ”

ผมก้าวช้าๆ ไปจนถึงประตู พยายามหักห้ามความต้องการของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ทั้งที่มือกำลังเอื้อมไปที่กลอนประตู

“อานุห้ามไม่ให้คุณยะมาหาผม” ผมพูดผ่านบานประตูออกไปในระดับที่ดังพอสมควร เพื่อให้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องได้ยิน ที่ผมต้องอ้างคำพูดของอานุเพราะผมกลัวตัวเองจะใจอ่อนให้เขา กลัวว่าผมจะยอมคืนดีกับเขาแบบทุกครั้งที่ผ่านมา แล้วก็จะจบแบบเดิมอีกตามเคย

...ผมเหนื่อยแล้ว

รักก็เหนื่อย

เกลียดก็เหนื่อย

ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งแต่ทำไมต้องมาแบกรับความรู้สึกมากมายแบบนี้ด้วย ผมถามตัวเองว่า ผมควรมีชีวิตวัยรุ่นที่สดใสและมีความรักที่สามารถเปิดเผยได้ไม่ใช่หรือไง แต่ความรักของผมกับคุณยะ นอกจากจะเปิดเผยไม่ได้แล้ว ยังมืดมนและไม่เห็นหนทางที่จะมีความสุขได้ตลอดไปเลย

“นุอนุญาตแล้ว” คำตอบของเขาไม่น่าเชื่อเท่าไร แต่ทำไมใจผมถึงได้ชนะสมองเสมอนะ เพียงแค่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา “...ไม่คิดถึงฉันหรือไง”

...คิดถึงสิ

คิดถึงมากที่สุด เพราะอย่างนั้นมือผมถึงได้ปลดกลอนประตูออก พร้อมกับดึงประตูให้ห่างออกจากกัน เพื่อให้คนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าผมได้เดินผ่านกรอบประตูเข้ามา

“ห้ามกอดผม!” ผมสั่งเสียงจริงจัง ก้าวถอยไปข้างหลังทันทีที่เขากางแขนจะโอบกอดผม

ไม่ได้!

ผมจะให้เขาเข้าใกล้จนไม่เหลือระยะห่างไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผมก็จะไม่มีวันหนีเขาพ้น

“...” รอยยิ้มของเขาค่อยๆ หุบลง เช่นเดียวกับที่แขนทั้งสองข้างของเขาทิ้งลงไปข้างลำตัว

“คุณมีธุระอะไรกับผม” ผมเลือกใช้คำเรียกขานที่สร้างความห่างเหิน สร้างระยะห่างให้กับความรักที่มีแต่จะทำให้ผมเสียน้ำตา

“ไม่มี” เขาพูดมันออกมาช้าๆ มองหน้าผมเหมือนอยากจับตีก้นที่ผมใช้คำพูดห่างเหินกับเขา “...ต้องมีด้วยหรือไงถึงจะมาหาเมียตัวเองได้” เขายิ้มร้ายกาจ จนอยากจะหาอะไรมาทุบให้ทรุดไปเลย แล้วเขาก็เดินผ่านผมเข้าไปในห้อง

แต่แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นแหละ เขาก็ต้องหยุดปลายเท้าลง หันกลับมาหาผมด้วยสีหน้าที่พยายามจะทำให้เป็นปกติที่สุด แต่ก็ยังเห็นชัดว่าเขาตกใจกับคำพูดของผมมากจริงๆ

“ออกไป... อย่าบังคับให้ผมต้องกลับไปที่โรงแรมนั่นอีก เพราะถ้าไปแล้ว ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีก”

มันจะเป็นวิธีสุดท้ายที่ผมเลือกทำ เพราะยังไงผมก็ไม่อยากไปจากที่นี่ ไม่อยากเป็นคนนอกครอบครัวตรัยธาดา... และไม่อยากกลับไปอยู่กับคนที่ไม่เคยต้องการผมมาตั้งแต่แรก ทั้งหมดที่พูดไปก็แค่คำขู่ให้เขาออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ความคิดถึงจะทำให้ผมใจอ่อนให้กับเขา เพื่อจะกลับไปเจ็บช้ำเหมือนเดิมอีกครั้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เขาเงียบไปนานเกือบนาทีกว่าจะขยับริมฝีปากปล่อยคำพูดที่ดังแทบไม่พ้นลำคอออกมา

“...เธอรู้”

ใช่! ผมรู้... แต่ที่เอ่ยออกไปกลับเป็นอีกประโยคหนึ่ง

“คุณออกไปได้แล้ว” ครั้งนี้สมองชนะหัวใจอย่างไม่เห็นฝุ่นเลย “ถ้าออกมาจากห้องน้ำแล้วคุณยังอยู่ในนี้ ผมก็จะเป็นฝ่ายไปเอง” ผมพูดโดยไม่มองหน้าเขา ไม่อยากให้ใจอ่อน บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าต้องเข้มแข็งและเด็ดขาดได้แล้ว

พูดจบผมก็เดินผ่านเขาเข้าไปซ่อนตัวในห้องน้ำนานเกือบสิบนาทีถึงได้เปิดประตูห้องน้ำออกมา และพบว่าเขาไม่อยู่แล้ว ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเหงาที่มากกว่าตอนก่อนเขาจะก้าวเข้ามาเสียอีก

...ผมยังรักเขา

ไม่ได้รักน้อยลงเลย เพียงแต่ผมพยายามที่จะเลิกรักเขาให้ได้... ในสักวันหนึ่ง

.

.

.

ตริ๊ง...

ผมที่พลิกตัวไปมาเกินชั่วโมงแล้วมั้งเพราะนอนไม่หลับ ลืมตาขึ้นมาในความมืดที่มีแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์วาบขึ้นมาพร้อมกับเสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชต มีไม่กี่คนหรอกที่ผมคุยไลน์ด้วย แต่คนที่ผมไม่อยากให้เป็นเจ้าของข้อความไลน์ที่ดังรัวอยู่ในตอนนี้ก็คือพี่เลม่อน

เฮ้อ... แต่ก็นั่นแหละ ยิ่งไม่อยากก็ยิ่งต้องเจอ

ทั้งที่รู้ว่าแต่ละข้อความของพี่เลม่อนมีแต่จะทำร้ายผม แต่ผมก็ยังเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความของพี่เลม่อน อยากรู้ว่าคืนนี้เขาจะส่งอะไรมาทำร้ายผมให้เจ็บปวดไปกับความจริงที่เกิดขึ้นระหว่างพี่เลม่อนกับคุณยะ

เปิดมาก็เจอเลยครับ

...รูปถ่ายของพี่เลม่อน

แม้จะมีไม่กี่รูปและมีแค่พี่เลม่อนคนเดียวอยู่ในรูปพวกนั้น ทว่าสิ่งที่ทำให้ความเจ็บปวดและอาการหึงหวงของผมตีกันไปมาคือสถานที่ที่อยู่เบื้องหลังรูปของพี่เลม่อน

...เพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสองของพุฒิธาดา

ทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัวเล็กๆ ห้องนอน และจบที่บนเตียงนอนของคุณยะ ในสภาพที่เจ้าตัวซุกอยู่ในผ้าห่มผืนที่ผมเคยห่ม พร้อมกับเปลือยท่อนบนอวดร่องรอยสีกุหลาบจางๆ บนเตียงที่ยับย่นนั้นก็มีเสื้อของคุณยะกองอยู่ด้วย

LemoN : ขอโทษที่ต้องให้มึงดูแค่รูปกูคนเดียว

LemoN : แต่กูหวังดีกับมึงนะ เห็นแค่รูปกู มึงจะได้เสียใจน้อยลงไง

LemoN : หรืออยากได้รูปคู่ของกูกับพี่ยะ

LemoN : บอกมาสิ กูจะได้แบ่งปันความสุขของกูกับพี่ยะให้มึงอิจฉาไปทั้งคืน

LemoN : แต่คลิปคงไม่มีนะ เพราะกลัวมึงจะตายซะก่อน

LemoN : อ้าว... อ่านแล้วไม่ตอบ กลั้นใจตายอยู่หรือไง

LemoN : ตายๆ ไปซะก็ได้นะคนอย่างมึง

LemoN : กูจะได้มีความสุขซะที

LemoN : ไม่ต้องมาระแวงว่าวันไหนมึงจะหน้าด้านเอาผัวกูไปกกอีก!

P.Phirach : งั้นพี่ก็เลิกระแวงได้เลย

P.Phirach : ผมไม่อยากได้ผัวพี่

...ผมพิมพ์กลับไป และพี่เลม่อนก็พิมพ์กลับมาอย่างรวดเร็ว ด้วยคำด่าแบบเดิมๆ ที่ทำให้ผมหน้าชาได้ทุกครั้ง จนคิดไปแล้วว่าผมคงเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ

LemoN : ตอแหล!

LemoN : หน้าด้านยิ่งกว่าหมา!

LemoN : มึงอยากได้ผัวกูจะเป็นจะตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

LemoN : ขนาดกูบอกแล้วว่าพ่อมึงเป็นใคร มึงก็ยังไม่ไปหาเขา เพราะห่วงแต่จะอ้าขาให้ผัวกู

LemoN : กูเตือนมึงไว้เลยนะ ถ้ามึงยังจะร่านอ้าขาให้ผัวกูเอาอยู่อีกละก็ กูนี่แหละจะเป็นคนไปบอกพ่อมึงให้มาลากมึงออกไปจากชีวิตผัวกู

...ข้อความขู่ของพี่เลม่อนทำเอาผมกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นจริง คนอย่างพี่เลม่อนทำได้อยู่แล้วเพื่อกำจัดผมออกไปจากคุณยะ

P.Phirach : อย่าบอกนะ ผมขอร้อง

...เพราะผมยังไม่อยากออกไปจากครอบครัวตรัยธาดา ไม่อยากไปเริ่มต้นกับครอบครัวที่ผมไม่รู้จัก ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาจะอ้าแขนรับผมไว้หรือเปล่า หรือจะมองว่าผมเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่เขาไม่ต้องการ เหมือนที่เคยไม่ต้องการผมตอนที่อยู่ในท้องเธอคนนั้น

LemoN : มึงก็เลิกอ้าขาให้ผัวสักทีสิ

LemoN : ทำตัวให้สมกับที่เขาอนุญาตให้มึงเกิดมาหน่อย

LemoN : ไม่อย่างนั้นมึงก็เตรียมเก็บกระเป๋าไปอยู่กับพ่อมึงได้เลย

...แล้วก็ไม่มีข้อความจากพี่เลม่อนมาอีก

ผมปิดหน้าจอโทรศัพท์ วางมันไว้ที่เดิมบนโต๊ะข้างเตียงนอน ก่อนขยับตัวลงนอน... และเป็นการนอนไม่หลับเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มมาคือคำถามว่าผมจะทำยังไงดี ถ้าพี่เลม่อนเอาเรื่องผมไปบอกคุณชลัชขึ้นมาจริงๆ

ผมต้องทำอะไรสักอย่างสิ จะปล่อยให้พี่เลม่อนเอาเรื่องนี้มาขู่ผมไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่คำขู่จะกลายเป็นเรื่องจริง คิดได้ดังนั้นผมก็ลุกขึ้นจากเตียง เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เปิดหน้าจอและเลื่อนหาชื่อของคนที่คิดว่าจะช่วยผมได้มากที่สุดและกดโทรออกทันที

Rrrrrr...

เสียงสัญญารอสายดังขึ้น มันเป็นจังหวะเดียวที่ผมแว่วได้ยินเสียงโทรศัพท์เครื่องหนึ่งดังเบาลอดเข้ามาในห้อง จะใช่เสียงโทรศัพท์ของอานุหรือเปล่า ผมเดาพลางลุกลงจากเตียงเดินไปที่ประตู หูก็ฟังทั้งเสียงรอสายและเงี่ยฟังเสียงที่ดังเบาอยู่นอกห้อง จนผมเดินไปถึงประตูและเปิดมันออกนั่นแหละ เสียงโทรศัพท์ของใครบางคนก็เงียบหายไปพร้อมกับเสียงของคนปลายสายที่ดังผ่านออกมา

“อยากคุยกับฉันแล้วเหรอ ?”

“คุณยะ...” ผมลดโทรศัพท์ลงจากหู ก่อนกดตัดสายทิ้ง ไม่จำเป็นที่ต้องคุยกันผ่านโทรศัพท์ ในเมื่อคนที่ผมต้องการขอให้เขาช่วยหยุดพี่เลม่อนยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว “มาตั้งแต่เมื่อไร”

ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ไม่ได้ต้องการให้เขาได้ยิน ทว่าระยะห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวกับความเงียบของเวลาตีสองที่เงียบสงัด เขาก็ยังได้ยินมัน

“สี่ทุ่มได้มั้ง” เขาตอบ พลางเดินเข้ามาใกล้ผม จนผมต้องถอยหลังเข้ามาในห้อง ส่วนเขาเข้ามาในห้องได้ก็จัดการปิดประตูห้องทันที ลงกลอนด้วย

“จะ...ทำอะไร” ผมเริ่มระแวงกับท่าทีคุกคามของเขา ยิ่งนึกถึงคำขู่ของพี่เลม่อนที่ห้ามไม่ให้ผมมีอะไรกับเขา ผมก็ยิ่งต้องถอยออกมาให้ห่างร่างสูงใหญ่ให้มากที่สุด แต่ก็อย่างว่า ห้องไม่ได้กว้างเหมือนสนามฟุตบอล ผมจะหนีเขาไปได้ไกลเท่าไรเชียว ตอนนี้ก็ถอยไปสุดทางที่ประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว หนีให้รอดก็คงต้องกระโดดหน้าต่างลงไป และจบด้วยความพิการของตัวเอง

“โทรมาหาฉันเองนะ... จะกลัวอะไร”

...ก็กลัวหน้าตาท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจและกลิ่นเหล้าจางๆ ที่ได้จากตัวเขานี่แหละ

“ผมไม่ได้โทรให้คุณมาทำหน้าตาไม่น่าไว้ใจใส่ผมแบบนี้”

“แล้วมีอะไร โทรหาฉันทำไม” เขาผ่อนสีหน้าเจ้าเล่ห์ลง เพิ่มความจริงจังขึ้น แต่ที่ไม่หยุดลงคือการใช้ร่างกายที่สูงและหนากว่ามากมาคุกคามผม ด้วยการเดินมาใกล้จนแทบไม่เหลือระยะปลอดภัยให้ผมได้อุ่นใจ มือข้างหนึ่งเท้าอยู่ข้างแก้มผมและอีกข้างกำลังหยอกล้อกับไฝเม็ดนั้น

สัมผัสของเขาอ่อนโยนอย่างทุกที หัวใจผมก็ซัดเซไปตามความอ่อนโยนที่หลอกล่ออยู่เบื้องหน้า เขาต้องรู้จุดอ่อนของผมแน่ๆ ว่าพ่ายให้กับความอ่อนโยนและใจดีของเขาเสมอ ผมอยากให้เขาใช้อารมณ์เกรี้ยวกราดกับผมมากกว่า เพราะผมจะได้โต้กลับไปในแบบเดียวกัน พอเขาทำแบบนี้ ผมก็แทบไปไม่เป็นเอาซะเลย

“ออก...ไปไกลๆ ผมนะ” คำสั่งแผ่วจางเสียงยิ่งกว่าน้ำหนักของปุยนุ่น มือแทนที่จะผลักตัวเขาออกไปกลับทำได้แค่ขยำชายเสื้อเชิ้ตของเขาแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น “ยะ...อย่า...อื้ออ...”

ไม่ทันเสียแล้ว หลบไม่ทันริมฝีปากที่ทาบทับลงมาบดเบียดแต่ก็อ่อนโยนและนุ่มนวลเหมือนอย่างที่เขาทำมาตลอด ยิ่งทำให้ผมไม่รู้จะหยิบเอาความรู้สึกไหนมาต่อต้านสัมผัสแสนหอมหวานนี้

ยามนี้กลายเป็นว่าผมกำเสื้อเขาแน่นขึ้น ความคิดที่จะผลักเขาออกไปไม่มีอยู่ในหัวสมองแม้แต่นิดเดียว มีแต่จะยินยอมให้เรียวลิ้นของเขารุกล้ำเข้ามาภายใน ตอบรับสัมผัสของเขาด้วยความเต็มใจอย่างที่เป็นมาเสมอ ปลายลิ้นของเราช่วงชิงความหวานของกันและกันอย่างยาวนาน ราวกับว่าไกลห่างจากกันมานานนับปี ทั้งที่เพียงไม่กี่วันเท่านั้นที่เราไม่ได้จูบกันอย่างดูดดื่มเช่นนี้

“อ่า...” ผมหอบใจหนักและเหนื่อยหลังจากจูบแสนหอมหวานจบลง ขณะที่ริมฝีปากของเขาเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ มันไต่ลงไปกลั่นแกล้งผิวเนื้อบริเวณซอกคอของผม ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นขึ้นมาเป็นบางครั้ง แน่นอนว่าเช้ามาคอผมต้องขึ้นสีเข้มอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ไปที่เตียงนะ” กระซิบคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ก่อนที่ดวงตาสีราตรีจะเคลื่อนมาจับใบหน้าที่เห่อร้อนของผม

“ไม่...” เสียงผมเบาหวิว “...ผมจะไม่นอนกับคุณอีกแล้ว” หวังว่ามันเกิดขึ้นได้จริง

“...”

“ผมไม่อยากใช้ของร่วมกับใคร... ผมขยะแขยง” คำพูดแบบเดิมของผมกลับมาอีกครั้ง หลังจากหายไปจากริมฝีปากผมนานพอสมควร “...คุณมันสกปรก”

รูปที่พี่เลม่อนส่งมาให้ผมเมื่อกี้ก็บอกแล้วว่าก่อนเขามาที่นี่ เขาเพิ่งนอนกับพี่เลม่อนมา ทำไมเขาถึงไม่รู้จักพอ มีอะไรกับพี่เลม่อนแล้ว ยังจะมามีอะไรกับผมอีก อยากจะแช่งให้ความเป็นชายของเขาพิการไปตลอดชีวิตจริงๆ

“...” ดวงตาของเขาวูบไหวไปนิดหนึ่ง ก่อนคลายมือที่โอบรัดผมไว้แนบแน่นกับเนื้อตัวของเขาลง แล้วดึงมือกลับไปซุกกระเป๋ากางเกง ถอยออกมาจากผม ไปยืนอยู่กลางห้อง “โทรหาฉันทำไม”

“เรื่องเมียคุณ”

“เลม่อนทำอะไรเธออีก ?” เขาถามกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมเจ็บจี๊ดที่หัวใจทันที เพราะเขาไม่ปฏิเสธคำที่ผมใช้เรียกพี่เลม่อนเลย

...ทำไมไม่ปฏิเสธว่าไม่ใช่!

“พี่เลม่อนจะไปบอก...คุณชลัช...”

“...” สีหน้าเขาเครียดขึ้นทั้งที่ผมยังพูดไม่จบ แบบนี้แล้วผมควรมั่นใจได้แล้วใช่มั้ยว่าผมเป็นลูกของคุณชลัช
 
“...ว่าผมเป็นลูกเขา” พูดจบ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของเขาแทบลุกเป็นไฟ ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว “คุณช่วยไปห้ามพี่เลม่อนได้มั้ยว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับคุณชลัช” มือของเขาชะงักกลางอากาศทันทีที่ผมพูดจบ ก่อนจะค่อยๆ ลดโทรศัพท์ในมือลงและเก็บใส่กระเป๋าไปตามเดิม

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-01-2019 04:09:27
“เธอไม่อยากไปอยู่กับเขา ?” เขาถาม ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มหน่อยๆ และมันดูไม่น่าไว้ใจเลย หรือว่าผมพลาดอะไรไป เขาถึงได้ยิ้มราวกับว่ากำลังได้เปรียบผม ส่วนผมก็เพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้กับเขาไปอย่างไม่รู้ตัว

“ผมแค่ยังไม่พร้อมตอนนี้” ผมตอบอย่างระมัดระวัง แต่รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็ยังคงไม่เลือนหาย มิหนำซ้ำยังดูจะมากกว่าเดิมด้วย มันลุกลามไปถึงดวงตาสีดำวาววับนั้นด้วย

“ตอนนี้ไม่พร้อมงั้นเหรอ ?” เขายิ้ม จนผมระแวงความคิดของเขาในตอนนี้ “แล้วพรุ่งนี้ล่ะ เธอพร้อมมั้ย ?” เขาถามมาอีก

“...” ผมส่ายหน้า รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคุกคามด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ

“เมื่อไรเธอจะพร้อม ?” เขาก็ยังป้อนคำถามต่อไม่หยุด “วันเสาร์หน้าดีมั้ย ?”

“คุณต้องการกันแน่!” ถามเสียงขุ่นออกไป ตอนนี้ผมระแวงไปหมดแล้ว ผมคิดผิดใช่มั้ยที่หวังพึ่งเขา คิดว่าเขาจะช่วยผมได้

...เขาก็คงอยากจะเอาตัวผมไปส่งคืนคุณชลัชแล้วสินะ

“อยู่ที่เธอมากกว่า... ว่าต้องการอะไร” เขาย้อน

“อย่าให้คุณชลัชรู้ว่าผมเป็นลูกเขา” ผมกำลังเล่นไปตามเกมของเขา ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปจบที่จุดไหน

“ก็ได้”

ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็แค่ไม่กี่วินาที เมื่อเจ้าของรอยยิ้มร้ายกาจเอ่ยออกมาอีกประโยคหนึ่ง

“ถ้าเธอยอมนอนกับฉัน”

“คุณยะ!” ข้อเสนอของเขาเอาเปรียบผมที่สุด ผมเคยนอนกับเขามาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขที่เอาเปรียบผมแบบนี้ ทุกครั้งผมเต็มใจนอนกับเขา... เพราะผมรักเขา และถึงแม้ตอนนี้ นาทีนี้ ผมยังรักเขาเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่อยากจะนอนกับเขา

“ปฏิเสธก็ได้ ฉันไม่บังคับ” เขายิ้มเยือกเย็น เดินเข้ามาใกล้ผม ใกล้จนปลายนิ้วของเขาแตะเข้ากับแก้มผม ลากลงมาจนถึงริมฝีปาก “...และไม่ต้องให้เลม่อนไปบอกพ่อของเธอ เพราะฉันนี่แหละจะเอาเธอไปคืนเขาเอง”

...คำพูดของเขายืนยันแล้วว่าผมเป็นลูกของคุณชลัช

“แต่เมียคุณบอกว่าถ้าผม ‘อ้าขา’ ให้คุณ เขาจะไปบอกคุณชลัชเรื่องผม” ผมยกเอาเรื่องที่พี่เลม่อนขู่ผมขึ้นมาอ้าง ไม่ลืมที่จะใส่คำพูดที่ทั้งเขาและพี่เลม่อนชอบปาใส่ผม

“...” เขาเงียบ

“...” ผมก็เงียบ

ต่างคนต่างมองหน้ากัน ในความเงียบที่เกิดขึ้นผมเห็นเขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนเอ่ยคำพูดออกมา

“เรื่องนั้นฉันจัดการเอง”

“คุณจะทำจริงๆ ใช่ไหม” ผมถามเสียงอ่อนลง

“จริง” ปล่อยมือจากริมฝีปากของผม แล้วตวัดร่างของผมขึ้นสู่อ้อมแขน

“ผมยังไม่ได้ตอบตกลง!”

“ฉันรู้ว่าเธอจะไม่ปฏิเสธ” ว่าแล้วก็อุ้มพาผมไปที่เตียงนอนที่ตั้งไกลออกไปแค่ไม่กี่ก้าว

“...” ก็เหลือทางไหนให้ผมปฏิเสธบ้างล่ะ!

“ฉันคิดถึงเธอจะแย่อยู่แล้วนะพี” เขาวางผมลงบนเตียง

“ไปคิดถึงเมียคุณนู่นสิ” ผมว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “เพิ่งเอากันมาไม่ใช่เหรอ ยังไม่อิ่มหรือไง” พออารมณ์ไม่ดีแล้วปากผมก็ร้ายไม่ใช่เล่นเหมือนกัน คำประชดประชันมาเต็ม

“เลม่อนบอกเธอแบบนั้นเหรอ” วางผมเสร็จ เขาก็ตามลงมาแนบอยู่ข้างกาย ท่อนแขนหนักพาดเกี่ยวอยู่บนตัวผม ก่อนดึงผมให้หันหน้าไปคุยกับเขา

“...” ผมไม่ตอบ อยากเอารูปในมือถือให้เขาดู แต่ก็ไม่อยากจะเห็นรูปพวกนั้นซ้ำเป็นหนที่สอง เลยเลือกที่จะนิ่งแทนคำตอบ

“ทำไมเธอเชื่อเขามากกว่าฉัน”

“...” พูดยังกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งที่เขาเป็นคนทำตัวเองทั้งนั้น ถ้าไม่ไปนอนกับพี่เลม่อน แล้วจะมีหลักฐานพวกนั้นอยู่ในโทรศัพท์ผมหรือไง

“กี่ครั้งแล้วที่เราทะเลาะกันเพราะเธอเชื่อเลม่อนมากกว่าฉัน”

“...” ผมไม่ได้เชื่อพี่เลม่อน ผมเชื่อหลักฐานที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้ผมต่างหาก

“พี”

“...” ผมหันหน้าหนีเขา

“พี” เขาดึงหน้าผมกลับมา บีบคางผมหน่อยๆ ด้วย

“น่ารำคาญ!” ผมบอกเสียงขุ่น และก็อดประชดเขานิดๆ ไม่ได้ “แค่นอนด้วยใช่มั้ย”

ผมจะนอนเฉยๆ ทำให้รู้ไปเลยว่าผมไม่เต็มใจนอนกับเขาแม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวก็รู้ว่า ‘ท่อนไม้’ เป็นยังไง ผมปักหลักไว้ในใจแล้วว่าจะไม่ให้ความร่วมมือกับเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“ครางด้วยก็ได้”

“ทุเรศว่ะ!” ผมค้อนตาจะกลับอยู่แล้ว ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย รู้ก็รู้ว่าเขาเคยยอมผมซะที่ไหน

“อย่าใช้ ‘ว่ะ’ กับฉัน” เขาเตือนเสียงเข้ม ลูกตานี่เหมือนถือไม้เรียวเตรียมฟาดก้นผมก็ไม่ปาน แต่มีหรือผมจะยอมแพ้ ยิ่งเขาห้าม ผมก็ยิ่งจะทำ

“ปากของผม ผมจะพูดอะไรก็ได้” ผมพูดแบบไม่ยอมหลบสายตาดุๆ ของเขาแม้แต่วินาทีเดียว “... ‘มึงกู’ ยังพูดได้เลย อยากฟังไหมล่ะ” ผมเคยขึ้นมึงกูกับเขาเมื่อนานมาแล้ว ช่วงที่ผมโกรธเขาสุดๆ นั่นแหละ

“เฮ้อ...” เขาจงใจถอนหายใจเสียงดัง พลางก้มหน้าลงมางับปากล่างผมอย่างแรงเลย

“ผมเจ็บนะ!” เจ็บจริงไม่ได้แกล้งเจ็บด้วย

“ก็ปากฉัน ฉันจะใช้ทำอะไรก็ได้” เขาเอาคำพูดผมมาย้อน “ทำได้เยอะกว่าเธอด้วยพี” พูดพลางทำตากรุ้มกริ่ม มือก็เริ่มเปลี่ยนจากวางเฉยๆ เป็นลากไล้เข้ามาในร่มผ้า พลางร่างหนาก็ยกตัวขึ้นมาอยู่เหนือร่างกายผม

“...” ผมกัดริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้หลุดเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว ยามที่เขาใช้ปลายนิ้วบีบเบาๆ ที่ยอดอกของผม จมูกโด่งลากไปตามลำคอ ริมฝีปากกัดย้ำบนผิวกายอ่อน ผมคิดว่ามันต้องขึ้นสีแดงในตอนเช้าแน่ๆ


“หึ...” เสียงหัวเราะเบาบางดังขึ้นตอนที่เขาละริมฝีปากจากหน้าอกเปลือยเปล่าของผม เพราะเสื้อตัวที่ผมใส่อยู่ถูกเขาถอดไปจากตัวเมื่อหลายนาทีก่อน “...นี่คือวิธีต่อต้านเหรอ ?”

“...” เห็นอยู่จะถามทำไม

“ขอให้สำเร็จนะ” เขาพูดกลั้วรอยขำที่เหมือนเสียงเยาะเย้ยความสามารถของผม คิดว่าผมจะแพ้เขาอย่างนั้นเหรอ

หึ! ดูถูกเกินไปแล้ว คอยดูเถอะเขาจะรู้ว่าท่อนไม้มีจริง!

.

.

.

‘ท่อนไม้’ ไม่มีจริง!

ที่มีก็แค่ ‘เด็กคนหนึ่ง’ ที่พ่ายแพ้ให้กับความหื่นของ ‘ผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์’

“ไม่ต้องมาแตะตัวผม” ผมปัดมือออกไปจากไหล่ หลังจากที่เขาอุ้มพาผมออกมาจากห้องน้ำกลับมาที่เตียงนอนที่เรียบตึงเหมือนไม่เคยถูกใช้เป็นสนามรบมาก่อน

“ดื้อจนฉันเหนื่อย”

สองแง่สองง่ามหรือเปล่า? ผมก็ไม่รู้ แต่ผมจะคิดว่าเขาจงใจพูดไปทางสองแง่สองง่าม เพราะผมดื้อไม่ให้เขาทำความสะอาดเนื้อตัวผมแบบทุกซอกทุกมุมไง เลยทำให้เขาโมโหหน่อยๆ และจัดการผมต่ออย่างหน้าด้านที่สุด

แต่... ผมก็ดันแปลงร่างเป็นท่อนไม้ไม่ได้สักทีนี่สิ แค่โดนจูบหอมหวานของเขาเล่นงาน ผมก็กลายร่างเป็นตุ๊กตายางให้เขากอดจนต้องปล่อยสายน้ำออกมาเป็นรอบที่สอง ตัวอ่อนไร้กระดูกให้เขาจัดการทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมได้อย่างสิ้นฤทธิ์เดช

“ออกไปไกลๆ ผม” ผมบอกอีก เมื่อร่างกายที่ติดจะเย็นหน่อยๆ เพราะเขาก็ต้องทำความสะอาดร่างกายแบบเดียวกับผมประกบติดอยู่กับแผ่นหลังของผม

“อย่าดื้อ... ระวังจะเสียน้ำอีกรอบ” เขาขู่ ดึงเอาหัวผมไปหนุนต้นแขนของเขาแทนหมอนใบใหญ่ที่ตอนนี้เขาดึงเอาไปหนุนแทนผมแล้ว

“...” ไม่ดื้อก็ได้ แต่ใช่ว่าผมจะยอมคืนดีกับเขาง่ายๆ ตัดแล้วตัดเลย จนกว่าเขาจะยอมปล่อยมือจากพี่เลม่อน

ตอนนี้ผมไม่หวังให้พี่เลม่อนหมดความอดทนแล้วละ ผมยอมแพ้เอง... ง่ายกว่า

“วันนี้เลม่อนส่งอะไรให้เธอ” ถามพลางจูบขมับผมอยู่หลายที

“รูปตอนคุณเอาเขาเสร็จไง”

“รูปเก่าหรือเปล่า”

“...” จะปฏิเสธละซี่

“พี” เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองหน้าผมที่ตอนนี้มุดหน้าเข้าหาแขนใหญ่ๆ ของเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากเห็นหน้าเขา

“ดูเองสิ” ผมบอกเสียงห้วน ก่อนที่เขาจะขยับตัวเล็กน้อย คงจะขยับตัวไปเอื้อมหยิบมือผมนั่นแหละ สักพักก็ถามออกมาว่า...

“รหัสอะไร”

“...” เมื่อก่อนเขารู้รหัสล็อกหน้าจอของผมครับ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนรหัสใหม่แล้ว

“บอกมาพี”

“...” ผมยังปิดปากสนิท ไม่อยากให้เขารู้รหัสใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยน

“หึ...” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น “รักฉันมากสินะ” พูดแบบนี้แสดงว่าเขาปลดล็อกได้แล้ว

น่าเจ็บใจชะมัด!!

ผมไม่น่าเปลี่ยนรหัสใหม่เลยให้ตายสิ!

“0803... ง่ายดีนะ ไม่ต้องจำเลย”

มันจำง่ายเพราะเป็นเลขวันเกิดของ...เขากับผม

“...” ผมเงียบเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือผมอายที่เขาจำได้ว่าผมยังรักเขาอยู่ เพราะผมเพิ่งเปลี่ยนรหัสไปเมื่อสองวันก่อนนี่เอง

ครั้งนี้เขาก็เงียบไปบ้าง ที่เงียบคงเพราะอ่านข้อความแชตของพี่เลม่อนอยู่มั้ง

“ไม่ต้องไปพูดนะว่าเห็นที่เขาไลน์มาหาผม เดี๋ยวเขาจะไลน์มาด่าผมอีกว่าขี้ฟ้อง” ผมพูดเพราะอารมณ์ประชดล้วนๆ

“เธอขี้หึงต่างหาก”

“...” ผมรู้ตัวหรอกน่า ไม่ต้องบอก!

เขากลับไปเงียบอีกครั้ง สักพักใหญ่เลยเขาถึงได้ขยับตัว ผมได้ยินเสียงวางมือถือลงบนโต๊ะข้างเตียงแรงพอสมควร บอกอารมณ์ว่าเขาคงไม่พอใจกับสิ่งที่เปิดไปเจอ

...ผมอยากให้เขาโกรธพี่เลม่อนบ้างจัง กลับไปบอกเลิกเลยยิ่งดี

“อย่าเชื่อเลม่อนมากนัก” เขากลับลงมานอนกอดผม กอดแน่นกว่าเดิมด้วย “เชื่อฉันบ้าง”

“...” ผมเชื่อหลักฐาน ไม่มีหลักฐานผมจะเชื่อหรือไง

“วันนี้ฉันไม่ได้มีอะไรกับเขา” เขาค่อยๆ พูดอยู่เหนือศีรษะผม

“...” ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวของเขานักหรอก แต่ผมไปไหนไม่ได้ต่างหาก ถูกเขารัดไว้แน่นขนาดนี้

“ฉันแค่เรียกเขาไปถามว่าได้บอกเรื่องพ่อของเธอกับเธอหรือเปล่า”

“...” เข้าเค้าเหมือนกัน แต่ทำไมเพิ่งมาถามวันนี้ล่ะ แล้วทำไมโทรไปถาม เรียกมาทำไมถึงในห้อง ในหัวผมมีแต่คำถาม แต่ก็ไม่อยากขยับปากถามออกไปหรอก เป็นเขาเองที่รู้ใจผมเหลือเกินว่าอยากได้คำอธิบายอะไรจากเขา

“ฉันไม่ได้เรียกเขามาคุยตั้งแต่วันนั้นเพราะเขาติดถ่ายละครที่ต่างจังหวัด แล้วที่ไม่โทรคุยเพราะฉันอยากดูว่าเขาจะโกหกฉันหรือเปล่า เพราะถ้าคุยโทรศัพท์เขาจะโกหกฉันยังไงก็ได้... จริงไหม?”

จริง! แต่ขอโทษ ผมไม่หลงกลพูดกับเขาหรอก

“เป็นใบ้ ?”

“...” เหอะ! ผมอยากตาบอดด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องเห็นทั้งรูปและคลิปของเขากับพี่เลม่อนในอนาคตอีก

“ดื้อกับฉันมากๆ ระวังจะฉันจะปราบจนเธอดื้อไม่ออกนะพี”

นึกว่าผมจะกลัวหรือไง

เออ! กลัวก็ได้ เพราะพูดจบมือของเขาก็เคลื่อนตัวลงไปยังส่วนล่างของผม

“หยุดเลย! คุณจะเอาเปรียบผมมากเกินไปแล้วนะ” ผมจับมือเขาไว้ทันก่อนที่จะถึงจุดยุทธศาสตร์ของผม

“เธอก็เอาเปรียบฉันเหมือนกัน ปล่อยให้ฉันเหนื่อยอยู่คนเดียว” เสียงของเขาติดรอยขำ ผมคิดว่าเขาจะหมายถึงเรื่องอย่างว่า เลยหันขวับไปมองหน้าเขาด้วยสายตาร้อนแรง เตรียมจะอ้าปากด่าให้สาสม แต่เขาดันชิงพูดก่อนที่ผมจะได้ทำอย่างที่คิด “...ฉันพูดจนเมื่อยปากหมดแล้วเนี่ย”

“...” ดีนะที่ผมยั้งปากทัน

พอหันหน้ากลับ เสียงหัวเราะแบบเดิมก็ดังมากระทบหูอีกระลอก

“เงียบได้แล้ว ผมจะนอน”

“เธอก็นอนอยู่นะพี” เขาไม่เคยยอมผมเลยจริงๆ

“ผมจะหลับ”

“ฟังความจริงจากปากฉันอีกเรื่องก่อน”

“พูดมาสิ”

เขายังไม่พูดออกมา เพราะริมฝีปากถูกใช้งานอย่างอื่นก่อน นั่นคือหอมแก้มผม แช่ค้างไว้หลายวินาทีเลยกว่าจะถอนริมฝีปากออกไป

“วันนั้นที่ฉันมีอะไรกับเลม่อน เพราะฉันเมามาก” เขาเริ่มพูด “เมาเกือบๆ จะเท่ากับคืนที่ฉันข่มขืนเขา...แล้วฉันก็เห็นเขาเป็นเธออีกแล้ว”

“...” ท่องเอาไว้... ก็แค่คำแก้ตัว

“ตั้งแต่วันที่กลับจากรีสอร์ตฉันไม่เคยนอนกับเลม่อนเลย” เขาจูบลงมาที่ข้างขมับผม “...เชื่อฉันนะ”

“...” ผมก็อยากเชื่อ เคยเชื่อไปแล้วด้วย แต่ตอนนี้มันยากมากนะที่จะเชื่อคำพูดของเขา

“ความจริงจากปากฉันไม่น่าเชื่อเท่ากับคำพูดของเลม่อนเลยหรือไง” น้ำเสียงเขาเหมือนตัดพ้อ มันดังเบาจนกำแพงแข็งแรงของผมสั่นอย่างรุนแรง “เธอก็เห็นว่ารูปที่วันนี้เลม่อนส่งมาไม่มีฉันเลยสักรูป ถ้าฉันมีอะไรกับเขาจริงๆ มีหรือเขาจะไม่ถ่ายรูปฉันส่งมาให้เธอดู”

“...” มันก็จริง ทุกครั้งที่พี่เลม่อนส่งรูปหรือคลิปมาเยอะเย้ยผม มันจะมีคุณยะอยู่ในรูปเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่มี

“ตั้งแต่กลับมาจากรีสอร์ต เขาไม่เคยส่งรูปที่บอกว่าฉันมีอะไรกับเขาให้เธอเลยใช่ไหม นอกจากวันที่เราทะเลาะกัน”

“...” คำพูดของเขากลับมามีน้ำหนักในใจผมอีกจนได้

“พี” เขาดึงใบหน้าผมให้หันไปหาเขา “เชื่อฉันแล้วใช่ไหม”

“...” ผมหลุบตาลงต่ำ ไม่อยากเห็นชัยชนะที่แต้มแต่งบนใบหน้าเขา เพราะมันหมายถึงว่าคนที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้คือผม

“ตอบฉันมาสิ...” เขาช้อนปลายคางผมขึ้นมามองแววตาเว้าวอนเอาคำตอบที่อยากได้จากผม “...ว่าเธอเชื่อฉัน”

“ไม่เชื่อ” เสียงผมเบาหวิว ต่อให้ใจของผมจะเชื่อเขาไปแล้วก็ตาม แต่ผมก็อยากให้ตัวเองหนักแน่นกว่าที่เคยผ่านมา ทุกครั้งพอทะเลาะกัน เขากลับมาง้อผมด้วยคำหวานมากมาย ผมก็ยอมใจอ่อนอย่างง่ายดาย แล้วจุดจบก็ลงเอยที่ความเจ็บปวดของผมฝ่ายเดียว

...ตราบใดที่เขายังไม่ปล่อยมือจากพี่เลม่อน

ผมก็จะไม่เอาตัวเองไปจมอยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ ที่เมื่อไรก็ไม่มีทางจะสมหวัง มีแต่ความเจ็บปวดที่รอต้อนรับผมไปตลอดสองข้างทางจนถึงปลายทาง

“เธอเชื่อฉันแล้วต่างหาก” เขาพูดอย่างมั่นใจ

“ก็แล้วแต่คุณจะคิดเข้าข้างตัวเอง” ผมพูดเสียงแข็ง ไม่อยากให้เขาได้ใจไปมากกว่านี้ “แต่ผมบอกคุณเลยว่า... มันจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม จนกว่าคุณจะโยนพี่เลม่อนออกไปจากชีวิตคุณ” พูดจบผมก็พลิกตัวนอนหันหลังให้เขาทันที ดึงผ้าห่มมาคลุมมิดหัวเลยด้วย

...ดีแล้วที่ผมเข้มแข็งขึ้น

ทั้งหมดก็เพื่อตัวผมเอง ผมไม่อยากเจ็บซ้ำซาก เพราะมันเหนื่อยกับหนทางที่เห็นแล้วว่ามีแต่ความเจ็บปวดรายล้อมเต็มไปหมด

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-01-2019 04:12:03
ตริ๊ง...

มาอีกแล้วเสียงเดิมกับข้อความเดิมๆ เพราะคนที่คิดเงื่อนไขเอาเปรียบร่างกายผมนั่นแหละที่ทำให้พี่เลม่อนส่งข้อความมาด่าผม

ครั้งนี้พี่เลม่อนไม่ได้ทักทายผมด้วยคำด่า เจ้าตัวมาพร้อมคำถามที่ทำเอาผมสังหรณ์ใจแปลกๆ

LemoN : ใครเอ่ย ?

...แนบรูปผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ความซีดของรูปไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอลดลงเลย

เธอเป็นใคร ?

LemoN : อีกรูปละกัน

...ครั้งนี้เป็นรูปของผู้หญิงคนเดิม ชุดเดิมคือชุดนักศึกษา แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือผู้ชายสองคนที่นั่งเยื้องอยู่ด้านหลังของเธอ คนโตกว่าสอนคนที่ตัวเล็กกว่าเล่นกีตาร์อยู่มั้ง...ถ้าผมเดาไม่ผิดนะ

เขาสองคนผมจำได้ว่าเป็นใคร...คุณยะกับคุณชลัช

LemoN : คิดออกหรือยังว่าผู้หญิงในรูปเป็นใคร

LemoN : ถ้ามึงโง่คิดไม่ออก กูจะบอกให้เอาบุญว่ะ


P.Phirach : ไม่ต้อง ผมไม่อยากรู้

...เพราะผมไม่อยากรู้ ถึงผมจะรู้แล้วก็ตาม ในเมื่อพี่เลม่อนส่งมาขนาดนี้ เขาคงไม่ส่งรูปผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตผมมาให้ดูหรอก

LemoN : แต่กูอยากบอก

...ถ้าเป็นการคุยกันด้วยเสียง ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ผมคงวิ่งหนีความจริงที่จะออกมาจากปากของพี่เลม่อนได้ แต่ผมคงหนีจากข้อความที่โผล่ขึ้นมาทางฝั่งซ้ายมือไม่ได้

LemoN : แม่มึงไง ชื่อพิณ

... คนที่อุ้มท้องผมและทิ้งผมไว้กับคุณยะชื่อ ‘พิณ’ อย่างนั้นเหรอ

LemoN : รู้ปะว่าพี่ยะละเมอเรียกชื่อนี้บ่อยๆ

LemoN : ยิ่งตอนเขาเมามากๆ นะ คร่ำครวญหาแต่แม่มึง

LemoN : เพราะเขารักแม่มึงมาก

LemoN : มึงก็แค่ตัวแทนคนที่เขารัก

LemoN : พี่ยะไม่ได้รักมึง แต่เขารักแม่ของมึง

LemoN : จำใส่กะโหลกเน่าๆ ของมึงไว้ด้วย จะได้ไม่มั่นหน้ามั่นโหนกว่าเขารักมึง

LemoN : พี่ยะแค่เห็นหน้ามึงเหมือนคนที่เขารัก แต่เขาไม่มีวันรักมึง

P.Phirach : เมื่อไรพี่จะเลิกยุ่งกับฉันผม

...ผมพิมพ์ถามอย่างหมดความอดทน เกลียดทุกข้อความที่เขาส่งมา เกลียดความจริงที่เขาขยันเอามาเยาะเย้ยผม

LemoN : จนกว่ามึงจะเลิกอ้าขาให้ผัวกูไง

P.Phirach : ผมไม่ได้ยุ่งกับเขาแล้ว

...ผมโกหก เมื่อคืนผมก็ยังทำอย่างที่พี่เลม่อนด่า ถึงจะถูกเงื่อนไขเห็นแก่ตัวของคุณยะขู่ แต่สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ไม่เข้มแข็งพอ ร่างกายมันโหยหาสัมผัสของเขาไปเสียแล้ว

LemoN : โกหก!

LemoN : เมื่อคืนมึงก็เพิ่งนอนกับผัวกู

ผมเบื่อคำด่าทอที่หยาบคายของเขา เหนื่อยเกินกว่าจะพิมพ์ส่งข้อความกลับไปโต้เถียงเขา ถึงเวลาที่ผมควรทำสิ่งที่ควรทำมานาน ควรทำตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาส่งข้อความหยาบคาย รูป และคลิปพวกนั้นมาให้ผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังโง่ ปล่อยให้พี่เลม่อนใช้คำหยาบกับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

‘คุณบล็อก LemoN แล้ว’

 แต่ก่อนที่ข้อความนี้จะอยู่บนหน้าจอ ผมไม่ลืมที่จะเซฟสองรูปล่าสุดที่ฝ่ายนั้นส่งมา

แล้วผมก็เปิดรูปที่เซฟไว้ขึ้นมาดู เพ่งมองใบหน้าเธอที่นั่งเท้าคางฉีกยิ้มสดใสให้กล้อง รูปหน้าของเธอกลมมน ผิวแก้มเนียนใส ดวงตาสองชั้นเรียวยาวใต้ขนตาหนาเป็นประกายวาววับเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา ริมฝีปากของเธอก็เป็นรูปหัวใจสีหวาน จมูกสวยเข้ากับรูปหน้าของเธอ ใบหน้าของเธอถูกล้อมกรอบไว้ด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนจากการย้อมและทำลอนบางๆ

ใครเห็นรูปเธอก็ต้องบอกว่า...นอกจากเธอจะดูสวยแล้ว เธอก็ยังดูน่ารัก เป็นผู้หญิงที่มองว่าสวยก็สวยจัด มองว่าน่ารักก็ชวนให้หลงใหล ยิ่งตัวเธอเป็นหญิงสาวร่างเล็กและบอบบางคล้ายโดนลมแรงก็คงจะปลิวได้นั่นแหละ ทำให้เธอดูน่าทะนุถนอม

นี่แค่รูปนะครับ ผมยังรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยและน่ารักได้มากขนาดนี้ และถ้าเรื่องที่ทำให้คุณยะกับคุณชลัชเกลียดกันเพราะเธอคนนี้ ผมว่าก็สมเหตุสมผลอย่างที่สุด

แต่ว่า...เธอคนนี้เป็นแม่ผมจริงๆ ใช่ไหม

ผมก้มดูรูปเธออีกครั้ง จดจำแทบทุกตารางนิ้วบนใบหน้าของเธอเอาไว้ พลางเดินไปที่กระจกเงาบานใหญ่ มองดูเงาสะท้อนของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง โดยเฉพาะใบหน้าที่บอกว่านี่คือผม เด็กผู้ชายที่เหมือนแม่มากกว่าพ่อ

ผมเหมือนเธอจริงๆ ใช่ไหม

อยากให้คำตอบว่าไม่ใช่ ไม่เหมือนเลยสักนิด แต่ความจริงที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมหนีความจริงไปไม่พ้น แล้วข้อความที่พี่เลม่อนส่งมา

‘...มึงก็แค่ตัวแทนคนที่เขารัก...พี่ยะไม่ได้รักมึง แต่เขารักแม่ของมึง’

เขาบอกให้ผมเลิกเชื่อคำพูดของพี่เลม่อน แต่ผมไม่เคยทำได้เลย เพราะแต่ละเรื่องที่พี่เลม่อนเอามาเยาะเย้ยผม ไม่มีเรื่องไหนที่เหมือนเป็นเรื่องโกหกเลย ตั้งแต่เรื่องรูปกับคลิปที่บอกถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับคุณยะ เรื่องที่คุณชลัชเป็นพ่อของผม เรื่องที่เธอคนนี้เป็นแม่ของผม ก็มองไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องโกหกได้เลย ในเมื่อหน้าผมคล้ายเธอขนาดนี้

‘...จำใส่กะโหลกเน่าๆ ของมึงไว้ด้วย จะได้ไม่มั่นหน้ามั่นโหนกว่าเขารักมึง’

ใช่ ผมเคยมั่นใจว่าเขารักผม เมื่อสิบนาทีที่แล้วก็ยังมั่นใจ ทว่าตอนนี้ความมั่นใจของผมติดลบไปแล้ว

หน่วยตาของคนในกระจกกำลังล้นด้วยน้ำอุ่นร้อน เช่นเดียวกับผมที่รู้สึกถึงสายน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ

ผมเป็นตัวแทนของแม่จริงเหรอ ?

คำบอกรักของเขาไม่มีความจริงสักนิดเลยเหรอ ?

...แกรก

ผมรีบเช็ดน้ำตาออกไปจากแก้มอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนเข้ามา (ผมไม่ได้ล็อกเพราะเขาสั่งห้ามไว้) ผมรีบหันปลายเท้าไปที่ประตูห้องน้ำ ตั้งใจจะเอาใบหน้าช้ำน้ำตาไปซ่อนไว้ในนั้น แต่ก็ถูกเขาคว้าตัวไว้เสียก่อนที่จะทันได้เปิดประตูเข้าไป

“เลม่อนทำอะไรเธอ” ไม่แปลกใจเลยที่เขาถามแบบนี้ เพราะเขาคงรู้ดีว่ามีแค่เขากับพี่เลม่อนเท่านั้นที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ได้ เมื่อเขาไม่ได้ทำ ก็ต้องเป็นพี่เลม่อน “เขาส่งข้อความอะไรมาปั่นหัวเธออีก” เขาถามพลางถอนหายใจเบาๆ

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ” ถ้าผมบอก เขาจะเห็นรูปของเธอ ซึ่งผมไม่อยากให้เขาเห็น ไม่อยากเห็นแววตาอาลัยอาวรณ์ของเขาที่มีต่อเธอ

“บอกฉันมาพี” เขาพูดเสียงเข้มขึ้น พร้อมกับจับใบหน้าผมเอาไว้ไม่ให้เบือนหนีไปทางไหนได้

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร อย่าถามมากได้ไหมมันน่ารำคาญ อยากรู้อะไรก็ไปถามเมียคุณโน่น!” ผมโวยวายกลบเกลื่อน ก่อนเดินกลับไปที่เตียง วางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วก้าวขึ้นไปนอน ดึงผ้ามาห่มแล้วหลับตาลง บังคับให้ตัวเองหลับให้เร็วที่สุด แต่ก็ทำได้ยาก โดยเฉพาะหูผมกำลังเงี่ยฟังเสียงที่เกิดขึ้นในห้องนี้

“เลม่อนอยู่ไหน ฉันจะคุยกับเขา”

“...”

“ไปตามตัวมา”

เสียงเงียบไปสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงของคุณยะอีกครั้ง

“เธอทำอะไรอีกแล้วเลม่อน”

เสียงเขาขุ่นจัด ฟังน่ากลัวด้วย

“ความจริงอะไร ?”

“...”

“เลม่อน!” เสียงเขาดังสนั่นจนผมสะดุ้งเลย

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาจะเกรี้ยวกราดระดับไหน เพราะผมหลับตาปี๋ไปแล้ว แต่ก็ได้ยินเสียงหงุดหงิดที่ระบายออกมาทางลมหายใจหนักหน่วงพักใหญ่เลย จนเขาเริ่มสงบลงนั่นแหละเตียงข้างตัวผมถึงได้ยวบลง

“รหัสอะไร ?” คงหยิบโทรศัพท์ผมมาดูสิ่งที่คนของเขาทำกับผมสินะ

“...” เรื่องอะไรผมจะบอก ผมเพิ่งเปลี่ยนรหัสเมื่อเช้านี่เอง

“พี” เขาเรียกผมเสียงอ่อนใจ พลางถอนหายใจเมื่อผมยังเงียบเหมือนเดิม

“...” ผมได้ยินเสียงวางโทรศัพท์ลง ก่อนที่เขาจะลุกออกไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดและปิด

ผ่านไปนานจนผมเกือบเคลิ้มหลับไปแล้วกว่าที่ประตูห้องน้ำจะเปิดออกอีกครั้ง สักพักไฟในห้องก็ดับหลง พร้อมกับร่างกายหอมกลิ่นสบู่ก้าวขึ้นมานอนบนเตียงกับผม เขานอนร่วมเตียงกับผมเท่านั้นจริงๆ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายเราสองคนที่สัมผัสกันเลย แม้แต่ผ้าห่มเขาก็ไม่ดึงไปห่มตัวเลยด้วยซ้ำ

ผมเริ่มนับหนึ่ง สอง สาม... กะว่าจะนับไปจนถึงหลักร้อยหลักพัน จะได้เบี่ยงเบนความสนใจไปจากการกระทำของเขา แต่นับถึงแค่สามสิบสาม ผมก็ทนไม่ไหว หลุดปากถามเขาออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่เขาทำห่างเหินใส่

“ประท้วงผมหรือไง”

“...” เงียบ

ความเงียบมันน่าอึดอัดจริงๆ ให้ตายเถอะ นึกถึงตอนที่ผมเงียบใส่เขาเลย เขาก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมในตอนนี้แน่ๆ ที่อยากจับตัวเขย่าให้หัวโยกหัวคลอนไปเลย

“เป็นใบ้หรือไง” ผมเอาคำพูดของเขามาใช้บ้าง

“...” แต่ก็เงียบ

“จะไม่พูดกับผมก็กลับไปนอนห้องของคุณเลย”

“...” เงียบอีกตามเคย น่าโมโหชะมัด

“งั้นผมออกไปเองก็ได้!” หงุดหงิดที่สุด นี่ขนาดผมสะบัดผ้าห่มออกจากตัว หย่อนขาลงข้างเตียงแล้วนะ เขาก็ยังนอนนิ่ง

“...”

 “คุณยะ!” หัวผมเหมือนกาน้ำร้อนที่กำลังพ่นควันได้เลยนะ

“...”

ผมรู้ซึ้งแล้วว่าความรู้สึกที่ถูกเงียบใส่มันทั้งน่าโมโห ชวนหงุดหงิด และทรมานใจจริงๆ เพราะอารมณ์พวกนี้แหละทำให้สุดท้ายผมต้องยอมแพ้

“เมียคุณส่งข้อความมาด่าผม”

“...” มีการขยับร่างกายเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่ดี อารมณ์กาน้ำร้อนพ่นควันเหลือเพียงความขมุกขมัวจางๆ

“เรื่องที่ผมนอนกับคุณเมื่อคืน คุณบอกเขาทำไม กลัวเขาจะเหงาปากหรือไง” ผมอดประชดเขาหน่อยๆ ไม่ได้ และแน่นอนว่าผมคงจะบอกเขาแค่เรื่องเดียว ส่วนอีกเรื่อง... ผมไม่บอกหรอก พี่เลม่อนก็คงไม่บอกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็คงบอกตั้งแต่ที่เขาโทรหาเมื่อกี้แล้ว

“แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ?” ถามมาแบบนี้เหมือนเขากำลังร้อนตัว คิดว่าพี่เลม่อนจะเอาความลับเรื่องแม่มาบอกผมสินะ

“คุณคิดว่าพี่เลม่อนมีความจริงเรื่องอะไรมาทำร้ายผมได้อีกล่ะ” ผมถามกลับ เจ็บในอกเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาใช้ผมเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่เขารัก และตอนนี้เธออยู่ไหนกันนะ ผมแค่อยากรู้แต่ไม่อยากไปตาหาเธอแล้วบอกว่าผมคือลูกหรอก

“เรื่องที่ทำให้เธอร้องไห้ไงล่ะพี” เขาพูด พลางขยับตัวขึ้นนั่งในห้องที่มืดสลัว เอื้อมมือมาสัมผัสผิวแก้มของผมแผ่วเบา ก่อนโน้มใบหน้าลงมาหาผมแล้วประกบจูบอย่างอ่อนหวานแบบที่เป็นเขา

...แบบที่ผมไปไหนไม่รอด

“บอกได้หรือยังว่าเลม่อนเอาเรื่องไม่จริงอะไรมาเป่าหูเธอให้โกรธฉันอีก” เขาผละริมฝีปากออกมาถาม มือข้างหนึ่งของเขาจับปลายผมเอาไว้

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ผมปัดมือเขาออกไปจากหน้า แล้วทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้เขา ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวตามลงมา ครั้งนี้เขาไม่ได้ทิ้งระยะห่างแบบคนละฝั่งเตียงแต่เอาแผ่นอกกว้างเข้ามาประชิดแผ่นหลังผม โอบกอดผมไว้ในอ้อมอกอุ่นที่ผมหลงใหล

ผมอยากปัดมือเขาออกไปให้พ้นจากร่างกายเมื่อฝ่ามืออุ่นร้อนเริ่มขยับ แต่ผมก็แพ้ให้กับความต้องการของตัวเอง ผมต่อต้านเขาได้แค่ในความคิดเท่า มันไม่ได้เคยได้ผลในทางปฏิบัติ

“พี...คนดี” เสียงทุ้มนั้นบอกทุกความต้องการของเขา สัมผัสลึกซึ้งระหว่างผมกับเขาเริ่มต้นอีกครั้งเหมือนเมื่อวันก่อน เหมือนที่เคยผ่านมา

“...คุณยะ” ผมเผลอเรียกชื่อเขาตลอดเวลาที่เขาแทรกกายเข้ามาในช่องทางของผม ในความมืดสลัวผมเห็นดวงตาที่เปล่งประกายแห่งความสุขสม แต่ผมอยากมองเห็นให้มากกว่าที่ดวงตารับรู้ อยากค้นไปให้ลึกจนถึงก้นบ่อลึกนั้น ว่าแท้จริงแล้วยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจของเขามาตลอด และผมก็แค่ตัวแทนของเธอ ตัวแทนที่ไม่มีทางที่จะเป็นตัวจริง

.

.

.

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

เสียงเคาะประตูด้านนอกดังขึ้น ปลุกผมตื่นขึ้นมาเจอกับแสงของยามสายที่ลอดเข้ามาภายในห้องและความจริงที่ว่า

...คุณยะยังนอนอยู่บนเตียง

และสภาพผมกับเขาไม่ต่างกัน ไม่มีเสื้อสักชิ้นติดตัว เพราะเมื่อคืนหลังจากพาผมไปล้างตัวเอาคราบต่างๆ ออกไปจากร่างกาย คุณยะก็ไม่ยอมให้ผมใส่เสื้อผ้า ผมก็ไม่อยากจะเถียงกับเขา กลัวได้เถียงกันยาวและจบลงแบบเดิมอีก แถมตอนนั้นก็ง่วงด้วยเลยนอนทั้งที่ตัวเปลือยเปล่า

“น้องพี...ตื่นหรือยัง สายมากแล้วนะลูก”

เสียงคุณย่าดังผ่านประตูห้องเข้ามา ผมทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเพราะไม่ได้เตรียมใจไว้เลยว่าคุณย่าจะยืนอยู่หน้าห้องในเช้าที่ผมยังนอนอยู่ในอ้อมกอดของคุณยะ สมองสั่งให้ขานตอบคุณยายออกไป แต่เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ เสียงมันเลยผ่านออกไปไม่ได้

ผมจะหันไปปลุกคนที่กอดผมไว้ทั้งคืน ให้ตื่นขึ้นมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ ทว่าก็ช้าไปเสียแล้ว

“ย่าเข้าไปแล้วนะลูก” เพราะคุณย่าปิดโอกาสนั้นไปเสียแล้ว

“...!” เสี้ยววินาทีที่ได้ยินคำพูดของคุณย่า ผมเหมือนถูกสตั๊นเอาไว้ในก้อนน้ำแข็งมหึมา ร่างกายกระดิกไม่ได้เลย และกว่าที่ริมฝีปากของผมจะขยับได้แค่นิดเดียว ไม่ทันได้เอ่ยห้ามตามที่สมองสั่ง คุณย่าก็เปิดประตูเข้าเจอกับความลับที่ผมกับคุณยะซ่อนเอาไว้

“คะ...คุณย่า...อย่า...”

“...!!” คุณย่านิ่งค้างไปทันที ขณะที่ผมลุกพรวดออกจากวงแขนของคุณยะ ในสภาพที่กำผ้าห่มเอาไว้แนบอก สายตาของท่านบอกว่าท่านตกใจกับสิ่งที่เห็น สิ่งที่ท่านไม่เคยนึกว่าจะเกิดขึ้นในครอบครัวตรัยธาดา ก่อนที่ท่านจะเลื่อนสายตาไปยังคนที่งัวเงียตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับเขาถูกคนเป็นแม่จับได้

ทำไมวันนี้เขาไม่ไปทำงาน!

ทั้งที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ทั้งที่สายขนาดนี้แล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่ต้องสายแล้วแน่ๆ คุณย่าถึงได้มาตามตัวผมถึงที่นี่

ถ้าคุณยะไปทำงาน... ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้เป็นล้านๆ เท่า

และถ้าเขาจะไม่ลุกขึ้นมาดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด จูบหน้าผาก จูบแก้มของผม ทั้งที่ยังงัวเงียและตายังปิดอยู่แบบนี้

“ตายะ!! ปล่อยหลานแม่เดี๋ยวนี้” เสียงคุณย่าน่ากลัวอย่างที่สุด ผมไม่เคยเห็นคุณย่าพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัวแบบนี้มาก่อน

“คุณแม่!” คุณยะตื่นเต็มตา เขาค่อยๆ ปล่อยแขนจากตัวผม

“ออกมาคุยกับแม่ข้างนอก!” คุณย่าสั่งเสียงเฉียบ สายตาของท่านเลื่อนกลับมาที่ผม น้ำเสียงที่เคยโกรธกรุ่นก่อนหน้านี้ผ่อนลง “ส่วนพีไปอาบน้ำแต่งตัวนะลูก จะได้ลงไปกินข้าวเช้ากัน”

“ครับ” ผมตอบเสียงเบาพลางก้มหน้ามองตักตัวเอง ไม่กล้าสบตาคุณย่าเลย ผมกลัวสายตาของท่านมองผมจะเปลี่ยนไป

คุณย่าเดินออกไปแล้ว

“ไม่เป็นไร” คุณยะดึงตัวผมที่แข็งทื่อเข้าสู่อ้อมกอด “แม่ของฉันรักเธอมาก ท่านไม่โกรธเธอหรอก ไม่ต้องคิดมาก”

ผมเปล่าคิดมาก แต่ผมกลัว... กลัวตัวตนของผมในตรัยธาดาจะไม่เหมือนเดิม


จบตอนที่ 31


 :hao5:
เม้าท์ๆๆ
หมดเกลี้ยงแล้วนะคะ จากนี้ไปก็จะลงตามปกติคือแต่งจบก็จะลงเลย
ตอนที่ 32 ปั่นไปหน่อยแล้วค่ะ อีกสักสัปดาห์หนึ่งน่าจะมาได้
เพราะพรุ่งนี้ต้องไปตจว.หลายวันเลย กลับมาถึงปั่นต่อได้
ปล. เค้าขอโทษน้า ถ้ามันจะวนเวียนอยู่แต่กับรักๆ เลิกๆ
คงต้องทนไปอีกสักพัก คู่นี้จะเลิกกัน 7 ครั้ง ฮื่อออออ
อย่าว่ากันน้า อย่าทิ้งกันนะคะ อดทนไปด้วยกัน
(ปาดเหงื่อกับเรื่องนี้ไปเยอะมากกกกกก)
คนเขียนก็อดทนเหมือนกัน อยากแต่งให้จบแล้วว
สีเหลืองอ่อน




หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 18-01-2019 07:53:10
ไม่ได้จะไม่ให้กำลังใจนะ แต่อ่านมานานแล้วยังจับ " แก่นที่จะสื่อ " ไม่เจอเลย ว่าเกิดเรื่องแบบนี้เพราะอะไร มันปูเรื่องมาซะยาวเวิ่นเว้อมาก
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-01-2019 14:19:28
หงิดคุณยะกับเลม่อน
แต่จริง ๆ หงิดคุณยะสุด ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ
ทำร้ายเด็กสองคนซ้ำ ๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 19-01-2019 19:47:53
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-01-2019 22:49:39
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดคุณยะกับเลม่อน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 20-01-2019 01:38:57
เหมือนอ่านวนอยู่ในอ่าง
แค่ก็ยังอ่านอยู่ดี 555
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 21-01-2019 21:41:21
วนไปวนมา แต่เราก็ยังไม่ยอมออกไปไหนสักที ติดบ่วงซะแล้ว :o8:

รอตอนนต่อไปค่า :call:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 31-01-2019 18:59:58
ป๊าดดด เลิกกัน 7 ครั้ง นี่คือนับยิบย่อยด้วยใช่ไหมคะ

สงสารทั้งน้องพีทั้งคุณยะ จะรักก็ไม่เต็มปาก
จะเกลียดก็ไม่เต็มใจ เหมือนอยู่ในวังวน
แล้วมาเจอกันตอนโต อยากรู้ระหว่างทาง
น้องพีไปเจออะไร ไปทำอะไรมา ถึงเปลี่ยนไปแบบนี้

คุณยะคือคนร้ายที่สร้างคนดีให้พยายามร้าย
สงสารคนรอบตัวพี ที่ทำทุกอย่างให้พีมีความสุข
ทั้งปี ทั้งจิระ ทุกคนทำเพื่อพีหมด

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 30-31 (18-01-19)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 17-02-2019 20:03:34
มารอน้องพี :call:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 14-03-2019 00:05:23
ตอนที่ 32

“...คุณย่า”

ผมเรียกชื่อคนที่เปิดประตูเข้ามา แม้รอยยิ้มของท่านจะอ่อนโยนและใจดีเหมือนเดิม ทว่าผมก็ยังกลัวว่าหลังรอยยิ้มนั้นจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แม้ผมจะมั่นใจว่าคุณย่ารักผมมากก็ตาม

“ร้องทำไมลูก” ท่านเดินตรงมาหาผมที่นั่งอยู่ปลายเตียง ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม พลางเช็ดน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยน ผมใจชื้นขึ้น ริมฝีปากขยับยิ้มอย่างสั่นๆ เพราะยังสะอึกสะอื้นอยู่

“ฮึก...พีกลัว...คุณย่าเกลียด...” ใบหน้าของคุณย่าพร่ามัวเพราะน้ำตาที่ไม่ลดลงเลยของตัวผมเอง “...ฮึก...คุณย่า...อย่าเกลียดพีนะ” เสียงผมสั่น พูดแทบไม่เป็นคำ แต่คุณย่าก็คงได้ยินชัดทุกคำ

“ย่าจะเกลียดหลานย่าได้ยังไง” ท่านเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักและเอ็นดูดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา

“พีกลัว...ฮึก...” ในหัวผมเต็มไปด้วยความรู้สึกนี้ แม้รอยยิ้มของคุณย่าและสายตาของท่านจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ผมก็ยังกลัว มีแต่คำว่ากลัวเต็มไปหมด “พีไม่อยากให้คุณย่าเกลียด...ฮึก...อย่าเกลียดพีนะครับคุณย่า...พีขอโทษ”

“พีเป็นหลานคนแรกของย่า” น้ำเสียงท่านปรานี และยังเอาใจผมอย่างเช่นทุกครั้ง “ย่ารักพีมากกว่าใครเลยนะลูก”

“แต่พี...ไม่ใช่ลูกคุณยะ...” น้ำตาผมทะลัก “...ไม่ใช่หลานจริงๆ ของ...ฮึก...คุณย่า” ไม่ใช่แค่เสียงของผมที่สั่น ตัวก็สั่น สั่นไปหมดเพราะความหวาดกลัวที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน

“ถึงพีจะคิดแบบนั้น คิดว่าตัวเองไม่ใช่หลานย่า” ท่านยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยน มือก็ยังไม่หยุดเช็ดน้ำตาบนแก้มผม น้ำตาที่ไม่รู้เมื่อไรจะหยุดไหล “แต่ย่าจะบอกให้พีรู้ไว้ว่า...พีเป็นหลานของย่าตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่เรา ตั้งแต่วันนั้นย่ากับปู่ก็รักพีไม่น้อยกว่ารักลูกทุกคน คิดเสมอว่าพีเป็นหลานของเราสองคน ย่ากับปู่เลี้ยงพีมาด้วยความรักนะลูก ไม่เคยตีแม้แต่ครั้งเดียว ดุด่าก็ยังไม่เคย เพราะไม่อยากให้พีเจ็บแม้แต่นิดเดียว ตามใจพีทุกอย่าง มีอะไรที่ปู่กับย่าให้พีไม่ได้บ้าง เคยสักครั้งไหมที่ทำให้พีรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่หลานของปู่กับย่า”

“ฮึก...ไม่เคยครับ” ผมส่ายหน้าแรงๆ ราวกับจะยืนยันน้ำหนักในคำตอบนั้น

ใช่แล้ว...ท่านทั้งสองตามใจผมทุกอย่าง ไม่เคยตี หรือดุด่าให้เสียใจ และไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของครอบครัวนี้ ไม่เคยรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองไม่ใช่ตรัยธาดา จนกระทั่งวันที่ผมบังเอิญรู้ความจริงเรื่องที่ตัวเองไม่ใช่ลูกคุณยะ นั่นแหละผมถึงรู้ตัวเองว่าไม่ใช่หลานของคุณปู่คุณย่า

“แบบนี้แล้วยังคิดอยู่ไหมว่าย่าจะเกลียดพีเพราะเรื่องนี้ และยิ่งคนผิดคือลูกของย่าด้วย ย่าไม่ไล่ให้เปลี่ยนนามสกุลก็ดีแค่ไหนแล้ว มาทำร้ายหลานย่าขนาดนี้ได้ยังไง... ย่าขอนะลูก ไม่คิดแบบนี้อีกแล้วนะ อย่าคิดว่าย่าจะเกลียดหลานรักของย่าได้ มันไม่มีทางอย่างแน่นอน”

“ไม่คิด...แล้วครับ...”

ความกลัวที่กัดกินหัวใจผมจางหายไปทีละน้อย ไม่ใช่เฉพาะคำพูดของคุณย่าเท่านั้นที่กำจัดความกลัวไปจากตัวผม น้ำเสียงของท่าน รอยยิ้มของท่าน แววตาที่ท่านทอดมองผม ยังคงเป็นแววตาแบบเดิม รอยยิ้มเดิม และน้ำเสียงปรานีแบบที่เคยเป็นมาตลอด ทั้งหมดช่วยยืนยันว่าท่านพูดจริง ออกมาจากหัวใจที่เต็มไปด้วยรักและเอ็นดูผม... ไม่ต่างจากหลานแท้ๆ ของท่าน

“ยะบอกย่าว่า พีรู้แล้วว่าพ่อเป็นใคร”

ผมพยักหน้า

“อยากไปหาเขาไหมลูก”

“ไม่อยากครับ” และผมไม่อยากเป็นลูกเขาด้วยซ้ำ ไม่อยากเป็นลูกของผู้ชายที่คุณยะเกลียด

“ทำไมล่ะลูก”

“พียังไม่พร้อม” ผมบอก ก่อนเอ่ยถึงความกลัวที่อยู่ในใจลึกๆ “พี...กลัวเขาเอาพีไปจากคุณย่า พีอยากอยู่ที่นี่ อยู่กับคุณย่า”

“โธ่ลูก” ท่านดึงผมเข้าไปกอด พลางลูบหลัง “ปู่กับย่าไม่ให้ใครเอาพีไปหรอกลูก จะไม่มีใครเอาพีไปจากย่าได้”

ผมเชื่อที่คุณย่าพูด ทว่ากลับเป็นผมเองที่ดิ้นรนหนีไป...

...............................................................................
สัมผัสแผ่วเบาข้างแก้มปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาตอนที่ฟ้าด้านนอกเริ่มหมดแสง ในตอนที่ผมขยับเอาใบหน้าหนีสัมผัสนั้น ปลายนิ้วโป้งของคุณยะก็ยังไม่ละความพยายามที่จะตามมาลูบอย่างอ่อนโยนที่จุดสีดำบนแก้มขวาของผม

ผมอยากถามว่าตอนที่เขาเดินออกไปกับคุณย่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหลังจากที่คุณย่าเข้ามาคุยกับผมแล้วออกไป มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก แต่เหมือนมีก้อนอะไรวิ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอ แม้คุณย่าจะไม่รังเกียจผม ยังรักผมเหมือนเดิม แต่ผมก็กลัวการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะที่ไม่เป็นความลับและปฏิกิริยาของทุกคนในครอบครัวที่จะแปลกออกไปจากที่เคยเป็น

“คุณยะ...” ผมอยากถามแต่ก็ไม่อยากได้คำตอบว่าหลังจากที่ผมหลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ว่า?” เขาดึงปลายนิ้วกลับไปแล้ว

“...” ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกปวดกระบอกตาเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จำได้ว่าผมร้องไห้จนหลับไปเลยด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย” เขาดึงตัวผมเข้าไปกอด สีหน้าของผมคงบอกให้เขารู้ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไร

“แล้วเรื่อง...” ...เรื่องของเราจะเป็นยังไงต่อไป ผมอยากถามเขาแบบนี้ ทว่าคำที่เหลือก็ยากที่จะหลุดออกมาจากริมฝีปาก

“เธอก็ยังเป็นตรัยธาดาเหมือนเดิม แต่...” ผมกลั้นใจฟัง “...ในอีกฐานะหนึ่ง”

‘ในอีกฐานะหนึ่ง’

ถ้า...ผมโง่มากกว่านี้ ผมก็คงจะถามว่า ‘อีกฐานะหนึ่ง’ คือฐานะไหน แต่ที่ผมอยากรู้คือมันจะเป็นไปได้จริงเหรอ?

ผมมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางที่อยากให้เป็นได้เลย ที่เห็นก็มีแต่อุปสรรคที่เกิดจากคนคนเดียว... คนที่ว่าเมื่อไรคุณยะก็ทิ้งไม่ได้ คนที่เอาแต่ความจริงมาฟาดฟันผมตลอดเวลา ไม่เคยปล่อยให้ผมมีความสุขจริงๆ ซะที

“คิดอะไรอยู่” เพราะผมเอาแต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของคุณยะอย่างเงียบๆ เขาเลยถาม ขณะที่สองมือดันตัวผมออกมา แม้ผมไม่มีคำตอบให้เขา เขาก็หาคำตอบได้จากดวงตาร้อนจัดของผม “ถ้าเป็นเรื่องเลม่อน ฉันขอโทษ”

ขอโทษที่ปล่อยมือจากพี่เลม่อนไม่ได้เพราะคำสัญญาและความผิดที่เขาต้องรับผิดชอบไปทั้งชีวิตอย่างนั้นเหรอ?

สุดท้ายพี่เลม่อนก็ชนะ ต่อให้ผมอดทนมากแค่ไหน ผมก็เป็นคนแพ้อยู่ดี มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คุณยะก็ยังต้องเลือกรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดไป

ผมอยากคิดแบบโง่ๆ มันจะดีไหมถ้าคนที่ถูกคุณยะทำแบบนั้นไม่ใช่พี่เลม่อน แต่เป็นผม แบบนั้นผมจะได้ไม่ต้องเสียคุณยะให้พี่เลม่อน ผมคงจะมีความสุขที่ต่อให้ผมทำตัวงี่เง่า น่ารำคาญแค่ไหน คุณยะก็ยังคงจะเลือกผม ดูแลผมไปตลอดทั้งชีวิต

“ฟังฉันให้จบก่อนแล้วค่อยร้อง” น้ำเสียงที่ติดจะเอ็นดูและหยอกเย้าดึงผมออกมาจากความคิดที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง พร้อมกับสัมผัสอ่อนโยนของปลายนิ้วที่กำลังเกลี่ยสายน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้างของผม

ผมร้องไห้ตอนไหนไม่รู้ตัวเลยสักนิด

“ฉันขอโทษที่ฉันเคยขี้ขลาด แต่ตอนนี้ฉันเลิกกับเลม่อนแล้ว ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีกแล้ว” ยามที่เขาเอ่ยคำพูดพวกนั้นออกมา ดวงตาสีราตรีจ้องเข้ามาในดวงตาชุ่มน้ำของผม มองอย่างจริงจังและไม่ละจากไปไหน

“ทะ...ทำไมถึงเลิก” ผมถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“เพราะเธอไง” เขายิ้ม “ฉันไม่อยากทนเห็นเธอเจ็บปวดอีกแล้ว บางทีอาจจะเป็นอย่างที่เธอเคยพูด... ฉันรับผิดชอบมากพอแล้ว”

แต่ในวินาทีนั้น ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นเพราะผมจริง ทำไมถึงเพิ่งมาทนไม่ได้ตอนนี้ ทำไมถึงปล่อยให้ผมเสียน้ำตาและเจ็บปวดจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่คำพูดต่อมาของเขาก็ช่วยตอบคำถามในหัวผม

“เพราะเลม่อนด้วย” เขาพูด “ฉันขอให้เขาเก็บความลับเรื่องพ่อกับแม่ของเธอ แต่เขาทำให้ฉันไม่ได้”

เอาเข้าจริงก็อดสงสารพี่เลม่อนไม่ได้ ถึงเขาจะร้ายกับผม แต่ผมก็ไม่อยากเห็นใบหน้าสวยงามที่เปื้อนคราบน้ำตาอย่างในวันนั้น เพราะน้ำตาไม่เหมาะกับพี่เลม่อนเลยสักนิด

“คุณไม่สงสารเขาเหรอ” ผมอดถามออกไปไม่ได้ แค่ครั้งเดียวที่ผมเห็นความเศร้าและเม็ดน้ำตาในหน่วยตาของพี่เลม่อน มันยังติดตามาจนถึงตอนนี้ “พี่เลม่อนรักคุณมาก เขาคงเสียใจมาก” ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด ทำไมต้องสงสารคนที่จ้องแต่จะทำให้ผมเจ็บปวด คนที่เอาแต่ด่าทอผมด้วยคำหยาบคาย คนที่ไม่ยอมให้ผมมีความสุขเสียที

หรือลึกๆ แล้ว ผมอยากให้พี่เลม่อนเป็นฝ่ายที่หมดความอดทนไปเอง ยอมแพ้และเดินออกไปจากชีวิตของคุณยะ ไม่ใช่เพราะ...ถูกทิ้ง

“เธอไม่อยากให้ฉันทิ้งกับเขา?” ทั้งน้ำเสียงที่ถาม แววตาที่จ้องมองผมเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ

“ไม่ใช่” ผมรีบส่ายหน้าทันที “ผมแค่...ไม่อยากเห็นเขาเสียใจ” เพราะมันทำให้ผมรู้สึกผิดทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่ใช่เขาก็ต้องเป็นเธอ”

ใช่... ไม่ใช่พี่เลม่อนก็ต้องเป็นผมที่เสียใจ

“คุณยะจะเลิกจริงๆ ใช่ไหมครับ” ผมก็ยังรู้สึกว่ายังเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่ความจริงที่ว่าเขาเลือกผม “ไม่ได้หลอกผมใช่ไหม”

“ฉันอยากให้เธอมีความสุข ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้เธอร้องไห้” เขาบอก “และสำคัญที่สุด... ฉันไม่อยากเสียเธอไป” คำพูดสุดท้ายแผ่วเบา ทว่าสัมผัสได้ถึงความจริงที่ผสมไปด้วยความหวาดกลัวของคนที่เอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา

“...” ผมก็ไม่อยากยกเขาให้ใครเหมือนกัน

“สัญญากับฉันได้ไหมพี ว่าเธอจะไม่ไปจากที่นี่ เธอต้องอยู่กับฉัน เป็นคนของฉัน เป็นตรัยธาดาไปตลอดชีวิตของเธอ”

“...” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

บางครั้งผมเคยรู้สึกอยากไปจากเขา นั่นเพราะความคิดชั่ววูบและความเสียใจชั่วคราว แต่สุดท้ายผมก็ยังอยากอยู่กับเขา อยากเป็นคนในครอบครัวตรัยธาดาที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิด

“พูดอะไรบ้างสิ”

“ผมดีใจ” ผมพูดออกมา

“ฉันก็ดีใจที่เห็นเธอดีใจ”

“คุณยะ...ไม่ได้โกหกผมจริงๆ ใช่ไหม” ความรู้สึกของผมยังค้างคาอยู่ตรงนี้ “คุณยะจะไม่ให้พี่เลม่อนเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตจริงๆ แล้วใช่ไหม”

“ฉันจะโกหกเธอทำไม”

นั่นสิ เขาจะโกหกผมทำไม แต่ผมก็ยัง...

“ผมกลัวคุณยะโกหกเพื่อให้ผมสบายใจ”

“คิดมากไปได้” ถึงเขาจะพูดแบบนี้ผมก็ยังรู้สึกไม่เต็มร้อยกับคำพูดของเขา “มันไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องโกหกเธอ ทั้งหมดที่ฉันทำ ฉันแค่ไม่อยากเห็นน้ำตาของเธออีกแล้ว ไม่อยากให้เลม่อนมาทำอะไรเธอได้อีก ต่อไปเขาจะไม่กวนใจเธออีกแล้วนะ” เขาจบคำพูดด้วยมือที่ขยี้ผมยุ่งๆ ของผม

“ผมเชื่อคุณได้ใช่ไหม” ผมก็ยังวนเวียนอยู่กับความไม่แน่ใจนี้

“เชื่อได้สิ แต่ถ้าเธอไม่เชื่อว่าเรื่องของฉันกับเลม่อนจบลงแล้วจริงๆ พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปเอาคำยืนยันจากเลม่อนเองเลย”

“ไม่ต้องก็...ได้” ผมพูดออกมาอย่างแผ่วเบา เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าเขาจะเอาพี่เลม่อนออกไปจากชีวิตแล้วจริงๆ

แต่...ผมก็ยังรู้สึกว่ามันง่ายไปไหมที่คุณยะยอมทิ้งพี่เลม่อนเพื่อผม

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 14-03-2019 00:10:33
แต่พอเวลาผ่านไปจากคำพูดในเย็นวันนั้น จนมาถึงวันที่ผมอายุสิบเจ็ดปีเต็ม ผมก็มั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าคำพูดของเขาในตอนนั้นเป็นความจริง เขาทิ้งพี่เลม่อนแล้วจริงๆ และฝ่ายนั้นก็ไม่มาวุ่นวายกับชีวิตผมอีกเลย ไม่มีข้อความไลน์มารบกวนจิตใจผมแม้แต่ข้อความเดียว พี่เลม่อนเงียบหายเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกของผม จนบางครั้งผมก็เผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความเก่าของพี่เลม่อนที่ส่งมาด่าและเยาะเย้ยผม เคยแม้กระทั่งส่งข้อความไลน์ไปหาอีกฝ่ายด้วย

‘พี่สบายดีนะ’

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพิมพ์ข้อความส่งไปแบบนั้น พี่เลม่อนไม่ได้อ่านในทันทีหรอก แต่เขาก็อ่านมันหลังจากนั้นหลายชั่วโมงเลย ได้อ่านแต่ไม่ได้ส่งข้อความตอบกลับมา ยอมรับว่าผมรู้สึกผิดมากที่ส่งข้อความแบบนั้นไป มันเหมือนเยาะเย้ยอีกฝ่ายหรือเปล่า พอรู้สึกผิดผมก็ส่งข้อความไปหาพี่เลม่อนอีกที

‘ผมขอโทษ’

ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเอง คนผิดก็คือผม ผมคือคนที่แย่งคุณยะมาจากพี่เลม่อน ทำให้พี่เลม่อนถูกทิ้ง ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ผิดอะไรเลย คนผิดคือผมที่อยากได้คุณยะมาเป็นของของผม ไม่อยากให้คุณยะเป็นของใครนอกจากคนของผมเพียงคนเดียว

“คุณยะได้เจอพี่เลม่อนบ้างไหมครับ” ผมหันไปถามเขาที่นอนข้างกายผม

ตอนนี้เป็นคืนวันเกิดของผม หลังจากที่เป่าเค้กก้อนโตเมื่อตอนค่ำและฉลองกันเล็กน้อยภายในครอบครัวตรัยธาดาและเพิ่มมาอีกคนคืออาฟ้า (เจ้าของเค้กวันเกิดที่อร่อยที่สุด) ผมกับคุณยะและสองแฝดก็กลับมาที่บ้านเรือนไทยของพวกเรา และหลังจากที่ผมจับสองแฝดเข้านอนได้ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณยะเคลียร์งานกับพี่แอลเสร็จพอดี เขาเลยชวนผมมาปูเสื่อนอนดูดาวด้วยกัน... ซึ่งก็มีแค่ไม่กี่ดวงเองที่เปล่งแสงน้อยนิดบนฟ้าสีดำ เราสองคนเลยเลือกที่จะมองหน้ากันและกันแทน

คุณยะไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินชัดเพราะบรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ก็ตอนนี้ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่มนี่ครับ

“ไม่ได้เจอเลย” เขาตอบแล้วเปลี่ยนมาเป็นคำถาม “กลัวฉันแอบไปเจอเลม่อนหรือไง”

“เปล่าครับ ผมแค่...รู้สึกผิดกับพี่เลม่อน” เป็นผมบ้างที่พ่นลมหายใจออกมา “ผมแย่งคุณยะมาจากเขา” ผมเอ่ยสิ่งที่ค้างอยู่ในใจออกมาในที่สุด

“คิดมากเกินไปแล้ว” เจ้าของคำพูดดึงใบหน้าของผมเข้าไปหาริมฝีปากของเขา จุมพิตนุ่มนวลบนหน้าผากของผม

“ก็ผมคิดมากไปแล้วนี่นา” ผมเถียง

“งั้นก็คืนฉันให้เลม่อนไปสิ” คำพูดกึ่งท้ามาพร้อมรอยยิ้มเย้าแหย่ก็ทำให้ผมหน้างอขึ้นมาทันที

“ไม่คืน!” ผมบอกเสียงขุ่น ถึงจะรู้สึกสงสารพี่เลม่อน แถมคิดว่าตัวเองเป็นคนผิดที่แย่งคุณยะมา แต่ผมก็ไม่คิดจะคืนคุณยะให้ใครทั้งนั้น ก็ผมรักของผมนี่นา ไม่ใจดีพอที่จะคืนให้ใครหรอก “หรือคุณยะก็อยากกลับไปหาพี่เลม่อน” ผมถามกึ่งประชดออกไป จ้องหน้าเขาด้วยแววตาคาดคั้น แอบจับผิดเล็กน้อยด้วย

บอกตามตรงเลยว่าผมอดที่จะระแวงเรื่องนี้ไม่ได้ กลัวคุณยะอยากกลับไปหาพี่เลม่อน เพราะผมไม่รู้เลยว่าระหว่างคนสองคนที่มีความสัมพันธ์กันมาหลายปีจะตัดขาดกันได้จริงไหม โดยเฉพาะเรื่องบนเตียงที่ผมออกจะมั่นใจเล็กน้อยว่าคุณยะชอบการมีอะไรกับพี่เลม่อน ผมสังเกตจากคลิปที่พี่เลม่อนเคยส่งมาเยาะเย้ยผมนั่นแหละ

แล้วยิ่งตอนนี้คุณย่าห้ามไม่ให้คุณยะมีอะไรกับผมด้วย ความจริงคุณย่าจะให้ผมไปนอนที่เรือนของท่านด้วยซ้ำ แต่ผมเองแหละที่ดื้อจะนอนที่เรือนหลังนี้ ก็...เฮ้อ... ยอมรับตามตรงเลยว่าถึงผมจะเป็นเด็ก ไม่ควรหมกมุ่นกับเรื่องอย่างว่า แต่การที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคุณยะ ถูกคุณยะโอบเอาไว้ด้วยความรัก มันทำให้ผมมีความสุขมากเหลือเกิน

คุณย่ารับได้ที่ผมกับคุณยะมีความสัมพันธ์กัน แต่รับไม่ได้ที่จะปล่อยให้คุณยะจะกอดผมเหมือนที่ผ่านมา ท่านเลยกำชับลูกชายคนโตอย่างหนักว่าไม่ให้นอนห้องเดียวกับผมและห้ามรังแกผมเด็ดขาด เห็นคุณยะชอบต่อปากต่อคำกับคุณย่ากว่าลูกคนอื่นๆ ก็เถอะ แต่ก็เป็นลูกที่เชื่อฟังคำสั่งไม่ต่างจากน้องทั้งสองคนของตัวเองเลย คุณยะรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับแม่ของตัวเองตั้งแต่วันที่ความลับแตกจนมาถึงตอนนี้ เพราะแบบนี้ผมเลยแอบกลัวว่าคุณยะจะกลับไปหาพี่เลม่อน ไปมีอะไรลับหลังผม

ต่อให้ผมเชื่อใจคุณยะมากแค่ไหนก็ยังอดระแวงไม่ได้อยู่ดี คนอย่างคุณยะจะขาดเรื่องอย่างว่าได้เหรอ นี่ก็เกือบเดือนแล้วด้วยที่เขากับผมไม่ได้มีอะไรกัน

“ฉันมีเธอคนเดียวก็พอแล้ว” เขามองหน้าผมด้วยสายตาจริงจังที่เคลือบคลอไปด้วยน้ำหวาน แต่ก็ไม่ทำให้ความระแวงของผมลดน้อยลงได้เลย

“ตั้งแต่วันที่คุณย่าสั่งห้ามคุณยะไม่ให้กอดผม คุณยะได้ไปกอดใครแทนผมหรือเปล่า” ผมตัดสินใจถาม รู้ทั้งรู้ว่าถ้าเขาไปนอนกับใครมาก็คงไม่มีทางตอบความจริงกับผมหรอก แต่ผมก็อยากถาม อยากเห็นแววตายามที่เขาเอ่ยคำพูดออกมา มันมีคำโกหกซ่อนอยู่ในนั้นหรือเปล่า ผมจับโกหกไม่เก่งหรอกแต่ก็อยากจะลองดูสักครั้ง

“ฉันจะไปกอดใครได้นอกจากเธอ”

ท่ามกลางความมืดสลัวที่ไร้แสงไฟจากหลอดนีออน ผมไม่เจอคำโกหกในดวงตาสีราตรีนี้เลย

“ไม่เชื่อฉันหรือไง”

“ก็ไม่อยากเชื่อเท่าไร” ผมพูดไปตามความจริง แม้จะไม่เจอคำโกหกในแววตาของเขาก็ตาม “คนอย่างคุณยะหรือจะขาดเรื่องอย่างว่าได้” ตั้งแต่โตพอที่จะรู้เรื่องของเขา ผมก็เห็นแต่ข่าวที่เขาควงคนนู้นทีคนนี้ที เจอแม้กระทั่งตอนที่เขามีอะไรกับผู้ชายบนโต๊ะทำงาน เห็นคลิปบนเตียงของเขากับพี่เลม่อน ผมเลยฟันธงว่าคนอย่างเขาขาดเรื่องอย่างว่าไม่ได้หรอก

“เธอจะไม่ยอมปล่อยเรื่องในอดีตของฉันให้ผ่านไปเลยหรือไง” ถึงผมจะกึ่งถามกึ่งว่าไปแบบนั้น แต่คุณยะก็ยังยิ้มให้กับคำพูดของผม และก็คงรู้ตัวด้วยละมั้งว่าอดีตของตัวเองไม่ได้น่าชื่นชมเท่าไร

“ผมก็อยากปล่อยผ่านเหมือนกัน แต่ทำไงได้สมองมันดันไม่ยอมลืมง่ายๆ”

“รักฉันให้มากๆ สิ เธอจะลืมเรื่องที่ไม่ดีของฉันได้” เขาบอก ผมไม่เห็นด้วยเลยสักนิด ในเมื่อผมก็รักเขามากขนาดนี้แล้ว ผมก็ยังจำใบหน้าของผู้หญิงทุกคนของเขาได้อยู่เลย คลิปของเขากับพี่เลม่อนก็ยังติดตา สลัดออกไปไม่ได้เสียที

แม้แต่ผู้หญิงที่อาจเป็น ‘รักแรก’ ของเขา ผมก็ยังจำได้ โดยที่ไม่ต้องเปิดดูรูปที่ถูกเซฟไว้ในโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ

“คุณยะ...หน้าพี...” จู่ๆ ก็รู้สึกจุกที่คอ พยายามที่จะเอาคำที่เหลือออกมาให้หมด “...เหมือนเธอมากไหม” ผมอยากให้คุณยะส่ายหน้า แล้วบอกว่าผมไม่เหมือนเธอคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่คุณยะก็ไม่โกหกในเรื่องที่เห็นชัดอยู่แล้ว

“ดีมากแล้วนะที่เธอเหมือนแม่” และคุณยะก็รู้แล้วว่าผมมีรูปของเธอคนนั้นในโทรศัพท์ “รู้ไหมว่าฉันดีใจมากแค่ไหนที่เห็นเธอครั้งแรก”

“เพราะคุณยะรักเธอมากใช่ไหม” มันเป็นคำถามที่กรีดหัวใจผมมากเหลือเกิน “เลยดีใจที่ผมหน้าเหมือนเธอ”

“คิดแบบนี้มาตลอดหรือไง” เขาถาม เสียงก็กลั้วรอยขำ

“ไม่ต้องมาขำกลบเกลื่อนเลย” ผมค้อนอย่างเคืองๆ “ยอมรับมาเลยว่าเป็นความจริง คุณยะรักผมก็เพราะหน้าเหมือนแม่ อยากใช้ผมเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่คุณยะรัก” ภายในอกผมเริ่มร้อนขึ้นมาทุกที กองไฟกำลังสุมอยู่ในนั้น

“ในการ์ตูนที่เธออ่านมีเรื่องน้ำเน่าแบบนี้ด้วยหรือไง” เขาก็ยังขำสีหน้าจริงจังของผม 

“ไม่มี!” ผมตอบเสียงขุ่น หน้านี่งอเต็มที่แล้ว “ตอนนี้คุณยะยังรักเธออยู่ไหม” ผมถามอีก ถามเองก็เจ็บเอง เพราะใจคิดไปแล้วว่าเขายังคงรักเธอคนนั้นอยู่

“คนที่ฉันรักมีแค่เธอคนเดียว” เขากลับมาใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้น ไม่เหลือรอยยิ้มหยอกล้อเหมือนเมื่อครู่ “ส่วนแม่ของเธอ ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยเลย ไม่เคยรัก ไม่เคยชอบ”

“ถ้าไม่เคยรักแล้วทำไมถึงต้องช่วยเธอขนาดนั้น ดูแลตั้งแต่ที่เธอยังไม่คลอดผมออกมา จนผมเกิดก็ยังต้องดูแลต่อ” ผมก็ยังไม่เชื่อคำพูดของเขา เพราะมันขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง การที่เขาเกลียดพ่อผม ไม่ได้รักแม่ผม แต่ทำไมถึงอยากให้ผมเกิดมา

“ฉันแค่อยากเป็นคนดี...เท่านั้นเอง” น้ำเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้มอบอุ่นทำให้ผมเริ่มเชื่อเขาขึ้นมาบ้างแล้ว

วันที่ความลับของผมกับคุณยะแตก คุณย่าเล่าให้ฟังว่าตอนที่คุณยะเดินเข้ามาบอกว่าจะขอให้เด็กคนหนึ่งก็คือผมมาอยู่ในครอบครัวนี้ด้วย ถึงคุณปู่กับคุณย่าจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ตามใจลูกชายคนโต  แต่คนที่ไม่เห็นด้วยมากที่สุดคือคุณทวดพุฒิ ท่านไม่ยอมให้เด็กที่ไม่ใช่สายเลือดของท่านมาใช้นามสกุลของท่าน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะหลานชายคนโตที่หัวดื้อที่สุด ที่เคยบอกว่าจะไม่ยอมรับช่วงบริหารงานโรงแรมต่อจากท่านเนื่องจากอยากเป็นหมอรักษาคน ได้ยื่นข้อเสนอว่าถ้าให้ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตรัยธาดา ใช้นามสกุลของคุณทวด คุณยะก็จะยอมทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อมาดูแลพุฒิธาดาต่อจากคนเป็นปู่

คุณย่ายังบอกอีกว่าก่อนหน้านั้นคุณทวดพุฒิเครียดมากที่ลูกชายคนเดียวไม่อยากดูแลโรงแรมต่อจากท่าน ด้วยการหนีไปเป็นทหาร พอมีหลานก็ดีใจที่จะมีคนรับช่วงดูแลโรงแรมต่อจากท่าน แต่พอทั้งสามเริ่มโตพอที่จะรู้จักความชอบและมีฝันเป็นของตัวเอง ทวดพุฒิก็ต้องกลับมาเครียดอีกครั้ง แถมเครียดหนักกว่าเดิมด้วย เพราะหลานคนโตก็อยากเป็นหมอรักษาคน หลานคนกลางก็อยากเป็นสัตวแพทย์ ส่วนหลานสาวคนเดียวของท่านก็รักเสียงดนตรี

นั่นแหละครับเพราะการเสียสละและเป็นคนดีของคุณยะทำให้ผมเป็น ‘พีรัช ตรัยธาดา’ มาจนถึงวันนี้

“แต่...คุณยะยอมทิ้งความฝันของตัวเอง” ความฝันของคุณยะคือการเป็นหมอ เพราะตอนเด็กคุณยะเคยปีนต้นไม้ (ต้นไหนสักต้นที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้นี่แหละ) เกือบตายแน่ะ ดีที่พาส่งโรงพยาบาลทันและอยู่ในความดูแลของคุณหมอท่านหนึ่งที่ใจดีมาก คุณยะเลยจำฝังใจและตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นคุณหมอที่ใจดีแบบคุณหมอท่านนั้น (เรื่องนี้คุณย่าก็เพิ่งเล่าให้ผมฟังเหมือนกัน)

“แต่...วันนี้เธอก็เป็นรางวัลที่ดีที่สุดของการตัดสินใจเป็นคนดีของฉันในวันนั้น” คำพูดของเขาทำให้หัวใจผมเบ่งบานราวกับดอกไม้

“คุณยะพูดจริงใช่ไหม”

“เธอชอบถามฉันจังว่าฉันพูดจริงหรือเปล่า คำพูดของฉันไม่น่าเชื่อขนาดนั้นเชียว”

“ก็...”

...เพราะผมเจ็บปวดกับคำพูดของคุณยะมาเยอะ มันเลยไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผมจะเชื่อทุกคำพูดของเขาแบบเต็มร้อยได้ในทันที แต่ผมพูดไม่ออกซะงั้น คำพูดมันจุกที่คอ

“ฉันพูดความจริง” พอเห็นผมกลืนคำพูดมากมายลงไปที่ที่มันควรอยู่ คุณยะถึงได้พูดออกมา “กับแม่ของเธอก็ไม่ต่างจากคนรู้จัก ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่เคยรัก ไม่เคยชอบแบบชู้สาว แต่กับเธอ...ตั้งแต่อยู่ในท้อง เธอก็เป็นคนสำคัญสำหรับฉันแล้ว ฉันยอมทิ้งความฝันก็เพื่อเธอนะ”

“ผมเชื่อคุณยะได้ใช่ไหม” คำพูดของเขาสวยงามเสมอ เพียงแต่ผมกลัว กลัวความสวยงามนั้นเป็นเพียงแค่ฝันดีที่ในที่สุดก็สลายเป็นหมอกควัน

“คืนนี้เธอดูจะมีแต่คำถามนะ” เขาเอ่ยเย้า

“ก็ผมกลัวนี่นา” ผมสารภาพ ซึ่งก็ไม่ต่างจากคำพูดก่อนหน้านี้ “ผมกลัวคุณยะยังรักเธออยู่ กลัวว่าผมจะเป็นแค่ตัวแทน หรือไม่คุณยะก็รักผมเพราะหน้าตาที่เหมือนแม่ ผมไม่อยากเป็นตัวแทนของใคร อยากให้คุณยะรักผมเพราะเป็นผมจริงๆ แล้ว...ผมก็กลัวด้วยว่าถ้าเธอกลับมา คุณยะจะเลิกรักผมและกลับไปคืนดีกับเธอ”

เธอ... คนที่เป็นแม่ของผม

“เลิกกลัวได้แล้ว หยุดคิดมากด้วย แล้วเชื่อคำพูดของฉันก็พอ” เขาบอกแกมสั่ง ดึงตัวผมเข้าไปกอด ร่างกายอุ่นๆ ของเขาห่มผมไว้ ไม่ต่างจากคำพูดที่ดังอยู่เหนือศีรษะผม “ฉันไม่เคยรักแม่ของเธอ ไม่เคยรักใครเลยด้วยซ้ำ ...คนเดียวที่ฉันอยากรักคือเธอ”

เขาพูดจริงใช่ไหม?

ผมขอเชื่อได้ไหม?

เชื่ออย่างหมดหัวใจได้เลยหรือเปล่า?

หัวใจของผมโบยบินไปกับคำพูดของเขาไปเสียแล้ว

“เมื่อไรครับที่คุณยะ ‘รัก’ ผม” คำถามของผมยังไม่ได้รับคำตอบในทันที มีเพียงความเงียบกับอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นที่โอบผมเอาไว้ ให้ทุกอย่างรอบตัวของผมคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมหวานของความสุขสมหวัง

“ฉันอาจจะผิดปกติก็ได้” เขาพูดขึ้นหลังจากที่กอดผมไว้เงียบๆ ให้ผมซึมซับความอบอุ่นของเขาจนเอ่อล้นภายในอก จากนั้นก็ดึงตัวผมออกมาจากอกของเขา “...ที่ตกหลุมรักเด็กตัวเล็กนิดเดียวที่เอาแต่มองฉันตาแป๋วผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของน้องชายฉัน”

“...!” ผมทั้งตกใจและแปลกใจสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา เขาตกหลุมรักผมตั้งแต่ตอนเป็นเด็กตัวเล็กเลยเหรอ แบบนี้เรียกว่าผิดปกติได้เลยนะ แต่จะว่าไป... ผมเองก็รู้สึกอยากได้เขามาเป็นของผมตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา หรือว่าผมจะผิดปกติด้วยเหมือนกัน

“คิ้วขมวดแล้ว” ปลายนิ้วอุ่นกดลงมาบนพื้นที่ตรงกลางระหว่างคิ้วทั้งสอง

“ผม...ก็...ก็คงจะผิดปกติเหมือนคุณยะ” ผมสารภาพบ้างด้วยเสียงที่สั่นไหว อาการนี้มาจากความเขินอาย “...คือตั้งเด็ก...ผมก็...อยากได้คุณยะมาเป็นของผม อยากมุดเข้าไปในคอมฯ อานุด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าจะไปเอาคุณยะที่นั่งอยู่ในนั้นมานอนกอด” ความคิดแบบเด็กครับ แต่ความรู้สึกในเวลานั้นก็ขยับขยายใหญ่จนกลายเป็นความรู้สึกมหาศาลในตอนนี้

“ฉันรู้...เห็นตั้งแต่ที่เธอมองฉันตาแป๋วนั่นแหละ มันเหมือนที่เธอมองฉันอยู่ตอนนี้เลยรู้ไหม”

จริงอะ... ผมไม่อยากจะเชื่อ

“ทั้งรักทั้งหลงฉัน” เขาพูดล้อผมอีกแล้ว หน้าผมกลับมางออีกครั้งกับความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ “แถมขี้หึงสุดๆ” อันหลังนี่ผมก็ไม่เถียงด้วยมันเป็นความจริง ผมขี้หึงมาก ควบคุมไม่ได้ด้วย รักคุณยะมากเท่าไร ความขี้หึงก็มากตามไปด้วย

“ก็คุณยะชอบทำให้ผมหึงนี่นา” นี่ก็คือความจริงที่สุดเหมือนกัน

“ต่อไปไม่ทำแล้ว ฉันจะมีแค่เธอคนเดียว กอดเธอคนเดียว รักเด็กคนนี้แค่คนเดียว” คำพูดนี้ของเขาทำผมกลับมายิ้มได้ มองเขาตาแป๋วได้เหมือนเดิม ผีเสื้อในตัวผมตีปีกโบยบินอย่างร่าเริง “ฉันจะรักเธอคนเดียว...ฉันสัญญา”

แล้วเขาก็ยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าผม ส่วนผมก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วของเขา เขย่ามือไปมาราวกับจะเพิ่มน้ำหนักให้คำสัญญานั้นมั่นคงดังขุนเขาที่ไม่มีอะไรมาทำลายล้างมันได้

“คุณยะ” คืนนี้ผมเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ ว่ามีแต่คำถาม “...ผมเป็นลูกของเขาจริงใช่ไหม”

ผมอยากให้เขาตอบว่า...

‘ไม่จริง เธอไม่ใช่ลูกเขา’

แล้วเขาก็ตอบมาแบบที่ผมอยากได้ยินจากปากเขา

“ไม่จริง เธอไม่ใช่ลูกเขา...”

แต่ถ้าจะไม่มีอีกประโยคตามออกมาด้วย

“...ฉันอยากให้เป็นแบบนั้น”

“ผมถามได้ไหมครับ” คำถามที่ผมอยากได้คำตอบ “คุณยะกับเขา...” แต่ไม่ทันได้ถามจนจบประโยค เขาก็ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ถามไม่ได้พีเพราะฉันไม่อยากตอบ” ใบหน้าเขาเรียบตึงขึ้นมาทันที เสียงก็ห้วนและเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรงไม่น้อยเลย มันเหมือนอารมณ์ในตอนที่เขาเจอคนคนนั้น

เรื่องระหว่างเขากับคนที่เป็นพ่อผมคงร้ายแรงน่าดู และไม่ใช่เรื่องชิงรักหักสวาทแบบที่ผมคิดเอาไว้ แบบนี้แล้วผมก็ยิ่งอยากรู้ แต่จะให้เซ้าซี้ถามเอาคำตอบให้ได้ก็ไม่ควรอย่างยิ่ง ในเมื่อคุณยะไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น ผมก็ควรจะเก็บเอาความอยากรู้นี้ไว้เสีย รอจนสักวันหนึ่งที่คุณยะอยากจะเล่าให้ผมฟังด้วยตัวของเขาเอง หวังว่าจะมีวันนั้นที่เขายอมเล่า

“แล้วคุณยะเกลียดผมไหมที่เกิดเป็นลูกเขา” ผมเปลี่ยนคำถาม

“ถามเยอะ คิดเยอะ ความจำก็ยังสั้นอีก” เขาว่า ใบหน้าเรียบตึงเมื่อครู่เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาแทนที่ “บอกไปไม่รู้กี่ครั้งว่าฉันรักเธอ ในเมื่อฉันรักเธอแล้วจะเอาอะไรไปเกลียดเธอได้”

มันก็จริงอย่างที่เขาพูด แต่ก็ไม่จริงหมดซะหน่อย ผมนึกเถียงเขาในใจ เพราะผมมีประสบการณ์ทั้งรักทั้งเกลียดมาแล้ว ก็ตอนที่เขาทำร้ายจิตใจผม ผมก็รู้สึกเกลียดเขามาก ทว่าในความเกลียดนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความรักแค่เขาคนเดียว ถึงจะคิดแบบนี้แต่ผมก็ไม่ได้เถียงเขากลับไป ได้แต่ขยับตัวเข้าไปหาเขา ซุกใบหน้าเข้ากับอกกว้างแสนอบอุ่น

“ห้ามเกลียดพีนะ” ผมพูดเบาๆ ขณะเดียวกันก็นึกย้อนไปถึงวันที่เจอคุณชลัชครั้งแรก วันนั้นคุณยะดูโกรธเกลียดคุณชลัชมาก เหมือนว่าจะเอาความโกรธเกลียดนั้นมาลงที่ผมตอนที่ทำเรื่องอย่างว่ากันบนเตียงด้วย

“ไม่เกลียด” เขาจูบลงมาบนศีรษะผม “ทั้งรักทั้งหลงจะตายอยู่แล้ว จะเกลียดได้ยังไง” แรงกอดของเขาแน่นขึ้น แทนที่จะรู้สึกเจ็บผมกลับรู้สึกถึงความมั่นคงและความรักอันหนักแน่นของเขา


.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 14-03-2019 00:23:03
แต่ว่า...

‘ความรักอันหนักแน่น’

ไม่เคยมีอยู่จริงในตัวผู้ชายที่ชื่อ ‘อารยะ’

ผมเพิ่งรู้ความจริงข้อนี้เมื่อเดินมาหยุดที่ประตูห้องของเพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสองของพุฒิธาดา คืนนี้ผมแอบคุณย่ามาหาคุณยะที่นี่ เพราะคุณยะบอกว่าวันนี้เขาต้องเคลียร์งานที่กองเต็มโต๊ะก่อนที่พรุ่งนี้จะบินไปเจรจาเรื่องซื้อที่ดินที่ภูเก็ตแต่เช้าเลยจะค้างที่เพนต์เฮ้าส์

ขณะที่นิ้วผมกำลังจิ้มรหัสเปิดประตูทีละตัวอย่างแม่นยำ ผมก็จินตนาการอย่างมีความสุขไปด้วยว่าเขาจะยิ้มปากฉีกแค่ไหนที่เห็นผม เพราะตอนคุยโทรศัพท์กับผมตอนที่บอกว่าคืนนี้กลับบ้านไปกอดผมไม่ได้ เขาโอดครวญราวกับว่าแค่คืนเดียวที่ไม่ได้กอดผมนั้นนานเป็นชาติ ตอนนั้นแหละที่ผมตัดสินใจแอบคุณย่าออกมาจากบ้านมาเพื่อให้คืนนี้เขาได้กอดผมเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา

แต่เมื่อผมกดรหัสตัวสุดท้ายเสร็จ พร้อมกับผลักประตูเข้าไป สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเห็นหรืออยู่ในความคิดของผมเลยสักนิด บนโซฟาขนาดใหญ่กลางห้องนั่งเล่น ร่างบอบบางไร้เสื้อปกปิดของเด็กหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนนั่งคร่อมทับอยู่บนตักเจ้าของห้อง ท่อนแขนเรียวเกี่ยวต้นคอหนาเป็นหลักยึดในกิจกรรมดูดดื่มก่อนหน้าที่ผมจะเปิดประตูเข้ามาเจอ ทำให้ความร้อนแรงของทั้งคู่หยุดชะงักลงทันที

คนหนึ่งมีสีหน้าตกใจแบบที่ไม่คิดว่าผมจะเข้ามาเห็นการกระทำที่เสียงดังยิ่งกว่าคำโกหก

ส่วนอีกคน... แวบหนึ่งที่ผมเห็นอาการตกใจบนใบหน้าสวยงามและเย้ายวนนั้น ก่อนรอยยิ้มเยาะเย้ยจะเข้ามาแทนที่

“เลว” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงของตัวเองเลย มีเพียงริมฝีปากที่ขยับเป็นคำที่เหมาะกับการกระทำของคนที่กำลังผลักร่างบอบบางของเด็กหนุ่มออกไป เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนสาวเท้าเดินตรงมาหาผม สองมือของเขากำลังจะดึงตัวผมเข้าไปกอด แต่ผมไม่ยอมให้มือที่เพิ่งลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนอื่นมาถูกตัวผมเด็ดขาด ทว่ามันก็ไม่ทันเพราะเพียงแค่ผมหันหลังไปดึงประตู เขาก็ก้าวถึงตัวผม พร้อมกับจับแขนผมเอาไว้ไม่ให้วิ่งหนีออกไปจากห้องที่เต็มไปด้วยความเหม็นเน่าของสิ่งที่เขาทำลับหลังผม

กี่ครั้งแล้วที่เขาทำแบบนี้... ผมอยากรู้

ที่บอกว่าทิ้งพี่เลม่อนแล้ว ไม่ได้เจอพี่เลม่อนอีกเลย มันก็แค่คำหลอกลวงให้คนโง่แบบผมหลงเชื่อก็เท่านั้น ความจริงเขาไม่เคยเลิกกับพี่เลม่อน เพียงแต่ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ผมเห็น เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยซ่อนผมเอาไว้ไม่ให้พี่เลม่อนรู้

“พี... ฟังฉันก่อน”

...จะให้ผมฟังอะไร

...ฟังคำโกหกหรือไง

คำพูดของเขาไม่เหลืออะไรให้ผมเชื่อได้อีกแล้ว กี่ครั้งที่เขาบอกให้ผมเชื่อเขาแต่ทุกครั้งหลังจากนั้นเขาจะหักหลังผมเสมอ ถ้าวันนี้ผมไม่เปิดประตูมาเจอสิ่งที่เขาทำลับหลังผม ผมก็คงโง่ไปอีกนานหรืออาจจะโง่ไปตลอดชีวิต คำโกหกและการกระทำของเขาแนบเนียนแบบที่ผมจับไม่ได้เลย ผมไม่น่าคิดไปเองว่าการที่เขากลับมานอนกอดผมทุกคืนคือความจริงที่ว่าเขามีแค่ผมคนเดียว ไม่มีใครอีกแล้ว กับพี่เลม่อนเขาก็เลิกแล้ว แต่ก็นั่นแหละ... วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง ทุกชั่วโมงของเขาไม่ได้เป็นของผมแค่คนเดียว เหมือนที่เขาก็ไม่เคยเป็นของผมแค่คนเดียว

...ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็ไม่พร้อมจะเป็นของผมแค่คนเดียว มีแค่ผมคนเดียวที่หลงเชื่อคำโกหกว่าคือความจริง

ความรู้สึกของผมกลับมาพังอีกจนได้ ผมเจ็บจนท้อ น้ำตาที่ไหลกลบดวงตาก็ทำให้ทุกอย่างพร่ามัวไปหมด ที่ยังชัดเจนอยู่ตรงหน้าคือความจริงที่ผมไม่มีวันหนีพ้น

“ฮึก...ปล่อย...อย่ามาจับตัวผม...” กว่าจะเค้นแต่ละคำออกมาได้ก็เหนื่อยเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ “อย่าเอามือที่จับมัน...ฮึก...มาจับผม...ผมขยะแขยง...”

“ฉันผิด ฉันขอโทษ” คำขอโทษของเขาไม่ได้ทำให้น้ำตาผมลดจำนวนลงเลย 

“นายจะโมโหอะไรนักหนาล่ะพี ทำยังกับไม่เคยเห็นตอนฉันมีอะไรกับพ่อของนาย” คนที่หยิบเสื้อนักศึกษาขึ้นมาสวมอย่างอ้อยอิ่งเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“หุบปาก!” เขาหันไปตะคอกด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าโกรธมากแค่ไหน ฝ่ายนั้นถึงกับผงะ ดวงตาสวยงามนั้นผลิตเม็ดน้ำตาออกมาทันที “ออกไป!!”

“พี่สัญญากับผม...” ริมฝีปากบางสั่นเทาเอ่ยถ้อยคำนั้นเบาๆ “...ว่าจะไม่ทิ้งผม”

นี่คงเป็นคำสัญญาเดียวที่เขารักษามันเอาไว้ได้มาตลอด... เขาไม่เคยทิ้งพี่เลม่อน ยังคงเก็บไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ผมรู้

ผมเกลียดตัวเอง

เกลียดที่ไม่ว่าเมื่อไร...ผมก็เป็นแต่คนที่พ่ายแพ้ ไม่เคยชนะได้จริงๆ สักที

ผมยอมแล้ว

..........................................................................

ผมไม่มีที่ไป...

ผมกลับบ้านตรัยธาดาไม่ได้ เพราะกลัวเขาจะตามมา แล้วใช้คำโกหกแบบเดิมหลอกให้ผมหลงเชื่อ จนยอมให้อภัยสิ่งที่เขาทำ ผมเลยมายืนอยู่ในคอนโดฯ ของปาลินที่เจ้าตัวอาศัยอยู่คนเดียวหลังจากที่อาจารย์เพ็ญศิริจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อเดือนที่แล้ว

“อ้ายกลับไปก่อนนะ” ปาลินที่เห็นสภาพน้ำตาเต็มแก้มของผมหันไปบอกอ้ายตอนที่เดินนำผมเข้ามาในห้อง อ้ายที่นั่งบนพรมหน้าโทรทัศน์ดูจะอึ้งไปเลย เมื่อเห็นสภาพของผมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี

อ้ายหยิบรีโมทขึ้นมาปิดหนังที่เจ้าตัวกับเจ้าของห้องน่าจะนอนดูด้วยกันตามประสาแฟนในคืนวันศุกร์ จากนั้นก็ลุกมาหยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกับที่ผมทิ้งตัวลงไปนั่ง

“พรุ่งนี้ถ้าไปไม่ได้ก็โทรมาบอกนะ” อ้ายพูดกับปาลิน ก่อนหันมายิ้มให้ผม แล้วเจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไป

ผมรู้สึกผิดนะที่เข้ามาขัดขวางความสุขของปาลินกับอ้าย แต่ผมไม่มีที่ไปแล้ว ก่อนจะมาที่นี่ผมโทรหาดีน แต่ฝ่ายนั้นไม่รับสาย ไลน์ไปก็ยังไม่อ่าน ผมถึงต้องมาที่นี่

“อยากเล่าให้เราฟังไหม” ปาลินถาม พลางทิ้งตัวลงนั่งข้างผม “แต่ถ้าไม่อยากเล่า เราจะไม่เซ้าซี้” ผมจับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน้อยใจของปาลินได้ พักหลังมานี้ผมกับปาลินห่างกันมาก จนเหมือนว่าคนที่เป็นเพื่อนสนิทของผมเป็นดีน ไม่ใช่ปาลินอีกต่อไป และผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงปีสองปีนี้ให้ปาลินฟังเลย

ปาลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกับคุณยะไม่ใช่พี่น้องหรือพ่อลูกกัน

“อยากฟังไหม... เรื่องน่าอายของเรา”

“เราอยากรู้ทุกเรื่องในชีวิตพีด้วยซ้ำ” แววตาของปาลินในตอนนี้ มันสะท้อนความรู้สึกบางอย่างออกมา บางความรู้สึกที่ผมเคยมองข้ามไป “อยากแม้กระทั่งเป็นคนที่ซับน้ำตาให้พีและเป็นคนแรกที่พีคิดถึง ไม่ใช่คนสุดท้ายอย่างที่ผ่านมา”

“ปีชอบเราใช่ไหม?” ผมถามออกไป พร้อมกับคำพูดบางประโยคของคนที่มีแต่คำโกหกหลอกลวงผุดขึ้นมาในหัว

‘ฉันหวงสิ่งที่เป็นของฉัน หวงร่างกายที่ฉันได้กอด หวงพื้นที่ที่ฉันได้ครอบครอง ฉันไม่อยากให้ใครได้ในสิ่งที่ฉันได้จากเธอ ฉันอยากให้เธอรักษา ‘ของของฉัน’ เอาไว้ให้ฉันคนเดียว... ทำได้ใช่ไหม’

ที่ผ่านมาผมทำได้ แล้วถ้าจากนี้ไปผมทำไม่ได้แล้วล่ะ เขาจะรู้สึกพังยับเยินเหมือนที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้หรือเปล่า

ปาลินไม่ตอบเป็นคำพูด เจ้าตัวมองตาผมแล้วพยักหน้า ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเป็นคำถามอย่างระมัดระวังออกมา

“ดีนมันทำอะไรพี” เจ้าตัวคงคิดว่าที่ผมร้องไห้เพราะถูกดีนทำร้ายจิตใจ เพราะความสนิทสนมระหว่างผมกับดีนที่เพิ่มมากขึ้นในระยะหลัง ทำให้ปาลินเข้าใจไปอย่างนั้น

“ไม่เกี่ยวกับดีน” ผมปฏิเสธ 

“แล้วใครทำพี”

“คุณยะ”

“คุณยะ? พี่ชายพีนี่นะ” ปาลินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างกับความจริงที่ผมเอ่ยออกมา

“เขาไม่ใช่พี่ชายเรา”

“คือยังไง?”

“เราเป็นเด็กกำพร้าที่เขาเอามาเลี้ยง”

ปาลินถึงกับอ้าปากค้าง พักใหญ่เลยถึงจะเอาคำพูดออกมา

“แล้วพีจะทำไงต่อไป มาอยู่กับเราไหม” ปาลินก็ไม่เหลือใครแล้วเหมือนกัน พ่อแม่ที่ให้กำเนิดถึงยังมีชีวิตแต่ก็เหมือนตายจากกันไป ส่วนคนเป็นอาก็เห็นหลานเป็นศัตรู และคนเดียวที่เลี้ยงดูปาลินมาตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ก็คืออาจารย์เพ็ญศิริก็จากไปแล้ว ปาลินในเวลานี้จึงไม่ต่างจากเหลือตัวคนเดียวในโลกใบนี้

ถ้าผมกับปาลินโตกว่านี้ ดูแลชีวิตของกันและกันได้ ผมคงทำอย่างที่ปาลินชวนคือมาอยู่กับเพื่อนสนิทที่ช่วงเวลาหนึ่งผมลืมเขาไป แต่ผมยังต้องมีมือที่ใหญ่กว่านี้คอยปกป้องจากคำโกหกหลอกลวงของผู้ใหญ่ใจร้ายคนหนึ่ง คนที่จะทำให้คุณยะเข้าใกล้ผมไม่ได้

ก่อนที่ผมจะไปหามือคู่นั้น ผมก็อยากจะทำให้คนที่ทำร้ายผมเจ็บปวดซะก่อน... ก็หวังว่าสิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้เขาเจ็บปวดได้

“ปีอยาก...” ผมพูดออกมาอย่างมั่นคงที่สุด “...นอนกับเราไหม”

“...!” ดวงตาของปาลินเบิกกว้างกว่าทุกครั้ง มองผมอย่างกับเห็นตัวประหลาด หรือไม่ก็คนโง่ที่ประชดความรักที่ไม่สมหวังด้วยการทำลายตัวเอง

ใช่... ผมก็แค่เด็กโง่

............................................................

ปาลินหลับลึกไปแล้ว ท่อนแขนที่ไม่ได้ใหญ่กว่าผมมากนักโอบกอดผมไว้ราวกับเป็นของรัก ผมค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นมานั่งพิงแผ่นหลังไว้กับหัวเตียง ความเจ็บเบื้องล่างแล่นลิ่วแต่ไม่ถึงกับทำให้ขยับตัวไม่ได้ แค่นี้ผมทนได้ เพราะเคยเจ็บมากกว่านี้ด้วยซ้ำยังทนได้ ปาลินไม่ได้ทำผมเจ็บและเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เจ้าตัวเข้ามาในกายผม ทว่าแค่ครั้งเดียวก็เกินพอสำหรับผมที่ต้องการเพียงสิ่งเดียว

...สิ่งที่บันทึกอยู่ในโทรศัพท์ของปาลิน

สิ่งที่อยู่ในเครื่องกำลังถูกผมเปิดดูเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถูกส่งไปให้ใครคนนั้นโดยใช้ไอดีไลน์ของปาลิน ที่ไม่ใช้โทรศัพท์ของผมเพราะมันถูกปิดเครื่องตั้งแต่ติดต่อดีนไม่ได้นั่นแหละ

Palin : **คลิป**

Palin : **คลิป**

Palin : **คลิป**

Palin : **คลิป**

Palin : **คลิป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : คุณทำได้ ผมก็ทำได้

Palin : แล้วก็เพิ่งรู้ว่ามันสนุกแบบนี้เอง

Palin : ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงชอบนอนกับคนอื่นจัง

Palin : ต่อไปผมคงต้องเอาแบบคุณบ้าง

...ข้อความของผมขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านเรียบร้อย และต่อให้ไม่ใช่ไอดีไลน์ของผม เขาก็คงรู้ว่าเป็นผมนี่แหละที่ส่งคลิปและรูปพวกนั้นให้เขา

ผมเฝ้ารออย่างใจเย็นแต่ก็ร้อนรุ่มอยู่ในอก มือสั่นและลมหายใจสะดุดอยู่ตลอดเวลา แต่ข้อความจากฝั่งตรงข้ามก็ไม่เด้งขึ้นมาเสียทีจนกระทั่งหน้าจอดับไป ผมเปิดขึ้นมาใหม่ มันก็ยังไม่มีความรู้สึกใดส่งผ่านตัวหนังสือเข้ามา จนกระทั่งหน้าจอดับเป็นรอบที่ห้า ผมถึงหมดความอดทนที่จะรอข้อความที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธอย่างที่สุดจากฝ่ายนั้น

ผมวางโทรศัพท์ของปาลินกลับไปที่เดิมคือบนโต๊ะข้างเตียง หลังจากบล็อกไลน์ของคุณยะและลบข้อความทั้งหมดทิ้ง ลุกจากเตียงเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของเจ้าของห้อง หยิบปากกาและกระดาษโน้ตแผ่นเล็กขึ้นมา ก้มตัวลงไปเขียนข้อความบนกระดาษสีสดใสแผ่นนั้น

‘เราต้องไปแล้วนะปี อาจไม่ได้ติดต่อกลับมา แต่ปีก็ยังเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดของเรา
เรากลับมาเมื่อไรจะมาหาปีคนแรก... สัญญา’
ขอโทษที่ไม่กล้าบอกลาปีตรงๆ
พีรัช ศิระสมุทร


....................................................................................

เพียงแค่ผมบอกพนักงานสาวคนเดิมที่ยืนหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่ามาขอพบเจ้าของโรงแรมสยาม ชโยดมคนปัจจุบัน ผมก็ได้ขึ้นมานั่งรอเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ในห้องทำงานของเขาในเวลาอันรวดเร็วกว่าครั้งที่แล้ว

เกือบชั่วโมงที่ผมนั่งรอเจ้าของห้อง โดยมีเลขาฯ ของคุณชลัชเปิดประตูเข้ามาถามว่าผมต้องการอะไรเพิ่มนอกจากแซนด์วิชกับน้ำส้มที่ผมบอกเขาไปในตอนแรกไหม ซึ่งตอนนี้ก็ยังวางอยู่แบบเดิม ไม่พร่องลงไปแม้แต่นิดเดียว สามครั้งมั้งที่ประตูห้องทำงานเปิดเข้ามาและตามมาด้วยเลขาท่าทางใจดีคนนั้น ทุกครั้งผมก็จะบอกไปว่ายังไม่อยากได้อะไรเพิ่ม ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป การรอคอยของผมสิ้นสุดลง เมื่อผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าห้องและคนที่ผมต้องการพบก้าวเท้าเข้ามา

ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแบบที่ผมไม่ชอบนั่นแหละ แต่ผมเห็นความร้อนรนอยู่ในดวงตาคมกริบนั้น เห็นแม้กระทั่งเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะบนหน้าผากและปลายจมูกของเขา เขาคงรีบอย่างที่สุดเพื่อจะมาถึงที่นี่ให้เร็วที่สุด มาให้รู้ว่าทำไมเด็กคนหนึ่งถึงกลับมาหาเขาอีกครั้ง มาด้วยเหตุผลอะไร บางทีเขาอาจจะรู้สึกอะไรบางอย่างว่าระหว่างตัวผมกับตัวเขามีสายสัมพันธ์ที่เบาบางแบบที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า... แต่อยู่ในสายเลือดที่เหมือนกัน

ผมลุกขึ้นยืน ส่วนเขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้และหยุดปลายเท้าลงในที่สุด ระหว่างผมกับเขามีโต๊ะเตี้ย กั้นอยู่ ซึ่งมันไม่สามารถกั้นคำพูดของผมไว้ได้ ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยคำพูดที่จะเปลี่ยนชีวิตผมนับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

“ผมเป็นลูกคุณกับผู้หญิงที่ชื่อพิณ”

วูบหนึ่งที่ผมเห็นสายตาของเขาฉายแววสับสนออกมา ทว่าเพียงแค่นิดเดียวก็หายไป สิ่งที่แทนเข้ามาคืออารมณ์สงบนิ่งแบบที่ผมเดาความคิดของเขาไม่ออก

“ตรวจ DNA ก็ได้ ถ้าคุณไม่เชื่อ”

เงียบ... ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงที่กรีดร้องอยู่ในหัวของเขา หรือความจริงเป็นเสียงกรีดร้องในหัวของผมเองก็ได้ ผ่านไปหลายอึดใจเขาถึงพูดออกมา

“มันรู้หรือยังว่าเธอมาหาฉันที่นี่”

ผมก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะดึงผมเข้าไปกอดและพูดพร่ำด้วยความดีใจที่ได้เจอลูกชายที่ตัวเองไม่คิดว่าจะมี คิดเสียด้วยซ้ำว่าเขาต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่เด็กที่เขาไม่อยากให้เกิดดันทะลึ่งมาเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นลูกของเขา จากนั้นก็จะเรียกคนมาลากตัวผมออกไป แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีสีหน้าและท่าทีที่สงบแบบนี้ คล้ายจะยอมรับแบบไม่มีข้อสงสัย

“ผมไม่ได้บอกเขา” ผมตอบ เดาว่า ‘มัน’ ที่ว่าหมายถึงคนที่ผมอยากหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก “แต่เขาคงจะรู้ว่าผมต้องมาที่นี่ เพราะผมไม่มีที่ไปที่อื่นอีกแล้ว”

“เธอควรกลับไปบอกมันก่อนว่าจะมาอยู่กับฉัน” พูดแบบนี้แสดงว่ายอมรับว่าผมเป็นลูกของเขาแล้วใช่ไหม “ฉันไม่อยากมีปัญหากับมัน เดี๋ยวก็พาลเกลียดฉันเข้าไปอีก” แต่น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา ผมรู้สึกว่าคนที่เป็นพ่อของผมดูจะแคร์คุณยะมากเหลือเกิน น่าจะเป็นเพราะความสนิทสนมในอดีต บางทีคนที่ตัดขาดความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนต่างรุ่นน่าจะเป็นฝ่ายคุณยะมากกว่า

“ผมกลับไปไม่ได้” ถ้ากลับไปผมก็คงออกไปจากชีวิตของเขาไม่ได้อีก ตอนนี้ผมอยากออกไปจากชีวิตเขาให้ไกลที่สุด... ไกลเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ โดยต้องให้คนที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผมช่วย “...คุณส่งผมไปเรียนต่างประเทศได้ไหม” ผมเห็นหนทางนี้ทางเดียวที่จะไปจากเขา ไปไกลเท่าที่จะหนีคำโกหกหลอกลวงซ้ำซากนั้นได้

“คิดดีแล้วเหรอ” เขาถาม หรี่ตามองผมด้วยสายตาคมกริบ ราวกับจะใช้สายตานั้นตำหนิการตัดสินใจของผม

“ครับ” ผมยืนยันความต้องการของตัวเองด้วยเสียงที่หนักแน่น

“กลับไปเคลียร์กับมันก่อนไหม” ดูเขาจะแคร์ฝ่ายนั้นมาก

ผมอดแปลกใจไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้คุณชลัชชอบพูดจาถากถางความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะ แต่พอผมเดินเข้ามาบอกว่าผมเป็นลูกเขา ซึ่งเขาก็เชื่อว่าผมเป็นลูก ทำไมเขาถึงอยากให้ผมกลับไปหาคุณยะด้วย ทั้งที่เขาควรโกรธเสียด้วยซ้ำ... ไม่เข้าใจเลย

“ไม่ครับ ผมไม่มีอะไรต้องคุยกับเขาอีกแล้ว”

“มันทำอะไรให้เธอโกรธ”

“...” ผมกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองสิ้นความอดทน 

“เธออยู่ที่นี่สักวันสองวันก่อน รอให้ใจเย็นกว่านี้แล้วค่อยกลับไปคุยกับมัน” เขาแนะนำในสิ่งที่ผมไม่มีวันทำตาม แถมยังคาดเดาไปอีกว่า “ป่านนี้มันคงตามหาตัวเธอให้วุ่นแล้วมั้ง นี่ไง... พูดปุ๊บโทรมาปั๊บเลย”

เขาเอ่ยหลังจากที่ล้วงเอาโทรศัพท์ที่มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นออกมาจากกระเป๋า คิ้วของเขาขยับเข้าหากันทันทีที่ก้มดูหน้าจอสี่เหลี่ยม ก่อนจะยกมันขึ้นมาแนบหู

ตอนแรกผมคิดว่าสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขามีสาเหตุมาจากคนที่ผมไม่อยากเจอหน้า อยากหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก เพื่อที่จะไม่ต้องพบเจอกันอีก แต่คงไม่ใช่แล้ว ทันทีที่คนตรงหน้าผมเอ่ยชื่อของคนปลายสายออกมา

“พิณ...กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

คนชื่อ ‘พิณ’ อาจจะมีเป็นร้อยเป็นพันคน แต่ผมกลับมั่นใจว่าคนที่อยู่ปลายสายคือผู้หญิงที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผมอีกครึ่งหนึ่ง

“อืม...ลูกอยู่ที่นี่”

เขาเรียกผมว่า ‘ลูก’

ไม่เหลือหนทางที่จะทำให้ความจริงเป็นเหลือไม่จริงอีกต่อไป

ร่างกายผมดูจะหนักขึ้น ขาทั้งสองข้างแบกรับน้ำหนักไม่ไหวจนต้องทรุดลงไปนั่งที่โซฟาตามเดิม พร้อมกับความรู้สึกที่อยากวิ่งหนีไปจากความจริง ทั้งที่ผมหนีมาหาเขา แต่ส่วนเสี้ยวที่เล็กและลึกที่สุด ผมก็หวังอยากให้เขาปฏิเสธ ไล่ผมกลับไปในที่ที่ผมจากมา ปิดหนทางที่ผมจะหนีรอดไปจากคนที่ย่ำยีหัวใจผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

...ผมอยากหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก แต่ผมก็ยังอยากจะวิ่งกลับไปที่เดิม

“มันอยากจะคุยกับฉันหรือไม่อยากก็ช่างหัวมัน แต่เรียกมันมาคุยกับฉัน” โทนเสียงที่แค่อีกนิดเดียวก็จะเป็นตะคอกใส่คนปลายสายแล้วดึงผมออกมาจากความคิดที่สับสน ไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้คุณชลัชคุยอะไรกับคนปลายสายไปบ้าง

พอผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขาก็เห็นว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของเขาโกรธจัดจนเป็นสีแดงก่ำ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสาร... สงสารผมเหรอ?

“อย่ามาแก้ตัวแทนมัน”

“...”

“ทั้งที่เธอรู้ว่ามันเกลียดฉัน เธอยังจะเอาลูกไปให้มันเลี้ยง”

“...”

“ถามมันสิ มันจะเอายังไง!!”

“...”

“ได้! ถ้ามันจะเอาแบบนั้น ก็ให้มันจำคำพูดของมันวันนี้ไว้ให้ดี อย่าก้มลงกินน้ำลายตัวเองแล้วกัน!!”

ผมรับรู้ได้ถึงกระไอความโกรธที่โพยพุ่งออกมาจากตัวคุณชลัช แน่นอนว่าไม่ได้โกรธคนที่เขาคุยด้วย แต่โกรธอีกคนที่ไม่ยอมคุยกับเขา ...ไม่ใช่แค่ไม่อยากคุยกับคุณชลัชเท่านั้น คนคนนั้นไม่ต้องการคุยผมด้วยเหมือนกัน

ดีแล้ว... ที่ความหวังเล็กนิดเดียวในซอกลึกถูกทำลายไปซะที

ภายในห้องที่เงียบเสียงพูดคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของความโกรธ มือที่กำโทรศัพท์เครื่องบางไว้แน่นนั้นบอกอารมณ์คุกรุ่นของเจ้าของมันได้อย่างชัดเจน

ผมกับเจ้าของห้องปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปกับความเงียบเชียบนานหลายนาที จนเมื่อผมเห็นอาการบนใบหน้าของคุณชลัชสงบลง เขายัดโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกง ขณะที่ผมดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง

“คุณช่วยผมอีกเรื่องได้ไหมครับ”

ผมกดปุ่มเปิดโทรศัพท์หลังจากที่ปิดเครื่องมาตลอดทั้งคืนจนถึงเมื่อกี้ พอเปิดเครื่องเสียงแจ้งเตือนมากมายก็ดังขึ้นมารัวเลยทีเดียว ผมไม่ได้สนใจมัน ที่ผมทำคือลุกเดินไปหาคนที่ผมต้องการความช่วยเหลือจากเขา

“ผมอยากให้มันหมดอนาคต”

สิ่งที่เอามาฟาดฟันทำร้ายผม ถึงเวลาย้อนกลับไปทำลายคนคนนั้นจนไร้ที่ยืน...

จบตอนที่ 32

คุยกันหน่อย
เรื่อง “รัก...คือคำตอบ”
มี 37 ตอน + บทสรุป นะคะ
ตอนนี้คนเขียนปั่นถึงตอนที่ 35 เหลืออีกแค่สองตอนใหญ่กับบทสรุปสั้นๆ เท่านั้น
รอกันอีกนิดนะคะ ใกล้จบแล้ว
อีก 7 วันจะเอาตอนที่ 33 มาลง
ใครอยากเก็บคุณยะน้องพีไว้บนชั้นหนังสือ
เก็บเงินไว้ด้วยยยยย
โปรดปรานีรับ “ยะพี” ไปเลี้ยงดูด้วยน้า
น่าจะมี 3 เล่มจบ (หื้ออ มันหนาจริง T^T)
ส่วนตอนพิเศษยาวแน่นอน (ไม่ลงในเล้า เก็บไว้ใส่ในหนังสือ ^_^)
จะเป็นตอนพิเศษในพาร์ตเล่าเรื่องในมุมของ “คุณยะ” ค่ะ
เตรียมปรานีคุณยะไว้เลย 555+
สีเหลืองอ่อน



หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 14-03-2019 01:46:33
ดีใจที่กลับมาค่ะ

ชีวิตโหดร้ายมากเลยสำหรับน้องพี
คนดีจะกลายเป็นคนแบบร้ายๆ ไปเลย
สงสารชีวิตพีนะ เพราะน้องเตลิดมากแล้ว
ฝังความเจ็บและความแค้นไว้ในใจตลอด

ความทำอะไรคิดน้อยของคุณยะแถมไม่จริงใจ
บางทีก็สมควรได้รับสิ่งที่ไม่ควรบ้าง
แต่มองกลับกัน เหตุผลอะไรที่คุณยะทิ้งเลม่อนไม่ได้สักที
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-03-2019 02:22:01
น้องน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคุณยะไม่เคยที่จะรักษาคำพูดได้อยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-03-2019 08:18:25
 :เฮ้อ: นอกจากจะโกหกพีแล้ว
คุณยะยังโกหกคนอื่นๆอีกใช่ไหม
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-03-2019 10:07:27
คุณยะยังคงคอนเซปเดิมไม่ผิดเพี้ยน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 16-03-2019 20:11:18
ดีใจยิ่งกว่าถูกหวยคือเห็นน้องพีอัพ เตรียมตังค์พร้อมเปย์ค่ะ :heaven
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 32 (14-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 21-03-2019 22:03:24
ตอนที่ 33

กึก...

ปลายเท้าของผมกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นโผล่ขึ้นมาจากพื้นจับยึดเอาไว้ไม่ให้ขยับตัวหนีไปจากภาพวาดที่ตั้งโชว์ในงานนิทรรศการ In My Eyes by Marcus ที่จัดขึ้นบนพื้นที่ของ Park Lobby ของโรงแรมสยาม ชโยดม ที่ตอนนี้เหลือนักชื่นชมงานศิลปะไม่ถึงห้าคน เพราะใกล้เวลาปิดนิทรรศการแสดงภาพวาดเต็มทีแล้ว

แต่อาจจะไม่มีมือที่มองไม่เห็นมาดึงขาผมไว้ก็ได้ สิ่งที่ตรึงผมไว้ไม่ให้ขยับไปไหนคือภาพวาดสีน้ำมันที่ตั้งอยู่ตรงหน้าผมต่างหาก มันตรึงสายตาผมเอา พาผมกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีต... ที่ไม่เคยลืม แม้จะพยายามลบออกไปจากความทรงจำมากแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังเกาะแน่นอยู่ในหัวใจของผม

ภาพโทนสีน้ำเงินเข้มดูเงียบเหงา ทว่าผมกลับรู้สึกถึงกลิ่นอายของสีชมพูที่ฟุ้งออกมาจากรอยยิ้มของผู้ชายสองคนในภาพวาดนั้น

...วันเวลาที่เปลี่ยนไป

...ใบหน้าและรูปร่างก็เปลี่ยนตาม

แต่ต่อให้ผมแก่กว่านี้ สายตาฝ้าฟาง ผมก็ยังจำคนในรูปได้ จนต้องมองหาเจ้าของผลงานภาพวาดสีน้ำมันที่เงียบเหงาแต่ฟุ้งด้วยความหวานชื่นหัวใจชิ้นนี้ พอมองหาก็เจอเข้ากับเจ้าของนิทรรศการอย่างมาร์คัส รอสส์ทันที เขาเป็นศิลปินผู้มากด้วยพรสวรรค์ บุคคลที่สามารถถ่ายทอดภาพๆ หนึ่งให้ออกมามีถึงสองอารมณ์ที่แตกต่างกันสุดขั้วได้อย่างงดงาม ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ซ่อนความกำยำไว้ภายใต้เสื้อยืดสีชมพูที่เข้ากับใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสได้เป็นอย่างดีเดินถือแก้วกาแฟตรงมาที่ผม

คำทักทายด้วยภาษาที่สื่อสารกันได้รู้เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อมาร์คัส รอสส์เดินมาหยุดตรงหน้า

“สวัสดีครับคุณรอสส์” ผมเอ่ยพร้อมกับมือที่ยื่นไปทักทายกับอีกฝ่าย ตั้งแต่เปิดนิทรรศการภาพวาดของมาร์คัส รอสส์ ผมก็เพิ่งมีโอกาสเข้ามาชื่นชมศิลปะจากปลายพู่กันของศิลปินระดับโลกก็วันนี้เอง

“สวัสดีครับ” ฝ่ายนั้นยิ้ม ยื่นมือมาสัมผัสกันแล้วเขย่าเบาๆ สายตาของศิลปินหนุ่มเลื่อนไปจากใบหน้าผมและไปหยุดที่ภาพวาดของตัวเอง “...สนใจหรือครับ”

“เปล่า” คำปฏิเสธที่ตรงข้ามกับความจริง

...ยิ่งกว่าสนใจ คือผมอยากได้ภาพวาดสีน้ำมันชิ้นนี้เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมพูดออกไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคำตอบของผมอาจจะลอยไปถึงเพื่อนของมาร์คัส รอสส์

“ทำไมล่ะครับ” ฝ่ายนั้นถามกลับมาอีก “เอ... หรือว่าผมวาดออกมาดูไม่เหมือนตัวจริง สงสัยต้องกลับไปถามคนที่ซื้อรูปนี้แล้วละมั้ง” ดวงตาสีเขียวนั้นราวกับกำลังหัวเราะเยาะผม ก็ตั้งแต่คุยรายละเอียดการจัดนิทรรศการเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ศิลปินระดับโลกคนนี้ก็มองผมด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไร ถึงปากจะมีรอยยิ้ม แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความจริงใจในรอยยิ้มนั้นเลย ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบผม

และ ‘คนที่ซื้อรูปนี้’ ก็คงเป็นเจ้าของรูปถ่ายที่ใช้เป็นแบบวาดงานศิลปะที่ทั้งเศร้าและหวานฟุ้งนี้นั่นแหละ

แต่ที่ผมอยากรู้คือ... เพื่ออะไร ?

เขาให้วาดมันขึ้นมาทำไม ?

แล้วรูปถ่ายที่ใช้เป็นแบบวาดนี้ เขายังเก็บไว้อยู่เหรอ ?

ผมคิดว่ามีแค่ผมคนเดียวที่ยังเก็บรูปถ่ายพวกนั้นไว้

“คุณขายภาพนี้เท่าไรครับ”

ภาพที่แค่ใช้หางตามองก็รู้ว่าเป็นตัวผมในอดีตที่หัวใจเต็มไปด้วยกลิ่นความรักที่หอมฟุ้ง

“เท่าไรดีล่ะ” ศิลปินชื่อดังยิ้มแบบที่ถ้าจิระอยู่ตรงนี้ละก็ ผมคงต้องลากเอาตัวออกไปจากงานนิทรรศการก่อนที่เจ้าตัวจะเปลี่ยนห้องจัดงานให้กลายเป็นเศษซากของกองขยะ “ลองเสนอราคามาก่อนสิครับ เผื่อว่าผมเห็นจำนวนเงินแล้วอาจจะเปลี่ยนใจขายให้คุณแทน

“หนึ่งล้านบาท” ผมเสนอราคาที่คิดว่าเขาน่าจะยอมขายมันให้ผม ผมก็ไม่รู้หรอกว่าภาพวาดของศิลปินระดับโลกอย่างมาร์คัส รอสส์ราคามาตรฐานอยู่ที่หลักไหน แถมผมก็ยังไม่ได้ดูแลในส่วนของนิทรรศการครั้งนี้ด้วย ผมเพียงแค่คนที่ทำให้มาร์คัส รอสส์เปลี่ยนสถานที่จัดแสดงผลงานของเขาเท่านั้น

ผมคิดว่าราคานี้สูงพอที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ แต่รอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมของศิลปินหนุ่มใหญ่กลับทำให้ผมรู้คำตอบได้ก่อนที่เขาจะตอบออกมาเป็นคำพูดเสียอีก

“ภาพนี้เขาให้ราคาห้าล้าน”

บ้าไปแล้ว!

ห้าล้านกับภาพวาดสีน้ำมันบนกระดาษนี่นะ ทำไมมันแพงแบบนี้ถ้าเทียบกับชิ้นงานที่ได้ ภาพถึงจะวาดมาจากปลายพู่กันของศิลปินระดับโลกก็เถอะ มันก็ไม่น่าแพงขนาดนี้ ถึงจะคิดว่ามันแพงมากเกินไปแต่ผมก็ยัง...อยากได้

“ผมจ่ายให้คุณได้มากกว่าห้าล้าน... ถ้าคุณจะเปลี่ยนใจขายมันให้กับผม”

“ผมเรียกแพงนะครับ” ศิลปินหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนๆ ราวกับจะดูถูกว่าผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าตวัดปลายพู่กันของเขา 

“แพงแค่ไหนผมก็จ่ายได้” ให้จ่ายร้อยล้านผมก็ยังจ่ายได้ ขอแค่แย่งรูปนี้มาจากฝ่ายนั้นได้ก็พอ

แต่ผมก็คิดผิดไปมากทีเดียว ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าคิดไม่ถึงมากกว่า เมื่อคำว่า ‘แพง’ ของมาร์คัส รอสส์ ไม่ได้หมายถึงเงิน แต่เป็นมูลค่าที่ผมต้องใช้ให้คนอื่นจ่ายแทนเพื่อแลกกับชัยชนะงี่เง่าของตัวเอง

“พอดีว่าหลังจากเสร็จนิทรรศการที่นี่ ผมมีโปรแกรมจะไปพักผ่อนที่ฮาวายสักสิบวัน เลยอยากจะได้เพื่อนร่วมเตียงสักคนหนึ่ง คุณพีรัชพอจะหาให้ผมได้ไหม”

สายตาของศิลปินชื่อดังเจ้าของภาพวาดราคาแพงที่ผมอยากได้ ได้บอกแล้วว่าใครคือเพื่อนร่วมเตียงที่เขาต้องการ และผมต้องใช้คนคนนั้นซื้อภาพนี้

“แพงไปหน่อยแต่คุ้มกับสิ่งที่คุณอยากได้”

“ได้”

ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมตอบมาร์คัส รอสส์ไปแบบนั้นอย่างไม่ลังเลใจ ผมดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าในทันที กดโทรหาคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก ไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงคนปลายสายทันที

“คิดถึงพีรัชมากกกกกก อยากกอด กลับมาได้ไหม มาให้จิระกอดหน่อย” คำทักทายไม่มีหรอก มีแต่ความรู้สึกล้วนๆ ที่เอ่ยออกมา เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ผมโทรหาเขา ไม่ว่าเวลาของที่นั่นจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม

“เจย์” ผมเรียกชื่ออีกฝ่าย ไม่มีความลังเลที่จะเรียกร้องเอาความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย “...ช่วยหน่อยได้ไหม”

“มีอะไรที่ผมช่วยพีรัชไม่ได้ล่ะ” น้ำเสียงงัวเงียเพราะถูกผมโทรไปรบกวนแต่เช้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “อยากให้ผมทำอะไรบอกมาเลย เพื่อแลกกับความสุขของพีรัช ผมได้หมดทุกอย่างรู้ไหม” จิระก็เป็นแบบนี้เสมอ ไม่เคยถามก่อนเลยว่าผมจะให้เขาทำอะไร แต่เขาก็พร้อมจะทำให้ทุกอย่างเพื่อผม

“เรื่องมาร์คัส” ผมเบาเสียงลง แม้จะเดินห่างออกมาจากคนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างผมกับคนปลายสายก็ตาม

ได้ยินเสียงถอนหายใจของจิระแทบจะทันที ราวกับว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ถึงเรื่องที่ผมจะขอให้เขาทำเพื่อผมไปเรียบร้อยแล้ว

“นี่มันยังไม่ตายอีกหรือไง” เจ้าตัวว่าเสียงฉุน พอหงุดหงิดทีไร ชื่อผมก็หดสั้นลงทันที “พีอยากได้อะไรจากมัน”

“ผมอยากได้รูปที่เขาวาด”

“รูปสำคัญสินะ” ผมรู้ว่าจิระกำลังน้อยใจ เจ้าตัวฉลาดพอที่จะรู้ว่ารูปที่ผมอยากได้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนคนนั้น คนที่จิระอยากให้ผมลืมเขาไปให้พ้นจากหัวใจ

“อืม... สำคัญ”

“เฮ้อ... เมื่อไรผมจะได้เป็นคนสำคัญอย่างหมอนั่นบ้าง”

“เจย์...” ผมเดินคุยกับจิระมาจนถึงโซฟาข้างผนังกระจก ค่อยๆ ทรุดตัวลงไปนั่ง เอนหลังพิงกับพนักโซฟาแบบคนที่อยากถอยแต่ก็ไม่กล้าถอยกลับ อยากเดินหน้าต่อไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางวิ่งไปถึงถ้วยรางวัลนั้นได้เลย “...ผมขอโทษนะ”

“ผมไม่เอาคำขอโทษ” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาเสียงเบาบางไม่ต่างจากผมเลย ผมรู้ว่าจิระก็กำลังเจ็บปวด “ผมอยากขอแค่ให้พีรัชทำตามสัญญาเท่านั้นก็พอแล้ว... เมื่อไรที่พีรัชแก้แค้นเขาจนพอใจแล้ว ก็กลับมาให้ผมดูแลพีรัชไปตลอดชีวิตนะ”

“อืม... สัญญา ผมจะกลับไปดูแลจิระด้วยเหมือนกัน”

“ตลอดไปนะ”

“ตลอดไป... สัญญา”

................................................................................


เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่รวบผมยาวเลยไหล่ไว้ตรงท้ายทอยกำลังเปิดประตูรถนิวบีเทิลสีขาวค้างไว้ รถคันเล็กรูปทรงน่ารักช่างไม่เหมาะกับผู้ชายตัวใหญ่เลยสักนิด และแน่นอนว่ารถคันนี้ไม่ใช่ของผู้ชายผมยาวคนนี้ แม้เขาจะเป็นคนซื้อเจ้าคันเล็กให้เจ้าของตัวจริงก็ตาม

หมอภาม... มาอยู่ที่คอนโดฯ นี้ได้ยังไง ที่สำคัญกว่านั้นทำไมถึงใช้รถของปาลินได้ ทั้งที่นิวบีเทิลสีขาวควรจะอยู่กับปาลินที่ทะเลทางใต้ที่ไหนสักแห่งไม่ใช่หรือไง

ผมรีบเปิดประตูรถลงไป สาวเท้าอย่างรวดเร็วไปหาชายหนุ่มผมยาว เดาว่าเขาคงจ้องผมตั้งแต่ขับรถเข้ามาจอดแล้ว เขาถึงยืนรอคอยผมด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากขับรถพุ่งชนผมขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงตัวหมอภามเลย อีกฝ่ายก็ก้าวขาเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยและขับรถออกไปทันที

ใจผมร้อนไปหมด รีบวิ่งกลับไปที่รถ หยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่ในนั้นขึ้นมากดโทรหาเจ้าของนิวบีเทิลตัวจริงทันที แต่ก็ได้ยินแต่สัญญาดังถี่ที่บอกว่าอีกฝั่งสายนั้นไม่ว่าง ผมทิ้งระยะเวลาไว้สองนาทีแล้วโทรกลับไปใหม่กลับพบว่าเครื่องถูกปิดไปแล้ว

มันต้องเกิดอะไรขึ้นกับปาลินแน่ๆ ผมสังหรณ์ใจมาตลอดตั้งแต่ที่ปาลินหายตัวไปร่วมเดือน ทุกครั้งที่โทรถามว่าเจ้าตัวอยู่ไหนก็ได้คำตอบแบบเดิมว่าอยู่ที่ทะเลทางใต้ พอถึงวันหยุดผมจะตามไปหา เจ้าตัวก็ไม่ยอมให้ไปหา ผมจะดื้อตามไปก็ไม่ได้เพราะไม่รู้ที่อยู่ของปาลิน และทุกครั้งที่โทรคุยกับปาลิน เสียงอีกฝ่ายไม่สั่นสะอื้นก็แหบพร่าเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะพูด แต่ผมก็ยังคิดในแง่ดีว่าปาลินแค่อยู่ในช่วงทำใจหลังจากเลิกรากับหมอภาม มันเป็นธรรมดาที่จะร้องไห้และอยากอยู่คนเดียว

เมื่อโทรหาปาลินไม่ติดเพราะเจ้าปิดเครื่อง ผมก็โทรหาหมอภามต่อทันที ถึงผมจะไม่เคยคุยโทรศัพท์กับหมอภามแต่ผมก็มีเบอร์ของเขา แต่ก็นั่นแหละ หมอภามปิดเครื่อง!

เอาไงดี!

ผมจะทำอย่างไรดี จะปล่อยปาลินไว้แบบนี้ไม่ได้ ผมเชื่อว่าปาลินต้องถูกหมอภามกักตัวไว้แน่ ไม่อย่างนั้นรถของปาลินจะอยู่กับหมอภามได้ยังไง และปาลินก็คงไม่ปิดโทรศัพท์หนีผม

............................................

ไม่คิดว่าตัวเองจะมายืนหน้าห้องทำงานของเจ้าของพุฒิธาดาอีกครั้ง... เกือบสิบปีแล้วสินะที่ผมไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

“เชิญค่ะ” เลขาคนสวยที่พวงตำแหน่งคู่หมั้นเจ้าของพุฒิธาดาเอ่ยเชื้อเชิญ พร้อมกับจับลูกบิดประตูและผลักมันเข้าไปเมื่อเห็นว่าผมนิ่งไม่ทำอะไรเสียทีนานหลายนาที

ทั้งที่ตอนนี้ปาเข้าไปจะสองทุ่มแล้ว แถมยังเป็นวันเสาร์อีกด้วย แต่ทั้งเจ้านายและเลขาที่พ่วงตำแหน่งคู่หมั้นก็ยังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานกันทั้งคู่

รอยยิ้มเอ็นดูที่ปรากฏบนใบหน้าสวยงามไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอเปลี่ยนกลับไปเหมือนในอดีต เวลานี้ผมมองเธอไม่ต่างจากมองศัตรู...หัวใจ

ทั้งที่รู้ว่าตัวเองหมดสิทธิ์หึงหวงคู่หมั้นของคนอื่น ทว่าผมก็ห้ามความรู้สึกที่มันวิ่งพล่านอยู่ในอกไม่ได้

“เก่งนะครับที่มองหน้าผมแล้วยังยิ้มได้” ผมพูดช้าๆ ด้วยระดับเสียงปกติแบบที่คิดว่าคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ถ้าไม่หูหนวกแบบกะทันหันก็ต้องได้ยินอย่างแน่นอน “...เป็นผม ผมคงทำแบบคุณไม่ได้ แม้แต่สบตา ผมก็คงไม่กล้า” ผมคิดว่าคำพูดเสียดสีที่เอ่ยออกมาจะทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าคนฟังเลือนหาย แต่ก็ไม่ ใบหน้าของเธอยังคงประดับด้วยรอยยิ้มสวยงาม และถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าดวงตาใต้ขนตาปลอมของเธอเป็นประกายขำขันเสียด้วยซ้ำ

“เชิญค่ะ” เธอเอ่ยซ้ำ

“คุณจะไม่รู้สึกอะไรเลยใช่ไหม” ผมถามเหมือนคนที่มีไฟกองเล็กอยู่ในอก ยิ่งเห็นเธอยิ้มไม่สะดุ้งสะเทือนไปกับคำพูดก่อนหน้านี้ ไฟในอกก็ยิ่งโหมลุก แผดเผาตัวผมเอง

“ต้องให้พี่แอลรู้สึกอะไรคะน้องพี ในเมื่อพี่แอลกับคุณยะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้หักหลังน้องพีซะหน่อย” ทั้งที่ตอบผมด้วยถ้อยคำที่เป็นน้ำมันเทลงมาบนกองไฟ ใบหน้าของคนพูดก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มหวานที่คล้ายจะยั่วยวน “รีบเข้าไปคุยธุระของน้องพีให้จบไวๆ เถอะค่ะ เพราะพี่กับคุณยะมีนัดดินเนอร์กันค่ะ... เชิญค่ะ” เอ่ยซ้ำ

ไฟกำลังลุกท่วมตัวผม ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกำมือแน่น ข่มความรู้สึกพ่ายแพ้ไว้ในอกที่ไหม้เกรียม พร้อมกับก้าวผ่านกรอบประตูเข้าไปในห้องที่เจ้าของห้องนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่

เขากำลังรอคอยธุระของผม

และถ้าทำได้ผมจะคุยธุระของผมให้นานที่สุดเลยคอยดู!

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 33 (21-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 21-03-2019 22:12:26
“อย่าระรานคนของฉัน” ทันทีที่ประตูปิดลง ปิดให้ห้องนี้เหลือแค่ผมกับเขาแค่สองคนที่เผชิญหน้ากัน ประโยคนี้ก็ถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มจัด

เขานั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ ใช้สายตาแทนคำพูดที่บอกให้ผมนั่งลงคุยกับเขา แต่ผมปฏิเสธมันด้วยการเอามือสองข้างซุกลงไปในกระเป๋ากางเกง ...และเพื่อซ่อนมือที่สั่นเทาเพราะถ้อยคำของเขาที่กำลังโบยตีหัวใจบอบช้ำของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

‘คนของฉัน’

คำพูดนี้เป็นยิ่งมีดที่ปักลงมากลางอกผม คำที่ซ้ำเติมลงมาบนความพ่ายแพ้ของตัวผม... ‘คนของเขา’ คนที่ไม่มีวันจะเป็นผมได้เลย

“มีธุระอะไรกับฉัน” เขาเอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆ 

“ช่วยติดต่อเพื่อนคุณให้ผมหน่อย” นี่แหละธุระที่ทำให้ผมมายืนอยู่ในห้องนี้ ตรงหน้าเขา

“เพื่อนฉันคนไหนล่ะ” เขาย้อนถาม แต่ผมรู้ว่าเขาน่ะรู้ว่าผมพูดถึงเพื่อนคนไหนของเขา แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาต้องรู้เรื่องที่หมอภามเอาตัวปาลินไปแน่ๆ

“หมอภาม” แต่ผมก็ยังตอบเขา “บอกเขาว่าให้ปล่อยปีออกมา ไม่อย่างนั้นผมจะแจ้งตำรวจ ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว...คนของผม” ผมเน้นเสียงหนักในสามคำสุดท้าย บอกให้เขารู้ว่าผมก็มีคนของผมเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เขา!

“คนของเธอ?” คิ้วเข้มยกสูงเป็นเชิงเยาะ “ไม่มีปัญญาหาเองหรือไง ถึงต้องไปแย่งคนของคนอื่น”

“ปีเป็นของผมมาตั้งนานแล้ว” ผมย้ำ และย้ำลงไปอีก “...คุณก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่หรือไงว่าผมกับปีเป็นอะไรกัน ปีเป็นของผมก่อนจะเป็นของหมอภามด้วยซ้ำ” พูดจบ รอยยิ้มน่าเกลียดที่มุมปากของเขาก็พลันสลายไปทันที

...ผมเป็นฝ่ายชนะ

ยิ่งเห็นใบหน้าคมเข้มเรียบตึงกับดวงตาขุ่นคลั่ก ริมฝีปากผมก็ขยับเป็นรอยยิ้มของผู้ชนะ สะใจอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่ผมทำในอดีตทำให้เขาเจ็บแค้นมาจนถึงวันนี้

“หมดธุระของเธอแล้วก็ออกไป” แผ่นหลังของเขาเปลี่ยนมาเหยียดตรง มือดึงแฟ้มงานที่ตั้งวางอยู่ทางซ้ายมือมาไว้กลางโต๊ะ เขาเปิดและอ่านมัน ทั้งคำพูดและสิ่งที่เขากำลังทำคือการไล่ผมออกไป แต่ผมก็ยังยืนปักหลักอยู่ที่เดิม ผมจะออกไปได้ยังไงในเมื่อธุระของผมยังไม่จบ

“ไปบอกเพื่อนของคุณให้คืนปีมาให้ผม” ถึงผมจะซะใจที่กวนอารมณ์เขาให้ขุ่นได้ แต่ผมก็ไม่ลืมว่าตัวเองมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร

เขาเงยหน้าขึ้นมา ทำให้ผมเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบตึงขุ่นไปกับอารมณ์ที่อยากจะดับลงได้โดยง่ายในเวลาอันสั้น ผมมองตามมือของเขาที่หยิบโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมากดโทรออก เขาไม่ได้ยกโทรศัพท์แนบหูเพราะเปิดลำโพงเพื่อให้ผมได้ยินไปด้วย

‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...’

แล้วเขาก็กดวางสาย โยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแบบไม่กลัวมันจะพังเลย และอีกนิดเดียวมันก็จะตกลงพื้นแล้ว

“ได้ยินใช่ไหม” เขาพูด “ฉันก็ช่วยเธอได้แค่นี้แหละ เพราะฉันก็ติดต่อมันไม่ได้เหมือนกัน” พูดจบก็ก้มหน้าลงไปอ่านแฟ้มงานต่อ

“ที่คุณทำไม่ใช่ช่วยผมแต่ช่วยเพื่อนคุณต่างหาก”

“ก็ถูกของเธอ” เขายอมรับ แผ่นหลังที่ตั้งตรงค่อยๆ เอนลงไปพักไว้กับพนักเก้าอี้อีกครั้ง ครั้งนี้สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม อารมณ์ขุ่นคลั่กดูจะหมดไปแล้ว “เธอเป็นอะไรกับฉัน ทำไมฉันต้องช่วยเธอ”

“...” ผมเหมือนโดนมือที่มองไม่เห็นตบหน้าแบบเต็มแรงเลย หน้าชาไปหมดแล้ว ลามไปถึงหัวใจที่ถูกบดขยี้ด้วย

“หรือแค่ใช้เรื่องผัวเมียของคนอื่นเป็นข้ออ้างมาหาฉัน” เป็นคำพูดของเขานั่นแหละที่ตบหน้าผมอย่างไม่ปรานีใดเลย “มันจะง่ายกว่านะถ้าเธอบอกฉันมาตรงๆ ว่าคิดถึงฉันจนทนไม่ไหว อยากกลับมาหาฉัน อยากให้กอดเธอ”

หัวใจผมเต้นรุนแรงกับความจริงที่มากระแทกเข้ามาอย่างรุนแรง

ใช่... ผมห่วงปาลิน กลัวหมอภามทำอะไรปาลิน แต่ที่ผมมาหาเขาถึงที่นี่ มันก็ไม่ได้ต่างจากคำที่เขาใช้ตบหน้าผมเลย

ผม... ก็แค่อยากเจอเขา

ที่ผ่านมาผมอยากเจอเขา สร้างเรื่องก่อกวนเขาเพื่อให้หันกลับมาหาผม กลับมาทำให้ผมรู้สึกว่า... เขายังต้องการผม แต่ผมก็ไม่เคยสมหวัง

ผม... ก็แค่อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา

อยากให้ทุกความสนใจของเขาเป็นของผมคนเดียว ทว่ามันก็ยากที่ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่ผมต้องการให้เป็น

“ผมไม่ได้อยากกลับเข้าไปในชีวิตของคุณเลยสักนิด ไม่เคยอยากให้มือสกปรกของคุณมาถูกตัวผมเลยด้วยซ้ำเพราะผมขยะแขยงคุณที่สุด!” ผมแสร้งตวาด ใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธจัดเพื่อกลบเกลื่อนหัวใจที่จวนเจียนจะแตกสลาย

ขยะแขยงอย่างนั้นเหรอ?

อาจจะใช่... ถ้าคำว่าขยะแขยงหมายถึง ‘ความโหยหา’ ที่กัดกร่อนหัวใจของผมมานานหลายปี ก็ตั้งแต่ที่ผมออกไปจากชีวิตเขาอย่างถาวรนั่นแหละ

“ฉันก็ไม่ได้อยากเอามือของตัวเองไปแตะต้องตัวเธอเหมือนกัน... เพราะฉันก็รู้สึกขยะแขยงเนื้อตัวที่สกปรกของเธอไม่ต่างกันหรอก” คำพูดของเขาก็ยังตบหน้าผมซ้ำๆ และนั่นทำให้ผมโกรธจนเกิดความรู้สึกอยากเอาชนะแบบงี่เง่าที่สุดขึ้นมาอีกจนได้

ผมเป็นแบบนี้เสมอ อยากเอาชนะความพ่ายแพ้ของตัวเอง แม้จะต้องใช้วิธีที่คนโง่เขลาที่สุดในโลกเท่านั้นจะเลือกทำ

“ที่จูบผมวันนั้นล่ะ คุณรู้สึกยังไง ขยะแขยงมากไหม” ผมถาม ปลายเท้าก็มุ่งตรงไปที่โต๊ะทำงานหลังใหญ่ เดินผ่านมันไป แล้วไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ตัวของเขา พร้อมกับเท้าแขนข้างหนึ่งบนที่วางแขน แล้วโน้มใบหน้าลงไปหาใบหน้าคมเข้มนั้น “แล้วตอนนี้ล่ะ รู้สึกขยะแขยงจนอยากผลักผมออกไปไหม หรือว่าอยากเปลี่ยนใจเอาลิ้นเข้ามาในปากผมแทน” เขาอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาราบเรียบเหมือนเดิม

“อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าฉันอยากจะจูบกับปากที่ผ่านมาไม่รู้กี่คน” เขาไม่ยอมให้ผมชนะ ซ้ำยังพร้อมจะเหยียบผมให้บี้แบนอยู่ใต้เท้าของเขา “และถ้าไม่รู้ ฉันจะช่วยบอกเธอให้ว่า... ฉันไม่เคยใช้ของร่วมกับใคร”

“ลองสักครั้งก็ไม่เห็นเป็นไร ยังไงปากของผมก็เคยใช้กับคุณมาก่อน” ทุกคำพูดที่เหมือนหน้าไม่อายของผมถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะ

“ขอปฏิเสธดีกว่า” ยิ่งผมวิ่งตามเขา เขาก็ยิ่งวิ่งหนีห่างออกไป ผมเลยต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะสิ่งที่ผมต้องการคือความพ่ายแพ้ของเขา

“ถ้าผมไม่ยอมให้คุณปฏิเสธล่ะ” พูดจบ ผมก็ทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนกลีบปากหนาที่ให้ความรู้สึกอุ่นเหลือเกิน และแทบไม่ต้องออกแรงบดขยี้เพื่อให้อีกฝ่ายคลายกลีบปากบนล่างออกจากกันด้วยซ้ำ เป็นเขาเองต่างหากที่บุกรุกเอาลิ้นร้อนจัดนั้นเข้ามาในปากผม กลายเป็นริมฝีปากของผมที่เสียท่าให้เขาอย่างง่ายดาย ทว่าผมกลับให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างนั้น หลงไปกับเรียวลิ้นที่รุกรานไปทั่วโพรงปากของผมอย่างอ่อนโยน

จูบนี้ยาวนานราวกับทั้งชีวิต แต่ผมก็รู้ดีว่าริมฝีปากของผมกับเขาสอดประสานกันเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบวินาทีก่อนที่เขาจะผละออกไป

“หึ... คุณก็อยากจูบผมเหมือนกันนั่นแหละ” ผมยืดตัวขึ้น ใช้หลังมือเช็ดปากตัวเองไปด้วย แล้วมือข้างนั้นก็ถูกมือใหญ่กระชากลงมา พร้อมกับเจ้าของมือที่ลุกจากเก้าอี้ขึ้นมายืนเต็มความสูงที่มากกว่าผมไปแค่นิดหน่อย

“ก็เอามาเสนอให้ถึงที่ ถ้าฉันปฏิเสธก็คงจะใจร้ายไปหน่อยมั้ง” คำพูดของเขาทำร้ายผมได้เสมอ น้อยบ้าง หนักบ้าง ไม่มีคำไหนที่ช่วยเยียวยาหัวใจผมเลย

...เขาเกลียดผม

คงเพราะผมเป็นลูกชายขอคนที่เขาเกลียด และเพราะผมทำให้เขาสูญเสียคนสำคัญไป

ผมก็เสียใจ

ผมก็เกลียดตัวเองเหมือนกันที่พรากคนสำคัญไปจากเขา

“แต่ให้ทำมากกว่านี้ ฉันก็คงต้องขอปฏิเสธ... ไม่อยากทับรอยใคร”

“แน่ใจหรือครับว่าไม่อยากเข้ามาในตัวผม” ผมกัดฟันถามออกไป ยิ่งโดนคำพูดของเขาทำร้าย ผมก็ยิ่งโง่ลงไปทุกที คำพูดน่าอายหลุดออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับไม่ผ่านสมองคิดไตร่ตรองเลยด้วยซ้ำ เมื่อสองมือตวัดขึ้นโอบรอบต้นคอหนา ดึงร่างกำยำภายใต้สูทเนื้อหนาเข้ามาแนบชิดกับร่างกายตัวเอง ริมฝีปากจูบซับไปตามสันกรามอย่างช้าๆ แต่เน้นย้ำ ปลายลิ้นตวัดเลียที่ต้นคอหนาใกล้ๆ กับหูที่ขึ้นสีแดงของเขา ทำให้อุณหภูมิในร่างกายหนาเพิ่มสูงแบบที่ผมสัมผัสได้ “ลืมไปแล้วหรือครับว่าเข้าในตัวผมมันสุดยอดแค่ไหน แต่ถ้าคุณลืม ผมช่วยทบทวนให้ก็ได้นะ คุณชอบทำ ‘ธุระ’ บนโต๊ะอยู่แล้วนี่นา... ว่าไงครับ อยากไหม ผมสนองให้คุณได้นะ”

“กล้า...” เขายิ้มที่ทำให้ผมได้แต่กัดปากตัวเอง ข่มความเจ็บร้าวลงไปให้ลึกที่สุด แต่ขอบตาก็ยังร้อนจัด จนกลัวว่าน้ำตาจะทะลักทลายออกมา ผมจึงต้องกลั้นเอาไว้สุดฤทธิ์ “...จนดูไร้ค่า”

“ไร้ค่าแล้วไง?” ผมเชิดหน้าขึ้น บังคับเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้สั่น “ยังไงคุณก็ยังอยากได้ผมอยู่ดีนั่นแหละ”

“เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าฉันอยากได้เธอ” เสียงหัวเราะที่ตามออกมาเบาๆ ถากถางผมไม่ต่างจากคำพูด

“หรือไม่จริงล่ะ” แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก “แข็งขนาดนี้แล้ว ก็น่าจะอยากใส่เข้ามาแล้วสินะ” คำพูดแต่ละคำของผมไม่ได้ผ่านสมองเลยสักนิด เหมือนสักแต่พูดเพื่อเอาชนะ เพื่อให้เขายอมรับว่า... เขาต้องการผม

“ก็น่าจะใช่นะ...เสนอให้ขนาดนี้ ฉันก็คงต้องสนองให้สักหน่อย” เขาจับเอวผมไว้หลวมๆ มือนั้นอุ่นร้อนที่แม้จะมีเสื้อผ้ากั้นก็ยังคงรู้สึกได้ว่าร้อนจัดเหลือเกิน เขาผลักผมไปด้านหลัง จนไปนั่งแหมะอยู่บนโต๊ะทำงานหลังใหญ่ แฟ้มงานบางส่วนถูกกวาดทิ้งลงพื้นพรมสีน้ำตาลเข้ม “...ว่าแต่อ้าขาให้ใครมาแล้วกี่คนล่ะ”

“ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ” ผมอยากประชดเขา บอกว่ามีเป็นสิบยี่สิบคนที่ผมยอมอ้าขาให้ เหมือนที่ยอมให้เขาทำ แต่ผมก็ไม่อยากพูดให้เขามองผมแย่ลงกว่าเดิมหรอก

“...” แล้วเขาก็มองหน้าผมนิ่งๆ ให้ความรู้สึกว่ากำลังถูกกดดัน ฝ่ามือร้อนไล่ไปตามแผ่นหลังของผม ทำเอาผมต้องกลั้นลมหายใจตลอดเวลา เพราะเขาไม่ได้ลูบแผ่นหลังผมผ่านเนื้อผ้าแต่มือของเขาสัมผัสผิวกายของผมตรงๆ

นานมากที่เขาจ้องหน้าผมโดยไร้คำพูด มือก็ยังลูบไล้แผ่วเบาราวกับจะหยอกล้อ ขณะเดียวกันก็บีบบังคับให้ผมตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขาตามความจริง

“สอง” สุดท้ายผมก็ต้องเอาความจริงออกมา สองคนที่ผมยอมให้กอดก็คือปาลิน (ในอดีต) กับจิระ

ลูกตาสีดำของเขาเกือบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงได้แล้วมั้ง บอกว่าเขากำลังโกรธ แล้วความโกรธนี่มาจากความหึงหวงใช่ไหม ผมจะคิดแบบนี้ได้ไหม

“หึงผมหรือไง” คำถามของผมเต็มไปด้วยความหวัง ไม่มีคำตอบ มีแค่ริมฝีปากที่ประกบจูบลงมา... และอ่อนหวานนุ่มนวลเหมือนเดิมทุกอย่าง

เมื่อก่อนเขาจูบผมยังไง ตอนนี้เขาก็ยังจูบแบบนั้น ผมจำจูบของเขาได้ไม่เคยลืมเลือน จูบกับใครก็ไม่เหมือนจูบกับเขา ความรู้สึกต่างกันมากเหลือเกิน ผมไม่เคยมีความสุขเลยสักนิดตอนที่จูบกับคนที่ไม่ใช่เขา

“เด็กแบบเธอสมควรถูกสั่งสอน” เขาว่าหลังจากผละริมฝีปากออกไป ลูกตาสีดำยังกับถือไม้เรียวเอาไว้ฟาดเด็กดื้อ

“ผู้ใหญ่แบบคุณก็...อื้อ...” เขาไม่ปล่อยให้ผมโต้ตอบเขาจนจบประโยค บังคับให้ผมกลืนคำที่เหลือลงไปด้วยริมฝีปากร้อนจัดที่บดเบียดลงมาอย่างนุ่มนวล ชักชวนให้ผมเผยอปากรับเอาเรียวลิ้นร้อนเข้ามาภายใน กวาดต้อนความหอมหวานภายในอุ้งปากนานสองนาน

“อึก...เจ็บ...” ผมตีไหล่เขาเบาๆ เพราะถูกเขากัดเข้าที่ซอกคอ แต่ก็ยังเชิดใบหน้าขึ้นสูง เพื่อเปิดทางให้ริมฝีปากร้ายกาจนั้นกัดกินผิวกายของผมได้อย่างถนัด

“ฉันอยากให้เธอเจ็บไงพี” เสียงทุ้มติดจะแหบพร่าหน่อยๆ เอ่ยขึ้นมาจากซอกคอผม ฟันคมก็ยังคงกัดงับลงมาให้สะดุ้งอยู่ตลอดเวลา “...จะได้จำเสียบ้างว่าเธอเป็นของใคร”

...เป็นของเขาใช่ไหม

น้ำอุ่นจัดมากองที่หน่วยตาของผมแทบจะทันที กะพริบตาทีเดียวมันก็ไหลออกมาเป็นสายยาว มันไม่ใช่น้ำตาของความเจ็บปวด เพราะผมกำลังมีความสุขกับคำพูดจากปากเขา

ผมหนีเขาไปไกลขนาดนั้น หนีไปจากชีวิตเขาหลายปี สุดท้ายผมก็ไม่เคยหนีเขาพ้น หรือที่จริงคือผมหนีหัวใจของตัวเองไม่ได้ต่างหาก หัวใจที่ไม่ว่าจะแตกสลายไปกี่ครั้งก็ไม่เคยจดจำความเจ็บปวดและยังคงเรียกหาแค่คนคนเดียว

“คุณยะ...ฮึก...คุณยะยัง...ระ...” คำถามที่อยากได้คำตอบที่สุด ผมกำลังจะถามออกไป แต่เสียงที่ดังมาจากด้านหลังหยุดคำที่เหลือเอาไว้เสียก่อน

ก๊อก...ก๊อก...
“เข้ามา” สิ้นคำพูดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น และผมก็โผเข้ากอดตัวเขาเอาไว้แน่นที่สุด ซบใบหน้าลงบนไหล่กว้าง อยากทำให้คนที่เปิดประตูเข้ามาเห็นว่าผมกับคุณยะกำลังจะกลับไปเหมือนเดิม ผมกำลังจะเอาคุณยะคืนมาจากเธอ

“เอ่อ...คุณแม่โทรมาค่ะ”

เรียวแขนของผมโอบรัดร่างหนาไว้แน่นยิ่งขึ้น ‘คุณแม่’ ที่เธอหมายถึงต้องเป็นคนที่ผมอยากกลับไปหาแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าท่าน สิ่งที่ผมทำคงทำให้ท่านเกลียดผมไปตลอดชีวิต

“บอกว่าเดี๋ยวฉันโทรกลับ”

“ค่ะ” เธอขานรับ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงประตูห้องถูกปิดลง

ฝ่ามือหนากลับมาลูบแผ่นหลังผมท่ามกลางความเงียบที่ดังยิ่งกว่าเสียงหัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ ผมฝังใบหน้าไว้กับไหล่กว้างดังเดิม ปล่อยให้เม็ดน้ำตาไหลซึมผ่านผ้าเนื้อหนาลงไป มีคำหนึ่งที่ผมอยากเอ่ยกับเขา แต่ผมก็ไม่กล้า กลัวสิ่งที่เขาเก็บอยู่ข้างในจะระเบิดใส่ผม เพราะผมคือสาเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียคนสำคัญไป

...วันนั้น ผมไม่น่าโทรกลับไปหาคุณย่าเลย

“ผม...” ผมทนไม่ไหว เก็บคำนี้เอาไว้ไม่ไหวแล้ว “...ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“เธอตั้งใจทุกอย่างนั่นแหละพี” เขาดันตัวผมออกมา ไม่ยอมยกโทษให้ผมง่ายๆ “กลับไปได้แล้ว เรื่องของเพื่อนเธอ ฉันจะพยายามช่วยละกัน” ว่าแล้วเขาก็ปล่อยมือจากตัวผม เดินออกจากห้องทำงานของตัวเองไป ทิ้งผมไว้กับน้ำตาที่ไม่หยุดไหลกับความผิดที่ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะทำใจให้อภัยไม่ได้

ผมขอโทษ...

ผมไม่ได้ตั้งใจ...

.....................................
“ปี!! อยู่ไหน!” ผมร้องเสียงดังออกมาด้วยความตื่นเต้น ขยับตัวลุกขึ้นนั่งทันทีที่เห็นว่าใครวิดีโอคอลล์มาหาผมแต่เช้า หน่วยตาที่บวมช้ำเพราะนอนร้องไห้มาตลอดทั้งคืนเบิกกว้างด้วยความดีใจ ปนไปกับความเป็นห่วงคนที่พยายามจะฝืนยิ้มสดใสมาให้ผมผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ผมอยากให้ปาลินเหลือบขึ้นไปมองจอเล็กๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเหลือเกิน จะได้เห็นว่ารอยยิ้มที่เจ้าตัวพยายามทำอยู่นั้น มันไม่ต่างจากใบหน้าที่กำลังเต็มไปด้วยน้ำตาเลย

ขอบตาของผมคงจะบวมมากหลังจากที่นอนร้องไห้มาทั้งคืน แต่เทียบไม่ได้เลยกับความบวมช้ำของปาลิน ดวงตาเรียวเล็กแดงก่ำฟ้องว่าก่อนที่จะวิดีโอคอลล์มาหาผม เจ้าตัวต้องผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก อาจจะร้องตั้งแต่เมื่อคืน ตั้งแต่เมื่อวาน ตั้งแต่เมื่อวันก่อน หรืออาจจะร้องมาตลอดระยะเวลาที่หายไป

“สะ...เสียงดัง...ฮึก...แก้วหูจะแตกแล้ว” เจ้าตัวว่า พยายามจะพูดให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สภาพใบหน้าและน้ำเสียงสั่นสะอื้นที่ปิดไม่มิดนั้นฟ้องออกมาหมดแล้ว

“หมอภามทำอะไรปี”

ปาลินส่ายหน้า น้ำตาไหล

“มันต้องทำอะไรปีแน่ๆ ปีกลับมาหาเราเลยนะ เราจะพาปีไปแจ้งความ เราจะจับมันเข้าคุก!” ผมพูดอย่างแค้นคนที่ทำให้ปาลินตกอยู่ในสภาพนี้

“เขาไม่ได้ทำ...ฮึก...อะไรเรา...”

“เป็นขนาดนี้แล้ว ยังว่าไม่ได้ทำอะไรอีกหรือไง บอกมาเลยนะว่ามันทำอะไรปี ที่หายไปนี่คือโดนมันจับขังใช่ไหม” ผมเดา

ปาลินไม่ตอบ เจ้าตัวได้แต่นั่งสะอื้น กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลแต่ก็ทั้งหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำตา

“ปี มันทำอะไรปี ปีถึงได้เป็นขนาดนี้” ผมถามย้ำ

“ฮึก...ละ...เลิก...กันแล้ว...” เจ้าตัวเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่สุด ผมรู้เพราะผมก็เคยผ่านช่วงเวลาที่โหดแบบนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“แล้วนี่ปีอยู่ไหน กำลังจะไปไหน อย่าไปไหนนะปี กลับมาหาเรานะ” ผมรัวคำถามอย่างร้อนรน ปาลินกำลังนั่งอยู่ในรถ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังจะไปไหน แต่ผมกลัวว่าจุดหมายของปาลินจะไม่ใช่ผม

“ขอ...ฮึก...ขอเวลาเราสักพักนะพี...ขอให้เราเข้มแข็งกว่านี้ก่อนนะ เราจะ...ฮึก...จะกลับไปหา ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เราดูแลตัวเองได้”

“จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง!” ผมอดตะคอกกลับไปไม่ได้ สภาพปาลินเป็นแบบนี้แล้ว จะไม่ให้ผมเป็นห่วงได้ยังไง “เราขอสั่งให้ปีกลับมาหาเราเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่กลับมาก็ไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้าอีกเลย” ผมขู่ออกไปอย่างหงุดหงิด แต่คำขู่ก็ใช้ไม่ได้ผลกับสภาพจิตใจของปาลินในตอนนี้

“ขอเวลาเราหน่อยนะพี”

“จะไม่กลับมาจริงๆ ใช่ไหมปี!” ผมเผลอตัวตะคอกอีกแล้ว สงสารปาลินที่น้ำตาไหลอาบแก้ม แต่ก็โมโหที่เจ้าตัวดื้อเหลือเกิน ผมไม่อยากให้ปาลินไปอยู่ในที่ที่ผมหาไม่เจอ แล้วเกิดหมอภามตามหาตัวปาลินเจออีกล่ะ ถ้าจับตัวปาลินไปขังอีก ผมจะรู้ไหม ถึงหมอภามยอมปล่อยตัวปาลินออกมาแล้วก็ตาม แต่ผมก็กลัวหมอภามจะเปลี่ยนใจตามมาจับปาลินไปขังอีกรอบ

แม้ว่าผมจะเห็นความรักของปาลินกับหมอภามในช่วงเวลาแค่สองปีก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกและสัมผัสได้ว่าหมอภามรักปาลินมากเหลือเกิน จนบางครั้งผมก็ยังนึกอิจฉาปาลินที่มีคนรักที่ตัวเองมากขนาดนี้ แถมยังรักมั่นคงด้วย ไม่เคยเปลี่ยนใจจากปาลินหรือนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง และถ้าผมไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ใช้ปาลินเป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจจากคนที่ไม่คิดจะสนใจผมเลยนั้น ความรักของปาลินกับหมอภามก็ไม่วันมาถึงจุดแตกหักเช่นนี้หรอก

“ขอโทษนะพี แต่เราดูแลตัวเองได้จริงๆ ไม่ต้องห่วง เราไปไม่นาน เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

“เฮ้อ...” ผมถอนใจออกมาอย่างยอมแพ้และรู้สึกผิดไปพร้อมกัน เพราะผมทำให้ปาลินเป็นแบบนี้เอง “ตามใจละกัน”

“ขอบใจ” ใบหน้าที่อาบน้ำตาส่งยิ้มมาให้ผม เป็นยิ้มที่สดใสขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

“แต่ต้องวิดีโอคอลล์กับเราทุกวัน วันละสี่เวลา เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ” ผมตั้งเงื่อนไขให้ปาลินทำ อย่างน้อยผมก็จะได้เห็นว่าปาลินอยู่ไหน อยู่คนเดียวหรืออยู่กับใคร ถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับปาลิน ผมก็จะได้ไปช่วยได้ทัน

“อืม...สัญญา” เจ้าตัวพยักหน้า

“ปี... ขอโทษนะที่ทำให้ปีต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”

ปาลินไม่ควรถูกหมอภามทำร้ายจิตใจเลย ถึงจะไม่รู้ว่าระหว่างที่ปาลินหายไปร่วมเดือนนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ยากที่จะเดาว่าเจ้าตัวต้องเผชิญกับความใจร้ายของหมอภามมากเลยทีเดียว แค่ไม่รู้ว่ามากขนาดไหนหรือในรูปแบบไหน

“ไม่เป็นไร” ปาลินก็ยังมีรอยยิ้มให้ผม แม้ผมจะทำให้เขาต้องเลิกกับหมอภาม “เราผิดเองด้วยแหละ ...ถ้าเราเข้มแข็งกว่านี้ เราก็คงไม่เดินออกมาจากชีวิตของเขา โดนแบบนี้ก็...ฮึก...สมควรแล้ว”

“หมอภามทำอะไรปีบ้าง”

“กลับไปจะเล่าให้ฟังนะ” เจ้าตัวเช็ดน้ำตา ฝืนยิ้มอีกแล้ว “แค่นี้...ฮึก...ก่อนนะพี ถึงที่พักแล้วจะโทรหา”

“รีบโทรมานะ”

“อืม”

ปาลินหายไปจากหน้าจอแล้ว ผมถึงได้ทิ้งตัวลงนอน คว้าหมอนข้างมากอด หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ความรู้สึกตกลงไปในหลุมดำมืดที่ผมเป็นคนขุดมันขึ้นมาเอง ผมทำแต่เรื่องให้คนที่รักและหวังดีกับผมเจอสถานการณ์โหดร้าย

...ปาลินต้องเลิกกับหมอภามและถูกทำร้ายจิตใจก็เพราะผม

...จิระต้องยอมนอนกับมาร์คัส รอสส์ก็เพื่อผม

ผมใช้ความรักของจิระและความห่วงใยของปาลินเพื่อเรียกร้องความสนใจของคนที่ไม่สนใจไยดีผมอีกแล้ว ผมมันเลวจริงๆ

บางทีผมควรจะหยุดได้แล้ว หยุดเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่มีวันจะกลับมาเป็นของผม หยุดดิ้นรนอย่างคนโง่ๆ ที่ไม่เห็นทางรอด หยุดไขว่คว้าหาชัยชนะที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความพ่ายแพ้ ถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่ผมควรกลับไปอยู่ในที่ที่ผมควรอยู่

ผมลุกจากเตียง เดินไปที่โต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากเตียงนอนเท่าไรนัก ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมสีขาว เปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊ค เข้าไปในอีเมล์ พิมพ์ข้อความลงไป เพื่อส่งความตั้งใจและการตัดสินใจที่เด็ดขาดของตัวเองไปถึงจิระ

‘ให้คนทำความสะอาดห้องผมด้วยนะ ขอเวลาเคลียร์งานสองเดือนแล้วจะกลับไปอยู่ด้วยตลอดไปเลย’

ผมตัดสินใจแล้วว่าควรพอเสียที

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 33 (21-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 21-03-2019 22:19:01
‘มาช่วยชิมเค้กมะลิเชื่อมของอาหน่อย อยากรู้ฟีดแบ็ก วันนี้เลยนะ ทางสะดวก คุณหมอหมาไม่อยู่คลินิกจ้า’

เพราะข้อความที่อาฟ้าส่งมาทำให้ผมต้องผลักประตูร้านเชิญครับเข้ามา มีสายน้ำเดินตามหลังมาด้วยกันเพราะตอนที่ได้รับข้อความของอาฟ้า ผมกำลังจะเดินเข้าโรงหนังกับสายน้ำพอดี ดูหนังจบผมก็ตรงมาที่นี่เลย

“คิดถึงน้องพีจัง” เจ้าของร้านเชิญครับที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่นั้น พอได้ยินเสียงโมบายล์อันเล็กที่ส่งเสียงน่าฟังยามที่มีคนเดินเข้าออกร้านก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มตาหยี วางผ้าเช็ดโต๊ะลงแล้วเดินเข้ามากอดผมแบบแน่นมาก ก่อนจะคลายวงแขนลง

จากนั้นตากลมๆ ของอาฟ้าเลื่อนไปจับยังใบหน้าของคนที่ตามหลังผมมา อาฟ้าไม่รู้จักสายน้ำ

“ธารนี่อาฟ้า เจ้าของร้านเชิญครับ” ผมแนะนำให้คนทั้งคู่รู้จักกัน “อาฟ้าครับ นี่ธารครับ เด็กที่ผมดูแลอยู่ครับ” อาฟ้าขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เพราะรู้ว่า ‘เด็กที่ผมดูแล’ หมายถึงคนที่อยู่ข้างตัวผมในสถานะไหน เจ้าตัวไม่ชอบสิ่งที่ผมทำเท่าไร เอ่ยปากเตือนก็หลายรอบ แต่ผมก็ทำหูทวนลมและชวนเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสีย

อาฟ้าที่แสนดียังหวังว่าผมกับพี่ชายอานุจะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้

“สวัสดีครับอาฟ้า” สายน้ำยกมือไหว้คนมากวัยกว่า อีกฝ่ายก็รับไหว้ด้วยรอยยิ้มใจดี จากนั้นก็พาผมกับสายน้ำไปนั่งโต๊ะตัวที่เจ้าตัวเพิ่งเช็ดทำความสะอาดไปเมื่อกี้

“นั่งตรงก่อนนะ เดี๋ยวอาฟ้าเอาเค้กมะลิมาให้ชิม ว่าแต่น้องธารอยากไปดูเค้กที่ตู้เพิ่มไหมครับ เผื่อว่ามีเค้กที่อยากกินเพิ่ม”

“ไปเลือกสิ” ผมบอกสายน้ำที่คงอยากไปเกาะตู้เค้กอยู่เหมือนกัน เพราะเจ้าตัวเป็นคนชอบกินขนมหวาน ตอนที่บอกจะพามากินเค้กก็ดีใจใหญ่ สายน้ำเคยกินเค้กของอาฟ้ามาแล้วตอนมาหาผมที่คอนโดฯ เจ้าตัวบอกว่าตั้งแต่กินเค้กมา เค้กของร้านอาฟ้านี่แหละอร่อยที่สุดแล้ว

“ครับ”

สายน้ำลุกตามอาฟ้าไปที่ตู้โชว์เค้ก ส่วนผมก็นั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยรอเวลาที่อาฟ้าจะเอาเค้กรสใหม่มาให้ลองชิม อาฟ้าทำแบบนี้ตลอด พอทำเค้กรสชาติใหม่ๆ ออกมาก็จะเอามาให้ผมชิมเพื่อถามความเห็นว่าดีพอที่จะเอามาวางขายหรือยัง ทั้งที่ผมคิดว่าไม่ว่าอาฟ้าไม่จำเป็นต้องถามความเห็นของผมเลย ในเมื่อไม่ว่าจะทำเค้กรสชาติอะไรออกมา อาฟ้าก็ทำได้อร่อยอย่างที่สุดและขายดีเสมอ

แต่ผมแอบแปลกใจหน่อยๆ ว่าทำไมอาฟ้าถึงไม่เอาไปให้ผมชิมที่คอนโดฯ เพราะทุกครั้งอาฟ้าจะทำแบบนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผมเจอคู่กรณี ที่เจอกันเมื่อไรฝ่ายนั้นจะอาละวาดใส่ผมทันที หรือเป็นเพราะวันนี้คู่กรณีของผมไม่มาทำงาน

น่าจะใช่... ผมคิดแบบนั้นได้เพียงไม่ถึงสิบวินาที ก่อนที่ประตูร้านเชิญครับจะถูกผลักเข้ามา มันเกิดเสียงกรุ้งกริ้งน่าฟัง เรียกให้ผมหันสายตาไปมองลูกค้าของร้านเชิญครับ แล้วก็พบว่าไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็น...

“มึง!!”

เจ้าของเสียงคำรามที่ดูไม่เข้ากับใบหน้าสวยงามที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากอนามัยสีฟ้า ที่ปิดตั้งแต่ใต้ขอบตาลงมาถึงปลายคางพุ่งตรงเข้ามาหาผมด้วยความเร็วแบบที่ผมไม่ทันได้หลบหลี มือเล็กรวบคอเสื้อผมขึ้นไปพร้อมกับซัดหมัดเข้าที่แก้มเต็มแรง ถึงผมจะตัวใหญ่กว่าแต่เมื่อถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว ก็ต้านทานแรงหมัดที่ฟาดลงมาไม่ได้ ล้มลงไปกองพื้นทันที รับรู้ถึงกลิ่นเลือดจางๆ ในปากได้

เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของลูกค้าสาวของร้านเชิญครับดังระงม ขณะที่คนที่ซัดหมัดใส่ผมเต็มแรงนั้นถูกเพื่อนของตัวเองจับแขนเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าใส่ผมอีกรอบ

“พอแล้วเล เดี๋ยวร้านพี่ฟ้าก็พังหรอก” คนเป็นเพื่อนเอ่ยเตือน คนที่ผมจำได้ไม่ลืม...พี่เพียว และ ‘เล’ ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาก็หั่นให้สั้นลงจากคำว่า 'เลม่อน' ชื่อที่เจ้าของมันต้องการปกปิดและลืมเลือนอดีตที่น่าอับอายของตัวเอง หลังจากเหตุการณ์ฉาวคราวนั้น

คลิปและภาพหลุดในครั้งนั้นทำให้อนาคตของพี่เลม่อนดับลงทันที จากนั้นเจ้าตัวก็ซ่อนใบหน้าไว้หลังหน้ากากยามที่ต้องออกมานอกบ้าน ทิ้งชื่อและนามสกุลของตัวเองไว้ด้านหลัง แล้วใช้ชื่อและนามสกุลใหม่ว่า

‘เล ตรัยธาดา’

ผมลุกขึ้นช้าๆ มีสายน้ำที่วิ่งกลับมาหาผม ช่วยพยุงทั้งที่ไม่จำเป็นเลย แค่โดนต่อยหน้าไม่ได้ขาหัก ส่วนอาฟ้าก็รีบวางจานเค้กที่จะเอามาให้ผมชิมลงบนโต๊ะ มือนุ่มจับประคองใบหน้าผมเพื่อดูผลงานน้องรักของตัวเอง

“เจ็บมากไหมน้องพี”

“เจ็บมากครับ เลือดเต็มปากเลย” ผมตอบอาฟ้า สีหน้าคนถามนี่ออกอาการว่าเจ็บไปกับผมด้วยเลย อันที่จริงผมจะบอกว่าไม่เจ็บก็ได้เพื่อให้อาฟ้าสบายใจ แต่ผมก็เลือกที่จะพูดเกินจริงเพื่อให้ฝ่ายที่ซัดหมัดใส่ผมดูแย่ลง

“สำออย เลวแบบมึงสมควรโดนเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ” พี่เลม่อนชี้หน้าผม ตะคอกผ่านหน้ากากที่ซ่อนใบหน้าโกรธแค้นเอาไว้ เจ้าตัวยังไม่หายแค้นเรื่องที่ผมปล่อยคลิปและรูปของเขา เป็นสาเหตุให้เขาหมดอนาคตในวงการบันเทิงและใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างคนที่กลัวสายตาคนรอบข้างจะจดจำได้ว่าเขาเป็นเกย์ที่มีคลิปหลุดออกมาเกือบสิบคลิปและรูปอีกไม่รู้เท่าไร และนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่เขาต่อยผม

ครั้งแรกก็คือตอนที่ผมเจออาฟ้าและถูกลากมาที่ร้านเชิญครับ พอเดินเข้าไปหลังร้าน พี่เลม่อนที่กำลังแต่งหน้าเค้กอยู่ก็พุ่งเข้าซัดหน้าผมทันทีไม่ต่างจากวันนี้เลย อาจจะต่างกันนิดหน่อยที่วันนั้นผมต่อยพี่เลม่อนกลับ จนอาฟ้ากับเด็กในร้านต้องเข้ามาจับแยก ท่ามกลางข้าวของต่างๆ ที่ตกระเนระนาด รวมทั้งเค้กหลายก้อนด้วย

“น้องเล” อาฟ้าหันไปปรามเสียดุ พี่เลม่อนถึงได้ลดมือที่ชี้หน้าผมลง

“ขอโทษครับพี่ฟ้า” เจ้าตัวเอ่ยเสียงอ่อย “เลกลับก่อนนะครับ”

อาฟ้าพยักหน้ารับ คงไม่อยากให้เกิดเรื่องปะทะระหว่างผมกับพี่เลม่อน ไม่อย่างนั้นหน้าร้านคงได้เละไม่ต่างจากหลังร้านในคราวนั้น

“วันนี้เป็นวันหยุดน้องเล” อาฟ้าหันมาพูดกับผมหลังจากที่พี่เลม่อนกับพี่เพียวออกจากร้านไปแล้ว “อาก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาที่ร้าน เลยเกิดเรื่องจนได้ ดูสิ น้องพีเลยต้องเจ็บตัว ไปหลังร้านกับอานะ อาจะทำแผลให้”

“ครับ” ผมตอบรับ ก่อนหันไปบอกสายน้ำที่ยังยืนหน้าซีดอยู่เลย คงเพราะตกใจที่เห็นผมถูกต่อยมั้ง เท่าที่สังเกตสายน้ำเป็นเด็กขี้กลัว “ธารไม่ต้องตามพี่เข้าไป นั่งกินเค้กอยู่นี่แหละ”

“ครับพี่พี” สายน้ำพยักหน้าช้าๆ

ผมเดินตามพี่ฟ้าเข้าไปหลังร้าน พนักงานหนุ่มที่ยืนล้างจานหันมายิ้มให้ผมนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ พนักงานของร้านเชิญครับที่ผมรู้จักและสนิทสนมด้วยไม่อยู่แล้วครับ พี่ยีนกับพี่แดนก็ไปเปิดร้านของตัวเอง ส่วนพี่เก้ากับพี่แอน อาฟ้าบอกว่าทั้งคู่แต่งงานกันและย้ายกลับไปอยู่บ้านที่สงขลาก่อนที่ผมจะกลับมาแค่เดือนเดียวเอง

“น้องเลน่าสงสารมากนะน้องพี อาว่าคืนดีกันเถอะนะ” อาฟ้าพูดถึงหลังจากทำแผลให้ผมเสร็จเรียบร้อย พลางเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ลงกล่อง

...คืนดี

ผมอยากถามอาฟ้ากลับไปว่า ผมกับพี่เลม่อนมีเรื่องอะไรให้ต้องคืนดีกัน เราสองคนไม่เคยดีกันด้วยซ้ำ และคนที่เริ่มร้ายก่อนคือพี่เลม่อน ทำร้ายผมทุกทาง พอผมร้ายใส่บ้างก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง คนอย่างพี่เลม่อนไม่ควรได้รับความสงสารเลยสักนิด ถ้าไม่ถ่ายรูปถ่ายคลิปพวกนั้นมาทำร้ายผม เจ้าตัวก็คงไม่ต้องได้รับผลกรรมจากสิ่งที่ตัวเองทำอย่างทุกวันนี้หรอก

เกือบสิบปีที่พี่เลม่อนต้องซ่อนใบหน้าไว้หลังหน้ากากยามที่ออกนอกบ้าน เจ้าตัวแทบจะไม่ออกไปไหนด้วยซ้ำนอกจากออกมาทำงานอยู่หลังร้านเชิญครับ เริ่มจากการเป็นผู้ช่วยหยิบจับอุปกรณ์ทำขนมให้อาฟ้า จนกระทั่งสามารถทำขนมได้ทุกชนิดเพราะอาฟ้าถ่ายทอดความรู้ให้

แต่ที่ผมตอบอาฟ้าออกไปคือ...

“น้องเลของอาฟ้าทำตัวเองนะครับ พีไม่เกี่ยว”

“ไม่ได้เกี่ยวได้ไงครับ ก็น้องพีเป็นคนเอาคลิปกับรูปไปปล่อย น้องพีทำลายอนาคตของคนคนหนึ่งเลยนะครับ จนถึงตอนนี้น้องเลยังไม่กล้าออกจากบ้านโดยไม่สวมหน้ากาก ต้องใช้ชีวิตลำบากแค่ไหนน้องพีบ้างรู้ไหม ยังต้องมาระแวงอีกว่าเมื่อไรคลิปกับรูปพวกนั้นจะโผล่ขึ้นมาในอินเทอร์เน็ตอีก” นี่เป็นครั้งแรกที่อาฟ้าพูดเรื่องนี้แบบจริงจัง ทำให้ผมรู้สึกว่าอาฟ้าเลิกเข้าข้างผมไปแล้ว “น้องพีควรขอโทษน้องเลได้แล้ว”

“ครับพีผิดก็ได้ พีทำอะไรก็ผิดทุกอย่างแหละ” ผมประชดออกมาด้วยความน้อยใจ “แต่พีไม่มีวันขอโทษคนอย่างมัน เพราะมันทำพีก่อน มันเอาคลิปกับรูปพวกนั้นมาทำร้ายพีก่อน ก็สมควรแล้วที่มันจะทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต”

...ความสุขในชีวิตของผมหายไปก็เพราะสิ่งที่พี่เลม่อนทำเหมือนกัน!

“พีขอตัวกลับก่อนนะครับ... ต่อไปอาฟ้าไม่ต้องเสียเวลามาคุยกับพีแล้วก็ได้นะ พีอยู่คนเดียวได้ ไม่ได้น่าสงสารเหมือนน้องเลของอาฟ้า” พออารมณ์ร้อน คำพูดของผมก็ไม่เคยผ่านสมองเลยแม้แต่คำเดียว

ผมลุกขึ้นและเดินออกมาทันที ไม่มีเสียงอาฟ้าเรียกให้ผมหยุด อาฟ้าไม่ได้เดินตามออกมาด้วยซ้ำ เจ้าตัวคงไม่รักและเอ็นดูผมอีกแล้ว ขนาดผมยังเกลียดตัวเองเลยที่ทำร้ายอาฟ้าด้วยพูดพวกนั้น

“ธาร...กลับ” ผมเรียกสายน้ำที่กำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับบานอฟฟี่พาย พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงของผมเจ้าตัวก็รีบวางช้อนลงและลุกขึ้นยืนทันที

“ธารขอไปจ่ายเงินก่อนนะครับ” เจ้าตัวบอก แต่กลับทำให้ผมไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น

“ไม่ต้อง!” ผมไม่อยากยืนอยู่ในร้านนานไปกว่านี้ กลัวว่าน้ำตามันจะไหล ตอนนี้ขอบตาผมก็เริ่มร้อนวูบวาบแล้วด้วย ผมดึงแบงก์ห้าร้อยออกมาจากกระเป๋าวางลงบนโต๊ะเป็นค่าเค้กกับน้ำปั่นของสายน้ำแล้วสาวเท้าออกมาทันที มีสายน้ำเดินตามออกมาด้วยท่าทางหงอยๆ เพราะถูกผมดุ

แต่...

สุดท้ายน้ำตาผมก็ทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ทันทีที่เดินผ่านประตูร้านเชิญครับออกมา แล้วเจอเข้ากับคนที่ผมพยายามหลบหน้ามาตลอดตั้งแต่ที่กลับมาไทย

ผมจะเดินหนีก็ไม่ทัน เมื่ออีกฝ่ายข้ามถนนมาแล้ว ตรงมาหาผมด้วยความรวดเร็ว

“พี”

“อานุ...ฮึก...” อานุไม่เปลี่ยนไปเลย สายตาที่มองผมและอ้อมกอดที่โอบผมไว้ทั้งตัว น้ำตาผมไหลซึมลงไปบนไหล่ของอานุ ผมไม่ใช่เด็กตัวเล็กเหมือนตอนที่จากไป ตอนนี้ผมก็สูงเท่าอานุ แต่อานุก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมกลับไปเป็น...พีรัช ตรัยธาดา... คนเดิม

“โตแล้ว ร้องทำไม” อานุโยกตัวผมไปมา “กลับมาไทยตั้งนานแต่ไม่เคยมาหาอาเลย ไม่รักอาแล้วหรือไง” 

“...พี...ฮึก...ขอโทษ...พีไม่ได้...ตั้งใจ” เสียงผมขาดกระท่อนกระแท่น ปนไปกับเสียงสะอื้นไห้ที่เกิดจากความรู้สึกผิดที่สะสมมานานปี ความผิดในอดีตยังคงกัดกร่อนความรู้สึกของผมไม่หยุดยั้ง ยิ่งเจออานุ มันก็ยิ่งทำงานอย่างหนักหน่วง “ฮึก...อานุ...เกลียดพีมาก...ไหม...” ผมยังเกลียดตัวเองเลย

“อารักพีนะจะเกลียดได้ยังไง ปะ ไปนั่งก่อน” อานุดึงตัวผมออกตัว แล้วดึงมือพาไปนั่งที่ชุดเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในสวนย่อมข้างร้านเชิญครับ

ผมทันเห็นผ่านม่านน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหลว่าอาฟ้าเดินออกมาเพื่อพาสายน้ำกลับเข้าไปในร้าน ผมคิดว่าอาฟ้าคงโทรตามอานุให้มาหาผม ไม่อย่างนั้นอานุคงไม่มาเจอผมแบบได้จังหวะอย่างนี้ แอบคิดด้วยซ้ำว่าอานุไม่ได้ออกไปทำงานนอกคลินิกหรอก

“อาฟ้าก็บอกพีแล้วไม่ใช่เหรอว่าทุกคนไม่ได้โกรธพี เรื่องนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความผิดของพีเลย” อานุพูดหลังจากทิ้งตัวลงนั่ง

“แต่...ถ้าพีไม่โทรหาคุณย่า...คุณปู่ก็คง...” ผมไม่กล้าเอาคำสุดท้ายออกมา ไม่กล้ามองหน้าอานุด้วยซ้ำ ได้แต่ก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาหยดใส่หลังมือตัวเองที่บีบกันแน่นอยู่บนตัก

“ท่านเสียไปนานมากแล้วนะพี เราทุกคนทำใจได้หมดแล้ว และไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของพี”

ต่อให้อานุพูดว่าไม่ใช่ความผิดของผม แต่มันก็คือความผิดของผมคนเดียวเลยที่ทำให้คุณปู่ต้องจากโลกนี้ไป

...ท่านตายเพราะผม

...เพราะการตัดสินใจโง่ๆ ของผม

วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องเดินทางไปอเมริกา ผมตั้งใจแค่ว่าจะโทรไปลาคุณปู่กับคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้เลยว่าวันนั้นคุณปู่อยู่ที่ต่างจังหวัด และคุณย่าก็โทรตามคุณปู่ให้กลับมาเพื่อจะมาส่งผมขึ้นเครื่อง แต่ก็นั่นแหละ เพราะผมต้องบินในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า คุณปู่ถึงต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เพื่อให้ทันเวลาก่อนผมขึ้นเครื่อง แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น รถของคุณปู่ที่วิ่งด้วยความเร็วเกิดเสียหลักวิ่งข้ามเลนไปชนกับรถพ่วงสิบล้อและท่านก็เสียชีวิตคาที่

กว่าผมจะรู้ข่าวของท่านก็ผ่านไปครึ่งปี คนเป็นพ่อและแม่ของผมให้เหตุผลเรื่องที่ไม่บอกข่าวการเสียชีวิตของคุณปู่เพราะไม่อยากให้ผมเสียใจและโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่ผมจะหนีความผิดของตัวเองได้อย่างไร จะไม่ให้รู้สึกผิดได้ยังไง ในเมื่อผมผิดจริงๆ

เพราะรู้ตัวว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณปู่ต้องมาจบชีวิตลง ผมถึงไม่กล้ากลับไปหาทุกคน ไม่กล้าเดินเข้าไปขอโทษ กลัวต้องเจอว่าสายตาที่เคยรักและเอ็นดูผมจะเปลี่ยนไปเสียแล้ว ความรักและเอ็นดูจะเปลี่ยนกลายเป็นความเกลียดชังที่ผมพรากเอาคนสำคัญของพวกเขาไปตลอดกาล

“อานุ... พีเกลียดตัวเอง...ฮึก...เกลียดที่ทำให้คุณปู่ตาย” ตั้งแต่รู้เรื่องที่คุณปู่เสียจากอุบัติ ผมก็ไม่เคยที่จะเลิกเกลียดตัวเองเลย “แต่...แต่พีไม่อยากให้อานุเกลียดพี...อย่าเกลียดพีนะ...ฮึก...” น้ำตาผมไม่หยุดไหลได้เลย

“อาไม่เคยเกลียดพีเลย ไม่เคยแม้แต่โกรธพีเลยด้วยซ้ำ ทุกคนก็ด้วย ไม่มีใครโกรธหรือเกลียดพี มีแต่อยากให้พีกลับมาอยู่กับพวกเรา คุณย่าคิดถึงพีมาก บ่นถึงทุกวัน อยากจะไปหาพีด้วยซ้ำ แต่ท่านกลัวพีจะไม่อยากเจอ ท่านเลยทำได้แค่คิดถึงหลานชายคนโตของท่าน”

ยิ่งอานุพูด น้ำตาผมก็ยิ่งพรั่งพรูออกมาไม่ต่างจากสายน้ำ มือสองข้างของผมเปียกชุ่มไปหมดแล้ว

“วันนี้ไปหาคุณย่ากับอานะ”

“พีกลัว...พีไม่...ฮึก...ไม่กล้าไปหาคุณย่า...พีกลัวคุณย่า...เกลียด...” เสียงสะอื้นของผมดูจะดังกว่าคำพูดที่ผมพยายามเปล่งออกมาเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าคุณย่าเกลียดพี อาจะพาพีไปหาคุณย่าทำไม รู้ไหมว่าหลายปีมานี้คุณย่าไม่สบาย”

“ท่านเป็นอะไรครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความตกใจ คุณย่าที่ผมจำได้ท่านเป็นคนที่แข็งแรงคนหนึ่ง ถึงร่างกายจะผอมบางแต่ก็ดูแข็งแรงกว่าคนในวัยเดียวกันมาก

“อาว่าพีไปถามท่านเองดีกว่า”

“...” ผมไปไม่ได้ ผมกลัวถูกคุณย่ามองด้วยสายตาเกลียดชัง

“พีไม่รักคุณย่าแล้วเหรอ”

ผมส่ายหน้าช้าๆ ปฏิเสธคำพูดนั้น ผมจะไม่รักคนที่เป็นยิ่งกว่าแม่ของผมได้อย่างไร หลายปีที่ผมอยู่กับแม่ที่ให้กำเนิด ความรักที่เธอเอามันมาให้ผม ยังมีไม่ถึงครึ่งที่ผมได้รับจากคุณย่าด้วยซ้ำ

“พีกลัวคุณย่าเกลียด”

“เฮ้อ...” อานุพ่นลมหายใจออกมา มองหน้าผมนิ่งๆ ผมรีบก้มหน้าหลบสายตาที่ฟ้องว่าเจ้าของมันใกล้หมดความอดทนกับผมเต็มที “อาว่า อาพูดไปหมดแล้วนะพี ทำไมพีไม่ยอมเข้าใจเสียทีว่าไม่มีใครเกลียดพี ทุกคนรักพีและอยากให้พีกลับไปอยู่กับพวกเรา... กลับไปเป็นครอบครัวตรัยธาดาเหมือนเดิม”

“...” มันไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม ผมนึกเถียงอานุ แต่พูดออกไปไม่ได้ ไม่อยากให้อานุอารมณ์เสียที่ผมไม่ยอมฟังคำพูดของเขา

“อาไม่บังคับพีแล้วก็ได้” ว่าแล้วอานุก็ลุกขึ้นยืน ผมไม่กล้าเงยหน้ามองอานุเลย ไม่อยากเห็นใบหน้าที่ฟ้องว่ากำลังไม่พอใจผมเอามากๆ

ทว่าผมก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาจนได้ เมื่อเสียงตื่นตระหนกของอาฟ้าดังมาแต่ไกล

“พี่นุ! พี่ภาโทรมาบอกว่าคุณแม่...” อาฟ้าพูดไม่จบประโยค เจ้าตัวก็โผเข้าไปกอดคนรักของตัวเอง พูดเสียงอู้อี้อยู่ในอกอานุ

ผมไม่รู้ว่าอาฟ้าพูดอะไร แต่รู้ว่ามันต้องเกี่ยวกับคุณย่าและมันต้องไม่ดีเอามากๆ หรือว่าอาการป่วยของคุณย่ากำเริบ ซึ่งผมไม่รู้ว่าคุณย่าป่วยเป็นอะไร แต่โรคของคนแก่ก็ล้วนแต่น่ากลัวทั้งนั้น

“อานุ”

ผมเรียกอานุไว้ตอนที่เจ้าตัวกำลังจะเดินออกไปกับอาฟ้า

“พีไปด้วยได้ไหม...”

จบตอนที่ 33
ขอโทษนะคะนับวันผิด
เอาเป็นว่า 34 มาวันพฤหัสฯ นะคะ
อีกนิดก็จบแล้ววว
ขอบคุณที่ยังรอยะพีกันอยู่น้า
รักคนอ่าน จุ๊บๆๆๆ
สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 33 (21-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-03-2019 22:41:49
คือทั้งเรื่องเป็นคนไม่ปกติซักคน
จริงๆ ไม่มีใครจริงใจกับพีเลยอ่ะ ไม่ใช่ไม่จริงใจ
แต่เหมือนไม่ได้ให้ใจ แต่ก็นะ พีก็ไม่ได้ให้ใจใครเลยนิ่
แล้วคุณยะก็ไปคว้าแอลมาเป็นคู่หมั้น
ทั้งๆ ทีวีรกรรมของตัวเองก็ยาวเป็นหางว่าวขนาดนั้น
มองตอนจบไม่ออกเลยว่าจะมาลงเอยกันยังไง
แต่ก็อย่าให้ถึงขั้นใครต้องตายตอนจบเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 33 (21-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-03-2019 23:08:14
ร้องไห้อีกแล้วเรา กลัวคุณย่าเป็นอะไรจัง เอ๊ะหรือเป็นแผน
พีจะไปอยู่กับจิระจริงๆแล้วใช่ไหม ปาลินล่ะจะยังไง

เฉยๆกับเรื่องของเลม่อน แค่ถ่ายคลิปไว้ก็ไม่ควรแล้ว แต่นี่ดันส่งมันไปสร้างความเจ็บแค้นให้คนอื่นอีก ก็สมควรอยู่นะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 33 (21-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-03-2019 10:53:56
เราว่าอาฟ้าคงฟังความข้างเดียวแน่ ๆ ไม่รู้ว่าเลไปพูดอะไรไว้บ้างถึงจะให้พีขอโทษเลแบบนี้
หึ แบบนี้เขาเรียกว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ทำตัวเองแท้ ๆ นะเล อย่าโทษคนอื่น
อย่าโทษว่าเป็นเพราะพีทำให้หมดอนาคต เพราะพีก็เคยเตือนแล้วว่าให้หยุด ต้องโทษตัวเองเถอะว่าคลิปแบบนั้นมันสมควรถ่ายส่งให้คนอื่นดูหรือเปล่า ถึงมันจะสะใจที่ทำให้พีเจ็บได้ แต่มันก็แค่แป๊ป ๆ แล้วเป็นไงหมดอนาคตเพราะโดนคลิปที่ตัวเองส่งไปให้พีดูย้อนกลับมาทำให้ตัวเองเจ็บซะเอง
จะบอกไงดี สมน้ำหน้าว่ะ ทำตัวเอง #ทีมน้องพี ถึงน้องผิดก็เข้าข้างนะคะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 33 (21-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-03-2019 12:11:03
 :L2:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 33 (21-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 28-03-2019 12:19:36
แอลนี่ใครอ่ะ????
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งแรก (28-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 28-03-2019 16:31:35
ตอนที่ 34

คุณย่าที่ผมเห็นไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดวุ่นวายด้วยความหวาดกลัวมาตลอดทางตอนนั่งอยู่ในรถของอานุ ท่านไม่ได้นอนหายใจโรยแรง ไม่ได้มีใครมานั่งรุมล้อมอยู่รอบเตียง ไม่มีนางพยาบาลชุดขาวที่คอยดูแลท่านไม่ห่างกาย บรรยากาศภายในรั้วสูงของครอบครัวตรัยธาดาไม่ได้เศร้าสร้อย ตรงข้ามดูจะครื้นเครงเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่ากำลังมีงานเลี้ยงฉลองอะไรประมาณนั้นเลย

คุณย่านั่งบนเก้าอี้หวายบุนวมหนาเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ที่ผมเห็นมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก ท่านยังคงมีรอยยิ้มแจ่มใสแม้อายุเคลื่อนใกล้เจ็ดสิบปีแล้วก็ตาม ทันทีที่เห็นท่าน คำพูดมากมายในหัวที่เตรียมเอาไว้พลันหายไปหมด ในหัวของผมว่างเปล่าไม่ต่างจากห้องเปล่า มีเพียงสองคำที่พ้นออกมาจากริมฝีปากได้แต่ก็แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“คุณย่า...” ความรู้สึกมากมายมันจุกอยู่ในอก ดีใจที่ได้เจอ เสียใจที่หนีท่านไป และกลัวว่าความรักที่ผมเคยได้รับจากเธอจะไม่เหลืออีกแล้ว

“มาให้ย่ากอดหน่อยลูก” ท่านเอ่ยเรียกผมที่ยืนอยู่หลังอานุ ขาของผมมันแข็งเป็นหิน ก้าวไม่ออก ทั้งที่ใจโผเข้าไปกอดท่านไว้แน่นแล้ว จนอาฟ้าต้องหันกลับมาประคองตัวผมให้เดินไปหาคุณย่า แค่ไม่กี่ก้าวก็เหมือนระยะทางยาวเป็นกิโลเมตร

“คุณย่า” ผมทรุดตัวลงนั่งใกล้เท้าท่าน สองมือยกขึ้นไหว้ลงบนตักของท่าน น้ำตาที่ขังอยู่ในขอบตาร่วงทันทีที่ท่านโน้มตัวลงมากอด ก่อนพยุงผมขึ้นไปนั่งกับท่าน

“โตแล้ว ไม่ร้องแล้วนะลูก” ผมเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักอาบไล้บนใบหน้าที่มากริ้วรอยของวัย ดวงตาของท่านแม้จะโรยราไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทว่ายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดูผม ไม่มีความโกรธเคืองหรือเกลียดชังอยู่ในนั้นอย่างที่ผมนึกกลัวมาตลอดตั้งแต่ที่รู้เรื่องของคุณปู่

“พี...ฮึก...คิดถึงคุณย่า...” ผมกอดคุณย่า อยากจะกอดให้แน่นกว่านี้แต่ก็กลัวท่านเจ็บ ผมโตขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่กอดคุณย่า ดังนั้นผมจึงต้องควบคุมน้ำหนักของท่อนแขนเอาไว้ไม่ให้หนักเกินไปจนทำให้คนที่ถูกกอดรู้สึกเจ็บ

“คิดถึงแต่ไม่ยอมมาหาย่า” ท่านเหมือนจะดุ แต่น้ำเสียงกลับอบอุ่นและเต็มไปด้วยความปรานี “ปล่อยให้ย่านับวันรอจนจะท้อแล้วเนี่ย หรือว่าลืมย่าไปแล้ว”

“พีไม่ได้ลืม พีคิดถึงคุณย่าเสมอ แต่พี...ฮึก...พีขอโทษ”

“ไหน เอาหน้าขึ้นมาให้ย่าดูชัดๆ หน่อยลูก” ท่านแตะแขนผมเป็นเชิงบอกให้ปล่อยตัวท่านได้แล้ว ผมเลยคลายวงแขนลง เงยหน้าขึ้นมามองท่านผ่านม่านน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล “โตจนย่าเกือบจำไม่ได้ ที่นู่นกับข้าวกับปลาคงถูกปากสินะ ถึงได้ตัวโตสูงใหญ่ขนาดนี้” ขณะที่พูดคุณย่าก็เช็ดน้ำตาบนแก้มผมไปด้วย

“อร่อยครับ แต่อร่อยสู้ฝีมือคุณย่าไม่ได้” ผมไม่ได้พูดเอาใจนะ อาหารไทยที่ผมกินสิบกว่าปี กินมาตั้งแต่เกิด ยังไงก็อร่อยกว่าอาหารของชาวต่างชาติอยู่แล้ว และถึงที่นู่นจะมีร้านอาหารไทยแต่รสชาติก็สู้ฝีมือของคุณย่าไม่ได้เลย เทียบกันไม่ติดด้วยซ้ำ

“เทียบกันได้ที่ไหนล่ะลูก อาหารฝรั่งกับอาหารไทย” ท่านว่า พลางถอนหายใจ “แต่ตอนนี้ย่าก็แก่มากแล้ว ยืนทำกับข้าวไม่ค่อยไหว ก็ได้แต่นั่งดูนั่งสั่ง อีกไม่นานแล้วล่ะลูก ย่าคงได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับเตียงเพราะเรี่ยวแรงมันไม่มีเหลือให้ขยับตัวทำอะไรได้เหมือนตอนนี้”

“แต่คุณย่ายังแข็งแรงอยู่เลยนะครับ” เท่าที่สายตาผมเห็น คุณย่าถึงจะแก่ลงกว่าเดิมแต่ท่านก็ดูแข็งแรงไม่ต่างจากเมื่อก่อน

“คนแก่จะเอาอะไรมาแข็งแรง จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้เลย”

“คุณย่าอย่าพูดแบบนี้สิครับ” ผมใจคอไม่ดี ยิ่งคำว่าตายก็ทำให้ผมนึกไปถึงความตายของคุณปู่ พลางขอบตาก็ร้อนจัดขึ้นมาอีกแล้ว

“ร้องอีกแล้ว”

“พี...ฮึก...ขอโทษเรื่อง...คุณปู่...” ผมอยากพูดคำนี้กับคุณย่ามานาน เพียงแต่ความกลัวว่าจะถูกท่านเกลียดทำให้ไม่กล้ากลับมาหา “ฮึก...เพราะพี...ถ้า...ฮึก...ถ้าพีไม่โทรมา...”

“โธ่ลูก... เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ไม่มีใครโทษพีเลย”

“แต่พีผิด...ฮึก...ถ้าคุณย่าจะโกรธ...เกลียดพี...มันก็...สมควรแล้ว”

“คิดอะไรแบบนั้นล่ะลูก” ท่านปลอบ เช็ดน้ำตาบนแก้มให้ผม “ถ้าพีผิด ย่าไม่ผิดกว่าหรือไง ย่าเป็นคนโทรตามคุณปู่ เร่งให้ท่านขับรถกลับมามืดๆ ค่ำๆ แบบนั้น”

“แต่พี...”

“ไม่แต่แล้วลูก แต่เยอะเกินไปแล้ว” ท่านพูดแทรก “ย่าว่าไม่ผิดก็คือไม่ผิด คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องไป ต่อให้นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็ยังตายเลยลูก อย่างย่านี่ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเจอหน้าพีหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย พอพีกลับไป ย่าอาจจะ...”

“ไม่เอาคุณย่า ห้ามพูด” เป็นผมบ้างที่พูดแทรกท่าน เพราะไม่อยากให้คุณย่าพูดเรื่องความเป็นความตาย ผมไม่อยากสูญคนที่ผมรักไปอีกคน

“พีห้ามย่าพูดได้ แต่ห้ามสิ่งที่จะเกิดไม่ได้หรอก” ท่านว่า น้ำเสียงจางลง “ย่าไม่รู้ว่าจะอยู่เห็นพีอีกกี่วันกี่เดือน เวลาของย่าก็เหลือน้อยลงทุกที พีกลับมาอยู่กับย่าได้ไหม มาให้ย่ากอดให้ย่ารักเหมือนเมื่อก่อนนะลูก”

“แต่พี...”

“เอ้า แต่อีกแล้ว เลิกแต่แล้วมาอยู่กับย่านะ” ท่านพูดไปด้วย ยิ้มเอ็นดูไปด้วย

“พีอยู่ที่นี่ไม่ได้” ...พื้นที่ข้างกายเขาไม่ใช่ของผม

“ทำไมล่ะลูก บ้านย่าไม่น่าอยู่เท่ากับตึกสูงๆ หรือไง”

“ไม่ใช่ครับ” ผมชอบบ้านเรือนไทยที่มีสระว่ายน้ำและรายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากกว่าผนังปูนที่แข็งกระด้างพวกนั้น

“แล้วอะไรที่มันใช่ล่ะ” คุณย่าถามอีก ท่านทำท่าอยากรู้เหลือเกิน

“คุณยะเกลียดพี” ผมพูดออกมาเบาๆ คุณย่าส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“หน้าอย่างนั้นนะจะกล้าเกลียดหลานย่า ย่าว่ากลัวหลานย่าไม่รักซะมากกว่ามั้ง”

“เขาไม่ได้รักพีแล้ว” ไม่อย่างนั้นคงไม่หมั้นกับเลขาตัวเอง ความรักของคนทั้งคู่คงมาจากความใกล้ชิด ครั้งหนึ่งผมก็เคยนึกกลัวความใกล้ชิดของทั้งคู่ แล้วเป็นไงล่ะ สิ่งที่ผมกลัวก็กลายเป็นเรื่องจริงจนได้

“รักสิลูก ย่าเป็นแม่ ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกตัวเองรักใคร”

“...” ผมอยากเถียงว่าถ้ารักจะเอาแต่ผลักผมออกจากชีวิตเขาทำไม แล้วทำไมถึงหมั้นกับคนอื่น... ทำไมถึงไม่ไปตามผมกลับมา

ตั้งแต่ผมนั่งรถไปที่สนามบิน ขึ้นเครื่อง จนถึงอเมริกา และตลอดเวลาเจ็ดปีที่อยู่ที่นั่น ผมหวังว่าจะได้เห็นหน้าเขา เห็นเขามาตามผมกลับ ซึ่งผมก็ไม่เคยสมหวังเลยสักครั้ง

“ที่เงียบนี่เถียงย่าอยู่ละซี่” ท่านว่าอย่างรู้ทัน

“เปล่าครับ” ใครจะกล้ายอมรับ

“เอาเถอะ ถ้าพี่จะคิดแบบที่กำลังคิดอยู่ ย่าก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้เชื่อ ลูกของย่าก็ใช่จะดีจนไม่มีที่ติ นิสัยก็อย่างที่เห็น ทำอะไรแต่ละอย่างก็อยากเอาพัดฟาดให้น่วมทั้งตัว ไม่รู้จะตั้งแง่เล่นเกมอะไรนักหนา” คำพูดของคุณย่าสะดุดหูผมมาก กำลังจะอ้าปากถามอยู่แล้วเชียวว่า ‘ตั้งแง่เล่นเกม’ อะไร แต่อานุพูดทะลุขึ้นเสียก่อน

“คุณแม่...เย็นนี้กับข้าวมีอะไรบ้างครับ”

“ก็ของโปรด...” คุณย่าหันไปตอบลูกชายคนที่สองของตัวเอง แต่แล้วก็ชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเปลี่ยนสายตากลับมาที่ผม “...แปลกจริงเชียววันนี้ ย่าให้คนทำแต่ของโปรดของพีทั้งนั้น อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะลูกนะ”

“คือพีต้อง...ต้อง...ไปดูโรงแรมที่พัทยาครับ ไปเย็นนี้เลย” ผมรีบปฏิเสธ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะคำโกหกของผมหลอกคุณย่าไม่ได้

“นี่ถ้าย่าไม่รักพีนะ ย่าตีพีไปแล้วข้อหาโกหกคนแก่” คุณว่า “ไม่อยากกินข้าวกับย่าขนาดต้องโกหกเลยหรือไง บอกย่าตรงๆ ก็ได้ ทำแบบนี้ย่าเสียใจนะรู้ไหม”

“พีขอโทษ” เมื่อโดนจับได้ ผมก็ไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวอะไรเพิ่ม บวกกับคำพูดตัดพ้อของคุณย่าด้วย ผมเลยต้องเปลี่ยนคำตอบใหม่ “เย็นนี้พีอยู่กินข้าวกับคุณย่าก็ได้ครับ”

“ต้องให้ย่าดุซะก่อนนะ ถึงจะยอม” ท่านว่ายิ้มๆ ส่วนผมก็ยิ้มเจื่อนๆ

......................................................................

นอกจากอยู่กินข้าวเย็นกับคุณย่า รวมทั้งอานุ อาฟ้า และอาภาแล้ว ผมก็ยังต้องค้างที่บ้านเรือนไทยเพราะปฏิเสธคำขอของคุณย่าไม่ได้ แม้จะอ้างว่าไม่ได้เตรียมชุดเสื้อผ้ามาเปลี่ยน คุณย่าก็สามารถแก้ปัญหาที่เป็นแค่ข้ออ้างของผมได้อย่างง่ายดาย โดยให้อานุเอาเสื้อผ้ามาให้ผมยืมใส่ ผมเลยหมดทางที่จะปฏิเสธ อีกอย่างก็ไม่อยากจะกลับด้วยแหละ กลับไปที่คอนโดฯ ก็ไม่มีใคร และที่สำคัญผมอยากนอนกอดคุณย่าด้วย แต่เอาเข้าจริงสี่ทุ่มตรงคุณย่าก็ไล่ผมกลับทันที

ท่านไม่ได้ไล่ให้ผมกลับคอนโดมิเนียมของตัวเองหรอกนะครับ แต่เป็นกลับไปนอนที่ห้องเดิมของผมที่เรือนไทยหลังนั้นแทนที่จะเป็นเรือนของท่านอย่างที่ควรต้องเป็น

‘พีขอนอนกับคุณย่า พีอยากกอดคุณย่า’ ผมอ้อน กอดร่างผอมบางของท่านไว้หลวมๆ ตอนที่ท่านไล่ผมให้กลับไปนอนห้องของตัวเอง ท่านบอกว่าให้คนไปทำความสะอาดไว้เรียบร้อย เสื้อผ้าของอานุก็ให้คนเอาไปใส่ในตู้ไว้ให้แล้ว

‘ย่าชอบนอนคนเดียว มีคนนอนด้วยแล้วมันนอนไม่หลับ’ เหตุผลของท่านทำให้ผมหน้ายุ่ง แต่ท่านก็ไม่ง้อ ก่อนจะพูดตัดบท ‘พรุ่งนี้ค่อยมาเล่าเรื่องตอนที่อยู่เมืองนอกให้ย่าฟังต่อนะลูก ตอนนี้ย่าง่วงแล้วละ อยากนอนเต็มแก่แล้ว’

‘ครับ’

นั่นแหละผมถึงเดินกลับไปยังเรือนไทยหลังที่ผมเคยอยู่ เมื่อเดินขึ้นเรือน สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาของผมคือสระว่ายน้ำท่ามกลางแสงไฟและแสงจันทร์นวลที่ยังคงงดงามเหมือนเดิม ชวนให้อยากลงไปดำผุดดำว่ายอยู่ในนั้น แต่ผมก็เดินผ่านมันไป ผ่านห้องนอนของตัวเองด้วย เดินเลยไปจนถึงห้องนอนที่อยู่ลึกเข้าไป ห้องที่เคยว่างเปล่าทว่ายามนี้มีคนเป็นเจ้าของมานานแล้วหลายปี ก็น่าจะเท่าๆ กับเวลาที่ผมจากที่นี่ไป

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...

ผมเคาะประตูไม้เนื้อแข็งในจังหวะที่สม่ำเสมอ รอแค่อึดใจเดียวเจ้าของห้องก็เดินมาเปิดประตูด้วยสภาพใบหน้าชุ่มน้ำตา โดยไม่ได้คิดว่าคนที่เคาะประตูไม่ใช่คนที่ตัวเองคิด ถ้ารู้ว่าเป็นผม เจ้าของห้องคงไม่เปิดประตูต้อนรับผมแน่ๆ

“พี่ยะ...มึง” ครั้นเห็นเต็มตาว่าไม่ใช่คนที่ตัวเองคิด ใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่เคยยิ้มราวกับเจอฝนดาวตกก็หุบยิ้มแทบจะทันที จากรอยยิ้มก็กลายเป็นริมฝีปากที่ขบกัดอย่างข่มอารมณ์ ดวงตาแดงก่ำนั้นลุกวาวด้วยกองไฟขนาดใหญ่

“ไม่ไปกินข้าวด้วยกันล่ะครับ”

“เรื่องของกู” ถึงเขาจะเค้นเสียงตอบแบบที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังผม ทว่าเสียงนั้นก็ยังสั่นจากสายน้ำอุ่นร้อนที่เขาเพิ่งจะปาดมันทิ้งตอนที่เห็นผมยืนตรงหน้าเขา

“รู้ไหมว่าปากของพี่นี่ไม่เข้ากับหน้าสวยๆ ของพี่เลย” ตอนที่พูด ผมก็ขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่า “ปากแบบนี้ไม่โดนคุณยะสั่งสอนบ้างหรือไง เป็นผมนะ... พี่โดนแน่” ผมกำลังนึกสนุก อยากทำบางอย่างที่จะได้หยามศักดิ์ศรีของคนคนนี้

...คนที่ผมไม่เคยเอาชนะได้ 

“มึง... จะทำอะไร!” สุ้มเสียงที่ตั้งใจตะคอกใส่ผมสั่นเล็กน้อย เจ้าตัวก้าวถอยไปด้านหลังหนีผมที่สาวเท้าเข้าไปใกล้เขาไม่หยุด มาหยุดก็ตอนที่ปิดประตูแล้วมายืนอยู่กลางห้องแล้วนั่นแหละ

“พี่กลัวผมหรือครับ คนอย่างพี่ ‘เล’ กลัวผมด้วย” ผมถามยิ้มๆ จงใจเน้นเสียงหนักกึ่งเยอะเย้ยตรงชื่อที่ถูกตัดสั้นลงของอีกฝ่าย

เมื่อก่อนผมเคยตัวเล็กกว่าพี่เลม่อน มาตอนนี้ผมสูงใหญ่กว่าเขามาก

“มึงออกไป!” ถึงจะตะเบ็งเสียงไล่ แต่เสียงก็ยังไม่หยุดสั่น ผมหัวเราะในลำคอให้กับความกลัวที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สวย ใบหน้าขาวซีด และน้ำเสียงสั่นนั้น แต่ก็ยังทำใจกล้าใช้สองมือผลักอกผมเต็มแรง “กูบอกให้ออกไป!”

ผมแค่เซเล็กน้อย ก่อนจะปักหลักอย่างมั่นคง ขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ลูกตาสวยกลิ้งกลอกไปมาด้วยความหวาดระแวง

“ใส่แบบนี้นอนทุกคืนหรือครับ”

...เสื้อกล้ามที่คอลึกลงไปจนเห็นอกขาวนวลเนียน กับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเล็กและสั้นมาก

“มึงออกไป” ครั้งนี้เสียงเบาลง สองมือรวบคอเสื้อเข้าหากัน ทำยังกับจะปกป้องเนื้อตัวจากสายตาผมได้อย่างนั้นแหละ

“กลัวอะไรครับ?” ผมเอียงคอ ยกยิ้มที่มุมปากอย่างยั่วแหย่อีกฝ่าย สะใจที่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพหวาดกลัวผม “ผมน่ากลัวขนาดนั้นเชียว?” ผมถามไปด้วย ก้าวเข้าชิดตัวอีกฝ่ายไปด้วย ฝ่ายนั้นก็ถอยกรูดไปติดปลายเตียงทันที

“มึงออกไป” ย้ำคำเดิม เพิ่มเติมคือเสียงที่สั่นขึ้นอีกระดับ ดวงตาฉายทั้งแววหวาดระแวงและเกลียดชังผมไปพร้อมกัน

“ไล่จังนะครับ เกลียดผมมากหรือไง” ผมเดินเข้าไปใกล้ ใกล้จนเห็นเนื้อตัวที่สั่นเทา กลิ่นหอมหวานคล้ายชัดเจนอยู่ที่ปลายจมูก แล้วคว้าหมับเข้าที่เอวเล็ก ก่อนที่เจ้าของมันจะทันวิ่งผ่านผมไปยังประตูห้องนอน
 
“มึงจะทำอะไร! ปล่อยกู!!” ร่างเล็กและสั่นเทาดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของผม ที่โอบรัดเจ้าตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา

“เบาๆ สิครับ ใครผ่านไปมาจะตกใจเอาได้ ที่นี่เขาไม่ชอบคนพูดไม่เพราะนะครับพี่เล” ผมก้มลงไปพูดเสียงเบาข้างใบหูเล็กที่ขึ้นสีแดงเพราะอารมณ์โมโหที่ถูกผมกอด


.

.

.


อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งแรก (28-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 28-03-2019 16:40:21
อันที่จริงเวลาดึกแล้วคงไม่มีใครผ่านมาแถวนี้ แถมเรือนหลังนี้ก็ไม่มีใครนอกจากผมกับพี่เลม่อน เด็กแฝดก็ไปอยู่ที่คอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทางและทำกิจกรรม ส่วนเจ้าของเรือนน่าจะยุ่งอยู่กับกองงานในวันหยุดละมั้ง หรือไม่แน่ว่าพอรู้ว่าผมมาที่นี่ เจ้าตัวเลยเลี่ยงที่กลับมาเจอผม

“มึงจะทำอะไรกู!” เจ้าตัวหยุดดิ้นเพราะดิ้นเท่าไรก็ยังติดอยู่ในวงแขนของผม พี่เลม่อนสู้แรงผมไม่ได้ แต่ก็เปลี่ยนมากำอกเสื้อผมเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาจ้าจัดเอาเรื่อง ทว่านั่นแหละผมก็ยังเห็นว่าดวงตาคู่สวยยังเจือไปด้วยความหวาดกลัว

“อยากให้ผมทำอะไรล่ะครับ” ครั้งนี้ผมเลื่อนทั้งริมฝีปากและจมูกไปยังแก้มของอีกฝ่าย

...หอมกลิ่นแป้ง

“ทำแบบในคลิปที่พี่ชอบส่งให้ผมดีไหม” ผมกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นร้อนตกไปกระทบใบหน้าอีกฝ่าย “บางทีพี่อาจจะติดใจลีลาของผม”

“มึง!!...มึงบ้าไปแล้ว” ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเลยทีเดียว ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำในทันที

“ไม่บ้าหรอกครับ แค่นำเสนอทางเลือกให้พี่ คนแก่หรือจะสู้คนหนุ่ม” ผมยิ้ม ลดปลายจมูกกดเข้าที่แก้มแดงก่ำของพี่เลม่อนอย่างเชื่องช้า “ไม่เบื่อหรือครับที่ต้องนอนกับคุณยะแค่คนเดียว ทั้งที่เขาก็นอนกับคนอื่นไปทั่ว แถมยังมีคู่หมั้น ที่ไม่นานก็จะต้องแต่งงานกัน จากนั้นพี่ก็จะเป็นแค่ส่วนเกิน ตกอยู่ในฐานะเมียน้อย ต้องช้ำใจทุกวันที่เห็นเขารักกันหวานชื่น มีลูกด้วยกัน ส่วนพี่ก็แค่ที่ระบายความใคร่”

มือที่กำอกเสื้อผมไว้แน่นเริ่มคลายลง ดวงตาคู่สวยที่จ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่องเมื่อครูหลุบต่ำลง คงกำลังคิดไปตามคำพูดของผม

“มึงไม่รู้อะไรอย่ามาพูด” ความเจ็บปวดนั้นบรรจุอยู่เต็มในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา

“ที่ผมพูดก็เพราะเป็นห่วงพี่” ผมโกหก คนอย่างผมหรือจะสงสารคนที่เคยร้ายใส่ผม “พี่อยากทรมานไปทั้งชีวิตหรือครับ เกิดเป็นคนหน้าตาดีทั้งทีแต่ต้องมาเป็นเมียน้อยคนอื่น พี่ไม่อายคนหรือครับ เป็นผม ผมอายนะ”

ในเมื่อคนคนนั้นไม่ยอมปล่อยคนคนนี้ ผมจะเป็นฝ่ายเอาตัวไปเอง และในเมื่อผมไม่ได้ คนอย่างพี่เลม่อนก็ไม่ควรได้รับสิทธิ์ที่เคยเป็นของผม 

...ได้อยู่บ้านหลังนี้

...ได้ความรักจากทุกคน

...และได้เป็นตรัยธาดาแทนผม

ผมไม่ยอมให้พี่เลม่อนได้ในสิ่งที่ผมอยากจะได้หรอก!

“กูทนได้” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาตอบเสียงเบาหลังจากเงียบไปหลายอึดใจ “กูรักพี่ยะ... เหมือนที่มึงรัก แต่กูไม่ใช่มึง” ทุกคำพูดของพี่เลม่อน ผมรู้ว่าเจ้าตัวเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนแก้มนวล ก่อนตามมาด้วยหยาดน้ำตาเป็นสาย

“ผมไม่ได้รักเขาแล้ว ผู้ชายเฮงซวยแบบนั้นไม่มีค่าให้ใครมารักหรอกครับ” ผมพูดออกมาอย่างง่ายดาย... ก็แค่คำโกหก ผมถนัดอยู่แล้ว

“มึงโกหก” มือของพี่เลม่อนกลับมาขยุ้มอกเสื้อผมอีกครั้ง “มึงไม่มีวันเลิกรักพี่ยะได้ กูก็ทำไม่ได้เหมือนกัน” คำพูดนั้นหนักแน่นและเป็นความจริง แต่ผมไม่สนความจริงอะไรทั้งนั้น สนแค่ว่าพี่จะทำอย่างไรให้พี่เลม่อนออกไปจากชีวิตของเขาคนนั้นให้ได้ 

“พี่ลองพยายามหรือยังล่ะ”

“...” ดวงตาชุ่มน้ำหลุบต่ำอีกครั้ง

“มาอยู่กับผมสิครับ แล้วผมจะทำให้พี่ลืมคนคนนั้นเอง” ผมปล่อยมือข้างหนึ่งจากตัวพี่เลม่อน ยกมันขึ้นมาเชยคางเล็กให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมผ่านม่านน้ำตา โน้มน้าวอีกฝ่ายด้วยความจริงที่เจ็บปวด “พี่จะได้ไม่ต้องทรมานไปจนวันตาย อยู่กับคนที่ไม่มีหัวใจให้พี่เลยแม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียว มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ พี่จะเป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ที่เขาทอดทิ้งให้ฝุ่นจับ ไม่เหลียวแลเพราะเขามีคนของเขาแล้ว”

“กู...” ร่างกายที่ผมโอบกอดสั่นแรงขึ้น “...ทนได้”

“พี่ทนไม่ได้หรอก” ปลายนิ้วของผมค่อยๆ ปัดน้ำตาบนแก้มของอีกฝ่าย ใบหน้าชุ่มน้ำตาน่าสงสารน่าสงสารจับหัวใจ... ถ้าเป็นคนอื่นคนคิดแบบนี้ สำหรับผมก็แค่ความสะใจที่เห็นความอ่อนแอบนใบหน้าของพี่เลม่อน

“กู...ฮึก...”

“มาเป็นคนของผมนะ” จบคำพูดนั้นผมก็ก้มลงไปจูบปากอิ่มอย่างนุ่มนวลที่สุด

เรียวปากนั้นสั่นระริกแต่ก็ไม่ประท้วงขัดขืน เหมือนเจ้าของมันกำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมอ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากนุ่มนิ่มสักพักหนึ่ง ก่อนแทรกปลายลิ้นเข้าไปภายใน กวาดต้อนความหวานฉ่ำนั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ลิ้นเล็กไร้การต่อต้าน ซ้ำยังเผลอไผลไปกับปลายลิ้นของผมอย่างว่าง่าย ผมอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอไปกับจูบที่ยาวนาน ต้อนให้ร่างเล็กถอยไปด้านหลัง ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ให้ความนุ่มนั้นรองรับร่างกายที่โอบกอดกันไว้ของเราทั้งสองคนเอาไว้

ที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจนคือ ตัวของพี่เลม่อนหอมและนุ่มนิ่ม ยามที่จูบไปทั่วใบหน้า จมูกคลอเคลียที่ต้นคอระหง มือที่จับเค้นไปทั่วร่างบอบบาง ในหัวของผมมีคำหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

...คนคนนี้น่า ‘ทะนุถนอม’

ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโอบกอดสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่เนื้อตัวก็ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่สายน้ำเป็น ภาพในคลิปที่เคยผ่านสายตาของผมและสายตาของคนค่อนประเทศบอกว่าเจ้าตัวสนุกสนานมากแค่ไหนกับเรื่องบนเตียง

“ยะ...อย่า...” มือเล็กรั้งมือผมเอาไว้ตอนที่กำลังครอบครองส่วนอ่อนไหวของเจ้าตัว

“ไว้ใจผมนะครับ ว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งพี่” เพราะผมจะไม่มีวันยอมให้พี่เลม่อนกลับไปหาคุณยะ ผ่านคืนนี้ไป ผมจะประกาศความเป็นเจ้าของและเอาตัวพี่เลม่อนไปจากที่นี่

“...” ดวงตาฉ่ำน้ำมองผมอย่างหงอยเหงา ความเกลียดชังคงถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยเสียงแหบเบาและสั่นสะท้านฟ้องความอ่อนแอที่ไหวรุนแรงอยู่ในอก “...แล้วมึงจะปกป้องกูได้ไหม ปกป้องกูเหมือนที่พี่ยะทำ”

ผมไม่เข้าใจคำพูดของพี่เลม่อนเท่าไร ไม่รู้ว่าการปกป้องนั้นคืออะไร ปกป้องพี่เลม่อนจากอะไร แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก ที่ต้องสนใจคือหลอกล่อให้พี่เลม่อนยอมออกมาจากชีวิตของคุณยะ

“ผมจะทำให้ดีกว่าเขาอีกพันเท่า”

“มึงรับปากแล้วนะ”

“ครับ” ผมตอบรับและแนบริมฝีปากลงบนปากนุ่มนิ่มอีกครั้ง ส่งปลายลิ้นรุกเข้าไปในโพรงปากหวานฉ่ำ

ทว่าจูบนี้สั้นเกินไป เพราะถูกขัดจังหวะจากใครคนหนึ่ง หลังจากที่เสียงประตูถูกเปิดเข้ามา

“เลิกทำอะไรโง่ๆ ได้แล้วพี” คำพูดนั้นราบเรียบ ทว่าก็กรุ่นไปด้วยโทสะ ที่แม้จะไม่หันหน้ากลับไปมองผมก็เดาว่าใบหน้าของคุณยะจะฉาบทาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดแค่ไหน

“ไม่ต้องกลัวครับ” ผมก้มลงปลอบคนในวงแขน พลางขยับเอาทั้งตัวผมและตัวเขาลุกขึ้นนั่ง

ทีแรกผมนึกว่าพี่เลม่อนจะผลักตัวผมออกไป กลับตรงข้ามกับที่คิดไว้ พี่เลม่อนผวาเข้ากอดผมไว้แน่น ซุกหน้าไว้กับอกผม ราวกับจะบอกให้ผมเริ่มต้นทำอย่างที่รับปากเอาไว้คือ...ปกป้องเขา

“อย่าหวงก้างสิครับ ในเมื่อคุณจะแต่งงานแล้วจะเก็บพี่เลม่อนไว้ทำไมให้รกหูรกตาเมียคุณ” ผมหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาท้าทาย คำพูดของผมต้องการที่จะประชดเขา และตอกความเจ็บช้ำลงไปในหัวใจของพี่เลม่อน “ที่สำคัญคือเครื่องระบายความใคร่ของคุณ เขาก็มีหัวใจนะครับ ปล่อยเขาให้ไปเจอคนที่เห็นค่าของเขามากกว่าคุณเถอะ เมียของคุณจะได้มีความสุขด้วย ไม่ต้องระแวงว่าคืนไหนตื่นมาแล้วจะหาตัวคุณไม่พบ บ้านจะแตกเอาง่ายๆ” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ผมก็ยังนึกสถานการณ์บ้านแตกอย่างที่ปากแช่งไม่ได้เลย เพราะว่าที่เมียของเขาดูจะเต็มใจให้พี่เลม่อนอยู่ที่นี่

ผมไม่เข้าใจและพยายามคิดจนสมองเดี้ยงแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าอะไรที่ทำให้พี่แอลตัดสินใจหมั้นกับคุณยะ ทั้งที่เขาก็รู้ว่าพี่เลม่อนอยู่ที่นี่และเป็นอะไรกับคุณยะ ทำไมเธอถึงใจเย็นและดูจะพร้อมสำหรับการเป็นเมียหลวงและยอมรับที่สามีมีเมียน้อยเป็นผู้ชาย

สำคัญกว่านั้น เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่เธอเปิดประตูเข้าไปเจอผมกอดกับคุณยะ ก็ไม่เห็นเธอโวยวายใส่คู่หมั้นที่เป็นเจ้านายของเธอเลย ซ้ำน้ำเสียงตอนนั้นก็ยังดูจะเกรงใจเขาด้วยซ้ำที่เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะคนในห้อง

“เลม่อน... มาหาพี่” เขาไม่สนคำพูดผม หันไปเอ่ยเรียกคนในวงแขนผมแทน ฝ่ายถูกเรียกก็เริ่มมีปฏิกิริยากับคำเรียกนั้นที่ดังซ้ำอีกครั้งอย่างนุ่มนวล ฟังคล้ายปลอบประโลมอยู่ในที “...มาหาพี่”

“พี่ยะ” ท่อนแขนเล็กคลายออกจากตัวผม แม้ผมอยากจะดึงตัวพี่เลม่อนเอาไว้ แต่ก็ต้องยอมปล่อย หากไม่ปล่อยผมก็ยิ่งเหมือนคนแพ้

พี่เลม่อนลงจากเตียงเดินไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา... อ้อมกอดที่ผมอยากได้คืน

“อย่ายุ่งกับเลม่อน” เขาเอ่ยเสียงเรียบทว่าเยือกเย็นจับขั้วหัวใจ อ้อมกอดที่ผมอยากได้คงไม่มีวันได้คืนมา

“ไม่อยากให้ผมยุ่งก็ดูแลให้ดีสิครับ”

“ฉันดูแลดีแน่” เขาตอบผม ก่อนก้มลงกระซิบกับคนในอ้อมแขน เสียงของเขาเบาแค่ไหนแต่ผมก็ยังได้ยิน “ไปนอนห้องพี่นะ” แล้วเขาก็ช้อนตัวคนตัวเล็กขึ้นจากพื้นเข้าสู่วงแขนแข็งแรง อุ้มพาออกไป

...ทิ้งผมไว้กับความเจ็บปวดที่กรีดร้องไปทั่วห้อง

......................................................................

หลังจากอาบน้ำและหยิบเอาชุดของอานุในตู้เสื้อผ้าออกมาใส่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปที่หน้าต่างห้อง เปิดมันออกเพื่อให้สายลมเย็นของยามดึกพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนที่คุ้นเคยเข้ามาปะทะจมูก ผมสูดเอากลิ่นหอมเย็นเข้ามาในปอด ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง กวาดสายตามองไปรอบห้องที่แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ผ่านมากี่ปีก็ยังคงเดิมเหมือนรอคอยให้ผมกลับมา หลับฝัน และมีความรักอันสดใส แต่ผมรู้ว่าผมเดินมาไกลมากแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับไปยังวันวานที่โหยหาได้อีก

ไม่นานกลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนก็ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นนิโคติน ควันสีขาวหม่นหมองลอยคลุ้งออกจากริมฝีปากอย่างเรื่อยเอื่อย ผมปล่อยให้ความคิดวนเวียนอยู่กับภาพที่เห็นเมื่อหลายนาทีก่อน ภาพที่ร่างสูงใหญ่ช้อนร่างบอบบางที่สั่นเทาขึ้นสู่วงแขนและพาออกไป ทิ้งผมให้มองตาม... อย่างคนที่ไม่ว่าเมื่อไรก็เจอแต่คำว่าพ่ายแพ้

...ผมเอาชนะเขาไม่ได้

...เอาชนะพี่เลม่อนก็ไม่ได้

สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายไป เวลาของผมที่นี่หมดลงแล้วตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจจากลา และอีกแค่เดือนกว่าๆ ผมก็จากไปอีกครั้ง

บุหรี่หมดมวน ผมเก็บปลายก้นกรองใส่กล่องสีเงิน ไม่ได้เอาทิ้งขยะที่ตั้งวางอยู่ใกล้โต๊ะเขียนหนังสือ เพราะไม่อยากให้คนที่ดูแลเรือนไทยหลังนี้มาเห็นซากของมันแล้วเอาไปรายงานคุณย่า หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าควรกลับไปนอนที่คอนโดฯ ของตัวเอง ออกไปตอนนี้คุณย่าไม่น่าจะรู้เพราะดึกแล้วและท่านก็เข้านอนแล้วด้วย

เฮ้อ... ในเมื่อผมคิดจะยอมแพ้และย้ายกลับไปช่วยงานของคนเป็นแม่แล้ว ผมก็ไม่ควรจะมีความหวังให้ตัวเองต้องเจอกับความผิดหวังซ้ำซาก บางทีผมควรสงสารหัวใจตัวเองที่ถูกใช้งานเสียที ก่อนที่มันจะผุพังจนไม่สามารถใช้รักใครได้อีก

“พอได้แล้วมั้ง พยายามไปก็เท่านั้น ยังไงเขาก็ไม่รักเราแล้ว ไม่มีเขาก็ใช่ว่าเราจะตายเสียหน่อย รักตัวเองได้แล้ว” ผมพึมพำกับตัวเอง ตอกย้ำให้ตัวเองจำให้ขึ้นใจ เข้าใจเสียทีว่าต่อให้พยายามแค่ไหน ความพยายามนั้นก็สูญเปล่า

ตอนแรกผมตั้งใจโทรหาสายน้ำให้ขับรถมารับผม (รถของผมให้สายน้ำขับกลับไปไว้ที่คอนโดฯ ของเจ้าตัวก่อน) แต่ดูเวลาที่ดึกมาแล้วและสายน้ำก็บอกว่าวันจันทร์มีสอบย่อย เลยต้องเปลี่ยนใจเก็บโทรศัพท์ซุกกระเป๋าไปอีกครั้ง เอาเป็นว่าผมควรเดินออกไปหน้าปากซอยและโบกแท็กซี่กลับคอนโดฯ ด้วยตัวเองดีกว่า และถือว่าเป็นโชคดีหน่อยๆ ที่ชุดของอานุที่ผมใส่อยู่เป็นกางเกงผ้าขายาวกับเสื้อยืดคอวี ไม่ใช่ชุดนอน เดินไปเรียกแท็กซี่ด้วยชุดนี้ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไร

แต่ใครจะคิดละว่า พอเปิดประตูออกมาจะเจอเข้ากับคนที่ไม่คิดว่าจะเจออีกในคืนนี้ เจ้าของร่างสูงที่มากกว่าผมไปไม่เท่าไรยืนรอราวกับรู้ว่าผมจะเดินออกมาจากห้องอย่างนั้นแหละ

“...”

“...”

กลางคืนที่ว่าเงียบแล้ว คำพูดระหว่างผมกับเขาเงียบยิ่งกว่า จนกระทั่งปลายเท้าของผมเริ่มขยับอีกครั้งหลังถูกตรึงเอาไว้ด้วยนัยน์ตาคมกริบที่กรุ่นด้วยอารมณ์หลายอย่าง มากเสียจนผมแยกแยะไม่ออกว่าในตอนนี้คนคนนี้รู้สึกอย่างไรกันแน่


จบครึ่งแรก

ที่จริงแต่งตอน 34 จบแล้วนะคะ แต่ตอนกลับมารีไรท์ แล้วมาเจอฉากโคมไฟ
คนเขียนก็ลองนับว่าฉากหวานฉ่ำของคู่นี้มีน้อยนิด แลแห้งแล้งไปหน่อย 55+
เลยต้องตัดโคมไฟทิ้ง แล้วเขียนใหม่ให้ชุ่มฉ่ำ แต่ไม่รู้ว่าจะฉ่ำหรือแป้กนะคะ ^_^
เลยทำให้ตอน 34 เขียนไม่เสร็จ แต่ก็บอกทุกคนแล้วว่าจะเอาลงวันนี้
ก็เลยเอามาลงครึ่งหนึ่งก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาครึ่งหลังมาลงค่ะ
ปล.ตอบคุณ naumi ที่ถามว่าแอลเป็นใคร แอลชื่อหัทยา เป็นเลขาคุณยะค่ะ
 :bye2:
สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งแรก (28-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-03-2019 16:59:32
ขาดตอนมากกกกกกก แต่จะรอพรุ่งนี้อีกครึ่งนะคะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 33 (21-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 28-03-2019 18:42:34
แอลนี่ใครอ่ะ????
คือเลขาคนเดิมของคุณยะค่ะ คนที่เคยมาเห็นสภาพของน้องพีตั้งแต่ครั้งแรกที่น้องพีโดนวางยาแล้วมีอะไรกับคุณยะนั่นแหล่ะค่ะ

อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาก็ร่วงอีแล้ว แอบอยากรู้เรื่องเลแฮะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งแรก (28-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 28-03-2019 20:09:13
จะจบแล้ว แต่เหมือนยังไม่จะจบเลย วนวนวนแล้ววนเราก็อ่านวนไป
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งแรก (28-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 29-03-2019 11:13:24
ถ้าน้องพีจะคิดได้ แล้วถอยออกมาจากจุดที่ชวนอึดอัดและเสียใจ เราก็เชียร์นะ ถอยออกมาจากจุดนั้น มาดูแลหัวใจของตนเอง เหมือนที่บอกว่า ไม่มีเขา น้องพีก็อยู่ได้ อยู่ในที่ของตนเอง  นี่คือมุมมองที่อ่านจากน้องพีนะครับ เพราะสิ่งที่อ่านจากเรื่องนี้ ทั้งหมดมาจากมุมมองของน้องพีฝั่งเดียว สิ่งที่เราไม่รู้จากส่วนอื่นคงไม่สามารถสรุปได้ แต่จากมุมของน้องพี เราว่าน้องเสียใจมาเยอะมาก โดนทำร้ายจิตใจมาเยอะมากแล้ว
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง (30-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 30-03-2019 00:12:38
มารอ 34 ครึ่งหลังค่ะ แต่ทำไมมาแต่หัวอ่ะ  :z3:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง (30-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 30-03-2019 00:55:24
ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง
(อ่านจบแล้วอย่าลืมอ่านช่วงพูดคุยน้าา เราจะแก้ตัวแทนคุณยะเองงง)

“หยุดทำอะไรโง่ๆ สักที” เขาคว้าแขนผมไว้ก่อนที่ผมจะเดินผ่านเขาไป

“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร” ผมแกล้งไม่รู้ ตีหน้างง ว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเรื่องที่ผมไปยุ่งกับคนของเขา “แล้วก็ปล่อยผม ผมจะกลับบ้าน” ผมบอก จะดึงแขนออกมาก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่เบาแรงบีบแขนผมลงเลย

“มีเรื่องโง่ๆ หลายอย่างสินะที่เธอทำ”

ใช่!

แต่ละเรื่องโง่ๆ ที่ผมทำก็เพราะเขาทั้งนั้น!

“อย่ายุ่งกับเลม่อน”

“ผมไม่จำเป็นต้องเชื่อคุณ” ผมเชิดหน้าตอบกลับไปอย่างท้าทาย “กลัวคนของคุณจะเปลี่ยนใจมาหาผมหรือไง ถ้ากลัวก็จับล่ามไว้สิ!” ทำเป็นหวงก้าง ในใจผมทั้งเดือดทั้งเจ็บ คำพูดของเขาแสดงความหึงหวง อาการบนใบหน้าและแววตาที่จ้องผมเขม็งนั้นฟ้องอย่างชัดเจนว่าโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว

โกรธผมมากสินะที่ไปยุ่งกับคนของตัวเอง

ผมก็โกรธเหมือนกันเขาเหมือนกันที่แต่พี่เลม่อน!

“เธออยากได้อะไรพี” มืออีกข้างของเขาคว้าหมับเข้าที่เอวตอนถามผมด้วยคำถามที่เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว ผมรีบยกมือดันแผ่นอกกว้างเอาไว้ เมื่อเขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกจะแตะกันอยู่แล้ว แต่นั่นก็ทำให้ลำตัวด้านล่างแนบแน่นมากยิ่งขึ้น “อยากได้ฉันอย่างนั้นเหรอ?”

และไม่รอเอาคำตอบ เจ้าของคำถามก็ใช้กำลังที่มีมากกว่าผมเพราะร่างกายที่หนากว่าดันตัวผมกลับเข้าไปในห้อง พร้อมกับปิดประตูและล็อกอย่างรวดเร็ว

“จะทำอะไร!” ถามทั้งที่พอจะคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่ให้ผมรู้ได้อย่างไรในเมื่อตอนที่ร่างกายช่วงล่างแนบกันอยู่นั้น ความร้อนระอุแบบไหนที่ผมสัมผัสได้จากเนื้อตัวของเขา

“ทำทุกอย่างที่เธออยากได้จากฉัน” ระหว่างที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ผมก็ถูกเขาลากตัวมาจนถึงเตียง ก่อนจะถูกดึงลงไปนอนอยู่ใต้ร่างหนาอย่างง่ายดาย

ความคิดขัดขืนนั้นผมมีเต็มร้อย แต่ดวงตาสีราตรีที่จ้องลงมาทำให้ผมได้แต่ขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอกจนแทบระเบิดออกมาเป็นถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความโหยหา

“อยากให้ฉันทำกับเธอแบบไหน?” เขายังคงป้อนคำถามที่ตั้งใจเยาะเย้ยถากถางผม

“...” ริมฝีปากของผมถูกขบจนรู้สึกเจ็บ ผมหันหนีสายตาที่กวาดมองไปทั่วใบหน้าผม กับริมฝีปากที่ยกยิ้มนิดๆ ตรงมุมปากของเขา ฝากสายตาไว้กับผนังห้อง ก่อนจะปิดเปลือกตาลงทันทีที่ปลายจมูกโด่งกดลงบนผิวแก้มเห่อร้อน

“คิดถึงฉันมากไหม”

...มากสิ! มากเสียจนสามารถนอนร้องไห้ตั้งแต่ตอนกลางคืนจนถึงตอนเช้าได้เลยนะ แต่ผมไม่ตอบความจริงที่ทำให้ตัวเองพ่ายแพ้ออกไปหรอก!

“ทำไมไม่ตอบล่ะ หรือว่าไม่เคยคิดถึงฉันเลย”

...ไม่เคยไม่คิดถึงเลยต่างหาก แต่ก็ตอบกลับไปไม่ได้

“อยากให้ฉันปล่อยไหม”

...เอาความจริงก็คือไม่

“ไม่ตอบ แสดงว่าอยากให้ฉันกอดเธอไว้ทั้งคืน”

...อยากให้คนคนนี้กอดผมไปตลอดทั้งชีวิตมากกว่าแค่คืนนี้คืนเดียว เพราะผมเป็นคนโลภมาก อยากได้เขาเป็นของผมคนเดียว ไม่อยากแบ่งเขาให้ใคร แต่จะให้ใช้เขาร่วมกับคนอีกหลายคน และต้องกลายเป็นแบบที่เมื่อชั่วโมงก่อนเคยพูดใส่หน้าพี่เลม่อนเอาไว้ หัวใจผมคงถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน

พอเขาถามหรือพูดอะไร ผมก็เอาแต่เงียบอยู่ใต้ร่างของเขา หรือเขาอาจจะคิดว่าความเงียบของผมคือคำยินยอมให้เขาทำอะไรก็ได้ตามที่เขาสรุปเมื่อกี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดต่อ แต่ใช้มือดึงใบหน้าผมให้กลับไปหาเขา

ถึงแม้ดวงตาของผมจะซ่อนอยู่หลังเปลือกตาอย่างมิดชิด แต่ก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพียงแค่วินาทีเดียวริมฝีปากหนาของเขาก็กัดกินริมฝีปากผมอย่างอ้อยอิ่ง กระตุ้นความรู้สึกมากมายให้ถาโถม โดยเฉพาะจุดที่ไวต่อสัมผัสที่โดนเสียดสีไปพร้อมกัน

“ยังเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทุ้มต่ำดังคลอชิดริมฝีปาก ก่อนเรียวลิ้นชื้นจะแทรกตัวเข้ามาภายในโพรงปากอย่างง่ายดาย เป็นผมเองที่เต็มใจ ไม่ต่างจากคนใจง่าย

ยามที่เรียวลิ้นของผมสัมผัสเกี่ยวพันกับลิ้นร้อนของเขานั้น ผมอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ หยุดอยู่แค่ว่าเขาจูบผมอย่างอ่อนโยน เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง มันเหมือนกับว่าเขาก็คิดถึงผมเหมือนกัน เขายังต้องการผม และผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับความรู้สึกรักจากเขา

ยิ่งผมหวังแบบนั้น ผมก็ยิ่งเต็มไปด้วยความปรารถนา กล้าที่จะเปลี่ยนจูบอ่อนโยนของเขาให้กลายเป็นความร้อนแรงแสนเร่าร้อน เกี่ยวกระหวัดเปลี่ยนลิ้นเข้าหากันด้วยความรู้สึกอยากกลืนกินจนไม่เหลือให้ใครได้มันไป แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวผมก็ไม่ยอม

ผมบุกรุก และเป็นผู้นำ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมทำได้และดูเหมือนอีกฝ่ายก็พอใจมากทีเดียว แต่ก็เอ่ยประชดออกมาตอนที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่ผละออกจากกันเพื่อเต็มอากาศเข้าไปในปอด

“เก่งขึ้นเยอะเลยนะ” เสียงเขาติดจะหอบ แต่ผมหอบหนักยิ่งกว่า เพราะเราจูบกันนานมาก นานมากจริงๆ จนรู้สึกได้เลยว่าปากของตัวเองบวมเป่งไปแล้ว

“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” ผมประชด เพราะคิดว่าคำถามของเขาก็เป็นคำประชดผมเหมือนกัน

“ไม่ดีหรอกพี” เขาส่ายหน้าช้าๆ ขณะที่มือจับชายเสื้อยืดดึงออกจากตัวผม โดยมีผมที่ให้ความร่วมมืออีกตามเคย ด้วยการไม่ขัดขืนได้ ได้แต่นอนมองหน้าเขาด้วยความร้อนของใบหน้าตัวเอง ความร้อนจัดที่ลุกลามไปจนทั่วร่างกาย

ทำไมผมไม่ขัดขืน

อย่าถามเลย ผมไม่มีคำตอบ มีแต่ร่างกายที่ยินยอมไปอย่างง่ายดาย มันเป็นไปตามความรู้สึกโหยหา นานเท่าไรแล้วที่ร่างกายผมไม่ถูกสัมผัสแสนอ่อนโยนของเขาโอบกอดเอาไว้

ไม่ใช่แค่เสื้อยืดที่ห่อหุ้มร่างกายส่วนบนพ้นออกจากตัว กางเกงที่ปกป้องร่างกายส่วนล่างไว้ก็ถูกดึงออกจากขาในเวลาไล่เลี่ยกัน ตอนนี้ตัวผมไม่เหลืออะไรเลยนอกจากผิวเนื้อที่ขึ้นสีระเรื่อ ทอดเรือนร่างที่แปลกไปจากเมื่อเก้าปีก่อนให้สายตาคมกริบโลมเลีย

ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมกำลังถูกสายตาสีราตรีที่เป็นประกายแวววาวจ้องโลมเลียให้รู้สึกถูกความปรารถนาเผาผลาญ ราวกับว่าเจ้าของมันกำลังเห็นของถูกใจ สายตาแบบนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อเก้าปีก่อนเลย เขาก็ใช้สายตาแบบนี้มองผม

“คุณบอกว่าไม่ชอบรูปร่างของผม” คำพูดของคนที่ใช้สายตาโลมเลียร่างกายผมไปด้วย และแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองไปด้วยนั้น ย้อนกลับเข้ามาในหัวของผม คืนนั้นที่บันไดของชั้นใต้ดินตรงมุมลับตาคน

เขาพูดว่า

‘รูปร่างแบบนี้ ไม่มีตรงไหนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสัมผัส’

“...แต่ก็มองตาไม่กะพริบเลยนะครับ” ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ก็นั่นแหละ ผมมั่นใจว่าเป็นอย่างที่ตัวเองพูดใส่หน้าพูดจริงๆ

“เมื่อไร?” คิ้วเข้มเลิกสูงเป็นเชิงปฏิเสธ เสื้อเชิ้ตพ้นจากลำตัวกำยำและร่วงลงไปกองพื้นข้างเตียงรวมกับเสื้อผ้าทุกชิ้นของผม

“วันที่ผมเอาน้ำส้มสาดหน้าคุณไง” ผมตอบอย่างหมั่นไส้ท่าทีแสนสบายของเขา พลางโน้มตัวลงมาหาผมอีกครั้ง อีกนิดเดียวปลายจมูกของเขาก็จะชนกับปลายจมูกของผม

“อ้อ... วันที่เธอจูบกับเมียคนอื่นงั้นเหรอ?” ยิ้มของเขาอยู่ใกล้เสียจนอยากจะผลักตัวเขาออกไป ทว่าสองมือของผมก็ทำได้แค่วางทาบไปบนแผ่นอกกว้าง ความอุ่นซ่านอยู่ภายใต้ฝ่ามือ

...ตัวเขาก็ร้อน ไม่ต่างจากผมเลย

“ตั้งแต่เมื่อไรพี ที่เธอชอบไปยุ่งกับเมียของคนอื่น” เขาถาม ริมฝีปากกลับไม่ได้อยู่ตรงหน้าผมเสียแล้ว มันเคลื่อนตัวลงไปอยู่แถวซอกคอเป็นที่เรียบร้อย เขาทั้งจูบ ทั้งดูด และกัด ถึงจะทำอย่างนั้นปากก็ยังเอ่ยคำพูดออกมาได้เรื่อยๆ “เธอรู้บ้างไหมพี ว่าฉันต้องเปลืองคำขอโทษมากแค่ไหน ต้องขอให้พวกนั้นไม่เอาเธอถึงตาย โทษฐานที่ไปยุ่งกับของรักของหวงของคนอื่น คราวหน้าจะทำอะไรให้คิดบ้าง” 

“ใครใช้คุณล่ะ...อื้ออ” ผมเถียงกลับ ไม่ทันไรก็ถูกลงโทษด้วยจูบหนักหน่วงที่ทำให้ความรู้สึกภายในพุ่งทะยาน สองมือของเขาบีบเคล้นไปตามร่างกายเปลือยเปล่าของผม ไล่ลงไปจนถึงจุดอ่อนไหวที่แข็งขืนจนปวดหนึบ สิ่งที่อยู่ภายในอัดแน่นรอเวลาไหลทะลัก ทั้งที่แค่เริ่มต้น ร่างกายของผมกลับตอบสนองสัมผัสของเขาได้รวดเร็วเหลือเกิน

สัมผัสที่คุ้นเคยกับอุ้งมือร้อนจัด... ที่ผมไม่เคยปฏิเสธได้เลย และไม่ปฏิเสธได้เลยว่าผมโหยหาสิ่งเหล่านี้จากเขาด้วยเช่นกัน

“พี...จำสัมผัสของฉันได้ไหม”

...ไม่เคยลืม ผมตอบคำถามของเขาโดยไร้เสียงพูด

“อ๊า...คุณ...ยะ...อืออ...” มือของเขาที่รูดดึงอย่างเป็นจังหวะทำผมหลุดเสียงครางอย่างห้ามไม่อยู่ แผ่นหลังกับบั้นท้ายแทบไม่ติดเตียง ทุกอย่างที่อยู่ในสายตาเริ่มพร่ามัว ขวาโพลนและแตกสลายอยู่ในกำมือของเขา

แผ่นหลังของผมกลับลงมาสัมผัสกับผ้าปูเตียงอีกครั้ง เสียงหอบหายใจของผมดังแรงฟ้องความสุขสมที่ถูกปลดปล่อยออกมา พอความขาวโพลนจางลง การมองเห็นเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นไปได้ผมก็อยากตาบอดชั่วคราว เพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นรอยยิ้มของคนที่เหยียดกายตรงอยู่ตรงหน้า เขายิ้มจนตาพราวระยับ บ่งบอกว่าทั้งถูกใจ พอใจ และเย้าแหย่ความอ่อนด้อยของผม ที่แค่ใช้มือปลุกเร้า ผมก็สุขสมได้ในเวลาอันน้อยนิด

“เสียดาย” เขาเอ่ยออกมา

“...?” ผมมองตามสายตาของอีกฝ่าย จนไปเจอสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือ ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าคืออะไร... ก็ความอ่อนด้อยของตัวผมเองไง ที่เขาใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ทำให้มันทะลักทลายออกมา แถมยังเยอะมากด้วยเพราะเป็นเดือนแล้วมั้งที่ผมไม่ได้นอนกับใคร ไม่ได้ช่วยตัวเองด้วย เพราะชีวิตช่วงที่ผ่านมาผมก็มีแต่ความทุกข์ใจจากการกระทำของคนร่วมเตียงในตอนนี้ ซ้ำยังต้องเร่งสะสางงานก่อนกลับไปอเมริกา... และตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถาวร

ไม่เข้าใจในคราวแรกว่าคุณยะพูดคำว่า ‘เสียดาย’ ออกมาทำไม เขาเสียดายอะไร มาเข้าใจก็ตอนที่ขาสองข้างถูกจับแยกจากกันและร่างร้อนผ่าวของอีกฝ่ายแทรกกายเข้ามาอยู่ตรงกลาง มือข้างที่สะดวกที่สุดเอื้อมขึ้นมาดึงหมอนใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างศีรษะผมลงไป ใช้มันรองสะโพกผมให้สูงขึ้น

“เสียดายที่ไม่ได้ชิม” ยิ้มร้ายกาจกับดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ มันทำให้ผมแทบลืมหายใจ ลืมแม้กระทั่งจะต่อต้าน หน้าของผมร้อนจัดจนคิดว่าอีกนิดคงได้มอดไหม้

“หน้าไม่อาย...” ผมดับกองไฟบนผิวหน้าด้วยคำด่า ที่คิดว่าตวาดไปสุดเสียงแล้ว กลับพบว่าเบาเหลือเกิน ยังกับว่าไม่หลุดออกมาจากลำคอเสียด้วยซ้ำ

เขาแค่ยกยิ้มที่มุมปาก ส่วนผมก็ได้แต่ทอดกายอ่อนล้าหลังการปลดปล่อยและมองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

...อย่า

คำที่ควรจะหลุดออกมาจากริมฝีปาก ตอนที่นิ้วชุ่มลาวาสีขาวข้นแทรกตัวจากปากทางเข้าสู่ความคับแน่นภายใน มิหนำซ้ำยังไม่กล้าให้ความเจ็บปวดหลุดรอดออกมาจากลำคอ เพราะไม่อยากให้การกระทำที่พยายามจะนุ่มนวลที่สุดของเขาสะดุดลง แม้ผมจะเจ็บมากก็ตาม ก็น้ำรักของผม มันไม่ได้มีคุณภาพเทียบเท่ากับเนื้อเจลที่เป็นสารหล่อลื่นซะหน่อย

ในส่วนที่ลึกที่สุด ที่มันซื่อตรงที่สุดนั้น หวังไว้สูงมากว่าหากผมกับเขากลับมามีอะไรกันอีกครั้ง ความผูกพันที่เคยมีร่วมกันเหมือนอย่างในภาพวาดสีน้ำมันจากปลายพู่กันของศิลปินคนดังจะหวนกลับคืนมาได้ ผมหวังว่าร่างกายและช่องทางที่รองรับตัวตนของเขาเอาไว้ จะทำให้เขาหลงใหลและไม่ยอมปล่อยมือจากผม

“เจ็บเหรอ?” คำถามของเขาดึงผมออกมาความคิดที่เต็มไปด้วยความหวัง เพิ่งรู้ตัวว่ามือทั้งสองกำผ้าปูเตียงไว้แน่นทีเดียว   

ผมรีบส่ายหน้า ก่อนจะหลบสายตาที่มองมาอย่างหยอกเย้าในความต้องการที่ปิดไม่มิดของผม

...ผมต้องการเขา ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างจากเขา ทั้งการกระทำและความรัก

“ถ้าไม่เจ็บ” เขาพูดปนรอยขำ “ฉันจะเพิ่มทีเดียวสามนิ้วเลยนะ”

เขาแกล้งผม และยังคงแกล้งอย่างต่อเนื่อง เวลาแบบนี้ที่ทั้งเขาและผมต่างเหลือแค่ตัวเปล่าๆ ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นปกปิดร่างกาย เขาก็ยังมีอารมณ์สรรหาคำพูดมาทำให้ผมรู้สึกอับอาย

“หรือว่าแค่สามนิ้วมันไม่พอ ต้องมากกว่านี้หรือเปล่า” เขาไม่ได้แค่พูดแต่ทำไปพร้อมกัน จากที่มีแค่นิ้วเดียวที่แทรกตัวผ่านเข้ามาและทำให้ร่างกายผมเหมือนถูกจับแยกออกจากกัน ไม่ทันให้ผมได้ผ่อนความเจ็บปวดลง อีกสองนิ้วก็แทรกตัวเข้ามาแย่งพื้นที่คับแคบไปเสียแล้ว

“อึก...” เจ็บก็ยังต้องกัดฟันทน โทษใครไม่ได้เลย นอกจากตัวเองที่ต้องการสิ่งที่จะได้หลังผ่านความเจ็บปวดนี้ไป... ไม่ว่าใครก็ต้องการถูกคนที่เรารักโอบกอด ผมก็ด้วยเหมือนกัน

“ไหวหรือเปล่า” เป็นคำถามที่เอาไว้ใช้ให้ผมอับอายและท้าทายอยู่ในคราวเดียวกัน “ไม่ไหว ฉันจะได้หยุดทำ ไม่อยากรังแกเด็ก” ซึ่งก็ได้ผลเสียด้วย

“ก็ทำไปสิ!” ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด ความร้อนบนผิวแก้มละลายไปกับคำพูดที่ชอบยั่วแหย่ให้ผมสิ้นความอดทน ก่อนสำทับลงไปอีกว่า “อย่าพูดมาก!! จะทำก็ทำไป ทำเสร็จเมื่อไร ผมจะได้กลับเสียที” เป็นคำพูดที่ไม่ตรงกับความต้องการในหัวใจเลย

“อยากไปก็ไปสิ ใครดึงขาเธอไว้ล่ะพี” เขาสวนกลับคำพูดของผมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนิ้วที่ถอนออกมาและทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า

ความรู้สึกตอนนี้เหมือนว่าตัวเองถูกโยนทิ้ง ไม่ต่างจากของไร้ค่า ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ใบหน้าที่ระบายด้วยสีแดงก่ำเมื่อครู่คงเหลือทิ้งไว้แค่สีซีดจาง ไม่ต้องมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ผมก็เดาสีบนใบหน้าของตัวและริ้วรอยความสิ้นหวังที่ระบายอยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน

ผมปิดเปลือกตาลงช้าๆ อยากเอาตัวลุกออกจากเตียง ใส่เสื้อผ้า และออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด กลับไปร้องไห้ให้กับความไร้ค่าของตัวเอง แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม ที่ทำได้ในเวลานี้คือกลั้นก้อนสะอื้นไม่ให้หลุดออกมาฟ้องความไร้ค่าของตัวเองเท่านั้น

ห้ามเสียงของความเจ็บปวดได้ แต่กลับห้ามความอุ่นร้อนที่ไหลออกมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิทได้เลย

“ฮึก...” สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งน้ำตา ทั้งเสียงสะอื้น

“ขี้แย” คำที่มาพร้อมกับร่างกายแข็งแกร่งที่โน้มลงมา ก่อนริมฝีปากหนามอบความหวานที่ทำให้สายน้ำตาหยุดไหลได้ในทันที 

ผมเผยอริมฝีปากรับเรียวลิ้นของอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ สองมือที่เคยจิกทึ้งผ้าปูที่นอนยกขึ้นมาโอบกอดแผ่นหลังหนาเอาไว้ ราวกับจะเหนี่ยวรั้งไม่ให้เจ้าของมันทอดทิ้งผมไปอีกครั้ง ไม่ใช่แค่จูบดูดดื่มที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือของเขาก็ร้อนแรงไม่ต่างกันเลย

สองมือร้อนๆ ปลุกเร้าร่างกายของผมอย่างช่ำชอง น้ำหนักมือที่ลงไปในแต่ละหนชวนให้แผ่นหลังกับบั้นท้ายไม่ติดกับที่นอนได้เสมอ

“อยากให้ฉันทำอะไรเธอ” เมื่อริมฝีปากผละออกจากกันก็มีคำถามตามมาทันที ลูกตาสีดำหวานฉ่ำที่ผมมองสบนั้น ราวกับว่ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังตอบคำถามนั้นออกไป

“อยากให้กอด”

“ตอนนี้ก็กอด”

“ไม่ใช่!” ผมเผลอตวาด แต่ก็รีบปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง เพราะกลัวจะทำให้เขาโมโห แล้วหยุดทุกสิ่งทุกอย่างลง “ไม่ใช่กอดแบบนี้”

“แล้วกอดแบบไหน” ตาเป็นประกายระยิบระยับ ฟ้องว่ากำลังถูกอกถูกใจที่ได้ต้อนผมให้จนมุมต่อความต้องการของตัวเอง

“ใส่เข้ามา” ผมหลับตากลั้นใจพูด ความร้อนบนใบหน้าทะลุดาวอังคารไปแล้วมั้ง

“น้องพีคนดี...อยากให้ฉันใส่อะไรเข้าไป” เสียงทุ้มหยอกเย้า ริมฝีปากแวะเวียนอยู่แต่กับผิวแก้มร้อนจัดของผม พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ย้ายไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวที่เริ่มปวดหนึบ แล้วก็บีบเค้นหนักบ้าง เบาบ้าง สลับกับรูดดึงปลุกอารมณ์ให้ปั่นป่วน ให้สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในนั้นทะลักออกมาอีกครั้ง 

“อืออ..คุณยะ...อย่าแกล้ง”

“ฉันไม่ได้แกล้ง”

บอกว่าไม่แกล้งแต่กลับหยุดมือ ทิ้งขว้างอารมณ์ของผมอย่างไม่ไยดี ความทรมานที่ไต่สูงขึ้นกลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมา

“ฮึก...คุณยะ...” พอผมจะดับความทรมานด้วยมือของตัวเอง อีกฝ่ายก็รวบมือผมไว้ด้วยมือข้างเดียว มัดอิสรภาพของมันไว้บนหน้าท้องที่เกร็งแน่นของผม “...ฮึก...ปล่อยผม...ผมไม่ไหวแล้ว...อา...”

ความรู้สึกทรมานกำลังวิ่งพล่านหาทางออก

“บอกฉันมาก่อน” ริมฝีปากของเขาประทับลงมาบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อจากความทรมานที่หาทางออกไม่เจอ “...ว่าเธอรักใคร”

“รักคุณยะ” ผมตอบออกมาอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ไม่ใช่เอาใจเขา หรือหวังให้เขาปลดปล่อยผมออกจากความทรมานที่คับแน่นอยู่ภายในแก่นกายที่เหยียดตรง แต่มันเป็นคำตอบเดียวที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผม “น้องพีรักคุณยะ...คนเดียว”

มีแค่เขาคนเดียวที่เป็นคำตอบของคำถามนี้ ผมไม่เคยรักใครนอกจากเขา เคยรักยังไงก็ยังรักเหมือนเดิม เวลาเกือบสิบปีไม่เคยทำให้ผมหยุดรักคนคนนี้ได้เลย

“คนดี” เสียงทุ้มนุ่มนวล “ฉันก็เหมือนกัน”

เหมือนกัน!

คำคำนี้ทำเอาดวงตาที่พร่ามัวด้วยความทรมานเบิกกว้าง ผมเห็นความรักในดวงตาสีราตรีลึกล้ำ แต่เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาที ก่อนภาพนั้นจะขยายใหญ่จนมองไม่เห็นอะไร นอกจากสัมผัสร้อนแรงที่กวาดต้อนอยู่ภายในอุ้งปากตัวเอง ผมตอบรับเรียวลิ้นที่เข้ามาพัวพันอย่างร้อนแรงไม่ต่างจากอีกฝ่าย รู้สึกว่าใส่ทั้งความรักความหลงใหลไปในรสชาติหวานล้ำนี้ด้วย

ส่วนล่างก็ได้รับการปรนเปรออย่างที่สุดด้วยมืออุ่นร้อนแสนชำนาญ ที่ดึงรั้งให้ผมทะยานขึ้นสูง ร่างกายร้อนผ่าวจวนเจียนปริแตกในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

“ผม...อ๊ะ...รักคุณ...ยะ...” ในสติที่พร่าเลือนเพราะความเร่าร้อนในกายที่ไต่สูง สิ่งที่หลุดออกมานอกริมฝีปากคงมีแค่เสียงครางพร่าสั่นตามแรงอารมณ์ที่โหมไหม้ ก็มีแค่คำของหัวใจที่ร่ำร้องเรื่อยมา

“ฉันรู้” เสียงทุ้มขานรับ ริมฝีปากของเขาวนเวียนอยู่ผิวแก้มและริมฝีปาก ขณะที่มืออุ่นร้อนเร่งเร้าด้วยความเร็วและแรงจนกระทั่งถึงจุดที่ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป

“คุณยะ...อ๊ะ...อ่า...” ร่างกายเกร็งแน่นก่อนจะปลดปล่อยลาวาสีขาวขุ่นออกมา ผมเหนื่อยไม่ต่างจากวิ่งมาหลายสิบกิโลเมตร ทิ้งร่างแนบไปกับเตียงนอนอย่างไรเรี่ยวแรง คิดว่าผ่านช่วงทรมานแสนสุขสมไปแล้ว ผมคงได้พักให้ลมหายใจกลับมาเป็นปกติเสียก่อน แต่ก็คิดผิด เมื่อร่างกายหนายกตัวจากไป ต่อมาสะโพกผมก็ถูกยกขึ้น รับรู้ถึงปลายนิ้วแข็งแกร่งที่ชุ่มน้ำรักของตัวเองแทรกตัวเข้ามาภายในช่องทางคับแคบทีละนิ้ว ทว่าช่วงเวลาที่เพิ่มเข้ามานั้นห่างกันแค่ไม่กี่วินาที

“อึก!...คุณยะ...ผมเจ็บ...” ทั้งเจ็บทั้งจุก น้ำตาพานจะไหล คล้ายได้ยินเสียงปากทางรักฉีกขาดอีกด้วย อีกฝ่ายก็คล้ายจะอ่านความคิดผมออก ถึงได้เอ่ยบอกออกมาว่า

“ฉันไม่ทำให้เธอมีแผลหรอก” เสียงนั้นทุ้มหวานปนไปกับอารมณ์ร้อนแรงของร่างกายกำยำ ตัวผมปลดปล่อยไปแล้วสองครั้ง ส่วนความแข็งแกร่งและร้อนระอุของเขายังคงอัดแน่นอยู่อย่างนั้นและยังไม่ได้รับการปลดปล่อย

“อะ...อ่า...” ผมกัดฟันทน จิกเล็บลงบนเตียงนอน รับรู้ถึงนิ้วแข็งๆ ที่หมุนวนอยู่ภายในช่องทางด้านหลัง จากนั้นความเจ็บปวดก็เริ่มจางลง จนเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ที่ฉุดให้ส่วนกึ่งกลางตัวกลับมาอึดอัดอีกครั้ง

“คนดี” จุมพิตเบาๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ แล้วผละออกไป ก่อนนิ้วทั้งหมดจะถูกถอนออกแล้วแทนที่ความว่างเปล่าทั้งหมดด้วยตัวตนแข็งกร้าวและร้อนระอุด้วยสิ่งอัดแน่นอยู่ภายในที่เสียบแทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าทั้งหมดที่เขามีด้วย

“อ๊ะ!!...อืออ...” น้ำตาผมร่วงทันทีที่ถูกบุกรุกรวดเดียวจนมิด ร่างกายร่วงหล่นสิ้นเรี่ยวแรงเพราะความเจ็บที่โถมเข้ามา ทำเอาลมหายใจขาดหาย คล้ายจะตายเสียให้ได้

“สั่งสอน” เขาโน้มตัวลงมาหา “อย่าเอาของของฉันไปให้ใครชื่นชม... ตรงนี้เป็นของฉันคนเดียว” ท้ายประโยคเขาลงเสียงกร้าว และย้ำว่า ‘ตรงนี้’ คือตรงไหน ด้วยการถอนตัวตนแข็งกร้าวออกมาจากช่องทางคับแคบ ก่อนจะกระแทกกลับเข้าไปอย่างแรงจนตัวผมพุ่งไปข้างบน สองมือของผมยกขึ้นกอดแผ่นหลังกว้างโดยอัตโนมัติ จิกเล็บลงบนผิวกายร้อนจัดนั้น

“อ๊ะ...” เจ็บจุกจนร้องไม่ออก น้ำตาไหลเป็นทางยาวจากหางตา

“เธอเป็นของฉัน” เขาย้ำลงมาอีก การกระทำเบื้องล่างไม่ต่างจากบทลงโทษ ทว่าน้ำตาที่ไหลเพราะความเจ็บปวดที่ถูกเสียบแทงเข้ามานั้นกลับได้รับการเอาอกเอาใจจากริมฝีปากที่จูบซับอย่างอ่อนโยน “...เป็นของฉันได้แค่คนเดียว”

“แล้ว...อึก...คุณยะ...อ๊า...ล่ะ...อ่า...เป็นของ...น้องพีคนเดียว...ได้ไหม...” ตัวตนร้อนระอุที่เคลื่อนไหวเป็นจังหวะหนักหน่วงทำให้เอ่ยแต่ละคำออกมาได้อย่างยากลำบาก ซ้ำยังถูกปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงครางที่เกิดจากเจ็บจุกและสุขสมอีกด้วย

“แน่นอนพี”

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง (30-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 30-03-2019 01:01:00
คำถามของผมได้รับคำตอบแรกเป็นดวงตาสีราตรีที่จ้องลึกเข้ามาในหน่วยตาของผม มันจริงจัง จนมองไม่เห็นคำโกหกที่แอบซ่อนอยู่ในนั้น ที่เห็นมีเพียงความลึกซึ้งที่ผมเฝ้าฝันถึง ปรารถนาจะได้มาครอบครอง

...หัวใจของเขา ความรักของเขา และตัวของเขา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมอยากได้ อยากเอามาเก็บไว้เป็นของของตัวเอง ของที่ไม่ยอมให้ใครแย่งเอาไป

“ฉันเป็นมาตลอด” และนี่คือคำตอบที่เอ่ยตอกย้ำลงมาให้น้ำตาผมรินไหล น้ำตาของความสุขที่มีเพียงแค่คนคนนี้เท่านั้นที่มอบให้ผมได้

“คุณยะ...ฮึก...ฮื่ออ...” ผมปล่อยโฮออกมาได้แค่นิดเดียว ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดจะแนบแน่นลงมา เรียวลิ้นแทรกสอดเข้ามาพัวพันอย่างรุนแรงและเร่าร้อน ผมตอบสนองไปเท่าที่หัวใจปรารถนา รุนแรง ดุเดือด จนเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะเอาทั้งปากและลิ้นของอีกคนเข้าไปในท้อง

เหมือนการสู้รบที่ไม่ต้องการชัยชนะ แท้จริงมันคือความโหยหาอย่างมากที่สุด มากเสียจนผมปลดปล่อยเป็นครั้งที่สามเพียงเพราะจูบที่ยาวนานและช่วงชิงความอดทนอดกลั้นของผมไปจนสิ้น

“อึก...คุณ...ยะ...อ๊า...อา...” ผมสิ้นเรี่ยวแรงเป็นหนที่สาม อายจนไม่รู้จะอายอย่างไรแล้วที่ไปก่อนเขาถึงสามรอบ ยิ่งถูกเขามองด้วยรอยยิ้มแต้มแต่งบนใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาแล้วด้วย หน้านี่แทบระเบิด

“รักฉันมาก” เขาพูดยิ้มๆ พลางเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง

“อื้ออ...รัก...รักมากที่สุด” ผมตอบด้วยน้ำเสียงโรยแรง ขณะที่ขาของตัวเองทั้งสองข้างถูกดันขึ้นมาจากที่นอน ก่อนมันจะถูกกดลงมาแนบหน้าท้องจนถึงแผ่นอก สะโพกลอยเด่นเพื่อรองรับตัวตนที่เริ่มขยับอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือเฟือของคนด้านบน

“ฉันก็รักเธอพี”

ผมยิ้มให้กับคำบอกรักนั้น นานกว่าที่ยิ้มของผมจะจางลง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความสุขสมที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก ดังปะปนไปกับแรงกระแทกกระทั้นของท่อนลำร้อนจัด เนื้อตัวของผมสั่นคลอนไปกับส่งที่เติมเต็มเข้ามาอย่างไม่ออมแรง ไม่กี่นาทีตัวตนอ่อนแรงก็ลุกไหม้ขึ้นมีอีกรอบ มันเสียดสีอยู่กับหน้าท้องแกร่งของคนที่โน้มตัวลงมาดูดดึงยอดอกของผม สร้างความเสียวซ่านไปทั้งร่าง สะท้านแล้วสะท้านอีก

“คุณยะ...อ่า...คุณ...ยะ...อะ...คุณยะ...” ผมได้แต่พร่ำชื่อของเขาออกมา เรียกเหมือนกับว่าผ่านคืนนี้ไปแล้วชื่อนี้จะกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ที่นึกถึงทีไรน้ำตาต้องไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“คนดี...อืม...” ร่างกายหนาเกร็งกระตุกก่อนที่ช่องทางจะรับรู้ถึงสายน้ำรักที่พุงกระทบผนังนุ่มอย่างเต็มเรี่ยวแรง และยังคงฝากฝังคำหวานเข้าสู่หัวใจของผมอีกระลอกหนึ่ง “...ฉันรักเธอ”

“ผมก็รัก...อ๊ะ...อ๊า...อื้อออ” แล้วผมก็ตามเขาไปติดๆ เสียงกรีดร้องถูกกลืนกินโดยริมฝีปากหนา ร่างของคุณยะที่ชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อทาบทับลงมา

ตัวของคุณยะหนักกว่าผมมาก ทับลงมาก็เหมือนว่าตัวเองจะบี้แบนจมลงไปเป็นพื้นเดียวกับเตียงนอน ทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดจนต้องร้องโอดโอย ที่ความรู้สึกร่ำร้องอยู่ตอนนี้คืออยากหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตรงนี้ได้ไหม ตรงที่ผมมีความสุขมากที่สุด ให้ผมได้กอดเขาอย่างในตอนนี้ตลอดไป

แต่คงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือกับผมเลย

“...!” ผมอยากจะเบิกตาโพลงกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น แต่เรี่ยวแรงที่กลับมาไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบไม่เอื้ออำนวยให้อวัยวะของร่างกายทำงานได้เต็มที่ ได้แต่นอนตัวอ่อนปวกเปียกให้คนที่เรี่ยวแรงมีเหลือล้นจับตัวผมพลิกคว่ำ ใบหน้าซุกลงไปกับหมอนใบใหญ่ สะโพกถูกบังคับให้โค้งโด่งขึ้นในระดับที่คนด้านหลังพึงพอใจ

“อ๊า!!” แม้ช่องทางรักจะผ่านบทรักมาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งภายในยังหลงเหลือลาวาสีขาวข้นของเขา ทว่าการใส่เข้ามาแบบรวดเดียวจบก็สร้างความปวดร้าวได้อยู่ดี

“ครั้งเดียวมันไม่พอหรอกพี”

นั่นสิ ครั้งเดียวไม่เคยพอ ไม่ใช่แค่เขา รวมทั้งผมด้วย

..................................................

และเมื่อครั้งสุดท้ายเดินทางมาถึง ผมก็ยิ่งกว่าคนเป็นโรคร้ายใกล้ตายในอีกสองนาทีข้างหน้า สองขาไร้เรี่ยวแรงหยัดยืนตั้งรับกับน้ำหนักตัวของตัวเอง ลงจากเตียงได้ก็เพราะวงแขนที่แข็งแรงยิ่งกว่าเหล็กอุ้มพาไปทำความสะอาดเนื้อตัวจากคราบต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่ก่อนจะได้ล้างเนื้อล้างตัว ล้วงเอาสิ่งที่ชุ่มฉ่ำอยู่ในช่องทางบวมช้ำนั้นได้ ผมก็ต้องทำครั้งสุดท้ายกับเขาภายใต้สายน้ำเย็นชืดที่ไหลรดอยู่นานสองนาน

“คุณยะ...” ผ่านไปหลายนาทีหลังจากถูกอุ้มออกมาจากห้องน้ำ ผมซุกกายอยู่ในวงแขนของเขา แนบใบหน้าไว้กับอกอุ่น “แล้วพรุ่งนี้...”

ผมจะถามเจ้าของอกแสนอุ่นนี้ว่า ‘แล้วพรุ่งนี้เรื่องของเราจะเป็นยังไงต่อไป เขาตัดสินใจทิ้งพี่เลม่อนแล้วมาดูแลผมแล้วใช่ไหม’

แต่เขากลับหยุดยั้งคำถามของผมเสียก่อนที่จะทันได้เอ่ยออกมา

“พรุ่งนี้ก็ให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้” เขากระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่เหนือศีรษะ ริมฝีปากแนบจูบลงมาและค้างไว้อย่างนั้น หัวใจของผมอุ่นเหลือเกิน “แค่จำเอาไว้ว่าฉันรักเธอ ไม่เคยรักใครนอกจากเธอคนเดียว”

“ครับ...ผมจะจำ” หัวใจผมคลุ้งไปด้วยกลิ่นของความรักผสมกับความสุข หอมหวานและเอ่อล้นภายในอกที่พองฟู

ผมชอบ... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า ‘หลงใหล’ ในคำบอกรักของเขาเหลือเกิน จนลืมไปแล้วว่าตัวเองถูกหลอกด้วยคำพูดนี้มากี่ครั้ง เจ็บปวดมากี่หน

ผมไม่เคยจำเลยจริงๆ

ทั้งที่เหนื่อยล้าเหมือนคนใกล้ตาย แต่ผมก็ยังข่มตาให้หลับไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าหากเผลอหลับ ตื่นขึ้นมาจะพบว่าความสุขทั้งหมด ความรักที่หอมหวาน ที่ตลบอบอวลอยู่เต็มห้องสี่เหลี่ยมนี้จะเป็นเพียงฝันหวาน

เพราะประสาทสัมผัสทุกอย่างของผมยังคงตื่นอยู่ ผมจึงรับรู้ถึงการขยับกายของอีกฝ่ายที่ไม่ใช่เพื่อจะกอดผมเอาไว้จนถึงเวลาที่ท้องฟ้าสว่างโร่ หากแต่เป็นการขยับแผ่วเบาเพื่อไม่ให้ผมรู้ตัวว่าเขากำลังจะทำอะไร

ท่อนแขนของเขาค่อยๆ ละออกจากตัวผมอย่างเชื่องช้า ไม่ให้การเคลื่อนไหวเป็นการปลุกผมให้ตื่น พอเป็นอิสระจากผม ร่างหนาก็ก้าวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เดินไปที่ประตู เปิดมันและเดินออกไป โดยไม่รู้ว่ามีผมเดินตามไปกับเขาด้วย เพียงแต่หยุดลงแค่ที่ประตู เปิดแง้มและมองตามแผ่นหลังของเขาไป

ท้องฟ้าที่ใกล้เปลี่ยนสีทำให้ผมเห็นร่างเงานั้นได้พอสมควร เขากำลังเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง เพียงแค่เปิดประตูบานใหญ่ ร่างของเขาก็ถูกใครอีกคนหนึ่งโผเข้ามากอด จากนั้นก็พากันหายเข้าไปในห้อง

ผมเดินกลับมาที่เตียง ทิ้งตัวลงนอน และรอคอย จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนสี ไม่เหลือความดำมืดอีกต่อไป แสงสีนวลลอดผ่านหน้าต่างหลายบานที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน... เขาก็ยังไม่กลับมา

ผมไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว แม้แต่น้ำตาก็ไม่กล้าปล่อยให้มันไหล ฟ้องความโง่ของตัวเอง เจ็บกี่ครั้งก็ยังพร้อมจะเจ็บครั้งใหม่อยู่เสมอ ทั้งที่ไม่อยากคิดอะไร แต่มันก็หยุดคิดไม่ได้ คำพูดมากมายของเขายามที่ทอดตัวลงมาเป็นของผม... คืออะไร?

คำหลอกลวงอย่างนั้นเหรอ?

ทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร?

ผมก็ได้แต่ตั้งคำถาม แต่ไม่อยากหาคำตอบอะไรทั้งสิ้นแล้ว

พอกันที!

ไม่รู้ว่าผมต้องพูดคำนี้อีกกี่ร้อยครั้งในเมื่อทำอย่างไรผมก็แพ้ให้กับคุณยะตลอด ไม่เคยเข้มแข็งได้จริงเลยสักที จำนวนปีไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนไปเลย ไม่ทำให้ผมฉลาดขึ้นมาเลย และต่อให้พยายามมากแค่ไหน ผมก็คิดว่าผมสู้คุณยะไม่ได้เลย สู้กับความใจร้ายของเขาไม่ได้เลยจริงๆ

..................................................................................

ผมยืนมองประตูห้องของคุณยะอีกครั้ง ในสภาพที่จิตใจเข้มแข็งกว่าเมื่อสองชั่วโมงก่อน ประตูยังคงปิดสนิท ไร้วี่แววว่าจะมีใครผลักมันออกและโผล่มาให้ผมเห็น ผมยืนมองประตูบานนั้นเกือบสิบนาที จนแน่ใจแล้วว่าคงจะไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ผมหวัง

หึ! แล้วผมยังหวังอะไรอีก

สุดท้ายผมก็สามารถสั่งปลายเท้าให้ก้าวลงจากเรือนได้เสียที

พอกันที!

‘เลิกโง่เสียทีพี’

ผมย้ำคำคำนี้อีกครั้ง เพื่อให้ตัวเองเชิดหน้าเดินต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว

แต่แล้วปลายเท้าของผมก็สะดุดลงเมื่อเดินมาเกือบถึงบ้านเรือนไทยของอาภา สายตามองไปเห็นอาภากับพี่แอลอยู่ด้วยกัน อะไรบางอย่างกระซิบให้ผมรีบเอาตัวเองไปซ่อนอยู่หลังพุ่มต้นไม้ที่บดบังผมจากสายตาคนทั้งสองได้อย่างพอดี

มันจะไม่มีอะไรแปลกเลยสักนิดระหว่างผู้หญิงสองคน

ถ้า...พี่แอลจะไม่เอื้อมไปเด็ดช่อดอกโมกพวงสีขาวบริสุทธิ์ แล้วนำมาทัดหูให้อาภา

ถ้า...อาภาจะไม่ยิ้มหวานและใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ

และถ้า...คนทั้งคู่จะไม่ยิ้มให้กัน ก่อนเดินจูงมือกันขึ้นเรือน

ผมรู้ว่าผู้หญิงที่เป็นเพื่อนกันส่วนมากก็ชอบเดินจับมือกัน ไม่ต่างจากเพื่อนผู้ชายที่เดินกอดคอกัน แต่สำหรับกรณีของอาภากับพี่แอลไม่ใช่เพื่อนกัน ผมว่าทั้งสองไม่ใช่เพื่อนกันอย่างแน่นอน และความรู้สึกของผมมันบอกว่า มีเพียงความสัมพันธ์เดียวเท่านั้นที่ทำให้ทั้งคู่เดินจับมือกันและเด็ดดอกไม้ทัดหูให้กัน มองหน้ากันแล้วยิ้มเขินอาย

รักกัน?

รักกันอย่างนั้นเหรอ?

แล้วเรื่องหมั้นกับคุณยะล่ะ?

ผมยืนมองคนทั้งคู่ที่เดินขึ้นเรือน จนมองไม่เห็นแผ่นหลังของผู้หญิงสองคนนั้นแล้ว ขณะที่สมองผมก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็วกับความสัมพันธ์ที่มันขัดกัน

ถ้าอาภากับพี่แอลรักกัน แล้วความสัมพันธ์ของคุณยะกับพี่แอลล่ะ ผมเชื่อว่าอาภาไม่ทรยศพี่ชายตัวเองหรอก

ถ้าอย่างนั้น... หรือว่าการหมั้นหมายเป็นแค่เรื่องหลอกลวง

ต้องใช่แน่ๆ

เรื่องมันก็แค่โกหก แต่โกหกไปเพื่ออะไร?

...........................................................................

ตอนที่ผมเดินลงจากเรือนคุณย่าหลังจากขึ้นไปกราบลาท่าน พร้อมกับปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเรื่องที่ท่านชวนให้กินข้าวเช้าด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่คุณย่าก็รู้ว่าเป็นคำโกหก ผมบอกท่านว่ามีงานด่วนเข้ามาต้องรีบกลับไปทำ ก็เจอเข้ากับทานตะวันกับถิร ทั้งสองขับรถเข้ามาจอดและเปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว

ทานตะวันวิ่งเข้ามากอดผมด้วยความดีใจ ยิ้มหน้าบานเลยที่เห็นผมกลับมาที่บ้านของครอบครัวตรัยธาดา

“หื้อออ... คิดถึงพี่พี” เจ้าตัวขี้อ้อนเหมือนเด็กแต่ตัวสูงเป็นผู้ใหญ่ (เพราะความเป็นลูกครึ่ง) พูดเสียงเล็กเสียงน้อย สองมือกอดผมไว้แน่นเลยทีเดียว “ซันว่าจะมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่แซนไม่ยอมให้ซันกลับมา แถมยังมัดมือมันเท้าซันด้วยนะ” เจ้าตัวฟ้อง พลางคลายอ้อมแขนออกจากตัวผม จากนั้นก็ตวัดสายตาไปมองค้อนคนเป็นน้อง

“ก็มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ซันจะยุ่งทำไม” คนเป็นน้องว่า ก่อนที่สองมือจะยกขึ้นไหว้ผม “สวัสดีครับพี่พี”

“อ้าว ซันดีใจเกิน ลืมไหว้พี่พีเลย” คนเป็นพี่พูดแล้วก็ยกมือไหว้ผม ไหว้ผมเสร็จก็หันไปเถียงน้องชายเรื่องที่โดนว่าเมื่อกี้ “เค้าก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนกันนะ มีแต่ตัวเองนั่นแหละที่ชอบว่าเค้าเป็นเด็ก ถ้าเค้าเด็กตัวเองก็เด็กกว่าสิ เกิดหลังเขาตั้งหลายนาที” ทานตะวันชอบยกเอาเรื่องเกิดก่อนเกิดหลังมาพูดข่มตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองเป็นพี่และเกิดก่อนน้องชายตัวเองห้านาทีนั่นแหละ

คนเป็นน้องไม่เถียงกลับ ผมว่าเป็นเพราะถิรเห็นว่าไม่มีประโยชน์จะเถียงกับคนที่เอาแต่ใจตัวเองและชอบใช้เรื่องที่เกิดก่อนมาข่มได้ตลอดเวลา

พอคนเป็นน้องไม่เถียง คนเป็นพี่ก็ยิ้มร่าอารมณ์ดีขึ้น ถึงได้หันกลับมาหาผม

“พี่พีจะกลับแล้วหรือครับ แล้วพ่อยะล่ะ ไหนว่าดีกันแล้ว” เจ้าตัวทำหน้าสงสัย แต่ผมไม่ตอบ แล้วเปลี่ยนไปพูดอีกเรื่อง

“ซันขับรถไปส่งพี่ที่คอนโดฯ หน่อยนะ” ผมเลือกทานตะวันเพราะเหตุผลบางอย่าง และด้วยเหตุผลเดียวกันผมถึงได้ย้ำไปอีกว่า “แซนไม่ต้องนะ”

“เย้ๆ งั้นวันนี้ซันขอนอนที่คอนโดฯ พี่พีนะครับ นอนห้องพีพี่ด้วย”

“ได้” ผมตอบ แฝดพีดีใจหน้าบาน ส่วนแฝดหน้าขมวดคิ้วนิดๆ พลางเอ่ยท้วง

“แต่ซับขับรถไม่แข็งนะครับพี่พี” สีหน้าเป็นกังวล

“พี่ขับก็ได้” ผมบอก แต่สีหน้าของถิรยังไม่ลดความกังวลลง

“ใช่ๆ ให้พี่พีขับเนอะ ซันนั่ง แล้วก็นอนที่คอนโดฯ พี่พีเลย ส่วนแซนพรุ่งนี้ก็ขึ้นแท็กซี่มาหาเค้าละกันนะ” คนเป็นพี่สรุปอย่างรวดเร็ว แล้วก็เยาะเย้ยน้องชายตัวเองไปด้วย “อิจฉาละซี่ที่ไม่ได้นอนกับพี่พีแบบเค้า”

ทานตะวันไม่รู้เลยว่าน้องชายตัวเองไม่ได้อิจฉาหรอก แต่เป็นเพราะไม่อยากให้คนที่เก็บความลับอะไรไม่ค่อยได้อยู่กับผมตามลำพังโดยไม่มีตัวเองค่อยห้ามปรามก็เท่านั้น

“ซัน” ผมเรียกชื่อคนที่นั่งบนเบาะข้างคนขับและจ้อไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นมานั่งในรถ เมื่อรถวิ่งพ้นประตูรั้วบ้านตรัยธาดาออกมาได้ “อาภากับพี่แอลเป็นอะไรกันเหรอ?”

“ก็เป็นแฟนไงครับ” ทานตะวันตอบคำถามด้วยท่าทีที่เป็นปกติ เหมือนบอกเล่าเรื่องทั่วไป ก่อนที่เจ้าตัวจะเบิกตากว้าง ใบหน้าซีดขึ้นมาทันที เอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ...พี่พี...ยะ...ยังไม่รู้...หรือครับ ผมนึกว่า...” เจ้าตัวพูดค้างไว้แค่นั้น แล้วสองมือก็ยกขึ้นมากุมขมับตัวเอง

ผมมองภาพนั้นแค่แวบเดียวก่อนดึงสายตากลับไปยังทางด้านหน้า เพราะทานตะวันเป็นเด็กที่ไม่มีความซับซ้อน ไม่คิดเยอะ ไม่เหมือนถิร ผมถึงได้เลือกที่จะให้แฝดพี่มากับผมและไม่ให้แฝดน้องตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงจะล้วงความลับอะไรไม่ได้

ความสัมพันธ์ของอาภากับพี่แอลเป็นแบบที่ผมคิดไว้จริงๆ ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเปล่า แต่จะดีใจได้จริงเหรอ ในเมื่อคุณยะก็ยังไม่ยอมปล่อยพี่เลม่อนไปจากชีวิต

“พ่อยะกับแซนต้องเอาซันตายแน่ๆ” เจ้าตัวคร่ำครวญ “แซนก็นึกว่าพี่พีรู้ตั้งแต่เมื่อวานซะอีก”

“ไม่เห็นมีใครบอกอะไรพี่” ผมพูด แล้วถามต่อ “แล้วเรื่องหมั้นคืออะไร?”

“งื้อออ...พี่พี อย่าถามซันได้ไหม ซันไม่อยากโดนพ่อยะดุนะ แล้วซันก็จะโดนแซนว่าด้วย”

“ทุกคนรู้เรื่องที่อาภากับพี่แอลเป็นแฟนกันใช่ไหม” คนถูกถามปิดปากเงียบ ผมอาศัยจังหวะที่รถจอดติดไฟแดงในเช้าวันอาทิตย์ หันไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามย้ำอีกครั้ง “ทุกคนรู้ใช่ไหม”

ทานตะวันทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เม้นริมฝีปากเกือบจะเป็นเส้นตรง ก่อนพยักหน้าเบาๆ ทำท่าจะร้องไห้ก็ไม่ปาน

“แล้วเรื่องหมั้นคืออะไร ทำไมพ่อยะของซันถึงหมั้นกับพี่แอล” ผมถามอีก ครั้งนี้ทานตะวันส่ายหน้า แล้วก็รีบยกมือขึ้นปกหน้าเพื่อจะได้ไม่เห็นสายตาคาดคั้นของผม “ซันตอบพี่มา ไม่งั้นพี่ไม่ให้นอนด้วยนะ”

คนถูกขู่เงยหน้าขึ้นมาทันที ตาแดงหน่อยๆ

“หื้อออ...พี่พีอย่างขู่ซันสิ” ว่าแล้วก็ทำปากยู่ บ่นงึมงำกับตัวเองว่า “โดนทั้งขึ้นทั้งล่องเลย ตายแน่ๆ”

“บอกมาซัน” ผมลงเสียงหนัก หันกลับไปมองทางตามเดิม เมื่อสัญญาณไฟใกล้เปลี่ยนสี

“พี่พีอยากเห็นซันโดนพ่อยะตีเหรอ พ่อยะตีเจ็บนะ”

“ไม่ต้องมาโกหก พี่รู้ว่าพ่อยะของซันไม่ตีซันหรอก” ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหลังจากที่ผมหนีไปอเมริกานะ ตอนที่ผมยังอยู่กับครอบครัวตรัยธาดา ก็ไม่เคยเห็นคุณยะตีลูกแฝดของตัวเองเลยสักครั้ง

“รู้อีกแน่ะ” เจ้าตัวพึมพำ เสร็จแล้วก็เพิ่มระดับเสียงเป็นปกติ “ซันตอบก็ได้ คือซันไม่รู้อะไรหรอกนะครับพี่พี อยากจะถามพ่อยะเหมือนกัน แต่ว่าแซนไม่ให้ถาม แซนบอกว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กห้ามยุ่ง”

“เหรอ?” ผมเหลือบมองหน้าแฝดผู้พี่นิดหนึ่ง ลูกตาสีน้ำตาลแดงไม่มีแววหลุกหลิกฟ้องว่าโกหกอะไรผม และผมก็พอจะรู้ว่าเด็กแบบทานตะวันไม่ชอบพูดโกหกหรอก

“อืม” เจ้าตัวพยักหน้ารัวๆ “ซันรู้แค่ว่าพ่อยะรักพี่พีมากๆๆๆๆๆ” คำพูดสุดท้ายเจ้าตัวย้ำรัวราวกับจะให้ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

‘ฉันก็รักเธอพี’

‘...ฉันรักเธอ’

‘แค่จำเอาไว้ว่าฉันรักเธอ ไม่เคยรักใครนอกจากเธอคนเดียว’


คำหวานของค่ำคืนที่ผ่านมาดังรัวอยู่ในหัวของผมเช่นกัน

เวลานั้นผมเชื่อ แต่ตอนนี้ผมอยากจะเอามันไปโยนทิ้งที่สุดขอบฟ้า หากแต่ว่าผมก็ยังเก็บมันกลับมาด้วย

จบตอนที่ 34
คุยกันหน่อยน้า
ด่าคุณยะกันได้เต็มที่เลยน้า
แต่บางทีคุณยะอาจจะแค่เดินเข้าไปคุยกับเลม่อนเฉยๆ ก็ได้....มั้งงงง
น้องพีเข้าใจผิดไปเอ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง
ผ่านตอนนี้ไปให้ได้นะคะ ตอนหน้า 35 คลี่คลายและกลับมารักกันแล้ว
ตอนที่ 35 นี่ก็ไม่ต่างจากตอนจบ
ส่วน 36 กับ 37 เป็นเหมือนสะเก็ดดาวหางเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเองค่า
สีเหลืองอ่อน
ปล. นี่ก็ใกล้จบแล้ว ใจหายเนอะ
ย้ำอีกทีมุมมองของคุณยะจะบอกเล่าในเล่มหนังสือนะคะ
ส่วนถ้าจบเรื่องแล้ว
ใครยังสงสัยตรงส่วนไหน ทิ้งโน้ตเอาไว้เลยน้าคนเขียนจะเอาไปตอบให้ในหนังสือ
จะฝากด่า ฝากว่าอะไรคุณยะก็ได้เลย
เดี๋ยวจะให้คุณยะกับน้องพีมาตอบคำถามให้นะคะ

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง (30-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 30-03-2019 01:30:51
เฮ้อออออ อยากให้พีไปเริ่มใหม่สักที
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง (30-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 30-03-2019 03:04:12
ผู้ชายแบบยะ มันน่าแย่งน่ารักตรงไหนหรอ
ไม่อยากให้พีไปรักเลยจิงๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง (30-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-03-2019 17:17:33
ผู้ชายแบบคุณยะสมควรที่จะอยู่คนเดียวไปจนตายมากกว่า
เริ่มจะเกลียดความใจอ่อนของน้องพีแหล่ะ ไม่เล่นตัว ไม่ขัดขืนอะไรเลยนะลูก
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง (30-03-19)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 30-03-2019 20:37:52
ตั้งแต่อ่านมาตอนนี้ผิดหวังที่สุด คือทำไมยอมง่ายดายขนาดนั้น ศักดิ์ศรีไม่มีเลยรึไง โดนทำไม่รู้กี่ครั้ง กร่นด่าเค้าเหมือนเกลียดนักหนา ตอนเป็นเด็กก็ยังพอเข้าใจนะ เพราะยังเด็ก แต่นี่เรื่องผ่านมาเกือบสิบปี พอเค้าเล้าโลมหน่อยเดียว บอกรักเค้าเฉ้ย ห๊ะ!!!

เหมือนเมียหลวงที่ผัวไปมีเมียน้อยก็โกรธแค้น ไปคอยระรานเมียน้อย ประชดผัวสารพัด แต่พอผัวมาง้อก็คืนดี แล้วก็วนลูบใหม่ ชาตินี้ทั้งชาติถ้าไม่รักตัวเองแบบนี้ ก็สมคารจะโดนแบบนี้ไปตลอดอ่ะนะ วงวารจริงๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 05-04-2019 21:26:20
ตอนที่ 35

‘แหวน’

ที่คุณย่าหยิบออกมาจากกล่องกำมะหยี่สีขาวคือแหวนที่ผมเห็นท่านใส่ติดนิ้วนางข้างซ้ายมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็ก และมีช่วงหนึ่งที่แหวนของคุณย่าเคยมาอยู่กับผม บนนิ้วของผม ก่อนผมจะทิ้งมันไว้ข้างหลังเหมือนของทุกชิ้นที่ผมเคยได้รับจากท่านและจากครอบครัวตรัยธาดา ครั้งที่หนีไปนั้น ผมไม่ได้เอาอะไรไปด้วยเลยนอกจากความทรงจำและความเจ็บปวดที่ถูกลูกชายคนโตของท่านฝากเอาไว้

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ผมควรนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเพื่อสะสางงานที่ทำค้างไว้ให้เรียบร้อยเร็วที่สุดก่อนกลับอเมริกา แม้จะเหลือเวลาอีกเป็นเดือนก็ตาม ผมก็ต้องจัดการให้เสร็จโดยเร็ว ผมกะไว้ว่าถ้าเคลียร์งานเสร็จเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ แล้วส่งต่อความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับคนที่จะมารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์โครงการต่อจากผมเรียบร้อยแล้ว ก็จะบินไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่งก่อนเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง แต่เพราะโทรศัพท์ของคุณย่าในตอนสายและคำชวนกึ่งบังคับให้มาร่วมมื้อเที่ยงด้วยกัน ผมถึงต้องวางงานกองโตไว้บนโต๊ะและขับรถมาที่บ้านตรัยธาดา

หลังมื้ออาหารที่มีผมกับคุณย่าแค่สองคน ท่านก็เดินพาผมกลับมาที่เรือน ให้ผมประคองตัวท่านไปในห้องนอน ก่อนหยิบกล่องกำมะหยี่สีขาวออกมาจากตู้นิรภัย

“ย่าคืนให้เรานะ” ท่านว่า แล้วดึงมือผมไปหา วางแหวนทองที่ประดับตัวเรือนด้วยทับทิมสีแดงเข้ม แหวนที่คุณปู่สวมให้คุณย่าในวันแต่งงาน ท่านสวมมันมาจนถึงวันที่ถอดให้ผมตอนที่เรื่องระหว่างผมกับคุณยะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

ครั้งนั้นผมดีใจกับความรักและเมตตาที่ท่านให้มาในรูปแบบของสิ่งที่สำคัญของท่าน ครั้งนี้ผมก็ยังรู้สึกเหมือนวันนั้น เพียงแต่ผมไม่กล้ารับในสิ่งที่ตัวเองไม่สมควรได้ ผมไม่มีสิทธิ์ได้แหวนของคุณย่า เกิดลูกชายคนโตของท่านรู้ เกรงว่าเขาจะไม่พอใจที่ของของแม่ตนตกมาอยู่กับคนแบบผม

“เดือนหน้าพีก็จะกลับอเมริกาแล้วครับ” ผมไม่ได้ปฏิเสธไปตรงๆ คุณย่าดูไม่ตกใจ ท่านเพียงแค่ลดรอยยิ้มลง พรูลมหายใจออกมาเบาๆ

“ย่าไม่ได้ถามว่าพีจะทิ้งย่าไปตอนไหน” พูดพลางก็รวบมือผมให้กำแหวนในมือเอาไว้ แล้วละมือออกไป ผมจำต้องกำแหวนทับทิมที่ผ่านเวลามาหลายสิบปี ดึงมือกลับมาวางไว้บนตักตัวเอง รู้สึกเลยว่ามือตัวเองสั่น “ย่าแค่จะคืนแหวนให้เรา หรือว่าพีไม่อยากได้” เสียงท่านหม่นลง ไม่ต่างกับแววตาที่ทอดมองมายังผมและทำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปอีก

“พีไม่มีสิทธิ์แล้วต่างหากครับ” ผมตอบ และผมที่กำลังจะกลับไปอยู่ในที่ที่เป็นของตัวเอง ไม่ควรเอาแหวนวงนี้ติดตัวไปด้วย แม้ผมอยากจะได้ แต่ผมรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์

“คิดเอาเองอีกแล้วลูก” ท่านพูดเสียงเข้มขึ้นนิดหน่อย พลางส่ายหน้า “พีจะอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปที่นั่น แล้วทิ้งให้ย่าอยู่คนเดียวแบบนี้ไปจนตาย แหวนก็ยังเป็นของพี พีมีสิทธิ์เอามันไปกับพีด้วย”

“แต่พี...” ผมอยากจะปฏิเสธคำพูดของคุณย่า ทว่าท่านก็เอ่ยแทรกและทำลายความตั้งใจของผมลง

“รับคืนไปนะลูก ทำให้ย่าสบายใจหน่อยนะ” ท่านเอ่ยอย่างไม่ยอมให้ผมปฏิเสธความตั้งใจของท่าน ซ้ำคำพูดต่อมาของท่านก็ทำให้ผมใจหาย เมื่อต้องถึงวันที่ท่านเอ่ยมาจริงๆ “ย่าจะได้นอนตายตาหลับ นี่ก็ไม่รู้เมื่อไรจะได้ไปอยู่กับท่านนายพล แต่ก็ใกล้แล้วละ”

“คุณย่ายังแข็งแรงอยู่เลยครับ” คำพูดที่คล้ายจะปลอบใจตัวเองมากกว่า ผมไม่อยากนึกถึงวันที่ท่านต้องจากไปเลย

“ตอนนี้ย่าอาจจะแข็งแรงก็จริง แต่ใช่จะตลอดไปนะลูก ขนาดพีเองยังอยู่กับย่าตลอดไปไม่ได้เลย” น้ำเสียงของท่านบอกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ท่านกำลังน้อยใจ คงคิดว่าผมอกตัญญูเหลือเกิน “รู้ไว้นะลูก ย่าไม่กลัวหรอกความตายน่ะ ย่ากลัวแค่ว่าก่อนไปย่าจะไม่ได้เห็นหน้าหลานรักของย่า”

“คุณย่า...” ผมพูดไม่ออกเลย มันเหมือนว่าผมกำลังทิ้งคนที่รักผมมากๆ ไป คนที่เลี้ยงผมจนเติบโต ให้ทั้งความรักและความอบอุ่น แต่ผมก็ยังใจร้ายคิดจะหนีจากไป แม้แต่วาระสุดท้ายของท่าน ผมก็อาจจะไม่ได้มาอยู่ข้างท่าน

“อยู่กับย่านะลูก” ท่านเอ่ยช้าๆ เรียบง่ายแต่กดลึกเข้ามาในหัวใจของผม “...อยู่กับย่าก่อน ให้ย่าเห็นพีก่อนตายนะลูก”

ผมอยากจะพูดว่า

‘คุณย่าไม่ตายหรอก คุณย่าต้องไม่ตายสิ’

มันก็พูดออกมาไม่ได้ ไม่มีใครหนีความตายพ้น

“พีจะกลับมาหาทุกย่าทุกปีครับ” ผมเป็นคนใจร้าย แม้แต่กับคุณย่า ผมก็ยังใจร้ายใส่ท่าน เพราะผมอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ผมทนเห็นลูกชายคนโตของคุณย่ามีความสุขอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมไม่ได้ ทนให้เขาให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าผมไม่ได้... ผมถึงต้องไป ก่อนที่จะทุรนทุรายไปมากกว่านี้

....................................................

เพราะคำตอบของผมทำให้คุณย่าเสียใจ ผมจึงต้องชดใช้ความเสียใจของคุณย่าด้วยการรับปากว่าจะอยู่ในรั้วบ้านตรัยธาดาจนกว่าจะกลับอเมริกา แค่เดือนเดียว ผมน่าจะพอทนได้... มั้ง

ดังนั้นหลังคุณย่าเข้านอน ผมจึงต้องเดินกลับมานอนในห้องของตัวเองที่เรือนหลังเดิม เพราะคุณย่าไม่ยอมให้ผมนอนที่เรือนของท่าน ขอร้องยังไงท่านก็ไม่ยอม

“อย่านอนดึกนะปี อ้อ...แล้วอย่าลืมส่งรูปตึกที่จะเช่าเปิดคลินิกให้เราดูด้วย... ฝันดี” ผมกดวางสายจากปาลินในจังหวะที่เดินมาพ้นบันไดบ้านขั้นสุดท้าย ซึ่งจังหวะนั้นก็เจอเข้ากับพี่เลม่อนเข้าพอดีด้วย ด้านหลังของเจ้าตัวแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เหมือนว่ากำลังจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง แต่จะออกไปตอนสี่ทุ่มนี่นะ ดึกไปไหน

“ให้ผมขับไปส่งไหม?” ผมคว้าแขนเล็กเอาไว้ ตอนที่เจ้าของมันกำลังเดินผ่านผมไป

“ยุ่ง!” เจ้าตัวมองผมตาขวาง ดวงตาแดงช้ำกับขอบตาบวมเป่งทำให้ผมค่อยๆ ปล่อยมือจากแขนของพี่เลม่อน เอาเข้าจริงพอเห็นใบหน้าสวยงามที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บปวดก็อดไม่ได้ที่จะเห็นใจ แม้ไม่รู้ว่าอะไรหรือใครทำให้พี่เลม่อนมีน้ำตา

แต่คนที่ผมนึกถึงก็มีแค่คนเดียว คือ...คุณยะ

ถึงจะตะคอกผมกลับมา สักพักก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“ก็ได้ ก็ไปสิ” แล้วเจ้าตัวก็เดินลงบันไดไป โดยมีผมเดินตามหลัง

“พี่จะไปเที่ยวไหนหรือครับ” ผมชวนคุย ก้าวขึ้นมาเดินเคียงกับอีกฝ่าย จังหวะเดียวกันนั้นผมก็ดึงกระเป๋าเป้ใบใหญ่จากแผ่นหลังผอมบางของพี่เลม่อนมาถือ ดวงตาคู่สวยหวานตวัดมองยิ่งกว่าคำก่นด่าภายใต้แสงนวลของโคมไฟตามทางเดินที่ทอดยาวไปข้างหน้า

“กูไม่ได้อ่อนแอ” ว่าแล้วก็หันหน้ากลับไปมองทางตามเดิม และมือก็ไม่ได้เอื้อมมาแย่งกระเป๋าตัวเองคืนแต่อย่างใด

“ผมก็ไม่ได้ว่าพี่อ่อนแอ” พอพูดจบก็รอว่าอีกฝ่ายจะสวนกลับมาด้วยถ้อยคำและอารมณ์แบบไหน แต่ก็ไม่มี จนผ่านไปสักพักใหญ่ เจ้าของกระเป๋าเป้ที่ย้ายมาอยู่บนหลังผมก็ตอบคำถามก่อนหน้านี้

“กูไม่ได้ไปเที่ยว” พูดเสียงสั่น ภายใต้สุ้มเสียงนั้นเดาได้ง่ายมากว่าเจ้าตัวกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ใด

“แล้วพี่จะไปไหน?” ผมถามออกไปอย่างสงสัย มองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย เห็นเม็ดน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาคู่สวยงามของอีกฝ่าย พอหันมาเห็นผมจ้องอยู่ เจ้าตัวก็รีบใช้หลังมือปาดมันทิ้ง ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันอยู่พักใหญ่เลย กลีบปากทั้งสองถึงได้คายออกจากกัน

“กูคืนพี่ยะให้มึง” ไม่ใช่คำตอบ แต่ก็ทำให้ลมหายใจผมสะดุด ขาของผมพานก้าวไม่ออกซะอย่างนั้น ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่ห่างออกไป แต่แค่นิดเดียวเจ้าของมันก็หยุดปลายเท้าไว้และหันกลับมา “กูเหนื่อยแล้วว่ะ พี่ยะก็คงเหนื่อยเหมือนกัน ส่วนมึง...” คำพูดนั้นหยุดลง พร้อมกับที่เจ้าตัวหันกลับไปทางเดิม และเริ่มก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง

ผมเดินตาม แค่ไม่กี่วินาทีก็เดินอยู่ข้างพี่เลม่อนได้เหมือนเดิม แล้วเจ้าตัวก็เอ่ยประโยคที่ค้างไว้จนจบ

“มึงก็คงเหนื่อยมากสินะ” สุ้มเสียงสงบอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ก่อนหน้านี้ผมกับพี่เลม่อนไม่มีคำพูดจาที่ดีต่อกันเลย ต่างฝ่ายก็ต่างเกลียดอีกคนหนึ่งไม่ต่างกัน

“อืม” ผมรับคำเบาๆ ในลำคอ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้เรื่องจริงหรือโกหก คนคนนี้จะยอมจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

ง่ายไปหรือเปล่า...

ยอมง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ...

“มึงไม่ต้องหนีไปไหนหรอก” คนตัวเล็กกว่าผมพูดขึ้นมาอีกหลังจากไร้คำพูดระหว่างกันมากกว่านาที

“พี่รู้?”

“เขาก็รู้กันหมดนั่นแหละ ถึงได้วางแผนให้มึงกลับมาที่นี่ไง”

“ยังไงครับ” ผมงงว่าแผนคืออะไร ในเมื่อผมกลับมาที่นี่เพราะบังเอิญวันนั้นผมอยู่ที่ร้านเชิญครับ คุยอยู่กับอานุ แล้วได้ยินว่าคุณย่าไม่สบายถึงได้ขอตามอานุกลับมาที่บ้านตรัยธาดาด้วย

“วันนั้นมึงมาเพราะคิดว่าคุณหญิงจีรนันท์ป่วยใช่ไหมล่ะ แล้วตอนที่มึงมาถึง มึงเห็นว่าท่านเป็นอะไรหรือเปล่า เป็นอย่างที่มึงกลัวไหม”

ผมนึกย้อนไปถึงวันนั้น คุณย่ายังดูแข็งแรงและห่างไกลจากสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของผมมากทีเดียว ท่านไม่ได้ป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้ มิหนำซ้ำยังดูสุขภาพแข็งแรงไม่ต่างจากตอนที่ผมยังอยู่ที่นี่ ต่างไปนิดเดียวก็คงเป็นร่างกายที่ผอมลงกว่าเดิมนิดหน่อย

“พวกเขาวางแผนให้มึงกลับมา เพื่อให้คุณหญิงเกลี้ยกล่อมมึงให้เปลี่ยนใจ ท่านอาจจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็ใช้เรื่องสุขภาพของตัวเองกล่อมมึงใช่ไหมล่ะ ทุกคนอยากให้มึงเปลี่ยนใจและกลับมาอยู่ที่นี่”

ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณย่าถึงเอาแต่พูดเรื่องความตาย ทั้งที่ผมคิดว่าท่านแข็งแรงและห่างไกลจากคำนี้มาก

“แต่มึงก็ใจแข็ง ไม่สิ มึงไม่ได้ใจแข็งหรอก แต่เพราะกูนี่แหละที่ทำให้มึงไม่ยอมอยู่ที่นี่” คล้ายกับว่าได้ยินอีกฝ่ายกัดฟันพูดด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด

ถึงพี่เลม่อนจะพูดถูก นั่นก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด

“เป็นเพราะเขาต่างหากที่เลือกพี่” ...แทนที่จะเลือกผม ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็เลือกแต่พี่เลม่อน

ถ้าคุณยะเลือกผม ยอมปล่อยมือจากพี่เลม่อน ผมก็คงไม่ต้องสู้จนได้บาดแผลกลับไปทุกครั้ง เมื่อถึงที่สุดผมก็ต้องยอมแพ้ ไม่สามารถทรมานตัวเองได้มากไปกว่านี้

“เขาก็แค่ปกป้องกู”

ปกป้อง?

ผมไม่เข้าใจ คืนนั้นพี่เลม่อนก็พูดเรื่องปกป้อง ถามผมว่าสามารถปกป้องเขาได้ไหม ผมไม่ได้เอะใจ มาตอนนี้ได้ยินอีกครั้งก็เริ่มมีคำถาม

“มีคนจะทำร้ายพี่เหรอ” ผมลองเดา

พี่เลม่อนไม่ตอบในทันที ผ่านไปเกือบนาทีนั่นแหละริมฝีปากบางถึงได้ขยับ

“ไม่มีใครอยากทำร้ายกูหรอก แค่อยากทำให้กูตายเท่านั้นเอง”

ตาย?!

ผมตกใจกับคำบอกนั้น เกินกว่าที่ผมจะนึกไปถึง มีคนอยากให้พี่เลม่อนตายนี่นะ คนแบบพี่เลม่อนไปสร้างปัญหาให้ใครหรือทำให้ใครโกรธแค้นถึงต้องตามฆ่า ผมไม่เห็นความเป็นไปได้เลย พูดตามตรงว่าไม่อยากเชื่อ เจ้าตัวพูดเกินจริงหรือเปล่า

“มึงไม่เชื่อสินะ” พูดอย่างรู้ทันความคิดผม “กูยังไม่เชื่อเลย ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริงด้วยซ้ำ”

“ทำไมไม่แจ้งตำรวจ” ผมถามต่อ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องถึงตำรวจแล้วนะ

“หึ...” เขาทำเสียงในลำคอ “ถามพี่ยะเองสิ”

ที่คุณยะทิ้งพี่เลม่อนไม่ได้ เพราะเขาต้องปกป้องไม่ให้พี่เลม่อนถูกฆ่าอย่างนั้นหรือ แถมยังไม่แจ้งตำรวจอีก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไม

“มึงส่งกูแค่นี้ก็พอ” ปลายเท้าของพี่เลม่อนหยุดลง พลอยทำให้ผมหยุดตาม “เอากระเป๋ามาให้กู”

“พี่ไม่กลัวถูกฆ่าแล้วเหรอ?” ผมอดถามด้วยเป็นห่วงไม่ได้ แม้จะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่มากกว่าเจ้าของเรื่องเล่าให้ฟังก็ตาม “อยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ คุณยะช่วยพี่ได้ไม่ใช่หรือไง”

“พี่ยะทำมามากพอแล้ว” ริมฝีปากบางแต้มรอยยิ้มเศร้า นัยน์ตาฉ่ำน้ำ “กูทรมานเขามาสิบกว่าปีแล้ว พอแล้วว่ะ กูก็เหนื่อย เขาก็เหนื่อย”

...ผมก็เหนื่อยเหมือนกัน

“พี่ยะ...” คนพูดสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยคำที่เหลือออกมาด้วยเสียงสั่นเทา ราวกับว่าคำที่เอ่ยออกมาคือคำว่ายอมแพ้แล้ว “...รักมึง”

...ไม่ใช่คำที่ผมคาดไม่ถึง ผมเลยไม่ตกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย

“ตอนนี้ก็ยังรัก”

...อันนี้ผมไม่แน่ใจ แม้เมื่อหลายวันก่อน คืนที่เขากอดผมไว้จนเกือบเช้า กระซิบคำรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฝ้ากระซิบแผ่วเบาให้ผีเสื้อในหัวใจผมตีปีกโบยบินท่ามกลางละอองคำหวาน แต่เขาก็ทิ้งผมไว้กับความว่างเปล่า ทิ้งผมไว้บนเตียงแล้วหนีไปกอดพี่เลม่อนที่รอคอยอยู่ในห้องของเขา ผมเลยไม่มั่นใจว่าคำรักที่เอ่ยออกมาทุกคำนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคำโกหกหรือมีความจริงบ้างหรือเปล่า 

“ผมว่าพี่อย่าคิดแทนเขาดีกว่า”

“ก็แล้วแต่ทิฐิของมึงละกัน”

ผมอยากจะสวนกลับไปนักเชียวว่า... ผมทิฐิตรงไหน คำพูดเชือดเฉือนของคนคนนั้นต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้รักผมแล้ว เขาใช้คำพูดทิ่มแทงหัวใจผมแบบไม่นึกปรานีเลยสักครั้ง ยกเว้นคืนนั้นคืนเดียวที่มีคำพูดหวานให้ผมหลงใหล แต่ก็ทำลายมันด้วยการกระทำของตัวเขาเอง

“เอากระเป๋ามาให้กู” เจ้าตัวทวงกระเป๋าอีกครั้ง

“พี่จะไปจริงเหรอ ไม่เห็นจำเป็นที่พี่ต้องไปเลย” ผมก็ยังถาม ยังไม่ยอมคืนกระเป๋าให้อีกฝ่าย อยากให้พี่เลม่อนเปลี่ยนใจ ทั้งที่ผมควรจะดีใจด้วยซ้ำที่พี่เลม่อนเป็นฝ่ายยอมแพ้และเดินออกไปเอง ผมอาจจะดีใจก็ได้ ถ้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าตัวเล่าว่ามีคนอยากให้เขาตาย

“จำเป็นสิ” เจ้าตัวเค้นยิ้ม “กู พี่ยะ แล้วก็มึง จำเป็นที่ต้องมีความสุขซะที มึงว่าไหมล่ะ”

“นั่นสินะ” ผมไม่อยากปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองอยากได้มาเนิ่นนาน...ความสุขที่ควรยืนยาวซะที “แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่าพี่ควรอยู่ที่นี่ต่อ ถ้าคุณยะปกป้องพี่มาได้จนถึงวันนี้ ทำไมพี่ไม่ให้เขาทำหน้าที่ต่อล่ะ ไม่จำเป็นที่พี่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงกับคนที่อยากให้พี่ตาย ส่วนเรื่องของผมกับเขา มันไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้หรอก”

“มันไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว ในเมื่อไม่มีตัวมารแบบกูคอยขัดขวางความรักของมึงกับพี่ยะ” พูดจบก็เอื้อมมือมาดึงกระเป๋าของตัวเองไปจากหลังผม เอาไปแบกไว้บนหลังของตัวเองเหมือนเดิม “มึงก็ไม่ต้องห่วงกู กูมีคนที่จะคุ้มกะลาหัวกูได้แล้ว เอาละ ฟังคำพูดจากใจกูให้ดี”

พี่เลม่อนมองตาผมนิ่งใต้แสงของโคมไฟทางเดิน ดวงตาคู่หวานดูจริงจังกว่าทุกครั้ง ไม่มีความรู้สึกอย่างเช่นในวันเก่า ไม่เหลือความเกลียดชังอยู่ในนั้น และดูจะเป็นมิตรอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“คืนดีกับพี่ยะซะ มึงสงสัยอะไรมึงก็ถามเขาให้หมด ตอนนี้พี่ยะพร้อมตอบคำถามคาใจของมึงทุกอย่าง... กูไปละ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หมุนตัวกลับ สาวเท้าไปยังทิศทางที่จะพาตัวเองออกไปจากชีวิตของคุณยะ... และผม

“พี่เลม่อน” ผมเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนที่แผ่นหลังนั้นจะหายไปจากการมองเห็น เจ้าของชื่อหยุดปลายเท้าลง ก่อนหันกลับมาหาผม เพื่อฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูดและคำพูดนี้ออกมาจากความรู้สึกแท้จริง “...ผมขอโทษ”

“กูรับคำขอโทษของมึง” อีกฝ่ายตอบมาในทันที

พี่เลม่อนรู้ว่าผมขอโทษเขาเรื่องอะไร ก็เรื่องที่ผมทำลายอนาคตของเขา ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้หน้ากากและแว่นตาปกปิดใบหน้าสวยงามจากสายตาผู้คน อนาคตที่ควรสดใสและสวยงามต้องมาจมอยู่แค่หลังร้านเค้ก เพื่อหลีกหนีผู้คนที่ยังจดจำคลิปและรูปฉาวของเขาได้อยู่ แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังเชื่อว่าพวกมันก็ยังคงอยู่ในมุมลึกลับบนโลกอินเทอร์เน็ต โลกที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขหรือลบทิ้งสิ่งเลวร้ายนั้นได้อย่างหมดจดถาวร

รูปและคลิปของพี่เลม่อนไม่มีวันจะจางหายไป มันยังอยู่และยังคงอยู่ในตลอดไป ขึ้นอยู่กับว่าใครจะตามหามันเจอ

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้หนึ่งครั้ง ผมคงอยากย้อนกลับไปเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเองในวันนั้น ผมจะไม่ทำลายชีวิตคนคนหนึ่งด้วยความโกรธแค้น เพื่อความสะใจของตัวเองเพียงไม่กี่ชั่วโมง ส่วนฝ่ายนั้นต้องอยู่กับสิ่งที่ผมทำไปตลอดทั้งชีวิต

“กูก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกัน สำหรับเรื่องวันนั้นที่ทำให้มึงต้องหนีพี่ยะไป” พี่เลม่อนพูด ทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องวันนั้น เรื่องที่ทำให้เส้นความอดทนของผมขาดสะบั้น “ที่จริงพี่ยะตกลงกับกูแล้ว ว่าเขาจะดูแลกูเหมือนเดิมแต่จะไม่ทำเรื่องแบบนั้นกับกูอีก พักหลังๆ เขาก็ไม่มาหากู ถ้ากูไม่โทรหา เขาก็ไม่โทรมา แต่วันนั้นกูทนคิดถึงเขาไม่ไหว กูเลยไปหาเขา แล้วขู่เขาว่าถ้าไม่นอนกับกู กูจะเอาที่อยู่ของแม่มึงไปให้มึง พี่ยะไม่อยากให้มึงรู้เรื่องพ่อกับแม่ของมึง เพราะกลัวมึงจะทิ้งเขาไปหาคนพวกนั้น แล้วมันก็ไม่ใช่แค่ครั้งนั้นที่มึงเห็น ทุกครั้งที่มีอะไรกันนั่นแหละที่กูใช้เรื่องพ่อแม่ของมึงมาขู่เขา"

ทำไมคุณยะต้องกลัวเรื่องที่ไม่น่ากลัวพวกนี้ด้วย ถ้าเขาบอกผมตรงๆ ว่าพ่อแม่ผมเป็นใคร ผมก็ไม่คิดจะทิ้งเขาหรือคนในครอบครัวตรัยธาดาไปไหนหรอก

“มึงเลิกโกรธพี่ยะเถอะ อย่างน้อยมึงก็รู้แล้วว่าเขาไม่เคยเต็มใจนอนกับกู... กูไปละ” ว่าแล้วพี่เลม่อนก็ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังที่ถูกบดบังโดยกระเป๋าใบใหญ่ ร่างนั้นไกลออกไปเรื่อยๆ และสุดท้ายก็หายไปจากการมองเห็น

แต่ก็หอบเอาเมฆหมอกดำมืดในหัวใจของผมออกไปทีละน้อย จนกระทั่งท้องฟ้าสีราตรีด้านบนก็ยังดูสดใสกว่าทุกค่ำคืนที่ผมเคยเห็น


......................................................................


ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน ผมยังแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเย็นชืดที่แวดล้อมด้วยบรรยากาศที่เย็นสบายจากสายลมยามค่ำคืน นาทีนั้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอในความเงียบที่โอบล้อมด้วยความมืดของรัตติกาล ตัวเรือนทั้งหลังไร้แสงไฟส่องสว่าง มีเพียงแสงจันทร์เต็มดวงบนฟากฟ้าสีเข้มที่ทาบทับลงมา ขณะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมก็ทิ้งลมหายใจออกจากปอดให้ได้มากที่สุด ก่อนดำดิ่งลงไปในมวลน้ำเย็นจัด ดิ่งลึกจนลงไปแตะพื้นสระ ทิ้งตัวอยู่แบบนั้น... นานเท่าที่จะนานได้

นานจนต้องบอกตัวเองว่าพอได้แล้วถึงได้ทะยานขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือคนที่ผมรอคอยการกลับมาของเขา

“ผมรอคุณ” ผมว่ายไปที่ขอบสระตรงที่เขายืนอยู่ ขณะที่เขาย่อตัวลงมา ให้ระดับสายตาของผมกับเขาใกล้กันมากขึ้น

“ฉันมาแล้ว” ใบหน้าคมเข้มและดวงตาสีดำของเขาประดับด้วยรอยยิ้ม ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ทุกอย่างมันดูจริงไปหมด

“ผมจะถามคุณทีละข้อ” ผมเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ไม่อยากปล่อยเวลาให้ช้าไปแม้แต่วินาทีเดียว เพราะผมปล่อยเวลาให้เสียไปอย่างน่าเสียดายที่สุดมาเกือบสิบปีแล้ว

“เอาสิ” เขาดูไม่แปลกใจ ซ้ำยังเต็มใจ จากนั้นก็ขยับตัวลงนั่งข้างขอบสระ

ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ตัวยังแช่อยู่ในสายน้ำเย็นชืดที่ชื่นชอบ แม้จะเตรียมคำถามมากมายไว้ครบถ้วนแล้ว ผมก็ยังรู้สึกประหม่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องถามออกไปจริงๆ จังหวะนั้นเองมือที่ไม่ได้เย็นชืดแบบมือผมก็วางลงมาบนเส้นผมชุ่มน้ำของผม หัวใจพลันอบอุ่นไปทั่วพื้นที่ ผีเสื้อในนั้นกลับมาขยับปีกและโบยบินอย่างร่าเริง

“แต่ก่อนอื่น” เขาทิ้งคำพูดไว้แค่สามคำ ก่อนยิ้มที่ทำให้ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลายิ่งขึ้น ลูบหัวผมเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “...เรียกฉันว่าคุณยะเหมือนเดิมก่อน” เสียงทุ้มนุ่มของเขาฟังแล้วสบายใจ นานแค่ไหนแล้วที่ผมกับเขาไม่ได้พูดกันด้วยความสงบสุขแบบนี้

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วเอ่ยเอาคำถามแรกที่จะทำให้คำถามอื่นๆ ที่จะตามมาอีกนั้นง่ายขึ้น

“คุณยะยังรักผมอยู่ไหม” ผมจบคำถามด้วยการมองลึกเข้าไปในดวงตาที่มีแต่รอยยิ้มอบอุ่น ริมฝีปากของเขาก็มีรอยยิ้มด้วยเช่นกัน ก่อนที่มันจะขยับ เอ่ยเป็นคำตอบออกมา

“คืนนั้นเธอได้คำตอบไปแล้วนะ” เขาว่า ริมฝีปากยังแต้มรอยยิ้มอยู่เช่นเคย “เธอจำไม่ได้หรือว่าไม่อยากจำกันแน่ว่า...ฉันรักเธอ”

คืนนั้นที่เขากอดผม ผมบอกรักเขา เขาเองก็ตอบกลับมาว่า ‘เหมือนกัน’ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากได้ความมั่นใจในตอนนี้

“ผมอยากได้คำตอบ อยากได้ความมั่นใจ” แล้วผมก็ถามคำถามเดิมอีกครั้ง “คุณยะยังรักผมอยู่ไหม”

“เหมือนเดิม” มือข้างเดิมของเขาที่ลูบหัวผมอยู่นั้น เลื่อนลงมาบนแก้มเย็นชืดของผม เขาลูบมันแผ่วเบา ทว่าความอุ่นร้อนของมือนั้นก็ทำให้ผิวแก้มร้อนไปหมด “...เคยรักยังไง วันนี้ก็ยังรักแบบนั้น ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” คำพูดของเขาหนักแน่น

ผมยิ้มให้กับความหนักแน่นที่ถูกเปล่งออกมาด้วยสุ้มเสียงทุ้มหวาน ความสุขพลันฟุ้งเต็มหัวใจผม จนล้นทะลักในความเงียบของค่ำคืนที่มีแค่ผมกับเขา... มีแค่เราสองคนแล้วจริงๆ

.


.


.


อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 05-04-2019 21:33:33
นานกว่าผมจะหุบยิ้มลงได้ ทว่าความสุขสีชมพูก็ยังโอบล้อมอยู่รอบตัว ผมเริ่มต้นคำถามที่สองโดยไม่ต้องสูดหายใจเข้าลึกอย่างคำถามแรก สำหรับคำถามข้อนี้ ผมเดาคำตอบล่วงหน้าไม่ได้เลย

“รักแต่ทำไมไม่ตามไปง้อ” ขอบตามันเริ่มรื้นร้อน เสียงของผมก็เริ่มสั่น ไม่ใช่เพราะความเย็นชืดที่โอบล้อมแต่เพราะความรู้สึกที่ค้างคามานานเกือบจะสิบปี “ผมรอมาตลอดนะ รอให้คุณยะบินไปหา รอให้คุณยะไปง้อ”

“ฉันมีงานต้องทำ มีพนักงานเป็นร้อยๆ ที่ต้องดูแล” เขาทอดสายตาอ่อนโยนลงมา “แล้วถ้าฉันตามไปง้อถึงที่นู่น เธอจะยอมให้ฉันเจอไหม ยอมให้ฉันง้อหรือเปล่า หรือยอมให้อภัยฉันทันทีเลยไหมล่ะ” คำตอบของเขาจบลงด้วยคำถาม ที่ฟังอย่างไรก็ไม่ต่างจากข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น

“ข้ออ้างมากกว่า” ผมกระแทกเสียงเล็กน้อย พลางเอาตัวขึ้นจากสระเพราะปากเริ่มสั่นแล้วหลังจากแช่น้ำมามากกว่าชั่วโมง

“ก็คงจะใช่” พูดพลางถอดเสื้อสูทออกจากตัว

และตอนนี้ผมกับเขาก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน ใบหน้าใกล้กันมากขึ้นเพราะเขากำลังใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดเส้นผมชุ่มน้ำให้กับผม หลังจากที่เขาถอดสูทสีเข้มคลุมลงบนตัวผมเรียบร้อยแล้ว ความหนาวเย็นเมื่อครู่พลันหายวับไปจากร่างกาย ที่แทนเข้ามาคือความอบอุ่นราวกับถูกห่อไว้ด้วยอ้อมกอดของเขา

“ทำไมถึงไม่ไปง้อผม บอกความจริงผมมาได้ไหม” ผมถามอีกครั้ง มือที่วุ่นวายอยู่กับการทำเส้นผมของผมให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนจะขยี้เส้นผมของผมต่ออีกเกือบครึ่งนาทีถึงได้ละออกไป

“เพราะฉันไม่อยากเห็นเธอกลับมาเจ็บปวดกับสิ่งที่ฉันทำให้เธอไม่ได้” เขาพูดมันออกมาช้าๆ ไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของผม “ฉันเคยบอกเธอแล้วว่าฉันขี้ขลาด ฉันไม่กล้าทิ้งเลม่อน ฉันทำให้เธอไม่ได้ ฉันไม่อยากใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิมด้วยการหลอกเธอ ไม่อยากเห็นเธอร้องไห้ซ้ำๆ ฉันถึงต้องยอมปล่อยเธอไป... อยู่ที่นั่นเธอมีความสุขไหม?” อีกครั้งแล้วที่เขาจบมันด้วยคำถาม

“แล้วคุณยะมีความสุขไหมตอนที่ไม่มีผม” ผมย้อนถามเขาบ้าง เขาส่ายหน้าทันที

“ไม่มี”

“ผมก็ไม่มีความสุขเลยสักวัน”

“งั้นเราก็เหมือนกัน”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าเรื่องค้างคาใจก็ยังไม่หมด มีคำถามเยอะแยะที่ผมอยากได้คำตอบจากเขา

“แล้วทำไมถึงยังใจร้ายกับผมอยู่ล่ะ ทำไมถึงพูดทำร้ายจิตใจผม บอกว่าไม่ต้องการผม พูดว่าผมน่ารำคาญ ทำเหมือนรังเกียจผม แม้แต่หน้าก็ไม่อยากมอง ผมเจ็บนะ ยิ่งตอนคุณยะบอกว่า...พื้นที่ข้างตัวคุณยะไม่ได้มีไว้สำหรับผม” นึกถึงตอนนั้นแล้ว หัวใจก็พลันเจ็บปวดขึ้นมาอีก “ทำไมต้องพูดถึงขนาดนั้นด้วย เหมือนคุณยะไม่รักผมเลย” ผมอดที่จะตัดพ้อไม่ได้ ตอนนั้นผมเชื่อไปแล้วว่าเขาหมดรักผม แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังรู้สึกว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง

“ฉันมีความสุขมั้งที่เห็นเธอเจ็บปวด” ดูคำตอบของเขาสิครับ ลูกตาสีดำใต้แสงจันทร์ที่ระยิบระยับด้วยความสนุกสนานนั้นด้วย

“อย่าทำเป็นพูดเล่นสิครับ ผมเสียใจนะ เสียใจมากๆ ด้วย” ผมย้ำเสียงจริงจัง อยากให้เขารับรู้ว่าผมเจ็บปวดมากเหลือเกินกับคำพูดพวกนั้นของเขา แต่เขาก็ยังย้อนผมกลับได้อีก

“เธอก็พูดว่าเกลียดฉันเหมือนกันนะ”

“คุณยะ!” ผมเริ่มไม่ซึ้งแล้วนะ “นั่นผมพูดประชด ตอนนั้นคุณยะก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าผมไม่ได้เกลียดคุณยะจริงๆ สักหน่อย”

“นั่นสินะ” เขายิ้ม เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม พูดเสียงเบาแต่นุ่มนวลอย่างที่สุด แต่ก็ดูเจ้าเล่ห์ไม่น้อยเลย “ฉันยังรู้เลยว่าเธอพูดประชด ยังอ่านสายตาของเธอออก สายตาที่เต็มไปด้วยคำว่า ‘รักฉัน’ แล้วทำไมเธอถึงดูไม่ออกล่ะว่าฉันก็ประชดเธอ ไม่รับรู้เลยหรือไงว่าฉันไม่มีวันที่จะหยุดรักเธอได้”

“...” ตอนนี้ผมยังไร้คำพูด ได้แต่จ้องเข้าไปในดวงตาสีราตรีที่หวานซึ้งนั้นด้วยนัยน์ตาที่ฉ่ำน้ำอุ่นร้อน ผมชอบคำพูดของเขา ชอบเสียจนอยากมอบน้ำตาให้กับคำพูดเหล่านั้น

ไม่ว่าเมื่อไร คำพูดของเขาก็มีอิทธิพลกับหัวใจผมเสมอ บางคำก็ทำให้ผมเจ็บปวดเหลือเกินจะทานรับไหว เหมือนตกลงไปในหุบเหวลึกและก้นเหวนั้นคือกองไฟกองใหญ่มหึมา บางครั้งก็ทำให้ผมตกลงไปในห้วงความรักอย่างยากที่จะถอนตัวออกมาได้ ได้แต่จมลงไปในนั้น อิ่มเอมกับคำหวานที่เป็นของผมเพียงคนเดียว

“ฉันรักเธอ” เจ้าของดวงตาหวานย้ำลงมาอีก ราวกับจะย้ำให้ผมจดจำและอย่าได้ถามคำนี้อีก

“คุณยะรักผม แต่ก็ชอบทำร้ายจิตใจผม” มันก็อดตัดพ้อแบบเดิมไม่ได้ การทำร้ายผมด้วยคำพูดไม่น่าฟังต่างๆ ล้วนตอกลึกอยู่บนก้อนเนื้อหัวใจ

คราวนี้เขาลดรอยยิ้มลงเหลือเพียงใบหน้าที่ราบเรียบกับเหตุผลที่เขาทำร้ายจิตใจผม

“ที่ฉันทำแบบนั้นเพราะอยากให้เธอเลิกรักฉัน ไม่อยากให้เธอยึดติดอยู่กับฉันที่ไม่สามารถให้ในสิ่งที่เธออยากได้ในตอนนั้น”

“ต่อให้คุณยะฆ่าผมให้ตาย ผมก็ไม่มีวันเลิกรักคุณยะได้” คำพูดของผมเป็นความจริง ผมไม่มีวันเลิกรักเขา เขาจะทำร้ายจิตใจผมมากแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้ผมรักเขาน้อยลงเลย ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมคงไม่มาอยู่ตรงนี้ ต่อหน้าเขา ไม่ทนมาจนถึงวันนี้หรอก

“ฉันรู้”

“แต่ก็ยังทำ”

“ก็ดีกว่าฉันไม่ทำอะไรไม่ใช่หรือไง”

“ไม่ทำซะยังดีกว่า”

“ไม่ทำ เธอก็กลับเข้ามาในชีวิตฉันอีกน่ะสิ”

“คุณยะพูดเหมือนชีวิตคุณยะไม่มีผมก็ได้ คุณยะสามารถใช้ชีวิตมีความสุขได้โดยไม่ต้องมีผม” มันอดคิดแบบที่พูดออกไปไม่ได้เลยจริงๆ ขอบตาร้อนผ่าวบีบรัดจนกลายเป็นหยดน้ำตาที่ไหลไปตามผิวแก้ม

“อย่าคิดแบบนั้น” เขายกมือขึ้นจะเช็ดน้ำตาให้ แต่ผมชิงเช็ดน้ำตาตัวเองเสียเอง

“คุณยะพูดให้ผมคิดแบบนี้เองนี่นา” เสียงผมทั้งสั่นและพาล มองเขาตาขวางทั้งที่น้ำอุ่นร้อนเต็มหน่วยตา

“ฉันบอกไปแล้วว่าไม่อยากให้เธอเสียน้ำตาเพราะฉันอีก ถ้าฉันดึงเธอกลับเข้ามา ฉันก็ต้องหลอกเธอ ทำเธอเสียใจเหมือนเดิม”

“มันไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไง” ผมไม่ชอบวิธีแก้ปัญหาของเขาเอาซะเลย

“มี แต่ฉันไม่กล้าเสี่ยง” เขาตอบ “ฉันปล่อยเธอไปได้เพราะแน่ใจว่าเธออยู่ได้โดยไม่ต้องมีฉัน แต่เลม่อนต้องมีฉันคอยปกป้อง ถ้าฉันทิ้งเขา เขาก็จะมีอันตราย”

“ตอนนี้คุณยะไม่ต้องปกป้องพี่เลม่อนแล้วเหรอ” ผมถาม

“เขาไม่ยอมให้ฉันดูแลเขาอีกแล้ว”

“ทำไมครับ”

“เลม่อนบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือไง”

ผมนึกถึงคำพูดของพี่เลม่อนขึ้นมาทันที

‘มึงก็ไม่ต้องห่วงกู กูมีคนที่จะคุ้มกะลาหัวกูได้แล้ว’

“ถ้าพี่เลม่อนไม่ยอมไปเอง ผมก็คงไม่ได้กลับเข้ามาในชีวิตคุณยะงั้นสินะ” อดไม่ได้ที่จะประชดซ้ำลงไปอีก รู้สึกว่าตัวเองสำคัญน้อยกว่าพี่เลม่อน ถึงผมจะรู้สาเหตุที่ทำให้คุณยะต้องเลือกพี่เลม่อน มันก็ห้ามความรู้สึกน้อยใจไม่ให้ผุดขึ้นมาไม่ได้ ทั้งที่ผมเป็นคนที่คุณยะรัก แต่กลับเป็นคนที่ไม่ถูกเลือก

“แต่เธออยู่ในใจฉันนะ”

“ผมต้องภูมิใจใช่ไหมที่ได้เป็นคนที่คุณยะรัก แต่ไม่ใช่คนที่คุณยะเลือก”

“แค่ฉันรักเธอก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง” คำตอบของเขาแต่ละอย่างดูง่ายไปเสียหมด เหมือนผมเจ็บไม่เป็นอย่างนั้นแหละ เขาไม่รู้เลยหรือไงว่าผมไม่เคยพอใจกับแค่การที่เขารักผม ผมต้องการทั้งความรักและการได้เป็นเจ้าของเขา ได้อยู่ข้างเขา เป็นคนที่เขาเลือก

“อย่าคิดเอาเองสิครับ” ผมพูดเสียงขุ่น มองตาขวาง “ผมไม่พอใจแค่ได้เป็นคนที่ถูกรักแต่ถูกทิ้งหรอกนะครับ ผมต้องการเป็นเจ้าของคนที่ผมรักด้วย” คนฟังหัวเราะกับคำพูดประชดประชันของผม ไม่เห็นน่าขำตรงไหนเลย

“ฉันรู้” เขาเปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นรอยยิ้มหวานซึ้งและคำพูดหวานหู กล่อมให้ความขุ่นข้องหมองใจจางลงไปทีละน้อย “ตอนนี้ฉันพร้อมให้เธอกลับเข้ามาในชีวิตฉันแล้วนะ ต่อจากนี้ไปจะไม่มีคำพูดหรือการกระทำที่จะทำให้เธอเสียน้ำตาเพราะฉันอีกแล้ว”

“ผมเชื่อคุณยะได้ใช่ไหม” แม้จะเชื่อหมดทั้งหัวใจแล้วก็ตาม

“เชื่อได้สิ”

“ถ้าพี่เลม่อนกลับมาล่ะ” คำถามผุดขึ้นมาอีก ผมกลัวพี่เลม่อนเปลี่ยนใจ หรือใครคนนั้นปกป้องพี่เลม่อนได้ไม่เท่ากับที่คุณยะทำมาตลอด จนพี่เลม่อนต้องกลับมาหาที่ที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุด “คุณยะจะทิ้งผมไหม”

“ถ้าเลม่อนกลับมา ฉันก็จะดูแลเขาเหมือนเดิม” เขาเอื้อมมาดึงมือผมไปกุมไว้ “แต่ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีกแล้ว มันถึงจุดที่ฉันต้องเลือกเธอแล้วล่ะพี”

“เพราะอะไรครับ” แม้อากาศรอบตัวจะเต็มไปด้วยสายลมเย็นของยามดึก ทว่ามือของเขาที่กอบกุมมือผมไว้ก็ยังคงอุ่นอยู่แบบนั้นและอุ่นไปถึงหัวใจ

“เพราะเธอรักฉันไง”

“เพราะคุณยะก็รักผมด้วย” เขายิ้มรับคำพูดของผม “คุณยะ ถ้าพี่เลม่อนกลับมา ผมสัญญาว่าจะไม่งอแง ไม่บังคับให้คุณยะอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว” เพราะตอนนี้ผมสงสารพี่เลม่อนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน อาจเป็นเพราะผมรู้แล้วว่าพี่เลม่อนต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ชีวิตตกอยู่ในอันตรายจากคนที่อยากให้เขาตาย

“เลม่อนไม่กลับมาแล้วล่ะ”

ผมก็คิดแบบเขา เพราะแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปของพี่เลม่อนและหายไปในที่สุดนั้น มันบอกถึงความเด็ดเดี่ยวของเจ้าตัว

“คุณยะ” ผมเรียกเขา น้ำเสียงเริ่มไม่มั่นคง เมื่อต้องเอ่ยคำถามนี้ออกมา “...คุณยะโกรธผมไหมที่ทำให้คุณปู่ตาย”

แทนที่เขาจะตอบ เขากลับดึงตัวผมเข้าไปหา บังคับให้ผมทิ้งตัวลงนั่งพาดบนตักเขา

“ไม่เอาคุณยะ ตัวผมหนัก” ผมดิ้นจะลงจากตักเขา น้ำหนักตัวผมไม่ได้เบาเหมือนตอนเป็นเด็ก ผมกลัวเขาจะเมื่อย แล้วจะมานึกเสียใจทีหลังว่าไม่น่าให้ผมนั่งตักเขาเลย แต่ท่อนแขนแข็งแรงก็โอบรัดช่วงเอวผมเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้เคลื่อนย้ายตัวไปไหนได้

“มันจะหนักก็ตอนที่เธอดิ้นนี่แหละ นั่งนิ่งๆ” ปลายเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ปนไปกับความเอ็นดู ผมถึงหยุดดิ้น แต่ก็เกร็งตัวสุดๆ ไม่อยากให้น้ำหนักตัวทำให้เขาลำบาก “เกร็งทำไม ฉันไม่หนักหรอกน่า ตัวเธอแค่นี้เอง”

“ตัวแค่นี้ที่ไหนกันล่ะ” นึกอยากกลับไปตัวเล็กแบบเดิม จะได้นั่งบนตักเขาโดยไม่ต้องรู้สึกกลัวว่าจะทำให้เขาเมื่อย

“ตัวแค่นี้แหละกำลังดี” เขากระชับวงแขนแน่นขึ้น “ตอนกอดเธอ ฉันจะได้ไม่กลัวว่าจะทำตัวเธอหัก”

“คุณยะบอกว่าหุ่นผมน่าเกลียด”

“เธอจะจำทุกคำพูดของฉันเลยหรือไง”

“ผมจำทุกคำพูดที่คุณยะทำร้ายจิตใจผม” ไม่เคยลืมเลยด้วยซ้ำ

“ไม่จำคำที่เธอชอบบ้างล่ะ”

คำที่ผมชอบน่ะเหรอ... คงเป็นคำว่า ‘ฉันรักเธอ’ ที่เขาพูดออกมาและทำให้ผมเชื่อหมดหัวใจ ก่อนจะทำให้หัวใจของผมแตกสลายเพราะความสัมพันธ์ของเขากับพี่เลม่อนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ขาดไปจากกันไม่ได้

“ฉันรักเธอ” ริมฝีปากของเขากระซิบเสียงเบาข้างแก้มของผม ทว่ามันกลับดังเสียจนก้องไปทั้งหัวใจของผม “ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้...ฉันก็รักเธอ”

“ห้ามหลอกผมนะ”

“เธอโตเกินกว่าที่ฉันจะหลอกด้วยคำหวานหูแล้ว” เขาพูดกลั้วรอยขำ ก่อนร่องรอยนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจังขึ้น เมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ “เรื่องคุณพ่อ ทุกคนรู้ว่ามันคืออุบัติเหตุ ไม่มีใครโทษเธอ”

“แต่ถ้าผมไม่โทรหาคุณย่า คุณปู่ก็คง...” ก้อนร้อนจัดมาจุกที่ลำคอผมอีกแล้ว ไม่ต่างจากขอบตาที่กลับมาร้อนผ่าว จวนเจียนจะกลายเป็นสายน้ำตา สุดท้ายมันก็ไหลออกมาอย่างเชื่องช้า “...ผมขอโทษ”

“อย่าโทษตัวเอง” ปลายนิ้วของคุณยะปัดเม็ดน้ำตาออกไปจากแก้มให้ผม “มันไม่ใช่ความผิดของเธอ”

“แต่ผมรู้สึกผิด” ถึงทุกคนบอกว่าไม่ใช่ความผิดผมก็ตาม “คุณยะโทษว่าเป็นความผิดผมหน่อยได้ไหม ให้ผมได้ขอโทษ แล้วคุณยะก็พูดว่ายกโทษให้ผม” อย่างน้อยผมก็อยากให้ใครสักคนโทษว่าเป็นความผิดของผม เพื่อผมจะได้ขอโทษและได้รับการยกโทษ อาจจะช่วยให้ผมปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไปได้

“งั้นเธอก็ขอโทษมาสิ”

“ผมขอโทษนะครับ”

“ยกโทษให้แล้วครับ” คำพูดนุ่มนวลนั้นทำให้ผมยิ้มทั้งน้ำตาที่ยังคงไหลเต็มแก้ม ผมโอบแขนรอบลำคอเขาและซบใบหน้าลงกับไหล่กว้างนิ่งนานอยู่อย่างนั้น

“ง่วงแล้วเหรอ เข้าไปนอนไหม” เขาขยับตัว ทำท่าว่าจะยกตัวผมขึ้นจากตัก ผมรีบส่ายหน้า

“ยังไม่ง่วงครับ” ผมอยากนั่งอยู่แบบนี้ ท่ามกลางแสงจันทร์และความอบอุ่นที่ได้จากร่างกายของคนคนนี้ และผมก็ยังไม่หมดคำถาม

“แล้วเรื่องคลิปกับรูปล่ะ คุณยะโกรธผมไหม ถ้าโกรธ แล้วตอนนี้หายโกรธหรือยัง”

“ฉันควรโกรธไหม?” เขายังชอบตอบคำถามผมด้วยการย้อนถามเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ ให้กับคำถามของเขา “ฉันโกรธที่เธอตั้งใจปล่อยรูปกับคลิปพวกนั้นเพื่อแก้แค้นเลม่อน แต่คนที่ฉันโกรธที่สุดเป็นตัวฉันเอง ฉันทำให้เธอกับเลม่อนต้องมาเกลียดกัน”

“ตอนนี้ผมไม่ได้เกลียดพี่เลม่อนแล้วครับ” ผมรีบบอก นอกจากจะเลิกเกลียดพี่เลม่อนแล้ว ผมยังสงสารเจ้าตัวอีกด้วย เพราะเรื่องที่ผมทำกับเขา ทำลายอนาคตของเขา รวมทั้งเรื่องที่รู้ว่าชีวิตของพี่เลม่อนถูกใครบางคนเกลียดชังถึงขั้นอยากให้ตายเลยทีเดียว ทั้งหมดทำให้พี่เลม่อนดูน่าสงสารมากกว่าจะเกลียดชัง

“ดีแล้ว” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณยะ”

“มีเรื่องอะไรอยากจะขอโทษฉันอีก” เขาถามอย่างรู้ทัน

“ก็ทุกเรื่องเลย” ผมบอกเสียงเบา นึกย้อนไปในช่วงสองปีที่ผมกลับมาและเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยวิธีแบบเด็กๆ (ตามที่เขาว่า) ส่วนมากก็เป็นเรื่องธุรกิจ อย่างเช่นซื้อตัวลูกน้องฝีมือดีของพุฒิธาดา แย่งซื้อที่ดินสร้างโรงแรมตัดหน้าเขา ขโมยลูกค้าระดับวีไอพีของพุฒิธาดา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายจากต่างแดน ศิลปินและคนดังระดับโลก โดยอาศัยความสามารถของจิระทั้งนั้น (จิระเป็นคนที่มีเพื่อนมาก เจ้าตัวรู้จักคนเยอะ คอนเน็กชันก็เยอะตามไปด้วย มันจึงง่ายที่จะเข้าถึงคนระดับสูงเหล่านั้น) และล่าสุดก็คือมาร์คัส รอสส์

“ทุกเรื่องที่เธอหมายถึง รวมเรื่องที่เธอขัดคำสั่งฉันด้วยไหม” แววตาเขาเข้มขึ้น น้ำเสียงก็ด้วย ทำเอาผมไม่กล้าสบนัยน์ตานั้น ซุกหน้ากลับลงไปที่ไหล่กว้างใหม่ ปากขยับเป็นคำพูดแผ่วเบาว่า

“รวมด้วยครับ” ได้ยินเสียงไม่สบอารมณ์ของเขาแว่วเข้ามาในหู ใจผมก็หดเหลือนิดเดียว “พีขอโทษ”

คำสั่งของเขาคือ... ห้ามให้ใครแตะต้องของของเขา นั่นก็คือร่างกายของผม

“ถ้าเธอมีความสุขตอนที่กอดคนอื่นหรือตอนที่ยอมให้คนอื่นกอด ฉันอาจจะโมโหน้อยกว่านี้” เขารู้ว่าผมไม่ได้มีความสุขกับการนอนกับคนที่ไม่ใช่เขา “แต่เธอไม่มีใช่ไหม” น้ำเสียงของเขาปนไปกับความขมขื่นที่ปิดไม่มิด จากนั้นก็ดึงใบหน้าผมออกมา

“แต่ตอนนี้ผมมีความสุขแล้วครับ” ได้กลับมาอยู่กับเขา ถูกเขารัก กลายเป็นคนที่เขาเลือก ความทุกข์ทรมานที่เคยผ่านมาก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมอยากได้และได้มันมาแล้ว

“ฉันรู้...ฉันก็เหมือนกัน”

“คุณยะมีความสุขเพราะผม” ผมอยากให้เขายืนยัน

“ใช่ ความสุขของฉันคือเธอ”

“แล้วเรื่องระหว่างคุณยะกับคุณชลัช มีปัญหาอะไรกันหรือครับ” ตั้งแต่รู้ว่าเขาทั้งสองคนเกลียดกัน อันที่จริงเป็นฝ่ายคุณยะมากกว่าที่เกลียดคนเป็นพ่อของผม ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาของคนทั้งคู่

“แค่เรื่องเดียวพี” เสียงของเขาเข้มขึ้น กลิ่นความขุ่นเคืองฟุ้งออกมาทันที “แค่เรื่องเดียวที่ฉันจะไม่พูดถึงคือเรื่องพ่อของเธอ”

“บอกหน่อยไม่ได้หรือครับ” ผมอยากรู้จริงๆ

“ไม่ได้”

“ก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นก็ได้ เรื่องระหว่างฉันกับพ่อของเธอ มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก” เขาพูด น้ำเสียงกลับมาเป็นปกติ คือนุ่มนวลและหวานซึ้ง “สนใจแค่เรื่องของเราสองคนก็พอ... แค่รู้ว่าฉันรักเธอก็พอพี” แล้วคุณยะก็จบคำพูดด้วยริมฝีปากหนาที่แนบชิดริมฝีปากของผม ทำให้ผมหมดแล้วทุกคำถาม เพื่อจะได้ดื่มด่ำกับจูบของเขาไปตลอดทั้งคืน


จบตอนที่ 35

เมาท์ ๆ
นี่ก็ไม่ต่างจากตอนจบแล้วนะคะ
จบแบบเรียบง่าย ไม่เกรงใจดรามาที่มีมาทั้งเรื่องเลย
ส่วน 36 กับ 37 จะเป็นเหมือนสะเก็ดดาวหาง ผลจากการกระทำของน้องพีนิดหน่อย
สีเหลืองอ่อน
ปล. สไตล์นิยายของคนเขียนคือดราม่าหนักแต่จุดจบเรียบง่ายทุกเรื่องเลย


  :hao5:


หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 05-04-2019 22:52:14
มันจบง่ายจนไม่รู้ว่าที่ผ่านมาทำกันไปเพื่ออะไร...... :katai1:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 05-04-2019 23:12:36
เรื่องเลม่อนยังไม่เคลียร์เลยนะ
คนปองร้ายเลม่อนมานาน
ทำไม่ไม่ลงมือทั้งๆที่มีโอกาศตั้งเยอะ
แล้ววันที่ได้กับพีล่าสุดอล้วหนีไปหาเลม่อน
แม้แต่ในบ้านก็ไม่ปลอดภัยหรือยังไง สงสัยหน่อยเถอะน้องพี
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-04-2019 23:53:45
จบแบบเรียบง่าย ไม่เกรงใจดรามาที่มีมาทั้งเรื่องเลย
^
^
เราจะไม่มีเหตุผลตั้งแต่ต้นจนจบแบบนี้ไม่ได้น๊าาาาาาา
ตอนดราม่าก็สุดฟ พอจะดีกันก็ง่ายเกิ๊นนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 06-04-2019 00:25:37
-*-
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 06-04-2019 06:22:48
อ่านจบตอน1ไปแล้ว ชอบนะ น่าจะมีความหน่วงๆในใจ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-04-2019 09:55:29
มันง่ายไปหรือเปล่า แค่เลม่อนไปก็ยอมคืนดีกันง่าย ๆ แบบนี้ ไม่หนีไปให้คุณยะตามง้ออะไรเลยเหรอ แล้วคนที่น่าสงสารสุดคงเป็นจิระที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพีแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 06-04-2019 17:58:35
ตอน2 : พีใจร้าย กับเพื่อนยังร้ายได้อีก อยากประชดจนไม่ห่วงความรู้สึกเพื่อนคนเดียวที่มี เลย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 06-04-2019 20:31:42
ตอนที่3 : มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกิน พีไปเจออะไรมานะ แล้วทำไมต้องทำให้พีกลายเป้นคนใจร้ายไปได้
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 06-04-2019 21:51:18
ตอน4 : โอ้ย!!!กุมขมับ เรื่องราวย้อนไปย้อนมา ต้องไปอ่านเรื่องก่อนๆนี้มั้ยอ่ะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 06-04-2019 22:48:42
5-6-7  เริ่มจะรู้ที่มาที่ไปแบบรางๆล่ะ แต่ไม่เข้าใจตายะ จะร้ายใส่น้องพีทำไม
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 35 (05-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 08-04-2019 15:08:23
อ่านยาวรวดเดียจนตามทันละ ก้อนะวังวนของความรัก ความรักของพี รักมากรักสุดใจทุ่มให้หมดตัว  อยากครอบครอง พอไม่ได้ก็โกรธ ดึงลากคนอื่นเข้ามา เพื่อประชด อีตาพี่ยะ ก็เหลือเกิน อมพนำเรื่องราวอะไรตั้งหลายอย่าง  ถ้ารู้ว่ารักษาคำสัญญาไม่ได้ ก็ไม่ควรพูดให้ความหวังตั้งแต่แรกป่ะ มันไม่ควรเป็นพระเอกเลยนะเนี้ย
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 36 (11-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 11-04-2019 19:55:02
ตอนที่ 36

หลังจากคืนนั้น คืนที่ได้เยียวยาหัวใจตัวเองด้วยคำถามมากมาย ผมก็ยอมกลับไปเป็นคนโง่คนเดิมด้วยความเต็มใจ ยอมเชื่อคำพูดมากมายที่พรั่งพรูออกมาอย่างแสนหวานจากริมฝีปากของคุณยะ มีความจริงในนั้นมากน้อยแค่ไหน ผมก็โง่พอที่จะไม่ตั้งคำถามกับตัวเอง ยอมเชื่อ ยอมฟัง ยอมวางหัวใจไว้บนกำมือเขาอีกจนได้

ผมไม่เคยเข้มแข็งได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทุกคำพูดของคุณยะ ทุกคำที่คนคนนี้เอ่ยออกมา ผมพร้อมยอมเชื่อจนหมดหัวใจ เชื่อจนเหมือนคนโง่ที่ไม่เคยเข็ดกับความย่อยยับของหัวใจตัวเอง

ในคืนที่ผมยอมซุกใบหน้าลงบนอกเขา ทิ้งกายอยู่อ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย และหลับฝันหวานตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า จนถึงวันนี้ที่เวลาไหลผ่านมาร่วมเดือน ทุกอย่างสวยงามไปเสียหมด แค่เห็นหน้าเขาก็มีความสุขแบบล้นทะลัก ยิ่งได้มองเข้าไปในดวงตาสีราตรีก็เห็นความรักฝังลึกอยู่ในนั้น

ก๊อก...ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งดึงผมกลับมาอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างที่ควรเป็น ก่อนที่จะได้ขยับริมฝีปากเอ่ยคำอนุญาตออกไป ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน

“คุยกันหน่อยสิ” ผู้มาเยือนเอ่ยเสียงเรียบ ระหว่างที่เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟารับแขก

ถึงจะผูกพันด้วยสถานะพ่อลูกที่มีสายเลือดเดียวกัน ซ้ำยังทำงานอยู่ที่เดียวกัน ทว่าน้อยครั้งที่เจ้าของสยามชโยดมจะเดินมาเคาะประตูห้องทำงานของผม

“ครับ” ผมตอบรับ ขยับตัวลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินไปยังชุดโซฟาขนาดใหญ่ ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของคุณชลัช

“กับมันเป็นยังไงบ้าง”

‘มัน’ คนที่คุณชลัชหมายถึงคือ ‘คุณยะ’

มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่วันที่ผมเดินมาหาเขาอย่างนกปีกหัก บอกเขาว่าผมเป็นลูก หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงคุณยะกับผมเลย จนกระทั่งตอนนี้เองที่เขาเอ่ยถึง

“ก็ดีครับ” ผมตอบ

“แน่ใจไหมว่ามันจะไม่ทำร้ายเธอแบบเดิมอีก” เขาถามเสียงเรียบ ส่วนผมพอเจอคำถามนี้เข้าก็เหมือนกับว่าถูกรื้อบาดแผลขึ้นมาใหม่ “ฉันไม่ไว้ใจมัน กลัวมันจะทำกับเธอเหมือนเดิมอีก” คำพูดเหล่านี้คล้ายเอ่ยออกมาพร้อมความห่วงใย ที่นานครั้งเขาจะแสดงออกมาให้ผมรู้สึก

ระหว่างผมกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ หรือแม้แต่คุณพิมดาวผู้เป็นแม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเราสามคนห่างเหินอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้นมาตลอด กับคุณพิมดาวยังมีโอบกอดบ้างแต่อ้อมกอดนั้นก็จืดจาง ไม่ต่างจากโอบกอดตามหน้าที่ของความเป็นแม่ ส่วนคุณชลัชไม่เคยแม้แต่จะอ้าแขนออกมาเพื่อรับผมเข้าสู่อ้อมกอด ผมเองก็ไม่ได้เจ็บปวดไปกับความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกที่ไม่เหมือนครอบครัวอื่น เข้าใจว่ามันยากที่จะโอบกอดกันด้วยความรักและผูกพัน แต่ใช่ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ทุกอย่างมันเป็นไปตามสิ่งที่ต้องเป็น พวกเขาให้การเลี้ยงดูเท่าที่ผมอยากได้รับและให้มากกว่าที่ผมอยากได้จากพวกเขาเสียด้วยซ้ำ

“ผมไว้ใจเขาก็พอครับ” ตอนที่ผมตอบคุณชลัชไปแบบนั้น เจ้าของคำถามก็พ่นลมหายใจออกมาทันที สีหน้าเขาดูหงุดหงิดและเป็นกังวลในคราวเดียวกัน

“พี...” มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อผม “ฉันอยากขอให้เธอเลิกกับมัน...ได้ไหม?”

“ไม่ได้ครับ” ผมตอบทันที ไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว

“ฉันขอในฐานะพ่อ” นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่คุณชลัชเอาความเป็น ‘พ่อ’ มาใช้ ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่ามันไม่มีทางได้ผล เพราะไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ให้ผมรักคุณยะได้

“ไม่ว่าคุณชลัชจะขอในฐานะอะไร ผมก็ไม่เลิกกับเขา”

“เธอไม่กลัวเลยหรือไงว่าจะถูกมันหลอกเหมือนที่ผ่านมา”

กลัวสิ... แต่ความรู้สึกที่อยากรักเขามีมากกว่าความกลัวเป็นร้อยพันเท่า

ในใจคิดแบบนี้แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ได้แต่บอกออกไปว่า

“ไม่กลัวครับ”

คำตอบของผมทำให้คุณชลัชเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ย

“มันเกลียดฉัน” เขาถอนหายใจอีกครั้ง คล้ายไม่อยากพูด เงียบไปสักพัก ถึงได้เอ่ยออกมาอีกครั้ง “บางทีมันอาจจะใช้ความเจ็บปวดของเธอเป็นการแก้แค้นฉัน”

ผมก็เคยคิดแบบที่เขาพูด เคยคิดว่าที่คุณยะเกลียดผมก็เพราะเกลียดคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผม

“คุณชลัชทำอะไรให้เขาเกลียดครับ”

เขานิ่งไปพักใหญ่ ถอนหายใจ แล้วจึงค่อยตอบคำถามของผม

“ฉันเคยทำร้ายมัน”

“ทำร้าย?” ผมทวนคำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเบาๆ

“ใช่” เขาพยักหน้า “มันถึงได้เกลียดฉันมาจนถึงวันนี้”

ผมจินตนาการไม่ถูกเลยว่า คุณชลัชทำร้ายเพื่อนรุ่นน้องของตัวเองแบบไหนกัน ถึงทำให้อีกฝ่ายเกลียดได้ฝังลึกจนถึงวันนี้ จนกระทั่งเรื่องราวในอดีตถูกถ่ายทอดออกมาช้าๆ แต่ความรุนแรงของมันไม่ได้เชื่องช้าเลยสักนิด

.................................


เพราะเรื่องราวที่ผ่านระยะเวลามามากกว่าชีวิตผมถูกบอกเล่าออกมา และเป็นเรื่องราวความบาดหมางในรูปแบบที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของผมไปมากจริงๆ คนที่อยู่หลังโต๊ะทำงานหลังใหญ่ถึงได้ไม่ยอมตอบคำถามของผมและไม่ยอมให้ผมถามมันกับเขา

แต่ผมก็รู้แล้ว และคิดว่าตัวเองไม่ควรอยากรู้เลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องเจ็บปวดไปกับสิ่งที่คุณยะเคยเผชิญหน้ากับมัน

“คุณยะ...” ยามเอ่ยเรียกชื่อเขา เสียงของผมสั่นเทา แม้จะพยายามฝืนบังคับให้เป็นปกติแล้วก็ตาม เพราะความรู้สึกในใจของผมกำลังปวดร้าวแทนคนที่อยู่ตรงหน้า

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารบนโต๊ะ ปากกาในมือถูกวางลงบนแผ่นกระดาษสีขาวที่บนนั้นเต็มไปด้วยตัวหนังสือและตารางตัวเลข ไม่ทันที่เขาจะได้ขยับตัวลุกจากเก้าอี้มาหาผมด้วยสีหน้าตกใจกับสภาพใบหน้าชุ่มน้ำตาที่เห็น ผมก็เดินไปถึงตัวเขาก่อน ทิ้งตัวลงนั่งบนตักเขาอย่างไม่กลัวว่าเจ้าตักจะหนัก กอดร่างกายหนาที่แสนอบอุ่นไว้แน่นด้วยความรู้สึกอยากปลอบโยนความเจ็บปวดของเขาในอดีตที่ยาวนานมากกว่าชีวิตของผม พร้อมกับใช้ไหล่กว้างของเขาเป็นที่รองรับน้ำตาซึ่งไหลทะลัก ทั้งที่ร้องไห้มาตลอดทางแล้วแท้ๆ ร้องจนน้ำตาชุ่มแก้ม พนักงานและลูกค้าของพุฒิธาดาเห็นยังตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของผม พี่แอลที่อยู่หน้าห้องตกยิ่งกว่า ถามผมใหญ่ว่าเป็นอะไร แต่ผมไม่มีเวลาที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย

เจ้าของไหล่ปล่อยให้ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น โดยไม่ถามอะไรสักคำ จนผ่านไปหลายนาที จนน้ำตาผมน้อยลง เสียงสะอึกสะอื้นที่หลุดออกมาจากริมฝีปากเบาบางลงนั่นแหละ คำถามถึงได้ดังขึ้น

“เป็นอะไร โดนใครทำอะไรมา” เสียงอ่อนโยน มือก็ลูบแผ่นหลังผมไปพลาง

“ฮึก...คุณยะ...” ผมก็ได้แต่เรียกชื่อเขาปนไปกับเสียงสะอื้นเบาบางของตัวเอง ผมอยากเกลียดคนที่ทำร้ายเขา แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นคือพ่อ

“พี” เขาเรียกผม อะไรในน้ำเสียงนั้นฟ้องว่าเขาเริ่มรู้แล้วว่าเรื่องไหนที่ทำให้ผมมาที่นี่พร้อมน้ำตานองหน้า “...ฉันบอกแล้วใช่ไหม ทำไมถึงไม่ฟัง”

“ก็...” ผมพูดไม่ออกตอนที่ถูกดึงใบหน้าออกมาจากไหล่เขา แววตาเขาดูโกรธจนเห็นได้ชัด ผมไม่อยากถูกเขาโกรธเลย ไม่อยากทะเลาะกันด้วย “...ผมขอโทษ”

“รู้แล้วมันทำให้เธอสบายใจขึ้นไหม” เขาถาม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาและสายตาที่ใช้มองผมลดความขุ่นมัวลง ขณะเดียวกันก็ใช้ปลายนิ้วอุ่นเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยน “รู้แล้วก็ต้องมานั่งร้องไห้บนตักฉัน”

...เขาพูดผิดไปนิดหนึ่ง ผมไม่ได้นั่งร้องไห้บนตักเขาเท่านั้น ผมน่ะร้องไห้ตั้งแต่เรื่องราวเริ่มไหลออกมาจากปากคุณชลัชด้วยซ้ำ

คุณชลัชบอกว่า...เขาเคยข่มขืนคุณยะ แม้ไม่ถึงขั้นสุดท้าย แต่มันก็ทำให้กลายเป็นฝันร้ายของคนที่ถูกทำแบบนั้นได้เหมือนกัน และเพราะเรื่องที่ตัวเองต้องพบเจอมันโหดร้ายสำหรับคนถูกกระทำเหลือเกินหรือเปล่านะ คุณยะถึงได้รู้สึกผิดและต้องรับผิดสิ่งที่ตัวเองเคยพลั้งเผลอทำร้ายพี่เลม่อนไปในตอนนั้น

“ก็ผมเสียใจ ผมไม่อยากให้คุณยะเจอเหตุการณ์แบบนั้น”

“มันผ่านไปแล้วพี” ต่อให้คุณยะบอกว่ามันผ่านไปแล้ว แต่ผมก็เชื่อว่าคุณยะยังไม่ลืมและเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ยังเป็นฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน

“คุณยะ...เกลียด...ผมไหม เกลียดที่ผมเป็นลูกเขา” แม้คุณยะจะเคยบอกว่าไม่ได้เกลียดผม ทว่าพอมารู้ความจริงเรื่องนี้แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าคุณยะจะเกลียดผมที่เป็นลูกของผู้ชายที่ใช้กำลังฝืนใจเขา

“เพิ่งผ่านมาได้กี่วันเอง เธอก็จะมาถามคำถามเดิมกับฉันอีกแล้ว” เขาเริ่มมีรอยยิ้มแม้จะไม่มากก็ตาม ปลายนิ้วโป้งหยอกล้ออยู่กับจุดสีดำบนแก้มของผม “ฉันจะเกลียดเธอได้ยังไง รักจะตายไป”

พร้อมกับคำหวานหูที่เอ่ยเอาใจผม คือปลายนิ้วที่ละออกไปแล้วแทนที่ด้วยริมฝีปากอุ่นบนแก้มชื้นน้ำตา ก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายเป็นริมฝีปากติดจะสั่นเพราะแรงสะอื้นของผม

“แต่คุณชลัชบอกว่าคุณยะอาจจะเกลียดผม แล้วก็ใช้ผมแก้แค้นเขา” ผมพูดขึ้นตอนที่ปากของตัวเองถูกปล่อยให้เป็นอิสระ คำพูดของคุณชลัชยังค้างอยู่ในหัว เจ้าตัวยังเชื่อว่าคุณยะแค้นตัวเองอยู่ และเชื่อด้วยว่าคุณยะไม่ได้รักผมจริง

“เชื่อพ่อมากกว่าเชื่อฉันหรือไง” เขาถาม รอยยิ้มหายไป

ผมก็ไม่อยากเชื่อที่คุณชลัชพูดเท่าไรหรอก แต่ก็อดเชื่อไม่ได้ ยังจำตอนที่ผมเดินเข้าไปบอกคุณชลัชว่าเป็นลูกเขา ตอนนั้นคุณชลัชสั่งผ่านคุณพิมดาวให้คุณยะมาคุยด้วย แต่คุณยะก็ไม่ยอมมาคุย แม้แต่ตอนที่คุณชลัชไปหาถึงที่ทำงาน เพื่อบอกว่าผมจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ คุณยะก็ไม่สนใจ ซ้ำยังบอกอีกว่าผมไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาเลย จะไปอยู่ที่ไหนหรือไปอยู่กับใครก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมารับรู้ ผมก็เพิ่งรู้วันนี้เอง

สิ่งที่คุณยะบอกผมเมื่อคืนนั้น ต่างจากคำบอกเล่าของคุณชลัชในวันนี้

“คุณยะเคยพูดใช่ไหม...ว่าผมไม่ได้มีความสำคัญกับคุณยะ ผมจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวกับคุณยะ เพราะผมก็แค่ลูกของคนที่คุณยะเกลียดจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วย คุณยะเกลียดเขา แล้วก็เกลียดผมเหมือนที่เกลียดเขา” พอผมถาม คุณยะก็เงียบไปเลยและไม่มองหน้าผมด้วย เขาเอาสายตาไปไว้ที่อื่น

“ใช่ไหมครับ” ผมถามย้ำ “คุณยะเกลียดผมเหมือนที่เกลียดเขา...ใช่ไหม” นานเลยที่ผมได้แต่จ้องใบหน้าหล่อเหลาที่สายตาคมกริบนั้นไม่ได้มองมาที่ผม แม้ไม่มีคำตอบ ทว่าความเงียบและสายตาที่หนีจากใบหน้าผมไปนั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอบว่า ‘ใช่’ เลยด้วยซ้ำ

ผมพยายามกลั้นน้ำตาเมื่อคำตอบที่ชัดเจนแสดงออกมาผ่านความเงียบของอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ไม่ได้ผล ความพยายามของผมถูกทำลายลงด้วยความเจ็บปวดในอกซ้าย น้ำตาไหลเต็มสองแก้ม เสียงสะอื้นของผมดึงสายตาของคุณยะให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว

“ใช่ ฉันเคยพูดแบบนั้น” เขาเช็ดน้ำตาให้ผม ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหลพรากกับคำตอบที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังรับกับมันไม่ได้ “...แต่ฉันก็มีเหตุผลที่พูดไปแบบนั้น เธออยากฟังไหม”

“ฮึก...อยาก” ผมรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว อยากฟังเหตุผลของเขา เผื่อว่าจะช่วยลดความเจ็บปวดจากความจริงที่ว่าเขาเกลียดผม เกลียดเพราะผมเป็นลูกของคนที่ทำร้ายเขา

“อยากฟัง เธอก็ต้องหยุดร้องไห้ก่อน”

ได้ผลทันที ผมกลั้นน้ำตาไว้สุดพลัง ปล่อยให้สองมือของเขาปัดเอาเม็ดน้ำตาที่ค้างอยู่บนใบบนหน้าออกไป จนรู้สึกได้ว่าบนหน้าของตัวเองไม่เหลือคราบน้ำตาอีกแล้ว

“ฉันอยากให้เธอไปมีชีวิตที่ไม่มีฉัน...อย่าร้อง” เขารีบห้ามตอนที่เห็นน้ำตากลับมาปริ่มล้นอยู่ที่ขอบตาผม แต่ก็ห้ามไม่สำเร็จ น้ำตาผมไหล ขณะที่เขาจะใช้มือเช็ดน้ำตาให้เช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่าครั้งนี้ผมกลับปัดมือเขาออกไปอย่างแรง ปฏิเสธความอ่อนโยนของเขาด้วยสุ้มเสียงขุ่นขวาง

“ผมจะร้อง!” ผมตอบอย่างหงุดหงิด เจ็บปวดกับเหตุผลของเขา เหตุผลแบบนี้ไม่ต้องมีซะดีกว่า

“ตามใจเธอละกัน อยากร้องก็ร้อง แต่ต้องออกไปร้องนอกห้องฉัน” ว่าแล้วเขาก็จับเอวผม ทำท่าจะยกตัวผมขึ้นจากตักเป็นเชิงไล่อย่างที่พูด ผมเลยรีบกอดตัวเขาไว้ ซุกหน้ากับไหล่ที่ยังคงชุ่มด้วยน้ำตาของผม กอดเขาไว้แน่นเพราะไม่อยากถูกลากตัวออกไปจากห้องนี้

“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ผมตะโกนด้วยอารมณ์ขัดใจผสมไปกับความน้อยใจ น้ำตาพรั่งพรู “ทำไม...ฮึก...ทำไมไม่เคยง้อผมเลย มีแต่ทำร้ายจิตใจผม...ฮึก...คุณยะไม่เคยรักผมเลยใช่ไหม...ฮึก...ที่พูดว่ารักผม ก็โกหกใช่ไหม...เกลียดผมมากเลยใช่ไหมล่ะ...ฮื่อออ...” ผมร้องไห้ฟูมฟายด้วยเจ็บปวดหัวใจ แต่ร้องถึงขนาดนี้แล้วเจ้าของไหล่ที่ชุ่มด้วยน้ำตาของผมก็ยังคงเงียบ ไม่มีคำปลอบโยน แม้แต่มือก็ยังไม่ยอมที่จะยกขึ้นมากอดปลอบเพื่อให้ผมเบาน้ำตาลง

ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของผมกับความเงียบของเขา

“ใจร้าย...ฮึก...คุณยะใจร้าย”

ได้ยินเขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนท่อนแขนแข็งแรงจะโอบรอบตัวผม

“ถ้าเธอมั่นใจในความรู้สึกของฉันสักนิด เธอก็คงจะไม่เอาแต่ถามว่าฉันเกลียดเธอใช่ไหม ฉันไม่รักเธอใช่ไหม...อยู่แบบนี้หรอกพี” คำพูดของเขาทำให้ผมเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองไม่หนักแน่นเอาซะเลย “เธอจะเชื่อฉันหน่อยไม่ได้หรือไง” คำพูดของเขาฟังดูอ่อนล้า

“ผมเชื่อทุกคำพูดของคุณยะ”

“เชื่อ... แต่ก็เอาแต่ถามฉันนี่นะ”

“ก็ผม...” ผมเถียงไม่ออก สุดท้ายก็ต้องพูดคำที่ติดปากออกมา “...ผมขอโทษ” ผมเอ่ยตอนที่เอาหน้าเปรอะน้ำตาขึ้นมาจากไหล่ของเขา มือของคุณยะก็ช่วยซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม

“โตแล้วนะ ร้องไห้ให้น้อยลงได้แล้ว”

ผมพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ส่วนในใจนั้นกลับค้าน ผมรู้ว่าทำอย่างที่เขาบอกไม่ได้หรอก ผมเป็นคนอ่อนแอ มีเรื่องอะไรมาโดนนิดเดียวก็พร้อมจะน้ำตาแตกได้เสมอ โดยเฉพาะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณยะ

“ไม่ว่าฉันจะเคยพูดอะไรแบบไหนออกไป เธอรู้ไว้เลยว่าฉันไม่เคยพูดมันออกไปเพราะว่าเกลียดเธอ ฉันไม่เคยเกลียดเธอ ฉันรักเธอ เธอจำแค่นี้ก็พอ...ทำได้ไหมคนดี” เขาทอดเสียงหวานในประโยคสุดท้าย ความเจ็บปวดที่ทำเอาน้ำตาแตกไปหลายรอบคล้ายกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย

“ครับ” ผมตอบรับคำขอของเขาอย่างว่าง่าย แต่ผมก็ยังมีคำถาม “คุณชลัชบอกว่า...” ผมพูดแค่นี้เขาก็ตีหน้ายุ่งแล้ว

“ไม่ต้องไปฟังมันมากได้ไหม” สุ้มเสียงไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมให้ผมพูดต่อ “มันพูดอะไรอีก พูดมาให้หมดทีเดียวเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงมันให้ฉันฟังอีก”

เมื่อเขาเปิดโอกาสแล้ว ผมก็เริ่มพูดต่อจากที่ค้างไว้

“คุณชลัชบอกว่าที่คุณยะเลี้ยงผมเพราะมีแผน คุณยะจะสอนให้ผมเกลียดคุณชลัช จากนั้นก็จะใช้ให้ผมไปทำเรื่องไม่ดี ทำให้ธุรกิจโรงแรมของเขาเจ๊ง พอผมทำสำเร็จก็จะบอกความจริงว่าผมเป็นลูกเขา” ครั้งนี้คุณยะไม่หลบตาผม ซ้ำยังตอบกลับมาทันที

“ใช่ ฉันตั้งใจทำแบบนั้นเพราะฉันเกลียดมัน” คำตอบของเขาทำให้ผมได้แต่กัดปากตัวเองจนเจ็บ เพื่อห้ามความเสียใจที่จะหลุดออกมาเป็นเสียงสะอื้น “อย่ากัดปากตัวเอง ไม่เจ็บหรือไง” ปลายนิ้วอุ่นแตะลงมาที่ริมฝีปากของผมให้คลายตัวออกจากกัน

“มันไม่เจ็บเท่าที่ข้างในเจ็บหรอกครับ” ขอบตาผมร้อนจัด จนกลัวว่าจะได้เสียน้ำตาเป็นแน่ ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามจะกลั้นเอาไว้สุดพลังไม่ให้น้ำตาล้นออกมาเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา แต่ที่กั้นเอาไว้ไม่ได้คือคำตัดพ้อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากติดสั่น “งั้น...ที่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีก็เลยอยากให้ผมเกิดมา...ก็ไม่จริงสินะครับ”

“ช่างจำ” เขาว่ายิ้มๆ

“ผมจำทุกคำพูดของคุณยะได้หมดนั่นแหละ” ผมหรี่ตามองเขาด้วยโมโหที่เขายังยิ้มได้ทั้งที่ผมกำลังเสียอกเสียใจกับความจริง

“ฟังฉันนะพี ตอนนั้นที่ฉันบอกกับแม่เธอไปแบบนั้น มันก็แค่ความคิดของวัยรุ่นที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่” เขาอธิบาย “แล้วมันก็เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว พูดแล้วฉันก็ลืม”

“แต่เหตุผลที่คุณยะอยากให้ผมเกิดมาก็เพื่อแก้แค้น” มันเป็นความจริงที่เจ็บปวด ผมมีโอกาสเกิดมาก็เพราะความแค้นของคนคนนี้ มันไม่น่าภูมิใจเลยสักนิด

“ฉันยอมรับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันขอโทษที่ครั้งหนึ่งเคยคิดจะใช้เธอแก้แค้นคนที่ฉันเกลียด ยกโทษให้ฉันได้ไหม”

ผมพยักหน้าให้กับคำขอของเขา ถึงผมจะเจ็บปวดกับความจริงก็ตามเถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณยะที่คิดแบบนั้นกับคนที่ตัวเองเกลียด

“คุณยะ...” ผมแค่เรียกชื่อเขา ยังไม่ทันเอ่ยไปมากกว่านั้น เจ้าของชื่อก็เหมือนรู้ว่าผมจะเอ่ยถึงเรื่องใด เขาถึงได้รีบห้าม

“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้น ถ้าไม่อยากให้ฉันกลับไปเกลียดมันเหมือนเดิม” เขาพูดแบบนี้ก็แสดงว่า...

“ตอนนี้คุณยะไม่เกลียดคุณชลัชแล้วหรือครับ” ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ถึงการกระทำของคุณชลัชจะสมควรถูกเกลียดก็ตาม

“เพราะเธอไงที่ทำให้ฉันต้องเลิกเกลียดมัน” เอ่ยเสียงขุ่น ดูเขาไม่พอใจเท่าไรที่ต้องยกโทษให้คนที่เคยทำร้ายตัวเอง “ขืนฉันยังเกลียดมันอยู่ มันคงได้นั่งปั่นหูเธอให้เลิกกับฉันทุกวันแน่ๆ”

“คุณชลัชไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ” ผมแก้ตัวแทนฝ่ายที่ถูกเอ่ยถึง

“รู้จักแก้ตัวแทนมันตั้งแต่เมื่อไร” เสียงขุ่นไม่พอใจ ตาก็เริ่มขวาง “แล้วที่เธอมานั่งร้องไห้บนตักฉัน เอาแต่ถามว่าฉันเกลียดเธอไหม รักเธอไหม ไม่ใช่เพราะโดนมันเป่าหูมาหรือไง”

“ไม่ใช่สักหน่อย คุณชลัชแค่หวังดีกับผม กลัวว่าผมจะถูกคุณยะหลอก” ระหว่างผมกับคุณชลัชจะไม่เหมือนพ่อลูกคู่อื่น เราสองคนมีความห่างเหินมากั้นเอาไว้ ถึงอย่างนั้นผมก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเขานะ ตั้งแต่เขารู้ว่าผมคือลูก เขาก็มองผมด้วยสายตาของความเป็นพ่อ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาในรูปแบบของความใกล้ชิดเท่านั้นเอง

“งั้นเธอก็กลับไปบอกมันซะ ว่าฉันจริงจังกับเธอ ไม่มีวันเลิกกับเธอแน่นอน” คำพูดของเขาหนักแน่น ทำเอาริมฝีปากผมขยับเป็นรอยยิ้ม

“ผมก็ไม่มีวันเลิกกับคุณยะ” ถ้าเขายังรักผม ยังต้องการผม ผมก็จะอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเขาไปตลอดชีวิต

...สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดออกมาเลย เมื่อวันหนึ่งผมต้องเป็นฝ่ายกลับคำพูดนี้เสียเอง


...............................................

“เจย์ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

ผมโพล่งคำถามออกมาทันทีที่ประตูห้องพักของโรงแรมพุฒิธาดาเปิดออก คนที่ควรลากกระเป๋าเดินทางไปที่คอนโดมิเนียมของผม หรือถ้านึกอยากจะเข้าพักในโรงแรมจริงละก็ควรเป็นที่สยามชโยดมมากกว่าที่นี่มีรอยยิ้มคุ้นตาส่งมาให้เป็นคำทักทายแรก ทว่ารอยยิ้มนั้นแปลกไปเพราะภายในใจของเจ้าตัวเต็มไปด้วยบาดแผล...ที่เกิดจากการตัดสินใจครั้งล่าสุดของผม

‘เจย์... เขารักผมแล้ว ผมสมหวังแล้วนะ’

ครั้งล่าสุดที่จิระโทรมาหาผม ผมก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยประโยคด้านบน จิระเงียบไปพักใหญ่ กว่าที่เจ้าตัวจะเอ่ยถามออกมาด้วยสุ้มเสียงเจือความเศร้าสร้อยและสิ้นหวัง

‘แล้วที่บอกว่าจะกลับมาอยู่กับผมล่ะ’

‘ขอโทษนะเจย์ คือผม...’ ไม่รอให้ผมพูดจบ อีกฝ่ายก็พูดตัดบททันที

‘อืม...เข้าใจแล้ว’

แล้วจิระก็วางสายไปและไม่ติดต่อมาอีกเลย ผมพยายามโทรไปหาทุกวัน เจ้าตัวก็ไม่ยอมรับสาย จนกระทั่งเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วจิระก็โทรเข้ามา บอกกับผมว่าตอนนี้อยู่ที่พุฒิธาดา ผมถึงได้รีบออกมาจากเพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสองทั้งที่เพิ่งเปิดประตูเข้าไปไม่ถึงห้านาที

“หิวข้าว ไปหาอะไรกินกันไหม” เจ้าตัวไม่ได้ตอบคำถามของผม กลับพูดไปอีกเรื่อง

ตอนนี้ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ผมเองก็เริ่มรู้สึกหิวเหมือนกัน ตอนแรกว่าจะขึ้นมาอาบน้ำให้หายเหนื่อยจากการนั่งประชุมทั้งวัน แล้วค่อยลงไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารของโรงแรมตามลำพัง เพราะวันนี้คุณยะไม่อยู่ เขาบินไปดูที่ดินที่เชียงใหม่เมื่อเช้านี้เอง พรุ่งนี้ถึงจะกลับ

“ไปสิ ผมก็หิวเหมือนกัน”

ที่แรกผมคิดว่าจิระจะแค่ลงมากินมื้อค่ำที่ร้านอาหารของโรงแรม ทว่าอีกฝ่ายกลับถามผมว่าจอดรถไว้ที่ไหน ถามแบบนี้ผมก็เข้าใจว่าจิระอยากจะไปร้านอาหารที่เจ้าตัวชอบไปประจำ

“ผมขอขับเองนะ” พอผมเปิดประตูรถ ยังไม่ทันก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรถ จิระก็เอ่ยขึ้น ซ้ำยังดึงตัวผมออกมาและเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับแทน ผมเลยต้องเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งแทน

ถึงจิระจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่ประเทศไทย ทว่าการที่เขาบินมาหาผมปีละสองครั้ง รวมถึงกลับมาเยี่ยมตายายชาวไทยของตัวเอง แต่ละครั้งก็ไม่เคยต่ำกว่าสิบวัน ทำให้เจ้าตัวคุ้นเคยและรู้จักเส้นทางในกรุงเทพฯ พอสมควร และยิ่งเส้นทางที่มุ่งไปยังสถานที่ที่เจ้าตัวชอบนั้น ยิ่งไม่ลืม

ดังนั้นผมจึงไม่ห่วงเมื่อรถของผมเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอดรถ แต่ที่เป็นห่วงคือใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่ขมขื่นของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยรถต่างหาก

“เจย์...เรื่องนั้น...” ผมตั้งใจจะพูดเรื่องที่ตัวเองผิดสัญญากับจิระ เพียงแค่เอ่ยออกมาไม่กี่คำอีกฝ่ายก็ชิงพูดไปเรื่องอื่นเสียก่อน

“ผมอยากเห็นรูปนั้นจัง เห็นมาร์คัสบอกว่าเป็นรูปของพีรัชกับเขาคนนั้น” คำพูดของจิระเรียบเรื่อยก็จริง แต่ฟังยังไงก็ไม่ต่างจากคำตัดพ้อกึ่งประชดประชัน

“เจย์...โกรธผมใช่ไหม ผมขอโทษ”

ผมนึกไปถึงภาพวาดที่มาร์คัส รอสส์มอบให้ก่อนที่เจ้าตัวจะบินกลับ ภาพนั้นสวยมากจริงๆ มองแล้วเหมือนถูกดึงเข้าไปในความทรงจำแสนหวาน กลับไปหาวันนั้นที่ผมกับคุณยะถ่ายรูปด้วยกันเป็นครั้งแรก ตอนนี้ภาพของคุณยะและภาพของผม แขวนคู่กันอยู่บนผนังเหนือเตียงนอนในห้องเพนต์เฮ้าส์ที่พุฒิธาดา สถานที่ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ของผม ผมย้ายมาอยู่กับคุณยะได้สองสัปดาห์แล้ว

“ไม่ต้องทำเสียงเศร้าขนาดนี้ก็ได้” จิระหันกลับมายิ้มขื่น ราวกับว่ายิ้มนั้นไม่ใช่สำหรับผมแต่เป็นของเขา ระหว่างที่ชะลอความเร็วรถลงเมื่อตรงหน้าคือสัญญาณไฟแดง “ผมก็แค่อยากเห็นรูปที่ผมต้องใช้ตัวเข้าแลก อยากรู้ว่ามันคุ้มกับเวลาสิบวันที่ผมต้องใช้ชีวิตเหมือนตกอยู่ในนรกกับศิลปินผู้โด่งดังคนนั้นไหม”

“...” ผมพูดไม่ออก ยิ่งเห็นหน่วยตาที่เริ่มแดงและคลอด้วยหยาดน้ำใส ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ใช้ความรักและความจริงใจของจิระเพื่อประโยชน์ของตัวเองมาตลอด สุดท้ายผมก็พูดคำเดิมออกมา “...ผมขอโทษ ต่อไปเจย์ไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมอีกแล้วนะ”

“พอสมหวัง ผมก็หมดประโยชน์เลยสินะ”

“เจย์อย่าประชดได้ไหม” ผมเริ่มหงุดหงิด รู้ตัวว่าผิด แต่ก็ไม่อยากถูกประชดแบบนี้

“สิบวัน...มันไม่น้อยเลยนะพีรัช” เสียงของจิระสั่น เจ้าตัวดึงสายตากลับไปยังถนนด้านหน้า เงียบอยู่นาน จนกระทั่งสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เจ้าตัวถึงได้เอ่ยขึ้นมาในจังหวะที่ล้อรถกลับมาหมุนใหม่ “...ไม่ถามหน่อยเหรอว่าสิบวันที่ผมต้องอยู่กับมัน ผมต้องทำอะไรบ้างเพื่อจ่ายค่าภาพนั้นแทนพีรัช”

“...” ผมรู้ว่าจิระเจ็บปวด

“บ้านพักตากอากาศของมันอยู่บนเกาะ มองจากระเบียงบ้านพักเห็นทะเลสวยมากเลยนะพีรัช แต่เสียดายที่ผมได้แค่มอง... สิบวันที่นั่น ผมก็อยู่ได้แค่ในบ้าน แต่ที่มากที่สุดคงเป็นบนเตียง”

“เจย์... ผมขอโทษ” ขอบตาผมร้อนผ่าวไปกับคำพูดเรียบเรื่อยของจิระแต่แฝงไว้ด้วยทุกข์สาหัสที่เจ้าตัวต้องพบเจอและเรียกมันว่า...นรก ความหงุดหงิดเมื่อครู่จางหายไปกับถ้อยคำขมขื่น ที่เข้ามาแทนที่คือความรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวเหลือเกิน

“ไม่ต้องขอโทษหรอก” เจ้าตัวเอ่ยเบาๆ ระหว่างพาล้อรถไปยังถนนอีกเส้นหนึ่งที่พาออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ “พีรัชก็แค่ขอร้องให้ผมทำ ไม่ได้ขู่บังคับผมซะหน่อย แล้วผมก็เต็มใจทำเพื่อพีรัชด้วย หวังว่าสิ่งที่ผมทำให้พีรัชมาตลอดจะทำให้คำสัญญานั้นเป็นความจริงในสักวันหนึ่ง แต่ก็... เป็นความเพ้อฝันของคนโง่ๆ พีรัชไม่ต้องใส่ใจก็ได้ ยังไงผมก็ยังรักพีรัชเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน”

“ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้” ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ต้องขอโทษ ผมก็ยังเอามันออกมา เพราะไม่มีคำไหนที่จะใช้แทนความรู้สึกผิดได้เท่าคำนี้แล้ว แม้รู้ดีว่าสิ่งที่จิระต้องการจากผมไม่ใช่คำขอโทษที่ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่เป็นการรักษาสัญญาที่ผมพร่ำพูดไว้ในอดีต คำสัญญาที่ผมใช้บีบบังคับให้จิระยอมทำทุกอย่างเพื่อผม

“ไม่เป็นไร” ใบหน้าด้านข้างที่ผมเห็น ไม่ได้เป็นอย่างคำที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาเลย มือของจิระที่จับพวงมาลัยรถเกร็งอย่างเห็นได้ชัด

“เจย์...ผม...”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ขอผมอยู่เงียบๆ สักสองสามนาทีนะ”

“อืม...” ผมพยักหน้า ทำตามคำที่อีกฝ่ายขอ

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 36 (11-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 11-04-2019 20:02:20
ความเงียบเริ่มกลืนกินทุกสิ่งอย่างภายในรถที่เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าจากการจราจรที่หนาแน่นในคืนวันศุกร์ ทั้งที่บอกว่าขอเวลาแค่สองสามนาที เอาเข้าจริงสามสี่ชั่วโมงแล้วความเงียบก็ยังคงทำงานอย่างแข็งขัน แข่งกับรถที่เคลื่อนตัวหลุดพ้นจากสภาพสาหัสที่แทบขยับไม่ได้บนท้องถนนของกรุงเทพฯ เข้าสู่อีกจังหวัดหนึ่งในเวลานี้

ผมไม่ได้ถามว่าจิระจะขับไปไหน เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากจะไปที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะไปทะเลก็ได้ ผมปล่อยให้จิระขับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง เมื่อความเร็วของรถเพิ่มขึ้น ยิ่งคนขับไม่คุ้นชินกับเส้นทางด้วย ด้านนอกกระจกรถยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อมันมีเม็ดฝนหล่นมากระทบ แม้ไม่มากถึงขั้นต้องใช้ที่ปัดน้ำฝน แต่ไม่แน่ว่าทางข้างหน้าจะมีสายฝนกระหน่ำอยู่หรือเปล่า ผมก็ยิ่งห่วงเรื่องของอุบัติเหตุ

“เจย์ขับเร็วเกินไปแล้วนะ ช้าลงหน่อย” ผมอดห่วงไม่ได้ จิระไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยด้วย เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่อยากจะนึกถึงสภาพหลังจากนั้น

“กลัวผมพาไปตายหรือไง” สุ้มเสียงที่เอ่ยแปลกแปร่งกว่าทุกที

“พูดอะไรแบบนั้นเจย์ ใครเขาให้พูดเรื่องตายกัน” ผมอดที่จะดุอีกฝ่ายเสียงขุ่นไม่ได้ รู้หรอกว่าจิระแค่ประชดไปตามอารมณ์ความน้อยใจที่ถูกผมทอดทิ้งคำสัญญา แต่ผมก็ไม่ชอบคำว่าตายเลย

“ผมพูดความจริง” จิระหันมามองผมนิดหนึ่ง ริมฝีปากกดเป็นรอยยิ้มที่ยากจะเดาว่าภายใต้ใบหน้าแต้มยิ้มนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็หันกลับไปมองทางตามเดิม พลางปลายเท้าก็เพิ่มความเร็วของล้อรถขึ้นไปอีก “พีรัชคิดว่าถ้าผมขับฝ่าไฟแดงตรงนั้น เราสองคนจะตายไปด้วยกันไหม”

“เจย์! อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ นะ” ผมร้องห้ามออกมาด้วยความตกใจ คำพูดของจิระทำให้ผมคิดในแง่ดีไม่ได้เลย ตัวผมสั่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองใบหน้าแต้มรอยยิ้มขมขื่นสลับกับสัญญาณไฟที่อยู่ไม่ไกลนัก

“ไม่อยากไปกับผมขนาดนั้นเชียว” จิระชะลอความเร็วของรถลงจนหยุดอยู่กับที่ตรงสัญญาณไฟแดง ผมพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ราวกับปีนขึ้นมาจากหน้าผาได้ก่อนที่จะร่วงหล่นลงไป “ผมเสียใจนะที่พีรัชไม่อยากตายไปกับผม ทั้งที่ผมอยากจะตายไปพร้อมกับพีรัชแทบบ้าแล้วรู้ไหม”

“ไม่ตลกนะเจย์” ผมตวัดสายตาขุ่นคลั่กใส่อย่างเหลืออด ไม่ชอบที่จิระเอาเรื่องความตายมาประชดประชัน

“ผมก็ไม่ได้อยากจะให้มันตลก อยากให้มันเป็นความจริงมากกว่า” ดวงตาเศร้าสร้อยแต่เจือไปด้วยความโกรธแค้นแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม “ทางเดียวที่จะไม่ให้ใครมาแย่งพีรัชไปจากผมก็คงเป็นความตายนี่ละมั้ง”

“ไม่ได้คิดจะทำจริงๆ ใช่ไหมเจย์” เกือบสิบปีที่ผมรู้จักจิระ เพิ่งมีตอนนี้แหละที่ผมเหมือนไม่รู้จักจิระคนนี้เลย “พูดเล่นใช่ไหม”

“อยากให้พูดเล่นหรือพูดจริงล่ะ” พูดจบ สัญญาณไฟก็เปลี่ยนสี รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วเดิมอีกครั้ง “แต่ผมจริงจังนะเรื่องที่อยากตายพร้อมกับพีรัช”

“เจย์! จอดรถ!!” ครั้งนี้ผมตะโกนใส่อีกฝ่าย เนื้อตัวสั่นไปด้วยความโกรธ ที่มากกว่าคือความกลัว กลัวว่าจิระจะทำอย่างที่พูดจริงๆ

แล้วทางข้างหน้าก็เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ จากฝนเม็ดเล็กตามทางที่ขับผ่านมา มาถึงตรงนี้ได้กลายเป็นสายฝนที่กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา

“เจย์! จอด!!” ผมตะโกนสั่งอีกที จิระยังคงเงียบและความเร็วของรถก็ยังเท่าเดิม สายฝนกระหน่ำด้านนอกไม่ได้เป็นอุปสรรคกับปลายเท้าที่เหยียบคันเร่งของจิระเลย

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมจิระถึงขอขับรถเอง แต่ก็ช้าเกินไป ถ้าผมเอะใจตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้

“เจย์!! ผมบอกให้จอดไง” ไร้ประโยชน์ จิระไม่สนใจคำพูดของผมสักนิดเดียว เจ้าตัวทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงเร่งความเร็วของรถฝ่าม่านฝนหนาสีขาวอย่างสงบนิ่ง ใบหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว

“ผมอยากตาย” จิระพูดขึ้น “แต่ตอนนี้ผมก็ตายไปครึ่งหนึ่งแล้วนะ เพราะพีรัชไม่เลือกผม เพราะพีรัชไม่รักษาสัญญา ทั้งที่ผมทำทุกอย่างเพื่อพีรัช ยอมนอนกับใครก็ได้ตามที่พีรัชสั่ง ทำทุกอย่างเพราะหวังว่าสักวันหนึ่ง พีรัชจะเป็นของผมคนเดียว แม้ไม่ได้หัวใจ แค่พีรัชอยู่กับผมไปตลอดชีวิต ผมก็พอใจแล้ว”

น้ำตาของจิระไหลอาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บปวด

“ฮึก...ผมขอแค่นี้เอง แต่ทำไมพีรัชทำให้ผมไม่ได้” ถ้อยคำตัดพ้อกรีดหัวใจที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวของผม

ผมหวนนึกไปถึงอดีตที่ถูกหลอกลวงด้วยคำสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเจ็บปวดนั้นสาหัสแค่ไหนผมรู้ดี ผมถึงได้รู้ว่าตอนนี้จิระเจ็บปวดอย่างที่สุด ไม่ต่างจากความเจ็บปวดของผมในอดีตกับคำสัญญาที่เป็นเพียงลมปากของคุณยะ

“เจย์...ผมขอ...” ริมฝีปากผมขยับไปด้วยความเคยชิน ทว่าคนฟังกลับไม่อยากได้ยินคำที่ไม่ได้ช่วยให้บาดแผลในหัวใจบรรเทาลงได้เลย

“ไม่ต้องพูด!” เป็นครั้งแรกที่จิระตวาดใส่ผม และครั้งแรกด้วยเช่นกันที่ผมเห็นอีกฝ่ายมีน้ำตามากขนาดนี้ จิระไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ได้ง่ายๆ เขาแทบไม่เคยร้องไห้เลยด้วยซ้ำ

“เจย์จอดรถก่อนนะ ผมขอร้อง นะเจย์นะ จอดรถก่อน” ผมเปลี่ยนมาขอร้อง ใช้น้ำเสียงนุ่มนวล เพื่อให้สิ่งที่บีบอัดอยู่ข้างในของจิระคลายตัวลง ก่อนที่อีกฝ่ายจะสติหลุดไปมากกว่านี้ “เรื่องสัญญา ผมจะทำตามก็ได้ ผมจะกลับไปกับเจย์ ไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว ไม่กลับมาด้วย”

“โกหก!”

“ผมพูดจริงนะ” ผมรีบยืนยัน แม้ความจริงผมกำลังโกหกอยู่ก็ตาม “เจย์บอกว่าอยากได้แค่ตัวผมใช่ไหม หัวใจผมจะรักใครก็ช่างไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ผมยอมแล้ว ผมจะไปอยู่กับเจย์ จะไม่หนีเจย์ไปไหน เราสองคนจะอยู่ด้วยกันจนแก่เลย ผมสัญญา”

“สัญญาใช่ไหม?” จิระหันมาถามผ่านม่านน้ำตาที่เหมือนจะไม่มีวันเบาบางลง เจ้าตัวคลี่ยิ้มอย่างมีความหวัง

“ใช่” ผมพยักหน้า “ผมสัญญา” คำสัญญาที่ผมพูดออกไป ไม่มีความจริงเลยสักนิด ผมใช้มันแค่ทำให้จิระเปลี่ยนใจ

“สัญญาแล้วนะ”

“อืม...สัญ...เจย์!!”

แต่สวรรค์ก็ลงโทษคำโกหกของผมและดับทุกความหวังของผมลงเพียงเสี้ยววินาที แต่นานเหมือนร้อยปีที่เสียงล้อรถบดถนน เสียงตัวรถที่เหมือนถูกเหวี่ยงด้วยกำลังมหาศาล ก่อนที่เสียงดังสะนั่นจะสะท้านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เลือดในกายพลันเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง

โครม!!!

และก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ ถูกความมืดมิดกลืนกินจนไม่เหลือซาก ถ้อยคำหนึ่งดังแผ่วเบาแต่ก้องอยู่ในประสาทการรับรู้สุดท้ายของผม

“ผมรักพีรัช...อย่าทิ้งผมไปไหนนะ...”

..........................................

ตายแล้วแน่ๆ ผมคงตายจากโลกที่อยู่มายี่สิบกว่าปีไปแล้ว ผมนึกอย่างนั้น คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าคนที่ผมรักอีกต่อไป แต่เมื่อเพ่งมองภาพตรงหน้าที่เป็นเพดานห้องสีขาวและกลิ่นเฉพาะที่คงมีแค่ในสถานที่ที่เรียกว่าโรงพยาบาลเท่านั้น ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ลมหายใจยังติดอยู่กับร่างกาย พลันหัวใจก็กลับมาเต้นเป็นปกติ

“พี!”

ประตูห้องพักฟื้นถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจที่เอ่ยเรียกชื่อผม ดึงสายตาผมให้ละจากเพดานห้องสีขาวลงมายังเจ้าของเสียงเรียกที่เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง ใบหน้าอิดโรยของคุณยะประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตาของเขาเป็นประกายยินดีอย่างที่สุดทั้งที่ขอบตาคล้ำมากทีเดียว ไม่ต่างจากผมที่ดีใจเหลือเกินที่รอดจากความตายกลับมาเห็นหน้าของเขา... นึกว่าจะไม่มีวันได้เห็นใบหน้านี้อีกแล้ว

“คุณ...ยะ...” เสียงแหบแห้งราวกับไม่ใช่เสียงตัวเองหลุดออกมาจากริมฝีปากที่หนักยิ่งกว่าก้อนหิน ผมดีใจที่ตัวเองหนีความตายมาได้ แต่พลันก็นึกจิระขึ้นมาทันที  “ผม...แคกๆ... เจย์...ปลอดภัย...ไหม...”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรพี เธอยังเจ็บอยู่ อยู่นิ่งๆ ฉันจะไปตามหมอก่อน” โดยไม่ทันที่มืออันหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกและยังถูกเสียบไว้ด้วยสายน้ำเกลือจะคว้าแขนอีกฝ่ายได้ทัน ร่างสูงใหญ่ก็รีบร้อนออกจากห้องไปเสียแล้ว

ผมได้แต่นึกในแง่ดีที่สุดว่าจิระจะโชคดีเหมือนผม ถึงจะคิดอย่างมีความหวัง น้ำตาผมก็ไหลซึมออกมาจากหางตา เมื่อจำได้ว่าจิระไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภาพ ครั้นพอสะอื้นก็เจ็บร้าวไปทั้งร่าง ไม่นานนักทั้งคุณยะ คุณหมอ และพยาบาลวัยกลางคนก็เปิดประตูเข้ามา

“คุณยะ...เจย์ล่ะ...เจย์...” เห็นคุณยะ ผมก็ถามคำถามเดิมอีก เพราะอยากรู้เหลือเกินว่าจิระยังคงมีลมหายใจติดตัวเช่นเดียวกับผมใช่ไหม

“มันปลอดภัย” ในที่สุดคุณยะก็ตอบคำถามของผม

...โล่งอก

“แล้วตอน...” ผมอยากจะถามอีกว่าตอนนี้เจย์อยู่ที่ไหน ผมอยากจะไปเยี่ยมเขา ทว่าถูกคุณยะดุด้วยเสียงที่เข้มจัดเสียก่อน

“หยุดพูด หยุดถาม แล้วให้หมอตรวจก่อนพี เรื่องอื่นช่างมัน”

ผมเข้าใจว่าคุณยะห่วงผมมาก ถึงไม่ยอมให้ผมใช้เรี่ยวแรงที่ดูจะน้อยนิดในการตั้งคำถามถึงจิระ แต่ว่าผมก็ยังต้องตอบคำถามของคุณหมอมากวัยเป็นระยะด้วยเสียงที่แหบแห้ง และระหว่างนั้นผมก็รู้ว่าตัวเองหมดสติไปสองวันเต็ม แต่ที่น่ายินดีคือร่างกายของผมไม่เป็นอะไรมากไปกว่าบอบช้ำภายใน ที่พักฟื้นอีกสักระยะก็จะกลับมาเป็นปกติได้ กับแผลตามร่างกายภายนอกและบนหน้าผากซ้ายที่เกิดจากกระจกรถบาด

โชคดีที่ผมไม่เป็นอะไรมาก แต่โชคดีเป็นของผมแค่คนเดียว เนื่องจากรถที่เสียหลักเพราะถนนลื่นในคืนวันฝนตกหนักแล้วหมุนอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะพุ่งไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางนั้นเป็นฝั่งคนขับ ความรุนแรงจึงไปกองอยู่ที่จิระเสียทั้งหมด

ทำไมไม่เป็นผม

ทำไมต้องเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อผมด้วย

ทำไมจิระต้องมาทนทุกข์ทรมานกับสภาพที่ไม่ปกตินี้ด้วย

ในหัวของผมมีแต่คำถามตอนที่คุณยะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยของผม

“หมอนั่นยังไม่ฟื้น”

“แล้วเมื่อไรจะฟื้นครับ” ผมถามด้วยความร้อนใจ ได้แต่หวังว่าอีกไม่นาน อาจจะสองสามชั่วโมงข้างหน้า หรือไม่ก็อีกวันสองวันก็ได้ ผมคิดอย่างมีความหวัง แต่คุณยะก็ปัดความหวังของผมทิ้งไปโหดร้ายที่สุด แต่ก็โทษคุณยะไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะผม

...เพราะผมคนเดียวที่ใช้คำสัญญาหลอกลวงจิระมาโดยตลอด

“ฉันไม่ใช่หมอ” คุณยะถอนหายใจ นิ้วอุ่นเกลี่ยเม็ดน้ำตาออกจากหางตาของผมอย่างอ่อนโยนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด “แต่หมอเองก็บอกไม่ได้ว่าจะฟื้นเมื่อไร อาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี หรือตลอดทั้งชีวิตของเขา”

“ฮึก...เพราะผม...เจย์ถึงต้อง...ฮึก...” ผมพูดออกมาได้เท่านี้ เรี่ยวแรงไม่เหลือที่จะเอ่ยคำไหนได้อีก ไม่ฟื้นก็หมายถึงเจ้าชายนิทรา นอนเป็นซากผักแห้งเหี่ยว ไม่ต่างจากตายเลยสักนิด

“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ นอนก่อนนะพี เธอต้องพักผ่อน” มืออุ่นเลื่อนขึ้นมาลูบศีรษะผมช้าๆ “อย่าคิดอะไรมาก มันเป็นอุบัติเหตุ”

มันเป็นอุบัติเหตุก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนที่เรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดที่เรียกว่าอุบัติเหตุ ทุกอย่างมันเริ่มจากคำพูดหลอกลวงที่ให้ความหวังจิระ เมื่อความหวังถูกทำลาย คนถูกผมหลอกลวงถึงได้ตัดสินใจอะไรบ้าๆ และนำไปสู่อุบัติเหตุในค่ำคืนนั้น

....................................

“เจย์ตื่นได้แล้ว หลับนานเกินไปแล้วนะ” ผมเอ่ยกับร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง วางมือบนท่อนแขนที่วางนิ่งอยู่ข้างลำตัว ข้างเตียงเต็มไปด้วยสายต่างๆ มากมายกว่าของผมเยอะ ตอนนี้ผมกลับมาเป็นปกติแล้ว ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็วภายในเวลาแค่เดือนกว่าๆ ผิดกับคนที่นอนอยู่บนเตียงที่ยังคงนอนสงบนิ่งมานานถึงสองเดือน

จิระเหมือนกำลังหลับ แต่ความจริงคือเขากำลังเป็นเจ้าชายนิทราที่ไม่รู้ว่าอีกกี่วัน กี่เดือน หรืออาจเป็นปีที่ต้องรอคอยให้ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลพ้นจากเปลือกตาออกมาได้

อาการบาดเจ็บของจิระร้ายแรงกว่าผมหลายเท่า เพราะฝั่งคนขับปะทะกันต้นไม้ใหญ่อย่างรุนแรง ต้องผ่าตัดเอาเลือดคลั่งในสมองออก และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือร่างกายที่จะไม่เหมือนเดิม ถ้าจิระตื่นขึ้นมาก็ยังต้องพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งตัว ผมไม่รู้เลยว่าเวลานั้นอีกฝ่ายจะเจ็บปวดกับความจริงนี้มากแค่ไหน ทว่าทีมแพทย์ก็ยังให้ความหวังกับผมและครอบครัวของจิระว่าอาการอัมพาตนี้มีโอกาสหาย แม้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม นั่นก็ดีมากแล้ว

ครอบครัวของจิระ คือคุณนิโคลัส โจแวน กับ คุณอัญญา คีนส์ ลงความเห็นกันแล้วว่า หากภายในเดือนนี้จิระยังไม่ฟื้น พวกเขาจะพาลูกชายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ดีกว่านี้

“ตื่นเถอะเจย์” ผมเขย่าแขนที่ไร้การตอบสนองของจิระเบาๆ ทำเหมือนว่ากำลังเขย่าแขนอีกฝ่ายให้ตื่นจากความขี้เซาในเช้าที่อากาศแจ่มใส

ผมทำเหมือนทุกวัน คือปลุกจิระให้ตื่นขึ้นมานิทราที่แสนยาวนานเกินไป ช่วงแรกก็มีความหวังเต็มเปี่ยมว่าทำแบบนี้แล้วคนบนเตียงผู้ป่วยจะตื่นขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจะเผยความสดใสแบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์ขึ้นมามองสบตาผม แต่พอนานวันเข้า ความหวังเริ่มริบหรี่ จากนั้นก็เหลือเพียงน้อยนิด และตอนนี้ก็แทบไม่มีความหวังเหลืออยู่เลย

“ตื่นมาอยู่กับผมนะเจย์”

ทว่า... พอไม่หวัง ทุกอย่างกลับมาสว่างไสวยิ่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า

“เจย์...” ผมครางแผ่วเบาในลำคอ ทั้งที่อยากตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เมื่อปลายนิ้วสีซีดนั้นขยับอย่างเชื่องช้า

ผมรีบกดปุ่มที่ข้างเตียงทันที

“หมอครับ!!”

จิระฟื้นแล้ว

ส่วนผมก็ได้รับโอกาสแก้ตัวกับสิ่งที่ทำไปด้วยความเห็นแก่ตัวที่น่าชิงชัง
.....................................

จากวันที่จิระฟื้นจากอาการเจ้าชายนิทราจนถึงวันนี้ ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำทะเลเข้มแข็งกว่าที่ผมคิดมากทีเดียว เจ้าตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการสับสน จำไม่ได้ว่าตัวเองไปเจออะไรมาถึงทำให้ต้องมานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เนื่องจากความทรงจำบางช่วงหายไป สาเหตุมาจากสมองบางส่วนได้รับความกระทบกระเทือนจากอุบัติในคืนนั้น หนุ่มลูกครึ่งจำเหตุการณ์ในคืนที่ประสบอุบัติเหตุไม่ได้เลย จำได้แค่ช่วงเวลาที่ขึ้นเครื่องมาหาผม สองสามครั้งได้มั้งที่จิระพยายามคิดทบทวนสิ่งที่ตนสูญเสียมันไป เมื่อพยายามคิดอาการที่เกิดขึ้นคือเขาจะปวดหัวรุนแรง ถึงขั้นอาเจียนออกมา แต่หมอก็บอกว่าความทรงจำที่หายไป ถ้าหากได้รับการดูแลที่ดีและกินอาหารเสริมบำรุงสมอง ความทรงจำจะเริ่มกลับมาทีละน้อย

ถ้าถามผมว่าอยากให้ความทรงจำส่วนนั้นของจิระกลับคืนมาไหม ตอบเลยว่าผมไม่อยากให้จิระจำสิ่งที่ตัวเองคิดทำในคืนนั้นได้ ผมอยากให้จิระรู้แค่ว่าผมกับเขาขับรถไปต่างจังหวัด แล้วไปเจอกับฝนที่ตกหนักทำให้รถเสียหลักพุ่งไปชนกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางเท่านั้นก็พอแล้ว

แต่จิระกลับคิดต่างจากผม เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าตัวไม่เชื่อว่าจะเป็นแค่การนึกสนุกขับรถไปต่างจังหวัดตอนดึกๆ จิระใส่ใจกับความทรงจำที่หายไปมากกว่าร่างกายที่ไม่ปกติของตัวเองเสียด้วยซำ

ใช่... จิระเข้มแข็ง เขาไม่เสียน้ำตาสักหยดเมื่อต้องตื่นมารับรู้ว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งตัว แถมยังยิ้มแย้มให้กับร่างกายตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า... เขาจะได้มีผมคอยดูแลทุกวัน ตลอดชีวิตเลยยิ่งดี

‘สงสัยผมคงมารับตัวพีกลับมั้ง’ เจ้าตัวพึมพำกับตัวเอง หลังจากผ่านอาการปวดหัวและอาเจียนออกมาแล้ว จากนั้นก็หันมาพูดกับผม ‘พีเคลียร์งานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ดีๆ เราจะได้กลับไปอยู่บ้านของเรา ผมให้คนทำความสะอาดห้องของพีไว้แล้วนะ เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ให้ด้วย รับรองพีต้องชอบแน่ๆ’ เจ้าตัวพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวังในสิ่งที่ตัวเองรอคอย

ผมก็ทำได้แค่พยักหน้าไปกับคำพูดของจิระ นึกถึงคำสัญญาหลอกลวงของตัวเองก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุไปด้วย

จิระถามผมว่า... สัญญาใช่ไหม

ส่วนผมก็ตอบจิระไปว่า... ใช่ สัญญา

ตอนนั้นผมแค่อยากให้จิระใจเย็นลง มาตอนนี้ผมกลับคิดว่าตัวเองควรรักษาสัญญากับจิระเสียที เพราะผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้จิระพิการ เดินไม่ได้ ถึงเจ้าตัวจะไม่เห็นว่าความพิการของตัวเองคือโลกที่มืดมิดก็ตาม สำหรับผมแล้ว แค่วันเดียวที่จิระเดินไม่ได้ ความผิดก็ท่วมท้นอยู่ในอกผมแล้ว

ผมผิด...และผมควรรับผิดชอบความผิดของตัวเอง   

“พี ผมหิว หาอะไรให้กินหน่อยสิ” ถ้อยคำของคนบนเตียงผู้ป่วยดึงผมออกมาจากภวังค์ความคิด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลกระทบจากอุบัติเหตุคราวนั้น

นอกจากจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ยังมีสมองส่วนของความอิ่มความหิวด้วยที่ได้รับผลกระทบ จิระกลายเป็นคนที่หิวตลอดทั้งวัน อย่างเช่นตอนนี้ ทั้งที่เพิ่งกินอิ่มไปไม่ถึงชั่วโมงก็กลับมาหิวอีก โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองกินจนอิ่มไปแล้วเมื่อชั่วโมงก่อน

“เดี๋ยวค่อยกินนะเจย์”

“ไม่เอา! ผมจะกินตอนนี้ หรือว่าพีขี้เกียจไปหาอะไรให้ผมกิน” ว่าเสียงขุ่น “ก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าผมเดินเองไม่ได้ ถ้าเดินเองได้ ผมไม่ขอให้พีหาข้าวให้ผมกินหรอกนะ”

อารมณ์ที่หงุดหงิดง่ายกว่าเมื่อก่อนของจิระก็เป็นผลมาจากสมองที่ได้รับความกระทบกระเทือนด้วยเช่นกัน

จิระไม่เหมือนเดิมก็เพราะผม

ถ้าผมไม่ให้ความหวัง ไม่หลอกลวงด้วยคำสัญญา และไม่รักษาคำสัญญาของตัวเอง จิระก็คงไม่ต้องมาเป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่แบบนี้ คิดแล้วขอบตาก็ร้อนผ่าว พร้อมกับการตัดสินใจที่เด็ดขาดของตัวเอง

“ร้องไห้ทำไม ผมไม่ได้ว่าพีสักหน่อย ผมแค่...แค่...อึก...ปวดหัว...” ใบหน้าจิระเหยเก สองมือยกขึ้นมากุมขมับ

“ผมเปล่าร้องไห้ อย่าคิดมากสิ เห็นไหม พอคิดเยอะก็ปวดหัว” ผมรีบเข้าไปกอดจิระไว้ในวงแขน ลูบแผ่นหลังเบาๆ ช่วยให้เจ้าตัวผ่อนคลายขึ้น ทุกครั้งที่ผมกอดจิระ เจ้าตัวจะอาการสงบลง

“พี” สองมือของจิระเลื่อนลงมากอดผมตอบ แนบใบหน้าไว้กับอกผม “ผมอยากกลับบ้านแล้ว กลับบ้านกันเถอะนะ”

“รอฟังผลตรวจจากหมอก่อน ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เจย์กับผมก็ได้กลับบ้านแล้ว”

บ้าน...ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย

“จริงนะ ห้ามหลอกผมนะ” บางครั้งจิระก็กลายเป็นเด็กน้อยที่ต้องการการเอาใจจากผม

“ไม่หลอกหรอก ก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะกลับไปกับเจย์ แต่ดันเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน นี่ผมก็ยื่นใบลาออกแล้วนะ อนุมัติแล้วด้วย ผมเป็นอิสระจากที่นี่แล้ว พร้อมจะไปกับจิระแล้ว” ผมพูดเอาใจอีกฝ่าย

“แน่นะ” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองผม ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลเป็นประกายสดใส

“แน่สิ” ผมยิ้มให้กับอีกฝ่าย ส่วนข้างในกลับว่างเปล่าและเจ็บปวดไปพร้อมกันกับสิ่งที่ตัวเองเลือกจะทำ เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดที่กัดกินความรู้สึกอยู่แทบทุกวินาที

“หิวมากเลยพี หาอะไรให้กินหน่อยนะ นะๆ” พอสบายใจแล้ว จิระก็กลับมาหิวอีกครั้ง ส่วนผมเองก็ทำหน้าที่ที่ทำประจำตั้งแต่เจ้าตัวฟื้นนั่นแหละ คือออกไปหาอะไรที่จิระกินได้มาให้เจ้าตัวกิน

.................................

“คุณยะ” ที่ว่างข้างเตียงยวบลงไปตามน้ำหนักตัวเจ้าของชื่อ ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความมืดไร้แสงไฟส่องสว่าง ผมพลิกตัวเข้าไปกอดร่างอุ่นๆ ของคุณยะ อีกฝ่ายสอดแขนข้างหนึ่งมาให้ผมใช้หนุนแทนหมอน “ผมมีเรื่องจะบอก”

เรื่องที่ผมรวบรวมความกล้ามาตลอดทั้งวัน เพื่อจะบอกเขาถึงการตัดสินใจของผม

“ฉันรู้” เสียงทุ้มแสนนุ่มนวลดังอยู่เหนือศีรษะ ก่อนริมฝีปากจะกดซับลงมาบนกลุ่มผมนิ่งนานและยังไม่ยอมผละออกไป

“คุณยะรู้?” ผมไม่แน่ใจว่าที่เขาบอกว่ารู้นั้น รู้เรื่องไหน ใช่เรื่องที่ผมจะพูดหรือเปล่า

“ฉันเป็นใครล่ะพี”

...เป็นคนที่ผมรัก

“เธออยากเลิกกับฉัน”

...ไม่ได้อยากเลิก ผมแค่ต้องรับผิดชอบ

“ฉันไม่เลิกกับเธอหรอกนะพี ยังไงฉันก็จะไม่เลิกกับเธอเด็ดขาด

...แต่ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจ

“แต่ฉันจะปล่อยเธอไป”

“ทำไมครับ”

“ฉันไม่อยากรั้งเธอไว้ ทั้งที่เธออยากจะไป และฉันก็อยากให้เธอทำทุกอย่างตามที่เธออยากทำ ชีวิตเป็นของเธอ ไม่ใช่ของฉัน แม้ฉันอยากให้เป็นแบบนั้นก็ตาม”

“แต่ถ้าคุณยะห้าม ผมก็อาจจะ...”

“ฉันไม่ห้ามหรอกพี” เขาพูดแทรกก่อนที่ผมจะทันได้พูดจบ “ฉันรักเธอมากนะ ฉันถึงอยากเห็นเธอมีความสุข ต่อให้ฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ แต่ฉันก็พร้อมจะยอมรับการตัดสินใจที่เธอคิดมาดีแล้ว ถ้าเธอคิดว่าสิ่งที่เธอเลือกจะทำเป็นสิ่งที่สมควรทำ ฉันจะมีอะไรไปขัดขวางเธอได้”

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยออกมาแผ่วเบา

“แต่จำไว้นะพี เราไม่ได้เลิกกัน”

“ครับ” ผมกอดเขาแน่นขึ้น รับรู้ถึงความรักที่ส่งผ่านริมฝีปากอุ่นที่กดลงมาบนขมับ นิ่งนานราวกับจะให้มันคงอยู่ตลอดกาล “แต่ผมขอได้ไหมครับ คุณยะอย่าโทรหาผม อย่าติดต่อไม่ว่าทางไหนก็ตาม รับปากผมนะ”

...ไม่เช่นนั้นผมคงใช้ชีวิตด้วยความโหยหามากแน่ๆ

“ได้สิ” เขาตอบผมกลับมา

“คุณยะห้ามมีใครใหม่นะ” ต่อให้ผมกับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ผมก็ยังหวังว่าหัวใจของเขาจะเป็นของผมเพียงคนเดียว ไม่เอามันไปให้ใคร และไม่ให้ใครมายืนข้างเขาแทนที่ผม “ต้องรักผมแค่คนเดียว ห้ามรักใครเด็ดขาด” ผมเงยหน้าขึ้นมามองสบตาสีราตรี ที่คงเห็นได้เพียงเลือนราง แต่ในความเลือนรางนั้นผมกลับสัมผัสได้ถึงแววตาที่จริงจัง ยามเขาเอ่ยออกมาว่า

“ฉันรักเธอคนเดียว”

“ผมก็เหมือนกัน” ผมซุกลงไปในอกอุ่นอีกครั้ง หลับตาลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นของร่างกายนี้เป็นคืนสุดท้าย ก่อนที่รุ่งเช้ามาถึง และเวลานั้นผมจะเดินออกไปจากเขา ออกไปจากความสุขสมหวังที่เฝ้ารอมาตลอด แทนที่จะได้ดื่มด่ำกับมันไปทั้งชีวิต กลับต้องตัดใจจากไป...
จบตอนที่ 36
เมาท์ๆ
บอกแล้วว่าเป็นสะเก็ดดาวหาง ความจริงคือเนื้อหาจบตั้งแต่บทที่ 35 แล้วววววว
ตอนหน้าก็ตอนจบแล้วนะคะ ^_^
สีเหลืองอ่อน
ปล. คนเขียนปูเรื่องมาแบบนี้แล้ว ฮืออ...
น้อมรับทุกความขัดใจของทุกคนน้า
เอาใหม่ ขอแก้ตัวในเรื่องต่อไป
เลม่อนกับความฝันของเขามาแน่ๆๆ




หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 36 (11-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 11-04-2019 21:03:24
จะจบยังไงน้อเรื่องนี้ เดาไม่ถูกเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 36 (11-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-04-2019 21:08:03
โห เล่นเอาบ่อน้้ำตาแตกเลยค่ะ
แต่ดึแล้วที่พีรักษาคำมั่นสัญญากับจิระ
และคุณยะก็เข้าใจและยอมรับการตัดสินใจของพี
เชื่อว่าสักวัน คงมีวันของทั้งคู่แน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 36 (11-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-04-2019 23:23:09
อื้อหืออออออออออออ
รออ่านบทสุดท้ายเลยค่าา
ว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 36 (11-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-04-2019 10:52:27
จบแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะเราสงสารจิระมากกว่าใคร ถึงจิระจะเป็นคนตัดสินใจที่จะทำ
แต่นั่นมันเพราะมีผลตอบแทนที่คุ้มพอที่จะได้ทำ แต่พีกลับไม่รักษาสัญญา
คือพีก็รู้ว่าทำไม่ได้จะสัญญาทำไมรู้ทั้งรู้ที่แต่ก็ยังทำ นี่ละนะมนุษย์
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 36 (11-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 16-04-2019 13:10:11
สมควรนะ สัญญาอะไรไว้ก็ควรรับผิดชอบ ทีหลังจะได้คิดให้มากก่อนจะรับปากอะไรใคร เจย์เองก็เสียไปไม่น้อยเลยเพื่อพี ให้อีตาคุณยะมันอยู่คนเดียวรับกรรมไป :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- ตอนที่ 36 (11-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 21-04-2019 20:02:04
อยู่กับความไม่ชัดเจน ความย้อนแย้ง การแก้แค้น
และไม่ได้รับรู้ความจริง และความเป็นไปใดๆ
พีเลยเลือกทางของตัวเองที่ทำร้ายใครไปหลายคน
เด็กน้อยในวันวาน เจ็บปวดกับการกระทำของคนที่รัก
เลยเลือกจะละทิ้ง และทำร้ายให้เจ็บปวดกันไปข้าง

พอได้คุยกัน ได้กลับมาเปิดใจกัน กลายเป็นต้องห่างกัน
เพราะคำสัญญาที่จับต้องไม่ได้ไปอีก

ยะก็พยายามมาตลอด แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่
ปากแข็ง และไม่พูดมาก เลยต้องทนรับกับความเจ็บไปลำพัง

สงสารเลม่อนนะ แต่เพราะต่างคนต่างร้ายมาก่อน
ก็จะมีความเบาบางและเจือจางไปเยอะ
โชคดีที่ได้ขอโทษและยกโทษให้กัน จะได้ไม่ติดค้าง

จิระคือที่สุด ยอมให้ทุกอย่าง เป็นให้ทุกอย่าง
เพราะคำว่ารัก และคำว่ารอ

ปาลินยังเจ็บปวดไม่หาย ชีวิตกำลังดี ต้องมาเสียใจ

เป็นการเดินทางที่เจ็บปวดมากค่ะ ทั้งพีและยะ
เป็นคนก่อให้เกิดเรื่องต่างๆ มากมาย
ทำให้คนรอบข้างเสียใจ แต่ยะทำได้ไม่เท่าพีทำ

บางทีพีก็ต้องเจอและยอมรับกับผลที่จะเกิดเหมือนกัน

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องราวมีความซับซ้อน เดาทางยาก
แต่ก็อ่านได้เรื่อย ๆ และทำให้เราอินมากค่ะ

หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 23-04-2019 22:07:38
ตอนจบ

เพล้ง!!


เสียงของแข็งตกกระทบพื้นและแตกหักนั้นเร่งให้ผมที่กำลังเอื้อมมือไปจับลูกบิดต้องรีบผลักประตูเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเปิดเข้ามาเจอภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกันในหลายครั้ง แผลที่อุ้งเท้าของมาร์คัส รอสส์เพิ่งหายสนิทไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนแผลที่ถูกมีดปลายแหลมแทงตรงหน้าท้องแต่ไม่โดนจุดสำคัญและไม่ได้ลึกมากเมื่อสองวันก่อนก็ยังคงไม่หายดี ตอนนี้หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวล้ำลึกก็ได้รับแผลบนหน้าผากเพิ่มมาอีก ทั้งเลือดและนมสีขาวแทบจะไหลปนกันกองอยู่บนพื้น

“คุณรอสส์ไปทำแผลก่อนนะครับ” ผมรีบปราดเข้าไปหาคนเจ็บ ความตกใจนั้นมีอยู่น้อยนิดเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เห็นเลือดของศิลปินหนุ่ม ใบหน้าของมาร์คัส รอสส์ชุ่มไปด้วยเลือด นัยน์ตาสีเขียวนั้นไม่ได้เสียเวลาหันมาหาผมเลยแม้แต่น้อย จับจ้องอยู่แต่กับคนบนเตียงด้วยแววตาขุ่นจัด แต่ไม่ถึงกับโกรธแค้นสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับตัวเองหลายครั้งหลายหน

“พีรัชไม่ต้องไปสนใจเขา!” จิระตวาดด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ดวงตาเป็นประกายกร้าวและเจ็บแค้น “ออกไปจากห้องผม ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามาอีก!!”

“เจย์ นายผิดนะ” ผมหันไปปรามเจ้าของห้องที่ยังคงมีความคับแค้นใจกับมาร์คัส รอสส์ไม่ลดลงเลย  “ผมว่าไปให้หมอดูแผลให้ดีกว่านะครับ ผมขับรถให้” ผมหันกลับมาพูดกับศิลปินชื่อดังอีกครั้ง เพ่งดูแผลบนหน้าผากของมาร์คัส รอสส์ใกล้ๆ แล้วพบว่าแผลขนาดนี้ต้องรักษาด้วยการเย็บเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเลือดได้ไหลหมดตัวแน่นอน

“พีรัช! ถ้าคุณไปกับเขา ผมจะไม่ทำกายภาพบำบัดอีกต่อไป” จิระขู่ขึ้นมา ใบหน้าบึ้งตึงปนน้อยใจ ก่อนตวัดสายตาที่ยังคงเปี่ยมด้วยความคับแค้นและเกลียดชังไปยังเจ้าของบ้าน “ไปสิ ยืนอยู่ทำไม รำคาญลูกตา!!”

“คุณอยู่กับเขาเถอะ ผมขับรถเองได้” มาร์คัส รอสส์บอก สุ้มเสียงเจ้าตัวยังคงปกติดี ยกเว้นสายตาที่แลดูอ่อนลง... หรือหม่นแสงขึ้นนะ

“ก็ได้ครับ” ผมพยักหน้า ผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยๆ กับปัญหาระหว่างสองคนนี้ ครั้นจะห้ามไม่ให้มาร์คัส รอสส์มาที่นี่ก็ไม่ได้ เพราะบ้านหลังงามในเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนยักกี้ เป็นหนึ่งในบ้านพักหลายสิบหลังของศิลปินชื่อดัง

ผมพาจิระมาที่นี่เพื่อง่ายต่อการรักษาและทำกายภาพบำบัด ชื่อเสียงของศูนย์กลางแพทย์ของที่นี่อยู่ในระดับที่มาก และนักกายภาพบำบัดที่มีชื่อเสียงก็อยู่ที่นี่ด้วย มิหนำซ้ำยังเป็นคนรู้จักของมาร์คัส รอสส์อีกด้วย

“เจย์” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อนใจเมื่อประตูห้องถูกปิดลงโดยฝีมือเจ้าของบ้าน ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงคนป่วย ดึงมือของอีกฝ่ายมากุมไว้ “ผมรู้ว่าเจย์โกรธเกลียดเขา แต่ยังไงเขาก็ดีกับพวกเรามากนะ”

ครึ่งปีมาแล้วที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เจ้าของบ้านก็คอยดูแลและอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แม้แต่อาหารมาร์คัส รอสส์ก็ลงมือทำให้ผมกับจิระกินทั้งสามมื้อ ทั้งผมและจิระแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ผมแค่อยู่ข้างจิระ ให้กำลังใจอีกฝ่ายในการทำกายภาพบำบัดในแต่ละครั้ง ส่วนจิระก็มีหน้าที่แค่ทำกายภาพบำบัดไปตามตารางที่จัดเอาไว้เพื่อให้เจ้าตัวกลับมาเดินได้เร็วที่สุดและเป็นปกติให้ได้มากที่สุด ซึ่งเจ้าตัวก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง สาเหตุก็เพราะเจ้าของบ้านอย่างมาร์คัส รอสส์นั่นแหละ

ผมรู้ว่าจิระก็อยากกลับมาเดินได้อีกครั้ง เพียงแต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจทำกายภาพบำบัดก็เพราะไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ ถ้าไม่เป็นเพราะผมขอร้องและยืนยันว่าจะให้จิระรักษาตัวอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ไม่มีวันแม้แต่จะเหยียบเข้าบ้านพักของมาร์คัส รอสส์อย่างแน่นอน

“ชอบมันหรือไง?” คนบนเตียงถามเสียงห้วนจัด แววตาระแวงชัดเจน “ห้ามชอบมันนะพีรัช”

“จะชอบได้ไงล่ะ” ผมส่ายหน้า อ่อนใจเข้าไปอีก อาการอีกอย่างของจิระหลังจากประสบอุบัติเหตุก็คือความหึงหวง แค่เห็นผมนั่งคุยกับมาร์คัส รอสส์ เจ้าตัวก็คิดเป็นตุเป็นตะไปว่าผมกำลังหลงเสน่ห์นัยน์ตาสีเขียวลึกล้ำเข้าให้เสียแล้ว ไม่ได้มองความจริงเลยว่าคนที่ศิลปินดังให้ความใส่ใจมากที่สุด ถึงขั้นทิ้งงานของตัวเองและรายได้งามๆ จากการขายภาพวาด เพื่อมาดูแลคนป่วยทั้งวันแบบไม่มีวันไหนจะได้หยุดพัก ขนาดผมเองยังดูแลจิระได้ไม่มากเท่ากับมาร์คัส รอสส์เลย

“ผมเคยเห็นมาร์คัสแอบถ่ายรูปพี หลายครั้งด้วย” เจ้าตัวว่า “ผมแอบดูมือถือเขาก็มีแต่รูปพี”

“หือ? ถ่ายรูปผม?” ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ตอนไหนที่มาร์คัส รอสส์ถ่ายรูปผม แล้วถ่ายไปทำไม

“อืม...บางทีมาร์คัสอาจจะชอบพี” พูดแล้วก็ทำหน้ายุ่ง น้ำเสียงเริ่มมีอารมณ์หึงหวง “โรคจิตอย่างมัน พีอยู่ห่างๆ นะ เอาเป็นว่าอยู่ใกล้ผมเข้าไว้ มันชวนไปไหนก็ไม่ต้องไปด้วย อย่างเมื่อกี้ ถ้าพีไปกับมันนะ มันอาจจะลวนลามพีก็ได้”

ผมส่ายหน้าให้กับจินตนาการของจิระ ที่ดูจะมากเกินไป อย่างมาร์คัสหรือจะชอบผม สายตาที่มองผมติดจะรำคาญและอยากไล่ออกจากบ้านเขาด้วยซ้ำ ยิ่งตอนที่ผมต้องอาบน้ำให้จิระแล้วด้วย สายตานี่อยากจะเผาผมทั้งเป็นเลยเถอะ

“มาร์คัสไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอกน่า” ...แต่กับเจย์น่ะ คิดแน่ๆ ผมพูดต่อในใจ

“ห้ามรักเขานะ” จิระเป็นฝ่ายพลิกมือขึ้นมากุมมือผมไว้แทน จากนั้นก็ดึงมือผมเข้าไปใกล้ใบหน้า ก่อนจรดริมฝีปากลงบนหลังมือของผม ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลช้อนขึ้นมามองผมด้วยความรักและหลงใหล

“ไม่รักหรอก”

...ผมจะรักใครได้อีกล่ะ

“สัญญาแล้วว่าจะอยู่กับเจย์ไง” ผมยิ้ม ขณะที่หัวใจแห้งแล้งลงไปทุกนาที เกือบครึ่งปีแล้วที่ผมไม่ได้เจอคนคนนั้น ไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นหน้า ไม่รู้ว่าแต่ละวันแต่ละนาทีเขาทำอะไรอยู่ที่เมืองไทย มีเพียงเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่มาร์คัส รอสส์ หยิบขึ้นมาเอ่ยถึงยามที่จิระหลับ

“ผอมไปหรือเปล่า” ถามพลางใช้มืออีกข้างลูบไปตามโครงหน้าของผม

...ผมกินข้าวน้อยลงทุกวัน มันไม่รู้สึกหิวหรืออยากอะไรเลย

ผมกินข้าวยิ่งกว่าแมวดมซะอีก ผิดจากเมื่อก่อนตอนที่ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวโจแวน เพราะตอนนั้นผมอยากโตเร็วๆ มีร่างกายที่แข็งแรงและสูงใหญ่ ผมกินทุกอย่างบนโต๊ะอาหาร แม้อาหารแต่ละจานจะไม่ถูกปากเหมือนอาหารไทยก็ตาม

“คิดถึงเขาเหรอ” ดวงตาสีฟ้าสวยงามหม่นแสงลง มือข้างที่ยังกุมมือผมไว้สั่นเล็กน้อย

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ ความรู้สึกรุนแรงวิ่งขึ้นมาจุกที่คอ มันทั้งขมปร่าและปวดร้าว ก่อนความรู้สึกโหยหาจะตั้งหน้าทำงานอย่างหนักหน่วง

คำตอบแบบไร้คำพูดของผมไม่มีทางทำให้จิระเชื่อได้ แน่ละ ขนาดผมเองยังไม่เชื่อเลย ไม่คิดถึงได้อย่างไร ทุกคืนผมต้องเสียน้ำตาให้กับความคิดถึงเสมอ

“คิดถึงได้ แต่ห้ามกลับไปหาเขานะ”  ดวงตาของจิระเริ่มแดง มันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “ผมไม่อยากเสียพีให้เขา ผมรักพีรัชนะ” ท้ายประโยคเจ้าตัวเสียงสั่นพร่า ผมรีบขยับตัวเข้าไปใกล้พอที่จะดึงคนที่ผอมลงไปมากกว่าผมซะอีกเข้ามากอด

“ไม่ไปไหนหรอก จะอยู่กับจิระไปทั้งชีวิตเลย” ผมกอดจิระอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นก็ถอนอ้อมกอดออกมา พลางเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วเมื่อกี้โกรธอะไรมาร์คัส” ถามเอาสาเหตุจากจิระก่อน แล้วค่อยไปคุยกับมาร์คัส รอสส์ ว่าควรจะรับมือกับจิระอย่างไรไม่ให้เกิดโมโหขึ้นมาอีก

“มาร์คัสกล่าวหาว่าผมแกล้งความจำเสื่อม” เจ้าตัวตอบคำถามผม ก่อนจะถามกลับ “พีคิดว่าผมแกล้งความจำเสื่อมไหม”

“ผมรู้ เจย์ไม่ได้โกหก เจย์จำไม่ได้จริงๆ ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น” ที่ผมมั่นใจว่าจิระสูญเสียความทรงจำในคืนนั้นไปจริงๆ เพราะเจ้าตัวชอบถามผมเสมอว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จิระไม่เชื่อว่าผมกับเขานึกอยากจะไปเที่ยวทะเลกันตอนที่ท้องฟ้าฉาบไว้ด้วยสีดำเทา และที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อต้องเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกัน ผมจะเป็นฝ่ายขับรถเองทุกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าจิระไม่คุ้นเส้นทางต่างๆ และเจ้าตัวเป็นคนขับรถเร็วด้วย ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ผมจะยอมให้เขาขับรถไปต่างจังหวัดและเป็นกลางคืนอย่างแน่นอน

“ไม่ต้องคิดมากนะเจย์ เรื่องคืนนั้นไม่ได้มีอะไรมากหรอก ก็เหมือนที่ผมบอกเจย์ไปทุกครั้งแหละ ผมเมาแล้วอยากไปทะเล เจย์ห้ามแล้วแต่ผมไม่ฟังเอง เจย์เลยต้องขับรถพาผมไปทะเล เรื่องก็มีแค่นี้” เพื่อความสบายใจของจิระ ผมจำต้องโกหก แม้รู้ว่าสักวันความทรงจำที่หายไปของเจ้าตัวอาจกลับคืนมาก็เถอะ

ความทรงจำของจิระและอาการต่างๆ ที่เป็นผลกระทบมาจากสมอง หากได้การรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง สมองก็จะกลับมาได้เร็วขึ้น รวมถึงความทรงจำที่จะกลับมาด้วย ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากจะให้ตอนนี้เวลานี้จิระเชื่ออย่างที่ผมเล่า ในเมื่อยังจำไม่ได้ ก็อยากให้เจ้าตัวใช้ความทรงจำที่ผมปั้นแต่งขึ้นมานี่แหละ

“ผมน่ะไม่ได้โกหกพีเลยนะ ผมจำเหตุการณ์คืนนั้นไม่ได้จริงๆ” เจ้าตัวว่า น้ำเสียงจริงจังขึ้น มองหน้าผมอย่างคาดคั้นเอาเรื่องจริง “แต่พีกำลังโกหกผมเกี่ยวกับเรื่องคืนนั้น บอกผมมาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราสองคนต้องไปทะเล ทำไมพีปล่อยให้ผมขับรถเอง”

“ผมบอกเจย์ไปแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนเป็นการตัดบท “เดี๋ยวผมไปหาอะไรมาเก็บเศษแก้วก่อนนะ” ว่าแล้วผมก็หมุนตัวเดินไปที่ประตู มือยังทันแค่จับลูกบิดเท่านั้น คนบนเตียงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาบางแต่ก็ยังได้ยินชัดเจน

“ถึงผมจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น...”

ผมหันกลับมาหาคนพูด ใบหน้าของจิระเต็มไปด้วยความลังเลกับสิ่งที่ตัวเองจะพูด ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันไปหลายวิ ก่อนจะคลายออกจากกันได้เพื่อเอ่ยต่อคำพูดที่เหลือ

“แต่ผมจำได้ว่าตั้งใจไปที่นั่นเพื่อจะพาพีกลับมากับผม ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน ผมก็ต้องเอาตัวพีมาจากคนคนนั้นให้ได้” เจ้าตัวเค้นยิ้ม ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลแวววาวด้วยน้ำที่รอเวลาร่วงหล่น “คิดกระทั่งว่าจะพาพีไปตายด้วยกัน เพราะผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี สู้ตายไปพร้อมกับพีเสียจะดีกว่า”

ผมเดินกลับไปหาจิระ ทิ้งตัวลงนั่งริมขอบเตียงที่เดิมอีกครั้ง ขณะที่คนบนเตียงยังคงเอ่ยเรื่องราวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับว่ากำลังระบายความทุกข์ใจทั้งหมดออกมา

“คืนนั้นผมคิดจะฆ่าพีใช่ไหม” น้ำเสียงที่เอ่ยถามเข้มข้นไปด้วยความเจ็บปวด

“ไม่ใช่หรอก” ผมไม่อยากให้จิระรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป “มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ตอนนั้นเจย์กำลังจะจอดรถ แต่ทางข้างหน้ามันเป็นทางโค้ง เจย์ไม่ชินเส้นทางด้วย แถมยังเป็นตอนกลางคืน ไฟข้างทางก็ไม่สว่างเท่าไร ฝนยังมาตกอีก ถนนก็ลื่น เลยทำให้รถเสียหลักพุ่งไปชนต้นไม้”

“บอกความจริงผมมาเถอะ ผมไม่ได้อ่อนแอจนยอมรับการกระทำงี่เง่าของตัวเองไม่ได้หรอกนะ แค่บอกมาว่าเป็นความผิดของผม เพราะผมมันเห็นแก่ตัว คิดแต่จะให้พีเป็นของผมคนเดียว ผมถึงได้ทำเรื่องสิ้นคิดแบบนั้น”

“ผมผิดเองที่ไม่รักษาสัญญา ทำให้เจย์ต้องเป็นแบบนี้” ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้จิระ ตอนนี้เจ้าตัวดูอ่อนแอเหลือเกิน

“ที่แท้ก็เพราะผมทำตัวเองให้ต้องมาเป็นคนพิการแบบนี้” เจ้าตัวว่า พร้อมกับรอยยิ้มขื่นขม “แทนที่จะตายกลับต้องมาพิการ แต่ก็ดีแล้ว สมแล้วกับความโง่ของตัวเอง ผมขอโทษนะพีที่ทำให้ต้องมาอยู่กับคนพิการแบบผมไปตลอดชีวิต”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ” ผมรีบดุ “หมอบอกแล้วไงว่ากลับมาเดินได้แน่นอน”

“แต่ก็อีกนาน”

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา จะให้เดือนสองเดือนเดินได้มันก็ไม่ใช่...ใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ หัดเดินให้มากๆ เจย์ก็จะกลับมาได้เร็วขึ้น” ผมรีบให้กำลังใจ

“อืม ผมจะพยายาม” เจ้าตัวคลี่ยิ้มอ่อน มองตาผมนิ่งนานก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด เพราะต้องฝืนพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ “แต่ผมอยากให้พีกลับไปหาเขา ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำลายความสุขของพีเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง”

ครั้งนี้เป็นผมบ้างที่ยิ้มอ่อน เอ่ยสิ่งที่ตรงข้ามกับหัวใจร่ำร้อง

“ไม่กลับหรอก ไม่ต้องมาไล่”

...อยากกลับไปใจแทบขาด ก็กลับไปไม่ได้

ผมทิ้งจิระไว้แบบนี้ไม่ได้ จิระต้องการผมมากกว่าคนคนนั้นเสียอีก

..........................................

จิระหลับสนิทไปแล้ว ผมถึงได้ลุกจากเตียงเปิดประตูห้องออกมา พอปิดประตูลงน้ำตาก็ซึมออกมาทันที ผมใช้หลังนิ้วชี้ปาดเม็ดน้ำเม็ดเล็กๆ ออกไปจากหน่วยตา ฝืนยิ้มกับตัวเองเพื่อให้ความรู้สึกข้างในเบาความคิดถึงใครคนหนึ่งที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งลง

ที่นี่เที่ยงคืนแล้ว ที่นู่นก็คงจะเต็มไปด้วยแสงของดวงอาทิตย์ร้อนแรง

ตอนออกจากห้องผมหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วย ผมก้มมองเครื่องมือที่ทำให้ระยะห่างระหว่างซีกโลกหดสั้นลงดังใจนึก ด้วยความรู้สึกที่อยากจะกดปุ่มโทรไปหาเขาเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้ ไม่ได้เห็นหน้าก็ขอแค่ได้ยินเสียง ทว่าผมก็ต้องรีบวางโทรศัพท์เครื่องบางลงบนโต๊ะหน้าโซฟาในห้องนั่งเล่นราวกับว่ามันเป็นของร้อน เป็นสิ่งต้องห้ามที่ควรอยู่ห่างให้ไกลที่สุด

ผมมองมันอย่างนั้นเนิ่นนาน ด้วยความคิดที่ว่าอยากให้มันหายไปซะ ก่อนที่ผมจะพ่ายแพ้ให้กับความคิดถึงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหาอย่างสุดหัวใจ

“คิดถึงก็โทรไปสิครับ”

เสียงที่ดังมาจากด้านหลัง ทำเอาผมต้องรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม กลืนก้อนสะอื้นที่น่าสงสารลงไปในอก ไม่ต้องหันกลับไปมอง เจ้าของเสียงก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในระยะสายผมเรียบร้อยแล้ว

“ผมก็เพิ่งวางสายจากหมอนั่น เห็นบอกว่าหมอจะให้รอดูอาการต่ออีกสักคืนหนึ่ง แต่หมอนั่นไม่ยอม ตอนที่ผมโทรไปหาก็กำลังเถียงกับหมออยู่” เจ้าตัวพูดเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจเลยว่าผมอยากฟังเรื่องราวของเพื่อนเขาไหม

แต่ก็นั่นแหละ ผมอยากฟัง เพียงแต่แสดงออกมาว่าไม่สนใจ เรื่องที่เขาโหมงานหนักจนเข้าโรงพยาบาลรอบที่แล้ว ผมก็แทบอยากจะบินกลับไปดูแลเขา ผ่านไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็ต้องกลับเข้าไปใหม่ เพราะไส้ติ่งอักเสบ แม้จะรู้ว่าแค่การผ่าตัดไส้ติ่งไม่ทำให้เขาทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนสิ้นใจตายหรอก แต่ก็ห้ามความคิดไม่ให้เป็นห่วงความเจ็บปวดของเขาไม่ได้ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเดินกลับเข้าไปในห้องและจัดการเป๋าเดินทางทันที กว่าจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ก็ตอนที่เงยหน้าขึ้นสบตาสีน้ำทะเลของจิระ

แล้วล่าสุดหลังออกจากโรงพยาบาลได้แค่สองวัน คุณยะก็ขับรถไปชนกำแพงรั้วบ้านของคนอื่น ไม่รู้ว่าระดับความรุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำให้ต้องกลับไปนอนบนเตียงผู้ป่วยอีกรอบหนึ่ง ทว่าครั้งนี้ที่มาร์คัส รอสส์ พูดลอยๆ มาเข้าหูผมระหว่างที่จิระหลับ ผมก็มีสติมากกว่าเดิม หักห้ามความรู้สึกห่วงแสนห่วงด้วยการกำมือตัวเองไว้แน่นที่สุด

“ไม่ต้องบอกผมหรอกครับ ผมไม่ได้อยากรู้” ผมพูดตัดบท แล้วเอื้อมมือลงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากโต๊ะกระจก ตั้งใจจะกลับเข้าไปในห้องที่เพิ่งเดินออกมาได้ไม่ถึงสิบนาที แต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลยต้องหันกลับไปถามเจ้าของบ้านว่า “คุณรอสส์ถ่ายรูปผมไปทำไมครับ”

“มีคนอยากเห็นว่าตอนนี้คุณมีความสุขดีไหม”

...ไม่มีเลย

ยิ่งกว่าตอนที่หนีจากเขามาตอนนั้นซะอีก

ความโหยหาในครั้งเก่ากับครั้งนี้ เทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ

“กลับไปเถอะ” เจ้าตัวลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีเขียวนั้นจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าผมเป็นตัวขัดขวางความสัมพันธ์ของเขากับจิระ ไม่มีผมสักคนหนึ่ง เขาคงจัดการความรู้สึกของจิระได้ง่ายกว่านี้ “การที่คุณยังอยู่ข้างกายเจย์ โดยที่ไม่ได้รักเขา แต่อยู่เพราะความสงสาร มันยิ่งทำให้เขาน่าสงสารเกินจำเป็น” ดวงตาสีเขียวลึกล้ำจ้องผมเขม็ง ให้ความรู้สึกว่ากำลังถูกจับโยนเข้ากองไฟร้อนๆ

“เจย์ต้องการผม” คำพูดของผมคือคำปฏิเสธที่ทำเอาดวงตาสีเขียวลุกวาว

“ใช่ เจย์ต้องการคุณ แต่คุณให้ในสิ่งที่เจย์อยากได้จากคุณไหม” อีกฝ่ายถามกลับด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใกล้จะถีบผมลงกองไฟเบื้องล่างเต็มที “คุณให้เขาได้ไหม!”

...ถ้าเป็นเรื่องความรัก ผมให้จิระไม่ได้เลย

“คุณรู้ไหมว่าที่การทำกายภาพบำบัดไม่คืบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว ก็เพราะเจย์ไม่อยากจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง เขากลัวว่าถ้าเดินได้ คุณก็จะเลิกสงสารเขา แล้วก็จะไปจากเขา”

“ผมรู้” ใช่ว่าผมจะไม่รู้ ว่าจิระไม่อยากจะเดินได้ เขาถึงทำกายภาพบำบัดแบบขอไปที ไม่จริงจัง ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะเดินได้

“รู้แล้วก็แก้ไขมันซะ! ถ้าคุณไม่อยากเห็นเจย์เดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

“แต่ผมสัญญากับเจย์แล้ว ว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหน” ผมไม่อยากผิดคำสัญญา ไม่อยากให้จิระผิดหวังและทำร้ายตัวเอง ผมกลัวว่าถ้าไม่มีผม จิระจะไม่อยากมีชีวิตอยู่

“กลับไปนอนคิดซะ คุณอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้ เจย์ก็เหมือนกัน หมอนั่นก็ด้วย และผมด้วยอีกคน” เขาว่า สีหน้าจริงจัง คุกคามผมด้วยลูกตาสีเขียวเข้มจัด เอ่ยสำทับมาอีกว่า “คืนนี้คุณกลับไปนอนห้องตัวเอง ส่วนเจย์ คืนนี้และคืนต่อๆ ไป ผมจะดูแลเขาเอง” และไม่ทันให้ผมได้ปฏิเสธ อีกฝ่ายก็เดินออกไปจากห้องนั่งเล่นเสียแล้ว

ครั้นพอผมเดินตามไปก็ทันเห็นแต่แผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในห้องนอนจิระ จะเปิดประตูตามเข้าไปก็ไม่ได้เพราะมันถูกล็อกเรียบร้อย ที่จริงผมจะเคาะประตูเรียกก็ได้ แต่ไม่อยากให้จิระตื่นขึ้นมาอาละวาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพอตอนเช้ามาเจ้าตัวจะอาละวาดขนาดไหน เมื่อลืมตามาเห็นคนที่นอนบนเตียงเดียวกันไม่ใช่ผม

เมื่อเข้าห้องจิระไม่ได้ ผมก็เดินไปที่บันไดซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของตัวบ้านหลังใหญ่ของมาร์คัส รอสส์ ห้องนอนของผมอยู่บนชั้นสอง เป็นห้องของผมที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมไว้ให้แต่ไม่เคยได้นอนเลย เพราะผมนอนกับจิระทุกคืน

ทันทีที่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วกลับมาไหลใหม่ ไม่มีคืนไหนที่ผมไม่ร้องไห้เพราะคิดถึงเขา

“คุณยะ...”

ผมอยากเรียกชื่อของเขา โดยที่เขายืนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่หลับตาแล้วนึกจินตนาการไปเอง ว่าเขาอยู่ตรงหน้า ยิ้มให้ผม ก่อนดึงผมเข้าไปกอด กระซิบคำรัก และเติมเต็มความโหยหาของผมด้วยจูบที่นุ่นและแสนอ่อนหวาน

ครั้งแรกที่ผมออกไปจากชีวิตเขา หนีมาที่อเมริกา ความเสียใจนั้นล้นอยู่ในอก ความโหยหาก็มากมาย เพียงแต่เทียบไม่ได้กับครั้งนี้เลย นั่นเพราะครั้งแรกผมจากมาด้วยความเจ็บปวดเพราะคิดว่าเขาไม่รักผม ซึ่งมันไม่เหมือนครั้งนี้เลยสักนิด

ครั้งสุดท้ายที่ได้สบตาของเขาคือเช้าวันรุ่งขึ้นหลังคืนที่บอกความต้องการของตัวเองออกไป และเขาก็ไม่เหนี่ยวรั้งและยังยินยอมด้วยความเข้าใจ

‘ฉันรักเธอ’

คำพูดที่ดังอยู่ในหัวใจผมและไม่เคยเบาลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว รวมทั้งน้ำเสียงของเขาตอนที่เอ่ยคำนี้ออกมา ก็ยังฝังลึกอยู่ในความรู้สึก อบอุ่นแม้ยามต้องห่างไกล แต่ก็ทำให้ความโหยหานั้นไม่เคยลดลงได้เลย

“...ผมก็รักคุณยะ”

เพราะหูแว่วได้ยินเสียงบอกรัก ผมถึงตอบกลับไปด้วยคำพูดในแบบเดียวกัน ด้วยความรู้เดียวกัน คือความรู้สึกรักล้นอยู่ในอก แม้รู้ว่าคำพูดประโยคนี้คงดังไปไม่ถึง ผมก็ได้แค่หวังว่าหูของเขาจะแว่วได้ยินประโยคบอกรักของผมบ้าง


.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 23-04-2019 22:12:09

.

.

.

ต่อด้านบน


เช้านี้ผมตื่นสายกว่าทุกวันไปเกือบสองชั่วโมง เพราะเมื่อคืนเป็นคืนที่ผมร้องไห้หนักที่สุด เนื่องจากเป็นคืนแรกที่ได้นอนคนเดียวตั้งแต่มาที่ลุยส์วิลล์ สารพัดความคิดถึงคนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งรุมทึ้งตลอดทั้งคืน แล้วยังต้องคิดเรื่องที่มาร์คัส รอสส์ พูดไว้

จิระพิการก็เพราะผม

เจ้าตัวจะเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตก็เพราะผม

พอส่องกระจก ภาพสะท้อนของใบหน้าตัวเองที่เห็นนั้น ฟ้องสิ่งที่เกิดเมื่อค่ำคืนได้อย่างชัดเจน หน่วยตาแดงก่ำ เบ้าตาบวม ยิ่งขับให้ใบหน้าที่ซูบผอมลงไปมากนั้นดูซีดขึ้นไปอีก ผมแทบไม่อยากออกจากห้องไปให้จิระเห็น มันเป็นแค่ความคิด ให้ทำอย่างที่คิดคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้จิระกำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาลแค่ไหนที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอหน้าคนที่ตัวเองเกลียดแสนเกลียดแทนที่จะเป็นผม

ผมรีบอาบน้ำในเวลาอันรวดเร็วกว่าปกติ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็รีบออกจากห้อง เดินลงบันไดที่ไม่ต่างจากการวิ่งไปยังข้างล่าง พอลงไปถึง ผมตั้งใจจะไปที่ห้องของจิระ ทว่าได้ยินเสียงของจิระดังออกมาจากห้องกินข้าวเสียก่อน ปลายเท้าจึงรีบเปลี่ยนทิศทาง

ภายในห้องอาหาร ที่นั่งประจำของผมข้างตัวจิระถูกยึดไปโดยเจ้าของบ้าน สิ่งที่คิดเอาไว้ดูผิดคาดไปหมดจนไม่น่าเชื่อว่าคือเรื่องจริง ชายหนุ่มลูกครึ่งนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลไม่มีอาการหงุดหงิดหรืออารมณ์ร้อนจัดที่พร้อมจะพังบ้านทั้งหลังได้ เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาจากจานอาหารเพื่อสุขภาพที่พ่อครัวประจำบ้านทำให้กินทุกมื้อ ซึ่งก็คือหนุ่มตาสีเขียวผู้ซึ่งนั่งแทนที่ผมนั่นแหละ

“พีตื่นสาย ผมหิวเลยกินก่อน” เจ้าของใบหน้าที่ดูแล้วสภาพไม่ได้ไกลจากผมเท่าไรเลย หน่วยตาแดงก่ำ ขอบตาบวมช้ำ คล้ายผ่านการร้องไห้หนักมาทั้งคืน

ผมมองหน้าเจ้าของดวงตาสีเขียวลึกล้ำอย่างมีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทำอะไร ทำไมจิระถึงมีสภาพแบบนี้ ที่ไม่ได้ถามจิระไปตรงๆ เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวเกิดความรู้สึกอยากอาละวาด สถานการณ์เงียบสงบนี้เป็นสิ่งที่หาได้น้อยมากตั้งแต่อยู่ที่นี่มาครึ่งปี ฝ่ายมาร์คัส รอสส์ ก็มองผมอยู่ก่อนแล้ว เขายักไหล่น้อยๆ ยักคิ้วหน่อยๆ ริมฝีปากใต้จมูกโด่งสวยอย่างชาวต่างชาตินั้นขยับเป็นรอยยิ้มนิดหนึ่ง แล้วก็หันไปตักอาหารอีกชุดใหญ่ใส่ลงไปในจานของจิระ

ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านจากจิระแม้แต่นิดเดียว ผิดจากทุกมื้อที่ผ่านมา หากอีกฝ่ายทำท่าจะตักอาหารใส่จานให้จิระละก็ เจ้าตัวจะยกจานหนีทันที หรือถ้ายกหนีไม่ทันก็จะเขี่ยทิ้งแทน หรือไม่ก็ทิ้งลงพื้นทั้งจานนั่นแหละ แต่นี่กลับนิ่ง ซ้ำยังเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายด้วย แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาพูดก็เถอะ

“ขอบคุณ”

“กินเยอะๆ จะได้กลับมาอ้วนเหมือนเดิม”

“ฉันไม่เคยอ้วน”

“โทษที ฉันใช้คำพูดผิด ต้องเรียกว่ามีเนื้อมีหนัง”

“มีกล้ามต่างหาก”

สองคนโต้ตอบกันด้วยสุ้มเสียงที่บ่งบอกถึงความสนิทสนมมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า

เกิดอะไรขึ้นกับจิระ?

ดูไม่เหมือนจิระคนเดิมที่เกลียดขี้หน้าอดีตพี่ชายข้างบ้านเลยสักนิด

ผมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในตำแหน่งประจำของมาร์คัส รอสส์ คือฝั่งตรงข้ามกับจิระ

“เจย์” พอเอ่ยเรียก เจ้าของชื่อก็เงยหน้าขึ้นมา ผมไม่กล้าเอ่ยถามขณะที่มาร์คัส รอสส์ ยังนั่งอยู่ตรงนี้ เลยเอ่ยบอกไปว่า “อิ่มแล้วไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกันนะ เจย์ไม่ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกมานานแล้ว” ตั้งใจว่าจะพาออกไปเดินเล่นแล้วถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเขาสองคน

จิระไม่ชอบออกไปข้างนอกในสภาพที่ตัวเองต้องนั่งบนวีลแชร์ ครั้งนี้เจ้าตัวก็ส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเดิม เพียงแต่ต่างไปจากเดิมตรงที่ว่า

“ไว้วันหลังนะพี วันนี้ผมจะออกไปซูเปอร์ฯ กับมาร์คัส”

...จะไปกับมาร์คัส รอสส์ นี่นะ 

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ใจเริ่มไม่ดีด้วย นึกไปถึงว่ามาร์คัส รอสส์ ต้องขู่อะไรจิระแน่ เจ้าตัวถึงได้เปลี่ยนไปเพียงแค่ข้ามคืนที่ผมไม่ได้นอนอยู่ข้างจิระ

แล้วที่ออกมานั่งกินข้าวโดยไม่รอผมพาไปอาบน้ำแต่งตัว มันก็น่าแปลกสุดๆ เหมือนกัน จิระไม่เคยยอมให้มาร์คัส รอสส์ อาบน้ำให้ตัวเองเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ และถ้าจะคิดว่าเช้านี้จิระไม่อาบน้ำ ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน จิระไม่มีวันที่จะไม่อาบน้ำตอนเช้า

คิดว่าต้องมีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นแน่ๆ ผมถึงได้หันไปหาจิตรกรหนุ่มลูกครึ่งอเมริกา-เยอรมันอีกครั้ง เอ่ยเสียงเรียบแต่เน้นหนักออกไปว่า

“รบกวนคุณมาร์คัสช่วยออกไปก่อน ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจย์”

“โอเค” หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวเอ่ยออกมาง่ายๆ ไม่คิดกีดกัน แล้วลุกเดินออกไปจากห้องอาหาร

“มาร์คัสทำอะไรนาย” ผมถามทันทีที่แผ่นหลังกว้างของหนุ่มต่างชาติลับสายตาไป

แทนที่จะตอบ จิระกลับพูดไปอีกเรื่อง หลังจากที่วางช้อนกับส้อมในมือลง

“ผมอยากให้พีกลับไทย”

“นี่ไม่ใช่คำตอบนะเจย์ ผมถามว่ามาร์คัสทำอะไรนาย”

“มาร์คัสไม่ได้ทำอะไรผม” แววตาของจิระสั่นระริก ยามที่เอ่ยออกมาว่า “เขาบอกว่าเขารักผม ผมก็คิดว่าควรจะหันกลับไปมองคนที่รักผมเสียที อย่างน้อยมันก็ดีใช่ไหมล่ะ ถ้าเอาอคติออกไปให้หมด มาร์คัสก็เป็นคนดีที่ผมไม่ควรปล่อยให้เขาหลุดมือไป”

ถึงผมจะรู้มาตลอดจากการดูแลเอาใจใส่จิระทุกอย่างนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลที่สะท้านไหวตรงหน้าผมนั้น ไม่ได้บอกว่าห้วงหัวใจของตัวเองปลาบปลื้มและมีความสุขกับคำบอกรักของอดีตพี่ชายข้างบ้านแม้แต่นิดเดียว

“เจย์ อย่าฝืนตัวเอง” ผมบอก พลางลุกเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ประจำของตัวเอง เอื้อมไปกุมมือจิระที่วางอยู่บนตักของเจ้าตัว “อยู่กับคนที่เราไม่ได้รักไปตลอดชีวิต มันไม่มีความสุขหรอกนะ” ผมพูดโดยลืมคิดว่าคำพูดของตัวเองมีช่องให้สวนกลับ และผมก็ปฏิเสธคำพูดนั้นของจิระไม่ได้

“งั้นตอนนี้พีรัชก็คงไม่มีความสุข และคงจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตจริงไหม”

คำพูดของจิระมีความจริงที่ทำให้ริมฝีปากผมไม่กล้าหลุดคำปฏิเสธออกมา ได้เพียงแต่บีบมือของอีกฝ่ายแน่นขึ้น และจิระคงรู้ว่ามือของผมสั่นแค่ไหน

“ไปเถอะนะพีรัช ผมอยู่ได้ ถ้าพีรัชกลับไปแล้ว ผมสัญญาว่าจะทำกายภาพบำบัดทุกวัน ไม่เบี้ยวนัดหมอ แต่ถ้าพีรัชยังจะอยู่ที่นี่ ผมก็จะทำแบบเดิม ผมจะเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต... พีรัชชอบแบบไหนล่ะ เลือกเลย ผมให้โอกาสพีรัชเลือก”

“ผมจะอยู่ที่นี่ อยู่กับเจย์ไปตลอดชีวิต” ผมตอบ มั่นใจว่าคำตอบนี้ของผมคือสิ่งที่จิระต้องการที่สุด

“พีรัชทำไม่ได้หรอก” เจ้าตัวว่า ใช้สายตาปวดร้าวมองผมและทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างที่สุด

“ผมทำได้” ผมก็ยังยืนยันคำเดิม

“ถ้าพีรัชกลับมากับผมด้วยสภาพนกปีกหักเหมือนในวันแรกที่ผมเจอพีรัช ผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้ ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงว่าเมื่อไรพีรัชจะทิ้งผมไป เพราะทนความคิดถึงเขาคนนั้นไม่ไหว” จิระยิ้มเศร้า “ตอนนี้พีรัชเหมือนคนที่ทิ้งหัวใจไว้ที่นั่น และสุดท้ายพีรัชก็ต้องกลับไปอยู่กับหัวใจตัวเอง ร่างกายของเราขาดหัวใจไม่ได้หรอกนะ” ครั้งนี้เจ้าตัวเป็นฝ่ายกุมมือสั่นเทาของผมไว้ด้วยมือที่สั่นยิ่งกว่าของเขา


“...” ผมไร้คำพูด ได้แต่นิ่งฟัง

“ผมอาจจะเคยคิดว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพีรัช แต่ตอนนี้ผมเชื่อว่าผมอยู่ได้แม้จะไม่มีพีรัชก็ตาม” ยิ้มของจิระยิ่งขมขื่น เห็นแล้วผมก็อยากจะให้เจ้าตัวหยุดพูดเสียที แต่ผมก็ยังเงียบฟังเสียงความเจ็บปวดของอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วงผมนะ...ผมก็แค่เป็นนกปีกหัก ไม่ได้ลืมหัวใจไว้ที่ไหน แต่ถ้าจะต้องเสียหัวใจไป ผมก็จะมีความสุขมากกว่าทุกข์ทรมานอย่างทุกวันนี้”

“ผมรักพีรัช”

“...”

“แต่สักวัน... ผมจะรักคนอื่นที่ไม่ใช่พีรัชได้”

...ผมก็เคยคิดแบบจิระ ว่าสักวันหนึ่งจะเลิกรักคุณยะได้ ซึ่งก็ไม่เคยมีวันนั้นเลย แม้แต่วันนี้ก็ยังทำไม่ได้ แม้แต่อนาคตก็คงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้

“ไม่เชื่อเหรอ?”

ผมพยักหน้าให้กับคำถามนั้น

“ผมไม่เหมือนพีรัชนะ” เจ้าตัวฝืนยิ้ม “...ที่จะรักมั่นคงได้ขนาดนั้น”

“เจย์ อยากให้ผมกลับจริงๆ ใช่ไหม?” ผมถาม ความเจ็บปวดบนใบหน้าของจิระยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“ใช่” คำตอบนั้นเบาบางต่างจากความเจ็บปวดของเจ้าตัว “กลับไปเถอะนะพีรัช ถ้าไม่กลับไป ผมก็คงจะนั่งอยู่บนรถนี่ไปตลอดทั้งชีวิต พีรัชอยากให้ผมเป็นแบบนี้ไปจนวันตายหรือ?” เจ้าตัวถามกลับมาบ้าง

“ผมอยากเห็นเจย์กลับมาเดินได้” ผมให้คำตอบที่ไม่ได้ตอบรับว่าจะไปจากที่นี่ ทิ้งคำสัญญาที่จิระแลกมาด้วยร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของตัวเอง

“เดินได้เมื่อไรผมจะไปหานะ” คนพูดบีบมือผมแน่นขึ้น “มาร์คัสจะดูแลผมเอง เขาสัญญาว่าจะทำให้ผมกลับมาเดินได้อีกครั้ง ความจริงแล้ว ผมก็พูดถึงเขาเกินจริงไปมากทีเดียว เขาไม่ได้เลวร้ายขนาดที่ผมจะอยู่ร่วมบ้านกับเขาไม่ได้หรอกนะ เพียงแต่...” เจ้าตัวหยุดพูด เมื่อเหลือบไปเห็นคนที่ถูกเอ่ยถึงเดินกลับเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวประดับด้วยรอยยิ้ม ไม่มีแววขุ่นมัวแม้แต่น้อยที่เห็นจิระกุมมือผม ถ้าเป็นทุกทีมาร์คัส รอสส์จะออกอาการหน้าบึ้งตึง แสดงความหึงหวงออกมาโดยไร้คำพูดและไร้การกระทำ เนื่องจากเจ้าตัวไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นได้ ในเมื่อเป็นได้แค่คนที่จิระเกลียด

มาร์คัส รอสส์ ไม่ได้เดินกลับเข้ามามือเปล่า ในมือเขาถือบางอย่างมาด้วย

บางอย่างที่ดูคล้ายตั๋วเครื่องบิน

ไม่คล้ายหรอก

ใช่เลยต่างหาก

ผมเห็นชัดเจนตอนที่ศิลปินหนุ่มยื่นสิ่งที่อยู่ในมือมาตรงหน้าผม

“กลับไปได้แล้ว” พอผมไม่ยื่นมือไปรับทั้งที่จิระก็ปล่อยมือผมเป็นอิสระแล้ว ยิ้มบนใบหน้ามาร์คัส รอสส์ ก็วับหายไป เหลือไว้เพียงรอยขุ่นขวางจากดวงตาสีเขียวเข้ม และเป็นฝ่ายยัดตั๋วเครื่องบินใส่มือผมอย่างกระแทกกระทั้นแทน “ไฟท์คืนนี้ ไปเก็บของซะ... ส่วนนายก็ไปเตรียมตัวทำกายภาพได้แล้ว ตอนนี้โธมัสใกล้มาถึงแล้ว” มาร์คัส รอสส์พูดกับผมเสียงขุ่นพอประมาณ แต่เมื่อหันกลับไปพูดกับจิระน้ำเสียงปรับมานุ่มนวลได้อย่างรวดเร็ว

“ผมไม่กลับ” บอกไปแบบนั้นกับคนที่กำลังจะพาจิระออกไป จิตรกรหนุ่มตวัดสายตาขุ่นๆ มองผม บ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์กับคำพูดที่ได้ยินจากปากผมสักเท่าไร แต่ก็ไม่มีน้ำเสียงขุ่นจัดออกมาจากริมฝีปาก เป็นคนบนวีลแชร์เองที่เอ่ยออกมา

“ผมให้มาร์คัสซื้อตั๋วให้เอง...” หน่วยตาสีสวยเคลือบไว้ด้วยน้ำวาววับ “กลับไปเถอะนะพีรัช ผมอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ สักวันผมจะกลับมาเดินได้... วันหนึ่งผมจะมีคนที่ผมรักหมดหัวใจ...เหมือนที่พีรัชมีคนคนนั้นไง”

“...”

ผมมองจิระที่พยายามยิ้มไม่ให้เศร้าที่สุด ขณะที่มือตัวเองกำแผ่นกระดาษไว้แน่น ราวกับเป็นลมหายใจอย่างไรอย่างนั้น

“ไปหาหัวใจตัวเองนะ”

“อืม...”

ผมไม่กล้าตอบด้วยคำพูดใด กลัวจะทำให้น้ำตาของจิระร่วงหล่น ทำได้เพียงตอบรับด้วยเสียงเบาบางในลำคอ ยิ้มให้จิระ ก่อนลุกจากเก้าอี้ ย่อตัวลงและคลุกเข่าข้างวีลแชร์ที่จิระนั่งอยู่ โอบกอดเจ้าตัวไว้

“ขอบคุณ...เจย์”

“เหมือนกัน”

..........................................
ห้องนอนของ ‘เรา’ ที่ผมกำลังยืนมองอยู่นั้น ไม่เหมือนคืนสุดท้ายที่ผมได้อยู่ที่นี่ บนเตียงนอนกลางห้อง และในอ้อมกอดแสนอบอุ่นและอ่อนหวาน มันต่างออกไปจากเดิม ผนังด้านที่ไม่ได้กรุด้วยกระจกใสเต็มไปด้วยกรอบรูปทั้งใหญ่เล็ก แขวนติดเรียงรายด้วยรูปถ่ายในช่วงเวลาแสนหวานของผมกับเขา...คนที่ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย แต่อีกสักสามหรือสี่ชั่วโมงเท้าของเขาคงได้แตะแผ่นดินไทย

ผมละสายตาจากรูปถ่ายในกรอบบนผนังห้องสีขาวสะอาดตาที่มองทั้งวันก็ไม่มีเบื่อ เพราะผมทำมาแล้วตั้งแต่เมื่อวานที่กลับมาถึงและพบว่าคุณยะไม่อยู่แล้ว จนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังยิ้มให้กับพวกมัน แต่ละภาพคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมหวานของความรักและความสุข ผมปล่อยพวกมันไว้อย่างนั้นแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว... อย่างรอคอย

เมื่อวันที่เท้าของผมแตะพื้นสนามบินไทย อีกฝ่ายหนึ่งก็ด้วยเช่นกัน เขาเหยียบลงบนพื้นสนามบินของอีกดินแดนหนึ่ง สถานที่ที่ผมเพิ่งจากลา ขณะที่เขาเดินทางถึงมัน

ใช่แล้ว...

ตอนที่ผมขึ้นเครื่อง คุณยะก็ด้วยเช่นกัน

เราสองคนอาจจะสวนกันบนอากาศตรงไหนสักแห่งหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้... มารู้ก็ตอนมาถึงแล้วไม่เจอเขา โทรไปหาคุณย่าถึงได้รู้ว่าเขาบินไปอเมริกา

ผมใช้เวลาในห้องน้ำเนิ่นนาน ทว่าทุกวินาทีผ่านไปอย่างเฝ้ารอ แม้อยากให้เวลาหมุนเร็วแค่ไหนก็ทำได้แค่อยาก จนออกมายืนรับลมเย็นฉ่ำของค่ำคืนที่ท้องฟ้าถูกแสงนวลของจันทร์ดวงสวยห่มเอาไว้ ริ้วฟ้าสวยงามจนไม่อยากถอนสายตาจากไป

แต่ก็นั่นแหละ ความสวยงามที่อยู่บนฟ้าสีราตรี... จะสำคัญเท่ากับท่อนแขนที่โอบกอดร่างของผมให้พิงพักไว้กับแผ่นอกแสนอบอุ่นได้อย่างไร

“คิดถึง...” เสียงกระซิบแผ่วหวานดังราวกับกลัวใครได้ยิน “...คิดถึงฉันไหม”

ผมไม่ตอบหรอก ในเมื่อคนถามย่อมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“สัญญาแล้วว่าจะไม่ไปหาผมที่นั่น”

...ที่ผมกลับมาแล้วไม่ได้เห็นหน้าเขาอย่างใจปรารถนาให้เป็น เพราะเขาบินไปหาผม มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมบินกลับมาหาเขา แอบคิดไม่ได้ว่าทั้งผมและเขาถูกมาร์คัส รอสส์ กลั่นแกล้ง ทั้งที่จิตรกรหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวลึกล้ำควรจะโทรไปบอกเพื่อนของตัวเองว่าผมจะบินกลับไทยคืนนั้น เขาหลอกให้ผมขึ้นเครื่อง หลอกให้คุณยะเหยียบพื้นสนามบินของที่นั่นก่อน แล้วถึงโทรไปบอกว่าผมกลับไทยแล้ว

“ฉันไปรับเธอกลับบ้านต่างหาก” เขาตอบมาแบบนี้ พร้อมกับความอุ่นหวานที่เกิดบนแก้มของผม ผมซึมซับความรู้สึกนั้นเข้ามาเต็มอกที่ล้นทะลักด้วยความคิดถึงเขา

“คุณยะไม่เคยรักษาสัญญาได้เลยสักครั้ง” ผมแกล้งต่อว่า แต่ทำไมเสียงของตัวเองถึงแกล้งขุ่นเคืองไปกับคำพูดที่เอ่ยออกมาไม่ได้เลย

“ฉันเป็นคนไม่รักษาสัญญาอยู่แล้ว... เธอก็รู้” คำตอบที่ทำเอาผมอยากดึงผิวเนื้อที่หลังมือของเขาที่ทาบทับกันอยู่บนหน้าท้องของผมไม่ได้ ทว่าผมก็ทำได้แค่ลูบแผ่วเบาลงไป ก่อนจะวางทาบไว้อย่างนั้น และรับรู้ได้เลยว่ามือของเขาสั่นไม่ต่างจากผม

...ไม่ใช่ความกลัว

ที่มือผมกับมือเขาสั่น คงเพราะความคิดถึงที่ล้นออกมา ผสมไปกับความยินดีที่เรากลับมากอดกันได้อีกครั้ง ไม่ต้องห่างกันไปครึ่งโลก และไม่ต้องจากกันไปตลอดทั้งชีวิต

“คุณยะ...คิดถึงผมมากไหม” และเป็นผมที่นึกอยากถามคำถามเดียวกันกับเขาบ้าง ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากฟังจากปากเขา

“...มากที่สุด”

“เหมือนผมเลย”

“ผมไม่ไปไหนแล้วนะ”

“ฉันก็เหมือนกัน”

End.

เย้!!!!!!!!!
จบแล้วววว ใจหายเนอะ
แต่ไม่เป็นไร
มาเจอกันในตอนพิเศษในเล่มหนังสือนะคะ
เราจะพาไปเจอมุมของคุณยะกัน
ปล. อาจจะเปิดจองกันได้ช่วงเดือนมิถุนายนน้า
ช่วยรับ “คุณยะน้องพี” ไปดูแลด้วยย เราดูแลคนเดียวไม่ไหวแน่ๆ
สีเหลืองอ่อน



หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-04-2019 22:49:49
ใจหายใจคว่ำไปหลายตลบ
อยากจะตีคุณยะน้องพี่ไปร้อยรอบ
กว่าจะได้ลงเอยกัน อิอิ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-04-2019 23:29:46
 :monkeysad:สงสารจิระจังหวังว่าจะทำใจได้โดยเร็วนะจิระ และหวังว่ามาร์คัสจะไม่ไปกวนอารมณ์ให้จิระขุ่นมัวล่ะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 24-04-2019 13:16:19
เฮ้ออออ ทุกข์ใจมาทั้งเรื่อง สุขแค่ไม่กี่บรรทัด แต่ก็คุ้ม เพราะต่อจากนี้น้องพีคงจะมีความสุขจริงๆและมั่นคงสักที
สงสารจิระ อยากรู้ว่ามาคัสพูดอะไรกับจิระในคืนนั้น

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 24-04-2019 20:04:12
 :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-04-2019 21:39:33
 :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: yumenari ที่ 27-04-2019 00:39:35
เราอินมากกกก
อ่านไปอินไป
ก่อนอื่นจ้องบอกเลย ที่จะเม้นต่อจากนี้คือเกิดจากความอินล้วนๆ

บองตอนน้ำตาเราไหลพรากก
บางตอนเราเกรี๊ยวกราดเกลียดคุณยะมากอะ แบบทำไมเป็นคนแบนนี้วะ

อยากแก้แค้นอะไรแรงๆ ให้รุ้สึก
แต่นั้นแหละ เพราะเราไม่เคยอ่านในมุมของคุณยะเลย

บางมุมเราก็รุ้สึกว่า น้องพี หนุจะทำอย่างนั้นทำไมลุก ยิ่งทำยิ่งแพ้

อ่านๆไปก็รุ้สึก ว่าน้องพี ก็หลอกใช้คนอื่นไม่ต่างจากคุณยะ
มันไม่มีข้ออ้างที่ใครจะทำร้ายใครได้ขนาดนี้   ยิ่งตอนไหนขัดใจเรานะ
เราโคตรโกรธ คนเขียนเลย (เข้าใจนะว่าเราอิน แต่จริงๆรักมาก ทำเราอารมเหวี่ยงตลอด)  แบบเห้ยจะโทดตัวละครไม่ได้แล้ว

ต้องโทษไปถึงคนเขียนเลย
อะไรจะขนาดนั้น
ถ้าไม่เขียนมาแบบตัวละครคงไม่หน่วงขนาดนี้

555 เข้าใจเนอะ ก้คนมันอิน
ดูจากลอคอินเราก็จะรู้ เราไม่ใช่สายเม้น เน้นแต่ช่วยซื้อ

แต่เรื่องนี้อดไม่ได้ที่จะเม้น
บาวตอนเราอยากจับคนเขียนมาเขย่าๆ ว่าทำไมเขียนแบบนี้มันหน่วงอะ เพราะเขียนใฟ้เรา ตกหลุมรัก เอาใจช่วย สนิทสนม กับตัวละครแต่ละตัวมากไปแล้ว

สรุปคือ แต่งดีมากค่ะ เราอินมากๆๆๆๆๆ

ขอบคุรมากค่ะ
แล้วเราจะมาอุดหนุนนะคะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** (คุณยะ&น้องพี) -- End. (23-04-19)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-05-2019 19:02:00
โอ๊ยยย ลุ้นแล้วลุ้นอีกค่ะ จะลงเอยดีไหม จะจบยังไง
คิดหนักมากเลยค่ะ แต่ในที่สุดก็สุขสม ได้อยู่ด้วยกันสักที

กว่าจะเปิดใจ เปิดตัว เปิดเผยกันได้ว่าเรื่องราวเป็นมายังไง
ก็อมพะนำกันไว้ ให้พีคิดมาก และทำให้ตัวเองเสียใจ
ทำให้คนอื่นเจ็บปวด และแบกรับเรื่องที่พีทำไปหลายเรื่องเลย

สงสารปานมาก หวังว่าจะได้กลับมารักกันใหม่นะ
สงสารเจย์ที่ยอมทุกอย่างเพื่อให้มีพีอยู่เคียงข้าง

แต่สุดท้ายทุกความเจ็บปวดก็อยู่ที่พี ยอมเปิดใจ

ขอบคุณมากค่ะ เรื่องราวปรี๊ดสุด และดิ่งสุด จนเครียดด้วยเลย
แต่พอทุกอย่างลงตัว ผ่านไปด้วยดี ก็รอลุ้นและส่งแรงใจให้คนเศร้าต่อค่ะ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** End. (เอาปกมาให้ดูก่อนเปิดพรีฯ ค่า)
เริ่มหัวข้อโดย: k2g ที่ 19-09-2019 07:58:57
ทั้งรักและเกลียดในเวลาเดียวกัน
เป็นความรู้สึกตอนอ่านเรื่องนี้
อินไปกับตัวละครเกิ๊น...เฮ้อ
 o13
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** End. (เอาปกมาให้ดูก่อนเปิดพรีฯ ค่า)
เริ่มหัวข้อโดย: เลยร์มุจา ที่ 19-09-2019 17:09:10
อ่านแล้วก็งงกับตัวละครเจ็บแล้วไม่จำ เจ็บแล้วก็ไม่จำวนๆซ้ำๆอยู่อย่างนี้ทั้งเรื่องยังจบ เครียดจัง แต่ก็อ่านจนจบ ก็อยากรู้บทสรุปของตัวละครก็จบไม่แฮปปี้นะ
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** End. (เอาปกมาให้ดูก่อนเปิดพรีฯ ค่า)
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 12-11-2019 21:06:33
รายละเอียดการจองหนังสือ "รัก...คือคำตอบ"


(https://uppic.cc/d/53RR) (https://uppic.cc/v/53RR)

(https://uppic.cc/d/53R1) (https://uppic.cc/v/53R1)

(https://uppic.cc/d/53Rg) (https://uppic.cc/v/53Rg)


[1]
* เปิดจอง 2 พย. – 15 มค. 2563
** (ติดขัดอะไรแจ้งได้นะคะ--- อยากมัดจำได้นะคะ มาคุยรายละเอียดกันทาง inbox ได้ค่ะ)

[2]
กำหนดรับหนังสือ
* หลังปิดจองเรียบร้อย คนเขียนขอเวลา 5 วันในตรวจความเรียบร้อยของต้นฉบับรอบสุดท้าย
** ส่งตฉบ.ทางโรงพิมพ์ 20 มค. 63
*** เมื่อได้รับหนังสือจากทางโรงพิมพ์ (ระยะเวลาน่าจะ 5-10 วัน) คนเขียนจะจัดการแพ็กและจัดส่งให้เร็วที่สุด (คนเขียนว่างงาน สามารถนั่งแพ็กหนังสือได้ทุกเวลา ยกเว้นเวลานอน ^_^)

[3]
รายละเอียด “หนังสือ”
* หนังสือมี 3 เล่มจบ
เล่ม 1 = 388 หน้า (เนื้อหาหลัก)
เล่ม 2 = 384 หน้า (เนื้อหาหลัก)
เล่ม 3 = 406 หน้า (เฉพาะตอนพิเศษ)
** ปกสี เคลือบแบบด้าน, กระดาษถนอมสายตา 75 แกรม

[4]
ราคาหนังสือ -- ราคายังไม่ร่วมค่าจัดส่ง
* รอบเปิดจอง ราคาชุดละ 1,110 บาท
** หลังจากรอบเปิดจอง ราคาชุดละ 1,200 บาท ( – กรณีนี้ คนเขียนอาจมีสต็อกไว้ประมาณ 3-4 ชุด
*** ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 80 บาท
***ค่าจัดส่งแบบพัสดุ 50 บาท
**** หีบห่อและการแพก— กล่องไดคัทสีขาว (จะพยายามห่อให้แน่นหนาและปลอดภัยมากที่สุด)

[5]
ของแถม
>> ที่คั่นหนังสือ 3 แบบ
>> โปสการ์ด 5 แบบ
>> การ์ดขุ่น (พลาสติก) 3 แบบ
>> แมกเน็ตแถบพลาสติกแม่เหล็ก 3 แบบ
>> การ์ตูน (4 ช่อง) ขนาด น้อยกว่าA5 // 1 แผ่น

*** ของแถมที่ไม่เกี่ยวกับนิยาย สำหรับจองผ่านทางเพจนิยายสีเหลืองอ่อน (มีจำนวนจำกัด – แจกจนกว่าจะหมด)
>> แมวอัปลักษณ์ ใช้ยันโทรศัพท์ 1 ชิ้น สำหรับ 20 ท่านแรก
>> ที่คั่นการ์ใสห้อยพู่ (ใช้รูปจิบิคุณยะอุ้มน้องพี แบบเดียวกับที่แถมปกติ) 1ชิ้น สำหรับ 25 คนแรก
>> ที่คั่นแมกเน็ตอันเล็กๆ 1 แพก (1 แพกมี 2 ชิ้น) สำหรับ 35 ท่านแรก
>> ปกพลาสติกสีพาสเทล 1 ชิ้น สำหรับ 80 ท่านแรก
>> ถุงซิปล็อก ได้ทุกคน

[6]
รายการซื้อเพิ่ม
>> แสตนดี้ (คุณยะ) ชิ้นละ 90 บาท
>> แสตนดี้ (น้องพี) ชิ้นละ 90 บาท

*** ตัวแสตนดี้
-- ลายสกรีนอยู่ด้านในตัวอะคริลิก จะเห็นลายทั้งสองด้าน
-- อะคริลิกหนา 4 มม.
-- ขนาดประมาณ 11*6 ซม. (โดยประมาณ)
-- ฐานวงกลมประมาณ 5*5 ซม. (โดยประมาณ)
*** หมายเหตุ
(1) เป็นงานจากจีน หลายเสียงบอกว่าคุณภาพดี คนเขียนก็ว่าคุณภาพดี จากอันจริงที่อยู่ในมือ (ไม่รับเคลม ยกเว้นกรณีแตกหักจากการขนส่ง และจะคืนเงินแทนการเปลี่ยนตัวใหม่ เนื่องจากเป็นงานสั่งจากจีน)
(2) เปิดซื้อแสตนดี้ถึงแค่วันที่ 9 ธค. นะคะ เนื่องจากต้องสั่งงานจากโรงงานที่จีน ระยะเวลาในการทำสินค้าและจัดส่งโดยประมาณ 30-40 วัน ดังนั้นคนเขียนจึงต้องปิดยอดการสั่งซื้อแสตนดี้ก่อนปิดจองหนังสือนะคะ
(3) หากอยากได้แสตนดี้แต่ยังเก็บเงินค่าหนังสือไม่ครบ สามารถสั่งซื้อแสตนดี้และจ่ายเงินเฉพาะแสตนดี้ก่อนได้ค่ะ

[7]
รายการหนังสือแลก
** หนังสือเรื่องสั้น – ผม...มันคนถูกทิ้ง (ซี&ซวง) ไม่เกี่ยวกับนิยายเรื่องหลัก
** จำนวนหน้า 120-130 หน้า
** หนังสือ 1 เล่ม ,ที่คั่น 1 ชิ้น, โปสการ์ดแผ่นเล็ก 2 ชิ้น

กติกาแลกรับ
(1) ซื้อ รัก...คือคำตอบ 1 ชุด + เคยซื้อนิยายเรื่องอื่นๆ จำนวน 3 ชุด แลกรับได้ 1 เล่ม
(2) ซื้อ รัก...คือคำตอบ 2 ชุด + เคยซื้อนิยายเรื่องอื่นๆ จำนวน 6 ชุด แลกรับได้ 2 เล่ม
(3) แลกได้ไม่จำกัดจำนวน หากเป็นไปตามกติกา (หากงงกับเงื่อนไขของกติกา สามารถสอบถามผ่าน inbox เพจได้ค่ะ คนเขียนยินดีตอบคำถาม)
(4) แลกรับได้เฉพาะรอบจอง นะคะ

*** หากไม่ต้องการหนังสือแลก สามารถเปลี่ยนสิทธิ์เป็นส่วนลดได้ (1 ชุดที่เคยซื้อ เปลี่ยนเป็นส่วนลด 25 บาท)

[8]
ช่องทางสั่งจอง
(1) ทางอีเมล i_aeawอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com
(2) ทาง inbox เพจนิยายสีเหลืองอ่อน

วิธีสั่งจอง
>> (1) ผ่านอีเมล -- ระบุชื่อเรื่องว่า “ซื้อนิยาย” // ทางเพจนิยาย ทักมาได้เลยค่ะ
>> (2) ระบุจำนวนชุดที่จอง + ระบุสินค้าที่อยากซื้อเพิ่ม
>> (3) ระบุรายการหนังสือที่แลก (หากมีสิทธิ์)
>> (3) รอสรุปยอดเงินที่ต้องจ่าย
>> (4) ส่งหลักฐานการโอน + ชื่อที่อยู่ในการจัดส่ง

[9]
ช่องทางการโอนเงิน
** ธ.ทหารไทย (สาขากทม.)
** ธ.ไทยพาณิชย์ (สาขากทม.)
** ธ.กสิกรไทย (สาขาตจว.)
** พร้อมเพย์
>> (1) เมื่อโอนเสร็จแล้ว แจ้งชื่อ-ที่อยู่ชัดเจนในการจัดส่ง
>> (2) แนบหลักฐานการโอน
>> (3) รอแจ้งยืนยันการรับเงิน

[10] ไม่รับการยกเลิกการพรีฯ

[11] กรณีที่ไม่รับเคลมหนังสือ
>> สภาพภายนอกที่ไม่มีผลต่อการอ่าน
>> สภาพภายนอกของหนังสืออาจไม่เนี้ยบแบบกริบๆ อย่างเช่น ซีลดึงมุม สันเป็นขุย เจียนปกเห็นขอบขาว ฯลฯ สิ่งที่เป็นสาเหตุจากกระบวนการของโรงพิมพ์
>> พิจารณาเป็นกรณีไป

[12] รับเคลมในกรณีที่
>> มีผลต่อการอ่าน เช่น หน้าหาย หน้าสลับ เปื้อนดำไม่เห็นตัวหนังสือ ฯลฯ
>> พิจารณาเป็นกรณีไป

[13]
ทุกความสงสัย ถามมาได้ทาง ib เพจ ได้เลยค่ะ คนเขียนยินดีเป็นอย่างยิ่งในการให้คำตอบแบบกระจ่างแจ้งค่ะ

(https://uppic.cc/v/53RR)
หัวข้อ: Re: **รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:46:02
 :pig4: